• มูดาวรุ่ง...พยุงดาวร่วง
    สำหรับท่านที่เกิดปีเถาะ

    เพื่อเป็นการสะกดพลังร้ายของดาวอัปมงคล จึงควรน้อมสักการะต่อองค์มหาเทพ “大老爺(ตั่วเหล่าเอี๊ย)” หรือ องค์ “玄天上帝(เฮี่ยงเทียนเสี่ยงตี่)” เทพเจ้าอันทรงฤทธานุภาพแห่งสรวงสวรรค์ คอยสอดส่องปราบปรามกำราบเภทภัย ทั้งเหล่าภูตผีปีศาจร้ายตลอดจนความเศร้าหมองดำมืดใดที่แอบแฝงเกาะกินจากบาปกรรมชั่วช้าต่างๆ ด้วยพลังที่ทรงไว้ซึ่งคุณธรรมอย่างองอาจแสนยานุภาพในกาย หลังวันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 22:10 น.นี้ เป็นต้นไป ณ ศาลเจ้า ศักดิ์สิทธิ์แห่งองค์เทพท่านสถิตอยู่ โดยการนอบน้อมกราบบูชาอธิษฐานฝากดวงชะตาขอพรบารมีแห่งองค์เทพท่านได้สดับรับฟังและโปรดเมตตาคุ้มครองปกป้องให้แคล้วคลาดรอดพ้นจากความมืดมนชั่วร้ายที่จะมาเกาะกินจิตใจให้เกิดความทุกข์ยากใดๆ พร้อมน้อมรับพรให้มีสุขภาพที่แข็งแรง พบกับความก้าวหน้าในทุกด้านของชีวิตด้วยพลังใจที่เต็มร้อย ตลอดทั้งปี 2568 นี้

    อีกทั้งควรน้อมอัญเชิญองค์“พระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม” หรือ “觀世音菩薩 (กวนซืออิมผู่สัก)” พระโพธิสัตว์แห่งความเมตตามาสักการะเทิดทูนบูชาด้วยการพกพาหรือโหลดภาพเก็บไว้หน้าแรกของโทรศัพท์ติดตัวตลอดเวลา เพื่อปกปักรักษาและประทานบารมีที่จะขับไล่ความหม่นมัวทุกข์โศกร่ำไห้ให้จางหาย ทั้งความอัปมงคลให้ไม่กล้ำกลายและเสริมสิริมงคลให้ได้ชุ่มฉ่ำสดชื่นเต็มไปด้วย พลังกายใจที่จะก้าวไปอย่างมั่นคงในทุกช่วงห้วงเวลาจนสมปรารถนา ด้วยน้ำพระเมตตาบุญฤทธิ์อันสุดประมาณแห่งองค์ “พระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม” หรือ “觀世音菩薩 (กวนซืออิมผู่สัก)” จะแผ่รัศมีคุ้มครองตลอดทั้งปี 2568 นี้
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    มูดาวรุ่ง...พยุงดาวร่วง สำหรับท่านที่เกิดปีเถาะ เพื่อเป็นการสะกดพลังร้ายของดาวอัปมงคล จึงควรน้อมสักการะต่อองค์มหาเทพ “大老爺(ตั่วเหล่าเอี๊ย)” หรือ องค์ “玄天上帝(เฮี่ยงเทียนเสี่ยงตี่)” เทพเจ้าอันทรงฤทธานุภาพแห่งสรวงสวรรค์ คอยสอดส่องปราบปรามกำราบเภทภัย ทั้งเหล่าภูตผีปีศาจร้ายตลอดจนความเศร้าหมองดำมืดใดที่แอบแฝงเกาะกินจากบาปกรรมชั่วช้าต่างๆ ด้วยพลังที่ทรงไว้ซึ่งคุณธรรมอย่างองอาจแสนยานุภาพในกาย หลังวันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 22:10 น.นี้ เป็นต้นไป ณ ศาลเจ้า ศักดิ์สิทธิ์แห่งองค์เทพท่านสถิตอยู่ โดยการนอบน้อมกราบบูชาอธิษฐานฝากดวงชะตาขอพรบารมีแห่งองค์เทพท่านได้สดับรับฟังและโปรดเมตตาคุ้มครองปกป้องให้แคล้วคลาดรอดพ้นจากความมืดมนชั่วร้ายที่จะมาเกาะกินจิตใจให้เกิดความทุกข์ยากใดๆ พร้อมน้อมรับพรให้มีสุขภาพที่แข็งแรง พบกับความก้าวหน้าในทุกด้านของชีวิตด้วยพลังใจที่เต็มร้อย ตลอดทั้งปี 2568 นี้ อีกทั้งควรน้อมอัญเชิญองค์“พระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม” หรือ “觀世音菩薩 (กวนซืออิมผู่สัก)” พระโพธิสัตว์แห่งความเมตตามาสักการะเทิดทูนบูชาด้วยการพกพาหรือโหลดภาพเก็บไว้หน้าแรกของโทรศัพท์ติดตัวตลอดเวลา เพื่อปกปักรักษาและประทานบารมีที่จะขับไล่ความหม่นมัวทุกข์โศกร่ำไห้ให้จางหาย ทั้งความอัปมงคลให้ไม่กล้ำกลายและเสริมสิริมงคลให้ได้ชุ่มฉ่ำสดชื่นเต็มไปด้วย พลังกายใจที่จะก้าวไปอย่างมั่นคงในทุกช่วงห้วงเวลาจนสมปรารถนา ด้วยน้ำพระเมตตาบุญฤทธิ์อันสุดประมาณแห่งองค์ “พระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม” หรือ “觀世音菩薩 (กวนซืออิมผู่สัก)” จะแผ่รัศมีคุ้มครองตลอดทั้งปี 2568 นี้ ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 169 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทางการอินเดียมีคำสั่งสอบสวนหาสาเหตุการเหยียบกันตายในเทศกาลมหากุมภเมลา (Maha Kumbh Mela) ซึ่งทำให้มีผู้แสวงบุญเสียชีวิตไปหลายสิบคนเมื่อวันพุธ (29 ม.ค.) ในระหว่างที่ชาวฮินดูนับล้านๆ คนเดินทางมาประกอบพิธีอาบน้ำในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อชำระล้างบาป

    ตำรวจอินเดียยืนยันว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 30 คนจากการเหยียบกัน และบาดเจ็บอีกไม่ต่ำกว่า 90 คน ทว่ารอยเตอร์ได้รับข้อมูลจากแหล่งข่าวว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตที่แท้จริงน่าจะมากเกือบ 40 คน

    ผู้เห็นเหตุการณ์หลายคนเล่าว่า ฝูงชนจำนวนมหาศาลมุ่งหน้าไปยังจุดบรรจบของแม่น้ำจนเกิดการผลักดันและล้มทับกัน ขณะที่บางคนชี้ว่าการปิดเส้นทางลงแม่น้ำทำให้ผู้แสวงบุญเดินไปต่อไปไม่ได้ กระทั่งมีคนล้มและขาดอากาศหายใจ

    “รัฐบาลตัดสินใจว่าจะตั้งคณะตุลาการขึ้นมาสอบสวนเรื่องนี้ และได้มีการคัดเลือกคณะกรรมการขึ้นมาแล้ว 3 คน” โยคี อาทิตยนาถ มุขมนตรีรัฐอุตตรประเทศ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนวานนี้ (29)

    “คณะตุลาการจะตรวจสอบรายละเอียดอย่างครอบคลุม และจัดทำรายงานส่งต่อฝ่ายบริหารของรัฐภายในระยะเวลาที่กำหนด”

    เจ้าหน้าที่ระบุว่า เฉพาะวันพุธ (29) วันเดียวมีประชาชนมากกว่า 76 ล้านคนลงไปประกอบพิธีอาบน้ำ ณ จุดบรรจบของแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ 3 สายที่เมืองประยาคราชในรัฐอุตตรประเทศ จนกระทั่งถึงเวลา 20.00 น.

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000009561

    #MGROnline #อินเดีย #เหยียบกันตาย #เทศกาลมหากุมภเมลา #MahaKumbhMela2025
    ทางการอินเดียมีคำสั่งสอบสวนหาสาเหตุการเหยียบกันตายในเทศกาลมหากุมภเมลา (Maha Kumbh Mela) ซึ่งทำให้มีผู้แสวงบุญเสียชีวิตไปหลายสิบคนเมื่อวันพุธ (29 ม.ค.) ในระหว่างที่ชาวฮินดูนับล้านๆ คนเดินทางมาประกอบพิธีอาบน้ำในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อชำระล้างบาป • ตำรวจอินเดียยืนยันว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 30 คนจากการเหยียบกัน และบาดเจ็บอีกไม่ต่ำกว่า 90 คน ทว่ารอยเตอร์ได้รับข้อมูลจากแหล่งข่าวว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตที่แท้จริงน่าจะมากเกือบ 40 คน • ผู้เห็นเหตุการณ์หลายคนเล่าว่า ฝูงชนจำนวนมหาศาลมุ่งหน้าไปยังจุดบรรจบของแม่น้ำจนเกิดการผลักดันและล้มทับกัน ขณะที่บางคนชี้ว่าการปิดเส้นทางลงแม่น้ำทำให้ผู้แสวงบุญเดินไปต่อไปไม่ได้ กระทั่งมีคนล้มและขาดอากาศหายใจ • “รัฐบาลตัดสินใจว่าจะตั้งคณะตุลาการขึ้นมาสอบสวนเรื่องนี้ และได้มีการคัดเลือกคณะกรรมการขึ้นมาแล้ว 3 คน” โยคี อาทิตยนาถ มุขมนตรีรัฐอุตตรประเทศ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนวานนี้ (29) • “คณะตุลาการจะตรวจสอบรายละเอียดอย่างครอบคลุม และจัดทำรายงานส่งต่อฝ่ายบริหารของรัฐภายในระยะเวลาที่กำหนด” • เจ้าหน้าที่ระบุว่า เฉพาะวันพุธ (29) วันเดียวมีประชาชนมากกว่า 76 ล้านคนลงไปประกอบพิธีอาบน้ำ ณ จุดบรรจบของแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ 3 สายที่เมืองประยาคราชในรัฐอุตตรประเทศ จนกระทั่งถึงเวลา 20.00 น. • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/around/detail/9680000009561 • #MGROnline #อินเดีย #เหยียบกันตาย #เทศกาลมหากุมภเมลา #MahaKumbhMela2025
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 152 มุมมอง 0 รีวิว
  • ล้างบางจีนเทาที่เมียวดี เมืองคนบาป
    .
    ถ้าใครสงสัยว่าทำไม ซิงซิง ถูกแก๊งสแกมเมอร์ คอลเซ็นเตอร์ ล่อลวงไปที่เมียวดี ประเทศพม่า มีอะไรดีที่เมียวดี คำตอบคือว่า ณ เวลานี้ เมียวดีกำลังเป็นเมืองหลวงของแก๊งสแกมเมอร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เป็นแหล่งซ่องสุมของบอสจีนเทาที่ชำนาญการหลอกลวงออนไลน์เหยื่อข้ามชาติ คือหลอกคนจีนด้วยกัน และชาติอื่นๆ มาทำงานเยี่ยงทาสอยู่ในเมืองเมียวดี
    .
    ที่น่าตื่นตะลึงก็คือว่า ความแข็งแกร่งของจีนเทาในเมียวดี จากการสนับสนุนของผู้ปกครองเมียวดี ที่กลับไม่ใช่รัฐบาลพม่า หากแต่เป็นชาวกะเหรี่ยง คือชนกลุ่มน้อยกะเหรี่ยงเทาผู้มั่งคั่งด้วยเงินทองและเพียบพร้อมด้วยกองกำลังติดอาวุธ เป็นเหมือนรัฐอิสระของคนนอกกฎหมายอันอู้ฟู่ ยากที่รัฐบาลเมียนมาจะปราบปรามได้
    .
    เจ้าพ่อตัวจริงของเมืองเมียวดีวันนี้ คือ พันเอก ซอว์ ชิต ตู (Saw Chit Thu) ผู้บัญชาการกองทัพแห่งชาติกะเหรี่ยง หรือ KNA มีคฤหาสน์หรูหรา ส่งลูกหลานไปเรียนถึงประเทศสิงคโปร์ รายได้สีเทานำมาจัดซื้ออาวุธทันสมัย เสริมเขี้ยวเล็บให้กองกำลังกะเหรี่ยงของเขา ต้นปี 2567 เขานำกองทัพ DKBA ของเขาแยกตัวออกมาจาก BGF ไม่ยอมขึ้นกับเมียนมาอีก แล้วตั้งชื่อเป็น กองทัพแห่งชาติกะเหรี่ยง หรือที่เรียกว่า KNA
    .
    นอกจากนี้ยังมี พลจัตวา ซาย จอ หล่า (Sai Kyaw Hla) หรือ โกซาย ผู้นำหมายเลข 3 ของกะเหรี่ยงพุทธ DKBA มีอิทธิพลอยู่เขตไท่ฉาง ซึ่งเป็นบริเวณที่ดาราจีนซิงซิงถูกล่อลวงไปในเมืองสแกมเมอร์แห่งใหม่ ตรงข้ามกับตำบลช่องแคบ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก มีวัตถุประสงค์ไว้รองรับอาชญากร แก๊งสแกมเมอร์ คอลเซ็นเตอร์ ที่แตกหนีมาจากรัฐฉาน และสีหนุวิลล์ ประเทศกัมพูชา
    .
    16 มกราคม ที่ผ่านมา นายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของจีน ออกโรงในเรื่องนี้ โดยพบปะทูต 10 ชาติอาเซียน หารือปราบขบวนการหลอกลวงและพนันออนไลน์ โดยนายหวัง อี้ ย้ำว่า ประเทศที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบ จัดการถอนรากถอนโคน เพราะคดีหลอกลวงและการพนันออนไลน์ที่ชายแดนไทย-พม่า เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ร้ายแรงมาก ทำร้ายชาวจีนและพลเมืองของประเทศต่างๆ เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวด
    .
    ถ้าเราอ่านความระหว่างบรรทัดของนายหวัง อี้ เราจะตีความได้ว่า หนึ่ง เหตุการณ์ที่คุกคามความปลอดภัยของชาวจีนและประชาชนของประเทศต่างๆ จะยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้ ต้องจัดการอย่างเด็ดขาด สอง ประเทศที่เกี่ยวข้อง ไทย-พม่า ต้องรับผิดชอบ แต่จะมีประเทศใดบ้าง เรารู้กันดี สาม ประเทศจีนจะมีการปฏิบัติการร่วมกับชาติอาเซียนเพื่อปราบปรามขบวนการผิดกฎหมาย คุ้มครองความปลอดภัยให้ประชาชน และพิทักษ์ความสงบสุขระหว่างประเทศ นี่คือวิธีปฏิบัติของจีนที่เรียกว่า ใช้มารยาทก่อนใช้กำลัง
    .
    ท่านผู้ชมครับ รัฐบาลไทยจะต้องเจรจากับรัฐบาลจีน ท่านทูตหาน จื้อเฉียง ท่านทูตจีนประจำประเทศไทย ซึ่งผมรู้จักมักคุ้นสนิทสนมเป็นอย่างดีมาก ท่านเคยพูดกับผมตรงๆ ว่า คุณสนธิ ประเทศจีนไม่พอใจจีนเทามาก พวกนี้เป็นพวกมีปัญหากับสังคมจีน ด้วยเหตุนี้ถึงหนีมาประเทศไทย ท่านใช้ลิ้นการทูตพูด ท่านไม่พูดตรงๆ แต่ท่านบอกว่า พวกนี้อยู่ประเทศไทยสบายกว่าอยู่ประเทศจีน อีกนัยหนึ่งก็คือว่า ทั้งตำรวจ ทั้งทุกคนที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมของไทยนั้น จีนเทามั่นใจว่าซื้อได้
    .
    จีนเทากลัวถูกส่งตัวกลับจีน ถ้าเราส่งตัวจีนเทาพร้อมข้อหาความผิดที่สืบสวนได้ส่งกลับให้จีนจัดการ คนพวกนี้จะกลัวมาก กลัวจริงๆ ที่จะถูกส่งกลับ เพราะจีนเขาจัดการขั้นเด็ดขาด หวัง อี้ ประกาศกร้าวไว้แล้ว ดังที่ผมเล่าให้ฟัง
    .
    ทำไมจีนเทาในประเทศไทยถึงเยอะ ท่านผู้ชมรู้ไหม ? จีนเทาในประเทศไทยมันจะมีขาใหญ่ มันจะชวนพรรคพวกที่สีเทาด้วยกัน มาๆๆ มาเมืองไทย ไม่ต้องกังวลเรื่องตำรวจ กูจัดการเอง ตำรวจไทยหมู เรียกเงินกันทั้งนั้น เอาเงินเข้าไปตัวอ่อน เนื้ออ่อนเลย ตำรวจไทยอายบ้างหรือเปล่า
    .
    ปัญหาอยู่ตรงไหน น่าจะรู้แล้วตอนนี้ ไฟฟ้าก็แอบใช้ของไทย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคทำอย่างไร อินเทอร์เน็ตก็ใช้ของไทย ก็สั่งของกินของใช้ให้คนนับพันที่อำเภอแม่สอดและที่อำเภอพบพระ ซึ่งอยู่ในกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ภายใต้การบริหารงานของผู้บัญชาการภาค 6 เด็กเส้นใหญ่ แต่ทำงานไม่เป็น
    .
    แล้วตำรวจ พวกคุณทำอะไรอยู่? ผมชี้แหล่ง วิธีการสืบสวนสอบสวนให้พวกคุณ แต่พวกคุณก็ไม่สนใจ สนใจอย่างเดียวว่า คุณจ่ายเงินผมเท่าไร แล้วพวกเราจะทำอย่างไร จะทำอย่างไรกับพวกตำรวจไทย
    ล้างบางจีนเทาที่เมียวดี เมืองคนบาป . ถ้าใครสงสัยว่าทำไม ซิงซิง ถูกแก๊งสแกมเมอร์ คอลเซ็นเตอร์ ล่อลวงไปที่เมียวดี ประเทศพม่า มีอะไรดีที่เมียวดี คำตอบคือว่า ณ เวลานี้ เมียวดีกำลังเป็นเมืองหลวงของแก๊งสแกมเมอร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เป็นแหล่งซ่องสุมของบอสจีนเทาที่ชำนาญการหลอกลวงออนไลน์เหยื่อข้ามชาติ คือหลอกคนจีนด้วยกัน และชาติอื่นๆ มาทำงานเยี่ยงทาสอยู่ในเมืองเมียวดี . ที่น่าตื่นตะลึงก็คือว่า ความแข็งแกร่งของจีนเทาในเมียวดี จากการสนับสนุนของผู้ปกครองเมียวดี ที่กลับไม่ใช่รัฐบาลพม่า หากแต่เป็นชาวกะเหรี่ยง คือชนกลุ่มน้อยกะเหรี่ยงเทาผู้มั่งคั่งด้วยเงินทองและเพียบพร้อมด้วยกองกำลังติดอาวุธ เป็นเหมือนรัฐอิสระของคนนอกกฎหมายอันอู้ฟู่ ยากที่รัฐบาลเมียนมาจะปราบปรามได้ . เจ้าพ่อตัวจริงของเมืองเมียวดีวันนี้ คือ พันเอก ซอว์ ชิต ตู (Saw Chit Thu) ผู้บัญชาการกองทัพแห่งชาติกะเหรี่ยง หรือ KNA มีคฤหาสน์หรูหรา ส่งลูกหลานไปเรียนถึงประเทศสิงคโปร์ รายได้สีเทานำมาจัดซื้ออาวุธทันสมัย เสริมเขี้ยวเล็บให้กองกำลังกะเหรี่ยงของเขา ต้นปี 2567 เขานำกองทัพ DKBA ของเขาแยกตัวออกมาจาก BGF ไม่ยอมขึ้นกับเมียนมาอีก แล้วตั้งชื่อเป็น กองทัพแห่งชาติกะเหรี่ยง หรือที่เรียกว่า KNA . นอกจากนี้ยังมี พลจัตวา ซาย จอ หล่า (Sai Kyaw Hla) หรือ โกซาย ผู้นำหมายเลข 3 ของกะเหรี่ยงพุทธ DKBA มีอิทธิพลอยู่เขตไท่ฉาง ซึ่งเป็นบริเวณที่ดาราจีนซิงซิงถูกล่อลวงไปในเมืองสแกมเมอร์แห่งใหม่ ตรงข้ามกับตำบลช่องแคบ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก มีวัตถุประสงค์ไว้รองรับอาชญากร แก๊งสแกมเมอร์ คอลเซ็นเตอร์ ที่แตกหนีมาจากรัฐฉาน และสีหนุวิลล์ ประเทศกัมพูชา . 16 มกราคม ที่ผ่านมา นายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของจีน ออกโรงในเรื่องนี้ โดยพบปะทูต 10 ชาติอาเซียน หารือปราบขบวนการหลอกลวงและพนันออนไลน์ โดยนายหวัง อี้ ย้ำว่า ประเทศที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบ จัดการถอนรากถอนโคน เพราะคดีหลอกลวงและการพนันออนไลน์ที่ชายแดนไทย-พม่า เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ร้ายแรงมาก ทำร้ายชาวจีนและพลเมืองของประเทศต่างๆ เป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวด . ถ้าเราอ่านความระหว่างบรรทัดของนายหวัง อี้ เราจะตีความได้ว่า หนึ่ง เหตุการณ์ที่คุกคามความปลอดภัยของชาวจีนและประชาชนของประเทศต่างๆ จะยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้ ต้องจัดการอย่างเด็ดขาด สอง ประเทศที่เกี่ยวข้อง ไทย-พม่า ต้องรับผิดชอบ แต่จะมีประเทศใดบ้าง เรารู้กันดี สาม ประเทศจีนจะมีการปฏิบัติการร่วมกับชาติอาเซียนเพื่อปราบปรามขบวนการผิดกฎหมาย คุ้มครองความปลอดภัยให้ประชาชน และพิทักษ์ความสงบสุขระหว่างประเทศ นี่คือวิธีปฏิบัติของจีนที่เรียกว่า ใช้มารยาทก่อนใช้กำลัง . ท่านผู้ชมครับ รัฐบาลไทยจะต้องเจรจากับรัฐบาลจีน ท่านทูตหาน จื้อเฉียง ท่านทูตจีนประจำประเทศไทย ซึ่งผมรู้จักมักคุ้นสนิทสนมเป็นอย่างดีมาก ท่านเคยพูดกับผมตรงๆ ว่า คุณสนธิ ประเทศจีนไม่พอใจจีนเทามาก พวกนี้เป็นพวกมีปัญหากับสังคมจีน ด้วยเหตุนี้ถึงหนีมาประเทศไทย ท่านใช้ลิ้นการทูตพูด ท่านไม่พูดตรงๆ แต่ท่านบอกว่า พวกนี้อยู่ประเทศไทยสบายกว่าอยู่ประเทศจีน อีกนัยหนึ่งก็คือว่า ทั้งตำรวจ ทั้งทุกคนที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมของไทยนั้น จีนเทามั่นใจว่าซื้อได้ . จีนเทากลัวถูกส่งตัวกลับจีน ถ้าเราส่งตัวจีนเทาพร้อมข้อหาความผิดที่สืบสวนได้ส่งกลับให้จีนจัดการ คนพวกนี้จะกลัวมาก กลัวจริงๆ ที่จะถูกส่งกลับ เพราะจีนเขาจัดการขั้นเด็ดขาด หวัง อี้ ประกาศกร้าวไว้แล้ว ดังที่ผมเล่าให้ฟัง . ทำไมจีนเทาในประเทศไทยถึงเยอะ ท่านผู้ชมรู้ไหม ? จีนเทาในประเทศไทยมันจะมีขาใหญ่ มันจะชวนพรรคพวกที่สีเทาด้วยกัน มาๆๆ มาเมืองไทย ไม่ต้องกังวลเรื่องตำรวจ กูจัดการเอง ตำรวจไทยหมู เรียกเงินกันทั้งนั้น เอาเงินเข้าไปตัวอ่อน เนื้ออ่อนเลย ตำรวจไทยอายบ้างหรือเปล่า . ปัญหาอยู่ตรงไหน น่าจะรู้แล้วตอนนี้ ไฟฟ้าก็แอบใช้ของไทย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคทำอย่างไร อินเทอร์เน็ตก็ใช้ของไทย ก็สั่งของกินของใช้ให้คนนับพันที่อำเภอแม่สอดและที่อำเภอพบพระ ซึ่งอยู่ในกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ภายใต้การบริหารงานของผู้บัญชาการภาค 6 เด็กเส้นใหญ่ แต่ทำงานไม่เป็น . แล้วตำรวจ พวกคุณทำอะไรอยู่? ผมชี้แหล่ง วิธีการสืบสวนสอบสวนให้พวกคุณ แต่พวกคุณก็ไม่สนใจ สนใจอย่างเดียวว่า คุณจ่ายเงินผมเท่าไร แล้วพวกเราจะทำอย่างไร จะทำอย่างไรกับพวกตำรวจไทย
    Like
    Love
    Haha
    Sad
    24
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1139 มุมมอง 0 รีวิว
  • คุณงามความดี
    มีอยู่เชื่อมั่น
    เพียรพาบากบั่น
    หมั่นเพียรขวนขวาย

    สติให้มี
    ดีงามมุ่งหมาย
    สมาธิได้
    ให้ปัญญาธรรม

    ระวังกายใจ
    ไม่ให้บาปกรรม
    ดีงามศีลธรรม
    นำดับทุกข์ภัย
    คุณงามความดี มีอยู่เชื่อมั่น เพียรพาบากบั่น หมั่นเพียรขวนขวาย สติให้มี ดีงามมุ่งหมาย สมาธิได้ ให้ปัญญาธรรม ระวังกายใจ ไม่ให้บาปกรรม ดีงามศีลธรรม นำดับทุกข์ภัย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 65 มุมมอง 0 รีวิว
  • ที้น ก๊วน ซี ฟุก หรือ 天官賜福 ในภาษาจีนกวางตุ้ง
    天 ( tin1 ) แปลว่า สวรรค์ heavens หรือ เทพเจ้า God
    官 ( gun1 ) แปลว่า เจ้าหน้าที่ หรือ official
    賜 ( ci3 ) แปล ว่า ประทาน bestow หรือ give หรือ grant,
    福 ( fuk1 ) แปลว่า พร blessing

    เป็นชื่อ หนึ่งในสาม..เทพลัทธิเต๋า คือ

    1. ที๊นก๊วน หรือ จักรพรรดิจื้อเว่ย เทพแห่งสรวงสวรรค์
    ผู้ประทานพรแห่งความสุข
    2. ตี๊ก๊วน หรือ จักรพรรดิชิงซวี เทพแห่งผืนแผ่นดิน
    ผู้ให้อภัย ขจัด ล้างบาป
    3. ชุ่นก๊วน หรือ จักรพรรดิตงหยิน เทพแห่งวารี
    ผู้ปัดเป่าความโชคร้าย

    ภาพพิมพ์ ที้นก๊วน หรือเทพจากสวรรค์
    มีค้างคาวสีชาดประดับรอบพระเศียร 5 ตัว ซึ่งเป็นตัวแทนของลาภอันประเสริฐ ทั้ง 5 ได้แก่ อายุยืนยาว ความมั่งคั่ง สุขภาพแข็งแรง ยึดมั่นในคุณธรรม และความสันติสุข

    --------------------------------------
    ภาพพิมพ์นี้ ต้นกำเนิดที่เมืองเทียนจิน มณฑลเหอเป่ย
    ปัจจุบัน อยู่ที่ British Museum ประเทศอังกฤษ





    ที้น ก๊วน ซี ฟุก หรือ 天官賜福 ในภาษาจีนกวางตุ้ง 天 ( tin1 ) แปลว่า สวรรค์ heavens หรือ เทพเจ้า God 官 ( gun1 ) แปลว่า เจ้าหน้าที่ หรือ official 賜 ( ci3 ) แปล ว่า ประทาน bestow หรือ give หรือ grant, 福 ( fuk1 ) แปลว่า พร blessing เป็นชื่อ หนึ่งในสาม..เทพลัทธิเต๋า คือ 1. ที๊นก๊วน หรือ จักรพรรดิจื้อเว่ย เทพแห่งสรวงสวรรค์ ผู้ประทานพรแห่งความสุข 2. ตี๊ก๊วน หรือ จักรพรรดิชิงซวี เทพแห่งผืนแผ่นดิน ผู้ให้อภัย ขจัด ล้างบาป 3. ชุ่นก๊วน หรือ จักรพรรดิตงหยิน เทพแห่งวารี ผู้ปัดเป่าความโชคร้าย ภาพพิมพ์ ที้นก๊วน หรือเทพจากสวรรค์ มีค้างคาวสีชาดประดับรอบพระเศียร 5 ตัว ซึ่งเป็นตัวแทนของลาภอันประเสริฐ ทั้ง 5 ได้แก่ อายุยืนยาว ความมั่งคั่ง สุขภาพแข็งแรง ยึดมั่นในคุณธรรม และความสันติสุข -------------------------------------- ภาพพิมพ์นี้ ต้นกำเนิดที่เมืองเทียนจิน มณฑลเหอเป่ย ปัจจุบัน อยู่ที่ British Museum ประเทศอังกฤษ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • บางท่านคงเคยไเ้ยินคำว่า เนื้อ ธนบัตร...ท่านที่ทราบแล้ว ขออภัย...เมื่อ 10 กว่าปีก่อน กองกบาปณ์ นำชิ้นส่วนธนบัตรทำลาย..ออกจำหน่ายจ่ายแจก เป็นของที่ระลึก..ให้แก่บุคคลทั่วไป...หลายคน มองในมุมเรื่อง โภคทรัพย์ เพราะนี่คือ เงิน ที่ถูกใช้ผ่านมือผู้คนมามากมาย...จึงนำไปหลอมรวมกับ เรซิ่น..และเทเข้าแม่พิมพ์ขึ้นรูป..เป็นองค์พระแบบในภาพ...แต่เดี๋ยวหลายปีหลัง..กองกษาปณ์ไม่มีนโยบายให้แบบนี้ ออกสู่ภายนอกอีกแล้ว..จึงเป็นของ หาไม่ง่ายอีกอย่าง....ในภาพคือชิ้นส่วนแบงค์ร้อย ท่านใดสนใจทักครับ 1***
    บางท่านคงเคยไเ้ยินคำว่า เนื้อ ธนบัตร...ท่านที่ทราบแล้ว ขออภัย...เมื่อ 10 กว่าปีก่อน กองกบาปณ์ นำชิ้นส่วนธนบัตรทำลาย..ออกจำหน่ายจ่ายแจก เป็นของที่ระลึก..ให้แก่บุคคลทั่วไป...หลายคน มองในมุมเรื่อง โภคทรัพย์ เพราะนี่คือ เงิน ที่ถูกใช้ผ่านมือผู้คนมามากมาย...จึงนำไปหลอมรวมกับ เรซิ่น..และเทเข้าแม่พิมพ์ขึ้นรูป..เป็นองค์พระแบบในภาพ...แต่เดี๋ยวหลายปีหลัง..กองกษาปณ์ไม่มีนโยบายให้แบบนี้ ออกสู่ภายนอกอีกแล้ว..จึงเป็นของ หาไม่ง่ายอีกอย่าง....ในภาพคือชิ้นส่วนแบงค์ร้อย ท่านใดสนใจทักครับ 1***
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 103 มุมมอง 0 รีวิว
  • Sondhitalk EP 277 : DSI รับสอบสวนบิดเบือน คดีแตงโม (Full)
    - DSI อนุมัติ สืบสวนคดีแตงโม
    - เมียวดี เมืองคนบาป
    - “ทรัมป์ 2.0” ป่วนโลก
    - Middle Corridor ปฏิวัติโลก

    #สนธิทอล์ค #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิลิ้มทองกุล #sondhiapp #thaitimes #ความจริงมีหนึ่งเดียว #แตงโมนิดา #DSI #จีนเทา #เมียวดี #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #ทรัมป์ #ทรัมป์สาบานตน #middlecorridor #เส้นทางสายไหม
    Sondhitalk EP 277 : DSI รับสอบสวนบิดเบือน คดีแตงโม (Full) - DSI อนุมัติ สืบสวนคดีแตงโม - เมียวดี เมืองคนบาป - “ทรัมป์ 2.0” ป่วนโลก - Middle Corridor ปฏิวัติโลก #สนธิทอล์ค #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิลิ้มทองกุล #sondhiapp #thaitimes #ความจริงมีหนึ่งเดียว #แตงโมนิดา #DSI #จีนเทา #เมียวดี #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ #ทรัมป์ #ทรัมป์สาบานตน #middlecorridor #เส้นทางสายไหม
    Like
    Love
    Yay
    64
    4 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2556 มุมมอง 270 0 รีวิว
  • "รุ่งอรุณแห่งคำสั่ง"

    เช้าตรู่สวนผึ้ง อรุณยังกรุ่นไอ เนินเขาเงียบสงบ กลับพลันกลายเป็นไฟ สองชายยืนโบกรถ ด้วยแววตาที่เยือกเย็น บทเริ่มต้นที่แฝงความเป็นชะตากรรม

    บนถนนสายเดิมที่คุ้นเคย รถบัสลัดเลี้ยว สู่เส้นทางที่คาดไม่ถึง เสียงปืนกระหน่ำ จุดชนวนความจริง ราชบุรี...กลายเป็นภาพจำอันเจ็บปวด

    * นี่คือคำสั่งจากพม่า "ก๊อด'ส อาร์มี่" เงาร้ายของความเชื่อ ศรัทธาและบาปหนา โรงพยาบาลศูนย์ กลายเป็นสมรภูมิ โลกหยุดหมุน เมื่อชีวิตต้องวางเดิมพัน

    แปดร้อยตัวประกันในห้องแคบ เสียงร้องไห้ที่สะท้อนก้องตึกอำนวยการ เด็กน้อย ผู้อาวุโส และคนไข้ที่หวังเยียวยา กลายเป็นหมากในเกมของอุดมการณ์

    อรินทะราดสองหก นเรศวรสองหกหนึ่ง ซุ่มเงียบในมุมมืด เจรจาที่อึมครึม เติมไฟในหัวใจ เสี้ยววินาที คำสั่งหนึ่งเดียวในยามเช้า “ปฏิบัติการเริ่ม…ทุกชีวิตต้องปลอดภัย!”

    ซ้ำ *

    เมื่อเสียงปืนไทยสะท้อนกลับ เสียงตะโกนดังก้องฟ้า สิบศพที่ล้มลง บางสิ่งยังหลงเหลือ คือศรัทธา หรือความหวาดกลัวในแสงไฟ? ความยุติธรรม ต้องใช้เลือดเป็นบทพิสูจน์

    รุ่งอรุณใหม่จะมาถึงอีกครั้ง แต่รอยแผลในใจ ยังไม่มีวันหาย ก๊อด'ส อาร์มี่ แฝดนรกล่มสลายดั่งเถ้าถ่าน ราชบุรี…จะจดจำ ในประวัติศาสตร์ชาติไทย

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 241347 ม.ค. 2568

    #ก๊อดอาร์มี่ #ราชบุรี2543 #เรื่องเล่าจากโรงพยาบาลศูนย์ #สงครามในเงาแสง #ตัวประกันและความหวัง
    "รุ่งอรุณแห่งคำสั่ง" เช้าตรู่สวนผึ้ง อรุณยังกรุ่นไอ เนินเขาเงียบสงบ กลับพลันกลายเป็นไฟ สองชายยืนโบกรถ ด้วยแววตาที่เยือกเย็น บทเริ่มต้นที่แฝงความเป็นชะตากรรม บนถนนสายเดิมที่คุ้นเคย รถบัสลัดเลี้ยว สู่เส้นทางที่คาดไม่ถึง เสียงปืนกระหน่ำ จุดชนวนความจริง ราชบุรี...กลายเป็นภาพจำอันเจ็บปวด * นี่คือคำสั่งจากพม่า "ก๊อด'ส อาร์มี่" เงาร้ายของความเชื่อ ศรัทธาและบาปหนา โรงพยาบาลศูนย์ กลายเป็นสมรภูมิ โลกหยุดหมุน เมื่อชีวิตต้องวางเดิมพัน แปดร้อยตัวประกันในห้องแคบ เสียงร้องไห้ที่สะท้อนก้องตึกอำนวยการ เด็กน้อย ผู้อาวุโส และคนไข้ที่หวังเยียวยา กลายเป็นหมากในเกมของอุดมการณ์ อรินทะราดสองหก นเรศวรสองหกหนึ่ง ซุ่มเงียบในมุมมืด เจรจาที่อึมครึม เติมไฟในหัวใจ เสี้ยววินาที คำสั่งหนึ่งเดียวในยามเช้า “ปฏิบัติการเริ่ม…ทุกชีวิตต้องปลอดภัย!” ซ้ำ * เมื่อเสียงปืนไทยสะท้อนกลับ เสียงตะโกนดังก้องฟ้า สิบศพที่ล้มลง บางสิ่งยังหลงเหลือ คือศรัทธา หรือความหวาดกลัวในแสงไฟ? ความยุติธรรม ต้องใช้เลือดเป็นบทพิสูจน์ รุ่งอรุณใหม่จะมาถึงอีกครั้ง แต่รอยแผลในใจ ยังไม่มีวันหาย ก๊อด'ส อาร์มี่ แฝดนรกล่มสลายดั่งเถ้าถ่าน ราชบุรี…จะจดจำ ในประวัติศาสตร์ชาติไทย ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 241347 ม.ค. 2568 #ก๊อดอาร์มี่ #ราชบุรี2543 #เรื่องเล่าจากโรงพยาบาลศูนย์ #สงครามในเงาแสง #ตัวประกันและความหวัง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 342 มุมมอง 153 0 รีวิว
  • สติดำเนิน
    เกินขาดระวัง
    มีความผิดหวัง
    ยังต้องขวนขวาย

    มีกรรมเครื่องอยู่
    รู้ยับยั้งได้
    คุมตัณหาไว้
    ให้เมตตาธรรม

    เมตตาตนเอง
    เกรงกลัวบาปกรรม
    ละอายอย่าทำ
    สำนึกให้ดี

    ดีชั่วถลำ
    กรรมล้วนคลุกคลี
    ปัญญาให้มี
    ดีคัดกรองใช้

    ถูกการเวลา
    พาถูกที่หมาย
    เป็นธรรมอำไพ
    ให้ดีเจริญ

    อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ
    ท่านทั้งหลายจงยังไว้ซึ่งความไม่ประมาทเถิด

    สาธุ! พุทธัง ธัมมัง สรณังคัจฉามิ
    สติดำเนิน เกินขาดระวัง มีความผิดหวัง ยังต้องขวนขวาย มีกรรมเครื่องอยู่ รู้ยับยั้งได้ คุมตัณหาไว้ ให้เมตตาธรรม เมตตาตนเอง เกรงกลัวบาปกรรม ละอายอย่าทำ สำนึกให้ดี ดีชั่วถลำ กรรมล้วนคลุกคลี ปัญญาให้มี ดีคัดกรองใช้ ถูกการเวลา พาถูกที่หมาย เป็นธรรมอำไพ ให้ดีเจริญ อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ ท่านทั้งหลายจงยังไว้ซึ่งความไม่ประมาทเถิด สาธุ! พุทธัง ธัมมัง สรณังคัจฉามิ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 101 มุมมอง 0 รีวิว
  • หิริโอตัปปะ
    หิริ คือ ความละอายต่อบาป ไม่ทำชั่วด้วยกาย วาจา และใจ ไม่ว่าจะมีผู้รู้เห็นหรือไม่ โอตตัปปะ คือ ความกลัวต่อบาป กลัวผลของกรรมชั่ว กลัวว่าเมื่อทำชั่วลงไปจะทำ ให้จิตใจของตนตกต่ำ แม้จะมีโอกาสโกงกินก็จะไม่ทำ ไม่ใช่เพราะกลัวถูกจับได้ แต่กลัวความ เสื่อมที่จะเกิดขึ้นกับตนเอง
    หิริโอตัปปะ หิริ คือ ความละอายต่อบาป ไม่ทำชั่วด้วยกาย วาจา และใจ ไม่ว่าจะมีผู้รู้เห็นหรือไม่ โอตตัปปะ คือ ความกลัวต่อบาป กลัวผลของกรรมชั่ว กลัวว่าเมื่อทำชั่วลงไปจะทำ ให้จิตใจของตนตกต่ำ แม้จะมีโอกาสโกงกินก็จะไม่ทำ ไม่ใช่เพราะกลัวถูกจับได้ แต่กลัวความ เสื่อมที่จะเกิดขึ้นกับตนเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 42 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความว่าด้วยเรื่องของอำนาจ
    ไม่มีอำนาจใดยิ่งใหญ่เหนือไปกว่าอำนาจแห่งกรรม แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านเองท่านยังต้องจำนนจำยอมอดทนอดกลั้นต้องฝืนทนแบกรับกับผลกรรมในสิ่งที่พระองค์ได้เคยกระทำเอาไว้เลย นับประสาอะไรกับพวกผู้คนที่ลุ่มหลงมัวเมาในอำนาจยศศักดิ์ยิ่งใหญ่โตมโหฬารล้นฟ้าล้นแผ่นดิน ใครทำกรรมชั่วใดไว้ก็ต้องได้รับบาปกรรมชั่วนั้นไปไม่วันใดก็วันหนึ่งอย่างแน่นอน
    อำนาจยศศักดิ์มันก็เป็นเพียงแค่ภาพมายาจอมปลอม แต่ผู้คนที่ชั่วช้ามันก็ยังจะลุ่มหลงมัวเมาในอำนาจของมันจนโงหัวไม่ขึ้นกันเลยทีเดียวเชียว และผลสุดท้ายแล้ว พอตนเองหมดสิ้นบารมีจากอำนาจวาสนาก็บรรลัยล่มจมตกลงนรกกันแม่งทุกรายทุกตัวตน สมน้ำหน้าพวกมัน เพราะเวลามันมีอำนาจก็ไม่ใช้อำนาจไปในทางที่ควรที่ถูกต้องดีงาม และผลสุดท้ายพอมันหมดอำนาจลงไป พอพวกมันตายไปก็เลยถูกผู้คนก่นด่าสาปแช่งพวกมันจากผู้คนทั่วทั้งมวล ตายไปก็ตายไม่ดี เจ็บปวดทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส ตกลงนรกหมกไหม้กันแม่งทุกรายๆไป
    อำนาจมันมีทั้งคุณและโทษ ใครที่พอมีอำนาจแล้วก็ควรคิดพินิจพิจารณากันให้ดีๆ ว่าจะใช้อำนาจไปในทางที่ดีมีคุณหรือจะใช้อำนาจไปในทางบาปโทษ มันก็เหมือนกันกับดาบสองคมสองด้าน อำนาจแห่งกรรมนั้นยิ่งใหญ่และยุติธรรมเสมอ ไม่มีใครหน้าไหนหรือใครผู้ใดที่จะหนีหลุดพ้นไปจากอำนาจแห่งกรรมได้ มีอยู่แต่เพียงวิธีทางเดียวเท่านั้นที่จะพอทำได้ คือ จะต้องค่อยๆคอยชดใช้บุญบาปกรรมไปจนกว่าจะหมดเวรหมดกรรมกันไป ไม่ว่าจะเป็นกรรมที่ดีหรือจะเป็นกรรมที่ชั่วก็ตามที พวกก็เราจะต้องชดใช้กรรมกลับคืนกันไปอย่างแน่นอน
    เพราะฉะนั้นแล้ว จงเกรงกลัวกรรมกันให้มากๆหนักๆเข้าไว้เสียจะดีกว่า เพราะว่าเราจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียอกเสียใจกันในภายหลัง ว่าทำไมเราไม่ใช้อำนาจไปในทางที่ถูกที่ควรเพื่อผู้อื่นไม่ใช่เพื่อตนเองกับพวกพ้องของตนแต่เพียงถ่ายเดียวอย่างเดียว
    สุดท้ายนี้ขอให้ทุกๆคนได้คิดให้ดีๆเสียกันก่อนว่า เมื่อมีอำนาจวาสนาได้มีอำนาจมาแล้วนั้น เราก็ควรที่จะใช้อำนาจนี้ที่ได้มานั้นให้เป็นและให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อผู้คนส่วนรวมส่วนใหญ่ เพื่อผู้คนทุกๆคน ไม่ใช่ใช้อำนาจเพื่อตนเองกับพวกพ้องแต่เพียงฝ่ายเดียวอย่างเดียวเท่านั้นเอง
    บทความว่าด้วยเรื่องของอำนาจ ไม่มีอำนาจใดยิ่งใหญ่เหนือไปกว่าอำนาจแห่งกรรม แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านเองท่านยังต้องจำนนจำยอมอดทนอดกลั้นต้องฝืนทนแบกรับกับผลกรรมในสิ่งที่พระองค์ได้เคยกระทำเอาไว้เลย นับประสาอะไรกับพวกผู้คนที่ลุ่มหลงมัวเมาในอำนาจยศศักดิ์ยิ่งใหญ่โตมโหฬารล้นฟ้าล้นแผ่นดิน ใครทำกรรมชั่วใดไว้ก็ต้องได้รับบาปกรรมชั่วนั้นไปไม่วันใดก็วันหนึ่งอย่างแน่นอน อำนาจยศศักดิ์มันก็เป็นเพียงแค่ภาพมายาจอมปลอม แต่ผู้คนที่ชั่วช้ามันก็ยังจะลุ่มหลงมัวเมาในอำนาจของมันจนโงหัวไม่ขึ้นกันเลยทีเดียวเชียว และผลสุดท้ายแล้ว พอตนเองหมดสิ้นบารมีจากอำนาจวาสนาก็บรรลัยล่มจมตกลงนรกกันแม่งทุกรายทุกตัวตน สมน้ำหน้าพวกมัน เพราะเวลามันมีอำนาจก็ไม่ใช้อำนาจไปในทางที่ควรที่ถูกต้องดีงาม และผลสุดท้ายพอมันหมดอำนาจลงไป พอพวกมันตายไปก็เลยถูกผู้คนก่นด่าสาปแช่งพวกมันจากผู้คนทั่วทั้งมวล ตายไปก็ตายไม่ดี เจ็บปวดทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส ตกลงนรกหมกไหม้กันแม่งทุกรายๆไป อำนาจมันมีทั้งคุณและโทษ ใครที่พอมีอำนาจแล้วก็ควรคิดพินิจพิจารณากันให้ดีๆ ว่าจะใช้อำนาจไปในทางที่ดีมีคุณหรือจะใช้อำนาจไปในทางบาปโทษ มันก็เหมือนกันกับดาบสองคมสองด้าน อำนาจแห่งกรรมนั้นยิ่งใหญ่และยุติธรรมเสมอ ไม่มีใครหน้าไหนหรือใครผู้ใดที่จะหนีหลุดพ้นไปจากอำนาจแห่งกรรมได้ มีอยู่แต่เพียงวิธีทางเดียวเท่านั้นที่จะพอทำได้ คือ จะต้องค่อยๆคอยชดใช้บุญบาปกรรมไปจนกว่าจะหมดเวรหมดกรรมกันไป ไม่ว่าจะเป็นกรรมที่ดีหรือจะเป็นกรรมที่ชั่วก็ตามที พวกก็เราจะต้องชดใช้กรรมกลับคืนกันไปอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นแล้ว จงเกรงกลัวกรรมกันให้มากๆหนักๆเข้าไว้เสียจะดีกว่า เพราะว่าเราจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียอกเสียใจกันในภายหลัง ว่าทำไมเราไม่ใช้อำนาจไปในทางที่ถูกที่ควรเพื่อผู้อื่นไม่ใช่เพื่อตนเองกับพวกพ้องของตนแต่เพียงถ่ายเดียวอย่างเดียว สุดท้ายนี้ขอให้ทุกๆคนได้คิดให้ดีๆเสียกันก่อนว่า เมื่อมีอำนาจวาสนาได้มีอำนาจมาแล้วนั้น เราก็ควรที่จะใช้อำนาจนี้ที่ได้มานั้นให้เป็นและให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อผู้คนส่วนรวมส่วนใหญ่ เพื่อผู้คนทุกๆคน ไม่ใช่ใช้อำนาจเพื่อตนเองกับพวกพ้องแต่เพียงฝ่ายเดียวอย่างเดียวเท่านั้นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 112 มุมมอง 0 รีวิว
  • คนที่มีจิตใจสูงกับคนที่มีจิตใจต่ำ
    นับวันโลกใบนี้ยิ่งอยู่กันยากมากขึ้นทุกวันๆ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะอยู่ที่กลุ่มบุคคลที่มีพวกพ้องมากนั่นเอง และก็จะได้รับสิทธิพิเศษต่างๆมากมาย ยิ่งคนที่เป็นผู้นำกลุ่มแล้วด้วย ถ้าเป็นคนที่ดีก็ดีไป และก็ดีมากๆด้วย แต่ถ้าเป็นคนที่ชั่วล่ะก็ ฉิบหายแม่งมันทั้งโคตรตระกูลโคตรเหง้ากันเลยทีเดียว “ผู้นำที่ดีก็ดีไป ผู้นำที่ชั่วก็ชั่วไป” ค่าของคนไม่ได้วัดกันที่คนมากหรือน้อย ไม่ได้วัดกันที่มีชื่อเสียงมากดีหรือไม่ ไม่ได้วัดกันที่มีอิทธิพลมากหรือเปล่า แต่วัดกันที่คุณงามความดีในขณะที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ที่ผลงานอย่างที่ใครๆหลายๆคนเข้าใจกัน ซึ่งบางคนเค้าก็ไม่ได้มีงานทำ ไม่ได้มีผลงานออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน ในแบบที่จะสามารถจับต้องกันได้ ก็ไม่มีผลงานออกมา และแม้แต่พระพุทธเจ้าเองท่านก็ไม่มีผลงานที่จับต้องได้เป็นชิ้นเป็นอันเลยแม้แต่น้อยเดียว แต่ท่านมี “ความดี” มี “ธรรมะ” มี “สาระ” และเป็นแก่นสารในตัวของท่านเอง ท่านไม่เคยชักจูงใครให้หลงใหลไปกับท่าน และแถมยังมีแม้แต่คำสอนของท่านเองที่ยังหักล้างในตัวของท่านเองเลยว่า “ห้ามให้เชื่อโดยปราศจากเหตุและผล” ถ้าตัวของท่านเองไม่มี “เหตุผล” ไม่มี “ธรรม” ซึ่งก็คือ “ปัญญา” ความรอบรู้ในทุกโลกหล้า ในทุกอณูของจักรวาล ในทุกดวงจิตวิญญาณแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมาเชื่อถือเคารพศรัทธาในตัวของท่านเองเลยแม้แต่น้อยเดียว แต่มันไม่ใช่ ใช่มั้ย ก็เพราะว่าท่านเป็นถึง “พุทธะ” ซึ่งก็คือ “ผู้รู้” และแถมด้วย “รู้แจ้งเห็นจริงทุกสรรพสิ่ง” ศาสนาของท่านถึงได้มีผู้คนศรัทธานับถือมากมายมาจนถึงปัจจุบันนี้นั่นเอง
    เรามาเปรียบเทียบกันว่าระหว่างคนที่มีจิตใจสูงกับคนที่มีจิตใจต่ำว่ามันแตกต่างกันอย่างไร
    คนที่มีจิตใจสูงก็คือ “คนดี” นั่นเอง โดยสรุปย่อๆง่ายๆ แต่เรามาขยายความต่อกันเลยว่ามันเป็นอย่างไร คนที่มีจิตใจสูงมักจะเป็นคนที่มีคุณงามความดีอยู่ในตัวเอง เป็นคนที่ไม่คิดพูดทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่งามไม่ถูกต้องต่างๆนาๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กใหญ่ขนาดไหนอย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้วก็คือคนที่มี “หิริ” กับ “โอตัปปะ” ซึ่งก็คือ ความละอายความชั่วกลัวเกรงต่อบาปกรรมความชั่วความเลวต่างๆในทุกประเภททั้งหมดโดยไม่มีการยกเว้นเลยแม้แต่เรื่องเดียว พูดไปพูดมามันก็เหมือนกับว่ามันทำกันได้ง่ายๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นมันไม่ได้ทำกันได้ง่ายๆเลย และเป็นเรื่องที่ยากมากๆเลยด้วย โดยเฉพาะกับคนที่เป็นเพียงแค่คนปุถุชนคนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆ แต่กับในคนวิญญูชนนั้นมันเป็นเรื่องที่ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยสำหรับพวกเค้า ก็เพราะว่าเค้าคนนั้นได้ผ่านพ้นจากการเป็นคนปุถุชนมาแล้วนั่นเอง ซึ่งกว่าคนปุถุชนจะมากลายเป็นคนวิญญูชนนั้นมันมักจะต้องพานพบเจอกับตัวอุปสรรคขวากหนามต่างๆมามากมายและกับตัวปัญหาที่ยากยิ่งมาก่อน ซึ่งในจำพวกนี้ก็คือ “เจ้ากรรม นายเวร อริศัตรู และบททดสอบจากเบื้องบน” นั่นเอง และเค้าคนนั้นก็ได้สัมผัสรับรู้ซึ้งได้ถึงสัจธรรมของชีวิตและได้บรรลุธรรมแล้วด้วยดีอย่างลึกซึ้งจนถึงขั้นปล่อยปลดลดละวางซึ่งกิเลสตัวตนของเค้าเอง และได้ค้นพบหนทางสว่างในวิถีชีวิตของตนเองว่าต่อจากนี้ไปจะดำเนินชีวิตไปในทางใดอย่างไรให้มีความสุขและเป็นปกติสุขในแบบฉบับของตนเองจนกว่าร่างกายจะละสังขารของตนเองไปสู่ชีวิตที่เป็นนิรันดร์ในชาติภพหน้าต่อไป นี่คือคนที่มีจิตใจสูง
    แล้วเรามาว่ากันถึงคนที่มีจิตใจต่ำกันบ้างว่ามันเป็นอย่างไร คนที่มีจิตใจต่ำนั้นโดยทั่วไปเรามักจะเรียกขานกันว่าเป็น “คนชั่ว” นั่นเอง แต่เราจะมาอธิบายกันให้เข้าใจยิ่งขึ้นไปอีกคือ คนประเภทนี้นั้นมักจะเป็นคนเห็นแก่ตัว ชอบเอาแต่ใจของตนเองเป็นใหญ่ ไม่สนใจผู้อื่นว่าตนเองจะทำให้ใครเดือดเนื้อร้อนใจหรือไม่อย่างไรในการกระทำของตนเอง ชอบยกตนข่มท่าน ชอบเอาชนะ โลภโมโทสัน มักโกรธโมโหง่าย เลือดร้อนวู่วามบ้าคลั่ง ไม่คิดหน้าระวังหลัง ชื่นชอบอบายมุก เจ้าชู้ประตูดิน ลุ่มหลงมัวเมา และจิตใจเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา ชอบอวดเบ่งใหญ่โต วางก้ามเป็นคนอันธพาลขวางคลองคูเมือง นึกว่าตนเองยิ่งใหญ่คับฟ้าทั่วแผ่นดิน มักทะเยอทะยานอยากเป็นใหญ่เป็นโต มักใหญ่ใฝ่สูง บ้าอำนาจ ชอบฆ่าชอบทำลายล้างผลาญ นิสัยโดยรวมแล้วแย่มาก เอาเป็นว่านี่เป็นคนที่ไม่มีธรรมในจิตใจ ไม่มีความดีงามในตัวของตัวเองเลย คนจำพวกนี้มักมีอยู่ทั่วไปในสังคมเรา ไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่เห็นแก่ตัวก็เป็นคนชั่วด้วย และก็ชอบที่จะมีความสุขบนความทุกข์ของคนดี เพราะอยู่ในสังคมของคนชั่วเพียงอย่างเดียวไม่ได้ เพราะว่าจะไม่มีใครยอมใคร และจะฆ่ากันเองนั่นเอง และไม่สามารถที่จะอยู่ในหมู่ของคนดีได้อีกด้วย ก็เพราะว่าไม่มีคนดีที่ไหนเค้ายอมรับในนิสัยสันดานความประพฤติชั่วได้ พอตัวเองใกล้จะตายก็ทุรนทุรายและก็ตกนรกลงหลุมกันทุกราย คนจำพวกนี้มักจะกลัวมากๆเพียงอย่างเดียวคือ “กลัวตาย” แต่ไม่กลัวลงนรก เพราะไม่เชื่อในเรื่องของกฎแห่งกรรม พอตายลงไปแล้วก็มาขอส่วนบุญคนอื่น ซึ่งก็สมควรกับการกระทำของตนเองอย่างยิ่งแล้ว นี่คือคนที่มีจิตใจต่ำนั่นเอง
    สุดท้ายแล้ว ในท้ายที่สุดแล้ว คนที่จะเลือกเดินบนทางเดินของตนเองที่จะไปในทิศทางใดนั้นก็มักจะได้เป็นไปในแบบนั้น “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” “ทำอย่างไรได้อย่างนั้น” มันเป็นกฎแห่งกรรม มันเป็นสัจธรรม ไม่มีใครหลีกหนีกรรมพ้นไปได้ กรรมคือการกระทำ “ทำกรรมดีย่อมได้ดี ทำกรรมชั่วย่อมได้ชั่ว” ตอบแทนกรรมกลับไป กรรมยุติธรรมเสมอ แล้วคุณหล่ะ จะเลือกเดินไปในทิศทางใดแบบไหน จะเลือกเป็นคนที่มีจิตใจสูงหรือต่ำ คุณเลือกได้ตั้งแต่บัดนี้นะ เลือกให้ดีก็แล้วกัน ก่อนที่จะหมดโอกาสที่จะได้เลือกอีกตลอดไป เลือกให้ทันก่อนที่คุณจะตายลงไปก็แล้วกัน
    คนที่มีจิตใจสูงกับคนที่มีจิตใจต่ำ นับวันโลกใบนี้ยิ่งอยู่กันยากมากขึ้นทุกวันๆ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะอยู่ที่กลุ่มบุคคลที่มีพวกพ้องมากนั่นเอง และก็จะได้รับสิทธิพิเศษต่างๆมากมาย ยิ่งคนที่เป็นผู้นำกลุ่มแล้วด้วย ถ้าเป็นคนที่ดีก็ดีไป และก็ดีมากๆด้วย แต่ถ้าเป็นคนที่ชั่วล่ะก็ ฉิบหายแม่งมันทั้งโคตรตระกูลโคตรเหง้ากันเลยทีเดียว “ผู้นำที่ดีก็ดีไป ผู้นำที่ชั่วก็ชั่วไป” ค่าของคนไม่ได้วัดกันที่คนมากหรือน้อย ไม่ได้วัดกันที่มีชื่อเสียงมากดีหรือไม่ ไม่ได้วัดกันที่มีอิทธิพลมากหรือเปล่า แต่วัดกันที่คุณงามความดีในขณะที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ที่ผลงานอย่างที่ใครๆหลายๆคนเข้าใจกัน ซึ่งบางคนเค้าก็ไม่ได้มีงานทำ ไม่ได้มีผลงานออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน ในแบบที่จะสามารถจับต้องกันได้ ก็ไม่มีผลงานออกมา และแม้แต่พระพุทธเจ้าเองท่านก็ไม่มีผลงานที่จับต้องได้เป็นชิ้นเป็นอันเลยแม้แต่น้อยเดียว แต่ท่านมี “ความดี” มี “ธรรมะ” มี “สาระ” และเป็นแก่นสารในตัวของท่านเอง ท่านไม่เคยชักจูงใครให้หลงใหลไปกับท่าน และแถมยังมีแม้แต่คำสอนของท่านเองที่ยังหักล้างในตัวของท่านเองเลยว่า “ห้ามให้เชื่อโดยปราศจากเหตุและผล” ถ้าตัวของท่านเองไม่มี “เหตุผล” ไม่มี “ธรรม” ซึ่งก็คือ “ปัญญา” ความรอบรู้ในทุกโลกหล้า ในทุกอณูของจักรวาล ในทุกดวงจิตวิญญาณแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมาเชื่อถือเคารพศรัทธาในตัวของท่านเองเลยแม้แต่น้อยเดียว แต่มันไม่ใช่ ใช่มั้ย ก็เพราะว่าท่านเป็นถึง “พุทธะ” ซึ่งก็คือ “ผู้รู้” และแถมด้วย “รู้แจ้งเห็นจริงทุกสรรพสิ่ง” ศาสนาของท่านถึงได้มีผู้คนศรัทธานับถือมากมายมาจนถึงปัจจุบันนี้นั่นเอง เรามาเปรียบเทียบกันว่าระหว่างคนที่มีจิตใจสูงกับคนที่มีจิตใจต่ำว่ามันแตกต่างกันอย่างไร คนที่มีจิตใจสูงก็คือ “คนดี” นั่นเอง โดยสรุปย่อๆง่ายๆ แต่เรามาขยายความต่อกันเลยว่ามันเป็นอย่างไร คนที่มีจิตใจสูงมักจะเป็นคนที่มีคุณงามความดีอยู่ในตัวเอง เป็นคนที่ไม่คิดพูดทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่งามไม่ถูกต้องต่างๆนาๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กใหญ่ขนาดไหนอย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้วก็คือคนที่มี “หิริ” กับ “โอตัปปะ” ซึ่งก็คือ ความละอายความชั่วกลัวเกรงต่อบาปกรรมความชั่วความเลวต่างๆในทุกประเภททั้งหมดโดยไม่มีการยกเว้นเลยแม้แต่เรื่องเดียว พูดไปพูดมามันก็เหมือนกับว่ามันทำกันได้ง่ายๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นมันไม่ได้ทำกันได้ง่ายๆเลย และเป็นเรื่องที่ยากมากๆเลยด้วย โดยเฉพาะกับคนที่เป็นเพียงแค่คนปุถุชนคนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆ แต่กับในคนวิญญูชนนั้นมันเป็นเรื่องที่ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยสำหรับพวกเค้า ก็เพราะว่าเค้าคนนั้นได้ผ่านพ้นจากการเป็นคนปุถุชนมาแล้วนั่นเอง ซึ่งกว่าคนปุถุชนจะมากลายเป็นคนวิญญูชนนั้นมันมักจะต้องพานพบเจอกับตัวอุปสรรคขวากหนามต่างๆมามากมายและกับตัวปัญหาที่ยากยิ่งมาก่อน ซึ่งในจำพวกนี้ก็คือ “เจ้ากรรม นายเวร อริศัตรู และบททดสอบจากเบื้องบน” นั่นเอง และเค้าคนนั้นก็ได้สัมผัสรับรู้ซึ้งได้ถึงสัจธรรมของชีวิตและได้บรรลุธรรมแล้วด้วยดีอย่างลึกซึ้งจนถึงขั้นปล่อยปลดลดละวางซึ่งกิเลสตัวตนของเค้าเอง และได้ค้นพบหนทางสว่างในวิถีชีวิตของตนเองว่าต่อจากนี้ไปจะดำเนินชีวิตไปในทางใดอย่างไรให้มีความสุขและเป็นปกติสุขในแบบฉบับของตนเองจนกว่าร่างกายจะละสังขารของตนเองไปสู่ชีวิตที่เป็นนิรันดร์ในชาติภพหน้าต่อไป นี่คือคนที่มีจิตใจสูง แล้วเรามาว่ากันถึงคนที่มีจิตใจต่ำกันบ้างว่ามันเป็นอย่างไร คนที่มีจิตใจต่ำนั้นโดยทั่วไปเรามักจะเรียกขานกันว่าเป็น “คนชั่ว” นั่นเอง แต่เราจะมาอธิบายกันให้เข้าใจยิ่งขึ้นไปอีกคือ คนประเภทนี้นั้นมักจะเป็นคนเห็นแก่ตัว ชอบเอาแต่ใจของตนเองเป็นใหญ่ ไม่สนใจผู้อื่นว่าตนเองจะทำให้ใครเดือดเนื้อร้อนใจหรือไม่อย่างไรในการกระทำของตนเอง ชอบยกตนข่มท่าน ชอบเอาชนะ โลภโมโทสัน มักโกรธโมโหง่าย เลือดร้อนวู่วามบ้าคลั่ง ไม่คิดหน้าระวังหลัง ชื่นชอบอบายมุก เจ้าชู้ประตูดิน ลุ่มหลงมัวเมา และจิตใจเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา ชอบอวดเบ่งใหญ่โต วางก้ามเป็นคนอันธพาลขวางคลองคูเมือง นึกว่าตนเองยิ่งใหญ่คับฟ้าทั่วแผ่นดิน มักทะเยอทะยานอยากเป็นใหญ่เป็นโต มักใหญ่ใฝ่สูง บ้าอำนาจ ชอบฆ่าชอบทำลายล้างผลาญ นิสัยโดยรวมแล้วแย่มาก เอาเป็นว่านี่เป็นคนที่ไม่มีธรรมในจิตใจ ไม่มีความดีงามในตัวของตัวเองเลย คนจำพวกนี้มักมีอยู่ทั่วไปในสังคมเรา ไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่เห็นแก่ตัวก็เป็นคนชั่วด้วย และก็ชอบที่จะมีความสุขบนความทุกข์ของคนดี เพราะอยู่ในสังคมของคนชั่วเพียงอย่างเดียวไม่ได้ เพราะว่าจะไม่มีใครยอมใคร และจะฆ่ากันเองนั่นเอง และไม่สามารถที่จะอยู่ในหมู่ของคนดีได้อีกด้วย ก็เพราะว่าไม่มีคนดีที่ไหนเค้ายอมรับในนิสัยสันดานความประพฤติชั่วได้ พอตัวเองใกล้จะตายก็ทุรนทุรายและก็ตกนรกลงหลุมกันทุกราย คนจำพวกนี้มักจะกลัวมากๆเพียงอย่างเดียวคือ “กลัวตาย” แต่ไม่กลัวลงนรก เพราะไม่เชื่อในเรื่องของกฎแห่งกรรม พอตายลงไปแล้วก็มาขอส่วนบุญคนอื่น ซึ่งก็สมควรกับการกระทำของตนเองอย่างยิ่งแล้ว นี่คือคนที่มีจิตใจต่ำนั่นเอง สุดท้ายแล้ว ในท้ายที่สุดแล้ว คนที่จะเลือกเดินบนทางเดินของตนเองที่จะไปในทิศทางใดนั้นก็มักจะได้เป็นไปในแบบนั้น “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” “ทำอย่างไรได้อย่างนั้น” มันเป็นกฎแห่งกรรม มันเป็นสัจธรรม ไม่มีใครหลีกหนีกรรมพ้นไปได้ กรรมคือการกระทำ “ทำกรรมดีย่อมได้ดี ทำกรรมชั่วย่อมได้ชั่ว” ตอบแทนกรรมกลับไป กรรมยุติธรรมเสมอ แล้วคุณหล่ะ จะเลือกเดินไปในทิศทางใดแบบไหน จะเลือกเป็นคนที่มีจิตใจสูงหรือต่ำ คุณเลือกได้ตั้งแต่บัดนี้นะ เลือกให้ดีก็แล้วกัน ก่อนที่จะหมดโอกาสที่จะได้เลือกอีกตลอดไป เลือกให้ทันก่อนที่คุณจะตายลงไปก็แล้วกัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 163 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
    การเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นพูดไปมันก็ดูเหมือนว่าจะเป็นกันได้โดยง่ายๆ แต่แท้ที่จริงแล้วนั้นมันเป็นกันได้โดยยากมาก ยากมากๆๆ
    มาดูคุณสมบัติของผู้ที่มีสิทธิ์ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กัน ผู้ที่มีคุณสมบัติที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นมีเพียง 1ใน1ล้าน คนเท่านั้น และผู้ที่เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จริงๆนั้นมีเพียงแค่ 1ใน1พันล้าน คนเท่านั้นเอง
    คุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นมีดังต่อไปนี้ คือ
    1.จะต้องเป็นคนที่ดีอย่างแท้จริงเท่านั้น ซึ่งคนชั่วนั้นเป็นไม่ได้เลย ซึ่งหรือก็คือ คนชั่วนั้นหมดสิทธิ์ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง
    2.จะต้องได้รับการยอมรับจากเบี้องบนก่อน นี่หมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวล ซึ่งนั่นก็คือ เหล่าพุทธะ หรือก็คือ เหล่าผู้รู้แจ้งแล้วนั่นเอง(เมื่อเป็นแล้วก็จะรู้เอง)จะรู้เองเห็นเองเหมือนกันกับพระอรหันต์นั่นแหล่ะ แต่ก็ยังด้อยกว่ามากนัก ซึ่งหมายถึงพวกที่มีความสามารถพิเศษในตัวตนของตนเองนั่นเอง
    3.จะต้องเป็นคนที่มีศีลมีธรรมประจำใจเป็นของตนเอง และเคร่งครัดในศีลมากพอสมควร ซึ่งคนที่ไร้ศีลไร้ธรรมประจำใจของตนเองนั้นหมดสิทธิ์เป็นโดยสิ้นเชิง และยังจะต้องรักษาศีลได้อีกด้วย ซึ่งหมายถึงการไม่ละเมิดในศีลข้องต่างๆอย่างเด็ดขาด และจะต้องมีกฎเหล็กประจำตัวประจำใจเป็นของตนเองตามศาสนาหรือลัทธินั้นๆที่ตนเองเคารพนับถือเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย
    4.จะต้องมีศาสนาหรือลัทธิ หรือซึ่งก็คือ จะต้องเป็นผู้ที่นับถือศาสนาหรือลัทธิที่ดีและถูกต้องเท่านั้น ถ้าหากไปนับถือศาสนาหรือลัทธิที่ผิดๆที่แตกต่างไปจากการทำดีการเป็นคนที่ดีแล้วล่ะก็ๆจะหมดสิทธิที่จะได้เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในทันที
    5.จะต้องเป็นผู้ที่มีปัญญามากพอสมควร นี่ไม่ได้หมายถึงการที่มีภูมิความรู้เท่าทันผู้คนกลโกงคนอื่นๆที่มีมากมายก่ายกอง แต่นี่หมายถึงการที่จะต้องมีปัญญามากพอที่จะรับรู้ได้ในจิตใจของตนเองว่าสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม และสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรม ซึ่งหมายถึงการมีปัญญามากพอที่จะแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้อย่างแม่นยำและแน่วแน่มั่นคงในตนเอง และถึงแม้ว่าบุคคลผู้นั้นจะเป็นคนที่บริสิทธิ์ผุดผ่องกายใจ และไว้ใจผู้อื่นง่ายจนเกินไป หรือจะให้พูดโดยง่ายๆก็คือ เชื่อใจคนง่ายจนเกินไป ถูกหลอกได้โดยง่ายจนเกินไป ซึ่งนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลผู้นั้นจะขาดคุณสมบัติในการเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไป เป็นเพียงแค่บุคคลผู้นั้นเค้าอ่อนต่อโลกเกินไป หรือเป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์แล้วจะหมดสิทธิ์หมดคุณสมบัติไป และนี่ก็เป็นหนึ่งในหลายข้อที่บุคคลผู้ซึ่งเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พึงจะมีควรจะมีอีกด้วย
    6.จะต้องเป็นคนที่กล้าหาญชาญชัย นี่ไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องไปเป็นคนที่กล้าหาญชาญชัยในการต่อสู้รบตบมือกับใครเพียงอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงการเป็นคนที่กล้าคิดนอกกรอบกฎระเบียบเก่าแก่คร่ำครึโบราณ กล้าที่จะคิดและตัดสินใจในการทำกิจการงานต่างๆในทางที่ดีและถูกต้องชอบธรรมและเด็ดเดี่ยวเด็ดขาดปราศจากความลังเลใจและเกรงกลัวใดๆ และยังต้องมีความกล้าหาญมากพอที่จะยอมรับความผิดหรือรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองได้กระทำมาในสิ่งที่ผู้อื่นชี้แนะและเห็นสมควรว่ามันไม่ถูกต้องชอบธรรม และไม่มีการประนีประนอมยอมความกันหรือเกิดกลัวความผิดพลาดของตนเองต่อผู้อื่นที่ตนเองได้เคยกระทำลงไปแล้วนั่นเอง
    7.จะต้องเป็นคนที่มีระเบียบวินัยในตนเองอย่างเคร่งครัด การมีระเบียบวินัยนั้นสามารถที่จะทำให้กิจการงานต่างๆนั้นมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยราบรื่นไปได้ด้วยดี และจำเป็นที่จะต้องมีระเบียบวินัยในการรักษากฎระเบียบหรือข้อบังคับต่างๆตามสภาพและสถานะของตนเองในสถานที่ตำแหน่งแห่งงานต่างๆด้วยดี
    8.จะต้องเป็นคนที่มีความอดทนอดกลั้น มีความละอายชั่วกลัวบาปเป็นสำคัญ มีความอดทนอดกลั้นต่อหน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมายที่ได้รับผิดชอบไว้ จำเป็นที่จะต้องมีความอดทนอดกลั้นต่อแรงกระทบกระทั่งจากสิ่งยั่วยุต่างๆภายนอกไม่ให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งรุกรามไปในวงกว้าง เพียงแค่เราสงบสยบใจของเราไว้ไม่ให้ไปผูกโกรธอาฆาตพยาบาทมาดร้ายใครก็จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างจบลงได้โดยเร็วไว จะต้องไม่หลงใหลไปกับกิเลสชั่วอำนาจฝ่ายต่ำที่เข้ามากระทบรบกวนจิตใจ โดยให้กระทำการกิจการงานต่างๆให้เป็นไปได้ด้วยดีราบรื่นปลอดภัย ไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งต่างๆที่ไม่ดีไม่ให้มันเข้ามาครอบงำจิตใจได้
    ซึ่งคุณสมบัติคร่าวๆพอประมาณของผู้ที่เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็มีดังนี้ ซึ่งที่จริงแล้วนั้นยังมีอีกหลายข้อนัก แต่โดยส่วนรวมแล้วก็คือ การที่จะต้องเป็นคนที่ดีและการที่จะต้องไม่เป็นคนชั่วนั่นเองครับ แต่ถ้าหากถามว่าโดยสรุปง่ายๆมีมั้ยนั้น มันก็มีตัวอย่างอยู่แล้ว ซึ่งตัวอย่างนั่นก็คือ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ นั่นเอง ประพฤติปฏิบัติตนเองตามอย่างท่าน ทำตามคำสอนของท่าน เป็นให้ได้อย่างท่านก็แค่นั้นเอง มันก็เท่านั้นเอง เพราะว่าท่านคือจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ท่านเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงแล้วนั่นเอง
    การเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ การเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นพูดไปมันก็ดูเหมือนว่าจะเป็นกันได้โดยง่ายๆ แต่แท้ที่จริงแล้วนั้นมันเป็นกันได้โดยยากมาก ยากมากๆๆ มาดูคุณสมบัติของผู้ที่มีสิทธิ์ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กัน ผู้ที่มีคุณสมบัติที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นมีเพียง 1ใน1ล้าน คนเท่านั้น และผู้ที่เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จริงๆนั้นมีเพียงแค่ 1ใน1พันล้าน คนเท่านั้นเอง คุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นมีดังต่อไปนี้ คือ 1.จะต้องเป็นคนที่ดีอย่างแท้จริงเท่านั้น ซึ่งคนชั่วนั้นเป็นไม่ได้เลย ซึ่งหรือก็คือ คนชั่วนั้นหมดสิทธิ์ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง 2.จะต้องได้รับการยอมรับจากเบี้องบนก่อน นี่หมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวล ซึ่งนั่นก็คือ เหล่าพุทธะ หรือก็คือ เหล่าผู้รู้แจ้งแล้วนั่นเอง(เมื่อเป็นแล้วก็จะรู้เอง)จะรู้เองเห็นเองเหมือนกันกับพระอรหันต์นั่นแหล่ะ แต่ก็ยังด้อยกว่ามากนัก ซึ่งหมายถึงพวกที่มีความสามารถพิเศษในตัวตนของตนเองนั่นเอง 3.จะต้องเป็นคนที่มีศีลมีธรรมประจำใจเป็นของตนเอง และเคร่งครัดในศีลมากพอสมควร ซึ่งคนที่ไร้ศีลไร้ธรรมประจำใจของตนเองนั้นหมดสิทธิ์เป็นโดยสิ้นเชิง และยังจะต้องรักษาศีลได้อีกด้วย ซึ่งหมายถึงการไม่ละเมิดในศีลข้องต่างๆอย่างเด็ดขาด และจะต้องมีกฎเหล็กประจำตัวประจำใจเป็นของตนเองตามศาสนาหรือลัทธินั้นๆที่ตนเองเคารพนับถือเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย 4.จะต้องมีศาสนาหรือลัทธิ หรือซึ่งก็คือ จะต้องเป็นผู้ที่นับถือศาสนาหรือลัทธิที่ดีและถูกต้องเท่านั้น ถ้าหากไปนับถือศาสนาหรือลัทธิที่ผิดๆที่แตกต่างไปจากการทำดีการเป็นคนที่ดีแล้วล่ะก็ๆจะหมดสิทธิที่จะได้เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในทันที 5.จะต้องเป็นผู้ที่มีปัญญามากพอสมควร นี่ไม่ได้หมายถึงการที่มีภูมิความรู้เท่าทันผู้คนกลโกงคนอื่นๆที่มีมากมายก่ายกอง แต่นี่หมายถึงการที่จะต้องมีปัญญามากพอที่จะรับรู้ได้ในจิตใจของตนเองว่าสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม และสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรม ซึ่งหมายถึงการมีปัญญามากพอที่จะแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้อย่างแม่นยำและแน่วแน่มั่นคงในตนเอง และถึงแม้ว่าบุคคลผู้นั้นจะเป็นคนที่บริสิทธิ์ผุดผ่องกายใจ และไว้ใจผู้อื่นง่ายจนเกินไป หรือจะให้พูดโดยง่ายๆก็คือ เชื่อใจคนง่ายจนเกินไป ถูกหลอกได้โดยง่ายจนเกินไป ซึ่งนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลผู้นั้นจะขาดคุณสมบัติในการเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไป เป็นเพียงแค่บุคคลผู้นั้นเค้าอ่อนต่อโลกเกินไป หรือเป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์แล้วจะหมดสิทธิ์หมดคุณสมบัติไป และนี่ก็เป็นหนึ่งในหลายข้อที่บุคคลผู้ซึ่งเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พึงจะมีควรจะมีอีกด้วย 6.จะต้องเป็นคนที่กล้าหาญชาญชัย นี่ไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องไปเป็นคนที่กล้าหาญชาญชัยในการต่อสู้รบตบมือกับใครเพียงอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงการเป็นคนที่กล้าคิดนอกกรอบกฎระเบียบเก่าแก่คร่ำครึโบราณ กล้าที่จะคิดและตัดสินใจในการทำกิจการงานต่างๆในทางที่ดีและถูกต้องชอบธรรมและเด็ดเดี่ยวเด็ดขาดปราศจากความลังเลใจและเกรงกลัวใดๆ และยังต้องมีความกล้าหาญมากพอที่จะยอมรับความผิดหรือรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองได้กระทำมาในสิ่งที่ผู้อื่นชี้แนะและเห็นสมควรว่ามันไม่ถูกต้องชอบธรรม และไม่มีการประนีประนอมยอมความกันหรือเกิดกลัวความผิดพลาดของตนเองต่อผู้อื่นที่ตนเองได้เคยกระทำลงไปแล้วนั่นเอง 7.จะต้องเป็นคนที่มีระเบียบวินัยในตนเองอย่างเคร่งครัด การมีระเบียบวินัยนั้นสามารถที่จะทำให้กิจการงานต่างๆนั้นมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยราบรื่นไปได้ด้วยดี และจำเป็นที่จะต้องมีระเบียบวินัยในการรักษากฎระเบียบหรือข้อบังคับต่างๆตามสภาพและสถานะของตนเองในสถานที่ตำแหน่งแห่งงานต่างๆด้วยดี 8.จะต้องเป็นคนที่มีความอดทนอดกลั้น มีความละอายชั่วกลัวบาปเป็นสำคัญ มีความอดทนอดกลั้นต่อหน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมายที่ได้รับผิดชอบไว้ จำเป็นที่จะต้องมีความอดทนอดกลั้นต่อแรงกระทบกระทั่งจากสิ่งยั่วยุต่างๆภายนอกไม่ให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งรุกรามไปในวงกว้าง เพียงแค่เราสงบสยบใจของเราไว้ไม่ให้ไปผูกโกรธอาฆาตพยาบาทมาดร้ายใครก็จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างจบลงได้โดยเร็วไว จะต้องไม่หลงใหลไปกับกิเลสชั่วอำนาจฝ่ายต่ำที่เข้ามากระทบรบกวนจิตใจ โดยให้กระทำการกิจการงานต่างๆให้เป็นไปได้ด้วยดีราบรื่นปลอดภัย ไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งต่างๆที่ไม่ดีไม่ให้มันเข้ามาครอบงำจิตใจได้ ซึ่งคุณสมบัติคร่าวๆพอประมาณของผู้ที่เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็มีดังนี้ ซึ่งที่จริงแล้วนั้นยังมีอีกหลายข้อนัก แต่โดยส่วนรวมแล้วก็คือ การที่จะต้องเป็นคนที่ดีและการที่จะต้องไม่เป็นคนชั่วนั่นเองครับ แต่ถ้าหากถามว่าโดยสรุปง่ายๆมีมั้ยนั้น มันก็มีตัวอย่างอยู่แล้ว ซึ่งตัวอย่างนั่นก็คือ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ นั่นเอง ประพฤติปฏิบัติตนเองตามอย่างท่าน ทำตามคำสอนของท่าน เป็นให้ได้อย่างท่านก็แค่นั้นเอง มันก็เท่านั้นเอง เพราะว่าท่านคือจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ท่านเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงแล้วนั่นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องของความศรัทธาที่แท้จริง
    ความศรัทธา มันมีอยู่หลายรูปแบบ แต่ผมจะแยกเป็น 2 แบบ ด้วยกันคือ ศรัทธาโดยมีหลักธรรม กับศรัทธาโดยไม่มีธรรม

    ศรัทธาโดยไม่มีธรรม คือ การหวังในสิ่งต่างๆที่ไม่มีจริง หวังลมๆแล้งว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งๆที่มันไม่มีวันเป็นจริงได้โดยง่าย เช่นหวังโง่งมงายกับลมฟ้าฝน ว่าจะตกโดยทำพิธีขอฝน แทนที่จะทำทุกปัจจัยที่มันทำให้เกิดฝน อย่างฝนเทียมของในหลวงท่านน่ะ หวังว่าเราจะถูกหวยรวยเป็นล้านๆ โดยไปขอหวยกับคนประเภทต่างๆ หรือไม่ก็สิ่งต่างๆที่มันแปลกๆ ทั้งๆที่มันไม่มีความเกี่ยวข้องเกี่ยวเนื่องกันเลย นี่ผมยกตัวอย่างแบบง่ายๆให้ได้เห็นกัน และยังมีตัวอย่างอีกมากมายไม่รู้จบที่สามารถบ่งบอกได้โดยง่ายๆว่ามันเป็นศรัทธาที่ไม่มีธรรมนั่นเอง

    ศรัทธาโดยมีธรรมเป็นยังไง มาว่ากัน ศรัทธาโดยมีธรรม คือ การเชื่ออย่างมีหลักเหตุและผลของมัน ซึ่งแม้ว่าบางครั้งศรัทธาประเภทนี้มักไม่เกี่ยวข้องเนื่องโยงกัน แต่แท้จริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกี่ยวข้องกันโดยที่เราไม่รู้ ซึ่งมันยากยิ่งที่เราจะรู้ได้ เพราะมันเป็นธรรมขั้นสูงสุดและสูงส่งกว่าคนธรรมดาจะรู้ได้นั่นเอง แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่มีจริงและไม่มีเหตุผล ซึ่งพระพุทธองค์ท่านก็รู้พระอรหันต์ท่านก็รู้ โดยเฉพาะเรื่องรู้อนาคตของสรรพสิ่งที่เกี่ยวเนื่องโยงใยกับท่านทั้งทางตรงและทางอ้อมนั่นเอง ผมจะยกตัวอย่างแบบง่ายๆให้เข้าใจกัน
    มีคนชั่วทำชั่วโดยฆ่าผู้อื่นตายและหนีมาหาพระ มาพึ่งพระและบอกว่าข้าพเจ้ายังไม่อยากตาย ท่านได้โปรดช่วยข้าด้วย พระท่านก็ทักว่า โยมไปทำอะไรมาล่ะ ถึงไม่อยากตายและหนีมาพึ่งพระ ข้าพเจ้าแค่ฆ่าคนตาย ถึงมันจะน้อยก็เถอะ แค่เป็นพันๆเอง ข้าพเจ้าสั่งลูกน้องให้มันทำให้ แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ทำเองสักหน่อยเดียวเลยนะท่าน พระท่านก็กล่าวท่านทำไงก็ต้องได้รับผลกรรมของท่านเอง รวมทั้งลูกน้องของท่านด้วย เพราะท่านทำเหตุไว้ ท่านก็ต้องรับผลกรรมของท่านไป ไม่ว่าท่านจะไปไหน ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหน ท่านทำอะไรอยู่ท่านย่อมรู้แก่ใจของท่านเอง ท่านจะมาหวังพึ่งพระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนไม่ได้หรอกนะ แต่ใช่ว่าท่านจะไม่สามารถลดทอนกรรมเก่าไม่ได้ ถ้าท่านกลับเนื้อกลับตัวกลับใจเสียใหม่ ไม่ทำบาปเพิ่มและหมั่นทำดีขึ้นทุกเมื่อทุกที่ ท่านก็สามารถลดทอนกำลังกรรมของท่านได้นะ แต่ต้องเร็วหน่อยนะ แค่ก่อนสิ้นลมเท่านั้น ถ้าท่านทำไม่ได้ท่านก็อย่าหวังว่าท่านจะรอดพ้นเงื้อมือมัจจุราชได้เลย เพราะฉะนั้นแล้วเราควรที่จะมีสติ มีสมาธิ และปัญญาที่ถูกต้องที่ดีเอาไว้กับตัวเอง ทุกสิ่งล้วนมีเหตุและผลเสมอ ซึ่งบางเรื่องมันสุดวิสัยคนธรรมดาเท่านั้นเอง

    และศรัทธาที่จะทำให้เกิดปาฏิหาริย์ได้นั้นจะมีอยู่เฉพาะกับบุคคลที่ดีอย่างแท้จริงเท่านั้น โดยเฉพาะกับพวกพระอรหันต์ท่านต่างๆซึ่งเป็นดั่งศิษย์ของพระพุทธองค์ และน้อยนักที่จะมีและเกิดกับศาสนาอื่นๆ ซึ่งในคนดีนั้นก็จะมีดีอยู่ในตัวเอง โดยที่บางครั้งเจ้าตัวเองก็ไม่รู้เลยด้วยซ้ำไป "ของดีมีไว้ให้กับคนดีเท่านั้น" คำพูดของท่านพระยม "ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว" "ทำอย่างไรได้อย่างนั้น" คำพูดของพระพุทธองค์และพระอรหันต์ "อยากได้ดีต้องทำดี" คำพูดของข้าพเจ้าเอง
    เรื่องของความศรัทธาที่แท้จริง ความศรัทธา มันมีอยู่หลายรูปแบบ แต่ผมจะแยกเป็น 2 แบบ ด้วยกันคือ ศรัทธาโดยมีหลักธรรม กับศรัทธาโดยไม่มีธรรม ศรัทธาโดยไม่มีธรรม คือ การหวังในสิ่งต่างๆที่ไม่มีจริง หวังลมๆแล้งว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งๆที่มันไม่มีวันเป็นจริงได้โดยง่าย เช่นหวังโง่งมงายกับลมฟ้าฝน ว่าจะตกโดยทำพิธีขอฝน แทนที่จะทำทุกปัจจัยที่มันทำให้เกิดฝน อย่างฝนเทียมของในหลวงท่านน่ะ หวังว่าเราจะถูกหวยรวยเป็นล้านๆ โดยไปขอหวยกับคนประเภทต่างๆ หรือไม่ก็สิ่งต่างๆที่มันแปลกๆ ทั้งๆที่มันไม่มีความเกี่ยวข้องเกี่ยวเนื่องกันเลย นี่ผมยกตัวอย่างแบบง่ายๆให้ได้เห็นกัน และยังมีตัวอย่างอีกมากมายไม่รู้จบที่สามารถบ่งบอกได้โดยง่ายๆว่ามันเป็นศรัทธาที่ไม่มีธรรมนั่นเอง ศรัทธาโดยมีธรรมเป็นยังไง มาว่ากัน ศรัทธาโดยมีธรรม คือ การเชื่ออย่างมีหลักเหตุและผลของมัน ซึ่งแม้ว่าบางครั้งศรัทธาประเภทนี้มักไม่เกี่ยวข้องเนื่องโยงกัน แต่แท้จริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกี่ยวข้องกันโดยที่เราไม่รู้ ซึ่งมันยากยิ่งที่เราจะรู้ได้ เพราะมันเป็นธรรมขั้นสูงสุดและสูงส่งกว่าคนธรรมดาจะรู้ได้นั่นเอง แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่มีจริงและไม่มีเหตุผล ซึ่งพระพุทธองค์ท่านก็รู้พระอรหันต์ท่านก็รู้ โดยเฉพาะเรื่องรู้อนาคตของสรรพสิ่งที่เกี่ยวเนื่องโยงใยกับท่านทั้งทางตรงและทางอ้อมนั่นเอง ผมจะยกตัวอย่างแบบง่ายๆให้เข้าใจกัน มีคนชั่วทำชั่วโดยฆ่าผู้อื่นตายและหนีมาหาพระ มาพึ่งพระและบอกว่าข้าพเจ้ายังไม่อยากตาย ท่านได้โปรดช่วยข้าด้วย พระท่านก็ทักว่า โยมไปทำอะไรมาล่ะ ถึงไม่อยากตายและหนีมาพึ่งพระ ข้าพเจ้าแค่ฆ่าคนตาย ถึงมันจะน้อยก็เถอะ แค่เป็นพันๆเอง ข้าพเจ้าสั่งลูกน้องให้มันทำให้ แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ทำเองสักหน่อยเดียวเลยนะท่าน พระท่านก็กล่าวท่านทำไงก็ต้องได้รับผลกรรมของท่านเอง รวมทั้งลูกน้องของท่านด้วย เพราะท่านทำเหตุไว้ ท่านก็ต้องรับผลกรรมของท่านไป ไม่ว่าท่านจะไปไหน ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหน ท่านทำอะไรอยู่ท่านย่อมรู้แก่ใจของท่านเอง ท่านจะมาหวังพึ่งพระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนไม่ได้หรอกนะ แต่ใช่ว่าท่านจะไม่สามารถลดทอนกรรมเก่าไม่ได้ ถ้าท่านกลับเนื้อกลับตัวกลับใจเสียใหม่ ไม่ทำบาปเพิ่มและหมั่นทำดีขึ้นทุกเมื่อทุกที่ ท่านก็สามารถลดทอนกำลังกรรมของท่านได้นะ แต่ต้องเร็วหน่อยนะ แค่ก่อนสิ้นลมเท่านั้น ถ้าท่านทำไม่ได้ท่านก็อย่าหวังว่าท่านจะรอดพ้นเงื้อมือมัจจุราชได้เลย เพราะฉะนั้นแล้วเราควรที่จะมีสติ มีสมาธิ และปัญญาที่ถูกต้องที่ดีเอาไว้กับตัวเอง ทุกสิ่งล้วนมีเหตุและผลเสมอ ซึ่งบางเรื่องมันสุดวิสัยคนธรรมดาเท่านั้นเอง และศรัทธาที่จะทำให้เกิดปาฏิหาริย์ได้นั้นจะมีอยู่เฉพาะกับบุคคลที่ดีอย่างแท้จริงเท่านั้น โดยเฉพาะกับพวกพระอรหันต์ท่านต่างๆซึ่งเป็นดั่งศิษย์ของพระพุทธองค์ และน้อยนักที่จะมีและเกิดกับศาสนาอื่นๆ ซึ่งในคนดีนั้นก็จะมีดีอยู่ในตัวเอง โดยที่บางครั้งเจ้าตัวเองก็ไม่รู้เลยด้วยซ้ำไป "ของดีมีไว้ให้กับคนดีเท่านั้น" คำพูดของท่านพระยม "ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว" "ทำอย่างไรได้อย่างนั้น" คำพูดของพระพุทธองค์และพระอรหันต์ "อยากได้ดีต้องทำดี" คำพูดของข้าพเจ้าเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 140 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความถูกต้องกับความปรารถนาและความปรารถนาในความถูกต้อง
    ความถูกต้องกับความปรารถนานั้นแตกต่างกัน และส่วนใหญ่มักจะไปด้วยกันไม่ได้ แต่ก็มียกเว้นอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งก็คือความปรารถนาในความถูกต้อง
    ความถูกต้อง นั้นไม่สามารถเกี่ยงได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว,ญาติ,มิตร,สหาย ไม่ว่าจะเป็นลาภ,ยศ,สรรเสริญ,สุข ไม่ว่าจะเป็นความอยาก,ไม่อยาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม เพราะจะต้องไม่โอนเอียงไปในด้านใดด้านหนึ่ง และจะต้องคำนึงถึงแต่ในความถูกต้องเท่านั้น ไม่ว่าผู้นั้นจะพึงพอใจหรือไม่ก็ตามที และจะต้องมีความเด็ดขาดอีกด้วย โดยจะต้องอยู่ในครรลองทำนองธรรม หลักคุณธรรมความดี และความถูกต้องอีกด้วย
    ไม่เหมือนกับ ความปรารถนา ที่สามารถที่จะกระทำในสิ่งที่ผู้นั้นจะพึงสามารถกระทำทำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง โดยไม่คำนึงถึงบาป,บุญ,คุณ,โทษหลักคุณธรรม,จริยธรรม,จรรยาบรรณ สามารถทำได้ทุกสิ่งทุกอย่างโดยเข้าข้างตนเองและพวกพ้อง โดยไม่จำเป็นที่จะต้องใส่ใจในเรื่องใดๆทั้งสิ้นก็ตามที เพื่อสนองตัณหาความต้องการของตนเองเพื่อให้ได้ในทุกสิ่งที่ตนเองต้องการ
    สุดท้าย ความปรารถนาในความถูกต้อง เป็นเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถอยู่ร่วมด้วยกันได้ในทั้งสองอย่างแรก แต่เป็นเรื่องที่ยากมากที่จะทำได้โดยง่าย สำหรับคนเลว,คนชั่วช้าต่ำทราม,คนใจคด และไม่มีคุณธรรม,คุณงามความดี,ความถูกต้องดีงามในจิตใจของตนเองเลย จะไม่สามารถที่จะกระทำได้เลย แต่ก็ยกเว้นเฉพาะกับคนที่ดีอย่างแท้จริง และคนที่รักความถูกต้องดีงามเท่านั้นที่จะสามารถที่จะกระทำได้ และบุคคลเช่นนี้นั้นหายากมากในสังคมของเรา และบุคคลดังกล่าวที่ว่ามานี้นั้น ส่วนใหญ่มักจะได้เป็นที่ยกย่องเชิดชูในสายตาของคนดี ไม่ใช่ทั้งในโลกนี้เท่านั้น แต่รวมถึงทั้งในโลกหน้าด้วย ซึ่งเป็นบุคคลที่หาได้ยากยิ่งในสังคมจริงๆ
    ความถูกต้องกับความปรารถนาและความปรารถนาในความถูกต้อง ความถูกต้องกับความปรารถนานั้นแตกต่างกัน และส่วนใหญ่มักจะไปด้วยกันไม่ได้ แต่ก็มียกเว้นอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งก็คือความปรารถนาในความถูกต้อง ความถูกต้อง นั้นไม่สามารถเกี่ยงได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว,ญาติ,มิตร,สหาย ไม่ว่าจะเป็นลาภ,ยศ,สรรเสริญ,สุข ไม่ว่าจะเป็นความอยาก,ไม่อยาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม เพราะจะต้องไม่โอนเอียงไปในด้านใดด้านหนึ่ง และจะต้องคำนึงถึงแต่ในความถูกต้องเท่านั้น ไม่ว่าผู้นั้นจะพึงพอใจหรือไม่ก็ตามที และจะต้องมีความเด็ดขาดอีกด้วย โดยจะต้องอยู่ในครรลองทำนองธรรม หลักคุณธรรมความดี และความถูกต้องอีกด้วย ไม่เหมือนกับ ความปรารถนา ที่สามารถที่จะกระทำในสิ่งที่ผู้นั้นจะพึงสามารถกระทำทำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง โดยไม่คำนึงถึงบาป,บุญ,คุณ,โทษหลักคุณธรรม,จริยธรรม,จรรยาบรรณ สามารถทำได้ทุกสิ่งทุกอย่างโดยเข้าข้างตนเองและพวกพ้อง โดยไม่จำเป็นที่จะต้องใส่ใจในเรื่องใดๆทั้งสิ้นก็ตามที เพื่อสนองตัณหาความต้องการของตนเองเพื่อให้ได้ในทุกสิ่งที่ตนเองต้องการ สุดท้าย ความปรารถนาในความถูกต้อง เป็นเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถอยู่ร่วมด้วยกันได้ในทั้งสองอย่างแรก แต่เป็นเรื่องที่ยากมากที่จะทำได้โดยง่าย สำหรับคนเลว,คนชั่วช้าต่ำทราม,คนใจคด และไม่มีคุณธรรม,คุณงามความดี,ความถูกต้องดีงามในจิตใจของตนเองเลย จะไม่สามารถที่จะกระทำได้เลย แต่ก็ยกเว้นเฉพาะกับคนที่ดีอย่างแท้จริง และคนที่รักความถูกต้องดีงามเท่านั้นที่จะสามารถที่จะกระทำได้ และบุคคลเช่นนี้นั้นหายากมากในสังคมของเรา และบุคคลดังกล่าวที่ว่ามานี้นั้น ส่วนใหญ่มักจะได้เป็นที่ยกย่องเชิดชูในสายตาของคนดี ไม่ใช่ทั้งในโลกนี้เท่านั้น แต่รวมถึงทั้งในโลกหน้าด้วย ซึ่งเป็นบุคคลที่หาได้ยากยิ่งในสังคมจริงๆ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 59 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความหมายของ "สูงสุด คืนสู่สามัญ" ที่แท้จริง
    สำหรับคนทั่วไปแล้ว ความหมายของ "สูงสุด คืนสู่สามัญ" นั้นหมายถึง
    ไม่ว่าใครที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดแค่ไหนก็ตาม ล้วนมีจุดจบที่แสนเศร้าเหมือนกันหมดทุกคน นั่นก็คือความตาย นอนตายอยู่ในโลงศพที่ใหญ่กว่าตนด้วยกันทุกคน แต่ที่แตกต่างกันก็คือ ก่อนตายนั้นเขาเหล่านั้นได้ทิ้งอะไรไว้ก่อนที่ตนเองจะตายไป สิ่งนั้นก็คือคุณงามความดีหรือบาปบุญคุณโทษนั่นเอง
    แต่สำหรับผมแล้ว ความหมายของ "สูงสุด คืนสู่สามัญ" นั้นแตกต่างออกไปจากคนอื่นๆคือ การที่ผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดนั้น ได้ทำประโยชน์ให้แก่ผู้ที่ยืนอยู่ในจุดที่ต่ำกว่าตนเอง หรือผู้ที่ยืนอยู่ในจุดที่ต่ำที่สุดนั่นเอง
    ดังตัวอย่างในบุคคลหนึ่งที่สามารถเข้าใจในความหมายนั้นได้โดยง่ายที่สุด
    บุคคลนั้นก็คือ ในหลวงของพวกเราปวงชนชาวไทยนั่นเอง ซึ่งท่านได้ทำให้ทุกคนได้เห็นประจักษ์กันทั่วทั้งประเทศและทั่วทั้งโลกแล้วนั่นเอง
    ดังนั้นพวกเราปวงชนชาวไทยควรจะตอบแทนบุญคุณท่านด้วยการเป็นคนดี สามัคคีกัน อยู่ด้วยกันอย่างเข้าใจกันและกัน ทำให้ท่านมีความสุขและกลับมายิ้มได้อีกครั้ง
    ความหมายของ "สูงสุด คืนสู่สามัญ" ที่แท้จริง สำหรับคนทั่วไปแล้ว ความหมายของ "สูงสุด คืนสู่สามัญ" นั้นหมายถึง ไม่ว่าใครที่เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดแค่ไหนก็ตาม ล้วนมีจุดจบที่แสนเศร้าเหมือนกันหมดทุกคน นั่นก็คือความตาย นอนตายอยู่ในโลงศพที่ใหญ่กว่าตนด้วยกันทุกคน แต่ที่แตกต่างกันก็คือ ก่อนตายนั้นเขาเหล่านั้นได้ทิ้งอะไรไว้ก่อนที่ตนเองจะตายไป สิ่งนั้นก็คือคุณงามความดีหรือบาปบุญคุณโทษนั่นเอง แต่สำหรับผมแล้ว ความหมายของ "สูงสุด คืนสู่สามัญ" นั้นแตกต่างออกไปจากคนอื่นๆคือ การที่ผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดนั้น ได้ทำประโยชน์ให้แก่ผู้ที่ยืนอยู่ในจุดที่ต่ำกว่าตนเอง หรือผู้ที่ยืนอยู่ในจุดที่ต่ำที่สุดนั่นเอง ดังตัวอย่างในบุคคลหนึ่งที่สามารถเข้าใจในความหมายนั้นได้โดยง่ายที่สุด บุคคลนั้นก็คือ ในหลวงของพวกเราปวงชนชาวไทยนั่นเอง ซึ่งท่านได้ทำให้ทุกคนได้เห็นประจักษ์กันทั่วทั้งประเทศและทั่วทั้งโลกแล้วนั่นเอง ดังนั้นพวกเราปวงชนชาวไทยควรจะตอบแทนบุญคุณท่านด้วยการเป็นคนดี สามัคคีกัน อยู่ด้วยกันอย่างเข้าใจกันและกัน ทำให้ท่านมีความสุขและกลับมายิ้มได้อีกครั้ง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 51 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิถีชีวิตของคนเราเกี่ยวกับเรื่องของความตาย
    วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนเรานั้นล้วนแตกต่างกัน
    บางคนก็มีชีวิตที่แสนสุขสบาย บางคนก็มีชีวิตที่แสนเรียบง่าย และบางคนก็มีชีวิตที่แสนขมขื่นและน่าอดสู ซึ่งขึ้นอยู่กับ "ดวงชะตา" หรือ "โชคชะตา" ของแต่ละคนที่แตกต่างกัน
    เราไม่สามารถที่จะเลือกเกิดได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะเป็นได้ หรืออย่างน้อยที่สุดเราก็สามารถเลือกที่จะตายได้
    ซึ่งการตายของคนเรานั้นมี 2 แบบด้วยกันคือ
    แบบที่ 1 คือการตายอย่างมีค่า
    ซึ่งหมายถึงการตายโดยที่ตนเองได้ทำประโยชน์ให้แก่ตนเองและผู้อื่น
    ซึ่งการตายแบบนี้นั้น อย่างน้อยที่สุดเขาหรือเธอคนนั้นก็สามารถทำให้ผู้อื่นได้ชื่นชมยกย่องในคุณงามความดีของเขาหรือเธอคนนั้นที่ได้เคยกระทำเอาไว้ในอดีต ทั้งยังเป็นที่จดจำของผู้คน และทำให้ได้รับการยกย่องสรรเสริญแก่วงศ์ตระกูลสืบต่อไปตราบนานเท่านาน อีกทั้งยังเป็นแบบอย่างที่ดีแก่คนรุ่นหลังให้ได้กระทำตามแบบอย่างที่ดีสืบต่อไปอีกด้วย
    ส่วนแบบที่ 2 นั้น คือการตายอย่างไร้ค่า
    ซึ่งหมายถึงการตายที่ตนเองไม่ได้ทำประโยชน์ให้แก่ตนเองและผู้อื่น อีกทั้งยังทำให้ผู้อื่นต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย
    ซึ่งการตายแบบนี้นั้น เป็นการตายที่ไม่น่ากระทำเป็นเยี่ยงอย่างเอาเสียเลย กล่าวคือ มันเป็นการตายที่ไม่มีประโยชน์ ไม่มีคุนค่า และบางคนหนักยิ่งไปกว่านั้นอีก คือ ตอนที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่นั้น ตนเองไม่เคยได้ทำประโยชน์ให้แก่ผู้ใดเลย และพอตนเองได้ตายไปแล้วนั้น ยังทำให้ผู้อื่นต้องเป็นธุระลำบากในเรื่องต่างๆอีกด้วย ส่วนบางคนนั้นกลับแย่ยิ่งไปกว่านั้นอีก คือ ตอนที่ตนเองมีชีวิตอยู่นั้น ตนเองได้แต่กระทำบาป ครั้นพอตนเองได้ตายลงไปแล้ว ก็ทำให้ผู้อื่นต้องคอยเป็นธุระจัดการในเรื่องต่างๆแล้วยังไม่พอ ยังทำให้วงศ์ตระกูลพลอยเสื่อมเสียไปด้วย ซ้ำยังถูกก่นด่าจากผู้คนอีก ด้วยความไม่พอใจในตนเอง ว่าตนเองได้เคยทำให้ผู้อื่นนั้นเดือดร้อน และก็ถูกผู้อื่นเกลียดชัง ซึ่งส่งผลให้คนในตระกูลของตนต้องรับกรรรมที่ตนเองได้เคยก่อเอาไว้ในอดีต ซึ่งคนในตระกุลไม่มีส่วนรู้เห็นในการกระทำของตนเองเลย แต่กลับต้องมารับกรรมแทนตนเองอีก ซึ่งคนแบบนี้นั้น ตายไปคงต้องตกนรกหมกไหม้อย่างแน่นอน
    สุดท้ายนี้ เมื่อกล่าวถึงเรื่องของความตายนั้น "ไม่ว่าใครก็ต้องตายด้วยกันทั้งนั้น มันเป็นสัจธรรม" สุดแท้แต่ใครจะเลือกเดินไปในเส้นทางไหน
    ผมขอให้ข้อคิดคุณ
    ในเมื่อคุณรู้อย่างนี้แล้ว แล้วคุณจะเลือกที่จะตายในแบบไหนกัน?
    ผมหวังว่าคุณคงจะเลือกเดินในเส้นทางที่ถูกนะครับ
    วิถีชีวิตของคนเราเกี่ยวกับเรื่องของความตาย วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนเรานั้นล้วนแตกต่างกัน บางคนก็มีชีวิตที่แสนสุขสบาย บางคนก็มีชีวิตที่แสนเรียบง่าย และบางคนก็มีชีวิตที่แสนขมขื่นและน่าอดสู ซึ่งขึ้นอยู่กับ "ดวงชะตา" หรือ "โชคชะตา" ของแต่ละคนที่แตกต่างกัน เราไม่สามารถที่จะเลือกเกิดได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะเป็นได้ หรืออย่างน้อยที่สุดเราก็สามารถเลือกที่จะตายได้ ซึ่งการตายของคนเรานั้นมี 2 แบบด้วยกันคือ แบบที่ 1 คือการตายอย่างมีค่า ซึ่งหมายถึงการตายโดยที่ตนเองได้ทำประโยชน์ให้แก่ตนเองและผู้อื่น ซึ่งการตายแบบนี้นั้น อย่างน้อยที่สุดเขาหรือเธอคนนั้นก็สามารถทำให้ผู้อื่นได้ชื่นชมยกย่องในคุณงามความดีของเขาหรือเธอคนนั้นที่ได้เคยกระทำเอาไว้ในอดีต ทั้งยังเป็นที่จดจำของผู้คน และทำให้ได้รับการยกย่องสรรเสริญแก่วงศ์ตระกูลสืบต่อไปตราบนานเท่านาน อีกทั้งยังเป็นแบบอย่างที่ดีแก่คนรุ่นหลังให้ได้กระทำตามแบบอย่างที่ดีสืบต่อไปอีกด้วย ส่วนแบบที่ 2 นั้น คือการตายอย่างไร้ค่า ซึ่งหมายถึงการตายที่ตนเองไม่ได้ทำประโยชน์ให้แก่ตนเองและผู้อื่น อีกทั้งยังทำให้ผู้อื่นต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย ซึ่งการตายแบบนี้นั้น เป็นการตายที่ไม่น่ากระทำเป็นเยี่ยงอย่างเอาเสียเลย กล่าวคือ มันเป็นการตายที่ไม่มีประโยชน์ ไม่มีคุนค่า และบางคนหนักยิ่งไปกว่านั้นอีก คือ ตอนที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่นั้น ตนเองไม่เคยได้ทำประโยชน์ให้แก่ผู้ใดเลย และพอตนเองได้ตายไปแล้วนั้น ยังทำให้ผู้อื่นต้องเป็นธุระลำบากในเรื่องต่างๆอีกด้วย ส่วนบางคนนั้นกลับแย่ยิ่งไปกว่านั้นอีก คือ ตอนที่ตนเองมีชีวิตอยู่นั้น ตนเองได้แต่กระทำบาป ครั้นพอตนเองได้ตายลงไปแล้ว ก็ทำให้ผู้อื่นต้องคอยเป็นธุระจัดการในเรื่องต่างๆแล้วยังไม่พอ ยังทำให้วงศ์ตระกูลพลอยเสื่อมเสียไปด้วย ซ้ำยังถูกก่นด่าจากผู้คนอีก ด้วยความไม่พอใจในตนเอง ว่าตนเองได้เคยทำให้ผู้อื่นนั้นเดือดร้อน และก็ถูกผู้อื่นเกลียดชัง ซึ่งส่งผลให้คนในตระกูลของตนต้องรับกรรรมที่ตนเองได้เคยก่อเอาไว้ในอดีต ซึ่งคนในตระกุลไม่มีส่วนรู้เห็นในการกระทำของตนเองเลย แต่กลับต้องมารับกรรมแทนตนเองอีก ซึ่งคนแบบนี้นั้น ตายไปคงต้องตกนรกหมกไหม้อย่างแน่นอน สุดท้ายนี้ เมื่อกล่าวถึงเรื่องของความตายนั้น "ไม่ว่าใครก็ต้องตายด้วยกันทั้งนั้น มันเป็นสัจธรรม" สุดแท้แต่ใครจะเลือกเดินไปในเส้นทางไหน ผมขอให้ข้อคิดคุณ ในเมื่อคุณรู้อย่างนี้แล้ว แล้วคุณจะเลือกที่จะตายในแบบไหนกัน? ผมหวังว่าคุณคงจะเลือกเดินในเส้นทางที่ถูกนะครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 50 มุมมอง 0 รีวิว
  • ละอายต่อบาป ละอายต่อการกระทำไม่ดี ฯ ดี เหมือนเราถือศิล 5 มีความละอายต่อบาปต่างๆ
    ละอายต่อบาป ละอายต่อการกระทำไม่ดี ฯ ดี เหมือนเราถือศิล 5 มีความละอายต่อบาปต่างๆ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 42 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภิกษุที่เลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยเดรัจฉานวิชา ผลคือ ท่านจะไม่ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน เพราะการเลี้ยงชีพของภิกษุคือการขอ และเขาให้ด้วยศรัทธา ภิกษุจึงควรนำเวลาไปศึกษาปริยัติหรือปฏิบัติธรรม ซึ่งคือการทำธุระในพระพุทธศาสนา (คันถธุระและวิปัสสนาธุระ) หากท่านละเลยไม่นำเวลาไปปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ท่านจะห่างจากมรรคผลนิพพาน คือเดินไปคนละทางกับกิจที่ควรทำเพื่อมรรคผลนิพพาน โทษของภิกษุผู้เลี้ยงชีพด้วยเดรัจฉานวิชาจึงมีแค่นี้

    เดรัจฉานวิชาไม่ใช่อันตรายิกธรรมที่ขวางกั้นพระนิพพานนะ เพราะการขวางกั้นพระนิพพานหมายถึงชาตินี้นิพพานไม่ได้เลย มีเหตุขวางกั้น เช่น อนันตริยกรรม ผู้กระทำอนันตริยกรรม ไม่ว่าจะเพียงปฏิบัติเท่าไหร่ ก็บรรลุมรรคผลไม่ได้ เช่นเดียวกับพระเจ้าอชาติศัตรู แต่เดรัจฉานวิชาซึ่งภิกษุใช้เลี้ยงชีพ เพียงแค่ท่านเลิกเสียและหันมาปฏิบัติสติปัฏฐานท่านก็เข้าถึงพระนิพพานได้ ครูนัทจึงย้ำเสมอว่า ไม่ควรใช้คำว่า ขวางพระนิพพาน เดรัจฉานวิชาคือเป็นไปในทางขวาง เยี่ยงลำตัวสัตว์เดรัจฉาน ทางไปพระนิพานอยู่หัว ทางทำมาหากินอยู่หาง มันแค่เป็นคนละทางกัน

    พระพุทธเจ้าไม่เคยติเตียนภิกษุที่เลี้ยงชีพด้วยเดรัจฉานวิชาว่าเป็นโมฆะบุรุษ ไม่ทรงปรับอาบัติในเรื่องนี้ อาบัติจะปรับไปในเรื่องรับเงินรับทองที่เกิดจากการเลี้ยงชีพ ดังนั้นในส่วนของเดรัจฉานวิชาจึงไม่มีในส่วนของพระวินัยอาบัติ

    ถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องนี้ เราจะรู้สึกเกลียดชังเกิดโทสะในใจ และออกมาด่าพระเหมือนที่เด็กและคนแก่คนเฒ่าอีกหลายคนทำ แนวคิดนี้ถูกปลูกฝังมาผิดๆ เนิ่นนานมาแล้วและยังคงสืบทอดต่อกันมา

    ด่าพระที่ท่านไม่ได้อาบัติถึงปาราชิก เป็นบาปกรรม เป็นโทษทางธรรมและโทษตามกฎหมาย ถ้ากราดไปหมดจะกลายเป็นดูหมิ่นคณะสงฆ์

    เราควรยึดหลักพระธรรมวินัย ไม่ใช่ยึดหลักความพอใจ ผิดถูกอย่างไรควรใช้ใจที่เป็นธรรมวิพากษ์วิจารณ์...

    #ราหูอมจันทร์ส่องหล้า

    #ผู้เฒ่าตาเดียวกับคนหน้าเหลี่ยม

    #จากซาเล้งพ่วงข้างสู่หนทางพระนิพพาน
    ภิกษุที่เลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยเดรัจฉานวิชา ผลคือ ท่านจะไม่ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน เพราะการเลี้ยงชีพของภิกษุคือการขอ และเขาให้ด้วยศรัทธา ภิกษุจึงควรนำเวลาไปศึกษาปริยัติหรือปฏิบัติธรรม ซึ่งคือการทำธุระในพระพุทธศาสนา (คันถธุระและวิปัสสนาธุระ) หากท่านละเลยไม่นำเวลาไปปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ท่านจะห่างจากมรรคผลนิพพาน คือเดินไปคนละทางกับกิจที่ควรทำเพื่อมรรคผลนิพพาน โทษของภิกษุผู้เลี้ยงชีพด้วยเดรัจฉานวิชาจึงมีแค่นี้ เดรัจฉานวิชาไม่ใช่อันตรายิกธรรมที่ขวางกั้นพระนิพพานนะ เพราะการขวางกั้นพระนิพพานหมายถึงชาตินี้นิพพานไม่ได้เลย มีเหตุขวางกั้น เช่น อนันตริยกรรม ผู้กระทำอนันตริยกรรม ไม่ว่าจะเพียงปฏิบัติเท่าไหร่ ก็บรรลุมรรคผลไม่ได้ เช่นเดียวกับพระเจ้าอชาติศัตรู แต่เดรัจฉานวิชาซึ่งภิกษุใช้เลี้ยงชีพ เพียงแค่ท่านเลิกเสียและหันมาปฏิบัติสติปัฏฐานท่านก็เข้าถึงพระนิพพานได้ ครูนัทจึงย้ำเสมอว่า ไม่ควรใช้คำว่า ขวางพระนิพพาน เดรัจฉานวิชาคือเป็นไปในทางขวาง เยี่ยงลำตัวสัตว์เดรัจฉาน ทางไปพระนิพานอยู่หัว ทางทำมาหากินอยู่หาง มันแค่เป็นคนละทางกัน พระพุทธเจ้าไม่เคยติเตียนภิกษุที่เลี้ยงชีพด้วยเดรัจฉานวิชาว่าเป็นโมฆะบุรุษ ไม่ทรงปรับอาบัติในเรื่องนี้ อาบัติจะปรับไปในเรื่องรับเงินรับทองที่เกิดจากการเลี้ยงชีพ ดังนั้นในส่วนของเดรัจฉานวิชาจึงไม่มีในส่วนของพระวินัยอาบัติ ถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องนี้ เราจะรู้สึกเกลียดชังเกิดโทสะในใจ และออกมาด่าพระเหมือนที่เด็กและคนแก่คนเฒ่าอีกหลายคนทำ แนวคิดนี้ถูกปลูกฝังมาผิดๆ เนิ่นนานมาแล้วและยังคงสืบทอดต่อกันมา ด่าพระที่ท่านไม่ได้อาบัติถึงปาราชิก เป็นบาปกรรม เป็นโทษทางธรรมและโทษตามกฎหมาย ถ้ากราดไปหมดจะกลายเป็นดูหมิ่นคณะสงฆ์ เราควรยึดหลักพระธรรมวินัย ไม่ใช่ยึดหลักความพอใจ ผิดถูกอย่างไรควรใช้ใจที่เป็นธรรมวิพากษ์วิจารณ์... #ราหูอมจันทร์ส่องหล้า #ผู้เฒ่าตาเดียวกับคนหน้าเหลี่ยม #จากซาเล้งพ่วงข้างสู่หนทางพระนิพพาน
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 209 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภิกษุที่เลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยเดรัจฉานวิชา ผลคือ ท่านจะไม่ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน เพราะการเลี้ยงชีพของภิกษุคือการขอ และเขาให้ด้วยศรัทธา ภิกษุจึงควรนำเวลาไปศึกษาปริยัติหรือปฏิบัติธรรม ซึ่งคือการทำธุระในพระพุทธศาสนา (คันถธุระและวิปัสสนาธุระ) หากท่านละเลยไม่นำเวลาไปปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ท่านจะห่างจากมรรคผลนิพพาน คือเดินไปคนละทางกับกิจที่ควรทำเพื่อมรรคผลนิพพาน โทษของภิกษุผู้เลี้ยงชีพด้วยเดรัจฉานวิชาจึงมีแค่นี้

    เดรัจฉานวิชาไม่ใช่อันตรายิกธรรมที่ขวางกั้นพระนิพพานนะ เพราะการขวางกั้นพระนิพพานหมายถึงชาตินี้นิพพานไม่ได้เลย มีเหตุขวางกั้น เช่น อนันตริยกรรม ผู้กระทำอนันตริยกรรม ไม่ว่าจะเพียงปฏิบัติเท่าไหร่ ก็บรรลุมรรคผลไม่ได้ เช่นเดียวกับพระเจ้าอชาติศัตรู แต่เดรัจฉานวิชาซึ่งภิกษุใช้เลี้ยงชีพ เพียงแค่ท่านเลิกเสียและหันมาปฏิบัติสติปัฏฐานท่านก็เข้าถึงพระนิพพานได้ ครูนัทจึงย้ำเสมอว่า ไม่ควรใช้คำว่า ขวางพระนิพพาน เดรัจฉานวิชาคือเป็นไปในทางขวาง เยี่ยงลำตัวสัตว์เดรัจฉาน ทางไปพระนิพานอยู่หัว ทางทำมาหากินอยู่หาง มันแค่เป็นคนละทางกัน

    พระพุทธเจ้าไม่เคยติเตียนภิกษุที่เลี้ยงชีพด้วยเดรัจฉานวิชาว่าเป็นโมฆะบุรุษ ไม่ทรงปรับอาบัติในเรื่องนี้ อาบัติจะปรับไปในเรื่องรับเงินรับทองที่เกิดจากการเลี้ยงชีพ ดังนั้นในส่วนของเดรัจฉานวิชาจึงไม่มีในส่วนของพระวินัยอาบัติ

    ถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องนี้ เราจะรู้สึกเกลียดชังเกิดโทสะในใจ และออกมาด่าพระเหมือนที่เด็กและคนแก่คนเฒ่าอีกหลายคนทำ แนวคิดนี้ถูกปลูกฝังมาผิดๆ เนิ่นนานมาแล้วและยังคงสืบทอดต่อกันมา

    ด่าพระที่ท่านไม่ได้อาบัติถึงปาราชิก เป็นบาปกรรม เป็นโทษทางธรรมและโทษตามกฎหมาย ถ้ากราดไปหมดจะกลายเป็นดูหมิ่นคณะสงฆ์

    เราควรยึดหลักพระธรรมวินัย ไม่ใช่ยึดหลักความพอใจ ผิดถูกอย่างไรควรใช้ใจที่เป็นธรรมวิพากษ์วิจารณ์...

    #ราหูอมจันทร์ส่องหล้า

    #ผู้เฒ่าตาเดียวกับคนหน้าเหลี่ยม

    #จากซาเล้งพ่วงข้างสู่หนทางพระนิพพาน
    ภิกษุที่เลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยเดรัจฉานวิชา ผลคือ ท่านจะไม่ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน เพราะการเลี้ยงชีพของภิกษุคือการขอ และเขาให้ด้วยศรัทธา ภิกษุจึงควรนำเวลาไปศึกษาปริยัติหรือปฏิบัติธรรม ซึ่งคือการทำธุระในพระพุทธศาสนา (คันถธุระและวิปัสสนาธุระ) หากท่านละเลยไม่นำเวลาไปปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ท่านจะห่างจากมรรคผลนิพพาน คือเดินไปคนละทางกับกิจที่ควรทำเพื่อมรรคผลนิพพาน โทษของภิกษุผู้เลี้ยงชีพด้วยเดรัจฉานวิชาจึงมีแค่นี้ เดรัจฉานวิชาไม่ใช่อันตรายิกธรรมที่ขวางกั้นพระนิพพานนะ เพราะการขวางกั้นพระนิพพานหมายถึงชาตินี้นิพพานไม่ได้เลย มีเหตุขวางกั้น เช่น อนันตริยกรรม ผู้กระทำอนันตริยกรรม ไม่ว่าจะเพียงปฏิบัติเท่าไหร่ ก็บรรลุมรรคผลไม่ได้ เช่นเดียวกับพระเจ้าอชาติศัตรู แต่เดรัจฉานวิชาซึ่งภิกษุใช้เลี้ยงชีพ เพียงแค่ท่านเลิกเสียและหันมาปฏิบัติสติปัฏฐานท่านก็เข้าถึงพระนิพพานได้ ครูนัทจึงย้ำเสมอว่า ไม่ควรใช้คำว่า ขวางพระนิพพาน เดรัจฉานวิชาคือเป็นไปในทางขวาง เยี่ยงลำตัวสัตว์เดรัจฉาน ทางไปพระนิพานอยู่หัว ทางทำมาหากินอยู่หาง มันแค่เป็นคนละทางกัน พระพุทธเจ้าไม่เคยติเตียนภิกษุที่เลี้ยงชีพด้วยเดรัจฉานวิชาว่าเป็นโมฆะบุรุษ ไม่ทรงปรับอาบัติในเรื่องนี้ อาบัติจะปรับไปในเรื่องรับเงินรับทองที่เกิดจากการเลี้ยงชีพ ดังนั้นในส่วนของเดรัจฉานวิชาจึงไม่มีในส่วนของพระวินัยอาบัติ ถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องนี้ เราจะรู้สึกเกลียดชังเกิดโทสะในใจ และออกมาด่าพระเหมือนที่เด็กและคนแก่คนเฒ่าอีกหลายคนทำ แนวคิดนี้ถูกปลูกฝังมาผิดๆ เนิ่นนานมาแล้วและยังคงสืบทอดต่อกันมา ด่าพระที่ท่านไม่ได้อาบัติถึงปาราชิก เป็นบาปกรรม เป็นโทษทางธรรมและโทษตามกฎหมาย ถ้ากราดไปหมดจะกลายเป็นดูหมิ่นคณะสงฆ์ เราควรยึดหลักพระธรรมวินัย ไม่ใช่ยึดหลักความพอใจ ผิดถูกอย่างไรควรใช้ใจที่เป็นธรรมวิพากษ์วิจารณ์... #ราหูอมจันทร์ส่องหล้า #ผู้เฒ่าตาเดียวกับคนหน้าเหลี่ยม #จากซาเล้งพ่วงข้างสู่หนทางพระนิพพาน
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 204 มุมมอง 0 รีวิว
  • จิตนี้สำคัญ
    หมั่นเพียรระวัง
    อบรมสอนสั่ง
    ยังคุณการงาน

    ตำแหน่งจิตนี้
    มีเป็นประธาน
    รับผิดชอบงาน
    ภาระมากมาย

    ดีชั่วบาปบุญ
    หมุ่นวนเวียนว่าย
    จิตล้วนรับไว้
    ให้เพียรสะสาง

    จิตภาวนา
    พาธรรมหนทาง
    ปัญญากระจ่าง
    ทางธรรมจิตได้

    จิตแท้ดั้งเดิม
    เติมเต็มโยงใย
    ด้วยธรรมอาศัย
    ให้พอเหมาะควร
    จิตนี้สำคัญ หมั่นเพียรระวัง อบรมสอนสั่ง ยังคุณการงาน ตำแหน่งจิตนี้ มีเป็นประธาน รับผิดชอบงาน ภาระมากมาย ดีชั่วบาปบุญ หมุ่นวนเวียนว่าย จิตล้วนรับไว้ ให้เพียรสะสาง จิตภาวนา พาธรรมหนทาง ปัญญากระจ่าง ทางธรรมจิตได้ จิตแท้ดั้งเดิม เติมเต็มโยงใย ด้วยธรรมอาศัย ให้พอเหมาะควร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 58 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีน้อย มีน้อยมากก็อย่าไปทำชั่วคิดเอาทางลัดเป็นบาปทั้งทางโลกทางธรรม ..ทำดีไว้ เป็นคนดีในสังคม ผู้คนเขาจะเมตตาเอง
    มีน้อย มีน้อยมากก็อย่าไปทำชั่วคิดเอาทางลัดเป็นบาปทั้งทางโลกทางธรรม ..ทำดีไว้ เป็นคนดีในสังคม ผู้คนเขาจะเมตตาเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 108 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความคิดพูดทำ
    นำสื่อออกมา
    ต้องเพียรค้นหา
    พาถูกตรงได้

    ความจริงที่ได้
    ไม่ตรงจุดหมาย
    หาดั่งใจไม่
    ให้ถูกตรงมา

    ธรรมจริงถูกตรง
    คงเส้นคงวา
    บุญบาปสรรหา
    พาได้บาปบุญ

    สติให้ดี
    มีจิตนำหนุน
    สมาธิดุลย์
    หนุนสู่ปัญญา

    ปัญญาอาวุธ
    พุทโธนำพา
    กำลังวังชา
    พาให้ผ่องแผ้ว
    ความคิดพูดทำ นำสื่อออกมา ต้องเพียรค้นหา พาถูกตรงได้ ความจริงที่ได้ ไม่ตรงจุดหมาย หาดั่งใจไม่ ให้ถูกตรงมา ธรรมจริงถูกตรง คงเส้นคงวา บุญบาปสรรหา พาได้บาปบุญ สติให้ดี มีจิตนำหนุน สมาธิดุลย์ หนุนสู่ปัญญา ปัญญาอาวุธ พุทโธนำพา กำลังวังชา พาให้ผ่องแผ้ว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 130 มุมมอง 0 รีวิว
  • ธรรมแท้ๆ มันสงบ ร่มรื่น บริสุทธิ์สะอาด
    ธรรมที่เขาเอาหากิน ด่ากันไปมามันร้อนในอก มันไม่บริสุทธิ์ สกปรก บาป
    ธรรมแท้ๆ มันสงบ ร่มรื่น บริสุทธิ์สะอาด ธรรมที่เขาเอาหากิน ด่ากันไปมามันร้อนในอก มันไม่บริสุทธิ์ สกปรก บาป
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 94 มุมมอง 0 รีวิว
  • อย่าแปลกใจ ที่นางนิดาคุ๊กกี้คั่ง ขอเงินที่ฝากเคพาหุงทำบุญ1000คืน คงตั้งใจบงบุญไม่ทำละ สร้างแต่บาปดีกว่า คบหามิ๊จฉ๋าชีพรุ่งกว่าเยอะ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    อย่าแปลกใจ ที่นางนิดาคุ๊กกี้คั่ง ขอเงินที่ฝากเคพาหุงทำบุญ1000คืน คงตั้งใจบงบุญไม่ทำละ สร้างแต่บาปดีกว่า คบหามิ๊จฉ๋าชีพรุ่งกว่าเยอะ #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 214 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts