• Kash Patel ได้รับการรับรองจากรัฐสภาสหรัฐฯให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ FBI คนใหม่แล้ว ด้วยผลโหวต 51-49 คะแนน ท่ามกลางความกังวลจากฝ่ายเดโมแครตว่าเขาอาจจะใช้ FBI เป็นเครื่องมือล้างแค้นทางการเมืองให้กับทรัมป์

    ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ลงนามในแต่งตั้งอย่างเป็นทางการแล้วสำหรับผู้อำนวยการคนที่ 9 ของสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ หรือ FBI
    Kash Patel ได้รับการรับรองจากรัฐสภาสหรัฐฯให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ FBI คนใหม่แล้ว ด้วยผลโหวต 51-49 คะแนน ท่ามกลางความกังวลจากฝ่ายเดโมแครตว่าเขาอาจจะใช้ FBI เป็นเครื่องมือล้างแค้นทางการเมืองให้กับทรัมป์ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ลงนามในแต่งตั้งอย่างเป็นทางการแล้วสำหรับผู้อำนวยการคนที่ 9 ของสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ หรือ FBI
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 200 มุมมอง 0 รีวิว
  • เซเลนสกี้กล่าวว่าทรัมป์อาศัยอยู่บน 'พื้นที่ข้อมูลบิดเบือน'

    โวโลดิมีร์ เซเลนสกี กล่าวหาโดนัลด์ ทรัมป์ว่าให้ข้อมูลเท็จซ้ำแล้วซ้ำเล่า หนึ่งวันหลังจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวหายูเครนอย่างเท็จว่าเริ่มสงครามกับรัสเซีย

    - ความคิดเห็นของเซเลนสกี้ เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่กำลังก่อตัวเป็นการแลกเปลี่ยนข้อกล่าวหาต่อสาธารณะมากที่สุดระหว่างเคียฟและวอชิงตัน นับตั้งแต่สงครามเต็มรูปแบบเริ่มต้นขึ้นเมื่อเกือบ 3 ปีก่อน
    .
    - เมื่อพูดคุยกับผู้สื่อข่าวในกรุงเคียฟ เซเลนสกีได้โต้แย้งคำกล่าวอ้างที่ไม่มีมูลความจริงหลายกรณีที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันอังคาร ขณะเดียวกันก็ย้ำจุดยืนของยูเครนว่าข้อตกลงยุติสงครามต้องได้รับการมีส่วนร่วมจากยูเครน
    .
    - “น่าเสียดายที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ผมเคารพเขามากในฐานะผู้นำของประเทศที่เราเคารพนับถืออย่างยิ่ง ประชาชนชาวอเมริกันที่สนับสนุนเราเสมอ น่าเสียดายที่เขาต้องอาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งข้อมูลบิดเบือน” เซเลนสกีกล่าว
    .
    - เจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ และรัสเซียได้จัดการเจรจาระดับสูงเพื่อยุติสงครามในยูเครน ณ กรุงริยาด เมืองหลวงของซาอุดีอาระเบีย เมื่อวันอังคาร โดยการประชุมครั้งนี้ไม่ได้จัดขึ้นที่กรุงเคียฟ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องแต่งตั้งคณะทำงานระดับสูงเพื่อเจรจายุติสงคราม และกล่าวว่าพวกเขากำลังดำเนินการเพื่อสร้างช่องทางการทูตขึ้นใหม่
    .
    - เซเลนสกีกล่าวว่า แม้ประเทศใดๆ ก็มีสิทธิที่จะหารือเรื่องปัญหาทวิภาคีกับซาอุดีอาระเบีย แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าสหรัฐฯ จัดการเจรจาโดยตรงกับรัสเซียนั้น “ช่วยให้ปูตินพ้นจากความโดดเดี่ยวอันยาวนานได้”
    .
    - การร้องเรียนของเคียฟเรื่องการถูกปิดกั้นไม่ให้เข้าร่วมการเจรจาเป็นชนวนให้ทรัมป์ออกมาโจมตีด้วยความเท็จในวันอังคาร
    .
    - ทรัมป์กล่าวเมื่อช่วงดึกของวันอังคารว่า “วันนี้ผมได้ยินว่า ‘โอ้ เราไม่ได้รับเชิญเลย คุณอยู่ที่นั่นมาสามปีแล้ว คุณควรยุติเรื่องนี้หลังจากสามปี คุณไม่ควรเริ่มเรื่องนี้เลย คุณควรทำข้อตกลงได้แล้ว”
    .
    - ความคิดเห็นของทรัมป์ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในกรุงมอสโก โดยที่รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ ชื่นชมประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่สะท้อนคำพูดของเครมลิน และกล่าวต่อรัฐสภารัสเซีย หรือดูมา ว่าทรัมป์ดูเหมือนจะ "เข้าใจจุดยืนของพวกเรา"
    .
    - “ผมคิดว่าทรัมป์เป็นผู้นำตะวันตกคนแรกที่ออกมาพูดต่อสาธารณะว่าสาเหตุของความขัดแย้งในยูเครนคือความพยายามของรัฐบาลชุดก่อนที่จะขยายนาโต” ลาฟรอฟกล่าวกับสมาชิกรัฐสภาเมื่อวันพุธ “ไม่มีผู้นำตะวันตกคนใดเคยพูดแบบนั้นมาก่อน ดังนั้น นั่นจึงเป็นสัญญาณว่าเขาเข้าใจจุดยืนของเราแล้ว”
    .
    - รัสเซียโต้แย้งมานานแล้วว่าการขยายตัวของนาโต้ไปทางตะวันออกทำให้ความมั่นคงของประเทศตกอยู่ในอันตราย โดยผู้นำนาโต้สัญญากับรัสเซียว่าพันธมิตรป้องกันประเทศจะไม่ขยายตัวหลังจากสงครามเย็นสิ้นสุดลง นาโต้มีนโยบายเปิดประตูต้อนรับรัฐในยุโรปทุกรัฐให้เข้าร่วมตราบใดที่รัฐเหล่านั้นตรงตามเกณฑ์การเข้าร่วม
    .
    - แต่ทรัมป์ไม่ได้หยุดเพียงแค่ตั้งคำถามว่าใครเป็นคนเริ่มสงครามในยูเครน โดยทรัมป์ยังคงตั้งคำถามถึงความชอบธรรมของเซเลนสกี โดยเขาพูดซ้ำแนวทางที่เครมลินมักจะเสนออยู่เสมอ
    .
    - เมื่อวันพุธที่ผ่านมา เซเลนสกีระบุโดยเฉพาะว่าการอ้างว่าคะแนนนิยมของเขาอยู่ที่ 4% มาจากรัสเซีย และเคียฟก็มีหลักฐานบางอย่างที่บ่งชี้ว่าตัวเลขดังกล่าวได้รับการหารือกันระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซียแล้ว
    -------
    CNN
    เซเลนสกี้กล่าวว่าทรัมป์อาศัยอยู่บน 'พื้นที่ข้อมูลบิดเบือน' โวโลดิมีร์ เซเลนสกี กล่าวหาโดนัลด์ ทรัมป์ว่าให้ข้อมูลเท็จซ้ำแล้วซ้ำเล่า หนึ่งวันหลังจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวหายูเครนอย่างเท็จว่าเริ่มสงครามกับรัสเซีย - ความคิดเห็นของเซเลนสกี้ เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่กำลังก่อตัวเป็นการแลกเปลี่ยนข้อกล่าวหาต่อสาธารณะมากที่สุดระหว่างเคียฟและวอชิงตัน นับตั้งแต่สงครามเต็มรูปแบบเริ่มต้นขึ้นเมื่อเกือบ 3 ปีก่อน . - เมื่อพูดคุยกับผู้สื่อข่าวในกรุงเคียฟ เซเลนสกีได้โต้แย้งคำกล่าวอ้างที่ไม่มีมูลความจริงหลายกรณีที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันอังคาร ขณะเดียวกันก็ย้ำจุดยืนของยูเครนว่าข้อตกลงยุติสงครามต้องได้รับการมีส่วนร่วมจากยูเครน . - “น่าเสียดายที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ผมเคารพเขามากในฐานะผู้นำของประเทศที่เราเคารพนับถืออย่างยิ่ง ประชาชนชาวอเมริกันที่สนับสนุนเราเสมอ น่าเสียดายที่เขาต้องอาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งข้อมูลบิดเบือน” เซเลนสกีกล่าว . - เจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ และรัสเซียได้จัดการเจรจาระดับสูงเพื่อยุติสงครามในยูเครน ณ กรุงริยาด เมืองหลวงของซาอุดีอาระเบีย เมื่อวันอังคาร โดยการประชุมครั้งนี้ไม่ได้จัดขึ้นที่กรุงเคียฟ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องแต่งตั้งคณะทำงานระดับสูงเพื่อเจรจายุติสงคราม และกล่าวว่าพวกเขากำลังดำเนินการเพื่อสร้างช่องทางการทูตขึ้นใหม่ . - เซเลนสกีกล่าวว่า แม้ประเทศใดๆ ก็มีสิทธิที่จะหารือเรื่องปัญหาทวิภาคีกับซาอุดีอาระเบีย แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าสหรัฐฯ จัดการเจรจาโดยตรงกับรัสเซียนั้น “ช่วยให้ปูตินพ้นจากความโดดเดี่ยวอันยาวนานได้” . - การร้องเรียนของเคียฟเรื่องการถูกปิดกั้นไม่ให้เข้าร่วมการเจรจาเป็นชนวนให้ทรัมป์ออกมาโจมตีด้วยความเท็จในวันอังคาร . - ทรัมป์กล่าวเมื่อช่วงดึกของวันอังคารว่า “วันนี้ผมได้ยินว่า ‘โอ้ เราไม่ได้รับเชิญเลย คุณอยู่ที่นั่นมาสามปีแล้ว คุณควรยุติเรื่องนี้หลังจากสามปี คุณไม่ควรเริ่มเรื่องนี้เลย คุณควรทำข้อตกลงได้แล้ว” . - ความคิดเห็นของทรัมป์ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในกรุงมอสโก โดยที่รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ ชื่นชมประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่สะท้อนคำพูดของเครมลิน และกล่าวต่อรัฐสภารัสเซีย หรือดูมา ว่าทรัมป์ดูเหมือนจะ "เข้าใจจุดยืนของพวกเรา" . - “ผมคิดว่าทรัมป์เป็นผู้นำตะวันตกคนแรกที่ออกมาพูดต่อสาธารณะว่าสาเหตุของความขัดแย้งในยูเครนคือความพยายามของรัฐบาลชุดก่อนที่จะขยายนาโต” ลาฟรอฟกล่าวกับสมาชิกรัฐสภาเมื่อวันพุธ “ไม่มีผู้นำตะวันตกคนใดเคยพูดแบบนั้นมาก่อน ดังนั้น นั่นจึงเป็นสัญญาณว่าเขาเข้าใจจุดยืนของเราแล้ว” . - รัสเซียโต้แย้งมานานแล้วว่าการขยายตัวของนาโต้ไปทางตะวันออกทำให้ความมั่นคงของประเทศตกอยู่ในอันตราย โดยผู้นำนาโต้สัญญากับรัสเซียว่าพันธมิตรป้องกันประเทศจะไม่ขยายตัวหลังจากสงครามเย็นสิ้นสุดลง นาโต้มีนโยบายเปิดประตูต้อนรับรัฐในยุโรปทุกรัฐให้เข้าร่วมตราบใดที่รัฐเหล่านั้นตรงตามเกณฑ์การเข้าร่วม . - แต่ทรัมป์ไม่ได้หยุดเพียงแค่ตั้งคำถามว่าใครเป็นคนเริ่มสงครามในยูเครน โดยทรัมป์ยังคงตั้งคำถามถึงความชอบธรรมของเซเลนสกี โดยเขาพูดซ้ำแนวทางที่เครมลินมักจะเสนออยู่เสมอ . - เมื่อวันพุธที่ผ่านมา เซเลนสกีระบุโดยเฉพาะว่าการอ้างว่าคะแนนนิยมของเขาอยู่ที่ 4% มาจากรัสเซีย และเคียฟก็มีหลักฐานบางอย่างที่บ่งชี้ว่าตัวเลขดังกล่าวได้รับการหารือกันระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซียแล้ว ------- CNN
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 199 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เปิดเผยว่าเขาสั่งการให้กระทรวงยุติธรรม เลิกจ้างบรรดาอัยการอเมริกาในยุคของไบเดน ที่ยังเหลือยู่ทั้งหมด อ้างว่ากระทรวงแห่งนี้ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
    .
    "เราต้องทำความสะอาดบ้านในทันที และฟื้นฟูความชื่อมั่น ยุคทองของอเมริกาจำเป็นต้องมีระบบยุติธรรมที่ยุติธรรม และมันเริ่มขึ้นแล้วในวันนี้" ทรัมป์โพสต์ข้อความบนทรัสต์โซเชียล
    .
    สำนักข่าวรอยเตอร์ติดต่อสอบถามไปยังกระทรวงยุติธรรม แต่กระทรวงยุติธรรมยังไม่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรายงานข่าวดังกล่าว
    .
    เมื่อสัปดาห์ก่อน ทำเนียบขาวส่งหนังสือแจ้งยกเลิกสัญญาไปยังอัยการสหรัฐฯ หลายคนทั่วประเทศ ผู้ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต และล่าสุดในวันจันทร์ (17 ก.พ.) อัยการสหรัฐฯ หลายคนที่ได้รับการแต่งตั้งจากไบเดน แถลงว่ากำลังลาออก ส่วนคนอื่นๆ ได้ออกจากรัฐบาลตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว
    .
    แม้ตามธรรรมเนียมแล้ว บรรดาอัยการหรัฐฯ จะลาออกหลังมีการเปลี่ยนแปลงในการบริหารงานประธานาธิบดี แต่โดยปกติแล้วรัฐบาลที่กำลังเข้ารับตำแหน่งจะร้องขอให้พวกเขาลาออกจากตำแหน่งอย่างละมุนละม่อมและไม่ออกหนังสือเลิกจ้างที่ใช้ถ้อยคำกะทัดรัดเช่นนี้ จากความเห็นของอดีตทนายความทั้งในอดีตและปัจจุบันของกระทรวงยุติธรรม
    .
    การเลิกจ้างบรรดาอัยการสหรัฐฯ ซึ่งทำหน้าที่ในฐานะเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายรัฐบาลกลางระดับสูงสุด ตามเขตต่างๆ ของอัยการรายนั้นๆ ถือเป็นการยกเครื่องล่าสุดภายในกระทรวงยุติธรรม นับตั้งแต่ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งในเดือนที่แล้ว
    .
    แม้กระทั่งพวกเจ้าหน้าที่ที่มีอาชีพการเงินในกระทรวงยุติธรรม ที่ปกติแล้วจะยังคงอยู่ในตำแหน่งต่อไปแม้จะมีการเปลี่ยนรัฐบาลก็ตาม แต่คราวนี้มีพวกเขาหลายสิบคนในเมืองต่างๆ อย่างเช่นวอชิงตันและนิวยอร์ก ที่ถูกไล่ออกหรือลาออกไป นับตั้งแต่ ทรัมป์ ก้าวเข้าสู่อำนาจ
    .
    ระหว่างรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ทรัมป์ประกาศกร้าวว่าจะยุติการใช้กระทรวงยุติธรรมเป็นเครื่องมือทางการเมือง ในสิ่งที่เขากล่าวอ้างว่าถูกใช้เล่นงานเขา ในช่วงหลายขวบปีที่พ้นจากอำนาจไป
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000016385
    ..............
    Sondhi X
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เปิดเผยว่าเขาสั่งการให้กระทรวงยุติธรรม เลิกจ้างบรรดาอัยการอเมริกาในยุคของไบเดน ที่ยังเหลือยู่ทั้งหมด อ้างว่ากระทรวงแห่งนี้ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน . "เราต้องทำความสะอาดบ้านในทันที และฟื้นฟูความชื่อมั่น ยุคทองของอเมริกาจำเป็นต้องมีระบบยุติธรรมที่ยุติธรรม และมันเริ่มขึ้นแล้วในวันนี้" ทรัมป์โพสต์ข้อความบนทรัสต์โซเชียล . สำนักข่าวรอยเตอร์ติดต่อสอบถามไปยังกระทรวงยุติธรรม แต่กระทรวงยุติธรรมยังไม่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรายงานข่าวดังกล่าว . เมื่อสัปดาห์ก่อน ทำเนียบขาวส่งหนังสือแจ้งยกเลิกสัญญาไปยังอัยการสหรัฐฯ หลายคนทั่วประเทศ ผู้ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต และล่าสุดในวันจันทร์ (17 ก.พ.) อัยการสหรัฐฯ หลายคนที่ได้รับการแต่งตั้งจากไบเดน แถลงว่ากำลังลาออก ส่วนคนอื่นๆ ได้ออกจากรัฐบาลตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว . แม้ตามธรรรมเนียมแล้ว บรรดาอัยการหรัฐฯ จะลาออกหลังมีการเปลี่ยนแปลงในการบริหารงานประธานาธิบดี แต่โดยปกติแล้วรัฐบาลที่กำลังเข้ารับตำแหน่งจะร้องขอให้พวกเขาลาออกจากตำแหน่งอย่างละมุนละม่อมและไม่ออกหนังสือเลิกจ้างที่ใช้ถ้อยคำกะทัดรัดเช่นนี้ จากความเห็นของอดีตทนายความทั้งในอดีตและปัจจุบันของกระทรวงยุติธรรม . การเลิกจ้างบรรดาอัยการสหรัฐฯ ซึ่งทำหน้าที่ในฐานะเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายรัฐบาลกลางระดับสูงสุด ตามเขตต่างๆ ของอัยการรายนั้นๆ ถือเป็นการยกเครื่องล่าสุดภายในกระทรวงยุติธรรม นับตั้งแต่ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งในเดือนที่แล้ว . แม้กระทั่งพวกเจ้าหน้าที่ที่มีอาชีพการเงินในกระทรวงยุติธรรม ที่ปกติแล้วจะยังคงอยู่ในตำแหน่งต่อไปแม้จะมีการเปลี่ยนรัฐบาลก็ตาม แต่คราวนี้มีพวกเขาหลายสิบคนในเมืองต่างๆ อย่างเช่นวอชิงตันและนิวยอร์ก ที่ถูกไล่ออกหรือลาออกไป นับตั้งแต่ ทรัมป์ ก้าวเข้าสู่อำนาจ . ระหว่างรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ทรัมป์ประกาศกร้าวว่าจะยุติการใช้กระทรวงยุติธรรมเป็นเครื่องมือทางการเมือง ในสิ่งที่เขากล่าวอ้างว่าถูกใช้เล่นงานเขา ในช่วงหลายขวบปีที่พ้นจากอำนาจไป . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000016385 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1330 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐฯ กับรัสเซียเห็นพ้องกันที่จะเริ่มต้นทำงานเพื่อยุติสงครามในยูเครน และปรับปรุงสายสัมพันธ์ทางการทูตและทางเศรษฐกิจระหว่างกัน รัฐมนตรีต่างประเทศ มาร์โค รูบิโอ ของสหรัฐฯ ระบุภายหลังการเจรจากันของคณะผู้แทนสหรัฐฯ ที่นำโดยตัวเขา กับคณะของรัสเซียซึ่งมีรัฐมนตรีต่างประเทศ เซียร์เก ลาฟรอฟ เป็นผู้นำ ที่กรุงริยาด ซาอุดีอาระเบีย โดยที่ไม่มีตัวแทนจากยูเครนหรือทางยุโรปเข้าร่วมด้วย
    .
    ในการให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเอพีภายหลังการเจรจากับฝ่ายรัสเซีย รูบิโอกล่าวว่าทั้งสองฝ่ายมีการตกลงกันอย่างกว้างๆ ที่จะมุ่งหน้าไปสู่เป้าหมาย 3 ด้าน ได้แก่ การหวนคืนในเรื่องการให้เจ้าหน้าที่ของแต่ละฝ่ายได้กลับเข้าประจำทำงานในสถานเอกอัครราชทูตของกันและกันในกรุงวอชิงตันและกรุงมอสโก การก่อตั้งทีมงานระดับสูงเพื่อสนับสนุนการเจรจาสันติภาพยูเครน และการสำรวจลู่ทางเพื่อให้มีความสัมพันธ์และความร่วมมือกันในทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น
    .
    อย่างไรก็ดี เขาย้ำว่า การพูดจาคราวนี้ถือเป็นหลักหมายของการเริ่มต้นสนทนากัน และยังจำเป็นจะต้องทำงานกันต่อไปอีกมาก
    .
    ทั้งนี้ สายสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซียได้ตกลงมาสู่ระดับต่ำที่สุดในรอบหลายสิบปีระหว่างที่เกิดสงครามในยูเครน โดยที่สถานเอกอัครราชทูตของแต่ละฝ่ายซึ่งตั้งอยู่ในเมืองหลวงของอีกฝ่ายหนึ่ง ต่างได้รับความกระทบกระเทือนหนักจากการที่ต่างฝ่ายต่างสั่งขับไล่นักการทูตของกันและกันเป็นจำนวนมากหลายๆ ระลอกในช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมา และจากการที่สหรัฐฯ จับมือกับยุโรปในการประกาศใช้มาตรการแซงก์ชันด้านต่างๆ กับรัสเซีย
    .
    รูบิโอ ยังกล่าวแสดงความหวังให้การสู้รบขัดแย้งในยูเครนเดินเข้าสู่จุดจบที่สามารถยอมรับกันได้ และสหรัฐฯ กับรัสเซียจะมีโอกาสอันน่าเชื่อถือที่จะจับมือกันในทางภูมิรัฐศาสตร์ในประเด็นต่างๆ ที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน ตลอดจนในทางเศรษฐกิจด้วยประเด็นซึ่งจะเป็นผลดีต่อโลกและก็จะปรับปรุงความสัมพันธ์ของสองประเทศในระยะยาว
    .
    การหารือในวันอังคารคราวนี้ ยังมุ่งหมายที่จะแผ้วถางทางให้แก่การประชุมซัมมิตระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ทว่าภายหลังการเจรจาสิ้นสุดลง ยูริ อูชาคอฟ ที่ปรึกษาฝ่ายกิจการต่างประเทศของปูติน ซึ่งอยู่ในคณะของฝ่ายรัสเซีย บอกกับสถานีโทรทัศน์แชนเนลวัน ของรัสเซียว่า ยังไม่มีการกำหนดวันแน่นอนสำหรับซัมมิตดังที่ว่านี้ และ “ไม่น่าเป็นไปได้” ที่จะเกิดขึ้นมาในสัปดาห์หน้า
    .
    ในส่วนของ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เขากล่าวกับพวกผู้สื่อข่าวหลังการหารือว่า “การสนทนากันคราวนี้เป็นประโยชน์มาก” โดยที่เขาอ้างอิงถึงเป้าหมาย 3 ประการเช่นเดียวกับที่รูบิโอพูด และบอกว่าวอชิงตันกับมอสโกตกลงกันที่จะแต่งตั้งคณะตัวแทนที่จะดำเนินการ “การปรึกษาหารืออย่างเป็นประจำ” ในเรื่องยูเครนขึ้นมา
    .
    “เราไม่เพียงแค่รับฟัง แต่ยังได้ยินกันและกันอีกด้วย” ลาฟรอฟบอก “และผมมีเหตุผลที่จะเชื่อว่าฝ่ายอเมริกันได้เริ่มต้นที่จะเข้าอกเข้าใจจุดยืนของเราดีขึ้นแล้ว ซึ่งครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เราได้พูดสรุปโดยมีการลงรายละเอียด ใช้ตัวอย่างเฉพาะเจาะจงต่างๆ โดยยึดโยงอยู่กับคำปราศรัยครั้งแล้วครั้งเล่าของประธานาธิบดีปูติน”
    .
    ก่อนหน้าการเจรจาคราวนี้ ทั้งสองฝ่ายดูจะมีความพยายามเน้นย้ำไมให้เกิดการตั้งความหวังมากจนเกินความเป็นจริง
    .
    ดมิตริ เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน แถลงเมื่อวันจันทร์ (17 ก.พ.) ว่า การหารือคราวนี้มุ่งเน้นการฟื้นฟูความสัมพันธ์วอชิงตัน-มอสโกเป็นหลัก ตลอดจนถึงการเตรียมพร้อมสำหรับการเจรจาที่อาจเกิดขึ้นเกี่ยวกับยูเครน และการจัดเตรียมการประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
    .
    ส่วน แทมมี บรูซ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ แถลงว่า การประชุมที่ซาอุดีอาระเบียมีเป้าหมายในการพิจารณาว่า รัสเซียจริงจังกับข้อตกลงสันติภาพแค่ไหน และจะเริ่มต้นการเจรจาอย่างละเอียดได้หรือไม่
    .
    บรูซเสริมว่า แม้ยูเครนไม่ได้รับเชิญให้ร่วมการหารือในวันอังคาร แต่การเจรจาสันติภาพที่แท้จริงจะต้องมีเคียฟร่วมวงด้วย
    .
    การเจรจาคราวนี้จัดขึ้นที่ที่พระราชวังดิริยาห์ในกรุงริยาด โดยคณะของฝ่ายของสหรัฐฯ นอกจากรัฐมนตรีต่างประเทาศรูบิโอ แล้ว ยังมี ไมค์ วอลซ์ ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาว และสตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษด้านตะวันออกกลาง ขณะที่ฝ่ายรัสเซีย ได้แก่ เซียร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศ และยูริ อูชาคอฟ ผู้ช่วยอาวุโสของปูติน
    .
    รายงานข่าวระบุว่า การหารือเริ่มต้นขึ้นโดยไม่มีการจับมือหรือการแถลงใดๆ แต่มีเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาร์ฮัน และมูซาอัด บิน โมฮัมหมัด อัล-ไอบาน รัฐมนตรีต่างประเทศและที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของซาอุดีอาระเบียตามลำดับร่วมอยู่ด้วย
    .
    การหารือครั้งนี้ถือเป็นการหารือระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสองชาติครั้งแรกนับจากที่รัสเซียบุกยูเครน และยังถือเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศครั้งใหญ่ของอเมริกา
    .
    เปสคอฟแถลงเมื่อวันอังคารระหว่างที่การหารือในริยาดดำเนินอยู่ว่า การแก้ไขวิกฤตยูเครนอย่างยั่งยืนไม่มีทางเป็นไปได้หากไม่พิจารณาสถานการณ์ความมั่นคงของยุโรป และสำทับว่า ยูเครนมีสิทธิอธิปไตยในการเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป แต่รัสเซียคัดค้านการเข้าร่วมองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ของเคียฟ
    .
    โฆษกเครมลินเสริมว่า ปูตินพร้อมคุยกับเซเลนสกีถ้าจำเป็น
    .
    รัสเซียยังระบุก่อนการหารือว่า ปูตินและทรัมป์ต้องการออกจาก “ความสัมพันธ์ที่ผิดปกติ” และไม่เห็นความจำเป็นที่ยุโรปจะต้องร่วมเจรจาใดๆ
    .
    คิริลล์ ดมิทริฟ ผู้เจรจาด้านเศรษฐกิจและประธานกองทุนการลงทุนโดยตรงของรัสเซีย ให้สัมภาษณ์สถานีทีวีของทางการรัสเซียเมื่อวันอังคารว่า เขาคาดหวังว่า จะมีความคืบหน้าภายในเวลา 2-3 เดือน
    .
    ในส่วนความคืบหน้าที่อาจนำไปสู่ข้อตกลงหยุดยิงในยูเครนนั้นยังไม่มีความชัดเจน โดยทั้งอเมริกาและรัสเซียต่างออกตัวว่า การหารือในวันอังคารเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการที่ยาวนานเท่านั้น
    .
    บรูซ โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า การหารือที่ริยาดไม่ควรถูกคาดหวังว่า จะมีรายละเอียดหรือมีความคืบหน้าเกี่ยวกับการเจรจาหยุดยิง
    .
    ขณะที่อูชาคอฟให้สัมภาษณ์สื่อของทางการรัสเซียว่า การพูดคุยในวันอังคารเป็นเพียงการหารือถึงวิธีเริ่มต้นการเจรจาเกี่ยวกับยูเครน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000016365
    ..............
    Sondhi X
    สหรัฐฯ กับรัสเซียเห็นพ้องกันที่จะเริ่มต้นทำงานเพื่อยุติสงครามในยูเครน และปรับปรุงสายสัมพันธ์ทางการทูตและทางเศรษฐกิจระหว่างกัน รัฐมนตรีต่างประเทศ มาร์โค รูบิโอ ของสหรัฐฯ ระบุภายหลังการเจรจากันของคณะผู้แทนสหรัฐฯ ที่นำโดยตัวเขา กับคณะของรัสเซียซึ่งมีรัฐมนตรีต่างประเทศ เซียร์เก ลาฟรอฟ เป็นผู้นำ ที่กรุงริยาด ซาอุดีอาระเบีย โดยที่ไม่มีตัวแทนจากยูเครนหรือทางยุโรปเข้าร่วมด้วย . ในการให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเอพีภายหลังการเจรจากับฝ่ายรัสเซีย รูบิโอกล่าวว่าทั้งสองฝ่ายมีการตกลงกันอย่างกว้างๆ ที่จะมุ่งหน้าไปสู่เป้าหมาย 3 ด้าน ได้แก่ การหวนคืนในเรื่องการให้เจ้าหน้าที่ของแต่ละฝ่ายได้กลับเข้าประจำทำงานในสถานเอกอัครราชทูตของกันและกันในกรุงวอชิงตันและกรุงมอสโก การก่อตั้งทีมงานระดับสูงเพื่อสนับสนุนการเจรจาสันติภาพยูเครน และการสำรวจลู่ทางเพื่อให้มีความสัมพันธ์และความร่วมมือกันในทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น . อย่างไรก็ดี เขาย้ำว่า การพูดจาคราวนี้ถือเป็นหลักหมายของการเริ่มต้นสนทนากัน และยังจำเป็นจะต้องทำงานกันต่อไปอีกมาก . ทั้งนี้ สายสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซียได้ตกลงมาสู่ระดับต่ำที่สุดในรอบหลายสิบปีระหว่างที่เกิดสงครามในยูเครน โดยที่สถานเอกอัครราชทูตของแต่ละฝ่ายซึ่งตั้งอยู่ในเมืองหลวงของอีกฝ่ายหนึ่ง ต่างได้รับความกระทบกระเทือนหนักจากการที่ต่างฝ่ายต่างสั่งขับไล่นักการทูตของกันและกันเป็นจำนวนมากหลายๆ ระลอกในช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมา และจากการที่สหรัฐฯ จับมือกับยุโรปในการประกาศใช้มาตรการแซงก์ชันด้านต่างๆ กับรัสเซีย . รูบิโอ ยังกล่าวแสดงความหวังให้การสู้รบขัดแย้งในยูเครนเดินเข้าสู่จุดจบที่สามารถยอมรับกันได้ และสหรัฐฯ กับรัสเซียจะมีโอกาสอันน่าเชื่อถือที่จะจับมือกันในทางภูมิรัฐศาสตร์ในประเด็นต่างๆ ที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน ตลอดจนในทางเศรษฐกิจด้วยประเด็นซึ่งจะเป็นผลดีต่อโลกและก็จะปรับปรุงความสัมพันธ์ของสองประเทศในระยะยาว . การหารือในวันอังคารคราวนี้ ยังมุ่งหมายที่จะแผ้วถางทางให้แก่การประชุมซัมมิตระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ทว่าภายหลังการเจรจาสิ้นสุดลง ยูริ อูชาคอฟ ที่ปรึกษาฝ่ายกิจการต่างประเทศของปูติน ซึ่งอยู่ในคณะของฝ่ายรัสเซีย บอกกับสถานีโทรทัศน์แชนเนลวัน ของรัสเซียว่า ยังไม่มีการกำหนดวันแน่นอนสำหรับซัมมิตดังที่ว่านี้ และ “ไม่น่าเป็นไปได้” ที่จะเกิดขึ้นมาในสัปดาห์หน้า . ในส่วนของ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เขากล่าวกับพวกผู้สื่อข่าวหลังการหารือว่า “การสนทนากันคราวนี้เป็นประโยชน์มาก” โดยที่เขาอ้างอิงถึงเป้าหมาย 3 ประการเช่นเดียวกับที่รูบิโอพูด และบอกว่าวอชิงตันกับมอสโกตกลงกันที่จะแต่งตั้งคณะตัวแทนที่จะดำเนินการ “การปรึกษาหารืออย่างเป็นประจำ” ในเรื่องยูเครนขึ้นมา . “เราไม่เพียงแค่รับฟัง แต่ยังได้ยินกันและกันอีกด้วย” ลาฟรอฟบอก “และผมมีเหตุผลที่จะเชื่อว่าฝ่ายอเมริกันได้เริ่มต้นที่จะเข้าอกเข้าใจจุดยืนของเราดีขึ้นแล้ว ซึ่งครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เราได้พูดสรุปโดยมีการลงรายละเอียด ใช้ตัวอย่างเฉพาะเจาะจงต่างๆ โดยยึดโยงอยู่กับคำปราศรัยครั้งแล้วครั้งเล่าของประธานาธิบดีปูติน” . ก่อนหน้าการเจรจาคราวนี้ ทั้งสองฝ่ายดูจะมีความพยายามเน้นย้ำไมให้เกิดการตั้งความหวังมากจนเกินความเป็นจริง . ดมิตริ เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน แถลงเมื่อวันจันทร์ (17 ก.พ.) ว่า การหารือคราวนี้มุ่งเน้นการฟื้นฟูความสัมพันธ์วอชิงตัน-มอสโกเป็นหลัก ตลอดจนถึงการเตรียมพร้อมสำหรับการเจรจาที่อาจเกิดขึ้นเกี่ยวกับยูเครน และการจัดเตรียมการประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ . ส่วน แทมมี บรูซ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ แถลงว่า การประชุมที่ซาอุดีอาระเบียมีเป้าหมายในการพิจารณาว่า รัสเซียจริงจังกับข้อตกลงสันติภาพแค่ไหน และจะเริ่มต้นการเจรจาอย่างละเอียดได้หรือไม่ . บรูซเสริมว่า แม้ยูเครนไม่ได้รับเชิญให้ร่วมการหารือในวันอังคาร แต่การเจรจาสันติภาพที่แท้จริงจะต้องมีเคียฟร่วมวงด้วย . การเจรจาคราวนี้จัดขึ้นที่ที่พระราชวังดิริยาห์ในกรุงริยาด โดยคณะของฝ่ายของสหรัฐฯ นอกจากรัฐมนตรีต่างประเทาศรูบิโอ แล้ว ยังมี ไมค์ วอลซ์ ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาว และสตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษด้านตะวันออกกลาง ขณะที่ฝ่ายรัสเซีย ได้แก่ เซียร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศ และยูริ อูชาคอฟ ผู้ช่วยอาวุโสของปูติน . รายงานข่าวระบุว่า การหารือเริ่มต้นขึ้นโดยไม่มีการจับมือหรือการแถลงใดๆ แต่มีเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาร์ฮัน และมูซาอัด บิน โมฮัมหมัด อัล-ไอบาน รัฐมนตรีต่างประเทศและที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของซาอุดีอาระเบียตามลำดับร่วมอยู่ด้วย . การหารือครั้งนี้ถือเป็นการหารือระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสองชาติครั้งแรกนับจากที่รัสเซียบุกยูเครน และยังถือเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศครั้งใหญ่ของอเมริกา . เปสคอฟแถลงเมื่อวันอังคารระหว่างที่การหารือในริยาดดำเนินอยู่ว่า การแก้ไขวิกฤตยูเครนอย่างยั่งยืนไม่มีทางเป็นไปได้หากไม่พิจารณาสถานการณ์ความมั่นคงของยุโรป และสำทับว่า ยูเครนมีสิทธิอธิปไตยในการเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป แต่รัสเซียคัดค้านการเข้าร่วมองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ของเคียฟ . โฆษกเครมลินเสริมว่า ปูตินพร้อมคุยกับเซเลนสกีถ้าจำเป็น . รัสเซียยังระบุก่อนการหารือว่า ปูตินและทรัมป์ต้องการออกจาก “ความสัมพันธ์ที่ผิดปกติ” และไม่เห็นความจำเป็นที่ยุโรปจะต้องร่วมเจรจาใดๆ . คิริลล์ ดมิทริฟ ผู้เจรจาด้านเศรษฐกิจและประธานกองทุนการลงทุนโดยตรงของรัสเซีย ให้สัมภาษณ์สถานีทีวีของทางการรัสเซียเมื่อวันอังคารว่า เขาคาดหวังว่า จะมีความคืบหน้าภายในเวลา 2-3 เดือน . ในส่วนความคืบหน้าที่อาจนำไปสู่ข้อตกลงหยุดยิงในยูเครนนั้นยังไม่มีความชัดเจน โดยทั้งอเมริกาและรัสเซียต่างออกตัวว่า การหารือในวันอังคารเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการที่ยาวนานเท่านั้น . บรูซ โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า การหารือที่ริยาดไม่ควรถูกคาดหวังว่า จะมีรายละเอียดหรือมีความคืบหน้าเกี่ยวกับการเจรจาหยุดยิง . ขณะที่อูชาคอฟให้สัมภาษณ์สื่อของทางการรัสเซียว่า การพูดคุยในวันอังคารเป็นเพียงการหารือถึงวิธีเริ่มต้นการเจรจาเกี่ยวกับยูเครน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000016365 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1335 มุมมอง 0 รีวิว
  • เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เปิดเผยผลการเจรจาระหว่างรัสเซียและสหรัฐฯ ที่กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย ดังนี้:
    - มีเหตุผลให้เชื่อได้ว่าฝ่ายอเมริกาเริ่มรับฟังจุดยืนของรัสเซียมากขึ้น: การสนทนามีประโยชน์มาก

