• Apple ฉลองครบรอบ 49 ปี จากบริษัทเล็ก ๆ ในโรงรถจนกลายเป็นแบรนด์ระดับโลกที่เปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมเทคโนโลยีมาตลอดหลายทศวรรษ Macintosh และ iPhone เป็นผลิตภัณฑ์ที่ส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อการใช้คอมพิวเตอร์และมือถือ ขณะที่ระบบนิเวศของ Apple ทำให้ทุกอุปกรณ์ทำงานร่วมกันอย่างลงตัว ล่าสุด Apple มุ่งหน้าสู่เทคโนโลยี AR และชิปเซ็ตที่พัฒนาเอง ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญของบริษัทในอนาคต

    ✅ Apple I จุดเริ่มต้นที่เปลี่ยนวงการคอมพิวเตอร์
    - Steve Jobs และ Steve Wozniak สร้าง Apple I ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ท้าทายแนวคิดเดิมของวงการเทคโนโลยี

    ✅ Macintosh—GUI ที่นำไปสู่ยุคใหม่ของคอมพิวเตอร์
    - Macintosh ทำให้ การใช้งานคอมพิวเตอร์ง่ายขึ้น ด้วย กราฟิกอินเทอร์เฟซ (GUI) ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรม

    ✅ iPod และ iPhone ปฏิวัติวิธีการฟังเพลงและสื่อสาร
    - iPod ทำให้การพกพาเพลงเป็นเรื่องง่ายด้วยแนวคิด "1000 เพลงในกระเป๋า"
    - iPhone เปิดตัวในปี 2007 และกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่เปลี่ยนแปลงวิธีการใช้โทรศัพท์มือถือ ทั้งด้านการถ่ายภาพ, แอปพลิเคชัน และการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต

    ✅ Apple สร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์แบบ
    - ระบบปฏิบัติการ iOS, macOS, watchOS, visionOS และ iPadOS ทำให้ทุกอุปกรณ์สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น
    - เปิดตัวบริการ Apple Music, iCloud, Apple TV+ และ Apple News เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้ในหลายด้าน

    ✅ Apple พัฒนาเทคโนโลยีของตนเองแทนการพึ่งพาซัพพลายเออร์
    - เปิดตัวชิป M-series ที่ให้ประสิทธิภาพสูงและใช้พลังงานน้อย
    - เปิดตัว C1 Modem เพื่อลดการพึ่งพาชิปสื่อสารจากผู้ผลิตภายนอก

    ✅ Vision Pro—ก้าวเข้าสู่เทคโนโลยี AR และอนาคตของคอมพิวเตอร์
    - Apple เปิดตัว Vision Pro ซึ่งเป็นอุปกรณ์ AR ที่แสดงถึงศักยภาพของเทคโนโลยีในอนาคต
    - นักวิเคราะห์มองว่า Apple อาจนำ AR มาใช้ในผลิตภัณฑ์อีกหลายตัว

    https://wccftech.com/apple-turns-49-today-innovation-and-vision/
    Apple ฉลองครบรอบ 49 ปี จากบริษัทเล็ก ๆ ในโรงรถจนกลายเป็นแบรนด์ระดับโลกที่เปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมเทคโนโลยีมาตลอดหลายทศวรรษ Macintosh และ iPhone เป็นผลิตภัณฑ์ที่ส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อการใช้คอมพิวเตอร์และมือถือ ขณะที่ระบบนิเวศของ Apple ทำให้ทุกอุปกรณ์ทำงานร่วมกันอย่างลงตัว ล่าสุด Apple มุ่งหน้าสู่เทคโนโลยี AR และชิปเซ็ตที่พัฒนาเอง ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญของบริษัทในอนาคต ✅ Apple I จุดเริ่มต้นที่เปลี่ยนวงการคอมพิวเตอร์ - Steve Jobs และ Steve Wozniak สร้าง Apple I ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ท้าทายแนวคิดเดิมของวงการเทคโนโลยี ✅ Macintosh—GUI ที่นำไปสู่ยุคใหม่ของคอมพิวเตอร์ - Macintosh ทำให้ การใช้งานคอมพิวเตอร์ง่ายขึ้น ด้วย กราฟิกอินเทอร์เฟซ (GUI) ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรม ✅ iPod และ iPhone ปฏิวัติวิธีการฟังเพลงและสื่อสาร - iPod ทำให้การพกพาเพลงเป็นเรื่องง่ายด้วยแนวคิด "1000 เพลงในกระเป๋า" - iPhone เปิดตัวในปี 2007 และกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่เปลี่ยนแปลงวิธีการใช้โทรศัพท์มือถือ ทั้งด้านการถ่ายภาพ, แอปพลิเคชัน และการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ✅ Apple สร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์แบบ - ระบบปฏิบัติการ iOS, macOS, watchOS, visionOS และ iPadOS ทำให้ทุกอุปกรณ์สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น - เปิดตัวบริการ Apple Music, iCloud, Apple TV+ และ Apple News เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้ในหลายด้าน ✅ Apple พัฒนาเทคโนโลยีของตนเองแทนการพึ่งพาซัพพลายเออร์ - เปิดตัวชิป M-series ที่ให้ประสิทธิภาพสูงและใช้พลังงานน้อย - เปิดตัว C1 Modem เพื่อลดการพึ่งพาชิปสื่อสารจากผู้ผลิตภายนอก ✅ Vision Pro—ก้าวเข้าสู่เทคโนโลยี AR และอนาคตของคอมพิวเตอร์ - Apple เปิดตัว Vision Pro ซึ่งเป็นอุปกรณ์ AR ที่แสดงถึงศักยภาพของเทคโนโลยีในอนาคต - นักวิเคราะห์มองว่า Apple อาจนำ AR มาใช้ในผลิตภัณฑ์อีกหลายตัว https://wccftech.com/apple-turns-49-today-innovation-and-vision/
    WCCFTECH.COM
    From A Small Garage To A Global Icon, Apple Turns 49 Today, Changing The Tech World Forever With Its Vision, Innovation, And Unstoppable Momentum
    Apple turns 49 today, and it has changed the entire world as we know it in terms of innovation, design, and the relentless pursuit of excellence.
    0 Comments 0 Shares 82 Views 0 Reviews
  • GL.iNet ได้เปิดตัว Slate 7 (GL-BE3600) ซึ่งเป็นเราเตอร์ Wi-Fi 7 แบบพกพาตัวแรกของโลก โดยออกแบบมาเพื่อรองรับ 4K และ 8K streaming, การประชุมวิดีโอ และการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่ต้องใช้แบนด์วิดท์สูง Slate 7 มีคุณสมบัติเด่นหลายอย่าง รวมถึง ซีพียู Qualcomm 1.1GHz quad-core, แรม 1GB DDR4 และหน่วยความจำแฟลช 512MB

    ✅ ความเร็ว Wi-Fi 7 ระดับสูงสุด—เหมาะสำหรับการเชื่อมต่อที่ต้องการความเร็วและเสถียรภาพ
    - ความเร็ว 688 Mbps บนคลื่น 2.4GHz และ 2882 Mbps บนคลื่น 5GHz
    - เสาอากาศภายนอกพับเก็บได้ ช่วยขยายสัญญาณให้ครอบคลุมมากขึ้น

    ✅ รองรับการเชื่อมต่อแบบสายที่มีประสิทธิภาพสูง
    - มี พอร์ต WAN 2.5Gbps และ LAN 1Gbps เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและเสถียร
    - รองรับ USB 3.0 สำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลหรือโมเด็ม

    ✅ ระบบ VPN ที่แข็งแกร่ง—ความปลอดภัยระดับสูงสำหรับการเชื่อมต่อออนไลน์
    - รองรับ OpenVPN ความเร็วสูงสุด 100 Mbps และ WireGuard ที่ความเร็วสูงสุด 540 Mbps
    - สามารถเชื่อมต่อกับ บริการ VPN กว่า 30 แห่ง เพื่อปกป้องข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้

    ✅ พลังงานยืดหยุ่น—ใช้งานได้หลากหลาย
    - ใช้ พอร์ต USB-C และรองรับ แรงดันไฟฟ้าหลายระดับ (5V/3A, 9V/3A, 12V/2.5A)
    - สามารถใช้พลังงานจาก แล็ปท็อป, พาวเวอร์แบงก์ หรือสมาร์ทโฟน

    ✅ ฟีเจอร์เพิ่มเติมสำหรับการจัดการเครือข่ายขั้นสูง
    - ระบบ OpenWrt 23.05 พร้อม Kernel 5.4.213 ให้ผู้ใช้สามารถติดตั้งปลั๊กอินเพิ่มเติม เช่น การตรวจสอบการใช้แบนด์วิดท์ และกำหนดค่าฟีเจอร์ไฟร์วอลล์
    - ใช้ WPA3 encryption เพื่อป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์

    ✅ ราคาเป็นมิตรกับงบประมาณ—เข้าถึงได้ง่าย
    - ราคา $120 สำหรับการสั่งจองล่วงหน้า และ ราคาเต็มอยู่ที่ $149.90
    - การส่งมอบสินค้าเริ่มต้นใน เดือนพฤษภาคม 2025

    https://www.techradar.com/pro/heres-the-worlds-first-mobile-wi-fi-7-router-and-i-cant-believe-how-ridiculously-cheap-it-is
    GL.iNet ได้เปิดตัว Slate 7 (GL-BE3600) ซึ่งเป็นเราเตอร์ Wi-Fi 7 แบบพกพาตัวแรกของโลก โดยออกแบบมาเพื่อรองรับ 4K และ 8K streaming, การประชุมวิดีโอ และการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่ต้องใช้แบนด์วิดท์สูง Slate 7 มีคุณสมบัติเด่นหลายอย่าง รวมถึง ซีพียู Qualcomm 1.1GHz quad-core, แรม 1GB DDR4 และหน่วยความจำแฟลช 512MB ✅ ความเร็ว Wi-Fi 7 ระดับสูงสุด—เหมาะสำหรับการเชื่อมต่อที่ต้องการความเร็วและเสถียรภาพ - ความเร็ว 688 Mbps บนคลื่น 2.4GHz และ 2882 Mbps บนคลื่น 5GHz - เสาอากาศภายนอกพับเก็บได้ ช่วยขยายสัญญาณให้ครอบคลุมมากขึ้น ✅ รองรับการเชื่อมต่อแบบสายที่มีประสิทธิภาพสูง - มี พอร์ต WAN 2.5Gbps และ LAN 1Gbps เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและเสถียร - รองรับ USB 3.0 สำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลหรือโมเด็ม ✅ ระบบ VPN ที่แข็งแกร่ง—ความปลอดภัยระดับสูงสำหรับการเชื่อมต่อออนไลน์ - รองรับ OpenVPN ความเร็วสูงสุด 100 Mbps และ WireGuard ที่ความเร็วสูงสุด 540 Mbps - สามารถเชื่อมต่อกับ บริการ VPN กว่า 30 แห่ง เพื่อปกป้องข้อมูลและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ✅ พลังงานยืดหยุ่น—ใช้งานได้หลากหลาย - ใช้ พอร์ต USB-C และรองรับ แรงดันไฟฟ้าหลายระดับ (5V/3A, 9V/3A, 12V/2.5A) - สามารถใช้พลังงานจาก แล็ปท็อป, พาวเวอร์แบงก์ หรือสมาร์ทโฟน ✅ ฟีเจอร์เพิ่มเติมสำหรับการจัดการเครือข่ายขั้นสูง - ระบบ OpenWrt 23.05 พร้อม Kernel 5.4.213 ให้ผู้ใช้สามารถติดตั้งปลั๊กอินเพิ่มเติม เช่น การตรวจสอบการใช้แบนด์วิดท์ และกำหนดค่าฟีเจอร์ไฟร์วอลล์ - ใช้ WPA3 encryption เพื่อป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ ✅ ราคาเป็นมิตรกับงบประมาณ—เข้าถึงได้ง่าย - ราคา $120 สำหรับการสั่งจองล่วงหน้า และ ราคาเต็มอยู่ที่ $149.90 - การส่งมอบสินค้าเริ่มต้นใน เดือนพฤษภาคม 2025 https://www.techradar.com/pro/heres-the-worlds-first-mobile-wi-fi-7-router-and-i-cant-believe-how-ridiculously-cheap-it-is
    0 Comments 0 Shares 112 Views 0 Reviews
  • นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโอซากะเสนอแนวคิดใช้เนื้อเยื่อมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของระบบคอมพิวเตอร์ โดยใช้ คุณสมบัติของกล้ามเนื้อที่ตอบสนองต่อแรงกด เพื่อช่วยประมวลผลข้อมูล แนวคิดนี้อาจนำไปใช้ใน อุปกรณ์สวมใส่ เช่น สมาร์ทวอทช์ โดยที่ร่างกายทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบคำนวณ นักวิจัยพบว่า เทคนิคนี้มีความแม่นยำสูงกว่าวิธีดั้งเดิม แต่ยังต้องมีการศึกษาต่อไป

    ✅ หลักการของ reservoir computing และเนื้อเยื่อมนุษย์
    - ระบบนี้ใช้ เนื้อเยื่ออ่อนที่สามารถตอบสนองต่อแรงกดและความเครียดทางกายภาพ เพื่อทำหน้าที่เป็น "reservoir" ในการประมวลผลข้อมูล
    - นักวิจัยใช้ อัลตราซาวด์เพื่อติดตามการเคลื่อนไหวของข้อมือ และพบว่า รูปแบบการบิดตัวของกล้ามเนื้อสามารถอ่านค่าเป็นข้อมูลได้

    ✅ ศักยภาพของเทคโนโลยีนี้—อาจนำไปใช้ในอุปกรณ์สวมใส่
    - นักวิจัยเสนอว่า เทคโนโลยีนี้สามารถนำไปใช้ในอุปกรณ์สวมใส่ เช่น สมาร์ทวอทช์
    - แทนที่อุปกรณ์จะใช้ ซีพียูภายนอก ระบบอาจสามารถประมวลผลโดยใช้ เนื้อเยื่อของมนุษย์เอง

    ✅ การทดสอบพบว่ามีความแม่นยำสูงกว่าโมเดลที่ไม่ได้พิจารณาคุณสมบัติเนื้อเยื่อ
    - ระบบสามารถ คาดการณ์ผลลัพธ์ในระบบไดนามิกที่ไม่เป็นเชิงเส้นได้แม่นยำกว่าปกติ
    - โมเดลนี้อาจช่วยให้ AI สามารถทำงานร่วมกับร่างกายมนุษย์ได้ดีขึ้น

    ✅ แนวคิดนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม
    - นักวิจัยระบุว่า ยังมีงานวิจัยอีกมากที่ต้องดำเนินการ ก่อนที่จะสามารถนำไปใช้จริงได้
    - อาจต้องศึกษาว่า เนื้อเยื่อของมนุษย์สามารถทำงานในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้ดีเพียงใด

    https://www.techradar.com/pro/humans-as-hardware-no-not-the-name-of-a-new-matrix-movie-prequel-but-a-shocking-idea-about-human-tissue
    นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโอซากะเสนอแนวคิดใช้เนื้อเยื่อมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของระบบคอมพิวเตอร์ โดยใช้ คุณสมบัติของกล้ามเนื้อที่ตอบสนองต่อแรงกด เพื่อช่วยประมวลผลข้อมูล แนวคิดนี้อาจนำไปใช้ใน อุปกรณ์สวมใส่ เช่น สมาร์ทวอทช์ โดยที่ร่างกายทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบคำนวณ นักวิจัยพบว่า เทคนิคนี้มีความแม่นยำสูงกว่าวิธีดั้งเดิม แต่ยังต้องมีการศึกษาต่อไป ✅ หลักการของ reservoir computing และเนื้อเยื่อมนุษย์ - ระบบนี้ใช้ เนื้อเยื่ออ่อนที่สามารถตอบสนองต่อแรงกดและความเครียดทางกายภาพ เพื่อทำหน้าที่เป็น "reservoir" ในการประมวลผลข้อมูล - นักวิจัยใช้ อัลตราซาวด์เพื่อติดตามการเคลื่อนไหวของข้อมือ และพบว่า รูปแบบการบิดตัวของกล้ามเนื้อสามารถอ่านค่าเป็นข้อมูลได้ ✅ ศักยภาพของเทคโนโลยีนี้—อาจนำไปใช้ในอุปกรณ์สวมใส่ - นักวิจัยเสนอว่า เทคโนโลยีนี้สามารถนำไปใช้ในอุปกรณ์สวมใส่ เช่น สมาร์ทวอทช์ - แทนที่อุปกรณ์จะใช้ ซีพียูภายนอก ระบบอาจสามารถประมวลผลโดยใช้ เนื้อเยื่อของมนุษย์เอง ✅ การทดสอบพบว่ามีความแม่นยำสูงกว่าโมเดลที่ไม่ได้พิจารณาคุณสมบัติเนื้อเยื่อ - ระบบสามารถ คาดการณ์ผลลัพธ์ในระบบไดนามิกที่ไม่เป็นเชิงเส้นได้แม่นยำกว่าปกติ - โมเดลนี้อาจช่วยให้ AI สามารถทำงานร่วมกับร่างกายมนุษย์ได้ดีขึ้น ✅ แนวคิดนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม - นักวิจัยระบุว่า ยังมีงานวิจัยอีกมากที่ต้องดำเนินการ ก่อนที่จะสามารถนำไปใช้จริงได้ - อาจต้องศึกษาว่า เนื้อเยื่อของมนุษย์สามารถทำงานในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้ดีเพียงใด https://www.techradar.com/pro/humans-as-hardware-no-not-the-name-of-a-new-matrix-movie-prequel-but-a-shocking-idea-about-human-tissue
    0 Comments 0 Shares 87 Views 0 Reviews
  • หน่วยงานความปลอดภัยทางไซเบอร์ของสหรัฐฯ CISA (Cybersecurity and Infrastructure Security Agency) ได้ออกคำเตือนเกี่ยวกับมัลแวร์ตัวใหม่ RESURGE ซึ่งกำลังโจมตีผลิตภัณฑ์ของ Ivanti หลายตัว โดยมัลแวร์นี้เป็น เวอร์ชันใหม่ของ SPAWNCHIMERA ที่เคยถูกใช้โจมตี Ivanti Connect Secure Appliances

    ✅ RESURGE ทำอะไรได้บ้าง?
    - สามารถ อยู่รอดหลังการรีบูตระบบ
    - สร้าง Web Shell เพื่อควบคุมอุปกรณ์ระยะไกล
    - เปลี่ยนแปลงระบบตรวจสอบความสมบูรณ์ไฟล์
    - ขโมยข้อมูลล็อกอิน สร้างบัญชีใหม่ รีเซ็ตรหัสผ่าน และเพิ่มสิทธิ์ผู้ใช้

    ✅ ช่องโหว่ที่ถูกใช้โจมตี—CVE-2025-0282
    - RESURGE อาศัยช่องโหว่ Stack-Based Buffer Overflow ใน Ivanti Connect Secure, Policy Secure และ Neurons for ZTA Gateways
    - ช่องโหว่นี้ช่วยให้แฮกเกอร์สามารถ รันโค้ดระยะไกลโดยไม่ต้องล็อกอิน

    ✅ เวอร์ชันของ Ivanti ที่มีความเสี่ยงสูง
    - Connect Secure (ก่อนเวอร์ชัน 22.7R2.5)
    - Policy Secure (ก่อนเวอร์ชัน 22.7R1.2)
    - Neurons for ZTA Gateways (ก่อนเวอร์ชัน 22.7R2.3)

    ✅ CISA แนะนำแนวทางป้องกัน
    - Factory Reset อุปกรณ์ เพื่อกำจัดโค้ดที่แฝงตัว
    - เปลี่ยนรหัสผ่าน ของบัญชีที่มีสิทธิ์เข้าถึงทั้งหมด
    - ตรวจสอบสิทธิ์และการเข้าถึงระบบ เพื่อป้องกันการบุกรุกเพิ่มเติม
    - เฝ้าระวังบัญชีที่มีสิทธิ์ระดับสูง เช่น Admin Accounts

    https://www.techradar.com/pro/security/ivanti-products-targeted-by-dangerous-malware-yet-again
    หน่วยงานความปลอดภัยทางไซเบอร์ของสหรัฐฯ CISA (Cybersecurity and Infrastructure Security Agency) ได้ออกคำเตือนเกี่ยวกับมัลแวร์ตัวใหม่ RESURGE ซึ่งกำลังโจมตีผลิตภัณฑ์ของ Ivanti หลายตัว โดยมัลแวร์นี้เป็น เวอร์ชันใหม่ของ SPAWNCHIMERA ที่เคยถูกใช้โจมตี Ivanti Connect Secure Appliances ✅ RESURGE ทำอะไรได้บ้าง? - สามารถ อยู่รอดหลังการรีบูตระบบ - สร้าง Web Shell เพื่อควบคุมอุปกรณ์ระยะไกล - เปลี่ยนแปลงระบบตรวจสอบความสมบูรณ์ไฟล์ - ขโมยข้อมูลล็อกอิน สร้างบัญชีใหม่ รีเซ็ตรหัสผ่าน และเพิ่มสิทธิ์ผู้ใช้ ✅ ช่องโหว่ที่ถูกใช้โจมตี—CVE-2025-0282 - RESURGE อาศัยช่องโหว่ Stack-Based Buffer Overflow ใน Ivanti Connect Secure, Policy Secure และ Neurons for ZTA Gateways - ช่องโหว่นี้ช่วยให้แฮกเกอร์สามารถ รันโค้ดระยะไกลโดยไม่ต้องล็อกอิน ✅ เวอร์ชันของ Ivanti ที่มีความเสี่ยงสูง - Connect Secure (ก่อนเวอร์ชัน 22.7R2.5) - Policy Secure (ก่อนเวอร์ชัน 22.7R1.2) - Neurons for ZTA Gateways (ก่อนเวอร์ชัน 22.7R2.3) ✅ CISA แนะนำแนวทางป้องกัน - Factory Reset อุปกรณ์ เพื่อกำจัดโค้ดที่แฝงตัว - เปลี่ยนรหัสผ่าน ของบัญชีที่มีสิทธิ์เข้าถึงทั้งหมด - ตรวจสอบสิทธิ์และการเข้าถึงระบบ เพื่อป้องกันการบุกรุกเพิ่มเติม - เฝ้าระวังบัญชีที่มีสิทธิ์ระดับสูง เช่น Admin Accounts https://www.techradar.com/pro/security/ivanti-products-targeted-by-dangerous-malware-yet-again
    WWW.TECHRADAR.COM
    Ivanti products targeted by dangerous malware yet again
    RESURGE is targeting Ivanti products, so make sure to stay safe
    0 Comments 0 Shares 48 Views 0 Reviews
  • TSMC กำลังเตรียมอุปกรณ์สำหรับ การทดลองผลิตชิป 1.4 nm ที่โรงงาน P2 Baoshan โดยแผนนี้เป็นการต่อยอดจาก 2 nm ที่กำลังเข้าสู่ Mass Production ในปี 2025 มีการคาดการณ์ว่า โรงงาน P3 และ P4 จะเข้าร่วมการผลิตเต็มรูปแบบภายในปี 2027 และ P1 อาจเริ่มการผลิตทดสอบได้ในปี 2027 ขณะที่ Intel และ Samsung กำลังเร่งพัฒนา 14A และ SF2/SF3P เพื่อต่อกรกับ N2 และ 1.4 nm ของ TSMC

    ✅ P2 Baoshan จะเป็นศูนย์กลางการทดลองผลิตก่อนขยายไปยัง P3 และ P4
    - TSMC วางแผนใช้ โรงงาน Fab 20 ใน Baoshan สำหรับการพัฒนาเทคโนโลยี 1.4 nm
    - แหล่งข่าวระบุว่า โรงงาน P3 และ P4 อาจเข้าร่วมการผลิตเต็มรูปแบบภายในปี 2027

    ✅ TSMC เร่งพัฒนา 2 nm พร้อมเตรียมขยายไปสู่ 1.4 nm
    - กระบวนการผลิต 2 nm (N2) กำลังจะเข้าสู่ Mass Production ในครึ่งหลังของปี 2025
    - การทดลองผลิต 1.4 nm จะเป็นการต่อยอดจาก N2 และขยายไปยังโรงงานอื่น ๆ ในอนาคต

    ✅ โรงงาน Fab 25 อาจมีส่วนร่วมในการทดลองผลิต 1.4 nm ด้วย
    - รายงานระบุว่า Fab 25 ใน Central Taiwan Science Park อาจเข้าร่วมโครงการนี้
    - มีการคาดการณ์ว่า 4 โรงงานจะทำงานร่วมกันในการพัฒนาชิป 1.4 nm

    ✅ แหล่งข่าวคาดว่า "P1" จะเริ่มการผลิตทดสอบภายในปี 2027
    - ตามข้อมูลของ TrendForce กระบวนการ Risk Trial Production ของ P1 จะเริ่มในปี 2027
    - อาจมีการผลิตเต็มรูปแบบในปีถัดไป เพื่อเข้าสู่ตลาดในปี 2028

    ✅ การแข่งขันในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เข้มข้นขึ้น
    - Intel และ Samsung กำลังพัฒนา 14A และ SF2/SF3P เพื่อต่อกรกับ N2 และ 1.4 nm ของ TSMC
    - นักวิเคราะห์จาก TechInsights คาดว่า N2 ของ TSMC จะมีความหนาแน่นทรานซิสเตอร์สูงกว่าคู่แข่ง
    - อัตรา High-Density (HD) Cell Density ของ N2 สูงถึง 313 MTr/mm² ขณะที่ Intel 18A มี 238 MTr/mm² และ Samsung SF2/SF3P อยู่ที่ 231 MTr/mm²

    https://www.techpowerup.com/334931/tsmc-reportedly-preparing-new-equipment-for-1-4-nm-trial-run-at-p2-baoshan-plant
    TSMC กำลังเตรียมอุปกรณ์สำหรับ การทดลองผลิตชิป 1.4 nm ที่โรงงาน P2 Baoshan โดยแผนนี้เป็นการต่อยอดจาก 2 nm ที่กำลังเข้าสู่ Mass Production ในปี 2025 มีการคาดการณ์ว่า โรงงาน P3 และ P4 จะเข้าร่วมการผลิตเต็มรูปแบบภายในปี 2027 และ P1 อาจเริ่มการผลิตทดสอบได้ในปี 2027 ขณะที่ Intel และ Samsung กำลังเร่งพัฒนา 14A และ SF2/SF3P เพื่อต่อกรกับ N2 และ 1.4 nm ของ TSMC ✅ P2 Baoshan จะเป็นศูนย์กลางการทดลองผลิตก่อนขยายไปยัง P3 และ P4 - TSMC วางแผนใช้ โรงงาน Fab 20 ใน Baoshan สำหรับการพัฒนาเทคโนโลยี 1.4 nm - แหล่งข่าวระบุว่า โรงงาน P3 และ P4 อาจเข้าร่วมการผลิตเต็มรูปแบบภายในปี 2027 ✅ TSMC เร่งพัฒนา 2 nm พร้อมเตรียมขยายไปสู่ 1.4 nm - กระบวนการผลิต 2 nm (N2) กำลังจะเข้าสู่ Mass Production ในครึ่งหลังของปี 2025 - การทดลองผลิต 1.4 nm จะเป็นการต่อยอดจาก N2 และขยายไปยังโรงงานอื่น ๆ ในอนาคต ✅ โรงงาน Fab 25 อาจมีส่วนร่วมในการทดลองผลิต 1.4 nm ด้วย - รายงานระบุว่า Fab 25 ใน Central Taiwan Science Park อาจเข้าร่วมโครงการนี้ - มีการคาดการณ์ว่า 4 โรงงานจะทำงานร่วมกันในการพัฒนาชิป 1.4 nm ✅ แหล่งข่าวคาดว่า "P1" จะเริ่มการผลิตทดสอบภายในปี 2027 - ตามข้อมูลของ TrendForce กระบวนการ Risk Trial Production ของ P1 จะเริ่มในปี 2027 - อาจมีการผลิตเต็มรูปแบบในปีถัดไป เพื่อเข้าสู่ตลาดในปี 2028 ✅ การแข่งขันในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เข้มข้นขึ้น - Intel และ Samsung กำลังพัฒนา 14A และ SF2/SF3P เพื่อต่อกรกับ N2 และ 1.4 nm ของ TSMC - นักวิเคราะห์จาก TechInsights คาดว่า N2 ของ TSMC จะมีความหนาแน่นทรานซิสเตอร์สูงกว่าคู่แข่ง - อัตรา High-Density (HD) Cell Density ของ N2 สูงถึง 313 MTr/mm² ขณะที่ Intel 18A มี 238 MTr/mm² และ Samsung SF2/SF3P อยู่ที่ 231 MTr/mm² https://www.techpowerup.com/334931/tsmc-reportedly-preparing-new-equipment-for-1-4-nm-trial-run-at-p2-baoshan-plant
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    TSMC Reportedly Preparing New Equipment for 1.4 nm Trial Run at "P2" Baoshan Plant
    Industry insiders posit that TSMC's two flagship fabrication facilities are running ahead of schedule with the development of an advanced 2 nm (N2) process node. A cross-facility mass production phase is tipped to begin later this year, which leaves room for next-level experiments. Taiwan's Economic...
    0 Comments 0 Shares 93 Views 0 Reviews
  • Altera ได้เริ่มจัดส่ง Agilex 7 FPGA M-Series ซึ่งเป็นชิปประมวลผลแบบ FPGA ระดับไฮเอนด์ที่ออกแบบมาเพื่อ AI และศูนย์ข้อมูล โดยใช้ HBM2E และ DDR5/LPDDR5 เพื่อเพิ่มแบนด์วิดท์และลดความล่าช้า Positron ซึ่งเป็นบริษัท AI รายงานว่า FPGA นี้ช่วยให้ทำงานได้เร็วกว่า GPU ในการรันโมเดล AI เช่น Llama3 และช่วยประหยัดพลังงานมากกว่า
    Intel คาดว่า FPGA นี้จะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเซิร์ฟเวอร์ AI และอุตสาหกรรมสื่อสาร 5G ในอีก 10 ปีข้างหน้า

    ✅ FPGA นี้ออกแบบเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
    - มี 3.8 ล้าน Logic Elements รองรับการประมวลผลระดับสูง
    - ใช้ Hyperflex Architecture รุ่นที่ 2 เพื่อเพิ่มความเร็วและลดการใช้พลังงาน

    ✅ หน่วยความจำความเร็วสูงช่วยแก้ปัญหาคอขวด
    - มี HBM2E ขนาด 32 GB พร้อมแบนด์วิดท์สูงสุด 820 GBps
    - รองรับ DDR5/LPDDR5 โดยมี Memory Bandwidth สูงสุด 1 TBps

    ✅ การใช้งานหลักของ Agilex 7 FPGA M-Series
    - ศูนย์ข้อมูล: ใช้เป็นเร่งความเร็ว AI และช่วยลดภาระงานของโปรเซสเซอร์ทั่วไป
    - อุปกรณ์เครือข่าย: รองรับไฟร์วอลล์ยุคใหม่ที่ต้องใช้การประมวลผลข้อมูลระดับสูง
    - อุปกรณ์ออกอากาศ: ส่งข้อมูล 8K UHD ได้รวดเร็ว ลดความล่าช้าในเซ็นเซอร์ภาพ

    ✅ บริษัท AI ใช้ FPGA เพื่อประสิทธิภาพสูงกว่าระบบ GPU ทั่วไป
    - Positron รายงานว่า Agilex 7 มีการใช้ Bandwidth สูงถึง 93% ซึ่งสูงกว่าระบบ GPU ที่มักอยู่ที่ 10-30%
    - เมื่อใช้ในการประมวลผล LLM (เช่น Llama3 และ MOE Models) ทำให้ได้ ประสิทธิภาพต่อค่าใช้จ่ายดีขึ้น 3.5 เท่า

    ✅ อนาคตของ Agilex 7 FPGA M-Series
    - มีอายุการใช้งานถึง ปี 2035 และพร้อมใช้งานทั่วโลก
    - คาดว่าจะถูกนำมาใช้ในเซิร์ฟเวอร์ระดับสูง, การประมวลผล AI, และโครงสร้างพื้นฐาน 5G

    https://www.techpowerup.com/334926/altera-starts-production-shipments-of-agilex-7-fpga-m-series
    Altera ได้เริ่มจัดส่ง Agilex 7 FPGA M-Series ซึ่งเป็นชิปประมวลผลแบบ FPGA ระดับไฮเอนด์ที่ออกแบบมาเพื่อ AI และศูนย์ข้อมูล โดยใช้ HBM2E และ DDR5/LPDDR5 เพื่อเพิ่มแบนด์วิดท์และลดความล่าช้า Positron ซึ่งเป็นบริษัท AI รายงานว่า FPGA นี้ช่วยให้ทำงานได้เร็วกว่า GPU ในการรันโมเดล AI เช่น Llama3 และช่วยประหยัดพลังงานมากกว่า Intel คาดว่า FPGA นี้จะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเซิร์ฟเวอร์ AI และอุตสาหกรรมสื่อสาร 5G ในอีก 10 ปีข้างหน้า ✅ FPGA นี้ออกแบบเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด - มี 3.8 ล้าน Logic Elements รองรับการประมวลผลระดับสูง - ใช้ Hyperflex Architecture รุ่นที่ 2 เพื่อเพิ่มความเร็วและลดการใช้พลังงาน ✅ หน่วยความจำความเร็วสูงช่วยแก้ปัญหาคอขวด - มี HBM2E ขนาด 32 GB พร้อมแบนด์วิดท์สูงสุด 820 GBps - รองรับ DDR5/LPDDR5 โดยมี Memory Bandwidth สูงสุด 1 TBps ✅ การใช้งานหลักของ Agilex 7 FPGA M-Series - ศูนย์ข้อมูล: ใช้เป็นเร่งความเร็ว AI และช่วยลดภาระงานของโปรเซสเซอร์ทั่วไป - อุปกรณ์เครือข่าย: รองรับไฟร์วอลล์ยุคใหม่ที่ต้องใช้การประมวลผลข้อมูลระดับสูง - อุปกรณ์ออกอากาศ: ส่งข้อมูล 8K UHD ได้รวดเร็ว ลดความล่าช้าในเซ็นเซอร์ภาพ ✅ บริษัท AI ใช้ FPGA เพื่อประสิทธิภาพสูงกว่าระบบ GPU ทั่วไป - Positron รายงานว่า Agilex 7 มีการใช้ Bandwidth สูงถึง 93% ซึ่งสูงกว่าระบบ GPU ที่มักอยู่ที่ 10-30% - เมื่อใช้ในการประมวลผล LLM (เช่น Llama3 และ MOE Models) ทำให้ได้ ประสิทธิภาพต่อค่าใช้จ่ายดีขึ้น 3.5 เท่า ✅ อนาคตของ Agilex 7 FPGA M-Series - มีอายุการใช้งานถึง ปี 2035 และพร้อมใช้งานทั่วโลก - คาดว่าจะถูกนำมาใช้ในเซิร์ฟเวอร์ระดับสูง, การประมวลผล AI, และโครงสร้างพื้นฐาน 5G https://www.techpowerup.com/334926/altera-starts-production-shipments-of-agilex-7-fpga-m-series
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Altera Starts Production Shipments of Agilex 7 FPGA M-Series
    Altera Corporation, a leader in FPGA innovations, today announced production shipments of its Agilex 7 FPGA M-Series, the industry's first high-end, high-density FPGA to feature integrated high bandwidth memory and support for DDR5 and LPDDR5 memory technologies. Offering over 3.8 million logic elem...
    0 Comments 0 Shares 30 Views 0 Reviews
  • การใช้จ่ายด้าน AI จะพุ่งถึง $644 พันล้าน ในปี 2025 แม้ว่าหลายองค์กรยังไม่เข้าใจว่าการลงทุนใน Generative AI จะสร้างกำไรให้ธุรกิจอย่างไร Gartner เตือนว่า AI จะถูกตรวจสอบเข้มงวดขึ้นในปีนี้ ขณะที่ผู้ผลิตอุปกรณ์ผู้บริโภคกำลังทำให้ AI เป็นมาตรฐาน แม้ว่าผู้ใช้ทั่วไปจะไม่ได้เรียกร้องสิ่งนี้ก็ตาม

    ✅ ตลาด AI เติบโตอย่างรวดเร็ว แม้ว่าบางเทคโนโลยียังขาดประสิทธิภาพ
    - ผู้ให้บริการ โมเดล AI กำลังลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาเทคโนโลยี
    - Gartner เตือนว่าโครงการ AI จะถูกตรวจสอบเข้มงวดขึ้นในปีนี้ เนื่องจากข้อกังวลเกี่ยวกับความแม่นยำ

    ✅ องค์กรต้องเลือกระหว่างการพัฒนา AI เองหรือซื้อโซลูชันสำเร็จรูป
    - CIO หลายคน เลิกใช้โครงการ AI ภายใน และหันไปใช้ผลิตภัณฑ์ AI สำเร็จรูปแทน
    - แนวโน้มนี้จะทำให้ Proof-of-Concept AI ลดลง และโซลูชันแบบสำเร็จรูปเติบโตขึ้น

    ✅ AI จะถูกฝังในอุปกรณ์ผู้บริโภค โดยเฉพาะสมาร์ทโฟนและพีซี
    - Gartner คาดว่า 80% ของการใช้จ่าย AI จะถูกดูดซับโดยฮาร์ดแวร์ เช่น เซิร์ฟเวอร์, สมาร์ทโฟน และพีซี
    - แม้ว่าผู้บริโภคจะไม่ได้ต้องการ AI ในทุกผลิตภัณฑ์ แต่ผู้ผลิตกำลังทำให้มันกลายเป็นมาตรฐาน

    ✅ อนาคตของตลาด AI: การเติบโตแบบ “บังคับให้เกิดขึ้น”
    - ผู้ผลิตกำลังทำให้ AI กลายเป็นมาตรฐานแม้ว่าผู้บริโภคจะไม่ได้ร้องขอ
    - นักวิเคราะห์เปรียบเทียบกับ ยุคของ Microsoft ที่เคยบังคับให้ผู้ใช้เปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่

    https://www.techspot.com/news/107377-companies-spend-almost-644-billion-generative-ai-despite.html
    การใช้จ่ายด้าน AI จะพุ่งถึง $644 พันล้าน ในปี 2025 แม้ว่าหลายองค์กรยังไม่เข้าใจว่าการลงทุนใน Generative AI จะสร้างกำไรให้ธุรกิจอย่างไร Gartner เตือนว่า AI จะถูกตรวจสอบเข้มงวดขึ้นในปีนี้ ขณะที่ผู้ผลิตอุปกรณ์ผู้บริโภคกำลังทำให้ AI เป็นมาตรฐาน แม้ว่าผู้ใช้ทั่วไปจะไม่ได้เรียกร้องสิ่งนี้ก็ตาม ✅ ตลาด AI เติบโตอย่างรวดเร็ว แม้ว่าบางเทคโนโลยียังขาดประสิทธิภาพ - ผู้ให้บริการ โมเดล AI กำลังลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาเทคโนโลยี - Gartner เตือนว่าโครงการ AI จะถูกตรวจสอบเข้มงวดขึ้นในปีนี้ เนื่องจากข้อกังวลเกี่ยวกับความแม่นยำ ✅ องค์กรต้องเลือกระหว่างการพัฒนา AI เองหรือซื้อโซลูชันสำเร็จรูป - CIO หลายคน เลิกใช้โครงการ AI ภายใน และหันไปใช้ผลิตภัณฑ์ AI สำเร็จรูปแทน - แนวโน้มนี้จะทำให้ Proof-of-Concept AI ลดลง และโซลูชันแบบสำเร็จรูปเติบโตขึ้น ✅ AI จะถูกฝังในอุปกรณ์ผู้บริโภค โดยเฉพาะสมาร์ทโฟนและพีซี - Gartner คาดว่า 80% ของการใช้จ่าย AI จะถูกดูดซับโดยฮาร์ดแวร์ เช่น เซิร์ฟเวอร์, สมาร์ทโฟน และพีซี - แม้ว่าผู้บริโภคจะไม่ได้ต้องการ AI ในทุกผลิตภัณฑ์ แต่ผู้ผลิตกำลังทำให้มันกลายเป็นมาตรฐาน ✅ อนาคตของตลาด AI: การเติบโตแบบ “บังคับให้เกิดขึ้น” - ผู้ผลิตกำลังทำให้ AI กลายเป็นมาตรฐานแม้ว่าผู้บริโภคจะไม่ได้ร้องขอ - นักวิเคราะห์เปรียบเทียบกับ ยุคของ Microsoft ที่เคยบังคับให้ผู้ใช้เปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ https://www.techspot.com/news/107377-companies-spend-almost-644-billion-generative-ai-despite.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Gartner projects $644 billion in 2025 AI spending, but few understand GenAI's actual value
    A recent Gartner analysis reports that spending on generative AI (GenAI) will grow to unprecedented levels in 2025, even though very few organizations understand how this technology...
    0 Comments 0 Shares 33 Views 0 Reviews
  • Microsoft กำลังทดสอบ Quick Machine Recovery ซึ่งช่วยให้ IT ทีมสามารถกู้คืน Windows 11 ที่บูตไม่ได้จากระยะไกล ฟีเจอร์นี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันเหตุการณ์แบบ CrowdStrike ปีที่แล้ว ที่ทำให้เครื่องนับล้านพบ BSOD ฟีเจอร์จะทำให้เครื่องบูตเข้าสู่ Windows Recovery Environment เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และส่งข้อมูลไปยัง Microsoft เพื่อรับแพตช์แก้ไขโดยอัตโนมัติ

    ✅ ฟีเจอร์นี้ทำงานอย่างไร?
    - หากอุปกรณ์ บูตไม่ขึ้น ระบบจะเข้าสู่ Windows Recovery Environment (Windows RE) โดยอัตโนมัติ
    - อุปกรณ์จะเชื่อมต่อเครือข่ายผ่าน Wi-Fi หรือ Ethernet และส่งข้อมูลวิเคราะห์ความผิดพลาดไปยัง Microsoft
    - Microsoft ใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อระบุปัญหาที่เกิดขึ้น และพัฒนา แพตช์แก้ไข ซึ่งจะถูกส่งผ่าน Windows Update ไปยังอุปกรณ์ทั้งหมด

    ✅ เปรียบเทียบกับกรณี CrowdStrike ปีที่แล้ว
    - ใน กรกฎาคม 2024 อัปเดตจาก CrowdStrike ทำให้เครื่อง Windows จำนวนมากพบ Blue Screen of Death (BSOD)
    - IT ทีมต้องเดินทางไปยังแต่ละเครื่องเพื่อแก้ไขปัญหา
    - Quick Machine Recovery จะช่วยให้ การแก้ไขสามารถทำได้จากระยะไกล และลดภาระงานของ IT ทีม

    ✅ ใครสามารถใช้ฟีเจอร์นี้?
    - ฟีเจอร์นี้เปิดใช้งานโดย ค่าเริ่มต้น ใน Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 Insider Preview
    - ผู้ใช้ Windows Pro และ Enterprise สามารถ ปรับแต่งการตั้งค่า ผ่าน Command Prompt หรือ RemoteRemediation CSP
    - ผู้ดูแลระบบสามารถ ตั้งค่าเครือข่ายล่วงหน้า และกำหนดระยะเวลาการสแกน (แนะนำทุก 30 นาที) รวมถึงระยะเวลาการหมดเวลา (Timeout) (72 ชั่วโมง)

    ✅ อนาคตของระบบความปลอดภัยของ Windows
    - Microsoft วางแผน ยกเลิกการให้ Security Software เข้าถึง Kernel เพื่อป้องกันการโจมตีแบบลึก
    - Antivirus และ Security Tools จะต้อง ทำงานใน User Mode แทน

    https://www.techspot.com/news/107372-new-microsoft-feature-aims-prevent-crowdstrike-like-outages.html
    Microsoft กำลังทดสอบ Quick Machine Recovery ซึ่งช่วยให้ IT ทีมสามารถกู้คืน Windows 11 ที่บูตไม่ได้จากระยะไกล ฟีเจอร์นี้มีเป้าหมายเพื่อป้องกันเหตุการณ์แบบ CrowdStrike ปีที่แล้ว ที่ทำให้เครื่องนับล้านพบ BSOD ฟีเจอร์จะทำให้เครื่องบูตเข้าสู่ Windows Recovery Environment เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และส่งข้อมูลไปยัง Microsoft เพื่อรับแพตช์แก้ไขโดยอัตโนมัติ ✅ ฟีเจอร์นี้ทำงานอย่างไร? - หากอุปกรณ์ บูตไม่ขึ้น ระบบจะเข้าสู่ Windows Recovery Environment (Windows RE) โดยอัตโนมัติ - อุปกรณ์จะเชื่อมต่อเครือข่ายผ่าน Wi-Fi หรือ Ethernet และส่งข้อมูลวิเคราะห์ความผิดพลาดไปยัง Microsoft - Microsoft ใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อระบุปัญหาที่เกิดขึ้น และพัฒนา แพตช์แก้ไข ซึ่งจะถูกส่งผ่าน Windows Update ไปยังอุปกรณ์ทั้งหมด ✅ เปรียบเทียบกับกรณี CrowdStrike ปีที่แล้ว - ใน กรกฎาคม 2024 อัปเดตจาก CrowdStrike ทำให้เครื่อง Windows จำนวนมากพบ Blue Screen of Death (BSOD) - IT ทีมต้องเดินทางไปยังแต่ละเครื่องเพื่อแก้ไขปัญหา - Quick Machine Recovery จะช่วยให้ การแก้ไขสามารถทำได้จากระยะไกล และลดภาระงานของ IT ทีม ✅ ใครสามารถใช้ฟีเจอร์นี้? - ฟีเจอร์นี้เปิดใช้งานโดย ค่าเริ่มต้น ใน Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 Insider Preview - ผู้ใช้ Windows Pro และ Enterprise สามารถ ปรับแต่งการตั้งค่า ผ่าน Command Prompt หรือ RemoteRemediation CSP - ผู้ดูแลระบบสามารถ ตั้งค่าเครือข่ายล่วงหน้า และกำหนดระยะเวลาการสแกน (แนะนำทุก 30 นาที) รวมถึงระยะเวลาการหมดเวลา (Timeout) (72 ชั่วโมง) ✅ อนาคตของระบบความปลอดภัยของ Windows - Microsoft วางแผน ยกเลิกการให้ Security Software เข้าถึง Kernel เพื่อป้องกันการโจมตีแบบลึก - Antivirus และ Security Tools จะต้อง ทำงานใน User Mode แทน https://www.techspot.com/news/107372-new-microsoft-feature-aims-prevent-crowdstrike-like-outages.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    New Microsoft Windows recovery feature aims to prevent CrowdStrike-like outages
    The feature, part of Microsoft's Windows Resiliency Initiative, was first announced last year. It's now being tested as part of the latest Windows Insider Preview build –...
    0 Comments 0 Shares 45 Views 0 Reviews
  • Large Language Models (LLMs) กำลังกลายเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่ขับเคลื่อน AI ในปัจจุบัน แต่เนื่องจากต้นทุนสูงและต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก จึงเกิดแนวทางใหม่ที่เรียกว่า Model Distillation ซึ่งช่วยให้สามารถย่อขนาดโมเดลให้เล็กลง ลดต้นทุน และเพิ่มความเร็วในการทำงาน

    อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโมเดลที่ถูก Distilled จะช่วยให้ LLMs ใช้งานได้ง่ายขึ้น แต่ก็มาพร้อมกับ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่ถ่ายทอดมาจากโมเดลต้นแบบ รวมถึงข้อจำกัดที่อาจทำให้เกิดการสร้างข้อมูลผิดพลาด (Hallucination) มากขึ้น

    Model Distillation ทำงานอย่างไร?
    - นักวิจัย AI ใช้โมเดลที่มีพารามิเตอร์สูงเป็น Teacher Model เพื่อฝึกโมเดลขนาดเล็กที่เรียกว่า Student Model
    - Student Model ถูกออกแบบให้ เลียนแบบพฤติกรรมของ Teacher Model แต่ใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์น้อยลง

    ข้อดีของ Model Distillation
    - ลดต้นทุนการประมวลผล และเพิ่มความเร็วในการทำงาน
    - ทำให้ LLM สามารถทำงานบนอุปกรณ์ที่เล็กลง เช่น มือถือหรือระบบ IoT

    ความเสี่ยงที่ถ่ายทอดมาจาก Teacher Model
    - Model Distillation อาจทำให้ข้อมูลที่ไม่ปลอดภัยจากโมเดลต้นแบบถูกนำมาใช้ซ้ำ
    - ตัวอย่างเช่น DistilGPT-2 ถูกพบว่า รั่วไหลข้อมูลส่วนบุคคล (PII) เช่นเดียวกับ GPT-2 ที่เคยถูกวิจารณ์เรื่องความปลอดภัย
    - นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงจาก Model Inversion Attack ซึ่งแฮกเกอร์สามารถย้อนข้อมูลกลับไปหาข้อมูลต้นฉบับ

    ปัญหา Hallucination ในโมเดลที่ถูก Distilled
    - นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่า Model Distillation อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดหรือการสร้างข้อมูลที่ไม่มีอยู่จริงมากขึ้น
    - ตัวอย่างหนึ่งคือ WormGPT ซึ่งถูกพัฒนาให้สร้างอีเมล Phishing ที่ดูสมจริง แต่เป็นข้อมูลปลอมทั้งหมด

    การโจมตี Model Extraction
    - แฮกเกอร์สามารถ ใช้ Model Distillation เพื่อลอกเลียนแบบโมเดลต้นฉบับ และปรับแต่งให้สามารถหลีกเลี่ยงมาตรการด้านความปลอดภัย
    - การโจมตีนี้อาจทำให้โมเดลที่ถูกลอกเลียนแบบถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด เช่น การปลอมแปลงข้อมูลหรือการโจมตีทางไซเบอร์

    อนาคตของ Model Distillation และความปลอดภัย AI
    - นักวิจัยเชื่อว่าอุตสาหกรรม AI ต้องพัฒนา ระบบป้องกันที่เข้มแข็งขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากโมเดลที่ถูก Distilled
    - การพึ่งพา AI Guardrails หรือมาตรการจำกัดการทำงานอาจไม่เพียงพอ จำเป็นต้องออกแบบระบบที่มี การควบคุมความน่าเชื่อถือ โดยรวมตั้งแต่ต้น

    https://www.csoonline.com/article/3951626/llms-are-now-available-in-snack-size-but-digest-with-care.html
    Large Language Models (LLMs) กำลังกลายเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่ขับเคลื่อน AI ในปัจจุบัน แต่เนื่องจากต้นทุนสูงและต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก จึงเกิดแนวทางใหม่ที่เรียกว่า Model Distillation ซึ่งช่วยให้สามารถย่อขนาดโมเดลให้เล็กลง ลดต้นทุน และเพิ่มความเร็วในการทำงาน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโมเดลที่ถูก Distilled จะช่วยให้ LLMs ใช้งานได้ง่ายขึ้น แต่ก็มาพร้อมกับ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่ถ่ายทอดมาจากโมเดลต้นแบบ รวมถึงข้อจำกัดที่อาจทำให้เกิดการสร้างข้อมูลผิดพลาด (Hallucination) มากขึ้น Model Distillation ทำงานอย่างไร? - นักวิจัย AI ใช้โมเดลที่มีพารามิเตอร์สูงเป็น Teacher Model เพื่อฝึกโมเดลขนาดเล็กที่เรียกว่า Student Model - Student Model ถูกออกแบบให้ เลียนแบบพฤติกรรมของ Teacher Model แต่ใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์น้อยลง ข้อดีของ Model Distillation - ลดต้นทุนการประมวลผล และเพิ่มความเร็วในการทำงาน - ทำให้ LLM สามารถทำงานบนอุปกรณ์ที่เล็กลง เช่น มือถือหรือระบบ IoT ความเสี่ยงที่ถ่ายทอดมาจาก Teacher Model - Model Distillation อาจทำให้ข้อมูลที่ไม่ปลอดภัยจากโมเดลต้นแบบถูกนำมาใช้ซ้ำ - ตัวอย่างเช่น DistilGPT-2 ถูกพบว่า รั่วไหลข้อมูลส่วนบุคคล (PII) เช่นเดียวกับ GPT-2 ที่เคยถูกวิจารณ์เรื่องความปลอดภัย - นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงจาก Model Inversion Attack ซึ่งแฮกเกอร์สามารถย้อนข้อมูลกลับไปหาข้อมูลต้นฉบับ ปัญหา Hallucination ในโมเดลที่ถูก Distilled - นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่า Model Distillation อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดหรือการสร้างข้อมูลที่ไม่มีอยู่จริงมากขึ้น - ตัวอย่างหนึ่งคือ WormGPT ซึ่งถูกพัฒนาให้สร้างอีเมล Phishing ที่ดูสมจริง แต่เป็นข้อมูลปลอมทั้งหมด การโจมตี Model Extraction - แฮกเกอร์สามารถ ใช้ Model Distillation เพื่อลอกเลียนแบบโมเดลต้นฉบับ และปรับแต่งให้สามารถหลีกเลี่ยงมาตรการด้านความปลอดภัย - การโจมตีนี้อาจทำให้โมเดลที่ถูกลอกเลียนแบบถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด เช่น การปลอมแปลงข้อมูลหรือการโจมตีทางไซเบอร์ อนาคตของ Model Distillation และความปลอดภัย AI - นักวิจัยเชื่อว่าอุตสาหกรรม AI ต้องพัฒนา ระบบป้องกันที่เข้มแข็งขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากโมเดลที่ถูก Distilled - การพึ่งพา AI Guardrails หรือมาตรการจำกัดการทำงานอาจไม่เพียงพอ จำเป็นต้องออกแบบระบบที่มี การควบคุมความน่าเชื่อถือ โดยรวมตั้งแต่ต้น https://www.csoonline.com/article/3951626/llms-are-now-available-in-snack-size-but-digest-with-care.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    LLMs are now available in snack size but digest with care
    Distilled models can improve the contextuality and accessibility of LLMs, but can also amplify existing AI risks, including threats to data privacy, integrity, and brand security.
    0 Comments 0 Shares 37 Views 0 Reviews
  • Google ได้เปิดตัวระบบ End-to-End Encryption (E2EE) สำหรับ Gmail ช่วยให้ผู้ใช้สามารถส่งอีเมลแบบเข้ารหัสที่แม้แต่ Google เองก็ไม่สามารถอ่านได้ โดยตอนนี้ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้งาน เฉพาะผู้ใช้ในองค์กรเดียวกัน แต่จะถูกขยายให้รองรับการส่งอีเมลเข้ารหัสไปยังผู้ใช้จากผู้ให้บริการอีเมลอื่นภายในปีนี้

    แตกต่างจากการเข้ารหัสทั่วไป
    - Gmail มีระบบ TLS (Transport Layer Security) ที่ช่วยเข้ารหัสอีเมลระหว่างเซิร์ฟเวอร์ และการเข้ารหัสอีเมลที่เก็บอยู่ในศูนย์ข้อมูลของ Google
    - แต่ E2EE ช่วยให้ข้อความที่ส่งไปถูกเข้ารหัสตั้งแต่ต้นทาง และมีเพียงผู้รับเท่านั้นที่สามารถถอดรหัสและอ่านข้อความได้

    การเข้ารหัสแบบใหม่ของ Google แตกต่างจาก S/MIME
    - ปัจจุบันการเข้ารหัสอีเมลแบบ E2EE มักใช้ S/MIME ซึ่งต้องมี การแลกเปลี่ยนกุญแจเข้ารหัสและใบรับรองดิจิทัล ทำให้ตั้งค่าระบบยากและใช้ได้เฉพาะกับผู้ใช้ที่มี S/MIME เหมือนกัน
    - Google ใช้แนวทางใหม่ที่ไม่ต้องมีการแลกเปลี่ยนกุญแจและสามารถทำงานได้สะดวกกว่าการเข้ารหัสแบบเดิม

    การทำงานของระบบ E2EE ใหม่นี้
    - ผู้ใช้ Gmail ในองค์กรสามารถเลือก เข้ารหัสอีเมลแบบ E2EE ได้โดยตรงจากหน้าต่างเขียนอีเมล
    - ในอนาคตเมื่อฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้งานกับผู้ใช้ทั่วไป ผู้รับอีเมลจากผู้ให้บริการอื่นจะได้รับ ลิงก์ ที่นำไปยัง Gmail เวอร์ชันพิเศษที่ต้องมีการตรวจสอบตัวตนก่อนอ่านข้อความ

    ความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นสำหรับองค์กร
    - ผู้ดูแลระบบสามารถกำหนดให้การรับชมอีเมลต้องใช้ Restricted View ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้อีเมลถูกดาวน์โหลดหรือบันทึกลงในอุปกรณ์ภายนอก

    อนาคตของการเข้ารหัสอีเมลใน Gmail
    - Google กำลังพัฒนาให้ E2EE รองรับอีเมลระหว่างบัญชี Gmail ทั่วไปและองค์กร
    - ระบบนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมการเข้ารหัสได้เอง โดยไม่มีการแลกเปลี่ยนกุญแจเข้ารหัสกับ Google หรือบุคคลภายนอก

    https://www.csoonline.com/article/3952075/google-adds-end-to-end-email-encryption-to-gmail.html
    Google ได้เปิดตัวระบบ End-to-End Encryption (E2EE) สำหรับ Gmail ช่วยให้ผู้ใช้สามารถส่งอีเมลแบบเข้ารหัสที่แม้แต่ Google เองก็ไม่สามารถอ่านได้ โดยตอนนี้ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้งาน เฉพาะผู้ใช้ในองค์กรเดียวกัน แต่จะถูกขยายให้รองรับการส่งอีเมลเข้ารหัสไปยังผู้ใช้จากผู้ให้บริการอีเมลอื่นภายในปีนี้ แตกต่างจากการเข้ารหัสทั่วไป - Gmail มีระบบ TLS (Transport Layer Security) ที่ช่วยเข้ารหัสอีเมลระหว่างเซิร์ฟเวอร์ และการเข้ารหัสอีเมลที่เก็บอยู่ในศูนย์ข้อมูลของ Google - แต่ E2EE ช่วยให้ข้อความที่ส่งไปถูกเข้ารหัสตั้งแต่ต้นทาง และมีเพียงผู้รับเท่านั้นที่สามารถถอดรหัสและอ่านข้อความได้ การเข้ารหัสแบบใหม่ของ Google แตกต่างจาก S/MIME - ปัจจุบันการเข้ารหัสอีเมลแบบ E2EE มักใช้ S/MIME ซึ่งต้องมี การแลกเปลี่ยนกุญแจเข้ารหัสและใบรับรองดิจิทัล ทำให้ตั้งค่าระบบยากและใช้ได้เฉพาะกับผู้ใช้ที่มี S/MIME เหมือนกัน - Google ใช้แนวทางใหม่ที่ไม่ต้องมีการแลกเปลี่ยนกุญแจและสามารถทำงานได้สะดวกกว่าการเข้ารหัสแบบเดิม การทำงานของระบบ E2EE ใหม่นี้ - ผู้ใช้ Gmail ในองค์กรสามารถเลือก เข้ารหัสอีเมลแบบ E2EE ได้โดยตรงจากหน้าต่างเขียนอีเมล - ในอนาคตเมื่อฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้งานกับผู้ใช้ทั่วไป ผู้รับอีเมลจากผู้ให้บริการอื่นจะได้รับ ลิงก์ ที่นำไปยัง Gmail เวอร์ชันพิเศษที่ต้องมีการตรวจสอบตัวตนก่อนอ่านข้อความ ความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นสำหรับองค์กร - ผู้ดูแลระบบสามารถกำหนดให้การรับชมอีเมลต้องใช้ Restricted View ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้อีเมลถูกดาวน์โหลดหรือบันทึกลงในอุปกรณ์ภายนอก อนาคตของการเข้ารหัสอีเมลใน Gmail - Google กำลังพัฒนาให้ E2EE รองรับอีเมลระหว่างบัญชี Gmail ทั่วไปและองค์กร - ระบบนี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมการเข้ารหัสได้เอง โดยไม่มีการแลกเปลี่ยนกุญแจเข้ารหัสกับ Google หรือบุคคลภายนอก https://www.csoonline.com/article/3952075/google-adds-end-to-end-email-encryption-to-gmail.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Google adds end-to-end email encryption to Gmail
    The new encryption system doesn’t require external exchange of keys or complex user certificate management
    0 Comments 0 Shares 35 Views 0 Reviews
  • Garmin ประกาศว่า สมาร์ทวอทช์ fēnix® ของบริษัทกำลังถูกใช้ในภารกิจ Fram2 ซึ่งเป็นการบินสู่อวกาศโดยลูกเรือพลเรือนเต็มรูปแบบที่นำโดย SpaceX ภารกิจนี้เป็นครั้งแรกที่สำรวจขั้วโลกของโลกจากวงโคจร และเน้นศึกษาผลกระทบของอวกาศต่อร่างกายและจิตใจของมนุษย์

    การติดตามข้อมูลด้านสุขภาพในสภาวะอวกาศ
    - สมาร์ทวอทช์ fēnix® กำลังติดตามค่าต่าง ๆ เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ, ระดับออกซิเจนในเลือด (Pulse Ox) และ ระดับพลังงานร่างกาย (Body Battery™)
    - ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เข้าใจว่าร่างกายมนุษย์ปรับตัวอย่างไรเมื่ออยู่ในอวกาศ

    ความท้าทายของอุปกรณ์สวมใส่ในอวกาศ
    - Garmin อ้างว่าสมาร์ทวอทช์สามารถทำงานได้ตลอดภารกิจบน แบตเตอรี่เพียงหนึ่งก้อน
    - อย่างไรก็ตาม ยังต้องรอดูว่าอุปกรณ์จะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพภายใต้สภาวะสุดขั้วหรือไม่

    การสนับสนุนจากสถาบันวิจัยด้านสุขภาพอวกาศ
    - ภารกิจ Fram2 ได้รับการสนับสนุนจาก Translational Research Institute for Space Health (TRISH) ของมหาวิทยาลัย Baylor ซึ่งมุ่งเน้นการเตรียมมนุษย์ให้พร้อมสำหรับการเดินทางสู่อวกาศในอนาคต

    ภารกิจสำคัญของ Fram2
    - นอกเหนือจากการศึกษาด้านสุขภาพ ทีมงานจะ รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับขั้วโลกของโลก ซึ่งอาจมีความสำคัญต่อการศึกษาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ

    https://www.neowin.net/news/garmin-tag-teams-with-elon-musks-spacex-to-study-crew-on-fram2-with-its-watches/
    Garmin ประกาศว่า สมาร์ทวอทช์ fēnix® ของบริษัทกำลังถูกใช้ในภารกิจ Fram2 ซึ่งเป็นการบินสู่อวกาศโดยลูกเรือพลเรือนเต็มรูปแบบที่นำโดย SpaceX ภารกิจนี้เป็นครั้งแรกที่สำรวจขั้วโลกของโลกจากวงโคจร และเน้นศึกษาผลกระทบของอวกาศต่อร่างกายและจิตใจของมนุษย์ การติดตามข้อมูลด้านสุขภาพในสภาวะอวกาศ - สมาร์ทวอทช์ fēnix® กำลังติดตามค่าต่าง ๆ เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ, ระดับออกซิเจนในเลือด (Pulse Ox) และ ระดับพลังงานร่างกาย (Body Battery™) - ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เข้าใจว่าร่างกายมนุษย์ปรับตัวอย่างไรเมื่ออยู่ในอวกาศ ความท้าทายของอุปกรณ์สวมใส่ในอวกาศ - Garmin อ้างว่าสมาร์ทวอทช์สามารถทำงานได้ตลอดภารกิจบน แบตเตอรี่เพียงหนึ่งก้อน - อย่างไรก็ตาม ยังต้องรอดูว่าอุปกรณ์จะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพภายใต้สภาวะสุดขั้วหรือไม่ การสนับสนุนจากสถาบันวิจัยด้านสุขภาพอวกาศ - ภารกิจ Fram2 ได้รับการสนับสนุนจาก Translational Research Institute for Space Health (TRISH) ของมหาวิทยาลัย Baylor ซึ่งมุ่งเน้นการเตรียมมนุษย์ให้พร้อมสำหรับการเดินทางสู่อวกาศในอนาคต ภารกิจสำคัญของ Fram2 - นอกเหนือจากการศึกษาด้านสุขภาพ ทีมงานจะ รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับขั้วโลกของโลก ซึ่งอาจมีความสำคัญต่อการศึกษาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ https://www.neowin.net/news/garmin-tag-teams-with-elon-musks-spacex-to-study-crew-on-fram2-with-its-watches/
    WWW.NEOWIN.NET
    Garmin tag teams with Elon Musk's SpaceX to study crew on Fram2 with its watches
    Garmin is using its watches to help scientists understand human health in space better. It is on board with the crew on SpaceX's Fram2 mission.
    0 Comments 0 Shares 30 Views 0 Reviews
  • 01-04-68/01 : หมี CNN / ยังไม่ชัดพออีกเหรอ? ไอ้ควาย! มรึงจะเอาเหี้ยอะไรไปเทียบ? กองเรือที่ดีที่สุดในโลกตอนนี้ ไปอยู่ที่รัสเซีย จีน หมดแล้ว นวตกรรมโลกยุคใหม่ เทไปเอเซียหมดเกลี้ยง ของเก่าสมัย 30 ปี ก่อน มรึงยังกล้าเอามาอวดอ้างอีกเหรอ? อาร์คติค มันแบเบอร์อยู่แล้ว หากมรึงคิดจะวัด ตอบคำถามให้ได้ก่อนว่า "อาวุธมรึงที่จะใช้ในพื้นที่ติดลบ 60 องศา เซลเซียส มีแค่ไหน?" รัสเซียพัฒนาอาวุธจุดเหยือกแข็งมานานนับ 30 ปี ไม่ว่าจะรบในสมรภูมิใด เค้ารับได้หมด แต่อาวุธมรึงน็อค ตั้งแต่ยังไม่ทันจะใช้ แล้วจำนวนมรึงมีแค่ไหน เค้าผลิต 24 ชม. NON STOP วัคถุดิบมี เงินมี แล้วมรึงล่ะ ยิ่งกำลังพลไม่ต้องถาม จีน รัสเซีย มีเป็นล้าน ยังไม่นับทหารรับจ้างอีกครึ่งล้าน อาร์คติคของใคร? คงไม่ต้องถามกันต่อให้เสียอารมณ์ เพราะทุกวันนี้ เรือตัดน้ำแข็ง โครงสร้างพื้นฐาน สำหรับฐานทัพ ฐานปฎิบัติการ ในอาร์คติค รัสเซีย จีน จัดเต็มกว่ามรึงเยอะ แค่ชาตินาโต้ สแกนดิเนเวีย ยังมีไม่ถึงครึ่ง สิ่งอำนวยความสะดวก อุปกรณ์ ที่มรึงจะใช้สำรวจ เจาะ หรือเพื่อวิจัยงานธรณี เพราะเงินสู้เค้าไม่ได้ เพราะพลังงานมรึงเป็นรอง เพราะเทคโนโลยีเทียบชั้นไม่ติด อย่าว่าแต่อาร์คติคเลย ไอ้ที่มรึงมีอยู่ ยังรักษาไว้ไม่ได้ คงมีแต่ควายเท่านั้น ที่เชื่อว่ามรึงเจ๋ง? ยิ่งอเมริกาโดดเดี่ยว เปลี่ยนยุโรปจากพันธมิตรกลายเป็นศัตรู ลำพังมรึงและนาโต้ หมาหมู่ ยังแพ้ยับรัสเซียในยูเครน ยังจะมีหน้ามาเสนอในอาร์คติคเพื่อ? อีกไม่นานดอก ท่อแก็สอาร์คติคจะเข้าสู่ยุโรปชัวร์ ไปถึงกรีนแลนด์ด้วย หากสดชื่น เหี้ยไม่เจียมตัว บทสุดท้ายคือ "สูญพันธุ์เหี้ย" รบกันเองให้เสร็จก่อนดีกว่ามุย? เหลือเท่าไหร่ค่อยมาวัดกับกู ให้กูขยี้เล่น บอกตรง จีน รัสเซีย มองข้าม อเมริกา ยุโรป ไปนานแล้ว เค้ารวบรวมโลกเข้าหากัน ผ่าน BRICS แล้วมรึงล่ะ ดีแต่แตกแยก จะเอาเหี้ยอะไรไปชนะ? ภูมิภาคศาสตร์โลกยุคใหม่ กลายเป็นพื้นที่ของโลกใหม่ไปแล้ว สงครามไม่เกิด มรึงก็จะดันให้เกิดให้ได้ ตายไม่ว่า แต่อียิวต้องยังคงอยู่สิน่ะ? งั้นล่ออียิวตายโหงก่อนตัวแรกเลยดีมั้ยล่ะ? ต้นตอปัญหาโลกทั้งหมดเกิดจากมันเนี่ยแหละ ในอาร์คติค นอกจากเป็นแหล่งพลังงานมหาศาลโลก ยังเป็นแหล่งของวัตถุลึกลับ และศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์นอกโลก ศูนย์ฐานปฎิบัติการใต้น้ำ ทำให้รู้ถึงสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งมันมีมานานแล้วนับ 1000000 ปี นวตกรรมใหม่โลกก่อเกิด อานิสงค์จากเพื่อนต่างมิติ ร่องรอย ติดตามเทคโนโลยีนอกโลก แม้แต่เศษอุกกาบาต ก็ทำให้สามารถทราบถึงเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมาได้ ความลับแท้จริงจากสิ่งนอกโลก มีกระจายไปทั่ว แต่จุดศูนย์กลางอยู่ที่ "แอนตาร์กติกา" ซึ่งมนุษย์ไม่ได้ถูกอนุญาตให้เข้าใกล้แถบนั้น คือข้อตกลงกันระหว่างชาวโลก กับผู้มาเยือนที่รักสันติภาพ

    Russia vs US: Who Holds the Ice in the Arctic Fleet Race? รัสเซียหรือสหรัฐ - ใครจะเป็นผู้รักษาน้ำแข็งในการแข่งขันกองเรือในอาร์คติก

    ------------------------------------------------------------------------—
    RONIN500(Admin Nidnoi) แปลโดย นิดหน่อย : รัสเซียหรือสหรัฐ - ใครจะเป็นผู้ครอบครองเขตน้ำแข็งในการแข่งขันกองเรือในอาร์คติก

    รองประธานาธิบดีสหรัฐ เจดี แวนซ์กล่าวว่า สหรัฐจำเป็นต้องสร้างความมั่นใจว่าประเทศจะเป็นผู้นำในอาร์คติก เพื่อแซงหน้ารัสเซียแต่จะมีความเป็นไปได้หรือไม่สำหรับกองเรืออาร์คติก เมื่อเทียบกับกองเรือของรัสเซีย

    กองเรืออาร์คติกของรัสเซีย

    • กองเรือรัสเซียในอาร์คติกเป็นกองเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มียานพาหนะ 42 ลำซึ่งมีเรือฝ่าน้ำแข็งพลังงานนิวเคลียร์ 8 ลำและเรือฝ่าน้ำแข็งที่ใช้น้ำมันและไฟฟ้า 34 ลำ
    • กองเรือประกอบด้วยเรือฝ่าน้ำแข็งพลังงานนิวเคลียร์หนักจาก Project 22220 ที่มีกำลัง 60 เมกะวัตต์ (MW) รวมถึงเรือฝ่าน้ำแข็งที่มีกำลังมากที่สุดในโลกอย่าง Viktor Chernomyrdin ซึ่งมีกำลัง 25 เมกะวัตต์ (MW)
    • ความมั่นใจของรัสเซียอาร์คติกคือ กองเรือรัสเซียทางตอนเหนือ รวมถึงเรือฝ่ายน้ำแข็งหนัก Ilya Muromets เรือปราบเรือดำน้ำ Vice-Admiral Kulakov และเรือรบใหญ่ Alexander Otrakovsky
    • เรือดำน้ำนิวเคลียร์ระดับ Borei ยังสามารถปฏิบัติการได้ในขั้วโลกเหนือซึ่งแต่ละลำบรรทุกขีปนาวุธข้ามทวีป Bulava 16 ลูก เรือดำน้ำนิวเคลียร์ระดับ Yasen พร้อมขีปนาวุธ Onyx ขีปนาวุธ Kalibr และขีปนาวุธ Zircon

    กองเรืออาร์คติกของสหรัฐ

    • เรือรบ Polar Star ยังคงเป็นเรือฝ่าน้ำแข็งหนักเพียงลำเดียวของสหรัฐที่สามารถฝ่าน้ำแข็งในอาร์คติก ส่วนเรือฝ่าน้ำแข็งขนาดกลาง Healy ไม่ได้ใช้งานในอาร์คติกแล้ว
    • เรือรบบางลำเช่น เรือพิฆาต Arleigh Burke และเรือลาดตระเวน Ticonderoga สามารถปฏิบัติการได้ในอาร์คติก
    • เรือดำน้ำที่ใช้พลังงานนิวเคลียร์หลายลำ เช่น เรือ Los Angeles เรือ Virginia และเรือ Seawolf สามารถเดินเรือในน้ำแข็งได้
    • จากเรื่องที่สหรัฐ “มีเรือฝ่าน้ำแข็งน้อยกว่าอย่างมาก” เมื่อเทียบกับรัสเซีย Gregory Guillot ผู้บัญชาการของกองทัพเรือของสหรัฐและกองทัพอากาศอเมริกาเหนือที่ยอมรับว่า “ยังไม่ได้จำกัดเสรีภาพในการซ้อมรบในอาร์คติก”

    https://sputnikglobe.com/20250329/-russia-vs-us-who-holds-the-ice-in-the-arctic-fleet-race--1121710115.html

    ------------------------------------------------------------------------—
    เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn

    หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT
    https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u

    **เพจหลักของหมี CNN คือ**
    https://www.minds.com/mheecnn2/

    เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn
    www.vk.com/id448335733

    **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**
    https://twitter.com/CnnMhee

    **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด(2568)**
    ชื่อเพจ "SUBPRAYUTH THALUFAH" สัปยุทธ ทะลุฟ้า
    https://www.facebook.com/profile.php?id=61573193903186
    01-04-68/01 : หมี CNN / ยังไม่ชัดพออีกเหรอ? ไอ้ควาย! มรึงจะเอาเหี้ยอะไรไปเทียบ? กองเรือที่ดีที่สุดในโลกตอนนี้ ไปอยู่ที่รัสเซีย จีน หมดแล้ว นวตกรรมโลกยุคใหม่ เทไปเอเซียหมดเกลี้ยง ของเก่าสมัย 30 ปี ก่อน มรึงยังกล้าเอามาอวดอ้างอีกเหรอ? อาร์คติค มันแบเบอร์อยู่แล้ว หากมรึงคิดจะวัด ตอบคำถามให้ได้ก่อนว่า "อาวุธมรึงที่จะใช้ในพื้นที่ติดลบ 60 องศา เซลเซียส มีแค่ไหน?" รัสเซียพัฒนาอาวุธจุดเหยือกแข็งมานานนับ 30 ปี ไม่ว่าจะรบในสมรภูมิใด เค้ารับได้หมด แต่อาวุธมรึงน็อค ตั้งแต่ยังไม่ทันจะใช้ แล้วจำนวนมรึงมีแค่ไหน เค้าผลิต 24 ชม. NON STOP วัคถุดิบมี เงินมี แล้วมรึงล่ะ ยิ่งกำลังพลไม่ต้องถาม จีน รัสเซีย มีเป็นล้าน ยังไม่นับทหารรับจ้างอีกครึ่งล้าน อาร์คติคของใคร? คงไม่ต้องถามกันต่อให้เสียอารมณ์ เพราะทุกวันนี้ เรือตัดน้ำแข็ง โครงสร้างพื้นฐาน สำหรับฐานทัพ ฐานปฎิบัติการ ในอาร์คติค รัสเซีย จีน จัดเต็มกว่ามรึงเยอะ แค่ชาตินาโต้ สแกนดิเนเวีย ยังมีไม่ถึงครึ่ง สิ่งอำนวยความสะดวก อุปกรณ์ ที่มรึงจะใช้สำรวจ เจาะ หรือเพื่อวิจัยงานธรณี เพราะเงินสู้เค้าไม่ได้ เพราะพลังงานมรึงเป็นรอง เพราะเทคโนโลยีเทียบชั้นไม่ติด อย่าว่าแต่อาร์คติคเลย ไอ้ที่มรึงมีอยู่ ยังรักษาไว้ไม่ได้ คงมีแต่ควายเท่านั้น ที่เชื่อว่ามรึงเจ๋ง? ยิ่งอเมริกาโดดเดี่ยว เปลี่ยนยุโรปจากพันธมิตรกลายเป็นศัตรู ลำพังมรึงและนาโต้ หมาหมู่ ยังแพ้ยับรัสเซียในยูเครน ยังจะมีหน้ามาเสนอในอาร์คติคเพื่อ? อีกไม่นานดอก ท่อแก็สอาร์คติคจะเข้าสู่ยุโรปชัวร์ ไปถึงกรีนแลนด์ด้วย หากสดชื่น เหี้ยไม่เจียมตัว บทสุดท้ายคือ "สูญพันธุ์เหี้ย" รบกันเองให้เสร็จก่อนดีกว่ามุย? เหลือเท่าไหร่ค่อยมาวัดกับกู ให้กูขยี้เล่น บอกตรง จีน รัสเซีย มองข้าม อเมริกา ยุโรป ไปนานแล้ว เค้ารวบรวมโลกเข้าหากัน ผ่าน BRICS แล้วมรึงล่ะ ดีแต่แตกแยก จะเอาเหี้ยอะไรไปชนะ? ภูมิภาคศาสตร์โลกยุคใหม่ กลายเป็นพื้นที่ของโลกใหม่ไปแล้ว สงครามไม่เกิด มรึงก็จะดันให้เกิดให้ได้ ตายไม่ว่า แต่อียิวต้องยังคงอยู่สิน่ะ? งั้นล่ออียิวตายโหงก่อนตัวแรกเลยดีมั้ยล่ะ? ต้นตอปัญหาโลกทั้งหมดเกิดจากมันเนี่ยแหละ ในอาร์คติค นอกจากเป็นแหล่งพลังงานมหาศาลโลก ยังเป็นแหล่งของวัตถุลึกลับ และศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์นอกโลก ศูนย์ฐานปฎิบัติการใต้น้ำ ทำให้รู้ถึงสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งมันมีมานานแล้วนับ 1000000 ปี นวตกรรมใหม่โลกก่อเกิด อานิสงค์จากเพื่อนต่างมิติ ร่องรอย ติดตามเทคโนโลยีนอกโลก แม้แต่เศษอุกกาบาต ก็ทำให้สามารถทราบถึงเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมาได้ ความลับแท้จริงจากสิ่งนอกโลก มีกระจายไปทั่ว แต่จุดศูนย์กลางอยู่ที่ "แอนตาร์กติกา" ซึ่งมนุษย์ไม่ได้ถูกอนุญาตให้เข้าใกล้แถบนั้น คือข้อตกลงกันระหว่างชาวโลก กับผู้มาเยือนที่รักสันติภาพ Russia vs US: Who Holds the Ice in the Arctic Fleet Race? รัสเซียหรือสหรัฐ - ใครจะเป็นผู้รักษาน้ำแข็งในการแข่งขันกองเรือในอาร์คติก ------------------------------------------------------------------------— RONIN500(Admin Nidnoi) แปลโดย นิดหน่อย : รัสเซียหรือสหรัฐ - ใครจะเป็นผู้ครอบครองเขตน้ำแข็งในการแข่งขันกองเรือในอาร์คติก รองประธานาธิบดีสหรัฐ เจดี แวนซ์กล่าวว่า สหรัฐจำเป็นต้องสร้างความมั่นใจว่าประเทศจะเป็นผู้นำในอาร์คติก เพื่อแซงหน้ารัสเซียแต่จะมีความเป็นไปได้หรือไม่สำหรับกองเรืออาร์คติก เมื่อเทียบกับกองเรือของรัสเซีย กองเรืออาร์คติกของรัสเซีย • กองเรือรัสเซียในอาร์คติกเป็นกองเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มียานพาหนะ 42 ลำซึ่งมีเรือฝ่าน้ำแข็งพลังงานนิวเคลียร์ 8 ลำและเรือฝ่าน้ำแข็งที่ใช้น้ำมันและไฟฟ้า 34 ลำ • กองเรือประกอบด้วยเรือฝ่าน้ำแข็งพลังงานนิวเคลียร์หนักจาก Project 22220 ที่มีกำลัง 60 เมกะวัตต์ (MW) รวมถึงเรือฝ่าน้ำแข็งที่มีกำลังมากที่สุดในโลกอย่าง Viktor Chernomyrdin ซึ่งมีกำลัง 25 เมกะวัตต์ (MW) • ความมั่นใจของรัสเซียอาร์คติกคือ กองเรือรัสเซียทางตอนเหนือ รวมถึงเรือฝ่ายน้ำแข็งหนัก Ilya Muromets เรือปราบเรือดำน้ำ Vice-Admiral Kulakov และเรือรบใหญ่ Alexander Otrakovsky • เรือดำน้ำนิวเคลียร์ระดับ Borei ยังสามารถปฏิบัติการได้ในขั้วโลกเหนือซึ่งแต่ละลำบรรทุกขีปนาวุธข้ามทวีป Bulava 16 ลูก เรือดำน้ำนิวเคลียร์ระดับ Yasen พร้อมขีปนาวุธ Onyx ขีปนาวุธ Kalibr และขีปนาวุธ Zircon กองเรืออาร์คติกของสหรัฐ • เรือรบ Polar Star ยังคงเป็นเรือฝ่าน้ำแข็งหนักเพียงลำเดียวของสหรัฐที่สามารถฝ่าน้ำแข็งในอาร์คติก ส่วนเรือฝ่าน้ำแข็งขนาดกลาง Healy ไม่ได้ใช้งานในอาร์คติกแล้ว • เรือรบบางลำเช่น เรือพิฆาต Arleigh Burke และเรือลาดตระเวน Ticonderoga สามารถปฏิบัติการได้ในอาร์คติก • เรือดำน้ำที่ใช้พลังงานนิวเคลียร์หลายลำ เช่น เรือ Los Angeles เรือ Virginia และเรือ Seawolf สามารถเดินเรือในน้ำแข็งได้ • จากเรื่องที่สหรัฐ “มีเรือฝ่าน้ำแข็งน้อยกว่าอย่างมาก” เมื่อเทียบกับรัสเซีย Gregory Guillot ผู้บัญชาการของกองทัพเรือของสหรัฐและกองทัพอากาศอเมริกาเหนือที่ยอมรับว่า “ยังไม่ได้จำกัดเสรีภาพในการซ้อมรบในอาร์คติก” https://sputnikglobe.com/20250329/-russia-vs-us-who-holds-the-ice-in-the-arctic-fleet-race--1121710115.html ------------------------------------------------------------------------— เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnn หรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNT https://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u **เพจหลักของหมี CNN คือ** https://www.minds.com/mheecnn2/ เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnn www.vk.com/id448335733 **เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!** https://twitter.com/CnnMhee **เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด(2568)** ชื่อเพจ "SUBPRAYUTH THALUFAH" สัปยุทธ ทะลุฟ้า https://www.facebook.com/profile.php?id=61573193903186
    SPUTNIKGLOBE.COM
    Russia vs US: Who Holds the Ice in the Arctic Fleet Race?
    US Vice President JD Vance said the US needs to make sure it's leading in the Arctic to outperform Russia.
    0 Comments 0 Shares 95 Views 0 Reviews
  • การโจมตีอิหร่านครั้งใหญ่จะเริ่มขึ้นในเร็วๆ นี้ ซึ่งเป็นการโจมตีที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 — ช่อง 14 ของอิสราเอล รายงาน


    ขณะเดียวกันมีรายงาน เครื่องบินขนส่งยุทโธปกรณ์ของสหรัฐกำลังบินเข้าสู่ตะวันออกกลางอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสัญญาณของ "พายุ" ใหญ่ที่กำลังใกล้เข้ามา

    ทางด้านรัสเซียออกมาส่งคำเตือนถึงสหรัฐเกี่ยวกับการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานนิวเคลียร์ของอิหร่านว่า การทิ้งระเบิดโครงสร้างพื้นฐานนิวเคลียร์ของอิหร่านจะส่งผลกระทบต่อทั้งภูมิภาคอย่างรุนแรง
    การโจมตีอิหร่านครั้งใหญ่จะเริ่มขึ้นในเร็วๆ นี้ ซึ่งเป็นการโจมตีที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 — ช่อง 14 ของอิสราเอล รายงาน ขณะเดียวกันมีรายงาน เครื่องบินขนส่งยุทโธปกรณ์ของสหรัฐกำลังบินเข้าสู่ตะวันออกกลางอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสัญญาณของ "พายุ" ใหญ่ที่กำลังใกล้เข้ามา ทางด้านรัสเซียออกมาส่งคำเตือนถึงสหรัฐเกี่ยวกับการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานนิวเคลียร์ของอิหร่านว่า การทิ้งระเบิดโครงสร้างพื้นฐานนิวเคลียร์ของอิหร่านจะส่งผลกระทบต่อทั้งภูมิภาคอย่างรุนแรง
    0 Comments 0 Shares 100 Views 0 Reviews
  • แม้ว่า Redline และ Meta Stealer จะถูกปราบปราม แต่ตลาด Infostealer malware ยังคงเติบโต โดยขโมยข้อมูลไปกว่า 2.1 พันล้านรายการในปี 2024 มัลแวร์เหล่านี้มีต้นทุนต่ำและเข้าถึงง่าย ทำให้กลุ่มอาชญากรใช้โจมตีองค์กรอย่างต่อเนื่อง การป้องกันที่ดีที่สุดคือการใช้ MFA, EDR และการฝึกอบรมพนักงานเพื่อลดความเสี่ยง

    ขนาดความเสียหายจาก Infostealers
    - ในปี 2024 มัลแวร์ประเภทนี้ขโมยข้อมูลไปกว่า 2.1 พันล้านรายการ คิดเป็น 75% ของข้อมูลที่ถูกขโมยทั้งหมด
    - สายพันธุ์ที่เป็นอันตรายเช่น RisePro, StealC และ Lumma มีผลต่ออุปกรณ์และเซิร์ฟเวอร์กว่า 23 ล้านเครื่อง

    การพัฒนาอย่างรวดเร็วของมัลแวร์
    - เมื่อ Google Chrome เพิ่มมาตรการป้องกัน cookie encryption ในเดือนกันยายนปีที่แล้ว Lumma, Vidar และ Meduza สามารถอัปเดตโค้ดภายใน 24 ชั่วโมง เพื่อรับมือ
    - กลุ่มแฮกเกอร์พัฒนามัลแวร์แบบต่อเนื่อง คล้ายกับทีมพัฒนาแอปพลิเคชัน

    ต้นทุนที่ต่ำและการเข้าถึงง่าย
    - Infostealers มีค่าใช้จ่ายเพียง $200 ต่อเดือน ทำให้กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับอาชญากรไซเบอร์
    - มีมัลแวร์ 24 สายพันธุ์ จำหน่ายในตลาดมืด โดยสามารถซื้อขายผ่าน Telegram และแพลตฟอร์มอื่น ๆ

    Infostealers กับ Ransomware
    - มัลแวร์ประเภทนี้มักถูกใช้ร่วมกับ RATs (Remote Access Trojans) ซึ่งช่วยให้แฮกเกอร์สามารถควบคุมระบบจากระยะไกล
    - กลุ่มแฮกเกอร์ Hellcat ใช้ Infostealer โจมตี Telefonica ในเดือนมกราคม โดยขโมยข้อมูลพนักงาน 24,000 คน และเอกสารภายใน 5,000 ชุด

    == แนวทางรับมือสำหรับองค์กร ==
    - ใช้ Multi-Factor Authentication (MFA) และ Least Privilege Access เพื่อป้องกันการบุกรุก
    - ใช้ Endpoint Detection and Response (EDR) และระบบ Anti-malware เพื่อตรวจจับและกักกันมัลแวร์
    - อัปเดตระบบและแพตช์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อปิดช่องโหว่ที่แฮกเกอร์ใช้ในการเจาะระบบ
    - ฝึกอบรมพนักงานให้สามารถระบุ Phishing และ Malvertising เพื่อป้องกันการหลอกลวง

    https://www.csoonline.com/article/3951147/infostealer-malware-poses-potent-threat-despite-recent-takedowns.html
    แม้ว่า Redline และ Meta Stealer จะถูกปราบปราม แต่ตลาด Infostealer malware ยังคงเติบโต โดยขโมยข้อมูลไปกว่า 2.1 พันล้านรายการในปี 2024 มัลแวร์เหล่านี้มีต้นทุนต่ำและเข้าถึงง่าย ทำให้กลุ่มอาชญากรใช้โจมตีองค์กรอย่างต่อเนื่อง การป้องกันที่ดีที่สุดคือการใช้ MFA, EDR และการฝึกอบรมพนักงานเพื่อลดความเสี่ยง ขนาดความเสียหายจาก Infostealers - ในปี 2024 มัลแวร์ประเภทนี้ขโมยข้อมูลไปกว่า 2.1 พันล้านรายการ คิดเป็น 75% ของข้อมูลที่ถูกขโมยทั้งหมด - สายพันธุ์ที่เป็นอันตรายเช่น RisePro, StealC และ Lumma มีผลต่ออุปกรณ์และเซิร์ฟเวอร์กว่า 23 ล้านเครื่อง การพัฒนาอย่างรวดเร็วของมัลแวร์ - เมื่อ Google Chrome เพิ่มมาตรการป้องกัน cookie encryption ในเดือนกันยายนปีที่แล้ว Lumma, Vidar และ Meduza สามารถอัปเดตโค้ดภายใน 24 ชั่วโมง เพื่อรับมือ - กลุ่มแฮกเกอร์พัฒนามัลแวร์แบบต่อเนื่อง คล้ายกับทีมพัฒนาแอปพลิเคชัน ต้นทุนที่ต่ำและการเข้าถึงง่าย - Infostealers มีค่าใช้จ่ายเพียง $200 ต่อเดือน ทำให้กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับอาชญากรไซเบอร์ - มีมัลแวร์ 24 สายพันธุ์ จำหน่ายในตลาดมืด โดยสามารถซื้อขายผ่าน Telegram และแพลตฟอร์มอื่น ๆ Infostealers กับ Ransomware - มัลแวร์ประเภทนี้มักถูกใช้ร่วมกับ RATs (Remote Access Trojans) ซึ่งช่วยให้แฮกเกอร์สามารถควบคุมระบบจากระยะไกล - กลุ่มแฮกเกอร์ Hellcat ใช้ Infostealer โจมตี Telefonica ในเดือนมกราคม โดยขโมยข้อมูลพนักงาน 24,000 คน และเอกสารภายใน 5,000 ชุด == แนวทางรับมือสำหรับองค์กร == - ใช้ Multi-Factor Authentication (MFA) และ Least Privilege Access เพื่อป้องกันการบุกรุก - ใช้ Endpoint Detection and Response (EDR) และระบบ Anti-malware เพื่อตรวจจับและกักกันมัลแวร์ - อัปเดตระบบและแพตช์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อปิดช่องโหว่ที่แฮกเกอร์ใช้ในการเจาะระบบ - ฝึกอบรมพนักงานให้สามารถระบุ Phishing และ Malvertising เพื่อป้องกันการหลอกลวง https://www.csoonline.com/article/3951147/infostealer-malware-poses-potent-threat-despite-recent-takedowns.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Infostealer malware poses potent threat despite recent takedowns
    Law enforcement action has failed to dent the impact of infostealer malware, a potent and growing threat to enterprise security.
    0 Comments 0 Shares 130 Views 0 Reviews
  • Plugable เปิดตัวอะแดปเตอร์ USB-C ใหม่ที่ช่วยให้ผู้ใช้เชื่อมต่อจอ 4K ได้สูงสุด 4 จอ และรองรับจอเสมือน 8K ผ่าน DisplayLink DL-7400 อุปกรณ์นี้สามารถจ่ายไฟให้เครื่องถึง 90W และช่วยขยายการใช้งานจอภาพสำหรับทั้ง Windows และ Mac โดยเฉพาะ MacBook M4 ที่มีข้อจำกัดด้านการเชื่อมต่อจอหลายจอ

    รองรับจอเสมือน 8K ผ่าน USB-C
    - นอกจากจอ 4K ได้สูงสุด 4 จอ อะแดปเตอร์ยังสามารถสร้าง จอเสมือน 8K เพื่อเพิ่มพื้นที่ทำงานให้กับผู้ใช้ที่ต้องการความละเอียดสูง

    เทคโนโลยีการจ่ายไฟแบบ Pass-Through
    - รองรับ Power Delivery สูงสุด 100W และสามารถ จ่ายไฟให้กับเครื่องในระดับ 90W โดยไม่ต้องใช้อะแดปเตอร์แยก

    เหนือกว่าคู่แข่งในตลาด
    - อะแดปเตอร์ส่วนใหญ่รองรับเพียง 1080p หรือจอภาพจำนวนจำกัด ขณะที่ USBC-7400H4 ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ ขยายพื้นที่หน้าจอเกินกว่าที่แล็ปท็อปทั่วไปรองรับ

    ราคาและการวางจำหน่าย
    - วางจำหน่ายแล้วบน Plugable และ Amazon ในราคา $124.95 พร้อมส่วนลดเปิดตัว 10%

    https://www.techradar.com/pro/i-cant-believe-you-can-connect-up-to-four-4k-monitors-to-almost-any-laptop-and-it-is-even-compatible-with-mac
    Plugable เปิดตัวอะแดปเตอร์ USB-C ใหม่ที่ช่วยให้ผู้ใช้เชื่อมต่อจอ 4K ได้สูงสุด 4 จอ และรองรับจอเสมือน 8K ผ่าน DisplayLink DL-7400 อุปกรณ์นี้สามารถจ่ายไฟให้เครื่องถึง 90W และช่วยขยายการใช้งานจอภาพสำหรับทั้ง Windows และ Mac โดยเฉพาะ MacBook M4 ที่มีข้อจำกัดด้านการเชื่อมต่อจอหลายจอ รองรับจอเสมือน 8K ผ่าน USB-C - นอกจากจอ 4K ได้สูงสุด 4 จอ อะแดปเตอร์ยังสามารถสร้าง จอเสมือน 8K เพื่อเพิ่มพื้นที่ทำงานให้กับผู้ใช้ที่ต้องการความละเอียดสูง เทคโนโลยีการจ่ายไฟแบบ Pass-Through - รองรับ Power Delivery สูงสุด 100W และสามารถ จ่ายไฟให้กับเครื่องในระดับ 90W โดยไม่ต้องใช้อะแดปเตอร์แยก เหนือกว่าคู่แข่งในตลาด - อะแดปเตอร์ส่วนใหญ่รองรับเพียง 1080p หรือจอภาพจำนวนจำกัด ขณะที่ USBC-7400H4 ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ ขยายพื้นที่หน้าจอเกินกว่าที่แล็ปท็อปทั่วไปรองรับ ราคาและการวางจำหน่าย - วางจำหน่ายแล้วบน Plugable และ Amazon ในราคา $124.95 พร้อมส่วนลดเปิดตัว 10% https://www.techradar.com/pro/i-cant-believe-you-can-connect-up-to-four-4k-monitors-to-almost-any-laptop-and-it-is-even-compatible-with-mac
    0 Comments 0 Shares 73 Views 0 Reviews
  • บริษัท Beijing Betavolt New Energy Technology ได้เปิดตัวแบตเตอรี่ BV100 ซึ่งเป็นนวัตกรรมแบตเตอรี่พลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็กเท่ากับเหรียญ โดยใช้ นิกเกิล-63 เป็นแหล่งพลังงานและมีอายุการใช้งาน ยาวนานถึง 50 ปี โดยไม่ต้องชาร์จหรือบำรุงรักษา ความก้าวหน้าครั้งนี้ช่วยให้ Betavolt กลายเป็นผู้นำในตลาดแบตเตอรี่นิวเคลียร์ ซึ่งกำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือดในจีน สหรัฐฯ และยุโรป

    เทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์เพชรรุ่นที่สี่
    - BV100 เป็นแบตเตอรี่นิวเคลียร์ตัวแรกที่ใช้ เซมิคอนดักเตอร์เพชรสองชั้น ซึ่งช่วยแปลงพลังงานจากการสลายตัวของนิกเกิล-63 ให้เป็นไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    คุณสมบัติที่โดดเด่นเหนือแบตเตอรี่ทั่วไป
    - ความหนาแน่นพลังงานมากกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 10 เท่า
    - ทนต่ออุณหภูมิสุดขั้ว ตั้งแต่ -60°C ถึง +120°C
    - ไม่เสี่ยงต่อการลุกไหม้หรือระเบิด เช่นเดียวกับแบตเตอรี่เคมี

    การใช้งานและแผนพัฒนาในอนาคต
    - ปัจจุบัน BV100 มีพลังงานที่ 100 ไมโรวัตต์ที่ 3 โวลต์ ซึ่งยังไม่เพียงพอสำหรับสมาร์ทโฟนหรือแล็ปท็อป แต่บริษัทมีแผนเปิดตัวแบตเตอรี่รุ่น 1 วัตต์ ภายในปีนี้เพื่อรองรับอุปกรณ์ขนาดใหญ่ขึ้น เช่น โดรนที่บินได้ต่อเนื่องโดยไม่ต้องชาร์จ

    ความเคลื่อนไหวในอุตสาหกรรม
    - Betavolt กำลังจดสิทธิบัตรและขยายการพัฒนานานาชาติ ซึ่งรวมถึงการใช้งานใน อุปกรณ์การแพทย์, หุ่นยนต์ขนาดเล็ก, AI และอุตสาหกรรมอวกาศ
    - บริษัทคู่แข่งอย่าง City Labs (สหรัฐฯ) และ Arkenlight (อังกฤษ) ก็กำลังพัฒนาเทคโนโลยีคล้ายกัน

    https://www.techspot.com/news/107357-coin-sized-nuclear-3v-battery-50-year-lifespan.html
    บริษัท Beijing Betavolt New Energy Technology ได้เปิดตัวแบตเตอรี่ BV100 ซึ่งเป็นนวัตกรรมแบตเตอรี่พลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็กเท่ากับเหรียญ โดยใช้ นิกเกิล-63 เป็นแหล่งพลังงานและมีอายุการใช้งาน ยาวนานถึง 50 ปี โดยไม่ต้องชาร์จหรือบำรุงรักษา ความก้าวหน้าครั้งนี้ช่วยให้ Betavolt กลายเป็นผู้นำในตลาดแบตเตอรี่นิวเคลียร์ ซึ่งกำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือดในจีน สหรัฐฯ และยุโรป เทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์เพชรรุ่นที่สี่ - BV100 เป็นแบตเตอรี่นิวเคลียร์ตัวแรกที่ใช้ เซมิคอนดักเตอร์เพชรสองชั้น ซึ่งช่วยแปลงพลังงานจากการสลายตัวของนิกเกิล-63 ให้เป็นไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณสมบัติที่โดดเด่นเหนือแบตเตอรี่ทั่วไป - ความหนาแน่นพลังงานมากกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 10 เท่า - ทนต่ออุณหภูมิสุดขั้ว ตั้งแต่ -60°C ถึง +120°C - ไม่เสี่ยงต่อการลุกไหม้หรือระเบิด เช่นเดียวกับแบตเตอรี่เคมี การใช้งานและแผนพัฒนาในอนาคต - ปัจจุบัน BV100 มีพลังงานที่ 100 ไมโรวัตต์ที่ 3 โวลต์ ซึ่งยังไม่เพียงพอสำหรับสมาร์ทโฟนหรือแล็ปท็อป แต่บริษัทมีแผนเปิดตัวแบตเตอรี่รุ่น 1 วัตต์ ภายในปีนี้เพื่อรองรับอุปกรณ์ขนาดใหญ่ขึ้น เช่น โดรนที่บินได้ต่อเนื่องโดยไม่ต้องชาร์จ ความเคลื่อนไหวในอุตสาหกรรม - Betavolt กำลังจดสิทธิบัตรและขยายการพัฒนานานาชาติ ซึ่งรวมถึงการใช้งานใน อุปกรณ์การแพทย์, หุ่นยนต์ขนาดเล็ก, AI และอุตสาหกรรมอวกาศ - บริษัทคู่แข่งอย่าง City Labs (สหรัฐฯ) และ Arkenlight (อังกฤษ) ก็กำลังพัฒนาเทคโนโลยีคล้ายกัน https://www.techspot.com/news/107357-coin-sized-nuclear-3v-battery-50-year-lifespan.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Coin-sized nuclear 3V battery with 50-year lifespan enters mass production
    Energy storage technology has reached a transformative milestone as the BV100, a miniature atomic energy battery, enters mass production. Popular Mechanic notes that the coin-sized cell from...
    0 Comments 0 Shares 120 Views 0 Reviews
  • Amazon Photos เพิ่มฟีเจอร์ที่ช่วยให้ผู้ใช้ระบุและค้นหาสินค้าในรูปภาพผ่าน AI เพียงแตะที่ไอคอน Lens ระบบจะสแกนภาพและแสดงรายการสินค้าที่ตรงกัน แม้ว่าบางคนจะมองว่าเป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้การช้อปปิ้งสะดวกขึ้น แต่บางคนกังวลว่าอาจเป็นการเปลี่ยนคลังรูปภาพของผู้ใช้ให้กลายเป็นโฆษณาแฝง

    บทบาทของ Panos Panay ในการพัฒนา
    - อดีตผู้บริหารของ Microsoft Panos Panay ซึ่งปัจจุบันเป็นรองประธานฝ่ายอุปกรณ์และบริการของ Amazon ได้ประกาศฟีเจอร์นี้ผ่าน Threads พร้อมสาธิตการใช้งาน

    การเชื่อมต่อ AI กับการค้นหาสินค้า
    - ฟีเจอร์นี้เริ่มต้นจากการค้นหาด้วยคำถามแบบภาษาธรรมชาติ เช่น "Max playing with robot dog" ระบบจะดึงภาพที่ตรงกับคำค้นหาและแสดงสินค้าในภาพที่สามารถซื้อได้

    มุมมองที่หลากหลายจากผู้ใช้
    - มีความเห็นจากผู้ใช้ทั้งด้านบวกและลบ บางคนมองว่าฟีเจอร์นี้ช่วยให้ค้นหาสินค้าได้ง่ายขึ้น ขณะที่บางคนกังวลว่าอาจเป็นเพียงการเปลี่ยนภาพถ่ายของผู้ใช้ให้กลายเป็นโฆษณาแฝง

    ความคลุมเครือเรื่องการตั้งค่า
    - Amazon ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าการปิดฟีเจอร์ Tag Photos จะหยุดการทำงานของระบบค้นหาสินค้าหรือไม่

    https://www.techspot.com/news/107352-amazon-photos-app-can-now-identify-products-images.html
    Amazon Photos เพิ่มฟีเจอร์ที่ช่วยให้ผู้ใช้ระบุและค้นหาสินค้าในรูปภาพผ่าน AI เพียงแตะที่ไอคอน Lens ระบบจะสแกนภาพและแสดงรายการสินค้าที่ตรงกัน แม้ว่าบางคนจะมองว่าเป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้การช้อปปิ้งสะดวกขึ้น แต่บางคนกังวลว่าอาจเป็นการเปลี่ยนคลังรูปภาพของผู้ใช้ให้กลายเป็นโฆษณาแฝง บทบาทของ Panos Panay ในการพัฒนา - อดีตผู้บริหารของ Microsoft Panos Panay ซึ่งปัจจุบันเป็นรองประธานฝ่ายอุปกรณ์และบริการของ Amazon ได้ประกาศฟีเจอร์นี้ผ่าน Threads พร้อมสาธิตการใช้งาน การเชื่อมต่อ AI กับการค้นหาสินค้า - ฟีเจอร์นี้เริ่มต้นจากการค้นหาด้วยคำถามแบบภาษาธรรมชาติ เช่น "Max playing with robot dog" ระบบจะดึงภาพที่ตรงกับคำค้นหาและแสดงสินค้าในภาพที่สามารถซื้อได้ มุมมองที่หลากหลายจากผู้ใช้ - มีความเห็นจากผู้ใช้ทั้งด้านบวกและลบ บางคนมองว่าฟีเจอร์นี้ช่วยให้ค้นหาสินค้าได้ง่ายขึ้น ขณะที่บางคนกังวลว่าอาจเป็นเพียงการเปลี่ยนภาพถ่ายของผู้ใช้ให้กลายเป็นโฆษณาแฝง ความคลุมเครือเรื่องการตั้งค่า - Amazon ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าการปิดฟีเจอร์ Tag Photos จะหยุดการทำงานของระบบค้นหาสินค้าหรือไม่ https://www.techspot.com/news/107352-amazon-photos-app-can-now-identify-products-images.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Amazon Photos app can now identify products in your images and link to store pages
    Former Microsoft executive Panos Panay, now senior vice president of Amazon's Devices and Services division, announced the update to Amazon Photos on Threads.
    0 Comments 0 Shares 113 Views 0 Reviews
  • รายงานของ Cisco พบว่าอุปกรณ์เครือข่ายเก่าที่ไม่ได้รับการอัปเดตกลายเป็นเป้าหมายหลักของนักโจมตีไซเบอร์ ซึ่งอาจถูกใช้ในการโจมตีแบบ DDoS และการบุกรุกระบบที่สำคัญ ช่องโหว่บางตัวมีอายุถึง 10 ปีและยังคงถูกใช้โจมตี องค์กรควรเร่งเปลี่ยนอุปกรณ์ที่หมดอายุเพื่อปิดช่องโหว่และรักษาความปลอดภัยเครือข่ายของตนเอง

    ช่องโหว่ที่ได้รับการโจมตีมากที่สุด:
    - ช่องโหว่หลัก ได้แก่ CVE-2024-3273 และ CVE-2024-3272 ในอุปกรณ์ Network-Attached Storage (NAS) ของ D-Link รวมถึง CVE-2024-24919 ที่พบใน Check Point Quantum Security Gateways ช่องโหว่เหล่านี้ถูกใช้ในการโจมตีมากกว่าครึ่งของทั้งหมดในปีที่ผ่านมา.

    การใช้งานบอทเน็ตในการเจาะระบบ:
    - กลุ่มบอทเน็ตเช่น Mirai และ Gafgyt ใช้ช่องโหว่เหล่านี้ในการเข้าควบคุมอุปกรณ์เครือข่ายและสั่งให้ดำเนินการโจมตีแบบ Distributed Denial-of-Service (DDoS) ซึ่งอาจทำให้เครือข่ายองค์กรล่มหรือถูกบุกรุก.

    ปัญหาการละเลยการอัปเดตซอฟต์แวร์:
    - รายงานพบว่า ช่องโหว่หลายตัวที่ยังถูกใช้งานในการโจมตีถูกค้นพบเมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว เช่น กลุ่มช่องโหว่ Log4j2 (2021) และ ShellShock (2014) ยังคงเป็นเป้าหมายของการบุกรุก เพราะมีการใช้งานอยู่ในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น เซิร์ฟเวอร์และ IoT.

    มาตรการป้องกันที่แนะนำ:
    - Cisco แนะนำให้องค์กรเร่งอัปเดตระบบและเปลี่ยนอุปกรณ์ที่หมดอายุ รวมถึงการตั้งค่าความปลอดภัยเพิ่มเติม เช่น Multi-Factor Authentication (MFA) และ Network Segmentation เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจลุกลามไปทั่วทั้งระบบ.

    https://www.csoonline.com/article/3951165/volume-of-attacks-on-network-devices-shows-need-to-replace-end-of-life-devices-quickly.html
    รายงานของ Cisco พบว่าอุปกรณ์เครือข่ายเก่าที่ไม่ได้รับการอัปเดตกลายเป็นเป้าหมายหลักของนักโจมตีไซเบอร์ ซึ่งอาจถูกใช้ในการโจมตีแบบ DDoS และการบุกรุกระบบที่สำคัญ ช่องโหว่บางตัวมีอายุถึง 10 ปีและยังคงถูกใช้โจมตี องค์กรควรเร่งเปลี่ยนอุปกรณ์ที่หมดอายุเพื่อปิดช่องโหว่และรักษาความปลอดภัยเครือข่ายของตนเอง ช่องโหว่ที่ได้รับการโจมตีมากที่สุด: - ช่องโหว่หลัก ได้แก่ CVE-2024-3273 และ CVE-2024-3272 ในอุปกรณ์ Network-Attached Storage (NAS) ของ D-Link รวมถึง CVE-2024-24919 ที่พบใน Check Point Quantum Security Gateways ช่องโหว่เหล่านี้ถูกใช้ในการโจมตีมากกว่าครึ่งของทั้งหมดในปีที่ผ่านมา. การใช้งานบอทเน็ตในการเจาะระบบ: - กลุ่มบอทเน็ตเช่น Mirai และ Gafgyt ใช้ช่องโหว่เหล่านี้ในการเข้าควบคุมอุปกรณ์เครือข่ายและสั่งให้ดำเนินการโจมตีแบบ Distributed Denial-of-Service (DDoS) ซึ่งอาจทำให้เครือข่ายองค์กรล่มหรือถูกบุกรุก. ปัญหาการละเลยการอัปเดตซอฟต์แวร์: - รายงานพบว่า ช่องโหว่หลายตัวที่ยังถูกใช้งานในการโจมตีถูกค้นพบเมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว เช่น กลุ่มช่องโหว่ Log4j2 (2021) และ ShellShock (2014) ยังคงเป็นเป้าหมายของการบุกรุก เพราะมีการใช้งานอยู่ในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น เซิร์ฟเวอร์และ IoT. มาตรการป้องกันที่แนะนำ: - Cisco แนะนำให้องค์กรเร่งอัปเดตระบบและเปลี่ยนอุปกรณ์ที่หมดอายุ รวมถึงการตั้งค่าความปลอดภัยเพิ่มเติม เช่น Multi-Factor Authentication (MFA) และ Network Segmentation เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจลุกลามไปทั่วทั้งระบบ. https://www.csoonline.com/article/3951165/volume-of-attacks-on-network-devices-shows-need-to-replace-end-of-life-devices-quickly.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Volume of attacks on network devices shows need to replace end of life devices quickly
    Cisco report reveals two of the three top vulnerabilities attackers went after in 2024 were in old network devices.
    0 Comments 0 Shares 85 Views 0 Reviews
  • จินตนาการว่าคุณกำลังเข้าสู่ระบบอีเมลของคุณผ่านหน้าเว็บที่ดูเหมือนของ Microsoft จริง ๆ แต่เบื้องหลังนั้นมีผู้โจมตีซ่อนตัวอยู่โดยใช้ Evilginx ทำหน้าที่เป็นสะพานกลางระหว่างคุณกับเซิร์ฟเวอร์จริง ขณะที่คุณไม่รู้ตัว ข้อมูลสำคัญอย่าง cookie ที่ช่วยให้ระบบรู้ว่าคุณได้ผ่านการยืนยันตัวตนแล้วถูกดักไว้ ผู้โจมตีจึงสามารถนำไปใช้ล็อกอินเข้าไปในบัญชีของคุณได้ทันที แม้ว่าคุณจะใช้งาน MFA ควบคู่ไปด้วยก็ตาม นี่คือข้อพิสูจน์ว่าการรักษาความปลอดภัยในยุคดิจิทัลต้องพัฒนาไปพร้อมกับเทคนิคการโจมตีที่ล้ำสมัย ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำวิธีการป้องกันแบบหลายชั้น โดยเปลี่ยนมาใช้มาตรฐานการยืนยันตัวตนที่แข็งแกร่ง เช่น FIDO2 และตรวจสอบกิจกรรมที่ผิดปกติใน log ของระบบอย่างต่อเนื่อง

    Evilginx ทำงานอย่างไร?
    - ผู้โจมตีตั้งค่าโดเมนและ “phishlet” ที่เลียนแบบหน้าเว็บของบริการจริงอย่าง Microsoft 365 โดยที่ผู้ใช้เมื่อเข้าสู่ระบบก็จะได้รับประสบการณ์เหมือนกับการเข้าเว็บของบริษัทนั้นโดยตรง ข้อมูลที่ส่งผ่าน เช่น ชื่อผู้ใช้, รหัสผ่าน และสำคัญที่สุดคือ session cookie จะถูกดักจับไปเก็บไว้ในฐานข้อมูลของผู้โจมตี จากนั้น ผู้โจมตีสามารถนำ cookie ดังกล่าวไปใช้เพื่อเข้าสู่บัญชีของเหยื่อโดยไม่ต้องรู้รหัสผ่านหรือรหัส OTP ที่ใช้ใน MFA

    ผลกระทบที่เกิดขึ้น
    - ด้วยข้อมูล session cookie ที่ถูกดักจับ ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงบัญชีอีเมลของเหยื่อได้อย่างเต็มที่ ทั้งสามารถเปลี่ยนแปลงการตั้งค่า เช่น การเพิ่ม device MFA ใหม่หรือการตั้งค่าอีเมลเพื่อให้ได้สิทธิ์ในการควบคุมบัญชีได้อย่างต่อเนื่อง

    เทคนิคขั้นสูงในการโจมตี:
    - Evilginx ไม่ได้ทำเพียงแค่ส่งผู้ใช้ไปยังหน้า phishing ธรรมดาเท่านั้น แต่ทำหน้าที่เป็น “ตัวกลาง” ที่ส่งข้อมูลระหว่างผู้ใช้กับเซิร์ฟเวอร์จริงอย่างโปร่งใส ทำให้ผู้ใช้ไม่สังเกตเห็นความผิดปกติ

    การตรวจจับและบันทึก:
    - บริการอย่าง Azure AD และ Microsoft 365 มีระบบ log เพื่อบันทึกกิจกรรมที่ผิดปกติ เช่น การเข้าสู่ระบบจาก IP ที่น่าสงสัยหรือการเพิ่ม MFA device ใหม่ ซึ่งสามารถช่วยให้ผู้ดูแลระบบระบุและตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้รวดเร็ว

    แนวทางป้องกัน:
    - ผู้เชี่ยวชาญแนะนำแนวทางแบบหลายชั้นในการป้องกันภัยไซเบอร์ ได้แก่ แนะนำให้ย้ายจากวิธีการตรวจสอบด้วย token-based หรือ push MFA ไปสู่การยืนยันตัวตนที่มีความต้านทานต่อฟิชชิง เช่น FIDO2 และฮาร์ดแวร์ security keys รวมถึงการใช้ Conditional Access Policies เพื่อจัดการการเข้าถึงจากอุปกรณ์ที่เชื่อถือได้

    https://news.sophos.com/en-us/2025/03/28/stealing-user-credentials-with-evilginx/
    จินตนาการว่าคุณกำลังเข้าสู่ระบบอีเมลของคุณผ่านหน้าเว็บที่ดูเหมือนของ Microsoft จริง ๆ แต่เบื้องหลังนั้นมีผู้โจมตีซ่อนตัวอยู่โดยใช้ Evilginx ทำหน้าที่เป็นสะพานกลางระหว่างคุณกับเซิร์ฟเวอร์จริง ขณะที่คุณไม่รู้ตัว ข้อมูลสำคัญอย่าง cookie ที่ช่วยให้ระบบรู้ว่าคุณได้ผ่านการยืนยันตัวตนแล้วถูกดักไว้ ผู้โจมตีจึงสามารถนำไปใช้ล็อกอินเข้าไปในบัญชีของคุณได้ทันที แม้ว่าคุณจะใช้งาน MFA ควบคู่ไปด้วยก็ตาม นี่คือข้อพิสูจน์ว่าการรักษาความปลอดภัยในยุคดิจิทัลต้องพัฒนาไปพร้อมกับเทคนิคการโจมตีที่ล้ำสมัย ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำวิธีการป้องกันแบบหลายชั้น โดยเปลี่ยนมาใช้มาตรฐานการยืนยันตัวตนที่แข็งแกร่ง เช่น FIDO2 และตรวจสอบกิจกรรมที่ผิดปกติใน log ของระบบอย่างต่อเนื่อง Evilginx ทำงานอย่างไร? - ผู้โจมตีตั้งค่าโดเมนและ “phishlet” ที่เลียนแบบหน้าเว็บของบริการจริงอย่าง Microsoft 365 โดยที่ผู้ใช้เมื่อเข้าสู่ระบบก็จะได้รับประสบการณ์เหมือนกับการเข้าเว็บของบริษัทนั้นโดยตรง ข้อมูลที่ส่งผ่าน เช่น ชื่อผู้ใช้, รหัสผ่าน และสำคัญที่สุดคือ session cookie จะถูกดักจับไปเก็บไว้ในฐานข้อมูลของผู้โจมตี จากนั้น ผู้โจมตีสามารถนำ cookie ดังกล่าวไปใช้เพื่อเข้าสู่บัญชีของเหยื่อโดยไม่ต้องรู้รหัสผ่านหรือรหัส OTP ที่ใช้ใน MFA ผลกระทบที่เกิดขึ้น - ด้วยข้อมูล session cookie ที่ถูกดักจับ ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงบัญชีอีเมลของเหยื่อได้อย่างเต็มที่ ทั้งสามารถเปลี่ยนแปลงการตั้งค่า เช่น การเพิ่ม device MFA ใหม่หรือการตั้งค่าอีเมลเพื่อให้ได้สิทธิ์ในการควบคุมบัญชีได้อย่างต่อเนื่อง เทคนิคขั้นสูงในการโจมตี: - Evilginx ไม่ได้ทำเพียงแค่ส่งผู้ใช้ไปยังหน้า phishing ธรรมดาเท่านั้น แต่ทำหน้าที่เป็น “ตัวกลาง” ที่ส่งข้อมูลระหว่างผู้ใช้กับเซิร์ฟเวอร์จริงอย่างโปร่งใส ทำให้ผู้ใช้ไม่สังเกตเห็นความผิดปกติ การตรวจจับและบันทึก: - บริการอย่าง Azure AD และ Microsoft 365 มีระบบ log เพื่อบันทึกกิจกรรมที่ผิดปกติ เช่น การเข้าสู่ระบบจาก IP ที่น่าสงสัยหรือการเพิ่ม MFA device ใหม่ ซึ่งสามารถช่วยให้ผู้ดูแลระบบระบุและตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้รวดเร็ว แนวทางป้องกัน: - ผู้เชี่ยวชาญแนะนำแนวทางแบบหลายชั้นในการป้องกันภัยไซเบอร์ ได้แก่ แนะนำให้ย้ายจากวิธีการตรวจสอบด้วย token-based หรือ push MFA ไปสู่การยืนยันตัวตนที่มีความต้านทานต่อฟิชชิง เช่น FIDO2 และฮาร์ดแวร์ security keys รวมถึงการใช้ Conditional Access Policies เพื่อจัดการการเข้าถึงจากอุปกรณ์ที่เชื่อถือได้ https://news.sophos.com/en-us/2025/03/28/stealing-user-credentials-with-evilginx/
    NEWS.SOPHOS.COM
    Stealing user credentials with evilginx
    A malevolent mutation of the widely used nginx web server facilitates Adversary-in-the-Middle action, but there’s hope
    0 Comments 0 Shares 170 Views 0 Reviews
  • MagStor เปิดตัว Thunderbolt 5 LTO Tape Drive ที่เพิ่มความเร็วการเชื่อมต่อและเหมาะสำหรับงานข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น สื่อและธุรกิจ แม้เทคโนโลยีนี้ยังคงมีข้อจำกัดด้านความเร็วของเทป แต่อุปกรณ์นี้ช่วยยกระดับการเก็บข้อมูลระยะยาวที่ทนทานและคุ้มค่าในระยะยาวได้ดี

    คุณสมบัติที่โดดเด่น:
    - Thunderbolt 5 รองรับการส่งข้อมูลสูงสุดที่ 80Gbps (10GB/s) แบบสองทิศทาง หรือถึง 120Gbps ในโหมด Bandwidth Boost ซึ่งช่วยให้การถ่ายโอนข้อมูลระหว่างระบบเทปและคอมพิวเตอร์มีความรวดเร็วขึ้นอย่างมาก.

    ความจุและการใช้งาน:
    - รองรับเทป LTO-9 ที่มีความจุ 18TB (ปกติ) และ 45TB (เมื่อบีบอัดข้อมูล) แต่ยังไม่มีการยืนยันว่าจะรองรับ LTO-10 ซึ่งเพิ่มความจุเป็น 36TB (ปกติ) และ 90TB (บีบอัดข้อมูล).

    การเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม:
    - เทปยังคงมีบทบาทสำคัญในเก็บข้อมูลระยะยาวเนื่องจากความทนทาน และต้นทุนต่ำเมื่อเทียบกับฮาร์ดดิสก์หรือ SSD ที่มีความจุใกล้เคียงกัน.

    ต้นทุนและอนาคต:
    - ราคาอุปกรณ์ยังไม่ได้ประกาศ แต่คาดว่าจะสูง เนื่องจากรุ่นก่อนหน้า (Thunderbolt 3 LTO-9) มีราคาเริ่มต้นที่ $6,299 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามคุณสมบัติที่ล้ำสมัย.

    https://www.techradar.com/pro/this-is-the-worlds-first-thunderbolt-5-lto-tape-drive-and-i-cant-understand-why-it-exists-in-the-first-place
    MagStor เปิดตัว Thunderbolt 5 LTO Tape Drive ที่เพิ่มความเร็วการเชื่อมต่อและเหมาะสำหรับงานข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น สื่อและธุรกิจ แม้เทคโนโลยีนี้ยังคงมีข้อจำกัดด้านความเร็วของเทป แต่อุปกรณ์นี้ช่วยยกระดับการเก็บข้อมูลระยะยาวที่ทนทานและคุ้มค่าในระยะยาวได้ดี คุณสมบัติที่โดดเด่น: - Thunderbolt 5 รองรับการส่งข้อมูลสูงสุดที่ 80Gbps (10GB/s) แบบสองทิศทาง หรือถึง 120Gbps ในโหมด Bandwidth Boost ซึ่งช่วยให้การถ่ายโอนข้อมูลระหว่างระบบเทปและคอมพิวเตอร์มีความรวดเร็วขึ้นอย่างมาก. ความจุและการใช้งาน: - รองรับเทป LTO-9 ที่มีความจุ 18TB (ปกติ) และ 45TB (เมื่อบีบอัดข้อมูล) แต่ยังไม่มีการยืนยันว่าจะรองรับ LTO-10 ซึ่งเพิ่มความจุเป็น 36TB (ปกติ) และ 90TB (บีบอัดข้อมูล). การเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม: - เทปยังคงมีบทบาทสำคัญในเก็บข้อมูลระยะยาวเนื่องจากความทนทาน และต้นทุนต่ำเมื่อเทียบกับฮาร์ดดิสก์หรือ SSD ที่มีความจุใกล้เคียงกัน. ต้นทุนและอนาคต: - ราคาอุปกรณ์ยังไม่ได้ประกาศ แต่คาดว่าจะสูง เนื่องจากรุ่นก่อนหน้า (Thunderbolt 3 LTO-9) มีราคาเริ่มต้นที่ $6,299 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามคุณสมบัติที่ล้ำสมัย. https://www.techradar.com/pro/this-is-the-worlds-first-thunderbolt-5-lto-tape-drive-and-i-cant-understand-why-it-exists-in-the-first-place
    WWW.TECHRADAR.COM
    The world's first Thunderbolt 5 LTO tape drive just launched but I wonder who will buy it
    MagStor says it's pushing the boundaries of what is possible in data storage
    0 Comments 0 Shares 98 Views 0 Reviews
  • ข่าวนี้พูดถึงช่องโหว่ความปลอดภัยใน ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งอาจทำให้ นักโจมตีทางไซเบอร์ สามารถควบคุมการผลิตพลังงาน แทรกแซงข้อมูลส่วนตัว หรือแม้กระทั่งขัดขวางการทำงานของโครงข่ายพลังงาน ผู้เชี่ยวชาญจาก Forescout – Vedere Labs ระบุช่องโหว่ใหม่ถึง 46 รายการในอุปกรณ์อินเวอร์เตอร์จากผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง Sungrow, Growatt และ SMA โดย 80% ของช่องโหว่ที่รายงานถือเป็นปัญหาร้ายแรงหรือสำคัญ

    ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการเชื่อมต่อออนไลน์:
    - หลายอินเวอร์เตอร์ในระบบพลังงานแสงอาทิตย์มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยตรง ทำให้ง่ายต่อการโจมตีผ่านการใช้เฟิร์มแวร์ที่ล้าสมัยหรือการเข้ารหัสข้อมูลที่อ่อนแอ

    ผลกระทบที่เกิดขึ้น:
    - การโจมตีสามารถทำให้เกิดความไม่สมดุลในโครงข่ายพลังงาน การขโมยข้อมูลที่ละเมิดข้อกำหนดด้าน GDPR รวมถึงการควบคุมอุปกรณ์ภายในบ้านอัจฉริยะ เช่น เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า

    คำแนะนำในการป้องกัน:
    - ผู้ผลิตควรเร่งแก้ไขปัญหาด้วยการอัปเดตระบบ ปรับปรุงโค้ดให้ปลอดภัย และทดสอบเจาะระบบอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ควรมีการใช้ Web Application Firewall และมาตรการความปลอดภัยมาตรฐาน เช่น NIST IR 8259

    บทบาทของเจ้าของระบบพลังงานแสงอาทิตย์:
    - การแยกเครือข่ายของอุปกรณ์แสงอาทิตย์ การตั้งค่าระบบเฝ้าระวังความปลอดภัย และการใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันภัยไซเบอร์เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ใช้ควรดำเนินการ

    https://www.techradar.com/pro/millions-of-solar-power-systems-could-be-at-risk-of-cyber-attacks-after-researchers-find-flurry-of-vulnerabilities
    ข่าวนี้พูดถึงช่องโหว่ความปลอดภัยใน ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งอาจทำให้ นักโจมตีทางไซเบอร์ สามารถควบคุมการผลิตพลังงาน แทรกแซงข้อมูลส่วนตัว หรือแม้กระทั่งขัดขวางการทำงานของโครงข่ายพลังงาน ผู้เชี่ยวชาญจาก Forescout – Vedere Labs ระบุช่องโหว่ใหม่ถึง 46 รายการในอุปกรณ์อินเวอร์เตอร์จากผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง Sungrow, Growatt และ SMA โดย 80% ของช่องโหว่ที่รายงานถือเป็นปัญหาร้ายแรงหรือสำคัญ ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการเชื่อมต่อออนไลน์: - หลายอินเวอร์เตอร์ในระบบพลังงานแสงอาทิตย์มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยตรง ทำให้ง่ายต่อการโจมตีผ่านการใช้เฟิร์มแวร์ที่ล้าสมัยหรือการเข้ารหัสข้อมูลที่อ่อนแอ ผลกระทบที่เกิดขึ้น: - การโจมตีสามารถทำให้เกิดความไม่สมดุลในโครงข่ายพลังงาน การขโมยข้อมูลที่ละเมิดข้อกำหนดด้าน GDPR รวมถึงการควบคุมอุปกรณ์ภายในบ้านอัจฉริยะ เช่น เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า คำแนะนำในการป้องกัน: - ผู้ผลิตควรเร่งแก้ไขปัญหาด้วยการอัปเดตระบบ ปรับปรุงโค้ดให้ปลอดภัย และทดสอบเจาะระบบอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ควรมีการใช้ Web Application Firewall และมาตรการความปลอดภัยมาตรฐาน เช่น NIST IR 8259 บทบาทของเจ้าของระบบพลังงานแสงอาทิตย์: - การแยกเครือข่ายของอุปกรณ์แสงอาทิตย์ การตั้งค่าระบบเฝ้าระวังความปลอดภัย และการใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันภัยไซเบอร์เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ใช้ควรดำเนินการ https://www.techradar.com/pro/millions-of-solar-power-systems-could-be-at-risk-of-cyber-attacks-after-researchers-find-flurry-of-vulnerabilities
    0 Comments 0 Shares 219 Views 0 Reviews
  • ทีมนักวิจัยเกาหลีใต้กำลังพัฒนาแบตเตอรี่พลังงานนิวเคลียร์ที่ใช้ Radiocarbon วัสดุที่มีครึ่งชีวิตยาวนานถึงหลายพันปี แบตเตอรี่ต้นแบบช่วยแปลงรังสีเบตาเป็นพลังงานไฟฟ้า เหมาะสำหรับอุปกรณ์ระยะยาว เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจและดาวเทียม โดยมีเป้าหมายสร้างเทคโนโลยีที่ยั่งยืนและช่วยลดข้อจำกัดของแบตเตอรี่ Li-ion

    ข้อดีของ Radiocarbon:
    - Radiocarbon เป็นวัสดุที่ได้จากผลพลอยได้ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ราคาถูก และสามารถรีไซเคิลได้ง่าย อีกทั้งยังปลอดภัยต่อการใช้งานในแบตเตอรี่เนื่องจากปล่อยรังสีเบตาซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยแผ่นอะลูมิเนียมบาง ๆ.

    การออกแบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ:
    - แบตเตอรี่ต้นแบบใช้วัสดุ Titanium Dioxide ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการแปลงรังสีเบตาเป็นพลังงานไฟฟ้า และมีการออกแบบอิเล็กโทรดที่วาง Radiocarbon ทั้งในส่วน Cathode และ Anode เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสร้างพลังงาน.

    แอปพลิเคชันที่หลากหลาย:
    - แบตเตอรี่ชนิดนี้เหมาะสำหรับอุปกรณ์ที่ต้องการพลังงานในระยะยาว เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจที่ไม่ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ ดาวเทียม เซ็นเซอร์ในพื้นที่ห่างไกล หรือแม้กระทั่งยานพาหนะไร้คนขับ.

    ความท้าทายและอนาคต:
    - แม้ประสิทธิภาพในการแปลงพลังงานยังต่ำกว่าแบตเตอรี่ Li-ion แต่ทีมวิจัยกำลังทำงานเพื่อปรับปรุงรูปร่างของวัสดุปล่อยรังสีเบตาและผู้ดูดซับพลังงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

    https://www.techspot.com/news/107339-nuclear-powered-battery-could-eliminate-need-recharging.html
    ทีมนักวิจัยเกาหลีใต้กำลังพัฒนาแบตเตอรี่พลังงานนิวเคลียร์ที่ใช้ Radiocarbon วัสดุที่มีครึ่งชีวิตยาวนานถึงหลายพันปี แบตเตอรี่ต้นแบบช่วยแปลงรังสีเบตาเป็นพลังงานไฟฟ้า เหมาะสำหรับอุปกรณ์ระยะยาว เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจและดาวเทียม โดยมีเป้าหมายสร้างเทคโนโลยีที่ยั่งยืนและช่วยลดข้อจำกัดของแบตเตอรี่ Li-ion ข้อดีของ Radiocarbon: - Radiocarbon เป็นวัสดุที่ได้จากผลพลอยได้ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ราคาถูก และสามารถรีไซเคิลได้ง่าย อีกทั้งยังปลอดภัยต่อการใช้งานในแบตเตอรี่เนื่องจากปล่อยรังสีเบตาซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยแผ่นอะลูมิเนียมบาง ๆ. การออกแบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ: - แบตเตอรี่ต้นแบบใช้วัสดุ Titanium Dioxide ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการแปลงรังสีเบตาเป็นพลังงานไฟฟ้า และมีการออกแบบอิเล็กโทรดที่วาง Radiocarbon ทั้งในส่วน Cathode และ Anode เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสร้างพลังงาน. แอปพลิเคชันที่หลากหลาย: - แบตเตอรี่ชนิดนี้เหมาะสำหรับอุปกรณ์ที่ต้องการพลังงานในระยะยาว เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจที่ไม่ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ ดาวเทียม เซ็นเซอร์ในพื้นที่ห่างไกล หรือแม้กระทั่งยานพาหนะไร้คนขับ. ความท้าทายและอนาคต: - แม้ประสิทธิภาพในการแปลงพลังงานยังต่ำกว่าแบตเตอรี่ Li-ion แต่ทีมวิจัยกำลังทำงานเพื่อปรับปรุงรูปร่างของวัสดุปล่อยรังสีเบตาและผู้ดูดซับพลังงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น https://www.techspot.com/news/107339-nuclear-powered-battery-could-eliminate-need-recharging.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Nuclear-powered battery could eliminate need for recharging
    A team led by Su-Il In, a professor at South Korea's Daegu Gyeongbuk Institute of Science and Technology, is developing an innovative solution: radiocarbon-powered nuclear batteries that...
    0 Comments 0 Shares 196 Views 0 Reviews
  • Microsoft กำลังเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า Startup Boost ซึ่งจะช่วยให้แอปพลิเคชัน Office เช่น Word, Excel, และ PowerPoint เปิดได้รวดเร็วขึ้น โดยฟีเจอร์นี้จะเริ่มทำงานทันทีหลังจากที่ผู้ใช้เข้าสู่ระบบ Windows โดยการโหลดข้อมูลล่วงหน้าและเก็บไว้ในหน่วยความจำในสถานะพักจนกระทั่งผู้ใช้เปิดใช้งานจริง นอกจากนี้ ฟีเจอร์ยังออกแบบมาเพื่อให้สามารถคืนทรัพยากรหน่วยความจำให้ระบบอัตโนมัติหากจำเป็น

    ข้อจำกัดของฟีเจอร์:
    - ฟีเจอร์นี้สามารถใช้งานได้เฉพาะในอุปกรณ์ที่มี RAM อย่างน้อย 8GB และพื้นที่ว่างบนดิสก์ 5GB และจะปิดการทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อเปิดโหมด Energy Saver เพื่อประหยัดแบตเตอรี่.

    ตัวเลือกการปิดการใช้งาน:
    - ผู้ใช้ที่ไม่ต้องการให้ฟีเจอร์ทำงาน สามารถปิดการใช้งานได้ใน Settings ของ Office แต่หลังจากที่มีการอัปเดต Office ครั้งใหม่ ฟีเจอร์จะกลับมาเปิดอีกครั้ง ซึ่งผู้ใช้จะต้องปิดซ้ำเอง.

    แรงบันดาลใจจาก Edge:
    - ฟีเจอร์นี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก Startup Boost ของเบราว์เซอร์ Microsoft Edge ที่ใช้วิธีเดียวกันในการโหลดโปรเซสพื้นหลังเพื่อช่วยให้เปิดเบราว์เซอร์ได้เร็วขึ้น ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพ.

    กำหนดการเปิดตัว:
    - การเปิดตัวจะเริ่มกลางเดือนพฤษภาคม โดยจะมีใน Word เป็นแอปแรก และจะขยายไปยังแอป Office อื่น ๆ ในภายหลัง.

    https://www.techspot.com/news/107343-microsoft-office-apps-soon-preload-windows-boot-faster.html
    Microsoft กำลังเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า Startup Boost ซึ่งจะช่วยให้แอปพลิเคชัน Office เช่น Word, Excel, และ PowerPoint เปิดได้รวดเร็วขึ้น โดยฟีเจอร์นี้จะเริ่มทำงานทันทีหลังจากที่ผู้ใช้เข้าสู่ระบบ Windows โดยการโหลดข้อมูลล่วงหน้าและเก็บไว้ในหน่วยความจำในสถานะพักจนกระทั่งผู้ใช้เปิดใช้งานจริง นอกจากนี้ ฟีเจอร์ยังออกแบบมาเพื่อให้สามารถคืนทรัพยากรหน่วยความจำให้ระบบอัตโนมัติหากจำเป็น ข้อจำกัดของฟีเจอร์: - ฟีเจอร์นี้สามารถใช้งานได้เฉพาะในอุปกรณ์ที่มี RAM อย่างน้อย 8GB และพื้นที่ว่างบนดิสก์ 5GB และจะปิดการทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อเปิดโหมด Energy Saver เพื่อประหยัดแบตเตอรี่. ตัวเลือกการปิดการใช้งาน: - ผู้ใช้ที่ไม่ต้องการให้ฟีเจอร์ทำงาน สามารถปิดการใช้งานได้ใน Settings ของ Office แต่หลังจากที่มีการอัปเดต Office ครั้งใหม่ ฟีเจอร์จะกลับมาเปิดอีกครั้ง ซึ่งผู้ใช้จะต้องปิดซ้ำเอง. แรงบันดาลใจจาก Edge: - ฟีเจอร์นี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก Startup Boost ของเบราว์เซอร์ Microsoft Edge ที่ใช้วิธีเดียวกันในการโหลดโปรเซสพื้นหลังเพื่อช่วยให้เปิดเบราว์เซอร์ได้เร็วขึ้น ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพ. กำหนดการเปิดตัว: - การเปิดตัวจะเริ่มกลางเดือนพฤษภาคม โดยจะมีใน Word เป็นแอปแรก และจะขยายไปยังแอป Office อื่น ๆ ในภายหลัง. https://www.techspot.com/news/107343-microsoft-office-apps-soon-preload-windows-boot-faster.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Microsoft Office apps will soon preload on Windows boot for faster launch
    The announcement comes from the Microsoft 365 Message Center. The feature works by preloading parts of Office apps into memory after Windows startup and keeping them in...
    0 Comments 0 Shares 199 Views 0 Reviews
  • Space Force ร่วมมือกับ Gravitics สร้างยาน mothership ในวงโคจรเพื่อสำรองดาวเทียมและยานอวกาศ พร้อมตอบโต้ภัยคุกคามในอวกาศเช่นการโจมตีจากรัสเซียหรือจีน ยานนี้มีโมดูลที่ป้องกันรังสีและสภาพแวดล้อม ทำให้สามารถใช้งานได้ทันทีในกรณีฉุกเฉิน ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในเทคโนโลยีด้านการบินและความมั่นคงในอวกาศ

    การตอบโต้ภัยคุกคามในอวกาศ:
    - มีรายงานว่าประเทศอย่างรัสเซียและจีนกำลังพัฒนาเทคโนโลยีต่อต้านดาวเทียม เช่น ระบบโจมตีด้วยอุปกรณ์ kinetic และ non-kinetic รวมถึงการโจมตีทางไซเบอร์ ซึ่งอาจก่อให้เกิดเศษซากในอวกาศที่ส่งผลกระทบต่อระบบอื่น ๆ ในวงโคจร

    ความสำคัญของ mothership:
    - ยานจะถูกออกแบบให้มีโมดูลที่สามารถกักเก็บแบตเตอรี่และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ละเอียดอ่อนไว้ภายใน พร้อมป้องกันรังสีและสภาพแวดล้อมในอวกาศเพื่อใช้งานได้ในกรณีฉุกเฉิน

    แผนการสาธิตภารกิจในอนาคต:
    - แม้ยังไม่มีวันกำหนดแน่นอน บริษัท Gravitics วางแผนการสาธิตภารกิจในปี 2026 พร้อมกับเปิดตัวโมดูลรุ่นใหม่ที่มีพื้นที่กดอากาศขนาดใหญ่ขึ้น.

    ความมุ่งมั่นของบริษัท Gravitics:
    - บริษัทมีแผนพัฒนาโครงสร้างที่รองรับการสร้างพื้นที่อยู่อาศัยในอวกาศในอนาคต โดยเริ่มจากการสร้างโมดูลสำหรับสถานีอวกาศส่วนตัว ซึ่งถือเป็นขั้นตอนแรกสู่เป้าหมายในระยะยาว

    https://www.techspot.com/news/107341-new-space-force-project-aims-counter-threats-orbital.html
    Space Force ร่วมมือกับ Gravitics สร้างยาน mothership ในวงโคจรเพื่อสำรองดาวเทียมและยานอวกาศ พร้อมตอบโต้ภัยคุกคามในอวกาศเช่นการโจมตีจากรัสเซียหรือจีน ยานนี้มีโมดูลที่ป้องกันรังสีและสภาพแวดล้อม ทำให้สามารถใช้งานได้ทันทีในกรณีฉุกเฉิน ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในเทคโนโลยีด้านการบินและความมั่นคงในอวกาศ การตอบโต้ภัยคุกคามในอวกาศ: - มีรายงานว่าประเทศอย่างรัสเซียและจีนกำลังพัฒนาเทคโนโลยีต่อต้านดาวเทียม เช่น ระบบโจมตีด้วยอุปกรณ์ kinetic และ non-kinetic รวมถึงการโจมตีทางไซเบอร์ ซึ่งอาจก่อให้เกิดเศษซากในอวกาศที่ส่งผลกระทบต่อระบบอื่น ๆ ในวงโคจร ความสำคัญของ mothership: - ยานจะถูกออกแบบให้มีโมดูลที่สามารถกักเก็บแบตเตอรี่และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ละเอียดอ่อนไว้ภายใน พร้อมป้องกันรังสีและสภาพแวดล้อมในอวกาศเพื่อใช้งานได้ในกรณีฉุกเฉิน แผนการสาธิตภารกิจในอนาคต: - แม้ยังไม่มีวันกำหนดแน่นอน บริษัท Gravitics วางแผนการสาธิตภารกิจในปี 2026 พร้อมกับเปิดตัวโมดูลรุ่นใหม่ที่มีพื้นที่กดอากาศขนาดใหญ่ขึ้น. ความมุ่งมั่นของบริษัท Gravitics: - บริษัทมีแผนพัฒนาโครงสร้างที่รองรับการสร้างพื้นที่อยู่อาศัยในอวกาศในอนาคต โดยเริ่มจากการสร้างโมดูลสำหรับสถานีอวกาศส่วนตัว ซึ่งถือเป็นขั้นตอนแรกสู่เป้าหมายในระยะยาว https://www.techspot.com/news/107341-new-space-force-project-aims-counter-threats-orbital.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    New Space Force project aims to counter threats with orbital mothership
    Reports suggest that countries like Russia and China are developing advanced counter-space capabilities. These include a mix of kinetic, non-kinetic, and cyber tools designed to disable or...
    0 Comments 0 Shares 108 Views 0 Reviews
  • ผลการศึกษาใหม่ที่เผยว่า การลดเวลาใช้สมาร์ทโฟนลงเหลือไม่เกิน สองชั่วโมงต่อวัน สามารถส่งผลดีต่อสุขภาพจิตอย่างมีนัยสำคัญ โดยการวิจัยนี้จัดทำโดยทีมงานมหาวิทยาลัย Krems ในเยอรมนี พบว่าในเวลาเพียง สามสัปดาห์ ผู้เข้าร่วมที่จำกัดการใช้สมาร์ทโฟนแสดงอาการซึมเศร้าลดลงถึง 27% ความเครียดลดลง 16% คุณภาพการนอนหลับเพิ่มขึ้น 18% และสุขภาพจิตโดยรวมเพิ่มขึ้น 14% อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่มักกลับมาใช้เวลาบนโทรศัพท์มากขึ้นหลังการทดลอง เนื่องจากความท้าทายในการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานในระยะยาว

    ความสำคัญของการกำหนดเวลาใช้งาน:
    - การติดตามและจำกัดเวลาใช้สมาร์ทโฟนสามารถทำได้ง่ายผ่านฟังก์ชัน Screen Time บนอุปกรณ์ iOS หรือ Digital Wellbeing บน Android ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าใจพฤติกรรมการใช้งานได้ชัดเจนขึ้น.

    ต้นทุนของการใช้สมาร์ทโฟนมากเกินไป:
    - การใช้มือถือโดยเฉลี่ย 3.5 ชั่วโมงต่อวันตลอดชีวิตนั้นเทียบเท่ากับการเสียเวลาไปถึง 10 ปี ซึ่งสามารถนำไปใช้ทำสิ่งอื่นที่มีคุณค่าได้.

    ข้อเสียจากพฤติกรรมติดโทรศัพท์:
    - สมาร์ทโฟนและแอปต่าง ๆ ถูกออกแบบมาเพื่อดึงดูดความสนใจ ซึ่งทำให้การลดเวลาใช้งานเป็นเรื่องยาก เพราะเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนนิสัยและความเคยชินที่ต้องใช้ความพยายามสูง.

    เคล็ดลับลดเวลาใช้สมาร์ทโฟน:
    - ตั้งค่าจำกัดเวลาการใช้งาน, หมั่นตรวจสอบพฤติกรรม และตั้งคำถามกับตัวเองว่าใช้โทรศัพท์เพื่ออะไร หากใช้เพื่อฆ่าเวลา ควรหากิจกรรมอื่นที่เติมเต็มชีวิตได้มากกว่า.

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/29/cutting-time-spent-on-your-smartphone-can-improve-your-mental-health
    ผลการศึกษาใหม่ที่เผยว่า การลดเวลาใช้สมาร์ทโฟนลงเหลือไม่เกิน สองชั่วโมงต่อวัน สามารถส่งผลดีต่อสุขภาพจิตอย่างมีนัยสำคัญ โดยการวิจัยนี้จัดทำโดยทีมงานมหาวิทยาลัย Krems ในเยอรมนี พบว่าในเวลาเพียง สามสัปดาห์ ผู้เข้าร่วมที่จำกัดการใช้สมาร์ทโฟนแสดงอาการซึมเศร้าลดลงถึง 27% ความเครียดลดลง 16% คุณภาพการนอนหลับเพิ่มขึ้น 18% และสุขภาพจิตโดยรวมเพิ่มขึ้น 14% อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่มักกลับมาใช้เวลาบนโทรศัพท์มากขึ้นหลังการทดลอง เนื่องจากความท้าทายในการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้งานในระยะยาว ความสำคัญของการกำหนดเวลาใช้งาน: - การติดตามและจำกัดเวลาใช้สมาร์ทโฟนสามารถทำได้ง่ายผ่านฟังก์ชัน Screen Time บนอุปกรณ์ iOS หรือ Digital Wellbeing บน Android ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าใจพฤติกรรมการใช้งานได้ชัดเจนขึ้น. ต้นทุนของการใช้สมาร์ทโฟนมากเกินไป: - การใช้มือถือโดยเฉลี่ย 3.5 ชั่วโมงต่อวันตลอดชีวิตนั้นเทียบเท่ากับการเสียเวลาไปถึง 10 ปี ซึ่งสามารถนำไปใช้ทำสิ่งอื่นที่มีคุณค่าได้. ข้อเสียจากพฤติกรรมติดโทรศัพท์: - สมาร์ทโฟนและแอปต่าง ๆ ถูกออกแบบมาเพื่อดึงดูดความสนใจ ซึ่งทำให้การลดเวลาใช้งานเป็นเรื่องยาก เพราะเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนนิสัยและความเคยชินที่ต้องใช้ความพยายามสูง. เคล็ดลับลดเวลาใช้สมาร์ทโฟน: - ตั้งค่าจำกัดเวลาการใช้งาน, หมั่นตรวจสอบพฤติกรรม และตั้งคำถามกับตัวเองว่าใช้โทรศัพท์เพื่ออะไร หากใช้เพื่อฆ่าเวลา ควรหากิจกรรมอื่นที่เติมเต็มชีวิตได้มากกว่า. https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/03/29/cutting-time-spent-on-your-smartphone-can-improve-your-mental-health
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Cutting time spent on your smartphone can improve your mental health
    Spending less than two hours on our smartphones could noticeably improve our well-being, according to the latest science.
    0 Comments 0 Shares 188 Views 0 Reviews
More Results