• มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน สมยอมหรือขืนใจ

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 10 : สมยอมหรือขืนใจ
    ย้อนไปในปี 1950 นาย John D. Rockefeller ได้ใช้เปอริโตริโก้ เป็นแหล่งทดลองการลดจำนวนพลเมืองลง ผลปรากฎว่าในปี ค.ศ.1965 ประมาณร้อยละ 35 ของหญิงชาวเปอริโตริกัน ที่อยู่ในวัยเจริญพันธ์ได้ถูกทำหมัน
    หญิงยากจนเหล่านั้นถูกแนะนำให้ไปคลอดบุตรที่รพ.สร้างใหม่ของอเมริกา โดยหมอที่ทำการคลอดจะได้รับคำสั่งให้ทำหมันให้บรรดาคุณแม่เหล่านั้น โดยการผูกท่อรังไข่ โดยที่พวกคุณแม่เหล่านั้นไม่รู้เรื่องและไม่ได้ให้ความยินยอม
    ในปี ค.ศ.1965 เปอริโตริโก้ได้ตำแหน่งที่ 1 ในการมีผู้หญิงทำหมันสูงสุดในโลก
    นาย David Rockefeller กล่าวสุนทรพจน์ เมื่อปี ค.ศ.1961 ที่ UN Food and Agriculture Organization ว่า
    “ในความเห็นของข้าพเจ้า การที่อัตราประชากรโลกเพิ่มขึ้นสูง เป็นปัญหาที่น่ากลัว รองลงมาจากการควบคุมระเบิด Atomic ”
    เป็นประโยคเดียวกับที่นาย Robert Mcnamara นำมาพูด เมื่อนาย Kissinger เสนอนโยบายตามแผน NSSM 200 ในปี ค.ศ.1975 แต่คงไม่แปลกใจเท่าไหร่ ถ้ารู้กันว่านาย Robert Mcnamara ก็เป็นสมาชิก สมาคม Trilateral Commission รุ่นก่อตั้ง
    แล้วของไทยล่ะ เรามีสมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทย (สวท) ที่คุณมีชัย สายรุ้ง ตั้งขึ้น เมื่อ พ.ศ.2517 (ค.ศ.1974)
    สวท เป็นองค์กรที่เป็นสมาชิกของสหพันธ์วางแผนครอบครัวระหว่างประเทศ (The International Planned Parenthood Federation) หรือ IPPF
    ซึ่งแต่ละปี IPPF จะเป็นผู้ให้การสนับสนุนงบประมาณและอุปกรณ์ในการดำเนินงานของ สวท. สายรุ้งจะรู้ไหมหนอ ว่าถูกเขาหลอกให้ทำอะไร
    13 ประเทศเป้าหมายตาม NSSM 200 เช่น อินเดีย ฟิลิปปินส์ บราซิล และประเทศไทย ต่างได้รับของขวัญ แบบต่างๆ จากนักมายากล เราคิดว่าของขวัญมีเท่านี้หรือ กลับไปดู หนังสือของนาย Kissinger ลงวันที่ 24 เมษายน ค.ศ.1974 (ที่เล่าไว้ในตอนที่ 2) อีกที นักมายากลยังมีวิธีการใหม่ๆ มาเล่นกลหลอกเราอีก มันเล่นกันหลายชั้น กำไรหลายเด้ง !


    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน สมยอมหรือขืนใจ นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 10 : สมยอมหรือขืนใจ ย้อนไปในปี 1950 นาย John D. Rockefeller ได้ใช้เปอริโตริโก้ เป็นแหล่งทดลองการลดจำนวนพลเมืองลง ผลปรากฎว่าในปี ค.ศ.1965 ประมาณร้อยละ 35 ของหญิงชาวเปอริโตริกัน ที่อยู่ในวัยเจริญพันธ์ได้ถูกทำหมัน หญิงยากจนเหล่านั้นถูกแนะนำให้ไปคลอดบุตรที่รพ.สร้างใหม่ของอเมริกา โดยหมอที่ทำการคลอดจะได้รับคำสั่งให้ทำหมันให้บรรดาคุณแม่เหล่านั้น โดยการผูกท่อรังไข่ โดยที่พวกคุณแม่เหล่านั้นไม่รู้เรื่องและไม่ได้ให้ความยินยอม ในปี ค.ศ.1965 เปอริโตริโก้ได้ตำแหน่งที่ 1 ในการมีผู้หญิงทำหมันสูงสุดในโลก นาย David Rockefeller กล่าวสุนทรพจน์ เมื่อปี ค.ศ.1961 ที่ UN Food and Agriculture Organization ว่า “ในความเห็นของข้าพเจ้า การที่อัตราประชากรโลกเพิ่มขึ้นสูง เป็นปัญหาที่น่ากลัว รองลงมาจากการควบคุมระเบิด Atomic ” เป็นประโยคเดียวกับที่นาย Robert Mcnamara นำมาพูด เมื่อนาย Kissinger เสนอนโยบายตามแผน NSSM 200 ในปี ค.ศ.1975 แต่คงไม่แปลกใจเท่าไหร่ ถ้ารู้กันว่านาย Robert Mcnamara ก็เป็นสมาชิก สมาคม Trilateral Commission รุ่นก่อตั้ง แล้วของไทยล่ะ เรามีสมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทย (สวท) ที่คุณมีชัย สายรุ้ง ตั้งขึ้น เมื่อ พ.ศ.2517 (ค.ศ.1974) สวท เป็นองค์กรที่เป็นสมาชิกของสหพันธ์วางแผนครอบครัวระหว่างประเทศ (The International Planned Parenthood Federation) หรือ IPPF ซึ่งแต่ละปี IPPF จะเป็นผู้ให้การสนับสนุนงบประมาณและอุปกรณ์ในการดำเนินงานของ สวท. สายรุ้งจะรู้ไหมหนอ ว่าถูกเขาหลอกให้ทำอะไร 13 ประเทศเป้าหมายตาม NSSM 200 เช่น อินเดีย ฟิลิปปินส์ บราซิล และประเทศไทย ต่างได้รับของขวัญ แบบต่างๆ จากนักมายากล เราคิดว่าของขวัญมีเท่านี้หรือ กลับไปดู หนังสือของนาย Kissinger ลงวันที่ 24 เมษายน ค.ศ.1974 (ที่เล่าไว้ในตอนที่ 2) อีกที นักมายากลยังมีวิธีการใหม่ๆ มาเล่นกลหลอกเราอีก มันเล่นกันหลายชั้น กำไรหลายเด้ง ! คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 127 มุมมอง 0 รีวิว
  • มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน ขจัดพันธ์ด้อย

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 9 : ขจัดพันธ์ด้อย
    หลังจากที่รัฐบาล Nixon เริ่มขบวนการทำลายเกษตรในครอบครัว ในประเทศที่กำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนา ด้วยการส่งเมล็ดพันธ์พืช GMO มาให้แล้ว รัฐบาล Nixon ยังให้ทำการศึกษาเกี่ยวกับการขยายตัวของประชากรโลกอีกด้วย ว่าจะมีผลกระทบต่อความมั่งคง และผลประโยชน์ของอเมริกาในต่างประเทศหรือไม่ โดยถือว่าเป็นนโยบายที่มีความสำคัญสูงสุด ทั้งนี้ก็เป็นการเดินตามแผนลับของตระกูล Rockefeller นั่นเอง
    ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยบอกว่าเรา (คืออเมริกา) เราต้องกำหนดเป็นเงื่อนไข ของการได้รับเงินช่วยเหลือประเทศด้อยพัฒนาว่า การคุมกำเนิดควรเป็นเงื่อนไข อย่างหนึ่งของการได้รับเงินช่วยเหลือ
    ขนาดเราอัดมันด้วยพืช GMO ไอ้พวกพันธ์ด้อย มันยังอยู่ดี มีลูกหัวปีท้ายปี ดังนั้นเราก็ควรหาทางกำจัด การเจริญเติบโตพวกมันเสียด้วย การออกนโยบาย National Security Study Memorandum 200 หรือ NSSM 200 ซะให้หมดเรื่อง ไม่งั้นเราจะครอบครองวัตถุดิบ ทรัพยากรธรรมชาติของพวกมันในราคาถูกได้ยังไง ถ้ามันยังอยู่กันล้นโลกอย่างงี้!
    นาย Kissinger จึงต้องใช้ลิ้นนักการฑูต ตอแหลเพื่อชาติ จนทำให้ UN รับเป็นโครงการของ UN ช่วยประชาชน
    เป็นครั้งแรก ที่การจำกัดการเจริญเติบโตของจำนวนพลเมือง ในประเทศที่กำลังพัฒนา หรือด้อยพัฒนา เป็นยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของอเมริกา และเป็นยุทธศาสตร์ที่ต้องทำเป็นการด่วนและลับสุดยอด
    แต่ที่ซ่อนไว้ลึกอีกชั้นหนึ่ง จนคนดูมองไม่ออกคือ NSSM 200 นี้ ได้แอบสอดไส้แผนการกำจัดสายพันธ์ุด้อย เพื่อรักษาสายพันธ์ุเด่น โดยใช้การวางแผนครอบครัวบังหน้า เชื่อว่า 13 ประเทศ เป้าหมายจนถึงบัดนี้ ก็อาจยังไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับประเทศตน แผนการมันแสนจะทุเรศ ตามแบบของผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย จริง ๆ นะ
    บราซิลเป็นตัวอย่างที่เห็นชัด หลังจากที่ได้มีการปฏิบัติการ NSSM 200 กับบราซิล มา 14 ปี กระทรวงสาธารณะสุขของบราซิล เพิ่งตื่นขึ้นมาทำการสำรวจถึงจำนวนผู้หญิงบราซิลที่เป็นหมัน
    รัฐบาลบราซิล ถึงกับช็อครับประทาน เมื่อรายงานบอกว่า 44% ของผู้หญิงบราซิลทั้งหมดที่อายุ ระหว่าง 14 ถึง 55 ปี เป็นหมันอย่างถาวร ปรากฎข้อเท็จจริงว่าพวกที่มีอายุมากกว่านั้น ได้เข้าไปทำหมันด้วยการความสมัครใจ ตามโครงการที่เริ่มเมื่อ ค.ศ.1970 กว่าๆ
    ที่น่าสนใจกว่านั้น คือ ร้อยละ 90 ของผู้หญิงบราซิลที่มีเชื้อสายอาฟริกัน ถูกทำหมัน (อันนี้รายงานไม่ได้บอกว่าสมัครใจหรือไม่) แต่น่าสนใจนะ! และการทำหมันดังกล่าว ทำโดยองค์กรต่าง ๆ ซึ่งมีทั้งเป็นสัญชาติบราซิล และองค์การ International Planned Parenthood Federation (IPPF), US Pathfinder Fund, Family Health International
    ทั้งหมดอยู่ภายใต้การแนะนำของ US Agency for International Development (USAID) ยิ่งน่าสนใจใหญ่! ที่มันทำในบ้านเขาแบบนี้ มันพัฒนาตรงไหนนะ!?

    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 1 ตอน ขจัดพันธ์ด้อย นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” ตอนที่ 9 : ขจัดพันธ์ด้อย หลังจากที่รัฐบาล Nixon เริ่มขบวนการทำลายเกษตรในครอบครัว ในประเทศที่กำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนา ด้วยการส่งเมล็ดพันธ์พืช GMO มาให้แล้ว รัฐบาล Nixon ยังให้ทำการศึกษาเกี่ยวกับการขยายตัวของประชากรโลกอีกด้วย ว่าจะมีผลกระทบต่อความมั่งคง และผลประโยชน์ของอเมริกาในต่างประเทศหรือไม่ โดยถือว่าเป็นนโยบายที่มีความสำคัญสูงสุด ทั้งนี้ก็เป็นการเดินตามแผนลับของตระกูล Rockefeller นั่นเอง ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยบอกว่าเรา (คืออเมริกา) เราต้องกำหนดเป็นเงื่อนไข ของการได้รับเงินช่วยเหลือประเทศด้อยพัฒนาว่า การคุมกำเนิดควรเป็นเงื่อนไข อย่างหนึ่งของการได้รับเงินช่วยเหลือ ขนาดเราอัดมันด้วยพืช GMO ไอ้พวกพันธ์ด้อย มันยังอยู่ดี มีลูกหัวปีท้ายปี ดังนั้นเราก็ควรหาทางกำจัด การเจริญเติบโตพวกมันเสียด้วย การออกนโยบาย National Security Study Memorandum 200 หรือ NSSM 200 ซะให้หมดเรื่อง ไม่งั้นเราจะครอบครองวัตถุดิบ ทรัพยากรธรรมชาติของพวกมันในราคาถูกได้ยังไง ถ้ามันยังอยู่กันล้นโลกอย่างงี้! นาย Kissinger จึงต้องใช้ลิ้นนักการฑูต ตอแหลเพื่อชาติ จนทำให้ UN รับเป็นโครงการของ UN ช่วยประชาชน เป็นครั้งแรก ที่การจำกัดการเจริญเติบโตของจำนวนพลเมือง ในประเทศที่กำลังพัฒนา หรือด้อยพัฒนา เป็นยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของอเมริกา และเป็นยุทธศาสตร์ที่ต้องทำเป็นการด่วนและลับสุดยอด แต่ที่ซ่อนไว้ลึกอีกชั้นหนึ่ง จนคนดูมองไม่ออกคือ NSSM 200 นี้ ได้แอบสอดไส้แผนการกำจัดสายพันธ์ุด้อย เพื่อรักษาสายพันธ์ุเด่น โดยใช้การวางแผนครอบครัวบังหน้า เชื่อว่า 13 ประเทศ เป้าหมายจนถึงบัดนี้ ก็อาจยังไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับประเทศตน แผนการมันแสนจะทุเรศ ตามแบบของผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตย จริง ๆ นะ บราซิลเป็นตัวอย่างที่เห็นชัด หลังจากที่ได้มีการปฏิบัติการ NSSM 200 กับบราซิล มา 14 ปี กระทรวงสาธารณะสุขของบราซิล เพิ่งตื่นขึ้นมาทำการสำรวจถึงจำนวนผู้หญิงบราซิลที่เป็นหมัน รัฐบาลบราซิล ถึงกับช็อครับประทาน เมื่อรายงานบอกว่า 44% ของผู้หญิงบราซิลทั้งหมดที่อายุ ระหว่าง 14 ถึง 55 ปี เป็นหมันอย่างถาวร ปรากฎข้อเท็จจริงว่าพวกที่มีอายุมากกว่านั้น ได้เข้าไปทำหมันด้วยการความสมัครใจ ตามโครงการที่เริ่มเมื่อ ค.ศ.1970 กว่าๆ ที่น่าสนใจกว่านั้น คือ ร้อยละ 90 ของผู้หญิงบราซิลที่มีเชื้อสายอาฟริกัน ถูกทำหมัน (อันนี้รายงานไม่ได้บอกว่าสมัครใจหรือไม่) แต่น่าสนใจนะ! และการทำหมันดังกล่าว ทำโดยองค์กรต่าง ๆ ซึ่งมีทั้งเป็นสัญชาติบราซิล และองค์การ International Planned Parenthood Federation (IPPF), US Pathfinder Fund, Family Health International ทั้งหมดอยู่ภายใต้การแนะนำของ US Agency for International Development (USAID) ยิ่งน่าสนใจใหญ่! ที่มันทำในบ้านเขาแบบนี้ มันพัฒนาตรงไหนนะ!? คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 134 มุมมอง 0 รีวิว
  • พุทธังสแกนจ่ายแก้ทุจริต ดึงวัดเข้าระบบ e-Donation

    ข่าวอื้อฉาววงการสงฆ์ ไล่ตั้งแต่สมีแย้มวัดไร่ขิง ต่อด้วยผู้หญิงสิบบาป สีกากอล์ฟกับพระชั้นผู้ใหญ่เย่อกันคาผ้าเหลืองทั่วไทย เคสล่าสุดอย่างเจ้าคุณอลงกตแห่งวัดพระบาทน้ำพุ มีทั้งข่าวนำเงินวัดไปให้สีกา นำเงินวัดไปใช้ในทางที่ผิด และพระภิกษุสงฆ์เข้าสู่การพนันออนไลน์ สะเทือนใจพุทธศาสนิกชน ยิ่งสาวลึกยิ่งหวั่นไหวกับผลประโยชน์มหาศาล โดยเฉพาะตู้รับบริจาคที่รับเงินสดๆ ทั้งเหรียญและธนบัตร พุทธังเอากะตังใส่ตู้ ธัมมังเอากะตังใส่ตู้ สังฆังเอากะตังใส่ตู้ เอาแค่กรณีสมีแย้มกับวัดไร่ขิง เคยมีตู้บริจาคมากถึง 200 ตู้ รายได้เฉลี่ย 5 หมื่นถึง 1 แสนบาท ยิ่งช่วงเทศกาลหรืองานวัด รายได้วันละมากกว่า 1 ล้านบาท ส่งเงินสดแผนกการเงินของวัดทุกวัน แต่การเงินวัดติดลบเพราะทุจริต เรื่องแดงถึงขั้นติดคุก

    ตำนานวัดกับการทุจริตที่พบเห็นได้บ่อย หนึ่งในนั้นคือใบอนุโมทนาบัตร ที่ใช้ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 10% ข่าวฉาวในอดีตพบว่ามีการขายใบอนุโมทนาบัตรในท้องตลาด บางคนใช้วิธีบริจาคให้วัด 100 บาท แต่ขอให้พระเขียนใบอนุโมทนาบัตร 10,000 บาทก็มี ครั้งหนึ่งอธิบดีกรมสรรพากร ยุคนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ถึงกับบ่นว่าโกงกันเยอะขึ้น กรมไม่รู้เลยจ่ายจริงหรือไม่จริง ตรวจไม่ได้ เป็นบาป ที่รู้เยอะเพราะมีคนมาบอก เอามาขาย และเห็นขายกันในท้องตลาด บาปซ้ำสองเลย แม้ที่ผ่านมาพยายามกระตุ้นให้บริจาคผ่านอิเล็กทรอนิกส์ แต่ยังพบว่าวัดจำนวนมากยังไม่เข้าระบบ

    มาถึงยุคนายปิ่นสาย สุรัสวดี ตัดสินใจร่อนหนังสือด่วนที่สุด ถึงผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้วัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาทุกวัด ไปเข้าระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) พร้อมปรับปรุงกฎหมายกำหนดให้การบริจาคให้แก่วัดวาอาราม มูลนิธิ สมาคม กองทุน และองค์การต่างๆ ซึ่งผู้บริจาคได้รับสิทธิหักลดหย่อนเงินบริจาค หรือหักรายจ่ายการบริจาค ต้องใช้ระบบ e-Donation ของกรมสรรพากรเท่านั้น มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2569 เป็นต้นไป เท่ากับว่าใบอนุโมทนาบัตรได้แต่บุญ แต่ลดหย่อนภาษีไม่ได้แล้ว ผู้มีจิตศรัทธาต้องสแกนจ่ายผ่านแอปพลิเคชันธนาคาร และยินยอมส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรเท่านั้น ข้อมูลการบริจาคจะอยู่ในระบบ D-MyTax ของกรมสรรพากร ดึงไปใช้ยื่นแบบภาษีได้ทันที

    ข้อมูลจากกรมสรรพากร พบว่ามีศาสนสถานที่เข้าร่วมระบบ e-Donation รวม 39,299 แห่ง มีธนาคารพาณิชย์และธนาคารของรัฐให้บริการ e-Donation 11 แห่ง ขณะนี้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ได้อำนวยความสะดวกแก่วัดในการลงทะเบียน และประสานธนาคารในพื้นที่เพื่อขอ QR Code หรือ Bar Code รับบริจาคผ่านธนาคารต่อไป

    #Newskit
    พุทธังสแกนจ่ายแก้ทุจริต ดึงวัดเข้าระบบ e-Donation ข่าวอื้อฉาววงการสงฆ์ ไล่ตั้งแต่สมีแย้มวัดไร่ขิง ต่อด้วยผู้หญิงสิบบาป สีกากอล์ฟกับพระชั้นผู้ใหญ่เย่อกันคาผ้าเหลืองทั่วไทย เคสล่าสุดอย่างเจ้าคุณอลงกตแห่งวัดพระบาทน้ำพุ มีทั้งข่าวนำเงินวัดไปให้สีกา นำเงินวัดไปใช้ในทางที่ผิด และพระภิกษุสงฆ์เข้าสู่การพนันออนไลน์ สะเทือนใจพุทธศาสนิกชน ยิ่งสาวลึกยิ่งหวั่นไหวกับผลประโยชน์มหาศาล โดยเฉพาะตู้รับบริจาคที่รับเงินสดๆ ทั้งเหรียญและธนบัตร พุทธังเอากะตังใส่ตู้ ธัมมังเอากะตังใส่ตู้ สังฆังเอากะตังใส่ตู้ เอาแค่กรณีสมีแย้มกับวัดไร่ขิง เคยมีตู้บริจาคมากถึง 200 ตู้ รายได้เฉลี่ย 5 หมื่นถึง 1 แสนบาท ยิ่งช่วงเทศกาลหรืองานวัด รายได้วันละมากกว่า 1 ล้านบาท ส่งเงินสดแผนกการเงินของวัดทุกวัน แต่การเงินวัดติดลบเพราะทุจริต เรื่องแดงถึงขั้นติดคุก ตำนานวัดกับการทุจริตที่พบเห็นได้บ่อย หนึ่งในนั้นคือใบอนุโมทนาบัตร ที่ใช้ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 10% ข่าวฉาวในอดีตพบว่ามีการขายใบอนุโมทนาบัตรในท้องตลาด บางคนใช้วิธีบริจาคให้วัด 100 บาท แต่ขอให้พระเขียนใบอนุโมทนาบัตร 10,000 บาทก็มี ครั้งหนึ่งอธิบดีกรมสรรพากร ยุคนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ถึงกับบ่นว่าโกงกันเยอะขึ้น กรมไม่รู้เลยจ่ายจริงหรือไม่จริง ตรวจไม่ได้ เป็นบาป ที่รู้เยอะเพราะมีคนมาบอก เอามาขาย และเห็นขายกันในท้องตลาด บาปซ้ำสองเลย แม้ที่ผ่านมาพยายามกระตุ้นให้บริจาคผ่านอิเล็กทรอนิกส์ แต่ยังพบว่าวัดจำนวนมากยังไม่เข้าระบบ มาถึงยุคนายปิ่นสาย สุรัสวดี ตัดสินใจร่อนหนังสือด่วนที่สุด ถึงผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้วัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาทุกวัด ไปเข้าระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) พร้อมปรับปรุงกฎหมายกำหนดให้การบริจาคให้แก่วัดวาอาราม มูลนิธิ สมาคม กองทุน และองค์การต่างๆ ซึ่งผู้บริจาคได้รับสิทธิหักลดหย่อนเงินบริจาค หรือหักรายจ่ายการบริจาค ต้องใช้ระบบ e-Donation ของกรมสรรพากรเท่านั้น มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2569 เป็นต้นไป เท่ากับว่าใบอนุโมทนาบัตรได้แต่บุญ แต่ลดหย่อนภาษีไม่ได้แล้ว ผู้มีจิตศรัทธาต้องสแกนจ่ายผ่านแอปพลิเคชันธนาคาร และยินยอมส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรเท่านั้น ข้อมูลการบริจาคจะอยู่ในระบบ D-MyTax ของกรมสรรพากร ดึงไปใช้ยื่นแบบภาษีได้ทันที ข้อมูลจากกรมสรรพากร พบว่ามีศาสนสถานที่เข้าร่วมระบบ e-Donation รวม 39,299 แห่ง มีธนาคารพาณิชย์และธนาคารของรัฐให้บริการ e-Donation 11 แห่ง ขณะนี้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ได้อำนวยความสะดวกแก่วัดในการลงทะเบียน และประสานธนาคารในพื้นที่เพื่อขอ QR Code หรือ Bar Code รับบริจาคผ่านธนาคารต่อไป #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 217 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข้อถกเถียงอันน่าปวดหัวของคำว่า ขอม เขมร สยาม ไท ไต กับมุมมองความแตกต่างทางพันธุกรรม
    =================================================================
    ผมมักอ่านพบการโต้เถียงในเรื่องว่า ขอม เป็นใคร อยู่บ่อยๆ บ้างว่าคือ สยาม.. บ้างว่า คือ เขมร.. ทั้งที่ต่างก็เป็นชื่อสมมุติ มีความยืดหยุ่นมาก ชื่อส่วนใหญ่มักเป็นชื่อที่ผู้อื่นเรียก โดยมากมีความหมายไม่ดีมาก่อนและมีการเปลี่ยนผันไปตามกาลเวลา จึงอยากขออนุญาติเสนอความเห็นสักสองสตางค์ในมุมมองที่แตกต่างออกไป อาจจะยาวไปหน่อย ปกติมันควรใช้เวลาอธิบายสักสองชั่วโมง แต่ผมจะพยายามย่อให้สั้น
    .
    ผมคิดแบบเอาวิทยาศาสตร์เป็นตัวตั้ง ใช้ชีววิทยาพันธุกรรมเป็นแผนที่หลักในการสำรวจสิ่งต่างๆ ก็ด้วยเหตุผลว่า ดีเอ็นเอมนุษย์สามารถเชื่อมโยงมนุษย์ทั้งหมดเข้าด้วยกันได้ว่าใครสืบสายเลือดมาทางสาแหรกไหนหรือใครมีอายุเก่าใหม่กว่ากัน เพราะในดีเอ็นเอมี time stamp อยู่ในสิ่งที่เรียกว่า “genetic marker” ในมนุษย์ผู้ชายมียีนพ่อ Y chromosome DNA และยีนแม่ Mitochondreal DNA ปรากฏอยู่ในโครงสร้างของโปรตีนในเลือดเนื้อ.. ส่วนผู้หญิงมีแต่ยีนแม่ Mitochondrea DNA. ยีนพ่อและยีนแม่เหล่านี้มันไม่เคยหายไป มันอยู่ในตัวเราและสาวลึกไปสู่บรรพบุรุษต้นทางได้ ข้อมูลของความหนาแน่นของดีเอ็นเอประชากรโลกและ time stamp ที่บอกอายุของดีเอ็นเอ ก่อให้เกิดการคำนวณเส้นทางการอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์โบราณได้ ทีมวิจัยด้านพันธุกรรมศาสตร์ของสแตนฟอร์ดที่บุกเบิกโดยศาสตราจารย์ Luca Cavalli Sforza ทำการพลอตเส้นทางอพยพของมนุษย์จากฐานข้อมูลนี้. ดังนั้นสำหรับผม… ชื่อทุกชื่อเป็นเพียงสิ่งสมมุติ ภาษาพูดไม่ใช่สิ่งยืนยันทางพันธุกรรม.
    .
    แสนกว่าปีก่อนมนุษย์อพยพออกจากบริเวณที่เป็นซาฮารันโบราณในแอฟริกา ห้าหมื่นกว่าปีก่อน… มนุษย์กลุ่มแรกที่อพยพออกจากแอฟริกาใช้เส้นทางเลาะชายฝั่งทะเลและอพยพมาถึงเอเชียโบราณบริเวณที่เรียกว่าแผ่นดินซุนดา ซึ่งผืนดินเชื่อมถึงกันหมดทั้งอุษาคเนย์ ไม่มีทะเลบริเวณอ่าวไทย ยีนพ่อหรือมนุษย์ผู้ชายที่มาถึงก่อนเป็นพวก YDNA Haplogroup C และยีนแม่คือ Mitochondreal M และ B คนพวกนี้เคยถูกเรียกว่าอะไรหรือพูดภาษาอะไรมาก่อนไม่รู้ได้ นักวิชาการสมัยใหม่นิยามว่าภาษาซาฮารันโบราณหรือโปรโตซาฮารันอนุมานจากบริเวณถิ่นฐานในแอฟริกาโบราณที่พวกเขาจากมา ส่วนหนึ่งจากคลื่นอพยพของพวกเขากลายเป็นพวกที่เริ่มอารยะธรรมสินธุที่บริเวณฮารัปปา-โมฮันจดาโรเมื่ออพยพผ่านอินเดียโบราณ ซึ่งต่อมาพวกนี้กลายเป็นสาแหรกของกลุ่มดราวิเดียน ทมิฬ สิงหล… ส่วนหนึ่งพลัดข้ามไปสู่เกาะเซนทิเนียล นิโคบาร์ ในอันดามัน ถูกกักกั้นตัดขาดอยู่กลางทะเล รู้จักกันในชื่อพวกอันดามันนิส… ส่วนหนึ่งเข้าสู่เมนแลนด์ซุนดากลายเป็นพวกปาปวน แล้วข้ามไปแผ่นดินซาฮุลโบราณหรือออสเตรเลียปัจจุบันกลายเป็นพวกที่เรียกว่าอะบอริจินิสท์… ส่วนหนึ่งอพยพขึ้นเหนือ แล้วกลับเข้าสู่เอเชียตะวันออกทางตอนบนเคลื่อนย้อนมาทางตะวันตกกลายเป็นพวกมองโกล ส่วนหนึ่งข้ามไปบุกเบิกเกาะญี่ปุ่นกลายเป็นพวกไอนุ ส่วนหนึ่งขึ้นเหนือไปและข้ามทะเลแบริ่งไปทวีปอเมริกาโบราณกลายเป็นพวกอินุอิตที่พบในอะลาสก้า… ไม่ว่าพวกเขาทั้งหมดนี้จะมีหรือเคยมีชื่อชาติพันธุ์อะไร เคยพูดภาษาอะไรและในที่สุดพูดภาษาอะไร พวกเขาล้วนมีบรรพบุรุษร่วมกัน มาจากมดลูกของบรรพบุรุษสาแหรกเดียวกันทั้งสิ้น มนุษย์ผู้ชายทั้งหมดจากชาติพันธุ์ที่กล่าวไปนี้ทั้งหมด แครี่ Y Chromosome DNA Haplogroup C. และเมื่อลองพิจารณาดูปัจจุบันนี้ เฉพาะพวกไอนุอย่างเดียว วันนี้พูดภาษาญี่ปุ่นและสำมะโนประชากรระบุว่าเป็นคนญี่ปุ่น จะเห็นว่าชื่อทางชาติพันธุ์หรือภาษาพูดไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าพวกเขาเป็นใคร (ไม่ต่างกับการพูดภาษาขอม ภาษาเขมร ภาษาไทย ก็ไม่ได้เป็นตัวชี้ว่าพวกเขาเป็นใครมาก่อนกันแน่)
    .
    สามหมื่นห้าพันกว่าปีก่อน คลื่นอพยพระลอกที่สองประกอบด้วยยีนพ่อคือ Y Chromosome Hg O ยีนแม่คือ Mt DNA Hg F และ D. อพยพมาตามเส้นทางโบราณสายอนาโตเลีย ยูเครน สู่เอเชียกลาง มาถึงบริเวณที่รู้จักกันในชื่อ Pamir Knot ซึ่งมีภูเขายักษ์สามลูกคือ ฮินดูกูช หิมาลัย และเทียนซานขวางหน้าพวกเขา อุปสรรคทางภูมิศาสตร์นี้บีบให้เส้นทางอพยพแตกออกเป็นสามทาง พวกหนึ่งขึ้นเหนือเลาะเทียนซานมุ่งสู่ไซบีเรียและอพยพข้ามแบริ่งไปทวีปอเมริกากลายเป็นพวกนาดิเนอินเดียนและอะมาไรด์อินเดียน… พวกหนึ่งผ่าที่ราบสูงทิเบตแล้วกระจายกันสู่บริเวณที่เป็นเสฉวน หยุนหนาน กวางสี ในปัจจุบัน กลายเป็นพวกชนเผ่าหิมาลายัน และชนเผ่ามากมายที่บันทึกจีนเรียกเยว่ร้อยเผ่า ในบรรดาพวกนี้ ผลการสำรวจดีเอ็นเอในประเทศจีนตอนใต้โดยศาสตราจารย์จินลีของประเทศจีน ปรากฏว่าไม่มีใครมียีนเก่าไปกว่าพวกข่าว้าและพวกผู้ยีซึ่งเป็นชนเผ่าหนึ่งในตระกูลจ้วงเหนือ… พวกสุดท้ายกลุ่มที่สาม อพยพเลาะเทือกตะนาวศรีเข้าสู่ซุนดาโบราณ ลงมาปะทะสังสรรค์และผสานกับพวกอพยพคลื่นลูกแรกที่มาถึงก่อน ในบรรดาพวกนี้ทั้งหมด จากฐานข้อมูลดีเอ็นเอปัจุบันไม่มีใครมียีนเก่าไปกว่าพวกโอรังอัสลิ (นักวิชาการรุ่นใหม่เรียกว่า aslian) โดยเฉพาะกลุ่มที่อาศัยในซาบาห์ บอร์เนียว ที่สำคัญไปกว่านั้น แม่พันธุ์ของพวกอพยพระลอกแรก คือ mt DNA B และ M เลือกพวกผู้ชายอัสเลียนเป็นพ่อพันธุ์ด้วนเหตุผลใดไม่ทราบ ทำให้ยีนพ่อเดิมของพวกคลื่นอพยพแรกคือพวก Y DNA Hg C ถูกเบียดผลักให้ออกจากเมนแลนด์ไปสู่เกาะแก่งโดยรอบ... ด้วยการที่ตระกูลนี้มีแม่พันธ์ุใหญ่ถึงสี่สาแหรก คือ mt DNA hg B / M / D / F ทำให้ยีนพ่อ Y DNA hg O กลายเป็นสาแหรกที่ใหญ่ที่สุดและมีลูกหลานยึดครองแผ่นดินเอเชียที่มีปริมาณประชากรมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของประชากรเอเชียทั้งหมดจนถึงปัจจุบัน
    .
    ปัจจัยสำคัญเกิดขึ้นเมื่อเกือบหมื่นปีที่แล้ว สิ้นสุดยุคน้ำแข็ง น้ำแข็งละลายและระดับน้ำสูงขึ้นจนท่วมแผ่นดินซุนดาโบราณสามครั้ง รวมแล้วประมาณ 120 เมตร ทำให้แผ่นดินซุนดาหายไปกว่าครึ่ง และทำให้เอเชียมีรูปร่างอย่างที่เห็นทุกวันนี้ ผลจากน้ำท่วมโลกนี้ ทำให้ประชากรอัสเลียนโบราณ Y DNA O ในตอนล่างของคาบสมุทร อพยพหนีขึ้นเหนือไปรวมกับพวก Y DNA O ที่อยู่ทางตอนเหนือ บางส่วนอพยพหนีไปสู่เกาะต่างๆ โดยรอบ เกิดปรากฏการณ์ของ cultural transmission ที่หลากหลายและน่าทึ่ง
    .
    ทั้งหมดนี้คือวิทยาศาสตร์ที่บอกว่าเราเป็นใคร คนอุษาคเนย์ที่อยู่บนคาบสมุทรตอนล่างไม่ว่าจะถูกเรียกด้วยชื่ออะไร พูดภาษาอะไร พวกเขาล้วนมาจากพวกอัสเลียนอย่างเช่น เซมังซาไก มานิ โอรังลาโว้ย ดยัค อิฟูเกา บอนทอค…ฯลฯ ไม่ว่าต่อมาลูกหลานของพวกเขาจะกลายเป็นเซนอย เป็นข่า เป็นมอญ เป็นขอม เป็นละโว้ เป็นสยาม เป็นอโยธยา เป็นทวารวดี เป็นศรีโพธิ์ เป็นเขมรพระนคร…ฯลฯ. ชื่ออะไรก็ตามแต่... ผู้ชายของชื่อสมมุติพวกนี้ทั้งหมดล้วนมาจาก 'aslian' และบางกลุ่มยังมียีนแม่เป็นอะบอริจินิสท์ พวกเขาล้วนมีโครงสร้างทางโปรตีนในดีเอ็นเหมือนกันกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ ต่างกันเพียงมิวเทชั่นเล็กน้อย ดังนั้น fact ง่ายๆ สำหรับผมพวกเขาคือ Y Chromosome DNA Haplogroup O . สาแหรกวงศ์ตระกูลทีใหญ่ที่สุดในโลก
    .
    คนมอญ คนสยาม คนเขมร ไม่ว่าเก่าใหม่ มีชื่อเรียกว่าอะไร เคยมีชื่อเรียกว่าอะไร.. มนุษย์ผู้ชาย 'ส่วนใหญ่' แชร์ยีนพ่อ sub clan จาก Y DNA hg O2 คนพื้นถิ่นพวกนี้ที่เป็นประชากรทั่วไป โดยธรรมชาติจะแทบไม่เคลื่อนย้ายไปไหน ถ้าไม่มีภัยพิบัติคุกคาม โรคระบาด หรือถูกกวาดต้อนย้ายไปเพราะมีสงคราม… เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคนเขมรพระนครยุคโบราณพากันย้ายไปไหนบ้าง เพราะเมืองนครวัดประสบปัญหาเรื่องชลประทาน สุขาภิบาลและสุขอนามัย ในที่สุดมันล่มสลายและถูกทิ้งให้ร้างอยู่ในป่า จนแม้แต่คนเขมรส่วนใหญ่ในยุคอาณานิคมก็ไม่รู้ว่ามีนครโบราณอยู่ตรงนั้นตอนที่พวกทีมสำรวจของฝรั่งเศสไปพบเข้า เป็นไปได้ว่ายังอาจมีเชื้อพันธุ์จากประชากรโบราณบางส่วนยังคงอยู่ในบริเวณนั้นบ้าง แต่ไม่ได้แปลว่าคนกัมพูชาปัจจุบันสืบสายมาจากประชากรเมืองพระนคร
    .
    ลองคิดดูว่า สมมุติว่าหลังพระนครล่มสลาย ถ้าพวกเขาส่วนหนึ่งย้ายถิ่นฐานมาอยู่แถบลุ่มน้ำเจ้าพระยาส่วนหนึ่ง ในขณะที่บางส่วนที่อาจยังคงอยู่ในบริเวณโตนเลสาปส่วนหนึ่ง หากวันนี้มีการนำลูกหลานของทั้งสองพวกนี้มาตรวจดีเอ็นเอ ก็จะไม่แปลกใจเลยเมื่อพบว่าพวกเขาส่วนใหญ่มียีน O2 เหมือนกัน แต่พวกหนึ่งพูดไทย พวกหนึ่งพูดกัมพูชา ทั้งที่เมื่อสาวย้อนไปไกลขึ้นอีกล้วนมีรากลึกที่สุดมาจากอัสเลียนและพูดภาษาอัสเลียนมาก่อนทั้งคู่ วิทยาศาสตร์จะบอกอย่างตรงไปตรงมาอย่างนี้โดยไม่สนความสมมุติทั้งหลาย.. หากเป็นเช่นนี้ คำพูดที่ว่า ขอมพระนครคือสยาม และขอมพระนครคือเขมร ก็จะถูกต้องทั้งสองแง่
    .
    ถ้าเราลองมองดูเฉพาะ อยุธยา ที่จีนเรียกว่า "เสียน-หลอ" เพราะเป็นการรวมกันของสุโขทัยและละโว้ในความคิดจีน พวกสุโขทัยหรือที่จีนเรียก 'เสียน' อาศัยอยู่ทางเหนือ พวกนี้ก็เป็น Y DNA hg O เช่นกัน จัดเป็นกลุ่มเยว่ พูดภาษาจ้วงไต... ขณะที่พวกละโว้อโยธยาที่จีนเรียกหลอหู่ อาศัยอยู่ตอนกลางคาบสมุทรแถบลุ่มน้ำเจ้าพระยา พวกนี้ก็เป็น Y DNA hg O เช่นกันอีก จัดเป็นสาแหรกอัสเลียนที่ไม่ต่างกับพวกอื่นที่อยู่ในคาบสมุทรมาเลย์ และพวกมอญ-เขมร. จะด้วยสาเหตุใดก็ตามที่พวกนี้ได้ปกครองเหนือชนพื้นเมืองหลายพงศ์เผ่า จะเป็นเพราะพวกเยว่รูปหล่อผิวขาวร่ำรวยกว่าหรืออย่างไรก็ไม่อาจทราบ คนพวกนี้ได้เป็นชนชั้นปกครองและเป็นผลให้ภาษาสกุลจ้วงไทกลายเป็นภาษากลางของหลอหู่ ทั้งที่คนพื้นเมืองหลายกลุ่มปะปนมีทั้งพูดอัสเลียนมาก่อน พูดขอมมาก่อน พูดข่ามาก่อน พูดมอญมาก่อน และประชากรชาวบ้านพวกนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้ย้ายไปไหน ชื่อเมืองอาจเปลี่ยน ชื่อคนอาจเปลี่ยน ชื่ออาณาจักรอาจเปลี่ยน ภาษาอาจเปลี่ยน แต่สาแหรกพันธุกรรมและความเชื่อมโยงกลับไม่เปลี่ยน ที่อัศจรรย์กว่านั้นคือ พวกที่อยู่ไกลกันมากอย่างเช่นพวกนากาในอัสสัม พวกอดิในอรุณาจัลประเทศ พวกดยัคในบอร์เนียว พวกบอนทอคในฟิลิปปินส์ พวกอตายาลในฟอร์โมซา พวกข่าว้าในหยุนหนานมีความเชื่อมโยงทางดีเอ็นเอใกล้ชิดกันมากอย่างน่าแปลกใจ แน่นอนผู้ชายของพวกเขาล้วนมียีน Y DNA hg O
    .
    เคสที่น่าสนใจ เคสนึงที่จะทำให้เห็นภาพปัจจัยทางสังคมศาสตร์มากขึ้นคือกรณีของพระนางจามเทวี พระนางไม่ได้เป็นเจ้านางของชนเผ่าไฮโซที่ไหน แต่เป็นผู้หญิงระดับสูงของพวกลั๊วะ และแน่ๆ คือเป็นนักรบด้วยเพราะนางพุ่งหอกชนะนักรบลั๊วะผู้ชายคนนึงที่หมายปองนาง แต่นางไปเลือกแต่งกับเจ้าชายจากเมืองเหนือแทน นักรบผู้นั้นก็เลยไปท้านางแข่งพุ่งหอกเดิมพันแต่งงานกันแต่ไม่อาจเอาชนะนางได้ การดองกันนี้ของเจ้าหญิงเผ่าลั๊วะกับเจ้านายหริภุญไชยเป็นการเมืองที่ทำให้คนเมืองเหนือที่พูดไทปกครองชนเผ่าเชื้อสายอัสเลียนที่พูดออสโตรเอเชียติคได้ ผ่านกาลเวลายาวนาน อัสเลียนกับไทดองกันเป็นประชากรชาติเดียวกันและพูดภาษาเดียวกัน ยาวมาจนทุกวันนี้
    .
    สำหรับผม การเอาข้อมูลเหล่านี้เป็นแผนที่วิจัย จะเห็นความเชื่อมโยงในอีกแง่มุมที่เราไม่เคยคิดมาก่อน ผมทำอย่างนี้ในเกือบทุกเรื่องที่ผมค้นคว้า และเมื่อใช้มันประกบเข้ากับสาขาความรู้อื่น เช่น ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ภาษาศาสตร์ นิรุกติศาสตร์ ธรณีวิทยา ศิลปะวัฒนธรรม หรือแม้แต่ปรัมปราคติ ถ้ามันเข้ากันได้ทั้งหมดโดยไม่มีข้อขัดแย้งซึ่งกันและกัน ในความเห็นผม มันน่าจะเป็นประวัติศาสตร์ที่มั่นคงที่สุด
    .
    เมื่อพิจารณาอย่างนี้ แนวคิดหนึ่งที่ถูกนำเสนอและดูจะมีน้ำหนักสุด คือแนวคิดที่เห็นว่า ขอม เป็นชื่อที่คนพื้นเมืองทางเหนือเรียกคนพื้นเมืองทางใต้ ประชากรพวกนี้บ้างอาจเคยเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นโบราณสักแคว้นหนึ่งหรือหลายแคว้น อาจปะปน เคลื่อนย้ายถ่ายเทไปมา บางพวกอาจเคยเป็นส่วนหนึ่งของฟูนัน อาจเป็นส่วนหนึ่งของมอญทวารวดี อาจเป็นส่วนหนึ่งของเขมรพระนคร เป็นส่วนหนึ่งของละโว้ เป็นส่วนหนึ่งอโยธยา เป็นส่วนหนึ่งของจาม.... แต่ความสมมุตินี้ได้จบสิ้นไปแล้วหลายร้อยปี ไม่ควรเอามาเป็นตัวชี้วัดปัจจุบัน ความเป็นจริงแท้เดียวที่ไม่เปลี่ยนแปรไป แม้ความสมมุติเหล่านั้นจะสิ้นสลายไปแล้วก็คือ ทั้งอุษาคเนย์ล้วนมียีนพ่อเดียวกันกว่า 70 เปอร์เซ็นต์คือ Y Chromosome DNA Haplogroup O เป็นสายพันธ์ุตระกูลใหญ่ที่มีรากมาจากหิมาลายัน ไป่เยว่และอัสเลียน และยังมีแม่จากต่างสาแหรกร่วมกับพวกดราวิเดียน อะบอริจินิสท์ ไอนุ โพลินิเชียน มองโกล และอินุอิต ถ้ายอมรับความจริงข้อนี้ ความขัดแย้งน่าจะยุติลง
    .
    อยากรู้ว่าประชากรเขมร หรือประชากรสยามคนไหนเคยเป็นส่วนหนึ่งของประชากรที่อาศัยในพื้นที่ใด มีความเก่าแก่แค่ไหนในตัวเขา และเขามาจากสาแหรกไหน เก่าแก่มากน้อยเพียงใด... ไม่ยาก สามารถอ่านได้จากรหัสมิวเทชั่นในพันธุกรรมของพวกเขา ที่ซึ่งจากฐานข้อมูลที่มีการรวบรวมอยู่ตลอดเวลาที่ผ่านมากว่าสามสิบปี อย่างเช่นของ familytreedna.org เราจะสามารถระบุความหนาแน่นของดีเอ็นเอในกลุ่มประชากรแต่ละพื้นที่ได้ ถ้าดีเอ็นเอของใครที่มาจากมิวเทชั่นของสาแหรกเก่าแก่นับพันปี (อย่างที่บอก ดีเอ็นเอมี time stamp) และพบหนาแน่นอยู่ในบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาไปจนจรดแถบตะวันออกของกัมพูชาเวียตนามปัจจุบัน และพบว่าไม่เคยย้ายถิ่นฐานไปไกลจากพื้นที่แถบนั้นเลยมาหลายชั่วคนเกินกว่าสองสามร้อยปีมาแล้ว ก็เป็นไปได้ว่าบรรพบุรุษพวกเขาอาจอยู่ในเขมรพระนครมาก่อน
    .
    เอา fact นี้เป็นตัวตั้ง แล้วเอาประวัติศาสตร์วางทาบลงไป
    =========================================================
    ข้อถกเถียงอันน่าปวดหัวของคำว่า ขอม เขมร สยาม ไท ไต กับมุมมองความแตกต่างทางพันธุกรรม ================================================================= ผมมักอ่านพบการโต้เถียงในเรื่องว่า ขอม เป็นใคร อยู่บ่อยๆ บ้างว่าคือ สยาม.. บ้างว่า คือ เขมร.. ทั้งที่ต่างก็เป็นชื่อสมมุติ มีความยืดหยุ่นมาก ชื่อส่วนใหญ่มักเป็นชื่อที่ผู้อื่นเรียก โดยมากมีความหมายไม่ดีมาก่อนและมีการเปลี่ยนผันไปตามกาลเวลา จึงอยากขออนุญาติเสนอความเห็นสักสองสตางค์ในมุมมองที่แตกต่างออกไป อาจจะยาวไปหน่อย ปกติมันควรใช้เวลาอธิบายสักสองชั่วโมง แต่ผมจะพยายามย่อให้สั้น . ผมคิดแบบเอาวิทยาศาสตร์เป็นตัวตั้ง ใช้ชีววิทยาพันธุกรรมเป็นแผนที่หลักในการสำรวจสิ่งต่างๆ ก็ด้วยเหตุผลว่า ดีเอ็นเอมนุษย์สามารถเชื่อมโยงมนุษย์ทั้งหมดเข้าด้วยกันได้ว่าใครสืบสายเลือดมาทางสาแหรกไหนหรือใครมีอายุเก่าใหม่กว่ากัน เพราะในดีเอ็นเอมี time stamp อยู่ในสิ่งที่เรียกว่า “genetic marker” ในมนุษย์ผู้ชายมียีนพ่อ Y chromosome DNA และยีนแม่ Mitochondreal DNA ปรากฏอยู่ในโครงสร้างของโปรตีนในเลือดเนื้อ.. ส่วนผู้หญิงมีแต่ยีนแม่ Mitochondrea DNA. ยีนพ่อและยีนแม่เหล่านี้มันไม่เคยหายไป มันอยู่ในตัวเราและสาวลึกไปสู่บรรพบุรุษต้นทางได้ ข้อมูลของความหนาแน่นของดีเอ็นเอประชากรโลกและ time stamp ที่บอกอายุของดีเอ็นเอ ก่อให้เกิดการคำนวณเส้นทางการอพยพย้ายถิ่นของมนุษย์โบราณได้ ทีมวิจัยด้านพันธุกรรมศาสตร์ของสแตนฟอร์ดที่บุกเบิกโดยศาสตราจารย์ Luca Cavalli Sforza ทำการพลอตเส้นทางอพยพของมนุษย์จากฐานข้อมูลนี้. ดังนั้นสำหรับผม… ชื่อทุกชื่อเป็นเพียงสิ่งสมมุติ ภาษาพูดไม่ใช่สิ่งยืนยันทางพันธุกรรม. . แสนกว่าปีก่อนมนุษย์อพยพออกจากบริเวณที่เป็นซาฮารันโบราณในแอฟริกา ห้าหมื่นกว่าปีก่อน… มนุษย์กลุ่มแรกที่อพยพออกจากแอฟริกาใช้เส้นทางเลาะชายฝั่งทะเลและอพยพมาถึงเอเชียโบราณบริเวณที่เรียกว่าแผ่นดินซุนดา ซึ่งผืนดินเชื่อมถึงกันหมดทั้งอุษาคเนย์ ไม่มีทะเลบริเวณอ่าวไทย ยีนพ่อหรือมนุษย์ผู้ชายที่มาถึงก่อนเป็นพวก YDNA Haplogroup C และยีนแม่คือ Mitochondreal M และ B คนพวกนี้เคยถูกเรียกว่าอะไรหรือพูดภาษาอะไรมาก่อนไม่รู้ได้ นักวิชาการสมัยใหม่นิยามว่าภาษาซาฮารันโบราณหรือโปรโตซาฮารันอนุมานจากบริเวณถิ่นฐานในแอฟริกาโบราณที่พวกเขาจากมา ส่วนหนึ่งจากคลื่นอพยพของพวกเขากลายเป็นพวกที่เริ่มอารยะธรรมสินธุที่บริเวณฮารัปปา-โมฮันจดาโรเมื่ออพยพผ่านอินเดียโบราณ ซึ่งต่อมาพวกนี้กลายเป็นสาแหรกของกลุ่มดราวิเดียน ทมิฬ สิงหล… ส่วนหนึ่งพลัดข้ามไปสู่เกาะเซนทิเนียล นิโคบาร์ ในอันดามัน ถูกกักกั้นตัดขาดอยู่กลางทะเล รู้จักกันในชื่อพวกอันดามันนิส… ส่วนหนึ่งเข้าสู่เมนแลนด์ซุนดากลายเป็นพวกปาปวน แล้วข้ามไปแผ่นดินซาฮุลโบราณหรือออสเตรเลียปัจจุบันกลายเป็นพวกที่เรียกว่าอะบอริจินิสท์… ส่วนหนึ่งอพยพขึ้นเหนือ แล้วกลับเข้าสู่เอเชียตะวันออกทางตอนบนเคลื่อนย้อนมาทางตะวันตกกลายเป็นพวกมองโกล ส่วนหนึ่งข้ามไปบุกเบิกเกาะญี่ปุ่นกลายเป็นพวกไอนุ ส่วนหนึ่งขึ้นเหนือไปและข้ามทะเลแบริ่งไปทวีปอเมริกาโบราณกลายเป็นพวกอินุอิตที่พบในอะลาสก้า… ไม่ว่าพวกเขาทั้งหมดนี้จะมีหรือเคยมีชื่อชาติพันธุ์อะไร เคยพูดภาษาอะไรและในที่สุดพูดภาษาอะไร พวกเขาล้วนมีบรรพบุรุษร่วมกัน มาจากมดลูกของบรรพบุรุษสาแหรกเดียวกันทั้งสิ้น มนุษย์ผู้ชายทั้งหมดจากชาติพันธุ์ที่กล่าวไปนี้ทั้งหมด แครี่ Y Chromosome DNA Haplogroup C. และเมื่อลองพิจารณาดูปัจจุบันนี้ เฉพาะพวกไอนุอย่างเดียว วันนี้พูดภาษาญี่ปุ่นและสำมะโนประชากรระบุว่าเป็นคนญี่ปุ่น จะเห็นว่าชื่อทางชาติพันธุ์หรือภาษาพูดไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าพวกเขาเป็นใคร (ไม่ต่างกับการพูดภาษาขอม ภาษาเขมร ภาษาไทย ก็ไม่ได้เป็นตัวชี้ว่าพวกเขาเป็นใครมาก่อนกันแน่) . สามหมื่นห้าพันกว่าปีก่อน คลื่นอพยพระลอกที่สองประกอบด้วยยีนพ่อคือ Y Chromosome Hg O ยีนแม่คือ Mt DNA Hg F และ D. อพยพมาตามเส้นทางโบราณสายอนาโตเลีย ยูเครน สู่เอเชียกลาง มาถึงบริเวณที่รู้จักกันในชื่อ Pamir Knot ซึ่งมีภูเขายักษ์สามลูกคือ ฮินดูกูช หิมาลัย และเทียนซานขวางหน้าพวกเขา อุปสรรคทางภูมิศาสตร์นี้บีบให้เส้นทางอพยพแตกออกเป็นสามทาง พวกหนึ่งขึ้นเหนือเลาะเทียนซานมุ่งสู่ไซบีเรียและอพยพข้ามแบริ่งไปทวีปอเมริกากลายเป็นพวกนาดิเนอินเดียนและอะมาไรด์อินเดียน… พวกหนึ่งผ่าที่ราบสูงทิเบตแล้วกระจายกันสู่บริเวณที่เป็นเสฉวน หยุนหนาน กวางสี ในปัจจุบัน กลายเป็นพวกชนเผ่าหิมาลายัน และชนเผ่ามากมายที่บันทึกจีนเรียกเยว่ร้อยเผ่า ในบรรดาพวกนี้ ผลการสำรวจดีเอ็นเอในประเทศจีนตอนใต้โดยศาสตราจารย์จินลีของประเทศจีน ปรากฏว่าไม่มีใครมียีนเก่าไปกว่าพวกข่าว้าและพวกผู้ยีซึ่งเป็นชนเผ่าหนึ่งในตระกูลจ้วงเหนือ… พวกสุดท้ายกลุ่มที่สาม อพยพเลาะเทือกตะนาวศรีเข้าสู่ซุนดาโบราณ ลงมาปะทะสังสรรค์และผสานกับพวกอพยพคลื่นลูกแรกที่มาถึงก่อน ในบรรดาพวกนี้ทั้งหมด จากฐานข้อมูลดีเอ็นเอปัจุบันไม่มีใครมียีนเก่าไปกว่าพวกโอรังอัสลิ (นักวิชาการรุ่นใหม่เรียกว่า aslian) โดยเฉพาะกลุ่มที่อาศัยในซาบาห์ บอร์เนียว ที่สำคัญไปกว่านั้น แม่พันธุ์ของพวกอพยพระลอกแรก คือ mt DNA B และ M เลือกพวกผู้ชายอัสเลียนเป็นพ่อพันธุ์ด้วนเหตุผลใดไม่ทราบ ทำให้ยีนพ่อเดิมของพวกคลื่นอพยพแรกคือพวก Y DNA Hg C ถูกเบียดผลักให้ออกจากเมนแลนด์ไปสู่เกาะแก่งโดยรอบ... ด้วยการที่ตระกูลนี้มีแม่พันธ์ุใหญ่ถึงสี่สาแหรก คือ mt DNA hg B / M / D / F ทำให้ยีนพ่อ Y DNA hg O กลายเป็นสาแหรกที่ใหญ่ที่สุดและมีลูกหลานยึดครองแผ่นดินเอเชียที่มีปริมาณประชากรมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของประชากรเอเชียทั้งหมดจนถึงปัจจุบัน . ปัจจัยสำคัญเกิดขึ้นเมื่อเกือบหมื่นปีที่แล้ว สิ้นสุดยุคน้ำแข็ง น้ำแข็งละลายและระดับน้ำสูงขึ้นจนท่วมแผ่นดินซุนดาโบราณสามครั้ง รวมแล้วประมาณ 120 เมตร ทำให้แผ่นดินซุนดาหายไปกว่าครึ่ง และทำให้เอเชียมีรูปร่างอย่างที่เห็นทุกวันนี้ ผลจากน้ำท่วมโลกนี้ ทำให้ประชากรอัสเลียนโบราณ Y DNA O ในตอนล่างของคาบสมุทร อพยพหนีขึ้นเหนือไปรวมกับพวก Y DNA O ที่อยู่ทางตอนเหนือ บางส่วนอพยพหนีไปสู่เกาะต่างๆ โดยรอบ เกิดปรากฏการณ์ของ cultural transmission ที่หลากหลายและน่าทึ่ง . ทั้งหมดนี้คือวิทยาศาสตร์ที่บอกว่าเราเป็นใคร คนอุษาคเนย์ที่อยู่บนคาบสมุทรตอนล่างไม่ว่าจะถูกเรียกด้วยชื่ออะไร พูดภาษาอะไร พวกเขาล้วนมาจากพวกอัสเลียนอย่างเช่น เซมังซาไก มานิ โอรังลาโว้ย ดยัค อิฟูเกา บอนทอค…ฯลฯ ไม่ว่าต่อมาลูกหลานของพวกเขาจะกลายเป็นเซนอย เป็นข่า เป็นมอญ เป็นขอม เป็นละโว้ เป็นสยาม เป็นอโยธยา เป็นทวารวดี เป็นศรีโพธิ์ เป็นเขมรพระนคร…ฯลฯ. ชื่ออะไรก็ตามแต่... ผู้ชายของชื่อสมมุติพวกนี้ทั้งหมดล้วนมาจาก 'aslian' และบางกลุ่มยังมียีนแม่เป็นอะบอริจินิสท์ พวกเขาล้วนมีโครงสร้างทางโปรตีนในดีเอ็นเหมือนกันกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ ต่างกันเพียงมิวเทชั่นเล็กน้อย ดังนั้น fact ง่ายๆ สำหรับผมพวกเขาคือ Y Chromosome DNA Haplogroup O . สาแหรกวงศ์ตระกูลทีใหญ่ที่สุดในโลก . คนมอญ คนสยาม คนเขมร ไม่ว่าเก่าใหม่ มีชื่อเรียกว่าอะไร เคยมีชื่อเรียกว่าอะไร.. มนุษย์ผู้ชาย 'ส่วนใหญ่' แชร์ยีนพ่อ sub clan จาก Y DNA hg O2 คนพื้นถิ่นพวกนี้ที่เป็นประชากรทั่วไป โดยธรรมชาติจะแทบไม่เคลื่อนย้ายไปไหน ถ้าไม่มีภัยพิบัติคุกคาม โรคระบาด หรือถูกกวาดต้อนย้ายไปเพราะมีสงคราม… เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคนเขมรพระนครยุคโบราณพากันย้ายไปไหนบ้าง เพราะเมืองนครวัดประสบปัญหาเรื่องชลประทาน สุขาภิบาลและสุขอนามัย ในที่สุดมันล่มสลายและถูกทิ้งให้ร้างอยู่ในป่า จนแม้แต่คนเขมรส่วนใหญ่ในยุคอาณานิคมก็ไม่รู้ว่ามีนครโบราณอยู่ตรงนั้นตอนที่พวกทีมสำรวจของฝรั่งเศสไปพบเข้า เป็นไปได้ว่ายังอาจมีเชื้อพันธุ์จากประชากรโบราณบางส่วนยังคงอยู่ในบริเวณนั้นบ้าง แต่ไม่ได้แปลว่าคนกัมพูชาปัจจุบันสืบสายมาจากประชากรเมืองพระนคร . ลองคิดดูว่า สมมุติว่าหลังพระนครล่มสลาย ถ้าพวกเขาส่วนหนึ่งย้ายถิ่นฐานมาอยู่แถบลุ่มน้ำเจ้าพระยาส่วนหนึ่ง ในขณะที่บางส่วนที่อาจยังคงอยู่ในบริเวณโตนเลสาปส่วนหนึ่ง หากวันนี้มีการนำลูกหลานของทั้งสองพวกนี้มาตรวจดีเอ็นเอ ก็จะไม่แปลกใจเลยเมื่อพบว่าพวกเขาส่วนใหญ่มียีน O2 เหมือนกัน แต่พวกหนึ่งพูดไทย พวกหนึ่งพูดกัมพูชา ทั้งที่เมื่อสาวย้อนไปไกลขึ้นอีกล้วนมีรากลึกที่สุดมาจากอัสเลียนและพูดภาษาอัสเลียนมาก่อนทั้งคู่ วิทยาศาสตร์จะบอกอย่างตรงไปตรงมาอย่างนี้โดยไม่สนความสมมุติทั้งหลาย.. หากเป็นเช่นนี้ คำพูดที่ว่า ขอมพระนครคือสยาม และขอมพระนครคือเขมร ก็จะถูกต้องทั้งสองแง่ . ถ้าเราลองมองดูเฉพาะ อยุธยา ที่จีนเรียกว่า "เสียน-หลอ" เพราะเป็นการรวมกันของสุโขทัยและละโว้ในความคิดจีน พวกสุโขทัยหรือที่จีนเรียก 'เสียน' อาศัยอยู่ทางเหนือ พวกนี้ก็เป็น Y DNA hg O เช่นกัน จัดเป็นกลุ่มเยว่ พูดภาษาจ้วงไต... ขณะที่พวกละโว้อโยธยาที่จีนเรียกหลอหู่ อาศัยอยู่ตอนกลางคาบสมุทรแถบลุ่มน้ำเจ้าพระยา พวกนี้ก็เป็น Y DNA hg O เช่นกันอีก จัดเป็นสาแหรกอัสเลียนที่ไม่ต่างกับพวกอื่นที่อยู่ในคาบสมุทรมาเลย์ และพวกมอญ-เขมร. จะด้วยสาเหตุใดก็ตามที่พวกนี้ได้ปกครองเหนือชนพื้นเมืองหลายพงศ์เผ่า จะเป็นเพราะพวกเยว่รูปหล่อผิวขาวร่ำรวยกว่าหรืออย่างไรก็ไม่อาจทราบ คนพวกนี้ได้เป็นชนชั้นปกครองและเป็นผลให้ภาษาสกุลจ้วงไทกลายเป็นภาษากลางของหลอหู่ ทั้งที่คนพื้นเมืองหลายกลุ่มปะปนมีทั้งพูดอัสเลียนมาก่อน พูดขอมมาก่อน พูดข่ามาก่อน พูดมอญมาก่อน และประชากรชาวบ้านพวกนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้ย้ายไปไหน ชื่อเมืองอาจเปลี่ยน ชื่อคนอาจเปลี่ยน ชื่ออาณาจักรอาจเปลี่ยน ภาษาอาจเปลี่ยน แต่สาแหรกพันธุกรรมและความเชื่อมโยงกลับไม่เปลี่ยน ที่อัศจรรย์กว่านั้นคือ พวกที่อยู่ไกลกันมากอย่างเช่นพวกนากาในอัสสัม พวกอดิในอรุณาจัลประเทศ พวกดยัคในบอร์เนียว พวกบอนทอคในฟิลิปปินส์ พวกอตายาลในฟอร์โมซา พวกข่าว้าในหยุนหนานมีความเชื่อมโยงทางดีเอ็นเอใกล้ชิดกันมากอย่างน่าแปลกใจ แน่นอนผู้ชายของพวกเขาล้วนมียีน Y DNA hg O . เคสที่น่าสนใจ เคสนึงที่จะทำให้เห็นภาพปัจจัยทางสังคมศาสตร์มากขึ้นคือกรณีของพระนางจามเทวี พระนางไม่ได้เป็นเจ้านางของชนเผ่าไฮโซที่ไหน แต่เป็นผู้หญิงระดับสูงของพวกลั๊วะ และแน่ๆ คือเป็นนักรบด้วยเพราะนางพุ่งหอกชนะนักรบลั๊วะผู้ชายคนนึงที่หมายปองนาง แต่นางไปเลือกแต่งกับเจ้าชายจากเมืองเหนือแทน นักรบผู้นั้นก็เลยไปท้านางแข่งพุ่งหอกเดิมพันแต่งงานกันแต่ไม่อาจเอาชนะนางได้ การดองกันนี้ของเจ้าหญิงเผ่าลั๊วะกับเจ้านายหริภุญไชยเป็นการเมืองที่ทำให้คนเมืองเหนือที่พูดไทปกครองชนเผ่าเชื้อสายอัสเลียนที่พูดออสโตรเอเชียติคได้ ผ่านกาลเวลายาวนาน อัสเลียนกับไทดองกันเป็นประชากรชาติเดียวกันและพูดภาษาเดียวกัน ยาวมาจนทุกวันนี้ . สำหรับผม การเอาข้อมูลเหล่านี้เป็นแผนที่วิจัย จะเห็นความเชื่อมโยงในอีกแง่มุมที่เราไม่เคยคิดมาก่อน ผมทำอย่างนี้ในเกือบทุกเรื่องที่ผมค้นคว้า และเมื่อใช้มันประกบเข้ากับสาขาความรู้อื่น เช่น ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ภาษาศาสตร์ นิรุกติศาสตร์ ธรณีวิทยา ศิลปะวัฒนธรรม หรือแม้แต่ปรัมปราคติ ถ้ามันเข้ากันได้ทั้งหมดโดยไม่มีข้อขัดแย้งซึ่งกันและกัน ในความเห็นผม มันน่าจะเป็นประวัติศาสตร์ที่มั่นคงที่สุด . เมื่อพิจารณาอย่างนี้ แนวคิดหนึ่งที่ถูกนำเสนอและดูจะมีน้ำหนักสุด คือแนวคิดที่เห็นว่า ขอม เป็นชื่อที่คนพื้นเมืองทางเหนือเรียกคนพื้นเมืองทางใต้ ประชากรพวกนี้บ้างอาจเคยเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นโบราณสักแคว้นหนึ่งหรือหลายแคว้น อาจปะปน เคลื่อนย้ายถ่ายเทไปมา บางพวกอาจเคยเป็นส่วนหนึ่งของฟูนัน อาจเป็นส่วนหนึ่งของมอญทวารวดี อาจเป็นส่วนหนึ่งของเขมรพระนคร เป็นส่วนหนึ่งของละโว้ เป็นส่วนหนึ่งอโยธยา เป็นส่วนหนึ่งของจาม.... แต่ความสมมุตินี้ได้จบสิ้นไปแล้วหลายร้อยปี ไม่ควรเอามาเป็นตัวชี้วัดปัจจุบัน ความเป็นจริงแท้เดียวที่ไม่เปลี่ยนแปรไป แม้ความสมมุติเหล่านั้นจะสิ้นสลายไปแล้วก็คือ ทั้งอุษาคเนย์ล้วนมียีนพ่อเดียวกันกว่า 70 เปอร์เซ็นต์คือ Y Chromosome DNA Haplogroup O เป็นสายพันธ์ุตระกูลใหญ่ที่มีรากมาจากหิมาลายัน ไป่เยว่และอัสเลียน และยังมีแม่จากต่างสาแหรกร่วมกับพวกดราวิเดียน อะบอริจินิสท์ ไอนุ โพลินิเชียน มองโกล และอินุอิต ถ้ายอมรับความจริงข้อนี้ ความขัดแย้งน่าจะยุติลง . อยากรู้ว่าประชากรเขมร หรือประชากรสยามคนไหนเคยเป็นส่วนหนึ่งของประชากรที่อาศัยในพื้นที่ใด มีความเก่าแก่แค่ไหนในตัวเขา และเขามาจากสาแหรกไหน เก่าแก่มากน้อยเพียงใด... ไม่ยาก สามารถอ่านได้จากรหัสมิวเทชั่นในพันธุกรรมของพวกเขา ที่ซึ่งจากฐานข้อมูลที่มีการรวบรวมอยู่ตลอดเวลาที่ผ่านมากว่าสามสิบปี อย่างเช่นของ familytreedna.org เราจะสามารถระบุความหนาแน่นของดีเอ็นเอในกลุ่มประชากรแต่ละพื้นที่ได้ ถ้าดีเอ็นเอของใครที่มาจากมิวเทชั่นของสาแหรกเก่าแก่นับพันปี (อย่างที่บอก ดีเอ็นเอมี time stamp) และพบหนาแน่นอยู่ในบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาไปจนจรดแถบตะวันออกของกัมพูชาเวียตนามปัจจุบัน และพบว่าไม่เคยย้ายถิ่นฐานไปไกลจากพื้นที่แถบนั้นเลยมาหลายชั่วคนเกินกว่าสองสามร้อยปีมาแล้ว ก็เป็นไปได้ว่าบรรพบุรุษพวกเขาอาจอยู่ในเขมรพระนครมาก่อน . เอา fact นี้เป็นตัวตั้ง แล้วเอาประวัติศาสตร์วางทาบลงไป =========================================================
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 242 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ ”
    ตอนที่ 1 : อำนาจทำให้คนมีเสน่ห์ ! ? !
    “Control Oil and you control nations;
control food and you control the people”
    “ควบคุมน้ำมันได้ คุณก็ควบคุมชาติต่าง ๆ ได้
ควบคุมอาหารได้ คุณก็ควบคุมประชาชนได้”
    เป็นคำพูดของนาย Henry Kissinger เมื่อช่วง ค.ศ. 1970 พูดมาเกือบ 50 ปีแล้ว แต่ดูเหมือนทิศทางการเมืองระหว่างประเทศจะเป็นไปตามที่นาย Kissinger พูด
    เรื่องบังเอิญหรือล็อกเป้า!
    งั้นมาทำความรู้จักนาย Kissinger กันหน่อย จะได้รู้ว่าเป็นคนขี้โม้ หมอดู หรือคนในรู้จริง
    นาย Kissinger มีชื่อเต็มว่า Henry Alfred Kissinger ตอนเกิดใช้ชื่อว่า Heinz Alfred Kissinger เป็นคนเยอรมัน อเมริกัน เกิดเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1923 ตอนนี้ก็อายุปาเข้าไป 90 ปี นอกจากยังไม่ตายและยังปากเปราะเหมือนเดิม นาย Kissinger เป็นคนตัวเตี้ย และห่างไกลกับคำว่าเป็นคนหน้าตาดี เขาแต่งงานแล้ว 2 ครั้ง ครั้งที่ 2 แต่งกับนาง Nancy ผู้หญิงซึ่งตัวสูงกว่าเขาประมาณเกือบ 1 ฟุต เมื่อสมัยที่นาย Kissinger เรืองอำนาจ นาง Nancy เองซึ่งก็ไม่ใช่คนสวยอะไร จะมีรูปปรากฎอยู่ในนิตยสาร Vogue นานาชาติอยู่เสมอ นิตยสารนี้ นอกจากจะมีแต่รูปนางแบบระดับโลกแล้ว ผู้ที่จะได้มีภาพลงในหนังสือนี้ ก็จะต้องเป็นบุคคลที่สมัยนี้เรียกว่า Celeb คนดังว่างั้นเถอะ ตัวผัวก็ไม่หล่อ คนเป็นเมียก็ไม่สวย แต่ทั้งคู่ดังระเบิด แถมตัวผัวยังมีข่าวเสมอทางด้านส่วนตัวว่าเป็นชายเจ้าชู้ ไม่เร่ขายชาติ แต่ชอบทำลายชาติคนอื่นมากกว่า !
    เมื่อนักข่าวถามว่า ได้ข่าวว่าท่านเจ้าชู้ มีสาวควงเปลี่ยนหน้าบ่อยๆ ท่านทำได้อย่างไรนะ ในเมื่อ ขอโทษ ท่านก็ไม่ใช่คนหล่อ นาย Kissinger ตอบว่า “อำนาจก็ทำให้คนมีเสน่ห์ได้นะ” ฮา
    นาย Kissinger มีอำนาจอย่างไร ถึงทำให้สาวๆ ยอมให้ควงบ่อยๆ แต่จะถึงขนาดจัดส่งขึ้นเครื่องบินไปร่วมร้องเพลงแก้เหงา หรือเปล่ารายงานข่าวไม่ได้บอก
    นาย Kissinger เริ่มทำงานในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของประเทศ และต่อมาดำรงตำแหน่ง รมว.กระทรวงต่างประเทศ ในสมัยประธานาธิบดี Richard Nixon และเป็นต่อมาจนถึงสมัยประธานาธิบดี Gerald Ford พูดง่ายๆ เป็นคนสำคัญ ในการกำหนดทิศทางการเมืองของอเมริกาและแน่นอนของโลกด้วยในช่วงปี ค.ศ.1969 ถึง ค.ศ.1977
    ผลงานของนาย Kissinger ที่เด่นๆ ที่ประกาศอย่างเปิดเผยลงใน Google คือ การคลี่คลาย (detente) สงครามเย็นกับสหภาพโซเวียต การเริ่มสร้างสัมพันธ์กับจีน และเริ่มขบวนการเจรจาสันติภาพที่ปารีส ซึ่งเป็นผลให้ยุติสงครามเวียตนาม (ที่อเมริกาเป็นผู้ริเริ่มนั่นแหละ !) ผลงานนี้ ทำให้เขาได้รับรางวัล Nobel สาขาสันติภาพในปี ค.ศ.1973 คู่กับคู่กัด คือ นาย Le Duc Tho จากเวียตนามเหนือ แต่นาย Le Duc Tho ปฏิเสธที่จะรับรางวัล เขาเป็นคนเดียวในประวัติศาสตร์ ที่ปฏิเสธรางวัล Nobel (เยี่ยม !)
    เป็นการให้รางวัล Nobel สาขาสันติภาพ ที่ติดอันดับ 1 ใน 5 แห่งความอื้อฉาว และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ เนื่องจากสัญญาสันติภาพของจริงกว่าจะได้ลงนาม ในปี ค.ศ. 1975 แต่ผู้เจรจาได้รับรางวัลล่วงหน้า เหมือนล็อตเตอรี่ยังไม่ออก แต่ประกาศแล้วว่าใครถูกรางวัลที่ 1 (เอ้า ตบมือให้ลูกน้องนักเล่นกลกันหน่อย)
    แต่ผลงานของนาย Kissinger ที่ไม่ได้เปิดเผย แต่อยากเล่าให้ฟังคือ “National Security Study Memorandum 200” หรือที่เรียกชื่อย่อว่า NSSM 200 ซึ่งได้จัดทำขึ้น ภายใต้การกำกับและอำนวยการสร้างโดยนาย Kissinger เอง สำเร็จเป็นเอกสารหนาเกือบ 200 หน้า เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1974
    เอกสารนี้เกี่ยวกับอะไรลึกลับซับซ้อนอะไรหนักหนา ถึงขนาดตีตราครั่งว่าจะเปิดเผยได้ โดยคำสั่งของ White House เท่านั้น เก็บแอบซ่อนไว้ 15 ปี สภาความมั่นคงของอเมริกาก็เพิ่งเอามาเปิดให้อ่านกัน เมื่อ ปี ค.ศ. 1989

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ ” ตอนที่ 1 : อำนาจทำให้คนมีเสน่ห์ ! ? ! “Control Oil and you control nations;
control food and you control the people” “ควบคุมน้ำมันได้ คุณก็ควบคุมชาติต่าง ๆ ได้
ควบคุมอาหารได้ คุณก็ควบคุมประชาชนได้” เป็นคำพูดของนาย Henry Kissinger เมื่อช่วง ค.ศ. 1970 พูดมาเกือบ 50 ปีแล้ว แต่ดูเหมือนทิศทางการเมืองระหว่างประเทศจะเป็นไปตามที่นาย Kissinger พูด เรื่องบังเอิญหรือล็อกเป้า! งั้นมาทำความรู้จักนาย Kissinger กันหน่อย จะได้รู้ว่าเป็นคนขี้โม้ หมอดู หรือคนในรู้จริง นาย Kissinger มีชื่อเต็มว่า Henry Alfred Kissinger ตอนเกิดใช้ชื่อว่า Heinz Alfred Kissinger เป็นคนเยอรมัน อเมริกัน เกิดเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1923 ตอนนี้ก็อายุปาเข้าไป 90 ปี นอกจากยังไม่ตายและยังปากเปราะเหมือนเดิม นาย Kissinger เป็นคนตัวเตี้ย และห่างไกลกับคำว่าเป็นคนหน้าตาดี เขาแต่งงานแล้ว 2 ครั้ง ครั้งที่ 2 แต่งกับนาง Nancy ผู้หญิงซึ่งตัวสูงกว่าเขาประมาณเกือบ 1 ฟุต เมื่อสมัยที่นาย Kissinger เรืองอำนาจ นาง Nancy เองซึ่งก็ไม่ใช่คนสวยอะไร จะมีรูปปรากฎอยู่ในนิตยสาร Vogue นานาชาติอยู่เสมอ นิตยสารนี้ นอกจากจะมีแต่รูปนางแบบระดับโลกแล้ว ผู้ที่จะได้มีภาพลงในหนังสือนี้ ก็จะต้องเป็นบุคคลที่สมัยนี้เรียกว่า Celeb คนดังว่างั้นเถอะ ตัวผัวก็ไม่หล่อ คนเป็นเมียก็ไม่สวย แต่ทั้งคู่ดังระเบิด แถมตัวผัวยังมีข่าวเสมอทางด้านส่วนตัวว่าเป็นชายเจ้าชู้ ไม่เร่ขายชาติ แต่ชอบทำลายชาติคนอื่นมากกว่า ! เมื่อนักข่าวถามว่า ได้ข่าวว่าท่านเจ้าชู้ มีสาวควงเปลี่ยนหน้าบ่อยๆ ท่านทำได้อย่างไรนะ ในเมื่อ ขอโทษ ท่านก็ไม่ใช่คนหล่อ นาย Kissinger ตอบว่า “อำนาจก็ทำให้คนมีเสน่ห์ได้นะ” ฮา นาย Kissinger มีอำนาจอย่างไร ถึงทำให้สาวๆ ยอมให้ควงบ่อยๆ แต่จะถึงขนาดจัดส่งขึ้นเครื่องบินไปร่วมร้องเพลงแก้เหงา หรือเปล่ารายงานข่าวไม่ได้บอก นาย Kissinger เริ่มทำงานในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของประเทศ และต่อมาดำรงตำแหน่ง รมว.กระทรวงต่างประเทศ ในสมัยประธานาธิบดี Richard Nixon และเป็นต่อมาจนถึงสมัยประธานาธิบดี Gerald Ford พูดง่ายๆ เป็นคนสำคัญ ในการกำหนดทิศทางการเมืองของอเมริกาและแน่นอนของโลกด้วยในช่วงปี ค.ศ.1969 ถึง ค.ศ.1977 ผลงานของนาย Kissinger ที่เด่นๆ ที่ประกาศอย่างเปิดเผยลงใน Google คือ การคลี่คลาย (detente) สงครามเย็นกับสหภาพโซเวียต การเริ่มสร้างสัมพันธ์กับจีน และเริ่มขบวนการเจรจาสันติภาพที่ปารีส ซึ่งเป็นผลให้ยุติสงครามเวียตนาม (ที่อเมริกาเป็นผู้ริเริ่มนั่นแหละ !) ผลงานนี้ ทำให้เขาได้รับรางวัล Nobel สาขาสันติภาพในปี ค.ศ.1973 คู่กับคู่กัด คือ นาย Le Duc Tho จากเวียตนามเหนือ แต่นาย Le Duc Tho ปฏิเสธที่จะรับรางวัล เขาเป็นคนเดียวในประวัติศาสตร์ ที่ปฏิเสธรางวัล Nobel (เยี่ยม !) เป็นการให้รางวัล Nobel สาขาสันติภาพ ที่ติดอันดับ 1 ใน 5 แห่งความอื้อฉาว และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ เนื่องจากสัญญาสันติภาพของจริงกว่าจะได้ลงนาม ในปี ค.ศ. 1975 แต่ผู้เจรจาได้รับรางวัลล่วงหน้า เหมือนล็อตเตอรี่ยังไม่ออก แต่ประกาศแล้วว่าใครถูกรางวัลที่ 1 (เอ้า ตบมือให้ลูกน้องนักเล่นกลกันหน่อย) แต่ผลงานของนาย Kissinger ที่ไม่ได้เปิดเผย แต่อยากเล่าให้ฟังคือ “National Security Study Memorandum 200” หรือที่เรียกชื่อย่อว่า NSSM 200 ซึ่งได้จัดทำขึ้น ภายใต้การกำกับและอำนวยการสร้างโดยนาย Kissinger เอง สำเร็จเป็นเอกสารหนาเกือบ 200 หน้า เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1974 เอกสารนี้เกี่ยวกับอะไรลึกลับซับซ้อนอะไรหนักหนา ถึงขนาดตีตราครั่งว่าจะเปิดเผยได้ โดยคำสั่งของ White House เท่านั้น เก็บแอบซ่อนไว้ 15 ปี สภาความมั่นคงของอเมริกาก็เพิ่งเอามาเปิดให้อ่านกัน เมื่อ ปี ค.ศ. 1989 คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 251 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อ Meta แอบฟังข้อมูลสุขภาพผู้หญิงจากแอป Flo โดยไม่ได้รับอนุญาต

    เรื่องนี้เริ่มจากแอป Flo Health ซึ่งเป็นแอปติดตามรอบเดือนและสุขภาพการเจริญพันธุ์ของผู้หญิง ที่มีผู้ใช้งานกว่า 150 ล้านคนทั่วโลก แอปนี้เก็บข้อมูลส่วนตัวอย่างละเอียด เช่น วันมีประจำเดือน อารมณ์ ความสัมพันธ์ทางเพศ และเป้าหมายการตั้งครรภ์ โดยสัญญาว่าจะไม่แชร์ข้อมูลกับบุคคลที่สาม ยกเว้นเพื่อการให้บริการเท่านั้น

    แต่ระหว่างปี 2016–2019 ข้อมูลเหล่านี้ถูกแชร์กับบริษัทต่าง ๆ รวมถึง Meta (เจ้าของ Facebook), Google, AppsFlyer และ Flurry โดยใช้ SDK ที่ฝังอยู่ในแอป ซึ่งจะส่งข้อมูลทุกครั้งที่ผู้ใช้คลิกหรือใช้งานฟีเจอร์บางอย่าง เช่น “กำลังพยายามตั้งครรภ์” โดยไม่มีการควบคุมว่าบริษัทเหล่านี้จะนำข้อมูลไปใช้อย่างไร

    คดีนี้เริ่มต้นจากการฟ้องร้องแบบกลุ่มในปี 2021 โดยมีผู้หญิงกว่า 3.7 ล้านคนในสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบ ล่าสุดในเดือนสิงหาคม 2025 คณะลูกขุนตัดสินว่า Meta ละเมิดกฎหมายความเป็นส่วนตัวของรัฐแคลิฟอร์เนีย โดย “แอบฟังและบันทึกข้อมูล” โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้

    แม้ Flo, Google และ Flurry จะยอมความไปก่อนหน้านี้ แต่ Meta สู้คดีจนถึงที่สุด และแพ้ในที่สุด คดีนี้จึงกลายเป็นหมุดหมายสำคัญของการปกป้องข้อมูลสุขภาพดิจิทัล โดยเฉพาะในยุคที่สิทธิการทำแท้งในสหรัฐฯ ถูกจำกัดอย่างหนัก

    Meta ถูกตัดสินว่าละเมิดกฎหมายความเป็นส่วนตัวของรัฐแคลิฟอร์เนีย
    โดยแอบฟังและบันทึกข้อมูลจากแอป Flo โดยไม่ได้รับความยินยอม

    Flo Health แชร์ข้อมูลสุขภาพผู้หญิงกับ Meta, Google และบริษัทอื่น
    ข้อมูลรวมถึงรอบเดือน ความสัมพันธ์ทางเพศ และเป้าหมายการตั้งครรภ์

    SDK ของ Meta ถูกฝังในแอป Flo เพื่อเก็บข้อมูลการใช้งาน
    ส่งข้อมูล “App Event” ทุกครั้งที่ผู้ใช้คลิกฟีเจอร์เฉพาะ

    คดีนี้มีผู้เสียหายกว่า 3.7 ล้านคนในสหรัฐฯ
    ผู้ใช้ที่ลงทะเบียนระหว่าง พ.ย. 2016 ถึง ก.พ. 2019

    Flo เคยสัญญาว่าจะไม่แชร์ข้อมูลส่วนตัวกับบุคคลที่สาม
    แต่กลับเปิดช่องให้บริษัทอื่นใช้ข้อมูลเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า

    FTC เคยสอบสวนและบังคับให้ Flo ปรับปรุงนโยบายความเป็นส่วนตัว
    พร้อมตั้งผู้ตรวจสอบอิสระเพื่อป้องกันการละเมิดซ้ำ

    คดีนี้เป็นหมุดหมายสำคัญด้านสิทธิข้อมูลสุขภาพดิจิทัล
    โดยเฉพาะหลังการยกเลิกสิทธิการทำแท้งตามรัฐธรรมนูญในสหรัฐฯ

    SDK เป็นเครื่องมือที่ใช้เก็บพฤติกรรมผู้ใช้เพื่อการโฆษณา
    แต่สามารถถูกใช้เพื่อดึงข้อมูลส่วนตัวได้หากไม่มีการควบคุม

    การใช้แอปติดตามสุขภาพอาจเสี่ยงต่อการถูกนำข้อมูลไปใช้ในทางกฎหมาย
    เช่น การสืบสวนคดีทำแท้งในบางรัฐของสหรัฐฯ

    เว็บไซต์ขายยาทำแท้งก็เคยถูกพบว่าแชร์ข้อมูลกับ Google
    เพิ่มความเสี่ยงต่อการถูกติดตามโดยหน่วยงานรัฐ

    https://www.malwarebytes.com/blog/news/2025/08/meta-accessed-womens-health-data-from-flo-app-without-consent-says-court
    📢🕵️‍♀️ เมื่อ Meta แอบฟังข้อมูลสุขภาพผู้หญิงจากแอป Flo โดยไม่ได้รับอนุญาต เรื่องนี้เริ่มจากแอป Flo Health ซึ่งเป็นแอปติดตามรอบเดือนและสุขภาพการเจริญพันธุ์ของผู้หญิง ที่มีผู้ใช้งานกว่า 150 ล้านคนทั่วโลก แอปนี้เก็บข้อมูลส่วนตัวอย่างละเอียด เช่น วันมีประจำเดือน อารมณ์ ความสัมพันธ์ทางเพศ และเป้าหมายการตั้งครรภ์ โดยสัญญาว่าจะไม่แชร์ข้อมูลกับบุคคลที่สาม ยกเว้นเพื่อการให้บริการเท่านั้น แต่ระหว่างปี 2016–2019 ข้อมูลเหล่านี้ถูกแชร์กับบริษัทต่าง ๆ รวมถึง Meta (เจ้าของ Facebook), Google, AppsFlyer และ Flurry โดยใช้ SDK ที่ฝังอยู่ในแอป ซึ่งจะส่งข้อมูลทุกครั้งที่ผู้ใช้คลิกหรือใช้งานฟีเจอร์บางอย่าง เช่น “กำลังพยายามตั้งครรภ์” โดยไม่มีการควบคุมว่าบริษัทเหล่านี้จะนำข้อมูลไปใช้อย่างไร คดีนี้เริ่มต้นจากการฟ้องร้องแบบกลุ่มในปี 2021 โดยมีผู้หญิงกว่า 3.7 ล้านคนในสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบ ล่าสุดในเดือนสิงหาคม 2025 คณะลูกขุนตัดสินว่า Meta ละเมิดกฎหมายความเป็นส่วนตัวของรัฐแคลิฟอร์เนีย โดย “แอบฟังและบันทึกข้อมูล” โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้ แม้ Flo, Google และ Flurry จะยอมความไปก่อนหน้านี้ แต่ Meta สู้คดีจนถึงที่สุด และแพ้ในที่สุด คดีนี้จึงกลายเป็นหมุดหมายสำคัญของการปกป้องข้อมูลสุขภาพดิจิทัล โดยเฉพาะในยุคที่สิทธิการทำแท้งในสหรัฐฯ ถูกจำกัดอย่างหนัก ✅ Meta ถูกตัดสินว่าละเมิดกฎหมายความเป็นส่วนตัวของรัฐแคลิฟอร์เนีย ➡️ โดยแอบฟังและบันทึกข้อมูลจากแอป Flo โดยไม่ได้รับความยินยอม ✅ Flo Health แชร์ข้อมูลสุขภาพผู้หญิงกับ Meta, Google และบริษัทอื่น ➡️ ข้อมูลรวมถึงรอบเดือน ความสัมพันธ์ทางเพศ และเป้าหมายการตั้งครรภ์ ✅ SDK ของ Meta ถูกฝังในแอป Flo เพื่อเก็บข้อมูลการใช้งาน ➡️ ส่งข้อมูล “App Event” ทุกครั้งที่ผู้ใช้คลิกฟีเจอร์เฉพาะ ✅ คดีนี้มีผู้เสียหายกว่า 3.7 ล้านคนในสหรัฐฯ ➡️ ผู้ใช้ที่ลงทะเบียนระหว่าง พ.ย. 2016 ถึง ก.พ. 2019 ✅ Flo เคยสัญญาว่าจะไม่แชร์ข้อมูลส่วนตัวกับบุคคลที่สาม ➡️ แต่กลับเปิดช่องให้บริษัทอื่นใช้ข้อมูลเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า ✅ FTC เคยสอบสวนและบังคับให้ Flo ปรับปรุงนโยบายความเป็นส่วนตัว ➡️ พร้อมตั้งผู้ตรวจสอบอิสระเพื่อป้องกันการละเมิดซ้ำ ✅ คดีนี้เป็นหมุดหมายสำคัญด้านสิทธิข้อมูลสุขภาพดิจิทัล ➡️ โดยเฉพาะหลังการยกเลิกสิทธิการทำแท้งตามรัฐธรรมนูญในสหรัฐฯ ✅ SDK เป็นเครื่องมือที่ใช้เก็บพฤติกรรมผู้ใช้เพื่อการโฆษณา ➡️ แต่สามารถถูกใช้เพื่อดึงข้อมูลส่วนตัวได้หากไม่มีการควบคุม ✅ การใช้แอปติดตามสุขภาพอาจเสี่ยงต่อการถูกนำข้อมูลไปใช้ในทางกฎหมาย ➡️ เช่น การสืบสวนคดีทำแท้งในบางรัฐของสหรัฐฯ ✅ เว็บไซต์ขายยาทำแท้งก็เคยถูกพบว่าแชร์ข้อมูลกับ Google ➡️ เพิ่มความเสี่ยงต่อการถูกติดตามโดยหน่วยงานรัฐ https://www.malwarebytes.com/blog/news/2025/08/meta-accessed-womens-health-data-from-flo-app-without-consent-says-court
    WWW.MALWAREBYTES.COM
    Meta accessed women's health data from Flo app without consent, says court
    A jury has ruled that Meta accessed sensitive information from women's reproductive health tracking app Flo without consent.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 223 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ฉันเคยอยากออกบวชเพื่อทำที่สุดทุกข์ให้ได้.." เคยถามแม่ตอนเด็กเล็กๆ6-7ขวบ."ว่าสุดขอบฟ้าอยู่ตรงไหนเราเดินออกจากโลกนี้กันเถอะ แม่นิ่ง..ฉันแสวงหาความหมายของชีวิตว่าเกิดมาทำไม?ไปโบถส์เรียนคำสอนอื่นๆ เป็นพุทธแค่ในทะเบียนบ้านแต่ใจไม่มีศาสนาอะไรเลย อายุยี่สิบก่วาอยากมีลูกเพื่อให้เขาบวชแทนฉันทำในสิ่งที่ฉันอยากทำ"..คืนหนึ่งนอนหลับและฝันไปว่าผู้คนมากมายเบียดกันแทบไม่มีช่องว่างและฆ่าฟันกันกินเนื้อมนุษย์ด้วยกันสำคัญว่าเป็นเนื้อสัตว์เท่านั้น"..ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงพูดกับฉันว่าเธออยากให้ลูกเธอเกิดมาในกาลียุคเช่นนี้หรือ..เห็นเลือดท่วมข้อเท้าช้างนองไปทั่วพื้น"ตื่นจากฝันเลยเปลี่ยนความคิดว่าไม่ดีก่วาและการจะให้ใครมาทำความฝันให้มันไม่ยุติธรรมกับเขาเลย.ความคิดพับเก็บ..แต่การอยากมีลูกของฉันนั้นคือต้องไม่มีแฟนนะทำเด็กหลอดแก้วประมาณนั้น"...แม่เคยเล่าว่าฉันเกิดมาเกือบทำให้แม่ต้องตายเจ็บท้องทรมานถึง7วัน7คืนมีเสียงปริศนามาบอกให้แม่ไปคลอดฉันที่ใต้ต้นมะขามใหญ่หน้าหมู่บ้านแม่ไม่ไปทนเจ็บอยู่บ้านหลังหนึ่งอยู่นาน ในที่สุดก็ต้องขนย้ายกันไปบ้านอีกหลังแล้วก็คลอดฉันออกมาลูกหลงสุดท้องอย่างฉันเป็นความหวังของพี่ว่าจะได้น้องชายแต่กับเป็นผู้หญิงเขาก็พากันผิดหวัง "แต่ฉันเป็นผู้หญิงแต่ใจแมนมาก"แม่ฉันชอบสร้างหนังสือพระไตรปิฎกถวายวัดเสมอเลยสงสัยถามแม่ว่าดียังไงเหรอ แม่บอกอยากรู้ก็อ่านเองซิ แต่ฉันอ่านหนังสือตัวกูของกูของหลวงพ่อพุทธทาสก่อนเลยเกิดศรัธทา เลยลองอ่านพระไตรปิฎกดูอ่านแล้ววางไม่ลงเลยเป็นอะไรที่น่าสนใจมากหลายอย่างไม่เข้าใจหรอกไม่มีสภาวะ(ประสบการณ์ตรง)แต่ก็อ่านจบใช้เวลา3เดือน6วันครั้งแรกและอ่านจนครบ9รอบมันน่าทึ่งมากที่มีอัจฉริยะมนุษย์อย่างพระพุทธเจ้าเกิดมาตรัสรู้อะไรแบบนี้ได้สุดยอดมากๆยังไม่ค่อยเข้าใจก็ค่อยๆเรียนรู้คู่ไปกับการปฎิบัติด้วยตัวเองหัดนั่งสมาธิที่บ้านนั่งทั้งวันโดยไม่กินข้าวไม่อาบน้ำทำอยู่แบบนั้นมันเจ็บปวดทรมานร่างกายสุดๆเหมือนตัวจะระเบิดตัวร้อนเหมือนไฟเหงื่อออกมาไหลเป็นน้ำร้อนกระเพาะก็ร้องหิวแต่จิตฉันไม่หิวร่างกายเจ็บปวดแต่จิตไม่เจ็บปวดใดๆเลยตัวเริ่มแข็งคอแข็งจากนั้นกลางระหว่างคิ้วมีแสงพุ่งออกมาคล้ายตาที่สามเปิดความรู้ๆทุกอย่างแล้วกาย&จิต ก็แยกออกจากกันให้รู้ในคราวนั้น ฉันก็ฝึกเองมาเรื่อยๆต่อมาฉันนั่งสมาธิจากตัวแข็งรับรู้ตรงกลางระห่วางคิ้วจากนั้นหัวตึงไปหมดความรู้สึกสุดท้ายตรงกลางกระหม่อมเหมือนจิตพุ่งหลุดออกจากกายๆฉันหายไปพร้อมเวทนาทางกายหายไปจนหมดสิ้น มีแต่รู้ๆว่างๆอยู่แบบนั้น นั่งสมาธิคราวใดก็จะเข้าสมาธิเร็วและกายหายไปเป็นแบบนั้นอยู่2ปีเลยเลิกนั่งสมาธิเพราะไม่รู้จะถามใครได้ จนกระทั่งได้ฟังคำบรรยายธรรมของหลวงปูดุลย์ อตุโล จึงเข้าใจและไปต่อได้ หลวงปู่สอนว่ามีตัวรู้ในขันธ์5 และธาตุรู้โดยธรรมชาติไม่เกี่ยวกับขันธ์5ใดๆเลย"ฉันได้เกิดใหม่อีกครั้งโดยธรรมบุญในครี้งนี้ได้มาเพราะ"แม่ของฉันเธอคือแสงสว่างและความรักที่ไร้เงื่อนไขใดๆไม่คาดหวัง ไม่เรียกร้อง อ้อมกอดของแม่เป็นอ้อมกอดที่อบอุ่นที่สุด.."ฉันรู้ว่าถ้าฉันมีลูกฉันจะต้องตายเพราะฉะนั้นฉันจึงตั้งจิตอธิษฐานไว้ว่าเมื่อต้องเอาชีวิตเข้าแรก เด็กคนนั้นต้องเป็นอัจฉริยะมนุษย์มีบุญญาธิการเพื่อมาช่วยปลุกสัตว์ให้ตื่นเท่านั้นถ้าไม่ได้เช่นนั้นฉันจะไม่รับเด็ดขาดฉันยังมีความคาดหวังแต่ไม่ใช่กิเลสแต่เป็นกุศล..บุญใดที่ลูกคนนี้ได้ทำแล้วและจะทำต่อไปบุญนั้นแม่พ่อบรรพบุรุษตลอดทั้งผู้ดูแลรักษาข้าพเจ้ามีส่วนในบุญนั้นๆด้วยเสมอสาธุ(บุญเป็นชื่อของความสุขเมื่อทำแล้วสุขใจก็เป็นบุญแล้ว"หลวงพ่อพุทธทาสได้กล่าวไว้.
    🧘‍♀️..ฉันเคยอยากออกบวชเพื่อทำที่สุดทุกข์ให้ได้.." เคยถามแม่ตอนเด็กเล็กๆ6-7ขวบ."ว่าสุดขอบฟ้าอยู่ตรงไหนเราเดินออกจากโลกนี้กันเถอะ แม่นิ่ง..ฉันแสวงหาความหมายของชีวิตว่าเกิดมาทำไม?ไปโบถส์เรียนคำสอนอื่นๆ เป็นพุทธแค่ในทะเบียนบ้านแต่ใจไม่มีศาสนาอะไรเลย อายุยี่สิบก่วาอยากมีลูกเพื่อให้เขาบวชแทนฉันทำในสิ่งที่ฉันอยากทำ"..คืนหนึ่งนอนหลับและฝันไปว่าผู้คนมากมายเบียดกันแทบไม่มีช่องว่างและฆ่าฟันกันกินเนื้อมนุษย์ด้วยกันสำคัญว่าเป็นเนื้อสัตว์เท่านั้น"..ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงพูดกับฉันว่าเธออยากให้ลูกเธอเกิดมาในกาลียุคเช่นนี้หรือ..เห็นเลือดท่วมข้อเท้าช้างนองไปทั่วพื้น"ตื่นจากฝันเลยเปลี่ยนความคิดว่าไม่ดีก่วาและการจะให้ใครมาทำความฝันให้มันไม่ยุติธรรมกับเขาเลย.ความคิดพับเก็บ..แต่การอยากมีลูกของฉันนั้นคือต้องไม่มีแฟนนะทำเด็กหลอดแก้วประมาณนั้น"...แม่เคยเล่าว่าฉันเกิดมาเกือบทำให้แม่ต้องตายเจ็บท้องทรมานถึง7วัน7คืนมีเสียงปริศนามาบอกให้แม่ไปคลอดฉันที่ใต้ต้นมะขามใหญ่หน้าหมู่บ้านแม่ไม่ไปทนเจ็บอยู่บ้านหลังหนึ่งอยู่นาน ในที่สุดก็ต้องขนย้ายกันไปบ้านอีกหลังแล้วก็คลอดฉันออกมาลูกหลงสุดท้องอย่างฉันเป็นความหวังของพี่ว่าจะได้น้องชายแต่กับเป็นผู้หญิงเขาก็พากันผิดหวัง "แต่ฉันเป็นผู้หญิงแต่ใจแมนมาก"แม่ฉันชอบสร้างหนังสือพระไตรปิฎกถวายวัดเสมอเลยสงสัยถามแม่ว่าดียังไงเหรอ แม่บอกอยากรู้ก็อ่านเองซิ แต่ฉันอ่านหนังสือตัวกูของกูของหลวงพ่อพุทธทาสก่อนเลยเกิดศรัธทา เลยลองอ่านพระไตรปิฎกดูอ่านแล้ววางไม่ลงเลยเป็นอะไรที่น่าสนใจมากหลายอย่างไม่เข้าใจหรอกไม่มีสภาวะ(ประสบการณ์ตรง)แต่ก็อ่านจบใช้เวลา3เดือน6วันครั้งแรกและอ่านจนครบ9รอบมันน่าทึ่งมากที่มีอัจฉริยะมนุษย์อย่างพระพุทธเจ้าเกิดมาตรัสรู้อะไรแบบนี้ได้สุดยอดมากๆยังไม่ค่อยเข้าใจก็ค่อยๆเรียนรู้คู่ไปกับการปฎิบัติด้วยตัวเองหัดนั่งสมาธิที่บ้านนั่งทั้งวันโดยไม่กินข้าวไม่อาบน้ำทำอยู่แบบนั้นมันเจ็บปวดทรมานร่างกายสุดๆเหมือนตัวจะระเบิดตัวร้อนเหมือนไฟเหงื่อออกมาไหลเป็นน้ำร้อนกระเพาะก็ร้องหิวแต่จิตฉันไม่หิวร่างกายเจ็บปวดแต่จิตไม่เจ็บปวดใดๆเลยตัวเริ่มแข็งคอแข็งจากนั้นกลางระหว่างคิ้วมีแสงพุ่งออกมาคล้ายตาที่สามเปิดความรู้ๆทุกอย่างแล้วกาย&จิต ก็แยกออกจากกันให้รู้ในคราวนั้น ฉันก็ฝึกเองมาเรื่อยๆต่อมาฉันนั่งสมาธิจากตัวแข็งรับรู้ตรงกลางระห่วางคิ้วจากนั้นหัวตึงไปหมดความรู้สึกสุดท้ายตรงกลางกระหม่อมเหมือนจิตพุ่งหลุดออกจากกายๆฉันหายไปพร้อมเวทนาทางกายหายไปจนหมดสิ้น มีแต่รู้ๆว่างๆอยู่แบบนั้น นั่งสมาธิคราวใดก็จะเข้าสมาธิเร็วและกายหายไปเป็นแบบนั้นอยู่2ปีเลยเลิกนั่งสมาธิเพราะไม่รู้จะถามใครได้ จนกระทั่งได้ฟังคำบรรยายธรรมของหลวงปูดุลย์ อตุโล จึงเข้าใจและไปต่อได้ หลวงปู่สอนว่ามีตัวรู้ในขันธ์5 และธาตุรู้โดยธรรมชาติไม่เกี่ยวกับขันธ์5ใดๆเลย"ฉันได้เกิดใหม่อีกครั้งโดยธรรมบุญในครี้งนี้ได้มาเพราะ"แม่ของฉันเธอคือแสงสว่างและความรักที่ไร้เงื่อนไขใดๆไม่คาดหวัง ไม่เรียกร้อง อ้อมกอดของแม่เป็นอ้อมกอดที่อบอุ่นที่สุด.."ฉันรู้ว่าถ้าฉันมีลูกฉันจะต้องตายเพราะฉะนั้นฉันจึงตั้งจิตอธิษฐานไว้ว่าเมื่อต้องเอาชีวิตเข้าแรก เด็กคนนั้นต้องเป็นอัจฉริยะมนุษย์มีบุญญาธิการเพื่อมาช่วยปลุกสัตว์ให้ตื่นเท่านั้นถ้าไม่ได้เช่นนั้นฉันจะไม่รับเด็ดขาดฉันยังมีความคาดหวังแต่ไม่ใช่กิเลสแต่เป็นกุศล..บุญใดที่ลูกคนนี้ได้ทำแล้วและจะทำต่อไปบุญนั้นแม่พ่อบรรพบุรุษตลอดทั้งผู้ดูแลรักษาข้าพเจ้ามีส่วนในบุญนั้นๆด้วยเสมอสาธุ🔆🙇‍♀️(บุญเป็นชื่อของความสุขเมื่อทำแล้วสุขใจก็เป็นบุญแล้ว"หลวงพ่อพุทธทาสได้กล่าวไว้.
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 250 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เปิดคลิปนักเรียนชายชั้น ม.5 ทำร้ายครูสาววัย 33 ปี เหตุเพราะไม่พอใจคะแนนสอบกลางภาค ส่งผลให้ดวงตาฟกช้ำ หัวด้านซ้ายบวม ซี่โครงอักเสบ

    เพื่อนสนิทของคุณครู เหยื่อความรุนแรงรายนี้ เล่าว่าครูสอนที่โรงเรียนแห่งนี้มา 11 ปีแล้ว นิสัยส่วนตัวเป็นคนเรียบร้อยไม่ค่อยพูดกับใคร ไม่ค่อยมีปากมีเสียงกับใคร และเป็นคนที่ใจดีกับเด็กนักเรียน

    เพื่อนของครูยังเล่าอีกว่า วันที่โดนนักเรียนชายทำร้าย หลังจากที่กลับบ้านไป ครูสาวรายนี้ต้องโกหกลูกตัวเองว่า ที่หน้าบวมเพราะว่าโดนผึ้งต่อย เนื่องจากลูกยังเล็ก ไม่อยากให้ลูกรู้เหตุการณ์

    ส่วนเด็กนักเรียนคนนี้เมื่อเทอมที่แล้วก็เคยตบเด็กนักเรียนผู้หญิงหน้าบวม และพ่อกับแม่มาเคลียร์ และย้อนไปประมาณ ม.4 เคยทำร้ายร่างกายพ่อตัวเอง ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า เด็กคนนี้เป็นคนที่มีอารมณ์รุนแรง
    เปิดคลิปนักเรียนชายชั้น ม.5 ทำร้ายครูสาววัย 33 ปี เหตุเพราะไม่พอใจคะแนนสอบกลางภาค ส่งผลให้ดวงตาฟกช้ำ หัวด้านซ้ายบวม ซี่โครงอักเสบ เพื่อนสนิทของคุณครู เหยื่อความรุนแรงรายนี้ เล่าว่าครูสอนที่โรงเรียนแห่งนี้มา 11 ปีแล้ว นิสัยส่วนตัวเป็นคนเรียบร้อยไม่ค่อยพูดกับใคร ไม่ค่อยมีปากมีเสียงกับใคร และเป็นคนที่ใจดีกับเด็กนักเรียน เพื่อนของครูยังเล่าอีกว่า วันที่โดนนักเรียนชายทำร้าย หลังจากที่กลับบ้านไป ครูสาวรายนี้ต้องโกหกลูกตัวเองว่า ที่หน้าบวมเพราะว่าโดนผึ้งต่อย เนื่องจากลูกยังเล็ก ไม่อยากให้ลูกรู้เหตุการณ์ ส่วนเด็กนักเรียนคนนี้เมื่อเทอมที่แล้วก็เคยตบเด็กนักเรียนผู้หญิงหน้าบวม และพ่อกับแม่มาเคลียร์ และย้อนไปประมาณ ม.4 เคยทำร้ายร่างกายพ่อตัวเอง ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า เด็กคนนี้เป็นคนที่มีอารมณ์รุนแรง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 334 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ธาตุแท้อเมริกามาแล้วจริงๆ,จะยุคสมัยไหน สรุปเชื่อใจฝรั่งตาขาวตาฟ้าตาแดงนี้ไม่ได้,ตอแหลปลิ้นปล้อนเหมือนเขมรนี้ล่ะ เผ่าพันธุ์เดียวกันจึงคุ้มครองกันเอง ไม่สนใจความไร้มนุษยธรรมที่รัฐบาลที่นำโดยฮุนเซนจะเกณฑ์ประชาชนเด็กน้อยๆเยาวชนชายหญิง คนชราแก่เฒ่าไปรบไปตายในสนาม อเมริกาสนับสนุนการไร้มนุษยธรรมของจริง ข้ออ้างสวยหรูว่าเพื่อยุติการหยุดยิงแต่มอบอาวุธและปืนระเบิดให้,อเมริกาสมควรถูกกำจัดออกไปจากโลก อิทธิพลแบบอเมริกาคือสไตล์คนพาลคนเลวของจริง มิน่าชนอินเดียแดงจึงบอกว่าเผ่าพันธุ์ฝรั่งแดนอเมริกาเป็นพวกตระบัดสัตย์ไม่ซื่อ คตในวาจา ตอแหลมึนด้านหนาไม่ต่างกันกับชนเผ่าเขมรแบบฮุนเซนและฮุนมาเนตนี้,ทรัมป์ก็เหี้ยไม่ต่างจากไบเดนห่าเหวนั้น,หรือโอบามาก็ด้วย ควายๆรับใข้อีลิทซาตานเหมือนกัน,เผลอๆทหารอเมริกาลักพาตัวเด็กๆในประเทศเขมรไปให้อีลิทdeep stateเอาไปต้มไปแดกไปปรุงรสชาดสาระพัดอีกหรือทรมานทารุนทำอะดริโนโครมเองก็ด้วย,ประชาชนเขมรอาจถูกลักพาตัวไปมากมาย หายตัวไปมากมายระหว่างอพยพหนีภาวะสงครามนี้ เพราะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดใช้อ้างคนหาย หายสาปสูญได้สนิทใจ ตายระหว่างอพยพหนีตาย หายระหว่างหนีตาย ทิ้งเด็กๆมากมายไว้ในบ้าน เพราะพ่อแม่พี่น้องคนชรามีชีวิตถูกจับไปใส่ชุดทหารหมด,เผด็จการฮุนเซนฮุนมาเนตตะจัดการเหยื่อตาทบ้านประชาชนได้สะดวกหมดล่ะเพราะพ่อแม่ญาติพี่น้องไม่เหลือสักคนนั้นเอง,สิ่งนี้จึงค้ำประกันถึงบริบทที่ชั่วเลวของอเมริกาไปในตัวที่ไปสนับสนุนจับมือกับฮุนเซน เสือกเจาะจงเรื่องอาวุธเทคโนโลยี ไม่พูดหาไม่บอกไม่ตบหัวฮุนเซนว่าอย่าเกณฑ์เด็กคนชราผู้หญิงประชาชนธรรมดาไปเป็นทหารสู้รบ,ไม่บอกฮุนเซนสักแอะว่าฮุนเซนไปเก็บศพทหารในสนามรบคืนมาให้ญาติทำพิธีให้หมด,มิใช่แบบกูในสงครามเวียดนามเก็บไม่ได้เพราะไม่ใช่ท้องถิ่นกูจริงเขตอาณาเขตสนามสงครามกูภายในประเทศแบบดินแดนเขมรภายในเขตเขมรเองของมรึงจริงแบบปัจจุบัน สามารถเข้าเก็บศพทหารตนเองบนประเทศตนเองแท้ได้ตลอดเวลา มรึงต้องไปทำก่อนกูอเมริกาจึงค่อยสนับสนุนเทคโนโลยีหรือใดๆแก่มรึงเขมรเพื่อความสงบสันติในการหยุดยิงนี้,อเมริกาจึงชัดเจนว่าสนับสนุนสงครามจริง,ไร้มนุษยธรรมจริง,อเมริกาสมควรสิ้นสถานะความเป็นประเทศด้วย,50รัฐอเมริกาสมควรแยกตนเองปกครองตนเองได้แล้ว,เป็นประเทศเอกราชตนเอง,พื้นที่ดินแดนมากมายคนอเมริกันทำไมโง่บัดสบทั้งทวีปแบบนั้น,สนับสนุนสงครามผ่าน50รัฐด้วย,โง่และชั่วเลวในเวลาเดียวกัน,จะตัดตอนมิให้ทรัมป์หรือใครๆไปมีอิทธิป่าเถื่อนไปทั่วโลกด้วย,รัฐใดอย่างทำสงครามก็ตามสบายเพราะเงินสนับสนุนจะจบแล้วเพราะแยกขาดเป็นประเทศของใครของมันแล้วนั้นเอง,50รัฐ ในรัฐประเทศใดประเทศหนึ่งเสมือนตัดตอนทุนอีลิทdeep stateรุ่นagendaด้วยก็ได้,เอกเทศใครมันปฏิเสธสงครามทุกๆกรณีได้ที่ไร้มนุษยธรรมแบบทรัมป์กำลังทำอยู่,ปฏิเสธวัคซีนโควิดทางตรงผ่านประเทศตนได้ที่แยกตัวเป็นประเทศใครมันทั้ง50รัฐแล้ว ไม่ผีบ้าต้องมาปฏิบัติตามคำสั่งประธานาธิบดีแบบผีบ้าไบเดนหรือป่วยจิตแบบทรัมป์ไม่สืบหาความจริงว่าเขมรฮุนเซนไร้มนุษยธรรมแก่ชนคนเขมรภายในประเทศแบบใดๆเลย ปิดหูปิดตาโคตรบรมโง่ทั้งทหารกองทัพอเมริกาจริงๆเก่งแค่ขโมยหรือขายโลกทรยศโลกตกลงกับต่างดาวชั่วแลกเทคโนโลยีเท่านั้นล่ะ,
    ..คนอเมริกาสมควรยื่นแบ่งแยกประเทศเถอะ,เวลารัสเชียเวลาจีนหรืออิหร่านยิงขีปนาวุธข้ามทวีปติดหัวรบนิวเคลียร์จะได้ไม่เคลียร์พื้นที่ประเทศรัฐนั้นๆที่แยกตัวเป็นประเทศตนเองอิสระออกมาจากอเมริกาเดิมแล้ว,ประกาศตนเป็นกลาง จีนกับรัสเชียและอิหร่านจะล็อกพิกัดgpsจุดตกขีปนาวุธนิวเคลียร์ใหม่แทนตกที่ใหม่แทน,
    ..ยุโรปและอเมริกา ชาติฝรั่งพวกนี้สมควรหายไปจากโลกจริงๆ,ตลอดระยะเวลายาวนานนี้ พวกฝรั่งนี้ล่ะปล้นชิงชาวโลกไปทั่ว สร้างความไม่สงบสุขเป็นวงกว้างโดยมาเพียงเพราะโลภอยากได้ทรัพยากรเขาหรือแดกเขาก็ด้วยในเผ่าพันธุ์แรปทีเลี่ยนที่แดกมนุษย์เป็นปกติอยู่แล้ว.
    ธาตุแท้อเมริกามาแล้วจริงๆ,จะยุคสมัยไหน สรุปเชื่อใจฝรั่งตาขาวตาฟ้าตาแดงนี้ไม่ได้,ตอแหลปลิ้นปล้อนเหมือนเขมรนี้ล่ะ เผ่าพันธุ์เดียวกันจึงคุ้มครองกันเอง ไม่สนใจความไร้มนุษยธรรมที่รัฐบาลที่นำโดยฮุนเซนจะเกณฑ์ประชาชนเด็กน้อยๆเยาวชนชายหญิง คนชราแก่เฒ่าไปรบไปตายในสนาม อเมริกาสนับสนุนการไร้มนุษยธรรมของจริง ข้ออ้างสวยหรูว่าเพื่อยุติการหยุดยิงแต่มอบอาวุธและปืนระเบิดให้,อเมริกาสมควรถูกกำจัดออกไปจากโลก อิทธิพลแบบอเมริกาคือสไตล์คนพาลคนเลวของจริง มิน่าชนอินเดียแดงจึงบอกว่าเผ่าพันธุ์ฝรั่งแดนอเมริกาเป็นพวกตระบัดสัตย์ไม่ซื่อ คตในวาจา ตอแหลมึนด้านหนาไม่ต่างกันกับชนเผ่าเขมรแบบฮุนเซนและฮุนมาเนตนี้,ทรัมป์ก็เหี้ยไม่ต่างจากไบเดนห่าเหวนั้น,หรือโอบามาก็ด้วย ควายๆรับใข้อีลิทซาตานเหมือนกัน,เผลอๆทหารอเมริกาลักพาตัวเด็กๆในประเทศเขมรไปให้อีลิทdeep stateเอาไปต้มไปแดกไปปรุงรสชาดสาระพัดอีกหรือทรมานทารุนทำอะดริโนโครมเองก็ด้วย,ประชาชนเขมรอาจถูกลักพาตัวไปมากมาย หายตัวไปมากมายระหว่างอพยพหนีภาวะสงครามนี้ เพราะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดใช้อ้างคนหาย หายสาปสูญได้สนิทใจ ตายระหว่างอพยพหนีตาย หายระหว่างหนีตาย ทิ้งเด็กๆมากมายไว้ในบ้าน เพราะพ่อแม่พี่น้องคนชรามีชีวิตถูกจับไปใส่ชุดทหารหมด,เผด็จการฮุนเซนฮุนมาเนตตะจัดการเหยื่อตาทบ้านประชาชนได้สะดวกหมดล่ะเพราะพ่อแม่ญาติพี่น้องไม่เหลือสักคนนั้นเอง,สิ่งนี้จึงค้ำประกันถึงบริบทที่ชั่วเลวของอเมริกาไปในตัวที่ไปสนับสนุนจับมือกับฮุนเซน เสือกเจาะจงเรื่องอาวุธเทคโนโลยี ไม่พูดหาไม่บอกไม่ตบหัวฮุนเซนว่าอย่าเกณฑ์เด็กคนชราผู้หญิงประชาชนธรรมดาไปเป็นทหารสู้รบ,ไม่บอกฮุนเซนสักแอะว่าฮุนเซนไปเก็บศพทหารในสนามรบคืนมาให้ญาติทำพิธีให้หมด,มิใช่แบบกูในสงครามเวียดนามเก็บไม่ได้เพราะไม่ใช่ท้องถิ่นกูจริงเขตอาณาเขตสนามสงครามกูภายในประเทศแบบดินแดนเขมรภายในเขตเขมรเองของมรึงจริงแบบปัจจุบัน สามารถเข้าเก็บศพทหารตนเองบนประเทศตนเองแท้ได้ตลอดเวลา มรึงต้องไปทำก่อนกูอเมริกาจึงค่อยสนับสนุนเทคโนโลยีหรือใดๆแก่มรึงเขมรเพื่อความสงบสันติในการหยุดยิงนี้,อเมริกาจึงชัดเจนว่าสนับสนุนสงครามจริง,ไร้มนุษยธรรมจริง,อเมริกาสมควรสิ้นสถานะความเป็นประเทศด้วย,50รัฐอเมริกาสมควรแยกตนเองปกครองตนเองได้แล้ว,เป็นประเทศเอกราชตนเอง,พื้นที่ดินแดนมากมายคนอเมริกันทำไมโง่บัดสบทั้งทวีปแบบนั้น,สนับสนุนสงครามผ่าน50รัฐด้วย,โง่และชั่วเลวในเวลาเดียวกัน,จะตัดตอนมิให้ทรัมป์หรือใครๆไปมีอิทธิป่าเถื่อนไปทั่วโลกด้วย,รัฐใดอย่างทำสงครามก็ตามสบายเพราะเงินสนับสนุนจะจบแล้วเพราะแยกขาดเป็นประเทศของใครของมันแล้วนั้นเอง,50รัฐ ในรัฐประเทศใดประเทศหนึ่งเสมือนตัดตอนทุนอีลิทdeep stateรุ่นagendaด้วยก็ได้,เอกเทศใครมันปฏิเสธสงครามทุกๆกรณีได้ที่ไร้มนุษยธรรมแบบทรัมป์กำลังทำอยู่,ปฏิเสธวัคซีนโควิดทางตรงผ่านประเทศตนได้ที่แยกตัวเป็นประเทศใครมันทั้ง50รัฐแล้ว ไม่ผีบ้าต้องมาปฏิบัติตามคำสั่งประธานาธิบดีแบบผีบ้าไบเดนหรือป่วยจิตแบบทรัมป์ไม่สืบหาความจริงว่าเขมรฮุนเซนไร้มนุษยธรรมแก่ชนคนเขมรภายในประเทศแบบใดๆเลย ปิดหูปิดตาโคตรบรมโง่ทั้งทหารกองทัพอเมริกาจริงๆเก่งแค่ขโมยหรือขายโลกทรยศโลกตกลงกับต่างดาวชั่วแลกเทคโนโลยีเท่านั้นล่ะ, ..คนอเมริกาสมควรยื่นแบ่งแยกประเทศเถอะ,เวลารัสเชียเวลาจีนหรืออิหร่านยิงขีปนาวุธข้ามทวีปติดหัวรบนิวเคลียร์จะได้ไม่เคลียร์พื้นที่ประเทศรัฐนั้นๆที่แยกตัวเป็นประเทศตนเองอิสระออกมาจากอเมริกาเดิมแล้ว,ประกาศตนเป็นกลาง จีนกับรัสเชียและอิหร่านจะล็อกพิกัดgpsจุดตกขีปนาวุธนิวเคลียร์ใหม่แทนตกที่ใหม่แทน, ..ยุโรปและอเมริกา ชาติฝรั่งพวกนี้สมควรหายไปจากโลกจริงๆ,ตลอดระยะเวลายาวนานนี้ พวกฝรั่งนี้ล่ะปล้นชิงชาวโลกไปทั่ว สร้างความไม่สงบสุขเป็นวงกว้างโดยมาเพียงเพราะโลภอยากได้ทรัพยากรเขาหรือแดกเขาก็ด้วยในเผ่าพันธุ์แรปทีเลี่ยนที่แดกมนุษย์เป็นปกติอยู่แล้ว.
    รัฐมนตรีกลาโหมกัมพูชาเปิดเผย สหรัฐฯจะจับตาสถานการณ์ด้วยความกระตือรือร้น เพื่อรับประกันความสำเร็จและประสิทธิผลของการบังคับใช้ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกัมพูชาและไทย พร้อมยืนยันวอชิงตันจะมอบแรงสนับสนุนทั้งทางโลจิสติกและทางเทคนิค แก่คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000074763

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire

    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 283 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกความสัมพันธ์: เมื่อไลก์และอีโมจิกลายเป็นดาบสองคมในความรักยุคดิจิทัล

    ในยุคที่การจีบกันเริ่มต้นจากการแมตช์ในแอป แล้วตามด้วยการแลก Instagram แทนการคุยกันตรง ๆ หลายคนกลับพบว่าความสัมพันธ์ไม่ได้เดินหน้าอย่างที่คิด เพราะสิ่งที่ดูเหมือน “การมีปฏิสัมพันธ์” เช่น ไลก์ ดูสตอรี่ หรือส่งอีโมจิ กลับกลายเป็นการสื่อสารที่คลุมเครือและทำให้เกิดความเข้าใจผิด

    Alla Rakhmatullina นักจัดงาน Dating Day บอกว่า คนจำนวนมากคิดว่าตัวเองกำลังสื่อสารอยู่ แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้พูดอะไรเลย ไลก์ไม่ใช่บทสนทนา และมักถูกตีความผิด เช่น ผู้ชายคิดว่าการไลก์ซ้ำ ๆ คือการจีบ ส่วนผู้หญิงกลับไม่แน่ใจว่านั่นคือความสนใจจริงหรือแค่ความสุภาพ

    การวนเวียนอยู่ใน “วงจรการมีปฏิสัมพันธ์แบบเฉื่อย” ทำให้หลายคู่ไม่เคยเริ่มต้นคุยกันจริงจัง และเมื่อเกิดการ ghosting หรือการหายไปโดยไม่อธิบาย ความไม่แน่นอนทางอารมณ์ก็ยิ่งทวีคูณ

    Dr. Salman Kareem จิตแพทย์จาก Aster Clinic เสริมว่า คนยุคนี้คิดมากกับสัญญาณดิจิทัล เช่น เวลาตอบข้อความ หรือการอ่านแล้วไม่ตอบ ซึ่งทำให้เกิดความวิตกกังวล และกลัวการถูกปฏิเสธแบบ “สาธารณะ” เช่น การถูก unfollow

    แต่ในอีกด้านหนึ่ง งานวิจัยจาก University of Texas พบว่า การใช้ emoji ในข้อความช่วยเพิ่มความรู้สึกว่าอีกฝ่าย “ใส่ใจ” และทำให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้น เพราะ emoji ทำหน้าที่เหมือนภาษากายในโลกดิจิทัล

    ไลก์และอีโมจิกลายเป็นเครื่องมือสื่อสารหลักในความสัมพันธ์ยุคใหม่
    แต่หลายคนตีความผิดว่าเป็นความสนใจจริง

    คนรุ่นใหม่มักเลือกดูสตอรี่หรือไลก์โพสต์แทนการเริ่มบทสนทนา
    ทำให้ความสัมพันธ์ไม่พัฒนา

    ghosting กลายเป็นเรื่องธรรมดาในโลกดิจิทัล
    ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนทางอารมณ์

    Dr. Kareem ระบุว่าคนยุคนี้คิดมากกับสัญญาณดิจิทัล
    เช่น เวลาตอบข้อความ หรือการถูก unfollow

    แนะนำให้เริ่มจากการสื่อสารแบบสบาย ๆ แล้วค่อยพัฒนาเป็นการคุยตรง
    เพื่อสร้างความมั่นใจในโลกจริงก่อนกลับไปสื่อสารออนไลน์

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/06/are-likes-and-emojis-ruining-modern-relationships
    💬❤️ เรื่องเล่าจากโลกความสัมพันธ์: เมื่อไลก์และอีโมจิกลายเป็นดาบสองคมในความรักยุคดิจิทัล ในยุคที่การจีบกันเริ่มต้นจากการแมตช์ในแอป แล้วตามด้วยการแลก Instagram แทนการคุยกันตรง ๆ หลายคนกลับพบว่าความสัมพันธ์ไม่ได้เดินหน้าอย่างที่คิด เพราะสิ่งที่ดูเหมือน “การมีปฏิสัมพันธ์” เช่น ไลก์ ดูสตอรี่ หรือส่งอีโมจิ กลับกลายเป็นการสื่อสารที่คลุมเครือและทำให้เกิดความเข้าใจผิด Alla Rakhmatullina นักจัดงาน Dating Day บอกว่า คนจำนวนมากคิดว่าตัวเองกำลังสื่อสารอยู่ แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้พูดอะไรเลย ไลก์ไม่ใช่บทสนทนา และมักถูกตีความผิด เช่น ผู้ชายคิดว่าการไลก์ซ้ำ ๆ คือการจีบ ส่วนผู้หญิงกลับไม่แน่ใจว่านั่นคือความสนใจจริงหรือแค่ความสุภาพ การวนเวียนอยู่ใน “วงจรการมีปฏิสัมพันธ์แบบเฉื่อย” ทำให้หลายคู่ไม่เคยเริ่มต้นคุยกันจริงจัง และเมื่อเกิดการ ghosting หรือการหายไปโดยไม่อธิบาย ความไม่แน่นอนทางอารมณ์ก็ยิ่งทวีคูณ Dr. Salman Kareem จิตแพทย์จาก Aster Clinic เสริมว่า คนยุคนี้คิดมากกับสัญญาณดิจิทัล เช่น เวลาตอบข้อความ หรือการอ่านแล้วไม่ตอบ ซึ่งทำให้เกิดความวิตกกังวล และกลัวการถูกปฏิเสธแบบ “สาธารณะ” เช่น การถูก unfollow แต่ในอีกด้านหนึ่ง งานวิจัยจาก University of Texas พบว่า การใช้ emoji ในข้อความช่วยเพิ่มความรู้สึกว่าอีกฝ่าย “ใส่ใจ” และทำให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้น เพราะ emoji ทำหน้าที่เหมือนภาษากายในโลกดิจิทัล ✅ ไลก์และอีโมจิกลายเป็นเครื่องมือสื่อสารหลักในความสัมพันธ์ยุคใหม่ ➡️ แต่หลายคนตีความผิดว่าเป็นความสนใจจริง ✅ คนรุ่นใหม่มักเลือกดูสตอรี่หรือไลก์โพสต์แทนการเริ่มบทสนทนา ➡️ ทำให้ความสัมพันธ์ไม่พัฒนา ✅ ghosting กลายเป็นเรื่องธรรมดาในโลกดิจิทัล ➡️ ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนทางอารมณ์ ✅ Dr. Kareem ระบุว่าคนยุคนี้คิดมากกับสัญญาณดิจิทัล ➡️ เช่น เวลาตอบข้อความ หรือการถูก unfollow ✅ แนะนำให้เริ่มจากการสื่อสารแบบสบาย ๆ แล้วค่อยพัฒนาเป็นการคุยตรง ➡️ เพื่อสร้างความมั่นใจในโลกจริงก่อนกลับไปสื่อสารออนไลน์ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/06/are-likes-and-emojis-ruining-modern-relationships
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Are likes and emojis ruining modern relationships?
    Many people misinterpret passive digital gestures and actions as signs of true interest.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 189 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกแรงงาน: เมื่อแรงงานมนุษย์ต้องทำงานเคียงข้างแรงงานดิจิทัล

    ในยุคที่ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่กำลังกลายเป็น “เพื่อนร่วมงาน” โลกกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ที่เรียกว่า “digital labour” หรือแรงงานดิจิทัล ซึ่งหมายถึงการที่คอมพิวเตอร์ทำงานแทนมนุษย์อย่างเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะเมื่อ AI แบบ agentic หรือ AI ที่สามารถทำงานได้โดยไม่ต้องรอคำสั่งชัดเจน เริ่มถูกนำมาใช้ในองค์กรจริง

    Marc Benioff ซีอีโอของ Salesforce บอกว่าเขาอาจเป็น “ซีอีโอคนสุดท้ายที่บริหารเฉพาะมนุษย์” เพราะตอนนี้ Salesforce ใช้ AI agent ในงานบริการลูกค้า และลดต้นทุนได้ถึง 17% ภายใน 9 เดือน

    แต่การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี มันกระทบถึงโครงสร้างเศรษฐกิจและจริยธรรม เช่น ถ้าองค์กร A ใช้ AI ที่สร้างโดยบริษัท B แล้วพัฒนาให้เก่งขึ้นด้วยข้อมูลของตัวเอง ใครควรได้รับเครดิตและผลตอบแทน? และถ้า AI ทำงานผิดพลาด ใครควรรับผิดชอบ—ผู้สร้างหรือผู้ใช้งาน?

    แม้จะยังไม่แพร่หลาย แต่บริษัทเทคโนโลยีและการเงินบางแห่งเริ่มใช้ AI แบบอัตโนมัติในการทำงานแทนมนุษย์แล้ว และในอนาคตอาจมีตำแหน่ง “digital labourer” ปรากฏในโครงสร้างองค์กรจริง ๆ

    “Digital labour” หมายถึงคอมพิวเตอร์ทำงานแทนมนุษย์
    โดยเฉพาะ AI แบบ agentic ที่ทำงานได้โดยไม่ต้องรอคำสั่ง

    Salesforce ใช้ AI agent ในงานบริการลูกค้า
    ลดต้นทุนได้ 17% ภายใน 9 เดือน

    Marc Benioff กล่าวว่าจะเป็นซีอีโอคนสุดท้ายที่บริหารเฉพาะมนุษย์
    สะท้อนแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านสู่แรงงานดิจิทัล

    Harvard ระบุว่า digital labour เปลี่ยนความหมายจากเดิม
    จากเดิมหมายถึง gig workers กลายเป็น AI ที่ทำงานแทนมนุษย์

    มีคำถามเรื่องสิทธิและผลตอบแทนของ AI ที่ถูกพัฒนาโดยองค์กร
    เช่น ใครควรได้รับเครดิตเมื่อ AI ทำงานดีขึ้นจากข้อมูลขององค์กร

    Salesforce ยังมีระบบให้ลูกค้า escalate ไปหาคนจริงได้
    เป็นการตั้ง “human guardrails” เพื่อควบคุมความผิดพลาดของ AI

    ILO รายงานว่าแพลตฟอร์มแรงงานดิจิทัลเติบโต 5 เท่าในทศวรรษที่ผ่านมา
    แต่ยังมีปัญหาเรื่องความไม่เท่าเทียมและความมั่นคงของงาน

    Digital labour platforms มีผลต่อ SDG5 ด้านความเท่าเทียมทางเพศ
    ผู้หญิงมีสัดส่วนต่ำในแพลตฟอร์มขนส่งและมีช่องว่างรายได้

    การใช้ AI ในแรงงานอาจไม่สร้างงานใหม่ แต่เปลี่ยนรูปแบบงานเดิม
    ส่งผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและการจ้างงานในระยะยาว

    การพัฒนา AI agent ต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบและความโปร่งใส
    เช่น การกำหนดว่าใครรับผิดชอบเมื่อ AI ทำงานผิดพลาด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/05/where-human-labour-meets-digital-labour
    🤖👷‍♀️ เรื่องเล่าจากโลกแรงงาน: เมื่อแรงงานมนุษย์ต้องทำงานเคียงข้างแรงงานดิจิทัล ในยุคที่ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่กำลังกลายเป็น “เพื่อนร่วมงาน” โลกกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ที่เรียกว่า “digital labour” หรือแรงงานดิจิทัล ซึ่งหมายถึงการที่คอมพิวเตอร์ทำงานแทนมนุษย์อย่างเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะเมื่อ AI แบบ agentic หรือ AI ที่สามารถทำงานได้โดยไม่ต้องรอคำสั่งชัดเจน เริ่มถูกนำมาใช้ในองค์กรจริง Marc Benioff ซีอีโอของ Salesforce บอกว่าเขาอาจเป็น “ซีอีโอคนสุดท้ายที่บริหารเฉพาะมนุษย์” เพราะตอนนี้ Salesforce ใช้ AI agent ในงานบริการลูกค้า และลดต้นทุนได้ถึง 17% ภายใน 9 เดือน แต่การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี มันกระทบถึงโครงสร้างเศรษฐกิจและจริยธรรม เช่น ถ้าองค์กร A ใช้ AI ที่สร้างโดยบริษัท B แล้วพัฒนาให้เก่งขึ้นด้วยข้อมูลของตัวเอง ใครควรได้รับเครดิตและผลตอบแทน? และถ้า AI ทำงานผิดพลาด ใครควรรับผิดชอบ—ผู้สร้างหรือผู้ใช้งาน? แม้จะยังไม่แพร่หลาย แต่บริษัทเทคโนโลยีและการเงินบางแห่งเริ่มใช้ AI แบบอัตโนมัติในการทำงานแทนมนุษย์แล้ว และในอนาคตอาจมีตำแหน่ง “digital labourer” ปรากฏในโครงสร้างองค์กรจริง ๆ ✅ “Digital labour” หมายถึงคอมพิวเตอร์ทำงานแทนมนุษย์ ➡️ โดยเฉพาะ AI แบบ agentic ที่ทำงานได้โดยไม่ต้องรอคำสั่ง ✅ Salesforce ใช้ AI agent ในงานบริการลูกค้า ➡️ ลดต้นทุนได้ 17% ภายใน 9 เดือน ✅ Marc Benioff กล่าวว่าจะเป็นซีอีโอคนสุดท้ายที่บริหารเฉพาะมนุษย์ ➡️ สะท้อนแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านสู่แรงงานดิจิทัล ✅ Harvard ระบุว่า digital labour เปลี่ยนความหมายจากเดิม ➡️ จากเดิมหมายถึง gig workers กลายเป็น AI ที่ทำงานแทนมนุษย์ ✅ มีคำถามเรื่องสิทธิและผลตอบแทนของ AI ที่ถูกพัฒนาโดยองค์กร ➡️ เช่น ใครควรได้รับเครดิตเมื่อ AI ทำงานดีขึ้นจากข้อมูลขององค์กร ✅ Salesforce ยังมีระบบให้ลูกค้า escalate ไปหาคนจริงได้ ➡️ เป็นการตั้ง “human guardrails” เพื่อควบคุมความผิดพลาดของ AI ✅ ILO รายงานว่าแพลตฟอร์มแรงงานดิจิทัลเติบโต 5 เท่าในทศวรรษที่ผ่านมา ➡️ แต่ยังมีปัญหาเรื่องความไม่เท่าเทียมและความมั่นคงของงาน ✅ Digital labour platforms มีผลต่อ SDG5 ด้านความเท่าเทียมทางเพศ ➡️ ผู้หญิงมีสัดส่วนต่ำในแพลตฟอร์มขนส่งและมีช่องว่างรายได้ ✅ การใช้ AI ในแรงงานอาจไม่สร้างงานใหม่ แต่เปลี่ยนรูปแบบงานเดิม ➡️ ส่งผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและการจ้างงานในระยะยาว ✅ การพัฒนา AI agent ต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบและความโปร่งใส ➡️ เช่น การกำหนดว่าใครรับผิดชอบเมื่อ AI ทำงานผิดพลาด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/05/where-human-labour-meets-digital-labour
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Where human labour meets 'digital labour'
    In a still largely speculative vision of the future, A.I. tools would be full employees that work independently, with a bit of management.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 262 มุมมอง 0 รีวิว

  • ตอน 9

    ระหว่างที่สงครามเวียตนามกำลังเริ่มเข้าขั้นโคม่า ตั้งแต่ปี พ.ศ.2510 (ค.ศ.1967) พี่เบิ้มเริ่มเป็นฝ่ายรับ พี่เบิ้มจึงเปลี่ยนมาใช้แผน 2 (แผน 2 หน้า)
    หน้าหนึ่งก็เริ่มให้มีการเดินสายเล่นบทเจรจา ระหว่างรัฐมนตรีตปท.คนสำคัญของพี่เบิ้มกับทางเวียตนาม คนมีเสน่ห์ เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ (Henry Kissinger) รมต ตปท ของพี่เบิ้มสมัยนั้น เดินทางเป็นว่าเล่น เหมือนคุณนาย คลินตัน (Clinton) ตอนรัฐบาลโอบามา (Obama 1) นั่นแหละ
    อีกหน้าหนึ่งก็ส่งให้ลูกกะเป๋งทั้งหลาย ก็ใครล่ะ นึกให้ดีนะ ลุยเข้าไปถล่มคอมมี่ต่อ (โปรดสังเกตพวกพี่เบิ้ม เวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน รมต.ตปท. ชีพจรลงเท้าทั้งนั้น ตอนนี้ก็เห็นบินกันว่อน ตามดูรอบตัวเรากันบ้างนะครับ)
    ดังนั้นปฏิบัติการลับในประเทศลาว ซึ่งฝ่ายไทยนำโดย รหัสเทพ 333 (ไปหาเอาเองนะครับว่าเป็นใคร) กับฝ่าย CIA อเมริกา จึงทำงานหนัก บินกระหน่ำถล่มคอมมิวนิสต์ที่ลาว ผลลาวแตกเป็น 2 ฝ่าย เมื่อปี พ.ศ.2518 (ค.ศ.1975) พี่น้องเจ้าลาวถูกเสี้ยมให้แตกกันเอง เจ้าสุวรรณภูมา ผู้พี่ วิ่งไปอยู่ในอ้อมกอดของพี่เบิ้มอเมริกา เจ้าสุภานุวงศ์ คนน้อง เหม็นฝรั่ง จึงไปซบกับฝ่ายจีน
    แล้วลาวก็เปลี่ยนจากประเทศที่ปกครองโดยระบอบกษัตริย์ เป็นประเทศที่ปกครองโดยระบอบสังคมนิยม ตั้งแต่ครั้งนั้น ฝีมือใครครับ โปรดไปศึกษาต่อน่าสนใจมาก ไม่ใช่เฉพาะที่ลาว ในสงครามเวียตนามเอง หลัง จากทุ่มเงินไปกว่าพันล้านเหรียญ (ใช้เงินมากกว่าตอนอเมริการบในสงครามโลกครั้งที่ 2 !) ใช้ทหารไปรบประมาณ 500,000 นาย เสียชีวิตไประหว่างรบทั้งหมดเกือบ 60,000 คน ยังไม่นับที่สูญหาย ทุพพลภาพทางกายและจิตใจ อเมริกาก็ออกอาการ ยืนพิงเชือก
    ปี พ.ศ.2512 (ค.ศ.1969) อเมริกาเสนอขอเจรจาสงบศึกกับเวียตนาม !!!!
    มันจะเป็นไปได้ยังไง อเมริกา (อ้างว่า) ลงทุนกับสงครามอินโดจีนมากมาย ทั้งด้านอาวุธ กำลังพล และกำลังทรัพย์ …ชาวประชาก็เป็นมึน กำลังรบกันเข้าฝัก ดันถอยทัพเสียอย่างนั้น
    ไทยแลนด์งงเป็นไก่ตาฟาง นักวิ่งผลัดวิ่งพล่านชนกันเอง เฮ้ย เฮ้ย เอาไงวะ พวก! มันเป็นไปแล้ว ก็บอกว่า เล่นแผน 2 วันที่ 25 ก.ค. พ.ศ.2512 ประธานาธิบดีนิกสันก็ประกาศ Guam Doctrine สรุปว่า พี่เบิ้มเปลี่ยนจากเหยี่ยวเป็นพิราบ (เปลี่ยนง่ายดีนะ ลูกกะเป๋งปรับตัวกันไม่ทันเลยว่ะ) จะไม่ส่งทหารไปช่วยทำสงครามกับประเทศที่ถูกรุกราน (โดยคอมมิวนิสต์)
    แต่จะให้ความช่วยเหลือประเทศพันธมิตรด้านเศรษฐกิจ (ฮั่นแน่!) และการทหารแทน
    แหม! นี่มันพิราบติดกรงเล็บเหยี่ยวนี่นา หลอกใครไม่รู้
    แล้วไงล่ะ ไทยแลนด์ตอนให้เขาเข้ามาในบ้าน ใช้เป็นฐานทัพ เขาก็ไม่ถาม ไม่เซ็นสัญญา พอเขาจะไป เขาก็ไม่ปรึกษา บทจะไปก็เก็บฉากไปซะยังงั้น  นักวิ่งผลัดก็หน้ามืดละซิ ที่นี้จะเอาไงดี เงิน MAP ที่พี่เบิ้มเขาเคยให้ปีละ 100 ล้านเหรียญ เขาก็ลดลงเหลือ 20 กว่า ล้านเหรียญ
    ต๊าย ตาย ลดเยอะนะพวกเรา เดี๋ยวตอผุด เอายังไงดี
    อเมริกาก็ยังเป็นอเมริกา ปากบอกว่าถอนทหาร ถอยทัพ แต่ตาก็ขยิบ สั่งให้ลูกกะเป๋งไปถล่มเขมร ก็บินไปจากฐานทัพในไทยนั่นแหละ …เหล่านักวิ่งผลัด ก็เลยเห็นโอกาส ยังไม่อยากให้ยี่เกปิดฉาก นายพลเจ้าของสวนทุเรียน (ไปหาชื่อกันเองแล้วกันนะ เขียนมานี่ก็เสียวหลายเรื่องแล้ว) ก็เลยรับหน้าที่ไปเจรจากับพี่เบิ้ม
    ได้ไง! ยูสั่งให้ไอบิน ไอก็บิน สั่งให้ไอถล่ม ไอก็ถล่ม บอกไม่ทำสัญญา ไอก็ O.K ทหารยูทำผู้หญิงไทยท้อง ชกไอ้หนูหน้าดำผอมเกร็งแถวอีสานจนงอม ไม่ยอมขึ้นศาลไทย ไอก็ยอมหมดแล้ว …แต่เรื่องจะมาลด MAP นี่เรื่องใหญ่นะ (ของมันเคยได้น่ะ) แล้วต่อไปนี้สั่งใครเขาก็ลำบากนะ…ทุกอย่างมันต้องใช้เงินทั้ง นั้นนะ (เอะ เดี๋ยว ๆ นี่มันเรื่องสงครามเวียตนาม หรือสงครามไพร่ครองเมืองนะ คนเล่านิทานชักงง เรื่องมันคล้ายๆ กัน 555)
    ระหว่างเจรจาต่อรองกัน การเจรจาสันติภาพที่ปารีสเกิดสะดุด ฮานอยไม่ยอม อย่านึกว่าหมูนะ พญาอินทรี ที่พยายามจะแปลงกายเป็นนกพิราบก็เลยยั๊วะ งั้นสั่งรบต่อก็ได้ (วะ) คราวนี้ไม่รบแค่ในเวียตนาม ไอ้พวกญวนแดงอยากหนุนเขมรแดงดีนัก บอมบ์เขมรแม่มซะเลย คราวนี้กำลังรำคาญพี่ไทยที่มาแบมือขอเงินเพิ่ม พี่เบิ้มก็เลยใช้เกาะกวมเป็นฐานทัพ
    เจ้าของสวนทุเรียนได้ข่าว ก็รีบถลาไปเจรจาใหม่ (เขาเรียกว่าตื๊อน่ะ ถ้าจะให้พูดตรงๆ) ยูก้อ เราก็คบกันมานาน รู้ใจกัน จะเอาอะไรก็บอก ไอก็จะพยายาม ยูบินจากกวมน่ะ  มันไกลนะ เปลืองน้ำมัน กลับมาใช้ฐานทัพเราเหมือนเดิมเหอะ แต่ไอ้ MAP น่ะ ลดเหลือ 20 ล้าน มันก็เกินไปนะ ไปคิดใหม่ไป๊!
    ไอ้นิสัยที่ชอบใช้แผน 2 (2 หน้า) ของอเมริกานี่แหละ ก็ไม่ใช่ว่า จะรอดหูรอดตาประชาชนและสื่อของตนเองได้ การปฏิบัติการลับในเขมรจึงรั่วออกไปนิวยอร์ก ไทม์ส (N.Y Times) ลงข่าวใส่สีครบ ทำให้สภาสูงของอเมริกาซักฟอกเรื่องนี้ มีการถามถึงแผนตากสิน (Project 22) และบทบาทของไทยในลาวรวมทั้ง ข้อตกลงThanant Rusk
    ถึงกับมีประโยคอมตะออกมาเกี่ยวกับไทยว่า ไทยเป็นพันธมิตรดีสุดที่เงินซื้อได้ (“the Thai are the best allies money can buy”) อันนี้ปรากฏอยู่ในรายงานของอเมริกาเอง ผมไม่ได้แต่งเติม
    เห็นชัดหรือยังเขามองผู้บริหาร หรือรัฐบาลของเราอย่างไร ที่ผ่านมามีอะไรเปลี่ยนบ้าง ได้แต่เดินกุมตามก้นเขา แบมือขอเงินเขา เขาต้มแล้วต้มอีก ยังไม่รู้ตัว ล่าสุด ยังแถมไปยืนกระแดะยิ้มเยิ้มให้เขาจนลือกันไปทั้งโลกไม่มียางเหลือเลยนะ
    ระหว่างปี พ.ศ. 2512-2516 (ค.ศ.1969-1973) การเมืองไทยเริ่มมีปัญหาอีกครั้ง
    เริ่มจากนายถนัด คอมันตร์ รมต.ตปท.ของไทยเร่งให้อเมริกาถอนฐานทัพจากไทย เนื่องจากนายถนัด รู้อยู่แก่ใจว่าไอ้ข้อตกลง Thanant Rusk นี่มันของเก๊
    ประโยชน์จริงๆ ของไทยอยู่ตรงไหนหาไม่เจอ อเมริกายิ่งอยู่นานไทยแลนด์ก็ยิ่งตกอยู่ในกรงอินทรีลึกเข้าไปทุกที กระดิกกระเดี้ยไม่ออก จะเป็นง่อยเปลี้ยเสียขาซะด้วยซ้ำ แต่ด้านรัฐบาลนายกถนอม กลับยังต้องการให้อเมริกาคงฐานทัพและเงินช่วยเหลือต่อไป เพราะอะไร ก็คงพอเข้าใจกัน อย่าให้ต้องพูดชัดกว่านี้เลยนะ
    อเมริกาเองก็ถูกบีบจากสภาสูง (Congress) ให้รีบเร่งลงนามสัญญาสันติภาพกับเวียตนาม.. เพราะที่ลง ทุนไปสร้างเรื่องรบกับเวียตนามเอาใจนักค้าอาวุธที่ควบคุมรัฐบาลอเมริกาอยู่อีกต่อหนึ่งนั่นน่ะ มันชักจะไม่คุ้ม นักค้าอาวุธได้เงินก็จริง แต่ประชาชนชาวดอกไม้บานในอเมริกาเริ่มจะโวยไม่หยุด เพราะทหารอเมริกันตายเป็นเบือ
    แล้วอเมริกาลงนามสัญญาสันติภาพที่ปารีส เมื่อ 28 ม.ค. พ.ศ.2516 (ค.ศ.1973) ขณะเดียวกันยังคงกองกำลังทางอากาศขนาดใหญ่และกองเรือในภูมิภาคต่อไป แต่การให้ความช่วยเหลือไทยถูกตัดลดจากปีละ 100 ล้านเหรียญ เหลือปีละ 38 ล้านเหรียญ!  มันเป็นการลดฮวบ ที่เหล่านักวิ่งผลัด ช็อกจนพูดไม่ออก นักวิ่งผลัดเริ่มแตกคอกัน นักศึกษาและสื่อ เริ่มประท้วงเรื่องรัฐบาลทหารเผด็จการ ต้องการรัฐบาลประชาธิปไตย
    แปลกดีนะ หลังจากเป็นเผด็จการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2504 นะ 12 ปี ไม่เคยมีใครประท้วง วันดีคืนดีการประท้วงก็เกิดขึ้น! เริ่มมีนักวิชาการ นักศึกษา เรียกร้องหาประชาธิปไตยของจริง ที่สำคัญมีหมายเหตุในรายงานทูตอเมริกันในไทย ถึงกระทรวงตปท.อเมริกัน บอกว่า นักศึกษาชุมนุมเดินขบวนเรียกร้องประชาธิปไตย แต่ไม่มีใครออกมาโวยเรื่องฐานทัพอเมริกาในไทย จังหวะเวลามันให้บังเอิญดีจริงนึกให้ดีๆ แล้วลองตีโจทก์กันเองบ้าง
    นอกจากนี้ ในรายงานของ CIA ระบุว่า นายคิสซิงเจอร์ ในฐานะรมว. ตปท. อเมริกาได้สนทนากับนายลี กวน ยู นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ขณะนั้นเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ.2516
    นายลีบอกว่า สถานการณ์ไทยน่าเป็นห่วงนะ ถ้าเขมรไป ไอว่าถนอม ประภาส คงอยู่ได้ไม่เกิน 18 เดือน ก่อนเก็บของเปิดก้นวิ่งหนีแน่ ยูควรบอกเขานะ ว่ายูจะดูแลเขา ไอคุยกับชาติชายไปแล้ว ว่ายูจะดูแลเขา แต่ยูบอกเองดีกว่า
    นายคิสซิงเจอร์บอกว่า นี่ท่านนายก (ลี) เราก็พยายามอดทนมากนะ เราก็ต้องผ่านความยากลำบากมาเหมือน กัน เราก็ต้องคิดว่าเราจะตัดสินใจอย่างไร
    นายลีบอก ยูต้องบอกให้ถนอม ประภาส รู้เรื่องนะ ว่ายูไม่สนับสนุนปฏิวัติ หรือยูจะดำเนินการอื่น นายคิสซิงเจอร์ บอกว่า เราไม่สนับสนุนปฏิวัติหรอก แต่เราจะดูหนทางดำเนินการอื่น…(ไม่ได้นั่งเทียนเขียนขึ้นมาเองนะ ครับ บทสนทนาข้างต้นน่ะ อยู่ในรายงานของ CIA ล้วนๆ)


    คนเล่านิทาน
    ๘-๖

    ของแถมประจำวันนี้

    เป็นเอกสารบันทึกการประชุม ที่มีนาย Henry Kissinger รมว ตปท อเมริกา
    กับ คณะ การสนทนาส่วนหนึ่ง ทำให้เราเห็นชัดว่า การที่อเมริกาเข้ามาใช้บ้านเราเป็น
    ฐานทัพนั้น ไม่มีสัญญา เป็นทางการกับเรา
    นาย Habib ผู้ชี้แจง คือ นาย Philip Habib นักการทูต ผู้ชำนาญเกีี่ยวกับเอเซีย
    และมีอิทธิพลสูงในช่วงสงครามเวียตนาม
    ๙-๒
    ของแถมอีกชิ้น
    เอกสาร อันนี้เป็น Memorandum เมื่อ February 27, 1967
    จาก Asst Secretary of State ถึง Secreatary of State Rusk
    เกี่ยวกับการใช้ฐานทัพไทย แบบใช้ของเถื่อน ไม่มีหลักฐาน
    เชิญอ่านกันครับ อ่านแล้วรู้สึกอย่างไร บอกกันบ้าง
    ๙-๓-1
    ของแถมชิ้นโปรด
    รายงาน ชนิดลับสุดยอด ข้อความกลายแห่งถูกตัดออก
    แต่พอ อ่านได้ ถึงประโยคทอง ..”trust us, we know what to do”
    จาก ทูต Unger ถึง กระทรวง ตปท อเมริกา เมื่อ August 9, 1968
     ตอน 9 ระหว่างที่สงครามเวียตนามกำลังเริ่มเข้าขั้นโคม่า ตั้งแต่ปี พ.ศ.2510 (ค.ศ.1967) พี่เบิ้มเริ่มเป็นฝ่ายรับ พี่เบิ้มจึงเปลี่ยนมาใช้แผน 2 (แผน 2 หน้า) หน้าหนึ่งก็เริ่มให้มีการเดินสายเล่นบทเจรจา ระหว่างรัฐมนตรีตปท.คนสำคัญของพี่เบิ้มกับทางเวียตนาม คนมีเสน่ห์ เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ (Henry Kissinger) รมต ตปท ของพี่เบิ้มสมัยนั้น เดินทางเป็นว่าเล่น เหมือนคุณนาย คลินตัน (Clinton) ตอนรัฐบาลโอบามา (Obama 1) นั่นแหละ อีกหน้าหนึ่งก็ส่งให้ลูกกะเป๋งทั้งหลาย ก็ใครล่ะ นึกให้ดีนะ ลุยเข้าไปถล่มคอมมี่ต่อ (โปรดสังเกตพวกพี่เบิ้ม เวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน รมต.ตปท. ชีพจรลงเท้าทั้งนั้น ตอนนี้ก็เห็นบินกันว่อน ตามดูรอบตัวเรากันบ้างนะครับ) ดังนั้นปฏิบัติการลับในประเทศลาว ซึ่งฝ่ายไทยนำโดย รหัสเทพ 333 (ไปหาเอาเองนะครับว่าเป็นใคร) กับฝ่าย CIA อเมริกา จึงทำงานหนัก บินกระหน่ำถล่มคอมมิวนิสต์ที่ลาว ผลลาวแตกเป็น 2 ฝ่าย เมื่อปี พ.ศ.2518 (ค.ศ.1975) พี่น้องเจ้าลาวถูกเสี้ยมให้แตกกันเอง เจ้าสุวรรณภูมา ผู้พี่ วิ่งไปอยู่ในอ้อมกอดของพี่เบิ้มอเมริกา เจ้าสุภานุวงศ์ คนน้อง เหม็นฝรั่ง จึงไปซบกับฝ่ายจีน แล้วลาวก็เปลี่ยนจากประเทศที่ปกครองโดยระบอบกษัตริย์ เป็นประเทศที่ปกครองโดยระบอบสังคมนิยม ตั้งแต่ครั้งนั้น ฝีมือใครครับ โปรดไปศึกษาต่อน่าสนใจมาก ไม่ใช่เฉพาะที่ลาว ในสงครามเวียตนามเอง หลัง จากทุ่มเงินไปกว่าพันล้านเหรียญ (ใช้เงินมากกว่าตอนอเมริการบในสงครามโลกครั้งที่ 2 !) ใช้ทหารไปรบประมาณ 500,000 นาย เสียชีวิตไประหว่างรบทั้งหมดเกือบ 60,000 คน ยังไม่นับที่สูญหาย ทุพพลภาพทางกายและจิตใจ อเมริกาก็ออกอาการ ยืนพิงเชือก ปี พ.ศ.2512 (ค.ศ.1969) อเมริกาเสนอขอเจรจาสงบศึกกับเวียตนาม !!!! มันจะเป็นไปได้ยังไง อเมริกา (อ้างว่า) ลงทุนกับสงครามอินโดจีนมากมาย ทั้งด้านอาวุธ กำลังพล และกำลังทรัพย์ …ชาวประชาก็เป็นมึน กำลังรบกันเข้าฝัก ดันถอยทัพเสียอย่างนั้น ไทยแลนด์งงเป็นไก่ตาฟาง นักวิ่งผลัดวิ่งพล่านชนกันเอง เฮ้ย เฮ้ย เอาไงวะ พวก! มันเป็นไปแล้ว ก็บอกว่า เล่นแผน 2 วันที่ 25 ก.ค. พ.ศ.2512 ประธานาธิบดีนิกสันก็ประกาศ Guam Doctrine สรุปว่า พี่เบิ้มเปลี่ยนจากเหยี่ยวเป็นพิราบ (เปลี่ยนง่ายดีนะ ลูกกะเป๋งปรับตัวกันไม่ทันเลยว่ะ) จะไม่ส่งทหารไปช่วยทำสงครามกับประเทศที่ถูกรุกราน (โดยคอมมิวนิสต์) แต่จะให้ความช่วยเหลือประเทศพันธมิตรด้านเศรษฐกิจ (ฮั่นแน่!) และการทหารแทน แหม! นี่มันพิราบติดกรงเล็บเหยี่ยวนี่นา หลอกใครไม่รู้ แล้วไงล่ะ ไทยแลนด์ตอนให้เขาเข้ามาในบ้าน ใช้เป็นฐานทัพ เขาก็ไม่ถาม ไม่เซ็นสัญญา พอเขาจะไป เขาก็ไม่ปรึกษา บทจะไปก็เก็บฉากไปซะยังงั้น  นักวิ่งผลัดก็หน้ามืดละซิ ที่นี้จะเอาไงดี เงิน MAP ที่พี่เบิ้มเขาเคยให้ปีละ 100 ล้านเหรียญ เขาก็ลดลงเหลือ 20 กว่า ล้านเหรียญ ต๊าย ตาย ลดเยอะนะพวกเรา เดี๋ยวตอผุด เอายังไงดี อเมริกาก็ยังเป็นอเมริกา ปากบอกว่าถอนทหาร ถอยทัพ แต่ตาก็ขยิบ สั่งให้ลูกกะเป๋งไปถล่มเขมร ก็บินไปจากฐานทัพในไทยนั่นแหละ …เหล่านักวิ่งผลัด ก็เลยเห็นโอกาส ยังไม่อยากให้ยี่เกปิดฉาก นายพลเจ้าของสวนทุเรียน (ไปหาชื่อกันเองแล้วกันนะ เขียนมานี่ก็เสียวหลายเรื่องแล้ว) ก็เลยรับหน้าที่ไปเจรจากับพี่เบิ้ม ได้ไง! ยูสั่งให้ไอบิน ไอก็บิน สั่งให้ไอถล่ม ไอก็ถล่ม บอกไม่ทำสัญญา ไอก็ O.K ทหารยูทำผู้หญิงไทยท้อง ชกไอ้หนูหน้าดำผอมเกร็งแถวอีสานจนงอม ไม่ยอมขึ้นศาลไทย ไอก็ยอมหมดแล้ว …แต่เรื่องจะมาลด MAP นี่เรื่องใหญ่นะ (ของมันเคยได้น่ะ) แล้วต่อไปนี้สั่งใครเขาก็ลำบากนะ…ทุกอย่างมันต้องใช้เงินทั้ง นั้นนะ (เอะ เดี๋ยว ๆ นี่มันเรื่องสงครามเวียตนาม หรือสงครามไพร่ครองเมืองนะ คนเล่านิทานชักงง เรื่องมันคล้ายๆ กัน 555) ระหว่างเจรจาต่อรองกัน การเจรจาสันติภาพที่ปารีสเกิดสะดุด ฮานอยไม่ยอม อย่านึกว่าหมูนะ พญาอินทรี ที่พยายามจะแปลงกายเป็นนกพิราบก็เลยยั๊วะ งั้นสั่งรบต่อก็ได้ (วะ) คราวนี้ไม่รบแค่ในเวียตนาม ไอ้พวกญวนแดงอยากหนุนเขมรแดงดีนัก บอมบ์เขมรแม่มซะเลย คราวนี้กำลังรำคาญพี่ไทยที่มาแบมือขอเงินเพิ่ม พี่เบิ้มก็เลยใช้เกาะกวมเป็นฐานทัพ เจ้าของสวนทุเรียนได้ข่าว ก็รีบถลาไปเจรจาใหม่ (เขาเรียกว่าตื๊อน่ะ ถ้าจะให้พูดตรงๆ) ยูก้อ เราก็คบกันมานาน รู้ใจกัน จะเอาอะไรก็บอก ไอก็จะพยายาม ยูบินจากกวมน่ะ  มันไกลนะ เปลืองน้ำมัน กลับมาใช้ฐานทัพเราเหมือนเดิมเหอะ แต่ไอ้ MAP น่ะ ลดเหลือ 20 ล้าน มันก็เกินไปนะ ไปคิดใหม่ไป๊! ไอ้นิสัยที่ชอบใช้แผน 2 (2 หน้า) ของอเมริกานี่แหละ ก็ไม่ใช่ว่า จะรอดหูรอดตาประชาชนและสื่อของตนเองได้ การปฏิบัติการลับในเขมรจึงรั่วออกไปนิวยอร์ก ไทม์ส (N.Y Times) ลงข่าวใส่สีครบ ทำให้สภาสูงของอเมริกาซักฟอกเรื่องนี้ มีการถามถึงแผนตากสิน (Project 22) และบทบาทของไทยในลาวรวมทั้ง ข้อตกลงThanant Rusk ถึงกับมีประโยคอมตะออกมาเกี่ยวกับไทยว่า ไทยเป็นพันธมิตรดีสุดที่เงินซื้อได้ (“the Thai are the best allies money can buy”) อันนี้ปรากฏอยู่ในรายงานของอเมริกาเอง ผมไม่ได้แต่งเติม เห็นชัดหรือยังเขามองผู้บริหาร หรือรัฐบาลของเราอย่างไร ที่ผ่านมามีอะไรเปลี่ยนบ้าง ได้แต่เดินกุมตามก้นเขา แบมือขอเงินเขา เขาต้มแล้วต้มอีก ยังไม่รู้ตัว ล่าสุด ยังแถมไปยืนกระแดะยิ้มเยิ้มให้เขาจนลือกันไปทั้งโลกไม่มียางเหลือเลยนะ ระหว่างปี พ.ศ. 2512-2516 (ค.ศ.1969-1973) การเมืองไทยเริ่มมีปัญหาอีกครั้ง เริ่มจากนายถนัด คอมันตร์ รมต.ตปท.ของไทยเร่งให้อเมริกาถอนฐานทัพจากไทย เนื่องจากนายถนัด รู้อยู่แก่ใจว่าไอ้ข้อตกลง Thanant Rusk นี่มันของเก๊ ประโยชน์จริงๆ ของไทยอยู่ตรงไหนหาไม่เจอ อเมริกายิ่งอยู่นานไทยแลนด์ก็ยิ่งตกอยู่ในกรงอินทรีลึกเข้าไปทุกที กระดิกกระเดี้ยไม่ออก จะเป็นง่อยเปลี้ยเสียขาซะด้วยซ้ำ แต่ด้านรัฐบาลนายกถนอม กลับยังต้องการให้อเมริกาคงฐานทัพและเงินช่วยเหลือต่อไป เพราะอะไร ก็คงพอเข้าใจกัน อย่าให้ต้องพูดชัดกว่านี้เลยนะ อเมริกาเองก็ถูกบีบจากสภาสูง (Congress) ให้รีบเร่งลงนามสัญญาสันติภาพกับเวียตนาม.. เพราะที่ลง ทุนไปสร้างเรื่องรบกับเวียตนามเอาใจนักค้าอาวุธที่ควบคุมรัฐบาลอเมริกาอยู่อีกต่อหนึ่งนั่นน่ะ มันชักจะไม่คุ้ม นักค้าอาวุธได้เงินก็จริง แต่ประชาชนชาวดอกไม้บานในอเมริกาเริ่มจะโวยไม่หยุด เพราะทหารอเมริกันตายเป็นเบือ แล้วอเมริกาลงนามสัญญาสันติภาพที่ปารีส เมื่อ 28 ม.ค. พ.ศ.2516 (ค.ศ.1973) ขณะเดียวกันยังคงกองกำลังทางอากาศขนาดใหญ่และกองเรือในภูมิภาคต่อไป แต่การให้ความช่วยเหลือไทยถูกตัดลดจากปีละ 100 ล้านเหรียญ เหลือปีละ 38 ล้านเหรียญ!  มันเป็นการลดฮวบ ที่เหล่านักวิ่งผลัด ช็อกจนพูดไม่ออก นักวิ่งผลัดเริ่มแตกคอกัน นักศึกษาและสื่อ เริ่มประท้วงเรื่องรัฐบาลทหารเผด็จการ ต้องการรัฐบาลประชาธิปไตย แปลกดีนะ หลังจากเป็นเผด็จการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2504 นะ 12 ปี ไม่เคยมีใครประท้วง วันดีคืนดีการประท้วงก็เกิดขึ้น! เริ่มมีนักวิชาการ นักศึกษา เรียกร้องหาประชาธิปไตยของจริง ที่สำคัญมีหมายเหตุในรายงานทูตอเมริกันในไทย ถึงกระทรวงตปท.อเมริกัน บอกว่า นักศึกษาชุมนุมเดินขบวนเรียกร้องประชาธิปไตย แต่ไม่มีใครออกมาโวยเรื่องฐานทัพอเมริกาในไทย จังหวะเวลามันให้บังเอิญดีจริงนึกให้ดีๆ แล้วลองตีโจทก์กันเองบ้าง นอกจากนี้ ในรายงานของ CIA ระบุว่า นายคิสซิงเจอร์ ในฐานะรมว. ตปท. อเมริกาได้สนทนากับนายลี กวน ยู นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ขณะนั้นเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ.2516 นายลีบอกว่า สถานการณ์ไทยน่าเป็นห่วงนะ ถ้าเขมรไป ไอว่าถนอม ประภาส คงอยู่ได้ไม่เกิน 18 เดือน ก่อนเก็บของเปิดก้นวิ่งหนีแน่ ยูควรบอกเขานะ ว่ายูจะดูแลเขา ไอคุยกับชาติชายไปแล้ว ว่ายูจะดูแลเขา แต่ยูบอกเองดีกว่า นายคิสซิงเจอร์บอกว่า นี่ท่านนายก (ลี) เราก็พยายามอดทนมากนะ เราก็ต้องผ่านความยากลำบากมาเหมือน กัน เราก็ต้องคิดว่าเราจะตัดสินใจอย่างไร นายลีบอก ยูต้องบอกให้ถนอม ประภาส รู้เรื่องนะ ว่ายูไม่สนับสนุนปฏิวัติ หรือยูจะดำเนินการอื่น นายคิสซิงเจอร์ บอกว่า เราไม่สนับสนุนปฏิวัติหรอก แต่เราจะดูหนทางดำเนินการอื่น…(ไม่ได้นั่งเทียนเขียนขึ้นมาเองนะ ครับ บทสนทนาข้างต้นน่ะ อยู่ในรายงานของ CIA ล้วนๆ) คนเล่านิทาน ๘-๖ ของแถมประจำวันนี้ เป็นเอกสารบันทึกการประชุม ที่มีนาย Henry Kissinger รมว ตปท อเมริกา กับ คณะ การสนทนาส่วนหนึ่ง ทำให้เราเห็นชัดว่า การที่อเมริกาเข้ามาใช้บ้านเราเป็น ฐานทัพนั้น ไม่มีสัญญา เป็นทางการกับเรา นาย Habib ผู้ชี้แจง คือ นาย Philip Habib นักการทูต ผู้ชำนาญเกีี่ยวกับเอเซีย และมีอิทธิพลสูงในช่วงสงครามเวียตนาม ๙-๒ ของแถมอีกชิ้น เอกสาร อันนี้เป็น Memorandum เมื่อ February 27, 1967 จาก Asst Secretary of State ถึง Secreatary of State Rusk เกี่ยวกับการใช้ฐานทัพไทย แบบใช้ของเถื่อน ไม่มีหลักฐาน เชิญอ่านกันครับ อ่านแล้วรู้สึกอย่างไร บอกกันบ้าง ๙-๓-1 ของแถมชิ้นโปรด รายงาน ชนิดลับสุดยอด ข้อความกลายแห่งถูกตัดออก แต่พอ อ่านได้ ถึงประโยคทอง ..”trust us, we know what to do” จาก ทูต Unger ถึง กระทรวง ตปท อเมริกา เมื่อ August 9, 1968
    3 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 382 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหรียญพระยายเขียด รุ่นแรก วัดยางแดง จ.ปัตตานี ปี2536
    เหรียญพระยายเขียด พิมพ์หยดน้ำ เนื้อทองแดงรมดำ รุ่นแรก วัดยางแดง จ.ปัตตานี ปี2536 //พระดีมาก อยากแนะนำ !! พระมีขนาดเล็ก!! สุดยอด...แห่งความเหนียว..อยู่ยงคงกระพัน ปลุกเสกโดยพระเกจิสายหลวงพ่อทวด - สายเขาอ้อ // สถาพสวยยยยยกริ๊บ!! // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ //

    ."" เหรียญขนาดเล็ก เหมาะก็บเด็ก ผู้หญิง หรือ ลูกหลาน ไว้คุ้มครอง คนที่ท่านห่วงใย ครับ ""^o^

    ** พุทธคุณ อันดับ1 ของสามจังหวัดชายแดนใต้ คงกระพันชาตรี มหาอุด ทั้งปืนและระเบิด จังงัง แคล้วคลาด และป้องกันอันตรายต่าง ๆ และเมตตามหานิยม ประสบการณ์ด้านคงกระพัน กับทหาร ตำรวจ และชาวบ้าน มีมากมายครับ ใครมีต่างหวงแหนกันมาก >>

    ** พระดีพิธีใหญ๋ พระยายเขียด วัดยางแดง จ.ปัตตานี ปี2536 รุ่นนี้รุ่นประสบการณ์ ยิงไม่เข้า มหาอุด และประสบการณ์อีกมากมาย พระดี พิธีใหญ่ เกจิอาจารย์ที่ร่วมพิธีปลุกเสก อาจารย์นอง วัดทรายขาว, อ.พล วัดนาประดู่ หลวงปู่แดง วัดศรีมหาโพธิ์, พ่อท่านเขียว วัดห้วยเงาะ พ่อท่านหย่วน วัดช้างให้ อาจารย์จวน วัดยางแดง หลวงพ่อหวาน วัดสะบ้าย้อน และเกจิอื่นๆอีกมากมาย ร่วมปลุกเสก... >>

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    เหรียญพระยายเขียด รุ่นแรก วัดยางแดง จ.ปัตตานี ปี2536 เหรียญพระยายเขียด พิมพ์หยดน้ำ เนื้อทองแดงรมดำ รุ่นแรก วัดยางแดง จ.ปัตตานี ปี2536 //พระดีมาก อยากแนะนำ !! พระมีขนาดเล็ก!! สุดยอด...แห่งความเหนียว..อยู่ยงคงกระพัน ปลุกเสกโดยพระเกจิสายหลวงพ่อทวด - สายเขาอ้อ // สถาพสวยยยยยกริ๊บ!! // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ // ."" เหรียญขนาดเล็ก เหมาะก็บเด็ก ผู้หญิง หรือ ลูกหลาน ไว้คุ้มครอง คนที่ท่านห่วงใย ครับ ""^o^ ** พุทธคุณ อันดับ1 ของสามจังหวัดชายแดนใต้ คงกระพันชาตรี มหาอุด ทั้งปืนและระเบิด จังงัง แคล้วคลาด และป้องกันอันตรายต่าง ๆ และเมตตามหานิยม ประสบการณ์ด้านคงกระพัน กับทหาร ตำรวจ และชาวบ้าน มีมากมายครับ ใครมีต่างหวงแหนกันมาก >> ** พระดีพิธีใหญ๋ พระยายเขียด วัดยางแดง จ.ปัตตานี ปี2536 รุ่นนี้รุ่นประสบการณ์ ยิงไม่เข้า มหาอุด และประสบการณ์อีกมากมาย พระดี พิธีใหญ่ เกจิอาจารย์ที่ร่วมพิธีปลุกเสก อาจารย์นอง วัดทรายขาว, อ.พล วัดนาประดู่ หลวงปู่แดง วัดศรีมหาโพธิ์, พ่อท่านเขียว วัดห้วยเงาะ พ่อท่านหย่วน วัดช้างให้ อาจารย์จวน วัดยางแดง หลวงพ่อหวาน วัดสะบ้าย้อน และเกจิอื่นๆอีกมากมาย ร่วมปลุกเสก... >> ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 231 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหรียญพญาเต่าจิ๋ว
    เหรียญพญาเต่าจิ๋ว เนื้อกะไหล่ทอง ไม่ทราบที่ //พระจะมีขนาดเล็กจิ๋ว เล็กกะทัดรัด //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    **เหรียญมีขนาดเล็กจิ๋ว เล็กกะทัดรัด เหมาะสำหรับผู้หญิง หรือเด็ก ๆ ถ้าเลี่ยมทองจะสวยมาก เหมาะสำหรับเป็นพระเครื่องมงคลประจำตัว ลูกๆ หลานๆ .เหมาะสำหรับคนพิเศษ เล็กๆน่ารักครับ >>

    ** พุทธคุณบูชาจะนำพาโชคลาภและทรัพย์สินเงินทองมาให้ คงกระพันชาตรี เมตตามหานิยม ทำมาค้าขายดี มีโชคลาภ เจริญรุ่งเรือง ร่ำรวยเงินทอง โภคทรัพย์ >>>


    **พระสถาพสวยมาก เดิมๆ พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    เหรียญพญาเต่าจิ๋ว เหรียญพญาเต่าจิ๋ว เนื้อกะไหล่ทอง ไม่ทราบที่ //พระจะมีขนาดเล็กจิ๋ว เล็กกะทัดรัด //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> **เหรียญมีขนาดเล็กจิ๋ว เล็กกะทัดรัด เหมาะสำหรับผู้หญิง หรือเด็ก ๆ ถ้าเลี่ยมทองจะสวยมาก เหมาะสำหรับเป็นพระเครื่องมงคลประจำตัว ลูกๆ หลานๆ .เหมาะสำหรับคนพิเศษ เล็กๆน่ารักครับ >> ** พุทธคุณบูชาจะนำพาโชคลาภและทรัพย์สินเงินทองมาให้ คงกระพันชาตรี เมตตามหานิยม ทำมาค้าขายดี มีโชคลาภ เจริญรุ่งเรือง ร่ำรวยเงินทอง โภคทรัพย์ >>> **พระสถาพสวยมาก เดิมๆ พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 139 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากแนวหน้าการแพทย์: ยาฉีดปีละสองครั้งที่อาจหยุดการระบาดของ HIV

    หลังจากการต่อสู้กับ HIV มานานกว่า 44 ปี โลกอาจเข้าใกล้จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เมื่อ Lenacapavir ได้รับการอนุมัติจาก FDA ให้ใช้เป็นยา PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) สำหรับผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อแต่มีความเสี่ยงสูง โดยผลการทดลองแสดงว่า ผู้เข้าร่วมกว่า 99.9% ไม่ติดเชื้อ หลังได้รับยา

    Lenacapavir เป็นยากลุ่มใหม่ที่เรียกว่า capsid inhibitor ซึ่งทำงานโดยขัดขวางการทำงานของเปลือกโปรตีนของไวรัส HIV ทำให้ไวรัสไม่สามารถเพิ่มจำนวนในร่างกายได้

    ที่สำคัญคือ Gilead Sciences ผู้ผลิตยา ได้ร่วมมือกับ Global Fund เพื่อจัดหายานี้ให้กับ 2 ล้านคนในประเทศรายได้น้อยและปานกลาง โดยไม่แสวงหากำไร พร้อมเซ็นสัญญาอนุญาตให้ผู้ผลิตยาสามัญ 6 รายผลิตยาใน 120 ประเทศ

    Lenacapavir (Yeztugo) ได้รับการอนุมัติจาก FDA ในสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนมิถุนายน 2025
    เป็นยาฉีดปีละสองครั้งสำหรับป้องกัน HIV ในผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อ
    เป็นยากลุ่ม capsid inhibitor ที่ทำงานหลายขั้นตอนในวงจรชีวิตของไวรัส

    ผลการทดลองทางคลินิกแสดงประสิทธิภาพสูงมาก
    ในการทดลอง PURPOSE 1: ผู้หญิงในแอฟริกาใต้และยูกันดา ไม่มีผู้ติดเชื้อเลย
    ในการทดลอง PURPOSE 2: ผู้ชายและกลุ่มหลากหลายเพศจากหลายประเทศ มีผู้ติดเชื้อเพียง 2 คนจากกว่า 2,000 คน

    Gilead ร่วมมือกับ Global Fund เพื่อจัดหายาให้ประเทศรายได้น้อยโดยไม่แสวงหากำไร
    ตั้งเป้าเข้าถึง 2 ล้านคนภายใน 3 ปี
    มีการเซ็นสัญญาอนุญาตให้ผลิตยาสามัญใน 120 ประเทศ

    WHO ออกคำแนะนำให้ใช้ Lenacapavir เป็นทางเลือกใหม่ในการป้องกัน HIV
    เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาในการใช้ยาแบบรายวัน
    เป็น “ทางเลือกที่ใกล้เคียงวัคซีน HIV ที่สุดในปัจจุบัน”

    Lenacapavir ช่วยลดอุปสรรคด้านการเข้าถึงและความอับอายในการใช้ PrEP
    ลดจำนวนการไปคลินิกเหลือเพียงปีละสองครั้ง
    เหมาะสำหรับกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้หญิง, LGBTQ+, ผู้ใช้สารเสพติด, ผู้ต้องขัง

    ราคายาในสหรัฐยังสูงมาก แม้จะมีโครงการช่วยเหลือ
    ราคาปีละประมาณ $28,000 หรือราว 1 ล้านบาท
    แม้มีโครงการช่วยเหลือ แต่การเข้าถึงยังขึ้นอยู่กับระบบประกันสุขภาพ

    การเข้าถึงในประเทศกำลังพัฒนาอาจถูกขัดขวางจากการตัดงบของสหรัฐ
    โครงการ PEPFAR ถูกลดงบประมาณโดยรัฐบาลทรัมป์
    ส่งผลให้คลินิกและบริการ HIV ในหลายประเทศต้องปิดตัว

    การใช้ยาในผู้ที่ติดเชื้อโดยไม่รู้ตัวอาจทำให้เกิดเชื้อดื้อยา
    ต้องตรวจ HIV ก่อนเริ่มใช้และก่อนฉีดทุกครั้ง
    หากติดเชื้อแล้ว ต้องเปลี่ยนไปใช้ยารักษา HIV เต็มรูปแบบทันที

    ผลข้างเคียงที่พบได้ เช่น ปวดบริเวณฉีด, คลื่นไส้, ก้อนใต้ผิวหนัง
    ก้อนยาอาจอยู่ใต้ผิวหนังนานหลายเดือน
    ต้องแจ้งผู้ใช้ให้ทราบล่วงหน้าเพื่อไม่ให้เกิดความกังวล

    https://newatlas.com/infectious-diseases/hiv-prevention-fda-lenacapavir/
    🧬 เรื่องเล่าจากแนวหน้าการแพทย์: ยาฉีดปีละสองครั้งที่อาจหยุดการระบาดของ HIV หลังจากการต่อสู้กับ HIV มานานกว่า 44 ปี โลกอาจเข้าใกล้จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เมื่อ Lenacapavir ได้รับการอนุมัติจาก FDA ให้ใช้เป็นยา PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) สำหรับผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อแต่มีความเสี่ยงสูง โดยผลการทดลองแสดงว่า ผู้เข้าร่วมกว่า 99.9% ไม่ติดเชื้อ หลังได้รับยา Lenacapavir เป็นยากลุ่มใหม่ที่เรียกว่า capsid inhibitor ซึ่งทำงานโดยขัดขวางการทำงานของเปลือกโปรตีนของไวรัส HIV ทำให้ไวรัสไม่สามารถเพิ่มจำนวนในร่างกายได้ ที่สำคัญคือ Gilead Sciences ผู้ผลิตยา ได้ร่วมมือกับ Global Fund เพื่อจัดหายานี้ให้กับ 2 ล้านคนในประเทศรายได้น้อยและปานกลาง โดยไม่แสวงหากำไร พร้อมเซ็นสัญญาอนุญาตให้ผู้ผลิตยาสามัญ 6 รายผลิตยาใน 120 ประเทศ ✅ Lenacapavir (Yeztugo) ได้รับการอนุมัติจาก FDA ในสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนมิถุนายน 2025 ➡️ เป็นยาฉีดปีละสองครั้งสำหรับป้องกัน HIV ในผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อ ➡️ เป็นยากลุ่ม capsid inhibitor ที่ทำงานหลายขั้นตอนในวงจรชีวิตของไวรัส ✅ ผลการทดลองทางคลินิกแสดงประสิทธิภาพสูงมาก ➡️ ในการทดลอง PURPOSE 1: ผู้หญิงในแอฟริกาใต้และยูกันดา ไม่มีผู้ติดเชื้อเลย ➡️ ในการทดลอง PURPOSE 2: ผู้ชายและกลุ่มหลากหลายเพศจากหลายประเทศ มีผู้ติดเชื้อเพียง 2 คนจากกว่า 2,000 คน ✅ Gilead ร่วมมือกับ Global Fund เพื่อจัดหายาให้ประเทศรายได้น้อยโดยไม่แสวงหากำไร ➡️ ตั้งเป้าเข้าถึง 2 ล้านคนภายใน 3 ปี ➡️ มีการเซ็นสัญญาอนุญาตให้ผลิตยาสามัญใน 120 ประเทศ ✅ WHO ออกคำแนะนำให้ใช้ Lenacapavir เป็นทางเลือกใหม่ในการป้องกัน HIV ➡️ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาในการใช้ยาแบบรายวัน ➡️ เป็น “ทางเลือกที่ใกล้เคียงวัคซีน HIV ที่สุดในปัจจุบัน” ✅ Lenacapavir ช่วยลดอุปสรรคด้านการเข้าถึงและความอับอายในการใช้ PrEP ➡️ ลดจำนวนการไปคลินิกเหลือเพียงปีละสองครั้ง ➡️ เหมาะสำหรับกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้หญิง, LGBTQ+, ผู้ใช้สารเสพติด, ผู้ต้องขัง ‼️ ราคายาในสหรัฐยังสูงมาก แม้จะมีโครงการช่วยเหลือ ⛔ ราคาปีละประมาณ $28,000 หรือราว 1 ล้านบาท ⛔ แม้มีโครงการช่วยเหลือ แต่การเข้าถึงยังขึ้นอยู่กับระบบประกันสุขภาพ ‼️ การเข้าถึงในประเทศกำลังพัฒนาอาจถูกขัดขวางจากการตัดงบของสหรัฐ ⛔ โครงการ PEPFAR ถูกลดงบประมาณโดยรัฐบาลทรัมป์ ⛔ ส่งผลให้คลินิกและบริการ HIV ในหลายประเทศต้องปิดตัว ‼️ การใช้ยาในผู้ที่ติดเชื้อโดยไม่รู้ตัวอาจทำให้เกิดเชื้อดื้อยา ⛔ ต้องตรวจ HIV ก่อนเริ่มใช้และก่อนฉีดทุกครั้ง ⛔ หากติดเชื้อแล้ว ต้องเปลี่ยนไปใช้ยารักษา HIV เต็มรูปแบบทันที ‼️ ผลข้างเคียงที่พบได้ เช่น ปวดบริเวณฉีด, คลื่นไส้, ก้อนใต้ผิวหนัง ⛔ ก้อนยาอาจอยู่ใต้ผิวหนังนานหลายเดือน ⛔ ต้องแจ้งผู้ใช้ให้ทราบล่วงหน้าเพื่อไม่ให้เกิดความกังวล https://newatlas.com/infectious-diseases/hiv-prevention-fda-lenacapavir/
    NEWATLAS.COM
    The first 100% effective HIV prevention drug is approved and going global
    An epidemic that's been sustained for 44 years might finally be quelled, with the milestone approval of the first HIV drug that offers 100% protection with its twice-yearly injections. It's a landmark achievement that stands to save millions of lives across the globe. The makers are also providing…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 301 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกของ AI: เมื่อคำแนะนำเรื่องเงินเดือนกลายเป็นการกดค่าตัวโดยไม่รู้ตัว

    นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคนิค Würzburg-Schweinfurt ในเยอรมนีได้ทำการทดลองกับแชตบอทยอดนิยมหลายตัว เช่น ChatGPT, Claude, Llama และอื่นๆ โดยตั้งคำถามง่ายๆ ว่า “ควรขอเงินเดือนเริ่มต้นเท่าไหร่?” แต่สิ่งที่เปลี่ยนคือ “ตัวตน” ของผู้ถาม—ชายหรือหญิง, เชื้อชาติใด, เป็นคนท้องถิ่นหรือผู้ลี้ภัย

    ผลลัพธ์ชวนตกใจ: แม้คุณสมบัติจะเหมือนกันทุกประการ แต่ AI กลับแนะนำให้ผู้หญิงและผู้ลี้ภัยขอเงินเดือนต่ำกว่าผู้ชายหรือผู้ที่ระบุว่าเป็น expatriate อย่างมีนัยสำคัญ เช่น แพทย์ชายในเดนเวอร์ถูกแนะนำให้ขอ $400,000 ขณะที่หญิงในบทบาทเดียวกันถูกแนะนำให้ขอเพียง $280,000

    สิ่งนี้สะท้อนว่า AI ไม่ได้ “คิดเอง” แต่เรียนรู้จากข้อมูลมหาศาลที่มนุษย์สร้างขึ้น—ซึ่งเต็มไปด้วยอคติทางสังคมที่ฝังอยู่ในโพสต์งาน, คำแนะนำ, สถิติรัฐบาล และแม้แต่คอมเมนต์ในโซเชียลมีเดีย

    งานวิจัยพบว่า AI แนะนำเงินเดือนต่ำกว่าสำหรับผู้หญิงและชนกลุ่มน้อย
    แม้คุณสมบัติและตำแหน่งงานจะเหมือนกันทุกประการ
    ตัวอย่าง: แพทย์ชายในเดนเวอร์ได้คำแนะนำ $400,000 แต่หญิงได้เพียง $280,000

    AI แสดงอคติจากคำใบ้เล็กๆ เช่นชื่อหรือสถานะผู้ลี้ภัย
    “ชายเอเชีย expatriate” ได้คำแนะนำสูงสุด
    “หญิงฮิสแปนิกผู้ลี้ภัย” ได้ต่ำสุด แม้คุณสมบัติเหมือนกัน

    แชตบอทเรียนรู้จากข้อมูลที่มีอคติในโลกจริง
    ข้อมูลจากหนังสือ, โพสต์งาน, โซเชียลมีเดีย ฯลฯ
    คำว่า “expatriate” สื่อถึงความสำเร็จ ส่วน “refugee” สื่อถึงความด้อยโอกาส

    AI ที่มีระบบจดจำผู้ใช้อาจสะสมอคติจากบทสนทนาเดิม
    ไม่จำเป็นต้องระบุเพศหรือเชื้อชาติในคำถาม
    AI อาจใช้ข้อมูลจากบทสนทนาเก่าในการให้คำแนะนำ

    นักวิจัยเสนอให้ใช้ “ช่องว่างเงินเดือน” เป็นตัวชี้วัดอคติของโมเดล
    แทนการวัดจากความรู้หรือคำตอบที่ถูกต้อง
    เพราะผลกระทบทางเศรษฐกิจมีความสำคัญและวัดได้จริง

    คำแนะนำจาก AI อาจทำให้ผู้หญิงและชนกลุ่มน้อยขอเงินเดือนต่ำกว่าที่ควร
    ส่งผลต่อรายได้ระยะสั้นและโอกาสในระยะยาว
    อาจกลายเป็นวงจรที่ฝังอคติในข้อมูลฝึกโมเดลรุ่นถัดไป

    ผู้ใช้ไม่รู้ว่า AI ใช้ข้อมูลส่วนตัวในการให้คำแนะนำ
    การจดจำบทสนทนาอาจนำไปสู่การเลือกปฏิบัติแบบ “ล่องหน”
    ผู้ใช้ควรระวังการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวในแชต

    การใช้ AI ในการเจรจาเงินเดือนต้องมีวิจารณญาณ
    คำแนะนำอาจไม่เป็นกลาง แม้ดูเหมือนเป็นกลาง
    ควรลองถามในหลายบทบาทเพื่อเปรียบเทียบคำตอบ

    การพัฒนา AI ที่ปราศจากอคติยังเป็นความท้าทายใหญ่
    การ “de-bias” โมเดลต้องใช้เวลาและความร่วมมือจากหลายฝ่าย
    ต้องมีมาตรฐานจริยธรรมและการตรวจสอบอิสระ

    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt/salary-advice-from-ai-low-balls-women-and-minorities-report
    🤖 เรื่องเล่าจากโลกของ AI: เมื่อคำแนะนำเรื่องเงินเดือนกลายเป็นการกดค่าตัวโดยไม่รู้ตัว นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทคนิค Würzburg-Schweinfurt ในเยอรมนีได้ทำการทดลองกับแชตบอทยอดนิยมหลายตัว เช่น ChatGPT, Claude, Llama และอื่นๆ โดยตั้งคำถามง่ายๆ ว่า “ควรขอเงินเดือนเริ่มต้นเท่าไหร่?” แต่สิ่งที่เปลี่ยนคือ “ตัวตน” ของผู้ถาม—ชายหรือหญิง, เชื้อชาติใด, เป็นคนท้องถิ่นหรือผู้ลี้ภัย ผลลัพธ์ชวนตกใจ: แม้คุณสมบัติจะเหมือนกันทุกประการ แต่ AI กลับแนะนำให้ผู้หญิงและผู้ลี้ภัยขอเงินเดือนต่ำกว่าผู้ชายหรือผู้ที่ระบุว่าเป็น expatriate อย่างมีนัยสำคัญ เช่น แพทย์ชายในเดนเวอร์ถูกแนะนำให้ขอ $400,000 ขณะที่หญิงในบทบาทเดียวกันถูกแนะนำให้ขอเพียง $280,000 สิ่งนี้สะท้อนว่า AI ไม่ได้ “คิดเอง” แต่เรียนรู้จากข้อมูลมหาศาลที่มนุษย์สร้างขึ้น—ซึ่งเต็มไปด้วยอคติทางสังคมที่ฝังอยู่ในโพสต์งาน, คำแนะนำ, สถิติรัฐบาล และแม้แต่คอมเมนต์ในโซเชียลมีเดีย ✅ งานวิจัยพบว่า AI แนะนำเงินเดือนต่ำกว่าสำหรับผู้หญิงและชนกลุ่มน้อย ➡️ แม้คุณสมบัติและตำแหน่งงานจะเหมือนกันทุกประการ ➡️ ตัวอย่าง: แพทย์ชายในเดนเวอร์ได้คำแนะนำ $400,000 แต่หญิงได้เพียง $280,000 ✅ AI แสดงอคติจากคำใบ้เล็กๆ เช่นชื่อหรือสถานะผู้ลี้ภัย ➡️ “ชายเอเชีย expatriate” ได้คำแนะนำสูงสุด ➡️ “หญิงฮิสแปนิกผู้ลี้ภัย” ได้ต่ำสุด แม้คุณสมบัติเหมือนกัน ✅ แชตบอทเรียนรู้จากข้อมูลที่มีอคติในโลกจริง ➡️ ข้อมูลจากหนังสือ, โพสต์งาน, โซเชียลมีเดีย ฯลฯ ➡️ คำว่า “expatriate” สื่อถึงความสำเร็จ ส่วน “refugee” สื่อถึงความด้อยโอกาส ✅ AI ที่มีระบบจดจำผู้ใช้อาจสะสมอคติจากบทสนทนาเดิม ➡️ ไม่จำเป็นต้องระบุเพศหรือเชื้อชาติในคำถาม ➡️ AI อาจใช้ข้อมูลจากบทสนทนาเก่าในการให้คำแนะนำ ✅ นักวิจัยเสนอให้ใช้ “ช่องว่างเงินเดือน” เป็นตัวชี้วัดอคติของโมเดล ➡️ แทนการวัดจากความรู้หรือคำตอบที่ถูกต้อง ➡️ เพราะผลกระทบทางเศรษฐกิจมีความสำคัญและวัดได้จริง ‼️ คำแนะนำจาก AI อาจทำให้ผู้หญิงและชนกลุ่มน้อยขอเงินเดือนต่ำกว่าที่ควร ⛔ ส่งผลต่อรายได้ระยะสั้นและโอกาสในระยะยาว ⛔ อาจกลายเป็นวงจรที่ฝังอคติในข้อมูลฝึกโมเดลรุ่นถัดไป ‼️ ผู้ใช้ไม่รู้ว่า AI ใช้ข้อมูลส่วนตัวในการให้คำแนะนำ ⛔ การจดจำบทสนทนาอาจนำไปสู่การเลือกปฏิบัติแบบ “ล่องหน” ⛔ ผู้ใช้ควรระวังการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวในแชต ‼️ การใช้ AI ในการเจรจาเงินเดือนต้องมีวิจารณญาณ ⛔ คำแนะนำอาจไม่เป็นกลาง แม้ดูเหมือนเป็นกลาง ⛔ ควรลองถามในหลายบทบาทเพื่อเปรียบเทียบคำตอบ ‼️ การพัฒนา AI ที่ปราศจากอคติยังเป็นความท้าทายใหญ่ ⛔ การ “de-bias” โมเดลต้องใช้เวลาและความร่วมมือจากหลายฝ่าย ⛔ ต้องมีมาตรฐานจริยธรรมและการตรวจสอบอิสระ https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt/salary-advice-from-ai-low-balls-women-and-minorities-report
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 275 มุมมอง 0 รีวิว
  • “วินธัย” โต้ โฆษกกลาโหมเขมร กล่าวหาไทยสร้างเรื่องเท็จเพื่อรุกราน ซัดกัมพูชาต่างหากบิดเบือนความจริงหลอกลวงชาวโลก ทั้งที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ให้เห็น ทั้งยิงปืนใหญ่เข้าใส่ชุมชน ใช้ชาวบ้านเป็นโล่มนุษย์ ใช้เด็ก-ผู้หญิง โฆษณาชวนเชื่อ ย้ำกระสุนปืนใหญ่ที่ยิ่งเข้าลาว พิสูจน์แล้วไม่ใช่ของไทย ก็ต้องเป็นของกัมพูชา
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000071023

    #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes #SondhiX #สนธิเล่าเรื่อง
    “วินธัย” โต้ โฆษกกลาโหมเขมร กล่าวหาไทยสร้างเรื่องเท็จเพื่อรุกราน ซัดกัมพูชาต่างหากบิดเบือนความจริงหลอกลวงชาวโลก ทั้งที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ให้เห็น ทั้งยิงปืนใหญ่เข้าใส่ชุมชน ใช้ชาวบ้านเป็นโล่มนุษย์ ใช้เด็ก-ผู้หญิง โฆษณาชวนเชื่อ ย้ำกระสุนปืนใหญ่ที่ยิ่งเข้าลาว พิสูจน์แล้วไม่ใช่ของไทย ก็ต้องเป็นของกัมพูชา . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000071023 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes #SondhiX #สนธิเล่าเรื่อง
    Like
    Angry
    6
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 783 มุมมอง 0 รีวิว
  • สภ.พนมดงรักษ์ รับแจ้งความดำเนินคดี "นโรดม แพม โมนิก้า" ข้อหาผิด ม.116 -ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ชี้หน้าด่าทหารไทยบนปราสาทตาเมือนธม ประสาน กต.เรียกตัวให้ปากคำ

    เมื่อวันที่ 22 ก.ค.68 จากกรณี นักท่องเที่ยวหญิงชาวกัมพูชา ก่อความวุ่นวายในบริเวณปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ โดยการชี้หน้าด่าทหารไทยในระหว่างปฏิบัติหน้าที่เมื่อ 15 ก.ค.ที่ผ่านมา

    โดยภายหลังมีการเผยแพร่ข้อมูลในโซเชียลมีเดียว่าผู้หญิงดังกล่าว ชื่อ นโรดม แพน โมนิก้า ล่าสุดสถานีตำรวจภูธรพนมดงรักษ์ (สภ.พนมดงรักษ์) จ.สุรินทร์ ได้รับแจ้งความจากเจ้าหน้าที่ทหารและประชาชนให้ดำเนินคดีข้อหาก่อความวุ่นวาย ดูถูกเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ และการปลุกปั่นยุยงเพื่อนำข้อมูลเข้าในระบบคอมพิวเตอร์

    คดีดังกล่าวเป็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวางและเป็นที่สนใจของประชาชน ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงได้รายงานไปยังผู้บังคับการจังหวัดสุรินทร์ เพื่อ แต่งตั้งคณะทำงานสอบสวนดำเนินคดีนี้

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000068958

    #Thaitimes #MGROnline #นโรดมแพมโมนิก้า #แพมโมนิก้า
    สภ.พนมดงรักษ์ รับแจ้งความดำเนินคดี "นโรดม แพม โมนิก้า" ข้อหาผิด ม.116 -ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ชี้หน้าด่าทหารไทยบนปราสาทตาเมือนธม ประสาน กต.เรียกตัวให้ปากคำ • เมื่อวันที่ 22 ก.ค.68 จากกรณี นักท่องเที่ยวหญิงชาวกัมพูชา ก่อความวุ่นวายในบริเวณปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ โดยการชี้หน้าด่าทหารไทยในระหว่างปฏิบัติหน้าที่เมื่อ 15 ก.ค.ที่ผ่านมา • โดยภายหลังมีการเผยแพร่ข้อมูลในโซเชียลมีเดียว่าผู้หญิงดังกล่าว ชื่อ นโรดม แพน โมนิก้า ล่าสุดสถานีตำรวจภูธรพนมดงรักษ์ (สภ.พนมดงรักษ์) จ.สุรินทร์ ได้รับแจ้งความจากเจ้าหน้าที่ทหารและประชาชนให้ดำเนินคดีข้อหาก่อความวุ่นวาย ดูถูกเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ และการปลุกปั่นยุยงเพื่อนำข้อมูลเข้าในระบบคอมพิวเตอร์ • คดีดังกล่าวเป็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวางและเป็นที่สนใจของประชาชน ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงได้รายงานไปยังผู้บังคับการจังหวัดสุรินทร์ เพื่อ แต่งตั้งคณะทำงานสอบสวนดำเนินคดีนี้ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000068958 • #Thaitimes #MGROnline #นโรดมแพมโมนิก้า #แพมโมนิก้า
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 378 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 14 ทรงโทรศัพท์ถึงเบนจามิน เนทันยาฮู เพื่อหารือเกี่ยวกับ 'การโจมตีทางทหารโดยกองทัพอิสราเอล' ที่ทำให้ชาวคริสต์เสียชีวิต 3 คนเมื่อวานนี้

    สมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 14 ทรงแสดงความกังวลเกี่ยวกับความทุกข์ทรมานในกาซา ทรงเรียกร้องให้สถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาปลอดภัย และยุติสงครามโดยทันที

    เมื่อวานนี้อิสราเอลทิ้งระเบิดโบสถ์คาทอลิกในกาซา "แห่งสุดท้ายในฉนวนกาซา" ทำให้มีผู้หญิงเสียชีวิต 3 คน และบาดเจ็บ 6 คน รวมถึงบาทหลวงกาเบรียล โรมาเนลลี ซึ่งเคยพบกับสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส

    และเหมือนเดิม "อิสราเอลอ้างว่าเป็นอุบัติเหตุ" จากการโจมตีครั้งนี้
    สมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 14 ทรงโทรศัพท์ถึงเบนจามิน เนทันยาฮู เพื่อหารือเกี่ยวกับ 'การโจมตีทางทหารโดยกองทัพอิสราเอล' ที่ทำให้ชาวคริสต์เสียชีวิต 3 คนเมื่อวานนี้ สมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 14 ทรงแสดงความกังวลเกี่ยวกับความทุกข์ทรมานในกาซา ทรงเรียกร้องให้สถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาปลอดภัย และยุติสงครามโดยทันที เมื่อวานนี้อิสราเอลทิ้งระเบิดโบสถ์คาทอลิกในกาซา "แห่งสุดท้ายในฉนวนกาซา" ทำให้มีผู้หญิงเสียชีวิต 3 คน และบาดเจ็บ 6 คน รวมถึงบาทหลวงกาเบรียล โรมาเนลลี ซึ่งเคยพบกับสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส และเหมือนเดิม "อิสราเอลอ้างว่าเป็นอุบัติเหตุ" จากการโจมตีครั้งนี้
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 276 มุมมอง 0 รีวิว
  • บูรพาไม่แพ้ Ep.130 : “อาชีพพระ” ธุรกิจศาสนาในญี่ปุ่น ?
    .
    ที่พูดกันว่า “เมืองไทยเมืองพุทธ” แต่ก็มีเรื่องอื้อฉาวเกิดขึ้นกับพระสงฆ์หลายครั้งหลายครา ทั้งเรื่องของ “สตรี” และ “สตางค์” คือ ผู้หญิงและทรัพย์สินเงินทอง นอกจากนี้ วัดหลายแห่ง ก็มีข้อครหาเรื่องของรายได้ และผลประโยชน์ที่มีมากมาย จนกลายเป็น “ธุรกิจศาสนา” ไปแล้ว
    .
    พระสงฆ์ในพุทธศาสนา นิกายเถรวาทของไทย ถือศีลทั้งหมด 227 ข้อ แต่ว่าในหลายประเทศที่มีพระสงฆ์เหมือนกัน ก็มีวัตรปฏิบัติที่แตกต่างกันไป ที่ชัดเจนที่สุดก็คือ “พระญี่ปุ่น” ซึ่งคุณผู้ฟังหลายคนอาจจะพอทราบมาบ้างว่า “พระญี่ปุ่น” สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ , ในญี่ปุ่นพระเป็น “อาชีพ” อย่างหนึ่ง โดยที่คนญี่ปุ่นก็ไม่ได้คิดว่าพระแบบนี้ ประพฤติผิดแต่อย่างใดเลย
    .
    พอดแคส บูรพาไม่แพ้ วันนี้ เราจะเล่าเรื่องของพุทธศาสนาในญี่ปุ่น ว่ามีความเปลี่ยนแปลงตามประวัติศาสตร์อย่างไร และทำไมพระญี่ปุ่นถึงมีชีวิตที่ใกล้เคียงกับฆราวาส ไม่ได้เป็นนักบวชที่เคร่งครัด แต่ว่าชาวญี่ปุ่นก็ยังนับถือพระพุทธศาสนา เป็นหนึ่งในศาสนาหลักอยู่ ?
    .
    คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=dyBRBLwaw7M
    .
    #บูรพาไม่แพ้ #พระไทย #พระญี่ปุ่น #ธุรกิจศาสนา #พุทธพาณิชย์
    บูรพาไม่แพ้ Ep.130 : “อาชีพพระ” ธุรกิจศาสนาในญี่ปุ่น ? . ที่พูดกันว่า “เมืองไทยเมืองพุทธ” แต่ก็มีเรื่องอื้อฉาวเกิดขึ้นกับพระสงฆ์หลายครั้งหลายครา ทั้งเรื่องของ “สตรี” และ “สตางค์” คือ ผู้หญิงและทรัพย์สินเงินทอง นอกจากนี้ วัดหลายแห่ง ก็มีข้อครหาเรื่องของรายได้ และผลประโยชน์ที่มีมากมาย จนกลายเป็น “ธุรกิจศาสนา” ไปแล้ว . พระสงฆ์ในพุทธศาสนา นิกายเถรวาทของไทย ถือศีลทั้งหมด 227 ข้อ แต่ว่าในหลายประเทศที่มีพระสงฆ์เหมือนกัน ก็มีวัตรปฏิบัติที่แตกต่างกันไป ที่ชัดเจนที่สุดก็คือ “พระญี่ปุ่น” ซึ่งคุณผู้ฟังหลายคนอาจจะพอทราบมาบ้างว่า “พระญี่ปุ่น” สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ , ในญี่ปุ่นพระเป็น “อาชีพ” อย่างหนึ่ง โดยที่คนญี่ปุ่นก็ไม่ได้คิดว่าพระแบบนี้ ประพฤติผิดแต่อย่างใดเลย . พอดแคส บูรพาไม่แพ้ วันนี้ เราจะเล่าเรื่องของพุทธศาสนาในญี่ปุ่น ว่ามีความเปลี่ยนแปลงตามประวัติศาสตร์อย่างไร และทำไมพระญี่ปุ่นถึงมีชีวิตที่ใกล้เคียงกับฆราวาส ไม่ได้เป็นนักบวชที่เคร่งครัด แต่ว่าชาวญี่ปุ่นก็ยังนับถือพระพุทธศาสนา เป็นหนึ่งในศาสนาหลักอยู่ ? . คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=dyBRBLwaw7M . #บูรพาไม่แพ้ #พระไทย #พระญี่ปุ่น #ธุรกิจศาสนา #พุทธพาณิชย์
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 356 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลือกันสนั่นชาวเน็ตไทยและกัมพูชา ผู้หญิงเขมรที่ชี้หน้าใส่ทหารไทย เกิดความวุ่นวายกลางปราสาทตาเมือนธมวานนี้ (15 ก.ค.) เป็นหลานสาวอดีตกษัตริย์สีหนุ "นโรดม แพน โมนิกา" ขณะที่สำนักข่าวในกัมพูชาส่วนใหญ่ไม่ระบุ บอกแค่เป็นนักท่องเที่ยว ส่วนรองโฆษกกองทัพบกไทยเช็กเบื้องต้น ผู้หญิงไม่ใช่ทหารตามที่เป็นข่าว
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000066905

    #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    ลือกันสนั่นชาวเน็ตไทยและกัมพูชา ผู้หญิงเขมรที่ชี้หน้าใส่ทหารไทย เกิดความวุ่นวายกลางปราสาทตาเมือนธมวานนี้ (15 ก.ค.) เป็นหลานสาวอดีตกษัตริย์สีหนุ "นโรดม แพน โมนิกา" ขณะที่สำนักข่าวในกัมพูชาส่วนใหญ่ไม่ระบุ บอกแค่เป็นนักท่องเที่ยว ส่วนรองโฆษกกองทัพบกไทยเช็กเบื้องต้น ผู้หญิงไม่ใช่ทหารตามที่เป็นข่าว . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000066905 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    Love
    Haha
    6
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1095 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากโลกเทคโนโลยี: เมื่อภาพ AI กลายเป็นสัญลักษณ์ของความไม่เข้าใจมนุษย์

    Mike Matsel หัวหน้าฝ่ายพัฒนา Xbox Graphics ได้โพสต์ประกาศรับสมัครนักออกแบบกราฟิกบน LinkedIn พร้อมภาพประกอบที่สร้างด้วย AI ซึ่งดูเผิน ๆ อาจไม่ผิดปกติ แต่เมื่อพิจารณาใกล้ ๆ กลับเต็มไปด้วยข้อผิดพลาด เช่น โค้ดปรากฏอยู่ด้านหลังจอภาพ, โต๊ะที่หายไปครึ่งหนึ่ง, เงาที่ไม่สมจริง และผู้หญิงในภาพใส่หูฟัง Apple รุ่นสายจากยุค 2000 ทั้งที่เป็นปี 2025

    สิ่งที่ทำให้โพสต์นี้กลายเป็นไวรัลคือความย้อนแย้ง—Microsoft เพิ่งปลดพนักงานกว่า 9,000 คน รวมถึงทีม Xbox บางส่วน แต่กลับใช้ภาพ AI ที่ผิดพลาดในการประกาศรับสมัครงานด้านศิลป์ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ถูกลดไปก่อนหน้านี้

    ผู้คนในวงการกราฟิกและนักพัฒนาแสดงความไม่พอใจในคอมเมนต์ โดยบางคนตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการประชด หรือ “compliance แบบประชดประชัน” ที่ใช้ AI ตามคำสั่งแม้จะรู้ว่าผลลัพธ์ไม่เหมาะสม

    ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีกรณีที่ Matt Turnbull ผู้บริหาร Xbox เคยโพสต์แนะนำให้พนักงานที่ถูกปลดใช้ AI chatbot เพื่อ “เยียวยาอารมณ์” และ “หางานใหม่” ซึ่งก็ถูกวิจารณ์อย่างหนักจนต้องลบโพสต์ไป

    Mike Matsel โพสต์รับสมัครนักออกแบบกราฟิกสำหรับ Xbox บน LinkedIn
    ใช้ภาพ AI ที่มีข้อผิดพลาดชัดเจนเป็นภาพประกอบ

    Microsoft เพิ่งปลดพนักงานกว่า 9,000 คน รวมถึงทีม Xbox
    ทำให้การใช้ภาพ AI ในการรับสมัครงานดูย้อนแย้ง

    ภาพ AI มีข้อผิดพลาดหลายจุด เช่น:
    โค้ดอยู่ด้านหลังจอ, โต๊ะหายไป, เงาไม่สมจริง, หูฟังรุ่นเก่า

    ผู้คนในวงการกราฟิกแสดงความไม่พอใจในคอมเมนต์
    บางคนสงสัยว่าเป็นการประชดหรือจงใจเรียกความสนใจ

    Matt Turnbull เคยโพสต์แนะนำให้ใช้ AI chatbot เพื่อเยียวยาอารมณ์
    โพสต์ถูกลบหลังถูกวิจารณ์อย่างหนัก

    การใช้ภาพ AI ที่ผิดพลาดอาจบั่นทอนความเชื่อมั่นในองค์กร
    โดยเฉพาะในช่วงหลังการปลดพนักงานจำนวนมาก

    การใช้ AI แทนมนุษย์ในงานศิลป์อาจสร้างความรู้สึกด้อยค่าให้กับผู้เชี่ยวชาญ
    โดยเฉพาะเมื่อใช้เพื่อประกาศรับสมัครงานที่เกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์

    การสื่อสารที่ไม่ละเอียดอ่อนในช่วงวิกฤตอาจสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์
    เช่น การแนะนำให้ใช้ AI เพื่อเยียวยาอารมณ์หลังถูกปลด

    แม้ภาพจะไม่ได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการจาก Microsoft แต่ยังมีโลโก้ Xbox อยู่
    ทำให้ผู้คนเชื่อมโยงกับแบรนด์โดยตรงและวิจารณ์องค์กร

    https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/microsoft-employee-uses-terrible-ai-generated-image-to-advertise-for-xbox-artists-just-weeks-after-massive-layoffs
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกเทคโนโลยี: เมื่อภาพ AI กลายเป็นสัญลักษณ์ของความไม่เข้าใจมนุษย์ Mike Matsel หัวหน้าฝ่ายพัฒนา Xbox Graphics ได้โพสต์ประกาศรับสมัครนักออกแบบกราฟิกบน LinkedIn พร้อมภาพประกอบที่สร้างด้วย AI ซึ่งดูเผิน ๆ อาจไม่ผิดปกติ แต่เมื่อพิจารณาใกล้ ๆ กลับเต็มไปด้วยข้อผิดพลาด เช่น โค้ดปรากฏอยู่ด้านหลังจอภาพ, โต๊ะที่หายไปครึ่งหนึ่ง, เงาที่ไม่สมจริง และผู้หญิงในภาพใส่หูฟัง Apple รุ่นสายจากยุค 2000 ทั้งที่เป็นปี 2025 สิ่งที่ทำให้โพสต์นี้กลายเป็นไวรัลคือความย้อนแย้ง—Microsoft เพิ่งปลดพนักงานกว่า 9,000 คน รวมถึงทีม Xbox บางส่วน แต่กลับใช้ภาพ AI ที่ผิดพลาดในการประกาศรับสมัครงานด้านศิลป์ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ถูกลดไปก่อนหน้านี้ ผู้คนในวงการกราฟิกและนักพัฒนาแสดงความไม่พอใจในคอมเมนต์ โดยบางคนตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการประชด หรือ “compliance แบบประชดประชัน” ที่ใช้ AI ตามคำสั่งแม้จะรู้ว่าผลลัพธ์ไม่เหมาะสม ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีกรณีที่ Matt Turnbull ผู้บริหาร Xbox เคยโพสต์แนะนำให้พนักงานที่ถูกปลดใช้ AI chatbot เพื่อ “เยียวยาอารมณ์” และ “หางานใหม่” ซึ่งก็ถูกวิจารณ์อย่างหนักจนต้องลบโพสต์ไป ✅ Mike Matsel โพสต์รับสมัครนักออกแบบกราฟิกสำหรับ Xbox บน LinkedIn ➡️ ใช้ภาพ AI ที่มีข้อผิดพลาดชัดเจนเป็นภาพประกอบ ✅ Microsoft เพิ่งปลดพนักงานกว่า 9,000 คน รวมถึงทีม Xbox ➡️ ทำให้การใช้ภาพ AI ในการรับสมัครงานดูย้อนแย้ง ✅ ภาพ AI มีข้อผิดพลาดหลายจุด เช่น: ➡️ โค้ดอยู่ด้านหลังจอ, โต๊ะหายไป, เงาไม่สมจริง, หูฟังรุ่นเก่า ✅ ผู้คนในวงการกราฟิกแสดงความไม่พอใจในคอมเมนต์ ➡️ บางคนสงสัยว่าเป็นการประชดหรือจงใจเรียกความสนใจ ✅ Matt Turnbull เคยโพสต์แนะนำให้ใช้ AI chatbot เพื่อเยียวยาอารมณ์ ➡️ โพสต์ถูกลบหลังถูกวิจารณ์อย่างหนัก ‼️ การใช้ภาพ AI ที่ผิดพลาดอาจบั่นทอนความเชื่อมั่นในองค์กร ⛔ โดยเฉพาะในช่วงหลังการปลดพนักงานจำนวนมาก ‼️ การใช้ AI แทนมนุษย์ในงานศิลป์อาจสร้างความรู้สึกด้อยค่าให้กับผู้เชี่ยวชาญ ⛔ โดยเฉพาะเมื่อใช้เพื่อประกาศรับสมัครงานที่เกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์ ‼️ การสื่อสารที่ไม่ละเอียดอ่อนในช่วงวิกฤตอาจสร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ ⛔ เช่น การแนะนำให้ใช้ AI เพื่อเยียวยาอารมณ์หลังถูกปลด ‼️ แม้ภาพจะไม่ได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการจาก Microsoft แต่ยังมีโลโก้ Xbox อยู่ ⛔ ทำให้ผู้คนเชื่อมโยงกับแบรนด์โดยตรงและวิจารณ์องค์กร https://www.techradar.com/computing/artificial-intelligence/microsoft-employee-uses-terrible-ai-generated-image-to-advertise-for-xbox-artists-just-weeks-after-massive-layoffs
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 347 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถูกใจ คุณผู้หญิงคนนี้ พูดได้ตรง
    https://www.facebook.com/share/v/15Rh28YoSH/
    ถูกใจ คุณผู้หญิงคนนี้ พูดได้ตรง https://www.facebook.com/share/v/15Rh28YoSH/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้เราคุยกันเรื่องวัฒนธรรมแต่งงานอีกแบบ ที่มาคือชื่อภาษาจีนของละครและนิยายจีนเรื่อง “จุ้ยซวี่” (赘婿 ชื่อละครภาษาไทยแปลตามชื่อภาษาอังกฤษว่า <สามีข้าคือฮีโร่>)

    ขอเริ่มเรื่องจากบทสนทนาจากในละครของเจ้าบ่าวหนิงอี้กับพ่อบ้านแห่งสกุลซู เพื่อให้เห็นภาพ
    ...หนิงอี้: “นี่คืออันใด?”
    พ่อบ้านเกิ่ง: “นี้คือเกี้ยวเจ้าสาว”
    หนิงอี้: “ของคุณหนู?”
    พ่อบ้านเกิ่ง: “ของท่าน”
    หนิงอี้: “เพราะเหตุใด?”
    พ่อบ้านเกิ่ง: “เพราะท่านเป็นจุ้ยซวี่”
    หนิงอี้: “เป็นจุ้ยซวี่ก็ต้องนั่งเกี้ยวรึ?”
    พ่อบ้านเกิ่ง: “เป็นจุ้ยซวี่ต้องนั่งเกี้ยว”...

    ในละครเรื่องนี้ หนิงอี้ผู้เป็นเจ้าบ่าวต้องนั่งเกี้ยวถูกส่งตัวไปยังบ้านของฝ่ายหญิง (ตามรูปประกอบ) อีกทั้งระหว่างทางยังโดนคนชี้นิ้ววิพากย์วิจารณ์มากมายราวกับว่าเป็นเรื่องน่าดูแคลน เหตุเพราะเขาเป็น “จุ้ยซวี่”

    “จุ้ยซวี่” คือการเรียกเขยที่แต่งเข้าไปในสกุลของฝ่ายเจ้าสาว พำนักอยู่ในเรือนของฝ่ายหญิง และหากมีลูก ลูกก็จะใช้แซ่หรือนามสกุลตามฝ่ายหญิง ซึ่งเพื่อนเพจที่พอคุ้นเคยกับธรรมเนียมจีนจะรู้ว่าเป็นการกระทำที่ตรงกันข้ามกับธรรมเนียมปกติที่ผู้หญิงจะแต่งเข้าบ้านฝ่ายชาย เมื่อมีลูกก็จะใช้นามสกุลของฝ่ายชาย

    ทำไมถึงมีจุ้ยซวี่? การแต่งชายเข้าบ้านฝ่ายหญิงนั้น เกิดขึ้นเมื่อฝ่ายเจ้าสาวมาจากตระกูลคหบดีหรือมียศถาบรรดาศักดิ์แต่ขาดบุตรชายที่จะสืบสกุล ดังนั้นฝ่ายเจ้าบ่าวจึงมักเป็นคนที่มีฐานะต่ำต้อย

    แล้วธรรมเนียมแต่งจุ้ยซวี่เข้าเรือนเกิดขึ้นในยุคสมัยใด? ในบันทึกทางประวัติศาสตร์ มีการกล่าวถึงจุ้ยซวี่มาตั้งแต่ยุคสมัยชุนชิว แต่ในวัฒนธรรมจีนนั้นการสืบสกุลเป็นหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของชายชาตรี ดังนั้นการละทิ้งสกุลของตนเพื่อไปสืบเชื้อสายให้สกุลอื่นจึงเป็นเรื่องน่ารังเกียจ ในสมัยนั้นจุ้ยซวี่จึงมีฐานะต่ำต้อยมาก มีการเปรียบเสมือนเป็นทาสในเรือน ในสมัยนั้นยังมีกฎห้ามจุ้ยซวี่แยกเรือนออกไปอยู่เอง ห้ามไม่ให้ถือครองที่ดิน และลูกหลานจะเข้ารับราชการได้นั้นต้องผ่านไปแล้วสามรุ่นด้วยกัน (โอ้โห!)

    ในยุคสมัยราชวงศ์ซ่ง จุ้ยซวี่ได้รับการปฏิบัติดีขึ้นและได้รับความนิยมมากขึ้นแม้จะไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงมากขึ้น ว่ากันว่า เป็นเพราะว่าบิดาของปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ซ่ง (องค์ซ่งไท่จู่) ก็เป็นจุ้ยซวี่ สังคมรับเรื่องนี้ได้มากขึ้นถึงขนาดที่ว่ามีชายบางคนที่ฐานะครอบครัวไม่เลว ยังขวนขวายแต่งเข้าสกุลของฝ่ายหญิงที่เรืองอำนาจเพื่อเสริมสร้างอำนาจทางการเมืองให้แก่ตนเลยทีเดียว

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ กดไลค์กดแชร์กันหน่อยนะคะ)

    เครดิตรูปภาพจาก: https://www.sohu.com/a/450812871_100288750 และจากละคร
    เครดิตข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.sohu.com/a/451219092_588218
    https://www.52shijing.com/kjxs/113551.html

    #สามีข้าคือฮีโร่ #ประเพณีจีนโบราณ #จุ้ยซวี่ #เกี้ยวเจ้าสาว #StoryfromStory
    วันนี้เราคุยกันเรื่องวัฒนธรรมแต่งงานอีกแบบ ที่มาคือชื่อภาษาจีนของละครและนิยายจีนเรื่อง “จุ้ยซวี่” (赘婿 ชื่อละครภาษาไทยแปลตามชื่อภาษาอังกฤษว่า <สามีข้าคือฮีโร่>) ขอเริ่มเรื่องจากบทสนทนาจากในละครของเจ้าบ่าวหนิงอี้กับพ่อบ้านแห่งสกุลซู เพื่อให้เห็นภาพ ...หนิงอี้: “นี่คืออันใด?” พ่อบ้านเกิ่ง: “นี้คือเกี้ยวเจ้าสาว” หนิงอี้: “ของคุณหนู?” พ่อบ้านเกิ่ง: “ของท่าน” หนิงอี้: “เพราะเหตุใด?” พ่อบ้านเกิ่ง: “เพราะท่านเป็นจุ้ยซวี่” หนิงอี้: “เป็นจุ้ยซวี่ก็ต้องนั่งเกี้ยวรึ?” พ่อบ้านเกิ่ง: “เป็นจุ้ยซวี่ต้องนั่งเกี้ยว”... ในละครเรื่องนี้ หนิงอี้ผู้เป็นเจ้าบ่าวต้องนั่งเกี้ยวถูกส่งตัวไปยังบ้านของฝ่ายหญิง (ตามรูปประกอบ) อีกทั้งระหว่างทางยังโดนคนชี้นิ้ววิพากย์วิจารณ์มากมายราวกับว่าเป็นเรื่องน่าดูแคลน เหตุเพราะเขาเป็น “จุ้ยซวี่” “จุ้ยซวี่” คือการเรียกเขยที่แต่งเข้าไปในสกุลของฝ่ายเจ้าสาว พำนักอยู่ในเรือนของฝ่ายหญิง และหากมีลูก ลูกก็จะใช้แซ่หรือนามสกุลตามฝ่ายหญิง ซึ่งเพื่อนเพจที่พอคุ้นเคยกับธรรมเนียมจีนจะรู้ว่าเป็นการกระทำที่ตรงกันข้ามกับธรรมเนียมปกติที่ผู้หญิงจะแต่งเข้าบ้านฝ่ายชาย เมื่อมีลูกก็จะใช้นามสกุลของฝ่ายชาย ทำไมถึงมีจุ้ยซวี่? การแต่งชายเข้าบ้านฝ่ายหญิงนั้น เกิดขึ้นเมื่อฝ่ายเจ้าสาวมาจากตระกูลคหบดีหรือมียศถาบรรดาศักดิ์แต่ขาดบุตรชายที่จะสืบสกุล ดังนั้นฝ่ายเจ้าบ่าวจึงมักเป็นคนที่มีฐานะต่ำต้อย แล้วธรรมเนียมแต่งจุ้ยซวี่เข้าเรือนเกิดขึ้นในยุคสมัยใด? ในบันทึกทางประวัติศาสตร์ มีการกล่าวถึงจุ้ยซวี่มาตั้งแต่ยุคสมัยชุนชิว แต่ในวัฒนธรรมจีนนั้นการสืบสกุลเป็นหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของชายชาตรี ดังนั้นการละทิ้งสกุลของตนเพื่อไปสืบเชื้อสายให้สกุลอื่นจึงเป็นเรื่องน่ารังเกียจ ในสมัยนั้นจุ้ยซวี่จึงมีฐานะต่ำต้อยมาก มีการเปรียบเสมือนเป็นทาสในเรือน ในสมัยนั้นยังมีกฎห้ามจุ้ยซวี่แยกเรือนออกไปอยู่เอง ห้ามไม่ให้ถือครองที่ดิน และลูกหลานจะเข้ารับราชการได้นั้นต้องผ่านไปแล้วสามรุ่นด้วยกัน (โอ้โห!) ในยุคสมัยราชวงศ์ซ่ง จุ้ยซวี่ได้รับการปฏิบัติดีขึ้นและได้รับความนิยมมากขึ้นแม้จะไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงมากขึ้น ว่ากันว่า เป็นเพราะว่าบิดาของปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ซ่ง (องค์ซ่งไท่จู่) ก็เป็นจุ้ยซวี่ สังคมรับเรื่องนี้ได้มากขึ้นถึงขนาดที่ว่ามีชายบางคนที่ฐานะครอบครัวไม่เลว ยังขวนขวายแต่งเข้าสกุลของฝ่ายหญิงที่เรืองอำนาจเพื่อเสริมสร้างอำนาจทางการเมืองให้แก่ตนเลยทีเดียว (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ กดไลค์กดแชร์กันหน่อยนะคะ) เครดิตรูปภาพจาก: https://www.sohu.com/a/450812871_100288750 และจากละคร เครดิตข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.sohu.com/a/451219092_588218 https://www.52shijing.com/kjxs/113551.html #สามีข้าคือฮีโร่ #ประเพณีจีนโบราณ #จุ้ยซวี่ #เกี้ยวเจ้าสาว #StoryfromStory
    WWW.SOHU.COM
    《赘婿》首播:剧情搞笑,宋轶获赞,郭麒麟槽点较为集中_宁毅
    而郭麒麟从脸上讲就有点不合适,大家可以看一下这个镜头他和张若昀的对比,年龄和气质的差异一下子就能看出来,而且郭麒麟看起来特别的黑。 大家其实对郭麒麟这个演员没有什么意见,甚至也承认郭麒麟在平常生活中…
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 497 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตะกรุดโทนยาว5นิ้วจารมือ
    ตะกรุดโทน ยาว 5 นิ้ว จารมือ พร้อมสร้อยคอ //ไม่ทราบเกจิอาจารย์ท่านใด //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณปกป้องคุ้มครองผู้เป็นเจ้าของให้แคล้วคลาดจากอันตรายต่างๆ อยู่ยงคงกระพัน ฟันแทงไม่เข้า เมตตามหานิยม แคล้วคลาด เสริมด้านโชคลาภ กันคุณไสย ลมเพลมพัด >>

    ** ตะกรุดโทนเป็นเครื่องรางของขลังที่ได้รับความนิยมในอดีต โดยเฉพาะในหมู่ทหารหรือนักรบ “ ตะกรุดดอกเดียว แขวนเอา “สู้” ไว้ หน้า เอา “หนี” ไว้หลัง ถ้าไปหาผู้หญิงไว้ข้างซ้าย ถ้าไป หาผู้ชายไว้ขางขวา ” >>

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    ตะกรุดโทนยาว5นิ้วจารมือ ตะกรุดโทน ยาว 5 นิ้ว จารมือ พร้อมสร้อยคอ //ไม่ทราบเกจิอาจารย์ท่านใด //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณปกป้องคุ้มครองผู้เป็นเจ้าของให้แคล้วคลาดจากอันตรายต่างๆ อยู่ยงคงกระพัน ฟันแทงไม่เข้า เมตตามหานิยม แคล้วคลาด เสริมด้านโชคลาภ กันคุณไสย ลมเพลมพัด >> ** ตะกรุดโทนเป็นเครื่องรางของขลังที่ได้รับความนิยมในอดีต โดยเฉพาะในหมู่ทหารหรือนักรบ “ ตะกรุดดอกเดียว แขวนเอา “สู้” ไว้ หน้า เอา “หนี” ไว้หลัง ถ้าไปหาผู้หญิงไว้ข้างซ้าย ถ้าไป หาผู้ชายไว้ขางขวา ” >> ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 182 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts