• ญี่ปุ่นรื้อกฎคริปโตครั้งใหญ่ , ดึงเข้ากรอบอินไซเดอร์เทรดดิ้ง–ลดภาษีกำไรเหลือ 20% เทียบตลาดทุน เปิดทางธนาคาร–ประกันขายคริปโต หวังยกระดับโปร่งใส-สกัดปั่นราคา

    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000109751

    #คริปโต #ญี่ปุ่น #สินทรัพย์ดิจิทัล #กฎคริปโต #ตลาดทุน #News1live #News1
    ญี่ปุ่นรื้อกฎคริปโตครั้งใหญ่ , ดึงเข้ากรอบอินไซเดอร์เทรดดิ้ง–ลดภาษีกำไรเหลือ 20% เทียบตลาดทุน เปิดทางธนาคาร–ประกันขายคริปโต หวังยกระดับโปร่งใส-สกัดปั่นราคา • อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000109751 • #คริปโต #ญี่ปุ่น #สินทรัพย์ดิจิทัล #กฎคริปโต #ตลาดทุน #News1live #News1
    0 Comments 0 Shares 6 Views 0 Reviews
  • Intel Advanced Packaging ดึงดูดสายตา Apple และ Qualcomm

    Intel แม้จะล้าหลังในธุรกิจการผลิตชิป แต่กลับมีจุดแข็งในด้าน เทคโนโลยี Advanced Packaging โดยเฉพาะ EMIB (Embedded Multi-Die Interconnect Bridge) และ Foveros 3D Packaging ที่ช่วยเชื่อมต่อและซ้อนชิปหลายตัวในแพ็กเกจเดียว เพิ่มความหนาแน่นและประสิทธิภาพโดยไม่ต้องใช้ interposer ขนาดใหญ่แบบ CoWoS ของ TSMC

    ความสนใจจาก Apple และ Qualcomm
    ข้อมูลจากประกาศรับสมัครงานเผยว่า Apple กำลังหาวิศวกร DRAM Packaging ที่มีประสบการณ์กับ EMIB และเทคโนโลยีขั้นสูงอื่น ๆ ขณะที่ Qualcomm กำลังหาผู้จัดการผลิตภัณฑ์ด้าน Data Center ที่ต้องคุ้นเคยกับ EMIB เช่นกัน นี่สะท้อนว่าทั้งสองบริษัทกำลังพิจารณา Intel เป็นพันธมิตรด้านการผลิตชิปในอนาคต

    ปัญหาคอขวดของ TSMC
    TSMC ครองตลาด Advanced Packaging มานาน แต่กำลังเจอ Supply Bottleneck จากคำสั่งซื้อจำนวนมหาศาลของ NVIDIA และ AMD ทำให้ลูกค้าใหม่ถูกจัดลำดับความสำคัญต่ำลง Intel จึงมีโอกาสใช้จุดแข็งนี้ดึงดูดบริษัทที่ต้องการความมั่นคงด้านการผลิต

    มุมมองจากอุตสาหกรรม
    แม้การประกาศรับสมัครงานไม่ได้ยืนยันการใช้เทคโนโลยี Intel อย่างเป็นทางการ แต่ก็เป็นสัญญาณว่าตลาดเริ่มมองหา ทางเลือกใหม่ เพื่อลดการพึ่งพา TSMC Jensen Huang ซีอีโอของ NVIDIA ยังเคยกล่าวชื่นชม Foveros ว่าเป็นเทคโนโลยีที่น่าจับตามอง ซึ่งอาจช่วยให้ Intelกลับมาแข่งขันได้ในตลาด Foundry

    สรุปสาระสำคัญ
    เทคโนโลยี Advanced Packaging ของ Intel
    EMIB: เชื่อมต่อหลายชิปโดยไม่ต้องใช้ interposer ขนาดใหญ่
    Foveros: ซ้อนชิปแบบ 3D เพิ่มความหนาแน่นและประสิทธิภาพ

    ความสนใจจาก Apple และ Qualcomm
    Apple หาวิศวกร DRAM Packaging ที่มีประสบการณ์ EMIB
    Qualcomm หาผู้จัดการผลิตภัณฑ์ Data Center ที่คุ้นเคย EMIB

    โอกาสจากปัญหาของ TSMC
    Supply Bottleneck จากคำสั่งซื้อ NVIDIA และ AMD
    ลูกค้าใหม่ถูกจัดลำดับความสำคัญต่ำลง

    มุมมองจากอุตสาหกรรม
    NVIDIA ซีอีโอชื่นชม Foveros
    ตลาดเริ่มมองหา “ทางเลือกใหม่” เพื่อลดการพึ่งพา TSMC

    ข้อควรระวัง
    การประกาศรับสมัครงานยังไม่ใช่การยืนยันการใช้จริง
    Intel ต้องพิสูจน์ความเสถียรและ Yield ของเทคโนโลยี
    การแข่งขันกับ TSMC ยังเป็นความท้าทายใหญ่

    https://wccftech.com/intel-advanced-packaging-attracts-attention-from-apple-and-qualcomm/
    🖥️ Intel Advanced Packaging ดึงดูดสายตา Apple และ Qualcomm Intel แม้จะล้าหลังในธุรกิจการผลิตชิป แต่กลับมีจุดแข็งในด้าน เทคโนโลยี Advanced Packaging โดยเฉพาะ EMIB (Embedded Multi-Die Interconnect Bridge) และ Foveros 3D Packaging ที่ช่วยเชื่อมต่อและซ้อนชิปหลายตัวในแพ็กเกจเดียว เพิ่มความหนาแน่นและประสิทธิภาพโดยไม่ต้องใช้ interposer ขนาดใหญ่แบบ CoWoS ของ TSMC 📈 ความสนใจจาก Apple และ Qualcomm ข้อมูลจากประกาศรับสมัครงานเผยว่า Apple กำลังหาวิศวกร DRAM Packaging ที่มีประสบการณ์กับ EMIB และเทคโนโลยีขั้นสูงอื่น ๆ ขณะที่ Qualcomm กำลังหาผู้จัดการผลิตภัณฑ์ด้าน Data Center ที่ต้องคุ้นเคยกับ EMIB เช่นกัน นี่สะท้อนว่าทั้งสองบริษัทกำลังพิจารณา Intel เป็นพันธมิตรด้านการผลิตชิปในอนาคต ⚡ ปัญหาคอขวดของ TSMC TSMC ครองตลาด Advanced Packaging มานาน แต่กำลังเจอ Supply Bottleneck จากคำสั่งซื้อจำนวนมหาศาลของ NVIDIA และ AMD ทำให้ลูกค้าใหม่ถูกจัดลำดับความสำคัญต่ำลง Intel จึงมีโอกาสใช้จุดแข็งนี้ดึงดูดบริษัทที่ต้องการความมั่นคงด้านการผลิต 🌍 มุมมองจากอุตสาหกรรม แม้การประกาศรับสมัครงานไม่ได้ยืนยันการใช้เทคโนโลยี Intel อย่างเป็นทางการ แต่ก็เป็นสัญญาณว่าตลาดเริ่มมองหา ทางเลือกใหม่ เพื่อลดการพึ่งพา TSMC Jensen Huang ซีอีโอของ NVIDIA ยังเคยกล่าวชื่นชม Foveros ว่าเป็นเทคโนโลยีที่น่าจับตามอง ซึ่งอาจช่วยให้ Intelกลับมาแข่งขันได้ในตลาด Foundry 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ เทคโนโลยี Advanced Packaging ของ Intel ➡️ EMIB: เชื่อมต่อหลายชิปโดยไม่ต้องใช้ interposer ขนาดใหญ่ ➡️ Foveros: ซ้อนชิปแบบ 3D เพิ่มความหนาแน่นและประสิทธิภาพ ✅ ความสนใจจาก Apple และ Qualcomm ➡️ Apple หาวิศวกร DRAM Packaging ที่มีประสบการณ์ EMIB ➡️ Qualcomm หาผู้จัดการผลิตภัณฑ์ Data Center ที่คุ้นเคย EMIB ✅ โอกาสจากปัญหาของ TSMC ➡️ Supply Bottleneck จากคำสั่งซื้อ NVIDIA และ AMD ➡️ ลูกค้าใหม่ถูกจัดลำดับความสำคัญต่ำลง ✅ มุมมองจากอุตสาหกรรม ➡️ NVIDIA ซีอีโอชื่นชม Foveros ➡️ ตลาดเริ่มมองหา “ทางเลือกใหม่” เพื่อลดการพึ่งพา TSMC ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ การประกาศรับสมัครงานยังไม่ใช่การยืนยันการใช้จริง ⛔ Intel ต้องพิสูจน์ความเสถียรและ Yield ของเทคโนโลยี ⛔ การแข่งขันกับ TSMC ยังเป็นความท้าทายใหญ่ https://wccftech.com/intel-advanced-packaging-attracts-attention-from-apple-and-qualcomm/
    WCCFTECH.COM
    Intel’s ‘Advanced Packaging’ Attracts Attention From Apple and Qualcomm, Potentially Opening a New Frontier for the Foundry Business
    Intel might have been lagging behind in the chip business, but when it comes to advanced packaging, the firm has competitive options.
    0 Comments 0 Shares 34 Views 0 Reviews
  • Samsung ป้อนชิป 2nm GAA ให้บริษัทเหมืองคริปโตจีน

    Samsung กำลังเดินหน้าขยายฐานลูกค้าในธุรกิจ Foundry ด้วยการผลิต ชิป 2nm GAA (Gate-All-Around) ให้กับบริษัทเหมืองคริปโตจากจีน ได้แก่ MicroBT และ Canaan ซึ่งถือเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ขุดคริปโตอันดับ 2 และ 3 ของโลก โดยจะใช้ชิปเหล่านี้เป็น “สมอง” ของเครื่องขุดรุ่นใหม่

    รายละเอียดการผลิต
    Samsung ได้เริ่มผลิตชิปสำหรับ MicroBT แล้ว ส่วน Canaan จะเริ่มเข้าสู่สายการผลิตในต้นปี 2026 โดยทั้งหมดจะผลิตที่โรงงาน S3 line ใน Hwaseong, จังหวัด Gyeonggi คำสั่งซื้อจากสองบริษัทนี้คิดเป็นประมาณ 10% ของกำลังการผลิตรวมของ Samsung ในระดับ 2nm หรือราว 2,000 แผ่นเวเฟอร์ 300 มม. ต่อเดือน

    การแข่งขันกับ TSMC
    แม้ Samsung จะได้ลูกค้าใหม่ แต่ Bitmain ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ขุดคริปโตอันดับหนึ่งของโลกยังคงเลือกใช้ TSMC เนื่องจากมั่นใจในเทคโนโลยีและการส่งมอบที่ตรงเวลา นี่สะท้อนให้เห็นว่า Samsung ยังต้องพิสูจน์ความสามารถด้าน Yield และความเสถียรของกระบวนการผลิต 2nm หากต้องการแข่งขันกับ TSMC อย่างจริงจัง

    มุมมองตลาดโลก
    การเข้าสู่ตลาดคริปโตครั้งนี้เป็นสัญญาณว่า Samsung ต้องการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มลูกค้าใหม่ในช่วงที่ตลาดสมาร์ทโฟนและชิปสำหรับผู้บริโภคทั่วไปเริ่มอิ่มตัว นอกจากนี้ยังมีแผนจะผลิตชิป 2nm ที่โรงงานใน Taylor, Texas เพื่อรองรับความต้องการในสหรัฐฯ โดยตั้งเป้าผลิตได้กว่า 15,000 เวเฟอร์ต่อเดือนภายในปี 2027

    สรุปสาระสำคัญ
    การสั่งซื้อชิป 2nm GAA จาก Samsung
    ลูกค้าคือ MicroBT และ Canaan
    ใช้สำหรับเครื่องขุดคริปโตรุ่นใหม่

    กำลังการผลิตและโรงงาน
    ผลิตที่ S3 line ใน Hwaseong
    คิดเป็น 10% ของกำลังการผลิตรวม 2nm

    การแข่งขันกับ TSMC
    Bitmain ยังเลือกใช้ TSMC
    Samsung ต้องพิสูจน์ด้าน Yield และเสถียรภาพ

    กลยุทธ์ระยะยาวของ Samsung
    กระจายฐานลูกค้าไปยังตลาดคริปโต
    เตรียมผลิตชิป 2nm ที่โรงงาน Taylor, Texas

    ข้อควรระวัง
    ตลาดคริปโตมีความผันผวนสูง อาจกระทบต่อคำสั่งซื้อในอนาคต
    หาก Yield ของ Samsung ยังไม่ดีพอ อาจเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้า
    การลงทุนโรงงานใหม่ใช้เวลาหลายปี กว่าจะเห็นผลจริง

    https://wccftech.com/samsung-to-supply-2nm-gaa-chips-to-chinese-mining-companies/
    ⚙️ Samsung ป้อนชิป 2nm GAA ให้บริษัทเหมืองคริปโตจีน Samsung กำลังเดินหน้าขยายฐานลูกค้าในธุรกิจ Foundry ด้วยการผลิต ชิป 2nm GAA (Gate-All-Around) ให้กับบริษัทเหมืองคริปโตจากจีน ได้แก่ MicroBT และ Canaan ซึ่งถือเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ขุดคริปโตอันดับ 2 และ 3 ของโลก โดยจะใช้ชิปเหล่านี้เป็น “สมอง” ของเครื่องขุดรุ่นใหม่ 🏭 รายละเอียดการผลิต Samsung ได้เริ่มผลิตชิปสำหรับ MicroBT แล้ว ส่วน Canaan จะเริ่มเข้าสู่สายการผลิตในต้นปี 2026 โดยทั้งหมดจะผลิตที่โรงงาน S3 line ใน Hwaseong, จังหวัด Gyeonggi คำสั่งซื้อจากสองบริษัทนี้คิดเป็นประมาณ 10% ของกำลังการผลิตรวมของ Samsung ในระดับ 2nm หรือราว 2,000 แผ่นเวเฟอร์ 300 มม. ต่อเดือน 🔄 การแข่งขันกับ TSMC แม้ Samsung จะได้ลูกค้าใหม่ แต่ Bitmain ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ขุดคริปโตอันดับหนึ่งของโลกยังคงเลือกใช้ TSMC เนื่องจากมั่นใจในเทคโนโลยีและการส่งมอบที่ตรงเวลา นี่สะท้อนให้เห็นว่า Samsung ยังต้องพิสูจน์ความสามารถด้าน Yield และความเสถียรของกระบวนการผลิต 2nm หากต้องการแข่งขันกับ TSMC อย่างจริงจัง 🌐 มุมมองตลาดโลก การเข้าสู่ตลาดคริปโตครั้งนี้เป็นสัญญาณว่า Samsung ต้องการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มลูกค้าใหม่ในช่วงที่ตลาดสมาร์ทโฟนและชิปสำหรับผู้บริโภคทั่วไปเริ่มอิ่มตัว นอกจากนี้ยังมีแผนจะผลิตชิป 2nm ที่โรงงานใน Taylor, Texas เพื่อรองรับความต้องการในสหรัฐฯ โดยตั้งเป้าผลิตได้กว่า 15,000 เวเฟอร์ต่อเดือนภายในปี 2027 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การสั่งซื้อชิป 2nm GAA จาก Samsung ➡️ ลูกค้าคือ MicroBT และ Canaan ➡️ ใช้สำหรับเครื่องขุดคริปโตรุ่นใหม่ ✅ กำลังการผลิตและโรงงาน ➡️ ผลิตที่ S3 line ใน Hwaseong ➡️ คิดเป็น 10% ของกำลังการผลิตรวม 2nm ✅ การแข่งขันกับ TSMC ➡️ Bitmain ยังเลือกใช้ TSMC ➡️ Samsung ต้องพิสูจน์ด้าน Yield และเสถียรภาพ ✅ กลยุทธ์ระยะยาวของ Samsung ➡️ กระจายฐานลูกค้าไปยังตลาดคริปโต ➡️ เตรียมผลิตชิป 2nm ที่โรงงาน Taylor, Texas ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ตลาดคริปโตมีความผันผวนสูง อาจกระทบต่อคำสั่งซื้อในอนาคต ⛔ หาก Yield ของ Samsung ยังไม่ดีพอ อาจเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้า ⛔ การลงทุนโรงงานใหม่ใช้เวลาหลายปี กว่าจะเห็นผลจริง https://wccftech.com/samsung-to-supply-2nm-gaa-chips-to-chinese-mining-companies/
    WCCFTECH.COM
    Samsung To Supply 2nm GAA Chips To Two Chinese Cryptocurrency Mining Companies, As It Looks To Extend Its Customer Portfolio Of Its Next-Generation Process
    Aside from the Exynos 2600, Samsung’s 2nm GAA process is also being utilized to mass produce chips for two cryptocurrency mining companies
    0 Comments 0 Shares 38 Views 0 Reviews
  • ผู้ผลิตพีซีเร่งกว้านซื้อ RAM

    รายงานล่าสุดเผยว่า Asus, MSI และผู้ผลิตรายใหญ่ กำลังซื้อหน่วยความจำจำนวนมากทั้งจากสัญญาระยะยาวและตลาด Spot เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการขาดแคลน โดย Asus ระบุว่ามีสต็อกเพียงพอสำหรับการผลิตถึงสิ้นปี 2025 แต่หากสถานการณ์ไม่ดีขึ้นจะเริ่มกระทบในปี 2026

    ราคาพุ่งกระฉูด
    ราคาหน่วยความจำในตลาด Spot เพิ่มขึ้นกว่า 100% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า ร้านค้าบางแห่งในญี่ปุ่นถึงขั้นจำกัดจำนวนการขายต่อหนึ่งลูกค้า และบางรุ่นขาดสต็อกจากผู้จัดจำหน่ายแล้ว ผู้ผลิตโมดูลหน่วยความจำหลายรายต้องเลื่อนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ไปเป็นปี 2026

    สาเหตุหลักจาก AI Data Center
    ความต้องการ HBM (High Bandwidth Memory) และ RDIMM (Registered DIMM) สำหรับศูนย์ข้อมูล AI เป็นตัวการสำคัญที่ดูดซับกำลังการผลิต ทำให้หน่วยความจำสำหรับผู้บริโภคถูกเบียดออกไป ผู้ผลิตชิปจึงหันไปปรับสายการผลิตเพื่อรองรับตลาดที่ทำกำไรสูงกว่า ส่งผลให้ผู้ใช้ทั่วไปต้องเผชิญราคาที่สูงขึ้นและสินค้าที่หายาก

    ความเสี่ยงในอนาคต
    แม้ผู้ผลิตชิปจะทำกำไรสูง แต่หลายฝ่ายเตือนว่าอาจเกิด ฟองสบู่ AI ที่ทำให้ตลาดผันผวน หากความต้องการลดลงกะทันหัน การลงทุนสร้างโรงงานใหม่ก็ใช้เวลาหลายปี กว่าจะช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนได้

    สรุปสาระสำคัญ
    การกว้านซื้อ RAM ของผู้ผลิตพีซี
    Asus, MSI และบริษัทใหญ่เร่งซื้อสต็อกทั้งสัญญาและตลาด Spot
    Asus มีสต็อกพอถึงสิ้นปี 2025 แต่เสี่ยงกระทบในปี 2026

    ราคาหน่วยความจำพุ่งสูง
    เพิ่มขึ้นกว่า 100% ในตลาด Spot
    ร้านค้าบางแห่งจำกัดการขาย และบางรุ่นขาดสต็อก

    สาเหตุจาก AI Data Center
    ความต้องการ HBM และ RDIMM สูงมาก
    ผู้ผลิตชิปปรับสายการผลิตไปเน้นตลาดที่ทำกำไรสูง

    ผลกระทบต่อผู้บริโภค
    ราคาสูงขึ้นและสินค้าหายาก
    การเปิดตัวโมดูลใหม่ถูกเลื่อนออกไป

    ข้อควรระวัง
    ตลาดอาจเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ AI หากความต้องการลดลง
    การสร้างโรงงานใหม่ใช้เวลาหลายปี ไม่ช่วยแก้ปัญหาเร็ว
    ผู้บริโภคอาจต้องเผชิญราคาสูงต่อเนื่องไปอีกหลายปี

    https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/asus-msi-other-manufacturers-panic-buying-ram-stocks-while-major-memory-chipmakers-rake-in-profits-massive-demand-for-hbm-and-rdimm-for-data-centers-driving-shortage
    💾 ผู้ผลิตพีซีเร่งกว้านซื้อ RAM รายงานล่าสุดเผยว่า Asus, MSI และผู้ผลิตรายใหญ่ กำลังซื้อหน่วยความจำจำนวนมากทั้งจากสัญญาระยะยาวและตลาด Spot เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการขาดแคลน โดย Asus ระบุว่ามีสต็อกเพียงพอสำหรับการผลิตถึงสิ้นปี 2025 แต่หากสถานการณ์ไม่ดีขึ้นจะเริ่มกระทบในปี 2026 📈 ราคาพุ่งกระฉูด ราคาหน่วยความจำในตลาด Spot เพิ่มขึ้นกว่า 100% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า ร้านค้าบางแห่งในญี่ปุ่นถึงขั้นจำกัดจำนวนการขายต่อหนึ่งลูกค้า และบางรุ่นขาดสต็อกจากผู้จัดจำหน่ายแล้ว ผู้ผลิตโมดูลหน่วยความจำหลายรายต้องเลื่อนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ไปเป็นปี 2026 🌐 สาเหตุหลักจาก AI Data Center ความต้องการ HBM (High Bandwidth Memory) และ RDIMM (Registered DIMM) สำหรับศูนย์ข้อมูล AI เป็นตัวการสำคัญที่ดูดซับกำลังการผลิต ทำให้หน่วยความจำสำหรับผู้บริโภคถูกเบียดออกไป ผู้ผลิตชิปจึงหันไปปรับสายการผลิตเพื่อรองรับตลาดที่ทำกำไรสูงกว่า ส่งผลให้ผู้ใช้ทั่วไปต้องเผชิญราคาที่สูงขึ้นและสินค้าที่หายาก ⚠️ ความเสี่ยงในอนาคต แม้ผู้ผลิตชิปจะทำกำไรสูง แต่หลายฝ่ายเตือนว่าอาจเกิด ฟองสบู่ AI ที่ทำให้ตลาดผันผวน หากความต้องการลดลงกะทันหัน การลงทุนสร้างโรงงานใหม่ก็ใช้เวลาหลายปี กว่าจะช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนได้ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การกว้านซื้อ RAM ของผู้ผลิตพีซี ➡️ Asus, MSI และบริษัทใหญ่เร่งซื้อสต็อกทั้งสัญญาและตลาด Spot ➡️ Asus มีสต็อกพอถึงสิ้นปี 2025 แต่เสี่ยงกระทบในปี 2026 ✅ ราคาหน่วยความจำพุ่งสูง ➡️ เพิ่มขึ้นกว่า 100% ในตลาด Spot ➡️ ร้านค้าบางแห่งจำกัดการขาย และบางรุ่นขาดสต็อก ✅ สาเหตุจาก AI Data Center ➡️ ความต้องการ HBM และ RDIMM สูงมาก ➡️ ผู้ผลิตชิปปรับสายการผลิตไปเน้นตลาดที่ทำกำไรสูง ✅ ผลกระทบต่อผู้บริโภค ➡️ ราคาสูงขึ้นและสินค้าหายาก ➡️ การเปิดตัวโมดูลใหม่ถูกเลื่อนออกไป ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ตลาดอาจเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ AI หากความต้องการลดลง ⛔ การสร้างโรงงานใหม่ใช้เวลาหลายปี ไม่ช่วยแก้ปัญหาเร็ว ⛔ ผู้บริโภคอาจต้องเผชิญราคาสูงต่อเนื่องไปอีกหลายปี https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/asus-msi-other-manufacturers-panic-buying-ram-stocks-while-major-memory-chipmakers-rake-in-profits-massive-demand-for-hbm-and-rdimm-for-data-centers-driving-shortage
    0 Comments 0 Shares 42 Views 0 Reviews
  • NVMe Destroyinator: เครื่องลบข้อมูลความเร็วสูง

    อุปกรณ์ NVMe Destroyinator ถูกออกแบบมาเพื่อการ ลบข้อมูลอย่างปลอดภัยและตรวจสอบได้ โดยสามารถจัดการไดรฟ์หลายประเภท เช่น M.2, E1.S EDSFF และไดรฟ์ 2.5 นิ้ว ทั้งแบบ SATA, SAS และ NVMe จุดเด่นคือสามารถลบข้อมูลได้พร้อมกันถึง 16 ไดรฟ์ในเวลาเดียวกัน และสร้าง ใบรับรองการลบข้อมูล (tamper-proof certificates) เพื่อยืนยันการทำงานตามมาตรฐานสากล เช่น HIPAA, NIST 800-88 และ U.S. DoD

    ความเร็วและฟีเจอร์
    Destroyinator ใช้ระบบที่ติดตั้ง Linux Mint และซอฟต์แวร์ KillDisk ทำให้สามารถลบข้อมูลด้วยความเร็วสูงสุด 64 GB/s พร้อมฟังก์ชัน Hot-swap ที่ช่วยให้สามารถเปลี่ยนไดรฟ์ได้โดยไม่ต้องปิดเครื่อง นอกจากนี้ยังมีระบบอัตโนมัติในการพิมพ์ใบรับรองและการโคลนไดรฟ์เพื่อการใช้งานต่อ

    การใช้งานในตลาด
    อุปกรณ์นี้เหมาะสำหรับ บริษัทรีไซเคิลอุปกรณ์ไอที (IT e-recyclers) และผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยข้อมูล ที่ต้องการลบข้อมูลจำนวนมากอย่างรวดเร็วและตรวจสอบได้ นอกจากการทำลายข้อมูลแล้ว ยังช่วยให้สามารถนำไดรฟ์ไปขายต่อได้โดยไม่เสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูล

    ข้อควรระวัง
    แม้ Destroyinator จะมีประสิทธิภาพสูง แต่ก็ไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป เนื่องจากราคาสูงและการใช้งานที่ซับซ้อน ผู้ใช้ทั่วไปอาจเลือกวิธีการลบข้อมูลแบบ DIY หรือใช้บริการจากผู้เชี่ยวชาญแทน

    สรุปสาระสำคัญ
    คุณสมบัติหลักของ NVMe Destroyinator
    ลบข้อมูลได้พร้อมกันสูงสุด 16 ไดรฟ์
    ความเร็วสูงสุด 64 GB/s
    รองรับ NVMe, SATA และ SAS

    ฟีเจอร์เสริม
    สร้างใบรับรองการลบข้อมูลที่ตรวจสอบได้
    ระบบ Hot-swap และการโคลนไดรฟ์
    ใช้ Linux Mint และ KillDisk

    การใช้งานในตลาด
    เหมาะสำหรับบริษัทรีไซเคิลอุปกรณ์ไอที
    ช่วยให้สามารถขายต่อไดรฟ์ได้โดยปลอดภัย

    ข้อควรระวัง
    ราคาสูง ไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป
    การใช้งานซับซ้อน ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ
    ผู้ใช้ทั่วไปควรเลือกวิธีการลบข้อมูลแบบอื่นที่ง่ายกว่า

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/the-nvme-destroyinator-can-wipe-16-nvme-drives-simultaneously-at-speeds-up-to-64-gb-s-it-could-be-the-data-shredder-of-your-dreams-or-nightmares
    🗜️ NVMe Destroyinator: เครื่องลบข้อมูลความเร็วสูง อุปกรณ์ NVMe Destroyinator ถูกออกแบบมาเพื่อการ ลบข้อมูลอย่างปลอดภัยและตรวจสอบได้ โดยสามารถจัดการไดรฟ์หลายประเภท เช่น M.2, E1.S EDSFF และไดรฟ์ 2.5 นิ้ว ทั้งแบบ SATA, SAS และ NVMe จุดเด่นคือสามารถลบข้อมูลได้พร้อมกันถึง 16 ไดรฟ์ในเวลาเดียวกัน และสร้าง ใบรับรองการลบข้อมูล (tamper-proof certificates) เพื่อยืนยันการทำงานตามมาตรฐานสากล เช่น HIPAA, NIST 800-88 และ U.S. DoD ⚡ ความเร็วและฟีเจอร์ Destroyinator ใช้ระบบที่ติดตั้ง Linux Mint และซอฟต์แวร์ KillDisk ทำให้สามารถลบข้อมูลด้วยความเร็วสูงสุด 64 GB/s พร้อมฟังก์ชัน Hot-swap ที่ช่วยให้สามารถเปลี่ยนไดรฟ์ได้โดยไม่ต้องปิดเครื่อง นอกจากนี้ยังมีระบบอัตโนมัติในการพิมพ์ใบรับรองและการโคลนไดรฟ์เพื่อการใช้งานต่อ 🌍 การใช้งานในตลาด อุปกรณ์นี้เหมาะสำหรับ บริษัทรีไซเคิลอุปกรณ์ไอที (IT e-recyclers) และผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยข้อมูล ที่ต้องการลบข้อมูลจำนวนมากอย่างรวดเร็วและตรวจสอบได้ นอกจากการทำลายข้อมูลแล้ว ยังช่วยให้สามารถนำไดรฟ์ไปขายต่อได้โดยไม่เสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูล ⚠️ ข้อควรระวัง แม้ Destroyinator จะมีประสิทธิภาพสูง แต่ก็ไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป เนื่องจากราคาสูงและการใช้งานที่ซับซ้อน ผู้ใช้ทั่วไปอาจเลือกวิธีการลบข้อมูลแบบ DIY หรือใช้บริการจากผู้เชี่ยวชาญแทน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ คุณสมบัติหลักของ NVMe Destroyinator ➡️ ลบข้อมูลได้พร้อมกันสูงสุด 16 ไดรฟ์ ➡️ ความเร็วสูงสุด 64 GB/s ➡️ รองรับ NVMe, SATA และ SAS ✅ ฟีเจอร์เสริม ➡️ สร้างใบรับรองการลบข้อมูลที่ตรวจสอบได้ ➡️ ระบบ Hot-swap และการโคลนไดรฟ์ ➡️ ใช้ Linux Mint และ KillDisk ✅ การใช้งานในตลาด ➡️ เหมาะสำหรับบริษัทรีไซเคิลอุปกรณ์ไอที ➡️ ช่วยให้สามารถขายต่อไดรฟ์ได้โดยปลอดภัย ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ราคาสูง ไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป ⛔ การใช้งานซับซ้อน ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ ⛔ ผู้ใช้ทั่วไปควรเลือกวิธีการลบข้อมูลแบบอื่นที่ง่ายกว่า https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/the-nvme-destroyinator-can-wipe-16-nvme-drives-simultaneously-at-speeds-up-to-64-gb-s-it-could-be-the-data-shredder-of-your-dreams-or-nightmares
    0 Comments 0 Shares 43 Views 0 Reviews
  • Windows เจอแรงต้านแนวคิด Agentic OS

    เมื่อต้นเดือน Microsoft เปิดตัววิสัยทัศน์ใหม่ของ Windows ในฐานะ “Agentic OS” ที่สามารถดำเนินการแทนผู้ใช้ได้โดยอัตโนมัติ แต่แนวคิดนี้กลับสร้างกระแสต่อต้านทันที ผู้ใช้จำนวนมากตั้งคำถามว่าทำไมบริษัทไม่แก้ไขปัญหาที่มีอยู่เดิม เช่น ความเร็วที่ลดลง การออกแบบที่กระจัดกระจาย และการตั้งค่าเริ่มต้นที่ไม่เป็นมิตรต่อผู้พัฒนา

    คำตอบจากผู้บริหาร Windows
    Pavan Davuluri ตอบกลับผ่านโพสต์บน X โดยยอมรับว่ามี “ความคิดเห็นจำนวนมาก” และทีมงานกำลังรับฟังทั้งจากระบบ Feedback และจากผู้ใช้โดยตรง เขาเน้นว่าบริษัท “ใส่ใจนักพัฒนา” และกำลังหารือเรื่องความน่าเชื่อถือ ประสิทธิภาพ และความง่ายในการใช้งาน แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดชัดเจนว่าจะมีการแก้ไขหรือปรับปรุงเมื่อใด

    เสียงวิจารณ์จากชุมชน
    แม้คำตอบจะมีน้ำเสียงประนีประนอม แต่หลายฝ่ายมองว่าเป็นการเลี่ยงประเด็นสำคัญ เช่น ปัญหา System Bloat, Hardware Lock-in และการผนวก Copilot เข้ามาโดยไม่แก้ไขปัญหาการออกแบบเดิม ความไม่ชัดเจนใน Roadmap ของ Agentic OS ทำให้ผู้ใช้และนักพัฒนารู้สึกว่าบริษัทไม่ได้ตอบสนองต่อข้อกังวลจริงๆ

    ผลกระทบต่อผู้ใช้และนักพัฒนา
    ช่องว่างระหว่าง “ข้อความสื่อสาร” และ “การลงมือแก้ไขจริง” ยังคงชัดเจน ผู้ใช้ทั่วไปและ Power User ต่างรอคอยการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ แต่จนถึงตอนนี้ Microsoft ยังไม่ได้ประกาศแผนงานที่ชัดเจนว่าจะปรับปรุง Windows อย่างไรในอนาคต

    สรุปสาระสำคัญ
    แนวคิด Agentic OS ของ Microsoft
    ระบบที่ทำงานแทนผู้ใช้อัตโนมัติ
    ถูกวิจารณ์ว่าละเลยปัญหาพื้นฐาน

    คำตอบจาก Pavan Davuluri
    ยอมรับว่ามี Feedback จำนวนมาก
    เน้นว่าบริษัทใส่ใจนักพัฒนา แต่ไม่ให้รายละเอียด

    ประเด็นที่ผู้ใช้กังวล
    System Bloat และ Hardware Lock-in
    Copilot ถูกเพิ่มเข้ามาโดยไม่แก้ปัญหา UX

    ผลกระทบต่อผู้ใช้และนักพัฒนา
    ช่องว่างระหว่างคำพูดกับการกระทำยังคงอยู่
    ไม่มี Roadmap ที่ชัดเจนสำหรับอนาคต

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด การตอบกลับที่ไม่ชัดเจนอาจทำให้ผู้ใช้หมดความเชื่อมั่น หาก Microsoft ไม่แก้ไขปัญหาพื้นฐาน อาจกระทบต่อการเลือกใช้ Windows ของนักพัฒนา ความไม่โปร่งใสใน Roadmap อาจทำให้ตลาดเกิดความไม่แน่นอน

    https://www.tomshardware.com/software/windows/windows-boss-posts-lacklustre-response-to-agentic-os-backlash
    📰 Windows เจอแรงต้านแนวคิด Agentic OS เมื่อต้นเดือน Microsoft เปิดตัววิสัยทัศน์ใหม่ของ Windows ในฐานะ “Agentic OS” ที่สามารถดำเนินการแทนผู้ใช้ได้โดยอัตโนมัติ แต่แนวคิดนี้กลับสร้างกระแสต่อต้านทันที ผู้ใช้จำนวนมากตั้งคำถามว่าทำไมบริษัทไม่แก้ไขปัญหาที่มีอยู่เดิม เช่น ความเร็วที่ลดลง การออกแบบที่กระจัดกระจาย และการตั้งค่าเริ่มต้นที่ไม่เป็นมิตรต่อผู้พัฒนา 💬 คำตอบจากผู้บริหาร Windows Pavan Davuluri ตอบกลับผ่านโพสต์บน X โดยยอมรับว่ามี “ความคิดเห็นจำนวนมาก” และทีมงานกำลังรับฟังทั้งจากระบบ Feedback และจากผู้ใช้โดยตรง เขาเน้นว่าบริษัท “ใส่ใจนักพัฒนา” และกำลังหารือเรื่องความน่าเชื่อถือ ประสิทธิภาพ และความง่ายในการใช้งาน แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดชัดเจนว่าจะมีการแก้ไขหรือปรับปรุงเมื่อใด ⚠️ เสียงวิจารณ์จากชุมชน แม้คำตอบจะมีน้ำเสียงประนีประนอม แต่หลายฝ่ายมองว่าเป็นการเลี่ยงประเด็นสำคัญ เช่น ปัญหา System Bloat, Hardware Lock-in และการผนวก Copilot เข้ามาโดยไม่แก้ไขปัญหาการออกแบบเดิม ความไม่ชัดเจนใน Roadmap ของ Agentic OS ทำให้ผู้ใช้และนักพัฒนารู้สึกว่าบริษัทไม่ได้ตอบสนองต่อข้อกังวลจริงๆ 🌍 ผลกระทบต่อผู้ใช้และนักพัฒนา ช่องว่างระหว่าง “ข้อความสื่อสาร” และ “การลงมือแก้ไขจริง” ยังคงชัดเจน ผู้ใช้ทั่วไปและ Power User ต่างรอคอยการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ แต่จนถึงตอนนี้ Microsoft ยังไม่ได้ประกาศแผนงานที่ชัดเจนว่าจะปรับปรุง Windows อย่างไรในอนาคต 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ แนวคิด Agentic OS ของ Microsoft ➡️ ระบบที่ทำงานแทนผู้ใช้อัตโนมัติ ➡️ ถูกวิจารณ์ว่าละเลยปัญหาพื้นฐาน ✅ คำตอบจาก Pavan Davuluri ➡️ ยอมรับว่ามี Feedback จำนวนมาก ➡️ เน้นว่าบริษัทใส่ใจนักพัฒนา แต่ไม่ให้รายละเอียด ✅ ประเด็นที่ผู้ใช้กังวล ➡️ System Bloat และ Hardware Lock-in ➡️ Copilot ถูกเพิ่มเข้ามาโดยไม่แก้ปัญหา UX ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้และนักพัฒนา ➡️ ช่องว่างระหว่างคำพูดกับการกระทำยังคงอยู่ ➡️ ไม่มี Roadmap ที่ชัดเจนสำหรับอนาคต ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ การตอบกลับที่ไม่ชัดเจนอาจทำให้ผู้ใช้หมดความเชื่อมั่น ⛔ หาก Microsoft ไม่แก้ไขปัญหาพื้นฐาน อาจกระทบต่อการเลือกใช้ Windows ของนักพัฒนา ⛔ ความไม่โปร่งใสใน Roadmap อาจทำให้ตลาดเกิดความไม่แน่นอน https://www.tomshardware.com/software/windows/windows-boss-posts-lacklustre-response-to-agentic-os-backlash
    0 Comments 0 Shares 37 Views 0 Reviews
  • Intel เตรียมรีเฟรช Arrow Lake-S รุ่นใหม่ เพิ่มความแรงเล็กน้อยก่อนเปลี่ยน Socket

    Intel กำลังจะเปิดตัวซีพียูรุ่นรีเฟรชในตระกูล Arrow Lake-S ได้แก่ Core Ultra 290K Plus, 270K Plus และ 250K Plus ซึ่งถือเป็น “รุ่นสุดท้าย” ที่ใช้ Socket LGA 1851 ก่อนจะเปลี่ยนไปสู่ LGA 1954 ในยุค Nova Lake รุ่นใหม่ การอัปเดตครั้งนี้แม้จะไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่ก็มีการปรับปรุงความเร็ว Turbo และเพิ่มจำนวน E-Core เพื่อให้ตอบโจทย์การแข่งขันกับ AMD ได้ดียิ่งขึ้น

    รายละเอียดการปรับปรุง
    Core Ultra 290K Plus จะมาแทนรุ่น 285K โดยยังคงโครงสร้าง 8P+16E แต่เพิ่มความเร็ว P-Core Turbo เป็น 5.6 GHz และ E-Core Turbo เป็น 4.8 GHz พร้อม Thermal Velocity Boost สูงสุด 5.8 GHz ส่วน Core Ultra 270K Plus เพิ่มจำนวน E-Core จาก 12 เป็น 16 แต่ลด Base Clock ลงเล็กน้อย ขณะที่ Core Ultra 250K Plus ปรับจาก 6P+8E เป็น 6P+12E และเพิ่มความเร็ว Turbo เล็กน้อย

    จุดเด่นและข้อสังเกต
    ซีพียูทั้งสามรุ่นรองรับ DDR5-7200 ซึ่งสูงกว่ารุ่นก่อนที่รองรับเพียง DDR5-6400 แต่การขาดแคลนหน่วยความจำในตลาดอาจทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถสัมผัสประสิทธิภาพเต็มที่ได้ นอกจากนี้ Intel ยังคงกำหนดค่า Power Limit เท่าเดิมกับรุ่นก่อนหน้า ทำให้การอัปเดตครั้งนี้เป็นเพียง “การปรับแต่งเล็กน้อย” มากกว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง

    มุมมองจากตลาดโลก
    การแข่งขันกับ AMD ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่บีบให้ Intel ต้องรีเฟรช Arrow Lake-S เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด แม้การอัปเดตจะไม่หวือหวา แต่การตั้งราคาจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญว่าซีพียูเหล่านี้จะได้รับความนิยมเพียงใด โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดคอมพิวเตอร์กำลังเผชิญกับภาวะขาดแคลนหน่วยความจำและความต้องการด้านพลังงานที่สูงขึ้น

    สรุปสาระสำคัญ
    การเปิดตัวซีพียู Arrow Lake-S รุ่นรีเฟรช
    Core Ultra 290K Plus, 270K Plus และ 250K Plus
    ใช้ Socket LGA 1851 เป็นรุ่นสุดท้าย ก่อนเปลี่ยนไป LGA 1954

    รายละเอียดการปรับปรุงแต่ละรุ่น
    290K Plus: Turbo สูงสุด 5.8 GHz
    270K Plus: เพิ่ม E-Core เป็น 16 แต่ลด Base Clock
    250K Plus: ปรับเป็น 6P+12E พร้อม Turbo เพิ่มขึ้น

    การรองรับหน่วยความจำ DDR5-7200
    สูงกว่ารุ่นก่อนที่รองรับ DDR5-6400
    อาจไม่เห็นผลเต็มที่เพราะตลาดขาดแคลน RAM

    พลังงานและการตลาด
    Power Limit เท่าเดิมกับรุ่นก่อน
    การตั้งราคาจะเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ

    ข้อควรระวังและข้อจำกัด
    การขาดแคลนหน่วยความจำ DDR5 อาจทำให้ผู้ใช้ไม่ได้ประสิทธิภาพเต็มที่
    การอัปเดตครั้งนี้เป็นเพียงการปรับแต่งเล็กน้อย ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงใหญ่
    หากราคาสูงเกินไป อาจเสียเปรียบในการแข่งขันกับ AMD

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intels-upcoming-arrow-lake-desktop-refresh-detailed-in-new-leak-core-ultra-290k-plus-270k-plus-and-250k-plus-will-ship-with-improved-clocks-and-more-e-cores-along-with-ddr5-7200-support
    🖥️ Intel เตรียมรีเฟรช Arrow Lake-S รุ่นใหม่ เพิ่มความแรงเล็กน้อยก่อนเปลี่ยน Socket Intel กำลังจะเปิดตัวซีพียูรุ่นรีเฟรชในตระกูล Arrow Lake-S ได้แก่ Core Ultra 290K Plus, 270K Plus และ 250K Plus ซึ่งถือเป็น “รุ่นสุดท้าย” ที่ใช้ Socket LGA 1851 ก่อนจะเปลี่ยนไปสู่ LGA 1954 ในยุค Nova Lake รุ่นใหม่ การอัปเดตครั้งนี้แม้จะไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่ก็มีการปรับปรุงความเร็ว Turbo และเพิ่มจำนวน E-Core เพื่อให้ตอบโจทย์การแข่งขันกับ AMD ได้ดียิ่งขึ้น ⚡ รายละเอียดการปรับปรุง Core Ultra 290K Plus จะมาแทนรุ่น 285K โดยยังคงโครงสร้าง 8P+16E แต่เพิ่มความเร็ว P-Core Turbo เป็น 5.6 GHz และ E-Core Turbo เป็น 4.8 GHz พร้อม Thermal Velocity Boost สูงสุด 5.8 GHz ส่วน Core Ultra 270K Plus เพิ่มจำนวน E-Core จาก 12 เป็น 16 แต่ลด Base Clock ลงเล็กน้อย ขณะที่ Core Ultra 250K Plus ปรับจาก 6P+8E เป็น 6P+12E และเพิ่มความเร็ว Turbo เล็กน้อย 📈 จุดเด่นและข้อสังเกต ซีพียูทั้งสามรุ่นรองรับ DDR5-7200 ซึ่งสูงกว่ารุ่นก่อนที่รองรับเพียง DDR5-6400 แต่การขาดแคลนหน่วยความจำในตลาดอาจทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถสัมผัสประสิทธิภาพเต็มที่ได้ นอกจากนี้ Intel ยังคงกำหนดค่า Power Limit เท่าเดิมกับรุ่นก่อนหน้า ทำให้การอัปเดตครั้งนี้เป็นเพียง “การปรับแต่งเล็กน้อย” มากกว่าการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง 🌐 มุมมองจากตลาดโลก การแข่งขันกับ AMD ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่บีบให้ Intel ต้องรีเฟรช Arrow Lake-S เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด แม้การอัปเดตจะไม่หวือหวา แต่การตั้งราคาจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญว่าซีพียูเหล่านี้จะได้รับความนิยมเพียงใด โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดคอมพิวเตอร์กำลังเผชิญกับภาวะขาดแคลนหน่วยความจำและความต้องการด้านพลังงานที่สูงขึ้น 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การเปิดตัวซีพียู Arrow Lake-S รุ่นรีเฟรช ➡️ Core Ultra 290K Plus, 270K Plus และ 250K Plus ➡️ ใช้ Socket LGA 1851 เป็นรุ่นสุดท้าย ก่อนเปลี่ยนไป LGA 1954 ✅ รายละเอียดการปรับปรุงแต่ละรุ่น ➡️ 290K Plus: Turbo สูงสุด 5.8 GHz ➡️ 270K Plus: เพิ่ม E-Core เป็น 16 แต่ลด Base Clock ➡️ 250K Plus: ปรับเป็น 6P+12E พร้อม Turbo เพิ่มขึ้น ✅ การรองรับหน่วยความจำ DDR5-7200 ➡️ สูงกว่ารุ่นก่อนที่รองรับ DDR5-6400 ➡️ อาจไม่เห็นผลเต็มที่เพราะตลาดขาดแคลน RAM ✅ พลังงานและการตลาด ➡️ Power Limit เท่าเดิมกับรุ่นก่อน ➡️ การตั้งราคาจะเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ การขาดแคลนหน่วยความจำ DDR5 อาจทำให้ผู้ใช้ไม่ได้ประสิทธิภาพเต็มที่ ⛔ การอัปเดตครั้งนี้เป็นเพียงการปรับแต่งเล็กน้อย ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงใหญ่ ⛔ หากราคาสูงเกินไป อาจเสียเปรียบในการแข่งขันกับ AMD https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intels-upcoming-arrow-lake-desktop-refresh-detailed-in-new-leak-core-ultra-290k-plus-270k-plus-and-250k-plus-will-ship-with-improved-clocks-and-more-e-cores-along-with-ddr5-7200-support
    0 Comments 0 Shares 36 Views 0 Reviews
  • “Intel Granite Rapids-WS รั่วไหล – Xeon 654 18-Core ทำคะแนนแรงใน Geekbench”

    Intel กำลังเตรียมเปิดตัวซีพียูเวิร์กสเตชันตระกูล Granite Rapids-WS ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อแข่งขันกับ AMD Threadripper 9000WX โดยข้อมูลจาก leaker momomo_us ระบุว่าจะมีอย่างน้อย 11 รุ่น ตั้งแต่ Xeon 634 รุ่นเล็กไปจนถึง Xeon 698X รุ่นท็อปที่มีแคชรวม 336MB

    หนึ่งในรุ่นที่ถูกทดสอบแล้วคือ Xeon 654 ซึ่งมี 18 คอร์ 32 เธรด ทำคะแนน 2,634 คะแนนใน single-core และ 14,743 คะแนนใน multi-core บน Geekbench โดยมีความเร็วบูสต์สูงสุดถึง 4.77 GHz แม้จะมีแคชเพียง 72MB แต่ก็ถือว่ามีประสิทธิภาพสูงเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า

    Granite Rapids-WS ใช้กระบวนการผลิต Intel 3 และทำงานบนแพลตฟอร์ม W980 โดยใช้การออกแบบแบบ สาม compute tiles ทำให้สามารถรองรับจำนวนคอร์สูงสุดถึง 128 คอร์ ซึ่งมากกว่า AMD Threadripper 9995WX ที่มี 96 คอร์ แต่ยังตามหลัง AMD EPYC 9965 ในตลาดเซิร์ฟเวอร์

    สรุปสาระสำคัญ
    ข้อมูลรั่วไหลของ Granite Rapids-WS
    มีอย่างน้อย 11 รุ่น ตั้งแต่ Xeon 634 ถึง Xeon 698X
    ใช้แพลตฟอร์ม W980 และผลิตด้วย Intel 3

    Xeon 654 ที่ถูกทดสอบ
    18 คอร์ 32 เธรด
    คะแนน Geekbench: 2,634 (single-core), 14,743 (multi-core)
    ความเร็วบูสต์สูงสุด 4.77 GHz

    เป้าหมายการแข่งขัน
    ออกแบบมาเพื่อท้าชน AMD Threadripper 9000WX
    สามารถรองรับสูงสุด 128 คอร์ มากกว่า Threadripper 9995WX (96 คอร์)

    ข้อควรระวัง
    แม้จะเหนือกว่าในจำนวนคอร์ แต่ยังตามหลัง AMD EPYC ในตลาดเซิร์ฟเวอร์
    แคชที่ลดลงอาจกระทบต่อบางงานที่ต้องการหน่วยความจำมาก
    ยังเป็นข้อมูลรั่วไหล ต้องรอการเปิดตัวจริงเพื่อยืนยันสเปก

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intels-next-gen-granite-rapids-ws-server-cpu-lineup-leaked-xeon-654-18-core-chip-posts-solid-numbers-in-early-geekbench-listing
    🖥️ “Intel Granite Rapids-WS รั่วไหล – Xeon 654 18-Core ทำคะแนนแรงใน Geekbench” Intel กำลังเตรียมเปิดตัวซีพียูเวิร์กสเตชันตระกูล Granite Rapids-WS ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อแข่งขันกับ AMD Threadripper 9000WX โดยข้อมูลจาก leaker momomo_us ระบุว่าจะมีอย่างน้อย 11 รุ่น ตั้งแต่ Xeon 634 รุ่นเล็กไปจนถึง Xeon 698X รุ่นท็อปที่มีแคชรวม 336MB หนึ่งในรุ่นที่ถูกทดสอบแล้วคือ Xeon 654 ซึ่งมี 18 คอร์ 32 เธรด ทำคะแนน 2,634 คะแนนใน single-core และ 14,743 คะแนนใน multi-core บน Geekbench โดยมีความเร็วบูสต์สูงสุดถึง 4.77 GHz แม้จะมีแคชเพียง 72MB แต่ก็ถือว่ามีประสิทธิภาพสูงเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า Granite Rapids-WS ใช้กระบวนการผลิต Intel 3 และทำงานบนแพลตฟอร์ม W980 โดยใช้การออกแบบแบบ สาม compute tiles ทำให้สามารถรองรับจำนวนคอร์สูงสุดถึง 128 คอร์ ซึ่งมากกว่า AMD Threadripper 9995WX ที่มี 96 คอร์ แต่ยังตามหลัง AMD EPYC 9965 ในตลาดเซิร์ฟเวอร์ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ข้อมูลรั่วไหลของ Granite Rapids-WS ➡️ มีอย่างน้อย 11 รุ่น ตั้งแต่ Xeon 634 ถึง Xeon 698X ➡️ ใช้แพลตฟอร์ม W980 และผลิตด้วย Intel 3 ✅ Xeon 654 ที่ถูกทดสอบ ➡️ 18 คอร์ 32 เธรด ➡️ คะแนน Geekbench: 2,634 (single-core), 14,743 (multi-core) ➡️ ความเร็วบูสต์สูงสุด 4.77 GHz ✅ เป้าหมายการแข่งขัน ➡️ ออกแบบมาเพื่อท้าชน AMD Threadripper 9000WX ➡️ สามารถรองรับสูงสุด 128 คอร์ มากกว่า Threadripper 9995WX (96 คอร์) ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ แม้จะเหนือกว่าในจำนวนคอร์ แต่ยังตามหลัง AMD EPYC ในตลาดเซิร์ฟเวอร์ ⛔ แคชที่ลดลงอาจกระทบต่อบางงานที่ต้องการหน่วยความจำมาก ⛔ ยังเป็นข้อมูลรั่วไหล ต้องรอการเปิดตัวจริงเพื่อยืนยันสเปก https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intels-next-gen-granite-rapids-ws-server-cpu-lineup-leaked-xeon-654-18-core-chip-posts-solid-numbers-in-early-geekbench-listing
    0 Comments 0 Shares 36 Views 0 Reviews
  • “Asus เปิดตัว RTX 5090 รุ่นลิมิเต็ด – ราคา $3,999 ผลิตเพียง 1,000 ชิ้น”

    Asus ฉลองครบรอบ 30 ปีการผลิตการ์ดจอด้วยการเปิดตัว ROG Matrix Platinum RTX 5090 ที่มีราคาแพงถึง 3,999 ดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าสองเท่าของรุ่น Founders Edition ของ Nvidia จุดเด่นคือการออกแบบที่หรูหราและระบบระบายความร้อนขั้นสูงที่ใช้ copper vapor chamber และชั้นทองแดงหนา 3 ออนซ์ พร้อมพัดลม 4 ตัว

    การ์ดรุ่นนี้ยังมาพร้อมฟีเจอร์ sag detection ที่สามารถตรวจจับการเคลื่อนตัวแม้เพียง 0.10 องศา เพื่อป้องกันการ์ดที่มีน้ำหนักมากจากการกดทับเมนบอร์ด นอกจากนี้ยังรองรับการดึงพลังงานสูงสุดถึง 800 วัตต์ ผ่านพอร์ต 12V-2x6 และ GC-HPWR adapter ซึ่งช่วยเพิ่ม headroom สำหรับการโอเวอร์คล็อกได้อีก 10%

    ความพิเศษและข้อจำกัด
    ผลิตเพียง 1,000 ชิ้นทั่วโลก ทำให้เป็นของสะสมสำหรับนักเล่นเกมและนักสะสมฮาร์ดแวร์
    มีการเปิดพรีออเดอร์ในบางประเทศ เช่น เยอรมนี โดยจำกัดการซื้อเพียง 1 ชิ้นต่อคน และหมดสต็อกอย่างรวดเร็ว
    Asus ย้ำว่าการ์ดนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเป็น “Collector’s GPU” มากกว่าการใช้งานทั่วไป

    สรุปสาระสำคัญ
    รายละเอียดการ์ด
    ราคา 3,999 ดอลลาร์ (แพงกว่าสองเท่าของ Founders Edition)
    ผลิตเพียง 1,000 ชิ้นทั่วโลก
    ใช้ระบบระบายความร้อน copper vapor chamber + พัดลม 4 ตัว

    ฟีเจอร์พิเศษ
    sag detection ตรวจจับการเคลื่อนตัวแม้ 0.10 องศา
    รองรับพลังงานสูงสุด 800 วัตต์
    เพิ่ม headroom สำหรับโอเวอร์คล็อกอีก 10%

    ข้อควรระวัง
    ราคาสูงเกินกว่าผู้ใช้ทั่วไปจะเข้าถึงได้
    จำนวนจำกัด อาจทำให้ตลาดมือสองมีการโก่งราคา
    การใช้พลังงานสูงอาจต้องใช้ PSU และระบบระบายความร้อนที่แข็งแรงมาก

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/asus-luxurious-rtx-5090-gpu-is-twice-as-expensive-as-nvidia-founders-edition-rog-matrix-platinum-geforce-rtx-5090-launches-at-usd3-999-with-just-1-000-units-available
    💎 “Asus เปิดตัว RTX 5090 รุ่นลิมิเต็ด – ราคา $3,999 ผลิตเพียง 1,000 ชิ้น” Asus ฉลองครบรอบ 30 ปีการผลิตการ์ดจอด้วยการเปิดตัว ROG Matrix Platinum RTX 5090 ที่มีราคาแพงถึง 3,999 ดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าสองเท่าของรุ่น Founders Edition ของ Nvidia จุดเด่นคือการออกแบบที่หรูหราและระบบระบายความร้อนขั้นสูงที่ใช้ copper vapor chamber และชั้นทองแดงหนา 3 ออนซ์ พร้อมพัดลม 4 ตัว การ์ดรุ่นนี้ยังมาพร้อมฟีเจอร์ sag detection ที่สามารถตรวจจับการเคลื่อนตัวแม้เพียง 0.10 องศา เพื่อป้องกันการ์ดที่มีน้ำหนักมากจากการกดทับเมนบอร์ด นอกจากนี้ยังรองรับการดึงพลังงานสูงสุดถึง 800 วัตต์ ผ่านพอร์ต 12V-2x6 และ GC-HPWR adapter ซึ่งช่วยเพิ่ม headroom สำหรับการโอเวอร์คล็อกได้อีก 10% 🏆 ความพิเศษและข้อจำกัด 🔰 ผลิตเพียง 1,000 ชิ้นทั่วโลก ทำให้เป็นของสะสมสำหรับนักเล่นเกมและนักสะสมฮาร์ดแวร์ 🔰 มีการเปิดพรีออเดอร์ในบางประเทศ เช่น เยอรมนี โดยจำกัดการซื้อเพียง 1 ชิ้นต่อคน และหมดสต็อกอย่างรวดเร็ว 🔰 Asus ย้ำว่าการ์ดนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเป็น “Collector’s GPU” มากกว่าการใช้งานทั่วไป 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ รายละเอียดการ์ด ➡️ ราคา 3,999 ดอลลาร์ (แพงกว่าสองเท่าของ Founders Edition) ➡️ ผลิตเพียง 1,000 ชิ้นทั่วโลก ➡️ ใช้ระบบระบายความร้อน copper vapor chamber + พัดลม 4 ตัว ✅ ฟีเจอร์พิเศษ ➡️ sag detection ตรวจจับการเคลื่อนตัวแม้ 0.10 องศา ➡️ รองรับพลังงานสูงสุด 800 วัตต์ ➡️ เพิ่ม headroom สำหรับโอเวอร์คล็อกอีก 10% ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ราคาสูงเกินกว่าผู้ใช้ทั่วไปจะเข้าถึงได้ ⛔ จำนวนจำกัด อาจทำให้ตลาดมือสองมีการโก่งราคา ⛔ การใช้พลังงานสูงอาจต้องใช้ PSU และระบบระบายความร้อนที่แข็งแรงมาก https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/asus-luxurious-rtx-5090-gpu-is-twice-as-expensive-as-nvidia-founders-edition-rog-matrix-platinum-geforce-rtx-5090-launches-at-usd3-999-with-just-1-000-units-available
    0 Comments 0 Shares 43 Views 0 Reviews
  • “Bitfarm เลิกเหมือง Bitcoin หันสู่ AI เต็มตัวภายในปี 2027”

    Bitfarm ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทเหมือง Bitcoin รายใหญ่ของโลก เผชิญปัญหาขาดทุนหนักในไตรมาส 3/2025 โดยรายงานตัวเลขขาดทุนสุทธิถึง 46 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเกือบ 91% จากปีก่อน แม้ราคา Bitcoin จะพุ่งสูงสุดในเดือนตุลาคม แต่ความผันผวนทำให้บริษัทไม่สามารถพึ่งพาได้อย่างมั่นคง อีกทั้งเครื่องขุดรุ่นใหม่ T21 rigs ก็ทำงานได้ต่ำกว่าที่คาดการณ์ ส่งผลให้ต้องลดเป้าหมาย Hashrate ลงถึง 14%

    เพื่อแก้ปัญหา Bitfarm จึงประกาศ Pivot ธุรกิจจาก Crypto Mining ไปสู่ AI Data Center โดยจะใช้กำลังไฟฟ้า 341 เมกะวัตต์ที่มีอยู่ในการติดตั้งเซิร์ฟเวอร์ Nvidia GB300 NVL72 พร้อมระบบระบายความร้อนด้วยน้ำที่ทันสมัย บริษัทเชื่อว่าการให้บริการ GPU-as-a-Service จะสร้างรายได้มากกว่าการขุด Bitcoin ที่ผ่านมา

    นอกจากศูนย์ข้อมูลในรัฐวอชิงตันแล้ว Bitfarm ยังลงทุนเพิ่มใน Panther Creek, Pennsylvania ด้วยเงินทุนกว่า 300 ล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลที่มีกำลังไฟฟ้าอย่างน้อย 350 เมกะวัตต์ รวมกับโครงการอื่น ๆ ทำให้บริษัทมีพลังงานใน Pipeline กว่า 1.3 กิกะวัตต์ ซึ่งอาจทำให้ Bitfarm กลายเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาด AI Data Center

    อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า อุตสาหกรรม AI อาจอยู่ในภาวะฟองสบู่ การลงทุนหลายร้อยล้านถึงพันล้านดอลลาร์เพื่อเปลี่ยนธุรกิจทั้งหมด อาจทำให้บริษัทเสี่ยงต่อการล้มละลายหากตลาด AI เกิดการชะลอตัวหรือแตกฟองสบู่

    สรุปสาระสำคัญ
    สถานการณ์ทางการเงินของ Bitfarm
    ขาดทุนสุทธิ 46 ล้านดอลลาร์ใน Q3/2025
    เครื่องขุด T21 ทำงานต่ำกว่าคาดการณ์ ลด Hashrate ลง 14%

    กลยุทธ์ Pivot สู่ AI
    จะเลิกทำเหมือง Bitcoin ภายในปี 2027
    ใช้กำลังไฟฟ้า 341 MW ติดตั้ง Nvidia GB300 NVL72
    ลงทุนเพิ่มในศูนย์ข้อมูล Pennsylvania 350 MW รวม Pipeline 1.3 GW

    คำเตือนและความเสี่ยง
    อุตสาหกรรม AI อาจอยู่ในภาวะฟองสบู่
    การลงทุนมหาศาลอาจทำให้บริษัทเสี่ยงล้มละลายหากตลาด AI ชะลอตัว
    การละทิ้งธุรกิจ Bitcoin อาจทำให้สูญเสียฐานรายได้เดิม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptomining/major-bitcoin-mining-firm-pivoting-to-ai-plans-to-fully-abandon-crypto-mining-by-2027-bitfarm-to-leverage-341-megawatt-capacity-for-ai-following-usd46-million-q3-loss
    🪙➡️⚡ “Bitfarm เลิกเหมือง Bitcoin หันสู่ AI เต็มตัวภายในปี 2027” Bitfarm ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทเหมือง Bitcoin รายใหญ่ของโลก เผชิญปัญหาขาดทุนหนักในไตรมาส 3/2025 โดยรายงานตัวเลขขาดทุนสุทธิถึง 46 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเกือบ 91% จากปีก่อน แม้ราคา Bitcoin จะพุ่งสูงสุดในเดือนตุลาคม แต่ความผันผวนทำให้บริษัทไม่สามารถพึ่งพาได้อย่างมั่นคง อีกทั้งเครื่องขุดรุ่นใหม่ T21 rigs ก็ทำงานได้ต่ำกว่าที่คาดการณ์ ส่งผลให้ต้องลดเป้าหมาย Hashrate ลงถึง 14% เพื่อแก้ปัญหา Bitfarm จึงประกาศ Pivot ธุรกิจจาก Crypto Mining ไปสู่ AI Data Center โดยจะใช้กำลังไฟฟ้า 341 เมกะวัตต์ที่มีอยู่ในการติดตั้งเซิร์ฟเวอร์ Nvidia GB300 NVL72 พร้อมระบบระบายความร้อนด้วยน้ำที่ทันสมัย บริษัทเชื่อว่าการให้บริการ GPU-as-a-Service จะสร้างรายได้มากกว่าการขุด Bitcoin ที่ผ่านมา นอกจากศูนย์ข้อมูลในรัฐวอชิงตันแล้ว Bitfarm ยังลงทุนเพิ่มใน Panther Creek, Pennsylvania ด้วยเงินทุนกว่า 300 ล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลที่มีกำลังไฟฟ้าอย่างน้อย 350 เมกะวัตต์ รวมกับโครงการอื่น ๆ ทำให้บริษัทมีพลังงานใน Pipeline กว่า 1.3 กิกะวัตต์ ซึ่งอาจทำให้ Bitfarm กลายเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาด AI Data Center อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า อุตสาหกรรม AI อาจอยู่ในภาวะฟองสบู่ การลงทุนหลายร้อยล้านถึงพันล้านดอลลาร์เพื่อเปลี่ยนธุรกิจทั้งหมด อาจทำให้บริษัทเสี่ยงต่อการล้มละลายหากตลาด AI เกิดการชะลอตัวหรือแตกฟองสบู่ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ สถานการณ์ทางการเงินของ Bitfarm ➡️ ขาดทุนสุทธิ 46 ล้านดอลลาร์ใน Q3/2025 ➡️ เครื่องขุด T21 ทำงานต่ำกว่าคาดการณ์ ลด Hashrate ลง 14% ✅ กลยุทธ์ Pivot สู่ AI ➡️ จะเลิกทำเหมือง Bitcoin ภายในปี 2027 ➡️ ใช้กำลังไฟฟ้า 341 MW ติดตั้ง Nvidia GB300 NVL72 ➡️ ลงทุนเพิ่มในศูนย์ข้อมูล Pennsylvania 350 MW รวม Pipeline 1.3 GW ‼️ คำเตือนและความเสี่ยง ⛔ อุตสาหกรรม AI อาจอยู่ในภาวะฟองสบู่ ⛔ การลงทุนมหาศาลอาจทำให้บริษัทเสี่ยงล้มละลายหากตลาด AI ชะลอตัว ⛔ การละทิ้งธุรกิจ Bitcoin อาจทำให้สูญเสียฐานรายได้เดิม https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptomining/major-bitcoin-mining-firm-pivoting-to-ai-plans-to-fully-abandon-crypto-mining-by-2027-bitfarm-to-leverage-341-megawatt-capacity-for-ai-following-usd46-million-q3-loss
    0 Comments 0 Shares 50 Views 0 Reviews
  • “NES ครบรอบ 40 ปี – ดีไซน์ที่เกือบจะเป็นลายไม้แบบ Atari 2600”

    ในงาน Portland Retro Gaming Expo 2025 อดีตผู้บริหาร Nintendo of America ได้แก่ Bruce Lowry (VP of Sales), Gail Tilden (ฝ่ายการตลาด), และ Lance Barr (นักออกแบบผลิตภัณฑ์) ได้เล่าย้อนถึงการเปิดตัว NES ในสหรัฐฯ เมื่อปี 1985 พวกเขาเผยว่าในตอนแรกมีการเสนอแบบดีไซน์ที่คล้าย Atari 2600 คือมี ลายไม้และสวิตช์ด้านบน แต่ Barr ปฏิเสธทันที โดยบอกว่า “มันดูแย่มาก” และเลือกแนวทางใหม่ที่ทำให้ NES ดูเหมือนอุปกรณ์บันเทิงภายในบ้าน เช่น Hi-Fi หรือ VCR

    การตัดสินใจนี้มีความสำคัญมาก เพราะในช่วงนั้นตลาดเกมยังบอบช้ำจาก Video Game Crash ปี 1983 ผู้บริหารจึงต้องการให้ NES ดู “จริงจัง” และไม่เหมือนของเล่นราคาถูก ดีไซน์ Control Deck ที่เรียบหรูและเข้ากับเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน จึงช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคและผู้ค้าปลีก

    นอกจากดีไซน์แล้ว ทีมงานยังเล่าถึงการเปิดตัวอุปกรณ์เสริม เช่น Zapper light gun และการจัดการกับปัญหาในคลังสินค้าที่เต็มไปด้วย “หนู งู และขยะพิษ” ซึ่งสะท้อนความท้าทายเบื้องหลังการสร้าง NES ให้สำเร็จในตลาดอเมริกา

    ผลลัพธ์คือ NES ไม่เพียงแค่รอดจากวิกฤต แต่ยัง พลิกฟื้นอุตสาหกรรมเกม และกลายเป็นมาตรฐานใหม่ที่เปิดทางให้คู่แข่งอย่าง Sega Master System และต่อยอดไปสู่ยุค 16-bit เช่น SNES และ Sega Genesis จนทำให้เกมกลายเป็นอุตสาหกรรมใหญ่กว่าภาพยนตร์และดนตรีในเวลาต่อมา

    สรุปสาระสำคัญ
    แผนดีไซน์ NES ในตอนแรก
    มีการเสนอให้ใช้ลายไม้และสวิตช์ด้านบนคล้าย Atari 2600
    Lance Barr ปฏิเสธและเลือกดีไซน์ Control Deck ที่ดูเหมือนเครื่องเสียง/วิดีโอ

    เหตุผลในการเลือกดีไซน์ใหม่
    ตลาดเกมยังบอบช้ำจากวิกฤตปี 1983
    ต้องการให้ NES ดูจริงจัง ไม่เหมือนของเล่นราคาถูก
    ดีไซน์ใหม่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคและผู้ค้าปลีก

    เบื้องหลังการเปิดตัว
    เปิดตัวพร้อมอุปกรณ์เสริม เช่น Zapper light gun
    เผชิญปัญหาการจัดเก็บสินค้าที่มีหนู งู และขยะพิษ

    คำเตือนและข้อคิด
    หากเลือกดีไซน์ลายไม้ อาจทำให้ NES ถูกมองว่าเป็นเพียงของเล่น
    ความผิดพลาดด้านภาพลักษณ์อาจทำให้ NES ไม่สามารถฟื้นตลาดเกมได้

    https://www.tomshardware.com/video-games/nintendo/the-nes-at-40-employees-reveal-there-were-plans-for-a-woodgrain-veneer-model-to-rival-the-atari-2600
    🎮 “NES ครบรอบ 40 ปี – ดีไซน์ที่เกือบจะเป็นลายไม้แบบ Atari 2600” ในงาน Portland Retro Gaming Expo 2025 อดีตผู้บริหาร Nintendo of America ได้แก่ Bruce Lowry (VP of Sales), Gail Tilden (ฝ่ายการตลาด), และ Lance Barr (นักออกแบบผลิตภัณฑ์) ได้เล่าย้อนถึงการเปิดตัว NES ในสหรัฐฯ เมื่อปี 1985 พวกเขาเผยว่าในตอนแรกมีการเสนอแบบดีไซน์ที่คล้าย Atari 2600 คือมี ลายไม้และสวิตช์ด้านบน แต่ Barr ปฏิเสธทันที โดยบอกว่า “มันดูแย่มาก” และเลือกแนวทางใหม่ที่ทำให้ NES ดูเหมือนอุปกรณ์บันเทิงภายในบ้าน เช่น Hi-Fi หรือ VCR การตัดสินใจนี้มีความสำคัญมาก เพราะในช่วงนั้นตลาดเกมยังบอบช้ำจาก Video Game Crash ปี 1983 ผู้บริหารจึงต้องการให้ NES ดู “จริงจัง” และไม่เหมือนของเล่นราคาถูก ดีไซน์ Control Deck ที่เรียบหรูและเข้ากับเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน จึงช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคและผู้ค้าปลีก นอกจากดีไซน์แล้ว ทีมงานยังเล่าถึงการเปิดตัวอุปกรณ์เสริม เช่น Zapper light gun และการจัดการกับปัญหาในคลังสินค้าที่เต็มไปด้วย “หนู งู และขยะพิษ” ซึ่งสะท้อนความท้าทายเบื้องหลังการสร้าง NES ให้สำเร็จในตลาดอเมริกา ผลลัพธ์คือ NES ไม่เพียงแค่รอดจากวิกฤต แต่ยัง พลิกฟื้นอุตสาหกรรมเกม และกลายเป็นมาตรฐานใหม่ที่เปิดทางให้คู่แข่งอย่าง Sega Master System และต่อยอดไปสู่ยุค 16-bit เช่น SNES และ Sega Genesis จนทำให้เกมกลายเป็นอุตสาหกรรมใหญ่กว่าภาพยนตร์และดนตรีในเวลาต่อมา 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ แผนดีไซน์ NES ในตอนแรก ➡️ มีการเสนอให้ใช้ลายไม้และสวิตช์ด้านบนคล้าย Atari 2600 ➡️ Lance Barr ปฏิเสธและเลือกดีไซน์ Control Deck ที่ดูเหมือนเครื่องเสียง/วิดีโอ ✅ เหตุผลในการเลือกดีไซน์ใหม่ ➡️ ตลาดเกมยังบอบช้ำจากวิกฤตปี 1983 ➡️ ต้องการให้ NES ดูจริงจัง ไม่เหมือนของเล่นราคาถูก ➡️ ดีไซน์ใหม่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคและผู้ค้าปลีก ✅ เบื้องหลังการเปิดตัว ➡️ เปิดตัวพร้อมอุปกรณ์เสริม เช่น Zapper light gun ➡️ เผชิญปัญหาการจัดเก็บสินค้าที่มีหนู งู และขยะพิษ ‼️ คำเตือนและข้อคิด ⛔ หากเลือกดีไซน์ลายไม้ อาจทำให้ NES ถูกมองว่าเป็นเพียงของเล่น ⛔ ความผิดพลาดด้านภาพลักษณ์อาจทำให้ NES ไม่สามารถฟื้นตลาดเกมได้ https://www.tomshardware.com/video-games/nintendo/the-nes-at-40-employees-reveal-there-were-plans-for-a-woodgrain-veneer-model-to-rival-the-atari-2600
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    The NES at 40: Employees reveal there were plans for a woodgrain veneer model to rival the Atari 2600
    Nintendo of America veterans chatted to a host from the Video Game History Foundation to celebrate the console’s Ruby jubilee.
    0 Comments 0 Shares 51 Views 0 Reviews
  • “นฤมล” ถก CLEC จีน เดินหน้าร่วมมือภาษาจีน–อาชีวศึกษา ผลักดันทุนครูไทยไปเรียนต่อจีน เพิ่มห้องเรียนขงจื่อ พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล และยกระดับหลักสูตร–ทักษะภาษาจีนรองรับตลาดแรงงานยุคใหม่ โดยเฉพาะพื้นที่ EEC

    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000109353

    #News1live #News1 #นฤมลภิญโญสินวัฒน์ #ภาษาจีน #CLEC #ขงจื่อ #อาชีวศึกษา #EEC #ความร่วมมือไทยจีน #ข่าวการศึกษา #newsupdate
    “นฤมล” ถก CLEC จีน เดินหน้าร่วมมือภาษาจีน–อาชีวศึกษา ผลักดันทุนครูไทยไปเรียนต่อจีน เพิ่มห้องเรียนขงจื่อ พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล และยกระดับหลักสูตร–ทักษะภาษาจีนรองรับตลาดแรงงานยุคใหม่ โดยเฉพาะพื้นที่ EEC • อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000109353 • #News1live #News1 #นฤมลภิญโญสินวัฒน์ #ภาษาจีน #CLEC #ขงจื่อ #อาชีวศึกษา #EEC #ความร่วมมือไทยจีน #ข่าวการศึกษา #newsupdate
    0 Comments 0 Shares 82 Views 0 Reviews
  • Amazon Leo: ก้าวใหม่ของการสื่อสารผ่านดาวเทียม

    Amazon เปิดตัวชื่อใหม่ Amazon Leo แทนที่ชื่อเดิม Project Kuiper ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2019 โดยมีเป้าหมายสร้างเครือข่ายดาวเทียมกว่า 3,000 ดวง เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตครอบคลุมประชากรโลกถึง 95% การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้สะท้อนว่าโครงการได้พ้นจากสถานะ “ทดลอง” และพร้อมเข้าสู่การเป็นผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบ

    ความคืบหน้าและการแข่งขันกับ Starlink
    แม้ Amazon จะเพิ่งส่งดาวเทียมปฏิบัติการชุดแรกจำนวน 27 ดวงขึ้นสู่วงโคจรในปีนี้ แต่คู่แข่งอย่าง SpaceX Starlink ได้เปิดบริการตั้งแต่ปี 2020 และขยายอย่างรวดเร็ว ทั้งการเชื่อมต่อกับสายการบินและผู้ให้บริการมือถือ ทำให้ Amazon Leo ยังต้องเร่งพัฒนาเพื่อไล่ตามการแข่งขันที่เข้มข้นในตลาดอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม

    เทคโนโลยีและการใช้งาน
    Amazon ได้ทดสอบเทคโนโลยีสำคัญ เช่น เครือข่ายเลเซอร์เชื่อมโยงดาวเทียม (laser mesh network) และเสาอากาศผู้ใช้ที่ออกแบบมาให้ติดตั้งง่าย การรีแบรนด์ครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่เปลี่ยนชื่อ แต่เป็นการประกาศความพร้อมที่จะให้บริการจริง ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนในเว็บไซต์ Amazon Leo เพื่อรับข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับการเปิดให้บริการในอนาคต

    มุมมองเชิงกลยุทธ์
    การเข้าสู่ตลาดดาวเทียมวงโคจรต่ำของ Amazon ไม่เพียงแต่เป็นการขยายธุรกิจด้านคลาวด์และโครงสร้างพื้นฐาน แต่ยังเป็นการสร้างระบบนิเวศที่เชื่อมโยงกับบริการอื่น ๆ ของบริษัท เช่น AWS และอีคอมเมิร์ซ การแข่งขันกับ Starlink จึงไม่ใช่แค่เรื่องความเร็วอินเทอร์เน็ต แต่ยังเป็นการวางรากฐานโครงสร้างการสื่อสารระดับโลก

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Amazon รีแบรนด์ Project Kuiper เป็น Amazon Leo
    สะท้อนการใช้ดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) และความพร้อมเชิงพาณิชย์

    เป้าหมายครอบคลุมประชากรโลก 95%
    ใช้ดาวเทียมกว่า 3,000 ดวงเพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ต

    เปิดตัวดาวเทียมปฏิบัติการชุดแรก 27 ดวงในปีนี้
    เป็นก้าวสำคัญหลังจากการทดสอบหลายปี

    เทคโนโลยี laser mesh network และเสาอากาศผู้ใช้
    ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความง่ายในการเข้าถึง

    ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนในเว็บไซต์ Amazon Leo
    เพื่อรับข้อมูลการเปิดให้บริการในอนาคต

    การแข่งขันกับ Starlink เข้มข้นมาก
    Starlink เปิดบริการตั้งแต่ปี 2020 และขยายอย่างรวดเร็ว

    ยังไม่มีการประกาศวันเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ชัดเจน
    ผู้ใช้ต้องรอติดตามข้อมูลเพิ่มเติมจาก Amazon

    ความเสี่ยงด้านการลงทุนและโครงสร้างพื้นฐาน
    การสร้างเครือข่ายดาวเทียมจำนวนมหาศาลต้องใช้เวลาและต้นทุนสูง

    https://securityonline.info/project-kuiper-is-now-amazon-leo-amazon-rebrands-satellite-initiative-for-commercial-launch/
    🚀 Amazon Leo: ก้าวใหม่ของการสื่อสารผ่านดาวเทียม Amazon เปิดตัวชื่อใหม่ Amazon Leo แทนที่ชื่อเดิม Project Kuiper ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2019 โดยมีเป้าหมายสร้างเครือข่ายดาวเทียมกว่า 3,000 ดวง เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตครอบคลุมประชากรโลกถึง 95% การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้สะท้อนว่าโครงการได้พ้นจากสถานะ “ทดลอง” และพร้อมเข้าสู่การเป็นผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบ 🌐 ความคืบหน้าและการแข่งขันกับ Starlink แม้ Amazon จะเพิ่งส่งดาวเทียมปฏิบัติการชุดแรกจำนวน 27 ดวงขึ้นสู่วงโคจรในปีนี้ แต่คู่แข่งอย่าง SpaceX Starlink ได้เปิดบริการตั้งแต่ปี 2020 และขยายอย่างรวดเร็ว ทั้งการเชื่อมต่อกับสายการบินและผู้ให้บริการมือถือ ทำให้ Amazon Leo ยังต้องเร่งพัฒนาเพื่อไล่ตามการแข่งขันที่เข้มข้นในตลาดอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม 📡 เทคโนโลยีและการใช้งาน Amazon ได้ทดสอบเทคโนโลยีสำคัญ เช่น เครือข่ายเลเซอร์เชื่อมโยงดาวเทียม (laser mesh network) และเสาอากาศผู้ใช้ที่ออกแบบมาให้ติดตั้งง่าย การรีแบรนด์ครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่เปลี่ยนชื่อ แต่เป็นการประกาศความพร้อมที่จะให้บริการจริง ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนในเว็บไซต์ Amazon Leo เพื่อรับข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับการเปิดให้บริการในอนาคต ⚖️ มุมมองเชิงกลยุทธ์ การเข้าสู่ตลาดดาวเทียมวงโคจรต่ำของ Amazon ไม่เพียงแต่เป็นการขยายธุรกิจด้านคลาวด์และโครงสร้างพื้นฐาน แต่ยังเป็นการสร้างระบบนิเวศที่เชื่อมโยงกับบริการอื่น ๆ ของบริษัท เช่น AWS และอีคอมเมิร์ซ การแข่งขันกับ Starlink จึงไม่ใช่แค่เรื่องความเร็วอินเทอร์เน็ต แต่ยังเป็นการวางรากฐานโครงสร้างการสื่อสารระดับโลก 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Amazon รีแบรนด์ Project Kuiper เป็น Amazon Leo ➡️ สะท้อนการใช้ดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO) และความพร้อมเชิงพาณิชย์ ✅ เป้าหมายครอบคลุมประชากรโลก 95% ➡️ ใช้ดาวเทียมกว่า 3,000 ดวงเพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ต ✅ เปิดตัวดาวเทียมปฏิบัติการชุดแรก 27 ดวงในปีนี้ ➡️ เป็นก้าวสำคัญหลังจากการทดสอบหลายปี ✅ เทคโนโลยี laser mesh network และเสาอากาศผู้ใช้ ➡️ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความง่ายในการเข้าถึง ✅ ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนในเว็บไซต์ Amazon Leo ➡️ เพื่อรับข้อมูลการเปิดให้บริการในอนาคต ‼️ การแข่งขันกับ Starlink เข้มข้นมาก ⛔ Starlink เปิดบริการตั้งแต่ปี 2020 และขยายอย่างรวดเร็ว ‼️ ยังไม่มีการประกาศวันเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ชัดเจน ⛔ ผู้ใช้ต้องรอติดตามข้อมูลเพิ่มเติมจาก Amazon ‼️ ความเสี่ยงด้านการลงทุนและโครงสร้างพื้นฐาน ⛔ การสร้างเครือข่ายดาวเทียมจำนวนมหาศาลต้องใช้เวลาและต้นทุนสูง https://securityonline.info/project-kuiper-is-now-amazon-leo-amazon-rebrands-satellite-initiative-for-commercial-launch/
    SECURITYONLINE.INFO
    Project Kuiper is Now Amazon Leo: Amazon Rebrands Satellite Initiative for Commercial Launch
    Amazon officially rebranded its LEO satellite initiative, formerly Project Kuiper, as Amazon Leo, signaling its readiness to transition the network into a commercial product.
    0 Comments 0 Shares 113 Views 0 Reviews
  • รวมข่าวจาก TechRadar ประจำวัน
    #20251115 #techradar

    SanDisk เปิดตัวแฟลชไดรฟ์ 1TB ขนาดจิ๋ว
    SanDisk ออกแฟลชไดรฟ์ USB-C รุ่นใหม่ Extreme Fit ที่มีความจุสูงสุดถึง 1TB แต่ตัวเล็กมากจนสามารถเสียบติดเครื่องไว้ตลอดเวลาโดยไม่เกะกะ เหมาะกับคนที่ใช้โน้ตบุ๊กหรือแท็บเล็ตบ่อย ๆ ต้องการพื้นที่เพิ่มโดยไม่ต้องพกฮาร์ดดิสก์พกพา ความเร็วอ่านสูงสุด 400MB/s ใกล้เคียง SSD ราคาก็จับต้องได้ เริ่มต้นเพียงสิบกว่าดอลลาร์ ไปจนถึงรุ่นท็อป 1TB ราวร้อยดอลลาร์ ถือเป็นการผสมผสานความสะดวกกับประสิทธิภาพในอุปกรณ์เล็ก ๆ

    PNY ยกเลิกดีล Black Friday สะท้อนวิกฤตวงการชิป
    ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์รายใหญ่ PNY ประกาศหยุดโปรโมชันลดราคาสินค้าจัดเก็บข้อมูลในช่วง Black Friday เพราะต้นทุน NAND และ DRAM พุ่งสูงขึ้นมากจนกระทบตลาด SSD และแฟลชไดรฟ์ สถานการณ์นี้สะท้อนว่าตลาดหน่วยความจำกำลังตึงตัวอย่างหนัก และอาจทำให้การประกอบคอมพิวเตอร์หรืออัปเกรดเครื่องมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นในปีถัดไป

    IBM เปิดตัวชิปควอนตัมใหม่ Nighthawk และ Loon
    IBM ก้าวหน้าอีกขั้นในเส้นทางควอนตัมคอมพิวติ้ง ด้วยการเปิดตัวชิป Nighthawk ที่มี 120 qubits และสามารถทำงานซับซ้อนขึ้นกว่าเดิม 30% พร้อมชิป Loon ที่ทดลองสถาปัตยกรรมใหม่เพื่อรองรับการแก้ไขข้อผิดพลาดในระดับใหญ่ จุดมุ่งหมายคือการทำให้ควอนตัมคอมพิวเตอร์ใช้งานได้จริงในธุรกิจและวิทยาศาสตร์ภายในทศวรรษนี้

    CTO บริษัท Checkout.com ปฏิเสธจ่ายค่าไถ่ไซเบอร์
    บริษัท Checkout.com ถูกกลุ่มแฮ็กเกอร์ ShinyHunters เจาะระบบเก่าและเรียกค่าไถ่ แต่ CTO ตัดสินใจไม่จ่ายเงินให้คนร้าย กลับนำเงินจำนวนดังกล่าวไปบริจาคให้มหาวิทยาลัย Carnegie Mellon และ Oxford เพื่อสนับสนุนงานวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์ แสดงจุดยืนชัดเจนว่าไม่สนับสนุนอาชญากรรมออนไลน์

    ExpressVPN จับมือ Brooklyn Nets มอบดีลพิเศษแฟนบาส
    ExpressVPN กลายเป็นพาร์ทเนอร์ด้านความเป็นส่วนตัวดิจิทัลของทีมบาส NBA Brooklyn Nets พร้อมมอบส่วนลดสูงสุดถึง 73% ให้แฟน ๆ ถือเป็นการนำโลกไซเบอร์กับกีฬาเข้ามาเชื่อมโยงกัน และช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงการป้องกันข้อมูลในราคาที่คุ้มค่า

    Apple เปิดตัว Digital ID จุดประกายกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว
    Apple เพิ่มฟีเจอร์ Digital ID ในแอป Wallet ให้ผู้ใช้แสดงพาสปอร์ตผ่านมือถือที่สนามบินในสหรัฐฯ แม้จะสะดวก แต่หลายฝ่ายกังวลว่าการใช้ข้อมูลอัตลักษณ์ดิจิทัลอาจนำไปสู่การถูกติดตามหรือการละเมิดความเป็นส่วนตัว Apple ยืนยันว่าข้อมูลจะถูกเก็บไว้ในเครื่องเท่านั้นและใช้การเข้ารหัสขั้นสูง แต่เสียงวิจารณ์ก็ยังดังอยู่

    Intel Panther Lake CPU หลุดผลทดสอบ กราฟิกแรงเกินคาด
    มีข้อมูลหลุดของซีพียู Intel Panther Lake รุ่น Core Ultra X7 358H ที่มาพร้อมกราฟิก Xe3 ในตัว ผลทดสอบออกมาดีกว่า GPU แยกอย่าง RTX 3050 ถึงกว่า 10% ทำให้โน้ตบุ๊กบางเบาและเครื่องเกมพกพาในอนาคตอาจไม่ต้องพึ่งการ์ดจอแยกอีกต่อไป ทั้งแรงและประหยัดพลังงานมากขึ้น

    Akira Ransomware ขยายโจมตี Nutanix VMs
    แรนซัมแวร์ Akira ถูกพบว่าเริ่มโจมตีระบบ Nutanix AHV VM โดยใช้ช่องโหว่ SonicWall และ Veeam เพื่อเข้าถึงและเข้ารหัสไฟล์ ทำให้บริษัทต่าง ๆ เสียหายหนัก ยอดเงินที่คนร้ายรีดไถได้รวมแล้วกว่า 240 ล้านดอลลาร์ หน่วยงานความปลอดภัยเตือนให้ผู้ใช้รีบอัปเดตระบบและเปิดใช้การยืนยันตัวตนหลายชั้น

    Operation Endgame 3.0 ยึดเซิร์ฟเวอร์อาชญากรรมไซเบอร์
    Europol และหน่วยงานยุโรปเปิดปฏิบัติการ Endgame 3.0 ปราบปรามเครือข่ายมัลแวร์ใหญ่ เช่น Rhadamanthys, VenomRAT และ Elysium ยึดเซิร์ฟเวอร์กว่า 1,000 เครื่อง และโดเมนกว่า 20 แห่ง พร้อมจับผู้ต้องสงสัยหนึ่งราย แม้จะเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าหากไม่มีการจับกุมต่อเนื่อง เครือข่ายเหล่านี้อาจกลับมาอีก
    📰📌 รวมข่าวจาก TechRadar ประจำวัน 📌 📰 #20251115 #techradar 🗂️ SanDisk เปิดตัวแฟลชไดรฟ์ 1TB ขนาดจิ๋ว SanDisk ออกแฟลชไดรฟ์ USB-C รุ่นใหม่ Extreme Fit ที่มีความจุสูงสุดถึง 1TB แต่ตัวเล็กมากจนสามารถเสียบติดเครื่องไว้ตลอดเวลาโดยไม่เกะกะ เหมาะกับคนที่ใช้โน้ตบุ๊กหรือแท็บเล็ตบ่อย ๆ ต้องการพื้นที่เพิ่มโดยไม่ต้องพกฮาร์ดดิสก์พกพา ความเร็วอ่านสูงสุด 400MB/s ใกล้เคียง SSD ราคาก็จับต้องได้ เริ่มต้นเพียงสิบกว่าดอลลาร์ ไปจนถึงรุ่นท็อป 1TB ราวร้อยดอลลาร์ ถือเป็นการผสมผสานความสะดวกกับประสิทธิภาพในอุปกรณ์เล็ก ๆ 💸 PNY ยกเลิกดีล Black Friday สะท้อนวิกฤตวงการชิป ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์รายใหญ่ PNY ประกาศหยุดโปรโมชันลดราคาสินค้าจัดเก็บข้อมูลในช่วง Black Friday เพราะต้นทุน NAND และ DRAM พุ่งสูงขึ้นมากจนกระทบตลาด SSD และแฟลชไดรฟ์ สถานการณ์นี้สะท้อนว่าตลาดหน่วยความจำกำลังตึงตัวอย่างหนัก และอาจทำให้การประกอบคอมพิวเตอร์หรืออัปเกรดเครื่องมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นในปีถัดไป ⚛️ IBM เปิดตัวชิปควอนตัมใหม่ Nighthawk และ Loon IBM ก้าวหน้าอีกขั้นในเส้นทางควอนตัมคอมพิวติ้ง ด้วยการเปิดตัวชิป Nighthawk ที่มี 120 qubits และสามารถทำงานซับซ้อนขึ้นกว่าเดิม 30% พร้อมชิป Loon ที่ทดลองสถาปัตยกรรมใหม่เพื่อรองรับการแก้ไขข้อผิดพลาดในระดับใหญ่ จุดมุ่งหมายคือการทำให้ควอนตัมคอมพิวเตอร์ใช้งานได้จริงในธุรกิจและวิทยาศาสตร์ภายในทศวรรษนี้ 🔐 CTO บริษัท Checkout.com ปฏิเสธจ่ายค่าไถ่ไซเบอร์ บริษัท Checkout.com ถูกกลุ่มแฮ็กเกอร์ ShinyHunters เจาะระบบเก่าและเรียกค่าไถ่ แต่ CTO ตัดสินใจไม่จ่ายเงินให้คนร้าย กลับนำเงินจำนวนดังกล่าวไปบริจาคให้มหาวิทยาลัย Carnegie Mellon และ Oxford เพื่อสนับสนุนงานวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์ แสดงจุดยืนชัดเจนว่าไม่สนับสนุนอาชญากรรมออนไลน์ 🏀 ExpressVPN จับมือ Brooklyn Nets มอบดีลพิเศษแฟนบาส ExpressVPN กลายเป็นพาร์ทเนอร์ด้านความเป็นส่วนตัวดิจิทัลของทีมบาส NBA Brooklyn Nets พร้อมมอบส่วนลดสูงสุดถึง 73% ให้แฟน ๆ ถือเป็นการนำโลกไซเบอร์กับกีฬาเข้ามาเชื่อมโยงกัน และช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงการป้องกันข้อมูลในราคาที่คุ้มค่า 🍏 Apple เปิดตัว Digital ID จุดประกายกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว Apple เพิ่มฟีเจอร์ Digital ID ในแอป Wallet ให้ผู้ใช้แสดงพาสปอร์ตผ่านมือถือที่สนามบินในสหรัฐฯ แม้จะสะดวก แต่หลายฝ่ายกังวลว่าการใช้ข้อมูลอัตลักษณ์ดิจิทัลอาจนำไปสู่การถูกติดตามหรือการละเมิดความเป็นส่วนตัว Apple ยืนยันว่าข้อมูลจะถูกเก็บไว้ในเครื่องเท่านั้นและใช้การเข้ารหัสขั้นสูง แต่เสียงวิจารณ์ก็ยังดังอยู่ 💻 Intel Panther Lake CPU หลุดผลทดสอบ กราฟิกแรงเกินคาด มีข้อมูลหลุดของซีพียู Intel Panther Lake รุ่น Core Ultra X7 358H ที่มาพร้อมกราฟิก Xe3 ในตัว ผลทดสอบออกมาดีกว่า GPU แยกอย่าง RTX 3050 ถึงกว่า 10% ทำให้โน้ตบุ๊กบางเบาและเครื่องเกมพกพาในอนาคตอาจไม่ต้องพึ่งการ์ดจอแยกอีกต่อไป ทั้งแรงและประหยัดพลังงานมากขึ้น 🦠 Akira Ransomware ขยายโจมตี Nutanix VMs แรนซัมแวร์ Akira ถูกพบว่าเริ่มโจมตีระบบ Nutanix AHV VM โดยใช้ช่องโหว่ SonicWall และ Veeam เพื่อเข้าถึงและเข้ารหัสไฟล์ ทำให้บริษัทต่าง ๆ เสียหายหนัก ยอดเงินที่คนร้ายรีดไถได้รวมแล้วกว่า 240 ล้านดอลลาร์ หน่วยงานความปลอดภัยเตือนให้ผู้ใช้รีบอัปเดตระบบและเปิดใช้การยืนยันตัวตนหลายชั้น 🚔 Operation Endgame 3.0 ยึดเซิร์ฟเวอร์อาชญากรรมไซเบอร์ Europol และหน่วยงานยุโรปเปิดปฏิบัติการ Endgame 3.0 ปราบปรามเครือข่ายมัลแวร์ใหญ่ เช่น Rhadamanthys, VenomRAT และ Elysium ยึดเซิร์ฟเวอร์กว่า 1,000 เครื่อง และโดเมนกว่า 20 แห่ง พร้อมจับผู้ต้องสงสัยหนึ่งราย แม้จะเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าหากไม่มีการจับกุมต่อเนื่อง เครือข่ายเหล่านี้อาจกลับมาอีก
    0 Comments 0 Shares 188 Views 0 Reviews
  • Blue Origin ประสบความสำเร็จครั้งแรกกับ New Glenn

    Blue Origin ของ Jeff Bezos ได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการนำ บูสเตอร์ของจรวด New Glenn ลงจอดบนเรือโดรนกลางมหาสมุทรแอตแลนติกได้สำเร็จเป็นครั้งแรก หลังจากความพยายามครั้งแรกในเดือนมกราคมล้มเหลว การลงจอดครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ New Glenn กลายเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ SpaceX ในตลาดการปล่อยดาวเทียมและภารกิจเชิงพาณิชย์

    ปล่อยยาน NASA สู่ดาวอังคาร
    นอกจากการลงจอดบูสเตอร์แล้ว ภารกิจครั้งนี้ยังได้ส่ง ยานคู่ของ NASA ออกเดินทางไปดาวอังคารเพื่อศึกษาบรรยากาศของดาวเคราะห์สีแดง โดยการปล่อยดาวเทียมเชิงพาณิชย์ครั้งแรกของ New Glenn ถือเป็นการพิสูจน์ศักยภาพของระบบจรวดใหม่ที่สามารถรองรับภารกิจขนาดใหญ่และซับซ้อนได้

    ความสำคัญต่ออุตสาหกรรมอวกาศ
    ความสำเร็จนี้ทำให้ Blue Originก้าวเข้าสู่การแข่งขันอย่างจริงจังกับ SpaceX ซึ่งครองตลาดด้วย Falcon 9, Falcon Heavy และ Starship การที่ New Glenn สามารถนำบูสเตอร์กลับมาใช้ใหม่ได้ จะช่วยลดต้นทุนการปล่อยจรวดและเพิ่มความน่าสนใจให้กับลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชน โดย SpaceX เองก็ได้แสดงความยินดีต่อความสำเร็จครั้งนี้ผ่านโพสต์ของ Gwynne Shotwell และ Elon Musk

    เป้าหมายต่อไป: ดวงจันทร์และภารกิจเชิงพาณิชย์
    Blue Origin ยังคงมีแผนพัฒนา Lunar Lander เพื่อสนับสนุนโครงการ Artemis ของ NASA และตั้งเป้าใช้ New Glenn ในการขนส่งภารกิจไปยังดวงจันทร์และอวกาศเชิงลึก การพิสูจน์ความสามารถในการลงจอดและปล่อยดาวเทียมครั้งนี้จึงเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้บริษัทเดินหน้าสู่เป้าหมายใหญ่ในอนาคต

    สรุปประเด็นสำคัญ
    การลงจอดครั้งแรกของ New Glenn
    บูสเตอร์ลงจอดบนเรือโดรนกลางมหาสมุทรแอตแลนติกได้สำเร็จ
    หลังจากความพยายามครั้งแรกในเดือนมกราคมล้มเหลว

    ภารกิจ NASA
    ปล่อยยานคู่ไปดาวอังคารเพื่อศึกษาบรรยากาศ
    ถือเป็นการปล่อยดาวเทียมเชิงพาณิชย์ครั้งแรกของ New Glenn

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอวกาศ
    Blue Origin กลายเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ SpaceX
    การนำบูสเตอร์กลับมาใช้ใหม่ช่วยลดต้นทุนการปล่อยจรวด

    คำเตือนสำหรับอนาคต
    Blue Origin ต้องพิสูจน์ความสามารถในการนำบูสเตอร์กลับมาใช้ซ้ำได้จริง
    หากไม่สามารถรักษาความเสถียรและความปลอดภัย อาจเสียเปรียบในการแข่งขันกับ SpaceX

    https://techcrunch.com/2025/11/13/blue-origin-sticks-first-new-glenn-rocket-landing-and-launches-nasa-spacecraft/
    🚀 Blue Origin ประสบความสำเร็จครั้งแรกกับ New Glenn Blue Origin ของ Jeff Bezos ได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการนำ บูสเตอร์ของจรวด New Glenn ลงจอดบนเรือโดรนกลางมหาสมุทรแอตแลนติกได้สำเร็จเป็นครั้งแรก หลังจากความพยายามครั้งแรกในเดือนมกราคมล้มเหลว การลงจอดครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ New Glenn กลายเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ SpaceX ในตลาดการปล่อยดาวเทียมและภารกิจเชิงพาณิชย์ 🛰️ ปล่อยยาน NASA สู่ดาวอังคาร นอกจากการลงจอดบูสเตอร์แล้ว ภารกิจครั้งนี้ยังได้ส่ง ยานคู่ของ NASA ออกเดินทางไปดาวอังคารเพื่อศึกษาบรรยากาศของดาวเคราะห์สีแดง โดยการปล่อยดาวเทียมเชิงพาณิชย์ครั้งแรกของ New Glenn ถือเป็นการพิสูจน์ศักยภาพของระบบจรวดใหม่ที่สามารถรองรับภารกิจขนาดใหญ่และซับซ้อนได้ 🌌 ความสำคัญต่ออุตสาหกรรมอวกาศ ความสำเร็จนี้ทำให้ Blue Originก้าวเข้าสู่การแข่งขันอย่างจริงจังกับ SpaceX ซึ่งครองตลาดด้วย Falcon 9, Falcon Heavy และ Starship การที่ New Glenn สามารถนำบูสเตอร์กลับมาใช้ใหม่ได้ จะช่วยลดต้นทุนการปล่อยจรวดและเพิ่มความน่าสนใจให้กับลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชน โดย SpaceX เองก็ได้แสดงความยินดีต่อความสำเร็จครั้งนี้ผ่านโพสต์ของ Gwynne Shotwell และ Elon Musk 🌙 เป้าหมายต่อไป: ดวงจันทร์และภารกิจเชิงพาณิชย์ Blue Origin ยังคงมีแผนพัฒนา Lunar Lander เพื่อสนับสนุนโครงการ Artemis ของ NASA และตั้งเป้าใช้ New Glenn ในการขนส่งภารกิจไปยังดวงจันทร์และอวกาศเชิงลึก การพิสูจน์ความสามารถในการลงจอดและปล่อยดาวเทียมครั้งนี้จึงเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้บริษัทเดินหน้าสู่เป้าหมายใหญ่ในอนาคต 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ การลงจอดครั้งแรกของ New Glenn ➡️ บูสเตอร์ลงจอดบนเรือโดรนกลางมหาสมุทรแอตแลนติกได้สำเร็จ ➡️ หลังจากความพยายามครั้งแรกในเดือนมกราคมล้มเหลว ✅ ภารกิจ NASA ➡️ ปล่อยยานคู่ไปดาวอังคารเพื่อศึกษาบรรยากาศ ➡️ ถือเป็นการปล่อยดาวเทียมเชิงพาณิชย์ครั้งแรกของ New Glenn ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอวกาศ ➡️ Blue Origin กลายเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ SpaceX ➡️ การนำบูสเตอร์กลับมาใช้ใหม่ช่วยลดต้นทุนการปล่อยจรวด ‼️ คำเตือนสำหรับอนาคต ⛔ Blue Origin ต้องพิสูจน์ความสามารถในการนำบูสเตอร์กลับมาใช้ซ้ำได้จริง ⛔ หากไม่สามารถรักษาความเสถียรและความปลอดภัย อาจเสียเปรียบในการแข่งขันกับ SpaceX https://techcrunch.com/2025/11/13/blue-origin-sticks-first-new-glenn-rocket-landing-and-launches-nasa-spacecraft/
    TECHCRUNCH.COM
    Blue Origin sticks first New Glenn rocket landing and launches NASA spacecraft | TechCrunch
    It's an impressive accomplishment for the new mega-rocket launch system, and paves the way for the company to start re-using the boosters in commercial missions.
    0 Comments 0 Shares 113 Views 0 Reviews
  • EP 69
    ทองปิดตลาดสัปดาห์ยืนเหนือเส้น 20 วันได้ชนิที่ต้องดูชั่วโมงสุดท้าย และยังมองโอกาสเป็นขาขึ้นอยู่
    EP 69 ทองปิดตลาดสัปดาห์ยืนเหนือเส้น 20 วันได้ชนิที่ต้องดูชั่วโมงสุดท้าย และยังมองโอกาสเป็นขาขึ้นอยู่
    0 Comments 0 Shares 24 Views 0 0 Reviews
  • Intel CEO Lip-Bu Tan เข้ามาควบคุมกลยุทธ์ AI ด้วยตัวเอง

    การเปลี่ยนแปลงผู้นำในฝ่าย AI
    Intel ประสบปัญหาความไม่ต่อเนื่องและความล่าช้าในกลยุทธ์ AI มาหลายปี การลาออกของ Sachin Katti อดีตหัวหน้า AI ที่ย้ายไป OpenAI ถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ ทำให้ฝ่าย AI ของ Intel ขาดแรงขับเคลื่อนหลักและเกิดความไม่แน่นอนในทิศทาง

    Lip-Bu Tan เข้ามาคุมเอง
    จากบันทึกภายในที่หลุดออกมา Tan ยอมรับว่าทีม AI ของ Intel เผชิญการเปลี่ยนแปลงมากในช่วงที่ผ่านมา เขาจึงตัดสินใจ เข้ามาควบคุมโดยตรง เพื่อปรับกลยุทธ์และทำให้การดำเนินงานสอดคล้องกับแผนเทคโนโลยีระยะยาว Tan มีชื่อเสียงจากการพลิกฟื้นบริษัท Cadence มาก่อน จึงถูกมองว่าเป็นสัญญาณบวกต่ออนาคตของ Intel

    การปรับโครงสร้างและความท้าทาย
    ฝ่าย AI ของ Intel มีการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยผู้บริหารระดับสูงออกไปหลายคน ทำให้โครงสร้างการบริหารถูกลดชั้นลง แม้จะช่วยให้การตัดสินใจรวดเร็วขึ้น แต่ก็มีความเสี่ยงเพราะการควบคุมจากผู้บริหารอาจไม่ครอบคลุมทุกด้าน ขณะเดียวกัน Intel ยังคงพัฒนา Gaudi chip และโครงการ Crescent Island ที่เคยถูกวางแผนโดย Katti

    ความคาดหวังในอนาคต
    การที่ Tan เข้ามาคุมเองทำให้ตลาดจับตามองว่า Intel จะสามารถกลับมาแข่งขันในตลาด AI ได้หรือไม่ หากเขาสามารถสร้างความสม่ำเสมอใน roadmap และเร่งการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ Intel อาจฟื้นความเชื่อมั่นและกลับมาเป็นผู้เล่นหลักในตลาด AI ที่กำลังร้อนแรง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    อดีตหัวหน้า AI ของ Intel ลาออกไป OpenAI
    ทำให้ฝ่าย AI ของ Intel ขาดแรงขับเคลื่อนหลัก

    Lip-Bu Tan เข้ามาควบคุมกลยุทธ์ AI โดยตรง
    ตั้งเป้าให้ roadmap มีความสม่ำเสมอและชัดเจน

    มีการปรับโครงสร้างฝ่าย AI ครั้งใหญ่
    ผู้บริหารระดับสูงออกไปหลายคน โครงสร้างถูกลดชั้นลง

    ความเสี่ยงจากการบริหารแบบรวมศูนย์
    อาจทำให้การควบคุมไม่ครอบคลุมทุกด้านของฝ่าย AI

    ความไม่แน่นอนหลังการสูญเสีย Sachin Katti
    Momentum ของโครงการ AI อาจชะลอตัวลงจนกว่าจะมีการปรับทิศทางใหม่

    https://wccftech.com/intel-ceo-lip-bu-tan-takes-direct-control-of-the-ai-strategy/
    😏 Intel CEO Lip-Bu Tan เข้ามาควบคุมกลยุทธ์ AI ด้วยตัวเอง 👨‍💼 การเปลี่ยนแปลงผู้นำในฝ่าย AI Intel ประสบปัญหาความไม่ต่อเนื่องและความล่าช้าในกลยุทธ์ AI มาหลายปี การลาออกของ Sachin Katti อดีตหัวหน้า AI ที่ย้ายไป OpenAI ถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ ทำให้ฝ่าย AI ของ Intel ขาดแรงขับเคลื่อนหลักและเกิดความไม่แน่นอนในทิศทาง ⚡ Lip-Bu Tan เข้ามาคุมเอง จากบันทึกภายในที่หลุดออกมา Tan ยอมรับว่าทีม AI ของ Intel เผชิญการเปลี่ยนแปลงมากในช่วงที่ผ่านมา เขาจึงตัดสินใจ เข้ามาควบคุมโดยตรง เพื่อปรับกลยุทธ์และทำให้การดำเนินงานสอดคล้องกับแผนเทคโนโลยีระยะยาว Tan มีชื่อเสียงจากการพลิกฟื้นบริษัท Cadence มาก่อน จึงถูกมองว่าเป็นสัญญาณบวกต่ออนาคตของ Intel 🏗️ การปรับโครงสร้างและความท้าทาย ฝ่าย AI ของ Intel มีการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยผู้บริหารระดับสูงออกไปหลายคน ทำให้โครงสร้างการบริหารถูกลดชั้นลง แม้จะช่วยให้การตัดสินใจรวดเร็วขึ้น แต่ก็มีความเสี่ยงเพราะการควบคุมจากผู้บริหารอาจไม่ครอบคลุมทุกด้าน ขณะเดียวกัน Intel ยังคงพัฒนา Gaudi chip และโครงการ Crescent Island ที่เคยถูกวางแผนโดย Katti 🔮 ความคาดหวังในอนาคต การที่ Tan เข้ามาคุมเองทำให้ตลาดจับตามองว่า Intel จะสามารถกลับมาแข่งขันในตลาด AI ได้หรือไม่ หากเขาสามารถสร้างความสม่ำเสมอใน roadmap และเร่งการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ Intel อาจฟื้นความเชื่อมั่นและกลับมาเป็นผู้เล่นหลักในตลาด AI ที่กำลังร้อนแรง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ อดีตหัวหน้า AI ของ Intel ลาออกไป OpenAI ➡️ ทำให้ฝ่าย AI ของ Intel ขาดแรงขับเคลื่อนหลัก ✅ Lip-Bu Tan เข้ามาควบคุมกลยุทธ์ AI โดยตรง ➡️ ตั้งเป้าให้ roadmap มีความสม่ำเสมอและชัดเจน ✅ มีการปรับโครงสร้างฝ่าย AI ครั้งใหญ่ ➡️ ผู้บริหารระดับสูงออกไปหลายคน โครงสร้างถูกลดชั้นลง ‼️ ความเสี่ยงจากการบริหารแบบรวมศูนย์ ⛔ อาจทำให้การควบคุมไม่ครอบคลุมทุกด้านของฝ่าย AI ‼️ ความไม่แน่นอนหลังการสูญเสีย Sachin Katti ⛔ Momentum ของโครงการ AI อาจชะลอตัวลงจนกว่าจะมีการปรับทิศทางใหม่ https://wccftech.com/intel-ceo-lip-bu-tan-takes-direct-control-of-the-ai-strategy/
    WCCFTECH.COM
    Intel CEO Lip-Bu Tan Takes 'Direct Control' of the AI Strategy, Promising Consistent Roadmap Execution To Drive a Comeback
    Intel's AI strategy has been plagued by inconsistencies and delays, but it appears that CEO Lip-Bu Tan has taken charge himself.
    0 Comments 0 Shares 92 Views 0 Reviews
  • AMD ก้าวขึ้นสู่ 25% ของตลาด x86 CPU

    ข้อมูลจาก Mercury Research ระบุว่า AMD มีส่วนแบ่งตลาดรวมของ x86 CPU อยู่ที่ 25.6% เพิ่มขึ้นจาก 24.2% ในไตรมาสก่อน และจาก 24% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ถือเป็นการบรรลุ milestone สำคัญที่สะท้อนถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

    เดสก์ท็อป: จุดแข็งของ AMD
    ในตลาดเดสก์ท็อป AMD ทำผลงานโดดเด่นด้วยซีรีส์ Ryzen 9000 “Granite Ridge” ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้ระดับ enthusiast และ performance ทำให้ AMD ครองส่วนแบ่งถึง 33.6% เพิ่มขึ้นจาก 32.2% ในไตรมาสก่อน และมากกว่า 10% เมื่อเทียบกับปี 2024

    ตลาดโน้ตบุ๊กและเซิร์ฟเวอร์
    แม้ AMD จะเสียส่วนแบ่งเล็กน้อยในตลาดโน้ตบุ๊กเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ก็เริ่มกลับมาแข็งแกร่งขึ้นในไตรมาสล่าสุด โดยมีส่วนแบ่ง 21.9% ขณะที่ในตลาดเซิร์ฟเวอร์ AMD ยังคงขยายตัวอย่างช้า ๆ โดยมีส่วนแบ่ง 27.8% ซึ่งสะท้อนถึงการยอมรับที่เพิ่มขึ้นของซีรีส์ EPYC Turin

    Intel ยังคงครองตลาดแต่ถูกกดดัน
    Intel ยังคงครองส่วนแบ่งใหญ่กว่า 74% ของตลาดรวม แต่กำลังเผชิญปัญหาการจัดหาชิป entry-level และการเปลี่ยนผ่านผลิตภัณฑ์ ทำให้ AMD สามารถแทรกตัวเข้ามาได้มากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดเดสก์ท็อปที่ Intel สูญเสียความนิยมในรุ่น Core Raptor Lake

    สรุปประเด็นสำคัญ
    AMD ครอง 25.6% ของตลาด x86 CPU รวม
    เพิ่มขึ้นทั้งเมื่อเทียบ QoQ และ YoY

    AMD ครอง 33.6% ของตลาดเดสก์ท็อป
    Ryzen 9000 “Granite Ridge” ได้รับความนิยมสูง

    AMD มีส่วนแบ่ง 21.9% ในตลาดโน้ตบุ๊ก
    เริ่มกลับมาแข็งแกร่งหลังจากเสียส่วนแบ่งก่อนหน้านี้

    AMD มีส่วนแบ่ง 27.8% ในตลาดเซิร์ฟเวอร์
    EPYC Turin ได้รับการยอมรับเพิ่มขึ้น

    Intel สูญเสียความนิยมในบางเซ็กเมนต์
    ปัญหาการจัดหาชิป entry-level และการเปลี่ยนผ่านผลิตภัณฑ์

    การแข่งขันรุนแรงในตลาดเดสก์ท็อป
    Intel ถูกกดดันจาก Ryzen รุ่นใหม่ที่ครองใจผู้ใช้ enthusiast

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-continues-to-chip-away-at-intels-x86-market-share-company-now-sells-over-25-percent-of-all-x86-chips-and-powers-33-percent-of-all-desktop-systems
    📊 AMD ก้าวขึ้นสู่ 25% ของตลาด x86 CPU ข้อมูลจาก Mercury Research ระบุว่า AMD มีส่วนแบ่งตลาดรวมของ x86 CPU อยู่ที่ 25.6% เพิ่มขึ้นจาก 24.2% ในไตรมาสก่อน และจาก 24% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ถือเป็นการบรรลุ milestone สำคัญที่สะท้อนถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่อง 🖥️ เดสก์ท็อป: จุดแข็งของ AMD ในตลาดเดสก์ท็อป AMD ทำผลงานโดดเด่นด้วยซีรีส์ Ryzen 9000 “Granite Ridge” ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้ระดับ enthusiast และ performance ทำให้ AMD ครองส่วนแบ่งถึง 33.6% เพิ่มขึ้นจาก 32.2% ในไตรมาสก่อน และมากกว่า 10% เมื่อเทียบกับปี 2024 💻 ตลาดโน้ตบุ๊กและเซิร์ฟเวอร์ แม้ AMD จะเสียส่วนแบ่งเล็กน้อยในตลาดโน้ตบุ๊กเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ก็เริ่มกลับมาแข็งแกร่งขึ้นในไตรมาสล่าสุด โดยมีส่วนแบ่ง 21.9% ขณะที่ในตลาดเซิร์ฟเวอร์ AMD ยังคงขยายตัวอย่างช้า ๆ โดยมีส่วนแบ่ง 27.8% ซึ่งสะท้อนถึงการยอมรับที่เพิ่มขึ้นของซีรีส์ EPYC Turin ⚡ Intel ยังคงครองตลาดแต่ถูกกดดัน Intel ยังคงครองส่วนแบ่งใหญ่กว่า 74% ของตลาดรวม แต่กำลังเผชิญปัญหาการจัดหาชิป entry-level และการเปลี่ยนผ่านผลิตภัณฑ์ ทำให้ AMD สามารถแทรกตัวเข้ามาได้มากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดเดสก์ท็อปที่ Intel สูญเสียความนิยมในรุ่น Core Raptor Lake 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ AMD ครอง 25.6% ของตลาด x86 CPU รวม ➡️ เพิ่มขึ้นทั้งเมื่อเทียบ QoQ และ YoY ✅ AMD ครอง 33.6% ของตลาดเดสก์ท็อป ➡️ Ryzen 9000 “Granite Ridge” ได้รับความนิยมสูง ✅ AMD มีส่วนแบ่ง 21.9% ในตลาดโน้ตบุ๊ก ➡️ เริ่มกลับมาแข็งแกร่งหลังจากเสียส่วนแบ่งก่อนหน้านี้ ✅ AMD มีส่วนแบ่ง 27.8% ในตลาดเซิร์ฟเวอร์ ➡️ EPYC Turin ได้รับการยอมรับเพิ่มขึ้น ‼️ Intel สูญเสียความนิยมในบางเซ็กเมนต์ ⛔ ปัญหาการจัดหาชิป entry-level และการเปลี่ยนผ่านผลิตภัณฑ์ ‼️ การแข่งขันรุนแรงในตลาดเดสก์ท็อป ⛔ Intel ถูกกดดันจาก Ryzen รุ่นใหม่ที่ครองใจผู้ใช้ enthusiast https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-continues-to-chip-away-at-intels-x86-market-share-company-now-sells-over-25-percent-of-all-x86-chips-and-powers-33-percent-of-all-desktop-systems
    0 Comments 0 Shares 104 Views 0 Reviews
  • Tachyum Prodigy – โปรเซสเซอร์ 1,024 คอร์

    หลังจากรอคอยกว่า 6 ปี Tachyum เปิดเผยสเปกใหม่ของ Prodigy ที่ใช้สถาปัตยกรรม multi-chiplet ผลิตบนเทคโนโลยี TSMC 2nm-class โดยรุ่นสูงสุด “Prodigy Ultimate” จะมี 768–1,024 คอร์, แรม DDR5 สูงสุด 48TB ต่อซ็อกเก็ต, และแบนด์วิดท์หน่วยความจำถึง 3.38TB/s

    พลังงานและประสิทธิภาพที่ท้าทาย
    Tachyum อ้างว่า Prodigy สามารถทำงานได้เร็วกว่า Nvidia Rubin NVL576 rack ถึง 21 เท่า และให้ประสิทธิภาพ AI inference กว่า 1,000 PFLOPS อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเหล่านี้ถูกตั้งคำถาม เนื่องจากการใช้พลังงานสูงถึง 1,600W ต่อชิป ทำให้ยากต่อการใช้งานจริงในศูนย์ข้อมูล

    ความล่าช้าและอุปสรรคการผลิต
    แม้จะมีการประกาศสเปกใหม่ แต่ Prodigy ยังไม่เข้าสู่การผลิตจริง การย้ายจากเทคโนโลยี 5nm FinFET ไปสู่ 2nm GAA ทำให้ต้องออกแบบใหม่ทั้งหมด ซึ่งอาจใช้เวลาอีก 4–5 ปีในการพัฒนาและตรวจสอบ หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน Prodigy อาจพร้อมใช้งานจริงได้ในปี 2030–2031

    ความเสี่ยงด้านการแข่งขันและต้นทุน
    การพัฒนาชิปขั้นสูงเช่นนี้ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลกว่า 300 ล้านดอลลาร์ และ Tachyum อาจหมดทุนก่อนที่จะผลิตได้จริง อีกทั้งเมื่อถึงเวลานั้น ตลาดอาจเต็มไปด้วยคู่แข่งจาก AMD, Intel และ Nvidia ที่มีผลิตภัณฑ์พร้อมใช้งานแล้ว ทำให้ Prodigy เสี่ยงที่จะไม่สามารถแข่งขันได้

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Tachyum เปิดเผยสเปกใหม่ Prodigy Processor
    รุ่น Ultimate มี 1,024 คอร์ และรองรับ DDR5 สูงสุด 48TB ต่อซ็อกเก็ต

    อ้างว่าทำงานเร็วกว่า Nvidia Rubin NVL576 ถึง 20 เท่า
    ให้ประสิทธิภาพ AI inference กว่า 1,000 PFLOPS

    ใช้สถาปัตยกรรม multi-chiplet บน TSMC 2nm-class
    มีแบนด์วิดท์หน่วยความจำสูงถึง 3.38TB/s

    การใช้พลังงานสูงถึง 1,600W ต่อชิป
    อาจไม่เหมาะกับการใช้งานจริงในศูนย์ข้อมูล

    ความล่าช้าและต้นทุนมหาศาล
    อาจต้องรอถึงปี 2030–2031 และใช้เงินลงทุนกว่า 300 ล้านดอลลาร์

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/after-six-years-of-promises-and-no-shipping-silicon-tachyum-revises-prodigy-processor-specs-to-1-024-cores-with-1-600w-of-power-consumption-likely-another-5-year-delay-company-claims-its-chip-is-20-times-faster-than-nvidias-rubin-nvl576-rack
    🖥️ Tachyum Prodigy – โปรเซสเซอร์ 1,024 คอร์ หลังจากรอคอยกว่า 6 ปี Tachyum เปิดเผยสเปกใหม่ของ Prodigy ที่ใช้สถาปัตยกรรม multi-chiplet ผลิตบนเทคโนโลยี TSMC 2nm-class โดยรุ่นสูงสุด “Prodigy Ultimate” จะมี 768–1,024 คอร์, แรม DDR5 สูงสุด 48TB ต่อซ็อกเก็ต, และแบนด์วิดท์หน่วยความจำถึง 3.38TB/s ⚡ พลังงานและประสิทธิภาพที่ท้าทาย Tachyum อ้างว่า Prodigy สามารถทำงานได้เร็วกว่า Nvidia Rubin NVL576 rack ถึง 21 เท่า และให้ประสิทธิภาพ AI inference กว่า 1,000 PFLOPS อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเหล่านี้ถูกตั้งคำถาม เนื่องจากการใช้พลังงานสูงถึง 1,600W ต่อชิป ทำให้ยากต่อการใช้งานจริงในศูนย์ข้อมูล 🏭 ความล่าช้าและอุปสรรคการผลิต แม้จะมีการประกาศสเปกใหม่ แต่ Prodigy ยังไม่เข้าสู่การผลิตจริง การย้ายจากเทคโนโลยี 5nm FinFET ไปสู่ 2nm GAA ทำให้ต้องออกแบบใหม่ทั้งหมด ซึ่งอาจใช้เวลาอีก 4–5 ปีในการพัฒนาและตรวจสอบ หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน Prodigy อาจพร้อมใช้งานจริงได้ในปี 2030–2031 🌐 ความเสี่ยงด้านการแข่งขันและต้นทุน การพัฒนาชิปขั้นสูงเช่นนี้ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลกว่า 300 ล้านดอลลาร์ และ Tachyum อาจหมดทุนก่อนที่จะผลิตได้จริง อีกทั้งเมื่อถึงเวลานั้น ตลาดอาจเต็มไปด้วยคู่แข่งจาก AMD, Intel และ Nvidia ที่มีผลิตภัณฑ์พร้อมใช้งานแล้ว ทำให้ Prodigy เสี่ยงที่จะไม่สามารถแข่งขันได้ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Tachyum เปิดเผยสเปกใหม่ Prodigy Processor ➡️ รุ่น Ultimate มี 1,024 คอร์ และรองรับ DDR5 สูงสุด 48TB ต่อซ็อกเก็ต ✅ อ้างว่าทำงานเร็วกว่า Nvidia Rubin NVL576 ถึง 20 เท่า ➡️ ให้ประสิทธิภาพ AI inference กว่า 1,000 PFLOPS ✅ ใช้สถาปัตยกรรม multi-chiplet บน TSMC 2nm-class ➡️ มีแบนด์วิดท์หน่วยความจำสูงถึง 3.38TB/s ‼️ การใช้พลังงานสูงถึง 1,600W ต่อชิป ⛔ อาจไม่เหมาะกับการใช้งานจริงในศูนย์ข้อมูล ‼️ ความล่าช้าและต้นทุนมหาศาล ⛔ อาจต้องรอถึงปี 2030–2031 และใช้เงินลงทุนกว่า 300 ล้านดอลลาร์ https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/after-six-years-of-promises-and-no-shipping-silicon-tachyum-revises-prodigy-processor-specs-to-1-024-cores-with-1-600w-of-power-consumption-likely-another-5-year-delay-company-claims-its-chip-is-20-times-faster-than-nvidias-rubin-nvl576-rack
    0 Comments 0 Shares 111 Views 0 Reviews
  • ศาลแข่งขันทางการค้าของสหราชอาณาจักรตัดสินให้การขายต่อ Windows และ Office perpetual licenses เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย

    คดีนี้เริ่มจากบริษัท ValueLicensing ที่ฟ้อง Microsoft เรื่องการห้ามขายต่อ perpetual licenses ของ Windows และ Office ศาลได้ตัดสินว่า ลูกค้าที่ถือ perpetual license มีสิทธิขายต่อได้ตามกฎหมาย และไม่ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์

    ข้อโต้แย้งของ Microsoft ถูกปฏิเสธ
    Microsoft พยายามอ้างว่าโปรแกรม Office มีองค์ประกอบเชิงกราฟิกและงานสร้างสรรค์ จึงควรได้รับการคุ้มครองในฐานะ “creative work” แต่ศาลเห็นว่า ไม่มีองค์ประกอบที่เพียงพอ ที่จะทำให้ซอฟต์แวร์เหล่านี้เข้าข่ายงานศิลปะหรือวรรณกรรมที่ห้ามขายต่อ

    ผลกระทบต่อธุรกิจและผู้บริโภค
    หากคำตัดสินนี้ถูกยืนยัน จะทำให้ตลาดซอฟต์แวร์มือสองในสหราชอาณาจักรเปิดกว้างมากขึ้น ผู้บริโภคสามารถซื้อ Windows หรือ Office ราคาถูกจากผู้ที่ไม่ใช้แล้ว ซึ่งอาจทำให้ Microsoft สูญเสียรายได้มหาศาล โดยมีการประเมินว่า ค่าเสียหายอาจสูงถึง 270 ล้านปอนด์

    Microsoft เตรียมอุทธรณ์
    Microsoft แถลงว่าจะยื่นอุทธรณ์ต่อคำตัดสินนี้ โดยยังคงยืนยันว่าการขายต่อ license ขัดต่อสัญญาและเป็นการละเมิดสิทธิ์ของบริษัท อย่างไรก็ตาม คดีนี้อาจกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ในยุโรปเกี่ยวกับสิทธิการขายต่อซอฟต์แวร์

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ศาลสหราชอาณาจักรตัดสินให้ขายต่อ Windows และ Office license ได้
    ลูกค้าที่ถือ perpetual license มีสิทธิขายต่อโดยไม่ผิดกฎหมาย

    ข้อโต้แย้งของ Microsoft ถูกปฏิเสธ
    ศาลเห็นว่าโปรแกรมไม่เข้าข่าย “งานสร้างสรรค์” ที่ห้ามขายต่อ

    ผลกระทบต่อผู้บริโภคและตลาด
    เปิดโอกาสให้ซื้อซอฟต์แวร์ราคาถูกจากตลาดมือสอง

    ความเสี่ยงต่อรายได้ของ Microsoft
    อาจสูญเสียรายได้มหาศาลและต้องจ่ายค่าเสียหาย 270 ล้านปอนด์

    ความไม่แน่นอนจากการอุทธรณ์
    หาก Microsoft ชนะการอุทธรณ์ ตลาดซอฟต์แวร์มือสองอาจถูกจำกัดอีกครั้ง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/microsoft-to-appeal-ruling-in-favor-of-reselling-perpetual-windows-licenses-uk-competition-court-says-fineprint-holds-no-ground-as-judges-throw-out-companys-creative-work-argument
    ⚖️ ศาลแข่งขันทางการค้าของสหราชอาณาจักรตัดสินให้การขายต่อ Windows และ Office perpetual licenses เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย คดีนี้เริ่มจากบริษัท ValueLicensing ที่ฟ้อง Microsoft เรื่องการห้ามขายต่อ perpetual licenses ของ Windows และ Office ศาลได้ตัดสินว่า ลูกค้าที่ถือ perpetual license มีสิทธิขายต่อได้ตามกฎหมาย และไม่ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ 🎨 ข้อโต้แย้งของ Microsoft ถูกปฏิเสธ Microsoft พยายามอ้างว่าโปรแกรม Office มีองค์ประกอบเชิงกราฟิกและงานสร้างสรรค์ จึงควรได้รับการคุ้มครองในฐานะ “creative work” แต่ศาลเห็นว่า ไม่มีองค์ประกอบที่เพียงพอ ที่จะทำให้ซอฟต์แวร์เหล่านี้เข้าข่ายงานศิลปะหรือวรรณกรรมที่ห้ามขายต่อ 💰 ผลกระทบต่อธุรกิจและผู้บริโภค หากคำตัดสินนี้ถูกยืนยัน จะทำให้ตลาดซอฟต์แวร์มือสองในสหราชอาณาจักรเปิดกว้างมากขึ้น ผู้บริโภคสามารถซื้อ Windows หรือ Office ราคาถูกจากผู้ที่ไม่ใช้แล้ว ซึ่งอาจทำให้ Microsoft สูญเสียรายได้มหาศาล โดยมีการประเมินว่า ค่าเสียหายอาจสูงถึง 270 ล้านปอนด์ 🏛️ Microsoft เตรียมอุทธรณ์ Microsoft แถลงว่าจะยื่นอุทธรณ์ต่อคำตัดสินนี้ โดยยังคงยืนยันว่าการขายต่อ license ขัดต่อสัญญาและเป็นการละเมิดสิทธิ์ของบริษัท อย่างไรก็ตาม คดีนี้อาจกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ในยุโรปเกี่ยวกับสิทธิการขายต่อซอฟต์แวร์ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ศาลสหราชอาณาจักรตัดสินให้ขายต่อ Windows และ Office license ได้ ➡️ ลูกค้าที่ถือ perpetual license มีสิทธิขายต่อโดยไม่ผิดกฎหมาย ✅ ข้อโต้แย้งของ Microsoft ถูกปฏิเสธ ➡️ ศาลเห็นว่าโปรแกรมไม่เข้าข่าย “งานสร้างสรรค์” ที่ห้ามขายต่อ ✅ ผลกระทบต่อผู้บริโภคและตลาด ➡️ เปิดโอกาสให้ซื้อซอฟต์แวร์ราคาถูกจากตลาดมือสอง ‼️ ความเสี่ยงต่อรายได้ของ Microsoft ⛔ อาจสูญเสียรายได้มหาศาลและต้องจ่ายค่าเสียหาย 270 ล้านปอนด์ ‼️ ความไม่แน่นอนจากการอุทธรณ์ ⛔ หาก Microsoft ชนะการอุทธรณ์ ตลาดซอฟต์แวร์มือสองอาจถูกจำกัดอีกครั้ง https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/microsoft-to-appeal-ruling-in-favor-of-reselling-perpetual-windows-licenses-uk-competition-court-says-fineprint-holds-no-ground-as-judges-throw-out-companys-creative-work-argument
    0 Comments 0 Shares 105 Views 0 Reviews
  • Tesla Megapack – ทางออกสำหรับศูนย์ข้อมูล AI

    Tesla เปิดตัวการตลาดใหม่สำหรับ Megapack แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับศูนย์ข้อมูล AI ซึ่งมีการใช้พลังงานแบบผันผวนสูง โดยเฉพาะการฝึกโมเดลที่ใช้ GPU นับพันตัวพร้อมกัน ทำให้โหลดไฟฟ้าอาจแกว่งขึ้นลงถึง 90% ภายในเสี้ยววินาที Megapack ถูกออกแบบมาเพื่อดูดซับความผันผวนเหล่านี้และรักษาเสถียรภาพของแรงดันไฟฟ้าและความถี่

    ปัญหาความเสถียรของโครงข่ายไฟฟ้า
    รายงานจาก North American Electric Reliability Corporation (NERC) เตือนว่าศูนย์ข้อมูล AI กำลังสร้างแรงกดดันต่อโครงข่ายไฟฟ้าแบบไม่เคยมีมาก่อน การซิงโครไนซ์ข้อมูลและการ checkpoint ของโมเดลทำให้โหลดไฟฟ้าเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งระบบไฟฟ้าแบบเดิมไม่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับ Tesla จึงนำเสนอ Megapack เป็น “buffer” ที่ตอบสนองทันทีโดยไม่ต้องพึ่งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเชิงกล

    ความคุ้มค่าเชิงเศรษฐศาสตร์
    Tesla อ้างว่า Megapack ให้ “outsized value” โดยสามารถสร้างมูลค่าได้ถึง 50 พันล้านดอลลาร์ต่อกิกะวัตต์ สำหรับระบบที่ทำงาน 2 ชั่วโมงตลอดอายุการใช้งาน 20 ปี จุดเด่นอีกอย่างคือการผลิตและส่งมอบได้รวดเร็ว ซึ่งช่วยตอบโจทย์นักพัฒนา AI ที่กำลังรอคิวเชื่อมต่อไฟฟ้าจำนวนมากในสหรัฐฯ

    คำถามที่ยังค้างคา
    แม้ Megapack จะถูกมองว่าเป็นทางออก แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะถูกบูรณาการเข้ากับโครงสร้างไฟฟ้าเดิมในรูปแบบใด เช่น จะใช้เป็น UPS ภายในศูนย์ข้อมูล หรือเป็น front-of-meter grid support รวมถึงประเด็นด้านค่าใช้จ่ายจริงและการคิดค่าบริการไฟฟ้า (demand charges) ที่ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียด

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Tesla เปิดตัว Megapack สำหรับศูนย์ข้อมูล AI
    ลดความผันผวนของโหลดไฟฟ้าได้ถึง 90%

    ปัญหาความเสถียรของโครงข่ายไฟฟ้า
    AI workloads ทำให้โหลดไฟฟ้าแกว่งขึ้นลงหลายเมกะวัตต์ในเสี้ยววินาที

    ความคุ้มค่าเชิงเศรษฐศาสตร์
    มูลค่า 50 พันล้านดอลลาร์ต่อกิกะวัตต์ในระบบ 2 ชั่วโมง อายุใช้งาน 20 ปี

    คำถามเรื่องการบูรณาการระบบ
    ยังไม่ชัดว่าจะใช้เป็น UPS หรือ grid support

    ความไม่โปร่งใสด้านต้นทุนจริง
    ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนเรื่อง demand charges และค่าใช้จ่ายรวม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/tesla-targets-ai-data-centers-with-megapack-as-grid-strain-fears-grow
    🔋 Tesla Megapack – ทางออกสำหรับศูนย์ข้อมูล AI Tesla เปิดตัวการตลาดใหม่สำหรับ Megapack แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับศูนย์ข้อมูล AI ซึ่งมีการใช้พลังงานแบบผันผวนสูง โดยเฉพาะการฝึกโมเดลที่ใช้ GPU นับพันตัวพร้อมกัน ทำให้โหลดไฟฟ้าอาจแกว่งขึ้นลงถึง 90% ภายในเสี้ยววินาที Megapack ถูกออกแบบมาเพื่อดูดซับความผันผวนเหล่านี้และรักษาเสถียรภาพของแรงดันไฟฟ้าและความถี่ ⚡ ปัญหาความเสถียรของโครงข่ายไฟฟ้า รายงานจาก North American Electric Reliability Corporation (NERC) เตือนว่าศูนย์ข้อมูล AI กำลังสร้างแรงกดดันต่อโครงข่ายไฟฟ้าแบบไม่เคยมีมาก่อน การซิงโครไนซ์ข้อมูลและการ checkpoint ของโมเดลทำให้โหลดไฟฟ้าเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งระบบไฟฟ้าแบบเดิมไม่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับ Tesla จึงนำเสนอ Megapack เป็น “buffer” ที่ตอบสนองทันทีโดยไม่ต้องพึ่งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเชิงกล 💰 ความคุ้มค่าเชิงเศรษฐศาสตร์ Tesla อ้างว่า Megapack ให้ “outsized value” โดยสามารถสร้างมูลค่าได้ถึง 50 พันล้านดอลลาร์ต่อกิกะวัตต์ สำหรับระบบที่ทำงาน 2 ชั่วโมงตลอดอายุการใช้งาน 20 ปี จุดเด่นอีกอย่างคือการผลิตและส่งมอบได้รวดเร็ว ซึ่งช่วยตอบโจทย์นักพัฒนา AI ที่กำลังรอคิวเชื่อมต่อไฟฟ้าจำนวนมากในสหรัฐฯ 🏗️ คำถามที่ยังค้างคา แม้ Megapack จะถูกมองว่าเป็นทางออก แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะถูกบูรณาการเข้ากับโครงสร้างไฟฟ้าเดิมในรูปแบบใด เช่น จะใช้เป็น UPS ภายในศูนย์ข้อมูล หรือเป็น front-of-meter grid support รวมถึงประเด็นด้านค่าใช้จ่ายจริงและการคิดค่าบริการไฟฟ้า (demand charges) ที่ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียด 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Tesla เปิดตัว Megapack สำหรับศูนย์ข้อมูล AI ➡️ ลดความผันผวนของโหลดไฟฟ้าได้ถึง 90% ✅ ปัญหาความเสถียรของโครงข่ายไฟฟ้า ➡️ AI workloads ทำให้โหลดไฟฟ้าแกว่งขึ้นลงหลายเมกะวัตต์ในเสี้ยววินาที ✅ ความคุ้มค่าเชิงเศรษฐศาสตร์ ➡️ มูลค่า 50 พันล้านดอลลาร์ต่อกิกะวัตต์ในระบบ 2 ชั่วโมง อายุใช้งาน 20 ปี ‼️ คำถามเรื่องการบูรณาการระบบ ⛔ ยังไม่ชัดว่าจะใช้เป็น UPS หรือ grid support ‼️ความไม่โปร่งใสด้านต้นทุนจริง ⛔ ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนเรื่อง demand charges และค่าใช้จ่ายรวม https://www.tomshardware.com/tech-industry/tesla-targets-ai-data-centers-with-megapack-as-grid-strain-fears-grow
    0 Comments 0 Shares 112 Views 0 Reviews
  • สตาร์ทอัพจีนชื่อ INF Tech สามารถเข้าถึง GPU รุ่นใหม่ของ Nvidia (Blackwell) จำนวนกว่า 2,300 ตัว

    แม้รัฐบาลสหรัฐฯ จะสั่งห้ามขาย GPU รุ่น Blackwell ให้จีน แต่ INF Tech ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพจากเซี่ยงไฮ้ กลับหาทางเข้าถึงได้ผ่านการเช่าซื้อจากบริษัทอินโดนีเซียชื่อ Indosat Ooredoo Hutchison ที่เพิ่งซื้อเซิร์ฟเวอร์ Nvidia GB200 จำนวน 32 แร็ค (รวมกว่า 2,300 GPU) จากพันธมิตร Nvidia ในสหรัฐฯ

    โครงสร้างการเชื่อมโยงที่ซับซ้อน
    เส้นทางการซื้อขายเริ่มจากบริษัท Aivres ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นพันธมิตรของ Nvidia ที่จัดหาเซิร์ฟเวอร์ให้ Indosat โดยมีข่าวลือว่า Aivres อาจมีความเกี่ยวข้องกับบริษัทจีนที่ถูกขึ้นบัญชีดำ แต่เนื่องจากเป็นบริษัทในสหรัฐฯ จึงไม่ถูกจำกัดการส่งออกโดยตรง ทำให้สามารถขายต่อไปยังอินโดนีเซียได้อย่างถูกกฎหมาย

    ความกังวลด้านความมั่นคง
    แม้ INF Tech จะยืนยันว่าไม่ได้ทำงานด้านการทหาร แต่หลายฝ่ายกังวลว่าบริษัทจีนสามารถถูกบังคับให้ร่วมมือกับรัฐบาลกลางในอนาคต การเข้าถึง GPU ระดับสูงเช่นนี้อาจทำให้จีนมีศักยภาพด้าน AI ที่ทัดเทียมกับสหรัฐฯ และพันธมิตร

    มุมมองจากนโยบายสหรัฐฯ
    ข้อตกลงนี้เกิดขึ้นเพราะสหรัฐฯ ยังไม่บังคับใช้กฎควบคุมการแพร่กระจาย AI (AI Diffusion Rule) ที่รัฐบาลก่อนหน้านี้เสนอไว้ Nvidia เองก็สนับสนุนการผ่อนปรนข้อจำกัด โดยให้เหตุผลว่าการเปิดตลาดจะช่วยรักษาความเป็นผู้นำด้าน AI ของสหรัฐฯ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    INF Tech เข้าถึง GPU Blackwell กว่า 2,300 ตัว
    ผ่านการเช่าซื้อจาก Indosat อินโดนีเซีย

    เส้นทางการซื้อขายผ่าน Aivres สหรัฐฯ
    บริษัทพันธมิตร Nvidia ที่ไม่ถูกจำกัดการส่งออก

    Nvidia สนับสนุนการผ่อนปรนข้อจำกัด
    เชื่อว่าการเปิดตลาดช่วยรักษาความเป็นผู้นำด้าน AI

    ความเสี่ยงด้านความมั่นคง
    บริษัทจีนอาจถูกบังคับให้ร่วมมือกับรัฐบาลกลางในอนาคต

    ช่องโหว่ด้านกฎหมายการส่งออก
    ทำให้จีนยังสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีแม้ถูกห้ามโดยตรง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chinese-ai-startup-gets-access-to-2-300-banned-blackwell-gpus-by-exploiting-cloud-loophole-rents-compute-from-indonesian-firm-with-32-nvidia-gb200-server-racks
    🌏 สตาร์ทอัพจีนชื่อ INF Tech สามารถเข้าถึง GPU รุ่นใหม่ของ Nvidia (Blackwell) จำนวนกว่า 2,300 ตัว แม้รัฐบาลสหรัฐฯ จะสั่งห้ามขาย GPU รุ่น Blackwell ให้จีน แต่ INF Tech ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพจากเซี่ยงไฮ้ กลับหาทางเข้าถึงได้ผ่านการเช่าซื้อจากบริษัทอินโดนีเซียชื่อ Indosat Ooredoo Hutchison ที่เพิ่งซื้อเซิร์ฟเวอร์ Nvidia GB200 จำนวน 32 แร็ค (รวมกว่า 2,300 GPU) จากพันธมิตร Nvidia ในสหรัฐฯ ⚙️ โครงสร้างการเชื่อมโยงที่ซับซ้อน เส้นทางการซื้อขายเริ่มจากบริษัท Aivres ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นพันธมิตรของ Nvidia ที่จัดหาเซิร์ฟเวอร์ให้ Indosat โดยมีข่าวลือว่า Aivres อาจมีความเกี่ยวข้องกับบริษัทจีนที่ถูกขึ้นบัญชีดำ แต่เนื่องจากเป็นบริษัทในสหรัฐฯ จึงไม่ถูกจำกัดการส่งออกโดยตรง ทำให้สามารถขายต่อไปยังอินโดนีเซียได้อย่างถูกกฎหมาย 🔒 ความกังวลด้านความมั่นคง แม้ INF Tech จะยืนยันว่าไม่ได้ทำงานด้านการทหาร แต่หลายฝ่ายกังวลว่าบริษัทจีนสามารถถูกบังคับให้ร่วมมือกับรัฐบาลกลางในอนาคต การเข้าถึง GPU ระดับสูงเช่นนี้อาจทำให้จีนมีศักยภาพด้าน AI ที่ทัดเทียมกับสหรัฐฯ และพันธมิตร 🏛️ มุมมองจากนโยบายสหรัฐฯ ข้อตกลงนี้เกิดขึ้นเพราะสหรัฐฯ ยังไม่บังคับใช้กฎควบคุมการแพร่กระจาย AI (AI Diffusion Rule) ที่รัฐบาลก่อนหน้านี้เสนอไว้ Nvidia เองก็สนับสนุนการผ่อนปรนข้อจำกัด โดยให้เหตุผลว่าการเปิดตลาดจะช่วยรักษาความเป็นผู้นำด้าน AI ของสหรัฐฯ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ INF Tech เข้าถึง GPU Blackwell กว่า 2,300 ตัว ➡️ ผ่านการเช่าซื้อจาก Indosat อินโดนีเซีย ✅ เส้นทางการซื้อขายผ่าน Aivres สหรัฐฯ ➡️ บริษัทพันธมิตร Nvidia ที่ไม่ถูกจำกัดการส่งออก ✅ Nvidia สนับสนุนการผ่อนปรนข้อจำกัด ➡️ เชื่อว่าการเปิดตลาดช่วยรักษาความเป็นผู้นำด้าน AI ‼️ ความเสี่ยงด้านความมั่นคง ⛔ บริษัทจีนอาจถูกบังคับให้ร่วมมือกับรัฐบาลกลางในอนาคต ‼️ ช่องโหว่ด้านกฎหมายการส่งออก ⛔ ทำให้จีนยังสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีแม้ถูกห้ามโดยตรง https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/chinese-ai-startup-gets-access-to-2-300-banned-blackwell-gpus-by-exploiting-cloud-loophole-rents-compute-from-indonesian-firm-with-32-nvidia-gb200-server-racks
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Chinese AI startup gets access to 2,300 banned Blackwell GPUs by exploiting cloud loophole — rents compute from Indonesian firm with 32 Nvidia GB200 server racks
    The company isn't listed in the U.S. Entity List, but some are concerned that blacklisted companies might use this route to gain access to the latest Nvidia hardware.
    0 Comments 0 Shares 119 Views 0 Reviews
  • Samsung ขึ้นราคาชิปหน่วยความจำ

    รายงานระบุว่า Samsung ได้ปรับราคาชิปหน่วยความจำขึ้นมากถึง 60% ตั้งแต่เดือนกันยายน โดยเฉพาะ DDR5 ขนาด 32GB ที่ราคาสัญญาเพิ่มจาก 149 ดอลลาร์ เป็น 239 ดอลลาร์ การปรับขึ้นครั้งนี้สะท้อนถึงแรงกดดันจากตลาดที่ต้องการหน่วยความจำจำนวนมากเพื่อรองรับการประมวลผล AI

    AI Data Center จุดชนวนความต้องการ
    การสร้างศูนย์ข้อมูล AI ทั่วโลกเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ความต้องการหน่วยความจำพุ่งสูง ผู้ผลิตไม่เร่งเพิ่มกำลังการผลิต เพราะกังวลว่าความต้องการอาจลดลงในอนาคต ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนและราคาพุ่งขึ้นต่อเนื่อง

    ผลกระทบต่อผู้บริโภคและอุตสาหกรรม
    ราคาที่สูงขึ้นไม่ได้กระทบแค่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ DIY แต่ยังส่งผลต่อ สมาร์ทโฟน, โน้ตบุ๊ก, IoT และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ ที่ต้องใช้ DRAM และ NAND การขาดแคลนทำให้บางตลาดเกิดการ “panic buying” หรือการสั่งซื้อเกินความต้องการเพื่อกักตุนสินค้า

    แนวโน้มในอนาคต
    นักวิเคราะห์เตือนว่าภาวะขาดแคลนอาจยืดเยื้อไปถึงปี 2026 และอาจกินเวลานานถึง 10 ปี หากอุตสาหกรรมยังไม่สามารถเพิ่มกำลังการผลิตให้ทันกับการเติบโตของ AI ที่ต้องใช้หน่วยความจำจำนวนมหาศาล

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Samsung ปรับขึ้นราคาชิปหน่วยความจำสูงสุด 60%
    DDR5 32GB ราคาพุ่งจาก 149 ดอลลาร์เป็น 239 ดอลลาร์

    AI Data Center เป็นตัวการหลัก
    ความต้องการหน่วยความจำเพิ่มขึ้นมหาศาลจากการสร้างศูนย์ข้อมูล AI

    ผลกระทบต่อผู้บริโภคและอุตสาหกรรม
    สมาร์ทโฟน, โน้ตบุ๊ก, IoT และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะได้รับผลกระทบ

    ความเสี่ยงจากการขาดแคลนยาวนาน
    อาจยืดเยื้อไปถึงปี 2026 และกินเวลานานถึง 10 ปี

    การกักตุนสินค้า (panic buying)
    ทำให้ตลาดตึงเครียดและราคายิ่งพุ่งสูงขึ้น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/samsung-raises-memory-chip-prices-by-up-to-60-percent-since-september-according-to-reports-ai-data-center-build-out-strangles-supply
    💾 Samsung ขึ้นราคาชิปหน่วยความจำ รายงานระบุว่า Samsung ได้ปรับราคาชิปหน่วยความจำขึ้นมากถึง 60% ตั้งแต่เดือนกันยายน โดยเฉพาะ DDR5 ขนาด 32GB ที่ราคาสัญญาเพิ่มจาก 149 ดอลลาร์ เป็น 239 ดอลลาร์ การปรับขึ้นครั้งนี้สะท้อนถึงแรงกดดันจากตลาดที่ต้องการหน่วยความจำจำนวนมากเพื่อรองรับการประมวลผล AI 🏗️ AI Data Center จุดชนวนความต้องการ การสร้างศูนย์ข้อมูล AI ทั่วโลกเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ความต้องการหน่วยความจำพุ่งสูง ผู้ผลิตไม่เร่งเพิ่มกำลังการผลิต เพราะกังวลว่าความต้องการอาจลดลงในอนาคต ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนและราคาพุ่งขึ้นต่อเนื่อง 📈 ผลกระทบต่อผู้บริโภคและอุตสาหกรรม ราคาที่สูงขึ้นไม่ได้กระทบแค่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ DIY แต่ยังส่งผลต่อ สมาร์ทโฟน, โน้ตบุ๊ก, IoT และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ ที่ต้องใช้ DRAM และ NAND การขาดแคลนทำให้บางตลาดเกิดการ “panic buying” หรือการสั่งซื้อเกินความต้องการเพื่อกักตุนสินค้า 🔮 แนวโน้มในอนาคต นักวิเคราะห์เตือนว่าภาวะขาดแคลนอาจยืดเยื้อไปถึงปี 2026 และอาจกินเวลานานถึง 10 ปี หากอุตสาหกรรมยังไม่สามารถเพิ่มกำลังการผลิตให้ทันกับการเติบโตของ AI ที่ต้องใช้หน่วยความจำจำนวนมหาศาล 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Samsung ปรับขึ้นราคาชิปหน่วยความจำสูงสุด 60% ➡️ DDR5 32GB ราคาพุ่งจาก 149 ดอลลาร์เป็น 239 ดอลลาร์ ✅ AI Data Center เป็นตัวการหลัก ➡️ ความต้องการหน่วยความจำเพิ่มขึ้นมหาศาลจากการสร้างศูนย์ข้อมูล AI ✅ ผลกระทบต่อผู้บริโภคและอุตสาหกรรม ➡️ สมาร์ทโฟน, โน้ตบุ๊ก, IoT และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะได้รับผลกระทบ ‼️ ความเสี่ยงจากการขาดแคลนยาวนาน ⛔ อาจยืดเยื้อไปถึงปี 2026 และกินเวลานานถึง 10 ปี ‼️ การกักตุนสินค้า (panic buying) ⛔ ทำให้ตลาดตึงเครียดและราคายิ่งพุ่งสูงขึ้น https://www.tomshardware.com/tech-industry/samsung-raises-memory-chip-prices-by-up-to-60-percent-since-september-according-to-reports-ai-data-center-build-out-strangles-supply
    0 Comments 0 Shares 124 Views 0 Reviews
  • ชิปควอนตัมเชิงแสงจากจีน – ก้าวกระโดดครั้งใหญ่

    บริษัท CHIPX (Chip Hub for Integrated Photonics Xplore) ของจีนเปิดตัวชิปควอนตัมเชิงแสงที่ถูกเรียกว่า “อุตสาหกรรมเกรด” ตัวแรกของโลก โดยใช้เทคโนโลยี co-packaging รวมโฟตอนและอิเล็กทรอนิกส์เข้าด้วยกันในแผ่นเวเฟอร์ซิลิคอนขนาด 6 นิ้ว ชิปนี้มีองค์ประกอบเชิงแสงกว่า 1,000 ชิ้นในพื้นที่เล็กมาก ทำให้มีความกะทัดรัดและสามารถติดตั้งได้รวดเร็วภายใน 2 สัปดาห์ ต่างจากควอนตัมคอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิมที่ใช้เวลาหลายเดือน

    ประสิทธิภาพเหนือ GPU ของ Nvidia
    ผู้พัฒนาระบุว่าชิปใหม่นี้สามารถทำงานด้าน AI ได้เร็วกว่า GPU ของ Nvidia ถึง 1,000 เท่า และถูกนำไปใช้แล้วในบางอุตสาหกรรม เช่น การบินและการเงิน จุดเด่นคือการใช้ แสง (photons) แทนกระแสไฟฟ้าในการประมวลผล ทำให้ไม่เกิดความร้อนและสามารถส่งข้อมูลได้เร็วกว่าอย่างมาก

    ปัญหาการผลิตและผลผลิตต่ำ
    แม้เทคโนโลยีจะล้ำหน้า แต่การผลิตยังเป็นอุปสรรคใหญ่ ปัจจุบันโรงงานสามารถผลิตได้เพียง 12,000 เวเฟอร์ต่อปี โดยแต่ละเวเฟอร์ให้ผลผลิตประมาณ 350 ชิป ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับโรงงานเซมิคอนดักเตอร์ทั่วไป ความเปราะบางของวัสดุที่ใช้ทำให้การผลิตจำนวนมากยังเป็นเรื่องท้าทาย

    ผลกระทบและการแข่งขันระดับโลก
    จีนตั้งเป้าที่จะนำหน้าประเทศตะวันตกในด้านควอนตัมคอมพิวติ้ง หากคำกล่าวอ้างเรื่องความเร็ว 1,000 เท่าจริง นี่จะเป็นการพลิกโฉมวงการ AI และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม นักวิจัยทั่วโลกยังคงจับตาดูว่าเทคโนโลยีนี้จะสามารถแก้ไขปัญหาการผลิตและเข้าสู่การใช้งานเชิงพาณิชย์ได้จริงหรือไม่

    สรุปประเด็นสำคัญ
    CHIPX เปิดตัวชิปควอนตัมเชิงแสง
    ใช้โฟตอนแทนกระแสไฟฟ้า ทำให้ไม่เกิดความร้อนและส่งข้อมูลได้เร็ว

    ประสิทธิภาพเหนือกว่า GPU ของ Nvidia
    อ้างว่าเร็วกว่า 1,000 เท่าในการประมวลผล AI

    การใช้งานจริงเริ่มต้นแล้ว
    ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมการบินและการเงิน

    ผลผลิตต่ำและการผลิตยาก
    โรงงานผลิตได้เพียง 12,000 เวเฟอร์ต่อปี แต่ละเวเฟอร์ให้ผลผลิตประมาณ 350 ชิป

    ความไม่แน่นอนด้านการใช้งานเชิงพาณิชย์
    หากไม่สามารถแก้ปัญหาการผลิตได้ อาจไม่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้จริง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/quantum-computing/new-chinese-optical-quantum-chip-allegedly-1-000x-faster-than-nvidia-gpus-for-processing-ai-workloads-but-yields-are-low
    ⚛️ ชิปควอนตัมเชิงแสงจากจีน – ก้าวกระโดดครั้งใหญ่ บริษัท CHIPX (Chip Hub for Integrated Photonics Xplore) ของจีนเปิดตัวชิปควอนตัมเชิงแสงที่ถูกเรียกว่า “อุตสาหกรรมเกรด” ตัวแรกของโลก โดยใช้เทคโนโลยี co-packaging รวมโฟตอนและอิเล็กทรอนิกส์เข้าด้วยกันในแผ่นเวเฟอร์ซิลิคอนขนาด 6 นิ้ว ชิปนี้มีองค์ประกอบเชิงแสงกว่า 1,000 ชิ้นในพื้นที่เล็กมาก ทำให้มีความกะทัดรัดและสามารถติดตั้งได้รวดเร็วภายใน 2 สัปดาห์ ต่างจากควอนตัมคอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิมที่ใช้เวลาหลายเดือน 🚀 ประสิทธิภาพเหนือ GPU ของ Nvidia ผู้พัฒนาระบุว่าชิปใหม่นี้สามารถทำงานด้าน AI ได้เร็วกว่า GPU ของ Nvidia ถึง 1,000 เท่า และถูกนำไปใช้แล้วในบางอุตสาหกรรม เช่น การบินและการเงิน จุดเด่นคือการใช้ แสง (photons) แทนกระแสไฟฟ้าในการประมวลผล ทำให้ไม่เกิดความร้อนและสามารถส่งข้อมูลได้เร็วกว่าอย่างมาก 🏭 ปัญหาการผลิตและผลผลิตต่ำ แม้เทคโนโลยีจะล้ำหน้า แต่การผลิตยังเป็นอุปสรรคใหญ่ ปัจจุบันโรงงานสามารถผลิตได้เพียง 12,000 เวเฟอร์ต่อปี โดยแต่ละเวเฟอร์ให้ผลผลิตประมาณ 350 ชิป ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับโรงงานเซมิคอนดักเตอร์ทั่วไป ความเปราะบางของวัสดุที่ใช้ทำให้การผลิตจำนวนมากยังเป็นเรื่องท้าทาย 🌐 ผลกระทบและการแข่งขันระดับโลก จีนตั้งเป้าที่จะนำหน้าประเทศตะวันตกในด้านควอนตัมคอมพิวติ้ง หากคำกล่าวอ้างเรื่องความเร็ว 1,000 เท่าจริง นี่จะเป็นการพลิกโฉมวงการ AI และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม นักวิจัยทั่วโลกยังคงจับตาดูว่าเทคโนโลยีนี้จะสามารถแก้ไขปัญหาการผลิตและเข้าสู่การใช้งานเชิงพาณิชย์ได้จริงหรือไม่ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ CHIPX เปิดตัวชิปควอนตัมเชิงแสง ➡️ ใช้โฟตอนแทนกระแสไฟฟ้า ทำให้ไม่เกิดความร้อนและส่งข้อมูลได้เร็ว ✅ ประสิทธิภาพเหนือกว่า GPU ของ Nvidia ➡️ อ้างว่าเร็วกว่า 1,000 เท่าในการประมวลผล AI ✅ การใช้งานจริงเริ่มต้นแล้ว ➡️ ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมการบินและการเงิน ‼️ ผลผลิตต่ำและการผลิตยาก ⛔ โรงงานผลิตได้เพียง 12,000 เวเฟอร์ต่อปี แต่ละเวเฟอร์ให้ผลผลิตประมาณ 350 ชิป ‼️ ความไม่แน่นอนด้านการใช้งานเชิงพาณิชย์ ⛔ หากไม่สามารถแก้ปัญหาการผลิตได้ อาจไม่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้จริง https://www.tomshardware.com/tech-industry/quantum-computing/new-chinese-optical-quantum-chip-allegedly-1-000x-faster-than-nvidia-gpus-for-processing-ai-workloads-but-yields-are-low
    0 Comments 0 Shares 92 Views 0 Reviews
  • ‘หุ้นอินเดีย’ ดาวเด่นแห่งเอเชีย 14/11/68 #กะเทาะหุ้น #หุ้นอินเดีย #ดาวเด่นแห่งเอเชีย #ตลาดหุ้น
    ‘หุ้นอินเดีย’ ดาวเด่นแห่งเอเชีย 14/11/68 #กะเทาะหุ้น #หุ้นอินเดีย #ดาวเด่นแห่งเอเชีย #ตลาดหุ้น
    0 Comments 0 Shares 216 Views 0 0 Reviews
More Results