• หวานปานน้ำเชื่อมไปเลย สำหรับภาพและข้อความอวยพรวันเกิดสุดสวีตที่คุณสามี "แดน วรเวช ดานุวงศ์" มอบให้คุณภรรยา "แพทตี้ อังศุมาลิน" ในวันคล้ายวันเกิดอายุครบ 34 ปี

    โดย "แดน วรเวช" ได้โพสต์คลิปภาพคู่ภรรยาลงอินสตาแกรมทั้งหอมแก้มสุดหวาน และนำพวงมาลัยมามองให้ พร้อมเขียนข้อความว่า "ตลอดไปของความรัก อาจยาวนานเป็นร้อยพันหมื่นล้านคืนวัน หรือจะสั้นแค่เพียงพรุ่งนี้เท่านั้น ไม่มีใครเลยที่จะรู้ รู้แค่จะรักเธอให้มากกว่ารักของเมื่อวาน.. ให้เหมือนเป็นวันสุดท้าย สุขสันต์วันเกิดนะคะที่รัก @pattieung"

    งานนี้ทำเอาแฟนๆ เขินตัวบิดไปกับความรักหวานๆ ของทั้งคู่ พร้อมเข้ามากดไลก์และร่วมอวยพรวันเกิดสาวแพตตี้กันเป็นจำนวนมาก

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000066064

    #Thaitimes #MGROnline #แดนวรเวช #แพทตี้อังศุมาลิน
    หวานปานน้ำเชื่อมไปเลย สำหรับภาพและข้อความอวยพรวันเกิดสุดสวีตที่คุณสามี "แดน วรเวช ดานุวงศ์" มอบให้คุณภรรยา "แพทตี้ อังศุมาลิน" ในวันคล้ายวันเกิดอายุครบ 34 ปี • โดย "แดน วรเวช" ได้โพสต์คลิปภาพคู่ภรรยาลงอินสตาแกรมทั้งหอมแก้มสุดหวาน และนำพวงมาลัยมามองให้ พร้อมเขียนข้อความว่า "ตลอดไปของความรัก อาจยาวนานเป็นร้อยพันหมื่นล้านคืนวัน หรือจะสั้นแค่เพียงพรุ่งนี้เท่านั้น ไม่มีใครเลยที่จะรู้ รู้แค่จะรักเธอให้มากกว่ารักของเมื่อวาน.. ให้เหมือนเป็นวันสุดท้าย สุขสันต์วันเกิดนะคะที่รัก @pattieung" • งานนี้ทำเอาแฟนๆ เขินตัวบิดไปกับความรักหวานๆ ของทั้งคู่ พร้อมเข้ามากดไลก์และร่วมอวยพรวันเกิดสาวแพตตี้กันเป็นจำนวนมาก • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000066064 • #Thaitimes #MGROnline #แดนวรเวช #แพทตี้อังศุมาลิน
    0 Comments 0 Shares 91 Views 0 Reviews
  • MK ร่วมแจม ศึกสุกี้ตลาดแมส

    ในที่สุด บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จํากัด (มหาชน) หรือ M เจ้าของภัตตาคารอาหารเอ็มเค และอีกสารพัดแบรนด์ ตัดสินใจโดดร่วมสมรภูมิสุกี้ตลาดแมส ด้วยการเปิดร้านสุกี้แบรนด์ใหม่ที่ชื่อว่า "โบนัสสุกี้" ประเดิมสาขาแรกที่ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ สระบุรี จ.สระบุรี ในวันที่ 16 ก.ค. ร้านเปิดตั้งแต่เวลา 11.00 น. ถึง 05.00 น. พร้อมเปิดตัวอย่างร้อนแรงด้วยโปรโมชันฉลองเปิดสาขา 1 ฟรี 1 เป็นเวลา 5 วัน วันละ 100 สิทธิ์

    นับเป็นการปรับตัวครั้งใหญ่ของเอ็มเค หลังคู่แข่งอย่างร้านสุกี้ตี๋น้อย ของ บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด ประสบความสำเร็จด้วยจำนวนสาขา 82 สาขา มีกำไรสุทธิไตรมาส 1/2568 รวม 271 ล้านบาท แซงหน้าเอ็มเคที่มีกำไรสุทธิ 234 ล้านบาท รวมทั้งคู่แข่งในตลาดเดียวกันอย่าง ร้านลัคกี้สุกี้ ของบริษัท มิราเคิล แพลนเนท จำกัด ที่มี 19 สาขาอีกด้วย ทำให้เอ็มเคตัดสินใจตั้งบริษัทใหม่ที่ชื่อว่า บริษัท คุ้มคุ้ม จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท เมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา

    สำหรับจังหวัดสระบุรี นอกจากมีรายได้ต่อหัวสูงติดอันดับ 1 ใน 10 ของประเทศ เป็นแหล่งผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่ รวมทั้งมีค่ายอดิศร เป็นที่ตั้งของศูนย์การทหารม้า มณฑลทหารบกที่ 18 รวมทั้งโรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช ที่ อ.มวกเหล็ก แล้ว ยังเป็นทางผ่านสู่ภาคอีสานด้วยถนนมิตรภาพ และมอเตอร์เวย์หมายเลข 6 บางปะอิน-นครราชสีมา ที่ผ่านมามีสุกี้ตี๋น้อย เปิดสาขาสระบุรีที่ปั๊มบางจาก B5 อเวนิว ใกล้ห้างบิ๊กซีเพลสสระบุรี และลัคกี้สุกี้ สาขาโลตัสสระบุรี

    ก่อนหน้านี้เอ็มเคได้ทดลองจัดโปรโมชัน “MK บุฟเฟต์ คุ้มคุ้มอิ่มไม่อั้น 90 นาที” ราคา 299 บาทต่อคน หากลูกค้ามา 4 คน สามารถสั่งกุ้งแม่น้ำได้ไม่อั้น เฉพาะร้านเอ็มเค เรสโตรองต์ สาขาในห้างค้าปลีก เช่น โลตัส และบิ๊กซี รวม 250 สาขา พบว่าลูกค้าให้การตอบรับเป็นอย่างดี จึงขยายโปรโมชันถึงวันที่ 31 ก.ค. 2568 พร้อมเพิ่มสาขาร่วมรายการอีก 49 สาขา รวม 299 สาขา นอกจากนี้ ยังทดลองขยายเวลาให้บริการถึงเวลา 24.00 น. จำนวน 9 สาขา และเวลา 23.00 น. จำนวน 8 สาขา เพื่อรองรับลูกค้าที่ต้องการรับประทานอาหารในช่วงกลางคืนหรือหลังเลิกงาน

    การเปิดแบรนด์สุกี้ใหม่ของเอ็มเค นอกจากจะสร้างสีสันการแข่งขันสุกี้ตลาดแมสให้คึกคัก ตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพเศรษฐกิจแล้ว ยังส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีก เช่น ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ ที่ปัจจุบันมีพื้นที่ว่างจำนวนมาก แม้จะต้องปรับตัวเรื่องการรักษาความปลอดภัยหลังศูนย์การค้าปิดให้บริการก็ตาม

    #Newskit
    MK ร่วมแจม ศึกสุกี้ตลาดแมส ในที่สุด บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จํากัด (มหาชน) หรือ M เจ้าของภัตตาคารอาหารเอ็มเค และอีกสารพัดแบรนด์ ตัดสินใจโดดร่วมสมรภูมิสุกี้ตลาดแมส ด้วยการเปิดร้านสุกี้แบรนด์ใหม่ที่ชื่อว่า "โบนัสสุกี้" ประเดิมสาขาแรกที่ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ สระบุรี จ.สระบุรี ในวันที่ 16 ก.ค. ร้านเปิดตั้งแต่เวลา 11.00 น. ถึง 05.00 น. พร้อมเปิดตัวอย่างร้อนแรงด้วยโปรโมชันฉลองเปิดสาขา 1 ฟรี 1 เป็นเวลา 5 วัน วันละ 100 สิทธิ์ นับเป็นการปรับตัวครั้งใหญ่ของเอ็มเค หลังคู่แข่งอย่างร้านสุกี้ตี๋น้อย ของ บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด ประสบความสำเร็จด้วยจำนวนสาขา 82 สาขา มีกำไรสุทธิไตรมาส 1/2568 รวม 271 ล้านบาท แซงหน้าเอ็มเคที่มีกำไรสุทธิ 234 ล้านบาท รวมทั้งคู่แข่งในตลาดเดียวกันอย่าง ร้านลัคกี้สุกี้ ของบริษัท มิราเคิล แพลนเนท จำกัด ที่มี 19 สาขาอีกด้วย ทำให้เอ็มเคตัดสินใจตั้งบริษัทใหม่ที่ชื่อว่า บริษัท คุ้มคุ้ม จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท เมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา สำหรับจังหวัดสระบุรี นอกจากมีรายได้ต่อหัวสูงติดอันดับ 1 ใน 10 ของประเทศ เป็นแหล่งผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่ รวมทั้งมีค่ายอดิศร เป็นที่ตั้งของศูนย์การทหารม้า มณฑลทหารบกที่ 18 รวมทั้งโรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช ที่ อ.มวกเหล็ก แล้ว ยังเป็นทางผ่านสู่ภาคอีสานด้วยถนนมิตรภาพ และมอเตอร์เวย์หมายเลข 6 บางปะอิน-นครราชสีมา ที่ผ่านมามีสุกี้ตี๋น้อย เปิดสาขาสระบุรีที่ปั๊มบางจาก B5 อเวนิว ใกล้ห้างบิ๊กซีเพลสสระบุรี และลัคกี้สุกี้ สาขาโลตัสสระบุรี ก่อนหน้านี้เอ็มเคได้ทดลองจัดโปรโมชัน “MK บุฟเฟต์ คุ้มคุ้มอิ่มไม่อั้น 90 นาที” ราคา 299 บาทต่อคน หากลูกค้ามา 4 คน สามารถสั่งกุ้งแม่น้ำได้ไม่อั้น เฉพาะร้านเอ็มเค เรสโตรองต์ สาขาในห้างค้าปลีก เช่น โลตัส และบิ๊กซี รวม 250 สาขา พบว่าลูกค้าให้การตอบรับเป็นอย่างดี จึงขยายโปรโมชันถึงวันที่ 31 ก.ค. 2568 พร้อมเพิ่มสาขาร่วมรายการอีก 49 สาขา รวม 299 สาขา นอกจากนี้ ยังทดลองขยายเวลาให้บริการถึงเวลา 24.00 น. จำนวน 9 สาขา และเวลา 23.00 น. จำนวน 8 สาขา เพื่อรองรับลูกค้าที่ต้องการรับประทานอาหารในช่วงกลางคืนหรือหลังเลิกงาน การเปิดแบรนด์สุกี้ใหม่ของเอ็มเค นอกจากจะสร้างสีสันการแข่งขันสุกี้ตลาดแมสให้คึกคัก ตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพเศรษฐกิจแล้ว ยังส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีก เช่น ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ ที่ปัจจุบันมีพื้นที่ว่างจำนวนมาก แม้จะต้องปรับตัวเรื่องการรักษาความปลอดภัยหลังศูนย์การค้าปิดให้บริการก็ตาม #Newskit
    0 Comments 0 Shares 169 Views 0 Reviews
  • นิยายไซไฟ Aurora
    ในปี 2999 ที่ดาวเคราะห์ศูนย์กลางอารยธรรมมนุษย์ชื่อ **"นิวสยาม"** อากาศภายนอกโดมเมืองเป็นพิษจนหายใจไม่ได้ ทว่าในย่านสูงสุดของ **"สกายซิตี้"** ที่ลอยอยู่เหนือเมฆหมอก นครแห่งแสงนีออนและยานพาหนะไร้คนขับนั้น มีเรื่องรักข้ามภพชั้นกำเนิดกำลังก่อตัว...

    **อร (Aurora) ลูกสาวแห่งตระกูล "วัชระ"**
    รัชทายาทแห่งอาณาจักรค้าทองคำจากอุกกาบาต **"ทองจักรราศี"** ที่พ่อของเธอ – **มหาเศรษฐีวรวัชร์** – ขุดพบในแถบดาวเคราะห์น้อย Kuiper Belt แร่ธาตุนี้เรืองแสงสีชมพูอมม่วงใต้แสงอัลตราไวโอเลต ถูกแปรรูปเป็นเครื่องประดับล้ำยุคสำหรับชนชั้นสูงสุด ทว่าความมั่งคั่งทั้งหมดมาจากการกดขี่แรงงานเหมืองดาวเคราะห์น้อย และการสมคบกับรัฐบาลเทคโนแครต

    **ธัช (Thad) นักศึกษาวิชาชีวภาพจักรวาลแห่งมหาวิทยาลัยใต้โดม**
    หนุ่มน้อยแถบสลัม "ดินแดง" ผู้ใช้ทักษะการตัดต่อพันธุกรรมสิ่งมีชีวิตต่างดาวเพื่อสร้างอาหารราคาถูกให้คนจน เขาคือแกนนำกลุ่ม **"ปฏิวัฒน์ชีวภาพ"** ที่ต่อต้านการผูกขาดเทคโนโลยีโดยบรรษัทข้ามดาว ฝันถึงจักรวาลที่มนุษย์อยู่ร่วมกับระบบนิเวศ ไม่ใช่ทำลายมัน

    ---

    ### จุดชนะใจกลางพายุฝุ่นดาวอังคาร
    คืนหนึ่งขณะธัชแฝงตัวขึ้นสกายซิตี้เพื่อปล่อยไวรัสดิจิทัลโจมตีเซิร์ฟเวอร์บริษัทวัชระ เขาต้องหลบหนีลงมาทางท่อขนส่งขยะ... และพบอรซึ่งกำลังหลบงานเลี้ยงหรูเพื่อตามห้าแมวไซบอร์กลักพาตัวของเธอในเขตทิ้งของเก่า แสงเรืองจากสร้อยคอทองจักรราศีของอรทำให้นาฬิกาจับพิกัดของธัชเสียหาย ทว่าแทนที่จะแจ้งความ...

    **"คุณรู้ไหมว่าทองเส้นนี้ทำให้คนงานตาบอด 3 คนเพราะรังสี?"** ธัชถามด้วยความโกรธ
    **"และคุณรู้ไหมว่ามันคือชิ้นส่วนเดียวที่เหลืออยู่จากดาวบ้านเกิดแม่ฉัน?"** อรตอบด้วยน้ำตา

    กลางกองขยะไฮเทคที่เต็มไปด้วยแบคทีเรียดัดแปลง ทั้งคู่พบว่าต่างถูกคุมขังโดยระบบชนชั้นเดียวกัน: อรคือหุ่นเชิดของตระกูล ส่วนธัชคือฟันเฟืองในเครื่องจักรปฏิวัติ

    ---

    ### 7 ดาวเคราะห์ที่รักบ่มเพาะ
    1. **ห้องทดลองลับใต้ดิน**
    ธัชพาอรไปเห็น "สวนสวรรค์ชีวภาพ" ที่เขาสร้างไว้ – ระบบนิเวศขนาดกระเป๋าเดินทางที่มีพืชจาก 7 ดาวเคราะห์ อรใช้ความรู้ด้านแร่วิทยาช่วยปรับสมดุลแร่ธาตุจนดอกไม้เหล็กจากเนปจูนผลิบาน

    2. **งานเต้นรำกลางดาวเคราะห์น้อย**
    อรพาธัชแฝงตัวขึ้นยานส่วนตัวไปยังแอสเทอรอยด์ VH-2982 ที่ตระกูลวัชระกำลังขุดเจาะ ทั้งคู่เต้นรำในสภาพไร้น้ำหนักใต้แสงดาวนับล้าน โดยมีหุ่นยนต์ขนทองเป็นสักขีพยาน

    3. **การทรยศของ "แสงชัย" หุ่น AI คู่ใจอร**
    เมื่อ AI ในสร้อยคอของอรแจ้งเรื่องความสัมพันธ์นี้ให้วรวัชร์ทราบ ธัชถูกตั้งค่าหัวโดยกองกำลังรักษาความปลอดภัยของบริษัท อรต้องตัดสินใจ: ใช้ระเบิดนาโนทำลายแสงชัย หรือปล่อยให้ธัชตาย...

    ---

    ### จุดแตกหักแห่งจักรวาล
    วรวัชร์เปิดเผยแผนชั่วร้าย: **"โครงการฟีนิกซ์"** ที่จะเผาทุกชุมชนใต้โดมเพื่อสร้างเหมืองทองใหม่ ความจริงที่น่าขนลุกคือ... **ทองจักรราศีคือสปอร์สิ่งมีชีวิตต่างดาว** ที่ค่อยๆ เปลี่ยนมนุษย์ให้เป็นทาสทางความคิดเมื่อสวมใส่เกิน 7 ปี!

    อรเห็นแม่แท้ๆ ของเธอ – ผู้สวมมงกุฎทองตลอดเวลา – ถูกควบคุมเป็นหุ่นเชิดโดยสิ่งมีชีวิตสีทองในตู้เลี้ยง ทางรอดเดียวคือไวรัสที่ธัชพัฒนาจากแบคทีเรียใน "สวนสวรรค์" ซึ่งฆ่าสปอร์ทองโดยไม่ทำร้ายมนุษย์

    ---

    ### รักสุดขอบฟ้า
    คืนสุดท้ายก่อนการปฏิวัติใหญ่ ธัชกับอรยืนอยู่บนดาดฟ้ายานอวกาศเก่า ด้านล่างคือชุมชนใต้โดมที่กำลังลุกเป็นไฟ

    **"ถ้าเราเผาทองทั้งหมด... ครอบครัวฉันจะล่มสลาย"**
    **"และถ้าไม่เผา... มนุษยชาติจะสูญสิ้น"**

    อรกดส่งรหัสทำลายคลังทองหลักของตระกูล ส่วนธัชปล่อยไวรัสสู่ระบบปรับอากาศสกายซิตี้ เมื่อแสงระเบิดสีชมพูอมม่วงวาบขึ้นบนท้องฟ้า ทั้งคู่จับมือกันกระโดดลงแคปซูลหนีภัย...

    **ทิ้งไว้เบื้องหลังเพียงคำถาม:**
    เมื่อทองคำอันเป็นตัวตนของเธอละลายไป
    เมื่อการปฏิวัติอันเป็นตัวตนของเขาชำระสำเร็จ
    รักข้ามดวงดาวนี้จะเหลืออะไรให้รักกัน?

    ---

    โลกปี 2999 ยังไม่มีคำตอบ
    มีเพียงดาวเคราะห์น้อยดวงหนึ่งที่กำลังผลิดอก
    จากเศษทองที่หลอมรวมกับแบคทีเรียแห่งความหวัง
    โดยไม่มีใครรู้ว่ามันจะเป็นสวนสวรรค์ใหม่...
    หรือไวรัสร้ายแบบใหม่กันแน่?
    นิยายไซไฟ Aurora ในปี 2999 ที่ดาวเคราะห์ศูนย์กลางอารยธรรมมนุษย์ชื่อ **"นิวสยาม"** อากาศภายนอกโดมเมืองเป็นพิษจนหายใจไม่ได้ ทว่าในย่านสูงสุดของ **"สกายซิตี้"** ที่ลอยอยู่เหนือเมฆหมอก นครแห่งแสงนีออนและยานพาหนะไร้คนขับนั้น มีเรื่องรักข้ามภพชั้นกำเนิดกำลังก่อตัว... **อร (Aurora) ลูกสาวแห่งตระกูล "วัชระ"** รัชทายาทแห่งอาณาจักรค้าทองคำจากอุกกาบาต **"ทองจักรราศี"** ที่พ่อของเธอ – **มหาเศรษฐีวรวัชร์** – ขุดพบในแถบดาวเคราะห์น้อย Kuiper Belt แร่ธาตุนี้เรืองแสงสีชมพูอมม่วงใต้แสงอัลตราไวโอเลต ถูกแปรรูปเป็นเครื่องประดับล้ำยุคสำหรับชนชั้นสูงสุด ทว่าความมั่งคั่งทั้งหมดมาจากการกดขี่แรงงานเหมืองดาวเคราะห์น้อย และการสมคบกับรัฐบาลเทคโนแครต **ธัช (Thad) นักศึกษาวิชาชีวภาพจักรวาลแห่งมหาวิทยาลัยใต้โดม** หนุ่มน้อยแถบสลัม "ดินแดง" ผู้ใช้ทักษะการตัดต่อพันธุกรรมสิ่งมีชีวิตต่างดาวเพื่อสร้างอาหารราคาถูกให้คนจน เขาคือแกนนำกลุ่ม **"ปฏิวัฒน์ชีวภาพ"** ที่ต่อต้านการผูกขาดเทคโนโลยีโดยบรรษัทข้ามดาว ฝันถึงจักรวาลที่มนุษย์อยู่ร่วมกับระบบนิเวศ ไม่ใช่ทำลายมัน --- ### จุดชนะใจกลางพายุฝุ่นดาวอังคาร คืนหนึ่งขณะธัชแฝงตัวขึ้นสกายซิตี้เพื่อปล่อยไวรัสดิจิทัลโจมตีเซิร์ฟเวอร์บริษัทวัชระ เขาต้องหลบหนีลงมาทางท่อขนส่งขยะ... และพบอรซึ่งกำลังหลบงานเลี้ยงหรูเพื่อตามห้าแมวไซบอร์กลักพาตัวของเธอในเขตทิ้งของเก่า แสงเรืองจากสร้อยคอทองจักรราศีของอรทำให้นาฬิกาจับพิกัดของธัชเสียหาย ทว่าแทนที่จะแจ้งความ... **"คุณรู้ไหมว่าทองเส้นนี้ทำให้คนงานตาบอด 3 คนเพราะรังสี?"** ธัชถามด้วยความโกรธ **"และคุณรู้ไหมว่ามันคือชิ้นส่วนเดียวที่เหลืออยู่จากดาวบ้านเกิดแม่ฉัน?"** อรตอบด้วยน้ำตา กลางกองขยะไฮเทคที่เต็มไปด้วยแบคทีเรียดัดแปลง ทั้งคู่พบว่าต่างถูกคุมขังโดยระบบชนชั้นเดียวกัน: อรคือหุ่นเชิดของตระกูล ส่วนธัชคือฟันเฟืองในเครื่องจักรปฏิวัติ --- ### 7 ดาวเคราะห์ที่รักบ่มเพาะ 1. **ห้องทดลองลับใต้ดิน** ธัชพาอรไปเห็น "สวนสวรรค์ชีวภาพ" ที่เขาสร้างไว้ – ระบบนิเวศขนาดกระเป๋าเดินทางที่มีพืชจาก 7 ดาวเคราะห์ อรใช้ความรู้ด้านแร่วิทยาช่วยปรับสมดุลแร่ธาตุจนดอกไม้เหล็กจากเนปจูนผลิบาน 2. **งานเต้นรำกลางดาวเคราะห์น้อย** อรพาธัชแฝงตัวขึ้นยานส่วนตัวไปยังแอสเทอรอยด์ VH-2982 ที่ตระกูลวัชระกำลังขุดเจาะ ทั้งคู่เต้นรำในสภาพไร้น้ำหนักใต้แสงดาวนับล้าน โดยมีหุ่นยนต์ขนทองเป็นสักขีพยาน 3. **การทรยศของ "แสงชัย" หุ่น AI คู่ใจอร** เมื่อ AI ในสร้อยคอของอรแจ้งเรื่องความสัมพันธ์นี้ให้วรวัชร์ทราบ ธัชถูกตั้งค่าหัวโดยกองกำลังรักษาความปลอดภัยของบริษัท อรต้องตัดสินใจ: ใช้ระเบิดนาโนทำลายแสงชัย หรือปล่อยให้ธัชตาย... --- ### จุดแตกหักแห่งจักรวาล วรวัชร์เปิดเผยแผนชั่วร้าย: **"โครงการฟีนิกซ์"** ที่จะเผาทุกชุมชนใต้โดมเพื่อสร้างเหมืองทองใหม่ ความจริงที่น่าขนลุกคือ... **ทองจักรราศีคือสปอร์สิ่งมีชีวิตต่างดาว** ที่ค่อยๆ เปลี่ยนมนุษย์ให้เป็นทาสทางความคิดเมื่อสวมใส่เกิน 7 ปี! อรเห็นแม่แท้ๆ ของเธอ – ผู้สวมมงกุฎทองตลอดเวลา – ถูกควบคุมเป็นหุ่นเชิดโดยสิ่งมีชีวิตสีทองในตู้เลี้ยง ทางรอดเดียวคือไวรัสที่ธัชพัฒนาจากแบคทีเรียใน "สวนสวรรค์" ซึ่งฆ่าสปอร์ทองโดยไม่ทำร้ายมนุษย์ --- ### รักสุดขอบฟ้า คืนสุดท้ายก่อนการปฏิวัติใหญ่ ธัชกับอรยืนอยู่บนดาดฟ้ายานอวกาศเก่า ด้านล่างคือชุมชนใต้โดมที่กำลังลุกเป็นไฟ **"ถ้าเราเผาทองทั้งหมด... ครอบครัวฉันจะล่มสลาย"** **"และถ้าไม่เผา... มนุษยชาติจะสูญสิ้น"** อรกดส่งรหัสทำลายคลังทองหลักของตระกูล ส่วนธัชปล่อยไวรัสสู่ระบบปรับอากาศสกายซิตี้ เมื่อแสงระเบิดสีชมพูอมม่วงวาบขึ้นบนท้องฟ้า ทั้งคู่จับมือกันกระโดดลงแคปซูลหนีภัย... **ทิ้งไว้เบื้องหลังเพียงคำถาม:** เมื่อทองคำอันเป็นตัวตนของเธอละลายไป เมื่อการปฏิวัติอันเป็นตัวตนของเขาชำระสำเร็จ รักข้ามดวงดาวนี้จะเหลืออะไรให้รักกัน? --- โลกปี 2999 ยังไม่มีคำตอบ มีเพียงดาวเคราะห์น้อยดวงหนึ่งที่กำลังผลิดอก จากเศษทองที่หลอมรวมกับแบคทีเรียแห่งความหวัง โดยไม่มีใครรู้ว่ามันจะเป็นสวนสวรรค์ใหม่... หรือไวรัสร้ายแบบใหม่กันแน่?
    0 Comments 0 Shares 224 Views 0 Reviews
  • วลีรักจาก <จันทราอัสดง>

    สวัสดีย้อนหลังวันวาเลนไทน์ วันนี้มาคุยเกี่ยวกับวลีบอกรักจากบทกวีจีนโบราณที่กล่าวถึงสองสัตว์ที่นับเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก

    วลีบอกรักนี้ เราเห็นในเรื่อง <จันทราอัสดง> ในฉากที่เยี่ยปิงส่างป่วยเพราะโดนปีศาจจับตัวไป พอฟื้นขึ้นมาเห็นองค์ชายเซียวหลิ่นเฝ้าอยู่ก็ร่ำไห้เอ่ยปากวลีสองวรรค หลังจากนั้นจึงได้หมั้นหมายกัน วลีที่ว่านี้คือ “หากได้เป็นดั่งปี่มู่ไม่เกรงกลัวตาย ยอมเป็นยวนยางไม่อิจฉาเซียน” (得成比目何辞死,愿作鸳鸯不羡仙) (หมายเหตุ Storyฯ แปลเองจ้า)

    ‘ยวนยาง’ คือนกเป็ดน้ำแมนดารินที่เพื่อนเพจคงคุ้นเคยเพราะมีการกล่าวถึงในหลายนิยายซีรีส์และละครว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก ทั้งนี้ เพราะมันมักจะอยู่เป็นคู่ จึงถูกนำมาเปรียบเป็นคู่สามีภรรยาแต่โบราณโดยแรกปรากฏในบทประพันธ์ของซือหม่าเซียงหรู (กวีเอกสมัยราชวงศ์ฮั่น เจ้าของบทประพันธ์ซ่างหลินฟู่ที่ Storyฯ เคยเขียนถึง) ตอนจีบจั๋วเหวินจวิน (ย้อนอ่านเรื่องราวความรักของทั้งคู่ได้ในบทความเก่า https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid02KgmDKe2nCXSPkUDKWTYDNCXpfyP1PzzBqQCkdVtEw46Y7ZMkeZSwoVYxGFR9QHjhl)

    แล้ว ‘ปี่มู่’ ล่ะคืออะไร?

    ปี่มู่เป็นปลาในสายพันธ์ปลาลิ้นหมา (ดูรูปประกอบ 2) เอกลักษณ์ของมันคือ ตาทั้งคู่อยู่ใกล้กันบนตัวปลาด้านเดียวกัน ในสมัยจีนโบราณถูกใช้เปรียบเปรยถึงความรักอันล้ำลึกของคู่รักที่อยู่เคียงข้างกัน ไปไหนไปด้วยกัน

    “หากได้เป็นดั่งปี่มู่ไม่เกรงกลัวตาย ยอมเป็นยวนยางไม่อิจฉาเซียน” วลีนี้ความหมายก็คือยอมตายก็อยากอยู่ด้วยกัน ไม่ต้องมีความสุขพ้นทุกข์อย่างเซียนก็ได้

    เชื่อว่าเพื่อนเพจคงนึกว่ามันเป็นวลีที่มาจากกลอนรัก แต่จริงๆ แล้วหลายวลีรักจีนโบราณอันกินใจที่ Storyฯ เคยเขียนถึงนั้น ถ้าไม่ใช่บทกวีที่เกี่ยวกับการจากพราก ก็มาจากเรื่องราวอื่น วลีนี้ก็เช่นกัน ที่มาของมันคือบทกวีที่ชื่อว่า ‘ฉางอันกู่อี้’ (长安古意 แปลได้ประมาณว่า หวนรำลึกฉางอัน) ของหลูจ้าวหลิน กวีชื่อดังในสมัยองค์ถังไท่จงแห่งราชวงศ์ถัง ในสมัยถังตอนต้นนั้น เขาถูกยกย่องเป็นหนึ่งในสี่ยอดกวีแห่งยุค เป็นบทกวีในสไตล์โบราณที่ Storyฯ ขอเรียกว่ากลอนเจ็ด กล่าวคือในหนึ่งวรรคมีเจ็ดอักษร บทกวีนี้มีทั้งสิ้น 34 ประโยค รวม 68 วรรค เรียกได้ว่าเป็นบทกวีที่ยาวมากและเป็นถูกยกย่องให้เป็นต้นแบบของงานประพันธ์แห่งยุคสมัยนั้น

    หลูจ้าวหลินถูกเติ้งหวางหลี่หยวนอวี้รับเป็นคนสนิท เป็นขุนนางผู้ดูแลจวนอ๋อง ต่อมาติดตามเติ้งหวางออกจากเมืองฉางอัน และเมื่อเลิกทำงานกับเติ้งหวางแล้วก็ปักหลักอยู่ลั่วหยาง บทกวีนี้หลูจ้าวหลินแต่งขึ้นในช่วงเวลาที่ลั่วหยางนั่นเอง ต่อมาเขาถูกจับกุมขังด้วยบทกวีนี้ เพราะถูกเข้าใจว่าเขียนตำหนิหนึ่งในผู้มีอำนาจทางการเมืองในสมัยนั้น สุดท้ายแม้จะรอดชีวิตพ้นคุกมาได้ แต่ก็ป่วยจนสุดท้ายต้องจบชีวิตตนเอง

    เนื้อหาของ ‘ฉางอันกู่อี้’ กล่าวถึงความเรืองรองแห่งนครฉางอัน ความเจริญรุ่งเรืองถูกสะท้อนออกมาด้วยคำบรรยายความโอ่อ่าของอาคารบ้านเรือน ความตระการตาของนางรำที่เริงระบำดุจบุปผาและผีเสื้อที่ละลานตา บรรยากาศยามค่ำคืนอันคึกคักโดยมีหอนางโลมเป็นฉากหลัก สอดแทรกด้วยอารมณ์ที่ถูกเร้าขึ้นด้วยคำบรรยายแสงสีเสียง สื่อออกมาเป็นความรู้สึกต่างๆ ที่ยากจะอดกลั้นภายใต้บรรยากาศนี้ อย่างเช่นความรักความลุ่มหลง บทกวีเล่าถึงการมีชีวิตอยู่ในด้านมืดอย่างเช่นนางคณิกานางรำและคนที่มีอาชีพกลางคืน การแสดงอำนาจของชนชั้นสูง การแก่งแย่งชิงดีและการเกิดดับของอำนาจ สุดท้ายจบลงด้วยการบรรยายถึงบรรยากาศเงียบเหงาภายในเรือนเดี่ยว มีเพียงกลีบดอกไม้ที่ปลิวผ่านตามสายลมยามที่กุ้ยฮวา (หอมหมื่นลี้) บาน เป็นสไตล์การเขียนที่นิยมในสมัยนั้นคือจบลงด้วยวรรคที่ขัดแย้งกับเนื้อหาก่อนหน้าเพื่อให้ความรู้สึกที่แตกต่าง สร้างสมดุลให้แก่บทกวี

    วรรค “หากได้เป็นดั่งปี่มู่ไม่เกรงกลัวตาย ยอมเป็นยวนยางไม่อิจฉาเซียน” นี้ปรากฏในท่อนแรกๆ ที่กล่าวถึงความตระการตาของนางรำผู้เลอโฉม ชวนให้พร่ำเพ้อถึงความรักที่ไม่อาจเป็นไปได้ จะเห็นได้ว่า แม้วลีนี้จะกลายมาเป็นหนึ่งในวลีรักที่โด่งดังผ่านยุคสมัย แต่ต้นตอของมันจริงแล้วเป็นบทกวีที่บรรยายถึงชีวิตในนครฉางอัน สะท้อนถึงสุขและทุกข์ของความทรงจำในด้านต่างๆ ที่กวีมีต่อนครฉางอันอันเรืองรอง

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพและข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://new.qq.com/rain/a/20230511A04T9O00
    https://so.gushiwen.cn/shiwenv_ac6684b5da86.aspx
    https://baike.baidu.com/item/长安古意/4804
    https://www.baike.com/wikiid/422703280303982502
    http://m.qulishi.com/article/202106/521082.html
    https://www.621seo.cn/a/83.html

    #จันทราอัสดง #ยวนยาง #ปี่มู่ #กวีถัง #ฉางอัน #หลูจ้าวหลิน
    วลีรักจาก <จันทราอัสดง> สวัสดีย้อนหลังวันวาเลนไทน์ วันนี้มาคุยเกี่ยวกับวลีบอกรักจากบทกวีจีนโบราณที่กล่าวถึงสองสัตว์ที่นับเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก วลีบอกรักนี้ เราเห็นในเรื่อง <จันทราอัสดง> ในฉากที่เยี่ยปิงส่างป่วยเพราะโดนปีศาจจับตัวไป พอฟื้นขึ้นมาเห็นองค์ชายเซียวหลิ่นเฝ้าอยู่ก็ร่ำไห้เอ่ยปากวลีสองวรรค หลังจากนั้นจึงได้หมั้นหมายกัน วลีที่ว่านี้คือ “หากได้เป็นดั่งปี่มู่ไม่เกรงกลัวตาย ยอมเป็นยวนยางไม่อิจฉาเซียน” (得成比目何辞死,愿作鸳鸯不羡仙) (หมายเหตุ Storyฯ แปลเองจ้า) ‘ยวนยาง’ คือนกเป็ดน้ำแมนดารินที่เพื่อนเพจคงคุ้นเคยเพราะมีการกล่าวถึงในหลายนิยายซีรีส์และละครว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก ทั้งนี้ เพราะมันมักจะอยู่เป็นคู่ จึงถูกนำมาเปรียบเป็นคู่สามีภรรยาแต่โบราณโดยแรกปรากฏในบทประพันธ์ของซือหม่าเซียงหรู (กวีเอกสมัยราชวงศ์ฮั่น เจ้าของบทประพันธ์ซ่างหลินฟู่ที่ Storyฯ เคยเขียนถึง) ตอนจีบจั๋วเหวินจวิน (ย้อนอ่านเรื่องราวความรักของทั้งคู่ได้ในบทความเก่า https://www.facebook.com/StoryfromStory/posts/pfbid02KgmDKe2nCXSPkUDKWTYDNCXpfyP1PzzBqQCkdVtEw46Y7ZMkeZSwoVYxGFR9QHjhl) แล้ว ‘ปี่มู่’ ล่ะคืออะไร? ปี่มู่เป็นปลาในสายพันธ์ปลาลิ้นหมา (ดูรูปประกอบ 2) เอกลักษณ์ของมันคือ ตาทั้งคู่อยู่ใกล้กันบนตัวปลาด้านเดียวกัน ในสมัยจีนโบราณถูกใช้เปรียบเปรยถึงความรักอันล้ำลึกของคู่รักที่อยู่เคียงข้างกัน ไปไหนไปด้วยกัน “หากได้เป็นดั่งปี่มู่ไม่เกรงกลัวตาย ยอมเป็นยวนยางไม่อิจฉาเซียน” วลีนี้ความหมายก็คือยอมตายก็อยากอยู่ด้วยกัน ไม่ต้องมีความสุขพ้นทุกข์อย่างเซียนก็ได้ เชื่อว่าเพื่อนเพจคงนึกว่ามันเป็นวลีที่มาจากกลอนรัก แต่จริงๆ แล้วหลายวลีรักจีนโบราณอันกินใจที่ Storyฯ เคยเขียนถึงนั้น ถ้าไม่ใช่บทกวีที่เกี่ยวกับการจากพราก ก็มาจากเรื่องราวอื่น วลีนี้ก็เช่นกัน ที่มาของมันคือบทกวีที่ชื่อว่า ‘ฉางอันกู่อี้’ (长安古意 แปลได้ประมาณว่า หวนรำลึกฉางอัน) ของหลูจ้าวหลิน กวีชื่อดังในสมัยองค์ถังไท่จงแห่งราชวงศ์ถัง ในสมัยถังตอนต้นนั้น เขาถูกยกย่องเป็นหนึ่งในสี่ยอดกวีแห่งยุค เป็นบทกวีในสไตล์โบราณที่ Storyฯ ขอเรียกว่ากลอนเจ็ด กล่าวคือในหนึ่งวรรคมีเจ็ดอักษร บทกวีนี้มีทั้งสิ้น 34 ประโยค รวม 68 วรรค เรียกได้ว่าเป็นบทกวีที่ยาวมากและเป็นถูกยกย่องให้เป็นต้นแบบของงานประพันธ์แห่งยุคสมัยนั้น หลูจ้าวหลินถูกเติ้งหวางหลี่หยวนอวี้รับเป็นคนสนิท เป็นขุนนางผู้ดูแลจวนอ๋อง ต่อมาติดตามเติ้งหวางออกจากเมืองฉางอัน และเมื่อเลิกทำงานกับเติ้งหวางแล้วก็ปักหลักอยู่ลั่วหยาง บทกวีนี้หลูจ้าวหลินแต่งขึ้นในช่วงเวลาที่ลั่วหยางนั่นเอง ต่อมาเขาถูกจับกุมขังด้วยบทกวีนี้ เพราะถูกเข้าใจว่าเขียนตำหนิหนึ่งในผู้มีอำนาจทางการเมืองในสมัยนั้น สุดท้ายแม้จะรอดชีวิตพ้นคุกมาได้ แต่ก็ป่วยจนสุดท้ายต้องจบชีวิตตนเอง เนื้อหาของ ‘ฉางอันกู่อี้’ กล่าวถึงความเรืองรองแห่งนครฉางอัน ความเจริญรุ่งเรืองถูกสะท้อนออกมาด้วยคำบรรยายความโอ่อ่าของอาคารบ้านเรือน ความตระการตาของนางรำที่เริงระบำดุจบุปผาและผีเสื้อที่ละลานตา บรรยากาศยามค่ำคืนอันคึกคักโดยมีหอนางโลมเป็นฉากหลัก สอดแทรกด้วยอารมณ์ที่ถูกเร้าขึ้นด้วยคำบรรยายแสงสีเสียง สื่อออกมาเป็นความรู้สึกต่างๆ ที่ยากจะอดกลั้นภายใต้บรรยากาศนี้ อย่างเช่นความรักความลุ่มหลง บทกวีเล่าถึงการมีชีวิตอยู่ในด้านมืดอย่างเช่นนางคณิกานางรำและคนที่มีอาชีพกลางคืน การแสดงอำนาจของชนชั้นสูง การแก่งแย่งชิงดีและการเกิดดับของอำนาจ สุดท้ายจบลงด้วยการบรรยายถึงบรรยากาศเงียบเหงาภายในเรือนเดี่ยว มีเพียงกลีบดอกไม้ที่ปลิวผ่านตามสายลมยามที่กุ้ยฮวา (หอมหมื่นลี้) บาน เป็นสไตล์การเขียนที่นิยมในสมัยนั้นคือจบลงด้วยวรรคที่ขัดแย้งกับเนื้อหาก่อนหน้าเพื่อให้ความรู้สึกที่แตกต่าง สร้างสมดุลให้แก่บทกวี วรรค “หากได้เป็นดั่งปี่มู่ไม่เกรงกลัวตาย ยอมเป็นยวนยางไม่อิจฉาเซียน” นี้ปรากฏในท่อนแรกๆ ที่กล่าวถึงความตระการตาของนางรำผู้เลอโฉม ชวนให้พร่ำเพ้อถึงความรักที่ไม่อาจเป็นไปได้ จะเห็นได้ว่า แม้วลีนี้จะกลายมาเป็นหนึ่งในวลีรักที่โด่งดังผ่านยุคสมัย แต่ต้นตอของมันจริงแล้วเป็นบทกวีที่บรรยายถึงชีวิตในนครฉางอัน สะท้อนถึงสุขและทุกข์ของความทรงจำในด้านต่างๆ ที่กวีมีต่อนครฉางอันอันเรืองรอง (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพและข้อมูลรวบรวมจาก: https://new.qq.com/rain/a/20230511A04T9O00 https://so.gushiwen.cn/shiwenv_ac6684b5da86.aspx https://baike.baidu.com/item/长安古意/4804 https://www.baike.com/wikiid/422703280303982502 http://m.qulishi.com/article/202106/521082.html https://www.621seo.cn/a/83.html #จันทราอัสดง #ยวนยาง #ปี่มู่ #กวีถัง #ฉางอัน #หลูจ้าวหลิน
    2 Comments 0 Shares 317 Views 0 Reviews
  • สมาร์ทโฟนจากจีนหลายรุ่นในช่วงนี้มาแรงด้านกล้อง เช่น Xiaomi 15 Ultra ที่มีเซนเซอร์ 1 นิ้ว และ Vivo X200 Ultra ที่ใส่เลนส์เสริมได้ แต่ล่าสุด Huawei เปิดตัว Pura 80 Ultra ที่ “ล้ำแบบคิดไม่ถึง” สำหรับช่างภาพสายมือถือ

    ไฮไลต์สุดแปลกคือ:
    - กล้องหลังดูเหมือนมี 3 ตัว แต่จริง ๆ แล้วมี “เลนส์เทเล 2 ระยะในช่องเดียวกัน”
    - ใช้ เลนส์ periscope ซ้อนกันในกล้องเดียว พร้อมสวิตช์ปรับระยะ 3.7x (83mm) และ 9.4x (212mm)
    - ทั้งสองระยะใช้ เซนเซอร์ตัวเดียวกันขนาด 1/1.28 นิ้ว ซึ่งใหญ่กว่าปกติสำหรับกล้องเทเล

    จุดที่น่าทึ่งคือคุณภาพภาพจากระยะ 3.7x และ 9.4x ดูดีมากทั้งคู่ แถมยัง แชร์เซนเซอร์เดียวกัน เพื่อรักษาคุณภาพให้สูงสุด ลดช่องเล็กช่องน้อยในโมดูลกล้อง

    กล้องหลักก็ไม่น้อยหน้า → ใช้เซนเซอร์ 1 นิ้ว, ความละเอียด 50MP, รูรับแสงปรับได้ f/1.6–f/4 พร้อมอ้างว่าให้ dynamic range 16 stops ซึ่งอาจดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาในสมาร์ทโฟน

    ยังไม่หมด — Huawei จับมือกับ Tilta ผลิต ชุดกล้องโปรเสริมแบบครบเซ็ต:
    - กริ๊ปเสริมทรงกล้อง + พาวเวอร์แบงก์ในตัว
    - ไฟ LED ต่อเสริม, ขาตั้งไฟเบอร์, ระบบ follow focus สำหรับวิดีโอ
    - รองรับฟิลเตอร์ เช่น ND
    - เคสช่วยระบายความร้อน และเพิ่มพลังงานให้เครื่อง

    มือถือรุ่นนี้เปิดตัวในจีนแล้วที่ราคา CNY 9,999 (~$1,400) แต่ยังไม่มีแผนวางจำหน่ายในสหรัฐฯ

    https://www.techradar.com/cameras/im-a-photographer-and-huaweis-latest-camera-phone-has-some-of-the-wildest-tech-ive-seen-yet-including-this-world-first
    สมาร์ทโฟนจากจีนหลายรุ่นในช่วงนี้มาแรงด้านกล้อง เช่น Xiaomi 15 Ultra ที่มีเซนเซอร์ 1 นิ้ว และ Vivo X200 Ultra ที่ใส่เลนส์เสริมได้ แต่ล่าสุด Huawei เปิดตัว Pura 80 Ultra ที่ “ล้ำแบบคิดไม่ถึง” สำหรับช่างภาพสายมือถือ 📌 ไฮไลต์สุดแปลกคือ: - กล้องหลังดูเหมือนมี 3 ตัว แต่จริง ๆ แล้วมี “เลนส์เทเล 2 ระยะในช่องเดียวกัน” - ใช้ เลนส์ periscope ซ้อนกันในกล้องเดียว พร้อมสวิตช์ปรับระยะ 3.7x (83mm) และ 9.4x (212mm) - ทั้งสองระยะใช้ เซนเซอร์ตัวเดียวกันขนาด 1/1.28 นิ้ว ซึ่งใหญ่กว่าปกติสำหรับกล้องเทเล จุดที่น่าทึ่งคือคุณภาพภาพจากระยะ 3.7x และ 9.4x ดูดีมากทั้งคู่ แถมยัง แชร์เซนเซอร์เดียวกัน เพื่อรักษาคุณภาพให้สูงสุด ลดช่องเล็กช่องน้อยในโมดูลกล้อง กล้องหลักก็ไม่น้อยหน้า → ใช้เซนเซอร์ 1 นิ้ว, ความละเอียด 50MP, รูรับแสงปรับได้ f/1.6–f/4 พร้อมอ้างว่าให้ dynamic range 16 stops ซึ่งอาจดีที่สุดเท่าที่เคยมีมาในสมาร์ทโฟน ยังไม่หมด — Huawei จับมือกับ Tilta ผลิต ชุดกล้องโปรเสริมแบบครบเซ็ต: - กริ๊ปเสริมทรงกล้อง + พาวเวอร์แบงก์ในตัว - ไฟ LED ต่อเสริม, ขาตั้งไฟเบอร์, ระบบ follow focus สำหรับวิดีโอ - รองรับฟิลเตอร์ เช่น ND - เคสช่วยระบายความร้อน และเพิ่มพลังงานให้เครื่อง มือถือรุ่นนี้เปิดตัวในจีนแล้วที่ราคา CNY 9,999 (~$1,400) แต่ยังไม่มีแผนวางจำหน่ายในสหรัฐฯ https://www.techradar.com/cameras/im-a-photographer-and-huaweis-latest-camera-phone-has-some-of-the-wildest-tech-ive-seen-yet-including-this-world-first
    0 Comments 0 Shares 163 Views 0 Reviews
  • เวลา 10.00 น. รับแจ้งเหตุ หน้าบริษัทเบียร์ช้าง ตำบลบ้านโพธิ์ อ.เมืองนครราชสีมา รถกระบะตกลงร่องกลางถนน บาดเจ็บ 2 ราย ชาย 1 ราย หญิง 1 ราย มีบาดแผลแตกที่ริมฝีปากทั้งคู่รู้สึกตัวดี เดินได้ คันที่ 7 เป็นหญิง 1 รายนำส่งโรงพยาบาลมหาราชคันที่ 27 เป็นชาย 1 รายนำส่งโรงพยาบาลมหาราช ทั้งคู่
    เวลา 10.00 น. รับแจ้งเหตุ หน้าบริษัทเบียร์ช้าง ตำบลบ้านโพธิ์ อ.เมืองนครราชสีมา รถกระบะตกลงร่องกลางถนน บาดเจ็บ 2 ราย ชาย 1 ราย หญิง 1 ราย มีบาดแผลแตกที่ริมฝีปากทั้งคู่รู้สึกตัวดี เดินได้ คันที่ 7 เป็นหญิง 1 รายนำส่งโรงพยาบาลมหาราชคันที่ 27 เป็นชาย 1 รายนำส่งโรงพยาบาลมหาราช ทั้งคู่
    0 Comments 0 Shares 152 Views 0 Reviews
  • บริษัทกลั่นน้ำมันของอิสราเอลประกาศว่าโรงกลั่นน้ำมันในเมืองไฮฟา ซึ่งได้รับความเสียหายจากการโจมตีด้วยขีปนาวุธของอิหร่าน จะกลับมาดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้งภายในเดือนตุลาคม

    อิสราเอลมีโรงกลั่นน้ำมันเพียงสองแห่ง หนึ่งแห่งในเมืองไฮฟา และอีกแห่งในเมืองอัชดอด ซึ่งถูกโจมตีจากอิหร่านทั้งคู่
    บริษัทกลั่นน้ำมันของอิสราเอลประกาศว่าโรงกลั่นน้ำมันในเมืองไฮฟา ซึ่งได้รับความเสียหายจากการโจมตีด้วยขีปนาวุธของอิหร่าน จะกลับมาดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้งภายในเดือนตุลาคม อิสราเอลมีโรงกลั่นน้ำมันเพียงสองแห่ง หนึ่งแห่งในเมืองไฮฟา และอีกแห่งในเมืองอัชดอด ซึ่งถูกโจมตีจากอิหร่านทั้งคู่
    0 Comments 0 Shares 120 Views 0 Reviews
  • #พ่อติดคุกลูกออกไป ติดคุกทั้งคู่ทั้งตระกูล 28-6-68 รุ้งกินน้ำ 2 ชั้น เหนือเวที “รวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย” ณ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ระหว่างที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ขึ้นปราศรัย..cr. #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    #พ่อติดคุกลูกออกไป ติดคุกทั้งคู่ทั้งตระกูล 28-6-68 รุ้งกินน้ำ 2 ชั้น 🌈 เหนือเวที “รวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย” ณ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ระหว่างที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ขึ้นปราศรัย..cr. #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    0 Comments 0 Shares 162 Views 0 Reviews
  • ย้อนกลับไปปีที่แล้ว CoreWeave เคยเสนอยื่นซื้อกิจการ Core Scientific มาแล้วครั้งหนึ่งด้วยเงิน $1.02 พันล้าน แต่ถูกปฏิเสธเพราะทาง CoreSci มองว่ามูลค่าดังกล่าวยังต่ำกว่าความเป็นจริง

    เวลาผ่านไป…ดูเหมือนสถานการณ์เปลี่ยนครับ เพราะวันนี้ WSJ รายงานว่า ทั้งสองบริษัท “กลับมาเจรจากันใหม่” และอาจปิดดีลได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

    อะไรคือเหตุผลเบื้องหลัง? เพราะตอนนี้บริษัท AI อย่าง CoreWeave ต้องการ “แหล่งพลังงานราคาถูกและพร้อมใช้งานได้ทันที” — ซึ่งตรงกับสิ่งที่ CoreSci มีอยู่ เพราะศูนย์เหมืองคริปโตต้องใช้ไฟมหาศาลระดับหลายร้อยเมกะวัตต์อยู่แล้ว และมีสัญญาโรงไฟฟ้าระยะยาวพร้อมใช้งาน

    นอกจากนี้ ทั้งคู่เพิ่งเซ็นสัญญาร่วมกันไปเมื่อกลางปี 2024 โดย CoreSci จะจัดหาโครงสร้างพื้นฐาน 200 เมกะวัตต์ให้ CoreWeave ใช้กับการประมวลผล AI

    CoreWeave กำลังเจรจาซื้อกิจการ Core Scientific อีกครั้ง หลังเคยถูกปฏิเสธเมื่อปีที่แล้ว  
    • รอบก่อนเสนอซื้อที่ $1.02 พันล้าน หรือ $5.75/หุ้น แต่โดนปัดตกว่า “ราคาต่ำเกินไป”

    ดีลใหม่นี้มีมูลค่ายังไม่เปิดเผย และยังอยู่ระหว่างเจรจา  
    • หากสำเร็จ อาจเสร็จสิ้นภายในไม่กี่สัปดาห์

    Core Scientific ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดราว $4 พันล้าน  
    • ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นกว่า 8% หลังมีข่าวเจรจา

    ทั้งสองบริษัทมีสัญญาระยะยาวร่วมกันอยู่แล้ว  
    • CoreSci ให้พลังงาน 200MW สำหรับศูนย์ AI ของ CoreWeave  
    • เป็นระบบพลังงานระดับ “High-performance computing infrastructure”

    เทรนด์ในอุตสาหกรรมตอนนี้: บริษัท AI ซื้อหรือร่วมมือกับผู้ขุดเหมืองคริปโตเพื่อแย่งพลังงานราคาถูก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/27/coreweave-in-talks-to-buy-core-scientific-wsj-reports
    ย้อนกลับไปปีที่แล้ว CoreWeave เคยเสนอยื่นซื้อกิจการ Core Scientific มาแล้วครั้งหนึ่งด้วยเงิน $1.02 พันล้าน แต่ถูกปฏิเสธเพราะทาง CoreSci มองว่ามูลค่าดังกล่าวยังต่ำกว่าความเป็นจริง เวลาผ่านไป…ดูเหมือนสถานการณ์เปลี่ยนครับ เพราะวันนี้ WSJ รายงานว่า ทั้งสองบริษัท “กลับมาเจรจากันใหม่” และอาจปิดดีลได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า อะไรคือเหตุผลเบื้องหลัง? เพราะตอนนี้บริษัท AI อย่าง CoreWeave ต้องการ “แหล่งพลังงานราคาถูกและพร้อมใช้งานได้ทันที” — ซึ่งตรงกับสิ่งที่ CoreSci มีอยู่ เพราะศูนย์เหมืองคริปโตต้องใช้ไฟมหาศาลระดับหลายร้อยเมกะวัตต์อยู่แล้ว และมีสัญญาโรงไฟฟ้าระยะยาวพร้อมใช้งาน นอกจากนี้ ทั้งคู่เพิ่งเซ็นสัญญาร่วมกันไปเมื่อกลางปี 2024 โดย CoreSci จะจัดหาโครงสร้างพื้นฐาน 200 เมกะวัตต์ให้ CoreWeave ใช้กับการประมวลผล AI ✅ CoreWeave กำลังเจรจาซื้อกิจการ Core Scientific อีกครั้ง หลังเคยถูกปฏิเสธเมื่อปีที่แล้ว   • รอบก่อนเสนอซื้อที่ $1.02 พันล้าน หรือ $5.75/หุ้น แต่โดนปัดตกว่า “ราคาต่ำเกินไป” ✅ ดีลใหม่นี้มีมูลค่ายังไม่เปิดเผย และยังอยู่ระหว่างเจรจา   • หากสำเร็จ อาจเสร็จสิ้นภายในไม่กี่สัปดาห์ ✅ Core Scientific ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดราว $4 พันล้าน   • ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นกว่า 8% หลังมีข่าวเจรจา ✅ ทั้งสองบริษัทมีสัญญาระยะยาวร่วมกันอยู่แล้ว   • CoreSci ให้พลังงาน 200MW สำหรับศูนย์ AI ของ CoreWeave   • เป็นระบบพลังงานระดับ “High-performance computing infrastructure” ✅ เทรนด์ในอุตสาหกรรมตอนนี้: บริษัท AI ซื้อหรือร่วมมือกับผู้ขุดเหมืองคริปโตเพื่อแย่งพลังงานราคาถูก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/27/coreweave-in-talks-to-buy-core-scientific-wsj-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    CoreWeave in talks to buy Core Scientific, WSJ reports
    (Reuters) -CoreWeave is in talks to buy Core Scientific, after the bitcoin miner rejected an earlier deal from the cloud provider last year, the Wall Street Journal reported on Thursday, citing people familiar with the matter.
    0 Comments 0 Shares 133 Views 0 Reviews
  • ผมมองว่าไอ้กี้ กับฮุน
    ก็แค่เพราะเอกนางเอกในละครน้ำเน่า
    ละครของพวกเขา กำลังดำเนินไป

    เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เรื่องคุณกบ

    ฮุนกับกี้ ก็แค่เพราะเอกนางเอกในละครน้ำเน่า
    ทำให้เขมรคลั่งชาติ จนเกิดการเผาสถานฑูต

    และทักษิณก็ทำหล่อ จะส่งทหารบุกเขาเขมร เพื่อช่วยคนไทย

    ฉากหน้า ฆ่าและประนาม แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็ได้ในผลลัพท์ที่ต้องการ

    ฮุนได้กระแสรักชาติและเบี่ยงเบนความสนใจเรื่องปากท้อง

    ไอ้ษินกลายเป็นฮีโร่ยอมหักพี่ที่รักเพื่อปกป้องคนไทยในกัมพูชา
    จำได้ว่าตอนนั้นคนอวยทักกี้หนักมาก

    ส่วนเขมรก็คลั่งฮุนเชนเช่นกัน
    ทักษิณก็ทำหล่อ จะส่งทหารเขาเขมร
    ฉากหน้า ฆ่าและประนาม
    แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็ได้ในผลลัพท์ที่ต้องการ

    ฮุนได้กระแสรักชาติและเบี่ยงเบนความสนใจเรื่องปากท้อง
    ผมมองว่าไอ้กี้ กับฮุน ก็แค่เพราะเอกนางเอกในละครน้ำเน่า ละครของพวกเขา กำลังดำเนินไป เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เรื่องคุณกบ ฮุนกับกี้ ก็แค่เพราะเอกนางเอกในละครน้ำเน่า ทำให้เขมรคลั่งชาติ จนเกิดการเผาสถานฑูต และทักษิณก็ทำหล่อ จะส่งทหารบุกเขาเขมร เพื่อช่วยคนไทย ฉากหน้า ฆ่าและประนาม แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็ได้ในผลลัพท์ที่ต้องการ ฮุนได้กระแสรักชาติและเบี่ยงเบนความสนใจเรื่องปากท้อง ไอ้ษินกลายเป็นฮีโร่ยอมหักพี่ที่รักเพื่อปกป้องคนไทยในกัมพูชา จำได้ว่าตอนนั้นคนอวยทักกี้หนักมาก ส่วนเขมรก็คลั่งฮุนเชนเช่นกัน ทักษิณก็ทำหล่อ จะส่งทหารเขาเขมร ฉากหน้า ฆ่าและประนาม แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็ได้ในผลลัพท์ที่ต้องการ ฮุนได้กระแสรักชาติและเบี่ยงเบนความสนใจเรื่องปากท้อง
    0 Comments 0 Shares 110 Views 0 Reviews
  • สาย Linux อาจเคยปวดหัวกับการลงระบบเอง ปรับไดรเวอร์ให้ตรงโน่นนี่นั่นใช่ไหมครับ? แต่ Tuxedo เค้าแก้ตรงนั้นให้เลย — เพราะโน้ตบุ๊กรุ่นนี้มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Tuxedo OS (Linux) ที่ปรับแต่งมาเรียบร้อย ใช้งานได้ทันทีแบบไร้ปัญหา

    สเปกก็ไม่ธรรมดา: ใช้ซีพียู Ryzen AI 300 เลือกได้ตั้งแต่ Ryzen AI 7 350, Ryzen AI 9 365 ไปจนถึงตัวท็อป Ryzen AI 9 HX 370 ที่ให้ 12 คอร์ 24 เธรด, พร้อมหน้าจอ 14 นิ้ว ความละเอียด 3K, ความสว่างสูงถึง 500 nits ตัวเครื่องใช้อลูมิเนียมน้ำหนักเบาแค่ 1.45 กก. แต่ใส่แบตมาให้ 80Wh ใช้งานเว็บได้ถึง 9 ชั่วโมง!

    ความเจ๋งคือมี RAM และ SSD แบบอัปเกรดได้ทั้งคู่ (dual-slot), พอร์ตเชื่อมต่อมีครบทั้ง USB4, HDMI 2.1 และแม้แต่ Ethernet ก็มีให้ด้วย

    แต่…ราคานี่สิครับ — รุ่นเริ่มต้นอยู่ที่ €1,000++ (ประมาณ 42,000 บาท) สำหรับรุ่น Ryzen 7 + RAM 16GB + SSD 500GB ซึ่งแพงกว่าพีซีสเปกใกล้กันบน Windows เยอะมาก แถมถ้าซื้อในยุโรป ราคายังสูงขึ้นอีก

    แม้จะเป็น Linux สายพันธุ์แท้ แต่หลายคนอาจเลือก ซื้อโน้ตบุ๊ก Windows ราคาย่อมเยากว่า แล้วลง Linux เอง ก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลวเลยครับ

    Tuxedo เปิดตัว InfinityBook Pro 14 Gen10 โน้ตบุ๊ก Linux ตัวแรง ใช้ชิป Ryzen AI 300 รุ่นล่าสุด  
    • เลือกได้ตั้งแต่ Ryzen AI 7 350, AI 9 365 ถึง AI 9 HX 370 (12 คอร์)  
    • ประสิทธิภาพสูงกว่า Gen9 ถึง 40%

    หน้าจอ 14” ความละเอียด 3K, สว่าง 500 nits, ตัวเครื่องบางเบาแค่ 1.45 กก.  
    • ทำจากอลูมิเนียม พร้อมแบต 80Wh ใช้งานเว็บได้นาน 9 ชั่วโมง

    อัดแน่นด้วยพอร์ต: USB4, HDMI 2.1, LAN, รองรับอัปเกรด RAM และ SSD สองช่อง

    ระบบปฏิบัติการเป็น Tuxedo OS (Linux) ที่ปรับแต่งมาเฉพาะ พร้อมใช้งานทันที  
    • ทดสอบไดรเวอร์และระบบเรียบร้อยจากโรงงาน

    แม้จะแพง แต่ก็ถือเป็น Linux laptop ที่ “คลีนที่สุด” สำหรับ power user สายเปิดโอเพ่นซอร์ส

    https://www.techradar.com/pro/this-is-probably-the-fastest-linux-laptop-you-can-buy-right-now-but-while-i-love-the-open-source-creds-its-far-too-expensive-compared-to-the-competition
    สาย Linux อาจเคยปวดหัวกับการลงระบบเอง ปรับไดรเวอร์ให้ตรงโน่นนี่นั่นใช่ไหมครับ? แต่ Tuxedo เค้าแก้ตรงนั้นให้เลย — เพราะโน้ตบุ๊กรุ่นนี้มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Tuxedo OS (Linux) ที่ปรับแต่งมาเรียบร้อย ใช้งานได้ทันทีแบบไร้ปัญหา สเปกก็ไม่ธรรมดา: ใช้ซีพียู Ryzen AI 300 เลือกได้ตั้งแต่ Ryzen AI 7 350, Ryzen AI 9 365 ไปจนถึงตัวท็อป Ryzen AI 9 HX 370 ที่ให้ 12 คอร์ 24 เธรด, พร้อมหน้าจอ 14 นิ้ว ความละเอียด 3K, ความสว่างสูงถึง 500 nits ตัวเครื่องใช้อลูมิเนียมน้ำหนักเบาแค่ 1.45 กก. แต่ใส่แบตมาให้ 80Wh ใช้งานเว็บได้ถึง 9 ชั่วโมง! ความเจ๋งคือมี RAM และ SSD แบบอัปเกรดได้ทั้งคู่ (dual-slot), พอร์ตเชื่อมต่อมีครบทั้ง USB4, HDMI 2.1 และแม้แต่ Ethernet ก็มีให้ด้วย แต่…ราคานี่สิครับ — รุ่นเริ่มต้นอยู่ที่ €1,000++ (ประมาณ 42,000 บาท) สำหรับรุ่น Ryzen 7 + RAM 16GB + SSD 500GB ซึ่งแพงกว่าพีซีสเปกใกล้กันบน Windows เยอะมาก แถมถ้าซื้อในยุโรป ราคายังสูงขึ้นอีก แม้จะเป็น Linux สายพันธุ์แท้ แต่หลายคนอาจเลือก ซื้อโน้ตบุ๊ก Windows ราคาย่อมเยากว่า แล้วลง Linux เอง ก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลวเลยครับ ✅ Tuxedo เปิดตัว InfinityBook Pro 14 Gen10 โน้ตบุ๊ก Linux ตัวแรง ใช้ชิป Ryzen AI 300 รุ่นล่าสุด   • เลือกได้ตั้งแต่ Ryzen AI 7 350, AI 9 365 ถึง AI 9 HX 370 (12 คอร์)   • ประสิทธิภาพสูงกว่า Gen9 ถึง 40% ✅ หน้าจอ 14” ความละเอียด 3K, สว่าง 500 nits, ตัวเครื่องบางเบาแค่ 1.45 กก.   • ทำจากอลูมิเนียม พร้อมแบต 80Wh ใช้งานเว็บได้นาน 9 ชั่วโมง ✅ อัดแน่นด้วยพอร์ต: USB4, HDMI 2.1, LAN, รองรับอัปเกรด RAM และ SSD สองช่อง ✅ ระบบปฏิบัติการเป็น Tuxedo OS (Linux) ที่ปรับแต่งมาเฉพาะ พร้อมใช้งานทันที   • ทดสอบไดรเวอร์และระบบเรียบร้อยจากโรงงาน ✅ แม้จะแพง แต่ก็ถือเป็น Linux laptop ที่ “คลีนที่สุด” สำหรับ power user สายเปิดโอเพ่นซอร์ส https://www.techradar.com/pro/this-is-probably-the-fastest-linux-laptop-you-can-buy-right-now-but-while-i-love-the-open-source-creds-its-far-too-expensive-compared-to-the-competition
    WWW.TECHRADAR.COM
    Tuxedo InfinityBook Pro 14 Gen10 ships with Linux but pricing may deter many buyers
    Tuxedo’s InfinityBook Pro 14 Gen10 is powered by AMD’s new Ryzen AI 300 series processors
    0 Comments 0 Shares 216 Views 0 Reviews
  • ภาพถ่ายเมื่อวันที่ 16/6/2025 ยืนยันว่าเรือตรวจการณ์อิเล็กทรอนิกส์ PLA 815A ของจีน จำนวน 2 ลำ คือ 855 และ 815A อยู่ในอ่าวเปอร์เซียทั้งคู่

    815A สามารถติดตามเครื่องบิน ขีปนาวุธ ขีปนาวุธนำวิถี ตลอดจนทำการรบกวนแม่เหล็กไฟฟ้าและวิเคราะห์ข่าวกรอง
    ภาพถ่ายเมื่อวันที่ 16/6/2025 ยืนยันว่าเรือตรวจการณ์อิเล็กทรอนิกส์ PLA 815A ของจีน จำนวน 2 ลำ คือ 855 และ 815A อยู่ในอ่าวเปอร์เซียทั้งคู่ 815A สามารถติดตามเครื่องบิน ขีปนาวุธ ขีปนาวุธนำวิถี ตลอดจนทำการรบกวนแม่เหล็กไฟฟ้าและวิเคราะห์ข่าวกรอง
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 252 Views 0 Reviews
  • Storyฯ เพิ่งดูละครเรื่อง <สตรีหาญ ฉางเกอ> ตอนที่หนึ่งเปิดตัวพระนางด้วยการแข่งขันอันเร้าใจของเกมกีฬาที่เรียกว่า ‘ชู่จวี’ (蹴鞠 หรือที่ BBC เขาเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Kickball) เป็นศัพท์จีนที่จำตัวเขียนได้ยากมาก ไปทำการบ้านมาจึงพบว่าในเว็บจีนต่างพูดถึงเกมชู่จวีนี้ว่าเป็นต้นกำเนิดของฟุตบอล

    แต่เนื่องจากเพื่อนชาวอังกฤษของ Storyฯ พูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่าฟุตบอลเป็นกีฬาของอังกฤษ Storyฯ จึงต้องไปหาข้อมูลเพิ่ม ปรากฏว่านาย Kevin Moore ผู้อำนวยการของ National Football Museum แห่งอังกฤษกล่าวไว้หลายปีแล้วดังนี้ค่ะ “While England is the birthplace of the modern game as we know it, we have always acknowledged that the origins of the game lie in China” ซึ่งหมายความว่า วิธีการเล่น/แข่งฟุตบอลในรูปแบบปัจจุบันนั้นถือกำเนิดจากอังกฤษก็จริง แต่ฟุตบอลมีรากฐานมาจากจีน

    กลับมาที่ชู่จวีกันดีกว่า

    ความ ‘เอ๊ะ’ เกิดขึ้นเมื่อเห็นในละครเรื่อง <สตรีหาญ ฉางเกอ> ที่รูปร่างหน้าตาของ ‘บอล’ มันเหมือนตะกร้อมากเลย คือดูจะเป็นหวายสาน (ตามรูปขวาบนจากในละคร) แต่ Storyฯ เคยเห็นในละครเรื่องอื่นดูวัสดุคล้ายผ้าก็มี ก็เลยต้องไปทำการบ้านอีก

    เลยมีรูปจากพิพิธภัณฑ์กีฬาส่านซีมาฝาก (รูปขวาล่าง) เป็นรูปของลูกบอลที่ใช้ในสมัยราชวงศ์ฮั่น (ปี 202 ก่อนคริสตกาล – ปีค.ศ. 220, คือลูกซ้าย) และราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-907, คือลูกขวา) สังเกตได้ว่าการตัดเย็บไม่เหมือนกัน แต่สรุปว่าทั้งคู่ทำมาจากหนังนะจ๊ะ ส่วนไส้ในนั้นจะเป็นขนเป็ดขนไก่

    ในสมัยราชวงศ์ฮั่น การเล่นชู่จวีสามารถเล่นแบบโชว์เดี่ยว เป็นการแสดงทักษะและลีลาของผู้เล่น ต่อมาในสมัยราชวงศ์ถังจึงมีการเล่นแข่งเป็นทีม ซึ่งวิธีเล่นโดยหลักคือแข่งกันเตะลูกเข้าโกล โกลเป็นห่วงทรงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณหนึ่งฟุต ตั้งอยู่ตรงกลางสนาม เรียกว่า เฟิงหลิวเหยี่ยน (Eye of the Flowing Wind) สูงเหนือพื้นประมาณสิบเมตร มีเอกสารทางประวัติศาสตร์จากสมัยราชวงศ์ซ่งไม่น้อยที่บรรยายถึงกฎกติกาการเล่นชู่จวีอย่างชัดเจน

    ชู่จวีเป็นกิจกรรมกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคสมัยราชวงศ์ฮั่น แต่ว่ากันว่ายุคเฟื่องฟูของมันจริงๆ คือสมัยราชวงศ์ถัง-ซ่ง เพราะงานเลี้ยงในวังหรืองานเลี้ยงฉลองต้อนรับทูตสัมพันธไมตรีจากแคว้นต่างๆ มักจัดให้มีการเล่นชู่จวี นอกจากนี้ยังมีการเล่นกันอย่างแพร่หลายในสังคมเมืองใหญ่อีกด้วย ผู้เล่นเดิมเป็นลูกหลานตระกูลผู้ดี เป็นผู้หญิงก็เล่นได้ (ในสมัยราชวงศ์ถัง) ต่อมาจึงมีนักเล่นมืออาชีพมาร่วมทีมด้วย แต่เมื่อผ่านยุคสมัยราชวงศ์ซ่งก็ค่อยๆ คลายความนิยมลง

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ ติดตามได้ที่ @StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจาก:
    https://mydramalist.com/photos/eN5EY_3
    https://14th.xiancn.com/2021-04/22/content_6220692.html
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.bbc.com/news/magazine-35409594
    https://14th.xiancn.com/2021-04/22/content_6220692.html
    https://www.epochtimes.com/gb/16/6/18/n8010456.htm
    http://view.inews.qq.com/a/20200915A0HSBN00?tbkt=B3&uid=

    #สตรีหาญฉางเกอ #ชู่จวี #ราชวงศ์ถัง #วัฒนธรรมจีนโบราณ StoryfromStory
    Storyฯ เพิ่งดูละครเรื่อง <สตรีหาญ ฉางเกอ> ตอนที่หนึ่งเปิดตัวพระนางด้วยการแข่งขันอันเร้าใจของเกมกีฬาที่เรียกว่า ‘ชู่จวี’ (蹴鞠 หรือที่ BBC เขาเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Kickball) เป็นศัพท์จีนที่จำตัวเขียนได้ยากมาก ไปทำการบ้านมาจึงพบว่าในเว็บจีนต่างพูดถึงเกมชู่จวีนี้ว่าเป็นต้นกำเนิดของฟุตบอล แต่เนื่องจากเพื่อนชาวอังกฤษของ Storyฯ พูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่าฟุตบอลเป็นกีฬาของอังกฤษ Storyฯ จึงต้องไปหาข้อมูลเพิ่ม ปรากฏว่านาย Kevin Moore ผู้อำนวยการของ National Football Museum แห่งอังกฤษกล่าวไว้หลายปีแล้วดังนี้ค่ะ “While England is the birthplace of the modern game as we know it, we have always acknowledged that the origins of the game lie in China” ซึ่งหมายความว่า วิธีการเล่น/แข่งฟุตบอลในรูปแบบปัจจุบันนั้นถือกำเนิดจากอังกฤษก็จริง แต่ฟุตบอลมีรากฐานมาจากจีน กลับมาที่ชู่จวีกันดีกว่า ความ ‘เอ๊ะ’ เกิดขึ้นเมื่อเห็นในละครเรื่อง <สตรีหาญ ฉางเกอ> ที่รูปร่างหน้าตาของ ‘บอล’ มันเหมือนตะกร้อมากเลย คือดูจะเป็นหวายสาน (ตามรูปขวาบนจากในละคร) แต่ Storyฯ เคยเห็นในละครเรื่องอื่นดูวัสดุคล้ายผ้าก็มี ก็เลยต้องไปทำการบ้านอีก เลยมีรูปจากพิพิธภัณฑ์กีฬาส่านซีมาฝาก (รูปขวาล่าง) เป็นรูปของลูกบอลที่ใช้ในสมัยราชวงศ์ฮั่น (ปี 202 ก่อนคริสตกาล – ปีค.ศ. 220, คือลูกซ้าย) และราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-907, คือลูกขวา) สังเกตได้ว่าการตัดเย็บไม่เหมือนกัน แต่สรุปว่าทั้งคู่ทำมาจากหนังนะจ๊ะ ส่วนไส้ในนั้นจะเป็นขนเป็ดขนไก่ ในสมัยราชวงศ์ฮั่น การเล่นชู่จวีสามารถเล่นแบบโชว์เดี่ยว เป็นการแสดงทักษะและลีลาของผู้เล่น ต่อมาในสมัยราชวงศ์ถังจึงมีการเล่นแข่งเป็นทีม ซึ่งวิธีเล่นโดยหลักคือแข่งกันเตะลูกเข้าโกล โกลเป็นห่วงทรงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณหนึ่งฟุต ตั้งอยู่ตรงกลางสนาม เรียกว่า เฟิงหลิวเหยี่ยน (Eye of the Flowing Wind) สูงเหนือพื้นประมาณสิบเมตร มีเอกสารทางประวัติศาสตร์จากสมัยราชวงศ์ซ่งไม่น้อยที่บรรยายถึงกฎกติกาการเล่นชู่จวีอย่างชัดเจน ชู่จวีเป็นกิจกรรมกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคสมัยราชวงศ์ฮั่น แต่ว่ากันว่ายุคเฟื่องฟูของมันจริงๆ คือสมัยราชวงศ์ถัง-ซ่ง เพราะงานเลี้ยงในวังหรืองานเลี้ยงฉลองต้อนรับทูตสัมพันธไมตรีจากแคว้นต่างๆ มักจัดให้มีการเล่นชู่จวี นอกจากนี้ยังมีการเล่นกันอย่างแพร่หลายในสังคมเมืองใหญ่อีกด้วย ผู้เล่นเดิมเป็นลูกหลานตระกูลผู้ดี เป็นผู้หญิงก็เล่นได้ (ในสมัยราชวงศ์ถัง) ต่อมาจึงมีนักเล่นมืออาชีพมาร่วมทีมด้วย แต่เมื่อผ่านยุคสมัยราชวงศ์ซ่งก็ค่อยๆ คลายความนิยมลง (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ ช่วยกดไลค์กดแชร์กันด้วยนะคะ ติดตามได้ที่ @StoryfromStory) Credit รูปภาพจาก: https://mydramalist.com/photos/eN5EY_3 https://14th.xiancn.com/2021-04/22/content_6220692.html Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.bbc.com/news/magazine-35409594 https://14th.xiancn.com/2021-04/22/content_6220692.html https://www.epochtimes.com/gb/16/6/18/n8010456.htm http://view.inews.qq.com/a/20200915A0HSBN00?tbkt=B3&uid= #สตรีหาญฉางเกอ #ชู่จวี #ราชวงศ์ถัง #วัฒนธรรมจีนโบราณ StoryfromStory
    1 Comments 0 Shares 508 Views 0 Reviews
  • หลายคนอาจไม่ค่อยรู้จักชื่อ Nat Friedman เท่า Elon หรือ Altman แต่เบื้องหลังเขาคือหนึ่งใน “คนสร้างแรงกระเพื่อม” แห่งโลกโอเพ่นซอร์สและนักลงทุนยุค AI-first ตัวจริง โดยเคยเป็น CEO ของ GitHub (ช่วงที่ Microsoft ซื้อมา) และหลังออกจากตำแหน่ง ก็หันมาเป็น VC เปิดกองทุนร่วมกับ Daniel Gross (อดีตผู้บริหาร Apple และผู้ร่วมก่อตั้ง Cue ที่ถูก Google ซื้อกิจการ)

    ข่าวจาก The Information และ Reuters บอกว่า Meta กำลังเจรจาทาบทามทั้งคู่มาเสริมทัพโปรเจกต์ AI ของบริษัท และอาจถึงขั้น ซื้อหุ้นบางส่วนของกองทุน NFDG ที่พวกเขาร่วมกันตั้งขึ้น เพื่อ “ดึงทรัพยากร AI ทั้งคนและเทคโนโลยี” เข้ามาอยู่ในมือ Meta

    ช่วงนี้ Meta ขยับเร็วมาก—หลังเพิ่งเทเงินกว่า 14.8 พันล้านดอลลาร์ลงทุนใน Scale AI และดึงตัวซีอีโอของ Scale อย่าง Alexandr Wang มานำแผนก “Superintelligence” ที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่

    เป้าหมายของ Meta คือสร้างโมเดล AI แบบโอเพ่นซอร์สที่แข่งกับ OpenAI, Google และ Anthropic ให้ได้ โดยมี Llama เป็นแกนหลัก และตอนนี้ต้องการทีมระดับ “ผู้ปั้น ecosystem” มาเสริม ไม่ใช่แค่นักวิจัย

    Nat Friedman เคยอยู่ในคณะที่ปรึกษา Meta มาก่อนด้วย ทำให้คาดว่าดีลนี้มีโอกาสเกิดขึ้นจริงสูง และน่าจะเชื่อมโยงกับทิศทาง AI ด้าน Developer Tools หรือแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์สของ Meta ในอนาคต

    Meta อยู่ระหว่างการเจรจากับ Nat Friedman (อดีต CEO GitHub) และ Daniel Gross ให้เข้าร่วมภารกิจ AI  
    • ทั้งสองคนเป็นผู้ร่วมก่อตั้งกองทุน NFDG ซึ่งลงทุนในสตาร์ตอัปสาย AI  
    • Meta เคยดึง Friedman เข้าเป็นที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีมาแล้วก่อนหน้านี้

    มีการพูดคุยถึงการซื้อหุ้นบางส่วนของ NFDG เพื่อควบรวมกำลังด้าน AI  
    • Meta ต้องการเชื่อมโยงแหล่งบุคลากรและบริษัท AI ที่กองทุนสนับสนุนอยู่

    การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลัง Meta เทเงิน $14.8B ลงทุนใน Scale AI  
    • และดึง CEO ของ Scale (Alexandr Wang) มานำทีม Superintelligence Unit

    เป้าหมายระยะยาวของ Meta คือเร่งพัฒนา Open-Source AI ให้แข่งขันกับคู่แข่งอย่าง OpenAI, Google, Anthropic ได้  
    • โดยเฉพาะผ่านโมเดล Llama และแพลตฟอร์มที่เน้น Developer เป็นศูนย์กลาง

    หาก Meta ซื้อหุ้นใน NFDG จริง อาจเกิดความกังวลเรื่อง “การผูกขาดบุคลากร AI”  
    • Meta อาจเข้าถึง startup และนักพัฒนา AI รุ่นใหม่ก่อนใครในตลาด  
    • ส่งผลต่อความเป็นอิสระของระบบนิเวศโอเพ่นซอร์ส

    แผน “เร่งเกม AI” ของ Meta ยังไม่มีโมเดลที่ใช้งานเชิงพาณิชย์เทียบเท่า GPT-4 หรือ Claude 3  
    • แม้จะเปิดตัว Llama และชุด weights ฟรี แต่ยังเน้นด้านนักพัฒนา มากกว่าผู้ใช้งานทั่วไป

    การจ้างบุคคลระดับสูงจำนวนมากในระยะสั้น อาจส่งผลกระทบต่อความสอดคล้องของวิสัยทัศน์องค์กร  
    • โดยเฉพาะหากมีหลายทีมที่พัฒนา AI ไปคนละทิศ

    ตลาด AI มีการแข่งขันสูง และเคลื่อนไหวเร็ว—อาจทำให้ Meta ต้องทบทวนแผนลงทุนและโครงสร้างบ่อยครั้ง  
    • ส่งผลต่อเสถียรภาพของแพลตฟอร์มและเครื่องมือสำหรับนักพัฒนา

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/19/meta-in-talks-to-hire-former-github-ceo-nat-friedman-to-join-ai-efforts-the-information-reports
    หลายคนอาจไม่ค่อยรู้จักชื่อ Nat Friedman เท่า Elon หรือ Altman แต่เบื้องหลังเขาคือหนึ่งใน “คนสร้างแรงกระเพื่อม” แห่งโลกโอเพ่นซอร์สและนักลงทุนยุค AI-first ตัวจริง โดยเคยเป็น CEO ของ GitHub (ช่วงที่ Microsoft ซื้อมา) และหลังออกจากตำแหน่ง ก็หันมาเป็น VC เปิดกองทุนร่วมกับ Daniel Gross (อดีตผู้บริหาร Apple และผู้ร่วมก่อตั้ง Cue ที่ถูก Google ซื้อกิจการ) ข่าวจาก The Information และ Reuters บอกว่า Meta กำลังเจรจาทาบทามทั้งคู่มาเสริมทัพโปรเจกต์ AI ของบริษัท และอาจถึงขั้น ซื้อหุ้นบางส่วนของกองทุน NFDG ที่พวกเขาร่วมกันตั้งขึ้น เพื่อ “ดึงทรัพยากร AI ทั้งคนและเทคโนโลยี” เข้ามาอยู่ในมือ Meta ช่วงนี้ Meta ขยับเร็วมาก—หลังเพิ่งเทเงินกว่า 14.8 พันล้านดอลลาร์ลงทุนใน Scale AI และดึงตัวซีอีโอของ Scale อย่าง Alexandr Wang มานำแผนก “Superintelligence” ที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่ เป้าหมายของ Meta คือสร้างโมเดล AI แบบโอเพ่นซอร์สที่แข่งกับ OpenAI, Google และ Anthropic ให้ได้ โดยมี Llama เป็นแกนหลัก และตอนนี้ต้องการทีมระดับ “ผู้ปั้น ecosystem” มาเสริม ไม่ใช่แค่นักวิจัย Nat Friedman เคยอยู่ในคณะที่ปรึกษา Meta มาก่อนด้วย ทำให้คาดว่าดีลนี้มีโอกาสเกิดขึ้นจริงสูง และน่าจะเชื่อมโยงกับทิศทาง AI ด้าน Developer Tools หรือแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์สของ Meta ในอนาคต ✅ Meta อยู่ระหว่างการเจรจากับ Nat Friedman (อดีต CEO GitHub) และ Daniel Gross ให้เข้าร่วมภารกิจ AI   • ทั้งสองคนเป็นผู้ร่วมก่อตั้งกองทุน NFDG ซึ่งลงทุนในสตาร์ตอัปสาย AI   • Meta เคยดึง Friedman เข้าเป็นที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีมาแล้วก่อนหน้านี้ ✅ มีการพูดคุยถึงการซื้อหุ้นบางส่วนของ NFDG เพื่อควบรวมกำลังด้าน AI   • Meta ต้องการเชื่อมโยงแหล่งบุคลากรและบริษัท AI ที่กองทุนสนับสนุนอยู่ ✅ การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลัง Meta เทเงิน $14.8B ลงทุนใน Scale AI   • และดึง CEO ของ Scale (Alexandr Wang) มานำทีม Superintelligence Unit ✅ เป้าหมายระยะยาวของ Meta คือเร่งพัฒนา Open-Source AI ให้แข่งขันกับคู่แข่งอย่าง OpenAI, Google, Anthropic ได้   • โดยเฉพาะผ่านโมเดล Llama และแพลตฟอร์มที่เน้น Developer เป็นศูนย์กลาง ‼️ หาก Meta ซื้อหุ้นใน NFDG จริง อาจเกิดความกังวลเรื่อง “การผูกขาดบุคลากร AI”   • Meta อาจเข้าถึง startup และนักพัฒนา AI รุ่นใหม่ก่อนใครในตลาด   • ส่งผลต่อความเป็นอิสระของระบบนิเวศโอเพ่นซอร์ส ‼️ แผน “เร่งเกม AI” ของ Meta ยังไม่มีโมเดลที่ใช้งานเชิงพาณิชย์เทียบเท่า GPT-4 หรือ Claude 3   • แม้จะเปิดตัว Llama และชุด weights ฟรี แต่ยังเน้นด้านนักพัฒนา มากกว่าผู้ใช้งานทั่วไป ‼️ การจ้างบุคคลระดับสูงจำนวนมากในระยะสั้น อาจส่งผลกระทบต่อความสอดคล้องของวิสัยทัศน์องค์กร   • โดยเฉพาะหากมีหลายทีมที่พัฒนา AI ไปคนละทิศ ‼️ ตลาด AI มีการแข่งขันสูง และเคลื่อนไหวเร็ว—อาจทำให้ Meta ต้องทบทวนแผนลงทุนและโครงสร้างบ่อยครั้ง   • ส่งผลต่อเสถียรภาพของแพลตฟอร์มและเครื่องมือสำหรับนักพัฒนา https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/19/meta-in-talks-to-hire-former-github-ceo-nat-friedman-to-join-ai-efforts-the-information-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Meta in talks to hire former GitHub CEO Nat Friedman to join AI efforts, The Information reports
    (Reuters) -Meta Platforms is in talks to hire former GitHub CEO Nat Friedman to join the Facebook parent's AI efforts, The Information reported on Wednesday, citing a person familiar with the matter.
    0 Comments 0 Shares 241 Views 0 Reviews
  • Microsoft เคยลงทุนใน OpenAI มากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ แลกกับการได้ใช้เทคโนโลยีเบื้องหลังของ GPT, DALL·E และระบบปัญญาประดิษฐ์ที่นำไปใช้ใน Copilot และ Bing แต่ตอนนี้ข่าวจาก Financial Times และ Wall Street Journal บอกว่า ทั้งสองฝ่ายเริ่มมี “เสียงขัดแย้ง” เรื่องอนาคตของความร่วมมือกัน

    Microsoft ไม่พอใจที่ OpenAI อยากเปลี่ยนสถานะบริษัทไปเป็น “Public-Benefit Corporation” ซึ่งเปิดทางให้หาเงินเพิ่มจากนักลงทุนได้มากขึ้น—แต่กลับทำให้ Microsoft เสียอำนาจควบคุมลง ขณะเดียวกัน OpenAI ก็บ่นว่า Microsoft เริ่มมีพฤติกรรม “ผูกขาด” และใช้ประโยชน์จากการลงทุนมากเกินควร

    ตอนนี้ Microsoft บอกว่า “พร้อมจะยุติการเจรจา” ถ้าไม่สามารถตกลงเงื่อนไขเรื่องสัดส่วนความเป็นเจ้าของและการเข้าถึงเทคโนโลยีในอนาคตได้ แต่บริษัทก็ยังมีสิทธิใช้ GPT อยู่ต่อไปจนถึงปี 2030 ตามสัญญาเดิมอยู่ดี

    มุมที่น่าสนใจคือ นี่ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน—แต่มันสะท้อนให้เห็นการแข่งขันในสนาม AI ระดับโลกที่เริ่มลุกเป็นไฟ: Meta กับ Llama, Google กับ Gemini, และ Apple ที่ก็เริ่มจับมือกับหลายฝ่าย (รวมถึง OpenAI) เพื่อเข้าสู่เกมนี้เต็มตัวแล้ว

    Microsoft อาจเลิกการเจรจารอบใหม่กับ OpenAI หากไม่ลงตัวเรื่องสัดส่วนความร่วมมือ  
    • FT รายงานว่า Microsoft พร้อม “เดินออก” หากตกลงไม่ได้  
    • แต่ยังคงใช้ GPT ได้จนถึงปี 2030 ภายใต้สัญญาเดิม

    OpenAI อยากเปลี่ยนเป็น Public-Benefit Corporation เพื่อระดมทุนได้มากขึ้น  
    • ต้องได้รับความเห็นชอบจาก Microsoft ซึ่งถืออำนาจทางกลยุทธ์อยู่  
    • เป้าหมายคือขยายธุรกิจและไม่ถูกจำกัดจากโครงสร้างเดิม

    OpenAI เคยพิจารณาจะกล่าวหา Microsoft ว่าก่อพฤติกรรมผูกขาด  
    • ตามรายงานของ WSJ เป็นการกดดันด้านการลงทุนและการควบคุมสิทธิ์

    ปัญหาสะท้อนสมรภูมิแข่งขันของ Big Tech ในยุค AI ระเบิด  
    • Meta, Google, Apple ต่างขยับท่าทีเพื่อเป็นผู้นำด้าน AI  
    • มีแนวโน้มสูงที่ OpenAI อาจเปิดรับพาร์ตเนอร์ใหม่เพื่อสร้างสมดุล

    การเจรจาล่มอาจทำให้ Microsoft ไม่มีสิทธิ์พิเศษต่อ GPT เวอร์ชันใหม่ ๆ หลังปี 2030  
    • ต้องพิจารณาทางเลือก เช่น พัฒนาโมเดลเอง หรือจับมือกับบริษัทอื่น

    OpenAI อาจเปิดทางให้คู่แข่งของ Microsoft เข้าถึงโมเดล GPT ได้มากขึ้นในอนาคต  
    • เช่น Apple, Amazon หรือบริษัทสตาร์ตอัป AI จากจีน/ยุโรป

    รูปแบบสัญญาปัจจุบันยังไม่โปร่งใส—สิทธิ์จริง ๆ ในเทคโนโลยีอาจซับซ้อนกว่าที่คิด  
    • Microsoft ลงทุนเยอะ แต่ไม่มีหุ้นในรูปแบบดั้งเดิมของ OpenAI  
    • ความคลุมเครือนี้อาจเป็นเหตุให้ทั้งคู่ต้องเจรจากันอีกรอบ

    กรณีนี้อาจเร่งให้บริษัทอื่นเร่งสร้างโมเดล AI ภายในองค์กรเองมากขึ้น  
    • เพื่อไม่พึ่งพาพาร์ตเนอร์มากเกินไปในเทคโนโลยีสำคัญ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/19/microsoft-prepared-to-walk-away-from-high-stakes-talks-with-openai-ft-reports
    Microsoft เคยลงทุนใน OpenAI มากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ แลกกับการได้ใช้เทคโนโลยีเบื้องหลังของ GPT, DALL·E และระบบปัญญาประดิษฐ์ที่นำไปใช้ใน Copilot และ Bing แต่ตอนนี้ข่าวจาก Financial Times และ Wall Street Journal บอกว่า ทั้งสองฝ่ายเริ่มมี “เสียงขัดแย้ง” เรื่องอนาคตของความร่วมมือกัน Microsoft ไม่พอใจที่ OpenAI อยากเปลี่ยนสถานะบริษัทไปเป็น “Public-Benefit Corporation” ซึ่งเปิดทางให้หาเงินเพิ่มจากนักลงทุนได้มากขึ้น—แต่กลับทำให้ Microsoft เสียอำนาจควบคุมลง ขณะเดียวกัน OpenAI ก็บ่นว่า Microsoft เริ่มมีพฤติกรรม “ผูกขาด” และใช้ประโยชน์จากการลงทุนมากเกินควร ตอนนี้ Microsoft บอกว่า “พร้อมจะยุติการเจรจา” ถ้าไม่สามารถตกลงเงื่อนไขเรื่องสัดส่วนความเป็นเจ้าของและการเข้าถึงเทคโนโลยีในอนาคตได้ แต่บริษัทก็ยังมีสิทธิใช้ GPT อยู่ต่อไปจนถึงปี 2030 ตามสัญญาเดิมอยู่ดี มุมที่น่าสนใจคือ นี่ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน—แต่มันสะท้อนให้เห็นการแข่งขันในสนาม AI ระดับโลกที่เริ่มลุกเป็นไฟ: Meta กับ Llama, Google กับ Gemini, และ Apple ที่ก็เริ่มจับมือกับหลายฝ่าย (รวมถึง OpenAI) เพื่อเข้าสู่เกมนี้เต็มตัวแล้ว ✅ Microsoft อาจเลิกการเจรจารอบใหม่กับ OpenAI หากไม่ลงตัวเรื่องสัดส่วนความร่วมมือ   • FT รายงานว่า Microsoft พร้อม “เดินออก” หากตกลงไม่ได้   • แต่ยังคงใช้ GPT ได้จนถึงปี 2030 ภายใต้สัญญาเดิม ✅ OpenAI อยากเปลี่ยนเป็น Public-Benefit Corporation เพื่อระดมทุนได้มากขึ้น   • ต้องได้รับความเห็นชอบจาก Microsoft ซึ่งถืออำนาจทางกลยุทธ์อยู่   • เป้าหมายคือขยายธุรกิจและไม่ถูกจำกัดจากโครงสร้างเดิม ✅ OpenAI เคยพิจารณาจะกล่าวหา Microsoft ว่าก่อพฤติกรรมผูกขาด   • ตามรายงานของ WSJ เป็นการกดดันด้านการลงทุนและการควบคุมสิทธิ์ ✅ ปัญหาสะท้อนสมรภูมิแข่งขันของ Big Tech ในยุค AI ระเบิด   • Meta, Google, Apple ต่างขยับท่าทีเพื่อเป็นผู้นำด้าน AI   • มีแนวโน้มสูงที่ OpenAI อาจเปิดรับพาร์ตเนอร์ใหม่เพื่อสร้างสมดุล ‼️ การเจรจาล่มอาจทำให้ Microsoft ไม่มีสิทธิ์พิเศษต่อ GPT เวอร์ชันใหม่ ๆ หลังปี 2030   • ต้องพิจารณาทางเลือก เช่น พัฒนาโมเดลเอง หรือจับมือกับบริษัทอื่น ‼️ OpenAI อาจเปิดทางให้คู่แข่งของ Microsoft เข้าถึงโมเดล GPT ได้มากขึ้นในอนาคต   • เช่น Apple, Amazon หรือบริษัทสตาร์ตอัป AI จากจีน/ยุโรป ‼️ รูปแบบสัญญาปัจจุบันยังไม่โปร่งใส—สิทธิ์จริง ๆ ในเทคโนโลยีอาจซับซ้อนกว่าที่คิด   • Microsoft ลงทุนเยอะ แต่ไม่มีหุ้นในรูปแบบดั้งเดิมของ OpenAI   • ความคลุมเครือนี้อาจเป็นเหตุให้ทั้งคู่ต้องเจรจากันอีกรอบ ‼️ กรณีนี้อาจเร่งให้บริษัทอื่นเร่งสร้างโมเดล AI ภายในองค์กรเองมากขึ้น   • เพื่อไม่พึ่งพาพาร์ตเนอร์มากเกินไปในเทคโนโลยีสำคัญ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/19/microsoft-prepared-to-walk-away-from-high-stakes-talks-with-openai-ft-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Microsoft prepared to abandon high-stakes talks with OpenAI, FT reports
    (Reuters) -Microsoft is prepared to abandon its high-stakes negotiations with OpenAI over the future of its alliance, the Financial Times reported on Wednesday.
    0 Comments 0 Shares 224 Views 0 Reviews
  • ‘สุชาติ’ เข้าไต่สวนมูลฟ้อง คดีฟ้องหมิ่นประมาท สส.ปชน. ‘รักชนก-สหัสวัต’ ลั่น ทั้งคู่ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ทำ ยืนยัน ไม่เกี่ยว ประกันสังคมซื้อตึก Skyy9
    https://www.thai-tai.tv/news/19469/
    ‘สุชาติ’ เข้าไต่สวนมูลฟ้อง คดีฟ้องหมิ่นประมาท สส.ปชน. ‘รักชนก-สหัสวัต’ ลั่น ทั้งคู่ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ทำ ยืนยัน ไม่เกี่ยว ประกันสังคมซื้อตึก Skyy9 https://www.thai-tai.tv/news/19469/
    0 Comments 0 Shares 133 Views 0 Reviews
  • ..แบนพม่าแบนลาวด้วย,เป็นไปได้แบบมโนๆคือพม่าและลาวเป็นสมุนของจีนหรือรัสเชีย สามารถที่จีนหรือรัสเชียจะส่งคนพม่าคนลาวเข้าอเมริกาเป็นสายให้รัสเชียหรือจีนได้สะดวกก็ว่า,รัสเชียสนับสนุนพม่าเหมือนจีนเต็มที่โดยข่าวล่าสุดคือรัสเชียช่วยสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ให้พม่านั้นเอง,จะไว้ใจพม่าหรือลาวที่ไหนได้,แสดงว่าอเมริกาไว้ใจเขมรแน่ๆจึงไม่แบน อาจได้ประโยชน์จากบ่อน้ำมันบนอ่าวไทยหรือโคตรทรัพยากรมีค่ามากมายบริเวณอ่าวไทยเกาะกูดไหล่ทะเลอ่าวไทยเกาะกูดเป็นอันมากและมหาศาล จะเชฟรอนหรือกิจการใดๆของอีลิทdeep stateอเมริกาก็ตาม,เขมรน่าจะแบ่งปันผลประโยชน์ให้อเมริกาเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อดูสถานะการณ์วงกว้างจะโทนี่เองรีตลัทธิหัวกระโหลกไขว้หรือลูกรีตลัทธิตาเดียวก็ตาม ต่างคือขี้ข้าสมุนรับใช้ฝ่ายมืดซาตานdeep stateนั้นเองระดับสากลข้ามชาติตัวพ่อ,เกาะเอาสหายมิตรอย่างฮุนเชนไปหลีภัยได้ด้วยหากกรณีฉุกเฉินผิดแผน แผนแตกหนีทันทั้งคู่ จึงเป็นอเมริกายังไม่แบนเขมรไง!!!,555มโนคิดเล่นๆนะ
    ..จีนที่ไปสร้างนั้นนี้โน้น ให้นั้นนี้โน้นเขมร จริงๆจีนไม่เชื่อใจคนเนรคุณสายพันธุ์ทรยศแบบเขมรหรอก,จีนคือมิตรไมตรีดีของไทยแต่ใดมา,และอาสาเข้ามาจัดการจีนเทาให้ด้วยแบบฟรีๆเลย,แต่คนชั่วมีตำแหน่งสูงหรือชนชั้นปกครองเลวกลัวสิ่งนีัจึงสั่งการผ่านรัฐบาลตนที่ตนยังสามารถควบคุมได้สั่งมิให้ทางการจีนเข้ามาจัดการจีนเทาในไทย100%เพราะตนเลี้ยงไว้แดกทำกำไรขูดรีดหลอกลวงสายมือสายเถื่อนในไทยเยอะแยะ สร้างรายได้เข้าตนมหาศาลใครผีบ้าจะให้ทางการจีนมาทำลายแหล่งรายได้ของตนอู่เงินอู่ทองแหล่งข้าวแหล่งน้ำอันอุดมสมบูรณ์ทางชั่วๆเถื่อนๆเลวทั้งนั้น,จีนจึงคือมิตรที่ดีเรื่อยมา,เขมรคงไกลส้นตีนจีน และจีนเข้ายึดเขมรเพื่อตัดตอนพื้นที่ฝรั่งลงจำกัดเขตสมุนฝรั่งลงมิให้ใช้พื้นที่เขมรเป็นฐานรบกับจีนง่ายๆหากเกิดสงครามนั้นเอง.,จีนไม่ไว้ใจเขมรอะไรเลยก็ว่า,ฮุนเชนจริงๆหมดอำนาจแล้วในเขมร,เพราะจีนวางสนุ๊คจนหมดทางไป,ที่พึ่งเดียวและไม้ตายสุดท้ายคือโทนี่บวกเบื้องหลังคืออีลิทdeep stateอเมริกา,(หากโทนี่คือตัวปลอมตัวโคลนจริง อาจเป็นหนังคนละม้วนเพราะตัวจริงตายไปแล้ว,,แสดงว่ามีแผนนัยยะที่เกินเราจะเข้าใจในแผนเขาแล้ว)
    ..มองตามข่าว อเมริกาไม่แบนเขมรมีสิ่งผิดปกติแน่นอน และเขมรอาจคือไส้ศึกของจีนที่อเมริกาวางแผนไว้ก็ด้วย,ส่วนไทยเรา พระมหากษัตริย์เราตัังประเทศไทยให้ดำรงไว้สายกลางให้ทำตัวเป็นคนกลางแน่นอน.

    ..https://m.youtube.com/watch?v=Yb71A856RTs
    ..แบนพม่าแบนลาวด้วย,เป็นไปได้แบบมโนๆคือพม่าและลาวเป็นสมุนของจีนหรือรัสเชีย สามารถที่จีนหรือรัสเชียจะส่งคนพม่าคนลาวเข้าอเมริกาเป็นสายให้รัสเชียหรือจีนได้สะดวกก็ว่า,รัสเชียสนับสนุนพม่าเหมือนจีนเต็มที่โดยข่าวล่าสุดคือรัสเชียช่วยสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ให้พม่านั้นเอง,จะไว้ใจพม่าหรือลาวที่ไหนได้,แสดงว่าอเมริกาไว้ใจเขมรแน่ๆจึงไม่แบน อาจได้ประโยชน์จากบ่อน้ำมันบนอ่าวไทยหรือโคตรทรัพยากรมีค่ามากมายบริเวณอ่าวไทยเกาะกูดไหล่ทะเลอ่าวไทยเกาะกูดเป็นอันมากและมหาศาล จะเชฟรอนหรือกิจการใดๆของอีลิทdeep stateอเมริกาก็ตาม,เขมรน่าจะแบ่งปันผลประโยชน์ให้อเมริกาเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อดูสถานะการณ์วงกว้างจะโทนี่เองรีตลัทธิหัวกระโหลกไขว้หรือลูกรีตลัทธิตาเดียวก็ตาม ต่างคือขี้ข้าสมุนรับใช้ฝ่ายมืดซาตานdeep stateนั้นเองระดับสากลข้ามชาติตัวพ่อ,เกาะเอาสหายมิตรอย่างฮุนเชนไปหลีภัยได้ด้วยหากกรณีฉุกเฉินผิดแผน แผนแตกหนีทันทั้งคู่ จึงเป็นอเมริกายังไม่แบนเขมรไง!!!,555มโนคิดเล่นๆนะ ..จีนที่ไปสร้างนั้นนี้โน้น ให้นั้นนี้โน้นเขมร จริงๆจีนไม่เชื่อใจคนเนรคุณสายพันธุ์ทรยศแบบเขมรหรอก,จีนคือมิตรไมตรีดีของไทยแต่ใดมา,และอาสาเข้ามาจัดการจีนเทาให้ด้วยแบบฟรีๆเลย,แต่คนชั่วมีตำแหน่งสูงหรือชนชั้นปกครองเลวกลัวสิ่งนีัจึงสั่งการผ่านรัฐบาลตนที่ตนยังสามารถควบคุมได้สั่งมิให้ทางการจีนเข้ามาจัดการจีนเทาในไทย100%เพราะตนเลี้ยงไว้แดกทำกำไรขูดรีดหลอกลวงสายมือสายเถื่อนในไทยเยอะแยะ สร้างรายได้เข้าตนมหาศาลใครผีบ้าจะให้ทางการจีนมาทำลายแหล่งรายได้ของตนอู่เงินอู่ทองแหล่งข้าวแหล่งน้ำอันอุดมสมบูรณ์ทางชั่วๆเถื่อนๆเลวทั้งนั้น,จีนจึงคือมิตรที่ดีเรื่อยมา,เขมรคงไกลส้นตีนจีน และจีนเข้ายึดเขมรเพื่อตัดตอนพื้นที่ฝรั่งลงจำกัดเขตสมุนฝรั่งลงมิให้ใช้พื้นที่เขมรเป็นฐานรบกับจีนง่ายๆหากเกิดสงครามนั้นเอง.,จีนไม่ไว้ใจเขมรอะไรเลยก็ว่า,ฮุนเชนจริงๆหมดอำนาจแล้วในเขมร,เพราะจีนวางสนุ๊คจนหมดทางไป,ที่พึ่งเดียวและไม้ตายสุดท้ายคือโทนี่บวกเบื้องหลังคืออีลิทdeep stateอเมริกา,(หากโทนี่คือตัวปลอมตัวโคลนจริง อาจเป็นหนังคนละม้วนเพราะตัวจริงตายไปแล้ว,,แสดงว่ามีแผนนัยยะที่เกินเราจะเข้าใจในแผนเขาแล้ว) ..มองตามข่าว อเมริกาไม่แบนเขมรมีสิ่งผิดปกติแน่นอน และเขมรอาจคือไส้ศึกของจีนที่อเมริกาวางแผนไว้ก็ด้วย,ส่วนไทยเรา พระมหากษัตริย์เราตัังประเทศไทยให้ดำรงไว้สายกลางให้ทำตัวเป็นคนกลางแน่นอน. ..https://m.youtube.com/watch?v=Yb71A856RTs
    0 Comments 0 Shares 252 Views 0 Reviews
  • รองโฆษกราชทัณฑ์ เผย "ณฐพร-ลูกชาย" ฝากขังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ พบมีโรคประจำตัวตามวัย อยู่แดนกักโรคห้องเดียวกัน อายุเยอะทั้งคู่ให้อยู่ช่วยดูแลกัน
    .
    จากกรณี อัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาผู้ตรวจการแผ่นดิน อายุ 72 ปี และ นายรัฐสิทธิ์ โตประยูร บุตรชาย อายุ 50 ปี เป็นจำเลยในความผิดฐานสมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ภายหลังศาลอาญารัชดาภิเษก ประทับรับฟ้องจำเลยทั้งสองและยื่นหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราว ระหว่างพิจารณาคดี ศาลพิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหา คดีมีอัตราโทษสูง พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองกับพวกแบ่งหน้าที่กันทำ กระทบต่อความมั่นคงในทางเศรษฐกิจ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนในวงกว้าง กรณีเป็นเรื่องร้ายแรง หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวมีเหตุอันควรเชื่อว่าจำเลยทั้งสองจะหลบหนีจึงไม่อนุญาต เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงควบคุมตัวจำเลยทั้งสองไปคุมขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร วานนี้ (5 มิ.ย.)
    .
    วันนี้ (6 มิ.ย.) นางกนกวรรณ จิ๋วเชื้อพันธุ์ ผบ.เรือนจำจังหวัดนนทบุรี ในฐานะรองโฆษกกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า วานนี้ (5 มิ.ย.) เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้คุมตัว นายณฐพร โตประยูร พร้อมลูกชาย ฝากขังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร โดยทำประวัติผู้ต้องขังตามระเบียบและตรวจสุขภาพ พบว่า นายณฐพร ซึ่งเป็นผู้สูงอายุ มีโรคประจำตัว 3-4 โรคตามวัย แต่ไม่ได้พกยาติดตัวมาด้วย เพราะไม่คาดคิดว่าจะไม่ได้รับการประกันตัว จึงแนะนำญาติให้นำยาโรคประจำวันมาฝากเรือนจำในภายหลัง ส่วนลูกชายไม่มีโรคประจำตัว สุขภาพทั่วไปปกติ และทั้งคู่เข้ามาเรือนจำ สังเกตว่ามีความเครียดเล็กน้อย โดยก่อนเข้าเรือนจำ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ทราบว่ายังไม่ได้รับประทานอาหารจึงจัดอาหารมื้อเย็นเป็น ผัดขี้เมาไก่ ใส่ผัก และซุป สามารถทานได้ตามปกติ
    .
    คลิกรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ >> https://mgronline.com/crime/detail/9680000053000
    .
    #MGROnline #ณฐพรโตประยูร #อดีตที่ปรึกษาผู้ตรวจการแผ่นดิน
    รองโฆษกราชทัณฑ์ เผย "ณฐพร-ลูกชาย" ฝากขังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ พบมีโรคประจำตัวตามวัย อยู่แดนกักโรคห้องเดียวกัน อายุเยอะทั้งคู่ให้อยู่ช่วยดูแลกัน . จากกรณี อัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาผู้ตรวจการแผ่นดิน อายุ 72 ปี และ นายรัฐสิทธิ์ โตประยูร บุตรชาย อายุ 50 ปี เป็นจำเลยในความผิดฐานสมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ภายหลังศาลอาญารัชดาภิเษก ประทับรับฟ้องจำเลยทั้งสองและยื่นหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราว ระหว่างพิจารณาคดี ศาลพิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหา คดีมีอัตราโทษสูง พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองกับพวกแบ่งหน้าที่กันทำ กระทบต่อความมั่นคงในทางเศรษฐกิจ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนในวงกว้าง กรณีเป็นเรื่องร้ายแรง หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวมีเหตุอันควรเชื่อว่าจำเลยทั้งสองจะหลบหนีจึงไม่อนุญาต เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงควบคุมตัวจำเลยทั้งสองไปคุมขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร วานนี้ (5 มิ.ย.) . วันนี้ (6 มิ.ย.) นางกนกวรรณ จิ๋วเชื้อพันธุ์ ผบ.เรือนจำจังหวัดนนทบุรี ในฐานะรองโฆษกกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า วานนี้ (5 มิ.ย.) เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้คุมตัว นายณฐพร โตประยูร พร้อมลูกชาย ฝากขังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร โดยทำประวัติผู้ต้องขังตามระเบียบและตรวจสุขภาพ พบว่า นายณฐพร ซึ่งเป็นผู้สูงอายุ มีโรคประจำตัว 3-4 โรคตามวัย แต่ไม่ได้พกยาติดตัวมาด้วย เพราะไม่คาดคิดว่าจะไม่ได้รับการประกันตัว จึงแนะนำญาติให้นำยาโรคประจำวันมาฝากเรือนจำในภายหลัง ส่วนลูกชายไม่มีโรคประจำตัว สุขภาพทั่วไปปกติ และทั้งคู่เข้ามาเรือนจำ สังเกตว่ามีความเครียดเล็กน้อย โดยก่อนเข้าเรือนจำ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ทราบว่ายังไม่ได้รับประทานอาหารจึงจัดอาหารมื้อเย็นเป็น ผัดขี้เมาไก่ ใส่ผัก และซุป สามารถทานได้ตามปกติ . คลิกรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ >> https://mgronline.com/crime/detail/9680000053000 . #MGROnline #ณฐพรโตประยูร #อดีตที่ปรึกษาผู้ตรวจการแผ่นดิน
    0 Comments 0 Shares 367 Views 0 Reviews
  • ผู้ต้องสงสัยรายแรกที่เกี่ยวข้องกับการโจมตีด้วยโดรนที่สนามบินฐานทัพอากาศรัสเซียในภูมิภาคอีร์คุตสค์ ถูกประกาศตามหาตัวจากหน่วยงานความมั่นคงของอีร์คุตสค์

    อาร์เทม ติโมฟีเยฟ (Артём Тимофеев) วัย 37 ปี เป็นชาวยูเครน เกิดในภูมิภาคซิตโตเมียร์ (Zhitomir) ของยูเครน ต่อมาย้ายมาอาศัยอยู่ที่เคียฟ

    ปี 2014 เขาย้ายมาอาศัยในรัสเซีย โดยเริ่มต้นอาศัยอยู่ในโดเนตสค์ (Donetsk) หลังจากนั้นย้ายมาอาศัยอยู่ในเชเลียบินสค์ (Chelyabinsk) ภูมิภาคอีร์คุตสค์

    จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่พบว่า ติโมฟีเยฟ มีชื่อเป็นเจ้าของรถบรรทุกสี่คันที่ใช้ลักลอบขนส่งโดรน โดยเขาเป็นคนว่าจ้างให้คนมาขับรถอีกทอดหนึ่ง และเป็นคนกำหนดจุดเพื่อให้รถจอดตามเส้นทางขนส่ง ซึ่งเป็นเส้นทางที่ใช้ในการโจมตีสนามบินของฐานทัพอากาศเบลายาในเขตอีร์คุตสค์

    ส่วนภรรยาและลูกชายของติโมฟีเยฟยังคงอาศัยอยู่ในยูเครน

    แม้ว่าทั้งคู่จะได้รับสัญชาติรัสเซียแล้ว แต่ยังคงเรียกตัวเองว่า "ผู้รักชาติยูเครน" และมักจะวิจารณ์ปฏิบัติการพิเศษทางทหารของปูตินมาตลอด

    นอกจากนี้ จากการสืบสวนในเชิงลึกของเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคง พบว่าติโมฟีเยฟ เป็นหนึ่งในนักเคลื่อนไหวที่สนับสนุนยูเครน และมีส่วนเกี่ยวข้องในการประท้วงอย่างรุนแรงช่วงปี 2013-2014 หรือที่เรียกว่าเหตุการณ์ไมดาน (Maidan) ซึ่งเป็นช่วงที่เขาแฝงตัวเข้ามาอยู่ในรัสเซีย
    ผู้ต้องสงสัยรายแรกที่เกี่ยวข้องกับการโจมตีด้วยโดรนที่สนามบินฐานทัพอากาศรัสเซียในภูมิภาคอีร์คุตสค์ ถูกประกาศตามหาตัวจากหน่วยงานความมั่นคงของอีร์คุตสค์ อาร์เทม ติโมฟีเยฟ (Артём Тимофеев) วัย 37 ปี เป็นชาวยูเครน เกิดในภูมิภาคซิตโตเมียร์ (Zhitomir) ของยูเครน ต่อมาย้ายมาอาศัยอยู่ที่เคียฟ ปี 2014 เขาย้ายมาอาศัยในรัสเซีย โดยเริ่มต้นอาศัยอยู่ในโดเนตสค์ (Donetsk) หลังจากนั้นย้ายมาอาศัยอยู่ในเชเลียบินสค์ (Chelyabinsk) ภูมิภาคอีร์คุตสค์ จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่พบว่า ติโมฟีเยฟ มีชื่อเป็นเจ้าของรถบรรทุกสี่คันที่ใช้ลักลอบขนส่งโดรน โดยเขาเป็นคนว่าจ้างให้คนมาขับรถอีกทอดหนึ่ง และเป็นคนกำหนดจุดเพื่อให้รถจอดตามเส้นทางขนส่ง ซึ่งเป็นเส้นทางที่ใช้ในการโจมตีสนามบินของฐานทัพอากาศเบลายาในเขตอีร์คุตสค์ ส่วนภรรยาและลูกชายของติโมฟีเยฟยังคงอาศัยอยู่ในยูเครน แม้ว่าทั้งคู่จะได้รับสัญชาติรัสเซียแล้ว แต่ยังคงเรียกตัวเองว่า "ผู้รักชาติยูเครน" และมักจะวิจารณ์ปฏิบัติการพิเศษทางทหารของปูตินมาตลอด นอกจากนี้ จากการสืบสวนในเชิงลึกของเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคง พบว่าติโมฟีเยฟ เป็นหนึ่งในนักเคลื่อนไหวที่สนับสนุนยูเครน และมีส่วนเกี่ยวข้องในการประท้วงอย่างรุนแรงช่วงปี 2013-2014 หรือที่เรียกว่าเหตุการณ์ไมดาน (Maidan) ซึ่งเป็นช่วงที่เขาแฝงตัวเข้ามาอยู่ในรัสเซีย
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 233 Views 0 Reviews
  • **ภาพวาด 24 กตัญญู**

    สวัสดีค่ะ สัปดาห์ที่แล้วคุยกันถึงฉากที่พระนางในเรื่อง <จิ่วฉงจื่อ บุปผาเหนือลิขิต> สวมหน้ากากร่วมทายปริศนากันในเทศกาลโคมไฟ วันนี้มาคุยกันต่ออีกนิดเกี่ยวกับฉากนี้ ในเนื้อเรื่องนางเอกชนะได้โคมไฟหนึ่งใบซึ่งนางมอบให้พระเอกและพระเอกให้คนส่งต่อไปให้พ่อของเขา โดยโคมไฟใบนี้เป็นลายภาพที่นางเอกเรียกว่า ‘ภาพวาด 24 กตัญญู’

    ‘24 กตัญญู’ (二十四孝/เอ้อร์สือซื่อเซี่ยว) เป็นเรื่องราวความกตัญญูยี่สิบสี่เรื่องที่ถูกเรียบเรียงขึ้นในสมัยหยวนโดยกัวจวีจิ้ง บัณฑิตชนบทธรรดาจากหมู่บ้านเล็กแห่งหนึ่งในมณฑลฝูเจี้ยน โดยเป็นการรวบรวมเรื่องเล่าความกตัญญูในประวัติศาสตร์จากหลายแหล่งมาเรียบเรียงเป็นประโยคกลอนสั้นประมาณสี่วรรค ทำให้ง่ายต่อการเล่าต่อและจดจำ จึงกลายเป็นหนึ่งในนิทานสอนเด็กที่ชาวบ้านนิยมอย่างแพร่หลาย ต่อมาถูกหยิบยกมาเป็นเนื้อหาของภาพวาดหรืองานแกะสลักโดยหลากหลายศิลปินหลายยุคสมัย

    เนื้อหาส่วนใหญ่ของบทกวี 24 กตัญญูมีที่มาจาก ‘ตำนานบุตรกตัญญู’ (孝子传/เซี่ยวจื่อจ้วน) ซึ่งถูกประพันธ์ขึ้นโดยหลิวเซี่ยง ราชนิกุลและนักประวัติศาสตร์อักษรศาสตร์สมัยฮั่นตะวันตก เป็นหนึ่งในบทประพันธ์ที่สะท้อนแนวคำสอนและปรัชญาของขงจื๊อ และต่อมา ‘ตำนานบุตรกตัญญู’ ถูกนำไปรวมอยู่ในอีกหลากหลายบทประพันธ์ในอีกหลายยุคสมัย หนึ่งในนั้นคือบันทึกเรื่องเล่าความกตัญญูยาวกว่าห้าม้วนที่ถูกค้นพบในห้องศิลาที่ตุนหวง

    24 กตัญญูกล่าวถึงอะไรบ้าง บทความยาวหน่อยนะคะ สรุปโดยสั้นได้ดังนี้ (ดูรูปประกอบ):

    1. กตัญญูสะเทือนสวรรค์: เป็นเรื่องราวของจักรพรรดิซุ่นกว่าสี่พันปีที่แล้ว (เป็นหนึ่งในสามราชันห้าจักรพรรดิในตำนาน) เมื่อครั้งเขายังเป็นชาวบ้านธรรมดาก็ถูกพ่อ แม่เลี้ยงและน้องต่างมารดาให้ร้ายสารพัดจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่เขาไม่คิดแค้นเคืองและยังคงดูแลพวกเขาอย่างดี จนสวรรค์เห็นใจจึงบันดาลให้มีช้างมาช่วยปรับผิวดินและมีนกมาช่วยหว่านเมล็ดพืชจนทำมาหาเลี้ยงชีพได้ ต่อมาจักรพรรดิ์เหยาได้ยินกิตติศัพท์ความกตัญญูของเขาก็รับเป็นราชบุตรเขยและสุดท้ายให้สืบทอดราชบัลลังก์ต่อไป

    2. แบกข้าวให้บุพการี: กล่าวถึงจงโหยว (นามรองจื่อลู่) หนึ่งในศิษย์เอกของขงจื๊อ ขุนนางชื่อดังแห่งแคว้นเว่ยในยุคสมัยชุนชิว เขามีพื้นเพยากจน ทุกวันจะกินแต่ผักผลไม้ป่าเพื่อประหยัดเงิน แต่ยอมเดินทางไกลกว่าร้อยหลี่เพื่อไปหาซื้อข้าวแบกกลับมาให้พ่อแม่กิน ต่อมาเมื่อชีวิตความเป็นอยู่ดีมีอันจะกินก็มักจะพร่ำเสียดายที่พ่อแม่ไม่มีชีวิตอยู่ดีกินดีกับเขา

    3. ฮ่องเต้ชิมยา: เป็นเรื่องราวของฮั่นเหวินตี้หลิวเหิง บุตรของป๋อไทเฮา ที่คอยดูแลป๋อไทเฮาในยามป่วยตลอดสามปีด้วยตนเองแม้จะเป็นถึงฮ่องเต้มีข้าราชบริพารมากมาย โดยจะชิมยาของแม่ก่อนป้อนให้แม่ทุกครั้งเพื่อทดสอบว่ายานั้นอุ่นกำลังดีไม่ร้อนเกินไป

    4. ขายตัวฝังศพพ่อ: เป็นเรื่องราวของบุรุษนามว่าตงหย่งในสมัยฮั่นที่กำพร้าแม่แต่เด็ก ต่อมาเมื่อพ่อเสียชีวิตก็ไม่มีเงินทำศพพ่อจึงยอมขายตัวเองไปเป็นทาส วันหนึ่งพบเข้ากับสตรีกำพร้าไร้ที่ไป นางขอให้เขาช่วยแต่งงานอยู่กินกันโดยนางยินดีเข้าไปช่วยทำงานที่เรือนเศรษฐีด้วย เศรษฐีตกลงว่าเมื่อนางทอผ้าได้ครบสามร้อยพับก็จะอนุญาตให้ทั้งคู่ไถ่ตัวได้ นางใช้เวลาเพียงเดือนเดียวก็ทำสำเร็จ ต่อมานางบอกความจริงว่านางเป็นเทพธิดาและสวรรค์ซาบซึ้งกับความกตัญญูของเขาจึงมอบหมายให้มาช่วยเขา จากนั้นก็อำลาจากไป

    5. สีสันบันเทิงเพื่อบุพการี: กล่าวถึงเหล่าช่ายจื่อ หนึ่งในบัณฑิตมากความรู้ที่เร้นกายอยู่ในป่าในสมัยชุนชิว เขารักพ่อแม่มากอยากให้พ่อแม่เบิกบานใจทุกวัน ถึงขนาดว่าตัวเองอยู่ในวัย 70 ปีแล้วแต่ก็ยังแต่งตัวสีสันฉูดฉาดเล่นเป็นเด็ก หกล้มลงก็แกล้งทำเป็นกลิ้งเล่นอยู่บนพื้นเพื่อให้พ่อแม่วัยเฒ่าหัวเราะแทนที่จะตกใจเสียใจ

    6. นิ้วแม่เชื่อมใจลูก: เป็นเรื่องราวของเจิงจื่อ นักปรัชญาแห่งราชสำนักโจวและลูกศิษย์ของขงจื๊อ ที่วันหนึ่งออกไปเก็บฟืน แต่มีแขกมาเยือน แม่ของเขาอยู่บ้านคนเดียวก็กระวนกระวายไม่รู้ว่าจะต้อนรับขับสู้อย่างไรดี จนถึงขนาดกัดนิ้วตนเองด้วยความเครียด เจิงจื่อที่อยู่ในป่ากลับรู้สึกได้ถึงความเจ็บนั้น จึงรีบรุดกลับบ้านมาดูแม่และรับรองแขกด้วยตนเอง บ่งบอกถึงสายใยเหนียวแน่นของแม่ลูก

    7. คัดผลไม้ให้แม่กิน: เป็นเรื่องราวของไช่ซุ่นในสมัยฮั่น เขาอาศัยเก็บผลหม่อนกินประทังชีวิตเพราะยากจนมากและข้าวของราคาแพงเพราะสงคราม อยู่มาวันหนึ่งมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่นำขบวนทหารผ่านมาเห็นเขาแยกผลหม่อน ถามได้ความว่าเขาแยกผลสุกสีเข้มให้แม่กิน ส่วนตัวเองกินที่สีแดงที่ยังเปรี้ยวเฝื่อน นายทหารเห็นแก่ความกตัญญูของเขาจึงแบ่งปันเสบียงทหารให้ชายหนุ่ม

    8. กราบไหว้รูปสลักบุพการี: กล่าวถึงบุรุษสมัยฮั่นตะวันออกนามว่าหลันติงที่กำพร้าพ่อแม่แต่เด็ก เขาแกะสลักรูปปั้นพ่อแม่ตั้งไว้ในบ้านกราบไหว้ทุกวันเพราะละอายใจที่ไม่มีโอกาสได้ทดแทนบุญคุณ ไม่เพียงกราบไหว้สามมื้อก่อนจะกินข้าว แต่มีเรื่องอะไรก็จะไปนั่งคุยให้รูปปั้นฟัง หนักเข้าภรรยาก็รำคาญ เลยลองเอาเข็มไปจิ้มรูปปั้น เมื่อเขากลับมาบ้านพบว่ารูปปั้นน้ำตาไหล เมื่อสืบสาวราวเรื่องได้แล้วเขาก็เลิกกับภรรยา

    9. น้ำนมกวางเพื่อบุพการี: กล่าวถึงถานจื่อ ประมุขแคว้นถานซึ่งเป็นแคว้นเล็กในสมัยราชวงศ์โจว ในสมัยเด็กเขายากจนและต้องดูแลพ่อแม่ที่แก่ชราแล้วและตาไม่ดี ต้องกินนมกวางช่วยบำรุงรักษา เขามักจะใช้หนังกวางคลุมตัวแล้วย่องเข้าไปปะปนอยู่ในฝูงกวางเพื่อเอานมกวางมาให้พ่อแม่กิน มีอยู่ครั้งหนึ่งเกือบโดนนายพรานยิง แต่เมื่อนายพรานได้ยินเรื่องราวความจำเป็นของเขาก็ยกนมกวางให้และยังส่งเขากลับบ้านด้วยตนเอง

    10. สวมเสื้อไส้ใยกก: เป็นเรื่องของหมินสุ่น (นามรองจื่อเชียน) หนึ่งในลูกศิษย์ของขงจื๊อ เขากำพร้าแม่ตั้งแต่เด็ก พ่อแต่งภรรยาใหม่มีลูกชายอีกสองคน เขาถูกแม่เลี้ยงกลั่นแกล้งบ่อยครั้ง ต้องสวมเสื้อใยกกในขณะที่น้องๆ ได้สวมเสื้อบุฝ้ายในยามหนาว วันหนึ่งเขาช่วยจูงรถให้พ่อแต่หนาวจนทำให้เชือกหลุดมือ พ่อบันดาลโทสะเฆี่ยนจนเสื้อขาดจึงพบว่าลูกชายคนนี้ใส่เสื้อผ้าที่ไม่ช่วยกันหนาว พ่อโกรธแม่เลี้ยงมากถึงกับเอ่ยปากบอกเลิกทันทีที่กลับถึงบ้าน แต่หมินสุ่นอ้อนวอนขออภัยแทนแม่เลี้ยง โดยให้เหตุผลว่า ตอนนี้มีลูกเพียงคนเดียวที่ลำบาก แต่ถ้าแม่เลี้ยงไม่อยู่จะมีลูกถึงสามคนที่ลำบาก สุดท้ายแม่เลี้ยงได้รับการให้อภัย นางจึงกลับตัวกลับใจดูแลหมินสุ่นอย่างดีนับแต่นั้นมา

    11. ฝังลูกเพื่อแม่: กล่าวถึงบุรุษนามว่ากัวจวี้ในสมัยฮั่น เขามีฐานะยากจน เมื่อพ่อเสียก็แลแม่เป็นอย่างดี ต่อมาเมื่อภรรยาคลอดบุตร เขาก็รู้สึกว่าเลี้ยงดูไม่ไหวและไม่อยากให้แม่ต้องมาอดมื้อกินมื้อไปกับเขา จึงตัดสินใจจะฝังลูกเพื่อจะได้ลดค่าใช้จ่ายโดยไม่ฟังคำทัดทานของภรรยา แต่เมื่อขุดดินลงไปกลับพบทองคำหนึ่งไห เรื่องราวจบลงด้วยดีโดยเขาไม่ต้องฆ่าลูกตัวเองและมีฐานะดีขึ้น

    12. ปลากระโดดจากบ่อน้ำ: กล่าวถึงบุรุษนามว่าเจียงซือในสมัยฮั่น เขามีภรรยาแซ่ผางที่กตัญญูกับแม่สามีมาก แม่สามีชอบกินปลาก็ออกไปจับปลามาให้กิน อยู่มาวันหนึ่งอากาศไม่ดีกว่านางแซ่ผางจะกลับถึงบ้านก็ดึกจึงถูกเจียงซือไล่ออกจากบ้านเพราะเข้าใจผิดว่านางตั้งใจละเลยแม่ของเขา เมื่อแม่ของเจียงซือรู้เรื่องให้เจียงซือไปรับนางกลับมา และตั้งแต่วันที่นางกลับเข้าบ้านมาก็ปรากฏปลาหลีฮื้อสองตัวกระโดดออกมาจากบ่อน้ำกลางบ้านทุกวัน ทำให้นางไม่ต้องไปจับปลาในแม่น้ำอีกต่อไป

    13. ซุกส้มให้แม่: เป็นเรื่องราวของลู่จี้ ขุนนางในสมัยราชวงศ์ฮั่นตอนปลาย กล่าวถึงเมื่อตอนเขาอายุหกขวบ ได้มีโอกาสติดตามพ่อไปพบแม่ทัพท่านหนึ่งที่จวน ครั้นพอเขาคารวะอำลากลับ ส้มสองลูกที่เขาซุกไว้อยู่ในแขนเสื้อกลิ้งหล่นออกมา สอบถามได้ใจความว่าเขาเห็นแม่ชอบกินส้มจึงตั้งใจเก็บเอาไปให้แม่กิน ทำให้แม่ทัพรู้สึกประหลาดใจและชมชอบในความกตัญญูของเด็กคนนี้

    14. ยินเสียงฟ้าร้องปลอบแม่ที่หลุมศพ: กล่าวถึงบัณฑิตหนุ่มจากแคว้นเว่ยนามว่าหวางโผว แม่ของเขาเป็นคนกลัวเสียงฟ้าร้องมาก แม้ว่าจะตายไปแล้วแต่ทุกครั้งที่ฝนตกหนักฟ้าร้อง หวางโผวจะไปกราบหลุมศพนางพร้อมกับปลอบให้นางไม่ต้องกลัว

    15. กอดเสือช่วยพ่อ: กล่าวถึงสตรีนางหนึ่งในสมัยราชวงศ์จิ้นนามว่าหยางเซียง เมื่อครั้งนางมีอายุสิบสี่ปีได้ออกไปทำนากับพ่อ แต่พลันปรากฏเสือตัวหนึ่งกระโจนใส่พ่อจนล้มไป นางไม่มีอาวุธใดแต่ก็กระโดดกอดคอเสือแน่นเพื่อไม่ให้เสือกัดพ่อ สุดท้ายเสือยอมแพ้ปล่อยพ่อของนางแล้วหนีไป

    16. ให้นมย่าทวด: เป็นเรื่องราวความกตัญญูของย่าของเจี๋ยตู้สื่อชุยซานหนานในสมัยถัง เล่าถึงเมื่อครั้งที่ย่าทวดของชุยซานหนานทั้งแก่ทั้งไม่สบายจนเคี้ยวอาหารหยาบไม่ได้เลย ย่าของเขาคอยดูแลโดยใช้น้ำนมของตนป้อนจนย่าทวดอิ่ม ต่อมาทั้งครอบครัวอยู่กันอย่างสงบสุขและรุ่นลูกรุ่นหลานล้วนแสดงความกตัญญูต่อย่าของเขาเช่นกัน

    17. พัดหมอนอุ่นผ้าห่ม: เป็นเรื่องราวของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในสมัยฮั่นนามว่าหวงเซียง เขากำพร้าแม่แต่เด็กและคอยดูแลพ่อ แม้ด้วยวัยเพียงเก้าขวบก็รู้จักพัดหมอนของพ่อให้คลายร้อนในหน้าร้อนและนอนอุ่นผ้าห่มของพ่อในหน้าหนาวเพื่อว่าพ่อของเขาจะได้นอนหลับสบาย

    18. ร่ำไห้จนเกิดหน่อไม้: กล่าวถึงขุนนางสมัยสามก๊กนามว่าเมิ่งจง เขากำพร้าพ่อแต่เด็ก เมื่อครั้งยังหนุ่มต้องดูแลแม่ที่ชราและป่วยหนัก หมอบอกว่าต้องให้แม่กินหน่อไม้สด แต่จนใจเป็นฤดูหนาว เขาหาจนทั่วก็ไม่มีจึงเสียใจคุกเข่าร้องไห้กลางป่า ปรากฏว่าอยู่ดีๆ พื้นดินก็แยกออกแล้วมีหน่อไม้ผุดขึ้นมาให้เขาเก็บกลับบ้านให้แม่กินจนหายป่วย

    19. ล่อยุงแทนพ่อ: กล่าวถึงอู๋เหมิ่ง นักพรตในสมัยสามก๊ก ที่ในสมัยเด็กครอบครัวยากจนไม่มีแม้แต่มุ้งจะกางนอน เขามักจะถอดเสื้อนอนล่อให้ยุงมากัด เพื่อว่าพ่อแม่จะได้นอนหลับสบาย

    20. ล้างกระโถนให้แม่: เป็นเรื่องราวของกวีและนักเขียนอักษรชื่อดังสมัยซ่งเหนือนามว่าหวงถิงเจียน เขาดูแลแม่อย่างเสมอต้นเสมอปลายแม้ว่าจะมีฐานะดี และจะเอากระโถนของแม่ไปเทล้างด้วยตนเองทุกวันไม่เคยขาด

    21. แบกแม่หลบภัย: กล่าวถึงเจียงเก๋อ ขุนนางตงฉินชื่อดังผู้ถูกยกย่องเป็นขุนนางยอดกตัญญูในรัชสมัยของกษัตริย์อู่ตี้แห่งราชวงศ์เหลียงในยุคราชวงศ์เหนือใต้ เจียงเก๋อกำพร้าพ่อแต่เด็กและกตัญญูต่อแม่มาก ครั้งหนึ่งเคยแบกแม่เดินทางหนีสงคราม พบเข้ากับโจรภูเขา เขาอ้อนวอนว่าถ้าเขาตายไป แม่ผู้ชราก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ สุดท้ายโจรภูเขาเลยย้อมไว้ชีวิตปล่อยตัวไปทั้งเขาและแม่

    22. ขอปลาบนน้ำแข็ง: เป็นเรื่องของหวางเสียง หนึ่งในขุนนางระดับสูงของราชวงศ์จิ้นตะวันตก เขากำพร้าแม่แต่เด็ก มีแม่เลี้ยงก็ถูกแม่เลี้ยงใส่ไฟจนพ่อไม่รัก อยู่มาวันหนึ่งแม่เลี้ยงไม่สบายมากเขาก็ดูแลนางอย่างใกล้ชิด ครั้นเห็นนางอยากกินปลาจึงออกไปจับปลา แต่จนใจอากาศหนาวจัดจนผิวน้ำเป็นน้ำแข็ง ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงถอดเสื้อลงนอนทาบน้ำแข็งโดยหวังว่ามันจะทำให้น้ำแข็งละลาย แล้วปาฏิหารย์ก็เกิดขึ้น น้ำแข็งละลายจริงและมีปลาโดดออกมาให้เขาจับกลับบ้าน เมื่อแม่เลี้ยงได้กินปลาก็หายป่วย

    23. ชิมอุจจาระดูอาการป่วยพ่อ: เป็นเรื่องของขุนนางสมัยฉีใต้นามว่าอวี่เฉียนโหลว อยู่มาวันหนึ่งเขารู้สึกใจคอว้าวุ่นคิดถึงพ่อที่อยู่บ้านนอก จึงตัดสินใจลาเกษียณกลับไปดูแลพ่อที่ชรามากแล้ว เมื่อถึงบ้านก็พบว่าพ่อของเขาไม่สบายมาก หมอบอกว่าอาการของพ่อเขาสาหัสมาก หากอุจจาระมีรสขมก็จะดีมีโอกาสหาย เขาจึงแอบชิมอุจจาระพ่อ พบว่ามันมีรสหวานก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ กราบไหว้ฟ้าขอให้พ่อให้และยอมแลกด้วยชีวิตตัวเองแทน แต่หลังจากนั้นไม่กี่วันพ่อของเขาก็สิ้นใจ

    24. ออกจากราชการเพื่อตามหาแม่: กล่าวถึงขุนนางสมัยซ่งนามว่าจูโซ่วชาง เมื่อครั้งเขาอายุเพียงเจ็ดขวบ แม่ของเขาที่มีสถานะเป็นอนุภรรยาได้ถูกภรรยาเอกของพ่อบีบให้ต้องแต่งงานไปกับคนอื่นจนเขาต้องพลัดพรากจากแม่โดยไม่มีข่าวคราว แต่เขาไม่เคยหยุดที่จะสืบหาแม่ของเขา ต่อมาห้าสิบปีให้หลังเขาได้รับเบาะแสเกี่ยวกับแม่ จึงขอลาออกจากตำแหน่งขุนนางระดับสูงเพื่อออกตามหาแม่พร้อมประกาศกร้าวว่าถ้าไม่พบแม่จะไม่กลับเมืองหลวงอีก และเขาก็ทำสำเร็จพบแม่ที่มีอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้วและพานางกลับเมืองหลวงด้วยกัน

    อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น เรื่องราว 24 กตัญญูถูกเรียบเรียงเป็นกลอนสั้น แต่ละเรื่องยาวเพียงสี่วรรค ง่ายต่อการจดจำ เชื่อว่าเพื่อนเพจหลายท่านคงรู้สึกไม่อินกับบางเรื่อง และที่ประเทศจีนเองก็มีการถกกันในวงกว้างว่า การกระทำต่างๆ ที่ถูกกล่าวถึงในเรื่องราวเหล่านี้ยังเหมาะสมต่อบริบทสังคมปัจจุบันหรือไม่ แต่อย่างไรก็ดีเชื่อว่าเพื่อนเพจอ่านแล้วคงพอเห็นภาพว่า เหตุใดเรื่องราวเหล่านี้จึงถูกยกเป็นตัวอย่างเพื่อสะท้อนความดีงามของความกตัญญูต่อพ่อแม่และเป็นตัวอย่างของการทำดีแล้วได้ดี

    (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory)

    Credit รูปภาพจากในละครและจาก:
    https://news.qq.com/rain/a/20241216A05PWX00
    http://www.n12345.com/wenji/24xiao.html?id=1
    Credit ข้อมูลรวบรวมจาก:
    https://www.chinakongzi.org/zt/3419/tp/201705/t20170510_135104.htm
    http://www.chinaknowledge.de/Literature/Historiography/xiaozizhuan.html
    http://www.n12345.com/wenji/24xiao.html?id=1
    https://www.8bei8.com/book/24xiao_1.html

    #จิ่วฉงจื่อ #24กตัญญู #เรื่องเล่าจีนโบราณ #สาระจีน
    **ภาพวาด 24 กตัญญู** สวัสดีค่ะ สัปดาห์ที่แล้วคุยกันถึงฉากที่พระนางในเรื่อง <จิ่วฉงจื่อ บุปผาเหนือลิขิต> สวมหน้ากากร่วมทายปริศนากันในเทศกาลโคมไฟ วันนี้มาคุยกันต่ออีกนิดเกี่ยวกับฉากนี้ ในเนื้อเรื่องนางเอกชนะได้โคมไฟหนึ่งใบซึ่งนางมอบให้พระเอกและพระเอกให้คนส่งต่อไปให้พ่อของเขา โดยโคมไฟใบนี้เป็นลายภาพที่นางเอกเรียกว่า ‘ภาพวาด 24 กตัญญู’ ‘24 กตัญญู’ (二十四孝/เอ้อร์สือซื่อเซี่ยว) เป็นเรื่องราวความกตัญญูยี่สิบสี่เรื่องที่ถูกเรียบเรียงขึ้นในสมัยหยวนโดยกัวจวีจิ้ง บัณฑิตชนบทธรรดาจากหมู่บ้านเล็กแห่งหนึ่งในมณฑลฝูเจี้ยน โดยเป็นการรวบรวมเรื่องเล่าความกตัญญูในประวัติศาสตร์จากหลายแหล่งมาเรียบเรียงเป็นประโยคกลอนสั้นประมาณสี่วรรค ทำให้ง่ายต่อการเล่าต่อและจดจำ จึงกลายเป็นหนึ่งในนิทานสอนเด็กที่ชาวบ้านนิยมอย่างแพร่หลาย ต่อมาถูกหยิบยกมาเป็นเนื้อหาของภาพวาดหรืองานแกะสลักโดยหลากหลายศิลปินหลายยุคสมัย เนื้อหาส่วนใหญ่ของบทกวี 24 กตัญญูมีที่มาจาก ‘ตำนานบุตรกตัญญู’ (孝子传/เซี่ยวจื่อจ้วน) ซึ่งถูกประพันธ์ขึ้นโดยหลิวเซี่ยง ราชนิกุลและนักประวัติศาสตร์อักษรศาสตร์สมัยฮั่นตะวันตก เป็นหนึ่งในบทประพันธ์ที่สะท้อนแนวคำสอนและปรัชญาของขงจื๊อ และต่อมา ‘ตำนานบุตรกตัญญู’ ถูกนำไปรวมอยู่ในอีกหลากหลายบทประพันธ์ในอีกหลายยุคสมัย หนึ่งในนั้นคือบันทึกเรื่องเล่าความกตัญญูยาวกว่าห้าม้วนที่ถูกค้นพบในห้องศิลาที่ตุนหวง 24 กตัญญูกล่าวถึงอะไรบ้าง บทความยาวหน่อยนะคะ สรุปโดยสั้นได้ดังนี้ (ดูรูปประกอบ): 1. กตัญญูสะเทือนสวรรค์: เป็นเรื่องราวของจักรพรรดิซุ่นกว่าสี่พันปีที่แล้ว (เป็นหนึ่งในสามราชันห้าจักรพรรดิในตำนาน) เมื่อครั้งเขายังเป็นชาวบ้านธรรมดาก็ถูกพ่อ แม่เลี้ยงและน้องต่างมารดาให้ร้ายสารพัดจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่เขาไม่คิดแค้นเคืองและยังคงดูแลพวกเขาอย่างดี จนสวรรค์เห็นใจจึงบันดาลให้มีช้างมาช่วยปรับผิวดินและมีนกมาช่วยหว่านเมล็ดพืชจนทำมาหาเลี้ยงชีพได้ ต่อมาจักรพรรดิ์เหยาได้ยินกิตติศัพท์ความกตัญญูของเขาก็รับเป็นราชบุตรเขยและสุดท้ายให้สืบทอดราชบัลลังก์ต่อไป 2. แบกข้าวให้บุพการี: กล่าวถึงจงโหยว (นามรองจื่อลู่) หนึ่งในศิษย์เอกของขงจื๊อ ขุนนางชื่อดังแห่งแคว้นเว่ยในยุคสมัยชุนชิว เขามีพื้นเพยากจน ทุกวันจะกินแต่ผักผลไม้ป่าเพื่อประหยัดเงิน แต่ยอมเดินทางไกลกว่าร้อยหลี่เพื่อไปหาซื้อข้าวแบกกลับมาให้พ่อแม่กิน ต่อมาเมื่อชีวิตความเป็นอยู่ดีมีอันจะกินก็มักจะพร่ำเสียดายที่พ่อแม่ไม่มีชีวิตอยู่ดีกินดีกับเขา 3. ฮ่องเต้ชิมยา: เป็นเรื่องราวของฮั่นเหวินตี้หลิวเหิง บุตรของป๋อไทเฮา ที่คอยดูแลป๋อไทเฮาในยามป่วยตลอดสามปีด้วยตนเองแม้จะเป็นถึงฮ่องเต้มีข้าราชบริพารมากมาย โดยจะชิมยาของแม่ก่อนป้อนให้แม่ทุกครั้งเพื่อทดสอบว่ายานั้นอุ่นกำลังดีไม่ร้อนเกินไป 4. ขายตัวฝังศพพ่อ: เป็นเรื่องราวของบุรุษนามว่าตงหย่งในสมัยฮั่นที่กำพร้าแม่แต่เด็ก ต่อมาเมื่อพ่อเสียชีวิตก็ไม่มีเงินทำศพพ่อจึงยอมขายตัวเองไปเป็นทาส วันหนึ่งพบเข้ากับสตรีกำพร้าไร้ที่ไป นางขอให้เขาช่วยแต่งงานอยู่กินกันโดยนางยินดีเข้าไปช่วยทำงานที่เรือนเศรษฐีด้วย เศรษฐีตกลงว่าเมื่อนางทอผ้าได้ครบสามร้อยพับก็จะอนุญาตให้ทั้งคู่ไถ่ตัวได้ นางใช้เวลาเพียงเดือนเดียวก็ทำสำเร็จ ต่อมานางบอกความจริงว่านางเป็นเทพธิดาและสวรรค์ซาบซึ้งกับความกตัญญูของเขาจึงมอบหมายให้มาช่วยเขา จากนั้นก็อำลาจากไป 5. สีสันบันเทิงเพื่อบุพการี: กล่าวถึงเหล่าช่ายจื่อ หนึ่งในบัณฑิตมากความรู้ที่เร้นกายอยู่ในป่าในสมัยชุนชิว เขารักพ่อแม่มากอยากให้พ่อแม่เบิกบานใจทุกวัน ถึงขนาดว่าตัวเองอยู่ในวัย 70 ปีแล้วแต่ก็ยังแต่งตัวสีสันฉูดฉาดเล่นเป็นเด็ก หกล้มลงก็แกล้งทำเป็นกลิ้งเล่นอยู่บนพื้นเพื่อให้พ่อแม่วัยเฒ่าหัวเราะแทนที่จะตกใจเสียใจ 6. นิ้วแม่เชื่อมใจลูก: เป็นเรื่องราวของเจิงจื่อ นักปรัชญาแห่งราชสำนักโจวและลูกศิษย์ของขงจื๊อ ที่วันหนึ่งออกไปเก็บฟืน แต่มีแขกมาเยือน แม่ของเขาอยู่บ้านคนเดียวก็กระวนกระวายไม่รู้ว่าจะต้อนรับขับสู้อย่างไรดี จนถึงขนาดกัดนิ้วตนเองด้วยความเครียด เจิงจื่อที่อยู่ในป่ากลับรู้สึกได้ถึงความเจ็บนั้น จึงรีบรุดกลับบ้านมาดูแม่และรับรองแขกด้วยตนเอง บ่งบอกถึงสายใยเหนียวแน่นของแม่ลูก 7. คัดผลไม้ให้แม่กิน: เป็นเรื่องราวของไช่ซุ่นในสมัยฮั่น เขาอาศัยเก็บผลหม่อนกินประทังชีวิตเพราะยากจนมากและข้าวของราคาแพงเพราะสงคราม อยู่มาวันหนึ่งมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่นำขบวนทหารผ่านมาเห็นเขาแยกผลหม่อน ถามได้ความว่าเขาแยกผลสุกสีเข้มให้แม่กิน ส่วนตัวเองกินที่สีแดงที่ยังเปรี้ยวเฝื่อน นายทหารเห็นแก่ความกตัญญูของเขาจึงแบ่งปันเสบียงทหารให้ชายหนุ่ม 8. กราบไหว้รูปสลักบุพการี: กล่าวถึงบุรุษสมัยฮั่นตะวันออกนามว่าหลันติงที่กำพร้าพ่อแม่แต่เด็ก เขาแกะสลักรูปปั้นพ่อแม่ตั้งไว้ในบ้านกราบไหว้ทุกวันเพราะละอายใจที่ไม่มีโอกาสได้ทดแทนบุญคุณ ไม่เพียงกราบไหว้สามมื้อก่อนจะกินข้าว แต่มีเรื่องอะไรก็จะไปนั่งคุยให้รูปปั้นฟัง หนักเข้าภรรยาก็รำคาญ เลยลองเอาเข็มไปจิ้มรูปปั้น เมื่อเขากลับมาบ้านพบว่ารูปปั้นน้ำตาไหล เมื่อสืบสาวราวเรื่องได้แล้วเขาก็เลิกกับภรรยา 9. น้ำนมกวางเพื่อบุพการี: กล่าวถึงถานจื่อ ประมุขแคว้นถานซึ่งเป็นแคว้นเล็กในสมัยราชวงศ์โจว ในสมัยเด็กเขายากจนและต้องดูแลพ่อแม่ที่แก่ชราแล้วและตาไม่ดี ต้องกินนมกวางช่วยบำรุงรักษา เขามักจะใช้หนังกวางคลุมตัวแล้วย่องเข้าไปปะปนอยู่ในฝูงกวางเพื่อเอานมกวางมาให้พ่อแม่กิน มีอยู่ครั้งหนึ่งเกือบโดนนายพรานยิง แต่เมื่อนายพรานได้ยินเรื่องราวความจำเป็นของเขาก็ยกนมกวางให้และยังส่งเขากลับบ้านด้วยตนเอง 10. สวมเสื้อไส้ใยกก: เป็นเรื่องของหมินสุ่น (นามรองจื่อเชียน) หนึ่งในลูกศิษย์ของขงจื๊อ เขากำพร้าแม่ตั้งแต่เด็ก พ่อแต่งภรรยาใหม่มีลูกชายอีกสองคน เขาถูกแม่เลี้ยงกลั่นแกล้งบ่อยครั้ง ต้องสวมเสื้อใยกกในขณะที่น้องๆ ได้สวมเสื้อบุฝ้ายในยามหนาว วันหนึ่งเขาช่วยจูงรถให้พ่อแต่หนาวจนทำให้เชือกหลุดมือ พ่อบันดาลโทสะเฆี่ยนจนเสื้อขาดจึงพบว่าลูกชายคนนี้ใส่เสื้อผ้าที่ไม่ช่วยกันหนาว พ่อโกรธแม่เลี้ยงมากถึงกับเอ่ยปากบอกเลิกทันทีที่กลับถึงบ้าน แต่หมินสุ่นอ้อนวอนขออภัยแทนแม่เลี้ยง โดยให้เหตุผลว่า ตอนนี้มีลูกเพียงคนเดียวที่ลำบาก แต่ถ้าแม่เลี้ยงไม่อยู่จะมีลูกถึงสามคนที่ลำบาก สุดท้ายแม่เลี้ยงได้รับการให้อภัย นางจึงกลับตัวกลับใจดูแลหมินสุ่นอย่างดีนับแต่นั้นมา 11. ฝังลูกเพื่อแม่: กล่าวถึงบุรุษนามว่ากัวจวี้ในสมัยฮั่น เขามีฐานะยากจน เมื่อพ่อเสียก็แลแม่เป็นอย่างดี ต่อมาเมื่อภรรยาคลอดบุตร เขาก็รู้สึกว่าเลี้ยงดูไม่ไหวและไม่อยากให้แม่ต้องมาอดมื้อกินมื้อไปกับเขา จึงตัดสินใจจะฝังลูกเพื่อจะได้ลดค่าใช้จ่ายโดยไม่ฟังคำทัดทานของภรรยา แต่เมื่อขุดดินลงไปกลับพบทองคำหนึ่งไห เรื่องราวจบลงด้วยดีโดยเขาไม่ต้องฆ่าลูกตัวเองและมีฐานะดีขึ้น 12. ปลากระโดดจากบ่อน้ำ: กล่าวถึงบุรุษนามว่าเจียงซือในสมัยฮั่น เขามีภรรยาแซ่ผางที่กตัญญูกับแม่สามีมาก แม่สามีชอบกินปลาก็ออกไปจับปลามาให้กิน อยู่มาวันหนึ่งอากาศไม่ดีกว่านางแซ่ผางจะกลับถึงบ้านก็ดึกจึงถูกเจียงซือไล่ออกจากบ้านเพราะเข้าใจผิดว่านางตั้งใจละเลยแม่ของเขา เมื่อแม่ของเจียงซือรู้เรื่องให้เจียงซือไปรับนางกลับมา และตั้งแต่วันที่นางกลับเข้าบ้านมาก็ปรากฏปลาหลีฮื้อสองตัวกระโดดออกมาจากบ่อน้ำกลางบ้านทุกวัน ทำให้นางไม่ต้องไปจับปลาในแม่น้ำอีกต่อไป 13. ซุกส้มให้แม่: เป็นเรื่องราวของลู่จี้ ขุนนางในสมัยราชวงศ์ฮั่นตอนปลาย กล่าวถึงเมื่อตอนเขาอายุหกขวบ ได้มีโอกาสติดตามพ่อไปพบแม่ทัพท่านหนึ่งที่จวน ครั้นพอเขาคารวะอำลากลับ ส้มสองลูกที่เขาซุกไว้อยู่ในแขนเสื้อกลิ้งหล่นออกมา สอบถามได้ใจความว่าเขาเห็นแม่ชอบกินส้มจึงตั้งใจเก็บเอาไปให้แม่กิน ทำให้แม่ทัพรู้สึกประหลาดใจและชมชอบในความกตัญญูของเด็กคนนี้ 14. ยินเสียงฟ้าร้องปลอบแม่ที่หลุมศพ: กล่าวถึงบัณฑิตหนุ่มจากแคว้นเว่ยนามว่าหวางโผว แม่ของเขาเป็นคนกลัวเสียงฟ้าร้องมาก แม้ว่าจะตายไปแล้วแต่ทุกครั้งที่ฝนตกหนักฟ้าร้อง หวางโผวจะไปกราบหลุมศพนางพร้อมกับปลอบให้นางไม่ต้องกลัว 15. กอดเสือช่วยพ่อ: กล่าวถึงสตรีนางหนึ่งในสมัยราชวงศ์จิ้นนามว่าหยางเซียง เมื่อครั้งนางมีอายุสิบสี่ปีได้ออกไปทำนากับพ่อ แต่พลันปรากฏเสือตัวหนึ่งกระโจนใส่พ่อจนล้มไป นางไม่มีอาวุธใดแต่ก็กระโดดกอดคอเสือแน่นเพื่อไม่ให้เสือกัดพ่อ สุดท้ายเสือยอมแพ้ปล่อยพ่อของนางแล้วหนีไป 16. ให้นมย่าทวด: เป็นเรื่องราวความกตัญญูของย่าของเจี๋ยตู้สื่อชุยซานหนานในสมัยถัง เล่าถึงเมื่อครั้งที่ย่าทวดของชุยซานหนานทั้งแก่ทั้งไม่สบายจนเคี้ยวอาหารหยาบไม่ได้เลย ย่าของเขาคอยดูแลโดยใช้น้ำนมของตนป้อนจนย่าทวดอิ่ม ต่อมาทั้งครอบครัวอยู่กันอย่างสงบสุขและรุ่นลูกรุ่นหลานล้วนแสดงความกตัญญูต่อย่าของเขาเช่นกัน 17. พัดหมอนอุ่นผ้าห่ม: เป็นเรื่องราวของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในสมัยฮั่นนามว่าหวงเซียง เขากำพร้าแม่แต่เด็กและคอยดูแลพ่อ แม้ด้วยวัยเพียงเก้าขวบก็รู้จักพัดหมอนของพ่อให้คลายร้อนในหน้าร้อนและนอนอุ่นผ้าห่มของพ่อในหน้าหนาวเพื่อว่าพ่อของเขาจะได้นอนหลับสบาย 18. ร่ำไห้จนเกิดหน่อไม้: กล่าวถึงขุนนางสมัยสามก๊กนามว่าเมิ่งจง เขากำพร้าพ่อแต่เด็ก เมื่อครั้งยังหนุ่มต้องดูแลแม่ที่ชราและป่วยหนัก หมอบอกว่าต้องให้แม่กินหน่อไม้สด แต่จนใจเป็นฤดูหนาว เขาหาจนทั่วก็ไม่มีจึงเสียใจคุกเข่าร้องไห้กลางป่า ปรากฏว่าอยู่ดีๆ พื้นดินก็แยกออกแล้วมีหน่อไม้ผุดขึ้นมาให้เขาเก็บกลับบ้านให้แม่กินจนหายป่วย 19. ล่อยุงแทนพ่อ: กล่าวถึงอู๋เหมิ่ง นักพรตในสมัยสามก๊ก ที่ในสมัยเด็กครอบครัวยากจนไม่มีแม้แต่มุ้งจะกางนอน เขามักจะถอดเสื้อนอนล่อให้ยุงมากัด เพื่อว่าพ่อแม่จะได้นอนหลับสบาย 20. ล้างกระโถนให้แม่: เป็นเรื่องราวของกวีและนักเขียนอักษรชื่อดังสมัยซ่งเหนือนามว่าหวงถิงเจียน เขาดูแลแม่อย่างเสมอต้นเสมอปลายแม้ว่าจะมีฐานะดี และจะเอากระโถนของแม่ไปเทล้างด้วยตนเองทุกวันไม่เคยขาด 21. แบกแม่หลบภัย: กล่าวถึงเจียงเก๋อ ขุนนางตงฉินชื่อดังผู้ถูกยกย่องเป็นขุนนางยอดกตัญญูในรัชสมัยของกษัตริย์อู่ตี้แห่งราชวงศ์เหลียงในยุคราชวงศ์เหนือใต้ เจียงเก๋อกำพร้าพ่อแต่เด็กและกตัญญูต่อแม่มาก ครั้งหนึ่งเคยแบกแม่เดินทางหนีสงคราม พบเข้ากับโจรภูเขา เขาอ้อนวอนว่าถ้าเขาตายไป แม่ผู้ชราก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ สุดท้ายโจรภูเขาเลยย้อมไว้ชีวิตปล่อยตัวไปทั้งเขาและแม่ 22. ขอปลาบนน้ำแข็ง: เป็นเรื่องของหวางเสียง หนึ่งในขุนนางระดับสูงของราชวงศ์จิ้นตะวันตก เขากำพร้าแม่แต่เด็ก มีแม่เลี้ยงก็ถูกแม่เลี้ยงใส่ไฟจนพ่อไม่รัก อยู่มาวันหนึ่งแม่เลี้ยงไม่สบายมากเขาก็ดูแลนางอย่างใกล้ชิด ครั้นเห็นนางอยากกินปลาจึงออกไปจับปลา แต่จนใจอากาศหนาวจัดจนผิวน้ำเป็นน้ำแข็ง ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงถอดเสื้อลงนอนทาบน้ำแข็งโดยหวังว่ามันจะทำให้น้ำแข็งละลาย แล้วปาฏิหารย์ก็เกิดขึ้น น้ำแข็งละลายจริงและมีปลาโดดออกมาให้เขาจับกลับบ้าน เมื่อแม่เลี้ยงได้กินปลาก็หายป่วย 23. ชิมอุจจาระดูอาการป่วยพ่อ: เป็นเรื่องของขุนนางสมัยฉีใต้นามว่าอวี่เฉียนโหลว อยู่มาวันหนึ่งเขารู้สึกใจคอว้าวุ่นคิดถึงพ่อที่อยู่บ้านนอก จึงตัดสินใจลาเกษียณกลับไปดูแลพ่อที่ชรามากแล้ว เมื่อถึงบ้านก็พบว่าพ่อของเขาไม่สบายมาก หมอบอกว่าอาการของพ่อเขาสาหัสมาก หากอุจจาระมีรสขมก็จะดีมีโอกาสหาย เขาจึงแอบชิมอุจจาระพ่อ พบว่ามันมีรสหวานก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ กราบไหว้ฟ้าขอให้พ่อให้และยอมแลกด้วยชีวิตตัวเองแทน แต่หลังจากนั้นไม่กี่วันพ่อของเขาก็สิ้นใจ 24. ออกจากราชการเพื่อตามหาแม่: กล่าวถึงขุนนางสมัยซ่งนามว่าจูโซ่วชาง เมื่อครั้งเขาอายุเพียงเจ็ดขวบ แม่ของเขาที่มีสถานะเป็นอนุภรรยาได้ถูกภรรยาเอกของพ่อบีบให้ต้องแต่งงานไปกับคนอื่นจนเขาต้องพลัดพรากจากแม่โดยไม่มีข่าวคราว แต่เขาไม่เคยหยุดที่จะสืบหาแม่ของเขา ต่อมาห้าสิบปีให้หลังเขาได้รับเบาะแสเกี่ยวกับแม่ จึงขอลาออกจากตำแหน่งขุนนางระดับสูงเพื่อออกตามหาแม่พร้อมประกาศกร้าวว่าถ้าไม่พบแม่จะไม่กลับเมืองหลวงอีก และเขาก็ทำสำเร็จพบแม่ที่มีอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้วและพานางกลับเมืองหลวงด้วยกัน อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น เรื่องราว 24 กตัญญูถูกเรียบเรียงเป็นกลอนสั้น แต่ละเรื่องยาวเพียงสี่วรรค ง่ายต่อการจดจำ เชื่อว่าเพื่อนเพจหลายท่านคงรู้สึกไม่อินกับบางเรื่อง และที่ประเทศจีนเองก็มีการถกกันในวงกว้างว่า การกระทำต่างๆ ที่ถูกกล่าวถึงในเรื่องราวเหล่านี้ยังเหมาะสมต่อบริบทสังคมปัจจุบันหรือไม่ แต่อย่างไรก็ดีเชื่อว่าเพื่อนเพจอ่านแล้วคงพอเห็นภาพว่า เหตุใดเรื่องราวเหล่านี้จึงถูกยกเป็นตัวอย่างเพื่อสะท้อนความดีงามของความกตัญญูต่อพ่อแม่และเป็นตัวอย่างของการทำดีแล้วได้ดี (ป.ล. หากอ่านแล้วชอบใจ อย่าลืมกดติดตามเพจนี้เพื่อป้องกันการกีดกันของเฟซบุ๊คด้วยนะคะ #StoryfromStory) Credit รูปภาพจากในละครและจาก: https://news.qq.com/rain/a/20241216A05PWX00 http://www.n12345.com/wenji/24xiao.html?id=1 Credit ข้อมูลรวบรวมจาก: https://www.chinakongzi.org/zt/3419/tp/201705/t20170510_135104.htm http://www.chinaknowledge.de/Literature/Historiography/xiaozizhuan.html http://www.n12345.com/wenji/24xiao.html?id=1 https://www.8bei8.com/book/24xiao_1.html #จิ่วฉงจื่อ #24กตัญญู #เรื่องเล่าจีนโบราณ #สาระจีน
    NEWS.QQ.COM
    《九重紫》暴露了他好身材,长相人畜无害,却脱衣有肉穿衣显瘦_腾讯新闻
    由孟子义、李昀锐主演的电视剧《九重紫》,自开播以来,热度迅速攀升,播到15集,站内热度破了29000,有望展望30000了。 这个成绩在今年古装剧中是相当牛了,要知道,腾讯今年的古装剧热度....
    3 Comments 0 Shares 721 Views 0 Reviews
  • หวัง เสี่ยวเฟย อดีตสามีของนักแสดงผู้ล่วงลับ ต้าเอส ได้จัดพิธีแต่งงานกับ หม่า เสี่ยวเหม่ย หรือ แมนดี้ ที่ร้านอาหารสไตล์ลานจีนในกรุงปักกิ่ง เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยงานแต่งครั้งนี้จัดขึ้นอย่างเรียบง่าย มีเพียงญาติและเพื่อนสนิทเข้าร่วม ส่วน ลูกสาวและลูกชายที่หวังมีร่วมกับ ต้าเอสไม่ได้ปรากฏตัวในงาน

    คู่บ่าวสาวเปิดตัวในชุดแต่งงานแบบจีนดั้งเดิม โดยแมนดี้สวมกี่เพ้าสีแดงพร้อมเครื่องประดับทองเพียง 3 ชิ้น ได้แก่ มงกุฎ สร้อยคอ และช่อดอกไม้ ไม่ได้สวมชุดกำไลทองลายมังกร–หงส์ตามธรรมเนียม ส่วนหวัง เสี่ยวเฟยสวมชุดสูทปักลายมังกรทองสุดหรู หลังจากทักทายแขกเสร็จ ทั้งคู่ได้เปลี่ยนชุดเป็นสไตล์ตะวันตก

    โดยแมนดี้เลือกใส่ชุดแต่งงานคอเว้าลึกที่อวดหุ่นได้อย่างสวยงาม ในช่วงแลกเปลี่ยนคำสาบาน หวัง เสี่ยวเฟยถึงกับตะโกน “ผมตกลง!” สองครั้ง สร้างเสียงหัวเราะให้แขกในงาน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000050265

    #MGROnline #หวังเสี่ยวเฟย #หม่าเสี่ยวเหม่ย
    หวัง เสี่ยวเฟย อดีตสามีของนักแสดงผู้ล่วงลับ ต้าเอส ได้จัดพิธีแต่งงานกับ หม่า เสี่ยวเหม่ย หรือ แมนดี้ ที่ร้านอาหารสไตล์ลานจีนในกรุงปักกิ่ง เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยงานแต่งครั้งนี้จัดขึ้นอย่างเรียบง่าย มีเพียงญาติและเพื่อนสนิทเข้าร่วม ส่วน ลูกสาวและลูกชายที่หวังมีร่วมกับ ต้าเอสไม่ได้ปรากฏตัวในงาน • คู่บ่าวสาวเปิดตัวในชุดแต่งงานแบบจีนดั้งเดิม โดยแมนดี้สวมกี่เพ้าสีแดงพร้อมเครื่องประดับทองเพียง 3 ชิ้น ได้แก่ มงกุฎ สร้อยคอ และช่อดอกไม้ ไม่ได้สวมชุดกำไลทองลายมังกร–หงส์ตามธรรมเนียม ส่วนหวัง เสี่ยวเฟยสวมชุดสูทปักลายมังกรทองสุดหรู หลังจากทักทายแขกเสร็จ ทั้งคู่ได้เปลี่ยนชุดเป็นสไตล์ตะวันตก • โดยแมนดี้เลือกใส่ชุดแต่งงานคอเว้าลึกที่อวดหุ่นได้อย่างสวยงาม ในช่วงแลกเปลี่ยนคำสาบาน หวัง เสี่ยวเฟยถึงกับตะโกน “ผมตกลง!” สองครั้ง สร้างเสียงหัวเราะให้แขกในงาน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000050265 • #MGROnline #หวังเสี่ยวเฟย #หม่าเสี่ยวเหม่ย
    0 Comments 0 Shares 411 Views 0 Reviews
  • บช.ก.คุมตัว "บอสเตย-สามี" แยกสอบปากคำ พบทั้งคู่อยู่ในภาวะเครียดอย่างเห็นได้ชัด ปัดตอบคำถามสื่อมวลชนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000050542

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    บช.ก.คุมตัว "บอสเตย-สามี" แยกสอบปากคำ พบทั้งคู่อยู่ในภาวะเครียดอย่างเห็นได้ชัด ปัดตอบคำถามสื่อมวลชนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000050542 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes
    Like
    6
    0 Comments 0 Shares 680 Views 0 Reviews
  • ถ้ารู้ตัวว่าเจอ "คู่เวร"...อย่ากลับมาเพื่อ “ต่อศึก”

    บางคนในชีวิต
    ไม่ต้องสังหรณ์ก็รู้ว่า
    เรามีเวรต่อกันมาแต่ชาติไหนไม่รู้
    แค่สบตา ก็รู้สึกเหมือนใจถูกดูดเข้าสู่หลุมดำ
    ไม่มีเหตุผลให้รัก
    ไม่มีเหตุผลให้เกลียด
    แต่มีพลังบางอย่าง
    ที่ “หนีไม่ออก และต้านไม่ไหว”

    ถ้าหลีกไม่พ้น...
    ก็ให้รู้ว่ามีโอกาส “ปิดบัญชีเวร” กันเสียที

    จงอย่าใช้โอกาสครั้งนี้
    เพื่อเปิดศึกใหม่ในรูปแบบเก่า
    อย่าใช้ถ้อยคำเก่า ๆ ในร่างใหม่ ๆ
    อย่าผูกโซ่ใหม่ด้วยน้ำเสียงอาฆาตเดิม ๆ

    ให้ยอมรับว่าชาตินี้...
    มาเจอกันเพื่อฝึกให้อภัย
    มาเจอกันเพื่อรู้จักวาง

    มาเจอกัน...เพื่อจบ ไม่ใช่เพื่อจอง

    เวรที่ยุติได้ด้วยเมตตา
    จะกลายเป็นบุญกุศลที่ใหญ่หลวง
    เพราะหมายถึงชัยชนะ
    ไม่ใช่เหนืออีกฝ่าย
    แต่เหนือ “กิเลสเก่าที่ครองใจเราทั้งคู่” มาแสนนาน

    อย่าหวังให้เขาเปลี่ยน
    แต่จงตั้งใจว่า...
    เรานี่แหละ จะไม่เปลี่ยนกลับไปเป็นคนเดิมที่สร้างเวรอีกแล้ว!
    ถ้ารู้ตัวว่าเจอ "คู่เวร"...อย่ากลับมาเพื่อ “ต่อศึก” บางคนในชีวิต ไม่ต้องสังหรณ์ก็รู้ว่า เรามีเวรต่อกันมาแต่ชาติไหนไม่รู้ แค่สบตา ก็รู้สึกเหมือนใจถูกดูดเข้าสู่หลุมดำ ไม่มีเหตุผลให้รัก ไม่มีเหตุผลให้เกลียด แต่มีพลังบางอย่าง ที่ “หนีไม่ออก และต้านไม่ไหว” ถ้าหลีกไม่พ้น... ก็ให้รู้ว่ามีโอกาส “ปิดบัญชีเวร” กันเสียที จงอย่าใช้โอกาสครั้งนี้ เพื่อเปิดศึกใหม่ในรูปแบบเก่า อย่าใช้ถ้อยคำเก่า ๆ ในร่างใหม่ ๆ อย่าผูกโซ่ใหม่ด้วยน้ำเสียงอาฆาตเดิม ๆ ให้ยอมรับว่าชาตินี้... มาเจอกันเพื่อฝึกให้อภัย มาเจอกันเพื่อรู้จักวาง มาเจอกัน...เพื่อจบ ไม่ใช่เพื่อจอง เวรที่ยุติได้ด้วยเมตตา จะกลายเป็นบุญกุศลที่ใหญ่หลวง เพราะหมายถึงชัยชนะ ไม่ใช่เหนืออีกฝ่าย แต่เหนือ “กิเลสเก่าที่ครองใจเราทั้งคู่” มาแสนนาน อย่าหวังให้เขาเปลี่ยน แต่จงตั้งใจว่า... เรานี่แหละ จะไม่เปลี่ยนกลับไปเป็นคนเดิมที่สร้างเวรอีกแล้ว!
    0 Comments 0 Shares 171 Views 0 Reviews
  • เกิดเหตุการณ์สุดช็อก! เมื่อกล้องจับภาพได้ขณะที่ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศสถูกบริดเจ็ต มาครง ภริยาและสุภาพสตรีหมายเลข 1 ของฝรั่งเศสตบหน้าในช่วงที่ทั้งคู่กำลังลงจากเครื่องบินระหว่างที่ทั้งคู่เดินทางเยือนกรุงฮานอยของเวียดนาม โดยกล้องได้จับภาพในช่วงที่มือของบริดเจ็ตสัมผัสกับใบหน้าประธานาธิบดีฝรั่งเศส ด้วยท่าทางที่คล้ายกับการตบหน้า.ขณะที่ประธานาธิบดีมาครงก็ดูตกใจอยู่สักพัก แต่เมื่อประตูเครื่องบินเปิด ประธานาธิบดีมาครงได้ยิ้มและโบกมือให้ทักทายเจ้าหน้าที่ และสื่อมวลชนที่สนามบินหลังจากนั้นประธานาธิบดีมาครง และภริยาได้เดินทางจากเครื่องบิน โดยทั้ง 2 ไม่ได้เดินจับมือกัน และมีสีหน้าที่เรียบเฉย ส่วนประธานาธิบดีมาครงก็เดินกำมือไว้ตลอด .เมื่อคลิปนี้เผยแพร่ในโลกออนไลน์ ด้านเจ้าหน้าที่ของฝรั่งเศสไม่ได้ยอมรับว่า คลิปภาพดังกล่าวเป็นคลิปจริง แต่เมื่อคลิปนี้กลายเป็นไวรัล เจ้าหน้าที่ของฝรั่งเศสได้ยอมรับว่า เป็นคลิปจริง และเป็นการทะเลาะที่ไม่ได้รุนแรงแต่อย่างใด .อย่างไรดี บรรดาชาวเน็ตต่างมองว่า เป็นเรื่องน่าอายที่ประธานาธิบดีมาครงถูกหยามเกียรติต่อหน้าสื่อ ขณะที่ชาวเน็ตบางส่วนตั้งคำถามว่า นี่ถือเป็นความรุนแรงในครอบครัวด้วยหรือไม่ที่มา สำนักข่าววันนิวส์https://www.facebook.com/share/p/18r86FxC2b/?mibextid=wwXIfr
    เกิดเหตุการณ์สุดช็อก! เมื่อกล้องจับภาพได้ขณะที่ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศสถูกบริดเจ็ต มาครง ภริยาและสุภาพสตรีหมายเลข 1 ของฝรั่งเศสตบหน้าในช่วงที่ทั้งคู่กำลังลงจากเครื่องบินระหว่างที่ทั้งคู่เดินทางเยือนกรุงฮานอยของเวียดนาม โดยกล้องได้จับภาพในช่วงที่มือของบริดเจ็ตสัมผัสกับใบหน้าประธานาธิบดีฝรั่งเศส ด้วยท่าทางที่คล้ายกับการตบหน้า.ขณะที่ประธานาธิบดีมาครงก็ดูตกใจอยู่สักพัก แต่เมื่อประตูเครื่องบินเปิด ประธานาธิบดีมาครงได้ยิ้มและโบกมือให้ทักทายเจ้าหน้าที่ และสื่อมวลชนที่สนามบินหลังจากนั้นประธานาธิบดีมาครง และภริยาได้เดินทางจากเครื่องบิน โดยทั้ง 2 ไม่ได้เดินจับมือกัน และมีสีหน้าที่เรียบเฉย ส่วนประธานาธิบดีมาครงก็เดินกำมือไว้ตลอด .เมื่อคลิปนี้เผยแพร่ในโลกออนไลน์ ด้านเจ้าหน้าที่ของฝรั่งเศสไม่ได้ยอมรับว่า คลิปภาพดังกล่าวเป็นคลิปจริง แต่เมื่อคลิปนี้กลายเป็นไวรัล เจ้าหน้าที่ของฝรั่งเศสได้ยอมรับว่า เป็นคลิปจริง และเป็นการทะเลาะที่ไม่ได้รุนแรงแต่อย่างใด .อย่างไรดี บรรดาชาวเน็ตต่างมองว่า เป็นเรื่องน่าอายที่ประธานาธิบดีมาครงถูกหยามเกียรติต่อหน้าสื่อ ขณะที่ชาวเน็ตบางส่วนตั้งคำถามว่า นี่ถือเป็นความรุนแรงในครอบครัวด้วยหรือไม่ที่มา สำนักข่าววันนิวส์https://www.facebook.com/share/p/18r86FxC2b/?mibextid=wwXIfr
    0 Comments 0 Shares 272 Views 0 Reviews
  • เขียนเล่าเรื่องพันธุกรรมมนุษย์มาหลายต่อหลายครั้ง ทั้งที่ความรู้นี้โลกเขารับรู้มาตั้งแต่ปี 2004 แล้ว ปัจจุบันนักวิชาการไทยหลายคนก็ทำวิจัยเรื่องนี้ตีพิมพ์ออกมาพอสมควร แต่ก็ยังมีบางพวกบางกลุ่มที่ยังตะแบงติดกับดักวังวนของสำนักคิดเก่าๆ อยู่อย่างนั้น ไอ้ที่แย่กว่าคือ จำต้องยอมรับวิทยาศาสตร์นี้โดยปริยายทั้งที่ไปกันไม่ได้กับเรื่องที่ตนเขียน แต่ความที่เคยพูดเคยเขียนหนังสือขายหาเงินรับประทานมาไม่น้อยกับความรู้ผิดๆ ครึ่งๆกลางๆ งูๆปลาๆ ก็เลยยังต้องยืนยันความคิดเดิมตะแบงต่อไป ถ้าไอ้ส่วนที่ความรู้ใหม่มันไปกันได้กับที่เคยเขียนก็จะหยิบมาอ้าง แต่ส่วนที่มันฟ้องว่าเอ็งเข้าใจผิดแล้วก็จะเลี่ยงเสีย เช่นกรณีเฒ่าเจ๊กปนลาวชังชาตินั่น
    .
    ความแบ่งแยกอันเป็นความคิดของปีศาจ นำมาซึ่งชื่อสมมุติ ที่โดยมากมักอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อปฏิเสธความเกี่ยวเนื่อง เพื่อสร้างอัตลักษณ์ใหม่ เพื่อให้ดูแตกต่างกับผู้คนหรือบรรพบุรุษที่เคยเกี่ยวข้อง ไม่ว่าเครื่องแต่งกายก็ตาม ความเชื่อ ภาษาพูดก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เครื่องพิสูจน์องค์ประกอบของตัวมนุษย์แต่ละผู้ว่าเป็นใครหรือเผ่าพันธุ์ไหน เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าความเป็นเจ๊กปนลาวที่พูดไทยหากินกับภาษาไทยของเฒ่าผู้นั้น อาจเป็นเรื่องเลื่อนลอยไปได้ ลาวที่เขาคิดว่าเป็นพ่ออาจเป็นกัมมุ และเจ๊กที่เขาคิดว่าเป็นแม่อาจเป็นชนเผ่าฮักกา ที่ซึ่งไม่ใช่เจ๊ก แต่เป็นเยว่ ก็เป็นได้... อยากจะแน่ใจก็ไปตรวจซะ
    .
    อย่างที่ทราบ (เอ๊ะ หรือใครยังไม่ทราบ?) มนุษย์ที่เป็นชนชาติต่างๆในโลกนี้ อพยพออกมาจากแอฟริกาเมื่อแสนกว่าปีก่อน เป็นหน่อเนื้อลูกหลานของบรรพบุรุษที่อาศัยในบริเวณที่ปัจจุบันเรียกว่าซาฮาร่า ดังนั้นนักวิชาการเลย "นิยามชื่อ" พวกเขาว่าพวก "ซาฮารันโบราณ" ผู้ชายทุกคนในโลกนี้ไม่ว่าคนออสตราอะบอริจิ้น คนเอเชีย คนตะวันออกกลาง คนยุโรป คนเมโสอเมริกา ล้วนมียีนของอาดัมทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่าวายโครโมโซม M168 นี้ทุกคน ยกเว้นพวกแอฟริกาบางเผ่าที่บรรพบุรุษไม่ได้อพยพออกมาและยังคงอยู่รอดในแอฟริกาจนถึงปัจจุบันนี้
    .
    ด้วยภาพใหญ่นี้ สาแหรกพันธุกรรมแสดงให้เห็น "DEEP ANCESTOR" โคตรเหง้าที่ลึกที่สุดของมนุษย์โลก "การที่พวกอาหรับพูดภาษาสกุลเซมิติคส่วนคนไทยอย่างเราพูดภาษาสกุลจ้วง-ไท ความแตกต่างนี้ไม่อาจลบล้างข้อเท็จจริงทางพันธุกรรมที่ทั้งคู่มี Deep Ancestor ร่วมกันไปได้". ทุกวันนี้มนุษย์ที่มียีนของ M168 เก่าแก่กว่าใครในโลกคือพวก San Bushman พวกเขาพูดภาษาสกุลกอยซานที่ในทาง Linguistic ถือว่าเป็นภาษาลูกของภาษาซาฮารันโบราณที่ยอมรับกันว่าคือ Global Early Language * หมายถึงภาษาแรกของโลก เมื่อพิจารณาจากวิทยาศาสตร์ข้อนี้ มนุษย์ทุกชนชาติที่มีชื่อสมมุติกันไปต่างๆ จะว่าไปก็ถือเป็นคนกอยซานทั้งสิ้น ดังนั้นคุณจงอย่าได้ยึดติดว่าภาษาพูดของชาติพันธ์หนึ่ง จะบ่งบอกว่าเขาคือชาติพันธ์นั้นเสมอไป... คนจีนอพยพตั้งแต่รุ่นที่สองที่อยู่ในเมืองไทยพูดภาษาไทยชัดทุกคน คนอเมริกันที่เกิดที่นี่ คนอินเดียที่เกิดที่นี่พูดไทยสำเนียงไทยชัดทุกคน และเป็นไปได้ว่าวันหนึ่งเขาอาจย้ายไปอยู่ที่ภูฏานเป็นการถาวรจนลูกหลานเขาเกิดที่นั่น แล้วพูดภาษาภูฏานชัดเจน
    .
    [* ภาษากอยซาน : นักภาษาศาสตร์ลงความเห็นว่าคือภาษาที่เก่าที่สุดในโลก มีลักษณะพิเศษคือมีเสียงคลิ๊กอยู่ในคำ ซึ่งได้หายไปจากภาษาอื่นๆ ที่เกิดภายหลัง นักวิชาการเชื่อว่า เมื่อบรรพบุรุษของเราอพยพออกจากแอฟริกาเมื่อแสนปีก่อน พวกเขามีภาษาพูดแล้ว ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะไม่สามารถล่าสัตว์ใหญ่อย่างแมมมอธได้ เพราะการล่าเช่นนี้ต้องทำงานเป็นทีม ไม่มีภาษาก็ทำงานเป็นทีมไม่ได้]
    .
    เมื่อมนุษย์มาจากแอฟริกาและเรามีเชื้อสายซาฮารันมาก่อน ทำไมเราจึงพูดกันไม่รู้เรื่อง พูดกันคนละภาษา ผมเคยเขียนบทความหนึ่งชื่อ บาเบล สืบเนื่องจากคัมภีร์ปฐมกาลบทที่ชื่อบาเบล เล่าว่า “พระเจ้าทรงเห็นว่ามนุษย์สร้างหอคอยใหญ่เทียมฟ้าขึ้นมาได้ พวกเขาอยากจะทำอะไรก็จะสำเร็จได้ อย่ากระนั้นเลย เราจะบันดาลให้เขาพูดกันไม่รู้เรื่อง ผู้คนก็แยกย้ายกันไป เป็นชนชาติต่างๆ ภาษาต่างๆ” นี่...ใครสักคนป้ายสีพระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นมูลเหตุให้มนุษย์พูดกันไม่รู้เรื่อง. ใครสักคนในที่นี้มีอย่างน้อยสามคน นักภาษาศาสตร์ยุคใหม่วิเคราะห์ลักษณะการเขียน สำนวน คำศัพท์ที่ใช้ซึ่งบ่งบอกรากฐานและยุคสมัยได้ ทำการวิเคราะห์พระคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับคิงเจมส์ พวกเขาลงความเห็นว่า คัมภีร์ไบเบิ้ลมีผู้เขียนราวสามคน มีลักษณะการเขียนที่แตกต่างกันสามสำนวน คละเคล้ากันไปในแต่ละบท บางบทมีการปนกันมากกว่าหนึ่งสำนวน และยังลงความเห็นว่ารูปแบบการเขียนของบทปฐมกาล (genesis) เขียนทีหลังบทอพยพ (exodus)
    .
    นอกจากนี้นักภาษาศาสตร์ยุคหลังมานี่เชื่อว่าภาษาอินโดยูโรเปี้ยนนี้ คือผลของการทุบทำลายภาษาแม่ครั้งสำคัญในโลก เมื่อคุณพิจารณาพันธุกรรม คุณจะต้องทราบว่าผู้ชายชาวยุโรปและตะวันออกกลางแชร์สาแหรกพันธุกรรมในเครือเดียวกันคือ R / J / E อย่างที่ผมเขียนเรื่องยิวและปาเลสไตน์ไปก่อนนี้.. พวกคนยุโรป เปอร์เซีย อารยัน (ที่ภายหลังไปบุกอินเดียโบราณ) ล้วนเป็นสาแหรกเดียวกัน อย่าว่าแต่ยิวซึ่งเป็น semitic speaker ฆ่าปาเลสไตน์ที่เป็นพี่น้องใกล้ชิดเลย หากคนกรีก คนโรมัน ไปฆ่าคนเปอร์เซียหรือกลับกัน ก็คือพี่น้องฆ่ากันอยู่ดีนั่นแหละ อยู่มาวันหนึ่ง ไม่แน่ชัดว่าอะไรเป็นเหตุ หลังสงครามเทวีที่เกิดการต่อต้านปฏิเสธความเชื่อที่นับถือแม่เป็นใหญ่ เทวรูปของเทพีมากมาย เช่น Artemis เทวีผู้มอบความอุดมสมบูรณ์ ต่างพากันถูกทุบจมูกทุบใบหน้าทิ้งให้ดูน่าเกลียด ชนชาติที่เคยเกี่ยวดองกัน พลันแยกออกจากกันเป็นชนชาติใหม่ พูดภาษาใหม่ เด็กที่เกิดใหม่นับแต่นั้นจะถูกฝึกให้พูดภาษาที่สร้างขึ้นมา จากนั้นก็ตามมาด้วยชื่อสมมุติอย่างเช่น อัสซีเรีย อัคเคเดียน ฮิตไทท์... จากนั้นก็ตามมาด้วยสงครามพี่น้องฆ่ากัน ทั้งที่ชีววิทยาพันธุกรรมบอกว่าพวกเขาคือพี่น้องคลานตามกันมาทั้งนั้น และถ้าอ้างไบเบิ้ล อย่างเช่นกรณีของบุตรหลานของ Sam ลูกหลานของโนอาห์ ก็อย่างที่เคยเล่าไปแล้ว ความแบ่งแยกทำให้พวกเขาปฏิเสธสายใยที่มี
    .
    อย่างที่ชี้ให้เห็นนี่ ดีเอ็นเอบอกเราถึงความเป็นพี่น้องร่วมสาแหรก แต่พวกเขาปฏิเสธกันเองแล้วแบ่งแยก ทุบทำลายภาษาแม่ทิ้งไปพร้อมๆ กันในเวลาไล่เลี่ยกัน ไม่ใช่เพราะฝีมือพระเจ้าหรอก มนุษย์นี่แหละ นักภาษาศาสตร์โบราณคดีทำการค้นคว้าเรื่องนี้แล้วทำการโยงภาษาในสกุลอินโดยูโรเปี้ยนทั้งหมด ย้อนกลับไปสู่ภาษาซาฮารันโบราณ ด้วยพจนานุกรมคำศัพท์ของพวก Basque (กลุ่มคนที่ isolated อยู่ในสเปนซึ่งเชื่อว่าเป็นภาษาลูกที่เหลืออยู่ของภาษาซาฮารัน).. เรื่องนี้ยาวนะ ผมเคยเล่าไว้ในบทความชื่อบาเบลที่ผมเกริ่นไปข้างบน ใครอยากลงลึกให้ไปอ่าน Linguistic Archaeology เขียนโดย Edo Nyland
    .
    เวลาเจอบทความอะไรจากเฒ่าเจ๊กปนลาวผู้นี้ รวมทั้งจากพวกสาวกกระดูกอ่อนของเขาก็เลยออกจะรำคาญ ด้วยการอ้างชื่อต่างๆ พวกเขาเชื่อมโยงยกแม่น้ำเป็นตุเป็นตะ ไอ้นั่นมาจากไหน ไอ้นี่มาจากไหน โดยไม่มีหลักฐานอะไรที่หนักแน่นพอมารองรับ… ยกตัวอย่างเช่นใช้กลองสำริดบ้าง ใช้ภาพเขียนสีผนังถ้ำโบราณบ้าง มาอ้างอิงทั้งที่ไม่เข้าใจว่าดูอะไรอยู่
    .
    ภาพเขียนสีผนังถ้ำโบราณแต่ละแห่งที่พบในโลกที่รังสรรค์โดยบรรพบุรุษยุคแรก ถ้าคุณทาบข้อมูลทางโบราณคดีของมันกับข้อมูลอื่น เช่น พันธุกรรมและการอพยพย้ายถิ่น ธรณีวิทยา ภาษาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ มานุษยวิทยา วิทยาศาสตร์.. ก็จะรู้อะไรที่ต่างไปจากที่เคยมีคนสันนิษฐานกันออกมาก่อนหน้านี้ได้ เช่น ภูมิศาสตร์บอกว่าลักษณะภูมิประเทศแบบใดที่มนุษย์โบราณในยุคนั้นชอบใช้เป็นที่อาศัยและหลบภัย ลักษณะทางภูมิศาสตร์แบบไหนที่พบภาพเขียนสี ทำไมมันจึงถูกเลือกเป็นที่จัดทำนิทรรศการ.. ธรณีวิทยาบอกว่า พบดินแบบเดียวกันถูกใช้เป็นสีเขียนผนังถ้ำทุกแห่ง.. วิทยาศาสตร์บอกองค์ประกอบธาตุของสีที่ใช้เขียนว่าเป็นแบบเดียวกัน ซึ่งแปลได้ว่าพวกเขาเรียนหนังสือมาจากที่เดียวกัน คือเรียนรู้เทคนิคในการทำแบบนี้ซ้ำต่อๆ กันมาเหมือนๆ กัน.. มานุษยวิทยาเห็นการสะท้อนธรรมเนียมนิยมทางวัฒนธรรมบรรพกาลของพวกเขา เช่น เอาสีใส่ปากพ่นผ่านมือให้เป็นรูปมือ เขียนรูปคนและสัตว์ที่มีลักษณะทาง figure ที่คล้ายคลึงกัน มีจินตนาการในการสร้างลักษณะของบุคคลที่พิเศษออกไปจากคนปกติเพื่อแสดงว่าเป็นผีสางเทวดาที่เขานับถือ... มีการวิเคราะห์คุณสมบัติทางวิทยาศาสตร์ของสภาวะแวดล้อมของพื้นที่ศักดิ์สิทธ์ที่พวกเขาไปเขียนรูปไว้ เช่น คุณสมบัติการก้องสะท้อนเสียงของสถานที่
    .
    และเมื่อทาบพันธุกรรมลงไปดูความสอดคล้องกัน เริ่มจากพวกเผ่า San Bushman ที่มียีนของอดัมที่เก่าที่สุดในโลก พบว่าพวกเขาทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกันทุกด้านดังที่ได้กล่าวไปนั่น พวกอัสเลียนโบราณก็ทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกันกับที่กล่าวไปเช่นกัน เอาภาพเขียนสีเช่นที่ถ้ำเขาจันทร์งาม สีคิ้ว ไปเปรียบกับภาพเขียนสีในแอฟริกาที่พวกกอยซานทำ ทุกองค์ประกอบที่ว่านั่นก็จะเห็นว่าเหมือนกัน... พวกปาปัว-ออสตราอะบอริจิ้น ก็ทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกับที่กล่าวไป นี่เป็นนวัตกรรมที่เป็นมรดกโคตรยาวนานของมนุษย์ จากแอฟริกาไปสู่จุดต่างๆในโลก ในวันนี้ พวกเขาเหล่านี้พูดกันคนละภาษา มันดูไม่มีความกี่ยวข้องกันใช่ไหมล่ะ? แต่วิทยาศาสตร์ไม่ได้บอกเช่นนั้น ในพันธุกรรมมี mutation ในวัฒนธรรมมี cultural transmission ถ้าเราขยับไปดูสิ่งที่คุ้นเคยกว่านั้นอีกสักอย่าง เช่น "กลอง".. มนุษย์ทุกแห่ง ตั้งแต่พวกที่อยู่ในแอฟริกา แม้แต่พวกชนเผ่าที่ไม่ได้อพยพไปไหนเลยจนกระทั่งยุคล่าอาณานิคม กับมนุษย์ทุกชนชาติที่กระจายอยู่ในทุกมุมโลก พวกเขาต่างทำกลองเหมือนกัน วิธีการคือ ด้วยการขึงหนังสัตว์ (membrane) ลงบนปากทรงกลมของวัตถุทรงกระบอก (cylinder) ขึงให้ตึงและตีให้สั่น นี่คือนวัตกรรมที่เรียก Membranophones คนทั้งโลกไม่ได้ต่างคนต่างทำเหมือนกันโดยบังเอิญ มันคือมรดกที่ส่งต่อกันมาตั้งแต่ก่อนอพยพเมื่อแสนปีที่แล้วและเก่าพอๆ กับภาษาแรก
    .
    ซากบรรพชีวินที่นักวิชาการไทยอย่างที่อาจารย์รัศมีท่านสำรวจและค้นคว้าอยู่ กรอบเวลาเท่าไหร่? โนนนกทา? บ้านเชียง? พวกนั้นเป็นใคร? โฮโมเซเปี้ยนส์แน่นอน ชีววิทยาบอกชัดว่าเซเปี้ยนส์ เราไม่ได้วิวัฒน์มาจากโฮโมอีเร็คตัส พวกนั้นสูญพันธ์ไปแล้วก็จบ ยีนพ่อไม่เคยหายไปจากมนุษย์และเราไม่มียีนของอีเร็คตัสอยู่ในตัวเรา เมื่อราวเจ็ดหมื่นปีก่อน เกิด super eruption ขึ้นที่ภูเขาโทบาในสุมาตราโบราณ [https://geographical.co.uk/.../explainer-the-toba...] ทิ้งบาดแผลไว้เป็นทะเลสาปโทบาให้ดูในทุกวันนี้ ภัยพิบัตินี้รุนแรง มันตามมาด้วยฤดูหนาวนิวเคลียร์ (นักวิชาการว่าเช่นนี้) เถ้าภูเขาไฟปกคลุมโลกนานหลายปีและลอยไปไกลถึงกรีนแลนด์ โฮโมอีเร็คตัสในเอเชียถ้ายังมีชีวิตอยู่จะต้องตายหมด ดังนั้นไม่ว่าจะมนุษย์ปักกิ่ง มนุษย์ชวาอะไร ไม่เกี่ยวกับเราทั้งนั้น กรอบเวลาของบรรพบุรุษเราที่มาถึงที่นี่คือห้าหมื่นและสามหมื่นปีมาแล้ว มากันสองระลอก และคนพื้นเมืองที่บุกเบิกดินแดนนี้ไม่ได้แปะยี่ห้ออะไรเมื่อมาถึง นอกจากเรียกตัวเองว่า กอย หมายถึง คน… (ข่า ก็เรียกตัวเองว่า ข้อย.. ลาว ก็เรียกตัวเองว่า ข้อย)
    .
    ในความเป็นจริง มนุษย์โบราณที่เป็นบรรพบุรุษของชายชาวเอเชียราว 75 เปอร์เซ็นต์ล้วนเป็น Y DNA Hg O คือครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก พวกเขามิวเททมาจากสาแหรกของพ่อ Y DNA Hg K ซึ่งมาถึงเอเชียกลางเมื่อราวสี่หมื่นปีและกระจายออกไป ทั้งที่ข้ามโกบีและไซบีเรีย ข้ามเบริงเจียไปอเมริกา (Hg Q) กลายเป็นพวกนาวาโฮ... ทั้งที่ย้อนกลับเข้าไปในยุโรปเผชิญความทารุณของยุคน้ำแข็งกลายเป็นพวกยุโรป (Hg R)… บรรพบุรุษพวกนี้ เมื่อตั้งถิ่นฐานตรงจุดใด ก็มักอยู่ตรงนั้น ลองนึกถึงความเป็นจริงว่า การย้ายถิ่นฐานใช้เวลายาวนานหลายชั่วคน เมื่อผู้อาวุโสหรือพ่อของเขาแก่เฒ่าไร้เรี่ยวแรงที่จะเดินทางบุกเบิกต่อไป บางส่วนของพวกเขาจะหยุดการเดินทางและตั้งหลักแหล่งโดยเฉพาะเมื่อพบสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์พอจะดำรงชีพ คนหนุ่มจะเดินทางผจญภัยต่อไปเพื่อหาที่ของตนที่จะได้ขึ้นมาเป็นผู้นำ ได้มองโลกด้วยทัศนะของพวกเขาเอง พวกเขาจะพบปัญหาใหม่ จะได้หาทางแก้ไขสถานะการณ์ที่ไม่เคยพบ ดังนั้นพวกเขาจะมีเทคโนโลยีที่ดีขึ้นไปเองโดยธรรมชาติ จนเมื่อพวกเขาพบว่าได้เจอสถานที่ที่พึงพอใจหรือไปต่อไม่ได้แล้ว การเดินทางก็จะหยุด
    .
    คุณคิดว่ามีมนุษย์จำนวนเท่าไหร่ เมื่อพวกเขามาถึงแผ่นดินซุนดาเมื่อสามหมื่นปีก่อน?
    .
    บรรพบุรุษของเรา เดินทางมาตามซุปเปอร์ไฮเวย์โบราณสายเอเชียกลางที่เป็นทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ อุดมด้วยกวางแอนทีโลฟและช้างแมมมอธ ท้องอิ่ม อบอุ่น และอันตรายน้อย เมื่อมาถึงซุนดา คุณคิดว่าพวกเขาจะอยู่อาศัยกันที่ไหน? บนภูเขา ในป่า หรือที่ราบลุ่มปากแม่น้ำ? ไปคิดดูเป็นการบ้าน
    .
    หากพิจารณาดูปัจจัยต่างๆ เราจะรู้ได้ว่าชุมชนบรรพกาล มักจะตั้งอยู่บนที่ที่เหมาะสมในการผดุงชีพ อ.สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา ให้ความเห็นว่า เนื่องเพราะบรรพบุรุษพวกนี้ต้องเผชิญกับน้ำท่วมซุนดาถึงสามครั้ง พวกเขานิยมสร้างบ้านที่มีเสาสูงและมีไต้ถุนสูง ทำแพและมีทักษะในการเดินทางด้วยแพ ซึ่งพร้อมที่จะอพยพหนีโดยล่องด้วยแพขึ้นไปเรื่อยๆ สู่ทิศทางต้นน้ำ ไม่เดินเท้าเพราะไม่รู้ว่าน้ำจะมาทางไหน เมื่อเห็นและแน่ใจว่าน้ำหยุดท่วมแล้วก็ปักหลักตั้งถิ่นฐานใหม่ เพราะพวกเขารู้ดีว่าไม่มีจุดไหนที่มีทรัพยากรอุดมไปกว่าริมแม่น้ำ ทั้งสัตว์น้ำและดินที่เหมาะแก่การเพาะปลูก ในป่านั้นมีโรคมากมายและสัตว์ร้าย พวกเขาจะเข้าไปต่อเมื่อต้องการล่าหรือหาของป่า
    .
    ชุมชนบรรพกาลเหล่านี้ เมื่อพบพื้นที่ที่พวกเขาพึงพอใจแล้วก็มักจะปักหลักอยู่เช่นนั้น สืบต่อกันไปหลายชั่วคน หลักฐานทางโบราณคดีก็ชี้ชัดเช่นนั้น ทำให้เกิดชุมชนโบราณขึ้นตรงนั้นตรงนี้มากมายและขยายตัวออกไป เกษตรกรรมเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เลิกเร่ร่อนแล้วหยุดตั้งหลักแหล่ง ผลที่เก็บเกี่ยวแน่นอนตามฤดูกาลทำให้ปัจจัยทางอาหารมั่นคง ดังนั้นพวกเขาจะไม่ย้ายไปไหนโดยง่ายถ้าไม่ใช่เพราะภัยธรรมชาติ โรคระบาด หรือสงครามจากคนกลุ่มอื่นมาบีบบังคับให้ย้ายไปที่อื่น ชุมชนบรรพกาลซึ่งประชากรมีอยู่น้อย ย่อมต้องการปริมาณแรงงานไว้เพื่อสร้างชุมชนของตนให้เติบโตรุ่งเรืองขึ้น ถ้าไม่เกิดปัญหาที่ว่านี้ พวกเขาก็จะไม่ย้ายไปไหน พวกเขาจำฤดูกาลประจำถิ่น ทิศทางลม เวลาน้ำขึ้นลง ยาอยู่ที่ไหน อะไรเป็นยา จำต้นไม้ได้ทุกต้นและรู้ว่าอะไรใช้ทำอะไรได้บ้าง สัตว์อยู่ที่ไหน หาเจอยังไง จับยังไง... ความรู้ในภูมิลำเนาพวกนี้ใช้เวลาสั่งสมยาวนาน
    .
    เราต่างได้เรียนรู้กันมามากพอสมควรเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ แต่บางครั้งนิยามหรือความสมมุติในความเป็นชนชาติบ้านเมืองต่างๆ มักพาให้ไขว้เขว บางถิ่นฐาน ผู้ปกครองเป็นผู้มีศักดิ์ฐานะ มีทรัพยากรมาก แต่เป็นคนต่างถิ่นมาจากที่อื่น ไม่ต่างกับทุกวันนี้ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดหัวเมืองเช่นเชียงราย อาจเป็นลูกเศรษฐีตระกูลใหญ่จากกรุงเทพ สมัยโบราณก็เช่นกัน ประชากรเป็นคนพื้นเมืองท้องถิ่น อาจอยู่ที่นั่นมาแปดชั่วคนแล้ว เขาไม่ย้ายไปที่อื่นเพียงเพราะผู้ปกครองไม่ใช่คนพื้นเมืองเหมือนตน ถ้าปกครองดี ทุกคนยังกินอิ่ม ไม่รีดภาษี ไม่ก่อกรรมทำเข็ญ ข่มเหงรังแก พวกเขาก็จะอยู่อย่างนั้นต่อไปในรุ่นลูกรุ่นหลาน จักรวรรดิจีนโบราณดินแดนกว้างใหญ่ ประชากรไม่ได้มีแต่จีนฮั่นเท่านั้น ยังมีประชากรที่เป็นชนเผ่าอื่นๆในปกครองหลายสิบเผ่า แล้วก็มีผู้ปกครองที่มาจากถิ่นอื่นมาปกครอง เคยมีกษัตริย์ที่เป็นมองโกล กษัตริย์ที่เป็นแมนจูมานั่งบัลลังก์ฮ่องเต้ ยิ่งรูปงามผิวพรรณผุดผ่องมาพร้อมโปรโมชั่นว่าเป็นเทพลงมาเกิดก็จะทำให้รู้สึกนับถืออยากพึ่งพาบารมี ดังนั้นผู้ปกครองก็อาจเป็นชาติพันธุ์หนึ่งขณะที่ประชากรในดินแดนเป็นอีกชาติพันธุ์หนึ่งได้ เช่น ผู้ปกครองมีชื่อสมมุติว่าเป็นชาติพันธุ์ลาว ผู้ใต้ปกครองอาจเป็นชาวพื้นเมืองมีชื่อสมมุติว่าชาติพันธุ์ข่า เป็นต้น.. ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่พูดนี่ เป็นคนละเรื่องกับแนวความคิดเรื่องชาติ ประเทศ รัฐ ชนชาติและสัญชาติ ซึ่งเป็นความคิดใหม่ที่เกิดขึ้นภายหลังตามคติของอาณานิคมตะวันตก
    .
    สำหรับผมมันเป็นเรื่องตลก ที่พูดว่าคนโคราชไม่ใช่คนอีสาน
    ความยึดมั่นของผู้พูดผูกโยงกับภูมิลำเนา ผูกกับสำเนียงภาษาที่ใช้ แล้วเอามามัดให้ประชากรนั้นเป็นเผ่าพันธ์ตามที่ตนผูกไว้
    .
    คนอีสานคือใครในทัศนะวิทยาศาสตร์ คนอีสานอาจประกอบด้วยพลเมืองจากทางเหนือที่มาไกลจากจีน มาจากหยุนหนาน หรืออาจมาจากเวียตนาม ได้มากพอกับมีพลเมืองที่มีชื่อสมมุติว่า "ลาว" ที่เฒ่างี่เง่านี้นิยามให้สาวกเชื่อว่าเป็นคนท้องถิ่นโดยแท้แล้วก็ปฏิเสธในเชิงที่รู้สึกได้ว่าพยายามจะบอกใครๆ ว่าคนโคราชเป็น "สิ่งแปลกปลอมในท่ามกลางคนอีสาน" ผมรู้สึกอย่างนั้น แล้วเขาก็โยงเรื่องโยงชื่อ ทั้งคนทั้งสถานที่ มั่วไปหมดชนแพะชนแกะชนควาย อนุมานเอาตามความเชื่อตน ทั้งที่ความเป็นจริงทุกมนุษย์ที่อ้างอิงมานั่นไม่ว่าจะด้วยคำ สยาม ทวารวดี มอญ อยุธยา สุพรรณ โคราช ศรีโคตรบูรณ์ เวียงจันทร์ ชัยวรมัน.... บลาๆๆ... ล้วนคือ Y Chromosome DNA Haplogroup O (O2 เป็นจำนวนเปอร์เซ็นต์สูงสุด) ทั้งนั้น ต่อให้หมู่บ้านนึงมันดันพูดได้สามภาษา ทั้งลาวทั้งอังกฤษทั้งเกาหลีสำเนียงเป๊ะทั้งหมู่บ้านก็ตามที
    .
    เขย่าไว้ไม่ให้นอนก้น
    ข้าว่าพวกเอ็งมันนอนก้นถอยหลังไปสองร้อยปี
    ฟังวนอยู่ห้าคำสิบคำ เต็มไปด้วยคำว่า “สันนิษฐานว่า…“
    แปลเป็นไทยคือ คาดว่า เดาว่า... คือเอ็งไม่รู้ไง เชื่อเองเออเองแล้วมาชวนคนอื่นให้เชื่อตาม
    .
    นี่รู้ไหม...
    มีไม่น้อยนะที่สันนิษฐานว่ามนุษย์เซเปี้ยนส์นี่น่ะ มาจากเชื้อพันธุ์มนุษย์ต่างดาวชื่อ อนูนากิ แกเชื่อไหมเล่า?
    .
    - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา [2568] -
    .
    เขียนเล่าเรื่องพันธุกรรมมนุษย์มาหลายต่อหลายครั้ง ทั้งที่ความรู้นี้โลกเขารับรู้มาตั้งแต่ปี 2004 แล้ว ปัจจุบันนักวิชาการไทยหลายคนก็ทำวิจัยเรื่องนี้ตีพิมพ์ออกมาพอสมควร แต่ก็ยังมีบางพวกบางกลุ่มที่ยังตะแบงติดกับดักวังวนของสำนักคิดเก่าๆ อยู่อย่างนั้น ไอ้ที่แย่กว่าคือ จำต้องยอมรับวิทยาศาสตร์นี้โดยปริยายทั้งที่ไปกันไม่ได้กับเรื่องที่ตนเขียน แต่ความที่เคยพูดเคยเขียนหนังสือขายหาเงินรับประทานมาไม่น้อยกับความรู้ผิดๆ ครึ่งๆกลางๆ งูๆปลาๆ ก็เลยยังต้องยืนยันความคิดเดิมตะแบงต่อไป ถ้าไอ้ส่วนที่ความรู้ใหม่มันไปกันได้กับที่เคยเขียนก็จะหยิบมาอ้าง แต่ส่วนที่มันฟ้องว่าเอ็งเข้าใจผิดแล้วก็จะเลี่ยงเสีย เช่นกรณีเฒ่าเจ๊กปนลาวชังชาตินั่น . ความแบ่งแยกอันเป็นความคิดของปีศาจ นำมาซึ่งชื่อสมมุติ ที่โดยมากมักอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อปฏิเสธความเกี่ยวเนื่อง เพื่อสร้างอัตลักษณ์ใหม่ เพื่อให้ดูแตกต่างกับผู้คนหรือบรรพบุรุษที่เคยเกี่ยวข้อง ไม่ว่าเครื่องแต่งกายก็ตาม ความเชื่อ ภาษาพูดก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เครื่องพิสูจน์องค์ประกอบของตัวมนุษย์แต่ละผู้ว่าเป็นใครหรือเผ่าพันธุ์ไหน เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าความเป็นเจ๊กปนลาวที่พูดไทยหากินกับภาษาไทยของเฒ่าผู้นั้น อาจเป็นเรื่องเลื่อนลอยไปได้ ลาวที่เขาคิดว่าเป็นพ่ออาจเป็นกัมมุ และเจ๊กที่เขาคิดว่าเป็นแม่อาจเป็นชนเผ่าฮักกา ที่ซึ่งไม่ใช่เจ๊ก แต่เป็นเยว่ ก็เป็นได้... อยากจะแน่ใจก็ไปตรวจซะ . อย่างที่ทราบ (เอ๊ะ หรือใครยังไม่ทราบ?) มนุษย์ที่เป็นชนชาติต่างๆในโลกนี้ อพยพออกมาจากแอฟริกาเมื่อแสนกว่าปีก่อน เป็นหน่อเนื้อลูกหลานของบรรพบุรุษที่อาศัยในบริเวณที่ปัจจุบันเรียกว่าซาฮาร่า ดังนั้นนักวิชาการเลย "นิยามชื่อ" พวกเขาว่าพวก "ซาฮารันโบราณ" ผู้ชายทุกคนในโลกนี้ไม่ว่าคนออสตราอะบอริจิ้น คนเอเชีย คนตะวันออกกลาง คนยุโรป คนเมโสอเมริกา ล้วนมียีนของอาดัมทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่าวายโครโมโซม M168 นี้ทุกคน ยกเว้นพวกแอฟริกาบางเผ่าที่บรรพบุรุษไม่ได้อพยพออกมาและยังคงอยู่รอดในแอฟริกาจนถึงปัจจุบันนี้ . ด้วยภาพใหญ่นี้ สาแหรกพันธุกรรมแสดงให้เห็น "DEEP ANCESTOR" โคตรเหง้าที่ลึกที่สุดของมนุษย์โลก "การที่พวกอาหรับพูดภาษาสกุลเซมิติคส่วนคนไทยอย่างเราพูดภาษาสกุลจ้วง-ไท ความแตกต่างนี้ไม่อาจลบล้างข้อเท็จจริงทางพันธุกรรมที่ทั้งคู่มี Deep Ancestor ร่วมกันไปได้". ทุกวันนี้มนุษย์ที่มียีนของ M168 เก่าแก่กว่าใครในโลกคือพวก San Bushman พวกเขาพูดภาษาสกุลกอยซานที่ในทาง Linguistic ถือว่าเป็นภาษาลูกของภาษาซาฮารันโบราณที่ยอมรับกันว่าคือ Global Early Language * หมายถึงภาษาแรกของโลก เมื่อพิจารณาจากวิทยาศาสตร์ข้อนี้ มนุษย์ทุกชนชาติที่มีชื่อสมมุติกันไปต่างๆ จะว่าไปก็ถือเป็นคนกอยซานทั้งสิ้น ดังนั้นคุณจงอย่าได้ยึดติดว่าภาษาพูดของชาติพันธ์หนึ่ง จะบ่งบอกว่าเขาคือชาติพันธ์นั้นเสมอไป... คนจีนอพยพตั้งแต่รุ่นที่สองที่อยู่ในเมืองไทยพูดภาษาไทยชัดทุกคน คนอเมริกันที่เกิดที่นี่ คนอินเดียที่เกิดที่นี่พูดไทยสำเนียงไทยชัดทุกคน และเป็นไปได้ว่าวันหนึ่งเขาอาจย้ายไปอยู่ที่ภูฏานเป็นการถาวรจนลูกหลานเขาเกิดที่นั่น แล้วพูดภาษาภูฏานชัดเจน . [* ภาษากอยซาน : นักภาษาศาสตร์ลงความเห็นว่าคือภาษาที่เก่าที่สุดในโลก มีลักษณะพิเศษคือมีเสียงคลิ๊กอยู่ในคำ ซึ่งได้หายไปจากภาษาอื่นๆ ที่เกิดภายหลัง นักวิชาการเชื่อว่า เมื่อบรรพบุรุษของเราอพยพออกจากแอฟริกาเมื่อแสนปีก่อน พวกเขามีภาษาพูดแล้ว ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะไม่สามารถล่าสัตว์ใหญ่อย่างแมมมอธได้ เพราะการล่าเช่นนี้ต้องทำงานเป็นทีม ไม่มีภาษาก็ทำงานเป็นทีมไม่ได้] . เมื่อมนุษย์มาจากแอฟริกาและเรามีเชื้อสายซาฮารันมาก่อน ทำไมเราจึงพูดกันไม่รู้เรื่อง พูดกันคนละภาษา ผมเคยเขียนบทความหนึ่งชื่อ บาเบล สืบเนื่องจากคัมภีร์ปฐมกาลบทที่ชื่อบาเบล เล่าว่า “พระเจ้าทรงเห็นว่ามนุษย์สร้างหอคอยใหญ่เทียมฟ้าขึ้นมาได้ พวกเขาอยากจะทำอะไรก็จะสำเร็จได้ อย่ากระนั้นเลย เราจะบันดาลให้เขาพูดกันไม่รู้เรื่อง ผู้คนก็แยกย้ายกันไป เป็นชนชาติต่างๆ ภาษาต่างๆ” นี่...ใครสักคนป้ายสีพระผู้เป็นเจ้าว่าเป็นมูลเหตุให้มนุษย์พูดกันไม่รู้เรื่อง. ใครสักคนในที่นี้มีอย่างน้อยสามคน นักภาษาศาสตร์ยุคใหม่วิเคราะห์ลักษณะการเขียน สำนวน คำศัพท์ที่ใช้ซึ่งบ่งบอกรากฐานและยุคสมัยได้ ทำการวิเคราะห์พระคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับคิงเจมส์ พวกเขาลงความเห็นว่า คัมภีร์ไบเบิ้ลมีผู้เขียนราวสามคน มีลักษณะการเขียนที่แตกต่างกันสามสำนวน คละเคล้ากันไปในแต่ละบท บางบทมีการปนกันมากกว่าหนึ่งสำนวน และยังลงความเห็นว่ารูปแบบการเขียนของบทปฐมกาล (genesis) เขียนทีหลังบทอพยพ (exodus) . นอกจากนี้นักภาษาศาสตร์ยุคหลังมานี่เชื่อว่าภาษาอินโดยูโรเปี้ยนนี้ คือผลของการทุบทำลายภาษาแม่ครั้งสำคัญในโลก เมื่อคุณพิจารณาพันธุกรรม คุณจะต้องทราบว่าผู้ชายชาวยุโรปและตะวันออกกลางแชร์สาแหรกพันธุกรรมในเครือเดียวกันคือ R / J / E อย่างที่ผมเขียนเรื่องยิวและปาเลสไตน์ไปก่อนนี้.. พวกคนยุโรป เปอร์เซีย อารยัน (ที่ภายหลังไปบุกอินเดียโบราณ) ล้วนเป็นสาแหรกเดียวกัน อย่าว่าแต่ยิวซึ่งเป็น semitic speaker ฆ่าปาเลสไตน์ที่เป็นพี่น้องใกล้ชิดเลย หากคนกรีก คนโรมัน ไปฆ่าคนเปอร์เซียหรือกลับกัน ก็คือพี่น้องฆ่ากันอยู่ดีนั่นแหละ อยู่มาวันหนึ่ง ไม่แน่ชัดว่าอะไรเป็นเหตุ หลังสงครามเทวีที่เกิดการต่อต้านปฏิเสธความเชื่อที่นับถือแม่เป็นใหญ่ เทวรูปของเทพีมากมาย เช่น Artemis เทวีผู้มอบความอุดมสมบูรณ์ ต่างพากันถูกทุบจมูกทุบใบหน้าทิ้งให้ดูน่าเกลียด ชนชาติที่เคยเกี่ยวดองกัน พลันแยกออกจากกันเป็นชนชาติใหม่ พูดภาษาใหม่ เด็กที่เกิดใหม่นับแต่นั้นจะถูกฝึกให้พูดภาษาที่สร้างขึ้นมา จากนั้นก็ตามมาด้วยชื่อสมมุติอย่างเช่น อัสซีเรีย อัคเคเดียน ฮิตไทท์... จากนั้นก็ตามมาด้วยสงครามพี่น้องฆ่ากัน ทั้งที่ชีววิทยาพันธุกรรมบอกว่าพวกเขาคือพี่น้องคลานตามกันมาทั้งนั้น และถ้าอ้างไบเบิ้ล อย่างเช่นกรณีของบุตรหลานของ Sam ลูกหลานของโนอาห์ ก็อย่างที่เคยเล่าไปแล้ว ความแบ่งแยกทำให้พวกเขาปฏิเสธสายใยที่มี . อย่างที่ชี้ให้เห็นนี่ ดีเอ็นเอบอกเราถึงความเป็นพี่น้องร่วมสาแหรก แต่พวกเขาปฏิเสธกันเองแล้วแบ่งแยก ทุบทำลายภาษาแม่ทิ้งไปพร้อมๆ กันในเวลาไล่เลี่ยกัน ไม่ใช่เพราะฝีมือพระเจ้าหรอก มนุษย์นี่แหละ นักภาษาศาสตร์โบราณคดีทำการค้นคว้าเรื่องนี้แล้วทำการโยงภาษาในสกุลอินโดยูโรเปี้ยนทั้งหมด ย้อนกลับไปสู่ภาษาซาฮารันโบราณ ด้วยพจนานุกรมคำศัพท์ของพวก Basque (กลุ่มคนที่ isolated อยู่ในสเปนซึ่งเชื่อว่าเป็นภาษาลูกที่เหลืออยู่ของภาษาซาฮารัน).. เรื่องนี้ยาวนะ ผมเคยเล่าไว้ในบทความชื่อบาเบลที่ผมเกริ่นไปข้างบน ใครอยากลงลึกให้ไปอ่าน Linguistic Archaeology เขียนโดย Edo Nyland . เวลาเจอบทความอะไรจากเฒ่าเจ๊กปนลาวผู้นี้ รวมทั้งจากพวกสาวกกระดูกอ่อนของเขาก็เลยออกจะรำคาญ ด้วยการอ้างชื่อต่างๆ พวกเขาเชื่อมโยงยกแม่น้ำเป็นตุเป็นตะ ไอ้นั่นมาจากไหน ไอ้นี่มาจากไหน โดยไม่มีหลักฐานอะไรที่หนักแน่นพอมารองรับ… ยกตัวอย่างเช่นใช้กลองสำริดบ้าง ใช้ภาพเขียนสีผนังถ้ำโบราณบ้าง มาอ้างอิงทั้งที่ไม่เข้าใจว่าดูอะไรอยู่ . ภาพเขียนสีผนังถ้ำโบราณแต่ละแห่งที่พบในโลกที่รังสรรค์โดยบรรพบุรุษยุคแรก ถ้าคุณทาบข้อมูลทางโบราณคดีของมันกับข้อมูลอื่น เช่น พันธุกรรมและการอพยพย้ายถิ่น ธรณีวิทยา ภาษาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ มานุษยวิทยา วิทยาศาสตร์.. ก็จะรู้อะไรที่ต่างไปจากที่เคยมีคนสันนิษฐานกันออกมาก่อนหน้านี้ได้ เช่น ภูมิศาสตร์บอกว่าลักษณะภูมิประเทศแบบใดที่มนุษย์โบราณในยุคนั้นชอบใช้เป็นที่อาศัยและหลบภัย ลักษณะทางภูมิศาสตร์แบบไหนที่พบภาพเขียนสี ทำไมมันจึงถูกเลือกเป็นที่จัดทำนิทรรศการ.. ธรณีวิทยาบอกว่า พบดินแบบเดียวกันถูกใช้เป็นสีเขียนผนังถ้ำทุกแห่ง.. วิทยาศาสตร์บอกองค์ประกอบธาตุของสีที่ใช้เขียนว่าเป็นแบบเดียวกัน ซึ่งแปลได้ว่าพวกเขาเรียนหนังสือมาจากที่เดียวกัน คือเรียนรู้เทคนิคในการทำแบบนี้ซ้ำต่อๆ กันมาเหมือนๆ กัน.. มานุษยวิทยาเห็นการสะท้อนธรรมเนียมนิยมทางวัฒนธรรมบรรพกาลของพวกเขา เช่น เอาสีใส่ปากพ่นผ่านมือให้เป็นรูปมือ เขียนรูปคนและสัตว์ที่มีลักษณะทาง figure ที่คล้ายคลึงกัน มีจินตนาการในการสร้างลักษณะของบุคคลที่พิเศษออกไปจากคนปกติเพื่อแสดงว่าเป็นผีสางเทวดาที่เขานับถือ... มีการวิเคราะห์คุณสมบัติทางวิทยาศาสตร์ของสภาวะแวดล้อมของพื้นที่ศักดิ์สิทธ์ที่พวกเขาไปเขียนรูปไว้ เช่น คุณสมบัติการก้องสะท้อนเสียงของสถานที่ . และเมื่อทาบพันธุกรรมลงไปดูความสอดคล้องกัน เริ่มจากพวกเผ่า San Bushman ที่มียีนของอดัมที่เก่าที่สุดในโลก พบว่าพวกเขาทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกันทุกด้านดังที่ได้กล่าวไปนั่น พวกอัสเลียนโบราณก็ทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกันกับที่กล่าวไปเช่นกัน เอาภาพเขียนสีเช่นที่ถ้ำเขาจันทร์งาม สีคิ้ว ไปเปรียบกับภาพเขียนสีในแอฟริกาที่พวกกอยซานทำ ทุกองค์ประกอบที่ว่านั่นก็จะเห็นว่าเหมือนกัน... พวกปาปัว-ออสตราอะบอริจิ้น ก็ทำภาพเขียนสีผนังถ้ำด้วยคุณสมบัติเดียวกับที่กล่าวไป นี่เป็นนวัตกรรมที่เป็นมรดกโคตรยาวนานของมนุษย์ จากแอฟริกาไปสู่จุดต่างๆในโลก ในวันนี้ พวกเขาเหล่านี้พูดกันคนละภาษา มันดูไม่มีความกี่ยวข้องกันใช่ไหมล่ะ? แต่วิทยาศาสตร์ไม่ได้บอกเช่นนั้น ในพันธุกรรมมี mutation ในวัฒนธรรมมี cultural transmission ถ้าเราขยับไปดูสิ่งที่คุ้นเคยกว่านั้นอีกสักอย่าง เช่น "กลอง".. มนุษย์ทุกแห่ง ตั้งแต่พวกที่อยู่ในแอฟริกา แม้แต่พวกชนเผ่าที่ไม่ได้อพยพไปไหนเลยจนกระทั่งยุคล่าอาณานิคม กับมนุษย์ทุกชนชาติที่กระจายอยู่ในทุกมุมโลก พวกเขาต่างทำกลองเหมือนกัน วิธีการคือ ด้วยการขึงหนังสัตว์ (membrane) ลงบนปากทรงกลมของวัตถุทรงกระบอก (cylinder) ขึงให้ตึงและตีให้สั่น นี่คือนวัตกรรมที่เรียก Membranophones คนทั้งโลกไม่ได้ต่างคนต่างทำเหมือนกันโดยบังเอิญ มันคือมรดกที่ส่งต่อกันมาตั้งแต่ก่อนอพยพเมื่อแสนปีที่แล้วและเก่าพอๆ กับภาษาแรก . ซากบรรพชีวินที่นักวิชาการไทยอย่างที่อาจารย์รัศมีท่านสำรวจและค้นคว้าอยู่ กรอบเวลาเท่าไหร่? โนนนกทา? บ้านเชียง? พวกนั้นเป็นใคร? โฮโมเซเปี้ยนส์แน่นอน ชีววิทยาบอกชัดว่าเซเปี้ยนส์ เราไม่ได้วิวัฒน์มาจากโฮโมอีเร็คตัส พวกนั้นสูญพันธ์ไปแล้วก็จบ ยีนพ่อไม่เคยหายไปจากมนุษย์และเราไม่มียีนของอีเร็คตัสอยู่ในตัวเรา เมื่อราวเจ็ดหมื่นปีก่อน เกิด super eruption ขึ้นที่ภูเขาโทบาในสุมาตราโบราณ [https://geographical.co.uk/.../explainer-the-toba...] ทิ้งบาดแผลไว้เป็นทะเลสาปโทบาให้ดูในทุกวันนี้ ภัยพิบัตินี้รุนแรง มันตามมาด้วยฤดูหนาวนิวเคลียร์ (นักวิชาการว่าเช่นนี้) เถ้าภูเขาไฟปกคลุมโลกนานหลายปีและลอยไปไกลถึงกรีนแลนด์ โฮโมอีเร็คตัสในเอเชียถ้ายังมีชีวิตอยู่จะต้องตายหมด ดังนั้นไม่ว่าจะมนุษย์ปักกิ่ง มนุษย์ชวาอะไร ไม่เกี่ยวกับเราทั้งนั้น กรอบเวลาของบรรพบุรุษเราที่มาถึงที่นี่คือห้าหมื่นและสามหมื่นปีมาแล้ว มากันสองระลอก และคนพื้นเมืองที่บุกเบิกดินแดนนี้ไม่ได้แปะยี่ห้ออะไรเมื่อมาถึง นอกจากเรียกตัวเองว่า กอย หมายถึง คน… (ข่า ก็เรียกตัวเองว่า ข้อย.. ลาว ก็เรียกตัวเองว่า ข้อย) . ในความเป็นจริง มนุษย์โบราณที่เป็นบรรพบุรุษของชายชาวเอเชียราว 75 เปอร์เซ็นต์ล้วนเป็น Y DNA Hg O คือครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก พวกเขามิวเททมาจากสาแหรกของพ่อ Y DNA Hg K ซึ่งมาถึงเอเชียกลางเมื่อราวสี่หมื่นปีและกระจายออกไป ทั้งที่ข้ามโกบีและไซบีเรีย ข้ามเบริงเจียไปอเมริกา (Hg Q) กลายเป็นพวกนาวาโฮ... ทั้งที่ย้อนกลับเข้าไปในยุโรปเผชิญความทารุณของยุคน้ำแข็งกลายเป็นพวกยุโรป (Hg R)… บรรพบุรุษพวกนี้ เมื่อตั้งถิ่นฐานตรงจุดใด ก็มักอยู่ตรงนั้น ลองนึกถึงความเป็นจริงว่า การย้ายถิ่นฐานใช้เวลายาวนานหลายชั่วคน เมื่อผู้อาวุโสหรือพ่อของเขาแก่เฒ่าไร้เรี่ยวแรงที่จะเดินทางบุกเบิกต่อไป บางส่วนของพวกเขาจะหยุดการเดินทางและตั้งหลักแหล่งโดยเฉพาะเมื่อพบสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์พอจะดำรงชีพ คนหนุ่มจะเดินทางผจญภัยต่อไปเพื่อหาที่ของตนที่จะได้ขึ้นมาเป็นผู้นำ ได้มองโลกด้วยทัศนะของพวกเขาเอง พวกเขาจะพบปัญหาใหม่ จะได้หาทางแก้ไขสถานะการณ์ที่ไม่เคยพบ ดังนั้นพวกเขาจะมีเทคโนโลยีที่ดีขึ้นไปเองโดยธรรมชาติ จนเมื่อพวกเขาพบว่าได้เจอสถานที่ที่พึงพอใจหรือไปต่อไม่ได้แล้ว การเดินทางก็จะหยุด . คุณคิดว่ามีมนุษย์จำนวนเท่าไหร่ เมื่อพวกเขามาถึงแผ่นดินซุนดาเมื่อสามหมื่นปีก่อน? . บรรพบุรุษของเรา เดินทางมาตามซุปเปอร์ไฮเวย์โบราณสายเอเชียกลางที่เป็นทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ อุดมด้วยกวางแอนทีโลฟและช้างแมมมอธ ท้องอิ่ม อบอุ่น และอันตรายน้อย เมื่อมาถึงซุนดา คุณคิดว่าพวกเขาจะอยู่อาศัยกันที่ไหน? บนภูเขา ในป่า หรือที่ราบลุ่มปากแม่น้ำ? ไปคิดดูเป็นการบ้าน . หากพิจารณาดูปัจจัยต่างๆ เราจะรู้ได้ว่าชุมชนบรรพกาล มักจะตั้งอยู่บนที่ที่เหมาะสมในการผดุงชีพ อ.สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา ให้ความเห็นว่า เนื่องเพราะบรรพบุรุษพวกนี้ต้องเผชิญกับน้ำท่วมซุนดาถึงสามครั้ง พวกเขานิยมสร้างบ้านที่มีเสาสูงและมีไต้ถุนสูง ทำแพและมีทักษะในการเดินทางด้วยแพ ซึ่งพร้อมที่จะอพยพหนีโดยล่องด้วยแพขึ้นไปเรื่อยๆ สู่ทิศทางต้นน้ำ ไม่เดินเท้าเพราะไม่รู้ว่าน้ำจะมาทางไหน เมื่อเห็นและแน่ใจว่าน้ำหยุดท่วมแล้วก็ปักหลักตั้งถิ่นฐานใหม่ เพราะพวกเขารู้ดีว่าไม่มีจุดไหนที่มีทรัพยากรอุดมไปกว่าริมแม่น้ำ ทั้งสัตว์น้ำและดินที่เหมาะแก่การเพาะปลูก ในป่านั้นมีโรคมากมายและสัตว์ร้าย พวกเขาจะเข้าไปต่อเมื่อต้องการล่าหรือหาของป่า . ชุมชนบรรพกาลเหล่านี้ เมื่อพบพื้นที่ที่พวกเขาพึงพอใจแล้วก็มักจะปักหลักอยู่เช่นนั้น สืบต่อกันไปหลายชั่วคน หลักฐานทางโบราณคดีก็ชี้ชัดเช่นนั้น ทำให้เกิดชุมชนโบราณขึ้นตรงนั้นตรงนี้มากมายและขยายตัวออกไป เกษตรกรรมเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เลิกเร่ร่อนแล้วหยุดตั้งหลักแหล่ง ผลที่เก็บเกี่ยวแน่นอนตามฤดูกาลทำให้ปัจจัยทางอาหารมั่นคง ดังนั้นพวกเขาจะไม่ย้ายไปไหนโดยง่ายถ้าไม่ใช่เพราะภัยธรรมชาติ โรคระบาด หรือสงครามจากคนกลุ่มอื่นมาบีบบังคับให้ย้ายไปที่อื่น ชุมชนบรรพกาลซึ่งประชากรมีอยู่น้อย ย่อมต้องการปริมาณแรงงานไว้เพื่อสร้างชุมชนของตนให้เติบโตรุ่งเรืองขึ้น ถ้าไม่เกิดปัญหาที่ว่านี้ พวกเขาก็จะไม่ย้ายไปไหน พวกเขาจำฤดูกาลประจำถิ่น ทิศทางลม เวลาน้ำขึ้นลง ยาอยู่ที่ไหน อะไรเป็นยา จำต้นไม้ได้ทุกต้นและรู้ว่าอะไรใช้ทำอะไรได้บ้าง สัตว์อยู่ที่ไหน หาเจอยังไง จับยังไง... ความรู้ในภูมิลำเนาพวกนี้ใช้เวลาสั่งสมยาวนาน . เราต่างได้เรียนรู้กันมามากพอสมควรเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ แต่บางครั้งนิยามหรือความสมมุติในความเป็นชนชาติบ้านเมืองต่างๆ มักพาให้ไขว้เขว บางถิ่นฐาน ผู้ปกครองเป็นผู้มีศักดิ์ฐานะ มีทรัพยากรมาก แต่เป็นคนต่างถิ่นมาจากที่อื่น ไม่ต่างกับทุกวันนี้ที่ผู้ว่าราชการจังหวัดหัวเมืองเช่นเชียงราย อาจเป็นลูกเศรษฐีตระกูลใหญ่จากกรุงเทพ สมัยโบราณก็เช่นกัน ประชากรเป็นคนพื้นเมืองท้องถิ่น อาจอยู่ที่นั่นมาแปดชั่วคนแล้ว เขาไม่ย้ายไปที่อื่นเพียงเพราะผู้ปกครองไม่ใช่คนพื้นเมืองเหมือนตน ถ้าปกครองดี ทุกคนยังกินอิ่ม ไม่รีดภาษี ไม่ก่อกรรมทำเข็ญ ข่มเหงรังแก พวกเขาก็จะอยู่อย่างนั้นต่อไปในรุ่นลูกรุ่นหลาน จักรวรรดิจีนโบราณดินแดนกว้างใหญ่ ประชากรไม่ได้มีแต่จีนฮั่นเท่านั้น ยังมีประชากรที่เป็นชนเผ่าอื่นๆในปกครองหลายสิบเผ่า แล้วก็มีผู้ปกครองที่มาจากถิ่นอื่นมาปกครอง เคยมีกษัตริย์ที่เป็นมองโกล กษัตริย์ที่เป็นแมนจูมานั่งบัลลังก์ฮ่องเต้ ยิ่งรูปงามผิวพรรณผุดผ่องมาพร้อมโปรโมชั่นว่าเป็นเทพลงมาเกิดก็จะทำให้รู้สึกนับถืออยากพึ่งพาบารมี ดังนั้นผู้ปกครองก็อาจเป็นชาติพันธุ์หนึ่งขณะที่ประชากรในดินแดนเป็นอีกชาติพันธุ์หนึ่งได้ เช่น ผู้ปกครองมีชื่อสมมุติว่าเป็นชาติพันธุ์ลาว ผู้ใต้ปกครองอาจเป็นชาวพื้นเมืองมีชื่อสมมุติว่าชาติพันธุ์ข่า เป็นต้น.. ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่พูดนี่ เป็นคนละเรื่องกับแนวความคิดเรื่องชาติ ประเทศ รัฐ ชนชาติและสัญชาติ ซึ่งเป็นความคิดใหม่ที่เกิดขึ้นภายหลังตามคติของอาณานิคมตะวันตก . สำหรับผมมันเป็นเรื่องตลก ที่พูดว่าคนโคราชไม่ใช่คนอีสาน ความยึดมั่นของผู้พูดผูกโยงกับภูมิลำเนา ผูกกับสำเนียงภาษาที่ใช้ แล้วเอามามัดให้ประชากรนั้นเป็นเผ่าพันธ์ตามที่ตนผูกไว้ . คนอีสานคือใครในทัศนะวิทยาศาสตร์ คนอีสานอาจประกอบด้วยพลเมืองจากทางเหนือที่มาไกลจากจีน มาจากหยุนหนาน หรืออาจมาจากเวียตนาม ได้มากพอกับมีพลเมืองที่มีชื่อสมมุติว่า "ลาว" ที่เฒ่างี่เง่านี้นิยามให้สาวกเชื่อว่าเป็นคนท้องถิ่นโดยแท้แล้วก็ปฏิเสธในเชิงที่รู้สึกได้ว่าพยายามจะบอกใครๆ ว่าคนโคราชเป็น "สิ่งแปลกปลอมในท่ามกลางคนอีสาน" ผมรู้สึกอย่างนั้น แล้วเขาก็โยงเรื่องโยงชื่อ ทั้งคนทั้งสถานที่ มั่วไปหมดชนแพะชนแกะชนควาย อนุมานเอาตามความเชื่อตน ทั้งที่ความเป็นจริงทุกมนุษย์ที่อ้างอิงมานั่นไม่ว่าจะด้วยคำ สยาม ทวารวดี มอญ อยุธยา สุพรรณ โคราช ศรีโคตรบูรณ์ เวียงจันทร์ ชัยวรมัน.... บลาๆๆ... ล้วนคือ Y Chromosome DNA Haplogroup O (O2 เป็นจำนวนเปอร์เซ็นต์สูงสุด) ทั้งนั้น ต่อให้หมู่บ้านนึงมันดันพูดได้สามภาษา ทั้งลาวทั้งอังกฤษทั้งเกาหลีสำเนียงเป๊ะทั้งหมู่บ้านก็ตามที . เขย่าไว้ไม่ให้นอนก้น ข้าว่าพวกเอ็งมันนอนก้นถอยหลังไปสองร้อยปี ฟังวนอยู่ห้าคำสิบคำ เต็มไปด้วยคำว่า “สันนิษฐานว่า…“ แปลเป็นไทยคือ คาดว่า เดาว่า... คือเอ็งไม่รู้ไง เชื่อเองเออเองแล้วมาชวนคนอื่นให้เชื่อตาม . นี่รู้ไหม... มีไม่น้อยนะที่สันนิษฐานว่ามนุษย์เซเปี้ยนส์นี่น่ะ มาจากเชื้อพันธุ์มนุษย์ต่างดาวชื่อ อนูนากิ แกเชื่อไหมเล่า? . - พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา [2568] - .
    0 Comments 0 Shares 808 Views 0 Reviews
More Results