• จุดจบของเซเลนสกีเริ่มขึ้นอีกหนึ่งเส้นทาง!!

    ทีมผู้ตรวจสอบบัญชีของสหรัฐฯ เดินทางมาถึงกรุงเคียฟแล้ว พวกเขาวางแผนจะพักในเคียฟจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน

    จุดประสงค์ของการเยือนครั้งนี้คือการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินที่เป็นความช่วยเหลือด้านการทหารและด้านมนุษยธรรมที่สหรัฐมอบให้กับยูเครนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบประสิทธิผลของการใช้จ่ายและการปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ของความช่วยเหลือ

    เมื่อต้นเดือนมีนาคม อีลอน มัสก์ได้เรียกร้องให้มีการตรวจสอบความช่วยเหลือด้านการทหารที่มอบให้กับเซเลนสกี หลังจากมีรายงานว่าการบริหารงานในเคียฟกำลังขโมยและขายอาวุธของชาติตะวันตกออกไปยังตลาดมืด

    ในช่วงมีนาคมเช่นเดียวกัน ผู้แทนพิเศษของสหรัฐประจำยูเครน เคลล็อกก์ ประกาศว่าการตรวจสอบการใช้จ่ายของสหรัฐฯ ในการทำสงครามในยูเครนจะเริ่มขึ้นในเร็วๆ นี้
    จุดจบของเซเลนสกีเริ่มขึ้นอีกหนึ่งเส้นทาง!! ทีมผู้ตรวจสอบบัญชีของสหรัฐฯ เดินทางมาถึงกรุงเคียฟแล้ว พวกเขาวางแผนจะพักในเคียฟจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน จุดประสงค์ของการเยือนครั้งนี้คือการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินที่เป็นความช่วยเหลือด้านการทหารและด้านมนุษยธรรมที่สหรัฐมอบให้กับยูเครนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบประสิทธิผลของการใช้จ่ายและการปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ของความช่วยเหลือ เมื่อต้นเดือนมีนาคม อีลอน มัสก์ได้เรียกร้องให้มีการตรวจสอบความช่วยเหลือด้านการทหารที่มอบให้กับเซเลนสกี หลังจากมีรายงานว่าการบริหารงานในเคียฟกำลังขโมยและขายอาวุธของชาติตะวันตกออกไปยังตลาดมืด ในช่วงมีนาคมเช่นเดียวกัน ผู้แทนพิเศษของสหรัฐประจำยูเครน เคลล็อกก์ ประกาศว่าการตรวจสอบการใช้จ่ายของสหรัฐฯ ในการทำสงครามในยูเครนจะเริ่มขึ้นในเร็วๆ นี้
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 36 Views 0 Reviews
  • 🚀 Samsung เร่งพัฒนา LPDDR6 RAM เพื่อแซงหน้าคู่แข่งจากจีน
    Samsung กำลังเร่งพัฒนา LPDDR6 RAM ในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 เพื่อ รักษาความเป็นผู้นำในตลาดหน่วยความจำ และ แซงหน้าคู่แข่งจากจีน เช่น CXMT ซึ่งเพิ่งเสร็จสิ้นการพัฒนา LPDDR5X RAM

    LPDDR6 RAM รุ่นใหม่นี้จะถูกผลิตบน กระบวนการ 1c DRAM ซึ่งเป็น เจเนอเรชันที่หกของเทคโนโลยี DRAM โดยมี แบนด์วิดท์สูงขึ้นและใช้พลังงานน้อยลง

    CXMT ซึ่งเป็นผู้ผลิตหน่วยความจำจากจีน เริ่มพัฒนา LPDDR6 RAM แล้ว และอาจเริ่มผลิตเต็มรูปแบบในปี 2026 ทำให้ Samsung ต้องเร่งกระบวนการพัฒนาเพื่อ รักษาความได้เปรียบทางเทคโนโลยี

    Qualcomm จะเป็น ลูกค้ารายแรกที่นำ LPDDR6 RAM ของ Samsung ไปใช้ โดยคาดว่า Snapdragon 8 Elite Gen 2 จะรองรับเทคโนโลยีนี้ทันทีเมื่อเปิดตัวใน Snapdragon Summit วันที่ 23 กันยายน

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Samsung เร่งพัฒนา LPDDR6 RAM ในครึ่งหลังของปี 2025
    - LPDDR6 RAM จะถูกผลิตบนกระบวนการ 1c DRAM ซึ่งเป็นเจเนอเรชันที่หกของ DRAM
    - CXMT จากจีนเริ่มพัฒนา LPDDR6 RAM และอาจเริ่มผลิตเต็มรูปแบบในปี 2026
    - Qualcomm จะเป็นลูกค้ารายแรกที่นำ LPDDR6 RAM ไปใช้ใน Snapdragon 8 Elite Gen 2
    - LPDDR6 RAM จะถูกใช้ใน AI, คอมพิวเตอร์พกพา, หุ่นยนต์ และรถยนต์ไร้คนขับ

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การแข่งขันระหว่าง Samsung และ CXMT อาจทำให้ราคาหน่วยความจำผันผวน
    - ต้องติดตามว่าผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายอื่นจะนำ LPDDR6 RAM ไปใช้เร็วแค่ไหน
    - แม้จะมีประสิทธิภาพสูงขึ้น แต่ต้องตรวจสอบว่าการใช้พลังงานจะลดลงตามที่คาดหวังหรือไม่
    - ต้องรอดูว่า CXMT จะสามารถผลิต LPDDR6 RAM ได้เร็วพอที่จะแข่งขันกับ Samsung หรือไม่

    LPDDR6 RAM อาจช่วยให้สมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ AI มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และ ลดการใช้พลังงาน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการแข่งขันระหว่าง Samsung และ CXMT จะส่งผลต่อราคาหน่วยความจำในตลาดอย่างไร

    https://wccftech.com/samsung-accelerating-lpddr6-ram-development-in-h2-2025/
    🚀 Samsung เร่งพัฒนา LPDDR6 RAM เพื่อแซงหน้าคู่แข่งจากจีน Samsung กำลังเร่งพัฒนา LPDDR6 RAM ในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 เพื่อ รักษาความเป็นผู้นำในตลาดหน่วยความจำ และ แซงหน้าคู่แข่งจากจีน เช่น CXMT ซึ่งเพิ่งเสร็จสิ้นการพัฒนา LPDDR5X RAM LPDDR6 RAM รุ่นใหม่นี้จะถูกผลิตบน กระบวนการ 1c DRAM ซึ่งเป็น เจเนอเรชันที่หกของเทคโนโลยี DRAM โดยมี แบนด์วิดท์สูงขึ้นและใช้พลังงานน้อยลง CXMT ซึ่งเป็นผู้ผลิตหน่วยความจำจากจีน เริ่มพัฒนา LPDDR6 RAM แล้ว และอาจเริ่มผลิตเต็มรูปแบบในปี 2026 ทำให้ Samsung ต้องเร่งกระบวนการพัฒนาเพื่อ รักษาความได้เปรียบทางเทคโนโลยี Qualcomm จะเป็น ลูกค้ารายแรกที่นำ LPDDR6 RAM ของ Samsung ไปใช้ โดยคาดว่า Snapdragon 8 Elite Gen 2 จะรองรับเทคโนโลยีนี้ทันทีเมื่อเปิดตัวใน Snapdragon Summit วันที่ 23 กันยายน ✅ ข้อมูลจากข่าว - Samsung เร่งพัฒนา LPDDR6 RAM ในครึ่งหลังของปี 2025 - LPDDR6 RAM จะถูกผลิตบนกระบวนการ 1c DRAM ซึ่งเป็นเจเนอเรชันที่หกของ DRAM - CXMT จากจีนเริ่มพัฒนา LPDDR6 RAM และอาจเริ่มผลิตเต็มรูปแบบในปี 2026 - Qualcomm จะเป็นลูกค้ารายแรกที่นำ LPDDR6 RAM ไปใช้ใน Snapdragon 8 Elite Gen 2 - LPDDR6 RAM จะถูกใช้ใน AI, คอมพิวเตอร์พกพา, หุ่นยนต์ และรถยนต์ไร้คนขับ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การแข่งขันระหว่าง Samsung และ CXMT อาจทำให้ราคาหน่วยความจำผันผวน - ต้องติดตามว่าผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายอื่นจะนำ LPDDR6 RAM ไปใช้เร็วแค่ไหน - แม้จะมีประสิทธิภาพสูงขึ้น แต่ต้องตรวจสอบว่าการใช้พลังงานจะลดลงตามที่คาดหวังหรือไม่ - ต้องรอดูว่า CXMT จะสามารถผลิต LPDDR6 RAM ได้เร็วพอที่จะแข่งขันกับ Samsung หรือไม่ LPDDR6 RAM อาจช่วยให้สมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ AI มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และ ลดการใช้พลังงาน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการแข่งขันระหว่าง Samsung และ CXMT จะส่งผลต่อราคาหน่วยความจำในตลาดอย่างไร https://wccftech.com/samsung-accelerating-lpddr6-ram-development-in-h2-2025/
    WCCFTECH.COM
    Samsung Is Accelerating Development Of LPDDR6 RAM In H2 2025 To Obtain A Lead Against Chinese Manufacturers, Qualcomm Will Be One Of The First Top Adopt This Technology
    As Chinese DRAM manufacturers attempt to close the gap with Samsung, the latter is focused on accelerating LPDDR6 RAM development later in the year
    0 Comments 0 Shares 39 Views 0 Reviews
  • 🚀 กลุ่มพันธมิตร ASIC เร่งพัฒนาเพื่อลดการพึ่งพา Nvidia
    รายงานอุตสาหกรรมล่าสุดเผยว่า บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น Microsoft, Google และ AWS กำลังเร่งพัฒนา ASIC (Application-Specific Integrated Circuits) เพื่อลดการพึ่งพา Nvidia ซึ่งครองตลาด AI และเซิร์ฟเวอร์ประสิทธิภาพสูง

    Nvidia ครองตลาดด้วย Blackwell GPUs เช่น B200 ซึ่งถูกใช้ในศูนย์ข้อมูลทั่วโลก แต่ด้วยราคาสูงถึง $70,000 - $80,000 ต่อชิป และเซิร์ฟเวอร์ GB200 ที่มีราคาสูงถึง $1.8 - $3 ล้าน ทำให้บริษัทต่าง ๆ ต้องการลดต้นทุนและเพิ่มความเป็นอิสระด้านฮาร์ดแวร์

    แม้ว่าบริษัทเหล่านี้ยังคงสั่งซื้อฮาร์ดแวร์จาก Nvidia แต่ก็ เริ่มลงทุนใน ASIC และจองกำลังการผลิตที่ TSMC ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของโลก

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Microsoft, Google และ AWS กำลังเร่งพัฒนา ASIC เพื่อลดการพึ่งพา Nvidia
    - Nvidia ครองตลาด AI ด้วย Blackwell GPUs เช่น B200
    - ราคาชิป Nvidia สูงถึง $70,000 - $80,000 ต่อชิ้น และเซิร์ฟเวอร์ GB200 สูงถึง $1.8 - $3 ล้าน
    - บริษัทต่าง ๆ ยังคงสั่งซื้อจาก Nvidia แต่เริ่มลงทุนใน ASIC และจองกำลังการผลิตที่ TSMC
    - TSMC ได้รับประโยชน์จากทั้ง Nvidia และบริษัทที่พัฒนา ASIC

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การพัฒนา ASIC ต้องใช้เวลาหลายปี และ Nvidia ยังคงเป็นผู้นำด้านซอฟต์แวร์ AI ด้วย CUDA
    - แม้จะมีการพัฒนา ASIC แต่บริษัทต่าง ๆ ยังต้องพึ่งพา Nvidia ในระยะสั้น
    - Nvidia กำลังสร้างพันธมิตรกับผู้ผลิต ASIC เช่น MediaTek, Qualcomm และ Fujitsu ผ่าน NVLink Fusion
    - ต้องติดตามว่าการแข่งขันระหว่าง Nvidia และกลุ่มพันธมิตร ASIC จะส่งผลต่ออุตสาหกรรม AI อย่างไร

    การเปลี่ยนแปลงนี้ อาจช่วยให้บริษัทเทคโนโลยีมีทางเลือกมากขึ้นในการพัฒนา AI และ ลดต้นทุนการดำเนินงาน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการแข่งขันระหว่าง Nvidia และกลุ่มพันธมิตร ASIC จะส่งผลต่ออุตสาหกรรมในระยะยาวอย่างไร

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/rising-asic-coalition-seeks-to-jettison-nvidia-industry-report-claims-firms-are-accelerating-development-in-order-to-reduce-dependence-on-the-giant
    🚀 กลุ่มพันธมิตร ASIC เร่งพัฒนาเพื่อลดการพึ่งพา Nvidia รายงานอุตสาหกรรมล่าสุดเผยว่า บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น Microsoft, Google และ AWS กำลังเร่งพัฒนา ASIC (Application-Specific Integrated Circuits) เพื่อลดการพึ่งพา Nvidia ซึ่งครองตลาด AI และเซิร์ฟเวอร์ประสิทธิภาพสูง Nvidia ครองตลาดด้วย Blackwell GPUs เช่น B200 ซึ่งถูกใช้ในศูนย์ข้อมูลทั่วโลก แต่ด้วยราคาสูงถึง $70,000 - $80,000 ต่อชิป และเซิร์ฟเวอร์ GB200 ที่มีราคาสูงถึง $1.8 - $3 ล้าน ทำให้บริษัทต่าง ๆ ต้องการลดต้นทุนและเพิ่มความเป็นอิสระด้านฮาร์ดแวร์ แม้ว่าบริษัทเหล่านี้ยังคงสั่งซื้อฮาร์ดแวร์จาก Nvidia แต่ก็ เริ่มลงทุนใน ASIC และจองกำลังการผลิตที่ TSMC ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของโลก ✅ ข้อมูลจากข่าว - Microsoft, Google และ AWS กำลังเร่งพัฒนา ASIC เพื่อลดการพึ่งพา Nvidia - Nvidia ครองตลาด AI ด้วย Blackwell GPUs เช่น B200 - ราคาชิป Nvidia สูงถึง $70,000 - $80,000 ต่อชิ้น และเซิร์ฟเวอร์ GB200 สูงถึง $1.8 - $3 ล้าน - บริษัทต่าง ๆ ยังคงสั่งซื้อจาก Nvidia แต่เริ่มลงทุนใน ASIC และจองกำลังการผลิตที่ TSMC - TSMC ได้รับประโยชน์จากทั้ง Nvidia และบริษัทที่พัฒนา ASIC ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การพัฒนา ASIC ต้องใช้เวลาหลายปี และ Nvidia ยังคงเป็นผู้นำด้านซอฟต์แวร์ AI ด้วย CUDA - แม้จะมีการพัฒนา ASIC แต่บริษัทต่าง ๆ ยังต้องพึ่งพา Nvidia ในระยะสั้น - Nvidia กำลังสร้างพันธมิตรกับผู้ผลิต ASIC เช่น MediaTek, Qualcomm และ Fujitsu ผ่าน NVLink Fusion - ต้องติดตามว่าการแข่งขันระหว่าง Nvidia และกลุ่มพันธมิตร ASIC จะส่งผลต่ออุตสาหกรรม AI อย่างไร การเปลี่ยนแปลงนี้ อาจช่วยให้บริษัทเทคโนโลยีมีทางเลือกมากขึ้นในการพัฒนา AI และ ลดต้นทุนการดำเนินงาน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการแข่งขันระหว่าง Nvidia และกลุ่มพันธมิตร ASIC จะส่งผลต่ออุตสาหกรรมในระยะยาวอย่างไร https://www.tomshardware.com/tech-industry/rising-asic-coalition-seeks-to-jettison-nvidia-industry-report-claims-firms-are-accelerating-development-in-order-to-reduce-dependence-on-the-giant
    0 Comments 0 Shares 34 Views 0 Reviews
  • 🏢 AMD ดึงทีมวิศวกรจาก Untether AI เพื่อเสริมศักยภาพด้าน AI Inference
    AMD ได้ประกาศว่า บริษัทได้ว่าจ้างทีมวิศวกรทั้งหมดจาก Untether AI ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนา ชิป AI inference จากแคนาดา โดยการเข้าซื้อครั้งนี้ ไม่ได้รวมถึงทรัพย์สินของ Untether AI ทำให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัท เช่น speedAI และ imAIgine SDK จะ หยุดการสนับสนุนและการจัดจำหน่าย

    AMD ระบุว่า ทีมวิศวกรจาก Untether AI จะช่วยเสริมศักยภาพด้าน AI compiler และ kernel development รวมถึง การออกแบบ SoC และการตรวจสอบผลิตภัณฑ์

    Untether AI เป็นบริษัทที่ พัฒนา AI inference chips ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าการใช้ GPU โดย วางโปรเซสเซอร์ไว้ใกล้กับหน่วยความจำ เพื่อลด latency และการใช้พลังงาน ซึ่งแตกต่างจาก GPU ที่ใช้พลังงานสูงในการฝึกโมเดล AI

    นอกจากนี้ AMD ยังได้เข้าซื้อ Brium ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพที่เน้น การเพิ่มประสิทธิภาพ AI inference ซึ่งบ่งชี้ว่า AMD กำลังมุ่งเน้นไปที่การพัฒนา AI inference chips เพื่อลดการใช้พลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - AMD ดึงทีมวิศวกรจาก Untether AI เพื่อเสริมศักยภาพด้าน AI inference
    - ผลิตภัณฑ์ของ Untether AI เช่น speedAI และ imAIgine SDK จะหยุดการสนับสนุน
    - ทีมวิศวกรจะช่วยพัฒนา AI compiler, kernel development และ SoC design
    - Untether AI พัฒนา AI inference chips ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าการใช้ GPU
    - AMD ยังเข้าซื้อ Brium ซึ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพ AI inference

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ลูกค้าของ Untether AI อาจได้รับผลกระทบ เนื่องจาก AMD ไม่ได้ซื้อทรัพย์สินของบริษัท
    - ต้องติดตามว่า AMD จะพัฒนา AI inference chips ที่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้หรือไม่
    - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่ออุตสาหกรรม AI inference และการใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูล
    - ต้องรอดูว่า AMD จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีของ Untether AI เมื่อใด

    การเข้าซื้อทีมวิศวกรจาก Untether AI อาจช่วยให้ AMD สามารถพัฒนา AI inference chips ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และ ลดการใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูล อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อการแข่งขันกับ Nvidia และตลาด AI inference อย่างไร

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/amd-scoops-entire-untether-ai-chip-team-canada-ai-inference-outfit-will-cease-product-support
    🏢 AMD ดึงทีมวิศวกรจาก Untether AI เพื่อเสริมศักยภาพด้าน AI Inference AMD ได้ประกาศว่า บริษัทได้ว่าจ้างทีมวิศวกรทั้งหมดจาก Untether AI ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนา ชิป AI inference จากแคนาดา โดยการเข้าซื้อครั้งนี้ ไม่ได้รวมถึงทรัพย์สินของ Untether AI ทำให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัท เช่น speedAI และ imAIgine SDK จะ หยุดการสนับสนุนและการจัดจำหน่าย AMD ระบุว่า ทีมวิศวกรจาก Untether AI จะช่วยเสริมศักยภาพด้าน AI compiler และ kernel development รวมถึง การออกแบบ SoC และการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ Untether AI เป็นบริษัทที่ พัฒนา AI inference chips ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าการใช้ GPU โดย วางโปรเซสเซอร์ไว้ใกล้กับหน่วยความจำ เพื่อลด latency และการใช้พลังงาน ซึ่งแตกต่างจาก GPU ที่ใช้พลังงานสูงในการฝึกโมเดล AI นอกจากนี้ AMD ยังได้เข้าซื้อ Brium ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพที่เน้น การเพิ่มประสิทธิภาพ AI inference ซึ่งบ่งชี้ว่า AMD กำลังมุ่งเน้นไปที่การพัฒนา AI inference chips เพื่อลดการใช้พลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพ ✅ ข้อมูลจากข่าว - AMD ดึงทีมวิศวกรจาก Untether AI เพื่อเสริมศักยภาพด้าน AI inference - ผลิตภัณฑ์ของ Untether AI เช่น speedAI และ imAIgine SDK จะหยุดการสนับสนุน - ทีมวิศวกรจะช่วยพัฒนา AI compiler, kernel development และ SoC design - Untether AI พัฒนา AI inference chips ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าการใช้ GPU - AMD ยังเข้าซื้อ Brium ซึ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพ AI inference ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ลูกค้าของ Untether AI อาจได้รับผลกระทบ เนื่องจาก AMD ไม่ได้ซื้อทรัพย์สินของบริษัท - ต้องติดตามว่า AMD จะพัฒนา AI inference chips ที่สามารถแข่งขันกับ Nvidia ได้หรือไม่ - การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่ออุตสาหกรรม AI inference และการใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูล - ต้องรอดูว่า AMD จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีของ Untether AI เมื่อใด การเข้าซื้อทีมวิศวกรจาก Untether AI อาจช่วยให้ AMD สามารถพัฒนา AI inference chips ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และ ลดการใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูล อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อการแข่งขันกับ Nvidia และตลาด AI inference อย่างไร https://www.tomshardware.com/tech-industry/amd-scoops-entire-untether-ai-chip-team-canada-ai-inference-outfit-will-cease-product-support
    0 Comments 0 Shares 34 Views 0 Reviews
  • 🚀 SpaceX เตรียมสร้างโรงงานบรรจุชิปขั้นสูงในเท็กซัส
    SpaceX กำลังขยายขีดความสามารถด้านการผลิต โดยเตรียมสร้าง โรงงานบรรจุชิปขั้นสูงในเท็กซัส ซึ่งจะใช้ เทคโนโลยี Fan-Out Panel-Level Packaging (FOPLP) และมี ขนาดแผ่นฐานชิปใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมที่ 700mm x 700mm

    ปัจจุบัน SpaceX ยังไม่ได้ผลิตชิปของตัวเอง แต่ใช้บริการจาก STMicroelectronics และ Innolux อย่างไรก็ตาม บริษัทกำลังผลักดันให้มีการผลิตชิปภายในประเทศ เพื่อสนับสนุน ความเป็นอิสระด้านเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ

    ปีที่แล้ว SpaceX ได้เปิด โรงงานผลิตแผงวงจรพิมพ์ (PCB) ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ที่เมือง Bastrop, Texas ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถ ลดต้นทุนและควบคุมกระบวนการผลิตดาวเทียมได้ดีขึ้น

    การสร้างโรงงานบรรจุชิปเป็น ขั้นตอนต่อไปที่สมเหตุสมผล เนื่องจาก กระบวนการ FOPLP มีความคล้ายคลึงกับการผลิต PCB เช่น การชุบทองแดง, การใช้เลเซอร์ และกระบวนการเติมสารกึ่งตัวนำ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - SpaceX เตรียมสร้างโรงงานบรรจุชิปขั้นสูงในเท็กซัส
    - ใช้เทคโนโลยี Fan-Out Panel-Level Packaging (FOPLP)
    - ขนาดแผ่นฐานชิปใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมที่ 700mm x 700mm
    - ปัจจุบัน SpaceX ยังไม่ได้ผลิตชิปของตัวเอง แต่ใช้บริการจาก STMicroelectronics และ Innolux
    - โรงงาน PCB ที่ Bastrop, Texas ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการผลิตดาวเทียม

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - SpaceX ยังต้องพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปของตัวเองก่อนที่จะสามารถแข่งขันกับผู้ผลิตรายใหญ่ได้
    - ต้องติดตามว่าการลงทุนนี้จะช่วยให้สหรัฐฯ ลดการพึ่งพาเซมิคอนดักเตอร์จากต่างประเทศได้จริงหรือไม่
    - แม้ว่า FOPLP จะเหมาะกับอุตสาหกรรมอวกาศและการสื่อสาร แต่ยังต้องพิสูจน์ว่ามีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับเทคโนโลยีอื่น ๆ
    - การแข่งขันกับ TSMC, Intel และ GlobalFoundries อาจทำให้ SpaceX ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลในระยะยาว

    การเข้าสู่ตลาดบรรจุชิปของ SpaceX อาจช่วยให้สหรัฐฯ มีตัวเลือกที่ผลิตภายในประเทศมากขึ้น และ ลดความเสี่ยงด้านความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการลงทุนนี้จะสามารถแข่งขันกับผู้ผลิตรายใหญ่ได้หรือไม่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/manufacturing/elon-musks-spacex-to-build-its-own-advanced-chip-packaging-factory-in-texas-700mm-x-700mm-substrate-size-purported-to-be-the-largest-in-the-industry
    🚀 SpaceX เตรียมสร้างโรงงานบรรจุชิปขั้นสูงในเท็กซัส SpaceX กำลังขยายขีดความสามารถด้านการผลิต โดยเตรียมสร้าง โรงงานบรรจุชิปขั้นสูงในเท็กซัส ซึ่งจะใช้ เทคโนโลยี Fan-Out Panel-Level Packaging (FOPLP) และมี ขนาดแผ่นฐานชิปใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมที่ 700mm x 700mm ปัจจุบัน SpaceX ยังไม่ได้ผลิตชิปของตัวเอง แต่ใช้บริการจาก STMicroelectronics และ Innolux อย่างไรก็ตาม บริษัทกำลังผลักดันให้มีการผลิตชิปภายในประเทศ เพื่อสนับสนุน ความเป็นอิสระด้านเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ ปีที่แล้ว SpaceX ได้เปิด โรงงานผลิตแผงวงจรพิมพ์ (PCB) ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ที่เมือง Bastrop, Texas ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถ ลดต้นทุนและควบคุมกระบวนการผลิตดาวเทียมได้ดีขึ้น การสร้างโรงงานบรรจุชิปเป็น ขั้นตอนต่อไปที่สมเหตุสมผล เนื่องจาก กระบวนการ FOPLP มีความคล้ายคลึงกับการผลิต PCB เช่น การชุบทองแดง, การใช้เลเซอร์ และกระบวนการเติมสารกึ่งตัวนำ ✅ ข้อมูลจากข่าว - SpaceX เตรียมสร้างโรงงานบรรจุชิปขั้นสูงในเท็กซัส - ใช้เทคโนโลยี Fan-Out Panel-Level Packaging (FOPLP) - ขนาดแผ่นฐานชิปใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมที่ 700mm x 700mm - ปัจจุบัน SpaceX ยังไม่ได้ผลิตชิปของตัวเอง แต่ใช้บริการจาก STMicroelectronics และ Innolux - โรงงาน PCB ที่ Bastrop, Texas ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการผลิตดาวเทียม ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - SpaceX ยังต้องพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปของตัวเองก่อนที่จะสามารถแข่งขันกับผู้ผลิตรายใหญ่ได้ - ต้องติดตามว่าการลงทุนนี้จะช่วยให้สหรัฐฯ ลดการพึ่งพาเซมิคอนดักเตอร์จากต่างประเทศได้จริงหรือไม่ - แม้ว่า FOPLP จะเหมาะกับอุตสาหกรรมอวกาศและการสื่อสาร แต่ยังต้องพิสูจน์ว่ามีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับเทคโนโลยีอื่น ๆ - การแข่งขันกับ TSMC, Intel และ GlobalFoundries อาจทำให้ SpaceX ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลในระยะยาว การเข้าสู่ตลาดบรรจุชิปของ SpaceX อาจช่วยให้สหรัฐฯ มีตัวเลือกที่ผลิตภายในประเทศมากขึ้น และ ลดความเสี่ยงด้านความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการลงทุนนี้จะสามารถแข่งขันกับผู้ผลิตรายใหญ่ได้หรือไม่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/manufacturing/elon-musks-spacex-to-build-its-own-advanced-chip-packaging-factory-in-texas-700mm-x-700mm-substrate-size-purported-to-be-the-largest-in-the-industry
    0 Comments 0 Shares 41 Views 0 Reviews
  • 🚀 Micron เปิดตัว LPDDR5X ที่เร็วและบางที่สุดสำหรับสมาร์ทโฟนเรือธงปี 2026
    Micron ได้เริ่มจัดส่งตัวอย่าง LPDDR5X memory ที่สร้างขึ้นบน กระบวนการผลิต 1γ (1-gamma) node ซึ่งเป็น LPDDR5X ที่เร็วที่สุดในอุตสาหกรรม โดยออกแบบมาเพื่อ เพิ่มประสิทธิภาพ AI และปรับปรุงการใช้พลังงานในสมาร์ทโฟนเรือธง

    LPDDR5X รุ่นใหม่นี้สามารถ ทำความเร็วได้สูงสุดถึง 10.7 Gbps และ ประหยัดพลังงานมากขึ้น 20% เมื่อเทียบกับ LPDDR5X รุ่นก่อนของ Micron

    นอกจากนี้ แพ็กเกจ LPDDR5X แบบ 496-ball มีความบางเพียง 0.61 มม. ซึ่งบางกว่าผลิตภัณฑ์คู่แข่งอย่างน้อย 6% ทำให้สามารถนำไปใช้กับ สมาร์ทโฟนแบบพับได้และอุปกรณ์บางเฉียบ ได้ง่ายขึ้น

    Micron ยังเผยว่า LPDDR5X รุ่นใหม่นี้ช่วยให้ AI ตอบสนองเร็วขึ้น 30% ในการให้คำแนะนำร้านอาหารตามตำแหน่งที่ตั้ง และ เร็วขึ้นกว่า 50% ในการแปลเสียงภาษาอังกฤษเป็นข้อความภาษาสเปนเพื่อบอกเส้นทาง

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Micron เปิดตัว LPDDR5X ที่เร็วที่สุดในอุตสาหกรรม
    - ใช้กระบวนการผลิต 1γ (1-gamma) node
    - ทำความเร็วได้สูงสุด 10.7 Gbps และประหยัดพลังงานมากขึ้น 20%
    - แพ็กเกจ LPDDR5X มีความบางเพียง 0.61 มม.
    - ช่วยให้ AI ตอบสนองเร็วขึ้น 30% ในการให้คำแนะนำร้านอาหาร และเร็วขึ้นกว่า 50% ในการแปลเสียงเป็นข้อความ

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - LPDDR5X รุ่นใหม่นี้ยังอยู่ในช่วงตัวอย่าง และจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2026
    - ต้องติดตามว่าผู้ผลิตสมาร์ทโฟนจะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในวงกว้างหรือไม่
    - แม้จะบางลง แต่ต้องตรวจสอบว่ามีผลกระทบต่อความทนทานของอุปกรณ์หรือไม่
    - Micron ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับราคาหรือความพร้อมใช้งานในตลาดทั่วไป

    LPDDR5X รุ่นใหม่นี้ อาจช่วยให้สมาร์ทโฟนเรือธงมีประสิทธิภาพ AI ที่ดีขึ้น และ ช่วยให้การออกแบบอุปกรณ์บางเฉียบและพับได้เป็นไปได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตสมาร์ทโฟนจะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในวงกว้างหรือไม่

    https://www.techspot.com/news/108217-micron-ships-world-fastest-thinnest-lpddr5x-memory-2026.html
    🚀 Micron เปิดตัว LPDDR5X ที่เร็วและบางที่สุดสำหรับสมาร์ทโฟนเรือธงปี 2026 Micron ได้เริ่มจัดส่งตัวอย่าง LPDDR5X memory ที่สร้างขึ้นบน กระบวนการผลิต 1γ (1-gamma) node ซึ่งเป็น LPDDR5X ที่เร็วที่สุดในอุตสาหกรรม โดยออกแบบมาเพื่อ เพิ่มประสิทธิภาพ AI และปรับปรุงการใช้พลังงานในสมาร์ทโฟนเรือธง LPDDR5X รุ่นใหม่นี้สามารถ ทำความเร็วได้สูงสุดถึง 10.7 Gbps และ ประหยัดพลังงานมากขึ้น 20% เมื่อเทียบกับ LPDDR5X รุ่นก่อนของ Micron นอกจากนี้ แพ็กเกจ LPDDR5X แบบ 496-ball มีความบางเพียง 0.61 มม. ซึ่งบางกว่าผลิตภัณฑ์คู่แข่งอย่างน้อย 6% ทำให้สามารถนำไปใช้กับ สมาร์ทโฟนแบบพับได้และอุปกรณ์บางเฉียบ ได้ง่ายขึ้น Micron ยังเผยว่า LPDDR5X รุ่นใหม่นี้ช่วยให้ AI ตอบสนองเร็วขึ้น 30% ในการให้คำแนะนำร้านอาหารตามตำแหน่งที่ตั้ง และ เร็วขึ้นกว่า 50% ในการแปลเสียงภาษาอังกฤษเป็นข้อความภาษาสเปนเพื่อบอกเส้นทาง ✅ ข้อมูลจากข่าว - Micron เปิดตัว LPDDR5X ที่เร็วที่สุดในอุตสาหกรรม - ใช้กระบวนการผลิต 1γ (1-gamma) node - ทำความเร็วได้สูงสุด 10.7 Gbps และประหยัดพลังงานมากขึ้น 20% - แพ็กเกจ LPDDR5X มีความบางเพียง 0.61 มม. - ช่วยให้ AI ตอบสนองเร็วขึ้น 30% ในการให้คำแนะนำร้านอาหาร และเร็วขึ้นกว่า 50% ในการแปลเสียงเป็นข้อความ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - LPDDR5X รุ่นใหม่นี้ยังอยู่ในช่วงตัวอย่าง และจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2026 - ต้องติดตามว่าผู้ผลิตสมาร์ทโฟนจะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในวงกว้างหรือไม่ - แม้จะบางลง แต่ต้องตรวจสอบว่ามีผลกระทบต่อความทนทานของอุปกรณ์หรือไม่ - Micron ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับราคาหรือความพร้อมใช้งานในตลาดทั่วไป LPDDR5X รุ่นใหม่นี้ อาจช่วยให้สมาร์ทโฟนเรือธงมีประสิทธิภาพ AI ที่ดีขึ้น และ ช่วยให้การออกแบบอุปกรณ์บางเฉียบและพับได้เป็นไปได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าผู้ผลิตสมาร์ทโฟนจะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในวงกว้างหรือไม่ https://www.techspot.com/news/108217-micron-ships-world-fastest-thinnest-lpddr5x-memory-2026.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Micron ships world's fastest and thinnest LPDDR5X memory for 2026 flagship smartphones
    According to Micron, the 1γ-based memory modules deliver eye-popping speeds of up to 10.7 Gbps and offer up to 20 percent power savings compared to the company's...
    0 Comments 0 Shares 34 Views 0 Reviews
  • สหราชอาณาจักรเตรียมยกเลิกการแบน ETNs ด้านคริปโตสำหรับนักลงทุนรายย่อย
    Financial Conduct Authority (FCA) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินของสหราชอาณาจักร ได้ประกาศแผน ยกเลิกการแบนการซื้อขาย Crypto Exchange-Traded Notes (ETNs) สำหรับนักลงทุนรายย่อย ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในแนวทางของรัฐบาลต่อสินทรัพย์ดิจิทัล

    ก่อนหน้านี้ FCA ได้ อนุมัติการซื้อขาย ETNs สำหรับนักลงทุนมืออาชีพ แต่ยังคงแบนสำหรับนักลงทุนรายย่อย โดยให้เหตุผลว่า ETNs เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงสูงและอาจก่อให้เกิดความเสียหายทางการเงิน

    อย่างไรก็ตาม FCA ได้เปลี่ยนจุดยืน โดยระบุว่า การยกเลิกการแบนจะช่วยสนับสนุนการเติบโตและความสามารถในการแข่งขันของตลาดคริปโต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ แผนเศรษฐกิจดิจิทัลของรัฐบาลอังกฤษ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - FCA เตรียมยกเลิกการแบน Crypto ETNs สำหรับนักลงทุนรายย่อย
    - ก่อนหน้านี้ ETNs ถูกจำกัดให้เฉพาะนักลงทุนมืออาชีพเท่านั้น
    - การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนเศรษฐกิจดิจิทัลของรัฐบาลอังกฤษ
    - ETNs ที่ขายให้กับนักลงทุนรายย่อยต้องอยู่บนแพลตฟอร์มที่ได้รับการอนุมัติจาก FCA
    - สหราชอาณาจักรเลือกแนวทางที่คล้ายกับสหรัฐฯ มากกว่าสหภาพยุโรป

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ETNs ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนอาจสูญเสียเงินทั้งหมด
    - FCA ยังคงแบนการซื้อขาย Crypto Derivatives สำหรับนักลงทุนรายย่อย
    - ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อกฎระเบียบด้านคริปโตในอนาคตหรือไม่
    - นักลงทุนควรศึกษาความเสี่ยงของ ETNs ก่อนตัดสินใจลงทุน

    การยกเลิกการแบนนี้ อาจช่วยให้ตลาดคริปโตในสหราชอาณาจักรเติบโตขึ้น และ เพิ่มโอกาสในการลงทุนสำหรับนักลงทุนรายย่อย อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อเสถียรภาพของตลาดหรือไม่

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/06/uk-to-end-ban-on-retail-investors-buying-crypto-exchange-traded-notes
    สหราชอาณาจักรเตรียมยกเลิกการแบน ETNs ด้านคริปโตสำหรับนักลงทุนรายย่อย Financial Conduct Authority (FCA) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินของสหราชอาณาจักร ได้ประกาศแผน ยกเลิกการแบนการซื้อขาย Crypto Exchange-Traded Notes (ETNs) สำหรับนักลงทุนรายย่อย ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในแนวทางของรัฐบาลต่อสินทรัพย์ดิจิทัล ก่อนหน้านี้ FCA ได้ อนุมัติการซื้อขาย ETNs สำหรับนักลงทุนมืออาชีพ แต่ยังคงแบนสำหรับนักลงทุนรายย่อย โดยให้เหตุผลว่า ETNs เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงสูงและอาจก่อให้เกิดความเสียหายทางการเงิน อย่างไรก็ตาม FCA ได้เปลี่ยนจุดยืน โดยระบุว่า การยกเลิกการแบนจะช่วยสนับสนุนการเติบโตและความสามารถในการแข่งขันของตลาดคริปโต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ แผนเศรษฐกิจดิจิทัลของรัฐบาลอังกฤษ ✅ ข้อมูลจากข่าว - FCA เตรียมยกเลิกการแบน Crypto ETNs สำหรับนักลงทุนรายย่อย - ก่อนหน้านี้ ETNs ถูกจำกัดให้เฉพาะนักลงทุนมืออาชีพเท่านั้น - การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนเศรษฐกิจดิจิทัลของรัฐบาลอังกฤษ - ETNs ที่ขายให้กับนักลงทุนรายย่อยต้องอยู่บนแพลตฟอร์มที่ได้รับการอนุมัติจาก FCA - สหราชอาณาจักรเลือกแนวทางที่คล้ายกับสหรัฐฯ มากกว่าสหภาพยุโรป ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ETNs ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนอาจสูญเสียเงินทั้งหมด - FCA ยังคงแบนการซื้อขาย Crypto Derivatives สำหรับนักลงทุนรายย่อย - ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อกฎระเบียบด้านคริปโตในอนาคตหรือไม่ - นักลงทุนควรศึกษาความเสี่ยงของ ETNs ก่อนตัดสินใจลงทุน การยกเลิกการแบนนี้ อาจช่วยให้ตลาดคริปโตในสหราชอาณาจักรเติบโตขึ้น และ เพิ่มโอกาสในการลงทุนสำหรับนักลงทุนรายย่อย อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อเสถียรภาพของตลาดหรือไม่ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/06/uk-to-end-ban-on-retail-investors-buying-crypto-exchange-traded-notes
    WWW.THESTAR.COM.MY
    UK to end ban on retail investors buying crypto exchange-traded notes
    LONDON (Reuters) -Britain's financial regulator is to remove a ban on consumers buying crypto exchange-traded notes (ETNs), ditching its previous position of wanting to keep them out of the hands of retail investors.
    0 Comments 0 Shares 38 Views 0 Reviews
  • 🚀 Starlink ได้รับใบอนุญาตให้ให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมในอินเดีย
    Elon Musk และบริษัท Starlink ได้รับ ใบอนุญาตจากกระทรวงโทรคมนาคมของอินเดีย เพื่อเริ่มดำเนินการให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมในประเทศ ซึ่งถือเป็น ก้าวสำคัญในการขยายตลาดของ Starlink ในเอเชียใต้

    Starlink เป็น บริษัทที่สามที่ได้รับใบอนุญาตจากอินเดีย ต่อจาก Eutelsat's OneWeb และ Reliance Jio อย่างไรก็ตาม Starlink ยังต้องได้รับใบอนุญาตเพิ่มเติมจากหน่วยงานกำกับดูแลด้านอวกาศของอินเดีย ก่อนที่จะสามารถเริ่มให้บริการได้

    นอกจากนี้ Starlink ยังต้อง ขอจัดสรรคลื่นความถี่จากรัฐบาล และ สร้างโครงสร้างพื้นฐานภาคพื้นดิน รวมถึง ผ่านการทดสอบด้านความปลอดภัย ตามข้อกำหนดของอินเดีย

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Starlink ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงโทรคมนาคมของอินเดีย
    - เป็นบริษัทที่สามที่ได้รับอนุญาต ต่อจาก OneWeb และ Reliance Jio
    - ยังต้องได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลด้านอวกาศของอินเดีย
    - ต้องขอจัดสรรคลื่นความถี่จากรัฐบาลและสร้างโครงสร้างพื้นฐานภาคพื้นดิน
    - ต้องผ่านการทดสอบด้านความปลอดภัยก่อนเริ่มให้บริการ

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - กระบวนการเปิดตัวอาจใช้เวลาหลายเดือน เนื่องจากต้องผ่านการตรวจสอบหลายขั้นตอน
    - Starlink ยังต้องได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานด้านความปลอดภัยของอินเดีย
    - อินเดียกำหนดให้ผู้ให้บริการดาวเทียมต้องจ่าย 4% ของรายได้ต่อปีให้รัฐบาล ซึ่งอาจส่งผลต่อราคาค่าบริการ
    - ต้องติดตามว่าการแข่งขันระหว่าง Starlink และผู้ให้บริการท้องถิ่น เช่น Jio จะส่งผลต่อการกำหนดราคาหรือไม่

    การได้รับใบอนุญาตครั้งนี้ ช่วยให้ Starlink สามารถเข้าสู่ตลาดอินเดียได้อย่างเป็นทางการ ซึ่งอาจ ช่วยให้พื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่ากระบวนการเปิดตัวจะเป็นไปตามแผนหรือไม่

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/06/musk039s-starlink-gets-key-india-licence-from-telecoms-ministry-sources-say
    🚀 Starlink ได้รับใบอนุญาตให้ให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมในอินเดีย Elon Musk และบริษัท Starlink ได้รับ ใบอนุญาตจากกระทรวงโทรคมนาคมของอินเดีย เพื่อเริ่มดำเนินการให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมในประเทศ ซึ่งถือเป็น ก้าวสำคัญในการขยายตลาดของ Starlink ในเอเชียใต้ Starlink เป็น บริษัทที่สามที่ได้รับใบอนุญาตจากอินเดีย ต่อจาก Eutelsat's OneWeb และ Reliance Jio อย่างไรก็ตาม Starlink ยังต้องได้รับใบอนุญาตเพิ่มเติมจากหน่วยงานกำกับดูแลด้านอวกาศของอินเดีย ก่อนที่จะสามารถเริ่มให้บริการได้ นอกจากนี้ Starlink ยังต้อง ขอจัดสรรคลื่นความถี่จากรัฐบาล และ สร้างโครงสร้างพื้นฐานภาคพื้นดิน รวมถึง ผ่านการทดสอบด้านความปลอดภัย ตามข้อกำหนดของอินเดีย ✅ ข้อมูลจากข่าว - Starlink ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงโทรคมนาคมของอินเดีย - เป็นบริษัทที่สามที่ได้รับอนุญาต ต่อจาก OneWeb และ Reliance Jio - ยังต้องได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลด้านอวกาศของอินเดีย - ต้องขอจัดสรรคลื่นความถี่จากรัฐบาลและสร้างโครงสร้างพื้นฐานภาคพื้นดิน - ต้องผ่านการทดสอบด้านความปลอดภัยก่อนเริ่มให้บริการ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - กระบวนการเปิดตัวอาจใช้เวลาหลายเดือน เนื่องจากต้องผ่านการตรวจสอบหลายขั้นตอน - Starlink ยังต้องได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานด้านความปลอดภัยของอินเดีย - อินเดียกำหนดให้ผู้ให้บริการดาวเทียมต้องจ่าย 4% ของรายได้ต่อปีให้รัฐบาล ซึ่งอาจส่งผลต่อราคาค่าบริการ - ต้องติดตามว่าการแข่งขันระหว่าง Starlink และผู้ให้บริการท้องถิ่น เช่น Jio จะส่งผลต่อการกำหนดราคาหรือไม่ การได้รับใบอนุญาตครั้งนี้ ช่วยให้ Starlink สามารถเข้าสู่ตลาดอินเดียได้อย่างเป็นทางการ ซึ่งอาจ ช่วยให้พื้นที่ห่างไกลสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่ากระบวนการเปิดตัวจะเป็นไปตามแผนหรือไม่ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/06/musk039s-starlink-gets-key-india-licence-from-telecoms-ministry-sources-say
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Musk's Starlink gets India licence to offer satcom services, sources say
    NEW DELHI (Reuters) -Elon Musk's Starlink has received a licence to launch commercial operations in India from the telecoms ministry, two sources told Reuters on Friday, clearing a major hurdle for the satellite provider that has long wanted to enter the South Asian country.
    0 Comments 0 Shares 38 Views 0 Reviews
  • 🔋 สตาร์ทอัพฮ่องกงพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเธียม
    Achelous Pure Metals ซึ่งเป็น สตาร์ทอัพด้านการรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเธียมในฮ่องกง กำลังขยายธุรกิจไปยัง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในจีน

    บริษัทใช้ เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดย บดแบตเตอรี่เป็น "black mass" ซึ่งเป็น ส่วนผสมของโลหะมีค่า เช่น ลิเธียม, โคบอลต์, ทองแดง, แมงกานีส และนิกเกิล ก่อนนำไป สกัดเป็นสารประกอบลิเธียมคาร์บอเนต, โคบอลต์ และนิกเกิล

    Achelous ได้พัฒนา ระบบรีไซเคิลที่ใช้หุ่นยนต์ช่วยคัดแยกและบดแบตเตอรี่ พร้อมกับ เทคโนโลยีที่ใช้สุญญากาศและความร้อนเพื่อกำจัดสารอันตราย เช่น กาวอีพ็อกซีและฟลูออรีน

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Achelous Pure Metals เป็นสตาร์ทอัพรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเธียมในฮ่องกง
    - บดแบตเตอรี่เป็น "black mass" เพื่อสกัดโลหะมีค่า
    - ใช้ระบบรีไซเคิลที่มีหุ่นยนต์ช่วยคัดแยกและบดแบตเตอรี่
    - เทคโนโลยีรีไซเคิลช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
    - บริษัทกำลังขยายธุรกิจไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การแข่งขันในจีนทำให้ราคาวัตถุดิบสูงขึ้นและราคาผลิตภัณฑ์ลดลง
    - การรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเธียมต้องได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานสิ่งแวดล้อม
    - ตลาดแบตเตอรี่ลิเธียมอาจเผชิญกับภาวะล้นตลาดจนถึงปี 2027
    - ต้องติดตามว่าการขยายธุรกิจไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะประสบความสำเร็จหรือไม่

    เทคโนโลยีของ Achelous อาจช่วยให้ การรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเธียมมีประสิทธิภาพมากขึ้น และ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการแข่งขันในตลาดจะส่งผลต่อการเติบโตของบริษัทอย่างไร

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/06/how-a-hong-kong-startup-is-going-about-recycling-lithium-batteries
    🔋 สตาร์ทอัพฮ่องกงพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเธียม Achelous Pure Metals ซึ่งเป็น สตาร์ทอัพด้านการรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเธียมในฮ่องกง กำลังขยายธุรกิจไปยัง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในจีน บริษัทใช้ เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดย บดแบตเตอรี่เป็น "black mass" ซึ่งเป็น ส่วนผสมของโลหะมีค่า เช่น ลิเธียม, โคบอลต์, ทองแดง, แมงกานีส และนิกเกิล ก่อนนำไป สกัดเป็นสารประกอบลิเธียมคาร์บอเนต, โคบอลต์ และนิกเกิล Achelous ได้พัฒนา ระบบรีไซเคิลที่ใช้หุ่นยนต์ช่วยคัดแยกและบดแบตเตอรี่ พร้อมกับ เทคโนโลยีที่ใช้สุญญากาศและความร้อนเพื่อกำจัดสารอันตราย เช่น กาวอีพ็อกซีและฟลูออรีน ✅ ข้อมูลจากข่าว - Achelous Pure Metals เป็นสตาร์ทอัพรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเธียมในฮ่องกง - บดแบตเตอรี่เป็น "black mass" เพื่อสกัดโลหะมีค่า - ใช้ระบบรีไซเคิลที่มีหุ่นยนต์ช่วยคัดแยกและบดแบตเตอรี่ - เทคโนโลยีรีไซเคิลช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม - บริษัทกำลังขยายธุรกิจไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การแข่งขันในจีนทำให้ราคาวัตถุดิบสูงขึ้นและราคาผลิตภัณฑ์ลดลง - การรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเธียมต้องได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานสิ่งแวดล้อม - ตลาดแบตเตอรี่ลิเธียมอาจเผชิญกับภาวะล้นตลาดจนถึงปี 2027 - ต้องติดตามว่าการขยายธุรกิจไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ เทคโนโลยีของ Achelous อาจช่วยให้ การรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเธียมมีประสิทธิภาพมากขึ้น และ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการแข่งขันในตลาดจะส่งผลต่อการเติบโตของบริษัทอย่างไร https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/06/how-a-hong-kong-startup-is-going-about-recycling-lithium-batteries
    WWW.THESTAR.COM.MY
    How a Hong Kong startup is going about recycling lithium batteries
    Achelous Pure Metals plans to bring its scalable, movable, eco-friendly technology to the city followed by South-East Asia.
    0 Comments 0 Shares 33 Views 0 Reviews
  • ลดพอร์ตหุ้น อย่าลงทุนเต็มตัว 06/06/68 #กะเทาะหุ้น #SET #พอร์ตหุ้น #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #เศรษฐกิจ
    ลดพอร์ตหุ้น อย่าลงทุนเต็มตัว 06/06/68 #กะเทาะหุ้น #SET #พอร์ตหุ้น #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #เศรษฐกิจ
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 255 Views 10 0 Reviews

  • ..จริงๆไทยเราไม่ต้องทำอะไรก็ได้หากผู้ปกครองหรือรัฐบาลไทยไม่ใช่รัฐบาลปัจจุบันและในใจประกาศชัดเจนด้วยต่อประชาชนคนไทยว่าชาติไทยและประชาชนต้องมาก่อน,คนไทยต้องมาก่อน,
    ..ลำพังคนเขมรที่พร้อมยึดคืนอำนาจจากฮุนเชนมีเต็มเขมรและกระจายอยู่โดยรอบเขมรตลอดคนนอกประเทศเขมรด้วย เขาพร้อมทำลายรัฐบาลฮุนเชนด้วย,ปลดปล่อยคนเขมรจากรัฐบาลฮุนเชนนั้นล่ะ ฮุนเชนกลัวจะตายจึงไล่ล่าคนพวกนีั,เผลอๆคนเขมรในไทยจำนวนไม่น้อยอาจจัดตั้งเป็นกองกำลังปลดแอกสู้กับรัฐบาลฮุนเชนเองก็ได้ สู้ชนะเป็นผู้นำเขมรคนใหม่ทันทีโน้น,เขมรคนเขมรรับรู้ดีว่าเขมรทารุนด้านมนุษยธรรมต่อคนเขมรแค่ไหน,สงครามภายในของประเทศเขมรอาจจุดฉนวนขึ้นอีกครั้งและล้างบางรัฐบาลฮุนเชนสิ้นซากเลยโน้น,วิธีจัดการเขมรมีหลากหลายวิธีจริงๆ,แค่ตัดน้ำตัดไฟตัดอาหารจากไทยก็อักเสบแล้ว,คนไทยเรามาร่วมแบนกิจการเจ้าสัวต่างๆที่ไม่สนใจในอธิปไตยไทยกันเถอะ,เลิกซื้อของทั้งกิจการแม่และกิจการบริษัทลูกๆมัน ขุดในข้อมูลตลาดหุ้นมาแฉก็ได้ มันไปลงทุนในเขมรกี่เจ้ากี่บริษัทบริษัทลูกในเครือนั้นๆบริษัทแม่เป็นของใคร,เราคนไทยแบนซื้อของมันทั้งหมด,ด้วยพิษเศรษฐกิจทั่วโลกมาไทย,มันอยู่ค้ำฟ้าไม่ล้มละลายก็ให้มันรู้ไป,ชาติไทยต้องมาก่อน,เสือกปกป้องผลประโยชน์ตนเองในเขมรที่เหี้ยโคตรเหง้าตระกูลกิจการมันไปลงทุนในเขมรมิให้เสียผลกำไรกว่าหมื่นล้านแสนล้านโน้นมันอ้าง,ห้ามปิดด่านถาวรด่านชั่วคราวนะมันสมคบคิดฮั่วกับอำนาจคนปกครองโน้นอย่าสั่งการนะกูจะเสียกำไรมันว่า,ห้าปิดด่านตลอดพรมแดนพะนะ มันสั่งรัฐบาลได้ในกรณีนี้ด้วยล่ะ,คนในราชการในนักการเมืองในทหารมีตรึมล่ะที่ลงทุนทำกำไรบนความไม่สงบสุขนี้ก็ด้วย.
    ..สรุปเปลี่ยนนายกฯทันที เปลี่ยนรัฐบาลเฉพาะกาลขึ้นมาทันที,จากนั้นจะเห็นเขมรกัดเขมรกันภายในเองคงไม่ยาก.
    ..
    ..https://youtu.be/_qJ66Nyp7Hk?si=54GfnpluF8d7-JDM
    ..จริงๆไทยเราไม่ต้องทำอะไรก็ได้หากผู้ปกครองหรือรัฐบาลไทยไม่ใช่รัฐบาลปัจจุบันและในใจประกาศชัดเจนด้วยต่อประชาชนคนไทยว่าชาติไทยและประชาชนต้องมาก่อน,คนไทยต้องมาก่อน, ..ลำพังคนเขมรที่พร้อมยึดคืนอำนาจจากฮุนเชนมีเต็มเขมรและกระจายอยู่โดยรอบเขมรตลอดคนนอกประเทศเขมรด้วย เขาพร้อมทำลายรัฐบาลฮุนเชนด้วย,ปลดปล่อยคนเขมรจากรัฐบาลฮุนเชนนั้นล่ะ ฮุนเชนกลัวจะตายจึงไล่ล่าคนพวกนีั,เผลอๆคนเขมรในไทยจำนวนไม่น้อยอาจจัดตั้งเป็นกองกำลังปลดแอกสู้กับรัฐบาลฮุนเชนเองก็ได้ สู้ชนะเป็นผู้นำเขมรคนใหม่ทันทีโน้น,เขมรคนเขมรรับรู้ดีว่าเขมรทารุนด้านมนุษยธรรมต่อคนเขมรแค่ไหน,สงครามภายในของประเทศเขมรอาจจุดฉนวนขึ้นอีกครั้งและล้างบางรัฐบาลฮุนเชนสิ้นซากเลยโน้น,วิธีจัดการเขมรมีหลากหลายวิธีจริงๆ,แค่ตัดน้ำตัดไฟตัดอาหารจากไทยก็อักเสบแล้ว,คนไทยเรามาร่วมแบนกิจการเจ้าสัวต่างๆที่ไม่สนใจในอธิปไตยไทยกันเถอะ,เลิกซื้อของทั้งกิจการแม่และกิจการบริษัทลูกๆมัน ขุดในข้อมูลตลาดหุ้นมาแฉก็ได้ มันไปลงทุนในเขมรกี่เจ้ากี่บริษัทบริษัทลูกในเครือนั้นๆบริษัทแม่เป็นของใคร,เราคนไทยแบนซื้อของมันทั้งหมด,ด้วยพิษเศรษฐกิจทั่วโลกมาไทย,มันอยู่ค้ำฟ้าไม่ล้มละลายก็ให้มันรู้ไป,ชาติไทยต้องมาก่อน,เสือกปกป้องผลประโยชน์ตนเองในเขมรที่เหี้ยโคตรเหง้าตระกูลกิจการมันไปลงทุนในเขมรมิให้เสียผลกำไรกว่าหมื่นล้านแสนล้านโน้นมันอ้าง,ห้ามปิดด่านถาวรด่านชั่วคราวนะมันสมคบคิดฮั่วกับอำนาจคนปกครองโน้นอย่าสั่งการนะกูจะเสียกำไรมันว่า,ห้าปิดด่านตลอดพรมแดนพะนะ มันสั่งรัฐบาลได้ในกรณีนี้ด้วยล่ะ,คนในราชการในนักการเมืองในทหารมีตรึมล่ะที่ลงทุนทำกำไรบนความไม่สงบสุขนี้ก็ด้วย. ..สรุปเปลี่ยนนายกฯทันที เปลี่ยนรัฐบาลเฉพาะกาลขึ้นมาทันที,จากนั้นจะเห็นเขมรกัดเขมรกันภายในเองคงไม่ยาก. .. ..https://youtu.be/_qJ66Nyp7Hk?si=54GfnpluF8d7-JDM
    0 Comments 0 Shares 55 Views 0 Reviews
  • ..อนาคตคนเขมรจะฆ่ากันเองหนักกว่ายุคอดีตอีกแน่ๆ,มันเป็นแผ่นดินที่ต้องคำสาป,ความซื่อตรงและซื่อสัตย์เท่านั้นจึงพอพยุงมิให้เหตุการที่ชั่วเลวอันร้ายแบบในอดีตจะมิให้บังเกิดซ้ำรอยอีก,และเมื่อถึงเวลานั้นประเทศไทยจะปฏิเสธเผ่าพันธุ์เนรคุณทรยศไม่ซื่อสัตย์นี้ไม่ให้การช่วยเหลือใดๆอีกต่อไป,ประกอบกับจีนก็จะดูเฉยๆวางเฉยเช่นไทยด้วย,คนจีนก็จะทิ้งแผ่นดินเขมรที่ต้องคำสาปมาผูกมิตรกับไทยอย่างเหนียวแน่นยิ่งขึ้นก็ว่า,คนทรยศแผ่นดินไทยจะถูกเปิดโปงเป็นอันมากจากชาติที่คนทรยศใช้เป็นเครื่องมือค้ำสถานะตนในอดีต,ไทยนี้จริงๆจะเป็นแดนสวรรค์ของโลกที่คนทั่วโลกหมายมาพึ่งพิงอาศัยเพราะไร้ที่ไปก็ส่วนหนึ่ง,จีนจริงๆเป็นมิตรประเทศไทยกันมายาวนาน,ไทยทำอะไรตัดสินใจแบบไหนในด้านอธิปไตยไทยตนเองหรือกระทั่งลงโทษคนจีนนอกรีตอมนุษย์ในชนเผ่าคนจีนหรืออะจีนก็ว่าเขาไม่ว่าอะไรหรอก,สุดท้ายก็เจริญสัมพันธไมตรีต่างๆหรือการตลาดการเงินการค้าขายกันฉันท์มิตรกันปกติเหมือนเดิม,อนาคตใครเป็นมิตรกับประเทศไทยเสมือนติดปีกเป็นเทพไปด้วยกันก็ว่า,แต่เนรคุณไม่ซื่อสัตย์ซื่อตรงต่อประเทศไทยด้วยพลังงานมหาศาลฮับศูนย์กลางจักรวาลมีตรึมแก่ประเทศไทย ชาตินั้นๆนรกกินบันเทิงแน่นอน,พังพินาศจากพลังงานชั่วเลวตนสะท้อนกับทำลายตนชาคิประเทศตนนั้นเอง.

    https://youtu.be/EiR4nCn7DJo?si=RyGzUzDbKOcpcHV7
    ..อนาคตคนเขมรจะฆ่ากันเองหนักกว่ายุคอดีตอีกแน่ๆ,มันเป็นแผ่นดินที่ต้องคำสาป,ความซื่อตรงและซื่อสัตย์เท่านั้นจึงพอพยุงมิให้เหตุการที่ชั่วเลวอันร้ายแบบในอดีตจะมิให้บังเกิดซ้ำรอยอีก,และเมื่อถึงเวลานั้นประเทศไทยจะปฏิเสธเผ่าพันธุ์เนรคุณทรยศไม่ซื่อสัตย์นี้ไม่ให้การช่วยเหลือใดๆอีกต่อไป,ประกอบกับจีนก็จะดูเฉยๆวางเฉยเช่นไทยด้วย,คนจีนก็จะทิ้งแผ่นดินเขมรที่ต้องคำสาปมาผูกมิตรกับไทยอย่างเหนียวแน่นยิ่งขึ้นก็ว่า,คนทรยศแผ่นดินไทยจะถูกเปิดโปงเป็นอันมากจากชาติที่คนทรยศใช้เป็นเครื่องมือค้ำสถานะตนในอดีต,ไทยนี้จริงๆจะเป็นแดนสวรรค์ของโลกที่คนทั่วโลกหมายมาพึ่งพิงอาศัยเพราะไร้ที่ไปก็ส่วนหนึ่ง,จีนจริงๆเป็นมิตรประเทศไทยกันมายาวนาน,ไทยทำอะไรตัดสินใจแบบไหนในด้านอธิปไตยไทยตนเองหรือกระทั่งลงโทษคนจีนนอกรีตอมนุษย์ในชนเผ่าคนจีนหรืออะจีนก็ว่าเขาไม่ว่าอะไรหรอก,สุดท้ายก็เจริญสัมพันธไมตรีต่างๆหรือการตลาดการเงินการค้าขายกันฉันท์มิตรกันปกติเหมือนเดิม,อนาคตใครเป็นมิตรกับประเทศไทยเสมือนติดปีกเป็นเทพไปด้วยกันก็ว่า,แต่เนรคุณไม่ซื่อสัตย์ซื่อตรงต่อประเทศไทยด้วยพลังงานมหาศาลฮับศูนย์กลางจักรวาลมีตรึมแก่ประเทศไทย ชาตินั้นๆนรกกินบันเทิงแน่นอน,พังพินาศจากพลังงานชั่วเลวตนสะท้อนกับทำลายตนชาคิประเทศตนนั้นเอง. https://youtu.be/EiR4nCn7DJo?si=RyGzUzDbKOcpcHV7
    0 Comments 0 Shares 56 Views 0 Reviews
  • นักลงทุน อย่าเพิ่งท้อ! 05/06/68 #กะเทาะหุ้น #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #นักลงทุน #เศรษฐกิจ
    นักลงทุน อย่าเพิ่งท้อ! 05/06/68 #กะเทาะหุ้น #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #นักลงทุน #เศรษฐกิจ
    Like
    5
    0 Comments 0 Shares 451 Views 30 0 Reviews
  • SET ขาลงเต็มตัว 05/06/68 #คุยคุ้ยหุ้น #SET #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #เศรษฐกิจ
    SET ขาลงเต็มตัว 05/06/68 #คุยคุ้ยหุ้น #SET #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #เศรษฐกิจ
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 432 Views 27 0 Reviews
  • 💰 วอลล์สตรีทยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกัน: ความเสี่ยงของ Rehypothecation และวิกฤตการเงินครั้งใหม่?
    JP Morgan ซึ่งเป็นหนึ่งในธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ได้เริ่ม ยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันสำหรับกิจกรรมการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะ BlackRock's iShares Bitcoin Trust ETF (IBIT) ซึ่งเป็น ETF ที่มีสภาพคล่องสูงสุดในตลาด

    การตัดสินใจของ JP Morgan ช่วยให้ผู้ถือ IBIT ไม่ต้องขายสินทรัพย์เพื่อเข้าถึงสภาพคล่องในกรณีฉุกเฉิน และอาจกระตุ้นให้ ธนาคารอื่น ๆ ในวอลล์สตรีทเริ่มยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันเช่นกัน

    อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่สำคัญคือ Rehypothecation ซึ่งหมายถึง การนำสินทรัพย์ที่ถูกใช้เป็นหลักประกันไปใช้เป็นหลักประกันในธุรกรรมอื่น ๆ อีกต่อหนึ่ง ซึ่งอาจนำไปสู่ ความซับซ้อนทางการเงินที่คล้ายกับวิกฤตซับไพรม์ในปี 2008

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - JP Morgan เริ่มยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันสำหรับสินเชื่อ
    - IBIT ของ BlackRock เป็น ETF ที่มีสภาพคล่องสูงสุดในตลาด
    - ผู้ถือ IBIT ไม่ต้องขายสินทรัพย์เพื่อเข้าถึงสภาพคล่องในกรณีฉุกเฉิน
    - ธนาคารอื่น ๆ อาจเริ่มยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันเช่นกัน
    - Cantor Fitzgerald เปิดตัวบริการสินเชื่อที่ใช้ Bitcoin เป็นหลักประกันสำหรับนักลงทุนสถาบัน

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - Rehypothecation อาจทำให้สินทรัพย์ที่ถูกใช้เป็นหลักประกันถูกนำไปใช้ซ้ำหลายครั้ง
    - JP Morgan อาจนำ IBIT ที่ถูกใช้เป็นหลักประกันไปสร้างตราสารทางการเงินใหม่เพื่อเพิ่มผลตอบแทน
    - ต้องติดตามว่าหน่วยงานกำกับดูแลจะเข้ามาควบคุมการใช้ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันหรือไม่
    - 99% ของกองทุนบำเหน็จบำนาญยังไม่ถือครอง Bitcoin ETFs ซึ่งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพของตลาด

    การยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกัน อาจช่วยให้สินทรัพย์ดิจิทัลได้รับการยอมรับมากขึ้นในระบบการเงินแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการใช้สินทรัพย์เหล่านี้ในธุรกรรมทางการเงินจะนำไปสู่ความเสี่ยงใหม่ ๆ หรือไม่

    https://wccftech.com/now-that-wall-street-is-officially-using-bitcoin-etfs-as-collateral-is-rehypothecation-and-another-financial-crisis-next/
    💰 วอลล์สตรีทยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกัน: ความเสี่ยงของ Rehypothecation และวิกฤตการเงินครั้งใหม่? JP Morgan ซึ่งเป็นหนึ่งในธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ได้เริ่ม ยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันสำหรับกิจกรรมการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะ BlackRock's iShares Bitcoin Trust ETF (IBIT) ซึ่งเป็น ETF ที่มีสภาพคล่องสูงสุดในตลาด การตัดสินใจของ JP Morgan ช่วยให้ผู้ถือ IBIT ไม่ต้องขายสินทรัพย์เพื่อเข้าถึงสภาพคล่องในกรณีฉุกเฉิน และอาจกระตุ้นให้ ธนาคารอื่น ๆ ในวอลล์สตรีทเริ่มยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่สำคัญคือ Rehypothecation ซึ่งหมายถึง การนำสินทรัพย์ที่ถูกใช้เป็นหลักประกันไปใช้เป็นหลักประกันในธุรกรรมอื่น ๆ อีกต่อหนึ่ง ซึ่งอาจนำไปสู่ ความซับซ้อนทางการเงินที่คล้ายกับวิกฤตซับไพรม์ในปี 2008 ✅ ข้อมูลจากข่าว - JP Morgan เริ่มยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันสำหรับสินเชื่อ - IBIT ของ BlackRock เป็น ETF ที่มีสภาพคล่องสูงสุดในตลาด - ผู้ถือ IBIT ไม่ต้องขายสินทรัพย์เพื่อเข้าถึงสภาพคล่องในกรณีฉุกเฉิน - ธนาคารอื่น ๆ อาจเริ่มยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันเช่นกัน - Cantor Fitzgerald เปิดตัวบริการสินเชื่อที่ใช้ Bitcoin เป็นหลักประกันสำหรับนักลงทุนสถาบัน ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - Rehypothecation อาจทำให้สินทรัพย์ที่ถูกใช้เป็นหลักประกันถูกนำไปใช้ซ้ำหลายครั้ง - JP Morgan อาจนำ IBIT ที่ถูกใช้เป็นหลักประกันไปสร้างตราสารทางการเงินใหม่เพื่อเพิ่มผลตอบแทน - ต้องติดตามว่าหน่วยงานกำกับดูแลจะเข้ามาควบคุมการใช้ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกันหรือไม่ - 99% ของกองทุนบำเหน็จบำนาญยังไม่ถือครอง Bitcoin ETFs ซึ่งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพของตลาด การยอมรับ Bitcoin ETFs เป็นหลักประกัน อาจช่วยให้สินทรัพย์ดิจิทัลได้รับการยอมรับมากขึ้นในระบบการเงินแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการใช้สินทรัพย์เหล่านี้ในธุรกรรมทางการเงินจะนำไปสู่ความเสี่ยงใหม่ ๆ หรือไม่ https://wccftech.com/now-that-wall-street-is-officially-using-bitcoin-etfs-as-collateral-is-rehypothecation-and-another-financial-crisis-next/
    WCCFTECH.COM
    Now That Wall Street Is Officially Using Bitcoin ETFs As Collateral, Is Rehypothecation And Another Financial Crisis Next?
    JP Morgan's move might encourage other Wall Street banks to also start accepting Bitcoin ETFs as collateral for their lending activities.
    0 Comments 0 Shares 82 Views 0 Reviews
  • 🤖 EdgeCortix เปิดตัว SAKURA-II: AI Accelerator สำหรับ Raspberry Pi 5 และแพลตฟอร์ม Arm
    EdgeCortix ได้เปิดตัว SAKURA-II M.2 Module ซึ่งเป็น AI Accelerator ที่สามารถทำงานร่วมกับ Raspberry Pi 5 และแพลตฟอร์ม Arm อื่น ๆ โดยช่วยให้สามารถ รันโมเดล Generative AI ได้โดยไม่ต้องพึ่งพา Cloud

    SAKURA-II ถูกออกแบบมาเพื่อ ลดการใช้พลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพ AI ที่ขอบเครือข่าย (Edge AI) โดยสามารถ รันโมเดล deep learning ขั้นสูงบนอุปกรณ์ขนาดเล็ก เช่น Raspberry Pi 5 และ Rockchip RK3588

    เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ นักพัฒนาและองค์กรสามารถสร้างระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพสูงโดยไม่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ซึ่งเหมาะสำหรับ โดรน, หุ่นยนต์, เกษตรอัจฉริยะ และระบบรักษาความปลอดภัย

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - SAKURA-II เป็น AI Accelerator ที่รองรับ Raspberry Pi 5 และแพลตฟอร์ม Arm อื่น ๆ
    - สามารถรันโมเดล Generative AI เช่น Vision Transformers และ Small Language Models ได้โดยตรงบนอุปกรณ์
    - ช่วยลดการใช้พลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพ AI ที่ขอบเครือข่าย
    - นักพัฒนาสามารถใช้ SAKURA-II เพื่อสร้างระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพสูงโดยไม่ต้องพึ่งพา Cloud
    - เหมาะสำหรับการใช้งานในโดรน, หุ่นยนต์, เกษตรอัจฉริยะ และระบบรักษาความปลอดภัย

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - SAKURA-II มีราคาสูงถึง $350 ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    - แม้จะมีประสิทธิภาพสูง แต่ต้องติดตามว่าการใช้งานจริงจะสามารถแข่งขันกับ AI HAT+ ที่มีราคาถูกกว่าได้หรือไม่
    - ต้องรอดูว่าผู้ผลิตรายอื่นจะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ของตนหรือไม่
    - การพัฒนา AI ที่ขอบเครือข่ายต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของข้อมูลและการจัดการพลังงาน

    SAKURA-II อาจช่วยให้ นักพัฒนาและองค์กรสามารถสร้างระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพสูงโดยไม่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการแข่งขันในตลาด AI Accelerator จะส่งผลต่อการนำไปใช้งานจริงอย่างไร

    https://www.techpowerup.com/337664/edgecortix-sakura-ii-enables-genai-on-raspberry-pi-5-and-arm-systems
    🤖 EdgeCortix เปิดตัว SAKURA-II: AI Accelerator สำหรับ Raspberry Pi 5 และแพลตฟอร์ม Arm EdgeCortix ได้เปิดตัว SAKURA-II M.2 Module ซึ่งเป็น AI Accelerator ที่สามารถทำงานร่วมกับ Raspberry Pi 5 และแพลตฟอร์ม Arm อื่น ๆ โดยช่วยให้สามารถ รันโมเดล Generative AI ได้โดยไม่ต้องพึ่งพา Cloud SAKURA-II ถูกออกแบบมาเพื่อ ลดการใช้พลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพ AI ที่ขอบเครือข่าย (Edge AI) โดยสามารถ รันโมเดล deep learning ขั้นสูงบนอุปกรณ์ขนาดเล็ก เช่น Raspberry Pi 5 และ Rockchip RK3588 เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ นักพัฒนาและองค์กรสามารถสร้างระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพสูงโดยไม่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ซึ่งเหมาะสำหรับ โดรน, หุ่นยนต์, เกษตรอัจฉริยะ และระบบรักษาความปลอดภัย ✅ ข้อมูลจากข่าว - SAKURA-II เป็น AI Accelerator ที่รองรับ Raspberry Pi 5 และแพลตฟอร์ม Arm อื่น ๆ - สามารถรันโมเดล Generative AI เช่น Vision Transformers และ Small Language Models ได้โดยตรงบนอุปกรณ์ - ช่วยลดการใช้พลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพ AI ที่ขอบเครือข่าย - นักพัฒนาสามารถใช้ SAKURA-II เพื่อสร้างระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพสูงโดยไม่ต้องพึ่งพา Cloud - เหมาะสำหรับการใช้งานในโดรน, หุ่นยนต์, เกษตรอัจฉริยะ และระบบรักษาความปลอดภัย ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - SAKURA-II มีราคาสูงถึง $350 ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำหรับผู้ใช้ทั่วไป - แม้จะมีประสิทธิภาพสูง แต่ต้องติดตามว่าการใช้งานจริงจะสามารถแข่งขันกับ AI HAT+ ที่มีราคาถูกกว่าได้หรือไม่ - ต้องรอดูว่าผู้ผลิตรายอื่นจะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ของตนหรือไม่ - การพัฒนา AI ที่ขอบเครือข่ายต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของข้อมูลและการจัดการพลังงาน SAKURA-II อาจช่วยให้ นักพัฒนาและองค์กรสามารถสร้างระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพสูงโดยไม่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการแข่งขันในตลาด AI Accelerator จะส่งผลต่อการนำไปใช้งานจริงอย่างไร https://www.techpowerup.com/337664/edgecortix-sakura-ii-enables-genai-on-raspberry-pi-5-and-arm-systems
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    EdgeCortix SAKURA-II Enables GenAI on Raspberry Pi 5 and Arm Systems
    EdgeCortix Inc., a leading fabless semiconductor company specializing in energy-efficient Artificial Intelligence (AI) processing at the edge, today announced that its industry leading AI accelerator, SAKURA-II M.2 Module is now available with Arm-based platforms, including Raspberry Pi 5 and AETINA...
    0 Comments 0 Shares 87 Views 0 Reviews
  • 🏭 GlobalFoundries ทุ่มงบ $16 พันล้าน ขยายการผลิตชิปในสหรัฐฯ
    GlobalFoundries ซึ่งเป็น ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ได้ประกาศแผนลงทุน $16 พันล้าน เพื่อขยายการผลิตชิปในประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อ ตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้าในสหรัฐฯ เช่น Apple และ Qualcomm

    จากงบประมาณทั้งหมด $13 พันล้าน จะถูกใช้เพื่อ ขยายโรงงานในนิวยอร์กและเวอร์มอนต์ ขณะที่ $3 พันล้าน จะถูกนำไปใช้ในการ วิจัยเทคโนโลยีใหม่ เช่น การบรรจุชิปขั้นสูงและชิปโฟโตนิก

    GlobalFoundries มองว่า ตลาดชิปกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วจากความต้องการด้าน AI และบริษัทกำลัง มุ่งเน้นไปที่ชิปที่ใช้พลังงานต่ำ ซึ่งเป็นที่ต้องการสูงในศูนย์ข้อมูล

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - GlobalFoundries ลงทุน $16 พันล้าน เพื่อขยายการผลิตชิปในสหรัฐฯ
    - $13 พันล้าน ใช้ขยายโรงงานในนิวยอร์กและเวอร์มอนต์
    - $3 พันล้าน ใช้ในการวิจัยเทคโนโลยีใหม่ เช่น การบรรจุชิปขั้นสูงและชิปโฟโตนิก
    - บริษัทมุ่งเน้นไปที่ชิปพลังงานต่ำเพื่อตอบสนองความต้องการของศูนย์ข้อมูล
    - CEO Tim Breen ระบุว่าลูกค้าต้องการลดการพึ่งพาผู้ผลิตที่มีโรงงานอยู่ในที่เดียว เช่น TSMC

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - GlobalFoundries ยังไม่สามารถผลิตชิปที่มีขนาดเล็กกว่า 12LP+ (เทียบเท่า 10nm ของ TSMC)
    - แม้จะลงทุนมหาศาล แต่บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดเพียง 5% เทียบกับ TSMC ที่ครองตลาดกว่า 50%
    - ความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีของสหรัฐฯ อาจทำให้โครงการล่าช้า
    - ต้องติดตามว่าการลงทุนนี้จะช่วยให้ GlobalFoundries แข่งขันกับผู้ผลิตชิปรายใหญ่อื่น ๆ ได้หรือไม่

    การลงทุนครั้งนี้อาจช่วยให้ สหรัฐฯ มีความมั่นคงด้านการผลิตชิปมากขึ้น และลดการพึ่งพา TSMC ซึ่งมีโรงงานหลักอยู่ในไต้หวัน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการขยายโรงงานจะสามารถตอบสนองความต้องการของตลาด AI ได้มากน้อยเพียงใด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/globalfoundries-announces-usd16-billion-u-s-chip-production-spend-striking-spending-boom-follows-demand-from-domestic-customers
    🏭 GlobalFoundries ทุ่มงบ $16 พันล้าน ขยายการผลิตชิปในสหรัฐฯ GlobalFoundries ซึ่งเป็น ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ได้ประกาศแผนลงทุน $16 พันล้าน เพื่อขยายการผลิตชิปในประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อ ตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้าในสหรัฐฯ เช่น Apple และ Qualcomm จากงบประมาณทั้งหมด $13 พันล้าน จะถูกใช้เพื่อ ขยายโรงงานในนิวยอร์กและเวอร์มอนต์ ขณะที่ $3 พันล้าน จะถูกนำไปใช้ในการ วิจัยเทคโนโลยีใหม่ เช่น การบรรจุชิปขั้นสูงและชิปโฟโตนิก GlobalFoundries มองว่า ตลาดชิปกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วจากความต้องการด้าน AI และบริษัทกำลัง มุ่งเน้นไปที่ชิปที่ใช้พลังงานต่ำ ซึ่งเป็นที่ต้องการสูงในศูนย์ข้อมูล ✅ ข้อมูลจากข่าว - GlobalFoundries ลงทุน $16 พันล้าน เพื่อขยายการผลิตชิปในสหรัฐฯ - $13 พันล้าน ใช้ขยายโรงงานในนิวยอร์กและเวอร์มอนต์ - $3 พันล้าน ใช้ในการวิจัยเทคโนโลยีใหม่ เช่น การบรรจุชิปขั้นสูงและชิปโฟโตนิก - บริษัทมุ่งเน้นไปที่ชิปพลังงานต่ำเพื่อตอบสนองความต้องการของศูนย์ข้อมูล - CEO Tim Breen ระบุว่าลูกค้าต้องการลดการพึ่งพาผู้ผลิตที่มีโรงงานอยู่ในที่เดียว เช่น TSMC ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - GlobalFoundries ยังไม่สามารถผลิตชิปที่มีขนาดเล็กกว่า 12LP+ (เทียบเท่า 10nm ของ TSMC) - แม้จะลงทุนมหาศาล แต่บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดเพียง 5% เทียบกับ TSMC ที่ครองตลาดกว่า 50% - ความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีของสหรัฐฯ อาจทำให้โครงการล่าช้า - ต้องติดตามว่าการลงทุนนี้จะช่วยให้ GlobalFoundries แข่งขันกับผู้ผลิตชิปรายใหญ่อื่น ๆ ได้หรือไม่ การลงทุนครั้งนี้อาจช่วยให้ สหรัฐฯ มีความมั่นคงด้านการผลิตชิปมากขึ้น และลดการพึ่งพา TSMC ซึ่งมีโรงงานหลักอยู่ในไต้หวัน อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการขยายโรงงานจะสามารถตอบสนองความต้องการของตลาด AI ได้มากน้อยเพียงใด https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/globalfoundries-announces-usd16-billion-u-s-chip-production-spend-striking-spending-boom-follows-demand-from-domestic-customers
    0 Comments 0 Shares 91 Views 0 Reviews
  • 🚀 Intel เผยแผนพัฒนา CPU รุ่นใหม่: Nova Lake, Wildcat Lake และ Bartlett Lake
    Intel ได้เปิดเผย แผนพัฒนา CPU รุ่นใหม่ ผ่านเอกสารที่หลุดออกมา ซึ่งรวมถึง Nova Lake-S สำหรับเดสก์ท็อป, Nova Lake-U สำหรับแล็ปท็อป และ Wildcat Lake ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มพลังงานต่ำ

    Nova Lake-S คาดว่าจะเป็น สถาปัตยกรรมเดสก์ท็อปที่มีสูงสุด 52 คอร์แบบไฮบริด และใช้ ซ็อกเก็ต LGA 1954 ซึ่งหมายความว่า ผู้ใช้ที่ต้องการอัปเกรดจาก LGA 1851 จะต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่

    Wildcat Lake ถูกคาดการณ์ว่า จะเป็นแพลตฟอร์มพลังงานต่ำสำหรับอุปกรณ์พกพา และอาจเป็น ผู้สืบทอดของ Twin Lake

    Bartlett Lake-S จะมี รุ่นใหม่ที่มีเพียง 12 คอร์ประสิทธิภาพสูง ซึ่งแตกต่างจากรุ่นก่อนที่มีสูงสุด 24 คอร์ โดยคาดว่า จะรองรับเมนบอร์ด LGA 1700 ในซีรีส์ 600 และ 700

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Nova Lake-S จะมีสูงสุด 52 คอร์แบบไฮบริด และใช้ซ็อกเก็ต LGA 1954
    - Nova Lake-U เป็นรุ่นพลังงานต่ำสำหรับแล็ปท็อป
    - Wildcat Lake อาจเป็นแพลตฟอร์มพลังงานต่ำที่สืบทอดจาก Twin Lake
    - Bartlett Lake-S รุ่นใหม่จะมีเพียง 12 คอร์ประสิทธิภาพสูง
    - Bartlett Lake-S จะรองรับเมนบอร์ด LGA 1700 ในซีรีส์ 600 และ 700

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ผู้ใช้ที่ต้องการอัปเกรดเป็น Nova Lake-S จะต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่
    - ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของ Wildcat Lake และ Nova Lake-U
    - Bartlett Lake-S รุ่น 12 คอร์อาจมีข้อจำกัดด้านพลังงานและการใช้งานในตลาดอุตสาหกรรม
    - ต้องติดตามว่า Intel จะเปิดตัว CPU เหล่านี้อย่างเป็นทางการเมื่อใด

    การเปิดตัว CPU รุ่นใหม่ของ Intel อาจช่วยให้บริษัทสามารถแข่งขันกับ AMD และ Apple ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในตลาดเดสก์ท็อปและแล็ปท็อป อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงของซ็อกเก็ตจะส่งผลต่อการอัปเกรดของผู้ใช้มากน้อยเพียงใด

    https://www.techspot.com/news/108184-intel-roadmap-reveals-nova-lake-su-wildcat-lake.html
    🚀 Intel เผยแผนพัฒนา CPU รุ่นใหม่: Nova Lake, Wildcat Lake และ Bartlett Lake Intel ได้เปิดเผย แผนพัฒนา CPU รุ่นใหม่ ผ่านเอกสารที่หลุดออกมา ซึ่งรวมถึง Nova Lake-S สำหรับเดสก์ท็อป, Nova Lake-U สำหรับแล็ปท็อป และ Wildcat Lake ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มพลังงานต่ำ Nova Lake-S คาดว่าจะเป็น สถาปัตยกรรมเดสก์ท็อปที่มีสูงสุด 52 คอร์แบบไฮบริด และใช้ ซ็อกเก็ต LGA 1954 ซึ่งหมายความว่า ผู้ใช้ที่ต้องการอัปเกรดจาก LGA 1851 จะต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่ Wildcat Lake ถูกคาดการณ์ว่า จะเป็นแพลตฟอร์มพลังงานต่ำสำหรับอุปกรณ์พกพา และอาจเป็น ผู้สืบทอดของ Twin Lake Bartlett Lake-S จะมี รุ่นใหม่ที่มีเพียง 12 คอร์ประสิทธิภาพสูง ซึ่งแตกต่างจากรุ่นก่อนที่มีสูงสุด 24 คอร์ โดยคาดว่า จะรองรับเมนบอร์ด LGA 1700 ในซีรีส์ 600 และ 700 ✅ ข้อมูลจากข่าว - Nova Lake-S จะมีสูงสุด 52 คอร์แบบไฮบริด และใช้ซ็อกเก็ต LGA 1954 - Nova Lake-U เป็นรุ่นพลังงานต่ำสำหรับแล็ปท็อป - Wildcat Lake อาจเป็นแพลตฟอร์มพลังงานต่ำที่สืบทอดจาก Twin Lake - Bartlett Lake-S รุ่นใหม่จะมีเพียง 12 คอร์ประสิทธิภาพสูง - Bartlett Lake-S จะรองรับเมนบอร์ด LGA 1700 ในซีรีส์ 600 และ 700 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ผู้ใช้ที่ต้องการอัปเกรดเป็น Nova Lake-S จะต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดใหม่ - ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของ Wildcat Lake และ Nova Lake-U - Bartlett Lake-S รุ่น 12 คอร์อาจมีข้อจำกัดด้านพลังงานและการใช้งานในตลาดอุตสาหกรรม - ต้องติดตามว่า Intel จะเปิดตัว CPU เหล่านี้อย่างเป็นทางการเมื่อใด การเปิดตัว CPU รุ่นใหม่ของ Intel อาจช่วยให้บริษัทสามารถแข่งขันกับ AMD และ Apple ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในตลาดเดสก์ท็อปและแล็ปท็อป อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงของซ็อกเก็ตจะส่งผลต่อการอัปเกรดของผู้ใช้มากน้อยเพียงใด https://www.techspot.com/news/108184-intel-roadmap-reveals-nova-lake-su-wildcat-lake.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Intel roadmap reveals Nova Lake CPUs, Wildcat Lake, and new 12-core Bartlett Lake SKUs
    The leak originates from an Intel support document about the Time Coordinated Computing (TCC) platform, which outlines how the technology can be used for real-time applications at...
    0 Comments 0 Shares 80 Views 0 Reviews
  • 🤖 AI อาจช่วยค้นพบความรู้ใหม่ในอนาคต
    Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI กล่าวในงาน Snowflake Summit 2025 ว่า AI อาจช่วยมนุษย์ค้นพบความรู้ใหม่ โดยเฉพาะในกรณีที่ซับซ้อน เช่น การแก้ปัญหาทางธุรกิจที่ไม่สามารถแก้ไขได้ง่าย ๆ

    แม้ว่าการใช้ AI ในการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ยังคงถูกมองด้วยความสงสัย แต่ก็มีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า AI สามารถช่วยเร่งกระบวนการวิจัย เช่น

    Microsoft Discovery Platform ซึ่งใช้ AI ในการเร่งการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ สามารถค้นพบ สารเคมีใหม่สำหรับการระบายความร้อนของศูนย์ข้อมูล ภายใน 200 ชั่วโมง ซึ่งปกติใช้เวลาหลายปี

    OpenAI Codex ซึ่งช่วยนักพัฒนาเขียนและแก้ไขโค้ด โดย OpenAI ระบุว่า วิศวกรของบริษัทใช้ Codex เป็นประจำ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Sam Altman ระบุว่า AI อาจช่วยมนุษย์ค้นพบความรู้ใหม่ในบางกรณี
    - AI สามารถช่วยแก้ปัญหาทางธุรกิจที่ซับซ้อน
    - Microsoft Discovery Platform ใช้ AI ค้นพบสารเคมีใหม่สำหรับการระบายความร้อนของศูนย์ข้อมูล
    - OpenAI Codex ช่วยนักพัฒนาเขียนและแก้ไขโค้ด
    - บริษัทต่าง ๆ กำลังพัฒนา AI agents ที่สามารถทำงานได้หลากหลาย

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การใช้ AI ในการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ยังคงถูกมองด้วยความสงสัย
    - AI อาจทำให้บางตำแหน่งงานถูกแทนที่ เช่น Duolingo ที่ใช้ AI แทนพนักงานสัญญาจ้าง
    - Shopify กำหนดให้ผู้จัดการต้องให้เหตุผลว่าทำไม AI ไม่สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้ ก่อนอนุมัติการจ้างงานใหม่
    - ต้องติดตามว่าการพัฒนา AI agents จะส่งผลต่อโครงสร้างการทำงานขององค์กรอย่างไร

    AI กำลังพัฒนาไปสู่การเป็น เครื่องมือที่ช่วยค้นพบความรู้ใหม่ และอาจเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อโครงสร้างองค์กรและตลาดแรงงานอย่างไร

    https://www.neowin.net/news/sam-altman-says-ai-could-soon-help-with-discovering-new-knowledge/
    🤖 AI อาจช่วยค้นพบความรู้ใหม่ในอนาคต Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI กล่าวในงาน Snowflake Summit 2025 ว่า AI อาจช่วยมนุษย์ค้นพบความรู้ใหม่ โดยเฉพาะในกรณีที่ซับซ้อน เช่น การแก้ปัญหาทางธุรกิจที่ไม่สามารถแก้ไขได้ง่าย ๆ แม้ว่าการใช้ AI ในการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ยังคงถูกมองด้วยความสงสัย แต่ก็มีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า AI สามารถช่วยเร่งกระบวนการวิจัย เช่น Microsoft Discovery Platform ซึ่งใช้ AI ในการเร่งการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ สามารถค้นพบ สารเคมีใหม่สำหรับการระบายความร้อนของศูนย์ข้อมูล ภายใน 200 ชั่วโมง ซึ่งปกติใช้เวลาหลายปี OpenAI Codex ซึ่งช่วยนักพัฒนาเขียนและแก้ไขโค้ด โดย OpenAI ระบุว่า วิศวกรของบริษัทใช้ Codex เป็นประจำ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Sam Altman ระบุว่า AI อาจช่วยมนุษย์ค้นพบความรู้ใหม่ในบางกรณี - AI สามารถช่วยแก้ปัญหาทางธุรกิจที่ซับซ้อน - Microsoft Discovery Platform ใช้ AI ค้นพบสารเคมีใหม่สำหรับการระบายความร้อนของศูนย์ข้อมูล - OpenAI Codex ช่วยนักพัฒนาเขียนและแก้ไขโค้ด - บริษัทต่าง ๆ กำลังพัฒนา AI agents ที่สามารถทำงานได้หลากหลาย ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การใช้ AI ในการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ยังคงถูกมองด้วยความสงสัย - AI อาจทำให้บางตำแหน่งงานถูกแทนที่ เช่น Duolingo ที่ใช้ AI แทนพนักงานสัญญาจ้าง - Shopify กำหนดให้ผู้จัดการต้องให้เหตุผลว่าทำไม AI ไม่สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้ ก่อนอนุมัติการจ้างงานใหม่ - ต้องติดตามว่าการพัฒนา AI agents จะส่งผลต่อโครงสร้างการทำงานขององค์กรอย่างไร AI กำลังพัฒนาไปสู่การเป็น เครื่องมือที่ช่วยค้นพบความรู้ใหม่ และอาจเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อโครงสร้างองค์กรและตลาดแรงงานอย่างไร https://www.neowin.net/news/sam-altman-says-ai-could-soon-help-with-discovering-new-knowledge/
    WWW.NEOWIN.NET
    Sam Altman says AI could soon help with discovering new knowledge
    OpenAI CEO Sam Altman looks pretty optimistic about AI's capability to help humans discover new knowledge.
    0 Comments 0 Shares 73 Views 0 Reviews
  • 👓 Apple ยกเลิกโครงการแว่น AR – ก้าวต่อไปของเทคโนโลยีสวมใส่
    Apple ได้ ยกเลิกโครงการแว่น AR ที่มีรหัส N107 ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับ Vision Pro โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึง การนำทาง, การแจ้งเตือน และการขยายแอป ผ่านแว่นตาที่มีดีไซน์เรียบง่าย

    แม้จะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ Apple พบข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะ อายุการใช้งานแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นปัญหาหลักของอุปกรณ์ AR
    - ต้นแบบแรกต้องเชื่อมต่อกับ iPhone เพื่อประมวลผล แต่ใช้พลังงานมากเกินไป
    - การเปลี่ยนไปใช้ Mac เพื่อช่วยประมวลผล ทำให้เกิดประสบการณ์ที่ไม่ราบรื่น
    - ต้นทุนการผลิตสูงและปัญหาห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ Apple ตัดสินใจยกเลิกโครงการ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Apple ยกเลิกโครงการแว่น AR รหัส N107 เนื่องจากข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์
    - ปัญหาหลักคืออายุการใช้งานแบตเตอรี่และต้นทุนการผลิตที่สูง
    - ต้นแบบแรกต้องเชื่อมต่อกับ iPhone แต่ใช้พลังงานมากเกินไป
    - Apple กำลังพัฒนาชิปเฉพาะสำหรับแว่นอัจฉริยะ ซึ่งอาจเปิดตัวในปี 2026
    - คาดว่า Apple อาจเปิดตัวแว่นอัจฉริยะรุ่นใหม่ในปี 2028

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้จะยกเลิกโครงการ N107 แต่ Apple ยังไม่ละทิ้งตลาดแว่นอัจฉริยะ
    - ต้องติดตามว่าการพัฒนาชิปเฉพาะสำหรับแว่นจะสามารถแก้ปัญหาแบตเตอรี่ได้หรือไม่
    - คู่แข่งอย่าง Meta และ Google กำลังเร่งพัฒนาแว่นอัจฉริยะของตนเอง
    - Apple อาจรอให้เทคโนโลยีแบตเตอรี่และการประมวลผลก้าวหน้าก่อนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่

    แม้ Apple จะยกเลิกโครงการแว่น AR ในตอนนี้ แต่ บริษัทยังคงพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เช่น VisionOS และชิปสำหรับอุปกรณ์สวมใส่ ซึ่งอาจช่วยให้ Apple สามารถเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่สมบูรณ์แบบกว่าในอนาคต

    https://computercity.com/hardware/vr/apple-reportedly-cancels-ar-video-glasses-whats-next-for-its-wearable-future
    👓 Apple ยกเลิกโครงการแว่น AR – ก้าวต่อไปของเทคโนโลยีสวมใส่ Apple ได้ ยกเลิกโครงการแว่น AR ที่มีรหัส N107 ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับ Vision Pro โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึง การนำทาง, การแจ้งเตือน และการขยายแอป ผ่านแว่นตาที่มีดีไซน์เรียบง่าย แม้จะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ Apple พบข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะ อายุการใช้งานแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นปัญหาหลักของอุปกรณ์ AR - ต้นแบบแรกต้องเชื่อมต่อกับ iPhone เพื่อประมวลผล แต่ใช้พลังงานมากเกินไป - การเปลี่ยนไปใช้ Mac เพื่อช่วยประมวลผล ทำให้เกิดประสบการณ์ที่ไม่ราบรื่น - ต้นทุนการผลิตสูงและปัญหาห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ Apple ตัดสินใจยกเลิกโครงการ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Apple ยกเลิกโครงการแว่น AR รหัส N107 เนื่องจากข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ - ปัญหาหลักคืออายุการใช้งานแบตเตอรี่และต้นทุนการผลิตที่สูง - ต้นแบบแรกต้องเชื่อมต่อกับ iPhone แต่ใช้พลังงานมากเกินไป - Apple กำลังพัฒนาชิปเฉพาะสำหรับแว่นอัจฉริยะ ซึ่งอาจเปิดตัวในปี 2026 - คาดว่า Apple อาจเปิดตัวแว่นอัจฉริยะรุ่นใหม่ในปี 2028 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้จะยกเลิกโครงการ N107 แต่ Apple ยังไม่ละทิ้งตลาดแว่นอัจฉริยะ - ต้องติดตามว่าการพัฒนาชิปเฉพาะสำหรับแว่นจะสามารถแก้ปัญหาแบตเตอรี่ได้หรือไม่ - คู่แข่งอย่าง Meta และ Google กำลังเร่งพัฒนาแว่นอัจฉริยะของตนเอง - Apple อาจรอให้เทคโนโลยีแบตเตอรี่และการประมวลผลก้าวหน้าก่อนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ แม้ Apple จะยกเลิกโครงการแว่น AR ในตอนนี้ แต่ บริษัทยังคงพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง เช่น VisionOS และชิปสำหรับอุปกรณ์สวมใส่ ซึ่งอาจช่วยให้ Apple สามารถเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่สมบูรณ์แบบกว่าในอนาคต https://computercity.com/hardware/vr/apple-reportedly-cancels-ar-video-glasses-whats-next-for-its-wearable-future
    COMPUTERCITY.COM
    Apple Reportedly Cancels AR Video Glasses – What’s Next for Its Wearable Future?
    Apple has reportedly scrapped its long-rumored AR video glasses project, codenamed N107, marking a major pivot in the company’s vision for lightweight
    0 Comments 0 Shares 87 Views 0 Reviews
  • บิตคอยน์ ดิ่งชั่วคราว! 04/06/68 #กะเทาะหุ้น #บิตคอยน์ #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย
    บิตคอยน์ ดิ่งชั่วคราว! 04/06/68 #กะเทาะหุ้น #บิตคอยน์ #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 361 Views 26 0 Reviews
  • เตรียมพร้อม รวย จาก SET 04/06/68 #กะเทาะหุ้น #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #SET
    เตรียมพร้อม รวย จาก SET 04/06/68 #กะเทาะหุ้น #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #SET
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 351 Views 23 0 Reviews
  • ..มีกฎหมายกระทรวงทบวงกรมของไทยข้อไหนบ้างว่าห้ามปตท.ขายน้ำมันเกินลิตรละ10บาท,หรือห้ามขายเกินราคาก่อนสมัยเข้าตลาดหลักทรัพย์คือต้องบริหารจัดการควบคุมองค์รวมราคาน้ำมันทั้งประเทศให้ได้,แล้วใครทำไม่ได้ ปั้มไหนหรือปตท.ทำไม่ได้ จะมีโทษปรับลิตรละ2,000บาททุกๆการขายออกไปของยอดวันนั้นๆทันที,มิใช่กระทรวงทบวงกรมเขียนแต่กฎหมายลักษณะดูดตังออกจากกระเป๋าประชาชนคนไทยแบบกฎหมายปรับ2,000บาทหากคนขี่มอไซค์ไม่สวมหมวกกันน็อคและคนนั่งมาด้วยก็ว่าไม่สวมอีกเสือกปรับเอาตังชาวบ้านชาวบ้านประชาขนคนธรรมดาอีก2เท่า,เก่งกาจกล้าหาญมากในการออกกฎหมายห่วงใยประชาชน,ไม่ออกกฎหมายห่วงใยเอกชนต่างชาติหรือเอกชนไทยบ้างอาทิห่วงใยในกำไรมากพอแล้ว เขียนกฎหมายให้ขายในประเทศลิตรละไม่เกิน10บาท,ห้ามส่งออกน้ำมันที่ดูดบนอ่าวไทยบนแผ่นดินไทยในราชอาณาจักรไทยไปต่างประเทศทุกๆกรณีทุกๆบริษัทสัมปทานหากไม่สามารถขายน้ำมันในราคาที่รัฐบาลไทยกำหนดให้ขายไม่ได้ในราคาต่ำกว่าลิตรละ10บาทยิ่งดี เป็นต้น

    ..https://youtube.com/shorts/7QPouq_qJDo?si=CnYh0SMf4zAap9zH
    ..มีกฎหมายกระทรวงทบวงกรมของไทยข้อไหนบ้างว่าห้ามปตท.ขายน้ำมันเกินลิตรละ10บาท,หรือห้ามขายเกินราคาก่อนสมัยเข้าตลาดหลักทรัพย์คือต้องบริหารจัดการควบคุมองค์รวมราคาน้ำมันทั้งประเทศให้ได้,แล้วใครทำไม่ได้ ปั้มไหนหรือปตท.ทำไม่ได้ จะมีโทษปรับลิตรละ2,000บาททุกๆการขายออกไปของยอดวันนั้นๆทันที,มิใช่กระทรวงทบวงกรมเขียนแต่กฎหมายลักษณะดูดตังออกจากกระเป๋าประชาชนคนไทยแบบกฎหมายปรับ2,000บาทหากคนขี่มอไซค์ไม่สวมหมวกกันน็อคและคนนั่งมาด้วยก็ว่าไม่สวมอีกเสือกปรับเอาตังชาวบ้านชาวบ้านประชาขนคนธรรมดาอีก2เท่า,เก่งกาจกล้าหาญมากในการออกกฎหมายห่วงใยประชาชน,ไม่ออกกฎหมายห่วงใยเอกชนต่างชาติหรือเอกชนไทยบ้างอาทิห่วงใยในกำไรมากพอแล้ว เขียนกฎหมายให้ขายในประเทศลิตรละไม่เกิน10บาท,ห้ามส่งออกน้ำมันที่ดูดบนอ่าวไทยบนแผ่นดินไทยในราชอาณาจักรไทยไปต่างประเทศทุกๆกรณีทุกๆบริษัทสัมปทานหากไม่สามารถขายน้ำมันในราคาที่รัฐบาลไทยกำหนดให้ขายไม่ได้ในราคาต่ำกว่าลิตรละ10บาทยิ่งดี เป็นต้น ..https://youtube.com/shorts/7QPouq_qJDo?si=CnYh0SMf4zAap9zH
    0 Comments 0 Shares 98 Views 0 Reviews
  • 🏭 การควบรวมกิจการของ Hygon และ Sugon: ความท้าทายใหม่ต่ออุตสาหกรรมชิป
    สองบริษัทออกแบบชิปชั้นนำของจีน Hygon และ Sugon ได้ประกาศควบรวมกิจการ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการแข่งขันกับ Intel, AMD และ Nvidia โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนา ชิปประสิทธิภาพสูงสำหรับตลาดจีน

    Hygon มีรากฐานจาก ข้อตกลงการอนุญาตเทคโนโลยี Zen 1 กับ AMD ในปี 2016 ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถพัฒนา Dhyana CPU ที่ใช้สถาปัตยกรรม x86-64 และได้รับการสนับสนุนจาก นักพัฒนา Linux และ Tencent

    Sugon เคยใช้ Dhyana processors ในระบบต่าง ๆ รวมถึง ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เคยติดอันดับ 38 ของ TOP500 อย่างไรก็ตาม ทั้งสองบริษัท อยู่ในรายชื่อ Entity List ของสหรัฐฯ ซึ่งจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีอเมริกัน

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - Hygon และ Sugon ควบรวมกิจการเพื่อแข่งขันกับ Intel, AMD และ Nvidia
    - Hygon เคยได้รับสิทธิ์ใช้สถาปัตยกรรม Zen 1 จาก AMD ในปี 2016
    - Sugon ใช้ Dhyana processors ในซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เคยติดอันดับ 38 ของ TOP500
    - ทั้งสองบริษัทอยู่ในรายชื่อ Entity List ของสหรัฐฯ ซึ่งจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีอเมริกัน
    - Hygon อาจพัฒนา SMT4 (Simultaneous Multithreading 4 threads per core) ซึ่งเคยใช้ใน IBM POWER7

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้จะมีการควบรวม แต่ยังไม่มีหลักฐานว่าชิปใหม่จะสามารถแข่งขันกับ AMD Threadripper หรือ Intel Xeon ได้
    - การอยู่ใน Entity List อาจทำให้บริษัทต้องพัฒนาเทคโนโลยีโดยไม่มีการสนับสนุนจากสหรัฐฯ
    - ต้องติดตามว่าการพัฒนา SMT4 จะสามารถทำให้ Hygon ก้าวเข้าสู่ตลาด CPU ระดับสูงได้หรือไม่
    - การควบรวมอาจช่วยให้จีนมีทางเลือกด้านเซมิคอนดักเตอร์มากขึ้น แต่ยังต้องใช้เวลาในการพัฒนา

    การควบรวมของ Hygon และ Sugon อาจช่วยให้ จีนมีความสามารถในการพัฒนา CPU ที่แข่งขันกับแบรนด์ระดับโลก อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่จะสามารถลดช่องว่างกับ Intel และ AMD ได้หรือไม่

    https://www.techradar.com/pro/two-of-chinas-biggest-chip-designers-just-merged-to-compete-better-against-intel-amd-and-nvidia
    🏭 การควบรวมกิจการของ Hygon และ Sugon: ความท้าทายใหม่ต่ออุตสาหกรรมชิป สองบริษัทออกแบบชิปชั้นนำของจีน Hygon และ Sugon ได้ประกาศควบรวมกิจการ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการแข่งขันกับ Intel, AMD และ Nvidia โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนา ชิปประสิทธิภาพสูงสำหรับตลาดจีน Hygon มีรากฐานจาก ข้อตกลงการอนุญาตเทคโนโลยี Zen 1 กับ AMD ในปี 2016 ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถพัฒนา Dhyana CPU ที่ใช้สถาปัตยกรรม x86-64 และได้รับการสนับสนุนจาก นักพัฒนา Linux และ Tencent Sugon เคยใช้ Dhyana processors ในระบบต่าง ๆ รวมถึง ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เคยติดอันดับ 38 ของ TOP500 อย่างไรก็ตาม ทั้งสองบริษัท อยู่ในรายชื่อ Entity List ของสหรัฐฯ ซึ่งจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีอเมริกัน ✅ ข้อมูลจากข่าว - Hygon และ Sugon ควบรวมกิจการเพื่อแข่งขันกับ Intel, AMD และ Nvidia - Hygon เคยได้รับสิทธิ์ใช้สถาปัตยกรรม Zen 1 จาก AMD ในปี 2016 - Sugon ใช้ Dhyana processors ในซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เคยติดอันดับ 38 ของ TOP500 - ทั้งสองบริษัทอยู่ในรายชื่อ Entity List ของสหรัฐฯ ซึ่งจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีอเมริกัน - Hygon อาจพัฒนา SMT4 (Simultaneous Multithreading 4 threads per core) ซึ่งเคยใช้ใน IBM POWER7 ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้จะมีการควบรวม แต่ยังไม่มีหลักฐานว่าชิปใหม่จะสามารถแข่งขันกับ AMD Threadripper หรือ Intel Xeon ได้ - การอยู่ใน Entity List อาจทำให้บริษัทต้องพัฒนาเทคโนโลยีโดยไม่มีการสนับสนุนจากสหรัฐฯ - ต้องติดตามว่าการพัฒนา SMT4 จะสามารถทำให้ Hygon ก้าวเข้าสู่ตลาด CPU ระดับสูงได้หรือไม่ - การควบรวมอาจช่วยให้จีนมีทางเลือกด้านเซมิคอนดักเตอร์มากขึ้น แต่ยังต้องใช้เวลาในการพัฒนา การควบรวมของ Hygon และ Sugon อาจช่วยให้ จีนมีความสามารถในการพัฒนา CPU ที่แข่งขันกับแบรนด์ระดับโลก อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่จะสามารถลดช่องว่างกับ Intel และ AMD ได้หรือไม่ https://www.techradar.com/pro/two-of-chinas-biggest-chip-designers-just-merged-to-compete-better-against-intel-amd-and-nvidia
    0 Comments 0 Shares 144 Views 0 Reviews
  • 🎮 RTX 50-Series X3W Max: นวัตกรรมใหม่ของ AX Gaming
    AX Gaming ได้เปิดตัว X3W Max series ซึ่งเป็นกราฟิกการ์ดในตระกูล RTX 50-Series ที่มาพร้อมกับ ดีไซน์พิเศษซ่อนสายไฟ 16-pin หลังแผงแม่เหล็ก

    X3W Max ใช้ พอร์ตจ่ายไฟ 16-pin (12VHPWR) ที่ถูกออกแบบให้ ซ่อนอยู่หลังแผงแม่เหล็ก ทำให้สามารถ ติดตั้งและถอดสายไฟได้ง่ายขึ้น

    แม้ว่าจะมีการออกแบบที่คล้ายกับกราฟิกการ์ด Blackwell รุ่นอื่น ๆ แต่ AX Gaming ได้เพิ่มการโอเวอร์คล็อกเล็กน้อย ประมาณ 2-3% เหนือกว่ามาตรฐานของ Nvidia

    นอกจากนี้ X3W Max ยังมีระบบระบายความร้อนแบบสามพัดลม และมาใน สีขาวล้วน ซึ่งช่วยให้ดูโดดเด่นกว่ารุ่นอื่น ๆ

    ✅ ข้อมูลจากข่าว
    - AX Gaming เปิดตัว X3W Max series ในตระกูล RTX 50-Series
    - ใช้พอร์ตจ่ายไฟ 16-pin ที่ซ่อนอยู่หลังแผงแม่เหล็ก
    - มีการโอเวอร์คล็อกเพิ่มขึ้น 2-3% จากมาตรฐานของ Nvidia
    - ระบบระบายความร้อนแบบสามพัดลม และดีไซน์สีขาวล้วน
    - แนะนำให้ใช้ PSU ขนาด 850W สำหรับ RTX 5080 X3W Max และ 800W สำหรับ RTX 5070 Ti X3W Max

    ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับปลายสายไฟ 16-pin ว่าจะเป็นแบบ 16-pin หรือ 8-pin PCIe
    - AX Gaming ไม่ได้เปิดตัว RTX 5090D เนื่องจากถูกแบนในจีน
    - ต้องติดตามว่า Nvidia จะลดสเปคของ RTX 5090D เพื่อให้สามารถส่งออกไปยังจีนได้หรือไม่
    - AX Gaming ยังไม่ได้ประกาศราคาและวันวางจำหน่ายของ X3W Max series

    X3W Max เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการ กราฟิกการ์ดที่มีดีไซน์เรียบหรูและระบบจัดการสายไฟที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการออกแบบนี้จะได้รับความนิยมในตลาดหรือไม่

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/this-rtx-50-series-gpu-design-hides-its-custom-l-shaped-16-pin-power-cable-behind-a-magnetic-shroud
    🎮 RTX 50-Series X3W Max: นวัตกรรมใหม่ของ AX Gaming AX Gaming ได้เปิดตัว X3W Max series ซึ่งเป็นกราฟิกการ์ดในตระกูล RTX 50-Series ที่มาพร้อมกับ ดีไซน์พิเศษซ่อนสายไฟ 16-pin หลังแผงแม่เหล็ก X3W Max ใช้ พอร์ตจ่ายไฟ 16-pin (12VHPWR) ที่ถูกออกแบบให้ ซ่อนอยู่หลังแผงแม่เหล็ก ทำให้สามารถ ติดตั้งและถอดสายไฟได้ง่ายขึ้น แม้ว่าจะมีการออกแบบที่คล้ายกับกราฟิกการ์ด Blackwell รุ่นอื่น ๆ แต่ AX Gaming ได้เพิ่มการโอเวอร์คล็อกเล็กน้อย ประมาณ 2-3% เหนือกว่ามาตรฐานของ Nvidia นอกจากนี้ X3W Max ยังมีระบบระบายความร้อนแบบสามพัดลม และมาใน สีขาวล้วน ซึ่งช่วยให้ดูโดดเด่นกว่ารุ่นอื่น ๆ ✅ ข้อมูลจากข่าว - AX Gaming เปิดตัว X3W Max series ในตระกูล RTX 50-Series - ใช้พอร์ตจ่ายไฟ 16-pin ที่ซ่อนอยู่หลังแผงแม่เหล็ก - มีการโอเวอร์คล็อกเพิ่มขึ้น 2-3% จากมาตรฐานของ Nvidia - ระบบระบายความร้อนแบบสามพัดลม และดีไซน์สีขาวล้วน - แนะนำให้ใช้ PSU ขนาด 850W สำหรับ RTX 5080 X3W Max และ 800W สำหรับ RTX 5070 Ti X3W Max ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับปลายสายไฟ 16-pin ว่าจะเป็นแบบ 16-pin หรือ 8-pin PCIe - AX Gaming ไม่ได้เปิดตัว RTX 5090D เนื่องจากถูกแบนในจีน - ต้องติดตามว่า Nvidia จะลดสเปคของ RTX 5090D เพื่อให้สามารถส่งออกไปยังจีนได้หรือไม่ - AX Gaming ยังไม่ได้ประกาศราคาและวันวางจำหน่ายของ X3W Max series X3W Max เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการ กราฟิกการ์ดที่มีดีไซน์เรียบหรูและระบบจัดการสายไฟที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการออกแบบนี้จะได้รับความนิยมในตลาดหรือไม่ https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/this-rtx-50-series-gpu-design-hides-its-custom-l-shaped-16-pin-power-cable-behind-a-magnetic-shroud
    0 Comments 0 Shares 105 Views 0 Reviews
More Results