• มีข่าวลือว่า Microsoft อาจจะปิดตัวแผนก Xbox ในปี 2021 แต่ Microsoft ได้ออกมาปฏิเสธข่าวลือนี้แล้ว โดยบอกว่า CEO Satya Nadella ไม่เคยคิดที่จะปิดแผนกเกมของบริษัทเลย

    ในช่วงปี 2021 Microsoft ต้องเผชิญกับทางเลือกที่ยากลำบากว่าจะรักษา Xbox Game Studios ไว้หรือไม่ แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเดินหน้าต่อไป และได้ทำการซื้อกิจการหลายแห่งเพื่อขยายการพัฒนาและการเผยแพร่เกม อย่างไรก็ตาม การเดินทางของ Xbox ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็ไม่ราบรื่นนัก

    นักลงทุนและนักวิเคราะห์อุตสาหกรรมเชื่อว่าการเข้าซื้อกิจการ Activision/Blizzard/King มูลค่า 68.7 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 ไม่ได้ช่วยเพิ่มรายได้ตามที่คาดหวัง แต่ Microsoft ยืนยันว่าการมีส่วนร่วมของผู้เล่นบนแพลตฟอร์ม Xbox อยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีผู้เล่นมากกว่า 500 ล้านคนต่อเดือน และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในผู้ใช้รายเดือนบนคลาวด์

    https://www.techpowerup.com/331272/microsoft-refutes-reports-of-xbox-division-facing-closure-back-in-2021
    มีข่าวลือว่า Microsoft อาจจะปิดตัวแผนก Xbox ในปี 2021 แต่ Microsoft ได้ออกมาปฏิเสธข่าวลือนี้แล้ว โดยบอกว่า CEO Satya Nadella ไม่เคยคิดที่จะปิดแผนกเกมของบริษัทเลย ในช่วงปี 2021 Microsoft ต้องเผชิญกับทางเลือกที่ยากลำบากว่าจะรักษา Xbox Game Studios ไว้หรือไม่ แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเดินหน้าต่อไป และได้ทำการซื้อกิจการหลายแห่งเพื่อขยายการพัฒนาและการเผยแพร่เกม อย่างไรก็ตาม การเดินทางของ Xbox ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็ไม่ราบรื่นนัก นักลงทุนและนักวิเคราะห์อุตสาหกรรมเชื่อว่าการเข้าซื้อกิจการ Activision/Blizzard/King มูลค่า 68.7 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 ไม่ได้ช่วยเพิ่มรายได้ตามที่คาดหวัง แต่ Microsoft ยืนยันว่าการมีส่วนร่วมของผู้เล่นบนแพลตฟอร์ม Xbox อยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีผู้เล่นมากกว่า 500 ล้านคนต่อเดือน และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในผู้ใช้รายเดือนบนคลาวด์ https://www.techpowerup.com/331272/microsoft-refutes-reports-of-xbox-division-facing-closure-back-in-2021
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Microsoft Refutes Reports of Xbox Division Facing Closure Back in 2021
    Microsoft's gaming division faced an uncertain future back in 2021, according to an article published by The Information mid-week. The long-form piece mainly focuses on Xbox's current predicaments, but the wider gaming press picked up on surprising allegations from days past. The story goes that Sat...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 55 มุมมอง 0 รีวิว
  • การสร้างสายใยแห่งความผูกพัน: กุศลและอกุศลในความสัมพันธ์

    สิ่งที่มนุษย์ทำร่วมกันสร้างสายใยแห่งความผูกพัน ไม่ว่าจะเป็นการกินเหล้า ร้องเพลง หรือสวดมนต์ ล้วนแต่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่สะท้อนมิติทางจิตใจ และนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ต่างกันมาก ขึ้นอยู่กับพื้นฐานของกิจกรรมนั้น


    ---

    1. กินเหล้า: สายใยอารมณ์ดิบ

    ลักษณะ: การดื่มเหล้าสร้างความผูกพันในทางที่ขาดสติ เกิดจากอารมณ์มึนเมา เคลิบเคลิ้ม และมักพ่วงด้วยความบิดเบี้ยวทางเหตุผล

    ผลลัพธ์:

    รักง่าย โกรธง่าย เพราะอารมณ์เป็นตัวนำ มากกว่าเหตุผล

    น้ำใจที่เกิดขึ้นมักผันผวน ไม่แน่นอน

    พื้นฐานความสัมพันธ์ขาดความมั่นคง พร้อมจะเปลี่ยนไปตามแรงกระตุ้นทางอารมณ์




    ---

    2. ร้องเพลง: สายใยแห่งความรื่นเริง

    ลักษณะ: การร้องเพลงร่วมกันสร้างพลังชีวิตอันสดใส เกิดความสามัคคีและอารมณ์สุขสันต์ร่วมกัน

    ผลลัพธ์:

    เกิดความยินดีที่พร้อมจะปรองดองและช่วยเหลือกัน

    แต่หากขาดสมดุลหรือไม่ได้มีความสุขร่วมกันต่อเนื่อง อาจนำมาซึ่งความน้อยใจหรือเหินห่างได้

    ความสัมพันธ์ขึ้นอยู่กับบรรยากาศและอารมณ์ชั่วขณะ




    ---

    3. สวดมนต์: สายใยแห่งความสว่าง

    ลักษณะ: การสวดมนต์สร้างบรรยากาศแห่งความศักดิ์สิทธิ์ ช่วยถักทอกระแสจิตให้ผาสุก สงบ และสติแจ่มใส

    ผลลัพธ์:

    เกิดความผูกพันในอารมณ์เย็นรื่นและพร้อมเกื้อกูลกันในทางเจริญ

    ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์จะถูกแก้ไขได้เร็ว เพราะมีสติและปัญญาเป็นพื้นฐาน

    สายใยที่สร้างขึ้นมีแนวโน้มจะนำพาสู่ความรุ่งเรืองและความสุขที่ยั่งยืน




    ---

    4. ปัจจัยสำคัญของสายใย: สว่างและมืด

    สายใยสว่าง (กุศล):

    พื้นฐาน: น้ำใจ, ศีล, และสติ

    ผลลัพธ์: ความสัมพันธ์จะนำไปสู่ความรุ่งเรือง ทั้งในชีวิตส่วนตัวและการทำงานร่วมกัน


    สายใยมืด (อกุศล):

    พื้นฐาน: ความตระหนี่, ทุศีล, และการขาดสติ

    ผลลัพธ์: ความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ และมีแนวโน้มล้มเหลวในชีวิตหรือธุรกิจ




    ---

    บทสรุป: การถักทอสายใยที่มีคุณภาพ

    การอยู่ร่วมกันอย่างมีคุณภาพขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่เราทำร่วมกัน และที่สำคัญกว่านั้นคือ พื้นฐานจิตใจที่เกื้อกูลกัน

    หากเน้น เกื้อกูลกันในทางสว่าง ความสัมพันธ์นั้นจะเป็นแสงสว่างที่สร้างความสุขและความสำเร็จ

    หากเน้น เบียดเบียนกันในทางมืด ความสัมพันธ์นั้นจะกลายเป็นเงาที่ทำให้ชีวิตถดถอย


    เลือกกิจกรรม เลือกวิถีใจ และเลือกการสร้างสายใยให้ถูกที่ถูกทาง เพื่อความสุขและความเจริญในระยะยาว.

    การสร้างสายใยแห่งความผูกพัน: กุศลและอกุศลในความสัมพันธ์ สิ่งที่มนุษย์ทำร่วมกันสร้างสายใยแห่งความผูกพัน ไม่ว่าจะเป็นการกินเหล้า ร้องเพลง หรือสวดมนต์ ล้วนแต่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่สะท้อนมิติทางจิตใจ และนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ต่างกันมาก ขึ้นอยู่กับพื้นฐานของกิจกรรมนั้น --- 1. กินเหล้า: สายใยอารมณ์ดิบ ลักษณะ: การดื่มเหล้าสร้างความผูกพันในทางที่ขาดสติ เกิดจากอารมณ์มึนเมา เคลิบเคลิ้ม และมักพ่วงด้วยความบิดเบี้ยวทางเหตุผล ผลลัพธ์: รักง่าย โกรธง่าย เพราะอารมณ์เป็นตัวนำ มากกว่าเหตุผล น้ำใจที่เกิดขึ้นมักผันผวน ไม่แน่นอน พื้นฐานความสัมพันธ์ขาดความมั่นคง พร้อมจะเปลี่ยนไปตามแรงกระตุ้นทางอารมณ์ --- 2. ร้องเพลง: สายใยแห่งความรื่นเริง ลักษณะ: การร้องเพลงร่วมกันสร้างพลังชีวิตอันสดใส เกิดความสามัคคีและอารมณ์สุขสันต์ร่วมกัน ผลลัพธ์: เกิดความยินดีที่พร้อมจะปรองดองและช่วยเหลือกัน แต่หากขาดสมดุลหรือไม่ได้มีความสุขร่วมกันต่อเนื่อง อาจนำมาซึ่งความน้อยใจหรือเหินห่างได้ ความสัมพันธ์ขึ้นอยู่กับบรรยากาศและอารมณ์ชั่วขณะ --- 3. สวดมนต์: สายใยแห่งความสว่าง ลักษณะ: การสวดมนต์สร้างบรรยากาศแห่งความศักดิ์สิทธิ์ ช่วยถักทอกระแสจิตให้ผาสุก สงบ และสติแจ่มใส ผลลัพธ์: เกิดความผูกพันในอารมณ์เย็นรื่นและพร้อมเกื้อกูลกันในทางเจริญ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์จะถูกแก้ไขได้เร็ว เพราะมีสติและปัญญาเป็นพื้นฐาน สายใยที่สร้างขึ้นมีแนวโน้มจะนำพาสู่ความรุ่งเรืองและความสุขที่ยั่งยืน --- 4. ปัจจัยสำคัญของสายใย: สว่างและมืด สายใยสว่าง (กุศล): พื้นฐาน: น้ำใจ, ศีล, และสติ ผลลัพธ์: ความสัมพันธ์จะนำไปสู่ความรุ่งเรือง ทั้งในชีวิตส่วนตัวและการทำงานร่วมกัน สายใยมืด (อกุศล): พื้นฐาน: ความตระหนี่, ทุศีล, และการขาดสติ ผลลัพธ์: ความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ และมีแนวโน้มล้มเหลวในชีวิตหรือธุรกิจ --- บทสรุป: การถักทอสายใยที่มีคุณภาพ การอยู่ร่วมกันอย่างมีคุณภาพขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่เราทำร่วมกัน และที่สำคัญกว่านั้นคือ พื้นฐานจิตใจที่เกื้อกูลกัน หากเน้น เกื้อกูลกันในทางสว่าง ความสัมพันธ์นั้นจะเป็นแสงสว่างที่สร้างความสุขและความสำเร็จ หากเน้น เบียดเบียนกันในทางมืด ความสัมพันธ์นั้นจะกลายเป็นเงาที่ทำให้ชีวิตถดถอย เลือกกิจกรรม เลือกวิถีใจ และเลือกการสร้างสายใยให้ถูกที่ถูกทาง เพื่อความสุขและความเจริญในระยะยาว.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 90 มุมมอง 0 รีวิว
  • 19/1/68

    บ่อนคาสิโน : ขอคารวะดร.เอ้ที่กล้าชี้แนะ

    ในวันที่ลำบากที่สุด ทำไม ลีกวนยู รัฐบุรุษแห่งสิงคโปร์ เลือกพัฒนา "คุณภาพคน" และ "คุณภาพราชการ" ก่อนเปิดกาสิโน เราเรียนรู้อะไร?

    การอ้างเศรษฐกิจจะดี จะสร้างรายได้จาก "กาสิโนเสรี" ในชื่อแอบแฝง "Entertainmant Complex" ชวนน่าสงสัย อันตรายยิ่ง

    และการนำเรื่องกาสิโน ไปเปรียบกับสิงคโปร์ แต่ไม่ไปเปรียบกับเมียนมาร์ และกัมพูชา ยิ่งสะท้อน ความวิบัติในตรรกะ เช่นกัน

    เพราะการมีกาสิโนในประเทศข้างบ้าน สะท้อนความจริงว่า "ชาวบ้านไม่ได้อะไร" ยังคงยากจน ข้นแค้น แต่คนได้ คือ "นายทุน" กับ "ผู้นำการเมือง" ผู้อยู่เบื้องหลัง ที่มั่งคั่ง บนความเหลื่อมล้ำของสังคม

    หรือท่านเคยสงสัยไหมว่า ทำไมวันที่สิงค์โปร์แยกตัวจากมาเลเซีย ไม่มีทรัพยากรใด ลำบากยากจน หมดหวัง แม้แต่ "ลีกวนยู" นายกรัฐมนตรี ถึงกับร้องไห้

    จนทำให้ หลายคนรอบตัวลีกวนยู บอก "นายครับ เราเปิดกาสิโน แบบมาเก๊า เอาเงินเข้าประเทศกันเถอะครับ" จะเป็นทางรอดของสิงคโปร์

    แต่ ลีกวนยู ปฏิเสธ...

    ไม่มีประเทศไหน ไม่อยากได้เงินบริหารประเทศ ลีกวนยู ผู้ที่พ่อเคยติดการพนัน รู้ซึ้งถึง "อันตรายจากการพนัน" ในวันที่สังคมสิงคโปร์ ยังไม่พร้อม ทั้งเรื่องการบังคับใช้กฏหมาย การจัดระเบียบราชการ และที่สำคัญที่สุด คือ การศึกษาสร้างภูมิคุ้มกันของคนสิงคโปร์ ที่ยัง "ไม่พร้อม"

    ลีกวนยู นายกรัฐมนตรี จึงประกาศ "มุ่งสร้างคนคุณภาพ ด้วยการศึกษาที่ดีที่สุด" และ "มุ่งสร้างระบบราชการ ที่ปราศจากการคอรัปชั่น" เป็นอันดับแรก จนสิงค์โปร์ได้ชื่อว่า มีการพัฒนาคน และพัฒนาระบบราชการโปร่งใส อันดับท็อปของโลก

    รายได้ประชาชาติ หรือจีดีพีต่อคนของสิงค์โปร์ จึงเติบโตจาก 400 ดอลลาร์ต่อคน ในปี 1960 จนมากว่า 80,000 ดอลลาร์ต่อคน ในปัจจุบัน หรือโตกว่า 200 เท่า ตั้งแต่ลีกวนยูเริ่มบริหารประเทศ

    พิสูจน์วิสัยทัศน์ของ ลีกวนยู "การสร้างคน เพื่อไปสร้างชาติ ไปสร้างเศรษฐกิจ" คือ สิ่งที่ถูกต้องที่สุด ดีกว่าทุกสิ่งอย่าง

    แต่ทั้งนี้ "การศึกษาอย่างละเอียด เรื่องบ่อนกาสิโน" จากที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญระดับโลก ยังคงเริ่มมาตั้งแต่สมัยของลีกวนยู นายกรัฐมนตรีคนที่หนึ่ง 32 ปี และต่อเนื่องมาจนสมัยของ โก๊ะ จ๊กตง นายกรัฐมนตรีคนที่สอง 14 ปี รอจนสิงค์โปร์ประสบความสำเร็จในการสร้าง "รากฐานของประเทศ" และสร้างความเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจ

    มาถึง ลีเซียนลุง นายกรัฐมนตรีคนที่สาม ภายใต้ "ข้อจำกัดด้านการท่องเที่ยว" ของเกาะสิงคโปร์ ที่ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติ ไม่มีชายหาดที่สวยงาม ไม่มีประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรม ไม่มี "สีสัน" ดึงดูดนักท่องเที่ยว เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศไทย ที่มีทั้งสถาปัตยกรรม วัฒนธรรม อาหาร และธรรมชาติ ที่เหนือกว่าสิงคโปร์ทุกด้าน

    ลีเซียนลุง จึงประกาศให้มีกาสิโน ด้วยการเตรียมความพร้อมทุกด้าน ทั้งด้านการบังคับใช้กฏหมาย ด้านภูมิคุ้มกันประชาชน และด้านการเยียวยาผลกระทบ จากการศึกษามายาวนาน

    แต่ที่น่าสนใจ เราแทบไม่เคยได้ยินว่า ลีเซียนลุง แสดงความภาคภูมิใจกับผลงานนี้ของรัฐบาลเขาเลย และยังมีหลายคนพูดว่า หากสิงคโปร์ย้อนเวลากลับไปได้ อาจไม่ทำเรื่องกาสิโน ก็เป็นได้

    ผมจึงเพียงสงสัย อย่างไร้อคติว่า ผู้นำไทยเรียนรู้อะไรบ้าง จากผู้นำสิงคโปร์

    ทำไมผู้นำไทย จึงเร่งร้อน เลือกทางกาสิโนเสรี ก่อนเตรียมความพร้อมด้านการพัฒนาคน และด้านการบังคับใช้กฏหมาย ผมจึงประหลาดใจยิ่ง

    ผมขอให้ ผู้นำไทย มีความเป็น Stateman หรือรัฐบุรุษ คิดถึงอนาคตชาติ อนาคตเด็กไทย สักนิดก็ยังดี ก่อนบุ่มบ่าม เปิดบ่อนกาสิโน ภายใต้ความ "ไม่พร้อม"

    เพราะหากผลกระทบที่ตามมา ไม่ใช่อย่างพูด คนไทยนอกจากไม่ได้มีรายได้เพิ่มอย่างเท่าเทียม ลูกหลานติดการพนัน เสียคน บ่อนนอกพื้นที่อนุญาต เกิดขึ้นใหม่อย่างไร้การควบคุม รากฐานสังคมถูกทำลาย

    ถึงวันนั้น ขอโทษ เสียใจ คงไม่พอ
    .
    ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ (ดร.เอ้)
    19/1/68 บ่อนคาสิโน : ขอคารวะดร.เอ้ที่กล้าชี้แนะ ในวันที่ลำบากที่สุด ทำไม ลีกวนยู รัฐบุรุษแห่งสิงคโปร์ เลือกพัฒนา "คุณภาพคน" และ "คุณภาพราชการ" ก่อนเปิดกาสิโน เราเรียนรู้อะไร? การอ้างเศรษฐกิจจะดี จะสร้างรายได้จาก "กาสิโนเสรี" ในชื่อแอบแฝง "Entertainmant Complex" ชวนน่าสงสัย อันตรายยิ่ง และการนำเรื่องกาสิโน ไปเปรียบกับสิงคโปร์ แต่ไม่ไปเปรียบกับเมียนมาร์ และกัมพูชา ยิ่งสะท้อน ความวิบัติในตรรกะ เช่นกัน เพราะการมีกาสิโนในประเทศข้างบ้าน สะท้อนความจริงว่า "ชาวบ้านไม่ได้อะไร" ยังคงยากจน ข้นแค้น แต่คนได้ คือ "นายทุน" กับ "ผู้นำการเมือง" ผู้อยู่เบื้องหลัง ที่มั่งคั่ง บนความเหลื่อมล้ำของสังคม หรือท่านเคยสงสัยไหมว่า ทำไมวันที่สิงค์โปร์แยกตัวจากมาเลเซีย ไม่มีทรัพยากรใด ลำบากยากจน หมดหวัง แม้แต่ "ลีกวนยู" นายกรัฐมนตรี ถึงกับร้องไห้ จนทำให้ หลายคนรอบตัวลีกวนยู บอก "นายครับ เราเปิดกาสิโน แบบมาเก๊า เอาเงินเข้าประเทศกันเถอะครับ" จะเป็นทางรอดของสิงคโปร์ แต่ ลีกวนยู ปฏิเสธ... ไม่มีประเทศไหน ไม่อยากได้เงินบริหารประเทศ ลีกวนยู ผู้ที่พ่อเคยติดการพนัน รู้ซึ้งถึง "อันตรายจากการพนัน" ในวันที่สังคมสิงคโปร์ ยังไม่พร้อม ทั้งเรื่องการบังคับใช้กฏหมาย การจัดระเบียบราชการ และที่สำคัญที่สุด คือ การศึกษาสร้างภูมิคุ้มกันของคนสิงคโปร์ ที่ยัง "ไม่พร้อม" ลีกวนยู นายกรัฐมนตรี จึงประกาศ "มุ่งสร้างคนคุณภาพ ด้วยการศึกษาที่ดีที่สุด" และ "มุ่งสร้างระบบราชการ ที่ปราศจากการคอรัปชั่น" เป็นอันดับแรก จนสิงค์โปร์ได้ชื่อว่า มีการพัฒนาคน และพัฒนาระบบราชการโปร่งใส อันดับท็อปของโลก รายได้ประชาชาติ หรือจีดีพีต่อคนของสิงค์โปร์ จึงเติบโตจาก 400 ดอลลาร์ต่อคน ในปี 1960 จนมากว่า 80,000 ดอลลาร์ต่อคน ในปัจจุบัน หรือโตกว่า 200 เท่า ตั้งแต่ลีกวนยูเริ่มบริหารประเทศ พิสูจน์วิสัยทัศน์ของ ลีกวนยู "การสร้างคน เพื่อไปสร้างชาติ ไปสร้างเศรษฐกิจ" คือ สิ่งที่ถูกต้องที่สุด ดีกว่าทุกสิ่งอย่าง แต่ทั้งนี้ "การศึกษาอย่างละเอียด เรื่องบ่อนกาสิโน" จากที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญระดับโลก ยังคงเริ่มมาตั้งแต่สมัยของลีกวนยู นายกรัฐมนตรีคนที่หนึ่ง 32 ปี และต่อเนื่องมาจนสมัยของ โก๊ะ จ๊กตง นายกรัฐมนตรีคนที่สอง 14 ปี รอจนสิงค์โปร์ประสบความสำเร็จในการสร้าง "รากฐานของประเทศ" และสร้างความเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจ มาถึง ลีเซียนลุง นายกรัฐมนตรีคนที่สาม ภายใต้ "ข้อจำกัดด้านการท่องเที่ยว" ของเกาะสิงคโปร์ ที่ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติ ไม่มีชายหาดที่สวยงาม ไม่มีประวัติศาสตร์ทางวัฒนธรรม ไม่มี "สีสัน" ดึงดูดนักท่องเที่ยว เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศไทย ที่มีทั้งสถาปัตยกรรม วัฒนธรรม อาหาร และธรรมชาติ ที่เหนือกว่าสิงคโปร์ทุกด้าน ลีเซียนลุง จึงประกาศให้มีกาสิโน ด้วยการเตรียมความพร้อมทุกด้าน ทั้งด้านการบังคับใช้กฏหมาย ด้านภูมิคุ้มกันประชาชน และด้านการเยียวยาผลกระทบ จากการศึกษามายาวนาน แต่ที่น่าสนใจ เราแทบไม่เคยได้ยินว่า ลีเซียนลุง แสดงความภาคภูมิใจกับผลงานนี้ของรัฐบาลเขาเลย และยังมีหลายคนพูดว่า หากสิงคโปร์ย้อนเวลากลับไปได้ อาจไม่ทำเรื่องกาสิโน ก็เป็นได้ ผมจึงเพียงสงสัย อย่างไร้อคติว่า ผู้นำไทยเรียนรู้อะไรบ้าง จากผู้นำสิงคโปร์ ทำไมผู้นำไทย จึงเร่งร้อน เลือกทางกาสิโนเสรี ก่อนเตรียมความพร้อมด้านการพัฒนาคน และด้านการบังคับใช้กฏหมาย ผมจึงประหลาดใจยิ่ง ผมขอให้ ผู้นำไทย มีความเป็น Stateman หรือรัฐบุรุษ คิดถึงอนาคตชาติ อนาคตเด็กไทย สักนิดก็ยังดี ก่อนบุ่มบ่าม เปิดบ่อนกาสิโน ภายใต้ความ "ไม่พร้อม" เพราะหากผลกระทบที่ตามมา ไม่ใช่อย่างพูด คนไทยนอกจากไม่ได้มีรายได้เพิ่มอย่างเท่าเทียม ลูกหลานติดการพนัน เสียคน บ่อนนอกพื้นที่อนุญาต เกิดขึ้นใหม่อย่างไร้การควบคุม รากฐานสังคมถูกทำลาย ถึงวันนั้น ขอโทษ เสียใจ คงไม่พอ . ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ (ดร.เอ้)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 144 มุมมอง 0 รีวิว
  • 19/1/68

    ข่าวร้ายร้อนๆรับปีใหม่เรื่องต่อสัมปทานทางด่วนให้เอกชนมาแล้วจ้า

    เมื่อวานนี้ (14 มกราคม) สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการทางพิเศษ(กทพ.)ชุดใหม่เพิ่งได้รับแต่งตั้งเมื่อพฤศจิกายน 2567 พากันมา สวัสดีปีใหม่ดิฉัน และถือโอกาสพาคณะกรรมการชุดใหม่มาแนะนำตัว

    ดิฉันติดตามกรณีการล้วงใส้รัฐวิสาหกิจหลายแห่งให้เอกชนรวย เรียกว่าปัจจุบันเป็นยุคสมัยแห่งการเซาะกร่อนบ่อนทำลายโครงสร้างเศรษกิจพื้นฐานของชาติและประชาชนโดยแท้

    การทางพิเศษ (กทพ.)ก็ไม่ต่างจากรัฐวิสาหกิจอื่นๆที่จะถูกจ้องล้วงไส้กอบโกยกำไรผ่องถ่ายไปให้เอกชนอย่างต่อเนื่อง กรณีของ กทพ.คือการหาเหตุต่อสัมปทานให้เอกชนอย่างไม่สิ้นสุด แทนที่หมดสัมปทานแล้วควรหยุดต่อสัมปทานให้เอกชนซึ่งได้กำไรร่ำรวยกันเกินสมควรแล้ว ให้โอกาสประชาชนได้ลดค่าทางด่วนลงไปบ้าง แต่ฝ่ายการเมืองร่วมมือกับฝ่ายบริหารจ้องต่อสัมปทานให้เอกชนหากินบนทางด่วนขูดเลือดประชาชนแบบชั่วกัลปวสาน โดยใช้อุบายแปะหน้าซองว่าต่อสัมปทานให้เอกชน แลกกับการได้ทางด่วนเพิ่มโดยไม่ต้องลงทุน ไม่ต้องมีหนี้สาธารณะ พร้อมลดค่าผ่านทางให้อีก มีใครเชื่อบ้างว่าเป็นเรื่องจริง โดยไม่มีข้อมูลเบื้องหลัง !?!

    มีข่าวว่า ผู้บริหารกทพ.เร่งร้อนจะต่อสัมปทานให้เอกชนก่อสร้างทางด่วนชั้นที่ 2 บนทางพิเศษศรีรัช เรียกว่า double deck และจะลดค่าผ่านทางจาก 90 บาทให้เหลือแค่ 50 บาท นี่คือหน้าซองที่แปะป้ายไว้ให้ประชาชนเคลิบเคลิ้ม

    แต่เรื่องจริงที่อยู่เบื้องหลังที่ผู้บริโภคไม่ทราบ คือ การสร้างทางด่วนซ้อนขึ้นไปชั้นที่2 โดยบอกหน้าฉากว่าจะลดราคาให้ผู้บริโภคจาก 90 บาทเหลือ50 บาท แต่หลังฉากคือกทพ.ต้องแลกกับการแบ่งรายได้เพิ่มให้เอกชนอีก 10% ขยายเวลาต่อสัมปทานออกไปอีก 22 ปี ถึงพ.ศ.2601 ทั้งที่สัมปทานทางด่วนสายนี้จะหมดอายุในปี 2578 (อีก 10ปี ก็จะหมดสัมปทาน)

    ค่าก่อสร้างทางด่วนดับเบิ้ลเด็ค ลงทุนแค่ 30,000 กว่าล้าน

    แต่ถ้าก่อสร้างทางด่วนชั้นที่2 ก็ต้องต่อสัมปทานให้เอกชนเพิ่มอีก 22ปี และ ให้ส่วนแบ่งรายได้เพิ่มให้เอกชนอีก10% คิดเป็นเงินที่ต้องแบ่งให้เอกชน เลขกลมๆก็ประมาณปีละ 7,000 ล้านบาท

    ถ้า คูณ22 ปีก็ 150,000ล้านบาท !!!!

    ค่าก่อสร้างทางด่วนชั้นที่2 มูลค่าแค่ 3 หมื่นล้านบาท แลกกับการเพิ่มค่าส่วนแบ่งรายได้ให้เอกชนอีก 1 แสนห้าหมื่นล้าน ตลอด 22ปี เป็นตัวเลขทางคณิตศาสตร์ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน หรือต่อกลุ่มทุนเจ้าของสัมปทานเดิมร่วมกับกลุ่มการเมืองที่หากินอันเดอร์เทเบิ้ลกันแน่ ?!

    ก็ต้องถามผู้บริหารกทพ. และรัฐมนตรีคมนาคมของพรรครัฐบาล ว่าจะรีบร้อนอ้างการสร้างทางด่วนชั้นที่2 ก่อนสัมปทานหมดในอีก10ปี ทำเพื่อประโยชน์ของใครกันแน่ ?!?

    รสนา โตสิตระกูล
    15 มกราคม 2568

    https://www.facebook.com/share/p/19hszQVEM7/?mibextid=wwXIfr
    19/1/68 ข่าวร้ายร้อนๆรับปีใหม่เรื่องต่อสัมปทานทางด่วนให้เอกชนมาแล้วจ้า เมื่อวานนี้ (14 มกราคม) สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการทางพิเศษ(กทพ.)ชุดใหม่เพิ่งได้รับแต่งตั้งเมื่อพฤศจิกายน 2567 พากันมา สวัสดีปีใหม่ดิฉัน และถือโอกาสพาคณะกรรมการชุดใหม่มาแนะนำตัว ดิฉันติดตามกรณีการล้วงใส้รัฐวิสาหกิจหลายแห่งให้เอกชนรวย เรียกว่าปัจจุบันเป็นยุคสมัยแห่งการเซาะกร่อนบ่อนทำลายโครงสร้างเศรษกิจพื้นฐานของชาติและประชาชนโดยแท้ การทางพิเศษ (กทพ.)ก็ไม่ต่างจากรัฐวิสาหกิจอื่นๆที่จะถูกจ้องล้วงไส้กอบโกยกำไรผ่องถ่ายไปให้เอกชนอย่างต่อเนื่อง กรณีของ กทพ.คือการหาเหตุต่อสัมปทานให้เอกชนอย่างไม่สิ้นสุด แทนที่หมดสัมปทานแล้วควรหยุดต่อสัมปทานให้เอกชนซึ่งได้กำไรร่ำรวยกันเกินสมควรแล้ว ให้โอกาสประชาชนได้ลดค่าทางด่วนลงไปบ้าง แต่ฝ่ายการเมืองร่วมมือกับฝ่ายบริหารจ้องต่อสัมปทานให้เอกชนหากินบนทางด่วนขูดเลือดประชาชนแบบชั่วกัลปวสาน โดยใช้อุบายแปะหน้าซองว่าต่อสัมปทานให้เอกชน แลกกับการได้ทางด่วนเพิ่มโดยไม่ต้องลงทุน ไม่ต้องมีหนี้สาธารณะ พร้อมลดค่าผ่านทางให้อีก มีใครเชื่อบ้างว่าเป็นเรื่องจริง โดยไม่มีข้อมูลเบื้องหลัง !?! มีข่าวว่า ผู้บริหารกทพ.เร่งร้อนจะต่อสัมปทานให้เอกชนก่อสร้างทางด่วนชั้นที่ 2 บนทางพิเศษศรีรัช เรียกว่า double deck และจะลดค่าผ่านทางจาก 90 บาทให้เหลือแค่ 50 บาท นี่คือหน้าซองที่แปะป้ายไว้ให้ประชาชนเคลิบเคลิ้ม แต่เรื่องจริงที่อยู่เบื้องหลังที่ผู้บริโภคไม่ทราบ คือ การสร้างทางด่วนซ้อนขึ้นไปชั้นที่2 โดยบอกหน้าฉากว่าจะลดราคาให้ผู้บริโภคจาก 90 บาทเหลือ50 บาท แต่หลังฉากคือกทพ.ต้องแลกกับการแบ่งรายได้เพิ่มให้เอกชนอีก 10% ขยายเวลาต่อสัมปทานออกไปอีก 22 ปี ถึงพ.ศ.2601 ทั้งที่สัมปทานทางด่วนสายนี้จะหมดอายุในปี 2578 (อีก 10ปี ก็จะหมดสัมปทาน) ค่าก่อสร้างทางด่วนดับเบิ้ลเด็ค ลงทุนแค่ 30,000 กว่าล้าน แต่ถ้าก่อสร้างทางด่วนชั้นที่2 ก็ต้องต่อสัมปทานให้เอกชนเพิ่มอีก 22ปี และ ให้ส่วนแบ่งรายได้เพิ่มให้เอกชนอีก10% คิดเป็นเงินที่ต้องแบ่งให้เอกชน เลขกลมๆก็ประมาณปีละ 7,000 ล้านบาท ถ้า คูณ22 ปีก็ 150,000ล้านบาท !!!! ค่าก่อสร้างทางด่วนชั้นที่2 มูลค่าแค่ 3 หมื่นล้านบาท แลกกับการเพิ่มค่าส่วนแบ่งรายได้ให้เอกชนอีก 1 แสนห้าหมื่นล้าน ตลอด 22ปี เป็นตัวเลขทางคณิตศาสตร์ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน หรือต่อกลุ่มทุนเจ้าของสัมปทานเดิมร่วมกับกลุ่มการเมืองที่หากินอันเดอร์เทเบิ้ลกันแน่ ?! ก็ต้องถามผู้บริหารกทพ. และรัฐมนตรีคมนาคมของพรรครัฐบาล ว่าจะรีบร้อนอ้างการสร้างทางด่วนชั้นที่2 ก่อนสัมปทานหมดในอีก10ปี ทำเพื่อประโยชน์ของใครกันแน่ ?!? รสนา โตสิตระกูล 15 มกราคม 2568 https://www.facebook.com/share/p/19hszQVEM7/?mibextid=wwXIfr
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 98 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประวัติศาสตร์จีน มีมายาวนานกว่า 3000 ปี ...มีประเพณี และความเชื่อมากมาย...หลักคิดส่วนตัว..เชื่อว่า...มันต้องมี พิธีกรรม หรือประเพณีบางอย่าง...ที่กระทำแล้ว..ให้ผล ได้จริง....เพียงแค่เราไม่รู้ว่า...แบบใดบ้าง..? ...ไม่งั้น การดำรงความเป็น ชาติเดียว สืบต่อเนื่องกันมากว่า 3000 ปี และเป็น ชาติเดียวในโลก...ที่เป็นแบบนี้..คงต้องถูกเปลี่ยนแปลงไป ดังในหลายประเทศที่เคย เป็น อณาจักรมาก่อน เช่น กรีก โรมัน ไอยคุปต์ เปอร์เซีย ..และอื่นๆ ...ย้ำ..ไม่ได้บอกว่า พิธีกรรมใด ได้ผล หรือไม่ ประการใด..เพียงแค่ เป็น #หลักคิด
    ..ถ้าต้องเลือกเชื่อ.(แม้พิสูจน์ไม่ได้ทั้งคู่).ขอเชื่อ เครดิต กว่า 3000 ปี ..ที่แม้เป็นเรื่องเล่า...กับ เครดิต ที่เกิดขึ้น "เมื่อวาน" ขอเลือกอย่างแรก.
    ..เช่นในภาพ ศาลเจ้าพ่อเสือ นักธุรกิจไทย เชื้อสายจีน เริ่มต้นปีใหม่ ด้วยการสักการะที่นี่...ตัวผู้เขียนเองก็เช่นกัน..นั่นแปลว่าอะไร แปลว่า เขาทำแล้วมีผลใช่ไหม? ถึงสืบต่อกันมา รุ่นสู่รุ่น...
    ...ผู้เขียนต่อต้านสิธีคิดขิงคนไทยจำนวนไม่น้อย...ที่ละทิ้ง ความรู้ ความคิด ความเขื่อบางอย่าง....เพราะมีใครจากไหนก็ไม่รู้...มาบอกว่า .มันต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้...แล้วเขื่อเขาในทันที...จงคิด..ความรู้มีอยู่ทั่วไปในอากาศ...ทุกคนสืบค้นได้.
    ประวัติศาสตร์จีน มีมายาวนานกว่า 3000 ปี ...มีประเพณี และความเชื่อมากมาย...หลักคิดส่วนตัว..เชื่อว่า...มันต้องมี พิธีกรรม หรือประเพณีบางอย่าง...ที่กระทำแล้ว..ให้ผล ได้จริง....เพียงแค่เราไม่รู้ว่า...แบบใดบ้าง..? ...ไม่งั้น การดำรงความเป็น ชาติเดียว สืบต่อเนื่องกันมากว่า 3000 ปี และเป็น ชาติเดียวในโลก...ที่เป็นแบบนี้..คงต้องถูกเปลี่ยนแปลงไป ดังในหลายประเทศที่เคย เป็น อณาจักรมาก่อน เช่น กรีก โรมัน ไอยคุปต์ เปอร์เซีย ..และอื่นๆ ...ย้ำ..ไม่ได้บอกว่า พิธีกรรมใด ได้ผล หรือไม่ ประการใด..เพียงแค่ เป็น #หลักคิด ..ถ้าต้องเลือกเชื่อ.(แม้พิสูจน์ไม่ได้ทั้งคู่).ขอเชื่อ เครดิต กว่า 3000 ปี ..ที่แม้เป็นเรื่องเล่า...กับ เครดิต ที่เกิดขึ้น "เมื่อวาน" ขอเลือกอย่างแรก. ..เช่นในภาพ ศาลเจ้าพ่อเสือ นักธุรกิจไทย เชื้อสายจีน เริ่มต้นปีใหม่ ด้วยการสักการะที่นี่...ตัวผู้เขียนเองก็เช่นกัน..นั่นแปลว่าอะไร แปลว่า เขาทำแล้วมีผลใช่ไหม? ถึงสืบต่อกันมา รุ่นสู่รุ่น... ...ผู้เขียนต่อต้านสิธีคิดขิงคนไทยจำนวนไม่น้อย...ที่ละทิ้ง ความรู้ ความคิด ความเขื่อบางอย่าง....เพราะมีใครจากไหนก็ไม่รู้...มาบอกว่า .มันต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้...แล้วเขื่อเขาในทันที...จงคิด..ความรู้มีอยู่ทั่วไปในอากาศ...ทุกคนสืบค้นได้.
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 129 มุมมอง 0 รีวิว
  • กระทรวงกลาโหมรัสเซียยืนยันรายงานการโจมตีโรงเก็บก๊าซหลักของยูเครน

    โรงเก็บก๊าซแห่งนี้ถูกรัสเซียโจมตีมาอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง โดยครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2568 มีรายงานว่า สถานีจ่ายก๊าซซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคลังเก็บก๊าซ Bilche-Volytsko-Uherske อาคารหลักทั้งหมด ห้องควบคุมหลัก หน่วยสูบจ่ายแก๊ส อยู่ในสถานะเสียหายอย่างรุนแรง

    รายงานล่าสุด โรงงานนี้ถูกปิดตัวลงแล้ว เนื่องจากการโจมตีของรัสเซีย ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่โรงเก็บก๊าซที่อยู่ลึกลงไปใต้ดิน แต่เป็นการโจมตีสถานีจ่ายก๊าซซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคลังเก็บก๊าซที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานบนดิน เป้าหมายเพื่อไม่ให้มีการนำก๊าซออกไปใช้งานได้อีกต่อไป

    โรงเก็บก๊าซใต้ดิน Bilche-Volytsko-Uherske ของยูเครนเป็นโรงงานเก็บก๊าซที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ตั้งอยู่ในเมืองสตรัย (Stryi) ภูมิภาคลวิฟ (Lviv) เปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 1985

    โรงจัดเก็บก๊าซใต้ดิน Bilche-Volytsko-Uherske แห่งนี้ดำเนินการโดย Ukrtransgaz ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยงานด้านพลังงานของยูเครน มีความจุ 17 bcm (billion cubic metres) และสามารถจัดเก็บได้มากกว่าคลังเก็บก๊าซที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมนีถึง 4 เท่า

    ทางด้านยูเครนออกมาปฏิเสธการหยุดดำเนินการของโรงเก็บก๊าซแห่งนี้ โดยกล่าวว่าทุกอย่างยังคงเปิดดำเนินการตามปกติ
    กระทรวงกลาโหมรัสเซียยืนยันรายงานการโจมตีโรงเก็บก๊าซหลักของยูเครน โรงเก็บก๊าซแห่งนี้ถูกรัสเซียโจมตีมาอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง โดยครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2568 มีรายงานว่า สถานีจ่ายก๊าซซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคลังเก็บก๊าซ Bilche-Volytsko-Uherske อาคารหลักทั้งหมด ห้องควบคุมหลัก หน่วยสูบจ่ายแก๊ส อยู่ในสถานะเสียหายอย่างรุนแรง รายงานล่าสุด โรงงานนี้ถูกปิดตัวลงแล้ว เนื่องจากการโจมตีของรัสเซีย ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่โรงเก็บก๊าซที่อยู่ลึกลงไปใต้ดิน แต่เป็นการโจมตีสถานีจ่ายก๊าซซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคลังเก็บก๊าซที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานบนดิน เป้าหมายเพื่อไม่ให้มีการนำก๊าซออกไปใช้งานได้อีกต่อไป โรงเก็บก๊าซใต้ดิน Bilche-Volytsko-Uherske ของยูเครนเป็นโรงงานเก็บก๊าซที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ตั้งอยู่ในเมืองสตรัย (Stryi) ภูมิภาคลวิฟ (Lviv) เปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 1985 โรงจัดเก็บก๊าซใต้ดิน Bilche-Volytsko-Uherske แห่งนี้ดำเนินการโดย Ukrtransgaz ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยงานด้านพลังงานของยูเครน มีความจุ 17 bcm (billion cubic metres) และสามารถจัดเก็บได้มากกว่าคลังเก็บก๊าซที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมนีถึง 4 เท่า ทางด้านยูเครนออกมาปฏิเสธการหยุดดำเนินการของโรงเก็บก๊าซแห่งนี้ โดยกล่าวว่าทุกอย่างยังคงเปิดดำเนินการตามปกติ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 219 มุมมอง 0 รีวิว
  • กทม. ประกาศขอความร่วมมือ ภาครัฐ-เอกชน WFH 20 - 21 ม.ค. 68 คาดการณ์ค่าฝุ่นสัปดาห์หน้าเป็นสีส้ม มีอัตราระบายลมต่ำ ด้านผู้บริหาร รร. สั่งเปิด-ปิดได้ตามหลักเกณฑ์และดุลยพินิจ

    (17 ม.ค. 68) นายเอกวรัญญู อัมระปาล โฆษกของกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงการปรับมาตรการ WORK FROM HOME (WFH) ตามสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ของกรุงเทพมหานครว่า จากการคาดการณ์ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับค่าฝุ่น PM2.5 ในวันจันทร์และอังคารที่ 20 - 21 ม.ค. 68 พบว่า 1. มีเขตที่ค่าฝุ่นเข้าเกณฑ์สีส้ม 35 เขตขึ้นไป 2. อัตราการระบายอากาศไม่ดี คือ อยู่ระหว่าง 875 - 2,250 ตารางเมตรต่อวินาที (m2/s) 3. จุดเผา 5 วันที่ผ่านมา (11 - 15 ม.ค. 68) เกินวันละ 80 จุด

    จึงประกาศ WFH ในวันที่ 20 - 21 ม.ค. 68 ซึ่งยังคงต้องเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หากพบว่าฝุ่น PM2.5 ยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง จะประกาศ WFH ต่อไปจนถึงวันที่ 24 ม.ค. 68 โดยได้มีการสื่อสารประชาสัมพันธ์ให้กับภาคีเครือข่าย WFH รับทราบล่วงหน้า เพื่อให้สามารถวางแผนการทำงานล่วงหน้า และลดผลกระทบกับหน่วยงานภาคส่วนต่าง ๆ ที่เข้าร่วม

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/qol/detail/9680000005240

    #MGROnline #โฆษกของกรุงเทพมหานคร
    กทม. ประกาศขอความร่วมมือ ภาครัฐ-เอกชน WFH 20 - 21 ม.ค. 68 คาดการณ์ค่าฝุ่นสัปดาห์หน้าเป็นสีส้ม มีอัตราระบายลมต่ำ ด้านผู้บริหาร รร. สั่งเปิด-ปิดได้ตามหลักเกณฑ์และดุลยพินิจ • (17 ม.ค. 68) นายเอกวรัญญู อัมระปาล โฆษกของกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงการปรับมาตรการ WORK FROM HOME (WFH) ตามสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ของกรุงเทพมหานครว่า จากการคาดการณ์ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับค่าฝุ่น PM2.5 ในวันจันทร์และอังคารที่ 20 - 21 ม.ค. 68 พบว่า 1. มีเขตที่ค่าฝุ่นเข้าเกณฑ์สีส้ม 35 เขตขึ้นไป 2. อัตราการระบายอากาศไม่ดี คือ อยู่ระหว่าง 875 - 2,250 ตารางเมตรต่อวินาที (m2/s) 3. จุดเผา 5 วันที่ผ่านมา (11 - 15 ม.ค. 68) เกินวันละ 80 จุด • จึงประกาศ WFH ในวันที่ 20 - 21 ม.ค. 68 ซึ่งยังคงต้องเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หากพบว่าฝุ่น PM2.5 ยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง จะประกาศ WFH ต่อไปจนถึงวันที่ 24 ม.ค. 68 โดยได้มีการสื่อสารประชาสัมพันธ์ให้กับภาคีเครือข่าย WFH รับทราบล่วงหน้า เพื่อให้สามารถวางแผนการทำงานล่วงหน้า และลดผลกระทบกับหน่วยงานภาคส่วนต่าง ๆ ที่เข้าร่วม • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/qol/detail/9680000005240 • #MGROnline #โฆษกของกรุงเทพมหานคร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 140 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🚨 #อันตรายจากราแป้ง: ศัตรูร้ายทำลายความหวานเมล่อน!

    🔍 สัญญาณเตือนการระบาดของราแป้ง:
    - หมอกหนาในตอนเช้า
    - ลมพัดเบาๆ
    - อากาศเย็นชื้น

    🌿 ลักษณะอาการที่พบ:
    - คราบผงสีขาวคล้ายแป้งบนใบ
    - เส้นใยฟูสีขาวเป็นหย่อมๆ
    - ใบเริ่มเหลืองและแห้ง

    ⚠️ ผลกระทบต่อผลผลิต:
    1. เชื้อราแทงเส้นใยดูดอาหารจากใบ
    2. ต้นเมล่อนชะงักการเจริญเติบโต
    3. ความหวานของผลลดลงอย่างมาก
    4. ผลผลิตเสียหายรุนแรง

    🛡️ แนวทางการป้องกัน:
    1. ก่อนปลูก:
    - ทำความสะอาดโรงเรือนด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
    - กำจัดเศษพืชที่เป็นแหล่งสะสมโรค

    2. ระหว่างปลูก:
    - พ่น #ไตรโคบิวพลัส ทุก 5 วัน
    - ควบคุมความชื้นในโรงเรือน
    - ตรวจสอบต้นเมล่อนสม่ำเสมอ

    🏥 วิธีรักษาเมื่อพบการระบาด:
    1. ระบาดเล็กน้อย:
    - พ่น #ไตรโคบิวพลัส ทุก 3 วัน
    - ตัดใบที่เป็นโรครุนแรงทิ้ง

    2. ระบาดรุนแรง:
    - ผสมกำมะถัน 40 กรัม/น้ำ 20 ลิตร
    - พ่นทุก 3 วันจนควบคุมได้
    - กำจัดใบที่เป็นโรคเผาทำลาย

    ⚡ ข้อควรระวัง:
    - ราแป้งสามารถระบาดได้ทุกระยะการเจริญเติบโต
    - เชื้อสามารถพักตัวและกลับมาระบาดซ้ำได้
    - ต้องป้องกันอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ

    🌱 ลิตเติ้ลฟาร์ม พร้อมให้คำปรึกษา:
    - เมล็ดพันธุ์เมล่อนคุณภาพ
    - ชีวภัณฑ์ป้องกันกำจัดโรค
    - ปุ๋ย AB คุณภาพสูง
    - ธาตุอาหารเสริม

    📱 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม:
    - Inbox
    - โทร: 093-696-2691

    #การปลูกเมล่อน #โรคพืช #เกษตรปลอดภัย #ลิตเติ้ลฟาร์ม
    🚨 #อันตรายจากราแป้ง: ศัตรูร้ายทำลายความหวานเมล่อน! 🔍 สัญญาณเตือนการระบาดของราแป้ง: - หมอกหนาในตอนเช้า - ลมพัดเบาๆ - อากาศเย็นชื้น 🌿 ลักษณะอาการที่พบ: - คราบผงสีขาวคล้ายแป้งบนใบ - เส้นใยฟูสีขาวเป็นหย่อมๆ - ใบเริ่มเหลืองและแห้ง ⚠️ ผลกระทบต่อผลผลิต: 1. เชื้อราแทงเส้นใยดูดอาหารจากใบ 2. ต้นเมล่อนชะงักการเจริญเติบโต 3. ความหวานของผลลดลงอย่างมาก 4. ผลผลิตเสียหายรุนแรง 🛡️ แนวทางการป้องกัน: 1. ก่อนปลูก: - ทำความสะอาดโรงเรือนด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ - กำจัดเศษพืชที่เป็นแหล่งสะสมโรค 2. ระหว่างปลูก: - พ่น #ไตรโคบิวพลัส ทุก 5 วัน - ควบคุมความชื้นในโรงเรือน - ตรวจสอบต้นเมล่อนสม่ำเสมอ 🏥 วิธีรักษาเมื่อพบการระบาด: 1. ระบาดเล็กน้อย: - พ่น #ไตรโคบิวพลัส ทุก 3 วัน - ตัดใบที่เป็นโรครุนแรงทิ้ง 2. ระบาดรุนแรง: - ผสมกำมะถัน 40 กรัม/น้ำ 20 ลิตร - พ่นทุก 3 วันจนควบคุมได้ - กำจัดใบที่เป็นโรคเผาทำลาย ⚡ ข้อควรระวัง: - ราแป้งสามารถระบาดได้ทุกระยะการเจริญเติบโต - เชื้อสามารถพักตัวและกลับมาระบาดซ้ำได้ - ต้องป้องกันอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ 🌱 ลิตเติ้ลฟาร์ม พร้อมให้คำปรึกษา: - เมล็ดพันธุ์เมล่อนคุณภาพ - ชีวภัณฑ์ป้องกันกำจัดโรค - ปุ๋ย AB คุณภาพสูง - ธาตุอาหารเสริม 📱 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม: - Inbox - โทร: 093-696-2691 #การปลูกเมล่อน #โรคพืช #เกษตรปลอดภัย #ลิตเติ้ลฟาร์ม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศก.จีนปี 2024 โตที่ 5% ท่ามกลางปัญหาอสังหาฯ เงินฝืด ระดับการว่างงานพุ่งสูงในคนหนุ่มสาว
    รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นศก.กชุดใหญ่ในช่วงปลายปีเพื่อดูแลสภาพเศรษฐกิจ สร้างเสถียรภาพ แม้ภายในจะเจอปัญหา แต่ภาคการส่งออกยังคงแข็งแกร่งมีการเติบโตที่ดี
    ทั้งปี 2024 GDP โตแตะ 134,908.4 พันล้านหยวน โต5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
    รายไตรมาส >> Q1/24 โต 5.3%, Q2/24 โต 4.7%, Q3/24 โต 4.6%, Q4/24 โต 5.4%

    เกินดุลการค้า 7.06 ล้านล้านหยวน (~$990 bn.) แต่เมื่อทรัมป์กำลังจะก้าวขึ้นมาบริหารประเทศ จีนจะเจอกับความท้าทายจากนโยบายกำแพงภาษี

    อุตฯกลุ่มไฮเทคฯ ของจีนสามารถทำกำไรได้ถึง 6.6 พันล้านหยวนในระยะ 11 เดือนแรกของปี 2024 (ลดลง 4.7% เมื่อเทียบรายปี)

    ภาคบริการโต 5% เทียบรายปี บริการด้าน IT โต 10.9%

    ตลาดค้าปลีกฟื้นตัวต่อเนื่อง ยอดขายแตะ 48,789.5 พันล้านหยวน เพิ่ม 3.5% ยอดขายส่วนใหญ่กระจุกตัวในเมืองมากกว่าชนบท ยอดขายปลีกสินค้าออนไลน์โตแกร่งที่ 7.2% นับเป็น 26.8% ของยอดค้าปลีกรวม สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง

    จำนวนประชากร 1,408.28 ล้านคน ลดลง 1.39 ล้านคน จำนวนประชากรวัยทำงาน (อายุ 16-59 ปี) เป็นประชากรที่มีสัดส่วนสูงสุด แต่ประเด็นสังสคมสูงวัยยังคงเป็นประเด็นที่จีนให้ความสำคัญ นอกจากนี้ 67% ของประชากรอาศัยในเขตเมือง เพิ่มขึ้น 0.84% จากปีก่อนหน้า


    เงินเฟ้อและการจ้างงาน
    ดัชนีที่ใช้วัดเงินเฟ้อ --consumer price index (CPI)-- เพิ่ม 0.2% ในปี 2024 << บอกว่า จีนเอาอยู่ ^^
    core CPI, excluding food and energy prices, เพิ่ม 0.5% << ธนาคารกลางทั่วไปมักใช้ core cpi ในการกำหนดนโยบายการเงิน

    การจ้างงาน ภาพรวมทรงตัว อัตราว่างงานอยู่ที่ 5.1% ดีขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อนหน้า จำนวนแรงงานที่อพยพจากชนบทเข้าเมืองเพิ่ม 0.7% หรือ 299.73 ล้านคน เพิ่มจากปีก่อนหน้า 2.2 ล้านคน
    .......................................
    เพิ่มเติม
    1. คนจีนมีค่านิยมสร้างความมั่งคั่งจาก อสังหาฯ (บ้าน ที่ดิน) ทองคำ ตลาดหุ้น ดังนั้นเมื่อตลาดไหนมีปัญหา เงินจะย้ายไปหาตลาดที่เหลือ เช่น ปีที่ผ่านมา อสังหาฯ มีปัญหา เงินลงทุนย้ายเข้าตลาดทองคำ ส่วนตลาดหุ้นเป็นการรอมาตรการกระตุ้นจากรัฐบาลกลาง
    2. ผู้พัฒนาอสังหาฯของจีน ในช่วงขาขึ้นของตลาดอสังหาฯ บริษัทเมื่อได้รับเงินจอง เงินดาวน์จากผู้ซื้อ จะยังไม่เข้าก่อสร้างโครงการ (ต่างจากประเทศไทย) แต่จะนำเงินจอง เงินดาวน์ไปไล่ซื้อที่ดินแปลงอื่นต่อ (ที่ดินจะมีราคาดีดตัวขึ้นต่อเนื่อง)
    3. จีนได้มีการย้ายฐานการผลิตไปยัง เวียดนาม เม็กซิโก (ซึ่งเม็กซิโก ก็ติดอันดับประเทศเกินดุลการค้ากับสหรัฐอันดับต้น ๆ และทรัมป์ก็มีนโยบายที่จะจัดการประเด็นนี้เช่นกัน) ส่วนเวียดนามที่มีฐานการผลิตสินค้ากลุ่มอิเล็คฯ อาจจะได้รับผลกระทบน้อยกว่า
    4. จีนเป็นประเทศมีการนำเข้าน้ำมันดิบมากเป็นอันดับ 1 ของโลก และ มีการนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซีย (ในราคา discount) นำมากลั่น ใช้ ขายต่อ
    5. สี จิ้นผิง ระบุ ยังมุ่งหมายที่จะควบรวมไต้หวันเข้ามาเป็นประเทศเดียวกัน
    6. PBoC (ธนาคารกลางจีน) อาจจะปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยที่ปัจจุบันมีหลายตัวให้เหลือตัวเดียวคือ ดอกเบี้ยนโยบาย แต่ยังไม่ระบุเวลาที่ชัดเจน
    #เศรษฐกิจ


    ศก.จีนปี 2024 โตที่ 5% ท่ามกลางปัญหาอสังหาฯ เงินฝืด ระดับการว่างงานพุ่งสูงในคนหนุ่มสาว รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นศก.กชุดใหญ่ในช่วงปลายปีเพื่อดูแลสภาพเศรษฐกิจ สร้างเสถียรภาพ แม้ภายในจะเจอปัญหา แต่ภาคการส่งออกยังคงแข็งแกร่งมีการเติบโตที่ดี ทั้งปี 2024 GDP โตแตะ 134,908.4 พันล้านหยวน โต5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า รายไตรมาส >> Q1/24 โต 5.3%, Q2/24 โต 4.7%, Q3/24 โต 4.6%, Q4/24 โต 5.4% เกินดุลการค้า 7.06 ล้านล้านหยวน (~$990 bn.) แต่เมื่อทรัมป์กำลังจะก้าวขึ้นมาบริหารประเทศ จีนจะเจอกับความท้าทายจากนโยบายกำแพงภาษี อุตฯกลุ่มไฮเทคฯ ของจีนสามารถทำกำไรได้ถึง 6.6 พันล้านหยวนในระยะ 11 เดือนแรกของปี 2024 (ลดลง 4.7% เมื่อเทียบรายปี) ภาคบริการโต 5% เทียบรายปี บริการด้าน IT โต 10.9% ตลาดค้าปลีกฟื้นตัวต่อเนื่อง ยอดขายแตะ 48,789.5 พันล้านหยวน เพิ่ม 3.5% ยอดขายส่วนใหญ่กระจุกตัวในเมืองมากกว่าชนบท ยอดขายปลีกสินค้าออนไลน์โตแกร่งที่ 7.2% นับเป็น 26.8% ของยอดค้าปลีกรวม สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง จำนวนประชากร 1,408.28 ล้านคน ลดลง 1.39 ล้านคน จำนวนประชากรวัยทำงาน (อายุ 16-59 ปี) เป็นประชากรที่มีสัดส่วนสูงสุด แต่ประเด็นสังสคมสูงวัยยังคงเป็นประเด็นที่จีนให้ความสำคัญ นอกจากนี้ 67% ของประชากรอาศัยในเขตเมือง เพิ่มขึ้น 0.84% จากปีก่อนหน้า เงินเฟ้อและการจ้างงาน ดัชนีที่ใช้วัดเงินเฟ้อ --consumer price index (CPI)-- เพิ่ม 0.2% ในปี 2024 << บอกว่า จีนเอาอยู่ ^^ core CPI, excluding food and energy prices, เพิ่ม 0.5% << ธนาคารกลางทั่วไปมักใช้ core cpi ในการกำหนดนโยบายการเงิน การจ้างงาน ภาพรวมทรงตัว อัตราว่างงานอยู่ที่ 5.1% ดีขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อนหน้า จำนวนแรงงานที่อพยพจากชนบทเข้าเมืองเพิ่ม 0.7% หรือ 299.73 ล้านคน เพิ่มจากปีก่อนหน้า 2.2 ล้านคน ....................................... เพิ่มเติม 1. คนจีนมีค่านิยมสร้างความมั่งคั่งจาก อสังหาฯ (บ้าน ที่ดิน) ทองคำ ตลาดหุ้น ดังนั้นเมื่อตลาดไหนมีปัญหา เงินจะย้ายไปหาตลาดที่เหลือ เช่น ปีที่ผ่านมา อสังหาฯ มีปัญหา เงินลงทุนย้ายเข้าตลาดทองคำ ส่วนตลาดหุ้นเป็นการรอมาตรการกระตุ้นจากรัฐบาลกลาง 2. ผู้พัฒนาอสังหาฯของจีน ในช่วงขาขึ้นของตลาดอสังหาฯ บริษัทเมื่อได้รับเงินจอง เงินดาวน์จากผู้ซื้อ จะยังไม่เข้าก่อสร้างโครงการ (ต่างจากประเทศไทย) แต่จะนำเงินจอง เงินดาวน์ไปไล่ซื้อที่ดินแปลงอื่นต่อ (ที่ดินจะมีราคาดีดตัวขึ้นต่อเนื่อง) 3. จีนได้มีการย้ายฐานการผลิตไปยัง เวียดนาม เม็กซิโก (ซึ่งเม็กซิโก ก็ติดอันดับประเทศเกินดุลการค้ากับสหรัฐอันดับต้น ๆ และทรัมป์ก็มีนโยบายที่จะจัดการประเด็นนี้เช่นกัน) ส่วนเวียดนามที่มีฐานการผลิตสินค้ากลุ่มอิเล็คฯ อาจจะได้รับผลกระทบน้อยกว่า 4. จีนเป็นประเทศมีการนำเข้าน้ำมันดิบมากเป็นอันดับ 1 ของโลก และ มีการนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซีย (ในราคา discount) นำมากลั่น ใช้ ขายต่อ 5. สี จิ้นผิง ระบุ ยังมุ่งหมายที่จะควบรวมไต้หวันเข้ามาเป็นประเทศเดียวกัน 6. PBoC (ธนาคารกลางจีน) อาจจะปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยที่ปัจจุบันมีหลายตัวให้เหลือตัวเดียวคือ ดอกเบี้ยนโยบาย แต่ยังไม่ระบุเวลาที่ชัดเจน #เศรษฐกิจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 250 มุมมอง 0 รีวิว
  • 20 ปี รถไฟฟ้าใต้ดินชนกัน ที่ศูนย์วัฒนธรรม โทษคนเพื่อปกป้องระบบ ความสูญเสียที่กลายเป็นบทเรียนราคาแพง

    ย้อนไปเมื่อ 20 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2548 เกิดเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือน วงการคมนาคมไทย เมื่อรถไฟฟ้าใต้ดินสองขบวน ชนกันที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย จนทำให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 200 คน และกลายเป็นกรณีศึกษา เรื่องความปลอดภัย ของระบบขนส่งมวลชนในประเทศไทย

    เช้าวันที่ 17 มกราคม 2548 เวลา 9.15 น. ในชั่วโมงเร่งด่วน รถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงิน ขบวนลาดพร้าว-หัวลำโพง หมายเลข 1015 ซึ่งบรรทุกผู้โดยสารกว่า 700 คน ได้จอดรับส่งผู้โดยสา รที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดยมีนายวิภูติ จันทนภริน เป็นพนักงานขับรถ ระหว่างที่ขบวนกำลังจะเคลื่อนออกจากสถานี กลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน รถไฟฟ้าอีกขบวนหนึ่ง หมายเลข 1028 ซึ่งเป็นขบวนเปล่าสำหรับซ่อมบำรุง มีนายนิติพนธ์ นิธิโยสิยานนท์ เป็นพนักงานขับรถ ได้ไหลลงมาจากทางลาดชัน และพุ่งชนกับขบวนที่กำลังให้บริการ

    แรงชนทำให้หน้าขบวนรถ 1028 ยุบเข้าไปกว่า 70 เซนติเมตร อัดก๊อบปี้พนักงานขับรถ ติดคาซา ประตูฉุกเฉินของขบวน 1015 ไม่สามารถใช้งานได้ ส่งผลให้การอพยพผู้โดยสา รต้องรอกุญแจสำรองกว่า 10 นาที

    แรงจากการชน ส่งผลให้ผนังอุโมงค์ใต้ดินิพังถล่มลงมาทับขบวน 1015 ซึ่งสร้างแรงสั่นสะเทือนทั่วสถานี โชคดีที่ไม่มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้ แต่ผู้บาดเจ็บกว่า 200 คน ถูกนำส่งโรงพยาบาลพระราม 9 จำนวน 124 คน โรงพยาบาลกรุงเทพ 21 คน โรงพยาบาลราชวิถี 15 คน โรงพยาบาลตำรวจ 12 คน โรงพยาบาลวิภาวดีรามคำแหง 12 คน โรงพยาบาลวิภาวดี 11 คน โรงพยาบาลพระมงกุฏ 11 คน โรงพยาบาลเปาโลสยาม 11 คน โรงพยาบาลสมิติเวช 8 คน โรงพยาบาลเมโย 4 คน โรงพยาบาลปิยะเวท 3 คน โดยมีผู้บาดเจ็บสาหัสถึง 10 คน ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บ จากกระดูกแตก และแรงกระแทก

    สาเหตุที่แท้จริง เมื่อระบบและคน ทำงานผิดพลาดร่วมกัน
    หลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้น มีการสืบสวนอย่างละเอียด ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน หลักฐานจากกล่องดำของรถไฟฟ้า เผยว่า การชนครั้งนี้ เกิดจากการผสมผสาน ความผิดพลาดของมนุษย์ และปัญหาของระบบควบคุมอัตโนมัติ

    1. ความผิดพลาดในการควบคุมการเดินรถ
    รถไฟขบวน 1028 ซึ่งจอดอยู่ในศูนย์ซ่อมบำรุง ถูกสั่งปลดเบรกมือ ในขณะที่รถยังอยู่บนทางลาด
    เจ้าหน้าที่ควบคุมการเดินรถได้สั่งการให้ "ดัน" ขบวน 1028 เพื่อกลับเข้าสู่รางที่ 3 ซึ่งเป็นรางจ่ายไฟ
    การสั่งการดังกล่าวเกิดขึ้นโดยไม่ได้คำนึงถึงความเสี่ยง ที่รถอาจไหลลงมาด้วยความเร็วสูง

    2. ปัญหาจากระบบควบคุมอัตโนมัติ
    ระบบรถไฟฟ้าใต้ดินของกรุงเทพฯ ในขณะนั้น พึ่งพาระบบอัตโนมัติเป็นหลัก แต่กลับพบว่า เกิดการขัดข้องในระบบ ที่ทำให้การควบคุมทั้งสองขบวนรถ ทำงานผิดปกติ ส่งผลให้ขบวนรถไฟฟ้า หลุดจากการควบคุม และไหลไปชน

    3. การจัดการเบรก และการตัดสินใจที่ผิดพลาด
    รถไฟฟ้าขบวน 1028 ถูกสั่งปลดเบรกมือ โดยไม่ควบคุมความเร็ว ส่งผลให้รถพุ่งชนขบวน 1015 ที่กำลังจอดรับผู้โดยสาร

    รถไฟฟ้าใต้ดิน สายเฉลิมรัชมงคล หรือสายสีน้ำเงิน เปิดใช้เร็วกว่ากำหนดถึง 4 เดือน แต่วิ่งได้เพียง 2 วัน ก็เกิดอุบัติเหตุครั้งแรกขึ้น เมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2547 ที่สถานีคลองเตย เมื่อรถไฟฟ้าใต้ดินออกจากสถานีหัวลำโพง มุ่งหน้าสถานีบางซื่อ เมื่อระบบเบรกล็อกเองอัตโนมัติ ทำให้ล้อยางเสียดสีกับยาง จนเกิดกลุ่มควันพวยพุ่ง สร้างความแตกตื่นให้กับผู้โดยสาร ต้องอพยพกันชุลมุน

    ต่อมาวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 ก็เกิดเหตุการณ์​การจ่ายกระแสไฟฟ้าขัดข้อง ที่สถานีหัวลำโพงถึง 3 จุด ทำให้ไม่สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้า ไปยังจุดสับเปลี่ยนรางได้ ทำให้ผู้โดยสารกว่าพันคน ต้องตกค้างที่สถานีสามย่าน และสถานีหัวลำโพง

    เหตุครั้งล่าสุดเมื่อ 20 ปี ที่ผ่านมา 17 มกราคม 2548 รถไฟฟ้าใต้ดินขบวน 1028 พุ่งชนประสานงานขบวน 1015 ที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 200 คน ส่วนพนักงานขับรถขบวน 1028 บาดเจ็บสาหัส เรียกได้ว่าเปิดใช้งานมายังไม่ถึง 1 ปี ก็มาเกิดอุบัติเหตุเสียก่อน

    เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงแต่ส่งผล ต่อภาพลักษณ์ของระบบรถไฟฟ้าใต้ดิน แต่ยังทำให้เกิดการตั้งคำถาม ถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพ ของระบบขนส่งมวลชนในประเทศไทย

    1. ความเชื่อมั่นของประชาชนที่ลดลง
    หลังจากเหตุการณ์นี้ ผู้โดยสารจำนวนมาก เริ่มมีความกังวล เกี่ยวกับความปลอดภัย ของการใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดิน ส่งผลให้จำนวนผู้ใช้บริการ ลดลงในช่วงเวลานั้น

    2. การปรับปรุงมาตรการความปลอดภัย
    ตรวจสอบระบบควบคุมการเดินรถ หลังเหตุการณ์นี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เข้ามาเร่งตรวจสอบ ระบบความปลอดภัย ของรถไฟฟ้าใต้ดิน พนักงานควบคุมการเดินรถ และคนขับ รับการอบรมอย่างเข้มข้นมากขึ้น เพื่อป้องกันการเกิดข้อผิดพลาด ในอนาคต

    ผลการสอบสวนชี้ว่า เป็นความผิดพลาดของพนักงานควบคุมการเดินรถ ที่อนุญาตให้ปลดเบรกขบวนรถ 1028 ได้ แต่ก็เชื่อได้ว่า ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เป็นเพราะระบบ ไม่ใช่คน เพราะระบบจะควบคุมทั้งหมด สามารถสั่งให้รถวิ่ง หรือหยุดก็ได้คนขับมีหน้าที่เดียว หรือกดเปิดปิดเครื่องเท่านั้น

    แต่จำเป็นต้องมีความพยายามเบี่ยงประเด็น ให้คนเป็นผู้รับผิดชอบ เพราะหากผลการสอบสอวนระบุว่า เกิดจากระบบ บริษัทที่เกี่ยวข้อง ต้องรับผิดชอบค่าเสียหายทางแพ่ง จำนวนหลายพันล้านบาท

    ทั้งนี้ผ่านมา เคยเกิดเหตุ ขบวนรถที่กลับเข้าศูนย์ซ่อม หยุดที่บริเวณดังกล่าว 2-3 ครั้ง และก็มีการลากจูงเพื่อแก้ปัญหา โชคดีที่ไม่มีการปลดเบรก แต่ครั้งนี้พนักงานปลดเบรกมือ จึงทำให้รถไหลเข้าไปในอุโมงค์ จนชนกันขึ้น

    เหตุการณ์ชนกันของรถไฟใต้ดิน ที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมฯ ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความผิดพลาด แต่เป็นบทเรียนสำคัญ ที่ทำให้เราตระหนักถึงความสำคัญ ของมาตรฐานความปลอดภัย ในการขนส่งมวลชน

    1. ความสำคัญของระบบสำรองฉุกเฉิน
    การที่ประตูฉุกเฉิน ไม่สามารถเปิดใช้งานได้ในทันที เป็นปัญหาที่ควรได้รับการแก้ไข อย่างเร่งด่วน เหตุการณ์นี้ จึงนำไปสู่การปรับปรุง ระบบฉุกเฉินในรถไฟฟ้าทุกขบวน

    2. การฝึกอบรม และการปฏิบัติตามมาตรฐาน
    พนักงานที่เกี่ยวข้อง ควรมีความรู้ และการฝึกอบรมอย่างละเอียด ในทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น

    3. การพัฒนาระบบควบคุมอัตโนมัติ
    การพึ่งพาระบบอัตโนมัติอย่างเดียว ไม่เพียงพอ ต้องมีการตรวจสอบระบบ และอัปเดตเทคโนโลยี อย่างสม่ำเสมอ

    การรับมือในอนาคต
    ตรวจสอบระบบอย่างต่อเนื่อง มีการตรวจสอบระบบรถไฟฟ้า และศูนย์ซ่อมบำรุงเป็นประจำ
    เพิ่มอุปกรณ์ความปลอดภัย เช่น การติดตั้งระบบเบรกฉุกเฉิน ที่สามารถหยุดรถไฟได้ทันที ในกรณีฉุกเฉิน
    สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน การสื่อสารและรายงานความคืบหน้า เกี่ยวกับมาตรการความปลอดภัย จะช่วยสร้างความเชื่อมั่น ให้กับผู้ใช้บริการ

    เหตุการณ์รถไฟใต้ดินชนกัน เมื่อ 20 ปี ที่ผ่านมา ที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญ ในประวัติศาสตร์ของระบบขนส่งมวลชนไทย แม้จะไม่มีผู้เสียชีวิต แต่ความสูญเสียที่เกิดขึ้น ก็เพียงพอที่จะทำให้เราตระหนักถึง ความสำคัญของมาตรการความปลอดภัย ที่เข้มงวดมากขึ้น

    การพัฒนา และปรับปรุงระบบขนส่งมวลชน ให้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ จะเป็นสิ่งที่ช่วยลดโอกาส ในการเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในอนาคต ได้อย่างแน่นอน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 170912 ม.ค. 2568

    #รถไฟใต้ดิน #เหตุการณ์สำคัญ #ความปลอดภัยในระบบขนส่ง #บทเรียนราคาแพง #ระบบควบคุมอัตโนมัติ #20ปีแห่งบทเรียน #เหตุรถไฟชนกัน #การพัฒนาระบบขนส่ง #มาตรการความปลอดภัย
    20 ปี รถไฟฟ้าใต้ดินชนกัน ที่ศูนย์วัฒนธรรม โทษคนเพื่อปกป้องระบบ ความสูญเสียที่กลายเป็นบทเรียนราคาแพง ย้อนไปเมื่อ 20 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2548 เกิดเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือน วงการคมนาคมไทย เมื่อรถไฟฟ้าใต้ดินสองขบวน ชนกันที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย จนทำให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 200 คน และกลายเป็นกรณีศึกษา เรื่องความปลอดภัย ของระบบขนส่งมวลชนในประเทศไทย เช้าวันที่ 17 มกราคม 2548 เวลา 9.15 น. ในชั่วโมงเร่งด่วน รถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงิน ขบวนลาดพร้าว-หัวลำโพง หมายเลข 1015 ซึ่งบรรทุกผู้โดยสารกว่า 700 คน ได้จอดรับส่งผู้โดยสา รที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดยมีนายวิภูติ จันทนภริน เป็นพนักงานขับรถ ระหว่างที่ขบวนกำลังจะเคลื่อนออกจากสถานี กลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน รถไฟฟ้าอีกขบวนหนึ่ง หมายเลข 1028 ซึ่งเป็นขบวนเปล่าสำหรับซ่อมบำรุง มีนายนิติพนธ์ นิธิโยสิยานนท์ เป็นพนักงานขับรถ ได้ไหลลงมาจากทางลาดชัน และพุ่งชนกับขบวนที่กำลังให้บริการ แรงชนทำให้หน้าขบวนรถ 1028 ยุบเข้าไปกว่า 70 เซนติเมตร อัดก๊อบปี้พนักงานขับรถ ติดคาซา ประตูฉุกเฉินของขบวน 1015 ไม่สามารถใช้งานได้ ส่งผลให้การอพยพผู้โดยสา รต้องรอกุญแจสำรองกว่า 10 นาที แรงจากการชน ส่งผลให้ผนังอุโมงค์ใต้ดินิพังถล่มลงมาทับขบวน 1015 ซึ่งสร้างแรงสั่นสะเทือนทั่วสถานี โชคดีที่ไม่มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้ แต่ผู้บาดเจ็บกว่า 200 คน ถูกนำส่งโรงพยาบาลพระราม 9 จำนวน 124 คน โรงพยาบาลกรุงเทพ 21 คน โรงพยาบาลราชวิถี 15 คน โรงพยาบาลตำรวจ 12 คน โรงพยาบาลวิภาวดีรามคำแหง 12 คน โรงพยาบาลวิภาวดี 11 คน โรงพยาบาลพระมงกุฏ 11 คน โรงพยาบาลเปาโลสยาม 11 คน โรงพยาบาลสมิติเวช 8 คน โรงพยาบาลเมโย 4 คน โรงพยาบาลปิยะเวท 3 คน โดยมีผู้บาดเจ็บสาหัสถึง 10 คน ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บ จากกระดูกแตก และแรงกระแทก สาเหตุที่แท้จริง เมื่อระบบและคน ทำงานผิดพลาดร่วมกัน หลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้น มีการสืบสวนอย่างละเอียด ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน หลักฐานจากกล่องดำของรถไฟฟ้า เผยว่า การชนครั้งนี้ เกิดจากการผสมผสาน ความผิดพลาดของมนุษย์ และปัญหาของระบบควบคุมอัตโนมัติ 1. ความผิดพลาดในการควบคุมการเดินรถ รถไฟขบวน 1028 ซึ่งจอดอยู่ในศูนย์ซ่อมบำรุง ถูกสั่งปลดเบรกมือ ในขณะที่รถยังอยู่บนทางลาด เจ้าหน้าที่ควบคุมการเดินรถได้สั่งการให้ "ดัน" ขบวน 1028 เพื่อกลับเข้าสู่รางที่ 3 ซึ่งเป็นรางจ่ายไฟ การสั่งการดังกล่าวเกิดขึ้นโดยไม่ได้คำนึงถึงความเสี่ยง ที่รถอาจไหลลงมาด้วยความเร็วสูง 2. ปัญหาจากระบบควบคุมอัตโนมัติ ระบบรถไฟฟ้าใต้ดินของกรุงเทพฯ ในขณะนั้น พึ่งพาระบบอัตโนมัติเป็นหลัก แต่กลับพบว่า เกิดการขัดข้องในระบบ ที่ทำให้การควบคุมทั้งสองขบวนรถ ทำงานผิดปกติ ส่งผลให้ขบวนรถไฟฟ้า หลุดจากการควบคุม และไหลไปชน 3. การจัดการเบรก และการตัดสินใจที่ผิดพลาด รถไฟฟ้าขบวน 1028 ถูกสั่งปลดเบรกมือ โดยไม่ควบคุมความเร็ว ส่งผลให้รถพุ่งชนขบวน 1015 ที่กำลังจอดรับผู้โดยสาร รถไฟฟ้าใต้ดิน สายเฉลิมรัชมงคล หรือสายสีน้ำเงิน เปิดใช้เร็วกว่ากำหนดถึง 4 เดือน แต่วิ่งได้เพียง 2 วัน ก็เกิดอุบัติเหตุครั้งแรกขึ้น เมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2547 ที่สถานีคลองเตย เมื่อรถไฟฟ้าใต้ดินออกจากสถานีหัวลำโพง มุ่งหน้าสถานีบางซื่อ เมื่อระบบเบรกล็อกเองอัตโนมัติ ทำให้ล้อยางเสียดสีกับยาง จนเกิดกลุ่มควันพวยพุ่ง สร้างความแตกตื่นให้กับผู้โดยสาร ต้องอพยพกันชุลมุน ต่อมาวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 ก็เกิดเหตุการณ์​การจ่ายกระแสไฟฟ้าขัดข้อง ที่สถานีหัวลำโพงถึง 3 จุด ทำให้ไม่สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้า ไปยังจุดสับเปลี่ยนรางได้ ทำให้ผู้โดยสารกว่าพันคน ต้องตกค้างที่สถานีสามย่าน และสถานีหัวลำโพง เหตุครั้งล่าสุดเมื่อ 20 ปี ที่ผ่านมา 17 มกราคม 2548 รถไฟฟ้าใต้ดินขบวน 1028 พุ่งชนประสานงานขบวน 1015 ที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 200 คน ส่วนพนักงานขับรถขบวน 1028 บาดเจ็บสาหัส เรียกได้ว่าเปิดใช้งานมายังไม่ถึง 1 ปี ก็มาเกิดอุบัติเหตุเสียก่อน เหตุการณ์นี้ ไม่เพียงแต่ส่งผล ต่อภาพลักษณ์ของระบบรถไฟฟ้าใต้ดิน แต่ยังทำให้เกิดการตั้งคำถาม ถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพ ของระบบขนส่งมวลชนในประเทศไทย 1. ความเชื่อมั่นของประชาชนที่ลดลง หลังจากเหตุการณ์นี้ ผู้โดยสารจำนวนมาก เริ่มมีความกังวล เกี่ยวกับความปลอดภัย ของการใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดิน ส่งผลให้จำนวนผู้ใช้บริการ ลดลงในช่วงเวลานั้น 2. การปรับปรุงมาตรการความปลอดภัย ตรวจสอบระบบควบคุมการเดินรถ หลังเหตุการณ์นี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เข้ามาเร่งตรวจสอบ ระบบความปลอดภัย ของรถไฟฟ้าใต้ดิน พนักงานควบคุมการเดินรถ และคนขับ รับการอบรมอย่างเข้มข้นมากขึ้น เพื่อป้องกันการเกิดข้อผิดพลาด ในอนาคต ผลการสอบสวนชี้ว่า เป็นความผิดพลาดของพนักงานควบคุมการเดินรถ ที่อนุญาตให้ปลดเบรกขบวนรถ 1028 ได้ แต่ก็เชื่อได้ว่า ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เป็นเพราะระบบ ไม่ใช่คน เพราะระบบจะควบคุมทั้งหมด สามารถสั่งให้รถวิ่ง หรือหยุดก็ได้คนขับมีหน้าที่เดียว หรือกดเปิดปิดเครื่องเท่านั้น แต่จำเป็นต้องมีความพยายามเบี่ยงประเด็น ให้คนเป็นผู้รับผิดชอบ เพราะหากผลการสอบสอวนระบุว่า เกิดจากระบบ บริษัทที่เกี่ยวข้อง ต้องรับผิดชอบค่าเสียหายทางแพ่ง จำนวนหลายพันล้านบาท ทั้งนี้ผ่านมา เคยเกิดเหตุ ขบวนรถที่กลับเข้าศูนย์ซ่อม หยุดที่บริเวณดังกล่าว 2-3 ครั้ง และก็มีการลากจูงเพื่อแก้ปัญหา โชคดีที่ไม่มีการปลดเบรก แต่ครั้งนี้พนักงานปลดเบรกมือ จึงทำให้รถไหลเข้าไปในอุโมงค์ จนชนกันขึ้น เหตุการณ์ชนกันของรถไฟใต้ดิน ที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมฯ ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความผิดพลาด แต่เป็นบทเรียนสำคัญ ที่ทำให้เราตระหนักถึงความสำคัญ ของมาตรฐานความปลอดภัย ในการขนส่งมวลชน 1. ความสำคัญของระบบสำรองฉุกเฉิน การที่ประตูฉุกเฉิน ไม่สามารถเปิดใช้งานได้ในทันที เป็นปัญหาที่ควรได้รับการแก้ไข อย่างเร่งด่วน เหตุการณ์นี้ จึงนำไปสู่การปรับปรุง ระบบฉุกเฉินในรถไฟฟ้าทุกขบวน 2. การฝึกอบรม และการปฏิบัติตามมาตรฐาน พนักงานที่เกี่ยวข้อง ควรมีความรู้ และการฝึกอบรมอย่างละเอียด ในทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น 3. การพัฒนาระบบควบคุมอัตโนมัติ การพึ่งพาระบบอัตโนมัติอย่างเดียว ไม่เพียงพอ ต้องมีการตรวจสอบระบบ และอัปเดตเทคโนโลยี อย่างสม่ำเสมอ การรับมือในอนาคต ตรวจสอบระบบอย่างต่อเนื่อง มีการตรวจสอบระบบรถไฟฟ้า และศูนย์ซ่อมบำรุงเป็นประจำ เพิ่มอุปกรณ์ความปลอดภัย เช่น การติดตั้งระบบเบรกฉุกเฉิน ที่สามารถหยุดรถไฟได้ทันที ในกรณีฉุกเฉิน สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน การสื่อสารและรายงานความคืบหน้า เกี่ยวกับมาตรการความปลอดภัย จะช่วยสร้างความเชื่อมั่น ให้กับผู้ใช้บริการ เหตุการณ์รถไฟใต้ดินชนกัน เมื่อ 20 ปี ที่ผ่านมา ที่สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญ ในประวัติศาสตร์ของระบบขนส่งมวลชนไทย แม้จะไม่มีผู้เสียชีวิต แต่ความสูญเสียที่เกิดขึ้น ก็เพียงพอที่จะทำให้เราตระหนักถึง ความสำคัญของมาตรการความปลอดภัย ที่เข้มงวดมากขึ้น การพัฒนา และปรับปรุงระบบขนส่งมวลชน ให้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ จะเป็นสิ่งที่ช่วยลดโอกาส ในการเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในอนาคต ได้อย่างแน่นอน ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 170912 ม.ค. 2568 #รถไฟใต้ดิน #เหตุการณ์สำคัญ #ความปลอดภัยในระบบขนส่ง #บทเรียนราคาแพง #ระบบควบคุมอัตโนมัติ #20ปีแห่งบทเรียน #เหตุรถไฟชนกัน #การพัฒนาระบบขนส่ง #มาตรการความปลอดภัย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 347 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความไม่สงบชายแดนใต้ ปัญหาที่คอยตบหน้ารัฐบาลไม่มีวันจบ
    นับจากเหตุการณ์ปล้นปืนในปี 2547อันเป็นเสมือนจุดเริ่มต้นเหตุการณ์ความไม่สงบ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จวบจนวันนี้เป็นเวลากว่า 20ปี ที่ผ่านมา ที่รัฐบาลไทยภายใต้การบริหารของรัฐบาล 10 ชุด นายกรัฐมนตรี 8 คนไม่สามารถแก้ไขปัญหาความรุนแรงได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
    ตัวเลขของผู้เสียชีวิต มีทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ และประชาชนผู้บริสุทธิ์ทั้งไทยพุทธ และมุสลิมเสียชีวิตมากกว่าเจ็ดพันคน บาดเจ็บและพิการทุพพลภาพมากกว่า2พัน คนใช้งบประมาณในการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่องรวมกันแล้วมากกว่า 3.13แสนล้านบาท
    ล่าสุดหลังผ่านพ้นเทศกาลปีใหม่ไปได้สัปดาห์เดียว 14 มกราคม 68โจรใต้ได้ก่อเหตุวางระเบิดและยิงซ้ําเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นครูโรงเรียนตํารวจตระเวนชายแดนเสียชีวิตอีก 2 นายที่จังหวัดนราธิวาส สิ่งที่สร้างความสะเทือนใจจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ก็คือผู้เสียชีวิตทั้ง2 นายเป็นพ่อลูกทําหน้าที่ครูโรงเรียนตํารวจตระเวนชายแดนในพื้นที่บ้านไอกึนเนาะ จังหวัดนราธิวาส โดยผู้เป็นพ่อคือพันตํารวจโทสุวิทย์ ช่วยเทวฤทธิ์อายุ 56 ปีเป็นครูใหญ่ของโรงเรียน ส่วนลูกชายคือดาบตํารวจโดมช่วยเทวฤทธิ์ อายุ 35ปี เป็นครูอาสาโรงเรียนเดียวกัน
    ครูสุวิทย์เคยเปิดใจให้สัมภาษณ์ว่าผมตั้งใจไว้ตั้งแต่เด็กสักวันจะเป็นครูอยากช่วยเหลือเด็กในพื้นที่ที่ทุรกันดารจึงเข้ามาเป็นครู โดยได้สิทธิสอบบรรจุ ครูคุรุทายาทเมื่อได้จึงเลือกที่จะทํางานในพื้นที่ของจังหวัดนราธิวาสที่ใครๆก็ไม่อยากมาแต่ผมกลับมองว่าเป็นโอกาสดี
    ที่จะได้ทํางานสนองงานพระราชดําริทุกพระองค์ได้อย่างเต็มที่ การสูญเสียวีรบุรุษครูตํารวจตระเวนชายแดนครั้งนี้ไม่ต่างอะไรกับการเย้ยหยันตบหน้ารัฐบาลไทยว่ารัฐไทยหมดน้ํายาแพ้พ่ายโจรก่อการร้ายชายแดนใต้ตลอดกาล งส์โพธิ์ดำขอไว้อาลัยแก่ครูผู้เสียสละจากเหตุการณ์ความไม่สงบในชายแดนใต้ ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    ความไม่สงบชายแดนใต้ ปัญหาที่คอยตบหน้ารัฐบาลไม่มีวันจบ นับจากเหตุการณ์ปล้นปืนในปี 2547อันเป็นเสมือนจุดเริ่มต้นเหตุการณ์ความไม่สงบ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จวบจนวันนี้เป็นเวลากว่า 20ปี ที่ผ่านมา ที่รัฐบาลไทยภายใต้การบริหารของรัฐบาล 10 ชุด นายกรัฐมนตรี 8 คนไม่สามารถแก้ไขปัญหาความรุนแรงได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ตัวเลขของผู้เสียชีวิต มีทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ และประชาชนผู้บริสุทธิ์ทั้งไทยพุทธ และมุสลิมเสียชีวิตมากกว่าเจ็ดพันคน บาดเจ็บและพิการทุพพลภาพมากกว่า2พัน คนใช้งบประมาณในการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่องรวมกันแล้วมากกว่า 3.13แสนล้านบาท ล่าสุดหลังผ่านพ้นเทศกาลปีใหม่ไปได้สัปดาห์เดียว 14 มกราคม 68โจรใต้ได้ก่อเหตุวางระเบิดและยิงซ้ําเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นครูโรงเรียนตํารวจตระเวนชายแดนเสียชีวิตอีก 2 นายที่จังหวัดนราธิวาส สิ่งที่สร้างความสะเทือนใจจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ก็คือผู้เสียชีวิตทั้ง2 นายเป็นพ่อลูกทําหน้าที่ครูโรงเรียนตํารวจตระเวนชายแดนในพื้นที่บ้านไอกึนเนาะ จังหวัดนราธิวาส โดยผู้เป็นพ่อคือพันตํารวจโทสุวิทย์ ช่วยเทวฤทธิ์อายุ 56 ปีเป็นครูใหญ่ของโรงเรียน ส่วนลูกชายคือดาบตํารวจโดมช่วยเทวฤทธิ์ อายุ 35ปี เป็นครูอาสาโรงเรียนเดียวกัน ครูสุวิทย์เคยเปิดใจให้สัมภาษณ์ว่าผมตั้งใจไว้ตั้งแต่เด็กสักวันจะเป็นครูอยากช่วยเหลือเด็กในพื้นที่ที่ทุรกันดารจึงเข้ามาเป็นครู โดยได้สิทธิสอบบรรจุ ครูคุรุทายาทเมื่อได้จึงเลือกที่จะทํางานในพื้นที่ของจังหวัดนราธิวาสที่ใครๆก็ไม่อยากมาแต่ผมกลับมองว่าเป็นโอกาสดี ที่จะได้ทํางานสนองงานพระราชดําริทุกพระองค์ได้อย่างเต็มที่ การสูญเสียวีรบุรุษครูตํารวจตระเวนชายแดนครั้งนี้ไม่ต่างอะไรกับการเย้ยหยันตบหน้ารัฐบาลไทยว่ารัฐไทยหมดน้ํายาแพ้พ่ายโจรก่อการร้ายชายแดนใต้ตลอดกาล งส์โพธิ์ดำขอไว้อาลัยแก่ครูผู้เสียสละจากเหตุการณ์ความไม่สงบในชายแดนใต้ ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 198 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia ได้เปิดเผยว่า ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของบริษัทได้ทำการปรับปรุงเทคโนโลยี DLSS (Deep Learning Super Sampling) อย่างต่อเนื่องตลอด 6 ปีที่ผ่านมา DLSS เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มคุณภาพของภาพและการอัพสเกลภาพในเกม โดยใช้การเรียนรู้เชิงลึก

    ตั้งแต่การเปิดตัวครั้งแรกในซีรีส์ GeForce 20, DLSS ได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง. ล่าสุด Nvidia ได้เปิดตัว DLSS 4 ที่งาน CES ซึ่งสัญญาว่าจะมีประสิทธิภาพที่ดีกว่ารุ่นก่อนหน้านี้อย่างมาก

    Bryan Catanzaro รองประธานฝ่ายวิจัยการเรียนรู้เชิงลึกประยุกต์ของ Nvidia กล่าวว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของบริษัทที่มี GPU หลายพันตัวทำงานตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน เพื่อปรับปรุง DLSS กระบวนการฝึกอบรมนี้เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ความล้มเหลว เช่น การเกิดภาพเบลอหรือการกระพริบในเกม

    Nvidia อ้างว่า RTX 5070 ที่ใช้ DLSS 4 มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับ RTX 4090 นอกจากนี้ RTX 5090 ยังเร็วกว่า RTX 4090 ประมาณ 30% โดยไม่ใช้ DLSS และ RTX 5080 เร็วกว่า RTX 4080 ประมาณ 15%

    https://www.techspot.com/news/106368-supercomputer-nvidia-has-improving-dlss-non-stop-six.html
    Nvidia ได้เปิดเผยว่า ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของบริษัทได้ทำการปรับปรุงเทคโนโลยี DLSS (Deep Learning Super Sampling) อย่างต่อเนื่องตลอด 6 ปีที่ผ่านมา DLSS เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มคุณภาพของภาพและการอัพสเกลภาพในเกม โดยใช้การเรียนรู้เชิงลึก ตั้งแต่การเปิดตัวครั้งแรกในซีรีส์ GeForce 20, DLSS ได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง. ล่าสุด Nvidia ได้เปิดตัว DLSS 4 ที่งาน CES ซึ่งสัญญาว่าจะมีประสิทธิภาพที่ดีกว่ารุ่นก่อนหน้านี้อย่างมาก Bryan Catanzaro รองประธานฝ่ายวิจัยการเรียนรู้เชิงลึกประยุกต์ของ Nvidia กล่าวว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของบริษัทที่มี GPU หลายพันตัวทำงานตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน เพื่อปรับปรุง DLSS กระบวนการฝึกอบรมนี้เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ความล้มเหลว เช่น การเกิดภาพเบลอหรือการกระพริบในเกม Nvidia อ้างว่า RTX 5070 ที่ใช้ DLSS 4 มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับ RTX 4090 นอกจากนี้ RTX 5090 ยังเร็วกว่า RTX 4090 ประมาณ 30% โดยไม่ใช้ DLSS และ RTX 5080 เร็วกว่า RTX 4080 ประมาณ 15% https://www.techspot.com/news/106368-supercomputer-nvidia-has-improving-dlss-non-stop-six.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    An Nvidia supercomputer has been improving DLSS non-stop for the past six years
    While discussing the tech at at the consumer electronics show, Nvidia's VP of applied deep learning research, Bryan Catanzaro, said improving DLSS has been a continuous, six-year...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐขาดดุลพุ่ง 40% สูงสุดเป็นประวัติการณ์ งบประมาณติดลบ 7 แสนล้านดอลลาร์ หนี้สาธารณะของประเทศพุ่ง 36 ล้านล้านดอลลาร์

    กระทรวงการคลังสหรัฐ เปิดเผยว่า การขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลกลางสหรัฐในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 พุ่งสูงขึ้นถึง 710,900 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของตัวเลขในไตรมาสแรก เพิ่มขึ้นเกือบ 40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดดุล 5.1 แสนล้านดอลลาร์

    "หนี้พุ่งสูงเกิน 36 ล้านล้านดอลลาร์"
    หนี้สาธารณะของประเทศพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น รายจ่ายภาครัฐที่สูงขึ้น และรายได้จากภาษีที่ลดลง ส่งผลให้การขาดดุลงบประมาณขยายตัวอย่างต่อเนื่อง "ทำให้หนี้พุ่งสูงเกิน 36 ล้านล้านดอลลาร์"

    ขณะเดียวกัน รายจ่ายภาครัฐในไตรมาสแรกของปีนี้ก็ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 11% ขณะที่รายรับกลับลดลง 2% สะท้อนภาระทางการคลังที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


    ขณะที่เมื่อสามวันก่อน มีรายงานข่าวจีนเกินดุลการค้าแตะ 7.85 แสนล้านดอลลาร์ อาจทะลุ 1 ล้านล้านสิ้นปีนี้

    สหรัฐขาดดุลพุ่ง 40% สูงสุดเป็นประวัติการณ์ งบประมาณติดลบ 7 แสนล้านดอลลาร์ หนี้สาธารณะของประเทศพุ่ง 36 ล้านล้านดอลลาร์ กระทรวงการคลังสหรัฐ เปิดเผยว่า การขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลกลางสหรัฐในช่วง 3 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 พุ่งสูงขึ้นถึง 710,900 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของตัวเลขในไตรมาสแรก เพิ่มขึ้นเกือบ 40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดดุล 5.1 แสนล้านดอลลาร์ "หนี้พุ่งสูงเกิน 36 ล้านล้านดอลลาร์" หนี้สาธารณะของประเทศพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น รายจ่ายภาครัฐที่สูงขึ้น และรายได้จากภาษีที่ลดลง ส่งผลให้การขาดดุลงบประมาณขยายตัวอย่างต่อเนื่อง "ทำให้หนี้พุ่งสูงเกิน 36 ล้านล้านดอลลาร์" ขณะเดียวกัน รายจ่ายภาครัฐในไตรมาสแรกของปีนี้ก็ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 11% ขณะที่รายรับกลับลดลง 2% สะท้อนภาระทางการคลังที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่เมื่อสามวันก่อน มีรายงานข่าวจีนเกินดุลการค้าแตะ 7.85 แสนล้านดอลลาร์ อาจทะลุ 1 ล้านล้านสิ้นปีนี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 183 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ยาลดกรด

    ถ้าคุณใช้ยาลดกรดไม่ว่าจะตามคำสั่งแพทย์หรือฟังจากโฆษณาแล้วเชื่อตามนั้น ลองอ่านให้จบว่าอาการเหล่านี้ได้เกิดกับตัวคุณแล้วหรือยัง

    จากการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ (1) การใช้สาร proton pump inhibitors ในระยะยาวอย่างเช่น Prilosec, Prevacid และ Nexium (ยาเม็ดสีม่วง) - ยาที่ช่วยลดปริมาณกรดในกระเพาะอาหาร - เกี่ยวข้องกับการขาดวิตามินบี 12

    ผู้เข้าร่วมที่กินยาลดกรดมานานกว่าสองปีมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นร้อยละ 65 ของการขาดวิตามินบี 12 ซึ่งอาจนำไปโรค :

    -โรคโลหิตจาง
    -ความเสียหายของเส้นประสาท
    -ปัญหาเกี่ยวกับจิต
    -สมองเสื่อม (Dementia)

    ยิ่งกินในปริมาณที่สูงกว่าก็มีความเสี่ยงที่สูงกว่า ตามที่อธิบายไว้โดยนักวิจัยอาวุโส Dr. Douglas Corley (2) Gastroenterologist ที่ Kaiser Permanente:

    "ยาลดกรดชนิดนี้อาจทำให้เกิดการขาดวิตามินบี 12 เนื่องจากเซลล์ที่สร้างกรดในกระเพาะอาหารยังสร้างโปรตีนที่ช่วยให้วิตามินบี 12 ถูกดูดซึมได้"

    การขาดวิตามินบี 12 จะทำให้สุขภาพของคุณแย่ลงได้อย่างไร

    เมื่อระดับวิตามินบี 12 ของคุณเริ่มลดลง ร่างกายจะส่งสัญญาณบางอย่างเริ่มให้เห็นรวมถึง การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อาทิเช่นการขาดแรงจูงใจหรือความรู้สึกไม่แยแสและถ้าระดับต่ำมาก ๆ ยังสามารถนำไปสู่ความหดหู่ ปัญหาเกี่ยวกับความจำ ความอ่อนแอของกล้ามเนื้อและ – สัญญาณที่เด่นชัดที่สุดคือ- ความเมื่อยล้า

    วิตามินบี 12 เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นวิตามินแห่งพลังงานและร่างกายของคุณต้องการสำหรับกิจกรรมที่สำคัญหลายชนิดรวมทั้งการผลิตพลังงานและ :

    การย่อยอาหารที่เหมาะสม การดูดซึมอาหาร การใช้ธาตุเหล็ก การเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและไขมัน การทำงานของระบบประสาทที่ดี มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเส้นประสาทตามปกติ ช่วยในการควบคุมการสร้างเม็ดเลือดแดง การก่อตัวของเซลล์และอายุการใช้งานที่ยาวนาน

    การผลิตฮอร์โมน เพิ่มการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง สนับสนุนความเป็นสตรีเพศและการตั้งครรภ์
    สร้างความรู้สึกให้พอใจกับความเป็นอยู่และการควบคุมอารมณ์ การมีสมาธิ ส่งเสริมความจำ เพิ่มความเข้มข้นในด้านสมรรถภาพทางกาย อารมณ์และจิตใจ

    การวิจัยล่าสุดยังชี้ให้เห็นว่าการมีวิตามินบี 12 ต่ำอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักในชายสูงวัย ความเสี่ยงนี้ยังคงอยู่แม้หลังจากคำนึงถึงปัจจัยที่สำคัญอื่น ๆ เช่นการสูบบุหรี่ สถานะของวิตามินดีและปริมาณแคลเซียม medicinenet.com: (3) กล่าวว่า :

    “ผู้ชายที่อยู่ในกลุ่มที่มีระดับ B-12 ต่ำสุดมีโอกาสเกิดการแตกหักของกระดูกมากกว่าร้อยละ 70 ในการศึกษานี้พบว่าความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากการแตกหักของกระดูกสันหลังส่วนเอวซึ่งมีโอกาสเกิดการแตกหักมากขึ้นถึงร้อยละ 120 เมื่อเทียบกับกระดูกส่วนอื่น "

    และถ้าหากขาดวิตามินบี 12 เรื้อรังในระยะยาวก็อาจทำให้เกิดภาวะร้ายแรงอื่น ๆ ได้แก่ :

    -โรคซึมเศร้า
    -ภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์
    -ความอุดมสมบูรณ์ของหญิงและปัญหาการคลอดบุตร
    -โรคหัวใจและมะเร็ง

    รูปแบบตามธรรมชาติของ B12 จะมีอยู่ในสัตว์และไม่จำเป็นต้องเป็นเนื้อ แต่อาจเป็นไข่และนมก็ได้ อาหารที่มี B12 สูงรวมถึง:

    -ไข่อินทรีย์
    -เนื้อวัวและตับวัวที่เลี้ยงดวยหญ้าอินทรีย์
    -ไก่อินทรีย์
    -ปลาแซลมอนอลาสก้าที่จับได้ในป่า
    -นมดิบของสัตว์ที่เลี้ยงแบบอินทรีย์และไม่ผ่านกระบวนการ

    ถ้าคุณมีอาการข้างต้นและไม่บริโภคสัตว์หรือสิ่งที่ได้จากสัตว์ ขอแนะนำให้หาวิตามินบี 12 มารับประทานตามความเหมาะสมของอายุและมวลกายรายการ หมอนอกกะลา

    ยาลดกรด 2

    ตอนที่ 1 ได้พูดถึงสองในสี่ผลกระทบหลักของยาลดกรด:
    คือแบคทีเรียเลว ๆ มากเกินไปและความบกพร่องในการดูดซึมสารอาหาร

    อีก 2 ผลกระทบที่เหลือ

    ลดความต้านทานต่อการติดเชื้อและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งและโรคอื่น ๆ

    เบื้องแรกในการป้องกันร่างกายของเรา:

    ปาก หลอดอาหารและลำไส้เป็นบ้านของระหว่าง 400-1,000 สายพันธุ์ของเชื้อแบคทีเรีย แต่อย่างไรก็ตาม กระเพาะอาหารที่ดีจะมีการฆ่าเชื้ออยู่เสมอ ทำไมน่ะรึ !! เพราะกรดในกระเพาะอาหารฆ่าเชื้อแบคทีเรีย

    ในความเป็นจริง กรดคือบทบาทที่สำคัญที่สุดที่จะสร้างการขัดขวางสองทางที่ช่วยปกป้องกระเพาะอาหารจากเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรค ลำดับแรกแรก : กรดในกระเพาะอาหารจะป้องกันไม่ให้เชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายซึ่งอาจจะอยู่ในอาหารหรือเครื่องดื่มที่เรากินหรืออากาศที่เราหายใจเข้ามาในลำไส้และในเวลาเดียวกัน กรดในกระเพาะอาหารยังช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรียตามปกติจากลำไส้ซึ่งจะย้ายเข้าสู่กระเพาะอาหารและหลอดอาหารซึ่งพวกมันอาจทำให้เกิดปัญหา

    สภาพแวดล้อมของกระเพาะอาหารค่า pH ต่ำ (กรดสูง) เป็นหนึ่งในกลไกการป้องกันที่ไม่เฉพาะเจาะจงที่สำคัญของร่างกาย เมื่อค่าความเป็นกรดของกระเพาะอาหารมีค่าที่ 3 หรือต่ำกว่าถือว่าเป็นปรกติของช่วงท้องว่างหรือ "พักผ่อน" แบคทีเรียจะอยู่ได้ไม่เกินสิบห้านาที แต่ในขณะที่pH เพิ่มขึ้นถึง 5 หรือมากกว่า สายพันธุ์ต่าง ๆ ของแบคทีเรียสามารถหลีกเลี่ยงการกำจัดของกรดและเริ่มที่จะเจริญเติบโต

    แต่น่าเสียดาย มันจะเกิดอะไรขึ้นหากคุณกินยาลดกรด ทั้ง Tagamet และ Zantac จะเพิ่มค่า pHของกระเพาะอาหารจากประมาณ 1-2 ก่อนการรักษาเป็น 5.5-6.5 อย่างมีนัยสำคัญ ตามลำดับ

    Prilosec และ PPIs และอื่น ๆ จะยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่ เพียงหนึ่งเม็ดของยาเหล่านี้สามารถลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารได้ถึงร้อยละ90 ถึง 95เพื่อส่วนที่ดีกว่าของวัน การกิน PPIs ในปริมาณที่สูงขึ้นหรือบ่อยมากขึ้น ซึ่งมักจะถูกแนะนำ จะทำให้เกิดภาวะ achlorydia (แทบไม่มีกรดในกระเพาะอาหารเลย) ในการศึกษาของผู้ชายที่มีสุขภาพดี10 คนอายุ 22-55 ปี การให้กิน Prilosec 20 หรือ 40 มิลลิกรัมลดระดับกรดในกระเพาะอาหารจนเกือบหมด

    กระเพาะอาหารที่เป็นกรดไม่มากพอเชื้อแบคทีเรียก่อโรคก็อุดมสมบูรณ์ สนุกสนาน เพราะมันมันทั้งมืดทั้งอบอุ่น ทั้งชื้นและเต็มไปด้วยสารอาหาร แบคทีเรียจะไม่ฆ่าเรา – อย่างน้อยก็ไม่ทันที- แต่บางส่วนของพวกมันสามารถ คนที่มีค่าความเป็นกรดด่างในกระเพาะอาหารสูงพอที่จะส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียจะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียร้ายแรงได้อย่างง่ายดาย

    การทบทวนที่ผ่านมาเกี่ยวกับยาลดกรดในกระเพาะอาหารชี้ให้เห็นว่าพวกมันเป็นต้นเหตุจริงของการเพิ่มความไวต่อการติดเชื้อ(PDF) ผู้เขียนพบหลักฐานยืนยันว่า การใช้ยาลดกรดสามารถเพิ่มโอกาสของการติดเชื้อต่อไปนี้:

    Salmonella
    Campylobacter
    อหิวาตกโรค
    Listeria
    Giardia
    C. difficile
    การศึกษาอื่น ๆ พบว่ายาลดกรดยังเพิ่มความเสี่ยงสำหรับ:
    โรคปอดบวม
    วัณโรค
    ไทฟอยด์
    บิด

    ยาลดกรดไม่เพียงแต่เพิ่มความไวต่อการติดเชื้อแต่มันยังไปลดลงความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันของเราในการต่อสู้กับการติดเชื้อเมื่อเราได้รับเชื้อ จากการศึกษาในหลอดทดลองได้แสดงให้เห็นว่า PPIs ทำให้การทำหน้าที่ของเม็ดเลือดขาว nuetrophil ทำงานผิดพลาด ลดการยึดเกาะกับเซลล์ endothelial ลดการฆ่าเชื้อแบคทีเรียของจุลินทรีย์และยับยั้งเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ทำลายอย่าง neutrophil และเพิ่มกรดใน phagolysosome

    ประตูสู่โรคร้ายแรงอื่น ๆ

    อย่างที่เราได้กล่าวถึงในบทความแรกไว้ว่า การลดลงของการหลั่งกรดตามอายุเป็นเรื่องที่มีเอกสารยืนยัน เมื่อเร็ว ๆ นี้ในปี 1996 แพทย์ชาวอังกฤษตั้งข้อสังเกตว่า กระเพาะอาหารเกี่ยวข้องกับการลดลงของกรดตามอายุเนื่องจากการเสียหายของเซลล์ผลิตกรด สภาพนี้เรียกว่าโรคกระเพาะอาหารอักเสบ(atrophic gastritis)

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเนื้อหาต่อไปนี้ กระเพาะอาหารอักเสบ (สภาพที่กรดในกระเพาะอาหารอยู่ในระดับที่ต่ำมาก) มีความเกี่ยวข้องกับความหลากหลายของความผิดปกติร้ายแรงที่ไปไกลเกินกระเพาะอาหารและหลอดอาหาร ซึ่งรวมถึง:

    มะเร็งกระเพาะอาหาร
    โรคภูมิแพ้
    โรคหอบหืด
    อาการซึมเศร้า วิตกกังวล ความผิดปกติของอารมณ์
    โลหิตจาง
    โรคผิวหนังรวมทั้งการเกิดสิว, โรคผิวหนังกลากและลมพิษ
    โรคนิ่วในถุงน้ำดี
    โรคแพ้ภูมิเช่นโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์และโรคเกรฟส์
    อาการลำไส้แปรปรวน (IBS) โรค Crohn (CD), ลำไส้ใหญ่ (UC)
    โรคไวรัสตับอักเสบ
    โรคกระดูกพรุน
    โรคเบาหวานประเภท 1
    และอย่าลืมนะว่ากรดในกระเพาะอาหารต่ำอาจทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนและแสบร้อนกลางอก!

    มะเร็งกระเพาะอาหาร

    โรคกระเพาะอาหารอักเสบเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญสำหรับโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร เชื้อ H. pylori เป็นสาเหตุหลักของโรคนี้ และยาลดกรดก็ยิ่งทำให้อาการเหล่านี้เลวลงและเพิ่มอัตราการติดเชื้อ

    ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่อะไรนักหรอกที่จะสงสัยว่ายาลดกรดเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งกระเพาะอาหารในผู้ที่ติดเชื้อ H.pylori ในบทความที่ผ่านมาของ Julie Parsonnet, M.D. of Standford University Medical School เขียนไว้ว่า :
    โดยหลักการแล้ว การรักษาด้วยยาลดกรดในปัจจุบันนี้ อาจเป็นตัวเร่งโรคมะเร็งโดยการแปลงการอักเสบเพียงเล็กน้อยของกระเพาะอาหารเป็นทำลายขั้นรุนแรงในกระบวนการก่อมะเร็ง

    แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น

    ประมาณ 90% ของลำไส้เล็กส่วนต้น (ลำไส้) และ 65% ของแผลในกระเพาะอาหารเกิดจากเชื้อ H. pylori
    ในการทดลองฉีดวัคซีนในมนุษย์ การติดเชื้อไม่สามารถเกิดขึ้นได้เว้นแต่ค่า pH ของกระเพาะอาหารสูงขึ้น(ลดความเป็นกรดลง) โดยการใช้สารต้านฮิสตามีนซึ่งไปลดกรดในกระเพาะอาหารและเพิ่มค่าความเป็นด่าง ยาลดกรดในกระเพาะอาหารจะไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ H. pylori และตามมาด้วยการพัฒนาไปเป็นแผลในลำไส้เล็กส่วนต้นหรือกระเพาะอาหาร

    อาการลำไส้แปรปรวน โรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ

    สารอะดีโนซีน(Adenosine)เป็นตัวกลางหลักของการอักเสบในระบบทางเดินอาหารและสารอะดีโนซีนในระดับสูงจะไปกดและแก้ไขปัญหาการอักเสบเรื้อรังของทั้งโรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ การใช้ PPIs อย่างต่อเนื่องได้รับการยืนยันว่าไปลดความเข้มข้นของสารอะดีโนซีน จึงส่งผลในการเพิ่มขึ้นของการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าการใช้งานยาลดกรดในระยะยาว อาจพัฒนาความผิดปกติของลำไส้ให้อักเสบอย่างรุนแรงได้

    ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวลและความผิดปกติทางอารมณ์

    ในขณะที่ยังไม่มีงานวิจัยที่ระบุ (เท่าที่ผมรู้) การเชื่อมโยงของยาลดกรดกับความผิดปกติทางอารมณ์หรือภาวะซึมเศร้า ความเข้าใจพื้นฐานในความสัมพันธ์ระหว่างการย่อยโปรตีนและสุขภาพจิตแสดงให้เห็นว่าอาจจะมีการเชื่อมกัน ในระหว่างการย่อยอาหาร การหลั่งกรดในกระเพาะอาหารจะปล่อยน้ำย่อยซึ่งเรียกว่า เพพซิน (pepsin) น้ำย่อยนี้เป็นเอนไซม์ที่มีความรับผิดชอบต่อการสลายพันธะโปรตีนไปเป็นกรดอะมิโนและเปปไทด์ กรดอะมิโนที่เรียกว่า "จำเป็น" ก็เพราะเราไม่สามารถผลิตได้เองในร่างกายของเรา เราจะต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น

    หากขาดน้ำย่อยโปรตีน (Pepsin) โปรตีนที่เรากินเข้าไปจะไม่ถูกทำลายไปเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นและส่วนประกอบเปปไทด์ และเนื่องจากกรดอะมิโนจำเป็นเหล่านี้เช่น phenylalanine และ tryptophan มีบทบาทสำคัญในด้านสุขภาพจิตและพฤติกรรม กรดในกระเพาะอาหารที่ต่ำอาจเป็นตัวชักนำต่อการพัฒนาความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้าหรือความผิดปกติทางอารมณ์

    โรคแพ้ภูมิ

    กรดในกระเพาะอาหารต่ำและต่อมาก็มีแบคทีเรียมากเกินไปทำให้เกิดลำไส้ที่ซึมผ่านได้ง่ายแล้วปล่อยให้โปรตีนที่ไม่ได้รับการย่อยเข้าสู่กระแสเลือด ภาวะนี้มักจะถูกเรียกว่า "กลุ่มอาการของโรคลำไส้รั่ว" Salzman และเพื่อนได้แสดงให้เห็นว่า
    การซึมผ่านได้ง่ายของเซลล์ลำไส้ ทั้งtranscellular และ paracellular เพิ่มขึ้นอย่างมากในผู้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบเมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ควบคุม

    เมื่อโปรตีนที่ไม่ผ่านการย่อยไปเข้าอยู่ในกระแสเลือดพวกมันจะถูกถือว่าเป็น "ผู้รุกราน" โดยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นคล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายระดมการป้องกันของมัน (อาทิ T เซลล์ Bเซลล์และแอนติบอดี ) เพื่อที่จะกำจัดการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย

    ประเภทของการตอบสนองจากภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนที่เรากินนี้ก่อให้เกิดการแพ้อาหาร กลไกที่คล้ายกันนี้ที่ยังไม่เป็นที่เข้าใจในคนที่มีลำไส้รั่ว การพัฒนาโรคแพ้ภูมิรุนแรงมากขึ้นจนกลายไปเป็นอาทิ โรคลูปัส (พุ่มพวง เอสแอลอี), โรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์, โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (เบาหวานแห้ง)โรคเกรฟส์และความผิดปกติของลำไส้อักเสบเช่น Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ

    ความสัมพันธ์ระหว่างโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ (RA) และกรดในกระเพาะอาหารยังมีรายงานไว้ในงานเขียนและงานวิจัยมากมาย การตรวจสอบปริมาณกรดในกระเพาะอาหารของผู้ป่วยโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ RA 45 คน ของนักวิจัยชาวสวีเดนพบว่า 16 คน(36 เปอร์เซ็นต์) แทบจะไม่มีกรดในกระเพาะอาหารเลย คนที่ได้รับความทรมานจาก RA ที่ยาวที่สุดมีกรดในกระเพาะอาหารน้อยที่สุด กลุ่มนักวิจัยอิตาลียังพบอีกว่าคนที่มี RA มีอัตราของโรคกระเพาะอาหารอักเสบที่สูงมากด้วยค่าความเป็นกรดในกระเพาะอาหารที่ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับบุคคลปกติ

    โรคหอบหืด

    ในรอบสิบปีที่ผ่านมา มากกว่าสี่ร้อยบทความทางวิทยาศาสตร์ให้กังวลเกี่ยวกับการเชื่อมโยงระหว่างโรคหอบหืดและความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร หนึ่งในคุณสมบัติที่พบบ่อยที่สุดของโรคหอบหืดนอกเหนือไปจากการหายใจก็คือเป็นกรดไหลย้อน เป็นที่คาดการณ์กันว่าร้อยละ 80 ของผู้ที่มีโรคหอบหืดยังมีโรคกรดไหลย้อนพ่วงท้ายอีกต่างหาก เมื่อเทียบกับคนที่มีสุขภาพดี และมีการระคายเคืองจากกรดเกินมากขึ้นในเยื่อบุหลอดอาหารของพวกเขา

    เมื่อกรดเข้าไปในหลอดลม จะทำให้ความสามารถของปอดในการหายใจเข้าออกลดลงเป็นสิบเท่า แพทย์ที่มีความตระหนักถึงสิ่งนี้ก็เริ่มจ่ายยาลดกรดให้กับผู้ป่วยโรคหอบหืดที่ทุกข์ทรมานจากโรคกรดไหลย้อน ในขณะที่ยาลดกรดนี้อาจช่วยบรรเทาอาการชั่วคราว แต่มันไม่ใช่การรักษาที่ต้นเหตุของความผิดปกติที่กรดไหลย้อนเข้าไปในหลอดอาหารในคราวแรก

    ในความเป็นจริง มีเหตุผลที่จะเชื่อได้ว่ายาลดกรดทำให้ทุกปัญหาพื้นฐานแย่ลง (กรดในกระเพาะอาหารน้อยเกินไปและเพิ่มแบคทีเรีย) ดังนั้นทำให้อาการยาวนานและรุนแรง

    สรุป

    อย่างที่เราได้อ่านจากบทความก่อนหน้านี้ในตอนที่ 1 แสบร้อนกลางอกและโรคกรดไหลย้อนมันเกิดจากการน้อยเกินไป - และไม่มากพอ – ของกรดในกระเพาะอาหาร แต่น่าเสียดายที่กรดในกระเพาะอาหารไม่เพียงพอนี้ยังไปเกี่ยวข้องกับการเพิ่มจำนวนแบคทีเรียมากจนเกินไป การดูดซึมสารอาหารด้อยคุณภาพลง การลดลงของความต้านทานต่อการติดเชื้อและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร, แผลในกระเพาะอาหาร,ลำไส้แปรปรวน และโรคทางเดินอาหารอื่น ๆ ภาวะซึมเศร้าและความผิดปกติทางอารมณ์และโรคแพ้ภูมิตัวเองและโรคหอบหืด

    การบรรเทาอาการชั่วคราวของยาลดกรดเหล่านี้ให้ความคุ้มค่าต่อความเสี่ยงหรือไม่ นั่นคือสิ่งเดียวที่คุณสามารถตัดสินใจได้เอง

    Cr. Santi Manadee
    #ยาลดกรด ถ้าคุณใช้ยาลดกรดไม่ว่าจะตามคำสั่งแพทย์หรือฟังจากโฆษณาแล้วเชื่อตามนั้น ลองอ่านให้จบว่าอาการเหล่านี้ได้เกิดกับตัวคุณแล้วหรือยัง จากการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ (1) การใช้สาร proton pump inhibitors ในระยะยาวอย่างเช่น Prilosec, Prevacid และ Nexium (ยาเม็ดสีม่วง) - ยาที่ช่วยลดปริมาณกรดในกระเพาะอาหาร - เกี่ยวข้องกับการขาดวิตามินบี 12 ผู้เข้าร่วมที่กินยาลดกรดมานานกว่าสองปีมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นร้อยละ 65 ของการขาดวิตามินบี 12 ซึ่งอาจนำไปโรค : -โรคโลหิตจาง -ความเสียหายของเส้นประสาท -ปัญหาเกี่ยวกับจิต -สมองเสื่อม (Dementia) ยิ่งกินในปริมาณที่สูงกว่าก็มีความเสี่ยงที่สูงกว่า ตามที่อธิบายไว้โดยนักวิจัยอาวุโส Dr. Douglas Corley (2) Gastroenterologist ที่ Kaiser Permanente: "ยาลดกรดชนิดนี้อาจทำให้เกิดการขาดวิตามินบี 12 เนื่องจากเซลล์ที่สร้างกรดในกระเพาะอาหารยังสร้างโปรตีนที่ช่วยให้วิตามินบี 12 ถูกดูดซึมได้" การขาดวิตามินบี 12 จะทำให้สุขภาพของคุณแย่ลงได้อย่างไร เมื่อระดับวิตามินบี 12 ของคุณเริ่มลดลง ร่างกายจะส่งสัญญาณบางอย่างเริ่มให้เห็นรวมถึง การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อาทิเช่นการขาดแรงจูงใจหรือความรู้สึกไม่แยแสและถ้าระดับต่ำมาก ๆ ยังสามารถนำไปสู่ความหดหู่ ปัญหาเกี่ยวกับความจำ ความอ่อนแอของกล้ามเนื้อและ – สัญญาณที่เด่นชัดที่สุดคือ- ความเมื่อยล้า วิตามินบี 12 เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นวิตามินแห่งพลังงานและร่างกายของคุณต้องการสำหรับกิจกรรมที่สำคัญหลายชนิดรวมทั้งการผลิตพลังงานและ : การย่อยอาหารที่เหมาะสม การดูดซึมอาหาร การใช้ธาตุเหล็ก การเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและไขมัน การทำงานของระบบประสาทที่ดี มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเส้นประสาทตามปกติ ช่วยในการควบคุมการสร้างเม็ดเลือดแดง การก่อตัวของเซลล์และอายุการใช้งานที่ยาวนาน การผลิตฮอร์โมน เพิ่มการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง สนับสนุนความเป็นสตรีเพศและการตั้งครรภ์ สร้างความรู้สึกให้พอใจกับความเป็นอยู่และการควบคุมอารมณ์ การมีสมาธิ ส่งเสริมความจำ เพิ่มความเข้มข้นในด้านสมรรถภาพทางกาย อารมณ์และจิตใจ การวิจัยล่าสุดยังชี้ให้เห็นว่าการมีวิตามินบี 12 ต่ำอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหักในชายสูงวัย ความเสี่ยงนี้ยังคงอยู่แม้หลังจากคำนึงถึงปัจจัยที่สำคัญอื่น ๆ เช่นการสูบบุหรี่ สถานะของวิตามินดีและปริมาณแคลเซียม medicinenet.com: (3) กล่าวว่า : “ผู้ชายที่อยู่ในกลุ่มที่มีระดับ B-12 ต่ำสุดมีโอกาสเกิดการแตกหักของกระดูกมากกว่าร้อยละ 70 ในการศึกษานี้พบว่าความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากการแตกหักของกระดูกสันหลังส่วนเอวซึ่งมีโอกาสเกิดการแตกหักมากขึ้นถึงร้อยละ 120 เมื่อเทียบกับกระดูกส่วนอื่น " และถ้าหากขาดวิตามินบี 12 เรื้อรังในระยะยาวก็อาจทำให้เกิดภาวะร้ายแรงอื่น ๆ ได้แก่ : -โรคซึมเศร้า -ภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์ -ความอุดมสมบูรณ์ของหญิงและปัญหาการคลอดบุตร -โรคหัวใจและมะเร็ง รูปแบบตามธรรมชาติของ B12 จะมีอยู่ในสัตว์และไม่จำเป็นต้องเป็นเนื้อ แต่อาจเป็นไข่และนมก็ได้ อาหารที่มี B12 สูงรวมถึง: -ไข่อินทรีย์ -เนื้อวัวและตับวัวที่เลี้ยงดวยหญ้าอินทรีย์ -ไก่อินทรีย์ -ปลาแซลมอนอลาสก้าที่จับได้ในป่า -นมดิบของสัตว์ที่เลี้ยงแบบอินทรีย์และไม่ผ่านกระบวนการ ถ้าคุณมีอาการข้างต้นและไม่บริโภคสัตว์หรือสิ่งที่ได้จากสัตว์ ขอแนะนำให้หาวิตามินบี 12 มารับประทานตามความเหมาะสมของอายุและมวลกายรายการ หมอนอกกะลา ยาลดกรด 2 ตอนที่ 1 ได้พูดถึงสองในสี่ผลกระทบหลักของยาลดกรด: คือแบคทีเรียเลว ๆ มากเกินไปและความบกพร่องในการดูดซึมสารอาหาร อีก 2 ผลกระทบที่เหลือ ลดความต้านทานต่อการติดเชื้อและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งและโรคอื่น ๆ เบื้องแรกในการป้องกันร่างกายของเรา: ปาก หลอดอาหารและลำไส้เป็นบ้านของระหว่าง 400-1,000 สายพันธุ์ของเชื้อแบคทีเรีย แต่อย่างไรก็ตาม กระเพาะอาหารที่ดีจะมีการฆ่าเชื้ออยู่เสมอ ทำไมน่ะรึ !! เพราะกรดในกระเพาะอาหารฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ในความเป็นจริง กรดคือบทบาทที่สำคัญที่สุดที่จะสร้างการขัดขวางสองทางที่ช่วยปกป้องกระเพาะอาหารจากเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรค ลำดับแรกแรก : กรดในกระเพาะอาหารจะป้องกันไม่ให้เชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายซึ่งอาจจะอยู่ในอาหารหรือเครื่องดื่มที่เรากินหรืออากาศที่เราหายใจเข้ามาในลำไส้และในเวลาเดียวกัน กรดในกระเพาะอาหารยังช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรียตามปกติจากลำไส้ซึ่งจะย้ายเข้าสู่กระเพาะอาหารและหลอดอาหารซึ่งพวกมันอาจทำให้เกิดปัญหา สภาพแวดล้อมของกระเพาะอาหารค่า pH ต่ำ (กรดสูง) เป็นหนึ่งในกลไกการป้องกันที่ไม่เฉพาะเจาะจงที่สำคัญของร่างกาย เมื่อค่าความเป็นกรดของกระเพาะอาหารมีค่าที่ 3 หรือต่ำกว่าถือว่าเป็นปรกติของช่วงท้องว่างหรือ "พักผ่อน" แบคทีเรียจะอยู่ได้ไม่เกินสิบห้านาที แต่ในขณะที่pH เพิ่มขึ้นถึง 5 หรือมากกว่า สายพันธุ์ต่าง ๆ ของแบคทีเรียสามารถหลีกเลี่ยงการกำจัดของกรดและเริ่มที่จะเจริญเติบโต แต่น่าเสียดาย มันจะเกิดอะไรขึ้นหากคุณกินยาลดกรด ทั้ง Tagamet และ Zantac จะเพิ่มค่า pHของกระเพาะอาหารจากประมาณ 1-2 ก่อนการรักษาเป็น 5.5-6.5 อย่างมีนัยสำคัญ ตามลำดับ Prilosec และ PPIs และอื่น ๆ จะยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่ เพียงหนึ่งเม็ดของยาเหล่านี้สามารถลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารได้ถึงร้อยละ90 ถึง 95เพื่อส่วนที่ดีกว่าของวัน การกิน PPIs ในปริมาณที่สูงขึ้นหรือบ่อยมากขึ้น ซึ่งมักจะถูกแนะนำ จะทำให้เกิดภาวะ achlorydia (แทบไม่มีกรดในกระเพาะอาหารเลย) ในการศึกษาของผู้ชายที่มีสุขภาพดี10 คนอายุ 22-55 ปี การให้กิน Prilosec 20 หรือ 40 มิลลิกรัมลดระดับกรดในกระเพาะอาหารจนเกือบหมด กระเพาะอาหารที่เป็นกรดไม่มากพอเชื้อแบคทีเรียก่อโรคก็อุดมสมบูรณ์ สนุกสนาน เพราะมันมันทั้งมืดทั้งอบอุ่น ทั้งชื้นและเต็มไปด้วยสารอาหาร แบคทีเรียจะไม่ฆ่าเรา – อย่างน้อยก็ไม่ทันที- แต่บางส่วนของพวกมันสามารถ คนที่มีค่าความเป็นกรดด่างในกระเพาะอาหารสูงพอที่จะส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียจะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียร้ายแรงได้อย่างง่ายดาย การทบทวนที่ผ่านมาเกี่ยวกับยาลดกรดในกระเพาะอาหารชี้ให้เห็นว่าพวกมันเป็นต้นเหตุจริงของการเพิ่มความไวต่อการติดเชื้อ(PDF) ผู้เขียนพบหลักฐานยืนยันว่า การใช้ยาลดกรดสามารถเพิ่มโอกาสของการติดเชื้อต่อไปนี้: Salmonella Campylobacter อหิวาตกโรค Listeria Giardia C. difficile การศึกษาอื่น ๆ พบว่ายาลดกรดยังเพิ่มความเสี่ยงสำหรับ: โรคปอดบวม วัณโรค ไทฟอยด์ บิด ยาลดกรดไม่เพียงแต่เพิ่มความไวต่อการติดเชื้อแต่มันยังไปลดลงความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันของเราในการต่อสู้กับการติดเชื้อเมื่อเราได้รับเชื้อ จากการศึกษาในหลอดทดลองได้แสดงให้เห็นว่า PPIs ทำให้การทำหน้าที่ของเม็ดเลือดขาว nuetrophil ทำงานผิดพลาด ลดการยึดเกาะกับเซลล์ endothelial ลดการฆ่าเชื้อแบคทีเรียของจุลินทรีย์และยับยั้งเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ทำหน้าที่ทำลายอย่าง neutrophil และเพิ่มกรดใน phagolysosome ประตูสู่โรคร้ายแรงอื่น ๆ อย่างที่เราได้กล่าวถึงในบทความแรกไว้ว่า การลดลงของการหลั่งกรดตามอายุเป็นเรื่องที่มีเอกสารยืนยัน เมื่อเร็ว ๆ นี้ในปี 1996 แพทย์ชาวอังกฤษตั้งข้อสังเกตว่า กระเพาะอาหารเกี่ยวข้องกับการลดลงของกรดตามอายุเนื่องจากการเสียหายของเซลล์ผลิตกรด สภาพนี้เรียกว่าโรคกระเพาะอาหารอักเสบ(atrophic gastritis) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเนื้อหาต่อไปนี้ กระเพาะอาหารอักเสบ (สภาพที่กรดในกระเพาะอาหารอยู่ในระดับที่ต่ำมาก) มีความเกี่ยวข้องกับความหลากหลายของความผิดปกติร้ายแรงที่ไปไกลเกินกระเพาะอาหารและหลอดอาหาร ซึ่งรวมถึง: มะเร็งกระเพาะอาหาร โรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด อาการซึมเศร้า วิตกกังวล ความผิดปกติของอารมณ์ โลหิตจาง โรคผิวหนังรวมทั้งการเกิดสิว, โรคผิวหนังกลากและลมพิษ โรคนิ่วในถุงน้ำดี โรคแพ้ภูมิเช่นโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์และโรคเกรฟส์ อาการลำไส้แปรปรวน (IBS) โรค Crohn (CD), ลำไส้ใหญ่ (UC) โรคไวรัสตับอักเสบ โรคกระดูกพรุน โรคเบาหวานประเภท 1 และอย่าลืมนะว่ากรดในกระเพาะอาหารต่ำอาจทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อนและแสบร้อนกลางอก! มะเร็งกระเพาะอาหาร โรคกระเพาะอาหารอักเสบเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญสำหรับโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร เชื้อ H. pylori เป็นสาเหตุหลักของโรคนี้ และยาลดกรดก็ยิ่งทำให้อาการเหล่านี้เลวลงและเพิ่มอัตราการติดเชื้อ ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นก้าวกระโดดครั้งใหญ่อะไรนักหรอกที่จะสงสัยว่ายาลดกรดเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งกระเพาะอาหารในผู้ที่ติดเชื้อ H.pylori ในบทความที่ผ่านมาของ Julie Parsonnet, M.D. of Standford University Medical School เขียนไว้ว่า : โดยหลักการแล้ว การรักษาด้วยยาลดกรดในปัจจุบันนี้ อาจเป็นตัวเร่งโรคมะเร็งโดยการแปลงการอักเสบเพียงเล็กน้อยของกระเพาะอาหารเป็นทำลายขั้นรุนแรงในกระบวนการก่อมะเร็ง แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น ประมาณ 90% ของลำไส้เล็กส่วนต้น (ลำไส้) และ 65% ของแผลในกระเพาะอาหารเกิดจากเชื้อ H. pylori ในการทดลองฉีดวัคซีนในมนุษย์ การติดเชื้อไม่สามารถเกิดขึ้นได้เว้นแต่ค่า pH ของกระเพาะอาหารสูงขึ้น(ลดความเป็นกรดลง) โดยการใช้สารต้านฮิสตามีนซึ่งไปลดกรดในกระเพาะอาหารและเพิ่มค่าความเป็นด่าง ยาลดกรดในกระเพาะอาหารจะไปเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ H. pylori และตามมาด้วยการพัฒนาไปเป็นแผลในลำไส้เล็กส่วนต้นหรือกระเพาะอาหาร อาการลำไส้แปรปรวน โรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ สารอะดีโนซีน(Adenosine)เป็นตัวกลางหลักของการอักเสบในระบบทางเดินอาหารและสารอะดีโนซีนในระดับสูงจะไปกดและแก้ไขปัญหาการอักเสบเรื้อรังของทั้งโรค Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ การใช้ PPIs อย่างต่อเนื่องได้รับการยืนยันว่าไปลดความเข้มข้นของสารอะดีโนซีน จึงส่งผลในการเพิ่มขึ้นของการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าการใช้งานยาลดกรดในระยะยาว อาจพัฒนาความผิดปกติของลำไส้ให้อักเสบอย่างรุนแรงได้ ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวลและความผิดปกติทางอารมณ์ ในขณะที่ยังไม่มีงานวิจัยที่ระบุ (เท่าที่ผมรู้) การเชื่อมโยงของยาลดกรดกับความผิดปกติทางอารมณ์หรือภาวะซึมเศร้า ความเข้าใจพื้นฐานในความสัมพันธ์ระหว่างการย่อยโปรตีนและสุขภาพจิตแสดงให้เห็นว่าอาจจะมีการเชื่อมกัน ในระหว่างการย่อยอาหาร การหลั่งกรดในกระเพาะอาหารจะปล่อยน้ำย่อยซึ่งเรียกว่า เพพซิน (pepsin) น้ำย่อยนี้เป็นเอนไซม์ที่มีความรับผิดชอบต่อการสลายพันธะโปรตีนไปเป็นกรดอะมิโนและเปปไทด์ กรดอะมิโนที่เรียกว่า "จำเป็น" ก็เพราะเราไม่สามารถผลิตได้เองในร่างกายของเรา เราจะต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น หากขาดน้ำย่อยโปรตีน (Pepsin) โปรตีนที่เรากินเข้าไปจะไม่ถูกทำลายไปเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นและส่วนประกอบเปปไทด์ และเนื่องจากกรดอะมิโนจำเป็นเหล่านี้เช่น phenylalanine และ tryptophan มีบทบาทสำคัญในด้านสุขภาพจิตและพฤติกรรม กรดในกระเพาะอาหารที่ต่ำอาจเป็นตัวชักนำต่อการพัฒนาความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้าหรือความผิดปกติทางอารมณ์ โรคแพ้ภูมิ กรดในกระเพาะอาหารต่ำและต่อมาก็มีแบคทีเรียมากเกินไปทำให้เกิดลำไส้ที่ซึมผ่านได้ง่ายแล้วปล่อยให้โปรตีนที่ไม่ได้รับการย่อยเข้าสู่กระแสเลือด ภาวะนี้มักจะถูกเรียกว่า "กลุ่มอาการของโรคลำไส้รั่ว" Salzman และเพื่อนได้แสดงให้เห็นว่า การซึมผ่านได้ง่ายของเซลล์ลำไส้ ทั้งtranscellular และ paracellular เพิ่มขึ้นอย่างมากในผู้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบเมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ควบคุม เมื่อโปรตีนที่ไม่ผ่านการย่อยไปเข้าอยู่ในกระแสเลือดพวกมันจะถูกถือว่าเป็น "ผู้รุกราน" โดยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นคล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายระดมการป้องกันของมัน (อาทิ T เซลล์ Bเซลล์และแอนติบอดี ) เพื่อที่จะกำจัดการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย ประเภทของการตอบสนองจากภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนที่เรากินนี้ก่อให้เกิดการแพ้อาหาร กลไกที่คล้ายกันนี้ที่ยังไม่เป็นที่เข้าใจในคนที่มีลำไส้รั่ว การพัฒนาโรคแพ้ภูมิรุนแรงมากขึ้นจนกลายไปเป็นอาทิ โรคลูปัส (พุ่มพวง เอสแอลอี), โรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์, โรคเบาหวานชนิดที่ 1 (เบาหวานแห้ง)โรคเกรฟส์และความผิดปกติของลำไส้อักเสบเช่น Crohn และลำไส้ใหญ่อักเสบ ความสัมพันธ์ระหว่างโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ (RA) และกรดในกระเพาะอาหารยังมีรายงานไว้ในงานเขียนและงานวิจัยมากมาย การตรวจสอบปริมาณกรดในกระเพาะอาหารของผู้ป่วยโรคไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ RA 45 คน ของนักวิจัยชาวสวีเดนพบว่า 16 คน(36 เปอร์เซ็นต์) แทบจะไม่มีกรดในกระเพาะอาหารเลย คนที่ได้รับความทรมานจาก RA ที่ยาวที่สุดมีกรดในกระเพาะอาหารน้อยที่สุด กลุ่มนักวิจัยอิตาลียังพบอีกว่าคนที่มี RA มีอัตราของโรคกระเพาะอาหารอักเสบที่สูงมากด้วยค่าความเป็นกรดในกระเพาะอาหารที่ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับบุคคลปกติ โรคหอบหืด ในรอบสิบปีที่ผ่านมา มากกว่าสี่ร้อยบทความทางวิทยาศาสตร์ให้กังวลเกี่ยวกับการเชื่อมโยงระหว่างโรคหอบหืดและความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร หนึ่งในคุณสมบัติที่พบบ่อยที่สุดของโรคหอบหืดนอกเหนือไปจากการหายใจก็คือเป็นกรดไหลย้อน เป็นที่คาดการณ์กันว่าร้อยละ 80 ของผู้ที่มีโรคหอบหืดยังมีโรคกรดไหลย้อนพ่วงท้ายอีกต่างหาก เมื่อเทียบกับคนที่มีสุขภาพดี และมีการระคายเคืองจากกรดเกินมากขึ้นในเยื่อบุหลอดอาหารของพวกเขา เมื่อกรดเข้าไปในหลอดลม จะทำให้ความสามารถของปอดในการหายใจเข้าออกลดลงเป็นสิบเท่า แพทย์ที่มีความตระหนักถึงสิ่งนี้ก็เริ่มจ่ายยาลดกรดให้กับผู้ป่วยโรคหอบหืดที่ทุกข์ทรมานจากโรคกรดไหลย้อน ในขณะที่ยาลดกรดนี้อาจช่วยบรรเทาอาการชั่วคราว แต่มันไม่ใช่การรักษาที่ต้นเหตุของความผิดปกติที่กรดไหลย้อนเข้าไปในหลอดอาหารในคราวแรก ในความเป็นจริง มีเหตุผลที่จะเชื่อได้ว่ายาลดกรดทำให้ทุกปัญหาพื้นฐานแย่ลง (กรดในกระเพาะอาหารน้อยเกินไปและเพิ่มแบคทีเรีย) ดังนั้นทำให้อาการยาวนานและรุนแรง สรุป อย่างที่เราได้อ่านจากบทความก่อนหน้านี้ในตอนที่ 1 แสบร้อนกลางอกและโรคกรดไหลย้อนมันเกิดจากการน้อยเกินไป - และไม่มากพอ – ของกรดในกระเพาะอาหาร แต่น่าเสียดายที่กรดในกระเพาะอาหารไม่เพียงพอนี้ยังไปเกี่ยวข้องกับการเพิ่มจำนวนแบคทีเรียมากจนเกินไป การดูดซึมสารอาหารด้อยคุณภาพลง การลดลงของความต้านทานต่อการติดเชื้อและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร, แผลในกระเพาะอาหาร,ลำไส้แปรปรวน และโรคทางเดินอาหารอื่น ๆ ภาวะซึมเศร้าและความผิดปกติทางอารมณ์และโรคแพ้ภูมิตัวเองและโรคหอบหืด การบรรเทาอาการชั่วคราวของยาลดกรดเหล่านี้ให้ความคุ้มค่าต่อความเสี่ยงหรือไม่ นั่นคือสิ่งเดียวที่คุณสามารถตัดสินใจได้เอง Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 409 มุมมอง 0 รีวิว
  • #กรดไหลย้อน (ที่ไม่มีใครเคยบอกคุณและไม่ใช่ความลับสวรรค์) (1)

    ...คุณเคยมีประสบการณ์ของการเป็นโรคกรดไหลย้อนหรือไม่....

    โรคที่อาจมีการวินิจฉัยผิดพลาดบ่อย ๆและถูกมองว่าเป็นเรื่องเล็ก ยาเม็ดลดกรด (Tums) อาจถูกนำมาใช้หรือบางทีคุณอาจมองหา Prilosec หรือ Prevacid หรือบางรายไปไกลกว่านั้นและอาจใช้ Nexium,Tagamet หรือ Zantac เพื่อควบคุมอาการของคุณและที่เลวร้ายไปกว่านั้นถ้าคุณใช้ยา MaaloxหรือMylanta ซึ่ง 2 ตัวหลังนี้เต็มไปด้วยอลูมิเนียมที่เป็นพิษต่อร่างกาย
    ..!! ถ้าคุณและที่ปรึกษาด้านสุขภาพของคุณเห็นร่วมกันวาเป็นเรื่องเล็ก....ไม่น่ากังวลอะไร...”คุณคิดผิด”
    ในความเป็นจริง ..กรดไหลย้อนเป็นโรคที่ร้ายแรงมาก ๆ มันเป็นจุดเริ่มต้นของโรคร้ายแรงที่สามารถนำพาคุณไปสู่การทำงานที่ผิดพลาดของระบบในร่างกายและอาจไปไกลได้ถึง...”ความตาย”
    ..ชีวเคมี (Biochemistry)…
    อาจจะยากขึ้นสักเล็กน้อย..แต่จำเป็นต้องใส่ไว้ที่นี่...แต่ผมจะทำให้คุณเข้าใจได้ง่ายขึ้น..ตามมา..!!
    Digestive distress (ระบบทางเดินอาหารทำงานน้อยลง) สามารถนำไปสู่ปัญหาที่รุนแรงมากมาย คุณอาจเคยได้ยินมาว่า..กรดไหลย้อนเกิดจากการมีกรดเกินในกระเพาะอาหารเนื่องจากมีกรดไปเล่นงานหลอดอาหาร( esophagus) และทำให้เกิดอาการแสบร้อน...นั่นเป็นเพียงบางส่วนของเรื่องราวทั้งหมดและเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้องมายาวนาน
    ความจริง : เราไม่สามารถย่อยอาหารได้อย่างสมบูรณ์จากการมีกรดน้อยเกินไปในเวลาที่ต้องมีกรดเพื่อทำหน้าที่ย่อยอาหารในกระเพาะอาหารของเรา Dr.Jonathan Wright ผู้เขียน : Stomach Acid is good for you
    (Evans,2001) กล่าวว่า”การผลิตกรดมากเกินไปมีอยู่จริงแต่เป็นจำนวนที่น้อยมาก ๆ และมากกว่า 44 ล้านคนประสบปัญหานี้จากการมีกรดน้อยเกินไป กรดในกระเพาะอาหารเป็นสิ่งสำคัญต่อการย่อยและการดูดซึมสารอาหารที่สำคัญเพื่อไปหล่อเลี้ยงร่างกายรวมถึงโปรตีนและแร่ธาตุ ดังนั้นการผลิตกรดมากจนเกินไปของกระเพาะอาหารจะมีส่วนในการรับผิดชอบต่อโรคกรดไหลย้อยได้อย่างไรกัน..มันไม่ใช่..!! หรืออย่างน้อยที่สุด....มันไม่ใช่ที่คุณคิด
    การใช้ยาที่เรียกว่า Proton pump inhibitors ซึ่งทำหน้าที่ลดการหลั่งกรดหรืออาจไปถึงหยุดการผลิตกรดเป็นสิ่งที่เลวร้ายเพราะนั่นหมายถึงการขัดขวางการย่อยอาหารและมันเป็นต้นเหตุของการนำไปสู่โรคความดันโลหิตสูง ซึมเศร้า วิตกกังวล ไมเกรนและนอนไม่หลับ
    การผลิตกรดในกระเพาะอาหาร (Hydrochloric Acid) ร่างกายจำเป็นต้องใช้โซเดียมคลอไรด์..ใช่มันคือ..เกลือ..!! และเกลือเป็นแหล่งคลอไรด์หลักที่ร่างกายต้องสร้างเซลล์ที่เรียกว่า parietal cell
    ที่น่าเสียใจที่สุดคือร้อยละ 90 ในผู้ป่วยของผมขาดโซเดียมเนื่องจากความรู้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาโจมตีการกินเกลือด้วยกลยุทธ์ต่าง ๆ นา ๆ ”
    -แคลเซียมที่มากจนเกินไปทำให้ร่างกายสูญเสียโซเดียมและโพแทสเซียมทางปัสสาวะและทำให้เซลล์สูญเสียแร่ธาตุ 2 ตัวนี้อย่างต่อเนื่อง โพแทสเซียมเป็นหนึ่งในแร่ธาตุที่สำคัญต่อการสร้างกรดในกระเพาะอาหารเช่นกัน...แต่โซเดียมเป็นตัวหลักเสมอ ดังนั้นผลของการขาดทั้งโซเดียมและโพแทสเซียมจะทำให้เกิดการสูญเสียความสามารถในการย่อยอาหาร ความสามารถในการย่อยโปรตีน ความสามารถในการสร้างกรดอะมิโนให้กับเซลล์และความสามารถในการสร้างเซลล์โปรตีน เซลล์ประสาทและ Nitric Oxide และนำไปสู่ปัญหาที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น
    ขอย้อนกลับไปสู่บทความตอนแคลเซียมที่เคยโพสต์ไปแล้วอีกสักหน่อยที่ว่า การมีแคลเซียมมากเกินไปจะไปกดการทำงานของต่อมหมวกไต ดังนั้นไตจะสามารถไปจับกับแม็กนีเซียมเพื่อรักษาสมดุลแคลเซียมที่ต้องสูญเสียไปและยิ่งไปกว่านั้นการที่ต่อมหมวกไตถูกกดการทำงาน การสูญเสียโซเดียมและโพแทสเซียมจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องผ่านทางปัสสาวะจึงส่งผลให้เซลล์ขาดแร่ธาตุ 2 ตัวนี้ในเวลาต่อมา
    ปัญหาที่ใหญ่ไปกว่านั้น : Tums (ยาเม็ดลดกรด) ที่ผู้คนนิยมเคี้ยวเวลามีปัญหากรดไหลย้อน..
    Tums ประกอบด้วยอะไร..!! แคลเซียม...แม่เจ้า..!!นั่นหมายถึงการทำให้กระบวนการที่กล่าวมาด้านบนเกิดขึ้นและเป็นการทำร้ายตัวเอง...ใช่หรือไม่..
    ...จำไว้นะ..
    การมีกรดในกระเพาะอาหารน้อยเกินไปอนุญาตให้แคลเซียมที่เกินเหล่านั้นเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ของร่างกายและฝังตัวจนก่อปัญหาในระบบไม่ว่าจะเป็นที่หลอดเลือด ข้อต่อ ลิ้นหัวใจและที่ร้ายแรงที่สุดคือมันเป็นพิษต่อสมอง
    เมื่อเซลล์ในกระเพาะอาหารส่วนล่างและส่วนบนของลำไส้เล็กได้รับโปรตีนจากอาหารที่คุณกินเพื่อการย่อย พวกเขาจะส่งสัญญาณเพื่อให้มีการผลิตกรดและเพิ่มฮอร์โมนที่เรียกว่า Gastrin ฮอร์โมนนี้จะบอก Parietal cells ในกระเพาะอาหารให้สร้างกรดเพิ่ม
    เพื่อให้มองเห็นภาพ : มันเป็นเช่นเดียวกับเครื่องยนต์ที่ใช้คาบูเรเตอร์
    เพื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ก็จำเป็นที่ต้องมีการจ่ายน้ำมันผ่านวาลว์และถ้าน้ำมันไม่เพียงพอวาล์วก็จะเปิดให้มีน้ำมันไหลเข้ามากขึ้น ๆ และถ้ายังสตาร์ทเครื่องไม่ได้วาล์วก็จะถูกเปิดจนน้ำมันท่วมคาบูเรเตอร์.....กรดไหลย้อนก็เกิดขึ้นในทำนองเดียวกัน...ถ้ากรดไม่ถูกสร้าง..การกระตุ้น Gastrin เพื่อให้ย่อยโปรตีนก็จะถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่องและนำไปสู่การท่วมของกรด(กรดจำนวนมากถูกปล่อยมาในครั้งเดียวจากการกระตุ้นที่มากจนเกินไป)สิ่งนี้เกิดจากการมีกรดน้อยเกินในตอนเริ่มต้นเมื่อโปรตีนเดินทางไปถึงกระเพาะอาหาร
    ...อีกครั้ง..
    มันเกิดจากการขาดโซเดียมของ Parietal cells ที่พวกเขาต้องใช้เพื่อการทำงานที่ถูกต้องในขั้นตอนเริ่มต้นและต่อมาก็เกิดการท่วมและ...ท้ายที่สุดกรดจะถูกปล่อยออกมาจนไปก่ออาการแสบร้อนกลางอก ไอ ระคายคอและมีเสมหะตลอดเวลา
    แต่ถึงกระนั้น...การผลิตกรดที่มากจนเกินไปก็เกี่ยวโยงกับการมีโซเดียมในเซลล์ในระดับสูงเช่นกันและสามารถทำให้เกิดกรดเกินได้แต่เกิดขึ้นน้อยราวร้อยละ 10 ของผู้ป่วยกรดไหลย้อน ดังนั้นผมขอแนะนำให้ผู้ป่วยในโรคนี้หมั่นตรวจค่าอิเลคโทรไลท์ทุก 2 สัปดาห์ถ้าสามารถทำได้เพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริง
    ..ข้อสังเกตุ..
    ถ้าคุณมีปัญหากรดไหลย้อน...
    ให้หยุดกิน หวาน นมสัตว์ นมถั่วเหลือง เห็ด ผลไม้ ขนมปัง ถั่วทุกรูปแบบ มะเขือเทศ รสเปรี้ยวและรสเผ็ดและควรกินเกลือที่มีแร่ธาตุมากพอสักครึ่งช้อนชาร่วมกับผักที่มีโพแทสเซียมสูงอาทิ กล้วยดิบ บรอคโคลี่ ดอกกะหล่ำ แครอท แขนง กะหล่ำปลี ผักโขม ผักบุ้ง ผักกาดขาว ผักคะน้า ผักกวางตุ้ง ยอดฟักแม้ว ใบแค ใบคื่นช่าย มันเทศ มันฝรั่ง ฟักทองเป็นต้น ก่อนอาหารราว3 นาทีทุกมื้ออาหาร
    เพียงเท่านี้.... คุณอาจจะสตาร์ทเครื่องยนต์ของคุณได้โดยปราศจากการท่วมของน้ำมันในคาบูเรเตอร์ของคุณ
    ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง
    สวัสดี
    ขอบคุณหนังสือ Calcium Lie และ Stomach Acid is good for you

    Cr. Santi Manadee
    #กรดไหลย้อน (ที่ไม่มีใครเคยบอกคุณและไม่ใช่ความลับสวรรค์) (1) ...คุณเคยมีประสบการณ์ของการเป็นโรคกรดไหลย้อนหรือไม่.... โรคที่อาจมีการวินิจฉัยผิดพลาดบ่อย ๆและถูกมองว่าเป็นเรื่องเล็ก ยาเม็ดลดกรด (Tums) อาจถูกนำมาใช้หรือบางทีคุณอาจมองหา Prilosec หรือ Prevacid หรือบางรายไปไกลกว่านั้นและอาจใช้ Nexium,Tagamet หรือ Zantac เพื่อควบคุมอาการของคุณและที่เลวร้ายไปกว่านั้นถ้าคุณใช้ยา MaaloxหรือMylanta ซึ่ง 2 ตัวหลังนี้เต็มไปด้วยอลูมิเนียมที่เป็นพิษต่อร่างกาย ..!! ถ้าคุณและที่ปรึกษาด้านสุขภาพของคุณเห็นร่วมกันวาเป็นเรื่องเล็ก....ไม่น่ากังวลอะไร...”คุณคิดผิด” ในความเป็นจริง ..กรดไหลย้อนเป็นโรคที่ร้ายแรงมาก ๆ มันเป็นจุดเริ่มต้นของโรคร้ายแรงที่สามารถนำพาคุณไปสู่การทำงานที่ผิดพลาดของระบบในร่างกายและอาจไปไกลได้ถึง...”ความตาย” ..ชีวเคมี (Biochemistry)… อาจจะยากขึ้นสักเล็กน้อย..แต่จำเป็นต้องใส่ไว้ที่นี่...แต่ผมจะทำให้คุณเข้าใจได้ง่ายขึ้น..ตามมา..!! Digestive distress (ระบบทางเดินอาหารทำงานน้อยลง) สามารถนำไปสู่ปัญหาที่รุนแรงมากมาย คุณอาจเคยได้ยินมาว่า..กรดไหลย้อนเกิดจากการมีกรดเกินในกระเพาะอาหารเนื่องจากมีกรดไปเล่นงานหลอดอาหาร( esophagus) และทำให้เกิดอาการแสบร้อน...นั่นเป็นเพียงบางส่วนของเรื่องราวทั้งหมดและเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้องมายาวนาน ความจริง : เราไม่สามารถย่อยอาหารได้อย่างสมบูรณ์จากการมีกรดน้อยเกินไปในเวลาที่ต้องมีกรดเพื่อทำหน้าที่ย่อยอาหารในกระเพาะอาหารของเรา Dr.Jonathan Wright ผู้เขียน : Stomach Acid is good for you (Evans,2001) กล่าวว่า”การผลิตกรดมากเกินไปมีอยู่จริงแต่เป็นจำนวนที่น้อยมาก ๆ และมากกว่า 44 ล้านคนประสบปัญหานี้จากการมีกรดน้อยเกินไป กรดในกระเพาะอาหารเป็นสิ่งสำคัญต่อการย่อยและการดูดซึมสารอาหารที่สำคัญเพื่อไปหล่อเลี้ยงร่างกายรวมถึงโปรตีนและแร่ธาตุ ดังนั้นการผลิตกรดมากจนเกินไปของกระเพาะอาหารจะมีส่วนในการรับผิดชอบต่อโรคกรดไหลย้อยได้อย่างไรกัน..มันไม่ใช่..!! หรืออย่างน้อยที่สุด....มันไม่ใช่ที่คุณคิด การใช้ยาที่เรียกว่า Proton pump inhibitors ซึ่งทำหน้าที่ลดการหลั่งกรดหรืออาจไปถึงหยุดการผลิตกรดเป็นสิ่งที่เลวร้ายเพราะนั่นหมายถึงการขัดขวางการย่อยอาหารและมันเป็นต้นเหตุของการนำไปสู่โรคความดันโลหิตสูง ซึมเศร้า วิตกกังวล ไมเกรนและนอนไม่หลับ การผลิตกรดในกระเพาะอาหาร (Hydrochloric Acid) ร่างกายจำเป็นต้องใช้โซเดียมคลอไรด์..ใช่มันคือ..เกลือ..!! และเกลือเป็นแหล่งคลอไรด์หลักที่ร่างกายต้องสร้างเซลล์ที่เรียกว่า parietal cell ที่น่าเสียใจที่สุดคือร้อยละ 90 ในผู้ป่วยของผมขาดโซเดียมเนื่องจากความรู้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาโจมตีการกินเกลือด้วยกลยุทธ์ต่าง ๆ นา ๆ ” -แคลเซียมที่มากจนเกินไปทำให้ร่างกายสูญเสียโซเดียมและโพแทสเซียมทางปัสสาวะและทำให้เซลล์สูญเสียแร่ธาตุ 2 ตัวนี้อย่างต่อเนื่อง โพแทสเซียมเป็นหนึ่งในแร่ธาตุที่สำคัญต่อการสร้างกรดในกระเพาะอาหารเช่นกัน...แต่โซเดียมเป็นตัวหลักเสมอ ดังนั้นผลของการขาดทั้งโซเดียมและโพแทสเซียมจะทำให้เกิดการสูญเสียความสามารถในการย่อยอาหาร ความสามารถในการย่อยโปรตีน ความสามารถในการสร้างกรดอะมิโนให้กับเซลล์และความสามารถในการสร้างเซลล์โปรตีน เซลล์ประสาทและ Nitric Oxide และนำไปสู่ปัญหาที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ขอย้อนกลับไปสู่บทความตอนแคลเซียมที่เคยโพสต์ไปแล้วอีกสักหน่อยที่ว่า การมีแคลเซียมมากเกินไปจะไปกดการทำงานของต่อมหมวกไต ดังนั้นไตจะสามารถไปจับกับแม็กนีเซียมเพื่อรักษาสมดุลแคลเซียมที่ต้องสูญเสียไปและยิ่งไปกว่านั้นการที่ต่อมหมวกไตถูกกดการทำงาน การสูญเสียโซเดียมและโพแทสเซียมจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องผ่านทางปัสสาวะจึงส่งผลให้เซลล์ขาดแร่ธาตุ 2 ตัวนี้ในเวลาต่อมา ปัญหาที่ใหญ่ไปกว่านั้น : Tums (ยาเม็ดลดกรด) ที่ผู้คนนิยมเคี้ยวเวลามีปัญหากรดไหลย้อน.. Tums ประกอบด้วยอะไร..!! แคลเซียม...แม่เจ้า..!!นั่นหมายถึงการทำให้กระบวนการที่กล่าวมาด้านบนเกิดขึ้นและเป็นการทำร้ายตัวเอง...ใช่หรือไม่.. ...จำไว้นะ.. การมีกรดในกระเพาะอาหารน้อยเกินไปอนุญาตให้แคลเซียมที่เกินเหล่านั้นเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ของร่างกายและฝังตัวจนก่อปัญหาในระบบไม่ว่าจะเป็นที่หลอดเลือด ข้อต่อ ลิ้นหัวใจและที่ร้ายแรงที่สุดคือมันเป็นพิษต่อสมอง เมื่อเซลล์ในกระเพาะอาหารส่วนล่างและส่วนบนของลำไส้เล็กได้รับโปรตีนจากอาหารที่คุณกินเพื่อการย่อย พวกเขาจะส่งสัญญาณเพื่อให้มีการผลิตกรดและเพิ่มฮอร์โมนที่เรียกว่า Gastrin ฮอร์โมนนี้จะบอก Parietal cells ในกระเพาะอาหารให้สร้างกรดเพิ่ม เพื่อให้มองเห็นภาพ : มันเป็นเช่นเดียวกับเครื่องยนต์ที่ใช้คาบูเรเตอร์ เพื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ก็จำเป็นที่ต้องมีการจ่ายน้ำมันผ่านวาลว์และถ้าน้ำมันไม่เพียงพอวาล์วก็จะเปิดให้มีน้ำมันไหลเข้ามากขึ้น ๆ และถ้ายังสตาร์ทเครื่องไม่ได้วาล์วก็จะถูกเปิดจนน้ำมันท่วมคาบูเรเตอร์.....กรดไหลย้อนก็เกิดขึ้นในทำนองเดียวกัน...ถ้ากรดไม่ถูกสร้าง..การกระตุ้น Gastrin เพื่อให้ย่อยโปรตีนก็จะถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่องและนำไปสู่การท่วมของกรด(กรดจำนวนมากถูกปล่อยมาในครั้งเดียวจากการกระตุ้นที่มากจนเกินไป)สิ่งนี้เกิดจากการมีกรดน้อยเกินในตอนเริ่มต้นเมื่อโปรตีนเดินทางไปถึงกระเพาะอาหาร ...อีกครั้ง.. มันเกิดจากการขาดโซเดียมของ Parietal cells ที่พวกเขาต้องใช้เพื่อการทำงานที่ถูกต้องในขั้นตอนเริ่มต้นและต่อมาก็เกิดการท่วมและ...ท้ายที่สุดกรดจะถูกปล่อยออกมาจนไปก่ออาการแสบร้อนกลางอก ไอ ระคายคอและมีเสมหะตลอดเวลา แต่ถึงกระนั้น...การผลิตกรดที่มากจนเกินไปก็เกี่ยวโยงกับการมีโซเดียมในเซลล์ในระดับสูงเช่นกันและสามารถทำให้เกิดกรดเกินได้แต่เกิดขึ้นน้อยราวร้อยละ 10 ของผู้ป่วยกรดไหลย้อน ดังนั้นผมขอแนะนำให้ผู้ป่วยในโรคนี้หมั่นตรวจค่าอิเลคโทรไลท์ทุก 2 สัปดาห์ถ้าสามารถทำได้เพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริง ..ข้อสังเกตุ.. ถ้าคุณมีปัญหากรดไหลย้อน... ให้หยุดกิน หวาน นมสัตว์ นมถั่วเหลือง เห็ด ผลไม้ ขนมปัง ถั่วทุกรูปแบบ มะเขือเทศ รสเปรี้ยวและรสเผ็ดและควรกินเกลือที่มีแร่ธาตุมากพอสักครึ่งช้อนชาร่วมกับผักที่มีโพแทสเซียมสูงอาทิ กล้วยดิบ บรอคโคลี่ ดอกกะหล่ำ แครอท แขนง กะหล่ำปลี ผักโขม ผักบุ้ง ผักกาดขาว ผักคะน้า ผักกวางตุ้ง ยอดฟักแม้ว ใบแค ใบคื่นช่าย มันเทศ มันฝรั่ง ฟักทองเป็นต้น ก่อนอาหารราว3 นาทีทุกมื้ออาหาร เพียงเท่านี้.... คุณอาจจะสตาร์ทเครื่องยนต์ของคุณได้โดยปราศจากการท่วมของน้ำมันในคาบูเรเตอร์ของคุณ ด้วยรักและห่วงใยจากใจจริง สวัสดี ขอบคุณหนังสือ Calcium Lie และ Stomach Acid is good for you Cr. Santi Manadee
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 316 มุมมอง 0 รีวิว
  • ❗🦻เปิดรับ Pre-order ต่อเนื่องหลังจาก ที่รถรุ่นยอดนิยม พึ่งจะหมดสต็อกไปเมื่อต้นเดือน พย.
    ❤พร้อมโปรโมชั่น คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม 👈 สำหรับท่านที่จอง รถรุ่นขายดี ยอดนิยม
    #Ijumbo250 #Emaxpro200
    👉จองภายในปี 2567 รับไปเลย ส่วนลดพิเศษจากราคาปกคิ 20,000 บาท
    👉จองภายในเดือน กพ. 2568 รับไปเลย ส่วนลดพิเศษ จากราราปกติ 10,000 บาท
    #ล็อตนี้หมดแล้ว #สั่งพรีออเดอร์
    🛺New Emax 200 PRO 2024 !!!และ I-jumbo250🛺
    🎉Sumota Emax 200cc . รุ่นยอดนิยม โฉมใหม่ ล่าสุด ปี2024 🎉
    สามารถจดทะเบียนได้่!!!! บรรทุกได้ถึง 1ตัน 🌈
    ราคาปกติ 150,000 บาท
    🎉Sumota I-jumbo 250cc . รุ่นยอดนิยม โฉมใหม่ ล่าสุด ปี2024 🎉
    สามารถจดทะเบียนได้่!!!! บรรทุกได้ถึง 2ตัน 🌈
    ราคาปกติ 180,000 บาท
    พัฒนามาถึงระดับสุดยอด ตาม คำแนะนำและเรียกร้องของลุกค้ามากมาย
    กับนวัตกรรมใหม่ล่าสุด !💕
    (ดีกว่าเดิม แข็งแรงกว่าเดิม ปลอดภัยกว่าเดิม แต่จ่ายราคาเดิม )
    👈พัฒนาเป็นระบบเบรคน้ำมัน เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ ระยะเบรคสั้้นลง2เท่า ❗
    👈เปลี่ยนระบบไฟทั้งหมดเป็นLED หมดปัญหาเรื่องขับกลางดึก ❗
    👈 หน้ากากCabin ที่ทันสมัย และ ปรับกระจกมองข้าง มองเห็นชัดขับขี่ปลอดภัย ❗
    👈ระบบคอนโซลด้านหน้าที่ทันสมัยขึ้น ที่นั่งกว้างขวาง ขับสะดวกสบาย ❗
    --------------------------------------
    🛒 เครื่องยนต์แท้นวัตกรรมจากญี่ปุ่น 🛒
    ▶จดทะเบียนได้ถูกต้องตามกฏหมาย!!!!! ▶
    ---------------------------------
    ▶ เครื่องยนต์ญี่ปุ่นของแท้ ต้องซูโมต้าเท่านั้น ▶
    ----------------------------------------
    ติดต่อสอบถามหรือขอคำแนะนำเพิ่มเติม:
    ➡ Line: @sumota https://line.me/ti/p/%40gdg6563t
    ➡ โทร: 02 416 5700
    ➡ Inbox 24 ชั่วโมง
    ➡ website: http://sumota.co.th
    ➡youtube : ดร.วิโรจน์ กุศลมโนมัย👇
    https://www.youtube.com/c/ดรวิโรจน์กุศลมโนมัย
    #รถสามล้อ #รถสามล้อไฟฟ้า #รถสามล้อบรรทุก #รถสามล้อบรรทุกไฟฟ้า #รถ3ล้อ
    #รถสามล้อซูโมต้า #รถสามล้อsumota #รถสามล้อจดทะเบียน #รถ3ล้อจดทะเบียน
    #รถ3ล้อไฟฟ้า #รถ3ล้อบรรทุก #รถ3ล้อบรรทุกไฟฟ้า #รถบรรทุก #รถฟู๊ดทรัค
    #มอไซค์3ล้อ #สามล้ออเนกประสงค์ราคา #สามล้อฟู้ดทรัคราคา #สามล้อฟู้ดทรัค #รถมอเตอร์ไซค์สามล้อราคา #รถจักรยานยนต์สามล้อไฟฟ้า, #สามล้อบรรทุกราคา #รถสามล้อเครื่อง #รถจักรยานยนต์สามล้อ #สามล้อเครื่องยนต์ #สามล้อขนของ #3ล้อขนของ #3ล้อบรรทุกของ
    ❗🦻เปิดรับ Pre-order ต่อเนื่องหลังจาก ที่รถรุ่นยอดนิยม พึ่งจะหมดสต็อกไปเมื่อต้นเดือน พย. ❤พร้อมโปรโมชั่น คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม 👈 สำหรับท่านที่จอง รถรุ่นขายดี ยอดนิยม #Ijumbo250 #Emaxpro200 👉จองภายในปี 2567 รับไปเลย ส่วนลดพิเศษจากราคาปกคิ 20,000 บาท 👉จองภายในเดือน กพ. 2568 รับไปเลย ส่วนลดพิเศษ จากราราปกติ 10,000 บาท #ล็อตนี้หมดแล้ว #สั่งพรีออเดอร์ 🛺New Emax 200 PRO 2024 !!!และ I-jumbo250🛺 🎉Sumota Emax 200cc . รุ่นยอดนิยม โฉมใหม่ ล่าสุด ปี2024 🎉 สามารถจดทะเบียนได้่!!!! บรรทุกได้ถึง 1ตัน 🌈 ราคาปกติ 150,000 บาท 🎉Sumota I-jumbo 250cc . รุ่นยอดนิยม โฉมใหม่ ล่าสุด ปี2024 🎉 สามารถจดทะเบียนได้่!!!! บรรทุกได้ถึง 2ตัน 🌈 ราคาปกติ 180,000 บาท พัฒนามาถึงระดับสุดยอด ตาม คำแนะนำและเรียกร้องของลุกค้ามากมาย กับนวัตกรรมใหม่ล่าสุด !💕 (ดีกว่าเดิม แข็งแรงกว่าเดิม ปลอดภัยกว่าเดิม แต่จ่ายราคาเดิม ) 👈พัฒนาเป็นระบบเบรคน้ำมัน เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ ระยะเบรคสั้้นลง2เท่า ❗ 👈เปลี่ยนระบบไฟทั้งหมดเป็นLED หมดปัญหาเรื่องขับกลางดึก ❗ 👈 หน้ากากCabin ที่ทันสมัย และ ปรับกระจกมองข้าง มองเห็นชัดขับขี่ปลอดภัย ❗ 👈ระบบคอนโซลด้านหน้าที่ทันสมัยขึ้น ที่นั่งกว้างขวาง ขับสะดวกสบาย ❗ -------------------------------------- 🛒 เครื่องยนต์แท้นวัตกรรมจากญี่ปุ่น 🛒 ▶จดทะเบียนได้ถูกต้องตามกฏหมาย!!!!! ▶ --------------------------------- ▶ เครื่องยนต์ญี่ปุ่นของแท้ ต้องซูโมต้าเท่านั้น ▶ ---------------------------------------- ติดต่อสอบถามหรือขอคำแนะนำเพิ่มเติม: ➡ Line: @sumota https://line.me/ti/p/%40gdg6563t ➡ โทร: 02 416 5700 ➡ Inbox 24 ชั่วโมง ➡ website: http://sumota.co.th ➡youtube : ดร.วิโรจน์ กุศลมโนมัย👇 https://www.youtube.com/c/ดรวิโรจน์กุศลมโนมัย #รถสามล้อ #รถสามล้อไฟฟ้า #รถสามล้อบรรทุก #รถสามล้อบรรทุกไฟฟ้า #รถ3ล้อ #รถสามล้อซูโมต้า #รถสามล้อsumota #รถสามล้อจดทะเบียน #รถ3ล้อจดทะเบียน #รถ3ล้อไฟฟ้า #รถ3ล้อบรรทุก #รถ3ล้อบรรทุกไฟฟ้า #รถบรรทุก #รถฟู๊ดทรัค #มอไซค์3ล้อ #สามล้ออเนกประสงค์ราคา #สามล้อฟู้ดทรัคราคา #สามล้อฟู้ดทรัค #รถมอเตอร์ไซค์สามล้อราคา #รถจักรยานยนต์สามล้อไฟฟ้า, #สามล้อบรรทุกราคา #รถสามล้อเครื่อง #รถจักรยานยนต์สามล้อ #สามล้อเครื่องยนต์ #สามล้อขนของ #3ล้อขนของ #3ล้อบรรทุกของ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 522 มุมมอง 0 รีวิว
  • เชียงใหม่-"ดอยอินทนนท์"แช่แข็ง!ยอดหญ้าต่ำกว่าจุดเยือกแข็งต่อเนื่อง ล่าสุดติดลบ 1.7องศาเซลเซียส ทำเกิด "เหมยขาบ"ติดต่อกันเป็นวันที่5 แล้ว ขณะที่นักท่องเที่ยวยังคงคึกคักท้าลมหนาวต่ำสุด 3 องศาเซลเซียส

    รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงใหม่แจ้งว่า เช้าวันนี้ (15 ม.ค. 68) สภาพอากาศที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ยังคงหนาวเย็นจัดต่อเนื่อง พร้อมทั้งเกิดปรากฏการณ์น้ำค้างแข็ง หรือ "เหมยขาบ"ขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่5 และนับเป็นครั้งที่19 ของฤดูหนาวปีนี้ โดยพบน้ำค้างแข็งเกิดขึ้นที่บริเวณกิ่วแม่ปานและยอดดอย ความตื่นเต้นดีใจให้กับนักท่องเที่ยว ที่ต่างพากันถ่ายภาพเป็นที่ระลึกอย่างประทับใจ

    ทั้งนี้อุณหภูมิต่ำสุดเช้าวันนี้ที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ วัดได้ 3 องศาเซลเซียส ที่กิ่วแม่ปาน ซึ่งยอดหญ้าวัดอุณหภูมิได้ติดลบ 1.7 องศาเซลเซียส ขณะที่บริเวณยอดดอยวัดอุณหภูมิต่ำสุดได้ 5 องศาเซลเซียส และยอดหญ้าวัดอุณหภูมิต่ำสุดได้ติดลบ 0.9 องศาเซลเซียส

    สำหรับการท่องเที่ยวในพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์นั้น ช่วงเช้าวันนี้พบว่าประชาชนและนักท่องเที่ยวยังคงต่างพากันท้าลมหนาวชมธรรมชาติกันอย่างคึกคัก แต่ไม่มากเท่าช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยสถิตินักท่องเที่ยวเมื่อวันที่ 14 ม.ค. 68 มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 4,273 คน แบ่งเป็น คนไทย 2,817 คน ชาวต่างชาติ 1,456 คน ยานพาหนะ 1,140 คัน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000004326

    #MGROnline #เชียงใหม่ #ดอยอินทนนท์ #อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์
    เชียงใหม่-"ดอยอินทนนท์"แช่แข็ง!ยอดหญ้าต่ำกว่าจุดเยือกแข็งต่อเนื่อง ล่าสุดติดลบ 1.7องศาเซลเซียส ทำเกิด "เหมยขาบ"ติดต่อกันเป็นวันที่5 แล้ว ขณะที่นักท่องเที่ยวยังคงคึกคักท้าลมหนาวต่ำสุด 3 องศาเซลเซียส • รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงใหม่แจ้งว่า เช้าวันนี้ (15 ม.ค. 68) สภาพอากาศที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ยังคงหนาวเย็นจัดต่อเนื่อง พร้อมทั้งเกิดปรากฏการณ์น้ำค้างแข็ง หรือ "เหมยขาบ"ขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่5 และนับเป็นครั้งที่19 ของฤดูหนาวปีนี้ โดยพบน้ำค้างแข็งเกิดขึ้นที่บริเวณกิ่วแม่ปานและยอดดอย ความตื่นเต้นดีใจให้กับนักท่องเที่ยว ที่ต่างพากันถ่ายภาพเป็นที่ระลึกอย่างประทับใจ • ทั้งนี้อุณหภูมิต่ำสุดเช้าวันนี้ที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ วัดได้ 3 องศาเซลเซียส ที่กิ่วแม่ปาน ซึ่งยอดหญ้าวัดอุณหภูมิได้ติดลบ 1.7 องศาเซลเซียส ขณะที่บริเวณยอดดอยวัดอุณหภูมิต่ำสุดได้ 5 องศาเซลเซียส และยอดหญ้าวัดอุณหภูมิต่ำสุดได้ติดลบ 0.9 องศาเซลเซียส • สำหรับการท่องเที่ยวในพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์นั้น ช่วงเช้าวันนี้พบว่าประชาชนและนักท่องเที่ยวยังคงต่างพากันท้าลมหนาวชมธรรมชาติกันอย่างคึกคัก แต่ไม่มากเท่าช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยสถิตินักท่องเที่ยวเมื่อวันที่ 14 ม.ค. 68 มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 4,273 คน แบ่งเป็น คนไทย 2,817 คน ชาวต่างชาติ 1,456 คน ยานพาหนะ 1,140 คัน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/local/detail/9680000004326 • #MGROnline #เชียงใหม่ #ดอยอินทนนท์ #อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 184 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ใช่แค่คนไทยโดนหลอกครับ

    หญิงชาวฝรั่งเศสชื่อ Anne ถูกหลอกลวงกว่า 800,000 ดอลลาร์ หลังจากถูกติดต่อผ่านบัญชี Instagram ที่แสร้งเป็น Brad Pitt นักต้มตุ๋นใช้วิดีโอที่สร้างด้วย AI และภาพที่แก้ไขเพื่อยืนยันตัวตนว่าเป็นดาราฮอลลีวูด โดยอ้างว่าต้องการเงินด่วนสำหรับการรักษาไตและไม่สามารถเข้าถึงบัญชีธนาคารได้เนื่องจากการหย่าร้างกับ Angelina Jolie

    Anne ซึ่งกำลังเผชิญกับปัญหาชีวิตสมรสกับสามีเศรษฐีของเธอ ทำให้เธอตกเป็นเหยื่อของนักต้มตุ๋นออนไลน์ที่ติดต่อเธอในเดือนกุมภาพันธ์ 2023 ผ่าน Instagram การแลกเปลี่ยนข้อความที่น่าพอใจในตอนแรกกลายเป็นความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความรัก โดย Brad Pitt ที่สร้างด้วย AI ส่งบทกวีและข้อความที่ทำให้ Anne หลงรักเขา

    แม้ว่า Anne จะสงสัยว่าบัญชีนี้เป็นของปลอม แต่ข้อความที่ส่งมาอย่างต่อเนื่องพร้อมกับวิดีโอและภาพที่สร้างด้วย AI ทำให้เธอเชื่อใจในที่สุด Brad Pitt ปลอมได้ขอให้เธอจ่ายค่าธรรมเนียมศุลกากรเพื่อรับของขวัญที่สัญญาไว้ ซึ่งเริ่มต้นที่ 9,000 ยูโร หรือประมาณ 9,231 ดอลลาร์

    เมื่อ Anne บอกว่าเธอคาดว่าจะได้รับเงินจากการหย่าร้าง นักต้มตุ๋นใช้โอกาสนี้เพื่อหลอกลวงเงินจำนวนมากขึ้น โดยอ้างว่าต้องการเงินด่วนสำหรับการรักษามะเร็งไต และไม่สามารถเข้าถึงเงินของเขาได้เนื่องจากการหย่าร้างกับ Angelina Jolie

    Anne ได้ส่งเงินกว่า 800,000 ยูโร หรือมากกว่า 850,000 ดอลลาร์ ให้กับนักต้มตุ๋น ก่อนที่จะรู้ความจริงเมื่อเห็น Brad Pitt กับแฟนใหม่ของเขา Ines de Ramon ปัจจุบัน Anne กำลังรักษาตัวในคลินิกและมีภาวะซึมเศร้าอย่างรุนแรงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

    https://wccf.tech/1ftbc
    ไม่ใช่แค่คนไทยโดนหลอกครับ หญิงชาวฝรั่งเศสชื่อ Anne ถูกหลอกลวงกว่า 800,000 ดอลลาร์ หลังจากถูกติดต่อผ่านบัญชี Instagram ที่แสร้งเป็น Brad Pitt นักต้มตุ๋นใช้วิดีโอที่สร้างด้วย AI และภาพที่แก้ไขเพื่อยืนยันตัวตนว่าเป็นดาราฮอลลีวูด โดยอ้างว่าต้องการเงินด่วนสำหรับการรักษาไตและไม่สามารถเข้าถึงบัญชีธนาคารได้เนื่องจากการหย่าร้างกับ Angelina Jolie Anne ซึ่งกำลังเผชิญกับปัญหาชีวิตสมรสกับสามีเศรษฐีของเธอ ทำให้เธอตกเป็นเหยื่อของนักต้มตุ๋นออนไลน์ที่ติดต่อเธอในเดือนกุมภาพันธ์ 2023 ผ่าน Instagram การแลกเปลี่ยนข้อความที่น่าพอใจในตอนแรกกลายเป็นความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความรัก โดย Brad Pitt ที่สร้างด้วย AI ส่งบทกวีและข้อความที่ทำให้ Anne หลงรักเขา แม้ว่า Anne จะสงสัยว่าบัญชีนี้เป็นของปลอม แต่ข้อความที่ส่งมาอย่างต่อเนื่องพร้อมกับวิดีโอและภาพที่สร้างด้วย AI ทำให้เธอเชื่อใจในที่สุด Brad Pitt ปลอมได้ขอให้เธอจ่ายค่าธรรมเนียมศุลกากรเพื่อรับของขวัญที่สัญญาไว้ ซึ่งเริ่มต้นที่ 9,000 ยูโร หรือประมาณ 9,231 ดอลลาร์ เมื่อ Anne บอกว่าเธอคาดว่าจะได้รับเงินจากการหย่าร้าง นักต้มตุ๋นใช้โอกาสนี้เพื่อหลอกลวงเงินจำนวนมากขึ้น โดยอ้างว่าต้องการเงินด่วนสำหรับการรักษามะเร็งไต และไม่สามารถเข้าถึงเงินของเขาได้เนื่องจากการหย่าร้างกับ Angelina Jolie Anne ได้ส่งเงินกว่า 800,000 ยูโร หรือมากกว่า 850,000 ดอลลาร์ ให้กับนักต้มตุ๋น ก่อนที่จะรู้ความจริงเมื่อเห็น Brad Pitt กับแฟนใหม่ของเขา Ines de Ramon ปัจจุบัน Anne กำลังรักษาตัวในคลินิกและมีภาวะซึมเศร้าอย่างรุนแรงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น https://wccf.tech/1ftbc
    WCCF.TECH
    Scammer Deprived A Woman Out Of Over $800,000 By Pretending To Be Brad Pitt Using AI-Generated Videos And Edited Images
    A person scammed a woman out of over $800,000 by using AI-generated videos to pretend that he was Brad Pitt
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 134 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ได้ประกาศหยุดการจ้างงานในส่วนหนึ่งของธุรกิจที่ปรึกษาในสหรัฐฯ เพื่อเป็นมาตรการลดค่าใช้จ่าย รายงานจาก CNBC ระบุว่า การตัดสินใจนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการจัดการค่าใช้จ่ายโดยรวมของบริษัท เนื่องจาก Microsoft ยังคงลงทุนในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างต่อเนื่อง

    เมื่อต้นเดือนนี้ Microsoft ได้ประกาศแผนการลงทุนประมาณ 80 พันล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2025 เพื่อพัฒนาศูนย์ข้อมูลสำหรับการฝึกอบรมโมเดล AI และการใช้งานแอปพลิเคชันบนคลาวด์

    Derek Danois ผู้บริหารฝ่ายที่ปรึกษาของ Microsoft ได้แจ้งพนักงานว่าหน่วยงานที่ปรึกษาจะหยุดการจ้างงานใหม่และการเติมตำแหน่งที่ว่าง เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ พนักงานยังได้รับคำสั่งให้ไม่เบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางสำหรับการประชุมภายใน และใช้การประชุมทางไกลแทน

    การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นไปตามนโยบายขององค์กร Microsoft Customer and Partner Solutions ซึ่งมีพนักงานประมาณ 60,000 คน รายงานยังระบุว่าหน่วยงานที่ปรึกษาจะลดการใช้จ่ายด้านการตลาดและทรัพยากรภายนอกที่ไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้ลง 35%

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/01/15/microsoft-halts-hiring-in-us-consulting-unit-as-cost-cutting-measure-cnbc-reports
    Microsoft ได้ประกาศหยุดการจ้างงานในส่วนหนึ่งของธุรกิจที่ปรึกษาในสหรัฐฯ เพื่อเป็นมาตรการลดค่าใช้จ่าย รายงานจาก CNBC ระบุว่า การตัดสินใจนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการจัดการค่าใช้จ่ายโดยรวมของบริษัท เนื่องจาก Microsoft ยังคงลงทุนในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างต่อเนื่อง เมื่อต้นเดือนนี้ Microsoft ได้ประกาศแผนการลงทุนประมาณ 80 พันล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2025 เพื่อพัฒนาศูนย์ข้อมูลสำหรับการฝึกอบรมโมเดล AI และการใช้งานแอปพลิเคชันบนคลาวด์ Derek Danois ผู้บริหารฝ่ายที่ปรึกษาของ Microsoft ได้แจ้งพนักงานว่าหน่วยงานที่ปรึกษาจะหยุดการจ้างงานใหม่และการเติมตำแหน่งที่ว่าง เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ พนักงานยังได้รับคำสั่งให้ไม่เบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางสำหรับการประชุมภายใน และใช้การประชุมทางไกลแทน การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นไปตามนโยบายขององค์กร Microsoft Customer and Partner Solutions ซึ่งมีพนักงานประมาณ 60,000 คน รายงานยังระบุว่าหน่วยงานที่ปรึกษาจะลดการใช้จ่ายด้านการตลาดและทรัพยากรภายนอกที่ไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้ลง 35% https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/01/15/microsoft-halts-hiring-in-us-consulting-unit-as-cost-cutting-measure-cnbc-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Microsoft halts hiring in US consulting unit as cost-cutting measure, CNBC reports
    (Reuters) - Microsoft is planning to halt hiring in part of its consulting business in the U.S. in a bid to cut costs, CNBC reported on Tuesday, citing an internal memo.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผลลัพธ์จากการโจมตีฉนวนกาซาของอิสราเอล แม้ว่าจะมีรายงานถึงความคืบหน้าในการเจรจาหยุดยิงใกล้บรรลุผลแล้ว แต่อิสราเอลยังคงเดินหน้าโจมตีในฉนวนกาซาอย่างต่อเนื่อง
    ผลลัพธ์จากการโจมตีฉนวนกาซาของอิสราเอล แม้ว่าจะมีรายงานถึงความคืบหน้าในการเจรจาหยุดยิงใกล้บรรลุผลแล้ว แต่อิสราเอลยังคงเดินหน้าโจมตีในฉนวนกาซาอย่างต่อเนื่อง
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 275 มุมมอง 23 0 รีวิว
  • ✴ เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ผมเฝ้าติดตามการเสียชีวิตโดยรวมจากทุกสาเหตุของคนไทย โดยเข้าไปที่ฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย หลังจากทบทวนข้อมูลย้อนหลังหลายปีที่ผ่านมา
    สิ่งที่ทำให้ผมข้องใจ และตั้งคำถามมาตลอดคือ เหตุใดคนไทยจึงเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น ทั้งที่การระบาดของโควิดลดลง เพราะว่าถ้าเป็นการเสียชีวิตจากการระบาดของโควิด เมื่อการระบาดจบลงการเสียชีวิตย่อมต้องลดลงไปใกล้เคียงกับการเสียชีวิตก่อนการระบาด หรือถ้าจะโทษการปิดบ้านปิดเมืองว่าเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต
    เมื่อเปิดบ้านเปิดเมืองตามปกติ การเสียชีวิตก็ควรจะต้องลดลงมาใกล้เคียงกับก่อนปิดบ้านปิดเมือง แต่ตัวเลขสถิติที่เห็นไม่ได้เป็นเช่นนั้น
    🔸️ในปี 2562 (2019) ก่อนการระบาดของเชื้อโควิด (อย่าลืมว่าบ้านเราเริ่มระบาดปี 2563 หรือ ค.ศ. 2020) คนไทยเสียชีวิตโดยรวมทั้งปี 506,221 ราย ไม่มีเสียชีวิตจากโควิดเลย
    🔸️ในปี 2563 (2020) ปีเริ่มระบาด ปีที่ยังไม่มีวัคซีน คนไทยเสียชีวิตโดยรวม "ลดลง" เหลือ 501,438 ราย มีผู้เสียชีวิตจากโควิด 61 ราย
    🔸️ปี 2564 (2021) การระบาดรุนแรง เสียชีวิตจากโควิดรวม 21,637 ราย เป็นปีที่มีการเสียชีวิตจากโควิดมากที่สุด ปีนั้นคนไทยเสียชีวิตโดยรวม 563,650 ราย ปีนี้เป็นปีที่มีการเริ่มต้นฉีดวัคซีน โดยเริ่มจากวันที่ 28 กพ เริ่มฉีด ชิโนแวค และ แอสตร้าเซนเนก้า วันที่ 25 มิย เริ่มฉีดชิโนฟาร์ม วันที่ 30 กค เริ่มฉีดไฟเซอร์ และวันที่ 9 พย เริ่มฉีดโมเดอร์นา
    🔸️ปี 2565 (2022) ปีนั้น การระบาดเริ่มสงบลง เชื้อกลายพันธุ์ ลดความรุนแรง คนไทยเสียชีวิตจากโควิดลดลงเหลือ 11,073 ราย แต่คนไทยเสียชีวิตโดยรวมเพิ่มขึ้นเป็น 595,965 ราย ทั้งที่การระบาดยุติ เปิดบ้านเปิดเมืองตามปกติ และที่สำคัญคนไทยฉีดวัคซีนไปมากมาย
    🔸️ปี 2566 (2023) ปีนี้การระบาดยุติ การเสียชีวิตจากโควิดทั้งปี เหลือ 852 ราย แต่การเสียชีวิตจากทุกสาเหตุรวมกันยังคงสูงถึง 565,992 ราย
    ปีล่าสุดที่พึ่งผ่านมา
    🔸️2567 (2024) โควิดเงียบสงบมาก ทั้งปีเสียชีวิตจากโควิดเพียง 220 ราย แต่การเสียชีวิตโดยรวมจากทุกสาเหตุ สูงถึง 571,646 ราย หรือสูงกว่าปี 2562 ก่อนการระบาดของโควิด 65,425 ราย มากกว่า การเสียชีวิตจากโควิดตั้งแต่เริ่มมีการระบาดรวมกันทั้งหมด

    Figure 1จำนวนผู้เสียชีวิตรวมทุกสาเหตุรายปีตั้งแต่ปี 2558 ถึง 2567

    ❓คำถามคือ ทำไม คนไทยยังคงเสียชีวิตในอัตราที่สูงอยู่ทั้งที่การระบาดยุติลง และเป็นการเสียชีวิตในอัตราที่สูงต่อเนื่องกันสามปี ทั้งนี้มีอีกหลายประเทศทั่วโลกที่เผชิญปัญหาเดียวกัน ทั้งที่ประเทศเหล่านั้นไม่มีปัญหาฝุ่น pm 2.5 ไม่มีปัญหา คลื่นความร้อนเหมือนในไทย ปัจจัยเดียวที่พบร่วมกันคือ มีการรณรงค์ให้ฉีดวัคซีนโควิด เหมือนกัน และอัตราการเสียชีวิตที่ผิดปกติเพิ่มขึ้นหลังการระดมฉีดเหมือนกัน ที่น่าสนใจ คือ ประเทศเหล่านั้น รวมทั้งประเทศไทย ไม่สนใจที่จะสืบหาสาเหตุการเสียชีวิตที่ผิดปกติ ไม่มีการนำเสนอข่าวสำคัญนี้ในสื่อกระแสหลัก หรือว่า เรื่องการเสียชีวิตที่ผิดปกตินี้ เป็นอีกเรื่องที่ ขัดกับ narrative ขัดกับความต้องการของบริษัทยา❗ ไม่ต่างจากการปิดบังเรื่องอื่นๆ ของโควิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ต้นกำเนิดของเชื้อโควิด จากห้องทดลอง เรื่องยาถูกดีปลอดภัยที่ใช้รักษาโควิดได้ เรื่องภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติที่ดีกว่า ภูมิคุ้มกันจากวัคซีน หรือเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนโควิด
    😰คำถาม คือ คนไทย หมอไทย จะรอดูคนใกล้ชิด ล้มตายก่อนวัยอันควร โดยไม่ทำอะไรกันเลยหรือ?ปัญหาใดๆ ก็ตาม ถ้ายอมรับและลงมือแก้ไข ย่อมมีทางแก้ปัญหาเสมอ แต่การวิ่งหนีปัญหา ไม่ยอมรับรังแต่จะทำให้ปัญหานั้นทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อรู้ตัว อาจจะสายไปแล้ว

    Figure 2 จำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตจากโควิดตั้งแต่เริ่มการระบาด

    Figure 3 จำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตจากโควิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565

    Figure 4 จำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตจากโควิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566

    Figure 5 จำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตจากโควิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567

    ไฟล์PDF
    https://drive.google.com/file/d/1mfgjiKEyCTfccFf_TcdVjDmS0jvJwzPa/view?usp=drivesdk

    https://www.facebook.com/share/p/15vyAPBgac/
    นิลฉงน นลเฉลย

    นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง
    อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    ✴ เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ผมเฝ้าติดตามการเสียชีวิตโดยรวมจากทุกสาเหตุของคนไทย โดยเข้าไปที่ฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย หลังจากทบทวนข้อมูลย้อนหลังหลายปีที่ผ่านมา สิ่งที่ทำให้ผมข้องใจ และตั้งคำถามมาตลอดคือ เหตุใดคนไทยจึงเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น ทั้งที่การระบาดของโควิดลดลง เพราะว่าถ้าเป็นการเสียชีวิตจากการระบาดของโควิด เมื่อการระบาดจบลงการเสียชีวิตย่อมต้องลดลงไปใกล้เคียงกับการเสียชีวิตก่อนการระบาด หรือถ้าจะโทษการปิดบ้านปิดเมืองว่าเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต เมื่อเปิดบ้านเปิดเมืองตามปกติ การเสียชีวิตก็ควรจะต้องลดลงมาใกล้เคียงกับก่อนปิดบ้านปิดเมือง แต่ตัวเลขสถิติที่เห็นไม่ได้เป็นเช่นนั้น 🔸️ในปี 2562 (2019) ก่อนการระบาดของเชื้อโควิด (อย่าลืมว่าบ้านเราเริ่มระบาดปี 2563 หรือ ค.ศ. 2020) คนไทยเสียชีวิตโดยรวมทั้งปี 506,221 ราย ไม่มีเสียชีวิตจากโควิดเลย 🔸️ในปี 2563 (2020) ปีเริ่มระบาด ปีที่ยังไม่มีวัคซีน คนไทยเสียชีวิตโดยรวม "ลดลง" เหลือ 501,438 ราย มีผู้เสียชีวิตจากโควิด 61 ราย 🔸️ปี 2564 (2021) การระบาดรุนแรง เสียชีวิตจากโควิดรวม 21,637 ราย เป็นปีที่มีการเสียชีวิตจากโควิดมากที่สุด ปีนั้นคนไทยเสียชีวิตโดยรวม 563,650 ราย ปีนี้เป็นปีที่มีการเริ่มต้นฉีดวัคซีน โดยเริ่มจากวันที่ 28 กพ เริ่มฉีด ชิโนแวค และ แอสตร้าเซนเนก้า วันที่ 25 มิย เริ่มฉีดชิโนฟาร์ม วันที่ 30 กค เริ่มฉีดไฟเซอร์ และวันที่ 9 พย เริ่มฉีดโมเดอร์นา 🔸️ปี 2565 (2022) ปีนั้น การระบาดเริ่มสงบลง เชื้อกลายพันธุ์ ลดความรุนแรง คนไทยเสียชีวิตจากโควิดลดลงเหลือ 11,073 ราย แต่คนไทยเสียชีวิตโดยรวมเพิ่มขึ้นเป็น 595,965 ราย ทั้งที่การระบาดยุติ เปิดบ้านเปิดเมืองตามปกติ และที่สำคัญคนไทยฉีดวัคซีนไปมากมาย 🔸️ปี 2566 (2023) ปีนี้การระบาดยุติ การเสียชีวิตจากโควิดทั้งปี เหลือ 852 ราย แต่การเสียชีวิตจากทุกสาเหตุรวมกันยังคงสูงถึง 565,992 ราย ปีล่าสุดที่พึ่งผ่านมา 🔸️2567 (2024) โควิดเงียบสงบมาก ทั้งปีเสียชีวิตจากโควิดเพียง 220 ราย แต่การเสียชีวิตโดยรวมจากทุกสาเหตุ สูงถึง 571,646 ราย หรือสูงกว่าปี 2562 ก่อนการระบาดของโควิด 65,425 ราย มากกว่า การเสียชีวิตจากโควิดตั้งแต่เริ่มมีการระบาดรวมกันทั้งหมด Figure 1จำนวนผู้เสียชีวิตรวมทุกสาเหตุรายปีตั้งแต่ปี 2558 ถึง 2567 ❓คำถามคือ ทำไม คนไทยยังคงเสียชีวิตในอัตราที่สูงอยู่ทั้งที่การระบาดยุติลง และเป็นการเสียชีวิตในอัตราที่สูงต่อเนื่องกันสามปี ทั้งนี้มีอีกหลายประเทศทั่วโลกที่เผชิญปัญหาเดียวกัน ทั้งที่ประเทศเหล่านั้นไม่มีปัญหาฝุ่น pm 2.5 ไม่มีปัญหา คลื่นความร้อนเหมือนในไทย ปัจจัยเดียวที่พบร่วมกันคือ มีการรณรงค์ให้ฉีดวัคซีนโควิด เหมือนกัน และอัตราการเสียชีวิตที่ผิดปกติเพิ่มขึ้นหลังการระดมฉีดเหมือนกัน ที่น่าสนใจ คือ ประเทศเหล่านั้น รวมทั้งประเทศไทย ไม่สนใจที่จะสืบหาสาเหตุการเสียชีวิตที่ผิดปกติ ไม่มีการนำเสนอข่าวสำคัญนี้ในสื่อกระแสหลัก หรือว่า เรื่องการเสียชีวิตที่ผิดปกตินี้ เป็นอีกเรื่องที่ ขัดกับ narrative ขัดกับความต้องการของบริษัทยา❗ ไม่ต่างจากการปิดบังเรื่องอื่นๆ ของโควิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ต้นกำเนิดของเชื้อโควิด จากห้องทดลอง เรื่องยาถูกดีปลอดภัยที่ใช้รักษาโควิดได้ เรื่องภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติที่ดีกว่า ภูมิคุ้มกันจากวัคซีน หรือเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนโควิด 😰คำถาม คือ คนไทย หมอไทย จะรอดูคนใกล้ชิด ล้มตายก่อนวัยอันควร โดยไม่ทำอะไรกันเลยหรือ?ปัญหาใดๆ ก็ตาม ถ้ายอมรับและลงมือแก้ไข ย่อมมีทางแก้ปัญหาเสมอ แต่การวิ่งหนีปัญหา ไม่ยอมรับรังแต่จะทำให้ปัญหานั้นทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อรู้ตัว อาจจะสายไปแล้ว Figure 2 จำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตจากโควิดตั้งแต่เริ่มการระบาด Figure 3 จำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตจากโควิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 Figure 4 จำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตจากโควิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 Figure 5 จำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตจากโควิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ไฟล์PDF https://drive.google.com/file/d/1mfgjiKEyCTfccFf_TcdVjDmS0jvJwzPa/view?usp=drivesdk https://www.facebook.com/share/p/15vyAPBgac/ นิลฉงน นลเฉลย นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 220 มุมมอง 0 รีวิว
  • การไล่ล่า ยังคงมีต่อเนื่อง
    คนที่ตื่นรู้จากบทเรียนวัคซีนโควิด ก็จะเข้าใจถึงอันตรายของวัคซีนชนิดอื่นด้วย หนึ่งในนั้นคือ วัคซีน HPV
    ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ มิใช่การมโน จับแพะชนแกะ หรือทฤษฎีสมคบคิด
    เปิดใจศึกษาข้อมูลครับ
    👉 https://www.facebook.com/share/p/14Hd4BwjEu/
    👉 https://www.facebook.com/watch/?ref=saved&v=961500339163260
    👉 https://www.facebook.com/share/p/15tTHUMC73/
    การไล่ล่า ยังคงมีต่อเนื่อง คนที่ตื่นรู้จากบทเรียนวัคซีนโควิด ก็จะเข้าใจถึงอันตรายของวัคซีนชนิดอื่นด้วย หนึ่งในนั้นคือ วัคซีน HPV ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ มิใช่การมโน จับแพะชนแกะ หรือทฤษฎีสมคบคิด เปิดใจศึกษาข้อมูลครับ 👉 https://www.facebook.com/share/p/14Hd4BwjEu/ 👉 https://www.facebook.com/watch/?ref=saved&v=961500339163260 👉 https://www.facebook.com/share/p/15tTHUMC73/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 112 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประเทศไทยซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจีน กำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่ปกติในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ เมื่อกระแสความกังวลด้านความปลอดภัย ส่งผลให้เกิดการยกเลิกการเดินทางจำนวนมาก ทั้งแพกเกจทัวร์และการจองตั๋วเครื่องบิน สร้างแรงสั่นสะเทือนต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยในช่วงเทศกาลที่เคยคึกคักมากที่สุด

    ในช่วงต้นปี 2568 การเดินทางไปไทยของนักท่องเที่ยวจีนเริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยบริษัทท่องเที่ยวและแพลตฟอร์มจองทริปออนไลน์หลายแห่งรายงานว่ามียอดยกเลิกการจองแพกเกจทัวร์และตั๋วเครื่องบินในปริมาณมาก

    บริษัทท่องเที่ยวในเซี่ยงไฮ้ รายงานว่ายอดการยกเลิกแพกเกจทัวร์ไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา บางบริษัทระบุว่าสัดส่วนการยกเลิกสูงถึง 30% ของจำนวนการจองทั้งหมด

    ผู้ใช้โซเชียลมีเดียจีน หลายคนแสดงความเห็นว่าพวกเขาเลือกยกเลิกการเดินทางแม้จะต้องเสียค่าใช้จ่าย เช่น ค่าตั๋วเครื่องบินที่ไม่ได้รับคืนเต็มจำนวน ค่าแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ หรือค่าซิมการ์ด รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 1,650 หยวน (ประมาณ 8,212 บาท) ต่อคน พวกเขายอมรับว่าความปลอดภัยสำคัญกว่า

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/china/detail/9680000003971

    #MGROnline #นักท่องเที่ยวจีน #ยกเลิกแพกเกจทัวร์ไทย
    ประเทศไทยซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจีน กำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่ปกติในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ เมื่อกระแสความกังวลด้านความปลอดภัย ส่งผลให้เกิดการยกเลิกการเดินทางจำนวนมาก ทั้งแพกเกจทัวร์และการจองตั๋วเครื่องบิน สร้างแรงสั่นสะเทือนต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยในช่วงเทศกาลที่เคยคึกคักมากที่สุด • ในช่วงต้นปี 2568 การเดินทางไปไทยของนักท่องเที่ยวจีนเริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยบริษัทท่องเที่ยวและแพลตฟอร์มจองทริปออนไลน์หลายแห่งรายงานว่ามียอดยกเลิกการจองแพกเกจทัวร์และตั๋วเครื่องบินในปริมาณมาก • บริษัทท่องเที่ยวในเซี่ยงไฮ้ รายงานว่ายอดการยกเลิกแพกเกจทัวร์ไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา บางบริษัทระบุว่าสัดส่วนการยกเลิกสูงถึง 30% ของจำนวนการจองทั้งหมด • ผู้ใช้โซเชียลมีเดียจีน หลายคนแสดงความเห็นว่าพวกเขาเลือกยกเลิกการเดินทางแม้จะต้องเสียค่าใช้จ่าย เช่น ค่าตั๋วเครื่องบินที่ไม่ได้รับคืนเต็มจำนวน ค่าแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ หรือค่าซิมการ์ด รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 1,650 หยวน (ประมาณ 8,212 บาท) ต่อคน พวกเขายอมรับว่าความปลอดภัยสำคัญกว่า • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/china/detail/9680000003971 • #MGROnline #นักท่องเที่ยวจีน #ยกเลิกแพกเกจทัวร์ไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 205 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทิศทาง Kurakhove
    ภาพวิดีโอแสดงให้เห็นว่าทหารรัสเซียบุกเข้าถึงเขตแนวป้อมปราการแรกในหมู่บ้าน Andriivka ทางทิศตะวันตกของ Shevchenko แล้ว

    แนวป้อมปราการของยูเครนที่นี่มีความยาวต่อเนื่องกันหลายหมู่บ้าน ซึ่งได้รับการก่อสร้างมาหลายปี เป็นแนวรับสุดท้ายของภูมิภาค Donetsk ในทิศทางนี้ ก่อนจะเข้าสู่ภูมิภาค Dnipro
    ทิศทาง Kurakhove ภาพวิดีโอแสดงให้เห็นว่าทหารรัสเซียบุกเข้าถึงเขตแนวป้อมปราการแรกในหมู่บ้าน Andriivka ทางทิศตะวันตกของ Shevchenko แล้ว แนวป้อมปราการของยูเครนที่นี่มีความยาวต่อเนื่องกันหลายหมู่บ้าน ซึ่งได้รับการก่อสร้างมาหลายปี เป็นแนวรับสุดท้ายของภูมิภาค Donetsk ในทิศทางนี้ ก่อนจะเข้าสู่ภูมิภาค Dnipro
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 210 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความสุขและความพอใจที่แท้จริง

    การเข้าใจธรรมชาติของ ความอยาก และการเจริญสติรู้เท่าทันจิตใจเป็นหัวใจสำคัญของการปลดเปลื้องตัวเองจากความทุกข์


    ---

    1. ต้นเหตุของความทุกข์คือความอยาก

    ความอยากในกาม: การปรารถนาสิ่งที่น่าพอใจผ่านตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

    ความอยากมี อยากเป็น: การดิ้นรนเพื่อให้ได้สถานะ ชื่อเสียง ทรัพย์สิน หรือสิ่งที่ปรารถนา

    ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น: การปฏิเสธหรือผลักไสสิ่งที่ไม่พอใจ


    สิ่งเหล่านี้เป็นแรงผลักดันที่ทำให้จิตใจไม่สงบ เกิดความกระวนกระวายและทุกข์อย่างต่อเนื่อง


    ---

    2. ความอยากทำให้จิตเพี้ยน

    มองสิ่งที่อยากได้ผิดเพี้ยน: เมื่ออยากได้มาก สิ่งนั้นจะดูดีเกินจริง มีเสน่ห์เกินจริง

    ความหลงที่เกิดจากความอยาก: จิตที่ถูกครอบงำด้วยความอยากจะฟุ้งซ่าน ขาดความเป็นกลาง และไร้เหตุผล

    เมื่อได้มาแล้ว ความอยากนั้นจะลดลง และค่าของสิ่งที่ได้มาเริ่มจางหาย กลายเป็นธรรมดา



    ---

    3. การเจริญสติรู้ทันความอยาก

    สังเกตความอยาก: เมื่อความอยากเกิดขึ้น ให้รู้ทันว่าความอยากนั้นกำลังทำให้จิตใจผิดเพี้ยน

    เห็นธรรมชาติของจิต: เห็นว่าจิตแปรปรวนไปตามความอยาก และสุดท้ายจะลงเอยด้วยความรู้สึก “เฉยๆ”

    สติชั้นสูง: การสังเกตความอยากจนเกิดความเข้าใจในความเป็นธรรมดาของสิ่งต่างๆ จะทำให้จิตสงบและลดการยึดมั่น



    ---

    4. วิธีฝึกใจให้พอจริง

    ฝึกมองสิ่งที่มีด้วยใจเปิดกว้าง: เห็นคุณค่าในสิ่งที่มีอยู่โดยไม่ปรุงแต่ง

    ยอมรับความธรรมดา: ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือเลว เห็นมันตามที่เป็น ไม่ใช่ตามที่ใจปรุงแต่ง

    อยู่กับปัจจุบัน: หายใจเข้า-ออก พร้อมกับรู้ตัวในสิ่งที่ทำในขณะนั้น



    ---

    สรุป

    ความสุขที่แท้จริงเกิดจากการฝึกจิตให้รู้เท่าทันความอยาก และไม่ปล่อยให้มันครอบงำใจ การรู้จักพอใจในสิ่งที่มี และการมองทุกสิ่งด้วยสายตาที่เป็นกลาง จะทำให้คุณพบกับความสงบสุขและความอิ่มเอมในชีวิตอย่างยั่งยืน!

    ความสุขและความพอใจที่แท้จริง การเข้าใจธรรมชาติของ ความอยาก และการเจริญสติรู้เท่าทันจิตใจเป็นหัวใจสำคัญของการปลดเปลื้องตัวเองจากความทุกข์ --- 1. ต้นเหตุของความทุกข์คือความอยาก ความอยากในกาม: การปรารถนาสิ่งที่น่าพอใจผ่านตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ความอยากมี อยากเป็น: การดิ้นรนเพื่อให้ได้สถานะ ชื่อเสียง ทรัพย์สิน หรือสิ่งที่ปรารถนา ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น: การปฏิเสธหรือผลักไสสิ่งที่ไม่พอใจ สิ่งเหล่านี้เป็นแรงผลักดันที่ทำให้จิตใจไม่สงบ เกิดความกระวนกระวายและทุกข์อย่างต่อเนื่อง --- 2. ความอยากทำให้จิตเพี้ยน มองสิ่งที่อยากได้ผิดเพี้ยน: เมื่ออยากได้มาก สิ่งนั้นจะดูดีเกินจริง มีเสน่ห์เกินจริง ความหลงที่เกิดจากความอยาก: จิตที่ถูกครอบงำด้วยความอยากจะฟุ้งซ่าน ขาดความเป็นกลาง และไร้เหตุผล เมื่อได้มาแล้ว ความอยากนั้นจะลดลง และค่าของสิ่งที่ได้มาเริ่มจางหาย กลายเป็นธรรมดา --- 3. การเจริญสติรู้ทันความอยาก สังเกตความอยาก: เมื่อความอยากเกิดขึ้น ให้รู้ทันว่าความอยากนั้นกำลังทำให้จิตใจผิดเพี้ยน เห็นธรรมชาติของจิต: เห็นว่าจิตแปรปรวนไปตามความอยาก และสุดท้ายจะลงเอยด้วยความรู้สึก “เฉยๆ” สติชั้นสูง: การสังเกตความอยากจนเกิดความเข้าใจในความเป็นธรรมดาของสิ่งต่างๆ จะทำให้จิตสงบและลดการยึดมั่น --- 4. วิธีฝึกใจให้พอจริง ฝึกมองสิ่งที่มีด้วยใจเปิดกว้าง: เห็นคุณค่าในสิ่งที่มีอยู่โดยไม่ปรุงแต่ง ยอมรับความธรรมดา: ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือเลว เห็นมันตามที่เป็น ไม่ใช่ตามที่ใจปรุงแต่ง อยู่กับปัจจุบัน: หายใจเข้า-ออก พร้อมกับรู้ตัวในสิ่งที่ทำในขณะนั้น --- สรุป ความสุขที่แท้จริงเกิดจากการฝึกจิตให้รู้เท่าทันความอยาก และไม่ปล่อยให้มันครอบงำใจ การรู้จักพอใจในสิ่งที่มี และการมองทุกสิ่งด้วยสายตาที่เป็นกลาง จะทำให้คุณพบกับความสงบสุขและความอิ่มเอมในชีวิตอย่างยั่งยืน!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 139 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts