• ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 7
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 7
    หลังจากเจอสงครามฝิ่น ราชวงศ์ชิงก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ พร้อมกับการเจริญเติบโตของต่างชาติในจีน โดยเฉพาะที่เมืองเซี่ยงไฮ้ ซึ่งพวกฝรั่งมาอยู่กันเต็ม พร้อมกับมีสิทธิพิเศษๆ รวมทั้งแบ่งเขตปกครองกันเอง ตามสัญญาที่บีบได้มาจากจีน ขณะเดียวกัน ก็เริ่มมีการปลูกฝิ่นในจีน ไม่ต้องเสียเวลาขนมาจากที่อื่น การปลูก ผลิต และขายฝิ่น ขยายตัวเร็วยิ่งกว่าปลูกข้าว ในที่สุด จีนก็กลายเป็นแหล่งผลิตฝิ่นใหญ่ที่สุดในโลก และกองทัพจีนก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ
    มันเป็นยุทธศาสตร์ชั้นยอด สุดชั่วของอังกฤษทีเดียว ใช้แผ่นดินจีนปลูกฝิ่น ขายชาวจีน มอมเมาชาวจีน เพื่อยึดแผ่นดินจีน ผมเข้าใจหัวอกอาเฮีย แห่งแดนมังกรแล้ว
    เมื่อเกาหลีตีกันเอง ในปี ค.ศ.1894 ทั้งจีนและญี่ปุ่นต่างก็ส่งกองทัพไปช่วย เลยประลองกันเอง และกองทัพจีนภายใต้ฤทธิ์ฝิ่น แพ้หมดรูปกลับบ้าน รุ่งขึ้นในปี ค.ศ.1895 เริ่มมีชาวจีนที่ไม่พอใจ รู้สึกเสียหน้า และเห็นว่า ความพ่ายแพ้ของกองทัพมาจากการที่ต่างชาติแทรกแซงจีน จีงมีการรวมตัวกันเพื่อพยายามขับไล่พวกฝรั่งที่อยู่ในจีน และไล่ราชวงศ์ชิงที่อ่อนแอ ยอมให้ต่างชาติเข้ามาใหญ่อยู่ในจีน
    ปี ค.ศ.1898 ชาวจีนที่ต้องการไล่ฝรั่งออกไปจากประเทศ รวมตัวกันที่เมืองชานตุง ทางเหนือของจีน ซึ่งเป็นถิ่นที่มีชาวเยอรมันอยู่แยะ เนื่องจากเป็นเส้นทางรถไฟ และมีเหมืองถ่านหินอยู่ที่นั่น เยอรมันทำเหมือง สร้างทางรถไฟ กำไรมหาศาล แต่ใช้งานคนจีนอย่างกับทาส ค่าแรงต่ำ ความเป็นอยู่ของคนงานชาวจีนน่าอนาถ ชาวจีนจึงเริ่มออกเดินตามถนน พร้อมตะโกนไล่ …ผีปีศาจต่างชาติออกไป ออกไป…ชาวเยอรมัน ร่วมทั้งพวกสอนศาสนา มิชชั่นนารี และพวกเข้ารีต เริ่มถูกทำร้าย ถูกฆ่า
    ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวนี้คือ กลุ่มสมาคมลับ Yihequan หรือ I-ho-chuan หรือ ที่เรียกกันว่า พวกนักมวย เพราะเป็นพวกเล่นหมัดมวยทั้งนั้น ถึงปี ค.ศ.1900 กลุ่มนักมวยกระจายไปทั่วมณฑลทางเหนือ รวมทั้งที่เมืองหลวงปักกิ่ง พวกนักมวยต้องการขับไล่รัฐบาลของพวกแมนจู เพราะทำตัวเหมือนเป็นหุ่นชักให้กับพวกต่างชาติ พระนางซูซีไทเฮา อำนาจตัวจริงที่อยู่ข้างหลังรัฐบาลแมนจู ขอเจรจากับพวกนักมวย ว่าให้ไปไล่พวกฝรั่งอย่างเดียวเถิด อย่าไล่รัฐบาลแมนจูเลย และพระนางจะสนับสนุนพวกนักมวยทุกอย่าง พวกนักมวยว่าง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ เชื่อคำเจรจาของพระนางซูซี
    ในช่วงปี ค.ศ.1900 นั้น ฝรั่งปักหลักสร้างบ้านอยู่เต็มปักกิ่ง แต่เหยียดหยามดูถูกคนจีน พวกนักมวย จึงได้พรรคพวกเพิ่มขึ้นอีกมากที่ปักกิ่ง พวกฝรั่งเริ่มรู้สึกว่าตัวเองชักไม่ปลอดภัย ทูตเยอรมันที่จีน จึงจะไปยื่นคำประท้วงต่อรัฐบาลแมนจู ระหว่างเดินทางไปปักกิ่ง เพื่อยื่นหนังสือประท้วง ตัวทูตก็ถูกพวกนักมวยลากลงมาจากรถ และถูกทำร้ายจนตาย พวกฝรั่งรู้ข่าวก็ตาเหลือก รีบพากันอพยพ หลบไปอยู่ในสถานทูตอังกฤษ ที่มีทหารป้องกันประมาณ 400 คน
    ฝ่ายฝรั่งบอกว่า พวกนักมวยจำนวนเป็นหมื่น มาล้อมสถานทูตอังกฤษ การล้อมและต่อสู้ดำเนินอยู่ 55 วัน กว่ากองกำลังของพวกต่างชาติ จากเมืองเทียนสินจะมาถึง พร้อมด้วยปืนเล็กปืนใหญ่ และต่อสู้จนพวกนักมวย ที่มีแต่มีดและมือตีนพ่ายแพ้ไป
    ฝรั่งรายงานว่า มีพวกฝรั่งตายไป 66 คน บาดเจ็บ 150 คน แต่ไม่รู้ว่าพวกนักมวยเจ็บตายไปเท่าไหร่ พวกฝรั่งโกรธแค้นมาก จำต้องลงโทษชาวจีนให้จงหนัก ที่กำเริบเสิบสานนัก กองทัพต่างชาติไม่ให้เสียเวลา ฉวยโอกาสบุกเข้าไปในพระราชวังปักกิ่ง พวกหนึ่งก็ขนสมบัติของฮ่องเต้ อีกพวกหนึ่งก็ทำลายพระราชวัง เสียหายแทบไม่เหลือชิ้นดี ส่วนพระนางซูซี เมื่อพวกนักมวยเข้ามาในเมืองปักกิ่ง พระนางก็ประกาศสงครามกับพวกฝรั่ง แต่เมื่อเห็นพวกนักมวยทำท่าจะไปไม่รอด พระนางก็ปลอมตัวเป็นชาวบ้าน หลบหนีจากวังไปอยู่เมืองซีอาน
    เมื่อพวกฝรั่งปราบพวกกบฏนักมวยราบจนไม่เหลือ พวกฝรั่งก็เรียกค่าเสียหายจากจีนเป็นจำนวนเงินถึง 500 ล้านเหรียญ และยกโทษให้พระนางซูซี ให้กลับมาอยู่วัง และทำหน้าที่เป็นหุ่นชักให้ฝรั่งต่อไป แล้วพวกฝรั่งก็กลับมามีอำนาจในจีน ตักตวงจีนเหมือนเดิม และมากกว่าเดิม ส่วนพวกกบฏนักมวย ถูกจับและถูกตัดหัวเสียบประจานกลางเมือง
    เรื่องของพวกกบฏนักมวย เป็นเรื่องที่นักประวัติศาสตร์ ทั้งค่ายฝรั่ง และค่ายจีน นำมาศึกษา ต่างได้ข้อสรุป ไม่เหมือนกัน น่าสนใจ
    หลังจากนั้นราชวงศ์ชิงก็ยิ่งเสื่อม ลง กลุ่มก๊กเหล่าต่างๆ โผล่ขึ้นมาอีก ในที่สุด ราชวงศ์ชิง ก็ถูกโค่น ในปี ค.ศ.1910 โดยกลุ่มก๊กมินตั๋ง ของซุนยัดเซ็น ปฏิวัติสำเร็จ แต่ยังปกครองจีนไม่ได้ ภายในจีนยังแตกแยก แล้วอำนาจก็กลับไปอยู่ในมือของ ยวนสี่ไข นายทหารใหญ่ ที่ฮ่องเต้เป็นผู้ชุบเลี้ยงจน มีอำนาจในปลายราชวงศ์ชิง การแย่งชิงอำนาจระหว่างก๊ก ดูซับซ้อน ไม่รู้ใครต้มใคร แต่ในที่สุด ยวนซีไข่ ก็ครองอำนาจไม่อยู่ ตายจากไป และซุนยัดเซ็น ก็ขึ้นมาปกครองจีน โดยตั้ง เจียงไคเช็ค น้องเขย เป็นมือขวา
    ย้อนกลับมาเรื่อง ฝิ่น อาวุธสำคัญที่ทำลายจีนเสียน่วมตามแผนของอังกฤษ ยังเป็นอาวุธที่ถูกพัฒนาเป็นสาระพัดยาเสพติด ที่มีอานุภาพใช้ มีฤทธิ์สูงกว้างขวางไปทุกเนื้อที่ และยั่งยืนต่อมา จนถึงทุกวันนี้
    ในบรรดาเจ้าพ่อของจีน ที่ถือกำเนิดมาจากการค้าฝิ่น แก๊งเขียว หรือ Green Gang ซึ่งยึดหัวหาดอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ ดูแลเขตปกครองของฝรั่งเศส และดูเหมือนจะมีส่วนสำคัญในการ รับไม้ทุบจีนให้น่วมต่อ หัวหน้าแก๊งเขียว ชื่อ ตู้ หยูเช็ง (Tu Yueh-sen) ซึ่งตอนหลัง รวบรวมนักค้าฝิ่นขาใหญ่ๆ เข้ามาอยู่ในสังกัดหมด ไอ้ตู้ จึงกลายเป็นเจ้าพ่อตู้
    ธุรกิจของเจ้าพ่อตู้ ดีวันดีคืน ในปี ค.ศ.1927 เจ้าพ่อตู้ ถึงกับมีกองทัพ(นักเลง) ส่วนตัว เมื่อพวกก๊กมินตั๋งของซุนยัดเซ็น มีนโยบายจะขจัดบรรดาก๊กเหล่าต่างๆ ซึ่งขณะนั้นมีมากมายให้หมดไป เจียงไคเช็ค ได้ยินชื่อเสียงของเจ้าพ่อตู้ นายพลเจียงจึงแอบจับมือกับเจ้าพ่อตู้ ให้ช่วยกำจัดพวกคอมมิวนิสต์ ที่กำลังเริ่มก่อตัวขึ้นมาในจีน และทำท่าจะเป็นดาวรุ่งมาแรง เจ้าพ่อ บอกไม่มีปัญหา เดี๋ยวจัดให้
    เมื่อพวกสหภาพกรรมกร ที่สังกัดพวกคอมมิวนิสต์ เดืนทางมาถึงเขตปกครองของฝรั่งเศส ก็ถูกพวกนักเลงรุมฆ่าฟันตายเป็นพันๆ คน รวมทั้งชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่อง แต่บังเอิญไปยืนอยู่แถวนั้น ก็โดนฆ่าไปด้วย ไอ้ตู้ สร้างผลงานได้เข้าตาคนจ้างจริงๆ
    หลังจากก๊กมินตั๋งครอบครองส่วนหนี่งของจีนได้ และตั้งรัฐบาลขึ้นมา นายพลเจียง ก็ยังคงใช้บริการของไอ้ตู้ต่อไป แถมตั้งไอ้ตู้และพวก เป็นที่ปรึกษาของรัฐบาล ตัวไอ้ตู้เอง ยังได้รับตำแหน่งเป็นพันเอกในกองทัพด้วย การค้าฝิ่นในจีน จึงยิ่งงอกงาม ไม่ใช่แค่ในจีน แต่งอกเงยไปถึงอเมริกา ซึ่งมีมาเฟียเซี่ยงไฮ้ ตู้ เป็นผู้จัดส่ง
    ในปี ค.ศ.1937 ที่ญี่ปุ่นบุกจีน เมื่อกองทัพญี่ปุ่นมานานกิง กองทัพก๊กมินตั๋ง ก็ถอยไปอยู่ที่เมืองชงชิงในมณฑลเสฉวน หน้าฉาก เจียงไคเช็ค รบกับกองทัพญี่ปุ่น แต่หลังฉาก ทั้ง 2 ฝ่ายจับมือกันค้าฝิ่น บัดซบไหมครับ
    ญี่ปุ่นทำมาหาได้จากการค้าฝิ่น ฝิ่นเป็นรายได้หลักจากการบุกยึดและปักหลักอยู่ที่จีนของญี่ปุ่น และภายใต้การจัดการของไอ้ตู้ หรือท่านพันเอกตู้ นายพลเจียง ก็เป็นสายส่งฝิ่นให้แก่ญี่ปุ่น มณฑลเสฉวน และยูนนานของจีน กลายเป็นดงฝิ่น ทุกเนินเขาเต็มไปด้วยดอกฝิ่น สีแดง สีขาว สีชมพู ฝิ่นถูกขนส่งผ่านลงมาที่แม่น้ำแยงซี ทางหนี่งส่งไปที่เซี่ยงไฮ้ อีกทางส่งออกไปทางพม่า เพื่อมาเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
    เมื่อญี่ปุ่นแพ้ในการสู้รบกับจีน ถอยทัพกลับ แต่สงครามกลางเมืองระหว่างก๊กมินตั๋งกับพรรคคอมมิวนิสต์ ยังดำเนินต่อไป เมื่อฝ่ายคอมมิวนิสต์ชนะ ไล่ตีลงมาถึงเซี่ยงไฮ้ ไอ้ตู้และแก๊งเขียว รีบเก็บของลงกระเป๋า เตลิดไปอยู่ฮ่องกง ส่วนนายพล เจียง ก็นำพวกตัว ข้ามไปปักหลักที่ไต้หวัน และพรรคคอมมิวนิสต์ในจีนก็เกิดขึ้น
    เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์เริ่มปกครองจีน มีชาวจีนติดฝิ่นเป็นหลายล้านคน จีนบอกคนพวกนี้คือ “เหยื่อ” ของรัฐบาลต่างชาติ คนติดฝิ่นเหล่านั้น ได้รับการดูแลรักษา และมีงานทำ โดยรัฐจัดหาให้ทั้งหมด จีนใช้เวลานาน กว่า จะล้างฝิ่น ที่อังกฤษพอกเอาไว้ให้ออกจากคน และออกจากประเทศ หมดเอาในปี ค.ศ.1956 อย่าได้ดูแคลนฝีมืออันชั่วร้ายของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้ายเชียว
    สำหรับฝิ่น ที่ส่งออกจากยูนาน เข้าทางพม่าผ่านรัฐฉาน ซึ่งอยู่คนละฝ่ายกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน รัฐฉานปฏิเสธว่า ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องฝิ่น แม้จะมีข่าวว่า รัฐฉานเป็นแหล่งปลูกและผลิตฝิ่นแหล่งใหญ่ ภายใต้การอำนายการของหน่วยสืบราชการลับ ซีไอเอ ของอเมริกา และพวกฉานหลายคน ก็ทำหน้าที่เป็นสายลับให้กับอเมริกา เกี่ยวกับกิจกรรมของจีนด้วย เรื่องนี้ มีโอกาสจะเล่าให้ฟังต่อ
    เล่ามาถึงตรงนี้ คงพอเห็นกันแล้วว่า อังกฤษ อยู่เบื้องหลังพฤติกรรม และหลายเหตุการณ์ทั้งในญี่ปุ่น และที่จีน แต่อังกฤษ คงไม่ใช่นักล่ารายเดียว ที่วางแผนเคี้ยวจีน และอาจจะเคี้ยวญี่ปุ่นพร้อมๆ กันไปด้วย….
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
18 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 7 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 7 หลังจากเจอสงครามฝิ่น ราชวงศ์ชิงก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ พร้อมกับการเจริญเติบโตของต่างชาติในจีน โดยเฉพาะที่เมืองเซี่ยงไฮ้ ซึ่งพวกฝรั่งมาอยู่กันเต็ม พร้อมกับมีสิทธิพิเศษๆ รวมทั้งแบ่งเขตปกครองกันเอง ตามสัญญาที่บีบได้มาจากจีน ขณะเดียวกัน ก็เริ่มมีการปลูกฝิ่นในจีน ไม่ต้องเสียเวลาขนมาจากที่อื่น การปลูก ผลิต และขายฝิ่น ขยายตัวเร็วยิ่งกว่าปลูกข้าว ในที่สุด จีนก็กลายเป็นแหล่งผลิตฝิ่นใหญ่ที่สุดในโลก และกองทัพจีนก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ มันเป็นยุทธศาสตร์ชั้นยอด สุดชั่วของอังกฤษทีเดียว ใช้แผ่นดินจีนปลูกฝิ่น ขายชาวจีน มอมเมาชาวจีน เพื่อยึดแผ่นดินจีน ผมเข้าใจหัวอกอาเฮีย แห่งแดนมังกรแล้ว เมื่อเกาหลีตีกันเอง ในปี ค.ศ.1894 ทั้งจีนและญี่ปุ่นต่างก็ส่งกองทัพไปช่วย เลยประลองกันเอง และกองทัพจีนภายใต้ฤทธิ์ฝิ่น แพ้หมดรูปกลับบ้าน รุ่งขึ้นในปี ค.ศ.1895 เริ่มมีชาวจีนที่ไม่พอใจ รู้สึกเสียหน้า และเห็นว่า ความพ่ายแพ้ของกองทัพมาจากการที่ต่างชาติแทรกแซงจีน จีงมีการรวมตัวกันเพื่อพยายามขับไล่พวกฝรั่งที่อยู่ในจีน และไล่ราชวงศ์ชิงที่อ่อนแอ ยอมให้ต่างชาติเข้ามาใหญ่อยู่ในจีน ปี ค.ศ.1898 ชาวจีนที่ต้องการไล่ฝรั่งออกไปจากประเทศ รวมตัวกันที่เมืองชานตุง ทางเหนือของจีน ซึ่งเป็นถิ่นที่มีชาวเยอรมันอยู่แยะ เนื่องจากเป็นเส้นทางรถไฟ และมีเหมืองถ่านหินอยู่ที่นั่น เยอรมันทำเหมือง สร้างทางรถไฟ กำไรมหาศาล แต่ใช้งานคนจีนอย่างกับทาส ค่าแรงต่ำ ความเป็นอยู่ของคนงานชาวจีนน่าอนาถ ชาวจีนจึงเริ่มออกเดินตามถนน พร้อมตะโกนไล่ …ผีปีศาจต่างชาติออกไป ออกไป…ชาวเยอรมัน ร่วมทั้งพวกสอนศาสนา มิชชั่นนารี และพวกเข้ารีต เริ่มถูกทำร้าย ถูกฆ่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวนี้คือ กลุ่มสมาคมลับ Yihequan หรือ I-ho-chuan หรือ ที่เรียกกันว่า พวกนักมวย เพราะเป็นพวกเล่นหมัดมวยทั้งนั้น ถึงปี ค.ศ.1900 กลุ่มนักมวยกระจายไปทั่วมณฑลทางเหนือ รวมทั้งที่เมืองหลวงปักกิ่ง พวกนักมวยต้องการขับไล่รัฐบาลของพวกแมนจู เพราะทำตัวเหมือนเป็นหุ่นชักให้กับพวกต่างชาติ พระนางซูซีไทเฮา อำนาจตัวจริงที่อยู่ข้างหลังรัฐบาลแมนจู ขอเจรจากับพวกนักมวย ว่าให้ไปไล่พวกฝรั่งอย่างเดียวเถิด อย่าไล่รัฐบาลแมนจูเลย และพระนางจะสนับสนุนพวกนักมวยทุกอย่าง พวกนักมวยว่าง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ เชื่อคำเจรจาของพระนางซูซี ในช่วงปี ค.ศ.1900 นั้น ฝรั่งปักหลักสร้างบ้านอยู่เต็มปักกิ่ง แต่เหยียดหยามดูถูกคนจีน พวกนักมวย จึงได้พรรคพวกเพิ่มขึ้นอีกมากที่ปักกิ่ง พวกฝรั่งเริ่มรู้สึกว่าตัวเองชักไม่ปลอดภัย ทูตเยอรมันที่จีน จึงจะไปยื่นคำประท้วงต่อรัฐบาลแมนจู ระหว่างเดินทางไปปักกิ่ง เพื่อยื่นหนังสือประท้วง ตัวทูตก็ถูกพวกนักมวยลากลงมาจากรถ และถูกทำร้ายจนตาย พวกฝรั่งรู้ข่าวก็ตาเหลือก รีบพากันอพยพ หลบไปอยู่ในสถานทูตอังกฤษ ที่มีทหารป้องกันประมาณ 400 คน ฝ่ายฝรั่งบอกว่า พวกนักมวยจำนวนเป็นหมื่น มาล้อมสถานทูตอังกฤษ การล้อมและต่อสู้ดำเนินอยู่ 55 วัน กว่ากองกำลังของพวกต่างชาติ จากเมืองเทียนสินจะมาถึง พร้อมด้วยปืนเล็กปืนใหญ่ และต่อสู้จนพวกนักมวย ที่มีแต่มีดและมือตีนพ่ายแพ้ไป ฝรั่งรายงานว่า มีพวกฝรั่งตายไป 66 คน บาดเจ็บ 150 คน แต่ไม่รู้ว่าพวกนักมวยเจ็บตายไปเท่าไหร่ พวกฝรั่งโกรธแค้นมาก จำต้องลงโทษชาวจีนให้จงหนัก ที่กำเริบเสิบสานนัก กองทัพต่างชาติไม่ให้เสียเวลา ฉวยโอกาสบุกเข้าไปในพระราชวังปักกิ่ง พวกหนึ่งก็ขนสมบัติของฮ่องเต้ อีกพวกหนึ่งก็ทำลายพระราชวัง เสียหายแทบไม่เหลือชิ้นดี ส่วนพระนางซูซี เมื่อพวกนักมวยเข้ามาในเมืองปักกิ่ง พระนางก็ประกาศสงครามกับพวกฝรั่ง แต่เมื่อเห็นพวกนักมวยทำท่าจะไปไม่รอด พระนางก็ปลอมตัวเป็นชาวบ้าน หลบหนีจากวังไปอยู่เมืองซีอาน เมื่อพวกฝรั่งปราบพวกกบฏนักมวยราบจนไม่เหลือ พวกฝรั่งก็เรียกค่าเสียหายจากจีนเป็นจำนวนเงินถึง 500 ล้านเหรียญ และยกโทษให้พระนางซูซี ให้กลับมาอยู่วัง และทำหน้าที่เป็นหุ่นชักให้ฝรั่งต่อไป แล้วพวกฝรั่งก็กลับมามีอำนาจในจีน ตักตวงจีนเหมือนเดิม และมากกว่าเดิม ส่วนพวกกบฏนักมวย ถูกจับและถูกตัดหัวเสียบประจานกลางเมือง เรื่องของพวกกบฏนักมวย เป็นเรื่องที่นักประวัติศาสตร์ ทั้งค่ายฝรั่ง และค่ายจีน นำมาศึกษา ต่างได้ข้อสรุป ไม่เหมือนกัน น่าสนใจ หลังจากนั้นราชวงศ์ชิงก็ยิ่งเสื่อม ลง กลุ่มก๊กเหล่าต่างๆ โผล่ขึ้นมาอีก ในที่สุด ราชวงศ์ชิง ก็ถูกโค่น ในปี ค.ศ.1910 โดยกลุ่มก๊กมินตั๋ง ของซุนยัดเซ็น ปฏิวัติสำเร็จ แต่ยังปกครองจีนไม่ได้ ภายในจีนยังแตกแยก แล้วอำนาจก็กลับไปอยู่ในมือของ ยวนสี่ไข นายทหารใหญ่ ที่ฮ่องเต้เป็นผู้ชุบเลี้ยงจน มีอำนาจในปลายราชวงศ์ชิง การแย่งชิงอำนาจระหว่างก๊ก ดูซับซ้อน ไม่รู้ใครต้มใคร แต่ในที่สุด ยวนซีไข่ ก็ครองอำนาจไม่อยู่ ตายจากไป และซุนยัดเซ็น ก็ขึ้นมาปกครองจีน โดยตั้ง เจียงไคเช็ค น้องเขย เป็นมือขวา ย้อนกลับมาเรื่อง ฝิ่น อาวุธสำคัญที่ทำลายจีนเสียน่วมตามแผนของอังกฤษ ยังเป็นอาวุธที่ถูกพัฒนาเป็นสาระพัดยาเสพติด ที่มีอานุภาพใช้ มีฤทธิ์สูงกว้างขวางไปทุกเนื้อที่ และยั่งยืนต่อมา จนถึงทุกวันนี้ ในบรรดาเจ้าพ่อของจีน ที่ถือกำเนิดมาจากการค้าฝิ่น แก๊งเขียว หรือ Green Gang ซึ่งยึดหัวหาดอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ ดูแลเขตปกครองของฝรั่งเศส และดูเหมือนจะมีส่วนสำคัญในการ รับไม้ทุบจีนให้น่วมต่อ หัวหน้าแก๊งเขียว ชื่อ ตู้ หยูเช็ง (Tu Yueh-sen) ซึ่งตอนหลัง รวบรวมนักค้าฝิ่นขาใหญ่ๆ เข้ามาอยู่ในสังกัดหมด ไอ้ตู้ จึงกลายเป็นเจ้าพ่อตู้ ธุรกิจของเจ้าพ่อตู้ ดีวันดีคืน ในปี ค.ศ.1927 เจ้าพ่อตู้ ถึงกับมีกองทัพ(นักเลง) ส่วนตัว เมื่อพวกก๊กมินตั๋งของซุนยัดเซ็น มีนโยบายจะขจัดบรรดาก๊กเหล่าต่างๆ ซึ่งขณะนั้นมีมากมายให้หมดไป เจียงไคเช็ค ได้ยินชื่อเสียงของเจ้าพ่อตู้ นายพลเจียงจึงแอบจับมือกับเจ้าพ่อตู้ ให้ช่วยกำจัดพวกคอมมิวนิสต์ ที่กำลังเริ่มก่อตัวขึ้นมาในจีน และทำท่าจะเป็นดาวรุ่งมาแรง เจ้าพ่อ บอกไม่มีปัญหา เดี๋ยวจัดให้ เมื่อพวกสหภาพกรรมกร ที่สังกัดพวกคอมมิวนิสต์ เดืนทางมาถึงเขตปกครองของฝรั่งเศส ก็ถูกพวกนักเลงรุมฆ่าฟันตายเป็นพันๆ คน รวมทั้งชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่อง แต่บังเอิญไปยืนอยู่แถวนั้น ก็โดนฆ่าไปด้วย ไอ้ตู้ สร้างผลงานได้เข้าตาคนจ้างจริงๆ หลังจากก๊กมินตั๋งครอบครองส่วนหนี่งของจีนได้ และตั้งรัฐบาลขึ้นมา นายพลเจียง ก็ยังคงใช้บริการของไอ้ตู้ต่อไป แถมตั้งไอ้ตู้และพวก เป็นที่ปรึกษาของรัฐบาล ตัวไอ้ตู้เอง ยังได้รับตำแหน่งเป็นพันเอกในกองทัพด้วย การค้าฝิ่นในจีน จึงยิ่งงอกงาม ไม่ใช่แค่ในจีน แต่งอกเงยไปถึงอเมริกา ซึ่งมีมาเฟียเซี่ยงไฮ้ ตู้ เป็นผู้จัดส่ง ในปี ค.ศ.1937 ที่ญี่ปุ่นบุกจีน เมื่อกองทัพญี่ปุ่นมานานกิง กองทัพก๊กมินตั๋ง ก็ถอยไปอยู่ที่เมืองชงชิงในมณฑลเสฉวน หน้าฉาก เจียงไคเช็ค รบกับกองทัพญี่ปุ่น แต่หลังฉาก ทั้ง 2 ฝ่ายจับมือกันค้าฝิ่น บัดซบไหมครับ ญี่ปุ่นทำมาหาได้จากการค้าฝิ่น ฝิ่นเป็นรายได้หลักจากการบุกยึดและปักหลักอยู่ที่จีนของญี่ปุ่น และภายใต้การจัดการของไอ้ตู้ หรือท่านพันเอกตู้ นายพลเจียง ก็เป็นสายส่งฝิ่นให้แก่ญี่ปุ่น มณฑลเสฉวน และยูนนานของจีน กลายเป็นดงฝิ่น ทุกเนินเขาเต็มไปด้วยดอกฝิ่น สีแดง สีขาว สีชมพู ฝิ่นถูกขนส่งผ่านลงมาที่แม่น้ำแยงซี ทางหนี่งส่งไปที่เซี่ยงไฮ้ อีกทางส่งออกไปทางพม่า เพื่อมาเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อญี่ปุ่นแพ้ในการสู้รบกับจีน ถอยทัพกลับ แต่สงครามกลางเมืองระหว่างก๊กมินตั๋งกับพรรคคอมมิวนิสต์ ยังดำเนินต่อไป เมื่อฝ่ายคอมมิวนิสต์ชนะ ไล่ตีลงมาถึงเซี่ยงไฮ้ ไอ้ตู้และแก๊งเขียว รีบเก็บของลงกระเป๋า เตลิดไปอยู่ฮ่องกง ส่วนนายพล เจียง ก็นำพวกตัว ข้ามไปปักหลักที่ไต้หวัน และพรรคคอมมิวนิสต์ในจีนก็เกิดขึ้น เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์เริ่มปกครองจีน มีชาวจีนติดฝิ่นเป็นหลายล้านคน จีนบอกคนพวกนี้คือ “เหยื่อ” ของรัฐบาลต่างชาติ คนติดฝิ่นเหล่านั้น ได้รับการดูแลรักษา และมีงานทำ โดยรัฐจัดหาให้ทั้งหมด จีนใช้เวลานาน กว่า จะล้างฝิ่น ที่อังกฤษพอกเอาไว้ให้ออกจากคน และออกจากประเทศ หมดเอาในปี ค.ศ.1956 อย่าได้ดูแคลนฝีมืออันชั่วร้ายของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้ายเชียว สำหรับฝิ่น ที่ส่งออกจากยูนาน เข้าทางพม่าผ่านรัฐฉาน ซึ่งอยู่คนละฝ่ายกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน รัฐฉานปฏิเสธว่า ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องฝิ่น แม้จะมีข่าวว่า รัฐฉานเป็นแหล่งปลูกและผลิตฝิ่นแหล่งใหญ่ ภายใต้การอำนายการของหน่วยสืบราชการลับ ซีไอเอ ของอเมริกา และพวกฉานหลายคน ก็ทำหน้าที่เป็นสายลับให้กับอเมริกา เกี่ยวกับกิจกรรมของจีนด้วย เรื่องนี้ มีโอกาสจะเล่าให้ฟังต่อ เล่ามาถึงตรงนี้ คงพอเห็นกันแล้วว่า อังกฤษ อยู่เบื้องหลังพฤติกรรม และหลายเหตุการณ์ทั้งในญี่ปุ่น และที่จีน แต่อังกฤษ คงไม่ใช่นักล่ารายเดียว ที่วางแผนเคี้ยวจีน และอาจจะเคี้ยวญี่ปุ่นพร้อมๆ กันไปด้วย…. สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
18 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 132 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวธุรกิจ: Tim Cook ยังไม่วางมือ

    Tim Cook จะยังคงดำรงตำแหน่ง CEO ของ Apple ไปจนถึงอย่างน้อยปี 2028 แต่ในขณะเดียวกัน Apple กำลังเผชิญกับการสูญเสียบุคลากรสำคัญจำนวนมาก โดยเฉพาะทีมออกแบบ iPhone ที่ย้ายไปทำงานกับ OpenAI และสตาร์ทอัพของ Jony Ive

    แม้ก่อนหน้านี้มีรายงานจาก Reuters และ Financial Times ว่า Tim Cook อาจจะก้าวลงจากตำแหน่งในปี 2026 แต่ล่าสุด Mark Gurman จาก Bloomberg ยืนยันว่า Cook จะยังคงดำรงตำแหน่ง CEO ของ Apple อย่างน้อยจนถึงสิ้นสุดวาระประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปัจจุบัน ซึ่งหมายถึง ปี 2028 โดยตอนนั้น Cook จะมีอายุครบ 70 ปี และได้กลายเป็น CEO ที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Apple

    ผู้สืบทอดที่ถูกจับตามอง
    แม้ Cook จะยังไม่วางมือ แต่บอร์ดของ Apple ได้เริ่มกระบวนการค้นหาผู้สืบทอดแล้ว โดยมีชื่อของ John Ternus – VP of Hardware Engineering ถูกมองว่าเป็นตัวเต็งที่จะขึ้นมาแทนที่ Cook เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม

    การสูญเสียบุคลากรสำคัญ
    ในขณะที่ Cook ยังอยู่ในตำแหน่ง Apple กลับเผชิญกับปัญหาใหญ่คือ การสูญเสียบุคลากรระดับสูง โดยเฉพาะทีมออกแบบ iPhone ที่ทยอยลาออกไปทำงานกับ OpenAI และสตาร์ทอัพของ Jony Ive ซึ่งถูก OpenAI ซื้อกิจการไปเพื่อพัฒนา “iPhone Killer” แบบไร้หน้าจอ ล่าสุดมีการยืนยันว่า OpenAI ได้จ้างวิศวกรจาก Apple ไปแล้วกว่า 40 คนภายในเดือนเดียว รวมถึงบุคคลสำคัญอย่าง Matt Theobald (ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบการผลิต) และ Cyrus Daniel Irani (หัวหน้าด้าน human interface design)

    ผลกระทบต่ออนาคตของ Apple
    การสูญเสียบุคลากรเช่นนี้อาจกระทบต่อความสามารถในการสร้างนวัตกรรมของ Apple ในระยะยาว แม้ Cook จะยังคงเป็นผู้นำ แต่การรักษาและดึงดูดบุคลากรใหม่ ๆ จะเป็นความท้าทายสำคัญ หาก Apple ไม่สามารถหยุดการ “talent bleed” ได้ อาจทำให้บริษัทเสียเปรียบในการแข่งขันกับคู่แข่งที่กำลังรุกหนักในตลาด AI และอุปกรณ์ใหม่

    สรุปสาระสำคัญ
    Tim Cook จะยังคงดำรงตำแหน่ง CEO จนถึงอย่างน้อยปี 2028
    กลายเป็น CEO ที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดของ Apple

    ผู้สืบทอดที่ถูกจับตามอง
    John Ternus (VP Hardware Engineering) ถูกมองว่าเป็นตัวเต็ง

    Apple สูญเสียบุคลากรสำคัญ
    ทีมออกแบบ iPhone ย้ายไปทำงานกับ OpenAI และ Jony Ive
    OpenAI จ้างวิศวกรจาก Apple ไปกว่า 40 คนในเดือนเดียว

    ผลกระทบต่ออนาคตของ Apple
    ความท้าทายในการรักษาและดึงดูดบุคลากรใหม่
    อาจเสียเปรียบในการแข่งขันด้าน AI และอุปกรณ์ใหม่

    คำเตือนด้านข้อมูล
    การสูญเสียบุคลากรต่อเนื่องอาจทำให้ Apple ขาดนวัตกรรม
    หากไม่สามารถหยุด talent bleed ได้ อาจกระทบต่อความแข็งแกร่งในตลาดโลก

    https://wccftech.com/tim-cook-isnt-going-away-anytime-soon-but-apples-talent-is/
    🍏 ข่าวธุรกิจ: Tim Cook ยังไม่วางมือ Tim Cook จะยังคงดำรงตำแหน่ง CEO ของ Apple ไปจนถึงอย่างน้อยปี 2028 แต่ในขณะเดียวกัน Apple กำลังเผชิญกับการสูญเสียบุคลากรสำคัญจำนวนมาก โดยเฉพาะทีมออกแบบ iPhone ที่ย้ายไปทำงานกับ OpenAI และสตาร์ทอัพของ Jony Ive แม้ก่อนหน้านี้มีรายงานจาก Reuters และ Financial Times ว่า Tim Cook อาจจะก้าวลงจากตำแหน่งในปี 2026 แต่ล่าสุด Mark Gurman จาก Bloomberg ยืนยันว่า Cook จะยังคงดำรงตำแหน่ง CEO ของ Apple อย่างน้อยจนถึงสิ้นสุดวาระประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปัจจุบัน ซึ่งหมายถึง ปี 2028 โดยตอนนั้น Cook จะมีอายุครบ 70 ปี และได้กลายเป็น CEO ที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Apple 👔 ผู้สืบทอดที่ถูกจับตามอง แม้ Cook จะยังไม่วางมือ แต่บอร์ดของ Apple ได้เริ่มกระบวนการค้นหาผู้สืบทอดแล้ว โดยมีชื่อของ John Ternus – VP of Hardware Engineering ถูกมองว่าเป็นตัวเต็งที่จะขึ้นมาแทนที่ Cook เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม 🚪 การสูญเสียบุคลากรสำคัญ ในขณะที่ Cook ยังอยู่ในตำแหน่ง Apple กลับเผชิญกับปัญหาใหญ่คือ การสูญเสียบุคลากรระดับสูง โดยเฉพาะทีมออกแบบ iPhone ที่ทยอยลาออกไปทำงานกับ OpenAI และสตาร์ทอัพของ Jony Ive ซึ่งถูก OpenAI ซื้อกิจการไปเพื่อพัฒนา “iPhone Killer” แบบไร้หน้าจอ ล่าสุดมีการยืนยันว่า OpenAI ได้จ้างวิศวกรจาก Apple ไปแล้วกว่า 40 คนภายในเดือนเดียว รวมถึงบุคคลสำคัญอย่าง Matt Theobald (ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบการผลิต) และ Cyrus Daniel Irani (หัวหน้าด้าน human interface design) 🌍 ผลกระทบต่ออนาคตของ Apple การสูญเสียบุคลากรเช่นนี้อาจกระทบต่อความสามารถในการสร้างนวัตกรรมของ Apple ในระยะยาว แม้ Cook จะยังคงเป็นผู้นำ แต่การรักษาและดึงดูดบุคลากรใหม่ ๆ จะเป็นความท้าทายสำคัญ หาก Apple ไม่สามารถหยุดการ “talent bleed” ได้ อาจทำให้บริษัทเสียเปรียบในการแข่งขันกับคู่แข่งที่กำลังรุกหนักในตลาด AI และอุปกรณ์ใหม่ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Tim Cook จะยังคงดำรงตำแหน่ง CEO จนถึงอย่างน้อยปี 2028 ➡️ กลายเป็น CEO ที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดของ Apple ✅ ผู้สืบทอดที่ถูกจับตามอง ➡️ John Ternus (VP Hardware Engineering) ถูกมองว่าเป็นตัวเต็ง ✅ Apple สูญเสียบุคลากรสำคัญ ➡️ ทีมออกแบบ iPhone ย้ายไปทำงานกับ OpenAI และ Jony Ive ➡️ OpenAI จ้างวิศวกรจาก Apple ไปกว่า 40 คนในเดือนเดียว ✅ ผลกระทบต่ออนาคตของ Apple ➡️ ความท้าทายในการรักษาและดึงดูดบุคลากรใหม่ ➡️ อาจเสียเปรียบในการแข่งขันด้าน AI และอุปกรณ์ใหม่ ‼️ คำเตือนด้านข้อมูล ⛔ การสูญเสียบุคลากรต่อเนื่องอาจทำให้ Apple ขาดนวัตกรรม ⛔ หากไม่สามารถหยุด talent bleed ได้ อาจกระทบต่อความแข็งแกร่งในตลาดโลก https://wccftech.com/tim-cook-isnt-going-away-anytime-soon-but-apples-talent-is/
    WCCFTECH.COM
    Tim Cook Isn't Going Away Anytime Soon, But Apple's Talent Is
    According to Gurman, Tim Cook might stick around until 2028, and OpenAI has hired around 40 Apple engineers in the last month or so alone!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 139 มุมมอง 0 รีวิว
  • เทคโนโลยีย้อนยุค: เครื่องอ่านเทปเจาะรูรุ่นใหม่

    นักพัฒนาและผู้หลงใหลในคอมพิวเตอร์ย้อนยุคชื่อ Skyriver ได้สร้างเครื่องอ่านเทปเจาะรู (perforated tape reader) ขึ้นใหม่จากศูนย์ โดยใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์และเซ็นเซอร์สมัยใหม่ ทำงานได้เร็วกว่าเทปเจาะรูยุคเก่า โดยสามารถอ่านข้อมูลได้ราว 50 ไบต์ต่อวินาที

    Skyriver ได้ออกแบบและสร้างเครื่องอ่านเทปเจาะรูที่เรียกว่า Putapre โดยใช้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์พื้นฐาน เช่น ไมโครคอนโทรลเลอร์ PIC18, LED อินฟราเรด และโฟโตรทรานซิสเตอร์ เพื่ออ่านตำแหน่งรูบนเทป ถือเป็นการนำเทคโนโลยีเก่ามาเล่าใหม่ในรูปแบบที่ทันสมัยและกะทัดรัด

    การทำงานและความเร็ว
    เครื่องอ่านนี้ใช้วิธีการตรวจจับด้วยแสง (optical sensing) แทนการสัมผัสทางกลแบบเดิม ทำให้สามารถอ่านข้อมูลได้เร็วและเสถียรกว่า โดยมีความเร็วประมาณ 50 ไบต์ต่อวินาที และสามารถทำงานได้ต่อเนื่องหากมีเทปยาวพอ นับเป็นการพัฒนาเหนือกว่าระบบเจาะรูที่เคยใช้ในยุค 1950–1980

    ความท้าทายในการสร้าง
    Skyriver ต้องปรับแต่งกำลังไฟของ LED และการตั้งค่าของเซ็นเซอร์อย่างละเอียด รวมถึงเลือกวัสดุเทปที่เหมาะสม และสร้างตัวนำเทปด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ เพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างเสถียร การทดลองนี้ใช้เวลามากในการแก้ปัญหาเรื่องสัญญาณรบกวนและความแม่นยำ

    ความหมายเชิงประวัติศาสตร์
    เทปเจาะรูและบัตรเจาะรูเคยเป็นหัวใจของการจัดเก็บข้อมูลในยุคแรก ๆ ของคอมพิวเตอร์ ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยเทปแม่เหล็กและดิสก์ การสร้างเครื่องอ่านใหม่ในปัจจุบันจึงไม่ใช่เรื่องของประสิทธิภาพ แต่เป็นการอนุรักษ์และรำลึกถึงวิวัฒนาการของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์

    สรุปสาระสำคัญ
    เครื่องอ่านเทปเจาะรู Putapre
    สร้างโดย Skyriver จากศูนย์
    ใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์ PIC18 และเซ็นเซอร์แสง

    ความเร็วและการทำงาน
    อ่านข้อมูลได้ราว 50 ไบต์ต่อวินาที
    ใช้ optical sensing แทนการสัมผัสทางกล

    ความท้าทายในการสร้าง
    ต้องปรับแต่ง LED และเซ็นเซอร์อย่างละเอียด
    ใช้เครื่องพิมพ์ 3 มิติสร้างตัวนำเทป

    ความหมายเชิงประวัติศาสตร์
    เทปเจาะรูเคยเป็นหัวใจของการจัดเก็บข้อมูลยุคแรก
    โปรเจกต์นี้เป็นการอนุรักษ์และรำลึกถึงวิวัฒนาการคอมพิวเตอร์

    คำเตือนด้านข้อมูล
    เครื่องอ่านนี้ไม่ได้ถูกออกแบบเพื่อใช้งานจริงในเชิงพาณิชย์
    ความเร็วและประสิทธิภาพยังต่ำมากเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลสมัยใหม่

    https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/retro-computing-enthusiast-creates-perforated-tape-reader-designed-from-scratch-reads-data-at-about-50-bytes-per-second
    🖥️ เทคโนโลยีย้อนยุค: เครื่องอ่านเทปเจาะรูรุ่นใหม่ นักพัฒนาและผู้หลงใหลในคอมพิวเตอร์ย้อนยุคชื่อ Skyriver ได้สร้างเครื่องอ่านเทปเจาะรู (perforated tape reader) ขึ้นใหม่จากศูนย์ โดยใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์และเซ็นเซอร์สมัยใหม่ ทำงานได้เร็วกว่าเทปเจาะรูยุคเก่า โดยสามารถอ่านข้อมูลได้ราว 50 ไบต์ต่อวินาที Skyriver ได้ออกแบบและสร้างเครื่องอ่านเทปเจาะรูที่เรียกว่า Putapre โดยใช้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์พื้นฐาน เช่น ไมโครคอนโทรลเลอร์ PIC18, LED อินฟราเรด และโฟโตรทรานซิสเตอร์ เพื่ออ่านตำแหน่งรูบนเทป ถือเป็นการนำเทคโนโลยีเก่ามาเล่าใหม่ในรูปแบบที่ทันสมัยและกะทัดรัด 🔧 การทำงานและความเร็ว เครื่องอ่านนี้ใช้วิธีการตรวจจับด้วยแสง (optical sensing) แทนการสัมผัสทางกลแบบเดิม ทำให้สามารถอ่านข้อมูลได้เร็วและเสถียรกว่า โดยมีความเร็วประมาณ 50 ไบต์ต่อวินาที และสามารถทำงานได้ต่อเนื่องหากมีเทปยาวพอ นับเป็นการพัฒนาเหนือกว่าระบบเจาะรูที่เคยใช้ในยุค 1950–1980 🛠️ ความท้าทายในการสร้าง Skyriver ต้องปรับแต่งกำลังไฟของ LED และการตั้งค่าของเซ็นเซอร์อย่างละเอียด รวมถึงเลือกวัสดุเทปที่เหมาะสม และสร้างตัวนำเทปด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ เพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างเสถียร การทดลองนี้ใช้เวลามากในการแก้ปัญหาเรื่องสัญญาณรบกวนและความแม่นยำ 📜 ความหมายเชิงประวัติศาสตร์ เทปเจาะรูและบัตรเจาะรูเคยเป็นหัวใจของการจัดเก็บข้อมูลในยุคแรก ๆ ของคอมพิวเตอร์ ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยเทปแม่เหล็กและดิสก์ การสร้างเครื่องอ่านใหม่ในปัจจุบันจึงไม่ใช่เรื่องของประสิทธิภาพ แต่เป็นการอนุรักษ์และรำลึกถึงวิวัฒนาการของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ เครื่องอ่านเทปเจาะรู Putapre ➡️ สร้างโดย Skyriver จากศูนย์ ➡️ ใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์ PIC18 และเซ็นเซอร์แสง ✅ ความเร็วและการทำงาน ➡️ อ่านข้อมูลได้ราว 50 ไบต์ต่อวินาที ➡️ ใช้ optical sensing แทนการสัมผัสทางกล ✅ ความท้าทายในการสร้าง ➡️ ต้องปรับแต่ง LED และเซ็นเซอร์อย่างละเอียด ➡️ ใช้เครื่องพิมพ์ 3 มิติสร้างตัวนำเทป ✅ ความหมายเชิงประวัติศาสตร์ ➡️ เทปเจาะรูเคยเป็นหัวใจของการจัดเก็บข้อมูลยุคแรก ➡️ โปรเจกต์นี้เป็นการอนุรักษ์และรำลึกถึงวิวัฒนาการคอมพิวเตอร์ ‼️ คำเตือนด้านข้อมูล ⛔ เครื่องอ่านนี้ไม่ได้ถูกออกแบบเพื่อใช้งานจริงในเชิงพาณิชย์ ⛔ ความเร็วและประสิทธิภาพยังต่ำมากเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลสมัยใหม่ https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/retro-computing-enthusiast-creates-perforated-tape-reader-designed-from-scratch-reads-data-at-about-50-bytes-per-second
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Retro computing enthusiast creates perforated tape reader designed 'from scratch' — reads data at about 50 bytes per second
    The punched card computer era finally shuttered in 1984, when IBM discontinued card manufacturing, but some people miss it.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฉลองครบรอบ 54 ปีของ Intel 4004 ซึ่งเป็นไมโครโปรเซสเซอร์เชิงพาณิชย์ตัวแรกของโลก

    โปรเจกต์ “Supersized Intel 4004” คือการสร้างชิปตระกูล Intel 4000 ขึ้นใหม่ในขนาดใหญ่กว่าของจริงกว่า 130 เท่า เพื่อฉลองครบรอบ 54 ปี โดยจะถูกจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ Enter Museum ที่สวิตเซอร์แลนด์ในปี 2026 พร้อมทั้งเป็นนิทรรศการเชิงโต้ตอบที่ผู้ชมสามารถทดลองใช้งานได้

    การฉลองครบรอบ 54 ปีของ Intel 4004 ซึ่งเป็นไมโครโปรเซสเซอร์เชิงพาณิชย์ตัวแรกของโลก ได้ถูกยกขึ้นมาเล่าใหม่ในรูปแบบที่น่าตื่นตาตื่นใจ นักวิศวกร Klaus Scheffler และ Lajos Kintli ได้สร้างชิปตระกูล Intel 4000 ทั้งชุด ได้แก่ 4004 CPU, 4001 ROM, 4002 RAM และ 4003 Shift Register ในขนาดใหญ่กว่าของจริงถึง 130 เท่า โดยทั้งหมดถูกประกอบเข้ากับเครื่องคิดเลข Busicom 141-PF ที่เคยเป็นต้นแบบการใช้งานจริงเมื่อปี 1971

    นิทรรศการที่ Enter Museum สวิตเซอร์แลนด์
    โปรเจกต์นี้ไม่ได้เป็นเพียงการสร้างเพื่อโชว์เท่านั้น แต่ยังถูกจัดเตรียมให้เป็น นิทรรศการเชิงโต้ตอบ ที่ Enter Museum เมือง Solothurn ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ผู้เข้าชมสามารถกดปุ่มเครื่องคิดเลข ทดลองดู flowchart และค่าการทำงานของ register ได้จริง ทำให้ประวัติศาสตร์ของไมโครโปรเซสเซอร์กลับมามีชีวิตอีกครั้งในยุคปัจจุบัน

    ความพิเศษของชิปขนาดยักษ์
    แม้จะเป็นการสร้างใหม่ แต่ชิป supersized 4004 กลับทำงานได้เร็วกว่าเดิมถึง สองเท่า (1.5 MHz เทียบกับ 740 KHz ของต้นฉบับ) เนื่องจากใช้ทรานซิสเตอร์ FET แบบ low-capacitance ที่ออกแบบมาสำหรับงาน RF การพัฒนาเช่นนี้จึงไม่ใช่เพียงการย้อนอดีต แต่ยังแสดงให้เห็นถึงการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีสมัยใหม่กับการออกแบบดั้งเดิม

    บทเรียนจากประวัติศาสตร์
    Intel 4004 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติวงการคอมพิวเตอร์ แต่ที่น่าสนใจคือ ก่อนหน้าการเปิดตัวของ 4004 หนึ่งปี กองทัพเรือสหรัฐฯ ได้พัฒนาไมโครโปรเซสเซอร์ MP944 ขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ถูกเก็บเป็นความลับจนถึงปี 1989 เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่าเทคโนโลยีที่เปลี่ยนโลกบางครั้งก็เริ่มต้นจากการใช้งานทางทหาร ก่อนจะเข้าสู่ภาคพลเรือนและกลายเป็นรากฐานของชีวิตประจำวัน

    สรุปสาระสำคัญ
    โปรเจกต์ Supersized Intel 4004
    สร้างชิปตระกูล Intel 4000 ขึ้นใหม่ในขนาดใหญ่กว่า 130 เท่า
    ใช้ประกอบกับเครื่องคิดเลข Busicom 141-PF รุ่นปี 1971

    นิทรรศการ Enter Museum
    จัดแสดงในเมือง Solothurn ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ปี 2026
    ผู้ชมสามารถทดลองใช้งานเครื่องคิดเลขและดูการทำงานของ register ได้จริง

    ความพิเศษของชิปใหม่
    ทำงานเร็วกว่าเดิมถึงสองเท่า (1.5 MHz เทียบกับ 740 KHz)
    ใช้ทรานซิสเตอร์ FET แบบ low-capacitance

    บทเรียนจากประวัติศาสตร์
    Intel 4004 เป็นไมโครโปรเซสเซอร์เชิงพาณิชย์ตัวแรกของโลก
    แต่ MP944 ของกองทัพเรือสหรัฐฯ ถูกพัฒนาก่อนและเก็บเป็นความลับ

    คำเตือนด้านข้อมูล
    เทคโนโลยีที่ถูกเก็บเป็นความลับอาจทำให้สังคมพลเรือนล่าช้าในการเข้าถึงนวัตกรรม
    การพึ่งพาเทคโนโลยีเก่าโดยไม่พัฒนาอาจทำให้เสียโอกาสเชิงเศรษฐกิจและวิทยาการ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/supersized-family-gathers-for-the-intel-4004-cpu-anniversary-4001-rom-4002-ram-and-4003-shift-registers-feature-in-a-reconstructed-busicom-calculator-build
    🎂 ฉลองครบรอบ 54 ปีของ Intel 4004 ซึ่งเป็นไมโครโปรเซสเซอร์เชิงพาณิชย์ตัวแรกของโลก โปรเจกต์ “Supersized Intel 4004” คือการสร้างชิปตระกูล Intel 4000 ขึ้นใหม่ในขนาดใหญ่กว่าของจริงกว่า 130 เท่า เพื่อฉลองครบรอบ 54 ปี โดยจะถูกจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ Enter Museum ที่สวิตเซอร์แลนด์ในปี 2026 พร้อมทั้งเป็นนิทรรศการเชิงโต้ตอบที่ผู้ชมสามารถทดลองใช้งานได้ การฉลองครบรอบ 54 ปีของ Intel 4004 ซึ่งเป็นไมโครโปรเซสเซอร์เชิงพาณิชย์ตัวแรกของโลก ได้ถูกยกขึ้นมาเล่าใหม่ในรูปแบบที่น่าตื่นตาตื่นใจ นักวิศวกร Klaus Scheffler และ Lajos Kintli ได้สร้างชิปตระกูล Intel 4000 ทั้งชุด ได้แก่ 4004 CPU, 4001 ROM, 4002 RAM และ 4003 Shift Register ในขนาดใหญ่กว่าของจริงถึง 130 เท่า โดยทั้งหมดถูกประกอบเข้ากับเครื่องคิดเลข Busicom 141-PF ที่เคยเป็นต้นแบบการใช้งานจริงเมื่อปี 1971 🏛️ นิทรรศการที่ Enter Museum สวิตเซอร์แลนด์ โปรเจกต์นี้ไม่ได้เป็นเพียงการสร้างเพื่อโชว์เท่านั้น แต่ยังถูกจัดเตรียมให้เป็น นิทรรศการเชิงโต้ตอบ ที่ Enter Museum เมือง Solothurn ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ผู้เข้าชมสามารถกดปุ่มเครื่องคิดเลข ทดลองดู flowchart และค่าการทำงานของ register ได้จริง ทำให้ประวัติศาสตร์ของไมโครโปรเซสเซอร์กลับมามีชีวิตอีกครั้งในยุคปัจจุบัน ⚡ ความพิเศษของชิปขนาดยักษ์ แม้จะเป็นการสร้างใหม่ แต่ชิป supersized 4004 กลับทำงานได้เร็วกว่าเดิมถึง สองเท่า (1.5 MHz เทียบกับ 740 KHz ของต้นฉบับ) เนื่องจากใช้ทรานซิสเตอร์ FET แบบ low-capacitance ที่ออกแบบมาสำหรับงาน RF การพัฒนาเช่นนี้จึงไม่ใช่เพียงการย้อนอดีต แต่ยังแสดงให้เห็นถึงการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีสมัยใหม่กับการออกแบบดั้งเดิม 📜 บทเรียนจากประวัติศาสตร์ Intel 4004 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติวงการคอมพิวเตอร์ แต่ที่น่าสนใจคือ ก่อนหน้าการเปิดตัวของ 4004 หนึ่งปี กองทัพเรือสหรัฐฯ ได้พัฒนาไมโครโปรเซสเซอร์ MP944 ขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ถูกเก็บเป็นความลับจนถึงปี 1989 เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่าเทคโนโลยีที่เปลี่ยนโลกบางครั้งก็เริ่มต้นจากการใช้งานทางทหาร ก่อนจะเข้าสู่ภาคพลเรือนและกลายเป็นรากฐานของชีวิตประจำวัน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ โปรเจกต์ Supersized Intel 4004 ➡️ สร้างชิปตระกูล Intel 4000 ขึ้นใหม่ในขนาดใหญ่กว่า 130 เท่า ➡️ ใช้ประกอบกับเครื่องคิดเลข Busicom 141-PF รุ่นปี 1971 ✅ นิทรรศการ Enter Museum ➡️ จัดแสดงในเมือง Solothurn ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ปี 2026 ➡️ ผู้ชมสามารถทดลองใช้งานเครื่องคิดเลขและดูการทำงานของ register ได้จริง ✅ ความพิเศษของชิปใหม่ ➡️ ทำงานเร็วกว่าเดิมถึงสองเท่า (1.5 MHz เทียบกับ 740 KHz) ➡️ ใช้ทรานซิสเตอร์ FET แบบ low-capacitance ✅ บทเรียนจากประวัติศาสตร์ ➡️ Intel 4004 เป็นไมโครโปรเซสเซอร์เชิงพาณิชย์ตัวแรกของโลก ➡️ แต่ MP944 ของกองทัพเรือสหรัฐฯ ถูกพัฒนาก่อนและเก็บเป็นความลับ ‼️ คำเตือนด้านข้อมูล ⛔ เทคโนโลยีที่ถูกเก็บเป็นความลับอาจทำให้สังคมพลเรือนล่าช้าในการเข้าถึงนวัตกรรม ⛔ การพึ่งพาเทคโนโลยีเก่าโดยไม่พัฒนาอาจทำให้เสียโอกาสเชิงเศรษฐกิจและวิทยาการ https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/supersized-family-gathers-for-the-intel-4004-cpu-anniversary-4001-rom-4002-ram-and-4003-shift-registers-feature-in-a-reconstructed-busicom-calculator-build
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 5

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 5
    ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่ญี่ปุ่นไปยึดเกาหลี ได้ในปี ค.ศ.1895 และตีจีนกระเจิงกลับบ้านพวกไกยิ่น ฝรั่งชาติต่างๆ โดยเฉพาะอังกฤษ เริ่มหรี่ตามองญี่ปุ่น ไอ้หมอนี่ชักจะเรียนเร็วไปแล้ว แล้วอังกฤษ ก็หลอกญี่ปุ่นให้ทำสัญญามิตรภาพ เมื่อต้นปี ค.ศ.1902 เป็นสัญญาที่ดูเหมือนเอาไว้กันท่ากันชาวบ้าน และกันท่ากันเองด้วย ในสัญญาบอกว่า ญี่ปุ่นรับรู้ว่า อังกฤษมีผลประโยชน์ในจีน ส่วนอังกฤษก็รับรู้ว่า ญี่ปุ่นมีผลประโยชน์ในจีน และในเกาหลี และถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องไปรบกับใคร อีกฝ่ายก็จะส่งกำลังไปช่วย
    เป็นสัญญาที่แสดงความเก๋าของอังกฤษอย่างยิ่ง อังกฤษตาไว มองไกล เห็นหน่วยก้านญี่ปุ่นแล้ว ปล่อยให้ไปอยู่ข้างอื่นไม่ได้ ต้องเอามาอยู่ใกล้ตัว อังกฤษ เตรียมพร้อมที่จะกันท่าญี่ปุ่นเรื่องจีน และพร้อมที่หลอกใช้ญี่ปุ่นด้วย
    สำหรับอังกฤษ การทำสัญญากับญี่ปุ่น มันเป็นเรื่องยุทธศาสตร์กันท่าอย่างเดียว แต่สำหรับญี่ปุ่น มันเป็นคนละเรื่องกัน ญี่ปุ่นปลาบปลื้มยิ่งนัก ญี่ปุ่นคิดว่า อังกฤษเป็นเพื่อนคนแรกของญี่ปุ่น ที่เห็นคุณค่า และความสามารถของญี่ปุ่น ที่สำคัญ เป็นเพื่อนผมทอง ตาน้ำข้าวที่ญี่ปุ่นปลื้มหนักหนา…
    ท่านที่อ่านนิทานเรื่อง ต้มข้ามศตวรรษ คงจำกันได้ว่า ญี่ปุ่นลุกขึ้นไปรบรัสเซียในปี ค.ศ.1904 แต่ก่อนจะไปรบ ญี่ปุ่นไม่มีทุน คนที่ช่วยหาทุนให้ญี่ปุ่น คือ ชาวยิวชื่อ Jacob Schiff ซึ่งเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของ Kuhn Loeb & Co บริษัทการเงินใหญ่ แห่งวอลสตรีท ที่เป็นร่างทรงของ Rothschild ผู้ปกครองของรัฐบาลอังกฤษ Rothschild มีแผนจะคิดบัญชีซาร์นิโคลัส กษัตริย์ที่ปกครองรัสเซีย และยึดน้ำมันรัสเซีย จึงต้องสร้างปฏิวัติให้รัสเซียน่วมก่อน แต่ก่อนจะสร้างปฏิวัติรัสเซีย อังกฤษก็ยุให้ญี่ปุ่น ที่กำลังอยากแสดงฝีมือ ให้ไปรบให้รัสเซียเซเสียก่อน และทุกอย่างก็เป็นไปแผน ญี่ปุ่นบ้ายุ ไปรบรัสเซีย จนรัสเซียแพ้ เซแซดจริงๆ
    พอจะเห็นรางๆแล้วนะครับว่า ตั้งแต่เปลี่ยนนิสัย ไม่รักสันโดษ ญี่ปุ่นดูเหมือนไม่อยู่แบบเดี่ยวๆ และทำท่าจะเกี่ยวโยงกันไปหมด
    เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1914 อังกฤษ เปลี่ยนนโยบายกระทันหัน จากที่เคยคิดปิดล้อมรัสเซีย ก็ไม่จำเป็นแล้ว เพราะรัสเซียเซแซดใกล้ล้ม อังกฤษเลยเปลี่ยน จากล้อมรัสเซีย เป็นเข้าไปต้ม หรือปล้นให้รู้แล้วรู้รอด และไปล้อมเยอรมันแทน
    เมื่อไม่ต้องรบรัสเซีย อังกฤษคิดไม่ตก ในอังกฤษเสียงแตก ฝ่ายหนึ่งบอก ญี่ปุ่นเป็นคู่แค้นรัสเซีย ไม่รบรัสเซีย ก็ไม่ต้องชวนญี่ปุ่นเข้าร่วมก๊วน เพราะไม่ไว้ใจว่า ถ้าบอกให้ญี่ปุ่นคอยกันกองทัพเรือเยอรมัน ในแถวแปซิฟิก ญี่ปุ่นอาจจะฉวยโอกาสแย่งงับเกาะเล็ก เกาะน้อยของเยอรมันแถวแปซิฟิกไป โดยอังกฤษ หันมางับไม่ทันก็เป็นได้ เหมือนกรณีงาบเกาหลีไปจากจีน นับว่า ฝ่ายนี้มองญี่ปุ่นได้ลึกซึ้ง แต่อีกฝ่ายหนึ่งคือ หลอดวินสตัน เชอชิล บอกว่า เหลวไหล เราไม่ชวนญี่ปุ่น แปลว่า เรากลัวเขาจนตีนจิกละสิ แล้วอังกฤษก็เลยชวนญี่ปุ่นเล่นสงครามโลกครั้งที่ 1 ด้วยกัน แปลว่า ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ กลัวญี่ปุ่นจนตีนจิกจริงๆ ฮาจริง (โว้ย)
    หลังจากออกคำชวนไปไม่ถึงสัปดาห์ ญี่ปุ่นไม่ให้เสียเวลา ส่งหนังสือถึงเยอรมัน ให้เยอรมันถอยเรือออกไปจากแปซืฟิกให้หมด เยอรมันไม่ตอบ แต่สั่งให้กองกำลังของตนที่เกาะชิงเตา Tsingtao เตรียมพร้อม วันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ.1914 ญี่ปุ่นก็ประกาศสงครามกับเยอรมัน และเคลื่อนพลไปยึดบรรดาเกาะต่างๆ ที่อยู่ในความครอบครองของเยอรมันเรียบหมด
    ญี่ปุ่นดูเหมือนจะให้ความร่วมมือกับฝ่ายสัมพันธมิตรในมหาสมุทรแปซิฟิกอยู่พักใหญ่ แต่หลังจากที่กวาดเอาเกาะของเยอรมันมาหมดแล้ว ญี่ปุ่นก็พักเหนื่อย เมื่ออังกฤษขอให้ญี่ปุ่นส่งเรือมาช่วยรบที่ทะเลเมดิเตอเรเนียนกับ ทะเลบอลติก ญี่ปุ่นก็ปฏิเสธอย่างสุภาพ
    เมื่อถูกต่อว่า ญี่ปุ่นบอกมีปัญหาภายในกองทัพแก้ไม่ตก นายทหารเรือของญี่ปุ่นส่วนใหญ่ จบมาจากเยอรมันทั้งนั้น แถมเยอรมันยังมาช่าวทำการฝึก การรบ การใช้อาวุธให้อีก ใครจะอยากไปรบกับครู และในญี่ปุ่นเอง เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ.1912 มาแล้ว มีเสียงบ่นว่า เราน่าจะเลิกสัญญาบ้าบอที่ไปทำกับอังกฤษเสีย แล้วมาผูกสัมพันธ์กับเยอรมันดีกว่า
    เรื่องที่ญี่ปุ่นคิดเอาใจออกห่างไปอยู่กับเยอรมัน มีหรือจะไม่ไปถึงหูอังกฤษ อังกฤษยังแค่ลงบัญชีไว้ ยังไม่ถึงคิดบัญชี ญี่ปุ่นก็เลยแสดงความกร่างต่อ ด้วยการยื่นข้อเสนอ 21 ข้อต่อจีน ในปี ค.ศ.1915 ระหว่างที่อังกฤษกำลังวุ่นกับสงครามอยู่ในยุโรป เหมือนกับญี่ปุ่นฉวยโอกาสลองของ ก็รู้อยู่แล้วตามสัญญาที่ทำกับอังกฤษว่า อังกฤษก็เล็งจีนอยู่ แบบนี้อังกฤษจะรับไหวหรือ แล้วความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษกับญี่ปุ่น ก็เริ่มหวานน้อยลง
    แต่ญี่ปุ่น ก็ไม่ได้สร้าง”รอย” ไว้แค่กับอังกฤษเท่านั้น
    เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 จบลง ฝ่ายผู้ชนะสงคราม ได้จัดประชุมขึ้นที่ปารีส เมื่อวันที่ 18 มกราคม ค.ศ.1919 เพื่อจัดการแบ่งสมบัติของฝ่ายผู้แพ้ ปรับค่าทำสงคราม จัดหาบ้านให้ยิว ฯลฯ และเรื่องจัดตั้ง League of Nations (LON) เพื่อจะให้เป็นหน่วยงานสากลระหว่างประเทศ (ต้นกำเนิดของสหประชาชาติ) ในการดูแลแก้ไขข้อขัดแย้งระหว่างประเทศ ฯลฯ
    ในเรื่องการแบ่งสมบัติ ญี่ปุ่นคิดว่าตนเองควรจะได้บรรดาสมบัติของเยอรมันในแปซิฟิก ที่ตัวไปออกแรงยึดมา แต่กรรมการแบ่ง นำโดยอังกฤษ กลับจัดให้ครึ่งเดียว อีกครึ่งยกให้ออสเตรเลียที่ไม่ได้ทำอะไร แต่ก็ได้รางวัล เพราะเป็นเครือเดียวกับอังกฤษ ญี่ปุ่น เลือดขึ้นหน้า แต่น้ำตาตกใน เพิ่งสำนึกถึงสถานะจริงของตัว แหม หลงนึกว่า เขานับเราเป็นเพื่อนซี๊ แบบนี้ไม่ให้จี๋หลวมได้ยังไง
    นอกจากได้ สมบัติมาครึ่งเดียว ระหว่างที่ประชุมเรื่อง League of Nations ญี่ปุ่นเกิดข้องใจ ไปเจอข้อความในร่างข้อบังคับของ LON ที่เขียนเหมือนเป็นการหมิ่น หรือกีดกันเชื่อชาติ คิดว่าตนก็เพิ่งโดนมา จึงออกอาการ ทำการประท้วงยาวเหยียด แต่อเมริกาโดยประธานาธิบดี Woodlow Wilson ในฐานะประธาน และประเทศมหาอำนาจใหญ่กว่า บอกว่า แม้จะมีการออกเสียงโดยเสียงข้างมากเห็นชอบ ให้แก้ไขตามที่ญี่ปุ่นเสนอ แต่พณฯ จากประเทศมหาอำนาจใหญ่กว่าญี่ปุ่น เห็นว่าการแก้ไขต้องได้คะแนนเสียงเอกฉันท์ ประเด็นคะแนนเสียงเอกฉันท์นี้ เป็นความเห็นพ้อง หรือสำทับมาจากอังกฤษ อเมริกาเอง กำลังจะอ่อนให้ญี่ปุ่นอยู่แล้ว เลยต้องแข็งกลับ ญี่ปุ่น ก็เลยเก็บของกลับบ้าน รีบมาหาใบบัวบกกิน แก้ช้ำใจ
    นักประวัติศาสตร์บอกว่า เรื่องที่ประชุมที่ปารีสนี้ คาใจญี่ปุ่นยิ่งนัก และเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้เชื้อความรุกรานของญี่ปุ่น รุนแรงขึ้นทุกวัน ในที่สุดก็พัฒนา มาเป็นการเข้าร่วมทำสงครามโลกครั้งที่ 2
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    16 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 5 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 5 ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่ญี่ปุ่นไปยึดเกาหลี ได้ในปี ค.ศ.1895 และตีจีนกระเจิงกลับบ้านพวกไกยิ่น ฝรั่งชาติต่างๆ โดยเฉพาะอังกฤษ เริ่มหรี่ตามองญี่ปุ่น ไอ้หมอนี่ชักจะเรียนเร็วไปแล้ว แล้วอังกฤษ ก็หลอกญี่ปุ่นให้ทำสัญญามิตรภาพ เมื่อต้นปี ค.ศ.1902 เป็นสัญญาที่ดูเหมือนเอาไว้กันท่ากันชาวบ้าน และกันท่ากันเองด้วย ในสัญญาบอกว่า ญี่ปุ่นรับรู้ว่า อังกฤษมีผลประโยชน์ในจีน ส่วนอังกฤษก็รับรู้ว่า ญี่ปุ่นมีผลประโยชน์ในจีน และในเกาหลี และถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องไปรบกับใคร อีกฝ่ายก็จะส่งกำลังไปช่วย เป็นสัญญาที่แสดงความเก๋าของอังกฤษอย่างยิ่ง อังกฤษตาไว มองไกล เห็นหน่วยก้านญี่ปุ่นแล้ว ปล่อยให้ไปอยู่ข้างอื่นไม่ได้ ต้องเอามาอยู่ใกล้ตัว อังกฤษ เตรียมพร้อมที่จะกันท่าญี่ปุ่นเรื่องจีน และพร้อมที่หลอกใช้ญี่ปุ่นด้วย สำหรับอังกฤษ การทำสัญญากับญี่ปุ่น มันเป็นเรื่องยุทธศาสตร์กันท่าอย่างเดียว แต่สำหรับญี่ปุ่น มันเป็นคนละเรื่องกัน ญี่ปุ่นปลาบปลื้มยิ่งนัก ญี่ปุ่นคิดว่า อังกฤษเป็นเพื่อนคนแรกของญี่ปุ่น ที่เห็นคุณค่า และความสามารถของญี่ปุ่น ที่สำคัญ เป็นเพื่อนผมทอง ตาน้ำข้าวที่ญี่ปุ่นปลื้มหนักหนา… ท่านที่อ่านนิทานเรื่อง ต้มข้ามศตวรรษ คงจำกันได้ว่า ญี่ปุ่นลุกขึ้นไปรบรัสเซียในปี ค.ศ.1904 แต่ก่อนจะไปรบ ญี่ปุ่นไม่มีทุน คนที่ช่วยหาทุนให้ญี่ปุ่น คือ ชาวยิวชื่อ Jacob Schiff ซึ่งเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของ Kuhn Loeb & Co บริษัทการเงินใหญ่ แห่งวอลสตรีท ที่เป็นร่างทรงของ Rothschild ผู้ปกครองของรัฐบาลอังกฤษ Rothschild มีแผนจะคิดบัญชีซาร์นิโคลัส กษัตริย์ที่ปกครองรัสเซีย และยึดน้ำมันรัสเซีย จึงต้องสร้างปฏิวัติให้รัสเซียน่วมก่อน แต่ก่อนจะสร้างปฏิวัติรัสเซีย อังกฤษก็ยุให้ญี่ปุ่น ที่กำลังอยากแสดงฝีมือ ให้ไปรบให้รัสเซียเซเสียก่อน และทุกอย่างก็เป็นไปแผน ญี่ปุ่นบ้ายุ ไปรบรัสเซีย จนรัสเซียแพ้ เซแซดจริงๆ พอจะเห็นรางๆแล้วนะครับว่า ตั้งแต่เปลี่ยนนิสัย ไม่รักสันโดษ ญี่ปุ่นดูเหมือนไม่อยู่แบบเดี่ยวๆ และทำท่าจะเกี่ยวโยงกันไปหมด เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1914 อังกฤษ เปลี่ยนนโยบายกระทันหัน จากที่เคยคิดปิดล้อมรัสเซีย ก็ไม่จำเป็นแล้ว เพราะรัสเซียเซแซดใกล้ล้ม อังกฤษเลยเปลี่ยน จากล้อมรัสเซีย เป็นเข้าไปต้ม หรือปล้นให้รู้แล้วรู้รอด และไปล้อมเยอรมันแทน เมื่อไม่ต้องรบรัสเซีย อังกฤษคิดไม่ตก ในอังกฤษเสียงแตก ฝ่ายหนึ่งบอก ญี่ปุ่นเป็นคู่แค้นรัสเซีย ไม่รบรัสเซีย ก็ไม่ต้องชวนญี่ปุ่นเข้าร่วมก๊วน เพราะไม่ไว้ใจว่า ถ้าบอกให้ญี่ปุ่นคอยกันกองทัพเรือเยอรมัน ในแถวแปซิฟิก ญี่ปุ่นอาจจะฉวยโอกาสแย่งงับเกาะเล็ก เกาะน้อยของเยอรมันแถวแปซิฟิกไป โดยอังกฤษ หันมางับไม่ทันก็เป็นได้ เหมือนกรณีงาบเกาหลีไปจากจีน นับว่า ฝ่ายนี้มองญี่ปุ่นได้ลึกซึ้ง แต่อีกฝ่ายหนึ่งคือ หลอดวินสตัน เชอชิล บอกว่า เหลวไหล เราไม่ชวนญี่ปุ่น แปลว่า เรากลัวเขาจนตีนจิกละสิ แล้วอังกฤษก็เลยชวนญี่ปุ่นเล่นสงครามโลกครั้งที่ 1 ด้วยกัน แปลว่า ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ กลัวญี่ปุ่นจนตีนจิกจริงๆ ฮาจริง (โว้ย) หลังจากออกคำชวนไปไม่ถึงสัปดาห์ ญี่ปุ่นไม่ให้เสียเวลา ส่งหนังสือถึงเยอรมัน ให้เยอรมันถอยเรือออกไปจากแปซืฟิกให้หมด เยอรมันไม่ตอบ แต่สั่งให้กองกำลังของตนที่เกาะชิงเตา Tsingtao เตรียมพร้อม วันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ.1914 ญี่ปุ่นก็ประกาศสงครามกับเยอรมัน และเคลื่อนพลไปยึดบรรดาเกาะต่างๆ ที่อยู่ในความครอบครองของเยอรมันเรียบหมด ญี่ปุ่นดูเหมือนจะให้ความร่วมมือกับฝ่ายสัมพันธมิตรในมหาสมุทรแปซิฟิกอยู่พักใหญ่ แต่หลังจากที่กวาดเอาเกาะของเยอรมันมาหมดแล้ว ญี่ปุ่นก็พักเหนื่อย เมื่ออังกฤษขอให้ญี่ปุ่นส่งเรือมาช่วยรบที่ทะเลเมดิเตอเรเนียนกับ ทะเลบอลติก ญี่ปุ่นก็ปฏิเสธอย่างสุภาพ เมื่อถูกต่อว่า ญี่ปุ่นบอกมีปัญหาภายในกองทัพแก้ไม่ตก นายทหารเรือของญี่ปุ่นส่วนใหญ่ จบมาจากเยอรมันทั้งนั้น แถมเยอรมันยังมาช่าวทำการฝึก การรบ การใช้อาวุธให้อีก ใครจะอยากไปรบกับครู และในญี่ปุ่นเอง เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ.1912 มาแล้ว มีเสียงบ่นว่า เราน่าจะเลิกสัญญาบ้าบอที่ไปทำกับอังกฤษเสีย แล้วมาผูกสัมพันธ์กับเยอรมันดีกว่า เรื่องที่ญี่ปุ่นคิดเอาใจออกห่างไปอยู่กับเยอรมัน มีหรือจะไม่ไปถึงหูอังกฤษ อังกฤษยังแค่ลงบัญชีไว้ ยังไม่ถึงคิดบัญชี ญี่ปุ่นก็เลยแสดงความกร่างต่อ ด้วยการยื่นข้อเสนอ 21 ข้อต่อจีน ในปี ค.ศ.1915 ระหว่างที่อังกฤษกำลังวุ่นกับสงครามอยู่ในยุโรป เหมือนกับญี่ปุ่นฉวยโอกาสลองของ ก็รู้อยู่แล้วตามสัญญาที่ทำกับอังกฤษว่า อังกฤษก็เล็งจีนอยู่ แบบนี้อังกฤษจะรับไหวหรือ แล้วความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษกับญี่ปุ่น ก็เริ่มหวานน้อยลง แต่ญี่ปุ่น ก็ไม่ได้สร้าง”รอย” ไว้แค่กับอังกฤษเท่านั้น เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 จบลง ฝ่ายผู้ชนะสงคราม ได้จัดประชุมขึ้นที่ปารีส เมื่อวันที่ 18 มกราคม ค.ศ.1919 เพื่อจัดการแบ่งสมบัติของฝ่ายผู้แพ้ ปรับค่าทำสงคราม จัดหาบ้านให้ยิว ฯลฯ และเรื่องจัดตั้ง League of Nations (LON) เพื่อจะให้เป็นหน่วยงานสากลระหว่างประเทศ (ต้นกำเนิดของสหประชาชาติ) ในการดูแลแก้ไขข้อขัดแย้งระหว่างประเทศ ฯลฯ ในเรื่องการแบ่งสมบัติ ญี่ปุ่นคิดว่าตนเองควรจะได้บรรดาสมบัติของเยอรมันในแปซิฟิก ที่ตัวไปออกแรงยึดมา แต่กรรมการแบ่ง นำโดยอังกฤษ กลับจัดให้ครึ่งเดียว อีกครึ่งยกให้ออสเตรเลียที่ไม่ได้ทำอะไร แต่ก็ได้รางวัล เพราะเป็นเครือเดียวกับอังกฤษ ญี่ปุ่น เลือดขึ้นหน้า แต่น้ำตาตกใน เพิ่งสำนึกถึงสถานะจริงของตัว แหม หลงนึกว่า เขานับเราเป็นเพื่อนซี๊ แบบนี้ไม่ให้จี๋หลวมได้ยังไง นอกจากได้ สมบัติมาครึ่งเดียว ระหว่างที่ประชุมเรื่อง League of Nations ญี่ปุ่นเกิดข้องใจ ไปเจอข้อความในร่างข้อบังคับของ LON ที่เขียนเหมือนเป็นการหมิ่น หรือกีดกันเชื่อชาติ คิดว่าตนก็เพิ่งโดนมา จึงออกอาการ ทำการประท้วงยาวเหยียด แต่อเมริกาโดยประธานาธิบดี Woodlow Wilson ในฐานะประธาน และประเทศมหาอำนาจใหญ่กว่า บอกว่า แม้จะมีการออกเสียงโดยเสียงข้างมากเห็นชอบ ให้แก้ไขตามที่ญี่ปุ่นเสนอ แต่พณฯ จากประเทศมหาอำนาจใหญ่กว่าญี่ปุ่น เห็นว่าการแก้ไขต้องได้คะแนนเสียงเอกฉันท์ ประเด็นคะแนนเสียงเอกฉันท์นี้ เป็นความเห็นพ้อง หรือสำทับมาจากอังกฤษ อเมริกาเอง กำลังจะอ่อนให้ญี่ปุ่นอยู่แล้ว เลยต้องแข็งกลับ ญี่ปุ่น ก็เลยเก็บของกลับบ้าน รีบมาหาใบบัวบกกิน แก้ช้ำใจ นักประวัติศาสตร์บอกว่า เรื่องที่ประชุมที่ปารีสนี้ คาใจญี่ปุ่นยิ่งนัก และเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้เชื้อความรุกรานของญี่ปุ่น รุนแรงขึ้นทุกวัน ในที่สุดก็พัฒนา มาเป็นการเข้าร่วมทำสงครามโลกครั้งที่ 2 สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 16 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 184 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 3 – 4

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 3
    อ่านมาถึงตรงนี้ คงมีหลายคนท้วงว่า นี่มันก็เรื่องธรรมดาของการล่าอาณานิคม จะนักล่าหน้าเก่า หน้าใหม่ มันก็ทำอย่างนี้ทั้งนั้น จีนจะต้องขมอะไรนานนักหนากับญี่ปุ่น
    งั้นคงต้องเอาเหตุการณ์ที่สะพานมาร์โคโปโล หรือที่ชาวจีน เรียกว่า ฆ่าโหดที่นานกิง Masscre of Nanking มาเล่าสู่กันฟังหน่อย
    ปี ค.ศ.1936 ญี่ปุ่นยังตัดสินใจไม่ตกว่า ควรจะขึ้นเหนือ ไปบุกไซบีเรียของโซเวียต เพื่อไปล่าทรัพยากรมาเพิ่ม เพราะของตนเอง (ที่กว้านมาจากเกาหลี และ แมนจูเรีย) กำลังร่อยหรอลงทุกวันจากการใช้เลี้ยงอุตสาหกรรม เและการเลี้ยงท้องพลเมืองญี่ปุ่น ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าบุกไซบีเรีย พวกตะวันตกอาจจะชื่นชมเราก็ได้นะ ที่ซัดหน้าสตาลินได้ ความคิดของตะวันตก โดยเฉพาะอังกฤษ ครอบงำญี่ปุ่นมานานแล้ว
    ปี ค.ศ.1937 องค์ชาย และองค์หญิง ชิชิบุ Chichibu น้องชายและน้องสะใภ้ของ จักรพรรดิ ฮิโรฮิโต Hirohoto เดินทางไปอังกฤษ เพื่อร่วมพิธีขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์จอร์จที่ 6 เป็นช่วงที่สังคมชั้นสูงของอังกฤษ กำลังโต้เถียงกันว่า ระหว่างเยอรมันกับโซเวียต ใครจะเป็นตัวป่วนความศิวิไลซ์ ของโลกมากกว่ากัน แปลง่ายๆ ใครเลวกว่ากัน น่ะครับ ส่วนใหญ่เห็นว่า ฮิตเลอร์ น่าจะเลวน้อยกว่าสตาลิน พวกขุนนางอังกฤษ บอกว่า ยังไง เงินเก่า ขุนนางเก่า น่าจะดีกว่าพวกบอลเชวิก ที่เผลอๆ อาจจะจับเอาพวกเราไปยืนข้างกำแพง แล้วจัดการเรา เหมือนที่ราชวงศ์โรมานอฟ ของรัสเซียโดนก็ได้นะ
    ฝ่ายอเมริกา ที่นำโดยกลุ่มเศรษฐี เช่น Herbert Hoover และ Lindberg ซึ่งต่างก็เป็นตัวเก็งว่า น่าจะเข้าป้าย ได้เป็นประธานาธิบดีสักสมัย ก็มีแนวคัดค้านลัทธิคอม
    มิวนิสม์ อย่างรุนแรง จึงออกจะเอนไปทางเลือกคบเยอรมัน ส่วนพวกนักการเงินแถววอลสตรีท โดยเฉพาะบรรดาเพื่อนของ นาย Thomas Lamont ยังไม่ลืมเรื่องบอลเชวิก ที่ยกหนี้ให้เยอรมัน( หลังสงครามโลกครั้งที่ 1) แถมไม่ยอมใช้หนี้ที่รัสเซียเป็นหนี้นักการเงินตะวันตก โดยอ้างว่า เป็นหนี้ที่ซาร์ก่อไว้ พวกปฏิวิติไม่รับรู้ เจ้าหนี้นักต้มจากตะวันตกบอก ประหารราชวงศ์ก็เรื่องนึง แต่เรื่องไม่ใช่หนี้ นี่เรื่องใหญ่ (กว่า) พวกนี้ จึงบอกว่าไม่เอาโซเวียตแล้ว
    ที่อังกฤษ ระหว่างการสนทนาของทูตญี่ปุ่นประจำ อังกฤษ นายโยชิดะ Yoshida กับบรรดาขุนนางอังกฤษ นายโยชิดะ บอกว่า น่าเป็นห่วงนะ เชื้อคอม นี่มันแพร่เร็วจริง ตอนนี้กระจายไปถึงแมนจูเรีย ที่กองทัพญี่ปุ่นไปตั้งอยู่แล้วนะ กองทัพญี่ปุ่นทำท่าจะติดเชื้อมาด้วย ทูตช่างเจรจาบอกว่า แต่พวกเราก็ไม่เอาสตาลินนะ และหวังจะเอาความเห็นของอังกฤษ ที่ไม่เอาสตาลิน มาอ้างกับฝ่ายบริหารที่โตเกียวด้วย
    ภาระกิจอย่างหนึ่งขององค์ชายชิชิบุ ในการไปอังกฤษ คือการไปสมานไมตรีระหว่างอังก ฤษกับญี่ปุ่น ที่เคยรักกันจี๊ แต่ตอนหลังๆจี๊หลวมไปหน่อย เลยต้องไปไขให้แน่นขึ้น นอกจากนี้ องค์ชาย ก็ต้องการยืมปากคำอังกฤษ มาใช้อ้างกับฝ่ายทหาร โดยเฉพาะกองทัพที่กวางตุ้ง ให้มุ่งหน้าไปพัฒนาแมนจูเรียกับเกาหลี แต่ถ้าคึกนักทนไม่ไหว ก็ให้เคลื่อนพลขึ้นเหนือไปโน่น ไปรบกับโซเวียตแทน ไม่ใช่ลงใต้มาเอเซีย และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
    แต่ที่โตเกียว อำนาจที่มองไม่เห็น กำลังบีบฝ่ายบริหารของญี่ปุ่น ไม่ให้มุ่งไปเหนือไปรบโซเวียต แต่ให้มุ่งลงใต้แทน โดย ให้กองทัพบุกยึดจีน และอาเซียตะวันออกเฉียงใต้ให้ได้ ซึ่งจะทำให้ญี่ปุ่นได้ขยายตลาดการค้าที่มีอยู่ และขยายฐานการผลิตให้กว้างใหญ่ขึ้น และที่สำคัญ จะได้เข้าไป ยึดสมบัติของรัฐ และของชาวบ้าน รวมทั้งทรัพยากรมีค่าที่เปิดอ้ารออยู่แล้วในบรรดาประเทศอาณานิคมของพวกตะวันตก นี่มันเหมือนญี่ปุน แยกเป็น 2 ก๊ก ชัดเจนเชียวนะ
    ด้วยเป้าหมายแบบนี้ กองทัพญี่ปุ่นก็ไม่อยากจะปฏิเสธ เรื่องปล้นเอาสมบัติของพวกตะวันตก ที่อยู่ในเอเซีย มันน่าอร่อยจะตาย
    ในความเป็นจริง อำนาจแท้จริงที่แมนจูเรียอยู่ในกำมือของกองทัพญี่ปุ่นกวันตง หรือ คันโต (Kwangtung)ที่ประจำอยู่ที่แมนจูเรีย และกลุ่มพวกใต้ดิน ซึ่งดูแลโดยนายพลโตโจ Tojo Hideki เขาเป็นหัวหน้าหน่วยตำรวจลับ ที่มีแฟ้มประวัติของนายทหารทุก คน ที่ประจำอยู่ที่นั่น การใช้จ่ายของกองทัพคันโต ที่แมนจเรีย ดูแลจัดการโดยพวกนิสสัน Nissan zaibatzu ที่เพิ่งตั้งขึ้น กองทัพเจาะจงเลือกให้นิสสันมารับงาน เพราะกองทัพมีงานต้องทำมากมาย นาย คิชิ Kishi Nobusuke ผู้ชำนาญการ ถูกเลือกมาทำหน้าที่ดูแล รับผิดชอบ เจ้าของนิสสัน ไม่ใช่ใครอื่น เป็นลุงของ คิชิ นั่นเอง
    นิสสัน ย้ายสำนักงานใหญ่มาอยู่ที่แมนจูเรีย และร่ำรวยขึ้นอย่างมหาศาล จากการทำให้กองทัพที่แมนจูเรีย ร่ำรวยอย่างมหาศาล เช่นเดียวกัน เมื่อรวยถึงขนาดนั้น กองทัพที่แมนจูเรียก็แทบจะเป็น เอกเทศ ไม่ต้องพึ่งงบหลวง ไม่มีสนใจเรื่องยศ เรื่องตำแหน่ง เพราะเลื่อนช้ันกันได้เอง และแม้แต่รัฐบาลญี่ปุ่น ก็ไม่กล้ามาออกเสียงดัง กับกองทัพที่แมนจูเรีย และนายพลโตโจ ก็กำลังเตรียมพร้อม ที่จะไปเป็นนายกรัฐมนตรีเสียเอง
    ทั้งหมดนี้ ส่วนใหญ่มาจากมาจากฝีมือของนาย คิชิ ผู้ซึ่งดูแลจัดการ ธุรกิจของกองทัพ ซึ่งมีตั้งแต่ การถลุงเหล็ก การทำเหมืองถ่านหิน การทำป่าไม้ การปลูกและผลิตฝิ่น ธุรกิจของ กองทัพคันโต มีมูลค่าขณะนั้น ประมาณ 1.1 พันล้านเหรียญ มีทหาร และพลเรือนในความดูแลที่แมนจูเรีย 7 แสนคน ขณะที่โตเกียวต้องรัดเข็มขัด มีการปันส่วน แต่ที่แมนจูเรียอยู่กันอย่างสุขสบาย ของกินของใช้เหลือเฟือ ความสำเร็จของกองทัพคันโตทำให้ญี่ปุ่น ยิ่งเกิดความกระหาย ที่จะยึดสมบัติคนอื่นมากขึ้น ในสายตาของญี่ปุ่น จีน จึงยิ่งน่ายึดกว่าไซบีเรียของโซเวียต
    #############
    ตอน 4

    วันที่ 7 กรกฏาคม ค.ศ.1937 ระหว่างที่ ครอบครัวชิชิบุ กำลังฉอเลาะกับอังกฤษ กองทัพคันโตก็พร้อมที่จะมอบของขวัญ ให้แก่ชาวจีน ที่สะพานมาร์โคโปโล นอกกรุงปักกิ่ง
    ญี่ปุ่นอ้างว่า มีเสียงปืนดังขึ้น ยิงมาใส่ทหารญี่ปุ่น โดยชายไม่ทราบว่าเป็นใคร (รายงานแบบสื่อหัวสีบ้านเราเลย ฮา) ทหารญี่ปุ่นจึงยิงสวนกลับไป ยิงโต้กันไปโต้กันมาอยู่พักใหญ่ หลังจากนั้นก็บานปลาย ญี่ปุ่นบอก ต้องตามจับพวกคนจีนมาให้ได้ กองทัพญี่ปุ่น ประเมินว่าเรื่องนี้ น่าจะจบเร็ว ใช้เวลาไม่เกิน 3 เดือนก็คงเสร็จญี่ปุ่น เหมือนเมื่อตอนรบในปี ค.ศ.1931
    ทั้ง 2 ฝ่ายยิงสู้รบกันอย่างดุเดือนถึง 3 เดือนจริงๆ เมื่อกองทัพญี่ปุ่น ซึ่งใช้ ยุทธศาสตร์ การรบ “เผาให้เรียบ ฆ่าให้หมด ขนให้เกลี้ยง” ไล่ล่าพวกจีนไปถึงแม่น้ำแยงซี ข้ามแม่น้ำไปล้อมเมืองนานกิง ก็ได้ข่าวว่า ฝ่ายการทูตของญี่ปุ่นเอง แอบไปเจรจาสงบศึกกับฝ่ายจีนเรียบร้อยแล้ว โดยติดสินบนจะจ่ายเงินก้อนใหญ่ ให้แก่นายพลเจียงไคเช็คของจีน ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้นำพรรคชาติชาตินิยม หรือที่เราคุ้นกันว่า พรรคจีนก๊กมินตั๋ง เจียง พร้อมจะรับเงินแล้วทิ้งนานกิงเลิกรบกัน ฝ่ายทหารญี่ปุ่นรู้เรื่องเข้า ก็ไฟธาตุแตก ใครไปตกลง(วะ) ฝ่ายการทูตกับฝ่ายการทหารของญี่ปุ่น พูดกันเองไม่รู้เรื่อง จักรพรรดิฮิโรฮิโต จึงส่ง องค์ชาย อาซากะ Prince Asaka มาบัญชาการแทน
    อาซากะ เป็นอาเขยของจักรพรรดิ ซึ่งมีชื่อเสียงว่า ทั้งความประพฤติ และอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ในลู่ในทาง และองค์หญิงภรรยา ซึ่งเป็นอาแท้ๆของจักรพรรดิ เพิ่งตายจาก เนื่องจากใช้ชีวิตสังคมทั้งดื่มทั้งเต้นหนัก อาซากะ ก็เลยยิ่งกลับเข้าลู่ยากหน่อย ก็น่าแปลกใจที่จักรพรรดิ ส่งคนอย่างอาซากะไปบัญชาการรบ
    ผู้บัญชาการรบตัวจริง ประจำหน่วยรบที่แยงซี นายพล มัตซุย อิวาเน Matsui Iwane ป่วยเป็นวัณโรคนอนซม ก่อนที่อาซากะจะมาถึงแยงซี เขารู้กิตติศัพท์ของอาซากะดี จึงให้แนวทางการรบเอาไว้ โดยให้กองทัพญี่ปุ่น ยึดแนวอยู่รอบนอกเมืองนานกิง และให้เฉพาะกองพลปืนใหญ่ ที่ควบคุมได้ เข้าไปในเมืองเท่านั้น ห้ามหน่วยรบใด ที่ควบคุมไม่ได้ เข้าไปในเมืองเด็ดขาด และอย่าปฏิบัติการใดที่ผิดกฏหมาย
    ในเวลานั้น ที่เมืองนานกิง เจียงไคเช็ค จอมพลใหญ่ ถอนกองทัพของตัว หายหัวไปหมดแล้ว ชาวนานกิงถูกทิ้งให้ดูแลกันเอง เมื่ออาซากะมาถึง รู้ว่านานกิงถูกล้อม และพร้อมที่จะยอมแพ้ เพราะมีแต่ชาวบ้านเหลืออยู่ แต่อาซากะบอกว่า เราจะให้บทเรียนกับพี่น้องชาวจีน อย่างที่เขาจะไม่มีวันลืม.... We will teach our Chinese brothers a lesson they will never forget…. จีนไม่ลืมจริงๆ และด้วยตราประทับประจำตัว อาซากะ ก็สั่งฆ่าเชลยทั้งหมด … Kill all captives…
    แล้วการชำเรานานกิง หรือ The Rape of Nanking ประวัติศาสตร์ ของการทำร้ายชาวบ้านอย่างโหดเหี้ยมทารุณที่สุด ก็เกิดขึ้นในวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ.1937
    ในวันนั้น กองทัพของญี่ปุ่น ค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าไปในเมืองนานกิง ตามติดด้วยขบวนรถถัง ปืนใหญ่ และปืนกล ชาวต่างชาติที่ติดอยู่ในเมืองบอกว่า การยิงใส่ทุกอย่างที่อยู่ข้างหน้า ของกองทัพญี่ปุ่น ดำเนินติดต่อกันอย่างไม่หยุด ไม่น้อยกว่า 10 วัน มันเหมือนนรกแตก ตลอดเวลานั้น ที่ยิงก็ยิงไป อีกส่วนก็ลากเอาชาวบ้านออกมารวม กัน ผู้หญิงทุกคน ตั้งแต่แก่คราวย่ายาย ถึงเด็กเล็ก ถูกรุมโทรม ซ้ำแล้วซ้ำอีก ต่อหน้าครอบครัว ที่ถูกบังคับให้ยืนดู และให้คนในครอบครัว ทำชำเราให้ดูด้วย ถูกชำเราเสร็จ ไม่ตายเอง ก็ถูกฆ่าทิ้ง คนท้องก็ถูกนำมาชำเราด้วย เมื่อชำเราเสร็จ ก็ผ่าท้องเอาทารก มาฆ่าต่อประมาณว่ามี ผู้หญิงและเด็ก กว่า 2 หมื่นคน บางข่าวว่า ถึง 8 หมื่นคน ถูกรุมโทรม และเสียชีวิต
    ส่วนพวกผู้ชาย ถูกนำมามัดไว้ด้วยกัน บ้างถูกโยนทิ้งน้ำทั้งที่ถูกมัด บ้างถูกไฟเผา และที่เหลือถูกปืนกลยิงกราดจนตาย ยังมีพวกผู้ชายบางส่วน อีกประมาณ 2 หมื่นคน ที่อายุรุ่นเกณท์ ถูกให้ฝึกเดินออกจากค่าย โดยทหารญี่ปุ่นใช้คนเหล่านั้น เป็นเป้าเคลื่อนที่ ทดสอบความแม่นยำ และหลายคนถูกใช้เป็นเป้า ทดสอบการตัดหัว
    เหตุการณ์เช่นนี้ ดำเนินอยู่ถึง 3 เดือน จนอากาศเริ่มร้อน และฝนเริ่มตก ชิ้นส่วนศพเป็นพันๆ ชิ้น ที่ถูกทิ้งไว้โผล่ขี้นเต็มเมือง แม่น้ำแยงซีกลายเป็นแม่น้ำเลือด
    สื่อตะวันตกรายงานเหตุการณ์ที่นานกิง อย่างละเอียด อาซากะ ไม่ใช่นายทหารสามัญ เขาเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้ใหญ่ ที่จักรพรรดิส่งไปบัญชาการเอง อาซากะถูกเรียกให้กลับโตเกียว แต่อาซากะไม่กลับ
    ระหว่างที่เหตุการณ์โหดที่นานกิงดำเนินอยู่ องค์ชายชิชิบุ ยังอยู่ในยุโรป ข่าวของนานกิง ทำให้ชิชิบฉอเลาะต่อไม่ออก ขณะเดียวกัน ทางวอชิงตันประณามญี่ปุ่นอย่างรุนแรง ส่วนนอร์เวย์และสวีเดน ยกเลิกหมายกำหนดการต้อนรับชิชิบุ มีแต่ราชินีวิลเฮลมมินา Willhelmina ของฮอลันดา ที่ยังต้อนรับชิชิบุ ตามหมายกำหนดการเดิม เพราะกองทัพเรือญี่ปุ่นใช้น้ำมันจากบริษัท Dutch East Indies
    จากฮอลันดา ชิชิบุ เดินทางไปนูเรมเบิร์ก เพื่อพบกับ อดอลฟ ฮิตเลอร์ ระหว่างทานอาหารกลางวัน ฮิตเลอร์ด่าสตาลินอย่างสาดเสี ยให้ชิชิบุฟัง แล้วชิชิบุก็เปลี่ยนแผน รีบเดินทางกลับญี่ปุ่น ผ่านอเมริกาโดยไม่แวะ มาขึ้นเรือที่แวนคูเวอร์ ระหว่างทาง เขาได้ยินข่าวว่า ประธานาธิบดี Roosevelt ของอเมริกา ขู่จะคว่ำบาตรญี่ปุ่น ประชาชนอเมริกันสนับสนุนให้ทำ แต่มันยังเป็นแค่คำขู่ เพราะกลุ่มการเงิน Wall Street นำโดย JP Morgan ไม่เห็นด้วย เพราะได้ให้เงินกู้ และลงทุนไปแยะในญี่ปุ่น แมนจูเรีย เกาหลี และไต้หวัน เอะ เรื่องทำท่า จะมาอีหรอบเดิมหรือไง
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    15 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 3 อ่านมาถึงตรงนี้ คงมีหลายคนท้วงว่า นี่มันก็เรื่องธรรมดาของการล่าอาณานิคม จะนักล่าหน้าเก่า หน้าใหม่ มันก็ทำอย่างนี้ทั้งนั้น จีนจะต้องขมอะไรนานนักหนากับญี่ปุ่น งั้นคงต้องเอาเหตุการณ์ที่สะพานมาร์โคโปโล หรือที่ชาวจีน เรียกว่า ฆ่าโหดที่นานกิง Masscre of Nanking มาเล่าสู่กันฟังหน่อย ปี ค.ศ.1936 ญี่ปุ่นยังตัดสินใจไม่ตกว่า ควรจะขึ้นเหนือ ไปบุกไซบีเรียของโซเวียต เพื่อไปล่าทรัพยากรมาเพิ่ม เพราะของตนเอง (ที่กว้านมาจากเกาหลี และ แมนจูเรีย) กำลังร่อยหรอลงทุกวันจากการใช้เลี้ยงอุตสาหกรรม เและการเลี้ยงท้องพลเมืองญี่ปุ่น ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าบุกไซบีเรีย พวกตะวันตกอาจจะชื่นชมเราก็ได้นะ ที่ซัดหน้าสตาลินได้ ความคิดของตะวันตก โดยเฉพาะอังกฤษ ครอบงำญี่ปุ่นมานานแล้ว ปี ค.ศ.1937 องค์ชาย และองค์หญิง ชิชิบุ Chichibu น้องชายและน้องสะใภ้ของ จักรพรรดิ ฮิโรฮิโต Hirohoto เดินทางไปอังกฤษ เพื่อร่วมพิธีขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์จอร์จที่ 6 เป็นช่วงที่สังคมชั้นสูงของอังกฤษ กำลังโต้เถียงกันว่า ระหว่างเยอรมันกับโซเวียต ใครจะเป็นตัวป่วนความศิวิไลซ์ ของโลกมากกว่ากัน แปลง่ายๆ ใครเลวกว่ากัน น่ะครับ ส่วนใหญ่เห็นว่า ฮิตเลอร์ น่าจะเลวน้อยกว่าสตาลิน พวกขุนนางอังกฤษ บอกว่า ยังไง เงินเก่า ขุนนางเก่า น่าจะดีกว่าพวกบอลเชวิก ที่เผลอๆ อาจจะจับเอาพวกเราไปยืนข้างกำแพง แล้วจัดการเรา เหมือนที่ราชวงศ์โรมานอฟ ของรัสเซียโดนก็ได้นะ ฝ่ายอเมริกา ที่นำโดยกลุ่มเศรษฐี เช่น Herbert Hoover และ Lindberg ซึ่งต่างก็เป็นตัวเก็งว่า น่าจะเข้าป้าย ได้เป็นประธานาธิบดีสักสมัย ก็มีแนวคัดค้านลัทธิคอม มิวนิสม์ อย่างรุนแรง จึงออกจะเอนไปทางเลือกคบเยอรมัน ส่วนพวกนักการเงินแถววอลสตรีท โดยเฉพาะบรรดาเพื่อนของ นาย Thomas Lamont ยังไม่ลืมเรื่องบอลเชวิก ที่ยกหนี้ให้เยอรมัน( หลังสงครามโลกครั้งที่ 1) แถมไม่ยอมใช้หนี้ที่รัสเซียเป็นหนี้นักการเงินตะวันตก โดยอ้างว่า เป็นหนี้ที่ซาร์ก่อไว้ พวกปฏิวิติไม่รับรู้ เจ้าหนี้นักต้มจากตะวันตกบอก ประหารราชวงศ์ก็เรื่องนึง แต่เรื่องไม่ใช่หนี้ นี่เรื่องใหญ่ (กว่า) พวกนี้ จึงบอกว่าไม่เอาโซเวียตแล้ว ที่อังกฤษ ระหว่างการสนทนาของทูตญี่ปุ่นประจำ อังกฤษ นายโยชิดะ Yoshida กับบรรดาขุนนางอังกฤษ นายโยชิดะ บอกว่า น่าเป็นห่วงนะ เชื้อคอม นี่มันแพร่เร็วจริง ตอนนี้กระจายไปถึงแมนจูเรีย ที่กองทัพญี่ปุ่นไปตั้งอยู่แล้วนะ กองทัพญี่ปุ่นทำท่าจะติดเชื้อมาด้วย ทูตช่างเจรจาบอกว่า แต่พวกเราก็ไม่เอาสตาลินนะ และหวังจะเอาความเห็นของอังกฤษ ที่ไม่เอาสตาลิน มาอ้างกับฝ่ายบริหารที่โตเกียวด้วย ภาระกิจอย่างหนึ่งขององค์ชายชิชิบุ ในการไปอังกฤษ คือการไปสมานไมตรีระหว่างอังก ฤษกับญี่ปุ่น ที่เคยรักกันจี๊ แต่ตอนหลังๆจี๊หลวมไปหน่อย เลยต้องไปไขให้แน่นขึ้น นอกจากนี้ องค์ชาย ก็ต้องการยืมปากคำอังกฤษ มาใช้อ้างกับฝ่ายทหาร โดยเฉพาะกองทัพที่กวางตุ้ง ให้มุ่งหน้าไปพัฒนาแมนจูเรียกับเกาหลี แต่ถ้าคึกนักทนไม่ไหว ก็ให้เคลื่อนพลขึ้นเหนือไปโน่น ไปรบกับโซเวียตแทน ไม่ใช่ลงใต้มาเอเซีย และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ที่โตเกียว อำนาจที่มองไม่เห็น กำลังบีบฝ่ายบริหารของญี่ปุ่น ไม่ให้มุ่งไปเหนือไปรบโซเวียต แต่ให้มุ่งลงใต้แทน โดย ให้กองทัพบุกยึดจีน และอาเซียตะวันออกเฉียงใต้ให้ได้ ซึ่งจะทำให้ญี่ปุ่นได้ขยายตลาดการค้าที่มีอยู่ และขยายฐานการผลิตให้กว้างใหญ่ขึ้น และที่สำคัญ จะได้เข้าไป ยึดสมบัติของรัฐ และของชาวบ้าน รวมทั้งทรัพยากรมีค่าที่เปิดอ้ารออยู่แล้วในบรรดาประเทศอาณานิคมของพวกตะวันตก นี่มันเหมือนญี่ปุน แยกเป็น 2 ก๊ก ชัดเจนเชียวนะ ด้วยเป้าหมายแบบนี้ กองทัพญี่ปุ่นก็ไม่อยากจะปฏิเสธ เรื่องปล้นเอาสมบัติของพวกตะวันตก ที่อยู่ในเอเซีย มันน่าอร่อยจะตาย ในความเป็นจริง อำนาจแท้จริงที่แมนจูเรียอยู่ในกำมือของกองทัพญี่ปุ่นกวันตง หรือ คันโต (Kwangtung)ที่ประจำอยู่ที่แมนจูเรีย และกลุ่มพวกใต้ดิน ซึ่งดูแลโดยนายพลโตโจ Tojo Hideki เขาเป็นหัวหน้าหน่วยตำรวจลับ ที่มีแฟ้มประวัติของนายทหารทุก คน ที่ประจำอยู่ที่นั่น การใช้จ่ายของกองทัพคันโต ที่แมนจเรีย ดูแลจัดการโดยพวกนิสสัน Nissan zaibatzu ที่เพิ่งตั้งขึ้น กองทัพเจาะจงเลือกให้นิสสันมารับงาน เพราะกองทัพมีงานต้องทำมากมาย นาย คิชิ Kishi Nobusuke ผู้ชำนาญการ ถูกเลือกมาทำหน้าที่ดูแล รับผิดชอบ เจ้าของนิสสัน ไม่ใช่ใครอื่น เป็นลุงของ คิชิ นั่นเอง นิสสัน ย้ายสำนักงานใหญ่มาอยู่ที่แมนจูเรีย และร่ำรวยขึ้นอย่างมหาศาล จากการทำให้กองทัพที่แมนจูเรีย ร่ำรวยอย่างมหาศาล เช่นเดียวกัน เมื่อรวยถึงขนาดนั้น กองทัพที่แมนจูเรียก็แทบจะเป็น เอกเทศ ไม่ต้องพึ่งงบหลวง ไม่มีสนใจเรื่องยศ เรื่องตำแหน่ง เพราะเลื่อนช้ันกันได้เอง และแม้แต่รัฐบาลญี่ปุ่น ก็ไม่กล้ามาออกเสียงดัง กับกองทัพที่แมนจูเรีย และนายพลโตโจ ก็กำลังเตรียมพร้อม ที่จะไปเป็นนายกรัฐมนตรีเสียเอง ทั้งหมดนี้ ส่วนใหญ่มาจากมาจากฝีมือของนาย คิชิ ผู้ซึ่งดูแลจัดการ ธุรกิจของกองทัพ ซึ่งมีตั้งแต่ การถลุงเหล็ก การทำเหมืองถ่านหิน การทำป่าไม้ การปลูกและผลิตฝิ่น ธุรกิจของ กองทัพคันโต มีมูลค่าขณะนั้น ประมาณ 1.1 พันล้านเหรียญ มีทหาร และพลเรือนในความดูแลที่แมนจูเรีย 7 แสนคน ขณะที่โตเกียวต้องรัดเข็มขัด มีการปันส่วน แต่ที่แมนจูเรียอยู่กันอย่างสุขสบาย ของกินของใช้เหลือเฟือ ความสำเร็จของกองทัพคันโตทำให้ญี่ปุ่น ยิ่งเกิดความกระหาย ที่จะยึดสมบัติคนอื่นมากขึ้น ในสายตาของญี่ปุ่น จีน จึงยิ่งน่ายึดกว่าไซบีเรียของโซเวียต ############# ตอน 4 วันที่ 7 กรกฏาคม ค.ศ.1937 ระหว่างที่ ครอบครัวชิชิบุ กำลังฉอเลาะกับอังกฤษ กองทัพคันโตก็พร้อมที่จะมอบของขวัญ ให้แก่ชาวจีน ที่สะพานมาร์โคโปโล นอกกรุงปักกิ่ง ญี่ปุ่นอ้างว่า มีเสียงปืนดังขึ้น ยิงมาใส่ทหารญี่ปุ่น โดยชายไม่ทราบว่าเป็นใคร (รายงานแบบสื่อหัวสีบ้านเราเลย ฮา) ทหารญี่ปุ่นจึงยิงสวนกลับไป ยิงโต้กันไปโต้กันมาอยู่พักใหญ่ หลังจากนั้นก็บานปลาย ญี่ปุ่นบอก ต้องตามจับพวกคนจีนมาให้ได้ กองทัพญี่ปุ่น ประเมินว่าเรื่องนี้ น่าจะจบเร็ว ใช้เวลาไม่เกิน 3 เดือนก็คงเสร็จญี่ปุ่น เหมือนเมื่อตอนรบในปี ค.ศ.1931 ทั้ง 2 ฝ่ายยิงสู้รบกันอย่างดุเดือนถึง 3 เดือนจริงๆ เมื่อกองทัพญี่ปุ่น ซึ่งใช้ ยุทธศาสตร์ การรบ “เผาให้เรียบ ฆ่าให้หมด ขนให้เกลี้ยง” ไล่ล่าพวกจีนไปถึงแม่น้ำแยงซี ข้ามแม่น้ำไปล้อมเมืองนานกิง ก็ได้ข่าวว่า ฝ่ายการทูตของญี่ปุ่นเอง แอบไปเจรจาสงบศึกกับฝ่ายจีนเรียบร้อยแล้ว โดยติดสินบนจะจ่ายเงินก้อนใหญ่ ให้แก่นายพลเจียงไคเช็คของจีน ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้นำพรรคชาติชาตินิยม หรือที่เราคุ้นกันว่า พรรคจีนก๊กมินตั๋ง เจียง พร้อมจะรับเงินแล้วทิ้งนานกิงเลิกรบกัน ฝ่ายทหารญี่ปุ่นรู้เรื่องเข้า ก็ไฟธาตุแตก ใครไปตกลง(วะ) ฝ่ายการทูตกับฝ่ายการทหารของญี่ปุ่น พูดกันเองไม่รู้เรื่อง จักรพรรดิฮิโรฮิโต จึงส่ง องค์ชาย อาซากะ Prince Asaka มาบัญชาการแทน อาซากะ เป็นอาเขยของจักรพรรดิ ซึ่งมีชื่อเสียงว่า ทั้งความประพฤติ และอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ในลู่ในทาง และองค์หญิงภรรยา ซึ่งเป็นอาแท้ๆของจักรพรรดิ เพิ่งตายจาก เนื่องจากใช้ชีวิตสังคมทั้งดื่มทั้งเต้นหนัก อาซากะ ก็เลยยิ่งกลับเข้าลู่ยากหน่อย ก็น่าแปลกใจที่จักรพรรดิ ส่งคนอย่างอาซากะไปบัญชาการรบ ผู้บัญชาการรบตัวจริง ประจำหน่วยรบที่แยงซี นายพล มัตซุย อิวาเน Matsui Iwane ป่วยเป็นวัณโรคนอนซม ก่อนที่อาซากะจะมาถึงแยงซี เขารู้กิตติศัพท์ของอาซากะดี จึงให้แนวทางการรบเอาไว้ โดยให้กองทัพญี่ปุ่น ยึดแนวอยู่รอบนอกเมืองนานกิง และให้เฉพาะกองพลปืนใหญ่ ที่ควบคุมได้ เข้าไปในเมืองเท่านั้น ห้ามหน่วยรบใด ที่ควบคุมไม่ได้ เข้าไปในเมืองเด็ดขาด และอย่าปฏิบัติการใดที่ผิดกฏหมาย ในเวลานั้น ที่เมืองนานกิง เจียงไคเช็ค จอมพลใหญ่ ถอนกองทัพของตัว หายหัวไปหมดแล้ว ชาวนานกิงถูกทิ้งให้ดูแลกันเอง เมื่ออาซากะมาถึง รู้ว่านานกิงถูกล้อม และพร้อมที่จะยอมแพ้ เพราะมีแต่ชาวบ้านเหลืออยู่ แต่อาซากะบอกว่า เราจะให้บทเรียนกับพี่น้องชาวจีน อย่างที่เขาจะไม่มีวันลืม.... We will teach our Chinese brothers a lesson they will never forget…. จีนไม่ลืมจริงๆ และด้วยตราประทับประจำตัว อาซากะ ก็สั่งฆ่าเชลยทั้งหมด … Kill all captives… แล้วการชำเรานานกิง หรือ The Rape of Nanking ประวัติศาสตร์ ของการทำร้ายชาวบ้านอย่างโหดเหี้ยมทารุณที่สุด ก็เกิดขึ้นในวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ.1937 ในวันนั้น กองทัพของญี่ปุ่น ค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าไปในเมืองนานกิง ตามติดด้วยขบวนรถถัง ปืนใหญ่ และปืนกล ชาวต่างชาติที่ติดอยู่ในเมืองบอกว่า การยิงใส่ทุกอย่างที่อยู่ข้างหน้า ของกองทัพญี่ปุ่น ดำเนินติดต่อกันอย่างไม่หยุด ไม่น้อยกว่า 10 วัน มันเหมือนนรกแตก ตลอดเวลานั้น ที่ยิงก็ยิงไป อีกส่วนก็ลากเอาชาวบ้านออกมารวม กัน ผู้หญิงทุกคน ตั้งแต่แก่คราวย่ายาย ถึงเด็กเล็ก ถูกรุมโทรม ซ้ำแล้วซ้ำอีก ต่อหน้าครอบครัว ที่ถูกบังคับให้ยืนดู และให้คนในครอบครัว ทำชำเราให้ดูด้วย ถูกชำเราเสร็จ ไม่ตายเอง ก็ถูกฆ่าทิ้ง คนท้องก็ถูกนำมาชำเราด้วย เมื่อชำเราเสร็จ ก็ผ่าท้องเอาทารก มาฆ่าต่อประมาณว่ามี ผู้หญิงและเด็ก กว่า 2 หมื่นคน บางข่าวว่า ถึง 8 หมื่นคน ถูกรุมโทรม และเสียชีวิต ส่วนพวกผู้ชาย ถูกนำมามัดไว้ด้วยกัน บ้างถูกโยนทิ้งน้ำทั้งที่ถูกมัด บ้างถูกไฟเผา และที่เหลือถูกปืนกลยิงกราดจนตาย ยังมีพวกผู้ชายบางส่วน อีกประมาณ 2 หมื่นคน ที่อายุรุ่นเกณท์ ถูกให้ฝึกเดินออกจากค่าย โดยทหารญี่ปุ่นใช้คนเหล่านั้น เป็นเป้าเคลื่อนที่ ทดสอบความแม่นยำ และหลายคนถูกใช้เป็นเป้า ทดสอบการตัดหัว เหตุการณ์เช่นนี้ ดำเนินอยู่ถึง 3 เดือน จนอากาศเริ่มร้อน และฝนเริ่มตก ชิ้นส่วนศพเป็นพันๆ ชิ้น ที่ถูกทิ้งไว้โผล่ขี้นเต็มเมือง แม่น้ำแยงซีกลายเป็นแม่น้ำเลือด สื่อตะวันตกรายงานเหตุการณ์ที่นานกิง อย่างละเอียด อาซากะ ไม่ใช่นายทหารสามัญ เขาเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้ใหญ่ ที่จักรพรรดิส่งไปบัญชาการเอง อาซากะถูกเรียกให้กลับโตเกียว แต่อาซากะไม่กลับ ระหว่างที่เหตุการณ์โหดที่นานกิงดำเนินอยู่ องค์ชายชิชิบุ ยังอยู่ในยุโรป ข่าวของนานกิง ทำให้ชิชิบฉอเลาะต่อไม่ออก ขณะเดียวกัน ทางวอชิงตันประณามญี่ปุ่นอย่างรุนแรง ส่วนนอร์เวย์และสวีเดน ยกเลิกหมายกำหนดการต้อนรับชิชิบุ มีแต่ราชินีวิลเฮลมมินา Willhelmina ของฮอลันดา ที่ยังต้อนรับชิชิบุ ตามหมายกำหนดการเดิม เพราะกองทัพเรือญี่ปุ่นใช้น้ำมันจากบริษัท Dutch East Indies จากฮอลันดา ชิชิบุ เดินทางไปนูเรมเบิร์ก เพื่อพบกับ อดอลฟ ฮิตเลอร์ ระหว่างทานอาหารกลางวัน ฮิตเลอร์ด่าสตาลินอย่างสาดเสี ยให้ชิชิบุฟัง แล้วชิชิบุก็เปลี่ยนแผน รีบเดินทางกลับญี่ปุ่น ผ่านอเมริกาโดยไม่แวะ มาขึ้นเรือที่แวนคูเวอร์ ระหว่างทาง เขาได้ยินข่าวว่า ประธานาธิบดี Roosevelt ของอเมริกา ขู่จะคว่ำบาตรญี่ปุ่น ประชาชนอเมริกันสนับสนุนให้ทำ แต่มันยังเป็นแค่คำขู่ เพราะกลุ่มการเงิน Wall Street นำโดย JP Morgan ไม่เห็นด้วย เพราะได้ให้เงินกู้ และลงทุนไปแยะในญี่ปุ่น แมนจูเรีย เกาหลี และไต้หวัน เอะ เรื่องทำท่า จะมาอีหรอบเดิมหรือไง สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 15 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 261 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนไทยถูกปิดตา แผนที่ฝรั่งเศสทำฝ่ายเดียว สยามต้องเสียดินแดนขนาดนี้ (23/11/68)
    .
    #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #สยาม #ฝรั่งเศส #ประวัติศาสตร์ไทย #เสียดินแดน #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    คนไทยถูกปิดตา แผนที่ฝรั่งเศสทำฝ่ายเดียว สยามต้องเสียดินแดนขนาดนี้ (23/11/68) . #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #สยาม #ฝรั่งเศส #ประวัติศาสตร์ไทย #เสียดินแดน #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 112 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • บั๊กที่ซ่อนอยู่ใน Mac Classic II

    บทความนี้เล่าเรื่องการค้นพบ บั๊กในเครื่อง Apple Mac Classic II อายุ 34 ปี ที่ไม่เคยถูกพบมาก่อน แต่ถูกเปิดเผยด้วยความแม่นยำของโปรแกรมจำลอง MAME Emulator ซึ่งทำให้เห็นความแตกต่างระหว่างการทำงานของฮาร์ดแวร์จริงกับการจำลอง

    นักพัฒนาชื่อ Doug Brown พบว่าเครื่อง Mac Classic II ที่จำลองด้วย MAME จะ แครชทันทีเมื่อเปิดโหมด 32-bit addressing แต่กลับทำงานได้ปกติในโหมด 24-bit ซึ่งแตกต่างจากฮาร์ดแวร์จริงที่ไม่เคยมีปัญหานี้มาก่อน

    คำตอบอยู่ที่ CPU Motorola 68030
    หลังการตรวจสอบ เขาพบว่า ROM ของ Mac Classic II มีบั๊กจริง แต่ฮาร์ดแวร์ที่ใช้ CPU Motorola 68030 มีคำสั่งที่ไม่ได้บันทึกไว้ (undocumented instruction) ซึ่งช่วย “ข้าม” บั๊กนี้ไป ทำให้เครื่องจริงไม่เคยแสดงอาการผิดปกติ ขณะที่ MAME ซึ่งจำลองตามเอกสารเท่านั้น ไม่สามารถเลียนแบบพฤติกรรมนี้ได้

    ความสำคัญของการจำลองที่แม่นยำ
    การค้นพบนี้แสดงให้เห็นว่า ไม่มี emulator ที่สมบูรณ์แบบ 100% เพราะฮาร์ดแวร์จริงอาจมีพฤติกรรมที่ไม่ถูกบันทึกไว้ในคู่มือ การที่ MAME สามารถเปิดเผยบั๊กนี้จึงเป็นหลักฐานว่าการจำลองที่แม่นยำสามารถช่วยค้นหาความจริงทางประวัติศาสตร์ของคอมพิวเตอร์

    มรดกทางเทคโนโลยี
    บั๊กนี้ถูกเรียกว่า “กาวที่บังเอิญยึดเครื่อง Classic II ไว้” เพราะถ้าไม่มีคำสั่งลับของ 68030 เครื่อง Mac รุ่นนั้นอาจไม่สามารถบูตได้เลย เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของการออกแบบฮาร์ดแวร์ในอดีต และความสำคัญของการอนุรักษ์ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ผ่านการจำลอง

    สรุปเป็นหัวข้อ
    การค้นพบ
    Mac Classic II แครชในโหมด 32-bit เมื่อจำลองด้วย MAME
    ทำงานปกติในฮาร์ดแวร์จริง

    สาเหตุของบั๊ก
    ROM มีบั๊กที่ไม่เคยถูกแก้ไข
    CPU Motorola 68030 มีคำสั่งลับช่วยข้ามบั๊ก

    ความสำคัญของการจำลอง
    MAME เปิดเผยบั๊กที่ไม่เคยถูกพบมาก่อน
    แสดงให้เห็นว่า emulator ไม่สามารถสมบูรณ์แบบ 100%

    มรดกทางเทคโนโลยี
    บั๊กนี้ถูกเรียกว่า “กาวที่ยึด Classic II”
    เป็นบทเรียนด้านการออกแบบและการอนุรักษ์ระบบเก่า

    คำเตือนจากกรณีนี้
    การจำลองอาจไม่สะท้อนพฤติกรรมจริงของฮาร์ดแวร์
    บั๊กที่ถูก CPU ปกปิดไว้อาจทำให้การพัฒนาในอนาคตผิดพลาด

    https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/a-34-year-old-apple-mac-crash-bug-would-have-gone-undiscovered-for-all-eternity-but-the-accuracy-of-the-mame-emulator-shone-a-light-on-it
    🖥️ บั๊กที่ซ่อนอยู่ใน Mac Classic II บทความนี้เล่าเรื่องการค้นพบ บั๊กในเครื่อง Apple Mac Classic II อายุ 34 ปี ที่ไม่เคยถูกพบมาก่อน แต่ถูกเปิดเผยด้วยความแม่นยำของโปรแกรมจำลอง MAME Emulator ซึ่งทำให้เห็นความแตกต่างระหว่างการทำงานของฮาร์ดแวร์จริงกับการจำลอง นักพัฒนาชื่อ Doug Brown พบว่าเครื่อง Mac Classic II ที่จำลองด้วย MAME จะ แครชทันทีเมื่อเปิดโหมด 32-bit addressing แต่กลับทำงานได้ปกติในโหมด 24-bit ซึ่งแตกต่างจากฮาร์ดแวร์จริงที่ไม่เคยมีปัญหานี้มาก่อน ⚙️ คำตอบอยู่ที่ CPU Motorola 68030 หลังการตรวจสอบ เขาพบว่า ROM ของ Mac Classic II มีบั๊กจริง แต่ฮาร์ดแวร์ที่ใช้ CPU Motorola 68030 มีคำสั่งที่ไม่ได้บันทึกไว้ (undocumented instruction) ซึ่งช่วย “ข้าม” บั๊กนี้ไป ทำให้เครื่องจริงไม่เคยแสดงอาการผิดปกติ ขณะที่ MAME ซึ่งจำลองตามเอกสารเท่านั้น ไม่สามารถเลียนแบบพฤติกรรมนี้ได้ 🔍 ความสำคัญของการจำลองที่แม่นยำ การค้นพบนี้แสดงให้เห็นว่า ไม่มี emulator ที่สมบูรณ์แบบ 100% เพราะฮาร์ดแวร์จริงอาจมีพฤติกรรมที่ไม่ถูกบันทึกไว้ในคู่มือ การที่ MAME สามารถเปิดเผยบั๊กนี้จึงเป็นหลักฐานว่าการจำลองที่แม่นยำสามารถช่วยค้นหาความจริงทางประวัติศาสตร์ของคอมพิวเตอร์ 📜 มรดกทางเทคโนโลยี บั๊กนี้ถูกเรียกว่า “กาวที่บังเอิญยึดเครื่อง Classic II ไว้” เพราะถ้าไม่มีคำสั่งลับของ 68030 เครื่อง Mac รุ่นนั้นอาจไม่สามารถบูตได้เลย เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของการออกแบบฮาร์ดแวร์ในอดีต และความสำคัญของการอนุรักษ์ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ผ่านการจำลอง 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ การค้นพบ ➡️ Mac Classic II แครชในโหมด 32-bit เมื่อจำลองด้วย MAME ➡️ ทำงานปกติในฮาร์ดแวร์จริง ✅ สาเหตุของบั๊ก ➡️ ROM มีบั๊กที่ไม่เคยถูกแก้ไข ➡️ CPU Motorola 68030 มีคำสั่งลับช่วยข้ามบั๊ก ✅ ความสำคัญของการจำลอง ➡️ MAME เปิดเผยบั๊กที่ไม่เคยถูกพบมาก่อน ➡️ แสดงให้เห็นว่า emulator ไม่สามารถสมบูรณ์แบบ 100% ✅ มรดกทางเทคโนโลยี ➡️ บั๊กนี้ถูกเรียกว่า “กาวที่ยึด Classic II” ➡️ เป็นบทเรียนด้านการออกแบบและการอนุรักษ์ระบบเก่า ‼️ คำเตือนจากกรณีนี้ ⛔ การจำลองอาจไม่สะท้อนพฤติกรรมจริงของฮาร์ดแวร์ ⛔ บั๊กที่ถูก CPU ปกปิดไว้อาจทำให้การพัฒนาในอนาคตผิดพลาด https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/a-34-year-old-apple-mac-crash-bug-would-have-gone-undiscovered-for-all-eternity-but-the-accuracy-of-the-mame-emulator-shone-a-light-on-it
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    A 34-year-old Apple Mac crash bug ‘would have gone undiscovered for all eternity,’ but the accuracy of the MAME emulator shone a light on it
    On real hardware, the Motorola 68030 executed an undocumented instruction to prevent a system crash at boot, but it caused problems with the emulator.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 144 มุมมอง 0 รีวิว
  • เครื่อง Enigma M4: สมบัติแห่งสงครามโลกครั้งที่สอง

    เครื่อง Enigma รุ่น M4 ที่หายากมากจากยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ถูกประมูลไปในปารีสด้วยราคากว่า €482,600 (ประมาณ 555,000 ดอลลาร์สหรัฐ) เนื่องจากเป็นหนึ่งในไม่กี่เครื่องที่ยังทำงานได้สมบูรณ์

    การประมูลครั้งนี้จัดขึ้นโดย Christie’s ในกรุงปารีส โดยเครื่อง Enigma M4 ที่มีสี่โรเตอร์ ได้รับความสนใจอย่างมากเพราะเป็นหนึ่งในรุ่นที่ยากต่อการถอดรหัสที่สุดในยุคนั้น ตัวเครื่องยังคงทำงานได้สมบูรณ์พร้อมแบตเตอรี่ตะกั่ว-กรด ซึ่งทำให้มูลค่าพุ่งสูงกว่าสองเท่าของราคาประเมินเดิม

    บทบาทในสงครามและการเข้ารหัส
    Enigma M4 ถูกพัฒนาในปี 1941 ตามคำสั่งของ Admiral Karl Dönitz เพื่อใช้ในการสื่อสารของกองเรือดำน้ำเยอรมัน (U-boat) จุดเด่นคือการเพิ่มโรเตอร์ที่สี่ ทำให้การเข้ารหัสซับซ้อนขึ้นมาก จนเครื่องถอดรหัส The Bombe ของ Alan Turing ต้องอาศัยสมุดรหัสที่ถูกยึดมาเพื่อช่วยในการแก้รหัส

    จุดเปลี่ยนสู่การกำเนิดคอมพิวเตอร์
    ความท้าทายในการถอดรหัส Enigma เป็นแรงผลักดันให้เกิดการพัฒนาเครื่องคำนวณและคอมพิวเตอร์ยุคแรก เช่น Colossus MK I และ MK II ที่ใช้ในการถอดรหัส Lorenz cipher ของกองบัญชาการเยอรมัน ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ยุคคอมพิวเตอร์ดิจิทัล

    ความหมายต่อโลกปัจจุบัน
    การประมูลครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการซื้อขายของสะสม แต่ยังเป็นการตอกย้ำถึงความสำคัญของ ประวัติศาสตร์การเข้ารหัสและการคำนวณ ที่มีผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตั้งแต่การสื่อสารปลอดภัยไปจนถึงการสร้างคอมพิวเตอร์ที่เราใช้กันทุกวันนี้

    สรุปเป็นหัวข้อ
    รายละเอียดการประมูล
    เครื่อง Enigma M4 ถูกขายในปารีส
    ราคาสุดท้าย €482,600 (US$555,233)

    บทบาทในสงคราม
    ใช้โดยกองเรือดำน้ำเยอรมัน (U-boat)
    เพิ่มโรเตอร์ที่สี่เพื่อความปลอดภัยสูงขึ้น

    การถอดรหัสโดยฝ่ายสัมพันธมิตร
    Alan Turing และทีมใช้เครื่อง The Bombe
    ต้องอาศัยสมุดรหัสที่ยึดมาเพื่อช่วยแก้รหัส

    ผลต่อวิวัฒนาการคอมพิวเตอร์
    นำไปสู่การสร้าง Colossus MK I และ MK II
    จุดเริ่มต้นของคอมพิวเตอร์ดิจิทัล

    คำเตือนจากประวัติศาสตร์
    เยอรมันเชื่อว่า Enigma “ไม่สามารถถอดรหัสได้”
    ความมั่นใจเกินไปทำให้เสียเปรียบในสงคราม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/wwii-enigma-machine-sells-for-over-half-a-million-dollars-at-auction-this-was-one-of-the-rare-4-rotor-m4-models
    🔐 เครื่อง Enigma M4: สมบัติแห่งสงครามโลกครั้งที่สอง เครื่อง Enigma รุ่น M4 ที่หายากมากจากยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ถูกประมูลไปในปารีสด้วยราคากว่า €482,600 (ประมาณ 555,000 ดอลลาร์สหรัฐ) เนื่องจากเป็นหนึ่งในไม่กี่เครื่องที่ยังทำงานได้สมบูรณ์ การประมูลครั้งนี้จัดขึ้นโดย Christie’s ในกรุงปารีส โดยเครื่อง Enigma M4 ที่มีสี่โรเตอร์ ได้รับความสนใจอย่างมากเพราะเป็นหนึ่งในรุ่นที่ยากต่อการถอดรหัสที่สุดในยุคนั้น ตัวเครื่องยังคงทำงานได้สมบูรณ์พร้อมแบตเตอรี่ตะกั่ว-กรด ซึ่งทำให้มูลค่าพุ่งสูงกว่าสองเท่าของราคาประเมินเดิม ⚓ บทบาทในสงครามและการเข้ารหัส Enigma M4 ถูกพัฒนาในปี 1941 ตามคำสั่งของ Admiral Karl Dönitz เพื่อใช้ในการสื่อสารของกองเรือดำน้ำเยอรมัน (U-boat) จุดเด่นคือการเพิ่มโรเตอร์ที่สี่ ทำให้การเข้ารหัสซับซ้อนขึ้นมาก จนเครื่องถอดรหัส The Bombe ของ Alan Turing ต้องอาศัยสมุดรหัสที่ถูกยึดมาเพื่อช่วยในการแก้รหัส 🧠 จุดเปลี่ยนสู่การกำเนิดคอมพิวเตอร์ ความท้าทายในการถอดรหัส Enigma เป็นแรงผลักดันให้เกิดการพัฒนาเครื่องคำนวณและคอมพิวเตอร์ยุคแรก เช่น Colossus MK I และ MK II ที่ใช้ในการถอดรหัส Lorenz cipher ของกองบัญชาการเยอรมัน ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ยุคคอมพิวเตอร์ดิจิทัล 💡 ความหมายต่อโลกปัจจุบัน การประมูลครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการซื้อขายของสะสม แต่ยังเป็นการตอกย้ำถึงความสำคัญของ ประวัติศาสตร์การเข้ารหัสและการคำนวณ ที่มีผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตั้งแต่การสื่อสารปลอดภัยไปจนถึงการสร้างคอมพิวเตอร์ที่เราใช้กันทุกวันนี้ 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ รายละเอียดการประมูล ➡️ เครื่อง Enigma M4 ถูกขายในปารีส ➡️ ราคาสุดท้าย €482,600 (US$555,233) ✅ บทบาทในสงคราม ➡️ ใช้โดยกองเรือดำน้ำเยอรมัน (U-boat) ➡️ เพิ่มโรเตอร์ที่สี่เพื่อความปลอดภัยสูงขึ้น ✅ การถอดรหัสโดยฝ่ายสัมพันธมิตร ➡️ Alan Turing และทีมใช้เครื่อง The Bombe ➡️ ต้องอาศัยสมุดรหัสที่ยึดมาเพื่อช่วยแก้รหัส ✅ ผลต่อวิวัฒนาการคอมพิวเตอร์ ➡️ นำไปสู่การสร้าง Colossus MK I และ MK II ➡️ จุดเริ่มต้นของคอมพิวเตอร์ดิจิทัล ‼️ คำเตือนจากประวัติศาสตร์ ⛔ เยอรมันเชื่อว่า Enigma “ไม่สามารถถอดรหัสได้” ⛔ ความมั่นใจเกินไปทำให้เสียเปรียบในสงคราม https://www.tomshardware.com/tech-industry/wwii-enigma-machine-sells-for-over-half-a-million-dollars-at-auction-this-was-one-of-the-rare-4-rotor-m4-models
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    WWII Enigma machine sells for over half a million dollars at auction — one of the rare four-rotor 'M4' models
    A fully working wood encased Enigma machine went for double the expected price in Paris earlier this week. Batteries were included.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 117 มุมมอง 0 รีวิว
  • การแข่งขันการ์ดความจำจิ๋วในญี่ปุ่น

    การแข่งขันนี้จัดขึ้นเพื่อค้นหาการ์ดหน่วยความจำที่มีความจุเล็กที่สุด โดยผู้เข้าร่วมส่งการ์ดรุ่นเก่า ๆ จากยุค 80–90 เข้ามา ผลปรากฏว่า SmartMedia 0.5MB ได้รับตำแหน่งชนะเลิศ ขณะที่การ์ด Casio RAM 2KB ที่ใช้กับเครื่องพกพา “Pokecon” ถูกตัดสิทธิ์เพราะไม่ใช่การ์ดแฟลชทั่วไป

    รายชื่อการ์ดที่เข้ารอบ
    นอกจาก SmartMedia แล้ว ยังมีการ์ดรุ่นอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น SD card 8MB, MMC 4MB, CF 2MB, Memory Stick 4MB และ xD-Picture Card 16MB ซึ่งสะท้อนให้เห็นวิวัฒนาการของสื่อบันทึกข้อมูลตั้งแต่ยุคที่ไม่กี่เมกะไบต์ถือว่า “ใหญ่” จนถึงปัจจุบันที่การ์ด microSD มีความจุหลายเทราไบต์

    การ์ดที่ถูกตัดสิทธิ์แต่ยังน่าจดจำ
    แม้จะไม่ได้เข้ารอบสุดท้าย แต่การ์ดบางรุ่นก็สร้างความสนใจ เช่น Flash FDD stick 1.44MB ที่เลียนแบบฟลอปปีดิสก์ และ PCMCIA 1MB รุ่นก่อนมาตรฐาน ซึ่งเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของการพัฒนาอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล

    ความหมายต่อวงการเทคโนโลยี
    การแข่งขันนี้ไม่ใช่แค่เรื่องสนุก แต่ยังสะท้อนให้เห็นว่าเทคโนโลยีการเก็บข้อมูลได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดด จากหลักกิโลไบต์ในอดีต สู่หลักเทราไบต์ในปัจจุบัน และยังเตือนให้เราตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในโลกดิจิทัล

    สรุปเป็นหัวข้อ
    ผู้ชนะการแข่งขัน
    SmartMedia 0.5MB ได้ตำแหน่งเล็กที่สุด
    Casio RAM 2KB ถูกตัดสิทธิ์เพราะไม่ใช่แฟลชการ์ด

    การ์ดที่เข้ารอบ
    SD card 8MB, MMC 4MB
    CF 2MB, Memory Stick 4MB, xD-Picture Card 16MB

    การ์ดที่ถูกตัดสิทธิ์
    Flash FDD stick 1.44MB ที่บูตได้เหมือนฟลอปปีดิสก์
    PCMCIA 1MB รุ่นก่อนมาตรฐาน

    ความหมายต่อวงการ
    แสดงวิวัฒนาการจาก KB → MB → GB → TB
    เป็นบทเรียนเชิงประวัติศาสตร์ของการเก็บข้อมูล

    https://www.tomshardware.com/pc-components/microsd-cards/the-small-capacity-memory-card-championship-japan-results-are-in-a-0-5mb-smartmedia-card-won-but-a-2kb-casio-battery-backed-ram-card-lost-due-to-a-technicality
    🏆 การแข่งขันการ์ดความจำจิ๋วในญี่ปุ่น การแข่งขันนี้จัดขึ้นเพื่อค้นหาการ์ดหน่วยความจำที่มีความจุเล็กที่สุด โดยผู้เข้าร่วมส่งการ์ดรุ่นเก่า ๆ จากยุค 80–90 เข้ามา ผลปรากฏว่า SmartMedia 0.5MB ได้รับตำแหน่งชนะเลิศ ขณะที่การ์ด Casio RAM 2KB ที่ใช้กับเครื่องพกพา “Pokecon” ถูกตัดสิทธิ์เพราะไม่ใช่การ์ดแฟลชทั่วไป 💾 รายชื่อการ์ดที่เข้ารอบ นอกจาก SmartMedia แล้ว ยังมีการ์ดรุ่นอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เช่น SD card 8MB, MMC 4MB, CF 2MB, Memory Stick 4MB และ xD-Picture Card 16MB ซึ่งสะท้อนให้เห็นวิวัฒนาการของสื่อบันทึกข้อมูลตั้งแต่ยุคที่ไม่กี่เมกะไบต์ถือว่า “ใหญ่” จนถึงปัจจุบันที่การ์ด microSD มีความจุหลายเทราไบต์ 📜 การ์ดที่ถูกตัดสิทธิ์แต่ยังน่าจดจำ แม้จะไม่ได้เข้ารอบสุดท้าย แต่การ์ดบางรุ่นก็สร้างความสนใจ เช่น Flash FDD stick 1.44MB ที่เลียนแบบฟลอปปีดิสก์ และ PCMCIA 1MB รุ่นก่อนมาตรฐาน ซึ่งเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของการพัฒนาอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล 🔮 ความหมายต่อวงการเทคโนโลยี การแข่งขันนี้ไม่ใช่แค่เรื่องสนุก แต่ยังสะท้อนให้เห็นว่าเทคโนโลยีการเก็บข้อมูลได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดด จากหลักกิโลไบต์ในอดีต สู่หลักเทราไบต์ในปัจจุบัน และยังเตือนให้เราตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในโลกดิจิทัล 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ ผู้ชนะการแข่งขัน ➡️ SmartMedia 0.5MB ได้ตำแหน่งเล็กที่สุด ➡️ Casio RAM 2KB ถูกตัดสิทธิ์เพราะไม่ใช่แฟลชการ์ด ✅ การ์ดที่เข้ารอบ ➡️ SD card 8MB, MMC 4MB ➡️ CF 2MB, Memory Stick 4MB, xD-Picture Card 16MB ✅ การ์ดที่ถูกตัดสิทธิ์ ➡️ Flash FDD stick 1.44MB ที่บูตได้เหมือนฟลอปปีดิสก์ ➡️ PCMCIA 1MB รุ่นก่อนมาตรฐาน ✅ ความหมายต่อวงการ ➡️ แสดงวิวัฒนาการจาก KB → MB → GB → TB ➡️ เป็นบทเรียนเชิงประวัติศาสตร์ของการเก็บข้อมูล https://www.tomshardware.com/pc-components/microsd-cards/the-small-capacity-memory-card-championship-japan-results-are-in-a-0-5mb-smartmedia-card-won-but-a-2kb-casio-battery-backed-ram-card-lost-due-to-a-technicality
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรนโบว์ (Rainbow) – วงดนตรีป๊อปร็อกแห่งตำนาน กับความลับของเพลง "เลิกง้อ (พอกันที)"

    วงเรนโบว์ ถือกำเนิดขึ้นในช่วงกลางทศวรรษ 1980s โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี พ.ศ. 2528 ในฐานะวงดนตรีป๊อปร็อกที่เข้ามาสร้างสีสันให้กับวงการเพลงไทย ภายใต้สังกัด อาร์.เอส. โปรโมชั่น (RS Promotion) ซึ่งเป็นค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ในยุคนั้น วงนี้เกิดขึ้นจากการแยกตัวของสมาชิกบางส่วนจากวงอินทนิล (Inthanin) ซึ่งเป็นวงดนตรีวงแรกของค่าย RS ที่ยุบวงไปก่อนหน้านี้ สมาชิกผู้ก่อตั้งหลัก ได้แก่ พีระพงษ์ พลชนะ (ต้อม), เรวัติ สระแก้ว (ป๋อง) และธีระศักดิ์ วดีศิริศักดิ์ (อุ๋น) ที่ตัดสินใจรวมตัวกันเพื่อสร้างสรรค์ดนตรีในสไตล์ใหม่ โดยผสมผสานองค์ประกอบจากดนตรีสตริงคอมโบแบบเก่ากับป๊อปร็อกที่ทันสมัย ทำให้เพลงของพวกเขาสามารถเข้าถึงผู้ฟังได้ทุกวัยและทุกกลุ่มสังคม

    สมาชิกหลักของวงเรนโบว์มีความสามารถรอบด้าน ทั้งด้านการร้อง การเล่นดนตรี และการแต่งเพลง โดยประกอบด้วย:
    ต้อม (พีระพงษ์ พลชนะ): นักร้องนำและมือกีตาร์ ผู้มีเสียงร้องหวานซึ้ง แหบเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์ และได้รับฉายา "นักร้องเขี้ยวเสน่ห์" จากรูปลักษณ์และสไตล์การร้องที่ดึงดูดแฟนเพลง เขาเกิดเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2507 และเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนวงมาตลอด
    อุ๋น (ธีระศักดิ์ วดีศิริศักดิ์): มือคีย์บอร์ดและร้องนำ สนับสนุนการร้องหลักและช่วยสร้างซาวด์ดนตรีที่หลากหลาย
    อ๊อด (ทวี ศรีประดิษฐ์): หัวหน้าวงและมือกลอง ผู้ล่วงลับไปแล้วในปี พ.ศ. 2548 ด้วยวัย 42 ปี เขาเกิดเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2505 และมีบทบาทสำคัญในการแต่งเพลงและผลิตอัลบั้ม

    นอกจากนี้ ยังมีสมาชิกอื่นๆ ที่เข้าร่วมในภายหลัง เช่น สุชาติ จันทร์ต้น (อี๊ด) มือเบส และ อัมพร ชาวเวียง (พร) มือกีตาร์ ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับวง ส่วนสมาชิกอดีตอย่าง เรวัติ สระแก้ว (ป๋อง) ก็มีส่วนในการก่อตั้งแต่แรกเริ่ม วงเรนโบว์ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ด้วยการผสมผสานแนวเพลงที่ลงตัวระหว่างซาวด์แบบสตริงคอมโบยุคเก่ากับดนตรีป๊อปร็อกที่ทันสมัย ทำให้เพลงของพวกเขาสามารถเข้าถึงผู้ฟังได้ทุกกลุ่ม และกลายเป็นหนึ่งในวงดนตรีสตริงชื่อดังที่สร้างความสุขให้กับแฟนเพลงชาวไทยในยุค 80-90

    จากข้อมูลประวัติศาสตร์วงการเพลงไทย วงเรนโบว์เริ่มต้นจากการเป็นวงเล็กๆ ที่เล่นในคลับและงานแสดง แต่ด้วยพรสวรรค์และการสนับสนุนจาก RS ทำให้พวกเขาก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดอย่างรวดเร็ว โดยอัลบั้มแรกของพวกเขาออกวางจำหน่ายในปี พ.ศ. 2528 และได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม.

    ยุคทองของเพลง Original และ Cover
    ผลงานของเรนโบว์โดดเด่นอย่างมากด้วยเพลงฮิตที่ขับร้องโดยต้อม พีระพงษ์ โดยเฉพาะเพลงในอัลบั้มแรกๆ ซึ่งถือเป็นเพลงต้นฉบับ (Original) ที่กลายเป็นลายเซ็นของวง เช่น "ความในใจ" และ "ยังหวัง" คือเพลงบัลลาดสุดคลาสสิกที่ทำให้วงเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังมีเพลงฮิตอื่นๆ ที่ยังคงถูกเปิดฟังจนถึงปัจจุบัน เช่น "อยากให้รู้ใจ", "อย่าหวั่นใจ", "ด้วยดวงใจ", และ "ข้ามเวลา" ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการแต่งเพลงที่เข้าถึงอารมณ์ผู้ฟัง

    กลยุทธ์สำคัญที่ทำให้เรนโบว์ยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่งคือการนำเพลงเก่าของไทยและเพลงต่างประเทศมาเรียบเรียงและขับร้องใหม่ได้อย่างไพเราะและร่วมสมัย โดยเฉพาะอัลบั้มชุด "ข้ามเวลา" และเพลงในอัลบั้มหลักที่นำทำนองจากญี่ปุ่นมาใช้ ซึ่งเป็นแนวทางที่ได้รับความนิยมในยุคนั้น วงเรนโบว์ออกอัลบั้มรวมกว่า 10 ชุดตลอดช่วงยุคทอง โดย discography หลักๆ ได้แก่:

    ความในใจ (พ.ศ. 2529): อัลบั้มสร้างชื่อที่รวมเพลงฮิตอย่าง "ความในใจ" และ "เลิกง้อ (พอกันที)"
    ข้ามเวลา (พ.ศ. 2530): อัลบั้มที่นำเพลงเก่ามาเรียบเรียงใหม่
    ยังหวัง (พ.ศ. 2531): รวมเพลงบัลลาดที่ได้รับความนิยมสูง
    RS Classic - เรนโบว์ (รีมาสเตอร์ในปี พ.ศ. 2556): รวมเพลงฮิตตลอดกาล

    ยุคทองของวงยังรวมถึงการแสดงคอนเสิร์ตและรายการทีวีมากมาย เช่น การปรากฏตัวในรายการ "Song of Fame เพลงคู่สยาม" ของ Thai PBS ในปี พ.ศ. 2568 ซึ่งพวกเขาได้ถ่ายทอดเพลงดังผ่านเสียงร้องร่วมกับศิลปินรุ่นใหม่ ทำให้เพลงเก่ากลับมาฮิตอีกครั้ง นอกจากนี้ ยังมีคอนเสิร์ตการกุศลอย่าง "Rainbow The Concert" ที่จัดขึ้นเพื่อระลึกถึงสมาชิกผู้ล่วงลับและช่วยเหลือสังคม.

    เจาะลึกเพลง "เลิกง้อ (พอกันที)" – เพลงดังจากอัลบั้ม "ความในใจ"
    เพลง "เลิกง้อ (พอกันที)" คือหนึ่งในเพลงที่ถูกบรรจุในอัลบั้มสร้างชื่อ "ความในใจ" (พ.ศ. 2529) เพลงนี้โดดเด่นด้วยเนื้อหาที่บาดใจเกี่ยวกับการตัดใจอย่างเด็ดเดี่ยวจากความรักที่เจ็บปวด โดยมี ชมพู ฟรุตตี้ (สุทธิพงษ์ วัฒนจัง) เป็นผู้ประพันธ์เนื้อร้องภาษาไทย แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือที่มาของทำนองเพลงนี้ ซึ่งเป็นที่ถกเถียงและเข้าใจผิดกันมานานหลายสิบปี

    ไขปริศนาทำนองเพลงญี่ปุ่น
    คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าทำนองเพลง "เลิกง้อ (พอกันที)" มาจากเพลงเปิดของอนิเมะดัง "Touch (ทัช ยอดรักนักกีฬา)" เนื่องจากความดังของอนิเมะในไทยและสไตล์ดนตรีที่ใกล้เคียงกัน ความจริงคือ พลงนี้มีที่มาจากเพลงญี่ปุ่นชื่อ "背中ごしにセンチメンタル (Senaka Goshi ni Sentimental)" ( https://www.youtube.com/watch?v=KejzDx1EjKA ) ซึ่งแปลว่า "Sentimental Over the Shoulder" หรือความรู้สึกเศร้าที่มองจากด้านหลัง เป็นเพลงเปิด (Opening Theme) ของแอนิเมชันแนวไซไฟเรื่อง Megazone 23 (พ.ศ. 2528) ขับร้องโดย มิยาซาโตะ คุมิ (Kumi Miyasato) นักร้องสาวชาวญี่ปุ่นที่อายุเพียง 14 ปีตอนบันทึกเสียงเพลงนี้ ทำให้เพลงมีเอกลักษณ์เสียงใสและสดใส

    🟰 สาเหตุของความเข้าใจผิด: ผู้สร้างสรรค์คนเดียวกัน
    ความสับสนที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากการที่ทั้งเพลง "Senaka Goshi ni Sentimental" (ต้นฉบับของ "เลิกง้อ") และเพลง "Touch" (เพลงเปิดของอนิเมะ Touch) ถูกแต่งทำนองโดยนักแต่งเพลงคนเดียวกัน คือ คุณฮิโรอากิ เซริซาว่า (Hiroaki Serizawa) ทำให้สไตล์การสร้างทำนองเพลงมีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก จนแฟนเพลงในไทยมักจำสลับกัน นอกจากนี้ เพลงต้นฉบับยังมีเวอร์ชันรีมาสเตอร์และถูกนำไปใช้ในสื่ออื่นๆ เช่น YouTube และ Music Platforms ซึ่งยืนยันความนิยมที่ยาวนานของเพลงนี้ในญี่ปุ่นและไทย เพลง "เลิกง้อ" เองก็ถูกรีมาสเตอร์ในอัลบั้ม RS Classic ในปี พ.ศ. 2556 เพื่อให้แฟนเพลงรุ่นใหม่ได้ฟังในคุณภาพเสียงที่ดีขึ้น.

    มรดกที่ยังคงอยู่และอิทธิพลต่อวงการเพลงไทย
    แม้เวลาจะผ่านไปหลายทศวรรษ วงเรนโบว์ก็ยังคงเป็นหนึ่งในวงดนตรีสำคัญที่สร้างมาตรฐานให้กับวงการเพลงไทย เพลงของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็น Original หรือ Cover ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการเลือกสรรและสร้างสรรค์ดนตรีที่เข้าถึงอารมณ์ผู้ฟังได้อย่างลึกซึ้ง และเพลง "เลิกง้อ (พอกันที)" ก็ยังคงเป็นเครื่องยืนยันความอมตะของวงดนตรีแห่งตำนานวงนี้

    หลังจากยุคทอง วงเรนโบว์เคยหยุดพักไปช่วงหนึ่ง แต่มีการ reunion ในช่วงปี 2000s โดยสมาชิกหลักอย่างต้อมและอุ๋นยังคงอยู่ เช่น การแสดงในคอนเสิร์ตและรายการทีวีล่าสุดในปี พ.ศ. 2568 การเสียชีวิตของอ๊อดในปี 2548 ถือเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ แต่สมาชิกที่เหลือยังคงสานต่อมรดกด้วยการออกอัลบั้มรวมฮิตและคอนเสิร์ตระลึกถึง อิทธิพลของวงยังเห็นได้จากศิลปินรุ่นใหม่ที่นำเพลงไป cover เช่น ในรายการ Song of Fame ซึ่งผสมผสานเพลงเก่ากับเสียงร้องสมัยใหม่

    นอกจากนี้ วงเรนโบว์ยังมีบทบาทในการเชื่อมโยงวัฒนธรรมดนตรีไทย-ญี่ปุ่น โดยการนำเพลงญี่ปุ่นมาปรับให้เข้ากับตลาดไทย ซึ่งเป็นแนวทางที่วงอื่นๆ นำไปใช้ตาม จนถึงปัจจุบัน เพลงของพวกเขายังถูกเปิดในสถานีวิทยุ สตรีมมิงแพลตฟอร์ม และงานสังสรรค์ต่างๆ สะท้อนถึงความอมตะที่แท้จริง.

    วงเรนโบว์ไม่เพียงแต่เป็นตำนาน แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักดนตรีรุ่นหลังในการผสมผสานดนตรีข้ามวัฒนธรรม ทำให้วงการเพลงไทยมีความหลากหลายมากขึ้นจนถึงทุกวันนี้.

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://www.youtube.com/watch?v=9GBRiUhpT2E
    🌈 เรนโบว์ (Rainbow) – วงดนตรีป๊อปร็อกแห่งตำนาน กับความลับของเพลง "เลิกง้อ (พอกันที)" วงเรนโบว์ 🌈 ถือกำเนิดขึ้นในช่วงกลางทศวรรษ 1980s โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี พ.ศ. 2528 ในฐานะวงดนตรีป๊อปร็อกที่เข้ามาสร้างสีสันให้กับวงการเพลงไทย ภายใต้สังกัด อาร์.เอส. โปรโมชั่น (RS Promotion) ซึ่งเป็นค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ในยุคนั้น วงนี้เกิดขึ้นจากการแยกตัวของสมาชิกบางส่วนจากวงอินทนิล (Inthanin) ซึ่งเป็นวงดนตรีวงแรกของค่าย RS ที่ยุบวงไปก่อนหน้านี้ สมาชิกผู้ก่อตั้งหลัก ได้แก่ พีระพงษ์ พลชนะ (ต้อม), เรวัติ สระแก้ว (ป๋อง) และธีระศักดิ์ วดีศิริศักดิ์ (อุ๋น) ที่ตัดสินใจรวมตัวกันเพื่อสร้างสรรค์ดนตรีในสไตล์ใหม่ โดยผสมผสานองค์ประกอบจากดนตรีสตริงคอมโบแบบเก่ากับป๊อปร็อกที่ทันสมัย ทำให้เพลงของพวกเขาสามารถเข้าถึงผู้ฟังได้ทุกวัยและทุกกลุ่มสังคม 👥 สมาชิกหลักของวงเรนโบว์มีความสามารถรอบด้าน ทั้งด้านการร้อง การเล่นดนตรี และการแต่งเพลง โดยประกอบด้วย: 💠 ต้อม (พีระพงษ์ พลชนะ): นักร้องนำและมือกีตาร์ ผู้มีเสียงร้องหวานซึ้ง แหบเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์ และได้รับฉายา "นักร้องเขี้ยวเสน่ห์" จากรูปลักษณ์และสไตล์การร้องที่ดึงดูดแฟนเพลง เขาเกิดเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2507 และเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนวงมาตลอด 💠 อุ๋น (ธีระศักดิ์ วดีศิริศักดิ์): มือคีย์บอร์ดและร้องนำ สนับสนุนการร้องหลักและช่วยสร้างซาวด์ดนตรีที่หลากหลาย 💠 อ๊อด (ทวี ศรีประดิษฐ์): หัวหน้าวงและมือกลอง ผู้ล่วงลับไปแล้วในปี พ.ศ. 2548 ด้วยวัย 42 ปี เขาเกิดเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2505 และมีบทบาทสำคัญในการแต่งเพลงและผลิตอัลบั้ม นอกจากนี้ ยังมีสมาชิกอื่นๆ ที่เข้าร่วมในภายหลัง เช่น สุชาติ จันทร์ต้น (อี๊ด) มือเบส และ อัมพร ชาวเวียง (พร) มือกีตาร์ ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับวง ส่วนสมาชิกอดีตอย่าง เรวัติ สระแก้ว (ป๋อง) ก็มีส่วนในการก่อตั้งแต่แรกเริ่ม วงเรนโบว์ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ด้วยการผสมผสานแนวเพลงที่ลงตัวระหว่างซาวด์แบบสตริงคอมโบยุคเก่ากับดนตรีป๊อปร็อกที่ทันสมัย ทำให้เพลงของพวกเขาสามารถเข้าถึงผู้ฟังได้ทุกกลุ่ม และกลายเป็นหนึ่งในวงดนตรีสตริงชื่อดังที่สร้างความสุขให้กับแฟนเพลงชาวไทยในยุค 80-90 จากข้อมูลประวัติศาสตร์วงการเพลงไทย วงเรนโบว์เริ่มต้นจากการเป็นวงเล็กๆ ที่เล่นในคลับและงานแสดง แต่ด้วยพรสวรรค์และการสนับสนุนจาก RS ทำให้พวกเขาก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดอย่างรวดเร็ว โดยอัลบั้มแรกของพวกเขาออกวางจำหน่ายในปี พ.ศ. 2528 และได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม. 🎵 ยุคทองของเพลง Original และ Cover ผลงานของเรนโบว์โดดเด่นอย่างมากด้วยเพลงฮิตที่ขับร้องโดยต้อม พีระพงษ์ โดยเฉพาะเพลงในอัลบั้มแรกๆ ซึ่งถือเป็นเพลงต้นฉบับ (Original) ที่กลายเป็นลายเซ็นของวง เช่น "ความในใจ" และ "ยังหวัง" คือเพลงบัลลาดสุดคลาสสิกที่ทำให้วงเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังมีเพลงฮิตอื่นๆ ที่ยังคงถูกเปิดฟังจนถึงปัจจุบัน เช่น "อยากให้รู้ใจ", "อย่าหวั่นใจ", "ด้วยดวงใจ", และ "ข้ามเวลา" ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการแต่งเพลงที่เข้าถึงอารมณ์ผู้ฟัง กลยุทธ์สำคัญที่ทำให้เรนโบว์ยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่งคือการนำเพลงเก่าของไทยและเพลงต่างประเทศมาเรียบเรียงและขับร้องใหม่ได้อย่างไพเราะและร่วมสมัย โดยเฉพาะอัลบั้มชุด "ข้ามเวลา" และเพลงในอัลบั้มหลักที่นำทำนองจากญี่ปุ่นมาใช้ ซึ่งเป็นแนวทางที่ได้รับความนิยมในยุคนั้น วงเรนโบว์ออกอัลบั้มรวมกว่า 10 ชุดตลอดช่วงยุคทอง โดย discography หลักๆ ได้แก่: 🎤 ความในใจ (พ.ศ. 2529): อัลบั้มสร้างชื่อที่รวมเพลงฮิตอย่าง "ความในใจ" และ "เลิกง้อ (พอกันที)" 🎤 ข้ามเวลา (พ.ศ. 2530): อัลบั้มที่นำเพลงเก่ามาเรียบเรียงใหม่ 🎤 ยังหวัง (พ.ศ. 2531): รวมเพลงบัลลาดที่ได้รับความนิยมสูง 🎤 RS Classic - เรนโบว์ (รีมาสเตอร์ในปี พ.ศ. 2556): รวมเพลงฮิตตลอดกาล ยุคทองของวงยังรวมถึงการแสดงคอนเสิร์ตและรายการทีวีมากมาย เช่น การปรากฏตัวในรายการ "Song of Fame เพลงคู่สยาม" ของ Thai PBS ในปี พ.ศ. 2568 ซึ่งพวกเขาได้ถ่ายทอดเพลงดังผ่านเสียงร้องร่วมกับศิลปินรุ่นใหม่ ทำให้เพลงเก่ากลับมาฮิตอีกครั้ง นอกจากนี้ ยังมีคอนเสิร์ตการกุศลอย่าง "Rainbow The Concert" ที่จัดขึ้นเพื่อระลึกถึงสมาชิกผู้ล่วงลับและช่วยเหลือสังคม. 💖 เจาะลึกเพลง "เลิกง้อ (พอกันที)" – เพลงดังจากอัลบั้ม "ความในใจ" เพลง "เลิกง้อ (พอกันที)" คือหนึ่งในเพลงที่ถูกบรรจุในอัลบั้มสร้างชื่อ "ความในใจ" (พ.ศ. 2529) เพลงนี้โดดเด่นด้วยเนื้อหาที่บาดใจเกี่ยวกับการตัดใจอย่างเด็ดเดี่ยวจากความรักที่เจ็บปวด โดยมี ชมพู ฟรุตตี้ (สุทธิพงษ์ วัฒนจัง) เป็นผู้ประพันธ์เนื้อร้องภาษาไทย แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือที่มาของทำนองเพลงนี้ ซึ่งเป็นที่ถกเถียงและเข้าใจผิดกันมานานหลายสิบปี 🔎 ไขปริศนาทำนองเพลงญี่ปุ่น คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าทำนองเพลง "เลิกง้อ (พอกันที)" มาจากเพลงเปิดของอนิเมะดัง "Touch (ทัช ยอดรักนักกีฬา)" เนื่องจากความดังของอนิเมะในไทยและสไตล์ดนตรีที่ใกล้เคียงกัน ความจริงคือ พลงนี้มีที่มาจากเพลงญี่ปุ่นชื่อ "背中ごしにセンチメンタル (Senaka Goshi ni Sentimental)" ( https://www.youtube.com/watch?v=KejzDx1EjKA ) ซึ่งแปลว่า "Sentimental Over the Shoulder" หรือความรู้สึกเศร้าที่มองจากด้านหลัง เป็นเพลงเปิด (Opening Theme) ของแอนิเมชันแนวไซไฟเรื่อง Megazone 23 (พ.ศ. 2528) ขับร้องโดย มิยาซาโตะ คุมิ (Kumi Miyasato) นักร้องสาวชาวญี่ปุ่นที่อายุเพียง 14 ปีตอนบันทึกเสียงเพลงนี้ ทำให้เพลงมีเอกลักษณ์เสียงใสและสดใส 🟰 สาเหตุของความเข้าใจผิด: ผู้สร้างสรรค์คนเดียวกัน ความสับสนที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากการที่ทั้งเพลง "Senaka Goshi ni Sentimental" (ต้นฉบับของ "เลิกง้อ") และเพลง "Touch" (เพลงเปิดของอนิเมะ Touch) ถูกแต่งทำนองโดยนักแต่งเพลงคนเดียวกัน คือ คุณฮิโรอากิ เซริซาว่า (Hiroaki Serizawa) ทำให้สไตล์การสร้างทำนองเพลงมีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก จนแฟนเพลงในไทยมักจำสลับกัน นอกจากนี้ เพลงต้นฉบับยังมีเวอร์ชันรีมาสเตอร์และถูกนำไปใช้ในสื่ออื่นๆ เช่น YouTube และ Music Platforms ซึ่งยืนยันความนิยมที่ยาวนานของเพลงนี้ในญี่ปุ่นและไทย เพลง "เลิกง้อ" เองก็ถูกรีมาสเตอร์ในอัลบั้ม RS Classic ในปี พ.ศ. 2556 เพื่อให้แฟนเพลงรุ่นใหม่ได้ฟังในคุณภาพเสียงที่ดีขึ้น. 🌟 มรดกที่ยังคงอยู่และอิทธิพลต่อวงการเพลงไทย แม้เวลาจะผ่านไปหลายทศวรรษ วงเรนโบว์ก็ยังคงเป็นหนึ่งในวงดนตรีสำคัญที่สร้างมาตรฐานให้กับวงการเพลงไทย เพลงของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็น Original หรือ Cover ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการเลือกสรรและสร้างสรรค์ดนตรีที่เข้าถึงอารมณ์ผู้ฟังได้อย่างลึกซึ้ง และเพลง "เลิกง้อ (พอกันที)" ก็ยังคงเป็นเครื่องยืนยันความอมตะของวงดนตรีแห่งตำนานวงนี้ หลังจากยุคทอง วงเรนโบว์เคยหยุดพักไปช่วงหนึ่ง แต่มีการ reunion ในช่วงปี 2000s โดยสมาชิกหลักอย่างต้อมและอุ๋นยังคงอยู่ เช่น การแสดงในคอนเสิร์ตและรายการทีวีล่าสุดในปี พ.ศ. 2568 การเสียชีวิตของอ๊อดในปี 2548 ถือเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ แต่สมาชิกที่เหลือยังคงสานต่อมรดกด้วยการออกอัลบั้มรวมฮิตและคอนเสิร์ตระลึกถึง อิทธิพลของวงยังเห็นได้จากศิลปินรุ่นใหม่ที่นำเพลงไป cover เช่น ในรายการ Song of Fame ซึ่งผสมผสานเพลงเก่ากับเสียงร้องสมัยใหม่ นอกจากนี้ วงเรนโบว์ยังมีบทบาทในการเชื่อมโยงวัฒนธรรมดนตรีไทย-ญี่ปุ่น โดยการนำเพลงญี่ปุ่นมาปรับให้เข้ากับตลาดไทย ซึ่งเป็นแนวทางที่วงอื่นๆ นำไปใช้ตาม จนถึงปัจจุบัน เพลงของพวกเขายังถูกเปิดในสถานีวิทยุ สตรีมมิงแพลตฟอร์ม และงานสังสรรค์ต่างๆ สะท้อนถึงความอมตะที่แท้จริง. วงเรนโบว์ไม่เพียงแต่เป็นตำนาน แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักดนตรีรุ่นหลังในการผสมผสานดนตรีข้ามวัฒนธรรม ทำให้วงการเพลงไทยมีความหลากหลายมากขึ้นจนถึงทุกวันนี้. #ลุงเล่าหลานฟัง https://www.youtube.com/watch?v=9GBRiUhpT2E
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 235 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 1

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 1
    ในที่สุด ภาพของญี่ปุ่น ที่วาดไว้อย่างสวยงามว่า เป็นชาติที่รักความสงบ ไม่มีวันไปรุกรานใครอีกตลอดกาล ตามรัฐธรรมนูญญี่ปุ่น ที่อเมริกาเขียนให้เมื่อปี ค.ศ.1948 ก็ถูกลบทิ้งเรียบร้อย เมื่อวันที่ 17 กรกฏาคม ที่ผ่านมา เมื่อสภาล่างของญี่ปุ่น ได้ลงคะแนนผ่านกฏหมาย ที่จะแปลความรัฐธรรมนูญดังกล่าให้ญี่ปุ่นสามารถนำกองทัที่มีไว้เพื่อป้องกันตนเอง Self Defence Force (SDF) ถลาร่อนไปได้ทั่วโลก แบกถาดไปได้ทุกแห่ง ตามคำสั่งของนายท่าน ไอ้ที่บอกว่าจะ ไม่รุกรานใครอีกตลอดกาล ของญี่ปุ่นนี่ “ตลอดกาล” มันนานมาก นานน้อย แค่ไหนก็ได้ ตามแต่นายท่านจะสั่ง
    กฏหมายนี้ ยังจะต้องผ่านสภาสูงอีกรอบ ภายในเดือนสิงหาคม แต่ไม่มีปัญหา เขาว่าพรรค LPD ของนายอาเบะคุมเสียงต้ัง 2 ใน 3 ของสภาสูง นอนหลับตาไขว้ห้างได้สบายใจ ไม่ต้องเอามือก่ายหน้าผาก แถมสั่งลูกน้องให้ไปเตรียมตัดชุดแบกถาดล่วงหน้าได้ ไม่ต้องกลัวเป็นซามูไรสายบัวเหี่ยว
    ตั้งแต่ข่าวนี้ออกสื่อ มีเสียงดังเหมือนมังกรคำราม ออกมาอย่างไม่พอใจ ไม่ต้องสงสัย มาจากบ้านอาเฮียของผมนั่นแหละ ทำไมอาเฮียต้องเอ็ดตะโรด้วย ใครเขาอยากจะแก้รัฐธรรมนูญ หรือแก้อะไร เฮียก็อย่าไปใส่ใจน่า อย่าทำตัวเหมือนไอ้พวกใบตองแห้ง ที่ไม่พอใจไปหมด เดี๋ยวก็สั่งให้แก้ สั่งให้ถอด สั่งให้เปิด สั่งให้เปลี่ยน สั่งมันทุกอย่าง เหลืออย่างเดียว ยังไม่ได้ให้สั่งขี้มูก สั่งมาซีวะ กำลังถูกหวัดต้นฝนเล่นงานอยู่ จะได้เอาให้หน้าสถานทูตมันลื่นพราดเชียว (ฮา)
    อาเฮียบอกไม่ขำ (โว้ย) อ้าว เฮียครับ ธรรมดาก็เห็นหยอกกันได้ แต่เรื่องไอ้ยุ่นแบกถาดนี่ ทำไมเฮียบูดกระทันหัน เรื่องทะเลาะกันตีกัน มันก็นาน 70, 80 ปีแล้วนะ เป็นแผลก็ตกสะเก็ด ไปแล้ว เฮียไปเกาซ้ำแผลมันจะหายได้ยังไง อาเฮียบอก ลื้อไปศึกษาดูให้ดี อย่าดีแต่พล่าม หายเซ่อ แล้วคอยมาคุยกันว่า ทำไมแผลเก่านาน กว่า 70 ปี ถึงไม่ตกสะเก็ดเสียที
    จริงของอาเฮีย ผมเองยังเซ่อจับเกี่ยวเรื่องญี่ปุ่น มีคำถามค้างกับตัวเองอยู่หลายเรื่อง มองบางอย่างยังไม่ชัด เหมือนอะไรมันยังขัดกัน หรือ หมุนไปคนละทาง
    อะไรทำให้ญี่ปุ่น ลุกขึ้นไปรุกรานเพื่อนบ้านตัวเอง อย่างหิวกระหายและทารุณ และไปเข้าร่วมทำสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างดุดันและเหี้ยมโหด ญี่ปุ่นโกรธแค้นใครมาหรือญี่ปุ่นถูกหลอก หรือมีข้อตกลงกับใคร หรือมันเป็นนิสัยของชนชาติที่รักษาเกียรติยศด้วยการเอามีดคว้านท้องตัวเอง ก็เลยเห็นชีวิตคนอื่นไม่ต่างกับผักดองหรือสาหร่าย
    ผมว่า เรามาเริ่มจากประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น แบบสั้นๆ แต่แพนกล้องให้กว้าง แล้วค่อยๆเจาะลึกดีกว่า จริงๆอยากเขียนแบบ ต้มข้ามศตวรรษ อีกรอบ แต่สงสัยทั้งคนเขียน และคนอ่านหมดแรงไปก่อนวันอันควร
    จากหลักสูตรการศึกษาวิชาประวัติ ศาสตร์ญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ที่ฝรั่งเขียน มักจะระบุว่า พฤติกรรมของญี่ปุ่น ที่แสดงในช่วง ค.ศ.1852 ถึง 1945 มาจากแรงผลักดัน ที่ไม่อยากมีชะตา หรือสภาพอย่างจีน เมื่อช่วงศตวรรษ ที่ 19 อืม… เริ่มแบบนี้ ผมเกรงว่า แผลเก่าของอาเฮีย จะกลายเป็นแผลใหม่สดขึ้นมาอีก อาเฮีย อย่าเพิ่งเข้ามาอ่านนะครับ ให้ผมพล่ามให้จบก่อน ผมยังไม่อยากมีเรื่องกับมังกร
    นักประวัติศาสตร์ บอกว่า สำหรับญี่ปุ่น การเข้าสู่สงครามโลก มันลามมาจากการปะทะกัน ระหว่างญี่ปุ่นกับจีน ที่เรียกว่า สงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 2 Second Sino Japanese War หรือ ที่เรียกอีกชื่อว่า Marco Polo Bridge Incident ที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1937 หลังจากที่มีการทุบถอง ปะทะกันตามแนวเขตแดนมาหลายปี ต้ังแต่ญี่ปุ่นไปบุกแมนจูเรีย ในปี ค.ศ.1931 นู่น
    เอะ แล้วญี่ปุ่นนึกยังไง ถึงซ่าเข้าไปบุกแมนจูเรีย นักประวัติศาสตร์บอกว่า งั้นต้องถอยกลับมาปี ค.ศ1853 ก่อน ถึงจะเดินหน้าต่อ อย่าเพิ่งโวยว่า ผมถอยไปเรื่อยๆ แล้วเมื่อไหร่จะรู้เรื่องกัน เอาน่า จะรู้เรื่องอะไร ก็รู้ให้มันชัดๆ ดีกว่ารู้เรื่องดาราทะเลาะกัน งอนกัน ที่จริงๆแล้ว เราก็ไม่รู้เรื่องจริงของพวกเขาอยู่ดี ใช่ไหมครับ
    ก่อนปี ค.ศ.1853 นักประวัติศาสตร์ บอกญี่ปุ่นเป็นชาติ ที่รักสันโดษ ไม่คบค้ากับใคร นานๆ ก็มีชาวดัชท์เอาเรือบรรทุกสินค้าแวะมาจอด ซื้อของขายของ แถวท่าเรือที่เมืองนางาซากิ Nagasaki ชาวต่างชาตินอกเหนือจากนั้น ไม่อนุญาต ไม่รู้ดัชท์หลุดมาได้ไง
    พอถึงปี ค.ศ.1853 ต้นเหตุที่ทำให้ญี่ปุ่นเปลี่ยนนิสัยรักสันโดษ ก็มาถึง นาวาโทแมทธิว เพอรี่ นำเรือรบอเมริกันมาจอด อยู่ที่ปากอ่าวเมืองโตเกียว และไม่ได้มากันลำเดียว ขนกันมาถึง 4 ลำ เล่นเอาปากอ่าว แน่นเอี้ยด นี่มันสูตรสำเร็จ แจกโรเนียวเลยนะ เอาเรือรบมาขอจับมือ
    ญี่ปุ่นเห็นเรือรบที่ไม่ได้รับ เชิญ มาจอดเต็มหน้าบ้าน ก็ยัวะจัด บังวิวสวยๆหมด เลยท้าวสะเอวถลกกิโมโน ชี้นิ้วตะโกนไล่ ออกไปเดี๋ยวนี้นะ ทหารเรือฝรั่งบอกว่า ไม่ไป แถมหันปืนใหญ่ใส่เมืองโตเกียว ญี่ปุ่นยิ่งยั๊วะ รวบรวมเรือเล็กเรือน้อย ติดธงทิวสวยงาม ไปล้อมเรือรบ น่าเอ็นดูจัง แต่ทหารเรือ ไม่เอ็นดูด้วย กลับยื่นจดหมายของประธานาธิบดี Millard Fillmore แห่งแดนใบตองแห้ง เอ้า เอาไปส่งให้โชกุนโตกุกาวาที่ปก ครองญี่ปุ่นขณะนั้น แถมด้วยยิงปืนใหญ่โชว์ จนบ้านน้อยๆของชาวญี่ปุ่น ที่อยู่ริมอ่าวพังพินาศ นักประวัติศาสตร์ ไม่ได้จดมาว่าพังไปเท่าไหร่ ว่าแล้วก็แล่นเรือจากไป แต่ไม่ไปลับ สำทับกับชาวญี่ปุ่น ที่ยังไม่หายตกใจ หูอื้อจากเสียงปืนใหญ่…. แล้วเราจะกลับมาเอาคำตอบ….ฮู้ย เข้มซะไม่มี เอาปืนใหญ่ มาขู่กระบอกไม้ไผ่ ซามูไรมุดหัวหายไปไหนหมด
    หนึ่งปีผ่านไป ทหารเรือพกปืนใหญ่ก็กลับมาจริง คราวนี้ยกโขยงเรือรบมากัน 8 ลำ คราวที่แล้วมา 4 ลำ ดูจะน้อยไป เดี๋ยวจะสู้กับไม้ไผ่ไม่ไหว แถมมาพร้อมกับมือเหล็ก ยื่นมาบีบคอญี่ปุ่น ให้เซ็นสัญญา Convention of Kanagawa ให้ญี่ปุ่นเปิดท่าเรือชิโมดะ Shimoda (ชื่อเดิมของโตเกียวนั่นแหละ) และเมือง ฮาโกดาเตะ Hagodate ซึ่งอยู่ทางใต้ของฮอกไกโด Hokkaido เพื่อค้าขายกับอเมริกา ตามเงื่อนไขที่อเมริกากำหนด ญี่ปุ่นคิดหนัก เฮ้อ… ซามูไร ถึงจะคมยังไง ก็คงสู้กับปืนใหญ่ลำบาก เนะ… ว่าแล้วก็คอตก หน้าก้ม ยกมือขึ้นประทับตรา ในสัญญาขู่เอาไมตรี
    (หมายเหตุ ก่อนเดินหน้าเล่าต่อ ถ้าผมเรียกชื่อ สะกดชื่อญี่ปุ่นผิด ก็ไม่ต้องทักท้วงกันมาหลังจอนะ ครับ รบกวนบอกกันหน้าจอเลยว่า ผิดที่ไหน ที่ถูก ต้องเรียกยังไง ผมจะขอบคุณมาก ผมแค่เขียนนิทานให้อ่าน ไม่ใช่ครูสอนภาษา และผมก็ไม่ใช่ชาวญี่ปุ่น แต่ก็พยายามจะไม่เขียนแบบมั่ว หรือชุ่ยครับ อ้อ ไม่ใช่เฉพาะภาษาญี่ปุ่นนะครับ ทุกภาษาที่สะกดผิด นิทานเรื่องนี้ จะมีทั้งภาษาจีน ภาษาฝรั่งอั้งม้อ รวมทั้งภาษาไทย ที่ตอนเขียนถูก แต่ตอนโพสต์ผิดก็มี และมีแยะขึ้น บางวันถึงขนาด เครื่องมันขึ้น F ให้หน้าเพจผม ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน บางครั้งก็แก้ไขทัน บางทีก็ไม่ทัน ก็ขอความกรุณา อย่า งง เขียนนิทานแบบนี้ ลงเพจให้อ่านกัน เหมือนเล่นกระดานโต้คลื่น พยุงตัวให้รอด ไม่จมน้ำหาย ได้โผล่หัวอยู่มาได้ เกือบ 2 ปีนี่ ก็กินแรงแยะเหมือนกันนะครับ แรงคนแก่มีเหลือไม่มาก เรื่องอะไรที่ไม่ถึงกับขัดหู ขัดตา ก็ปล่อยไปบ้าง ต้องขออภัยล่วงหน้า)
    เรื่อง นายนาวาโทเพอรี่ ขี่เรือรบพกปืนใหญ่ มาขู่เอาไมตรีกับญี่ปุ่นนี่ จริงๆ ทำเอาซามูไรหน้าจ๋อย ใจฝ่อไปจม ที่เคยเชื่อว่า ตนเองเป็นชาติที่เข็มแข็ง ซามูไรคมกริบ ไม่เคยพลาดเป้า ตอนนี้เหงื่อตก คิดหนัก เราด้อยกว่าเขาแยะนักหรือ ขนาดจีนว่าใหญ่ ยังโดนไอ้พวกไกยิ่น (ญี่ปุ่น เรียก ฝรั่ง ว่า Gai-Jin) เล่นซะร่วง แล้วเราจะทำอย่างไรดี
    ด้วยความกลัวไอ้พวกไกยิ่น เอาปืนใหญ่มายิงโชว์อีก ญึ่ปุ่นตัดสินใจเด็ดเดี่ยว มีทางเดียวเราต้องปฏิรูปตัวเอง ญี่ปุ่นทำจริงจัง ปี ค.ศ.1868 ญี่ปุ่นจัดการบ้านการเมืองตัวเองใหม่ เรียกว่า Meiji Restoration เริ่มขบวนการปลดโชกุน ที่เคยมีอำนาจใหญ่กว่าฟ้า กลับลงมาสู่พื้น แล้วเอาอำนาจให้มาอยู่ในมือของจักรพรรดิแทน หรือจริงๆ ก็คืออยู่ในมือของกลุ่มที่ชักใยอยู่หลังฉาก ที่ไปปลดโชกุน และอุ้มจักรพรรดิขึ้นมาเป็นเจว็ด นั่นแหละ
    กลุ่มมือที่อยู่หลักฉาก เชื่อว่า ด้วยการเปลี่ยนโครงสร้างทางสังคม โดยล้มเลิกระบบขุนนาง ปรับปรุงกองทัพให้เข็มแข็ง และวางแผนให้ประเทศเดินหน้าไปทางด้านอุตสาหกรรม พยายามสร้างชาติใหม่ให้เท่าทันตะวันตก ชะตาชีวิตของประเทศ ก็น่าจะพ้นจากสภาพการถูกไอ้พวก ไกยิ่นทำลาย พวกสังคมอีลิต ต่างพากันสลัดกิโมโนทิ้ง มาแต่งตัว และใส่หมวกแบบตะวันตก แล้วชาวญี่ปุ่นหัวสมัยใหม่ ก็รีบสร้างระบบรัฐสภา เร่งร่างรัฐธรรมนูญ… นี่ ผมกำลังเล่าเรื่องญี่ปุ่นนะครับ..
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    13 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 1 ในที่สุด ภาพของญี่ปุ่น ที่วาดไว้อย่างสวยงามว่า เป็นชาติที่รักความสงบ ไม่มีวันไปรุกรานใครอีกตลอดกาล ตามรัฐธรรมนูญญี่ปุ่น ที่อเมริกาเขียนให้เมื่อปี ค.ศ.1948 ก็ถูกลบทิ้งเรียบร้อย เมื่อวันที่ 17 กรกฏาคม ที่ผ่านมา เมื่อสภาล่างของญี่ปุ่น ได้ลงคะแนนผ่านกฏหมาย ที่จะแปลความรัฐธรรมนูญดังกล่าให้ญี่ปุ่นสามารถนำกองทัที่มีไว้เพื่อป้องกันตนเอง Self Defence Force (SDF) ถลาร่อนไปได้ทั่วโลก แบกถาดไปได้ทุกแห่ง ตามคำสั่งของนายท่าน ไอ้ที่บอกว่าจะ ไม่รุกรานใครอีกตลอดกาล ของญี่ปุ่นนี่ “ตลอดกาล” มันนานมาก นานน้อย แค่ไหนก็ได้ ตามแต่นายท่านจะสั่ง กฏหมายนี้ ยังจะต้องผ่านสภาสูงอีกรอบ ภายในเดือนสิงหาคม แต่ไม่มีปัญหา เขาว่าพรรค LPD ของนายอาเบะคุมเสียงต้ัง 2 ใน 3 ของสภาสูง นอนหลับตาไขว้ห้างได้สบายใจ ไม่ต้องเอามือก่ายหน้าผาก แถมสั่งลูกน้องให้ไปเตรียมตัดชุดแบกถาดล่วงหน้าได้ ไม่ต้องกลัวเป็นซามูไรสายบัวเหี่ยว ตั้งแต่ข่าวนี้ออกสื่อ มีเสียงดังเหมือนมังกรคำราม ออกมาอย่างไม่พอใจ ไม่ต้องสงสัย มาจากบ้านอาเฮียของผมนั่นแหละ ทำไมอาเฮียต้องเอ็ดตะโรด้วย ใครเขาอยากจะแก้รัฐธรรมนูญ หรือแก้อะไร เฮียก็อย่าไปใส่ใจน่า อย่าทำตัวเหมือนไอ้พวกใบตองแห้ง ที่ไม่พอใจไปหมด เดี๋ยวก็สั่งให้แก้ สั่งให้ถอด สั่งให้เปิด สั่งให้เปลี่ยน สั่งมันทุกอย่าง เหลืออย่างเดียว ยังไม่ได้ให้สั่งขี้มูก สั่งมาซีวะ กำลังถูกหวัดต้นฝนเล่นงานอยู่ จะได้เอาให้หน้าสถานทูตมันลื่นพราดเชียว (ฮา) อาเฮียบอกไม่ขำ (โว้ย) อ้าว เฮียครับ ธรรมดาก็เห็นหยอกกันได้ แต่เรื่องไอ้ยุ่นแบกถาดนี่ ทำไมเฮียบูดกระทันหัน เรื่องทะเลาะกันตีกัน มันก็นาน 70, 80 ปีแล้วนะ เป็นแผลก็ตกสะเก็ด ไปแล้ว เฮียไปเกาซ้ำแผลมันจะหายได้ยังไง อาเฮียบอก ลื้อไปศึกษาดูให้ดี อย่าดีแต่พล่าม หายเซ่อ แล้วคอยมาคุยกันว่า ทำไมแผลเก่านาน กว่า 70 ปี ถึงไม่ตกสะเก็ดเสียที จริงของอาเฮีย ผมเองยังเซ่อจับเกี่ยวเรื่องญี่ปุ่น มีคำถามค้างกับตัวเองอยู่หลายเรื่อง มองบางอย่างยังไม่ชัด เหมือนอะไรมันยังขัดกัน หรือ หมุนไปคนละทาง อะไรทำให้ญี่ปุ่น ลุกขึ้นไปรุกรานเพื่อนบ้านตัวเอง อย่างหิวกระหายและทารุณ และไปเข้าร่วมทำสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างดุดันและเหี้ยมโหด ญี่ปุ่นโกรธแค้นใครมาหรือญี่ปุ่นถูกหลอก หรือมีข้อตกลงกับใคร หรือมันเป็นนิสัยของชนชาติที่รักษาเกียรติยศด้วยการเอามีดคว้านท้องตัวเอง ก็เลยเห็นชีวิตคนอื่นไม่ต่างกับผักดองหรือสาหร่าย ผมว่า เรามาเริ่มจากประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น แบบสั้นๆ แต่แพนกล้องให้กว้าง แล้วค่อยๆเจาะลึกดีกว่า จริงๆอยากเขียนแบบ ต้มข้ามศตวรรษ อีกรอบ แต่สงสัยทั้งคนเขียน และคนอ่านหมดแรงไปก่อนวันอันควร จากหลักสูตรการศึกษาวิชาประวัติ ศาสตร์ญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ที่ฝรั่งเขียน มักจะระบุว่า พฤติกรรมของญี่ปุ่น ที่แสดงในช่วง ค.ศ.1852 ถึง 1945 มาจากแรงผลักดัน ที่ไม่อยากมีชะตา หรือสภาพอย่างจีน เมื่อช่วงศตวรรษ ที่ 19 อืม… เริ่มแบบนี้ ผมเกรงว่า แผลเก่าของอาเฮีย จะกลายเป็นแผลใหม่สดขึ้นมาอีก อาเฮีย อย่าเพิ่งเข้ามาอ่านนะครับ ให้ผมพล่ามให้จบก่อน ผมยังไม่อยากมีเรื่องกับมังกร นักประวัติศาสตร์ บอกว่า สำหรับญี่ปุ่น การเข้าสู่สงครามโลก มันลามมาจากการปะทะกัน ระหว่างญี่ปุ่นกับจีน ที่เรียกว่า สงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 2 Second Sino Japanese War หรือ ที่เรียกอีกชื่อว่า Marco Polo Bridge Incident ที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1937 หลังจากที่มีการทุบถอง ปะทะกันตามแนวเขตแดนมาหลายปี ต้ังแต่ญี่ปุ่นไปบุกแมนจูเรีย ในปี ค.ศ.1931 นู่น เอะ แล้วญี่ปุ่นนึกยังไง ถึงซ่าเข้าไปบุกแมนจูเรีย นักประวัติศาสตร์บอกว่า งั้นต้องถอยกลับมาปี ค.ศ1853 ก่อน ถึงจะเดินหน้าต่อ อย่าเพิ่งโวยว่า ผมถอยไปเรื่อยๆ แล้วเมื่อไหร่จะรู้เรื่องกัน เอาน่า จะรู้เรื่องอะไร ก็รู้ให้มันชัดๆ ดีกว่ารู้เรื่องดาราทะเลาะกัน งอนกัน ที่จริงๆแล้ว เราก็ไม่รู้เรื่องจริงของพวกเขาอยู่ดี ใช่ไหมครับ ก่อนปี ค.ศ.1853 นักประวัติศาสตร์ บอกญี่ปุ่นเป็นชาติ ที่รักสันโดษ ไม่คบค้ากับใคร นานๆ ก็มีชาวดัชท์เอาเรือบรรทุกสินค้าแวะมาจอด ซื้อของขายของ แถวท่าเรือที่เมืองนางาซากิ Nagasaki ชาวต่างชาตินอกเหนือจากนั้น ไม่อนุญาต ไม่รู้ดัชท์หลุดมาได้ไง พอถึงปี ค.ศ.1853 ต้นเหตุที่ทำให้ญี่ปุ่นเปลี่ยนนิสัยรักสันโดษ ก็มาถึง นาวาโทแมทธิว เพอรี่ นำเรือรบอเมริกันมาจอด อยู่ที่ปากอ่าวเมืองโตเกียว และไม่ได้มากันลำเดียว ขนกันมาถึง 4 ลำ เล่นเอาปากอ่าว แน่นเอี้ยด นี่มันสูตรสำเร็จ แจกโรเนียวเลยนะ เอาเรือรบมาขอจับมือ ญี่ปุ่นเห็นเรือรบที่ไม่ได้รับ เชิญ มาจอดเต็มหน้าบ้าน ก็ยัวะจัด บังวิวสวยๆหมด เลยท้าวสะเอวถลกกิโมโน ชี้นิ้วตะโกนไล่ ออกไปเดี๋ยวนี้นะ ทหารเรือฝรั่งบอกว่า ไม่ไป แถมหันปืนใหญ่ใส่เมืองโตเกียว ญี่ปุ่นยิ่งยั๊วะ รวบรวมเรือเล็กเรือน้อย ติดธงทิวสวยงาม ไปล้อมเรือรบ น่าเอ็นดูจัง แต่ทหารเรือ ไม่เอ็นดูด้วย กลับยื่นจดหมายของประธานาธิบดี Millard Fillmore แห่งแดนใบตองแห้ง เอ้า เอาไปส่งให้โชกุนโตกุกาวาที่ปก ครองญี่ปุ่นขณะนั้น แถมด้วยยิงปืนใหญ่โชว์ จนบ้านน้อยๆของชาวญี่ปุ่น ที่อยู่ริมอ่าวพังพินาศ นักประวัติศาสตร์ ไม่ได้จดมาว่าพังไปเท่าไหร่ ว่าแล้วก็แล่นเรือจากไป แต่ไม่ไปลับ สำทับกับชาวญี่ปุ่น ที่ยังไม่หายตกใจ หูอื้อจากเสียงปืนใหญ่…. แล้วเราจะกลับมาเอาคำตอบ….ฮู้ย เข้มซะไม่มี เอาปืนใหญ่ มาขู่กระบอกไม้ไผ่ ซามูไรมุดหัวหายไปไหนหมด หนึ่งปีผ่านไป ทหารเรือพกปืนใหญ่ก็กลับมาจริง คราวนี้ยกโขยงเรือรบมากัน 8 ลำ คราวที่แล้วมา 4 ลำ ดูจะน้อยไป เดี๋ยวจะสู้กับไม้ไผ่ไม่ไหว แถมมาพร้อมกับมือเหล็ก ยื่นมาบีบคอญี่ปุ่น ให้เซ็นสัญญา Convention of Kanagawa ให้ญี่ปุ่นเปิดท่าเรือชิโมดะ Shimoda (ชื่อเดิมของโตเกียวนั่นแหละ) และเมือง ฮาโกดาเตะ Hagodate ซึ่งอยู่ทางใต้ของฮอกไกโด Hokkaido เพื่อค้าขายกับอเมริกา ตามเงื่อนไขที่อเมริกากำหนด ญี่ปุ่นคิดหนัก เฮ้อ… ซามูไร ถึงจะคมยังไง ก็คงสู้กับปืนใหญ่ลำบาก เนะ… ว่าแล้วก็คอตก หน้าก้ม ยกมือขึ้นประทับตรา ในสัญญาขู่เอาไมตรี (หมายเหตุ ก่อนเดินหน้าเล่าต่อ ถ้าผมเรียกชื่อ สะกดชื่อญี่ปุ่นผิด ก็ไม่ต้องทักท้วงกันมาหลังจอนะ ครับ รบกวนบอกกันหน้าจอเลยว่า ผิดที่ไหน ที่ถูก ต้องเรียกยังไง ผมจะขอบคุณมาก ผมแค่เขียนนิทานให้อ่าน ไม่ใช่ครูสอนภาษา และผมก็ไม่ใช่ชาวญี่ปุ่น แต่ก็พยายามจะไม่เขียนแบบมั่ว หรือชุ่ยครับ อ้อ ไม่ใช่เฉพาะภาษาญี่ปุ่นนะครับ ทุกภาษาที่สะกดผิด นิทานเรื่องนี้ จะมีทั้งภาษาจีน ภาษาฝรั่งอั้งม้อ รวมทั้งภาษาไทย ที่ตอนเขียนถูก แต่ตอนโพสต์ผิดก็มี และมีแยะขึ้น บางวันถึงขนาด เครื่องมันขึ้น F ให้หน้าเพจผม ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน บางครั้งก็แก้ไขทัน บางทีก็ไม่ทัน ก็ขอความกรุณา อย่า งง เขียนนิทานแบบนี้ ลงเพจให้อ่านกัน เหมือนเล่นกระดานโต้คลื่น พยุงตัวให้รอด ไม่จมน้ำหาย ได้โผล่หัวอยู่มาได้ เกือบ 2 ปีนี่ ก็กินแรงแยะเหมือนกันนะครับ แรงคนแก่มีเหลือไม่มาก เรื่องอะไรที่ไม่ถึงกับขัดหู ขัดตา ก็ปล่อยไปบ้าง ต้องขออภัยล่วงหน้า) เรื่อง นายนาวาโทเพอรี่ ขี่เรือรบพกปืนใหญ่ มาขู่เอาไมตรีกับญี่ปุ่นนี่ จริงๆ ทำเอาซามูไรหน้าจ๋อย ใจฝ่อไปจม ที่เคยเชื่อว่า ตนเองเป็นชาติที่เข็มแข็ง ซามูไรคมกริบ ไม่เคยพลาดเป้า ตอนนี้เหงื่อตก คิดหนัก เราด้อยกว่าเขาแยะนักหรือ ขนาดจีนว่าใหญ่ ยังโดนไอ้พวกไกยิ่น (ญี่ปุ่น เรียก ฝรั่ง ว่า Gai-Jin) เล่นซะร่วง แล้วเราจะทำอย่างไรดี ด้วยความกลัวไอ้พวกไกยิ่น เอาปืนใหญ่มายิงโชว์อีก ญึ่ปุ่นตัดสินใจเด็ดเดี่ยว มีทางเดียวเราต้องปฏิรูปตัวเอง ญี่ปุ่นทำจริงจัง ปี ค.ศ.1868 ญี่ปุ่นจัดการบ้านการเมืองตัวเองใหม่ เรียกว่า Meiji Restoration เริ่มขบวนการปลดโชกุน ที่เคยมีอำนาจใหญ่กว่าฟ้า กลับลงมาสู่พื้น แล้วเอาอำนาจให้มาอยู่ในมือของจักรพรรดิแทน หรือจริงๆ ก็คืออยู่ในมือของกลุ่มที่ชักใยอยู่หลังฉาก ที่ไปปลดโชกุน และอุ้มจักรพรรดิขึ้นมาเป็นเจว็ด นั่นแหละ กลุ่มมือที่อยู่หลักฉาก เชื่อว่า ด้วยการเปลี่ยนโครงสร้างทางสังคม โดยล้มเลิกระบบขุนนาง ปรับปรุงกองทัพให้เข็มแข็ง และวางแผนให้ประเทศเดินหน้าไปทางด้านอุตสาหกรรม พยายามสร้างชาติใหม่ให้เท่าทันตะวันตก ชะตาชีวิตของประเทศ ก็น่าจะพ้นจากสภาพการถูกไอ้พวก ไกยิ่นทำลาย พวกสังคมอีลิต ต่างพากันสลัดกิโมโนทิ้ง มาแต่งตัว และใส่หมวกแบบตะวันตก แล้วชาวญี่ปุ่นหัวสมัยใหม่ ก็รีบสร้างระบบรัฐสภา เร่งร่างรัฐธรรมนูญ… นี่ ผมกำลังเล่าเรื่องญี่ปุ่นนะครับ.. สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 13 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 247 มุมมอง 0 รีวิว
  • บูรพาไม่แพ้ EP.148 : ในหลวงเยือนจีน เขียนประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์บทใหม่
    .
    การเสด็จเยือนจีนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระราชินี ระหว่างวันที่ 13 – 17 พฤศจิกายน 2568 ถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศครั้งใหม่ เพราะถือเป็นครั้งแรกที่พระมหากษัตริย์ของไทยเดินทางเยือนประเทศจีน และเป็นโอกาสที่ไทยและจีนสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกันครบรอบ 50 ปีด้วย
    .
    แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขณะทรงเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช จะทรงเคยเสด็จเยือนจีน 3 ครั้ง คือในปี 2530, 2535 และ 2541 แต่การเดินทางเยือนจีนครั้งนี้เป็น การเสด็จเยือนประเทศจีนอย่างเป็นทางการครั้งแรกของพระองค์หลังจากทรงขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 10 วันนี้ เราจะเล่าถึงการเสด็จเยือนประเทศจีนของในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ว่ามีความหมายต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศอย่างไร, ฝ่ายจีนได้จัดการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติอย่างไรบ้าง โดยมีบทสัมภาษณ์ของตัวแทนคนไทยในประเทศจีนที่ได้ไปร่วมรับเสด็จฯ ด้วย
    .
    คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=T5miI-SBry0
    .
    #50ปีความสัมพันธ์ไทยจีน #ในหลวงเสด็จเยือนจีน #สัมพันธ์ไทยจีน

    บูรพาไม่แพ้ EP.148 : ในหลวงเยือนจีน เขียนประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์บทใหม่ . การเสด็จเยือนจีนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระราชินี ระหว่างวันที่ 13 – 17 พฤศจิกายน 2568 ถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศครั้งใหม่ เพราะถือเป็นครั้งแรกที่พระมหากษัตริย์ของไทยเดินทางเยือนประเทศจีน และเป็นโอกาสที่ไทยและจีนสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกันครบรอบ 50 ปีด้วย . แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขณะทรงเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช จะทรงเคยเสด็จเยือนจีน 3 ครั้ง คือในปี 2530, 2535 และ 2541 แต่การเดินทางเยือนจีนครั้งนี้เป็น การเสด็จเยือนประเทศจีนอย่างเป็นทางการครั้งแรกของพระองค์หลังจากทรงขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 10 วันนี้ เราจะเล่าถึงการเสด็จเยือนประเทศจีนของในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ว่ามีความหมายต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศอย่างไร, ฝ่ายจีนได้จัดการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติอย่างไรบ้าง โดยมีบทสัมภาษณ์ของตัวแทนคนไทยในประเทศจีนที่ได้ไปร่วมรับเสด็จฯ ด้วย . คลิกฟัง >> https://www.youtube.com/watch?v=T5miI-SBry0 . #50ปีความสัมพันธ์ไทยจีน #ในหลวงเสด็จเยือนจีน #สัมพันธ์ไทยจีน
    Like
    Love
    4
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 146 มุมมอง 0 รีวิว
  • บูรพาไม่แพ้ Ep.148 : ในหลวงเยือนจีน เขียนประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์บทใหม่

    https://www.youtube.com/watch?v=T5miI-SBry0
    บูรพาไม่แพ้ Ep.148 : ในหลวงเยือนจีน เขียนประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์บทใหม่ https://www.youtube.com/watch?v=T5miI-SBry0
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 72 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตำนานเกมข้อความ Zork เปิดซอร์สโค้ด

    เกม Zork ถือเป็นหนึ่งในเกมแนว interactive fiction ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคแรกๆ ของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล มันสร้างโลกด้วย "ตัวหนังสือ" แทนภาพกราฟิก และใช้จินตนาการของผู้เล่นเป็นเครื่องมือหลักในการเล่น จุดเด่นคือการใช้ Z-Machine ซึ่งเป็น virtual machine ที่ทำให้เกมสามารถรันได้บนหลายแพลตฟอร์มโดยไม่ต้องเขียนใหม่ทั้งหมด

    การอนุรักษ์และการศึกษา
    Microsoft Open Source Programs Office (OSPO) ได้ร่วมมือกับนักอนุรักษ์ดิจิทัลชื่อดัง Jason Scott และ Internet Archive เพื่อส่งซอร์สโค้ด Zork I–III เข้าสู่ repository ประวัติศาสตร์ พร้อมเพิ่ม MIT License และเอกสารประกอบที่มีอยู่ การเปิดซอร์สครั้งนี้ไม่ได้มุ่งหวังการพัฒนาเชิงพาณิชย์ แต่เพื่อให้ นักเรียน นักวิจัย และนักพัฒนา สามารถศึกษาโครงสร้างและวิธีคิดของวิศวกรยุคแรก

    เล่น Zork ได้ง่ายขึ้นในยุคปัจจุบัน
    แม้จะผ่านมากว่า 40 ปี เกม Zork ยังสามารถเล่นได้ทั้งในเชิงพาณิชย์ผ่าน The Zork Anthology บน Good Old Games หรือคอมไพล์ซอร์สโค้ดด้วยเครื่องมืออย่าง ZILF และรันผ่าน interpreter เช่น Windows Frotz หรือ Fic ที่เขียนด้วย Python สิ่งนี้สะท้อนว่าเกมคลาสสิกยังคงมีชีวิตและสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม

    ความหมายต่อวงการเกมและโอเพนซอร์ส
    การเปิดซอร์สโค้ด Zork ไม่เพียงแต่เป็นการอนุรักษ์ แต่ยังเป็นการย้ำเตือนว่า จินตนาการและวิศวกรรม สามารถสร้างสิ่งที่ยืนยาวกว่าฮาร์ดแวร์หรือกราฟิกที่ล้าสมัย มันเป็นการเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้จากโค้ดจริงของเกมที่เคยเปลี่ยนโลก และยังเป็นการขอบคุณทีมผู้สร้าง Infocom ที่วางรากฐานให้วงการเกมเชิงเนื้อเรื่อง

    สรุปเป็นหัวข้อ
    การเปิดซอร์สโค้ด Zork I–III
    ใช้ MIT License เพื่อให้ศึกษาและพัฒนาได้อย่างเสรี

    ความสำคัญของ Z-Machine
    ทำให้เกมสามารถรันได้บนหลายแพลตฟอร์มโดยไม่ต้องเขียนใหม่

    การเข้าถึงเกมในปัจจุบัน
    เล่นผ่าน Good Old Games หรือคอมไพล์ด้วย ZILF และ interpreter

    ความร่วมมือเพื่อการอนุรักษ์
    Microsoft OSPO และ Jason Scott ส่งซอร์สโค้ดเข้าสู่ repository ประวัติศาสตร์

    ความเสี่ยงด้านสิทธิ์เชิงพาณิชย์
    การเปิดซอร์สไม่รวมสิทธิ์ทางการตลาดหรือเครื่องหมายการค้า
    ความท้าทายในการศึกษาโค้ดเก่า
    โครงสร้างและภาษาโปรแกรมอาจซับซ้อนสำหรับผู้เรียนรุ่นใหม่

    https://opensource.microsoft.com/blog/2025/11/20/preserving-code-that-shaped-generations-zork-i-ii-and-iii-go-open-source
    🕹️ ตำนานเกมข้อความ Zork เปิดซอร์สโค้ด เกม Zork ถือเป็นหนึ่งในเกมแนว interactive fiction ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคแรกๆ ของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล มันสร้างโลกด้วย "ตัวหนังสือ" แทนภาพกราฟิก และใช้จินตนาการของผู้เล่นเป็นเครื่องมือหลักในการเล่น จุดเด่นคือการใช้ Z-Machine ซึ่งเป็น virtual machine ที่ทำให้เกมสามารถรันได้บนหลายแพลตฟอร์มโดยไม่ต้องเขียนใหม่ทั้งหมด 📚 การอนุรักษ์และการศึกษา Microsoft Open Source Programs Office (OSPO) ได้ร่วมมือกับนักอนุรักษ์ดิจิทัลชื่อดัง Jason Scott และ Internet Archive เพื่อส่งซอร์สโค้ด Zork I–III เข้าสู่ repository ประวัติศาสตร์ พร้อมเพิ่ม MIT License และเอกสารประกอบที่มีอยู่ การเปิดซอร์สครั้งนี้ไม่ได้มุ่งหวังการพัฒนาเชิงพาณิชย์ แต่เพื่อให้ นักเรียน นักวิจัย และนักพัฒนา สามารถศึกษาโครงสร้างและวิธีคิดของวิศวกรยุคแรก 💡 เล่น Zork ได้ง่ายขึ้นในยุคปัจจุบัน แม้จะผ่านมากว่า 40 ปี เกม Zork ยังสามารถเล่นได้ทั้งในเชิงพาณิชย์ผ่าน The Zork Anthology บน Good Old Games หรือคอมไพล์ซอร์สโค้ดด้วยเครื่องมืออย่าง ZILF และรันผ่าน interpreter เช่น Windows Frotz หรือ Fic ที่เขียนด้วย Python สิ่งนี้สะท้อนว่าเกมคลาสสิกยังคงมีชีวิตและสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม 🌍 ความหมายต่อวงการเกมและโอเพนซอร์ส การเปิดซอร์สโค้ด Zork ไม่เพียงแต่เป็นการอนุรักษ์ แต่ยังเป็นการย้ำเตือนว่า จินตนาการและวิศวกรรม สามารถสร้างสิ่งที่ยืนยาวกว่าฮาร์ดแวร์หรือกราฟิกที่ล้าสมัย มันเป็นการเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้จากโค้ดจริงของเกมที่เคยเปลี่ยนโลก และยังเป็นการขอบคุณทีมผู้สร้าง Infocom ที่วางรากฐานให้วงการเกมเชิงเนื้อเรื่อง 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ การเปิดซอร์สโค้ด Zork I–III ➡️ ใช้ MIT License เพื่อให้ศึกษาและพัฒนาได้อย่างเสรี ✅ ความสำคัญของ Z-Machine ➡️ ทำให้เกมสามารถรันได้บนหลายแพลตฟอร์มโดยไม่ต้องเขียนใหม่ ✅ การเข้าถึงเกมในปัจจุบัน ➡️ เล่นผ่าน Good Old Games หรือคอมไพล์ด้วย ZILF และ interpreter ✅ ความร่วมมือเพื่อการอนุรักษ์ ➡️ Microsoft OSPO และ Jason Scott ส่งซอร์สโค้ดเข้าสู่ repository ประวัติศาสตร์ ‼️ ความเสี่ยงด้านสิทธิ์เชิงพาณิชย์ ⛔ การเปิดซอร์สไม่รวมสิทธิ์ทางการตลาดหรือเครื่องหมายการค้า ‼️ ความท้าทายในการศึกษาโค้ดเก่า ⛔ โครงสร้างและภาษาโปรแกรมอาจซับซ้อนสำหรับผู้เรียนรุ่นใหม่ https://opensource.microsoft.com/blog/2025/11/20/preserving-code-that-shaped-generations-zork-i-ii-and-iii-go-open-source
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 147 มุมมอง 0 รีวิว
  • Verizon ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่

    Verizon ผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สายรายใหญ่ของสหรัฐฯ ประกาศว่าจะปลดพนักงานมากกว่า 13,000 คนทั่วทั้งองค์กร ถือเป็นการเลิกจ้างครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์บริษัท การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นภายใต้การนำของ Dan Schulman ซีอีโอคนใหม่ที่เข้ามารับตำแหน่งในเดือนตุลาคม 2025 หลังจากเคยเป็นหัวหน้า PayPal

    นอกจากการปลดพนักงานแล้ว Verizon ยังวางแผน เปลี่ยนร้านค้าของบริษัท 179 แห่งเป็นแฟรนไชส์ และปิดร้านหนึ่งแห่ง เพื่อปรับโครงสร้างการดำเนินงานให้มีความคล่องตัวมากขึ้น

    เหตุผลเบื้องหลังการปรับโครงสร้าง
    Schulman ระบุว่า โครงสร้างต้นทุนปัจจุบันของ Verizon จำกัดความสามารถในการลงทุนเพื่อสร้างคุณค่าให้ลูกค้า บริษัทจึงจำเป็นต้องลดความซับซ้อนของการดำเนินงานและลดการพึ่งพาแรงงานภายนอก เพื่อแก้ไขความล่าช้าและความยุ่งยากที่สร้างความไม่พอใจให้ลูกค้า

    Verizon ยังตั้งกองทุนมูลค่า 20 ล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยเหลือพนักงานที่ถูกเลิกจ้างในการเปลี่ยนสายอาชีพ โดยเน้นทักษะที่จำเป็นในยุค AI และดิจิทัล

    สถานการณ์การแข่งขันในตลาด
    การปรับโครงสร้างครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากคู่แข่งอย่าง AT&T และ T-Mobile ที่ใช้กลยุทธ์ส่วนลดและโปรโมชันแรง ๆ ในการดึงลูกค้า Verizon เพิ่มผู้ใช้รายใหม่เพียง 44,000 ราย ในไตรมาส 3 ปี 2025 ซึ่งน้อยกว่า AT&T และห่างไกลจาก T-Mobile ที่เพิ่มผู้ใช้กว่า 1 ล้านราย

    นอกจากนี้ Verizon ยังลงทุนมหาศาลในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เช่น 52 พันล้านดอลลาร์ เพื่อซื้อคลื่น midband spectrum สำหรับ 5G และ 20 พันล้านดอลลาร์ เพื่อซื้อกิจการ Frontier Communications รวมถึง 6 พันล้านดอลลาร์ สำหรับ TracFone Wireless ซึ่งเพิ่มแรงกดดันด้านการเงินต่อบริษัท

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การเลิกจ้างครั้งใหญ่
    ปลดพนักงานกว่า 13,000 คน ถือเป็นครั้งใหญ่ที่สุดของ Verizon
    เปลี่ยนร้านค้าบริษัท 179 แห่งเป็นแฟรนไชส์

    เหตุผลการปรับโครงสร้าง
    ลดต้นทุนและความซับซ้อนในการดำเนินงาน
    ตั้งกองทุน 20 ล้านดอลลาร์ช่วยพนักงานที่ถูกเลิกจ้าง

    แรงกดดันจากตลาด
    Verizon เพิ่มผู้ใช้รายใหม่เพียง 44,000 รายใน Q3
    คู่แข่ง AT&T และ T-Mobile ใช้ส่วนลดและโปรโมชันดึงลูกค้าได้มากกว่า

    คำเตือนต่ออนาคต Verizon
    การลงทุนมหาศาลใน spectrum และการซื้อกิจการเพิ่มภาระทางการเงิน
    หากไม่สามารถฟื้นฟูความสามารถในการแข่งขัน อาจสูญเสียตำแหน่งผู้นำตลาด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/20/verizon-cutting-more-than-13000-jobs-as-it-restructures
    📉 Verizon ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ Verizon ผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สายรายใหญ่ของสหรัฐฯ ประกาศว่าจะปลดพนักงานมากกว่า 13,000 คนทั่วทั้งองค์กร ถือเป็นการเลิกจ้างครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์บริษัท การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นภายใต้การนำของ Dan Schulman ซีอีโอคนใหม่ที่เข้ามารับตำแหน่งในเดือนตุลาคม 2025 หลังจากเคยเป็นหัวหน้า PayPal นอกจากการปลดพนักงานแล้ว Verizon ยังวางแผน เปลี่ยนร้านค้าของบริษัท 179 แห่งเป็นแฟรนไชส์ และปิดร้านหนึ่งแห่ง เพื่อปรับโครงสร้างการดำเนินงานให้มีความคล่องตัวมากขึ้น ⚙️ เหตุผลเบื้องหลังการปรับโครงสร้าง Schulman ระบุว่า โครงสร้างต้นทุนปัจจุบันของ Verizon จำกัดความสามารถในการลงทุนเพื่อสร้างคุณค่าให้ลูกค้า บริษัทจึงจำเป็นต้องลดความซับซ้อนของการดำเนินงานและลดการพึ่งพาแรงงานภายนอก เพื่อแก้ไขความล่าช้าและความยุ่งยากที่สร้างความไม่พอใจให้ลูกค้า Verizon ยังตั้งกองทุนมูลค่า 20 ล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยเหลือพนักงานที่ถูกเลิกจ้างในการเปลี่ยนสายอาชีพ โดยเน้นทักษะที่จำเป็นในยุค AI และดิจิทัล 📊 สถานการณ์การแข่งขันในตลาด การปรับโครงสร้างครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากคู่แข่งอย่าง AT&T และ T-Mobile ที่ใช้กลยุทธ์ส่วนลดและโปรโมชันแรง ๆ ในการดึงลูกค้า Verizon เพิ่มผู้ใช้รายใหม่เพียง 44,000 ราย ในไตรมาส 3 ปี 2025 ซึ่งน้อยกว่า AT&T และห่างไกลจาก T-Mobile ที่เพิ่มผู้ใช้กว่า 1 ล้านราย นอกจากนี้ Verizon ยังลงทุนมหาศาลในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เช่น 52 พันล้านดอลลาร์ เพื่อซื้อคลื่น midband spectrum สำหรับ 5G และ 20 พันล้านดอลลาร์ เพื่อซื้อกิจการ Frontier Communications รวมถึง 6 พันล้านดอลลาร์ สำหรับ TracFone Wireless ซึ่งเพิ่มแรงกดดันด้านการเงินต่อบริษัท 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การเลิกจ้างครั้งใหญ่ ➡️ ปลดพนักงานกว่า 13,000 คน ถือเป็นครั้งใหญ่ที่สุดของ Verizon ➡️ เปลี่ยนร้านค้าบริษัท 179 แห่งเป็นแฟรนไชส์ ✅ เหตุผลการปรับโครงสร้าง ➡️ ลดต้นทุนและความซับซ้อนในการดำเนินงาน ➡️ ตั้งกองทุน 20 ล้านดอลลาร์ช่วยพนักงานที่ถูกเลิกจ้าง ✅ แรงกดดันจากตลาด ➡️ Verizon เพิ่มผู้ใช้รายใหม่เพียง 44,000 รายใน Q3 ➡️ คู่แข่ง AT&T และ T-Mobile ใช้ส่วนลดและโปรโมชันดึงลูกค้าได้มากกว่า ‼️ คำเตือนต่ออนาคต Verizon ⛔ การลงทุนมหาศาลใน spectrum และการซื้อกิจการเพิ่มภาระทางการเงิน ⛔ หากไม่สามารถฟื้นฟูความสามารถในการแข่งขัน อาจสูญเสียตำแหน่งผู้นำตลาด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/20/verizon-cutting-more-than-13000-jobs-as-it-restructures
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Verizon cutting more than 13,000 jobs as it restructures
    WASHINGTON (Reuters) -U.S. wireless carrier Verizon on Thursday said it will cut more than 13,000 jobs in its largest single layoff as it works to shrink costs and restructure operations.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขยับหมาก ตอนที่ 1

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ขยับหมาก”
    ตอน 1
    เดือนกรกฏา ผ่านไปแค่ครึ่งเดือน เหตุการณ์ต่างๆทยอยกันมาเหมือน น้ำหลาก ทั้งๆที่ฝนแล้ง ผมตามอ่าน ตามขุด จนมึนหัวไปหมดยังไม่ทันการ เหตุการณ์พลิกผันสาระพัด แถมมีทั้งแผนล่อแผนลวง ข้อมูลบางแหล่งที่เคยเชื่อได้ ก็ชักจะต้องชั่งหลายหนว่าให้น้ำ หนักเก๊หรือเปล่า ผมไม่ได้รู้ไปหมด มีผิดพลาดได้ ผิดก็ขออภัย ท้วงมาแล้วกันครับ แล้วก็ช่วยกันหาที่ถูก เอามาแลกเปลี่ยนความคิดกัน หรือถ้า ผมเจอข้อมูลใหม่ ที่ทันสมัย หักล้าง น่าเชื่อถือ หรือลึกกว่าที่เคยขุดได้มา ผมก็จะมาขยายต่อ การศึกษา ค้นหา เรียนรู้ ไม่มีที่สิ้นสุด
    ดูซิ อย่างเรื่องอิหร่านนิวเคลียร์ ที่เมื่อคืนวันจันทร์ที่ 13 มิย เพิ่งออกข่าวว่า ตกลงเขายังไม่ตกลงกัน ยืดแล้วยืดอีก เหมือนหนังสติ๊กหมดอายุ จนนักข่าวที่ไปนั่งรอทำข่าว หน้าเหี่ยวเหงื่อตกกันหมด เขาบอกว่ายุโรปปีนี้ร้อนอร่อย เบียร์ยังอุ่นเลย นั่งรอการแถลงข่าวมาตั้งกะหัวค่ำ เปรี้ยวปากกันเป็นแถว พอตกดึก 2 ยามกว่าบ้านเรา CNN ก็ออกข่าว โดยโฆษกรูปหล่อประจำทำเนียบขาว ออกมาแถลงข่าวว่า ยัง…ยังไม่มีข้อตกลง นักข่าวถามว่า แล้วจะมีเมื่อไหร่ 1 วัน 2 วัน 2 อาทิตย์ รูปหล่อบอก เราไม่ได้เน้นเรื่องกำหนดเวลา เราต้องการให้ เป็นการตกลงที่ไม่มีปัญหา ไม่สร้างปัญหามากกว่า นักข่าวถามอีกว่า แล้วมีปัญหาอะไร ปัญหามาจากฝ่ายไหน …. ถามมากจัง ใครจะไปตอบได้ รูปหล่อชักเลิกลั่ก ….. ว่าแล้ว CNN ก็ตัดข่าวไปเรื่องสำคัญกว่า เกี่ยวกับเรื่องไอ้พวกค้ายา 46 คนแทน โอ้ย… ฮาจริง
    แต่แล้ววันรุ่งขึ้น คือวันอังคารที่ 14 มิย ผมเปิดทีวี ตอนบ่ายแก่ๆ เย็นอ่อนๆ ประมาณ 4โมงเย็น ก็เห็น CNN ขึ้นหัวข่าวไว้แล้วว่า อิหร่านตกลงได้แล้ว อ้าว เมื่อคืนยังบอกไม่รู้เลยไอ้เบื้อก ผู้ประกาศทำเสียงตื่นเต้น จนผมไม่กล้านอนดูอย่างเคย หลังจากนั้น ก็มีการไปสัมภาษณ์ผู้ชำนาญการต่างๆ ซึ่งสรุปว่า ตกลงกันได้เสียที เสียเวลารอมานาน แต่ไม่มีใครเห็นด้วยเท่าไหร่ว่า เป็นข้อตกลงที่ดี และไม่มีใครเชื่อขี้หน้าอิหร่านว่าจะทำตามที่ตกลงได้ สัมภาษณ์วน พูดซ้ำ จนค่ำ พณฯ ใบตองแห้ง ถึงได้ออกมาทำหน้าเครียดตาแข็ง แถลงเอง
    “….เราตกลงกับอิหร่านแล้ว ใครว่าไม่สมควร เราว่าสมควร เราต้องแสดงให้เห็นว่า เรา ที่เป็นชาติที่ยิ่งใหญ่มีอำนาจที่สุด ไม่จำเป็นต้องจัดการกับปัญหาด้วยการใช้กำลังเสมอไป เราใช้วิธีทางการทูตได้ … การที่เราทำเช่นนี้ ทำให้อิหร่านหมดทางที่จะผลิตนิวเคลียร์ไป 15 ปี อิหร่านเป็นประเทศที่ความสำคัญที่สุด ต่อผลประโยชน์ของอเมริกา……”
    หลังจากนั้น ผมก็ต้องขออนุญาตพณฯท่าน ปิดเสียง ขืนฟังต่อ เปลืองยาแย่ ฝ่ายอิหร่าน ก็มีการแถลงข่าวที่กรุงเตหะรานว่า ข้อตกลงบรรลุถึงวัตถุประสงค์ reached all objectives ส่วนอิสราเอล ออกมาบอกว่า เป็นการตกลงที่เลวร้ายที่สุดในโลก
    อืม… ปาหี่นี้ เขาเล่นกันได้น่าตื่นเต้น...สมจริงกันดี คงเข้าใจนะครับว่า มันมีความหมายว่าอย่างไร ก็แค่ไม่มีใครอยากออกมาโดนประทับหน้า ว่าเป็นคนทำให้งานล่ม
    เอาเป็นว่า เขาว่า เขาตกลงกันได้แล้ว แต่มีขั้นตอนการทำงานอีกมากมายที่ต้องไปทำต่อจะทำได้แค่ไหน อย่างไร นานเท่าไหน ก็ดูกันต่อไป อย่างน้อยรัฐสภาอเมริกัน ก็มีเวลาประมาญ 60 วัน ในการตรวจสอบข้อตกลง ก่อนที่จะไปลงความเห็นในรัฐสภา ระหว่างนี้ จะเติมสี ตีไข่ยังก็ได้ ต้ัง 60 วัน
    เรามาดูภาพใหญ่ ทำความเข้าใจภาพรวมให้มากที่สุดกันดีกว่า ขืนตามข่าวทุกวันที่เขาเอามาเล่นหลอกเรา มึนหัวตายทั้งคนเขียนคนอ่าน ก่อนจะเดินหน้าเล่าเรื่อง เพื่อให้เห็นภาพใหญ่ ขอถอยหลังทบทวนของเก่ากันหน่อย
    คงจำกันได้ เมื่อเดือนมีนาคม ถังขยะความคิดหมายเลขหนึ่ง ของบ้านไอ้นักล่าใบตองแห้ง Council on Foreign Relations หรือ CFR ผู้กำกับรัฐบาลอเมริกัน ได้ออกแผนสอยมังกร Grand Strategy สำหรับสยบจีน ที่แสดงถึงความกร่าง ดูถูก ปรามาส และประมาทใส่จีน มาให้เราฮือฮาไปแล้ว แต่ไอ้นักล่าใบตองแห้งคงจะเห็นว่า ชาวโลกคงตกใจไม่พอ หรือยังไม่แน่ใจกับความยิ่งใหญ่ อย่างชนิดไม่มีผู้ใด บังอาจจะกล้าทาบรัศมีของอเมริกา มันเป็นความต้ังใจของอเมริกา ที่จะใหญ่อย่างนี้แต่ผู้เดียวตลอดกาลนาน อย่างที่อังกฤษ ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย เคยคิดมาเป็นศตวรรษ แต่บัดนี้ ความคิดนั้นกลายเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว ชาวเกาะใหญ่ทำได้เพียงแค่ “นึกถึง” ความคิดนั้น อย่างขมขื่นอยู่ในอกฟีบและซีด แหม แดกซะยาวเลยนะลุง กว่าจะเลี้ยวกลับไปเข้าเรื่อง
    อเมริกาด่าจีนแค่นั้น เกรงจะไม่พอให้โลกตื่นเต้น อเมริกาเพิ่มแรงอัด เอาญี่ปุ่น มาอาบน้ำแต่งตัว เตรียมพร้อมที่จะไปแบกถาดรับใช้อเมริกา ถึงขนาดเตรียมการที่จะแก้การตีความกฏหมายรัฐธรรมนูญของประเทศ ที่กำหนดให้ญี่ปุ่นมีกองกำลัง เพียงเพื่อดูแลป้องกันตัวเองเท่า นั้น Self Defence Force (SDF) มาถึงวันนี้ แม้การขอให้สภาอนุมัติ ยอมให้ตีความใหม่ ให้กองกำลังญี่ปุ่น SDF แบกถาดไปได้ทั่วโลก ยังไม่สำเร็จ แต่ญี่ปุ่นก็เดินหน้าไปไกล โดยไม่รอสภา ก็นายท่านสั่งมา…
    SDF ของญี่ปุ่น เพิ่งไปทำการฝึกร่วมที่แดนจิ้งโจ้กับพวกจิงโจ้ และลูกพี่ใหญ่จากค่ายใบตองแห้ง แต่ฝึกเสร็จแล้วดูเหมือน จะแบกถาดหายวับไปกับตา ไม่รู้ไปซ่อนอยู่ตามเกาะไหนในมหาสมุทรแปซิฟิก กองทัพหายตัว แต่ตัวนายอาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น หลานรักของอดีตหัวหน้าใหญ่ยากูซ่า ก็ออกมาประกาศอย่างเข้มแข็งว่า ญี่ปุ่นพร้อมรบจีน นับว่าฝึกแบกถาดได้รวดเร็ว มีอนาคต แต่อนาคตไปทางไหน ก็อดใจรอดูกันหน่อย ส่วนนายกจิ้งโจ้ก็ออกมาบอกว่า กำลังรักกันจังกับคนแบกถาด และว่ามีเพื่อนซี้แถบเอเซียแยะ ไล่ชื่อให้นักข่าวฟัง โปรดจำกันไว้ด้วยว่า ไม่มีชื่อแดนสยามของสมันน้อย ว่าเป็นเพื่อน แต่มีชื่อเวียตนาม จำไว้นะ จำไว้ให้ดี
    อ้าว แล้วนี่จะปล่อยให้อเมริกา ทำตัวเป็นฝรั่งออกแขก เต้นอยู่หน้าโรงลิเกเจ้าเดียวได้ยังไง ว่าแล้วคู่หู หรือลูกพี่ ก็ต้องรีบแต่งตัว มาโชว์ลีลาด้วย กลัวไม่ได้ส่วนแบ่ง
    Chatham House หรือชื่อเต็มว่า The Royal Institute of International Affairs ถังขยะความคิด ฝาแฝดผู้พี่ ของ CFR ก็เพิ่งออกรายงานล่าสุด เมื่อเดือนมิถุนายนนี้ ตั้งชื่อรายงานได้สยองไม่แพ้แฝด น้อง “The Russian Challenge” รัสเซียกำเริบ (แปลภาษาลุงนิทาน) เรียกว่าแฝดแต่ละฝา ต่างออกมาประกบ คู่รัก กันคนละราย รายการแบ่งข้าง ศึกชิงแชมป์คราวนี้ คงมันยกร่อง สงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 โปรดหลบไปห่างๆ
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    15 ก.ค. 2558
    ขยับหมาก ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ขยับหมาก” ตอน 1 เดือนกรกฏา ผ่านไปแค่ครึ่งเดือน เหตุการณ์ต่างๆทยอยกันมาเหมือน น้ำหลาก ทั้งๆที่ฝนแล้ง ผมตามอ่าน ตามขุด จนมึนหัวไปหมดยังไม่ทันการ เหตุการณ์พลิกผันสาระพัด แถมมีทั้งแผนล่อแผนลวง ข้อมูลบางแหล่งที่เคยเชื่อได้ ก็ชักจะต้องชั่งหลายหนว่าให้น้ำ หนักเก๊หรือเปล่า ผมไม่ได้รู้ไปหมด มีผิดพลาดได้ ผิดก็ขออภัย ท้วงมาแล้วกันครับ แล้วก็ช่วยกันหาที่ถูก เอามาแลกเปลี่ยนความคิดกัน หรือถ้า ผมเจอข้อมูลใหม่ ที่ทันสมัย หักล้าง น่าเชื่อถือ หรือลึกกว่าที่เคยขุดได้มา ผมก็จะมาขยายต่อ การศึกษา ค้นหา เรียนรู้ ไม่มีที่สิ้นสุด ดูซิ อย่างเรื่องอิหร่านนิวเคลียร์ ที่เมื่อคืนวันจันทร์ที่ 13 มิย เพิ่งออกข่าวว่า ตกลงเขายังไม่ตกลงกัน ยืดแล้วยืดอีก เหมือนหนังสติ๊กหมดอายุ จนนักข่าวที่ไปนั่งรอทำข่าว หน้าเหี่ยวเหงื่อตกกันหมด เขาบอกว่ายุโรปปีนี้ร้อนอร่อย เบียร์ยังอุ่นเลย นั่งรอการแถลงข่าวมาตั้งกะหัวค่ำ เปรี้ยวปากกันเป็นแถว พอตกดึก 2 ยามกว่าบ้านเรา CNN ก็ออกข่าว โดยโฆษกรูปหล่อประจำทำเนียบขาว ออกมาแถลงข่าวว่า ยัง…ยังไม่มีข้อตกลง นักข่าวถามว่า แล้วจะมีเมื่อไหร่ 1 วัน 2 วัน 2 อาทิตย์ รูปหล่อบอก เราไม่ได้เน้นเรื่องกำหนดเวลา เราต้องการให้ เป็นการตกลงที่ไม่มีปัญหา ไม่สร้างปัญหามากกว่า นักข่าวถามอีกว่า แล้วมีปัญหาอะไร ปัญหามาจากฝ่ายไหน …. ถามมากจัง ใครจะไปตอบได้ รูปหล่อชักเลิกลั่ก ….. ว่าแล้ว CNN ก็ตัดข่าวไปเรื่องสำคัญกว่า เกี่ยวกับเรื่องไอ้พวกค้ายา 46 คนแทน โอ้ย… ฮาจริง แต่แล้ววันรุ่งขึ้น คือวันอังคารที่ 14 มิย ผมเปิดทีวี ตอนบ่ายแก่ๆ เย็นอ่อนๆ ประมาณ 4โมงเย็น ก็เห็น CNN ขึ้นหัวข่าวไว้แล้วว่า อิหร่านตกลงได้แล้ว อ้าว เมื่อคืนยังบอกไม่รู้เลยไอ้เบื้อก ผู้ประกาศทำเสียงตื่นเต้น จนผมไม่กล้านอนดูอย่างเคย หลังจากนั้น ก็มีการไปสัมภาษณ์ผู้ชำนาญการต่างๆ ซึ่งสรุปว่า ตกลงกันได้เสียที เสียเวลารอมานาน แต่ไม่มีใครเห็นด้วยเท่าไหร่ว่า เป็นข้อตกลงที่ดี และไม่มีใครเชื่อขี้หน้าอิหร่านว่าจะทำตามที่ตกลงได้ สัมภาษณ์วน พูดซ้ำ จนค่ำ พณฯ ใบตองแห้ง ถึงได้ออกมาทำหน้าเครียดตาแข็ง แถลงเอง “….เราตกลงกับอิหร่านแล้ว ใครว่าไม่สมควร เราว่าสมควร เราต้องแสดงให้เห็นว่า เรา ที่เป็นชาติที่ยิ่งใหญ่มีอำนาจที่สุด ไม่จำเป็นต้องจัดการกับปัญหาด้วยการใช้กำลังเสมอไป เราใช้วิธีทางการทูตได้ … การที่เราทำเช่นนี้ ทำให้อิหร่านหมดทางที่จะผลิตนิวเคลียร์ไป 15 ปี อิหร่านเป็นประเทศที่ความสำคัญที่สุด ต่อผลประโยชน์ของอเมริกา……” หลังจากนั้น ผมก็ต้องขออนุญาตพณฯท่าน ปิดเสียง ขืนฟังต่อ เปลืองยาแย่ ฝ่ายอิหร่าน ก็มีการแถลงข่าวที่กรุงเตหะรานว่า ข้อตกลงบรรลุถึงวัตถุประสงค์ reached all objectives ส่วนอิสราเอล ออกมาบอกว่า เป็นการตกลงที่เลวร้ายที่สุดในโลก อืม… ปาหี่นี้ เขาเล่นกันได้น่าตื่นเต้น...สมจริงกันดี คงเข้าใจนะครับว่า มันมีความหมายว่าอย่างไร ก็แค่ไม่มีใครอยากออกมาโดนประทับหน้า ว่าเป็นคนทำให้งานล่ม เอาเป็นว่า เขาว่า เขาตกลงกันได้แล้ว แต่มีขั้นตอนการทำงานอีกมากมายที่ต้องไปทำต่อจะทำได้แค่ไหน อย่างไร นานเท่าไหน ก็ดูกันต่อไป อย่างน้อยรัฐสภาอเมริกัน ก็มีเวลาประมาญ 60 วัน ในการตรวจสอบข้อตกลง ก่อนที่จะไปลงความเห็นในรัฐสภา ระหว่างนี้ จะเติมสี ตีไข่ยังก็ได้ ต้ัง 60 วัน เรามาดูภาพใหญ่ ทำความเข้าใจภาพรวมให้มากที่สุดกันดีกว่า ขืนตามข่าวทุกวันที่เขาเอามาเล่นหลอกเรา มึนหัวตายทั้งคนเขียนคนอ่าน ก่อนจะเดินหน้าเล่าเรื่อง เพื่อให้เห็นภาพใหญ่ ขอถอยหลังทบทวนของเก่ากันหน่อย คงจำกันได้ เมื่อเดือนมีนาคม ถังขยะความคิดหมายเลขหนึ่ง ของบ้านไอ้นักล่าใบตองแห้ง Council on Foreign Relations หรือ CFR ผู้กำกับรัฐบาลอเมริกัน ได้ออกแผนสอยมังกร Grand Strategy สำหรับสยบจีน ที่แสดงถึงความกร่าง ดูถูก ปรามาส และประมาทใส่จีน มาให้เราฮือฮาไปแล้ว แต่ไอ้นักล่าใบตองแห้งคงจะเห็นว่า ชาวโลกคงตกใจไม่พอ หรือยังไม่แน่ใจกับความยิ่งใหญ่ อย่างชนิดไม่มีผู้ใด บังอาจจะกล้าทาบรัศมีของอเมริกา มันเป็นความต้ังใจของอเมริกา ที่จะใหญ่อย่างนี้แต่ผู้เดียวตลอดกาลนาน อย่างที่อังกฤษ ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย เคยคิดมาเป็นศตวรรษ แต่บัดนี้ ความคิดนั้นกลายเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว ชาวเกาะใหญ่ทำได้เพียงแค่ “นึกถึง” ความคิดนั้น อย่างขมขื่นอยู่ในอกฟีบและซีด แหม แดกซะยาวเลยนะลุง กว่าจะเลี้ยวกลับไปเข้าเรื่อง อเมริกาด่าจีนแค่นั้น เกรงจะไม่พอให้โลกตื่นเต้น อเมริกาเพิ่มแรงอัด เอาญี่ปุ่น มาอาบน้ำแต่งตัว เตรียมพร้อมที่จะไปแบกถาดรับใช้อเมริกา ถึงขนาดเตรียมการที่จะแก้การตีความกฏหมายรัฐธรรมนูญของประเทศ ที่กำหนดให้ญี่ปุ่นมีกองกำลัง เพียงเพื่อดูแลป้องกันตัวเองเท่า นั้น Self Defence Force (SDF) มาถึงวันนี้ แม้การขอให้สภาอนุมัติ ยอมให้ตีความใหม่ ให้กองกำลังญี่ปุ่น SDF แบกถาดไปได้ทั่วโลก ยังไม่สำเร็จ แต่ญี่ปุ่นก็เดินหน้าไปไกล โดยไม่รอสภา ก็นายท่านสั่งมา… SDF ของญี่ปุ่น เพิ่งไปทำการฝึกร่วมที่แดนจิ้งโจ้กับพวกจิงโจ้ และลูกพี่ใหญ่จากค่ายใบตองแห้ง แต่ฝึกเสร็จแล้วดูเหมือน จะแบกถาดหายวับไปกับตา ไม่รู้ไปซ่อนอยู่ตามเกาะไหนในมหาสมุทรแปซิฟิก กองทัพหายตัว แต่ตัวนายอาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น หลานรักของอดีตหัวหน้าใหญ่ยากูซ่า ก็ออกมาประกาศอย่างเข้มแข็งว่า ญี่ปุ่นพร้อมรบจีน นับว่าฝึกแบกถาดได้รวดเร็ว มีอนาคต แต่อนาคตไปทางไหน ก็อดใจรอดูกันหน่อย ส่วนนายกจิ้งโจ้ก็ออกมาบอกว่า กำลังรักกันจังกับคนแบกถาด และว่ามีเพื่อนซี้แถบเอเซียแยะ ไล่ชื่อให้นักข่าวฟัง โปรดจำกันไว้ด้วยว่า ไม่มีชื่อแดนสยามของสมันน้อย ว่าเป็นเพื่อน แต่มีชื่อเวียตนาม จำไว้นะ จำไว้ให้ดี อ้าว แล้วนี่จะปล่อยให้อเมริกา ทำตัวเป็นฝรั่งออกแขก เต้นอยู่หน้าโรงลิเกเจ้าเดียวได้ยังไง ว่าแล้วคู่หู หรือลูกพี่ ก็ต้องรีบแต่งตัว มาโชว์ลีลาด้วย กลัวไม่ได้ส่วนแบ่ง Chatham House หรือชื่อเต็มว่า The Royal Institute of International Affairs ถังขยะความคิด ฝาแฝดผู้พี่ ของ CFR ก็เพิ่งออกรายงานล่าสุด เมื่อเดือนมิถุนายนนี้ ตั้งชื่อรายงานได้สยองไม่แพ้แฝด น้อง “The Russian Challenge” รัสเซียกำเริบ (แปลภาษาลุงนิทาน) เรียกว่าแฝดแต่ละฝา ต่างออกมาประกบ คู่รัก กันคนละราย รายการแบ่งข้าง ศึกชิงแชมป์คราวนี้ คงมันยกร่อง สงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 โปรดหลบไปห่างๆ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 15 ก.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 322 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหรียญพระครูวินัยสารนิเทศก์ วัดสุวรรณคูหา จ.พังงา ปี2535
    เหรียญพระครูวินัยสารนิเทศก์ วัดสุวรรณคูหา อำเภอตะกั่วทุ่ง จ.พังงา ปี2535 //พระดีพิธีใหญ่ อนาคตไกลแน่นอน // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณครอบคลุมทุกด้าน แคล้วคลาด ป้องกันภัย เมตตามหานิยม คงกระพัน ป้องกันภัยเสนียดจัญไรไม่เข้ามากล้ำกราย อำนาจ บารมี เมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัยขยันทำมาหากิน เงินทองไหลมาเทมา ค้าขายร่ำรวย เหลือกิน เหลือเก็บเหลือใช้ ดีครบถ้วน ..

    วัดสุวรรณคูหา หรือที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า "วัดถ้ำ" เป็นวัดที่มีความสำคัญ ที่สุดวัดหนึ่งของจังหวัดพังงา เนื่องจาก เป็นโบราณสถาน ที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ นอกจากนั้นยังมีพระปรมาภิไธยย่อของพระเจ้าแผ่นดิน และพระราชวงศ์หลายพระองค์ พระครูวินัยสารนิเทศก์ เจ้าอาวาสได้เป็นผู้จัดทำห้องพิพิธภัณฑ์ขึ้นบริเวณกุฏิ โดยมีวัตถุโบราณต่าง ๆ เช่น พระพุทธรูปเก่าแก่ ถ้วยชามเบญจรงค์ จานเชิง เครื่องลายคราม เครื่องสังคโลก รวมถึงเครื่องมือหินสมัยโบราณที่เรียกว่า หินขวานฟ้า โดยได้รวบรวมจากที่ต่าง ๆ

    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    โทรศัพท์ 0881915131
    LINE 0881915131
    เหรียญพระครูวินัยสารนิเทศก์ วัดสุวรรณคูหา จ.พังงา ปี2535 เหรียญพระครูวินัยสารนิเทศก์ วัดสุวรรณคูหา อำเภอตะกั่วทุ่ง จ.พังงา ปี2535 //พระดีพิธีใหญ่ อนาคตไกลแน่นอน // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณครอบคลุมทุกด้าน แคล้วคลาด ป้องกันภัย เมตตามหานิยม คงกระพัน ป้องกันภัยเสนียดจัญไรไม่เข้ามากล้ำกราย อำนาจ บารมี เมตตามหานิยม แคล้วคลาดปลอดภัยขยันทำมาหากิน เงินทองไหลมาเทมา ค้าขายร่ำรวย เหลือกิน เหลือเก็บเหลือใช้ ดีครบถ้วน .. วัดสุวรรณคูหา หรือที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า "วัดถ้ำ" เป็นวัดที่มีความสำคัญ ที่สุดวัดหนึ่งของจังหวัดพังงา เนื่องจาก เป็นโบราณสถาน ที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ นอกจากนั้นยังมีพระปรมาภิไธยย่อของพระเจ้าแผ่นดิน และพระราชวงศ์หลายพระองค์ พระครูวินัยสารนิเทศก์ เจ้าอาวาสได้เป็นผู้จัดทำห้องพิพิธภัณฑ์ขึ้นบริเวณกุฏิ โดยมีวัตถุโบราณต่าง ๆ เช่น พระพุทธรูปเก่าแก่ ถ้วยชามเบญจรงค์ จานเชิง เครื่องลายคราม เครื่องสังคโลก รวมถึงเครื่องมือหินสมัยโบราณที่เรียกว่า หินขวานฟ้า โดยได้รวบรวมจากที่ต่าง ๆ ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ โทรศัพท์ 0881915131 LINE 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft Azure ป้องกันการโจมตี DDoS 15.72 Tbps จากบอทเน็ต Aisuru

    เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2025 Microsoft Azure ต้องเผชิญกับการโจมตี Distributed Denial-of-Service (DDoS) ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์คลาวด์ โดยมีปริมาณทราฟฟิกสูงถึง 15.72 Tbps และ 3.64 พันล้านแพ็กเก็ตต่อวินาที การโจมตีครั้งนี้พุ่งเป้าไปที่เซิร์ฟเวอร์ในออสเตรเลีย แต่ระบบป้องกันของ Azure สามารถตรวจจับและกรองทราฟฟิกได้ทันที ทำให้บริการลูกค้าไม่หยุดชะงัก

    บอทเน็ตที่อยู่เบื้องหลังคือ Aisuru ซึ่งถูกจัดว่าเป็นภัยระดับ “Turbo Mirai-class” โดยบริษัท Netscout เนื่องจากสามารถสร้างการโจมตีขนาดหลายเทราไบต์ต่อวินาทีได้ Aisuru ถูกพบครั้งแรกในปี 2024 และแพร่กระจายไปยัง อุปกรณ์ IoT กว่า 700,000 เครื่อง เช่น เราเตอร์และกล้องวงจรปิด

    นอกจากโจมตี Azure แล้ว Aisuru ยังถูกเชื่อมโยงกับการโจมตี 22.2 Tbps ต่อ Cloudflare ในเดือนกันยายน 2025 และการโจมตี 6.3 Tbps ต่อบล็อก KrebsOnSecurity ของนักข่าว Brian Krebs ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เหตุการณ์เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงและความถี่ที่เพิ่มขึ้นของการโจมตี DDoS ขนาดใหญ่

    สิ่งที่น่ากังวลคือ Aisuru ไม่ได้ทำเงินจากการโจมตีเพียงอย่างเดียว แต่ยังใช้ อุปกรณ์ที่ติดเชื้อเป็น residential proxies ให้เช่าแก่ผู้ใช้รายอื่นเพื่อซ่อนกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย เช่น การเก็บข้อมูลจำนวนมากเพื่อใช้ในโครงการ AI และการทำ content scraping ซึ่งกำลังเป็นปัญหาใหญ่จน Reddit ต้องฟ้องผู้ให้บริการ proxy บางรายในเดือนตุลาคม 2025

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Microsoft Azure หยุดการโจมตี DDoS 15.72 Tbps ได้สำเร็จ
    ระบบป้องกันสามารถกรองทราฟฟิกและรักษาบริการลูกค้าให้ทำงานต่อเนื่อง

    บอทเน็ต Aisuru อยู่เบื้องหลังการโจมตี
    ติดเชื้ออุปกรณ์ IoT กว่า 700,000 เครื่อง เช่น เราเตอร์และกล้องวงจรปิด

    Aisuru เคยโจมตี Cloudflare และ KrebsOnSecurity
    ขนาดใหญ่ถึง 22.2 Tbps และ 6.3 Tbps ตามลำดับ

    บอทเน็ตสร้างรายได้จากการให้เช่า residential proxies
    ใช้ซ่อนกิจกรรมผิดกฎหมาย เช่น การเก็บข้อมูลเพื่อโครงการ AI

    อุปกรณ์ IoT ที่ไม่ปลอดภัยคือช่องทางหลักของการโจมตี
    ผู้ใช้ควรอัปเดตเฟิร์มแวร์และตั้งค่าความปลอดภัยให้รัดกุม

    การโจมตี DDoS ขนาดใหญ่กำลังเพิ่มขึ้นทั้งความถี่และความรุนแรง
    อาจทำให้โครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตทั่วโลกเสี่ยงต่อการหยุดชะงัก

    https://hackread.com/microsoft-azure-blocks-tbps-ddos-attack-botnet/
    🌐 Microsoft Azure ป้องกันการโจมตี DDoS 15.72 Tbps จากบอทเน็ต Aisuru เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2025 Microsoft Azure ต้องเผชิญกับการโจมตี Distributed Denial-of-Service (DDoS) ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์คลาวด์ โดยมีปริมาณทราฟฟิกสูงถึง 15.72 Tbps และ 3.64 พันล้านแพ็กเก็ตต่อวินาที การโจมตีครั้งนี้พุ่งเป้าไปที่เซิร์ฟเวอร์ในออสเตรเลีย แต่ระบบป้องกันของ Azure สามารถตรวจจับและกรองทราฟฟิกได้ทันที ทำให้บริการลูกค้าไม่หยุดชะงัก บอทเน็ตที่อยู่เบื้องหลังคือ Aisuru ซึ่งถูกจัดว่าเป็นภัยระดับ “Turbo Mirai-class” โดยบริษัท Netscout เนื่องจากสามารถสร้างการโจมตีขนาดหลายเทราไบต์ต่อวินาทีได้ Aisuru ถูกพบครั้งแรกในปี 2024 และแพร่กระจายไปยัง อุปกรณ์ IoT กว่า 700,000 เครื่อง เช่น เราเตอร์และกล้องวงจรปิด นอกจากโจมตี Azure แล้ว Aisuru ยังถูกเชื่อมโยงกับการโจมตี 22.2 Tbps ต่อ Cloudflare ในเดือนกันยายน 2025 และการโจมตี 6.3 Tbps ต่อบล็อก KrebsOnSecurity ของนักข่าว Brian Krebs ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เหตุการณ์เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงและความถี่ที่เพิ่มขึ้นของการโจมตี DDoS ขนาดใหญ่ สิ่งที่น่ากังวลคือ Aisuru ไม่ได้ทำเงินจากการโจมตีเพียงอย่างเดียว แต่ยังใช้ อุปกรณ์ที่ติดเชื้อเป็น residential proxies ให้เช่าแก่ผู้ใช้รายอื่นเพื่อซ่อนกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย เช่น การเก็บข้อมูลจำนวนมากเพื่อใช้ในโครงการ AI และการทำ content scraping ซึ่งกำลังเป็นปัญหาใหญ่จน Reddit ต้องฟ้องผู้ให้บริการ proxy บางรายในเดือนตุลาคม 2025 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Microsoft Azure หยุดการโจมตี DDoS 15.72 Tbps ได้สำเร็จ ➡️ ระบบป้องกันสามารถกรองทราฟฟิกและรักษาบริการลูกค้าให้ทำงานต่อเนื่อง ✅ บอทเน็ต Aisuru อยู่เบื้องหลังการโจมตี ➡️ ติดเชื้ออุปกรณ์ IoT กว่า 700,000 เครื่อง เช่น เราเตอร์และกล้องวงจรปิด ✅ Aisuru เคยโจมตี Cloudflare และ KrebsOnSecurity ➡️ ขนาดใหญ่ถึง 22.2 Tbps และ 6.3 Tbps ตามลำดับ ✅ บอทเน็ตสร้างรายได้จากการให้เช่า residential proxies ➡️ ใช้ซ่อนกิจกรรมผิดกฎหมาย เช่น การเก็บข้อมูลเพื่อโครงการ AI ‼️ อุปกรณ์ IoT ที่ไม่ปลอดภัยคือช่องทางหลักของการโจมตี ⛔ ผู้ใช้ควรอัปเดตเฟิร์มแวร์และตั้งค่าความปลอดภัยให้รัดกุม ‼️ การโจมตี DDoS ขนาดใหญ่กำลังเพิ่มขึ้นทั้งความถี่และความรุนแรง ⛔ อาจทำให้โครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตทั่วโลกเสี่ยงต่อการหยุดชะงัก https://hackread.com/microsoft-azure-blocks-tbps-ddos-attack-botnet/
    HACKREAD.COM
    Microsoft Azure Blocks 15.72 Tbps Aisuru Botnet DDoS Attack
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 210 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตำนานชิป i386 กับชื่อย่อ “PG” ของ Pat Gelsinger

    Pat Gelsinger เล่าเหตุการณ์ย้อนกลับไปเมื่อเขายังเป็นวิศวกรหนุ่มวัย 25 ปีที่ Intel ในช่วงออกแบบชิป i386 ซึ่งเป็นหนึ่งในชิปที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์คอมพิวเตอร์ ขณะตรวจสอบแผนผังชิปขนาดใหญ่ Andy Grove CEO ของ Intel สังเกตเห็นตัวอักษร “PG” ที่ถูกสลักไว้บนซิลิคอน และถามขึ้นมาว่า “นี่คืออะไร?”

    แทนที่จะยอมรับตรง ๆ ว่าเป็นชื่อย่อของตัวเอง Gelsinger ตอบด้วยคำอธิบายเชิงเทคนิคที่ฟังดูซับซ้อนเกี่ยวกับ “substrate tap configuration experiments” แม้จะเป็นคำพูดที่เขายอมรับภายหลังว่าเป็น “เรื่องไร้สาระ” แต่ Grove กลับเชื่อและตอบเพียงสั้น ๆ ว่า “โอเค” ทำให้ชื่อย่อของเขายังคงอยู่บนชิป i386 ทุกตัวที่ผลิตออกมา

    ต่อมา Gelsinger ยังได้ใส่ชื่อย่อ “PG” ลงบนชิป i486 ร่วมกับชื่อย่อ “JR” ของ John H. Crawford เพื่อนร่วมทีม ซึ่งสะท้อนถึงวัฒนธรรมการทำงานของทีมออกแบบในยุคนั้นที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และความกล้าในการท้าทายกฎเกณฑ์

    เรื่องราวนี้ไม่เพียงแต่เป็นเกร็ดเล็ก ๆ ที่น่าสนใจในประวัติศาสตร์ของ Intel แต่ยังสะท้อนถึงบุคลิกของ Gelsinger ที่กล้าคิด กล้าทำ และใช้ความเฉลียวฉลาดในการรักษาสัญลักษณ์เล็ก ๆ ของตัวเองไว้บนหนึ่งในชิปที่เปลี่ยนโลกคอมพิวเตอร์ไปตลอดกาล

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Pat Gelsinger ใส่ชื่อย่อ “PG” บนชิป i386
    เกิดขึ้นในช่วงตรวจสอบการออกแบบซิลิคอน

    Andy Grove สังเกตเห็นและถามถึงชื่อย่อ
    Gelsinger ตอบด้วยคำอธิบายเชิงเทคนิคที่ฟังดูสมจริง

    ชื่อย่อ “PG” ถูกสลักบนชิป i386 ทุกตัว
    และยังปรากฏบนชิป i486 ร่วมกับ “JR” ของ John H. Crawford

    สะท้อนวัฒนธรรมการทำงานของทีมออกแบบ Intel ยุคนั้น
    เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และความกล้าในการท้าทายกฎ

    ปกติ Intel ไม่อนุญาตให้ใส่ชื่อย่อบนซิลิคอน
    การกระทำนี้ถือเป็นการฝ่าฝืนธรรมเนียมของบริษัท

    การบลัฟของ Gelsinger อาจเสี่ยงต่อการถูกตำหนิ
    แต่โชคดีที่ Grove ยอมรับคำอธิบายโดยไม่เอาเรื่อง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/gelsingers-i386-initials-gambit-ex-intel-ceo-explains-how-he-bluffed-andy-grove-to-keep-his-mark-on-the-legendary-chips-silicon
    🖥️ ตำนานชิป i386 กับชื่อย่อ “PG” ของ Pat Gelsinger Pat Gelsinger เล่าเหตุการณ์ย้อนกลับไปเมื่อเขายังเป็นวิศวกรหนุ่มวัย 25 ปีที่ Intel ในช่วงออกแบบชิป i386 ซึ่งเป็นหนึ่งในชิปที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์คอมพิวเตอร์ ขณะตรวจสอบแผนผังชิปขนาดใหญ่ Andy Grove CEO ของ Intel สังเกตเห็นตัวอักษร “PG” ที่ถูกสลักไว้บนซิลิคอน และถามขึ้นมาว่า “นี่คืออะไร?” แทนที่จะยอมรับตรง ๆ ว่าเป็นชื่อย่อของตัวเอง Gelsinger ตอบด้วยคำอธิบายเชิงเทคนิคที่ฟังดูซับซ้อนเกี่ยวกับ “substrate tap configuration experiments” แม้จะเป็นคำพูดที่เขายอมรับภายหลังว่าเป็น “เรื่องไร้สาระ” แต่ Grove กลับเชื่อและตอบเพียงสั้น ๆ ว่า “โอเค” ทำให้ชื่อย่อของเขายังคงอยู่บนชิป i386 ทุกตัวที่ผลิตออกมา ต่อมา Gelsinger ยังได้ใส่ชื่อย่อ “PG” ลงบนชิป i486 ร่วมกับชื่อย่อ “JR” ของ John H. Crawford เพื่อนร่วมทีม ซึ่งสะท้อนถึงวัฒนธรรมการทำงานของทีมออกแบบในยุคนั้นที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และความกล้าในการท้าทายกฎเกณฑ์ เรื่องราวนี้ไม่เพียงแต่เป็นเกร็ดเล็ก ๆ ที่น่าสนใจในประวัติศาสตร์ของ Intel แต่ยังสะท้อนถึงบุคลิกของ Gelsinger ที่กล้าคิด กล้าทำ และใช้ความเฉลียวฉลาดในการรักษาสัญลักษณ์เล็ก ๆ ของตัวเองไว้บนหนึ่งในชิปที่เปลี่ยนโลกคอมพิวเตอร์ไปตลอดกาล 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Pat Gelsinger ใส่ชื่อย่อ “PG” บนชิป i386 ➡️ เกิดขึ้นในช่วงตรวจสอบการออกแบบซิลิคอน ✅ Andy Grove สังเกตเห็นและถามถึงชื่อย่อ ➡️ Gelsinger ตอบด้วยคำอธิบายเชิงเทคนิคที่ฟังดูสมจริง ✅ ชื่อย่อ “PG” ถูกสลักบนชิป i386 ทุกตัว ➡️ และยังปรากฏบนชิป i486 ร่วมกับ “JR” ของ John H. Crawford ✅ สะท้อนวัฒนธรรมการทำงานของทีมออกแบบ Intel ยุคนั้น ➡️ เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และความกล้าในการท้าทายกฎ ‼️ ปกติ Intel ไม่อนุญาตให้ใส่ชื่อย่อบนซิลิคอน ⛔ การกระทำนี้ถือเป็นการฝ่าฝืนธรรมเนียมของบริษัท ‼️ การบลัฟของ Gelsinger อาจเสี่ยงต่อการถูกตำหนิ ⛔ แต่โชคดีที่ Grove ยอมรับคำอธิบายโดยไม่เอาเรื่อง https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/gelsingers-i386-initials-gambit-ex-intel-ceo-explains-how-he-bluffed-andy-grove-to-keep-his-mark-on-the-legendary-chips-silicon
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 163 มุมมอง 0 รีวิว
  • ครม.อนุมัติแมวไทย” เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ประเภทสัตว์เลี้ยง เพื่ออนุรักษ์รักษาสิทธิ์เพิ่มมูลค่าศก. , ครม.เห็นชอบตามมติ กอช. ให้แมวไทยเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ หลังมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์และพันธุกรรมชี้ถึงความโดดเด่นของสายพันธุ์

    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000110190

    #แมวไทย #เอกลักษณ์ประจำชาติ #กระทรวงวัฒนธรรม #นโยบายรัฐบาล #เศรษฐกิจสร้างสรรค์ #News1live #News1
    ครม.อนุมัติแมวไทย” เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ประเภทสัตว์เลี้ยง เพื่ออนุรักษ์รักษาสิทธิ์เพิ่มมูลค่าศก. , ครม.เห็นชอบตามมติ กอช. ให้แมวไทยเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ หลังมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์และพันธุกรรมชี้ถึงความโดดเด่นของสายพันธุ์ • อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000110190 • #แมวไทย #เอกลักษณ์ประจำชาติ #กระทรวงวัฒนธรรม #นโยบายรัฐบาล #เศรษฐกิจสร้างสรรค์ #News1live #News1
    Like
    Haha
    Yay
    6
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 295 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🩷 รวมข่าวจาก TechRadar ประจำวัน 🩷
    #20251118 #techradar

    Google เปิดตัว AI พยากรณ์อากาศใหม่ WeatherNext 2
    Google พัฒนาโมเดล AI ชื่อ WeatherNext 2 ที่สามารถคาดการณ์สภาพอากาศได้เร็วและแม่นยำกว่าระบบเดิมถึง 8 เท่า ภายในเวลาไม่ถึงนาที AI นี้ไม่ได้ให้แค่ผลลัพธ์เดียว แต่สร้าง “หลายความเป็นไปได้” ของสภาพอากาศ ทำให้ผู้ใช้เห็นภาพรวมว่ามีโอกาสเกิดอะไรบ้าง เช่น ฝนตกหรือแดดออกในช่วงเวลาใด นอกจากนี้ยังถูกนำไปใช้ใน Google Search, Pixel Weather และ Google Maps เพื่อช่วยให้การวางแผนชีวิตประจำวันและการจัดการพลังงานหมุนเวียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    OWC Helios 5S: เพิ่มพลังให้ Mac เล็ก ๆ ด้วย Thunderbolt 5
    OWC เปิดตัว Helios 5S กล่องขยาย PCIe สำหรับเครื่อง Mac ขนาดเล็กที่ใช้ Thunderbolt 5 ความเร็วสูงถึง 80Gb/s ทำให้สามารถต่อการ์ด PCIe 4.0 และอุปกรณ์เสริมความเร็วสูงได้เต็มประสิทธิภาพ รองรับจอ 8K ได้ถึง 3 จอ เหมาะสำหรับงานสร้างสรรค์ที่ต้องการพลังการประมวลผลมากขึ้น แม้จะไม่รองรับ GPU ที่ใช้พลังงานสูง แต่ก็ถือเป็นการยกระดับเครื่องเล็กให้ใกล้เคียงเวิร์กสเตชัน

    Samsung ขยาย “The Wall” จอ LED ยักษ์สำหรับองค์กร
    Samsung เปิดตัวรุ่นใหม่ของ The Wall จอ LED ขนาดมหึมาที่ออกแบบมาเพื่อสำนักงานและพื้นที่ธุรกิจ ใช้ชิปประมวลผล AI Gen2 ที่ช่วยปรับภาพให้คมชัด ลดสัญญาณรบกวน และอัปสเกลภาพให้ใกล้เคียง 8K จุดเด่นคือความสว่างสูงถึง 1,000 nits และเทคโนโลยี Black Seal ที่ทำให้สีดำลึกขึ้น เหมาะกับการใช้งานในห้องประชุมใหญ่หรือพื้นที่ที่ต้องการภาพคมชัดต่อเนื่อง

    สัมภาษณ์พิเศษ Sundar Pichai: Running The Google Empire
    BBC จัดสัมภาษณ์พิเศษกับ Sundar Pichai CEO ของ Google ที่พูดถึงการนำบริษัทผ่านยุค AI ที่กำลังเปลี่ยนโลก เขาเล่าถึงความท้าทายของการลงทุนมหาศาลใน AI ผลกระทบต่อการจ้างงาน และบทบาทของ Google ในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รายการนี้สามารถรับชมฟรีผ่าน BBC iPlayer

    Amazon พบการโจมตี npm ครั้งใหญ่กว่า 150,000 แพ็กเกจ
    นักวิจัยจาก Amazon ตรวจพบการแพร่กระจายแพ็กเกจ npm กว่า 150,000 ตัว ที่ถูกใช้ในแผนการหลอกลวงเพื่อสร้างรายได้จากโทเคน TEA แม้แพ็กเกจเหล่านี้จะไม่ขโมยข้อมูลโดยตรง แต่มีพฤติกรรม “self-replicating” และอาจถูกเปลี่ยนให้เป็นอันตรายได้ เหตุการณ์นี้ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในการโจมตีซัพพลายเชนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โอเพ่นซอร์ส

    OpenAI ทดลองให้ ChatGPT เข้าร่วมแชทกลุ่ม
    OpenAI เปิดฟีเจอร์ใหม่ให้ ChatGPT เข้าร่วมการสนทนาแบบกลุ่ม โดย AI จะเลือกเองว่าจะตอบเมื่อใด หรือผู้ใช้สามารถเรียกด้วยการแท็ก ฟีเจอร์นี้กำลังทดสอบในญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ เกาหลีใต้ และไต้หวัน รองรับผู้เข้าร่วมสูงสุด 20 คน จุดประสงค์คือช่วยให้การระดมสมองและวางแผนร่วมกันสะดวกขึ้น

    Google AI ช่วยวางแผนทริปได้ครบวงจร
    Google เปิดตัวเครื่องมือ AI สำหรับการท่องเที่ยว 3 อย่าง ได้แก่
    Canvas for Travel: สร้างแผนการเดินทางแบบกำหนดเอง
    Flight Deals: ค้นหาตั๋วเครื่องบินราคาถูกทั่วโลก
    Agentic Booking: จองร้านอาหารและกิจกรรมได้โดยตรงจาก Search ทั้งหมดนี้ช่วยลดความยุ่งยากในการเปิดหลายแท็บและเปรียบเทียบข้อมูล ทำให้การวางแผนทริปง่ายขึ้นมาก

    แฮกเกอร์เกาหลีเหนือใช้ JSON ซ่อนมัลแวร์
    กลุ่ม Lazarus จากเกาหลีเหนือถูกพบว่าใช้บริการเก็บข้อมูล JSON เช่น JSON Keeper และ JSON Silo เพื่อซ่อนมัลแวร์ในแคมเปญ “Contagious Interview” โดยหลอกนักพัฒนาซอฟต์แวร์ผ่าน LinkedIn ให้ดาวน์โหลดโปรเจกต์ที่แฝงโค้ดอันตราย มัลแวร์เหล่านี้สามารถขโมยข้อมูล กระเป๋าเงินคริปโต และใช้เครื่องเหยื่อขุดเหรียญ Monero ได้

    Logitech ยืนยันถูกเจาะระบบ แต่ยังไม่รู้ข้อมูลที่หายไป
    Logitech รายงานการถูกโจมตีไซเบอร์ผ่านช่องโหว่ zero-day ของซอฟต์แวร์ภายนอก โดยกลุ่ม Cl0p ransomware อ้างว่าขโมยข้อมูลไปกว่า 1.8TB แม้บริษัทจะยืนยันว่าข้อมูลที่สูญหาย “น่าจะมีเพียงบางส่วน” ของพนักงานและลูกค้า แต่ยังไม่แน่ชัดว่ามีข้อมูลสำคัญรั่วไหลหรือไม่

    LinkedIn เพิ่มฟีเจอร์ค้นหาคนด้วย AI
    LinkedIn เปิดตัวระบบค้นหาคนด้วย AI ที่ช่วยให้ผู้ใช้พิมพ์คำอธิบายเชิงธรรมชาติ เช่น “นักลงทุนด้านสุขภาพที่มีประสบการณ์ FDA” โดยไม่ต้องกรองด้วยตำแหน่งงานแบบเดิม ฟีเจอร์นี้เริ่มให้บริการกับผู้ใช้ Premium ในสหรัฐฯ ก่อน และจะขยายไปทั่วโลกในอนาคต

    ศาลสหราชอาณาจักรตัดสิน Microsoft แพ้คดีห้ามขายต่อไลเซนส์
    ศาล Competition Appeal Tribunal ของสหราชอาณาจักรตัดสินว่า Microsoft ไม่สามารถห้ามลูกค้าขายต่อไลเซนส์ซอฟต์แวร์แบบถาวรได้ บริษัท ValueLicensing ซึ่งเป็นคู่กรณีสามารถดำเนินธุรกิจขายต่อไลเซนส์ต่อไป และยังมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายกว่า 270 ล้านปอนด์จาก Microsoft ขณะที่ Microsoft เตรียมอุทธรณ์ต่อ

    ไปตามเจาะข่าวกันได้ที่ : https://www.techradar.com/
    📌🪛🩷 รวมข่าวจาก TechRadar ประจำวัน 🩷🪛📌 #20251118 #techradar 🌦️ Google เปิดตัว AI พยากรณ์อากาศใหม่ WeatherNext 2 Google พัฒนาโมเดล AI ชื่อ WeatherNext 2 ที่สามารถคาดการณ์สภาพอากาศได้เร็วและแม่นยำกว่าระบบเดิมถึง 8 เท่า ภายในเวลาไม่ถึงนาที AI นี้ไม่ได้ให้แค่ผลลัพธ์เดียว แต่สร้าง “หลายความเป็นไปได้” ของสภาพอากาศ ทำให้ผู้ใช้เห็นภาพรวมว่ามีโอกาสเกิดอะไรบ้าง เช่น ฝนตกหรือแดดออกในช่วงเวลาใด นอกจากนี้ยังถูกนำไปใช้ใน Google Search, Pixel Weather และ Google Maps เพื่อช่วยให้การวางแผนชีวิตประจำวันและการจัดการพลังงานหมุนเวียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ⚡ OWC Helios 5S: เพิ่มพลังให้ Mac เล็ก ๆ ด้วย Thunderbolt 5 OWC เปิดตัว Helios 5S กล่องขยาย PCIe สำหรับเครื่อง Mac ขนาดเล็กที่ใช้ Thunderbolt 5 ความเร็วสูงถึง 80Gb/s ทำให้สามารถต่อการ์ด PCIe 4.0 และอุปกรณ์เสริมความเร็วสูงได้เต็มประสิทธิภาพ รองรับจอ 8K ได้ถึง 3 จอ เหมาะสำหรับงานสร้างสรรค์ที่ต้องการพลังการประมวลผลมากขึ้น แม้จะไม่รองรับ GPU ที่ใช้พลังงานสูง แต่ก็ถือเป็นการยกระดับเครื่องเล็กให้ใกล้เคียงเวิร์กสเตชัน 🖥️ Samsung ขยาย “The Wall” จอ LED ยักษ์สำหรับองค์กร Samsung เปิดตัวรุ่นใหม่ของ The Wall จอ LED ขนาดมหึมาที่ออกแบบมาเพื่อสำนักงานและพื้นที่ธุรกิจ ใช้ชิปประมวลผล AI Gen2 ที่ช่วยปรับภาพให้คมชัด ลดสัญญาณรบกวน และอัปสเกลภาพให้ใกล้เคียง 8K จุดเด่นคือความสว่างสูงถึง 1,000 nits และเทคโนโลยี Black Seal ที่ทำให้สีดำลึกขึ้น เหมาะกับการใช้งานในห้องประชุมใหญ่หรือพื้นที่ที่ต้องการภาพคมชัดต่อเนื่อง 🎤 สัมภาษณ์พิเศษ Sundar Pichai: Running The Google Empire BBC จัดสัมภาษณ์พิเศษกับ Sundar Pichai CEO ของ Google ที่พูดถึงการนำบริษัทผ่านยุค AI ที่กำลังเปลี่ยนโลก เขาเล่าถึงความท้าทายของการลงทุนมหาศาลใน AI ผลกระทบต่อการจ้างงาน และบทบาทของ Google ในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รายการนี้สามารถรับชมฟรีผ่าน BBC iPlayer 🛡️ Amazon พบการโจมตี npm ครั้งใหญ่กว่า 150,000 แพ็กเกจ นักวิจัยจาก Amazon ตรวจพบการแพร่กระจายแพ็กเกจ npm กว่า 150,000 ตัว ที่ถูกใช้ในแผนการหลอกลวงเพื่อสร้างรายได้จากโทเคน TEA แม้แพ็กเกจเหล่านี้จะไม่ขโมยข้อมูลโดยตรง แต่มีพฤติกรรม “self-replicating” และอาจถูกเปลี่ยนให้เป็นอันตรายได้ เหตุการณ์นี้ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในการโจมตีซัพพลายเชนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โอเพ่นซอร์ส 💬 OpenAI ทดลองให้ ChatGPT เข้าร่วมแชทกลุ่ม OpenAI เปิดฟีเจอร์ใหม่ให้ ChatGPT เข้าร่วมการสนทนาแบบกลุ่ม โดย AI จะเลือกเองว่าจะตอบเมื่อใด หรือผู้ใช้สามารถเรียกด้วยการแท็ก ฟีเจอร์นี้กำลังทดสอบในญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ เกาหลีใต้ และไต้หวัน รองรับผู้เข้าร่วมสูงสุด 20 คน จุดประสงค์คือช่วยให้การระดมสมองและวางแผนร่วมกันสะดวกขึ้น ✈️ Google AI ช่วยวางแผนทริปได้ครบวงจร Google เปิดตัวเครื่องมือ AI สำหรับการท่องเที่ยว 3 อย่าง ได้แก่ 🧩 Canvas for Travel: สร้างแผนการเดินทางแบบกำหนดเอง 🧩 Flight Deals: ค้นหาตั๋วเครื่องบินราคาถูกทั่วโลก 🧩 Agentic Booking: จองร้านอาหารและกิจกรรมได้โดยตรงจาก Search ทั้งหมดนี้ช่วยลดความยุ่งยากในการเปิดหลายแท็บและเปรียบเทียบข้อมูล ทำให้การวางแผนทริปง่ายขึ้นมาก 🕵️‍♂️ แฮกเกอร์เกาหลีเหนือใช้ JSON ซ่อนมัลแวร์ กลุ่ม Lazarus จากเกาหลีเหนือถูกพบว่าใช้บริการเก็บข้อมูล JSON เช่น JSON Keeper และ JSON Silo เพื่อซ่อนมัลแวร์ในแคมเปญ “Contagious Interview” โดยหลอกนักพัฒนาซอฟต์แวร์ผ่าน LinkedIn ให้ดาวน์โหลดโปรเจกต์ที่แฝงโค้ดอันตราย มัลแวร์เหล่านี้สามารถขโมยข้อมูล กระเป๋าเงินคริปโต และใช้เครื่องเหยื่อขุดเหรียญ Monero ได้ 🔒 Logitech ยืนยันถูกเจาะระบบ แต่ยังไม่รู้ข้อมูลที่หายไป Logitech รายงานการถูกโจมตีไซเบอร์ผ่านช่องโหว่ zero-day ของซอฟต์แวร์ภายนอก โดยกลุ่ม Cl0p ransomware อ้างว่าขโมยข้อมูลไปกว่า 1.8TB แม้บริษัทจะยืนยันว่าข้อมูลที่สูญหาย “น่าจะมีเพียงบางส่วน” ของพนักงานและลูกค้า แต่ยังไม่แน่ชัดว่ามีข้อมูลสำคัญรั่วไหลหรือไม่ 👥 LinkedIn เพิ่มฟีเจอร์ค้นหาคนด้วย AI LinkedIn เปิดตัวระบบค้นหาคนด้วย AI ที่ช่วยให้ผู้ใช้พิมพ์คำอธิบายเชิงธรรมชาติ เช่น “นักลงทุนด้านสุขภาพที่มีประสบการณ์ FDA” โดยไม่ต้องกรองด้วยตำแหน่งงานแบบเดิม ฟีเจอร์นี้เริ่มให้บริการกับผู้ใช้ Premium ในสหรัฐฯ ก่อน และจะขยายไปทั่วโลกในอนาคต ⚖️ ศาลสหราชอาณาจักรตัดสิน Microsoft แพ้คดีห้ามขายต่อไลเซนส์ ศาล Competition Appeal Tribunal ของสหราชอาณาจักรตัดสินว่า Microsoft ไม่สามารถห้ามลูกค้าขายต่อไลเซนส์ซอฟต์แวร์แบบถาวรได้ บริษัท ValueLicensing ซึ่งเป็นคู่กรณีสามารถดำเนินธุรกิจขายต่อไลเซนส์ต่อไป และยังมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายกว่า 270 ล้านปอนด์จาก Microsoft ขณะที่ Microsoft เตรียมอุทธรณ์ต่อ ไปตามเจาะข่าวกันได้ที่ : https://www.techradar.com/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 392 มุมมอง 0 รีวิว
  • เด็กในสังคมตะวันตกสูญเสียพื้นที่เล่นอิสระทางกายภาพ จนต้องหันไปสร้าง “วัฒนธรรมเพื่อน” ในโลกดิจิทัล

    บทความ Where Do the Children Play? โดย Eli Stark-Elster วิเคราะห์ว่า เด็กในสังคมตะวันตกสูญเสียพื้นที่เล่นอิสระทางกายภาพ จนต้องหันไปสร้าง “วัฒนธรรมเพื่อน” ในโลกดิจิทัล เช่น เกมและโซเชียลมีเดีย ซึ่งแม้จะตอบสนองความต้องการ แต่ก็เต็มไปด้วยความเสี่ยงและผลกระทบทางจิตใจ

    เด็กในวัฒนธรรมดั้งเดิม
    ผู้เขียนยกตัวอย่าง BaYaka และชนเผ่าอื่น ๆ ที่เด็กใช้ชีวิตอย่างอิสระในป่า ตั้งแต่การตกปลา เล่นน้ำ ไปจนถึงการปีนต้นไม้ โดยไม่ต้องมีผู้ใหญ่กำกับใกล้ชิด สิ่งนี้สะท้อนว่าในประวัติศาสตร์มนุษย์ เด็กมักสร้าง peer cultures หรือสังคมเพื่อนที่แยกจากผู้ใหญ่ เพื่อเรียนรู้และพัฒนาตนเอง

    เด็กในโลกตะวันตก
    ตรงกันข้าม เด็กในสังคมตะวันตกถูกจำกัดเสรีภาพอย่างมาก ข้อมูลชี้ว่า กว่า 60% ของเด็กอเมริกันอายุ 8–12 ปีไม่เคยเดินหรือปั่นจักรยานไปที่ใดโดยไม่มีผู้ใหญ่ และกว่า 70% ไม่เคยใช้มีดคมด้วยตนเอง แต่กลับมี 31% ที่เคยพูดคุยกับโมเดลภาษา AI และ 50% ที่เคยเห็นสื่อลามกก่อนอายุ 13 ปี แสดงให้เห็นว่า โลกกายภาพถูกควบคุม แต่โลกดิจิทัลกลับไร้การกำกับ

    โลกดิจิทัลเป็น “ป่าใหม่”
    ผู้เขียนเสนอว่า เด็กหันไปใช้ Fortnite, TikTok, Roblox, Minecraft เพราะนั่นคือพื้นที่ที่พวกเขาสามารถสร้างวัฒนธรรมเพื่อนโดยไม่ถูกรบกวนจากผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม โลกดิจิทัลนี้เต็มไปด้วย “เสือดาวเสมือน” เช่น คอนเทนต์ไม่เหมาะสม, ระบบ loot box ที่คล้ายการพนัน, และแรงกดดันทางสังคมที่ทำให้เกิดความวิตกกังวล

    ทางออกที่ควรสร้าง
    แม้จะไม่สามารถย้อนกลับไปสู่ยุคที่เด็กมีป่าและลำธารให้เล่นได้ แต่ผู้เขียนเสนอว่า เราควรสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ปลอดภัยแต่ยังคงเสรีภาพ ให้เด็กได้สร้าง peer cultures โดยไม่ถูกครอบงำด้วยการออกแบบที่เสพติดหรือเนื้อหาที่เป็นอันตราย

    สรุปประเด็นสำคัญ
    เด็กในวัฒนธรรมดั้งเดิมมีพื้นที่เล่นอิสระ
    เช่น BaYaka, Trobriand, Mbuti ที่เด็กสร้างสังคมเพื่อนเอง

    เด็กตะวันตกถูกจำกัดเสรีภาพทางกายภาพ
    ข้อมูลชี้ว่าการเดินทางและการเล่นอิสระลดลงตั้งแต่ทศวรรษ 1970

    โลกดิจิทัลกลายเป็นพื้นที่ใหม่ของเด็ก
    เกมและโซเชียลมีเดียตอบสนองความต้องการ peer cultures

    เด็กต้องการเล่นกับเพื่อนโดยไม่ถูกควบคุมจากผู้ใหญ่
    แต่กลับถูกบังคับให้อยู่ในพื้นที่ออนไลน์ที่เสี่ยง

    ความเสี่ยงจากโลกดิจิทัล
    คอนเทนต์ไม่เหมาะสม, การพนันในเกม, ความวิตกกังวลและซึมเศร้า

    การสูญเสียพื้นที่เล่นทางกายภาพ
    เมืองและสังคมที่พึ่งพารถยนต์ทำให้เด็กไม่มีที่เล่นอย่างปลอดภัย

    https://unpublishablepapers.substack.com/p/where-do-the-children-play
    💻 เด็กในสังคมตะวันตกสูญเสียพื้นที่เล่นอิสระทางกายภาพ จนต้องหันไปสร้าง “วัฒนธรรมเพื่อน” ในโลกดิจิทัล บทความ Where Do the Children Play? โดย Eli Stark-Elster วิเคราะห์ว่า เด็กในสังคมตะวันตกสูญเสียพื้นที่เล่นอิสระทางกายภาพ จนต้องหันไปสร้าง “วัฒนธรรมเพื่อน” ในโลกดิจิทัล เช่น เกมและโซเชียลมีเดีย ซึ่งแม้จะตอบสนองความต้องการ แต่ก็เต็มไปด้วยความเสี่ยงและผลกระทบทางจิตใจ 🌳 เด็กในวัฒนธรรมดั้งเดิม ผู้เขียนยกตัวอย่าง BaYaka และชนเผ่าอื่น ๆ ที่เด็กใช้ชีวิตอย่างอิสระในป่า ตั้งแต่การตกปลา เล่นน้ำ ไปจนถึงการปีนต้นไม้ โดยไม่ต้องมีผู้ใหญ่กำกับใกล้ชิด สิ่งนี้สะท้อนว่าในประวัติศาสตร์มนุษย์ เด็กมักสร้าง peer cultures หรือสังคมเพื่อนที่แยกจากผู้ใหญ่ เพื่อเรียนรู้และพัฒนาตนเอง 🏙️ เด็กในโลกตะวันตก ตรงกันข้าม เด็กในสังคมตะวันตกถูกจำกัดเสรีภาพอย่างมาก ข้อมูลชี้ว่า กว่า 60% ของเด็กอเมริกันอายุ 8–12 ปีไม่เคยเดินหรือปั่นจักรยานไปที่ใดโดยไม่มีผู้ใหญ่ และกว่า 70% ไม่เคยใช้มีดคมด้วยตนเอง แต่กลับมี 31% ที่เคยพูดคุยกับโมเดลภาษา AI และ 50% ที่เคยเห็นสื่อลามกก่อนอายุ 13 ปี แสดงให้เห็นว่า โลกกายภาพถูกควบคุม แต่โลกดิจิทัลกลับไร้การกำกับ 📱 โลกดิจิทัลเป็น “ป่าใหม่” ผู้เขียนเสนอว่า เด็กหันไปใช้ Fortnite, TikTok, Roblox, Minecraft เพราะนั่นคือพื้นที่ที่พวกเขาสามารถสร้างวัฒนธรรมเพื่อนโดยไม่ถูกรบกวนจากผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม โลกดิจิทัลนี้เต็มไปด้วย “เสือดาวเสมือน” เช่น คอนเทนต์ไม่เหมาะสม, ระบบ loot box ที่คล้ายการพนัน, และแรงกดดันทางสังคมที่ทำให้เกิดความวิตกกังวล 🔮 ทางออกที่ควรสร้าง แม้จะไม่สามารถย้อนกลับไปสู่ยุคที่เด็กมีป่าและลำธารให้เล่นได้ แต่ผู้เขียนเสนอว่า เราควรสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ปลอดภัยแต่ยังคงเสรีภาพ ให้เด็กได้สร้าง peer cultures โดยไม่ถูกครอบงำด้วยการออกแบบที่เสพติดหรือเนื้อหาที่เป็นอันตราย 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ เด็กในวัฒนธรรมดั้งเดิมมีพื้นที่เล่นอิสระ ➡️ เช่น BaYaka, Trobriand, Mbuti ที่เด็กสร้างสังคมเพื่อนเอง ✅ เด็กตะวันตกถูกจำกัดเสรีภาพทางกายภาพ ➡️ ข้อมูลชี้ว่าการเดินทางและการเล่นอิสระลดลงตั้งแต่ทศวรรษ 1970 ✅ โลกดิจิทัลกลายเป็นพื้นที่ใหม่ของเด็ก ➡️ เกมและโซเชียลมีเดียตอบสนองความต้องการ peer cultures ✅ เด็กต้องการเล่นกับเพื่อนโดยไม่ถูกควบคุมจากผู้ใหญ่ ➡️ แต่กลับถูกบังคับให้อยู่ในพื้นที่ออนไลน์ที่เสี่ยง ‼️ ความเสี่ยงจากโลกดิจิทัล ⛔ คอนเทนต์ไม่เหมาะสม, การพนันในเกม, ความวิตกกังวลและซึมเศร้า ‼️ การสูญเสียพื้นที่เล่นทางกายภาพ ⛔ เมืองและสังคมที่พึ่งพารถยนต์ทำให้เด็กไม่มีที่เล่นอย่างปลอดภัย https://unpublishablepapers.substack.com/p/where-do-the-children-play
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 199 มุมมอง 0 รีวิว
  • พ.ศ. 2526 มีแฟนคนหนึ่งส่งจดหมายไปยังบริษัทแอปเปิล คอมพิวเตอร์ ที่เมืองคูเพอร์ติโน รัฐแคลิฟอร์เนีย

    เพื่อขอลายเซ็นของสตีฟ จอบส์ ผู้ก่อตั้งและประธานบอร์ดในเวลานั้น

    จอบส์ตอบกลับด้วยจดหมายพิมพ์อย่างสุภาพว่า เขา “ไม่เซ็นลายเซ็นให้ใคร”

    แต่ในตอนท้ายของจดหมาย เขากลับลงชื่อสตีฟ จอบส์ด้วยลายมือของตัวเอง

    ทำให้จดหมายฉบับนี้กลายเป็นเอกสารที่เต็มไปด้วยความย้อนแย้ง น่าขบขัน และสะท้อนบุคลิกเฉพาะตัวที่ทั้งตรงไปตรงมาและแอบมีอารมณ์ขันแบบเรียบง่าย

    ความพิเศษของจดหมายไม่ใช่แค่ข้อความ

    แต่เป็นการที่เจ้าตัวประกาศว่าไม่เซ็นลายเซ็น

    แต่สุดท้ายก็เซ็นลงไปจริง ๆ ส่งผลให้เอกสารนี้กลายเป็นของสะสมที่หายากอย่างยิ่งในหมู่นักสะสมผลงานของจอบส์และประวัติศาสตร์เทคโนโลยี

    เมื่อถูกนำออกประมูล จดหมายฉบับนี้ทำราคาสูงถึงเกือบห้าล้านเจ็ดแสนบาท หรือประมาณสี่แสนเจ็ดหมื่นเก้าพันดอลลาร์

    ซึ่งถือเป็นราคาที่สะท้อนพลังของเรื่องเล่า

    ความหายาก

    และเสน่ห์ของผู้ชายที่ชื่อสตีฟ จอบส์ ได้อย่างชัดเจน

    จดหมายเพียงหนึ่งหน้า

    กลับกลายเป็นประวัติศาสตร์ชิ้นเล็ก ๆ ที่เล่าเรื่องของอัจฉริยะผู้เปลี่ยนโลกในแบบเรียบง่ายแต่ทรงพลัง
    พ.ศ. 2526 มีแฟนคนหนึ่งส่งจดหมายไปยังบริษัทแอปเปิล คอมพิวเตอร์ ที่เมืองคูเพอร์ติโน รัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อขอลายเซ็นของสตีฟ จอบส์ ผู้ก่อตั้งและประธานบอร์ดในเวลานั้น จอบส์ตอบกลับด้วยจดหมายพิมพ์อย่างสุภาพว่า เขา “ไม่เซ็นลายเซ็นให้ใคร” แต่ในตอนท้ายของจดหมาย เขากลับลงชื่อสตีฟ จอบส์ด้วยลายมือของตัวเอง ทำให้จดหมายฉบับนี้กลายเป็นเอกสารที่เต็มไปด้วยความย้อนแย้ง น่าขบขัน และสะท้อนบุคลิกเฉพาะตัวที่ทั้งตรงไปตรงมาและแอบมีอารมณ์ขันแบบเรียบง่าย ความพิเศษของจดหมายไม่ใช่แค่ข้อความ แต่เป็นการที่เจ้าตัวประกาศว่าไม่เซ็นลายเซ็น แต่สุดท้ายก็เซ็นลงไปจริง ๆ ส่งผลให้เอกสารนี้กลายเป็นของสะสมที่หายากอย่างยิ่งในหมู่นักสะสมผลงานของจอบส์และประวัติศาสตร์เทคโนโลยี เมื่อถูกนำออกประมูล จดหมายฉบับนี้ทำราคาสูงถึงเกือบห้าล้านเจ็ดแสนบาท หรือประมาณสี่แสนเจ็ดหมื่นเก้าพันดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นราคาที่สะท้อนพลังของเรื่องเล่า ความหายาก และเสน่ห์ของผู้ชายที่ชื่อสตีฟ จอบส์ ได้อย่างชัดเจน จดหมายเพียงหนึ่งหน้า กลับกลายเป็นประวัติศาสตร์ชิ้นเล็ก ๆ ที่เล่าเรื่องของอัจฉริยะผู้เปลี่ยนโลกในแบบเรียบง่ายแต่ทรงพลัง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 84 มุมมอง 0 รีวิว
  • พบคลังเทป VHS จำนวนมหาศาลที่บันทึกข่าวโทรทัศน์สหรัฐฯ ระหว่างปี 2004–2009

    มีผู้ใช้ Reddit รายหนึ่งเปิดเผยว่าเขามีเทป VHS จำนวนหลายพันม้วนที่บันทึกข่าวจากช่อง CNN, MSNBC และ Fox News ระหว่างปี 2004–2009 เทปเหล่านี้ถูกเก็บอย่างเป็นระเบียบในกล่อง McDonald’s และตอนนี้เจ้าของต้องการมอบให้ผู้ที่สามารถเก็บรักษาและดิจิไทซ์ได้ โดย Internet Archive ถูกเสนอชื่อเป็นผู้รับที่เหมาะสมที่สุด.

    เหตุการณ์สำคัญที่ถูกบันทึก
    ภายในคลังเทปนี้มีการบันทึกข่าวสารและเหตุการณ์สำคัญมากมาย เช่น
    การเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2004 และ 2008
    เหตุการณ์สึนามิปี 2004 และเหตุระเบิดลอนดอนปี 2005
    การเปิดตัว iPhone รุ่นแรกในปี 2007
    วิกฤตการเงินโลกปี 2008
    การเสียชีวิตของ Michael Jackson และการแจ้งเกิดของ Lady Gaga ในปี 2009

    นอกจากข่าวแล้ว ยังมีโฆษณาและรายการบันเทิงที่สะท้อนวัฒนธรรมยุคนั้น ซึ่งอาจมีคุณค่ามากกว่าตัวข่าวเอง.

    บทบาทของ Internet Archive
    Internet Archive เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่มีภารกิจเก็บรักษาเนื้อหาดิจิทัลและสื่อเก่า การได้รับคลังเทปนี้จะช่วยให้พวกเขาสามารถดิจิไทซ์และเผยแพร่สู่สาธารณะ ทำให้ผู้คนเข้าถึงบันทึกข่าวและวัฒนธรรมในช่วงปี 2004–2009 ได้อย่างสะดวกและปลอดภัยในระยะยาว.

    ความท้าทายและข้อกังวล
    แม้หลายคนสนับสนุนให้ Internet Archive รับเทปเหล่านี้ แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ว่าพวกเขามีเนื้อหาที่รอการดิจิไทซ์อยู่แล้วจำนวนมาก และอาจไม่สามารถเผยแพร่ได้เร็วตามที่สาธารณะคาดหวัง นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงด้านการเก็บรักษาเทปที่อาจเสื่อมสภาพหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม.

    สรุปสาระสำคัญ
    คลังเทป VHS จำนวนมหาศาลถูกค้นพบ
    บันทึกข่าวสหรัฐฯ ระหว่างปี 2004–2009
    เก็บไว้ในกล่อง McDonald’s และแจกฟรี

    เหตุการณ์สำคัญที่ถูกบันทึก
    การเลือกตั้ง, สึนามิ, เหตุระเบิดลอนดอน
    การเปิดตัว iPhone, วิกฤตการเงิน, การเสียชีวิตของ Michael Jackson

    Internet Archive มีแนวโน้มรับเทป
    เพื่อดิจิไทซ์และเผยแพร่สู่สาธารณะ
    สร้างบันทึกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม

    ความท้าทายและข้อกังวล
    Internet Archive มีเนื้อหาที่รอดิจิไทซ์อยู่แล้วจำนวนมาก
    เทป VHS เสี่ยงเสื่อมสภาพหากไม่ได้รับการดูแลทันเวลา

    https://www.tomshardware.com/software/video-editing-graphic-design/gigantic-vhs-videotape-hoard-of-thousands-of-videos-stored-in-mcdonalds-boxes-being-given-away-for-free-internet-archive-looks-set-to-claim-the-tapes-of-u-s-news-output-spanning-2004-09
    📼 พบคลังเทป VHS จำนวนมหาศาลที่บันทึกข่าวโทรทัศน์สหรัฐฯ ระหว่างปี 2004–2009 มีผู้ใช้ Reddit รายหนึ่งเปิดเผยว่าเขามีเทป VHS จำนวนหลายพันม้วนที่บันทึกข่าวจากช่อง CNN, MSNBC และ Fox News ระหว่างปี 2004–2009 เทปเหล่านี้ถูกเก็บอย่างเป็นระเบียบในกล่อง McDonald’s และตอนนี้เจ้าของต้องการมอบให้ผู้ที่สามารถเก็บรักษาและดิจิไทซ์ได้ โดย Internet Archive ถูกเสนอชื่อเป็นผู้รับที่เหมาะสมที่สุด. 📰 เหตุการณ์สำคัญที่ถูกบันทึก ภายในคลังเทปนี้มีการบันทึกข่าวสารและเหตุการณ์สำคัญมากมาย เช่น 🎗️ การเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2004 และ 2008 🎗️ เหตุการณ์สึนามิปี 2004 และเหตุระเบิดลอนดอนปี 2005 🎗️ การเปิดตัว iPhone รุ่นแรกในปี 2007 🎗️ วิกฤตการเงินโลกปี 2008 🎗️ การเสียชีวิตของ Michael Jackson และการแจ้งเกิดของ Lady Gaga ในปี 2009 นอกจากข่าวแล้ว ยังมีโฆษณาและรายการบันเทิงที่สะท้อนวัฒนธรรมยุคนั้น ซึ่งอาจมีคุณค่ามากกว่าตัวข่าวเอง. 🏛️ บทบาทของ Internet Archive Internet Archive เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่มีภารกิจเก็บรักษาเนื้อหาดิจิทัลและสื่อเก่า การได้รับคลังเทปนี้จะช่วยให้พวกเขาสามารถดิจิไทซ์และเผยแพร่สู่สาธารณะ ทำให้ผู้คนเข้าถึงบันทึกข่าวและวัฒนธรรมในช่วงปี 2004–2009 ได้อย่างสะดวกและปลอดภัยในระยะยาว. ⚠️ ความท้าทายและข้อกังวล แม้หลายคนสนับสนุนให้ Internet Archive รับเทปเหล่านี้ แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ว่าพวกเขามีเนื้อหาที่รอการดิจิไทซ์อยู่แล้วจำนวนมาก และอาจไม่สามารถเผยแพร่ได้เร็วตามที่สาธารณะคาดหวัง นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงด้านการเก็บรักษาเทปที่อาจเสื่อมสภาพหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม. 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ คลังเทป VHS จำนวนมหาศาลถูกค้นพบ ➡️ บันทึกข่าวสหรัฐฯ ระหว่างปี 2004–2009 ➡️ เก็บไว้ในกล่อง McDonald’s และแจกฟรี ✅ เหตุการณ์สำคัญที่ถูกบันทึก ➡️ การเลือกตั้ง, สึนามิ, เหตุระเบิดลอนดอน ➡️ การเปิดตัว iPhone, วิกฤตการเงิน, การเสียชีวิตของ Michael Jackson ✅ Internet Archive มีแนวโน้มรับเทป ➡️ เพื่อดิจิไทซ์และเผยแพร่สู่สาธารณะ ➡️ สร้างบันทึกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ‼️ ความท้าทายและข้อกังวล ⛔ Internet Archive มีเนื้อหาที่รอดิจิไทซ์อยู่แล้วจำนวนมาก ⛔ เทป VHS เสี่ยงเสื่อมสภาพหากไม่ได้รับการดูแลทันเวลา https://www.tomshardware.com/software/video-editing-graphic-design/gigantic-vhs-videotape-hoard-of-thousands-of-videos-stored-in-mcdonalds-boxes-being-given-away-for-free-internet-archive-looks-set-to-claim-the-tapes-of-u-s-news-output-spanning-2004-09
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 217 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts