• ## มหาเทพ ซัด "บัวแก้ว" ตัดตอนพระบรมราชโองการ ในหลวงรัชกาลที่ 9 เรื่องเกาะกูด และ พื้นที่ทางทะเล...!!! ##
    ..
    ..
    วันอังคาร ที่ 05/11/2567 อาจารย์ ปานเทพ ละเอียดยิบ ชี้...!!!
    .
    กรมสนธิสัญญา กระทรวงการต่างประเทศ แถลงการณ์ ตัดตอน พระบรมราชโองการ ในหลวงรัชกาลที่ 9...!!!
    .
    ซึ่งประกาศจริง ในวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ.2516 และ ประกาศ ไว้ใน ราชกิจจานุเบกษา ในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ.2516
    .
    โดย ฉบับเต็ม มีใจความตอนหนึ่งว่า...
    .
    "สำหรับสิทธิอธิปไตยที่เป็นทะเลอาณาเขต ซึ่งต่อเนื่องกับทะเลอาณาเขตของประเทศใกล้เคียง อันจะถือเป็นจุดเริ่มของเส้นแบ่งเขตไหล่ทวีปนั้น จะเป็นไปตามที่จะได้ตกลงกัน โดยยึดถือมูลฐานแห่งบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเล อาณาเขต และ เขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ.1958"
    .
    ตัดตอนลงเหลือเพียง...
    .
    "สำหรับสิทธิอธิปไตยที่เป็นทะเลอาณาเขต ซึ่งต่อเนื่องกับทะเลอาณาเขตของประเทศใกล้เคียง อันจะถือเป็นจุดเริ่มของเส้นแบ่งเขตไหล่ทวีปนั้น จะเป็นไปตามที่จะได้ตกลงกัน"
    .
    MOU44 เท่ากับไทยเปลี่ยนจุดยืนจากการปฏิเสธเส้นไหล่ทวีปของ กัมพูชา โดยพระบรมราชโองการ ของ ในหลวงรัชกาลที่ 9
    .
    กลายมาเป็น รับรู้ และ ไม่ปฏิเสธ เส้นเขตแดนที่ กัมพูชา วาดขึ้นตามอำเภอใจ โดยไม่ได้สนกฎหมายระหว่างประเทศอะไรเลย..!!!
    .
    ซ้ำ เปลี่ยนหลักการแบ่งเขตไหล่ทวีป จากการใช้บทบัญญัติของอนุสัญญา กรุงเจนีวา กลายเป็นใช้มูลฐานอื่น
    .
    นี่เป็นการ จงใจ เปิดโอกาส ให้มีการเจรจากัน นอกเหนือจากมูลฐานแห่งบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเล อาณาเขต และ เขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ได้ ใช่หรือไม่...???
    .
    ทั้งหมดนี้ ทำไปเพื่ออะไร...???
    .
    ที่แท้ มีเจตนา อะไรกันแน่...???
    .
    ในเมื่อประเทศไทย มีโอกาสที่จะสูญเสียผลประโยชน์ที่พึงมีพึงได้ จาก MOU44 อันเนื่องมาจาก หลักกฎหมายปิดปาก เช่นเดียวกับ กรณี เขาพระวิหาร...
    .
    เมื่อมีคนเสนอให้ยกเลิกไปซะ แต่รัฐบาลกลับ ปฏิเสธว่าทำไมได้...!!!
    .
    หึหึ...
    .
    คนเราผิดแล้ว รู้แก้ไข นั้น ถือเป็นผู้ตื่นรู้ครับ...
    .
    แต่ถ้าหากว่า มีคนเตือนแล้ว รู้ผิดแล้ว คงยังดึงดันที่จะเดินหน้าทำต่อให้ได้...!!!
    .
    แสดงว่าคนผู้นั้นมีเจตนาแอบแฝง ในการที่จะกระทำผิดต่อไป ใช่หรือไม่...???
    .
    นี่ผลประโยชน์ของชาตินะครับ
    ประเด็นนี้ เผ็ดร้อน ระดับ พริก 1 ล้านเม็ด...!!!
    .
    https://youtu.be/yy-kEcRaovY?si=uQ8KFo1yAI9dSdng
    .
    https://mgronline.com/daily/detail/9670000102716
    .
    https://mgronline.com/politics/detail/9670000106616
    ## มหาเทพ ซัด "บัวแก้ว" ตัดตอนพระบรมราชโองการ ในหลวงรัชกาลที่ 9 เรื่องเกาะกูด และ พื้นที่ทางทะเล...!!! ## .. .. วันอังคาร ที่ 05/11/2567 อาจารย์ ปานเทพ ละเอียดยิบ ชี้...!!! . กรมสนธิสัญญา กระทรวงการต่างประเทศ แถลงการณ์ ตัดตอน พระบรมราชโองการ ในหลวงรัชกาลที่ 9...!!! . ซึ่งประกาศจริง ในวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ.2516 และ ประกาศ ไว้ใน ราชกิจจานุเบกษา ในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ.2516 . โดย ฉบับเต็ม มีใจความตอนหนึ่งว่า... . "สำหรับสิทธิอธิปไตยที่เป็นทะเลอาณาเขต ซึ่งต่อเนื่องกับทะเลอาณาเขตของประเทศใกล้เคียง อันจะถือเป็นจุดเริ่มของเส้นแบ่งเขตไหล่ทวีปนั้น จะเป็นไปตามที่จะได้ตกลงกัน โดยยึดถือมูลฐานแห่งบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเล อาณาเขต และ เขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ.1958" . ตัดตอนลงเหลือเพียง... . "สำหรับสิทธิอธิปไตยที่เป็นทะเลอาณาเขต ซึ่งต่อเนื่องกับทะเลอาณาเขตของประเทศใกล้เคียง อันจะถือเป็นจุดเริ่มของเส้นแบ่งเขตไหล่ทวีปนั้น จะเป็นไปตามที่จะได้ตกลงกัน" . MOU44 เท่ากับไทยเปลี่ยนจุดยืนจากการปฏิเสธเส้นไหล่ทวีปของ กัมพูชา โดยพระบรมราชโองการ ของ ในหลวงรัชกาลที่ 9 . กลายมาเป็น รับรู้ และ ไม่ปฏิเสธ เส้นเขตแดนที่ กัมพูชา วาดขึ้นตามอำเภอใจ โดยไม่ได้สนกฎหมายระหว่างประเทศอะไรเลย..!!! . ซ้ำ เปลี่ยนหลักการแบ่งเขตไหล่ทวีป จากการใช้บทบัญญัติของอนุสัญญา กรุงเจนีวา กลายเป็นใช้มูลฐานอื่น . นี่เป็นการ จงใจ เปิดโอกาส ให้มีการเจรจากัน นอกเหนือจากมูลฐานแห่งบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเล อาณาเขต และ เขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ได้ ใช่หรือไม่...??? . ทั้งหมดนี้ ทำไปเพื่ออะไร...??? . ที่แท้ มีเจตนา อะไรกันแน่...??? . ในเมื่อประเทศไทย มีโอกาสที่จะสูญเสียผลประโยชน์ที่พึงมีพึงได้ จาก MOU44 อันเนื่องมาจาก หลักกฎหมายปิดปาก เช่นเดียวกับ กรณี เขาพระวิหาร... . เมื่อมีคนเสนอให้ยกเลิกไปซะ แต่รัฐบาลกลับ ปฏิเสธว่าทำไมได้...!!! . หึหึ... . คนเราผิดแล้ว รู้แก้ไข นั้น ถือเป็นผู้ตื่นรู้ครับ... . แต่ถ้าหากว่า มีคนเตือนแล้ว รู้ผิดแล้ว คงยังดึงดันที่จะเดินหน้าทำต่อให้ได้...!!! . แสดงว่าคนผู้นั้นมีเจตนาแอบแฝง ในการที่จะกระทำผิดต่อไป ใช่หรือไม่...??? . นี่ผลประโยชน์ของชาตินะครับ ประเด็นนี้ เผ็ดร้อน ระดับ พริก 1 ล้านเม็ด...!!! . https://youtu.be/yy-kEcRaovY?si=uQ8KFo1yAI9dSdng . https://mgronline.com/daily/detail/9670000102716 . https://mgronline.com/politics/detail/9670000106616
    0 Comments 0 Shares 19 Views 0 Reviews
  • ทำไมกระทรวงการต่างประเทศ ถึงบังอาจแถลงข่าวตัดตอนพระบรมราชโองการสมัย รัชกาลที่ 9?/ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

    จากเอกสารของกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงข่าวเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 ในประเด็นพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน

    น่าประหลาดใจตรงที่มีการนำเสนอสไลด์ลำดับที่ 12 ในหัวข้อภาพว่า “พระบรมราชโองการการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของไทย พ.ศ. 2516“

    โดยทั้งข้อความมีการขีดเส้นว่า “สิทธิอธิปไตย” ในตอนต้นของพระบรมราชโองการ และมีการนำเสนอพระบรมราชโองการย่อหน้าที่ 3 โดยการ “เน้น”เป็นกรอบสี่เหลี่ยมสีแดงว่า “จุดเริ่มต้นของเส้นแบ่งเขตไหล่ทวีปนั้นจะเป็นไปตามที่จะได้ตกลงกัน“

    อีกทั้งยังได้มีแถบไฮไลท์สีเหลืองเพื่อเน้นย้ำว่า “เป็นไปตามที่จะได้ตกลงกัน”ด้วย

    การเขียนข้อความดังกล่าวอาจทำให้สังคมหรือคณะรัฐมนตรี “หลงประเด็น“ไปว่า พระบรมราชโองการประกาศเขตไหล่ทวีปอาจเปิดทางให้ตกลงกันอย่างไรก็ได้ อันเป็นการดำเนินการตามในรูปแบบของ MOU 2544 ก็ได้

    แต่ความจริงแล้วการนำเสนอของกระทรวงการต่างประเทศในภาพนี้ มีเจตนานำเสนอ ”เน้นไม่ครบคำ“ ตามพระบรมราชโองการที่มีข้อความในฉบับเต็มว่า

    ”จุดเริ่มต้นของเส้นแบ่งเขตไหล่ทวีปนั้นจะเป็นไปตามที่จะได้ตกลงกัน โดยยึดถือมูลฐานแห่งบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขต และเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958“

    ดังนั้นพระบรมราชโองการ ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของไทย พ.ศ. 2516 จึงมีความหมายคือ

    1.ราชอาณาจักรไทย “ปฏิเสธ” การประกาศเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชา ที่ไม่ได้ยึดกฎหมายทะเลสากล เพราะรุกล้ำทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลรอบเกาะกูดไทย รุกล้ำเขตทะเลต่อเนื่อง 24 ไมล์ทะเลรอบเกาะกูดไทย และรุกล้ำเส้นมัธยะ (Median Line) ที่ลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 แบ่งครึ่งมุม ระหว่างเกาะกูดของไทยกับ เกาะกงของกัมพูชา ซึ่งไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขต และเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958

    2.ราชอาณาจักรไทย ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปโดยยึดกฎหมายทะเลสากลในเวลานั้นคือ บทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขต และเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 ซึ่งราชอาณาจักรไทยได้ให้สัตยาบันไว้แล้ว เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2511

    3.หาก “จะ” มีการเจรจาเรื่องเส้นเขตไหล่ทวีปกับประเทศใกล้เคียงใน “อนาคต” จะต้องยึดมูลฐานจากฎหมายทะเลสากลเท่านั้น คือ บทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขต และเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 และย่อมไม่ใช่การเส้นเขตแดนตามประกาศเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชา ในปี พ.ศ. 2515

    และมีความหมายด้วยว่าไม่ได้เปิดโอกาสให้นักการเมืองไปเจรจากับชาติใดตามอำเภอใจ โดยไม่ยึดมูลฐานแห่งบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขต และเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958

    การลงนามใน MOU 2544 จึงแตกต่างจาก 3 หลักการเดิมของพระบรมราชโองการ ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของไทย พ.ศ. 2516 ดังนี้

    1.MOU 2544 ได้ทำให้พื้นที่ซึ่งเป็นของราชอาณาจักรไทยตั้งแต่ปี 2516 ซึ่ง “เคยปฏิเสธ” เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชา ให้กลายเป็น “รับรู้” โดย “ไม่ปฏิเสธ”เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชา ใน MOU 2544 ซึ่งกลายเป็นพื้นที่ทับซ้อนเกินจริงไปอย่างมหาศาล และเท่ากับ

    1.1 รัฐบาลไทย “รับรู้” และ “ไม่ปฏิเสธ” การรุกล้ำทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลรอบเกาะกูดไทย “รับรู้”และ“ไม่ปฏิเสธ”การรุกล้ำเขตทะเลต่อเนื่อง 24 ไมล์ทะเลรอบเกาะกูดไทย และ “รับรู้” และ “ไม่ปฏิเสธ” การรุกล้ำเส้นกลาง (Median Line) ที่ลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 แบ่งครึ่งมุม ระหว่างเกาะกูดของไทยกับ เกาะกงของกัมพูชา

    1.2 รัฐบาลไทย “รับรู้” และ “ไม่ปฏิเสธ” การขีดเส้นของกัมพูชาซึ่งไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขต และเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958

    2. ราชอาณาจักรไทย เปลี่ยนหลักการใหญ่ ให้ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปโดยยึดบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขต และเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 เป็นมูลฐานเดียวในการเจรจา ให้กลายเป็น “มูลฐานอื่น” ที่ใช้การเจรจาตกลงกันระหว่างไทย-กัมพูชา ตาม MOU 2544 ที่มีการขีดเส้นพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนเกินจริง จึงไม่เป็นไปตามอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขต และเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958

    ต่างชาติพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลไทย-มาเลเซีย ที่ต่างเคารพการอ้างอนุสัญญาด้วยทะเลอาณาเขต และเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 จึงเป็นการอ้างสิทธิทับซ้อนที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ส่งผลทำให้มีการตกลงกำหนดให้เป็นพื้นที่พัฒนาร่วมกับไทย-มาเลเซียเป็นผลสำเร็จ

    ส่งผลทำให้พื้นที่ซึ่งแน่ชัดตามพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ว่าเป็น ทะเลอาณาเขตของราชอาณาจักรไทย เขตทะเลต่อเนื่องของราชอาณาจักรไทย และเขตเศรษฐกิจจำเพาะของราชอาณาจักรไทย กลายเป็นพื้นที่ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าเป็นของราชอาณาจักรไทยหรือกัมพูชา มีจำนวนมากถึง 26,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งรวมถึงสิทธิการประมง สิทธิการเดินทาง และการสำรวจและการแสวงหาใช้ประโยชน์ทรัพยากรที่เคยเป็นของไทย กลายเป็นพื้นที่ซึ่งของไทยหรือกัมพูชา หรือไม่ก็ให้ถอยออกจากพื้นที่ทั้ง 2 ประเทศ

    การขีดเส้นแบบนี้ โดยรับรู้และไม่ปฏิเสธ แม้อ้างว่าเกาะกูดเป็นของไทย แต่ต่อไปใครไปนั่งที่ด้านทิศใต้เกาะกูด ใครเอาเท้าจุ่มในทะเล ก็จะเกิดข้อพิพาทว่าที่เท้าจุ่มลงไปนั้น อยู่ในทะเลไทยหรือทะเลกัมพูชา

    จนเกิดข้อสงสัยว่าภาพแถลงกรมสนธิสัญญา กระทรวงการต่างประเทศ บังอาจแถลงข่าวเน้นตัดตอนพระบรมราชโองการสมัย รัชกาลที่ 9 นั้น กำลังทำตัวเป็นกรมสนธิสัญญาเพื่อประโยชน์ของรัฐบาลชาติใดกันแน่?

    ด้วยจิตคารวะ
    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
    คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    5 พฤศจิกายน 2567

    https://www.facebook.com/100044511276276/posts/1088203086006724/?
    ทำไมกระทรวงการต่างประเทศ ถึงบังอาจแถลงข่าวตัดตอนพระบรมราชโองการสมัย รัชกาลที่ 9?/ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ จากเอกสารของกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงข่าวเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 ในประเด็นพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน น่าประหลาดใจตรงที่มีการนำเสนอสไลด์ลำดับที่ 12 ในหัวข้อภาพว่า “พระบรมราชโองการการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของไทย พ.ศ. 2516“ โดยทั้งข้อความมีการขีดเส้นว่า “สิทธิอธิปไตย” ในตอนต้นของพระบรมราชโองการ และมีการนำเสนอพระบรมราชโองการย่อหน้าที่ 3 โดยการ “เน้น”เป็นกรอบสี่เหลี่ยมสีแดงว่า “จุดเริ่มต้นของเส้นแบ่งเขตไหล่ทวีปนั้นจะเป็นไปตามที่จะได้ตกลงกัน“ อีกทั้งยังได้มีแถบไฮไลท์สีเหลืองเพื่อเน้นย้ำว่า “เป็นไปตามที่จะได้ตกลงกัน”ด้วย การเขียนข้อความดังกล่าวอาจทำให้สังคมหรือคณะรัฐมนตรี “หลงประเด็น“ไปว่า พระบรมราชโองการประกาศเขตไหล่ทวีปอาจเปิดทางให้ตกลงกันอย่างไรก็ได้ อันเป็นการดำเนินการตามในรูปแบบของ MOU 2544 ก็ได้ แต่ความจริงแล้วการนำเสนอของกระทรวงการต่างประเทศในภาพนี้ มีเจตนานำเสนอ ”เน้นไม่ครบคำ“ ตามพระบรมราชโองการที่มีข้อความในฉบับเต็มว่า ”จุดเริ่มต้นของเส้นแบ่งเขตไหล่ทวีปนั้นจะเป็นไปตามที่จะได้ตกลงกัน โดยยึดถือมูลฐานแห่งบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขต และเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958“ ดังนั้นพระบรมราชโองการ ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของไทย พ.ศ. 2516 จึงมีความหมายคือ 1.ราชอาณาจักรไทย “ปฏิเสธ” การประกาศเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชา ที่ไม่ได้ยึดกฎหมายทะเลสากล เพราะรุกล้ำทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลรอบเกาะกูดไทย รุกล้ำเขตทะเลต่อเนื่อง 24 ไมล์ทะเลรอบเกาะกูดไทย และรุกล้ำเส้นมัธยะ (Median Line) ที่ลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 แบ่งครึ่งมุม ระหว่างเกาะกูดของไทยกับ เกาะกงของกัมพูชา ซึ่งไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขต และเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 2.ราชอาณาจักรไทย ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปโดยยึดกฎหมายทะเลสากลในเวลานั้นคือ บทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขต และเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 ซึ่งราชอาณาจักรไทยได้ให้สัตยาบันไว้แล้ว เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2511 3.หาก “จะ” มีการเจรจาเรื่องเส้นเขตไหล่ทวีปกับประเทศใกล้เคียงใน “อนาคต” จะต้องยึดมูลฐานจากฎหมายทะเลสากลเท่านั้น คือ บทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขต และเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 และย่อมไม่ใช่การเส้นเขตแดนตามประกาศเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชา ในปี พ.ศ. 2515 และมีความหมายด้วยว่าไม่ได้เปิดโอกาสให้นักการเมืองไปเจรจากับชาติใดตามอำเภอใจ โดยไม่ยึดมูลฐานแห่งบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขต และเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 การลงนามใน MOU 2544 จึงแตกต่างจาก 3 หลักการเดิมของพระบรมราชโองการ ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของไทย พ.ศ. 2516 ดังนี้ 1.MOU 2544 ได้ทำให้พื้นที่ซึ่งเป็นของราชอาณาจักรไทยตั้งแต่ปี 2516 ซึ่ง “เคยปฏิเสธ” เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชา ให้กลายเป็น “รับรู้” โดย “ไม่ปฏิเสธ”เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชา ใน MOU 2544 ซึ่งกลายเป็นพื้นที่ทับซ้อนเกินจริงไปอย่างมหาศาล และเท่ากับ 1.1 รัฐบาลไทย “รับรู้” และ “ไม่ปฏิเสธ” การรุกล้ำทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลรอบเกาะกูดไทย “รับรู้”และ“ไม่ปฏิเสธ”การรุกล้ำเขตทะเลต่อเนื่อง 24 ไมล์ทะเลรอบเกาะกูดไทย และ “รับรู้” และ “ไม่ปฏิเสธ” การรุกล้ำเส้นกลาง (Median Line) ที่ลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 แบ่งครึ่งมุม ระหว่างเกาะกูดของไทยกับ เกาะกงของกัมพูชา 1.2 รัฐบาลไทย “รับรู้” และ “ไม่ปฏิเสธ” การขีดเส้นของกัมพูชาซึ่งไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขต และเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 2. ราชอาณาจักรไทย เปลี่ยนหลักการใหญ่ ให้ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปโดยยึดบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขต และเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 เป็นมูลฐานเดียวในการเจรจา ให้กลายเป็น “มูลฐานอื่น” ที่ใช้การเจรจาตกลงกันระหว่างไทย-กัมพูชา ตาม MOU 2544 ที่มีการขีดเส้นพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนเกินจริง จึงไม่เป็นไปตามอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขต และเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 ต่างชาติพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลไทย-มาเลเซีย ที่ต่างเคารพการอ้างอนุสัญญาด้วยทะเลอาณาเขต และเขตต่อเนื่อง ซึ่งกระทำ ณ กรุงเจนีวา ลงวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1958 จึงเป็นการอ้างสิทธิทับซ้อนที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ส่งผลทำให้มีการตกลงกำหนดให้เป็นพื้นที่พัฒนาร่วมกับไทย-มาเลเซียเป็นผลสำเร็จ ส่งผลทำให้พื้นที่ซึ่งแน่ชัดตามพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ว่าเป็น ทะเลอาณาเขตของราชอาณาจักรไทย เขตทะเลต่อเนื่องของราชอาณาจักรไทย และเขตเศรษฐกิจจำเพาะของราชอาณาจักรไทย กลายเป็นพื้นที่ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าเป็นของราชอาณาจักรไทยหรือกัมพูชา มีจำนวนมากถึง 26,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งรวมถึงสิทธิการประมง สิทธิการเดินทาง และการสำรวจและการแสวงหาใช้ประโยชน์ทรัพยากรที่เคยเป็นของไทย กลายเป็นพื้นที่ซึ่งของไทยหรือกัมพูชา หรือไม่ก็ให้ถอยออกจากพื้นที่ทั้ง 2 ประเทศ การขีดเส้นแบบนี้ โดยรับรู้และไม่ปฏิเสธ แม้อ้างว่าเกาะกูดเป็นของไทย แต่ต่อไปใครไปนั่งที่ด้านทิศใต้เกาะกูด ใครเอาเท้าจุ่มในทะเล ก็จะเกิดข้อพิพาทว่าที่เท้าจุ่มลงไปนั้น อยู่ในทะเลไทยหรือทะเลกัมพูชา จนเกิดข้อสงสัยว่าภาพแถลงกรมสนธิสัญญา กระทรวงการต่างประเทศ บังอาจแถลงข่าวเน้นตัดตอนพระบรมราชโองการสมัย รัชกาลที่ 9 นั้น กำลังทำตัวเป็นกรมสนธิสัญญาเพื่อประโยชน์ของรัฐบาลชาติใดกันแน่? ด้วยจิตคารวะ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต 5 พฤศจิกายน 2567 https://www.facebook.com/100044511276276/posts/1088203086006724/?
    Like
    Love
    8
    0 Comments 1 Shares 210 Views 0 Reviews
  • ทำไมกัมพูชาไม่ยอมรับกฎเกณฑ์ UNCLOS 1982 ที่ประเทศทั่วโลกยอมรับและยึดถือกว่า 160 ประเทศ เป็นกฎหมายจารีตประเพณีที่เป็นหลักในการเจรจาความเมืองใด ๆ เกี่ยวกับทะเล

    ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณได้เขียนเรื่อง “ความลับกัมพูชาที่คนไทยทุกคนควรต้องรู้ ”เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2567ไว้ว่า

    “กัมพูชาเป็นเพียงประเทศเดียวในภูมิภาคแถบนี้ ที่ไม่ยอมเข้าร่วมอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 หรือ United Nations Convention on the Law Of the Sea (UNCLOS) อ่านออกเสียงตัวอักษรย่อ UNCLOS ว่า "อันโคลซ" ซึ่งปัจจุบันนับได้ว่าเป็นอนุสัญญาสหประชาชาติสำคัญ เป็นที่ยอมรับในการแบ่งเขตแดนทางทะเลของแต่ละประเทศอันเป็นหลักสากล โปร่งใส และมีความเป็นธรรม สามารถช่วยแก้ไข ตลอดจนระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับการแบ่งเขตแดนทางทะเลระหว่างประเทศได้อย่างสันติ

    เหตุผลประการสำคัญที่กัมพูชาไม่ยอมเข้าร่วม UNCLOS เป็นเพราะทางกัมพูชาทราบดีว่าจะเสียเปรียบในการเจรจาแบ่งเขตแดนทางทะเลกับประเทศเพื่อนบ้าน โดย ดร.วันนาริธ ชเฮียง นักวิชาการชื่อดังชาวกัมพูชาเป็นผู้ยอมรับเอง ยืนยันว่ารัฐบาลกัมพูชากลัวการเข้าร่วมอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล UNCLOS จะทำให้กัมพูชาเสียเปรียบในการเจรจากำหนดเขตแดนทางทะเลกับประเทศเพื่อนบ้าน ดังที่กัมพูชาพยายามอ้างสิทธิ์ตามเส้นเขตแดนที่ลากขึ้นในสมัยที่ยังเป็นรัฐอารักขาของประเทศฝรั่งเศส

    เมื่อทราบความจริงดังนี้ ประเทศไทยของเราจึงไม่ควรเจรจากับกัมพูชาเป็นอย่างยิ่งตราบใดที่กัมพูชายังไม่ยอมเข้าร่วม UNCLOS เพราะไทยจะกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบเสียเองหากยังคงยึดข้อพิพาทเดิมตามแนวทาง MOU 2544 ที่ล้าสมัยไปแล้ว ขนาดรัฐบาลกัมพูชายังไม่ยอมเสียเปรียบไทย ถ้ารัฐบาลไทยยอมเสียเปรียบกัมพูชา ยอมยกผลประโยชน์ของประเทศชาติและปวงชนชาวไทยมูลค่านับล้านล้านบาทให้กับกัมพูชา กล้าเสนอหน้าไปเจรจาโดยที่กัมพูชายังไม่ยอมเข้าร่วม UNCLOS จะเรียกว่า "โง่" หรือ "ขายชาติ" ดีครับ?

    ดังนั้น UNCLOS จึงเป็นหลักสำคัญในการเจรจาระหว่างไทยและกัมพูชา ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนจะจบลงทันที เพราะเส้นเขตแดนทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชาภายใต้ UNCLOS เป็นสากลอยู่แล้ว สิ่งที่เหลือให้ไทยและกัมพูชายังต้องเจรจาตกลงกัน คือ หลุมน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติที่วางตัวอยู่ในแนวเส้นแบ่งเขตแดนทางทะเลของทั้งสองประเทศ นอกจากไทยเราจะไม่เสียเกาะกูดเป็นแน่แล้ว ยังจะสามารถครองพื้นที่ส่วนใหญ่ที่เป็นข้อพิพาท รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติในท้องทะเล ทั้งน้ำมันดิบและก๊าชธรรมชาติส่วนใหญ่จะตกเป็นของไทย

    ขนาดนักวิชาการกัมพูชายังยืนยันชัดเจนว่ารัฐบาลกัมพูชาไม่เข้าร่วม UNCLOS เพราะกลัวเสียเปรียบ พี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนจึงควรตระหนักรู้เกี่ยวกับ UNCLOS เพื่อให้รัฐบาลไทยยื่นข้อเสนอให้กัมพูชาเข้าร่วม UNCLOS เสียก่อนเท่านั้น แล้วจึงค่อยเปิดการเจรจาที่เป็นธรรม!

    ที่มา https://www.facebook.com/share/15FAF2zRds/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    ทำไมกัมพูชาไม่ยอมรับกฎเกณฑ์ UNCLOS 1982 ที่ประเทศทั่วโลกยอมรับและยึดถือกว่า 160 ประเทศ เป็นกฎหมายจารีตประเพณีที่เป็นหลักในการเจรจาความเมืองใด ๆ เกี่ยวกับทะเล ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณได้เขียนเรื่อง “ความลับกัมพูชาที่คนไทยทุกคนควรต้องรู้ ”เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2567ไว้ว่า “กัมพูชาเป็นเพียงประเทศเดียวในภูมิภาคแถบนี้ ที่ไม่ยอมเข้าร่วมอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 หรือ United Nations Convention on the Law Of the Sea (UNCLOS) อ่านออกเสียงตัวอักษรย่อ UNCLOS ว่า "อันโคลซ" ซึ่งปัจจุบันนับได้ว่าเป็นอนุสัญญาสหประชาชาติสำคัญ เป็นที่ยอมรับในการแบ่งเขตแดนทางทะเลของแต่ละประเทศอันเป็นหลักสากล โปร่งใส และมีความเป็นธรรม สามารถช่วยแก้ไข ตลอดจนระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับการแบ่งเขตแดนทางทะเลระหว่างประเทศได้อย่างสันติ เหตุผลประการสำคัญที่กัมพูชาไม่ยอมเข้าร่วม UNCLOS เป็นเพราะทางกัมพูชาทราบดีว่าจะเสียเปรียบในการเจรจาแบ่งเขตแดนทางทะเลกับประเทศเพื่อนบ้าน โดย ดร.วันนาริธ ชเฮียง นักวิชาการชื่อดังชาวกัมพูชาเป็นผู้ยอมรับเอง ยืนยันว่ารัฐบาลกัมพูชากลัวการเข้าร่วมอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล UNCLOS จะทำให้กัมพูชาเสียเปรียบในการเจรจากำหนดเขตแดนทางทะเลกับประเทศเพื่อนบ้าน ดังที่กัมพูชาพยายามอ้างสิทธิ์ตามเส้นเขตแดนที่ลากขึ้นในสมัยที่ยังเป็นรัฐอารักขาของประเทศฝรั่งเศส เมื่อทราบความจริงดังนี้ ประเทศไทยของเราจึงไม่ควรเจรจากับกัมพูชาเป็นอย่างยิ่งตราบใดที่กัมพูชายังไม่ยอมเข้าร่วม UNCLOS เพราะไทยจะกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบเสียเองหากยังคงยึดข้อพิพาทเดิมตามแนวทาง MOU 2544 ที่ล้าสมัยไปแล้ว ขนาดรัฐบาลกัมพูชายังไม่ยอมเสียเปรียบไทย ถ้ารัฐบาลไทยยอมเสียเปรียบกัมพูชา ยอมยกผลประโยชน์ของประเทศชาติและปวงชนชาวไทยมูลค่านับล้านล้านบาทให้กับกัมพูชา กล้าเสนอหน้าไปเจรจาโดยที่กัมพูชายังไม่ยอมเข้าร่วม UNCLOS จะเรียกว่า "โง่" หรือ "ขายชาติ" ดีครับ? ดังนั้น UNCLOS จึงเป็นหลักสำคัญในการเจรจาระหว่างไทยและกัมพูชา ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนจะจบลงทันที เพราะเส้นเขตแดนทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชาภายใต้ UNCLOS เป็นสากลอยู่แล้ว สิ่งที่เหลือให้ไทยและกัมพูชายังต้องเจรจาตกลงกัน คือ หลุมน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติที่วางตัวอยู่ในแนวเส้นแบ่งเขตแดนทางทะเลของทั้งสองประเทศ นอกจากไทยเราจะไม่เสียเกาะกูดเป็นแน่แล้ว ยังจะสามารถครองพื้นที่ส่วนใหญ่ที่เป็นข้อพิพาท รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติในท้องทะเล ทั้งน้ำมันดิบและก๊าชธรรมชาติส่วนใหญ่จะตกเป็นของไทย ขนาดนักวิชาการกัมพูชายังยืนยันชัดเจนว่ารัฐบาลกัมพูชาไม่เข้าร่วม UNCLOS เพราะกลัวเสียเปรียบ พี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนจึงควรตระหนักรู้เกี่ยวกับ UNCLOS เพื่อให้รัฐบาลไทยยื่นข้อเสนอให้กัมพูชาเข้าร่วม UNCLOS เสียก่อนเท่านั้น แล้วจึงค่อยเปิดการเจรจาที่เป็นธรรม! ที่มา https://www.facebook.com/share/15FAF2zRds/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    Yay
    Angry
    5
    0 Comments 0 Shares 193 Views 0 Reviews
  • กลุ่มอาการหลังวัคซีนโควิด (ตอนที่ 1)

    ประโยชน์ของวัคซีนก็คือป้องกันโรค รวมทั้งลดอาการหนัก การตายและในขณะเดียวกันจำเป็นต้องทราบผลข้างเคียงผลแทรกซ้อนในระยะเวลาต่างๆ ตั้งแต่ได้รับวัคซีนนาทีแรกจนกระทั่งถึงระยะกลางเป็นสัปดาห์และระยะยาวเป็นเดือนและสิ่งที่ทอดยาวไปเป็นปี

    วัคซีนโควิดเช่นกันในช่วงที่มีการระบาดรุนแรงจำเป็นต้องใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน และเป้าหมายของทุกประเทศรวมทั้งประเทศไทยด้วยก็คือ ให้ทุกคนได้รับวัคซีนทั้งนี้เพื่อทำให้ระบบสาธารณสุขไม่พังพาบ จนรับผู้ป่วยโควิดไม่ไหว
    แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีระบบในการรองรับเพื่อประเมิน ผลข้างเคียงเพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดในคนที่ได้รับวัคซีนโดยที่เป็นคนที่ยังสุขภาพดีแข็งแรงจนกระทั่งมีโรคประจำตัวอื่นๆ

    รายงานในวารสารทางการแพทย์ของอังกฤษ British Medical Journal ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2023 ตั้งคำถามถึงระบบในสหรัฐที่รับรายงานผลแทรกซ้อนของวัคซีนที่เรียกว่า vaccine adverse event reporting system (VAERS) ทั้งนี้ยกตัวอย่างหมอสหรัฐที่ได้รับวัคซีนและเกิดผลกระทบอย่างรุนแรง พยายามที่จะรายงานเข้าระบบ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าใดนักรวมทั้งเป็นความซับซ้อนที่จะได้รับการติดตามสืบหารายละเอียดต่อ
    (Is the US’s Vaccine Adverse Event Reporting System broken?BMJ Investigation BMJ 2023; 383 doi: https://doi.org/10.1136/bmj.p2582 (Published 10 November 2023) Cite this as: BMJ 2023;383:p2582)
    ระบบในการรายงานในประเทศต่างๆไม่เฉพาะแต่ในประเทศอเมริกา แม้แต่ในยุโรปและในอังกฤษเองก็มีปัญหา ซึ่งแตกต่างกับระบบในประเทศเกาหลี ดังที่มีรายงานอุบัติการของหัวใจอักเสบหลังได้รับวัคซีน
    เอ็มอาร์เอ็นเอ โดยเป็นการเปิดรายงานแบบอิสระและแทบจะเป็นเรียวไทม์ โดยกฎเกณฑ์ของเงื่อนไขหัวใจอักเสบนั้นตัดสาเหตุอื่น ที่ทำให้หัวใจอักเสบได้ทั้งหมดจนเหลือแต่วัคซีนและตัวเลขที่ได้นั้นยังต่ำกว่าความเป็นจริง ด้วยซ้ำ และถึงแม้ว่าอุบัติการของหัวใจอักเสบอย่างเดียวจะอยู่ที่ประมาณหนึ่งใน 100,000 แต่ความรุนแรงนั้นมากจนกระทั่งถึงต้องเข้าไอซียูหัวใจวายได้รับการรักษาอย่างเข้มข้นจนกระทั่งมีการเปลี่ยนหัวใจ (บทความสุขภาพพรรษาไทยรัฐหัวใจอักเสบจากวัคซีน)

    ในประเทศไทยเองนั้นดำเนินตามประเทศต่างๆที่ให้มีการฉีดวัคซีนครอบคลุมได้มากที่สุด ดังนั้นจะพบได้ว่ามีรายงานที่ได้รับการปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกันหรือให้มีการพิสูจน์ก่อนว่าวัคซีนเป็นสาเหตุ ซึ่งอาจจะแทบเป็นไปไม่ได้ในผู้ที่ได้รับผลกระทบและแพทย์ที่ ดูคนไข้เพราะต้องมีการสืบสวนหาสาเหตุด้วยการตรวจทางห้องปฏิบัติการหลายชนิดด้วยกัน

    ยกตัวอย่างเช่นเด็กผู้ชายอายุ 14 ขวบได้รับวัคซีน
    เอ็มอาร์เอ็นเอสามเข็ม โดยเข็มสุดท้ายเก้าเดือนก่อนที่จะมีอาการของหัวใจอักเสบหัวใจวาย รุนแรง และกล้ามเนื้อแขนขาอักเสบอัมพาตยกแขนขาไม่ได้ เมื่อดูเงื่อนไขของเวลาเผินๆ อาจจะตัดประเด็นของวัคซีนได้เลย แต่การสืบหาสาเหตุอย่างอื่นทั้งตัวไวรัสโควิดและไวรัสอีกหลายชนิดทั้งหมด รวมทั้งภาวะภูมิแปรปรวนที่ทำให้เกิดการอักเสบ อีกทั้งสามารถตรวจพบเศษของวัคซีนในกล้ามเนื้อหัวใจและมีการอักเสบอย่างรุนแรงในกล้ามเนื้อหัวใจ ทั้งนี้ได้รับการรักษาด้วยการเปลี่ยนถ่ายน้ำเหลือง และการให้สารสกัดน้ำเหลือง ตลอดจนยากดภูมิคุ้มกัน แม้ว่าหัวใจอักเสบหัวใจวายจะดีขึ้นแต่แขนขายังขยับไม่ได้ ทั้งหมดนี้ต้องใช้การตรวจในห้องปฏิบัติการการรักษาในระดับเป็น 100,000 เป็นล้านบาทต่อหนึ่งคน

    เหล่านี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงถึงความยากลำบากในการพิสูจน์ความเกี่ยวโยงกับวัคซีน
    แต่ทั้งนี้เริ่มมีการวิเคราะห์สาเหตุการตายที่สูงเกินกว่าที่ จะอธิบายได้เมื่อเทียบ ในช่วงเวลาก่อนโควิด ในระหว่างการระบาดของโควิดและหลังจากระบาดเริ่มสงบไปแล้ว และในช่วงที่เริ่มมีการใช้วัคซีน ที่เรียกว่าอัตรา excess deaths
    และนอกจากนั้นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นที่ทอดยาวเป็นเวลานานเกินกว่าสามเดือนหลังจากติดเชื้อโควิดที่เรียกว่าลองโควิด (long covid) โดยมีทั้งอาการทางระบบหัวใจและปอด ระบบสมองประสาทและกล้ามเนื้อ ภาวะที่มีการอักเสบของผิวหนัง เส้นเอ็นพังผืด กล้ามเนื้อ ข้อ ตลอดจนการปะทุขึ้นของโรคที่ไม่เคยเป็นมาก่อนหรือโรคที่สงบไปแล้ว รวมทั่งมะเร็งและการเกิดเริม งูสวัดซึ่งไวรัสเหล่านี้เป็นไวรัสที่ซ่อนอยู่ในร่างกายจากการติดเชื้อเนิ่นนานมาแล้ว และถูกกดไม่ให้แสดงตัวออกมาจากการควบคุมของระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงของร่างกาย และยังรวมถึง การนอนหลับที่ผิดปกติหลับยากหลับกระท่อนกระแท่น จนถึงฮอร์โมนแปรปรวนทั้งผู้ชายและผู้หญิง
    การติดตามผู้ที่ได้รับผล
    กระทบในลักษณะนี้โดยอาการขณะที่เป็นโควิดไม่รุนแรงแต่อาการหลังจากนั้นกลับรุนแรงและยืดยาว และสืบค้นผู้ได้รับผลกระทบจากวัคซีนชนิดต่างๆ ทั้งหมดแล้วเกือบ 100 รายด้วยกัน โดยติดตามหลายวาระเป็นเวลานานกว่าหนึ่งปี

    สิ่งที่น่าตกใจก็คือแม้ว่าอาการตอนแรกหลังจากติดเชื้อโควิดหรือหลังจากได้รับวัคซีนมีผลไม่มากนักแต่ระยะต่อมามีผลกระทบแม้ว่าอาการจะเริ่มสงบไปแล้วก็ตาม โดยผลกระทบ สามารถพิสูจน์ได้ด้วยการวิเคราะห์การอักเสบในเลือด13 ชนิด และผลกระทบต่อสมองโดยมีการจุดปะทุ ของการอักเสบในสมองจากเซลล์ Astroglia microglia ที่เรียกว่า GFAP และมีระดับของ โปรตีน พิษอัลไซเมอร์ในสมองรวมทั้งมีการทำลายเนื้อสมอง ด้วย (จากการตรวจค่า NFL)

    ลักษณะนี้ทำให้ต้องตระหนักว่าภาวะสมองเสื่อมได้เกิดขึ้นเงียบๆ โดยไม่แสดงอาการด้วยซ้ำและจะสามารถดำเนินต่อไปได้จากภาวะของโรคเมตาบอลิค ของตนเองทั้งอ้วน เบาหวานความดันสูง การไม่ออกกำลัง อาหารที่มากด้วยเนื้อสัตว์การขาดการบริโภคผักผลไม้กากไย

    สมองเสื่อมในลักษณะนี้เป็นที่ตระหนักและมีการประกาศจากสมาคมสมองเสื่อมของสหรัฐและนานาชาติมาตั้งแต่ช่วงโควิดจนกระทั่งถึงปัจจุบัน

    จากการวิเคราะห์วัคซีนทั้งไฟเซอร์และโมเดนา จากคณะทำงาน ยังพบว่านอกจากเอ็มอาร์เอ็นเอแล้ว ยังมีหลาย พันล้านก๊อปปี้ ของ ดีเอ็นเอและส่วนที่กระตุ้นให้สามารถทำงานได้ดีขึ้นเมื่อเสียบเข้าไปในเซลล์ ทั้ง ori และ SV 40 promoter ทั้งนี้จากกระบวนการผลิตเพื่อให้ได้วัคซีนเพียงพอกับความต้องการโดยการใช้
    พลาสมิด(บทความสุขภาพหรรษาไทยรัฐ)

    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต
    กลุ่มอาการหลังวัคซีนโควิด (ตอนที่ 1) ประโยชน์ของวัคซีนก็คือป้องกันโรค รวมทั้งลดอาการหนัก การตายและในขณะเดียวกันจำเป็นต้องทราบผลข้างเคียงผลแทรกซ้อนในระยะเวลาต่างๆ ตั้งแต่ได้รับวัคซีนนาทีแรกจนกระทั่งถึงระยะกลางเป็นสัปดาห์และระยะยาวเป็นเดือนและสิ่งที่ทอดยาวไปเป็นปี วัคซีนโควิดเช่นกันในช่วงที่มีการระบาดรุนแรงจำเป็นต้องใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน และเป้าหมายของทุกประเทศรวมทั้งประเทศไทยด้วยก็คือ ให้ทุกคนได้รับวัคซีนทั้งนี้เพื่อทำให้ระบบสาธารณสุขไม่พังพาบ จนรับผู้ป่วยโควิดไม่ไหว แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีระบบในการรองรับเพื่อประเมิน ผลข้างเคียงเพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดในคนที่ได้รับวัคซีนโดยที่เป็นคนที่ยังสุขภาพดีแข็งแรงจนกระทั่งมีโรคประจำตัวอื่นๆ รายงานในวารสารทางการแพทย์ของอังกฤษ British Medical Journal ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2023 ตั้งคำถามถึงระบบในสหรัฐที่รับรายงานผลแทรกซ้อนของวัคซีนที่เรียกว่า vaccine adverse event reporting system (VAERS) ทั้งนี้ยกตัวอย่างหมอสหรัฐที่ได้รับวัคซีนและเกิดผลกระทบอย่างรุนแรง พยายามที่จะรายงานเข้าระบบ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าใดนักรวมทั้งเป็นความซับซ้อนที่จะได้รับการติดตามสืบหารายละเอียดต่อ (Is the US’s Vaccine Adverse Event Reporting System broken?BMJ Investigation BMJ 2023; 383 doi: https://doi.org/10.1136/bmj.p2582 (Published 10 November 2023) Cite this as: BMJ 2023;383:p2582) ระบบในการรายงานในประเทศต่างๆไม่เฉพาะแต่ในประเทศอเมริกา แม้แต่ในยุโรปและในอังกฤษเองก็มีปัญหา ซึ่งแตกต่างกับระบบในประเทศเกาหลี ดังที่มีรายงานอุบัติการของหัวใจอักเสบหลังได้รับวัคซีน เอ็มอาร์เอ็นเอ โดยเป็นการเปิดรายงานแบบอิสระและแทบจะเป็นเรียวไทม์ โดยกฎเกณฑ์ของเงื่อนไขหัวใจอักเสบนั้นตัดสาเหตุอื่น ที่ทำให้หัวใจอักเสบได้ทั้งหมดจนเหลือแต่วัคซีนและตัวเลขที่ได้นั้นยังต่ำกว่าความเป็นจริง ด้วยซ้ำ และถึงแม้ว่าอุบัติการของหัวใจอักเสบอย่างเดียวจะอยู่ที่ประมาณหนึ่งใน 100,000 แต่ความรุนแรงนั้นมากจนกระทั่งถึงต้องเข้าไอซียูหัวใจวายได้รับการรักษาอย่างเข้มข้นจนกระทั่งมีการเปลี่ยนหัวใจ (บทความสุขภาพพรรษาไทยรัฐหัวใจอักเสบจากวัคซีน) ในประเทศไทยเองนั้นดำเนินตามประเทศต่างๆที่ให้มีการฉีดวัคซีนครอบคลุมได้มากที่สุด ดังนั้นจะพบได้ว่ามีรายงานที่ได้รับการปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกันหรือให้มีการพิสูจน์ก่อนว่าวัคซีนเป็นสาเหตุ ซึ่งอาจจะแทบเป็นไปไม่ได้ในผู้ที่ได้รับผลกระทบและแพทย์ที่ ดูคนไข้เพราะต้องมีการสืบสวนหาสาเหตุด้วยการตรวจทางห้องปฏิบัติการหลายชนิดด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่นเด็กผู้ชายอายุ 14 ขวบได้รับวัคซีน เอ็มอาร์เอ็นเอสามเข็ม โดยเข็มสุดท้ายเก้าเดือนก่อนที่จะมีอาการของหัวใจอักเสบหัวใจวาย รุนแรง และกล้ามเนื้อแขนขาอักเสบอัมพาตยกแขนขาไม่ได้ เมื่อดูเงื่อนไขของเวลาเผินๆ อาจจะตัดประเด็นของวัคซีนได้เลย แต่การสืบหาสาเหตุอย่างอื่นทั้งตัวไวรัสโควิดและไวรัสอีกหลายชนิดทั้งหมด รวมทั้งภาวะภูมิแปรปรวนที่ทำให้เกิดการอักเสบ อีกทั้งสามารถตรวจพบเศษของวัคซีนในกล้ามเนื้อหัวใจและมีการอักเสบอย่างรุนแรงในกล้ามเนื้อหัวใจ ทั้งนี้ได้รับการรักษาด้วยการเปลี่ยนถ่ายน้ำเหลือง และการให้สารสกัดน้ำเหลือง ตลอดจนยากดภูมิคุ้มกัน แม้ว่าหัวใจอักเสบหัวใจวายจะดีขึ้นแต่แขนขายังขยับไม่ได้ ทั้งหมดนี้ต้องใช้การตรวจในห้องปฏิบัติการการรักษาในระดับเป็น 100,000 เป็นล้านบาทต่อหนึ่งคน เหล่านี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงถึงความยากลำบากในการพิสูจน์ความเกี่ยวโยงกับวัคซีน แต่ทั้งนี้เริ่มมีการวิเคราะห์สาเหตุการตายที่สูงเกินกว่าที่ จะอธิบายได้เมื่อเทียบ ในช่วงเวลาก่อนโควิด ในระหว่างการระบาดของโควิดและหลังจากระบาดเริ่มสงบไปแล้ว และในช่วงที่เริ่มมีการใช้วัคซีน ที่เรียกว่าอัตรา excess deaths และนอกจากนั้นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นที่ทอดยาวเป็นเวลานานเกินกว่าสามเดือนหลังจากติดเชื้อโควิดที่เรียกว่าลองโควิด (long covid) โดยมีทั้งอาการทางระบบหัวใจและปอด ระบบสมองประสาทและกล้ามเนื้อ ภาวะที่มีการอักเสบของผิวหนัง เส้นเอ็นพังผืด กล้ามเนื้อ ข้อ ตลอดจนการปะทุขึ้นของโรคที่ไม่เคยเป็นมาก่อนหรือโรคที่สงบไปแล้ว รวมทั่งมะเร็งและการเกิดเริม งูสวัดซึ่งไวรัสเหล่านี้เป็นไวรัสที่ซ่อนอยู่ในร่างกายจากการติดเชื้อเนิ่นนานมาแล้ว และถูกกดไม่ให้แสดงตัวออกมาจากการควบคุมของระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงของร่างกาย และยังรวมถึง การนอนหลับที่ผิดปกติหลับยากหลับกระท่อนกระแท่น จนถึงฮอร์โมนแปรปรวนทั้งผู้ชายและผู้หญิง การติดตามผู้ที่ได้รับผล กระทบในลักษณะนี้โดยอาการขณะที่เป็นโควิดไม่รุนแรงแต่อาการหลังจากนั้นกลับรุนแรงและยืดยาว และสืบค้นผู้ได้รับผลกระทบจากวัคซีนชนิดต่างๆ ทั้งหมดแล้วเกือบ 100 รายด้วยกัน โดยติดตามหลายวาระเป็นเวลานานกว่าหนึ่งปี สิ่งที่น่าตกใจก็คือแม้ว่าอาการตอนแรกหลังจากติดเชื้อโควิดหรือหลังจากได้รับวัคซีนมีผลไม่มากนักแต่ระยะต่อมามีผลกระทบแม้ว่าอาการจะเริ่มสงบไปแล้วก็ตาม โดยผลกระทบ สามารถพิสูจน์ได้ด้วยการวิเคราะห์การอักเสบในเลือด13 ชนิด และผลกระทบต่อสมองโดยมีการจุดปะทุ ของการอักเสบในสมองจากเซลล์ Astroglia microglia ที่เรียกว่า GFAP และมีระดับของ โปรตีน พิษอัลไซเมอร์ในสมองรวมทั้งมีการทำลายเนื้อสมอง ด้วย (จากการตรวจค่า NFL) ลักษณะนี้ทำให้ต้องตระหนักว่าภาวะสมองเสื่อมได้เกิดขึ้นเงียบๆ โดยไม่แสดงอาการด้วยซ้ำและจะสามารถดำเนินต่อไปได้จากภาวะของโรคเมตาบอลิค ของตนเองทั้งอ้วน เบาหวานความดันสูง การไม่ออกกำลัง อาหารที่มากด้วยเนื้อสัตว์การขาดการบริโภคผักผลไม้กากไย สมองเสื่อมในลักษณะนี้เป็นที่ตระหนักและมีการประกาศจากสมาคมสมองเสื่อมของสหรัฐและนานาชาติมาตั้งแต่ช่วงโควิดจนกระทั่งถึงปัจจุบัน จากการวิเคราะห์วัคซีนทั้งไฟเซอร์และโมเดนา จากคณะทำงาน ยังพบว่านอกจากเอ็มอาร์เอ็นเอแล้ว ยังมีหลาย พันล้านก๊อปปี้ ของ ดีเอ็นเอและส่วนที่กระตุ้นให้สามารถทำงานได้ดีขึ้นเมื่อเสียบเข้าไปในเซลล์ ทั้ง ori และ SV 40 promoter ทั้งนี้จากกระบวนการผลิตเพื่อให้ได้วัคซีนเพียงพอกับความต้องการโดยการใช้ พลาสมิด(บทความสุขภาพหรรษาไทยรัฐ) ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    Like
    9
    0 Comments 1 Shares 116 Views 0 Reviews
  • ผู้นำสูงสุดอิหร่านลั่นชำระแค้นทั้งอิสราเอลและอเมริกา ขณะที่วอชิงตันประกาศเครื่องบินทิ้งระเบิดบี-52 ถึงตะวันออกกลางแล้วและพร้อมดำเนินการเพื่อปกป้องพลเมืองและผลประโยชน์ของประเทศจากการโจมตีของเตหะรานและเหล่าพันธมิตร
    .
    อยาตอลเลาะห์ อาลี คอเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ประกาศเมื่อวันเสาร์ (2 พ.ย.) ว่า การตอบโต้ของเตหะรานจะเป็นการชำระแค้นทั้งสำหรับตนเองและพันธมิตร และสำทับว่า ทั้งอเมริกาและรัฐยิวจะได้รับการตอบโต้อย่างรุนแรง
    .
    ทั้งนี้ เมื่อวันเสาร์ที่แล้ว (26 ต.ค.) อิสราเอลโจมตีที่ตั้งทางทหารหลายแห่งในอิหร่านที่มีทหารเสียชีวิต 4 นาย เพื่อเอาคืนที่เตหะรานยิงขีปนาวุธใส่ราว 200 ลูกเมื่อวันที่ 1 ต.ค. ซึ่งเป็นการตอบโต้ที่อิสราเอลสังหารผู้นำฮิซบอลเลาะห์และฮามาสก่อนหน้านั้น
    .
    ด้านอิสราเอลเตือนเมื่อปลายเดือนที่แล้วไม่ให้อิหร่านตอบโต้กลับ ขณะที่นักวิเคราะห์หลายคนลงความเห็นว่า การโจมตีของอิสราเอลทำให้ระบบป้องกันภัยทางอากาศและโรงงานผลิตขีปนาวุธของอิหร่านเสียหาย และอิสราเอลอาจโจมตีอิหร่านซ้ำในขอบเขตที่กว้างขึ้น
    .
    ขณะเดียวกัน กองบัญชาการทหารด้านกลางของสหรัฐฯ (US CENTCOM) ซึ่งรับผิดชอบดูแลภูมิภาคตะวันออกกลางและประเทศโดยรอบ โพสต์บนโซเชียลมีเดียเมื่อวันเสาร์ว่า เครื่องบินทิ้งระเบิดบี-52 ของสหรัฐฯ ได้เดินทางถึงตะวันออกกลางแล้ว หลังจากก่อนหน้านั้น 1 วัน วอชิงตันประกาศว่า กำลังส่งเครื่องบินทิ้งระเบิด เครื่องบินขับไล่ เครื่องบินบรรทุกน้ำมันสำหรับเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศ และเรือพิฆาตติดตั้งระบบต่อต้านขีปนาวุธทิ้งตัวไปยังภูมิภาคดังกล่าว
    .
    พลตรีแพต ไรเดอร์ โฆษกเพนตากอน แถลงว่า หากอิหร่าน พันธมิตร หรือตัวแทนใช้โอกาสนี้โจมตีพลเมืองหรือผลประโยชน์ของอเมริกาในตะวันออกกลาง อเมริกาจะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อปกป้องพลเมืองของประเทศ
    .
    ยุคมืดที่สุดของกาซา
    .
    นับจากปลายเดือนกันยายน อิสราเอลทำสงครามเต็มรูปแบบกับฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน โดยที่ยังคงเดินหน้าถล่มโจมตีทางอากาศแบบแหลกลาญใส่ฉนวนกาซา รวมทั้งส่งกำลังภาคพื้นดินออกปราบปรามกวาดล้างกลุ่มฮามาสที่เป็นผู้จุดไฟสงครามในกาซาด้วยการบุกโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค.ปีที่แล้ว
    .
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับจากวันที่ 6 เดือนที่ผ่านมา อิสราเอลเปิดฉากโจมตีครั้งใหญ่ทั้งทางอากาศและภาคพื้นดินใส่บริเวณตอนเหนือของกาซา โดยเฉพาะในเขตค่ายผู้ลี้ภัยจาบาเลีย โดยอ้างว่า เพื่อป้องกันไม่ให้ฮามาสซ่องสุมกำลังกลับมาใหม่
    .
    เทดรอส แอดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (WHO) แถลงว่า ได้รับรายงานที่น่ากังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับการโจมตีศูนย์สุขภาพ ชัยค์ รัดวาน เมื่อวันเสาร์ ขณะที่พ่อแม่พาลูกๆ ไปรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ เป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 6 คน ซึ่ง 4 คนในจำนวนนี้เป็นเด็ก
    .
    เทดรอสไม่ได้ระบุว่า เป็นฝีมือฝ่ายใด แต่แหล่งข่าวในหน่วยงานป้องกันภัยพลเรือนในกาซาเปิดเผยกับเอเอฟพีว่า เฮลิคอปเตอร์ 4 ใบพัดของอิสราเอลยิงขีปนาวุธ 2 ลูกใส่กำแพงศูนย์สุขภาพดังกล่าว
    .
    ด้านกองทัพอิสราเอลออกมาปฏิเสธว่า ไม่ได้โจมตีใกล้บริเวณนั้นขณะเกิดเหตุ
    .
    อย่างไรก็ดี แคทเธอลีน รัสเซลล์ ผู้อำนวยการกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเซฟ) แถลงว่า ในช่วง 48 ชั่วโมงจนถึงวันเสาร์ มีเด็ก 50 คนเสียชีวิตในจาบาเลีย และสำทับว่า การโจมตีค่ายผู้อพยพจาบาเลีย คลินิกวัคซีน และเจ้าหน้าที่ยูนิเซฟ เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ตอกย้ำผลกระทบร้ายแรงจากการโจมตีพลเรือนไม่เลือกในฉนวนกาซา และอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่มืดมนของช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุดในสงครามสุดเลวร้ายในกาซาขณะนี้
    .
    ทางฝ่ายกองทัพอิสราเอลระบุว่า สามารถสังหารนักรบนับสิบรอบจาบาเลีย และมีจรวด 2 ลูกยิงจากบริเวณดังกล่าวเข้าสู่อิสราเอลเมื่อวันเสาร์ ซึ่งถือเป็นการโจมตีครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์
    .
    กระทรวงสาธารณสุขในกาซาที่มีกลุ่มฮามาสเป็นผู้บริหาร ออกรายงานอัปเดตตัวเลขในวันอาทิตย์ (3) ระบุว่า ในฉนวนกาซามีผู้ถูกฆ่าตายไปอย่างน้อย 43,341 คน และบาดเจ็บ 102,105 คน ในสงครามยาวนานกว่า 1 ปีที่อิสราเอลบุกเข้ากวาดล้างในดินแดนแห่งนี้ โดยที่ในรอบ 24 ชั่วโมง มีผู้เสียชีวิตไป 27 คน
    .
    สำหรับสถานการณ์ในเลบานอนนั้น แหล่งข่าวด้านความมั่นคงคนหนึ่งเผยว่า กองทัพเรืออิสราเอลได้เปิดปฏิบัติการพิเศษในเมืองบาทรูน ทางเหนือของเลบานอนเมื่อเช้าวันศุกร์ (1 พ.ย.) และจับผู้ต้องสงสัยเป็นสายลับอาวุโสของฮิซบอลเลาะห์ได้ 1 คน และนำกลับไปสอบสวนที่อิสราเอล
    .
    วันเสาร์ สำนักนายกรัฐมนตรีเลบานอนออกคำแถลงว่า นายกรัฐมนตรีนาจิบ มิคาติ เรียกร้องให้เปิดการสอบสวนกรณีอิหมัด อัมฮาซ ซึ่งเป็นพลเมืองเลบานอนถูกลักพาตัวไปจากเมืองบาทรูน โดยผู้นำเลบานอนได้หารือกับกองทัพและเจ้าหน้าที่กองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติในเลบานอน (ยูนิฟิล) รวมทั้งขอให้อับดัลลาห์ บู ฮาบิบ รัฐมนตรีต่างประเทศ ร้องเรียนด่วนต่อคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000105978
    ..............
    Sondhi X
    ผู้นำสูงสุดอิหร่านลั่นชำระแค้นทั้งอิสราเอลและอเมริกา ขณะที่วอชิงตันประกาศเครื่องบินทิ้งระเบิดบี-52 ถึงตะวันออกกลางแล้วและพร้อมดำเนินการเพื่อปกป้องพลเมืองและผลประโยชน์ของประเทศจากการโจมตีของเตหะรานและเหล่าพันธมิตร . อยาตอลเลาะห์ อาลี คอเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ประกาศเมื่อวันเสาร์ (2 พ.ย.) ว่า การตอบโต้ของเตหะรานจะเป็นการชำระแค้นทั้งสำหรับตนเองและพันธมิตร และสำทับว่า ทั้งอเมริกาและรัฐยิวจะได้รับการตอบโต้อย่างรุนแรง . ทั้งนี้ เมื่อวันเสาร์ที่แล้ว (26 ต.ค.) อิสราเอลโจมตีที่ตั้งทางทหารหลายแห่งในอิหร่านที่มีทหารเสียชีวิต 4 นาย เพื่อเอาคืนที่เตหะรานยิงขีปนาวุธใส่ราว 200 ลูกเมื่อวันที่ 1 ต.ค. ซึ่งเป็นการตอบโต้ที่อิสราเอลสังหารผู้นำฮิซบอลเลาะห์และฮามาสก่อนหน้านั้น . ด้านอิสราเอลเตือนเมื่อปลายเดือนที่แล้วไม่ให้อิหร่านตอบโต้กลับ ขณะที่นักวิเคราะห์หลายคนลงความเห็นว่า การโจมตีของอิสราเอลทำให้ระบบป้องกันภัยทางอากาศและโรงงานผลิตขีปนาวุธของอิหร่านเสียหาย และอิสราเอลอาจโจมตีอิหร่านซ้ำในขอบเขตที่กว้างขึ้น . ขณะเดียวกัน กองบัญชาการทหารด้านกลางของสหรัฐฯ (US CENTCOM) ซึ่งรับผิดชอบดูแลภูมิภาคตะวันออกกลางและประเทศโดยรอบ โพสต์บนโซเชียลมีเดียเมื่อวันเสาร์ว่า เครื่องบินทิ้งระเบิดบี-52 ของสหรัฐฯ ได้เดินทางถึงตะวันออกกลางแล้ว หลังจากก่อนหน้านั้น 1 วัน วอชิงตันประกาศว่า กำลังส่งเครื่องบินทิ้งระเบิด เครื่องบินขับไล่ เครื่องบินบรรทุกน้ำมันสำหรับเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศ และเรือพิฆาตติดตั้งระบบต่อต้านขีปนาวุธทิ้งตัวไปยังภูมิภาคดังกล่าว . พลตรีแพต ไรเดอร์ โฆษกเพนตากอน แถลงว่า หากอิหร่าน พันธมิตร หรือตัวแทนใช้โอกาสนี้โจมตีพลเมืองหรือผลประโยชน์ของอเมริกาในตะวันออกกลาง อเมริกาจะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อปกป้องพลเมืองของประเทศ . ยุคมืดที่สุดของกาซา . นับจากปลายเดือนกันยายน อิสราเอลทำสงครามเต็มรูปแบบกับฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน โดยที่ยังคงเดินหน้าถล่มโจมตีทางอากาศแบบแหลกลาญใส่ฉนวนกาซา รวมทั้งส่งกำลังภาคพื้นดินออกปราบปรามกวาดล้างกลุ่มฮามาสที่เป็นผู้จุดไฟสงครามในกาซาด้วยการบุกโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค.ปีที่แล้ว . โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับจากวันที่ 6 เดือนที่ผ่านมา อิสราเอลเปิดฉากโจมตีครั้งใหญ่ทั้งทางอากาศและภาคพื้นดินใส่บริเวณตอนเหนือของกาซา โดยเฉพาะในเขตค่ายผู้ลี้ภัยจาบาเลีย โดยอ้างว่า เพื่อป้องกันไม่ให้ฮามาสซ่องสุมกำลังกลับมาใหม่ . เทดรอส แอดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (WHO) แถลงว่า ได้รับรายงานที่น่ากังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับการโจมตีศูนย์สุขภาพ ชัยค์ รัดวาน เมื่อวันเสาร์ ขณะที่พ่อแม่พาลูกๆ ไปรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ เป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 6 คน ซึ่ง 4 คนในจำนวนนี้เป็นเด็ก . เทดรอสไม่ได้ระบุว่า เป็นฝีมือฝ่ายใด แต่แหล่งข่าวในหน่วยงานป้องกันภัยพลเรือนในกาซาเปิดเผยกับเอเอฟพีว่า เฮลิคอปเตอร์ 4 ใบพัดของอิสราเอลยิงขีปนาวุธ 2 ลูกใส่กำแพงศูนย์สุขภาพดังกล่าว . ด้านกองทัพอิสราเอลออกมาปฏิเสธว่า ไม่ได้โจมตีใกล้บริเวณนั้นขณะเกิดเหตุ . อย่างไรก็ดี แคทเธอลีน รัสเซลล์ ผู้อำนวยการกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเซฟ) แถลงว่า ในช่วง 48 ชั่วโมงจนถึงวันเสาร์ มีเด็ก 50 คนเสียชีวิตในจาบาเลีย และสำทับว่า การโจมตีค่ายผู้อพยพจาบาเลีย คลินิกวัคซีน และเจ้าหน้าที่ยูนิเซฟ เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ตอกย้ำผลกระทบร้ายแรงจากการโจมตีพลเรือนไม่เลือกในฉนวนกาซา และอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่มืดมนของช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุดในสงครามสุดเลวร้ายในกาซาขณะนี้ . ทางฝ่ายกองทัพอิสราเอลระบุว่า สามารถสังหารนักรบนับสิบรอบจาบาเลีย และมีจรวด 2 ลูกยิงจากบริเวณดังกล่าวเข้าสู่อิสราเอลเมื่อวันเสาร์ ซึ่งถือเป็นการโจมตีครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ . กระทรวงสาธารณสุขในกาซาที่มีกลุ่มฮามาสเป็นผู้บริหาร ออกรายงานอัปเดตตัวเลขในวันอาทิตย์ (3) ระบุว่า ในฉนวนกาซามีผู้ถูกฆ่าตายไปอย่างน้อย 43,341 คน และบาดเจ็บ 102,105 คน ในสงครามยาวนานกว่า 1 ปีที่อิสราเอลบุกเข้ากวาดล้างในดินแดนแห่งนี้ โดยที่ในรอบ 24 ชั่วโมง มีผู้เสียชีวิตไป 27 คน . สำหรับสถานการณ์ในเลบานอนนั้น แหล่งข่าวด้านความมั่นคงคนหนึ่งเผยว่า กองทัพเรืออิสราเอลได้เปิดปฏิบัติการพิเศษในเมืองบาทรูน ทางเหนือของเลบานอนเมื่อเช้าวันศุกร์ (1 พ.ย.) และจับผู้ต้องสงสัยเป็นสายลับอาวุโสของฮิซบอลเลาะห์ได้ 1 คน และนำกลับไปสอบสวนที่อิสราเอล . วันเสาร์ สำนักนายกรัฐมนตรีเลบานอนออกคำแถลงว่า นายกรัฐมนตรีนาจิบ มิคาติ เรียกร้องให้เปิดการสอบสวนกรณีอิหมัด อัมฮาซ ซึ่งเป็นพลเมืองเลบานอนถูกลักพาตัวไปจากเมืองบาทรูน โดยผู้นำเลบานอนได้หารือกับกองทัพและเจ้าหน้าที่กองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติในเลบานอน (ยูนิฟิล) รวมทั้งขอให้อับดัลลาห์ บู ฮาบิบ รัฐมนตรีต่างประเทศ ร้องเรียนด่วนต่อคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000105978 .............. Sondhi X
    Like
    1
    1 Comments 0 Shares 685 Views 0 Reviews
  • ประเทศเราเสียเวลากับพวกนักกินบ้านกินเมืองมาหลายปี พวกเราคนไทยส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากการกระทำของพวกนักการเมืองที่เห็นแก่พวกพ้อง บ้านเมืองไม่เคยสงบสุข มีแต่ลมปากการคอรัปชั่นโกงบ้านโกงเมือง เชื่อฟังนักโทษไม่ว่าทหาร ข้าราชการทุกหมู่เหล่า ทั้งรัฐบาลที่มาจากทหารหรือมาจากการเลือกตั้ง ถือเราผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลักอ้างประชาชนบังหน้ากอบโกยผลประโยชน์ของประเทศชาติและอำนาจ ประชาชนก็โดนหลอกไปวัน ๆ ความจริงที่ประชาชนควรรู้ควรมีส่วนร่วมก็ปกปิดอ้างความลับทางราชการพอความจริงปรากฏว่าผิดพลาดก็สายไปที่จะแก้ไขอ้างนู่นนี่นั่น ถ้าถึงที่สุดสักวันก็จะมีอินทรีย์แดงทาจักการข้าราชการนักการเมืองเลวพวกนี้แล้วหาว่าไม่เตือน อย่างคิดว่ามีหน่วยข่าวกรองของรัฐอยู่ในมือจะช่วยได้นะ ขนาดผู้ต้องหาศาลออกหมายจับยังหาจับไม่ได้จนคดีหมดอายุความ ประเทศไทยครับพี่น้อง
    ประเทศเราเสียเวลากับพวกนักกินบ้านกินเมืองมาหลายปี พวกเราคนไทยส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากการกระทำของพวกนักการเมืองที่เห็นแก่พวกพ้อง บ้านเมืองไม่เคยสงบสุข มีแต่ลมปากการคอรัปชั่นโกงบ้านโกงเมือง เชื่อฟังนักโทษไม่ว่าทหาร ข้าราชการทุกหมู่เหล่า ทั้งรัฐบาลที่มาจากทหารหรือมาจากการเลือกตั้ง ถือเราผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลักอ้างประชาชนบังหน้ากอบโกยผลประโยชน์ของประเทศชาติและอำนาจ ประชาชนก็โดนหลอกไปวัน ๆ ความจริงที่ประชาชนควรรู้ควรมีส่วนร่วมก็ปกปิดอ้างความลับทางราชการพอความจริงปรากฏว่าผิดพลาดก็สายไปที่จะแก้ไขอ้างนู่นนี่นั่น ถ้าถึงที่สุดสักวันก็จะมีอินทรีย์แดงทาจักการข้าราชการนักการเมืองเลวพวกนี้แล้วหาว่าไม่เตือน อย่างคิดว่ามีหน่วยข่าวกรองของรัฐอยู่ในมือจะช่วยได้นะ ขนาดผู้ต้องหาศาลออกหมายจับยังหาจับไม่ได้จนคดีหมดอายุความ ประเทศไทยครับพี่น้อง
    0 Comments 0 Shares 12 Views 0 Reviews
  • โลกร้อนขึ้นเป็นวัฏจักรธรรมชาติ และในภาพรวมกำลังจะเย็นลง
    แต่…
    เราถูกฝังหัวกันมานานว่ามนุษย์เป็นคนทำให้โลกร้อน
    เพื่อนำไปสู่การใช้คาร์บอนเครดิต เพื่อการบีบบังคับนำไปสู่การเป็นทาส
    ไลฟ์สด โลกร้อนลวงโลก โดย อดิเทพ จาวลาห์
    https://www.facebook.com/share/v/JjrAnsFTf9vwcQ4u/
    ชี้แหล่งศึกษาข้อมูล
    https://www.rookon.com/?p=339
    https://www.rookon.com/?p=975
    https://www.rookon.com/?p=1011
    https://www.rookon.com/?p=1076
    https://www.rookon.com/?p=119เก้า ลิงก์นี้ต้องแก้คำว่าเก้าเป็นตัวเลขก่อน FBแบน
    https://www.rookon.com/?p=1147
    https://vt.tiktok.com/ZSFvhkGKK/
    ตอน 1. https://www.tiktok.com/@adit.../video/7361783535104953601...
    ตอน 2.
    https://www.tiktok.com/@adit.../video/7361783574783200513...
    https://vt.tiktok.com/ZSYeFkn5t/ หรือ
    https://fb.watch/s0HF9m7C09/ (ไลฟ์สดกับอ.ทีน่า อ.เกรซ)
    #คลิป 1 🌎 โลกร้อน (เพราะ CO2) เป็นเรื่องหลอกลวง🔥
    https://t.me/awakened_thailand/424
    ✨หลักฐานทางวิทยาศาสตร์จากการขุดเจาะแท่งน้ำแข็งพบว่า อุณหภูมิโลกสูงขึ้นก่อน ☀️ ต่อมาอีก 800 ปี CO2 ถึงจะสูงขึ้นตามมา...แปลว่า CO2 ไม่ใช่สาเหตุของโลกร้อน 😳 แต่อุณหภูมิที่สูงขึ้นต่างหากที่ทำให้ CO2 เพิ่มขึ้น
    สั้นๆ ง่ายๆ หลักฐานทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ชัดแล้ว! โลกร้อนตามวัฏจักรของโลก มันเป็นธรรมชาติ 😎 มนุษย์ไม่ได้ทำให้โลกร้อน แต่เราทำให้โลกสกปรก...ฉะนั้น CO2 ไม่เกี่ยวอะไรเลย
    แยกให้ออก 🧐 โลกร้อน กับ โลกสกปรก มันคือคนละเรื่องกัน เรื่องง่ายๆ เด็กป.4 ยังรู้เรื่อง
    #คลิป 2 🌎 โลกร้อน (เพราะ CO2) เป็นเรื่องหลอกลวง🔥
    https://t.me/awakened_thailand/425
    โลกร้อนขึ้น และเย็นลง เป็นวัฏจักร เป็นธรรมชาติ ไม่เกี่ยวกับ CO2 แม้แต่น้อย
    คำถาม ❓: รู้ได้ไง? 🤔
    ตอบ: เจาะน้ำแข็งลงไปหลายกิโล แล้วดึงแท่งน้ำแข็งขึ้นมาศึกษา (เหมือนศึกษาวงปีของต้นไม้) 😎
    มหาสมุทรกักเก็บ CO2 ไว้เป็นจำนวนมาก 🥵เมื่อโลกร้อนขึ้นเอง ทะเลคือตัวคาย CO2 ออกมาสู่ชั้นบรรยากาศ
    🌎อุณหภูมิโลกสูงขึ้นก่อน ส่งผลให้ CO2 สูงตามมาทีหลัง
    หมายความว่า CO2 ไม่ใช่ "เหตุ" ที่ทำให้โลกร้อน...แต่ CO2 คือ "ผล" จากโลกร้อน👍✨
    ฉะนั้นสรุป CO2 ไม่ใช่สาเหตุของโลกร้อน ✨
    ถาม ❓: แล้วเขาหลอกเราทำไม? ตั้งนานหลายสิบปี 😈
    ตอบ: เขาใช้ CO2 เป็นข้ออ้างในการบังคับเรา เช่น ออกกฎบังคับเรื่อง CO2 เก็บภาษีฟาร์มวัว เพราะต้องการให้ฟาร์มเจ๊ง 😱 นายทุนจะได้เข้ามาฮุบ, เก็บภาษีทุกอย่าง โดยเอาไปผูกกับ CO2 หลอกลวง เพราะจุดประสงค์ของกลุ่มทุนสามานต่างชาติ คือ การควบคุมอาหารแบบเบ็ดเสร็จ 👎
    #คลิป 3 🔥โลกร้อนเพราะ CO2 เป็นเรื่องหลอกลวง 🌎
    https://t.me/awakened_thailand/426
    💸💵💰Dan Pena มหาเศรษฐีอเมริกัน แฉว่า เรื่องโลกร้อน เป็นเรื่องหลอกลวง นักวิทยาศาสตร์ขุดแท่งน้ำแข็งขึ้นมาให้ดู แล้วบอกว่า หลายหมื่นปีก่อน ทุกประเทศบนโลกมันร้อนกว่าตอนนี้เลย! วิทยาศาสตร์ไม่หลอกลวง! มันคือหลักฐาน! มีแต่คนนี่แหละ ที่หลอกลวง เพื่อผลประโยชน์ของพวกพ้องของตนเอง 😡
    โลกร้อนฝรั่งหลอกเรามานานมากแล้ว หลอกเพื่อให้เราเชื่อ และยอมรับ กฎเกณฑ์ใหม่ๆ ที่เขาจะบังคับ เช่น ขึ้นภาษีคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อให้ธุรกิจเราเจ๊ง เป้าหมายคือ เพื่อฮุบทรัพยากรของคนทั้งโลก 😈
    อย่าหลงทาง!! 🐑🐏
    "โลกร้อน" กับ "โลกสกปรก" มันคนละประเด็น
    🌎✨อยากให้โลกสวยใช่มั้ย? ไปไล่ให้บริษัทขายยาเคมี มันเลิกขายเคมีนู่น! เลิกใช้ซะ พวกไกลโฟเซตน่ะ ☠
    #คลิป 4 🔥โลกร้อนเพราะ CO2 เป็นเรื่องหลอกลวง 🌎
    https://t.me/awakened_thailand/444
    คาร์บอนไดออกไซด์ คือ สิ่งจำเป็นสำหรับพืช เป็นอย่างมาก 🍀
    ต่างประเทศใช้อุปกรณ์เพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ สำหรับพืชที่ปลูกในโรงเรือน ทำให้มันแข็งแรงทนทานต่อโรค และแมลง 🍊🍎 ทำให้ผลผลิตเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติได้ถึง 30%
    คาร์บอนไดออกไซด์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพืช/ต้นไม้
    พืช/ต้นไม้ ก็จำเป็นสำหรับมนุษย์และโลกของเรา
    คาร์บอนไดออกไซด์จึงจำเป็นสำหรับโลกเรา อย่าให้ใครมาหลอกเราว่าคาร์บอนไดออกไซด์ คือ สิ่งไม่ดี หรือ ทำให้โลกร้อน ถ้าคุณเชื่อแบบนั้นคุณกำลังโดนหลอก
    คลิป #5 โลกร้อนเพราะ CO2 เป็นเรื่องหลอกลวง
    https://t.me/awakened_thailand/468
    🌎🔥 ข้อมูลจากนาซ่ายืนยันว่า โลกของเราเขียวขึ้น เพราะมีต้นไม้มากขึ้น 🌳🍀ซึ่งเป็นผลมาจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่สูงขึ้น (ต้นไม้ชอบก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์)
    โลกร้อนขึ้นเองตามธรรมชาติ และเป็นสาเหตุที่ทำให้น้ำทะเลร้อนขึ้น ส่งผลให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ระเหยออกมาจากทะเลมากขึ้น
    คาร์บอนไดออกไซด์ จึงไม่ใช่สาเหตุของโลกร้อนแม้แต่นิดเดียว ✨ ข้อมูลในอดีต เช่น อุณหภูมิ และระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้เป็นแสนๆปี ด้วยการเจาะแท่งน้ำแข็งในบริเวณขั้วโลกขึ้นมาวิเคราะห์ นี่คือวิทยาศาสตร์!
    แต่พวกคุมโลก คุมสื่อ คุมนักการเมือง 😈 ต้องการคุมพฤติกรรมประชากรโลก จึงต้องกุเรื่องแหกตาชาวโลกมาเป็นเวลาหลายสิบปี เตรียมล่วงหน้าไว้ก่อน จนเราๆเชื่อสนิทใจ ว่าคาร์บอนไดออกไซด์คือสิ่งไม่ดี บัดนี้ได้เวลาตื่นจากการหลับใหลมาเป็นเวลานาน อย่าหลงคารมนักการเมือง หรือข่าว ให้ยึดหลักวิทยาศาสตร์ และพิจารณาเอาเอง
    "คาร์บอนไดออกไซด์ คือ ฮีโร่ ที่มาช่วยให้โลกเรามีต้นไม้มากขึ้น" 🌿🌳🌲
    #คลิปไลฟ์สด https://t.me/awakened_thailand/445
    ❗️สาเหตุที่เขาหลอกเราเรื่อง CO2 🌎
    เพราะจะเอามันมาผูกกับระบบเงินดิจิตอล Digital Currency และจะใช้ระบบใหม่นี้ควบคุมพฤติกรรมของเรา เพราะเงินดิจิตอลถูกโปรแกรมได้ เช่น ห้ามใช้นอกรัศมี 4 กิโลเมตร 😱
    การเอาเรื่อง CO2 มาผูกกับเงินดิจิตอลจึงเป็นเรื่องง่ายมาก
    หากเราเชื่อว่าคาร์บอนไดออกไซด์คือสาเหตุที่ทำให้โลกร้อน 🔥และต้องร่วมมือกันลดคาร์บอนไดออกไซด์ลง เขาก็จะใช้ความเชื่อนี้ตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นมาใหม่ 👿 เช่น เอาระบบคะแนนคาร์บอนมาใช้กับอาหาร โดยให้เหตุผลว่า ทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่การทำฟาร์มสัตว์ 🐮🐷 ปลูกผัก 🌾ล้วนแต่ผลิต คาร์บอนไดออกไซด์ จึงต้องกำหนดคะแนนไปเลยว่า อาหารจานไหน ต้องใช้คะแนนคาร์บอนเท่าไหร่ในการซื้อ สมมุติว่าเรามีคะแนนไม่พอ เราก็จะไม่สามารถซื้ออาหารนั้นได้แม้ว่าเราจะมีเงินอยู่ในกระเป๋าก็ตาม
    ระบบที่ใช้คะแนนลักษณะนี้ ได้ถูกใช้งานในจีนมาหลายปีแล้ว เรียกว่า Social Credit System ดูคลิปได้ที่นี่:
    https://t.me/awakened_thailand/148
    ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจาก คุณ Patrick Moore ใน Rumble.com
    แกเป็น cofounder และ อดีต ceo ของ Greenpeace ครับ
    Cr.อดิเทพ จาวลาห์ จาก rookon.com
    และคลิปจากเทเลแกรม คนไทยตื่นรู้ https://t.me/awakened_thailand
    โลกร้อนขึ้นเป็นวัฏจักรธรรมชาติ และในภาพรวมกำลังจะเย็นลง แต่… เราถูกฝังหัวกันมานานว่ามนุษย์เป็นคนทำให้โลกร้อน เพื่อนำไปสู่การใช้คาร์บอนเครดิต เพื่อการบีบบังคับนำไปสู่การเป็นทาส ไลฟ์สด โลกร้อนลวงโลก โดย อดิเทพ จาวลาห์ https://www.facebook.com/share/v/JjrAnsFTf9vwcQ4u/ ชี้แหล่งศึกษาข้อมูล https://www.rookon.com/?p=339 https://www.rookon.com/?p=975 https://www.rookon.com/?p=1011 https://www.rookon.com/?p=1076 https://www.rookon.com/?p=119เก้า ลิงก์นี้ต้องแก้คำว่าเก้าเป็นตัวเลขก่อน FBแบน https://www.rookon.com/?p=1147 https://vt.tiktok.com/ZSFvhkGKK/ ตอน 1. https://www.tiktok.com/@adit.../video/7361783535104953601... ตอน 2. https://www.tiktok.com/@adit.../video/7361783574783200513... https://vt.tiktok.com/ZSYeFkn5t/ หรือ https://fb.watch/s0HF9m7C09/ (ไลฟ์สดกับอ.ทีน่า อ.เกรซ) #คลิป 1 🌎 โลกร้อน (เพราะ CO2) เป็นเรื่องหลอกลวง🔥 https://t.me/awakened_thailand/424 ✨หลักฐานทางวิทยาศาสตร์จากการขุดเจาะแท่งน้ำแข็งพบว่า อุณหภูมิโลกสูงขึ้นก่อน ☀️ ต่อมาอีก 800 ปี CO2 ถึงจะสูงขึ้นตามมา...แปลว่า CO2 ไม่ใช่สาเหตุของโลกร้อน 😳 แต่อุณหภูมิที่สูงขึ้นต่างหากที่ทำให้ CO2 เพิ่มขึ้น สั้นๆ ง่ายๆ หลักฐานทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ชัดแล้ว! โลกร้อนตามวัฏจักรของโลก มันเป็นธรรมชาติ 😎 มนุษย์ไม่ได้ทำให้โลกร้อน แต่เราทำให้โลกสกปรก...ฉะนั้น CO2 ไม่เกี่ยวอะไรเลย แยกให้ออก 🧐 โลกร้อน กับ โลกสกปรก มันคือคนละเรื่องกัน เรื่องง่ายๆ เด็กป.4 ยังรู้เรื่อง #คลิป 2 🌎 โลกร้อน (เพราะ CO2) เป็นเรื่องหลอกลวง🔥 https://t.me/awakened_thailand/425 โลกร้อนขึ้น และเย็นลง เป็นวัฏจักร เป็นธรรมชาติ ไม่เกี่ยวกับ CO2 แม้แต่น้อย คำถาม ❓: รู้ได้ไง? 🤔 ตอบ: เจาะน้ำแข็งลงไปหลายกิโล แล้วดึงแท่งน้ำแข็งขึ้นมาศึกษา (เหมือนศึกษาวงปีของต้นไม้) 😎 มหาสมุทรกักเก็บ CO2 ไว้เป็นจำนวนมาก 🥵เมื่อโลกร้อนขึ้นเอง ทะเลคือตัวคาย CO2 ออกมาสู่ชั้นบรรยากาศ 🌎อุณหภูมิโลกสูงขึ้นก่อน ส่งผลให้ CO2 สูงตามมาทีหลัง หมายความว่า CO2 ไม่ใช่ "เหตุ" ที่ทำให้โลกร้อน...แต่ CO2 คือ "ผล" จากโลกร้อน👍✨ ฉะนั้นสรุป CO2 ไม่ใช่สาเหตุของโลกร้อน ✨ ถาม ❓: แล้วเขาหลอกเราทำไม? ตั้งนานหลายสิบปี 😈 ตอบ: เขาใช้ CO2 เป็นข้ออ้างในการบังคับเรา เช่น ออกกฎบังคับเรื่อง CO2 เก็บภาษีฟาร์มวัว เพราะต้องการให้ฟาร์มเจ๊ง 😱 นายทุนจะได้เข้ามาฮุบ, เก็บภาษีทุกอย่าง โดยเอาไปผูกกับ CO2 หลอกลวง เพราะจุดประสงค์ของกลุ่มทุนสามานต่างชาติ คือ การควบคุมอาหารแบบเบ็ดเสร็จ 👎 #คลิป 3 🔥โลกร้อนเพราะ CO2 เป็นเรื่องหลอกลวง 🌎 https://t.me/awakened_thailand/426 💸💵💰Dan Pena มหาเศรษฐีอเมริกัน แฉว่า เรื่องโลกร้อน เป็นเรื่องหลอกลวง นักวิทยาศาสตร์ขุดแท่งน้ำแข็งขึ้นมาให้ดู แล้วบอกว่า หลายหมื่นปีก่อน ทุกประเทศบนโลกมันร้อนกว่าตอนนี้เลย! วิทยาศาสตร์ไม่หลอกลวง! มันคือหลักฐาน! มีแต่คนนี่แหละ ที่หลอกลวง เพื่อผลประโยชน์ของพวกพ้องของตนเอง 😡 โลกร้อนฝรั่งหลอกเรามานานมากแล้ว หลอกเพื่อให้เราเชื่อ และยอมรับ กฎเกณฑ์ใหม่ๆ ที่เขาจะบังคับ เช่น ขึ้นภาษีคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อให้ธุรกิจเราเจ๊ง เป้าหมายคือ เพื่อฮุบทรัพยากรของคนทั้งโลก 😈 อย่าหลงทาง!! 🐑🐏 "โลกร้อน" กับ "โลกสกปรก" มันคนละประเด็น 🌎✨อยากให้โลกสวยใช่มั้ย? ไปไล่ให้บริษัทขายยาเคมี มันเลิกขายเคมีนู่น! เลิกใช้ซะ พวกไกลโฟเซตน่ะ ☠ #คลิป 4 🔥โลกร้อนเพราะ CO2 เป็นเรื่องหลอกลวง 🌎 https://t.me/awakened_thailand/444 คาร์บอนไดออกไซด์ คือ สิ่งจำเป็นสำหรับพืช เป็นอย่างมาก 🍀 ต่างประเทศใช้อุปกรณ์เพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ สำหรับพืชที่ปลูกในโรงเรือน ทำให้มันแข็งแรงทนทานต่อโรค และแมลง 🍊🍎 ทำให้ผลผลิตเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติได้ถึง 30% คาร์บอนไดออกไซด์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพืช/ต้นไม้ พืช/ต้นไม้ ก็จำเป็นสำหรับมนุษย์และโลกของเรา คาร์บอนไดออกไซด์จึงจำเป็นสำหรับโลกเรา อย่าให้ใครมาหลอกเราว่าคาร์บอนไดออกไซด์ คือ สิ่งไม่ดี หรือ ทำให้โลกร้อน ถ้าคุณเชื่อแบบนั้นคุณกำลังโดนหลอก คลิป #5 โลกร้อนเพราะ CO2 เป็นเรื่องหลอกลวง https://t.me/awakened_thailand/468 🌎🔥 ข้อมูลจากนาซ่ายืนยันว่า โลกของเราเขียวขึ้น เพราะมีต้นไม้มากขึ้น 🌳🍀ซึ่งเป็นผลมาจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่สูงขึ้น (ต้นไม้ชอบก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์) โลกร้อนขึ้นเองตามธรรมชาติ และเป็นสาเหตุที่ทำให้น้ำทะเลร้อนขึ้น ส่งผลให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ระเหยออกมาจากทะเลมากขึ้น คาร์บอนไดออกไซด์ จึงไม่ใช่สาเหตุของโลกร้อนแม้แต่นิดเดียว ✨ ข้อมูลในอดีต เช่น อุณหภูมิ และระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้เป็นแสนๆปี ด้วยการเจาะแท่งน้ำแข็งในบริเวณขั้วโลกขึ้นมาวิเคราะห์ นี่คือวิทยาศาสตร์! แต่พวกคุมโลก คุมสื่อ คุมนักการเมือง 😈 ต้องการคุมพฤติกรรมประชากรโลก จึงต้องกุเรื่องแหกตาชาวโลกมาเป็นเวลาหลายสิบปี เตรียมล่วงหน้าไว้ก่อน จนเราๆเชื่อสนิทใจ ว่าคาร์บอนไดออกไซด์คือสิ่งไม่ดี บัดนี้ได้เวลาตื่นจากการหลับใหลมาเป็นเวลานาน อย่าหลงคารมนักการเมือง หรือข่าว ให้ยึดหลักวิทยาศาสตร์ และพิจารณาเอาเอง "คาร์บอนไดออกไซด์ คือ ฮีโร่ ที่มาช่วยให้โลกเรามีต้นไม้มากขึ้น" 🌿🌳🌲 #คลิปไลฟ์สด https://t.me/awakened_thailand/445 ❗️สาเหตุที่เขาหลอกเราเรื่อง CO2 🌎 เพราะจะเอามันมาผูกกับระบบเงินดิจิตอล Digital Currency และจะใช้ระบบใหม่นี้ควบคุมพฤติกรรมของเรา เพราะเงินดิจิตอลถูกโปรแกรมได้ เช่น ห้ามใช้นอกรัศมี 4 กิโลเมตร 😱 การเอาเรื่อง CO2 มาผูกกับเงินดิจิตอลจึงเป็นเรื่องง่ายมาก หากเราเชื่อว่าคาร์บอนไดออกไซด์คือสาเหตุที่ทำให้โลกร้อน 🔥และต้องร่วมมือกันลดคาร์บอนไดออกไซด์ลง เขาก็จะใช้ความเชื่อนี้ตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นมาใหม่ 👿 เช่น เอาระบบคะแนนคาร์บอนมาใช้กับอาหาร โดยให้เหตุผลว่า ทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่การทำฟาร์มสัตว์ 🐮🐷 ปลูกผัก 🌾ล้วนแต่ผลิต คาร์บอนไดออกไซด์ จึงต้องกำหนดคะแนนไปเลยว่า อาหารจานไหน ต้องใช้คะแนนคาร์บอนเท่าไหร่ในการซื้อ สมมุติว่าเรามีคะแนนไม่พอ เราก็จะไม่สามารถซื้ออาหารนั้นได้แม้ว่าเราจะมีเงินอยู่ในกระเป๋าก็ตาม ระบบที่ใช้คะแนนลักษณะนี้ ได้ถูกใช้งานในจีนมาหลายปีแล้ว เรียกว่า Social Credit System ดูคลิปได้ที่นี่: https://t.me/awakened_thailand/148 ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจาก คุณ Patrick Moore ใน Rumble.com แกเป็น cofounder และ อดีต ceo ของ Greenpeace ครับ Cr.อดิเทพ จาวลาห์ จาก rookon.com และคลิปจากเทเลแกรม คนไทยตื่นรู้ https://t.me/awakened_thailand
    0 Comments 0 Shares 47 Views 0 Reviews
  • หม่อมโจ้
    สิ่งที่ควรรู้เรื่องอิสราเอลหม่อมโจ้ โต้ทูตอิสราเอล ยันต้องเปิดความจริง ช่วยคนไทยพ้นภาวะทาส
    เพื่อนๆคงจะรู้จัก คุณปุ๊ก อาภัสรา หงสกุล อดีตนางงามจักรวาลชาวไทยคนแรก ที่เรียกว่ามิสยูนิเวอร์ส คุณอาภัสราจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.ศ.3) ปี 2506 จาก ร.ร.ศึกษาวิทยา ถนนสีลม แล้วไปเรียนอาชีวศึกษาที่ ร.ร.เลขานุการที่นครรัฐปีนัง ในมาเลเซีย จบชั้นปีที่ 2 เธอมาประกวดนางสาวไทย ได้ตำแหน่งปี 2507 จากนั้นไปเรียนต่อแล้วกลับมาปี 2508 เดินทางไปประกวดมิสยูนิเวอร์สที่นครไมอามี่ รัฐฟลอริด้า สหรัฐอเมริกา ได้ตำแหน่งขณะมีอายุ18ปี คุณปุ๊กเกิดวันที่16 มกราคม 2490 ปีกุนปีเดียวกับผม ปี 2510 ขณะมีอายุ 20ปีได้สมรสครั้งแรกกับหม่อมราชวงศ์เกียรติคุณ กิติยากร มีบุตรชายคนแรกคือหม่อมหลวงรุ่งคุณ กิติยากร
    ปัจจุบัน หม่อมโจ้ บุตรชายคนแรกของคุณปุ๊ก อายุได้ 53 ปีแล้ว หม่อมโจ้เรียนจบจากต่างประเทศที่สหรัฐอเมริกาในระดับปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจเคยทำงานบริษัทต่างประเทศจนได้ลาออกไปอุปสมบทเป็นพระภิกษุในสายวัดป่าอยู่หลายปีได้มาซื้อที่ดินที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา 45 ไร่ ปลูกพืชและผลไม้สายพันธุ์ของต่างประเทศที่ไม่มีใครทำมาก่อนจนผลไม้ขายได้ในราคาสูง หม่อมหลวงรุ่งคุณได้ศึกษาและวิเคราะห์เขียนหนังสือหลายเรื่องเกี่ยวกับอิสราเอล ไว้มากจนเป็นข่าวตอบโต้กับเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทยดังนี้
    เรียน ท่านเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย นายไซม่อน โรดเด็ด
    ข้าพเจ้ารับทราบถึงความไม่พอใจของท่านกับบทความของข้าพเจ้า ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่ข้าพเจ้าได้เขียน เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้าโดยบริสุทธิ์ใจ อันเป็นสิทธิที่ข้าพเจ้าจะแสดงได้ โดยความเห็นของข้าพเจ้านั้น เป็นไปตามข้อมูลหลักฐานอันมีจริงทางประวัติศาสตร์ที่ได้มีความพยายามในการกลบและบิดเบือน
    แม้กระนั้น ท่านอาจแปลกใจคิดว่า แล้วไฉนทั้งที่ข้าพเจ้าและประเทศไทยที่ไม่ได้มีส่วนได้เสีย ข้าพเจ้าจึงต้องไปเขียนในเรื่องราวสร้างความบาดหมางให้แก่ท่าน ข้าพเจ้าจึงใคร่ที่จะชี้แจงตรงนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนเพื่อที่จะก่อความบาดหมางให้แก่ท่านหรือแก่ผู้ใด และ เรื่องราวที่ข้าพเจ้าเขียนนั้น มีความเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้าและต่อประเทศไทยอย่างไรบ้าง
    อย่างแรก 'กลุ่มทุนธนาคารยิว Zionist' ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงนั้น ข้าพเจ้ากล่าวถึงคนเพียงกลุ่มหนึ่ง มิใช่ชาวยิวทั้งหมด โดยคำว่า 'Zionist' แม้แต่ชาวยิวแท้ Orthodox Jews ที่ยึดมั่นใน Torah จำนวนมากก็ไม่ได้เห็นด้วยเลย ดังที่พวกเขาได้ออกมาประท้วง ประกาศว่า 'Zionism' ไม่ใช่ 'Judaism' เอง ท่านทูตน่าจะพอทราบอยู่ เพราะใน Israel ก็มีการจับชาวยิวแท้ ที่มีอัธยาศัยดีเหล่านี้ ไปจำคุกอยู่จำนวนหนึ่ง
    'ทุนธนาคาร Zionist' ที่ข้าพเจ้าพูดถึง หมายถึงกลุ่มทุนธนาคารที่เป็นผู้มีอำนาจที่สุดในโลก มีอำนาจเหนือรัฐหลายรัฐ รวมถึงมหาอำนาจสหรัฐอเมริกา เขาคุมการเงินโดยกลุ่มของเขาเอง เป็นเจ้าของ Federal Reserve Bank ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา ที่พิมพ์เงินให้รัฐบาลสหรัฐฯต้องกู้ มิใช่ของประชาชนชาวอเมริกันตามที่ควรจะเป็นแต่อย่างใด กลุ่มทุนธนาคารของเขาเป็นหุ้นใหญ่ในบริษัทยักษ์ใหญ่แทบทั้งสิ้นทั่วโลก รวมถึง 6 บริษัทที่คุม 90% ของสื่อในสหรัฐอเมริกา เขาคุมแหล่งนํ้ามันและก๊าซหลัก ๆ ทั่วโลก และกำลังรุกเพื่อควบคุมผูกขาดอาหารของโลกโดยการผลิต GMO แม้แต่องค์กรโลก เช่น UN ที่ให้กำเนิด World Bank และ IMF ล้วนเป็นองค์กรที่พวกเขาจัดตั้งขึ้น และควบคุมทั้งสิ้น
    ชื่อตระกูลที่โดดเด่นมีอิทธิพลสูงสุดใน 'ทุนธนาคาร Zionist' นี้ ได้แก่ 'Rothschild' และ 'Rockefeller' ชื่อ 'Rothschild' ท่านทูตย่อมรู้จักเป็นอย่างดี โดยใน 'Independence Hall' ที่ Tel Aviv เมืองหลวงของท่านเอง ก็มีนิทรรศการเอกสารชิ้นสำคัญมากชิ้นหนึ่งเรียกว่า 'The Balfour Declaration' เป็นจดหมายจากรัฐบาลอังกฤษ จ่าหัวถึง 'Lord Rothschild' ใน 1917 แสดงถึงการที่รัฐบาลอังกฤษสนับสนุนให้เกิด บ้านอยู่ (national home) ของชาวยิว ที่ Palestine แก่ 'Lord Rothschild' Baron Edmond (Abraham Benjamin) Rothschild จึงมีสถานะเป็น "the Father of the Settlements" (Avi ha-Yishuv) หรือบิดาแห่งอิสราเอล
    ใน4บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของโลก หรือ 'The Four Horsemen of Oil' ที่อยู่เบื้องหลังนโยบายการครอบครองน้ำมันของสหรัฐฯ 2 บริษัท คือ BP Amoco และ Royal Dutch/Shell อยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูล Rothschild ที่ถือหุ้นใหญ่ ส่วน อีกสอง Exxon Mobil และ Chevron คือ บริษัทที่มาจาก Standard Oil ของ John D. Rockefeller โดยกรรมการของบริษัทน้ำมันเหล่านี้จำนวนหนึ่ง ไขว้กันเองเป็นใย และไขว้เป็นกรรมการของธนาคารยักษ์ใหญ่ เช่น JP Morgan Chase ของ Rockefeller และ Citigroup, Bank of America, Wells Fargo, N. M. Rothschild & Sons โดยตระกูล Rothschild ควบคุม และมีการเชื่อมโยงถือหุ้นไขว้กันกับกลุ่มทุนนอมินียักษ์ เช่น BlackRock, State Street, Vanguard และ Fidelity ที่ถือหุ้นใหญ่บริษัทยักษ์ใหญ่ แทบทั้งหมดในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย
    ในการสร้างอำนาจเหนือรัฐต่าง ๆ 'ทุนธนาคาร Zionist' เหล่านี้ ได้จัดตั้งองค์กร Front ของเขา เช่น The Bilderberg Group, Council on Foreign Relations (CFR) และ The Trilateral Commission (TC) โดยองค์กรเหล่านี้จะรวมกลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' และบรรดาผู้มีอิทธิผล เช่น อดีตประธานาธิบดี บริวารมือขวาของเขา Henry Kissinger นักการเมืองทุกขั้ว ทหาร หัวหน้าหน่วยงานลับ ของประเทศสำคัญในยุโรป และสหรัฐฯ โดยใน Trilateral Commission จะมีสมาชิกเป็นบุคคลสำคัญของประเทศในทวีปเอเชียต่าง ๆ ที่รับใช้พวกเขา 'ทุนธนาคาร Zionist' จึงมีอิทธิพลอำนาจเหนือรัฐ เช่นมหาอำนาจสหรัฐอเมริกา
    ด้วยความละโมบของพวกเขา ในการล่าอาณานิคมยุคใหม่ โดยกำลังก็ดี โดยวิธีแห่งการให้สินบนแก่ผู้ขายชาติตนเองก็ดี โดยการบีบบังคับด้วยหนี้สินก็ดี โดยการแทรกแซงการเมืองภายในก็ดี 'ทุนธนาคาร Zionist' เหล่านี้ ได้เข้ายึดครองทรัพยากร พลังงาน เศรษฐกิจ และการเงิน ของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ทำให้ประชาชนของประเทศนั้น ๆ ตกเป็นทาสของพวกเขา โดยในประเทศไทยเอง ปรากฏหลักฐานชัดเจนถึงการกระทำ ที่ 'ทุนธนาคาร Zionist' พร้อมการร่วมมือของ 'คนไทย' ที่ได้ขายตัวขายจิตวิญญาณให้พวกเขา ได้ร่วมกระทำ ดังต่อไปนี้ (1) การปล้นโกงน้ำมันและก๊าซ จากประชาชนคนไทย (2) การทำให้ประเทศไทยเป็นหนี้ ตามด้วยการยึดครองเศรษฐกิจการเงิน (3) การชักใยอยู่เบื้องหลังทุกฝ่าย ในการสร้างความแตกแยก ตามยุทธศาสตร์ 'แบ่งแยกแล้วปกครอง' เพื่อการยึดครองประเทศเป็นเมืองขึ้นยิ่งขึ้นไป มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ :
    (1) การปล้นโกงน้ำมันและก๊าซ จากประชาชนคนไทย โดย 'ทุนธนาคาร Zionist'
    ทั้งที่ประเทศไทย มีอธิปไตยของตนเอง โดยอธิปไตย นั้นเป็นของปวงชนชาวไทย อันหมายความว่าทรัพยากรของชาตินั้นเป็นของประชาชนคนไทย แต่ปรากฏว่า กฎหมายว่าด้วยน้ำมันและก๊าซ (พ.ร.บ.ปิโตรเลียม 2514) มิได้มีการเขียนขึ้นไม่ว่าจะ 'โดย' ประชาชน หรือ 'เพื่อ' ประชาชน แต่อย่างใด แต่ได้ถูกเขียนขึ้นโดย Walter James Levi สมาชิกทั้ง CFR และ The Trilateral Commission ผู้ทำงานให้รัฐบาลสหรัฐฯ ขั้นขึ้นชื่อว่าเป็น หัวหน้าฝ่ายเศรษฐศาสตร์พลังงานของสหรัฐอเมริกา (the dean of United States oil economists) และ ได้เป็นผู้บริหารบริษัทของตระกูล Rockefeller เองคือ Standard Oil Company of New York หรือ Socony (ปัจจุบันคือ Exxon) คนที่เขียนกฎหมายนี้ของประเทศไทย ไม่ใช่คนไทย แต่คือคนของ 'ทุนธนาคาร Zionist'
    เนื้อหาของกฎหมายดังกล่าวเอง ก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของ 'ทุนธนาคาร Zionist' โดยมีลักษณะของกฎหมายสำหรับเมืองขึ้นอันไม่เป็นธรรม คือ น้ำมันและก๊าซทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้รับสัมปทาน การได้สัมปทานเป็นไปโดยไม่มีการประมูลอย่างโปร่งใส ค่าตอบแทนเป็นไปอย่างต่ำ และ ประชาชนคนไทยที่เป็นเจ้าของโดยแท้จริง ไม่สามารถตรวจสอบรับทราบความจริงได้เลย โดยวิธีที่สามารถจะเรียกว่าโปร่งใสได้ ว่าปริมาณทรัพยากรที่มีการขุดไปนั้นมีปริมาณที่แท้จริงมากน้อยเพียงใด ประเทศไทยมีพลังงานมากน้อยแค่ไหนโดยต้องยอมรับตามตัวเลข ที่บริษัทพลังงานต่าง ๆ แจ้งเท่านั้น
    การปล้นอธิปไตยโดย 'ทุนธนาคาร Zionist' เป็นไปได้ด้วยการข่มขู่ไม่ให้ความร่วมมือ พร้อมการให้สินบนแก่ 'คนไทยที่ขายชาติตัวเอง' ซึ่งจากนั้นมา การรุกครอบครองน้ำมันและก๊าซของประชาชนคนไทย โดยวิธีการดังกล่าวได้ขยายไปเรื่อย ๆ มีการแก้ไขกฎหมายเพิ่มเติม ให้เอื้ออำนวยแก่ผู้รับสัมปทานอย่างล้นพ้นโดยภายหลังจะเห็นได้ชัดเจนถึงผู้เข้ามามีอำนาจในไทย ไม่ว่าขั้วไหน เข้ามาด้วยวิธีใด ได้สานต่อไปในทาง 'ขายชาติตัวเอง' ให้แก่ 'ทุนธนาคาร Zionist' เหล่านี้เพื่อค่าคอมมิสชั่น ถึงขั้นร่วมกันชง ส่งลูกกันข้ามรัฐบาล ยกดินแดนไทยให้กัมพูชา อันส่งผลให้พื้นที่ไทยในทะเลอ่าวไทย 27,000 ตารางกิโลเมตรอันอุดมด้วยน้ำมันและก๊าซที่สุดแห่งหนึ่ง ต้องตกกลายเป็นพื้นที่พิพาท ระหว่างไทยกับกัมพูชา
    ซึ่งในพื้นที่นี้ บริษัท Chevron คือบริษัทที่จ่อล็อกจะถือสัมปทานจากทั้ง 2 ประเทศ ในกรณีนี้ที่มีการพิพาทเรื่องพื้นที่ในอ่าวไทย หากไทยและกัมพูชา ให้สัมปทานในพื้นที่นี้ ผู้ที่จะมีอิทธิพลสูงสุดในการครอบครอง ย่อมมิใช่ไทยหรือกัมพูชาอีกทั้งนั้น แต่จะเป็นสหรัฐอเมริกาภายใต้กลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' เพราะสัมปทานจะเป็นของ Chevron โดยเอกฉันท์ ฝ่ายใดที่ให้ประโยชน์แก่สหรัฐฯ สูงสุด สหรัฐฯ ย่อมสนับสนุนฝ่ายนั้น
    ในปัจจุบัน การถูกปล้นอธิปไตย การตกเป็นอาณานิคมของ 'ทุนธนาคาร Zionist' อย่างเต็มรูปแบบในเรื่องพลังงาน ก็ประจักษ์ชัดเจนอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยในปัจจุบัน นาย ณรงค์ชัย อัครเศรณี ผู้เข้ามาดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ก่อนเข้ามารับตำแหน่ง ได้เป็นสมาชิก The Trilateral Commission (TC) องค์กรของ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' ยาวนานถึง 30 ปี โดยเมื่อเข้ามาแล้ว ก็ไม่รีรอที่จะประกาศผลักดันเปิดสัมปทานในพื้นที่ดังกล่าวอย่างเต็มที่ โดยไม่สนใจ และไม่มีการชี้แจงอันใดเกี่ยวกับการเสียดินแดนของประเทศไทย ทั้งที่มีการคัดค้าน
    ด้วยประการฉะนี้ การปล้นโกงน้ำมันและก๊าซ โดย 'ทุนธนาคาร Zionist' จึงมิได้ครอบคลุมเพียงแค่น้ำมันและก๊าซอีกต่อไป แต่ได้ขยายไปเป็นการปล้นดินแดนไทย จากประชาชนคนไทย ไปโดยเรียบร้อย
    (2) การทำให้ประเทศไทยเป็นหนี้ ตามด้วยการยึดครองเศรษฐกิจการเงินของประเทศ
    การที่เถ้าแก่สามานย์รายใดจะต้องการยึดที่ดินสวย ๆ ของชาวนา วิธีที่เขาจะกระทำคือ ให้ชาวนากู้เงิน ทำให้จ่ายหนี้ไม่ได้ เมื่อจ่ายช้าก็อายัดที่ดินนั้น บังคับขายในราคาต่ำกว่าจริงสิบเท่า แล้วเข้าซื้อเอง
    วิธีการของ 'ทุนธนาคาร Zionist' ก็เป็นเช่นนั้น ทำให้ประเทศเป็นหนี้ หลังการปล่อยกู้เงินให้แก่ประเทศไทยจำนวนมากให้คน น้อยกว่า 1% อย่างฟุ่มเฟือย George Soros สมาชิกอาวุโส CFR ได้นำกลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' มาโจมตีค่าเงินบาท จาก 25 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ กลายเป็น 56 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ เพราะกู้เงินจากต่างชาติมามาก เศรษฐกิจไทยได้เข้าสู่วิกฤต มีการล่มสลายของธุรกิจจำนวนมาก(ในปี 2540 – 2542)
    ต่อมาก็เป็นไปตามแบบแผนวิธีการของ IMF และ World Bank ที่ 51% เป็นของ US Treasury ควบคุมโดย 'ทุนธนาคาร Zionist' ของ Rothschild ตามขั้นตอนที่ Joseph Stiglitz ผู้เป็นอดีตประธานที่ปรึกษาทีมเศรษฐกิจของ President Bill Clinton อดีตรองประธาน และ Chief Economist ของ World Bank ได้เปิดโปงให้แก่หนังสือ The Observer และ Newsweek หลังมีเอกสารลับหลุดออกมาจาก World Bank คือในการขอความช่วยเหลือทางการเงิน จำต้องเซ็นสัญญา โดยในสัญญาจะตกลงใน (a) Privatization การแปรรูป โดยรัฐจะต้องยินยอมขายสมบัติของชาติเกี่ยวเนื่องกับสิ่งจำเป็น เช่น น้ำ ไฟฟ้า น้ำมันและก๊าซ (b) Capital Market Liberalization การเปิดให้ทุนไหลเข้าออก โดยส่วนใหญ่มักจะไหลออก (c) Market-based pricing การขึ้นราคา อาหาร ไฟฟ้า น้ำมันและก๊าซ โดยอ้างว่าเป็นราคาตลาดโลก (d) Free Trade การค้าเสรี ตามกฎของ WTO และ World Bank
    Stiglitz ได้ระบุในการสัมภาษณ์อย่างชัดเจนว่า การยินยอมในการตกลงนั้นเกิดขึ้นไม่ยากโดย (ก) World Bank IMF สามารถสั่ง Financial Blockage การกีดกันทางการเงินหากไม่ร่วมมือ และ (ข) นักการเมืองในประเทศนั้น ๆ ยินดีที่จะยกบริษัท น้ำ ไฟฟ้า น้ำมันและก๊าซ ให้โดย 'เขาจะตาโตกันเลย เมือเขานึกถึงค่าคอมมิสชั่นที่เขาจะได้กัน จากการลดราคาเป็นพัน ๆ ล้านในการแปรรูป' โดยเขาจะสามารถใช้ข้ออ้างว่า ถูก World Bank IMF บังคับ
    แล้วการออกกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ ก็ได้ตามมา พร้อมการขายสมบัติชาติแบบล็อกสเปคในราคาที่ต่ำกว่าทุนถึง 5 เท่า ตามด้วยการแปรรูปบริษัทน้ำมัน-ก๊าซของชาติ โดยสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าไม่ว่าจะในกรณี การยกดินแดนให้ต่างชาติ หรือ การแปรรูป จะเกิดขึ้นโดยการร่วมมือของมากกว่าหนึ่งรัฐบาล โดยฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายชง อีกฝ่ายเป็นฝ่ายจัดการ ทั้งนี้ทั้งนั้น เป็นไปเพื่อการสามารถโยนความผิดกันไปมาได้ โดยไม่มีใครผิดเต็ม ๆ โดยในกรณีนี้ แม้ขั้วนักการเมืองกลุ่มที่รับข้อตกลงรับรายละเอียดในการออกกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับจาก 'ทุนธนาคาร Zionist' นี้พยายามจะโยนความผิดให้ผู้ริเริ่มการตกลง แต่ก็ปรากฏให้เห็นได้ถึงการตอบแทน เมื่อคนของเขาได้ไปนั่งเป็นผู้อำนวยการใหญ่ WTO
    โดยการโจมตีค่าเงิน การบีบข่มขู่ การให้สินบนแก่ผู้เข้ามามีอำนาจทุกขั้ว ที่ร่วมกันขายชาติตนเอง 'ทุนธนาคาร Zionist' เช่น JP Morgan Chase, BlackRock, State Street, Vanguard และ Fidelity ได้เข้ามายึดครองควบคุม บริษัทน้ำมันก๊าซ ธนาคาร และ เศรษฐกิจการเงินของประเทศไทย ไปจากคนไทย และยังรุกคืบยิ่ง ณ ปัจจุบัน ตามข่าวการแปรรูปที่ปรากฏอยู่
    (3) การชักใยอยู่เบื้องหลัง ในการสร้างความแตกแยก ตามยุทธศาสตร์ 'แบ่งแยกแล้วปกครอง' (Divide and Conquer) เพื่อการยึดครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จ
    เป็นที่ประจักษ์ว่าไม่ว่าจะขั้วไหน เข้ามาด้วยวิธีใด ที่เข้ามามีอำนาจ ล้วนให้ความร่วมมือกับ 'ทุนธนาคาร Zionist' ในการขายทำลายชาติ โดยมีค่าคอมมิสชั่น ทั้งในทรัพยากรและในการแปรรูป เป็นตัวเชื่อม สามารถควบคุม ชักใยได้ทุกฝ่าย ยุทธศาสตร์ แบ่งแยกแล้วปกครอง เป็นยุทธศาสตร์ที่มีตัวอย่างเห็นได้ในโลกปัจจุบันมากมายในการเข้ายึดครองประเทศต่าง ๆ ของ 'ทุนธนาคาร Zionist' โดยการยุยงให้เหยื่อตีกันเอง บางกรณีให้อาวุธทั้ง 2 ฝ่าย ทำลายภูมิคุ้มกันความสามัคคีของชนชาตินั้น ๆ สร้างความแตกแยก โดยเมื่อมีรอยแตก ก็สามารถจะแทรกเข้าไป ยึดครองประเทศนั้น ๆ
    ความแตกแยก ปัญหาความขัดแย้งเสื้อสี ที่ปรากฏอยู่ในประเทศไทย ล้วนมีการชักใย มีการสนับสนุน ทั้ง 2 ฝ่ายการเมือง โดยมีกลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' เป็นผู้อยู่เบื้องหลังนักการเมืองทั้ง 2 ขั้ว โดยทั้ง 2 ขั้ว นั้นล้วนมีผลประโยชน์ในเรื่องคอมมิสชั่น จากกลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' และถูกชักใยให้ปลุกปั่นประชาชน ให้มาตีกันเองโดยการรู้ไม่เท่าทันของประชาชน ว่าโดยแท้จริงแล้ว นักการเมืองและผู้มีอำนาจ ไม่ว่าจะขั้วไหน เข้ามาด้วยวิธีใด ล้วนให้ความร่วมมือ ขายชาติตนเองแก่ 'ทุนธนาคาร Zionist' ทั้งสิ้น
    หลักฐานปรากฏชัดเจนว่าสมาชิก CFR ของ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' อาทิ (a) Robert Blackville สมาชิก CFR มือขวาการต่างประเทศของ Henry Kissinger จาก Barbour Griffif & Rogers (CFR) (b) Keneth Adelman สมาชิก CFR อดีตทูต UN ของสหรัฐ จาก Baker & Botts Robert (CFR) (c) Robert Amsterdam จาก Amsterdam & Peroff (Chatham House) ได้ทำหน้าที่เป็น lobbyist ให้อดีตนักการเมืองที่หลบอยู่ที่ Dubai และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังขบวนการเสื้อแดง และองค์กร NED ได้ให้เงินสนับสนุน Website ของเสื้อแดงจำนวนมาก โดยต้องเป็นที่กล่าวว่า นักการเมืองไทยที่หลบหนีอยู่ที่ Dubai นั้น โดยแท้จริงแล้วเป็นเพียงหุ่นเชิด ที่ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' ชักใยอยู่เบื้องหลัง ซึ่งโดยลำพังเขาไม่สามารถที่จะทำเองได้เลย (นั่นคือทักษิณ ชินวัตร)
    ส่วนนักการเมืองผู้เข้ามามีอำนาจ ฝ่ายอื่น ๆ ที่โหน อ้าง ปกป้อง สถาบันสำคัญ ๆ ฝ่ายนี้ โดยการขายตัวขายชาติ การปรารถนาได้ค่าคอมมิสชั่น ทั้งในน้ำมันก๊าซ และในการแปรรูป เป็นตัวเชื่อม ก็ไม่พ้นการอยู่ภายใต้อำนาจการชักใยของ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' ที่เป็นผู้กำกับการแสดง จูงทั้งสองสามฝ่าย ให้ชงและส่งลูกให้กัน เสี้ยมให้ชาติ ล่มสลาย เพื่อการปล้นยึดครองอย่างเบ็ดเสร็จ ในระหว่างที่สหรัฐ แขนขวาของ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' สนับสนุนฝ่ายหนึ่ง แขนซ้าย ก็ทำตัวเข้าสนับสนุนอีกฝ่าย
    ข้าพเจ้าจึงจะประกาศ ณ ที่นี้ว่าข้าพเจ้ามิได้รังเกียจประชาชนของชนชาติใด จะเป็นชาวอเมริกันหรือชาวยิวหรือชาติใด ๆ ทั้งสิ้น แต่สิ่งที่ข้าพเจ้ารังเกียจ คือพฤติกรรม เอาเปรียบ เบียดเบียน แทรกแซง ปล้นทั้งทรัพยากรและดินแดน ทำลายชาติอื่น ที่ 'ทุนธนาคาร Zionist' นี้ได้กระทำทั่วโลก
    ดังนั้น กับคำกล่าวของท่านว่าข้าพเจ้าเหยียดชนชาติ เมื่อความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นข้าพเจ้าจึงไม่เดือดร้อนใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ว่าในโลกปัจจุบัน เท่าที่ข้าพเจ้าทราบ ข้าพเจ้าไม่เห็นว่าจะมีค่ายนักโทษอันใดที่กระทำความทารุณโหดร้ายเท่ากับที่สถานที่ชื่อ Gaza และในเมื่อประเทศของท่านเองยังกระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาว Palestine อย่างที่กระทำอยู่ ท่านยังจะกล้าบังอาจเรียกผู้ใดว่าเหยียดชนชาติได้เสียอย่างไร
    จะเรียกใครว่าอย่างไรท่านจงมองตัวเองบ้างเสียเถิด ท่านจงสำเหนียกเสียบ้างเถิดว่า พฤติกรรมร้องทำจะเป็นจะตายว่าพวกตนถูกทำร้าย ทั้งที่พวกตนนั่นแหละคือผู้ที่กระทำชำเราเขาไปทั่ว ท่านคิดว่าอย่างไร พฤติกรรมนี้เป็นพฤติกรรมที่น่าสมเพชหรือไม่
    ไม่ว่าจะประชาชนชนชาติใด เขาก็ย่อมปรารถนาความสงบสุข เขาย่อมปรารถนาอธิปไตยในชาติของเขาเอง เขาย่อมปรารถนาที่จะตัดสินอนาคตเขาเอง เขาย่อมปรารถนาว่าทรัพยากรของเขาจะถูกนำมาใช้เพื่อประโยชน์ของเขาด้วยความเป็นธรรม เขาย่อมไม่ต้องการให้ใครมาเอาดินแดนของเขาไป แต่ในประเทศไทย ด้วยการชักใย การซื้อคนไทยที่ขายชาติตนเองทุกขั้ว การซื้อสื่อ การปลุกปั้นโดย 'ทุนธนาคาร Zionist' เป็นอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น
    ผลคือ คนไทย แทนที่จะรักใครสามัคคีกัน แทนที่จะได้รับผลประโยชน์จากสมบัติอันมีค่าของเขา แทนที่จะมีรัฐสวัสดิการ การรักษาพยาบาล การศึกษา ที่มีคุณภาพ แทนที่จะมีชีวิตที่มีคุณภาพความสุขที่พวกเขาควรได้รับ เขากลับต้องมาเกลียดชังกันเอง ทะเลาะสู้กันเอง เขากลับต้องมาเป็นทาสของ 'ทุนธนาคาร Zionist' ต้องมาเป็นทาสที่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายสู้กันเอง แทนที่จะสามัคคีกันเพื่อปลดปล่อยพวกตนจากความเป็นทาส เพราะความไม่รู้เท่าทัน เพราะการหลอกลวงโดยนักการเมือง ผู้เข้ามามีอำนาจที่หิวโหย ที่ล้วนทำเพื่อตนเอง โดยรับใช้ ถูกชักใยจากนายคนเดียวกันคือ 'ทุนธนาคาร Zionist' ทั้งนั้น
    ข้าพเจ้าจึงมีความจำเป็นที่จะเปิดเผยความจริง ความจริงโดยรอบด้าน และความจริงที่จริงที่สุด โดย เมื่อประชาชนชาวไทยตื่นรู้กับความจริง การเป็นทาสที่ถูกหลอกให้สู้กันเองย่อมหมดไป ความสามัคคีย่อมกลับมา โดยสิ่งนี้สิ่งเดียว คือ การตื่นรู้เท่านั้น ที่จะทำให้ชนชาติไทยรอดพ้นภัยไปได้
    ทั้งนี้ทั้งนั้น มิใช่ว่าประชาชนชาวไทยจะต้องไปเป็นศัตรูกับใคร การตบมือข้างเดียวย่อมไม่ดังฉันใด และ เมื่อคนไทยตื่นรู้เลิกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเป็นหนึ่งอันเดียวกัน รวมกันปราบปรามเหล่าคนไทยที่ขายชาติตนเองทั้งหลายแล้ว ประเทศและประชาชนชาวไทยย่อมพ้นจากการเป็นอาณานิคม พ้นจากการเป็นเป็นทาส ไม่ว่าจะเป็น ทาสของ 'ทุนธนาคาร Zionist' หรือ กลุ่มทุนอื่นใด
    จึงเรียนมาเพื่อทราบ
    ม.ล.รุ่งคุณ กิติยากร
    หม่อมโจ้ สิ่งที่ควรรู้เรื่องอิสราเอลหม่อมโจ้ โต้ทูตอิสราเอล ยันต้องเปิดความจริง ช่วยคนไทยพ้นภาวะทาส เพื่อนๆคงจะรู้จัก คุณปุ๊ก อาภัสรา หงสกุล อดีตนางงามจักรวาลชาวไทยคนแรก ที่เรียกว่ามิสยูนิเวอร์ส คุณอาภัสราจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.ศ.3) ปี 2506 จาก ร.ร.ศึกษาวิทยา ถนนสีลม แล้วไปเรียนอาชีวศึกษาที่ ร.ร.เลขานุการที่นครรัฐปีนัง ในมาเลเซีย จบชั้นปีที่ 2 เธอมาประกวดนางสาวไทย ได้ตำแหน่งปี 2507 จากนั้นไปเรียนต่อแล้วกลับมาปี 2508 เดินทางไปประกวดมิสยูนิเวอร์สที่นครไมอามี่ รัฐฟลอริด้า สหรัฐอเมริกา ได้ตำแหน่งขณะมีอายุ18ปี คุณปุ๊กเกิดวันที่16 มกราคม 2490 ปีกุนปีเดียวกับผม ปี 2510 ขณะมีอายุ 20ปีได้สมรสครั้งแรกกับหม่อมราชวงศ์เกียรติคุณ กิติยากร มีบุตรชายคนแรกคือหม่อมหลวงรุ่งคุณ กิติยากร ปัจจุบัน หม่อมโจ้ บุตรชายคนแรกของคุณปุ๊ก อายุได้ 53 ปีแล้ว หม่อมโจ้เรียนจบจากต่างประเทศที่สหรัฐอเมริกาในระดับปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจเคยทำงานบริษัทต่างประเทศจนได้ลาออกไปอุปสมบทเป็นพระภิกษุในสายวัดป่าอยู่หลายปีได้มาซื้อที่ดินที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา 45 ไร่ ปลูกพืชและผลไม้สายพันธุ์ของต่างประเทศที่ไม่มีใครทำมาก่อนจนผลไม้ขายได้ในราคาสูง หม่อมหลวงรุ่งคุณได้ศึกษาและวิเคราะห์เขียนหนังสือหลายเรื่องเกี่ยวกับอิสราเอล ไว้มากจนเป็นข่าวตอบโต้กับเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทยดังนี้ เรียน ท่านเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย นายไซม่อน โรดเด็ด ข้าพเจ้ารับทราบถึงความไม่พอใจของท่านกับบทความของข้าพเจ้า ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่ข้าพเจ้าได้เขียน เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้าโดยบริสุทธิ์ใจ อันเป็นสิทธิที่ข้าพเจ้าจะแสดงได้ โดยความเห็นของข้าพเจ้านั้น เป็นไปตามข้อมูลหลักฐานอันมีจริงทางประวัติศาสตร์ที่ได้มีความพยายามในการกลบและบิดเบือน แม้กระนั้น ท่านอาจแปลกใจคิดว่า แล้วไฉนทั้งที่ข้าพเจ้าและประเทศไทยที่ไม่ได้มีส่วนได้เสีย ข้าพเจ้าจึงต้องไปเขียนในเรื่องราวสร้างความบาดหมางให้แก่ท่าน ข้าพเจ้าจึงใคร่ที่จะชี้แจงตรงนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนเพื่อที่จะก่อความบาดหมางให้แก่ท่านหรือแก่ผู้ใด และ เรื่องราวที่ข้าพเจ้าเขียนนั้น มีความเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้าและต่อประเทศไทยอย่างไรบ้าง อย่างแรก 'กลุ่มทุนธนาคารยิว Zionist' ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงนั้น ข้าพเจ้ากล่าวถึงคนเพียงกลุ่มหนึ่ง มิใช่ชาวยิวทั้งหมด โดยคำว่า 'Zionist' แม้แต่ชาวยิวแท้ Orthodox Jews ที่ยึดมั่นใน Torah จำนวนมากก็ไม่ได้เห็นด้วยเลย ดังที่พวกเขาได้ออกมาประท้วง ประกาศว่า 'Zionism' ไม่ใช่ 'Judaism' เอง ท่านทูตน่าจะพอทราบอยู่ เพราะใน Israel ก็มีการจับชาวยิวแท้ ที่มีอัธยาศัยดีเหล่านี้ ไปจำคุกอยู่จำนวนหนึ่ง 'ทุนธนาคาร Zionist' ที่ข้าพเจ้าพูดถึง หมายถึงกลุ่มทุนธนาคารที่เป็นผู้มีอำนาจที่สุดในโลก มีอำนาจเหนือรัฐหลายรัฐ รวมถึงมหาอำนาจสหรัฐอเมริกา เขาคุมการเงินโดยกลุ่มของเขาเอง เป็นเจ้าของ Federal Reserve Bank ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา ที่พิมพ์เงินให้รัฐบาลสหรัฐฯต้องกู้ มิใช่ของประชาชนชาวอเมริกันตามที่ควรจะเป็นแต่อย่างใด กลุ่มทุนธนาคารของเขาเป็นหุ้นใหญ่ในบริษัทยักษ์ใหญ่แทบทั้งสิ้นทั่วโลก รวมถึง 6 บริษัทที่คุม 90% ของสื่อในสหรัฐอเมริกา เขาคุมแหล่งนํ้ามันและก๊าซหลัก ๆ ทั่วโลก และกำลังรุกเพื่อควบคุมผูกขาดอาหารของโลกโดยการผลิต GMO แม้แต่องค์กรโลก เช่น UN ที่ให้กำเนิด World Bank และ IMF ล้วนเป็นองค์กรที่พวกเขาจัดตั้งขึ้น และควบคุมทั้งสิ้น ชื่อตระกูลที่โดดเด่นมีอิทธิพลสูงสุดใน 'ทุนธนาคาร Zionist' นี้ ได้แก่ 'Rothschild' และ 'Rockefeller' ชื่อ 'Rothschild' ท่านทูตย่อมรู้จักเป็นอย่างดี โดยใน 'Independence Hall' ที่ Tel Aviv เมืองหลวงของท่านเอง ก็มีนิทรรศการเอกสารชิ้นสำคัญมากชิ้นหนึ่งเรียกว่า 'The Balfour Declaration' เป็นจดหมายจากรัฐบาลอังกฤษ จ่าหัวถึง 'Lord Rothschild' ใน 1917 แสดงถึงการที่รัฐบาลอังกฤษสนับสนุนให้เกิด บ้านอยู่ (national home) ของชาวยิว ที่ Palestine แก่ 'Lord Rothschild' Baron Edmond (Abraham Benjamin) Rothschild จึงมีสถานะเป็น "the Father of the Settlements" (Avi ha-Yishuv) หรือบิดาแห่งอิสราเอล ใน4บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของโลก หรือ 'The Four Horsemen of Oil' ที่อยู่เบื้องหลังนโยบายการครอบครองน้ำมันของสหรัฐฯ 2 บริษัท คือ BP Amoco และ Royal Dutch/Shell อยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูล Rothschild ที่ถือหุ้นใหญ่ ส่วน อีกสอง Exxon Mobil และ Chevron คือ บริษัทที่มาจาก Standard Oil ของ John D. Rockefeller โดยกรรมการของบริษัทน้ำมันเหล่านี้จำนวนหนึ่ง ไขว้กันเองเป็นใย และไขว้เป็นกรรมการของธนาคารยักษ์ใหญ่ เช่น JP Morgan Chase ของ Rockefeller และ Citigroup, Bank of America, Wells Fargo, N. M. Rothschild & Sons โดยตระกูล Rothschild ควบคุม และมีการเชื่อมโยงถือหุ้นไขว้กันกับกลุ่มทุนนอมินียักษ์ เช่น BlackRock, State Street, Vanguard และ Fidelity ที่ถือหุ้นใหญ่บริษัทยักษ์ใหญ่ แทบทั้งหมดในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ในการสร้างอำนาจเหนือรัฐต่าง ๆ 'ทุนธนาคาร Zionist' เหล่านี้ ได้จัดตั้งองค์กร Front ของเขา เช่น The Bilderberg Group, Council on Foreign Relations (CFR) และ The Trilateral Commission (TC) โดยองค์กรเหล่านี้จะรวมกลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' และบรรดาผู้มีอิทธิผล เช่น อดีตประธานาธิบดี บริวารมือขวาของเขา Henry Kissinger นักการเมืองทุกขั้ว ทหาร หัวหน้าหน่วยงานลับ ของประเทศสำคัญในยุโรป และสหรัฐฯ โดยใน Trilateral Commission จะมีสมาชิกเป็นบุคคลสำคัญของประเทศในทวีปเอเชียต่าง ๆ ที่รับใช้พวกเขา 'ทุนธนาคาร Zionist' จึงมีอิทธิพลอำนาจเหนือรัฐ เช่นมหาอำนาจสหรัฐอเมริกา ด้วยความละโมบของพวกเขา ในการล่าอาณานิคมยุคใหม่ โดยกำลังก็ดี โดยวิธีแห่งการให้สินบนแก่ผู้ขายชาติตนเองก็ดี โดยการบีบบังคับด้วยหนี้สินก็ดี โดยการแทรกแซงการเมืองภายในก็ดี 'ทุนธนาคาร Zionist' เหล่านี้ ได้เข้ายึดครองทรัพยากร พลังงาน เศรษฐกิจ และการเงิน ของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ทำให้ประชาชนของประเทศนั้น ๆ ตกเป็นทาสของพวกเขา โดยในประเทศไทยเอง ปรากฏหลักฐานชัดเจนถึงการกระทำ ที่ 'ทุนธนาคาร Zionist' พร้อมการร่วมมือของ 'คนไทย' ที่ได้ขายตัวขายจิตวิญญาณให้พวกเขา ได้ร่วมกระทำ ดังต่อไปนี้ (1) การปล้นโกงน้ำมันและก๊าซ จากประชาชนคนไทย (2) การทำให้ประเทศไทยเป็นหนี้ ตามด้วยการยึดครองเศรษฐกิจการเงิน (3) การชักใยอยู่เบื้องหลังทุกฝ่าย ในการสร้างความแตกแยก ตามยุทธศาสตร์ 'แบ่งแยกแล้วปกครอง' เพื่อการยึดครองประเทศเป็นเมืองขึ้นยิ่งขึ้นไป มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ : (1) การปล้นโกงน้ำมันและก๊าซ จากประชาชนคนไทย โดย 'ทุนธนาคาร Zionist' ทั้งที่ประเทศไทย มีอธิปไตยของตนเอง โดยอธิปไตย นั้นเป็นของปวงชนชาวไทย อันหมายความว่าทรัพยากรของชาตินั้นเป็นของประชาชนคนไทย แต่ปรากฏว่า กฎหมายว่าด้วยน้ำมันและก๊าซ (พ.ร.บ.ปิโตรเลียม 2514) มิได้มีการเขียนขึ้นไม่ว่าจะ 'โดย' ประชาชน หรือ 'เพื่อ' ประชาชน แต่อย่างใด แต่ได้ถูกเขียนขึ้นโดย Walter James Levi สมาชิกทั้ง CFR และ The Trilateral Commission ผู้ทำงานให้รัฐบาลสหรัฐฯ ขั้นขึ้นชื่อว่าเป็น หัวหน้าฝ่ายเศรษฐศาสตร์พลังงานของสหรัฐอเมริกา (the dean of United States oil economists) และ ได้เป็นผู้บริหารบริษัทของตระกูล Rockefeller เองคือ Standard Oil Company of New York หรือ Socony (ปัจจุบันคือ Exxon) คนที่เขียนกฎหมายนี้ของประเทศไทย ไม่ใช่คนไทย แต่คือคนของ 'ทุนธนาคาร Zionist' เนื้อหาของกฎหมายดังกล่าวเอง ก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของ 'ทุนธนาคาร Zionist' โดยมีลักษณะของกฎหมายสำหรับเมืองขึ้นอันไม่เป็นธรรม คือ น้ำมันและก๊าซทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้รับสัมปทาน การได้สัมปทานเป็นไปโดยไม่มีการประมูลอย่างโปร่งใส ค่าตอบแทนเป็นไปอย่างต่ำ และ ประชาชนคนไทยที่เป็นเจ้าของโดยแท้จริง ไม่สามารถตรวจสอบรับทราบความจริงได้เลย โดยวิธีที่สามารถจะเรียกว่าโปร่งใสได้ ว่าปริมาณทรัพยากรที่มีการขุดไปนั้นมีปริมาณที่แท้จริงมากน้อยเพียงใด ประเทศไทยมีพลังงานมากน้อยแค่ไหนโดยต้องยอมรับตามตัวเลข ที่บริษัทพลังงานต่าง ๆ แจ้งเท่านั้น การปล้นอธิปไตยโดย 'ทุนธนาคาร Zionist' เป็นไปได้ด้วยการข่มขู่ไม่ให้ความร่วมมือ พร้อมการให้สินบนแก่ 'คนไทยที่ขายชาติตัวเอง' ซึ่งจากนั้นมา การรุกครอบครองน้ำมันและก๊าซของประชาชนคนไทย โดยวิธีการดังกล่าวได้ขยายไปเรื่อย ๆ มีการแก้ไขกฎหมายเพิ่มเติม ให้เอื้ออำนวยแก่ผู้รับสัมปทานอย่างล้นพ้นโดยภายหลังจะเห็นได้ชัดเจนถึงผู้เข้ามามีอำนาจในไทย ไม่ว่าขั้วไหน เข้ามาด้วยวิธีใด ได้สานต่อไปในทาง 'ขายชาติตัวเอง' ให้แก่ 'ทุนธนาคาร Zionist' เหล่านี้เพื่อค่าคอมมิสชั่น ถึงขั้นร่วมกันชง ส่งลูกกันข้ามรัฐบาล ยกดินแดนไทยให้กัมพูชา อันส่งผลให้พื้นที่ไทยในทะเลอ่าวไทย 27,000 ตารางกิโลเมตรอันอุดมด้วยน้ำมันและก๊าซที่สุดแห่งหนึ่ง ต้องตกกลายเป็นพื้นที่พิพาท ระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งในพื้นที่นี้ บริษัท Chevron คือบริษัทที่จ่อล็อกจะถือสัมปทานจากทั้ง 2 ประเทศ ในกรณีนี้ที่มีการพิพาทเรื่องพื้นที่ในอ่าวไทย หากไทยและกัมพูชา ให้สัมปทานในพื้นที่นี้ ผู้ที่จะมีอิทธิพลสูงสุดในการครอบครอง ย่อมมิใช่ไทยหรือกัมพูชาอีกทั้งนั้น แต่จะเป็นสหรัฐอเมริกาภายใต้กลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' เพราะสัมปทานจะเป็นของ Chevron โดยเอกฉันท์ ฝ่ายใดที่ให้ประโยชน์แก่สหรัฐฯ สูงสุด สหรัฐฯ ย่อมสนับสนุนฝ่ายนั้น ในปัจจุบัน การถูกปล้นอธิปไตย การตกเป็นอาณานิคมของ 'ทุนธนาคาร Zionist' อย่างเต็มรูปแบบในเรื่องพลังงาน ก็ประจักษ์ชัดเจนอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยในปัจจุบัน นาย ณรงค์ชัย อัครเศรณี ผู้เข้ามาดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ก่อนเข้ามารับตำแหน่ง ได้เป็นสมาชิก The Trilateral Commission (TC) องค์กรของ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' ยาวนานถึง 30 ปี โดยเมื่อเข้ามาแล้ว ก็ไม่รีรอที่จะประกาศผลักดันเปิดสัมปทานในพื้นที่ดังกล่าวอย่างเต็มที่ โดยไม่สนใจ และไม่มีการชี้แจงอันใดเกี่ยวกับการเสียดินแดนของประเทศไทย ทั้งที่มีการคัดค้าน ด้วยประการฉะนี้ การปล้นโกงน้ำมันและก๊าซ โดย 'ทุนธนาคาร Zionist' จึงมิได้ครอบคลุมเพียงแค่น้ำมันและก๊าซอีกต่อไป แต่ได้ขยายไปเป็นการปล้นดินแดนไทย จากประชาชนคนไทย ไปโดยเรียบร้อย (2) การทำให้ประเทศไทยเป็นหนี้ ตามด้วยการยึดครองเศรษฐกิจการเงินของประเทศ การที่เถ้าแก่สามานย์รายใดจะต้องการยึดที่ดินสวย ๆ ของชาวนา วิธีที่เขาจะกระทำคือ ให้ชาวนากู้เงิน ทำให้จ่ายหนี้ไม่ได้ เมื่อจ่ายช้าก็อายัดที่ดินนั้น บังคับขายในราคาต่ำกว่าจริงสิบเท่า แล้วเข้าซื้อเอง วิธีการของ 'ทุนธนาคาร Zionist' ก็เป็นเช่นนั้น ทำให้ประเทศเป็นหนี้ หลังการปล่อยกู้เงินให้แก่ประเทศไทยจำนวนมากให้คน น้อยกว่า 1% อย่างฟุ่มเฟือย George Soros สมาชิกอาวุโส CFR ได้นำกลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' มาโจมตีค่าเงินบาท จาก 25 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ กลายเป็น 56 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ เพราะกู้เงินจากต่างชาติมามาก เศรษฐกิจไทยได้เข้าสู่วิกฤต มีการล่มสลายของธุรกิจจำนวนมาก(ในปี 2540 – 2542) ต่อมาก็เป็นไปตามแบบแผนวิธีการของ IMF และ World Bank ที่ 51% เป็นของ US Treasury ควบคุมโดย 'ทุนธนาคาร Zionist' ของ Rothschild ตามขั้นตอนที่ Joseph Stiglitz ผู้เป็นอดีตประธานที่ปรึกษาทีมเศรษฐกิจของ President Bill Clinton อดีตรองประธาน และ Chief Economist ของ World Bank ได้เปิดโปงให้แก่หนังสือ The Observer และ Newsweek หลังมีเอกสารลับหลุดออกมาจาก World Bank คือในการขอความช่วยเหลือทางการเงิน จำต้องเซ็นสัญญา โดยในสัญญาจะตกลงใน (a) Privatization การแปรรูป โดยรัฐจะต้องยินยอมขายสมบัติของชาติเกี่ยวเนื่องกับสิ่งจำเป็น เช่น น้ำ ไฟฟ้า น้ำมันและก๊าซ (b) Capital Market Liberalization การเปิดให้ทุนไหลเข้าออก โดยส่วนใหญ่มักจะไหลออก (c) Market-based pricing การขึ้นราคา อาหาร ไฟฟ้า น้ำมันและก๊าซ โดยอ้างว่าเป็นราคาตลาดโลก (d) Free Trade การค้าเสรี ตามกฎของ WTO และ World Bank Stiglitz ได้ระบุในการสัมภาษณ์อย่างชัดเจนว่า การยินยอมในการตกลงนั้นเกิดขึ้นไม่ยากโดย (ก) World Bank IMF สามารถสั่ง Financial Blockage การกีดกันทางการเงินหากไม่ร่วมมือ และ (ข) นักการเมืองในประเทศนั้น ๆ ยินดีที่จะยกบริษัท น้ำ ไฟฟ้า น้ำมันและก๊าซ ให้โดย 'เขาจะตาโตกันเลย เมือเขานึกถึงค่าคอมมิสชั่นที่เขาจะได้กัน จากการลดราคาเป็นพัน ๆ ล้านในการแปรรูป' โดยเขาจะสามารถใช้ข้ออ้างว่า ถูก World Bank IMF บังคับ แล้วการออกกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ ก็ได้ตามมา พร้อมการขายสมบัติชาติแบบล็อกสเปคในราคาที่ต่ำกว่าทุนถึง 5 เท่า ตามด้วยการแปรรูปบริษัทน้ำมัน-ก๊าซของชาติ โดยสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าไม่ว่าจะในกรณี การยกดินแดนให้ต่างชาติ หรือ การแปรรูป จะเกิดขึ้นโดยการร่วมมือของมากกว่าหนึ่งรัฐบาล โดยฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายชง อีกฝ่ายเป็นฝ่ายจัดการ ทั้งนี้ทั้งนั้น เป็นไปเพื่อการสามารถโยนความผิดกันไปมาได้ โดยไม่มีใครผิดเต็ม ๆ โดยในกรณีนี้ แม้ขั้วนักการเมืองกลุ่มที่รับข้อตกลงรับรายละเอียดในการออกกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับจาก 'ทุนธนาคาร Zionist' นี้พยายามจะโยนความผิดให้ผู้ริเริ่มการตกลง แต่ก็ปรากฏให้เห็นได้ถึงการตอบแทน เมื่อคนของเขาได้ไปนั่งเป็นผู้อำนวยการใหญ่ WTO โดยการโจมตีค่าเงิน การบีบข่มขู่ การให้สินบนแก่ผู้เข้ามามีอำนาจทุกขั้ว ที่ร่วมกันขายชาติตนเอง 'ทุนธนาคาร Zionist' เช่น JP Morgan Chase, BlackRock, State Street, Vanguard และ Fidelity ได้เข้ามายึดครองควบคุม บริษัทน้ำมันก๊าซ ธนาคาร และ เศรษฐกิจการเงินของประเทศไทย ไปจากคนไทย และยังรุกคืบยิ่ง ณ ปัจจุบัน ตามข่าวการแปรรูปที่ปรากฏอยู่ (3) การชักใยอยู่เบื้องหลัง ในการสร้างความแตกแยก ตามยุทธศาสตร์ 'แบ่งแยกแล้วปกครอง' (Divide and Conquer) เพื่อการยึดครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จ เป็นที่ประจักษ์ว่าไม่ว่าจะขั้วไหน เข้ามาด้วยวิธีใด ที่เข้ามามีอำนาจ ล้วนให้ความร่วมมือกับ 'ทุนธนาคาร Zionist' ในการขายทำลายชาติ โดยมีค่าคอมมิสชั่น ทั้งในทรัพยากรและในการแปรรูป เป็นตัวเชื่อม สามารถควบคุม ชักใยได้ทุกฝ่าย ยุทธศาสตร์ แบ่งแยกแล้วปกครอง เป็นยุทธศาสตร์ที่มีตัวอย่างเห็นได้ในโลกปัจจุบันมากมายในการเข้ายึดครองประเทศต่าง ๆ ของ 'ทุนธนาคาร Zionist' โดยการยุยงให้เหยื่อตีกันเอง บางกรณีให้อาวุธทั้ง 2 ฝ่าย ทำลายภูมิคุ้มกันความสามัคคีของชนชาตินั้น ๆ สร้างความแตกแยก โดยเมื่อมีรอยแตก ก็สามารถจะแทรกเข้าไป ยึดครองประเทศนั้น ๆ ความแตกแยก ปัญหาความขัดแย้งเสื้อสี ที่ปรากฏอยู่ในประเทศไทย ล้วนมีการชักใย มีการสนับสนุน ทั้ง 2 ฝ่ายการเมือง โดยมีกลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' เป็นผู้อยู่เบื้องหลังนักการเมืองทั้ง 2 ขั้ว โดยทั้ง 2 ขั้ว นั้นล้วนมีผลประโยชน์ในเรื่องคอมมิสชั่น จากกลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' และถูกชักใยให้ปลุกปั่นประชาชน ให้มาตีกันเองโดยการรู้ไม่เท่าทันของประชาชน ว่าโดยแท้จริงแล้ว นักการเมืองและผู้มีอำนาจ ไม่ว่าจะขั้วไหน เข้ามาด้วยวิธีใด ล้วนให้ความร่วมมือ ขายชาติตนเองแก่ 'ทุนธนาคาร Zionist' ทั้งสิ้น หลักฐานปรากฏชัดเจนว่าสมาชิก CFR ของ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' อาทิ (a) Robert Blackville สมาชิก CFR มือขวาการต่างประเทศของ Henry Kissinger จาก Barbour Griffif & Rogers (CFR) (b) Keneth Adelman สมาชิก CFR อดีตทูต UN ของสหรัฐ จาก Baker & Botts Robert (CFR) (c) Robert Amsterdam จาก Amsterdam & Peroff (Chatham House) ได้ทำหน้าที่เป็น lobbyist ให้อดีตนักการเมืองที่หลบอยู่ที่ Dubai และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังขบวนการเสื้อแดง และองค์กร NED ได้ให้เงินสนับสนุน Website ของเสื้อแดงจำนวนมาก โดยต้องเป็นที่กล่าวว่า นักการเมืองไทยที่หลบหนีอยู่ที่ Dubai นั้น โดยแท้จริงแล้วเป็นเพียงหุ่นเชิด ที่ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' ชักใยอยู่เบื้องหลัง ซึ่งโดยลำพังเขาไม่สามารถที่จะทำเองได้เลย (นั่นคือทักษิณ ชินวัตร) ส่วนนักการเมืองผู้เข้ามามีอำนาจ ฝ่ายอื่น ๆ ที่โหน อ้าง ปกป้อง สถาบันสำคัญ ๆ ฝ่ายนี้ โดยการขายตัวขายชาติ การปรารถนาได้ค่าคอมมิสชั่น ทั้งในน้ำมันก๊าซ และในการแปรรูป เป็นตัวเชื่อม ก็ไม่พ้นการอยู่ภายใต้อำนาจการชักใยของ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' ที่เป็นผู้กำกับการแสดง จูงทั้งสองสามฝ่าย ให้ชงและส่งลูกให้กัน เสี้ยมให้ชาติ ล่มสลาย เพื่อการปล้นยึดครองอย่างเบ็ดเสร็จ ในระหว่างที่สหรัฐ แขนขวาของ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' สนับสนุนฝ่ายหนึ่ง แขนซ้าย ก็ทำตัวเข้าสนับสนุนอีกฝ่าย ข้าพเจ้าจึงจะประกาศ ณ ที่นี้ว่าข้าพเจ้ามิได้รังเกียจประชาชนของชนชาติใด จะเป็นชาวอเมริกันหรือชาวยิวหรือชาติใด ๆ ทั้งสิ้น แต่สิ่งที่ข้าพเจ้ารังเกียจ คือพฤติกรรม เอาเปรียบ เบียดเบียน แทรกแซง ปล้นทั้งทรัพยากรและดินแดน ทำลายชาติอื่น ที่ 'ทุนธนาคาร Zionist' นี้ได้กระทำทั่วโลก ดังนั้น กับคำกล่าวของท่านว่าข้าพเจ้าเหยียดชนชาติ เมื่อความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นข้าพเจ้าจึงไม่เดือดร้อนใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ว่าในโลกปัจจุบัน เท่าที่ข้าพเจ้าทราบ ข้าพเจ้าไม่เห็นว่าจะมีค่ายนักโทษอันใดที่กระทำความทารุณโหดร้ายเท่ากับที่สถานที่ชื่อ Gaza และในเมื่อประเทศของท่านเองยังกระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาว Palestine อย่างที่กระทำอยู่ ท่านยังจะกล้าบังอาจเรียกผู้ใดว่าเหยียดชนชาติได้เสียอย่างไร จะเรียกใครว่าอย่างไรท่านจงมองตัวเองบ้างเสียเถิด ท่านจงสำเหนียกเสียบ้างเถิดว่า พฤติกรรมร้องทำจะเป็นจะตายว่าพวกตนถูกทำร้าย ทั้งที่พวกตนนั่นแหละคือผู้ที่กระทำชำเราเขาไปทั่ว ท่านคิดว่าอย่างไร พฤติกรรมนี้เป็นพฤติกรรมที่น่าสมเพชหรือไม่ ไม่ว่าจะประชาชนชนชาติใด เขาก็ย่อมปรารถนาความสงบสุข เขาย่อมปรารถนาอธิปไตยในชาติของเขาเอง เขาย่อมปรารถนาที่จะตัดสินอนาคตเขาเอง เขาย่อมปรารถนาว่าทรัพยากรของเขาจะถูกนำมาใช้เพื่อประโยชน์ของเขาด้วยความเป็นธรรม เขาย่อมไม่ต้องการให้ใครมาเอาดินแดนของเขาไป แต่ในประเทศไทย ด้วยการชักใย การซื้อคนไทยที่ขายชาติตนเองทุกขั้ว การซื้อสื่อ การปลุกปั้นโดย 'ทุนธนาคาร Zionist' เป็นอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น ผลคือ คนไทย แทนที่จะรักใครสามัคคีกัน แทนที่จะได้รับผลประโยชน์จากสมบัติอันมีค่าของเขา แทนที่จะมีรัฐสวัสดิการ การรักษาพยาบาล การศึกษา ที่มีคุณภาพ แทนที่จะมีชีวิตที่มีคุณภาพความสุขที่พวกเขาควรได้รับ เขากลับต้องมาเกลียดชังกันเอง ทะเลาะสู้กันเอง เขากลับต้องมาเป็นทาสของ 'ทุนธนาคาร Zionist' ต้องมาเป็นทาสที่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายสู้กันเอง แทนที่จะสามัคคีกันเพื่อปลดปล่อยพวกตนจากความเป็นทาส เพราะความไม่รู้เท่าทัน เพราะการหลอกลวงโดยนักการเมือง ผู้เข้ามามีอำนาจที่หิวโหย ที่ล้วนทำเพื่อตนเอง โดยรับใช้ ถูกชักใยจากนายคนเดียวกันคือ 'ทุนธนาคาร Zionist' ทั้งนั้น ข้าพเจ้าจึงมีความจำเป็นที่จะเปิดเผยความจริง ความจริงโดยรอบด้าน และความจริงที่จริงที่สุด โดย เมื่อประชาชนชาวไทยตื่นรู้กับความจริง การเป็นทาสที่ถูกหลอกให้สู้กันเองย่อมหมดไป ความสามัคคีย่อมกลับมา โดยสิ่งนี้สิ่งเดียว คือ การตื่นรู้เท่านั้น ที่จะทำให้ชนชาติไทยรอดพ้นภัยไปได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น มิใช่ว่าประชาชนชาวไทยจะต้องไปเป็นศัตรูกับใคร การตบมือข้างเดียวย่อมไม่ดังฉันใด และ เมื่อคนไทยตื่นรู้เลิกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเป็นหนึ่งอันเดียวกัน รวมกันปราบปรามเหล่าคนไทยที่ขายชาติตนเองทั้งหลายแล้ว ประเทศและประชาชนชาวไทยย่อมพ้นจากการเป็นอาณานิคม พ้นจากการเป็นเป็นทาส ไม่ว่าจะเป็น ทาสของ 'ทุนธนาคาร Zionist' หรือ กลุ่มทุนอื่นใด จึงเรียนมาเพื่อทราบ ม.ล.รุ่งคุณ กิติยากร
    0 Comments 0 Shares 57 Views 0 Reviews
  • ผบ.ทร. ลงพื้นที่เกาะกูด ย้ำปกป้องอธิปไตยชาติ มั่นใจปัญหาไม่บายปลาย
    .
    เรื่องข้อพิพาทเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา กลายเป็นประเด็นที่มีการพูดถึงอย่างมากในสังคมเวลานี้ โดยเฉพาะท่าทีขององค์กรภาคประชาชนและพรรคการเมืองฝ่ายค้านอย่างพรรคพลังประชารัฐที่ออกมาแสดงความคิดเห็นว่าประเทศไทยมีความสุ่มเสี่ยงต่อการเสียดินแดน ซึ่งเป็นเหตุผลที่สืบเนื่องมาจากการที่ไทยยังไม่ยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักไทยทย-กัมพูชา เกี่ยวกับอ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทย ปี พ.ศ. 2544 (MOU 2544)
    .
    ในเรื่องนี้มีท่าทีจากฝ่ายกองทัพออกมาแสดงความคิดเห็น โดยพล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ตรวจเยี่ยมหน่วยปฏิบัติการเกาะกูด พร้อมรับฟังบรรยายสรุปถึงการปฏิบัติงานของหน่วย และการดำเนินการพัฒนาคุณภาพชีวิตกำลังพล และประสิทธิภาพของหน่วย เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่กำลังพลที่ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่ห่างไกลต่อไป โดยมี พล.ร.ต.ชรัมม์ภากร พรหมภากร รองผู้บัญชาการกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด คณะผู้บังคับบัญชาและกำลังพลของหน่วย ให้การต้อนรับ
    .
    ทั้งนี้ พล.ร.อ. จิรพล ระบุว่า หน้าที่ของกองทัพเรือ คือการดูแลรักษาผลประโยชน์ของชาติ รัฐบาลไทยได้ประกาศเขต เอาไว้แล้วเมื่อปี พุทธศักราช 2516 เราจะดูแลพื้นที่ตามเขตแดนที่รัฐบาลประกาศไว้ ส่วนความคืบหน้าหรือข้อตกลงอะไรนั้น เป็นเรื่องของรัฐบาล เราทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่ที่จะดูแลเขตแดนอธิปไตยของชาติและรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลให้กับประชาชน
    .
    “ขอให้มั่นใจกองทัพเรือดูแลเขตแดนอธิปไตยของชาติ และรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลอย่างเต็มที่ ยืนยันความสัมพันธ์ ทั้งสองประเทศ พื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อน ไม่มีความขัดแย้งใดๆ”
    .
    สำหรับกรณีที่ประชาชนออกมาเคลื่อนไหวนั้น ผบ.ทร. กล่าวว่า ขอให้ประชาชนมั่นใจ ว่ากองทัพเรือจะดูแลพื้นที่ตรงนี้ได้ ไม่ต้องเดินทางไกลมาถึงที่นี่ ซึ่งชาวบ้านที่อาศัยอยู่บนฝั่ง และบนเกาะมีความมั่นใจกับกองทัพเรืออยู่แล้ว อย่างไรก็ตามพื้นที่ของเรามีความสงบ ปลอดภัย ชาวประมงสามารถทำมาหากินได้ปกติ ขณะที่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้านมีความเข้าใจ และก็หากินในพื้นที่ของตนเอง ส่วนเราก็ทำมาหากินในพื้นที่ของเราไม่มีความขัดแย้งใดๆ
    ..............
    Sondhi X
    ผบ.ทร. ลงพื้นที่เกาะกูด ย้ำปกป้องอธิปไตยชาติ มั่นใจปัญหาไม่บายปลาย . เรื่องข้อพิพาทเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา กลายเป็นประเด็นที่มีการพูดถึงอย่างมากในสังคมเวลานี้ โดยเฉพาะท่าทีขององค์กรภาคประชาชนและพรรคการเมืองฝ่ายค้านอย่างพรรคพลังประชารัฐที่ออกมาแสดงความคิดเห็นว่าประเทศไทยมีความสุ่มเสี่ยงต่อการเสียดินแดน ซึ่งเป็นเหตุผลที่สืบเนื่องมาจากการที่ไทยยังไม่ยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักไทยทย-กัมพูชา เกี่ยวกับอ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทย ปี พ.ศ. 2544 (MOU 2544) . ในเรื่องนี้มีท่าทีจากฝ่ายกองทัพออกมาแสดงความคิดเห็น โดยพล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ตรวจเยี่ยมหน่วยปฏิบัติการเกาะกูด พร้อมรับฟังบรรยายสรุปถึงการปฏิบัติงานของหน่วย และการดำเนินการพัฒนาคุณภาพชีวิตกำลังพล และประสิทธิภาพของหน่วย เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่กำลังพลที่ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่ห่างไกลต่อไป โดยมี พล.ร.ต.ชรัมม์ภากร พรหมภากร รองผู้บัญชาการกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด คณะผู้บังคับบัญชาและกำลังพลของหน่วย ให้การต้อนรับ . ทั้งนี้ พล.ร.อ. จิรพล ระบุว่า หน้าที่ของกองทัพเรือ คือการดูแลรักษาผลประโยชน์ของชาติ รัฐบาลไทยได้ประกาศเขต เอาไว้แล้วเมื่อปี พุทธศักราช 2516 เราจะดูแลพื้นที่ตามเขตแดนที่รัฐบาลประกาศไว้ ส่วนความคืบหน้าหรือข้อตกลงอะไรนั้น เป็นเรื่องของรัฐบาล เราทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่ที่จะดูแลเขตแดนอธิปไตยของชาติและรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลให้กับประชาชน . “ขอให้มั่นใจกองทัพเรือดูแลเขตแดนอธิปไตยของชาติ และรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลอย่างเต็มที่ ยืนยันความสัมพันธ์ ทั้งสองประเทศ พื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อน ไม่มีความขัดแย้งใดๆ” . สำหรับกรณีที่ประชาชนออกมาเคลื่อนไหวนั้น ผบ.ทร. กล่าวว่า ขอให้ประชาชนมั่นใจ ว่ากองทัพเรือจะดูแลพื้นที่ตรงนี้ได้ ไม่ต้องเดินทางไกลมาถึงที่นี่ ซึ่งชาวบ้านที่อาศัยอยู่บนฝั่ง และบนเกาะมีความมั่นใจกับกองทัพเรืออยู่แล้ว อย่างไรก็ตามพื้นที่ของเรามีความสงบ ปลอดภัย ชาวประมงสามารถทำมาหากินได้ปกติ ขณะที่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้านมีความเข้าใจ และก็หากินในพื้นที่ของตนเอง ส่วนเราก็ทำมาหากินในพื้นที่ของเราไม่มีความขัดแย้งใดๆ .............. Sondhi X
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 368 Views 0 Reviews
  • "ผลประโยชน์"

    ในการประกอบอาชีพการงาน ทุกท่านล้วนคำนึงถึงผลประโยชน์ของหน่วยงานที่ตนเองสังกัดเป็นเป้าหมายสำคัญ.

    แต่ในบางกรณี อาจเกิดเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อหน่วยงานอื่นๆ จนเกิดสภาวะ "ผลประโยชน์ขัดกัน".

    ท่านต้องพิจารณาไตร่ตรองว่า สุดท้ายแล้วองค์กรต้องได้รับผลประโยชน์สูงสุด และเป็นไปตามระเบียบข้อปฏิบัติที่กำหนดไว้.

    สุดท้าย ท่านก็ต้องยอมรับ "รอยร้าว" ที่อาจจะเกิดขึ้นในหมู่คณะในเวลาต่อมานั่นเอง.

    ณรงค์ คนขำ
    03/11/2567
    "ผลประโยชน์" ในการประกอบอาชีพการงาน ทุกท่านล้วนคำนึงถึงผลประโยชน์ของหน่วยงานที่ตนเองสังกัดเป็นเป้าหมายสำคัญ. แต่ในบางกรณี อาจเกิดเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อหน่วยงานอื่นๆ จนเกิดสภาวะ "ผลประโยชน์ขัดกัน". ท่านต้องพิจารณาไตร่ตรองว่า สุดท้ายแล้วองค์กรต้องได้รับผลประโยชน์สูงสุด และเป็นไปตามระเบียบข้อปฏิบัติที่กำหนดไว้. สุดท้าย ท่านก็ต้องยอมรับ "รอยร้าว" ที่อาจจะเกิดขึ้นในหมู่คณะในเวลาต่อมานั่นเอง. ณรงค์ คนขำ 03/11/2567
    0 Comments 0 Shares 5 Views 0 Reviews
  • "ผลประโยชน์"

    ในการประกอบอาชีพการงาน ทุกท่านล้วนคำนึงถึงผลประโยชน์ของหน่วยงานที่ตนเองสังกัดเป็นเป้าหมายสำคัญ.

    แต่ในบางกรณี อาจเกิดเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อหน่วยงานอื่นๆ จนเกิดสภาวะ "ผลประโยชน์ขัดกัน".

    ท่านต้องพิจารณาไตร่ตรองว่า สุดท้ายแล้วองค์กรต้องได้รับผลประโยชน์สูงสุด และเป็นไปตามระเบียบข้อปฏิบัติที่กำหนดไว้.

    สุดท้าย ท่านก็ต้องยอมรับ "รอยร้าว" ที่อาจจะเกิดขึ้นในหมู่คณะในเวลาต่อมานั่นเอง.

    ณรงค์ คนขำ
    03/11/2567
    "ผลประโยชน์" ในการประกอบอาชีพการงาน ทุกท่านล้วนคำนึงถึงผลประโยชน์ของหน่วยงานที่ตนเองสังกัดเป็นเป้าหมายสำคัญ. แต่ในบางกรณี อาจเกิดเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อหน่วยงานอื่นๆ จนเกิดสภาวะ "ผลประโยชน์ขัดกัน". ท่านต้องพิจารณาไตร่ตรองว่า สุดท้ายแล้วองค์กรต้องได้รับผลประโยชน์สูงสุด และเป็นไปตามระเบียบข้อปฏิบัติที่กำหนดไว้. สุดท้าย ท่านก็ต้องยอมรับ "รอยร้าว" ที่อาจจะเกิดขึ้นในหมู่คณะในเวลาต่อมานั่นเอง. ณรงค์ คนขำ 03/11/2567
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 Reviews
  • ปิโตรเลียมเกาะกูด น้ำมันแพงเหมือนเดิม

    มีคำกล่าวว่า "ข่าวลือมักจะมาก่อนข่าวจริงเสมอ" ประเด็นเกาะกูดเกิดขึ้นจากข่าวลือแบบปากต่อปากว่า นักการเมืองรายหนึ่งจะยกเกาะกูดให้เขมร กระทั่งนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้พักการลงโทษจากคดีทุจริตไปแสดงวิสัยทัศน์ให้กับสถานีโทรทัศน์เนชั่นทีวี เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2567 เสนอให้รัฐบาลใหม่เร่งดำเนินการพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันของไทยกับกัมพูชา หรือ OCA (Overlapping Claims Area) อ้างว่ากัมพูชาลากเส้นจากไหล่ทวีป 200 ไมล์ทะเลแล้วเกยกัน ถือว่าเป็นเขตทับซ้อน ถ้ามีทรัพยากรอยู่ก็ถือว่าแบ่งกันคนละครึ่ง

    แม้ว่าเกาะกูดเป็นของไทย ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ร.ศ.125 แต่เมื่อปี 2515 กัมพูชาประกาศเขตไหล่ทวีปในอ่าวไทย 200 ไมล์ทะเลฝ่ายเดียว โดยลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 จ.ตราด ไปผ่ากลางครึ่งหนึ่งของเกาะกูด แต่ก็มีพระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยในปี 2516 โดยแบ่งครึ่งมุมจากหลักเขตที่ 73 ระหว่างเกาะกูดและเกาะกง ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายสากล คือ บทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ค.ศ. 1958 แต่กัมพูชายังคงยึดถือเขตไหล่ทวีปของตนเอง หนำซ้ำรัฐบาลทักษิณไปเซ็น MOU 2544 ทำให้นายทักษิณอ้างว่าเป็นเขตทับซ้อน

    ต่อมาวันที่ 10 ต.ค. 2567 สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวนายทักษิณ จะเริ่มเจรจากับกัมพูชาอีกครั้ง เพื่อสำรวจแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่งที่มีมูลค่าอย่างน้อย 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งใน 10 นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล เนื่องจากต้องการเพิ่มปริมาณก๊าซธรรมชาติที่ลดลง ควบคุมค่าไฟฟ้า และลดค่าใช้จ่ายนำเข้าเชื้อเพลิงที่พุ่งสูงขึ้น คาดว่าจะมีก๊าซธรรมชาติ 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุตและน้ำมันดิบ 300 ล้านบาร์เรล แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะทั้งสองประเทศขัดแย้งทางการทูตและความอ่อนไหวเรื่องอธิปไตย ทำให้การเจรจาหยุดชะงักตั้งแต่ปี 2544

    แม้เรื่องเกาะกูดจะไม่โด่งดัง แต่ก็เป็นที่พูดถึงในกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล กังวลว่าไทยจะเสียสิทธิ์ทางทะเล และเสียดินแดนเช่นเดียวกับกรณีปราสาทพระวิหาร ส่วนรัฐบาลตอบโต้ว่าเป็นพวกคลั่งชาติ ทำร้ายผลประโยชน์ของประเทศ อย่างไรก็ตาม ถึงรัฐบาลทั้งสองประเทศจะร่วมกันนำพลังงานขึ้นมาใช้ แต่สุดท้ายคนไทยใช้น้ำมันแพงเหมือนเดิม เพราะอ้างอิงราคาน้ำมันจากประเทศสิงคโปร์ แถมต้นทุนโรงกลั่นในไทยสูงกว่าสิงค์โปร์ ส่วนธุรกิจก๊าซธรรมชาติยังจำกัดอยู่ที่รายใหญ่ เชื่อไม่ได้ว่าค่าไฟฟ้าจะถูกลง คนที่ได้ประโยชน์ตัวจริงคือนักการเมือง กับกลุ่มทุนพลังงานบางกลุ่มเท่านั้น

    #Newskit #เกาะกูด
    ปิโตรเลียมเกาะกูด น้ำมันแพงเหมือนเดิม มีคำกล่าวว่า "ข่าวลือมักจะมาก่อนข่าวจริงเสมอ" ประเด็นเกาะกูดเกิดขึ้นจากข่าวลือแบบปากต่อปากว่า นักการเมืองรายหนึ่งจะยกเกาะกูดให้เขมร กระทั่งนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้พักการลงโทษจากคดีทุจริตไปแสดงวิสัยทัศน์ให้กับสถานีโทรทัศน์เนชั่นทีวี เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2567 เสนอให้รัฐบาลใหม่เร่งดำเนินการพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันของไทยกับกัมพูชา หรือ OCA (Overlapping Claims Area) อ้างว่ากัมพูชาลากเส้นจากไหล่ทวีป 200 ไมล์ทะเลแล้วเกยกัน ถือว่าเป็นเขตทับซ้อน ถ้ามีทรัพยากรอยู่ก็ถือว่าแบ่งกันคนละครึ่ง แม้ว่าเกาะกูดเป็นของไทย ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ร.ศ.125 แต่เมื่อปี 2515 กัมพูชาประกาศเขตไหล่ทวีปในอ่าวไทย 200 ไมล์ทะเลฝ่ายเดียว โดยลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 จ.ตราด ไปผ่ากลางครึ่งหนึ่งของเกาะกูด แต่ก็มีพระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยในปี 2516 โดยแบ่งครึ่งมุมจากหลักเขตที่ 73 ระหว่างเกาะกูดและเกาะกง ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายสากล คือ บทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ค.ศ. 1958 แต่กัมพูชายังคงยึดถือเขตไหล่ทวีปของตนเอง หนำซ้ำรัฐบาลทักษิณไปเซ็น MOU 2544 ทำให้นายทักษิณอ้างว่าเป็นเขตทับซ้อน ต่อมาวันที่ 10 ต.ค. 2567 สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวนายทักษิณ จะเริ่มเจรจากับกัมพูชาอีกครั้ง เพื่อสำรวจแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่งที่มีมูลค่าอย่างน้อย 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งใน 10 นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล เนื่องจากต้องการเพิ่มปริมาณก๊าซธรรมชาติที่ลดลง ควบคุมค่าไฟฟ้า และลดค่าใช้จ่ายนำเข้าเชื้อเพลิงที่พุ่งสูงขึ้น คาดว่าจะมีก๊าซธรรมชาติ 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุตและน้ำมันดิบ 300 ล้านบาร์เรล แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะทั้งสองประเทศขัดแย้งทางการทูตและความอ่อนไหวเรื่องอธิปไตย ทำให้การเจรจาหยุดชะงักตั้งแต่ปี 2544 แม้เรื่องเกาะกูดจะไม่โด่งดัง แต่ก็เป็นที่พูดถึงในกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล กังวลว่าไทยจะเสียสิทธิ์ทางทะเล และเสียดินแดนเช่นเดียวกับกรณีปราสาทพระวิหาร ส่วนรัฐบาลตอบโต้ว่าเป็นพวกคลั่งชาติ ทำร้ายผลประโยชน์ของประเทศ อย่างไรก็ตาม ถึงรัฐบาลทั้งสองประเทศจะร่วมกันนำพลังงานขึ้นมาใช้ แต่สุดท้ายคนไทยใช้น้ำมันแพงเหมือนเดิม เพราะอ้างอิงราคาน้ำมันจากประเทศสิงคโปร์ แถมต้นทุนโรงกลั่นในไทยสูงกว่าสิงค์โปร์ ส่วนธุรกิจก๊าซธรรมชาติยังจำกัดอยู่ที่รายใหญ่ เชื่อไม่ได้ว่าค่าไฟฟ้าจะถูกลง คนที่ได้ประโยชน์ตัวจริงคือนักการเมือง กับกลุ่มทุนพลังงานบางกลุ่มเท่านั้น #Newskit #เกาะกูด
    Like
    14
    1 Comments 0 Shares 241 Views 0 Reviews
  • "ในการปฏิบัติภารกิจเพื่อประโยชน์ของประเทศชาตินั้น ในบางครั้งการกระทำอาจเป็นคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติก็จริงอยู่ แต่ในบางครั้งบางโอกาสนั้น ผู้รู้ว่าการไม่กระทำนั้นจะก่อให้เกิดคุณประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองยิ่งกว่า"

    พจน์ สารสิน (นายกรัฐมนตรีคนที่ 9 ของประเทศไทย)

    #ข้อคิด
    #สุนทรพจน์
    #thaitimes
    #อดีตนายกรัฐมนตรี
    "ในการปฏิบัติภารกิจเพื่อประโยชน์ของประเทศชาตินั้น ในบางครั้งการกระทำอาจเป็นคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติก็จริงอยู่ แต่ในบางครั้งบางโอกาสนั้น ผู้รู้ว่าการไม่กระทำนั้นจะก่อให้เกิดคุณประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองยิ่งกว่า" พจน์ สารสิน (นายกรัฐมนตรีคนที่ 9 ของประเทศไทย) #ข้อคิด #สุนทรพจน์ #thaitimes #อดีตนายกรัฐมนตรี
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 256 Views 0 Reviews
  • นาย ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ แสดงทัศนะประเด็นอดีตโฆษกทร. สนับสนุน MOU44 ว่าดูละเอียดหรือยัง? เนื้อหาเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนระบุว่า

    “ผมท้าทาย เชิญชวน นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกลาโหม และรัฐมนตรีต่างประเทศ ให้ออกมาโต้แย้งประเด็นเทคนิคที่ทีมพรรคพลังประชารัฐเปิดเผยปัญหาแก่ประชาชนเรื่อง MOU44

    ยังไม่มีคนใดคนหนึ่งออกมาชี้แจง มีแต่พลเรือเอกจุมพล ลุมพิกานนท์ อดีตโฆษกกองทัพเรือ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการรักษาประโยชน์ของชาติทางทะเล ติดต่อขอให้ข้อมูลแก่ PPTV ในคลิปข้างล่าง PPTV ระบุว่า

    หลังจากที่ PPTV นำเสนอเรื่องข้อตกลงความร่วมมือ MOU44 ระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่หลายคนออกมาให้ความเห็นว่า อาจจะทำให้ไทยเสียเขตแดนทางทะเลให้กับกัมพูชาในอนาคต ซึ่งรวมถึงเกาะกูดด้วย เพราะเส้นเขตแดนที่ทางกัมพูชาลากมามันข้ามเกาะกูดมาเลย หลายคนจึงอยากจะให้ยกเลิก MOU44 ฉบับนี้ แต่ล่าสุด หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ ออกมาให้ความเห็นอีกทาง ว่าไม่ควรจะยกเลิก MOU44 เพราะไม่ได้ทำให้ไทยเสียเปรียบ ตรงกันข้าม นี่คือสารตั้งต้นที่จะทำให้เกิดการเจรจา แต่ถ้ายกเลิกต่างหากอาจจะมีผลเสียตามมาเพียบ

    ผมเชื่อว่าพลเรือเอกจุมพล ในฐานะเจ้าหน้าที่กองทัพเรือระดับสูง ย่อมมีเลือดรักชาติอยู่เต็มเปี่ยม แต่ขอเรียนด้วยความเคารพว่า คนไทยไม่ควรฝากความหวังไว้กับนักการเมืองมากเกินไป

    รูป 1 ท่านกล่าวว่า ชัดเจนว่าเกาะกูดเป็นของไทย จบตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ห้า มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์บันทึกไว้ชัดเจน ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907

    รูป 2 แสดงขั้นตอนเวลาที่เวียดนาม กัมพูชา และไทยประกาศเขตแดนไหล่ทวีป

    รูป 3 ท่านกล่าวว่า MOU44 ฉบับนี้จะเป็นกรอบที่ทั้งสองประเทศจะหยิบขึ้นมาเจรจากันต่อว่า เขตแดนทางทะเลของใครควรจะอยู่ตรงไหน รวมถึงเจรจาผลประโยชน์ในเขตพื้นที่พัฒนาร่วมกัน

    รูป 4 แสดงเขตพื้นที่พัฒนาร่วมกัน Joint Development Area (สีแดง) ส่วนพื้นที่ที่อยู่เหนือเส้นรุ้งที่ 11 องศา (สีน้ำเงิน) เป็นพื้นที่ทำการแบ่งเขต

    ผมให้ข้อสังเกตแก่ท่านพลเรือเอกจุมพล ในประเด็นจุดแยบยลทางกฎหมาย ดังนี้

    **หนึ่ง MOU44 ยอมรับกรอบขอบเขต boundaries พื้นที่สีแดงไปแล้ว

    ในรูป 5 จะเห็นได้ว่า คำบรรยายพื้นที่สีน้ำเงิน ข้อ 2 (ข) คือเพื่อกำหนดเขตแดนทางทะเลของใครควรจะอยู่ตรงไหน ตามที่ท่านว่า ส่วนคำบรรยายพื้นที่สีแดง ข้อ 2 (ก) คือเพื่อเจรจาผลประโยชน์

    ถ้อยคำในรูป 5 ไม่มีข้อใดที่สามารถอ่านได้ว่า สำหรับพื้นที่สีแดงนั้น "เพื่อกำหนดเขตแดนทางทะเลของใครควรจะอยู่ตรงไหน"

    ในรูป 6 จะเห็นได้ว่า คำบรรยายหน้าที่ของคณะกรรมการร่วมทางเทคนิค พื้นที่สีน้ำเงิน ข้อ 3 (ข) คือเพื่อกำหนดเขตแดนทางทะเลของใครควรจะอยู่ตรงไหน ตามที่ท่านว่า ส่วนคำบรรยายพื้นที่สีแดง ข้อ 3 (ก) คือเพื่อเจรจาผลประโยชน์ล้วนๆ

    ถ้อยคำในรูป 6 ไม่มีข้อใดที่สามารถอ่านได้ว่า สำหรับพื้นที่สีแดงนั้น "เพื่อกำหนดเขตแดนทางทะเลของใครควรจะอยู่ตรงไหน"

    สรุปแล้ว ใน MOU44 ทั้งสองประเทศได้กำหนด "พื้นที่พัฒนาร่วม" "Joint Development Area" ขึ้นมา มิใช่ "เพื่อกำหนดเขตแดนทางทะเลของใครควรจะอยู่ตรงไหน" แต่ "เพื่อเจรจาผลประโยชน์"

    ดังนั้น ใน MOU44 ทั้งสองประเทศจึงพอใจในกรอบขอบเขต boundaries ของพื้นที่พัฒนาร่วมไปแล้ว

    **สอง กรอบขอบเขตของพื้นที่พัฒนาร่วมที่ยอมรับกันไปแล้วนั้น ไม่ตรงตามสนธิสัญญาฯ

    ทั้งนี้ กรอบขอบเขต boundaries ของพื้นที่พัฒนาร่วม ด้านทิศตะวันตก ในรูป 7 เส้นสีแดง นั้น เส้นสีแดงดังกล่าว เกิดขึ้นได้ มีสารตั้งต้น มีต้นกำเนิด เกิดจากเส้นแบ่งเขตที่กัมพูชาลากผ่านเกาะกูด ซึ่งขัดกับเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ

    อธิบายแบบชาวบ้าน ถ้าไม่มีเส้นแบ่งเขตที่กัมพูชาลากผ่านเกาะกูดไปจนถึงตำแหน่ง P เส้นแบ่งเขตทิศเหนือ-ใต้ ย่อมไม่สามารถตั้งต้นจากตำแหน่ง P เกิดขึ้นได้

    ดังนั้น เส้นแบ่งเขตทิศเหนือ-ใต้ ที่ตั้งต้นจากตำแหน่ง P จึงไม่ตรงตามจุดเริ่มต้นในสนธิสัญญาฯ และ

    การที่รัฐบาลไทยไปยอมรับเส้นแบ่งเขตสีแดงดังกล่าว ก็ย่อมแสดงว่า ** ไม่ขัดข้องกับตำแหน่ง P ** ทั้งที่ไม่ตรงตามจุดเริ่มต้นในสนธิสัญญาฯ **

    **สาม JDA ตีกรอบขอบเขต boundaries ด้วยเส้นเขตแดน

    ถ้าดูแผนที่ JDA ไทย-มาเลเซีย จะเห็นได้ว่า ตีกรอบขอบเขต boundaries ด้วยเส้นเขตแดน ที่ทั้งสองประเทศอ้างอนุสัญญาสหประชาชาติฯ แตกต่างกัน โดยไทยถือโขดหิน โลซิน เป็นเกาะ ที่สามารถใช้วางอาณาเขตกินแดนได้ แต่มาเลเซียไม่ถือว่าเป็นเกาะ

    ต่อมามีการแก้ไขอนุสัญญาสหประชาชาติฯ ไม่ถือโขดหิน โลซิน เป็นเกาะ ที่สามารถใช้วางอาณาเขตกินแดนได้ แต่เนื่องจาก JDA ไทย-มาเลเซียได้เกิดขึ้นลงนามไปก่อนหน้า ไทยจึงได้ประโยชน์ระหว่างที่ JDA มีผลบังคับ

    แต่กรณีเส้นที่กัมพูชาลากผ่านเกาะกูดนั้น เป็นการลากเส้นโดยอ้างสนธิสัญญาฯ อย่างที่ไม่ถูกต้อง

    ดังนั้น บัดนี้เมื่อคนไทยทราบถึงปัญหา จึงย่อมต้องเรียกร้องให้ ยกเลิกการอ้างที่ไม่ถูกต้อง การลากเส้นที่ขัดเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ ออกไปก่อนเริ่มต้นเจรจาแบ่งผลประโยชน์

    ทั้งนี้ การเจรจาแบ่งผลประโยชน์ จะสามารถทำได้เร็วถ้าทั้งสองประเทศยึดมั่นในความเป็นธรรม ไม่จำเป็นต้องอาศัยความสัมพันธ์ครอบครัว แต่ถ้ามีวาระซ่อนเร้น ถ้าคนไทยจะเสียเปรียบ ผมก็จะคัดค้านต่อไป

    ผมจึงขอสรุปว่า ประชาชนคนไทยไม่ควรฝากความหวังไว้กับนักการเมืองที่ไปเจรจาโดยยอมรับสิ่งที่กัมพูชา ดำเนินการไปผิดกับเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ

    MOU44 ยอมรับพื้นที่พัฒนาร่วมที่กินล้ำทะเลจากตำแหน่ง P ที่ทำให้ไทยเสียประโยชน์ในทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นของประชาชนทุกคน

    การยอมรับเส้นกรอบขอบเขตของพื้นที่พัฒนาร่วม ที่เริ่มจากตำแหน่ง P อันสืบเนื่องมากจากเส้นที่ผิดเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ ย่อมจะทำให้ไทยเสี่ยงเสียดินแดนได้ในอนาคต

    ถ้าท่านพลเรือเอกจุมพลไม่เชื่อผม ขอให้ท่านอ่านถ้อยคำใน MOU44 เองได้เลยครับ”

    วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567

    นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
    ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ

    https://youtu.be/PEArT6M-wDE?si=NuuT8XefJDmOCmnO

    ที่มา https://www.facebook.com/share/p/1EgDTTKTHn/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    นาย ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ แสดงทัศนะประเด็นอดีตโฆษกทร. สนับสนุน MOU44 ว่าดูละเอียดหรือยัง? เนื้อหาเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนระบุว่า “ผมท้าทาย เชิญชวน นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกลาโหม และรัฐมนตรีต่างประเทศ ให้ออกมาโต้แย้งประเด็นเทคนิคที่ทีมพรรคพลังประชารัฐเปิดเผยปัญหาแก่ประชาชนเรื่อง MOU44 ยังไม่มีคนใดคนหนึ่งออกมาชี้แจง มีแต่พลเรือเอกจุมพล ลุมพิกานนท์ อดีตโฆษกกองทัพเรือ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการรักษาประโยชน์ของชาติทางทะเล ติดต่อขอให้ข้อมูลแก่ PPTV ในคลิปข้างล่าง PPTV ระบุว่า หลังจากที่ PPTV นำเสนอเรื่องข้อตกลงความร่วมมือ MOU44 ระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่หลายคนออกมาให้ความเห็นว่า อาจจะทำให้ไทยเสียเขตแดนทางทะเลให้กับกัมพูชาในอนาคต ซึ่งรวมถึงเกาะกูดด้วย เพราะเส้นเขตแดนที่ทางกัมพูชาลากมามันข้ามเกาะกูดมาเลย หลายคนจึงอยากจะให้ยกเลิก MOU44 ฉบับนี้ แต่ล่าสุด หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ ออกมาให้ความเห็นอีกทาง ว่าไม่ควรจะยกเลิก MOU44 เพราะไม่ได้ทำให้ไทยเสียเปรียบ ตรงกันข้าม นี่คือสารตั้งต้นที่จะทำให้เกิดการเจรจา แต่ถ้ายกเลิกต่างหากอาจจะมีผลเสียตามมาเพียบ ผมเชื่อว่าพลเรือเอกจุมพล ในฐานะเจ้าหน้าที่กองทัพเรือระดับสูง ย่อมมีเลือดรักชาติอยู่เต็มเปี่ยม แต่ขอเรียนด้วยความเคารพว่า คนไทยไม่ควรฝากความหวังไว้กับนักการเมืองมากเกินไป รูป 1 ท่านกล่าวว่า ชัดเจนว่าเกาะกูดเป็นของไทย จบตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ห้า มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์บันทึกไว้ชัดเจน ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1907 รูป 2 แสดงขั้นตอนเวลาที่เวียดนาม กัมพูชา และไทยประกาศเขตแดนไหล่ทวีป รูป 3 ท่านกล่าวว่า MOU44 ฉบับนี้จะเป็นกรอบที่ทั้งสองประเทศจะหยิบขึ้นมาเจรจากันต่อว่า เขตแดนทางทะเลของใครควรจะอยู่ตรงไหน รวมถึงเจรจาผลประโยชน์ในเขตพื้นที่พัฒนาร่วมกัน รูป 4 แสดงเขตพื้นที่พัฒนาร่วมกัน Joint Development Area (สีแดง) ส่วนพื้นที่ที่อยู่เหนือเส้นรุ้งที่ 11 องศา (สีน้ำเงิน) เป็นพื้นที่ทำการแบ่งเขต ผมให้ข้อสังเกตแก่ท่านพลเรือเอกจุมพล ในประเด็นจุดแยบยลทางกฎหมาย ดังนี้ **หนึ่ง MOU44 ยอมรับกรอบขอบเขต boundaries พื้นที่สีแดงไปแล้ว ในรูป 5 จะเห็นได้ว่า คำบรรยายพื้นที่สีน้ำเงิน ข้อ 2 (ข) คือเพื่อกำหนดเขตแดนทางทะเลของใครควรจะอยู่ตรงไหน ตามที่ท่านว่า ส่วนคำบรรยายพื้นที่สีแดง ข้อ 2 (ก) คือเพื่อเจรจาผลประโยชน์ ถ้อยคำในรูป 5 ไม่มีข้อใดที่สามารถอ่านได้ว่า สำหรับพื้นที่สีแดงนั้น "เพื่อกำหนดเขตแดนทางทะเลของใครควรจะอยู่ตรงไหน" ในรูป 6 จะเห็นได้ว่า คำบรรยายหน้าที่ของคณะกรรมการร่วมทางเทคนิค พื้นที่สีน้ำเงิน ข้อ 3 (ข) คือเพื่อกำหนดเขตแดนทางทะเลของใครควรจะอยู่ตรงไหน ตามที่ท่านว่า ส่วนคำบรรยายพื้นที่สีแดง ข้อ 3 (ก) คือเพื่อเจรจาผลประโยชน์ล้วนๆ ถ้อยคำในรูป 6 ไม่มีข้อใดที่สามารถอ่านได้ว่า สำหรับพื้นที่สีแดงนั้น "เพื่อกำหนดเขตแดนทางทะเลของใครควรจะอยู่ตรงไหน" สรุปแล้ว ใน MOU44 ทั้งสองประเทศได้กำหนด "พื้นที่พัฒนาร่วม" "Joint Development Area" ขึ้นมา มิใช่ "เพื่อกำหนดเขตแดนทางทะเลของใครควรจะอยู่ตรงไหน" แต่ "เพื่อเจรจาผลประโยชน์" ดังนั้น ใน MOU44 ทั้งสองประเทศจึงพอใจในกรอบขอบเขต boundaries ของพื้นที่พัฒนาร่วมไปแล้ว **สอง กรอบขอบเขตของพื้นที่พัฒนาร่วมที่ยอมรับกันไปแล้วนั้น ไม่ตรงตามสนธิสัญญาฯ ทั้งนี้ กรอบขอบเขต boundaries ของพื้นที่พัฒนาร่วม ด้านทิศตะวันตก ในรูป 7 เส้นสีแดง นั้น เส้นสีแดงดังกล่าว เกิดขึ้นได้ มีสารตั้งต้น มีต้นกำเนิด เกิดจากเส้นแบ่งเขตที่กัมพูชาลากผ่านเกาะกูด ซึ่งขัดกับเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ อธิบายแบบชาวบ้าน ถ้าไม่มีเส้นแบ่งเขตที่กัมพูชาลากผ่านเกาะกูดไปจนถึงตำแหน่ง P เส้นแบ่งเขตทิศเหนือ-ใต้ ย่อมไม่สามารถตั้งต้นจากตำแหน่ง P เกิดขึ้นได้ ดังนั้น เส้นแบ่งเขตทิศเหนือ-ใต้ ที่ตั้งต้นจากตำแหน่ง P จึงไม่ตรงตามจุดเริ่มต้นในสนธิสัญญาฯ และ การที่รัฐบาลไทยไปยอมรับเส้นแบ่งเขตสีแดงดังกล่าว ก็ย่อมแสดงว่า ** ไม่ขัดข้องกับตำแหน่ง P ** ทั้งที่ไม่ตรงตามจุดเริ่มต้นในสนธิสัญญาฯ ** **สาม JDA ตีกรอบขอบเขต boundaries ด้วยเส้นเขตแดน ถ้าดูแผนที่ JDA ไทย-มาเลเซีย จะเห็นได้ว่า ตีกรอบขอบเขต boundaries ด้วยเส้นเขตแดน ที่ทั้งสองประเทศอ้างอนุสัญญาสหประชาชาติฯ แตกต่างกัน โดยไทยถือโขดหิน โลซิน เป็นเกาะ ที่สามารถใช้วางอาณาเขตกินแดนได้ แต่มาเลเซียไม่ถือว่าเป็นเกาะ ต่อมามีการแก้ไขอนุสัญญาสหประชาชาติฯ ไม่ถือโขดหิน โลซิน เป็นเกาะ ที่สามารถใช้วางอาณาเขตกินแดนได้ แต่เนื่องจาก JDA ไทย-มาเลเซียได้เกิดขึ้นลงนามไปก่อนหน้า ไทยจึงได้ประโยชน์ระหว่างที่ JDA มีผลบังคับ แต่กรณีเส้นที่กัมพูชาลากผ่านเกาะกูดนั้น เป็นการลากเส้นโดยอ้างสนธิสัญญาฯ อย่างที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้น บัดนี้เมื่อคนไทยทราบถึงปัญหา จึงย่อมต้องเรียกร้องให้ ยกเลิกการอ้างที่ไม่ถูกต้อง การลากเส้นที่ขัดเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ ออกไปก่อนเริ่มต้นเจรจาแบ่งผลประโยชน์ ทั้งนี้ การเจรจาแบ่งผลประโยชน์ จะสามารถทำได้เร็วถ้าทั้งสองประเทศยึดมั่นในความเป็นธรรม ไม่จำเป็นต้องอาศัยความสัมพันธ์ครอบครัว แต่ถ้ามีวาระซ่อนเร้น ถ้าคนไทยจะเสียเปรียบ ผมก็จะคัดค้านต่อไป ผมจึงขอสรุปว่า ประชาชนคนไทยไม่ควรฝากความหวังไว้กับนักการเมืองที่ไปเจรจาโดยยอมรับสิ่งที่กัมพูชา ดำเนินการไปผิดกับเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ MOU44 ยอมรับพื้นที่พัฒนาร่วมที่กินล้ำทะเลจากตำแหน่ง P ที่ทำให้ไทยเสียประโยชน์ในทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นของประชาชนทุกคน การยอมรับเส้นกรอบขอบเขตของพื้นที่พัฒนาร่วม ที่เริ่มจากตำแหน่ง P อันสืบเนื่องมากจากเส้นที่ผิดเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ ย่อมจะทำให้ไทยเสี่ยงเสียดินแดนได้ในอนาคต ถ้าท่านพลเรือเอกจุมพลไม่เชื่อผม ขอให้ท่านอ่านถ้อยคำใน MOU44 เองได้เลยครับ” วันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ https://youtu.be/PEArT6M-wDE?si=NuuT8XefJDmOCmnO ที่มา https://www.facebook.com/share/p/1EgDTTKTHn/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Love
    1
    0 Comments 1 Shares 437 Views 0 Reviews
  • 'ดร.นิว' แฉความลับกัมพูชาที่คนไทยควรรู้!

    31 ต.ค.2567 - ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ดร.นิว นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “ความลับกัมพูชาที่คนไทยทุกคนควรต้องรู้” ระบุว่า กัมพูชาเป็นเพียงประเทศเดียวในภูมิภาคแทบนี้ ที่ไม่ยอมเข้าร่วมอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 หรือ United Nations Convention on the Law Of the Sea (UNCLOS) อ่านออกเสียงตัวอักษรย่อ UNCLOS ว่า "อันโคลซ" ซึ่งปัจจุบันนับได้ว่าเป็นอนุสัญญาสหประชาชาติสำคัญ เป็นที่ยอมรับในการแบ่งเขตแดนทางทะเลของแต่ละประเทศอันเป็นหลักสากล โปร่งใส และมีความเป็นธรรม สามารถช่วยแก้ไข ตลอดจนระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับการแบ่งเขตแดนทางทะเลระหว่างประเทศได้อย่างสันติ

    เหตุผลประการสำคัญที่กัมพูชาไม่ยอมเข้าร่วม UNCLOS เป็นเพราะทางกัมพูชาทราบดีว่าจะเสียเปรียบในการเจรจาแบ่งเขตแดนทางทะเลกับประเทศเพื่อนบ้าน โดย ดร.วันนาริธ ชเฮียง นักวิชาการชื่อดังชาวกัมพูชาเป็นผู้ยอมรับเอง ยืนยันว่ารัฐบาลกัมพูชากลัวการเข้าร่วมอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล UNCLOS จะทำให้กัมพูชาเสียเปรียบในการเจรจากำหนดเขตแดนทางทะเลกับประเทศเพื่อนบ้าน ดังที่กัมพูชาพยายามอ้างสิทธิ์ตามเส้นเขตแดนที่ลากขึ้นในสมัยที่ยังเป็นรัฐอารักขาของประเทศฝรั่งเศส

    เมื่อทราบความจริงดังนี้ ประเทศไทยของเราจึงไม่ควรเจรจากับกัมพูชาเป็นอย่างยิ่งตราบใดที่กัมพูชายังไม่ยอมเข้าร่วม UNCLOS เพราะไทยจะกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบเสียเองหากยังคงยึดข้อพิพาทเดิมตามแนวทาง MOU 2544 ที่ล้าสมัยไปแล้ว ขนาดรัฐบาลกัมพูชายังไม่ยอมเสียเปรียบไทย ถ้ารัฐบาลไทยยอมเสียเปรียบกัมพูชา ยอมยกผลประโยชน์ของประเทศชาติและปวงชนชาวไทยมูลค่านับล้านล้านบาทให้กับกัมพูชา กล้าเสนอหน้าไปเจรจาโดยที่กัมพูชายังไม่ยอมเข้าร่วม UNCLOS จะเรียกว่า "โง่" หรือ "ขายชาติ" ดีครับ?

    ดังนั้น UNCLOS จึงเป็นหลักสำคัญในการเจรจาระหว่างไทยและกัมพูชา ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนจะจบลงทันที เพราะเส้นเขตแดนทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชาภายใต้ UNCLOS เป็นสากลอยู่แล้ว สิ่งที่เหลือให้ไทยและกัมพูชายังต้องเจรจาตกลงกัน คือ หลุมน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติที่วางตัวอยู่ในแนวเส้นแบ่งเขตแดนทางทะเลของทั้งสองประเทศ นอกจากไทยเราจะไม่เสียเกาะกูดเป็นแน่แล้ว ยังจะสามารถครองพื้นที่ส่วนใหญ่ที่เป็นข้อพิพาท รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติในท้องทะเล ทั้งน้ำมันดิบและก๊าชธรรมชาติส่วนใหญ่จะตกเป็นของไทย
    ขนาดนักวิชาการกัมพูชายังยืนยันชัดเจนว่ารัฐบาลกัมพูชาไม่เข้าร่วม UNCLOS เพราะกลัวเสียเปรียบ พี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนจึงควรตระหนักรู้เกี่ยวกับ UNCLOS เพื่อให้รัฐบาลไทยยื่นข้อเสนอให้กัมพูชาเข้าร่วม UNCLOS เสียก่อนเท่านั้น แล้วจึงค่อยเปิดการเจรจาที่เป็นธรรม!

    ที่มา https://www.thaipost.net/x-cite-news/682589/

    #Thaitimes
    'ดร.นิว' แฉความลับกัมพูชาที่คนไทยควรรู้! 31 ต.ค.2567 - ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ดร.นิว นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “ความลับกัมพูชาที่คนไทยทุกคนควรต้องรู้” ระบุว่า กัมพูชาเป็นเพียงประเทศเดียวในภูมิภาคแทบนี้ ที่ไม่ยอมเข้าร่วมอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 หรือ United Nations Convention on the Law Of the Sea (UNCLOS) อ่านออกเสียงตัวอักษรย่อ UNCLOS ว่า "อันโคลซ" ซึ่งปัจจุบันนับได้ว่าเป็นอนุสัญญาสหประชาชาติสำคัญ เป็นที่ยอมรับในการแบ่งเขตแดนทางทะเลของแต่ละประเทศอันเป็นหลักสากล โปร่งใส และมีความเป็นธรรม สามารถช่วยแก้ไข ตลอดจนระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับการแบ่งเขตแดนทางทะเลระหว่างประเทศได้อย่างสันติ เหตุผลประการสำคัญที่กัมพูชาไม่ยอมเข้าร่วม UNCLOS เป็นเพราะทางกัมพูชาทราบดีว่าจะเสียเปรียบในการเจรจาแบ่งเขตแดนทางทะเลกับประเทศเพื่อนบ้าน โดย ดร.วันนาริธ ชเฮียง นักวิชาการชื่อดังชาวกัมพูชาเป็นผู้ยอมรับเอง ยืนยันว่ารัฐบาลกัมพูชากลัวการเข้าร่วมอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล UNCLOS จะทำให้กัมพูชาเสียเปรียบในการเจรจากำหนดเขตแดนทางทะเลกับประเทศเพื่อนบ้าน ดังที่กัมพูชาพยายามอ้างสิทธิ์ตามเส้นเขตแดนที่ลากขึ้นในสมัยที่ยังเป็นรัฐอารักขาของประเทศฝรั่งเศส เมื่อทราบความจริงดังนี้ ประเทศไทยของเราจึงไม่ควรเจรจากับกัมพูชาเป็นอย่างยิ่งตราบใดที่กัมพูชายังไม่ยอมเข้าร่วม UNCLOS เพราะไทยจะกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบเสียเองหากยังคงยึดข้อพิพาทเดิมตามแนวทาง MOU 2544 ที่ล้าสมัยไปแล้ว ขนาดรัฐบาลกัมพูชายังไม่ยอมเสียเปรียบไทย ถ้ารัฐบาลไทยยอมเสียเปรียบกัมพูชา ยอมยกผลประโยชน์ของประเทศชาติและปวงชนชาวไทยมูลค่านับล้านล้านบาทให้กับกัมพูชา กล้าเสนอหน้าไปเจรจาโดยที่กัมพูชายังไม่ยอมเข้าร่วม UNCLOS จะเรียกว่า "โง่" หรือ "ขายชาติ" ดีครับ? ดังนั้น UNCLOS จึงเป็นหลักสำคัญในการเจรจาระหว่างไทยและกัมพูชา ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนจะจบลงทันที เพราะเส้นเขตแดนทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชาภายใต้ UNCLOS เป็นสากลอยู่แล้ว สิ่งที่เหลือให้ไทยและกัมพูชายังต้องเจรจาตกลงกัน คือ หลุมน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติที่วางตัวอยู่ในแนวเส้นแบ่งเขตแดนทางทะเลของทั้งสองประเทศ นอกจากไทยเราจะไม่เสียเกาะกูดเป็นแน่แล้ว ยังจะสามารถครองพื้นที่ส่วนใหญ่ที่เป็นข้อพิพาท รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติในท้องทะเล ทั้งน้ำมันดิบและก๊าชธรรมชาติส่วนใหญ่จะตกเป็นของไทย ขนาดนักวิชาการกัมพูชายังยืนยันชัดเจนว่ารัฐบาลกัมพูชาไม่เข้าร่วม UNCLOS เพราะกลัวเสียเปรียบ พี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนจึงควรตระหนักรู้เกี่ยวกับ UNCLOS เพื่อให้รัฐบาลไทยยื่นข้อเสนอให้กัมพูชาเข้าร่วม UNCLOS เสียก่อนเท่านั้น แล้วจึงค่อยเปิดการเจรจาที่เป็นธรรม! ที่มา https://www.thaipost.net/x-cite-news/682589/ #Thaitimes
    WWW.THAIPOST.NET
    'ดร.นิว' แฉความลับกัมพูชาที่คนไทยควรรู้!
    ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ดร.นิว นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center
    Like
    3
    0 Comments 3 Shares 401 Views 0 Reviews
  • อินโดฯ:ไม่มีการลงทุน ก็ไม่ต้องมี iPhone16

    ชัดเจนแล้วว่าทางการอินโดนีเซียไม่ให้บริษัทแอปเปิ้ล (Apple Inc.) ของสหรัฐอเมริกา จำหน่ายโทรศัพท์มือถือไอโฟน 16 (iPhone 16) ในประเทศ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมอินโดนีเซีย แถลงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (25 ต.ค.) หลังบริษัทท้องถิ่น พีที แอปเปิ้ล อินโดนีเซีย (PT Apple Indonesia) ไม่ปฎิบัติตามข้อกำหนดการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ (Local Content) ให้ได้ 40% แต่ผลิตภัณฑ์รุ่นเก่าของแอปเปิ้ลยังคงจำหน่ายในอินโดนีเซียได้

    ทั้งนี้ มีโทรศัพท์มือถือไอโฟน 16 นำเข้ามาในประเทศอินโดนีเซียแล้ว 9,000 เครื่อง ผ่านการซื้อจากต่างประเทศของผู้โดยสาร และลูกเรือบนเครื่องบิน หรือการส่งพัสดุระหว่างประเทศ แต่ได้รับอนุญาตให้ใช้งานส่วนบุคคล (Personal Use) เท่านั้น ไม่สามารถซื้อขายแก่ผู้อื่นได้ และตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ทางการอินโดนีเซียได้กำหนดให้โทรศัพท์มือถือทุกรุ่นที่ซื้อจากต่างประเทศต้องลงทะเบียนกับรัฐบาล และเสียภาษีในอัตราที่สูง

    กรณีนี้กลายเป็นอุปสรรคที่ทำให้แอปเปิ้ล ไม่สามารถเจาะตลาดสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ แก่ประเทศอินโดนีเซีย ที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีโทรศัพท์มือถือที่ใช้งานอยู่ประมาณ 350 ล้านเครื่อง มากกว่าจำนวนประชากรราว 270 ล้านคน ทั้งที่แอปเปิ้ลเปิดตัวผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุด วางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 2567 เป็นต้นมา ซึ่งในภูมิภาคอาเซียนวางจำหน่ายแล้วที่ สิงคโปร์ ไทย มาเลเซีย เวียดนาม บรูไน ฟิลิปปินส์

    ตามข้อบังคับของกระทรวงอุตสาหกรรมอินโดนีเซีย ปี 2017 กำหนดให้ผู้ประกอบการจะต้องขอใบรับรองผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายในประเทศ เรียกว่า TKDN (Tingkat Komponen Domestik Negeri) หนึ่งในนั้นคือการกำหนด Local Content ในรูปแบบการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ การผลิตและการจ้างแรงงานในประเทศ การพัฒนาแอปพลิเคชัน หรือนวัตกรรมในประเทศ ที่ผ่านมาแอปเปิ้ลเลือกใช้โครงการพัฒนานวัตกรรม ก่อตั้งสถาบัน Apple Academies ที่เมืองทังเกอรัง เมืองซิโดอาร์โจ และเมืองบาตัม

    ปัญหาก็คือ เม็ดเงินลงทุนของแอปเปิ้ลในอินโดนีเซียอยู่ที่ 1.48 ล้านล้านรูเปียห์ ต่ำกว่ายอดการลงทุนทั้งหมดที่กำหนดไว้ 1.71 ล้านล้านรูเปียห์ ทำให้อินโดนีเซียขาดดุลทางการค้าคิดเป็นเงินไทยเกือบ 500 ล้านบาท แม้มองผิวเผินดูเหมือนว่าเป็นการกีดกันทางการค้า จำกัดเสรีภาพในการเลือกซื้อโทรศัพท์มือถือ แต่อีกมุมหนึ่ง ถือเป็นการรักษาผลประโยชน์ของชาติ ไม่ให้เกิดการขาดดุลทางการค้า ซึ่งที่ผ่านมา ซัมซุงและเสียวมี่ เลือกที่จะตั้งโรงงานในอินโดนีเซียเช่นกัน

    #Newskit #iPhone16 #Indonesia
    อินโดฯ:ไม่มีการลงทุน ก็ไม่ต้องมี iPhone16 ชัดเจนแล้วว่าทางการอินโดนีเซียไม่ให้บริษัทแอปเปิ้ล (Apple Inc.) ของสหรัฐอเมริกา จำหน่ายโทรศัพท์มือถือไอโฟน 16 (iPhone 16) ในประเทศ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมอินโดนีเซีย แถลงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (25 ต.ค.) หลังบริษัทท้องถิ่น พีที แอปเปิ้ล อินโดนีเซีย (PT Apple Indonesia) ไม่ปฎิบัติตามข้อกำหนดการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ (Local Content) ให้ได้ 40% แต่ผลิตภัณฑ์รุ่นเก่าของแอปเปิ้ลยังคงจำหน่ายในอินโดนีเซียได้ ทั้งนี้ มีโทรศัพท์มือถือไอโฟน 16 นำเข้ามาในประเทศอินโดนีเซียแล้ว 9,000 เครื่อง ผ่านการซื้อจากต่างประเทศของผู้โดยสาร และลูกเรือบนเครื่องบิน หรือการส่งพัสดุระหว่างประเทศ แต่ได้รับอนุญาตให้ใช้งานส่วนบุคคล (Personal Use) เท่านั้น ไม่สามารถซื้อขายแก่ผู้อื่นได้ และตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ทางการอินโดนีเซียได้กำหนดให้โทรศัพท์มือถือทุกรุ่นที่ซื้อจากต่างประเทศต้องลงทะเบียนกับรัฐบาล และเสียภาษีในอัตราที่สูง กรณีนี้กลายเป็นอุปสรรคที่ทำให้แอปเปิ้ล ไม่สามารถเจาะตลาดสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ แก่ประเทศอินโดนีเซีย ที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีโทรศัพท์มือถือที่ใช้งานอยู่ประมาณ 350 ล้านเครื่อง มากกว่าจำนวนประชากรราว 270 ล้านคน ทั้งที่แอปเปิ้ลเปิดตัวผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุด วางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 2567 เป็นต้นมา ซึ่งในภูมิภาคอาเซียนวางจำหน่ายแล้วที่ สิงคโปร์ ไทย มาเลเซีย เวียดนาม บรูไน ฟิลิปปินส์ ตามข้อบังคับของกระทรวงอุตสาหกรรมอินโดนีเซีย ปี 2017 กำหนดให้ผู้ประกอบการจะต้องขอใบรับรองผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายในประเทศ เรียกว่า TKDN (Tingkat Komponen Domestik Negeri) หนึ่งในนั้นคือการกำหนด Local Content ในรูปแบบการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ การผลิตและการจ้างแรงงานในประเทศ การพัฒนาแอปพลิเคชัน หรือนวัตกรรมในประเทศ ที่ผ่านมาแอปเปิ้ลเลือกใช้โครงการพัฒนานวัตกรรม ก่อตั้งสถาบัน Apple Academies ที่เมืองทังเกอรัง เมืองซิโดอาร์โจ และเมืองบาตัม ปัญหาก็คือ เม็ดเงินลงทุนของแอปเปิ้ลในอินโดนีเซียอยู่ที่ 1.48 ล้านล้านรูเปียห์ ต่ำกว่ายอดการลงทุนทั้งหมดที่กำหนดไว้ 1.71 ล้านล้านรูเปียห์ ทำให้อินโดนีเซียขาดดุลทางการค้าคิดเป็นเงินไทยเกือบ 500 ล้านบาท แม้มองผิวเผินดูเหมือนว่าเป็นการกีดกันทางการค้า จำกัดเสรีภาพในการเลือกซื้อโทรศัพท์มือถือ แต่อีกมุมหนึ่ง ถือเป็นการรักษาผลประโยชน์ของชาติ ไม่ให้เกิดการขาดดุลทางการค้า ซึ่งที่ผ่านมา ซัมซุงและเสียวมี่ เลือกที่จะตั้งโรงงานในอินโดนีเซียเช่นกัน #Newskit #iPhone16 #Indonesia
    Like
    6
    0 Comments 2 Shares 399 Views 0 Reviews
  • ซาคาโรวา โฆษกกระทรวงต่างประเทศรัสเซียเตือนสติปธน.จอร์เจีย หลังจากเธอออกมาบอกว่าจะไม่รัฐรองผลการเลือกตั้งสมาชิกรับสภาในจอร์เจียหลังการเลือกตั้งเพิ่งเสร็จสิ้น

    ซาคาโรวา ระบุว่า เป็นเรื่องโง่เขลา หากยังเชื่อว่าสหภาพยุโรปสามารถมอบอนาคตที่ดีในยุโรปให้กับใครบางคนได้

    “วอชิงตันเพิ่งพรากอนาคตของยุโรปไปจากสหภาพยุโรป ตอนนี้ยุโรปขาดแหล่งทรัพยากรที่มั่นคง ทำให้เศรษฐกิจพังทลาย
    ก่อนหน้านี้ พวกประเทศของพวกเขา(ยุโรป)เต็มไปด้วยจำนวนผู้อพยพผิดกฎหมายที่หลั่งไหลเข้ามาจำนวนนับล้านคน เนื่องจากต้องทำตามคำสั่งของอเมริกาให้เปิดรับและดูแลผู้อพยพ ซึ่งเป็นผลมาจากการกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบของอเมริกาในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ”

    “การพรากอนาคตไปจากมือ มันก็คือการพรากอิสรภาพและผลประโยชน์ของชาติตนเองออกไป และตราบใดที่ประเทศและประชาชนสามารถคิดเองและไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้อุปถัมภ์จากวอชิงตัน พวกเขาจะยังมีอนาคต”
    ซาคาโรวา โฆษกกระทรวงต่างประเทศรัสเซียเตือนสติปธน.จอร์เจีย หลังจากเธอออกมาบอกว่าจะไม่รัฐรองผลการเลือกตั้งสมาชิกรับสภาในจอร์เจียหลังการเลือกตั้งเพิ่งเสร็จสิ้น ซาคาโรวา ระบุว่า เป็นเรื่องโง่เขลา หากยังเชื่อว่าสหภาพยุโรปสามารถมอบอนาคตที่ดีในยุโรปให้กับใครบางคนได้ “วอชิงตันเพิ่งพรากอนาคตของยุโรปไปจากสหภาพยุโรป ตอนนี้ยุโรปขาดแหล่งทรัพยากรที่มั่นคง ทำให้เศรษฐกิจพังทลาย ก่อนหน้านี้ พวกประเทศของพวกเขา(ยุโรป)เต็มไปด้วยจำนวนผู้อพยพผิดกฎหมายที่หลั่งไหลเข้ามาจำนวนนับล้านคน เนื่องจากต้องทำตามคำสั่งของอเมริกาให้เปิดรับและดูแลผู้อพยพ ซึ่งเป็นผลมาจากการกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบของอเมริกาในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ” “การพรากอนาคตไปจากมือ มันก็คือการพรากอิสรภาพและผลประโยชน์ของชาติตนเองออกไป และตราบใดที่ประเทศและประชาชนสามารถคิดเองและไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้อุปถัมภ์จากวอชิงตัน พวกเขาจะยังมีอนาคต”
    0 Comments 0 Shares 23 Views 0 Reviews
  • ผู้นำสูงสุดอิหร่านเผยท่าที กำลังชั่งใจวิธีดีที่สุดในการตอบโต้ “ความชั่วร้าย” ที่อิสราเอลก่อขึ้น เพื่อให้รัฐยิวรับรู้ถึงแสนยานุภาพของประเทศ ขณะอิสราเอลขู่เตหะรานให้เลิกคิดแก้แค้น ส่วนฝ่ายตะวันตกนำโดยสหรัฐฯก็สำทับเรียกร้องอิหร่านอย่าทำให้สถานการณ์บานปลาย
    .
    กองทัพอิสราเอลแถลงยืนยันว่า ได้ส่งเครื่องบินรบเข้าโจมตีโรงงานผลิตขีปนาวุธและที่ตั้งทางทหารในหลายจังหวัดของอิหร่านรวม 3 ระลอกเมื่อเช้ามืดวันเสาร์ (26) ซึ่งภารกิจการโจมตีตอบโต้สำเร็จด้วยดี พร้อมกันนั้นก็เตือนอิหร่านไม่ให้ตอบโต้กลับ
    .
    กองทัพอิสราเอลยังประกาศว่า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อจำกัดด้านความปลอดภัยสาธารณะทั่วประเทศ บ่งชี้ว่า อิสราเอลไม่คิดว่า อิหร่านจะตอบโต้กลับในทันที
    .
    เจ้าหน้าที่กลาโหมอิสราเอลคนหนึ่งบอกกับพวกผู้สื่อข่าวว่า อเมริกาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับภารกิจนี้ แต่ในเวลาต่อมา ประธานาธิบดีไอแซก เฮอร์ซ็อก ของอิสราเอล กลับกล่าวขอบคุณอเมริกาที่เป็นพันธมิตรที่แท้จริง รวมทั้งขอบคุณสำหรับความร่วมมือทั้งที่เปิดเผยและแบบลับๆ
    .
    ด้าน ฌอน ซาเวตต์ โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ กล่าวว่า การตอบโต้ของอิสราเอลเป็นการป้องกันตนเอง และเรียกร้องให้อิหร่านยุติการโจมตีอิสราเอลเพื่อให้วงจรการต่อสู้นี้ยุติลงโดยไม่ทำให้สถานการณ์ลุกลาม
    .
    เช่นเดียวกับ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่แสดงความหวังว่า “ถึงตอนจบได้แล้ว” พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ดูเหมือนการโจมตีของอิสราเอลจำกัดเฉพาะเป้าหมายทางทหารเท่านั้น โดยก่อนหน้านี้ผู้นำสหรัฐฯระบุว่า ได้ขอให้อิสราเอลงดโจมตีเป้าหมายด้านนิวเคลียร์และด้านพลังงาน ในการตอบโต้ที่อิหร่านยิงขีปนาวุธราว 200 ลูกโจมตีใส่อิสราเอลเมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา
    .
    ทว่า นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ยังคงแถลงกร้าวว่า อิสราเอลเลือกเป้าหมายโจมตีโดยอิงกับผลประโยชน์ของประเทศ ไม่ได้ทำตามที่อเมริกาชี้นำ
    .
    รัฐมนตรีกลาโหม ลอยด์ ออสติน เป็นเจ้าหน้าที่สหรัฐฯอีกคนหนึ่ง ซึ่งออกมาแถลงว่า อิหร่านไม่ควรทำผิดพลาดด้วยการตอบโต้อิสราเอล และย้ำว่าระหว่างที่เขาหารือกับโยอาฟ กัลแลนต์ รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล มีการพูดกันถึงโอกาสทางการทูตในการผ่อนคลายสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง ซึ่งรวมถึงในกาซาและเลบานอน
    .
    สำหรับสหภาพยุโรป และรัสเซีย ต่างออกมาเรียกร้องให้ทุกฝ่ายอดกลั้นถึงที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้สถานการณ์บานปลายจนเกินการควบคุม ขณะที่หลายประเทศ ที่รวมถึงเพื่อนบ้านของอิหร่าน ได้แถลงประณามอิสราเอล
    .
    ต่อมาในวันอาทิตย์ (27) สำนักข่าวไออาร์เอ็นเอของทางการอิหร่านรายงานว่า อยาตอลเลาะห์ อาลี คอเมเนอี ผู้นำสูงสุดของประเทศ ประกาศว่า เตหะรานควรพิจารณาวิธีที่ดีที่สุดเพื่อให้อิสราเอลรับรู้ถึงแสนยานุภาพของอิหร่าน และต้องคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของประชาชนและประเทศชาติ ก่อนสำทับว่า ความชั่วร้ายที่อิสราเอลก่อขึ้นจากการโจมตีใส่อิหร่านเมื่อคืนวันศุกร์ต่อกับก่อนรุ่งสางวันเสาร์ ต้องไม่ถูกทำให้ดูเป็นเหตุการณ์ที่ไม่สำคัญ และก็ไม่ขยายความให้ใหญ่เกินจริง
    .
    ทั้งนี้ ตั้งแต่วันเสาร์ อิหร่านประณามการกระทำของอิสราเอล โดยกระทรวงต่างประเทศแถลงว่า อิหร่านมีสิทธิ์และหน้าที่ในการปกป้องตนเอง แต่ขณะเดียวกันก็ตระหนักถึงความรับผิดชอบที่มีต่อสันติภาพและความมั่นคงของภูมิภาค
    .
    ทางด้านกองทัพอิหร่านระบุว่า เครื่องบินรบของอิสราเอลใช้หัวรบขนาดเล็กมากเพื่อโจมตีระบบเรดาร์ใน 2 จังหวัดและรอบเตหะราน ซึ่งสร้างความเสียหายเพียงจำกัด แต่มีทหารเสียชีวิต 4 นาย
    .
    อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ในภูมิภาค 2 คนที่ได้รับการบรรยายสรุปสถานการณ์จากอิหร่านเผยว่า เตหะรานได้จัดประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงเพื่อพิจารณาขอบเขตการตอบโต้ ซึ่งเจ้าหน้าที่คนหนึ่งระบุว่า ความเสียหายเล็กน้อยมาก แต่สำทับว่า ฐานที่มั่นของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติหลายแห่งในและรอบเตหะรานถูกโจมตีด้วย
    .
    กระนั้น ในอีกด้านหนึ่ง เดวิด อัลไบรต์ อดีตเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอาวุธนิวเคลียร์ของสหประชาชาติ เปิดเผยกับรอยเตอร์ว่า ภาพจากดาวเทียมพาณิชย์ที่มีความละเอียดต่ำของพลาเน็ต แลบส์ แสดงให้เห็นว่า จุดหนึ่งที่ตกเป็นเป้าหมายการโจมตีของอิสราเอลคราวล่าสุดนี้ คือนิคมอุตสาหกรรมทหารพาร์ชิน ใกล้เตหะราน ซึ่งทำให้อาคาร 3 แห่งเสียหาย และ 2 แห่งในจำนวนนั้นเป็นสถานที่ผสมเชื้อเพลิงแข็ง ใช้กับพวกขีปนาวุธทิ้งตัว
    .
    รอยเตอร์รายงานว่า ยังมี เดคเกอร์ เอเวเลธ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์ของซีเอ็นเอ ซึ่งเป็นกลุ่มคลังสมองในวอชิงตัน ที่วิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมของพลาเน็ต แลบส์เช่นเดียวกัน ได้ระบุว่า อิสราเอลยังโจมตีโคจีร์ ที่เป็นสถานที่ผลิตขีปนาวุธใกล้เตหะราน ซึ่งอาจบ่อนทำลายความสามารถของอิหร่านในการผลิตขีปนาวุธเป็นจำนวนมาก รวมทั้งความสามารถในการโจมตีด้วยขีปนาวุธเพื่อเจาะระบบป้องกันขีปนาวุธของอิสราเอล
    .
    สำหรับสถานการณ์ในแนวรบอื่นๆ กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธในเลบานอนที่ได้รับการสนับสนุนจากเตหะราน เผยว่า ในวันเสาร์ได้ยิงจรวดโจมตีเขตที่พักอาศัย 5 แห่งทางตอนเหนือของอิสราเอล ขณะที่กองทัพอิสราเอลยืนยันว่า มีจรวด 80 ลูกยิงข้ามแดนไปจริงในวันดังกล่าว
    .
    นอกจากนั้นฮิซบอลเลาะห์ยังประกาศให้ชาวอิสราเอลในพื้นที่กว่า 20 แห่งอพยพ ขณะที่กองทัพอิสราเอลเระบุว่า ได้โจมตีที่ตั้งของฮิซบอลเลาะห์ในย่านดานิเยห์ ทางใต้ของกรุงเบรุต ซึ่งรวมถึงสถานที่ผลิตอาวุธและศูนย์บัญชาการข่าวกรอง
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000103586
    ..............
    Sondhi X
    ผู้นำสูงสุดอิหร่านเผยท่าที กำลังชั่งใจวิธีดีที่สุดในการตอบโต้ “ความชั่วร้าย” ที่อิสราเอลก่อขึ้น เพื่อให้รัฐยิวรับรู้ถึงแสนยานุภาพของประเทศ ขณะอิสราเอลขู่เตหะรานให้เลิกคิดแก้แค้น ส่วนฝ่ายตะวันตกนำโดยสหรัฐฯก็สำทับเรียกร้องอิหร่านอย่าทำให้สถานการณ์บานปลาย . กองทัพอิสราเอลแถลงยืนยันว่า ได้ส่งเครื่องบินรบเข้าโจมตีโรงงานผลิตขีปนาวุธและที่ตั้งทางทหารในหลายจังหวัดของอิหร่านรวม 3 ระลอกเมื่อเช้ามืดวันเสาร์ (26) ซึ่งภารกิจการโจมตีตอบโต้สำเร็จด้วยดี พร้อมกันนั้นก็เตือนอิหร่านไม่ให้ตอบโต้กลับ . กองทัพอิสราเอลยังประกาศว่า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อจำกัดด้านความปลอดภัยสาธารณะทั่วประเทศ บ่งชี้ว่า อิสราเอลไม่คิดว่า อิหร่านจะตอบโต้กลับในทันที . เจ้าหน้าที่กลาโหมอิสราเอลคนหนึ่งบอกกับพวกผู้สื่อข่าวว่า อเมริกาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับภารกิจนี้ แต่ในเวลาต่อมา ประธานาธิบดีไอแซก เฮอร์ซ็อก ของอิสราเอล กลับกล่าวขอบคุณอเมริกาที่เป็นพันธมิตรที่แท้จริง รวมทั้งขอบคุณสำหรับความร่วมมือทั้งที่เปิดเผยและแบบลับๆ . ด้าน ฌอน ซาเวตต์ โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ กล่าวว่า การตอบโต้ของอิสราเอลเป็นการป้องกันตนเอง และเรียกร้องให้อิหร่านยุติการโจมตีอิสราเอลเพื่อให้วงจรการต่อสู้นี้ยุติลงโดยไม่ทำให้สถานการณ์ลุกลาม . เช่นเดียวกับ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่แสดงความหวังว่า “ถึงตอนจบได้แล้ว” พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ดูเหมือนการโจมตีของอิสราเอลจำกัดเฉพาะเป้าหมายทางทหารเท่านั้น โดยก่อนหน้านี้ผู้นำสหรัฐฯระบุว่า ได้ขอให้อิสราเอลงดโจมตีเป้าหมายด้านนิวเคลียร์และด้านพลังงาน ในการตอบโต้ที่อิหร่านยิงขีปนาวุธราว 200 ลูกโจมตีใส่อิสราเอลเมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา . ทว่า นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ยังคงแถลงกร้าวว่า อิสราเอลเลือกเป้าหมายโจมตีโดยอิงกับผลประโยชน์ของประเทศ ไม่ได้ทำตามที่อเมริกาชี้นำ . รัฐมนตรีกลาโหม ลอยด์ ออสติน เป็นเจ้าหน้าที่สหรัฐฯอีกคนหนึ่ง ซึ่งออกมาแถลงว่า อิหร่านไม่ควรทำผิดพลาดด้วยการตอบโต้อิสราเอล และย้ำว่าระหว่างที่เขาหารือกับโยอาฟ กัลแลนต์ รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล มีการพูดกันถึงโอกาสทางการทูตในการผ่อนคลายสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง ซึ่งรวมถึงในกาซาและเลบานอน . สำหรับสหภาพยุโรป และรัสเซีย ต่างออกมาเรียกร้องให้ทุกฝ่ายอดกลั้นถึงที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้สถานการณ์บานปลายจนเกินการควบคุม ขณะที่หลายประเทศ ที่รวมถึงเพื่อนบ้านของอิหร่าน ได้แถลงประณามอิสราเอล . ต่อมาในวันอาทิตย์ (27) สำนักข่าวไออาร์เอ็นเอของทางการอิหร่านรายงานว่า อยาตอลเลาะห์ อาลี คอเมเนอี ผู้นำสูงสุดของประเทศ ประกาศว่า เตหะรานควรพิจารณาวิธีที่ดีที่สุดเพื่อให้อิสราเอลรับรู้ถึงแสนยานุภาพของอิหร่าน และต้องคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของประชาชนและประเทศชาติ ก่อนสำทับว่า ความชั่วร้ายที่อิสราเอลก่อขึ้นจากการโจมตีใส่อิหร่านเมื่อคืนวันศุกร์ต่อกับก่อนรุ่งสางวันเสาร์ ต้องไม่ถูกทำให้ดูเป็นเหตุการณ์ที่ไม่สำคัญ และก็ไม่ขยายความให้ใหญ่เกินจริง . ทั้งนี้ ตั้งแต่วันเสาร์ อิหร่านประณามการกระทำของอิสราเอล โดยกระทรวงต่างประเทศแถลงว่า อิหร่านมีสิทธิ์และหน้าที่ในการปกป้องตนเอง แต่ขณะเดียวกันก็ตระหนักถึงความรับผิดชอบที่มีต่อสันติภาพและความมั่นคงของภูมิภาค . ทางด้านกองทัพอิหร่านระบุว่า เครื่องบินรบของอิสราเอลใช้หัวรบขนาดเล็กมากเพื่อโจมตีระบบเรดาร์ใน 2 จังหวัดและรอบเตหะราน ซึ่งสร้างความเสียหายเพียงจำกัด แต่มีทหารเสียชีวิต 4 นาย . อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ในภูมิภาค 2 คนที่ได้รับการบรรยายสรุปสถานการณ์จากอิหร่านเผยว่า เตหะรานได้จัดประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงเพื่อพิจารณาขอบเขตการตอบโต้ ซึ่งเจ้าหน้าที่คนหนึ่งระบุว่า ความเสียหายเล็กน้อยมาก แต่สำทับว่า ฐานที่มั่นของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติหลายแห่งในและรอบเตหะรานถูกโจมตีด้วย . กระนั้น ในอีกด้านหนึ่ง เดวิด อัลไบรต์ อดีตเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอาวุธนิวเคลียร์ของสหประชาชาติ เปิดเผยกับรอยเตอร์ว่า ภาพจากดาวเทียมพาณิชย์ที่มีความละเอียดต่ำของพลาเน็ต แลบส์ แสดงให้เห็นว่า จุดหนึ่งที่ตกเป็นเป้าหมายการโจมตีของอิสราเอลคราวล่าสุดนี้ คือนิคมอุตสาหกรรมทหารพาร์ชิน ใกล้เตหะราน ซึ่งทำให้อาคาร 3 แห่งเสียหาย และ 2 แห่งในจำนวนนั้นเป็นสถานที่ผสมเชื้อเพลิงแข็ง ใช้กับพวกขีปนาวุธทิ้งตัว . รอยเตอร์รายงานว่า ยังมี เดคเกอร์ เอเวเลธ ผู้ช่วยนักวิเคราะห์ของซีเอ็นเอ ซึ่งเป็นกลุ่มคลังสมองในวอชิงตัน ที่วิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมของพลาเน็ต แลบส์เช่นเดียวกัน ได้ระบุว่า อิสราเอลยังโจมตีโคจีร์ ที่เป็นสถานที่ผลิตขีปนาวุธใกล้เตหะราน ซึ่งอาจบ่อนทำลายความสามารถของอิหร่านในการผลิตขีปนาวุธเป็นจำนวนมาก รวมทั้งความสามารถในการโจมตีด้วยขีปนาวุธเพื่อเจาะระบบป้องกันขีปนาวุธของอิสราเอล . สำหรับสถานการณ์ในแนวรบอื่นๆ กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธในเลบานอนที่ได้รับการสนับสนุนจากเตหะราน เผยว่า ในวันเสาร์ได้ยิงจรวดโจมตีเขตที่พักอาศัย 5 แห่งทางตอนเหนือของอิสราเอล ขณะที่กองทัพอิสราเอลยืนยันว่า มีจรวด 80 ลูกยิงข้ามแดนไปจริงในวันดังกล่าว . นอกจากนั้นฮิซบอลเลาะห์ยังประกาศให้ชาวอิสราเอลในพื้นที่กว่า 20 แห่งอพยพ ขณะที่กองทัพอิสราเอลเระบุว่า ได้โจมตีที่ตั้งของฮิซบอลเลาะห์ในย่านดานิเยห์ ทางใต้ของกรุงเบรุต ซึ่งรวมถึงสถานที่ผลิตอาวุธและศูนย์บัญชาการข่าวกรอง . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000103586 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    8
    0 Comments 0 Shares 1322 Views 0 Reviews
  • #ประโยชน์ของ รัฐธรรมนูญ ปี 2560#อีกช่องทางส่งคำร้องหากอัยการสูงสุดไม่รับ

    https://youtu.be/h3USkzZdVoA?si=rfBsRIAr8sm5aeUW
    #ประโยชน์ของ รัฐธรรมนูญ ปี 2560#อีกช่องทางส่งคำร้องหากอัยการสูงสุดไม่รับ https://youtu.be/h3USkzZdVoA?si=rfBsRIAr8sm5aeUW
    0 Comments 0 Shares 8 Views 0 Reviews
  • การส่งต่อ “เจตจำนงของประชาชน” ไปสู่นโยบายการบริหารประเทศ โดยยึดประโยชน์ของประชาชน เป็นสำคัญ คือ
    “ระบอบประชาธิปไตย”
    …แต่…
    การส่งต่อ “เจตจำนงของกลุ่มทุน” ไปสู่นโยบายการบริหารประเทศ โดยยึดประโยชน์ของกลุ่มก้อนทางการเมืองและเครือข่าย เป็นสำคัญ คือ
    “ระบอบประชาชิบบรรลัย”
    การส่งต่อ “เจตจำนงของประชาชน” ไปสู่นโยบายการบริหารประเทศ โดยยึดประโยชน์ของประชาชน เป็นสำคัญ คือ “ระบอบประชาธิปไตย” …แต่… การส่งต่อ “เจตจำนงของกลุ่มทุน” ไปสู่นโยบายการบริหารประเทศ โดยยึดประโยชน์ของกลุ่มก้อนทางการเมืองและเครือข่าย เป็นสำคัญ คือ “ระบอบประชาชิบบรรลัย”
    0 Comments 0 Shares 31 Views 0 Reviews
  • ”กฎหมายบัญญัติขึ้นโดยชนชั้นใด ก็เพื่อประโยชน์ของชนชั้นนั้น“

    ”WHO states law, WHOM stated for“
    ”กฎหมายบัญญัติขึ้นโดยชนชั้นใด ก็เพื่อประโยชน์ของชนชั้นนั้น“ ”WHO states law, WHOM stated for“
    0 Comments 0 Shares 29 Views 0 Reviews
  • 🇹🇷🇺🇸 ประธานาธิบดีตุรกี เออร์โดกัน กล่าวว่า "สหรัฐฯใช้กลุ่มก่อการร้ายในภูมิภาคเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง และเพื่อความปลอดภัยของอิสราเอล"
    .
    JUST IN: 🇹🇷🇺🇸 Turkish President Erdoğan says the "United States uses terrorist organizations in the region for its own interests and for the security of Israel."
    .
    1:07 AM · Oct 27, 2024 · 243.5K Views
    https://x.com/BRICSinfo/status/1850237840359412003
    🇹🇷🇺🇸 ประธานาธิบดีตุรกี เออร์โดกัน กล่าวว่า "สหรัฐฯใช้กลุ่มก่อการร้ายในภูมิภาคเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง และเพื่อความปลอดภัยของอิสราเอล" . JUST IN: 🇹🇷🇺🇸 Turkish President Erdoğan says the "United States uses terrorist organizations in the region for its own interests and for the security of Israel." . 1:07 AM · Oct 27, 2024 · 243.5K Views https://x.com/BRICSinfo/status/1850237840359412003
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 20 Views 0 Reviews
  • “หม่อมกร” ชี้พื้นที่ทับซ้อนไทย-มาเลเซีย และไทย-เวียดนาม เกิดขึ้นจากทุกประเทศปฏิบัติตามกฎหมายสากลโดยสุจริตใจ และมีพื้นที่ทับซ้อนไม่มากนัก แต่กรณีไทย-กัมพูชาเกิดขึ้นโดยไทยปฏิบัติตามกฎหมายสากลฝ่ายเดียว แต่ฝ่ายกัมพูชาลากเส้นโดยไม่มีกฎหมายใดรับรอง ส่งผลกระทบต่อสิทธิประโยชน์ของไทยเกินสมควร เหตุใดรัฐบาลในปี 2544 ไม่ให้กัมพูชาลากเส้นใหม่ตามกฎหมายสากลระหว่างประเทศ ก่อนลงนาม MOU44

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000103306

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    “หม่อมกร” ชี้พื้นที่ทับซ้อนไทย-มาเลเซีย และไทย-เวียดนาม เกิดขึ้นจากทุกประเทศปฏิบัติตามกฎหมายสากลโดยสุจริตใจ และมีพื้นที่ทับซ้อนไม่มากนัก แต่กรณีไทย-กัมพูชาเกิดขึ้นโดยไทยปฏิบัติตามกฎหมายสากลฝ่ายเดียว แต่ฝ่ายกัมพูชาลากเส้นโดยไม่มีกฎหมายใดรับรอง ส่งผลกระทบต่อสิทธิประโยชน์ของไทยเกินสมควร เหตุใดรัฐบาลในปี 2544 ไม่ให้กัมพูชาลากเส้นใหม่ตามกฎหมายสากลระหว่างประเทศ ก่อนลงนาม MOU44 อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000103306 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Love
    Sad
    Haha
    56
    1 Comments 5 Shares 3008 Views 4 Reviews
  • ปฏิญญาคาซาน BRICS2024 มีอะไรอยู่ในคำประกาศคาซานของการประชุมสุดยอดกลุ่ม BRICS

    BRICS ได้รับรองคำประกาศปฏิญญาขั้นสุดท้ายของการประชุมสุดยอดBRICS Plus Summit 2024 ครั้งที่ 16 ที่เมืองคาซาน ประเทศรัสเซีย และมีแผนที่จะยื่นเอกสารปฏิญญาดังกล่าวต่อสหประชาชาติ โดยมีเนื้อหาดังนี้:

    1 .ความจำเป็นในการปฏิรูปสถาบันระดับโลก:

    - สถาบันในระบบการเงินระหว่างประเทศของเบรตตันวูดส์ รวมทั้งองค์กรการค้าโลก ควรได้รับการปฏิรูปเพื่อให้สามารถเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของประเทศกำลังพัฒนาได้ดีขึ้น

    - BRICS คัดค้านมาตรการ“ฝ่ายเดียว”ห้ามเลือกปฏิบัติ และคุ้มครองทางการค้าที่ดำเนินการภายใต้ข้ออ้างในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ซึ่งรวมถึงกลไกการปรับการปล่อยคาร์บอนและภาษี

    2.BRICS สนับสนุนการปฏิรูปสหประชาชาติอย่างครอบคลุม รวมถึงคณะมนตรีความมั่นคง เพื่อให้เป็นตัวแทนประชาคมโลกมากขึ้น และระบุถึงความสำคัญขององค์การนี้ในระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่างๆ

    3.โครงการริเริ่มใหม่:

    - สมาชิก BRICS ตระหนักถึงศักยภาพของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเชื่อมช่องว่างทางดิจิทัลระหว่างประเทศต่างๆ เพื่อช่วยพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม

    -BRICS ตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงธนาคารพัฒนาใหม่ NDB ให้สามารถตอบสนองความต้องการของศตวรรษที่ 21

    -BRICS สนับสนุนการจัดทำแพลตฟอร์มเทคโนโลยีใหม่เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อการพัฒนา รวมถึงการสร้างผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีขั้นสูงโดยใช้ศักยภาพทางเทคโนโลยีในประเทศเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตที่ “ยั่งยืนและครอบคลุม”

    องค์กรBRICS ตกลงที่จะสำรวจการสร้างโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินและการฝากเงินข้ามพรมแดนแบบอิสระที่เรียกว่า BRICS Clear

    - BRICS พร้อมที่จะเสริมสร้างความร่วมมือในการพัฒนายารักษาโรค รวมถึงวัคซีนและโครงการเวชศาสตร์นิวเคลียร์

    - BRICS ยินดีต้อนรับการสร้างแพลตฟอร์มการขนส่งและโลจิสติกส์ที่เป็นหนึ่งเดียว
    คำประกาศดังกล่าวสนับสนุนข้อเสนอของรัสเซียในการสร้างตลาดแลกเปลี่ยนธัญพืชเพื่อ "ส่งเสริมการค้าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและปุ๋ยตามกฎเกณฑ์ และลดการหยุดชะงักให้เหลือน้อยที่สุด"

    4.การขยายความร่วมมือ:

    - คำประกาศดังกล่าวยินดีกับการขยายการใช้สกุลเงินประจำชาติในการทำธุรกรรมระหว่างสมาชิก BRICS และพันธมิตรทางการค้า

    -เอกสารปฏิญญาดังกล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการขยายความร่วมมือบนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน และการสร้างความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ให้มากยิ่งขึ้นระหว่างสมาชิกกลุ่ม BRICS รวมถึงการดำเนินการตามกลยุทธ์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจของกลุ่มต่อไป

    และทางกลุ่มBRICSยินดีต้อนรับความสนใจของประเทศต่างๆ ในโลกใต้ที่มีต่อกลุ่ม BRICS และเรียกร้องให้ประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด โดยเฉพาะในแอฟริกา เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นใน
    กระบวนการระดับโลก

    5.วิกฤตการณ์โลกที่BRICSประกาศต่อต้าน:

    -เอกสารปฏิญญาดังกล่าว “ประณาม” การใช้มาตรการคว่ำบาตรที่เลือกปฏิบัติและมีแรงจูงใจทางการเมืองอย่างผิดกฎหมาย และเน้นย้ำถึงผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจโลก

    -กลุ่ม BRICS คัดค้านการนำอาวุธไปใช้ในอวกาศ และสนับสนุนการเสริมสร้างระบอบการไม่แพร่ขยายอาวุธและการปลดอาวุธทั่วโลก รวมถึงการปฏิบัติตามมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับมาตรการป้องกันไม่ให้อาวุธทำลายล้างสูงตกไปอยู่ในมือของผู้ก่อการร้าย โดยเรียกร้องให้มีการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเพื่อช่วยเหลือในการต่อสู้กับยาเสพติด

    -สมาชิกกลุ่มได้สรุปจุดยืนของตนเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ในยูเครน และรับทราบข้อเสนอในการไกล่เกลี่ยเพื่อยุติความขัดแย้งโดยผ่านการเจรจา

    - กลุ่ม BRICS แสดงการสนับสนุนต่อการเข้าเป็นสมาชิกอย่างเต็มตัวของปาเลสไตน์ในสหประชาชาติ

    -คำประกาศดังกล่าวประณามการโจมตีของอิสราเอลต่อเจ้าหน้าที่ UN ในเลบานอน และการโจมตีด้วยการก่อการร้ายด้วยระเบิดเพจเจอร์สังหารเมื่อวันที่ 17 กันยายน2567

    -BRICS ยินดีต้อนรับการจัดตั้งประธานสภาช่วงเปลี่ยนผ่านของเฮติและสภาการเลือกตั้งเพื่อแก้ไขวิกฤตที่กำลังรุมเร้าประเทศแคริบเบียน

    -กลุ่ม BRICS แสดงความกังวลเกี่ยวกับความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นและสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมที่เลวร้ายลงในซูดาน และเรียกร้องให้หยุดยิง

    -คำประกาศนี้วิพากษ์วิจารณ์การนำสิทธิมนุษยชนเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองและมาตรฐานที่ไม่เท่าเทียมกันในพื้นที่นี้

    -เอกสารนี้แสดงการต่อต้านการเลือกปฏิบัติทุกรูปแบบในกีฬา

    ที่มา สำนักข่าว Sputnik
    https://x.com/sputnikint/status/1849128202633166937?s=46&t=nn3z3yuHSlOFcPbFyzmrQA

    #Thaitimes
    ปฏิญญาคาซาน BRICS2024 มีอะไรอยู่ในคำประกาศคาซานของการประชุมสุดยอดกลุ่ม BRICS BRICS ได้รับรองคำประกาศปฏิญญาขั้นสุดท้ายของการประชุมสุดยอดBRICS Plus Summit 2024 ครั้งที่ 16 ที่เมืองคาซาน ประเทศรัสเซีย และมีแผนที่จะยื่นเอกสารปฏิญญาดังกล่าวต่อสหประชาชาติ โดยมีเนื้อหาดังนี้: 1 .ความจำเป็นในการปฏิรูปสถาบันระดับโลก: - สถาบันในระบบการเงินระหว่างประเทศของเบรตตันวูดส์ รวมทั้งองค์กรการค้าโลก ควรได้รับการปฏิรูปเพื่อให้สามารถเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของประเทศกำลังพัฒนาได้ดีขึ้น - BRICS คัดค้านมาตรการ“ฝ่ายเดียว”ห้ามเลือกปฏิบัติ และคุ้มครองทางการค้าที่ดำเนินการภายใต้ข้ออ้างในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ซึ่งรวมถึงกลไกการปรับการปล่อยคาร์บอนและภาษี 2.BRICS สนับสนุนการปฏิรูปสหประชาชาติอย่างครอบคลุม รวมถึงคณะมนตรีความมั่นคง เพื่อให้เป็นตัวแทนประชาคมโลกมากขึ้น และระบุถึงความสำคัญขององค์การนี้ในระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่างๆ 3.โครงการริเริ่มใหม่: - สมาชิก BRICS ตระหนักถึงศักยภาพของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเชื่อมช่องว่างทางดิจิทัลระหว่างประเทศต่างๆ เพื่อช่วยพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม -BRICS ตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงธนาคารพัฒนาใหม่ NDB ให้สามารถตอบสนองความต้องการของศตวรรษที่ 21 -BRICS สนับสนุนการจัดทำแพลตฟอร์มเทคโนโลยีใหม่เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อการพัฒนา รวมถึงการสร้างผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีขั้นสูงโดยใช้ศักยภาพทางเทคโนโลยีในประเทศเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตที่ “ยั่งยืนและครอบคลุม” องค์กรBRICS ตกลงที่จะสำรวจการสร้างโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินและการฝากเงินข้ามพรมแดนแบบอิสระที่เรียกว่า BRICS Clear - BRICS พร้อมที่จะเสริมสร้างความร่วมมือในการพัฒนายารักษาโรค รวมถึงวัคซีนและโครงการเวชศาสตร์นิวเคลียร์ - BRICS ยินดีต้อนรับการสร้างแพลตฟอร์มการขนส่งและโลจิสติกส์ที่เป็นหนึ่งเดียว คำประกาศดังกล่าวสนับสนุนข้อเสนอของรัสเซียในการสร้างตลาดแลกเปลี่ยนธัญพืชเพื่อ "ส่งเสริมการค้าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและปุ๋ยตามกฎเกณฑ์ และลดการหยุดชะงักให้เหลือน้อยที่สุด" 4.การขยายความร่วมมือ: - คำประกาศดังกล่าวยินดีกับการขยายการใช้สกุลเงินประจำชาติในการทำธุรกรรมระหว่างสมาชิก BRICS และพันธมิตรทางการค้า -เอกสารปฏิญญาดังกล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการขยายความร่วมมือบนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน และการสร้างความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ให้มากยิ่งขึ้นระหว่างสมาชิกกลุ่ม BRICS รวมถึงการดำเนินการตามกลยุทธ์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจของกลุ่มต่อไป และทางกลุ่มBRICSยินดีต้อนรับความสนใจของประเทศต่างๆ ในโลกใต้ที่มีต่อกลุ่ม BRICS และเรียกร้องให้ประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด โดยเฉพาะในแอฟริกา เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นใน กระบวนการระดับโลก 5.วิกฤตการณ์โลกที่BRICSประกาศต่อต้าน: -เอกสารปฏิญญาดังกล่าว “ประณาม” การใช้มาตรการคว่ำบาตรที่เลือกปฏิบัติและมีแรงจูงใจทางการเมืองอย่างผิดกฎหมาย และเน้นย้ำถึงผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจโลก -กลุ่ม BRICS คัดค้านการนำอาวุธไปใช้ในอวกาศ และสนับสนุนการเสริมสร้างระบอบการไม่แพร่ขยายอาวุธและการปลดอาวุธทั่วโลก รวมถึงการปฏิบัติตามมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับมาตรการป้องกันไม่ให้อาวุธทำลายล้างสูงตกไปอยู่ในมือของผู้ก่อการร้าย โดยเรียกร้องให้มีการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเพื่อช่วยเหลือในการต่อสู้กับยาเสพติด -สมาชิกกลุ่มได้สรุปจุดยืนของตนเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ในยูเครน และรับทราบข้อเสนอในการไกล่เกลี่ยเพื่อยุติความขัดแย้งโดยผ่านการเจรจา - กลุ่ม BRICS แสดงการสนับสนุนต่อการเข้าเป็นสมาชิกอย่างเต็มตัวของปาเลสไตน์ในสหประชาชาติ -คำประกาศดังกล่าวประณามการโจมตีของอิสราเอลต่อเจ้าหน้าที่ UN ในเลบานอน และการโจมตีด้วยการก่อการร้ายด้วยระเบิดเพจเจอร์สังหารเมื่อวันที่ 17 กันยายน2567 -BRICS ยินดีต้อนรับการจัดตั้งประธานสภาช่วงเปลี่ยนผ่านของเฮติและสภาการเลือกตั้งเพื่อแก้ไขวิกฤตที่กำลังรุมเร้าประเทศแคริบเบียน -กลุ่ม BRICS แสดงความกังวลเกี่ยวกับความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นและสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมที่เลวร้ายลงในซูดาน และเรียกร้องให้หยุดยิง -คำประกาศนี้วิพากษ์วิจารณ์การนำสิทธิมนุษยชนเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองและมาตรฐานที่ไม่เท่าเทียมกันในพื้นที่นี้ -เอกสารนี้แสดงการต่อต้านการเลือกปฏิบัติทุกรูปแบบในกีฬา ที่มา สำนักข่าว Sputnik https://x.com/sputnikint/status/1849128202633166937?s=46&t=nn3z3yuHSlOFcPbFyzmrQA #Thaitimes
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 457 Views 0 Reviews
  • “ซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power)” คือ พลังดึงดูดของความงามเชิงอัตตลักษณ์ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ที่ไม่มีใครเหมือนหรือเลียนแบบได้ จะเห็นได้ในรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ ความเป็นเชื้อชาติหรือเผ่าพันธุ์ ศาสนา ภาษา ประเพณี ศิลปะ วัฒนธรรม อาหาร วิถีชีวิตแบบพื้นถิ่น ธรรมชาติ ฯลฯ เป็นปรากฎการณ์ของความงดงามและความแตกต่างในเชิงสุนทรียศาสตร์ ที่ผู้คนต่างเดินทางเสาะแสวงหาเพื่อจะได้มีโอกาสสัมผัสพบเห็นเป็นประสบการณ์ อย่างน้อยก็สักครั้งในชีวิต

    นี่คือขุมทรัพย์มูลค่ามหาศาลที่แต่ละประเทศมีอยู่แล้ว และไม่มีใครจะมาแย่งชิงไปได้ เพียงแต่ประเทศไทยของเราโชคร้าย ที่มีผู้นำประเทศและผู้มีหน้าที่ในบ้านเมือง ขาดซึ่งความเข้าใจ ไม่มีทิศทางในการสร้างพัฒนาและสร้างมูลค่าแบบยั่งยืนอย่างมืออาชีพ เพราะต่างก็ไม่คิดคำนึงถึงคำว่า “ประโยชน์ชาติและประโยชน์ของส่วนรวม” เพราะมัวแต่สาละวนกับ “ประโยชน์ส่วนตน ครอบครัว และ พวกพ้อง“…!
    “ซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power)” คือ พลังดึงดูดของความงามเชิงอัตตลักษณ์ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ที่ไม่มีใครเหมือนหรือเลียนแบบได้ จะเห็นได้ในรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ ความเป็นเชื้อชาติหรือเผ่าพันธุ์ ศาสนา ภาษา ประเพณี ศิลปะ วัฒนธรรม อาหาร วิถีชีวิตแบบพื้นถิ่น ธรรมชาติ ฯลฯ เป็นปรากฎการณ์ของความงดงามและความแตกต่างในเชิงสุนทรียศาสตร์ ที่ผู้คนต่างเดินทางเสาะแสวงหาเพื่อจะได้มีโอกาสสัมผัสพบเห็นเป็นประสบการณ์ อย่างน้อยก็สักครั้งในชีวิต นี่คือขุมทรัพย์มูลค่ามหาศาลที่แต่ละประเทศมีอยู่แล้ว และไม่มีใครจะมาแย่งชิงไปได้ เพียงแต่ประเทศไทยของเราโชคร้าย ที่มีผู้นำประเทศและผู้มีหน้าที่ในบ้านเมือง ขาดซึ่งความเข้าใจ ไม่มีทิศทางในการสร้างพัฒนาและสร้างมูลค่าแบบยั่งยืนอย่างมืออาชีพ เพราะต่างก็ไม่คิดคำนึงถึงคำว่า “ประโยชน์ชาติและประโยชน์ของส่วนรวม” เพราะมัวแต่สาละวนกับ “ประโยชน์ส่วนตน ครอบครัว และ พวกพ้อง“…!
    0 Comments 0 Shares 40 Views 0 Reviews
  • รัสเซีย จีน และอิหร่านมีความตั้งใจโหมกระพือเรื่องเล่าต่างๆ สร้างความแตกแยกในหมู่ชาวอเมริกา ก่อนถึงศึกเลือกตั้งในวันที่ 5 พฤศจิกายน และอาจพิจารณาปลุกปั่นความรุนแรง หลังบรรดาผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกไปใช้สิทธิกันแล้ว จากคำกล่าวอ้างของเจ้าหน้าที่ข่าวกรองสหรัฐฯ ในวันอังคาร (22 ต.ค.)
    .
    พวกเจ้าหน้าที่ที่ทำการบรรยายสรุปแก่บรรดาผู้สื่อข่าวในด้านความปลอดภัยของการเลือกตั้ง ระบุว่าเหล่าตัวละครต่างชาติอาจเล็งเป้าคุกคามทางกายภาพและปลุกปั่นความรุนแรง และมีความเป็นไปได้ที่จะลงมือปฏิบัติการบิดเบือนข้อมูล ก่อความไม่แน่นอน และบ่อนทำลายกระบวนการเลือกตั้ง
    .
    "พวกตัวละครต่างชาติ โดยเฉพาะรัสเซีย อิหร่าน และจีน ยังคงมีเจตนาโหมกระพือเรื่องเล่า สร้างความแตกแยกแก่ชาวอเมริกาและบ่อนทำลายความเชื่อมั่นของอเมริกันชนที่มีต่อระบบประชาธิปไตยสหรัฐฯ ในความเคลื่อนไหวต่างๆ เหล่านี้ พวกตัวละครได้ดำเนินการต่างๆ ที่สอดคล้องกับสิ่งที่พวกเขามองว่าจะเป็นประโยชน์ของพวกเขา ในขณะที่กลยุทธ์ของพวกเขาเริ่มปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่อง" เจ้าหน้าที่รายหนึ่งจากสำนักงานผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐฯ (ODNI)
    .
    เจ้าหน้าที่บอกต่อว่าเหล่าตัวละครทรงอิทธิพลทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากรัสเซีย อิหร่าน และจีน เรียนรู้จากศึกเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่ผ่านๆ มา และเตรียมพร้อมดีกว่าเดิมในการฉวยโอกาสโหมกระพือความไม่สงบ
    .
    ตัวละครเหล่านี้อาจอาศัยเครื่องไม้เครื่องมือแบบเดียวกับที่พวกเขาเคยใช้ในช่วงก่อนหน้าศึกเลือกตั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารและไซเบอร์ และอาจเล็งข่มขู่คุกคามทางกายภาพและโหมกระพือความรุนแรง จากคำกล่าวอ้างของ เจ้าหน้าที่จาก ODNI ระบุ
    .
    อย่างไรก็ตาม หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ไม่พบเห็นการร่วมมือกันระหว่างรัสเซีย จีน และอิหร่าน ในความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่หวังก่ออิทธิพลเหนือการเลือกตั้ง พร้อมชี้ว่าแม้พวกตัวละครต่างชาติอาจก่อความปั่นป่วนแก่กระบวนการต่างๆ ในวันเลือกตั้ง ปลุกปั่นความไม่พอใจ แต่ระบบการเลือกตั้งมีความปลอดภัยเพียงพอที่จะทำให้ความพยายามของพวกเขานั้นไม่อาจเปลี่ยนผลการเลือกตั้งได้
    .
    "ตัวละครต่างชาติบางส่วนมีความสามารถในการโหมกระพือการประท้วงและความรุนแรงในช่วงเวลาหลังการเลือกตั้ง" เจ้าหน้าที่ ODNI กล่าว "โดยเฉพาะอย่างยิ่งอิหร่านและรัสเซีย ที่อย่างน้อยๆ บางทีอาจกำลังพิจารณากลยุทธ์ต่างๆ ที่จะสามารถยุยงความรุนแรงดังกล่าว"
    .
    บันทึกช่วยจำที่ไม่เป็นชั้นความลับฉบับหนึ่งที่ถูกเผยแพร่ออกมาตามหลังการบรรยายสรุปของสภาข่าวกรองแห่งชาติ (NIC ) หน่วยงานวิเคราะห์ข่าวกรองสูงสุดของสหรัฐฯ ได้เตือนว่าเกือบเป็นที่แน่นอนว่า หน่วยปฏิบัติการของต่างชาติจะโหมกระพือคำกล่าวอ้างอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดปกติต่างๆ ของการเลือกตั้งหลังการลงคะแนน
    .
    นอกจากนี้ NIC ยังเชื่อว่าตัวละครต่างชาติอาจใช้การโจมตีทางไซเบอร์และการจารกรรม ก่อความปั่นปั่วนหรือดัดแปลงข่าวสารและเว็บไซต์ต่างๆ ของรัฐบาล เพื่อจุดชนวนความสับสนเกี่ยวกับผลเลือกตั้ง รวมถึงเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนเกี่ยวกับกระบวนการนับคะแนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐต่างๆ ที่คู่คี่สูสียากจะคาดเดา
    .
    โฆษกสถานทูตจีนออกมาตอบโต้คำกล่าวหาดังกล่าวผ่านอีเมล โดยบอกว่าปักกิ่งไม่มีความตั้งใจแทรกแซงการเลือกตั้ง และหวังว่าใครก็ตามที่เป็นฝ่ายชนะ จะมุ่งมั่นในความสัมพันธ์ที่เติบโตและมีเสถียรภาพระหว่างจีนกับสหรัฐฯ"
    .
    ส่วนสถานทูตรัสเซียและคณะผู้แทนอิหร่านประจำสหประชาชาติ ยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อคำกล่าวหาของสหรัฐฯ ในขณะที่ทั้ง 2 ชาติ เคยออกมาปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อคำกล่าวหาแทรกแซงศึกเลือกตั้งสหรัฐฯ
    .
    เจ้าหน้าที่ของ ODNI อ้างว่าตัวละครต่างชาติใช้สื่อสังคมออนไลน์และปฏิบัติการทางออนไลน์อื่นๆ ในความพยายามก่ออิทธิพลเหนือศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีและสภาคองเกรสสหรัฐฯ เพื่อใส้ร้ายป้ายสีผู้สมัครบางคนและสนับสนุนผู้สมัครรายอื่น
    .
    บรรดาหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ประเมินมานานหลายเดือนแล้วว่า รัสเซีย อยากเห็น ทรัมป์ กลับมาครองเก้าอี้ทำเนียบขาวอีกสมัย
    .
    ระหว่างแถลงสรุปกับพวกผู้สื่อข่าวในวันอังคาร (22 ต.ค.) เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรอง คาดหมายว่ารัสเซียโหมกระพือขยายวงการประท้วง หากว่า แฮร์ริส ชนะศึกเลือกตั้ง "รัสเซียอยากเห็นอดีตประธานาธิบดีชนะ และพวกเขาจะหาทางดำเนินการในเชิงรุกกว่าเดิม ในการบ่อนทำลายการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของว่าที่ประธานาธิบดีแฮร์ริส ณ ขณะนั้น" เจ้าหน้าที่ ODNI กล่าว
    .
    อย่างไรก็ตาม อีกด้านหนึ่งทาง NIC กลับมองว่าตัวละครอิหร่าน อาจพยายามเผยแพร่เนื้อหาทางออนไลน์ ที่ทำให้ชื่อเสียงของ โดนัลด์ ทรัมป์ คู่แข่งของแฮร์ริส แปดเปื้อน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000102038
    ..............
    Sondhi X
    รัสเซีย จีน และอิหร่านมีความตั้งใจโหมกระพือเรื่องเล่าต่างๆ สร้างความแตกแยกในหมู่ชาวอเมริกา ก่อนถึงศึกเลือกตั้งในวันที่ 5 พฤศจิกายน และอาจพิจารณาปลุกปั่นความรุนแรง หลังบรรดาผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกไปใช้สิทธิกันแล้ว จากคำกล่าวอ้างของเจ้าหน้าที่ข่าวกรองสหรัฐฯ ในวันอังคาร (22 ต.ค.) . พวกเจ้าหน้าที่ที่ทำการบรรยายสรุปแก่บรรดาผู้สื่อข่าวในด้านความปลอดภัยของการเลือกตั้ง ระบุว่าเหล่าตัวละครต่างชาติอาจเล็งเป้าคุกคามทางกายภาพและปลุกปั่นความรุนแรง และมีความเป็นไปได้ที่จะลงมือปฏิบัติการบิดเบือนข้อมูล ก่อความไม่แน่นอน และบ่อนทำลายกระบวนการเลือกตั้ง . "พวกตัวละครต่างชาติ โดยเฉพาะรัสเซีย อิหร่าน และจีน ยังคงมีเจตนาโหมกระพือเรื่องเล่า สร้างความแตกแยกแก่ชาวอเมริกาและบ่อนทำลายความเชื่อมั่นของอเมริกันชนที่มีต่อระบบประชาธิปไตยสหรัฐฯ ในความเคลื่อนไหวต่างๆ เหล่านี้ พวกตัวละครได้ดำเนินการต่างๆ ที่สอดคล้องกับสิ่งที่พวกเขามองว่าจะเป็นประโยชน์ของพวกเขา ในขณะที่กลยุทธ์ของพวกเขาเริ่มปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่อง" เจ้าหน้าที่รายหนึ่งจากสำนักงานผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐฯ (ODNI) . เจ้าหน้าที่บอกต่อว่าเหล่าตัวละครทรงอิทธิพลทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากรัสเซีย อิหร่าน และจีน เรียนรู้จากศึกเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่ผ่านๆ มา และเตรียมพร้อมดีกว่าเดิมในการฉวยโอกาสโหมกระพือความไม่สงบ . ตัวละครเหล่านี้อาจอาศัยเครื่องไม้เครื่องมือแบบเดียวกับที่พวกเขาเคยใช้ในช่วงก่อนหน้าศึกเลือกตั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารและไซเบอร์ และอาจเล็งข่มขู่คุกคามทางกายภาพและโหมกระพือความรุนแรง จากคำกล่าวอ้างของ เจ้าหน้าที่จาก ODNI ระบุ . อย่างไรก็ตาม หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ไม่พบเห็นการร่วมมือกันระหว่างรัสเซีย จีน และอิหร่าน ในความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่หวังก่ออิทธิพลเหนือการเลือกตั้ง พร้อมชี้ว่าแม้พวกตัวละครต่างชาติอาจก่อความปั่นป่วนแก่กระบวนการต่างๆ ในวันเลือกตั้ง ปลุกปั่นความไม่พอใจ แต่ระบบการเลือกตั้งมีความปลอดภัยเพียงพอที่จะทำให้ความพยายามของพวกเขานั้นไม่อาจเปลี่ยนผลการเลือกตั้งได้ . "ตัวละครต่างชาติบางส่วนมีความสามารถในการโหมกระพือการประท้วงและความรุนแรงในช่วงเวลาหลังการเลือกตั้ง" เจ้าหน้าที่ ODNI กล่าว "โดยเฉพาะอย่างยิ่งอิหร่านและรัสเซีย ที่อย่างน้อยๆ บางทีอาจกำลังพิจารณากลยุทธ์ต่างๆ ที่จะสามารถยุยงความรุนแรงดังกล่าว" . บันทึกช่วยจำที่ไม่เป็นชั้นความลับฉบับหนึ่งที่ถูกเผยแพร่ออกมาตามหลังการบรรยายสรุปของสภาข่าวกรองแห่งชาติ (NIC ) หน่วยงานวิเคราะห์ข่าวกรองสูงสุดของสหรัฐฯ ได้เตือนว่าเกือบเป็นที่แน่นอนว่า หน่วยปฏิบัติการของต่างชาติจะโหมกระพือคำกล่าวอ้างอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดปกติต่างๆ ของการเลือกตั้งหลังการลงคะแนน . นอกจากนี้ NIC ยังเชื่อว่าตัวละครต่างชาติอาจใช้การโจมตีทางไซเบอร์และการจารกรรม ก่อความปั่นปั่วนหรือดัดแปลงข่าวสารและเว็บไซต์ต่างๆ ของรัฐบาล เพื่อจุดชนวนความสับสนเกี่ยวกับผลเลือกตั้ง รวมถึงเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนเกี่ยวกับกระบวนการนับคะแนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐต่างๆ ที่คู่คี่สูสียากจะคาดเดา . โฆษกสถานทูตจีนออกมาตอบโต้คำกล่าวหาดังกล่าวผ่านอีเมล โดยบอกว่าปักกิ่งไม่มีความตั้งใจแทรกแซงการเลือกตั้ง และหวังว่าใครก็ตามที่เป็นฝ่ายชนะ จะมุ่งมั่นในความสัมพันธ์ที่เติบโตและมีเสถียรภาพระหว่างจีนกับสหรัฐฯ" . ส่วนสถานทูตรัสเซียและคณะผู้แทนอิหร่านประจำสหประชาชาติ ยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อคำกล่าวหาของสหรัฐฯ ในขณะที่ทั้ง 2 ชาติ เคยออกมาปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อคำกล่าวหาแทรกแซงศึกเลือกตั้งสหรัฐฯ . เจ้าหน้าที่ของ ODNI อ้างว่าตัวละครต่างชาติใช้สื่อสังคมออนไลน์และปฏิบัติการทางออนไลน์อื่นๆ ในความพยายามก่ออิทธิพลเหนือศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีและสภาคองเกรสสหรัฐฯ เพื่อใส้ร้ายป้ายสีผู้สมัครบางคนและสนับสนุนผู้สมัครรายอื่น . บรรดาหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ประเมินมานานหลายเดือนแล้วว่า รัสเซีย อยากเห็น ทรัมป์ กลับมาครองเก้าอี้ทำเนียบขาวอีกสมัย . ระหว่างแถลงสรุปกับพวกผู้สื่อข่าวในวันอังคาร (22 ต.ค.) เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรอง คาดหมายว่ารัสเซียโหมกระพือขยายวงการประท้วง หากว่า แฮร์ริส ชนะศึกเลือกตั้ง "รัสเซียอยากเห็นอดีตประธานาธิบดีชนะ และพวกเขาจะหาทางดำเนินการในเชิงรุกกว่าเดิม ในการบ่อนทำลายการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของว่าที่ประธานาธิบดีแฮร์ริส ณ ขณะนั้น" เจ้าหน้าที่ ODNI กล่าว . อย่างไรก็ตาม อีกด้านหนึ่งทาง NIC กลับมองว่าตัวละครอิหร่าน อาจพยายามเผยแพร่เนื้อหาทางออนไลน์ ที่ทำให้ชื่อเสียงของ โดนัลด์ ทรัมป์ คู่แข่งของแฮร์ริส แปดเปื้อน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000102038 .............. Sondhi X
    Like
    7
    0 Comments 1 Shares 1219 Views 0 Reviews
  • กองทัพเรือสหรัฐในตะวันออกกลางได้ใช้ขีปนาวุธยุทธศาสตร์ SM-3 หมดลงแล้วในการต่อสู้กับอิหร่าน - The National Interest

    สื่ออเมริกันอธิบายว่า ทำไมนี่จึงเป็นสถานการณ์อันตรายสำหรับอำนาจสูงสุดของสหรัฐฯ 👇🏻

    SM-3 หนึ่งลูกที่กองทัพเรือสหรัฐใช้มีราคา ๒๘ ล้านดอลลาร์ และเป็นอาวุธหลักของสหรัฐฯ ในการต่อต้านภัยคุกคามจากขีปนาวุธพิสัยไกล

    🤣วอชิงตันผลิตขีปนาวุธ SM-3 ได้เพียง ๑๒ ลูกต่อปี หากอิหร่านยังคงยิงขีปนาวุธต่อไป, ผลประโยชน์ของสหรัฐฯในทะเลจีนใต้และต่อรัสเซียในยุโรปจะเปราะบางมาก🤣
    .
    ⚡️BREAKING

    The US Navy in the Middle East has depleted its SM-3 strategic missiles against Iran - The National Interest

    American media explains why this is a dangerous scenario for the US Hegemony 👇🏻

    A single SM-3 used by the US Navy costs $28 million and is the United States' top weapon against ballistic missile threat.

    Washington only produces 12 SM-3 missiles per year. If Iran continues to fire missiles, American interests in the South China Sea and against the Russians in Europe will become very vulnerable
    .
    11:14 PM · Oct 20, 2024 · 573.1K Views
    https://x.com/IranObserver0/status/1848035117190746427
    กองทัพเรือสหรัฐในตะวันออกกลางได้ใช้ขีปนาวุธยุทธศาสตร์ SM-3 หมดลงแล้วในการต่อสู้กับอิหร่าน - The National Interest สื่ออเมริกันอธิบายว่า ทำไมนี่จึงเป็นสถานการณ์อันตรายสำหรับอำนาจสูงสุดของสหรัฐฯ 👇🏻 SM-3 หนึ่งลูกที่กองทัพเรือสหรัฐใช้มีราคา ๒๘ ล้านดอลลาร์ และเป็นอาวุธหลักของสหรัฐฯ ในการต่อต้านภัยคุกคามจากขีปนาวุธพิสัยไกล 🤣วอชิงตันผลิตขีปนาวุธ SM-3 ได้เพียง ๑๒ ลูกต่อปี หากอิหร่านยังคงยิงขีปนาวุธต่อไป, ผลประโยชน์ของสหรัฐฯในทะเลจีนใต้และต่อรัสเซียในยุโรปจะเปราะบางมาก🤣 . ⚡️BREAKING The US Navy in the Middle East has depleted its SM-3 strategic missiles against Iran - The National Interest American media explains why this is a dangerous scenario for the US Hegemony 👇🏻 A single SM-3 used by the US Navy costs $28 million and is the United States' top weapon against ballistic missile threat. Washington only produces 12 SM-3 missiles per year. If Iran continues to fire missiles, American interests in the South China Sea and against the Russians in Europe will become very vulnerable . 11:14 PM · Oct 20, 2024 · 573.1K Views https://x.com/IranObserver0/status/1848035117190746427
    Like
    Haha
    Wow
    3
    0 Comments 0 Shares 31 Views 0 Reviews
  • ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน เผยว่าตนเองกำลังเสาะหาปฏิกิริยาตอบสนองหนักหน่วงจากประเทศต่างๆ ที่ได้ทราบแล้วว่า เกาหลีเหนือกำลังเข้ามาพัวพันมากขึ้นเรื่อยๆ กับสงครามของรัสเซียในยูเครน ที่ยืดเยื้อมานานกว่า 1 ปีครึ่ง
    .
    ระหว่างการปราศรัยช่วงค่ำ เซเลนสกีบอกว่ามีหลักฐานทางดาวเทียมและวิดีโออย่างท่วมท้น ว่าเกาหลีเหนือไม่ใช่แค่ส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ให้แก่รสเซียเท่านั้น แต่กำลังพลของพวกเขายังเตรียมพร้อมสำหรับประจำการอีกด้วย
    .
    "ผมขอบคุณพวกผู้นำและตัวแทนของประเทศต่างๆ ที่ไม่เลือกปิดตาตัวเอง และพูดตรงๆ เกี่ยวกับความร่วมมือนี้ เพื่อประโยชน์ของสงครามในวงกว้าง" เขากล่าว "เราคาดหมายปฏิกิริยาตอบสนองปกติ จริงใจและหนักหน่วง จากพันธมิตรทั้งหลายของเราในเรื่องนี้"
    .
    เซเลนสกีระบุว่า การเข้ามาพัวพันมากขึ้นเรื่อยๆ ของเกาหลีเหนือ รังแต่จะเป็นอันตรายแก่ทุกฝ่าย "เคราะห์ร้าย ภาวะไร้เสถียรภาพและภัยคุกคามอาจเพิ่มขึ้นทวีคูณ หลังจากเกาหลีเหนือเริ่มฝีกฝนสำหรับทำการศึกสงครามสมัยใหม่" เขากล่าว
    .
    "ถ้าตอนนี้โลกยังคงนิ่งเงียบ และเราจำเป็นต้องสู้รบกับกำลังพลจากเกาหลีเหนือในแนวหน้า ในแบบเดียวกับที่เราจำเป็นต้องปกป้องตนเองจากโดรนซาเฮด (อิหร่าน) แน่นอนว่ามันจะไม่เป็นประโยชน์กับใครเลยบนโลกใบนี้ และรังแต่จะทำให้สงครามยืดเยื้อ"
    .
    เขากล่าวต่อว่า การกระทำของเกาหลีเหนือ หมายความว่า "โดยเนื้อแท้แล้วกำลังมีประเทศอื่นกำลังเข้าสู่การทำสงครามกับยูเครน"
    .
    เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เซเลนสกี กล่าวหา เกาหลีเหนือประจำการพวกเจ้าหน้าที่เคียงข้างรัสเซีย และกำลังเตรียมการส่งทหารหลายหมื่นนายเข้าช่วยมอสโกทำสงคราม ในขณะที่หน่วยงานข่าวกรองของเกาหลีเหนือระบุในวันศุกร์ (18 ต.ค.) เกาหลีเหนือส่งกองกำลังพิเศษ 1,500 นาย ไปยังภูมิภาคตะวันออกไกลของรัสเซีย เพื่อทำการฝึกฝน
    .
    ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ บอกในวันเสาร์ (19 ต.ค.) ไม่สามารถยืนยันข่าวที่ว่าเกาหลีเหนือส่งทหารเข้าไปยังรัสเซีย ก่อนหน้าความเป็นไปได้เกี่ยวกับการประจำการ อย่างไรก็ตาม หากความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นจริง มันจะเป็นสิ่งที่น่ากังวล ขณะที่ มาร์ค รุตต์ เลขาธิการนาโต ระบุในวันพฤหัสบดี (17 ต.ค.) ยอมรับว่าในนั้นนี้ยังไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับการปรากฏตัวของกำลังพลเกาหลีเหนือ
    .
    รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศสและยูเครน ระบุในถ้อยแถลงร่วมในกรุงเคียฟเมื่อวันเสาร์ (19 ต.ค.) ว่าการเข้ามาเกี่ยวข้องของกองกำลังประจำการเกาหลีเหนือ สำหรับให้การสนับสนุนการรุกรานยูเครนของรนัสเซีย จะทำให้สงครามลุกลามบานปลายอย่างร้ายแรง
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000101219
    ..............
    Sondhi X
    ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน เผยว่าตนเองกำลังเสาะหาปฏิกิริยาตอบสนองหนักหน่วงจากประเทศต่างๆ ที่ได้ทราบแล้วว่า เกาหลีเหนือกำลังเข้ามาพัวพันมากขึ้นเรื่อยๆ กับสงครามของรัสเซียในยูเครน ที่ยืดเยื้อมานานกว่า 1 ปีครึ่ง . ระหว่างการปราศรัยช่วงค่ำ เซเลนสกีบอกว่ามีหลักฐานทางดาวเทียมและวิดีโออย่างท่วมท้น ว่าเกาหลีเหนือไม่ใช่แค่ส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ให้แก่รสเซียเท่านั้น แต่กำลังพลของพวกเขายังเตรียมพร้อมสำหรับประจำการอีกด้วย . "ผมขอบคุณพวกผู้นำและตัวแทนของประเทศต่างๆ ที่ไม่เลือกปิดตาตัวเอง และพูดตรงๆ เกี่ยวกับความร่วมมือนี้ เพื่อประโยชน์ของสงครามในวงกว้าง" เขากล่าว "เราคาดหมายปฏิกิริยาตอบสนองปกติ จริงใจและหนักหน่วง จากพันธมิตรทั้งหลายของเราในเรื่องนี้" . เซเลนสกีระบุว่า การเข้ามาพัวพันมากขึ้นเรื่อยๆ ของเกาหลีเหนือ รังแต่จะเป็นอันตรายแก่ทุกฝ่าย "เคราะห์ร้าย ภาวะไร้เสถียรภาพและภัยคุกคามอาจเพิ่มขึ้นทวีคูณ หลังจากเกาหลีเหนือเริ่มฝีกฝนสำหรับทำการศึกสงครามสมัยใหม่" เขากล่าว . "ถ้าตอนนี้โลกยังคงนิ่งเงียบ และเราจำเป็นต้องสู้รบกับกำลังพลจากเกาหลีเหนือในแนวหน้า ในแบบเดียวกับที่เราจำเป็นต้องปกป้องตนเองจากโดรนซาเฮด (อิหร่าน) แน่นอนว่ามันจะไม่เป็นประโยชน์กับใครเลยบนโลกใบนี้ และรังแต่จะทำให้สงครามยืดเยื้อ" . เขากล่าวต่อว่า การกระทำของเกาหลีเหนือ หมายความว่า "โดยเนื้อแท้แล้วกำลังมีประเทศอื่นกำลังเข้าสู่การทำสงครามกับยูเครน" . เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เซเลนสกี กล่าวหา เกาหลีเหนือประจำการพวกเจ้าหน้าที่เคียงข้างรัสเซีย และกำลังเตรียมการส่งทหารหลายหมื่นนายเข้าช่วยมอสโกทำสงคราม ในขณะที่หน่วยงานข่าวกรองของเกาหลีเหนือระบุในวันศุกร์ (18 ต.ค.) เกาหลีเหนือส่งกองกำลังพิเศษ 1,500 นาย ไปยังภูมิภาคตะวันออกไกลของรัสเซีย เพื่อทำการฝึกฝน . ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ บอกในวันเสาร์ (19 ต.ค.) ไม่สามารถยืนยันข่าวที่ว่าเกาหลีเหนือส่งทหารเข้าไปยังรัสเซีย ก่อนหน้าความเป็นไปได้เกี่ยวกับการประจำการ อย่างไรก็ตาม หากความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นจริง มันจะเป็นสิ่งที่น่ากังวล ขณะที่ มาร์ค รุตต์ เลขาธิการนาโต ระบุในวันพฤหัสบดี (17 ต.ค.) ยอมรับว่าในนั้นนี้ยังไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับการปรากฏตัวของกำลังพลเกาหลีเหนือ . รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศสและยูเครน ระบุในถ้อยแถลงร่วมในกรุงเคียฟเมื่อวันเสาร์ (19 ต.ค.) ว่าการเข้ามาเกี่ยวข้องของกองกำลังประจำการเกาหลีเหนือ สำหรับให้การสนับสนุนการรุกรานยูเครนของรนัสเซีย จะทำให้สงครามลุกลามบานปลายอย่างร้ายแรง . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000101219 .............. Sondhi X
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 787 Views 0 Reviews
  • ประโยชน์ของเทมเป้ต่อสุขภาพ
    ข้อมูลจาก

    ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ภญ.จิราพร เลื่อนผลเจริญชัย

    ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิด

    1. อุดมไปด้วยโปรตีน

    ปริมาณโปรตีนที่แนะนำให้ผู้ใหญ่บริโภคต่อวันคือ 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม สำหรับผู้ที่รับประทานมังสวิรัติควรได้รับโปรตีนจากถั่วเหลืองในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อทดแทนการได้รับโปรตีนไม่เพียงพอจากการไม่รับประทานเนื้อสัตว์ โดยเทมเป้ให้โปรตีนสูงกว่าอาหารที่ทำจากถั่วชนิดอื่น เช่น เต้าหู้ปริมาณ 84 กรัม ให้โปรตีนประมาณ 6 กรัม ขณะที่เทมเป้ที่มีปริมาณเท่ากันให้โปรตีนสูงถึง 15 กรัม จึงเหมาะสำหรับผู้รับประทานมังสวิรัติ และผู้ที่ออกกำลังกายเพราะการรับประทานโปรตีนอย่างเพียงพอจะช่วยเสริมมวลกล้ามเนื้อที่เสียไปจากการออกกำลังกาย นอกจากนี้ เทมเป้ที่ทำจากถั่วเหลืองยังมีกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นได้เอง และจะได้รับจากการรับประทานอาหารที่มีโปรตีนอย่างเพียงพอเท่านั้น ซึ่งอาหารที่ทำจากถั่วเหลืองจะให้ครบทั้ง 9 ชนิด ได้แก่ ฮิสติดีน ลิวซีน ไอโซลิวซีน วาลีน ทรีโอนีน ไลซีน เมไทโอนีน ฟีนิลอะลานีน และทริปโตเฟน ต่างจากธัญพืชอื่นๆ ที่อาจให้กรดอะมิโนจำเป็นได้ไม่ครบ

    2. ดีต่อหัวใจและช่วยควบคุมน้ำหนัก

    เทมเป้ 1 ถ้วย (166 กรัม) ประกอบด้วยไขมัน 18 กรัม โดยไขมันส่วนใหญ่ในเทมเป้จะเป็นไขมันไม่อิ่มตัวชนิดเชิงเดี่ยวและเชิงซ้อน ซึ่งเป็นไขมันดีที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อันมีส่วนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง นอกจากนี้ เทมเป้ 1 ถ้วยประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรตเพียง 13 กรัม และมีโปรตีนสูงที่ช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องและยับยั้งความรู้สึกอยากอาหาร ซึ่งอาจเป็นตัวเลือกที่ดีเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักอีกด้วย

    3. แหล่งของวิตามินและแร่ธาตุ

    การรับประทานเทมเป้ให้สารอาหารจำพวกวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ได้แก่ วิตามินบี 2 ที่มีส่วนช่วยในการสร้างพลังงาน การมองเห็น และบำรุงผิวพรรณ วิตามินบี 3 ที่ช่วยเปลี่ยนสารอาหารให้เป็นพลังงาน เสริมการทำงานของสมอง ระบบย่อยอาหาร และผิวพรรณ และวิตามินบี 12 ที่มีบทบาทในการสร้างเม็ดเลือดแดง ซึ่งพบมากในเนื้อสัตว์และนม จึงเป็นทางเลือกของคนที่รับประทานมังสวิรัติ นอกจากนี้ยังมีแคลเซียมสูงจึงเป็นแหล่งของแคลเซียมที่เหมาะกับคนที่ไม่ดื่มนมวัว และยังมีแร่ธาตุต่างๆ เช่น สังกะสี ทองแดง เหล็ก แมงกานีส และฟอสฟอรัส ซึ่งมีความสำคัญต่อการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย

    4. แหล่งของสารไอโซฟลาโวน

    เทมเป้ประกอบด้วยสารไอโซฟลาโวน ซึ่งพบมากในถั่วเหลืองและอาหารที่ทำจากถั่วเหลือง โดยปกติบนห่อผลิตภัณฑ์เทมเป้จะระบุปริมาณไอโซฟลาโวนให้เห็นโดยมีปริมาณอยู่ที่ 40-50 กรัมต่อ 1 ชิ้น โดยไอโซฟลาโวนมีส่วนช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอลโดยรวม คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (low density lipoprotein หรือ LDL) และไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ซึ่งไขมันชนิดไม่ดีเหล่านี้อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ นอกจากนี้ ไอโซฟลาโวนจัดเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจนจากพืช (phytoestrogen) ที่ช่วยบรรเทาอาการร้อนวูบวาบ ลดอาการวัยทองในหญิงวัยหมดประจำเดือนที่มีระดับฮอร์โมนในร่างกายแปรปรวน นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ ชะลอความเสื่อมของเซลล์จากอนุมูลอิสระ และอาจช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก เป็นต้น

    5. เสริมการทำงานของระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายของร่างกาย

    การรับประทานถั่วและธัญพืชบางชนิดอาจทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารและมีอาการท้องอืด แต่การรับประทานเทมเป้มักไม่ทำให้เกิดอาการเหล่านี้ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร เช่น โรคลำไส้แปรปรวน เป็นต้น นอกจากนี้เทมเป้ได้จากการหมักถั่วกับเชื้อรา จึงมีโพรไบโอติกส์ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบทางเดินอาหาร และมีพรีไบโอติกส์ซึ่งเป็นใยอาหารชนิดหนึ่งและเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของโพรไบโอติกส์ โดยเทมเป้ 85 กรัม มีใยอาหารสูงถึง 7 กรัม จึงมีส่วนช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ

    6. บำรุงสมองและระบบประสาท

    เทมเป้ประกอบด้วยสารเลซิตินที่ช่วยบำรุงสมองและระบบประสาท เนื่องจากเป็นสารตั้งต้นของการสร้างสารสื่อประสาทในสมองคือ acetylcholine หากร่างกายได้รับเลซิตินในปริมาณที่เพียงพอก็จะช่วยป้องกันและรักษาอาการผิดปกติของระบบประสาทบางประเภทได้

    7. บำรุงตับ ลดการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี

    สารเลซิตินในเทมเป้ยังช่วยบำรุงตับได้ดี เนื่องจากประกอบด้วยกรดไขมันคือฟอสเฟตและโคลีน ซึ่งโคลีนมีส่วนช่วยให้เซลล์ตับมีการเผาผลาญไขมันได้อย่างปกติ ลดการเกิดภาวะไขมันพอกตับ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคตับอักเสบและตับแข็ง นอกจากนี้ เลซิตินยังมีคุณสมบัติเป็นตัวทำละลายของน้ำดี ช่วยให้น้ำดีไม่จับตัวจนเป็นก้อนนิ่ว ลดการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้

    8. เสริมสร้างการเจริญเติบโตและสร้างเม็ดเลือดให้เป็นปกติ

    วิตามินบี 12 ถือว่าเป็นวิตามินที่สำคัญมาก โดยเฉพาะในวัยเด็ก เนื่องจากช่วยเพิ่มความอยากอาหาร ทำให้ทานอาหารได้มาก ในขณะที่ผู้สูงอายุการได้รับวิตามินบี 12 จะช่วยในเรื่องของการสร้างเม็ดเลือดให้เป็นปกติ และยังช่วยบำรุงระบบประสาท ทำให้เคลื่อนไหวได้ดี ลดอาการอ่อนแรง ซึ่งปกติแล้ว วิตามินบี 12 จะพบได้ในเนื้อสัตว์เท่านั้น แต่หากทานเทมเป้เข้าไปก็จะได้รับวิตามินชนิดนี้เช่นกัน

    ข้อควรระวังในการรับประทานเทมเป้
    คนทั่วไปสามารถรับประทานเทมเป้ได้อย่างปลอดภัยและไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ แต่คนที่มีภาวะสุขภาพบางอย่างไม่ควรรับประทานเทมเป้ เช่น (1) แพ้ถั่วเหลือง เนื่องจากเทมเป้มีส่วนประกอบหลักคือถั่วเหลือง การรับประทานเทมเป้อาจทำให้คนที่แพ้ถั่วเหลืองมีอาการคัน เกิดผื่นลมพิษ ใบหน้าและลำคอบวม หายใจลำบาก หายใจมีเสียงหวีด ปวดท้อง ท้องร่วง คลื่นไส้ อาเจียน และบางคนอาจเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงที่เป็นอันตรายถึงชีวิต (2) ภาวะผิดปกติเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ เพราะเทมเป้มีสารกอยโตรเจน (goitrogen) ที่อาจยับยั้งการสังเคราะห์ไทรอยด์ฮอร์โมน และลดประสิทธิภาพการดูดซึมยารักษาไทรอยด์

    แหล่งอ้างอิง/ที่มา
    U.S. Department of Agriculture. 2023. FoodData Central: Foundation foods (April).
    Teoh SQ, Chin NL, Chong CW, Ripen AM, How S, Lim JJL. A review on health benefits and processing of tempeh with outlines on its functional microbes. Future Foods. 2024; 9: 100330.
    Pobpad. เทมเป้ อาหารเพื่อสุขภาพและวิธีรับประทานให้ได้ประโยชน์.
    #tempeh #เทมเป้ #เทมเป้โปรตีน
    #โปรตีนจากพืช
    ประโยชน์ของเทมเป้ต่อสุขภาพ ข้อมูลจาก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ภญ.จิราพร เลื่อนผลเจริญชัย ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิด 1. อุดมไปด้วยโปรตีน ปริมาณโปรตีนที่แนะนำให้ผู้ใหญ่บริโภคต่อวันคือ 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม สำหรับผู้ที่รับประทานมังสวิรัติควรได้รับโปรตีนจากถั่วเหลืองในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อทดแทนการได้รับโปรตีนไม่เพียงพอจากการไม่รับประทานเนื้อสัตว์ โดยเทมเป้ให้โปรตีนสูงกว่าอาหารที่ทำจากถั่วชนิดอื่น เช่น เต้าหู้ปริมาณ 84 กรัม ให้โปรตีนประมาณ 6 กรัม ขณะที่เทมเป้ที่มีปริมาณเท่ากันให้โปรตีนสูงถึง 15 กรัม จึงเหมาะสำหรับผู้รับประทานมังสวิรัติ และผู้ที่ออกกำลังกายเพราะการรับประทานโปรตีนอย่างเพียงพอจะช่วยเสริมมวลกล้ามเนื้อที่เสียไปจากการออกกำลังกาย นอกจากนี้ เทมเป้ที่ทำจากถั่วเหลืองยังมีกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นได้เอง และจะได้รับจากการรับประทานอาหารที่มีโปรตีนอย่างเพียงพอเท่านั้น ซึ่งอาหารที่ทำจากถั่วเหลืองจะให้ครบทั้ง 9 ชนิด ได้แก่ ฮิสติดีน ลิวซีน ไอโซลิวซีน วาลีน ทรีโอนีน ไลซีน เมไทโอนีน ฟีนิลอะลานีน และทริปโตเฟน ต่างจากธัญพืชอื่นๆ ที่อาจให้กรดอะมิโนจำเป็นได้ไม่ครบ 2. ดีต่อหัวใจและช่วยควบคุมน้ำหนัก เทมเป้ 1 ถ้วย (166 กรัม) ประกอบด้วยไขมัน 18 กรัม โดยไขมันส่วนใหญ่ในเทมเป้จะเป็นไขมันไม่อิ่มตัวชนิดเชิงเดี่ยวและเชิงซ้อน ซึ่งเป็นไขมันดีที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อันมีส่วนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง นอกจากนี้ เทมเป้ 1 ถ้วยประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรตเพียง 13 กรัม และมีโปรตีนสูงที่ช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องและยับยั้งความรู้สึกอยากอาหาร ซึ่งอาจเป็นตัวเลือกที่ดีเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักอีกด้วย 3. แหล่งของวิตามินและแร่ธาตุ การรับประทานเทมเป้ให้สารอาหารจำพวกวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ได้แก่ วิตามินบี 2 ที่มีส่วนช่วยในการสร้างพลังงาน การมองเห็น และบำรุงผิวพรรณ วิตามินบี 3 ที่ช่วยเปลี่ยนสารอาหารให้เป็นพลังงาน เสริมการทำงานของสมอง ระบบย่อยอาหาร และผิวพรรณ และวิตามินบี 12 ที่มีบทบาทในการสร้างเม็ดเลือดแดง ซึ่งพบมากในเนื้อสัตว์และนม จึงเป็นทางเลือกของคนที่รับประทานมังสวิรัติ นอกจากนี้ยังมีแคลเซียมสูงจึงเป็นแหล่งของแคลเซียมที่เหมาะกับคนที่ไม่ดื่มนมวัว และยังมีแร่ธาตุต่างๆ เช่น สังกะสี ทองแดง เหล็ก แมงกานีส และฟอสฟอรัส ซึ่งมีความสำคัญต่อการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย 4. แหล่งของสารไอโซฟลาโวน เทมเป้ประกอบด้วยสารไอโซฟลาโวน ซึ่งพบมากในถั่วเหลืองและอาหารที่ทำจากถั่วเหลือง โดยปกติบนห่อผลิตภัณฑ์เทมเป้จะระบุปริมาณไอโซฟลาโวนให้เห็นโดยมีปริมาณอยู่ที่ 40-50 กรัมต่อ 1 ชิ้น โดยไอโซฟลาโวนมีส่วนช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอลโดยรวม คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (low density lipoprotein หรือ LDL) และไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ซึ่งไขมันชนิดไม่ดีเหล่านี้อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ นอกจากนี้ ไอโซฟลาโวนจัดเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจนจากพืช (phytoestrogen) ที่ช่วยบรรเทาอาการร้อนวูบวาบ ลดอาการวัยทองในหญิงวัยหมดประจำเดือนที่มีระดับฮอร์โมนในร่างกายแปรปรวน นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ ชะลอความเสื่อมของเซลล์จากอนุมูลอิสระ และอาจช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก เป็นต้น 5. เสริมการทำงานของระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายของร่างกาย การรับประทานถั่วและธัญพืชบางชนิดอาจทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารและมีอาการท้องอืด แต่การรับประทานเทมเป้มักไม่ทำให้เกิดอาการเหล่านี้ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร เช่น โรคลำไส้แปรปรวน เป็นต้น นอกจากนี้เทมเป้ได้จากการหมักถั่วกับเชื้อรา จึงมีโพรไบโอติกส์ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบทางเดินอาหาร และมีพรีไบโอติกส์ซึ่งเป็นใยอาหารชนิดหนึ่งและเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของโพรไบโอติกส์ โดยเทมเป้ 85 กรัม มีใยอาหารสูงถึง 7 กรัม จึงมีส่วนช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ 6. บำรุงสมองและระบบประสาท เทมเป้ประกอบด้วยสารเลซิตินที่ช่วยบำรุงสมองและระบบประสาท เนื่องจากเป็นสารตั้งต้นของการสร้างสารสื่อประสาทในสมองคือ acetylcholine หากร่างกายได้รับเลซิตินในปริมาณที่เพียงพอก็จะช่วยป้องกันและรักษาอาการผิดปกติของระบบประสาทบางประเภทได้ 7. บำรุงตับ ลดการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี สารเลซิตินในเทมเป้ยังช่วยบำรุงตับได้ดี เนื่องจากประกอบด้วยกรดไขมันคือฟอสเฟตและโคลีน ซึ่งโคลีนมีส่วนช่วยให้เซลล์ตับมีการเผาผลาญไขมันได้อย่างปกติ ลดการเกิดภาวะไขมันพอกตับ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคตับอักเสบและตับแข็ง นอกจากนี้ เลซิตินยังมีคุณสมบัติเป็นตัวทำละลายของน้ำดี ช่วยให้น้ำดีไม่จับตัวจนเป็นก้อนนิ่ว ลดการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้ 8. เสริมสร้างการเจริญเติบโตและสร้างเม็ดเลือดให้เป็นปกติ วิตามินบี 12 ถือว่าเป็นวิตามินที่สำคัญมาก โดยเฉพาะในวัยเด็ก เนื่องจากช่วยเพิ่มความอยากอาหาร ทำให้ทานอาหารได้มาก ในขณะที่ผู้สูงอายุการได้รับวิตามินบี 12 จะช่วยในเรื่องของการสร้างเม็ดเลือดให้เป็นปกติ และยังช่วยบำรุงระบบประสาท ทำให้เคลื่อนไหวได้ดี ลดอาการอ่อนแรง ซึ่งปกติแล้ว วิตามินบี 12 จะพบได้ในเนื้อสัตว์เท่านั้น แต่หากทานเทมเป้เข้าไปก็จะได้รับวิตามินชนิดนี้เช่นกัน ข้อควรระวังในการรับประทานเทมเป้ คนทั่วไปสามารถรับประทานเทมเป้ได้อย่างปลอดภัยและไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ แต่คนที่มีภาวะสุขภาพบางอย่างไม่ควรรับประทานเทมเป้ เช่น (1) แพ้ถั่วเหลือง เนื่องจากเทมเป้มีส่วนประกอบหลักคือถั่วเหลือง การรับประทานเทมเป้อาจทำให้คนที่แพ้ถั่วเหลืองมีอาการคัน เกิดผื่นลมพิษ ใบหน้าและลำคอบวม หายใจลำบาก หายใจมีเสียงหวีด ปวดท้อง ท้องร่วง คลื่นไส้ อาเจียน และบางคนอาจเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงที่เป็นอันตรายถึงชีวิต (2) ภาวะผิดปกติเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ เพราะเทมเป้มีสารกอยโตรเจน (goitrogen) ที่อาจยับยั้งการสังเคราะห์ไทรอยด์ฮอร์โมน และลดประสิทธิภาพการดูดซึมยารักษาไทรอยด์ แหล่งอ้างอิง/ที่มา U.S. Department of Agriculture. 2023. FoodData Central: Foundation foods (April). Teoh SQ, Chin NL, Chong CW, Ripen AM, How S, Lim JJL. A review on health benefits and processing of tempeh with outlines on its functional microbes. Future Foods. 2024; 9: 100330. Pobpad. เทมเป้ อาหารเพื่อสุขภาพและวิธีรับประทานให้ได้ประโยชน์. #tempeh #เทมเป้ #เทมเป้โปรตีน #โปรตีนจากพืช
    0 Comments 0 Shares 21 Views 0 Reviews
  • มหาศึกตะวันออกกลาง เนทันยาฮูบ้าสงคราม
    .
    สงครามนี้ยืดเยื้อมาหนึ่งปีแล้ว สงครามนี้ได้เปลี่ยนสถานภาพจากสงครามตัวแทนระหว่างอิสราเอล กับกลุ่มติดอาวุธต่างๆ ขยายตัวเป็นสงครามตัวจริง ระหว่างอิหร่าน และ อิสราเอล และเหล่าพันธมิตรแห่งการต่อต้าน
    .
    สงครามครั้งนี้แท้จริงก็คือความโหดเหี้ยมอำมหิต ความบ้าเลือดของรัฐยิว ที่คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปมากมายเกือบ 5 หมื่นคน ทำให้คนนับล้านต้องพลัดพรากจากแผ่นดินเกิด ต้องสูญเสียญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง และคนที่รัก เพียงเพื่อปกป้องอำนาจทางการเมืองของนายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล และผลประโยชน์ของสหรัฐฯ และชาติตะวันตกที่หนุนหลังอิสราเอลอยู่
    .
    ผมเคยเอารูปให้ดูนะครับ แผนที่แสดงถึงการเข้ายึดครองดินแดนปาเลสไตน์ และกลืนชาติโดยอิสราเอล ณ เวลานี้ แนวรบที่ดุเดือดที่สุดก็คือ เลบานอน ที่อิสราเอลใช้ทั้งการโจมตีทางอากาศและรถถังบุกเข้าไป โดยอ้างว่าเพื่อกวาดล้างกลุ่มฮิซบอลลาห์ สิ่งที่เกิดขึ้นในเลบานอนแสดงให้เห็นชัดว่า สงครามตะวันออกกลางในขณะนี้ได้พัฒนาและเปลี่ยนโฉมแตกต่างไปจากเมื่อหนึ่งปีที่แล้วอย่างสิ้นเชิง
    .
    แนวรบที่กำลังรอวันเปิดศึก และจะน่ากลัวที่สุดคึอ แนวรบระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน อิสราเอลได้สังหารแกนนำกลุ่มฮามาส และฮิซบอลลาห์ ทำให้ต้องเผชิญหน้ากับอิหร่านโดยตรง อิหร่านได้เริ่มปฏิบัติการตอบโต้ในวันที่ 1 ตุลาคม ที่ผ่านมาโดยยิงขีปนาวุธกว่า 200 ลูก โจมตีอิสราเอล ซึ่งอิสราเอลบอกว่าจะเอาคืนอย่างแน่นอน คือ (1) โจมตีจุดยุทธศาสตร์ทางการทหาร (2) โจมตีแหล่งพลังงาน (3) โจมตีโรงงานนิวเคลียร์
    .
    สหรัฐฯ ที่เคยขู่ว่าเป็นพี่ใหญ่ของอิสราเอล วันนี้นายเนทันยาฮู กลับไม่เห็นนายไบเดน อยู่ในสายตา ปฏิเสธทั้งข้อเสนอให้หยุดยิงชั่วคราว และคำขอให้ตอบโต้พอเหมาะพอสม แต่กลับระดมโจมตีหนักหน่วง ก่อนการเลือกตั้งสหรัฐฯ เพราะว่านายเนทันยาฮู ต้องการผูกขาสหรัฐฯเอาไว้เลยว่า ไม่ว่าใครก็ตามชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็ต้องสนับสนุนอิสราเอลอย่างแน่นอน
    .
    นายเนทันยาฮู ใช้อำนาจพิเศษใน ครม.สงคราม ไม่ต้องการให้มีการตกลงใดๆ เพราะว่าการหยุดยิงอาจหมายถึงการล่มสลายของรัฐบาลนายเนทันยาฮู นายเนทันยาฮู ไม่แคร์เรื่องตัวประกัน สิ่งที่นายเนทันยาฮู ต้องการ คือ อยู่ในอำนาจนานที่สุด เพราะถ้าลงจากอำนาจ เสี่ยงเรื่องการติดคุก หรือถูกดำเนินคดีข้อหาอาชญากรสงครามในทันที
    มหาศึกตะวันออกกลาง เนทันยาฮูบ้าสงคราม . สงครามนี้ยืดเยื้อมาหนึ่งปีแล้ว สงครามนี้ได้เปลี่ยนสถานภาพจากสงครามตัวแทนระหว่างอิสราเอล กับกลุ่มติดอาวุธต่างๆ ขยายตัวเป็นสงครามตัวจริง ระหว่างอิหร่าน และ อิสราเอล และเหล่าพันธมิตรแห่งการต่อต้าน . สงครามครั้งนี้แท้จริงก็คือความโหดเหี้ยมอำมหิต ความบ้าเลือดของรัฐยิว ที่คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปมากมายเกือบ 5 หมื่นคน ทำให้คนนับล้านต้องพลัดพรากจากแผ่นดินเกิด ต้องสูญเสียญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง และคนที่รัก เพียงเพื่อปกป้องอำนาจทางการเมืองของนายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล และผลประโยชน์ของสหรัฐฯ และชาติตะวันตกที่หนุนหลังอิสราเอลอยู่ . ผมเคยเอารูปให้ดูนะครับ แผนที่แสดงถึงการเข้ายึดครองดินแดนปาเลสไตน์ และกลืนชาติโดยอิสราเอล ณ เวลานี้ แนวรบที่ดุเดือดที่สุดก็คือ เลบานอน ที่อิสราเอลใช้ทั้งการโจมตีทางอากาศและรถถังบุกเข้าไป โดยอ้างว่าเพื่อกวาดล้างกลุ่มฮิซบอลลาห์ สิ่งที่เกิดขึ้นในเลบานอนแสดงให้เห็นชัดว่า สงครามตะวันออกกลางในขณะนี้ได้พัฒนาและเปลี่ยนโฉมแตกต่างไปจากเมื่อหนึ่งปีที่แล้วอย่างสิ้นเชิง . แนวรบที่กำลังรอวันเปิดศึก และจะน่ากลัวที่สุดคึอ แนวรบระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน อิสราเอลได้สังหารแกนนำกลุ่มฮามาส และฮิซบอลลาห์ ทำให้ต้องเผชิญหน้ากับอิหร่านโดยตรง อิหร่านได้เริ่มปฏิบัติการตอบโต้ในวันที่ 1 ตุลาคม ที่ผ่านมาโดยยิงขีปนาวุธกว่า 200 ลูก โจมตีอิสราเอล ซึ่งอิสราเอลบอกว่าจะเอาคืนอย่างแน่นอน คือ (1) โจมตีจุดยุทธศาสตร์ทางการทหาร (2) โจมตีแหล่งพลังงาน (3) โจมตีโรงงานนิวเคลียร์ . สหรัฐฯ ที่เคยขู่ว่าเป็นพี่ใหญ่ของอิสราเอล วันนี้นายเนทันยาฮู กลับไม่เห็นนายไบเดน อยู่ในสายตา ปฏิเสธทั้งข้อเสนอให้หยุดยิงชั่วคราว และคำขอให้ตอบโต้พอเหมาะพอสม แต่กลับระดมโจมตีหนักหน่วง ก่อนการเลือกตั้งสหรัฐฯ เพราะว่านายเนทันยาฮู ต้องการผูกขาสหรัฐฯเอาไว้เลยว่า ไม่ว่าใครก็ตามชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็ต้องสนับสนุนอิสราเอลอย่างแน่นอน . นายเนทันยาฮู ใช้อำนาจพิเศษใน ครม.สงคราม ไม่ต้องการให้มีการตกลงใดๆ เพราะว่าการหยุดยิงอาจหมายถึงการล่มสลายของรัฐบาลนายเนทันยาฮู นายเนทันยาฮู ไม่แคร์เรื่องตัวประกัน สิ่งที่นายเนทันยาฮู ต้องการ คือ อยู่ในอำนาจนานที่สุด เพราะถ้าลงจากอำนาจ เสี่ยงเรื่องการติดคุก หรือถูกดำเนินคดีข้อหาอาชญากรสงครามในทันที
    Like
    8
    0 Comments 0 Shares 539 Views 0 Reviews
  • "GGC" แจงคืบหน้าคดีอาญาอดีตผู้บริหาร-คู่ค้าทำสต็อกลมเสียหายกว่า 2 พันล้าน หลังเกิดเหตุการณ์วัตถุดิบคงคลังสูญหายช่วงมิถุนายน 2561 ชี้ลงบันทึกในระบบบัญชีของบริษัทได้รับวัตถุดิบครบถ้วน

    18 ตุลาคม 2567-รายงานข่าวฐานเศรษฐกิจระบุว่า นายกฤษฎา ประเสริฐสุโข กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC เปิดเผยความคืบหน้าด้านคดีความอันเนื่องมาจากเหตุการณ์วัตถุดิบคงคลังสูญหาย ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงมิถุนายน 2561 ตามที่ GGC ได้รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และแจ้งความดำเนินคดีกับผู้บริหาร พนักงานและ คู่ค้าที่เกี่ยวข้อง

    ซึ่งต่อมาสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)ได้ กล่าวโทษอดีตผู้บริหาร GGC 2 ราย และบริษัทคู่ค้า อีก 9 ราย ซึ่งเป็นผู้ขายวัตถุดิบ กรณีร่วมกันดำเนินการให้บริษัทซื้อวัตถุดิบและจ่ายชำระเงินค่าซื้อเต็มจำนวนให้แก่ผู้ขายโดยไม่ได้รับวัตถุดิบทั้งหมดหรือได้รับเพียงบางส่วน

    แต่กลับลงบันทึกในระบบบัญชีของบริษัทว่าได้รับวัตถุดิบครบถ้วนแล้ว รวมทั้งกรณีส่งมอบวัตถุดิบไปกลั่นโดยไม่ได้มีการกลั่นจริง ทำให้ GGC ได้รับความเสียหาย คิดเป็นมูลค่ารวม 2,157 ล้านบาท

    ทั้งนี้ GGC ได้ดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม ทั้งทางแพ่ง และอาญา ร่วมกับ ก.ล.ต. มาอย่างต่อเนื่อง โดยคดีมีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก และมีคดีถึงที่สุดแล้วหลายคดี ดังนี้

    ในส่วนคดีแพ่ง GGC มีการฟ้องร้องคดีแพ่ง 5 คดี และศาลตัดสินแล้วทั้งหมด โดย GGC ชนะทุกคดี และคดีถึงที่สุดแล้ว 4 คดี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการบังคับคดีตามคำสั่งศาลมูลค่ารวมกว่า 800 ล้านบาท

    ด้านคดีที่ GGC ถูกฟ้องเป็นจำเลยมี 6 คดี ศาลตัดสินแล้ว 4 คดี โดย GGC ชนะ 3 คดี และอีก 2 คดีอยู่ระหว่างการสืบพยาน

    ขณะที่คดีอาญา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้กล่าวโทษอดีตผู้บริหารของ GGC และบริษัทคู่ค้า และ GGC ได้แจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีอาญากับอดีตผู้บริหารและบริษัทคู่ค้ารวมทั้งสิ้น 8 คดี โดยมีคดีอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวน 4 คดี อยู่ในชั้นพนักงานอัยการ 1 คดี และอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอีก 3 คดี ซึ่งมีการตัดสินแล้ว 2 คดี

    คดีแรก ในปี 2566 ศาลพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา และความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 โดยลงโทษจำคุกอดีตผู้บริหาร 2 ปี และกรรมการของคู่ค้า 1 ปี 4 เดือน และให้อดีตผู้บริหารชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ GGC จำนวนประมาณ 328.87 ล้านบาท ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์

    คดีที่สอง ตัดสินเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ศาลพิพากษายกฟ้อง อย่างไรก็ตาม คำพิพากษาดังกล่าวเป็นคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเท่านั้น คดียังไม่ถึงที่สุด และ GGC จะสามารถใช้สิทธิในการยื่นอุทธรณ์ได้ โดยคดีดังกล่าว มีมูลค่าความเสียหายประมาณ 72.88 ล้านบาท ซึ่ง GGC ได้ยื่นขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายของบริษัทคู่ค้าไว้แล้ว

    "GGC ขอยืนยันว่า บริษัทจะดำเนินคดีตามพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงผ่านกระบวนการยุติธรรมอย่างเต็มที่และต่อเนื่อง เพื่อปกป้องสิทธิและรักษาผลประโยชน์ของ GGC และผู้ถือหุ้นทุกคน"

    ที่มา https://www.thansettakij.com/sustainable/energy/609697

    #Thaitimes
    "GGC" แจงคืบหน้าคดีอาญาอดีตผู้บริหาร-คู่ค้าทำสต็อกลมเสียหายกว่า 2 พันล้าน หลังเกิดเหตุการณ์วัตถุดิบคงคลังสูญหายช่วงมิถุนายน 2561 ชี้ลงบันทึกในระบบบัญชีของบริษัทได้รับวัตถุดิบครบถ้วน 18 ตุลาคม 2567-รายงานข่าวฐานเศรษฐกิจระบุว่า นายกฤษฎา ประเสริฐสุโข กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC เปิดเผยความคืบหน้าด้านคดีความอันเนื่องมาจากเหตุการณ์วัตถุดิบคงคลังสูญหาย ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงมิถุนายน 2561 ตามที่ GGC ได้รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และแจ้งความดำเนินคดีกับผู้บริหาร พนักงานและ คู่ค้าที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต่อมาสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)ได้ กล่าวโทษอดีตผู้บริหาร GGC 2 ราย และบริษัทคู่ค้า อีก 9 ราย ซึ่งเป็นผู้ขายวัตถุดิบ กรณีร่วมกันดำเนินการให้บริษัทซื้อวัตถุดิบและจ่ายชำระเงินค่าซื้อเต็มจำนวนให้แก่ผู้ขายโดยไม่ได้รับวัตถุดิบทั้งหมดหรือได้รับเพียงบางส่วน แต่กลับลงบันทึกในระบบบัญชีของบริษัทว่าได้รับวัตถุดิบครบถ้วนแล้ว รวมทั้งกรณีส่งมอบวัตถุดิบไปกลั่นโดยไม่ได้มีการกลั่นจริง ทำให้ GGC ได้รับความเสียหาย คิดเป็นมูลค่ารวม 2,157 ล้านบาท ทั้งนี้ GGC ได้ดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม ทั้งทางแพ่ง และอาญา ร่วมกับ ก.ล.ต. มาอย่างต่อเนื่อง โดยคดีมีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก และมีคดีถึงที่สุดแล้วหลายคดี ดังนี้ ในส่วนคดีแพ่ง GGC มีการฟ้องร้องคดีแพ่ง 5 คดี และศาลตัดสินแล้วทั้งหมด โดย GGC ชนะทุกคดี และคดีถึงที่สุดแล้ว 4 คดี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการบังคับคดีตามคำสั่งศาลมูลค่ารวมกว่า 800 ล้านบาท ด้านคดีที่ GGC ถูกฟ้องเป็นจำเลยมี 6 คดี ศาลตัดสินแล้ว 4 คดี โดย GGC ชนะ 3 คดี และอีก 2 คดีอยู่ระหว่างการสืบพยาน ขณะที่คดีอาญา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้กล่าวโทษอดีตผู้บริหารของ GGC และบริษัทคู่ค้า และ GGC ได้แจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีอาญากับอดีตผู้บริหารและบริษัทคู่ค้ารวมทั้งสิ้น 8 คดี โดยมีคดีอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวน 4 คดี อยู่ในชั้นพนักงานอัยการ 1 คดี และอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอีก 3 คดี ซึ่งมีการตัดสินแล้ว 2 คดี คดีแรก ในปี 2566 ศาลพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา และความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 โดยลงโทษจำคุกอดีตผู้บริหาร 2 ปี และกรรมการของคู่ค้า 1 ปี 4 เดือน และให้อดีตผู้บริหารชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ GGC จำนวนประมาณ 328.87 ล้านบาท ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ คดีที่สอง ตัดสินเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ศาลพิพากษายกฟ้อง อย่างไรก็ตาม คำพิพากษาดังกล่าวเป็นคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเท่านั้น คดียังไม่ถึงที่สุด และ GGC จะสามารถใช้สิทธิในการยื่นอุทธรณ์ได้ โดยคดีดังกล่าว มีมูลค่าความเสียหายประมาณ 72.88 ล้านบาท ซึ่ง GGC ได้ยื่นขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายของบริษัทคู่ค้าไว้แล้ว "GGC ขอยืนยันว่า บริษัทจะดำเนินคดีตามพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงผ่านกระบวนการยุติธรรมอย่างเต็มที่และต่อเนื่อง เพื่อปกป้องสิทธิและรักษาผลประโยชน์ของ GGC และผู้ถือหุ้นทุกคน" ที่มา https://www.thansettakij.com/sustainable/energy/609697 #Thaitimes
    WWW.THANSETTAKIJ.COM
    "GGC" แจงคืบหน้าคดีอาญาอดีตผู้บริหาร-คู่ค้าทำสต็อกลมเสียหายกว่า 2 พันล้าน
    "GGC" แจงคืบหน้าคดีอาญาอดีตผู้บริหาร-คู่ค้าทำสต็อกลมเสียหายกว่า 2 พันล้าน หลังเกิดเหตุการณ์วัตถุดิบคงคลังสูญหายช่วงมิถุนายน 2561 ชี้ลงบันทึกในระบบบัญชีของบริษัทได้รับวัตถุดิบครบถ้วน
    0 Comments 0 Shares 341 Views 0 Reviews
  • CIA เปิดรับสมัครสายลับ GenZ ฟาดจีน-รัสเซีย ระวังดาบสองคมนี้คืนสนองอเมริกา
    .
    การออกมารับสมัครสายลับอย่างโจ๋งครึ่ม เปิดหน้าผ่านโซเชียลมีเดีย ยิ่งตอกย้ำว่าบทบาทของปฏิบัติการข่าวกรองสหรัฐฯ จะยังคงเป็นตัวจุดประเด็นความขัดแย้งในกลยุทธ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ของอเมริกาอย่างไม่จบไม่สิ้น เพราะปฏิบัติการของ CIA นั้นคือต้นตอของความชั่วร้ายของสงครามที่ไม่มีวันสิ้นสุด ที่น่ากลัวคือ พวกนี้กำลังดำเนินปฏิบัติการชักจูง ดึงเอาเด็ก เยาวชน คนรุ่นใหม่ Gen Y, Gen Z ในประเทศต่างๆ เข้าไปเป็นพวก เข้ามาแทรกซึมให้เป็นสปาย ดำเนินการต่างๆ เพื่อเอื้อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดต่อประโยชน์ของอเมริกา
    .
    ความพยายามสรรหาสายลับในจีน และรัสเซีย ผ่านโซเชียลมีเดียอย่างเปิดเผยครั้งล่าสุด แสดงให้เห็นแนวโน้มอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสหรัฐฯ ใช้ประโยชน์จากความไม่พอใจภายใต้ระบอบอำนาจนิยมเพื่อรวบรวมข่าวกรองโดยใช้จีน โดยในจีน สหรัฐฯ ต้องการอาศัยการใช้ประโยชน์จากความไม่พอใจในหมู่ประชาชนชนชั้นสูงเกี่ยวกับนโยบายที่เด็ดขาดของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง สิ่งนี้คล้ายคลึงกับที่ CIA ทำกับรัสเซียภายหลังการรุกรานยูเครนของกองทัพรัสเซียในปี 2545 โดย CIA ได้เดินแผนลับปฏิบัติการขอข้อมูลชาวรัสเซียที่ผิดหวังกับระบอบการปกครองของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน
    .
    จะเห็นได้ชัดว่า CIA คือองค์กรที่ชั่วร้าย หาข้อมูลข่าวสารเพื่อทำลายประเทศที่ไม่ยอมทำตามนโยบายของอเมริกา เพราะฉะนั้นแล้ว นี่คือแขนขาข้างหนึ่งของจักรวรรดินิยมอเมริกาที่ต้องการจะครอบครองทั่วโลก ตอนนี้ลงมาถึงระดับ Gen Y และ Gen Z แล้ว
    .
    ผมเชื่อว่าต้องมีไม่ต่ำกว่า 10 หรือ 20% ของคนที่ติดต่อไปเพื่อขอเป็นสายลับนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นคนของรัฐบาลนั่นเอง ก็คือว่าไปเป็นสายลับ มึงอยากให้กูไปเป็นสายลับ กูไปเป็นให้ แต่กูก็จะเอาข้อมูลที่กูได้จากมึง ส่งมา ตรงนี้เป็นการตรวจสอบที่ยากเย็นมาก แล้วตรงนี้เป็นดาบสองคมของ CIA ในขณะที่ CIA ต้องการใช้คนพวกนี้สมัครเข้ามา ไม่เลือกแล้ว ที่ไหนก็ได้ จีน รัสเซีย ส่งเข้ามาเลย ถ้าผ่าน ซึ่งการผ่านการตรวจสอบความมั่นคงนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องยาก สามารถตกแต่งได้ จะกลายเป็นว่าหอกอันนี้ ที่ CIA ต้องการเอามาใช้ทิ่มแทงประเทศต่างๆ มันจะย้อนกลับไปทิ่มแทงประเทศสหรัฐอเมริกาเอง

    ที่มา : Sondhitalk

    #Thaitimes
    CIA เปิดรับสมัครสายลับ GenZ ฟาดจีน-รัสเซีย ระวังดาบสองคมนี้คืนสนองอเมริกา . การออกมารับสมัครสายลับอย่างโจ๋งครึ่ม เปิดหน้าผ่านโซเชียลมีเดีย ยิ่งตอกย้ำว่าบทบาทของปฏิบัติการข่าวกรองสหรัฐฯ จะยังคงเป็นตัวจุดประเด็นความขัดแย้งในกลยุทธ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ของอเมริกาอย่างไม่จบไม่สิ้น เพราะปฏิบัติการของ CIA นั้นคือต้นตอของความชั่วร้ายของสงครามที่ไม่มีวันสิ้นสุด ที่น่ากลัวคือ พวกนี้กำลังดำเนินปฏิบัติการชักจูง ดึงเอาเด็ก เยาวชน คนรุ่นใหม่ Gen Y, Gen Z ในประเทศต่างๆ เข้าไปเป็นพวก เข้ามาแทรกซึมให้เป็นสปาย ดำเนินการต่างๆ เพื่อเอื้อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดต่อประโยชน์ของอเมริกา . ความพยายามสรรหาสายลับในจีน และรัสเซีย ผ่านโซเชียลมีเดียอย่างเปิดเผยครั้งล่าสุด แสดงให้เห็นแนวโน้มอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสหรัฐฯ ใช้ประโยชน์จากความไม่พอใจภายใต้ระบอบอำนาจนิยมเพื่อรวบรวมข่าวกรองโดยใช้จีน โดยในจีน สหรัฐฯ ต้องการอาศัยการใช้ประโยชน์จากความไม่พอใจในหมู่ประชาชนชนชั้นสูงเกี่ยวกับนโยบายที่เด็ดขาดของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง สิ่งนี้คล้ายคลึงกับที่ CIA ทำกับรัสเซียภายหลังการรุกรานยูเครนของกองทัพรัสเซียในปี 2545 โดย CIA ได้เดินแผนลับปฏิบัติการขอข้อมูลชาวรัสเซียที่ผิดหวังกับระบอบการปกครองของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน . จะเห็นได้ชัดว่า CIA คือองค์กรที่ชั่วร้าย หาข้อมูลข่าวสารเพื่อทำลายประเทศที่ไม่ยอมทำตามนโยบายของอเมริกา เพราะฉะนั้นแล้ว นี่คือแขนขาข้างหนึ่งของจักรวรรดินิยมอเมริกาที่ต้องการจะครอบครองทั่วโลก ตอนนี้ลงมาถึงระดับ Gen Y และ Gen Z แล้ว . ผมเชื่อว่าต้องมีไม่ต่ำกว่า 10 หรือ 20% ของคนที่ติดต่อไปเพื่อขอเป็นสายลับนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นคนของรัฐบาลนั่นเอง ก็คือว่าไปเป็นสายลับ มึงอยากให้กูไปเป็นสายลับ กูไปเป็นให้ แต่กูก็จะเอาข้อมูลที่กูได้จากมึง ส่งมา ตรงนี้เป็นการตรวจสอบที่ยากเย็นมาก แล้วตรงนี้เป็นดาบสองคมของ CIA ในขณะที่ CIA ต้องการใช้คนพวกนี้สมัครเข้ามา ไม่เลือกแล้ว ที่ไหนก็ได้ จีน รัสเซีย ส่งเข้ามาเลย ถ้าผ่าน ซึ่งการผ่านการตรวจสอบความมั่นคงนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องยาก สามารถตกแต่งได้ จะกลายเป็นว่าหอกอันนี้ ที่ CIA ต้องการเอามาใช้ทิ่มแทงประเทศต่างๆ มันจะย้อนกลับไปทิ่มแทงประเทศสหรัฐอเมริกาเอง ที่มา : Sondhitalk #Thaitimes
    Like
    Sad
    Yay
    12
    1 Comments 0 Shares 1055 Views 1 Reviews
  • คุณ รสนา โตสิตระกูล โพสเฟสบุ๊ค...
    .
    มีความหมายว่า...
    .
    ที่กระสันจะเจรจากันอยู่นั้น...
    .
    ดูแปลกๆ ทะแม่งๆ รึเปล่า...???
    .
    ผลประโยชน์ของชาติ หรือ ผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคล กันแน่...???
    .
    เราจับตาดูอยู่นะ...!!!
    ...
    ...
    เอาจริงๆ "ถ้า" มันมีการ "ขายชาติ" เพราะผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคล จริง...!!!
    .
    การเตรียม ฟิตร่างกาย ซื้อรองเท้าสุขภาพหลายๆคู่ ก็คงต้องมาแล้วหล่ะมั้ง...
    .
    🤣🤣🤣🤣🤣🤣
    คุณ รสนา โตสิตระกูล โพสเฟสบุ๊ค... . มีความหมายว่า... . ที่กระสันจะเจรจากันอยู่นั้น... . ดูแปลกๆ ทะแม่งๆ รึเปล่า...??? . ผลประโยชน์ของชาติ หรือ ผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคล กันแน่...??? . เราจับตาดูอยู่นะ...!!! ... ... เอาจริงๆ "ถ้า" มันมีการ "ขายชาติ" เพราะผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคล จริง...!!! . การเตรียม ฟิตร่างกาย ซื้อรองเท้าสุขภาพหลายๆคู่ ก็คงต้องมาแล้วหล่ะมั้ง... . 🤣🤣🤣🤣🤣🤣
    0 Comments 0 Shares 51 Views 0 Reviews
  • “เนทันยาฮู” ลั่นโจมตี “ฮิซบอลเลาะห์” ไม่ปรานีทั่วเลบานอน รวมถึงกรุงเบรุต หลังเสียทหาร 4 นายจากปฏิบัติการโจมตีของนักรบกลุ่มนี้ นอกจากนั้น อิสราเอลยังเปิดเผยว่า ผู้นำอิสราเอลได้บอกกับ “ไบเดน” ว่า จะรับฟังความคิดเห็นของอเมริกา แต่การตอบโต้อิหร่านจะอิงกับผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง ขณะที่ประมุขกาตาร์กล่าวหายิวเลือกขยายวงความขัดแย้งในตะวันออกกลางเพื่อบรรลุแผนการที่เตรียมเอาไว้แล้ว ด้วยการรุกรานและตั้งให้ชาวยิวขยายการตั้งถิ่นฐานในเขตยึดครองเวสต์แบงก์และเลบานอน
    .
    นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ประกาศเมื่อวันจันทร์ (14 ต.ค.) ว่า จะโจมตีโดยไม่ปรานีต่อฮิซบอลเลาะห์ในทุกพื้นที่ทั่วเลบานอนซึ่งรวมถึงกรุงเบรุต หลังจากในวันอาทิตย์ (13) กลุ่มติดอาวุธที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านกลุ่มนี้ส่งโดรนโจมตีค่ายฝึกทหารในเมืองบินยามินา ของอิสราเอล ส่งผลให้ทหารเสียชีวิต 4 นาย และมีผู้บาดเจ็บอีก 60 คน
    .
    สำนักข่าวแห่งชาติของทางการเลบานอน (เอ็นเอ็นเอ) รายงานว่าเมื่อเช้าวันอังคาร (15) อิสราเอลโจมตีทางอากาศหลายระลอกในเขตหุบเขาเบกา ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกของเลบานอน ทำให้โรงพยาบาลในเมืองบาลเบคต้องปิดทำการ ขณะที่นิโคลัส ฟอน อาร์กซ์ ผู้อำนวยการคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ เรียกร้องให้คุ้มครองรถฉุกเฉินและสถานพยาบาลอื่นๆ รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์
    .
    ทางด้านฮิซบอลเลาะห์เผยว่า นักรบปะทะกับกองกำลังอิสราเอลที่พยายามบุกเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่งเมื่อวันอังคาร นอกจากนั้นทางกลุ่มยังยิงขีปนาวุธโจมตีทหารอิสราเอล และยิงจรวดโจมตีเป้าหมายทางตอนเหนือของอิสราเอล ขณะที่กองทัพอิสราเอลเผยว่า มีจรวด 3 ลูกยิงมาจากเลบานอนแต่สกัดไว้ได้โดยไม่มีผู้บาดเจ็บ และตลอดวันจันทร์มีจรวดที่ฮิซบอลเลาะห์ยิงข้ามแดนมาราว 115 ลูก
    .
    ทั้งนี้ นับจากอิสราเอลระดมทิ้งระเบิดในเลบานอนเมื่อเดือนที่แล้วก่อนส่งกำลังบุกภาคพื้นดิน มีผู้เสียชีวิตในเลบานอนจนถึงขณะนี้อย่างน้อย 1,315 คน
    .
    นอกจากกร้าวใส่ฮิซบอลเลาะห์แล้ว เนทันยาฮูยังแถลงตอบโต้ในวันจันทร์ (14) ด้วยว่า ข้อกล่าวหาที่ว่า กองทัพอิสราเอลจงใจโจมตีกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติทางตอนใต้ของเลบานอน หรือยูนิฟิล และทำให้สมาชิกยูนิฟิลบาดเจ็บ 5 นายนั้น “เป็นเรื่องไม่จริงโดยสิ้นเชิง” ถึงแม้ทางสหประชาชาติยืนยันเรื่องนี้อย่างชัดเจน พร้อมกันนั้น นายกฯ รัฐยิวยังเรียกร้องอีกครั้งให้ยูนิฟิลถอนไปจากเขตสู้รบใกล้ชายแดนอิสราเอล และย้ำข้อกล่าวหาที่ว่า ฮิซบอลเลาะห์ใช้ที่ตั้งของยูนิฟิลเป็นที่กำบังเพื่อโจมตีและสังหารคนอิสราเอล ซึ่งรวมถึงการโจมตีค่ายทหารเมื่อวันอาทิตย์
    .
    อย่างไรก็ดี แอนเดรีย เทเนนติ โฆษกยูนิฟิล โพสต์วิดีโอบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ว่า ยูนิฟิลจะยังคงปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ดังกล่าว
    .
    ในวันจันทร์เช่นกัน คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ได้แถลงแสดงความกังวลอย่างยิ่งที่สมาชิกกองกำลังรักษาสันติภาพได้รับบาดเจ็บ
    .
    เมื่อวันอังคาร สำนักนายกรัฐมนตรีอิสราเอลเปิดเผยว่า เนทันยาฮูแจ้งกับประธานาธิบดีโจ ไบเดนว่า อิสราเอลจะรับฟังความคิดเห็นของอเมริกา แต่การตัดสินใจขั้นสุดท้ายในการตอบโต้อิหร่านจะอิงกับผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก
    .
    คำแถลงนี้มีขึ้นหลังจากสื่อวอชิงตันโพสต์รายงานโดยอ้างอิงการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่ไม่ประสงค์เปิดเผยตัวตนว่า เนทันยาฮูให้ความมั่นใจกับไบเดนระหว่างหารือทางโทรศัพท์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า การโจมตีอิหร่านจะจำกัดเป้าหมายที่ที่ตั้งทางทหารเท่านั้น
    .
    รายงานของวอชิงตันโพสต์บอกด้วยว่า การรับรองเช่นนี้ยังมีขึ้นตอนที่โยอาฟ กัลแลนต์ รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล หารือทางโทรศัพท์กับลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเช่นเดียวกัน
    .
    ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 1 ต.ค. อิหร่านยิงขีปนาวุธราว 200 ลูกโจมตีอิสราเอล เพื่อแก้แค้นที่อิสราเอลถล่มเบรุตและทำให้ฮัสซัน นัสรัลเลาะห์ ผู้นำฮิซบอลเลาะห์ รวมทั้งพลเอกอับบาส นิลโฟรูชาน ของอิหร่านเสียชีวิต
    .
    ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อวันอังคาร ชัยค์ ตะมิม บิน ฮามัด อัล-ทานี ผู้ปกครองกาตาร์ กล่าวเปิดประชุมประจำปีสภาที่ปรึกษากาตาร์ว่า วิธีที่ง่ายดายและปลอดภัยที่สุดในการหยุดยั้งความรุนแรงบริเวณชายแดนเลบานอนคือการยุติสงครามทำลายล้างในกาซา แต่อิสราเอลกลับเลือกขยายการรุกรานเพื่อดำเนินการตามแผนอุบายต่างๆ ที่วางเอาไว้แล้วในสถานที่อื่นๆ นอกเหนือจากกาซา เป็นต้นว่า เขตเวสต์แบงก์และเลบานอน เนื่องจากเห็นว่า สามารถทำได้
    .
    ชัยค์ ตะมิมเสริมว่า อิสราเอลกำลังฉวยโอกาสที่นานาชาตินิ่งเฉย สานแผนการให้ชาวยิวเข้าไปตั้งถิ่นฐานในเขตเวสต์แบงก์ ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายมาก
    .
    อย่างไรก็ตาม ประมุขกาตาร์บอกว่า ภายหลังการสังหารและทำลายล้างในภูมิภาคนี้ทั้งหมดแล้ว อิสราเอลก็จะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปฏิบัติตามสิ่งที่นานาชาติตกลงกันเกี่ยวกับระบบ 2 รัฐ หรือการสถาปนารัฐปาเลสไตน์เคียงข้างรัฐอิสราเอล
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000099597
    ..............
    Sondhi X
    “เนทันยาฮู” ลั่นโจมตี “ฮิซบอลเลาะห์” ไม่ปรานีทั่วเลบานอน รวมถึงกรุงเบรุต หลังเสียทหาร 4 นายจากปฏิบัติการโจมตีของนักรบกลุ่มนี้ นอกจากนั้น อิสราเอลยังเปิดเผยว่า ผู้นำอิสราเอลได้บอกกับ “ไบเดน” ว่า จะรับฟังความคิดเห็นของอเมริกา แต่การตอบโต้อิหร่านจะอิงกับผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง ขณะที่ประมุขกาตาร์กล่าวหายิวเลือกขยายวงความขัดแย้งในตะวันออกกลางเพื่อบรรลุแผนการที่เตรียมเอาไว้แล้ว ด้วยการรุกรานและตั้งให้ชาวยิวขยายการตั้งถิ่นฐานในเขตยึดครองเวสต์แบงก์และเลบานอน . นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ประกาศเมื่อวันจันทร์ (14 ต.ค.) ว่า จะโจมตีโดยไม่ปรานีต่อฮิซบอลเลาะห์ในทุกพื้นที่ทั่วเลบานอนซึ่งรวมถึงกรุงเบรุต หลังจากในวันอาทิตย์ (13) กลุ่มติดอาวุธที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านกลุ่มนี้ส่งโดรนโจมตีค่ายฝึกทหารในเมืองบินยามินา ของอิสราเอล ส่งผลให้ทหารเสียชีวิต 4 นาย และมีผู้บาดเจ็บอีก 60 คน . สำนักข่าวแห่งชาติของทางการเลบานอน (เอ็นเอ็นเอ) รายงานว่าเมื่อเช้าวันอังคาร (15) อิสราเอลโจมตีทางอากาศหลายระลอกในเขตหุบเขาเบกา ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกของเลบานอน ทำให้โรงพยาบาลในเมืองบาลเบคต้องปิดทำการ ขณะที่นิโคลัส ฟอน อาร์กซ์ ผู้อำนวยการคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ เรียกร้องให้คุ้มครองรถฉุกเฉินและสถานพยาบาลอื่นๆ รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ . ทางด้านฮิซบอลเลาะห์เผยว่า นักรบปะทะกับกองกำลังอิสราเอลที่พยายามบุกเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่งเมื่อวันอังคาร นอกจากนั้นทางกลุ่มยังยิงขีปนาวุธโจมตีทหารอิสราเอล และยิงจรวดโจมตีเป้าหมายทางตอนเหนือของอิสราเอล ขณะที่กองทัพอิสราเอลเผยว่า มีจรวด 3 ลูกยิงมาจากเลบานอนแต่สกัดไว้ได้โดยไม่มีผู้บาดเจ็บ และตลอดวันจันทร์มีจรวดที่ฮิซบอลเลาะห์ยิงข้ามแดนมาราว 115 ลูก . ทั้งนี้ นับจากอิสราเอลระดมทิ้งระเบิดในเลบานอนเมื่อเดือนที่แล้วก่อนส่งกำลังบุกภาคพื้นดิน มีผู้เสียชีวิตในเลบานอนจนถึงขณะนี้อย่างน้อย 1,315 คน . นอกจากกร้าวใส่ฮิซบอลเลาะห์แล้ว เนทันยาฮูยังแถลงตอบโต้ในวันจันทร์ (14) ด้วยว่า ข้อกล่าวหาที่ว่า กองทัพอิสราเอลจงใจโจมตีกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติทางตอนใต้ของเลบานอน หรือยูนิฟิล และทำให้สมาชิกยูนิฟิลบาดเจ็บ 5 นายนั้น “เป็นเรื่องไม่จริงโดยสิ้นเชิง” ถึงแม้ทางสหประชาชาติยืนยันเรื่องนี้อย่างชัดเจน พร้อมกันนั้น นายกฯ รัฐยิวยังเรียกร้องอีกครั้งให้ยูนิฟิลถอนไปจากเขตสู้รบใกล้ชายแดนอิสราเอล และย้ำข้อกล่าวหาที่ว่า ฮิซบอลเลาะห์ใช้ที่ตั้งของยูนิฟิลเป็นที่กำบังเพื่อโจมตีและสังหารคนอิสราเอล ซึ่งรวมถึงการโจมตีค่ายทหารเมื่อวันอาทิตย์ . อย่างไรก็ดี แอนเดรีย เทเนนติ โฆษกยูนิฟิล โพสต์วิดีโอบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ว่า ยูนิฟิลจะยังคงปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ดังกล่าว . ในวันจันทร์เช่นกัน คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ได้แถลงแสดงความกังวลอย่างยิ่งที่สมาชิกกองกำลังรักษาสันติภาพได้รับบาดเจ็บ . เมื่อวันอังคาร สำนักนายกรัฐมนตรีอิสราเอลเปิดเผยว่า เนทันยาฮูแจ้งกับประธานาธิบดีโจ ไบเดนว่า อิสราเอลจะรับฟังความคิดเห็นของอเมริกา แต่การตัดสินใจขั้นสุดท้ายในการตอบโต้อิหร่านจะอิงกับผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก . คำแถลงนี้มีขึ้นหลังจากสื่อวอชิงตันโพสต์รายงานโดยอ้างอิงการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่ไม่ประสงค์เปิดเผยตัวตนว่า เนทันยาฮูให้ความมั่นใจกับไบเดนระหว่างหารือทางโทรศัพท์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า การโจมตีอิหร่านจะจำกัดเป้าหมายที่ที่ตั้งทางทหารเท่านั้น . รายงานของวอชิงตันโพสต์บอกด้วยว่า การรับรองเช่นนี้ยังมีขึ้นตอนที่โยอาฟ กัลแลนต์ รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล หารือทางโทรศัพท์กับลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเช่นเดียวกัน . ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 1 ต.ค. อิหร่านยิงขีปนาวุธราว 200 ลูกโจมตีอิสราเอล เพื่อแก้แค้นที่อิสราเอลถล่มเบรุตและทำให้ฮัสซัน นัสรัลเลาะห์ ผู้นำฮิซบอลเลาะห์ รวมทั้งพลเอกอับบาส นิลโฟรูชาน ของอิหร่านเสียชีวิต . ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อวันอังคาร ชัยค์ ตะมิม บิน ฮามัด อัล-ทานี ผู้ปกครองกาตาร์ กล่าวเปิดประชุมประจำปีสภาที่ปรึกษากาตาร์ว่า วิธีที่ง่ายดายและปลอดภัยที่สุดในการหยุดยั้งความรุนแรงบริเวณชายแดนเลบานอนคือการยุติสงครามทำลายล้างในกาซา แต่อิสราเอลกลับเลือกขยายการรุกรานเพื่อดำเนินการตามแผนอุบายต่างๆ ที่วางเอาไว้แล้วในสถานที่อื่นๆ นอกเหนือจากกาซา เป็นต้นว่า เขตเวสต์แบงก์และเลบานอน เนื่องจากเห็นว่า สามารถทำได้ . ชัยค์ ตะมิมเสริมว่า อิสราเอลกำลังฉวยโอกาสที่นานาชาตินิ่งเฉย สานแผนการให้ชาวยิวเข้าไปตั้งถิ่นฐานในเขตเวสต์แบงก์ ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายมาก . อย่างไรก็ตาม ประมุขกาตาร์บอกว่า ภายหลังการสังหารและทำลายล้างในภูมิภาคนี้ทั้งหมดแล้ว อิสราเอลก็จะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปฏิบัติตามสิ่งที่นานาชาติตกลงกันเกี่ยวกับระบบ 2 รัฐ หรือการสถาปนารัฐปาเลสไตน์เคียงข้างรัฐอิสราเอล . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000099597 .............. Sondhi X
    Like
    Angry
    5
    0 Comments 0 Shares 938 Views 0 Reviews
  • 15/1/67

    ไข่ผำ Super Food สุดยอดของแหล่งโปรตีนทดแทน

    ไข่ผำ (Wolffia)  เป็น Super Food สุดยอดของแหล่งโปรตีนทดแทน และเป็น 1 ในพืชน้ำ อาหารแห่งอนาคต เป็นอีกหนึ่ง Mega Trend ที่มาแรงและถูกกล่าวถึงเป็นวงกว้าง ภาคอุตสาหกรรมอาหารต่างให้ความสนใจ


    ไข่ผำเป็นพืชน้ำพื้นบ้านที่พบได้ตามห้วย หนอง คลอง บึง ลักษณะเป็นเม็ดสีเขียวขนาดเล็ก มีชื่อว่า “กรีนคาเวียร์” และเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการด้านโปรตีนสูง    เป็นพืชลอยน้ำตระกูลแหน  รูปร่างเป็นเม็ดสีเขียววงกลมหรือเกือบกลมขนาดเล็ก  ไม่มีราก  เป็นพืชดอกขนาดเล็กที่สุดในโลกและขยายพันธุ์ด้วยการแตกหน่อ  ไข่ผำเป็นพืชที่มีโปรตีนและคุณค่าทางโภชนาการสูง  มีสารพฤษเคมี(Phytochemical)  ที่มีประโยชน์  ไข่ผำมีกรดอะมิโนจำเป็นที่พบมากสุด 3 อันดับแรก คือ ไลซีน ฟีนิลอะลานีน ลิวซีน (ช่วยเรื่องภูมิคุ้มกันของร่างกายและระบบประสาท)

    และเมื่อมีการวิเคราะห์กรดไขมันของไข่ผำแห้งพบว่า มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงกว่ากรดไขมันอิ่มตัวประมาณ 2 เท่า และยังพบกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายต้องการอีก 2 ชนิด คือ กรดไขมันโอเมกา 3 และ 6 ในปริมาณที่สูง ไข่ผำ เป็นอาหารแห่งอนาคต เพราะมีต้นทุนการผลิตต่ำ  มีโปรตีนสูง 20-40% มีสารต้านอนุมูลอิสระ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใช้ระยะเวลาเพาะเลี้ยงสั้น เก็บเกี่ยวผลผลิตได้เร็ว และศัตรูพืชน้อย  จึงทำให้ไข่ผำมีแนวโน้มเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ

    คนพระแท่นสร้างการมีส่วนร่วมจากไข่ผำ
    พี่แอ๋ว หรือ สิริวรรณ  โอภากุลวงษ์   เลขากลุ่มวิสาหกิจชุมชนวิถีพระแท่น ได้เล่าให้ฟังว่า  ตำบลพระแท่น  อำเภอท่ามะกา  จังหวัดกาญจนบุรี  มีกลุ่มชาติพรรณไทยทรงดำ  ซึ่งได้บริโภคไข่ผำเป็นอาหารพื้นถิ่นมายาวนาน 

    แต่ในกลุ่มประชาชนทั่วไปยังไม่เป็นที่รู้จักนัก  กลุ่มวิสาหกิจชุมชนวิถีพระแท่นได้หาข้อมูลคุณประโยชน์ของไข่ผำและดำเนินการขับเคลื่อนการเพาะเลี้ยงไข่ผำในชุมชน  โดยใช้งบประมาณโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีรายได้น้อย  จากสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน  สนับสนุนการเลี้ยงไข่ผำในครัวเรือนผู้มีรายได้น้อย จำนวน 30 ครัวเรือน  โดยเลี้ยงในลองคอนกรีต  และทดลองเลี้ยงไข่ผำในโรงเรือนระบบปิด  โดยทั้งสองรูปแบบใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในการเพาะเลี้ยง  ผลผลิตจากการเพาะเลี้ยงในรูปแบบดังกล่าว  เพียงพอต่อการบริโภคในครัวเรือน  แต่ไม่เพียงพอต่อการเพาะเลี้ยงเชิงพานิชย์  เนื่องจากปัจจุบันไข่ผำเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น


    “ตำบลพระแท่นมีจุดเด่นทั้งในเรื่องของการสร้างตลาดสีเขียวคีย์โฮลฟาร์มเมอร์มาร์เก็ตเพื่อเป็นแหล่งอาหารปลอดภัยและสร้างรายได้ให้ครัวเรือนต่างๆ การพัฒนาและต่อยอดผลิตภัณฑ์จาก “ไข่ผำ” ที่นับว่าเป็น Superfood มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก และอาศัยความร่วมมือจากคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้และทักษะเข้าร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์เชื่อมโยงคนทุกกลุ่มในชุมชนให้มีรายได้ รวมถึงระบบการจัดการขยะของคนในตำบลพระแท่นที่ให้คนทุกวัยได้เข้ามาร่วมดำเนินการจนเกิดเป็นรูปธรรมให้พื้นที่อื่นได้เข้ามาศึกษาเรียนรู้”

    นวัตกรรมการจัดการระบบการเลี้ยงไข่ผำอินทรีย์แบบครบวงจร
    พี่แอ๋ว เล่าต่อไปอีกว่า การนำไข่ผำจากแหล่งน้ำธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ยังประสบปัญหาหลายประการโดยเฉพาะการที่ไม่สามารถควบคุมผลผลิตและคุณภาพของไข่ผำโดยเฉพาะคุณค่าทางโภชนาการได้ ดังนั้นการเลี้ยงไข่ผำในโรงเรือนทำให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพตามที่ต้องการ


    นวัตกรรมการจัดการระบบการเลี้ยงไข่ผำอินทรีย์แบบครบวงจร เป็นการเพาะเลี้ยงไข่ผำอินทรีย์ในโรงเรือนระบบปิดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะเลี้ยงไข่ผำทั้งปริมาณและคุณภาพ จึงเป็นนวัตกรรมที่ส่งเสริมให้มีความสามารถในการบริโภคในครัวเรือนรวมถึงการแข่งขันเชิงพานิชย์และพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนในพื้นที่ตำบลพระแท่น โดยมีเป้าหมายหลักในการพัฒนานวัตกรรมจากกระบวนการเพาะเลี้ยงไข่ผำ เพื่อเป็นต้นแบบการเลี้ยงในครัวเรือนและเชิงพานิชย์  และการแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม 

    เพื่อเป็นการพัฒนาอาชีพเกษตรกรให้มีความยั่งยืน  โดยเน้นการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นโดยตลอดกระบวนการพัฒนาการผลิตจะเน้นการใช้วัตถุดิบ อย่างมีประสิทธิภาพ ลดของเสียตั้งแต่ต้นทาง ลดต้นทุนการผลิต และไม่เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาวะของคนในชุมชน และการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เพื่อ ยกระดับทรัพยากรท้องถิ่น และช่วยพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง สามารถเป็นต้นแบบให้กับชุมชนแห่งอื่นได้

    พอช.หนุนให้ชุมชนจัดทำแผนธุรกิจชุมชน
    สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน(องค์การมหาชน)หรือ พอช. ได้เข้ามาสนับสนุนการอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่องแผนธุรกิจชุมชน โดยสภาองค์กรชุมชนตำบลพระแท่นได้ต่อยอดนำความรู้เรื่องแผนธุกิจปรับประยุกต์ใช้กับโครงการอาหารปลอดภัย สร้างโอกาสในกิจกรรมคีโฮลการ์เด้นท์ การผลิตผักปลอดภัย คนในชุมชนได้แบ่งปันและทดลองจำหน่าย เกิดผลการเปลี่ยนแปลงต่อยอดเป็นธนาคารเมล็ดพันธุ์ จนในที่สุดมีศูนย์บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ ปัจจุบันธนาคารมีเมล็ดพันธุ์พื้นบ้าน ปี 2562 เกิดเป็นตลาดสีเขียว สถานที่ซื้อขายต้นแบบการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พัฒนาเป็นเรื่องการจัดการขยะชุมชน เรื่องอาหารปลอดภัยเป็นส่วนหนึ่งของสวัสดิการสังคมในชุมชน มีการเลี้ยงไข่ผำ อาหารที่สำคัญในชุมชน ผู้ด้อยโอกาส 30 ครัวเรือน ได้เลี้ยงและบริโภคในครัวเรือน

    ประโยชน์ของ “ไข่ผำ” พืชจิ๋วมหัศจรรย์
    พี่แอ๋ว เล่าต่ออีกว่า องค์ประกอบทางโภชนาการของไข่น้ำพบว่า มีโปรตีน เบต้า – คาโรทีน และคลอโรฟิลล์จากการสังเคราะห์แสง ไข่น้ำมีปริมาณโปรตีนในระดับเดี่ยวกับเมล็ดถั่วชนิดต่าง ๆ เมล็ดธัญพืช มีเส้นใยสูง มีปริมาณกรดอะมิโนที่จำเป็นไม่ต่างกับไข่ไก่ สาหร่ายเกลียวทอง และคลอเรลล่า นอกจากนี้คลอโรฟิลล์ในไข่น้ำสารต้านอนุมูล อิสระ (antioxidant) มากกว่าในสาหร่ายเกลียวทอง ซึ่งใช้รักษาอาการท้องผูก รักษาสภาวะซีดในคนที่เป็น โรคโลหิตจางได้ ประโยชน์ของไข่น้ำสามารนำมาใช้ปรุงอาหารพื้นบ้านทางภาคเหนือและภาคอีสาน เช่น แกงอ่อม แกงคั่ว ไข่ตุ๋น ไข่เจียว เป็นต้น รับประทานได้

    วิธีการเพาะเลี้ยงไข่ผำ
    ประพิมพ์ ศรีนวล หรือ พี่โป้ สมาชิกกลุ่มผู้เพาะเลี้ยงไข่ผำ เล่าให้ฟังถึงวิธีการเพาะเลี้ยงไข่ผำว่า  การเพาะเลี้ยงในบ่อซีเมนต์ หรือ บ่อพลาสติก ให้นำมาล้างทำความสะอาดก่อนปล่อยไข่ผำลงไปเพาะเลี้ยง เมื่อล้างบ่อจนสะอาดแล้ว เติมน้ำใส่บ่อในอัตรา 3/4 ของบ่อ หากใช้น้ำประปาหรือน้ำบาดาล แนะนำให้พักน้ำไว้สัก 2-3 วัน ก่อนที่จะปล่อยพันธุ์ผำลงไป  ผำเป็นพืชที่ชอบแสงแดดรำไร หากจำเป็นต้องเพาะเลี้ยงกลางแจ้งแนะนำให้ใช้ซาแรนพรางแสงประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ หรือจะเลี้ยงในโรงเรือนระบบปิดก็สามารถทำได้เช่นกัน


    ส่วนการบำรุงธาตุอาหาร อัตราการเติมธาตุอาหารต่อบ่อ ของที่ไร่จะใช้น้ำหมักปลาในอัตราส่วน 2 ช้อนโต๊ะต่อ 1 บ่อ เสร็จแล้วจึงค่อยใส่พันธุ์ผำลงไปปริมาณ 1/2 กิโลกรัมต่อบ่อ หรือในกรณีที่ไม่มีในส่วนของน้ำหมักปลา ก็สามารถเลือกใช้น้ำหมักชนิดอื่นๆ ได้ เช่น น้ำหมักมูลไส้เดือน น้ำหมักมูลหมู น้ำหมักมูลวัว หรือจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงสามารถนำมาใช้ได้หมด แล้วแต่ความสะดวกของแต่พื้นที่  


    การดูแลหลังจากที่ปล่อยพันธุ์ผำลงไปเพาะเลี้ยงได้ครบ 1 สัปดาห์ ให้ช้อนไข่ผำที่อยู่ในบ่อขึ้นมา เพื่อปล่อยน้ำทิ้งล้างทำความสะอาดบ่อ เสร็จแล้วให้เติมน้ำใส่บ่อเข้าไปใหม่ เติมธาตุอาหารลงไป ทำเหมือนเดิมกับครั้งแรกทุกอย่าง แล้วปล่อยพันธุ์ผำลงไปเลี้ยงอีก 1 สัปดาห์ ช้อนผำที่เลี้ยงทั้งหมดมาล้างน้ำทำความสะอาด 4 ครั้ง สำหรับนำไปจำหน่ายแบบสด  เท่ากับว่าการเพาะเลี้ยงไข่ผำใช้เวลาเพียง 2 สัปดาห์ แต่ถ้าในกรณีนำไปเพาะพันธุ์ต่อ ใช้เวลาเลี้ยง 1 สัปดาห์ ก็สามารถเอาไปเพาะพันธุ์ต่อได้แล้ว  ซึ่งการเพาะเลี้ยงไม่ยุ่งยาก แต่ปัจจัยสำคัญหรืออุปสรรคที่ทำให้ผู้เพาะเลี้ยงผำไม่ประสบความสำเร็จ คือปัจจัยอุปสรรคในด้านสภาพอากาศและสารเคมี ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สามารถควบคุมได้

    ปัญหาและอุปสรรคของการเพาะเลี้ยง “ไข่ผำ”
    พี่โป้ เล่าให้ฟังอีกว่า อุปสรรคทางด้านสภาพอากาศ โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนจะส่งผลกระทบทำให้ผลผลิตลดน้อยลง “ผำ” จะชอบอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 20-26 องศา ซึ่งถ้าอากาศร้อนไปกว่านี้จะส่งผลให้ปริมาณและอัตราการขยายตัวลดน้อยลง

    สารเคมี ไม่ว่าจะเป็นยาฆ่าหญ้า หรือสารเคมีชนิดอื่นๆ ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผำไม่เจริญเติบโต ผำถือเป็นพืชที่เซนซิทีฟต่อสารเคมี หรืออีกนัยหนึ่งคือ ผำถือเป็นดัชนีชี้วัดได้ว่าพื้นที่ตรงนั้นไม่มีการใช้สารเคมีจริงๆ ที่ถึงแม้ว่าต่อให้ในพื้นที่สวนของเราไม่ใช้ แต่สวนรอบข้างเราใช้ หรือมีคนอื่นมาฉีดพ่นสารเคมีในบริเวณใกล้เคียง ก็ส่งผลทำให้ผำไม่เจริญเติบโตและตายได้เช่นกัน  

    วิธีการเก็บเกี่ยวผลผลิตไข่ผำ เมื่อเพาะเลี้ยงผำจนครบ 2 สัปดาห์ แล้ววิธีการเก็บไปขาย ให้เตรียมซึ้งนึ่งอาหารมาแล้วใช้ผ้าขาวบางรอง จากนั้นนำตาข่ายสีฟ้ามาวางทับผ้าขาวบางอีกชั้น แล้วช้อนผำขึ้นมาใส่ไว้ในตาข่ายสีฟ้า ใช้น้ำประปาล้างแล้วผำจะหล่นลงไปที่ผ้าขาวบางที่รองไว้ข้างล่าง พอได้ผำมาทั้งหมดให้นำไปล้างน้ำทำความสะอาดอีก 4 ครั้ง คือล้างแล้วบิด จนครบ 4 ครั้ง ถึงจะนำไปจำหน่ายได้

    ความน่าสนใจของการเพาะเลี้ยงไข่ผำคือ ไข่ผำเป็นพืชที่ไม่ต้องใช้การดูแลมาก สามารถทำเป็นอาชีพเสริมได้สบายๆ เพาะใช้เวลาในการเพาะเลี้ยงเพียง 2 สัปดาห์ สามารถเก็บผลผลิตขายได้ และยังเป็นพืชที่มีอนาคตสดใส ด้วยคุณประโยชน์ที่ครบถ้วน

    สามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สร้างมูลค่าเพิ่มได้หลากหลาย  สำหรับไข่ผำที่ได้ทั้งสะอาดปลอดภัยจากสารเคมี พร้อมนำไปแปรรูปเป็นอาหารต่างๆ และจำหน่ายไข่ผำอินทรีย์แบบสดๆ กิโลกรัมละ 100 บาท หากแห้ง กิโลกรัมละ 2,500-3,000 บาท สามารถสร้างรายได้ทั้งขายสด และแปรรูป ให้กับชุมชนบ้านพระแท่นได้อย่างงาม เป็นหนึ่งในอาชีพที่จะสร้างการมีส่วนร่วมและความมั่นคงให้กับชุมชนได้อย่างยั่งยืน
    cr:web.codi.co.th
    15/1/67 ไข่ผำ Super Food สุดยอดของแหล่งโปรตีนทดแทน ไข่ผำ (Wolffia)  เป็น Super Food สุดยอดของแหล่งโปรตีนทดแทน และเป็น 1 ในพืชน้ำ อาหารแห่งอนาคต เป็นอีกหนึ่ง Mega Trend ที่มาแรงและถูกกล่าวถึงเป็นวงกว้าง ภาคอุตสาหกรรมอาหารต่างให้ความสนใจ ไข่ผำเป็นพืชน้ำพื้นบ้านที่พบได้ตามห้วย หนอง คลอง บึง ลักษณะเป็นเม็ดสีเขียวขนาดเล็ก มีชื่อว่า “กรีนคาเวียร์” และเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการด้านโปรตีนสูง    เป็นพืชลอยน้ำตระกูลแหน  รูปร่างเป็นเม็ดสีเขียววงกลมหรือเกือบกลมขนาดเล็ก  ไม่มีราก  เป็นพืชดอกขนาดเล็กที่สุดในโลกและขยายพันธุ์ด้วยการแตกหน่อ  ไข่ผำเป็นพืชที่มีโปรตีนและคุณค่าทางโภชนาการสูง  มีสารพฤษเคมี(Phytochemical)  ที่มีประโยชน์  ไข่ผำมีกรดอะมิโนจำเป็นที่พบมากสุด 3 อันดับแรก คือ ไลซีน ฟีนิลอะลานีน ลิวซีน (ช่วยเรื่องภูมิคุ้มกันของร่างกายและระบบประสาท) และเมื่อมีการวิเคราะห์กรดไขมันของไข่ผำแห้งพบว่า มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงกว่ากรดไขมันอิ่มตัวประมาณ 2 เท่า และยังพบกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายต้องการอีก 2 ชนิด คือ กรดไขมันโอเมกา 3 และ 6 ในปริมาณที่สูง ไข่ผำ เป็นอาหารแห่งอนาคต เพราะมีต้นทุนการผลิตต่ำ  มีโปรตีนสูง 20-40% มีสารต้านอนุมูลอิสระ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใช้ระยะเวลาเพาะเลี้ยงสั้น เก็บเกี่ยวผลผลิตได้เร็ว และศัตรูพืชน้อย  จึงทำให้ไข่ผำมีแนวโน้มเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ คนพระแท่นสร้างการมีส่วนร่วมจากไข่ผำ พี่แอ๋ว หรือ สิริวรรณ  โอภากุลวงษ์   เลขากลุ่มวิสาหกิจชุมชนวิถีพระแท่น ได้เล่าให้ฟังว่า  ตำบลพระแท่น  อำเภอท่ามะกา  จังหวัดกาญจนบุรี  มีกลุ่มชาติพรรณไทยทรงดำ  ซึ่งได้บริโภคไข่ผำเป็นอาหารพื้นถิ่นมายาวนาน  แต่ในกลุ่มประชาชนทั่วไปยังไม่เป็นที่รู้จักนัก  กลุ่มวิสาหกิจชุมชนวิถีพระแท่นได้หาข้อมูลคุณประโยชน์ของไข่ผำและดำเนินการขับเคลื่อนการเพาะเลี้ยงไข่ผำในชุมชน  โดยใช้งบประมาณโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีรายได้น้อย  จากสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน  สนับสนุนการเลี้ยงไข่ผำในครัวเรือนผู้มีรายได้น้อย จำนวน 30 ครัวเรือน  โดยเลี้ยงในลองคอนกรีต  และทดลองเลี้ยงไข่ผำในโรงเรือนระบบปิด  โดยทั้งสองรูปแบบใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในการเพาะเลี้ยง  ผลผลิตจากการเพาะเลี้ยงในรูปแบบดังกล่าว  เพียงพอต่อการบริโภคในครัวเรือน  แต่ไม่เพียงพอต่อการเพาะเลี้ยงเชิงพานิชย์  เนื่องจากปัจจุบันไข่ผำเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น “ตำบลพระแท่นมีจุดเด่นทั้งในเรื่องของการสร้างตลาดสีเขียวคีย์โฮลฟาร์มเมอร์มาร์เก็ตเพื่อเป็นแหล่งอาหารปลอดภัยและสร้างรายได้ให้ครัวเรือนต่างๆ การพัฒนาและต่อยอดผลิตภัณฑ์จาก “ไข่ผำ” ที่นับว่าเป็น Superfood มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก และอาศัยความร่วมมือจากคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้และทักษะเข้าร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์เชื่อมโยงคนทุกกลุ่มในชุมชนให้มีรายได้ รวมถึงระบบการจัดการขยะของคนในตำบลพระแท่นที่ให้คนทุกวัยได้เข้ามาร่วมดำเนินการจนเกิดเป็นรูปธรรมให้พื้นที่อื่นได้เข้ามาศึกษาเรียนรู้” นวัตกรรมการจัดการระบบการเลี้ยงไข่ผำอินทรีย์แบบครบวงจร พี่แอ๋ว เล่าต่อไปอีกว่า การนำไข่ผำจากแหล่งน้ำธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ยังประสบปัญหาหลายประการโดยเฉพาะการที่ไม่สามารถควบคุมผลผลิตและคุณภาพของไข่ผำโดยเฉพาะคุณค่าทางโภชนาการได้ ดังนั้นการเลี้ยงไข่ผำในโรงเรือนทำให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพตามที่ต้องการ นวัตกรรมการจัดการระบบการเลี้ยงไข่ผำอินทรีย์แบบครบวงจร เป็นการเพาะเลี้ยงไข่ผำอินทรีย์ในโรงเรือนระบบปิดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะเลี้ยงไข่ผำทั้งปริมาณและคุณภาพ จึงเป็นนวัตกรรมที่ส่งเสริมให้มีความสามารถในการบริโภคในครัวเรือนรวมถึงการแข่งขันเชิงพานิชย์และพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนในพื้นที่ตำบลพระแท่น โดยมีเป้าหมายหลักในการพัฒนานวัตกรรมจากกระบวนการเพาะเลี้ยงไข่ผำ เพื่อเป็นต้นแบบการเลี้ยงในครัวเรือนและเชิงพานิชย์  และการแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม  เพื่อเป็นการพัฒนาอาชีพเกษตรกรให้มีความยั่งยืน  โดยเน้นการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นโดยตลอดกระบวนการพัฒนาการผลิตจะเน้นการใช้วัตถุดิบ อย่างมีประสิทธิภาพ ลดของเสียตั้งแต่ต้นทาง ลดต้นทุนการผลิต และไม่เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาวะของคนในชุมชน และการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เพื่อ ยกระดับทรัพยากรท้องถิ่น และช่วยพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง สามารถเป็นต้นแบบให้กับชุมชนแห่งอื่นได้ พอช.หนุนให้ชุมชนจัดทำแผนธุรกิจชุมชน สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน(องค์การมหาชน)หรือ พอช. ได้เข้ามาสนับสนุนการอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่องแผนธุรกิจชุมชน โดยสภาองค์กรชุมชนตำบลพระแท่นได้ต่อยอดนำความรู้เรื่องแผนธุกิจปรับประยุกต์ใช้กับโครงการอาหารปลอดภัย สร้างโอกาสในกิจกรรมคีโฮลการ์เด้นท์ การผลิตผักปลอดภัย คนในชุมชนได้แบ่งปันและทดลองจำหน่าย เกิดผลการเปลี่ยนแปลงต่อยอดเป็นธนาคารเมล็ดพันธุ์ จนในที่สุดมีศูนย์บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ ปัจจุบันธนาคารมีเมล็ดพันธุ์พื้นบ้าน ปี 2562 เกิดเป็นตลาดสีเขียว สถานที่ซื้อขายต้นแบบการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พัฒนาเป็นเรื่องการจัดการขยะชุมชน เรื่องอาหารปลอดภัยเป็นส่วนหนึ่งของสวัสดิการสังคมในชุมชน มีการเลี้ยงไข่ผำ อาหารที่สำคัญในชุมชน ผู้ด้อยโอกาส 30 ครัวเรือน ได้เลี้ยงและบริโภคในครัวเรือน ประโยชน์ของ “ไข่ผำ” พืชจิ๋วมหัศจรรย์ พี่แอ๋ว เล่าต่ออีกว่า องค์ประกอบทางโภชนาการของไข่น้ำพบว่า มีโปรตีน เบต้า – คาโรทีน และคลอโรฟิลล์จากการสังเคราะห์แสง ไข่น้ำมีปริมาณโปรตีนในระดับเดี่ยวกับเมล็ดถั่วชนิดต่าง ๆ เมล็ดธัญพืช มีเส้นใยสูง มีปริมาณกรดอะมิโนที่จำเป็นไม่ต่างกับไข่ไก่ สาหร่ายเกลียวทอง และคลอเรลล่า นอกจากนี้คลอโรฟิลล์ในไข่น้ำสารต้านอนุมูล อิสระ (antioxidant) มากกว่าในสาหร่ายเกลียวทอง ซึ่งใช้รักษาอาการท้องผูก รักษาสภาวะซีดในคนที่เป็น โรคโลหิตจางได้ ประโยชน์ของไข่น้ำสามารนำมาใช้ปรุงอาหารพื้นบ้านทางภาคเหนือและภาคอีสาน เช่น แกงอ่อม แกงคั่ว ไข่ตุ๋น ไข่เจียว เป็นต้น รับประทานได้ วิธีการเพาะเลี้ยงไข่ผำ ประพิมพ์ ศรีนวล หรือ พี่โป้ สมาชิกกลุ่มผู้เพาะเลี้ยงไข่ผำ เล่าให้ฟังถึงวิธีการเพาะเลี้ยงไข่ผำว่า  การเพาะเลี้ยงในบ่อซีเมนต์ หรือ บ่อพลาสติก ให้นำมาล้างทำความสะอาดก่อนปล่อยไข่ผำลงไปเพาะเลี้ยง เมื่อล้างบ่อจนสะอาดแล้ว เติมน้ำใส่บ่อในอัตรา 3/4 ของบ่อ หากใช้น้ำประปาหรือน้ำบาดาล แนะนำให้พักน้ำไว้สัก 2-3 วัน ก่อนที่จะปล่อยพันธุ์ผำลงไป  ผำเป็นพืชที่ชอบแสงแดดรำไร หากจำเป็นต้องเพาะเลี้ยงกลางแจ้งแนะนำให้ใช้ซาแรนพรางแสงประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ หรือจะเลี้ยงในโรงเรือนระบบปิดก็สามารถทำได้เช่นกัน ส่วนการบำรุงธาตุอาหาร อัตราการเติมธาตุอาหารต่อบ่อ ของที่ไร่จะใช้น้ำหมักปลาในอัตราส่วน 2 ช้อนโต๊ะต่อ 1 บ่อ เสร็จแล้วจึงค่อยใส่พันธุ์ผำลงไปปริมาณ 1/2 กิโลกรัมต่อบ่อ หรือในกรณีที่ไม่มีในส่วนของน้ำหมักปลา ก็สามารถเลือกใช้น้ำหมักชนิดอื่นๆ ได้ เช่น น้ำหมักมูลไส้เดือน น้ำหมักมูลหมู น้ำหมักมูลวัว หรือจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงสามารถนำมาใช้ได้หมด แล้วแต่ความสะดวกของแต่พื้นที่   การดูแลหลังจากที่ปล่อยพันธุ์ผำลงไปเพาะเลี้ยงได้ครบ 1 สัปดาห์ ให้ช้อนไข่ผำที่อยู่ในบ่อขึ้นมา เพื่อปล่อยน้ำทิ้งล้างทำความสะอาดบ่อ เสร็จแล้วให้เติมน้ำใส่บ่อเข้าไปใหม่ เติมธาตุอาหารลงไป ทำเหมือนเดิมกับครั้งแรกทุกอย่าง แล้วปล่อยพันธุ์ผำลงไปเลี้ยงอีก 1 สัปดาห์ ช้อนผำที่เลี้ยงทั้งหมดมาล้างน้ำทำความสะอาด 4 ครั้ง สำหรับนำไปจำหน่ายแบบสด  เท่ากับว่าการเพาะเลี้ยงไข่ผำใช้เวลาเพียง 2 สัปดาห์ แต่ถ้าในกรณีนำไปเพาะพันธุ์ต่อ ใช้เวลาเลี้ยง 1 สัปดาห์ ก็สามารถเอาไปเพาะพันธุ์ต่อได้แล้ว  ซึ่งการเพาะเลี้ยงไม่ยุ่งยาก แต่ปัจจัยสำคัญหรืออุปสรรคที่ทำให้ผู้เพาะเลี้ยงผำไม่ประสบความสำเร็จ คือปัจจัยอุปสรรคในด้านสภาพอากาศและสารเคมี ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สามารถควบคุมได้ ปัญหาและอุปสรรคของการเพาะเลี้ยง “ไข่ผำ” พี่โป้ เล่าให้ฟังอีกว่า อุปสรรคทางด้านสภาพอากาศ โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนจะส่งผลกระทบทำให้ผลผลิตลดน้อยลง “ผำ” จะชอบอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 20-26 องศา ซึ่งถ้าอากาศร้อนไปกว่านี้จะส่งผลให้ปริมาณและอัตราการขยายตัวลดน้อยลง สารเคมี ไม่ว่าจะเป็นยาฆ่าหญ้า หรือสารเคมีชนิดอื่นๆ ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผำไม่เจริญเติบโต ผำถือเป็นพืชที่เซนซิทีฟต่อสารเคมี หรืออีกนัยหนึ่งคือ ผำถือเป็นดัชนีชี้วัดได้ว่าพื้นที่ตรงนั้นไม่มีการใช้สารเคมีจริงๆ ที่ถึงแม้ว่าต่อให้ในพื้นที่สวนของเราไม่ใช้ แต่สวนรอบข้างเราใช้ หรือมีคนอื่นมาฉีดพ่นสารเคมีในบริเวณใกล้เคียง ก็ส่งผลทำให้ผำไม่เจริญเติบโตและตายได้เช่นกัน   วิธีการเก็บเกี่ยวผลผลิตไข่ผำ เมื่อเพาะเลี้ยงผำจนครบ 2 สัปดาห์ แล้ววิธีการเก็บไปขาย ให้เตรียมซึ้งนึ่งอาหารมาแล้วใช้ผ้าขาวบางรอง จากนั้นนำตาข่ายสีฟ้ามาวางทับผ้าขาวบางอีกชั้น แล้วช้อนผำขึ้นมาใส่ไว้ในตาข่ายสีฟ้า ใช้น้ำประปาล้างแล้วผำจะหล่นลงไปที่ผ้าขาวบางที่รองไว้ข้างล่าง พอได้ผำมาทั้งหมดให้นำไปล้างน้ำทำความสะอาดอีก 4 ครั้ง คือล้างแล้วบิด จนครบ 4 ครั้ง ถึงจะนำไปจำหน่ายได้ ความน่าสนใจของการเพาะเลี้ยงไข่ผำคือ ไข่ผำเป็นพืชที่ไม่ต้องใช้การดูแลมาก สามารถทำเป็นอาชีพเสริมได้สบายๆ เพาะใช้เวลาในการเพาะเลี้ยงเพียง 2 สัปดาห์ สามารถเก็บผลผลิตขายได้ และยังเป็นพืชที่มีอนาคตสดใส ด้วยคุณประโยชน์ที่ครบถ้วน สามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สร้างมูลค่าเพิ่มได้หลากหลาย  สำหรับไข่ผำที่ได้ทั้งสะอาดปลอดภัยจากสารเคมี พร้อมนำไปแปรรูปเป็นอาหารต่างๆ และจำหน่ายไข่ผำอินทรีย์แบบสดๆ กิโลกรัมละ 100 บาท หากแห้ง กิโลกรัมละ 2,500-3,000 บาท สามารถสร้างรายได้ทั้งขายสด และแปรรูป ให้กับชุมชนบ้านพระแท่นได้อย่างงาม เป็นหนึ่งในอาชีพที่จะสร้างการมีส่วนร่วมและความมั่นคงให้กับชุมชนได้อย่างยั่งยืน cr:web.codi.co.th
    0 Comments 0 Shares 37 Views 0 Reviews
  • สหรัฐฯแถลงว่าจะจัดส่งกองทหารอเมริกันพร้อมด้วยระบบ THAAD ที่เป็นระบบต่อสู้ขีปนาวุธล้ำยุคของตนไปยังอิสราเอล เพื่อหนุนเสริมการป้องกันภัยทางอากาศของรัฐยิวภายหลังจากถูกอิหร่านระดมโจมตีด้วยขีปนาวุธ ถือเป็นการเคลื่อนย้ายกำลังทหารที่ผิดธรรมดาเป็นอย่างมาก
    .
    ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ กล่าวว่า ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อ “พิทักษ์ปกป้องอิสราเอล” ขณะที่รัฐยิวเองมีรายงานว่ากำลังชั่งใจจะตอบโต้เอาคืนอิหร่านอย่างไรดี หลังจากเตหะรานยิงขีปนาวุธจำนวนรวมมากกว่า 180 ลูกเข้าใส่อิสราเอลเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา
    .
    พวกเจ้าหน้าที่อเมริกันอ้างว่า สหรัฐฯกำลังรบเร้าอิสราเอลอย่างเป็นการภายในให้ดำเนินการตอบโต้อย่างระมัดระวัง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้กลายเป็นการจุดชนวนสงครามขนาดกว้างขวางยิ่งไปกว่านี้ขึ้นมาในตะวันออกกลาง ขณะที่ ไบเดน ออกมาส่งเสียงต่อหน้าสาธารณชนว่าเขาคัดค้านหากอิสราเอลจะเล่นงานที่ตั้งทางนิวเคลียร์ของอิหร่าน และต่อมาเขายังแสดงความกังวลที่อาจจะมีการโจมตีใส่โครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำมันของอิหร่าน
    .
    ทางด้านโฆษกของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) พล.ต.แพทริก ไรเดอร์ พูดถึงการเคลื่อนย้ายกำลังคราวนี้ว่า เป็นส่วนหนึ่งของ “การปรับตัวระดับกว้างขวางยิ่งกว่านี้ ซึ่งทางกองทัพสหรัฐฯดำเนินการอยู่ในระยะไม่กี่เดือนที่ผ่านมา” เพื่อสนับสนุนอิสราเอล และพิทักษ์ปกป้องบุคลากรของสหรัฐฯจากการถูกโจมตีโดยอิหร่านและกลุ่มต่างๆ ที่อิหร่านหนุนหลังอยู่
    .
    แต่การเคลื่อนย้ายกำลังทหารสหรัฐฯไปยังอิสราเอล โดยที่มิได้เกี่ยวข้องกับการฝึกทางทหารเช่นนี้ ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่น้อยครั้งนักจะเกิดขึ้น เมื่อพิจารณาจากสมรรถนะทางทหารที่อิสราเอลเองมีอยู่แล้ว ถึงแม้ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมากองทหารอเมริกันจากเรือรบและเครื่องบินขับไล่ของสหรัฐฯซึ่งประจำการอยู่ในตะวันออกกลาง ได้มีการช่วยเหลือการป้องกันของอิสราเอล เมื่อรัฐยิวตกเป็นเป้าหมายโจมตีจากฝ่ายอิหร่าน
    .
    ทว่าเรือรบและเครื่องบินรบอเมริกันเหล่านี้ล้วนตั้งฐานอยู่นอกอิสราเอล
    .
    ระบบป้องกันขีปนาวุธ ธาด (THAAD ย่อมาจาก Terminal High Altitude Area Defense system ระบบป้องกันพื้นที่โดยยิงทำลายขีปนาวุธทิ้งตัวของข้าศึกในระดับความสูงที่สูงมากขณะมันกำลังอยู่ในช่วง Terminal นั่นคือตกกลับลงมาหรือหวนกลับมาเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของโลก) ที่สหรัฐฯจะนำไปยังอิสราเอลนี้ ถือเป็นส่วนสำคัญยิ่งยวดส่วนหนึ่งของระบบป้องกันภัยทางอากาศที่มีอยู่ด้วยหลายๆ ชั้นของกองทัพสหรัฐฯ และแน่นอนทีเดียวว่าจะเป็นการเติมเสริมระบบต่อสู้ขีปนาวุธที่น่าเกรงขามอยู่แล้วของอิสราเอล
    .
    ชุดปฏิบัติการยิงระบบ ธาด ชุดหนึ่งๆ ปกติแล้วต้องอาศัยกำลังทหารราว 100 คนในการใช้งาน โดยประกอบไปด้วยแท่นยิงหลายแท่นซึ่งติดตั้งอยู่บนรถบรรทุกรวม 6 คัน แต่ละแท่นยิงนี้บรรจุขีปนาวุธสกัดกั้น 8 ลูก แล้วยังมีระบบเรดาร์ทรงพลังมากอีก 1 ระบบ
    .
    รัฐมนตรีต่างประเทศ อับบาส อารากชี ของอิหร่าน กล่าวเตือนเอาไว้ก่อนหน้านี้เมื่อวันอาทิตย์ (13) ว่า สหรัฐฯกำลังนำเอาทหารของตนเอง “เข้ามาอยู่ในความเสี่ยง ด้วยการเคลื่อนย้ายพวกเขาเข้าปฏิบัติการใช้งานระบบขีปนาวุธสหรัฐฯในอิสราเอล”
    .
    “ขณะที่เราได้ใช้ความพยายามอย่างมหาศาลในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เพื่อจำกัดควบคุมไม่ให้เกิดสงครามแบบเต็มพิกัดขึ้นในภูมิภาคของเรา ผมก็ต้องพูดออกมาให้ชัดเจนด้วยว่า ในการพิทักษ์ปกป้องประชาชนของเราและผลประโยชน์ของเรานั้น ไม่มีการขีดเส้นแดงห้ามล่วงละเมิดใดๆ ทั้งสิ้น (นั่นคือทุกอย่างที่ศัตรูทำต่ออิหร่าน ถือเป็นการละเมิดเส้นแดงทั้งหมด)” อารากชี กล่าวในข้อความที่โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์
    .
    กระนั้น พวกผู้เชี่ยวชาญบอกว่า อิหร่านยังคงหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการทำสงครามโดยตรงกับสหรัฐฯ ดังนั้นจึงทำให้การเคลื่อนย้ายกำลังทหารสหรัฐฯไปยังอิสราเอลคราวนี้ กลายเป็นปัจจัยอีกอย่างหนึ่งที่เตหะรานต้องนำมาคำนวณในเวลาเดินหน้าทำอะไรต่อไป
    .
    อิหร่านนั้นได้เปิดฉากยิงขีปนาวุธและปล่อยโดรนออกไปเล่นงานอิสราเอลในเดือนเมษายน จากนั้นในวันที่ 1 ตุลาคม อิหร่านก็ยิงขีปนาวุธทิ้งตัวมากกว่า 180 ลูกใส่อิสราเอล ท่ามกลางการบานปลายขยายตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่งของการสู้รบระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอนซึ่งเตหะรานหนุนหลังอยู่ ขีปนาวุธและโดรนเหล่านี้จำนวนมากถูกสกัดกั้นเอาไว้ได้กลางเวหา แต่ก็มีบางส่วนฝ่าผ่านระบบป้องกันขีปนาวุธเข้าไปได้สำเร็จ
    .
    พวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯไม่ได้ระบุว่า ระบบนี้จะถูกเคลื่อนย้ายมายังอิสราเอลได้รวดเร็วแค่ไหน
    .
    ก่อนหน้านี้ เพนตากอนเคยแถลงว่า ได้เคลื่อนย้ายระบบ ธาด 1 ระบบเข้าไปทางภาคใต้อิสราเอลเมื่อปี 2019 สำหรับการฝึกซ้อม ถือเป็นครั้งสุดท้ายและครั้งเดียวเท่านั้นซึ่งเป็นที่ทราบกันว่ามีการนำเอาอาวุธนี้ไปยังรัฐยิว
    .
    ล็อกฮีด มาร์ติน บริษัทผู้ผลิตอาวุธรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ คือผู้ที่ผลิต, สร้าง, และนำเอาส่วนต่างๆ ของระบบธาด มารวมกัน โดยที่ระบบนี้ออกแบบมาเพื่อใช้ยิงขีปนาวุธทิ้งตัวทั้งแบบแบบพิสัยสั้น, พิสัยกลาง (medium -range), และพิสัยปานกลาง (intermediate-range) ขณะที่ เรย์ธีออน บริษัทอาวุธอเมริกันอีกแห่งหนึ่ง เป็นผู้สร้างระบบเรดาร์ล้ำยุคที่ใช้กับ ธาด
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000099219
    ..............
    Sondhi X
    สหรัฐฯแถลงว่าจะจัดส่งกองทหารอเมริกันพร้อมด้วยระบบ THAAD ที่เป็นระบบต่อสู้ขีปนาวุธล้ำยุคของตนไปยังอิสราเอล เพื่อหนุนเสริมการป้องกันภัยทางอากาศของรัฐยิวภายหลังจากถูกอิหร่านระดมโจมตีด้วยขีปนาวุธ ถือเป็นการเคลื่อนย้ายกำลังทหารที่ผิดธรรมดาเป็นอย่างมาก . ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ กล่าวว่า ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อ “พิทักษ์ปกป้องอิสราเอล” ขณะที่รัฐยิวเองมีรายงานว่ากำลังชั่งใจจะตอบโต้เอาคืนอิหร่านอย่างไรดี หลังจากเตหะรานยิงขีปนาวุธจำนวนรวมมากกว่า 180 ลูกเข้าใส่อิสราเอลเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา . พวกเจ้าหน้าที่อเมริกันอ้างว่า สหรัฐฯกำลังรบเร้าอิสราเอลอย่างเป็นการภายในให้ดำเนินการตอบโต้อย่างระมัดระวัง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้กลายเป็นการจุดชนวนสงครามขนาดกว้างขวางยิ่งไปกว่านี้ขึ้นมาในตะวันออกกลาง ขณะที่ ไบเดน ออกมาส่งเสียงต่อหน้าสาธารณชนว่าเขาคัดค้านหากอิสราเอลจะเล่นงานที่ตั้งทางนิวเคลียร์ของอิหร่าน และต่อมาเขายังแสดงความกังวลที่อาจจะมีการโจมตีใส่โครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำมันของอิหร่าน . ทางด้านโฆษกของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) พล.ต.แพทริก ไรเดอร์ พูดถึงการเคลื่อนย้ายกำลังคราวนี้ว่า เป็นส่วนหนึ่งของ “การปรับตัวระดับกว้างขวางยิ่งกว่านี้ ซึ่งทางกองทัพสหรัฐฯดำเนินการอยู่ในระยะไม่กี่เดือนที่ผ่านมา” เพื่อสนับสนุนอิสราเอล และพิทักษ์ปกป้องบุคลากรของสหรัฐฯจากการถูกโจมตีโดยอิหร่านและกลุ่มต่างๆ ที่อิหร่านหนุนหลังอยู่ . แต่การเคลื่อนย้ายกำลังทหารสหรัฐฯไปยังอิสราเอล โดยที่มิได้เกี่ยวข้องกับการฝึกทางทหารเช่นนี้ ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่น้อยครั้งนักจะเกิดขึ้น เมื่อพิจารณาจากสมรรถนะทางทหารที่อิสราเอลเองมีอยู่แล้ว ถึงแม้ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมากองทหารอเมริกันจากเรือรบและเครื่องบินขับไล่ของสหรัฐฯซึ่งประจำการอยู่ในตะวันออกกลาง ได้มีการช่วยเหลือการป้องกันของอิสราเอล เมื่อรัฐยิวตกเป็นเป้าหมายโจมตีจากฝ่ายอิหร่าน . ทว่าเรือรบและเครื่องบินรบอเมริกันเหล่านี้ล้วนตั้งฐานอยู่นอกอิสราเอล . ระบบป้องกันขีปนาวุธ ธาด (THAAD ย่อมาจาก Terminal High Altitude Area Defense system ระบบป้องกันพื้นที่โดยยิงทำลายขีปนาวุธทิ้งตัวของข้าศึกในระดับความสูงที่สูงมากขณะมันกำลังอยู่ในช่วง Terminal นั่นคือตกกลับลงมาหรือหวนกลับมาเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของโลก) ที่สหรัฐฯจะนำไปยังอิสราเอลนี้ ถือเป็นส่วนสำคัญยิ่งยวดส่วนหนึ่งของระบบป้องกันภัยทางอากาศที่มีอยู่ด้วยหลายๆ ชั้นของกองทัพสหรัฐฯ และแน่นอนทีเดียวว่าจะเป็นการเติมเสริมระบบต่อสู้ขีปนาวุธที่น่าเกรงขามอยู่แล้วของอิสราเอล . ชุดปฏิบัติการยิงระบบ ธาด ชุดหนึ่งๆ ปกติแล้วต้องอาศัยกำลังทหารราว 100 คนในการใช้งาน โดยประกอบไปด้วยแท่นยิงหลายแท่นซึ่งติดตั้งอยู่บนรถบรรทุกรวม 6 คัน แต่ละแท่นยิงนี้บรรจุขีปนาวุธสกัดกั้น 8 ลูก แล้วยังมีระบบเรดาร์ทรงพลังมากอีก 1 ระบบ . รัฐมนตรีต่างประเทศ อับบาส อารากชี ของอิหร่าน กล่าวเตือนเอาไว้ก่อนหน้านี้เมื่อวันอาทิตย์ (13) ว่า สหรัฐฯกำลังนำเอาทหารของตนเอง “เข้ามาอยู่ในความเสี่ยง ด้วยการเคลื่อนย้ายพวกเขาเข้าปฏิบัติการใช้งานระบบขีปนาวุธสหรัฐฯในอิสราเอล” . “ขณะที่เราได้ใช้ความพยายามอย่างมหาศาลในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เพื่อจำกัดควบคุมไม่ให้เกิดสงครามแบบเต็มพิกัดขึ้นในภูมิภาคของเรา ผมก็ต้องพูดออกมาให้ชัดเจนด้วยว่า ในการพิทักษ์ปกป้องประชาชนของเราและผลประโยชน์ของเรานั้น ไม่มีการขีดเส้นแดงห้ามล่วงละเมิดใดๆ ทั้งสิ้น (นั่นคือทุกอย่างที่ศัตรูทำต่ออิหร่าน ถือเป็นการละเมิดเส้นแดงทั้งหมด)” อารากชี กล่าวในข้อความที่โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ . กระนั้น พวกผู้เชี่ยวชาญบอกว่า อิหร่านยังคงหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการทำสงครามโดยตรงกับสหรัฐฯ ดังนั้นจึงทำให้การเคลื่อนย้ายกำลังทหารสหรัฐฯไปยังอิสราเอลคราวนี้ กลายเป็นปัจจัยอีกอย่างหนึ่งที่เตหะรานต้องนำมาคำนวณในเวลาเดินหน้าทำอะไรต่อไป . อิหร่านนั้นได้เปิดฉากยิงขีปนาวุธและปล่อยโดรนออกไปเล่นงานอิสราเอลในเดือนเมษายน จากนั้นในวันที่ 1 ตุลาคม อิหร่านก็ยิงขีปนาวุธทิ้งตัวมากกว่า 180 ลูกใส่อิสราเอล ท่ามกลางการบานปลายขยายตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่งของการสู้รบระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอนซึ่งเตหะรานหนุนหลังอยู่ ขีปนาวุธและโดรนเหล่านี้จำนวนมากถูกสกัดกั้นเอาไว้ได้กลางเวหา แต่ก็มีบางส่วนฝ่าผ่านระบบป้องกันขีปนาวุธเข้าไปได้สำเร็จ . พวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯไม่ได้ระบุว่า ระบบนี้จะถูกเคลื่อนย้ายมายังอิสราเอลได้รวดเร็วแค่ไหน . ก่อนหน้านี้ เพนตากอนเคยแถลงว่า ได้เคลื่อนย้ายระบบ ธาด 1 ระบบเข้าไปทางภาคใต้อิสราเอลเมื่อปี 2019 สำหรับการฝึกซ้อม ถือเป็นครั้งสุดท้ายและครั้งเดียวเท่านั้นซึ่งเป็นที่ทราบกันว่ามีการนำเอาอาวุธนี้ไปยังรัฐยิว . ล็อกฮีด มาร์ติน บริษัทผู้ผลิตอาวุธรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ คือผู้ที่ผลิต, สร้าง, และนำเอาส่วนต่างๆ ของระบบธาด มารวมกัน โดยที่ระบบนี้ออกแบบมาเพื่อใช้ยิงขีปนาวุธทิ้งตัวทั้งแบบแบบพิสัยสั้น, พิสัยกลาง (medium -range), และพิสัยปานกลาง (intermediate-range) ขณะที่ เรย์ธีออน บริษัทอาวุธอเมริกันอีกแห่งหนึ่ง เป็นผู้สร้างระบบเรดาร์ล้ำยุคที่ใช้กับ ธาด . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000099219 .............. Sondhi X
    Like
    Sad
    Angry
    6
    0 Comments 0 Shares 845 Views 0 Reviews
  • รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน อับบาส อาราฆชี:

    ○ "ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เราได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อควบคุมสงครามขนาดใหญ่ในภูมิภาคนี้} แต่เราไม่มีเส้นแบ่งที่ชัดเจนในการปกป้องประชาชนและผลประโยชน์ของเรา"

    ○ "สหรัฐฯกำลังส่งอาวุธไปยังอิสราเอลในลักษณะที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน"

    ○ "สหรัฐฯกำลังเสี่ยงชีวิตทหารของตนด้วยการส่งพวกเขาไปควบคุมระบบขีปนาวุธของสหรัฐฯในอิสราเอล"
    .
    Iranian Foreign Minister, Abbas Araghchi:

    ○ "We have made extensive efforts in recent days to contain a large-scale war in the region, but we have no red lines in defending our people and interests."

    ○ "The US is sending weapons to Israel in an unprecedented manner."

    ○ "The US is putting its soldiers' lives at risk by sending them to guide US missile systems in Israel."
    .
    5:37 PM · Oct 13, 2024 · 1,984 Views
    https://x.com/TheCradleMedia/status/1845413644227563917
    รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน อับบาส อาราฆชี: ○ "ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เราได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อควบคุมสงครามขนาดใหญ่ในภูมิภาคนี้} แต่เราไม่มีเส้นแบ่งที่ชัดเจนในการปกป้องประชาชนและผลประโยชน์ของเรา" ○ "สหรัฐฯกำลังส่งอาวุธไปยังอิสราเอลในลักษณะที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน" ○ "สหรัฐฯกำลังเสี่ยงชีวิตทหารของตนด้วยการส่งพวกเขาไปควบคุมระบบขีปนาวุธของสหรัฐฯในอิสราเอล" . Iranian Foreign Minister, Abbas Araghchi: ○ "We have made extensive efforts in recent days to contain a large-scale war in the region, but we have no red lines in defending our people and interests." ○ "The US is sending weapons to Israel in an unprecedented manner." ○ "The US is putting its soldiers' lives at risk by sending them to guide US missile systems in Israel." . 5:37 PM · Oct 13, 2024 · 1,984 Views https://x.com/TheCradleMedia/status/1845413644227563917
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 27 Views 0 Reviews
  • CIA เปิดรับสมัครสายลับ GenZ ฟาดจีน-รัสเซีย ระวังดาบสองคมนี้คืนสนองอเมริกา
    .
    การออกมารับสมัครสายลับอย่างโจ๋งครึ่ม เปิดหน้าผ่านโซเชียลมีเดีย ยิ่งตอกย้ำว่าบทบาทของปฏิบัติการข่าวกรองสหรัฐฯ จะยังคงเป็นตัวจุดประเด็นความขัดแย้งในกลยุทธ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ของอเมริกาอย่างไม่จบไม่สิ้น เพราะปฏิบัติการของ CIA นั้นคือต้นตอของความชั่วร้ายของสงครามที่ไม่มีวันสิ้นสุด ที่น่ากลัวคือ พวกนี้กำลังดำเนินปฏิบัติการชักจูง ดึงเอาเด็ก เยาวชน คนรุ่นใหม่ Gen Y, Gen Z ในประเทศต่างๆ เข้าไปเป็นพวก เข้ามาแทรกซึมให้เป็นสปาย ดำเนินการต่างๆ เพื่อเอื้อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดต่อประโยชน์ของอเมริกา
    .
    ความพยายามสรรหาสายลับในจีน และรัสเซีย ผ่านโซเชียลมีเดียอย่างเปิดเผยครั้งล่าสุด แสดงให้เห็นแนวโน้มอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสหรัฐฯ ใช้ประโยชน์จากความไม่พอใจภายใต้ระบอบอำนาจนิยมเพื่อรวบรวมข่าวกรองโดยใช้จีน โดยในจีน สหรัฐฯ ต้องการอาศัยการใช้ประโยชน์จากความไม่พอใจในหมู่ประชาชนชนชั้นสูงเกี่ยวกับนโยบายที่เด็ดขาดของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง สิ่งนี้คล้ายคลึงกับที่ CIA ทำกับรัสเซียภายหลังการรุกรานยูเครนของกองทัพรัสเซียในปี 2545 โดย CIA ได้เดินแผนลับปฏิบัติการขอข้อมูลชาวรัสเซียที่ผิดหวังกับระบอบการปกครองของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน
    .
    จะเห็นได้ชัดว่า CIA คือองค์กรที่ชั่วร้าย หาข้อมูลข่าวสารเพื่อทำลายประเทศที่ไม่ยอมทำตามนโยบายของอเมริกา เพราะฉะนั้นแล้ว นี่คือแขนขาข้างหนึ่งของจักรวรรดินิยมอเมริกาที่ต้องการจะครอบครองทั่วโลก ตอนนี้ลงมาถึงระดับ Gen Y และ Gen Z แล้ว
    .
    ผมเชื่อว่าต้องมีไม่ต่ำกว่า 10 หรือ 20% ของคนที่ติดต่อไปเพื่อขอเป็นสายลับนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นคนของรัฐบาลนั่นเอง ก็คือว่าไปเป็นสายลับ มึงอยากให้กูไปเป็นสายลับ กูไปเป็นให้ แต่กูก็จะเอาข้อมูลที่กูได้จากมึง ส่งมา ตรงนี้เป็นการตรวจสอบที่ยากเย็นมาก แล้วตรงนี้เป็นดาบสองคมของ CIA ในขณะที่ CIA ต้องการใช้คนพวกนี้สมัครเข้ามา ไม่เลือกแล้ว ที่ไหนก็ได้ จีน รัสเซีย ส่งเข้ามาเลย ถ้าผ่าน ซึ่งการผ่านการตรวจสอบความมั่นคงนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องยาก สามารถตกแต่งได้ จะกลายเป็นว่าหอกอันนี้ ที่ CIA ต้องการเอามาใช้ทิ่มแทงประเทศต่างๆ มันจะย้อนกลับไปทิ่มแทงประเทศสหรัฐอเมริกาเอง
    CIA เปิดรับสมัครสายลับ GenZ ฟาดจีน-รัสเซีย ระวังดาบสองคมนี้คืนสนองอเมริกา . การออกมารับสมัครสายลับอย่างโจ๋งครึ่ม เปิดหน้าผ่านโซเชียลมีเดีย ยิ่งตอกย้ำว่าบทบาทของปฏิบัติการข่าวกรองสหรัฐฯ จะยังคงเป็นตัวจุดประเด็นความขัดแย้งในกลยุทธ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ของอเมริกาอย่างไม่จบไม่สิ้น เพราะปฏิบัติการของ CIA นั้นคือต้นตอของความชั่วร้ายของสงครามที่ไม่มีวันสิ้นสุด ที่น่ากลัวคือ พวกนี้กำลังดำเนินปฏิบัติการชักจูง ดึงเอาเด็ก เยาวชน คนรุ่นใหม่ Gen Y, Gen Z ในประเทศต่างๆ เข้าไปเป็นพวก เข้ามาแทรกซึมให้เป็นสปาย ดำเนินการต่างๆ เพื่อเอื้อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดต่อประโยชน์ของอเมริกา . ความพยายามสรรหาสายลับในจีน และรัสเซีย ผ่านโซเชียลมีเดียอย่างเปิดเผยครั้งล่าสุด แสดงให้เห็นแนวโน้มอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสหรัฐฯ ใช้ประโยชน์จากความไม่พอใจภายใต้ระบอบอำนาจนิยมเพื่อรวบรวมข่าวกรองโดยใช้จีน โดยในจีน สหรัฐฯ ต้องการอาศัยการใช้ประโยชน์จากความไม่พอใจในหมู่ประชาชนชนชั้นสูงเกี่ยวกับนโยบายที่เด็ดขาดของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง สิ่งนี้คล้ายคลึงกับที่ CIA ทำกับรัสเซียภายหลังการรุกรานยูเครนของกองทัพรัสเซียในปี 2545 โดย CIA ได้เดินแผนลับปฏิบัติการขอข้อมูลชาวรัสเซียที่ผิดหวังกับระบอบการปกครองของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน . จะเห็นได้ชัดว่า CIA คือองค์กรที่ชั่วร้าย หาข้อมูลข่าวสารเพื่อทำลายประเทศที่ไม่ยอมทำตามนโยบายของอเมริกา เพราะฉะนั้นแล้ว นี่คือแขนขาข้างหนึ่งของจักรวรรดินิยมอเมริกาที่ต้องการจะครอบครองทั่วโลก ตอนนี้ลงมาถึงระดับ Gen Y และ Gen Z แล้ว . ผมเชื่อว่าต้องมีไม่ต่ำกว่า 10 หรือ 20% ของคนที่ติดต่อไปเพื่อขอเป็นสายลับนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นคนของรัฐบาลนั่นเอง ก็คือว่าไปเป็นสายลับ มึงอยากให้กูไปเป็นสายลับ กูไปเป็นให้ แต่กูก็จะเอาข้อมูลที่กูได้จากมึง ส่งมา ตรงนี้เป็นการตรวจสอบที่ยากเย็นมาก แล้วตรงนี้เป็นดาบสองคมของ CIA ในขณะที่ CIA ต้องการใช้คนพวกนี้สมัครเข้ามา ไม่เลือกแล้ว ที่ไหนก็ได้ จีน รัสเซีย ส่งเข้ามาเลย ถ้าผ่าน ซึ่งการผ่านการตรวจสอบความมั่นคงนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องยาก สามารถตกแต่งได้ จะกลายเป็นว่าหอกอันนี้ ที่ CIA ต้องการเอามาใช้ทิ่มแทงประเทศต่างๆ มันจะย้อนกลับไปทิ่มแทงประเทศสหรัฐอเมริกาเอง
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 595 Views 0 Reviews
  • รัสเซียเสนอ "ระบบสกุลเงินหลายสกุล" ของกลุ่ม BRICS สำหรับการค้าข้ามพรมแดน

    รัสเซียเสนอการปฏิรูประบบการชำระเงินข้ามพรมแดนระหว่างประเทศกลุ่ม BRICS เพื่อเลี่ยงระบบการเงินโลกและปกป้องเศรษฐกิจจากการคว่ำบาตร

    ทางเลือกที่เสนอ ได้แก่ การสร้างเครือข่ายธนาคารพาณิชย์เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น และการสร้างการเชื่อมต่อโดยตรงระหว่างธนาคารกลาง

    รายงานจากกระทรวงการคลังรัสเซีย, ธนาคารแห่งรัสเซีย, และบริษัทที่ปรึกษา Yakov & Partners เน้นย้ำถึงความจำเป็นของ "ระบบสกุลเงินหลายสกุล" นี้เพื่อปกป้องผู้เข้าร่วมจากแรงกดดันภายนอก, เช่น การคว่ำบาตร

    รายงานยังระบุด้วยว่า ผลประโยชน์ของสหรัฐฯไม่ได้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของสมาชิกอื่นๆ ในเครือข่ายการเงินโลกเสมอไป

    แผนดังกล่าวยังเกี่ยวข้องกับการจัดตั้งศูนย์กลางการค้าสำหรับสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมัน, ก๊าซธรรมชาติ, ธัญพืช, และทองคำ

    หลังจากที่รัสเซียรุกรานยูเครนในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๐๒๒, สหรัฐฯและพันธมิตรได้ใช้มาตรการคว่ำบาตรอย่างรุนแรง, โดยอายัดทรัพย์สินต่างประเทศของรัสเซียและตัดธนาคารหลักของรัสเซียออกจากระบบการเงิน SWIFT เพื่อตอบโต้, รัสเซียได้พยายามลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐฯ

    อย่างไรก็ตาม, ประเทศ BRICS อื่นๆ, ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้แรงกดดันจากการคว่ำบาตรเช่นเดียวกัน, ยังคงให้ความสำคัญกับการเข้าถึงระบบการเงินที่ใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ

    ทั่วโลก, เงินดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น ๕๘% ของการชำระเงินระหว่างประเทศ (นอกเขตยูโร) และ ๕๔% ของใบแจ้งหนี้การค้าต่างประเทศ ณ ปี ๒๐๒๒, ตามข้อมูลของสถาบัน Brookings

    ที่มา: Bloomberg
    .
    Russia proposes a BRICS "multicurrency system" for cross-border trade.

    Russia is proposing reforms to cross-border payment systems among BRICS countries to bypass the global financial system and shield its economy from sanctions.

    The proposed alternatives include creating a network of commercial banks to facilitate transactions in local currencies and establishing direct connections between central banks.

    A report from the Russian Finance Ministry, the Bank of Russia, and consultancy Yakov & Partners highlights the need for this "multicurrency system" to protect participants from external pressures, such as sanctions.

    The report also notes that U.S. interests do not always align with those of other members in the global financial network.

    The plan also involves establishing trade hubs for commodities like oil, natural gas, grain, and gold.

    After Russia's invasion of Ukraine in February 2022, the U.S. and its allies imposed severe sanctions, freezing Russia’s foreign assets and cutting major Russian banks from the SWIFT financial system. In response, Russia has been working to reduce its reliance on the U.S. dollar.

    However, other BRICS countries, which aren’t under the same sanctions pressure, continue to value access to the dollar-based financial system.

    Globally, the U.S. dollar accounts for 58% of international payments (outside the eurozone) and 54% of foreign trade invoices as of 2022, according to the Brookings Institution.

    Source: Bloomberg
    .
    11:08 AM · Oct 13, 2024 · 79.6K Views
    https://x.com/BRICSinfo/status/1845315600173695235
    รัสเซียเสนอ "ระบบสกุลเงินหลายสกุล" ของกลุ่ม BRICS สำหรับการค้าข้ามพรมแดน รัสเซียเสนอการปฏิรูประบบการชำระเงินข้ามพรมแดนระหว่างประเทศกลุ่ม BRICS เพื่อเลี่ยงระบบการเงินโลกและปกป้องเศรษฐกิจจากการคว่ำบาตร ทางเลือกที่เสนอ ได้แก่ การสร้างเครือข่ายธนาคารพาณิชย์เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น และการสร้างการเชื่อมต่อโดยตรงระหว่างธนาคารกลาง รายงานจากกระทรวงการคลังรัสเซีย, ธนาคารแห่งรัสเซีย, และบริษัทที่ปรึกษา Yakov & Partners เน้นย้ำถึงความจำเป็นของ "ระบบสกุลเงินหลายสกุล" นี้เพื่อปกป้องผู้เข้าร่วมจากแรงกดดันภายนอก, เช่น การคว่ำบาตร รายงานยังระบุด้วยว่า ผลประโยชน์ของสหรัฐฯไม่ได้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของสมาชิกอื่นๆ ในเครือข่ายการเงินโลกเสมอไป แผนดังกล่าวยังเกี่ยวข้องกับการจัดตั้งศูนย์กลางการค้าสำหรับสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมัน, ก๊าซธรรมชาติ, ธัญพืช, และทองคำ หลังจากที่รัสเซียรุกรานยูเครนในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๐๒๒, สหรัฐฯและพันธมิตรได้ใช้มาตรการคว่ำบาตรอย่างรุนแรง, โดยอายัดทรัพย์สินต่างประเทศของรัสเซียและตัดธนาคารหลักของรัสเซียออกจากระบบการเงิน SWIFT เพื่อตอบโต้, รัสเซียได้พยายามลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม, ประเทศ BRICS อื่นๆ, ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้แรงกดดันจากการคว่ำบาตรเช่นเดียวกัน, ยังคงให้ความสำคัญกับการเข้าถึงระบบการเงินที่ใช้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ทั่วโลก, เงินดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น ๕๘% ของการชำระเงินระหว่างประเทศ (นอกเขตยูโร) และ ๕๔% ของใบแจ้งหนี้การค้าต่างประเทศ ณ ปี ๒๐๒๒, ตามข้อมูลของสถาบัน Brookings ที่มา: Bloomberg . Russia proposes a BRICS "multicurrency system" for cross-border trade. Russia is proposing reforms to cross-border payment systems among BRICS countries to bypass the global financial system and shield its economy from sanctions. The proposed alternatives include creating a network of commercial banks to facilitate transactions in local currencies and establishing direct connections between central banks. A report from the Russian Finance Ministry, the Bank of Russia, and consultancy Yakov & Partners highlights the need for this "multicurrency system" to protect participants from external pressures, such as sanctions. The report also notes that U.S. interests do not always align with those of other members in the global financial network. The plan also involves establishing trade hubs for commodities like oil, natural gas, grain, and gold. After Russia's invasion of Ukraine in February 2022, the U.S. and its allies imposed severe sanctions, freezing Russia’s foreign assets and cutting major Russian banks from the SWIFT financial system. In response, Russia has been working to reduce its reliance on the U.S. dollar. However, other BRICS countries, which aren’t under the same sanctions pressure, continue to value access to the dollar-based financial system. Globally, the U.S. dollar accounts for 58% of international payments (outside the eurozone) and 54% of foreign trade invoices as of 2022, according to the Brookings Institution. Source: Bloomberg . 11:08 AM · Oct 13, 2024 · 79.6K Views https://x.com/BRICSinfo/status/1845315600173695235
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 52 Views 0 Reviews
  • เผยแพร่โดย ศาสตราจารย์ ดร. ไชยันต์ ไชยพร
    ...
    ...
    ‘แก้วสรร’ ออกบทความสุดกินใจ ‘คุณค่า‘ ในชีวิตของคนชื่อ ’ภูมิพล‘

    ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ ชีวิตในหลวงของเรา..ได้จากโลกนี้ไปแล้ว

    พวกเราคนไทยเศร้าโศกยิ่งและแสดงความรักอาลัยออกมามากมายหลายลักษณาการ จนมีผู้คนเป็นอันมากแปลกใจและไต่ถามขอคำตอบจากพวกเราอย่างจริงจังว่า “คุณค่า” ในชีวิตของพระองค์ท่านอยู่ที่ตรงไหน ต่างจากชีวิตอื่นๆที่จากไปในทุกๆวันอย่างไร?

    ผมเป็นชีวิตหนึ่งที่เกิดใต้ร่มพระบารมีมา กว่า ๖๕ ปี ใช้ชีวิตผ่านโลกความคิดมาพอควร ก็เห็นว่าน่าจะมีคำตอบให้เขาได้บ้าง ดังนี้

    ๑) ผมจะตอบเขาว่า เราไม่ได้รักนับถือพระองค์ท่านเพราะฐานันดร มันช่วยไม่ได้ที่พระองค์ทรงเกิดมาเป็นกษัตริย์

    แต่เมื่อคนคนนี้เกิดเป็นกษัตริย์แล้ว เขาเป็นกษัตริย์ที่น่านับถือหรือไม่

    ถ้าท่านผู้ตั้งคำถามได้เกิดเป็นกษัตริย์บ้าง ท่านจะเป็นได้ดีเหมือนพ่อหลวงของเราหรือเปล่า หัวใจของคำถามคำตอบมันน่าจะอยู่ตรงนี้ ตรงที่ว่าคนคนนี้ได้ให้อะไร สร้างอะไรไว้แก่โลกบ้าง ไม่ใช่มีฐานะมีตำแหน่งอะไร คำตอบเช่นนี้คุณว่าถูกต้องไหม?

    ๒) ท่านผู้สงสัยหลายคน สรุปว่าเรานับถือในหลวงเพราะท่านเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งศิลปะ เรือใบ วิศวชลประทาน การเกษตร การปกครอง ฯลฯ

    ผมขอตอบว่าไม่จริง โลกนี้มีคนเก่งกว่าพระองค์อีกมากมายหลายด้านนัก

    แต่จะหาคนที่มี Character เป็น “บารมี”ให้เคารพรักกันโดยทั่วไปได้โดยสนิทใจนั้นยากยิ่ง จริงหรือไม่?

    ๓) “บารมี”คืออะไร..หลายคนถามผมว่าในหลวงเรียนจบสูงนักหรือ?

    ผมว่าเราคนไทยตอบได้ง่ายมาก ว่าคุณค่าของชีวิตนั้นไม่น่าจะวัดจากเขารู้อะไร มีจำนวนความรู้ในสมอง มากหรือไม่

    แต่ต้องอยู่ที่ว่าคนผู้นั้นเขาได้สอนอะไร ออกมาจากตัวตน จากความคิดความอ่านและการปฏิบัติจริงของตนเองบ้าง

    เขาได้สอนให้คนรู้จักคิดอ่านใฝ่รู้ รู้จักมานะอดทน รู้จักเมตตากรุณา รู้จักเสียสละ เพื่อโลกที่ดีกว่าหรือไม่

    ตรงนี้ต่างหากคือคุณค่าของชีวิตมนุษย์ ที่ในหลวงของเราท่านทรงบำเพ็ญเพียร สั่งสมไว้ สอนไว้กว่า ๗๐ ปี จนจากและจบการสอนไปตามวาระแห่งสังขาร ท่านผู้ถามเห็นต่างจากผมไหม?

    ๔)เพื่อนต่างชาติบางคนอาจจะชี้บ่งว่า คุณค่าในชีวิตนั้นน่าจะอยู่ตรงที่มีคนรู้จัก มาร่วมงานศพครบถ้วนพร้อมหน้าเพียงใด แล้วเลยถามว่าในงานพระบรมศพมีใครมาร่วมบ้าง

    ผมก็ขอตอบว่าคุณคิดผิดโดยสิ้นเชิง ความยิ่งใหญ่ในคุณค่าของชีวิตที่จากไปนั้นไม่ได้อยู่ที่มีคนรู้จักมาร่วมอาลัยกันพร้อมหน้าพร้อมตาหรือไม่

    แต่อยู่ตรงที่มีคนที่ไม่รู้จักมาร่วมอาลัยเพราะคุณงามความดีของท่านผู้จากไปหรือเปล่า ๑ เดือนมานี้คุณเห็นอะไรบ้างที่พระบรมมหาราชวังและทุ่งพระเมรุ บ้านเมืองคุณมีให้เห็นอย่างนี้บ้างไหม?

    ๕) ท้ายที่สุดยังคงมีหลายท่านสรุปว่า ทางเดินในชีวิตที่มีค่าที่ว่ากันมานี้ น่าจะเป็นเรื่องพรหมลิขิต หรือเรื่องบังเอิญก็ได้

    คำตอบก็คือไม่ใช่เลย ตลอดทางเดินในชีวิตของพระองค์ท่าน คือ”การเลือก” เลือกทั้งทิศและทาง เลือกด้วยสติปัญญา ด้วยคุณธรรมความอดทนเช่นพระมหาชนก

    พระองค์ทรงเป็นเช่นนักแล่นเรือใบ รู้จักทั้งเป้าหมายที่มุ่งมั่น และทิศทางลมที่ผันผวน รู้จักทั้งกิเลสตัณหาที่รบกวน แล้วเลือกปรับใบ พาชีวิตเดินทางไปยังเป้าหมายที่ต้องการเพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองให้จงได้

    ทั้งหมดนี้คือ “คุณธรรม”ชัดๆ ใจคอท่านผู้ไต่ถามจะไม่ยอมให้ใครผู้ใดมีคุณค่าด้วยตนเองบ้างเลยเชียวหรือ

    จะให้ดาวทุกดวงบนท้องฟ้าเป็นดาวพระเคราะห์ไปหมด ไม่มีดวงใดมีแสงในตนเองบ้างเลยหรืออย่างไร ?

    พวกเรา..คนเคารพรักในหลวง..ไม่ขอกะเกณฑ์บังคับให้ท่านต้องเคารพเหมือนเรา

    พวกเราเพียงแต่ขอร้อง..ไม่อยากให้ท่านเห็นการกราบไหว้ หรือน้ำตาแห่งความรักอาลัยของเรานั้น ไร้สาระน่าดูถูก

    พวกเราขอความเป็นธรรมให้กับพระองค์ท่าน..การที่ใครได้เป็นกษัตริย์ ก็มิได้หมายความว่าต้องเป็นคนไม่มีอะไรดี เพราะได้ดีตามชะตาฟ้าลิขิตเท่านั้นเอง

    พวกเราขอความคุ้มครองให้กับพระองค์ท่าน…ไม่ใช่ถือว่าทรงเป็นบุคคลสาธารณะแล้ว จะคิดจะวิจารณ์ใส่ร้ายอะไรไปตามความรู้สึกนึกคิดของตนเอง ก็ทำได้ฟรีๆตามชอบ โดยอ้างหน้าด้านๆด้วยสีหน้าก้าวหน้าว่า เป็น “เสรีภาพทางการเมือง”

    เราท่านทั้งหลายรวมทั้งท่านผู้ถาม…ในไม่ช้าก็ต้องจากโลกนี้ไป และจะต้องถูกถามเหมือนกันว่าชีวิตของเราได้ทิ้งคุณค่าอะไรไว้บ้าง

    ผมคิดว่าคุณค่าในชีวิตที่เกิดมาเป็นคน ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชได้ทรงบำเพ็ญให้เห็นเป็นที่ประจักษ์นั้น คือตัวอย่างอันมีค่าที่ชัดเจนที่สุดแล้ว ใช่หรือไม่ใช่?

    #14ตุลา16ไชยันต์
    เผยแพร่โดย ศาสตราจารย์ ดร. ไชยันต์ ไชยพร ... ... ‘แก้วสรร’ ออกบทความสุดกินใจ ‘คุณค่า‘ ในชีวิตของคนชื่อ ’ภูมิพล‘ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ ชีวิตในหลวงของเรา..ได้จากโลกนี้ไปแล้ว พวกเราคนไทยเศร้าโศกยิ่งและแสดงความรักอาลัยออกมามากมายหลายลักษณาการ จนมีผู้คนเป็นอันมากแปลกใจและไต่ถามขอคำตอบจากพวกเราอย่างจริงจังว่า “คุณค่า” ในชีวิตของพระองค์ท่านอยู่ที่ตรงไหน ต่างจากชีวิตอื่นๆที่จากไปในทุกๆวันอย่างไร? ผมเป็นชีวิตหนึ่งที่เกิดใต้ร่มพระบารมีมา กว่า ๖๕ ปี ใช้ชีวิตผ่านโลกความคิดมาพอควร ก็เห็นว่าน่าจะมีคำตอบให้เขาได้บ้าง ดังนี้ ๑) ผมจะตอบเขาว่า เราไม่ได้รักนับถือพระองค์ท่านเพราะฐานันดร มันช่วยไม่ได้ที่พระองค์ทรงเกิดมาเป็นกษัตริย์ แต่เมื่อคนคนนี้เกิดเป็นกษัตริย์แล้ว เขาเป็นกษัตริย์ที่น่านับถือหรือไม่ ถ้าท่านผู้ตั้งคำถามได้เกิดเป็นกษัตริย์บ้าง ท่านจะเป็นได้ดีเหมือนพ่อหลวงของเราหรือเปล่า หัวใจของคำถามคำตอบมันน่าจะอยู่ตรงนี้ ตรงที่ว่าคนคนนี้ได้ให้อะไร สร้างอะไรไว้แก่โลกบ้าง ไม่ใช่มีฐานะมีตำแหน่งอะไร คำตอบเช่นนี้คุณว่าถูกต้องไหม? ๒) ท่านผู้สงสัยหลายคน สรุปว่าเรานับถือในหลวงเพราะท่านเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งศิลปะ เรือใบ วิศวชลประทาน การเกษตร การปกครอง ฯลฯ ผมขอตอบว่าไม่จริง โลกนี้มีคนเก่งกว่าพระองค์อีกมากมายหลายด้านนัก แต่จะหาคนที่มี Character เป็น “บารมี”ให้เคารพรักกันโดยทั่วไปได้โดยสนิทใจนั้นยากยิ่ง จริงหรือไม่? ๓) “บารมี”คืออะไร..หลายคนถามผมว่าในหลวงเรียนจบสูงนักหรือ? ผมว่าเราคนไทยตอบได้ง่ายมาก ว่าคุณค่าของชีวิตนั้นไม่น่าจะวัดจากเขารู้อะไร มีจำนวนความรู้ในสมอง มากหรือไม่ แต่ต้องอยู่ที่ว่าคนผู้นั้นเขาได้สอนอะไร ออกมาจากตัวตน จากความคิดความอ่านและการปฏิบัติจริงของตนเองบ้าง เขาได้สอนให้คนรู้จักคิดอ่านใฝ่รู้ รู้จักมานะอดทน รู้จักเมตตากรุณา รู้จักเสียสละ เพื่อโลกที่ดีกว่าหรือไม่ ตรงนี้ต่างหากคือคุณค่าของชีวิตมนุษย์ ที่ในหลวงของเราท่านทรงบำเพ็ญเพียร สั่งสมไว้ สอนไว้กว่า ๗๐ ปี จนจากและจบการสอนไปตามวาระแห่งสังขาร ท่านผู้ถามเห็นต่างจากผมไหม? ๔)เพื่อนต่างชาติบางคนอาจจะชี้บ่งว่า คุณค่าในชีวิตนั้นน่าจะอยู่ตรงที่มีคนรู้จัก มาร่วมงานศพครบถ้วนพร้อมหน้าเพียงใด แล้วเลยถามว่าในงานพระบรมศพมีใครมาร่วมบ้าง ผมก็ขอตอบว่าคุณคิดผิดโดยสิ้นเชิง ความยิ่งใหญ่ในคุณค่าของชีวิตที่จากไปนั้นไม่ได้อยู่ที่มีคนรู้จักมาร่วมอาลัยกันพร้อมหน้าพร้อมตาหรือไม่ แต่อยู่ตรงที่มีคนที่ไม่รู้จักมาร่วมอาลัยเพราะคุณงามความดีของท่านผู้จากไปหรือเปล่า ๑ เดือนมานี้คุณเห็นอะไรบ้างที่พระบรมมหาราชวังและทุ่งพระเมรุ บ้านเมืองคุณมีให้เห็นอย่างนี้บ้างไหม? ๕) ท้ายที่สุดยังคงมีหลายท่านสรุปว่า ทางเดินในชีวิตที่มีค่าที่ว่ากันมานี้ น่าจะเป็นเรื่องพรหมลิขิต หรือเรื่องบังเอิญก็ได้ คำตอบก็คือไม่ใช่เลย ตลอดทางเดินในชีวิตของพระองค์ท่าน คือ”การเลือก” เลือกทั้งทิศและทาง เลือกด้วยสติปัญญา ด้วยคุณธรรมความอดทนเช่นพระมหาชนก พระองค์ทรงเป็นเช่นนักแล่นเรือใบ รู้จักทั้งเป้าหมายที่มุ่งมั่น และทิศทางลมที่ผันผวน รู้จักทั้งกิเลสตัณหาที่รบกวน แล้วเลือกปรับใบ พาชีวิตเดินทางไปยังเป้าหมายที่ต้องการเพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองให้จงได้ ทั้งหมดนี้คือ “คุณธรรม”ชัดๆ ใจคอท่านผู้ไต่ถามจะไม่ยอมให้ใครผู้ใดมีคุณค่าด้วยตนเองบ้างเลยเชียวหรือ จะให้ดาวทุกดวงบนท้องฟ้าเป็นดาวพระเคราะห์ไปหมด ไม่มีดวงใดมีแสงในตนเองบ้างเลยหรืออย่างไร ? พวกเรา..คนเคารพรักในหลวง..ไม่ขอกะเกณฑ์บังคับให้ท่านต้องเคารพเหมือนเรา พวกเราเพียงแต่ขอร้อง..ไม่อยากให้ท่านเห็นการกราบไหว้ หรือน้ำตาแห่งความรักอาลัยของเรานั้น ไร้สาระน่าดูถูก พวกเราขอความเป็นธรรมให้กับพระองค์ท่าน..การที่ใครได้เป็นกษัตริย์ ก็มิได้หมายความว่าต้องเป็นคนไม่มีอะไรดี เพราะได้ดีตามชะตาฟ้าลิขิตเท่านั้นเอง พวกเราขอความคุ้มครองให้กับพระองค์ท่าน…ไม่ใช่ถือว่าทรงเป็นบุคคลสาธารณะแล้ว จะคิดจะวิจารณ์ใส่ร้ายอะไรไปตามความรู้สึกนึกคิดของตนเอง ก็ทำได้ฟรีๆตามชอบ โดยอ้างหน้าด้านๆด้วยสีหน้าก้าวหน้าว่า เป็น “เสรีภาพทางการเมือง” เราท่านทั้งหลายรวมทั้งท่านผู้ถาม…ในไม่ช้าก็ต้องจากโลกนี้ไป และจะต้องถูกถามเหมือนกันว่าชีวิตของเราได้ทิ้งคุณค่าอะไรไว้บ้าง ผมคิดว่าคุณค่าในชีวิตที่เกิดมาเป็นคน ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชได้ทรงบำเพ็ญให้เห็นเป็นที่ประจักษ์นั้น คือตัวอย่างอันมีค่าที่ชัดเจนที่สุดแล้ว ใช่หรือไม่ใช่? #14ตุลา16ไชยันต์
    Like
    Love
    2
    0 Comments 0 Shares 58 Views 0 Reviews
  • 12/10/67

    "ใบบัวบก" กับผลข้างเคียง และความเสี่ยงที่ไม่มีใครเคยบอก

    บัวบก (ภาษาอังกฤษ: Gotu Kola หรือ Centella asiatica ) เป็นสมุนไพรที่มีชื่อเสียงในเรื่องสรรพคุณมากมาย หลายคนเชื่อว่าบัวบกสามารถช่วยบำรุงสมอง เสริมสร้างความจำ การคิด และช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ดียิ่งขึ้น

    นอกจากนี้ ยังมีข้อสันนิษฐานว่าบัวบกอาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพในด้านอื่นๆ อีกมากมาย อย่างไรก็ตาม ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับสรรพคุณของบัวบกยังคงมีอยู่อย่างจำกัด หลายคนอาจรับรู้ถึงประโยชน์ของบัวบก แต่อาจไม่ค่อยมีใครรับรู้ถึงผลข้างเคียงของบัวบกว่ามีอะไรบ้าง

    บัวบกกับผลข้างเคียง และความเสี่ยงที่ไม่มีใครเคยบอก
    การใช้บัวบกอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ในบางราย เช่น ปวดศีรษะ ปวดท้อง หรือเวียนหัว เพื่อลดความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงเหล่านี้ ควรเริ่มต้นด้วยการใช้บัวบกในปริมาณน้อย ๆ และค่อย ๆ เพิ่มปริมาณขึ้นอย่างช้า ๆ การใช้บัวบกเป็นประจำติดต่อกันไม่ควรเกิน 2-6 สัปดาห์ต่อครั้ง ควรหยุดพักการใช้เป็นเวลา 2 สัปดาห์ก่อนกลับมาใช้ใหม่

    สำหรับการใช้บัวบกแบบทาภายนอก อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองผิวหนังได้ ดังนั้นจึงควรทดสอบอาการแพ้ก่อนใช้โดยทาบัวบกในบริเวณผิวหนังเล็ก ๆ และสังเกตอาการแพ้เป็นเวลา 24-48 ชั่วโมง

     อย่าใช้บัวบกหากคุณ
    * กำลังตั้งครรภ์
    * กำลังให้นมบุตร
    * มีโรคตับอักเสบหรือโรคตับอื่น ๆ
    * มีกำหนดการผ่าตัดภายในสองสัปดาห์ข้างหน้า
    * มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
    * มีประวัติเป็นมะเร็งผิวหนัง

    พูดคุยกับแพทย์ของคุณก่อนใช้บัวบกหากคุณ
    * มีโรคตับ
    * มีโรคเบาหวาน
    * มีคอเลสเตอรอลสูง
    * กำลังรับประทานยา เช่น ยาระงับประสาท เพื่อการนอนหลับหรือวิตกกังวล
    * กำลังใช้ยาขับปัสสาวะ

    cr:sanook
    12/10/67 "ใบบัวบก" กับผลข้างเคียง และความเสี่ยงที่ไม่มีใครเคยบอก บัวบก (ภาษาอังกฤษ: Gotu Kola หรือ Centella asiatica ) เป็นสมุนไพรที่มีชื่อเสียงในเรื่องสรรพคุณมากมาย หลายคนเชื่อว่าบัวบกสามารถช่วยบำรุงสมอง เสริมสร้างความจำ การคิด และช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีข้อสันนิษฐานว่าบัวบกอาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพในด้านอื่นๆ อีกมากมาย อย่างไรก็ตาม ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับสรรพคุณของบัวบกยังคงมีอยู่อย่างจำกัด หลายคนอาจรับรู้ถึงประโยชน์ของบัวบก แต่อาจไม่ค่อยมีใครรับรู้ถึงผลข้างเคียงของบัวบกว่ามีอะไรบ้าง บัวบกกับผลข้างเคียง และความเสี่ยงที่ไม่มีใครเคยบอก การใช้บัวบกอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ในบางราย เช่น ปวดศีรษะ ปวดท้อง หรือเวียนหัว เพื่อลดความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงเหล่านี้ ควรเริ่มต้นด้วยการใช้บัวบกในปริมาณน้อย ๆ และค่อย ๆ เพิ่มปริมาณขึ้นอย่างช้า ๆ การใช้บัวบกเป็นประจำติดต่อกันไม่ควรเกิน 2-6 สัปดาห์ต่อครั้ง ควรหยุดพักการใช้เป็นเวลา 2 สัปดาห์ก่อนกลับมาใช้ใหม่ สำหรับการใช้บัวบกแบบทาภายนอก อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองผิวหนังได้ ดังนั้นจึงควรทดสอบอาการแพ้ก่อนใช้โดยทาบัวบกในบริเวณผิวหนังเล็ก ๆ และสังเกตอาการแพ้เป็นเวลา 24-48 ชั่วโมง  อย่าใช้บัวบกหากคุณ * กำลังตั้งครรภ์ * กำลังให้นมบุตร * มีโรคตับอักเสบหรือโรคตับอื่น ๆ * มีกำหนดการผ่าตัดภายในสองสัปดาห์ข้างหน้า * มีอายุต่ำกว่า 18 ปี * มีประวัติเป็นมะเร็งผิวหนัง พูดคุยกับแพทย์ของคุณก่อนใช้บัวบกหากคุณ * มีโรคตับ * มีโรคเบาหวาน * มีคอเลสเตอรอลสูง * กำลังรับประทานยา เช่น ยาระงับประสาท เพื่อการนอนหลับหรือวิตกกังวล * กำลังใช้ยาขับปัสสาวะ cr:sanook
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 38 Views 0 Reviews
  • เชิญชวนคนไทยผู้ รักชาติ-รักแผ่นดิน ทุกคน “ลงโซเชียล” (หมดยุคการลงถนน) แสดงพลังทางความคิดอย่างสร้างสรรค์ ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง สังคม-ประเทศชาติ เพื่อลูกหลานไทย โดยยึดประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสำคัญ
    เชิญชวนคนไทยผู้ รักชาติ-รักแผ่นดิน ทุกคน “ลงโซเชียล” (หมดยุคการลงถนน) แสดงพลังทางความคิดอย่างสร้างสรรค์ ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง สังคม-ประเทศชาติ เพื่อลูกหลานไทย โดยยึดประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสำคัญ
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 37 Views 0 Reviews
  • น่าจะอยู่ในหมากท่านยิวลอร์ดซาตานด้วย,ฝรั่ง&ตะวันตกUN&OSS&CIA อยู่เบื้องหลังแบบอีรัก ลิเบีย ปาเลสไตน์นั้นล่ะ,เพื่อสร้างนอมินีสงครามตัวแทนในแต่ละภูมิภาคให้ได้,มุสลิมไทยถูกหลอกใช้เยอะ ให้มุสลิมต่างชาติที่ไม่ใช่คนไทยมุสลิมปั่นหัวว่ามุสลิมทั่วโลกคือเผ่าชนเดียวกัน เช่นนั้นไม่พากันของสัญชาติUAE ดูไบกันอิสระล่ะ,ร่ำรวยจะตายขอย้ายไปอยู่ดูไบเพราะอิสลามเหมือนกันสิสถานะร่ำรวยจะอยู่อย่างสบายได้ก็คนอิสลามเหมือนกัน,อิสลามไทยหรือที่ไหนๆไปสิ เผ่ามุสลิมเหมือนกันไม่กีดกั้นกีดกำแพงกัน ซาอุฯ อิหร่าน ที่ร่ำรวยพากันย้ายถิ่นจากแผ่นดินไทยเลยสิ,มาปั่นป่วนทำไม,เพราะมันคือขบวนการก่อความวุ่นวายโกลาหล รักษาผลประโยชน์ของชาติตะวันตกและพยายามยึดครองแหล่งทรัพยากรมีค่ามากมายบนอ่าวไทย&อันดามันบวกภาคใต้ทัังหมดเพราะทองคำทั้งภูเขายังเต็มตรึมที่ภาคใต้ หวานปากพวกฝรั่งและอีลิทเลวทั่วโลก จึงปั่นจึงย้ายจึงขนคนแขกคนอาหรับคนพม่าคนโรจิงญามาอยู่ในไทยสร้างกำแพงคนกั้นทั้งภาคใต้ สร้างโกลาหล UNในนามผีบ้าโลกจะได้ออกหน้ามาแทรกแซงแบบบอกให้คนไทยต้องเลี้ยง&ต้องรับเลีัยงดูคนพม่านะ ออกหน้าอย่างหน้าด้านๆ,ทีอิสราเอลยึดครองดินแดนปาเลสไตน์อย่างอยุติธรม UNเสือกไม่เสนอหน้าขับไล่อิสราเอลออกจากปาเลสไตน์เลยสักแอะ นี้จึงสมควรยุบUNทิ้งออกไปจากโลก ห้ามก่อการและต้องสลายตัวสลายองค์กรนี้ทันที เป็นภัยหายนะของโลกแทนด้วยซ้ำเพราะยุ่งวุ่นวายชาติอื่นทุกๆชาติและไม่ได้มีความยุติธรรมอะไร ประเทศทุกๆประเทศก็โง่ สมองผู้นำชั่งกระจอก&กาก เห็นUNเหี้ยขนาดนั้นก็สมควรลาออกจากสมาชิกองค์กรมันสะ,ทุกๆชาติไม่เอาด้วยก็สลายในที่สุด หายนะโลกอาจพลิกเป็นดีได้ เหมือนหากกำจัดตระกูลรอธไชล์ดและตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ทิ้งเสีย เรื่องเลวร้ายทั้งหมดที่โลกกำลังเผชิญก็จบทุกๆปัญหาทันที อย่างมากด้วยหัวไป หางสมุนจะรอดที่ไหน ท่อน้ำเลี้ยงการสนับสนุนถูกตัดตอน ตังไม่มีจากตระกูลผีบ้านี้จบแน่นอน.,อิสลามในไทยก็ไปวัดด้วยแม้แต่โจรใต้ก็จบสู่ความสงบทั้งหมด.เพราะตัวต้นเหตุปัญหาที่แท้จริงถูกตัดตอนจริงๆนั้นเอง.
    น่าจะอยู่ในหมากท่านยิวลอร์ดซาตานด้วย,ฝรั่ง&ตะวันตกUN&OSS&CIA อยู่เบื้องหลังแบบอีรัก ลิเบีย ปาเลสไตน์นั้นล่ะ,เพื่อสร้างนอมินีสงครามตัวแทนในแต่ละภูมิภาคให้ได้,มุสลิมไทยถูกหลอกใช้เยอะ ให้มุสลิมต่างชาติที่ไม่ใช่คนไทยมุสลิมปั่นหัวว่ามุสลิมทั่วโลกคือเผ่าชนเดียวกัน เช่นนั้นไม่พากันของสัญชาติUAE ดูไบกันอิสระล่ะ,ร่ำรวยจะตายขอย้ายไปอยู่ดูไบเพราะอิสลามเหมือนกันสิสถานะร่ำรวยจะอยู่อย่างสบายได้ก็คนอิสลามเหมือนกัน,อิสลามไทยหรือที่ไหนๆไปสิ เผ่ามุสลิมเหมือนกันไม่กีดกั้นกีดกำแพงกัน ซาอุฯ อิหร่าน ที่ร่ำรวยพากันย้ายถิ่นจากแผ่นดินไทยเลยสิ,มาปั่นป่วนทำไม,เพราะมันคือขบวนการก่อความวุ่นวายโกลาหล รักษาผลประโยชน์ของชาติตะวันตกและพยายามยึดครองแหล่งทรัพยากรมีค่ามากมายบนอ่าวไทย&อันดามันบวกภาคใต้ทัังหมดเพราะทองคำทั้งภูเขายังเต็มตรึมที่ภาคใต้ หวานปากพวกฝรั่งและอีลิทเลวทั่วโลก จึงปั่นจึงย้ายจึงขนคนแขกคนอาหรับคนพม่าคนโรจิงญามาอยู่ในไทยสร้างกำแพงคนกั้นทั้งภาคใต้ สร้างโกลาหล UNในนามผีบ้าโลกจะได้ออกหน้ามาแทรกแซงแบบบอกให้คนไทยต้องเลี้ยง&ต้องรับเลีัยงดูคนพม่านะ ออกหน้าอย่างหน้าด้านๆ,ทีอิสราเอลยึดครองดินแดนปาเลสไตน์อย่างอยุติธรม UNเสือกไม่เสนอหน้าขับไล่อิสราเอลออกจากปาเลสไตน์เลยสักแอะ นี้จึงสมควรยุบUNทิ้งออกไปจากโลก ห้ามก่อการและต้องสลายตัวสลายองค์กรนี้ทันที เป็นภัยหายนะของโลกแทนด้วยซ้ำเพราะยุ่งวุ่นวายชาติอื่นทุกๆชาติและไม่ได้มีความยุติธรรมอะไร ประเทศทุกๆประเทศก็โง่ สมองผู้นำชั่งกระจอก&กาก เห็นUNเหี้ยขนาดนั้นก็สมควรลาออกจากสมาชิกองค์กรมันสะ,ทุกๆชาติไม่เอาด้วยก็สลายในที่สุด หายนะโลกอาจพลิกเป็นดีได้ เหมือนหากกำจัดตระกูลรอธไชล์ดและตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ทิ้งเสีย เรื่องเลวร้ายทั้งหมดที่โลกกำลังเผชิญก็จบทุกๆปัญหาทันที อย่างมากด้วยหัวไป หางสมุนจะรอดที่ไหน ท่อน้ำเลี้ยงการสนับสนุนถูกตัดตอน ตังไม่มีจากตระกูลผีบ้านี้จบแน่นอน.,อิสลามในไทยก็ไปวัดด้วยแม้แต่โจรใต้ก็จบสู่ความสงบทั้งหมด.เพราะตัวต้นเหตุปัญหาที่แท้จริงถูกตัดตอนจริงๆนั้นเอง.
    0 Comments 0 Shares 90 Views 32 0 Reviews
  • บทความน่าสนใจของเพจวิเคราะห์บอลจริงจังเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2567 มีประเด็นที่มาของการแพ้คดีที่สมาคมฟุตบอลฯยุคพลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วงฟ้องบริษัทสยามสปอร์ต ซินดิเคท ต่อมาศาลทรัพย์สินทางปัญญาตัดสินให้สมาคมฯต้องจ่าย450ล้านบาท เนื้อหาระบุว่า

    “มาดามแป้ง -นวลพรรณ ล่ำซำ โอดครวญว่า เธอต้องเข้ามาเป็นนายกสมาคม แบบ "ติดลบ" เพราะมีหนี้สิน ถูกทิ้งไว้ให้ต้องรับผิดชอบ เป็นจำนวนมหาศาล

    หนี้ที่เธอกล่าวถึง คือ ค่าชดเชยที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ สั่งให้สมาคม ต้องจ่ายให้บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคต เป็นจำนวน 450 ล้านบาท

    คดีนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วทำไมสมาคมถึงแพ้ เราจะไปลำดับเหตุการณ์กันตั้งแต่แรกนะครับ

    ย้อนกลับไป ในปี 2559 พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ได้รับเลือกให้เป็นนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย และเขาประกาศจุดยืนไว้ว่า "ผมจะเข้ามาเก็บกวาดบ้าน ผมจะเข้ามาจับโจร"

    สิ่งที่ พล.ต.อ.สมยศ ให้ความสำคัญอันดับแรก ไม่ใช่เรื่องของฟุตบอล แต่เป็นการเดินหน้าฟ้องร้อง ผู้ที่มีข้อพิพาทกับสมาคม จำนวนทั้งสิ้น 3 คดี

    2 คดีแรก เกี่ยวกับวรวีร์ มะกูดี เรื่องการสร้างศูนย์ฝึกกีฬาแห่งชาติที่หนองจอก และ เรื่องยักยอกทรัพย์ ส่วนคดีที่ 3 เกี่ยวข้องกับบริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคต จำกัด (มหาชน)

    ก่อนที่เราจะไปเล่าคดี สมยศ vs สยามสปอร์ต เราจำเป็นต้องปูพื้นแบ็กกราวน์ของเรื่องก่อน เพื่อความเข้าใจในภาพรวมที่ชัดเจนขึ้น

    ฟุตบอลไทยลีก ก่อตั้งในปี 2539 ณ เวลานั้น คนดูในสนามแทบไม่มี ความนิยมตกต่ำมาก

    ในช่วง 5 ปีแรก (2539-2544) สมาคมยุควิจิตร เกตุแก้ว พยายามจัดการด้วยตัวเอง แต่สุดท้ายก็ไปไม่ไหว ขาดทุนยับ

    นั่นทำให้ สุชาติ มุฑุกัณฑ์ ทีมผู้บริหารของสมาคมฟุตบอลขณะนั้น มาขอร้องให้ บริษัท สยามสปอร์ต ช่วยเป็นออร์กาไนเซอร์ จัดการแข่งขันลีกอาชีพขึ้นมา พร้อมทั้งช่วงประชาสัมพันธ์เต็มรูปแบบ เพราะสยามสปอร์ตเป็นสื่อใหญ่ที่มีทรัพยากรในมือ น่าจะช่วยสร้างความนิยมให้ไทยลีกได้

    สิ่งที่จะเอามาแลกเปลี่ยน ก็คือ ให้สยามสปอร์ตเป็น "ผู้ดูแลสิทธิประโยชน์ของไทยลีก"

    สำหรับส่วนแบ่งของรายได้ในแต่ละปีนั้น มีรายงานว่า

    - ถ้าได้กำไร สยามสปอร์ตจะได้ ส่วนแบ่งกำไร 95% สมาคมได้ 5%
    - ถ้าขาดทุน สยามสปอร์ตต้องรับผิดชอบเองทั้งหมด

    ถ้าดูตัวเลขนี้ (95% - 5%) ดูเหมือนสยามสปอร์ตจะได้ส่วนแบ่งเยอะก็จริง แต่อย่าลืมว่าตอนนั้นฟุตบอลไทยยังไม่มีมูลค่า ถ้าสมาคมเอาไปทำเอง อย่าว่าแต่กำไร 5% เลย มีแต่จะเข้าเนื้อก็เท่านั้น

    และต่อให้สยามสปอร์ตจะเอาไปทำ ก็ใช่ว่าจะได้กำไรมากมายอะไร สุดท้ายสัญญาก็เลยออกมาในรูปแบบนั้น

    ดีลระหว่างสยามสปอร์ต กับ สมาคมในยุควิจิตร เกตุแก้ว ก็เลยเกิดขึ้น โดยสยามสปอร์ตมีหน้าที่ ต้องจัดการแข่งขันและโปรโมท ไทยลีก, ลีกรอง และ ลีกภูมิภาคทั้งหมด

    ระวิ โหลทอง ผู้บริหารสูงสุดของสยามสปอร์ตกล่าวไว้ว่า "ถ้าผมทำฟุตบอลนอกอย่างเดียว ผมก็ไม่ขาดทุนแล้ว แต่เมื่อผมมาทำไทยลีก ก็ไม่อยากให้มีปัญหาต่อกัน ผมลงทุนทำทีมฟุตบอลเพื่อให้วงการสนุก ส่วนตัวแล้วเรื่องเงินทองไม่มีปัญหาสำหรับผม คนอาจจะมองว่าสยามสปอร์ตได้กำไร แต่มันไม่ใช่ หุ้นบริษัทก็ไม่เคยกระดิก"

    นับจากปี 2544 สยามสปอร์ตเป็นผู้บริหารสิทธิประโยชน์ของไทยลีกมาเรื่อยๆ

    ซึ่งระหว่างนี้ นายกสมาคม เปลี่ยนคนจากวิจิตร เกตุแก้ว เป็นวรวีร์ มะกูดี แต่ก็ยังเซ็นสัญญากันต่อเนื่องกันไป ไม่มีปัญหาอะไร

    รายงานจาก Thaipublica เปิดเผยว่าสยามสปอร์ตในฐานะผู้ดูแลสิทธิประโยชน์ ได้กำไรน้อยมาก โดยเนื้อหาระบุว่า "แม้เม็ดเงินจากสปอนเซอร์ต่างๆ จะไหลผ่านสยามสปอร์ตปีละหลายร้อยล้านบาท แต่ก็มีรายจ่ายที่ใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะค่าลิขสิทธิ์ไทยลีกที่ได้จากทรูวิชั่นส์ ต้องเอาไปแบ่งให้ทีมในไทยพรีเมียร์ลีก และดิวิชั่น 1 และเมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายในการถ่ายทอดสด ที่มีข้อบังคับว่า ต้องถ่ายทอดสดปีละไม่ต่ำกว่า 500 แมตช์ คำนวณแล้ว แทบจะไม่เหลือกำไรเท่าไหร่"

    ผู้บริหารระดับสูงของสยามสปอร์ตรายหนึ่งอธิบายว่า "สิ่งที่บริษัทได้รับ ไม่ใช่กำไรจากการเข้าไปดูแลสิทธิประโยชน์โดยตรง แต่เป็นผลประโยชน์ทางอ้อมมากกว่า เพราะยิ่งวงการฟุตบอลไทยเติบโตเท่าไหร่ ยอดขายสื่อในเครือ และเงินค่าโฆษณาก็ยิ่งเติบโตขึ้น"

    ในปี 2556 สมาคมฟุตบอลยุควรวีร์ เซ็นสัญญาระยะยาวกับสยามสปอร์ต ให้เป็นผู้ดูแลสิทธิประโยชน์ไทยลีก อีก 10 ปี (2556-2565)

    โดยจุดนี้ มีรายงานไม่ตรงกัน บางแหล่งบอกว่า ส่วนแบ่งกำไรอยู่ที่ 95% - 5% ตามเดิม แต่บางแหล่งข่าวบอกว่า ถูกปรับเป็น 50% - 50% แล้ว

    ตอนนั้นแม้จะต่อสัญญากันระยะยาว แต่ดราม่าไม่มี เพราะไทยลีกยังไม่บูม หลายคนมองว่าไทยลีก เป็นเผือกร้อนด้วยซ้ำ ที่โอกาสขาดทุน มากกว่ากำไร

    อย่างไรก็ตาม จุดพลิกผันสำคัญก็เกิดขึ้น ในปี 2557 เมื่อเกิดปรากฏการณ์ "บอลไทยฟีเวอร์"

    เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง รับตำแหน่งเฮดโค้ชทีมชาติ แล้วพาทีมช้างศึกคว้าแชมป์ AFF เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี พร้อมทั้งทำผลงานมาสเตอร์พีซในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก จนทีมไทย เข้าถึงรอบ 12 ทีมสุดท้าย เป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปี

    ทีมชาติชุดใหญ่ มีสตาร์ขึ้นมาประดับวงการพร้อมกันหลายคน เช่น ชนาธิป สรงกระสินธิ์, อดิศักดิ์ ไกรษร, สารัช อยู่เย็น, ชาริล ชัปปุยส์ ฯลฯ ในช่วง AFF จากนั้นก็เพิ่มเติมด้วยผู้เล่นซีเนียร์ ทั้งธีรศิลป์ แดงดา และ ธีราทร บุญมาทัน คือไม่ใช่แค่ชุดใหญ่เท่านั้น แต่บอลเยาวชน ไทยฟอร์มดีมาก คว้าชัยชนะได้ทุกรุ่น

    ทุกอย่างมันส่งเสริมกัน ทำให้ทีมชาติไทย บูมขึ้นแบบพุ่งทะยาน อานิสงส์ก็กลับมาหาไทยลีก ที่มีคนเข้ามาดูอย่างคับคั่ง ทั้งขาจร-ขาประจำ ขณะที่ เรตติ้งถ่ายทอดสดพุ่งสูงมาก

    นักกีฬากลายเป็นไอดอลของเด็กๆ แต่ละคนได้รับงานโฆษณา เป็นรายได้เสริมนอกเหนือจากค่าจ้างในการเล่นฟุตบอลด้วย

    ความนิยมของไทยลีก ทำให้ทรูวิชั่นส์ จ่ายเงินค่าถ่ายทอดสด สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ นั่นคือ สัญญา 4 ปี 4,200 ล้านบาท (เฉลี่ยฤดูกาลละ 1,050 ล้านบาท)

    ไม่ใช่แค่ไทยลีก แต่ลิขสิทธิ์ของทีมชาติชุดใหญ่ ก็ขายได้ราคาดีมาก ในช่วงบอลไทยฟีเวอร์ สามารถขายลิขสิทธิ์ทีมชาติ กับทางไทยรัฐทีวี ได้เงินนัดละ 750,000 บาท

    จากที่สยามสปอร์ต เคยเข้าเนื้อมาหลายๆ ปีติดต่อกัน ในที่สุด เมื่อบอลไทยบูมพร้อมกัน ทั้งสโมสรและทีมชาติ ก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะเก็บเกี่ยวกำไรอย่างเป็นชิ้นเป็นอันแล้ว

    แต่แล้วสถานการณ์ก็พลิกผัน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2559 เมื่อสมาคมมีการเลือกตั้งนายกครั้งใหม่ และพล.ต.อ.สมยศ เป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้ง ล้างบางขั้วเก่าจนราบคาบ

    สิ่งที่ยังกั๊กๆ กันอยู่ คือพล.ต.อ.สมยศเป็นนายกก็จริง แต่คนดูแลสิทธิประโยชน์ไทยลีก จนถึงปี 2565 ดันเป็นสยามสปอร์ต ซึ่งอยู่ฝั่งขั้วอำนาจเก่าของวรวีร์

    ในมุมของพล.ต.อ.สมยศ จึงเป็นเรื่องกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะตัวเองเป็นนายกสมาคมแท้ๆ แต่ผลกำไรของบอลไทย กลับไปตกอยู่ในมือของอีกขั้วหนึ่ง

    นอกจากนั้น ในมุมของสมาคม มั่นใจว่าถ้าหาผู้ดูแลเจ้าอื่น สมาคมน่าจะได้ส่วนแบ่งมากกว่านี้

    หลังจาก พล.ต.อ.สมยศ ชนะเลือกตั้งเพียงแค่เดือนเดียว มีนาคม 2559 เขาตัดสินใจประกาศ "ยกเลิกสัญญา" กับสยามสปอร์ต ในช่วง 7 ปีที่เหลือ (2559-2565)

    พล.ต.อ.สมยศให้สัมภาษณ์ว่า "เราพิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรมกับสมาคม เป็นสัญญาผู้ขาดแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีการกำหนดค่าตอบแทนขั้นต่ำให้ ส่งผลให้สมาคม ไม่สามารถวางแผนงบประมาณดำเนินการได้ด้วยตัวเอง"

    อธิบายคือ สัญญาฉบับเดิมที่เซ็นกัน สยามสปอร์ตจะเป็นฝ่ายแจ้งเองว่าปีนี้ได้กำไรเท่าไหร่ แล้วจะแบ่งจัดสรรให้สมาคมเอง แต่ถ้าขาดทุนก็ไม่ต้องจ่าย

    วิธีการนี้ ไม่มีกำหนดว่า ต้องจ่าย "ขั้นต่ำ" เท่าไหร่ คือไม่มีตัวเลขระบุ ฝั่งสมาคมเอง ก็มองว่า แบบนี้จะตกแต่งเลขอย่างไรก็ได้น่ะสิ

    พล.ต.อ.สมยศ กล่าวปิดท้ายว่า "ผมไม่มีความขัดแย้งกับบริษัทสยามสปอร์ต ซินดิเคท ผมเข้ามาทำหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่เป็นนายกฯ สมาคม และอาสาเข้ามาแก้ปัญหาต่างๆ ซึ่งเมื่อเห็นว่ามันไม่ถูกต้อง ก็อยากทำให้ถูกต้อง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของสมาคมฯ และประชาชนชาวไทย"

    หลังจากยกเลิกสัญญากับสยามสปอร์ต 1 เดือนเท่านั้น เมษายน 2559 สมาคมเซ็นสัญญากับ แพลนบี มีเดีย เป็นผู้ดูแลสิทธิประโยชน์รายใหม่แทน

    เซ็นฉบับแรก (4 ปี) ในปี 2559-2563 และเซ็นในฉบับที่สอง (8 ปี) ในช่วงปี 2564-2571

    และคดีความที่เป็นข่าวใหญ่ ก็เริ่มต้นจากจุดนี้

    เพราะฝั่งสยามสปอร์ตยอมไม่ได้ ที่โดนฉีกสัญญาที่เหลืออยู่ถึง 7 ปีทิ้งลงดื้อๆ

    คือในมุมของสยามสปอร์ตนั้น สมาคมของพล.ต.อ.สมยศ จะคิดว่าสัญญาไม่เป็นธรรม หรือ ได้ส่วนแบ่งน้อย หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ในเมื่อมันมีการเซ็นสัญญาอย่างถูกต้องแล้ว มาโดนฉีกทิ้งแบบนี้ เขาก็เสียหายทางธุรกิจเช่นกัน แล้วแผนงานที่เตรียมไว้หลายปีต่อจากนี้ ใครจะรับผิดชอบ

    ที่ผ่านมา เขาลงทุนกับบอลไทยมาตั้งเยอะ แล้วพอวันที่มีโอกาสเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ก็มาโดนฉีกสัญญาทิ้ง มันยุติธรรมกับเขาหรือไม่?

    นั่นทำให้ สยามสปอร์ตจึงฟ้องสมาคมฟุตบอล ในคดีแพ่ง ข้อหาผิดสัญญา และเรียกค่าเสียหายจำนวน 1,400 ล้านบาท

    ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ รับฟ้องคดีนี้ โดยสยามสปอร์ตเป็นโจทก์ สมาคมฟุตบอลเป็นจำเลย

    ในวันที่ 23 สิงหาคม 2562 ศาลชั้นต้นตัดสินให้สยามสปอร์ตชนะคดี สมาคมฯ ต้องจ่ายเงินชดเชย 50 ล้านบาท โทษฐานบอกเลิกสัญญาโดยมิชอบ

    อย่างไรก็ตามทั้ง 2 ฝ่ายไม่พอใจนักกับผลการตัดสิน โดยฝ่ายกฎหมายของสยามสปอร์ต ให้สัมภาษณ์ว่า "ขอขอบคุณผู้พิพากษาที่ให้ความเป็นธรรมกับเรา อย่างไรก็ตามสยามสปอร์ต จะใช้สิทธิ์อุทธรณ์ในประเด็นเงินค่าเสียหาย ซึ่งทางเรามองว่า มีความเสียหายมากกว่า 50 ล้านบาท"

    แต่ฝั่งสมาคมฯ เองก็ไม่ยอมเช่นกัน โดยพล.ต.อ. สมยศ กล่าวว่า "ผมให้ความเคารพคำสั่งศาล แต่นี่เป็นเพียงศาลชั้นต้น สมาคมจะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาอย่างแน่นอน"

    การต่อสู้คดีในชั้นศาลอุทธรณ์ ดำเนินการมาถึง 2 ปี และในวันที่ 15 กรกฎาคม 2564 ศาลอุทธรณ์ได้ข้อสรุปว่า ตัวเลข 50 ล้านที่ศาลชั้นต้นสั่งให้สมาคม ชดใช้ มันน้อยเกินไป

    และมีคำพิพากษาแก้ ให้สมาคมฯ จ่ายเงินให้สยามสปอร์ตเพิ่มเป็น 450 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี

    จากศาลชั้นต้น 50 ล้านบาท สุดท้ายมาที่ศาลอุทธรณ์ ตัวเงินเด้งขึ้นไปที่ 450 ล้านบาท

    คำวินิจฉัยจากศาล ระบุว่า

    "แม้การบอกเลิกสัญญาระหว่างจำเลยกับโจทก์ จะทำเพื่อการพัฒนาระบบการบริหารให้มีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้มีความชัดเจนด้านค่าตอบแทน จำนวนค่าตอบแทน รวมถึง คู่สัญญาที่ฝ่ายจำเลย อาจมองว่ามีความสามารถในการบริหารจัดการมากกว่าก็ตาม ทั้งหมด ก็มิได้เป็นเหตุที่จะบอกเลิกสัญญากับโจทก์โดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจึงต้องจ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์"

    เมื่อจบศาลอุทธรณ์ สยามสปอร์ตเป็นฝ่ายชนะคดีอยู่ แต่ฝั่งพล.ต.อ.สมยศ ยังไม่ยอม และตัดสินใจยื่นไปที่ฎีกาเป็นศาลสุดท้าย

    ตอนนี้การพิจารณาฎีกายังไม่ออกมา แต่สมาคมแพ้มา 2 ศาลแล้ว คงยากมาก ที่จะพลิกสถานการณ์ เอาตัวรอด ไม่เสียเงินในศาลสุดท้าย เพียงแต่จะจบแค่กี่บาทเท่านั้น

    คือฝั่ง พล.ต.อ.สมยศ มีสิทธิ์คิดอย่างไรก็ได้

    - คุณไม่พอใจได้ ที่ยุควรวีร์เซ็นสัญญายาวถึง 10 ปี กับสยามสปอร์ต

    - คุณไม่พอใจได้ ที่มองว่าส่วนแบ่งน้อยเกินไปแค่ 5%

    แต่การแก้ปัญหาไม่ใช่การหักดิบ โดยฉีกสัญญาทิ้ง ทางที่ดีกว่านั้นคือการเจรจาหาข้อตกลงร่วมกัน แต่พอคุณไปยกเลิกดื้อๆ แบบนั้น เขาก็ไปสู้ด้วยกฎหมายสิ

    และในมุมของศาล ก็ต้องตัดสินตามหลักฐานที่มันเป็นจริง แค่นั้นเอง

    ------------------------

    นั่นคือเหตุผลที่มาดามแป้ง ให้สัมภาษณ์ในวันก่อนว่า "แป้งไม่ได้มาตั้งต้นทางการเงินที่ศูนย์ แต่เริ่มจากติดลบ ติดลบ ติดลบ มันไม่แฟร์ แต่ก็ต้องทำ เพราะสมาคมฟุตบอลตั้งขึ้นมา 109 ปี ก็ต้องอยู่ต่อไป"

    เธอออกสตาร์ตมา ยังไม่ทันทำงานทำการ ก็มีหนี้สิ้น 450 ล้านบาท รออยู่ ถือว่าเป็นนายกสมาคมที่เหนื่อยสาหัส ตั้งแต่วันแรกที่รับงานทีเดียว

    เอาจริงๆ ก็เห็นใจมาดามแป้งอยู่ เธอเพิ่งมารับงานได้ไม่ถึงปี แต่เจอสารพัดปัญหาให้ต้องแก้ ทั้งเรื่องมูลค่าบอลไทยตกต่ำ รวมถึงเรื่อง สมาคมติดหนี้ติดสิน คงได้แต่เป็นกำลังใจให้เธอ ผ่านช่วงวิกฤตินี้ไปให้ได้

    กับคำถามคือ จะเอาเงิน 450 ล้านจากไหนมาจ่ายสยามสปอร์ต? หรือว่าจะแลกเปลี่ยนด้วยการบาร์เตอร์ ทำอะไรสักอย่าง เราก็ต้องมาติดตามดูกันต่อไป

    พูดกันตรงๆ ว่า ถ้าคนที่มีหัวด้านธุรกิจ และ ทำงานด้านฟุตบอลมาหลายปี อย่างมาดามแป้ง ยังแก้ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ ก็ไม่รู้จะมีใครในประเทศไทย มาจัดการเรื่องนี้ได้อีก

    สำหรับกรณีเรื่อง สมาคม vs สยามสปอร์ตครั้งนี้ บทเรียนสำคัญคือ ความรู้สึกของคุณจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ จะชอบหรือไม่ชอบก็อีกเรื่องหนึ่ง

    แต่เมื่อมันมีสัญญาผูกพันกันไว้ การไปฉีกสัญญาทิ้งดื้อๆ แบบนี้ มีโอกาสสูงมากที่จะเป็นฝ่ายเจ็บตัวเอง

    สำหรับ พล.ต.อ.สมยศ วันนี้เขาลงจากตำแหน่งไปแล้ว เป้าหมายการจับโจร ที่เขาตั้งใจไว้วันแรก ก็ไม่รู้ว่าสำเร็จไหม จับใครได้หรือเปล่า ยิ่งไปกว่านั้น ยังทำให้สมาคมโดนฟ้องร้องจนเป็นหนี้เป็นสิน เป็นภาระให้คนที่มาสานงานต่ออย่างมาก

    เรื่องนี้ทำให้เห็นว่า การเป็นนายกสมาคมฟุตบอล เป็นภารกิจที่ไม่ง่ายเลย แค่บู๊อย่างเดียวไม่พอ แต่คุณต้องฉลาดรอบรู้อีกด้วย

    ถ้าทำอะไรโดยขาดความยั้งคิด องค์กรก็จะต้องเจอสถานการณ์ลำบาก เป็นภาระให้คนรับงานต่อ เหมือนอย่างที่สมาคมฟุตบอลต้องเผชิญอยู่ในเวลานี้”
    ที่มา : https://www.facebook.com/share/ZvKUvXwxRkMKfBci/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    บทความน่าสนใจของเพจวิเคราะห์บอลจริงจังเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2567 มีประเด็นที่มาของการแพ้คดีที่สมาคมฟุตบอลฯยุคพลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วงฟ้องบริษัทสยามสปอร์ต ซินดิเคท ต่อมาศาลทรัพย์สินทางปัญญาตัดสินให้สมาคมฯต้องจ่าย450ล้านบาท เนื้อหาระบุว่า “มาดามแป้ง -นวลพรรณ ล่ำซำ โอดครวญว่า เธอต้องเข้ามาเป็นนายกสมาคม แบบ "ติดลบ" เพราะมีหนี้สิน ถูกทิ้งไว้ให้ต้องรับผิดชอบ เป็นจำนวนมหาศาล หนี้ที่เธอกล่าวถึง คือ ค่าชดเชยที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ สั่งให้สมาคม ต้องจ่ายให้บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคต เป็นจำนวน 450 ล้านบาท คดีนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วทำไมสมาคมถึงแพ้ เราจะไปลำดับเหตุการณ์กันตั้งแต่แรกนะครับ ย้อนกลับไป ในปี 2559 พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ได้รับเลือกให้เป็นนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย และเขาประกาศจุดยืนไว้ว่า "ผมจะเข้ามาเก็บกวาดบ้าน ผมจะเข้ามาจับโจร" สิ่งที่ พล.ต.อ.สมยศ ให้ความสำคัญอันดับแรก ไม่ใช่เรื่องของฟุตบอล แต่เป็นการเดินหน้าฟ้องร้อง ผู้ที่มีข้อพิพาทกับสมาคม จำนวนทั้งสิ้น 3 คดี 2 คดีแรก เกี่ยวกับวรวีร์ มะกูดี เรื่องการสร้างศูนย์ฝึกกีฬาแห่งชาติที่หนองจอก และ เรื่องยักยอกทรัพย์ ส่วนคดีที่ 3 เกี่ยวข้องกับบริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคต จำกัด (มหาชน) ก่อนที่เราจะไปเล่าคดี สมยศ vs สยามสปอร์ต เราจำเป็นต้องปูพื้นแบ็กกราวน์ของเรื่องก่อน เพื่อความเข้าใจในภาพรวมที่ชัดเจนขึ้น ฟุตบอลไทยลีก ก่อตั้งในปี 2539 ณ เวลานั้น คนดูในสนามแทบไม่มี ความนิยมตกต่ำมาก ในช่วง 5 ปีแรก (2539-2544) สมาคมยุควิจิตร เกตุแก้ว พยายามจัดการด้วยตัวเอง แต่สุดท้ายก็ไปไม่ไหว ขาดทุนยับ นั่นทำให้ สุชาติ มุฑุกัณฑ์ ทีมผู้บริหารของสมาคมฟุตบอลขณะนั้น มาขอร้องให้ บริษัท สยามสปอร์ต ช่วยเป็นออร์กาไนเซอร์ จัดการแข่งขันลีกอาชีพขึ้นมา พร้อมทั้งช่วงประชาสัมพันธ์เต็มรูปแบบ เพราะสยามสปอร์ตเป็นสื่อใหญ่ที่มีทรัพยากรในมือ น่าจะช่วยสร้างความนิยมให้ไทยลีกได้ สิ่งที่จะเอามาแลกเปลี่ยน ก็คือ ให้สยามสปอร์ตเป็น "ผู้ดูแลสิทธิประโยชน์ของไทยลีก" สำหรับส่วนแบ่งของรายได้ในแต่ละปีนั้น มีรายงานว่า - ถ้าได้กำไร สยามสปอร์ตจะได้ ส่วนแบ่งกำไร 95% สมาคมได้ 5% - ถ้าขาดทุน สยามสปอร์ตต้องรับผิดชอบเองทั้งหมด ถ้าดูตัวเลขนี้ (95% - 5%) ดูเหมือนสยามสปอร์ตจะได้ส่วนแบ่งเยอะก็จริง แต่อย่าลืมว่าตอนนั้นฟุตบอลไทยยังไม่มีมูลค่า ถ้าสมาคมเอาไปทำเอง อย่าว่าแต่กำไร 5% เลย มีแต่จะเข้าเนื้อก็เท่านั้น และต่อให้สยามสปอร์ตจะเอาไปทำ ก็ใช่ว่าจะได้กำไรมากมายอะไร สุดท้ายสัญญาก็เลยออกมาในรูปแบบนั้น ดีลระหว่างสยามสปอร์ต กับ สมาคมในยุควิจิตร เกตุแก้ว ก็เลยเกิดขึ้น โดยสยามสปอร์ตมีหน้าที่ ต้องจัดการแข่งขันและโปรโมท ไทยลีก, ลีกรอง และ ลีกภูมิภาคทั้งหมด ระวิ โหลทอง ผู้บริหารสูงสุดของสยามสปอร์ตกล่าวไว้ว่า "ถ้าผมทำฟุตบอลนอกอย่างเดียว ผมก็ไม่ขาดทุนแล้ว แต่เมื่อผมมาทำไทยลีก ก็ไม่อยากให้มีปัญหาต่อกัน ผมลงทุนทำทีมฟุตบอลเพื่อให้วงการสนุก ส่วนตัวแล้วเรื่องเงินทองไม่มีปัญหาสำหรับผม คนอาจจะมองว่าสยามสปอร์ตได้กำไร แต่มันไม่ใช่ หุ้นบริษัทก็ไม่เคยกระดิก" นับจากปี 2544 สยามสปอร์ตเป็นผู้บริหารสิทธิประโยชน์ของไทยลีกมาเรื่อยๆ ซึ่งระหว่างนี้ นายกสมาคม เปลี่ยนคนจากวิจิตร เกตุแก้ว เป็นวรวีร์ มะกูดี แต่ก็ยังเซ็นสัญญากันต่อเนื่องกันไป ไม่มีปัญหาอะไร รายงานจาก Thaipublica เปิดเผยว่าสยามสปอร์ตในฐานะผู้ดูแลสิทธิประโยชน์ ได้กำไรน้อยมาก โดยเนื้อหาระบุว่า "แม้เม็ดเงินจากสปอนเซอร์ต่างๆ จะไหลผ่านสยามสปอร์ตปีละหลายร้อยล้านบาท แต่ก็มีรายจ่ายที่ใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะค่าลิขสิทธิ์ไทยลีกที่ได้จากทรูวิชั่นส์ ต้องเอาไปแบ่งให้ทีมในไทยพรีเมียร์ลีก และดิวิชั่น 1 และเมื่อรวมกับค่าใช้จ่ายในการถ่ายทอดสด ที่มีข้อบังคับว่า ต้องถ่ายทอดสดปีละไม่ต่ำกว่า 500 แมตช์ คำนวณแล้ว แทบจะไม่เหลือกำไรเท่าไหร่" ผู้บริหารระดับสูงของสยามสปอร์ตรายหนึ่งอธิบายว่า "สิ่งที่บริษัทได้รับ ไม่ใช่กำไรจากการเข้าไปดูแลสิทธิประโยชน์โดยตรง แต่เป็นผลประโยชน์ทางอ้อมมากกว่า เพราะยิ่งวงการฟุตบอลไทยเติบโตเท่าไหร่ ยอดขายสื่อในเครือ และเงินค่าโฆษณาก็ยิ่งเติบโตขึ้น" ในปี 2556 สมาคมฟุตบอลยุควรวีร์ เซ็นสัญญาระยะยาวกับสยามสปอร์ต ให้เป็นผู้ดูแลสิทธิประโยชน์ไทยลีก อีก 10 ปี (2556-2565) โดยจุดนี้ มีรายงานไม่ตรงกัน บางแหล่งบอกว่า ส่วนแบ่งกำไรอยู่ที่ 95% - 5% ตามเดิม แต่บางแหล่งข่าวบอกว่า ถูกปรับเป็น 50% - 50% แล้ว ตอนนั้นแม้จะต่อสัญญากันระยะยาว แต่ดราม่าไม่มี เพราะไทยลีกยังไม่บูม หลายคนมองว่าไทยลีก เป็นเผือกร้อนด้วยซ้ำ ที่โอกาสขาดทุน มากกว่ากำไร อย่างไรก็ตาม จุดพลิกผันสำคัญก็เกิดขึ้น ในปี 2557 เมื่อเกิดปรากฏการณ์ "บอลไทยฟีเวอร์" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง รับตำแหน่งเฮดโค้ชทีมชาติ แล้วพาทีมช้างศึกคว้าแชมป์ AFF เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี พร้อมทั้งทำผลงานมาสเตอร์พีซในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก จนทีมไทย เข้าถึงรอบ 12 ทีมสุดท้าย เป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปี ทีมชาติชุดใหญ่ มีสตาร์ขึ้นมาประดับวงการพร้อมกันหลายคน เช่น ชนาธิป สรงกระสินธิ์, อดิศักดิ์ ไกรษร, สารัช อยู่เย็น, ชาริล ชัปปุยส์ ฯลฯ ในช่วง AFF จากนั้นก็เพิ่มเติมด้วยผู้เล่นซีเนียร์ ทั้งธีรศิลป์ แดงดา และ ธีราทร บุญมาทัน คือไม่ใช่แค่ชุดใหญ่เท่านั้น แต่บอลเยาวชน ไทยฟอร์มดีมาก คว้าชัยชนะได้ทุกรุ่น ทุกอย่างมันส่งเสริมกัน ทำให้ทีมชาติไทย บูมขึ้นแบบพุ่งทะยาน อานิสงส์ก็กลับมาหาไทยลีก ที่มีคนเข้ามาดูอย่างคับคั่ง ทั้งขาจร-ขาประจำ ขณะที่ เรตติ้งถ่ายทอดสดพุ่งสูงมาก นักกีฬากลายเป็นไอดอลของเด็กๆ แต่ละคนได้รับงานโฆษณา เป็นรายได้เสริมนอกเหนือจากค่าจ้างในการเล่นฟุตบอลด้วย ความนิยมของไทยลีก ทำให้ทรูวิชั่นส์ จ่ายเงินค่าถ่ายทอดสด สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ นั่นคือ สัญญา 4 ปี 4,200 ล้านบาท (เฉลี่ยฤดูกาลละ 1,050 ล้านบาท) ไม่ใช่แค่ไทยลีก แต่ลิขสิทธิ์ของทีมชาติชุดใหญ่ ก็ขายได้ราคาดีมาก ในช่วงบอลไทยฟีเวอร์ สามารถขายลิขสิทธิ์ทีมชาติ กับทางไทยรัฐทีวี ได้เงินนัดละ 750,000 บาท จากที่สยามสปอร์ต เคยเข้าเนื้อมาหลายๆ ปีติดต่อกัน ในที่สุด เมื่อบอลไทยบูมพร้อมกัน ทั้งสโมสรและทีมชาติ ก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะเก็บเกี่ยวกำไรอย่างเป็นชิ้นเป็นอันแล้ว แต่แล้วสถานการณ์ก็พลิกผัน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2559 เมื่อสมาคมมีการเลือกตั้งนายกครั้งใหม่ และพล.ต.อ.สมยศ เป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้ง ล้างบางขั้วเก่าจนราบคาบ สิ่งที่ยังกั๊กๆ กันอยู่ คือพล.ต.อ.สมยศเป็นนายกก็จริง แต่คนดูแลสิทธิประโยชน์ไทยลีก จนถึงปี 2565 ดันเป็นสยามสปอร์ต ซึ่งอยู่ฝั่งขั้วอำนาจเก่าของวรวีร์ ในมุมของพล.ต.อ.สมยศ จึงเป็นเรื่องกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะตัวเองเป็นนายกสมาคมแท้ๆ แต่ผลกำไรของบอลไทย กลับไปตกอยู่ในมือของอีกขั้วหนึ่ง นอกจากนั้น ในมุมของสมาคม มั่นใจว่าถ้าหาผู้ดูแลเจ้าอื่น สมาคมน่าจะได้ส่วนแบ่งมากกว่านี้ หลังจาก พล.ต.อ.สมยศ ชนะเลือกตั้งเพียงแค่เดือนเดียว มีนาคม 2559 เขาตัดสินใจประกาศ "ยกเลิกสัญญา" กับสยามสปอร์ต ในช่วง 7 ปีที่เหลือ (2559-2565) พล.ต.อ.สมยศให้สัมภาษณ์ว่า "เราพิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรมกับสมาคม เป็นสัญญาผู้ขาดแต่เพียงผู้เดียว ไม่มีการกำหนดค่าตอบแทนขั้นต่ำให้ ส่งผลให้สมาคม ไม่สามารถวางแผนงบประมาณดำเนินการได้ด้วยตัวเอง" อธิบายคือ สัญญาฉบับเดิมที่เซ็นกัน สยามสปอร์ตจะเป็นฝ่ายแจ้งเองว่าปีนี้ได้กำไรเท่าไหร่ แล้วจะแบ่งจัดสรรให้สมาคมเอง แต่ถ้าขาดทุนก็ไม่ต้องจ่าย วิธีการนี้ ไม่มีกำหนดว่า ต้องจ่าย "ขั้นต่ำ" เท่าไหร่ คือไม่มีตัวเลขระบุ ฝั่งสมาคมเอง ก็มองว่า แบบนี้จะตกแต่งเลขอย่างไรก็ได้น่ะสิ พล.ต.อ.สมยศ กล่าวปิดท้ายว่า "ผมไม่มีความขัดแย้งกับบริษัทสยามสปอร์ต ซินดิเคท ผมเข้ามาทำหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่เป็นนายกฯ สมาคม และอาสาเข้ามาแก้ปัญหาต่างๆ ซึ่งเมื่อเห็นว่ามันไม่ถูกต้อง ก็อยากทำให้ถูกต้อง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของสมาคมฯ และประชาชนชาวไทย" หลังจากยกเลิกสัญญากับสยามสปอร์ต 1 เดือนเท่านั้น เมษายน 2559 สมาคมเซ็นสัญญากับ แพลนบี มีเดีย เป็นผู้ดูแลสิทธิประโยชน์รายใหม่แทน เซ็นฉบับแรก (4 ปี) ในปี 2559-2563 และเซ็นในฉบับที่สอง (8 ปี) ในช่วงปี 2564-2571 และคดีความที่เป็นข่าวใหญ่ ก็เริ่มต้นจากจุดนี้ เพราะฝั่งสยามสปอร์ตยอมไม่ได้ ที่โดนฉีกสัญญาที่เหลืออยู่ถึง 7 ปีทิ้งลงดื้อๆ คือในมุมของสยามสปอร์ตนั้น สมาคมของพล.ต.อ.สมยศ จะคิดว่าสัญญาไม่เป็นธรรม หรือ ได้ส่วนแบ่งน้อย หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ในเมื่อมันมีการเซ็นสัญญาอย่างถูกต้องแล้ว มาโดนฉีกทิ้งแบบนี้ เขาก็เสียหายทางธุรกิจเช่นกัน แล้วแผนงานที่เตรียมไว้หลายปีต่อจากนี้ ใครจะรับผิดชอบ ที่ผ่านมา เขาลงทุนกับบอลไทยมาตั้งเยอะ แล้วพอวันที่มีโอกาสเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ก็มาโดนฉีกสัญญาทิ้ง มันยุติธรรมกับเขาหรือไม่? นั่นทำให้ สยามสปอร์ตจึงฟ้องสมาคมฟุตบอล ในคดีแพ่ง ข้อหาผิดสัญญา และเรียกค่าเสียหายจำนวน 1,400 ล้านบาท ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ รับฟ้องคดีนี้ โดยสยามสปอร์ตเป็นโจทก์ สมาคมฟุตบอลเป็นจำเลย ในวันที่ 23 สิงหาคม 2562 ศาลชั้นต้นตัดสินให้สยามสปอร์ตชนะคดี สมาคมฯ ต้องจ่ายเงินชดเชย 50 ล้านบาท โทษฐานบอกเลิกสัญญาโดยมิชอบ อย่างไรก็ตามทั้ง 2 ฝ่ายไม่พอใจนักกับผลการตัดสิน โดยฝ่ายกฎหมายของสยามสปอร์ต ให้สัมภาษณ์ว่า "ขอขอบคุณผู้พิพากษาที่ให้ความเป็นธรรมกับเรา อย่างไรก็ตามสยามสปอร์ต จะใช้สิทธิ์อุทธรณ์ในประเด็นเงินค่าเสียหาย ซึ่งทางเรามองว่า มีความเสียหายมากกว่า 50 ล้านบาท" แต่ฝั่งสมาคมฯ เองก็ไม่ยอมเช่นกัน โดยพล.ต.อ. สมยศ กล่าวว่า "ผมให้ความเคารพคำสั่งศาล แต่นี่เป็นเพียงศาลชั้นต้น สมาคมจะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาอย่างแน่นอน" การต่อสู้คดีในชั้นศาลอุทธรณ์ ดำเนินการมาถึง 2 ปี และในวันที่ 15 กรกฎาคม 2564 ศาลอุทธรณ์ได้ข้อสรุปว่า ตัวเลข 50 ล้านที่ศาลชั้นต้นสั่งให้สมาคม ชดใช้ มันน้อยเกินไป และมีคำพิพากษาแก้ ให้สมาคมฯ จ่ายเงินให้สยามสปอร์ตเพิ่มเป็น 450 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี จากศาลชั้นต้น 50 ล้านบาท สุดท้ายมาที่ศาลอุทธรณ์ ตัวเงินเด้งขึ้นไปที่ 450 ล้านบาท คำวินิจฉัยจากศาล ระบุว่า "แม้การบอกเลิกสัญญาระหว่างจำเลยกับโจทก์ จะทำเพื่อการพัฒนาระบบการบริหารให้มีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้มีความชัดเจนด้านค่าตอบแทน จำนวนค่าตอบแทน รวมถึง คู่สัญญาที่ฝ่ายจำเลย อาจมองว่ามีความสามารถในการบริหารจัดการมากกว่าก็ตาม ทั้งหมด ก็มิได้เป็นเหตุที่จะบอกเลิกสัญญากับโจทก์โดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจึงต้องจ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์" เมื่อจบศาลอุทธรณ์ สยามสปอร์ตเป็นฝ่ายชนะคดีอยู่ แต่ฝั่งพล.ต.อ.สมยศ ยังไม่ยอม และตัดสินใจยื่นไปที่ฎีกาเป็นศาลสุดท้าย ตอนนี้การพิจารณาฎีกายังไม่ออกมา แต่สมาคมแพ้มา 2 ศาลแล้ว คงยากมาก ที่จะพลิกสถานการณ์ เอาตัวรอด ไม่เสียเงินในศาลสุดท้าย เพียงแต่จะจบแค่กี่บาทเท่านั้น คือฝั่ง พล.ต.อ.สมยศ มีสิทธิ์คิดอย่างไรก็ได้ - คุณไม่พอใจได้ ที่ยุควรวีร์เซ็นสัญญายาวถึง 10 ปี กับสยามสปอร์ต - คุณไม่พอใจได้ ที่มองว่าส่วนแบ่งน้อยเกินไปแค่ 5% แต่การแก้ปัญหาไม่ใช่การหักดิบ โดยฉีกสัญญาทิ้ง ทางที่ดีกว่านั้นคือการเจรจาหาข้อตกลงร่วมกัน แต่พอคุณไปยกเลิกดื้อๆ แบบนั้น เขาก็ไปสู้ด้วยกฎหมายสิ และในมุมของศาล ก็ต้องตัดสินตามหลักฐานที่มันเป็นจริง แค่นั้นเอง ------------------------ นั่นคือเหตุผลที่มาดามแป้ง ให้สัมภาษณ์ในวันก่อนว่า "แป้งไม่ได้มาตั้งต้นทางการเงินที่ศูนย์ แต่เริ่มจากติดลบ ติดลบ ติดลบ มันไม่แฟร์ แต่ก็ต้องทำ เพราะสมาคมฟุตบอลตั้งขึ้นมา 109 ปี ก็ต้องอยู่ต่อไป" เธอออกสตาร์ตมา ยังไม่ทันทำงานทำการ ก็มีหนี้สิ้น 450 ล้านบาท รออยู่ ถือว่าเป็นนายกสมาคมที่เหนื่อยสาหัส ตั้งแต่วันแรกที่รับงานทีเดียว เอาจริงๆ ก็เห็นใจมาดามแป้งอยู่ เธอเพิ่งมารับงานได้ไม่ถึงปี แต่เจอสารพัดปัญหาให้ต้องแก้ ทั้งเรื่องมูลค่าบอลไทยตกต่ำ รวมถึงเรื่อง สมาคมติดหนี้ติดสิน คงได้แต่เป็นกำลังใจให้เธอ ผ่านช่วงวิกฤตินี้ไปให้ได้ กับคำถามคือ จะเอาเงิน 450 ล้านจากไหนมาจ่ายสยามสปอร์ต? หรือว่าจะแลกเปลี่ยนด้วยการบาร์เตอร์ ทำอะไรสักอย่าง เราก็ต้องมาติดตามดูกันต่อไป พูดกันตรงๆ ว่า ถ้าคนที่มีหัวด้านธุรกิจ และ ทำงานด้านฟุตบอลมาหลายปี อย่างมาดามแป้ง ยังแก้ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ ก็ไม่รู้จะมีใครในประเทศไทย มาจัดการเรื่องนี้ได้อีก สำหรับกรณีเรื่อง สมาคม vs สยามสปอร์ตครั้งนี้ บทเรียนสำคัญคือ ความรู้สึกของคุณจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ จะชอบหรือไม่ชอบก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่เมื่อมันมีสัญญาผูกพันกันไว้ การไปฉีกสัญญาทิ้งดื้อๆ แบบนี้ มีโอกาสสูงมากที่จะเป็นฝ่ายเจ็บตัวเอง สำหรับ พล.ต.อ.สมยศ วันนี้เขาลงจากตำแหน่งไปแล้ว เป้าหมายการจับโจร ที่เขาตั้งใจไว้วันแรก ก็ไม่รู้ว่าสำเร็จไหม จับใครได้หรือเปล่า ยิ่งไปกว่านั้น ยังทำให้สมาคมโดนฟ้องร้องจนเป็นหนี้เป็นสิน เป็นภาระให้คนที่มาสานงานต่ออย่างมาก เรื่องนี้ทำให้เห็นว่า การเป็นนายกสมาคมฟุตบอล เป็นภารกิจที่ไม่ง่ายเลย แค่บู๊อย่างเดียวไม่พอ แต่คุณต้องฉลาดรอบรู้อีกด้วย ถ้าทำอะไรโดยขาดความยั้งคิด องค์กรก็จะต้องเจอสถานการณ์ลำบาก เป็นภาระให้คนรับงานต่อ เหมือนอย่างที่สมาคมฟุตบอลต้องเผชิญอยู่ในเวลานี้” ที่มา : https://www.facebook.com/share/ZvKUvXwxRkMKfBci/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 353 Views 0 Reviews
  • ข่าวสั้น EV

    Geely รถยนต์ยักษ์ใหญ่ของจีน เรียกการลงคะแนนเสียงภาษีของสหภาพยุโรปว่า 'ความผิดหวังครั้งใหญ่'
    เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา กีลี่ บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของจีน แสดงความ "ผิดหวังอย่างยิ่ง"
    หลังจากที่ประเทศในสหภาพยุโรปไฟเขียวขั้นสุดท้ายเพื่อเก็บภาษีเพิ่มเติมจำนวนมากสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในจีน
    “การตัดสินใจดังกล่าวไม่สร้างสรรค์ และอาจขัดขวางความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างสหภาพยุโรปและจีน
    ซึ่งท้ายที่สุดจะส่งผลเสียต่อบริษัทในยุโรปและผลประโยชน์ของผู้บริโภค” บริษัทระบุในแถลงการณ์บนเว็บไซต์
    ข่าวสั้น EV Geely รถยนต์ยักษ์ใหญ่ของจีน เรียกการลงคะแนนเสียงภาษีของสหภาพยุโรปว่า 'ความผิดหวังครั้งใหญ่' เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา กีลี่ บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของจีน แสดงความ "ผิดหวังอย่างยิ่ง" หลังจากที่ประเทศในสหภาพยุโรปไฟเขียวขั้นสุดท้ายเพื่อเก็บภาษีเพิ่มเติมจำนวนมากสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในจีน “การตัดสินใจดังกล่าวไม่สร้างสรรค์ และอาจขัดขวางความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างสหภาพยุโรปและจีน ซึ่งท้ายที่สุดจะส่งผลเสียต่อบริษัทในยุโรปและผลประโยชน์ของผู้บริโภค” บริษัทระบุในแถลงการณ์บนเว็บไซต์
    Like
    1
    0 Comments 1 Shares 141 Views 0 Reviews
  • เหงาๆกันหน่อยนะคะ แต่ก็เฉพาะพวกเราเท่านั้นแหละ แต่……พี่ปูเขาไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งนั้น………!!!

    ตอนยี่สิบสาม…………เอาจริงละนะ……แผ่นดินของข้า….ใครอย่าแตะ…!!!

    ในช่วงของความโอ่อ่าตระการตาจากพิธีโอลิมปิกฤดูหนาวที่ Sochi ที่รัสเซียทุ่มเงินไม่อั้นเพื่อแสดงแสนยานุภาพแห่งเทคโนโยลีสู่สายตาชาวโลกนั้น สิ่งที่กวนใจปูตินได้เกิดขึ้นที่ยูเครน ทั้งๆที่ปธน. Yanukovych ที่เพิ่งรับเงินไปหมื่นห้าพันล้านดอลล่าร์หมาดๆ นั่นคือการเดินขบวนของประชาชนที่เรียกร้องอยากจะเข้าสู่โลกของตะวันตก ที่คราวนี้ออกแนวทำลายตึกรามบ้านช่อง
    ซึ่งสภาพเหมือนสงครามกลางเมืองเข้าไปทุกที ทหาร ตำรวจ ต้องระดมกำลังกันปราบปราม ป้องกัน
    ภาพที่ปูตินเห็นจากข่าวในทีวี คือ องค์กรต่างๆจากนอกประเทศ นอกจากจะช่วยยุแยงจากใต้ดินแล้ว คราวนี้เปิดหน้าชกแบบขึ้นมาบนดิน เพราะตั้งเต้นท์แจกอาหารและเครื่องดื่มให้กับกลุ่มผู้ก่อการอยู่ทั่วไป

    สามชาติที่ส่งตัวแทนเข้ามาในกรุงเคียฟ คือ ฝรั่งเศส เยอรมัน และ โปแลนด์ ใันวันที่ 20 กุมภาพันธ์ เพื่อเฝ้าดูสถานการณ์ และเจรจากับยานุโควิชในเรื่องขอให้ยุติการที่ใช้กำลังรุนแรงกับกลุ่มม็อบ
    ปูติน…ยังนิ่ง เพราะโอลิมปิกยังไม่จบ
    แต่ยานุโควิช……ได้ติดต่อไปหาทางโทรศัพท์ เพื่อบอกว่า เขาอ่อนแรงแล้ว
    พร้อมที่จะลาออก ไม่อยากอยู่ต่อจนจบเทอม (ในปี 2014) เขาอยากจะถอนกำลังในการคุมสถานการณ์ออกให้หมด ……
    แต่ปูตินเห็นว่า…นั่นคือสัญญาณของคนขี้แพ้ และ ถึงจะลาออกก็ไม่มีอะไรดีขึ้น นอกจากจะเป็นภาวะที่ล่มสลาย ประเทศจะกลายเป็นอนาธิปไตย……คิดดูใหม่ดีๆ…!!

    ยานุโควิชโอนเอียงไปทางการหวานล้อมของตะวันตกในที่สุด เขาประกาศลาออกในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ และหลบออกจากเมืองหลวงสู่ไครเมียก่อนที่จะเข้าสู่ทางตอนใต้ของรัสเซีย
    ปูตินเรียกประชุมคณะมนตรีฝ่ายความมั่นคงในกลางดึกของวันเดียวกัน
    เพื่อที่จะรับมือกับสถานการณ์ในยูเครนต่อไป เพราะเชื่อว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ การตั้งสมาชิกสภากันขึ้นมาใหม่ แก้ไขกฎหมายเก่าที่ผูกพันกับรัสเซีย เช่นในเรื่องภาษา และเรื่องการที่จะเป็นเอกเทศ (เอียงไปทางตะวันตก)
    และสิ่งที่ปูตินเชื่อว่ามันคงจะเกิดขึ้น นั่นคือ การที่ฝ่ายชาตินิยมที่มีสหรัฐอเมริกาและฝั่งยุโรปสนับสนุนอยู่เบื้องหลังจะไฮแจคการชุมนุมนี้……ไปเป็นผลประโยชน์ของตัวเอง……และหันมาทิ่มแทงรัสเซีย……!!

    วันที่ 23 เป็นพิธีปิดโอลิมปิก……ที่รัสเซียกวาดเหรียญทองไป 13 และ
    เหรียญอื่นๆทั้งหมด รวม 33 ………เป็นเวลารวม 16 วันที่รัสเซียได้เป็นดาราดวงเด่น ฉายแสงจ้าในโลกของศตวรรษที่ 21
    ภาพของปูตินที่ใครต่อใครเห็นคือ แจ่มเจิด……ทรงภูมิ และ รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเมตตา
    แต่เบื้องหลังนั้น ……เขาได้เตรียมตัวพร้อมกับการที่จะรับมือและโต้กลับ
    โดยไม่ต้องไว้หน้าใครอีกแล้ว แม้แต่เพื่อนรัก อย่างนาง แอนเจล่า
    เมอร์เคิล ที่ทำทีโทรมาถามเรื่องยูเครน……
    เขาตอบกลับไปว่า……อย่ามาทำเป็นถาม…รู้ดีกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?

    แต่นั่นเป็นสิ่งที่ใครๆก็อยากรู้ สื่อทุกสื่อรู้ดีว่า……ปูตินจะไม่เฉยแน่นอน…
    ทางฝ่ายโฆษกรัฐบาลของรัสเซีย……ได้ยืนยันชัดเจนว่า จะไม่แทรกแซงกิจการทางการเมืองของยูเครนอย่างแน่นอน……
    (ก็ปาวๆไปอย่างนั้นเอง……แต่ทางกลาโหมได้จัดทัพแล้ว…)
    แล้วจากนั้น……ก็มีการซ้อมรบที่ฝั่งรัสเซียใกล้ชายแดนยูเครนพร้อมกันทั้งบกและอากาศ ……แบบว่าท้าทายนาโต้อย่างสุดฤทธิ์
    ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์……กลุ่มกองทัพและหน่วยคอมมานโดจากฐานที่ทะเลดำ เข้ายึดไครเมีย……!!!
    แต่ทหารทุกคน…แต่งกายด้วยยูนิฟอร์มสีเขียวที่ไม่มีตราติดสัญชาติ
    จากนั้นภายใน 24 ชั่วโมงต่อมา……ไครเมียได้ถูกควบคุมโดยกองทัพนับหมื่นๆนาย(ที่ไม่ปรากฎสัญชาติ) และไม่มีใครต่อต้าน……ทุกอย่างเกิดขึ้นในความสงบ สงบยิ่งกว่าการปฏิวัติเงียบ……
    เพราะทหารทุกคนช่างเรียบร้อยและแสนสุภาพกับประชาชน……

    ทางสภาเคียฟที่กำลังเฟ้นหาผู้นำ…ไม่มีน้ำยาที่จะทำอะไรได้ จึงเลือกที่จะไม่ทำการต่อต้านใดๆ ทุกคนต่างลงความเห็นว่าให้ปล่อยผ่านไปก่อน
    เพราะไครเมียก็คือดินแดนของยูเครน ใครจะมาเอาไปก็ไม่ได้…
    แต่นั่นใช้ไม่ได้กับปูติน……เพราะรัสเซียให้มีการลงคะแนนเสียงในไครเมีย ว่าจะเลือกเป็นเอกเทศ เป็นสาธารณรัฐ(ในสายของรัสเซีย) หรือเป็นจังหวัดหนึ่งของยูเครน ในวันที่ 25 มีนาคม
    แน่นอนว่า….คำว่า สาธารณรัฐ……ย่อมทำให้การเลือกตั้งได้รับชัยชนะอย่างถล่มทะลาย……
    นี่คือการหักหน้าฝั่งตะวันตก….ที่ปูตินได้ให้คำมั่นสัญญาไว้กับตัวเองว่า พอกันที.………จะไม่ให้คนพวกนี้ก้าวล่วงเข้ามาได้อีกแม้แต่ก้าวเดียว……!!

    เพราะในอดีตที่ซีเรีย……สองปีก่อนตอนที่ซีเรียเริ่มกรุ่นด้วยสงครามกลางเมือง
    ปูตินได้พบกับโอบามา ที่การประชุม G20 ที่โอบามาได้บอกเขาว่า
    “ถ้าเมื่อไหร่……ทางรัฐบาลซีเรียเล่น”สกปรก” ใช้อาวุธเคมีกับประชาชนละก้อ……ผมไม่เอามันไว้แน่……” (พล๊อตเก่าสมัยซัดดัม ฮูเซน)
    จากนั้นไม่นาน……ก็มีจรวดติดหัวสารพิษยิงเข้าไปในชนบทใกล้กับเมือง ดามัสกัส อันเป็นเมืองหลวงของซีเรีย ที่ทำให้มีคนตายถึง 1400 คน
    และจากนั้นทัพอเมริกันก็เข้ามาเพื่อโค่นประธานาธิบดี Bashar al-Assad
    ด้วยเหตุผลที่ว่า ใช้อาวุธร้ายแรงผิดหลักของนาโต้
    ซึ่งปูตินรู้ดีว่า…ทางกองทัพซีเรียไม่มีอาวุธชนิดนี้ และถึงมีก็คงไม่ใช้กับประชาชนของตัวเองที่อยู่ใกล้เมืองหลวงขนาดนั้น
    การสร้าง”แพะ” ของอเมริกาและพรรคพวกจึงไม่เนียน…!!

    ปูตินได้แต่สงสารอัล-อัสสาด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะนาโต้ประกาศปิดน่านฟ้า……เพื่อที่พวกของตัวจะได้รุมถล่มซีเรียได้อย่างสะดวกๆนั่นเอง
    ฉะนั้น……การเป็นไปในยูเครน……จึงเป็นแค่ละครเรื่องใหม่ในพล๊อตเดิมๆ

    ปูตินได้เสนอไปทางสภาในเรื่องการส่งกองกำลังเข้าไปควบคุมที่เคียฟ ซึ่งเป็นโอกาสเหมาะเพราะตอนนี้คือสูญญากาศทางการเมืองของยูเครน
    ซึ่งทางสภาได้มีเสียงข้างมากในทางที่เห็นด้วย (ทั้งที่กองทัพนิรนามบุกไครเมียไปแล้ว……ตลกการเมืองจริงๆ)

    วันที่ 2 มีนาคม ปูตินได้เรียกยานุโควิชเข้ามาพบเพราะในทางกฏหมาย ยานุโควิชยังเป็นประธานาธิบดีอยู่ ให้ร่างจดหมายเซ็นชื่อ (โดยไม่มีวันที่กำกับ ละเว้นไว้) ในเนื้อความของจดหมายคือการที่รัฐบาลยูเครนยินยอมและขอร้องให้รัสเซียส่งกองกำลังไปช่วย และอ้างถึงสาเหตุของการก่อความวุ่นวายเกิดขึ้นจากการแทรกแซงจากตะวันตก จึงจำเป็นที่จะต้องขอความร่วมมือจากรัสเซียเพื่อความสงบสุขของบ้านเมืองและประชาชนชาวยูเครน……ลงชื่อ…!!!

    สองวันก่อนที่จะเกิดจดหมายฉบับนี้ ปูตินได้โทรศัพท์ติดต่อกับแองเจล่า เมอร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมันนี ที่เขาปฎิเสธไม่มีส่วนรู้เห็นกับ
    การบุกไครเมีย (เลยจริงๆ……)
    แองเจล่าที่เคยเป็นเพื่อนสนิทของปูติน เริ่มไม่พูดจาภาษาดอกไม้ด้วยแล้ว
    เพราะตอนนี้ ใครก็ไว้ใจใครไม่ได้ เธอได้เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดการสนทนาทุกคำให้กับบารัค โอบามา ที่คำรามฮึ่มๆ บอกว่า
    “ในเมื่อไว้ใจกันไม่ได้……ก็คงต้องตัดรัสเซียออกไปจาก G8… “

    วันที่ 4 มีนาคม ที่ปูตินได้พบกับนักข่าว เขาก็ยังแบ่งรับแบ่งสู้ในเรื่องของยูเครน แบบว่า…ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไร และไม่มีศัตรูในยูเครน
    แต่เขาตีตรงๆไปที่สหรัฐอเมริกาและพรรคพวกในเรื่องของอาฟกานิสถาน ลิเบีย และ ซีเรีย ที่สร้างแต่ความเดือดร้อน ทางเราก็เพียงแต่ซ้อมรบเตรียมพร้อมไว้เท่านั้น”
    เมื่อถูกถามเรื่องทหารที่ไครเมีย ที่อยู่ในชุดพรางพร้อมรบ ว่า……เหมือนกับชุดของทหารรัสเซีย
    ปูตินตอบว่า……ชุดแบบนี้……ไปหาซื้อที่ไหนก็ได้นี่นา……!!!

    ช่วงการดำเนินการลงเสียงของประชาชนในไครเมีย ที่ปูตินบอกว่า ไม่ขอยุ่ง……เป็นความตัดสินใจของประชาชนล้วนๆนั้น
    แต่ทางเครมลินได้จัดให้มีการเดินขบวน พาเหรดสวยงาม ทำเพลงปลุกใจรักชาติ ที่เน้นว่า…ไครเมียคือดินแดนส่วนหนึ่งของรัสเซียแต่เก่าก่อน ป้ายและธง “Krim nash ! “ หรือ Crimea is ours ! ขึ้นพรึ่บไปทั่วทุกที่……
    มีการนำการเต้นรำ Sevastopol Waltz (1953) ได้นำขึ้นมาปัดฝุ่น
    เต้นมาร้องกันใหม่……

    การปฏิบัติการที่ไครเมีย คือการมองการณ์ไกลของปูตินที่เขาขยับงบประมาณทางทหารขึ้นมาสามสี่เท่าตัว จากสงครามที่จอร์เจีย
    นับว่ารัสเซียมีงบประมาณกองทัพที่สูสีกับสหรัฐอเมริกา และ จีน ที่มีจำนวนเกือบแสนล้าน……
    นี่คือสิ่งหนึ่งที่ทำให้อเมริกาไม่กล้าขยับในเรื่องของไครเมีย
    เพียงแต่ยังงงๆ ในการปฏิบัติการที่เงียบเชียบ ไม่มีการสาดกระสุนหรือจับกุมทุบตีแต่อย่างใด ผิดกับที่กรุงเคียฟที่มีการนองเลือด
    ได้แต่หวังว่า……การลงมติของประชาชนจะออกมาในทางที่สวนกัน
    แต่เมื่อผิดคาด……ก็ได้แต่ขู่ฟ่อ.……

    ปูตินที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับโอบามามาตั้งแต่เรื่องของ Edward Snowden
    แล้วก็เรื่องของซีเรีย……ต่อให้ขู่ยังไง……จะเป็นหนึ่งใน G8 หรือ จะเหลือกันแค่ G7 ……เขาก็ไม่แคร์
    สิ่งที่อเมริกาและยุโรปได้ทำคือ……การแซงชั่นทางการเงินและทางธนาคาร
    กระทรวงการคลังของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศรายชื่อของผู้ที่ใกล้ชิดกับปูตินออกมายาวเป็นหางว่าว ห้ามเข้าประเทศ และยึดทรัพย์สินในธุรกรรมที่อเมริกาและประเทศที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมเงินดอลล่าร์

    เมื่อการลงมติที่ไครเมียผ่านไป.……ทุกอย่างเป็นไปตามความคาดหมาย
    ไม่กี่วันต่อมา…ชาวยูเครนตะวันออก ได้เริ่มเดินขบวนในเมืองใหญ่สองเมือง คือ Donetsk และ Luhansk เพื่อยื่นข้อเสนอให้กับเคียฟเพื่อที่จะขอแยกตัวเป็นอิสระ โดยจะมีการลงมติจากประชาชน (แบบไครเมีย) ในเดือนพฤษภาคม
    เพราะชนในเขตนี้ คือ ชาวรัสเซียที่ใกล้ชิดกับฝั่งตะวันออกมากกว่าทางยูเครน ซึ่งในระยะหลังๆมานี่ พวกเขาถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม
    มีกลุ่มขวาจัดได้เข้ามาแทรกแซงทำร้าย และ หลายครั้งที่ถึงแก่ชีวิต
    ทางรัสเซียได้ส่งกองกำลังเข้าไปควบคุมดูแล และเรียกดินแดนส่วนนี้ว่า
    Novorossiya อันหมายถึง New Russia…

    ทางรัสเซีย……ก็เดินหน้าจัดการเรียกดินแดนคืนต่อไป จากโดเนทค์, ลูฮังค์
    ในเดือนพฤษภาคม……คราวนี้ใน Odessa ที่มีฝ่ายโปร-รัสเซียเดินขบวน
    ที่มีการนองเลือด……เผา……มีคนตาย 48 คน แกนนำถูกจับตัวไป……

    ยูเครนได้จัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ ผู้ที่เข้ามารับตำแหน่งคือ
    Viktor Yushchenko ( อดีตประธานาธิบดีคนที่สาม ที่โดนยาพิษ)

    วันที่ 6 มิถุนายน ปูตินได้ไปร่วมในงานระลึกครบรอบวันยกพลขึ้นบก (D-Day) ที่นอร์มังดี ……ผู้นำอื่นๆพร้อมใจกันทำทีท่าชาเย็น เฉยเมย เพราะบัดนี้รัสเซียไม่ได้อยู่ในกลุ่ม G อีกแล้ว
    แต่แองเจล่าและฟรองซัวส์ ออลลังด์ ปธน. ฝรั่งเศส ได้เข้ามาคุยด้วยในเรื่องการขอร้องให้มีสันติภาพในยูเครน…
    เดือนต่อมา ปูตินได้พบกับแองเจล่า เมอร์เคิลที่บราซิล ในการประชุม FIFA World Cup ระหว่างเยอรมันนี กับ อาร์เจนตินา ในฐานะที่รัสเซียเสนอที่จะเป็นเจ้าภาพในครั้งต่อไป (2018) ที่ปูตินทุ่มทุนมหาศาลในการจัดสร้าง
    สเตเดี้ยมให้ใหญ่โตสมศักดิ์ศรี
    จากการพบปะ……เธอยังขอร้องในเรื่องเดิม ปูตินก็ว่า……พร้อมที่จะถอยออกไป
    แต่ขณะที่สองผู้นำคุยกัน……… ข่าวออกมาว่า กองทัพรัสเซียได้ป้วนเปี้ยนอยู่แนวชายแดน
    วันต่อมา…มีข่าวว่า เครื่องบินลำเลียง AN-26 ของยูเครนที่บินสูงกว่าสองหมื่นฟุตได้ถูกยิงตกแถวลูฮังสค์
    ต่อมา…เครื่องบิน Sukhoi ของรัสเซียถูกสอยร่วงจากภาคพื้นดิน ด้วยขีปนาวุธที่ไม่ปรากฎสัญชาติ……!!

    ผลสะท้อนกลับคือ การสอย AN-26 แบบรัวๆ และ การประกาศตามมาจากรัสเซียว่า….อย่าบังอาจแม้แต่จะคิด……!!!


    Wiwanda W. Vichit
    เหงาๆกันหน่อยนะคะ แต่ก็เฉพาะพวกเราเท่านั้นแหละ แต่……พี่ปูเขาไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งนั้น………!!! ตอนยี่สิบสาม…………เอาจริงละนะ……แผ่นดินของข้า….ใครอย่าแตะ…!!! ในช่วงของความโอ่อ่าตระการตาจากพิธีโอลิมปิกฤดูหนาวที่ Sochi ที่รัสเซียทุ่มเงินไม่อั้นเพื่อแสดงแสนยานุภาพแห่งเทคโนโยลีสู่สายตาชาวโลกนั้น สิ่งที่กวนใจปูตินได้เกิดขึ้นที่ยูเครน ทั้งๆที่ปธน. Yanukovych ที่เพิ่งรับเงินไปหมื่นห้าพันล้านดอลล่าร์หมาดๆ นั่นคือการเดินขบวนของประชาชนที่เรียกร้องอยากจะเข้าสู่โลกของตะวันตก ที่คราวนี้ออกแนวทำลายตึกรามบ้านช่อง ซึ่งสภาพเหมือนสงครามกลางเมืองเข้าไปทุกที ทหาร ตำรวจ ต้องระดมกำลังกันปราบปราม ป้องกัน ภาพที่ปูตินเห็นจากข่าวในทีวี คือ องค์กรต่างๆจากนอกประเทศ นอกจากจะช่วยยุแยงจากใต้ดินแล้ว คราวนี้เปิดหน้าชกแบบขึ้นมาบนดิน เพราะตั้งเต้นท์แจกอาหารและเครื่องดื่มให้กับกลุ่มผู้ก่อการอยู่ทั่วไป สามชาติที่ส่งตัวแทนเข้ามาในกรุงเคียฟ คือ ฝรั่งเศส เยอรมัน และ โปแลนด์ ใันวันที่ 20 กุมภาพันธ์ เพื่อเฝ้าดูสถานการณ์ และเจรจากับยานุโควิชในเรื่องขอให้ยุติการที่ใช้กำลังรุนแรงกับกลุ่มม็อบ ปูติน…ยังนิ่ง เพราะโอลิมปิกยังไม่จบ แต่ยานุโควิช……ได้ติดต่อไปหาทางโทรศัพท์ เพื่อบอกว่า เขาอ่อนแรงแล้ว พร้อมที่จะลาออก ไม่อยากอยู่ต่อจนจบเทอม (ในปี 2014) เขาอยากจะถอนกำลังในการคุมสถานการณ์ออกให้หมด …… แต่ปูตินเห็นว่า…นั่นคือสัญญาณของคนขี้แพ้ และ ถึงจะลาออกก็ไม่มีอะไรดีขึ้น นอกจากจะเป็นภาวะที่ล่มสลาย ประเทศจะกลายเป็นอนาธิปไตย……คิดดูใหม่ดีๆ…!! ยานุโควิชโอนเอียงไปทางการหวานล้อมของตะวันตกในที่สุด เขาประกาศลาออกในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ และหลบออกจากเมืองหลวงสู่ไครเมียก่อนที่จะเข้าสู่ทางตอนใต้ของรัสเซีย ปูตินเรียกประชุมคณะมนตรีฝ่ายความมั่นคงในกลางดึกของวันเดียวกัน เพื่อที่จะรับมือกับสถานการณ์ในยูเครนต่อไป เพราะเชื่อว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ การตั้งสมาชิกสภากันขึ้นมาใหม่ แก้ไขกฎหมายเก่าที่ผูกพันกับรัสเซีย เช่นในเรื่องภาษา และเรื่องการที่จะเป็นเอกเทศ (เอียงไปทางตะวันตก) และสิ่งที่ปูตินเชื่อว่ามันคงจะเกิดขึ้น นั่นคือ การที่ฝ่ายชาตินิยมที่มีสหรัฐอเมริกาและฝั่งยุโรปสนับสนุนอยู่เบื้องหลังจะไฮแจคการชุมนุมนี้……ไปเป็นผลประโยชน์ของตัวเอง……และหันมาทิ่มแทงรัสเซีย……!! วันที่ 23 เป็นพิธีปิดโอลิมปิก……ที่รัสเซียกวาดเหรียญทองไป 13 และ เหรียญอื่นๆทั้งหมด รวม 33 ………เป็นเวลารวม 16 วันที่รัสเซียได้เป็นดาราดวงเด่น ฉายแสงจ้าในโลกของศตวรรษที่ 21 ภาพของปูตินที่ใครต่อใครเห็นคือ แจ่มเจิด……ทรงภูมิ และ รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเมตตา แต่เบื้องหลังนั้น ……เขาได้เตรียมตัวพร้อมกับการที่จะรับมือและโต้กลับ โดยไม่ต้องไว้หน้าใครอีกแล้ว แม้แต่เพื่อนรัก อย่างนาง แอนเจล่า เมอร์เคิล ที่ทำทีโทรมาถามเรื่องยูเครน…… เขาตอบกลับไปว่า……อย่ามาทำเป็นถาม…รู้ดีกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? แต่นั่นเป็นสิ่งที่ใครๆก็อยากรู้ สื่อทุกสื่อรู้ดีว่า……ปูตินจะไม่เฉยแน่นอน… ทางฝ่ายโฆษกรัฐบาลของรัสเซีย……ได้ยืนยันชัดเจนว่า จะไม่แทรกแซงกิจการทางการเมืองของยูเครนอย่างแน่นอน…… (ก็ปาวๆไปอย่างนั้นเอง……แต่ทางกลาโหมได้จัดทัพแล้ว…) แล้วจากนั้น……ก็มีการซ้อมรบที่ฝั่งรัสเซียใกล้ชายแดนยูเครนพร้อมกันทั้งบกและอากาศ ……แบบว่าท้าทายนาโต้อย่างสุดฤทธิ์ ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์……กลุ่มกองทัพและหน่วยคอมมานโดจากฐานที่ทะเลดำ เข้ายึดไครเมีย……!!! แต่ทหารทุกคน…แต่งกายด้วยยูนิฟอร์มสีเขียวที่ไม่มีตราติดสัญชาติ จากนั้นภายใน 24 ชั่วโมงต่อมา……ไครเมียได้ถูกควบคุมโดยกองทัพนับหมื่นๆนาย(ที่ไม่ปรากฎสัญชาติ) และไม่มีใครต่อต้าน……ทุกอย่างเกิดขึ้นในความสงบ สงบยิ่งกว่าการปฏิวัติเงียบ…… เพราะทหารทุกคนช่างเรียบร้อยและแสนสุภาพกับประชาชน…… ทางสภาเคียฟที่กำลังเฟ้นหาผู้นำ…ไม่มีน้ำยาที่จะทำอะไรได้ จึงเลือกที่จะไม่ทำการต่อต้านใดๆ ทุกคนต่างลงความเห็นว่าให้ปล่อยผ่านไปก่อน เพราะไครเมียก็คือดินแดนของยูเครน ใครจะมาเอาไปก็ไม่ได้… แต่นั่นใช้ไม่ได้กับปูติน……เพราะรัสเซียให้มีการลงคะแนนเสียงในไครเมีย ว่าจะเลือกเป็นเอกเทศ เป็นสาธารณรัฐ(ในสายของรัสเซีย) หรือเป็นจังหวัดหนึ่งของยูเครน ในวันที่ 25 มีนาคม แน่นอนว่า….คำว่า สาธารณรัฐ……ย่อมทำให้การเลือกตั้งได้รับชัยชนะอย่างถล่มทะลาย…… นี่คือการหักหน้าฝั่งตะวันตก….ที่ปูตินได้ให้คำมั่นสัญญาไว้กับตัวเองว่า พอกันที.………จะไม่ให้คนพวกนี้ก้าวล่วงเข้ามาได้อีกแม้แต่ก้าวเดียว……!! เพราะในอดีตที่ซีเรีย……สองปีก่อนตอนที่ซีเรียเริ่มกรุ่นด้วยสงครามกลางเมือง ปูตินได้พบกับโอบามา ที่การประชุม G20 ที่โอบามาได้บอกเขาว่า “ถ้าเมื่อไหร่……ทางรัฐบาลซีเรียเล่น”สกปรก” ใช้อาวุธเคมีกับประชาชนละก้อ……ผมไม่เอามันไว้แน่……” (พล๊อตเก่าสมัยซัดดัม ฮูเซน) จากนั้นไม่นาน……ก็มีจรวดติดหัวสารพิษยิงเข้าไปในชนบทใกล้กับเมือง ดามัสกัส อันเป็นเมืองหลวงของซีเรีย ที่ทำให้มีคนตายถึง 1400 คน และจากนั้นทัพอเมริกันก็เข้ามาเพื่อโค่นประธานาธิบดี Bashar al-Assad ด้วยเหตุผลที่ว่า ใช้อาวุธร้ายแรงผิดหลักของนาโต้ ซึ่งปูตินรู้ดีว่า…ทางกองทัพซีเรียไม่มีอาวุธชนิดนี้ และถึงมีก็คงไม่ใช้กับประชาชนของตัวเองที่อยู่ใกล้เมืองหลวงขนาดนั้น การสร้าง”แพะ” ของอเมริกาและพรรคพวกจึงไม่เนียน…!! ปูตินได้แต่สงสารอัล-อัสสาด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก เพราะนาโต้ประกาศปิดน่านฟ้า……เพื่อที่พวกของตัวจะได้รุมถล่มซีเรียได้อย่างสะดวกๆนั่นเอง ฉะนั้น……การเป็นไปในยูเครน……จึงเป็นแค่ละครเรื่องใหม่ในพล๊อตเดิมๆ ปูตินได้เสนอไปทางสภาในเรื่องการส่งกองกำลังเข้าไปควบคุมที่เคียฟ ซึ่งเป็นโอกาสเหมาะเพราะตอนนี้คือสูญญากาศทางการเมืองของยูเครน ซึ่งทางสภาได้มีเสียงข้างมากในทางที่เห็นด้วย (ทั้งที่กองทัพนิรนามบุกไครเมียไปแล้ว……ตลกการเมืองจริงๆ) วันที่ 2 มีนาคม ปูตินได้เรียกยานุโควิชเข้ามาพบเพราะในทางกฏหมาย ยานุโควิชยังเป็นประธานาธิบดีอยู่ ให้ร่างจดหมายเซ็นชื่อ (โดยไม่มีวันที่กำกับ ละเว้นไว้) ในเนื้อความของจดหมายคือการที่รัฐบาลยูเครนยินยอมและขอร้องให้รัสเซียส่งกองกำลังไปช่วย และอ้างถึงสาเหตุของการก่อความวุ่นวายเกิดขึ้นจากการแทรกแซงจากตะวันตก จึงจำเป็นที่จะต้องขอความร่วมมือจากรัสเซียเพื่อความสงบสุขของบ้านเมืองและประชาชนชาวยูเครน……ลงชื่อ…!!! สองวันก่อนที่จะเกิดจดหมายฉบับนี้ ปูตินได้โทรศัพท์ติดต่อกับแองเจล่า เมอร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมันนี ที่เขาปฎิเสธไม่มีส่วนรู้เห็นกับ การบุกไครเมีย (เลยจริงๆ……) แองเจล่าที่เคยเป็นเพื่อนสนิทของปูติน เริ่มไม่พูดจาภาษาดอกไม้ด้วยแล้ว เพราะตอนนี้ ใครก็ไว้ใจใครไม่ได้ เธอได้เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดการสนทนาทุกคำให้กับบารัค โอบามา ที่คำรามฮึ่มๆ บอกว่า “ในเมื่อไว้ใจกันไม่ได้……ก็คงต้องตัดรัสเซียออกไปจาก G8… “ วันที่ 4 มีนาคม ที่ปูตินได้พบกับนักข่าว เขาก็ยังแบ่งรับแบ่งสู้ในเรื่องของยูเครน แบบว่า…ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไร และไม่มีศัตรูในยูเครน แต่เขาตีตรงๆไปที่สหรัฐอเมริกาและพรรคพวกในเรื่องของอาฟกานิสถาน ลิเบีย และ ซีเรีย ที่สร้างแต่ความเดือดร้อน ทางเราก็เพียงแต่ซ้อมรบเตรียมพร้อมไว้เท่านั้น” เมื่อถูกถามเรื่องทหารที่ไครเมีย ที่อยู่ในชุดพรางพร้อมรบ ว่า……เหมือนกับชุดของทหารรัสเซีย ปูตินตอบว่า……ชุดแบบนี้……ไปหาซื้อที่ไหนก็ได้นี่นา……!!! ช่วงการดำเนินการลงเสียงของประชาชนในไครเมีย ที่ปูตินบอกว่า ไม่ขอยุ่ง……เป็นความตัดสินใจของประชาชนล้วนๆนั้น แต่ทางเครมลินได้จัดให้มีการเดินขบวน พาเหรดสวยงาม ทำเพลงปลุกใจรักชาติ ที่เน้นว่า…ไครเมียคือดินแดนส่วนหนึ่งของรัสเซียแต่เก่าก่อน ป้ายและธง “Krim nash ! “ หรือ Crimea is ours ! ขึ้นพรึ่บไปทั่วทุกที่…… มีการนำการเต้นรำ Sevastopol Waltz (1953) ได้นำขึ้นมาปัดฝุ่น เต้นมาร้องกันใหม่…… การปฏิบัติการที่ไครเมีย คือการมองการณ์ไกลของปูตินที่เขาขยับงบประมาณทางทหารขึ้นมาสามสี่เท่าตัว จากสงครามที่จอร์เจีย นับว่ารัสเซียมีงบประมาณกองทัพที่สูสีกับสหรัฐอเมริกา และ จีน ที่มีจำนวนเกือบแสนล้าน…… นี่คือสิ่งหนึ่งที่ทำให้อเมริกาไม่กล้าขยับในเรื่องของไครเมีย เพียงแต่ยังงงๆ ในการปฏิบัติการที่เงียบเชียบ ไม่มีการสาดกระสุนหรือจับกุมทุบตีแต่อย่างใด ผิดกับที่กรุงเคียฟที่มีการนองเลือด ได้แต่หวังว่า……การลงมติของประชาชนจะออกมาในทางที่สวนกัน แต่เมื่อผิดคาด……ก็ได้แต่ขู่ฟ่อ.…… ปูตินที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับโอบามามาตั้งแต่เรื่องของ Edward Snowden แล้วก็เรื่องของซีเรีย……ต่อให้ขู่ยังไง……จะเป็นหนึ่งใน G8 หรือ จะเหลือกันแค่ G7 ……เขาก็ไม่แคร์ สิ่งที่อเมริกาและยุโรปได้ทำคือ……การแซงชั่นทางการเงินและทางธนาคาร กระทรวงการคลังของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศรายชื่อของผู้ที่ใกล้ชิดกับปูตินออกมายาวเป็นหางว่าว ห้ามเข้าประเทศ และยึดทรัพย์สินในธุรกรรมที่อเมริกาและประเทศที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมเงินดอลล่าร์ เมื่อการลงมติที่ไครเมียผ่านไป.……ทุกอย่างเป็นไปตามความคาดหมาย ไม่กี่วันต่อมา…ชาวยูเครนตะวันออก ได้เริ่มเดินขบวนในเมืองใหญ่สองเมือง คือ Donetsk และ Luhansk เพื่อยื่นข้อเสนอให้กับเคียฟเพื่อที่จะขอแยกตัวเป็นอิสระ โดยจะมีการลงมติจากประชาชน (แบบไครเมีย) ในเดือนพฤษภาคม เพราะชนในเขตนี้ คือ ชาวรัสเซียที่ใกล้ชิดกับฝั่งตะวันออกมากกว่าทางยูเครน ซึ่งในระยะหลังๆมานี่ พวกเขาถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม มีกลุ่มขวาจัดได้เข้ามาแทรกแซงทำร้าย และ หลายครั้งที่ถึงแก่ชีวิต ทางรัสเซียได้ส่งกองกำลังเข้าไปควบคุมดูแล และเรียกดินแดนส่วนนี้ว่า Novorossiya อันหมายถึง New Russia… ทางรัสเซีย……ก็เดินหน้าจัดการเรียกดินแดนคืนต่อไป จากโดเนทค์, ลูฮังค์ ในเดือนพฤษภาคม……คราวนี้ใน Odessa ที่มีฝ่ายโปร-รัสเซียเดินขบวน ที่มีการนองเลือด……เผา……มีคนตาย 48 คน แกนนำถูกจับตัวไป…… ยูเครนได้จัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ ผู้ที่เข้ามารับตำแหน่งคือ Viktor Yushchenko ( อดีตประธานาธิบดีคนที่สาม ที่โดนยาพิษ) วันที่ 6 มิถุนายน ปูตินได้ไปร่วมในงานระลึกครบรอบวันยกพลขึ้นบก (D-Day) ที่นอร์มังดี ……ผู้นำอื่นๆพร้อมใจกันทำทีท่าชาเย็น เฉยเมย เพราะบัดนี้รัสเซียไม่ได้อยู่ในกลุ่ม G อีกแล้ว แต่แองเจล่าและฟรองซัวส์ ออลลังด์ ปธน. ฝรั่งเศส ได้เข้ามาคุยด้วยในเรื่องการขอร้องให้มีสันติภาพในยูเครน… เดือนต่อมา ปูตินได้พบกับแองเจล่า เมอร์เคิลที่บราซิล ในการประชุม FIFA World Cup ระหว่างเยอรมันนี กับ อาร์เจนตินา ในฐานะที่รัสเซียเสนอที่จะเป็นเจ้าภาพในครั้งต่อไป (2018) ที่ปูตินทุ่มทุนมหาศาลในการจัดสร้าง สเตเดี้ยมให้ใหญ่โตสมศักดิ์ศรี จากการพบปะ……เธอยังขอร้องในเรื่องเดิม ปูตินก็ว่า……พร้อมที่จะถอยออกไป แต่ขณะที่สองผู้นำคุยกัน……… ข่าวออกมาว่า กองทัพรัสเซียได้ป้วนเปี้ยนอยู่แนวชายแดน วันต่อมา…มีข่าวว่า เครื่องบินลำเลียง AN-26 ของยูเครนที่บินสูงกว่าสองหมื่นฟุตได้ถูกยิงตกแถวลูฮังสค์ ต่อมา…เครื่องบิน Sukhoi ของรัสเซียถูกสอยร่วงจากภาคพื้นดิน ด้วยขีปนาวุธที่ไม่ปรากฎสัญชาติ……!! ผลสะท้อนกลับคือ การสอย AN-26 แบบรัวๆ และ การประกาศตามมาจากรัสเซียว่า….อย่าบังอาจแม้แต่จะคิด……!!! Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 67 Views 0 Reviews
  • 🇮🇱 อิสราเอล, ซึ่งเป็นผลพวงจากลัทธิล่าอาณานิคมของยุโรป, กำลังคุกคามอิทธิพลของตะวันตก

    การเกิดขึ้นของโครงการไซออนิสต์เป็นผลมาจากมรดกของจักรวรรดินิยมยุโรปเป็นอย่างมาก, แต่การกระทำของอิสราเอลในตอนนี้กำลังคุกคามที่จะทำลายอำนาจครอบงำของตะวันตกที่กำลังจะล่มสลายลง, ตามคำกล่าวของโรเบิร์ต แฟนตินา และ นิโค เฮาส์ ผู้วิจารณ์ในรายการ The Critical Hour ของสปุตนิก

    🗣️“จำไว้ว่า, 🤣อิสราเอลคือสัตว์ประหลาดที่สหรัฐฯสร้างขึ้น และมันคือสิ่งที่สหรัฐฯสูญเสียการควบคุม,”🤣 แฟนตินา กล่าวอ้าง “โอกาสที่อิสราเอลจะดึงสหรัฐฯเข้าสู่สงครามในตะวันออกกลางมีมากขึ้นทุกวัน, และนั่นจะเป็นหายนะสำหรับทุกคน”

    ธีโอดอร์ เฮิร์ซล์, ผู้ก่อตั้งลัทธิไซออนิสต์, ได้คิดโครงการนี้ขึ้นโดยเน้นที่เชื้อชาติโดยเฉพาะ, โดยพยายามขายแนวคิดเรื่อง “ป้อมปราการของอารยธรรม [ตะวันตก] เพื่อต่อต้านความป่าเถื่อน” ในโลกอาหรับให้กับชาวยุโรป อังกฤษเป็นหัวหอกในการสร้างอิสราเอลบนดินแดนที่ตนเคยยึดครองในเลแวนต์ แต่สหรัฐฯกลายมาเป็นผู้สนับสนุนที่ทรงอิทธิพลที่สุดอย่างรวดเร็ว การป้องกันอิสราเอลกลายเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนนโยบายตะวันตกในตะวันออกกลาง แม้ว่าบางคนจะตั้งคำถามถึงผลที่ตามมาต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ และผลประโยชน์ของสหรัฐฯในวงกว้าง

    🗣️“ฉันเชื่อจริงๆว่า, สหรัฐฯต้องการข้อตกลงหยุดยิงเพราะพวกเขามีผลประโยชน์ในเลบานอน,” เฮาส์ กล่าว “[อิสราเอล] ไม่สามารถจัดการสงครามนั้นได้ด้วยตัวเอง นั่นหมายความว่าเราจะต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง และนั่นเป็นตำแหน่งที่ไม่เป็นที่นิยมในสหรัฐฯ”

    เฮาส์ตั้งข้อสังเกตว่า 🤣สหรัฐฯกำลังดิ้นรนท่ามกลางสงครามตัวแทนในยูเครน ขณะที่นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูชี้ให้เห็นถึงโอกาสที่สหรัฐฯจะสนับสนุนสงครามหลายแนวรบของอิสราเอล,🤣 โดยอิหร่านเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขาม
    .
    🇮🇱 Israel, an outgrowth of European colonialism, now threatens West’s dominance

    The emergence of the Zionist project owes much to the legacy of European imperialism, but Israel’s conduct now threatens to bring a dying Western hegemony crashing down, according to commentators Robert Fantina and Niko House on Sputnik’s The Critical Hour program.

    🗣️“Remember, Israel is the monster of the US's creation and it's one that it's lost control of,” claimed Fantina. “The possibility of Israel pulling the United States into a war in the Middle East grows every day, and it would be a disaster for everyone.”

    Theodor Herzl, the founder of Zionism, conceived of the project in explicitly racial terms, attempting to sell Europeans on the concept of an “outpost of [Western] civilization against barbarism” in the Arab world. The UK spearheaded Israel’s creation in land it had colonized in the Levant but the US quickly became its most powerful backer. The defense of Israel has become a primary driver of Western policy in the Middle East even as some question the ramifications for US national security and American interests more broadly.

    🗣️“I do believe, honestly, that the United States did want a ceasefire agreement because they have interests in Lebanon,” said House. “[Israel] can't handle that war by themselves. So that means we're going to have to get involved and that is a very unpopular position here in the US.”

    House noted the US is struggling amid its proxy war in Ukraine as Prime Minister Netanyahu raises the prospect of US support for Israel’s multi-front war, with Iran representing a formidable opponent.
    .
    10:59 AM · Oct 4, 2024 · 4,447 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1842051857511784709
    🇮🇱 อิสราเอล, ซึ่งเป็นผลพวงจากลัทธิล่าอาณานิคมของยุโรป, กำลังคุกคามอิทธิพลของตะวันตก การเกิดขึ้นของโครงการไซออนิสต์เป็นผลมาจากมรดกของจักรวรรดินิยมยุโรปเป็นอย่างมาก, แต่การกระทำของอิสราเอลในตอนนี้กำลังคุกคามที่จะทำลายอำนาจครอบงำของตะวันตกที่กำลังจะล่มสลายลง, ตามคำกล่าวของโรเบิร์ต แฟนตินา และ นิโค เฮาส์ ผู้วิจารณ์ในรายการ The Critical Hour ของสปุตนิก 🗣️“จำไว้ว่า, 🤣อิสราเอลคือสัตว์ประหลาดที่สหรัฐฯสร้างขึ้น และมันคือสิ่งที่สหรัฐฯสูญเสียการควบคุม,”🤣 แฟนตินา กล่าวอ้าง “โอกาสที่อิสราเอลจะดึงสหรัฐฯเข้าสู่สงครามในตะวันออกกลางมีมากขึ้นทุกวัน, และนั่นจะเป็นหายนะสำหรับทุกคน” ธีโอดอร์ เฮิร์ซล์, ผู้ก่อตั้งลัทธิไซออนิสต์, ได้คิดโครงการนี้ขึ้นโดยเน้นที่เชื้อชาติโดยเฉพาะ, โดยพยายามขายแนวคิดเรื่อง “ป้อมปราการของอารยธรรม [ตะวันตก] เพื่อต่อต้านความป่าเถื่อน” ในโลกอาหรับให้กับชาวยุโรป อังกฤษเป็นหัวหอกในการสร้างอิสราเอลบนดินแดนที่ตนเคยยึดครองในเลแวนต์ แต่สหรัฐฯกลายมาเป็นผู้สนับสนุนที่ทรงอิทธิพลที่สุดอย่างรวดเร็ว การป้องกันอิสราเอลกลายเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนนโยบายตะวันตกในตะวันออกกลาง แม้ว่าบางคนจะตั้งคำถามถึงผลที่ตามมาต่อความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ และผลประโยชน์ของสหรัฐฯในวงกว้าง 🗣️“ฉันเชื่อจริงๆว่า, สหรัฐฯต้องการข้อตกลงหยุดยิงเพราะพวกเขามีผลประโยชน์ในเลบานอน,” เฮาส์ กล่าว “[อิสราเอล] ไม่สามารถจัดการสงครามนั้นได้ด้วยตัวเอง นั่นหมายความว่าเราจะต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง และนั่นเป็นตำแหน่งที่ไม่เป็นที่นิยมในสหรัฐฯ” เฮาส์ตั้งข้อสังเกตว่า 🤣สหรัฐฯกำลังดิ้นรนท่ามกลางสงครามตัวแทนในยูเครน ขณะที่นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูชี้ให้เห็นถึงโอกาสที่สหรัฐฯจะสนับสนุนสงครามหลายแนวรบของอิสราเอล,🤣 โดยอิหร่านเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขาม . 🇮🇱 Israel, an outgrowth of European colonialism, now threatens West’s dominance The emergence of the Zionist project owes much to the legacy of European imperialism, but Israel’s conduct now threatens to bring a dying Western hegemony crashing down, according to commentators Robert Fantina and Niko House on Sputnik’s The Critical Hour program. 🗣️“Remember, Israel is the monster of the US's creation and it's one that it's lost control of,” claimed Fantina. “The possibility of Israel pulling the United States into a war in the Middle East grows every day, and it would be a disaster for everyone.” Theodor Herzl, the founder of Zionism, conceived of the project in explicitly racial terms, attempting to sell Europeans on the concept of an “outpost of [Western] civilization against barbarism” in the Arab world. The UK spearheaded Israel’s creation in land it had colonized in the Levant but the US quickly became its most powerful backer. The defense of Israel has become a primary driver of Western policy in the Middle East even as some question the ramifications for US national security and American interests more broadly. 🗣️“I do believe, honestly, that the United States did want a ceasefire agreement because they have interests in Lebanon,” said House. “[Israel] can't handle that war by themselves. So that means we're going to have to get involved and that is a very unpopular position here in the US.” House noted the US is struggling amid its proxy war in Ukraine as Prime Minister Netanyahu raises the prospect of US support for Israel’s multi-front war, with Iran representing a formidable opponent. . 10:59 AM · Oct 4, 2024 · 4,447 Views https://x.com/SputnikInt/status/1842051857511784709
    Haha
    2
    0 Comments 0 Shares 55 Views 0 Reviews
  • 🔥🚨 กองทัพอากาศรัสเซียอาจเข้าสู่ #ซีเรียและ #อิรัก เพื่อตอบโต้การโจมตีทางอากาศของอิสราเอลต่อผลประโยชน์ของรัสเซีย

    🚨 เครื่องบินรบรัสเซียลงจอดที่เบรุต, และเครื่องบินรบรัสเซียรุ่นต่อไปอาจเข้าถึงเตหะราน, ดามัสกัส และแบกแดด
    .
    BREAKING 🔥🚨 Russian air force could possibly enter the #Syria and Iraq to RETALIATE ISRAELI airstrikes on Russian Interests.

    🚨 Russian warplanes landed in Beirut, and Next russian warplanes may reach Tehran, Damascus and Bagdad.
    .
    4:34 PM · Oct 3, 2024 · 269.7K Views
    https://x.com/rkmtimes/status/1841773779187359984
    🔥🚨 กองทัพอากาศรัสเซียอาจเข้าสู่ #ซีเรียและ #อิรัก เพื่อตอบโต้การโจมตีทางอากาศของอิสราเอลต่อผลประโยชน์ของรัสเซีย 🚨 เครื่องบินรบรัสเซียลงจอดที่เบรุต, และเครื่องบินรบรัสเซียรุ่นต่อไปอาจเข้าถึงเตหะราน, ดามัสกัส และแบกแดด . BREAKING 🔥🚨 Russian air force could possibly enter the #Syria and Iraq to RETALIATE ISRAELI airstrikes on Russian Interests. 🚨 Russian warplanes landed in Beirut, and Next russian warplanes may reach Tehran, Damascus and Bagdad. . 4:34 PM · Oct 3, 2024 · 269.7K Views https://x.com/rkmtimes/status/1841773779187359984
    Like
    Wow
    4
    0 Comments 0 Shares 32 Views 0 Reviews
  • โหราศาสตร์ธุรกิจ (Business Astrology) เครื่องมือวางแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ไม่ควรมองข้าม! 🚀✨

    คุณเคยได้ยินเกี่ยวกับ “โหราศาสตร์ธุรกิจ” หรือไม่? 🤔 ไม่ใช่แค่การทำนายอนาคตหรืออ่านดวงชะตา แต่เป็นศาสตร์ที่สามารถช่วยวางแผนกลยุทธ์การทำธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 🌟 เพราะโหราศาสตร์ธุรกิจ (Business Astrology) จะนำข้อมูลการเคลื่อนที่ของดวงดาวและจักรราศีมาวิเคราะห์โอกาสและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุน การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือแม้แต่การเลือกหุ้นส่วนทางธุรกิจ 📊

    ประโยชน์ของโหราศาสตร์ธุรกิจ 🔍💡

    1️⃣ วางแผนกลยุทธ์ได้อย่างแม่นยำ 🗓️: การใช้โหราศาสตร์ช่วยในการระบุช่วงเวลาที่เหมาะสมในการลงทุน การเปิดตัวสินค้า หรือการขยายตลาด เพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ 💼

    2️⃣ เข้าใจลักษณะของธุรกิจได้ลึกซึ้ง 🔎: โหราศาสตร์สามารถช่วยวิเคราะห์ศักยภาพ จุดแข็ง และจุดอ่อนของธุรกิจได้ โดยการพิจารณาตำแหน่งของดาวในดวงชะตาธุรกิจ ทำให้ผู้บริหารสามารถวางแผนการบริหารงานได้อย่างเหมาะสม 💪

    3️⃣ ปรับปรุงความสัมพันธ์และการเจรจาต่อรอง 💬: การใช้โหราศาสตร์ในการทำความเข้าใจลักษณะนิสัยของหุ้นส่วน พนักงาน หรือแม้แต่ลูกค้า จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและลดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นได้ 👫

    4️⃣ ช่วยในการจัดการความเสี่ยง ⚠️: ด้วยการวิเคราะห์จากการโคจรของดาวที่อาจส่งผลต่อธุรกิจ เช่น ดาวเสาร์ที่มักบ่งบอกถึงข้อจำกัด หรือดาวมฤตยูที่แสดงถึงความไม่แน่นอน การเตรียมตัวและการวางแผนรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ จึงทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 📉

    การประยุกต์ใช้โหราศาสตร์กับการทำธุรกิจ ✨

    โหราศาสตร์ธุรกิจสามารถนำมาใช้ได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการ เลือกวันเวลาที่เหมาะสม สำหรับการเปิดตัวโครงการใหม่ การวางแผนทางการเงิน หรือแม้กระทั่งการจัดการกับสถานการณ์วิกฤติ 💥 เช่น หากธุรกิจอยู่ในช่วงที่ดาวมฤตยูทำมุมกระทบกับดวงชะตา ควรเตรียมตัวให้พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนลดต้นทุน การเก็บเงินสดสำรอง หรือการมองหาตลาดใหม่ ๆ เพื่อรองรับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น 📈

    นอกจากนี้ การทำความเข้าใจดวงชะตาของทีมงานและคู่ค้าทางธุรกิจ ก็สามารถช่วยในการเลือกคนเข้ามาร่วมงานที่เหมาะสมได้มากยิ่งขึ้น 👥 เช่น หากต้องการหุ้นส่วนที่มีความมั่นคงและเข้าใจในความเสี่ยง ควรพิจารณาผู้ที่มีดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ในราศีมังกรหรือพฤษภ ซึ่งจะมีลักษณะของความอดทนและการวางแผนระยะยาว 💼

    ทำไมโหราศาสตร์ธุรกิจถึงได้รับความนิยม? 🔥

    ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจสูงขึ้น การวางแผนกลยุทธ์อย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ หลายบริษัทเริ่มมองหาเครื่องมือที่ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในการตัดสินใจ เช่น การใช้โหราศาสตร์ในการดูจังหวะเวลาที่เหมาะสม การสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับคู่ค้า และการมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ที่อาจเกิดขึ้น 🌐

    สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจจะนำโหราศาสตร์มาประยุกต์ใช้ การทำความเข้าใจพื้นฐานของดวงดาวและความหมายของจักรราศี รวมถึงการวิเคราะห์ดวงชะตาธุรกิจ (Business Horoscope) จะช่วยให้เห็นภาพรวมของธุรกิจได้ชัดเจนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโอกาสที่ควรคว้า หรืออุปสรรคที่ต้องเตรียมพร้อมรับมือ 🔮

    สรุป: โหราศาสตร์ธุรกิจคืออะไร? 📌

    โหราศาสตร์ธุรกิจ (Business Astrology) ไม่ใช่แค่เรื่องของความเชื่อ แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการตัดสินใจและวางแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้การเคลื่อนที่ของดวงดาวมาเป็นแนวทางในการวิเคราะห์ตลาด ความสัมพันธ์ทางธุรกิจ และการมองหาโอกาสใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน 🌠

    #โหราศาสตร์ธุรกิจ #BusinessAstrology #การวางแผนกลยุทธ์ #ดวงชะตาธุรกิจ #ธุรกิจเติบโต #ความสำเร็จ #กลยุทธ์การตลาด #การบริหารธุรกิจ #การวางแผนธุรกิจ
    โหราศาสตร์ธุรกิจ (Business Astrology) เครื่องมือวางแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ไม่ควรมองข้าม! 🚀✨ คุณเคยได้ยินเกี่ยวกับ “โหราศาสตร์ธุรกิจ” หรือไม่? 🤔 ไม่ใช่แค่การทำนายอนาคตหรืออ่านดวงชะตา แต่เป็นศาสตร์ที่สามารถช่วยวางแผนกลยุทธ์การทำธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 🌟 เพราะโหราศาสตร์ธุรกิจ (Business Astrology) จะนำข้อมูลการเคลื่อนที่ของดวงดาวและจักรราศีมาวิเคราะห์โอกาสและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุน การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือแม้แต่การเลือกหุ้นส่วนทางธุรกิจ 📊 ประโยชน์ของโหราศาสตร์ธุรกิจ 🔍💡 1️⃣ วางแผนกลยุทธ์ได้อย่างแม่นยำ 🗓️: การใช้โหราศาสตร์ช่วยในการระบุช่วงเวลาที่เหมาะสมในการลงทุน การเปิดตัวสินค้า หรือการขยายตลาด เพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ 💼 2️⃣ เข้าใจลักษณะของธุรกิจได้ลึกซึ้ง 🔎: โหราศาสตร์สามารถช่วยวิเคราะห์ศักยภาพ จุดแข็ง และจุดอ่อนของธุรกิจได้ โดยการพิจารณาตำแหน่งของดาวในดวงชะตาธุรกิจ ทำให้ผู้บริหารสามารถวางแผนการบริหารงานได้อย่างเหมาะสม 💪 3️⃣ ปรับปรุงความสัมพันธ์และการเจรจาต่อรอง 💬: การใช้โหราศาสตร์ในการทำความเข้าใจลักษณะนิสัยของหุ้นส่วน พนักงาน หรือแม้แต่ลูกค้า จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและลดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นได้ 👫 4️⃣ ช่วยในการจัดการความเสี่ยง ⚠️: ด้วยการวิเคราะห์จากการโคจรของดาวที่อาจส่งผลต่อธุรกิจ เช่น ดาวเสาร์ที่มักบ่งบอกถึงข้อจำกัด หรือดาวมฤตยูที่แสดงถึงความไม่แน่นอน การเตรียมตัวและการวางแผนรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ จึงทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 📉 การประยุกต์ใช้โหราศาสตร์กับการทำธุรกิจ ✨ โหราศาสตร์ธุรกิจสามารถนำมาใช้ได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการ เลือกวันเวลาที่เหมาะสม สำหรับการเปิดตัวโครงการใหม่ การวางแผนทางการเงิน หรือแม้กระทั่งการจัดการกับสถานการณ์วิกฤติ 💥 เช่น หากธุรกิจอยู่ในช่วงที่ดาวมฤตยูทำมุมกระทบกับดวงชะตา ควรเตรียมตัวให้พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนลดต้นทุน การเก็บเงินสดสำรอง หรือการมองหาตลาดใหม่ ๆ เพื่อรองรับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้น 📈 นอกจากนี้ การทำความเข้าใจดวงชะตาของทีมงานและคู่ค้าทางธุรกิจ ก็สามารถช่วยในการเลือกคนเข้ามาร่วมงานที่เหมาะสมได้มากยิ่งขึ้น 👥 เช่น หากต้องการหุ้นส่วนที่มีความมั่นคงและเข้าใจในความเสี่ยง ควรพิจารณาผู้ที่มีดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ในราศีมังกรหรือพฤษภ ซึ่งจะมีลักษณะของความอดทนและการวางแผนระยะยาว 💼 ทำไมโหราศาสตร์ธุรกิจถึงได้รับความนิยม? 🔥 ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจสูงขึ้น การวางแผนกลยุทธ์อย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ หลายบริษัทเริ่มมองหาเครื่องมือที่ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในการตัดสินใจ เช่น การใช้โหราศาสตร์ในการดูจังหวะเวลาที่เหมาะสม การสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับคู่ค้า และการมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ที่อาจเกิดขึ้น 🌐 สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจจะนำโหราศาสตร์มาประยุกต์ใช้ การทำความเข้าใจพื้นฐานของดวงดาวและความหมายของจักรราศี รวมถึงการวิเคราะห์ดวงชะตาธุรกิจ (Business Horoscope) จะช่วยให้เห็นภาพรวมของธุรกิจได้ชัดเจนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโอกาสที่ควรคว้า หรืออุปสรรคที่ต้องเตรียมพร้อมรับมือ 🔮 สรุป: โหราศาสตร์ธุรกิจคืออะไร? 📌 โหราศาสตร์ธุรกิจ (Business Astrology) ไม่ใช่แค่เรื่องของความเชื่อ แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยในการตัดสินใจและวางแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้การเคลื่อนที่ของดวงดาวมาเป็นแนวทางในการวิเคราะห์ตลาด ความสัมพันธ์ทางธุรกิจ และการมองหาโอกาสใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน 🌠 #โหราศาสตร์ธุรกิจ #BusinessAstrology #การวางแผนกลยุทธ์ #ดวงชะตาธุรกิจ #ธุรกิจเติบโต #ความสำเร็จ #กลยุทธ์การตลาด #การบริหารธุรกิจ #การวางแผนธุรกิจ
    0 Comments 0 Shares 12 Views 0 Reviews
  • รมว.วธ. เป็นประธานในพิธีบวงสรวง วันคล้ายวันสถาปนา ครบรอบ 22 ปี กระทรวงวัฒนธรรม

    วันที่ 3 ตุลาคม 2567 เวลา 07.30 น. นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้เป็นประธานในพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในกระทรวงวัฒนธรรม เนื่องในโอกาสวันครบรอบ 22 ปี ของการสถาปนากระทรวงวัฒนธรรม โดยมี ดร.ยุพา ทวีวัฒนกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของกระทรวงร่วมพิธีบวงสรวงในช่วงเช้าที่ผ่านมา บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความสงบและศรัทธา มีการจัดเตรียมสถานที่และสิ่งของบวงสรวงอย่างเป็นระเบียบ

    ในการเริ่มต้นพิธีในช่วงเช้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมได้สักการะพระพุทธสิริวัฒนธรรโมภาส พระสยามเทวาธิราช และศาลตา-ยาย ประจำกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อขอพรให้กระทรวงและบุคลากรมีความเจริญก้าวหน้า ปลอดภัย และประสบความสำเร็จในการทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชน ทั้งนี้ การบวงสรวงยังได้รับการประกอบพิธีโดยพระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ประธานพระครูพราหมณ์ เพื่อเสริมสร้างสิริมงคลให้กับกระทรวงวัฒนธรรม และเพื่อระลึกถึงบทบาทที่สำคัญของการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยและส่งเสริมค่านิยมที่ดีงามให้คงอยู่สืบไป

    ต่อมาในเวลา 09.20 น. ได้มีพิธีสวดพุทธชัยมงคลคาถา โดยพระสงฆ์จำนวน 10 รูป เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ภายในกระทรวงวัฒนธรรม การสวดพุทธชัยมงคลคาถาเป็นพิธีที่สำคัญและเป็นมงคลในการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ โดยเฉพาะในวาระพิเศษเช่นนี้ เพื่อให้เกิดความสบายใจและเป็นกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรที่ร่วมกันสร้างสรรค์และอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ในพิธีทางศาสนายังได้มีการทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ล่วงลับอีกด้วย

    นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล และผู้บริหารกระทรวงฯ ได้ร่วมกันทอดผ้าบังสกุล จำนวน 10 ผืน และกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญกุศลให้กับเด็กนักเรียนในจังหวัดอุทัยธานี ที่ประสบอุบัติเหตุจากเหตุการณ์รถบัสทัศนศึกษาที่เกิดเพลิงไหม้เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา การกระทำดังกล่าวเป็นการแสดงถึงความห่วงใยและความเอื้อเฟื้อของกระทรวงวัฒนธรรมต่อประชาชนทั่วไป อีกทั้งยังสะท้อนถึงบทบาทที่กระทรวงต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมและสนับสนุนคุณภาพชีวิตของประชาชน การทำบุญให้กับเด็กนักเรียนที่เสียชีวิตเป็นการสร้างกำลังใจให้กับครอบครัวและผู้ได้รับผลกระทบ

    หลังจากเสร็จสิ้นพิธีทางศาสนาแล้ว นางสาวสุดาวรรณ และคณะผู้บริหารของกระทรวงวัฒนธรรม ได้ให้การต้อนรับแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานในครั้งนี้ ผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ได้เดินทางมาแสดงความยินดีและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงวัฒนธรรมครั้งที่ 22 ทั้งนี้ การเข้าร่วมพิธีครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเฉลิมฉลองการก่อตั้งกระทรวงเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างหน่วยงานราชการและประชาชนที่เข้ามาร่วมงาน การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและการร่วมมือกันในการส่งเสริมวัฒนธรรมเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้กระทรวงวัฒนธรรมสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    การถ่ายรูปร่วมกันและการมอบช่อดอกไม้และของที่ระลึกให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นับเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่สร้างความประทับใจให้กับผู้ร่วมงาน สื่อถึงความร่วมมือและความสัมพันธ์อันดีระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง การแสดงความยินดีต่อการครบรอบ 22 ปี ของการสถาปนากระทรวงวัฒนธรรมเป็นการยืนยันถึงความสำคัญของงานที่กระทรวงวัฒนธรรมทำเพื่อสังคมและประเทศชาติ โดยมีเป้าหมายในการอนุรักษ์ ส่งเสริม และเผยแพร่วัฒนธรรมไทยให้คงอยู่และสืบทอดไปสู่คนรุ่นหลัง

    กระทรวงวัฒนธรรมก่อตั้งขึ้นเพื่อดำเนินงานด้านการอนุรักษ์ ส่งเสริม และพัฒนาวัฒนธรรมไทยให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยและโลก กระทรวงวัฒนธรรมเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการรักษามรดกทางวัฒนธรรมทั้งที่เป็นวัตถุและไม่เป็นวัตถุ ไม่ว่าจะเป็นการดูแลโบราณสถาน โบราณวัตถุ รวมถึงการส่งเสริมงานศิลปะและการแสดงต่างๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของเอกลักษณ์ไทย นอกจากนี้ กระทรวงยังทำหน้าที่ในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการอนุรักษ์วัฒนธรรม ผ่านการจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น การประกวด การอบรม และการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม

    ตลอดระยะเวลา 22 ปีที่ผ่านมา กระทรวงวัฒนธรรมได้สร้างผลงานที่โดดเด่นและเป็นที่ยอมรับทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ โดยมีเป้าหมายในการสร้างสังคมที่มีความสมานฉันท์และภาคภูมิใจในวัฒนธรรมของตนเอง ทั้งนี้ กระทรวงได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมค่านิยมที่ดีในสังคมไทย เช่น การเคารพผู้ใหญ่ การช่วยเหลือกัน และการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างสังคมที่เข้มแข็งและยั่งยืน

    ในช่วงเวลาปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว กระทรวงวัฒนธรรมยังมีบทบาทในการนำวัฒนธรรมมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของโลกยุคใหม่ การใช้เทคโนโลยีเพื่อการเผยแพร่วัฒนธรรมและการสร้างความเข้าใจในวัฒนธรรมระหว่างประเทศถือเป็นสิ่งสำคัญ กระทรวงได้มีการจัดทำเนื้อหาด้านวัฒนธรรมในรูปแบบดิจิทัล เช่น การสร้างพิพิธภัณฑ์ออนไลน์ การจัดทำฐานข้อมูลวัฒนธรรม และการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อเผยแพร่ความรู้และกิจกรรมด้านวัฒนธรรม

    กระทรวงวัฒนธรรมมีการดำเนินกิจกรรมและโครงการที่หลากหลายเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์และพัฒนาวัฒนธรรมไทย กิจกรรมที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เช่น โครงการฟื้นฟูและอนุรักษ์โบราณสถานทั่วประเทศ การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การสนับสนุนศิลปินพื้นบ้านและศิลปินแห่งชาติ รวมถึงการจัดงานเทศกาลทางวัฒนธรรมต่างๆ ที่มีเป้าหมายในการส่งเสริมความเข้าใจและความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมไทย

    อีกทั้งกระทรวงยังมีการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้วัฒนธรรมในกลุ่มเยาวชน โดยการนำวัฒนธรรมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนการสอน เพื่อให้เยาวชนได้เรียนรู้และเข้าใจถึงรากฐาน

    ภาพ/ข่าว​ โย​ ประเด็นรัฐ
    รมว.วธ. เป็นประธานในพิธีบวงสรวง วันคล้ายวันสถาปนา ครบรอบ 22 ปี กระทรวงวัฒนธรรม วันที่ 3 ตุลาคม 2567 เวลา 07.30 น. นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้เป็นประธานในพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในกระทรวงวัฒนธรรม เนื่องในโอกาสวันครบรอบ 22 ปี ของการสถาปนากระทรวงวัฒนธรรม โดยมี ดร.ยุพา ทวีวัฒนกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของกระทรวงร่วมพิธีบวงสรวงในช่วงเช้าที่ผ่านมา บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความสงบและศรัทธา มีการจัดเตรียมสถานที่และสิ่งของบวงสรวงอย่างเป็นระเบียบ ในการเริ่มต้นพิธีในช่วงเช้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมได้สักการะพระพุทธสิริวัฒนธรรโมภาส พระสยามเทวาธิราช และศาลตา-ยาย ประจำกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อขอพรให้กระทรวงและบุคลากรมีความเจริญก้าวหน้า ปลอดภัย และประสบความสำเร็จในการทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชน ทั้งนี้ การบวงสรวงยังได้รับการประกอบพิธีโดยพระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ ประธานพระครูพราหมณ์ เพื่อเสริมสร้างสิริมงคลให้กับกระทรวงวัฒนธรรม และเพื่อระลึกถึงบทบาทที่สำคัญของการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยและส่งเสริมค่านิยมที่ดีงามให้คงอยู่สืบไป ต่อมาในเวลา 09.20 น. ได้มีพิธีสวดพุทธชัยมงคลคาถา โดยพระสงฆ์จำนวน 10 รูป เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ภายในกระทรวงวัฒนธรรม การสวดพุทธชัยมงคลคาถาเป็นพิธีที่สำคัญและเป็นมงคลในการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ โดยเฉพาะในวาระพิเศษเช่นนี้ เพื่อให้เกิดความสบายใจและเป็นกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรที่ร่วมกันสร้างสรรค์และอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ในพิธีทางศาสนายังได้มีการทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ล่วงลับอีกด้วย นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล และผู้บริหารกระทรวงฯ ได้ร่วมกันทอดผ้าบังสกุล จำนวน 10 ผืน และกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญกุศลให้กับเด็กนักเรียนในจังหวัดอุทัยธานี ที่ประสบอุบัติเหตุจากเหตุการณ์รถบัสทัศนศึกษาที่เกิดเพลิงไหม้เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา การกระทำดังกล่าวเป็นการแสดงถึงความห่วงใยและความเอื้อเฟื้อของกระทรวงวัฒนธรรมต่อประชาชนทั่วไป อีกทั้งยังสะท้อนถึงบทบาทที่กระทรวงต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมและสนับสนุนคุณภาพชีวิตของประชาชน การทำบุญให้กับเด็กนักเรียนที่เสียชีวิตเป็นการสร้างกำลังใจให้กับครอบครัวและผู้ได้รับผลกระทบ หลังจากเสร็จสิ้นพิธีทางศาสนาแล้ว นางสาวสุดาวรรณ และคณะผู้บริหารของกระทรวงวัฒนธรรม ได้ให้การต้อนรับแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานในครั้งนี้ ผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ได้เดินทางมาแสดงความยินดีและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงวัฒนธรรมครั้งที่ 22 ทั้งนี้ การเข้าร่วมพิธีครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเฉลิมฉลองการก่อตั้งกระทรวงเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างหน่วยงานราชการและประชาชนที่เข้ามาร่วมงาน การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและการร่วมมือกันในการส่งเสริมวัฒนธรรมเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้กระทรวงวัฒนธรรมสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การถ่ายรูปร่วมกันและการมอบช่อดอกไม้และของที่ระลึกให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นับเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่สร้างความประทับใจให้กับผู้ร่วมงาน สื่อถึงความร่วมมือและความสัมพันธ์อันดีระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง การแสดงความยินดีต่อการครบรอบ 22 ปี ของการสถาปนากระทรวงวัฒนธรรมเป็นการยืนยันถึงความสำคัญของงานที่กระทรวงวัฒนธรรมทำเพื่อสังคมและประเทศชาติ โดยมีเป้าหมายในการอนุรักษ์ ส่งเสริม และเผยแพร่วัฒนธรรมไทยให้คงอยู่และสืบทอดไปสู่คนรุ่นหลัง กระทรวงวัฒนธรรมก่อตั้งขึ้นเพื่อดำเนินงานด้านการอนุรักษ์ ส่งเสริม และพัฒนาวัฒนธรรมไทยให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยและโลก กระทรวงวัฒนธรรมเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการรักษามรดกทางวัฒนธรรมทั้งที่เป็นวัตถุและไม่เป็นวัตถุ ไม่ว่าจะเป็นการดูแลโบราณสถาน โบราณวัตถุ รวมถึงการส่งเสริมงานศิลปะและการแสดงต่างๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของเอกลักษณ์ไทย นอกจากนี้ กระทรวงยังทำหน้าที่ในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการอนุรักษ์วัฒนธรรม ผ่านการจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น การประกวด การอบรม และการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม ตลอดระยะเวลา 22 ปีที่ผ่านมา กระทรวงวัฒนธรรมได้สร้างผลงานที่โดดเด่นและเป็นที่ยอมรับทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ โดยมีเป้าหมายในการสร้างสังคมที่มีความสมานฉันท์และภาคภูมิใจในวัฒนธรรมของตนเอง ทั้งนี้ กระทรวงได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมค่านิยมที่ดีในสังคมไทย เช่น การเคารพผู้ใหญ่ การช่วยเหลือกัน และการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างสังคมที่เข้มแข็งและยั่งยืน ในช่วงเวลาปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว กระทรวงวัฒนธรรมยังมีบทบาทในการนำวัฒนธรรมมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของโลกยุคใหม่ การใช้เทคโนโลยีเพื่อการเผยแพร่วัฒนธรรมและการสร้างความเข้าใจในวัฒนธรรมระหว่างประเทศถือเป็นสิ่งสำคัญ กระทรวงได้มีการจัดทำเนื้อหาด้านวัฒนธรรมในรูปแบบดิจิทัล เช่น การสร้างพิพิธภัณฑ์ออนไลน์ การจัดทำฐานข้อมูลวัฒนธรรม และการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อเผยแพร่ความรู้และกิจกรรมด้านวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรมมีการดำเนินกิจกรรมและโครงการที่หลากหลายเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์และพัฒนาวัฒนธรรมไทย กิจกรรมที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เช่น โครงการฟื้นฟูและอนุรักษ์โบราณสถานทั่วประเทศ การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การสนับสนุนศิลปินพื้นบ้านและศิลปินแห่งชาติ รวมถึงการจัดงานเทศกาลทางวัฒนธรรมต่างๆ ที่มีเป้าหมายในการส่งเสริมความเข้าใจและความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมไทย อีกทั้งกระทรวงยังมีการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้วัฒนธรรมในกลุ่มเยาวชน โดยการนำวัฒนธรรมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนการสอน เพื่อให้เยาวชนได้เรียนรู้และเข้าใจถึงรากฐาน ภาพ/ข่าว​ โย​ ประเด็นรัฐ
    0 Comments 0 Shares 68 Views 0 Reviews
More Results