“เมื่อคุณน้อยใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์…ให้รู้ว่านั่นคือสัญญาณว่าได้เวลาเป็นผู้ใหญ่ทางใจแล้ว”
บางครั้ง คนที่ศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ก็เผลอรู้สึกน้อยใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสียเอง
โดยเฉพาะเมื่อไหว้วอนมาก
แต่สิ่งที่หวัง…กลับยังไม่มาถึงสักที
> “ทำไมถึงไม่ช่วยกันเลย?”
“ทำไมปล่อยให้เราลำบากคนเดียว?”
“เราทำดีขนาดนี้แล้วนะ…”
เสียงแบบนี้เคยเกิดในใจใครหลายคน
โดยเฉพาะกับผู้ที่พยายามฝึกตน
แต่ยังไม่เห็นผลชัด
ราวกับพยายามเดินเท้าเปล่าในทางหมื่นไมล์
ที่ไม่มีใครอุ้ม ไม่มีลมส่ง
ไม่มีปาฏิหาริย์ใดมารับขึ้นรถ
---
แต่ในทางพุทธ…พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้ “น้อยใจท่าน”
พระองค์ตรัสไว้ชัดว่า
> “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”
ไม่ใช่เพื่อปล่อยให้เราต่อสู้อย่างเดียวดาย
แต่เพื่อเตือนว่า
“อิสรภาพจากทุกข์ต้องเริ่มที่ใจตนเองก่อน”
หากคุณเชื่อเรื่องกรรม
แล้วชีวิตยังไม่ดี
ให้กลับมาถามใจว่า
> “เราทำกรรมดีพอหรือยัง?”
ถ้าสู้เพื่อสิ่งที่หวัง ยังรู้สึกไม่พอใจตัวเอง
ให้ยอมรับความจริงว่า
“เรายังไม่ได้ทำเต็มที่พอให้รู้สึกภูมิใจ”
ไม่ใช่ไปโทษว่า “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ช่วย”
---
แม้แต่นักภาวนาก็เคยน้อยใจพระพุทธเจ้าได้
แต่คนที่ปฏิบัติทางตรงจริง
จะเริ่มเห็นว่าแม้ “อารมณ์น้อยใจ”
ก็เป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น
แล้ว “ดับไป”
บนลมหายใจเข้าออกนี่เอง
และเมื่อจิตมองเห็นความจริงอย่างนี้บ่อยขึ้น
ก็จะเลิกยึดแม้แต่ความรู้สึกว่าตัวเองน่าสงสาร
เลิกคาดหวังปาฏิหาริย์
แล้วตั้งหน้าทำสิ่งที่ควรทำ
ด้วยความเข้าใจว่าทางพ้นทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่ใครให้ได้
นอกจากคุณจะสร้างเอง
---
การเป็นผู้ใหญ่ทางใจ…เริ่มต้นเมื่อหยุดน้อยใจ
หยุดน้อยใจโชคชะตา
หยุดน้อยใจพระ
หยุดน้อยใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์
แล้วเปลี่ยนเป็น
> “หายใจเข้าให้เต็มที่เพื่อเริ่มต้นใหม่”
“หายใจออกเพื่อปล่อยทุกข์ที่แบกอยู่ไปทีละชั้น”
“มองเห็นอารมณ์ แล้วปล่อยให้อารมณ์นั้นไปทางของมัน”
---
บทสรุปของคนที่ไม่รอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาอุ้ม
> ถ้าคุณยังน้อยใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้
แสดงว่าคุณยังมองไม่ตรงทาง
แต่ถ้าคุณมองเห็นแม้ความน้อยใจ
ก็เป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น…แล้วดับไป
วันนั้นแหละ คุณจะรู้ว่า
คุณกำลังปฏิบัติธรรมอยู่ในทางตรงของพุทธศาสนาแล้ว
บางครั้ง คนที่ศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ก็เผลอรู้สึกน้อยใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสียเอง
โดยเฉพาะเมื่อไหว้วอนมาก
แต่สิ่งที่หวัง…กลับยังไม่มาถึงสักที
> “ทำไมถึงไม่ช่วยกันเลย?”
“ทำไมปล่อยให้เราลำบากคนเดียว?”
“เราทำดีขนาดนี้แล้วนะ…”
เสียงแบบนี้เคยเกิดในใจใครหลายคน
โดยเฉพาะกับผู้ที่พยายามฝึกตน
แต่ยังไม่เห็นผลชัด
ราวกับพยายามเดินเท้าเปล่าในทางหมื่นไมล์
ที่ไม่มีใครอุ้ม ไม่มีลมส่ง
ไม่มีปาฏิหาริย์ใดมารับขึ้นรถ
---
แต่ในทางพุทธ…พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้ “น้อยใจท่าน”
พระองค์ตรัสไว้ชัดว่า
> “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”
ไม่ใช่เพื่อปล่อยให้เราต่อสู้อย่างเดียวดาย
แต่เพื่อเตือนว่า
“อิสรภาพจากทุกข์ต้องเริ่มที่ใจตนเองก่อน”
หากคุณเชื่อเรื่องกรรม
แล้วชีวิตยังไม่ดี
ให้กลับมาถามใจว่า
> “เราทำกรรมดีพอหรือยัง?”
ถ้าสู้เพื่อสิ่งที่หวัง ยังรู้สึกไม่พอใจตัวเอง
ให้ยอมรับความจริงว่า
“เรายังไม่ได้ทำเต็มที่พอให้รู้สึกภูมิใจ”
ไม่ใช่ไปโทษว่า “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ช่วย”
---
แม้แต่นักภาวนาก็เคยน้อยใจพระพุทธเจ้าได้
แต่คนที่ปฏิบัติทางตรงจริง
จะเริ่มเห็นว่าแม้ “อารมณ์น้อยใจ”
ก็เป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น
แล้ว “ดับไป”
บนลมหายใจเข้าออกนี่เอง
และเมื่อจิตมองเห็นความจริงอย่างนี้บ่อยขึ้น
ก็จะเลิกยึดแม้แต่ความรู้สึกว่าตัวเองน่าสงสาร
เลิกคาดหวังปาฏิหาริย์
แล้วตั้งหน้าทำสิ่งที่ควรทำ
ด้วยความเข้าใจว่าทางพ้นทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่ใครให้ได้
นอกจากคุณจะสร้างเอง
---
การเป็นผู้ใหญ่ทางใจ…เริ่มต้นเมื่อหยุดน้อยใจ
หยุดน้อยใจโชคชะตา
หยุดน้อยใจพระ
หยุดน้อยใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์
แล้วเปลี่ยนเป็น
> “หายใจเข้าให้เต็มที่เพื่อเริ่มต้นใหม่”
“หายใจออกเพื่อปล่อยทุกข์ที่แบกอยู่ไปทีละชั้น”
“มองเห็นอารมณ์ แล้วปล่อยให้อารมณ์นั้นไปทางของมัน”
---
บทสรุปของคนที่ไม่รอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาอุ้ม
> ถ้าคุณยังน้อยใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้
แสดงว่าคุณยังมองไม่ตรงทาง
แต่ถ้าคุณมองเห็นแม้ความน้อยใจ
ก็เป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น…แล้วดับไป
วันนั้นแหละ คุณจะรู้ว่า
คุณกำลังปฏิบัติธรรมอยู่ในทางตรงของพุทธศาสนาแล้ว
“เมื่อคุณน้อยใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์…ให้รู้ว่านั่นคือสัญญาณว่าได้เวลาเป็นผู้ใหญ่ทางใจแล้ว”
บางครั้ง คนที่ศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ก็เผลอรู้สึกน้อยใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสียเอง
โดยเฉพาะเมื่อไหว้วอนมาก
แต่สิ่งที่หวัง…กลับยังไม่มาถึงสักที
> “ทำไมถึงไม่ช่วยกันเลย?”
“ทำไมปล่อยให้เราลำบากคนเดียว?”
“เราทำดีขนาดนี้แล้วนะ…”
เสียงแบบนี้เคยเกิดในใจใครหลายคน
โดยเฉพาะกับผู้ที่พยายามฝึกตน
แต่ยังไม่เห็นผลชัด
ราวกับพยายามเดินเท้าเปล่าในทางหมื่นไมล์
ที่ไม่มีใครอุ้ม ไม่มีลมส่ง
ไม่มีปาฏิหาริย์ใดมารับขึ้นรถ
---
แต่ในทางพุทธ…พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้ “น้อยใจท่าน”
พระองค์ตรัสไว้ชัดว่า
> “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”
ไม่ใช่เพื่อปล่อยให้เราต่อสู้อย่างเดียวดาย
แต่เพื่อเตือนว่า
“อิสรภาพจากทุกข์ต้องเริ่มที่ใจตนเองก่อน”
หากคุณเชื่อเรื่องกรรม
แล้วชีวิตยังไม่ดี
ให้กลับมาถามใจว่า
> “เราทำกรรมดีพอหรือยัง?”
ถ้าสู้เพื่อสิ่งที่หวัง ยังรู้สึกไม่พอใจตัวเอง
ให้ยอมรับความจริงว่า
“เรายังไม่ได้ทำเต็มที่พอให้รู้สึกภูมิใจ”
ไม่ใช่ไปโทษว่า “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ช่วย”
---
แม้แต่นักภาวนาก็เคยน้อยใจพระพุทธเจ้าได้
แต่คนที่ปฏิบัติทางตรงจริง
จะเริ่มเห็นว่าแม้ “อารมณ์น้อยใจ”
ก็เป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น
แล้ว “ดับไป”
บนลมหายใจเข้าออกนี่เอง
และเมื่อจิตมองเห็นความจริงอย่างนี้บ่อยขึ้น
ก็จะเลิกยึดแม้แต่ความรู้สึกว่าตัวเองน่าสงสาร
เลิกคาดหวังปาฏิหาริย์
แล้วตั้งหน้าทำสิ่งที่ควรทำ
ด้วยความเข้าใจว่าทางพ้นทุกข์ไม่ใช่สิ่งที่ใครให้ได้
นอกจากคุณจะสร้างเอง
---
การเป็นผู้ใหญ่ทางใจ…เริ่มต้นเมื่อหยุดน้อยใจ
หยุดน้อยใจโชคชะตา
หยุดน้อยใจพระ
หยุดน้อยใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์
แล้วเปลี่ยนเป็น
> “หายใจเข้าให้เต็มที่เพื่อเริ่มต้นใหม่”
“หายใจออกเพื่อปล่อยทุกข์ที่แบกอยู่ไปทีละชั้น”
“มองเห็นอารมณ์ แล้วปล่อยให้อารมณ์นั้นไปทางของมัน”
---
บทสรุปของคนที่ไม่รอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาอุ้ม
> ถ้าคุณยังน้อยใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้
แสดงว่าคุณยังมองไม่ตรงทาง
แต่ถ้าคุณมองเห็นแม้ความน้อยใจ
ก็เป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น…แล้วดับไป
วันนั้นแหละ คุณจะรู้ว่า
คุณกำลังปฏิบัติธรรมอยู่ในทางตรงของพุทธศาสนาแล้ว
0 ความคิดเห็น
0 การแบ่งปัน
53 มุมมอง
0 รีวิว