    - ทั้งสองตกลงที่จะแต่งตั้งเอกอัครราชทูตเข้ามาทำหน้าที่อย่างรวดเร็วเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการทูต

    - ตกลงที่จะขจัดอุปสรรคที่รัฐบาลไบเดนสร้างขึ้นในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งขัดขวางการทำงานของคณะผู้แทนทางการทูตของทั้งสอง

    - อุปสรรคต่างๆ ที่ถูกสร้างโดยรัฐบาลของไบเดน ซึ่งทำให้การทำงานของนักการทูตประสบความยากลำบากนั้น จะต้องได้รับการกำจัดออกไป ซึ่งรวมถึงการยึดทรัพย์สินอย่างต่อเนื่อง

    - ตกลงที่จะจัดตั้งกระบวนการแก้ไขข้อขัดแย้งในยูเครน โดยจะมีการแต่งตั้งทีมเจรจาในอนาคตอันใกล้นี้ เพื่อทำงานเกี่ยวกับข้อตกลงยูเครนอย่างจริงจังและสม่ำเสมอ

    - ตกลงที่จะสร้างเงื่อนไขสำหรับการฟื้นคืนความร่วมมือทวิภาคีควบคู่ไปกับการแก้ไขวิกฤตยูเครน

    - รัสเซียแจ้งโดยตรงต่อสหรัฐว่า การที่ยูเครนเข้าเป็นสมาชิก NATO คือภัยคุกคามโดยตรง และการมีทหารจากประเทศสมาชิก NATO แม้จะอยู่ภายใต้ธงประเทศในสหภาพยุโรปหรือธงอื่นๆ ถือเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้

    - สหรัฐอเมริกา ต้องการให้ยกเลิกเป้าหมายในการโจมตีโครงสร้างด้านพลังงานทั้งในรัสเซียและยูเครนในช่วงระหว่างขั้นตอนการเจรจา

    - แต่ละประเทศล้วนชี้นำโดยผลประโยชน์ของชาติของตนเอง ทำให้ความเข้าใจระหว่างรัสเซียและสหรัฐในบางเรื่อง อาจมีความเห็นต่างกัน สิ่งสำคัญคือการหารือร่วมกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า
    เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เปิดเผยผลการเจรจาระหว่างรัสเซียและสหรัฐฯ ที่กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย ดังนี้: - มีเหตุผลให้เชื่อได้ว่าฝ่ายอเมริกาเริ่มรับฟังจุดยืนของรัสเซียมากขึ้น: การสนทนามีประโยชน์มาก - ทั้งสองตกลงที่จะแต่งตั้งเอกอัครราชทูตเข้ามาทำหน้าที่อย่างรวดเร็วเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการทูต - ตกลงที่จะขจัดอุปสรรคที่รัฐบาลไบเดนสร้างขึ้นในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งขัดขวางการทำงานของคณะผู้แทนทางการทูตของทั้งสอง - อุปสรรคต่างๆ ที่ถูกสร้างโดยรัฐบาลของไบเดน ซึ่งทำให้การทำงานของนักการทูตประสบความยากลำบากนั้น จะต้องได้รับการกำจัดออกไป ซึ่งรวมถึงการยึดทรัพย์สินอย่างต่อเนื่อง - ตกลงที่จะจัดตั้งกระบวนการแก้ไขข้อขัดแย้งในยูเครน โดยจะมีการแต่งตั้งทีมเจรจาในอนาคตอันใกล้นี้ เพื่อทำงานเกี่ยวกับข้อตกลงยูเครนอย่างจริงจังและสม่ำเสมอ - ตกลงที่จะสร้างเงื่อนไขสำหรับการฟื้นคืนความร่วมมือทวิภาคีควบคู่ไปกับการแก้ไขวิกฤตยูเครน - รัสเซียแจ้งโดยตรงต่อสหรัฐว่า การที่ยูเครนเข้าเป็นสมาชิก NATO คือภัยคุกคามโดยตรง และการมีทหารจากประเทศสมาชิก NATO แม้จะอยู่ภายใต้ธงประเทศในสหภาพยุโรปหรือธงอื่นๆ ถือเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ - สหรัฐอเมริกา ต้องการให้ยกเลิกเป้าหมายในการโจมตีโครงสร้างด้านพลังงานทั้งในรัสเซียและยูเครนในช่วงระหว่างขั้นตอนการเจรจา - แต่ละประเทศล้วนชี้นำโดยผลประโยชน์ของชาติของตนเอง ทำให้ความเข้าใจระหว่างรัสเซียและสหรัฐในบางเรื่อง อาจมีความเห็นต่างกัน สิ่งสำคัญคือการหารือร่วมกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 205 มุมมอง 0 รีวิว
  • คิริลล์ ดมิทรีเยฟ (Kirill Dmitriev) หัวหน้ากองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติรัสเซีย (RDIF - Russian Direct Investment Fund) ซึ่งได้เข้าร่วมทีมเจรจาระดับสูงระหว่างสหรัฐกับรัสเซียครั้งนี้ด้วย บ่งชี้ถึงความต้องการของรัสเซียที่มีแนวโน้มจะให้สหรัฐลดมาตรการคว่ำบาตรที่มีต่อรัสเซียลงซึ่งอดีตนายธนาคารจากโกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) เคยมีบทบาทสำคัญในการประสานงานช่วงแรกระหว่างมอสโกกับวอชิงตัน ในสมัยที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งปธน.วาระแรกระหว่างปี 2559-2563

    ก่อนเข้าร่วมการประชุม ดมิทรีเยฟ กล่าวว่า มาตรการลงโทษของสหรัฐที่มีต่อรัสเซีย มีแต่จะทำให้ธุรกิจของอเมริกาเสียหาย เพราะที่ผ่านมาพวกเขาสูญเสียเงินไปแล้วประมาณ 300,000 ล้านดอลลาร์ หลังต้องทิ้งธุรกิจเพื่อจากออกจากรัสเซียไป

    “สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักคือ ธุรกิจอเมริกันสูญเสียเงินราว 3 แสนล้านดอลลาร์จากการถอนตัวออกจากรัสเซีย นี่คือผลกระทบทางเศรษฐกิจอันใหญ่หลวงต่อหลายประเทศจากสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น และเราเชื่อว่าหนทางข้างหน้าคือการหาทางออกร่วมกัน” ดมิทรีเยฟกล่าว

    ดมิทรีเยฟ เกิดที่กรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครน ในสมัยที่ยังเป็นส่วนหนึ่งของอดีตสหภาพโซเวียต และได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีปูติน ให้เป็น CEO ของกองทุน RDIF ตั้งแต่ปี 2011

    เขามีประวัติการทำงานที่น่าสนใจ ซึ่งเคยทำงานในบริษัทระดับโลกหลายแห่งไม่ว่าจะเป็น Goldman Sachs, McKinsey, General Electric (GE) และ Société Générale
    คิริลล์ ดมิทรีเยฟ (Kirill Dmitriev) หัวหน้ากองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติรัสเซีย (RDIF - Russian Direct Investment Fund) ซึ่งได้เข้าร่วมทีมเจรจาระดับสูงระหว่างสหรัฐกับรัสเซียครั้งนี้ด้วย บ่งชี้ถึงความต้องการของรัสเซียที่มีแนวโน้มจะให้สหรัฐลดมาตรการคว่ำบาตรที่มีต่อรัสเซียลงซึ่งอดีตนายธนาคารจากโกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) เคยมีบทบาทสำคัญในการประสานงานช่วงแรกระหว่างมอสโกกับวอชิงตัน ในสมัยที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งปธน.วาระแรกระหว่างปี 2559-2563 ก่อนเข้าร่วมการประชุม ดมิทรีเยฟ กล่าวว่า มาตรการลงโทษของสหรัฐที่มีต่อรัสเซีย มีแต่จะทำให้ธุรกิจของอเมริกาเสียหาย เพราะที่ผ่านมาพวกเขาสูญเสียเงินไปแล้วประมาณ 300,000 ล้านดอลลาร์ หลังต้องทิ้งธุรกิจเพื่อจากออกจากรัสเซียไป “สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักคือ ธุรกิจอเมริกันสูญเสียเงินราว 3 แสนล้านดอลลาร์จากการถอนตัวออกจากรัสเซีย นี่คือผลกระทบทางเศรษฐกิจอันใหญ่หลวงต่อหลายประเทศจากสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น และเราเชื่อว่าหนทางข้างหน้าคือการหาทางออกร่วมกัน” ดมิทรีเยฟกล่าว ดมิทรีเยฟ เกิดที่กรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครน ในสมัยที่ยังเป็นส่วนหนึ่งของอดีตสหภาพโซเวียต และได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีปูติน ให้เป็น CEO ของกองทุน RDIF ตั้งแต่ปี 2011 เขามีประวัติการทำงานที่น่าสนใจ ซึ่งเคยทำงานในบริษัทระดับโลกหลายแห่งไม่ว่าจะเป็น Goldman Sachs, McKinsey, General Electric (GE) และ Société Générale
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 269 มุมมอง 15 0 รีวิว
  • เครมลินแถลงเอง เซียร์เก ราฟลอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศ และยูริ อูชาคอฟ ที่ปรึกษาด้านนโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน จะนำคณะเจรจาหารือกับทีมเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอเมริกาที่นำโดยมาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งจะเริ่มต้นวันอังคาร (18 ก.พ.) ที่กรุงริยาด ของซาอุดีอาระเบีย ขณะที่รูบิโอพยายามคลายความกังวลโดยยืนยันว่า ยูเครนและยุโรปจะยังมีส่วนร่วมในการเจรจาข้อตกลงสันติภาพ หากการหารือระหว่างวอชิงตัน-มอสโกคืบหน้า
    .
    การหารือที่เมืองหลวงซาอุดีอาระเบียคราวนี้ เกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พูดคุยทางโทรศัพท์กับปูตินเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากนั้นเขาแถลงว่าน่าจะได้พบปะแบบพบหน้ากับผู้นำเครมลินในเร็วๆ นี้ โดยอาจจะเป็นที่ซาอุดีอาระเบีย นอกจากนั้นทางสหรัฐฯยังเคลื่อนไหวแต่งตั้งคณะเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่จะไปหารือกับฝ่ายรัสเซีย โดยเห็นกันว่าเพื่อปูทางสำหรับการประชุมซัมมิตทรัมป์-ปูติน เวลาเดียวกันก็เป็นการเริ่มต้นเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งในยูเครนตามที่ทรัมป์เคยหาเสียงไว้ ทั้งนี้ความเคลื่อนไหวคราวนี้ของทรัมป์ ยังถือเป็นการสิ้นสุดการโดดเดี่ยวมอสโกจากกรณีบุกยูเครนเมื่อวันที่ 22 ก.พ.2022
    .
    คณะของสหรัฐฯ นั้น นอกจากรูบิโอที่เดินทางถึงกรุงริยาดตั้งแต่ค่ำวันอาทิตย์ (16) แล้ว ยังประกอบด้วย ไมค์ วอลซ์ ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติ และสตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษด้านตะวันออกกลางของทำเนียบขาว
    .
    รูบิโอกล่าวกับทีวีสหรัฐฯเมื่อวันอาทิตย์ (16 ก.พ.) ว่า ช่วงไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์นับจากนี้ จะตัดสินว่า ปูตินจริงจังกับการสร้างสันติภาพหรือไม่
    .
    ด้านวิตคอฟฟ์ให้สัมภาษณ์รายการ “ซันเดย์ มอร์นิง ฟิวเจอร์” ของฟ็อกซ์ นิวส์ว่า ตนและวอลซ์จะดำเนินการประชุมตามแนวทางที่ทรัมป์กำหนด และหวังว่าจะมีความคืบหน้าบางอย่างเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน
    .
    ในอีกด้านหนึ่ง ดมิตริ เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน แถลงในวันจันทร์ว่า ราฟลอฟและอูชาคอฟจะร่วมหารือกับเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เกี่ยวกับการจัดเตรียมการหารือระหว่างปูตินกับทรัมป์ และเรื่องเกี่ยวกับข้อตกลงสันติภาพในยูเครนที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงฟื้นความสัมพันธ์วอชิงตัน-มอสโก
    .
    อย่างไรก็ดี เปสคอฟปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นว่า ปูตินกับทรัมป์จะพบกันปลายเดือนนี้ที่ซาอุดีอาระเบียหรือไม่ ขณะที่เมื่อวันอาทิตย์ ทรัมป์ให้สัมภาษณ์ว่า ยังไม่ได้กำหนดวันเวลาที่จะพบกับผู้นำรัสเซีย แต่น่าจะเป็นเร็วๆ นี้
    .
    ในส่วนประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีของยูเครนนั้น รายงานระบุว่าได้ เดินทางถึงสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ตั้งแต่วันอาทิตย์ รวมทั้งเล็งเยือนซาอุดีอาระเบียและตุรกีต่อ แต่ยืนยันว่า ไม่มีแผนพบกับเจ้าหน้าที่รัสเซียหรือสหรัฐฯ ขณะที่เชื่อกันว่า ยูเครนไม่ได้รับเชิญให้ร่วมหารือที่ซาอุดีอาระเบียเป็นเจ้าภาพ
    .
    แอนดริว เยอร์แมค ที่ปรึกษาระดับสูงของเซเลนสกี เปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์ว่า ไม่มีความเป็นไปได้ที่เจ้าหน้าที่ยูเครนกับรัสเซียจะประชุมกันโดยตรงในอนาคตอันใกล้ อย่างน้อยจนกว่ายูเครนจะร่างแผนการเพื่อยุติสงครามและสร้างสันติภาพเสร็จสิ้น
    .
    การหารือระหว่างคณะเจ้าหน้าที่อเมริกาและรัสเซียยังเกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลว่า ยูเครนและยุโรปกำลังถูกกีดกันไม่ให้มีส่วนร่วม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจาก คีธ เคลล็อก ผู้แทนพิเศษด้านยูเครนและรัสเซียของทรัมป์ ประกาศชัดเจนเมื่อวันเสาร์ (15 ก.พ.) ว่า ยุโรปจะไม่มีส่วนร่วมในการเจรจาสันติภาพ
    .
    กระนั้น เมื่อวันอาทิตย์ รูบิโอได้พยายามคลายความกังวลเรื่องนี้โดยบอกว่า ทั้งเคียฟและยุโรปจะมีส่วนร่วมใน “การเจรจาจริง” ที่จะเกิดขึ้นมา หากการหารือระหว่างอเมริกากับรัสเซียมีความคืบหน้า และสำทับว่า การหารือในขณะนี้เป็นแค่โอกาสในการหยั่งเชิงว่า รัสเซียจะจริงจังแค่ไหน
    .
    นอกจากนั้น วิตคอฟฟ์ยังตั้งข้อสังเกตว่า เจ้าหน้าที่ยูเครนได้พบกับเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ หลายคนระหว่างการประชุมความมั่นคงที่มิวนิกเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ทรัมป์ก็ได้พูดคุยกับเซเลนสกีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000015972
    ..............
    Sondhi X
    เครมลินแถลงเอง เซียร์เก ราฟลอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศ และยูริ อูชาคอฟ ที่ปรึกษาด้านนโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน จะนำคณะเจรจาหารือกับทีมเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอเมริกาที่นำโดยมาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งจะเริ่มต้นวันอังคาร (18 ก.พ.) ที่กรุงริยาด ของซาอุดีอาระเบีย ขณะที่รูบิโอพยายามคลายความกังวลโดยยืนยันว่า ยูเครนและยุโรปจะยังมีส่วนร่วมในการเจรจาข้อตกลงสันติภาพ หากการหารือระหว่างวอชิงตัน-มอสโกคืบหน้า . การหารือที่เมืองหลวงซาอุดีอาระเบียคราวนี้ เกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พูดคุยทางโทรศัพท์กับปูตินเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากนั้นเขาแถลงว่าน่าจะได้พบปะแบบพบหน้ากับผู้นำเครมลินในเร็วๆ นี้ โดยอาจจะเป็นที่ซาอุดีอาระเบีย นอกจากนั้นทางสหรัฐฯยังเคลื่อนไหวแต่งตั้งคณะเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่จะไปหารือกับฝ่ายรัสเซีย โดยเห็นกันว่าเพื่อปูทางสำหรับการประชุมซัมมิตทรัมป์-ปูติน เวลาเดียวกันก็เป็นการเริ่มต้นเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งในยูเครนตามที่ทรัมป์เคยหาเสียงไว้ ทั้งนี้ความเคลื่อนไหวคราวนี้ของทรัมป์ ยังถือเป็นการสิ้นสุดการโดดเดี่ยวมอสโกจากกรณีบุกยูเครนเมื่อวันที่ 22 ก.พ.2022 . คณะของสหรัฐฯ นั้น นอกจากรูบิโอที่เดินทางถึงกรุงริยาดตั้งแต่ค่ำวันอาทิตย์ (16) แล้ว ยังประกอบด้วย ไมค์ วอลซ์ ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติ และสตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษด้านตะวันออกกลางของทำเนียบขาว . รูบิโอกล่าวกับทีวีสหรัฐฯเมื่อวันอาทิตย์ (16 ก.พ.) ว่า ช่วงไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์นับจากนี้ จะตัดสินว่า ปูตินจริงจังกับการสร้างสันติภาพหรือไม่ . ด้านวิตคอฟฟ์ให้สัมภาษณ์รายการ “ซันเดย์ มอร์นิง ฟิวเจอร์” ของฟ็อกซ์ นิวส์ว่า ตนและวอลซ์จะดำเนินการประชุมตามแนวทางที่ทรัมป์กำหนด และหวังว่าจะมีความคืบหน้าบางอย่างเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน . ในอีกด้านหนึ่ง ดมิตริ เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน แถลงในวันจันทร์ว่า ราฟลอฟและอูชาคอฟจะร่วมหารือกับเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เกี่ยวกับการจัดเตรียมการหารือระหว่างปูตินกับทรัมป์ และเรื่องเกี่ยวกับข้อตกลงสันติภาพในยูเครนที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงฟื้นความสัมพันธ์วอชิงตัน-มอสโก . อย่างไรก็ดี เปสคอฟปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นว่า ปูตินกับทรัมป์จะพบกันปลายเดือนนี้ที่ซาอุดีอาระเบียหรือไม่ ขณะที่เมื่อวันอาทิตย์ ทรัมป์ให้สัมภาษณ์ว่า ยังไม่ได้กำหนดวันเวลาที่จะพบกับผู้นำรัสเซีย แต่น่าจะเป็นเร็วๆ นี้ . ในส่วนประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีของยูเครนนั้น รายงานระบุว่าได้ เดินทางถึงสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ตั้งแต่วันอาทิตย์ รวมทั้งเล็งเยือนซาอุดีอาระเบียและตุรกีต่อ แต่ยืนยันว่า ไม่มีแผนพบกับเจ้าหน้าที่รัสเซียหรือสหรัฐฯ ขณะที่เชื่อกันว่า ยูเครนไม่ได้รับเชิญให้ร่วมหารือที่ซาอุดีอาระเบียเป็นเจ้าภาพ . แอนดริว เยอร์แมค ที่ปรึกษาระดับสูงของเซเลนสกี เปิดเผยเมื่อวันอาทิตย์ว่า ไม่มีความเป็นไปได้ที่เจ้าหน้าที่ยูเครนกับรัสเซียจะประชุมกันโดยตรงในอนาคตอันใกล้ อย่างน้อยจนกว่ายูเครนจะร่างแผนการเพื่อยุติสงครามและสร้างสันติภาพเสร็จสิ้น . การหารือระหว่างคณะเจ้าหน้าที่อเมริกาและรัสเซียยังเกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลว่า ยูเครนและยุโรปกำลังถูกกีดกันไม่ให้มีส่วนร่วม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจาก คีธ เคลล็อก ผู้แทนพิเศษด้านยูเครนและรัสเซียของทรัมป์ ประกาศชัดเจนเมื่อวันเสาร์ (15 ก.พ.) ว่า ยุโรปจะไม่มีส่วนร่วมในการเจรจาสันติภาพ . กระนั้น เมื่อวันอาทิตย์ รูบิโอได้พยายามคลายความกังวลเรื่องนี้โดยบอกว่า ทั้งเคียฟและยุโรปจะมีส่วนร่วมใน “การเจรจาจริง” ที่จะเกิดขึ้นมา หากการหารือระหว่างอเมริกากับรัสเซียมีความคืบหน้า และสำทับว่า การหารือในขณะนี้เป็นแค่โอกาสในการหยั่งเชิงว่า รัสเซียจะจริงจังแค่ไหน . นอกจากนั้น วิตคอฟฟ์ยังตั้งข้อสังเกตว่า เจ้าหน้าที่ยูเครนได้พบกับเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ หลายคนระหว่างการประชุมความมั่นคงที่มิวนิกเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ทรัมป์ก็ได้พูดคุยกับเซเลนสกีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000015972 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    11
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1238 มุมมอง 0 รีวิว
  • สว แรนด์ พอลเชิญให้อีลอน มัสก์ตรวนสอบทองคำสำรองที่Fort Knox
    18-2-2025
    วุฒิสมาชิกแรนด์ พอล ได้เชิญอีลอน มัสก์ มายังรัฐเคนทักกีของเขา เพื่อตรวจสอบทองคำสำรองที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ
    บัญชี X ของสว. พอล ที่มีผู้ติดตาม 2 ล้านคน ได้ขอให้หัวหน้าหน่วยงาน Department of Government Efficiency (DOGE) เล็งไปที่ Fort Knox เพื่อตรวจสอบว่าทองคำสำรองของสหรัฐฯ ยังอยู่ในที่เก็บหรือไม่
    มัสก์ตั้งคำถามว่าทำไมไม่มีการตรวจสอบทองคำสำรองทุกปี ซึ่งทำให้เกิดการคาดคะเนว่าเขาอาจจะเข้าไปตรวจสอบฐานทัพที่มีห้องนิรภัยที่บรรจุทองคำสำรองของสหรัฐฯ
    ตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งและแต่งตั้งมัสก์ให้มีอำนาจในวอชิงตัน มหาเศรษฐีคนนี้ก็ได้ตั้งเป้าหมายที่จะลดงบประมาณในหลายหน่วยงานที่ทั้งคู่เห็นว่าจะช่วยลด "การใช้งบประมาณที่สิ้นเปลือง" ของรัฐบาลกลาง รวมท้ังกำจัดการคอรัปชั่น
    มัสก์ช่วยยกเลิก USAID อย่างสมบูรณ์ โดยไล่พนักงานหรือทำให้พนักงานกว่า 10,000 คนตกอยู่ในสภาพที่ไม่แน่นอน และยังตัดงบประมาณหลายพันล้านดอลลาร์ในหน่วยงานเช่นกระทรวงศึกษาธิการ และไล่เจ้าหน้าที่การเงินระดับสูงของ FEMA ออกสี่คน
    "คงจะเป็นการดีถ้าอีลอน มัสก์ สามารถเข้าไปดูภายใน Fort Knox เพื่อตรวจสอบว่าทองคำ 4,580 ตันของสหรัฐฯ ยังอยู่ที่นั่นหรือไม่" Zero Hedge โพสต์บน X "ครั้งสุดท้ายที่มีคนตรวจสอบคือ 50 ปีที่แล้วในปี 1974"
    มัสก์ตอบกลับโพสต์นี้ด้วยคำถามว่า "แน่นอนว่ามันควรถูกตรวจสอบอย่างน้อยทุกปีใช่ไหม?"
    แต่วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกัน แรนด์ พอล จากเคนทักกี ตอบว่า "ไม่" และเชิญชวนมัสก์ให้ "ทำเลย" โดยให้ทีม DOGE ของเขาดำเนินการตรวจสอบทองคำสำรองที่ฐานทัพ Fort Knox
    ห้องนิรภัย Bullion Depository เก็บทองคำประมาณ 147 ล้านทรอยออนซ์ ซึ่งคิดเป็นกว่า 56.35% ของทองคำทั้งหมดที่รัฐบาลสหรัฐฯ ถือครอง
    ตำรวจ U.S. Mint มีหน้าที่ปกป้องทองคำสำรองนี้
    ทองคำสำรองในสหรัฐฯ เช่นเดียวกับทองคำสำรองทั่วไป ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันเสถียรภาพในระบบการเงินต่อความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ทองเก็บมูลค่าที่จับต้องได้และช่วยป้องกันอัตราเงินเฟ้อ โดยมีเป้าหมายเพื่อรักษาความเชื่อมั่นของประชาชนในสกุลเงินของประเทศ แม้ว่ามาตรฐานทองคำจะไม่ใช่ระบบเศรษฐกิจที่ใช้อยู่ในปัจจุบันแล้วก็ตาม
    ในขณะที่โพสต์บน X ระบุว่าการตรวจสอบทองคำครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในปี 1974 แต่ก็มีการตรวจสอบอีกครั้งในเดือนสิงหาคม 2017 เมื่อวุฒิสมาชิกมิทช์ แมคคอนเนลล์ จากเคนทักกี นำกลุ่มเล็กๆ รวมถึงรัฐมนตรีคลังสตีเวน มนูชิน ในขณะนั้น เข้าไปในห้องนิรภัย
    หลังจากนั้น มีภาพขาวดำคุณภาพต่ำของมนูชินในห้องนิรภัยถูกเผยแพร่ โดยมีทองคำแท่งอยู่เบื้องหลัง
    มนูชินเป็นหัวหน้ากระทรวงการคลังคนแรกที่เข้าไปเยี่ยมชมห้องนิรภัยนี้ตั้งแต่ปี 1948
    การตรวจสอบครั้งแรกของห้องนิรภัยเกิดขึ้นในปี 1943 โดยประธานาธิบดีแฟรงคลิน โรสเวลต์ หลังจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่และในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
    การตรวจสอบในปี 1974 ที่กล่าวถึงเกิดขึ้นเพื่อตอบโต้ทฤษฎีสมคบคิดที่แพร่กระจายในเวลานั้น ซึ่งอ้างว่าชนชั้นนำได้ลักลอบนำทองคำออกไปและห้องนิรภัยว่างเปล่า
    สมาชิกรัฐสภาและสื่อมวลชนได้ร่วมทัวร์นำโดยผู้อำนวยการ U.S. Mint ในขณะนั้น เพื่อพิสูจน์ให้สาธารณชนเห็นว่าทองคำยังอยู่ที่นั่น
    อย่างไรก็ดี ไม่เคยมีการตรวจนับทองคำแท่งในตู้นิรภัยอย่างจริงๆจังๆโดยหน่วยงานอิสระ
    ที่มา
    https://www.dailymail.co.uk/.../gold-reserve-doge-audit...
    สว แรนด์ พอลเชิญให้อีลอน มัสก์ตรวนสอบทองคำสำรองที่Fort Knox 18-2-2025 วุฒิสมาชิกแรนด์ พอล ได้เชิญอีลอน มัสก์ มายังรัฐเคนทักกีของเขา เพื่อตรวจสอบทองคำสำรองที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ บัญชี X ของสว. พอล ที่มีผู้ติดตาม 2 ล้านคน ได้ขอให้หัวหน้าหน่วยงาน Department of Government Efficiency (DOGE) เล็งไปที่ Fort Knox เพื่อตรวจสอบว่าทองคำสำรองของสหรัฐฯ ยังอยู่ในที่เก็บหรือไม่ มัสก์ตั้งคำถามว่าทำไมไม่มีการตรวจสอบทองคำสำรองทุกปี ซึ่งทำให้เกิดการคาดคะเนว่าเขาอาจจะเข้าไปตรวจสอบฐานทัพที่มีห้องนิรภัยที่บรรจุทองคำสำรองของสหรัฐฯ ตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งและแต่งตั้งมัสก์ให้มีอำนาจในวอชิงตัน มหาเศรษฐีคนนี้ก็ได้ตั้งเป้าหมายที่จะลดงบประมาณในหลายหน่วยงานที่ทั้งคู่เห็นว่าจะช่วยลด "การใช้งบประมาณที่สิ้นเปลือง" ของรัฐบาลกลาง รวมท้ังกำจัดการคอรัปชั่น มัสก์ช่วยยกเลิก USAID อย่างสมบูรณ์ โดยไล่พนักงานหรือทำให้พนักงานกว่า 10,000 คนตกอยู่ในสภาพที่ไม่แน่นอน และยังตัดงบประมาณหลายพันล้านดอลลาร์ในหน่วยงานเช่นกระทรวงศึกษาธิการ และไล่เจ้าหน้าที่การเงินระดับสูงของ FEMA ออกสี่คน "คงจะเป็นการดีถ้าอีลอน มัสก์ สามารถเข้าไปดูภายใน Fort Knox เพื่อตรวจสอบว่าทองคำ 4,580 ตันของสหรัฐฯ ยังอยู่ที่นั่นหรือไม่" Zero Hedge โพสต์บน X "ครั้งสุดท้ายที่มีคนตรวจสอบคือ 50 ปีที่แล้วในปี 1974" มัสก์ตอบกลับโพสต์นี้ด้วยคำถามว่า "แน่นอนว่ามันควรถูกตรวจสอบอย่างน้อยทุกปีใช่ไหม?" แต่วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกัน แรนด์ พอล จากเคนทักกี ตอบว่า "ไม่" และเชิญชวนมัสก์ให้ "ทำเลย" โดยให้ทีม DOGE ของเขาดำเนินการตรวจสอบทองคำสำรองที่ฐานทัพ Fort Knox ห้องนิรภัย Bullion Depository เก็บทองคำประมาณ 147 ล้านทรอยออนซ์ ซึ่งคิดเป็นกว่า 56.35% ของทองคำทั้งหมดที่รัฐบาลสหรัฐฯ ถือครอง ตำรวจ U.S. Mint มีหน้าที่ปกป้องทองคำสำรองนี้ ทองคำสำรองในสหรัฐฯ เช่นเดียวกับทองคำสำรองทั่วไป ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันเสถียรภาพในระบบการเงินต่อความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ทองเก็บมูลค่าที่จับต้องได้และช่วยป้องกันอัตราเงินเฟ้อ โดยมีเป้าหมายเพื่อรักษาความเชื่อมั่นของประชาชนในสกุลเงินของประเทศ แม้ว่ามาตรฐานทองคำจะไม่ใช่ระบบเศรษฐกิจที่ใช้อยู่ในปัจจุบันแล้วก็ตาม ในขณะที่โพสต์บน X ระบุว่าการตรวจสอบทองคำครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในปี 1974 แต่ก็มีการตรวจสอบอีกครั้งในเดือนสิงหาคม 2017 เมื่อวุฒิสมาชิกมิทช์ แมคคอนเนลล์ จากเคนทักกี นำกลุ่มเล็กๆ รวมถึงรัฐมนตรีคลังสตีเวน มนูชิน ในขณะนั้น เข้าไปในห้องนิรภัย หลังจากนั้น มีภาพขาวดำคุณภาพต่ำของมนูชินในห้องนิรภัยถูกเผยแพร่ โดยมีทองคำแท่งอยู่เบื้องหลัง มนูชินเป็นหัวหน้ากระทรวงการคลังคนแรกที่เข้าไปเยี่ยมชมห้องนิรภัยนี้ตั้งแต่ปี 1948 การตรวจสอบครั้งแรกของห้องนิรภัยเกิดขึ้นในปี 1943 โดยประธานาธิบดีแฟรงคลิน โรสเวลต์ หลังจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่และในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง การตรวจสอบในปี 1974 ที่กล่าวถึงเกิดขึ้นเพื่อตอบโต้ทฤษฎีสมคบคิดที่แพร่กระจายในเวลานั้น ซึ่งอ้างว่าชนชั้นนำได้ลักลอบนำทองคำออกไปและห้องนิรภัยว่างเปล่า สมาชิกรัฐสภาและสื่อมวลชนได้ร่วมทัวร์นำโดยผู้อำนวยการ U.S. Mint ในขณะนั้น เพื่อพิสูจน์ให้สาธารณชนเห็นว่าทองคำยังอยู่ที่นั่น อย่างไรก็ดี ไม่เคยมีการตรวจนับทองคำแท่งในตู้นิรภัยอย่างจริงๆจังๆโดยหน่วยงานอิสระ ที่มา https://www.dailymail.co.uk/.../gold-reserve-doge-audit...
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 193 มุมมอง 0 รีวิว
  • คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของเกาหลีใต้ (PIPC) สั่งระงับการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน DeepSeek ในเกาหลีใต้ หลังบริษัทสตาร์ทอัปเอไอจีนรายนี้ยอมรับว่าไม่ได้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์บางประการเกี่ยวกับการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลที่ทางหน่วยงานกำหนดขึ้น

    PIPC ระบุในงานแถลงข่าววันนี้ (17 ก.พ.) ว่าจะเปิดให้ดาวน์โหลดแอป DeepSeek ได้อีกครั้งหลังจากที่บริษัทปรับปรุงการดำเนินงานให้สอดคล้องกับกฎหมายปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของแดนโสมขาวแล้ว

    มาตรการซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันเสาร์ (15) มีจุดประสงค์เพื่อห้ามการดาวน์โหลดแอปใหม่ในเกาหลีใต้ ทว่าผู้ใช้งานเดิมยังคงสามารถเข้าถึงบริการของ DeepSeek ได้ตามปกติ ตามข้อมูลจาก PIPC

    DeepSeek ได้แต่งตั้งผู้แทนกฎหมายในเกาหลีใต้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และแถลงยอมรับว่าบริษัท "ละเลย" กฎหมายปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลในเกาหลีใต้บางส่วน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000015614

    #MGROnline #DeepSeek
    คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของเกาหลีใต้ (PIPC) สั่งระงับการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน DeepSeek ในเกาหลีใต้ หลังบริษัทสตาร์ทอัปเอไอจีนรายนี้ยอมรับว่าไม่ได้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์บางประการเกี่ยวกับการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลที่ทางหน่วยงานกำหนดขึ้น • PIPC ระบุในงานแถลงข่าววันนี้ (17 ก.พ.) ว่าจะเปิดให้ดาวน์โหลดแอป DeepSeek ได้อีกครั้งหลังจากที่บริษัทปรับปรุงการดำเนินงานให้สอดคล้องกับกฎหมายปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของแดนโสมขาวแล้ว • มาตรการซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันเสาร์ (15) มีจุดประสงค์เพื่อห้ามการดาวน์โหลดแอปใหม่ในเกาหลีใต้ ทว่าผู้ใช้งานเดิมยังคงสามารถเข้าถึงบริการของ DeepSeek ได้ตามปกติ ตามข้อมูลจาก PIPC • DeepSeek ได้แต่งตั้งผู้แทนกฎหมายในเกาหลีใต้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และแถลงยอมรับว่าบริษัท "ละเลย" กฎหมายปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลในเกาหลีใต้บางส่วน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000015614 • #MGROnline #DeepSeek
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 123 มุมมอง 0 รีวิว
  • 77 ปี จับ “หะยีสุหลง” จากโต๊ะอิหม่าม นักเคลื่อนไหว ปลายด้ามขวาน สู่สี่ชีวิตถูกอุ้มฆ่า ถ่วงทะเลสาบสงขลา

    📅 ย้อนไปเมื่อ 77 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 วันที่ชื่อของ "หะยีสุหลง โต๊ะมีนา" ถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ไทย ในฐานะนักเคลื่อนไหว เพื่อสิทธิของชาวมลายูมุสลิม ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทว่าการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม และสิทธิของประชาชนของเหะยีสุหลง กลับจบลงอย่างโศกนาฏกรรม

    หะยีสุหลงพร้อมกับผู้ติดตามอีก 3 คน หายตัวไปหลังจากเดินทางไปยัง กองบัญชาการตำรวจสันติบาล จังหวัดสงขลา ก่อนถูกสังหาร และถ่วงน้ำในทะเลสาบสงขลา เหตุการณ์นี้กลายเป็น หนึ่งในกรณีการอุ้มฆ่าทางการเมือง ที่สำคัญที่สุดของไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้ง ระหว่างอำนาจรัฐ กับกลุ่มชนพื้นเมืองในภาคใต้

    🔍 "หะยีสุหลง บิน อับดุลกาเคร์ ฒูฮัมมัด เอล ฟาโทนิ" หรือที่รู้จักในนาม "หะยีสุหลง" เป็นผู้นำศาสนาและนักเคลื่อนไหวทางสังคม ของชาวมลายูมุสลิม ในภาคใต้ของไทย เป็นประธานกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานี และเป็นบุคคลสำคัญ ในการเรียกร้องให้รัฐไทย ให้ความเป็นธรรมแก่ชาวมุสลิมใน 4 จังหวัดภาคใต้

    📌 ภารกิจของหะยีสุหลง
    ✅ ปรับปรุงระบบการศึกษา โดยก่อตั้ง "ปอเนาะ" หรือโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามแห่งแรก
    ✅ ส่งเสริมศาสนาอิสลามที่ถูกต้อง ต่อต้านความเชื่อที่ขัดกับหลักศาสนา
    ✅ เรียกร้องสิทธิและความเป็นธรรม ให้ชาวมลายูมุสลิม ภายใต้กรอบของรัฐไทย

    แต่... เส้นทางการต่อสู้ กลับนำไปสู่ความขัดแย้งกับรัฐบาลไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่หะยีสุหลงเสนอ "7 ข้อเรียกร้อง" ต่อรัฐบาลไทย

    📜 7 ข้อเรียกร้องของหะยีสุหลง พ.ศ. 2490
    ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2490 หะยีสุหลงได้เสนอข้อเรียกร้อง 7 ประการต่อ พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ซึ่งเป็นข้อเสนอ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม แก่ประชาชนมุสลิม ในภาคใต้

    📝 รายละเอียดของ 7 ข้อเรียกร้อง
    1. ให้แต่งตั้งผู้ว่าราชการ ที่เป็นชาวมลายูมุสลิม และมาจากการเลือกตั้ง
    2. ข้าราชการในพื้นที่ ต้องเป็นมุสลิมอย่างน้อย 80%
    3. ให้ใช้ภาษามลายูและภาษาไทย เป็นภาษาราชการ
    4. ให้ภาษามลายูเป็นภาษากลาง ในโรงเรียนระดับประถมศึกษา
    5. ให้ใช้กฎหมายอิสลาม ในการพิจารณาคดีของศาลศาสนา
    6. รายได้จากภาษีใน 4 จังหวัด ต้องถูกใช้ในพื้นที่นั้น
    7. ให้จัดตั้งคณะกรรมการมุสลิม เพื่อดูแลกิจการของชาวมุสลิม

    💡 แต่กลับเกิดผลกระทบ เนื่องจากข้อเรียกร้องนี้ถูกมองว่า เป็นการพยายามแบ่งแยกดินแดน นำไปสู่การจับกุม และกล่าวหาหะยีสุหลงว่าเป็น "กบฏ"

    ⚖️ หลังการรัฐประหารในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ซึ่งเปลี่ยนแปลงรัฐบาล มาเป็นฝ่ายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม แนวคิด "7 ข้อเรียกร้อง" ของหะยีสุหลง ถูกตีความว่า เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ

    📅 เหตุการณ์สำคัญ
    16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 → หะยีสุหลงถูกจับกุมที่ปัตตานี
    30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2493 → ศาลฎีกาตัดสินจำคุก 4 ปี 8 เดือน ในข้อหาปลุกระดม ให้ประชาชนต่อต้านรัฐ

    หลังจากพ้นโทษ หะยีสุหลงยังคงถูกจับตามอง และเผชิญกับการคุกคามจากฝ่ายรัฐ จนนำไปสู่เหตุการณ์ "การอุ้มหาย" ที่สร้างความตื่นตัวในสังคม

    🚨 การอุ้มหายและสังหาร 13 สิงหาคม พ.ศ. 2497
    หลังจากได้รับคำสั่ง ให้เข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สงขลา หะยีสุหลงพร้อมลูกชายวัย 15 ปี ซึ่งเป็นล่าม และพรรคพวกอีก 2 คน ได้เดินทางไปยัง สำนักงานตำรวจสันติบาลจังหวัดสงชลา

    ❌ แล้วพวกเขาก็หายตัวไป...
    หลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่า พวกเขาถูกสังหารในบังกะโล ริมทะเลสาบสงขลา โดยใช้เชือกรัดคอ คว้านท้องศพ แล้วผูกกับแท่งซีเมนต์ก่อนถ่วงน้ำ มีหลักฐานโยงไปถึง พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น ว่าเป็นผู้บงการอุ้มฆ่า

    เหตุการณ์นี้ กลายเป็นหนึ่งในคดีอุ้มหาย ที่สะเทือนขวัญที่สุดของไทย และแม้ว่าจะมีการรื้อฟื้นคดี ในปี พ.ศ. 2500 แต่สุดท้าย... ก็ไม่มีใครต้องรับผิดชอบ

    🏛️ เหตุการณ์การอุ้มหายของหะยีสุหลง ส่งผลให้เกิดกระแสต่อต้านรัฐบาล และสร้างแรงบันดาลใจ ให้ขบวนการเคลื่อนไหวในภาคใต้

    📌 ผลกระทบที่สำคัญ
    ✅ จุดชนวนความไม่พอใจ ของชาวมลายูมุสลิมต่อรัฐไทย
    ✅ ทำให้ปัญหาความขัดแย้งใน 4 จังหวัดภาคใต้รุนแรงขึ้น
    ✅ กระตุ้นให้เกิดขบวนการเคลื่อนไห วและกลุ่มติดอาวุธในเวลาต่อมา

    แม้ว่าปัจจุบันปัญหาภาคใต้ จะมีพัฒนาการที่ซับซ้อนขึ้น แต่เหตุการณ์ของหะยีสุหลง ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจ ถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัญหา ด้วยสันติวิธีและความเป็นธรรม

    📌 กรณีของหะยีสุหลง แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อน ของปัญหาชายแดนใต้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์ วัฒนธรรม และการปกครองของรัฐไทย 🔎

    ⚖️ สิ่งที่รัฐควรเรียนรู้
    ✅ การให้สิทธิทางวัฒนธรรมและศาสนา แก่กลุ่มชาติพันธุ์
    ✅ การเปิดพื้นที่การมีส่วนร่วมทางการเมือง
    ✅ การแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ด้วยกระบวนการสันติ

    📌 เหตุการณ์นี้ เป็นหนึ่งในบทเรียนสำคัญ ของประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งยังคงมีอิทธิพล ต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน ⬇️

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 161122 ก.พ. 2568

    #หะยีสุหลง #ชายแดนใต้ #อุ้มหาย #77ปีหะยีสุหลง #ประวัติศาสตร์ไทย
    77 ปี จับ “หะยีสุหลง” จากโต๊ะอิหม่าม นักเคลื่อนไหว ปลายด้ามขวาน สู่สี่ชีวิตถูกอุ้มฆ่า ถ่วงทะเลสาบสงขลา 📅 ย้อนไปเมื่อ 77 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 วันที่ชื่อของ "หะยีสุหลง โต๊ะมีนา" ถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ไทย ในฐานะนักเคลื่อนไหว เพื่อสิทธิของชาวมลายูมุสลิม ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทว่าการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม และสิทธิของประชาชนของเหะยีสุหลง กลับจบลงอย่างโศกนาฏกรรม หะยีสุหลงพร้อมกับผู้ติดตามอีก 3 คน หายตัวไปหลังจากเดินทางไปยัง กองบัญชาการตำรวจสันติบาล จังหวัดสงขลา ก่อนถูกสังหาร และถ่วงน้ำในทะเลสาบสงขลา เหตุการณ์นี้กลายเป็น หนึ่งในกรณีการอุ้มฆ่าทางการเมือง ที่สำคัญที่สุดของไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้ง ระหว่างอำนาจรัฐ กับกลุ่มชนพื้นเมืองในภาคใต้ 🔍 "หะยีสุหลง บิน อับดุลกาเคร์ ฒูฮัมมัด เอล ฟาโทนิ" หรือที่รู้จักในนาม "หะยีสุหลง" เป็นผู้นำศาสนาและนักเคลื่อนไหวทางสังคม ของชาวมลายูมุสลิม ในภาคใต้ของไทย เป็นประธานกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานี และเป็นบุคคลสำคัญ ในการเรียกร้องให้รัฐไทย ให้ความเป็นธรรมแก่ชาวมุสลิมใน 4 จังหวัดภาคใต้ 📌 ภารกิจของหะยีสุหลง ✅ ปรับปรุงระบบการศึกษา โดยก่อตั้ง "ปอเนาะ" หรือโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามแห่งแรก ✅ ส่งเสริมศาสนาอิสลามที่ถูกต้อง ต่อต้านความเชื่อที่ขัดกับหลักศาสนา ✅ เรียกร้องสิทธิและความเป็นธรรม ให้ชาวมลายูมุสลิม ภายใต้กรอบของรัฐไทย แต่... เส้นทางการต่อสู้ กลับนำไปสู่ความขัดแย้งกับรัฐบาลไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่หะยีสุหลงเสนอ "7 ข้อเรียกร้อง" ต่อรัฐบาลไทย 📜 7 ข้อเรียกร้องของหะยีสุหลง พ.ศ. 2490 ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2490 หะยีสุหลงได้เสนอข้อเรียกร้อง 7 ประการต่อ พลเรือตรีถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ซึ่งเป็นข้อเสนอ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม แก่ประชาชนมุสลิม ในภาคใต้ 📝 รายละเอียดของ 7 ข้อเรียกร้อง 1. ให้แต่งตั้งผู้ว่าราชการ ที่เป็นชาวมลายูมุสลิม และมาจากการเลือกตั้ง 2. ข้าราชการในพื้นที่ ต้องเป็นมุสลิมอย่างน้อย 80% 3. ให้ใช้ภาษามลายูและภาษาไทย เป็นภาษาราชการ 4. ให้ภาษามลายูเป็นภาษากลาง ในโรงเรียนระดับประถมศึกษา 5. ให้ใช้กฎหมายอิสลาม ในการพิจารณาคดีของศาลศาสนา 6. รายได้จากภาษีใน 4 จังหวัด ต้องถูกใช้ในพื้นที่นั้น 7. ให้จัดตั้งคณะกรรมการมุสลิม เพื่อดูแลกิจการของชาวมุสลิม 💡 แต่กลับเกิดผลกระทบ เนื่องจากข้อเรียกร้องนี้ถูกมองว่า เป็นการพยายามแบ่งแยกดินแดน นำไปสู่การจับกุม และกล่าวหาหะยีสุหลงว่าเป็น "กบฏ" ⚖️ หลังการรัฐประหารในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ซึ่งเปลี่ยนแปลงรัฐบาล มาเป็นฝ่ายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม แนวคิด "7 ข้อเรียกร้อง" ของหะยีสุหลง ถูกตีความว่า เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ 📅 เหตุการณ์สำคัญ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2491 → หะยีสุหลงถูกจับกุมที่ปัตตานี 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2493 → ศาลฎีกาตัดสินจำคุก 4 ปี 8 เดือน ในข้อหาปลุกระดม ให้ประชาชนต่อต้านรัฐ หลังจากพ้นโทษ หะยีสุหลงยังคงถูกจับตามอง และเผชิญกับการคุกคามจากฝ่ายรัฐ จนนำไปสู่เหตุการณ์ "การอุ้มหาย" ที่สร้างความตื่นตัวในสังคม 🚨 การอุ้มหายและสังหาร 13 สิงหาคม พ.ศ. 2497 หลังจากได้รับคำสั่ง ให้เข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สงขลา หะยีสุหลงพร้อมลูกชายวัย 15 ปี ซึ่งเป็นล่าม และพรรคพวกอีก 2 คน ได้เดินทางไปยัง สำนักงานตำรวจสันติบาลจังหวัดสงชลา ❌ แล้วพวกเขาก็หายตัวไป... หลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่า พวกเขาถูกสังหารในบังกะโล ริมทะเลสาบสงขลา โดยใช้เชือกรัดคอ คว้านท้องศพ แล้วผูกกับแท่งซีเมนต์ก่อนถ่วงน้ำ มีหลักฐานโยงไปถึง พล.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น ว่าเป็นผู้บงการอุ้มฆ่า เหตุการณ์นี้ กลายเป็นหนึ่งในคดีอุ้มหาย ที่สะเทือนขวัญที่สุดของไทย และแม้ว่าจะมีการรื้อฟื้นคดี ในปี พ.ศ. 2500 แต่สุดท้าย... ก็ไม่มีใครต้องรับผิดชอบ 🏛️ เหตุการณ์การอุ้มหายของหะยีสุหลง ส่งผลให้เกิดกระแสต่อต้านรัฐบาล และสร้างแรงบันดาลใจ ให้ขบวนการเคลื่อนไหวในภาคใต้ 📌 ผลกระทบที่สำคัญ ✅ จุดชนวนความไม่พอใจ ของชาวมลายูมุสลิมต่อรัฐไทย ✅ ทำให้ปัญหาความขัดแย้งใน 4 จังหวัดภาคใต้รุนแรงขึ้น ✅ กระตุ้นให้เกิดขบวนการเคลื่อนไห วและกลุ่มติดอาวุธในเวลาต่อมา แม้ว่าปัจจุบันปัญหาภาคใต้ จะมีพัฒนาการที่ซับซ้อนขึ้น แต่เหตุการณ์ของหะยีสุหลง ยังคงเป็นเครื่องเตือนใจ ถึงความจำเป็นในการแก้ไขปัญหา ด้วยสันติวิธีและความเป็นธรรม 📌 กรณีของหะยีสุหลง แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อน ของปัญหาชายแดนใต้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ อัตลักษณ์ วัฒนธรรม และการปกครองของรัฐไทย 🔎 ⚖️ สิ่งที่รัฐควรเรียนรู้ ✅ การให้สิทธิทางวัฒนธรรมและศาสนา แก่กลุ่มชาติพันธุ์ ✅ การเปิดพื้นที่การมีส่วนร่วมทางการเมือง ✅ การแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ด้วยกระบวนการสันติ 📌 เหตุการณ์นี้ เป็นหนึ่งในบทเรียนสำคัญ ของประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งยังคงมีอิทธิพล ต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน ⬇️ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 161122 ก.พ. 2568 #หะยีสุหลง #ชายแดนใต้ #อุ้มหาย #77ปีหะยีสุหลง #ประวัติศาสตร์ไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 220 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผบ.ตร.กำชับทุกหน่วยแต่งตั้งระดับ "รอง ผบก. ลงมาถึง สว.วาระปี 67" ปรับย้ายตำรวจเกียร์ว่าง บกพร่อง ไม่สนองนโยบายปราบอาชญากรรม ให้แต่งตั้งผู้เหมาะสม มีความประพฤติดีทำหน้าที่แทน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000014545

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ผบ.ตร.กำชับทุกหน่วยแต่งตั้งระดับ "รอง ผบก. ลงมาถึง สว.วาระปี 67" ปรับย้ายตำรวจเกียร์ว่าง บกพร่อง ไม่สนองนโยบายปราบอาชญากรรม ให้แต่งตั้งผู้เหมาะสม มีความประพฤติดีทำหน้าที่แทน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000014545 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Angry
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1129 มุมมอง 0 รีวิว
  • สรุปข่าวรัสเซีย-ยูเครน:

    - เซเลนสกีกล่าวกับ The Guardian ว่า ยินดีแลกเปลี่ยนดินแดนส่วนหนึ่งในภูมิภาคเคิร์สก์ (Kursk) ที่ยูเครนยึดครองอยู่ กับภูมิภาคที่รัสเซียยึดได้ แต่เซเลนสกียังไม่ได้ระบุว่าจะเป็นภูมิภาคใด คือ โดเนตสก์(Donetsk) ลูฮันสก์(Luhansk) ซาโปริซเซีย(Zaporozhye) และเคอร์ซอน (Kherson)

    - ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากเซเลนสกีให้สัมภาษณ์ The Guardian กองทัพรัสเซียโจมตียูเครนอย่างหนักด้วยขีปนาวุธหลายสิบลูก รวมทั้งโดรนอีกหลายสิบลำ สร้างความเสียหายอย่างมาก บ่งชี้ว่ารัสเซียไม่สนใจข้อเสนอการแลกเปลี่ยนดินแดนของเซเลนสกีแต่อย่างใด

    - "ดมิทรี เปสคอฟ" (Dmitry Peskov) โฆษกทำเนียบเครมลิน ออกมาตอบโต้เซเลนสกีทันทีว่า ให้เลิกพูดถึงการแลกเปลี่ยนดังกล่าว เพราะรัสเซียจะไม่มีทางคุยเรื่องนี้ และจะไม่พูดถึงประเด็นการแลกเปลี่ยนดินแดนอย่างเด็ดขาด ซึ่งมันจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้

    - ประธานาธิบดีทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความระบุว่าเขาได้สนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีปูตินนานกว่า 90 นาที และทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่าควรยุติการสูญเสียชีวิตผู้คนที่กำลังเกิดขึ้นในสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทรัมป์ยังกล่าวอีกว่าการเจรจายุติสงครามอาจเกิดขึ้นในประเทศซาอุดีอาระเบีย นอกจากนี้ ผู้นำทั้งสองยังมีการตกลงกันว่าจะมีการเยือนกันระหว่างสองประเทศ แต่ยังไม่ระบุช่วงเวลา

    - หลังจากนั้น ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ต่อสายโทรศัพท์หาเซเลนสกี เพื่อบอกรายละเอียดที่จำเป็นให้เขาทราบ และเน้นไปที่การประชุมในมิวนิกที่ประเทศเยอรมันที่จะจัดขึ้นในวันศุกร์นี้ ซึ่งรองประธานาธิบดี เจ.ดี. แวนซ์ และรัฐมนตรีต่างประเทศมาร์โก รูบิโอ จะเป็นผู้นำคณะผู้แทน เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับรายละเอียดของสงครามยูเครน-รัสเซีย

    - ก่อนหน้านี้ เซเลนสกีต้องการให้ทรัมป์ต่อสายคุยกับเขาก่อน แล้วจึงคุยกับประธานาธิบดีปูติน แต่ทรัมป์กลับทำในสิ่งตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง

    - อังกฤษประกาศมอบเงินช่วยเหลือทางทหาร 150 ล้านปอนด์แก่ยูเครน ซึ่งประกอบด้วยโดรนหลายพันลำ รถถังรบหลายสิบคัน ยานเกราะ และระบบป้องกันภัยทางอากาศ

    - รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ พีต เฮกเซธ กล่าวในการประชุมกลาโหมที่สำนักงานใหญ่นาโต้ กรุงบรัสเซลส์ เมืองหลวงของประเทศเบลเยียม : "สหรัฐไม่เชื่อว่าการเป็นสมาชิกนาโตของยูเครนจะเป็นไปได้จากการเจรจาที่กำลังจะมีขึ้น"



    ข่าวอื่นๆ:
    - โฆษกฮามาสออกมาประกาศจะไม่ปล่อยตัวประกันในวันเสาร์นี้ หลังประธานาธิบดีทรัมป์ระบุว่าในกาซา "นรกจะแตก" หากฮามาสละเมิดข้อตกลง

    - เนทันยาฮู เตรียมประกาศยุติข้อตกลงหยุดยิง และสั่งกองกำลังอิสราเอลปิดล้อมกาซา โดยเฉพาะทางเหนือ เพื่อเตรียมตัวบุก หากพ้นกำหนดเส้นตายเที่ยงวันเสาร์ ที่ฮามาสต้องส่งมอบตัวประกันตามกำหนด

    - วุฒิสภาสหรัฐฯ ลงมติรับรอง “ทัลซี แกบบาร์ด” (Tulsi Gabbard) เป็นผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ (Director of National Intelligence) เมื่อปี 2020 ฮิลลารี คลินตัน ได้กล่าวหา Tulsi Gabbard ว่าเป็นผู้ปกป้องเผด็จการและเป็นหุ่นเชิดของรัสเซีย หลังจากนั้น 4 ปีต่อมา วุฒิสภาสหรัฐได้แต่งตั้งคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นหุ่นเชิดของปูตินให้รับผิดชอบหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ

    - The Wall Street Journal รายงานว่า หน่วยข่าวกรองของสหรัฐมีข้อมูลว่าอิสราเอลกำลังวางแผนโจมตีสถานที่นิวเคลียร์ของอิหร่านครั้งใหญ่ในปีนี้ (อิหร่านและรัสเซียเพิ่งลงนามข้อตกลงความร่วมมือที่ครอบคลุมรอบด้าน รวมทั้งความมั่นคงและการทหาร เปรียบได้กับมาตรา 5 ของนาโต้)

    - กองทัพอียิปต์สั่งการให้ในภูมิภาคไซนาย(ติดกับอิสราเอล)ยกระดับความพร้อมรบขั้นสูงสุด

    - จีนจัดการซ้อมรบทางทะเลและทางอากาศรอบเกาะไต้หวันครั้งใหญ่ หลังจากสหรัฐส่งเรือรบ 2 ลำ ผ่านช่องแคบไต้หวันเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ
    สรุปข่าวรัสเซีย-ยูเครน: - เซเลนสกีกล่าวกับ The Guardian ว่า ยินดีแลกเปลี่ยนดินแดนส่วนหนึ่งในภูมิภาคเคิร์สก์ (Kursk) ที่ยูเครนยึดครองอยู่ กับภูมิภาคที่รัสเซียยึดได้ แต่เซเลนสกียังไม่ได้ระบุว่าจะเป็นภูมิภาคใด คือ โดเนตสก์(Donetsk) ลูฮันสก์(Luhansk) ซาโปริซเซีย(Zaporozhye) และเคอร์ซอน (Kherson) - ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากเซเลนสกีให้สัมภาษณ์ The Guardian กองทัพรัสเซียโจมตียูเครนอย่างหนักด้วยขีปนาวุธหลายสิบลูก รวมทั้งโดรนอีกหลายสิบลำ สร้างความเสียหายอย่างมาก บ่งชี้ว่ารัสเซียไม่สนใจข้อเสนอการแลกเปลี่ยนดินแดนของเซเลนสกีแต่อย่างใด - "ดมิทรี เปสคอฟ" (Dmitry Peskov) โฆษกทำเนียบเครมลิน ออกมาตอบโต้เซเลนสกีทันทีว่า ให้เลิกพูดถึงการแลกเปลี่ยนดังกล่าว เพราะรัสเซียจะไม่มีทางคุยเรื่องนี้ และจะไม่พูดถึงประเด็นการแลกเปลี่ยนดินแดนอย่างเด็ดขาด ซึ่งมันจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้ - ประธานาธิบดีทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความระบุว่าเขาได้สนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีปูตินนานกว่า 90 นาที และทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่าควรยุติการสูญเสียชีวิตผู้คนที่กำลังเกิดขึ้นในสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทรัมป์ยังกล่าวอีกว่าการเจรจายุติสงครามอาจเกิดขึ้นในประเทศซาอุดีอาระเบีย นอกจากนี้ ผู้นำทั้งสองยังมีการตกลงกันว่าจะมีการเยือนกันระหว่างสองประเทศ แต่ยังไม่ระบุช่วงเวลา - หลังจากนั้น ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ต่อสายโทรศัพท์หาเซเลนสกี เพื่อบอกรายละเอียดที่จำเป็นให้เขาทราบ และเน้นไปที่การประชุมในมิวนิกที่ประเทศเยอรมันที่จะจัดขึ้นในวันศุกร์นี้ ซึ่งรองประธานาธิบดี เจ.ดี. แวนซ์ และรัฐมนตรีต่างประเทศมาร์โก รูบิโอ จะเป็นผู้นำคณะผู้แทน เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับรายละเอียดของสงครามยูเครน-รัสเซีย - ก่อนหน้านี้ เซเลนสกีต้องการให้ทรัมป์ต่อสายคุยกับเขาก่อน แล้วจึงคุยกับประธานาธิบดีปูติน แต่ทรัมป์กลับทำในสิ่งตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง - อังกฤษประกาศมอบเงินช่วยเหลือทางทหาร 150 ล้านปอนด์แก่ยูเครน ซึ่งประกอบด้วยโดรนหลายพันลำ รถถังรบหลายสิบคัน ยานเกราะ และระบบป้องกันภัยทางอากาศ - รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ พีต เฮกเซธ กล่าวในการประชุมกลาโหมที่สำนักงานใหญ่นาโต้ กรุงบรัสเซลส์ เมืองหลวงของประเทศเบลเยียม : "สหรัฐไม่เชื่อว่าการเป็นสมาชิกนาโตของยูเครนจะเป็นไปได้จากการเจรจาที่กำลังจะมีขึ้น" ข่าวอื่นๆ: - โฆษกฮามาสออกมาประกาศจะไม่ปล่อยตัวประกันในวันเสาร์นี้ หลังประธานาธิบดีทรัมป์ระบุว่าในกาซา "นรกจะแตก" หากฮามาสละเมิดข้อตกลง - เนทันยาฮู เตรียมประกาศยุติข้อตกลงหยุดยิง และสั่งกองกำลังอิสราเอลปิดล้อมกาซา โดยเฉพาะทางเหนือ เพื่อเตรียมตัวบุก หากพ้นกำหนดเส้นตายเที่ยงวันเสาร์ ที่ฮามาสต้องส่งมอบตัวประกันตามกำหนด - วุฒิสภาสหรัฐฯ ลงมติรับรอง “ทัลซี แกบบาร์ด” (Tulsi Gabbard) เป็นผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ (Director of National Intelligence) เมื่อปี 2020 ฮิลลารี คลินตัน ได้กล่าวหา Tulsi Gabbard ว่าเป็นผู้ปกป้องเผด็จการและเป็นหุ่นเชิดของรัสเซีย หลังจากนั้น 4 ปีต่อมา วุฒิสภาสหรัฐได้แต่งตั้งคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นหุ่นเชิดของปูตินให้รับผิดชอบหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ - The Wall Street Journal รายงานว่า หน่วยข่าวกรองของสหรัฐมีข้อมูลว่าอิสราเอลกำลังวางแผนโจมตีสถานที่นิวเคลียร์ของอิหร่านครั้งใหญ่ในปีนี้ (อิหร่านและรัสเซียเพิ่งลงนามข้อตกลงความร่วมมือที่ครอบคลุมรอบด้าน รวมทั้งความมั่นคงและการทหาร เปรียบได้กับมาตรา 5 ของนาโต้) - กองทัพอียิปต์สั่งการให้ในภูมิภาคไซนาย(ติดกับอิสราเอล)ยกระดับความพร้อมรบขั้นสูงสุด - จีนจัดการซ้อมรบทางทะเลและทางอากาศรอบเกาะไต้หวันครั้งใหญ่ หลังจากสหรัฐส่งเรือรบ 2 ลำ ผ่านช่องแคบไต้หวันเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 247 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐฯมีความตั้งใจปรับเปลี่ยนโฟกัสด้านการทหาร ให้ความสำคัญลำดับต้นๆต่อการเผชิญหน้ากับการแผ่ขยายอิทธิพลของจีนในอินโด-แปซิฟิก เช่นเดียวกับการป้องกันมาตุภูมิ จากคำประกาศกร้าวของ พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมอเมริกา(เพนตากอน)
    .
    ระหว่างกล่าวกับที่ประชุมสนับสนุนยูเครน ของเหล่ารัฐมนตรีกลาโหมนาโตและบรรดาชาตินอกสมาชิกนาโต ในกรุงบรัสเซลส์ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งหมาดๆ ส่งสัญญาณเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายของวอชิงตัน และเรียกร้องให้พวกพันธมิตรยุโรปเข้ารับหน้าที่เป็นผู้นำในด้านความมั่นคงของตนเอง
    .
    เฮกเซธ เน้นย้ำว่า "ข้อเท็จจริงทางยุทธศาสตร์" บีบให้วอชิงตัน ต้องหันไปมุ่งเน้นคุ้มกันชายแดนของตนเองและตอบโต้ภัยคุกคามจากปักกิ่ง "สหรัฐฯต้องเผชิญกับภัยคุกคามสืบเนื่อง ที่มีต่อมาตุภูมิของเรา" เขากล่าว พร้อมบอกว่า "เราต้อง และเรากำลังมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับความมั่นคงของชายแดนของเรา"
    .
    รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ระบุ จีน คือภัยคุกคามสำคัญที่สุด โดยให้คำจำกัดความปักกิ่งว่าเป็น "คู่แข่งที่ทัดเทียม" ทั้งในแง่ศักยภาพและความตั้งใจคุกคามผลประโยชน์แห่งชาติของสหรัฐฯ ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
    .
    "สหรัฐฯให้ความสำคัญลำดับต้นๆกับการป้องปรามสงครามกับจีนในแปซิฟิก ตะหนักถึงความเป็นจริงเกี่ยวกับปัญหาขาดแคลน และต้องเลือกทุ่มเททรัพยากรไปที่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพื่อรับประกันว่าการป้องปรามนั้นจะไม่ล้มเหลว" เฮกเซธระบุ
    .
    ความเป็นคู่อริทางยุทธศาสตร์ระหว่างวอชิงตันกับปักกิ่ง ทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ทั้ง 2 ชาติต่างยกระดับการปรากฏตัวทางทหารและเศรษฐกิจในอินโด-แปซิฟิก ในขณะที่สหรัฐฯส่งเสียงเตือนซ้ำๆในสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากความเคลื่อนไหวเสริมกำลังทหารและความทะเยอทะยานในระดับภูมิภาคของจีน
    .
    มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เน้นย้ำจุดยืนดังกล่าวเช่นกัน ประกาศกร้าวว่าการตอบโต้จีน จะเป็นแก่นกลางนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯระหว่างการดำรงตำแหน่งสมัย 2 ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเขากล่าวหาพรรคคอมมิวนิสต์จีน "โกหก หลอกลวง เจาะระบบและขโมยข้อมูล เปิดทางสู่สถานะมหาอำนาจโลก โดยที่เราต้องเป็นฝ่ายชดใช้"
    .
    รูบิโอ ยังได้วิพากษ์วิจารณ์นโยบายต่างๆนานาของสหรัฐฯก่อนหน้านี้ ซึ่งอนุญาตให้ห่วงโซ่อุปทานสำคัญๆโยกย้ายไปยังจีน เตือนว่ามันทำให้การผลิตของอเมริกาตกอยู่ในความอ่อนแอ นอกจากนี้แล้วเขายังเรียกร้องให้ใช้มาตรการที่แข็งกร้าวกว่าเดิม ในการจำกัดอิทธิพลของปักกิ่งในอินโด-แปซิฟิก และที่อื่นๆ
    .
    ปักกิ่งปฏิเสธอย่างแข็งกร้าวมาตลอดต่อข้อกล่าวหานี้ พร้อมชี้ว่าสหรัฐฯคือขุมกำลังหลักที่บ่นทอนเสถียรภาพในภูมิภาค กระทรวงกลาโหมของจีนประณามความพยายามของวอชิงตัน ในการยกระดับปรากฏตัวทางทหารในอินโด-แปซิฟิก ว่าเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์อย่างกว้างขวาง ในความพยายาม "ควบคุมจีน" และปั้นแต่งเรื่องเล่า "ภัยคุกคามจากจีน" แบบเลยเถิด
    .
    นอกจากนี้แล้ว จีน ยังได้วิพากษ์วิจารณ์สหรัฐฯ ต่อกรณีกระชับความสัมพันธ์ทางทหารกับไต้หวัน เน้นย้ำว่าพวกเขามองว่าเกาะปกครองตนเองแห่งนี้เป็นดินแดนที่ไม่อาจแบ่งแยกได้ของประเทศ ภายใต้หลักการ "จีนเดียว" ทั้งนี้ที่ผ่านมา ปักกิ่ง ประณามวอชิงตัน ต่อการขายอาวุธต่างๆนานาให้ไทเป กล่าวหาว่าอเมริกาปลุกปั่นสถานการณ์ความตึงเครียด
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000014311
    ..............
    Sondhi X
    สหรัฐฯมีความตั้งใจปรับเปลี่ยนโฟกัสด้านการทหาร ให้ความสำคัญลำดับต้นๆต่อการเผชิญหน้ากับการแผ่ขยายอิทธิพลของจีนในอินโด-แปซิฟิก เช่นเดียวกับการป้องกันมาตุภูมิ จากคำประกาศกร้าวของ พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมอเมริกา(เพนตากอน) . ระหว่างกล่าวกับที่ประชุมสนับสนุนยูเครน ของเหล่ารัฐมนตรีกลาโหมนาโตและบรรดาชาตินอกสมาชิกนาโต ในกรุงบรัสเซลส์ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งหมาดๆ ส่งสัญญาณเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายของวอชิงตัน และเรียกร้องให้พวกพันธมิตรยุโรปเข้ารับหน้าที่เป็นผู้นำในด้านความมั่นคงของตนเอง . เฮกเซธ เน้นย้ำว่า "ข้อเท็จจริงทางยุทธศาสตร์" บีบให้วอชิงตัน ต้องหันไปมุ่งเน้นคุ้มกันชายแดนของตนเองและตอบโต้ภัยคุกคามจากปักกิ่ง "สหรัฐฯต้องเผชิญกับภัยคุกคามสืบเนื่อง ที่มีต่อมาตุภูมิของเรา" เขากล่าว พร้อมบอกว่า "เราต้อง และเรากำลังมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับความมั่นคงของชายแดนของเรา" . รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ระบุ จีน คือภัยคุกคามสำคัญที่สุด โดยให้คำจำกัดความปักกิ่งว่าเป็น "คู่แข่งที่ทัดเทียม" ทั้งในแง่ศักยภาพและความตั้งใจคุกคามผลประโยชน์แห่งชาติของสหรัฐฯ ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก . "สหรัฐฯให้ความสำคัญลำดับต้นๆกับการป้องปรามสงครามกับจีนในแปซิฟิก ตะหนักถึงความเป็นจริงเกี่ยวกับปัญหาขาดแคลน และต้องเลือกทุ่มเททรัพยากรไปที่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพื่อรับประกันว่าการป้องปรามนั้นจะไม่ล้มเหลว" เฮกเซธระบุ . ความเป็นคู่อริทางยุทธศาสตร์ระหว่างวอชิงตันกับปักกิ่ง ทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ทั้ง 2 ชาติต่างยกระดับการปรากฏตัวทางทหารและเศรษฐกิจในอินโด-แปซิฟิก ในขณะที่สหรัฐฯส่งเสียงเตือนซ้ำๆในสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากความเคลื่อนไหวเสริมกำลังทหารและความทะเยอทะยานในระดับภูมิภาคของจีน . มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เน้นย้ำจุดยืนดังกล่าวเช่นกัน ประกาศกร้าวว่าการตอบโต้จีน จะเป็นแก่นกลางนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯระหว่างการดำรงตำแหน่งสมัย 2 ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเขากล่าวหาพรรคคอมมิวนิสต์จีน "โกหก หลอกลวง เจาะระบบและขโมยข้อมูล เปิดทางสู่สถานะมหาอำนาจโลก โดยที่เราต้องเป็นฝ่ายชดใช้" . รูบิโอ ยังได้วิพากษ์วิจารณ์นโยบายต่างๆนานาของสหรัฐฯก่อนหน้านี้ ซึ่งอนุญาตให้ห่วงโซ่อุปทานสำคัญๆโยกย้ายไปยังจีน เตือนว่ามันทำให้การผลิตของอเมริกาตกอยู่ในความอ่อนแอ นอกจากนี้แล้วเขายังเรียกร้องให้ใช้มาตรการที่แข็งกร้าวกว่าเดิม ในการจำกัดอิทธิพลของปักกิ่งในอินโด-แปซิฟิก และที่อื่นๆ . ปักกิ่งปฏิเสธอย่างแข็งกร้าวมาตลอดต่อข้อกล่าวหานี้ พร้อมชี้ว่าสหรัฐฯคือขุมกำลังหลักที่บ่นทอนเสถียรภาพในภูมิภาค กระทรวงกลาโหมของจีนประณามความพยายามของวอชิงตัน ในการยกระดับปรากฏตัวทางทหารในอินโด-แปซิฟิก ว่าเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์อย่างกว้างขวาง ในความพยายาม "ควบคุมจีน" และปั้นแต่งเรื่องเล่า "ภัยคุกคามจากจีน" แบบเลยเถิด . นอกจากนี้แล้ว จีน ยังได้วิพากษ์วิจารณ์สหรัฐฯ ต่อกรณีกระชับความสัมพันธ์ทางทหารกับไต้หวัน เน้นย้ำว่าพวกเขามองว่าเกาะปกครองตนเองแห่งนี้เป็นดินแดนที่ไม่อาจแบ่งแยกได้ของประเทศ ภายใต้หลักการ "จีนเดียว" ทั้งนี้ที่ผ่านมา ปักกิ่ง ประณามวอชิงตัน ต่อการขายอาวุธต่างๆนานาให้ไทเป กล่าวหาว่าอเมริกาปลุกปั่นสถานการณ์ความตึงเครียด . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000014311 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Angry
    11
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 2135 มุมมอง 0 รีวิว
  • เขย่าวงการรถยนต์ไฟฟ้าจนร้อนไปทั่วเมื่อหุ้น BYD พุ่งทะยานวันพุธ (12) หลังค่ายรถอีวีชื่อดังจีน BYD ประกาศจับมือบริษัท AI จีนชื่อดัง DeepSeek ให้เอาสมองกล AI ใส่ในรถ BYD ส่วนผู้ก่อตั้ง DeepSeek เหลียง เหวินเฟิง (Liang Wenfeng) ไม่เดินทางร่วมการประชุม AI Summit ที่กรุงปารีสซึ่งมีการประชุม 2 วันถึงแม้จะได้รับเชิญ หนังสือพิมพ์เซาท์มอร์นิ่งไชนาโพสต์ชี้ ไม่จำเป็นเพราะจีนได้ปักธงเป็นผู้ชนะสมรภูมิรบปัญญาประดิษฐ์ระดับโลกไปแล้วเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สหรัฐฯ กำลังวุ่นวายประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ สัปดาห์ที่แล้วสั่งระงับชั่วคราวโครงการสถานีชาร์เจอร์ของรถอีวีทั่วสหรัฐฯ 5 พันล้านดอลลาร์ระหว่าง อีลอน มัสก์ เจ้าของเทสลากำลังยุ่งกับการยกเลิกหน่วยงานรัฐไล่เจ้าหน้าที่รัฐออก
    .
    ยูโรนิวส์รายงานวันพุธ (12 ก.พ.) ว่า หุ้น BYD พุ่งทะยานสูงสุดวันพุธ (12) หลังค่าย BYD ยักษ์ใหญ่อีวีของจีนประกาศจับมือร่วมกันกับบริษัท DeepSeek เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์จีนเมื่อต้นสัปดาห์นี้
    .
    BYD คู่แข่งสำคัญของค่ายเทสลาจากสหรัฐฯ แถลงว่า จะติดตั้งระบบขับขี่อัตโนมัติในรถทุกรุ่นของตัวเอง ตั้งแต่รุ่นที่ราคาต่ำสู่รุ่นระดับเอ็กซ์คลูซีฟ
    .
    ผู้ก่อตั้ง BYD Wang Chuanfu กล่าวในวันจันทร์ (10) ว่า บริษัท BYD ตั้งใจจะทำให้การขับขี่อัตโนมัติมีความหรูหราน้อยลงและฟีเจอร์ความปลอดภัยมากขึ้น
    .
    เทคโนโลยีใหม่ที่ว่านี้ถูกเรียกว่า “ดวงตาแห่งพระเจ้า” (God's Eye) จะได้รับการติดตั้งในรถที่มีราคาต่ำสุดตั้งแต่ 69,800 หยวน หรือ ราว 325,712.21 บาท อ้างอิงจากอัตราแลกเปลี่ยนประจำวันพุธ (12)
    .
    BYD เปิดเผยว่า ทางบริษัทจะติดตั้งซอฟต์แวร์ AI ของ DeepSeek เข้าไปในบางรุ่นของระบบการขับขี่ของตัวเอง
    .
    ผู้เชี่ยวชาญต่างออกมาชี้ว่า DeepSeek จะทำให้ระบบเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติของ BYD มีความชาญฉลาดมากขึ้นทางด้านระบบเสียงสั่งการ และเพิ่มความสามารถการขับขี่อัตโนมัติ
    .
    การประกาศจับมือร่วมกันของ 2 ค่ายยักษ์ใหญ่ชื่อดังจากแดนมังกรทำเอาเทสลาของอีลอน มัสก์ตกที่นั่งลำบาก สื่อ city.am ของอังกฤษออกมาชี้ว่า ผลการประกาศจับมือร่วมกันระหว่าง BYD และ DeepSeek ส่งผลสะเทือนต่อหุ้นเทสลาในวันพุธ (12) ที่ตกลง 5 วันติดต่อกัน
    .
    เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่นักลงทุนต่างเริ่มวิตกถึงซีอีโอใหญ่ อีลอน มัสก์ ในการใช้เวลาของเขา แมตต์ บริตซแมน (Matt Britzman) จาก Hargreaves Lansdown
    .
    นอกเหนือจากที่เขาต้องวุ่นกับแพลตฟอร์ม X ที่ปรากฏการทวีตของมัสก์บนแพลตฟอร์มบ่อยครั้ง มัสก์ล่าสุดได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้นำสำนักงานประสิทธิภาพรัฐ DOGE และยังเปิดข้อเสนอ 97 พันล้านดอลลาร์เพื่อซื้อ OpenAI ของ แซม อัลต์แมน ทำให้วิตกว่า อีลอน จะไม่สนใจบริหาร Tesla อย่างมีประสิทธิภาพ
    .
    “แบรนด์ Tesla ตอนนี้พังแล้ว” รอส เกอร์เบอร์ (Ross Gerber) ซีอีโอบริหารประจำ Gerber Kawasaki แถลง
    .
    ขณะที่ผู้ก่อตั้ง DeepSeek เหลียง เหวินเฟิง (Liang Wenfeng) มีรายงานไม่บินเข้าร่วมการประชุม AI โลก 2 วันจัดขึ้นที่กรุงปารีส ถึงแม้จะถูกเชิญก็ตาม หนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์รายงานวานนี้ (11) แสดงความเห็นว่า จากการที่จีนกลายเป็นแชมป์ด้าน AI ในระดับโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
    .
    หนังสือฮ่องกงรายงานว่า แต่ทว่ามีปรากฏภาพซีอีโอบริษัท OpenAI ของสหรัฐฯ แซม อัลต์แมน เข้าร่วมงานในการประชุมนอกรอบในวันอังคาร (11)
    .
    งานซัมมิต AI โลกนี้ ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานุเอล มาครง อ้างอิงจากเดอะการ์เดียนวันจันทร์ (10) ได้ออกมาประกาศว่า “หากเป็นเรื่องเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ AI แล้วขอให้เลือกยุโรปและฝรั่งเศส”
    .
    ฝรั่งเศสและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จับมือร่วมกันตั้งศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ AI 1 กิกะวัตต์ของบริษัท Mistral AI ที่ฝรั่งเศสมูลค่าถึง 50 พันล้านยูโร
    .
    ทั้งนี้ Mistral AI SAS เป็นสตาร์ทอัปด้านปัญญาประดิษฐ์จากฝรั่งเศส มีสำนักงานใหญ่ในกรุงปารีส มีความเชี่ยวชาญในโมเดลภาษาขนาดใหญ่แบบเปิดน้ำหนัก ก่อตั้งขึ้นในเดือนเมษายน 2023 โดยวิศวกรที่เคยทำงานโดย Google DeepMind และ Meta Platforms
    .
    ขณะเดียวกันในสหรัฐฯ ประเทศที่เป็นจุดเริ่มต้นทั้งรถไฟฟ้าและเทคโนโลยี AI เดอะการ์เดียนของอังกฤษรายงานวันศุกร์ (7) เป็นที่น่าตกตะลึงเมื่อ รัฐบาลประธานาธิบดีทรัมป์ที่มี “อีลอน มัสก์” ทำงานร่วม ออกคำสั่งภายในวันพฤหัสบดี (6) ให้บรรดาผู้อำนวยการคมนาคมมลรัฐ และสำนักงานบริหารทางหลวงสหรัฐฯ FHWA
    .
    ห้ามมลรัฐต่างๆ ใช้เงินใดๆที่ส่งไปให้ภายใต้โครงการโครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จเจอร์อีวี NEVI ของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน ที่ต้องการขยายสถานีซูเปอร์ชาร์จเจอร์รถอีวีให้ครอบคลุมทั่วประเทศอันเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายโลกร้อนและสิ่งแวดล้อมของไบเดน
    .
    เดอะการ์เดียนชี้ว่า ปัจจุบันในสหรัฐฯ พบว่า 14 มลรัฐทั่วอเมริกามีสถานีชาร์จเจอร์ไม่ต่ำกว่า 1 แห่งเปิดบริการ และมาจนถึงพฤศจิกายนล่าสุด มีจุดชาร์จไฟสาธารณะร่วม 126 เปิดทั่วสถานีชาร์จเจอร์รัฐ NEVI 31 แห่งใน 9 รัฐ เพิ่มขึ้น 83% ในการเปิดนับตั้งแต่ไตรมาสที่แล้ว
    .
    ทรัมป์เคยออกมาประณามการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าของไบเดนว่าจะเป็นการนำความหายนะมาสู่อุตสาหกรรมรถยนต์สหรัฐฯ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000014306
    ..............
    Sondhi X
    เขย่าวงการรถยนต์ไฟฟ้าจนร้อนไปทั่วเมื่อหุ้น BYD พุ่งทะยานวันพุธ (12) หลังค่ายรถอีวีชื่อดังจีน BYD ประกาศจับมือบริษัท AI จีนชื่อดัง DeepSeek ให้เอาสมองกล AI ใส่ในรถ BYD ส่วนผู้ก่อตั้ง DeepSeek เหลียง เหวินเฟิง (Liang Wenfeng) ไม่เดินทางร่วมการประชุม AI Summit ที่กรุงปารีสซึ่งมีการประชุม 2 วันถึงแม้จะได้รับเชิญ หนังสือพิมพ์เซาท์มอร์นิ่งไชนาโพสต์ชี้ ไม่จำเป็นเพราะจีนได้ปักธงเป็นผู้ชนะสมรภูมิรบปัญญาประดิษฐ์ระดับโลกไปแล้วเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สหรัฐฯ กำลังวุ่นวายประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ สัปดาห์ที่แล้วสั่งระงับชั่วคราวโครงการสถานีชาร์เจอร์ของรถอีวีทั่วสหรัฐฯ 5 พันล้านดอลลาร์ระหว่าง อีลอน มัสก์ เจ้าของเทสลากำลังยุ่งกับการยกเลิกหน่วยงานรัฐไล่เจ้าหน้าที่รัฐออก . ยูโรนิวส์รายงานวันพุธ (12 ก.พ.) ว่า หุ้น BYD พุ่งทะยานสูงสุดวันพุธ (12) หลังค่าย BYD ยักษ์ใหญ่อีวีของจีนประกาศจับมือร่วมกันกับบริษัท DeepSeek เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์จีนเมื่อต้นสัปดาห์นี้ . BYD คู่แข่งสำคัญของค่ายเทสลาจากสหรัฐฯ แถลงว่า จะติดตั้งระบบขับขี่อัตโนมัติในรถทุกรุ่นของตัวเอง ตั้งแต่รุ่นที่ราคาต่ำสู่รุ่นระดับเอ็กซ์คลูซีฟ . ผู้ก่อตั้ง BYD Wang Chuanfu กล่าวในวันจันทร์ (10) ว่า บริษัท BYD ตั้งใจจะทำให้การขับขี่อัตโนมัติมีความหรูหราน้อยลงและฟีเจอร์ความปลอดภัยมากขึ้น . เทคโนโลยีใหม่ที่ว่านี้ถูกเรียกว่า “ดวงตาแห่งพระเจ้า” (God's Eye) จะได้รับการติดตั้งในรถที่มีราคาต่ำสุดตั้งแต่ 69,800 หยวน หรือ ราว 325,712.21 บาท อ้างอิงจากอัตราแลกเปลี่ยนประจำวันพุธ (12) . BYD เปิดเผยว่า ทางบริษัทจะติดตั้งซอฟต์แวร์ AI ของ DeepSeek เข้าไปในบางรุ่นของระบบการขับขี่ของตัวเอง . ผู้เชี่ยวชาญต่างออกมาชี้ว่า DeepSeek จะทำให้ระบบเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติของ BYD มีความชาญฉลาดมากขึ้นทางด้านระบบเสียงสั่งการ และเพิ่มความสามารถการขับขี่อัตโนมัติ . การประกาศจับมือร่วมกันของ 2 ค่ายยักษ์ใหญ่ชื่อดังจากแดนมังกรทำเอาเทสลาของอีลอน มัสก์ตกที่นั่งลำบาก สื่อ city.am ของอังกฤษออกมาชี้ว่า ผลการประกาศจับมือร่วมกันระหว่าง BYD และ DeepSeek ส่งผลสะเทือนต่อหุ้นเทสลาในวันพุธ (12) ที่ตกลง 5 วันติดต่อกัน . เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่นักลงทุนต่างเริ่มวิตกถึงซีอีโอใหญ่ อีลอน มัสก์ ในการใช้เวลาของเขา แมตต์ บริตซแมน (Matt Britzman) จาก Hargreaves Lansdown . นอกเหนือจากที่เขาต้องวุ่นกับแพลตฟอร์ม X ที่ปรากฏการทวีตของมัสก์บนแพลตฟอร์มบ่อยครั้ง มัสก์ล่าสุดได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้นำสำนักงานประสิทธิภาพรัฐ DOGE และยังเปิดข้อเสนอ 97 พันล้านดอลลาร์เพื่อซื้อ OpenAI ของ แซม อัลต์แมน ทำให้วิตกว่า อีลอน จะไม่สนใจบริหาร Tesla อย่างมีประสิทธิภาพ . “แบรนด์ Tesla ตอนนี้พังแล้ว” รอส เกอร์เบอร์ (Ross Gerber) ซีอีโอบริหารประจำ Gerber Kawasaki แถลง . ขณะที่ผู้ก่อตั้ง DeepSeek เหลียง เหวินเฟิง (Liang Wenfeng) มีรายงานไม่บินเข้าร่วมการประชุม AI โลก 2 วันจัดขึ้นที่กรุงปารีส ถึงแม้จะถูกเชิญก็ตาม หนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์รายงานวานนี้ (11) แสดงความเห็นว่า จากการที่จีนกลายเป็นแชมป์ด้าน AI ในระดับโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว . หนังสือฮ่องกงรายงานว่า แต่ทว่ามีปรากฏภาพซีอีโอบริษัท OpenAI ของสหรัฐฯ แซม อัลต์แมน เข้าร่วมงานในการประชุมนอกรอบในวันอังคาร (11) . งานซัมมิต AI โลกนี้ ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานุเอล มาครง อ้างอิงจากเดอะการ์เดียนวันจันทร์ (10) ได้ออกมาประกาศว่า “หากเป็นเรื่องเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ AI แล้วขอให้เลือกยุโรปและฝรั่งเศส” . ฝรั่งเศสและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จับมือร่วมกันตั้งศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ AI 1 กิกะวัตต์ของบริษัท Mistral AI ที่ฝรั่งเศสมูลค่าถึง 50 พันล้านยูโร . ทั้งนี้ Mistral AI SAS เป็นสตาร์ทอัปด้านปัญญาประดิษฐ์จากฝรั่งเศส มีสำนักงานใหญ่ในกรุงปารีส มีความเชี่ยวชาญในโมเดลภาษาขนาดใหญ่แบบเปิดน้ำหนัก ก่อตั้งขึ้นในเดือนเมษายน 2023 โดยวิศวกรที่เคยทำงานโดย Google DeepMind และ Meta Platforms . ขณะเดียวกันในสหรัฐฯ ประเทศที่เป็นจุดเริ่มต้นทั้งรถไฟฟ้าและเทคโนโลยี AI เดอะการ์เดียนของอังกฤษรายงานวันศุกร์ (7) เป็นที่น่าตกตะลึงเมื่อ รัฐบาลประธานาธิบดีทรัมป์ที่มี “อีลอน มัสก์” ทำงานร่วม ออกคำสั่งภายในวันพฤหัสบดี (6) ให้บรรดาผู้อำนวยการคมนาคมมลรัฐ และสำนักงานบริหารทางหลวงสหรัฐฯ FHWA . ห้ามมลรัฐต่างๆ ใช้เงินใดๆที่ส่งไปให้ภายใต้โครงการโครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จเจอร์อีวี NEVI ของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน ที่ต้องการขยายสถานีซูเปอร์ชาร์จเจอร์รถอีวีให้ครอบคลุมทั่วประเทศอันเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายโลกร้อนและสิ่งแวดล้อมของไบเดน . เดอะการ์เดียนชี้ว่า ปัจจุบันในสหรัฐฯ พบว่า 14 มลรัฐทั่วอเมริกามีสถานีชาร์จเจอร์ไม่ต่ำกว่า 1 แห่งเปิดบริการ และมาจนถึงพฤศจิกายนล่าสุด มีจุดชาร์จไฟสาธารณะร่วม 126 เปิดทั่วสถานีชาร์จเจอร์รัฐ NEVI 31 แห่งใน 9 รัฐ เพิ่มขึ้น 83% ในการเปิดนับตั้งแต่ไตรมาสที่แล้ว . ทรัมป์เคยออกมาประณามการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าของไบเดนว่าจะเป็นการนำความหายนะมาสู่อุตสาหกรรมรถยนต์สหรัฐฯ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000014306 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Wow
    15
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2059 มุมมอง 0 รีวิว
  • ราชกิจจานุเบกษา ประกาศพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง "สุชาติ ตระกูลเกษมสุข" เป็นประธาน ป.ป.ช.คนใหม่

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000014186

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ราชกิจจานุเบกษา ประกาศพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง "สุชาติ ตระกูลเกษมสุข" เป็นประธาน ป.ป.ช.คนใหม่ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000014186 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Love
    13
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 638 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง “สุชาติ ตระกูลเกษมสุข” เป็นประธาน ป.ป.ช. แทน พล.ต.อ.วัชรพล ที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากอายุครบ 70 ปี มีผลตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
    .
    วันนี้ (12 ก.พ.) ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศแต่งตั้งนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข เป็นประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ความว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ประกาศว่าตามที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง พลตำรวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ เป็นประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทจริตแห่งชาติ ตามประกาศลงวันที่ 30 ธ.ค.2558 นั้น ต่อมาพลตำรวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ได้พ้นจากตำแหน่งประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เนื่องจากมีอายุครบเจ็ดสิบปีบริบูรณ์ เป็นเหตุให้ตำแหน่งว่างลง
    .
    บัดนี้ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติที่มีอยู่จำนวนเจ็ดคนได้ประชุมและเลือกกันเองให้คนหนึ่งเป็นประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แล้ว
    .
    อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 232 ของรัฐธธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข เป็นประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
    .
    ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
    .
    ประกาศ ณ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2568 เป็นปีที่ 10 ในรัชกาลปัจจุบัน
    .
    ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
    นายมงคล สุระสัจจะ
    ประธานวุฒิสภา
    .
    อนึ่ง ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 5 ก.พ. ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติ 5 ต่อ 2 เลือกนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ให้เป็นประธาน ป.ป.ช.คนใหม่ ซึ่งจะทำหน้าที่ไปจนถึงวันที่ 9 ก.ค. 2570 โดยนายสุชาติสำเร็จการศึกษานิติศาสตร์ มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ นิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง และเนติบัณฑิตไทย โดยก่อนหน้านี้เป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งมีนบุรี ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2563 โดยผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมวุฒิสภา เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2563
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000014173
    ..............
    Sondhi X
    มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง “สุชาติ ตระกูลเกษมสุข” เป็นประธาน ป.ป.ช. แทน พล.ต.อ.วัชรพล ที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากอายุครบ 70 ปี มีผลตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป . วันนี้ (12 ก.พ.) ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศแต่งตั้งนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข เป็นประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ความว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ประกาศว่าตามที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง พลตำรวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ เป็นประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทจริตแห่งชาติ ตามประกาศลงวันที่ 30 ธ.ค.2558 นั้น ต่อมาพลตำรวจเอก วัชรพล ประสารราชกิจ ได้พ้นจากตำแหน่งประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เนื่องจากมีอายุครบเจ็ดสิบปีบริบูรณ์ เป็นเหตุให้ตำแหน่งว่างลง . บัดนี้ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติที่มีอยู่จำนวนเจ็ดคนได้ประชุมและเลือกกันเองให้คนหนึ่งเป็นประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แล้ว . อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 232 ของรัฐธธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข เป็นประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ . ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป . ประกาศ ณ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2568 เป็นปีที่ 10 ในรัชกาลปัจจุบัน . ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา . อนึ่ง ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 5 ก.พ. ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติ 5 ต่อ 2 เลือกนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ให้เป็นประธาน ป.ป.ช.คนใหม่ ซึ่งจะทำหน้าที่ไปจนถึงวันที่ 9 ก.ค. 2570 โดยนายสุชาติสำเร็จการศึกษานิติศาสตร์ มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ นิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง และเนติบัณฑิตไทย โดยก่อนหน้านี้เป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งมีนบุรี ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2563 โดยผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมวุฒิสภา เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2563 . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000014173 .............. Sondhi X
    Like
    Love
    14
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2008 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผบ.ตร.เซ็นย้ายขาด "ผู้การตาก" ช่วยราชการศปก.ตร. พร้อมตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง ปมต่างชาติถูกแก๊งคอลฯ หลอกข้ามแดน ทำลายภาพลักษณ์ประเทศ
    .
    วันนี้ (11 ก.พ.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. มีคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 64/2568 เรื่อง ให้ข้าราชการตำรวจช่วยราชการและรักษาราชการแทน ใจความระบุว่า ด้วย สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับรายงานกรณีที่ปรากฏข่าวสารในสื่อมวลชนต่างๆ เผยแพร่ข่าวนักท่องเที่ยวถูกมิจฉาชีพหลอกลวงมาที่ประเทศไทยแล้วหายตัวไปบริเวณชายแดประเทศเมียนมา อีกทั้งมีการลักลอบข้ามชายแดนทางช่องทางธรรมชาติในเขตพื้นที่อ.แม่สอด และอ.แม่ระมาด จ.ตาก
    .
    กรณีดังกล่าวอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ โดยบริเวณที่เกิดเหตุอยู่ในพื้นที่ของสภ.แม่สอด สภ.แม่ระมาด และสภ.พบพระ จ.ตาก ที่อยู่ในความรับผิดชอบของ พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ เอมกมล ผู้บังคับการ ตำรวจภูธรจังหวัดตาก ซึ่งตำรวจภูธรภาค 6 ได้มีคำสั่งแต่งตั้งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว และมีคำสั่งให้ข้าราชการตำรวจระดับผู้กำกับการของ 3 สถานีตำรวจดังกล่าว ช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 6 โดยขาดจากการปฏิบัฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งเดิมแล้ว
    .
    ต่อมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ เอมกมล เพื่อให้ให้ได้รายละเอียดข้อเท็จจริงที่ชัดเจนเพียงพอสำหรับการพิจารณาพฤติการณ์ และหลักฐานในเบื้องต้นว่ากรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่าข้าราชการตำรวจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดวินัยหรือไม่ประการใด
    .
    เนื่องจากเป็นกรณีที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อีกทั้งมีกรณีเป็นที่สงสัยว่าข้าราชการตำรวจได้ประพฤติบกพร่องต่อหน้าที่ หรือมีกรณีเป็นที่สงสัยว่ากระทำความผิดทางวินัยหรืออาญา หากให้ปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานเดิมอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้
    .
    ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพ และมีให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 63 และมาตรา 105 แห่งพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ประกอบระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจ ไปช่วยราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2566
    .
    จึงสั่งการให้ พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ ช่วยราชการที่ ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อาคาร 1 ชั้น 20 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบหมาย เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย
    .
    ทั้งนี้ ให้ยกเว้นหลักเกณฑ์กรณีการไปช่วยราชการสิ้นสุดลง ตามข้อ 11 ของระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปช่วยราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2566 และให้ พล.ต.ต.ระวีพรรษ อมรมุนีพงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูรภาค 6 รักษาราชการแทน ผู้บังคับการ ตำรวจภูธรจังหวัดตาก อีกหน้าที่หนึ่ง
    .
    ขณะเดียวกันพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ลงนามคำสั่ง ตร.ที่ 62/2568เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ใจความว่า ด้วยเมื่อประมาณต้นเดือนมกราคม 2568ได้ปรากฏข่าวสารในสื่อมวลชนต่างๆ เผยแพร่ข่าวนักท่องเที่ยวถูกมิจฉาชีพหลอกลวงมาประเทศไทย แล้วหายตัวไปบริเวณชายแดนเมียนมา และมีการลักลอบข้ามชายแดน ทางช่องทางธรรมชาติในเขตอ.แม่สอด อ.แม่ระมาด และอ.พบพระ จ.ตาก กรณีดังกล่าวอาจเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
    .
    โดยบริเวณที่เกิดเหตุอยู่ในเขตพื้นที่ 3 สถานีตำรวจ ในความรับผิดชอบของพล.ต.ต.สัมฤทธิ์ เอมกมล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตาก ประกอบกับ ตำรวจภูธรภาค 6 ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวและมีคำสั่งให้ข้าราชการตำรวจ 3 ราย พ.ต.อ.พิทยากร เพชรรัตน์ ผกก.สภ.แม่สอด จ.ตาก พ.ต.อ.ฐมณ์พงศ์ เพ็ชร์พิรุณ ผกก.สภ.แม่ระมาด จ.ตาก และพ.ต.อ.ฉัตรชัย คำยิ่ง ผกก.สภ.พบพระ จ.ตาก ช่วยราชการที่ ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจฎรรภาค 6 โดยขาดจากการปฏิบัฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม
    .
    ดังนั้น เพื่อให้ได้รายละเอียดขัดเท็จจริงที่ชัดเจนเพียงพอสำหรับการพิจารมารณ์และหลักฐานในเบื้องต้น ว่ากรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่าข้าราชการตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกระทำผิดวินัยหรือไม่ประการใด อาศัยอำนาจตามพ.ร.บ ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 มาตรา 63 และมาตรา 105
    .
    จึงแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว ประกอบด้วยบุคคลดังต่อไปนี้
    .
    1. พล.ต.ท.มนเทียร พันธ์อิ่ม จเรตำรวจ เป็นประธานกรรมการ
    .
    2. พล.ต.ต.พุฒิพงศ์ มุสิกูล รองจเรตำรวจ สำนักงานจเรตำรวจ เป็นกรรมการ
    .
    3. พ.ต.อ.สรัลพัฒน์ ยศสมบัติ รองผู้บังคับการ กองตรวจราชการ 7 รักษาราชการแทนผู้บังคับการ กองตรวจราชการ 2 สำนักงานจเรตำรวจ เป็นกรรมการ
    .
    4. พ.ต.อ.ชัชวาลย์ ทิพย์พิชัย รองผู้บังคับการ กองตรวจราชการ 1 สำนักงานจเรตำรวจ เป็นกรรมการ
    .
    5. พ.ต.อ.กฤษฎีชวินทร์ วีระจิตต์ ผู้กำกับการ ฝ่ายสืบสวนและตรวจราชการ 1 กองตรวจราชการ 2 สำนักงานจเรตำรวจ เป็นกรรมการและเลขานุการ
    .
    6. พ.ต.ท.ศิริพล บุญหนุน รองผู้กำกับการ ฝ่ายสืบสวนและตรวจราชการ 2 กองตรวจราชการ 2 สำนักงานจเรตำรวจ เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
    .
    ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ประธานกรรมการรับทราบคำสั่ง แล้วเสนอรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อพิจารณาสั่งการต่อไป
    .
    อนึ่ง ถ้าคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เห็นว่ากรณีมีมูลว่าข้าราชการตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกระทำผิดวินัยในเรื่องอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในคำสั่งนี้ หรือกรณีที่การสืบสวนพาดพิงไปถึงข้าราชการตำรวจผู้อื่นและคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงพิจารณาในเบื้องตันแล้วเห็นว่า ข้าราชการตำรวจผู้นั้นมีส่วนร่วมหรือมีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำในเรื่องที่ตรวจสอบนั้นอยู่ด้วย ให้ประธานกรรมการรายงานมาโดยเร็ว
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000013855
    .........
    Sondhi X
    ผบ.ตร.เซ็นย้ายขาด "ผู้การตาก" ช่วยราชการศปก.ตร. พร้อมตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง ปมต่างชาติถูกแก๊งคอลฯ หลอกข้ามแดน ทำลายภาพลักษณ์ประเทศ . วันนี้ (11 ก.พ.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. มีคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 64/2568 เรื่อง ให้ข้าราชการตำรวจช่วยราชการและรักษาราชการแทน ใจความระบุว่า ด้วย สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับรายงานกรณีที่ปรากฏข่าวสารในสื่อมวลชนต่างๆ เผยแพร่ข่าวนักท่องเที่ยวถูกมิจฉาชีพหลอกลวงมาที่ประเทศไทยแล้วหายตัวไปบริเวณชายแดประเทศเมียนมา อีกทั้งมีการลักลอบข้ามชายแดนทางช่องทางธรรมชาติในเขตพื้นที่อ.แม่สอด และอ.แม่ระมาด จ.ตาก . กรณีดังกล่าวอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ โดยบริเวณที่เกิดเหตุอยู่ในพื้นที่ของสภ.แม่สอด สภ.แม่ระมาด และสภ.พบพระ จ.ตาก ที่อยู่ในความรับผิดชอบของ พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ เอมกมล ผู้บังคับการ ตำรวจภูธรจังหวัดตาก ซึ่งตำรวจภูธรภาค 6 ได้มีคำสั่งแต่งตั้งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว และมีคำสั่งให้ข้าราชการตำรวจระดับผู้กำกับการของ 3 สถานีตำรวจดังกล่าว ช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 6 โดยขาดจากการปฏิบัฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งเดิมแล้ว . ต่อมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ เอมกมล เพื่อให้ให้ได้รายละเอียดข้อเท็จจริงที่ชัดเจนเพียงพอสำหรับการพิจารณาพฤติการณ์ และหลักฐานในเบื้องต้นว่ากรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่าข้าราชการตำรวจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดวินัยหรือไม่ประการใด . เนื่องจากเป็นกรณีที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อีกทั้งมีกรณีเป็นที่สงสัยว่าข้าราชการตำรวจได้ประพฤติบกพร่องต่อหน้าที่ หรือมีกรณีเป็นที่สงสัยว่ากระทำความผิดทางวินัยหรืออาญา หากให้ปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานเดิมอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้ . ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพ และมีให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 63 และมาตรา 105 แห่งพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ประกอบระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจ ไปช่วยราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2566 . จึงสั่งการให้ พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ ช่วยราชการที่ ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อาคาร 1 ชั้น 20 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบหมาย เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย . ทั้งนี้ ให้ยกเว้นหลักเกณฑ์กรณีการไปช่วยราชการสิ้นสุดลง ตามข้อ 11 ของระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปช่วยราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2566 และให้ พล.ต.ต.ระวีพรรษ อมรมุนีพงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูรภาค 6 รักษาราชการแทน ผู้บังคับการ ตำรวจภูธรจังหวัดตาก อีกหน้าที่หนึ่ง . ขณะเดียวกันพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ลงนามคำสั่ง ตร.ที่ 62/2568เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ใจความว่า ด้วยเมื่อประมาณต้นเดือนมกราคม 2568ได้ปรากฏข่าวสารในสื่อมวลชนต่างๆ เผยแพร่ข่าวนักท่องเที่ยวถูกมิจฉาชีพหลอกลวงมาประเทศไทย แล้วหายตัวไปบริเวณชายแดนเมียนมา และมีการลักลอบข้ามชายแดน ทางช่องทางธรรมชาติในเขตอ.แม่สอด อ.แม่ระมาด และอ.พบพระ จ.ตาก กรณีดังกล่าวอาจเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ . โดยบริเวณที่เกิดเหตุอยู่ในเขตพื้นที่ 3 สถานีตำรวจ ในความรับผิดชอบของพล.ต.ต.สัมฤทธิ์ เอมกมล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตาก ประกอบกับ ตำรวจภูธรภาค 6 ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวและมีคำสั่งให้ข้าราชการตำรวจ 3 ราย พ.ต.อ.พิทยากร เพชรรัตน์ ผกก.สภ.แม่สอด จ.ตาก พ.ต.อ.ฐมณ์พงศ์ เพ็ชร์พิรุณ ผกก.สภ.แม่ระมาด จ.ตาก และพ.ต.อ.ฉัตรชัย คำยิ่ง ผกก.สภ.พบพระ จ.ตาก ช่วยราชการที่ ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจฎรรภาค 6 โดยขาดจากการปฏิบัฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม . ดังนั้น เพื่อให้ได้รายละเอียดขัดเท็จจริงที่ชัดเจนเพียงพอสำหรับการพิจารมารณ์และหลักฐานในเบื้องต้น ว่ากรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่าข้าราชการตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกระทำผิดวินัยหรือไม่ประการใด อาศัยอำนาจตามพ.ร.บ ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 มาตรา 63 และมาตรา 105 . จึงแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว ประกอบด้วยบุคคลดังต่อไปนี้ . 1. พล.ต.ท.มนเทียร พันธ์อิ่ม จเรตำรวจ เป็นประธานกรรมการ . 2. พล.ต.ต.พุฒิพงศ์ มุสิกูล รองจเรตำรวจ สำนักงานจเรตำรวจ เป็นกรรมการ . 3. พ.ต.อ.สรัลพัฒน์ ยศสมบัติ รองผู้บังคับการ กองตรวจราชการ 7 รักษาราชการแทนผู้บังคับการ กองตรวจราชการ 2 สำนักงานจเรตำรวจ เป็นกรรมการ . 4. พ.ต.อ.ชัชวาลย์ ทิพย์พิชัย รองผู้บังคับการ กองตรวจราชการ 1 สำนักงานจเรตำรวจ เป็นกรรมการ . 5. พ.ต.อ.กฤษฎีชวินทร์ วีระจิตต์ ผู้กำกับการ ฝ่ายสืบสวนและตรวจราชการ 1 กองตรวจราชการ 2 สำนักงานจเรตำรวจ เป็นกรรมการและเลขานุการ . 6. พ.ต.ท.ศิริพล บุญหนุน รองผู้กำกับการ ฝ่ายสืบสวนและตรวจราชการ 2 กองตรวจราชการ 2 สำนักงานจเรตำรวจ เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ . ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ประธานกรรมการรับทราบคำสั่ง แล้วเสนอรายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อพิจารณาสั่งการต่อไป . อนึ่ง ถ้าคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เห็นว่ากรณีมีมูลว่าข้าราชการตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกระทำผิดวินัยในเรื่องอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในคำสั่งนี้ หรือกรณีที่การสืบสวนพาดพิงไปถึงข้าราชการตำรวจผู้อื่นและคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงพิจารณาในเบื้องตันแล้วเห็นว่า ข้าราชการตำรวจผู้นั้นมีส่วนร่วมหรือมีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำในเรื่องที่ตรวจสอบนั้นอยู่ด้วย ให้ประธานกรรมการรายงานมาโดยเร็ว . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000013855 ......... Sondhi X
    Like
    14
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1892 มุมมอง 2 รีวิว
  • ผบ.ตร. เซ็นย้ายขาด "ต๊ะ แม่สอด" ช่วยราชการศปก.ตร. พร้อมตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงปมถูกกล่าวหาเอี่ยว "เมียวดีคอมเพล็กซ์" แหล่งฟอกเงิน ธุรกิจผิดกฎหมายชายแดน
    .
    วันนี้ (11 ก.พ.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มีคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 63/2568 เรื่อง ให้ข้าราชการตำรวจช่วยราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ใจความว่า ด้วย สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับรายงานกรณีที่ปรากฏข้อมูลประเด็นทางสื่อสังคมออนไลน์ ว่ามีข้าราชการตำรวจยศ พลตำรวจตรี มีความเชื่อมโยงกับธุรกิจเมียวดีคอมเพล็กซ์ ซึ่งเป็นสถานบันเทิงและบ่อนกาสิโน รวมทั้งเป็นแหล่งฟอกเงินและธุรกิจผิดกฎหมายขนาดใหญ่ ริมชายแดนประเทศไทยและประเทศเมียนมา
    .
    ซึ่งภายหลังได้มีการเปิดเผยชื่อคือ พล.ต.ต.เอกราษฎร์ อินทร์ต๊ะสืบ ผู้บังคับการ กองตรวจราชการ 5 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว เพื่อให้ได้รายละเอียดข้อเท็จจริงที่ชัดเจนเพียงพอสำหรับการพิจารณาพฤติการณ์และหลักฐานในเบื้องต้นว่ากรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่าข้าราชการตำรวจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดวินัยหรือไม่ประการใด
    .
    เนื่องจากเป็นประเด็นสำคัญที่อยู่ในความสนใจของประชาชนและสังคมในวงกว้าง ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อีกทั้งมีกรณีเป็นที่สงสัยว่าข้าราชการตำรวจได้ประพฤติบกพร่องต่อหน้าที่ หรือมีกรณีเป็นที่สงสัยว่ากระทำความผิดทางวินัยหรืออาญา หากให้ปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานเดิมอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้
    .
    ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพ และมีให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 63 แห่งพระราชบัญญัติตํตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ประกอบระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปช่วยราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2566
    .
    จึงให้ พล.ต.ต. เอกราษฎร์ อินทร์ต๊ะสืบ ผู้บังคับการ กองตรวจราชการ 5 รักษาราชการแทน ผู้บังคับการกองตรวจราชการ 6 ช่วยราชการที่ ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อาคาร 1 ชั้น 20 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มอบหมาย เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย
    .
    ทั้งนี้ ให้ยกเว้นหลักเกณฑ์กรณีการไปช่วยราชการสิ้นสุดลงตามข้อ 11 และข้อ 13 (2) ของระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วย
    การสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปช่วยราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2566
    .
    อนึ่ง บรรดาคำสั่งหรือการมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่อื่นใดที่ขัดหรือแย้งกับคำสั่งนี้ ให้ยกเลิกในส่วนที่ขัดหรือแย้งและใช้คำสั่งนี้แทน
    .
    ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง
    .
    คลิกอ่าน >> https://sondhitalk.com/detail/9680000013813
    ......
    Sondhi X
    ผบ.ตร. เซ็นย้ายขาด "ต๊ะ แม่สอด" ช่วยราชการศปก.ตร. พร้อมตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงปมถูกกล่าวหาเอี่ยว "เมียวดีคอมเพล็กซ์" แหล่งฟอกเงิน ธุรกิจผิดกฎหมายชายแดน . วันนี้ (11 ก.พ.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มีคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 63/2568 เรื่อง ให้ข้าราชการตำรวจช่วยราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ใจความว่า ด้วย สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับรายงานกรณีที่ปรากฏข้อมูลประเด็นทางสื่อสังคมออนไลน์ ว่ามีข้าราชการตำรวจยศ พลตำรวจตรี มีความเชื่อมโยงกับธุรกิจเมียวดีคอมเพล็กซ์ ซึ่งเป็นสถานบันเทิงและบ่อนกาสิโน รวมทั้งเป็นแหล่งฟอกเงินและธุรกิจผิดกฎหมายขนาดใหญ่ ริมชายแดนประเทศไทยและประเทศเมียนมา . ซึ่งภายหลังได้มีการเปิดเผยชื่อคือ พล.ต.ต.เอกราษฎร์ อินทร์ต๊ะสืบ ผู้บังคับการ กองตรวจราชการ 5 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว เพื่อให้ได้รายละเอียดข้อเท็จจริงที่ชัดเจนเพียงพอสำหรับการพิจารณาพฤติการณ์และหลักฐานในเบื้องต้นว่ากรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่าข้าราชการตำรวจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดวินัยหรือไม่ประการใด . เนื่องจากเป็นประเด็นสำคัญที่อยู่ในความสนใจของประชาชนและสังคมในวงกว้าง ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อีกทั้งมีกรณีเป็นที่สงสัยว่าข้าราชการตำรวจได้ประพฤติบกพร่องต่อหน้าที่ หรือมีกรณีเป็นที่สงสัยว่ากระทำความผิดทางวินัยหรืออาญา หากให้ปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานเดิมอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้ . ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีประสิทธิภาพ และมีให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 63 แห่งพระราชบัญญัติตํตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 ประกอบระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปช่วยราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2566 . จึงให้ พล.ต.ต. เอกราษฎร์ อินทร์ต๊ะสืบ ผู้บังคับการ กองตรวจราชการ 5 รักษาราชการแทน ผู้บังคับการกองตรวจราชการ 6 ช่วยราชการที่ ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อาคาร 1 ชั้น 20 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มอบหมาย เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย . ทั้งนี้ ให้ยกเว้นหลักเกณฑ์กรณีการไปช่วยราชการสิ้นสุดลงตามข้อ 11 และข้อ 13 (2) ของระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วย การสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปช่วยราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2566 . อนึ่ง บรรดาคำสั่งหรือการมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่อื่นใดที่ขัดหรือแย้งกับคำสั่งนี้ ให้ยกเลิกในส่วนที่ขัดหรือแย้งและใช้คำสั่งนี้แทน . ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง . คลิกอ่าน >> https://sondhitalk.com/detail/9680000013813 ...... Sondhi X
    SONDHITALK.COM
    ผบ.ตร.เซ็นเด้ง "ผู้การต๊ะ" ตั้งกก.สอบปมเอี่ยว "เมียวดีคอมเพล็กซ์"
    ผบ.ตร. สั่งเด้ง นายพล ต.เต่า ถูกกล่าวหา โยงกับเมียวดีคอมเพล็กซ์11 ก.พ. 2568 พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. มีคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 63/2568 เรื่อง ให้ข้าราชการตำรวจช่วยราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ใจความระบุว่
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 189 มุมมอง 0 รีวิว
  • 7 ปี สิ้น “แม่ทัพหาญ” พลเอกหาญ ลีนานนท์ ผู้บุกเบิกนโยบายใต้ร่มเย็น ค้านเรือเหาะ เลิกปราบปราม สร้างความเข้าใจ ใช้สันติวิธี

    “ดับไฟใต้ด้วยสันติวิธี” คือแนวทางที่ พลเอกหาญ ลีนานนท์ เลือกใช้ตลอดชีวิตการรับราชการ และการเมือง ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าได้ผล ในการสร้างความสงบ ให้กับภาคใต้ของไทย

    📌 7 ปี แล้วที่ พลเอกหาญ ลีนานนท์ หรือ "แม่ทัพหาญ" จากไป ทิ้งไว้เพียงตำนานของแม่ทัพ ผู้เปลี่ยนนโยบายความมั่นคงของไทย จากการใช้กำลัง สู่สันติวิธี 🌿

    แม้จะจากโลกนี้ไปเมื่อ 7 ปี ที่ผ่านมา แต่ชื่อของแม่ทัพหาญ ยังคงถูกกล่าวถึงในแวดวงการเมือง และกองทัพ โดยเฉพาะเรื่อง "นโยบายใต้ร่มเย็น" ที่กลายเป็นแนวทางสำคัญ ในการแก้ปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้ 🕊️

    👤 🎖️ เส้นทางสู่กองทัพ
    พลเอกหาญ ลีนานนท์ เกิดเมื่อ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2467 ที่อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล เป็นบุตรของขุนด่านลีนานนท์ และนางนิตย์ ลีนานนท์

    การศึกษาของแม่ทัพหาญเริ่มจาก
    - โรงเรียนไตรมิตรวิทยาลัย
    - โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
    - โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร
    - โรงเรียนนายร้อยทหารบก ร่วมรุ่นกับ พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก และพลเอกเทียนชัย ศิริสัมพันธ์

    หลังจบการศึกษา แม่ทัพหาญไต่เต้าขึ้นสู่ ตำแหน่งสำคัญในกองทัพ จนกระทั่งได้รับแต่งตั้ง เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ซึ่งเป็นช่วงที่สร้างคุณูปการ มากที่สุดในชีวิต

    🏅 🔥 ปัญหาภาคใต้ก่อนยุคแม่ทัพหาญ
    ก่อนที่แม่ทัพหาญจะเข้ารับตำแหน่ง ภาคใต้เผชิญปัญหาความรุนแรงจากหลายกลุ่ม ได้แก่
    ✅ ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (พคท.)
    ✅ ขบวนการโจรก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดน (ขจก.)
    ✅ โจรจีนคอมมิวนิสต์มาลายา
    ✅ อิทธิพลท้องถิ่นและกลุ่มผู้มีอำนาจมืด

    รัฐใช้มาตรการปราบปรามอย่างหนัก แต่ไม่ได้ผล จนกระทั่งแม่ทัพหาญ เข้ามาเปลี่ยนแนวทางการแก้ปัญหา

    ☂️ นโยบายใต้ร่มเย็น จากสงครามสู่สันติภาพ
    "ใต้ร่มเย็น" เป็นนโยบายที่ให้ความสำคัญกับการเมือง มากกว่าการทหาร โดยมีหลักการสำคัญ 4 ข้อ ได้แก่

    1️⃣ ปกป้องชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน ทั้งไทยพุทธและมุสลิม
    2️⃣ ทำให้พื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซียปลอดภัย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
    3️⃣ กำจัดอำนาจเผด็จการ และอิทธิพลมืดด้วยสันติวิธี
    4️⃣ สร้างความสัมพันธ์ที่ดี ระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชน

    แม่ทัพหาญยึดหลักว่า "ต้องชนะใจประชาชน" ไม่ใช่แค่เอาชนะศัตรู ซึ่งเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์ "นโยบาย 66/23" ที่ใช้ปราบคอมมิวนิสต์สำเร็จมาแล้ว

    📝 ผลลัพธ์ของนโยบายใต้ร่มเย็น
    ✅ กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ มอบตัวจำนวนมาก
    ✅ ปัญหาความรุนแรง ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
    ✅ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ และประชาชนดีขึ้น

    🚢 ค้านเรือเหาะ ไม่เห็นด้วยกับการทุ่มงบประมาณ อย่างไร้ประสิทธิภาพ ⚠️
    ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กองทัพบกได้ จัดซื้อเรือเหาะมูลค่า 350 ล้านบาท เพื่อใช้เฝ้าระวังในสามจังหวัดชายแดนใต้ แต่กลับกลายเป็น ประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก

    แม่ทัพหาญ เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญ ที่ออกมาคัดค้าน โดยให้เหตุผลว่า
    ❌ ภูมิประเทศภาคใต้ เต็มไปด้วยป่าดงดิบ เรือเหาะจะจับภาพได้ยาก
    ❌ ขบวนการก่อความไม่สงบ อยู่ปะปนกับชาวบ้าน ไม่ใช่ในป่าเขา
    ❌ อาวุธเทคโนโลยีแพง ไม่ช่วยแก้ปัญหาได้จริง สิ่งที่สำคัญกว่าคือ ความเข้าใจประชาชน
    ❌ เป็นการใช้งบประมาณอย่างไม่คุ้มค่า ขณะที่เงินเหล่านี้ สามารถนำไปพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ได้

    🔴 บทความ "บทเรียนจากการรบ" ของแม่ทัพหาญ ระบุว่า
    "การซื้อเรือเหาะปราบโจรนี้ แสดงว่าทั้งผู้บังคับบัญชา ไม่มีความคิดที่จะแก้ปัญหาทางยุทธศาสตร์ โจรไม่ได้อยู่ในป่า แต่เขาอยู่ในบ้าน ในหมู่บ้าน ถ้าเรือเหาะถ่ายภาพมาได้ แล้วจะรู้ได้อย่างไร ว่าใครเป็นโจร หรือเป็นชาวบ้าน?"

    ท้ายที่สุด เรือเหาะถูกปลดระวาง โดยไม่เคยใช้งานเต็มศักยภาพ ซึ่งพิสูจน์ว่า แม่ทัพหาญคิดถูก 🛑

    🌟 แม่ทัพหาญ ตำนานที่ยังมีชีวิต
    แม้ว่า พลเอกหาญ ลีนานนท์ จะจากไปเมื่อ 7 ปี ที่ผ่านมา แต่แนวคิดและอุดมการณ์ ยังคงส่งอิทธิพล ต่อการแก้ปัญหาภาคใต้ จนถึงปัจจุบัน

    ✅ พิสูจน์ว่าสันติวิธีดีกว่าการใช้กำลัง
    ✅ เปลี่ยนแนวคิด "สงคราม" เป็น "การเมืองนำการทหาร"
    ✅ ต่อต้านการทุ่มงบประมาณ อย่างไร้เหตุผล
    ✅ เป็นต้นแบบของผู้นำ ที่ประชาชนไว้วางใจ

    🕊️ "แม่ทัพหาญ" อาจจากไป แต่แนวคิดยังคงอยู่ตลอดกาล🔥
    ✅ พลเอกหาญ ลีนานนท์ เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ผู้ริเริ่ม "นโยบายใต้ร่มเย็น"
    ✅ เปลี่ยนจาก "การปราบปราม" เป็น "การสร้างความเข้าใจ"
    ✅ คัดค้านเรือเหาะ 350 ล้าน เพราะมองว่าสิ้นเปลือง และไม่แก้ปัญหาที่แท้จริง
    ✅ สร้างแนวทางสันติวิธี ที่กลายเป็นต้นแบบ การแก้ปัญหาภาคใต้

    🌿 "ดับไฟใต้ไม่ต้องใช้ปืน แต่ต้องใช้ใจ" พลเอกหาญ ลีนานนท์

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 111039 ก.พ. 2568

    📢 #แม่ทัพหาญ #ใต้ร่มเย็น #สันติวิธี #ดับไฟใต้ #การเมืองนำการทหาร #ค้านเรือเหาะ #ภาคใต้ #กองทัพไทย #7ปีสิ้นแม่ทัพหาญ
    7 ปี สิ้น “แม่ทัพหาญ” พลเอกหาญ ลีนานนท์ ผู้บุกเบิกนโยบายใต้ร่มเย็น ค้านเรือเหาะ เลิกปราบปราม สร้างความเข้าใจ ใช้สันติวิธี “ดับไฟใต้ด้วยสันติวิธี” คือแนวทางที่ พลเอกหาญ ลีนานนท์ เลือกใช้ตลอดชีวิตการรับราชการ และการเมือง ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าได้ผล ในการสร้างความสงบ ให้กับภาคใต้ของไทย 📌 7 ปี แล้วที่ พลเอกหาญ ลีนานนท์ หรือ "แม่ทัพหาญ" จากไป ทิ้งไว้เพียงตำนานของแม่ทัพ ผู้เปลี่ยนนโยบายความมั่นคงของไทย จากการใช้กำลัง สู่สันติวิธี 🌿 แม้จะจากโลกนี้ไปเมื่อ 7 ปี ที่ผ่านมา แต่ชื่อของแม่ทัพหาญ ยังคงถูกกล่าวถึงในแวดวงการเมือง และกองทัพ โดยเฉพาะเรื่อง "นโยบายใต้ร่มเย็น" ที่กลายเป็นแนวทางสำคัญ ในการแก้ปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนใต้ 🕊️ 👤 🎖️ เส้นทางสู่กองทัพ พลเอกหาญ ลีนานนท์ เกิดเมื่อ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2467 ที่อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล เป็นบุตรของขุนด่านลีนานนท์ และนางนิตย์ ลีนานนท์ การศึกษาของแม่ทัพหาญเริ่มจาก - โรงเรียนไตรมิตรวิทยาลัย - โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย - โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร - โรงเรียนนายร้อยทหารบก ร่วมรุ่นกับ พลเอกอาทิตย์ กำลังเอก และพลเอกเทียนชัย ศิริสัมพันธ์ หลังจบการศึกษา แม่ทัพหาญไต่เต้าขึ้นสู่ ตำแหน่งสำคัญในกองทัพ จนกระทั่งได้รับแต่งตั้ง เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ซึ่งเป็นช่วงที่สร้างคุณูปการ มากที่สุดในชีวิต 🏅 🔥 ปัญหาภาคใต้ก่อนยุคแม่ทัพหาญ ก่อนที่แม่ทัพหาญจะเข้ารับตำแหน่ง ภาคใต้เผชิญปัญหาความรุนแรงจากหลายกลุ่ม ได้แก่ ✅ ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (พคท.) ✅ ขบวนการโจรก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดน (ขจก.) ✅ โจรจีนคอมมิวนิสต์มาลายา ✅ อิทธิพลท้องถิ่นและกลุ่มผู้มีอำนาจมืด รัฐใช้มาตรการปราบปรามอย่างหนัก แต่ไม่ได้ผล จนกระทั่งแม่ทัพหาญ เข้ามาเปลี่ยนแนวทางการแก้ปัญหา ☂️ นโยบายใต้ร่มเย็น จากสงครามสู่สันติภาพ "ใต้ร่มเย็น" เป็นนโยบายที่ให้ความสำคัญกับการเมือง มากกว่าการทหาร โดยมีหลักการสำคัญ 4 ข้อ ได้แก่ 1️⃣ ปกป้องชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน ทั้งไทยพุทธและมุสลิม 2️⃣ ทำให้พื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซียปลอดภัย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 3️⃣ กำจัดอำนาจเผด็จการ และอิทธิพลมืดด้วยสันติวิธี 4️⃣ สร้างความสัมพันธ์ที่ดี ระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชน แม่ทัพหาญยึดหลักว่า "ต้องชนะใจประชาชน" ไม่ใช่แค่เอาชนะศัตรู ซึ่งเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์ "นโยบาย 66/23" ที่ใช้ปราบคอมมิวนิสต์สำเร็จมาแล้ว 📝 ผลลัพธ์ของนโยบายใต้ร่มเย็น ✅ กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ มอบตัวจำนวนมาก ✅ ปัญหาความรุนแรง ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ✅ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ และประชาชนดีขึ้น 🚢 ค้านเรือเหาะ ไม่เห็นด้วยกับการทุ่มงบประมาณ อย่างไร้ประสิทธิภาพ ⚠️ ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กองทัพบกได้ จัดซื้อเรือเหาะมูลค่า 350 ล้านบาท เพื่อใช้เฝ้าระวังในสามจังหวัดชายแดนใต้ แต่กลับกลายเป็น ประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก แม่ทัพหาญ เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญ ที่ออกมาคัดค้าน โดยให้เหตุผลว่า ❌ ภูมิประเทศภาคใต้ เต็มไปด้วยป่าดงดิบ เรือเหาะจะจับภาพได้ยาก ❌ ขบวนการก่อความไม่สงบ อยู่ปะปนกับชาวบ้าน ไม่ใช่ในป่าเขา ❌ อาวุธเทคโนโลยีแพง ไม่ช่วยแก้ปัญหาได้จริง สิ่งที่สำคัญกว่าคือ ความเข้าใจประชาชน ❌ เป็นการใช้งบประมาณอย่างไม่คุ้มค่า ขณะที่เงินเหล่านี้ สามารถนำไปพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ได้ 🔴 บทความ "บทเรียนจากการรบ" ของแม่ทัพหาญ ระบุว่า "การซื้อเรือเหาะปราบโจรนี้ แสดงว่าทั้งผู้บังคับบัญชา ไม่มีความคิดที่จะแก้ปัญหาทางยุทธศาสตร์ โจรไม่ได้อยู่ในป่า แต่เขาอยู่ในบ้าน ในหมู่บ้าน ถ้าเรือเหาะถ่ายภาพมาได้ แล้วจะรู้ได้อย่างไร ว่าใครเป็นโจร หรือเป็นชาวบ้าน?" ท้ายที่สุด เรือเหาะถูกปลดระวาง โดยไม่เคยใช้งานเต็มศักยภาพ ซึ่งพิสูจน์ว่า แม่ทัพหาญคิดถูก 🛑 🌟 แม่ทัพหาญ ตำนานที่ยังมีชีวิต แม้ว่า พลเอกหาญ ลีนานนท์ จะจากไปเมื่อ 7 ปี ที่ผ่านมา แต่แนวคิดและอุดมการณ์ ยังคงส่งอิทธิพล ต่อการแก้ปัญหาภาคใต้ จนถึงปัจจุบัน ✅ พิสูจน์ว่าสันติวิธีดีกว่าการใช้กำลัง ✅ เปลี่ยนแนวคิด "สงคราม" เป็น "การเมืองนำการทหาร" ✅ ต่อต้านการทุ่มงบประมาณ อย่างไร้เหตุผล ✅ เป็นต้นแบบของผู้นำ ที่ประชาชนไว้วางใจ 🕊️ "แม่ทัพหาญ" อาจจากไป แต่แนวคิดยังคงอยู่ตลอดกาล🔥 ✅ พลเอกหาญ ลีนานนท์ เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ผู้ริเริ่ม "นโยบายใต้ร่มเย็น" ✅ เปลี่ยนจาก "การปราบปราม" เป็น "การสร้างความเข้าใจ" ✅ คัดค้านเรือเหาะ 350 ล้าน เพราะมองว่าสิ้นเปลือง และไม่แก้ปัญหาที่แท้จริง ✅ สร้างแนวทางสันติวิธี ที่กลายเป็นต้นแบบ การแก้ปัญหาภาคใต้ 🌿 "ดับไฟใต้ไม่ต้องใช้ปืน แต่ต้องใช้ใจ" พลเอกหาญ ลีนานนท์ ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 111039 ก.พ. 2568 📢 #แม่ทัพหาญ #ใต้ร่มเย็น #สันติวิธี #ดับไฟใต้ #การเมืองนำการทหาร #ค้านเรือเหาะ #ภาคใต้ #กองทัพไทย #7ปีสิ้นแม่ทัพหาญ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 407 มุมมอง 0 รีวิว
  • รายงานข่าวจากMGR Chinaระบุว่าหลายคนงง! ทำไมจีนส่ง “นักรบหมาป่า” ประจำด่านยุโรป

    ข่าวจีนแต่งตั้งนายหลู ซาแหย่ อดีตเอกอัครราชทูตประจำฝรั่งเศส วัย 60 ปี เป็น #ผู้แทนพิเศษฝ่ายกิจการยุโรป ทำเอานักการทูตรู้สึกประหลาดใจไปตามๆ กัน เนื่องจากเป็นการแต่งตั้งในช่วงที่ #ความสัมพันธ์จีน-ยุโรปมาถึงจุดเปลี่ยน แต่ด้วยสไตล์บู๊มากกว่าบุ๋นของนายหลู เขาจึงไม่น่าจะใช่กับช่วงเวลาที่มีความละเอียดอ่อนเช่นนี้

    นายหลูขึ้นชื่อในเรื่องการออกมาปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติอย่างดุดัน จนได้รับฉายานักการทูต “นักรบหมาป่า” ( #Wolf Warrior) ตัวฉกาจ ฉายานี้ใช้เรียกบุคคลที่ออกมาตอบโต้นักวิจารณ์ซึ่งถูกมองว่าเป็นศัตรูกับจีนได้อย่างดุเด็ดเผ็ดมัน

    ท่านทูตผู้นี้เอ่ยวาทะเด็ด แต่ไม่เข้าหูชาติในสหภาพยุโรป (อียู) บ่อยครั้ง เช่น เมื่อปี 2566 ขณะประจำอยู่ที่ฝรั่งเศส นายหลูตั้งคำถามเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยของรัฐอดีตสหภาพโซเวียต เขากล่าวกับสถานีโทรทัศน์ว่า รัฐเหล่านี้ไม่มีสถานะที่มีผลบังคับใช้ในกฎหมายระหว่างประเทศ นายหลูมีนัยถึง #กลุ่มรัฐบอลติกคือ เอสโตเนีย ลัตเวีย และลิทัวเนียซึ่งเคยเป็นสาธารณรัฐของสหภาพโซเวียต แต่ปัจจุบันเป็นสมาชิกอียูและองค์การนาโต

    “เรายังจำคำพูดเกี่ยวกับรัฐบอลติกนี้ได้ดี” นักการทูตยุโรปในกรุงปักกิ่งคนหนึ่งระบุ

    มีอยู่คราวหนึ่งนาย อังตวน บงดาซ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านจีนของมูลนิธิเพื่อการวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ (FRS) ซึ่งเป็นสถาบันนักคิด บ่นจีนว่ากดดันไม่ให้สมาชิกสภานิติบัญญัติฝรั่งเศสไปเยือนไต้หวัน ท่านทูตหลูก็เลยจัดให้ชุดใหญ่ไฟกะพริบ ประณามนายบงดาซ์ว่า เป็น “อันธพาลตัวกะเปี๊ยก” “หมาไนบ้า” และ “ตัวป่วนอุดมการณ์” ซึ่งมีจุดยืนต่อต้านจีน กระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศสออถแถลงการณ์ประณาม รับไม่ได้กับความคิดเห็นของนายหลู รวมถึง "การดูถูกและข่มขู่ต่อสมาชิกสภานิติบัญญัติและนักวิจัยชาวฝรั่งเศส" เป็นเรื่องเกิดขึ้นเมื่อปี 2564

    ต่อมาในปี 2565 นายหลูให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ แนะให้ชาวไต้หวันเข้ารับการปรับทัศนติเมื่อจีนผนวกไต้หวัน ฝ่ายสนับสนุนเอกราชไต้หวันถึงกับเต้น

    นายหลูดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำฝรั่งเศสจนครบวาระ 5 ปีในเดือนธันวาคมปี 2567

    ก่อนหน้านั้น สมัยเป็นเอกอัครราชทูตประจำแคนาดา เขาเคยกล่าวหารัฐบาลแคนาดาเมื่อเดือนมกราคมปี 2562 ว่าเป็นคนผิวขาวที่วางอำนาจยิ่งใหญ่เหนือผู้อื่น จากกรณีที่เรียกร้องให้ปล่อยตัวชาวแคนาดา 2 คนซึ่งถูกจีนควบคุมตัว การจับกุมชาวแคนาดาเกิดขึ้น หลังจาก “เมิ่ง หวั่นโจว” ซีอีโอบริษัทหัวเว่ยถูกแคนาดาจับกุมตัวตามคำร้องขอของสหรัฐอเมริกา

    โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนแถลงข่าวการแต่งตั้งเมื่อวันพฤหัสฯ (6 ก.พ.) ว่า นายหลูจะช่วยเหลือและประสานงานการจัดการในเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอียู โดยเขาเป็นนักการทูตระดับสูงผู้รอบรู้สถานการณ์ในยุโรปเป็นอย่างดี

    ที่ว่าความสัมพันธ์จีน-ยุโรปเดินมาถึงจุดเปลี่ยนนั่นก็คือ พวกสายเหยี่ยวต้านจีนในอียู เช่น นางเออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยนประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ส่งสัญญาณว่ายินดีที่จะทบทวนความสัมพันธ์จีน-อียู ที่กำลังย่ำแย่ อันเนื่องมาจากปัญหาขัดแย้งทางการค้าและความไม่พอใจที่จีนมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับรัสเซีย

    อียูเริ่มเปลี่ยนท่าทีท่ามกลางความตึงเครียดที่ส่อเค้าระหว่างอียู-สหรัฐฯ หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 10% และขู่ขึ้นภาษีกับยุโรปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

    ผู้แทนพิเศษฝ่ายกิจการยุโรปเป็นตำแหน่งที่จีนตั้งขึ้นเมื่อปี 2562 โดยนายหลูรับตำแหน่งสืบต่อจากนายอู๋ หงปั๋ว วัย 72 ปี ซึ่งดำรงตำแหน่งคนแรก

    ที่มา : เอเอฟพี/รอยเตอร์
    ภาพประกอบข่าว
    นายหลู ซาแหย่ อดีตเอกอัครราชทูตจีนประจำฝรั่งเศสและผู้แทนพิเศษฝ่ายกิจการยุโรปคนใหม่ - ภาพ : ซินหัว
    รายงานข่าวจากMGR Chinaระบุว่าหลายคนงง! ทำไมจีนส่ง “นักรบหมาป่า” ประจำด่านยุโรป ข่าวจีนแต่งตั้งนายหลู ซาแหย่ อดีตเอกอัครราชทูตประจำฝรั่งเศส วัย 60 ปี เป็น #ผู้แทนพิเศษฝ่ายกิจการยุโรป ทำเอานักการทูตรู้สึกประหลาดใจไปตามๆ กัน เนื่องจากเป็นการแต่งตั้งในช่วงที่ #ความสัมพันธ์จีน-ยุโรปมาถึงจุดเปลี่ยน แต่ด้วยสไตล์บู๊มากกว่าบุ๋นของนายหลู เขาจึงไม่น่าจะใช่กับช่วงเวลาที่มีความละเอียดอ่อนเช่นนี้ นายหลูขึ้นชื่อในเรื่องการออกมาปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติอย่างดุดัน จนได้รับฉายานักการทูต “นักรบหมาป่า” ( #Wolf Warrior) ตัวฉกาจ ฉายานี้ใช้เรียกบุคคลที่ออกมาตอบโต้นักวิจารณ์ซึ่งถูกมองว่าเป็นศัตรูกับจีนได้อย่างดุเด็ดเผ็ดมัน ท่านทูตผู้นี้เอ่ยวาทะเด็ด แต่ไม่เข้าหูชาติในสหภาพยุโรป (อียู) บ่อยครั้ง เช่น เมื่อปี 2566 ขณะประจำอยู่ที่ฝรั่งเศส นายหลูตั้งคำถามเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยของรัฐอดีตสหภาพโซเวียต เขากล่าวกับสถานีโทรทัศน์ว่า รัฐเหล่านี้ไม่มีสถานะที่มีผลบังคับใช้ในกฎหมายระหว่างประเทศ นายหลูมีนัยถึง #กลุ่มรัฐบอลติกคือ เอสโตเนีย ลัตเวีย และลิทัวเนียซึ่งเคยเป็นสาธารณรัฐของสหภาพโซเวียต แต่ปัจจุบันเป็นสมาชิกอียูและองค์การนาโต “เรายังจำคำพูดเกี่ยวกับรัฐบอลติกนี้ได้ดี” นักการทูตยุโรปในกรุงปักกิ่งคนหนึ่งระบุ มีอยู่คราวหนึ่งนาย อังตวน บงดาซ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านจีนของมูลนิธิเพื่อการวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ (FRS) ซึ่งเป็นสถาบันนักคิด บ่นจีนว่ากดดันไม่ให้สมาชิกสภานิติบัญญัติฝรั่งเศสไปเยือนไต้หวัน ท่านทูตหลูก็เลยจัดให้ชุดใหญ่ไฟกะพริบ ประณามนายบงดาซ์ว่า เป็น “อันธพาลตัวกะเปี๊ยก” “หมาไนบ้า” และ “ตัวป่วนอุดมการณ์” ซึ่งมีจุดยืนต่อต้านจีน กระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศสออถแถลงการณ์ประณาม รับไม่ได้กับความคิดเห็นของนายหลู รวมถึง "การดูถูกและข่มขู่ต่อสมาชิกสภานิติบัญญัติและนักวิจัยชาวฝรั่งเศส" เป็นเรื่องเกิดขึ้นเมื่อปี 2564 ต่อมาในปี 2565 นายหลูให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ แนะให้ชาวไต้หวันเข้ารับการปรับทัศนติเมื่อจีนผนวกไต้หวัน ฝ่ายสนับสนุนเอกราชไต้หวันถึงกับเต้น นายหลูดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำฝรั่งเศสจนครบวาระ 5 ปีในเดือนธันวาคมปี 2567 ก่อนหน้านั้น สมัยเป็นเอกอัครราชทูตประจำแคนาดา เขาเคยกล่าวหารัฐบาลแคนาดาเมื่อเดือนมกราคมปี 2562 ว่าเป็นคนผิวขาวที่วางอำนาจยิ่งใหญ่เหนือผู้อื่น จากกรณีที่เรียกร้องให้ปล่อยตัวชาวแคนาดา 2 คนซึ่งถูกจีนควบคุมตัว การจับกุมชาวแคนาดาเกิดขึ้น หลังจาก “เมิ่ง หวั่นโจว” ซีอีโอบริษัทหัวเว่ยถูกแคนาดาจับกุมตัวตามคำร้องขอของสหรัฐอเมริกา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนแถลงข่าวการแต่งตั้งเมื่อวันพฤหัสฯ (6 ก.พ.) ว่า นายหลูจะช่วยเหลือและประสานงานการจัดการในเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอียู โดยเขาเป็นนักการทูตระดับสูงผู้รอบรู้สถานการณ์ในยุโรปเป็นอย่างดี ที่ว่าความสัมพันธ์จีน-ยุโรปเดินมาถึงจุดเปลี่ยนนั่นก็คือ พวกสายเหยี่ยวต้านจีนในอียู เช่น นางเออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยนประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ส่งสัญญาณว่ายินดีที่จะทบทวนความสัมพันธ์จีน-อียู ที่กำลังย่ำแย่ อันเนื่องมาจากปัญหาขัดแย้งทางการค้าและความไม่พอใจที่จีนมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับรัสเซีย อียูเริ่มเปลี่ยนท่าทีท่ามกลางความตึงเครียดที่ส่อเค้าระหว่างอียู-สหรัฐฯ หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 10% และขู่ขึ้นภาษีกับยุโรปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผู้แทนพิเศษฝ่ายกิจการยุโรปเป็นตำแหน่งที่จีนตั้งขึ้นเมื่อปี 2562 โดยนายหลูรับตำแหน่งสืบต่อจากนายอู๋ หงปั๋ว วัย 72 ปี ซึ่งดำรงตำแหน่งคนแรก ที่มา : เอเอฟพี/รอยเตอร์ ภาพประกอบข่าว นายหลู ซาแหย่ อดีตเอกอัครราชทูตจีนประจำฝรั่งเศสและผู้แทนพิเศษฝ่ายกิจการยุโรปคนใหม่ - ภาพ : ซินหัว
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 328 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นสหรัฐฯ ออกคำสั่งฉุกเฉินห้ามทีมประสิทธิภาพรัฐบาลของอีลอน มัสก์ เข้าถึงระบบชำระเงินและระบบข้อมูลของกระทรวงการคลังที่รับผิดชอบธุรกรรมนับล้านล้านดอลลาร์ ชี้อาจทำให้ข้อมูลละเอียดอ่อนถูกเปิดเผยโดยไม่เหมาะสม ด้านซีอีโอเทสลากล่าวหาพรรคเดโมแครตพยายามปิดบังกลไกการฉ้อโกงใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
    .
    เมื่อวันเสาร์ (8 ก.พ.) ที่ผ่านมา พอล เอนเกิลเมเยอร์ ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นสหรัฐฯในแมนฮัตตัน ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเข้าดำรงตำแหน่งตั้งแต่สมัยอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของพรรคเดโมแครต ออกคำสั่งห้ามผู้ได้รับแต่งตั้งทางการเมืองจากคณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รวมทั้งเจ้าหน้าที่พิเศษของรัฐบาล และเจ้าหน้าที่รัฐบาลนอกกระทรวงการคลัง เข้าถึงระบบการชำระเงินและระบบข้อมูลของกระทรวงการคลัง
    .
    คำสั่งห้ามนี้ซึ่งให้มีผลบังคับจนกว่าศาลจะเริ่มดำเนินการไต่สวนเรื่องนี้ตามนัดหมายในวันศุกร์ (14 ก.พ.) ยังกำหนดให้บุคคลซึ่งถูกสั่งห้ามเหล่านี้ ที่ได้เข้าถึงระบบเหล่านั้นแล้ว นับจากที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ม.ค. ต้องทำลายสำเนาข้อมูลทั้งหมดที่คัดลอกหรือดาวน์โหลดมาในทันที
    .
    ความเคลื่อนไหวเช่นนี้ มีขึ้นหลังจากอัยการสูงสุดของ 19 รัฐ ซึ่งต่างเป็นฐานเสียงของพรรคเดโมแครต ยื่นฟ้องทรัมป์, กระทรวงการคลัง, และสกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลัง, เมื่อคืนวันศุกร์ (7) โดยระบุว่า คณะบริหารทรัมป์ละเมิดกฎหมาย ด้วยการยินยอมให้เจ้าหน้าที่ของกระทรวงประสิทธิภาพของรัฐบาล (DOGE -- โดช) ภายใต้การควบคุมของ มัสก์ ซึ่งไม่ได้มีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เข้าถึงข้อมูลอ่อนไหวของสำนักงานบริการทางการเงิน (บีเอฟเอส) ของกระทรวงการคลัง
    .
    ทั้งนี้ มัสก์ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่สหรัฐฯหรือเจ้าหน้าที่รัฐบาล แม้สื่อในอเมริการายงานเมื่อเร็วๆ นี้ว่า เขาได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “เจ้าหน้าที่พิเศษของรัฐบาล” ก็ตาม เช่นเดียวกับ โดช ที่ไม่มีสถานะเป็นกระทรวงหรือหน่วยราชการอย่างเต็มตัว โดยจะเป็นได้ก็ต้องได้รับอนุมัติจากรัฐสภาเสียก่อน
    .
    ทว่า มัสก์ ที่เป็นผู้บริจาคทางการเมืองรายใหญ่ที่สุดให้แก่ทรัมป์ อีกทั้งเวลานี้กลายเป็นพันธมิตรสำคัญและทรงอิทธิพลของทรัมป์ ตลอดจนทีมงานของโดชกลับข้ำแแทรกแซงหน่วยงานหลายแห่งของรัฐบาลกลาง รวมทั้งสั่งระงับโครงการช่วยเหลือในต่างประเทศ ตัดงบประมาณ และพยายามปลดเจ้าหน้าที่รัฐบาลจำนวนมาก
    .
    ทางด้านมัสก์ โพสต์ตอบโต้บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์โดยประณามเอนเกิลเมเยอร์เป็น “นักเคลื่อนไหว” มากกว่าจะเป็นผู้พิพากษา พร้อมกล่าวหาพรรคเดโมแครตพยายามปิดบังกลไกการฉ้อโกงใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ”
    .
    ทว่า เอนเกิลเมเยอร์อธิบายในคำสั่งห้ามว่า เนื่องจากพวกรัฐที่ฟ้องร้องคราวนี้จะเผชิญอันตรายอย่างชนิดไม่สามารถแก้ไขได้ ถ้าหากศาลไม่ออกสั่งห้ามชั่วคราวเพื่อบรรเทาความเสียหาย ทั้งนี้ เขาแจกแจงด้วยว่านโยบายใหม่ของรัฐบาลอาจทำให้มีการเปิดเผยข้อมูลละเอียดอ่อนและข้อมูลลับ รวมทั้งมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนที่ระบบการชำระเงินและระบบข้อมูลของกระทรวงการคลังจะถูกเจาะ
    .
    ขณะที่สื่อท้องถิ่นรายงานว่า รายงานการประเมินภายในของกระทรวงคลังฉบับหนึ่ง ก็ระบุว่า การที่ทีมงานโดชเข้าถึงระบบชำระเงินของรัฐบาลสหรัฐฯเช่นนี้ ถือเป็นภัยคุกคามจากคนวงในครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่สำนักงานบีเอฟเอสเคยเผชิญมา เนื่องจากทำให้เกิดความเสี่ยงใหญ่หลวงด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่รวมถึงความเสี่ยงที่ข้อมูลของประชาชนของอเมริกาและรัฐต่างๆ จะถูกนำไปใช้และประมวลผลโดยไม่มีการตรวจสอบ และด้วยวิธีการที่ไม่ได้รับอนุญาตภายใต้กฎหมายของรัฐบาลกลาง
    .
    แมทธิว แพลตกิน อัยการสูงสุดของรัฐนิวเจอร์ซีย์ ย้ำว่า ทรัมป์อนุญาตให้มัสก์แทรกซึมเข้าระบบและหน่วยงานสำคัญของรัฐบาลกลาง ซึ่งเป็นผู้จัดเก็บหมายเลขประกันสังคม ข้อมูลการธนาคาร และข้อมูลละเอียดอ่อนของประชาชนนับล้านๆ คน
    .
    นอกเหนือจากกรณีของกระทรวงการคลังนี้แล้ว ยังมีแนวโน้มว่า คณะบริหารทรัมป์จะถูกฟ้องร้องอีกหลายคดี จากความพยายามปรับโครงสร้างการใช้จ่ายและบุคลากรของรัฐบาลกลาง
    .
    ก่อนหน้านี้ผู้พิพากษาชั้นต้นสหรัฐฯอีกผู้หนึ่ง ได้ตัดสินให้ยับยั้งความพยายามของทรัมป์ ที่ออกคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อยกเลิกสิทธิการได้รับสัญชาติโดยอัตโนมัติของผู้ที่เกิดในในสหรัฐฯ โดยคำตัเสินระบุว่า การกระทำของทรัมป์ขัดแย้งกับรัฐธรรมรูญ นอกจากนั้นยังผู้พิพากษาษศาลชั้นต้นสหรัฐฯอีกคน สั่งระงับความพยายามของ มัสก์ ในการดำเนินการเพื่อจูงใจให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลหลายล้านคนยื่นใบลาออกเมื่อวันพฤหัสฯ (6) ที่ผ่านมา
    .
    ความพยายามหลังสุดนี้มีเป้าหมายหลักอยู่ที่องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (ยูเอสเอด) ซึ่งเป็นหน่วยงานสหรัฐฯทำหน้าที่ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในทั่วโลก
    .
    เกี่ยวกับเรื่องนี้ สหภาพแรงงานหลายแห่งก็กำลังฟ้องร้องต่อศาลว่าการดำเนินการดังกล่าวของคณะบริหารไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยที่เมื่อวันศุกร์ (7) ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นสหรัฐฯผู้หนึ่งได้ตัดสินออกคำสั่งระงับแผนการที่ระบุให้เจ้าหน้าที่ยูเอสเอด 2,200 คนต้องหยุดงานแบบยังคงได้รับค่าจ้าง
    .
    ทางฝั่งพรรคเดโมแครตยืนยันว่า การปิดหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลโดยใช้คำสั่งฝายบริหาร และไม่ผ่านการอนุมัติจากรัฐสภาเช่นนี้ถือว่า ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000013145
    ..............
    Sondhi X
    ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นสหรัฐฯ ออกคำสั่งฉุกเฉินห้ามทีมประสิทธิภาพรัฐบาลของอีลอน มัสก์ เข้าถึงระบบชำระเงินและระบบข้อมูลของกระทรวงการคลังที่รับผิดชอบธุรกรรมนับล้านล้านดอลลาร์ ชี้อาจทำให้ข้อมูลละเอียดอ่อนถูกเปิดเผยโดยไม่เหมาะสม ด้านซีอีโอเทสลากล่าวหาพรรคเดโมแครตพยายามปิดบังกลไกการฉ้อโกงใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ . เมื่อวันเสาร์ (8 ก.พ.) ที่ผ่านมา พอล เอนเกิลเมเยอร์ ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นสหรัฐฯในแมนฮัตตัน ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเข้าดำรงตำแหน่งตั้งแต่สมัยอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของพรรคเดโมแครต ออกคำสั่งห้ามผู้ได้รับแต่งตั้งทางการเมืองจากคณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รวมทั้งเจ้าหน้าที่พิเศษของรัฐบาล และเจ้าหน้าที่รัฐบาลนอกกระทรวงการคลัง เข้าถึงระบบการชำระเงินและระบบข้อมูลของกระทรวงการคลัง . คำสั่งห้ามนี้ซึ่งให้มีผลบังคับจนกว่าศาลจะเริ่มดำเนินการไต่สวนเรื่องนี้ตามนัดหมายในวันศุกร์ (14 ก.พ.) ยังกำหนดให้บุคคลซึ่งถูกสั่งห้ามเหล่านี้ ที่ได้เข้าถึงระบบเหล่านั้นแล้ว นับจากที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ม.ค. ต้องทำลายสำเนาข้อมูลทั้งหมดที่คัดลอกหรือดาวน์โหลดมาในทันที . ความเคลื่อนไหวเช่นนี้ มีขึ้นหลังจากอัยการสูงสุดของ 19 รัฐ ซึ่งต่างเป็นฐานเสียงของพรรคเดโมแครต ยื่นฟ้องทรัมป์, กระทรวงการคลัง, และสกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลัง, เมื่อคืนวันศุกร์ (7) โดยระบุว่า คณะบริหารทรัมป์ละเมิดกฎหมาย ด้วยการยินยอมให้เจ้าหน้าที่ของกระทรวงประสิทธิภาพของรัฐบาล (DOGE -- โดช) ภายใต้การควบคุมของ มัสก์ ซึ่งไม่ได้มีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เข้าถึงข้อมูลอ่อนไหวของสำนักงานบริการทางการเงิน (บีเอฟเอส) ของกระทรวงการคลัง . ทั้งนี้ มัสก์ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่สหรัฐฯหรือเจ้าหน้าที่รัฐบาล แม้สื่อในอเมริการายงานเมื่อเร็วๆ นี้ว่า เขาได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “เจ้าหน้าที่พิเศษของรัฐบาล” ก็ตาม เช่นเดียวกับ โดช ที่ไม่มีสถานะเป็นกระทรวงหรือหน่วยราชการอย่างเต็มตัว โดยจะเป็นได้ก็ต้องได้รับอนุมัติจากรัฐสภาเสียก่อน . ทว่า มัสก์ ที่เป็นผู้บริจาคทางการเมืองรายใหญ่ที่สุดให้แก่ทรัมป์ อีกทั้งเวลานี้กลายเป็นพันธมิตรสำคัญและทรงอิทธิพลของทรัมป์ ตลอดจนทีมงานของโดชกลับข้ำแแทรกแซงหน่วยงานหลายแห่งของรัฐบาลกลาง รวมทั้งสั่งระงับโครงการช่วยเหลือในต่างประเทศ ตัดงบประมาณ และพยายามปลดเจ้าหน้าที่รัฐบาลจำนวนมาก . ทางด้านมัสก์ โพสต์ตอบโต้บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์โดยประณามเอนเกิลเมเยอร์เป็น “นักเคลื่อนไหว” มากกว่าจะเป็นผู้พิพากษา พร้อมกล่าวหาพรรคเดโมแครตพยายามปิดบังกลไกการฉ้อโกงใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ” . ทว่า เอนเกิลเมเยอร์อธิบายในคำสั่งห้ามว่า เนื่องจากพวกรัฐที่ฟ้องร้องคราวนี้จะเผชิญอันตรายอย่างชนิดไม่สามารถแก้ไขได้ ถ้าหากศาลไม่ออกสั่งห้ามชั่วคราวเพื่อบรรเทาความเสียหาย ทั้งนี้ เขาแจกแจงด้วยว่านโยบายใหม่ของรัฐบาลอาจทำให้มีการเปิดเผยข้อมูลละเอียดอ่อนและข้อมูลลับ รวมทั้งมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนที่ระบบการชำระเงินและระบบข้อมูลของกระทรวงการคลังจะถูกเจาะ . ขณะที่สื่อท้องถิ่นรายงานว่า รายงานการประเมินภายในของกระทรวงคลังฉบับหนึ่ง ก็ระบุว่า การที่ทีมงานโดชเข้าถึงระบบชำระเงินของรัฐบาลสหรัฐฯเช่นนี้ ถือเป็นภัยคุกคามจากคนวงในครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่สำนักงานบีเอฟเอสเคยเผชิญมา เนื่องจากทำให้เกิดความเสี่ยงใหญ่หลวงด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่รวมถึงความเสี่ยงที่ข้อมูลของประชาชนของอเมริกาและรัฐต่างๆ จะถูกนำไปใช้และประมวลผลโดยไม่มีการตรวจสอบ และด้วยวิธีการที่ไม่ได้รับอนุญาตภายใต้กฎหมายของรัฐบาลกลาง . แมทธิว แพลตกิน อัยการสูงสุดของรัฐนิวเจอร์ซีย์ ย้ำว่า ทรัมป์อนุญาตให้มัสก์แทรกซึมเข้าระบบและหน่วยงานสำคัญของรัฐบาลกลาง ซึ่งเป็นผู้จัดเก็บหมายเลขประกันสังคม ข้อมูลการธนาคาร และข้อมูลละเอียดอ่อนของประชาชนนับล้านๆ คน . นอกเหนือจากกรณีของกระทรวงการคลังนี้แล้ว ยังมีแนวโน้มว่า คณะบริหารทรัมป์จะถูกฟ้องร้องอีกหลายคดี จากความพยายามปรับโครงสร้างการใช้จ่ายและบุคลากรของรัฐบาลกลาง . ก่อนหน้านี้ผู้พิพากษาชั้นต้นสหรัฐฯอีกผู้หนึ่ง ได้ตัดสินให้ยับยั้งความพยายามของทรัมป์ ที่ออกคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อยกเลิกสิทธิการได้รับสัญชาติโดยอัตโนมัติของผู้ที่เกิดในในสหรัฐฯ โดยคำตัเสินระบุว่า การกระทำของทรัมป์ขัดแย้งกับรัฐธรรมรูญ นอกจากนั้นยังผู้พิพากษาษศาลชั้นต้นสหรัฐฯอีกคน สั่งระงับความพยายามของ มัสก์ ในการดำเนินการเพื่อจูงใจให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลหลายล้านคนยื่นใบลาออกเมื่อวันพฤหัสฯ (6) ที่ผ่านมา . ความพยายามหลังสุดนี้มีเป้าหมายหลักอยู่ที่องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (ยูเอสเอด) ซึ่งเป็นหน่วยงานสหรัฐฯทำหน้าที่ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในทั่วโลก . เกี่ยวกับเรื่องนี้ สหภาพแรงงานหลายแห่งก็กำลังฟ้องร้องต่อศาลว่าการดำเนินการดังกล่าวของคณะบริหารไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยที่เมื่อวันศุกร์ (7) ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นสหรัฐฯผู้หนึ่งได้ตัดสินออกคำสั่งระงับแผนการที่ระบุให้เจ้าหน้าที่ยูเอสเอด 2,200 คนต้องหยุดงานแบบยังคงได้รับค่าจ้าง . ทางฝั่งพรรคเดโมแครตยืนยันว่า การปิดหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลโดยใช้คำสั่งฝายบริหาร และไม่ผ่านการอนุมัติจากรัฐสภาเช่นนี้ถือว่า ขัดต่อรัฐธรรมนูญ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000013145 .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1273 มุมมอง 0 รีวิว
  • บัณทิตหลวงระดับจวี่เหริน

    วันนี้มาคุยกันเกี่ยวกับเกร็ดจากละครเรื่อง <ยอดขุนนางหญิงเจ้าเสน่ห์> เพื่อนเพจที่ได้ดูละครเรื่องนี้อาจพอจำได้ว่า ในตอนแรกๆ ที่นางเอกถูกตามไปสอบปากคำเมื่อเกิดเหตุมีนางคณิกาเสียชีวิต นางได้บอกกับสาวใช้ว่า “บัณฑิตหลวงระดับจวี่เหรินเมื่อพบเห็นขุนนาง ไม่ต้องคุกเข่า” (举人见官不下跪) (หมายเหตุ Storyฯ แปลเองจ้า) ไม่รู้ว่ามีใครเกิดความ ‘เอ๊ะ’ เหมือน Storyฯ หรือไม่ว่า มีกฎอย่างนี้ด้วยหรือ?

    ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ‘จวี่เหริน / 举人’ และระบบการสอบขุนนาง

    การสอบขุนนางหรือ ‘เคอจวี่’ ในสมัยโบราณหรือที่เรียกอย่างง่ายว่าสอบจอหงวนนั้น คือการสอบส่วนกลางเพื่อคัดเลือกคนที่จะเข้ามารับราชการ ซึ่งหนทางการสอบเคอจวี่นั้นยาวไกลและกฎกติกาเปลี่ยนไปในแต่ละยุคสมัย เรื่อง <ยอดขุนนางหญิงเจ้าเสน่ห์> เป็นเรื่องราวในราชวงศ์สมมุติ แต่ดูจากการแต่งกายและเนื้อหาแล้ว พอเปรียบเทียบได้กับสมัยราชวงศ์ถัง ดังนั้นเรามาคุยกันเกี่ยวกับการสอบเคอจวี่ในสมัยถัง

    การสอบเคอจวี่ในสมัยถังมีความแตกต่างจากสมัยอื่นที่เพื่อนเพจบางท่านอาจเคยผ่านตา ความแตกต่างนี้ก็คือมีการจัดสอบทุกปีและไม่มีการสอบระดับซิ่วไฉ (秀才) ทั้งนี้ ในสมัยอื่นนั้น การสอบซิ่วไฉคือรอบคัดเลือกระดับท้องถิ่นก่อนจะไปสอบต่อในระดับภูมิภาค/มณฑล แต่ในสมัยถังตอนต้นเมื่อกล่าวถึง ‘ซิ่วไฉ’ นั้น ไม่ได้หมายถึงวุฒิหรือรอบการสอบ แต่เป็นการเรียกหนึ่งในแขนงวิชาความรู้ทั่วไปที่ต้องสอบ ต่อมาในสมัยปลายถังวิชานี้ถูกยุบไปรวมกับวิชาอื่นและคำว่า ‘ซิ่วไฉ’ กลายเป็นคำที่ใช้เรียกคนที่มีการศึกษาทั่วไป จวบจนสมัยซ่งคำนี้จึงกลับมาเป็นคำเรียกวุฒิการสอบคัดเลือกอีกครั้ง

    ในสมัยราชวงศ์ถัง การสอบจอหงวนมี 2 ระดับ คือ
    1) การสอบคัดเลือกระดับภูมิภาค/มณฑลหรือที่เรียกว่า ‘เซียงซื่อ’ (乡试) จัดทุกปีในฤดูใบไม้ร่วงช่วงประมาณเดือนสิบ ซึ่งคนทั่วไปสามารถสมัครชื่อเข้าสอบในแต่ละพื้นที่ได้เลย และผู้ที่สอบผ่านรอบนี้จะมีสถานะเป็นบัณฑิตหลวงระดับ ‘จวี่เหริน’ (举人) จากนั้นจะได้รับการเสนอชื่อโดยฝ่ายปกครองพื้นที่ให้ไปสอบต่อในระดับต่อไปที่เมืองหลวง โดยกำหนดโควต้าจำนวนคนที่ได้รับการเสนอชื่อไว้ 1-3 คนต่อพื้นที่ ทั้งนี้ แล้วแต่ขนาดของพื้นที่ แต่สามารถเสนอเพิ่มได้หากมีคนที่มีความรู้ความสามารถโดดเด่นเกินจำนวนโควต้า ซึ่งคนที่ได้รับการเสนอชื่อผ่านกระบวนการนี้จะเรียกรวมว่า ‘เซียงก้ง’ (乡贡)

    อนึ่ง มีกำหนดไว้ว่าฝ่ายปกครองพื้นที่ไม่สามารถเสนอชื่อบุคคลต้องห้ามเข้าเป็นเซียงก้งได้ ซึ่งหมายรวมถึง คนที่มาจากครอบครัวนายช่างและพ่อค้า (Storyฯ เคยกล่าวถึงแล้วในบทความสัปดาห์ที่แล้ว); คนที่มีสถานะเป็นเจี้ยนหมินหรือชนชั้นต่ำ เช่นทาส ลูกหลานนักโทษ ฯลฯ; นักบวช นักพรต; นักโทษ ; คนที่มีชื่อเสียงไม่ดี; ผู้ป่วยเป็นโรคร้ายหรือพิการบางอย่าง เช่นตาบอด หูหนวก; ฯลฯ แต่ข้อห้ามเหล่านี้มีการผ่อนคลายไปตามยุคสมัย

    นอกจากนี้ เนื่องจากในสมัยถังมีการก่อตั้งสถาบันการศึกษาหลวงมากมายหลายระดับตามพื้นที่ต่างๆ นักเรียนที่เข้าเรียนในสถานการศึกษาหลวงจนถึงระดับสูงสุดและสอบผ่านสำเร็จการศึกษาก็จะได้วุฒิเทียบเท่าเป็นจวี่เหรินนี้เช่นกัน และผู้ที่จะได้เข้าสอบในรอบถัดไปก็จะผ่านการเสนอชื่อโดยสถาบันนั้นๆ คนที่ได้รับการเสนอชื่อผ่านกระบวนการนี้เรียกว่า ‘เซิงถู’ (生徒)

    2) ลำดับถัดมาคือการสอบที่เมืองหลวงหรือเรียกว่า ‘เสิ่งซื่อ’ (省试) ซึ่งเรียกย่อมาจากหน่วยงานซ่างซูเสิ่งซึ่งเป็นผู้จัดการสอบนี้ เป็นการสอบทุกปีอีกเช่นกัน จัดขึ้นที่เมืองหลวงฉางอันในช่วงประมาณเดือนสอง ผู้มีสิทธิเข้าสอบคือเซียงก้งและเซิงถูตามที่กล่าวมาข้างต้น ผู้สอบผ่านรอบนี้จะมีสถานะเป็นบัณฑิตหลวงระดับ ‘จิ้นซื่อ’ (进士) และผู้ที่สอบได้ลำดับสูงสุดคือจอหงวน

    แต่... ในละครเราจะเห็นการสอบรอบสุดท้ายเป็นการสอบหน้าพระที่นั่งฮ่องเต้ หรือที่เรียกว่า ‘เตี้ยนซื่อ’ (殿试) ซึ่งบางข้อมูลบอกว่าริเริ่มในสมัยราชวงศ์ถัง เพราะปรากฏมีฮ่องเต้บางองค์ทรงคุมสอบด้วยองค์เอง และบางข้อมูลบอกว่าเริ่มในสมัยซ่งเพราะนั่นคือสมัยที่มีการจัดการสอบรอบดังกล่าวเข้าเป็นหลักสูตรและขั้นตอนการสอบอย่างเป็นทางการ

    Storyฯ เลยสรุปเป็นผังไว้ให้ดูในรูปประกอบว่า ในกรณีที่มีการสอบเตี้ยนซื่อนี้เพิ่มเข้ามา ผู้ที่สอบผ่านระดับเสิ่งซื่อจะมีสถานะเป็นบัณฑิตหลวงระดับ ‘ก้งซื่อ’ (贡士) และผู้ที่สอบได้ที่หนึ่งจะเรียกว่า ‘ฮุ่ยหยวน’ (会元) และผู้ที่สอบผ่านรอบเตี้ยนซื่อจะมีสถานะเป็นบัณฑิตหลวงระดับ ‘จิ้นซื่อ’ (进士) และผู้ที่สอบได้ลำดับสูงสุดคือจอหงวน (หรือในสำเนียงจีนกลางคือ จ้วงหยวน)

    ทั้งนี้ ผู้ที่เป็นจิ้นซื่อทุกคนจะได้รับการขึ้นบัญชีเพื่อรอการเรียกบรรจุเข้ารับราชการในราชสำนัก (คือยังไม่ถือว่าเป็นขุนนางจนกว่าจะได้รับการบรรจุและแต่งตั้ง) ซึ่งในการบรรจุเข้าราชสำนักจะมีการสอบเพิ่มเพื่อคัดสรรไปหน่วยงานที่เหมาะสม โดยเป็นกระบวนการที่อาจใช้เวลาอีกนานเป็นปี

    ดังนั้น บัณฑิตหลวงระดับจวี่เหรินที่กล่าวในวลีที่ว่า “บัณฑิตหลวงระดับจวี่เหรินเมื่อพบเห็นขุนนาง ไม่ต้องคุกเข่า” นี้คือบันฑิตหลวงที่สอบผ่านในระดับภูมิภาค/มณฑลแล้ว

    ในสมัยถังนั้น จวี่เหรินมีอภิสิทธิ์อย่างนี้จริงหรือไม่ Storyฯ ก็หาข้อมูลไม่พบ แต่ในสมัยราชวงศ์หมิงและชิงมีกล่าวถึงว่า ‘จวี่เหริน’ นี้นับได้ว่าเป็นตำแหน่งทางการที่กำหนดขึ้นโดยราชสำนัก ซึ่งถือว่าไม่ด้อยไปกว่าตำแหน่งข้าราชการท้องถิ่น และบัณฑิตหลวงระดับจวี่เหรินสามารถเข้ารับการบรรจุเป็นข้าราชการท้องถิ่นได้เลยหากมีตำแหน่งว่างที่เหมาะสม ดังนั้นหนึ่งในอภิสิทธิ์ที่มีคือ เมื่อได้พบขุนนางระดับท้องถิ่นจึงไม่ต้องคุกเข่า

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    หมายเหตุ มีการลบลิ้งค์ข้อมูลบางลิ้งค์ออกไปเนื่องจากติดปัญหากับเฟสค่ะ

    Credit รูปภาพจาก: https://fashion.ettoday.net/news/2573514
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://baike.baidu.com/item/省试/7492071
    https://baike.baidu.com/item/秀才/14691374
    https://baike.baidu.com/item/乡贡/8989904
    https://core.ac.uk/download/41444977.pdf
    https://ctext.org/wiki.pl?if=gb&chapter=999762&remap=gb
    https://kknews.cc/history/ekkz4ry.html

    #ยอดขุนนางหญิงเจ้าเสน่ห์ #บัณฑิตหลวง #จวี่เหริน #สอบขุนนาง #สอบเคอจวี่ #ราชวงศ์ถัง
    บัณทิตหลวงระดับจวี่เหริน วันนี้มาคุยกันเกี่ยวกับเกร็ดจากละครเรื่อง <ยอดขุนนางหญิงเจ้าเสน่ห์> เพื่อนเพจที่ได้ดูละครเรื่องนี้อาจพอจำได้ว่า ในตอนแรกๆ ที่นางเอกถูกตามไปสอบปากคำเมื่อเกิดเหตุมีนางคณิกาเสียชีวิต นางได้บอกกับสาวใช้ว่า “บัณฑิตหลวงระดับจวี่เหรินเมื่อพบเห็นขุนนาง ไม่ต้องคุกเข่า” (举人见官不下跪) (หมายเหตุ Storyฯ แปลเองจ้า) ไม่รู้ว่ามีใครเกิดความ ‘เอ๊ะ’ เหมือน Storyฯ หรือไม่ว่า มีกฎอย่างนี้ด้วยหรือ? ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ‘จวี่เหริน / 举人’ และระบบการสอบขุนนาง การสอบขุนนางหรือ ‘เคอจวี่’ ในสมัยโบราณหรือที่เรียกอย่างง่ายว่าสอบจอหงวนนั้น คือการสอบส่วนกลางเพื่อคัดเลือกคนที่จะเข้ามารับราชการ ซึ่งหนทางการสอบเคอจวี่นั้นยาวไกลและกฎกติกาเปลี่ยนไปในแต่ละยุคสมัย เรื่อง <ยอดขุนนางหญิงเจ้าเสน่ห์> เป็นเรื่องราวในราชวงศ์สมมุติ แต่ดูจากการแต่งกายและเนื้อหาแล้ว พอเปรียบเทียบได้กับสมัยราชวงศ์ถัง ดังนั้นเรามาคุยกันเกี่ยวกับการสอบเคอจวี่ในสมัยถัง การสอบเคอจวี่ในสมัยถังมีความแตกต่างจากสมัยอื่นที่เพื่อนเพจบางท่านอาจเคยผ่านตา ความแตกต่างนี้ก็คือมีการจัดสอบทุกปีและไม่มีการสอบระดับซิ่วไฉ (秀才) ทั้งนี้ ในสมัยอื่นนั้น การสอบซิ่วไฉคือรอบคัดเลือกระดับท้องถิ่นก่อนจะไปสอบต่อในระดับภูมิภาค/มณฑล แต่ในสมัยถังตอนต้นเมื่อกล่าวถึง ‘ซิ่วไฉ’ นั้น ไม่ได้หมายถึงวุฒิหรือรอบการสอบ แต่เป็นการเรียกหนึ่งในแขนงวิชาความรู้ทั่วไปที่ต้องสอบ ต่อมาในสมัยปลายถังวิชานี้ถูกยุบไปรวมกับวิชาอื่นและคำว่า ‘ซิ่วไฉ’ กลายเป็นคำที่ใช้เรียกคนที่มีการศึกษาทั่วไป จวบจนสมัยซ่งคำนี้จึงกลับมาเป็นคำเรียกวุฒิการสอบคัดเลือกอีกครั้ง ในสมัยราชวงศ์ถัง การสอบจอหงวนมี 2 ระดับ คือ 1) การสอบคัดเลือกระดับภูมิภาค/มณฑลหรือที่เรียกว่า ‘เซียงซื่อ’ (乡试) จัดทุกปีในฤดูใบไม้ร่วงช่วงประมาณเดือนสิบ ซึ่งคนทั่วไปสามารถสมัครชื่อเข้าสอบในแต่ละพื้นที่ได้เลย และผู้ที่สอบผ่านรอบนี้จะมีสถานะเป็นบัณฑิตหลวงระดับ ‘จวี่เหริน’ (举人) จากนั้นจะได้รับการเสนอชื่อโดยฝ่ายปกครองพื้นที่ให้ไปสอบต่อในระดับต่อไปที่เมืองหลวง โดยกำหนดโควต้าจำนวนคนที่ได้รับการเสนอชื่อไว้ 1-3 คนต่อพื้นที่ ทั้งนี้ แล้วแต่ขนาดของพื้นที่ แต่สามารถเสนอเพิ่มได้หากมีคนที่มีความรู้ความสามารถโดดเด่นเกินจำนวนโควต้า ซึ่งคนที่ได้รับการเสนอชื่อผ่านกระบวนการนี้จะเรียกรวมว่า ‘เซียงก้ง’ (乡贡) อนึ่ง มีกำหนดไว้ว่าฝ่ายปกครองพื้นที่ไม่สามารถเสนอชื่อบุคคลต้องห้ามเข้าเป็นเซียงก้งได้ ซึ่งหมายรวมถึง คนที่มาจากครอบครัวนายช่างและพ่อค้า (Storyฯ เคยกล่าวถึงแล้วในบทความสัปดาห์ที่แล้ว); คนที่มีสถานะเป็นเจี้ยนหมินหรือชนชั้นต่ำ เช่นทาส ลูกหลานนักโทษ ฯลฯ; นักบวช นักพรต; นักโทษ ; คนที่มีชื่อเสียงไม่ดี; ผู้ป่วยเป็นโรคร้ายหรือพิการบางอย่าง เช่นตาบอด หูหนวก; ฯลฯ แต่ข้อห้ามเหล่านี้มีการผ่อนคลายไปตามยุคสมัย นอกจากนี้ เนื่องจากในสมัยถังมีการก่อตั้งสถาบันการศึกษาหลวงมากมายหลายระดับตามพื้นที่ต่างๆ นักเรียนที่เข้าเรียนในสถานการศึกษาหลวงจนถึงระดับสูงสุดและสอบผ่านสำเร็จการศึกษาก็จะได้วุฒิเทียบเท่าเป็นจวี่เหรินนี้เช่นกัน และผู้ที่จะได้เข้าสอบในรอบถัดไปก็จะผ่านการเสนอชื่อโดยสถาบันนั้นๆ คนที่ได้รับการเสนอชื่อผ่านกระบวนการนี้เรียกว่า ‘เซิงถู’ (生徒) 2) ลำดับถัดมาคือการสอบที่เมืองหลวงหรือเรียกว่า ‘เสิ่งซื่อ’ (省试) ซึ่งเรียกย่อมาจากหน่วยงานซ่างซูเสิ่งซึ่งเป็นผู้จัดการสอบนี้ เป็นการสอบทุกปีอีกเช่นกัน จัดขึ้นที่เมืองหลวงฉางอันในช่วงประมาณเดือนสอง ผู้มีสิทธิเข้าสอบคือเซียงก้งและเซิงถูตามที่กล่าวมาข้างต้น ผู้สอบผ่านรอบนี้จะมีสถานะเป็นบัณฑิตหลวงระดับ ‘จิ้นซื่อ’ (进士) และผู้ที่สอบได้ลำดับสูงสุดคือจอหงวน แต่... ในละครเราจะเห็นการสอบรอบสุดท้ายเป็นการสอบหน้าพระที่นั่งฮ่องเต้ หรือที่เรียกว่า ‘เตี้ยนซื่อ’ (殿试) ซึ่งบางข้อมูลบอกว่าริเริ่มในสมัยราชวงศ์ถัง เพราะปรากฏมีฮ่องเต้บางองค์ทรงคุมสอบด้วยองค์เอง และบางข้อมูลบอกว่าเริ่มในสมัยซ่งเพราะนั่นคือสมัยที่มีการจัดการสอบรอบดังกล่าวเข้าเป็นหลักสูตรและขั้นตอนการสอบอย่างเป็นทางการ Storyฯ เลยสรุปเป็นผังไว้ให้ดูในรูปประกอบว่า ในกรณีที่มีการสอบเตี้ยนซื่อนี้เพิ่มเข้ามา ผู้ที่สอบผ่านระดับเสิ่งซื่อจะมีสถานะเป็นบัณฑิตหลวงระดับ ‘ก้งซื่อ’ (贡士) และผู้ที่สอบได้ที่หนึ่งจะเรียกว่า ‘ฮุ่ยหยวน’ (会元) และผู้ที่สอบผ่านรอบเตี้ยนซื่อจะมีสถานะเป็นบัณฑิตหลวงระดับ ‘จิ้นซื่อ’ (进士) และผู้ที่สอบได้ลำดับสูงสุดคือจอหงวน (หรือในสำเนียงจีนกลางคือ จ้วงหยวน) ทั้งนี้ ผู้ที่เป็นจิ้นซื่อทุกคนจะได้รับการขึ้นบัญชีเพื่อรอการเรียกบรรจุเข้ารับราชการในราชสำนัก (คือยังไม่ถือว่าเป็นขุนนางจนกว่าจะได้รับการบรรจุและแต่งตั้ง) ซึ่งในการบรรจุเข้าราชสำนักจะมีการสอบเพิ่มเพื่อคัดสรรไปหน่วยงานที่เหมาะสม โดยเป็นกระบวนการที่อาจใช้เวลาอีกนานเป็นปี ดังนั้น บัณฑิตหลวงระดับจวี่เหรินที่กล่าวในวลีที่ว่า “บัณฑิตหลวงระดับจวี่เหรินเมื่อพบเห็นขุนนาง ไม่ต้องคุกเข่า” นี้คือบันฑิตหลวงที่สอบผ่านในระดับภูมิภาค/มณฑลแล้ว ในสมัยถังนั้น จวี่เหรินมีอภิสิทธิ์อย่างนี้จริงหรือไม่ Storyฯ ก็หาข้อมูลไม่พบ แต่ในสมัยราชวงศ์หมิงและชิงมีกล่าวถึงว่า ‘จวี่เหริน’ นี้นับได้ว่าเป็นตำแหน่งทางการที่กำหนดขึ้นโดยราชสำนัก ซึ่งถือว่าไม่ด้อยไปกว่าตำแหน่งข้าราชการท้องถิ่น และบัณฑิตหลวงระดับจวี่เหรินสามารถเข้ารับการบรรจุเป็นข้าราชการท้องถิ่นได้เลยหากมีตำแหน่งว่างที่เหมาะสม ดังนั้นหนึ่งในอภิสิทธิ์ที่มีคือ เมื่อได้พบขุนนางระดับท้องถิ่นจึงไม่ต้องคุกเข่า (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) หมายเหตุ มีการลบลิ้งค์ข้อมูลบางลิ้งค์ออกไปเนื่องจากติดปัญหากับเฟสค่ะ Credit รูปภาพจาก: https://fashion.ettoday.net/news/2573514 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://baike.baidu.com/item/省试/7492071 https://baike.baidu.com/item/秀才/14691374 https://baike.baidu.com/item/乡贡/8989904 https://core.ac.uk/download/41444977.pdf https://ctext.org/wiki.pl?if=gb&chapter=999762&remap=gb https://kknews.cc/history/ekkz4ry.html #ยอดขุนนางหญิงเจ้าเสน่ห์ #บัณฑิตหลวง #จวี่เหริน #สอบขุนนาง #สอบเคอจวี่ #ราชวงศ์ถัง
    FASHION.ETTODAY.NET
    《灼灼風流》10金句:不是所有的陪伴都必須以夫妻的名義 | ET Fashion | ETtoday新聞雲
    陸劇《灼灼風流》改編自隨宇而安的小說《曾風流》,由景甜、馮紹峰出演,講述了擺脫傳統女子命運、想科舉求仕的女官慕灼華,與驍勇善戰的議政王劉衍相知相守、並肩而行,開創女子可入仕的新局面。當中以不少經典台詞道出了男女之間互相尊重,簡單又美好的愛情理念,不妨一起來看看!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 328 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อิ๊งค์" ตอบเสียงหนักแน่น ไม่ปรับ ครม. ถ้าจะปรับต้องมีการพูดคุยกันในเนื้องาน เพราะตนเพิ่งเป็นนายกฯ รัฐมนตรีที่แต่งตั้งก็เพิ่งทำงาน จะปรับหรือไม่ตนจะบอกเอง คนอื่นไม่ใช่คำตอบ ยันข่าวดึง "ธรรมนัส" กลับมานั่ง รมต.ไม่ตรงกับที่คิด ปัดตอบปม "ทักษิณ" บอก รมต.บางคนมัวแต่รำ

    เมื่อเวลา 15.50 น.วันที่ 8 ก.พ.ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ดอนเมือง กรุงเทพฯ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยยืนยันเสียงหนักแน่นว่า “ไม่ปรับค่ะ“ ข่าวนี้ออกมาทำให้รัฐมนตรีคิดว่าจะโดนปรับหรือเปล่า และสร้างความสั่นคลอนโดยไม่จำเป็น ยืนยันไม่ได้จะปรับ ถ้าจะปรับจริงจะต้องมีการพูดคุยกันในเนื้องาน ตอนนี้ยังอยากให้การทำงานต่อเนื่อง และตนก็เพิ่งมาเป็นนายกฯ ได้ไม่นาน รัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นมาก็ยังเป็นได้ไม่นานเหมือนกัน ดังนั้นต้องอาศัยความต่อเนื่องของการทำงาน และจำเป็นมากที่ทุกกระทรวงจะต้องรู้สึกว่าเราปลอดภัย แข็งแรง เวลามีอะไรแบบนี้มาไม่ดี และการที่จะปรับ ครม.หรือไม่ ตนจะเป็นคนบอกเอง คนอื่นตอบนั้นไม่ใช่คำตอบ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000012857

    #MGROnline #ปรับครม. #แพทองธารชินวัตร #นายกรัฐมนตรี
    "อิ๊งค์" ตอบเสียงหนักแน่น ไม่ปรับ ครม. ถ้าจะปรับต้องมีการพูดคุยกันในเนื้องาน เพราะตนเพิ่งเป็นนายกฯ รัฐมนตรีที่แต่งตั้งก็เพิ่งทำงาน จะปรับหรือไม่ตนจะบอกเอง คนอื่นไม่ใช่คำตอบ ยันข่าวดึง "ธรรมนัส" กลับมานั่ง รมต.ไม่ตรงกับที่คิด ปัดตอบปม "ทักษิณ" บอก รมต.บางคนมัวแต่รำ • เมื่อเวลา 15.50 น.วันที่ 8 ก.พ.ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 ดอนเมือง กรุงเทพฯ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยยืนยันเสียงหนักแน่นว่า “ไม่ปรับค่ะ“ ข่าวนี้ออกมาทำให้รัฐมนตรีคิดว่าจะโดนปรับหรือเปล่า และสร้างความสั่นคลอนโดยไม่จำเป็น ยืนยันไม่ได้จะปรับ ถ้าจะปรับจริงจะต้องมีการพูดคุยกันในเนื้องาน ตอนนี้ยังอยากให้การทำงานต่อเนื่อง และตนก็เพิ่งมาเป็นนายกฯ ได้ไม่นาน รัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นมาก็ยังเป็นได้ไม่นานเหมือนกัน ดังนั้นต้องอาศัยความต่อเนื่องของการทำงาน และจำเป็นมากที่ทุกกระทรวงจะต้องรู้สึกว่าเราปลอดภัย แข็งแรง เวลามีอะไรแบบนี้มาไม่ดี และการที่จะปรับ ครม.หรือไม่ ตนจะเป็นคนบอกเอง คนอื่นตอบนั้นไม่ใช่คำตอบ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000012857 • #MGROnline #ปรับครม. #แพทองธารชินวัตร #นายกรัฐมนตรี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 230 มุมมอง 0 รีวิว
  • ว่าด้วยชื่อของป๋ออี้เข่าจากเรื่องเฟิงเสิน

    Storyฯ ไม่มีโอกาสได้ไปชมภาพยนต์ที่อัดแน่นด้วยนักแสดงคุณภาพอย่างเรื่อง <Creation of the Gods 1: Kingdom of Storms> (ซึ่งก็คือเวอร์ชั่นใหม่ของ เฟิงเสิน / สงครามกำเนิดเทพเจ้า ที่เพิ่งออกฉายในปีนี้) แต่ขอคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้สักหน่อยก็ยังดี

    ก่อนอื่นขอเท้าความให้ฟังว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกสร้างขึ้นอิงนิยายเรื่อง ‘เฟิงเสินเหยี่ยนอี้’ (封神演义หรือ ‘ฮ่องสิน’ ตามสำเนียงจีนแต้จิ๋ว แปลตรงตัวว่า ตำนานการแต่งตั้งเทพเจ้า) ซึ่งเป็นบทประพันธ์จีนเรื่องยาวแนวแฟนตาซีที่ถูกแต่งขึ้นในสมัยหมิง เป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์เกี่ยวกับโจ้วหวาง กษัตริย์ผู้โหดเหี้ยมแห่งราชวงศ์ซาง ซึ่งต่อมาถูกโค่นล้มโดยเจ้าผู้ครองแคว้นโจวตะวันออกภายใต้ความช่วยเหลือของเจียงจื่อหยา นักการเมืองและกุนซือทหารผู้ชำนาญกลยุทธ์ โดยในบทประพันธ์นี้มีเทพเซียนและปีศาจมาร่วมรบในอภิมหาสงครามนี้ด้วย ต่อมาเกิดการสถาปนาราชวงศ์โจวขึ้น (256 ปีก่อนคริสตศักราช) และบุคคลต่างๆ ที่มีบทบาทสำคัญในสงครามนี้ได้ถูกเจียงจื่อหยานำชื่อเขียนขึ้นกระดานแต่งตั้งให้เป็นเทพเจ้า จึงเป็นที่มาของชื่อวรรณกรรมชิ้นนี้

    หนึ่งในกลุ่มตัวละครที่เดินเรื่องสำคัญคือครอบครัวตระกูลจี มีเจ้าผู้ครองแคว้นโจวคือจีชางที่ถูกโจ้วหวางจับตัวไปจองจำ (ต่อมาคือโจวเหวินหวางแห่งราชวงศ์โจว) บุตรชายคนโตคือป๋ออี้เข่า ที่ถูกโจ้วหวางฆ่าเอาเนื้อมาทำอาหารให้จีชางกิน และบุตรชายคนเล็กจีฟาที่แค้นจนลุกขึ้นสู้กับโจ้วหวางและสามารถโค่นราชวงศ์ซางได้สำเร็จ ขึ้นครองราชย์เป็นโจวอู่หวาง (หมายเหตุ เรื่องป๋ออี้เข่า Storyฯ ได้เคยเอ่ยถึงในเรื่องหนึ่งในสิบสองภาพวาดกงซวิ่นถูขององค์เฉียนหลง https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/746257530835875)

    กล่าวถึงครอบครัวตระกูลจีนี้ ก็เกิดความ ‘เอ๊ะ’ ขึ้น ทำไมบุตรชายคนโตของจีชางมีชื่อว่า ‘ป๋ออี้เข่า’? ทำไมไม่ใช่ แซ่จี+ชื่อ?

    จริงๆ แล้วเขาก็แซ่จี และชื่อเข่า นั่นแล่ะค่ะ แต่ที่ถูกเรียกว่า ‘ป๋ออี้เข่า’ (伯邑考) นั้น เป็นไปตามลำดับความเป็นของบุตรและตำแหน่งของเขา

    ในบันทึกสมัยชุนชิวมีกล่าวถึงการเรียกบุตรชายที่มีมาแต่โบราณตามลำดับว่า ‘ป๋อจ้งซูจี้’ (伯仲叔季) โดยคำว่า ‘ป๋อ’ แปลว่า บุรุษที่ไม่มีพี่ชาย จึงหมายถึงบุตรชายคนโต ส่วนบุตรคนรองจะเรียกว่า ‘จ้ง’ เป็นต้น อนึ่ง ในสมัยโบราณนั้น บุตรชายคนโตอาจเรียกว่า ‘ป๋อ’ (伯)หรือ ‘เมิ่ง’ (孟) ก็ได้ แต่ ‘เมิ่ง’ นั้นใช้กับบุตรชายที่ไม่ได้เกิดจากภรรยาเอก ดังนั้น ‘ป๋อ’ จึงบ่งบอกว่า จีเข่านี้เป็นบุตรชายคนโตที่เกิดจากภรรยาเอก

    แต่ ‘ป๋ออี้เข่า’ มีคำว่า ‘อี้’ เพิ่มมาด้วย ซึ่ง ‘อี้’ นี้ แปลว่าแคว้น/ประเทศ หรืออาจหมายถึงตำแหน่งขุนนางระดับสูงที่ดูแลเรื่องต่างๆ ของแคว้น แต่ก็มีบางข้อมูลที่บอกว่าหมายถึงตำแหน่งทายาทของผู้ปกครองแคว้น

    ดังนั้น การเรียก ป๋ออี้เข่า จึงเป็นการเรียกอย่างยกย่องให้เกียรติตามศักดิ์และตำแหน่งของจีเข่าค่ะ

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    (ป.ล.2 ถ้าไม่เห็น Storyฯ ตอบเม้นท์ โปรดทราบว่าเม้นท์ของ Storyฯ ถูกปิดกั้นนะคะ)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://www.fapot.or.th/main/cinema/view/2328 https://www.sohu.com/a/713169120_121284943#google_vignette
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://baike.baidu.com/item/封神演义/69344
    https://baike.baidu.com/item/伯仲叔季/1416767
    https://www.sohu.com/a/365640681_100296378
    http://www.guoxuedashi.net/guanzhi/10648wj/

    #เฟิงเสิน #ฮ่องสิน #สงครามเทพยดา #ป๋ออี้เข่า #จีชาง #จีฟา #ราชวงศ์โจว #โจวเหวินหวาง #โจวอู่หวาง
    ว่าด้วยชื่อของป๋ออี้เข่าจากเรื่องเฟิงเสิน Storyฯ ไม่มีโอกาสได้ไปชมภาพยนต์ที่อัดแน่นด้วยนักแสดงคุณภาพอย่างเรื่อง <Creation of the Gods 1: Kingdom of Storms> (ซึ่งก็คือเวอร์ชั่นใหม่ของ เฟิงเสิน / สงครามกำเนิดเทพเจ้า ที่เพิ่งออกฉายในปีนี้) แต่ขอคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้สักหน่อยก็ยังดี ก่อนอื่นขอเท้าความให้ฟังว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกสร้างขึ้นอิงนิยายเรื่อง ‘เฟิงเสินเหยี่ยนอี้’ (封神演义หรือ ‘ฮ่องสิน’ ตามสำเนียงจีนแต้จิ๋ว แปลตรงตัวว่า ตำนานการแต่งตั้งเทพเจ้า) ซึ่งเป็นบทประพันธ์จีนเรื่องยาวแนวแฟนตาซีที่ถูกแต่งขึ้นในสมัยหมิง เป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์เกี่ยวกับโจ้วหวาง กษัตริย์ผู้โหดเหี้ยมแห่งราชวงศ์ซาง ซึ่งต่อมาถูกโค่นล้มโดยเจ้าผู้ครองแคว้นโจวตะวันออกภายใต้ความช่วยเหลือของเจียงจื่อหยา นักการเมืองและกุนซือทหารผู้ชำนาญกลยุทธ์ โดยในบทประพันธ์นี้มีเทพเซียนและปีศาจมาร่วมรบในอภิมหาสงครามนี้ด้วย ต่อมาเกิดการสถาปนาราชวงศ์โจวขึ้น (256 ปีก่อนคริสตศักราช) และบุคคลต่างๆ ที่มีบทบาทสำคัญในสงครามนี้ได้ถูกเจียงจื่อหยานำชื่อเขียนขึ้นกระดานแต่งตั้งให้เป็นเทพเจ้า จึงเป็นที่มาของชื่อวรรณกรรมชิ้นนี้ หนึ่งในกลุ่มตัวละครที่เดินเรื่องสำคัญคือครอบครัวตระกูลจี มีเจ้าผู้ครองแคว้นโจวคือจีชางที่ถูกโจ้วหวางจับตัวไปจองจำ (ต่อมาคือโจวเหวินหวางแห่งราชวงศ์โจว) บุตรชายคนโตคือป๋ออี้เข่า ที่ถูกโจ้วหวางฆ่าเอาเนื้อมาทำอาหารให้จีชางกิน และบุตรชายคนเล็กจีฟาที่แค้นจนลุกขึ้นสู้กับโจ้วหวางและสามารถโค่นราชวงศ์ซางได้สำเร็จ ขึ้นครองราชย์เป็นโจวอู่หวาง (หมายเหตุ เรื่องป๋ออี้เข่า Storyฯ ได้เคยเอ่ยถึงในเรื่องหนึ่งในสิบสองภาพวาดกงซวิ่นถูขององค์เฉียนหลง https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/746257530835875) กล่าวถึงครอบครัวตระกูลจีนี้ ก็เกิดความ ‘เอ๊ะ’ ขึ้น ทำไมบุตรชายคนโตของจีชางมีชื่อว่า ‘ป๋ออี้เข่า’? ทำไมไม่ใช่ แซ่จี+ชื่อ? จริงๆ แล้วเขาก็แซ่จี และชื่อเข่า นั่นแล่ะค่ะ แต่ที่ถูกเรียกว่า ‘ป๋ออี้เข่า’ (伯邑考) นั้น เป็นไปตามลำดับความเป็นของบุตรและตำแหน่งของเขา ในบันทึกสมัยชุนชิวมีกล่าวถึงการเรียกบุตรชายที่มีมาแต่โบราณตามลำดับว่า ‘ป๋อจ้งซูจี้’ (伯仲叔季) โดยคำว่า ‘ป๋อ’ แปลว่า บุรุษที่ไม่มีพี่ชาย จึงหมายถึงบุตรชายคนโต ส่วนบุตรคนรองจะเรียกว่า ‘จ้ง’ เป็นต้น อนึ่ง ในสมัยโบราณนั้น บุตรชายคนโตอาจเรียกว่า ‘ป๋อ’ (伯)หรือ ‘เมิ่ง’ (孟) ก็ได้ แต่ ‘เมิ่ง’ นั้นใช้กับบุตรชายที่ไม่ได้เกิดจากภรรยาเอก ดังนั้น ‘ป๋อ’ จึงบ่งบอกว่า จีเข่านี้เป็นบุตรชายคนโตที่เกิดจากภรรยาเอก แต่ ‘ป๋ออี้เข่า’ มีคำว่า ‘อี้’ เพิ่มมาด้วย ซึ่ง ‘อี้’ นี้ แปลว่าแคว้น/ประเทศ หรืออาจหมายถึงตำแหน่งขุนนางระดับสูงที่ดูแลเรื่องต่างๆ ของแคว้น แต่ก็มีบางข้อมูลที่บอกว่าหมายถึงตำแหน่งทายาทของผู้ปกครองแคว้น ดังนั้น การเรียก ป๋ออี้เข่า จึงเป็นการเรียกอย่างยกย่องให้เกียรติตามศักดิ์และตำแหน่งของจีเข่าค่ะ (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) (ป.ล.2 ถ้าไม่เห็น Storyฯ ตอบเม้นท์ โปรดทราบว่าเม้นท์ของ Storyฯ ถูกปิดกั้นนะคะ) Credit รูปภาพจาก: https://www.fapot.or.th/main/cinema/view/2328 https://www.sohu.com/a/713169120_121284943#google_vignette Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://baike.baidu.com/item/封神演义/69344 https://baike.baidu.com/item/伯仲叔季/1416767 https://www.sohu.com/a/365640681_100296378 http://www.guoxuedashi.net/guanzhi/10648wj/ #เฟิงเสิน #ฮ่องสิน #สงครามเทพยดา #ป๋ออี้เข่า #จีชาง #จีฟา #ราชวงศ์โจว #โจวเหวินหวาง #โจวอู่หวาง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 412 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลังจากถูก ส.ว.ฝ่ายเดโมแครตซักฟอกแบบลอกคราบในการไต่สวน Senate Confirmation Hearing ในที่สุด Pam Bondi ก็ได้รับการโหวตอนุมัติจากสภาสูงสหรัฐด้วยคะแนน ชนะ 54:46 ให้เป็นอัยการใหญ่ของรัฐบาลกลาง Attorney -General ซึ่งมีตำแหน่งเทียบเท่าเป็นรัฐมนตรีในกระทรวงยุติธรรมยุคทรัมป์ 2.0 ประธานาธิบดีคนที่ 47 ในตำแหน่งครั้งที่สองของนาย โดนัลด์ เจ.ทรัมป์ คุณแพม ยอนดิ เป็นนักกฏหมายรัฐฟลอริด้า รัฐสีแดงของพรรคริพับลิกันมาตลอด เธอจงรักภักดีนายทรัมป์เสมอมา เธอเคยมีส่วนช่วยเป็นที่ปรึกษาด้านกฏหมายให้นายทรัมป์สมัยถูก Impeachment ครั้งที่สอง เธอใช้ความฉลาดในด้านกฏหมายฟาดฟันกับ ส.ส.และ ส.ว. พรรเดโมแครตในรัฐสภา แก้ต่างคดีให้นายทรัมป์จนรอดคดีในการถูกปลดออกจากตำแหน่งได้สำเร็จ วันนี้นายทรัมป์จึงมอบตำแหน่งรัฐมนตรียุติธรรมให้กับเธอเป็นการตอบแทน ในพิธีสาบานตนที่ทำเนียบขาว ผู้พิพากษาศาลฏีกานาย Clarence Thomas ที่พรรครีพับลิกันสมัยจอร์จ บุช(ผู้พ่อ)เป็นประธานาธิบดีแต่งตั้งให้เมื่อปี ค.ศ. 1991 เมื่อ 23 ปีที่แล้วเป็นผู้ทำพิธีสาบานตนให้กับเธอ
    หลังจากถูก ส.ว.ฝ่ายเดโมแครตซักฟอกแบบลอกคราบในการไต่สวน Senate Confirmation Hearing ในที่สุด Pam Bondi ก็ได้รับการโหวตอนุมัติจากสภาสูงสหรัฐด้วยคะแนน ชนะ 54:46 ให้เป็นอัยการใหญ่ของรัฐบาลกลาง Attorney -General ซึ่งมีตำแหน่งเทียบเท่าเป็นรัฐมนตรีในกระทรวงยุติธรรมยุคทรัมป์ 2.0 ประธานาธิบดีคนที่ 47 ในตำแหน่งครั้งที่สองของนาย โดนัลด์ เจ.ทรัมป์ คุณแพม ยอนดิ เป็นนักกฏหมายรัฐฟลอริด้า รัฐสีแดงของพรรคริพับลิกันมาตลอด เธอจงรักภักดีนายทรัมป์เสมอมา เธอเคยมีส่วนช่วยเป็นที่ปรึกษาด้านกฏหมายให้นายทรัมป์สมัยถูก Impeachment ครั้งที่สอง เธอใช้ความฉลาดในด้านกฏหมายฟาดฟันกับ ส.ส.และ ส.ว. พรรเดโมแครตในรัฐสภา แก้ต่างคดีให้นายทรัมป์จนรอดคดีในการถูกปลดออกจากตำแหน่งได้สำเร็จ วันนี้นายทรัมป์จึงมอบตำแหน่งรัฐมนตรียุติธรรมให้กับเธอเป็นการตอบแทน ในพิธีสาบานตนที่ทำเนียบขาว ผู้พิพากษาศาลฏีกานาย Clarence Thomas ที่พรรครีพับลิกันสมัยจอร์จ บุช(ผู้พ่อ)เป็นประธานาธิบดีแต่งตั้งให้เมื่อปี ค.ศ. 1991 เมื่อ 23 ปีที่แล้วเป็นผู้ทำพิธีสาบานตนให้กับเธอ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 153 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts