• "อนุทิน" ลุยเยี่ยมทหาร ด่านสายตะกู-ฐานแม่งป่อง พาชี้จุด สร้างรั้วชายแดน จ.บุรีรัมย์ ลั่นวางหีบหนามสลับกำแพงตลอดแนว ตามภูมิประเทศ ขณะที่ชาวบ้านน้ำตาซึม หลังนายกฯบอก 6 ต.ค. เงินเยียวยาได้แน่ ย้ำไม่เปิดชายแดนแน่นอน ยอมรับสงสารทหารได้มาเห็นกับตา พร้อมหนุนทุกคำขอ ตบแขนทหารให้กำลังใจ ”โชคดีแคล้วคลาด ปลอดภัยเด้อ“ ร้องเพลงปลุกใจ “เรารบจนใจขาด เพื่อชาติของไทย”

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000095018

    #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    "อนุทิน" ลุยเยี่ยมทหาร ด่านสายตะกู-ฐานแม่งป่อง พาชี้จุด สร้างรั้วชายแดน จ.บุรีรัมย์ ลั่นวางหีบหนามสลับกำแพงตลอดแนว ตามภูมิประเทศ ขณะที่ชาวบ้านน้ำตาซึม หลังนายกฯบอก 6 ต.ค. เงินเยียวยาได้แน่ ย้ำไม่เปิดชายแดนแน่นอน ยอมรับสงสารทหารได้มาเห็นกับตา พร้อมหนุนทุกคำขอ ตบแขนทหารให้กำลังใจ ”โชคดีแคล้วคลาด ปลอดภัยเด้อ“ ร้องเพลงปลุกใจ “เรารบจนใจขาด เพื่อชาติของไทย” อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000095018 #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 98 Views 0 Reviews
  • “Intel เปิดตัวสถาปัตยกรรมใหม่ Nova Lake และ Diamond Rapids — ยุคใหม่ของ CPU ที่เน้น AI, ประสิทธิภาพ และความหนาแน่นของคอร์”

    Intel ยืนยันอย่างเป็นทางการถึงสถาปัตยกรรมใหม่สำหรับ CPU รุ่นถัดไปในปี 2026 โดยแบ่งออกเป็นสองสายหลัก ได้แก่ Nova Lake สำหรับผู้ใช้ทั่วไป และ Diamond Rapids สำหรับเซิร์ฟเวอร์ โดยข้อมูลนี้ปรากฏในเอกสาร ISA Reference ล่าสุดของ Intel ซึ่งช่วยยืนยันข่าวลือก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน

    Nova Lake จะใช้ P-Core แบบใหม่ชื่อว่า Coyote Cove และ E-Core ชื่อ Arctic Wolf ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพต่อคอร์ (IPC) และลดการใช้พลังงาน โดยจะรองรับแพลตฟอร์มใหม่ผ่านซ็อกเก็ต LGA 1954 และมี GPU แบบฝังรุ่นใหม่ที่ใช้ Xe3 tile สำหรับกราฟิกที่ดีขึ้นในโน้ตบุ๊กและเดสก์ท็อป

    Nova Lake-S สำหรับเดสก์ท็อปจะมีจำนวนคอร์สูงสุดถึง 52 คอร์ ขณะที่รุ่น HX สำหรับโน้ตบุ๊กจะมีสูงสุด 28 คอร์ และอาจมีรุ่น Nova Lake-AX สำหรับตลาด APU ที่เคยมีข่าวว่าจะเป็นคู่แข่งกับ AMD Strix Halo แต่ตอนนี้ยังอยู่ในสถานะไม่แน่นอน

    ฝั่งเซิร์ฟเวอร์ Diamond Rapids จะใช้ P-Core แบบ Panther Cove ซึ่งเน้นการเพิ่มความหนาแน่นของคอร์ โดยอาจมีสูงถึง 192–256 คอร์ แต่จะไม่มีฟีเจอร์ Hyper-Threading (SMT) ในรุ่นแรก ซึ่ง Intel ยืนยันว่าจะนำกลับมาในรุ่น Coral Rapids ที่ตามมา

    นอกจากนี้ยังมีการกล่าวถึง Panther Cove-X ซึ่งอาจเป็นรุ่นประสิทธิภาพสูงสำหรับเวิร์กสเตชัน และ Wildcat Lake ซึ่งจะมาแทน Twin Lake ในกลุ่ม APU ระดับเริ่มต้น โดยใช้ Cougar Cove P-Core และ Darkmont E-Core เช่นเดียวกับ Panther Lake

    ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงยุทธศาสตร์ของ Intel ที่เน้นการขยายจำนวนคอร์ ปรับปรุงสถาปัตยกรรม และเตรียมพร้อมสำหรับยุค AI ที่ต้องการการประมวลผลแบบกระจายและมีประสิทธิภาพสูง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Intel ยืนยันสถาปัตยกรรมใหม่สำหรับ CPU ปี 2026 ได้แก่ Nova Lake และ Diamond Rapids
    Nova Lake ใช้ Coyote Cove P-Core และ Arctic Wolf E-Core
    รองรับซ็อกเก็ตใหม่ LGA 1954 และ GPU แบบ Xe3 tile
    Nova Lake-S มีสูงสุด 52 คอร์ ส่วนรุ่น HX มีสูงสุด 28 คอร์
    Diamond Rapids ใช้ Panther Cove P-Core และเน้นความหนาแน่นของคอร์
    ไม่มี SMT ใน Diamond Rapids แต่จะกลับมาใน Coral Rapids
    มีการกล่าวถึง Panther Cove-X สำหรับเวิร์กสเตชัน และ Wildcat Lake สำหรับ APU ระดับเริ่มต้น
    Wildcat Lake ใช้ Cougar Cove P-Core และ Darkmont E-Core
    Intel เตรียมแข่งขันกับ AMD Zen 6 ทั้งในตลาดผู้ใช้ทั่วไปและเซิร์ฟเวอร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Xe3 tile เป็น GPU แบบฝังรุ่นใหม่ที่เน้นประสิทธิภาพและการประหยัดพลังงาน
    Panther Lake เป็นรุ่นก่อนหน้า Nova Lake ที่ใช้ Cougar Cove และ Darkmont
    Coral Rapids จะนำ SMT กลับมาเพื่อรองรับงานเซิร์ฟเวอร์ที่ต้องการ multithreading
    APU คือชิปที่รวม CPU และ GPU ไว้ในตัวเดียว เหมาะกับงานที่ต้องการกราฟิกแต่ไม่ใช้การ์ดจอแยก
    การเพิ่มจำนวนคอร์ช่วยให้รองรับงานแบบ parallel ได้ดีขึ้น เช่น AI, simulation, และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intels-next-gen-nova-lake-and-diamond-rapids-microarchitectures-get-official-confirmation-latest-isa-reference-doc-details-the-p-cores-and-e-cores-upcoming-cpus-will-use
    🧠 “Intel เปิดตัวสถาปัตยกรรมใหม่ Nova Lake และ Diamond Rapids — ยุคใหม่ของ CPU ที่เน้น AI, ประสิทธิภาพ และความหนาแน่นของคอร์” Intel ยืนยันอย่างเป็นทางการถึงสถาปัตยกรรมใหม่สำหรับ CPU รุ่นถัดไปในปี 2026 โดยแบ่งออกเป็นสองสายหลัก ได้แก่ Nova Lake สำหรับผู้ใช้ทั่วไป และ Diamond Rapids สำหรับเซิร์ฟเวอร์ โดยข้อมูลนี้ปรากฏในเอกสาร ISA Reference ล่าสุดของ Intel ซึ่งช่วยยืนยันข่าวลือก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน Nova Lake จะใช้ P-Core แบบใหม่ชื่อว่า Coyote Cove และ E-Core ชื่อ Arctic Wolf ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพต่อคอร์ (IPC) และลดการใช้พลังงาน โดยจะรองรับแพลตฟอร์มใหม่ผ่านซ็อกเก็ต LGA 1954 และมี GPU แบบฝังรุ่นใหม่ที่ใช้ Xe3 tile สำหรับกราฟิกที่ดีขึ้นในโน้ตบุ๊กและเดสก์ท็อป Nova Lake-S สำหรับเดสก์ท็อปจะมีจำนวนคอร์สูงสุดถึง 52 คอร์ ขณะที่รุ่น HX สำหรับโน้ตบุ๊กจะมีสูงสุด 28 คอร์ และอาจมีรุ่น Nova Lake-AX สำหรับตลาด APU ที่เคยมีข่าวว่าจะเป็นคู่แข่งกับ AMD Strix Halo แต่ตอนนี้ยังอยู่ในสถานะไม่แน่นอน ฝั่งเซิร์ฟเวอร์ Diamond Rapids จะใช้ P-Core แบบ Panther Cove ซึ่งเน้นการเพิ่มความหนาแน่นของคอร์ โดยอาจมีสูงถึง 192–256 คอร์ แต่จะไม่มีฟีเจอร์ Hyper-Threading (SMT) ในรุ่นแรก ซึ่ง Intel ยืนยันว่าจะนำกลับมาในรุ่น Coral Rapids ที่ตามมา นอกจากนี้ยังมีการกล่าวถึง Panther Cove-X ซึ่งอาจเป็นรุ่นประสิทธิภาพสูงสำหรับเวิร์กสเตชัน และ Wildcat Lake ซึ่งจะมาแทน Twin Lake ในกลุ่ม APU ระดับเริ่มต้น โดยใช้ Cougar Cove P-Core และ Darkmont E-Core เช่นเดียวกับ Panther Lake ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงยุทธศาสตร์ของ Intel ที่เน้นการขยายจำนวนคอร์ ปรับปรุงสถาปัตยกรรม และเตรียมพร้อมสำหรับยุค AI ที่ต้องการการประมวลผลแบบกระจายและมีประสิทธิภาพสูง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Intel ยืนยันสถาปัตยกรรมใหม่สำหรับ CPU ปี 2026 ได้แก่ Nova Lake และ Diamond Rapids ➡️ Nova Lake ใช้ Coyote Cove P-Core และ Arctic Wolf E-Core ➡️ รองรับซ็อกเก็ตใหม่ LGA 1954 และ GPU แบบ Xe3 tile ➡️ Nova Lake-S มีสูงสุด 52 คอร์ ส่วนรุ่น HX มีสูงสุด 28 คอร์ ➡️ Diamond Rapids ใช้ Panther Cove P-Core และเน้นความหนาแน่นของคอร์ ➡️ ไม่มี SMT ใน Diamond Rapids แต่จะกลับมาใน Coral Rapids ➡️ มีการกล่าวถึง Panther Cove-X สำหรับเวิร์กสเตชัน และ Wildcat Lake สำหรับ APU ระดับเริ่มต้น ➡️ Wildcat Lake ใช้ Cougar Cove P-Core และ Darkmont E-Core ➡️ Intel เตรียมแข่งขันกับ AMD Zen 6 ทั้งในตลาดผู้ใช้ทั่วไปและเซิร์ฟเวอร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Xe3 tile เป็น GPU แบบฝังรุ่นใหม่ที่เน้นประสิทธิภาพและการประหยัดพลังงาน ➡️ Panther Lake เป็นรุ่นก่อนหน้า Nova Lake ที่ใช้ Cougar Cove และ Darkmont ➡️ Coral Rapids จะนำ SMT กลับมาเพื่อรองรับงานเซิร์ฟเวอร์ที่ต้องการ multithreading ➡️ APU คือชิปที่รวม CPU และ GPU ไว้ในตัวเดียว เหมาะกับงานที่ต้องการกราฟิกแต่ไม่ใช้การ์ดจอแยก ➡️ การเพิ่มจำนวนคอร์ช่วยให้รองรับงานแบบ parallel ได้ดีขึ้น เช่น AI, simulation, และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intels-next-gen-nova-lake-and-diamond-rapids-microarchitectures-get-official-confirmation-latest-isa-reference-doc-details-the-p-cores-and-e-cores-upcoming-cpus-will-use
    0 Comments 0 Shares 86 Views 0 Reviews
  • ทำนายผลพรีเมียร์ลีก 03/10/68 #พรีเมียร์ลีก #การแข่งขันฟุตบอล #ทำนายผลพรีเมียร์ลีก
    ทำนายผลพรีเมียร์ลีก 03/10/68 #พรีเมียร์ลีก #การแข่งขันฟุตบอล #ทำนายผลพรีเมียร์ลีก
    0 Comments 0 Shares 233 Views 0 0 Reviews
  • ผิดคาด! Super Computer ทำนายผลแชมป์ UCL ล่าสุด 03/10/68 #Super Computer #การแข่งขันฟุตบอล #ทำนายผลแชมป์ #พรีเมียร์ลีก
    ผิดคาด! Super Computer ทำนายผลแชมป์ UCL ล่าสุด 03/10/68 #Super Computer #การแข่งขันฟุตบอล #ทำนายผลแชมป์ #พรีเมียร์ลีก
    Like
    1
    1 Comments 0 Shares 243 Views 0 0 Reviews
  • ทายผลฟุตบอลไทยลีก สัปดาห์ที่ 7 03/10/68 #ฟุตบอลไทยลีก #การแข่งขันฟุตบอล #โปรแกรมฟุตบอล
    ทายผลฟุตบอลไทยลีก สัปดาห์ที่ 7 03/10/68 #ฟุตบอลไทยลีก #การแข่งขันฟุตบอล #โปรแกรมฟุตบอล
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 236 Views 0 0 Reviews
  • “Intel เปิดตัวสถาปัตยกรรมใหม่ Coyote Cove และ Arctic Wolf — เตรียมชน AMD Zen 6 ด้วย Nova Lake และ Diamond Rapids”

    Intel ประกาศยืนยันสถาปัตยกรรมแกนประมวลผลใหม่สำหรับซีพียูรุ่นถัดไปในตระกูล Nova Lake และ Diamond Rapids ที่จะเปิดตัวในปี 2026 โดยฝั่งผู้ใช้ทั่วไป (Client) จะใช้แกน P-Core แบบใหม่ชื่อว่า Coyote Cove และ E-Core ชื่อ Arctic Wolf ส่วนฝั่งเซิร์ฟเวอร์จะใช้แกน P-Core ชื่อ Panther Cove ซึ่งเป็นรุ่นปรับปรุงจาก Cougar Cove ที่ใช้ใน Panther Lake

    Nova Lake จะเป็นซีพียูสำหรับเดสก์ท็อปและโน้ตบุ๊ก โดยรุ่นสูงสุดจะมีจำนวนคอร์รวมถึง 52 คอร์ (16P + 32E + 4LPE) พร้อมกราฟิกแบบใหม่ที่ใช้สถาปัตยกรรม Xe3 และใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA 1954 ซึ่งจะมีการอัปเกรดแพลตฟอร์มครั้งใหญ่

    ฝั่งเซิร์ฟเวอร์ Diamond Rapids จะมีจำนวนคอร์สูงสุดถึง 256 คอร์ โดยไม่มีการรองรับ SMT (Hyper-Threading) ซึ่ง Intel ยอมรับว่าเป็นข้อผิดพลาด และจะนำกลับมาในรุ่นถัดไป Coral Rapids ที่จะเปิดตัวหลังจากนั้น

    นอกจากนี้ Intel ยังเตรียมเปิดตัวชิประดับเริ่มต้นชื่อ Wildcat Lake ที่จะมาแทน Twin Lake โดยใช้ Cougar Cove P-Core และ Darkmont E-Core เพื่อรองรับตลาดราคาประหยัด

    Nova Lake และ Diamond Rapids จะเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ AMD Zen 6 ทั้งในฝั่ง Ryzen และ EPYC ซึ่งจะทำให้ปี 2026 กลายเป็นสมรภูมิเดือดของสองค่ายใหญ่ในโลกซีพียู

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Intel ยืนยันสถาปัตยกรรมใหม่ Coyote Cove (P-Core) และ Arctic Wolf (E-Core) สำหรับ Nova Lake
    Diamond Rapids จะใช้ Panther Cove P-Core สำหรับเซิร์ฟเวอร์
    Nova Lake-S จะมีสูงสุด 52 คอร์ (16P + 32E + 4LPE) และใช้ซ็อกเก็ต LGA 1954
    Diamond Rapids จะมีสูงสุด 256 คอร์ และไม่มี SMT
    Coral Rapids รุ่นถัดไปจะนำ SMT กลับมา
    Intel เตรียมเปิดตัว Wildcat Lake สำหรับตลาดเริ่มต้น
    Nova Lake จะใช้กราฟิก Xe3 และแข่งขันกับ AMD Zen 6
    Diamond Rapids จะชนกับ EPYC Zen 6 ในตลาดเซิร์ฟเวอร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Coyote Cove และ Arctic Wolf เป็นสถาปัตยกรรมใหม่ที่เน้นประสิทธิภาพต่อวัตต์
    LPE (Low Power Efficiency) cores ใช้สำหรับงานเบาและประหยัดพลังงาน
    Xe3 เป็นกราฟิกเจเนอเรชันใหม่ที่เน้นการเร่งงาน AI และการประมวลผลภาพ
    ซ็อกเก็ต LGA 1954 จะรองรับ PCIe 5.0 และ DDR5 รุ่นใหม่
    SMT (Simultaneous Multithreading) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในงานเซิร์ฟเวอร์โดยใช้เธรดเสมือน

    https://wccftech.com/intel-nova-lake-coyote-cove-p-core-arctic-wolf-e-core-diamond-rapids-panther-cove/
    🧠 “Intel เปิดตัวสถาปัตยกรรมใหม่ Coyote Cove และ Arctic Wolf — เตรียมชน AMD Zen 6 ด้วย Nova Lake และ Diamond Rapids” Intel ประกาศยืนยันสถาปัตยกรรมแกนประมวลผลใหม่สำหรับซีพียูรุ่นถัดไปในตระกูล Nova Lake และ Diamond Rapids ที่จะเปิดตัวในปี 2026 โดยฝั่งผู้ใช้ทั่วไป (Client) จะใช้แกน P-Core แบบใหม่ชื่อว่า Coyote Cove และ E-Core ชื่อ Arctic Wolf ส่วนฝั่งเซิร์ฟเวอร์จะใช้แกน P-Core ชื่อ Panther Cove ซึ่งเป็นรุ่นปรับปรุงจาก Cougar Cove ที่ใช้ใน Panther Lake Nova Lake จะเป็นซีพียูสำหรับเดสก์ท็อปและโน้ตบุ๊ก โดยรุ่นสูงสุดจะมีจำนวนคอร์รวมถึง 52 คอร์ (16P + 32E + 4LPE) พร้อมกราฟิกแบบใหม่ที่ใช้สถาปัตยกรรม Xe3 และใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA 1954 ซึ่งจะมีการอัปเกรดแพลตฟอร์มครั้งใหญ่ ฝั่งเซิร์ฟเวอร์ Diamond Rapids จะมีจำนวนคอร์สูงสุดถึง 256 คอร์ โดยไม่มีการรองรับ SMT (Hyper-Threading) ซึ่ง Intel ยอมรับว่าเป็นข้อผิดพลาด และจะนำกลับมาในรุ่นถัดไป Coral Rapids ที่จะเปิดตัวหลังจากนั้น นอกจากนี้ Intel ยังเตรียมเปิดตัวชิประดับเริ่มต้นชื่อ Wildcat Lake ที่จะมาแทน Twin Lake โดยใช้ Cougar Cove P-Core และ Darkmont E-Core เพื่อรองรับตลาดราคาประหยัด Nova Lake และ Diamond Rapids จะเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ AMD Zen 6 ทั้งในฝั่ง Ryzen และ EPYC ซึ่งจะทำให้ปี 2026 กลายเป็นสมรภูมิเดือดของสองค่ายใหญ่ในโลกซีพียู ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Intel ยืนยันสถาปัตยกรรมใหม่ Coyote Cove (P-Core) และ Arctic Wolf (E-Core) สำหรับ Nova Lake ➡️ Diamond Rapids จะใช้ Panther Cove P-Core สำหรับเซิร์ฟเวอร์ ➡️ Nova Lake-S จะมีสูงสุด 52 คอร์ (16P + 32E + 4LPE) และใช้ซ็อกเก็ต LGA 1954 ➡️ Diamond Rapids จะมีสูงสุด 256 คอร์ และไม่มี SMT ➡️ Coral Rapids รุ่นถัดไปจะนำ SMT กลับมา ➡️ Intel เตรียมเปิดตัว Wildcat Lake สำหรับตลาดเริ่มต้น ➡️ Nova Lake จะใช้กราฟิก Xe3 และแข่งขันกับ AMD Zen 6 ➡️ Diamond Rapids จะชนกับ EPYC Zen 6 ในตลาดเซิร์ฟเวอร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Coyote Cove และ Arctic Wolf เป็นสถาปัตยกรรมใหม่ที่เน้นประสิทธิภาพต่อวัตต์ ➡️ LPE (Low Power Efficiency) cores ใช้สำหรับงานเบาและประหยัดพลังงาน ➡️ Xe3 เป็นกราฟิกเจเนอเรชันใหม่ที่เน้นการเร่งงาน AI และการประมวลผลภาพ ➡️ ซ็อกเก็ต LGA 1954 จะรองรับ PCIe 5.0 และ DDR5 รุ่นใหม่ ➡️ SMT (Simultaneous Multithreading) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในงานเซิร์ฟเวอร์โดยใช้เธรดเสมือน https://wccftech.com/intel-nova-lake-coyote-cove-p-core-arctic-wolf-e-core-diamond-rapids-panther-cove/
    WCCFTECH.COM
    Intel Confirms Coyote Cove P-Core & Arctic Wolf E-Core For Nova Lake "Core Ultra 400" CPUs, Panther Cove P-Cores For Diamond Rapids "Xeon 7"
    Intel has confirmed the core architectures for its next-gen Nova Lake & Diamond Rapids CPUs, with Coyote Cove & Panther Cove P-Cores.
    0 Comments 0 Shares 114 Views 0 Reviews
  • “MSI ยืนยันเมนบอร์ด AM5 ซีรีส์ 800 รองรับ Ryzen Zen 6 — อัปเกรดได้ยาวถึงปี 2027 โดยไม่ต้องเปลี่ยนบอร์ด”

    MSI ประกาศอย่างเป็นทางการว่าเมนบอร์ด AM5 ซีรีส์ 800 ที่วางจำหน่ายในปัจจุบันจะรองรับซีพียู AMD Ryzen รุ่นถัดไปที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 6 ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 นี่ถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้ใช้สาย DIY ที่ลงทุนกับแพลตฟอร์ม AM5 เพราะหมายความว่าเมนบอร์ดที่มีอยู่จะยังใช้งานได้กับซีพียูรุ่นใหม่โดยไม่ต้องเปลี่ยนใหม่

    AM5 เปิดตัวครั้งแรกพร้อม Ryzen 7000 (Zen 4) และปัจจุบันรองรับ Ryzen 9000 (Zen 5) รวมถึง Ryzen 8000G APU ซึ่งหมายความว่าแพลตฟอร์มนี้รองรับซีพียูถึง 3 เจเนอเรชันแล้ว และจะขยายไปถึง Zen 6 ในอนาคต

    MSI ยังเตรียมเปิดตัวเมนบอร์ดรุ่น “MAX” ที่มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ เช่น external BCLK generator และ BIOS ขนาด 64MB เพื่อรองรับเฟิร์มแวร์รุ่นใหม่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีการเพิ่มการรองรับ Zen 6 และไมโครโค้ดใหม่ ๆ

    นอกจากนี้ยังมีการพบดีไซน์ใหม่ในเมนบอร์ดรุ่น B850I EDGE TI EVO WIFI ที่แสดงให้เห็นว่า MSI กำลังเตรียมความพร้อมสำหรับ Zen 6 อย่างจริงจัง และมีรายงานว่า AMD ได้ส่งตัวอย่างซีพียู Zen 6 ให้กับผู้ผลิตเมนบอร์ดเพื่อทดสอบความเข้ากันได้แล้ว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    MSI ยืนยันว่าเมนบอร์ด AM5 ซีรีส์ 800 รองรับซีพียู Ryzen Zen 6
    Zen 6 คาดว่าจะเปิดตัวช่วงครึ่งหลังของปี 2026
    AM5 รองรับ Ryzen 7000 (Zen 4), Ryzen 9000 (Zen 5) และ Ryzen 8000G
    เมนบอร์ดรุ่น “MAX” จะมี BCLK generator และ BIOS ขนาด 64MB
    MSI เตรียมเปิดตัวเมนบอร์ด B850I EDGE TI EVO WIFI ที่รองรับ Zen 6
    AMD ได้ส่งตัวอย่าง Zen 6 ให้ผู้ผลิตเมนบอร์ดเพื่อทดสอบแล้ว
    การรองรับ Zen 6 สะท้อนความมุ่งมั่นของ AMD ต่อแพลตฟอร์ม AM5
    ผู้ใช้สามารถอัปเกรดซีพียูในอนาคตโดยไม่ต้องเปลี่ยนเมนบอร์ด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Zen 6 ใช้โค้ดเนม “Morpheus” และผลิตบนเทคโนโลยี 2nm ของ TSMC
    Zen 6 เพิ่มจำนวนคอร์ต่อ CCD จาก 8 เป็น 12 คอร์ และมี L3 cache สูงสุด 48MB
    AMD ยืนยันว่าจะสนับสนุน AM5 ไปจนถึงปี 2027 และอาจต่อเนื่องกว่านั้น
    การมี BIOS ขนาดใหญ่ช่วยให้รองรับเฟิร์มแวร์ใหม่ได้โดยไม่ต้องลดฟีเจอร์
    การใช้ BCLK generator ช่วยให้โอเวอร์คล็อกได้แม่นยำและเสถียรมากขึ้น

    https://wccftech.com/msi-confirms-future-amd-ryzen-zen-6-cpu-support-on-am5-800-motherboards/
    🧩 “MSI ยืนยันเมนบอร์ด AM5 ซีรีส์ 800 รองรับ Ryzen Zen 6 — อัปเกรดได้ยาวถึงปี 2027 โดยไม่ต้องเปลี่ยนบอร์ด” MSI ประกาศอย่างเป็นทางการว่าเมนบอร์ด AM5 ซีรีส์ 800 ที่วางจำหน่ายในปัจจุบันจะรองรับซีพียู AMD Ryzen รุ่นถัดไปที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 6 ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 นี่ถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้ใช้สาย DIY ที่ลงทุนกับแพลตฟอร์ม AM5 เพราะหมายความว่าเมนบอร์ดที่มีอยู่จะยังใช้งานได้กับซีพียูรุ่นใหม่โดยไม่ต้องเปลี่ยนใหม่ AM5 เปิดตัวครั้งแรกพร้อม Ryzen 7000 (Zen 4) และปัจจุบันรองรับ Ryzen 9000 (Zen 5) รวมถึง Ryzen 8000G APU ซึ่งหมายความว่าแพลตฟอร์มนี้รองรับซีพียูถึง 3 เจเนอเรชันแล้ว และจะขยายไปถึง Zen 6 ในอนาคต MSI ยังเตรียมเปิดตัวเมนบอร์ดรุ่น “MAX” ที่มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ เช่น external BCLK generator และ BIOS ขนาด 64MB เพื่อรองรับเฟิร์มแวร์รุ่นใหม่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีการเพิ่มการรองรับ Zen 6 และไมโครโค้ดใหม่ ๆ นอกจากนี้ยังมีการพบดีไซน์ใหม่ในเมนบอร์ดรุ่น B850I EDGE TI EVO WIFI ที่แสดงให้เห็นว่า MSI กำลังเตรียมความพร้อมสำหรับ Zen 6 อย่างจริงจัง และมีรายงานว่า AMD ได้ส่งตัวอย่างซีพียู Zen 6 ให้กับผู้ผลิตเมนบอร์ดเพื่อทดสอบความเข้ากันได้แล้ว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ MSI ยืนยันว่าเมนบอร์ด AM5 ซีรีส์ 800 รองรับซีพียู Ryzen Zen 6 ➡️ Zen 6 คาดว่าจะเปิดตัวช่วงครึ่งหลังของปี 2026 ➡️ AM5 รองรับ Ryzen 7000 (Zen 4), Ryzen 9000 (Zen 5) และ Ryzen 8000G ➡️ เมนบอร์ดรุ่น “MAX” จะมี BCLK generator และ BIOS ขนาด 64MB ➡️ MSI เตรียมเปิดตัวเมนบอร์ด B850I EDGE TI EVO WIFI ที่รองรับ Zen 6 ➡️ AMD ได้ส่งตัวอย่าง Zen 6 ให้ผู้ผลิตเมนบอร์ดเพื่อทดสอบแล้ว ➡️ การรองรับ Zen 6 สะท้อนความมุ่งมั่นของ AMD ต่อแพลตฟอร์ม AM5 ➡️ ผู้ใช้สามารถอัปเกรดซีพียูในอนาคตโดยไม่ต้องเปลี่ยนเมนบอร์ด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Zen 6 ใช้โค้ดเนม “Morpheus” และผลิตบนเทคโนโลยี 2nm ของ TSMC ➡️ Zen 6 เพิ่มจำนวนคอร์ต่อ CCD จาก 8 เป็น 12 คอร์ และมี L3 cache สูงสุด 48MB ➡️ AMD ยืนยันว่าจะสนับสนุน AM5 ไปจนถึงปี 2027 และอาจต่อเนื่องกว่านั้น ➡️ การมี BIOS ขนาดใหญ่ช่วยให้รองรับเฟิร์มแวร์ใหม่ได้โดยไม่ต้องลดฟีเจอร์ ➡️ การใช้ BCLK generator ช่วยให้โอเวอร์คล็อกได้แม่นยำและเสถียรมากขึ้น https://wccftech.com/msi-confirms-future-amd-ryzen-zen-6-cpu-support-on-am5-800-motherboards/
    WCCFTECH.COM
    MSI Confirms "Future CPU" Support On Its AM5 800-Series Motherboards, Pointing Towards Zen 6 Ryzen
    MSI has confirmed that its current AM5 800-series motherboards will support AMD's next-gen Ryzen CPUs based on Zen 6 architecture.
    0 Comments 0 Shares 105 Views 0 Reviews
  • “Nvidia อัปเกรดแอปฟรีให้โน้ตบุ๊กเกมมิ่ง — ใช้ AI ยืดอายุแบตเตอรี่ พร้อมปรับจูน WhisperMode อัตโนมัติ”

    Nvidia ประกาศอัปเดตแอปเวอร์ชันใหม่สำหรับผู้ใช้โน้ตบุ๊กที่ใช้ GPU GeForce โดยเพิ่มฟีเจอร์ AI ใหม่ในโครงการ G-Assist ซึ่งเดิมทีใช้กับเดสก์ท็อปเท่านั้น ตอนนี้สามารถควบคุมการตั้งค่าหลักของโน้ตบุ๊กได้โดยตรง เช่น BatteryBoost, WhisperMode และ Optimal Playable Settings เพื่อยืดอายุแบตเตอรี่และเพิ่มความเงียบขณะใช้งาน

    G-Assist จะปรับแต่งการตั้งค่าเกมและแอปพลิเคชันโดยอัตโนมัติเมื่อใช้งานแบบไม่เสียบปลั๊ก เช่น ลดการใช้พลังงานของ GPU, ปรับความเร็วพัดลมให้เบาลง และเลือกเฟรมเรตที่เหมาะสมเพื่อให้เล่นเกมได้ลื่นไหลโดยไม่กินไฟเกินจำเป็น

    นอกจากนี้ Nvidia ยังเพิ่มการรองรับ DLSS override สำหรับเกมใหม่ ๆ เช่น Borderlands 4, Dying Light: The Beast และ Hell Is Us พร้อมแก้ไขบั๊กที่เคยทำให้การตั้งค่าเกมไม่ทำงานหลังรีบูตเครื่อง และปรับปรุงเสถียรภาพของแอปโดยรวม

    แม้จะเป็นการอัปเดตฟรี แต่ผู้ใช้บางรายยังพบปัญหา เช่น DLSS override ที่รีเซ็ตทุกครั้งหลังเปิดเครื่องใหม่ ซึ่ง Nvidia ยังไม่ได้แก้ไขในเวอร์ชันนี้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Nvidia อัปเดตแอปเวอร์ชัน 11.0.5 เพิ่มฟีเจอร์ AI G-Assist สำหรับโน้ตบุ๊ก
    G-Assist ควบคุม BatteryBoost, WhisperMode และ Optimal Playable Settings ได้
    ปรับแต่งการตั้งค่าเกมอัตโนมัติเมื่อใช้งานแบบไม่เสียบปลั๊ก
    WhisperMode ลดการใช้พลังงาน GPU และความเร็วพัดลมเพื่อความเงียบ
    เพิ่ม DLSS override สำหรับเกมใหม่ เช่น Borderlands 4 และ Dying Light: The Beast
    แก้ไขบั๊กที่ทำให้การตั้งค่าเกมไม่ทำงานหลังรีบูตเครื่อง
    ปรับปรุงเสถียรภาพของแอป Nvidia โดยรวม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    BatteryBoost เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยรักษาเฟรมเรตขณะใช้งานแบตเตอรี่
    DLSS (Deep Learning Super Sampling) ใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกราฟิกโดยไม่ลดคุณภาพ
    WhisperMode ช่วยให้โน้ตบุ๊กทำงานเงียบลงโดยลดการใช้พลังงานของ GPU
    Optimal Playable Settings คือการปรับค่ากราฟิกให้เหมาะกับฮาร์ดแวร์โดยอัตโนมัติ
    G-Assist ใช้โมเดล AI แบบ ChatGPT-style เพื่อสื่อสารและปรับแต่งระบบ

    คำเตือนและข้อจำกัด
    DLSS override ยังมีปัญหารีเซ็ตหลังรีบูตเครื่อง ต้องตั้งค่าซ้ำทุกครั้ง
    G-Assist ยังเป็นฟีเจอร์ pre-release อาจมีข้อผิดพลาดหรือไม่เสถียร
    การปรับแต่งอัตโนมัติอาจไม่เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการควบคุมเองแบบละเอียด
    WhisperMode อาจลดประสิทธิภาพกราฟิกในบางเกมเพื่อแลกกับความเงียบ
    แอป Nvidia ยังไม่รองรับทุกเกมหรือฮาร์ดแวร์อย่างสมบูรณ์

    https://www.techradar.com/computing/gaming-laptops/nvidia-just-delivered-a-major-free-upgrade-for-gaming-laptops-bringing-in-ai-to-extend-battery-life
    ⚙️ “Nvidia อัปเกรดแอปฟรีให้โน้ตบุ๊กเกมมิ่ง — ใช้ AI ยืดอายุแบตเตอรี่ พร้อมปรับจูน WhisperMode อัตโนมัติ” Nvidia ประกาศอัปเดตแอปเวอร์ชันใหม่สำหรับผู้ใช้โน้ตบุ๊กที่ใช้ GPU GeForce โดยเพิ่มฟีเจอร์ AI ใหม่ในโครงการ G-Assist ซึ่งเดิมทีใช้กับเดสก์ท็อปเท่านั้น ตอนนี้สามารถควบคุมการตั้งค่าหลักของโน้ตบุ๊กได้โดยตรง เช่น BatteryBoost, WhisperMode และ Optimal Playable Settings เพื่อยืดอายุแบตเตอรี่และเพิ่มความเงียบขณะใช้งาน G-Assist จะปรับแต่งการตั้งค่าเกมและแอปพลิเคชันโดยอัตโนมัติเมื่อใช้งานแบบไม่เสียบปลั๊ก เช่น ลดการใช้พลังงานของ GPU, ปรับความเร็วพัดลมให้เบาลง และเลือกเฟรมเรตที่เหมาะสมเพื่อให้เล่นเกมได้ลื่นไหลโดยไม่กินไฟเกินจำเป็น นอกจากนี้ Nvidia ยังเพิ่มการรองรับ DLSS override สำหรับเกมใหม่ ๆ เช่น Borderlands 4, Dying Light: The Beast และ Hell Is Us พร้อมแก้ไขบั๊กที่เคยทำให้การตั้งค่าเกมไม่ทำงานหลังรีบูตเครื่อง และปรับปรุงเสถียรภาพของแอปโดยรวม แม้จะเป็นการอัปเดตฟรี แต่ผู้ใช้บางรายยังพบปัญหา เช่น DLSS override ที่รีเซ็ตทุกครั้งหลังเปิดเครื่องใหม่ ซึ่ง Nvidia ยังไม่ได้แก้ไขในเวอร์ชันนี้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Nvidia อัปเดตแอปเวอร์ชัน 11.0.5 เพิ่มฟีเจอร์ AI G-Assist สำหรับโน้ตบุ๊ก ➡️ G-Assist ควบคุม BatteryBoost, WhisperMode และ Optimal Playable Settings ได้ ➡️ ปรับแต่งการตั้งค่าเกมอัตโนมัติเมื่อใช้งานแบบไม่เสียบปลั๊ก ➡️ WhisperMode ลดการใช้พลังงาน GPU และความเร็วพัดลมเพื่อความเงียบ ➡️ เพิ่ม DLSS override สำหรับเกมใหม่ เช่น Borderlands 4 และ Dying Light: The Beast ➡️ แก้ไขบั๊กที่ทำให้การตั้งค่าเกมไม่ทำงานหลังรีบูตเครื่อง ➡️ ปรับปรุงเสถียรภาพของแอป Nvidia โดยรวม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ BatteryBoost เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยรักษาเฟรมเรตขณะใช้งานแบตเตอรี่ ➡️ DLSS (Deep Learning Super Sampling) ใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกราฟิกโดยไม่ลดคุณภาพ ➡️ WhisperMode ช่วยให้โน้ตบุ๊กทำงานเงียบลงโดยลดการใช้พลังงานของ GPU ➡️ Optimal Playable Settings คือการปรับค่ากราฟิกให้เหมาะกับฮาร์ดแวร์โดยอัตโนมัติ ➡️ G-Assist ใช้โมเดล AI แบบ ChatGPT-style เพื่อสื่อสารและปรับแต่งระบบ ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ DLSS override ยังมีปัญหารีเซ็ตหลังรีบูตเครื่อง ต้องตั้งค่าซ้ำทุกครั้ง ⛔ G-Assist ยังเป็นฟีเจอร์ pre-release อาจมีข้อผิดพลาดหรือไม่เสถียร ⛔ การปรับแต่งอัตโนมัติอาจไม่เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการควบคุมเองแบบละเอียด ⛔ WhisperMode อาจลดประสิทธิภาพกราฟิกในบางเกมเพื่อแลกกับความเงียบ ⛔ แอป Nvidia ยังไม่รองรับทุกเกมหรือฮาร์ดแวร์อย่างสมบูรณ์ https://www.techradar.com/computing/gaming-laptops/nvidia-just-delivered-a-major-free-upgrade-for-gaming-laptops-bringing-in-ai-to-extend-battery-life
    0 Comments 0 Shares 136 Views 0 Reviews
  • “Intel Panther Lake-H โผล่ครั้งแรก — เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Ultra X พร้อมสเปกแรงทะลุ 5.1 GHz”

    Intel เตรียมเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในกลุ่มโน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูงภายใต้ชื่อ “Panther Lake-H” ซึ่งจะเป็นรุ่นแรกที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 18A node พร้อมสถาปัตยกรรมใหม่หลายจุด และที่น่าจับตาคือการเปลี่ยนชื่อรุ่นเป็น “Core Ultra X” โดยแบ่งออกเป็น Ultra X5, X7 และ X9 ซึ่งถือเป็นการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ของ Intel เพื่อสร้างความแตกต่างจากรุ่นก่อนหน้า

    จากข้อมูลที่หลุดออกมา มีรุ่นย่อยที่น่าสนใจ ได้แก่
    Core Ultra X9 388H: คาดว่าจะเป็นรุ่นสูงสุด มาพร้อม P-Core แบบแรงพิเศษ, GPU Xe3 จำนวน 12 คอร์ และความเร็วสูงสุด 5.1 GHz
    Core Ultra X7 368H: เน้น iGPU ที่ทรงพลัง
    Core Ultra X5 338H และ X7 358H: อยู่ในกลุ่ม mid-tier

    Panther Lake-H จะใช้โครงสร้างแบบ hybrid ที่ประกอบด้วย 3 ประเภทของคอร์ ได้แก่
    P-Core (Cougar Cove)
    E-Core (Darkmont)
    LP-E Core (Skymont)

    พร้อม GPU แบบ Xe3 (Celestial) และ TDP ที่หลากหลายตั้งแต่ 25W ถึง 45W ซึ่งเหมาะกับโน้ตบุ๊กบางเบาไปจนถึงรุ่นประสิทธิภาพสูง

    แม้จะมีข่าวลือว่า Panther Lake-H อาจอยู่ในกลุ่ม Nova Lake-H แต่ข้อมูลล่าสุดยืนยันว่า Panther Lake จะอยู่ภายใต้ Core Ultra 300 series ไม่ใช่ 400 series อย่างที่เคยเข้าใจผิด

    https://wccftech.com/intel-panther-lake-h-retail-skus-surface-for-the-first-time/
    🚀 “Intel Panther Lake-H โผล่ครั้งแรก — เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Ultra X พร้อมสเปกแรงทะลุ 5.1 GHz” Intel เตรียมเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในกลุ่มโน้ตบุ๊กประสิทธิภาพสูงภายใต้ชื่อ “Panther Lake-H” ซึ่งจะเป็นรุ่นแรกที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับ 18A node พร้อมสถาปัตยกรรมใหม่หลายจุด และที่น่าจับตาคือการเปลี่ยนชื่อรุ่นเป็น “Core Ultra X” โดยแบ่งออกเป็น Ultra X5, X7 และ X9 ซึ่งถือเป็นการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ของ Intel เพื่อสร้างความแตกต่างจากรุ่นก่อนหน้า จากข้อมูลที่หลุดออกมา มีรุ่นย่อยที่น่าสนใจ ได้แก่ ✔️ Core Ultra X9 388H: คาดว่าจะเป็นรุ่นสูงสุด มาพร้อม P-Core แบบแรงพิเศษ, GPU Xe3 จำนวน 12 คอร์ และความเร็วสูงสุด 5.1 GHz ✔️ Core Ultra X7 368H: เน้น iGPU ที่ทรงพลัง ✔️ Core Ultra X5 338H และ X7 358H: อยู่ในกลุ่ม mid-tier Panther Lake-H จะใช้โครงสร้างแบบ hybrid ที่ประกอบด้วย 3 ประเภทของคอร์ ได้แก่ ✔️ P-Core (Cougar Cove) ✔️ E-Core (Darkmont) ✔️ LP-E Core (Skymont) พร้อม GPU แบบ Xe3 (Celestial) และ TDP ที่หลากหลายตั้งแต่ 25W ถึง 45W ซึ่งเหมาะกับโน้ตบุ๊กบางเบาไปจนถึงรุ่นประสิทธิภาพสูง แม้จะมีข่าวลือว่า Panther Lake-H อาจอยู่ในกลุ่ม Nova Lake-H แต่ข้อมูลล่าสุดยืนยันว่า Panther Lake จะอยู่ภายใต้ Core Ultra 300 series ไม่ใช่ 400 series อย่างที่เคยเข้าใจผิด https://wccftech.com/intel-panther-lake-h-retail-skus-surface-for-the-first-time/
    WCCFTECH.COM
    Intel’s Panther Lake-H Retail SKUs Surface for the First Time, Revealing New ‘Ultra X’ Naming Scheme & Max Clocks Up to 5.1 GHz
    The first piece of information about Intel's Panther Lake-H, specifically regarding the naming scheme, has surfaced online.
    0 Comments 0 Shares 113 Views 0 Reviews
  • ..เขมรคือภัยศัตรูประเทศไทยชัดเจนแล้ว,ไม่สามารถญาติดีใดๆด้วย,รมต.กลาโหมชุดอนุทินถือว่าถูกว่ายาถ้าอนุทินจะเป็นนานกฯคนต่อไปสมัยหน้าอีก,สร้างภาพให้ประชาชนเกลียดชังรัฐบาล4เดือนของอนุทินชัดเจน,พออนุทินจะทำคะแนนสร้างชื่อเสียง สังเกตุมั้ยว่าจะออกมามีวาทะคำเด็ดให้ทัวร์คนไทยลง,พาลคนไทยเกลียดชังอนุทินไปด้วย ซึ่งพยายามทำคะแนนทางการเมืองอยู่ดีๆ เสียหมาแบบถูกเตะตัดขาได้เลย,นายกฯอนุทินตั้งรมต.กลาโหมมาฆ่าตัวเองและพรรคตัวเองแท้ๆ.

    ..เขมรคือศัตรูของชาติไทย,ต่างชาติแบบจีน แบบฝรั่งเศสหรือแบบอเมริกา ต้องการทรัพยากรมีค่ามากมายในเขมร บวกถ้าได้จากกรณี1:200,000แดกดินแดนไทยด้วยยิ่งดี,โดยยืมมือชื่อชาติเหี้ยเขมรมายึดดินแดนไทยไปด้วยเลย,สนับสนุนอาวุธให้เขมรทั้งทางแจ้งและทางลับ ค้าอาวุธไปในตัว ในหมู่ชาติค้าอาวุธทั่วโลก แดกตังจากเดอะแก๊งเถื่อนๆมากมายในเขมรนั้นล่ะให้ซื้ออาวุธมาปกป้องเขมร ปกป้องธุรกิจสีเทาสีเถื่อนของตนเต็มเขมรด้วย ตลอดเงินลงทุนตนที่ลงไปมากมายในเขมรอาจเสียหายนั้นเองหรือที่ได้สิทธิเช่าที่ดินทำกิจการธุรกิจแบบเหมืองแร่ต่างๆในเขมรกว่า99ปีจะเสียประโยชน์จากพื้นที่นี้ไป,ยิ่งไทยบอกว่าจะยึดชาติเขมร ยึดพระตะบอง ยึดเสียมราฐ ยึดศรีโสภณ ยึดเกาะกง ยึดเขตบูรพาใต้ในอดีตที่ฝรั่งเศสปล้นไปแล้วไม่คืนถูกคน ไทยเราจะยึดคืนทั้งหมดในคราวเดียวทันที,ต่างชาติที่ลงทุนในเขมรก็ดิ้นพล่านนะสิ เสือกเลยถ้าไทยทำสงครามแตกหักยึดดินแดนไทยในอดีตคืนจากฝรั่งเศสให้เขมรผิดประเทศไป,และเราชอบธรรมด้วยที่สามารถยึดคืนทวงคืนได้,พวกต่างประเทศที่ลงทุนบนพื้นที่ที่ว่านี้จึงมีหนาว กลัวเสียผลประโยชน์ชัดเจน ,จะออกนอกหน้าช่วยเขมร กลัวชาวโลกรับรู้ว่าช่วยอาชญากรรมชาติเขมรระดับโลกเสียชื่อเสียงไปด้วย เป็นฐานฟอกเงินช่วยต่างชาติแบบกูทางลับก็ได้อีก,อะไรเถื่อนๆกูยืมมือชาติเขมรออกนอกหน้าเสื่อมเสียชื่อเสียงแทนกูชาติต่างประเทศแบบกูที่ทำตัวดูดีตลอดมาแก่คนทั้งโลกได้หมด.

    ..เรื่องเขมรจริงๆไม่มีอะไรเลย,หลักเขตแดนที่ร.5ทำกับฝรั่งเศสที่1:1 สันปันน้ำก็ชัดเจนแล้ว สร้างรั้วลวดหนามได้เลย,ผลักดันจับกุมเขมรในฝั่งไทยได้หมดหากรุกล้ำเข้ามาจริง, ยกเลิกmou43ตัวต้นเรื่องปัญหาทั้งหมด 44และอะไรๆก็โมฆะอัตโนมัติเชื่อมโยงตัดขาดจบปัญหาได้ทันที,ดินแดนใครก็ของใคร อยู่ใครอยู่มันมีรั้วกำแพงถาวรกั้นกัน,ที่นักการเมืองและข้าราชการปฏิเสธไม่อยากทำเพราะจะหนีเมื่อทำผิด ออกไปทางช่องธรรมชาติของเขมรแบบที่เคยเป็นมาไม่ได้,เจ้าพ่อเจ้าสัวชั่ว ไทยเทา ผู้มีอิทธิพลมีเลี้ยงลูกน้องชั่วสั่งเก็บใคร แล้วหนีออกทางเขมรจะลำบากเพราะมีกำแพงรั้วลวดหนามกั้น ต้องผ่านด่านอย่างเดียว ความซวยและบรรลัยอนาถจึงเกิดขึ้นแน่นอน จึงยอมรับไม่ได้,ส่วนทางเขมรเองแบบคนเขมรหนีตายทางการเมืองเข้าไทยทางธรรมชาติก็ลำบากไปด้วย,ต้องผ่านด่านอีก,พวกต่างชาติเทาๆเถื่อนๆอีก หมายทำการค้าทำตังเถื่อนๆที่สร้างเม็ดเงินมหาศาลต่อปีอาจกว่า100ล้านล้านบาทยิ่งลำบากไปด้วย,มันเข้าเขมรออกทะเลได้สบาย.ขนอะไรได้สะดวก ยาเสพติด ค้ามนุษย์ ค้าอวัยวะมนุษย์ค้าเด็ก ขนทองคำ ขนแร่ธาตุต่างๆหนีภาษีได้หมด กำไรทั้งนั้น,เขมรจึงฮับสาระพัดชาติต่างประเทศชั่วๆเลวๆไปกกกันที่เขมรเถื่อนตรึมทั้งแบบหน้าฉากทำทีทำถูกกฎหมายขนอะไรใส่ตู้คอนเทเนอร์บนกฎหมายฮุนเซนเขมรเถื่อนคุ้มครองตีตราปกป้องสินค้าพวกนี้เต็มที่,ส่วนพวกแบบเถื่อนๆยิ่งโหด ไม่ต้องพูดถึง สาระพัดมิติช่องชั่วเลวพลิกแพลงได้หมด,ต่างชาติใดที่สนับสนุนเขมรจะทางแจ้งหรือทางลับล้วนเป็นชาติประเทศต่างขาติที่สาระเลวชั่วช้าเลวทรามด้วย,มันสนับสนุนเขมรร่วมก่ออาชญากรรมระดับสากลโลกกับเขมรชัดเจน,พวกนี้จะต้องคำสาปพระเจ้าไชยวรมันด้วยแน่นอน,ประเทศต่างชาตินั้นๆจะพบแต่ความหายนะ ภัยพิบัติ หรือบ้านเมืองตน ประเทศตนมันนั้นล่มสลายสิ้นชาติไปพร้อมกับเขมรด้วย,ยิ่งพลังงานจักรวาลแสงทองส่องลงมาโลกเปิดมิตินรกชั่วเลวมารับต่างชาติชั่วต่างชาติเลว ประเทศชาติไหนชั่วเลวแบบสมคบคิดกับเขมร จะถูกพลังงานนี้ทวีเร่งอัตราเดือดให้ชาติประเทศชั่วเลวนั้นๆพบเจอแต่ความหายนะล่มจมสิ้นประเทศ ประชาชนในประเทศตนพบแต่ความเดือดร้อนทุกข์ยากมหาทวีคูณ,พระเจ้าแห่งอนันตจักรวาลส่งสัญญาณส่งพลังงานเพื่อมากวาดล้างสิ่งชั่วเลวบนโลกนี้,อะไรไม่เคยเห็นเคยปรากฎที่แอบซ่อนความชั่ว ซ่อนสิ่งเลวชั่วร้ายไว้ปกปิดไว้จะถูกปิดออกและถูกกำจัดทันที,ด้วยอนุภาคพลังงานของแสงสว่างแห่งพระเจ้าจักรวาลนั้นที่ส่งมาถึงโลกแล้ว,โลกจะอัพเลเวลนั้นเอง,การคัดคนคัดกรองคนมันเริ่มแล้ว.,เมืองบาดาลใต้โลกใต้มหาสมุทรแบบโลกกลวงก็ไม่เว้น.,เขมรและต่างชาติต่างประเทศที่ส่งเสริมสนับสนุนเขมรก็ไม่เว้นก็ไม่รอด,กรรมหนักมากที่หมายร่วมทำลายเขตอภัยทานดินแดนแห่งพุทธะภูมิพุทธะธรรมคือประเทศไทยนี้,ประเทศไทยได้เปรียบเขตวัดวาอารามแล้วด้วยพระเจ้าตากสินมหาราชได้ยกแผ่นดินไทยนี้ทั้งประเทศเป็นแผ่นดินวัดแผ่นดินเขตวัดแผ่นดินในพระพุทธศาสนาแล้ว,มันผู้ใดเอาของวัดไปกรรมหนักมาก ไม่เอามาคืนจะพบแต่ภัยพิบัติพบแต่ความหายนะ ยิ่งปล้นชิงวัดอีก,เล่นๆที่ไหน,หลายๆประเทศแบบชาติล่าอาณานิคมมากมายกำลังประสบพบกรรมหายนะแห่งกรรมเริ่มทำงานอยู่ในขณะนี้,ไทยเรามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วประเทศนะ ธรรมดาที่ไหน แดนดินแห่งชาติที่ร่ำรวยพระอรหันต์โน้นค้ำประกันแล้ว,เล่นๆที่ไหน.,ปัจเจกบุคคลอัจฉริยะอีกกระจายอยู่เต็มประเทศ.,ประเทศไทยดินแดนแห่งธรรมสายกลาง.,อารยะธรรมจักรวาลศูนย์กลางจักรวาลนี้คือประเทศไทยนี้ล่ะ.

    https://youtube.com/watch?v=QnaxRJTIAlY&si=PdL9IqkkJXFU4qt8
    ..เขมรคือภัยศัตรูประเทศไทยชัดเจนแล้ว,ไม่สามารถญาติดีใดๆด้วย,รมต.กลาโหมชุดอนุทินถือว่าถูกว่ายาถ้าอนุทินจะเป็นนานกฯคนต่อไปสมัยหน้าอีก,สร้างภาพให้ประชาชนเกลียดชังรัฐบาล4เดือนของอนุทินชัดเจน,พออนุทินจะทำคะแนนสร้างชื่อเสียง สังเกตุมั้ยว่าจะออกมามีวาทะคำเด็ดให้ทัวร์คนไทยลง,พาลคนไทยเกลียดชังอนุทินไปด้วย ซึ่งพยายามทำคะแนนทางการเมืองอยู่ดีๆ เสียหมาแบบถูกเตะตัดขาได้เลย,นายกฯอนุทินตั้งรมต.กลาโหมมาฆ่าตัวเองและพรรคตัวเองแท้ๆ. ..เขมรคือศัตรูของชาติไทย,ต่างชาติแบบจีน แบบฝรั่งเศสหรือแบบอเมริกา ต้องการทรัพยากรมีค่ามากมายในเขมร บวกถ้าได้จากกรณี1:200,000แดกดินแดนไทยด้วยยิ่งดี,โดยยืมมือชื่อชาติเหี้ยเขมรมายึดดินแดนไทยไปด้วยเลย,สนับสนุนอาวุธให้เขมรทั้งทางแจ้งและทางลับ ค้าอาวุธไปในตัว ในหมู่ชาติค้าอาวุธทั่วโลก แดกตังจากเดอะแก๊งเถื่อนๆมากมายในเขมรนั้นล่ะให้ซื้ออาวุธมาปกป้องเขมร ปกป้องธุรกิจสีเทาสีเถื่อนของตนเต็มเขมรด้วย ตลอดเงินลงทุนตนที่ลงไปมากมายในเขมรอาจเสียหายนั้นเองหรือที่ได้สิทธิเช่าที่ดินทำกิจการธุรกิจแบบเหมืองแร่ต่างๆในเขมรกว่า99ปีจะเสียประโยชน์จากพื้นที่นี้ไป,ยิ่งไทยบอกว่าจะยึดชาติเขมร ยึดพระตะบอง ยึดเสียมราฐ ยึดศรีโสภณ ยึดเกาะกง ยึดเขตบูรพาใต้ในอดีตที่ฝรั่งเศสปล้นไปแล้วไม่คืนถูกคน ไทยเราจะยึดคืนทั้งหมดในคราวเดียวทันที,ต่างชาติที่ลงทุนในเขมรก็ดิ้นพล่านนะสิ เสือกเลยถ้าไทยทำสงครามแตกหักยึดดินแดนไทยในอดีตคืนจากฝรั่งเศสให้เขมรผิดประเทศไป,และเราชอบธรรมด้วยที่สามารถยึดคืนทวงคืนได้,พวกต่างประเทศที่ลงทุนบนพื้นที่ที่ว่านี้จึงมีหนาว กลัวเสียผลประโยชน์ชัดเจน ,จะออกนอกหน้าช่วยเขมร กลัวชาวโลกรับรู้ว่าช่วยอาชญากรรมชาติเขมรระดับโลกเสียชื่อเสียงไปด้วย เป็นฐานฟอกเงินช่วยต่างชาติแบบกูทางลับก็ได้อีก,อะไรเถื่อนๆกูยืมมือชาติเขมรออกนอกหน้าเสื่อมเสียชื่อเสียงแทนกูชาติต่างประเทศแบบกูที่ทำตัวดูดีตลอดมาแก่คนทั้งโลกได้หมด. ..เรื่องเขมรจริงๆไม่มีอะไรเลย,หลักเขตแดนที่ร.5ทำกับฝรั่งเศสที่1:1 สันปันน้ำก็ชัดเจนแล้ว สร้างรั้วลวดหนามได้เลย,ผลักดันจับกุมเขมรในฝั่งไทยได้หมดหากรุกล้ำเข้ามาจริง, ยกเลิกmou43ตัวต้นเรื่องปัญหาทั้งหมด 44และอะไรๆก็โมฆะอัตโนมัติเชื่อมโยงตัดขาดจบปัญหาได้ทันที,ดินแดนใครก็ของใคร อยู่ใครอยู่มันมีรั้วกำแพงถาวรกั้นกัน,ที่นักการเมืองและข้าราชการปฏิเสธไม่อยากทำเพราะจะหนีเมื่อทำผิด ออกไปทางช่องธรรมชาติของเขมรแบบที่เคยเป็นมาไม่ได้,เจ้าพ่อเจ้าสัวชั่ว ไทยเทา ผู้มีอิทธิพลมีเลี้ยงลูกน้องชั่วสั่งเก็บใคร แล้วหนีออกทางเขมรจะลำบากเพราะมีกำแพงรั้วลวดหนามกั้น ต้องผ่านด่านอย่างเดียว ความซวยและบรรลัยอนาถจึงเกิดขึ้นแน่นอน จึงยอมรับไม่ได้,ส่วนทางเขมรเองแบบคนเขมรหนีตายทางการเมืองเข้าไทยทางธรรมชาติก็ลำบากไปด้วย,ต้องผ่านด่านอีก,พวกต่างชาติเทาๆเถื่อนๆอีก หมายทำการค้าทำตังเถื่อนๆที่สร้างเม็ดเงินมหาศาลต่อปีอาจกว่า100ล้านล้านบาทยิ่งลำบากไปด้วย,มันเข้าเขมรออกทะเลได้สบาย.ขนอะไรได้สะดวก ยาเสพติด ค้ามนุษย์ ค้าอวัยวะมนุษย์ค้าเด็ก ขนทองคำ ขนแร่ธาตุต่างๆหนีภาษีได้หมด กำไรทั้งนั้น,เขมรจึงฮับสาระพัดชาติต่างประเทศชั่วๆเลวๆไปกกกันที่เขมรเถื่อนตรึมทั้งแบบหน้าฉากทำทีทำถูกกฎหมายขนอะไรใส่ตู้คอนเทเนอร์บนกฎหมายฮุนเซนเขมรเถื่อนคุ้มครองตีตราปกป้องสินค้าพวกนี้เต็มที่,ส่วนพวกแบบเถื่อนๆยิ่งโหด ไม่ต้องพูดถึง สาระพัดมิติช่องชั่วเลวพลิกแพลงได้หมด,ต่างชาติใดที่สนับสนุนเขมรจะทางแจ้งหรือทางลับล้วนเป็นชาติประเทศต่างขาติที่สาระเลวชั่วช้าเลวทรามด้วย,มันสนับสนุนเขมรร่วมก่ออาชญากรรมระดับสากลโลกกับเขมรชัดเจน,พวกนี้จะต้องคำสาปพระเจ้าไชยวรมันด้วยแน่นอน,ประเทศต่างชาตินั้นๆจะพบแต่ความหายนะ ภัยพิบัติ หรือบ้านเมืองตน ประเทศตนมันนั้นล่มสลายสิ้นชาติไปพร้อมกับเขมรด้วย,ยิ่งพลังงานจักรวาลแสงทองส่องลงมาโลกเปิดมิตินรกชั่วเลวมารับต่างชาติชั่วต่างชาติเลว ประเทศชาติไหนชั่วเลวแบบสมคบคิดกับเขมร จะถูกพลังงานนี้ทวีเร่งอัตราเดือดให้ชาติประเทศชั่วเลวนั้นๆพบเจอแต่ความหายนะล่มจมสิ้นประเทศ ประชาชนในประเทศตนพบแต่ความเดือดร้อนทุกข์ยากมหาทวีคูณ,พระเจ้าแห่งอนันตจักรวาลส่งสัญญาณส่งพลังงานเพื่อมากวาดล้างสิ่งชั่วเลวบนโลกนี้,อะไรไม่เคยเห็นเคยปรากฎที่แอบซ่อนความชั่ว ซ่อนสิ่งเลวชั่วร้ายไว้ปกปิดไว้จะถูกปิดออกและถูกกำจัดทันที,ด้วยอนุภาคพลังงานของแสงสว่างแห่งพระเจ้าจักรวาลนั้นที่ส่งมาถึงโลกแล้ว,โลกจะอัพเลเวลนั้นเอง,การคัดคนคัดกรองคนมันเริ่มแล้ว.,เมืองบาดาลใต้โลกใต้มหาสมุทรแบบโลกกลวงก็ไม่เว้น.,เขมรและต่างชาติต่างประเทศที่ส่งเสริมสนับสนุนเขมรก็ไม่เว้นก็ไม่รอด,กรรมหนักมากที่หมายร่วมทำลายเขตอภัยทานดินแดนแห่งพุทธะภูมิพุทธะธรรมคือประเทศไทยนี้,ประเทศไทยได้เปรียบเขตวัดวาอารามแล้วด้วยพระเจ้าตากสินมหาราชได้ยกแผ่นดินไทยนี้ทั้งประเทศเป็นแผ่นดินวัดแผ่นดินเขตวัดแผ่นดินในพระพุทธศาสนาแล้ว,มันผู้ใดเอาของวัดไปกรรมหนักมาก ไม่เอามาคืนจะพบแต่ภัยพิบัติพบแต่ความหายนะ ยิ่งปล้นชิงวัดอีก,เล่นๆที่ไหน,หลายๆประเทศแบบชาติล่าอาณานิคมมากมายกำลังประสบพบกรรมหายนะแห่งกรรมเริ่มทำงานอยู่ในขณะนี้,ไทยเรามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วประเทศนะ ธรรมดาที่ไหน แดนดินแห่งชาติที่ร่ำรวยพระอรหันต์โน้นค้ำประกันแล้ว,เล่นๆที่ไหน.,ปัจเจกบุคคลอัจฉริยะอีกกระจายอยู่เต็มประเทศ.,ประเทศไทยดินแดนแห่งธรรมสายกลาง.,อารยะธรรมจักรวาลศูนย์กลางจักรวาลนี้คือประเทศไทยนี้ล่ะ. https://youtube.com/watch?v=QnaxRJTIAlY&si=PdL9IqkkJXFU4qt8
    0 Comments 0 Shares 217 Views 0 Reviews
  • “Welder Keyboard — คีย์บอร์ดจอสัมผัสพับได้ที่อาจแทนที่แล็ปท็อป สำหรับสายสร้างสรรค์ที่ต้องการพื้นที่ทำงานแบบไฮบริด”

    ในยุคที่การทำงานแบบมัลติทาสก์กลายเป็นเรื่องปกติ และอุปกรณ์พกพาต้องตอบโจทย์ทั้งความคล่องตัวและประสิทธิภาพ Welder Keyboard ได้เปิดตัวในฐานะ “คีย์บอร์ดกลไกพับได้พร้อมจอสัมผัส” ที่อาจกลายเป็นอุปกรณ์เสริมที่เปลี่ยนวิธีทำงานของผู้ใช้ไปโดยสิ้นเชิง

    Welder มาพร้อมแป้นพิมพ์กลไกแบบ 84 ปุ่มที่รองรับการเปลี่ยนสวิตช์ได้ (hot-swappable) และใช้ keycap แบบ PBT เพื่อความทนทานและสัมผัสที่ดีขึ้น ด้านบนของคีย์บอร์ดคือหน้าจอสัมผัสขนาด 12.8 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 720 พิกเซล เป็น IPS panel ที่รองรับการสัมผัสแบบ 10 จุด พร้อมความสว่าง 300 cd/m² และมุมมอง 89 องศาทุกด้าน

    จุดเด่นคือการออกแบบให้พับได้ 180 องศา พร้อมโครงสร้างอลูมิเนียม CNC ที่แข็งแรงและน้ำหนักประมาณ 1.5 กก. แม้จะดูหนัก แต่เมื่อเทียบกับการได้ทั้งคีย์บอร์ดกลไก จอสัมผัส และฮับเชื่อมต่อในเครื่องเดียว ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่า

    Welder รองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB-C สองช่อง และ USB-A หนึ่งช่อง ใช้งานได้กับ Windows, macOS, Linux และ Android โดยสามารถใช้เป็นจอที่สองสำหรับโน้ตบุ๊ก หรือแปลงสมาร์ทโฟน USB-C ให้กลายเป็นเวิร์กสเตชันขนาดย่อมได้ทันที

    นอกจากนี้ยังมีโหมดไฟ RGB ถึง 108 แบบที่เปลี่ยนได้ด้วยปุ่มลัดโดยไม่ต้องลงซอฟต์แวร์เสริม เหมาะกับทั้งสายเกมเมอร์และสายงานสร้างสรรค์ที่ต้องการบรรยากาศเฉพาะตัว

    แม้จะดูเหมือน “แล็ปท็อปปลอม” แต่ Welder ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วใน Kickstarter โดยระดมทุนได้เกินเป้าหมายถึง 13 เท่าในเวลาไม่กี่วัน ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการของผู้ใช้ที่มองหาอุปกรณ์ไฮบริดที่ตอบโจทย์การทำงานยุคใหม่

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Welder Keyboard เป็นคีย์บอร์ดกลไกพับได้พร้อมจอสัมผัสขนาด 12.8 นิ้ว
    หน้าจอ IPS ความละเอียด 1920 x 720 รองรับสัมผัส 10 จุด และมีมุมมอง 89 องศาทุกด้าน
    รองรับการเปลี่ยนสวิตช์และใช้ keycap แบบ PBT เพื่อความทนทาน
    พับได้ 180 องศา พร้อมโครงสร้างอลูมิเนียม CNC น้ำหนักประมาณ 1.5 กก.
    รองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB-C x2 และ USB-A x1 สำหรับพลังงาน ข้อมูล และภาพเสียง
    ใช้งานได้กับ Windows, macOS, Linux และ Android
    ใช้เป็นจอที่สอง หรือแปลงสมาร์ทโฟนให้เป็นเวิร์กสเตชันได้ทันที
    มีโหมดไฟ RGB 108 แบบ เปลี่ยนได้ด้วยปุ่มลัดโดยไม่ต้องลงซอฟต์แวร์
    ระดมทุนใน Kickstarter ได้เกินเป้าหมายถึง 13 เท่า

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Welder สามารถใช้จอสัมผัสเป็นแผงควบคุม Photoshop, timeline ตัดต่อ หรือหน้าต่างแชต
    การออกแบบให้พับได้ช่วยให้พกพาเหมือนแล็ปท็อป แต่ใช้งานได้หลากหลายกว่า
    จอสัมผัสแบบ laminated glass ช่วยลดแสงสะท้อนและเพิ่มความคมชัด
    RGB lighting มีโหมดตอบสนองต่อการพิมพ์ เช่น reactive touch และ breathing effect
    ใช้ได้กับสมาร์ทโฟน USB-C ที่รองรับ DisplayPort Alt Mode เช่น Samsung Galaxy และ Pixel

    https://www.techradar.com/pro/i-think-i-found-the-perfect-fake-laptop-for-my-projects-i-only-need-to-find-a-mouse-with-a-built-in-pc
    ⌨️ “Welder Keyboard — คีย์บอร์ดจอสัมผัสพับได้ที่อาจแทนที่แล็ปท็อป สำหรับสายสร้างสรรค์ที่ต้องการพื้นที่ทำงานแบบไฮบริด” ในยุคที่การทำงานแบบมัลติทาสก์กลายเป็นเรื่องปกติ และอุปกรณ์พกพาต้องตอบโจทย์ทั้งความคล่องตัวและประสิทธิภาพ Welder Keyboard ได้เปิดตัวในฐานะ “คีย์บอร์ดกลไกพับได้พร้อมจอสัมผัส” ที่อาจกลายเป็นอุปกรณ์เสริมที่เปลี่ยนวิธีทำงานของผู้ใช้ไปโดยสิ้นเชิง Welder มาพร้อมแป้นพิมพ์กลไกแบบ 84 ปุ่มที่รองรับการเปลี่ยนสวิตช์ได้ (hot-swappable) และใช้ keycap แบบ PBT เพื่อความทนทานและสัมผัสที่ดีขึ้น ด้านบนของคีย์บอร์ดคือหน้าจอสัมผัสขนาด 12.8 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 720 พิกเซล เป็น IPS panel ที่รองรับการสัมผัสแบบ 10 จุด พร้อมความสว่าง 300 cd/m² และมุมมอง 89 องศาทุกด้าน จุดเด่นคือการออกแบบให้พับได้ 180 องศา พร้อมโครงสร้างอลูมิเนียม CNC ที่แข็งแรงและน้ำหนักประมาณ 1.5 กก. แม้จะดูหนัก แต่เมื่อเทียบกับการได้ทั้งคีย์บอร์ดกลไก จอสัมผัส และฮับเชื่อมต่อในเครื่องเดียว ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่า Welder รองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB-C สองช่อง และ USB-A หนึ่งช่อง ใช้งานได้กับ Windows, macOS, Linux และ Android โดยสามารถใช้เป็นจอที่สองสำหรับโน้ตบุ๊ก หรือแปลงสมาร์ทโฟน USB-C ให้กลายเป็นเวิร์กสเตชันขนาดย่อมได้ทันที นอกจากนี้ยังมีโหมดไฟ RGB ถึง 108 แบบที่เปลี่ยนได้ด้วยปุ่มลัดโดยไม่ต้องลงซอฟต์แวร์เสริม เหมาะกับทั้งสายเกมเมอร์และสายงานสร้างสรรค์ที่ต้องการบรรยากาศเฉพาะตัว แม้จะดูเหมือน “แล็ปท็อปปลอม” แต่ Welder ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วใน Kickstarter โดยระดมทุนได้เกินเป้าหมายถึง 13 เท่าในเวลาไม่กี่วัน ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการของผู้ใช้ที่มองหาอุปกรณ์ไฮบริดที่ตอบโจทย์การทำงานยุคใหม่ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Welder Keyboard เป็นคีย์บอร์ดกลไกพับได้พร้อมจอสัมผัสขนาด 12.8 นิ้ว ➡️ หน้าจอ IPS ความละเอียด 1920 x 720 รองรับสัมผัส 10 จุด และมีมุมมอง 89 องศาทุกด้าน ➡️ รองรับการเปลี่ยนสวิตช์และใช้ keycap แบบ PBT เพื่อความทนทาน ➡️ พับได้ 180 องศา พร้อมโครงสร้างอลูมิเนียม CNC น้ำหนักประมาณ 1.5 กก. ➡️ รองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB-C x2 และ USB-A x1 สำหรับพลังงาน ข้อมูล และภาพเสียง ➡️ ใช้งานได้กับ Windows, macOS, Linux และ Android ➡️ ใช้เป็นจอที่สอง หรือแปลงสมาร์ทโฟนให้เป็นเวิร์กสเตชันได้ทันที ➡️ มีโหมดไฟ RGB 108 แบบ เปลี่ยนได้ด้วยปุ่มลัดโดยไม่ต้องลงซอฟต์แวร์ ➡️ ระดมทุนใน Kickstarter ได้เกินเป้าหมายถึง 13 เท่า ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Welder สามารถใช้จอสัมผัสเป็นแผงควบคุม Photoshop, timeline ตัดต่อ หรือหน้าต่างแชต ➡️ การออกแบบให้พับได้ช่วยให้พกพาเหมือนแล็ปท็อป แต่ใช้งานได้หลากหลายกว่า ➡️ จอสัมผัสแบบ laminated glass ช่วยลดแสงสะท้อนและเพิ่มความคมชัด ➡️ RGB lighting มีโหมดตอบสนองต่อการพิมพ์ เช่น reactive touch และ breathing effect ➡️ ใช้ได้กับสมาร์ทโฟน USB-C ที่รองรับ DisplayPort Alt Mode เช่น Samsung Galaxy และ Pixel https://www.techradar.com/pro/i-think-i-found-the-perfect-fake-laptop-for-my-projects-i-only-need-to-find-a-mouse-with-a-built-in-pc
    0 Comments 0 Shares 117 Views 0 Reviews
  • “NXPort เปิดตัว eGPU Dock ขนาดจิ๋ว พร้อมพลัง 650W — แรงระดับเดสก์ท็อปในมือคุณ แต่ความเสี่ยงยังน่ากังวล”

    ในยุคที่โน้ตบุ๊กบางเบากลายเป็นเครื่องมือหลักของนักสร้างสรรค์และเกมเมอร์ การเพิ่มพลังกราฟิกผ่าน eGPU จึงเป็นทางออกที่หลายคนเลือก ล่าสุด NXPort ได้เปิดตัว eGPU Dock ที่อ้างว่า “เล็กที่สุดในโลก” พร้อมพลังงานในตัวถึง 650W โดยมีขนาดเพียง 169 x 102 x 82 มม. และน้ำหนัก 1.3 กก.

    จุดเด่นของ NXPort คือการรวมพลังงานและการเชื่อมต่อไว้ในอุปกรณ์เดียว รองรับ GPU แทบทุกชนิดผ่านพอร์ต Thunderbolt 3/4/5 และ USB4 โดยไม่ต้องใช้ power brick แยก ทำให้สามารถใช้งานแบบ plug-and-play ได้ทันที แม้จะใช้กับโน้ตบุ๊กรุ่นกลางก็สามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้ถึง 6 เท่าในการทดสอบกับ RTX 4060

    ตัวเครื่องรองรับการใช้งานหนัก เช่น การเรนเดอร์วิดีโอ, การฝึกโมเดล AI, และงานกราฟิกระดับสูง โดยมีการออกแบบให้รองรับหัวต่อไฟหลากหลายแบบ ตั้งแต่ 8-pin ไปจนถึง quad 8-pin (12VHPWR) เพื่อรองรับ GPU รุ่นใหม่ในอนาคต

    อย่างไรก็ตาม การออกแบบแบบ “open-frame” ที่ไม่มีฝาครอบทำให้ GPU อยู่ในสภาพเปิดโล่ง เสี่ยงต่อฝุ่น ความร้อน และการกระแทก โดยเฉพาะเมื่อใช้กับการ์ดราคาแพงอย่าง RTX 5090 ที่มีมูลค่าถึง $1,999

    แม้จะผ่านมาตรฐาน ATX 3.1 ในด้านการจ่ายไฟ แต่ยังไม่มีการทดสอบประสิทธิภาพระยะยาวภายใต้โหลดหนัก ทำให้ผู้ใช้บางส่วนยังลังเลที่จะลงทุน โดยเฉพาะเมื่อโครงการนี้ยังอยู่ในระยะระดมทุนผ่าน Kickstarter ซึ่งมีความเสี่ยงด้านการส่งมอบและคุณภาพสินค้า

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    NXPort เปิดตัว eGPU Dock ขนาดเล็กที่สุดในโลก พร้อมพลังงานในตัว 650W
    ขนาดตัวเครื่อง 169 x 102 x 82 มม. น้ำหนัก 1.3 กก.
    รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Thunderbolt 3/4/5 และ USB4
    รองรับ GPU แทบทุกชนิด รวมถึง RTX 5090 และหัวต่อไฟหลายแบบ
    ใช้งานแบบ plug-and-play ไม่ต้องใช้ power brick แยก
    ทดสอบกับ RTX 4060 แล้วได้ผลลัพธ์ benchmark เพิ่มขึ้น 6 เท่า
    เหมาะกับงานกราฟิก, การเรนเดอร์, และการฝึกโมเดล AI
    ผ่านมาตรฐาน ATX 3.1 ในด้านการจ่ายไฟ
    ราคาเริ่มต้น $239 สำหรับตัว dock และ $459 เมื่อรวม RTX 3050
    โครงการระดมทุนผ่าน Kickstarter ได้รับเงินสนับสนุนเกินเป้าหมายแล้ว

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Razer Core และ Gigabyte AORUS เป็น eGPU รุ่นก่อนที่มีขนาดใหญ่และต้องใช้ power supply แยก
    Thunderbolt 5 ให้แบนด์วิดธ์สูงถึง 64Gbps แต่ NXPort ยังใช้ Thunderbolt 4/USB4 ที่จำกัดที่ 40Gbps
    eGPU แบบ open-frame เคยถูกวิจารณ์เรื่องความปลอดภัยและการระบายความร้อน
    การใช้ eGPU ช่วยยืดอายุการใช้งานโน้ตบุ๊กโดยไม่ต้องซื้อเครื่องใหม่
    การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ต้องการ GPU ที่มีหน่วยความจำสูงและระบบระบายความร้อนดี

    https://www.techradar.com/pro/this-is-the-worlds-smallest-egpu-dock-with-a-built-in-650w-psu-i-am-not-sure-that-id-be-comfortable-with-my-usd1-999-geforce-rtx-5090-gpu-exposed-to-the-elements
    🧳 “NXPort เปิดตัว eGPU Dock ขนาดจิ๋ว พร้อมพลัง 650W — แรงระดับเดสก์ท็อปในมือคุณ แต่ความเสี่ยงยังน่ากังวล” ในยุคที่โน้ตบุ๊กบางเบากลายเป็นเครื่องมือหลักของนักสร้างสรรค์และเกมเมอร์ การเพิ่มพลังกราฟิกผ่าน eGPU จึงเป็นทางออกที่หลายคนเลือก ล่าสุด NXPort ได้เปิดตัว eGPU Dock ที่อ้างว่า “เล็กที่สุดในโลก” พร้อมพลังงานในตัวถึง 650W โดยมีขนาดเพียง 169 x 102 x 82 มม. และน้ำหนัก 1.3 กก. จุดเด่นของ NXPort คือการรวมพลังงานและการเชื่อมต่อไว้ในอุปกรณ์เดียว รองรับ GPU แทบทุกชนิดผ่านพอร์ต Thunderbolt 3/4/5 และ USB4 โดยไม่ต้องใช้ power brick แยก ทำให้สามารถใช้งานแบบ plug-and-play ได้ทันที แม้จะใช้กับโน้ตบุ๊กรุ่นกลางก็สามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้ถึง 6 เท่าในการทดสอบกับ RTX 4060 ตัวเครื่องรองรับการใช้งานหนัก เช่น การเรนเดอร์วิดีโอ, การฝึกโมเดล AI, และงานกราฟิกระดับสูง โดยมีการออกแบบให้รองรับหัวต่อไฟหลากหลายแบบ ตั้งแต่ 8-pin ไปจนถึง quad 8-pin (12VHPWR) เพื่อรองรับ GPU รุ่นใหม่ในอนาคต อย่างไรก็ตาม การออกแบบแบบ “open-frame” ที่ไม่มีฝาครอบทำให้ GPU อยู่ในสภาพเปิดโล่ง เสี่ยงต่อฝุ่น ความร้อน และการกระแทก โดยเฉพาะเมื่อใช้กับการ์ดราคาแพงอย่าง RTX 5090 ที่มีมูลค่าถึง $1,999 แม้จะผ่านมาตรฐาน ATX 3.1 ในด้านการจ่ายไฟ แต่ยังไม่มีการทดสอบประสิทธิภาพระยะยาวภายใต้โหลดหนัก ทำให้ผู้ใช้บางส่วนยังลังเลที่จะลงทุน โดยเฉพาะเมื่อโครงการนี้ยังอยู่ในระยะระดมทุนผ่าน Kickstarter ซึ่งมีความเสี่ยงด้านการส่งมอบและคุณภาพสินค้า ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ NXPort เปิดตัว eGPU Dock ขนาดเล็กที่สุดในโลก พร้อมพลังงานในตัว 650W ➡️ ขนาดตัวเครื่อง 169 x 102 x 82 มม. น้ำหนัก 1.3 กก. ➡️ รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Thunderbolt 3/4/5 และ USB4 ➡️ รองรับ GPU แทบทุกชนิด รวมถึง RTX 5090 และหัวต่อไฟหลายแบบ ➡️ ใช้งานแบบ plug-and-play ไม่ต้องใช้ power brick แยก ➡️ ทดสอบกับ RTX 4060 แล้วได้ผลลัพธ์ benchmark เพิ่มขึ้น 6 เท่า ➡️ เหมาะกับงานกราฟิก, การเรนเดอร์, และการฝึกโมเดล AI ➡️ ผ่านมาตรฐาน ATX 3.1 ในด้านการจ่ายไฟ ➡️ ราคาเริ่มต้น $239 สำหรับตัว dock และ $459 เมื่อรวม RTX 3050 ➡️ โครงการระดมทุนผ่าน Kickstarter ได้รับเงินสนับสนุนเกินเป้าหมายแล้ว ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Razer Core และ Gigabyte AORUS เป็น eGPU รุ่นก่อนที่มีขนาดใหญ่และต้องใช้ power supply แยก ➡️ Thunderbolt 5 ให้แบนด์วิดธ์สูงถึง 64Gbps แต่ NXPort ยังใช้ Thunderbolt 4/USB4 ที่จำกัดที่ 40Gbps ➡️ eGPU แบบ open-frame เคยถูกวิจารณ์เรื่องความปลอดภัยและการระบายความร้อน ➡️ การใช้ eGPU ช่วยยืดอายุการใช้งานโน้ตบุ๊กโดยไม่ต้องซื้อเครื่องใหม่ ➡️ การฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ต้องการ GPU ที่มีหน่วยความจำสูงและระบบระบายความร้อนดี https://www.techradar.com/pro/this-is-the-worlds-smallest-egpu-dock-with-a-built-in-650w-psu-i-am-not-sure-that-id-be-comfortable-with-my-usd1-999-geforce-rtx-5090-gpu-exposed-to-the-elements
    0 Comments 0 Shares 124 Views 0 Reviews
  • “WPI พัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่ EV ดึงลิเธียมบริสุทธิ์ 99.79% — ทางออกใหม่ของปัญหาสิ่งแวดล้อมและห่วงโซ่วัตถุดิบ”

    ในยุคที่รถยนต์ไฟฟ้ากำลังกลายเป็นกระแสหลักของการขับเคลื่อนโลกไปสู่พลังงานสะอาด ปัญหาที่ตามมาคือ “การจัดการแบตเตอรี่หมดอายุ” ที่ทั้งอันตราย ซับซ้อน และมีต้นทุนสูง โดยเฉพาะแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่มีการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่กลับมีอัตราการรีไซเคิลทั่วโลกเพียง 5% ณ ปี 2022

    ล่าสุดทีมนักวิจัยจาก Worcester Polytechnic Institute (WPI) ได้พัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลแบบ hydrometallurgical ที่สามารถสกัดลิเธียมคาร์บอเนตบริสุทธิ์ได้ถึง 99.79% พร้อมกับดึงโลหะสำคัญอื่น ๆ เช่น โคบอลต์ แมงกานีส และนิกเกิล ได้มากถึง 92%

    เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงลดการพึ่งพาการขุดแร่จากประเทศที่มีประวัติด้านสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการปล่อยคาร์บอนลง 13.9% และใช้พลังงานน้อยกว่ากระบวนการเดิมถึง 8.6% ที่สำคัญคือสามารถนำลิเธียมที่รีไซเคิลกลับมาใช้ในแบตเตอรี่ใหม่ได้ โดยยังคงประสิทธิภาพสูงถึง 88% หลังผ่านการชาร์จ 500 รอบ และ 85% หลัง 900 รอบ

    แม้กระบวนการ hydrometallurgical จะยังมีข้อจำกัดเรื่องของเสียเคมี แต่เมื่อเทียบกับ pyrometallurgy ที่ใช้ความร้อนสูงและปล่อยก๊าซพิษจำนวนมากแล้ว ถือว่าเป็นทางเลือกที่สะอาดและมีศักยภาพในการขยายสู่ระดับอุตสาหกรรมได้จริง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    WPI พัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่แบบ hydrometallurgical
    สามารถสกัดลิเธียมคาร์บอเนตบริสุทธิ์ได้ถึง 99.79%
    ดึงโลหะสำคัญอื่น ๆ ได้ถึง 92% เช่น โคบอลต์ แมงกานีส และนิกเกิล
    ลิเธียมที่รีไซเคิลสามารถนำกลับมาใช้ในแบตเตอรี่ใหม่ได้โดยยังคงประสิทธิภาพสูง
    แบตเตอรี่ทดลองยังคงความจุ 88% หลัง 500 รอบ และ 85% หลัง 900 รอบ
    ลดการใช้พลังงานลง 8.6% และลดการปล่อยคาร์บอนลง 13.9%
    ลดการพึ่งพาการขุดแร่จากประเทศที่มีปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน
    กระบวนการมีศักยภาพในการขยายสู่ระดับอุตสาหกรรม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Pyrometallurgy เป็นวิธีรีไซเคิลแบบใช้ความร้อนสูงที่ปล่อยก๊าซพิษและใช้พลังงานมาก
    Hydrometallurgy ใช้สารเคมีในการสกัดโลหะจากแบตเตอรี่ แต่มีของเสียเคมีเป็นผลข้างเคียง
    ลิเธียมเป็นธาตุที่เกิดจากการระเบิดของดาวฤกษ์ และเป็นหัวใจของแบตเตอรี่ยุคใหม่
    การรีไซเคิลแบตเตอรี่ช่วยลดความเสี่ยงจากไฟไหม้และสารพิษในแบตเตอรี่หมดอายุ
    การรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพช่วยสร้างห่วงโซ่วัตถุดิบแบบหมุนเวียน (closed-loop supply chain)

    https://www.slashgear.com/1980965/used-ev-battery-recycling-pure-lithium-recovery-breakthough-new-method/
    🔋 “WPI พัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่ EV ดึงลิเธียมบริสุทธิ์ 99.79% — ทางออกใหม่ของปัญหาสิ่งแวดล้อมและห่วงโซ่วัตถุดิบ” ในยุคที่รถยนต์ไฟฟ้ากำลังกลายเป็นกระแสหลักของการขับเคลื่อนโลกไปสู่พลังงานสะอาด ปัญหาที่ตามมาคือ “การจัดการแบตเตอรี่หมดอายุ” ที่ทั้งอันตราย ซับซ้อน และมีต้นทุนสูง โดยเฉพาะแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่มีการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่กลับมีอัตราการรีไซเคิลทั่วโลกเพียง 5% ณ ปี 2022 ล่าสุดทีมนักวิจัยจาก Worcester Polytechnic Institute (WPI) ได้พัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลแบบ hydrometallurgical ที่สามารถสกัดลิเธียมคาร์บอเนตบริสุทธิ์ได้ถึง 99.79% พร้อมกับดึงโลหะสำคัญอื่น ๆ เช่น โคบอลต์ แมงกานีส และนิกเกิล ได้มากถึง 92% เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงลดการพึ่งพาการขุดแร่จากประเทศที่มีประวัติด้านสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการปล่อยคาร์บอนลง 13.9% และใช้พลังงานน้อยกว่ากระบวนการเดิมถึง 8.6% ที่สำคัญคือสามารถนำลิเธียมที่รีไซเคิลกลับมาใช้ในแบตเตอรี่ใหม่ได้ โดยยังคงประสิทธิภาพสูงถึง 88% หลังผ่านการชาร์จ 500 รอบ และ 85% หลัง 900 รอบ แม้กระบวนการ hydrometallurgical จะยังมีข้อจำกัดเรื่องของเสียเคมี แต่เมื่อเทียบกับ pyrometallurgy ที่ใช้ความร้อนสูงและปล่อยก๊าซพิษจำนวนมากแล้ว ถือว่าเป็นทางเลือกที่สะอาดและมีศักยภาพในการขยายสู่ระดับอุตสาหกรรมได้จริง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ WPI พัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่แบบ hydrometallurgical ➡️ สามารถสกัดลิเธียมคาร์บอเนตบริสุทธิ์ได้ถึง 99.79% ➡️ ดึงโลหะสำคัญอื่น ๆ ได้ถึง 92% เช่น โคบอลต์ แมงกานีส และนิกเกิล ➡️ ลิเธียมที่รีไซเคิลสามารถนำกลับมาใช้ในแบตเตอรี่ใหม่ได้โดยยังคงประสิทธิภาพสูง ➡️ แบตเตอรี่ทดลองยังคงความจุ 88% หลัง 500 รอบ และ 85% หลัง 900 รอบ ➡️ ลดการใช้พลังงานลง 8.6% และลดการปล่อยคาร์บอนลง 13.9% ➡️ ลดการพึ่งพาการขุดแร่จากประเทศที่มีปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน ➡️ กระบวนการมีศักยภาพในการขยายสู่ระดับอุตสาหกรรม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Pyrometallurgy เป็นวิธีรีไซเคิลแบบใช้ความร้อนสูงที่ปล่อยก๊าซพิษและใช้พลังงานมาก ➡️ Hydrometallurgy ใช้สารเคมีในการสกัดโลหะจากแบตเตอรี่ แต่มีของเสียเคมีเป็นผลข้างเคียง ➡️ ลิเธียมเป็นธาตุที่เกิดจากการระเบิดของดาวฤกษ์ และเป็นหัวใจของแบตเตอรี่ยุคใหม่ ➡️ การรีไซเคิลแบตเตอรี่ช่วยลดความเสี่ยงจากไฟไหม้และสารพิษในแบตเตอรี่หมดอายุ ➡️ การรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพช่วยสร้างห่วงโซ่วัตถุดิบแบบหมุนเวียน (closed-loop supply chain) https://www.slashgear.com/1980965/used-ev-battery-recycling-pure-lithium-recovery-breakthough-new-method/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    New Recycling Method Helps Researchers Recover 99% Pure Lithium From Used EV Batteries - SlashGear
    Lithium-ion battery waste is a huge concern for the future, but researchers have found a recycling method capable of extracting 99% pure lithium.
    0 Comments 0 Shares 121 Views 0 Reviews
  • ฟุตบอล ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก กาลาตาซาราย vs ลิเวอร์พูล คืนวันอังคารที่ 30 กย. 2568 เวลา 02.00 น. ครึ่งแรก กาลาตาซาราย ขึ้นนำไป 1 : 0 จากลูกโทษของ โอซิมเฮน ในนาทีที่ 16 ครึ่งหลังทำอะไรกันไม่ได้ ผลเป็นกาลาตาซาราย ชนะลิเวอร์พูลไป 1 : 0
    ฟุตบอล ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก กาลาตาซาราย vs ลิเวอร์พูล คืนวันอังคารที่ 30 กย. 2568 เวลา 02.00 น. ครึ่งแรก กาลาตาซาราย ขึ้นนำไป 1 : 0 จากลูกโทษของ โอซิมเฮน ในนาทีที่ 16 ครึ่งหลังทำอะไรกันไม่ได้ ผลเป็นกาลาตาซาราย ชนะลิเวอร์พูลไป 1 : 0
    0 Comments 0 Shares 55 Views 0 Reviews
  • “Crucial เปิดตัว LPCAMM2 แรมโน้ตบุ๊กยุคใหม่เร็วสุด 8,533MT/s — พร้อมรองรับ AI และอัปเกรดได้ในเครื่องบางเบา”

    Micron Technology ได้เปิดตัวหน่วยความจำ Crucial LPCAMM2 ซึ่งเป็นแรมโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ที่ใช้ LPDDR5X และมีความเร็วสูงสุดถึง 8,533MT/s ถือเป็นการก้าวกระโดดครั้งสำคัญในวงการหน่วยความจำสำหรับโน้ตบุ๊ก โดยออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI, การประมวลผลแบบเรียลไทม์ และการใช้งานหนักในเครื่องบางเบา

    LPCAMM2 มีขนาดเล็กกว่าหน่วยความจำ DDR5 SODIMM ถึงครึ่งหนึ่ง แต่ให้ประสิทธิภาพสูงกว่า 1.5 เท่า และใช้พลังงานน้อยลงอย่างมาก โดยลดการใช้พลังงานขณะ standby ได้ถึง 80% และลดการใช้พลังงานขณะทำงานได้ถึง 58% ทำให้เหมาะกับโน้ตบุ๊กที่ต้องการประสิทธิภาพสูงแต่ยังคงอายุแบตเตอรี่ยาวนาน

    จุดเด่นอีกอย่างคือ “ความสามารถในการอัปเกรด” ซึ่งแตกต่างจาก LPDDR ที่มักถูกบัดกรีติดกับเมนบอร์ด LPCAMM2 มาในรูปแบบโมดูลที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ ทำให้ผู้ใช้สามารถเพิ่มความจุหรือเปลี่ยนแรมได้ในอนาคต ลดปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ และเพิ่มอายุการใช้งานของเครื่อง

    Crucial ระบุว่า LPCAMM2 เหมาะกับผู้ใช้สายสร้างสรรค์, นักพัฒนา AI และผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการประสิทธิภาพสูงในการทำงานหลายอย่างพร้อมกัน เช่น การประชุมวิดีโอ, การตัดต่อภาพ, การเขียนเอกสาร และการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ โดยสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้ถึง 15% ในงาน productivity และ 7% ในงานสร้างสรรค์ จากผลทดสอบ PCMark 10

    หน่วยความจำนี้รองรับโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่จาก Lenovo และ Dell และคาดว่าจะมีการนำไปใช้ในโน้ตบุ๊ก AI รุ่นถัดไปอย่างแพร่หลาย

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Crucial เปิดตัว LPCAMM2 หน่วยความจำ LPDDR5X สำหรับโน้ตบุ๊ก
    ความเร็วสูงสุดถึง 8,533MT/s เร็วกว่า DDR5 SODIMM ถึง 1.5 เท่า
    ลดการใช้พลังงานขณะ standby ได้ถึง 80% และขณะทำงานได้ถึง 58%
    ขนาดเล็กกว่าหน่วยความจำ DDR5 SODIMM ถึง 64%
    รองรับการอัปเกรดและเปลี่ยนแรมได้ ไม่ต้องบัดกรีติดเมนบอร์ด
    เหมาะกับงาน AI, การสร้างสรรค์, และการทำงานหลายอย่างพร้อมกัน
    เพิ่มประสิทธิภาพได้ถึง 15% ในงาน productivity และ 7% ในงานสร้างสรรค์
    รองรับโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่จาก Lenovo และ Dell
    มีจำหน่ายแล้วผ่านช่องทางค้าปลีกและตัวแทนจำหน่ายทั่วโลก

    LPDDR5X เป็นหน่วยความจำที่ใช้ในสมาร์ตโฟนระดับเรือธง เช่น Galaxy S Ultra และ iPhone Pro
    CAMM (Compression Attached Memory Module) เป็นมาตรฐานใหม่ที่กำลังแทนที่ SODIMM
    LPCAMM2 ใช้การเชื่อมต่อแบบ dual-channel ในโมดูลเดียว เพิ่มแบนด์วิดธ์ได้เต็ม 128 บิต
    การออกแบบบางเบาและไม่มีพัดลมช่วยให้โน้ตบุ๊กมีดีไซน์ที่บางลงและเงียบขึ้น
    การอัปเกรดแรมในโน้ตบุ๊กเป็นสิ่งที่ผู้ใช้เรียกร้องมานาน หลังจากหลายรุ่นใช้แรมบัดกรีถาวร

    https://www.techpowerup.com/341496/crucial-unveils-lpcamm2-memory-with-record-8-533mt-s-performance-for-ai-ready-laptops
    🚀 “Crucial เปิดตัว LPCAMM2 แรมโน้ตบุ๊กยุคใหม่เร็วสุด 8,533MT/s — พร้อมรองรับ AI และอัปเกรดได้ในเครื่องบางเบา” Micron Technology ได้เปิดตัวหน่วยความจำ Crucial LPCAMM2 ซึ่งเป็นแรมโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ที่ใช้ LPDDR5X และมีความเร็วสูงสุดถึง 8,533MT/s ถือเป็นการก้าวกระโดดครั้งสำคัญในวงการหน่วยความจำสำหรับโน้ตบุ๊ก โดยออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI, การประมวลผลแบบเรียลไทม์ และการใช้งานหนักในเครื่องบางเบา LPCAMM2 มีขนาดเล็กกว่าหน่วยความจำ DDR5 SODIMM ถึงครึ่งหนึ่ง แต่ให้ประสิทธิภาพสูงกว่า 1.5 เท่า และใช้พลังงานน้อยลงอย่างมาก โดยลดการใช้พลังงานขณะ standby ได้ถึง 80% และลดการใช้พลังงานขณะทำงานได้ถึง 58% ทำให้เหมาะกับโน้ตบุ๊กที่ต้องการประสิทธิภาพสูงแต่ยังคงอายุแบตเตอรี่ยาวนาน จุดเด่นอีกอย่างคือ “ความสามารถในการอัปเกรด” ซึ่งแตกต่างจาก LPDDR ที่มักถูกบัดกรีติดกับเมนบอร์ด LPCAMM2 มาในรูปแบบโมดูลที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ ทำให้ผู้ใช้สามารถเพิ่มความจุหรือเปลี่ยนแรมได้ในอนาคต ลดปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ และเพิ่มอายุการใช้งานของเครื่อง Crucial ระบุว่า LPCAMM2 เหมาะกับผู้ใช้สายสร้างสรรค์, นักพัฒนา AI และผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการประสิทธิภาพสูงในการทำงานหลายอย่างพร้อมกัน เช่น การประชุมวิดีโอ, การตัดต่อภาพ, การเขียนเอกสาร และการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ โดยสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้ถึง 15% ในงาน productivity และ 7% ในงานสร้างสรรค์ จากผลทดสอบ PCMark 10 หน่วยความจำนี้รองรับโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่จาก Lenovo และ Dell และคาดว่าจะมีการนำไปใช้ในโน้ตบุ๊ก AI รุ่นถัดไปอย่างแพร่หลาย ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Crucial เปิดตัว LPCAMM2 หน่วยความจำ LPDDR5X สำหรับโน้ตบุ๊ก ➡️ ความเร็วสูงสุดถึง 8,533MT/s เร็วกว่า DDR5 SODIMM ถึง 1.5 เท่า ➡️ ลดการใช้พลังงานขณะ standby ได้ถึง 80% และขณะทำงานได้ถึง 58% ➡️ ขนาดเล็กกว่าหน่วยความจำ DDR5 SODIMM ถึง 64% ➡️ รองรับการอัปเกรดและเปลี่ยนแรมได้ ไม่ต้องบัดกรีติดเมนบอร์ด ➡️ เหมาะกับงาน AI, การสร้างสรรค์, และการทำงานหลายอย่างพร้อมกัน ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพได้ถึง 15% ในงาน productivity และ 7% ในงานสร้างสรรค์ ➡️ รองรับโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่จาก Lenovo และ Dell ➡️ มีจำหน่ายแล้วผ่านช่องทางค้าปลีกและตัวแทนจำหน่ายทั่วโลก ➡️ LPDDR5X เป็นหน่วยความจำที่ใช้ในสมาร์ตโฟนระดับเรือธง เช่น Galaxy S Ultra และ iPhone Pro ➡️ CAMM (Compression Attached Memory Module) เป็นมาตรฐานใหม่ที่กำลังแทนที่ SODIMM ➡️ LPCAMM2 ใช้การเชื่อมต่อแบบ dual-channel ในโมดูลเดียว เพิ่มแบนด์วิดธ์ได้เต็ม 128 บิต ➡️ การออกแบบบางเบาและไม่มีพัดลมช่วยให้โน้ตบุ๊กมีดีไซน์ที่บางลงและเงียบขึ้น ➡️ การอัปเกรดแรมในโน้ตบุ๊กเป็นสิ่งที่ผู้ใช้เรียกร้องมานาน หลังจากหลายรุ่นใช้แรมบัดกรีถาวร https://www.techpowerup.com/341496/crucial-unveils-lpcamm2-memory-with-record-8-533mt-s-performance-for-ai-ready-laptops
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Crucial Unveils LPCAMM2 Memory with Record 8,533MT/s Performance for AI-Ready Laptops
    Micron Technology is pushing the boundaries of laptop performance with higher speeds for Crucial LPCAMM2 memory, now reaching up to 8,533 megatransfers per second (MT/s). This latest enhancement brings even more performance to Crucial's standards-based compact memory module, purpose-built to allow e...
    0 Comments 0 Shares 166 Views 0 Reviews
  • “Intel Granite Rapids-WS เปิดตัว — ยักษ์ 86 คอร์ที่พร้อมท้าชน AMD Threadripper 9995WX ในสนามเวิร์กสเตชันระดับสูง”

    Intel กำลังเตรียมเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในสาย Granite Rapids-WS ซึ่งออกแบบมาเพื่อแข่งขันโดยตรงกับ AMD Threadripper 9995WX ที่ครองตลาดเวิร์กสเตชันระดับสูงมาหลายปี โดยรุ่นที่ถูกเปิดเผยล่าสุดมีจำนวนคอร์ถึง 86 คอร์ 172 เธรด และสามารถเร่งความเร็วได้สูงสุดถึง 4.8GHz ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับ Threadripper 9995WX ที่มี 96 คอร์ และเร่งได้ถึง 5.4GHz

    Granite Rapids-WS ใช้สถาปัตยกรรมแบบ tile-based โดยแบ่งเป็นสอง compute tiles ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตเมื่อเทียบกับการใช้สาม die เพื่อไปถึง 128 คอร์ ซึ่งเป็นขีดจำกัดสูงสุดของสถาปัตยกรรมนี้ แม้จะยังไม่ใช่รุ่นเรือธงเต็มรูปแบบ แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญของ Intel ในการกลับเข้าสู่การแข่งขันในตลาด HEDT และเวิร์กสเตชัน หลังจากที่ซีรีส์ W-3500 รุ่นก่อนหน้ามีเพียง 60 คอร์เท่านั้น

    นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่า Granite Rapids-WS จะรองรับ PCIe 5.0 สูงสุดถึง 128 เลน, หน่วยความจำ DDR5 แบบ 8-channel และใช้ชิปเซ็ต W890 ซึ่งจะทำให้มันกลายเป็นตัวเลือกที่ทรงพลังสำหรับงานระดับมืออาชีพ เช่น การเรนเดอร์ 3D, การจำลองทางวิศวกรรม และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่

    ในฝั่ง AMD นั้น Threadripper 9995WX ยังคงเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่ง ด้วยเทคโนโลยี Zen 5, L3 cache ขนาด 384MB, รองรับ ECC, PCIe Gen 5 และ TDP สูงถึง 350W ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้ต้องมีระบบระบายความร้อนระดับสูงเพื่อใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Intel เตรียมเปิดตัว Granite Rapids-WS รุ่นใหม่ที่มี 86 คอร์ 172 เธรด
    ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 4.8GHz ซึ่งสูงกว่ารุ่น Xeon 6787P ที่ใช้สถาปัตยกรรมเดียวกัน
    ใช้สถาปัตยกรรมแบบ tile-based โดยใช้สอง compute tiles เพื่อลดต้นทุน
    Granite Rapids รองรับการขยายถึง 128 คอร์ หากใช้สาม die
    รุ่น WS อาจรองรับ PCIe 5.0 สูงสุด 128 เลน และ DDR5 แบบ 8-channel
    ใช้ชิปเซ็ต W890 ซึ่งออกแบบมาสำหรับเวิร์กสเตชันระดับสูง
    เป็นการกลับเข้าสู่ตลาด HEDT ของ Intel หลังจากห่างหายไปหลายปี
    AMD Threadripper 9995WX มี 96 คอร์ Zen 5, เร่งได้ถึง 5.4GHz และ L3 cache 384MB
    รองรับ ECC, PCIe Gen 5 และมี TDP สูงถึง 350W เหมาะกับงานหนักระดับมืออาชีพ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Granite Rapids เป็นสถาปัตยกรรมที่ Intel ใช้ในเซิร์ฟเวอร์ Xeon รุ่นใหม่ เช่น Xeon 6900P
    Threadripper 9995WX ผลิตบนเทคโนโลยี 4nm โดย TSMC และรองรับการโอเวอร์คล็อก
    AMD มีความได้เปรียบในตลาด HEDT มาตั้งแต่ซีรีส์ Threadripper 3000
    Intel เคยเสียส่วนแบ่งตลาดให้ AMD เนื่องจากข้อจำกัดด้านจำนวนคอร์และประสิทธิภาพ
    การแข่งขันครั้งนี้อาจส่งผลให้ราคาซีพียูระดับสูงลดลง และผู้ใช้มีตัวเลือกมากขึ้น

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-aims-at-amds-threadripper-with-its-new-granite-rapids-ws-cpu-chip-armed-with-core-count-approaching-the-flagship-amd-threadripper-9995wx-boasts-a-4-8ghz-boost-clock
    ⚙️ “Intel Granite Rapids-WS เปิดตัว — ยักษ์ 86 คอร์ที่พร้อมท้าชน AMD Threadripper 9995WX ในสนามเวิร์กสเตชันระดับสูง” Intel กำลังเตรียมเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในสาย Granite Rapids-WS ซึ่งออกแบบมาเพื่อแข่งขันโดยตรงกับ AMD Threadripper 9995WX ที่ครองตลาดเวิร์กสเตชันระดับสูงมาหลายปี โดยรุ่นที่ถูกเปิดเผยล่าสุดมีจำนวนคอร์ถึง 86 คอร์ 172 เธรด และสามารถเร่งความเร็วได้สูงสุดถึง 4.8GHz ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับ Threadripper 9995WX ที่มี 96 คอร์ และเร่งได้ถึง 5.4GHz Granite Rapids-WS ใช้สถาปัตยกรรมแบบ tile-based โดยแบ่งเป็นสอง compute tiles ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตเมื่อเทียบกับการใช้สาม die เพื่อไปถึง 128 คอร์ ซึ่งเป็นขีดจำกัดสูงสุดของสถาปัตยกรรมนี้ แม้จะยังไม่ใช่รุ่นเรือธงเต็มรูปแบบ แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญของ Intel ในการกลับเข้าสู่การแข่งขันในตลาด HEDT และเวิร์กสเตชัน หลังจากที่ซีรีส์ W-3500 รุ่นก่อนหน้ามีเพียง 60 คอร์เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่า Granite Rapids-WS จะรองรับ PCIe 5.0 สูงสุดถึง 128 เลน, หน่วยความจำ DDR5 แบบ 8-channel และใช้ชิปเซ็ต W890 ซึ่งจะทำให้มันกลายเป็นตัวเลือกที่ทรงพลังสำหรับงานระดับมืออาชีพ เช่น การเรนเดอร์ 3D, การจำลองทางวิศวกรรม และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ ในฝั่ง AMD นั้น Threadripper 9995WX ยังคงเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่ง ด้วยเทคโนโลยี Zen 5, L3 cache ขนาด 384MB, รองรับ ECC, PCIe Gen 5 และ TDP สูงถึง 350W ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้ต้องมีระบบระบายความร้อนระดับสูงเพื่อใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Intel เตรียมเปิดตัว Granite Rapids-WS รุ่นใหม่ที่มี 86 คอร์ 172 เธรด ➡️ ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 4.8GHz ซึ่งสูงกว่ารุ่น Xeon 6787P ที่ใช้สถาปัตยกรรมเดียวกัน ➡️ ใช้สถาปัตยกรรมแบบ tile-based โดยใช้สอง compute tiles เพื่อลดต้นทุน ➡️ Granite Rapids รองรับการขยายถึง 128 คอร์ หากใช้สาม die ➡️ รุ่น WS อาจรองรับ PCIe 5.0 สูงสุด 128 เลน และ DDR5 แบบ 8-channel ➡️ ใช้ชิปเซ็ต W890 ซึ่งออกแบบมาสำหรับเวิร์กสเตชันระดับสูง ➡️ เป็นการกลับเข้าสู่ตลาด HEDT ของ Intel หลังจากห่างหายไปหลายปี ➡️ AMD Threadripper 9995WX มี 96 คอร์ Zen 5, เร่งได้ถึง 5.4GHz และ L3 cache 384MB ➡️ รองรับ ECC, PCIe Gen 5 และมี TDP สูงถึง 350W เหมาะกับงานหนักระดับมืออาชีพ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Granite Rapids เป็นสถาปัตยกรรมที่ Intel ใช้ในเซิร์ฟเวอร์ Xeon รุ่นใหม่ เช่น Xeon 6900P ➡️ Threadripper 9995WX ผลิตบนเทคโนโลยี 4nm โดย TSMC และรองรับการโอเวอร์คล็อก ➡️ AMD มีความได้เปรียบในตลาด HEDT มาตั้งแต่ซีรีส์ Threadripper 3000 ➡️ Intel เคยเสียส่วนแบ่งตลาดให้ AMD เนื่องจากข้อจำกัดด้านจำนวนคอร์และประสิทธิภาพ ➡️ การแข่งขันครั้งนี้อาจส่งผลให้ราคาซีพียูระดับสูงลดลง และผู้ใช้มีตัวเลือกมากขึ้น https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-aims-at-amds-threadripper-with-its-new-granite-rapids-ws-cpu-chip-armed-with-core-count-approaching-the-flagship-amd-threadripper-9995wx-boasts-a-4-8ghz-boost-clock
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Intel aims at AMD's Threadripper with its new Granite Rapids-WS CPU — chip armed with core count approaching the flagship AMD Threadripper 9995WX, boasts a 4.8GHz boost clock
    Granite Rapids-WS has the chance to outdo Threadripper 9000WX in core count, similar to what the architecture has done for Intel on the server side.
    0 Comments 0 Shares 162 Views 0 Reviews
  • “Verizon เตรียมซื้อคลื่นความถี่จาก EchoStar — เสริมแกร่งเครือข่าย 5G พร้อมเปิดศึกกับ AT&T และ SpaceX”

    Verizon Communications บริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ กำลังเจรจากับ EchoStar เพื่อซื้อคลื่นความถี่ไร้สายบางส่วน โดยเฉพาะใบอนุญาต AWS-3 ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในการรองรับสัญญาณ 5G ที่มีความเร็วสูงและครอบคลุมพื้นที่กว้าง

    หากดีลนี้สำเร็จ Verizon จะกลายเป็นผู้ซื้อคลื่นความถี่จาก EchoStar ร่วมกับ AT&T และ SpaceX ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เข้าซื้อใบอนุญาตบางส่วนไปแล้ว โดย EchoStar คาดว่าจะมีเงินสดในมือถึง 24.1 พันล้านดอลลาร์หลังจากขายคลื่นความถี่และนำเงินไปชำระหนี้ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจด้านดาวเทียมและเทคโนโลยีไร้สาย

    การขายคลื่นความถี่ของ EchoStar เกิดขึ้นหลังจากที่คณะกรรมการ FCC ของสหรัฐฯ แสดงความกังวลเกี่ยวกับการใช้งานคลื่นที่ได้รับอนุญาต โดยเฉพาะในส่วนของบริการดาวเทียมเคลื่อนที่ (Mobile-Satellite Service) ที่ยังไม่เป็นไปตามข้อกำหนดด้านการพัฒนาเครือข่าย

    ใบอนุญาต AWS-3 ที่ Verizon กำลังเจรจาซื้อมีมูลค่าทางบัญชีอยู่ที่ 9.8 พันล้านดอลลาร์ และบางส่วนของคลื่นนี้จะถูกนำออกประมูลโดยรัฐบาลกลางในปีหน้า ซึ่งอาจเปิดโอกาสให้ผู้เล่นรายอื่นเข้ามาแข่งขันเพิ่มเติม

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Verizon กำลังเจรจากับ EchoStar เพื่อซื้อใบอนุญาตคลื่นความถี่ AWS-3
    คลื่น AWS-3 มีความสำคัญในการรองรับสัญญาณ 5G ที่มีความเร็วสูง
    หากดีลสำเร็จ Verizon จะเข้าร่วมกับ AT&T และ SpaceX ในการซื้อคลื่นจาก EchoStar
    EchoStar คาดว่าจะถือเงินสด 24.1 พันล้านดอลลาร์หลังขายคลื่นและชำระหนี้
    FCC แสดงความกังวลเกี่ยวกับการใช้งานคลื่นของ EchoStar ที่ยังไม่เป็นไปตามข้อกำหนด
    ใบอนุญาต AWS-3 มีมูลค่าทางบัญชีอยู่ที่ 9.8 พันล้านดอลลาร์
    ส่วนหนึ่งของคลื่นจะถูกนำออกประมูลโดยรัฐบาลกลางในปี 2026
    การขายคลื่นช่วยเสริมงบดุลของ EchoStar และสนับสนุนการเติบโตในธุรกิจดาวเทียมและเทคโนโลยีไร้สาย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    คลื่น AWS-3 อยู่ในย่านความถี่ 1695–1710 MHz, 1755–1780 MHz และ 2155–2180 MHz ซึ่งเหมาะกับการใช้งาน 5G
    การถือครองคลื่นความถี่มากขึ้นช่วยให้ผู้ให้บริการสามารถลดความแออัดของเครือข่าย
    SpaceX สนใจคลื่นความถี่เพื่อเสริมบริการ Starlink ที่ใช้ดาวเทียมในการให้บริการอินเทอร์เน็ต
    การประมูลคลื่นในสหรัฐฯ มักมีการแข่งขันสูง และเป็นแหล่งรายได้สำคัญของรัฐบาล
    การใช้คลื่นความถี่อย่างมีประสิทธิภาพเป็นหัวใจของการขยายบริการ 5G ไปยังพื้นที่ห่างไกล

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/30/verizon-in-talks-to-buy-echostar-wireless-spectrum-bloomberg-news-reports
    📡 “Verizon เตรียมซื้อคลื่นความถี่จาก EchoStar — เสริมแกร่งเครือข่าย 5G พร้อมเปิดศึกกับ AT&T และ SpaceX” Verizon Communications บริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ กำลังเจรจากับ EchoStar เพื่อซื้อคลื่นความถี่ไร้สายบางส่วน โดยเฉพาะใบอนุญาต AWS-3 ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในการรองรับสัญญาณ 5G ที่มีความเร็วสูงและครอบคลุมพื้นที่กว้าง หากดีลนี้สำเร็จ Verizon จะกลายเป็นผู้ซื้อคลื่นความถี่จาก EchoStar ร่วมกับ AT&T และ SpaceX ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เข้าซื้อใบอนุญาตบางส่วนไปแล้ว โดย EchoStar คาดว่าจะมีเงินสดในมือถึง 24.1 พันล้านดอลลาร์หลังจากขายคลื่นความถี่และนำเงินไปชำระหนี้ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจด้านดาวเทียมและเทคโนโลยีไร้สาย การขายคลื่นความถี่ของ EchoStar เกิดขึ้นหลังจากที่คณะกรรมการ FCC ของสหรัฐฯ แสดงความกังวลเกี่ยวกับการใช้งานคลื่นที่ได้รับอนุญาต โดยเฉพาะในส่วนของบริการดาวเทียมเคลื่อนที่ (Mobile-Satellite Service) ที่ยังไม่เป็นไปตามข้อกำหนดด้านการพัฒนาเครือข่าย ใบอนุญาต AWS-3 ที่ Verizon กำลังเจรจาซื้อมีมูลค่าทางบัญชีอยู่ที่ 9.8 พันล้านดอลลาร์ และบางส่วนของคลื่นนี้จะถูกนำออกประมูลโดยรัฐบาลกลางในปีหน้า ซึ่งอาจเปิดโอกาสให้ผู้เล่นรายอื่นเข้ามาแข่งขันเพิ่มเติม ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Verizon กำลังเจรจากับ EchoStar เพื่อซื้อใบอนุญาตคลื่นความถี่ AWS-3 ➡️ คลื่น AWS-3 มีความสำคัญในการรองรับสัญญาณ 5G ที่มีความเร็วสูง ➡️ หากดีลสำเร็จ Verizon จะเข้าร่วมกับ AT&T และ SpaceX ในการซื้อคลื่นจาก EchoStar ➡️ EchoStar คาดว่าจะถือเงินสด 24.1 พันล้านดอลลาร์หลังขายคลื่นและชำระหนี้ ➡️ FCC แสดงความกังวลเกี่ยวกับการใช้งานคลื่นของ EchoStar ที่ยังไม่เป็นไปตามข้อกำหนด ➡️ ใบอนุญาต AWS-3 มีมูลค่าทางบัญชีอยู่ที่ 9.8 พันล้านดอลลาร์ ➡️ ส่วนหนึ่งของคลื่นจะถูกนำออกประมูลโดยรัฐบาลกลางในปี 2026 ➡️ การขายคลื่นช่วยเสริมงบดุลของ EchoStar และสนับสนุนการเติบโตในธุรกิจดาวเทียมและเทคโนโลยีไร้สาย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ คลื่น AWS-3 อยู่ในย่านความถี่ 1695–1710 MHz, 1755–1780 MHz และ 2155–2180 MHz ซึ่งเหมาะกับการใช้งาน 5G ➡️ การถือครองคลื่นความถี่มากขึ้นช่วยให้ผู้ให้บริการสามารถลดความแออัดของเครือข่าย ➡️ SpaceX สนใจคลื่นความถี่เพื่อเสริมบริการ Starlink ที่ใช้ดาวเทียมในการให้บริการอินเทอร์เน็ต ➡️ การประมูลคลื่นในสหรัฐฯ มักมีการแข่งขันสูง และเป็นแหล่งรายได้สำคัญของรัฐบาล ➡️ การใช้คลื่นความถี่อย่างมีประสิทธิภาพเป็นหัวใจของการขยายบริการ 5G ไปยังพื้นที่ห่างไกล https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/30/verizon-in-talks-to-buy-echostar-wireless-spectrum-bloomberg-news-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Verizon in talks to buy EchoStar wireless spectrum, Bloomberg News reports
    (Reuters) -U.S. telecom company Verizon Communications is in discussions with EchoStar about purchasing some of its wireless spectrum, Bloomberg News reported on Monday, citing people familiar with the matter.
    0 Comments 0 Shares 149 Views 0 Reviews
  • “5 เหตุผลที่ควรย้ายจาก Windows 11 ไปใช้ Linux — เมื่อเสรีภาพ ความเร็ว และความเป็นส่วนตัวกลายเป็นสิ่งจำเป็น”

    Jorge Aguilar นักเขียนสายเทคโนโลยีจาก SlashGear ได้แชร์ประสบการณ์ส่วนตัวในการเปลี่ยนจาก Windows 11 ไปใช้ Linux หลังจากพบว่าระบบปฏิบัติการของ Microsoft นั้นเต็มไปด้วยปัญหา เช่น การอัปเดตที่ไม่สิ้นสุด, การทำงานช้า, และการเก็บข้อมูลผู้ใช้โดยไม่โปร่งใส

    เขาเริ่มต้นจากความต้องการระบบที่เบา ไม่กินทรัพยากร และไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ซ้ำซ้อน จนพบว่า Linux ตอบโจทย์ทุกข้อ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานบนเครื่องเก่า, การควบคุมความเป็นส่วนตัว, หรือการปรับแต่งหน้าตาและฟังก์ชันได้อย่างอิสระ

    Linux ไม่ติดตั้งแอปขยะหรือโฆษณาแบบที่ Windows มักแถมมา เช่น McAfee, Xbox, หรือ Edge และไม่มีการย้อนกลับการตั้งค่าด้วยการอัปเดตบังคับเหมือนที่ Microsoft ทำกับผู้ใช้ทั่วไป

    นอกจากนี้ Linux ยังสามารถทำให้เครื่องเก่ากลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง ด้วยดิสโทรเบา ๆ อย่าง Lubuntu, MX Linux หรือ Linux Mint ที่สามารถรันได้ลื่นแม้มี RAM เพียง 4 GB

    ในด้านความเป็นส่วนตัว Linux ไม่มีระบบเก็บข้อมูลผู้ใช้แบบ Windows Recall ที่ถ่ายภาพหน้าจอโดยอัตโนมัติ และเนื่องจากเป็นโอเพ่นซอร์ส ผู้ใช้สามารถตรวจสอบโค้ดได้เองว่าไม่มีการฝัง backdoor หรือระบบติดตามใด ๆ

    สุดท้ายคือเรื่องการปรับแต่ง — Linux เปิดให้ผู้ใช้เปลี่ยนทุกอย่างตั้งแต่ธีม, ฟอนต์, dock, ไปจนถึงการแก้ไข CSS หรือ source code ของเคอร์เนลเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ Windows ไม่เคยเปิดให้ทำอย่างเต็มที่

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Linux ไม่มี bloatware หรือแอปขยะที่ติดมากับระบบ
    Windows ใช้ RAM มากกว่า 3 GB แม้ไม่ได้เปิดแอปใด ๆ
    การลบแอปหรือ telemetry ใน Windows มักถูกย้อนกลับด้วยอัปเดตบังคับ
    Linux เหมาะกับเครื่องเก่า เช่น เครื่องที่ไม่รองรับ Windows 11
    ดิสโทรเบา ๆ เช่น Lubuntu, MX Linux, Linux Mint รันได้ดีแม้มี RAM ต่ำ
    Linux ไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ และไม่มี watermark หากไม่ได้ใส่ key
    Windows 11 Home ราคา $139 ส่วน Pro ราคา $199
    Linux ไม่มีระบบเก็บข้อมูลผู้ใช้แบบ Windows Recall
    ผู้ใช้สามารถปรับแต่งหน้าตาและฟังก์ชันของ Linux ได้อย่างเต็มที่
    Desktop environment ของ Linux เช่น KDE, GNOME, XFCE สามารถเปลี่ยนได้ตามต้องการ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Linux ถูกใช้ในเซิร์ฟเวอร์ทั่วโลกเพราะมีประสิทธิภาพสูงและเสถียร
    Windows Recall ถูกวิจารณ์อย่างหนักเรื่องการละเมิดความเป็นส่วนตัว
    Linux มีระบบเข้ารหัสดิสก์ที่ผู้ใช้ควบคุมได้เอง
    ดิสโทรอย่าง Tails และ Qubes ถูกออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยระดับสูง
    Linux มีชุมชนผู้ใช้และนักพัฒนาที่ช่วยกันแก้ไขปัญหาและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

    https://www.slashgear.com/1979066/reasons-why-should-use-linux-instead-of-windows/
    🧠 “5 เหตุผลที่ควรย้ายจาก Windows 11 ไปใช้ Linux — เมื่อเสรีภาพ ความเร็ว และความเป็นส่วนตัวกลายเป็นสิ่งจำเป็น” Jorge Aguilar นักเขียนสายเทคโนโลยีจาก SlashGear ได้แชร์ประสบการณ์ส่วนตัวในการเปลี่ยนจาก Windows 11 ไปใช้ Linux หลังจากพบว่าระบบปฏิบัติการของ Microsoft นั้นเต็มไปด้วยปัญหา เช่น การอัปเดตที่ไม่สิ้นสุด, การทำงานช้า, และการเก็บข้อมูลผู้ใช้โดยไม่โปร่งใส เขาเริ่มต้นจากความต้องการระบบที่เบา ไม่กินทรัพยากร และไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ซ้ำซ้อน จนพบว่า Linux ตอบโจทย์ทุกข้อ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานบนเครื่องเก่า, การควบคุมความเป็นส่วนตัว, หรือการปรับแต่งหน้าตาและฟังก์ชันได้อย่างอิสระ Linux ไม่ติดตั้งแอปขยะหรือโฆษณาแบบที่ Windows มักแถมมา เช่น McAfee, Xbox, หรือ Edge และไม่มีการย้อนกลับการตั้งค่าด้วยการอัปเดตบังคับเหมือนที่ Microsoft ทำกับผู้ใช้ทั่วไป นอกจากนี้ Linux ยังสามารถทำให้เครื่องเก่ากลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง ด้วยดิสโทรเบา ๆ อย่าง Lubuntu, MX Linux หรือ Linux Mint ที่สามารถรันได้ลื่นแม้มี RAM เพียง 4 GB ในด้านความเป็นส่วนตัว Linux ไม่มีระบบเก็บข้อมูลผู้ใช้แบบ Windows Recall ที่ถ่ายภาพหน้าจอโดยอัตโนมัติ และเนื่องจากเป็นโอเพ่นซอร์ส ผู้ใช้สามารถตรวจสอบโค้ดได้เองว่าไม่มีการฝัง backdoor หรือระบบติดตามใด ๆ สุดท้ายคือเรื่องการปรับแต่ง — Linux เปิดให้ผู้ใช้เปลี่ยนทุกอย่างตั้งแต่ธีม, ฟอนต์, dock, ไปจนถึงการแก้ไข CSS หรือ source code ของเคอร์เนลเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ Windows ไม่เคยเปิดให้ทำอย่างเต็มที่ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Linux ไม่มี bloatware หรือแอปขยะที่ติดมากับระบบ ➡️ Windows ใช้ RAM มากกว่า 3 GB แม้ไม่ได้เปิดแอปใด ๆ ➡️ การลบแอปหรือ telemetry ใน Windows มักถูกย้อนกลับด้วยอัปเดตบังคับ ➡️ Linux เหมาะกับเครื่องเก่า เช่น เครื่องที่ไม่รองรับ Windows 11 ➡️ ดิสโทรเบา ๆ เช่น Lubuntu, MX Linux, Linux Mint รันได้ดีแม้มี RAM ต่ำ ➡️ Linux ไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ และไม่มี watermark หากไม่ได้ใส่ key ➡️ Windows 11 Home ราคา $139 ส่วน Pro ราคา $199 ➡️ Linux ไม่มีระบบเก็บข้อมูลผู้ใช้แบบ Windows Recall ➡️ ผู้ใช้สามารถปรับแต่งหน้าตาและฟังก์ชันของ Linux ได้อย่างเต็มที่ ➡️ Desktop environment ของ Linux เช่น KDE, GNOME, XFCE สามารถเปลี่ยนได้ตามต้องการ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Linux ถูกใช้ในเซิร์ฟเวอร์ทั่วโลกเพราะมีประสิทธิภาพสูงและเสถียร ➡️ Windows Recall ถูกวิจารณ์อย่างหนักเรื่องการละเมิดความเป็นส่วนตัว ➡️ Linux มีระบบเข้ารหัสดิสก์ที่ผู้ใช้ควบคุมได้เอง ➡️ ดิสโทรอย่าง Tails และ Qubes ถูกออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยระดับสูง ➡️ Linux มีชุมชนผู้ใช้และนักพัฒนาที่ช่วยกันแก้ไขปัญหาและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง https://www.slashgear.com/1979066/reasons-why-should-use-linux-instead-of-windows/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Reasons You Should Move To Linux Instead Of Windows 11 - SlashGear
    With support for Windows 10 ending in late 2025, you might be thinking of updating to Windows 11, but you'd be missing on all that Linux has to offer.
    0 Comments 0 Shares 147 Views 0 Reviews
  • “GNU Linux-Libre 6.17 มาแล้ว — เคอร์เนลสายอิสระที่ล้างโค้ดปิดจากไดรเวอร์รุ่นใหม่ พร้อมรองรับฮาร์ดแวร์น้อยลงแต่เสรีภาพมากขึ้น”

    เคอร์เนล GNU Linux-Libre เวอร์ชัน 6.17 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในปลายเดือนกันยายน 2025 โดยเป็นเวอร์ชันที่พัฒนาต่อจาก Linux 6.17 แต่มีการ “deblob” หรือการลบโค้ดที่ไม่เป็นโอเพ่นซอร์สออกทั้งหมด เพื่อให้ผู้ใช้สามารถสร้างระบบ GNU/Linux ที่ปลอดจากซอฟต์แวร์ปิดได้อย่างแท้จริง

    ในเวอร์ชันนี้ ทีมพัฒนาได้ล้างโค้ดที่เกี่ยวข้องกับไดรเวอร์ใหม่ ๆ เช่น Intel IPU7 ซึ่งใช้ในเว็บแคมของโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่อย่าง Lunar Lake และ Panther Lake รวมถึงไฟล์ devicetree ของ AArch64 ที่มีการฝังเฟิร์มแวร์ปิดไว้ นอกจากนี้ยังมีการปรับการล้างโค้ดในไดรเวอร์ยอดนิยม เช่น AMDGPU, Adreno a6xx, Nova-core (สำหรับ NVIDIA), Intel AVS, iwlwifi, btusb และ pci mhi host

    การเปลี่ยนแปลงสำคัญอีกอย่างคือการหยุดล้างโค้ดของ QLogic InfiniBand เนื่องจากไดรเวอร์นี้ถูกลบออกจากเคอร์เนลต้นทางแล้ว และมีการปรับการล้างโค้ดของ PCI HDA drivers ที่ถูกย้ายตำแหน่งใน upstream

    แม้ GNU Linux-Libre จะรองรับฮาร์ดแวร์น้อยลง แต่ก็เป็นทางเลือกสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการระบบที่ “เสรี 100%” โดยไม่มีการโหลดเฟิร์มแวร์ปิดแม้แต่บิตเดียว สามารถดาวน์โหลดได้ทั้งแบบ tarball และแพ็กเกจ DEB/RPM ผ่านโครงการ Freesh และ RPM Freedom

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    GNU Linux-Libre 6.17 เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025
    พัฒนาต่อจาก Linux 6.17 โดยลบโค้ดที่ไม่เป็นโอเพ่นซอร์สทั้งหมด
    ล้างโค้ดของไดรเวอร์ Intel IPU7 ที่ใช้ในเว็บแคมของโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่
    ปรับการล้างโค้ดในไฟล์ devicetree ของ AArch64 ที่ฝังเฟิร์มแวร์ปิด
    ปรับ deblob ในไดรเวอร์ AMDGPU, Adreno a6xx, Nova-core, Intel AVS, iwlwifi, btusb, pci mhi host
    หยุด deblob ไดรเวอร์ QLogic InfiniBand ที่ถูกลบออกจาก upstream แล้ว
    ปรับการล้างโค้ดของ PCI HDA drivers ที่ถูกย้ายตำแหน่งใน upstream
    รองรับการติดตั้งในทุกดิสโทร GNU/Linux ทั้งแบบแทนเคอร์เนลหลักหรือเสริม
    มีแพ็กเกจพร้อมใช้งานสำหรับระบบ DEB และ RPM ผ่าน Freesh และ RPM Freedom

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    GNU Linux-Libre เป็นโครงการที่เริ่มจาก gNewSense และดูแลโดย FSF Latin America
    เคอร์เนลนี้ลบทั้งโค้ดปิดและคำสั่งที่เรียกใช้เฟิร์มแวร์ปิดใน runtime
    Nova-core เป็นไดรเวอร์ Rust สำหรับ GPU NVIDIA ที่กำลังพัฒนาแบบโอเพ่นซอร์ส
    Adreno a6xx เป็น GPU ของ Qualcomm ที่ฝังเฟิร์มแวร์ปิดไว้ในหลายรุ่น
    การใช้เคอร์เนล GNU Linux-Libre อาจเหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการระบบปลอดจากการติดตามหรือโค้ดลับ

    คำเตือนและข้อจำกัด
    การลบโค้ดปิดออกจากเคอร์เนลทำให้รองรับฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ได้น้อยลง
    ผู้ใช้ที่ต้องการใช้งาน GPU, Wi-Fi หรืออุปกรณ์เสียงบางรุ่นอาจไม่สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ
    เคอร์เนลนี้ไม่โหลดเฟิร์มแวร์ปิดแม้ใน runtime ทำให้บางอุปกรณ์ไม่สามารถใช้งานได้เลย
    การใช้ GNU Linux-Libre ต้องอาศัยความเข้าใจเชิงเทคนิคในการตั้งค่าระบบ
    ไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการความสะดวกหรือรองรับฮาร์ดแวร์ทันสมัยแบบครบถ้วน

    https://9to5linux.com/gnu-linux-libre-6-17-kernel-is-now-available-for-software-freedom-lovers
    🐧 “GNU Linux-Libre 6.17 มาแล้ว — เคอร์เนลสายอิสระที่ล้างโค้ดปิดจากไดรเวอร์รุ่นใหม่ พร้อมรองรับฮาร์ดแวร์น้อยลงแต่เสรีภาพมากขึ้น” เคอร์เนล GNU Linux-Libre เวอร์ชัน 6.17 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในปลายเดือนกันยายน 2025 โดยเป็นเวอร์ชันที่พัฒนาต่อจาก Linux 6.17 แต่มีการ “deblob” หรือการลบโค้ดที่ไม่เป็นโอเพ่นซอร์สออกทั้งหมด เพื่อให้ผู้ใช้สามารถสร้างระบบ GNU/Linux ที่ปลอดจากซอฟต์แวร์ปิดได้อย่างแท้จริง ในเวอร์ชันนี้ ทีมพัฒนาได้ล้างโค้ดที่เกี่ยวข้องกับไดรเวอร์ใหม่ ๆ เช่น Intel IPU7 ซึ่งใช้ในเว็บแคมของโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่อย่าง Lunar Lake และ Panther Lake รวมถึงไฟล์ devicetree ของ AArch64 ที่มีการฝังเฟิร์มแวร์ปิดไว้ นอกจากนี้ยังมีการปรับการล้างโค้ดในไดรเวอร์ยอดนิยม เช่น AMDGPU, Adreno a6xx, Nova-core (สำหรับ NVIDIA), Intel AVS, iwlwifi, btusb และ pci mhi host การเปลี่ยนแปลงสำคัญอีกอย่างคือการหยุดล้างโค้ดของ QLogic InfiniBand เนื่องจากไดรเวอร์นี้ถูกลบออกจากเคอร์เนลต้นทางแล้ว และมีการปรับการล้างโค้ดของ PCI HDA drivers ที่ถูกย้ายตำแหน่งใน upstream แม้ GNU Linux-Libre จะรองรับฮาร์ดแวร์น้อยลง แต่ก็เป็นทางเลือกสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการระบบที่ “เสรี 100%” โดยไม่มีการโหลดเฟิร์มแวร์ปิดแม้แต่บิตเดียว สามารถดาวน์โหลดได้ทั้งแบบ tarball และแพ็กเกจ DEB/RPM ผ่านโครงการ Freesh และ RPM Freedom ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ GNU Linux-Libre 6.17 เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 ➡️ พัฒนาต่อจาก Linux 6.17 โดยลบโค้ดที่ไม่เป็นโอเพ่นซอร์สทั้งหมด ➡️ ล้างโค้ดของไดรเวอร์ Intel IPU7 ที่ใช้ในเว็บแคมของโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ ➡️ ปรับการล้างโค้ดในไฟล์ devicetree ของ AArch64 ที่ฝังเฟิร์มแวร์ปิด ➡️ ปรับ deblob ในไดรเวอร์ AMDGPU, Adreno a6xx, Nova-core, Intel AVS, iwlwifi, btusb, pci mhi host ➡️ หยุด deblob ไดรเวอร์ QLogic InfiniBand ที่ถูกลบออกจาก upstream แล้ว ➡️ ปรับการล้างโค้ดของ PCI HDA drivers ที่ถูกย้ายตำแหน่งใน upstream ➡️ รองรับการติดตั้งในทุกดิสโทร GNU/Linux ทั้งแบบแทนเคอร์เนลหลักหรือเสริม ➡️ มีแพ็กเกจพร้อมใช้งานสำหรับระบบ DEB และ RPM ผ่าน Freesh และ RPM Freedom ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ GNU Linux-Libre เป็นโครงการที่เริ่มจาก gNewSense และดูแลโดย FSF Latin America ➡️ เคอร์เนลนี้ลบทั้งโค้ดปิดและคำสั่งที่เรียกใช้เฟิร์มแวร์ปิดใน runtime ➡️ Nova-core เป็นไดรเวอร์ Rust สำหรับ GPU NVIDIA ที่กำลังพัฒนาแบบโอเพ่นซอร์ส ➡️ Adreno a6xx เป็น GPU ของ Qualcomm ที่ฝังเฟิร์มแวร์ปิดไว้ในหลายรุ่น ➡️ การใช้เคอร์เนล GNU Linux-Libre อาจเหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการระบบปลอดจากการติดตามหรือโค้ดลับ ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ การลบโค้ดปิดออกจากเคอร์เนลทำให้รองรับฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ได้น้อยลง ⛔ ผู้ใช้ที่ต้องการใช้งาน GPU, Wi-Fi หรืออุปกรณ์เสียงบางรุ่นอาจไม่สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ ⛔ เคอร์เนลนี้ไม่โหลดเฟิร์มแวร์ปิดแม้ใน runtime ทำให้บางอุปกรณ์ไม่สามารถใช้งานได้เลย ⛔ การใช้ GNU Linux-Libre ต้องอาศัยความเข้าใจเชิงเทคนิคในการตั้งค่าระบบ ⛔ ไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการความสะดวกหรือรองรับฮาร์ดแวร์ทันสมัยแบบครบถ้วน https://9to5linux.com/gnu-linux-libre-6-17-kernel-is-now-available-for-software-freedom-lovers
    9TO5LINUX.COM
    GNU Linux-Libre 6.17 Kernel Is Now Available for Software Freedom Lovers - 9to5Linux
    GNU Linux-libre 6.17 kernel is now available for download based on Linux 6.17 and targeted at those who seek 100% freedom for their PCs.
    0 Comments 0 Shares 153 Views 0 Reviews
  • เหลือทีมไหนที่ไร้พ่าย (29/0/68) #news1 #tiktokการกีฬา #ข่าวกีฬา #ฟุตบอล
    เหลือทีมไหนที่ไร้พ่าย (29/0/68) #news1 #tiktokการกีฬา #ข่าวกีฬา #ฟุตบอล
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 204 Views 0 0 Reviews
  • “Snapdragon Guardian: ระบบจัดการพีซีผ่านเครือข่ายเซลลูลาร์ — ควบคุมได้แม้เครื่องดับ อินเทล vPro ต้องมีหนาว”

    Qualcomm เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ในชื่อ “Snapdragon Guardian” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มจัดการและรักษาความปลอดภัยสำหรับพีซีที่ออกแบบมาเพื่อเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Intel vPro โดยความโดดเด่นของ Guardian คือความสามารถในการควบคุมอุปกรณ์ได้แม้ในขณะที่เครื่องปิดอยู่ ไม่เชื่อมต่อ Wi-Fi หรือแม้แต่บูตไม่ขึ้น — ทั้งหมดนี้เป็นไปได้ด้วยการฝังโมเด็ม 4G, 5G และ Wi-Fi 7 ไว้ในตัวชิปโดยตรง2

    Guardian จะเปิดตัวพร้อมกับ Snapdragon X2 Elite และ X2 Elite Extreme ซึ่งเป็นชิปโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ที่เน้นการประมวลผล AI และการเชื่อมต่อแบบ always-on โดยระบบนี้ผสานฮาร์ดแวร์ เฟิร์มแวร์ และบริการคลาวด์เข้าด้วยกัน ทำให้สามารถติดตาม, อัปเดต, ล็อก หรือแม้แต่ล้างข้อมูลในเครื่องได้จากระยะไกลผ่านแดชบอร์ดบนเว็บหรือแอปมือถือ2

    นอกจากการจัดการอุปกรณ์ในองค์กร Guardian ยังเหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการระบบป้องกันการโจรกรรมหรือการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยสามารถตั้ง geofencing, ติดตามตำแหน่ง และดำเนินการแก้ไขจากระยะไกลได้ทันที

    อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการเข้าถึงอุปกรณ์แม้ในขณะปิดเครื่องก็ทำให้เกิดคำถามด้านความเป็นส่วนตัวและการควบคุมว่า “ใคร” ควรมีสิทธิ์เข้าถึง และ “เมื่อไร” ควรอนุญาตให้ใช้งานฟีเจอร์เหล่านี้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Snapdragon Guardian เป็นแพลตฟอร์มจัดการพีซีที่ทำงานได้แม้เครื่องปิดหรือไม่เชื่อมต่อ Wi-Fi
    ใช้โมเด็ม 4G, 5G และ Wi-Fi 7 ฝังในตัวชิปเพื่อเชื่อมต่อแบบ always-on
    ผสานฮาร์ดแวร์ เฟิร์มแวร์ และคลาวด์เพื่อจัดการอุปกรณ์แบบ out-of-band
    รองรับการติดตาม, ล็อก, ล้างข้อมูล และอัปเดตจากระยะไกล
    ใช้งานผ่านแดชบอร์ดบนเว็บและแอปมือถือ
    รองรับ geofencing และการติดตามตำแหน่งแบบเรียลไทม์
    ใช้งานได้ทั้งในองค์กรขนาดใหญ่, SMB และผู้ใช้ทั่วไป
    เปิดตัวพร้อมกับ Snapdragon X2 Elite และ Extreme ในปี 2026
    Qualcomm ระบุว่า Guardian เข้ากันได้กับระบบจัดการ IT ที่มีอยู่แล้ว

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Intel vPro ใช้การจัดการแบบ out-of-band ผ่าน LAN แต่ไม่รองรับ cellular
    อุปกรณ์ที่มี Guardian สามารถจัดการได้แม้ถูกขโมยหรืออยู่ต่างประเทศ
    92% ของการโจมตี ransomware เริ่มจากอุปกรณ์ที่ไม่ได้รับการจัดการ
    Qualcomm กำลังขยายตลาดจากมือถือไปสู่พีซี, รถยนต์ และอุปกรณ์ IoT
    Guardian อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับการจัดการ endpoint ในยุค AI

    https://www.techradar.com/pro/security/qualcomm-has-a-rival-to-intels-popular-vpro-platform-management-system-called-guardian-and-it-can-even-work-without-wi-fi-but-i-dont-know-whether-it-is-such-a-good-thing
    📡 “Snapdragon Guardian: ระบบจัดการพีซีผ่านเครือข่ายเซลลูลาร์ — ควบคุมได้แม้เครื่องดับ อินเทล vPro ต้องมีหนาว” Qualcomm เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ในชื่อ “Snapdragon Guardian” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มจัดการและรักษาความปลอดภัยสำหรับพีซีที่ออกแบบมาเพื่อเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ Intel vPro โดยความโดดเด่นของ Guardian คือความสามารถในการควบคุมอุปกรณ์ได้แม้ในขณะที่เครื่องปิดอยู่ ไม่เชื่อมต่อ Wi-Fi หรือแม้แต่บูตไม่ขึ้น — ทั้งหมดนี้เป็นไปได้ด้วยการฝังโมเด็ม 4G, 5G และ Wi-Fi 7 ไว้ในตัวชิปโดยตรง2 Guardian จะเปิดตัวพร้อมกับ Snapdragon X2 Elite และ X2 Elite Extreme ซึ่งเป็นชิปโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ที่เน้นการประมวลผล AI และการเชื่อมต่อแบบ always-on โดยระบบนี้ผสานฮาร์ดแวร์ เฟิร์มแวร์ และบริการคลาวด์เข้าด้วยกัน ทำให้สามารถติดตาม, อัปเดต, ล็อก หรือแม้แต่ล้างข้อมูลในเครื่องได้จากระยะไกลผ่านแดชบอร์ดบนเว็บหรือแอปมือถือ2 นอกจากการจัดการอุปกรณ์ในองค์กร Guardian ยังเหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการระบบป้องกันการโจรกรรมหรือการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยสามารถตั้ง geofencing, ติดตามตำแหน่ง และดำเนินการแก้ไขจากระยะไกลได้ทันที อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการเข้าถึงอุปกรณ์แม้ในขณะปิดเครื่องก็ทำให้เกิดคำถามด้านความเป็นส่วนตัวและการควบคุมว่า “ใคร” ควรมีสิทธิ์เข้าถึง และ “เมื่อไร” ควรอนุญาตให้ใช้งานฟีเจอร์เหล่านี้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Snapdragon Guardian เป็นแพลตฟอร์มจัดการพีซีที่ทำงานได้แม้เครื่องปิดหรือไม่เชื่อมต่อ Wi-Fi ➡️ ใช้โมเด็ม 4G, 5G และ Wi-Fi 7 ฝังในตัวชิปเพื่อเชื่อมต่อแบบ always-on ➡️ ผสานฮาร์ดแวร์ เฟิร์มแวร์ และคลาวด์เพื่อจัดการอุปกรณ์แบบ out-of-band ➡️ รองรับการติดตาม, ล็อก, ล้างข้อมูล และอัปเดตจากระยะไกล ➡️ ใช้งานผ่านแดชบอร์ดบนเว็บและแอปมือถือ ➡️ รองรับ geofencing และการติดตามตำแหน่งแบบเรียลไทม์ ➡️ ใช้งานได้ทั้งในองค์กรขนาดใหญ่, SMB และผู้ใช้ทั่วไป ➡️ เปิดตัวพร้อมกับ Snapdragon X2 Elite และ Extreme ในปี 2026 ➡️ Qualcomm ระบุว่า Guardian เข้ากันได้กับระบบจัดการ IT ที่มีอยู่แล้ว ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Intel vPro ใช้การจัดการแบบ out-of-band ผ่าน LAN แต่ไม่รองรับ cellular ➡️ อุปกรณ์ที่มี Guardian สามารถจัดการได้แม้ถูกขโมยหรืออยู่ต่างประเทศ ➡️ 92% ของการโจมตี ransomware เริ่มจากอุปกรณ์ที่ไม่ได้รับการจัดการ ➡️ Qualcomm กำลังขยายตลาดจากมือถือไปสู่พีซี, รถยนต์ และอุปกรณ์ IoT ➡️ Guardian อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับการจัดการ endpoint ในยุค AI https://www.techradar.com/pro/security/qualcomm-has-a-rival-to-intels-popular-vpro-platform-management-system-called-guardian-and-it-can-even-work-without-wi-fi-but-i-dont-know-whether-it-is-such-a-good-thing
    0 Comments 0 Shares 161 Views 0 Reviews
  • “Snapdragon X2 Elite Extreme: ชิปโน้ตบุ๊กที่แรงที่สุดของ Qualcomm — ซูเปอร์คอร์ 18 ตัว, RAM 128GB, AI 80 TOPS พร้อมชน AMD และ Intel”

    Qualcomm เปิดตัวชิปสำหรับโน้ตบุ๊ก Windows รุ่นใหม่ล่าสุดในชื่อ Snapdragon X2 Elite และ X2 Elite Extreme ซึ่งถือเป็นการยกระดับครั้งใหญ่ในตลาด PC โดยเฉพาะรุ่น Extreme ที่มาพร้อมกับสเปกสุดโหด: ซีพียู 18 คอร์, ความเร็วบูสต์สูงสุด 5.0GHz, รองรับ RAM LPDDR5X สูงสุดถึง 128GB และหน่วยประมวลผล AI (NPU) ที่แรงถึง 80 TOPS — มากกว่าคู่แข่งอย่าง AMD Ryzen AI+ 395 และ Intel Core Ultra แบบไม่เกรงใจ

    ชิปทั้งสองรุ่นใช้สถาปัตยกรรม Oryon รุ่นที่ 3 บนกระบวนการผลิต 3nm ของ TSMC โดยรุ่น Extreme มี 12 คอร์หลักและ 6 คอร์ประสิทธิภาพ พร้อมแคชรวม 53MB และสามารถเชื่อมต่อ PCIe 5.0 ได้ถึง 12 เลน รองรับการแสดงผลสูงสุด 3 จอ 4K ที่ 144Hz หรือ 2 จอ 5K ที่ 60Hz

    ด้านกราฟิกก็ไม่น้อยหน้า เพราะมาพร้อม GPU Adreno X2-90 ที่รองรับ ray tracing แบบฮาร์ดแวร์ และ API ล่าสุดอย่าง DirectX 12.2 Ultimate, Vulkan และ OpenCL 3.0 ส่วนรุ่น Elite ธรรมดาจะลดคอร์ลงเหลือ 12 คอร์ และใช้ GPU Adreno X2-85 ที่แรงน้อยกว่าเล็กน้อย

    ทั้งสองรุ่นรองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4 และสามารถติดตั้งโมเด็ม Snapdragon X75 สำหรับ 5G ได้ โดยออกแบบมาเพื่อใช้งานกับ Copilot+ PC ที่เน้นการประมวลผล AI หลายงานพร้อมกันบนเครื่องโดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์

    Qualcomm ระบุว่าโน้ตบุ๊กรุ่นแรกที่ใช้ชิปเหล่านี้จะเปิดตัวในช่วงครึ่งแรกของปี 2026 และจะเป็นการเปิดศักราชใหม่ของโน้ตบุ๊กที่บางเบาแต่ทรงพลังระดับเวิร์กสเตชัน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Snapdragon X2 Elite Extreme มี 18 คอร์ (12P + 6E) ความเร็วบูสต์สูงสุด 5.0GHz
    รองรับ RAM LPDDR5X สูงสุด 128GB บนแบนด์วิดธ์ 228GB/s
    NPU แรงถึง 80 TOPS เหมาะกับงาน AI หลายงานพร้อมกัน
    GPU Adreno X2-90 รองรับ ray tracing และ API ล่าสุด
    รองรับ PCIe 5.0, NVMe SSD, UFS 4.0 และ USB4 หลายพอร์ต
    แสดงผลได้สูงสุด 3 จอ 4K 144Hz หรือ 2 จอ 5K 60Hz
    รองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4 และโมเด็ม 5G Snapdragon X75
    ใช้สถาปัตยกรรม Oryon รุ่นที่ 3 บนกระบวนการผลิต 3nm
    โน้ตบุ๊กรุ่นแรกจะเปิดตัวในครึ่งแรกของปี 2026

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Snapdragon X2 Elite Extreme แรงกว่า Snapdragon X Elite รุ่นแรกถึง 31% ที่พลังงานเท่ากัน
    ใช้พลังงานน้อยลงถึง 43% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า
    Adreno X2-90 มีประสิทธิภาพต่อวัตต์สูงขึ้น 2.3 เท่า
    ชิปนี้ออกแบบมาเพื่อใช้งานกับ Copilot+ PC โดยเฉพาะ
    Qualcomm ตั้งเป้าแข่งกับ Apple M4, AMD Ryzen AI+ และ Intel Core Ultra

    https://www.techradar.com/pro/qualcomms-most-powerful-cpu-ever-will-target-amds-ryzen-ai-395-with-128gb-onboard-lpddr5x-memory-while-intel-has-only-32gb-integrated-memory-to-contend-with
    ⚙️ “Snapdragon X2 Elite Extreme: ชิปโน้ตบุ๊กที่แรงที่สุดของ Qualcomm — ซูเปอร์คอร์ 18 ตัว, RAM 128GB, AI 80 TOPS พร้อมชน AMD และ Intel” Qualcomm เปิดตัวชิปสำหรับโน้ตบุ๊ก Windows รุ่นใหม่ล่าสุดในชื่อ Snapdragon X2 Elite และ X2 Elite Extreme ซึ่งถือเป็นการยกระดับครั้งใหญ่ในตลาด PC โดยเฉพาะรุ่น Extreme ที่มาพร้อมกับสเปกสุดโหด: ซีพียู 18 คอร์, ความเร็วบูสต์สูงสุด 5.0GHz, รองรับ RAM LPDDR5X สูงสุดถึง 128GB และหน่วยประมวลผล AI (NPU) ที่แรงถึง 80 TOPS — มากกว่าคู่แข่งอย่าง AMD Ryzen AI+ 395 และ Intel Core Ultra แบบไม่เกรงใจ ชิปทั้งสองรุ่นใช้สถาปัตยกรรม Oryon รุ่นที่ 3 บนกระบวนการผลิต 3nm ของ TSMC โดยรุ่น Extreme มี 12 คอร์หลักและ 6 คอร์ประสิทธิภาพ พร้อมแคชรวม 53MB และสามารถเชื่อมต่อ PCIe 5.0 ได้ถึง 12 เลน รองรับการแสดงผลสูงสุด 3 จอ 4K ที่ 144Hz หรือ 2 จอ 5K ที่ 60Hz ด้านกราฟิกก็ไม่น้อยหน้า เพราะมาพร้อม GPU Adreno X2-90 ที่รองรับ ray tracing แบบฮาร์ดแวร์ และ API ล่าสุดอย่าง DirectX 12.2 Ultimate, Vulkan และ OpenCL 3.0 ส่วนรุ่น Elite ธรรมดาจะลดคอร์ลงเหลือ 12 คอร์ และใช้ GPU Adreno X2-85 ที่แรงน้อยกว่าเล็กน้อย ทั้งสองรุ่นรองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4 และสามารถติดตั้งโมเด็ม Snapdragon X75 สำหรับ 5G ได้ โดยออกแบบมาเพื่อใช้งานกับ Copilot+ PC ที่เน้นการประมวลผล AI หลายงานพร้อมกันบนเครื่องโดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์ Qualcomm ระบุว่าโน้ตบุ๊กรุ่นแรกที่ใช้ชิปเหล่านี้จะเปิดตัวในช่วงครึ่งแรกของปี 2026 และจะเป็นการเปิดศักราชใหม่ของโน้ตบุ๊กที่บางเบาแต่ทรงพลังระดับเวิร์กสเตชัน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Snapdragon X2 Elite Extreme มี 18 คอร์ (12P + 6E) ความเร็วบูสต์สูงสุด 5.0GHz ➡️ รองรับ RAM LPDDR5X สูงสุด 128GB บนแบนด์วิดธ์ 228GB/s ➡️ NPU แรงถึง 80 TOPS เหมาะกับงาน AI หลายงานพร้อมกัน ➡️ GPU Adreno X2-90 รองรับ ray tracing และ API ล่าสุด ➡️ รองรับ PCIe 5.0, NVMe SSD, UFS 4.0 และ USB4 หลายพอร์ต ➡️ แสดงผลได้สูงสุด 3 จอ 4K 144Hz หรือ 2 จอ 5K 60Hz ➡️ รองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4 และโมเด็ม 5G Snapdragon X75 ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม Oryon รุ่นที่ 3 บนกระบวนการผลิต 3nm ➡️ โน้ตบุ๊กรุ่นแรกจะเปิดตัวในครึ่งแรกของปี 2026 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Snapdragon X2 Elite Extreme แรงกว่า Snapdragon X Elite รุ่นแรกถึง 31% ที่พลังงานเท่ากัน ➡️ ใช้พลังงานน้อยลงถึง 43% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ➡️ Adreno X2-90 มีประสิทธิภาพต่อวัตต์สูงขึ้น 2.3 เท่า ➡️ ชิปนี้ออกแบบมาเพื่อใช้งานกับ Copilot+ PC โดยเฉพาะ ➡️ Qualcomm ตั้งเป้าแข่งกับ Apple M4, AMD Ryzen AI+ และ Intel Core Ultra https://www.techradar.com/pro/qualcomms-most-powerful-cpu-ever-will-target-amds-ryzen-ai-395-with-128gb-onboard-lpddr5x-memory-while-intel-has-only-32gb-integrated-memory-to-contend-with
    0 Comments 0 Shares 148 Views 0 Reviews
  • “Linux Kernel 6.17 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ — ยกระดับความปลอดภัย รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ พร้อมฟีเจอร์ล้ำยุคสำหรับยุค AI และ Cloud”

    Linus Torvalds ประกาศเปิดตัว Linux Kernel 6.17 อย่างเป็นทางการเมื่อปลายเดือนกันยายน 2025 โดยเวอร์ชันนี้มาพร้อมกับการปรับปรุงครั้งใหญ่ทั้งด้านความปลอดภัย การรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ และฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์การใช้งานในยุคที่ระบบปฏิบัติการต้องรองรับงานหนักระดับเซิร์ฟเวอร์และคลาวด์

    หนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือการเพิ่มฟีเจอร์ “Attack Vector Controls” ซึ่งช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถจัดการการป้องกันช่องโหว่ CPU ได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องตั้งค่าทีละรายการ แต่สามารถเลือกปิดหรือเปิดการป้องกันตามประเภทของการโจมตี เช่น user-to-kernel หรือ guest-to-host ได้ในบรรทัดเดียว

    ด้านฮาร์ดแวร์ Linux 6.17 รองรับเทคโนโลยีใหม่จากหลายค่าย เช่น:

    ARM: Branch Record Buffer Extension (BRBE) และ GICv5 สำหรับ KVM
    AMD: Hardware Feedback Interface (HFI) และ ACP 7.2 SoundWire
    Intel: Wildcat Lake, Bartlett Lake-S, Panther Lake Xe3 graphics, IPU7 driver
    Apple: SMC driver สำหรับรีบูต Mac M1/M2 ด้วย mainline kernel

    ยังมีการรองรับอุปกรณ์ใหม่อีกมาก เช่น Raspberry Pi 5 RP1 chip, Argon40 Fan HAT, Touch Bar บน MacBook Pro, และ OneXPlayer X1 Pro

    ในด้านระบบไฟล์และเน็ตเวิร์ก มีการเพิ่ม:
    Large-folio support สำหรับ Btrfs
    Metadata compression สำหรับ EROFS
    Scalability ที่ดีขึ้นสำหรับ EXT4
    รองรับ DualPI2 congestion control และ TCP_MAXSEG สำหรับ multipath TCP

    นอกจากนี้ยังมีการเพิ่ม live patching สำหรับ AArch64, proxy execution, และระบบ tracepoint สำหรับ User-Mode Linux รวมถึงการปรับปรุงระบบจัดการหน่วยความจำด้วยโมดูล DAMON_STAT

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Linux Kernel 6.17 เปิดตัวอย่างเป็นทางการโดย Linus Torvalds
    เพิ่มฟีเจอร์ Attack Vector Controls สำหรับจัดการการป้องกันช่องโหว่ CPU
    รองรับ ARM BRBE, GICv5, AMD HFI, Intel Wildcat Lake และ Apple SMC driver
    รองรับอุปกรณ์ใหม่ เช่น Raspberry Pi 5 RP1, Argon40 Fan HAT, Touch Bar บน MacBook Pro
    รองรับ codec HEVC และ VP9 ผ่าน Qualcomm Iris decoder บน V4L2
    เพิ่ม live patching สำหรับ AArch64 และ proxy execution
    รองรับระบบไฟล์ใหม่ เช่น Btrfs, EXT4, EROFS ด้วยฟีเจอร์ใหม่
    ปรับปรุงระบบเน็ตเวิร์ก เช่น DualPI2, TCP_MAXSEG, IPv6 force_forwarding
    เพิ่ม driver สำหรับ Framework Laptop 13, ASUS Commercial, HP EliteBook

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Attack Vector Controls แบ่งการป้องกันออกเป็น 5 ประเภท เช่น user-to-user, guest-to-guest
    สามารถตั้งค่าการป้องกันผ่าน GRUB ด้วยพารามิเตอร์เดียว เช่น mitigations=auto,no_user_kernel
    การรองรับ Intel Xe3 graphics บ่งบอกถึงความพร้อมของ Core Ultra Series 3
    DAMON_STAT ช่วยให้การตรวจสอบการใช้หน่วยความจำง่ายขึ้นและแม่นยำขึ้น
    การรองรับ SoundWire บน AMD ACP 7.2 ช่วยให้เสียงบนโน้ตบุ๊ค AMD ดีขึ้น

    https://9to5linux.com/linux-kernel-6-17-officially-released-this-is-whats-new
    🐧 “Linux Kernel 6.17 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ — ยกระดับความปลอดภัย รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ พร้อมฟีเจอร์ล้ำยุคสำหรับยุค AI และ Cloud” Linus Torvalds ประกาศเปิดตัว Linux Kernel 6.17 อย่างเป็นทางการเมื่อปลายเดือนกันยายน 2025 โดยเวอร์ชันนี้มาพร้อมกับการปรับปรุงครั้งใหญ่ทั้งด้านความปลอดภัย การรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ และฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์การใช้งานในยุคที่ระบบปฏิบัติการต้องรองรับงานหนักระดับเซิร์ฟเวอร์และคลาวด์ หนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือการเพิ่มฟีเจอร์ “Attack Vector Controls” ซึ่งช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถจัดการการป้องกันช่องโหว่ CPU ได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องตั้งค่าทีละรายการ แต่สามารถเลือกปิดหรือเปิดการป้องกันตามประเภทของการโจมตี เช่น user-to-kernel หรือ guest-to-host ได้ในบรรทัดเดียว ด้านฮาร์ดแวร์ Linux 6.17 รองรับเทคโนโลยีใหม่จากหลายค่าย เช่น: 🗝️ ARM: Branch Record Buffer Extension (BRBE) และ GICv5 สำหรับ KVM 🗝️ AMD: Hardware Feedback Interface (HFI) และ ACP 7.2 SoundWire 🗝️ Intel: Wildcat Lake, Bartlett Lake-S, Panther Lake Xe3 graphics, IPU7 driver 🗝️ Apple: SMC driver สำหรับรีบูต Mac M1/M2 ด้วย mainline kernel ยังมีการรองรับอุปกรณ์ใหม่อีกมาก เช่น Raspberry Pi 5 RP1 chip, Argon40 Fan HAT, Touch Bar บน MacBook Pro, และ OneXPlayer X1 Pro ในด้านระบบไฟล์และเน็ตเวิร์ก มีการเพิ่ม: 🗝️ Large-folio support สำหรับ Btrfs 🗝️ Metadata compression สำหรับ EROFS 🗝️ Scalability ที่ดีขึ้นสำหรับ EXT4 🗝️ รองรับ DualPI2 congestion control และ TCP_MAXSEG สำหรับ multipath TCP นอกจากนี้ยังมีการเพิ่ม live patching สำหรับ AArch64, proxy execution, และระบบ tracepoint สำหรับ User-Mode Linux รวมถึงการปรับปรุงระบบจัดการหน่วยความจำด้วยโมดูล DAMON_STAT ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Linux Kernel 6.17 เปิดตัวอย่างเป็นทางการโดย Linus Torvalds ➡️ เพิ่มฟีเจอร์ Attack Vector Controls สำหรับจัดการการป้องกันช่องโหว่ CPU ➡️ รองรับ ARM BRBE, GICv5, AMD HFI, Intel Wildcat Lake และ Apple SMC driver ➡️ รองรับอุปกรณ์ใหม่ เช่น Raspberry Pi 5 RP1, Argon40 Fan HAT, Touch Bar บน MacBook Pro ➡️ รองรับ codec HEVC และ VP9 ผ่าน Qualcomm Iris decoder บน V4L2 ➡️ เพิ่ม live patching สำหรับ AArch64 และ proxy execution ➡️ รองรับระบบไฟล์ใหม่ เช่น Btrfs, EXT4, EROFS ด้วยฟีเจอร์ใหม่ ➡️ ปรับปรุงระบบเน็ตเวิร์ก เช่น DualPI2, TCP_MAXSEG, IPv6 force_forwarding ➡️ เพิ่ม driver สำหรับ Framework Laptop 13, ASUS Commercial, HP EliteBook ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Attack Vector Controls แบ่งการป้องกันออกเป็น 5 ประเภท เช่น user-to-user, guest-to-guest ➡️ สามารถตั้งค่าการป้องกันผ่าน GRUB ด้วยพารามิเตอร์เดียว เช่น mitigations=auto,no_user_kernel ➡️ การรองรับ Intel Xe3 graphics บ่งบอกถึงความพร้อมของ Core Ultra Series 3 ➡️ DAMON_STAT ช่วยให้การตรวจสอบการใช้หน่วยความจำง่ายขึ้นและแม่นยำขึ้น ➡️ การรองรับ SoundWire บน AMD ACP 7.2 ช่วยให้เสียงบนโน้ตบุ๊ค AMD ดีขึ้น https://9to5linux.com/linux-kernel-6-17-officially-released-this-is-whats-new
    9TO5LINUX.COM
    Linux Kernel 6.17 Officially Released, This Is What’s New - 9to5Linux
    Linux kernel 6.17 is now available for download with new features, enhanced hardware support, networking improvements, and other changes.
    0 Comments 0 Shares 177 Views 0 Reviews
  • “ChatGPT Pulse: ผู้ช่วย AI ที่ตื่นก่อนคุณ — เปลี่ยนทุกเช้าให้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของวันอัจฉริยะ”

    OpenAI เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน ChatGPT ชื่อว่า “ChatGPT Pulse” ซึ่งเปลี่ยนบทบาทของ AI จากผู้ตอบคำถาม มาเป็นผู้ช่วยส่วนตัวที่ “คิดล่วงหน้า” และส่งข้อมูลที่คุณต้องการก่อนที่คุณจะถามเสียอีก

    Pulse ทำงานเบื้องหลังขณะคุณหลับ โดยวิเคราะห์ประวัติการสนทนา ความสนใจ และข้อมูลจากแอปที่คุณเชื่อมต่อ เช่น Gmail และ Google Calendar เพื่อสร้างสรุปประจำวันในรูปแบบ “การ์ดภาพ” ที่อ่านง่ายและเน้นการลงมือทำ เช่น แจ้งเตือนงานที่ใกล้ถึง เสนอสูตรอาหารเย็น หรือเตือนให้คุณออกกำลังกายตามแผนที่เคยตั้งไว้

    ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้งานเฉพาะผู้สมัครสมาชิก Pro ($200/เดือน) ผ่านแอปมือถือ โดย Pulse จะปรากฏเป็นแท็บใหม่ในแอป และอัปเดตทุกเช้า การ์ดจะหายไปภายใน 24 ชั่วโมง เว้นแต่คุณจะบันทึกไว้หรือขอข้อมูลเพิ่มเติม

    ผู้ใช้สามารถปรับแต่ง Pulse ได้ด้วยปุ่ม “curate” เพื่อระบุหัวข้อที่ต้องการ เช่น “อัปเดตข่าวเทคโนโลยีใน Bay Area” หรือ “เตือนเรื่องสุขภาพวันศุกร์” และสามารถให้คะแนนแต่ละการ์ดเพื่อปรับปรุงการแนะนำในอนาคต

    Pulse ไม่ได้มาแทนแหล่งข้อมูลเดิม แต่ทำหน้าที่เป็น “ผู้จัดการข้อมูล” ที่ช่วยกรองและเน้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในแต่ละวัน โดยมีระบบตรวจสอบความปลอดภัยในเนื้อหา และการเชื่อมต่อแอปทั้งหมดเป็นแบบ opt-in ผู้ใช้สามารถปิด Pulse ได้ทุกเมื่อใน Settings

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ChatGPT Pulse เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่เปลี่ยน ChatGPT จากผู้ตอบคำถามเป็นผู้ช่วยเชิงรุก
    ทำงานเบื้องหลังขณะผู้ใช้หลับ เพื่อสร้างสรุปประจำวันแบบการ์ดภาพ 5–10 ใบ
    ใช้ข้อมูลจากการสนทนา ความสนใจ และแอปที่เชื่อมต่อ เช่น Gmail และ Google Calendar
    การ์ดจะหายไปภายใน 24 ชั่วโมง เว้นแต่ผู้ใช้จะบันทึกหรือขอข้อมูลเพิ่มเติม
    ผู้ใช้สามารถปรับแต่งหัวข้อที่ต้องการผ่านปุ่ม “curate” และให้คะแนนการ์ดแต่ละใบ
    Pulse ใช้ระบบ Memory และ Feedback เพื่อปรับปรุงการแนะนำในอนาคต
    ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้เฉพาะผู้สมัครสมาชิก Pro ($200/เดือน) ผ่านแอปมือถือ
    มีแผนขยายไปยังผู้ใช้ Plus ($20/เดือน) และผู้ใช้ฟรีในอนาคต

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Pulse เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิด “Agentic AI” ที่ AI ทำงานเชิงรุกแทนการรอคำสั่ง
    การ์ดภาพช่วยลดการ scroll แบบไร้จุดหมาย และเน้นข้อมูลที่ actionable
    การเชื่อมต่อกับ Gmail และ Calendar ช่วยให้ Pulse เสนอแนะที่ตรงกับบริบทชีวิตจริง
    ผู้ใช้สามารถขอรายงานอัตโนมัติ เช่น “สรุปข่าวทีมฟุตบอลโปรด” หรือ “แผนเดินทางสำหรับครอบครัว”
    การทดสอบกับนักศึกษาพบว่า Pulse มีประโยชน์มากขึ้นเมื่อผู้ใช้กำหนดทิศทางการใช้งาน

    https://securityonline.info/chatgpt-pulse-arrives-the-proactive-ai-assistant-that-reshapes-your-morning-routine/
    🌅 “ChatGPT Pulse: ผู้ช่วย AI ที่ตื่นก่อนคุณ — เปลี่ยนทุกเช้าให้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของวันอัจฉริยะ” OpenAI เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน ChatGPT ชื่อว่า “ChatGPT Pulse” ซึ่งเปลี่ยนบทบาทของ AI จากผู้ตอบคำถาม มาเป็นผู้ช่วยส่วนตัวที่ “คิดล่วงหน้า” และส่งข้อมูลที่คุณต้องการก่อนที่คุณจะถามเสียอีก Pulse ทำงานเบื้องหลังขณะคุณหลับ โดยวิเคราะห์ประวัติการสนทนา ความสนใจ และข้อมูลจากแอปที่คุณเชื่อมต่อ เช่น Gmail และ Google Calendar เพื่อสร้างสรุปประจำวันในรูปแบบ “การ์ดภาพ” ที่อ่านง่ายและเน้นการลงมือทำ เช่น แจ้งเตือนงานที่ใกล้ถึง เสนอสูตรอาหารเย็น หรือเตือนให้คุณออกกำลังกายตามแผนที่เคยตั้งไว้ ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้งานเฉพาะผู้สมัครสมาชิก Pro ($200/เดือน) ผ่านแอปมือถือ โดย Pulse จะปรากฏเป็นแท็บใหม่ในแอป และอัปเดตทุกเช้า การ์ดจะหายไปภายใน 24 ชั่วโมง เว้นแต่คุณจะบันทึกไว้หรือขอข้อมูลเพิ่มเติม ผู้ใช้สามารถปรับแต่ง Pulse ได้ด้วยปุ่ม “curate” เพื่อระบุหัวข้อที่ต้องการ เช่น “อัปเดตข่าวเทคโนโลยีใน Bay Area” หรือ “เตือนเรื่องสุขภาพวันศุกร์” และสามารถให้คะแนนแต่ละการ์ดเพื่อปรับปรุงการแนะนำในอนาคต Pulse ไม่ได้มาแทนแหล่งข้อมูลเดิม แต่ทำหน้าที่เป็น “ผู้จัดการข้อมูล” ที่ช่วยกรองและเน้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในแต่ละวัน โดยมีระบบตรวจสอบความปลอดภัยในเนื้อหา และการเชื่อมต่อแอปทั้งหมดเป็นแบบ opt-in ผู้ใช้สามารถปิด Pulse ได้ทุกเมื่อใน Settings ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ChatGPT Pulse เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่เปลี่ยน ChatGPT จากผู้ตอบคำถามเป็นผู้ช่วยเชิงรุก ➡️ ทำงานเบื้องหลังขณะผู้ใช้หลับ เพื่อสร้างสรุปประจำวันแบบการ์ดภาพ 5–10 ใบ ➡️ ใช้ข้อมูลจากการสนทนา ความสนใจ และแอปที่เชื่อมต่อ เช่น Gmail และ Google Calendar ➡️ การ์ดจะหายไปภายใน 24 ชั่วโมง เว้นแต่ผู้ใช้จะบันทึกหรือขอข้อมูลเพิ่มเติม ➡️ ผู้ใช้สามารถปรับแต่งหัวข้อที่ต้องการผ่านปุ่ม “curate” และให้คะแนนการ์ดแต่ละใบ ➡️ Pulse ใช้ระบบ Memory และ Feedback เพื่อปรับปรุงการแนะนำในอนาคต ➡️ ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้เฉพาะผู้สมัครสมาชิก Pro ($200/เดือน) ผ่านแอปมือถือ ➡️ มีแผนขยายไปยังผู้ใช้ Plus ($20/เดือน) และผู้ใช้ฟรีในอนาคต ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Pulse เป็นส่วนหนึ่งของแนวคิด “Agentic AI” ที่ AI ทำงานเชิงรุกแทนการรอคำสั่ง ➡️ การ์ดภาพช่วยลดการ scroll แบบไร้จุดหมาย และเน้นข้อมูลที่ actionable ➡️ การเชื่อมต่อกับ Gmail และ Calendar ช่วยให้ Pulse เสนอแนะที่ตรงกับบริบทชีวิตจริง ➡️ ผู้ใช้สามารถขอรายงานอัตโนมัติ เช่น “สรุปข่าวทีมฟุตบอลโปรด” หรือ “แผนเดินทางสำหรับครอบครัว” ➡️ การทดสอบกับนักศึกษาพบว่า Pulse มีประโยชน์มากขึ้นเมื่อผู้ใช้กำหนดทิศทางการใช้งาน https://securityonline.info/chatgpt-pulse-arrives-the-proactive-ai-assistant-that-reshapes-your-morning-routine/
    SECURITYONLINE.INFO
    ChatGPT Pulse Arrives: The Proactive AI Assistant That Reshapes Your Morning Routine
    OpenAI's new ChatGPT Pulse feature delivers daily, personalized updates based on your interests, chats, and calendar. The proactive AI assistant is now available for Pro users.
    0 Comments 0 Shares 178 Views 0 Reviews
  • ฝรั่งเศสและอังกฤษ ยุคนี้2ชาตินี้สมควรถูกลบออกจากแผนที่โลกจริงๆ,จีน รัสเชีย อิหร่าน สมควรยิงขีปนาวุธเข้าทำลาย2ประเทศนี้ก่อนตบหน้าชาติยุโรปอย่างแรงได้,เหยียบหัวฝรั่งที่ชอบล่าล้างทำลายชาติอื่นไปทั่วโลกหลังฉากด้วยหรืออยู่เบื้องหลังทั้งหมดเช่นกันจนถึงปัจจุบัน
    ฝรั่งเศสและอังกฤษ ยุคนี้2ชาตินี้สมควรถูกลบออกจากแผนที่โลกจริงๆ,จีน รัสเชีย อิหร่าน สมควรยิงขีปนาวุธเข้าทำลาย2ประเทศนี้ก่อนตบหน้าชาติยุโรปอย่างแรงได้,เหยียบหัวฝรั่งที่ชอบล่าล้างทำลายชาติอื่นไปทั่วโลกหลังฉากด้วยหรืออยู่เบื้องหลังทั้งหมดเช่นกันจนถึงปัจจุบัน
    0 Comments 0 Shares 76 Views 0 Reviews
More Results