• 💥 ผู้เปิดโปงการฆาตกรรมในโรงพยาบาลเพื่อเงิน
    -->>
    https://rumble.com/v1s6cs0--the-sequel-to-the-fall-of-the-cabal-part-23-covid-19-whistleblowers-about-.html

    💥 โรงพยาบาลที่เกิดเหตุฆาตกรรม:
    พยาบาลและแพทย์
    กำลังเฉลิมฉลองและเต้นรำ ไม่ใช่ PANDEMIE มันเป็นเพียงการแสดงหลอกลวง
    -->>
    https://rumble.com/v1ikuct-plandemic-we-will-not-forget.html

    💥 Eva Vlaardingerbroek: ไม่ใช่เวลาสำหรับการให้อภัย แต่เป็นเวลาสำหรับความยุติธรรม!!! จบ! -->>
    https://rumble.com/v1twbm0-no-amnesty-nuremberg-code-active.html

    💥 Amazing Polly : Pandemic Amnisty? ไม่มีทางในนรกหรอก
    -->> https://rumble.com/v1r2vk4-amazing-polly-pandemic-amnisty-not-a-chance-in-hell.html

    ไม่มีข้อตกลง

    ไม่มีนิรโทษกรรม

    หมายเหตุ:
    ส่วนใหญ่เป็นโคลน หรือโดนโดรน/ปลอมแปลง

    "ฉันแค่ทำตามคำสั่ง" จะไม่ช่วยคุณในวันพิพากษา

    นักการเมือง เจ้าของธุรกิจ พนักงาน แพทย์ พยาบาล MSM นักข่าว ผู้มีอิทธิพล และทุกคน

    ทางเลือกเป็นของคุณ ต้องรับผิดชอบ!
    ประมวลกฎหมายนูเรมเบิร์กมีผลบังคับใช้
    โทษประหารชีวิตสำหรับ
    >>อาชญากรรมร้ายแรง
    >>การกบฏ
    >>อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ

    สนับสนุนโดย
    @GitmoTV
    @TRIBUNALSforJUSTICE
    💥 ผู้เปิดโปงการฆาตกรรมในโรงพยาบาลเพื่อเงิน -->> https://rumble.com/v1s6cs0--the-sequel-to-the-fall-of-the-cabal-part-23-covid-19-whistleblowers-about-.html 💥 โรงพยาบาลที่เกิดเหตุฆาตกรรม: พยาบาลและแพทย์ กำลังเฉลิมฉลองและเต้นรำ ไม่ใช่ PANDEMIE มันเป็นเพียงการแสดงหลอกลวง -->> https://rumble.com/v1ikuct-plandemic-we-will-not-forget.html 💥 Eva Vlaardingerbroek: ไม่ใช่เวลาสำหรับการให้อภัย แต่เป็นเวลาสำหรับความยุติธรรม!!! จบ! -->> https://rumble.com/v1twbm0-no-amnesty-nuremberg-code-active.html 💥 Amazing Polly : Pandemic Amnisty? ไม่มีทางในนรกหรอก -->> https://rumble.com/v1r2vk4-amazing-polly-pandemic-amnisty-not-a-chance-in-hell.html ไม่มีข้อตกลง ไม่มีนิรโทษกรรม หมายเหตุ: ส่วนใหญ่เป็นโคลน หรือโดนโดรน/ปลอมแปลง "ฉันแค่ทำตามคำสั่ง" จะไม่ช่วยคุณในวันพิพากษา นักการเมือง เจ้าของธุรกิจ พนักงาน แพทย์ พยาบาล MSM นักข่าว ผู้มีอิทธิพล และทุกคน ทางเลือกเป็นของคุณ ต้องรับผิดชอบ! ประมวลกฎหมายนูเรมเบิร์กมีผลบังคับใช้ โทษประหารชีวิตสำหรับ >>อาชญากรรมร้ายแรง >>การกบฏ >>อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ สนับสนุนโดย @GitmoTV @TRIBUNALSforJUSTICE
    0 Comments 0 Shares 28 Views 0 Reviews
  • "อัจฉริยะ !"

    สำหรับตัวผมแล้ว ถ้าพูดถึงนักเขียนญี่ปุ่นที่เป็นปรมาจารย์ด้านการเล่าเรื่อง และการบรรยายที่สร้างบรรยากาศที่หลอน ๆ สั่นประสาท ความดำมืดและวิปริตของจิตใจของตัวฆาตกรร้าย รวมถึงความรู้สึกเย็บวาบ ขนลุกซู่เมื่ออ่านไปเรื่อย ๆ ที่มีความโดดเด่นแล้ว ชื่อที่นึกถึงเป็นอันดับแรกเลยคือ เอโดะงะวะ รัมโปะ ตามมาด้วย โยโคมิโซะ เซชิ

    #ลายนิ้วมือปีศาจ คืออีกหนึ่งผลงานที่ยืนยันข้อความข้างต้น

    สนพ.เจคลาส
    ผู้เขียน เอโดะงาวะ รัมโปะ
    ผู้แปล ทินภาส พาหะนิชย์
    พิมพ์ เม.ย.2561
    230 บาท 226 หน้า

    เมื่อเกิดคดีฆาตกรรมไม่คาดฝันขึ้น โดยเหยื่อรายแรกเป็นผู้ช่วยงานของนักสืบเอกชนผู้มีชื่อเสียงนามว่า ดร.มุนะกะตะ ซึ่งมีความสามารถและเชี่ยวชาญทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ ชื่อเสียงควบคู่มากับยอดนักสืบเอกอะเกะชิ โคะโงะโร เรื่องราวจึงไม่ธรรมดา แต่เป็นคดีที่มีความยอกย้อนซ่อนเงื่อน และคนร้ายมีวิธีการที่น่ากลัวกว่าฆาตกรทั่วไปอย่างเทียบไม่ได้

    เนื่องจาก นักสืบอะเกะชิที่เป็นเพื่อนและรู้จักกับสารวัตรนะกะมุระแห่งกรมตำรวจนครบาลโตเกียวไม่ว่าง ติดภารกิจที่ต่างแดน จึงเป็นหน้าที่ของ ดร.มุนะกะตะ ที่ต้องออกโรง ทั้งเพื่อล้างอายตนเองที่ไม่สามารถช่วยลูกน้องได้ และเพื่อชื่อเสียงในฐานะนักสืบของตนไม่ให้มัวหมอง เขาจึงเริ่มตามสืบหาตัวคนร้าย ที่ส่งข้อความมาถึง เศรษฐีนักธุรกิจผู้หนึ่งที่มีกิจการค้าของตนเองนาม คะวะเตะ โชตะโร ระบุชัดว่ามีเป้าหมายเพื่อต้องการฆ่าล้างแค้นคนในครอบครัวของเขาทั้งหมด 3 ชีวิต คือตัวคะวะเตะ และลูกสาวอีกสองคนที่เติบโตเป็นสาวสวยแล้ว โดยเขาก็นึกไม่ออกว่าได้สร้างความโกรธแค้นให้เกิดแก่ใครจนถึงขั้นจ้องจะทำลายล้างตระกูลให้ไม่เหลือสักคนเดียว

    แม้นว่า ดร.มุนะกะตะ จะได้หลักฐานสำคัญที่พบจากซองเอกสารที่ผู้ช่วยชายพยายามจะส่งให้ถึงมือเขา ก่อนจะถูกวางยาพิษเสียชีวิต เป็นรอยนิ้วมือที่คาดว่าน่าจะเป็นของผู้ที่กำลังวางแผนฆ่าครอบครัวคะวะเตะ เป็นรอยนิ้วประหลาดน่าขนลุกที่มีลักษณะคล้ายก้นหอย3วง จึงพยายามตามสืบจากเบาะแสดังกล่าว โดยมอบหมายให้ผู้ช่วยชายอีกคนไปดำเนินการ ไม่นานต่อมาลูกสาวทั้งสองของผู้ว่าจ้างกลับพบชะตากรรมดำมืด กลายเป็นเหยื่อถูกฆ่าตายไปทีละคนอย่างน่าพิศวง ทั้งที่มีตำรวจจำนวนมาก และนักสืบคอยเฝ้ายามรักษาความปลอดภัยให้อย่างรัดกุมแน่นหนา

    นี่..ไม่น่าเป็นไปได้ ฆาตกรทำอย่างไร จึงสามารถราวกับภูติผีปีศาจ แถมยังหยามน้ำหน้านักสืบด้วยการทิ้งรอยนิ้วมือที่มีก้นหอย3วงเอาไว้ในหลายวาระ ดร.มุนะกะตะเหมือนถูกคนร้ายนำหน้าหนึ่งก้าวเสมอ สถานการณ์เลวร้ายลง คะวะตะเองนั้นทั้งเศร้าเสียใจและตื่นกลัวอย่างมาก ความแค้นใดในอดีต ที่ฝังแน่นในจิตใจของฆาตกร จนถึงขั้นวางแผนเพื่อจะกำจัดตระกูลของเขาให้สิ้นซาก หลังฆ่าเหยื่อแล้วยังจัดแสดงศพเพื่อหวังให้สาธารณะพบเห็นเป็นการประจานอย่างอำมหิต แต่ในที่สุดฆาตกรก็ไม่อาจรอดพ้นฝีมือในการสืบสวนและแกะรอยของดร.มุนะกะตะ จนสามารถปิดคดีลงได้ แม้จะมีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีกถึง 3 รายก็ตาม

    แต่เรื่องราวกลับไม่จบลงง่ายดายเพียงนั้น หลังจากนักสืบอะเกะชิเสร็จจากภารกิจกลับมา และได้รับทราบเรื่องราวทั้งหมดจากคำบอกเล่าของสารวัตรนะกะมุระ เขาจึงเริ่มดำเนินการสืบสวนในแบบฉบับของตนอย่างลับ ๆ และได้ข้อสรุปที่มีมุมมองต่อคดีนี้แตกต่างไปจากของตำรวจและ ดร.มุนะกะตะโดยสิ้นเชิง อาเกะชิเชื่อว่าคดียังไม่จบ คนร้ายตัวจริงยังลอยนวล แล้วที่แท้ได้เกิดอะไรขึ้นกับเหยื่อทั้งหมดที่สูญเสียไปกันแน่ ตกลงความจริงคือ..ใครกันที่สืบสวนผิดพลาดระหว่าง ดร.มุนะกะตะ กับอาเกะชิ

    นี่คืออีกหนึ่งสุดยอดของความร้ายกาจ กับความจงเกลียดจงชังเข้าขั้นหมกมุ่น และอาฆาตพยาบาทรุนแรงที่สุดคดีหนึ่งเท่าที่ผมเคยได้อ่านมา

    🖋หลังอ่านจบ

    โคตรน่าทึ่ง...คงต้องใช้คำนี้ ไม่นึกว่าผู้เขียนจะบรรจงสร้างโครงเรื่องที่ดูเหมือนเป็นการฆ่าล้างแค้นที่พบได้ในนิยายแนวสืบสวนฆาตกรรมทั่วไป ให้มีความแตกต่างอย่างมีเอกลักษณ์ และชั้นเชิงลูกเล่นเทคนิกแพรวพรายได้ขนาดนี้ ดูเหมือนคนร้ายแทบจะไม่ได้ใช้หรืออาศัยความรู้เฉพาะทางพิเศษใดในวิธีการลงมือฆ่าเหยื่อ เพียงอาศัยเรื่องที่ดูธรรมดาสามัญที่สุด มาสร้างขึ้นเป็นกำดักทางจิตใจ หลอกทั้งตัวละครนักสืบในเรื่องและหลอกคนอ่านได้อย่างแนบเนียน แม้นจะมีวางจุดสังเกตที่ชวนให้คิดด้วยความน่าฉงนตามรายทางเป็นระยะ ซึ่งหากใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนดี ๆ อาจพอจะเริ่มจับจุดและสังเกตเห็นบางอย่าง แต่ถ้าอ่านแบบขี้เกียจคิดให้วุ่นวาย แค่ตามเรื่องราวไปเรื่อย ๆ พอถึงช่วงเฉลยจะส่งผลให้ชวนอัศจรรย์ใจเพิ่มขึ้น ในส่วนของการดำเนินเรื่องตั้งแต่เริ่มต้นจนตลอดทางถึงตอนจบ ไม่มีความน่าเบื่อปรากฏให้เห็น มีแต่สร้างความรู้สึกอยากรู้ ชวนลุ้น เอาใจช่วยให้เหยื่อรอดพ้น และนักสืบจับคนร้ายได้โดยไว ขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะสยิวไปกับบรรยากาศแห่งความไม่น่าไว้ใจ ปริศนาที่ราวกับลูกเล่นหรือมายากลของปีศาจฆาตกร ความโรคจิตขั้นรุนแรงชวนสะอิดสะเอียนที่เลือดเย็น ปนเปกับความรู้สึกอกสั่นขวัญบิน เมื่อนึกถึงแผนการอันชั่วร้ายที่ถูกวางแผนมาอย่างยาวนานหลายสิบปี ตอนนี้ดีที่ไม่ยาวมาก เรียกว่าเนื้อหากำลังเหมาะ

    เอโดะงาวะมีความสามารถในการสร้างปมตัวร้ายที่น่าเศร้าระคนน่ารังเกียจ ไปจนถึงขั้นน่าเกลียดได้อย่างถึงแก่น ราวกับว่าเขาสามารถมองทะลุเห็นถึงสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายในของบุคคลธรรมดา ที่ภายนอกดูไม่เหมือนจะเป็นคนร้ายได้เลยนำมาใช้เป็นวัตถุดิบชั้นดี แต่ทั้งอย่างนั้นชีวิตเบื้องหลังที่ถูกแต่งแต้มขึ้นก็ช่างสมจริง จนทำให้รู้สึกสงสารในชะตากรรมรันทดของผู้ก่ออาชญากรรมด้วยเช่นกัน เมื่อบวกกับสไตล์ที่เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร ในการเล่าเรื่องเสมือนประหนึ่งตัวเองกำลังนั่งชวนคุยกับคนอ่านในวงล้อมรอบกองไฟยามดึกสงัด และรู้จักการหยอดถ้อยคำบางช่วงตอนที่ยิ่งสร้างอารมณ์ให้คนที่กำลังติดตามเรื่องเล่าของเขาอย่างจดจ่อ เกิดความตื่นเต้นตึงเตรียดไปด้วยแล้ว ก็ยิ่งเป็นความน่าหลงใหลอันชวนให้ไม่อยากลุกไปไหนหรือทำอิริยาบถใดอื่น นอกจากฟังสิ่งที่เขาเล่าต่อจนจบเรื่อง ใจที่เขม็งเกลียวจนแน่นจึงคลายออกและปลอดโปร่งในที่สุด เรื่องนี้ก็เป็นเช่นที่ว่ามานี้ แม้นถูกเขียนมานานกว่า 80 ปี แต่อ่านในยุคปัจจุบันยังคงได้อรรถรส สาระความบันเทิงไม่ด้อยกว่าเรื่องที่แต่งโดยนักเขียนรุ่นใหม่ยุคหลังเลย

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    และอะเกะชิเองก็สมกับความเป็นยอดนักสืบเอกโดยแท้ บุคลิกที่ดูน่าเกรงขามในยามที่ต้องแสดงออกถึงอำนาจให้คนอื่นเห็น แต่ก็ขี้เล่น หัวเราะง่ายยิ้มง่าย ช่วยทำให้ผู้ฟังผ่อนคลาย อีกทั้งวาทศิลป์ในการเลือกใช้คำพูดให้เข้ากับสถานการณ์ก็ยอดเยี่ยม ประกอบกับไหวพริบความช่างสังเกตในการแยกแยะและประมวลผลข้อมูล เห็นถึงจุดอื่นที่คนทั้งหลายไม่ทันเห็นหรือมองข้ามไป ล้วนเป็นคุณสมบัติและภาพลักษณ์ที่น่าจดจำ แม้นจะปรากฏตัวมาในช่วงท้ายใกล้จบ แต่มีบทบาทสำคัญยิ่งที่ส่งผลต่อการพลิกโฉมของคดีนี้ที่สุด

    สำหรับใครที่ยังไม่เคยอ่านงานของรัมโปะมาก่อนเลย เริ่มต้นด้วย "ลายนิ้วมือปีศาจ" ก็ไม่เลวครับ

    ป.ล. พบความผิดพลาดในการพิมพ์หนึ่งจุด

    #thaitimes
    #เอโดะงาวะรัมโปะ
    #ฆาตกรรม
    #สืบสวน
    #นิยายแปล
    #นิยายญี่ปุ่น
    #หนังสือน่าอ่าน
    #ล้างแค้น
    #นักสืบ
    #รีวิวหนังสือ
    #วิจารณ์หนังสือ
    "อัจฉริยะ !" สำหรับตัวผมแล้ว ถ้าพูดถึงนักเขียนญี่ปุ่นที่เป็นปรมาจารย์ด้านการเล่าเรื่อง และการบรรยายที่สร้างบรรยากาศที่หลอน ๆ สั่นประสาท ความดำมืดและวิปริตของจิตใจของตัวฆาตกรร้าย รวมถึงความรู้สึกเย็บวาบ ขนลุกซู่เมื่ออ่านไปเรื่อย ๆ ที่มีความโดดเด่นแล้ว ชื่อที่นึกถึงเป็นอันดับแรกเลยคือ เอโดะงะวะ รัมโปะ ตามมาด้วย โยโคมิโซะ เซชิ #ลายนิ้วมือปีศาจ คืออีกหนึ่งผลงานที่ยืนยันข้อความข้างต้น สนพ.เจคลาส ผู้เขียน เอโดะงาวะ รัมโปะ ผู้แปล ทินภาส พาหะนิชย์ พิมพ์ เม.ย.2561 230 บาท 226 หน้า เมื่อเกิดคดีฆาตกรรมไม่คาดฝันขึ้น โดยเหยื่อรายแรกเป็นผู้ช่วยงานของนักสืบเอกชนผู้มีชื่อเสียงนามว่า ดร.มุนะกะตะ ซึ่งมีความสามารถและเชี่ยวชาญทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ ชื่อเสียงควบคู่มากับยอดนักสืบเอกอะเกะชิ โคะโงะโร เรื่องราวจึงไม่ธรรมดา แต่เป็นคดีที่มีความยอกย้อนซ่อนเงื่อน และคนร้ายมีวิธีการที่น่ากลัวกว่าฆาตกรทั่วไปอย่างเทียบไม่ได้ เนื่องจาก นักสืบอะเกะชิที่เป็นเพื่อนและรู้จักกับสารวัตรนะกะมุระแห่งกรมตำรวจนครบาลโตเกียวไม่ว่าง ติดภารกิจที่ต่างแดน จึงเป็นหน้าที่ของ ดร.มุนะกะตะ ที่ต้องออกโรง ทั้งเพื่อล้างอายตนเองที่ไม่สามารถช่วยลูกน้องได้ และเพื่อชื่อเสียงในฐานะนักสืบของตนไม่ให้มัวหมอง เขาจึงเริ่มตามสืบหาตัวคนร้าย ที่ส่งข้อความมาถึง เศรษฐีนักธุรกิจผู้หนึ่งที่มีกิจการค้าของตนเองนาม คะวะเตะ โชตะโร ระบุชัดว่ามีเป้าหมายเพื่อต้องการฆ่าล้างแค้นคนในครอบครัวของเขาทั้งหมด 3 ชีวิต คือตัวคะวะเตะ และลูกสาวอีกสองคนที่เติบโตเป็นสาวสวยแล้ว โดยเขาก็นึกไม่ออกว่าได้สร้างความโกรธแค้นให้เกิดแก่ใครจนถึงขั้นจ้องจะทำลายล้างตระกูลให้ไม่เหลือสักคนเดียว แม้นว่า ดร.มุนะกะตะ จะได้หลักฐานสำคัญที่พบจากซองเอกสารที่ผู้ช่วยชายพยายามจะส่งให้ถึงมือเขา ก่อนจะถูกวางยาพิษเสียชีวิต เป็นรอยนิ้วมือที่คาดว่าน่าจะเป็นของผู้ที่กำลังวางแผนฆ่าครอบครัวคะวะเตะ เป็นรอยนิ้วประหลาดน่าขนลุกที่มีลักษณะคล้ายก้นหอย3วง จึงพยายามตามสืบจากเบาะแสดังกล่าว โดยมอบหมายให้ผู้ช่วยชายอีกคนไปดำเนินการ ไม่นานต่อมาลูกสาวทั้งสองของผู้ว่าจ้างกลับพบชะตากรรมดำมืด กลายเป็นเหยื่อถูกฆ่าตายไปทีละคนอย่างน่าพิศวง ทั้งที่มีตำรวจจำนวนมาก และนักสืบคอยเฝ้ายามรักษาความปลอดภัยให้อย่างรัดกุมแน่นหนา นี่..ไม่น่าเป็นไปได้ ฆาตกรทำอย่างไร จึงสามารถราวกับภูติผีปีศาจ แถมยังหยามน้ำหน้านักสืบด้วยการทิ้งรอยนิ้วมือที่มีก้นหอย3วงเอาไว้ในหลายวาระ ดร.มุนะกะตะเหมือนถูกคนร้ายนำหน้าหนึ่งก้าวเสมอ สถานการณ์เลวร้ายลง คะวะตะเองนั้นทั้งเศร้าเสียใจและตื่นกลัวอย่างมาก ความแค้นใดในอดีต ที่ฝังแน่นในจิตใจของฆาตกร จนถึงขั้นวางแผนเพื่อจะกำจัดตระกูลของเขาให้สิ้นซาก หลังฆ่าเหยื่อแล้วยังจัดแสดงศพเพื่อหวังให้สาธารณะพบเห็นเป็นการประจานอย่างอำมหิต แต่ในที่สุดฆาตกรก็ไม่อาจรอดพ้นฝีมือในการสืบสวนและแกะรอยของดร.มุนะกะตะ จนสามารถปิดคดีลงได้ แม้จะมีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีกถึง 3 รายก็ตาม แต่เรื่องราวกลับไม่จบลงง่ายดายเพียงนั้น หลังจากนักสืบอะเกะชิเสร็จจากภารกิจกลับมา และได้รับทราบเรื่องราวทั้งหมดจากคำบอกเล่าของสารวัตรนะกะมุระ เขาจึงเริ่มดำเนินการสืบสวนในแบบฉบับของตนอย่างลับ ๆ และได้ข้อสรุปที่มีมุมมองต่อคดีนี้แตกต่างไปจากของตำรวจและ ดร.มุนะกะตะโดยสิ้นเชิง อาเกะชิเชื่อว่าคดียังไม่จบ คนร้ายตัวจริงยังลอยนวล แล้วที่แท้ได้เกิดอะไรขึ้นกับเหยื่อทั้งหมดที่สูญเสียไปกันแน่ ตกลงความจริงคือ..ใครกันที่สืบสวนผิดพลาดระหว่าง ดร.มุนะกะตะ กับอาเกะชิ นี่คืออีกหนึ่งสุดยอดของความร้ายกาจ กับความจงเกลียดจงชังเข้าขั้นหมกมุ่น และอาฆาตพยาบาทรุนแรงที่สุดคดีหนึ่งเท่าที่ผมเคยได้อ่านมา 🖋หลังอ่านจบ โคตรน่าทึ่ง...คงต้องใช้คำนี้ ไม่นึกว่าผู้เขียนจะบรรจงสร้างโครงเรื่องที่ดูเหมือนเป็นการฆ่าล้างแค้นที่พบได้ในนิยายแนวสืบสวนฆาตกรรมทั่วไป ให้มีความแตกต่างอย่างมีเอกลักษณ์ และชั้นเชิงลูกเล่นเทคนิกแพรวพรายได้ขนาดนี้ ดูเหมือนคนร้ายแทบจะไม่ได้ใช้หรืออาศัยความรู้เฉพาะทางพิเศษใดในวิธีการลงมือฆ่าเหยื่อ เพียงอาศัยเรื่องที่ดูธรรมดาสามัญที่สุด มาสร้างขึ้นเป็นกำดักทางจิตใจ หลอกทั้งตัวละครนักสืบในเรื่องและหลอกคนอ่านได้อย่างแนบเนียน แม้นจะมีวางจุดสังเกตที่ชวนให้คิดด้วยความน่าฉงนตามรายทางเป็นระยะ ซึ่งหากใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนดี ๆ อาจพอจะเริ่มจับจุดและสังเกตเห็นบางอย่าง แต่ถ้าอ่านแบบขี้เกียจคิดให้วุ่นวาย แค่ตามเรื่องราวไปเรื่อย ๆ พอถึงช่วงเฉลยจะส่งผลให้ชวนอัศจรรย์ใจเพิ่มขึ้น ในส่วนของการดำเนินเรื่องตั้งแต่เริ่มต้นจนตลอดทางถึงตอนจบ ไม่มีความน่าเบื่อปรากฏให้เห็น มีแต่สร้างความรู้สึกอยากรู้ ชวนลุ้น เอาใจช่วยให้เหยื่อรอดพ้น และนักสืบจับคนร้ายได้โดยไว ขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะสยิวไปกับบรรยากาศแห่งความไม่น่าไว้ใจ ปริศนาที่ราวกับลูกเล่นหรือมายากลของปีศาจฆาตกร ความโรคจิตขั้นรุนแรงชวนสะอิดสะเอียนที่เลือดเย็น ปนเปกับความรู้สึกอกสั่นขวัญบิน เมื่อนึกถึงแผนการอันชั่วร้ายที่ถูกวางแผนมาอย่างยาวนานหลายสิบปี ตอนนี้ดีที่ไม่ยาวมาก เรียกว่าเนื้อหากำลังเหมาะ เอโดะงาวะมีความสามารถในการสร้างปมตัวร้ายที่น่าเศร้าระคนน่ารังเกียจ ไปจนถึงขั้นน่าเกลียดได้อย่างถึงแก่น ราวกับว่าเขาสามารถมองทะลุเห็นถึงสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายในของบุคคลธรรมดา ที่ภายนอกดูไม่เหมือนจะเป็นคนร้ายได้เลยนำมาใช้เป็นวัตถุดิบชั้นดี แต่ทั้งอย่างนั้นชีวิตเบื้องหลังที่ถูกแต่งแต้มขึ้นก็ช่างสมจริง จนทำให้รู้สึกสงสารในชะตากรรมรันทดของผู้ก่ออาชญากรรมด้วยเช่นกัน เมื่อบวกกับสไตล์ที่เฉพาะตัวไม่เหมือนใคร ในการเล่าเรื่องเสมือนประหนึ่งตัวเองกำลังนั่งชวนคุยกับคนอ่านในวงล้อมรอบกองไฟยามดึกสงัด และรู้จักการหยอดถ้อยคำบางช่วงตอนที่ยิ่งสร้างอารมณ์ให้คนที่กำลังติดตามเรื่องเล่าของเขาอย่างจดจ่อ เกิดความตื่นเต้นตึงเตรียดไปด้วยแล้ว ก็ยิ่งเป็นความน่าหลงใหลอันชวนให้ไม่อยากลุกไปไหนหรือทำอิริยาบถใดอื่น นอกจากฟังสิ่งที่เขาเล่าต่อจนจบเรื่อง ใจที่เขม็งเกลียวจนแน่นจึงคลายออกและปลอดโปร่งในที่สุด เรื่องนี้ก็เป็นเช่นที่ว่ามานี้ แม้นถูกเขียนมานานกว่า 80 ปี แต่อ่านในยุคปัจจุบันยังคงได้อรรถรส สาระความบันเทิงไม่ด้อยกว่าเรื่องที่แต่งโดยนักเขียนรุ่นใหม่ยุคหลังเลย . . . . . . . . . . . และอะเกะชิเองก็สมกับความเป็นยอดนักสืบเอกโดยแท้ บุคลิกที่ดูน่าเกรงขามในยามที่ต้องแสดงออกถึงอำนาจให้คนอื่นเห็น แต่ก็ขี้เล่น หัวเราะง่ายยิ้มง่าย ช่วยทำให้ผู้ฟังผ่อนคลาย อีกทั้งวาทศิลป์ในการเลือกใช้คำพูดให้เข้ากับสถานการณ์ก็ยอดเยี่ยม ประกอบกับไหวพริบความช่างสังเกตในการแยกแยะและประมวลผลข้อมูล เห็นถึงจุดอื่นที่คนทั้งหลายไม่ทันเห็นหรือมองข้ามไป ล้วนเป็นคุณสมบัติและภาพลักษณ์ที่น่าจดจำ แม้นจะปรากฏตัวมาในช่วงท้ายใกล้จบ แต่มีบทบาทสำคัญยิ่งที่ส่งผลต่อการพลิกโฉมของคดีนี้ที่สุด สำหรับใครที่ยังไม่เคยอ่านงานของรัมโปะมาก่อนเลย เริ่มต้นด้วย "ลายนิ้วมือปีศาจ" ก็ไม่เลวครับ ป.ล. พบความผิดพลาดในการพิมพ์หนึ่งจุด #thaitimes #เอโดะงาวะรัมโปะ #ฆาตกรรม #สืบสวน #นิยายแปล #นิยายญี่ปุ่น #หนังสือน่าอ่าน #ล้างแค้น #นักสืบ #รีวิวหนังสือ #วิจารณ์หนังสือ
    0 Comments 0 Shares 308 Views 0 Reviews
  • ..ประเทศไทยเราน่าจะถึงเวลาแล้วที่ประชาชนคนไทยโดยเฉพาะผู้ไปฉีดวัคซีนโควิด19กับบรรดาหมอทัังหมดที่เกี่ยวข้องไปร่วมกันหรือยื่นฟ้องหมอทั้งหมดโดยเฉพาะระดับชาติ สภาฯหมอๆทั้งหมดสมควรโดนถูกถอดถอนใบอนุญาตวิชาชีพหมอ&พยาบาล ที่ผิดจรรญาบรรณในวิชาชีพอย่างร้ายแรง จนถึงปัจจุบันหัวหอกชนชั้นนำพวกหมอระดับต้นๆของไทยยังไม่ออกมายอมรับความจริงว่าคนไทยเจ็บป่วยจริงและตายจริงมากมายจากผลของวัคซีนที่ฉีดกันไป,หมอพวกนีัรับคำสั่งจากส่วนกลางสภาฯหมอ และสมควรรับผิดชอบร่วมกันทั้งหมดโดยเฉพาะระดับผอ.โรงพยาบาลทุกๆจังหวัดทั้งระดับอำเภอที่มีโรงพยาบาลด้วย,ไม่ซื่อสัตย์ต่อคนไข้ต่อวิชาชีพตนเองอย่างร้ายแรงขาดปัญญาความสามารถแยกแยะถูกผิดดีชั่วอย่างผิดคุณธรรม&จริยธรรมร้ายแรงซึ่งด้วยระดับสมองมีมันสมองเล่าเรียนสูงๆย่อมไม่สมควรกระจอก&กากในการรับรู้ข่าวข้อมูลทั้งทางในประเทศตนเองและข่าวสารมากมายจากต่างประเทศที่มีความจริงรอบโลกที่เปิดกว้างทางเสรีข้อมูลข่าวสารในยุคล้ำขนาดนี้แต่กาก&กระจอกด้อยทางปัญญารับรู้อัพเดททางวงการโรคมาก,ถูกว่าไม่สมควรมาทำอาชีพแพทย์&พยาบาลนี้อีกเลย,ไร้จริยธรรมความเป็นหมอเป็นพยายาลอย่างร้ายแรง ไม่สนใจการตายของชีวิตคนไทย,เมื่อโง่ไม่แสวงหามูลต้นเหตุของโรค หมอก็ย่อมไร้ความสามารถรักษาโรคอย่างตรงจุดชัดเจนเพราะไม่มีปัญญาหาสาเหตุที่แท้จริงได้เสมือนหาปมเงื่อนแก้ไม่เจอจะแก้เงื่อนเชือกเป็นก็ผีบ้ามากๆ,คือโง่ที่หาปมเงื่อนไม่เจอยังแสดงความฉลาดโง่รักษาแบบผีๆบ้าๆไปทั่วนั้นเอง,ไม่สมควรเป็นหมอเป็นพยาบาลอีกต่อไป,ทั้งไม่ยอมรับค่าความจริง ไม่ประกาศความจริงอีก ปกปิดชัดเจนอย่างเจตนาทางชั่วเลวร้ายแรงเสมือนฆาตกรซ่อนเร่นอำพรางศพมิให้ตำรวจดำเนินคดีตนได้,นี้คือการก่ออาชญากรรม&ฆาตกรรมหมู่คนไทยชัดเจน,เบื้องต้นต้องยกเลิกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพหมอและพยาบาลถูกต้องที่สุดจากชนชั้นหมอหัวหอกระดับบนทั้งหมดก่อน,เพราะอาจารย์หมอมากมายหลายท่านทำไมจึงเข้าถึงค่าจริงได้ในช่วงเวลาเสมอเดียวกัน,เช่นนั้นพวกนี้ที่ชั่วเลวทั้งหมดต้องออกจากวงการชีวิตคนไข้ไปทั้งหมด,ให้คนดีๆมาทำหน้าที่แทนเพื่อดำรงวิชาชีพที่ดีงามนี้ต่อไป.
    ..ประเทศไทยเราน่าจะถึงเวลาแล้วที่ประชาชนคนไทยโดยเฉพาะผู้ไปฉีดวัคซีนโควิด19กับบรรดาหมอทัังหมดที่เกี่ยวข้องไปร่วมกันหรือยื่นฟ้องหมอทั้งหมดโดยเฉพาะระดับชาติ สภาฯหมอๆทั้งหมดสมควรโดนถูกถอดถอนใบอนุญาตวิชาชีพหมอ&พยาบาล ที่ผิดจรรญาบรรณในวิชาชีพอย่างร้ายแรง จนถึงปัจจุบันหัวหอกชนชั้นนำพวกหมอระดับต้นๆของไทยยังไม่ออกมายอมรับความจริงว่าคนไทยเจ็บป่วยจริงและตายจริงมากมายจากผลของวัคซีนที่ฉีดกันไป,หมอพวกนีัรับคำสั่งจากส่วนกลางสภาฯหมอ และสมควรรับผิดชอบร่วมกันทั้งหมดโดยเฉพาะระดับผอ.โรงพยาบาลทุกๆจังหวัดทั้งระดับอำเภอที่มีโรงพยาบาลด้วย,ไม่ซื่อสัตย์ต่อคนไข้ต่อวิชาชีพตนเองอย่างร้ายแรงขาดปัญญาความสามารถแยกแยะถูกผิดดีชั่วอย่างผิดคุณธรรม&จริยธรรมร้ายแรงซึ่งด้วยระดับสมองมีมันสมองเล่าเรียนสูงๆย่อมไม่สมควรกระจอก&กากในการรับรู้ข่าวข้อมูลทั้งทางในประเทศตนเองและข่าวสารมากมายจากต่างประเทศที่มีความจริงรอบโลกที่เปิดกว้างทางเสรีข้อมูลข่าวสารในยุคล้ำขนาดนี้แต่กาก&กระจอกด้อยทางปัญญารับรู้อัพเดททางวงการโรคมาก,ถูกว่าไม่สมควรมาทำอาชีพแพทย์&พยาบาลนี้อีกเลย,ไร้จริยธรรมความเป็นหมอเป็นพยายาลอย่างร้ายแรง ไม่สนใจการตายของชีวิตคนไทย,เมื่อโง่ไม่แสวงหามูลต้นเหตุของโรค หมอก็ย่อมไร้ความสามารถรักษาโรคอย่างตรงจุดชัดเจนเพราะไม่มีปัญญาหาสาเหตุที่แท้จริงได้เสมือนหาปมเงื่อนแก้ไม่เจอจะแก้เงื่อนเชือกเป็นก็ผีบ้ามากๆ,คือโง่ที่หาปมเงื่อนไม่เจอยังแสดงความฉลาดโง่รักษาแบบผีๆบ้าๆไปทั่วนั้นเอง,ไม่สมควรเป็นหมอเป็นพยาบาลอีกต่อไป,ทั้งไม่ยอมรับค่าความจริง ไม่ประกาศความจริงอีก ปกปิดชัดเจนอย่างเจตนาทางชั่วเลวร้ายแรงเสมือนฆาตกรซ่อนเร่นอำพรางศพมิให้ตำรวจดำเนินคดีตนได้,นี้คือการก่ออาชญากรรม&ฆาตกรรมหมู่คนไทยชัดเจน,เบื้องต้นต้องยกเลิกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพหมอและพยาบาลถูกต้องที่สุดจากชนชั้นหมอหัวหอกระดับบนทั้งหมดก่อน,เพราะอาจารย์หมอมากมายหลายท่านทำไมจึงเข้าถึงค่าจริงได้ในช่วงเวลาเสมอเดียวกัน,เช่นนั้นพวกนี้ที่ชั่วเลวทั้งหมดต้องออกจากวงการชีวิตคนไข้ไปทั้งหมด,ให้คนดีๆมาทำหน้าที่แทนเพื่อดำรงวิชาชีพที่ดีงามนี้ต่อไป.
    0 Comments 0 Shares 153 Views 27 0 Reviews
  • วินาศกรรมโจมตีสำนักงานใหญ่บริษัทเทคโนโลยีอวกาศของตุรกี เบื้องต้นยอดผู้เสียชีวิตเพิ่งเป็น 5 คน บาดเจ็บอีกหลายสิบ

    23 ตุลาคม 2567 เกิดเหตุโจมตีที่หน้าสำนักงานใหญ่ของบริษัท “Turkish Aerospace Industries หรือ TUSAS ในเขตคาห์รามันคาซาน ใกล้กับกรุงอังการาของตุรกี สื่อท้องถิ่นรายงานว่าระหว่างเกิดเหตุมีเสียงระเบิดดังสนั่น นอกจากนี้ยังมีการเผยภาพมือปืนและเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กำลังยิงตอบโต้กันด้วย

    รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของตุรกีเผยว่าการโจมตีครั้งนี้คือ “การก่อการร้าย” ที่พุ่งเป้าหมายสำนักงานใหญ่ของ TUSAS พร้อมทั้งได้ยืนยันว่าผู้ก่อเหตุ 2 คน ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจวิสามัญฆาตกรรมแล้ว ขณะที่สื่อท้องถิ่นรายงานว่าคนร้ายโจมตีอาคารในลักษณะของ “ระเบิดพลีชีพ" อย่างไรก็ตามยังไม่มีกลุ่มก่อการร้ายใดออกมาแสดงความรับผิดชอบเหตุในครั้งนี้ แต่มีกระแสข่าวว่าอาจเป็นฝีมือของกลุ่ม PKK หรือ พรรคแรงงานเคิร์ดดิสถาน ซึ่งเป็นองค์กรผิดกฎหมายและเคยออกมาอ้างว่าอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ที่คล้ายกันในอดีต ที่เกิดขึ้นที่ตุรกีมานานกว่าหลายทศวรรษ ซึ่งสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปได้ขึ้นทะเบียนให้องค์กรดังกล่าวเป็นองค์กรก่อการร้าย

    บริษัทดังกล่าวเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีของตุรกีในการออกแบบ พัฒนา และผลิตอากาศยานของตุรกี โดยที่เกิดเหตุมีพื้นที่ครอบคลุมถึง 4 ตารางกิโลเมตรและอยู่ห่างจากใจกลางของกรุงอังการาไปทางตะวันตกเฉียงเหนือเพียง 28 กิโลเมตร

    ทั้งนี้ ประธานาธิบดีนายเรเจป ไตยิป แอร์โดอัน ของตุรกี ที่อยู่ระหว่างการประชุมกลุ่ม BRICS ที่เมืองคาซาน ของรัสเซียได้ประณามเหตุนี้ว่าเป็นการโจมตีอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของตุรกีที่ร้ายแรง

    ที่มาข่าว/ภาพ: Reuters https://www.reuters.com/world/middle-east/blast-turkish-aviation-company-tusas-hq-gunfire-heard-media-2024-10-23/

    #Thaitimes
    วินาศกรรมโจมตีสำนักงานใหญ่บริษัทเทคโนโลยีอวกาศของตุรกี เบื้องต้นยอดผู้เสียชีวิตเพิ่งเป็น 5 คน บาดเจ็บอีกหลายสิบ 23 ตุลาคม 2567 เกิดเหตุโจมตีที่หน้าสำนักงานใหญ่ของบริษัท “Turkish Aerospace Industries หรือ TUSAS ในเขตคาห์รามันคาซาน ใกล้กับกรุงอังการาของตุรกี สื่อท้องถิ่นรายงานว่าระหว่างเกิดเหตุมีเสียงระเบิดดังสนั่น นอกจากนี้ยังมีการเผยภาพมือปืนและเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กำลังยิงตอบโต้กันด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของตุรกีเผยว่าการโจมตีครั้งนี้คือ “การก่อการร้าย” ที่พุ่งเป้าหมายสำนักงานใหญ่ของ TUSAS พร้อมทั้งได้ยืนยันว่าผู้ก่อเหตุ 2 คน ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจวิสามัญฆาตกรรมแล้ว ขณะที่สื่อท้องถิ่นรายงานว่าคนร้ายโจมตีอาคารในลักษณะของ “ระเบิดพลีชีพ" อย่างไรก็ตามยังไม่มีกลุ่มก่อการร้ายใดออกมาแสดงความรับผิดชอบเหตุในครั้งนี้ แต่มีกระแสข่าวว่าอาจเป็นฝีมือของกลุ่ม PKK หรือ พรรคแรงงานเคิร์ดดิสถาน ซึ่งเป็นองค์กรผิดกฎหมายและเคยออกมาอ้างว่าอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ที่คล้ายกันในอดีต ที่เกิดขึ้นที่ตุรกีมานานกว่าหลายทศวรรษ ซึ่งสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปได้ขึ้นทะเบียนให้องค์กรดังกล่าวเป็นองค์กรก่อการร้าย บริษัทดังกล่าวเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีของตุรกีในการออกแบบ พัฒนา และผลิตอากาศยานของตุรกี โดยที่เกิดเหตุมีพื้นที่ครอบคลุมถึง 4 ตารางกิโลเมตรและอยู่ห่างจากใจกลางของกรุงอังการาไปทางตะวันตกเฉียงเหนือเพียง 28 กิโลเมตร ทั้งนี้ ประธานาธิบดีนายเรเจป ไตยิป แอร์โดอัน ของตุรกี ที่อยู่ระหว่างการประชุมกลุ่ม BRICS ที่เมืองคาซาน ของรัสเซียได้ประณามเหตุนี้ว่าเป็นการโจมตีอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของตุรกีที่ร้ายแรง ที่มาข่าว/ภาพ: Reuters https://www.reuters.com/world/middle-east/blast-turkish-aviation-company-tusas-hq-gunfire-heard-media-2024-10-23/ #Thaitimes
    Like
    Love
    5
    0 Comments 0 Shares 254 Views 0 Reviews
  • เราโดนหลอกเรื่องอะไรบ้างมาดูกัน
    รับไม่ได้ข้อไหนก็ข้ามไป มันเป็นแค่ข้อมูลความเชื่อของตัวหมอเองครับ ไม่ดรามานะ จากนั้นลองชม2คลิปแนบท้าย

    1.หลอกว่าคนวิวัฒนาการมาจากลิง หลอกว่ากระดูกก้นกบเป็นส่วนที่หางหดลดรูป
    2.หลอกว่ายาฉีdยีuไวรัsเป็นวัkซีuดีเพื่อกันติดหรือติดแล้วจะไม่รุนแรง ติดตามข้อมูลได้ที่ rookon.com
    3.หลอกว่าฟลูออไรด์ดี (Dr.Dean Burk PHD.บอกว่าเป็นสารที่ทำให้คนตายมากที่สุด,เฉพาะปี2006มีผลงานวิจัยความเป็นพิษมากกว่า 180งานวิจัย) ฟังคลิปคุณหมอ นาทีที่ 58 https://youtu.be/AYAJJSOmdJo
    4.หลอกว่าบอแร็กซ์(หรือน้ำประสานทองซึ่งเคยอยู่ในยาไทย)ว่าอันตรายห้ามใช้
    5.หลอกให้เชื่อฟังและอยู่ในการควบคุมด้วยระบบการศึกษา
    6.หลอกให้คนเชื่อว่าการกินอาหารต้องตามหลัก5หมู่
    7.หลอกให้กินยาที่ไม่ทำให้โรคหายและได้โรคเพิ่ม
    8.หลอกว่าคอเลสเตอรอลอันตรายต้องกลัว ต้องกินยาลด https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10213748008611115&id=1732997516
    9.หลอกให้กินไขมันทรานส์ เช่น น้ำมันถั่วเหลืองผ่านกรรมวิธี น้ำมันผลปาล์มผ่านกรรมวิธี เนยขาว มาการีน ครีมเทียม
    10.หลอกให้กินคอลลาเจนเสริมซึ่งมันคือการกินพังผืดไม่จำเป็น
    11.หลอกให้คนติด HIV จะต้องกินยาต้านไวรัส
    12.หลอกให้กินนมสัตว์(ข้ามสายพันธุ์)
    13.หลังจากวัยทารกก็ยังหลอกให้กินนมสัตว์ไปตลอดชีวิต
    👉วันนี้คุณเลิกนมวัวหรือยัง? โดย ศ.ดร.นพ.วิชัย เอกทักษิณ
    https://youtu.be/CDIl9ORkPcU
    👉ช่วงคลิปที่ 1ชม.9นาที อันตรายจากนมวัว โดย อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
    https://youtu.be/DHGPSl2dpPc
    👉คลิป นพ.บุญชัย อิศราพิสิษฐ์ เปิดเหตุผลที่ควรหยุดดื่มนมวัว
    https://youtu.be/2gNPslzrJGc
    👉นมวัวดีจริงหรือ
    https://m.youtube.com/watch?fbclid=IwAR3IhxGc1xD5hcN7TRJK51P-a_Xrs3Ws9BgGbwfAfM1sXkIaUiFVJcTyge4&v=4Y0k5UYmPio&feature=youtu.be
    👉นมวัว ปลอดโรคหรือเพิ่มโรค
    https://www.facebook.com/photo.php?fbid=340898489398513&set=a.331355487019480&type=3
    👉จริงหรือ? นมกับความสูง
    https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=854486941372996&id=100004350947568&mibextid=Nif5oz
    👉จริงหรือ? นมถั่วเหลือง
    https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=619699778185048&id=100004350947568&mibextid=Nif5oz
    👉จริงหรือ? นมวัวกับฮอร์โมน
    https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=553799574775069&id=100004350947568&mibextid=Nif5oz
    👉จริงหรือ? นมแพะ
    https://m.facebook.com/photo.php?fbid=529613370527023&id=100004350947568&set=a.331355487019480&mibextid=Nif5oz
    👉นม (ภาษาต่างประเทศ)
    https://www.naturalchild.org/articles/guest/linda_folden_palmer.html
    👉นมวัวกระตุ้นมะเร็ง
    https://vt.tiktok.com/ZS86EmkD6/
    👉3เหตุผลไม่ดีที่อยู่ในนมวัว
    https://www.tiktok.com/@user55682379949092/video/7347855645862841601?is_from_webapp=1&sender_device=pc&web_id=7359944913523705351
    14.เอาเนื้อปลามาแต่งสีหลอกว่าเป็นปูอัด
    15.หลอกว่าเครื่องดื่มที่ใช้สารสังเคราะห์ให้ความหวานแทนน้ำตาลจะสุขภาพดีปลอดภัย
    16.หลอกให้เราใช้แต่เหตุผลให้เลิกจินตนาการบอกว่าเพ้อเจ้อ (จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ คำกล่าวของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์)
    17.หลอกให้ใช้ X-Ray(อันตราย),CT-Scan(อันตรายมาก), mammogram(อันตราย)
    18.หลอกให้เรากินยาลดน้ำมูกเมื่อเป็นหวัด
    19.หลอกให้แบ่งคนทั้งโลกออกจากกันด้วยศาสนาเชื้อชาติเป็นประเทศ
    20.หลอกให้เป็นทาสทางการเงิน
    21.หลอกว่าโลกร้อนเพราะมีคาร์บอนไดออกไซด์มาก เป็นที่มาของคาร์บอนเครดิตเพื่อการควบคุมสู่ความเป็นทาส https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=7401566566593209&id=100002198164704
    22.หลอกว่าประชากรล้นโลกต้องคุมกำเนิด สะกดจิตให้เราคล้อยตามด้วยข้อมูลเมืองที่แออัด ทั้งๆที่โลกมีพื้นที่มากมายและทรัพยากรเพียงพอแค่ต้องบริหารให้ดี
    ✅การลดประชากรโลก
    ✍️ covid 19 roadmap https://t.me/ThaiPitaksithData/1738
    ✍️ ep6 รู้(ทัน)วาระ เห็นความเชื่อมโยงต่างๆในปัจจุบัน https://rumble.com/v1f2lbl-ep6-the-agenda-know-the-outcome-see-the-journey.html
    ✍️ ep7 จำนวนประชากรที่ลดลง ผลจากความตั้งใจ มิใช่แค่เหตุที่เป็นไปโดยธรรมชาติ
    ตอนที่ 1. https://rumble.com/v1g63xr-ep7-1-the-agenda-.html
    ตอนที่ 2. https://rumble.com/v1gwgj7-ep7-2-the-agenda-.html
    ✍️ แม่ชี มีเรียม พูดถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น พระสันตปาปา บิลเกตส์ และการฆาตกรรมหมู่ https://rumble.com/vo2cjl-40420353.html
    ✍️ 10ขั้นตอนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษยชาติ https://rumble.com/vt3c98-10-.html
    ✍️ Dr Judy Makovits เปิดโปง Fauci แหล่งที่มาของviรัส ตั้งแต่พฤษภาคม 2020 https://rumble.com/vo1env-plandemic-dr-judy-makovits-phd-molecular-biologist-may-2020.html
    ✍️ ดร. คอฟแมน - วัkซีuเปลี่ยน DNA มนุษย์ https://rookon.com/read-blog/103
    ✍️ ประเทศไทย กำลังจะเข้าสู่ ฤดู "ใบไม้ร่วง" คำถามคือ ฤดูนี้จะอยู่นานแค่ไหน? https://rookon.com/read-blog/108
    ✍️ จากบทความ Dr. Robert Malone ผู้คิดค้นเทคโนโลยีวรรคซิu mRNA สรุปความโดย ดร.ไพรินทร์ โชติสกุลรัตน์ https://fb.watch/9Yfe6YW5dl/
    ✍️ ดร.โรเบิร์ต มาโลน นักวิจัยผู้คิดค้น mRNA ที่ยังไม่สมบูรณ์ ออกมาเปิดเผยความอันตรายของวัkซีu mRNA https://odysee.com/ChildrenVaccinationWarning:b?r=FcGprKFzZv51EZ9G13RaSbZ9V7hCWD2P
    ✍️WHO Treaty https://rookon.com/read-blog/131
    ✍️ไทม์ไลน์ สู่ทรราช https://rookon.com/read-blog/44
    ✍️มาตรการโควิด ทำให้มีผู้เสียชีวิต เพิ่มมากขึ้น https://rookon.com/read-blog/49
    ✍️ความจริงของโควิด 19 – นพ. อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง https://stopthaicontrol.com/2/ความจริงของโควิด-19-นพ-อรร/
    ✍️เครือข่าย 5G, คลื่นความถี่ และ โkวิd สิบ9 https://docs.google.com/document/d/1KMlPrvr0mNSycUKik_p_dxyaEv-F6K9ZbxWuQF7p0jk/edit?usp=sharing
    ✍️โครงการ Neuralink (โดยอีลอน มัสก์) กับมนุษย์ เวอร์ชั่น 2.0 https://docs.google.com/document/d/1Ey79M2rz_BiI0YpzhKESQBLm-Z2ACYqxSly3dShaJYA/edit?usp=sharing
    ✍️มนุษย์ เวอร์ชั่น 2.0 โดย Dr.Carrie Madej https://docs.google.com/document/d/1Bxh5T9mD9K6ZXTYFM4L3uKg3s87fsnEdfNPWJ3_e4io/edit?usp=sharing
    ✍️มนุษย์ข้ามสายพันธุ์ https://docs.google.com/document/d/1eWJ4Z552HO6SSrPFuMZwLT7HE5rzmYO_r485lLtEnEQ/edit?usp=sharing
    ✍️ความรู้โดยแพทย์ – ทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งต้นที่ “ความกลัว” https://rookon.com/read-blog/16
    ✍️David Icke | โครงสร้างการควบคุมรัฐบาลทั่วโลก https://rookon.com/read-blog/35
    ✍️ ว๊ากเสร็จก่อนที่โkวิdจะระบาด https://rookon.com/read-blog/12
    ✍️ ผู้อยู่เบื้องหลัง โคขวิดและวอซอลวง https://fb.watch/aGglwXBtl5/
    ✍️ปี 1994 อดีตสายลับอังกฤษ MI6 แฉแผนการลดประชากรโลก 😱 โดยองค์กร Club of Rome https://t.me/awakened_thailand/443
    ✍️การลดประชากรโลก ใช่เรื่องจริงไหม? โดย อดิเทพ จาวลาห์
    https://www.youtube.com/live/hu0KszvGnyQ?si=0N09ufqChfFQAbrv
    ✍️ แผนลดประชากรโลก มีจริงหรือไม่ โดย อาจารย์ นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง
    https://www.tiktok.com/@atapolhuawei/video/7414795548814773521?is_from_webapp=1&sender_device=pc
    👉 อาจารย์ นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง กล่าวชัดๆไม่อ้อมค้อม​ว่าวัคซีนโควิดมันคืออาวุธ​ชีวภาพ ใครฉีดให้คนคืออาชญากร​ ใครนิ่งเฉยไม่พูด​อะไรคือ​ ผู้สมรู้ร่วมคิด​ร่วม​กระทำความผิด​
    https://vm.tiktok.com/ZS2XQ5qgB/
    แผนลดประชากรโลก มีจริงหรือไม่
    https://www.tiktok.com/@atapolhuawei/video/7414795548814773521?is_from_webapp=1&sender_device=pc
    👉การลดประชากรโลก โดยอดิเทพ จาวลาห์
    https://www.youtube.com/live/hu0KszvGnyQ?si=0N09ufqChfFQAbrv
    👉รวมหลักฐานการลดประชากรโลก
    https://www.rookon.com/?p=936
    23.หลอกให้กินอาหารอุตสาหกรรมที่มีสารช่วยให้ตายผ่อนส่ง
    24.หลอกว่ามนุษย์ต่างดาวไร้สาระไม่มีอยู่จริง
    👉มนุษย์ต่างดาว (กิ้งก่า) ต้องการอะไรจากมนุษย์
    https://www.rookon.com/?p=944
    25.หลอกให้เชื่อว่านิพพานเป็นเรื่องยาก
    26.หลอกให้ถอนฟันคุดออก(กรณีที่ไม่ปวดยังใช้ชีวิตได้)
    27.หลอกให้กินเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์
    28.หลอกว่าจะมีภัยพิบัติล้างโลก โลกจะแตก
    29.หลอกว่าภัยพิบัติเป็นฝีมือธรรมชาติทั้งหมดแต่มีเทคโนโลยี HARRP อยู่เบื้องหลัง
    👉เทคโนโลยีการปรับเปลี่ยนสภาพอากาศ
    https://www.rookon.com/?p=1076
    👉เค้าต้องการคอนโทรลสภาพภูมิอากาศของทั่วโลกภายในปี 2025 โปรแกรมดัดแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีกว่า 150 โปรแกรมจะถูกนำมาใช้ทั่วโลก สารพิษที่มนุษย์สร้างขึ้นมากว่า 49 ชนิด ถูกบรรจุไว้ในถังเพื่อที่จะนำไปพ่นในท้องฟ้า และที่อเมริกาได้ถูกทำการพ่นไปแล้ว ด้วยสารเคมี สารพิษ ไวรัส เชื้อรา แบคทีเรียฯลฯ ที่ได้ระบุไว้ในเอกสารซึ่งได้ทำการผลิตไว้อย่างลับๆโดยสถาบันFort Detrick(สถาบันวิจัยอาวุธเคมีชีวภาพ)💥😣
    https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=421902230036059&id=100066488568961
    👉มีสารอะไรอยู่ในเคมเทรล
    https://t.me/chemtrailshaarpthaichat/2
    👉ผลร้ายของเคมเทรล
    https://t.me/chemtrailshaarpthaichat/75
    https://t.me/chemtrailshaarpthaichat/1282
    👉HAARP คืออะไร
    https://t.me/chemtrailshaarpthaichat/524
    https://t.me/chemtrailshaarpthaichat/728
    👉คลิป Chemtrails WAKE UP!
    https://t.me/chemtrailshaarpthaichat/812
    👉คำอธิบายหลักการทำงานของ Chembuster: https://www.youtube.com/watch?v=s4SM5PajwSM&t=686s
    👉"Video tutorial on how to build an Orgone Environmental Harmonizer, the so-called Chembuster." - Mirko Kulig: https://www.youtube.com/watch?v=QpGmOd_u0JQ
    👉ศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ | Facebook: https://www.facebook.com/airpollution.CAPM/?ref=page_internal
    👉รัฐบาลไทย และอินโดนีเซีย โดนหลอกให้เซ็นสัญญาตกลงให้ปรับสภาพอากาศได้ 3 ปี สัญญานี้เซ็นปี 2020
    แปลว่า เอาอะไรมาพ่นในบ้านเราก็ได้
    https://zerogeoengineering.com/2022/thailand-and-indonesia-have-signed-a-weather-modification-deal-through-2024/
    👉สภาพอากาศถูกควบคุมด้วย เทคโนโลยี HAARP
    By น้องอองซานและอาจารย์ทีน่า
    https://www.tiktok.com/t/ZSLCRfSSw/
    https://t.me/chemtrailshaarpthaichat/1281
    👉คลิป อ.ศุภวรรณกรีน กล่าวถึงเคมเทรล
    https://vt.tiktok.com/ZSNruWBLK/
    👉รายงาน: ศาสตราจารย์และนักภูมิอากาศวิทยา Dr. #JudithCurry ให้การเป็นพยานภายใต้คำสาบานต่อสภาคองเกรสว่า "การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มนุษย์สร้างขึ้น" เป็นเรื่องหลอกลวงโดยการปลอมแปลงข้อมูลและเยาะเย้ยนักวิทยาศาสตร์ที่กล้าไม่เห็นด้วยกับการค้นพบทางการเมือง!
    https://twitter.com/i/status/1683105847407149056
    👉ตำแหน่งที่ตั้ง HARRP ในโลก
    https://t.me/chemtrailshaarpthaichat/1302
    👉ไลฟ์สด เทคโนโลยีเพื่อปรับเปลี่ยนสภาพอากาศ | อดิเทพ จาวลาห์
    https://www.youtube.com/live/zCzdNrbQn0A?si=mLFvv2loaKfbiVOY
    https://www.facebook.com/share/v/nW34YL4HiESsLNZT/

    30. หลอกว่าเหตุการณ์ไฟไหม้ที่เกาะฮาวายเป็นไฟป่าทั้งๆที่ใช้เทคโนโลยี DEW
    👉เกิดอะไรขึ้นที่ฮาวาย?
    https://www.rookon.com/?p=986
    31.หลอกให้รับวัkซีuอันตรายกว่า90ชนิด(ในปัจจุบัน)
    32.หลอกเรื่อง 9-11
    33.หลอกเรื่องนาซาไปถึงดวงจันทร์และดาวอังคาร
    34.หลอกให้กินกาแฟ
    35.หลอกว่ารถที่ใช้ระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า,แผงโซลาร์เซลล์ ผลิตออกมาเพื่อรักษ์โลก
    36.หลอกว่าน้ำมันปิโตรเลียมและถ่านหิน ทำร้ายโลกและกำลังจะหมดไปจากโลก
    37.หลอกให้กินสัตว์ป่วย เช่น เนื้อโกเบ(วัวกล้ามเนื้อฝ่อ,ฟัวกราส์(ไขมันลงตับห่าน)
    38.หลอกว่าดวงจันทร์เป็นดาวเคราะห์
    39.หลอกให้ผ่าตัดไส้ติ่งออกทั้งๆที่ไม่ได้อักเสบเป็นอันตราย
    40.หลอกว่าถ้าไม่กินอาหารให้ตรงเวลาน้ำย่อยจะออกมาย่อยกระเพาะ
    41.หลอกว่ากินเค็มจะทำให้ไตเสื่อม แต่การกินสัตว์ต่างหากที่ทำร้ายไต
    42.หลอกว่าเรามี Junk DNA
    43.หลอกให้เชื่อว่ามีนรกสวรรค์เพื่อเป็นกับดักให้อยู่ในโฮโลแกรม
    44.หลอกให้เชื่อว่ารัสเซียรังแกยูเครน
    45.หลอกว่าแว่นกันแดด,ครีมกันแดดดีจำเป็นต้องใช้ (ก่อมะเร็ง)
    46.หลอกว่าตาที่ 3 เปิดแล้ว ก็ไม่ต้องปฎิบัติอะไรแล้ว เปิดแล้วจะเห็นผี
    47.หลอกให้ใช้ยาอันตรายจัดการโควิด เช่น ฟาวิพิลาเวียร์ โมนูพิราเวียร์ เรมเดซิเวีย แพคโลวิด ปัดยาดีๆออก เช่น ฟ้าทะลายโจร ไอเวอร์เมคติน ไฮดรอกซีคลอโรควีน CDS บอแรกซ์ เป็นต้น
    48.หลอกว่าความฝันคือเรื่องที่เราคิดมากไปเอง
    49.หลอกว่าเสียงที่ได้ยินในหัว เพราะเป็นโรคประสาท ไบโพล่า หรือซึมเศร้า
    50.หลอกเรื่องไวรัส โkวิd19,HIV,H1N1,EBOLA,SWINE FLU,ZIKA,SARS ว่าเกิดจากธรรมชาติ
    51.หลอกเรื่อง ลิเบีย
    52.เรื่อง เปโตรดอลล่าร์
    53.หลอกเรื่องการค้ามนุษย์ /เด็ก ทรมานเพื่อทำสารอดรีโนโครมเป็นเรื่องเหลวไหล
    54.หลอกว่า LGBTQ เกิดจากธรรมชาติอย่างเดียว
    55.หลอกให้มีการจัดลำดับความวิเศษความเคารพนับถือศรัทธาแต่ละจิตวิญญาณ เช่น สัตว์ คน เทพ เทวดา ศาสดา
    56.หลอกให้ผู้หญิงตรวจแมมโมแกรมประจำปีเพื่อจะป้องกันมะเร็งเต้านม แต่ที่จริงคือจะเป็นมะเร็งจากรังสีไอออไนซ์จากการตรวจ
    57.หลอกว่าการใส่แมสก์ช่วยป้องกันไวรัสได้ นอกจากป้องกันไม่ได้แล้วยังลดออกซิเจนที่จะเข้าร่างกายลง20-30% ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รอบๆตัว จาก 200-600 ppm เมื่อใส่แมสจะขึ้นไปเกือบ1หมื่น มีผลทำร้ายร่างกาย
    👉เพื่อสุขภาพของคนไทย หมอฝากทุกท่านแชร์แหล่งข้อมูลครับ
    ✅ศึกษาข้อมูลหน้ากากอนามัยเพิ่มเติมได้ที่
    1.กลุ่มไลน์ "ความรู้เกี่ยวกับแมสก์ Harmfulmasks"
    https://line.me/ti/g2/Nf-CPF-eldbclG4WH4iEIHyawJGFT76Btq14eQ?utm_source=invitation&utm_medium=link_copy&utm_campaign=default
    2.เทเลแกรม “HarmfulMasks”
    https://t.me/HarmfulMasks

    58.หลอกให้เราใช้ชุดตรวจโควิดลวงโลก ATK,ct PCR
    ✅ PCR และ ATK ลวงโลก
    👉เรื่องราวของ PCR & Atk ep.2 https://rumble.com/v17e5ad-ep-2-pcr-and-atk.html
    👉PCR พลิกตัวเลขผู้ติดเชื้อเท็จ https://stopthaicontrol.com/sub/pcr-%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%a3%e0%b8%96%e0%b8%b9%e0%b8%81%e0%b8%99%e0%b8%b3%e0%b9%84%e0%b8%9b%e0%b8%97%e0%b8%b4%e0%b9%89%e0%b8%87%e0%b9%82%e0%b8%94%e0%b8%a2%e0%b8%97%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%97/
    👉 ไม่ควร ตรวจเชื้อวัวขวิด ทุกรูปแบบเพราะเป็น ผลบวกลวง ลองฟัง คลิป นี้ครับ ฟัง นาที ที่ 29 และ นาที ที่ 38 https://rumble.com/vsssso-48372936.html
    👉และนาทีที่ 15 จากคลิปนี้ https://rumble.com/vw404g-q-and-a-with-dr.-atapol-md.cu..html
    👉ชุดตรวจ ATK ที่เซ็ทผลไว้แล้ว https://t.me/c/1585233417/1124
    👉คลิป สิ่งตกค้างจากการ Swap
    https://www.facebook.com/groups/426084935837716/permalink/433156291797247/
    https://t.me/ThaiPitaksithData/956
    👉ภัยจากการ Swap
    https://www.facebook.com/100002198164704/posts/4571056572977570/?
    https://t.me/ThaiPitaksithData/4282
    👉 กราฟีนอ๊อกไซด์แฝงในปลายไม้สว็อบ https://t.me/ThaiPitaksithData/1689
    👉คำเตือนชุดตรวจโkวิd- มีโซเดียมเอไซด์ซึ่งอาจเป็นพิษหรือถึงตายได้ ข้อมูล CDC เกี่ยวกับโซเดียมเอไซด์ https://emergency.cdc.gov/agent/sodiumazide/basics/facts.asp
    👉พบเชื้อ ไม่ได้แปลว่า ติดเชื้อ โดย ศ.ดร.นพ.วิชัย เอกทักษิณ https://vt.tiktok.com/ZSLBRvdNY/

    59.หลอกให้กลัวและเชื่อแต่ข้อเสียของกระท่อม กัญชา กัญชง และเห็ดขี้ควาย
    60.หลอกเราว่าโลกกลม แต่โลกแบน มีโดมและกำแพงน้ำแข็งกั้น
    61.หลอกว่าพระพุทธเจ้าประสูติที่เนปาล ตรัสรู้และปรินิพพานที่อินเดีย ติดตามข้อมูลได้ที่เพจ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ที่แผ่นดินไทยไม่ใช่อินเดีย https://www.facebook.com/Thanabodee.Rebirths https://www.youtube.com/@user-sv8tw5sn4b/videos ความจริงคือ ประสูตพระพุทธเจ้าตรัสรู้ที่แผ่นดินไทยไม่ใช่อินเดียโคกโพธิ์ชัย ขอนแก่น แสดงธรรมจักรกัปปวัตนสูตร อิสิปตนมฤคทายวัน วัดพระพุทธบาทน้อย อ.แก่งคอย สระบุรี ปรินิพพาน : วัดพระแท่นดงรัง กาญจนบุรี

    บางทีการค้นหาคำตอบก็เสียเวลา แต่ต้องรู้ไว้บ้างเพื่อการไม่ถูกหลอกทางโลกกายภาพ มันเป็นความรู้ภายนอก แต่เพื่อ....การดำเนินชีวิตแบบทันเกมส์ และไม่ประมาท ไม่ให้ถูกหลอกไปผิดทางส่งผลเสียต่อใจกาย

    ควรจัดสรรเวลาฝึกจิตวิญญาณเชื่อมต่อจิตแท้ในตัวตนคือสิ่งที่ควรทำ นั่นคือความรู้จักตัวเอง ความรู้ภายในที่เราสะสมมา ทั้งหมด รอเราอยู่ ทุกอย่างต้องสมดุล

    https://youtu.be/YkyYWVNvz5M
    https://youtu.be/SKcv6GSm2dw

    #เชื่อมต่อกับจิตเดิมแท้หรือคุรุในตัวเราHS
    #ทุกแบบทดสอบมีมาเพื่อฝึกเกลาจิต
    #เราเลือกลงมาเกิดเพื่อหาประสบการณ์ที่เรากำหนดมา
    #เก็บไว้เป็นจิ๊กซอร์ส่วนตัวไม่ได้ชวนเชื่อ

    เวชหนุ่ม
    เราโดนหลอกเรื่องอะไรบ้างมาดูกัน รับไม่ได้ข้อไหนก็ข้ามไป มันเป็นแค่ข้อมูลความเชื่อของตัวหมอเองครับ ไม่ดรามานะ จากนั้นลองชม2คลิปแนบท้าย 1.หลอกว่าคนวิวัฒนาการมาจากลิง หลอกว่ากระดูกก้นกบเป็นส่วนที่หางหดลดรูป 2.หลอกว่ายาฉีdยีuไวรัsเป็นวัkซีuดีเพื่อกันติดหรือติดแล้วจะไม่รุนแรง ติดตามข้อมูลได้ที่ rookon.com 3.หลอกว่าฟลูออไรด์ดี (Dr.Dean Burk PHD.บอกว่าเป็นสารที่ทำให้คนตายมากที่สุด,เฉพาะปี2006มีผลงานวิจัยความเป็นพิษมากกว่า 180งานวิจัย) ฟังคลิปคุณหมอ นาทีที่ 58 https://youtu.be/AYAJJSOmdJo 4.หลอกว่าบอแร็กซ์(หรือน้ำประสานทองซึ่งเคยอยู่ในยาไทย)ว่าอันตรายห้ามใช้ 5.หลอกให้เชื่อฟังและอยู่ในการควบคุมด้วยระบบการศึกษา 6.หลอกให้คนเชื่อว่าการกินอาหารต้องตามหลัก5หมู่ 7.หลอกให้กินยาที่ไม่ทำให้โรคหายและได้โรคเพิ่ม 8.หลอกว่าคอเลสเตอรอลอันตรายต้องกลัว ต้องกินยาลด https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10213748008611115&id=1732997516 9.หลอกให้กินไขมันทรานส์ เช่น น้ำมันถั่วเหลืองผ่านกรรมวิธี น้ำมันผลปาล์มผ่านกรรมวิธี เนยขาว มาการีน ครีมเทียม 10.หลอกให้กินคอลลาเจนเสริมซึ่งมันคือการกินพังผืดไม่จำเป็น 11.หลอกให้คนติด HIV จะต้องกินยาต้านไวรัส 12.หลอกให้กินนมสัตว์(ข้ามสายพันธุ์) 13.หลังจากวัยทารกก็ยังหลอกให้กินนมสัตว์ไปตลอดชีวิต 👉วันนี้คุณเลิกนมวัวหรือยัง? โดย ศ.ดร.นพ.วิชัย เอกทักษิณ https://youtu.be/CDIl9ORkPcU 👉ช่วงคลิปที่ 1ชม.9นาที อันตรายจากนมวัว โดย อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ https://youtu.be/DHGPSl2dpPc 👉คลิป นพ.บุญชัย อิศราพิสิษฐ์ เปิดเหตุผลที่ควรหยุดดื่มนมวัว https://youtu.be/2gNPslzrJGc 👉นมวัวดีจริงหรือ https://m.youtube.com/watch?fbclid=IwAR3IhxGc1xD5hcN7TRJK51P-a_Xrs3Ws9BgGbwfAfM1sXkIaUiFVJcTyge4&v=4Y0k5UYmPio&feature=youtu.be 👉นมวัว ปลอดโรคหรือเพิ่มโรค https://www.facebook.com/photo.php?fbid=340898489398513&set=a.331355487019480&type=3 👉จริงหรือ? นมกับความสูง https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=854486941372996&id=100004350947568&mibextid=Nif5oz 👉จริงหรือ? นมถั่วเหลือง https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=619699778185048&id=100004350947568&mibextid=Nif5oz 👉จริงหรือ? นมวัวกับฮอร์โมน https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=553799574775069&id=100004350947568&mibextid=Nif5oz 👉จริงหรือ? นมแพะ https://m.facebook.com/photo.php?fbid=529613370527023&id=100004350947568&set=a.331355487019480&mibextid=Nif5oz 👉นม (ภาษาต่างประเทศ) https://www.naturalchild.org/articles/guest/linda_folden_palmer.html 👉นมวัวกระตุ้นมะเร็ง https://vt.tiktok.com/ZS86EmkD6/ 👉3เหตุผลไม่ดีที่อยู่ในนมวัว https://www.tiktok.com/@user55682379949092/video/7347855645862841601?is_from_webapp=1&sender_device=pc&web_id=7359944913523705351 14.เอาเนื้อปลามาแต่งสีหลอกว่าเป็นปูอัด 15.หลอกว่าเครื่องดื่มที่ใช้สารสังเคราะห์ให้ความหวานแทนน้ำตาลจะสุขภาพดีปลอดภัย 16.หลอกให้เราใช้แต่เหตุผลให้เลิกจินตนาการบอกว่าเพ้อเจ้อ (จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ คำกล่าวของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์) 17.หลอกให้ใช้ X-Ray(อันตราย),CT-Scan(อันตรายมาก), mammogram(อันตราย) 18.หลอกให้เรากินยาลดน้ำมูกเมื่อเป็นหวัด 19.หลอกให้แบ่งคนทั้งโลกออกจากกันด้วยศาสนาเชื้อชาติเป็นประเทศ 20.หลอกให้เป็นทาสทางการเงิน 21.หลอกว่าโลกร้อนเพราะมีคาร์บอนไดออกไซด์มาก เป็นที่มาของคาร์บอนเครดิตเพื่อการควบคุมสู่ความเป็นทาส https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=7401566566593209&id=100002198164704 22.หลอกว่าประชากรล้นโลกต้องคุมกำเนิด สะกดจิตให้เราคล้อยตามด้วยข้อมูลเมืองที่แออัด ทั้งๆที่โลกมีพื้นที่มากมายและทรัพยากรเพียงพอแค่ต้องบริหารให้ดี ✅การลดประชากรโลก ✍️ covid 19 roadmap https://t.me/ThaiPitaksithData/1738 ✍️ ep6 รู้(ทัน)วาระ เห็นความเชื่อมโยงต่างๆในปัจจุบัน https://rumble.com/v1f2lbl-ep6-the-agenda-know-the-outcome-see-the-journey.html ✍️ ep7 จำนวนประชากรที่ลดลง ผลจากความตั้งใจ มิใช่แค่เหตุที่เป็นไปโดยธรรมชาติ ตอนที่ 1. https://rumble.com/v1g63xr-ep7-1-the-agenda-.html ตอนที่ 2. https://rumble.com/v1gwgj7-ep7-2-the-agenda-.html ✍️ แม่ชี มีเรียม พูดถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น พระสันตปาปา บิลเกตส์ และการฆาตกรรมหมู่ https://rumble.com/vo2cjl-40420353.html ✍️ 10ขั้นตอนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษยชาติ https://rumble.com/vt3c98-10-.html ✍️ Dr Judy Makovits เปิดโปง Fauci แหล่งที่มาของviรัส ตั้งแต่พฤษภาคม 2020 https://rumble.com/vo1env-plandemic-dr-judy-makovits-phd-molecular-biologist-may-2020.html ✍️ ดร. คอฟแมน - วัkซีuเปลี่ยน DNA มนุษย์ https://rookon.com/read-blog/103 ✍️ ประเทศไทย กำลังจะเข้าสู่ ฤดู "ใบไม้ร่วง" คำถามคือ ฤดูนี้จะอยู่นานแค่ไหน? https://rookon.com/read-blog/108 ✍️ จากบทความ Dr. Robert Malone ผู้คิดค้นเทคโนโลยีวรรคซิu mRNA สรุปความโดย ดร.ไพรินทร์ โชติสกุลรัตน์ https://fb.watch/9Yfe6YW5dl/ ✍️ ดร.โรเบิร์ต มาโลน นักวิจัยผู้คิดค้น mRNA ที่ยังไม่สมบูรณ์ ออกมาเปิดเผยความอันตรายของวัkซีu mRNA https://odysee.com/ChildrenVaccinationWarning:b?r=FcGprKFzZv51EZ9G13RaSbZ9V7hCWD2P ✍️WHO Treaty https://rookon.com/read-blog/131 ✍️ไทม์ไลน์ สู่ทรราช https://rookon.com/read-blog/44 ✍️มาตรการโควิด ทำให้มีผู้เสียชีวิต เพิ่มมากขึ้น https://rookon.com/read-blog/49 ✍️ความจริงของโควิด 19 – นพ. อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง https://stopthaicontrol.com/2/ความจริงของโควิด-19-นพ-อรร/ ✍️เครือข่าย 5G, คลื่นความถี่ และ โkวิd สิบ9 https://docs.google.com/document/d/1KMlPrvr0mNSycUKik_p_dxyaEv-F6K9ZbxWuQF7p0jk/edit?usp=sharing ✍️โครงการ Neuralink (โดยอีลอน มัสก์) กับมนุษย์ เวอร์ชั่น 2.0 https://docs.google.com/document/d/1Ey79M2rz_BiI0YpzhKESQBLm-Z2ACYqxSly3dShaJYA/edit?usp=sharing ✍️มนุษย์ เวอร์ชั่น 2.0 โดย Dr.Carrie Madej https://docs.google.com/document/d/1Bxh5T9mD9K6ZXTYFM4L3uKg3s87fsnEdfNPWJ3_e4io/edit?usp=sharing ✍️มนุษย์ข้ามสายพันธุ์ https://docs.google.com/document/d/1eWJ4Z552HO6SSrPFuMZwLT7HE5rzmYO_r485lLtEnEQ/edit?usp=sharing ✍️ความรู้โดยแพทย์ – ทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งต้นที่ “ความกลัว” https://rookon.com/read-blog/16 ✍️David Icke | โครงสร้างการควบคุมรัฐบาลทั่วโลก https://rookon.com/read-blog/35 ✍️ ว๊ากเสร็จก่อนที่โkวิdจะระบาด https://rookon.com/read-blog/12 ✍️ ผู้อยู่เบื้องหลัง โคขวิดและวอซอลวง https://fb.watch/aGglwXBtl5/ ✍️ปี 1994 อดีตสายลับอังกฤษ MI6 แฉแผนการลดประชากรโลก 😱 โดยองค์กร Club of Rome https://t.me/awakened_thailand/443 ✍️การลดประชากรโลก ใช่เรื่องจริงไหม? โดย อดิเทพ จาวลาห์ https://www.youtube.com/live/hu0KszvGnyQ?si=0N09ufqChfFQAbrv ✍️ แผนลดประชากรโลก มีจริงหรือไม่ โดย อาจารย์ นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง https://www.tiktok.com/@atapolhuawei/video/7414795548814773521?is_from_webapp=1&sender_device=pc 👉 อาจารย์ นพ.อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง กล่าวชัดๆไม่อ้อมค้อม​ว่าวัคซีนโควิดมันคืออาวุธ​ชีวภาพ ใครฉีดให้คนคืออาชญากร​ ใครนิ่งเฉยไม่พูด​อะไรคือ​ ผู้สมรู้ร่วมคิด​ร่วม​กระทำความผิด​ https://vm.tiktok.com/ZS2XQ5qgB/ แผนลดประชากรโลก มีจริงหรือไม่ https://www.tiktok.com/@atapolhuawei/video/7414795548814773521?is_from_webapp=1&sender_device=pc 👉การลดประชากรโลก โดยอดิเทพ จาวลาห์ https://www.youtube.com/live/hu0KszvGnyQ?si=0N09ufqChfFQAbrv 👉รวมหลักฐานการลดประชากรโลก https://www.rookon.com/?p=936 23.หลอกให้กินอาหารอุตสาหกรรมที่มีสารช่วยให้ตายผ่อนส่ง 24.หลอกว่ามนุษย์ต่างดาวไร้สาระไม่มีอยู่จริง 👉มนุษย์ต่างดาว (กิ้งก่า) ต้องการอะไรจากมนุษย์ https://www.rookon.com/?p=944 25.หลอกให้เชื่อว่านิพพานเป็นเรื่องยาก 26.หลอกให้ถอนฟันคุดออก(กรณีที่ไม่ปวดยังใช้ชีวิตได้) 27.หลอกให้กินเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ 28.หลอกว่าจะมีภัยพิบัติล้างโลก โลกจะแตก 29.หลอกว่าภัยพิบัติเป็นฝีมือธรรมชาติทั้งหมดแต่มีเทคโนโลยี HARRP อยู่เบื้องหลัง 👉เทคโนโลยีการปรับเปลี่ยนสภาพอากาศ https://www.rookon.com/?p=1076 👉เค้าต้องการคอนโทรลสภาพภูมิอากาศของทั่วโลกภายในปี 2025 โปรแกรมดัดแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีกว่า 150 โปรแกรมจะถูกนำมาใช้ทั่วโลก สารพิษที่มนุษย์สร้างขึ้นมากว่า 49 ชนิด ถูกบรรจุไว้ในถังเพื่อที่จะนำไปพ่นในท้องฟ้า และที่อเมริกาได้ถูกทำการพ่นไปแล้ว ด้วยสารเคมี สารพิษ ไวรัส เชื้อรา แบคทีเรียฯลฯ ที่ได้ระบุไว้ในเอกสารซึ่งได้ทำการผลิตไว้อย่างลับๆโดยสถาบันFort Detrick(สถาบันวิจัยอาวุธเคมีชีวภาพ)💥😣 https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=421902230036059&id=100066488568961 👉มีสารอะไรอยู่ในเคมเทรล https://t.me/chemtrailshaarpthaichat/2 👉ผลร้ายของเคมเทรล https://t.me/chemtrailshaarpthaichat/75 https://t.me/chemtrailshaarpthaichat/1282 👉HAARP คืออะไร https://t.me/chemtrailshaarpthaichat/524 https://t.me/chemtrailshaarpthaichat/728 👉คลิป Chemtrails WAKE UP! https://t.me/chemtrailshaarpthaichat/812 👉คำอธิบายหลักการทำงานของ Chembuster: https://www.youtube.com/watch?v=s4SM5PajwSM&t=686s 👉"Video tutorial on how to build an Orgone Environmental Harmonizer, the so-called Chembuster." - Mirko Kulig: https://www.youtube.com/watch?v=QpGmOd_u0JQ 👉ศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ | Facebook: https://www.facebook.com/airpollution.CAPM/?ref=page_internal 👉รัฐบาลไทย และอินโดนีเซีย โดนหลอกให้เซ็นสัญญาตกลงให้ปรับสภาพอากาศได้ 3 ปี สัญญานี้เซ็นปี 2020 แปลว่า เอาอะไรมาพ่นในบ้านเราก็ได้ https://zerogeoengineering.com/2022/thailand-and-indonesia-have-signed-a-weather-modification-deal-through-2024/ 👉สภาพอากาศถูกควบคุมด้วย เทคโนโลยี HAARP By น้องอองซานและอาจารย์ทีน่า https://www.tiktok.com/t/ZSLCRfSSw/ https://t.me/chemtrailshaarpthaichat/1281 👉คลิป อ.ศุภวรรณกรีน กล่าวถึงเคมเทรล https://vt.tiktok.com/ZSNruWBLK/ 👉รายงาน: ศาสตราจารย์และนักภูมิอากาศวิทยา Dr. #JudithCurry ให้การเป็นพยานภายใต้คำสาบานต่อสภาคองเกรสว่า "การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มนุษย์สร้างขึ้น" เป็นเรื่องหลอกลวงโดยการปลอมแปลงข้อมูลและเยาะเย้ยนักวิทยาศาสตร์ที่กล้าไม่เห็นด้วยกับการค้นพบทางการเมือง! https://twitter.com/i/status/1683105847407149056 👉ตำแหน่งที่ตั้ง HARRP ในโลก https://t.me/chemtrailshaarpthaichat/1302 👉ไลฟ์สด เทคโนโลยีเพื่อปรับเปลี่ยนสภาพอากาศ | อดิเทพ จาวลาห์ https://www.youtube.com/live/zCzdNrbQn0A?si=mLFvv2loaKfbiVOY https://www.facebook.com/share/v/nW34YL4HiESsLNZT/ 30. หลอกว่าเหตุการณ์ไฟไหม้ที่เกาะฮาวายเป็นไฟป่าทั้งๆที่ใช้เทคโนโลยี DEW 👉เกิดอะไรขึ้นที่ฮาวาย? https://www.rookon.com/?p=986 31.หลอกให้รับวัkซีuอันตรายกว่า90ชนิด(ในปัจจุบัน) 32.หลอกเรื่อง 9-11 33.หลอกเรื่องนาซาไปถึงดวงจันทร์และดาวอังคาร 34.หลอกให้กินกาแฟ 35.หลอกว่ารถที่ใช้ระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า,แผงโซลาร์เซลล์ ผลิตออกมาเพื่อรักษ์โลก 36.หลอกว่าน้ำมันปิโตรเลียมและถ่านหิน ทำร้ายโลกและกำลังจะหมดไปจากโลก 37.หลอกให้กินสัตว์ป่วย เช่น เนื้อโกเบ(วัวกล้ามเนื้อฝ่อ,ฟัวกราส์(ไขมันลงตับห่าน) 38.หลอกว่าดวงจันทร์เป็นดาวเคราะห์ 39.หลอกให้ผ่าตัดไส้ติ่งออกทั้งๆที่ไม่ได้อักเสบเป็นอันตราย 40.หลอกว่าถ้าไม่กินอาหารให้ตรงเวลาน้ำย่อยจะออกมาย่อยกระเพาะ 41.หลอกว่ากินเค็มจะทำให้ไตเสื่อม แต่การกินสัตว์ต่างหากที่ทำร้ายไต 42.หลอกว่าเรามี Junk DNA 43.หลอกให้เชื่อว่ามีนรกสวรรค์เพื่อเป็นกับดักให้อยู่ในโฮโลแกรม 44.หลอกให้เชื่อว่ารัสเซียรังแกยูเครน 45.หลอกว่าแว่นกันแดด,ครีมกันแดดดีจำเป็นต้องใช้ (ก่อมะเร็ง) 46.หลอกว่าตาที่ 3 เปิดแล้ว ก็ไม่ต้องปฎิบัติอะไรแล้ว เปิดแล้วจะเห็นผี 47.หลอกให้ใช้ยาอันตรายจัดการโควิด เช่น ฟาวิพิลาเวียร์ โมนูพิราเวียร์ เรมเดซิเวีย แพคโลวิด ปัดยาดีๆออก เช่น ฟ้าทะลายโจร ไอเวอร์เมคติน ไฮดรอกซีคลอโรควีน CDS บอแรกซ์ เป็นต้น 48.หลอกว่าความฝันคือเรื่องที่เราคิดมากไปเอง 49.หลอกว่าเสียงที่ได้ยินในหัว เพราะเป็นโรคประสาท ไบโพล่า หรือซึมเศร้า 50.หลอกเรื่องไวรัส โkวิd19,HIV,H1N1,EBOLA,SWINE FLU,ZIKA,SARS ว่าเกิดจากธรรมชาติ 51.หลอกเรื่อง ลิเบีย 52.เรื่อง เปโตรดอลล่าร์ 53.หลอกเรื่องการค้ามนุษย์ /เด็ก ทรมานเพื่อทำสารอดรีโนโครมเป็นเรื่องเหลวไหล 54.หลอกว่า LGBTQ เกิดจากธรรมชาติอย่างเดียว 55.หลอกให้มีการจัดลำดับความวิเศษความเคารพนับถือศรัทธาแต่ละจิตวิญญาณ เช่น สัตว์ คน เทพ เทวดา ศาสดา 56.หลอกให้ผู้หญิงตรวจแมมโมแกรมประจำปีเพื่อจะป้องกันมะเร็งเต้านม แต่ที่จริงคือจะเป็นมะเร็งจากรังสีไอออไนซ์จากการตรวจ 57.หลอกว่าการใส่แมสก์ช่วยป้องกันไวรัสได้ นอกจากป้องกันไม่ได้แล้วยังลดออกซิเจนที่จะเข้าร่างกายลง20-30% ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รอบๆตัว จาก 200-600 ppm เมื่อใส่แมสจะขึ้นไปเกือบ1หมื่น มีผลทำร้ายร่างกาย 👉เพื่อสุขภาพของคนไทย หมอฝากทุกท่านแชร์แหล่งข้อมูลครับ ✅ศึกษาข้อมูลหน้ากากอนามัยเพิ่มเติมได้ที่ 1.กลุ่มไลน์ "ความรู้เกี่ยวกับแมสก์ Harmfulmasks" https://line.me/ti/g2/Nf-CPF-eldbclG4WH4iEIHyawJGFT76Btq14eQ?utm_source=invitation&utm_medium=link_copy&utm_campaign=default 2.เทเลแกรม “HarmfulMasks” https://t.me/HarmfulMasks 58.หลอกให้เราใช้ชุดตรวจโควิดลวงโลก ATK,ct PCR ✅ PCR และ ATK ลวงโลก 👉เรื่องราวของ PCR & Atk ep.2 https://rumble.com/v17e5ad-ep-2-pcr-and-atk.html 👉PCR พลิกตัวเลขผู้ติดเชื้อเท็จ https://stopthaicontrol.com/sub/pcr-%e0%b8%84%e0%b8%a7%e0%b8%a3%e0%b8%96%e0%b8%b9%e0%b8%81%e0%b8%99%e0%b8%b3%e0%b9%84%e0%b8%9b%e0%b8%97%e0%b8%b4%e0%b9%89%e0%b8%87%e0%b9%82%e0%b8%94%e0%b8%a2%e0%b8%97%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%97/ 👉 ไม่ควร ตรวจเชื้อวัวขวิด ทุกรูปแบบเพราะเป็น ผลบวกลวง ลองฟัง คลิป นี้ครับ ฟัง นาที ที่ 29 และ นาที ที่ 38 https://rumble.com/vsssso-48372936.html 👉และนาทีที่ 15 จากคลิปนี้ https://rumble.com/vw404g-q-and-a-with-dr.-atapol-md.cu..html 👉ชุดตรวจ ATK ที่เซ็ทผลไว้แล้ว https://t.me/c/1585233417/1124 👉คลิป สิ่งตกค้างจากการ Swap https://www.facebook.com/groups/426084935837716/permalink/433156291797247/ https://t.me/ThaiPitaksithData/956 👉ภัยจากการ Swap https://www.facebook.com/100002198164704/posts/4571056572977570/? https://t.me/ThaiPitaksithData/4282 👉 กราฟีนอ๊อกไซด์แฝงในปลายไม้สว็อบ https://t.me/ThaiPitaksithData/1689 👉คำเตือนชุดตรวจโkวิd- มีโซเดียมเอไซด์ซึ่งอาจเป็นพิษหรือถึงตายได้ ข้อมูล CDC เกี่ยวกับโซเดียมเอไซด์ https://emergency.cdc.gov/agent/sodiumazide/basics/facts.asp 👉พบเชื้อ ไม่ได้แปลว่า ติดเชื้อ โดย ศ.ดร.นพ.วิชัย เอกทักษิณ https://vt.tiktok.com/ZSLBRvdNY/ 59.หลอกให้กลัวและเชื่อแต่ข้อเสียของกระท่อม กัญชา กัญชง และเห็ดขี้ควาย 60.หลอกเราว่าโลกกลม แต่โลกแบน มีโดมและกำแพงน้ำแข็งกั้น 61.หลอกว่าพระพุทธเจ้าประสูติที่เนปาล ตรัสรู้และปรินิพพานที่อินเดีย ติดตามข้อมูลได้ที่เพจ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ที่แผ่นดินไทยไม่ใช่อินเดีย https://www.facebook.com/Thanabodee.Rebirths https://www.youtube.com/@user-sv8tw5sn4b/videos ความจริงคือ ประสูตพระพุทธเจ้าตรัสรู้ที่แผ่นดินไทยไม่ใช่อินเดียโคกโพธิ์ชัย ขอนแก่น แสดงธรรมจักรกัปปวัตนสูตร อิสิปตนมฤคทายวัน วัดพระพุทธบาทน้อย อ.แก่งคอย สระบุรี ปรินิพพาน : วัดพระแท่นดงรัง กาญจนบุรี บางทีการค้นหาคำตอบก็เสียเวลา แต่ต้องรู้ไว้บ้างเพื่อการไม่ถูกหลอกทางโลกกายภาพ มันเป็นความรู้ภายนอก แต่เพื่อ....การดำเนินชีวิตแบบทันเกมส์ และไม่ประมาท ไม่ให้ถูกหลอกไปผิดทางส่งผลเสียต่อใจกาย ควรจัดสรรเวลาฝึกจิตวิญญาณเชื่อมต่อจิตแท้ในตัวตนคือสิ่งที่ควรทำ นั่นคือความรู้จักตัวเอง ความรู้ภายในที่เราสะสมมา ทั้งหมด รอเราอยู่ ทุกอย่างต้องสมดุล https://youtu.be/YkyYWVNvz5M https://youtu.be/SKcv6GSm2dw #เชื่อมต่อกับจิตเดิมแท้หรือคุรุในตัวเราHS #ทุกแบบทดสอบมีมาเพื่อฝึกเกลาจิต #เราเลือกลงมาเกิดเพื่อหาประสบการณ์ที่เรากำหนดมา #เก็บไว้เป็นจิ๊กซอร์ส่วนตัวไม่ได้ชวนเชื่อ เวชหนุ่ม
    Like
    2
    0 Comments 1 Shares 982 Views 0 Reviews
  • วิเคราะห์หนังสือในมือ

    เล่มล่าสุดที่เพิ่งอ่านจบครับ เป็นหนังสือที่เพิ่งเห็นในห้องสมุดไม่นานนี้ ก่อนหน้าได้เคยอ่านบ้านวิกลคนประหลาดเล่มแรกไปเมื่อหลายเดือนก่อน รู้สึกว่าผลงานนักเขียนคนนี้จะค่อนข้างมีกระแสแรงทั้งสองด้าน คนที่ชอบก็จะชอบมาก ส่วนคนที่ไม่ชอบก็ไม่ชอบมากถึงขั้นเกลียดก็มี ที่จะอยู่ตรงกลางไม่ค่อยเห็น ผมสนใจอ่านผลงานของเขาด้วยเหตุผล 2 ประการ

    1. อยากอ่านจริง ๆ เพราะมีเนื้อหาที่น่าสนใจอีกทั้งการนำเสนอที่มีอะไรให้เล่นสนุกได้นอกเหนือไปจากตัวอักษรล้วน ปกติชอบหนังสือประเภทมีภาพประกอบให้ได้ใช้ความคิดวิเคราะห์อยู่แล้ว

    2 อยากทราบว่าทำไมผลงานของเขาถึงก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมในวงการนักอ่านได้อย่างรุนแรงชนิดที่เป็นขั้วตรงข้ามขนาดนั้น

    อ่านแล้วได้ข้อสรุปกับตัวเองคือ ผมชอบนะ แต่ไม่ได้ถึงขนาดชอบมาก ชอบในการสร้างสรรค์งานเขียนที่สร้างจุดแปลกให้แตกต่าง อาจจะไม่ได้เป็นครั้งแรก คนแรก ที่ใช้กลวิธีนำเสนอภาพกับเนื้อหาให้สอดคล้องกันไปกับเรื่องที่ต้องการเล่า ในขณะเดียวกันก็กระตุ้นให้คนเขียนได้ออกกำลังทางความคิด ไปจนถึงความขัดแย้งทางความเห็นได้มากกว่างานเขียนอื่นที่ปรากฏสู่สายตานักอ่านในช่วงเดียวกันในเมืองไทย

    ไม่ว่าอ่านแล้ว จะมีทั้งคนชอบหรือคนไม่ชอบ ไปจนถึงรักหรือเกลียดในผลงาน หรืออาจพาไปถึงเกลียดคนเขียนด้วยหรือไม่นั้น ผมถือว่าเขาทำสำเร็จแล้วในแง่ของนักเขียนผู้สร้างปรากฏการณ์ที่เขย่าวงการ อย่างน้อยที่สุดการที่ได้มีการโต้แย้งทางความเห็นที่ไม่ไหลไปในทางเดียวกันทั้งหมด คือมีทั้งคนที่ชี้ข้อดี และข้อเสีย ก็น่าเป็นผลดีที่ทำให้เกิดความตื่นตัวต่อแวดวงคนอ่าน จะได้ไม่ซบเซาเหงาหงอยเกินไป

    ส่วนความเห็น ไม่ว่าจะฝั่งไหน ก็ไม่ได้ลดทอนคุณค่าหรือสาระที่มีอยู่ในหนังสือเล่มใดให้มากขึ้น หรือลดลง เนื่องจากความเห็นยังไม่เที่ยงแท้และไม่ใช่ความจริง ด้วยขึ้นกับปัจจัยแวดล้อมมากมายในแต่ละบุคคล ไม่ได้หมายความว่าความเห็นของคนที่ชอบจะต้องถูก หรือความเห็นของคนที่ไม่ชอบจะต้องผิด

    แม้แต่ความเห็นของเราเองยังเชื่อใจไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ว่าจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล ไม่แน่ว่ากาลเวลาล่วงเลยไปถึงระยะหนึ่งในวันข้างหน้า ที่เราเติบโตขึ้นต่างไปจากความรู้สึกในปัจจุบัน มุมมองความเห็นเราอาจกลายเป็นตรงข้ามกับตัวเองในตอนนี้ก็ยังได้ นั่นต่างหากคือความจริง

    #ภาพวาดปริศนากับการตามหาฆาตกร
    สนพ.Prism
    ฉบับพิมพ์ครั้ง4 ม.ค.2567
    อุเก็ตสึ เขียน
    ฉัตรขวัญ อดิศัย แปล
    335 บาท 274 หน้า

    เนื้อหาอย่างคร่าว

    เริ่มต้นบทนำด้วยหญิงคนหนึ่งที่เป็นผู้ศึกษามาทางด้านจิตวิเคราะห์ นำภาพวาดของเด็กหญิงวัย 11 ปี ที่เคยเป็นคนในความดูแลของตนช่วงเวลาหนึ่งมาฉายให้นักศึกษาที่เข้าฟังบรรยายชม และบอกว่าเด็กหญิงฆ่าแม่ตัวเองตาย เธออธิบายความหมายเบื้องหลังภาพนั้น ก่อนจะลงท้ายว่าเด็กหญิงเคยถูกแม่ทารุณกรรม แต่มีแนวโน้มพอจะเยียวยาได้ ปัจจุบันมีข่าวว่าเธอเป็นแม่คนแล้ว

    บทที่1ภาพวาดผู้หญิงยืนกลางสายลม

    เข้าสู่เรื่องราวของความแปลกด้วยการที่ นักศีกษาชมรมเรื่องลี้ลับชายคนหนึ่ง ได้รับการกระตุ้นให้เกิดสนใจในการเข้าไปอ่านในบล็อก ที่ผู้เขียนไม่เปิดเผยตัวตน แต่พิมพ์เล่าเรื่องราวในชีวิตตนเองคล้ายไดอารีให้คนที่เข้ามาอ่านทราบความเป็นไปของเขา ซึ่งมีอะไรที่ชวนฉงน อีกทั้งเจ้าของบล็อกลงรูปภาพหลายภาพ ที่ชวนให้รู้สึกว่าเรื่องราวที่เขาเล่ามีอะไรที่ไม่ปกติซ่อนเร้นอยู่ ยิ่งสุดท้ายมีการระบุว่าเกิดเหตุร้ายแรงขึ้นกับคนในครอบครัว และจะไม่อัปบล็อกอีกต่อไป เนื้อหาเหล่านั้นจึงค้างคาในใจของรุ่นน้อง แล้วพลอยส่งต่อความรู้สึกมายังรุ่นพี่ให้อยากรู้ตาม จนนอนไม่หลับ ใคร่จะไขปริศนาให้จงได้ จบตอน

    บทที่2 ภาพวาดหมอกปกคลุมห้อง

    กล่าวถึงหญิงคนหนึ่งที่ถูกเรียกหาว่า หม่าม้า จากลูกชายวัย 6 ขวบ ทั้งคู่อาศัยอยู่ด้วยกันตามลำพังในแมนชั่นแห่งหนึ่ง แม่ทำงานเป็นพนักงานในซูเปอร์มาร์เก็ต ลูกชายนั้นเรียนที่โรงเรียนใกล้ที่พัก ระยะนี้คนเป็นแม่รู้สึกได้ว่าถูกใครสักคนลอบดูและแอบติดตามขณะเธอและลูกออกนอกแมนชั่น โดยเฉพาะช่วงเวลากลับจากรับลูกที่โรงเรียน จนมีความเครียดและกังวล ในขณะคุณครูที่ดูแลเด็กนักเรียนห้องที่ลูกชายของเธอเรียนอยู่นั้น ก็มีเรื่องที่ไม่เข้าใจเกี่ยวกับภาพวาดของเขามาหารือ เป็นภาพที่มีหัวข้อเกี่ยวกับแม่ แต่มีอะไรบางอย่างในภาพนั้นที่รบกวนใจของครูอย่างแปลกประหลาด จนภายหลังเมื่อค้นพบข้อมูลเพิ่มเติมจากการวิเคราะห์คำพูดของเพื่อนครูคนอื่น รวมถึงคำบอกเล่าของเด็กหญิงที่เป็นเพื่อนสนิทกันของเด็กชาย ดูเหมือนจะมีความลับที่น่าตกใจซ่อนอยู่ เกี่ยวกับแม่ลูกคู่นี้

    บทที่3 ภาพวาดในวาระสุดท้ายของครูสอนศิลปะ

    ครูหนุ่มใหญ่ซึ่งสอนในชมรมศิลปะของโรงเรียนแห่งหนึ่ง เป็นคนค่อนข้างตรง และอุปนิสัยแข็งกร้าว เขามีน้ำใจชอบช่วยลูกศิษย์ และกับเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันในอดีต ชื่นชอบการวาดรูปกับปีนเขา เรื่องเกิดขึ้นในวันหนึ่งที่เขาขึ้นไปวาดรูปบนยอดเขาแล้วถูกพบเป็นศพในวันต่อมา สภาพศพน่าอเนจอนาถ คดีนี้มีผู้ได้รับการสอบถามจากนักข่าว 4 รายคือพนักงานที่คอยดูแลตรวจตราสภาพของภูเขา ,เมียผู้ตาย ซึ่งมีลูกชายวัยประถม ,เพื่อนสมัยเป็นนักศึกษาที่ปัจจุบันทำงานพิเศษเป็นครูอยู่โรงเรียนเดียวกับผู้ตาย และนักเรียนชมรมศิลปะที่ผู้ตายสอน แต่ตำรวจไม่สามารถจับคนร้าย ต่อมาหนุ่มนักศึกษาที่เคยเป็นลูกศิษย์ของผู้ตาย ที่หลังจบม.ปลายได้เข้าทำงานกับบริษัทหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น เขารักครูผู้ตายที่เคยช่วยเหลือตนสมัยเรียน จึงอยากสืบหาความจริง จากเบาะแสภาพวาดที่ทิ้งไว้ก่อนเสียชีวิต ทว่าเรื่องราวช่างซับซ้อนซ่อนกล และแฝงไว้ซึ่งความจริงอันน่าตื่นตระหนก

    บทที่4 ภาพวาดต้นไม้ปกป้องนกกระจอกชวา

    บทสุดท้ายที่จะขมวดทุกเหตุการณ์ตั้งแต่จุดเริ่มต้นเข้าสู่เรื่องยาวของชีวิต ๆ หนึ่ง ที่ย้อนกลับสู่บทนำในภาพแรกที่นักจิตวิเคราะห์ได้นำเสนอ โดยเล่าถึงชีวิตที่น่าสงสารและเห็นใจของเด็กหญิงที่บอกเล่าที่มาซึ่งทำให้เธอกลายเป็นฆาตกรฆ่าแม่ และเรื่องราวหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง ที่จะไปเชื่อมต่อกับเนื้อหาในบทที่ 1 2 3 ตามลำดับ เพื่อจะได้ทราบความจริงที่ถูกซ้อนทับด้วยคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในอดีตหลายคดีด้วยกัน ทั้งหมดล้วนมีต้อตอมาจากคนคนเดียว

    เป็นใคร และทำไม ไปตามต่อได้ในเล่มครับ

    🖋หลังอ่านจบ

    ชอบในความอ่านง่าย ยิ่งมีภาพประกอบสลับเป็นช่วง ทำให้ได้พักสายตา จะขอไม่กล่าวถึงในแง่ต่าง ๆ ที่ทั้งคนชอบและไม่ชอบต่างวิจารณ์กันไปเยอะแล้ว แต่อยากพูดถึงในแง่ว่า ผู้เขียนฉลาดนักในการตัดสินใจเล่าอย่างตรงไปตรงมา ไม่อธิบายบรรยายฉากหรือเรื่องที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์อย่างละเอียดมาก บางฉากถึงกับใช้วิธีที่ง่าย สั้น และตรง ๆ ทื่อ ๆ เลยด้วยซ้ำ

    ซึ่งมันกลับได้ผล ทรงพลัง เมื่อเราได้จินตนาการไปตามตัวอักษรเหล่านั้น เช่น

    ปั้กกก

    แล้วก็
    ปั้กกกปั้กกกปั้กกกปั้กกกปั้กกกปั้กกกปั้กกกปั้กกกปั้กกก...

    แค่ตอนที่อ่านถึงตรงบรรทัดนี้ ความรู้สึกเวลาหลับตานึกถึงกิริยาที่ก่อให้เกิดเสียง กับอาการที่เกิดขึ้นอันเป็นผลลัพธ์ ก็ทำเอาใจคอไม่เป็นปกติแล้ว

    เสียงชนิดเดียวที่ดังต่อเนื่องซ้ำแล้วซ้ำอีกชั่วระยะเวลาที่แม้นไม่นานนัก แต่น่าจะยาวนานที่สุดในชีวิตสำหรับความรู้สึกของผู้อยู่ในเหตุการณ์

    เพียงแค่ฉากนี้ฉากเดียว สามารถสื่อถึงความวิปริตผิดปกติของจิตใจคนคนนั้นได้อย่างชัดเจน เพราะแสดงให้เห็นถึงสภาพคนที่มีความเก็บกด อดกลั้น ย้ำคิดย้ำทำ กังวลและเครียด ไม่สามารถจะควบคุมหรือยับยั้งความคิดหรืออารมณ์ที่ผุดพุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พอปล่อยให้มันแสดงออกตามสบาย จึงล้นทะลักราวทำนบทลาย

    ซึ่งสังเกตได้ว่าไม่ได้ปรากฏขึ้นแค่เฉพาะฉากนี้เท่านั้น

    นี่คือความน่ากลัว และน่าขนลุกอย่างแท้จริง

    อ่านแล้วอดไม่ได้ที่จะนึกถึงสังคมไทยในปัจจุบัน เด็กหญิงชายจำนวนมากมาย ที่เติบโตขึ้นมาอย่างผู้ถูกกระทำจากคนใกล้ชิดในครอบครัว แม้บางส่วนถูกช่วยเหลือออกมาได้ และเข้าสู่ขั้นตอนช่วยเหลือเยียวยา

    ทว่า..เราจะมั่นใจได้อย่างไร ว่าสิ่งที่ฝังแน่นอยู่ในจิตใจของเด็ก ๆ ได้รับการสะสางชำระล้างไปจนหมดสิ้น แล้วจะไม่กลายร่างเป็นดังเช่นคนร้ายที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้

    เด็กทั้งหลาย เขาได้เติบโตขึ้นมาและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนทั่วไปในสังคม โดยที่เหมือนมีระเบิดเวลาซุกซ่อนอยู่ในตัว รอวันที่จะถูกสิ่งใดมากระตุ้นโดนจุดอ่อนนั้นให้เกิดเป็นเรื่องราวบทใหม่หรือไม่

    เป็นไปได้ว่าสักวันเหยื่อเหมือนในหนังสือเล่มนี้ อาจเป็นใครบางคนที่เรารักหรือรักเรา แม้กระทั่งตัวเราเองก็เป็นได้ ใครจะรู้?!

    #บทความ
    #บทวิจารณ์
    #หนังสือน่าอ่าน
    #ฆาตกรรม
    #จิตวิทยา
    #หนังสือแปล
    #นิยายแปล
    #ความรุนแรงในครอบครีว
    #พ่อแม่รังแกฉัน
    #ปริศนา
    #ภาพวาด
    #thaitimes
    #อุเก็ตสึ
    วิเคราะห์หนังสือในมือ เล่มล่าสุดที่เพิ่งอ่านจบครับ เป็นหนังสือที่เพิ่งเห็นในห้องสมุดไม่นานนี้ ก่อนหน้าได้เคยอ่านบ้านวิกลคนประหลาดเล่มแรกไปเมื่อหลายเดือนก่อน รู้สึกว่าผลงานนักเขียนคนนี้จะค่อนข้างมีกระแสแรงทั้งสองด้าน คนที่ชอบก็จะชอบมาก ส่วนคนที่ไม่ชอบก็ไม่ชอบมากถึงขั้นเกลียดก็มี ที่จะอยู่ตรงกลางไม่ค่อยเห็น ผมสนใจอ่านผลงานของเขาด้วยเหตุผล 2 ประการ 1. อยากอ่านจริง ๆ เพราะมีเนื้อหาที่น่าสนใจอีกทั้งการนำเสนอที่มีอะไรให้เล่นสนุกได้นอกเหนือไปจากตัวอักษรล้วน ปกติชอบหนังสือประเภทมีภาพประกอบให้ได้ใช้ความคิดวิเคราะห์อยู่แล้ว 2 อยากทราบว่าทำไมผลงานของเขาถึงก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมในวงการนักอ่านได้อย่างรุนแรงชนิดที่เป็นขั้วตรงข้ามขนาดนั้น อ่านแล้วได้ข้อสรุปกับตัวเองคือ ผมชอบนะ แต่ไม่ได้ถึงขนาดชอบมาก ชอบในการสร้างสรรค์งานเขียนที่สร้างจุดแปลกให้แตกต่าง อาจจะไม่ได้เป็นครั้งแรก คนแรก ที่ใช้กลวิธีนำเสนอภาพกับเนื้อหาให้สอดคล้องกันไปกับเรื่องที่ต้องการเล่า ในขณะเดียวกันก็กระตุ้นให้คนเขียนได้ออกกำลังทางความคิด ไปจนถึงความขัดแย้งทางความเห็นได้มากกว่างานเขียนอื่นที่ปรากฏสู่สายตานักอ่านในช่วงเดียวกันในเมืองไทย ไม่ว่าอ่านแล้ว จะมีทั้งคนชอบหรือคนไม่ชอบ ไปจนถึงรักหรือเกลียดในผลงาน หรืออาจพาไปถึงเกลียดคนเขียนด้วยหรือไม่นั้น ผมถือว่าเขาทำสำเร็จแล้วในแง่ของนักเขียนผู้สร้างปรากฏการณ์ที่เขย่าวงการ อย่างน้อยที่สุดการที่ได้มีการโต้แย้งทางความเห็นที่ไม่ไหลไปในทางเดียวกันทั้งหมด คือมีทั้งคนที่ชี้ข้อดี และข้อเสีย ก็น่าเป็นผลดีที่ทำให้เกิดความตื่นตัวต่อแวดวงคนอ่าน จะได้ไม่ซบเซาเหงาหงอยเกินไป ส่วนความเห็น ไม่ว่าจะฝั่งไหน ก็ไม่ได้ลดทอนคุณค่าหรือสาระที่มีอยู่ในหนังสือเล่มใดให้มากขึ้น หรือลดลง เนื่องจากความเห็นยังไม่เที่ยงแท้และไม่ใช่ความจริง ด้วยขึ้นกับปัจจัยแวดล้อมมากมายในแต่ละบุคคล ไม่ได้หมายความว่าความเห็นของคนที่ชอบจะต้องถูก หรือความเห็นของคนที่ไม่ชอบจะต้องผิด แม้แต่ความเห็นของเราเองยังเชื่อใจไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ว่าจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล ไม่แน่ว่ากาลเวลาล่วงเลยไปถึงระยะหนึ่งในวันข้างหน้า ที่เราเติบโตขึ้นต่างไปจากความรู้สึกในปัจจุบัน มุมมองความเห็นเราอาจกลายเป็นตรงข้ามกับตัวเองในตอนนี้ก็ยังได้ นั่นต่างหากคือความจริง #ภาพวาดปริศนากับการตามหาฆาตกร สนพ.Prism ฉบับพิมพ์ครั้ง4 ม.ค.2567 อุเก็ตสึ เขียน ฉัตรขวัญ อดิศัย แปล 335 บาท 274 หน้า เนื้อหาอย่างคร่าว เริ่มต้นบทนำด้วยหญิงคนหนึ่งที่เป็นผู้ศึกษามาทางด้านจิตวิเคราะห์ นำภาพวาดของเด็กหญิงวัย 11 ปี ที่เคยเป็นคนในความดูแลของตนช่วงเวลาหนึ่งมาฉายให้นักศึกษาที่เข้าฟังบรรยายชม และบอกว่าเด็กหญิงฆ่าแม่ตัวเองตาย เธออธิบายความหมายเบื้องหลังภาพนั้น ก่อนจะลงท้ายว่าเด็กหญิงเคยถูกแม่ทารุณกรรม แต่มีแนวโน้มพอจะเยียวยาได้ ปัจจุบันมีข่าวว่าเธอเป็นแม่คนแล้ว บทที่1ภาพวาดผู้หญิงยืนกลางสายลม เข้าสู่เรื่องราวของความแปลกด้วยการที่ นักศีกษาชมรมเรื่องลี้ลับชายคนหนึ่ง ได้รับการกระตุ้นให้เกิดสนใจในการเข้าไปอ่านในบล็อก ที่ผู้เขียนไม่เปิดเผยตัวตน แต่พิมพ์เล่าเรื่องราวในชีวิตตนเองคล้ายไดอารีให้คนที่เข้ามาอ่านทราบความเป็นไปของเขา ซึ่งมีอะไรที่ชวนฉงน อีกทั้งเจ้าของบล็อกลงรูปภาพหลายภาพ ที่ชวนให้รู้สึกว่าเรื่องราวที่เขาเล่ามีอะไรที่ไม่ปกติซ่อนเร้นอยู่ ยิ่งสุดท้ายมีการระบุว่าเกิดเหตุร้ายแรงขึ้นกับคนในครอบครัว และจะไม่อัปบล็อกอีกต่อไป เนื้อหาเหล่านั้นจึงค้างคาในใจของรุ่นน้อง แล้วพลอยส่งต่อความรู้สึกมายังรุ่นพี่ให้อยากรู้ตาม จนนอนไม่หลับ ใคร่จะไขปริศนาให้จงได้ จบตอน บทที่2 ภาพวาดหมอกปกคลุมห้อง กล่าวถึงหญิงคนหนึ่งที่ถูกเรียกหาว่า หม่าม้า จากลูกชายวัย 6 ขวบ ทั้งคู่อาศัยอยู่ด้วยกันตามลำพังในแมนชั่นแห่งหนึ่ง แม่ทำงานเป็นพนักงานในซูเปอร์มาร์เก็ต ลูกชายนั้นเรียนที่โรงเรียนใกล้ที่พัก ระยะนี้คนเป็นแม่รู้สึกได้ว่าถูกใครสักคนลอบดูและแอบติดตามขณะเธอและลูกออกนอกแมนชั่น โดยเฉพาะช่วงเวลากลับจากรับลูกที่โรงเรียน จนมีความเครียดและกังวล ในขณะคุณครูที่ดูแลเด็กนักเรียนห้องที่ลูกชายของเธอเรียนอยู่นั้น ก็มีเรื่องที่ไม่เข้าใจเกี่ยวกับภาพวาดของเขามาหารือ เป็นภาพที่มีหัวข้อเกี่ยวกับแม่ แต่มีอะไรบางอย่างในภาพนั้นที่รบกวนใจของครูอย่างแปลกประหลาด จนภายหลังเมื่อค้นพบข้อมูลเพิ่มเติมจากการวิเคราะห์คำพูดของเพื่อนครูคนอื่น รวมถึงคำบอกเล่าของเด็กหญิงที่เป็นเพื่อนสนิทกันของเด็กชาย ดูเหมือนจะมีความลับที่น่าตกใจซ่อนอยู่ เกี่ยวกับแม่ลูกคู่นี้ บทที่3 ภาพวาดในวาระสุดท้ายของครูสอนศิลปะ ครูหนุ่มใหญ่ซึ่งสอนในชมรมศิลปะของโรงเรียนแห่งหนึ่ง เป็นคนค่อนข้างตรง และอุปนิสัยแข็งกร้าว เขามีน้ำใจชอบช่วยลูกศิษย์ และกับเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันในอดีต ชื่นชอบการวาดรูปกับปีนเขา เรื่องเกิดขึ้นในวันหนึ่งที่เขาขึ้นไปวาดรูปบนยอดเขาแล้วถูกพบเป็นศพในวันต่อมา สภาพศพน่าอเนจอนาถ คดีนี้มีผู้ได้รับการสอบถามจากนักข่าว 4 รายคือพนักงานที่คอยดูแลตรวจตราสภาพของภูเขา ,เมียผู้ตาย ซึ่งมีลูกชายวัยประถม ,เพื่อนสมัยเป็นนักศึกษาที่ปัจจุบันทำงานพิเศษเป็นครูอยู่โรงเรียนเดียวกับผู้ตาย และนักเรียนชมรมศิลปะที่ผู้ตายสอน แต่ตำรวจไม่สามารถจับคนร้าย ต่อมาหนุ่มนักศึกษาที่เคยเป็นลูกศิษย์ของผู้ตาย ที่หลังจบม.ปลายได้เข้าทำงานกับบริษัทหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น เขารักครูผู้ตายที่เคยช่วยเหลือตนสมัยเรียน จึงอยากสืบหาความจริง จากเบาะแสภาพวาดที่ทิ้งไว้ก่อนเสียชีวิต ทว่าเรื่องราวช่างซับซ้อนซ่อนกล และแฝงไว้ซึ่งความจริงอันน่าตื่นตระหนก บทที่4 ภาพวาดต้นไม้ปกป้องนกกระจอกชวา บทสุดท้ายที่จะขมวดทุกเหตุการณ์ตั้งแต่จุดเริ่มต้นเข้าสู่เรื่องยาวของชีวิต ๆ หนึ่ง ที่ย้อนกลับสู่บทนำในภาพแรกที่นักจิตวิเคราะห์ได้นำเสนอ โดยเล่าถึงชีวิตที่น่าสงสารและเห็นใจของเด็กหญิงที่บอกเล่าที่มาซึ่งทำให้เธอกลายเป็นฆาตกรฆ่าแม่ และเรื่องราวหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง ที่จะไปเชื่อมต่อกับเนื้อหาในบทที่ 1 2 3 ตามลำดับ เพื่อจะได้ทราบความจริงที่ถูกซ้อนทับด้วยคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในอดีตหลายคดีด้วยกัน ทั้งหมดล้วนมีต้อตอมาจากคนคนเดียว เป็นใคร และทำไม ไปตามต่อได้ในเล่มครับ 🖋หลังอ่านจบ ชอบในความอ่านง่าย ยิ่งมีภาพประกอบสลับเป็นช่วง ทำให้ได้พักสายตา จะขอไม่กล่าวถึงในแง่ต่าง ๆ ที่ทั้งคนชอบและไม่ชอบต่างวิจารณ์กันไปเยอะแล้ว แต่อยากพูดถึงในแง่ว่า ผู้เขียนฉลาดนักในการตัดสินใจเล่าอย่างตรงไปตรงมา ไม่อธิบายบรรยายฉากหรือเรื่องที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์อย่างละเอียดมาก บางฉากถึงกับใช้วิธีที่ง่าย สั้น และตรง ๆ ทื่อ ๆ เลยด้วยซ้ำ ซึ่งมันกลับได้ผล ทรงพลัง เมื่อเราได้จินตนาการไปตามตัวอักษรเหล่านั้น เช่น ปั้กกก แล้วก็ ปั้กกกปั้กกกปั้กกกปั้กกกปั้กกกปั้กกกปั้กกกปั้กกกปั้กกก... แค่ตอนที่อ่านถึงตรงบรรทัดนี้ ความรู้สึกเวลาหลับตานึกถึงกิริยาที่ก่อให้เกิดเสียง กับอาการที่เกิดขึ้นอันเป็นผลลัพธ์ ก็ทำเอาใจคอไม่เป็นปกติแล้ว เสียงชนิดเดียวที่ดังต่อเนื่องซ้ำแล้วซ้ำอีกชั่วระยะเวลาที่แม้นไม่นานนัก แต่น่าจะยาวนานที่สุดในชีวิตสำหรับความรู้สึกของผู้อยู่ในเหตุการณ์ เพียงแค่ฉากนี้ฉากเดียว สามารถสื่อถึงความวิปริตผิดปกติของจิตใจคนคนนั้นได้อย่างชัดเจน เพราะแสดงให้เห็นถึงสภาพคนที่มีความเก็บกด อดกลั้น ย้ำคิดย้ำทำ กังวลและเครียด ไม่สามารถจะควบคุมหรือยับยั้งความคิดหรืออารมณ์ที่ผุดพุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พอปล่อยให้มันแสดงออกตามสบาย จึงล้นทะลักราวทำนบทลาย ซึ่งสังเกตได้ว่าไม่ได้ปรากฏขึ้นแค่เฉพาะฉากนี้เท่านั้น นี่คือความน่ากลัว และน่าขนลุกอย่างแท้จริง อ่านแล้วอดไม่ได้ที่จะนึกถึงสังคมไทยในปัจจุบัน เด็กหญิงชายจำนวนมากมาย ที่เติบโตขึ้นมาอย่างผู้ถูกกระทำจากคนใกล้ชิดในครอบครัว แม้บางส่วนถูกช่วยเหลือออกมาได้ และเข้าสู่ขั้นตอนช่วยเหลือเยียวยา ทว่า..เราจะมั่นใจได้อย่างไร ว่าสิ่งที่ฝังแน่นอยู่ในจิตใจของเด็ก ๆ ได้รับการสะสางชำระล้างไปจนหมดสิ้น แล้วจะไม่กลายร่างเป็นดังเช่นคนร้ายที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้ เด็กทั้งหลาย เขาได้เติบโตขึ้นมาและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนทั่วไปในสังคม โดยที่เหมือนมีระเบิดเวลาซุกซ่อนอยู่ในตัว รอวันที่จะถูกสิ่งใดมากระตุ้นโดนจุดอ่อนนั้นให้เกิดเป็นเรื่องราวบทใหม่หรือไม่ เป็นไปได้ว่าสักวันเหยื่อเหมือนในหนังสือเล่มนี้ อาจเป็นใครบางคนที่เรารักหรือรักเรา แม้กระทั่งตัวเราเองก็เป็นได้ ใครจะรู้?! #บทความ #บทวิจารณ์ #หนังสือน่าอ่าน #ฆาตกรรม #จิตวิทยา #หนังสือแปล #นิยายแปล #ความรุนแรงในครอบครีว #พ่อแม่รังแกฉัน #ปริศนา #ภาพวาด #thaitimes #อุเก็ตสึ
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 1260 Views 0 Reviews
  • เค้าก็ไม่เคยบอกใครนะ ว่าพี่ปูเขาเป็นสุภาพบุรุษนักบุญ……
    แต่คนที่จะเอาชนะกับกลุ่มมารที่ทึ้งแทะประเทศ……มันก็มีบทโหด……และ ไม่ใช่โหดเฉยๆ แต่โคตรโหดเลยจ้าาาาา
    นี่เป็นส่วนหนึ่งของน้ำจิ้มนะจ๊ะ…

    ตอนสิบเจ็ด…..…ฆาตกรรมข้ามแดนที่เรียงเป็นซีรี่ย์……เป็นเรื่องตะวันตกเขาว่าเขารับไม่ได้………!!

    ดิฉันเคยเขียนถึงเรื่องของ Aleksandr Litvinenko ที่โดนยาพิษไปแล้ว จะเอามาแปะให้ข้างล่าง แต่……เขายังเป็นอะไรที่มีโอกาสสั่งเสีย และมีเวลาเขียนจดหมายอาฆาตแค้นถึงปูติน
    ก่อนที่จะลาลับไปจากโลกนี้
    แต่ก่อนหน้านั้นหกอาทิตย์ ……คนที่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะกระพริบตา คือ Anna Politkovskaya **วัย 48 นักข่าว นักเคลื่อนไหว
    นักเขียน ที่มีสัญชาติอเมริกัน (เชื้อชาติรัสเซีย)
    ที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลปูตินมาโดยตลอด เธอถือว่าเธอได้รับการคุ้มครองจากสถานทูตอเมริกัน จึงกล้าเขียนวิจารณ์ทั้งสื่อใน และ นอกประเทศ
    งานหลักของเธอคือ การจิกกัดในเรื่องของสงครามที่เชเชน
    โดยจะทำรายงานสกู๊ปข่าวอย่างละเอียด ว่า ใครได้ถูกเก็บไปบ้าง และติเตียนปูตินที่เอา Ramzan Kadyrov จิ๊กโก๋บ้าดีเดือด มาเป็นผู้ว่าการรัฐ ที่เธอเปรียบเปรย และดูถูก ว่า ไร้การศึกษา ไม่มีมารยาท กระหายเลือด และ โง่.……!!ว
    วันที่ 7 ตุลาคม 2006 ที่เธอกำลังขึ้นลิฟท์ที่พัก……มือปืนได้บุกเข้ายิงเธอสี่นัด และวางปืนไว้ข้างๆร่างของเธอ เป็นสัญญลักษณ์ว่า เป็นการจ้างวาน…

    เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่ทั่วโลก เพราะเป็นการกระทำที่อุกอาจกลางกรุงมอสโคว์ เหยื่อเป็นนักข่าว เป็นผู้หญิง และอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล
    แน่นอนว่า…..ทุกคนพุ่งเป้าไปที่ปูตินพียงคนเดียว
    และไม่มีใครออกมาให้ข่าวอะไรเพื่อที่จะเคลียร์ตัวเอง
    จนสามวันถัดไปที่เป็นวันฝังร่างที่มีผู้คนไปร่วมงานนับพัน
    ที่ปูตินเดินทางไปที่ Dresden ในการพบปะกับนายกรัฐมนตรีคนใหม่ มาดาม Angela Merkel ที่มาแทน Gerhard Schroeder
    ในการพบกัน แองเจลาได้พยายามที่จะถามคุ้ยถึงเรื่องฆาตกรรม แต่ปูตินพูดเรียบๆว่า
    “มันเป็นอะไรที่เหี้ยมโหดมาก..แต่การที่หล่อนตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับรัสเซีย เขียนข้อความที่ต่อต้านมาโดยตลอด ซึ่งมันไม่ได้เป็นผลอะไรกับรัฐบาลเลย ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปทำการที่ทำให้เกิดผลเสีย……คนที่อยู่เบื้องหลังในการฆาตกรรมนี้ คือกลุ่มที่มีความตั้งใจจะให้เราเป็นแพะ……”
    เขาพูดต่อว่า…
    “เรามีศัตรูที่ฝังตัวอยู่ในและนอกรัสเซียมากมาย ที่พร้อมที่จะสาดโคลนให้เราเสียชื่อเสียงตลอดเวลา”
    นั่นเขาหมายถึง Litvinenko ที่ไปตั้งแก๊งค์รวมกลุ่มกับ Boris Berezovsky ที่ลอนดอน

    ~~สาวให้ลึกเข้าไปอีกนิดนะคะ Litvinenko (จะเรียกว่า Lit) กับ Anna อยู่ในขบวนการเดียวกัน เธอได้บินไปเยี่ยมเขาถึงในลอนดอน เพื่อให้ข้อมูลของสงครามเชเชน……เพราะ Lit ได้เจาะในเรื่องการที่เหล่าผู้นำฝ่ายกบฏถูกตามเก็บไปทีละคนสองคน จนเป็นการจบสิ้นขบวนการขัดแย้ง
    เขาเสียชีวิตในวันที่ 23 พฤศจิกายน หลังจากที่อยู่ในโรงพยาบาลยี่สิบกว่าวัน หลังจากการจากไปของแอนนาเพียงหกอาทิตย์
    ทั้งสองคดีนี้……จับคนร้ายได้ทั้งขบวนการ ติดคุกกันไปคนบะหลายปี แต่จับตัวผู้บงการไม่ได้
    และ ผู้ต้องหาส่วนใหญ่มีพื้นเพเป็นอดีต FSB
    ส่วนจดหมายอาฆาตแค้นที่ Lit เขียนถึงปูติน………
    เขาไม่ได้โต้ตอบอะไร นอกจากแสดงความเสียใจ……เช่นเดียวกับที่เขาได้ทำอย่างเดียวกันกับการฆาตกรรมของแอนนา

    แต่เนื่องจากกระแสข่าวที่ได้ถูกจุดขึ้นมา สื่อตะวันตกจึงได้ใช้กระแสนี้ ขุดเอาการตายอย่างน่าสงสัยของคนหลายๆคนในอดีตขึ้นมาด้วย ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับ FSB เพราะ Boris Berezovsky อดีตเจ้าพ่อสื่อตั้งตัวเป็นศัตรูที่เปิดหน้าชกกับปูติน……แบบข้ามทวีป……ลอนดอน-มอสโคว์

    ปูตินเหลือเวลาที่จะอยู่ในตำแหน่งอีกเพียงปีเศษ เพราะการเลือกตั้งจะมีในปี 2008 เขาจึงหันมาสนใจที่จะเร่งมือทำทุกอย่างให้เสร็จตามแผน ส่วนเรื่องที่จะหาใครมาเป็นแคนดิเดต
    คนต่อไป.…เขายังไม่คิด
    สิ่งที่เขามุ่งมั่นที่จะทำ คือ การที่จะเอารัสเซียไปเป็นเจ้าภาพในกีฬาฤดูหนาวของโอลิมปิก 2014 เพราะตั้งแต่ ปี 1980 ที่โซเวียตได้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิก (ฤดูร้อน) ที่มอสโคว์แล้ว
    จากนั้นมา…ไม่มีโอกาสอีกเลย เพราะการแซงชั่น (สงครามอาฟกานิสถาน) และ มาตรฐานไม่ผ่าน
    ปูตินบินไปกัวเตมาลา ในเดือนกรกฎาคม 2007
    สำหรับการประชุมนอกรอบเกี่ยวกับการขอเป็นเจ้าภาพจัดงานโอลิมปิกฤดูหนาว กับ International Olympic Committee เพราะเขาเห็นว่าถึงเวลาที่รัสเซียจะต้องอวดโฉมให้กับชาวโลกได้เห็นว่า………รัสเซียไม่ใช่ประเทศหลังเขาอย่างแต่ก่อน
    อีกทั้งปูตินเอง เป็นนักกีฬาแทบทุกชนิด เขาจึงมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้รัสเซียได้เป็นเจ้าภาพของโอลิมปิกให้ได้
    เพราะเขารู้จัก Sochi ดี….และเห็นว่ามีภูมิทัศน์และภูมิประเทศที่จะจัดแข่งสกีได้ไม่แพ้ที่ไหนในโลก
    เขาเรียกประชุมเหล่า CEO ทั้งหลาย เพื่อที่จะทุ่มทุนสร้าง Ski Resort แบบมาตรฐานโลก……เสียเงินเท่าไหร่ไม่ว่า…!!
    ทุกคนขานรับ….

    การประชุมที่กัวเตมาลาครั้งต่อมา ที่จะมีการพิจารณาถึงความเป็นไปได้
    ข้อเสนอที่ตรงกับความต้องการ และ ต้องได้มาตรฐานสูงสุด
    ที่จะมีการโหวตสองครั้ง ครั้งแรก คือการคัดเลือกเข้ารอบ
    ครั้งที่สอง คือการตัดสิน

    รอบแรกของการคัดเลือก ผ่านเข้ามาสามประเทศ คือ ออสเตรีย, เกาหลีใต้……และรัสเซีย ที่เกาหลีใต้เฉือนรัสเซียสี่คะแนน ส่วนออสเตรียมารั้งท้าย
    ปูตินรู้สึกกดดันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน……

    ในการประชุมตัดสินรอบต่อไป……ที่เหลือระหว่างเกาหลีใต้กับรัสเซีย
    เขาได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน……
    ทุกคนตกตะลึง……ไม่เชื่อหู…คือ เขา present โครงการที่ทันสมัย และความสวยงามของ Sochi เป็นภาษาอังกฤษล้วนๆ ตบท้ายด้วยการสรุปเป็นภาษาฝรั่งเศส
    และทันทีที่กล่าวเสร็จ……เขาไม่อยู่รอฟังการตัดสิน บินกลับมอสโคว์ทันที
    เพราะ ปูตินไม่อยากอยู่สู้หน้าใคร ถ้าหากว่า รัสเซียหลุดไปจากโผ เพราะเขาได้ทุ่มหมดหน้าตักทั้งสมองและจิตใจ…
    และไม่อยากเผชิญกับใบหน้าที่ยิ้มเยาะของพวกตะวันตก……

    เจ้าหน้าที่ที่กัวเตมาลาได้โทรหาเขาในระหว่างที่อยู่บนเครื่องบิน เพื่อแสดงความยินดีที่ Sochi ได้รับเลือกในการที่จะเป็นเจ้าภาพกีฬาฤดูหนาว
    ปูตินดีใจจนเนื้อเต้น เขารีบโทรศัพท์ไปขอบคุณประธานและคณะกรรมการทันที

    ทันทีที่เครื่องบินได้แตะพื้นดินรัสเซีย เขาพบว่าประชาชนทุกคนมีรอยยิ้มอย่างแจ่มใสบนใบหน้า ทุกคนดีใจกับเกียรติภูมิของรัสเซียที่เขาได้นำกลับมาอีกครั้ง
    กระแสความนิยมของปูตินได้พุ่งถึงขีดสุด………

    นั่นเป็นการยืนยันกับประชาชนอย่างหนักแน่นว่า………รัสเซียกำลังจะผงาดขึ้นมาเป็นใหญ่อีกครั้ง………!!!!

    Wiwanda W. Vichit
    เค้าก็ไม่เคยบอกใครนะ ว่าพี่ปูเขาเป็นสุภาพบุรุษนักบุญ…… แต่คนที่จะเอาชนะกับกลุ่มมารที่ทึ้งแทะประเทศ……มันก็มีบทโหด……และ ไม่ใช่โหดเฉยๆ แต่โคตรโหดเลยจ้าาาาา นี่เป็นส่วนหนึ่งของน้ำจิ้มนะจ๊ะ… ตอนสิบเจ็ด…..…ฆาตกรรมข้ามแดนที่เรียงเป็นซีรี่ย์……เป็นเรื่องตะวันตกเขาว่าเขารับไม่ได้………!! ดิฉันเคยเขียนถึงเรื่องของ Aleksandr Litvinenko ที่โดนยาพิษไปแล้ว จะเอามาแปะให้ข้างล่าง แต่……เขายังเป็นอะไรที่มีโอกาสสั่งเสีย และมีเวลาเขียนจดหมายอาฆาตแค้นถึงปูติน ก่อนที่จะลาลับไปจากโลกนี้ แต่ก่อนหน้านั้นหกอาทิตย์ ……คนที่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะกระพริบตา คือ Anna Politkovskaya **วัย 48 นักข่าว นักเคลื่อนไหว นักเขียน ที่มีสัญชาติอเมริกัน (เชื้อชาติรัสเซีย) ที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลปูตินมาโดยตลอด เธอถือว่าเธอได้รับการคุ้มครองจากสถานทูตอเมริกัน จึงกล้าเขียนวิจารณ์ทั้งสื่อใน และ นอกประเทศ งานหลักของเธอคือ การจิกกัดในเรื่องของสงครามที่เชเชน โดยจะทำรายงานสกู๊ปข่าวอย่างละเอียด ว่า ใครได้ถูกเก็บไปบ้าง และติเตียนปูตินที่เอา Ramzan Kadyrov จิ๊กโก๋บ้าดีเดือด มาเป็นผู้ว่าการรัฐ ที่เธอเปรียบเปรย และดูถูก ว่า ไร้การศึกษา ไม่มีมารยาท กระหายเลือด และ โง่.……!!ว วันที่ 7 ตุลาคม 2006 ที่เธอกำลังขึ้นลิฟท์ที่พัก……มือปืนได้บุกเข้ายิงเธอสี่นัด และวางปืนไว้ข้างๆร่างของเธอ เป็นสัญญลักษณ์ว่า เป็นการจ้างวาน… เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่ทั่วโลก เพราะเป็นการกระทำที่อุกอาจกลางกรุงมอสโคว์ เหยื่อเป็นนักข่าว เป็นผู้หญิง และอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล แน่นอนว่า…..ทุกคนพุ่งเป้าไปที่ปูตินพียงคนเดียว และไม่มีใครออกมาให้ข่าวอะไรเพื่อที่จะเคลียร์ตัวเอง จนสามวันถัดไปที่เป็นวันฝังร่างที่มีผู้คนไปร่วมงานนับพัน ที่ปูตินเดินทางไปที่ Dresden ในการพบปะกับนายกรัฐมนตรีคนใหม่ มาดาม Angela Merkel ที่มาแทน Gerhard Schroeder ในการพบกัน แองเจลาได้พยายามที่จะถามคุ้ยถึงเรื่องฆาตกรรม แต่ปูตินพูดเรียบๆว่า “มันเป็นอะไรที่เหี้ยมโหดมาก..แต่การที่หล่อนตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับรัสเซีย เขียนข้อความที่ต่อต้านมาโดยตลอด ซึ่งมันไม่ได้เป็นผลอะไรกับรัฐบาลเลย ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปทำการที่ทำให้เกิดผลเสีย……คนที่อยู่เบื้องหลังในการฆาตกรรมนี้ คือกลุ่มที่มีความตั้งใจจะให้เราเป็นแพะ……” เขาพูดต่อว่า… “เรามีศัตรูที่ฝังตัวอยู่ในและนอกรัสเซียมากมาย ที่พร้อมที่จะสาดโคลนให้เราเสียชื่อเสียงตลอดเวลา” นั่นเขาหมายถึง Litvinenko ที่ไปตั้งแก๊งค์รวมกลุ่มกับ Boris Berezovsky ที่ลอนดอน ~~สาวให้ลึกเข้าไปอีกนิดนะคะ Litvinenko (จะเรียกว่า Lit) กับ Anna อยู่ในขบวนการเดียวกัน เธอได้บินไปเยี่ยมเขาถึงในลอนดอน เพื่อให้ข้อมูลของสงครามเชเชน……เพราะ Lit ได้เจาะในเรื่องการที่เหล่าผู้นำฝ่ายกบฏถูกตามเก็บไปทีละคนสองคน จนเป็นการจบสิ้นขบวนการขัดแย้ง เขาเสียชีวิตในวันที่ 23 พฤศจิกายน หลังจากที่อยู่ในโรงพยาบาลยี่สิบกว่าวัน หลังจากการจากไปของแอนนาเพียงหกอาทิตย์ ทั้งสองคดีนี้……จับคนร้ายได้ทั้งขบวนการ ติดคุกกันไปคนบะหลายปี แต่จับตัวผู้บงการไม่ได้ และ ผู้ต้องหาส่วนใหญ่มีพื้นเพเป็นอดีต FSB ส่วนจดหมายอาฆาตแค้นที่ Lit เขียนถึงปูติน……… เขาไม่ได้โต้ตอบอะไร นอกจากแสดงความเสียใจ……เช่นเดียวกับที่เขาได้ทำอย่างเดียวกันกับการฆาตกรรมของแอนนา แต่เนื่องจากกระแสข่าวที่ได้ถูกจุดขึ้นมา สื่อตะวันตกจึงได้ใช้กระแสนี้ ขุดเอาการตายอย่างน่าสงสัยของคนหลายๆคนในอดีตขึ้นมาด้วย ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับ FSB เพราะ Boris Berezovsky อดีตเจ้าพ่อสื่อตั้งตัวเป็นศัตรูที่เปิดหน้าชกกับปูติน……แบบข้ามทวีป……ลอนดอน-มอสโคว์ ปูตินเหลือเวลาที่จะอยู่ในตำแหน่งอีกเพียงปีเศษ เพราะการเลือกตั้งจะมีในปี 2008 เขาจึงหันมาสนใจที่จะเร่งมือทำทุกอย่างให้เสร็จตามแผน ส่วนเรื่องที่จะหาใครมาเป็นแคนดิเดต คนต่อไป.…เขายังไม่คิด สิ่งที่เขามุ่งมั่นที่จะทำ คือ การที่จะเอารัสเซียไปเป็นเจ้าภาพในกีฬาฤดูหนาวของโอลิมปิก 2014 เพราะตั้งแต่ ปี 1980 ที่โซเวียตได้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิก (ฤดูร้อน) ที่มอสโคว์แล้ว จากนั้นมา…ไม่มีโอกาสอีกเลย เพราะการแซงชั่น (สงครามอาฟกานิสถาน) และ มาตรฐานไม่ผ่าน ปูตินบินไปกัวเตมาลา ในเดือนกรกฎาคม 2007 สำหรับการประชุมนอกรอบเกี่ยวกับการขอเป็นเจ้าภาพจัดงานโอลิมปิกฤดูหนาว กับ International Olympic Committee เพราะเขาเห็นว่าถึงเวลาที่รัสเซียจะต้องอวดโฉมให้กับชาวโลกได้เห็นว่า………รัสเซียไม่ใช่ประเทศหลังเขาอย่างแต่ก่อน อีกทั้งปูตินเอง เป็นนักกีฬาแทบทุกชนิด เขาจึงมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้รัสเซียได้เป็นเจ้าภาพของโอลิมปิกให้ได้ เพราะเขารู้จัก Sochi ดี….และเห็นว่ามีภูมิทัศน์และภูมิประเทศที่จะจัดแข่งสกีได้ไม่แพ้ที่ไหนในโลก เขาเรียกประชุมเหล่า CEO ทั้งหลาย เพื่อที่จะทุ่มทุนสร้าง Ski Resort แบบมาตรฐานโลก……เสียเงินเท่าไหร่ไม่ว่า…!! ทุกคนขานรับ…. การประชุมที่กัวเตมาลาครั้งต่อมา ที่จะมีการพิจารณาถึงความเป็นไปได้ ข้อเสนอที่ตรงกับความต้องการ และ ต้องได้มาตรฐานสูงสุด ที่จะมีการโหวตสองครั้ง ครั้งแรก คือการคัดเลือกเข้ารอบ ครั้งที่สอง คือการตัดสิน รอบแรกของการคัดเลือก ผ่านเข้ามาสามประเทศ คือ ออสเตรีย, เกาหลีใต้……และรัสเซีย ที่เกาหลีใต้เฉือนรัสเซียสี่คะแนน ส่วนออสเตรียมารั้งท้าย ปูตินรู้สึกกดดันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน…… ในการประชุมตัดสินรอบต่อไป……ที่เหลือระหว่างเกาหลีใต้กับรัสเซีย เขาได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน…… ทุกคนตกตะลึง……ไม่เชื่อหู…คือ เขา present โครงการที่ทันสมัย และความสวยงามของ Sochi เป็นภาษาอังกฤษล้วนๆ ตบท้ายด้วยการสรุปเป็นภาษาฝรั่งเศส และทันทีที่กล่าวเสร็จ……เขาไม่อยู่รอฟังการตัดสิน บินกลับมอสโคว์ทันที เพราะ ปูตินไม่อยากอยู่สู้หน้าใคร ถ้าหากว่า รัสเซียหลุดไปจากโผ เพราะเขาได้ทุ่มหมดหน้าตักทั้งสมองและจิตใจ… และไม่อยากเผชิญกับใบหน้าที่ยิ้มเยาะของพวกตะวันตก…… เจ้าหน้าที่ที่กัวเตมาลาได้โทรหาเขาในระหว่างที่อยู่บนเครื่องบิน เพื่อแสดงความยินดีที่ Sochi ได้รับเลือกในการที่จะเป็นเจ้าภาพกีฬาฤดูหนาว ปูตินดีใจจนเนื้อเต้น เขารีบโทรศัพท์ไปขอบคุณประธานและคณะกรรมการทันที ทันทีที่เครื่องบินได้แตะพื้นดินรัสเซีย เขาพบว่าประชาชนทุกคนมีรอยยิ้มอย่างแจ่มใสบนใบหน้า ทุกคนดีใจกับเกียรติภูมิของรัสเซียที่เขาได้นำกลับมาอีกครั้ง กระแสความนิยมของปูตินได้พุ่งถึงขีดสุด……… นั่นเป็นการยืนยันกับประชาชนอย่างหนักแน่นว่า………รัสเซียกำลังจะผงาดขึ้นมาเป็นใหญ่อีกครั้ง………!!!! Wiwanda W. Vichit
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 158 Views 0 Reviews
  • ตอนสิบห้า……พี่ปูเค้าเหมือนมีสิบมือ…รับได้หมดทุกงาน……ติ่งว่ามะ………!!!!!!!

    หลังจากที่ปูตินได้กล่าวแสดงความเสียใจกับโศกนาฏกรรมที่ ได้เกิดขึ้นที่ Beslan ในวันที่ 4 กันยายน (2004)

    ค่ำคืนของวันที่ 5 Viktor Yushchenko ตัวเต็งในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดียูเครนได้เดินทางไปแบบอำพรางตัว
    ไปนัดเจรจากับ นายพล Igor Smeshko ผู้อำนวยการ SBU
    (เทียบเท่ากับ FSB ของรัสเซีย)
    เจ้าภาพที่เป็นทั้งเชฟเตรียมอาหาร คือ รองผู้อำนวยการ SBU
    Volodymyr Satsyuk ที่มีเมนูคือ สลัดกุ้ง พร้อม เบียร์ วอดก้า คอนยัค
    ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย วิตเตอร์กลับถึงบ้านเวลาตีสองของวันต่อมา
    พอสายๆ……เขารู้สึกตัวว่าไม่สบาย ปวดหัวปานระเบิด ไล่ลงมาถึงไขสันหลัง หน้าตาหล่อๆของเขาเริ่มเปลี่ยนสี และมีตุ่มขึ้นเหมือนฝีดาษไปทั่วไปหน้า เจ็บปวดไปทั้งตัว
    วิคเตอร์รู้ได้ทันทีว่าเขาโดนยาพิษ จึงรีบบินไปออสเตรีย ในวันที่ 10 เพื่อเข้ารับการรักษา
    ซึ่งยืนยันแน่นอนว่า เขาได้รับสาร Dioxin เข้าไปเป็นจำนวนมาก จากอาหารอย่างแน่นอน

    การเลือกตั้งจะมีขึ้นในวันที่ 31 ตุลาคม ที่ประชาชนล้วนแต่อยากจะเปลี่ยนประธานาธิบดีเต็มที่ เพราะนาย Leonid Kuchma ได้นั่งอยู่ในตำแหน่งมานานนับสิบปี เพราะตั้งแต่ 1994 ที่ได้รับเลือกมาเพื่อที่จะจัดระเบียบให้กับยูเครนที่ถือว่าเป็นประเทศใหม่เอี่ยม
    แต่ที่ไหนได้……ยูเครนได้กลายมาเป็นแหล่งคอร์รัปชั่นที่ใหญ่ที่สุด ตามมาด้วย อาชญากรรม และ การค้าของเถื่อน
    ยูเครนเป็นพื้นที่ที่ใหญ่เป็นที่สองของโซเวียต เป็นแหล่งเพาะปลูก แหล่งอุตสาหกรรม ที่บอบช้ำมาตั้งแต่สมัยสตาลิน
    เพราะเพียงแค่แสดงความจำนงค์ว่าอยากจะเป็นเอกเทศเพียงเบาๆ
    สตาลินได้สั่งสอนด้วยวิธียึดอาหารออกไปจากพื้นที่ทั้งหมด จนเกิดเป็นการล้างเผ่าพันธุ์ด้วยวิธีให้อดตาย (Holodomor)
    พอสงครามโลกครั้งที่สอง ยูเครนก็คือสนามรบหน้าด่านในการต้านนาซี ที่สูญเสียทหารไปกว่าสามล้านนาย (หนึ่งในหกของประชากร)
    นี่คือ……ความเจ็บฝังใจของชาวยูเครน

    แต่……นั่นก็คือส่วนหนึ่ง เพราะในพื้นที่ตามภูมิศาสตร์พร้อมประวัติศาสตร์แล้ว ยูเครนก็คือสลาพเผ่าพันธุ์เดียวกันกับรัสเซีย ที่ประชาชนยังถือเป็นพี่เป็นน้องกัน ฝั่งที่ใกล้กับรัสเซียก็ยังสวามิภักดิ์กับรัสเซีย
    ส่วนยูเครเนี่ยนสมัยประชาธิปไตยเบิกบาน ก็มองไกลไปถึงตะวันตก และ ยิ่งเห็นเพื่อนบ้านอย่าง Lithuania, Latvia, Estonia เดินตบแถวเข้าเป็นสมาชิกนาโต้
    และได้เป็นสมาชิกอียูที่แสนโก้หรูอีกเล่า………
    นั่นน่าจะเป็นอนาคตที่สดใสกว่า……ดีไม่ดี……สักวันหนึ่งอาจจะล้มช้างอย่างรัสเซียได้ด้วย

    ประธานาธิบดี Kuchma รู้ดีว่าการเมืองของยูเครนมีทั้งสองฝั่ง
    เขาจึงพยายามเหยียบไว้ทั้งสองแคม เอาใจรัสเซีย และ เป็นมิตรกับนาโต้ ถึงขนาดส่งทหารไปช่วยรบในอิรัค เพื่อล้มล้างซัดดัม ฮุดเซน
    แต่คุชมา……ทำได้แค่หันไปทางทิศทางลม เขาไม่มีความมุ่งมั่นและความสามารถในการที่ควบคุมคน
    ดังนั้น รัฐบาลของคุชมา จึงกลายเป็นสนามเล่นของเหล่ามาเฟียการเมืองที่เข้ามากอบโกยแบบแบ่งกันกิน แบ่งกันใช้

    ดังนั้น จากฐานทางการเมืองที่อ่อนยวบยาบ ประชาธิปไตยที่ยูเครนอยากได้ จึงแทบเป็นไปไม่ได้ ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งเข้ามา
    ฝ่ายตรงข้ามได้ตีกระหน่ำในเรื่องคดีฆาตกรรมนักข่าวคนสำคัญ Georgy Gongadez ที่ถูกอุ้มฆ่าเพราะตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับรัฐบาล เป็นการฆาตกรรมที่มีหลักฐานทิ้งไว้ให้สาวถึงตัวได้มากมาย
    ถึงแม้ว่าคุชมาจะปฎิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ความนิยมของเขาได้ลดลงฮวบฮาบ
    ทุกคนได้เกรงว่า……เขาอาจเปลี่ยนรัฐธรรมนูญหาช่องว่างเพื่อที่จะนั่งในตำแหน่งต่อไป
    การเมืองยูเครนในช่วงนั้น จึงต้องเล่นงานประธานาธิบดีคุชมาแบบถาโถมในทุกเม็ด……จนเขาขยับตัวทำอะไรอื่นไม่ได้
    นอกจากที่จะต้องยอมรับสภาพ……

    ปูตินเฝ้าดูการเป็นไปของยูเครนอย่างใกล้ชิด และไม่ใช่ยูเครนอย่างเดียว เขาได้เกาะติดกับการเมืองที่ Georgia ด้วย
    Georgia เป็นประเทศที่แตกออกไปจากการล่มสลายของโซเวียต (1991) อยู่ทางชายคอเคซัส ที่มีประชากรเพียงห้าล้านคน Eduard Shevardnadze
    เป็นประธานาธิบดี ที่เคยเป็นอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของโซเวียตมาก่อน เขาเป็นหนึ่งในคนสนิทของกอร์บาเชฟ ที่กว่าจะมาเป็นประธานาธิบดีได้ ในปี 1995 ก็ผ่านการลอบสังหารมาถึงสามครั้ง
    ประธานาธิบดี เอดวารด์ กำลังจะหมดวาระในปี 2003
    เดือนพฤศจิกายน มีการก่อหวอดต่อต้าน (ด้วยเกรงว่าจะมีการสืบทอดอำนาจจากรัสเซีย) กลุ่มผู้ต่อต้านออกมาเนืองแน่นบนท้องถนน
    และบุกเข้าไปในสถานที่ราชการ นำโดย Mikhail Saakashvili
    (ที่มี George Soros สนับสนุนทุนอยู่เบื้องหลัง)
    เอดวารด์ ได้โทรหาปูตินเพื่อขอความช่วยเหลือ ซึ่งปูตินได้ส่ง
    ให้ Igor Ivanov บินไปที่เมืองหลวง Tbilisi เพื่อไปดูไม่ให้เกิดเป็นสงครามกลางเมือง
    แต่……ปูตินไม่ต้องการโศกนาฏกรรมติดๆกันหลายรายการจนเกินไป เขาจึงสั่งให้แค่สังเกตุการณ์อย่างใกล้ชิด
    ในที่สุด……เอดวารด์ จึงยอมลาออกเพื่อรักษาความสงบ

    ในเดือนมกราคม 2004 จอร์เจียจึงมีประธานาธิบดีคนใหม่ คือ Mikhail Saakashvili ที่คิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตยที่ใหญ่คับฟ้า สิ่งแรกที่เขาทำคือ บินไปมอสโคว์เพื่อที่จะเจรจาหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องการเมืองกับปูติน
    ซึ่ง……เขาไม่รู้เลยว่า ทางรัสเซียได้จัดอันดับ จอร์เจีย เทียบเท่ากับยูเครน
    อันดับนั้นคือ……พวกสวามิภักดิ์ตะวันตก

    แต่ปูตินไม่ได้เห็นว่า จอร์เจียเป็นสิ่งที่กังวล(ในตอนนั้น) เพราะเขาพุ่งเป้าไปที่ยูเครนมากกว่า เพราะยูเครนเป็นพื้นที่ที่ก่อเกิดของเลือดเนื้อรัสเซียในปัจจุบัน เมื่อครั้งสมัย Vladimir the Great ที่รับศาสนาคริสเตียนเข้ามาในปี 988
    ซาร์วลาดิเมียร์ ได้ตั้งชื่อดินแดนส่วนนี้ว่า Ukraine ที่แปลว่า
    ขอบเขตแดน
    ขอบเขตแดนนี้ได้เปลี่ยนไปมาตามสถานการณ์โลก โปแลนด์เคยล้ำเข้ามาในสมัย Austro-Hungarian , สตาลินได้นำกลับคืนในการทำสนธิสัญญากับฮิตเลอร์ (1939) และยูเครนก็คือส่วนหนึ่งของโซเวียต (Ukraine Soviet Socialist) เป็นเช่นนั้นจน ประธานาธิบดี ครุสเชพ ได้มอบดินแดนเพิ่มให้ คือ ไครเมีย
    ในปี 1954
    ไม่มีใครเคยคาดคิดว่า……สักวันหนึ่ง ยูเครน พร้อมด้วยไครเมียจะหลุดลอยไปจากความเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย

    ในเดือน กรกฎาคม 2004 สามเดือนก่อนที่ยูเครนจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี
    ปูตินได้บินไปที่Yalta (ไครเมีย) เพื่อพบปะกับ Kuchma (ประธานาธิบดี) และ Viktor Yanukovych (นายกรัฐมนตรี)
    ที่พระราชวัง Livadia (ที่เคยเป็นที่พบปะ ระหว่าง เชอร์ชิลล์,
    สตาลิน และ รูสเวลส์)
    ปูตินได้เตือนและกดดันให้คุชมาเลิกทำตัวสอพลอกับพวกตะวันตก โดยเฉพาะกับ NATO ที่ค่อยๆก้าวล่วงเข้ามาทุกที จากที่เป็นชาติสมาชิก 19 ตอนนี้มาเป็น 26 นอกจากจะเก็บกลุ่มยุโรปตะวันออกแล้ว ยังคืบมากวาดเอาฝั่งบอลติกไปด้วย
    ที่ปูตินคิดว่า……น่าจะหยุดได้เพียงแค่นั้น……แต่นี่กำลังมุ่งหน้ามาที่จอร์เจียและยูเครน….ที่เขาจะจะไม่ทนอีกต่อไป!!
    และถ้าจะหมายถึงสงคราม………เขาก็ยินดี………!!!
    ปูตินยังย้ำเสมอว่า ในสัญญาของลูกผู้ชาย ที่กลุ่มนาโต้ได้บอกกับกอร์บาเชพในปี 1989 ว่า นาโต้จะไม่ก้าวคืบเข้าไปในอาณาจักรที่เป็นของโซเวียตแม้แต่คืบเดียว

    มันเป็นคำสั่งที่เป็นการตบหัวทิ่ม แต่ก็มีการลูบหลัง นั่นคือ
    รัสเซีย-ยูเครนจะตั้งบริษัทพลังงานขึ้นมา ชื่อว่า RosUkrEnergo ที่ไม่ชี้แจงชัดว่าใครคือเข้าของ แต่ Gazprom
    จะเป็นเจ้าของครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่ง เป็นเจ้าของโดยผ่านนอมินี
    คือ Raiffeisen International Bank (อยู่ที่ Switzerland)
    ในการดำเนินงานส่งก๊าสผ่านท่อไปขายที่ยุโรปผ่านยูเครน……

    เมื่อคุชมากำลังจะหมดสิ้นวาระ ตัวเต็ง Viktor Andriyovych Yushchenko (จะเรียกว่า VAY เขาเป็นฝ่ายโปรตะวันตก) ก็มาโดนยาพิษที่เร่งทำการรักษากันแบบพลิกตำรา
    เขาได้ประกาศให้ทั่วโลกได้รับรู้ว่า เขาได้รับการประทุษร้ายจากฝ่ายตรงข้ามที่เป็นฝ่ายอำนาจเก่า นั่นคือ พุ่งตรงไปที่คุชมา
    การหาเสียงของเขา มีสัญญลักษณ์เป็น “สีส้ม” และมีฝ่ายทุนที่หนุนหลังคือ Yulia Tymoshenko อภิมหาเศรษฐีสาว เธอมีบทบาทเด่นในทางการเมืองของยูเครน ในการต่อสู้เพื่อตะวันตก โปรนาโต้ ทำหน้าที่หาเสียงอย่างแข็งขันให้กับ VAY ในขณะที่รักษาตัว
    ถ้าจะเทียบเธอ……ก็ใกล้เคียงกับเป็น อองซาน ซูจี แห่งยูเครน

    การเลือกตั้งใกล้เข้ามา ความนิยมในตัว VAY ได้เพิ่มขึ้น
    มันเป็นสัญญาณที่บอกกับปูตินว่า อิทธิพลของตะวันตกกำลังจะล้อมกรอบ บีบรัสเซียให้แคบเข้าไปทุกวัน
    ตั้งแต่โซเวียตล่มสลายไป กลุ่มทุนตะวันตกได้เข้ามามีอิทธิพลในฝั่งตะวันออกหนาตาขึ้น โดยเฉพาะองค์กร NGO ที่ได้มีสาขาในทุกแห่งหน

    ทางรัสเซียได้หนุนหลัง Viktor Yanukovych ( Viktor Fedorovych Yanukovych นายกรัฐมนตรี จะใช้ชื่อย่อว่า VFY)
    ในการลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีด้วย
    การหาเสียงเป็นไปอย่างดุเดือด เหมือนกับว่าประชาชนจะเลือก
    บุช หรือ ปูติน
    ปูตินได้ทำทีไปเยี่ยมเยียนถึงเคียฟ เพราะมีเด็กคนหนึ่ง ได้เขียนจดหมายว่า มีความฝันว่าอยากจะถ่ายรูปกับ Vladimir Vladimirovich……ชาตินี้จะมีโอกาสไหมหนอ?
    ผลคือ เด็กน้อย Andrei ได้ถูกเชิญไปที่ทำเนียบ ไปพบกับปูติน
    ที่ได้ยื่นของขวัญเป็นแลปท๊อปให้ด้วยสีหน้าชื่นมื่น

    การหาเสียงเป็นไปอย่างดุเดือดและสูสี ปูตินบินไปเคียฟบ่อยกว่าปรกติ
    ผลออกมาคือ VFY (โปรรัสเซีย) ได้ 49% และ VAY (โปรตะวันตก) ได้ 46%
    แต่.……ความไม่สงบได้ก่อตัวขึ้น ฝ่ายสีส้มได้ทำการต่อต้านในทุกรูปแบบ มีการนัดชุมนุมที่เข้าขั้นปฏิวัติ ถนนได้เปลี่ยนเป็นทะเลสีส้มแสบตาไปทั้งเมือง
    กลุ่มต่อต้านไม่ยอมรับคะแนนเลือกตั้ง
    ปูตินบินกลับจากจากอเมริกาใต้ เข้าสู่กรุงบลัสเซลส์โดยด่วน เพื่อพบปะกับกลุ่มอียู……ที่ตัวแทนทุกคนได้ลงมติว่าการเลือกตั้งในยูเครนไม่โปร่งใส ……แต่ไม่สนใจที่จะให้มีการตรวจสอบ
    ความสัมพันธ์ทางการค้าพลังงานที่ปูตินพยายามที่จะประสานกับอียูนั้น เหลือริบหรี่…;
    เขาประกาศว่า……เราไม่เคยไปยุ่งกับเรื่องภายในของพวกอียู
    แต่ตอนนี้มันชัดเจนแล้วว่า……พวกคุณได้เข้ามาเสี้ยม แทรกแซงกับการเมืองในประเทศที่อยู่นอกระบบ เพื่อสร้างความร้าวฉานให้พวกเรา……!!

    สภายูเครนเริ่มเห็นแล้วว่าน่าจะรักษาความสงบไว้ไม่ได้
    จึงได้ลงมติให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ
    VFY ได้หลบความวุ่นวายที่อาจนำไปสู่ความเป็นอันตรายต่อตัวเองไปอยู่ที่ Luhansk

    วันที่ 2 ธันวาคม ปูตินได้เรียกคุชมาเข้าไปพบที่มอสโคว์
    ก่อนที่ปูตินจะเดินทางอินเดียในไม่กี่ชั่วโมง เพื่อปรึกษาในเรื่องของการที่จะมีการเลือกตั้งใหม่ ที่เขาเชื่อว่า ทางฝ่าย VAY น่าจะมาแรง และจะปล่อยไปตามนั้น เพราะไม่เช่นนั้นก็จะต้องมีม็อบชนม็อบ เลือกตั้งกันครั้งที่สาม ที่สี่ ไม่จบไม่สิ้น เสียเวลาเปล่าๆ……ปล่อยไปก่อน……เรายังมีเวลา!!

    ซึ่งก็เป็นไปตามนั้น VAY ชนะด้วยคะแนน 52% ส่วน VFY 44%
    ที่มีการเฉลิมฉลองกันใหญ่โต
    ชาวสีส้มทุกคนต่างยินดีปรีดาที่จะได้เข้าไปสู่อ้อมอกของตะวันตก เป็นอารยะประเทศ มีที่นั่งในสภายูโรเปี้ยน และ เป็นหนึ่งสมาชิกนาโต้
    และที่สำคัญที่สุด…..คือ ได้เอาชนะปูติน………!!!

    ใครจะไปรู้เล่าว่า……นั่นคือเกมที่ปูตินจะลากมาสับทีละคนเมื่อถึงเวลา………!!

    Wiwanda W. Vichit
    ตอนสิบห้า……พี่ปูเค้าเหมือนมีสิบมือ…รับได้หมดทุกงาน……ติ่งว่ามะ………!!!!!!! หลังจากที่ปูตินได้กล่าวแสดงความเสียใจกับโศกนาฏกรรมที่ ได้เกิดขึ้นที่ Beslan ในวันที่ 4 กันยายน (2004) ค่ำคืนของวันที่ 5 Viktor Yushchenko ตัวเต็งในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดียูเครนได้เดินทางไปแบบอำพรางตัว ไปนัดเจรจากับ นายพล Igor Smeshko ผู้อำนวยการ SBU (เทียบเท่ากับ FSB ของรัสเซีย) เจ้าภาพที่เป็นทั้งเชฟเตรียมอาหาร คือ รองผู้อำนวยการ SBU Volodymyr Satsyuk ที่มีเมนูคือ สลัดกุ้ง พร้อม เบียร์ วอดก้า คอนยัค ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย วิตเตอร์กลับถึงบ้านเวลาตีสองของวันต่อมา พอสายๆ……เขารู้สึกตัวว่าไม่สบาย ปวดหัวปานระเบิด ไล่ลงมาถึงไขสันหลัง หน้าตาหล่อๆของเขาเริ่มเปลี่ยนสี และมีตุ่มขึ้นเหมือนฝีดาษไปทั่วไปหน้า เจ็บปวดไปทั้งตัว วิคเตอร์รู้ได้ทันทีว่าเขาโดนยาพิษ จึงรีบบินไปออสเตรีย ในวันที่ 10 เพื่อเข้ารับการรักษา ซึ่งยืนยันแน่นอนว่า เขาได้รับสาร Dioxin เข้าไปเป็นจำนวนมาก จากอาหารอย่างแน่นอน การเลือกตั้งจะมีขึ้นในวันที่ 31 ตุลาคม ที่ประชาชนล้วนแต่อยากจะเปลี่ยนประธานาธิบดีเต็มที่ เพราะนาย Leonid Kuchma ได้นั่งอยู่ในตำแหน่งมานานนับสิบปี เพราะตั้งแต่ 1994 ที่ได้รับเลือกมาเพื่อที่จะจัดระเบียบให้กับยูเครนที่ถือว่าเป็นประเทศใหม่เอี่ยม แต่ที่ไหนได้……ยูเครนได้กลายมาเป็นแหล่งคอร์รัปชั่นที่ใหญ่ที่สุด ตามมาด้วย อาชญากรรม และ การค้าของเถื่อน ยูเครนเป็นพื้นที่ที่ใหญ่เป็นที่สองของโซเวียต เป็นแหล่งเพาะปลูก แหล่งอุตสาหกรรม ที่บอบช้ำมาตั้งแต่สมัยสตาลิน เพราะเพียงแค่แสดงความจำนงค์ว่าอยากจะเป็นเอกเทศเพียงเบาๆ สตาลินได้สั่งสอนด้วยวิธียึดอาหารออกไปจากพื้นที่ทั้งหมด จนเกิดเป็นการล้างเผ่าพันธุ์ด้วยวิธีให้อดตาย (Holodomor) พอสงครามโลกครั้งที่สอง ยูเครนก็คือสนามรบหน้าด่านในการต้านนาซี ที่สูญเสียทหารไปกว่าสามล้านนาย (หนึ่งในหกของประชากร) นี่คือ……ความเจ็บฝังใจของชาวยูเครน แต่……นั่นก็คือส่วนหนึ่ง เพราะในพื้นที่ตามภูมิศาสตร์พร้อมประวัติศาสตร์แล้ว ยูเครนก็คือสลาพเผ่าพันธุ์เดียวกันกับรัสเซีย ที่ประชาชนยังถือเป็นพี่เป็นน้องกัน ฝั่งที่ใกล้กับรัสเซียก็ยังสวามิภักดิ์กับรัสเซีย ส่วนยูเครเนี่ยนสมัยประชาธิปไตยเบิกบาน ก็มองไกลไปถึงตะวันตก และ ยิ่งเห็นเพื่อนบ้านอย่าง Lithuania, Latvia, Estonia เดินตบแถวเข้าเป็นสมาชิกนาโต้ และได้เป็นสมาชิกอียูที่แสนโก้หรูอีกเล่า……… นั่นน่าจะเป็นอนาคตที่สดใสกว่า……ดีไม่ดี……สักวันหนึ่งอาจจะล้มช้างอย่างรัสเซียได้ด้วย ประธานาธิบดี Kuchma รู้ดีว่าการเมืองของยูเครนมีทั้งสองฝั่ง เขาจึงพยายามเหยียบไว้ทั้งสองแคม เอาใจรัสเซีย และ เป็นมิตรกับนาโต้ ถึงขนาดส่งทหารไปช่วยรบในอิรัค เพื่อล้มล้างซัดดัม ฮุดเซน แต่คุชมา……ทำได้แค่หันไปทางทิศทางลม เขาไม่มีความมุ่งมั่นและความสามารถในการที่ควบคุมคน ดังนั้น รัฐบาลของคุชมา จึงกลายเป็นสนามเล่นของเหล่ามาเฟียการเมืองที่เข้ามากอบโกยแบบแบ่งกันกิน แบ่งกันใช้ ดังนั้น จากฐานทางการเมืองที่อ่อนยวบยาบ ประชาธิปไตยที่ยูเครนอยากได้ จึงแทบเป็นไปไม่ได้ ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งเข้ามา ฝ่ายตรงข้ามได้ตีกระหน่ำในเรื่องคดีฆาตกรรมนักข่าวคนสำคัญ Georgy Gongadez ที่ถูกอุ้มฆ่าเพราะตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับรัฐบาล เป็นการฆาตกรรมที่มีหลักฐานทิ้งไว้ให้สาวถึงตัวได้มากมาย ถึงแม้ว่าคุชมาจะปฎิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ความนิยมของเขาได้ลดลงฮวบฮาบ ทุกคนได้เกรงว่า……เขาอาจเปลี่ยนรัฐธรรมนูญหาช่องว่างเพื่อที่จะนั่งในตำแหน่งต่อไป การเมืองยูเครนในช่วงนั้น จึงต้องเล่นงานประธานาธิบดีคุชมาแบบถาโถมในทุกเม็ด……จนเขาขยับตัวทำอะไรอื่นไม่ได้ นอกจากที่จะต้องยอมรับสภาพ…… ปูตินเฝ้าดูการเป็นไปของยูเครนอย่างใกล้ชิด และไม่ใช่ยูเครนอย่างเดียว เขาได้เกาะติดกับการเมืองที่ Georgia ด้วย Georgia เป็นประเทศที่แตกออกไปจากการล่มสลายของโซเวียต (1991) อยู่ทางชายคอเคซัส ที่มีประชากรเพียงห้าล้านคน Eduard Shevardnadze เป็นประธานาธิบดี ที่เคยเป็นอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของโซเวียตมาก่อน เขาเป็นหนึ่งในคนสนิทของกอร์บาเชฟ ที่กว่าจะมาเป็นประธานาธิบดีได้ ในปี 1995 ก็ผ่านการลอบสังหารมาถึงสามครั้ง ประธานาธิบดี เอดวารด์ กำลังจะหมดวาระในปี 2003 เดือนพฤศจิกายน มีการก่อหวอดต่อต้าน (ด้วยเกรงว่าจะมีการสืบทอดอำนาจจากรัสเซีย) กลุ่มผู้ต่อต้านออกมาเนืองแน่นบนท้องถนน และบุกเข้าไปในสถานที่ราชการ นำโดย Mikhail Saakashvili (ที่มี George Soros สนับสนุนทุนอยู่เบื้องหลัง) เอดวารด์ ได้โทรหาปูตินเพื่อขอความช่วยเหลือ ซึ่งปูตินได้ส่ง ให้ Igor Ivanov บินไปที่เมืองหลวง Tbilisi เพื่อไปดูไม่ให้เกิดเป็นสงครามกลางเมือง แต่……ปูตินไม่ต้องการโศกนาฏกรรมติดๆกันหลายรายการจนเกินไป เขาจึงสั่งให้แค่สังเกตุการณ์อย่างใกล้ชิด ในที่สุด……เอดวารด์ จึงยอมลาออกเพื่อรักษาความสงบ ในเดือนมกราคม 2004 จอร์เจียจึงมีประธานาธิบดีคนใหม่ คือ Mikhail Saakashvili ที่คิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตยที่ใหญ่คับฟ้า สิ่งแรกที่เขาทำคือ บินไปมอสโคว์เพื่อที่จะเจรจาหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องการเมืองกับปูติน ซึ่ง……เขาไม่รู้เลยว่า ทางรัสเซียได้จัดอันดับ จอร์เจีย เทียบเท่ากับยูเครน อันดับนั้นคือ……พวกสวามิภักดิ์ตะวันตก แต่ปูตินไม่ได้เห็นว่า จอร์เจียเป็นสิ่งที่กังวล(ในตอนนั้น) เพราะเขาพุ่งเป้าไปที่ยูเครนมากกว่า เพราะยูเครนเป็นพื้นที่ที่ก่อเกิดของเลือดเนื้อรัสเซียในปัจจุบัน เมื่อครั้งสมัย Vladimir the Great ที่รับศาสนาคริสเตียนเข้ามาในปี 988 ซาร์วลาดิเมียร์ ได้ตั้งชื่อดินแดนส่วนนี้ว่า Ukraine ที่แปลว่า ขอบเขตแดน ขอบเขตแดนนี้ได้เปลี่ยนไปมาตามสถานการณ์โลก โปแลนด์เคยล้ำเข้ามาในสมัย Austro-Hungarian , สตาลินได้นำกลับคืนในการทำสนธิสัญญากับฮิตเลอร์ (1939) และยูเครนก็คือส่วนหนึ่งของโซเวียต (Ukraine Soviet Socialist) เป็นเช่นนั้นจน ประธานาธิบดี ครุสเชพ ได้มอบดินแดนเพิ่มให้ คือ ไครเมีย ในปี 1954 ไม่มีใครเคยคาดคิดว่า……สักวันหนึ่ง ยูเครน พร้อมด้วยไครเมียจะหลุดลอยไปจากความเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย ในเดือน กรกฎาคม 2004 สามเดือนก่อนที่ยูเครนจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี ปูตินได้บินไปที่Yalta (ไครเมีย) เพื่อพบปะกับ Kuchma (ประธานาธิบดี) และ Viktor Yanukovych (นายกรัฐมนตรี) ที่พระราชวัง Livadia (ที่เคยเป็นที่พบปะ ระหว่าง เชอร์ชิลล์, สตาลิน และ รูสเวลส์) ปูตินได้เตือนและกดดันให้คุชมาเลิกทำตัวสอพลอกับพวกตะวันตก โดยเฉพาะกับ NATO ที่ค่อยๆก้าวล่วงเข้ามาทุกที จากที่เป็นชาติสมาชิก 19 ตอนนี้มาเป็น 26 นอกจากจะเก็บกลุ่มยุโรปตะวันออกแล้ว ยังคืบมากวาดเอาฝั่งบอลติกไปด้วย ที่ปูตินคิดว่า……น่าจะหยุดได้เพียงแค่นั้น……แต่นี่กำลังมุ่งหน้ามาที่จอร์เจียและยูเครน….ที่เขาจะจะไม่ทนอีกต่อไป!! และถ้าจะหมายถึงสงคราม………เขาก็ยินดี………!!! ปูตินยังย้ำเสมอว่า ในสัญญาของลูกผู้ชาย ที่กลุ่มนาโต้ได้บอกกับกอร์บาเชพในปี 1989 ว่า นาโต้จะไม่ก้าวคืบเข้าไปในอาณาจักรที่เป็นของโซเวียตแม้แต่คืบเดียว มันเป็นคำสั่งที่เป็นการตบหัวทิ่ม แต่ก็มีการลูบหลัง นั่นคือ รัสเซีย-ยูเครนจะตั้งบริษัทพลังงานขึ้นมา ชื่อว่า RosUkrEnergo ที่ไม่ชี้แจงชัดว่าใครคือเข้าของ แต่ Gazprom จะเป็นเจ้าของครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่ง เป็นเจ้าของโดยผ่านนอมินี คือ Raiffeisen International Bank (อยู่ที่ Switzerland) ในการดำเนินงานส่งก๊าสผ่านท่อไปขายที่ยุโรปผ่านยูเครน…… เมื่อคุชมากำลังจะหมดสิ้นวาระ ตัวเต็ง Viktor Andriyovych Yushchenko (จะเรียกว่า VAY เขาเป็นฝ่ายโปรตะวันตก) ก็มาโดนยาพิษที่เร่งทำการรักษากันแบบพลิกตำรา เขาได้ประกาศให้ทั่วโลกได้รับรู้ว่า เขาได้รับการประทุษร้ายจากฝ่ายตรงข้ามที่เป็นฝ่ายอำนาจเก่า นั่นคือ พุ่งตรงไปที่คุชมา การหาเสียงของเขา มีสัญญลักษณ์เป็น “สีส้ม” และมีฝ่ายทุนที่หนุนหลังคือ Yulia Tymoshenko อภิมหาเศรษฐีสาว เธอมีบทบาทเด่นในทางการเมืองของยูเครน ในการต่อสู้เพื่อตะวันตก โปรนาโต้ ทำหน้าที่หาเสียงอย่างแข็งขันให้กับ VAY ในขณะที่รักษาตัว ถ้าจะเทียบเธอ……ก็ใกล้เคียงกับเป็น อองซาน ซูจี แห่งยูเครน การเลือกตั้งใกล้เข้ามา ความนิยมในตัว VAY ได้เพิ่มขึ้น มันเป็นสัญญาณที่บอกกับปูตินว่า อิทธิพลของตะวันตกกำลังจะล้อมกรอบ บีบรัสเซียให้แคบเข้าไปทุกวัน ตั้งแต่โซเวียตล่มสลายไป กลุ่มทุนตะวันตกได้เข้ามามีอิทธิพลในฝั่งตะวันออกหนาตาขึ้น โดยเฉพาะองค์กร NGO ที่ได้มีสาขาในทุกแห่งหน ทางรัสเซียได้หนุนหลัง Viktor Yanukovych ( Viktor Fedorovych Yanukovych นายกรัฐมนตรี จะใช้ชื่อย่อว่า VFY) ในการลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีด้วย การหาเสียงเป็นไปอย่างดุเดือด เหมือนกับว่าประชาชนจะเลือก บุช หรือ ปูติน ปูตินได้ทำทีไปเยี่ยมเยียนถึงเคียฟ เพราะมีเด็กคนหนึ่ง ได้เขียนจดหมายว่า มีความฝันว่าอยากจะถ่ายรูปกับ Vladimir Vladimirovich……ชาตินี้จะมีโอกาสไหมหนอ? ผลคือ เด็กน้อย Andrei ได้ถูกเชิญไปที่ทำเนียบ ไปพบกับปูติน ที่ได้ยื่นของขวัญเป็นแลปท๊อปให้ด้วยสีหน้าชื่นมื่น การหาเสียงเป็นไปอย่างดุเดือดและสูสี ปูตินบินไปเคียฟบ่อยกว่าปรกติ ผลออกมาคือ VFY (โปรรัสเซีย) ได้ 49% และ VAY (โปรตะวันตก) ได้ 46% แต่.……ความไม่สงบได้ก่อตัวขึ้น ฝ่ายสีส้มได้ทำการต่อต้านในทุกรูปแบบ มีการนัดชุมนุมที่เข้าขั้นปฏิวัติ ถนนได้เปลี่ยนเป็นทะเลสีส้มแสบตาไปทั้งเมือง กลุ่มต่อต้านไม่ยอมรับคะแนนเลือกตั้ง ปูตินบินกลับจากจากอเมริกาใต้ เข้าสู่กรุงบลัสเซลส์โดยด่วน เพื่อพบปะกับกลุ่มอียู……ที่ตัวแทนทุกคนได้ลงมติว่าการเลือกตั้งในยูเครนไม่โปร่งใส ……แต่ไม่สนใจที่จะให้มีการตรวจสอบ ความสัมพันธ์ทางการค้าพลังงานที่ปูตินพยายามที่จะประสานกับอียูนั้น เหลือริบหรี่…; เขาประกาศว่า……เราไม่เคยไปยุ่งกับเรื่องภายในของพวกอียู แต่ตอนนี้มันชัดเจนแล้วว่า……พวกคุณได้เข้ามาเสี้ยม แทรกแซงกับการเมืองในประเทศที่อยู่นอกระบบ เพื่อสร้างความร้าวฉานให้พวกเรา……!! สภายูเครนเริ่มเห็นแล้วว่าน่าจะรักษาความสงบไว้ไม่ได้ จึงได้ลงมติให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ VFY ได้หลบความวุ่นวายที่อาจนำไปสู่ความเป็นอันตรายต่อตัวเองไปอยู่ที่ Luhansk วันที่ 2 ธันวาคม ปูตินได้เรียกคุชมาเข้าไปพบที่มอสโคว์ ก่อนที่ปูตินจะเดินทางอินเดียในไม่กี่ชั่วโมง เพื่อปรึกษาในเรื่องของการที่จะมีการเลือกตั้งใหม่ ที่เขาเชื่อว่า ทางฝ่าย VAY น่าจะมาแรง และจะปล่อยไปตามนั้น เพราะไม่เช่นนั้นก็จะต้องมีม็อบชนม็อบ เลือกตั้งกันครั้งที่สาม ที่สี่ ไม่จบไม่สิ้น เสียเวลาเปล่าๆ……ปล่อยไปก่อน……เรายังมีเวลา!! ซึ่งก็เป็นไปตามนั้น VAY ชนะด้วยคะแนน 52% ส่วน VFY 44% ที่มีการเฉลิมฉลองกันใหญ่โต ชาวสีส้มทุกคนต่างยินดีปรีดาที่จะได้เข้าไปสู่อ้อมอกของตะวันตก เป็นอารยะประเทศ มีที่นั่งในสภายูโรเปี้ยน และ เป็นหนึ่งสมาชิกนาโต้ และที่สำคัญที่สุด…..คือ ได้เอาชนะปูติน………!!! ใครจะไปรู้เล่าว่า……นั่นคือเกมที่ปูตินจะลากมาสับทีละคนเมื่อถึงเวลา………!! Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 886 Views 0 Reviews
  • 🔹️แพ็กคู่ซีรีส์ชุด พิกัดต่อไปใครเป็นศพ❗

    คำเตือน เนื้อหายาวมากถึงมากที่สุด

    1 #พิกัดต่อไปใครเป็นศพ #masqueradehotel

    อ่านจนจบในวันเดียว หนาถึง 547 หน้า ดีที่ขนาดไม่เทอะทะแม้หนาแต่ไม่หนัก ตอนตัดสินใจเลือกยืมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยชมที่สร้างเป็นหนังมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน พออ่านไปได้ไม่กี่หน้าเริ่มรู้สึกฉากช่างคุ้นเคย เนื้อเรื่องเหมือนเคยรู้มาก่อน ทบทวนความทรงจำตนเองจึงค่อยจำได้ว่าคือเรื่องเดียวกับหนังที่ดูจบแล้วชอบมากนั่นเอง แต่ห้วงเวลาที่ชมนั้นไม่เคยทราบว่าสร้างจากนิยายเล่มนี้ ดูเพราะชอบนักแสดงหลักทั้งสองคนเลยคือ ทาคูยะ และมาซามิ และก็ไม่ผิดหวังทั้งคู่แสดงในบทบาทที่ได้รับได้ดีมาก พระนางมีการขัดแย้งในความเห็นอย่างที่เรียกว่าคู่กัด แต่ก็ห่วงใยช่วยเหลือกันมีความน่ารักปนน่าหมั่นไส้ โรงแรมที่ใช้เป็นฉากก็หรูหราโอ่โถงงดงามน่าใช้บริการอย่างมากครับ

    📚วกกลับมาเข้าเรื่องในหนังสือ

    สำนักพิมพ์น้ำพุ ปี พ.ศ.2023 /ราคา 425 บาท
    ฮิงาชิโนะ เคโงะ เขียน
    อภิญญา เตชะบุญไพศาล แปล

    เนื้อหาในเล่มกล่าวถึงชีวิตของพนักงานโรงแรมคอร์เทเชียโตเกียวสุดหรูที่มีนามว่า ยามางิชิ นาโอมิ ซึ่งเป็นตัวเอกที่ดำเนินเรื่องหลักของนิยายเล่มนี้ ที่ฉากแรกปรากฏก็เปิดตัวอย่างสง่างามสมกับความเป็นพนักงานต้อนรับมืออาชีพยิ่ง เพราะมีลูกค้าชายประเภทที่จงใจก่อปัญหาเพื่อหวังจะได้เข้าพักในห้องราคาสูงกว่าที่ตนได้เลือกจองไว้ จนพนักงานยกกระเป๋าที่เข็นของไปให้ ต้องโทร.ลงมาปรึกษาว่าจะทำอย่างไรดี ซึ่งเธอสามารถบริหารจัดการให้ผ่านพ้นสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าลงได้อย่างสวยงาม

    จากนั้นเรื่องจึงนำพาผู้อ่านเข้าสู่ประเด็นของที่มาอันกลายเป็นชื่อเรื่องคือ ทางผู้จัดการใหญ่ที่รับผิดชอบดูแลพนักงานในโรงแรมทั้งหมด ได้รับการติดต่อขอความร่วมมือจากกรมตำรวจนครบาลโตเกียว ในการสืบสวนคดีที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนี้ ที่มีแนวโน้มเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องโดยคนร้ายรายเดียวกัน

    🏨

    รายละเอียดของคดีคือ มีการพบศพผู้ตาย 3 ราย ในระยะเวลาห่างกันประมาณ 6-7 วันนับจากศพแรก ทราบชื่อผู้ตายทั้งสาม เป็นชาย2หญิง1 สาเหตุเสียชีวิตจากการถูกทำร้ายด้วยการตีจากด้านหลังบ้าง รัดคอบ้าง ทุกรายพบตัวเลขปริศนา2ชุดในจุดเกิดเหตุ ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าเกี่ยวข้องกับการตายของเหยื่อหรือไม่อย่างไร แต่ตำรวจมั่นใจว่าคนร้ายหมายตาที่จะก่อเหตุในครั้งต่อไป โดยเล็งเป้าหมายคือโรงแรมที่นาโอมิทำงานอยู่ ปัญหาใหญ่คือไม่ทราบว่าใครที่คนร้ายหมายจะฆ่า ทำไมถึงเลือกที่นี่ และคนร้ายคือใคร ซึ่งรายละเอียดปลีกย่อยพวกนี้ ฝ่ายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ได้คุยตกลงกันกับผู้จัดการใหญ่ของโรงแรมแล้ว ดังนั้นจึงเรียกตัว หัวหน้าจากหลายฝ่ายให้มาร่วมประชุม ไม่ว่าฝ่ายห้องพัก ฝ่ายเข็นสัมภาระลูกค้าไปส่งห้อง ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และในการนี้นาโอมิยังถูกระบุให้เข้าร่วมประชุมแม้จะเป็นแค่เพียง พนักงานระดับปฏิบัติการณ์ฝ่ายต้อนรับเท่านั้น

    🏨

    เหตุผลเพราะหัวหน้างานไว้วางใจ เชื่อมั่นในคุณสมบัติและประสบการณ์ของเธอจะสามารถเป็นพี่เลี้ยงให้กับตำรวจ ที่จะปลอมเข้ามาเป็นพนักงานเพื่อเฝ้าสังเกตบุคคลที่มาใช้บริการโรงแรม ซึ่งแผนกต้อนรับเองนาโอมิถูกเลือกให้จับคู่กับรองสารวัตรนิตตะ ส่วนแผนกอื่นก็มีตำรวจปลอมตัวเข้าไปด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นก็มีตำรวจส่วนหนึ่งที่ถูกสั่งการให้ปะปนเข้ามาเป็นคนใช้บริการหรือจับตาความเคลื่อนไหวบริเวณโถงรับแขก ห้องอาหาร และอื่นๆ

    🏨

    นั่นคือจุดเริ่มแห่งความหรรษา เพราะนิตตะไม่ชอบอะไรที่เป็นพิธีการ แต่จำใจต้องเชื่อฟังนาโอมิที่อายุน้อยกว่า ตั้งแต่เรื่องชุดพนักงาน ท่าทีการพูดจา บุคลิกภายนอกที่ต้องถูกปรับให้กลายจากความเป็นตำรวจมาเป็นพนักงานต้อนรับให้สมจริงมากที่สุด ทั้งคู่จึงมีการกระทบกระทั่งทางความคิดที่ไม่ตรงกัน จนมีการโต้เถียงบ่อยครั้ง ซึ่งเป็นความบันเทิงประการหนึ่ง ด้วยคู่นี้มีความน่ารัก น่าลุ้น ที่จะกลายมาเป็นคู่ใจในอนาคตได้

    🏨

    ระหว่างนั้น นาโอมิมีข้อสงสัยมากมายหลายประการ เธอมักถามนิตตะที่ทราบรายละเอียดของคดีมากกว่าที่พนักงานโรงแรมทราบ แต่นิตตะไม่บอกเล่าโดยให้เหตุผลว่าเป็นความลับของทางราชการไม่อาจให้คนนอกทราบได้

    งานบริการของนาโอมิยังคงต้องดำเนินต่อไป เกิดปัญหาจากความต้องการของลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาพักเป็นระยะ ซึ่งเธอและนิตตะต้องพยายามแก้ไขสถานการณ์ให้ผ่านพ้น ทำให้ทั้งสองเริ่มมีความเข้าใจและยอมรับในตัวตนและงานของอีกฝ่ายได้ดีขึ้นกว่าเมื่อแรกพบหน้า ลูกค้าบางคนดูไม่น่าไว้ใจและมีท่าทางแปลกจนนิตตะจับตามองเป็นพิเศษ ด้วยสัญชาตญาณของนักสืบ

    🏨

    ขณะที่มีตำรวจวัยเลยกลางคนไปแล้ว ซึ่งเป็นตำรวจในท้องที่เกิดเหตุคนหนึ่งที่รู้จักกับนิตตะ และได้รับการมอบหมายให้เป็นคู่หูสืบคดีก่อนที่นิตตะจะต้องปลอมตัวมาเป็นพนักงานต้อนรับนั้น มีน้ำใจที่อยากจะช่วยเหลือ จึงมักอาสาช่วยสืบเรื่องราวต่าง ๆ จากด้านนอก ตามที่นิตตะมีความสงสัยด้วยอีกทางหนึ่ง

    ในที่สุดนิตตะก็ทนรบเร้าจากนาโอมิไม่ไหว อีกทั้งเริ่มมีความไว้ใจเธอมากขึ้น จนยอมเล่าให้ทราบถึงปริศนาของชุดตัวเลขที่ปรากฏทุกครั้งในสถานที่พบศพอันเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ตำรวจตัดสินใจปะปนเข้ามาในโรงแรม ทำให้เธอเริ่มเกิดความตื่นตัวและทึ่งในความสามารถของเขา รวมถึงมีความกังวลถึงเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้จนส่งผลต่อสุขภาพและงานในหน้าที่ความรับผิดชอบ

    🏨

    อย่างไรก็ตาม สุดท้ายตัวคนร้ายคือคนที่คิดไม่ถึง ซึ่งไม่น่าเชื่อจริง ๆ ว่าจะวางแผนการณ์ได้อย่างแยบยลขนาดนั้น แต่แรงจูงใจในการก่อคดียังรู้สึกว่ามีน้ำหนักน้อยไปสักหน่อย คงเพราะความที่คนร้ายเป็นคนประเภทมีจิตรุนแรงในพื้นนิสัย ทำให้ต้องลุ้นเอาใจช่วยนิตตะและนาโอมิในตอนที่เนื้อเรื่องเปิดเผยให้คนอ่านทราบแล้วว่าเป็นใคร ทั้งสองจะปลอดภัยหรือไม่ จะจับตัวคนร้ายได้ไหม ใครจะถูกฆ่าเป็นรายถัดไปหรือเปล่า ต้องตามอ่านต่อในพิกัดต่อไปใครเป็นศพครับ

    🖋วิจารณ์หลังจบเรื่อง

    เป็นการเล่าในมุมมองบุคคลที่สามคือมุมมองพระเจ้า ฉากหลักตลอดทั้งเรื่องเกิดขึ้นภายในโรงแรม ตัวละครที่มีการเอ่ยชื่อและมีบทบาทสำคัญไม่เยอะจนเกินไป จึงทำให้คนอ่านจดจำและรู้สึกใกล้ชิดกับตัวเอก ไปจนตัวรองที่ถูกกล่าวถึงบ่อย ๆ ได้ไม่ยาก ความจริงในส่วนของคดีที่เกิดในเล่มนี้นั้น พูดตามจริงแล้วไม่ได้มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนอะไร รูปแบบการฆ่าก็ธรรมดาเกินกว่าจะดูน่ากลัวหรือลึกลับ เพียงแต่มีจุดเด่นตรงชุดตัวเลขปริศนาว่าหมายถึงอะไร และชวนน่าสงสัยเล็กน้อยว่าคนร้ายจะฆ่าคนไปทำไม เพราะดูเหมือนตำรวจมีข้อมูลน้อยมาก จนการสืบสวนแทบไม่เดินหน้าไปไหนเลย

    🏨

    เป็นความตั้งใจของผู้เขียนที่คงจะต้องการให้โทนของเรื่องออกมาในลักษณะนี้ คือไม่เน้นที่การสืบสวนคลี่คลายปมเป็นพิเศษ จึงไม่จำเป็นต้องผูกเรื่องราวของคดีที่เกิดขึ้นให้มีความอลังการ จนดึงดูดความสนใจกระหายใคร่รู้ และกระตุ้มต่อมนักสืบของคนอ่านจนพุ่งสูงด้วยความเข้มข้นของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเหยื่อ แต่กลับเลือกที่จะให้ดูเป็นคดีทั่วไป ไม่มีความโชกเลือดหรือบ้าคลั่งของฆาตกรเป็นที่ปรากฏออกมาในบรรยากาศ ซึ่งในแง่นี้ถือว่านักอ่านหลายคนอาจถูกภาพปกของหนังสือหลอกเอาได้ เพราะโทนสีดำแดง กับเลือดเปรอะกระจายบนแผนที่ อีกทั้งชื่อเรื่องชวนค้นหาว่าคงจะดำเนินไปในแนวทางน่าตื่นเต้นกับการตามสืบอะไรทำนองนั้น ซึ่งใครที่คาดหวังมากก็อาจผิดหวังเมื่อพบว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เป็นไปในทิศทางที่ตนคาดว่าจะได้พบเจอ

    🏨

    แต่นี่ไม่มีปัญหากับผม ส่วนตัวชอบมาก แทบไม่ได้สนใจในคดีด้วยซ้ำว่าใครจะเป็นคนร้าย ใครเป็นเป้าหมายที่กำลังจะถูกฆ่า และทำไมต้องฆ่า คืออ่านไปได้เรื่อย ๆ อย่างเพลิดเพลิน ชอบในความที่เนื้อหาเจาะลึกถึงวงการคนโรงแรม ทำให้เราได้รู้ข้อมูลหลายอย่าง สิ่งที่พนักงานต้องแบกรับและพบเจอที่เป็นเรื่องเบื้องลึกเบื้องหลัง ซึ่งคนทั่วไปไม่ค่อยได้คำนึงถึงและไม่เคยมองในมุมของคนทำงานเหล่านั้น จึงเป็นความบันเทิงที่สามารถได้รู้เรื่องราวอินไซด์โดยผ่านการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของนาโอมิ กับประเด็นต่าง ๆ ที่เข้ามามากมาย คล้ายกำลังได้ติดตามดูซีรีส์ชีวิตการทำงานในอาชีพด้านการบริหารโรงแรมดี ๆ สักเรื่องหนึ่ง ซึ่งอดีตเมื่อ 30 กว่าปีก่อน เคยได้รับชมมาบ้างทั้งของญี่ปุ่นและเกาหลี

    🏨

    จุดเด่นในการดำเนินเรื่องคือเราจะได้เห็นพัฒนาการความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นของสองตัวละครหลัก ในระหว่างร่วมกันแก้ไขปัญหา แม้มีความขัดแย้งจากความเห็นมุมมองที่ต่างสถานะบ้างก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ดีเสียอีกทำให้ต่างฝ่ายได้เรียนรู้เพิ่ม เป็นประสบการณ์ใหม่และเปิดมุมมองอีกด้านที่ตนไม่เคยใส่ใจ จนเกิดเป็นความเห็นอกเห็นใจ และเชื่อใจกันโดยไม่รู้ตัว แม้นภายนอกเหมือนไม่ชอบหน้ากันก็ตาม ที่สำคัญคือแม้เรื่องแนวทางการสืบหาตัวคนร้ายเหมือนไม่คืบหน้าไปไหน แต่เมื่อนาโอมิแก้ปัญหาลูกค้าไปทีละเรื่องต่อเนื่องไป ทำให้นิตตะเองสะดุดคิดได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่จะเกี่ยวโยงไปถึงคดีได้อย่างไม่ตั้งใจ บางครั้งคำพูดของนาโอมิเองช่วงสนทนากับนิตตะ ไปจุดประกายให้เขาพลันนึกอะไรได้ขึ้นมาอย่างกะทันหันก็มี รวมถึงคู่หูนายตำรวจท้องที่ผู้มีอายุมากกว่าเขา ก็ยังมีส่วนช่วยอย่างคาดไม่ถึงเช่นกัน ทำให้เห็นถึงพลังของความช่วยเหลือกันและกันของความเป็นเพื่อน แม้เพิ่งทำความรู้จักกันชั่วระยะเวลาไม่นาน นี่จึงไม่ใช่นิยายสืบสวนที่เน้นความเก่งฉกาจของนักสืบที่รับผิดชอบคดีแบบฉายเดี่ยว แต่ต้องอาศัยความเชื่อใจระหว่างกันในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความเห็นที่มีของตนคนเดียวอาจจะไม่เพียงพอ

    หากพิจารณาให้ดี จะได้เห็นถึงความสำคัญของบุคคลแวดล้อมที่ดูราวกับไม่มีส่วนสำคัญ แต่แท้จริงถ้าไม่ได้ความคิดเห็นหรือความช่วยเหลือของเขา พระเอกของเราก็ยังคงไม่อาจฉุกใจได้คิด จนนำไปสู่การรู้ตัวคนร้ายในช่วงท้ายของเรื่อง

    บทสรุปก่อนจบ มีแนวโน้มให้คนอ่านได้ลุ้นว่านิตตะกับนาโอมิ จะมีความเป็นไปได้ในการเป็นคู่รักหรือไม่ แต่ที่มั่นใจคือน่าจะมีเล่มต่อให้ได้ติดตามกันอย่างแน่นอน.

    .........................................

    2. #พิกัดต่อไปใครเป็นศพตอนลางร้ายใต้หน้ากาก #masqueradeeve

    เล่มที่สองของซีรีส์ ที่ยังคงความสนุกได้ไม่แพ้เล่มแรก แต่ความหนาน้อยลงเหลือ 352 หน้า

    สำนักพิมพ์น้ำพุ ปี พ.ศ.2023 /ราคา 345 บาท
    ฮิงาชิโนะ เคโงะ เขียน
    อภิญญา เตชะบุญไพศาล แปล

    เนื้อหาย่อของเล่มนี้

    ถึงจะออกมาเป็นเล่มที่สองของชุด แต่เหตุการณ์เป็นเรื่องก่อนหน้าคดีในเล่มแรก คือย้อนไปเล่าสมัยที่นาโอมิเพิ่งจะเข้าทำงานใน คอร์เทเชียโตเกียวได้แค่สี่ปี และย้ายแผนกมาอยู่ฝ่ายต้อนรับไม่นาน ยังเห็นถึงความผิดพลาดบกพร่องที่ไม่คล่องตัว ยังไม่มีความเชื่อมั่นในประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญดังภาพที่ปรากฏในเล่มก่อนหน้า ทว่าก็ยังคงบุคลิกที่มุ่งมั่นในการให้บริการ และมีหัวใจในการคิดถึงและเอาใจใส่ต่อลูกค้าทุกคนอย่างซื่อสัตย์

    🏨

    เริ่มต้นมา นาโอมิก็ได้แสดงความสามารถที่ทำให้เห็นถึงความมีไหวพริบปฏิภาณ และช่างสังเกต อันเป็นคุณสมบัติที่ควรต้องมีในคนที่ทำอาชีพเช่นเธอ โดยมีชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งนาโอมิจดจำได้ว่าเป็นอดีตแฟนที่เคยคบหากันชั่วเวลาหนึ่งสมัยที่เธอเรียนมหาวิทยาลัย แต่มีเหตุให้ต้องเลิกราแยกย้ายกันไปคนละเส้นทาง เขามากับชายอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นนักกีฬาเบสบอลอาชีพที่มีชื่อเสียงมาก โดยทำหน้าที่เป็นผจก.ส่วนตัวนักกีฬาชาย แล้วได้เกิดเหตุการณ์ชุลมุนขึ้นในขณะที่ทั้งสองมาพักอยู่ในโรงแรม จนเป็นเหตุให้แฟนเก่าคนนี้โทร.ตามตัวนาโอมิจากหน้าฟรอนต์ให้มาช่วยแก้ไขปัญหา ซึ่งเธอไม่เต็มใจนักแต่ต้องตัดความรู้สึกส่วนตัวออก แล้วสวมหัวใจพนักงานฝ่ายต้อนรับที่ต้องช่วยเหลือบริการแก่ลูกค้าอย่างดีที่สุด ซึ่งสุดท้ายเธอก็สามารถจัดการกับปัญหาให้จบลงด้วยดี

    🏨

    ทางด้านนิตตะนั้น เพิ่งเริ่มต้นอาชีพด้วยการเข้าเป็นน้องใหม่ในสังกัดกรมตำรวจหลังกลับมาจากต่างประเทศไม่นาน โดยมีรุ่นพี่โมโตมิยะ(ปรากฏตัวในเล่มแรกด้วย โดยเป็นหนึ่งที่ปลอมตัวเข้าไปในโรงแรม) ที่เป็นคู่หูและพี่เลี้ยง ซึ่งคดีแรกที่เขาต้องคลี่คลายคือ คดีฆาตกรรมวันไวต์เดย์ โดยตำรวจได้รับแจ้งจากหญิงสาวคนหนึ่งว่าสามีของตนออกไปวิ่งออกกำลังตอนกลางดึกแต่ยังไม่กลับถึงบ้านตามเวลา สุดท้ายมีการพบว่าสามีของเธอกลายเป็นศพอยู่ในสวน ซึ่งเสียชีวิตจากการถูกแทงที่ท้องและหลัง มีอะไรหลายอย่างที่พบในที่เกิดเหตุ รวมถึงข้อมูลที่ตำรวจได้สืบทราบมา ที่รบกวนใจของนิตตะ เขาได้แสดงความสามารถออกมาเป็นที่ปรากฏจนรุ่นพี่ออกจะไม่พอใจและหมั่นไส้อยู่บ้าง ด้วยสิ่งที่นิตตะคาดคะเนและวิเคราะห์ทำให้ตำรวจสามารถพบตัวของผู้ก่อเหตุได้ในเวลาไม่นาน แต่คดีนี้มีอะไรที่ซับซ้อนยิ่งกว่าสิ่งที่ตำรวจรู้

    🏨

    ตัดมาที่การปฏิบัติงานของนาโอมิ ในเหตุการณ์ที่มีกลุ่มชายหลายคน มาจองห้องพักและมีพฤติการณ์ที่ทำให้เธอรู้สึกว่าแปลกพิกล ต่อมาทราบว่าที่แท้คนกลุ่มนี้หวังที่จะมาเฝ้ารอเพื่อจะได้พบเจอกับนักเขียนนิยายที่โด่งดังนามว่า ทาจิบานะ ซากุระซึ่งเขียนแนวประโลมโลก และจะเข้ามาพักที่โรงแรมเพื่อเขียนงานใหม่ เนื่องจากเหล่าสาวกที่ชื่นชอบงานเขียนของซากุระ ไปเห็นรูปที่ถูกระบุว่าเป็นนักเขียนหญิงคนดังในโซเชียลมีเดีย พอเห็นว่าเป็นสาวสวยจึงหาวิธีที่จะได้พบเจอตัวจริงให้ได้ จึงเป็นหน้าที่ของนาโอมิ ที่จะต้องรักษาความเป็นส่วนตัวรวมถึงความปลอดภัยให้แก่ลูกค้าที่มาใช้บริการ ความยุ่งยากจึงเกิดขึ้น

    🏨

    ตอนสุดท้าย นาโอมิได้รับการขอจากผู้จัดการให้ช่วยไปสอนงานให้กับพนักงานแผนกต้อนรับที่สาขาโอซาก้า ซึ่งเพิ่งเปิดโรงแรมได้ไม่นาน เธอจึงต้องไปทำงานอยู่ที่นั่นชั่วระยะเวลาหนึ่งแต่ไม่เกินครึ่งปี ในขณะที่นิตตะมีคดีใหม่ที่ต้องรับผิดชอบกับรุ่นพี่โมโตมิยะ คือการตายของอาจารย์มหาวิทยาลัย ที่กำลังทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องทางสิทยาศาสตร์ โดยพบศพในห้องทำงาน คดีนี้มีผู้ต้องสงสัยที่ตำรวจค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะเป็นบุคคลคนหนึ่ง แต่ทว่าเขากลับมีหลักฐานยืนยันที่อยู่ชัดเจนในช่วงเวลาที่คาดว่าเหยื่อถูกฆ่าตาย ซึ่งเจ้าตัวเข้าใจว่าตนเองรอดพ้นแน่แต่แท้จริงเบื้องหลังยังมีอะไรที่ไม่เป็นดังที่คิด ที่มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากกว่า

    ในกรณีทีมสืบสวนเอง ผู้ใหญ่ได้สั่งการลงมาให้นิตตะจับคู่กันกับตำรวจหญิงวัยละอ่อน ที่เป็นตำรวจท้องที่มีนามว่า ริสะ ที่ถูกย้ายมาจากแผนกความปลอดภัยชุมชน ให้มาร่วมในทีมเป็นครั้งแรก นิตตะไม่พอใจนักแต่จำใจต้องทำตาม แม้จะดูเหมือนเป็นตำรวจหญิงที่อ่อนต่อโลก พูดเป็นต่อยหอย และขาดไหวพริบม แต่ริสะก็ถือเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีความกระตือรือร้น มุ่งมั่นใส่ใจในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการที่เธอได้รับคำสั่งจากนิตตะให้ไปสืบเช็กข้อมูลจากโรงแรมคอร์เทเชียโอซาก้า เพื่อยืนยันคำพูดจากปากของชายผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในคดี ทำให้ริสะได้พบกับนาโอมิ อันก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมากมาถึงผลลัพธ์ในภายหลัง

    🖋วิเคราะห์หลังอ่านจบ

    เล่มนี้เล่าเรื่องโดยแยกเนื้อหาระหว่างการแก้ปัญหาในโรงแรมของนาโอมิ กับการไขคดีของนิตตะออกจากกันชัดเจนเป็นตอนที่จบในตัว เริ่มจากตอนของนาโอมิก่อน จากนั้นสลับไปเล่าฝั่งนิตตะ แต่ในตอนสุดท้ายจะผนวกสองฝั่งให้เชื่อมถึงกันในคดีที่มีผู้เกี่ยวข้องได้ไปเข้าพักที่โรงแรมคอร์เทเชียโอซาก้าซึ่งนาโอมิกำลังอยู่ในช่วงที่สอนงานให้พนักงานที่นั่น

    ทั้งคู่ไม่ได้พบกันเลย เพราะการพบกันครั้งแรกเกิดขึ้นในเล่มแรก แต่ผู้เขียนมีความสามารถในการผูกโยงเรื่องราวให้คนอ่านรู้สึกเหมือนว่าได้เห็นคนทั้งสองอย่างใกล้ชิด และได้เห็นบุคลิกกับอุปนิสัยส่วนตัวของนาโอมิกับนิตตะมากขึ้น

    นิตตะในเล่มนี้ มีโอกาสได้แสดงฝีมือในการคิดวิเคราะห์ และประเมินสถานการณ์กับข้อมูลที่ใช้หาตัวคนร้าย ได้เด่นชัดกว่าเล่มแรก สมกับที่เป็นระดับหัวกะทิที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ แต่เราก็จะได้เห็นถึงข้อเสียใหญ่ของเขาที่ไม่น่ารักเช่นกัน คือเป็นคนมั่นใจในความฉลาดของตนมากจนเหมือนดูถูกคนที่ด้อยกว่า โดยเฉพาะความคิดที่เห็นว่าผู้หญิงเป็นตัวถ่วง สู้ผู้ชายไม่ได้ ดังที่นิตตะแสดงออกทางสีหน้าท่าทางและคำพูดต่อเด็กใหม่อย่างริสะ ที่เหมือนเป็นได้แค่ลูกไล่ไร้ประโยชน์ ซึ่งต่างจากนาโอมิ ที่แม้จะมองออกว่าริสะเป็นตำรวจที่ความสามารถไม่ถึงขั้น แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีรำคาญ กลับมองเห็นถึงมุมที่เป็นความอดทน ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคใดของตำรวจหญิงในการพยายามค้นหาความจริงให้ได้ ความมุ่งมั่นของริสะจึงเอาชนะใจของนาโอมิ จนยอมช่วยเหลือด้วยการเปิดเผยเรื่องราวบางส่วนให้ริสะทราบ

    ในส่วนของการคลี่คลายคดี ไม่มีอะไรลึกลับซับซ้อนจนเกินไป แต่เล่มนี้จะเน้นไปที่คดีที่น่าจะเป็นที่มาของชื่อตอน (ลางร้ายใต้หน้ากาก) ถึงสองคดีด้วยกันครับ ถ้าได้อ่านแล้วจะเข้าใจ และน่าจะเห็นตรงกันว่าภายใต้หน้ากากที่ภายนอกดูไม่ได้รู้เลยว่าจะกลายเป็นคนร้ายได้ สุดท้ายก็แอบซ่อนความบิดเบี้ยวของใจที่โดนกิเลสเข้าครอบงำได้อย่างน่ากลัว

    ตัวละครในเรื่อง สำหรับเล่มนี้ รู้สึกว่าริสะที่แม้จะมีบทบาทเพียงแค่ช่วงคดีสุดท้ายนั้น เป็นตัวละครที่เขียนมาได้น่าสนใจมาก โผล่มาทีไรก็ทำให้คนอ่านอย่างผมอดขำไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ไปต่อในเล่มอื่น ๆ ของชุดนี้หรือไม่ ส่วนนาโอมินั้นยังคงเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์เช่นเดิม เทียบกับนิตตะแล้วส่วนตัวมีความรู้สึกชอบนาโอมิมากกว่า

    นอกจากนี้ยังชอบตอนจบของเรื่อง ที่มีการโยงถึงเหตุการณ์ที่เป็นต้นตอนำไปสู่ความอาฆาตแค้นของฆาตกรในคดีที่เกิดขึ้นในเล่มแรก สรุปว่าอ่านจบเล่มสองแล้วก็จะไปต่อเหตุการณ์ของเล่มแรกพอดี

    ใครเริ่มอ่านจากเล่มนี้ก่อน สามารถอ่านเล่มแรกต่อเนื่องได้เลย

    📌คำเตือน : สำหรับคนที่ชอบการสืบคดีแบบเข้มข้น มีวิธีการฆ่าที่ค่อนข้างแปลกพิสดารหรือโหดสยอง และมีกลวิธีในการอำพรางซ่อนเร้นที่ไม่ธรรมดา ซีรีส์ชุดนี้อาจไม่ตอบโจทย์ แล้วเลยพาลจะไม่ชอบหรือหมดสนุกได้ง่าย แต่ถ้าชอบแนวได้ศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับอาชีพของตัวเอกควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และการไขคดีที่ไม่โลดโผน ชุดนี้น่าจะเป็นที่ชื่นชอบของคุณได้ไม่ยากครับ

    ป.ล. มีปกใหม่ออกมาที่คิดว่าทำได้ดีตรงกับแนวเรื่องและชื่อตอนมากกว่าปกฉบับตีพิมพ์ครั้งแรกด้วย เพราะปกของเล่มสองนี้ดูเหมือนน่าจะโหดมาก แต่เนื้อในไม่ใช่อย่างที่คิด

    ใครอ่านตั้งแต่ต้นมาจนถึงบรรทัดสุดท้ายนี้ได้ขอได้รับความขอบคุณจากผมด้วยครับ

    #thaitimes
    #หนังสือ
    #หนังสือน่าอ่าน
    #นิยายแปล
    #นิยายญี่ปุ่น
    #นิยายสืบสวน
    #สืบสวน
    #คดีฆาตกรรม
    #งานโรงแรม
    #พนักงานต้อนรับ
    #ตำรวจ
    #นักสืบ
    #ลูกค้า
    #งานบริการ
    #อาชีพ
    #ฮิงาชิโนะเคโงะ
    🔹️แพ็กคู่ซีรีส์ชุด พิกัดต่อไปใครเป็นศพ❗ คำเตือน เนื้อหายาวมากถึงมากที่สุด 1 #พิกัดต่อไปใครเป็นศพ #masqueradehotel อ่านจนจบในวันเดียว หนาถึง 547 หน้า ดีที่ขนาดไม่เทอะทะแม้หนาแต่ไม่หนัก ตอนตัดสินใจเลือกยืมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยชมที่สร้างเป็นหนังมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน พออ่านไปได้ไม่กี่หน้าเริ่มรู้สึกฉากช่างคุ้นเคย เนื้อเรื่องเหมือนเคยรู้มาก่อน ทบทวนความทรงจำตนเองจึงค่อยจำได้ว่าคือเรื่องเดียวกับหนังที่ดูจบแล้วชอบมากนั่นเอง แต่ห้วงเวลาที่ชมนั้นไม่เคยทราบว่าสร้างจากนิยายเล่มนี้ ดูเพราะชอบนักแสดงหลักทั้งสองคนเลยคือ ทาคูยะ และมาซามิ และก็ไม่ผิดหวังทั้งคู่แสดงในบทบาทที่ได้รับได้ดีมาก พระนางมีการขัดแย้งในความเห็นอย่างที่เรียกว่าคู่กัด แต่ก็ห่วงใยช่วยเหลือกันมีความน่ารักปนน่าหมั่นไส้ โรงแรมที่ใช้เป็นฉากก็หรูหราโอ่โถงงดงามน่าใช้บริการอย่างมากครับ 📚วกกลับมาเข้าเรื่องในหนังสือ สำนักพิมพ์น้ำพุ ปี พ.ศ.2023 /ราคา 425 บาท ฮิงาชิโนะ เคโงะ เขียน อภิญญา เตชะบุญไพศาล แปล เนื้อหาในเล่มกล่าวถึงชีวิตของพนักงานโรงแรมคอร์เทเชียโตเกียวสุดหรูที่มีนามว่า ยามางิชิ นาโอมิ ซึ่งเป็นตัวเอกที่ดำเนินเรื่องหลักของนิยายเล่มนี้ ที่ฉากแรกปรากฏก็เปิดตัวอย่างสง่างามสมกับความเป็นพนักงานต้อนรับมืออาชีพยิ่ง เพราะมีลูกค้าชายประเภทที่จงใจก่อปัญหาเพื่อหวังจะได้เข้าพักในห้องราคาสูงกว่าที่ตนได้เลือกจองไว้ จนพนักงานยกกระเป๋าที่เข็นของไปให้ ต้องโทร.ลงมาปรึกษาว่าจะทำอย่างไรดี ซึ่งเธอสามารถบริหารจัดการให้ผ่านพ้นสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าลงได้อย่างสวยงาม จากนั้นเรื่องจึงนำพาผู้อ่านเข้าสู่ประเด็นของที่มาอันกลายเป็นชื่อเรื่องคือ ทางผู้จัดการใหญ่ที่รับผิดชอบดูแลพนักงานในโรงแรมทั้งหมด ได้รับการติดต่อขอความร่วมมือจากกรมตำรวจนครบาลโตเกียว ในการสืบสวนคดีที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนี้ ที่มีแนวโน้มเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องโดยคนร้ายรายเดียวกัน 🏨 รายละเอียดของคดีคือ มีการพบศพผู้ตาย 3 ราย ในระยะเวลาห่างกันประมาณ 6-7 วันนับจากศพแรก ทราบชื่อผู้ตายทั้งสาม เป็นชาย2หญิง1 สาเหตุเสียชีวิตจากการถูกทำร้ายด้วยการตีจากด้านหลังบ้าง รัดคอบ้าง ทุกรายพบตัวเลขปริศนา2ชุดในจุดเกิดเหตุ ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าเกี่ยวข้องกับการตายของเหยื่อหรือไม่อย่างไร แต่ตำรวจมั่นใจว่าคนร้ายหมายตาที่จะก่อเหตุในครั้งต่อไป โดยเล็งเป้าหมายคือโรงแรมที่นาโอมิทำงานอยู่ ปัญหาใหญ่คือไม่ทราบว่าใครที่คนร้ายหมายจะฆ่า ทำไมถึงเลือกที่นี่ และคนร้ายคือใคร ซึ่งรายละเอียดปลีกย่อยพวกนี้ ฝ่ายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ได้คุยตกลงกันกับผู้จัดการใหญ่ของโรงแรมแล้ว ดังนั้นจึงเรียกตัว หัวหน้าจากหลายฝ่ายให้มาร่วมประชุม ไม่ว่าฝ่ายห้องพัก ฝ่ายเข็นสัมภาระลูกค้าไปส่งห้อง ฝ่ายประชาสัมพันธ์ และในการนี้นาโอมิยังถูกระบุให้เข้าร่วมประชุมแม้จะเป็นแค่เพียง พนักงานระดับปฏิบัติการณ์ฝ่ายต้อนรับเท่านั้น 🏨 เหตุผลเพราะหัวหน้างานไว้วางใจ เชื่อมั่นในคุณสมบัติและประสบการณ์ของเธอจะสามารถเป็นพี่เลี้ยงให้กับตำรวจ ที่จะปลอมเข้ามาเป็นพนักงานเพื่อเฝ้าสังเกตบุคคลที่มาใช้บริการโรงแรม ซึ่งแผนกต้อนรับเองนาโอมิถูกเลือกให้จับคู่กับรองสารวัตรนิตตะ ส่วนแผนกอื่นก็มีตำรวจปลอมตัวเข้าไปด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นก็มีตำรวจส่วนหนึ่งที่ถูกสั่งการให้ปะปนเข้ามาเป็นคนใช้บริการหรือจับตาความเคลื่อนไหวบริเวณโถงรับแขก ห้องอาหาร และอื่นๆ 🏨 นั่นคือจุดเริ่มแห่งความหรรษา เพราะนิตตะไม่ชอบอะไรที่เป็นพิธีการ แต่จำใจต้องเชื่อฟังนาโอมิที่อายุน้อยกว่า ตั้งแต่เรื่องชุดพนักงาน ท่าทีการพูดจา บุคลิกภายนอกที่ต้องถูกปรับให้กลายจากความเป็นตำรวจมาเป็นพนักงานต้อนรับให้สมจริงมากที่สุด ทั้งคู่จึงมีการกระทบกระทั่งทางความคิดที่ไม่ตรงกัน จนมีการโต้เถียงบ่อยครั้ง ซึ่งเป็นความบันเทิงประการหนึ่ง ด้วยคู่นี้มีความน่ารัก น่าลุ้น ที่จะกลายมาเป็นคู่ใจในอนาคตได้ 🏨 ระหว่างนั้น นาโอมิมีข้อสงสัยมากมายหลายประการ เธอมักถามนิตตะที่ทราบรายละเอียดของคดีมากกว่าที่พนักงานโรงแรมทราบ แต่นิตตะไม่บอกเล่าโดยให้เหตุผลว่าเป็นความลับของทางราชการไม่อาจให้คนนอกทราบได้ งานบริการของนาโอมิยังคงต้องดำเนินต่อไป เกิดปัญหาจากความต้องการของลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาพักเป็นระยะ ซึ่งเธอและนิตตะต้องพยายามแก้ไขสถานการณ์ให้ผ่านพ้น ทำให้ทั้งสองเริ่มมีความเข้าใจและยอมรับในตัวตนและงานของอีกฝ่ายได้ดีขึ้นกว่าเมื่อแรกพบหน้า ลูกค้าบางคนดูไม่น่าไว้ใจและมีท่าทางแปลกจนนิตตะจับตามองเป็นพิเศษ ด้วยสัญชาตญาณของนักสืบ 🏨 ขณะที่มีตำรวจวัยเลยกลางคนไปแล้ว ซึ่งเป็นตำรวจในท้องที่เกิดเหตุคนหนึ่งที่รู้จักกับนิตตะ และได้รับการมอบหมายให้เป็นคู่หูสืบคดีก่อนที่นิตตะจะต้องปลอมตัวมาเป็นพนักงานต้อนรับนั้น มีน้ำใจที่อยากจะช่วยเหลือ จึงมักอาสาช่วยสืบเรื่องราวต่าง ๆ จากด้านนอก ตามที่นิตตะมีความสงสัยด้วยอีกทางหนึ่ง ในที่สุดนิตตะก็ทนรบเร้าจากนาโอมิไม่ไหว อีกทั้งเริ่มมีความไว้ใจเธอมากขึ้น จนยอมเล่าให้ทราบถึงปริศนาของชุดตัวเลขที่ปรากฏทุกครั้งในสถานที่พบศพอันเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ตำรวจตัดสินใจปะปนเข้ามาในโรงแรม ทำให้เธอเริ่มเกิดความตื่นตัวและทึ่งในความสามารถของเขา รวมถึงมีความกังวลถึงเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้จนส่งผลต่อสุขภาพและงานในหน้าที่ความรับผิดชอบ 🏨 อย่างไรก็ตาม สุดท้ายตัวคนร้ายคือคนที่คิดไม่ถึง ซึ่งไม่น่าเชื่อจริง ๆ ว่าจะวางแผนการณ์ได้อย่างแยบยลขนาดนั้น แต่แรงจูงใจในการก่อคดียังรู้สึกว่ามีน้ำหนักน้อยไปสักหน่อย คงเพราะความที่คนร้ายเป็นคนประเภทมีจิตรุนแรงในพื้นนิสัย ทำให้ต้องลุ้นเอาใจช่วยนิตตะและนาโอมิในตอนที่เนื้อเรื่องเปิดเผยให้คนอ่านทราบแล้วว่าเป็นใคร ทั้งสองจะปลอดภัยหรือไม่ จะจับตัวคนร้ายได้ไหม ใครจะถูกฆ่าเป็นรายถัดไปหรือเปล่า ต้องตามอ่านต่อในพิกัดต่อไปใครเป็นศพครับ 🖋วิจารณ์หลังจบเรื่อง เป็นการเล่าในมุมมองบุคคลที่สามคือมุมมองพระเจ้า ฉากหลักตลอดทั้งเรื่องเกิดขึ้นภายในโรงแรม ตัวละครที่มีการเอ่ยชื่อและมีบทบาทสำคัญไม่เยอะจนเกินไป จึงทำให้คนอ่านจดจำและรู้สึกใกล้ชิดกับตัวเอก ไปจนตัวรองที่ถูกกล่าวถึงบ่อย ๆ ได้ไม่ยาก ความจริงในส่วนของคดีที่เกิดในเล่มนี้นั้น พูดตามจริงแล้วไม่ได้มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนอะไร รูปแบบการฆ่าก็ธรรมดาเกินกว่าจะดูน่ากลัวหรือลึกลับ เพียงแต่มีจุดเด่นตรงชุดตัวเลขปริศนาว่าหมายถึงอะไร และชวนน่าสงสัยเล็กน้อยว่าคนร้ายจะฆ่าคนไปทำไม เพราะดูเหมือนตำรวจมีข้อมูลน้อยมาก จนการสืบสวนแทบไม่เดินหน้าไปไหนเลย 🏨 เป็นความตั้งใจของผู้เขียนที่คงจะต้องการให้โทนของเรื่องออกมาในลักษณะนี้ คือไม่เน้นที่การสืบสวนคลี่คลายปมเป็นพิเศษ จึงไม่จำเป็นต้องผูกเรื่องราวของคดีที่เกิดขึ้นให้มีความอลังการ จนดึงดูดความสนใจกระหายใคร่รู้ และกระตุ้มต่อมนักสืบของคนอ่านจนพุ่งสูงด้วยความเข้มข้นของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเหยื่อ แต่กลับเลือกที่จะให้ดูเป็นคดีทั่วไป ไม่มีความโชกเลือดหรือบ้าคลั่งของฆาตกรเป็นที่ปรากฏออกมาในบรรยากาศ ซึ่งในแง่นี้ถือว่านักอ่านหลายคนอาจถูกภาพปกของหนังสือหลอกเอาได้ เพราะโทนสีดำแดง กับเลือดเปรอะกระจายบนแผนที่ อีกทั้งชื่อเรื่องชวนค้นหาว่าคงจะดำเนินไปในแนวทางน่าตื่นเต้นกับการตามสืบอะไรทำนองนั้น ซึ่งใครที่คาดหวังมากก็อาจผิดหวังเมื่อพบว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เป็นไปในทิศทางที่ตนคาดว่าจะได้พบเจอ 🏨 แต่นี่ไม่มีปัญหากับผม ส่วนตัวชอบมาก แทบไม่ได้สนใจในคดีด้วยซ้ำว่าใครจะเป็นคนร้าย ใครเป็นเป้าหมายที่กำลังจะถูกฆ่า และทำไมต้องฆ่า คืออ่านไปได้เรื่อย ๆ อย่างเพลิดเพลิน ชอบในความที่เนื้อหาเจาะลึกถึงวงการคนโรงแรม ทำให้เราได้รู้ข้อมูลหลายอย่าง สิ่งที่พนักงานต้องแบกรับและพบเจอที่เป็นเรื่องเบื้องลึกเบื้องหลัง ซึ่งคนทั่วไปไม่ค่อยได้คำนึงถึงและไม่เคยมองในมุมของคนทำงานเหล่านั้น จึงเป็นความบันเทิงที่สามารถได้รู้เรื่องราวอินไซด์โดยผ่านการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของนาโอมิ กับประเด็นต่าง ๆ ที่เข้ามามากมาย คล้ายกำลังได้ติดตามดูซีรีส์ชีวิตการทำงานในอาชีพด้านการบริหารโรงแรมดี ๆ สักเรื่องหนึ่ง ซึ่งอดีตเมื่อ 30 กว่าปีก่อน เคยได้รับชมมาบ้างทั้งของญี่ปุ่นและเกาหลี 🏨 จุดเด่นในการดำเนินเรื่องคือเราจะได้เห็นพัฒนาการความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นของสองตัวละครหลัก ในระหว่างร่วมกันแก้ไขปัญหา แม้มีความขัดแย้งจากความเห็นมุมมองที่ต่างสถานะบ้างก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ดีเสียอีกทำให้ต่างฝ่ายได้เรียนรู้เพิ่ม เป็นประสบการณ์ใหม่และเปิดมุมมองอีกด้านที่ตนไม่เคยใส่ใจ จนเกิดเป็นความเห็นอกเห็นใจ และเชื่อใจกันโดยไม่รู้ตัว แม้นภายนอกเหมือนไม่ชอบหน้ากันก็ตาม ที่สำคัญคือแม้เรื่องแนวทางการสืบหาตัวคนร้ายเหมือนไม่คืบหน้าไปไหน แต่เมื่อนาโอมิแก้ปัญหาลูกค้าไปทีละเรื่องต่อเนื่องไป ทำให้นิตตะเองสะดุดคิดได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่จะเกี่ยวโยงไปถึงคดีได้อย่างไม่ตั้งใจ บางครั้งคำพูดของนาโอมิเองช่วงสนทนากับนิตตะ ไปจุดประกายให้เขาพลันนึกอะไรได้ขึ้นมาอย่างกะทันหันก็มี รวมถึงคู่หูนายตำรวจท้องที่ผู้มีอายุมากกว่าเขา ก็ยังมีส่วนช่วยอย่างคาดไม่ถึงเช่นกัน ทำให้เห็นถึงพลังของความช่วยเหลือกันและกันของความเป็นเพื่อน แม้เพิ่งทำความรู้จักกันชั่วระยะเวลาไม่นาน นี่จึงไม่ใช่นิยายสืบสวนที่เน้นความเก่งฉกาจของนักสืบที่รับผิดชอบคดีแบบฉายเดี่ยว แต่ต้องอาศัยความเชื่อใจระหว่างกันในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความเห็นที่มีของตนคนเดียวอาจจะไม่เพียงพอ หากพิจารณาให้ดี จะได้เห็นถึงความสำคัญของบุคคลแวดล้อมที่ดูราวกับไม่มีส่วนสำคัญ แต่แท้จริงถ้าไม่ได้ความคิดเห็นหรือความช่วยเหลือของเขา พระเอกของเราก็ยังคงไม่อาจฉุกใจได้คิด จนนำไปสู่การรู้ตัวคนร้ายในช่วงท้ายของเรื่อง บทสรุปก่อนจบ มีแนวโน้มให้คนอ่านได้ลุ้นว่านิตตะกับนาโอมิ จะมีความเป็นไปได้ในการเป็นคู่รักหรือไม่ แต่ที่มั่นใจคือน่าจะมีเล่มต่อให้ได้ติดตามกันอย่างแน่นอน. ......................................... 2. #พิกัดต่อไปใครเป็นศพตอนลางร้ายใต้หน้ากาก #masqueradeeve เล่มที่สองของซีรีส์ ที่ยังคงความสนุกได้ไม่แพ้เล่มแรก แต่ความหนาน้อยลงเหลือ 352 หน้า สำนักพิมพ์น้ำพุ ปี พ.ศ.2023 /ราคา 345 บาท ฮิงาชิโนะ เคโงะ เขียน อภิญญา เตชะบุญไพศาล แปล เนื้อหาย่อของเล่มนี้ ถึงจะออกมาเป็นเล่มที่สองของชุด แต่เหตุการณ์เป็นเรื่องก่อนหน้าคดีในเล่มแรก คือย้อนไปเล่าสมัยที่นาโอมิเพิ่งจะเข้าทำงานใน คอร์เทเชียโตเกียวได้แค่สี่ปี และย้ายแผนกมาอยู่ฝ่ายต้อนรับไม่นาน ยังเห็นถึงความผิดพลาดบกพร่องที่ไม่คล่องตัว ยังไม่มีความเชื่อมั่นในประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญดังภาพที่ปรากฏในเล่มก่อนหน้า ทว่าก็ยังคงบุคลิกที่มุ่งมั่นในการให้บริการ และมีหัวใจในการคิดถึงและเอาใจใส่ต่อลูกค้าทุกคนอย่างซื่อสัตย์ 🏨 เริ่มต้นมา นาโอมิก็ได้แสดงความสามารถที่ทำให้เห็นถึงความมีไหวพริบปฏิภาณ และช่างสังเกต อันเป็นคุณสมบัติที่ควรต้องมีในคนที่ทำอาชีพเช่นเธอ โดยมีชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งนาโอมิจดจำได้ว่าเป็นอดีตแฟนที่เคยคบหากันชั่วเวลาหนึ่งสมัยที่เธอเรียนมหาวิทยาลัย แต่มีเหตุให้ต้องเลิกราแยกย้ายกันไปคนละเส้นทาง เขามากับชายอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นนักกีฬาเบสบอลอาชีพที่มีชื่อเสียงมาก โดยทำหน้าที่เป็นผจก.ส่วนตัวนักกีฬาชาย แล้วได้เกิดเหตุการณ์ชุลมุนขึ้นในขณะที่ทั้งสองมาพักอยู่ในโรงแรม จนเป็นเหตุให้แฟนเก่าคนนี้โทร.ตามตัวนาโอมิจากหน้าฟรอนต์ให้มาช่วยแก้ไขปัญหา ซึ่งเธอไม่เต็มใจนักแต่ต้องตัดความรู้สึกส่วนตัวออก แล้วสวมหัวใจพนักงานฝ่ายต้อนรับที่ต้องช่วยเหลือบริการแก่ลูกค้าอย่างดีที่สุด ซึ่งสุดท้ายเธอก็สามารถจัดการกับปัญหาให้จบลงด้วยดี 🏨 ทางด้านนิตตะนั้น เพิ่งเริ่มต้นอาชีพด้วยการเข้าเป็นน้องใหม่ในสังกัดกรมตำรวจหลังกลับมาจากต่างประเทศไม่นาน โดยมีรุ่นพี่โมโตมิยะ(ปรากฏตัวในเล่มแรกด้วย โดยเป็นหนึ่งที่ปลอมตัวเข้าไปในโรงแรม) ที่เป็นคู่หูและพี่เลี้ยง ซึ่งคดีแรกที่เขาต้องคลี่คลายคือ คดีฆาตกรรมวันไวต์เดย์ โดยตำรวจได้รับแจ้งจากหญิงสาวคนหนึ่งว่าสามีของตนออกไปวิ่งออกกำลังตอนกลางดึกแต่ยังไม่กลับถึงบ้านตามเวลา สุดท้ายมีการพบว่าสามีของเธอกลายเป็นศพอยู่ในสวน ซึ่งเสียชีวิตจากการถูกแทงที่ท้องและหลัง มีอะไรหลายอย่างที่พบในที่เกิดเหตุ รวมถึงข้อมูลที่ตำรวจได้สืบทราบมา ที่รบกวนใจของนิตตะ เขาได้แสดงความสามารถออกมาเป็นที่ปรากฏจนรุ่นพี่ออกจะไม่พอใจและหมั่นไส้อยู่บ้าง ด้วยสิ่งที่นิตตะคาดคะเนและวิเคราะห์ทำให้ตำรวจสามารถพบตัวของผู้ก่อเหตุได้ในเวลาไม่นาน แต่คดีนี้มีอะไรที่ซับซ้อนยิ่งกว่าสิ่งที่ตำรวจรู้ 🏨 ตัดมาที่การปฏิบัติงานของนาโอมิ ในเหตุการณ์ที่มีกลุ่มชายหลายคน มาจองห้องพักและมีพฤติการณ์ที่ทำให้เธอรู้สึกว่าแปลกพิกล ต่อมาทราบว่าที่แท้คนกลุ่มนี้หวังที่จะมาเฝ้ารอเพื่อจะได้พบเจอกับนักเขียนนิยายที่โด่งดังนามว่า ทาจิบานะ ซากุระซึ่งเขียนแนวประโลมโลก และจะเข้ามาพักที่โรงแรมเพื่อเขียนงานใหม่ เนื่องจากเหล่าสาวกที่ชื่นชอบงานเขียนของซากุระ ไปเห็นรูปที่ถูกระบุว่าเป็นนักเขียนหญิงคนดังในโซเชียลมีเดีย พอเห็นว่าเป็นสาวสวยจึงหาวิธีที่จะได้พบเจอตัวจริงให้ได้ จึงเป็นหน้าที่ของนาโอมิ ที่จะต้องรักษาความเป็นส่วนตัวรวมถึงความปลอดภัยให้แก่ลูกค้าที่มาใช้บริการ ความยุ่งยากจึงเกิดขึ้น 🏨 ตอนสุดท้าย นาโอมิได้รับการขอจากผู้จัดการให้ช่วยไปสอนงานให้กับพนักงานแผนกต้อนรับที่สาขาโอซาก้า ซึ่งเพิ่งเปิดโรงแรมได้ไม่นาน เธอจึงต้องไปทำงานอยู่ที่นั่นชั่วระยะเวลาหนึ่งแต่ไม่เกินครึ่งปี ในขณะที่นิตตะมีคดีใหม่ที่ต้องรับผิดชอบกับรุ่นพี่โมโตมิยะ คือการตายของอาจารย์มหาวิทยาลัย ที่กำลังทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องทางสิทยาศาสตร์ โดยพบศพในห้องทำงาน คดีนี้มีผู้ต้องสงสัยที่ตำรวจค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะเป็นบุคคลคนหนึ่ง แต่ทว่าเขากลับมีหลักฐานยืนยันที่อยู่ชัดเจนในช่วงเวลาที่คาดว่าเหยื่อถูกฆ่าตาย ซึ่งเจ้าตัวเข้าใจว่าตนเองรอดพ้นแน่แต่แท้จริงเบื้องหลังยังมีอะไรที่ไม่เป็นดังที่คิด ที่มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากกว่า ในกรณีทีมสืบสวนเอง ผู้ใหญ่ได้สั่งการลงมาให้นิตตะจับคู่กันกับตำรวจหญิงวัยละอ่อน ที่เป็นตำรวจท้องที่มีนามว่า ริสะ ที่ถูกย้ายมาจากแผนกความปลอดภัยชุมชน ให้มาร่วมในทีมเป็นครั้งแรก นิตตะไม่พอใจนักแต่จำใจต้องทำตาม แม้จะดูเหมือนเป็นตำรวจหญิงที่อ่อนต่อโลก พูดเป็นต่อยหอย และขาดไหวพริบม แต่ริสะก็ถือเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีความกระตือรือร้น มุ่งมั่นใส่ใจในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการที่เธอได้รับคำสั่งจากนิตตะให้ไปสืบเช็กข้อมูลจากโรงแรมคอร์เทเชียโอซาก้า เพื่อยืนยันคำพูดจากปากของชายผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในคดี ทำให้ริสะได้พบกับนาโอมิ อันก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมากมาถึงผลลัพธ์ในภายหลัง 🖋วิเคราะห์หลังอ่านจบ เล่มนี้เล่าเรื่องโดยแยกเนื้อหาระหว่างการแก้ปัญหาในโรงแรมของนาโอมิ กับการไขคดีของนิตตะออกจากกันชัดเจนเป็นตอนที่จบในตัว เริ่มจากตอนของนาโอมิก่อน จากนั้นสลับไปเล่าฝั่งนิตตะ แต่ในตอนสุดท้ายจะผนวกสองฝั่งให้เชื่อมถึงกันในคดีที่มีผู้เกี่ยวข้องได้ไปเข้าพักที่โรงแรมคอร์เทเชียโอซาก้าซึ่งนาโอมิกำลังอยู่ในช่วงที่สอนงานให้พนักงานที่นั่น ทั้งคู่ไม่ได้พบกันเลย เพราะการพบกันครั้งแรกเกิดขึ้นในเล่มแรก แต่ผู้เขียนมีความสามารถในการผูกโยงเรื่องราวให้คนอ่านรู้สึกเหมือนว่าได้เห็นคนทั้งสองอย่างใกล้ชิด และได้เห็นบุคลิกกับอุปนิสัยส่วนตัวของนาโอมิกับนิตตะมากขึ้น นิตตะในเล่มนี้ มีโอกาสได้แสดงฝีมือในการคิดวิเคราะห์ และประเมินสถานการณ์กับข้อมูลที่ใช้หาตัวคนร้าย ได้เด่นชัดกว่าเล่มแรก สมกับที่เป็นระดับหัวกะทิที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ แต่เราก็จะได้เห็นถึงข้อเสียใหญ่ของเขาที่ไม่น่ารักเช่นกัน คือเป็นคนมั่นใจในความฉลาดของตนมากจนเหมือนดูถูกคนที่ด้อยกว่า โดยเฉพาะความคิดที่เห็นว่าผู้หญิงเป็นตัวถ่วง สู้ผู้ชายไม่ได้ ดังที่นิตตะแสดงออกทางสีหน้าท่าทางและคำพูดต่อเด็กใหม่อย่างริสะ ที่เหมือนเป็นได้แค่ลูกไล่ไร้ประโยชน์ ซึ่งต่างจากนาโอมิ ที่แม้จะมองออกว่าริสะเป็นตำรวจที่ความสามารถไม่ถึงขั้น แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีรำคาญ กลับมองเห็นถึงมุมที่เป็นความอดทน ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคใดของตำรวจหญิงในการพยายามค้นหาความจริงให้ได้ ความมุ่งมั่นของริสะจึงเอาชนะใจของนาโอมิ จนยอมช่วยเหลือด้วยการเปิดเผยเรื่องราวบางส่วนให้ริสะทราบ ในส่วนของการคลี่คลายคดี ไม่มีอะไรลึกลับซับซ้อนจนเกินไป แต่เล่มนี้จะเน้นไปที่คดีที่น่าจะเป็นที่มาของชื่อตอน (ลางร้ายใต้หน้ากาก) ถึงสองคดีด้วยกันครับ ถ้าได้อ่านแล้วจะเข้าใจ และน่าจะเห็นตรงกันว่าภายใต้หน้ากากที่ภายนอกดูไม่ได้รู้เลยว่าจะกลายเป็นคนร้ายได้ สุดท้ายก็แอบซ่อนความบิดเบี้ยวของใจที่โดนกิเลสเข้าครอบงำได้อย่างน่ากลัว ตัวละครในเรื่อง สำหรับเล่มนี้ รู้สึกว่าริสะที่แม้จะมีบทบาทเพียงแค่ช่วงคดีสุดท้ายนั้น เป็นตัวละครที่เขียนมาได้น่าสนใจมาก โผล่มาทีไรก็ทำให้คนอ่านอย่างผมอดขำไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ไปต่อในเล่มอื่น ๆ ของชุดนี้หรือไม่ ส่วนนาโอมินั้นยังคงเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์เช่นเดิม เทียบกับนิตตะแล้วส่วนตัวมีความรู้สึกชอบนาโอมิมากกว่า นอกจากนี้ยังชอบตอนจบของเรื่อง ที่มีการโยงถึงเหตุการณ์ที่เป็นต้นตอนำไปสู่ความอาฆาตแค้นของฆาตกรในคดีที่เกิดขึ้นในเล่มแรก สรุปว่าอ่านจบเล่มสองแล้วก็จะไปต่อเหตุการณ์ของเล่มแรกพอดี ใครเริ่มอ่านจากเล่มนี้ก่อน สามารถอ่านเล่มแรกต่อเนื่องได้เลย 📌คำเตือน : สำหรับคนที่ชอบการสืบคดีแบบเข้มข้น มีวิธีการฆ่าที่ค่อนข้างแปลกพิสดารหรือโหดสยอง และมีกลวิธีในการอำพรางซ่อนเร้นที่ไม่ธรรมดา ซีรีส์ชุดนี้อาจไม่ตอบโจทย์ แล้วเลยพาลจะไม่ชอบหรือหมดสนุกได้ง่าย แต่ถ้าชอบแนวได้ศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับอาชีพของตัวเอกควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และการไขคดีที่ไม่โลดโผน ชุดนี้น่าจะเป็นที่ชื่นชอบของคุณได้ไม่ยากครับ ป.ล. มีปกใหม่ออกมาที่คิดว่าทำได้ดีตรงกับแนวเรื่องและชื่อตอนมากกว่าปกฉบับตีพิมพ์ครั้งแรกด้วย เพราะปกของเล่มสองนี้ดูเหมือนน่าจะโหดมาก แต่เนื้อในไม่ใช่อย่างที่คิด ใครอ่านตั้งแต่ต้นมาจนถึงบรรทัดสุดท้ายนี้ได้ขอได้รับความขอบคุณจากผมด้วยครับ #thaitimes #หนังสือ #หนังสือน่าอ่าน #นิยายแปล #นิยายญี่ปุ่น #นิยายสืบสวน #สืบสวน #คดีฆาตกรรม #งานโรงแรม #พนักงานต้อนรับ #ตำรวจ #นักสืบ #ลูกค้า #งานบริการ #อาชีพ #ฮิงาชิโนะเคโงะ
    0 Comments 0 Shares 1025 Views 0 Reviews
  • คุณติ่งๆทั้งหลายขา….ฉุดไม่อยู่แล้วค่าาาา พี่ปูก้าวขึ้นไปในจุดที่สูงสุดแบบรวดเร็วปานกามนิตหนุ่มนั้นเชียว…

    ตอนสิบ……ปูตินที่ว่าเหนือชั้นแล้ว……เยลซินยิ่งเหนือกว่า……!!!

    จากสายตาของประชาชนทั่วไป นายกรัฐมนตรีปูติน คือ คนที่เยลซินเลือกมานั่งในตำแหน่ง เหมือนอย่างคนอื่นๆที่มาแล้วก็ไป จนผู้คนไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไร แถมไม่สนใจด้วยซ้ำ
    พอเรื่องสงครามที่เชเชนที่มีผลดี ชื่อปูตินก็ดีขึ้นมาหน่อย
    แต่ก็ยังเป็นหน้าใหม่อยู่ดี
    ในผลโพลความนิยมในเดือนตุลาคม กระเตื้องขึ้นมาเป็น 27 เปอร์เซ็นต์ ยังน้อยกว่า Primakov
    นโยบายพรรคการเมือง Unity ของเยลซิน คือ กึ่งสังคมนิยม
    แต่ที่ผ่านๆมา คือการสนับสนุนไปทางทหาร รักษาชายแดน
    เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น ……จึงเชื่อได้ว่า ไม่น่าจะชนะแบบแลนด์สไลด์……
    ในเดือนตุลาคม ที่พอมองเห็นว่า คะแนนของพรรคยังอยู่หลังพรรคฝั่งซ้าย The Fatherland ที่มีฐานเสียงเป็นประชาชนรอบนอกส่วนใหญ่
    พรรคยูนิตี้ของเยลซิน ฐานเสียงคือ มอสโคว์ เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก และเหล่านายทุน (ที่จะไประดมมา……)
    ยกตัวอย่างเช่น Boris Berezovsky**(ที่เยลซินเทไปแล้ว…)
    เขาได้ใช้ความเป็นเจ้าของสถานีวิทยุ โทรทัศน์ ออกข่าว
    โจมตีคู่แข่งอย่าง Luzhkov ในเรื่อง คอร์รัปชั่นกันทั้งครอบครัว
    และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมในหลายคดี
    คนอื่นๆก็ถูกขุดขึ้นมาแฉโพยด้วย เป็นการสกัดไว้ชั้นหนึ่งก่อน
    การกล่าวหานี้ โดยปรกติแล้วมันเป็นยิ่งกว่าการหมิ่นประมาท
    แต่…มักใช้ได้ผลแบบทันตาเห็น (เรื่องคดีไว้ว่ากันทีหลัง…)

    แต่ที่ทุกคนไม่รู้……คือ เยลซินได้ฝากความหวังของรัสเซียทั้งหมดไว้กับนายกรัฐมนตรีที่เพิ่งแกะกล่อง วลาดิเมียร์ ปูติน
    เมื่อช่วงปลายปี 1999 สุขภาพของเยลซินเริ่มถดถอย อีกทั้งเรื่องคดีความทางกฎหมาย เช่นเรื่องไล่อัยการ Skuratov ออกเพราะว่ามีเทปลับสามคนผัวเมีย……
    ซึ่งอัยการฟ้องกลับ……อีกทั้งสาวหาเรื่องอื่นเกี่ยวกับ”วงใน” และ”นายทุน” รวมทั้งการที่ครอบครัวของท่านผู้นำไปมีหุ้นอยู่ที่บริษัท Mabetex ในสวิตเซอร์แลนด์

    เยลซินเหลือเวลาไม่มากนักในการต่อสู้กับเกมชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เพราะสำหรับเขาคือ ไม่มีโอกาสเพราะเป็นสมัยที่สอง และถ้าพรรคอื่นได้มาเป็น……นั่นหมายถึงเขาจะตกอยู่ในที่นั่งลำบาก อย่าหวังว่าจะได้พึ่งพวกเศรษฐีนายทุน เพราะคนพวกนี้มักจะเกาะอยู่กับกลุ่มอำนาจที่อำนวยผลประโยชน์ให้ได้เท่านั้น

    หลังสงครามเชเชน……ปูตินได้รับความนิยมขึ้นมาถึง 40%
    แต่เขาไม่ได้ร่วมเป็นสมาขิกของพรรค Unity
    เพราะเขาต้องการความเป็นอิสระ จากกรอบนโยบาย
    หากแต่…เขาให้ความสนับสนุนโดยการให้สัมภาษณ์ว่า
    “ในฐานะนายกรัฐมนตรี ผมไม่ควรที่จะบอกว่าชื่นชอบพรรคไหนเป็นพิเศษ……แต่ถ้าในฐานะประชาชนคนธรรมดา ผมจะโหวตให้กับยูนิตี้……”

    วันที่ 14 ธันวาคม ก่อนวันเลือกตั้ง 5 วัน และเยลซินได้เรียกให้ปูตินไปพบเป็นการส่วนตัว……เพื่อที่จะบอกแผนการที่ได้ตระเตรียมไว้……

    “ฉันจะลาออกจากตำแหน่งแล้วนะ ปีนี้จะเป็นปีที่สำคัญมากแห่งศตวรรษ มันจะเป็นศตวรรษที่ยิ่งใหญ่ของนาย……วลาดิเมียร์ ปูติน……นายเข้าใจไหม…?”
    ปูตินส่ายหน้า….ไม่เข้าใจ……เพราะที่เคยคุยกันไว้ครั้งที่แล้ว คือ ถ้าเยลซินพ้นจากตำแหน่งไป……เขาก็จะลาออก จบชีวิตทางการเมือง……
    เยลซินกล่าวต่อว่า………
    “นายไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น ฉันได้เตรียมแผนการไว้เรียบร้อยแล้ว นายก็รู้ดีถึงรัฐธรรมนูญในตำแหน่งประธานาธิบดี ที่ว่า
    ถ้าประธานาธิบดีลาออกจากตำแหน่งกลางคัน ก่อนวันเลือกตั้ง
    ผู้ที่จะต้องดำรงตำแหน่งแทน คือ นายกรัฐมนตรี และการเลือกตั้งจะต้องมีขึ้นภายใน 90 วัน…นายเข้าใจหรือยัง…?

    ในเก้าสิบวันนี้แหละ คือ เก้าสิบวันที่นายจะได้ทำหน้าที่ สร้างความเลื่อมใสกับประชาชน เพื่อที่จะครองตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งต่อไป……”

    ปูตินนั่งนิ่งขึง………อยู่ในอาการสับสนปนทึ่ง สักพัก เขาตอบว่า
    “ผมยังไม่แน่ใจกับการที่จะตัดสินใจ เพราะเป้าหมายคือหน้าที่ที่ใหญ่ยิ่ง”

    เยลซินได้พูด(กล่อม) ต่อไปว่า……
    “ฟังนะ ตอนที่ฉันเข้ามาในสนามการเมืองในมอสโคว์ ตอนนั้นฉันอายุห้าสิบกว่าแล้ว ยังทำได้ แล้วหนุ่มๆไฟแรง มุ่งมั่นอย่างนายจะไปได้ไกล และจะดูแลบ้านเมืองไปได้อีกนาน จะรอให้แต่คนแก่มาทำงาน ชาติก็จะยิ่งถอยหลัง ฉันเองก็ไม่เคยคิดว่าจะมานั่งในตำแหน่งนี้ มันไม่ง่าย มันเหนื่อย แต่เราถอยไม่ได้……นายเป็นคนที่เหมาะที่สุด……ว่าไง……ให้คำตอบฉันได้หรือยัง……วลาดิเมียร์ วลาดิมิโรวิช..?”
    ~~”วลาดิเมียร์ วลาดิมิโรวิช คือการเรียกเต็มยศ ที่แปลได้ว่า
    วลาดิเมียร์ บุตรชายนายวลาดิเมียร์…”

    ในที่สุด ปูตินได้ตกลงใจ รับข้อเสนอที่เยลชินบรรจงจัดแต่งให้
    เป็นความลับที่รู้กันแค่สองคน……ในใจความคือ เยลซินต้องการยิงนกหลายตัวในกระสุนนัดเดียว
    การที่ประกาศลาออกของเขานั้น คือ ……กระสุน
    นกตัวที่หนึ่ง คือ การเลือกตั้งที่จะตอนกลางปี คือ เดือนมิถุนายน จะต้องเลื่อนขึ้นมาในเดือนมีนาคม
    นกตัวที่สอง คือ เมื่อปูตินก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีรักษาการ จะได้”แสง” ทั้งหมดจากนอกและในประเทศ ไม่ต้องง้อสื่อไหนๆ ทุกคนย่อมติดตามทำข่าวประธานาธิบดีตามหน้าที่อยู่แล้ว
    นกตัวที่สาม……คือ กลุ่มที่จะล้างแค้นเยลซิน ก็จะหมดโอกาส
    เผลอๆจะถูกล้างเอง…
    นกตัวที่สี่……ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป……ปูตินก็จะได้เป็นประธานาธิบดีต่อไปอย่างแน่นอน เพราะกำลังอยู่ในขาขึ้น
    นกตัวที่ห้า……คือเหล่านายทุนทั้งหลายที่เกาะกินประเทศมาสุมหัวกันอยู่ในเครมลินตั้งแต่สมัยกอร์บาเชฟ จะได้โดนล้างบางเสียที…

    ต้องยกให้เยลซิน………เป็นขงเบ้งแห่งรัสเซีย….!!!!

    วันที่ 19 ธันวาคม 1999 ที่มีการเลือกตั้งผู้แทนเข้าสภา
    พรรคคอมมิวนิสต์ ได้ 24%, พรรคยูนิตี้ของเยลซิน ได้ 23%
    พรรค Luzhkov-Primakov alliance ได้ 13%
    ซึ่งยังต้องมีการเลือกตั้งซ่อม ยังต้องดูบัตรเสีย และต้องผ่านขั้นตอนขบวนพิจารณาทางกฏหมาย ที่จะต้องใช้เวลาในช่วงหลังปีใหม่ไปแล้ว……

    เยลซินได้เตรียมการประกาศลาออกแบบฟ้าผ่าในวันสิ้นปี
    เพราะจะใช้เวลาที่ประธานาธิบดีกล่าวสวัสดีปีใหม่และอวยพรออกทีวี……ในคราวเดียวกัน
    ในเช้าวันนั้น ปูตินได้มาถึงพร้อมทีม ตั้งแต่เวลา 9:30 เพื่อซักซ้อมอัดเทปการอ่านคำรับแถลงการณ์ ที่มีทีท่าเขินอายนิดๆ
    เยลซินได้มีคำสั่งให้ฝ่ายความมั่นคงเตรียมการส่งกระเป๋าที่มี โค้ดสำหรับปุ่มกดนิวเคลียร์ทั้งหลายให้เรียบร้อย เพื่อที่จะส่งมอบให้กับประธานาธิบดีคนใหม่

    เมื่อเวลามาถึง……เที่ยงตรง สถานีโทรทัศน์ Ostankino ได้เตรียมออกอากาศในวาระสำคัญของการเริ่มต้นปี 2000
    ที่ประธานาธิบดีเยลซินได้เริ่มต้นว่า……

    “เพื่อนประชาชนที่รักทั้งหลาย……
    ข้าพเจ้าได้ยินได้ฟังมามาก กับข่าวลือที่ว่า ข้าพเจ้าหวงอำนาจ
    เกาะติดเก้าอี้ ทั้งหมดเป็นเพียงข่าวลือ ไม่มีความจริงแต่ประการใด ข้าพเจ้าพร้อมที่จะมอบตำแหน่งให้กับผู้ที่รักชาติที่มีความสามารถ

    แต่ข้าพเจ้าต้องขออภัย ขอให้ยกโทษให้กับข้าพเจ้าในสิ่งที่อาจมีความผิดพลาด หรือ สร้างความไม่สบายใจ แต่จากนี้ไป ข้าพเจ้าได้หวังว่า เราจะได้รับแต่สิ่งดีๆ ประเทศชาติแข็งแกร่ง เจริญรุ่งเรือง มากไปกว่าที่ผ่านมา………
    รัสเซียควรเข้าสู่ยุคสองพัน ด้วยนักการเมืองรุ่นใหม่ ไฟแรง
    มีวิสัยทัศน์กระจ่างแจ้ง ในขณะที่ข้าพเจ้าที่มองเห็นตัวเองว่าเป็นคนรุ่นเก่า….จึงขออำลา……และเปิดทางให้เขาก้าวเข้ามา
    สร้างฝันของพวกเราให้เป็นจริง…”

    เยลซินได้กล่าวคำอำลา ด้วยน้ำตาของลูกผู้ชาย………

    ลุดมิลาไม่ได้ดูข่าวทีวี……แต่เพียงห้านาทีจากนั้น มีเพื่อนสาวโทรเข้ามาแสดงความยินดีและอวยพรที่เธอก็แสดงความยินดีตอบ เพราะคิดว่าเป็นการอวยพรวันปีใหม่
    เพื่อนต้องอธิบายให้ฟัง ว่า “สามีเธอน่ะ……เป็นประธานาธิบดีไปแล้ว..”
    ลุดมิลา…ไม่รู้เรื่องอะไรเลย……ปูตินไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังแม้แต่นิด เหมือนอย่างครั้งแรก ที่เช้ายังคุยกันดีๆ จู่ๆตอนบ่ายเขาก็เป็นผู้ว่านครเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก หรือ จากคนตกงาน กลายมาเป็น ผู้อำนวยการ FSB
    เธอก็ไม่แปลกใจอะไร……แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือ ความเป็นอยู่ของครอบครัว ที่เหมือนเธอกลับเข้าสู่ยุคของมาดามสายลับอีกครั้ง ไปไหนก็จะมีทีมอารักขา ลูกๆต้องเรียนที่บ้านกับเหล่าติวเตอร์

    ลุดมิลามีเพื่อนน้อยมาก เพราะเธอไม่สามารถมีสังคมเหมือนคนทั่วไป อดีตเพื่อนสนิทคนหนึ่ง คือ Irene Pietsch เป็นภรรยาของนายธนาคารเยอรมัน ไอรีน ที่ลุดมิลาสามารถปรับทุกข์ได้
    ว่า ชีวิตสมรสของเธอมีปัญหา เธอไม่เคยมีเครดิตการ์ดเหมือนคนอื่นๆ ต้องใช้ชีวิตเหมือนค้างคาวที่ต้องอยู่ในความมืดตลอดเวลา ไม่เคยได้ไปไหนตามที่ต้องการ ไม่สามารถพูดในสิ่งที่ต้องการ เธออยากจะมีชีวิตที่เป็นอิสระเหมือนกับคนอื่นๆ
    ส่วนปูติน……ก็เคยบอกกับไอรีนในช่วงที่เคยไปเที่ยวพักร้อนด้วยกันว่า……

    “ถ้าใครสามารถอยู่กับเมียผมได้ถึงสามอาทิตย์ละก้อ……ผมจะสร้างอนุสาวรีย์ให้อย่างใหญ่เลยเชียว……”

    ลุดมิลา…ได้แต่หวังว่า สามีของเธอจะอยู่ในตำแหน่งในฐานะ
    ประธานาธิบดีรักษาการ ที่มีอายุสามเดือนเท่านั้น……
    เพราะถ้านานกว่านั้น……เธอคงรับไม่ไหว..!!!

    คนอื่นๆก็คงอยู่ไม่ไหวเหมือนกัน หมายถึงคนในเครมลิน
    เพราะนโยบายหลักของปูติน คือ ล้างบางคอร์รัปชั่น และ
    กำจัดเหลือบนายทุนที่เกาะกินอยู่กับรัฐบาลเยลซินมานานแสนนาน
    สอบสวนไปมา ปรากฏว่า มาเฟียตัวแม่……ที่ทำตัวเป็นสายใยชักเปอร์เซ็นต์ เป็นล็อบบี้กินส่วนแบ่ง ไม่ใช่ใครที่ไหน
    แต่ เธอคือ Tatyana Yumasheva ที่เป็นธิดาของอดีตประธานาธิบดีเยลซิน มือปั้นนั่นเอง
    ทาเทียน่า มีตำแหน่งเป็น ที่ปรึกษาคณะรัฐมนตรีในเครมลิน
    และเป็นหนึ่งในวงในที่ประสานทางการเงินกับ Boris Berezovsky และ Roman Abramovich (อดีตเจ้าของทีมเชลซี) รวมทั้งมีส่วนได้ส่วนเสียกับเส้นทางการเงินที่ไหลไปในต่างประเทศ

    ปูตินได้ให้ความกรุณาสูงสุด คือ ไล่เธอออกจากตำแหน่งในเดือนแรกที่เขารับตำแหน่งประธานาธิบดี….!!!!

    Wiwanda W. Vichit
    คุณติ่งๆทั้งหลายขา….ฉุดไม่อยู่แล้วค่าาาา พี่ปูก้าวขึ้นไปในจุดที่สูงสุดแบบรวดเร็วปานกามนิตหนุ่มนั้นเชียว… ตอนสิบ……ปูตินที่ว่าเหนือชั้นแล้ว……เยลซินยิ่งเหนือกว่า……!!! จากสายตาของประชาชนทั่วไป นายกรัฐมนตรีปูติน คือ คนที่เยลซินเลือกมานั่งในตำแหน่ง เหมือนอย่างคนอื่นๆที่มาแล้วก็ไป จนผู้คนไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไร แถมไม่สนใจด้วยซ้ำ พอเรื่องสงครามที่เชเชนที่มีผลดี ชื่อปูตินก็ดีขึ้นมาหน่อย แต่ก็ยังเป็นหน้าใหม่อยู่ดี ในผลโพลความนิยมในเดือนตุลาคม กระเตื้องขึ้นมาเป็น 27 เปอร์เซ็นต์ ยังน้อยกว่า Primakov นโยบายพรรคการเมือง Unity ของเยลซิน คือ กึ่งสังคมนิยม แต่ที่ผ่านๆมา คือการสนับสนุนไปทางทหาร รักษาชายแดน เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น ……จึงเชื่อได้ว่า ไม่น่าจะชนะแบบแลนด์สไลด์…… ในเดือนตุลาคม ที่พอมองเห็นว่า คะแนนของพรรคยังอยู่หลังพรรคฝั่งซ้าย The Fatherland ที่มีฐานเสียงเป็นประชาชนรอบนอกส่วนใหญ่ พรรคยูนิตี้ของเยลซิน ฐานเสียงคือ มอสโคว์ เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก และเหล่านายทุน (ที่จะไประดมมา……) ยกตัวอย่างเช่น Boris Berezovsky**(ที่เยลซินเทไปแล้ว…) เขาได้ใช้ความเป็นเจ้าของสถานีวิทยุ โทรทัศน์ ออกข่าว โจมตีคู่แข่งอย่าง Luzhkov ในเรื่อง คอร์รัปชั่นกันทั้งครอบครัว และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมในหลายคดี คนอื่นๆก็ถูกขุดขึ้นมาแฉโพยด้วย เป็นการสกัดไว้ชั้นหนึ่งก่อน การกล่าวหานี้ โดยปรกติแล้วมันเป็นยิ่งกว่าการหมิ่นประมาท แต่…มักใช้ได้ผลแบบทันตาเห็น (เรื่องคดีไว้ว่ากันทีหลัง…) แต่ที่ทุกคนไม่รู้……คือ เยลซินได้ฝากความหวังของรัสเซียทั้งหมดไว้กับนายกรัฐมนตรีที่เพิ่งแกะกล่อง วลาดิเมียร์ ปูติน เมื่อช่วงปลายปี 1999 สุขภาพของเยลซินเริ่มถดถอย อีกทั้งเรื่องคดีความทางกฎหมาย เช่นเรื่องไล่อัยการ Skuratov ออกเพราะว่ามีเทปลับสามคนผัวเมีย…… ซึ่งอัยการฟ้องกลับ……อีกทั้งสาวหาเรื่องอื่นเกี่ยวกับ”วงใน” และ”นายทุน” รวมทั้งการที่ครอบครัวของท่านผู้นำไปมีหุ้นอยู่ที่บริษัท Mabetex ในสวิตเซอร์แลนด์ เยลซินเหลือเวลาไม่มากนักในการต่อสู้กับเกมชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เพราะสำหรับเขาคือ ไม่มีโอกาสเพราะเป็นสมัยที่สอง และถ้าพรรคอื่นได้มาเป็น……นั่นหมายถึงเขาจะตกอยู่ในที่นั่งลำบาก อย่าหวังว่าจะได้พึ่งพวกเศรษฐีนายทุน เพราะคนพวกนี้มักจะเกาะอยู่กับกลุ่มอำนาจที่อำนวยผลประโยชน์ให้ได้เท่านั้น หลังสงครามเชเชน……ปูตินได้รับความนิยมขึ้นมาถึง 40% แต่เขาไม่ได้ร่วมเป็นสมาขิกของพรรค Unity เพราะเขาต้องการความเป็นอิสระ จากกรอบนโยบาย หากแต่…เขาให้ความสนับสนุนโดยการให้สัมภาษณ์ว่า “ในฐานะนายกรัฐมนตรี ผมไม่ควรที่จะบอกว่าชื่นชอบพรรคไหนเป็นพิเศษ……แต่ถ้าในฐานะประชาชนคนธรรมดา ผมจะโหวตให้กับยูนิตี้……” วันที่ 14 ธันวาคม ก่อนวันเลือกตั้ง 5 วัน และเยลซินได้เรียกให้ปูตินไปพบเป็นการส่วนตัว……เพื่อที่จะบอกแผนการที่ได้ตระเตรียมไว้…… “ฉันจะลาออกจากตำแหน่งแล้วนะ ปีนี้จะเป็นปีที่สำคัญมากแห่งศตวรรษ มันจะเป็นศตวรรษที่ยิ่งใหญ่ของนาย……วลาดิเมียร์ ปูติน……นายเข้าใจไหม…?” ปูตินส่ายหน้า….ไม่เข้าใจ……เพราะที่เคยคุยกันไว้ครั้งที่แล้ว คือ ถ้าเยลซินพ้นจากตำแหน่งไป……เขาก็จะลาออก จบชีวิตทางการเมือง…… เยลซินกล่าวต่อว่า……… “นายไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น ฉันได้เตรียมแผนการไว้เรียบร้อยแล้ว นายก็รู้ดีถึงรัฐธรรมนูญในตำแหน่งประธานาธิบดี ที่ว่า ถ้าประธานาธิบดีลาออกจากตำแหน่งกลางคัน ก่อนวันเลือกตั้ง ผู้ที่จะต้องดำรงตำแหน่งแทน คือ นายกรัฐมนตรี และการเลือกตั้งจะต้องมีขึ้นภายใน 90 วัน…นายเข้าใจหรือยัง…? ในเก้าสิบวันนี้แหละ คือ เก้าสิบวันที่นายจะได้ทำหน้าที่ สร้างความเลื่อมใสกับประชาชน เพื่อที่จะครองตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งต่อไป……” ปูตินนั่งนิ่งขึง………อยู่ในอาการสับสนปนทึ่ง สักพัก เขาตอบว่า “ผมยังไม่แน่ใจกับการที่จะตัดสินใจ เพราะเป้าหมายคือหน้าที่ที่ใหญ่ยิ่ง” เยลซินได้พูด(กล่อม) ต่อไปว่า…… “ฟังนะ ตอนที่ฉันเข้ามาในสนามการเมืองในมอสโคว์ ตอนนั้นฉันอายุห้าสิบกว่าแล้ว ยังทำได้ แล้วหนุ่มๆไฟแรง มุ่งมั่นอย่างนายจะไปได้ไกล และจะดูแลบ้านเมืองไปได้อีกนาน จะรอให้แต่คนแก่มาทำงาน ชาติก็จะยิ่งถอยหลัง ฉันเองก็ไม่เคยคิดว่าจะมานั่งในตำแหน่งนี้ มันไม่ง่าย มันเหนื่อย แต่เราถอยไม่ได้……นายเป็นคนที่เหมาะที่สุด……ว่าไง……ให้คำตอบฉันได้หรือยัง……วลาดิเมียร์ วลาดิมิโรวิช..?” ~~”วลาดิเมียร์ วลาดิมิโรวิช คือการเรียกเต็มยศ ที่แปลได้ว่า วลาดิเมียร์ บุตรชายนายวลาดิเมียร์…” ในที่สุด ปูตินได้ตกลงใจ รับข้อเสนอที่เยลชินบรรจงจัดแต่งให้ เป็นความลับที่รู้กันแค่สองคน……ในใจความคือ เยลซินต้องการยิงนกหลายตัวในกระสุนนัดเดียว การที่ประกาศลาออกของเขานั้น คือ ……กระสุน นกตัวที่หนึ่ง คือ การเลือกตั้งที่จะตอนกลางปี คือ เดือนมิถุนายน จะต้องเลื่อนขึ้นมาในเดือนมีนาคม นกตัวที่สอง คือ เมื่อปูตินก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีรักษาการ จะได้”แสง” ทั้งหมดจากนอกและในประเทศ ไม่ต้องง้อสื่อไหนๆ ทุกคนย่อมติดตามทำข่าวประธานาธิบดีตามหน้าที่อยู่แล้ว นกตัวที่สาม……คือ กลุ่มที่จะล้างแค้นเยลซิน ก็จะหมดโอกาส เผลอๆจะถูกล้างเอง… นกตัวที่สี่……ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป……ปูตินก็จะได้เป็นประธานาธิบดีต่อไปอย่างแน่นอน เพราะกำลังอยู่ในขาขึ้น นกตัวที่ห้า……คือเหล่านายทุนทั้งหลายที่เกาะกินประเทศมาสุมหัวกันอยู่ในเครมลินตั้งแต่สมัยกอร์บาเชฟ จะได้โดนล้างบางเสียที… ต้องยกให้เยลซิน………เป็นขงเบ้งแห่งรัสเซีย….!!!! วันที่ 19 ธันวาคม 1999 ที่มีการเลือกตั้งผู้แทนเข้าสภา พรรคคอมมิวนิสต์ ได้ 24%, พรรคยูนิตี้ของเยลซิน ได้ 23% พรรค Luzhkov-Primakov alliance ได้ 13% ซึ่งยังต้องมีการเลือกตั้งซ่อม ยังต้องดูบัตรเสีย และต้องผ่านขั้นตอนขบวนพิจารณาทางกฏหมาย ที่จะต้องใช้เวลาในช่วงหลังปีใหม่ไปแล้ว…… เยลซินได้เตรียมการประกาศลาออกแบบฟ้าผ่าในวันสิ้นปี เพราะจะใช้เวลาที่ประธานาธิบดีกล่าวสวัสดีปีใหม่และอวยพรออกทีวี……ในคราวเดียวกัน ในเช้าวันนั้น ปูตินได้มาถึงพร้อมทีม ตั้งแต่เวลา 9:30 เพื่อซักซ้อมอัดเทปการอ่านคำรับแถลงการณ์ ที่มีทีท่าเขินอายนิดๆ เยลซินได้มีคำสั่งให้ฝ่ายความมั่นคงเตรียมการส่งกระเป๋าที่มี โค้ดสำหรับปุ่มกดนิวเคลียร์ทั้งหลายให้เรียบร้อย เพื่อที่จะส่งมอบให้กับประธานาธิบดีคนใหม่ เมื่อเวลามาถึง……เที่ยงตรง สถานีโทรทัศน์ Ostankino ได้เตรียมออกอากาศในวาระสำคัญของการเริ่มต้นปี 2000 ที่ประธานาธิบดีเยลซินได้เริ่มต้นว่า…… “เพื่อนประชาชนที่รักทั้งหลาย…… ข้าพเจ้าได้ยินได้ฟังมามาก กับข่าวลือที่ว่า ข้าพเจ้าหวงอำนาจ เกาะติดเก้าอี้ ทั้งหมดเป็นเพียงข่าวลือ ไม่มีความจริงแต่ประการใด ข้าพเจ้าพร้อมที่จะมอบตำแหน่งให้กับผู้ที่รักชาติที่มีความสามารถ แต่ข้าพเจ้าต้องขออภัย ขอให้ยกโทษให้กับข้าพเจ้าในสิ่งที่อาจมีความผิดพลาด หรือ สร้างความไม่สบายใจ แต่จากนี้ไป ข้าพเจ้าได้หวังว่า เราจะได้รับแต่สิ่งดีๆ ประเทศชาติแข็งแกร่ง เจริญรุ่งเรือง มากไปกว่าที่ผ่านมา……… รัสเซียควรเข้าสู่ยุคสองพัน ด้วยนักการเมืองรุ่นใหม่ ไฟแรง มีวิสัยทัศน์กระจ่างแจ้ง ในขณะที่ข้าพเจ้าที่มองเห็นตัวเองว่าเป็นคนรุ่นเก่า….จึงขออำลา……และเปิดทางให้เขาก้าวเข้ามา สร้างฝันของพวกเราให้เป็นจริง…” เยลซินได้กล่าวคำอำลา ด้วยน้ำตาของลูกผู้ชาย……… ลุดมิลาไม่ได้ดูข่าวทีวี……แต่เพียงห้านาทีจากนั้น มีเพื่อนสาวโทรเข้ามาแสดงความยินดีและอวยพรที่เธอก็แสดงความยินดีตอบ เพราะคิดว่าเป็นการอวยพรวันปีใหม่ เพื่อนต้องอธิบายให้ฟัง ว่า “สามีเธอน่ะ……เป็นประธานาธิบดีไปแล้ว..” ลุดมิลา…ไม่รู้เรื่องอะไรเลย……ปูตินไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังแม้แต่นิด เหมือนอย่างครั้งแรก ที่เช้ายังคุยกันดีๆ จู่ๆตอนบ่ายเขาก็เป็นผู้ว่านครเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก หรือ จากคนตกงาน กลายมาเป็น ผู้อำนวยการ FSB เธอก็ไม่แปลกใจอะไร……แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือ ความเป็นอยู่ของครอบครัว ที่เหมือนเธอกลับเข้าสู่ยุคของมาดามสายลับอีกครั้ง ไปไหนก็จะมีทีมอารักขา ลูกๆต้องเรียนที่บ้านกับเหล่าติวเตอร์ ลุดมิลามีเพื่อนน้อยมาก เพราะเธอไม่สามารถมีสังคมเหมือนคนทั่วไป อดีตเพื่อนสนิทคนหนึ่ง คือ Irene Pietsch เป็นภรรยาของนายธนาคารเยอรมัน ไอรีน ที่ลุดมิลาสามารถปรับทุกข์ได้ ว่า ชีวิตสมรสของเธอมีปัญหา เธอไม่เคยมีเครดิตการ์ดเหมือนคนอื่นๆ ต้องใช้ชีวิตเหมือนค้างคาวที่ต้องอยู่ในความมืดตลอดเวลา ไม่เคยได้ไปไหนตามที่ต้องการ ไม่สามารถพูดในสิ่งที่ต้องการ เธออยากจะมีชีวิตที่เป็นอิสระเหมือนกับคนอื่นๆ ส่วนปูติน……ก็เคยบอกกับไอรีนในช่วงที่เคยไปเที่ยวพักร้อนด้วยกันว่า…… “ถ้าใครสามารถอยู่กับเมียผมได้ถึงสามอาทิตย์ละก้อ……ผมจะสร้างอนุสาวรีย์ให้อย่างใหญ่เลยเชียว……” ลุดมิลา…ได้แต่หวังว่า สามีของเธอจะอยู่ในตำแหน่งในฐานะ ประธานาธิบดีรักษาการ ที่มีอายุสามเดือนเท่านั้น…… เพราะถ้านานกว่านั้น……เธอคงรับไม่ไหว..!!! คนอื่นๆก็คงอยู่ไม่ไหวเหมือนกัน หมายถึงคนในเครมลิน เพราะนโยบายหลักของปูติน คือ ล้างบางคอร์รัปชั่น และ กำจัดเหลือบนายทุนที่เกาะกินอยู่กับรัฐบาลเยลซินมานานแสนนาน สอบสวนไปมา ปรากฏว่า มาเฟียตัวแม่……ที่ทำตัวเป็นสายใยชักเปอร์เซ็นต์ เป็นล็อบบี้กินส่วนแบ่ง ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่ เธอคือ Tatyana Yumasheva ที่เป็นธิดาของอดีตประธานาธิบดีเยลซิน มือปั้นนั่นเอง ทาเทียน่า มีตำแหน่งเป็น ที่ปรึกษาคณะรัฐมนตรีในเครมลิน และเป็นหนึ่งในวงในที่ประสานทางการเงินกับ Boris Berezovsky และ Roman Abramovich (อดีตเจ้าของทีมเชลซี) รวมทั้งมีส่วนได้ส่วนเสียกับเส้นทางการเงินที่ไหลไปในต่างประเทศ ปูตินได้ให้ความกรุณาสูงสุด คือ ไล่เธอออกจากตำแหน่งในเดือนแรกที่เขารับตำแหน่งประธานาธิบดี….!!!! Wiwanda W. Vichit
    0 Comments 0 Shares 603 Views 0 Reviews
  • ได้ยินเสียงเหมือนมีคนมาคอยหน้าวิก……แต่งองค์ทรงเครื่องพี่ปูเสร็จแล้วค่าาาา…………เชิด…!!!!!!

    ตอนแปด…………มารไม่มี……บารมีไม่เกิด……!!!

    ท่านนายกฯหนุ่ม Kiriyenko ได้พาปูตินไปที่ สำนักงานใหญ่ FSB ที่ตั้งอยู่บนถนน Lubyanka, Moscow ในวันที่ 27 กรกฎาคม 1998 เพื่อไปทำความรู้จักกับ
    Nikolai Kovalyov ผู้อำนวยการคนเก่าที่เพิ่งรู้ตัวว่าถูกปลดออกจากตำแหน่งก็เพราะทีวีออกข่าว ท่านนายกฯได้กล่าวสั้นๆว่า “เปลี่ยนสถานะการณ์……ก็ต้องเปลี่ยนคน……”
    นิโคไล……รับสภาพการเปลี่ยนนั้นได้ดี เขาพาปูตินไปที่ห้องทำงานและได้มอบเอกสารลับทั้งหมดให้ และย้ำว่า เอกสารพวกนี้เป็นยิ่งกว่าอาวุธ……

    การปรับตำแหน่งใหม่แบบก้าวกระโดดนี้ เป็นเรื่องใหญ่มาก
    ทุกคนพุ่งความสนใจไปยัง วลาดิเมียร์ ปูติน ……ใครๆก็อยากรู้ว่า เขาเป็นใคร……มาได้อย่างไร?
    สองวันต่อมา ปูตินจึงได้อนุญาตให้หนังสือพิมพ์ Kommersant เข้ามาทำการสัมภาษณ์ เพื่อที่จะบอกวัตถุประสงค์หลักในการทำงาน
    เขาให้การสัมภาษณ์ว่า……เขามุ่งไปที่การทำงานที่มีประสิทธิภาพที่เขาหวังว่าจะได้รับจากผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคน และองค์กรนี้จะไม่ตกเป็นเครื่องมือของนักการเมือง หรือ พวกสุดโต่งทุกสายพันธุ์ และจะระวังเข้มในเรื่องการแทรกแซงของสายลับต่างชาติ
    เมื่อถูกถามเรื่องใช้อินเตอร์เน็ต (สอดแนมประชาชน)
    คำตอบคือ ไม่ถึงขนาดนั้น……แต่ต้องเข้าใจด้วยว่า การใช้อินเทอร์เน็ตมันก็คือความมั่นคงของชาติอีกโสดหนึ่ง……

    การมาของปูตินได้สร้างความหวั่นไหวไปทั้งองค์กร โดยเฉพาะพวกกลุ่มสายลับเก่าสมัยยุค KGB โอนมาเป็น FSB ที่มองเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร เพราะมาจากถิ่นอื่น (เลนินกราด) ยังอายุน้อย และเป็นแค่ “พันโท”
    (โดยปรกติต้องเป็นนายพล) สุดท้าย คือ สถานภาพของปูตินในยามนั้น
    เขาคือนายทหารนอกประจำการ

    ทั้งหมดนี้……ทำให้เกิดความท้าทายและลองดี รวมทั้งคอยดูว่าจะไปรอดหรือไม่……!!!

    วันที่ 1 สิงหาคม หลังจากที่เยลซินกลับมาจากการพักร้อน เขาเรียกให้ปูตินเข้าพบเพื่อถามไถ่ความคืบหน้า และได้เสนอหลักการว่า ควรจะต้องทำงานอย่างตรงไปตรงมา อย่าใช้ระบบการเมืองในการปกครอง
    เยลซินอยากให้ปูตินกลับเข้าไปรับราชการใหม่ โดยเสนอยศพลตรีให้……
    แต่ปูตินปฏิเสธ เพราะเขาคิดถึงอดีตในวันที่เขาลาออก เป็นวันเดียวกับวันนี้ คือ 1 สิงหาคม (1991) มันไม่มีประโยชน์อะไรที่ต้องแบกยศเอาไว้
    เขาจึงบอกว่า
    “ผมอยากเป็นประชาชนธรรมดาดีกว่า ไม่ต้องมีพรรคมีพวก ไม่ต้องเห็นแก่หน้าใคร ในการที่จะควบคุมองค์กรขนาดนี้ หัวโขนไม่ใช่สิ่งจำเป็น”
    สรุปว่า……ปูตินคือผู้อำนายการคนแรกและคนสุดท้ายของ FSB ที่เป็นคนธรรมดา……!!!

    งานแรก……เขาจัดห้องที่ทำงานในห้องอื่นที่ไม่ใช่ห้องเดิมตามตำแหน่ง
    แต่เขาได้จัดห้องนั้นให้เป็นพิพิธภัณฑ์ เพราะมันเป็นห้องที่เคยเป็นที่ทำงานของ Lavrenty Beria (จอมเชือดในยุคสตาลิน)
    ต่อมา คือ การตัดงบ จาก สายลับหกพันนาย เหลือ สี่พันนาย
    แผนกไหน……ไม่มีผลงาน ยุบ……

    วันที่ 20 สิงหาคม เขาได้ทำงานยังไม่ถึงเดือน นักข่าวจากเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก นาย Anatoly Levin ผันตัวมาเป็นบรรณาธิการและเจ้าของได้เปิดตัวหนังสือพิมพ์ใหม่ ในชื่อว่า Legal Petersburg Today
    ตัวนายเลวินเอง……ไม่มีเงินทองอะไรที่จะมาเป็นทุนรอน แต่เขามีผู้สนับสนุนรายใหญ่ คือ Boris Berezovsky ที่เป็นมหาเศรษฐีที่คอยจับจ้องเกาะติดผู้มีอำนาจเพื่อผลประโยชน์ เขาทำทุกอย่างเพื่อที่จะใช้เป็นอาวุธ (ทั้ง soft และ direct power)
    เขาใช้เลวิน เพื่อที่จะเป็นกระบอกเสียงในการดิสเครดิตทุกคนที่ขวางเส้นทางเขา หรือ เพื่อที่จะใช้ให้มาสยบในอำนาจของเขา

    เลวินเล่นข่าวใหญ่ประเดิมทันที พาดหัวว่า “ วลาดิเมียร์ ปูติน คนเหนือกฏหมาย สู่ FSB” ในเนื้อข่าว คือการโจมตีที่ อนาโตลีที่ได้หลบหนีออกไปนอกประเทศได้ เพราะการช่วยเหลือของ ปูติน ที่ปัจจุบันได้ดิบได้ดีมาเป็นผู้อำนวยการ FSB
    หลังจากนั้นก็มีข่าวออกมาว่า มีลูกน้องของปูตินได้เข้าไปพบปะเจรจากับบก.ฝ่ายข่าว ซึ่งได้บอกไปว่า เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดาของคนหนังสือพิมพ์ ไม่กี่วัน คนก็ลืม…!!

    แต่เผอิญว่า.……มันไม่เงียบ เพราะ ค่ำวันหนึ่ง เลวินกลับไปที่อพาร์ตเมนต์
    เขาแวะไปเปิดตู้จดหมาย ทันใดนั้น มีชายสองคนพุ่งตัวมาจากทางด้านหลัง กระหน่ำตีเขาด้วยท่อนเหล็ก และปล่อยให้นอนจมกองเลือดอยู่ที่หน้าอพาร์ตเมนต์……
    เขาถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล และเสียชีวิตในสองวันต่อมา

    เหตุอุบัติแบบนี้……ในเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก มีเกิดขึ้นรายวัน เพราะเป็นดงมาเฟีย แต่เรื่องมันไม่เงียบ……เพราะเลวินเป็นนักข่าว สมาคมนักข่าวจึงถือเป็นเรื่องใหญ่ในการคุกคามเสรีภาพสื่อ
    ชื่อของ ปูติน และ บอริส เกี่ยวกับเรื่องฆาตกรรมนี้บนหน้าหนึ่งอยู่หลายวัน
    (นี่เป็นแค่ปฐมฤกษ์………จะมีตามอีกเรื่อยๆ…)
    เพียงแต่……ไม่มีใครสามารถหาเส้นสายที่จะโยงไปถึงปูตินว่ามีส่วนเกี่ยวข้องได้

    สามวันหลังจากที่เลวินได้จากโลกนี้ไป สภาพเศรษฐกิจของรัสเซียล้มครืนลงจริงๆ หลังจากที่จวนเจียนไหวคลอนมาเรื่อยๆ จนสุดที่จะยื้อ
    ในวันที่ 21 สิงหาคม สภามีมติขอให้เยลซินลาออก…
    แต่เยลซิน…ยังวางเฉย เขาปลดนายกฯหนุ่ม คิริเยงโก ออกจากตำแหน่งในสองวันต่อมา หวังที่จะทอนกระแส..
    แล้วเยลซินคิดที่จะเอาอดีตนายกรัฐมนตรี Viktor Chernomydrin มาเป็นนายกรัฐมนตรีขัดตาทัพ
    แต่ข่าวว่าจะมีการปฏิวัตเริ่มหนาหู ฝ่ายโปรคอมมิวนิสต์ที่ช่วยกันกระจาย สร้างข่าวลวงรายวันและใช้โอกาสนี้ กล่าวโทษยิว พร้อมส่งคำอาฆาต
    มีข่าวว่าฝ่ายความมั่นคงทั้งหมดได้มีการเตรียมพร้อม ในการรับมือ
    ประชาชนเริ่มแตกตื่น หวาดกลัว

    วันที่ 1 กันยายน ปูติน พร้อมหน่วยFSB ที่ยืนเรียงรายอยู่เป็นฉากหลังประกาศออกทีวีว่า
    “ไม่มีการเตรียมพร้อมอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างปรกติ แต่ใครก็ตามที่ทำตัวเป็นพิษเป็นภัยกับความมั่นคงและฝ่าฝืนกฎหมาย ผมไม่รับรองในความปลอดภัย……”

    วันที่ 11 กันยายน สภามีมติที่จะให้นาย Yevgeny Primakov อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศมานั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
    พรีมาคอฟ คืออดีตนักข่าวที่ทำงานในตะวันออกกลางมานานถึงสิบสี่ปี และได้ทำงานให้กับ KGB ในสายต่างประเทศ ทั้งที่ตะวันออกกลางและอเมริกา หลังจากที่โซเวียตได้สลายตัวลงในปี 1991
    เขาได้มารับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ
    การที่ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ เขาคิดที่จะรื้อฟื้นโครงสร้างยุทธการสามเหลี่ยม……คือ รัสเซีย จีน อินเดีย เพื่อที่จะถ่วงดุลย์อำนาจกับสหรัฐอเมริกา
    ทฤษฎีนี้……เขาได้เขียนไว้นานแล้ว ในชื่อว่า Primakov doctrine…!!
    แต่การที่จะทำงานได้สำเร็จ เขาจะต้องมีแรงสนับสนุนจาก FSB
    (เพราะนี่คือ……สงครามเย็น)
    หากแต่……เขายังไม่แน่ใจกับปูตินและทีมที่มาจาก เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก
    ว่าเขาจะพึ่งพาทำงานด้วยได้มากน้อยแค่ไหน……

    ส่วนปูติน……ต้องเจอกับศึกหนักอีกครั้ง ในวันที่ 17 พฤศจิกายน
    มีกลุ่มชายกลุ่มหนึ่ง จำนวนหกคน สี่คนใส่หน้ากากดำใส่แว่น ส่วนอีกสองคน เปิดหน้าตาชัดเจน คือ Aleksandr Litvitnenko และ Mikhaïl Trepashkin ทั้งหมดทั้งที่ปิดหน้าและไม่ปิด คือ เจ้าหน้าที่ในหน่วย FSB
    ที่ได้เปิดการจัดรายการพบปะนักข่าว……เพื่อที่จะแฉ ชี้ความผิดในองค์กร
    ที่ทำงานว่ามีการคอร์รัปชั่น มีขบวนการสร้างความแตกแยก มีการทำอาชญากรรม มีการเกี่ยวข้องกับกลุ่มมาเฟีย…
    แต่เรื่องนี้……ไม่ได้เกี่ยวข้องกับปูตินโดยตรง เพราะเป็นเหตุที่เกิดขึ้นก่อนที่เขามารับตำแหน่ง
    ที่เกี่ยวข้องเต็มๆ คือ อเล็กซานเดอร์ ได้เป็นตัวแทนที่นำเสนอว่า เขาได้พยายามหาทางเจรจากับปูตินแล้ว แต่ไม่สามารถพบได้
    ส่งเอกสารไปกี่ชุด……ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ ไม่เคยสนใจ และไม่ช่วยแก้ไขปัญหา……

    สองอาทิตย์ต่อมา ปูตินได้เรียกอเล็กซานเดอร์ไปพบที่ห้องทำงาน
    ที่เขาไปพบพร้อมเอกสารปึกโต เข้าไปพบว่า ปูตินนั่งอยู่คนเดียวในห้องทำงาน ไม่มีผู้ช่วยอยู่ด้วยเหมือนเช่นเคย
    ปูตินลุกขึ้นมาจับมือทักทาย คุยด้วย ปรกติ
    แต่อเล็กซานเดอร์ไปเล่าให้ภรรยาฟังว่า………ผมเห็นแววตาเขาชัดเจนเลย ว่า เขาเกลียดผม……!!

    วันที่ 19 พฤศจิกายน ปูตินออกรายการในโทรทัศน์ เพื่อแถลงในการข้อพิสูจน์หาความเป็นจริงจากเรื่องที่อยู่ในความสนใจของประชาชน
    ว่า ไม่พบหลักฐานที่สามารถบ่งบอกได้ชัดเจน ทุกอย่างเป็นเพียงปากคำ
    พล็อตเรื่องออกแนวนิยายเด็ก การกระทำก็เป็นเด็ก เพราะเรียกประชุมนักข่าว ใส่หน้ากาก แต่บอกชื่อเสียงเรียงนาม………(สาบานว่าเป็นสายลับ……)
    ที่ขำๆ คือ ตบท้าย…ปูตินเล่าว่า อดีตภรรยาของหนึ่งในสี่คนที่ใส่หน้ากาก หลังจากวันพบปะกับนักข่าวในวันนั้น โทรมาหาปูติน บอกว่า
    “ท่านคะ ช่วยทวงค่าเลี้ยงดูจากไอ้นั่นให้หน่อย ไม่ได้จ่ายมาหลายเดือนแล้ว……”
    ปูติน…เลยบอกว่า “ตรงนี้ต่างหาก……ที่ผิดกฎหมายเต็มๆ”

    เยลซินเรียกปูตินเข้าพบ……เพื่อถามถึงเรื่องนี้
    ปูตินเลยเปิดอกพูด…บอกว่า ถ้าคนในองค์กรจะทำความผิด มันก็เป็นอีหรอบเดียวกันกับกลุ่มคนในรัฐบาลเท่าที่เห็นอยู่ในวันนี้ แต่……สิ่งที่อเล็กซานเดอร์และพวกทำลงไป (ที่จัดแถลงข่าว) นั่นถือเป็นความผิดที่ร้ายแรงต่อสัตยาบันของหน่วยงาน เพราะ หน้าที่ของหน่วยงานคือต้องรักษาความลับขององค์กร ถ้ามีปัญหา……ก็ต้องแก้ไขในองค์กร
    ไม่ใช่ไปเที่ยวป่าวประกาศ……

    ปูตินรู้ตัวดีว่า จะหาคนรักหรือพวกพ้องคนยาก เพราะเขาได้วางระบบเข้ม ตั้งแต่เรื่องการลดเจ้าหน้าที่ การใส่ร้ายป้ายสี การขัดขาขัดแข้ง
    และที่ร้ายคือ……ข่าวจาก เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ที่ส่งมาว่า
    Galina Starovoitova นักเคลื่อนไหวสาวเพื่อสิทธิของชนกลุ่มน้อย ได้ถูกสังหารไปเมื่อไม่กี่วันนี้
    หล่อนมีส่วนเกี่ยวข้องกับปูติน ก็คือเรื่องที่ขานรับกับเลวินในกรณีที่กล่าวหาว่า ปูตินได้ทำผิดกฏหมายในเรื่องช่วยเหลืออนาโตลีให้หนีคดีออกไปยังฝรั่งเศส
    ที่พลอยทำให้ปูติน……อยู่ในกลุ่มผู้ต้องสงสัยไปด้วย

    วันที่ 15 ธันวาคม ที่ปูตินได้พบกับเยลซินอีกครั้ง ที่จะหารือกันเรื่องของการฆาตกรรมนี้ ……และเรื่องกระแสการต่อต้านบอริส และเรื่องงานของปูตินที่หลายคนไม่พอใจเพราะต้องตกงาน……
    ปูตินจึงสรุปให้เยลซินฟังว่า……ข่าวลือทั้งหลายนั้น มาจากวงในของท่านทั้งหมด มันมาทุกรูปแบบ แบบโยนหินถามทางบ้าง หรือโยนลงบนหัวชาวบ้านบ้าง เพราะไม่มีใครรักษากฎระเบียบ การควบคุมก็หย่อนยาน
    และที่ออกข่าวลวงๆกันทุกวันนี้ ก็เพราะทุกคนกลัว กลัวที่จะต้องถูกตรวจสอบ และกระผมจะเรียนท่านให้ทราบตรงนี้เลย ว่า เมื่อไหร่ที่ท่านลงจากตำแหน่ง……ผมก็ขอลาออก…!!!

    แต่……ก่อนที่ท่านจะจากไป และก่อนที่ปูตินจะลาออก……ก็ต้องแสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์กันก่อน
    ในช่วงนั้นรัฐบาลของเยลซินกำลังโดนไล่บี้ในเรื่องทุจริต สินบน ที่ทีมอัยการนำโดย Yuri Skuratov เป็นหัวหน้าทีมในการสอบสวน เพราะเยลซินจะหมดวาระในปีรุ่งขึ้น คือ ปี 2000
    นั่นหมายถึงทุกคนจะต้องโดนคดีกันระนาวเพราะในช่วงที่เศรษฐกิจเสื่อมถอยนั้น รัฐบาลของเยลซินได้ทำทุกอย่างที่จะผันเงิน แม้แต่เงินของ IMF ก็ใช้อย่างผิดวัตถุประสงค์
    รวมทั้งหน่วยงาน FSB ทั้งระบบด้วย
    ถึงแม้อาจจะไม่เกี่ยวกับปูตินเท่าไหร่ในฐานะที่มาทีหลัง
    แต่……เรื่องนี้เกี่ยวกับหน่วยงานภาษีของอิตาลี, สวิตเซอร์แลนด์ และ คาริบเบียนด้วย……
    เดือนมกราคม 1999 วันหนึ่งก่อนที่ท่านอัยการยูริจะนำเอกสารทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการศาล
    คืนนั้น……สถานีโทรทัศน์แห่งชาติได้ออกรายการ “สามคนบนเตียง” ที่มีความยาวร่วมชั่วโมงสู่สายตาของประชาชน ที่มีทั้งหนุ่มสาว เด็กเล็ก คนชรา……
    เป็นกิจกรรมบนเตียงของชายหนึ่ง หญิงสอง แม้ว่าจะไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ (ขาว-ดำ) แต่พอเห็นได้ว่า ฝ่ายชายคือ ท่านอัยการยูริ
    และมีเสียงสนทนาด้วย……หนึ่งในสองสาว ถามว่า “คุณชื่ออะไร?”
    ฝ่ายชายตอบว่า…”ยูรา” (เป็นชื่อเล่นของ ยูริ)

    วันต่อมา เยลซินจึงเรียกยูริขึ้นพบ ถามถึงเรื่องกิจกรรมสามคนผัวเมีย……ผลคือ ท่านอัยการต้องเซ็นใบลาออกตรงนั้นเลย……
    เรื่องการที่จะเอาผิดเยลซินก็จบลงแค่นั้น…

    ทั้งหมดคือฝีมือของหน่วยงาน “Kompromat” ในสังกัดของ FSB ของปูตินที่มีหน้าที่ในการ blackmail โดยเฉพาะ…!!

    Wiwanda W. Vichit
    ได้ยินเสียงเหมือนมีคนมาคอยหน้าวิก……แต่งองค์ทรงเครื่องพี่ปูเสร็จแล้วค่าาาา…………เชิด…!!!!!! ตอนแปด…………มารไม่มี……บารมีไม่เกิด……!!! ท่านนายกฯหนุ่ม Kiriyenko ได้พาปูตินไปที่ สำนักงานใหญ่ FSB ที่ตั้งอยู่บนถนน Lubyanka, Moscow ในวันที่ 27 กรกฎาคม 1998 เพื่อไปทำความรู้จักกับ Nikolai Kovalyov ผู้อำนวยการคนเก่าที่เพิ่งรู้ตัวว่าถูกปลดออกจากตำแหน่งก็เพราะทีวีออกข่าว ท่านนายกฯได้กล่าวสั้นๆว่า “เปลี่ยนสถานะการณ์……ก็ต้องเปลี่ยนคน……” นิโคไล……รับสภาพการเปลี่ยนนั้นได้ดี เขาพาปูตินไปที่ห้องทำงานและได้มอบเอกสารลับทั้งหมดให้ และย้ำว่า เอกสารพวกนี้เป็นยิ่งกว่าอาวุธ…… การปรับตำแหน่งใหม่แบบก้าวกระโดดนี้ เป็นเรื่องใหญ่มาก ทุกคนพุ่งความสนใจไปยัง วลาดิเมียร์ ปูติน ……ใครๆก็อยากรู้ว่า เขาเป็นใคร……มาได้อย่างไร? สองวันต่อมา ปูตินจึงได้อนุญาตให้หนังสือพิมพ์ Kommersant เข้ามาทำการสัมภาษณ์ เพื่อที่จะบอกวัตถุประสงค์หลักในการทำงาน เขาให้การสัมภาษณ์ว่า……เขามุ่งไปที่การทำงานที่มีประสิทธิภาพที่เขาหวังว่าจะได้รับจากผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคน และองค์กรนี้จะไม่ตกเป็นเครื่องมือของนักการเมือง หรือ พวกสุดโต่งทุกสายพันธุ์ และจะระวังเข้มในเรื่องการแทรกแซงของสายลับต่างชาติ เมื่อถูกถามเรื่องใช้อินเตอร์เน็ต (สอดแนมประชาชน) คำตอบคือ ไม่ถึงขนาดนั้น……แต่ต้องเข้าใจด้วยว่า การใช้อินเทอร์เน็ตมันก็คือความมั่นคงของชาติอีกโสดหนึ่ง…… การมาของปูตินได้สร้างความหวั่นไหวไปทั้งองค์กร โดยเฉพาะพวกกลุ่มสายลับเก่าสมัยยุค KGB โอนมาเป็น FSB ที่มองเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร เพราะมาจากถิ่นอื่น (เลนินกราด) ยังอายุน้อย และเป็นแค่ “พันโท” (โดยปรกติต้องเป็นนายพล) สุดท้าย คือ สถานภาพของปูตินในยามนั้น เขาคือนายทหารนอกประจำการ ทั้งหมดนี้……ทำให้เกิดความท้าทายและลองดี รวมทั้งคอยดูว่าจะไปรอดหรือไม่……!!! วันที่ 1 สิงหาคม หลังจากที่เยลซินกลับมาจากการพักร้อน เขาเรียกให้ปูตินเข้าพบเพื่อถามไถ่ความคืบหน้า และได้เสนอหลักการว่า ควรจะต้องทำงานอย่างตรงไปตรงมา อย่าใช้ระบบการเมืองในการปกครอง เยลซินอยากให้ปูตินกลับเข้าไปรับราชการใหม่ โดยเสนอยศพลตรีให้…… แต่ปูตินปฏิเสธ เพราะเขาคิดถึงอดีตในวันที่เขาลาออก เป็นวันเดียวกับวันนี้ คือ 1 สิงหาคม (1991) มันไม่มีประโยชน์อะไรที่ต้องแบกยศเอาไว้ เขาจึงบอกว่า “ผมอยากเป็นประชาชนธรรมดาดีกว่า ไม่ต้องมีพรรคมีพวก ไม่ต้องเห็นแก่หน้าใคร ในการที่จะควบคุมองค์กรขนาดนี้ หัวโขนไม่ใช่สิ่งจำเป็น” สรุปว่า……ปูตินคือผู้อำนายการคนแรกและคนสุดท้ายของ FSB ที่เป็นคนธรรมดา……!!! งานแรก……เขาจัดห้องที่ทำงานในห้องอื่นที่ไม่ใช่ห้องเดิมตามตำแหน่ง แต่เขาได้จัดห้องนั้นให้เป็นพิพิธภัณฑ์ เพราะมันเป็นห้องที่เคยเป็นที่ทำงานของ Lavrenty Beria (จอมเชือดในยุคสตาลิน) ต่อมา คือ การตัดงบ จาก สายลับหกพันนาย เหลือ สี่พันนาย แผนกไหน……ไม่มีผลงาน ยุบ…… วันที่ 20 สิงหาคม เขาได้ทำงานยังไม่ถึงเดือน นักข่าวจากเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก นาย Anatoly Levin ผันตัวมาเป็นบรรณาธิการและเจ้าของได้เปิดตัวหนังสือพิมพ์ใหม่ ในชื่อว่า Legal Petersburg Today ตัวนายเลวินเอง……ไม่มีเงินทองอะไรที่จะมาเป็นทุนรอน แต่เขามีผู้สนับสนุนรายใหญ่ คือ Boris Berezovsky ที่เป็นมหาเศรษฐีที่คอยจับจ้องเกาะติดผู้มีอำนาจเพื่อผลประโยชน์ เขาทำทุกอย่างเพื่อที่จะใช้เป็นอาวุธ (ทั้ง soft และ direct power) เขาใช้เลวิน เพื่อที่จะเป็นกระบอกเสียงในการดิสเครดิตทุกคนที่ขวางเส้นทางเขา หรือ เพื่อที่จะใช้ให้มาสยบในอำนาจของเขา เลวินเล่นข่าวใหญ่ประเดิมทันที พาดหัวว่า “ วลาดิเมียร์ ปูติน คนเหนือกฏหมาย สู่ FSB” ในเนื้อข่าว คือการโจมตีที่ อนาโตลีที่ได้หลบหนีออกไปนอกประเทศได้ เพราะการช่วยเหลือของ ปูติน ที่ปัจจุบันได้ดิบได้ดีมาเป็นผู้อำนวยการ FSB หลังจากนั้นก็มีข่าวออกมาว่า มีลูกน้องของปูตินได้เข้าไปพบปะเจรจากับบก.ฝ่ายข่าว ซึ่งได้บอกไปว่า เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดาของคนหนังสือพิมพ์ ไม่กี่วัน คนก็ลืม…!! แต่เผอิญว่า.……มันไม่เงียบ เพราะ ค่ำวันหนึ่ง เลวินกลับไปที่อพาร์ตเมนต์ เขาแวะไปเปิดตู้จดหมาย ทันใดนั้น มีชายสองคนพุ่งตัวมาจากทางด้านหลัง กระหน่ำตีเขาด้วยท่อนเหล็ก และปล่อยให้นอนจมกองเลือดอยู่ที่หน้าอพาร์ตเมนต์…… เขาถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล และเสียชีวิตในสองวันต่อมา เหตุอุบัติแบบนี้……ในเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก มีเกิดขึ้นรายวัน เพราะเป็นดงมาเฟีย แต่เรื่องมันไม่เงียบ……เพราะเลวินเป็นนักข่าว สมาคมนักข่าวจึงถือเป็นเรื่องใหญ่ในการคุกคามเสรีภาพสื่อ ชื่อของ ปูติน และ บอริส เกี่ยวกับเรื่องฆาตกรรมนี้บนหน้าหนึ่งอยู่หลายวัน (นี่เป็นแค่ปฐมฤกษ์………จะมีตามอีกเรื่อยๆ…) เพียงแต่……ไม่มีใครสามารถหาเส้นสายที่จะโยงไปถึงปูตินว่ามีส่วนเกี่ยวข้องได้ สามวันหลังจากที่เลวินได้จากโลกนี้ไป สภาพเศรษฐกิจของรัสเซียล้มครืนลงจริงๆ หลังจากที่จวนเจียนไหวคลอนมาเรื่อยๆ จนสุดที่จะยื้อ ในวันที่ 21 สิงหาคม สภามีมติขอให้เยลซินลาออก… แต่เยลซิน…ยังวางเฉย เขาปลดนายกฯหนุ่ม คิริเยงโก ออกจากตำแหน่งในสองวันต่อมา หวังที่จะทอนกระแส.. แล้วเยลซินคิดที่จะเอาอดีตนายกรัฐมนตรี Viktor Chernomydrin มาเป็นนายกรัฐมนตรีขัดตาทัพ แต่ข่าวว่าจะมีการปฏิวัตเริ่มหนาหู ฝ่ายโปรคอมมิวนิสต์ที่ช่วยกันกระจาย สร้างข่าวลวงรายวันและใช้โอกาสนี้ กล่าวโทษยิว พร้อมส่งคำอาฆาต มีข่าวว่าฝ่ายความมั่นคงทั้งหมดได้มีการเตรียมพร้อม ในการรับมือ ประชาชนเริ่มแตกตื่น หวาดกลัว วันที่ 1 กันยายน ปูติน พร้อมหน่วยFSB ที่ยืนเรียงรายอยู่เป็นฉากหลังประกาศออกทีวีว่า “ไม่มีการเตรียมพร้อมอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างปรกติ แต่ใครก็ตามที่ทำตัวเป็นพิษเป็นภัยกับความมั่นคงและฝ่าฝืนกฎหมาย ผมไม่รับรองในความปลอดภัย……” วันที่ 11 กันยายน สภามีมติที่จะให้นาย Yevgeny Primakov อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศมานั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พรีมาคอฟ คืออดีตนักข่าวที่ทำงานในตะวันออกกลางมานานถึงสิบสี่ปี และได้ทำงานให้กับ KGB ในสายต่างประเทศ ทั้งที่ตะวันออกกลางและอเมริกา หลังจากที่โซเวียตได้สลายตัวลงในปี 1991 เขาได้มารับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ การที่ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ เขาคิดที่จะรื้อฟื้นโครงสร้างยุทธการสามเหลี่ยม……คือ รัสเซีย จีน อินเดีย เพื่อที่จะถ่วงดุลย์อำนาจกับสหรัฐอเมริกา ทฤษฎีนี้……เขาได้เขียนไว้นานแล้ว ในชื่อว่า Primakov doctrine…!! แต่การที่จะทำงานได้สำเร็จ เขาจะต้องมีแรงสนับสนุนจาก FSB (เพราะนี่คือ……สงครามเย็น) หากแต่……เขายังไม่แน่ใจกับปูตินและทีมที่มาจาก เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ว่าเขาจะพึ่งพาทำงานด้วยได้มากน้อยแค่ไหน…… ส่วนปูติน……ต้องเจอกับศึกหนักอีกครั้ง ในวันที่ 17 พฤศจิกายน มีกลุ่มชายกลุ่มหนึ่ง จำนวนหกคน สี่คนใส่หน้ากากดำใส่แว่น ส่วนอีกสองคน เปิดหน้าตาชัดเจน คือ Aleksandr Litvitnenko และ Mikhaïl Trepashkin ทั้งหมดทั้งที่ปิดหน้าและไม่ปิด คือ เจ้าหน้าที่ในหน่วย FSB ที่ได้เปิดการจัดรายการพบปะนักข่าว……เพื่อที่จะแฉ ชี้ความผิดในองค์กร ที่ทำงานว่ามีการคอร์รัปชั่น มีขบวนการสร้างความแตกแยก มีการทำอาชญากรรม มีการเกี่ยวข้องกับกลุ่มมาเฟีย… แต่เรื่องนี้……ไม่ได้เกี่ยวข้องกับปูตินโดยตรง เพราะเป็นเหตุที่เกิดขึ้นก่อนที่เขามารับตำแหน่ง ที่เกี่ยวข้องเต็มๆ คือ อเล็กซานเดอร์ ได้เป็นตัวแทนที่นำเสนอว่า เขาได้พยายามหาทางเจรจากับปูตินแล้ว แต่ไม่สามารถพบได้ ส่งเอกสารไปกี่ชุด……ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ ไม่เคยสนใจ และไม่ช่วยแก้ไขปัญหา…… สองอาทิตย์ต่อมา ปูตินได้เรียกอเล็กซานเดอร์ไปพบที่ห้องทำงาน ที่เขาไปพบพร้อมเอกสารปึกโต เข้าไปพบว่า ปูตินนั่งอยู่คนเดียวในห้องทำงาน ไม่มีผู้ช่วยอยู่ด้วยเหมือนเช่นเคย ปูตินลุกขึ้นมาจับมือทักทาย คุยด้วย ปรกติ แต่อเล็กซานเดอร์ไปเล่าให้ภรรยาฟังว่า………ผมเห็นแววตาเขาชัดเจนเลย ว่า เขาเกลียดผม……!! วันที่ 19 พฤศจิกายน ปูตินออกรายการในโทรทัศน์ เพื่อแถลงในการข้อพิสูจน์หาความเป็นจริงจากเรื่องที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ว่า ไม่พบหลักฐานที่สามารถบ่งบอกได้ชัดเจน ทุกอย่างเป็นเพียงปากคำ พล็อตเรื่องออกแนวนิยายเด็ก การกระทำก็เป็นเด็ก เพราะเรียกประชุมนักข่าว ใส่หน้ากาก แต่บอกชื่อเสียงเรียงนาม………(สาบานว่าเป็นสายลับ……) ที่ขำๆ คือ ตบท้าย…ปูตินเล่าว่า อดีตภรรยาของหนึ่งในสี่คนที่ใส่หน้ากาก หลังจากวันพบปะกับนักข่าวในวันนั้น โทรมาหาปูติน บอกว่า “ท่านคะ ช่วยทวงค่าเลี้ยงดูจากไอ้นั่นให้หน่อย ไม่ได้จ่ายมาหลายเดือนแล้ว……” ปูติน…เลยบอกว่า “ตรงนี้ต่างหาก……ที่ผิดกฎหมายเต็มๆ” เยลซินเรียกปูตินเข้าพบ……เพื่อถามถึงเรื่องนี้ ปูตินเลยเปิดอกพูด…บอกว่า ถ้าคนในองค์กรจะทำความผิด มันก็เป็นอีหรอบเดียวกันกับกลุ่มคนในรัฐบาลเท่าที่เห็นอยู่ในวันนี้ แต่……สิ่งที่อเล็กซานเดอร์และพวกทำลงไป (ที่จัดแถลงข่าว) นั่นถือเป็นความผิดที่ร้ายแรงต่อสัตยาบันของหน่วยงาน เพราะ หน้าที่ของหน่วยงานคือต้องรักษาความลับขององค์กร ถ้ามีปัญหา……ก็ต้องแก้ไขในองค์กร ไม่ใช่ไปเที่ยวป่าวประกาศ…… ปูตินรู้ตัวดีว่า จะหาคนรักหรือพวกพ้องคนยาก เพราะเขาได้วางระบบเข้ม ตั้งแต่เรื่องการลดเจ้าหน้าที่ การใส่ร้ายป้ายสี การขัดขาขัดแข้ง และที่ร้ายคือ……ข่าวจาก เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ที่ส่งมาว่า Galina Starovoitova นักเคลื่อนไหวสาวเพื่อสิทธิของชนกลุ่มน้อย ได้ถูกสังหารไปเมื่อไม่กี่วันนี้ หล่อนมีส่วนเกี่ยวข้องกับปูติน ก็คือเรื่องที่ขานรับกับเลวินในกรณีที่กล่าวหาว่า ปูตินได้ทำผิดกฏหมายในเรื่องช่วยเหลืออนาโตลีให้หนีคดีออกไปยังฝรั่งเศส ที่พลอยทำให้ปูติน……อยู่ในกลุ่มผู้ต้องสงสัยไปด้วย วันที่ 15 ธันวาคม ที่ปูตินได้พบกับเยลซินอีกครั้ง ที่จะหารือกันเรื่องของการฆาตกรรมนี้ ……และเรื่องกระแสการต่อต้านบอริส และเรื่องงานของปูตินที่หลายคนไม่พอใจเพราะต้องตกงาน…… ปูตินจึงสรุปให้เยลซินฟังว่า……ข่าวลือทั้งหลายนั้น มาจากวงในของท่านทั้งหมด มันมาทุกรูปแบบ แบบโยนหินถามทางบ้าง หรือโยนลงบนหัวชาวบ้านบ้าง เพราะไม่มีใครรักษากฎระเบียบ การควบคุมก็หย่อนยาน และที่ออกข่าวลวงๆกันทุกวันนี้ ก็เพราะทุกคนกลัว กลัวที่จะต้องถูกตรวจสอบ และกระผมจะเรียนท่านให้ทราบตรงนี้เลย ว่า เมื่อไหร่ที่ท่านลงจากตำแหน่ง……ผมก็ขอลาออก…!!! แต่……ก่อนที่ท่านจะจากไป และก่อนที่ปูตินจะลาออก……ก็ต้องแสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์กันก่อน ในช่วงนั้นรัฐบาลของเยลซินกำลังโดนไล่บี้ในเรื่องทุจริต สินบน ที่ทีมอัยการนำโดย Yuri Skuratov เป็นหัวหน้าทีมในการสอบสวน เพราะเยลซินจะหมดวาระในปีรุ่งขึ้น คือ ปี 2000 นั่นหมายถึงทุกคนจะต้องโดนคดีกันระนาวเพราะในช่วงที่เศรษฐกิจเสื่อมถอยนั้น รัฐบาลของเยลซินได้ทำทุกอย่างที่จะผันเงิน แม้แต่เงินของ IMF ก็ใช้อย่างผิดวัตถุประสงค์ รวมทั้งหน่วยงาน FSB ทั้งระบบด้วย ถึงแม้อาจจะไม่เกี่ยวกับปูตินเท่าไหร่ในฐานะที่มาทีหลัง แต่……เรื่องนี้เกี่ยวกับหน่วยงานภาษีของอิตาลี, สวิตเซอร์แลนด์ และ คาริบเบียนด้วย…… เดือนมกราคม 1999 วันหนึ่งก่อนที่ท่านอัยการยูริจะนำเอกสารทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการศาล คืนนั้น……สถานีโทรทัศน์แห่งชาติได้ออกรายการ “สามคนบนเตียง” ที่มีความยาวร่วมชั่วโมงสู่สายตาของประชาชน ที่มีทั้งหนุ่มสาว เด็กเล็ก คนชรา…… เป็นกิจกรรมบนเตียงของชายหนึ่ง หญิงสอง แม้ว่าจะไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ (ขาว-ดำ) แต่พอเห็นได้ว่า ฝ่ายชายคือ ท่านอัยการยูริ และมีเสียงสนทนาด้วย……หนึ่งในสองสาว ถามว่า “คุณชื่ออะไร?” ฝ่ายชายตอบว่า…”ยูรา” (เป็นชื่อเล่นของ ยูริ) วันต่อมา เยลซินจึงเรียกยูริขึ้นพบ ถามถึงเรื่องกิจกรรมสามคนผัวเมีย……ผลคือ ท่านอัยการต้องเซ็นใบลาออกตรงนั้นเลย…… เรื่องการที่จะเอาผิดเยลซินก็จบลงแค่นั้น… ทั้งหมดคือฝีมือของหน่วยงาน “Kompromat” ในสังกัดของ FSB ของปูตินที่มีหน้าที่ในการ blackmail โดยเฉพาะ…!! Wiwanda W. Vichit
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 706 Views 0 Reviews
  • #เพราะอย่างนี้คุณถึงถูกฆ่า
    เขียนโดย มิซูกิ ฮิโรมิ

    สนพ.ไดฟุกุ มีนาคม พ.ศ.2566 279 หน้า 319 บาท
    แปลโดย บัณฑิต ประดิษฐานุวงศ์
    ภาพประกอบโดย ศศิ

    เห็นในห้องสมุดหลายครั้ง แต่ก็เลือกเล่มอื่นที่อยากอ่านมากกว่า คลาดกันมาหลายเดือน สุดท้ายยืมมาอ่านด้วยเหตุผลคือภาพหน้าปกและใจความไม่กี่ประโยคบนปกหลัง

    หนังสือเล่มนี้ทำให้นึกถึงสมัยเด็กที่ชอบวาดรูปการ์ตูนในหนังสือเรียนต่าง ๆ เมื่อสังเกตเห็นรูปโคมไฟเพดาน และขาตั้งไม้ที่ใช้สำหรับวาดรูป ที่เป็นรูปประกอบเล็ก ๆ อยู่มุมบนของแต่ละหน้านั้น หากพลิกไว ๆ จะเห็นเป็นภาพเคลื่อนไหวที่เกิดจากการวาดแต่ละหน้าให้ต่างกันเล็กน้อย ตอนเด็กตัวเองก็ชอบเขียนแบบนี้เล่นเช่นกัน รู้สึกชอบในความคิดสร้างสรรค์ในจุดนี้ แน่นอนว่าหน้าปกนั้นทำหน้าที่ได้ดี มีเรื่องราวที่เป็นส่วนสำคัญของเนื้อหาทั้งหมดใส่มาในภาพเดียว การใช้พื้นหลังสีขาว ทำให้ลายเส้นและสีสันตรงกลางโดดเด่น ส่วนสีที่เลือกใช้ระหว่างความอบอุ่นแจ่มใส(เหลือง) กับความสงบ เยือกเย็น (น้ำเงิน ฟ้า) ที่ให้ความรู้สึกปลอดภัย น่าไว้วางใจ ไม่รู้ว่าตอนลงสีผู้วาดต้องการสื่ออย่างนั้นหรือไม่ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาเข้ากับโทนเรื่องและบุคลิกของตัวละคร รวมถึงฉากสำคัญได้ดี

    เล่มนี้เป็นหนึ่งในเล่มที่ส่วนตัวคงอ่านครั้งเดียว ไม่ใช่เพราะไม่ดี แต่เรื่องราวหดหู่เกินไป อ่านแล้วเห็นใจและสงสารในชะตากรรมของตัวละครตัวหนึ่งจนถึงขนาดต้องวางเพื่อพัก คือใจหนึ่งไม่อยากรู้เรื่องราวต่อจากนั้น เพราะเห็นภาพราง ๆ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่ก็อยากรู้ว่าที่แท้แล้วคนร้ายคือใครกันแน่ จึงต้องยอมหยิบขึ้นมาอ่านต่อ กว่าจะจบก็หยิบวางอยู่หลายหน

    เนื้อหาโดยสังเขป นายตำรวจหนุ่มคนหนึ่งตัดสินใจย้ายออกจากหอพักตำรวจโสด เพื่อมาดูแลน้องสาวอายุ 17 ปีที่จากกันมานานถึงสิบปีและอยู่ตัวคนเดียว เนื่องจากแม่ของทั้งสองเพิ่งจะผูกคอตายไปไม่นาน พ่อกับแม่ของสองคนนี้แยกทางกัน คนพี่เลือกอยู่กับพ่อ แล้วให้น้องอยู่กับแม่ แต่แม่ป่วยต้องใช้เงินรักษาจำนวนมากจึงขัดสน เคยส่งจดหมายขอความช่วยเหลือจากสามีหลายครั้ง แต่เขาไม่สนใจ กลับแต่งงานมีภรรยาใหม่และมีลูก ต่อมาพี่ชายทราบข่าวแม่ จึงเข้ามามีบทบาทต่อเพราะน้องสาวไม่เหลือใคร ในขณะเดียวกันก็เกิดคดีที่มีคนพบศพหญิงวัยรุ่น ซึ่งคาดว่าถูกฆ่าตายทิ้งไว้แถวทางเดินสีเขียวริมแม่น้ำ พี่ชายจึงต้องเข้าร่วมเป็นหนึ่งในทีมสืบสวนหาสาเหตุ โดยมีน้องสาวที่เรียนมัธยมปลาย ซึ่งค่อนข้างเฉลียวฉลาดคอยช่วยหาข้อมูลป้อนให้

    ตัวละครในเรื่องเยอะ โดยเฉพาะตำรวจในทีมสืบสวน ชื่อจำยาก ทำให้เป็นปัญหากับผมอย่างมาก จำได้แค่ชื่อคู่หูของพี่ชาย และเพื่อนร่วมงานที่เป็นเหมือนคู่แข่งได้เท่านั้น ส่วนหนึ่งที่ค่อนข้างแตกต่างและโดดเด่นไปจากแนวสืบสวนเล่มอื่นคือ เล่มนี้เน้นให้เห็นภาพการทำงานของตำรวจญี่ปุ่น เวลาเกิดคดีฆาตกรรมที่มีความสมจริงมาก เพราะบทสนทนาของตำรวจที่ร่วมการสืบสวนนั้น ทำให้คนอ่านเหมือนร่วมรับฟังการประชุมอยู่ในสถานีตำรวจ และขั้นตอนวิธีในการสืบสวนของวงการนี้แบบละเอียด นี่เองที่เป็นส่วนที่ทำให้ช่วงต้นถึงเกือบครึ่งค่อนเล่มนั้น เรื่องดำเนินไปแบบเฉิบ ๆ เนิบ ๆ ออกเนือยจนอาจทำให้บางคนที่ไม่ค่อยอดทนพอ จะยอมแพ้เลิกอ่านไปก่อนได้

    การเล่าเรื่องนั้นใช้วิธี แบ่งเป็นส่วน ๆ โดยการแยกเป็นบทย่อย กล่าวถึงตัวละครหลักตัวใด ก็จะเป็นมุมมองความคิดของตัวละครนั้นต่อคนรอบข้าง ซึ่งหลัก ๆ ก็มีอยู่ 5-6 คน ผู้เขียนมีความฉลาดในการสร้างปมให้กับตัวละครบางตัวที่ทำให้เกิดความน่าสงสัย จนต้องอ่านไปเรื่อย ๆ ด้วยอยากรู้ว่าคนที่น่าสงสัยนี้ จะใช่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมหรือไม่

    แท้จริงเรื่องราวของการไขคดีนั้นเป็นไปอย่างเชื่องช้ายิ่ง เพราะไปเน้นเหตุการณ์แวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของตัวละครหลักในเรื่อง ซึ่งดูเหมือนไม่น่าจะมีอะไร แต่เรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั้งหลายนั้น ล้วนเป็นส่วนสำคัญที่ไม่ใช่เกิดขึ้นจากความบังเอิญ ทว่าอยู่ในแผนการที่ถูกเตรียมจัดวางไว้อย่างดีของคนร้ายตัวจริง

    ที่ต้องบอกแบบนี้เพราะ คนร้ายคนแรกนั้นไม่ได้ร้ายเพราะมีจิตใจอยากทำ ส่วนคนร้ายแฝงซึ่งคือตัวจริงที่ถูกเปิดเผยในตอนท้ายสุดนี้สิ.. ที่น่ากลัว เพราะร้ายด้วยจิตเจตนาอันแน่วแน่ต่อการกระทำอันร้ายกาจของตนโดยไม่ได้รู้สึกผิด

    เรื่องนี้ค่อนข้างมีความรุนแรงอยู่มาก ทั้งในเรื่องทางเพศที่มีความเบี่ยงเบนไปในทางผิด การใช้กำลังทำร้ายในครอบครัว การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น เพื่อหวังความก้าวหน้าโดยไม่คำนึงถึงความควรไม่ควร ความปลิ้นปล้อน ยอกย้อนของจิตใจคน ที่ซ่อนตัวตนอันร้ายกาจไว้ภายใน

    ตัวละครที่ควรจะเป็นตัวหลักในการไขคดีนั้น ถูกสร้างมาเพื่อหลอกคนอ่านโดยแท้ และใครกันคือคนที่สมควรแล้วกับความตายที่ได้รับ ดังที่ชื่อเรื่องได้เกริ่นนำไว้ สำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่านเล่มนี้ ขอให้หยุดได้ตั้งแต่บรรทัดนี้ เพราะย่อหน้าถัดไปคุณยังไม่ควรทราบ เพื่อจะไม่เสียอรรถรสก่อน ส่วนคนที่อ่านจบแล้วสามารถอ่านต่อเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้สึก ความเห็นได้ตามอัธยาศัยครับ

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    นึกสงสัยพฤติกรรมและคำพูดหลายอย่างของน้องสาวตั้งแต่ช่วงต้น ๆ เล่มแล้วเชียว ยังคิดอยู่เลยว่าการผูกคอตายของแม่ จะใช่ความต้องการของเจ้าตัวจริงหรือ อาจถูกลูกสาวฆ่าหรือเปล่า แต่ก็คิดไม่ถึงว่านางจะร้ายลึกขนาดมีส่วนต่อการทำให้เกิดคดีและมีคนเสียชีวิตในภายหลัง ช่างเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นจนน่าขนลุก โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงคำเรียกพี่ชายว่า พี่จ๋า..ทั้งที่ห่างเหินไม่ได้เจอกันเลยเป็นสิบปี ดูจะพยายามทำความสนิทสนม และปฏิบัติเอาใจจนเกินไปจากความปกติพอดีของคนทั่วไปที่ควรจะเป็น

    แต่ช่วงต้นก็ถูกผู้เขียนสับขาหลอกให้ไขว้เขวและสงสัยในตัวของหญิงสาวที่อาศัยอยู่กับพ่อและปู่ เพราะการไม่บอกสิ่งที่รู้เกี่ยวกับคดีแรกกับตำรวจ สุดท้ายเธอคือคนที่น่าสงสารที่สุด มีจิตใจอ่อนโยน ใสซื่อ และเป็นผู้ถูกกระทำตั้งแต่ต้นจนจบ ความคิดที่ว่าขอเพียงมีที่ซุกหัวนอน มีอาหารกินอิ่มท้อง มีคนคอยปกป้อง แม้คนนั้นจะทำไม่ดีกับเธอจนถึงขั้นล่วงเกินต่อร่างกายก็ยอม แสดงให้เห็นว่าเป็นคนหัวอ่อน ตกเป็นเหยื่อง่าย ต่างจากน้องสาวนายตำรวจราวขาวกับดำ คนนั้นก็ภายนอกสดใส ยิ้มแย้ม เป็นกันเอง เข้ากับใครง่าย เหมือนจะหวังดีให้ความช่วยเหลือคนอื่นด้วยน้ำใสใจจริง แต่ตัวตนแท้กลับกลอกกลิ้งจนกลมเกลี้ยง ทำร้ายทุกคนได้ไม่ว่าใครแม้แต่คนในครอบครัว เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ

    อดคิดต่อหลังจบเล่มไม่ได้ ที่ตอนท้ายเนื้อหาระบุว่าพ่อรับเธอไปอยู่ด้วยหลังพี่ชายตาย นางคงจะวางแผนจัดการกับพ่อของตัวเอง และภรรยาของพ่อรวมถึงลูกที่เกิดจากภรรยาใหม่ด้วย เพื่อที่สุดท้ายทุกอย่างของพ่อจะได้ตกเป็นของเธอทั้งหมด

    ต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน ดูจากพฤติกรรมในเรื่องแล้ว แนวโน้มความเป็นไปได้สูงมาก

    สรุปว่าเป็นอีกเล่มที่เขียนได้ดีและน่าสนใจครับ แต่ไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าชื่นชอบ ด้วยความแรงของเนื้อหาที่มืดมนนั่นเอง

    #นิยายแปล
    #นิยายญี่ปุ่น
    #สืบสวน
    #ฆาตกรรม
    #สำนักพิมพ์ไดฟุกุ
    #หนังสือแนะนำ
    #18+
    #ความรุนแรง
    #เนื้อหาทางเพศ
    #thaitimes
    #เพราะอย่างนี้คุณถึงถูกฆ่า เขียนโดย มิซูกิ ฮิโรมิ สนพ.ไดฟุกุ มีนาคม พ.ศ.2566 279 หน้า 319 บาท แปลโดย บัณฑิต ประดิษฐานุวงศ์ ภาพประกอบโดย ศศิ เห็นในห้องสมุดหลายครั้ง แต่ก็เลือกเล่มอื่นที่อยากอ่านมากกว่า คลาดกันมาหลายเดือน สุดท้ายยืมมาอ่านด้วยเหตุผลคือภาพหน้าปกและใจความไม่กี่ประโยคบนปกหลัง หนังสือเล่มนี้ทำให้นึกถึงสมัยเด็กที่ชอบวาดรูปการ์ตูนในหนังสือเรียนต่าง ๆ เมื่อสังเกตเห็นรูปโคมไฟเพดาน และขาตั้งไม้ที่ใช้สำหรับวาดรูป ที่เป็นรูปประกอบเล็ก ๆ อยู่มุมบนของแต่ละหน้านั้น หากพลิกไว ๆ จะเห็นเป็นภาพเคลื่อนไหวที่เกิดจากการวาดแต่ละหน้าให้ต่างกันเล็กน้อย ตอนเด็กตัวเองก็ชอบเขียนแบบนี้เล่นเช่นกัน รู้สึกชอบในความคิดสร้างสรรค์ในจุดนี้ แน่นอนว่าหน้าปกนั้นทำหน้าที่ได้ดี มีเรื่องราวที่เป็นส่วนสำคัญของเนื้อหาทั้งหมดใส่มาในภาพเดียว การใช้พื้นหลังสีขาว ทำให้ลายเส้นและสีสันตรงกลางโดดเด่น ส่วนสีที่เลือกใช้ระหว่างความอบอุ่นแจ่มใส(เหลือง) กับความสงบ เยือกเย็น (น้ำเงิน ฟ้า) ที่ให้ความรู้สึกปลอดภัย น่าไว้วางใจ ไม่รู้ว่าตอนลงสีผู้วาดต้องการสื่ออย่างนั้นหรือไม่ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาเข้ากับโทนเรื่องและบุคลิกของตัวละคร รวมถึงฉากสำคัญได้ดี เล่มนี้เป็นหนึ่งในเล่มที่ส่วนตัวคงอ่านครั้งเดียว ไม่ใช่เพราะไม่ดี แต่เรื่องราวหดหู่เกินไป อ่านแล้วเห็นใจและสงสารในชะตากรรมของตัวละครตัวหนึ่งจนถึงขนาดต้องวางเพื่อพัก คือใจหนึ่งไม่อยากรู้เรื่องราวต่อจากนั้น เพราะเห็นภาพราง ๆ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่ก็อยากรู้ว่าที่แท้แล้วคนร้ายคือใครกันแน่ จึงต้องยอมหยิบขึ้นมาอ่านต่อ กว่าจะจบก็หยิบวางอยู่หลายหน เนื้อหาโดยสังเขป นายตำรวจหนุ่มคนหนึ่งตัดสินใจย้ายออกจากหอพักตำรวจโสด เพื่อมาดูแลน้องสาวอายุ 17 ปีที่จากกันมานานถึงสิบปีและอยู่ตัวคนเดียว เนื่องจากแม่ของทั้งสองเพิ่งจะผูกคอตายไปไม่นาน พ่อกับแม่ของสองคนนี้แยกทางกัน คนพี่เลือกอยู่กับพ่อ แล้วให้น้องอยู่กับแม่ แต่แม่ป่วยต้องใช้เงินรักษาจำนวนมากจึงขัดสน เคยส่งจดหมายขอความช่วยเหลือจากสามีหลายครั้ง แต่เขาไม่สนใจ กลับแต่งงานมีภรรยาใหม่และมีลูก ต่อมาพี่ชายทราบข่าวแม่ จึงเข้ามามีบทบาทต่อเพราะน้องสาวไม่เหลือใคร ในขณะเดียวกันก็เกิดคดีที่มีคนพบศพหญิงวัยรุ่น ซึ่งคาดว่าถูกฆ่าตายทิ้งไว้แถวทางเดินสีเขียวริมแม่น้ำ พี่ชายจึงต้องเข้าร่วมเป็นหนึ่งในทีมสืบสวนหาสาเหตุ โดยมีน้องสาวที่เรียนมัธยมปลาย ซึ่งค่อนข้างเฉลียวฉลาดคอยช่วยหาข้อมูลป้อนให้ ตัวละครในเรื่องเยอะ โดยเฉพาะตำรวจในทีมสืบสวน ชื่อจำยาก ทำให้เป็นปัญหากับผมอย่างมาก จำได้แค่ชื่อคู่หูของพี่ชาย และเพื่อนร่วมงานที่เป็นเหมือนคู่แข่งได้เท่านั้น ส่วนหนึ่งที่ค่อนข้างแตกต่างและโดดเด่นไปจากแนวสืบสวนเล่มอื่นคือ เล่มนี้เน้นให้เห็นภาพการทำงานของตำรวจญี่ปุ่น เวลาเกิดคดีฆาตกรรมที่มีความสมจริงมาก เพราะบทสนทนาของตำรวจที่ร่วมการสืบสวนนั้น ทำให้คนอ่านเหมือนร่วมรับฟังการประชุมอยู่ในสถานีตำรวจ และขั้นตอนวิธีในการสืบสวนของวงการนี้แบบละเอียด นี่เองที่เป็นส่วนที่ทำให้ช่วงต้นถึงเกือบครึ่งค่อนเล่มนั้น เรื่องดำเนินไปแบบเฉิบ ๆ เนิบ ๆ ออกเนือยจนอาจทำให้บางคนที่ไม่ค่อยอดทนพอ จะยอมแพ้เลิกอ่านไปก่อนได้ การเล่าเรื่องนั้นใช้วิธี แบ่งเป็นส่วน ๆ โดยการแยกเป็นบทย่อย กล่าวถึงตัวละครหลักตัวใด ก็จะเป็นมุมมองความคิดของตัวละครนั้นต่อคนรอบข้าง ซึ่งหลัก ๆ ก็มีอยู่ 5-6 คน ผู้เขียนมีความฉลาดในการสร้างปมให้กับตัวละครบางตัวที่ทำให้เกิดความน่าสงสัย จนต้องอ่านไปเรื่อย ๆ ด้วยอยากรู้ว่าคนที่น่าสงสัยนี้ จะใช่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมหรือไม่ แท้จริงเรื่องราวของการไขคดีนั้นเป็นไปอย่างเชื่องช้ายิ่ง เพราะไปเน้นเหตุการณ์แวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของตัวละครหลักในเรื่อง ซึ่งดูเหมือนไม่น่าจะมีอะไร แต่เรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั้งหลายนั้น ล้วนเป็นส่วนสำคัญที่ไม่ใช่เกิดขึ้นจากความบังเอิญ ทว่าอยู่ในแผนการที่ถูกเตรียมจัดวางไว้อย่างดีของคนร้ายตัวจริง ที่ต้องบอกแบบนี้เพราะ คนร้ายคนแรกนั้นไม่ได้ร้ายเพราะมีจิตใจอยากทำ ส่วนคนร้ายแฝงซึ่งคือตัวจริงที่ถูกเปิดเผยในตอนท้ายสุดนี้สิ.. ที่น่ากลัว เพราะร้ายด้วยจิตเจตนาอันแน่วแน่ต่อการกระทำอันร้ายกาจของตนโดยไม่ได้รู้สึกผิด เรื่องนี้ค่อนข้างมีความรุนแรงอยู่มาก ทั้งในเรื่องทางเพศที่มีความเบี่ยงเบนไปในทางผิด การใช้กำลังทำร้ายในครอบครัว การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น เพื่อหวังความก้าวหน้าโดยไม่คำนึงถึงความควรไม่ควร ความปลิ้นปล้อน ยอกย้อนของจิตใจคน ที่ซ่อนตัวตนอันร้ายกาจไว้ภายใน ตัวละครที่ควรจะเป็นตัวหลักในการไขคดีนั้น ถูกสร้างมาเพื่อหลอกคนอ่านโดยแท้ และใครกันคือคนที่สมควรแล้วกับความตายที่ได้รับ ดังที่ชื่อเรื่องได้เกริ่นนำไว้ สำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่านเล่มนี้ ขอให้หยุดได้ตั้งแต่บรรทัดนี้ เพราะย่อหน้าถัดไปคุณยังไม่ควรทราบ เพื่อจะไม่เสียอรรถรสก่อน ส่วนคนที่อ่านจบแล้วสามารถอ่านต่อเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้สึก ความเห็นได้ตามอัธยาศัยครับ . . . . . . . . . . . . . . นึกสงสัยพฤติกรรมและคำพูดหลายอย่างของน้องสาวตั้งแต่ช่วงต้น ๆ เล่มแล้วเชียว ยังคิดอยู่เลยว่าการผูกคอตายของแม่ จะใช่ความต้องการของเจ้าตัวจริงหรือ อาจถูกลูกสาวฆ่าหรือเปล่า แต่ก็คิดไม่ถึงว่านางจะร้ายลึกขนาดมีส่วนต่อการทำให้เกิดคดีและมีคนเสียชีวิตในภายหลัง ช่างเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นจนน่าขนลุก โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงคำเรียกพี่ชายว่า พี่จ๋า..ทั้งที่ห่างเหินไม่ได้เจอกันเลยเป็นสิบปี ดูจะพยายามทำความสนิทสนม และปฏิบัติเอาใจจนเกินไปจากความปกติพอดีของคนทั่วไปที่ควรจะเป็น แต่ช่วงต้นก็ถูกผู้เขียนสับขาหลอกให้ไขว้เขวและสงสัยในตัวของหญิงสาวที่อาศัยอยู่กับพ่อและปู่ เพราะการไม่บอกสิ่งที่รู้เกี่ยวกับคดีแรกกับตำรวจ สุดท้ายเธอคือคนที่น่าสงสารที่สุด มีจิตใจอ่อนโยน ใสซื่อ และเป็นผู้ถูกกระทำตั้งแต่ต้นจนจบ ความคิดที่ว่าขอเพียงมีที่ซุกหัวนอน มีอาหารกินอิ่มท้อง มีคนคอยปกป้อง แม้คนนั้นจะทำไม่ดีกับเธอจนถึงขั้นล่วงเกินต่อร่างกายก็ยอม แสดงให้เห็นว่าเป็นคนหัวอ่อน ตกเป็นเหยื่อง่าย ต่างจากน้องสาวนายตำรวจราวขาวกับดำ คนนั้นก็ภายนอกสดใส ยิ้มแย้ม เป็นกันเอง เข้ากับใครง่าย เหมือนจะหวังดีให้ความช่วยเหลือคนอื่นด้วยน้ำใสใจจริง แต่ตัวตนแท้กลับกลอกกลิ้งจนกลมเกลี้ยง ทำร้ายทุกคนได้ไม่ว่าใครแม้แต่คนในครอบครัว เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ อดคิดต่อหลังจบเล่มไม่ได้ ที่ตอนท้ายเนื้อหาระบุว่าพ่อรับเธอไปอยู่ด้วยหลังพี่ชายตาย นางคงจะวางแผนจัดการกับพ่อของตัวเอง และภรรยาของพ่อรวมถึงลูกที่เกิดจากภรรยาใหม่ด้วย เพื่อที่สุดท้ายทุกอย่างของพ่อจะได้ตกเป็นของเธอทั้งหมด ต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน ดูจากพฤติกรรมในเรื่องแล้ว แนวโน้มความเป็นไปได้สูงมาก สรุปว่าเป็นอีกเล่มที่เขียนได้ดีและน่าสนใจครับ แต่ไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าชื่นชอบ ด้วยความแรงของเนื้อหาที่มืดมนนั่นเอง #นิยายแปล #นิยายญี่ปุ่น #สืบสวน #ฆาตกรรม #สำนักพิมพ์ไดฟุกุ #หนังสือแนะนำ #18+ #ความรุนแรง #เนื้อหาทางเพศ #thaitimes
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 869 Views 0 Reviews
  • นิทานเรื่อง “Château Christophe”
    ตอนที่ 6 (ตอนจบ)
    ฝ่ายที่จู่โจมสถานกงสุลอเมริกันที่ Benghazi คาดเดากันว่าน่าจะเป็นพวกทหารอิสลาม แต่มันไม่น่าเชื่อว่า พวกเขาจะไม่รู้ว่า “ใคร” ที่อยู่ในบริเวณที่พวกเขาจัดการเผาจนเรียบวุธขนาดนั้น ถ้า Chris Stevens เป็นเป้าหมาย มันน่าจะง่ายกว่า ถ้าจะโจมตีขบวนรถเขาหรือชิงตัวเขาขณะออกไปวิ่งตอนเช้า หรือชิงตัวจากที่นัดพบและที่สำคัญ ฑูตอเมริกันที่มีชีวิตย่อมเป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากกว่าฑูตที่ตายแล้ว
    แต่เพราะ Chris Stevens ถูกฆ่าตาย 56 วันก่อนมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี การตายเขาจึงกลายเป็นส่วนประกอบของฉากการเมือง ที่ทุกฝ่ายอยากเอาไปประกอบให้มีคะแนนเพิ่มขึ้น หรือเอาไปลดคะแนนคู่ต่อสู้
    รัฐบาล Obama ถูกวิจารณ์อย่างหนัก เมื่ออ้างในตอนแรกอย่างไม่มีน้ำหนักว่าการโจมตีสถานกงสุลเกิดขึ้นเพราะการประท้วงเรื่อง วีดีโอ แต่หลังจากนั้นประมาณเดือนตุลาคม เมื่อ New York Times รายงานว่า ชาวพื้นเมืองบอกว่าพวกที่บุกรุกเข้าไปในสถานกงสุลเป็นพวกอิสลามที่แค้นเรื่อง วีดีโอ มันก็เลยทำให้ข้อแก้ตัวของรัฐบาลพอฟังขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ทำให้หลายๆ ฝ่ายหายสงสัย
    นอกจากนี้ภาพของฑูต Stevens ที่แพร่ทางสื่อต่าง ๆ มีความแตกต่างกัน มีหลายสื่อที่ออกข่าวว่า ฑูต Stevens ถูกทารุณและถูกชำเราทางทวารหนัก โดยมีภาพกึ่งเปลือยของเขาถูกชาวเมืองกำลังแบกอยู่ ในขณะที่สื่อฝั่งตะวันตก แพร่ภาพของฑูต Stevens นอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลและบอกเพียงว่า Stevens เสียชีวิตเพราะสำลักควัน ไม่ได้ถูกทำร้ายทารุณ เขามีบาดแผลเพียงเล็กน้อยที่หน้าผากเท่านั้น
    ข่าวนี้ออกมาใกล้เคียงกับการที่สภาสูง ของอเมริกาได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนสาเหตุการตายของ Stevens และตรวจสอบประเด็นเรื่องการรักษาความปลอดภัยด้วย ผลของการตรวจสอบ ยังไม่สามารถให้ความกระจ่างได้ ข้อมูลที่ออกมาสับสนและขัดแย้งกันเอง (จนถึงทุกวันนี้) ยากแก่การลงความเห็นว่าฑูต Stevens เสียชีวิตจากการสำลักควัน โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ และกำลังเสริมที่อยู่ห่างไปเพียง 1.2 ไมล์ ซึ่งมาถึงช้าอย่าผิดปกติ จนบริเวณกงสุลไหม้ไปเกือบหมดแล้ว
    ขณะเดียวกันก็เริ่มมีข่าวแพร่ออกมาว่า CIA มีส่วนเกี่ยวพันกับการเสียชีวิตของฑูต Stevens ข่าวรายงานว่า จุดยืนอย่างเป็นทางการของอเมริกา คือ ไม่มีการส่งอาวุธไปช่วยพวกกบฏในซีเรีย แต่ก็มีหลักฐานโผล่ขึ้นมาเรื่อย ๆ ว่าตัวแทนของอเมริกาโดยเฉพาะ ฑูต Stevens ที่เพิ่งถูกฆาตกรรมไปนั่นแหละ อย่างน้อยมีส่วนรู้เห็นกับการขนย้ายอาวุธจากลิเบียไปให้พวกกบฎ Jihadist ของซีเรีย
    เดือนมีนาคม ค.ศ. 2011 นาย Stevens ได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการของอเมริกา เพื่อประสานงานกับ al-Qaeda-linked ซึ่งเป็นกลุ่มต่อต้านรัฐบาลลิเบีย โดยติดต่อโดยตรงกับ Abdelhakim Belhadj ของ Libyan Islamic Fighting Group ซึ่งกลุ่มนี้ต่อมายกเลิกไป หลังจากมีรายงานว่ามีส่วนร่วมในการโจมตีกงสุลอเมริกันและทำให้นาย Stevens เสียชีวิต !
    เดือนกันยายน ค.ศ. 2011 หนังสือพิมพ์ Time of London รายงานว่าเรือสัญชาติ Libya ขนสินค้าจำนวนมากเป็นอาวุธไปให้ซีเรีย โดยเทียบท่าที่ตุรกี รายงานข่าวว่าสินค้าหนักถึง 400 ตันนั้น มีจรวดประเภท SA-7 surface-to air anti-craft และ rocket-propelled grenade (ขีปนาวุธ ประเภทขับเคลื่อน) จำนวนมาก อาวุธทั้งหมดน่าจะมาจากส่วนที่ เก็บอยู่ในกองทัพของ Qaddafi ซึ่งมีประมาณ 20,000 ชิ้น สื่อ Reuters รายงานว่าฝ่ายกบฎซีเรีย ใช้อาวุธเหล่านี้ ยิงเครื่องเฮลิคอปเตอร์ และเครื่องบินรบของฝ่ายรัฐบาลซีเรีย
    เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2011 หนังสือพิมพ์ Telegraph รายงานว่า Belhadj ในฐานะหัวหน้า Tripoli Military Council ได้พบกับบรรดาหัวหน้าของ Free Serian Army (FSA) ที่ Istanbul และแถบชายแดนของตุรกี โดยเป็นความพยายามของรัฐบาลใหม่ของลิเบียที่จะให้ความสนับสนุนทางด้านเงินและอาวุธแก่กลุ่มต่อต้านรัฐบาลซีเรีย ซึ่งกำลังเริ่มเกิดขึ้น
    นี่หมายความว่า ฑูต Stevens มีบุคคลเดียว คือ Belhadj ที่โยงระหว่างเขากับคน Benghazi ที่ขนอาวุธให้กบฎซีเรีย และถ้ารัฐบาลใหม่ของลิเบีย ส่งอาวุธให้กับกบฎซีเรีย ผ่านทางท่าเรือของตุรกี โดยมี Stevens เป็นตัวกลางให้กับพวกกบฎลิเบีย รัฐบาลตุรกีและรัฐบาลอเมริกันก็น่าจะรู้เห็นเรื่องนี้ด้วย
    และอย่าลืมว่า มีหน่วยงานที่ขึ้นกับ CIA ประจำอยู่ที่เมือง Benghazi ซึ่งห่างจากสถานกงสุลแค่ 1.2 ไมล์ หน่วยงานนี้ทำหน้าที่เก็บข้อมูลของการกระจายอาวุธที่ยึดมาจากรัฐบาลลิเบีย และปฏิบัติภาระกิจอะไรอีกบ้าง ยังไม่มีการเปิดเผยออกมา แต่เป็นที่รู้กันว่า การรักษาความปลอดภัยของหน่วยงานนี้ หนาแน่นมั่นคงและมีอาวุธที่ก้าวหน้าว่าที่สถานกงสุลมากนัก
    มาถึงจุดนี้มันค่อนข้างชัดเจนว่า อเมริกาต้องมีอะไรซ่อนอยู่ที่ Benghazi มันถึงทำให้รายงาน ต่าง ๆ สับสน และเมื่อถูกสอบถาม คุณนาย Clinton ถึงกับลมจับใบ้รับประทาน
    อย่าลืมว่านัดสุดท้ายของฑูต Stevens เมื่อวันที่ 11 กันยายน คือ การพบกับกงสุลตุรกี ชื่อ General Ali Sait Akin ซึ่ง Fox News บอกว่าเพื่อเป็นการเจรจาเกี่ยว กับการส่งมอบ ขีปนาวุธ SA-7 Business Insider รายงานเพิ่มว่า Stevens และลูกน้องเขา ทำหน้าที่เป็น “diplomatic cover” ให้แก่ CIA จากจำนวน 30 คน ที่อพยพมาจาก Benghazi มีเพียง 7 คน เท่านั้นที่ทำงานให้กับกระทรวงต่างประเทศและถ้า Stevens รู้ว่าอาวุธที่ส่งให้กบฎซีเรียมาจากไหน จะเป็นไปได้หรือที่ CIA จะไม่รู้ ไม่เห็นด้วย มันคงจะเป็นเรื่องที่ทำให้วอชิงตันลำบากใจอย่างยิ่ง ในการตอบคำถามที่เกี่ยวข้อง
    ไม่ว่าจะมีข่าวออกไปทางใด การตายของนาย Stevens คงจะเป็นปริศนาค้างคาอยู่กันต่อไป แต่จากเรื่องที่สื่อต่างชาติเขียนมานี้ น่าจะทำให้เราเห็นอะไรหลายอย่างว่า อเมริกาแท้จริงเป็นอย่างไร
    ในการสร้างสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ละประเทศต่างก็ส่งคนของตนไปทั่วโลก เพื่อหาข้อมูลและเพื่อดูแลผลประโยชน์ของประเทศตน และแน่นอนที่สุด เพื่อสร้างมิตร สร้างสัมพันธ์ไมตรีที่ดีต่อกัน การที่อเมริกันเข้าไปในบ้านเมืองอื่นๆ ด้วยวิธีการอย่างที่อเมริกาเข้าไปในลิเบีย หรือส่งของขวัญพิเศษให้กับกบฎซีเรีย หรือที่กำลังทำอยู่ในหลายๆประเทศ และรวมทั้งที่กำลังทำอยู่กับราช อาณาจักรไทยด้วยนั้น การฑูตผ่านรั้วสูง กำแพงเหล็ก โกหก จุ้นจ้าน จาบจ้วง ทวงบุญคุณ และการส่ง “ของขวัญ” แบบพิเศษนี้ ฯลฯ คงจะสร้าง หรือรักษา “มิตร” ได้ยาก
    คนเล่านิทาน
    7 มิย. 57
    นิทานเรื่อง “Château Christophe” ตอนที่ 6 (ตอนจบ) ฝ่ายที่จู่โจมสถานกงสุลอเมริกันที่ Benghazi คาดเดากันว่าน่าจะเป็นพวกทหารอิสลาม แต่มันไม่น่าเชื่อว่า พวกเขาจะไม่รู้ว่า “ใคร” ที่อยู่ในบริเวณที่พวกเขาจัดการเผาจนเรียบวุธขนาดนั้น ถ้า Chris Stevens เป็นเป้าหมาย มันน่าจะง่ายกว่า ถ้าจะโจมตีขบวนรถเขาหรือชิงตัวเขาขณะออกไปวิ่งตอนเช้า หรือชิงตัวจากที่นัดพบและที่สำคัญ ฑูตอเมริกันที่มีชีวิตย่อมเป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากกว่าฑูตที่ตายแล้ว แต่เพราะ Chris Stevens ถูกฆ่าตาย 56 วันก่อนมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี การตายเขาจึงกลายเป็นส่วนประกอบของฉากการเมือง ที่ทุกฝ่ายอยากเอาไปประกอบให้มีคะแนนเพิ่มขึ้น หรือเอาไปลดคะแนนคู่ต่อสู้ รัฐบาล Obama ถูกวิจารณ์อย่างหนัก เมื่ออ้างในตอนแรกอย่างไม่มีน้ำหนักว่าการโจมตีสถานกงสุลเกิดขึ้นเพราะการประท้วงเรื่อง วีดีโอ แต่หลังจากนั้นประมาณเดือนตุลาคม เมื่อ New York Times รายงานว่า ชาวพื้นเมืองบอกว่าพวกที่บุกรุกเข้าไปในสถานกงสุลเป็นพวกอิสลามที่แค้นเรื่อง วีดีโอ มันก็เลยทำให้ข้อแก้ตัวของรัฐบาลพอฟังขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ทำให้หลายๆ ฝ่ายหายสงสัย นอกจากนี้ภาพของฑูต Stevens ที่แพร่ทางสื่อต่าง ๆ มีความแตกต่างกัน มีหลายสื่อที่ออกข่าวว่า ฑูต Stevens ถูกทารุณและถูกชำเราทางทวารหนัก โดยมีภาพกึ่งเปลือยของเขาถูกชาวเมืองกำลังแบกอยู่ ในขณะที่สื่อฝั่งตะวันตก แพร่ภาพของฑูต Stevens นอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลและบอกเพียงว่า Stevens เสียชีวิตเพราะสำลักควัน ไม่ได้ถูกทำร้ายทารุณ เขามีบาดแผลเพียงเล็กน้อยที่หน้าผากเท่านั้น ข่าวนี้ออกมาใกล้เคียงกับการที่สภาสูง ของอเมริกาได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนสาเหตุการตายของ Stevens และตรวจสอบประเด็นเรื่องการรักษาความปลอดภัยด้วย ผลของการตรวจสอบ ยังไม่สามารถให้ความกระจ่างได้ ข้อมูลที่ออกมาสับสนและขัดแย้งกันเอง (จนถึงทุกวันนี้) ยากแก่การลงความเห็นว่าฑูต Stevens เสียชีวิตจากการสำลักควัน โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ และกำลังเสริมที่อยู่ห่างไปเพียง 1.2 ไมล์ ซึ่งมาถึงช้าอย่าผิดปกติ จนบริเวณกงสุลไหม้ไปเกือบหมดแล้ว ขณะเดียวกันก็เริ่มมีข่าวแพร่ออกมาว่า CIA มีส่วนเกี่ยวพันกับการเสียชีวิตของฑูต Stevens ข่าวรายงานว่า จุดยืนอย่างเป็นทางการของอเมริกา คือ ไม่มีการส่งอาวุธไปช่วยพวกกบฏในซีเรีย แต่ก็มีหลักฐานโผล่ขึ้นมาเรื่อย ๆ ว่าตัวแทนของอเมริกาโดยเฉพาะ ฑูต Stevens ที่เพิ่งถูกฆาตกรรมไปนั่นแหละ อย่างน้อยมีส่วนรู้เห็นกับการขนย้ายอาวุธจากลิเบียไปให้พวกกบฎ Jihadist ของซีเรีย เดือนมีนาคม ค.ศ. 2011 นาย Stevens ได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการของอเมริกา เพื่อประสานงานกับ al-Qaeda-linked ซึ่งเป็นกลุ่มต่อต้านรัฐบาลลิเบีย โดยติดต่อโดยตรงกับ Abdelhakim Belhadj ของ Libyan Islamic Fighting Group ซึ่งกลุ่มนี้ต่อมายกเลิกไป หลังจากมีรายงานว่ามีส่วนร่วมในการโจมตีกงสุลอเมริกันและทำให้นาย Stevens เสียชีวิต ! เดือนกันยายน ค.ศ. 2011 หนังสือพิมพ์ Time of London รายงานว่าเรือสัญชาติ Libya ขนสินค้าจำนวนมากเป็นอาวุธไปให้ซีเรีย โดยเทียบท่าที่ตุรกี รายงานข่าวว่าสินค้าหนักถึง 400 ตันนั้น มีจรวดประเภท SA-7 surface-to air anti-craft และ rocket-propelled grenade (ขีปนาวุธ ประเภทขับเคลื่อน) จำนวนมาก อาวุธทั้งหมดน่าจะมาจากส่วนที่ เก็บอยู่ในกองทัพของ Qaddafi ซึ่งมีประมาณ 20,000 ชิ้น สื่อ Reuters รายงานว่าฝ่ายกบฎซีเรีย ใช้อาวุธเหล่านี้ ยิงเครื่องเฮลิคอปเตอร์ และเครื่องบินรบของฝ่ายรัฐบาลซีเรีย เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2011 หนังสือพิมพ์ Telegraph รายงานว่า Belhadj ในฐานะหัวหน้า Tripoli Military Council ได้พบกับบรรดาหัวหน้าของ Free Serian Army (FSA) ที่ Istanbul และแถบชายแดนของตุรกี โดยเป็นความพยายามของรัฐบาลใหม่ของลิเบียที่จะให้ความสนับสนุนทางด้านเงินและอาวุธแก่กลุ่มต่อต้านรัฐบาลซีเรีย ซึ่งกำลังเริ่มเกิดขึ้น นี่หมายความว่า ฑูต Stevens มีบุคคลเดียว คือ Belhadj ที่โยงระหว่างเขากับคน Benghazi ที่ขนอาวุธให้กบฎซีเรีย และถ้ารัฐบาลใหม่ของลิเบีย ส่งอาวุธให้กับกบฎซีเรีย ผ่านทางท่าเรือของตุรกี โดยมี Stevens เป็นตัวกลางให้กับพวกกบฎลิเบีย รัฐบาลตุรกีและรัฐบาลอเมริกันก็น่าจะรู้เห็นเรื่องนี้ด้วย และอย่าลืมว่า มีหน่วยงานที่ขึ้นกับ CIA ประจำอยู่ที่เมือง Benghazi ซึ่งห่างจากสถานกงสุลแค่ 1.2 ไมล์ หน่วยงานนี้ทำหน้าที่เก็บข้อมูลของการกระจายอาวุธที่ยึดมาจากรัฐบาลลิเบีย และปฏิบัติภาระกิจอะไรอีกบ้าง ยังไม่มีการเปิดเผยออกมา แต่เป็นที่รู้กันว่า การรักษาความปลอดภัยของหน่วยงานนี้ หนาแน่นมั่นคงและมีอาวุธที่ก้าวหน้าว่าที่สถานกงสุลมากนัก มาถึงจุดนี้มันค่อนข้างชัดเจนว่า อเมริกาต้องมีอะไรซ่อนอยู่ที่ Benghazi มันถึงทำให้รายงาน ต่าง ๆ สับสน และเมื่อถูกสอบถาม คุณนาย Clinton ถึงกับลมจับใบ้รับประทาน อย่าลืมว่านัดสุดท้ายของฑูต Stevens เมื่อวันที่ 11 กันยายน คือ การพบกับกงสุลตุรกี ชื่อ General Ali Sait Akin ซึ่ง Fox News บอกว่าเพื่อเป็นการเจรจาเกี่ยว กับการส่งมอบ ขีปนาวุธ SA-7 Business Insider รายงานเพิ่มว่า Stevens และลูกน้องเขา ทำหน้าที่เป็น “diplomatic cover” ให้แก่ CIA จากจำนวน 30 คน ที่อพยพมาจาก Benghazi มีเพียง 7 คน เท่านั้นที่ทำงานให้กับกระทรวงต่างประเทศและถ้า Stevens รู้ว่าอาวุธที่ส่งให้กบฎซีเรียมาจากไหน จะเป็นไปได้หรือที่ CIA จะไม่รู้ ไม่เห็นด้วย มันคงจะเป็นเรื่องที่ทำให้วอชิงตันลำบากใจอย่างยิ่ง ในการตอบคำถามที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะมีข่าวออกไปทางใด การตายของนาย Stevens คงจะเป็นปริศนาค้างคาอยู่กันต่อไป แต่จากเรื่องที่สื่อต่างชาติเขียนมานี้ น่าจะทำให้เราเห็นอะไรหลายอย่างว่า อเมริกาแท้จริงเป็นอย่างไร ในการสร้างสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ละประเทศต่างก็ส่งคนของตนไปทั่วโลก เพื่อหาข้อมูลและเพื่อดูแลผลประโยชน์ของประเทศตน และแน่นอนที่สุด เพื่อสร้างมิตร สร้างสัมพันธ์ไมตรีที่ดีต่อกัน การที่อเมริกันเข้าไปในบ้านเมืองอื่นๆ ด้วยวิธีการอย่างที่อเมริกาเข้าไปในลิเบีย หรือส่งของขวัญพิเศษให้กับกบฎซีเรีย หรือที่กำลังทำอยู่ในหลายๆประเทศ และรวมทั้งที่กำลังทำอยู่กับราช อาณาจักรไทยด้วยนั้น การฑูตผ่านรั้วสูง กำแพงเหล็ก โกหก จุ้นจ้าน จาบจ้วง ทวงบุญคุณ และการส่ง “ของขวัญ” แบบพิเศษนี้ ฯลฯ คงจะสร้าง หรือรักษา “มิตร” ได้ยาก คนเล่านิทาน 7 มิย. 57
    0 Comments 0 Shares 554 Views 0 Reviews
  • ปล่อยตัว เจสสิก้า วองโซ ทันฑ์บนคดีกาแฟไซยาไนด์

    ข่าวใหญ่ในอินโดนีเซียเวลานี้ คือ ผู้ต้องขังคดีฆาตกรรม เจสสิก้า วองโซ (Jessica Wongso) นักออกแบบกราฟิก ได้รับการปล่อยตัวก่อนกำหนดเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2567 หลังกรมราชทัณฑ์อินโดนีเซียประเมินว่าเป็นผู้คุมขังที่มีความประพฤติดี จึงได้รับการผ่อนผันการลงโทษ โดยได้รับโทษรวม 58 เดือน 30 วัน หรือประมาณ 4 ปี 11 เดือน

    เจสสิก้าได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำปอนดกบัมบู เมืองจาการ์ตาตะวันออก โดยมี อ็อตโต้ ฮาซิบวน (Otto Hasibuan) ทนายความเป็นผู้มารับ โดยได้ทักทายกับกองทัพสื่อมวลชน และกล่าวว่า ตนหิว อยากกินซูชิและเครื่องดื่มเย็นๆ

    โฆษกกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรมของอินโดนีเซีย เดดดี้ เอ็ดวาร์ เอกา ซาปูตรา (Deddy Eduar Eka Saputra) ระบุว่า ระหว่างที่ถูกคุมขัง เจสสิก้าได้แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมที่ดีตามระบบคะแนนของผู้ต้องขัง จึงได้รับโทษทัณฑ์บน ถึงวันที่ 27 มีนาคม 2575 แต่ระหว่างนั้นจะต้องรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เป็นประจำ

    เจสสิก้าถูกดำเนินคดีในข้อหาฆาตกรรม หลังจากเพื่อนสนิท วายัน มิร์นา ซาลิอิน (Wayan Mirna Salihin) ดื่มกาแฟเวียดนามเย็น ระหว่างพบกับเพื่อนๆ ที่ร้านโอลิเวอร์คาเฟ่ ภายในศูนย์การค้าแกรนด์อินโดนีเซีย กรุงจาการ์ตา เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2559 ก่อนที่มิร์นาจะมีอาการชักและหมดสติ เสียชีวิตระหว่างนำตัวส่งโรงพยาบาล

    คดีนี้ตำรวจระบุว่า พบสารไซยาไนด์ในกาแฟที่มิร์นาดื่ม และเจสสิก้าตกเป็นผู้ต้องสงสัย กระทั่งถูกตำรวจควบคุมตัวเจสสิก้าเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2559 ต่อมาวันที่ 21 มิถุนายน 2560 ศาลพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 20 ปี และส่งตัวไปยังเรือนจำ แม้ฝ่ายของเจสสิก้าจะยื่นคำอุทธรณ์ แต่ศาลชั้นสูงได้ปฏิเสธคำอุทธรณ์ดังกล่าว

    เรื่องดังกล่าวเป็นคดีฆาตกรรมที่โด่งดังในปี 2559 สื่อมวลชนรายงานข่าวคดีนี้อย่างต่อเนื่อง กระทั่งการพิพากษาคดีได้รับการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ และมีผู้ชมนับล้านคน หนังสือพิมพ์จาการ์ตาโพสต์ รายงานว่า ตามคำฟ้อง ผู้พิพากษาสรุปว่าเจสสิกาฆ่ามิร์นาเพื่อแก้แค้น ที่ก่อนหน้านี้มิร์นาบอกให้เจสสิกาเลิกกับ แพทริก โอคอนเนอร์ อดีตแฟนหนุ่มชาวออสเตรเลียของเธอ

    เรื่องราวระหว่างเจสสิก้าและมิร์นาถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Ice Cold: Murder, Coffee and Jessica Wongso ผลิตโดย Beach House Pictures ออกอากาศผ่านเน็ตฟลิกซ์ ซึ่งออกอากาศเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่ามีเนื้อหาที่ยั่วยุและทำให้เกิดความวุ่นวาย เพราะวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการยุติธรรมของอินโดนีเซีย

    ขณะที่ทนายความอีกคนหนึ่งของเจสสิก้าอย่าง ฮิดายัต บอสตัม (Hidayat Bostam) กล่าวกับสำนักข่าวจาการ์ตาโกลบ (Jakarta Globe) ว่า ทีมทนายความยังคงดำเนินการพิจารณาทบทวนการตัดสินลงโทษเจสสิกาต่อไป โดยอ้างว่ามีหลักฐานใหม่ที่อาจพลิกคำตัดสินว่ามีความผิดได้ และจะยื่นคำร้องในสัปดาห์หน้า

    #Newskit #JessicaWongso #IceColdMurder
    ปล่อยตัว เจสสิก้า วองโซ ทันฑ์บนคดีกาแฟไซยาไนด์ ข่าวใหญ่ในอินโดนีเซียเวลานี้ คือ ผู้ต้องขังคดีฆาตกรรม เจสสิก้า วองโซ (Jessica Wongso) นักออกแบบกราฟิก ได้รับการปล่อยตัวก่อนกำหนดเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2567 หลังกรมราชทัณฑ์อินโดนีเซียประเมินว่าเป็นผู้คุมขังที่มีความประพฤติดี จึงได้รับการผ่อนผันการลงโทษ โดยได้รับโทษรวม 58 เดือน 30 วัน หรือประมาณ 4 ปี 11 เดือน เจสสิก้าได้รับการปล่อยตัวออกจากเรือนจำปอนดกบัมบู เมืองจาการ์ตาตะวันออก โดยมี อ็อตโต้ ฮาซิบวน (Otto Hasibuan) ทนายความเป็นผู้มารับ โดยได้ทักทายกับกองทัพสื่อมวลชน และกล่าวว่า ตนหิว อยากกินซูชิและเครื่องดื่มเย็นๆ โฆษกกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรมของอินโดนีเซีย เดดดี้ เอ็ดวาร์ เอกา ซาปูตรา (Deddy Eduar Eka Saputra) ระบุว่า ระหว่างที่ถูกคุมขัง เจสสิก้าได้แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมที่ดีตามระบบคะแนนของผู้ต้องขัง จึงได้รับโทษทัณฑ์บน ถึงวันที่ 27 มีนาคม 2575 แต่ระหว่างนั้นจะต้องรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เป็นประจำ เจสสิก้าถูกดำเนินคดีในข้อหาฆาตกรรม หลังจากเพื่อนสนิท วายัน มิร์นา ซาลิอิน (Wayan Mirna Salihin) ดื่มกาแฟเวียดนามเย็น ระหว่างพบกับเพื่อนๆ ที่ร้านโอลิเวอร์คาเฟ่ ภายในศูนย์การค้าแกรนด์อินโดนีเซีย กรุงจาการ์ตา เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2559 ก่อนที่มิร์นาจะมีอาการชักและหมดสติ เสียชีวิตระหว่างนำตัวส่งโรงพยาบาล คดีนี้ตำรวจระบุว่า พบสารไซยาไนด์ในกาแฟที่มิร์นาดื่ม และเจสสิก้าตกเป็นผู้ต้องสงสัย กระทั่งถูกตำรวจควบคุมตัวเจสสิก้าเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2559 ต่อมาวันที่ 21 มิถุนายน 2560 ศาลพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 20 ปี และส่งตัวไปยังเรือนจำ แม้ฝ่ายของเจสสิก้าจะยื่นคำอุทธรณ์ แต่ศาลชั้นสูงได้ปฏิเสธคำอุทธรณ์ดังกล่าว เรื่องดังกล่าวเป็นคดีฆาตกรรมที่โด่งดังในปี 2559 สื่อมวลชนรายงานข่าวคดีนี้อย่างต่อเนื่อง กระทั่งการพิพากษาคดีได้รับการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ และมีผู้ชมนับล้านคน หนังสือพิมพ์จาการ์ตาโพสต์ รายงานว่า ตามคำฟ้อง ผู้พิพากษาสรุปว่าเจสสิกาฆ่ามิร์นาเพื่อแก้แค้น ที่ก่อนหน้านี้มิร์นาบอกให้เจสสิกาเลิกกับ แพทริก โอคอนเนอร์ อดีตแฟนหนุ่มชาวออสเตรเลียของเธอ เรื่องราวระหว่างเจสสิก้าและมิร์นาถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Ice Cold: Murder, Coffee and Jessica Wongso ผลิตโดย Beach House Pictures ออกอากาศผ่านเน็ตฟลิกซ์ ซึ่งออกอากาศเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่ามีเนื้อหาที่ยั่วยุและทำให้เกิดความวุ่นวาย เพราะวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการยุติธรรมของอินโดนีเซีย ขณะที่ทนายความอีกคนหนึ่งของเจสสิก้าอย่าง ฮิดายัต บอสตัม (Hidayat Bostam) กล่าวกับสำนักข่าวจาการ์ตาโกลบ (Jakarta Globe) ว่า ทีมทนายความยังคงดำเนินการพิจารณาทบทวนการตัดสินลงโทษเจสสิกาต่อไป โดยอ้างว่ามีหลักฐานใหม่ที่อาจพลิกคำตัดสินว่ามีความผิดได้ และจะยื่นคำร้องในสัปดาห์หน้า #Newskit #JessicaWongso #IceColdMurder
    Sad
    1
    0 Comments 0 Shares 902 Views 0 Reviews
  • สหรัฐ-รัสเซียแลกตัวนักโทษครั้งใหญ่ .. อีวาน เกิร์ชโควิช นักข่าวของวอลล์สตรีทเจอร์นัล และพอล วีแลน อดีตนาวิกโยธินสหรัฐฯ คาดว่าจะได้รับการปล่อยตัวผ่านการแลกเปลี่ยนนักโทษครั้งใหญ่16รายกับรัสเซีย และรัสเซียได้คืน 8 ราย

    1 กรกฎาคม 2567 -รายงานข่าวจากสื่อBloomberg ระบุว่า อีวาน เกิร์ชโควิช นักข่าว( Evan Gershkovich)ของวอลล์สตรีทเจอร์นัล และพอล วีแลน(Paul Whelan)อดีตนาวิกโยธินสหรัฐฯ ซึ่งเป็นคนหนึ่งใน 16 รายที่คาดว่าจะได้รับการปล่อยตัวผ่านการแลกเปลี่ยนนักโทษครั้งประวัติศาสตร์กับรัสเซีย ขณะที่ทำเนียบขาวไม่ให้ความเห็นเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนนักโทษนี้

    สื่อ RIA ของรัฐบาลรัสเซีย รายงานด้วยว่าทนายความของ Alexander Vinnik ชาวรัสเซียที่ถูกจำคุกอยู่ในสหรัฐฯ กล่าวว่าเขาจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนตัวนักโทษในเร็วๆ นี้โดยปฏิเสธที่จะระบุตำแหน่งที่แน่นอนของเขา

    RIA รายงานว่าข้อมูลของชาวรัสเซีย 4 คนที่ถูกคุมขังอยู่ในสหรัฐฯ ได้แก่ วินนิก แม็กซิม มาร์เชนโก วาดิม โคโนชเชนโก และวลาดิสลาฟ คลูชิน ซึ่งรายชื่อทั้งสี่หายไปจากฐานข้อมูลของกรมราชทัณฑ์ของรัฐบาลกลาง

    ส่วนอดีตนาวิกโยธินสหรัฐ พอล วีแลนถูกจับกุมในปี 2018 และต่อมาถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานเป็นสายลับ โดยเขา ครอบครัวของเขา และรัฐบาลสหรัฐฯ ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว เขาถูกตัดสินจำคุก 16 ปี และรัฐบาลสหรัฐฯชี้ว่าเขา "ถูกคุมขังโดยมิชอบ" แต่ครั้งที่แล้วเขาไม่ได้รับปล่อยตัวเขาได้ในการแลกเปลี่ยนนักโทษครั้งก่อนๆ ซึ่งได้แก่ เทรเวอร์ รีด ชาวอเมริกัน และบริทท์นีย์ กริเนอร์ สตาร์ แห่ง WNBA ซึ่งทั้งคู่ได้รับการปล่อยตัวในการแลกเปลี่ยนนักโทษในปี 2022

    สำหรับ เกิร์ชโควิช นักข่าวของวอลล์สตรีทเจอร์นัลถูกจับกุม ในเยคาเตรินเบิร์กเมื่อเดือนมีนาคม 2023 และถูกกล่าวหาว่าเป็นสายลับของสหรัฐหาข่าวเกี่ยวกับกองทัพรัสเซีย เขากลายเป็นนักข่าวชาวอเมริกันคนแรกที่ถูกคุมขังในรัสเซียนับตั้งแต่สงครามและถูกตัดสินจำคุก 16 ปีในกรกฎาคม

    สื่อBloomberg เป็นคนแรกที่รายงานข่าวการแลกตัวนักโทษดังกล่าว โดยอ้างแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อว่า รัฐบาลของไบเดน กลุ่มเสรีภาพสื่อ และ นายจ้างของเกอร์ชโควิช ต่างเรียกร้องให้ปล่อยตัวเขาและยกฟ้องโทษโดยระบุว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นเรื่องแต่งขึ้นมา

    ก่อนหน้านี้ ไบเดนกล่าวว่าเขายินดีที่จะตกลงแลกเปลี่ยนนักโทษเพื่อปล่อยตัวเกอร์ชโควิช ซึ่งเป็นวิธีที่เขาเคยใช้มาก่อน กรณีปล่อยตัว กรีนเนอร์เพื่อแลกกับวิกเตอร์ บูท พ่อค้าอาวุธชาวรัสเซีย ซึ่งได้รับฉายาว่า “พ่อค้าแห่งความตาย”

    ในบทสัมภาษณ์กับทักเกอร์ คาร์ลสัน อดีตพิธีกรรายการ Fox News เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ประธานาธิบดีรัสเซียวลาดิมีร์ ปูตินระบุว่าเขายินดีที่จะแลกเปลี่ยนนักโทษ และมีการคาดเดาว่ามอสโกว์ต้องการให้วาดิม คราซิคอฟ กลับประเทศ ซึ่งกำลังรับโทษจำคุกตลอดชีวิตในเยอรมนีในข้อหาสังหารพลเมืองจอร์เจียที่ต่อสู้กับรัสเซียในเชชเนียเมื่อปี 2019

    นอกจากนี้ Bloomberg ยังรายงานด้วยว่าVladimir Kara-Murza ซึ่งเป็นคอลัมนิสต์ของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ที่ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ เขาถูกตัดสินจำคุก 25 ปีในข้อหากบฏหลังจากวิจารณ์การรุกรานยูเครนของประเทศรัสเซีย ก็เป็นส่วนหนึ่งของการแลกเปลี่ยนนี้ด้วย

    การแลกเปลี่ยนนักโทษครั้งสุดท้ายระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียเกิดขึ้นในปี 2022 เพื่อปล่อยตัว บริทท์นีย์ กริเนอร์ สตาร์แห่ง WNBA

    สำหรับครั้งนี้ นักโทษทั้ง 24 คน ซึ่งบางคนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง บางคนไม่ใช่ ประกอบไปด้วยนักข่าวและนักการเมืองผู้เห็นต่าง ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นสายลับ แฮกเกอร์คอมพิวเตอร์ และนักต้มตุ๋น รวมถึงชายคนหนึ่งที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฆาตกรรม

    โดยรัสเซียปล่อยตัวนักโทษสหรัฐ 16 คน รวมถึงอีวาน เกิร์ชโควิช นักข่าวของวอลล์สตรีทเจอร์นัล และพอล วีแลน อดีตนาวิกโยธินและผู้บริหารฝ่ายรักษาความปลอดภัยขององค์กรจากมิชิแกน ทั้งคู่ต้องเผชิญกับโทษจำคุกเป็นเวลานานหลังจากถูกตัดสินว่ามีความผิดในระบบกฎหมายของรัสเซียที่มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างหนักในข้อหาจารกรรม ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่าไม่มีมูลความจริง นอกจากนี้ มอสโกยังได้ปล่อยตัวนักข่าวจาก Radio Free Europe/Radio Liberty อย่าง Alsu Kurmasheva ซึ่งเป็นพลเมืองสหรัฐฯ-รัสเซียที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานเผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับกองทัพรัสเซียเมื่อเดือนกรกฎาคม ซึ่งครอบครัวและนายจ้างของเธอได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว และ Vladimir Kara-Murza คอลัมนิสต์วอชิงตันโพสต์นักวิจารณ์เครมลินและนักเขียนที่ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ซึ่งต้องโทษจำคุก 25 ปีในข้อหากบฏซึ่งหลายคนมองว่ามีแรงจูงใจทางการเมือง

    ส่วนในบรรดานักโทษ 8 รายที่รัสเซียได้ตัวกลับคืนมานั้น วาดิม คราซิคอฟ เป็นคนฉาวโฉ่ที่สุด ซึ่งถูกตัดสินว่ามีความผิดในเยอรมนีเมื่อปี 2021 ในข้อหาสังหารอดีตกบฏเชชเนียในสวนสาธารณะแห่งหนึ่งในเบอร์ลินเมื่อ 2 ปีก่อน โดยเห็นได้ชัดว่าเป็นคำสั่งของหน่วยงานความมั่นคงของมอสโก นอกจากนี้ เขายังได้รับตัวเจ้าหน้าที่ "ที่แฝงตัว" 2 คนที่ถูกจำคุกในสโลวีเนีย ชาย 3 คนที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาโดยเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางในสหรัฐฯ และชาย 2 คนที่เพิ่งเดินทางกลับจากนอร์เวย์และโปแลนด์

    https://www.bloomberg.com/news/articles/2024-08-01/us-reporter-released-by-russia-in-multi-country-prisoner-swap

    #Thaitimes

    สหรัฐ-รัสเซียแลกตัวนักโทษครั้งใหญ่ .. อีวาน เกิร์ชโควิช นักข่าวของวอลล์สตรีทเจอร์นัล และพอล วีแลน อดีตนาวิกโยธินสหรัฐฯ คาดว่าจะได้รับการปล่อยตัวผ่านการแลกเปลี่ยนนักโทษครั้งใหญ่16รายกับรัสเซีย และรัสเซียได้คืน 8 ราย 1 กรกฎาคม 2567 -รายงานข่าวจากสื่อBloomberg ระบุว่า อีวาน เกิร์ชโควิช นักข่าว( Evan Gershkovich)ของวอลล์สตรีทเจอร์นัล และพอล วีแลน(Paul Whelan)อดีตนาวิกโยธินสหรัฐฯ ซึ่งเป็นคนหนึ่งใน 16 รายที่คาดว่าจะได้รับการปล่อยตัวผ่านการแลกเปลี่ยนนักโทษครั้งประวัติศาสตร์กับรัสเซีย ขณะที่ทำเนียบขาวไม่ให้ความเห็นเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนนักโทษนี้ สื่อ RIA ของรัฐบาลรัสเซีย รายงานด้วยว่าทนายความของ Alexander Vinnik ชาวรัสเซียที่ถูกจำคุกอยู่ในสหรัฐฯ กล่าวว่าเขาจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนตัวนักโทษในเร็วๆ นี้โดยปฏิเสธที่จะระบุตำแหน่งที่แน่นอนของเขา RIA รายงานว่าข้อมูลของชาวรัสเซีย 4 คนที่ถูกคุมขังอยู่ในสหรัฐฯ ได้แก่ วินนิก แม็กซิม มาร์เชนโก วาดิม โคโนชเชนโก และวลาดิสลาฟ คลูชิน ซึ่งรายชื่อทั้งสี่หายไปจากฐานข้อมูลของกรมราชทัณฑ์ของรัฐบาลกลาง ส่วนอดีตนาวิกโยธินสหรัฐ พอล วีแลนถูกจับกุมในปี 2018 และต่อมาถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานเป็นสายลับ โดยเขา ครอบครัวของเขา และรัฐบาลสหรัฐฯ ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว เขาถูกตัดสินจำคุก 16 ปี และรัฐบาลสหรัฐฯชี้ว่าเขา "ถูกคุมขังโดยมิชอบ" แต่ครั้งที่แล้วเขาไม่ได้รับปล่อยตัวเขาได้ในการแลกเปลี่ยนนักโทษครั้งก่อนๆ ซึ่งได้แก่ เทรเวอร์ รีด ชาวอเมริกัน และบริทท์นีย์ กริเนอร์ สตาร์ แห่ง WNBA ซึ่งทั้งคู่ได้รับการปล่อยตัวในการแลกเปลี่ยนนักโทษในปี 2022 สำหรับ เกิร์ชโควิช นักข่าวของวอลล์สตรีทเจอร์นัลถูกจับกุม ในเยคาเตรินเบิร์กเมื่อเดือนมีนาคม 2023 และถูกกล่าวหาว่าเป็นสายลับของสหรัฐหาข่าวเกี่ยวกับกองทัพรัสเซีย เขากลายเป็นนักข่าวชาวอเมริกันคนแรกที่ถูกคุมขังในรัสเซียนับตั้งแต่สงครามและถูกตัดสินจำคุก 16 ปีในกรกฎาคม สื่อBloomberg เป็นคนแรกที่รายงานข่าวการแลกตัวนักโทษดังกล่าว โดยอ้างแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อว่า รัฐบาลของไบเดน กลุ่มเสรีภาพสื่อ และ นายจ้างของเกอร์ชโควิช ต่างเรียกร้องให้ปล่อยตัวเขาและยกฟ้องโทษโดยระบุว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นเรื่องแต่งขึ้นมา ก่อนหน้านี้ ไบเดนกล่าวว่าเขายินดีที่จะตกลงแลกเปลี่ยนนักโทษเพื่อปล่อยตัวเกอร์ชโควิช ซึ่งเป็นวิธีที่เขาเคยใช้มาก่อน กรณีปล่อยตัว กรีนเนอร์เพื่อแลกกับวิกเตอร์ บูท พ่อค้าอาวุธชาวรัสเซีย ซึ่งได้รับฉายาว่า “พ่อค้าแห่งความตาย” ในบทสัมภาษณ์กับทักเกอร์ คาร์ลสัน อดีตพิธีกรรายการ Fox News เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ประธานาธิบดีรัสเซียวลาดิมีร์ ปูตินระบุว่าเขายินดีที่จะแลกเปลี่ยนนักโทษ และมีการคาดเดาว่ามอสโกว์ต้องการให้วาดิม คราซิคอฟ กลับประเทศ ซึ่งกำลังรับโทษจำคุกตลอดชีวิตในเยอรมนีในข้อหาสังหารพลเมืองจอร์เจียที่ต่อสู้กับรัสเซียในเชชเนียเมื่อปี 2019 นอกจากนี้ Bloomberg ยังรายงานด้วยว่าVladimir Kara-Murza ซึ่งเป็นคอลัมนิสต์ของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ที่ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ เขาถูกตัดสินจำคุก 25 ปีในข้อหากบฏหลังจากวิจารณ์การรุกรานยูเครนของประเทศรัสเซีย ก็เป็นส่วนหนึ่งของการแลกเปลี่ยนนี้ด้วย การแลกเปลี่ยนนักโทษครั้งสุดท้ายระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียเกิดขึ้นในปี 2022 เพื่อปล่อยตัว บริทท์นีย์ กริเนอร์ สตาร์แห่ง WNBA สำหรับครั้งนี้ นักโทษทั้ง 24 คน ซึ่งบางคนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง บางคนไม่ใช่ ประกอบไปด้วยนักข่าวและนักการเมืองผู้เห็นต่าง ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นสายลับ แฮกเกอร์คอมพิวเตอร์ และนักต้มตุ๋น รวมถึงชายคนหนึ่งที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฆาตกรรม โดยรัสเซียปล่อยตัวนักโทษสหรัฐ 16 คน รวมถึงอีวาน เกิร์ชโควิช นักข่าวของวอลล์สตรีทเจอร์นัล และพอล วีแลน อดีตนาวิกโยธินและผู้บริหารฝ่ายรักษาความปลอดภัยขององค์กรจากมิชิแกน ทั้งคู่ต้องเผชิญกับโทษจำคุกเป็นเวลานานหลังจากถูกตัดสินว่ามีความผิดในระบบกฎหมายของรัสเซียที่มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างหนักในข้อหาจารกรรม ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่าไม่มีมูลความจริง นอกจากนี้ มอสโกยังได้ปล่อยตัวนักข่าวจาก Radio Free Europe/Radio Liberty อย่าง Alsu Kurmasheva ซึ่งเป็นพลเมืองสหรัฐฯ-รัสเซียที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานเผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับกองทัพรัสเซียเมื่อเดือนกรกฎาคม ซึ่งครอบครัวและนายจ้างของเธอได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว และ Vladimir Kara-Murza คอลัมนิสต์วอชิงตันโพสต์นักวิจารณ์เครมลินและนักเขียนที่ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ซึ่งต้องโทษจำคุก 25 ปีในข้อหากบฏซึ่งหลายคนมองว่ามีแรงจูงใจทางการเมือง ส่วนในบรรดานักโทษ 8 รายที่รัสเซียได้ตัวกลับคืนมานั้น วาดิม คราซิคอฟ เป็นคนฉาวโฉ่ที่สุด ซึ่งถูกตัดสินว่ามีความผิดในเยอรมนีเมื่อปี 2021 ในข้อหาสังหารอดีตกบฏเชชเนียในสวนสาธารณะแห่งหนึ่งในเบอร์ลินเมื่อ 2 ปีก่อน โดยเห็นได้ชัดว่าเป็นคำสั่งของหน่วยงานความมั่นคงของมอสโก นอกจากนี้ เขายังได้รับตัวเจ้าหน้าที่ "ที่แฝงตัว" 2 คนที่ถูกจำคุกในสโลวีเนีย ชาย 3 คนที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาโดยเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางในสหรัฐฯ และชาย 2 คนที่เพิ่งเดินทางกลับจากนอร์เวย์และโปแลนด์ https://www.bloomberg.com/news/articles/2024-08-01/us-reporter-released-by-russia-in-multi-country-prisoner-swap #Thaitimes
    0 Comments 0 Shares 655 Views 0 Reviews
  • ✅การลดประชากรโลก
    ✍️ covid 19 roadmap
    https://t.me/ThaiPitaksithData/1738
    ✍️ ep6 รู้(ทัน)วาระ เห็นความเชื่อมโยงต่างๆในปัจจุบัน
    https://rumble.com/v1f2lbl-ep6-the-agenda-know-the-outcome-see-the-journey.html
    ✍️ ep7 จำนวนประชากรที่ลดลง ผลจากความตั้งใจ มิใช่แค่เหตุที่เป็นไปโดยธรรมชาติ
    ตอนที่ 1. https://rumble.com/v1g63xr-ep7-1-the-agenda-.html
    ตอนที่ 2. https://rumble.com/v1gwgj7-ep7-2-the-agenda-.html
    ✍️ แม่ชี มีเรียม พูดถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น พระสันตปาปา บิลเกตส์ และการฆาตกรรมหมู่
    https://rumble.com/vo2cjl-40420353.html
    ✍️ 10ขั้นตอนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษยชาติ
    https://rumble.com/vt3c98-10-.html
    ✍️ Dr Judy Makovits เปิดโปง Fauci แหล่งที่มาของviรัส ตั้งแต่พฤษภาคม 2020 https://rumble.com/vo1env-plandemic-dr-judy-makovits-phd-molecular-biologist-may-2020.html
    ✍️ ดร. คอฟแมน - วัkซีuเปลี่ยน DNA มนุษย์
    https://rookon.com/read-blog/103
    ✍️ ประเทศไทย กำลังจะเข้าสู่ ฤดู "ใบไม้ร่วง" คำถามคือ ฤดูนี้จะอยู่นานแค่ไหน?
    https://rookon.com/read-blog/108
    ✍️ จากบทความ Dr. Robert Malone ผู้คิดค้นเทคโนโลยีวรรคซิu mRNA สรุปความโดย ดร.ไพรินทร์ โชติสกุลรัตน์
    https://fb.watch/9Yfe6YW5dl/
    ✍️ ดร.โรเบิร์ต มาโลน นักวิจัยผู้คิดค้น mRNA ที่ยังไม่สมบูรณ์ ออกมาเปิดเผยความอันตรายของวัkซีu mRNA
    https://odysee.com/ChildrenVaccinationWarning:b?r=FcGprKFzZv51EZ9G13RaSbZ9V7hCWD2P
    ✍️WHO Treaty
    https://rookon.com/read-blog/131
    ✍️ไทม์ไลน์ สู่ทรราช
    https://rookon.com/read-blog/44
    ✍️มาตรการโควิด ทำให้มีผู้เสียชีวิต เพิ่มมากขึ้น
    https://rookon.com/read-blog/49
    ✍️ความจริงของโควิด 19 – นพ. อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง
    https://stopthaicontrol.com/2/ความจริงของโควิด-19-นพ-อรร/
    ✍️เครือข่าย 5G, คลื่นความถี่ และ โkวิd สิบ9
    https://docs.google.com/document/d/1KMlPrvr0mNSycUKik_p_dxyaEv-F6K9ZbxWuQF7p0jk/edit?usp=sharing
    ✍️โครงการ Neuralink (โดยอีลอน มัสก์) กับมนุษย์ เวอร์ชั่น 2.0
    https://docs.google.com/document/d/1Ey79M2rz_BiI0YpzhKESQBLm-Z2ACYqxSly3dShaJYA/edit?usp=sharing
    ✍️มนุษย์ เวอร์ชั่น 2.0 โดย Dr.Carrie Madej
    https://docs.google.com/document/d/1Bxh5T9mD9K6ZXTYFM4L3uKg3s87fsnEdfNPWJ3_e4io/edit?usp=sharing
    ✍️มนุษย์ข้ามสายพันธุ์
    https://docs.google.com/document/d/1eWJ4Z552HO6SSrPFuMZwLT7HE5rzmYO_r485lLtEnEQ/edit?usp=sharing
    ✍️ความรู้โดยแพทย์ – ทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งต้นที่ “ความกลัว”
    https://rookon.com/read-blog/16
    ✍️David Icke | โครงสร้างการควบคุมรัฐบาลทั่วโลก
    https://rookon.com/read-blog/35
    ✍️ ว๊ากเสร็จก่อนที่โkวิdจะระบาด
    https://rookon.com/read-blog/12
    ✍️ ผู้อยู่เบื้องหลัง โคขวิดและวอซอลวง
    https://fb.watch/aGglwXBtl5/
    ✍️ปี 1994 อดีตสายลับอังกฤษ MI6 แฉแผนการลดประชากรโลก 😱 โดยองค์กร Club of Rome
    https://t.me/awakened_thailand/443
    ✍️ ไลฟ์สดวัคซีนโควิด ใช้สำหรับลดประชากรโลก จริงหรือไม่?
    https://www.youtube.com/live/hu0KszvGnyQ?si=lx6nWaxYpaGZM49i
    ✅การลดประชากรโลก ✍️ covid 19 roadmap https://t.me/ThaiPitaksithData/1738 ✍️ ep6 รู้(ทัน)วาระ เห็นความเชื่อมโยงต่างๆในปัจจุบัน https://rumble.com/v1f2lbl-ep6-the-agenda-know-the-outcome-see-the-journey.html ✍️ ep7 จำนวนประชากรที่ลดลง ผลจากความตั้งใจ มิใช่แค่เหตุที่เป็นไปโดยธรรมชาติ ตอนที่ 1. https://rumble.com/v1g63xr-ep7-1-the-agenda-.html ตอนที่ 2. https://rumble.com/v1gwgj7-ep7-2-the-agenda-.html ✍️ แม่ชี มีเรียม พูดถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น พระสันตปาปา บิลเกตส์ และการฆาตกรรมหมู่ https://rumble.com/vo2cjl-40420353.html ✍️ 10ขั้นตอนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษยชาติ https://rumble.com/vt3c98-10-.html ✍️ Dr Judy Makovits เปิดโปง Fauci แหล่งที่มาของviรัส ตั้งแต่พฤษภาคม 2020 https://rumble.com/vo1env-plandemic-dr-judy-makovits-phd-molecular-biologist-may-2020.html ✍️ ดร. คอฟแมน - วัkซีuเปลี่ยน DNA มนุษย์ https://rookon.com/read-blog/103 ✍️ ประเทศไทย กำลังจะเข้าสู่ ฤดู "ใบไม้ร่วง" คำถามคือ ฤดูนี้จะอยู่นานแค่ไหน? https://rookon.com/read-blog/108 ✍️ จากบทความ Dr. Robert Malone ผู้คิดค้นเทคโนโลยีวรรคซิu mRNA สรุปความโดย ดร.ไพรินทร์ โชติสกุลรัตน์ https://fb.watch/9Yfe6YW5dl/ ✍️ ดร.โรเบิร์ต มาโลน นักวิจัยผู้คิดค้น mRNA ที่ยังไม่สมบูรณ์ ออกมาเปิดเผยความอันตรายของวัkซีu mRNA https://odysee.com/ChildrenVaccinationWarning:b?r=FcGprKFzZv51EZ9G13RaSbZ9V7hCWD2P ✍️WHO Treaty https://rookon.com/read-blog/131 ✍️ไทม์ไลน์ สู่ทรราช https://rookon.com/read-blog/44 ✍️มาตรการโควิด ทำให้มีผู้เสียชีวิต เพิ่มมากขึ้น https://rookon.com/read-blog/49 ✍️ความจริงของโควิด 19 – นพ. อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง https://stopthaicontrol.com/2/ความจริงของโควิด-19-นพ-อรร/ ✍️เครือข่าย 5G, คลื่นความถี่ และ โkวิd สิบ9 https://docs.google.com/document/d/1KMlPrvr0mNSycUKik_p_dxyaEv-F6K9ZbxWuQF7p0jk/edit?usp=sharing ✍️โครงการ Neuralink (โดยอีลอน มัสก์) กับมนุษย์ เวอร์ชั่น 2.0 https://docs.google.com/document/d/1Ey79M2rz_BiI0YpzhKESQBLm-Z2ACYqxSly3dShaJYA/edit?usp=sharing ✍️มนุษย์ เวอร์ชั่น 2.0 โดย Dr.Carrie Madej https://docs.google.com/document/d/1Bxh5T9mD9K6ZXTYFM4L3uKg3s87fsnEdfNPWJ3_e4io/edit?usp=sharing ✍️มนุษย์ข้ามสายพันธุ์ https://docs.google.com/document/d/1eWJ4Z552HO6SSrPFuMZwLT7HE5rzmYO_r485lLtEnEQ/edit?usp=sharing ✍️ความรู้โดยแพทย์ – ทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งต้นที่ “ความกลัว” https://rookon.com/read-blog/16 ✍️David Icke | โครงสร้างการควบคุมรัฐบาลทั่วโลก https://rookon.com/read-blog/35 ✍️ ว๊ากเสร็จก่อนที่โkวิdจะระบาด https://rookon.com/read-blog/12 ✍️ ผู้อยู่เบื้องหลัง โคขวิดและวอซอลวง https://fb.watch/aGglwXBtl5/ ✍️ปี 1994 อดีตสายลับอังกฤษ MI6 แฉแผนการลดประชากรโลก 😱 โดยองค์กร Club of Rome https://t.me/awakened_thailand/443 ✍️ ไลฟ์สดวัคซีนโควิด ใช้สำหรับลดประชากรโลก จริงหรือไม่? https://www.youtube.com/live/hu0KszvGnyQ?si=lx6nWaxYpaGZM49i
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 580 Views 0 Reviews
  • คดีดังที่มาเลเซีย ฆ่าสาวทิ้งสวนปาล์ม

    ที่ประเทศมาเลเซีย มีคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญอยู่คดีหนึ่งที่เป็นข่าวดังตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา คือการเสียชีวิตของ นางสาวนูร์ ฟาราห์ การ์ตินี อับดุลลาห์ อายุ 25 ปี ซึ่งพบศพภายในสวนปาล์มน้ำมัน ที่บ้านกัมปุง ศรี เกเลดัง เมืองฮูลู สลังงอร์ รัฐสลังงอร์ เมื่อเวลาประมาณ 6 โมงเย็นวันที่ 15 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา

    ก่อนหน้านี้ตำรวจรับแจ้งจากพนักงานของบริษัทให้เช่ารถในเมืองตันจุงมาลิม รัฐเปรัก ว่า นูร์ ฟาราห์ การ์ตินี หายตัวไปเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2567 หลังจากที่เธอส่งรถเช่าให้กับลูกค้า กระทั่งผ่านมา 5 วัน จึงได้พบศพของเธอดังกล่าว

    นูร์ ฟาราห์ การ์ตินี เป็นลูกสาวคนสุดท้องจากพี่น้องทั้งหมด 7 คน บ้านเกิดของเธออยู่ที่เมืองมิริ รัฐซาราวัก บนเกาะบอร์เนียว สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยศึกษาศาสตร์สุลต่านไอดริส (UPSI) เมืองตันจุงมาลิม รัฐเปรัก สาขาการศึกษา (มัลติมีเดีย) เมื่อปีที่แล้ว แต่ไม่ต้องการกลับบ้านเกิด ต้องการอยู่ทำงานเพื่อช่วยเหลือครอบครัว

    วันต่อมา ตำรวจควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย ทราบชื่อภายหลังคือ สิบตำรวจเอก มูฮัมหมัด อาลิฟ มอนจานี อายุ 26 ปี อาชีพรับราชการตำรวจ ยศสิบเอก ประจำสถานีตำรวจสลิมริเวอร์ ในรัฐเปรัก ซึ่งเป็นแฟนหนุ่มของ นูร์ ฟาราห์ การ์ตินี และถูกควบคุมตัวเป็นเวลา 7 วันเพื่อสอบสวนตามกฎหมายมาเลเซีย ก่อนที่จะขยายต่อไปอีก 7 วัน ถึงวันที่ 29 กรกฎาคม 2567

    การค้นหาหลักฐานเพื่อคลี่คลายคดีดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากพบสมาร์ทโฟนลงท่อระบายน้ำในสวนปาล์มน้ำมัน ต่อมาพบกระเป๋าถือของนูร์ ฟาราห์ การ์ตินี ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 20 นาที การตรวจค้นและสอบสวนคนงานไร่มันสำปะหลัง ที่ผู้ต้องสงสัยทำไร่มันนอกเวลางาน รวมทั้งตรวจสอบรถยนต์โตโยต้า วีออส สีแดง และตรวจวิเคราะห์ซิมการ์ดของผู้ต้องสงสัย

    นอกจากนี้ หน่วยสืบสวนนิติเวช ยังค้นหาสิ่งของบนแม่น้ำสลิม ซึ่งเชื่อว่าเป็นจุดที่ผู้ต้องสงสัยทิ้งสิ่งของจากสะพานเหล็กลงไปในแม่น้ำ ท่ามกลางกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก พบกุญแจรถยนต์ห่างออกไปประมาณ 50 เมตร และพบกระเป๋าสตางค์ห่างออกไปอีกเล็กน้อย นอกจากนี้ยังพบข้าวของเครื่องใช้ อุปกรณ์ละหมาด กระเป๋าถือ และสายชาร์จโทรศัพท์อีกด้วย

    ดาตุ๊ก ฮุสเซน โอมาร์ ข่าน หัวหน้าตำรวจรัฐสลังงอร์ เชื่อว่าแรงจูงใจในการฆาตกรรมเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทเรื่องความสัมพันธ์ โดยหลักฐานเพียงพอที่จะตั้งข้อกล่าวหาผู้ต้องสงสัย อาศัยหลักฐานที่พบในหลายสถานที่ทั้งภายในรัฐสลังงอร์ และรัฐเปรัก

    26 กรกฎาคม 2567 ตำรวจควบคุมตัว สิบตำรวจเอก มูฮัมหมัด อาลิฟ มอนจานี ไปที่ศาลแขวงกัวลากูบูบารู ที่เมืองฮูลู สลังงอร์ รัฐสลังงอร์ โดยตั้งข้อหาฆาตกรรม ซึ่งหากตัดสินว่ามีความผิด โทษสูงสุดประหารชีวิต ซึ่งศาลนัดอีกครั้งในวันที่ 30 สิงหาคม 2567

    สำหรับร่างของ นูร์ ฟาราห์ การ์ตินี ถูกฝังไว้เมื่อเวลา 17.02 น. ของวันที่ 18 กรกฎาคม 2567 ที่สุสานกัมปง นยีอูร์ มานิส เมืองเปกัน รัฐปะหัง ซึ่งเป็นบ้านของภรรยาพี่ชาย หลังเสร็จสิ้นการชันสูตรที่โรงพยาบาลสุไหงบูเลาะห์ รัฐสลังงอร์ ซึ่งใช้เวลานานประมาณ 2-3 วัน

    #Newskit #อาชญากรรม #มาเลเซีย
    คดีดังที่มาเลเซีย ฆ่าสาวทิ้งสวนปาล์ม ที่ประเทศมาเลเซีย มีคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญอยู่คดีหนึ่งที่เป็นข่าวดังตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา คือการเสียชีวิตของ นางสาวนูร์ ฟาราห์ การ์ตินี อับดุลลาห์ อายุ 25 ปี ซึ่งพบศพภายในสวนปาล์มน้ำมัน ที่บ้านกัมปุง ศรี เกเลดัง เมืองฮูลู สลังงอร์ รัฐสลังงอร์ เมื่อเวลาประมาณ 6 โมงเย็นวันที่ 15 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ตำรวจรับแจ้งจากพนักงานของบริษัทให้เช่ารถในเมืองตันจุงมาลิม รัฐเปรัก ว่า นูร์ ฟาราห์ การ์ตินี หายตัวไปเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2567 หลังจากที่เธอส่งรถเช่าให้กับลูกค้า กระทั่งผ่านมา 5 วัน จึงได้พบศพของเธอดังกล่าว นูร์ ฟาราห์ การ์ตินี เป็นลูกสาวคนสุดท้องจากพี่น้องทั้งหมด 7 คน บ้านเกิดของเธออยู่ที่เมืองมิริ รัฐซาราวัก บนเกาะบอร์เนียว สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยศึกษาศาสตร์สุลต่านไอดริส (UPSI) เมืองตันจุงมาลิม รัฐเปรัก สาขาการศึกษา (มัลติมีเดีย) เมื่อปีที่แล้ว แต่ไม่ต้องการกลับบ้านเกิด ต้องการอยู่ทำงานเพื่อช่วยเหลือครอบครัว วันต่อมา ตำรวจควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย ทราบชื่อภายหลังคือ สิบตำรวจเอก มูฮัมหมัด อาลิฟ มอนจานี อายุ 26 ปี อาชีพรับราชการตำรวจ ยศสิบเอก ประจำสถานีตำรวจสลิมริเวอร์ ในรัฐเปรัก ซึ่งเป็นแฟนหนุ่มของ นูร์ ฟาราห์ การ์ตินี และถูกควบคุมตัวเป็นเวลา 7 วันเพื่อสอบสวนตามกฎหมายมาเลเซีย ก่อนที่จะขยายต่อไปอีก 7 วัน ถึงวันที่ 29 กรกฎาคม 2567 การค้นหาหลักฐานเพื่อคลี่คลายคดีดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากพบสมาร์ทโฟนลงท่อระบายน้ำในสวนปาล์มน้ำมัน ต่อมาพบกระเป๋าถือของนูร์ ฟาราห์ การ์ตินี ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 20 นาที การตรวจค้นและสอบสวนคนงานไร่มันสำปะหลัง ที่ผู้ต้องสงสัยทำไร่มันนอกเวลางาน รวมทั้งตรวจสอบรถยนต์โตโยต้า วีออส สีแดง และตรวจวิเคราะห์ซิมการ์ดของผู้ต้องสงสัย นอกจากนี้ หน่วยสืบสวนนิติเวช ยังค้นหาสิ่งของบนแม่น้ำสลิม ซึ่งเชื่อว่าเป็นจุดที่ผู้ต้องสงสัยทิ้งสิ่งของจากสะพานเหล็กลงไปในแม่น้ำ ท่ามกลางกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก พบกุญแจรถยนต์ห่างออกไปประมาณ 50 เมตร และพบกระเป๋าสตางค์ห่างออกไปอีกเล็กน้อย นอกจากนี้ยังพบข้าวของเครื่องใช้ อุปกรณ์ละหมาด กระเป๋าถือ และสายชาร์จโทรศัพท์อีกด้วย ดาตุ๊ก ฮุสเซน โอมาร์ ข่าน หัวหน้าตำรวจรัฐสลังงอร์ เชื่อว่าแรงจูงใจในการฆาตกรรมเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทเรื่องความสัมพันธ์ โดยหลักฐานเพียงพอที่จะตั้งข้อกล่าวหาผู้ต้องสงสัย อาศัยหลักฐานที่พบในหลายสถานที่ทั้งภายในรัฐสลังงอร์ และรัฐเปรัก 26 กรกฎาคม 2567 ตำรวจควบคุมตัว สิบตำรวจเอก มูฮัมหมัด อาลิฟ มอนจานี ไปที่ศาลแขวงกัวลากูบูบารู ที่เมืองฮูลู สลังงอร์ รัฐสลังงอร์ โดยตั้งข้อหาฆาตกรรม ซึ่งหากตัดสินว่ามีความผิด โทษสูงสุดประหารชีวิต ซึ่งศาลนัดอีกครั้งในวันที่ 30 สิงหาคม 2567 สำหรับร่างของ นูร์ ฟาราห์ การ์ตินี ถูกฝังไว้เมื่อเวลา 17.02 น. ของวันที่ 18 กรกฎาคม 2567 ที่สุสานกัมปง นยีอูร์ มานิส เมืองเปกัน รัฐปะหัง ซึ่งเป็นบ้านของภรรยาพี่ชาย หลังเสร็จสิ้นการชันสูตรที่โรงพยาบาลสุไหงบูเลาะห์ รัฐสลังงอร์ ซึ่งใช้เวลานานประมาณ 2-3 วัน #Newskit #อาชญากรรม #มาเลเซีย
    Sad
    Angry
    4
    0 Comments 0 Shares 645 Views 0 Reviews