• เปิดเงินเดือน นายก อบจ.
    .
    ตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2445
    .
    มีบัญชีอัตราเงินเดือนและค่าตอบแทนขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) มีดังนี้
    • นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) 75,530 บาท
    • รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (รองนายก อบจ.) 45,540 บาท
    • เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (เลขานุการนายก อบจ.) 19,440 บาท
    • ที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ที่ปรึกษานายก อบจ.) 13,880 บาท
    • ประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ประธานสภา อบจ.) 30,540 บาท
    • รองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (รองประธานสภา อบจ.) 24,990 บาท
    .
    หมายเหตุ
    (1) เงินเดือน 55,530 บาท/ ค่าตอบแทนประจำตำแหน่ง 10,000 บาท/ ค่าตอบแทนพิเศษ 10,0,00 บาท
    (2) เงินเดือน 30,540 บาท/ คำตอบแทนประจำตำแหน่ง 7,500 บาท/ ค่าตอบแทนพิเศษ 7,500 บาท
    เปิดเงินเดือน นายก อบจ. . ตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2445 . มีบัญชีอัตราเงินเดือนและค่าตอบแทนขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) มีดังนี้ • นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) 75,530 บาท • รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (รองนายก อบจ.) 45,540 บาท • เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (เลขานุการนายก อบจ.) 19,440 บาท • ที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ที่ปรึกษานายก อบจ.) 13,880 บาท • ประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ประธานสภา อบจ.) 30,540 บาท • รองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (รองประธานสภา อบจ.) 24,990 บาท . หมายเหตุ (1) เงินเดือน 55,530 บาท/ ค่าตอบแทนประจำตำแหน่ง 10,000 บาท/ ค่าตอบแทนพิเศษ 10,0,00 บาท (2) เงินเดือน 30,540 บาท/ คำตอบแทนประจำตำแหน่ง 7,500 บาท/ ค่าตอบแทนพิเศษ 7,500 บาท
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 199 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดเงินเดือน นายก อบจ.
    .
    ตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2445
    .
    มีบัญชีอัตราเงินเดือนและค่าตอบแทนขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) มีดังนี้
    • นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) 75,530 บาท
    • รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (รองนายก อบจ.) 45,540 บาท
    • เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (เลขานุการนายก อบจ.) 19,440 บาท
    • ที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ที่ปรึกษานายก อบจ.) 13,880 บาท
    • ประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ประธานสภา อบจ.) 30,540 บาท
    • รองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (รองประธานสภา อบจ.) 24,990 บาท
    .
    หมายเหตุ
    (1) เงินเดือน 55,530 บาท/ ค่าตอบแทนประจำตำแหน่ง 10,000 บาท/ ค่าตอบแทนพิเศษ 10,0,00 บาท
    (2) เงินเดือน 30,540 บาท/ คำตอบแทนประจำตำแหน่ง 7,500 บาท/ ค่าตอบแทนพิเศษ 7,500 บาท
    .
    #เงินเดือน #ค่าตอบแทน #ค่าตอบแทน #องค์การบริหารส่วนจังหวัด
    เปิดเงินเดือน นายก อบจ. . ตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2445 . มีบัญชีอัตราเงินเดือนและค่าตอบแทนขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) มีดังนี้ • นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) 75,530 บาท • รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (รองนายก อบจ.) 45,540 บาท • เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (เลขานุการนายก อบจ.) 19,440 บาท • ที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ที่ปรึกษานายก อบจ.) 13,880 บาท • ประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ประธานสภา อบจ.) 30,540 บาท • รองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (รองประธานสภา อบจ.) 24,990 บาท . หมายเหตุ (1) เงินเดือน 55,530 บาท/ ค่าตอบแทนประจำตำแหน่ง 10,000 บาท/ ค่าตอบแทนพิเศษ 10,0,00 บาท (2) เงินเดือน 30,540 บาท/ คำตอบแทนประจำตำแหน่ง 7,500 บาท/ ค่าตอบแทนพิเศษ 7,500 บาท . #เงินเดือน #ค่าตอบแทน #ค่าตอบแทน #องค์การบริหารส่วนจังหวัด
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 199 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดเงินเดือน นายก อบจ.
    .
    ตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2445
    .
    มีบัญชีอัตราเงินเดือนและค่าตอบแทนขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) มีดังนี้
    • นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) 75,530 บาท
    • รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (รองนายก อบจ.) 45,540 บาท
    • เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (เลขานุการนายก อบจ.) 19,440 บาท
    • ที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ที่ปรึกษานายก อบจ.) 13,880 บาท
    • ประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ประธานสภา อบจ.) 30,540 บาท
    • รองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (รองประธานสภา อบจ.) 24,990 บาท
    .
    หมายเหตุ
    (1) เงินเดือน 55,530 บาท/ ค่าตอบแทนประจำตำแหน่ง 10,000 บาท/ ค่าตอบแทนพิเศษ 10,0,00 บาท
    (2) เงินเดือน 30,540 บาท/ คำตอบแทนประจำตำแหน่ง 7,500 บาท/ ค่าตอบแทนพิเศษ 7,500 บาท
    .
    #เงินเดือน #ค่าตอบแทน # #ค่าตอบแทน #องค์การบริหารส่วนจังหวัด
    เปิดเงินเดือน นายก อบจ. . ตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2445 . มีบัญชีอัตราเงินเดือนและค่าตอบแทนขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) มีดังนี้ • นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) 75,530 บาท • รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (รองนายก อบจ.) 45,540 บาท • เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (เลขานุการนายก อบจ.) 19,440 บาท • ที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ที่ปรึกษานายก อบจ.) 13,880 บาท • ประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ประธานสภา อบจ.) 30,540 บาท • รองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (รองประธานสภา อบจ.) 24,990 บาท . หมายเหตุ (1) เงินเดือน 55,530 บาท/ ค่าตอบแทนประจำตำแหน่ง 10,000 บาท/ ค่าตอบแทนพิเศษ 10,0,00 บาท (2) เงินเดือน 30,540 บาท/ คำตอบแทนประจำตำแหน่ง 7,500 บาท/ ค่าตอบแทนพิเศษ 7,500 บาท . #เงินเดือน #ค่าตอบแทน # #ค่าตอบแทน #องค์การบริหารส่วนจังหวัด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 201 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดเงินเดือน นายก อบจ.
    .
    ตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2445
    .
    มีบัญชีอัตราเงินเดือนและค่าตอบแทนขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) มีดังนี้
    • นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) 75,530 บาท
    • รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (รองนายก อบจ.) 45,540 บาท
    • เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (เลขานุการนายก อบจ.) 19,440 บาท
    • ที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ที่ปรึกษานายก อบจ.) 13,880 บาท
    • ประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ประธานสภา อบจ.) 30,540 บาท
    • รองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (รองประธานสภา อบจ.) 24,990 บาท
    .
    หมายเหตุ
    (1) เงินเดือน 55,530 บาท/ ค่าตอบแทนประจำตำแหน่ง 10,000 บาท/ ค่าตอบแทนพิเศษ 10,0,00 บาท
    (2) เงินเดือน 30,540 บาท/ คำตอบแทนประจำตำแหน่ง 7,500 บาท/ ค่าตอบแทนพิเศษ 7,500 บาท
    .
    #เงินเดือน #ค่าตอบแทน # #ค่าตอบแทน #องค์การบริหารส่วนจังหวัด
    เปิดเงินเดือน นายก อบจ. . ตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2445 . มีบัญชีอัตราเงินเดือนและค่าตอบแทนขององค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) มีดังนี้ • นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) 75,530 บาท • รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (รองนายก อบจ.) 45,540 บาท • เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (เลขานุการนายก อบจ.) 19,440 บาท • ที่ปรึกษานายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ที่ปรึกษานายก อบจ.) 13,880 บาท • ประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ประธานสภา อบจ.) 30,540 บาท • รองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (รองประธานสภา อบจ.) 24,990 บาท . หมายเหตุ (1) เงินเดือน 55,530 บาท/ ค่าตอบแทนประจำตำแหน่ง 10,000 บาท/ ค่าตอบแทนพิเศษ 10,0,00 บาท (2) เงินเดือน 30,540 บาท/ คำตอบแทนประจำตำแหน่ง 7,500 บาท/ ค่าตอบแทนพิเศษ 7,500 บาท . #เงินเดือน #ค่าตอบแทน # #ค่าตอบแทน #องค์การบริหารส่วนจังหวัด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 202 มุมมอง 0 รีวิว
  • บริษัท Meta Platforms ที่กำลังพิจารณาย้ายการจดทะเบียนบริษัทจากรัฐเดลาแวร์ไปยังรัฐเท็กซัสหรือรัฐอื่นๆ ในสหรัฐอเมริกา โดยการเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่ส่งผลต่อที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทที่ยังคงอยู่ในเมือง Menlo Park รัฐแคลิฟอร์เนีย การย้ายการจดทะเบียนนี้เป็นการตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมทางกฎหมายและการกำกับดูแลที่เป็นมิตรต่อธุรกิจมากขึ้นในรัฐเท็กซัส การย้ายการจดทะเบียนบริษัทไปยังรัฐเท็กซัสอาจช่วยให้ Meta Platforms ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน

    การตัดสินใจนี้ของ Meta Platforms สะท้อนถึงการตัดสินใจของ Elon Musk ที่ย้ายการจดทะเบียนบริษัท Tesla และ SpaceX ไปยังรัฐเท็กซัสเช่นกัน หลังจากที่ศาลในรัฐเดลาแวร์สั่งให้เขาสละแพ็คเกจค่าตอบแทนมูลค่า 56 พันล้านดอลลาร์

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/01/meta-in-talks-to-reincorporate-in-texas-or-another-state-exit-delaware-wsj-reports
    บริษัท Meta Platforms ที่กำลังพิจารณาย้ายการจดทะเบียนบริษัทจากรัฐเดลาแวร์ไปยังรัฐเท็กซัสหรือรัฐอื่นๆ ในสหรัฐอเมริกา โดยการเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่ส่งผลต่อที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทที่ยังคงอยู่ในเมือง Menlo Park รัฐแคลิฟอร์เนีย การย้ายการจดทะเบียนนี้เป็นการตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมทางกฎหมายและการกำกับดูแลที่เป็นมิตรต่อธุรกิจมากขึ้นในรัฐเท็กซัส การย้ายการจดทะเบียนบริษัทไปยังรัฐเท็กซัสอาจช่วยให้ Meta Platforms ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน การตัดสินใจนี้ของ Meta Platforms สะท้อนถึงการตัดสินใจของ Elon Musk ที่ย้ายการจดทะเบียนบริษัท Tesla และ SpaceX ไปยังรัฐเท็กซัสเช่นกัน หลังจากที่ศาลในรัฐเดลาแวร์สั่งให้เขาสละแพ็คเกจค่าตอบแทนมูลค่า 56 พันล้านดอลลาร์ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/02/01/meta-in-talks-to-reincorporate-in-texas-or-another-state-exit-delaware-wsj-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Meta in talks to reincorporate in Texas or another state, exit Delaware, WSJ reports
    (Reuters) -Meta Platforms is in discussions about moving its incorporation from Delaware to Texas or other states, the Wall Street Journal reported on Friday, citing people familiar with the matter.
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 97 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไทเปกำลังพิจารณาความเป็นไปได้จัดตั้งกองกำลังนักรบนานาชาติท่ามกลางแรงกดดันอย่างหนักทางการทหารจากจีนและเป็นการแก้ไขต่อปัญหาการขาดแคลนกำลังทหารประจำการเปิดช่องอาจใช้วิธีตามอย่างสหรัฐฯให้สิทธิ์ได้สัญชาติเป็นการตอบแทน
    .
    เดลีเทเลกราฟของอังกฤษรายงานวันพุธ(8 ม.ค)ว่า นักการเมืองไทเปและผู้เชี่ยวชาญความมั่นคงทั้งหลายกำลังหารือถึงการเพิ่มจำนวนกำลังทหารกองทัพไต้หวัน และการสร้างกองกำลังนักรบต่างชาติเป็นหนึ่งในประเด็นที่พิจารณา
    .
    กองกำลังต่างชาติ(foreign legion)นี้โด่งดังเมื่อครั้งประธานาธิบดียูเครน โวโลดิมีร์ เซเลนสกี เมื่อช่วงต้นของสงครามยูเครนได้ประกาศรับสมัครจากทั่วโลกโดยประกาศมีค่าตอบแทนให้ในเวลานั้น
    .
    และเมื่อราวตุลาคมปีที่แล้วผู้นำยูเครนได้ลงนามในกฎหมายไฟเขียวให้ทหารต่างชาติรับจ้างเหล่านั้นสามารถขึ้นดำรงตำแหน่งระดับบัญชาการได้
    .
    ริชาร์ด เฉิน (Richard Chen) สมาชิกรัฐสภาไต้หวันกล่าวว่า สิ่งนี้อาจใช้รูปแบบของสหรัฐฯที่หากชาวต่างชาติรับใช้กองทัพนาน 2 ปีจะได้รับสิทธิ์ได้รับสัญชาติตอบแทน แต่เขาชี้ว่าแต่กระบวนการหารืออย่างเป็นทางการในเรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้น
    .
    ข้อเสนอสุดโต่งในการเพิ่มกำลังพลเกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งในสภาเกิดขึ้นท่ามกลางการก้าวขึ้นสู่อำนาจรอบใหม่ของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เคยยืนยันว่า ไต้หวันต้องจ่ายเพิ่มสำหรับการปกป้องทางการทหารจากสหรัฐฯ
    .
    เดลีเทเลกราฟชี้ว่า ทางเลือกในการเพิ่มกำลังพลคือการเสนอต่อผู้อพยพต่างชาติ และสร้างกองกำลังทหารต่างชาติขึ้นมา อเล็กซานเดอร์ หวง (Alexander Huang) ศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยตั้นเจียง (Tamkang) ในกรุงไทเปให้สัมภาษณ์
    .
    ข้อมูลจากสถาบันระหว่างประเทศด้านการศึกษาเชิงยุทธศาสตร์ IISS (International Institute for Strategic Studies’) ระบุว่า รายงานงบประมาณการทหารประจำปี 2022 ชี้ว่า ไต้หวันมีกำลังทหารที่ปฎิบัติหน้าที่ราว 169,000 นายและมีทหารกองหนุนราว 1.66 ล้านนาย
    .
    ขณะที่กองทัพปลดแอกประชาชนจีน PPL นั้นต่างกันมากจากการที่มีกำลังทหารประจำการสูงถึง 2 ล้านนายและทหารประจำการอีก 500,000 นาย
    .
    สื่ออังกฤษรายงานว่า ไต้หวันกลายเป็นหนึ่งในพื้นที่ของโลกที่มีประชากรเกิดต่ำที่สุดในโลกทำให้เป็นการคาดว่าจะเป็นปัญหาต่อการระดมกำลังพลในการเกณฑ์ส่งเข้าประจำการในอนาคต
    .
    อ้างอิงจากตัวเลขสถิติทางการไทเป ในขณะเดียวกันกลับพบว่า บนเกาะซึ่งมีอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกชั้นนำของโลกนี้กลับมีนักศึกษาต่างชาติสูงเกือบ 1 ล้านคน ส่วนใหญ่มาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000002352
    ..............
    Sondhi X
    ไทเปกำลังพิจารณาความเป็นไปได้จัดตั้งกองกำลังนักรบนานาชาติท่ามกลางแรงกดดันอย่างหนักทางการทหารจากจีนและเป็นการแก้ไขต่อปัญหาการขาดแคลนกำลังทหารประจำการเปิดช่องอาจใช้วิธีตามอย่างสหรัฐฯให้สิทธิ์ได้สัญชาติเป็นการตอบแทน . เดลีเทเลกราฟของอังกฤษรายงานวันพุธ(8 ม.ค)ว่า นักการเมืองไทเปและผู้เชี่ยวชาญความมั่นคงทั้งหลายกำลังหารือถึงการเพิ่มจำนวนกำลังทหารกองทัพไต้หวัน และการสร้างกองกำลังนักรบต่างชาติเป็นหนึ่งในประเด็นที่พิจารณา . กองกำลังต่างชาติ(foreign legion)นี้โด่งดังเมื่อครั้งประธานาธิบดียูเครน โวโลดิมีร์ เซเลนสกี เมื่อช่วงต้นของสงครามยูเครนได้ประกาศรับสมัครจากทั่วโลกโดยประกาศมีค่าตอบแทนให้ในเวลานั้น . และเมื่อราวตุลาคมปีที่แล้วผู้นำยูเครนได้ลงนามในกฎหมายไฟเขียวให้ทหารต่างชาติรับจ้างเหล่านั้นสามารถขึ้นดำรงตำแหน่งระดับบัญชาการได้ . ริชาร์ด เฉิน (Richard Chen) สมาชิกรัฐสภาไต้หวันกล่าวว่า สิ่งนี้อาจใช้รูปแบบของสหรัฐฯที่หากชาวต่างชาติรับใช้กองทัพนาน 2 ปีจะได้รับสิทธิ์ได้รับสัญชาติตอบแทน แต่เขาชี้ว่าแต่กระบวนการหารืออย่างเป็นทางการในเรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้น . ข้อเสนอสุดโต่งในการเพิ่มกำลังพลเกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งในสภาเกิดขึ้นท่ามกลางการก้าวขึ้นสู่อำนาจรอบใหม่ของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เคยยืนยันว่า ไต้หวันต้องจ่ายเพิ่มสำหรับการปกป้องทางการทหารจากสหรัฐฯ . เดลีเทเลกราฟชี้ว่า ทางเลือกในการเพิ่มกำลังพลคือการเสนอต่อผู้อพยพต่างชาติ และสร้างกองกำลังทหารต่างชาติขึ้นมา อเล็กซานเดอร์ หวง (Alexander Huang) ศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยตั้นเจียง (Tamkang) ในกรุงไทเปให้สัมภาษณ์ . ข้อมูลจากสถาบันระหว่างประเทศด้านการศึกษาเชิงยุทธศาสตร์ IISS (International Institute for Strategic Studies’) ระบุว่า รายงานงบประมาณการทหารประจำปี 2022 ชี้ว่า ไต้หวันมีกำลังทหารที่ปฎิบัติหน้าที่ราว 169,000 นายและมีทหารกองหนุนราว 1.66 ล้านนาย . ขณะที่กองทัพปลดแอกประชาชนจีน PPL นั้นต่างกันมากจากการที่มีกำลังทหารประจำการสูงถึง 2 ล้านนายและทหารประจำการอีก 500,000 นาย . สื่ออังกฤษรายงานว่า ไต้หวันกลายเป็นหนึ่งในพื้นที่ของโลกที่มีประชากรเกิดต่ำที่สุดในโลกทำให้เป็นการคาดว่าจะเป็นปัญหาต่อการระดมกำลังพลในการเกณฑ์ส่งเข้าประจำการในอนาคต . อ้างอิงจากตัวเลขสถิติทางการไทเป ในขณะเดียวกันกลับพบว่า บนเกาะซึ่งมีอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกชั้นนำของโลกนี้กลับมีนักศึกษาต่างชาติสูงเกือบ 1 ล้านคน ส่วนใหญ่มาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000002352 .............. Sondhi X
    Like
    Angry
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1211 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เรื่องความง่าวของคนมันห้ามกันไม่ได้
    เจอคอมเม้นนี้มา
    "มั่วละๆพี่คิ่ง ฟังอยู่ในห้อง เขามีเหตผม(เหตุผล) ต้องตามฟังยาวนะ อย่าไปฟังแค่บางคำไม่งั้นจะเข้าใจผิด พี่ดาเขาฝ่างชาลี100%"
    โอเค แม่คนใจบาง เชื่อคนง่าย
    สิ่งที่คุณยืนยันรับรองว่านิดาคุ๊กกี้อินฟูแก่ๆ ใน ตต. อยู่ฝั่ง CL 100%นะ
    เป็นฝั่งชาลีที่ด่าขุยอัน
    เป็นฝั่งชาลี ที่ปกป้องซัพพอตเตอร์เบอร์ต้นของกามินแฝดพี่แฝดน้อง
    เป็นฝั่งชาลี ที่พยายามฟอกขาวให้กับแฝดผู้สนับสนุนกามิน ที่มี ผสห มาร้องเรียน มีหลักฐาน มีการดำเนินการทางกฏหมาย และยังช่วยขายของกิน 10% จากยอดขายเป็นค่าตอบแทน
    เป็นฝั่งชาลี ที่บอกว่าชาลีไม่ใช่พ่อ
    เป็นฝั่งชาลี ที่บอกว่าชาลีอาจจะผิดจริง
    เป็นฝั่งชาลี ที่ให้แฟนคลับไปช่วยซื้อของจาก 4 ป้า ขณะที่ด่าชาลี
    เป็นฝั่งชาลี ที่ด้อมดอกเดซี่เข้ามาติดตาม
    เป็นฝั่งชาลี ที่บล็อคคนฝั่งเดียวกัน
    เป็นฝั่งชาลี ที่มีด้อมระดับเทพกามินมาช่วยเชียร์
    เป็นฝั่งชาลี ที่ฟอลโล่ทุกคนที่ด่าชาลีระดับหัวๆ
    เป็นฝั่งชาลี แต่กลับมีความสนิทสนมกับ ผจก ออกตัวดุจเป็นโฆษกของผจกที่โจมมตี CL
    เป็นฝั่งชาลี ที่พยายามอธิบายให้คนอื่นเข้าใจว่า ชาลีเป็นฝ่ายผิดเสมอ
    โอเค เมิงเชื่อก็เชือไป เรื่องของเมิง
    หลายครั้งที่สิ่งที่มันพ่นในไลฟ์ กลับทำให้ CL ถูกด่าหนักมาก
    กรูก็ไม่รู้นะ ว่าคนแบบเมิงใช้สมอง หรือส้นTEEN คิด
    แต่ถึงอย่างไร ก็เรื่องของเมิง เฝ้ารอแต่จะเห็นปาฏิหาร
    ว่าจะมีเหตุผลดีๆ ทั้งๆที่ทุกอย่างที่มันทำ คือการทำร้ายชาลี
    เต็มๆ 100% เมิงก็พร้อมจะเชื่อ เรื่องของเมิง
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #เรื่องความง่าวของคนมันห้ามกันไม่ได้ เจอคอมเม้นนี้มา "มั่วละๆพี่คิ่ง ฟังอยู่ในห้อง เขามีเหตผม(เหตุผล) ต้องตามฟังยาวนะ อย่าไปฟังแค่บางคำไม่งั้นจะเข้าใจผิด พี่ดาเขาฝ่างชาลี100%" โอเค แม่คนใจบาง เชื่อคนง่าย สิ่งที่คุณยืนยันรับรองว่านิดาคุ๊กกี้อินฟูแก่ๆ ใน ตต. อยู่ฝั่ง CL 100%นะ เป็นฝั่งชาลีที่ด่าขุยอัน เป็นฝั่งชาลี ที่ปกป้องซัพพอตเตอร์เบอร์ต้นของกามินแฝดพี่แฝดน้อง เป็นฝั่งชาลี ที่พยายามฟอกขาวให้กับแฝดผู้สนับสนุนกามิน ที่มี ผสห มาร้องเรียน มีหลักฐาน มีการดำเนินการทางกฏหมาย และยังช่วยขายของกิน 10% จากยอดขายเป็นค่าตอบแทน เป็นฝั่งชาลี ที่บอกว่าชาลีไม่ใช่พ่อ เป็นฝั่งชาลี ที่บอกว่าชาลีอาจจะผิดจริง เป็นฝั่งชาลี ที่ให้แฟนคลับไปช่วยซื้อของจาก 4 ป้า ขณะที่ด่าชาลี เป็นฝั่งชาลี ที่ด้อมดอกเดซี่เข้ามาติดตาม เป็นฝั่งชาลี ที่บล็อคคนฝั่งเดียวกัน เป็นฝั่งชาลี ที่มีด้อมระดับเทพกามินมาช่วยเชียร์ เป็นฝั่งชาลี ที่ฟอลโล่ทุกคนที่ด่าชาลีระดับหัวๆ เป็นฝั่งชาลี แต่กลับมีความสนิทสนมกับ ผจก ออกตัวดุจเป็นโฆษกของผจกที่โจมมตี CL เป็นฝั่งชาลี ที่พยายามอธิบายให้คนอื่นเข้าใจว่า ชาลีเป็นฝ่ายผิดเสมอ โอเค เมิงเชื่อก็เชือไป เรื่องของเมิง หลายครั้งที่สิ่งที่มันพ่นในไลฟ์ กลับทำให้ CL ถูกด่าหนักมาก กรูก็ไม่รู้นะ ว่าคนแบบเมิงใช้สมอง หรือส้นTEEN คิด แต่ถึงอย่างไร ก็เรื่องของเมิง เฝ้ารอแต่จะเห็นปาฏิหาร ว่าจะมีเหตุผลดีๆ ทั้งๆที่ทุกอย่างที่มันทำ คือการทำร้ายชาลี เต็มๆ 100% เมิงก็พร้อมจะเชื่อ เรื่องของเมิง #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 417 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อวสาน" รถญี่ปุ่นในไทย
    จากมุมมองของ Nikkei Asia
    .
    ในวาระส่งท้ายปีเก่า 2567 ต้อนรับปีใหม่ 2568 สื่อยักษ์ใหญ่ชื่อดังของญี่ปุ่นคือ นิคเคอิ เอเชีย (Nikkei Asia) ได้เผยแพร่สารคดีข่าว NIKKEI Film : The sound of engines vanishing in Thailand (นิคเคอิ ฟิล์ม : เสียงของเครื่องยนต์ที่กำลังหายไปจากประเทศไทย) ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับสถานการณ์ของบรรดารถยนต์แบรนด์ญี่ปุ่นที่ครั้งหนึ่งเคยครอบครองตลาดรถยนต์ในประเทศไทยมากกว่า 90% แต่ในห้วงระยะเวลาเพียง 2 ปีเท่านั้นกลับถูกรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนรุกไล่ ทำให้ในปี 2567 เหลือส่วนแบ่งยอดขายรถยนต์ในตลาดรถใหม่เพียง 76%
    .
    แม้ว่าในปัจจุบันรถยนต์ค่ายญี่ปุ่นจะยังคงสามารถครอบครองตลาดรถใหม่ในประเทศไทยได้มากกว่า 3 ใน 4 แต่เมื่อพิจารณาปัจจัยจากรอบด้านแล้วไม่ว่าจะเป็น แนวโน้มความต้องการของผู้บริโภค พลวัตรของเหล่าดีลเลอร์ผู้ขายรถยนต์ทั่วประเทศไทย การทยอยปิดโรงงาน การไหลออกของบุคลากร-พนักงาน-ผู้บริหารจากค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นไปสู่ค่ายรถจีน รวมไปถึงการคาดการณ์ตลาดรถยนต์ในอนาคตแล้วรถยนต์ญี่ปุ่นหนีไม่พ้นอาจต้องสูญพันธุ์จากประเทศไทยในอนาคตอันใกล้ หากไม่เร่งปรับตัวให้เร็วกว่านี้
    .
    "ผมเพิ่งซื้อรถยนต์บีวายดีรุ่นใหม่ล่าสุด แล้วผมก็เปรียบเทียบรถอีวี กับ รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบดั้งเดิมเพื่อศึกษาความแตกต่าง ... ฟังก์ชันในรถอีวีของจีนนั้นครบครันมาก อัตราการเร่งก็ฉับไวมาก" คุณบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ ให้สัมภาษณ์กับนิคเคอิเป็นภาษาญี่ปุ่นอันคล่องแคล่ว และเปรียบเทียบต่อว่า
    .
    "ผมมองญี่ปุ่นจากหลาย ๆ มุม ด้วยความที่สำเร็จมาตั้งแต่ในยุคอะนาล็อก ญี่ปุ่นกลับไม่สามารถปรับตัวได้รวดเร็วพอในยุคของเทคโนโลยีดิจิทัล เทียบกับจีนที่ไม่ได้มีความสำเร็จมากนักในยุคของอะนาล็อก แต่พอยุคสมัยของเทคโนโลยีดิจิทัลมาถึง จีนจึงพยายามอย่างมากที่จะดิสรัปอุตสาหกรรมรถยนต์"
    .
    นิคเคอิอธิบายว่า ประเทศไทยซึ่งมีประชากรราว 66 ล้านคน และเป็นระบบเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของอาเซียน นั้นได้ชื่อเล่นว่าเป็น "ดีทรอยต์แห่งเอเชีย (Detroit of Asia)" ด้วยบรรดาบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นที่เข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศก่อนหน้านี้นานหลายทศวรรษ แต่จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นในปี 2566 ที่บริษัทรถยนต์จากจีนรุกเข้่ามาทำตลาด และย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทยอย่างจริงจัง
    .
    "เกือบครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา รถยนต์ญี่ปุ่นสามารถครอบครองยอดขายรถยนต์ใหม่ในประเทศไทยได้มากเกือบ 90% แต่จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อ รถอีวีจากจีนบุกตลาดประเทศไทยในปี 2566 ส่งผลให้ยอดขายรถใหม่ในประเทศไทยของบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นลดลงต่ำกว่า 80% (เหลือ 77.8% ในปี 2566 และ เหลือ 76.2% ในปี 2567)" นิคเคอิระบุ
    .
    จากนั้นจึงกล่าวกว่า บีวายดี (BYD) คือ หัวหอกของบริษัทรถยนต์จีนที่เข้ามาแย่งชิงตลาดในประเทศไทยจากบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่น โดยนิคเคอิได้ดำเนินการสำรวจการขยายตัวของจำนวนดีลเลอร์รถบีวายดีในไทยพบว่า เกือบ 50% ของดีลเลอร์รถบีวายดีนั้นก่อนหน้านั้นเคยเป็นดีลเลอร์ของรถยนต์ค่ายญี่ปุ่น โดยบีวายดีขยายสาขาไปทั่วประเทศ โดยไม่เพียงกวาดดีลเลอร์จากค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นให้เข้ามาซุกใต้ปีก แต่รวมถึงค่ายรถยนต์จากตะวันตกด้วยเช่นกัน
    .
    การรุกไล่ของค่ายรถยนต์จากจีนไม่หยุดอยู่แค่ในระดับการส่งรถยนต์จากจีนมาขายยังเมืองไทย แต่ยังมีการขยายโรงงานผลิตมายังประเทศไทยอย่างต่อเนื่องด้วย ยกตัวอย่างเช่น บีวายดีที่เพิ่งเริ่มเดินสายพานโรงงานผลิตรถยนต์แบบเต็มระบบแห่งแรกในต่างแดนที่ จ.ระยอง เมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ทำให้บุคลากรในแวดวงรถยนต์คนไทยที่มีความสามารถตั้งแต่ระดับฝ่ายผลิต จนถึงผู้บริหารที่เคยสังกัดอยู่กับค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น ไหลไปอยู่กับบริษัทรถยนต์จีนจำนวนมาก
    .
    ด้วยแรงจูงใจสำคัญเป็นค่าตอบแทนที่มากกว่าเดิม 30% 50% 80% หรือกระทั่งเพิ่มขึ้นเท่าตัว!
    .
    นายสื่อ ชิงเคอ (史青科) หรือ Parker Shi ประธานของเกรท วอลล์ มอเตอร์ อินเตอร์เนชันแนล เจ้าของแบรนด์รถยนต์จีน GWM ให้สัมภาษณ์กับสื่อถึงคู่แข่งค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น และการดึงตัวผู้บริหารระดับสูงจากโตโยต้ามาทำงานกับเกรทวอลล์ฯ โดยระบุว่า
    .
    "ด้วยความสัตย์จริง และความเคารพต่อโตโยต้า และรถแบรนด์จากใจ เพราะพวกเขานั้นยอดเยี่ยมจริง ๆ (excellent) คุณวุฒิกร (สุริยะฉันทนานนท์) นั้นเคยทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมที่โตโยต้า และนี่คือเหตุผลที่เขามาอยู่กับเรา" และกล่าวต่อว่า "ถ้าหากคุณไม่มีความกล้าหาญที่จะสู้ ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง คุณก็ตาย ถ้าหากคุณไม่มีอาวุธที่ดีพอ ผลิตภัณฑ์ที่ดี รูปแบบธุรกิจที่ดี กลยุทธ์ที่ดี คุณก็ตาย ถ้าคุณไม่มีทีมเวิร์คที่ดี คุณก็ตาย ... มันไม่มีคนอยู่รอดหรอก เพราะที่กำลังเป็นอยู่นี้คือคือสงคราม ที่เกิดขึ้นในตลาดที่แข่งขันกันอย่างรุนแรง"
    .
    นิคเคอิ เอเชียยังมีโอกาสได้สัมภาษณ์ผู้บริหารบริษัทรถยนต์ชาวญี่ปุ่นในไทยที่ไม่ยอมเปิดเผยชื่อเสียงเรียงนาม โดยผู้บริหารชาวญี่ปุ่นคนนี้ยอมรับว่า บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นละเลยความต้องการของผู้บริโภคไทยไปมาก รวมถึงนำเสนอสินค้าที่เทคโนโลยีล้าหลังไปแล้วให้กับตลาดในประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทย ซึ่งแตกต่างจากค่ายรถจากจีน
    .
    "มันเป็นความจริงที่ว่าแบรนด์รถญี่ปุ่นนั้นมัวแต่มุ่งเน้นไปที่ตลาดใหญ่ ๆ อย่างในยุโรป สหรัฐฯ และญี่ปุ่น โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับตลาดนั้น ๆ นอกจากนี้สิ่งที่เราตัดสินใจผิดพลาดมากที่สุดก็คือ ความรวดเร็วของการเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า
    .
    "และมันเป็นเรื่องจริงที่ค่ายรถญี่ปุ่นนำเสนอสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีค่อนข้างล้าหลัง ซึ่งวางขายอยู่แล้วในประเทศกำลังพัฒนามาขายให้ (ตลาดไทย) ผมคิดว่า นี่เองเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้บริโภคชาวไทยไม่พอใจ และความไม่พอใจนั้นยิ่งนานวันก็สะสมเพิ่มขึ้น ๆ" ผู้บริหารค่ายรถญี่ปุ่นในไทยกล่าวเปิดอก
    .
    ทั้งนี้จากข้อมูลการสำรวจของ LiB Consulting ระบุว่า ภายในปี 2578 (ค.ศ.2035) หรืออีก 10 ปีข้างหน้า ยอดขายรถใหม่ในเมืองไทยจะเปลี่ยนโฉมไปอย่างสิ้นเชิง โดยรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในจะลดปริมาณลงจากปัจจุบันที่ราว 78.5% เหลือเพียง 15% โดยรถอีวี และรถยนต์พลังงานใหม่จะกินส่วนแบ่งการตลาดที่เหลือ จะถูกแบ่งให้รถอีวี (50.7%) และ รถยนต์เทคโนโลยีไฮบริด-อื่นๆ (34.3%)
    .
    ด้วยสถานการณ์และแนวโน้มเช่นนี้ทำให้ ณ ปัจจุบันถือเป็นโอกาสสุดท้ายของค่ายรถยนต์จากญี่ปุ่นในการขยับขับเคลื่อนเพื่อไล่ตามรถอีวีจากจีนให้ทัน และกอบกู้สถานการณ์ด้วยการอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง และตัดสินใจให้เร็ว และฉับไวมากขึ้น
    .
    ทั้งนี้ทั้งนั้น ในเรื่องนี้คุณบุณยสิทธิ์ ประธานเครือสหพัฒน์วัย 87 ที่คร่ำหวอดทั้งในตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค แวดวงอุตสาหกรรม และมีสายสัมพันธ์อันล้ำลึกกับแวดวงอุตสาหกรรมไทย ญี่ปุ่น และจีน กล่าวทิ้งท้ายสารคดีข่าวชิ้นนี้เป็นคำแนะนำให้กับบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นที่กำลังเพลี่ยงพล้ำในประเทศไทยไว้อย่างน่าสนใจว่า
    .
    ในมุมของคุณบุญยสิทธิ์ เดิมทีประธานบริษัทญี่ปุ่นเกือบทั้งหมดนั้นเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท โดยคนเหล่านี้มีจิตวิญญาณของการบุกเบิกและก่อตั้ง แต่เมื่อมาถึงวันนี้ที่ประธานบริษัทกลายเป็นคนรุ่นใหม่ ๆ ที่เติบโตมาภายในกรอบของบริษัท คนเหล่านี้เวลาตัดสินใจอะไรจึงกระทำด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง ซึ่งหากผู้บริหารรุ่นใหม่เล่านี้ไม่ได้ตัดสินใจเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยตัวเอง การตัดสินใจก็จะล่าช้า ไม่ทันการณ์
    .
    อย่างไรก็ตาม ประธานเครือสหพัฒน์ยังกล่าวให้ความหวังด้วยว่า ในสายตาของชาวไทยแบรนด์ญี่ปุ่นยังได้รับความน่าเชื่อถืออย่างสูงอยู่ คนไทยยังมีความเชื่อว่ารถญี่ปุ่นนั้นดีกว่ารถจีน รถยนต์จีนนั้นมีดีเฉพาะเรื่องของแบตเตอรี่ และรถอีวี ซึ่งเมื่อไหร่ที่ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นเปิดตัวรถที่เป็นรถยนต์อีวีบ้าง ตนก็เชื่อว่าคนไทยจะกลับมานิยมรถยนต์ญี่ปุ่นเหมือนเดิม ซึ่งตนก็คาดหวังว่าบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นจะสามารถแข่งขันกับบริษัทรถยนต์จากจีนได้
    .
    สารคดีข่าวชิ้นนี้ของนิคเคอิ สื่อธุรกิจยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นทิ้งท้ายเอาไว้ว่า ด้วยการรุกคืบอย่างไม่หยุดหย่อนของค่ายรถยนต์จีน เวลาของค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นในไทยนั้นคงเหลือน้อยลงทุกที พร้อมกับทิ้งฉากหลังเป็นภาพพระปรางค์วัดอรุณยามดวงอาทิตย์อัสดง
    .
    แล้วท่านผู้อ่านบูรพาไม่แพ้ละครับ มองว่า ค่ายรถญี่ปุ่นใกล้ถึงคราอวสานจากตลาดไทยหรือยัง? หรือ คิดว่าค่ายรถญี่ปุ่นยังมีโอกาสที่จะกู้สถานการณ์ ช่วงชิงตลาดรถยนต์ไทยกลับคืนมาได้ หากมีการปรับเปลี่ยนวิธีคิด และวิธีทำดังที่นิคเคอิ เอเชียรายงานเอาไว้?
    .
    เนื่องวาระดิถีขึ้นปีใหม่ ๒๕๖๘ ทีมงานเพจบูรพาไม่แพ้ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน และครอบครัวมีความสุข สมหวังในสิ่งที่ปรารถนาทุกประการ สวัสดีปีใหม่ครับ 😄 🙏 🎊 🇹🇭 🇯🇵 🇨🇳
    .
    .
    อ้างอิง :
    NIKKEI Film : The sound of engines vanishing in Thailand
    https://www.youtube.com/watch?v=w7ldtHt6Mn4
    "อวสาน" รถญี่ปุ่นในไทย จากมุมมองของ Nikkei Asia . ในวาระส่งท้ายปีเก่า 2567 ต้อนรับปีใหม่ 2568 สื่อยักษ์ใหญ่ชื่อดังของญี่ปุ่นคือ นิคเคอิ เอเชีย (Nikkei Asia) ได้เผยแพร่สารคดีข่าว NIKKEI Film : The sound of engines vanishing in Thailand (นิคเคอิ ฟิล์ม : เสียงของเครื่องยนต์ที่กำลังหายไปจากประเทศไทย) ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับสถานการณ์ของบรรดารถยนต์แบรนด์ญี่ปุ่นที่ครั้งหนึ่งเคยครอบครองตลาดรถยนต์ในประเทศไทยมากกว่า 90% แต่ในห้วงระยะเวลาเพียง 2 ปีเท่านั้นกลับถูกรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนรุกไล่ ทำให้ในปี 2567 เหลือส่วนแบ่งยอดขายรถยนต์ในตลาดรถใหม่เพียง 76% . แม้ว่าในปัจจุบันรถยนต์ค่ายญี่ปุ่นจะยังคงสามารถครอบครองตลาดรถใหม่ในประเทศไทยได้มากกว่า 3 ใน 4 แต่เมื่อพิจารณาปัจจัยจากรอบด้านแล้วไม่ว่าจะเป็น แนวโน้มความต้องการของผู้บริโภค พลวัตรของเหล่าดีลเลอร์ผู้ขายรถยนต์ทั่วประเทศไทย การทยอยปิดโรงงาน การไหลออกของบุคลากร-พนักงาน-ผู้บริหารจากค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นไปสู่ค่ายรถจีน รวมไปถึงการคาดการณ์ตลาดรถยนต์ในอนาคตแล้วรถยนต์ญี่ปุ่นหนีไม่พ้นอาจต้องสูญพันธุ์จากประเทศไทยในอนาคตอันใกล้ หากไม่เร่งปรับตัวให้เร็วกว่านี้ . "ผมเพิ่งซื้อรถยนต์บีวายดีรุ่นใหม่ล่าสุด แล้วผมก็เปรียบเทียบรถอีวี กับ รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบดั้งเดิมเพื่อศึกษาความแตกต่าง ... ฟังก์ชันในรถอีวีของจีนนั้นครบครันมาก อัตราการเร่งก็ฉับไวมาก" คุณบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ ให้สัมภาษณ์กับนิคเคอิเป็นภาษาญี่ปุ่นอันคล่องแคล่ว และเปรียบเทียบต่อว่า . "ผมมองญี่ปุ่นจากหลาย ๆ มุม ด้วยความที่สำเร็จมาตั้งแต่ในยุคอะนาล็อก ญี่ปุ่นกลับไม่สามารถปรับตัวได้รวดเร็วพอในยุคของเทคโนโลยีดิจิทัล เทียบกับจีนที่ไม่ได้มีความสำเร็จมากนักในยุคของอะนาล็อก แต่พอยุคสมัยของเทคโนโลยีดิจิทัลมาถึง จีนจึงพยายามอย่างมากที่จะดิสรัปอุตสาหกรรมรถยนต์" . นิคเคอิอธิบายว่า ประเทศไทยซึ่งมีประชากรราว 66 ล้านคน และเป็นระบบเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของอาเซียน นั้นได้ชื่อเล่นว่าเป็น "ดีทรอยต์แห่งเอเชีย (Detroit of Asia)" ด้วยบรรดาบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นที่เข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศก่อนหน้านี้นานหลายทศวรรษ แต่จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นในปี 2566 ที่บริษัทรถยนต์จากจีนรุกเข้่ามาทำตลาด และย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทยอย่างจริงจัง . "เกือบครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา รถยนต์ญี่ปุ่นสามารถครอบครองยอดขายรถยนต์ใหม่ในประเทศไทยได้มากเกือบ 90% แต่จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อ รถอีวีจากจีนบุกตลาดประเทศไทยในปี 2566 ส่งผลให้ยอดขายรถใหม่ในประเทศไทยของบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นลดลงต่ำกว่า 80% (เหลือ 77.8% ในปี 2566 และ เหลือ 76.2% ในปี 2567)" นิคเคอิระบุ . จากนั้นจึงกล่าวกว่า บีวายดี (BYD) คือ หัวหอกของบริษัทรถยนต์จีนที่เข้ามาแย่งชิงตลาดในประเทศไทยจากบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่น โดยนิคเคอิได้ดำเนินการสำรวจการขยายตัวของจำนวนดีลเลอร์รถบีวายดีในไทยพบว่า เกือบ 50% ของดีลเลอร์รถบีวายดีนั้นก่อนหน้านั้นเคยเป็นดีลเลอร์ของรถยนต์ค่ายญี่ปุ่น โดยบีวายดีขยายสาขาไปทั่วประเทศ โดยไม่เพียงกวาดดีลเลอร์จากค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นให้เข้ามาซุกใต้ปีก แต่รวมถึงค่ายรถยนต์จากตะวันตกด้วยเช่นกัน . การรุกไล่ของค่ายรถยนต์จากจีนไม่หยุดอยู่แค่ในระดับการส่งรถยนต์จากจีนมาขายยังเมืองไทย แต่ยังมีการขยายโรงงานผลิตมายังประเทศไทยอย่างต่อเนื่องด้วย ยกตัวอย่างเช่น บีวายดีที่เพิ่งเริ่มเดินสายพานโรงงานผลิตรถยนต์แบบเต็มระบบแห่งแรกในต่างแดนที่ จ.ระยอง เมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ทำให้บุคลากรในแวดวงรถยนต์คนไทยที่มีความสามารถตั้งแต่ระดับฝ่ายผลิต จนถึงผู้บริหารที่เคยสังกัดอยู่กับค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น ไหลไปอยู่กับบริษัทรถยนต์จีนจำนวนมาก . ด้วยแรงจูงใจสำคัญเป็นค่าตอบแทนที่มากกว่าเดิม 30% 50% 80% หรือกระทั่งเพิ่มขึ้นเท่าตัว! . นายสื่อ ชิงเคอ (史青科) หรือ Parker Shi ประธานของเกรท วอลล์ มอเตอร์ อินเตอร์เนชันแนล เจ้าของแบรนด์รถยนต์จีน GWM ให้สัมภาษณ์กับสื่อถึงคู่แข่งค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น และการดึงตัวผู้บริหารระดับสูงจากโตโยต้ามาทำงานกับเกรทวอลล์ฯ โดยระบุว่า . "ด้วยความสัตย์จริง และความเคารพต่อโตโยต้า และรถแบรนด์จากใจ เพราะพวกเขานั้นยอดเยี่ยมจริง ๆ (excellent) คุณวุฒิกร (สุริยะฉันทนานนท์) นั้นเคยทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมที่โตโยต้า และนี่คือเหตุผลที่เขามาอยู่กับเรา" และกล่าวต่อว่า "ถ้าหากคุณไม่มีความกล้าหาญที่จะสู้ ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง คุณก็ตาย ถ้าหากคุณไม่มีอาวุธที่ดีพอ ผลิตภัณฑ์ที่ดี รูปแบบธุรกิจที่ดี กลยุทธ์ที่ดี คุณก็ตาย ถ้าคุณไม่มีทีมเวิร์คที่ดี คุณก็ตาย ... มันไม่มีคนอยู่รอดหรอก เพราะที่กำลังเป็นอยู่นี้คือคือสงคราม ที่เกิดขึ้นในตลาดที่แข่งขันกันอย่างรุนแรง" . นิคเคอิ เอเชียยังมีโอกาสได้สัมภาษณ์ผู้บริหารบริษัทรถยนต์ชาวญี่ปุ่นในไทยที่ไม่ยอมเปิดเผยชื่อเสียงเรียงนาม โดยผู้บริหารชาวญี่ปุ่นคนนี้ยอมรับว่า บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นละเลยความต้องการของผู้บริโภคไทยไปมาก รวมถึงนำเสนอสินค้าที่เทคโนโลยีล้าหลังไปแล้วให้กับตลาดในประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทย ซึ่งแตกต่างจากค่ายรถจากจีน . "มันเป็นความจริงที่ว่าแบรนด์รถญี่ปุ่นนั้นมัวแต่มุ่งเน้นไปที่ตลาดใหญ่ ๆ อย่างในยุโรป สหรัฐฯ และญี่ปุ่น โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับตลาดนั้น ๆ นอกจากนี้สิ่งที่เราตัดสินใจผิดพลาดมากที่สุดก็คือ ความรวดเร็วของการเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า . "และมันเป็นเรื่องจริงที่ค่ายรถญี่ปุ่นนำเสนอสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีค่อนข้างล้าหลัง ซึ่งวางขายอยู่แล้วในประเทศกำลังพัฒนามาขายให้ (ตลาดไทย) ผมคิดว่า นี่เองเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้บริโภคชาวไทยไม่พอใจ และความไม่พอใจนั้นยิ่งนานวันก็สะสมเพิ่มขึ้น ๆ" ผู้บริหารค่ายรถญี่ปุ่นในไทยกล่าวเปิดอก . ทั้งนี้จากข้อมูลการสำรวจของ LiB Consulting ระบุว่า ภายในปี 2578 (ค.ศ.2035) หรืออีก 10 ปีข้างหน้า ยอดขายรถใหม่ในเมืองไทยจะเปลี่ยนโฉมไปอย่างสิ้นเชิง โดยรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในจะลดปริมาณลงจากปัจจุบันที่ราว 78.5% เหลือเพียง 15% โดยรถอีวี และรถยนต์พลังงานใหม่จะกินส่วนแบ่งการตลาดที่เหลือ จะถูกแบ่งให้รถอีวี (50.7%) และ รถยนต์เทคโนโลยีไฮบริด-อื่นๆ (34.3%) . ด้วยสถานการณ์และแนวโน้มเช่นนี้ทำให้ ณ ปัจจุบันถือเป็นโอกาสสุดท้ายของค่ายรถยนต์จากญี่ปุ่นในการขยับขับเคลื่อนเพื่อไล่ตามรถอีวีจากจีนให้ทัน และกอบกู้สถานการณ์ด้วยการอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง และตัดสินใจให้เร็ว และฉับไวมากขึ้น . ทั้งนี้ทั้งนั้น ในเรื่องนี้คุณบุณยสิทธิ์ ประธานเครือสหพัฒน์วัย 87 ที่คร่ำหวอดทั้งในตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค แวดวงอุตสาหกรรม และมีสายสัมพันธ์อันล้ำลึกกับแวดวงอุตสาหกรรมไทย ญี่ปุ่น และจีน กล่าวทิ้งท้ายสารคดีข่าวชิ้นนี้เป็นคำแนะนำให้กับบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นที่กำลังเพลี่ยงพล้ำในประเทศไทยไว้อย่างน่าสนใจว่า . ในมุมของคุณบุญยสิทธิ์ เดิมทีประธานบริษัทญี่ปุ่นเกือบทั้งหมดนั้นเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท โดยคนเหล่านี้มีจิตวิญญาณของการบุกเบิกและก่อตั้ง แต่เมื่อมาถึงวันนี้ที่ประธานบริษัทกลายเป็นคนรุ่นใหม่ ๆ ที่เติบโตมาภายในกรอบของบริษัท คนเหล่านี้เวลาตัดสินใจอะไรจึงกระทำด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง ซึ่งหากผู้บริหารรุ่นใหม่เล่านี้ไม่ได้ตัดสินใจเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยตัวเอง การตัดสินใจก็จะล่าช้า ไม่ทันการณ์ . อย่างไรก็ตาม ประธานเครือสหพัฒน์ยังกล่าวให้ความหวังด้วยว่า ในสายตาของชาวไทยแบรนด์ญี่ปุ่นยังได้รับความน่าเชื่อถืออย่างสูงอยู่ คนไทยยังมีความเชื่อว่ารถญี่ปุ่นนั้นดีกว่ารถจีน รถยนต์จีนนั้นมีดีเฉพาะเรื่องของแบตเตอรี่ และรถอีวี ซึ่งเมื่อไหร่ที่ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นเปิดตัวรถที่เป็นรถยนต์อีวีบ้าง ตนก็เชื่อว่าคนไทยจะกลับมานิยมรถยนต์ญี่ปุ่นเหมือนเดิม ซึ่งตนก็คาดหวังว่าบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นจะสามารถแข่งขันกับบริษัทรถยนต์จากจีนได้ . สารคดีข่าวชิ้นนี้ของนิคเคอิ สื่อธุรกิจยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นทิ้งท้ายเอาไว้ว่า ด้วยการรุกคืบอย่างไม่หยุดหย่อนของค่ายรถยนต์จีน เวลาของค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นในไทยนั้นคงเหลือน้อยลงทุกที พร้อมกับทิ้งฉากหลังเป็นภาพพระปรางค์วัดอรุณยามดวงอาทิตย์อัสดง . แล้วท่านผู้อ่านบูรพาไม่แพ้ละครับ มองว่า ค่ายรถญี่ปุ่นใกล้ถึงคราอวสานจากตลาดไทยหรือยัง? หรือ คิดว่าค่ายรถญี่ปุ่นยังมีโอกาสที่จะกู้สถานการณ์ ช่วงชิงตลาดรถยนต์ไทยกลับคืนมาได้ หากมีการปรับเปลี่ยนวิธีคิด และวิธีทำดังที่นิคเคอิ เอเชียรายงานเอาไว้? . เนื่องวาระดิถีขึ้นปีใหม่ ๒๕๖๘ ทีมงานเพจบูรพาไม่แพ้ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน และครอบครัวมีความสุข สมหวังในสิ่งที่ปรารถนาทุกประการ สวัสดีปีใหม่ครับ 😄 🙏 🎊 🇹🇭 🇯🇵 🇨🇳 . . อ้างอิง : NIKKEI Film : The sound of engines vanishing in Thailand https://www.youtube.com/watch?v=w7ldtHt6Mn4
    Like
    7
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 846 มุมมอง 1 รีวิว
  • MGR Online - รมว.ยธ. แจง "แบงค์ เลสเตอร์" ดื่มเหล้าหนักจนเสียชีวิตแลกคอนเทนต์หรือค่าตอบแทน มอบ "คุ้มครองสิทธิฯ" พิจารณาตาม พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหายฯ ในคดีอาญา ชี้เป็นอาชญากรรมอุบัติใหม่ยังไม่มีกฎหมายควบคุม

    วันนี้ (27 ธ.ค.) ที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม เผยถึงประเด็นการถ่ายคลิปทำคอนเทนต์ “แบงค์ เลสเตอร์” หรือ นายธนาคาร คันธี อายุ 27 ปี จนล่าสุดเสียชีวิตจากการดื่มสุราหนักและมีการกลั่นแกล้งลดทอนความเป็นมนุษย์ ว่า ตนมองว่าเป็นอาชญากรรมอุบัติใหม่ แม้แต่การกระทำต่อเด็ก อาทิ ภาพลามกหรือถูกกระทำรุนแรง ซึ่งในประเทศไทยไม่มีการล็อคระบบโซเชียลมีเดีย ซึ่งบางประเทศมีการออกกฎหมายควบคุม โดยขณะนี้มีการเสนอกฎหมายเรื่องการปล่อยสื่อลามกหรือยั่วยุกระทำผิดต่อเด็ก แต่บางส่วนสังคมต้องช่วยกัน ส่วนกฎหมายเดิมที่มีอยู่แล้วต้องตรวจสอบว่าสามารถที่จะควบคุมเป็นตัวอย่างไม่ให้เกิดขึ้นอีกได้หรือไม่

    พ.ต.อ.ทวี เผยว่า ส่วนการเยียวยากรณี “แบงค์ เลสเตอร์” จะเข้าตาม พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559) หรือไม่นั้น เนื่องจากอาจมีการว่าจ้างทำคอนเทนต์หรือให้เงินเป็นค่าตอบแทน เบื้องต้นต้องตรวจสอบว่าเข้าฐานความผิดต่อชีวิต ร่างกายและเพศหรือไม่ โดยจะมอบหมาย กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ดำเนินการ ส่วนใช้เงินจ้างนั้นจะตรวจสอบข้อมูลก่อน หากมีเจตนาประสงค์ต่อผล บีบบังคับให้ฆ่าตัวตาย ก็ต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริง รวมทั้ง ให้ยุติธรรมจังหวัดช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิต

    #MGROnline #แบงค์เลสเตอร์
    MGR Online - รมว.ยธ. แจง "แบงค์ เลสเตอร์" ดื่มเหล้าหนักจนเสียชีวิตแลกคอนเทนต์หรือค่าตอบแทน มอบ "คุ้มครองสิทธิฯ" พิจารณาตาม พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหายฯ ในคดีอาญา ชี้เป็นอาชญากรรมอุบัติใหม่ยังไม่มีกฎหมายควบคุม • วันนี้ (27 ธ.ค.) ที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม เผยถึงประเด็นการถ่ายคลิปทำคอนเทนต์ “แบงค์ เลสเตอร์” หรือ นายธนาคาร คันธี อายุ 27 ปี จนล่าสุดเสียชีวิตจากการดื่มสุราหนักและมีการกลั่นแกล้งลดทอนความเป็นมนุษย์ ว่า ตนมองว่าเป็นอาชญากรรมอุบัติใหม่ แม้แต่การกระทำต่อเด็ก อาทิ ภาพลามกหรือถูกกระทำรุนแรง ซึ่งในประเทศไทยไม่มีการล็อคระบบโซเชียลมีเดีย ซึ่งบางประเทศมีการออกกฎหมายควบคุม โดยขณะนี้มีการเสนอกฎหมายเรื่องการปล่อยสื่อลามกหรือยั่วยุกระทำผิดต่อเด็ก แต่บางส่วนสังคมต้องช่วยกัน ส่วนกฎหมายเดิมที่มีอยู่แล้วต้องตรวจสอบว่าสามารถที่จะควบคุมเป็นตัวอย่างไม่ให้เกิดขึ้นอีกได้หรือไม่ • พ.ต.อ.ทวี เผยว่า ส่วนการเยียวยากรณี “แบงค์ เลสเตอร์” จะเข้าตาม พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559) หรือไม่นั้น เนื่องจากอาจมีการว่าจ้างทำคอนเทนต์หรือให้เงินเป็นค่าตอบแทน เบื้องต้นต้องตรวจสอบว่าเข้าฐานความผิดต่อชีวิต ร่างกายและเพศหรือไม่ โดยจะมอบหมาย กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ดำเนินการ ส่วนใช้เงินจ้างนั้นจะตรวจสอบข้อมูลก่อน หากมีเจตนาประสงค์ต่อผล บีบบังคับให้ฆ่าตัวตาย ก็ต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริง รวมทั้ง ให้ยุติธรรมจังหวัดช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิต • #MGROnline #แบงค์เลสเตอร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 282 มุมมอง 0 รีวิว
  • MGR Online - รมว.ยธ. เผย การประตัวผู้ต้องหาระหว่างพิจารณาทำได้ช่วยลดแออัดในเรือนจำ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจศาล ส่วนกรณี "ดีเจแมน" ศาลยกฟ้อง พร้อมเยียวยา หากคดีถึงที่สุด

    วันนี้ (27 ธ.ค.) ที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีสิทธิประกันตัวผู้ต้องหาระหว่างพิจารณาคดี หลัง นายพัฒนพล กุญชร หรือ "ดีเจแมน" ที่ศาลชั้นต้นยกฟ้อง ส่งผลกระทบต่อประวัติ ชื่อเสียงและหน้าที่การงาน ว่า กระทรวงยุติธรรมมีการส่งเสริมให้ได้รับการประกันตัวอยู่แล้วเพราะผู้ต้องขังในเรือนจำ มึมากกว่า 3 แสนราย และคดีระหว่างพิจารณามีประมาณ 6 หมื่นคดี ซึ่งสิทธิการได้รับการประกันตัวเป็นตามสิทธิรัฐธรรมนูญ แต่ทางศาลอาจมีดุลยพินิจในการให้ประกันตัว ทราบว่าขณะนี้ศาลชั้นต้นยกฟ้องและอยู่ระหว่างพิจารณาอุทธรณ์คดีของพนักงานอัยการ ทั้งนี้ หากอัยการไม่อุทธรณ์จะส่งหนังสือมา กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หากเห็นด้วยก็จบ แต่มีความเห็นแย้งต้องให้อัยการสูงสุดเป็นผู้ชี้ขาด

    เมื่อถามกรณี "ดีเจแมน" ศาลชั้นต้นยกฟ้องอาจจะกระทบถึงคดี "ดิไอคอน" หรือไม่ พ.ต.อ.ทวี เผยว่า กระทรวงยุติธรรม มีกฎหมาย พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559) กรณีศาลยกฟ้องเพื่อเยียวยาผู้เสียหาย ติดคุกฟรี แม้เงินอาจไม่มากนักแต่ก็แสดงว่าหน่วยงานรัฐต้องการขอโทษหากคดีเด็ดขาดถึงที่สุดแล้ว อย่างไรก็ตาม ในคดีอื่นๆ หลังจากนี้จะมีการพิจารณาให้ประกันตัวผู้ต้องหาระหว่างพิจารณาคดีเพื่อเป็นบรรทัดฐานนำคนเข้าคุกแล้วศาลมีการยกฟ้อง ต้องชี้แจงว่าในส่วนของพนักงานสอบสวนเรื่องการประกันตัวอยู่ในดุลยพินิจของศาล ส่วนศาลไม่ให้ประกันน่าจะมีเหตุผล

    #MGROnline #ดีเจแมน
    MGR Online - รมว.ยธ. เผย การประตัวผู้ต้องหาระหว่างพิจารณาทำได้ช่วยลดแออัดในเรือนจำ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจศาล ส่วนกรณี "ดีเจแมน" ศาลยกฟ้อง พร้อมเยียวยา หากคดีถึงที่สุด • วันนี้ (27 ธ.ค.) ที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีสิทธิประกันตัวผู้ต้องหาระหว่างพิจารณาคดี หลัง นายพัฒนพล กุญชร หรือ "ดีเจแมน" ที่ศาลชั้นต้นยกฟ้อง ส่งผลกระทบต่อประวัติ ชื่อเสียงและหน้าที่การงาน ว่า กระทรวงยุติธรรมมีการส่งเสริมให้ได้รับการประกันตัวอยู่แล้วเพราะผู้ต้องขังในเรือนจำ มึมากกว่า 3 แสนราย และคดีระหว่างพิจารณามีประมาณ 6 หมื่นคดี ซึ่งสิทธิการได้รับการประกันตัวเป็นตามสิทธิรัฐธรรมนูญ แต่ทางศาลอาจมีดุลยพินิจในการให้ประกันตัว ทราบว่าขณะนี้ศาลชั้นต้นยกฟ้องและอยู่ระหว่างพิจารณาอุทธรณ์คดีของพนักงานอัยการ ทั้งนี้ หากอัยการไม่อุทธรณ์จะส่งหนังสือมา กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หากเห็นด้วยก็จบ แต่มีความเห็นแย้งต้องให้อัยการสูงสุดเป็นผู้ชี้ขาด • เมื่อถามกรณี "ดีเจแมน" ศาลชั้นต้นยกฟ้องอาจจะกระทบถึงคดี "ดิไอคอน" หรือไม่ พ.ต.อ.ทวี เผยว่า กระทรวงยุติธรรม มีกฎหมาย พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559) กรณีศาลยกฟ้องเพื่อเยียวยาผู้เสียหาย ติดคุกฟรี แม้เงินอาจไม่มากนักแต่ก็แสดงว่าหน่วยงานรัฐต้องการขอโทษหากคดีเด็ดขาดถึงที่สุดแล้ว อย่างไรก็ตาม ในคดีอื่นๆ หลังจากนี้จะมีการพิจารณาให้ประกันตัวผู้ต้องหาระหว่างพิจารณาคดีเพื่อเป็นบรรทัดฐานนำคนเข้าคุกแล้วศาลมีการยกฟ้อง ต้องชี้แจงว่าในส่วนของพนักงานสอบสวนเรื่องการประกันตัวอยู่ในดุลยพินิจของศาล ส่วนศาลไม่ให้ประกันน่าจะมีเหตุผล • #MGROnline #ดีเจแมน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 411 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ถ้าจริงนี่พี่คิงส์ต้องถึงกับสตั๊นเลยนะ
    ไม่ต้องทำห่านจิกอะไร เดือนนึงโชว์หน้าพ่น
    ไม่ต้องลงทุน ไม่ต้องรับผิดชอบค่าพนักงาน
    ไม่มีรายจ่ายใดๆที่เกียวกับการบรอดแคส
    ไม่ต้องจ่ายให้อิผจกปูนิติบุคคลหมู่บ้าน
    พวกเมิงได้ตังกันละ มาเสนอหน้า
    เดือนละ 2 รอบ ถ้าเสนอหน้ามากกว่านั้นก็ได้เพิ่ม
    .........................................................................................
    ถ้าข้อมูลนี่จริง
    แล้วที่พวกเมิงบอกว่า ไปขอให้น้องเพิ่มค่าตอบแทน
    และน้องไม่ให้้ เมิงเลยเลือกเวย์มาทางอิ ผจกปูนิติบุคคลหมู่บ้านพี่คิงส์
    แล้วพูดหน้าตาเฉยว่า อยากมั่นคง มั่งคั่งอะนะ
    ได้เฉลี่ยขั้นต่ำ ที่น้องให้ค่าตอบแทน
    เดือนละ กี่หมื่นก็แล้วแต่
    หรือถ้าจะบอกว่าเฉพาะคอสตูมได้สามหมื่น
    หรือบลาๆ ได้เท่าไหร่ก็ไตาม จะหมื่นจะสามหมื่นจะห้าหมื่น
    ถ้าพวกเมิงบอกไม่พอ อีxxx
    ถ้ามีสมองซักนิดนึงนะที่ซุยว่าจบป.ตรีทั้ง 4 คนอะ
    เอาเวลาอีก 20 กว่าวัน ไปทำมาหาแดรกเพิ่มสิ
    ถ้าสิ่งทีน้องเมิงให้ได้จะกี่หมื่นมันยังไม่สามารถสนองตอบต่อความต้องการอันไม่มีที่สุดสุดได้
    นี่คือที่ว่าน้องเมิงมาว่าไม่มีดีเลยเนี่ยนะ
    แล้วก็ไปอยู่ฝั่งคนที่เคยด่ามารดาตัวเองกลางไลฟ์อะนะ
    กรรูว่า เป็นความโลภภแล้วหวว่ะ
    ไม่ใช่ให้น้อย ไม่ใช่ไม่พอ
    แต่ไม่รู้จักพอมากว่า
    อิเวง
    4 NERAKUN
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #ถ้าจริงนี่พี่คิงส์ต้องถึงกับสตั๊นเลยนะ ไม่ต้องทำห่านจิกอะไร เดือนนึงโชว์หน้าพ่น ไม่ต้องลงทุน ไม่ต้องรับผิดชอบค่าพนักงาน ไม่มีรายจ่ายใดๆที่เกียวกับการบรอดแคส ไม่ต้องจ่ายให้อิผจกปูนิติบุคคลหมู่บ้าน พวกเมิงได้ตังกันละ มาเสนอหน้า เดือนละ 2 รอบ ถ้าเสนอหน้ามากกว่านั้นก็ได้เพิ่ม ......................................................................................... ถ้าข้อมูลนี่จริง แล้วที่พวกเมิงบอกว่า ไปขอให้น้องเพิ่มค่าตอบแทน และน้องไม่ให้้ เมิงเลยเลือกเวย์มาทางอิ ผจกปูนิติบุคคลหมู่บ้านพี่คิงส์ แล้วพูดหน้าตาเฉยว่า อยากมั่นคง มั่งคั่งอะนะ ได้เฉลี่ยขั้นต่ำ ที่น้องให้ค่าตอบแทน เดือนละ กี่หมื่นก็แล้วแต่ หรือถ้าจะบอกว่าเฉพาะคอสตูมได้สามหมื่น หรือบลาๆ ได้เท่าไหร่ก็ไตาม จะหมื่นจะสามหมื่นจะห้าหมื่น ถ้าพวกเมิงบอกไม่พอ อีxxx ถ้ามีสมองซักนิดนึงนะที่ซุยว่าจบป.ตรีทั้ง 4 คนอะ เอาเวลาอีก 20 กว่าวัน ไปทำมาหาแดรกเพิ่มสิ ถ้าสิ่งทีน้องเมิงให้ได้จะกี่หมื่นมันยังไม่สามารถสนองตอบต่อความต้องการอันไม่มีที่สุดสุดได้ นี่คือที่ว่าน้องเมิงมาว่าไม่มีดีเลยเนี่ยนะ แล้วก็ไปอยู่ฝั่งคนที่เคยด่ามารดาตัวเองกลางไลฟ์อะนะ กรรูว่า เป็นความโลภภแล้วหวว่ะ ไม่ใช่ให้น้อย ไม่ใช่ไม่พอ แต่ไม่รู้จักพอมากว่า อิเวง 4 NERAKUN #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 274 มุมมอง 0 รีวิว
  • ถูกดีมีมาตรฐาน สังหารหมู่โชห่วยไปกี่รายละ
    ถูก ดี มีมาตรฐาน ก็แค่ชื่อสวยหรูดูโก้เท่านั้น
    แพง เลว สองมาตรฐาน นี่แหละของจริงที่คาราบวยกรุ๊ปของไอ้กร๊วกแอ๊ดกับไอ้เสถียรสถุนที่พนักงานระดับสูงอย่างกะสวรรค์ ลูกจ้างชั่นต่ำและทาสในระบบถูกดีมีมาตรฐานปลอมๆอย่างกะนรก
    มาตรฐานนรก จาก ถูก-ดี มีมาตรฐาน
    ถูก - เป็นแรงงานบุคลากรราคาถูก และทำงานเยอะไม่มีพัก OT ก็ไม่มี ที่ถูกไม่ใช่สินค้า แต่ค่าตอบแทนมันถูก และมันถูกเกินไป เป็นได้แค่ลูกจ้างราคาถูกจะไปสู้กันซึ่งๆหน้าได้อย่างไร หลอกให้มาโดนมัดมือชก ธุรกิจส้นตีนแบบนี้ไม่มีใครเขาทำกันหรอก
    ดี - ดีแต่กดขี่หลังหลอกลวงโชห่วยโง่ๆมาแล้วหลายราย แต่ล้มละลายไม่มีชิ้นดีเพราะ ถูก-ดี มีมาตรฐาน แบรนด์โก้จี๊ดจ๊าด
    มีมาตรฐาน - มีมาตรฐานที่หนึ่งและมาตรฐานที่สอง ใช้ทีมกฎหมายข่มเหงข่มขู่โชห่วยโง่ๆที่ตัวเองหลอกลวงมาแล้ว
    ถูกดีมีมาตรฐาน สังหารหมู่โชห่วยไปกี่รายละ ถูก ดี มีมาตรฐาน ก็แค่ชื่อสวยหรูดูโก้เท่านั้น แพง เลว สองมาตรฐาน นี่แหละของจริงที่คาราบวยกรุ๊ปของไอ้กร๊วกแอ๊ดกับไอ้เสถียรสถุนที่พนักงานระดับสูงอย่างกะสวรรค์ ลูกจ้างชั่นต่ำและทาสในระบบถูกดีมีมาตรฐานปลอมๆอย่างกะนรก มาตรฐานนรก จาก ถูก-ดี มีมาตรฐาน ถูก - เป็นแรงงานบุคลากรราคาถูก และทำงานเยอะไม่มีพัก OT ก็ไม่มี ที่ถูกไม่ใช่สินค้า แต่ค่าตอบแทนมันถูก และมันถูกเกินไป เป็นได้แค่ลูกจ้างราคาถูกจะไปสู้กันซึ่งๆหน้าได้อย่างไร หลอกให้มาโดนมัดมือชก ธุรกิจส้นตีนแบบนี้ไม่มีใครเขาทำกันหรอก ดี - ดีแต่กดขี่หลังหลอกลวงโชห่วยโง่ๆมาแล้วหลายราย แต่ล้มละลายไม่มีชิ้นดีเพราะ ถูก-ดี มีมาตรฐาน แบรนด์โก้จี๊ดจ๊าด มีมาตรฐาน - มีมาตรฐานที่หนึ่งและมาตรฐานที่สอง ใช้ทีมกฎหมายข่มเหงข่มขู่โชห่วยโง่ๆที่ตัวเองหลอกลวงมาแล้ว
    “ทีดี ตะวันแดง” เจ้าของแฟรนไชส์ โชห่วยถูกดีฯ ออกแถลงการณ์ ชี้กลุ่มที่ไปร้องเรียนดีเอสไอ กล่าวหาบริษัทหลอกลวงลงทุน คือพวกที่เบียดบังเงินบริษัท หลายคนถูกดำเนินคดี จึงรวมตัวกันไปร้องเรียน เผยแพร่ความเท็จให้สังคมเข้าใจผิด เพื่อต่อรองเรื่องหนี้สินและคดีความของตัวเอง ลั่นจะดำเนินการทางกฎหมายเต็มที่ ขอสื่ออย่าตกเป็นเครื่องมือ

    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9670000115206

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 295 มุมมอง 0 รีวิว
  • โรงพยาบาลธนบุรี สลัดภาพหมอบุญ

    กลุ่มโรงพยาบาลธนบุรี ภายใต้ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG อำนาจเบ็ดเสร็จไม่ได้เป็นของกลุ่มหมอบุญ นพ.บุญ วนาสิน ที่หลบหนีคดีฉ้อโกงและฟอกเงินไปอยู่ต่างประเทศอีกต่อไป แต่กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง (RAM) ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่งใน THG ภายใต้การนำของ นพ.เอื้อชาติ กาญจนพิทักษ์ กำลังเข้ามากอบกู้สถานการณ์ แม้ยี่ห้อหมอบุญกับโรงพยาบาลธนบุรี จะกระทบความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ยังไม่เคยใช้บริการก็ตาม

    ก่อนหน้านี้มีการแต่งตั้ง ศ.คลินิก นพ.วิศิษฎ์ วามวาณิชย์ อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช และอดีตรองคณบดีฝ่ายพันธกิจบริการทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล มาเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลธนบุรี หลังเกษียณอายุงานเมื่อไม่นานมานี้ แต่ก็เป็นคณะกรรมการบริษัทฯ ในเครือ THG มาตั้งแต่ปี 2559

    นพ.วิศิษฎ์ ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ระบุว่าในปี 2568 จะเปิดคลินิกเฉพาะทาง เริ่มจากคลินิกการนอนหลับ ต่อด้วยกลุ่มเด็กแรกเกิด กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ พร้อมกับเน้นกลุ่มลูกค้าผู้ป่วยที่มีประกันสุขภาพ ลูกค้าองค์กร และผู้ป่วยต่างชาติจากโรงพยาบาลธนบุรีบำรุงเมือง อีกด้านหนึ่ง จะเปิดอาคารผู้ป่วยนอกแห่งใหม่ต้นปี 2568 ดึงบุคลากรรุ่นใหม่ Gen Z เข้ามาเสริมทัพ เปลี่ยนระบบค่าตอบแทนใหม่ และสร้างอินฟลูเอนเซอร์จากบุคลากรในโรงพยาบาล

    สำหรับโครงการของ นพ.บุญที่เกี่ยวข้องกับ THG มีเพียงโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ เท่านั้นที่ใช้เงินบริษัทลงทุน ไม่ใช่เงินส่วนตัวของ นพ.บุญ ส่วนธุรกิจทางการแพทย์ 5 โครงการที่ไม่มีอยู่จริง นพ.บุญทำเองไม่เกี่ยวกับ THG ด้านศูนย์มะเร็งย่านปิ่นเกล้า และแผนการสร้างโรงพยาบาลในเวียดนาม หลังบริษัทฯ ทำเอ็มโอยูช่วงปี 2565-2566 เมื่อพิจารณาความเป็นไปได้อย่างละเอียดแล้วจึงตัดสินใจไม่ลงทุนทั้งสองโครงการ

    นพ.บุญได้ลาออกจาก THG มาตั้งแต่วันที่ 26 ส.ค. 2565 จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบริหารงาน ส่วนนางจารุวรรณ วนาสิน อดีตภรรยา และ น.ส.นลิน วนาสิน บุตรสาว นพ.บุญ แม้ยังไม่ได้แจ้งขอลาออกจากกรรมการบริษัทฯ และยังไม่ขาดคุณสมบัติเนื่องจากคดียังไม่ถึงที่สุด แต่ทั้งสองไม่ได้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้มีอำนาจ จึงไม่มีอำนาจกระทำการใดๆ ในนามบริษัทฯ และการดำเนินงานของบริษัทฯ ยังเป็นปกติ

    ปัจจุบัน นางจารุวรรณถือหุ้น THG จำนวน 14.22% บริษัท ราชธานีพัฒนาการ (2014) จำกัด ถือหุ้น 3.70% น.ส.ณวรา กุญชร ณ อยุธยา อดีตลูกสะใภ้ถือหุ้น 3.03% และ นพ.บุญ ถือหุ้น 0.68% ส่วน น.ส.นลินให้การกับตำรวจว่ามีเพียง 10,000 หุ้นเท่านั้น

    #Newskit
    โรงพยาบาลธนบุรี สลัดภาพหมอบุญ กลุ่มโรงพยาบาลธนบุรี ภายใต้ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG อำนาจเบ็ดเสร็จไม่ได้เป็นของกลุ่มหมอบุญ นพ.บุญ วนาสิน ที่หลบหนีคดีฉ้อโกงและฟอกเงินไปอยู่ต่างประเทศอีกต่อไป แต่กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง (RAM) ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่งใน THG ภายใต้การนำของ นพ.เอื้อชาติ กาญจนพิทักษ์ กำลังเข้ามากอบกู้สถานการณ์ แม้ยี่ห้อหมอบุญกับโรงพยาบาลธนบุรี จะกระทบความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ยังไม่เคยใช้บริการก็ตาม ก่อนหน้านี้มีการแต่งตั้ง ศ.คลินิก นพ.วิศิษฎ์ วามวาณิชย์ อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช และอดีตรองคณบดีฝ่ายพันธกิจบริการทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล มาเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลธนบุรี หลังเกษียณอายุงานเมื่อไม่นานมานี้ แต่ก็เป็นคณะกรรมการบริษัทฯ ในเครือ THG มาตั้งแต่ปี 2559 นพ.วิศิษฎ์ ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ระบุว่าในปี 2568 จะเปิดคลินิกเฉพาะทาง เริ่มจากคลินิกการนอนหลับ ต่อด้วยกลุ่มเด็กแรกเกิด กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ พร้อมกับเน้นกลุ่มลูกค้าผู้ป่วยที่มีประกันสุขภาพ ลูกค้าองค์กร และผู้ป่วยต่างชาติจากโรงพยาบาลธนบุรีบำรุงเมือง อีกด้านหนึ่ง จะเปิดอาคารผู้ป่วยนอกแห่งใหม่ต้นปี 2568 ดึงบุคลากรรุ่นใหม่ Gen Z เข้ามาเสริมทัพ เปลี่ยนระบบค่าตอบแทนใหม่ และสร้างอินฟลูเอนเซอร์จากบุคลากรในโรงพยาบาล สำหรับโครงการของ นพ.บุญที่เกี่ยวข้องกับ THG มีเพียงโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ เท่านั้นที่ใช้เงินบริษัทลงทุน ไม่ใช่เงินส่วนตัวของ นพ.บุญ ส่วนธุรกิจทางการแพทย์ 5 โครงการที่ไม่มีอยู่จริง นพ.บุญทำเองไม่เกี่ยวกับ THG ด้านศูนย์มะเร็งย่านปิ่นเกล้า และแผนการสร้างโรงพยาบาลในเวียดนาม หลังบริษัทฯ ทำเอ็มโอยูช่วงปี 2565-2566 เมื่อพิจารณาความเป็นไปได้อย่างละเอียดแล้วจึงตัดสินใจไม่ลงทุนทั้งสองโครงการ นพ.บุญได้ลาออกจาก THG มาตั้งแต่วันที่ 26 ส.ค. 2565 จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบริหารงาน ส่วนนางจารุวรรณ วนาสิน อดีตภรรยา และ น.ส.นลิน วนาสิน บุตรสาว นพ.บุญ แม้ยังไม่ได้แจ้งขอลาออกจากกรรมการบริษัทฯ และยังไม่ขาดคุณสมบัติเนื่องจากคดียังไม่ถึงที่สุด แต่ทั้งสองไม่ได้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้มีอำนาจ จึงไม่มีอำนาจกระทำการใดๆ ในนามบริษัทฯ และการดำเนินงานของบริษัทฯ ยังเป็นปกติ ปัจจุบัน นางจารุวรรณถือหุ้น THG จำนวน 14.22% บริษัท ราชธานีพัฒนาการ (2014) จำกัด ถือหุ้น 3.70% น.ส.ณวรา กุญชร ณ อยุธยา อดีตลูกสะใภ้ถือหุ้น 3.03% และ นพ.บุญ ถือหุ้น 0.68% ส่วน น.ส.นลินให้การกับตำรวจว่ามีเพียง 10,000 หุ้นเท่านั้น #Newskit
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 761 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ทีดี ตะวันแดง" ฟ้องหมิ่นอดีตพาร์ทเนอร์ "ร้านถูกดี" อ้างใส่ความทำให้เสียหาย
    .
    บริษัท ทีดี ตะวันแดง จํากัด ฟ้องอดีตพาร์ทเนอร์หมิ่นประมาทและข้อหาอื่นๆ หลังนำผู้เสียหาย 270 รายร้องเรียนดีเอสไอ พร้อมเรียกค่าเสียหายร้านค้า 7 รายแรกที่ขายนอก POS และไม่นำส่งเงินยอดขาย อ้างระบบ POS มีมาตรฐาน ตรวจสอบได้ และยังคงมีพาร์ทเนอร์ดำเนินธุรกิจกว่า 3,000 ราย พร้อมวอนสื่อหลีกเลี่ยงเผยแพร่ข่าวที่อ้างว่าเป็นข้อมูลเท็จ
    .
    วันนี้ (4 ธ.ค.) จากกรณีที่มีผู้เสียหายจากการร่วมธุรกิจเป็นพาร์ทเนอร์ร้านโชห่วยที่ชื่อว่า "ร้านถูกดี มีมาตรฐาน" ของบริษัท ทีดี ตะวันแดง จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้งในกลุ่มบริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG ประมาณ 270 ราย ร้องเรียนต่อมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรม ของนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ว่ามีปัญหาหลายประการ ทั้งระบบขัดข้องคิดบิลซ้อนกัน 2 ใบใน 2 วินาที ถูกแจ้งว่าสินค้าหายไปจากสต็อก ถูกเรียกเก็บเงินย้อนหลัง บังคับให้ต้องสต็อกสินค้าเข้าร้านตามที่บริษัทกำหนด ต้องทำยอดขายให้ได้ 1 หมื่นบาทต่อวัน ต้องเปิดร้านตั้งแต่ 07.00-20.00 น. ทุกวัน และต้องส่งเงินเข้าบริษัทภายในเวลาทุกคืน ทำให้ถูกบริษัทฯ ริบเงินประกัน 200,000 บาท ถูกยกเลิกสัญญา และเป็นคดีความ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 2,000 ล้านบาท และได้พาไปร้องเรียนกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไปเมื่อวันที่ 28 พ.ย. ที่ผ่านมา
    .
    ล่าสุด บริษัท ทีดี ตะวันแดง จํากัด ออกแถลงการณ์กรณีการกล่าวอ้างข้อมูลเท็จเกี่ยวกับ “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน" ฉบับที่ 2 ระบุว่า ตามที่มีกลุ่มบุคคลรวมตัวร้องเรียนต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยมีการกล่าวหาว่าบริษัทฯ หลอกลวงให้ร่วมลงทุนในธุรกิจร้านโชห่วยจนเกิดความเสียหาย และมีการเผยแพร่ข่าวสารผ่านสื่อต่างๆ รวมถึงโซเชียลมีเดีย จนทําให้สาธารณชนเกิดความเข้าใจผิดในวงกว้าง สร้างผลกระทบต่อผู้ประกอบการร้าน “ถูกดี มีมาตรฐาน” และก่อให้เกิดความเสียหายต่อธุรกิจและชื่อเสียงของบริษัทฯ นั้น
    .
    บริษัทฯ ขอเรียนชี้แจงว่า บริษัทฯ ดําเนินการร้านค้าถูกดี มีมาตรฐาน กับผู้ประกอบการ (พาร์ทเนอร์) โดยทําสัญญาว่า บริษัทฯ ตกลงจัดส่งสินค้าไปให้พาร์ทเนอร์วางจําหน่าย จัดหาอุปกรณ์ที่ใช้ในร้านและระบบการจัดการร้านค้าให้พาร์ทเนอร์ โดยมิได้เรียกเก็บค่าแรกเข้าและยังไม่ต้องชําระค่าสินค้า ทําให้พาร์ทเนอร์มีสินค้าจําหน่ายโดยไม่ต้องลงทุนค่าสินค้า การขายสินค้าทุกรายการต้องทําผ่านเครื่องคิดเงินอัตโนมัติ (POS) ของบริษัทฯ เพื่อบันทึกประวัติการขาย ยอดขาย และจํานวนสินค้าคงเหลือให้ถูกต้อง และพาร์ทเนอร์จะนําส่งเงินรับจากการขายให้บริษัทฯ ภายในวันทําการธนาคารถัดไป จากนั้นทุกสิ้นเดือน บริษัทฯ จะสรุปรายได้จากการขายหักด้วยต้นทุนสินค้า และโอนส่วนกําไร 85% ให้พาร์ทเนอร์ และบริษัทฯ ได้รับค่าตอบแทน 15% ของกําไร พาร์ทเนอร์ในฐานะเจ้าของร้านค้า และบริษัทฯ ต่างมีหน้าที่ชําระภาษีตามกฎหมาย
    .
    ระบบที่ใช้บริหารจัดการในร้านค้าเป็นระบบที่มีมาตรฐาน มีการจัดเก็บข้อมูลการใช้งาน สามารถทวนสอบได้ ในการทํารายการต่างๆ ต้องผ่านเครื่องคิดเงินอัตโนมัติ (POS) ซึ่งตั้งอยู่ที่ร้านค้าของพาร์ทเนอร์ และต้องใช้รหัสผ่านส่วนตัวของพาร์ทเนอร์สําหรับการเข้าใช้งานเท่านั้น
    .
    บริษัทฯ ขอยืนยันว่า บริษัทฯ ดําเนินธุรกิจด้วยความสุจริตมาตั้งแต่ปี 2561 และยังคงดําเนินธุรกิจกับพาร์ทเนอร์กว่า 3,000 ราย ด้วยรูปแบบการดําเนินธุรกิจเดียวกัน ข้อกล่าวอ้างของกลุ่มบุคคลที่ใส่ความบริษัทฯ ดังกล่าว เป็นการกล่าวอ้างที่เลื่อนลอยและปราศจากมูลความจริง การใส่ความบริษัทฯ ผ่านสื่อต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อธุรกิจ ชื่อเสียง ภาพลักษณ์ และความเชื่อมั่นในธุรกิจของบริษัทฯ รวมถึงผู้ประกอบการร้านถูกดี มีมาตรฐาน
    .
    ดังนั้น เพื่อปกป้องชื่อเสียงและสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัทฯ บริษัทฯ ได้แจ้งความดําเนินคดีอาญาข้อหาหมิ่นประมาทและข้อหาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มบุคคลดังกล่าว รวมทั้งเรียกค่าเสียหายจากผลกระทบทางธุรกิจและการเสื่อมเสียชื่อเสียงกับกลุ่มบุคคลที่ใส่ความบริษัทฯ 7 รายแรก เช่น ร้านค้าในจังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดอื่นที่ปรากฏหลักฐานขายนอกโพสต์จํานวนมาก จนสินค้าสูญหายมูลค่ากว่า 160,000 บาท ถึงเกือบ 400,000 บาท ร้านค้าในจังหวัดกําแพงเพชรและจังหวัดอื่น ที่ไม่นําส่งเงินรับจากการขายให้บริษัทฯ มูลค่าความเสียหายกว่า 50,000 บาทถึงกว่า 100,000 บาท ซึ่งอยู่ระหว่างดําเนินคดีตามกฎหมาย นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อดําเนินคดีกับบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องหรือกรณีการกระทําผิดอื่น เพื่อปกป้องชื่อเสียงและสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัทฯ และเพื่อป้องปรามมิให้เกิดการกระทําอันเป็นการละเมิดสิทธิของบริษัทฯ ต่อไป
    .
    บริษัทฯ ขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนและบุคคลทั่วไปในการหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ หรือสนับสนุนข้อมูลเท็จดังกล่าว เพื่อไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มบุคคลที่มุ่งสร้างความเสียหายแก่บริษัทฯ
    ..............
    Sondhi X
    "ทีดี ตะวันแดง" ฟ้องหมิ่นอดีตพาร์ทเนอร์ "ร้านถูกดี" อ้างใส่ความทำให้เสียหาย . บริษัท ทีดี ตะวันแดง จํากัด ฟ้องอดีตพาร์ทเนอร์หมิ่นประมาทและข้อหาอื่นๆ หลังนำผู้เสียหาย 270 รายร้องเรียนดีเอสไอ พร้อมเรียกค่าเสียหายร้านค้า 7 รายแรกที่ขายนอก POS และไม่นำส่งเงินยอดขาย อ้างระบบ POS มีมาตรฐาน ตรวจสอบได้ และยังคงมีพาร์ทเนอร์ดำเนินธุรกิจกว่า 3,000 ราย พร้อมวอนสื่อหลีกเลี่ยงเผยแพร่ข่าวที่อ้างว่าเป็นข้อมูลเท็จ . วันนี้ (4 ธ.ค.) จากกรณีที่มีผู้เสียหายจากการร่วมธุรกิจเป็นพาร์ทเนอร์ร้านโชห่วยที่ชื่อว่า "ร้านถูกดี มีมาตรฐาน" ของบริษัท ทีดี ตะวันแดง จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้งในกลุ่มบริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG ประมาณ 270 ราย ร้องเรียนต่อมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรม ของนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ว่ามีปัญหาหลายประการ ทั้งระบบขัดข้องคิดบิลซ้อนกัน 2 ใบใน 2 วินาที ถูกแจ้งว่าสินค้าหายไปจากสต็อก ถูกเรียกเก็บเงินย้อนหลัง บังคับให้ต้องสต็อกสินค้าเข้าร้านตามที่บริษัทกำหนด ต้องทำยอดขายให้ได้ 1 หมื่นบาทต่อวัน ต้องเปิดร้านตั้งแต่ 07.00-20.00 น. ทุกวัน และต้องส่งเงินเข้าบริษัทภายในเวลาทุกคืน ทำให้ถูกบริษัทฯ ริบเงินประกัน 200,000 บาท ถูกยกเลิกสัญญา และเป็นคดีความ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 2,000 ล้านบาท และได้พาไปร้องเรียนกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไปเมื่อวันที่ 28 พ.ย. ที่ผ่านมา . ล่าสุด บริษัท ทีดี ตะวันแดง จํากัด ออกแถลงการณ์กรณีการกล่าวอ้างข้อมูลเท็จเกี่ยวกับ “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน" ฉบับที่ 2 ระบุว่า ตามที่มีกลุ่มบุคคลรวมตัวร้องเรียนต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยมีการกล่าวหาว่าบริษัทฯ หลอกลวงให้ร่วมลงทุนในธุรกิจร้านโชห่วยจนเกิดความเสียหาย และมีการเผยแพร่ข่าวสารผ่านสื่อต่างๆ รวมถึงโซเชียลมีเดีย จนทําให้สาธารณชนเกิดความเข้าใจผิดในวงกว้าง สร้างผลกระทบต่อผู้ประกอบการร้าน “ถูกดี มีมาตรฐาน” และก่อให้เกิดความเสียหายต่อธุรกิจและชื่อเสียงของบริษัทฯ นั้น . บริษัทฯ ขอเรียนชี้แจงว่า บริษัทฯ ดําเนินการร้านค้าถูกดี มีมาตรฐาน กับผู้ประกอบการ (พาร์ทเนอร์) โดยทําสัญญาว่า บริษัทฯ ตกลงจัดส่งสินค้าไปให้พาร์ทเนอร์วางจําหน่าย จัดหาอุปกรณ์ที่ใช้ในร้านและระบบการจัดการร้านค้าให้พาร์ทเนอร์ โดยมิได้เรียกเก็บค่าแรกเข้าและยังไม่ต้องชําระค่าสินค้า ทําให้พาร์ทเนอร์มีสินค้าจําหน่ายโดยไม่ต้องลงทุนค่าสินค้า การขายสินค้าทุกรายการต้องทําผ่านเครื่องคิดเงินอัตโนมัติ (POS) ของบริษัทฯ เพื่อบันทึกประวัติการขาย ยอดขาย และจํานวนสินค้าคงเหลือให้ถูกต้อง และพาร์ทเนอร์จะนําส่งเงินรับจากการขายให้บริษัทฯ ภายในวันทําการธนาคารถัดไป จากนั้นทุกสิ้นเดือน บริษัทฯ จะสรุปรายได้จากการขายหักด้วยต้นทุนสินค้า และโอนส่วนกําไร 85% ให้พาร์ทเนอร์ และบริษัทฯ ได้รับค่าตอบแทน 15% ของกําไร พาร์ทเนอร์ในฐานะเจ้าของร้านค้า และบริษัทฯ ต่างมีหน้าที่ชําระภาษีตามกฎหมาย . ระบบที่ใช้บริหารจัดการในร้านค้าเป็นระบบที่มีมาตรฐาน มีการจัดเก็บข้อมูลการใช้งาน สามารถทวนสอบได้ ในการทํารายการต่างๆ ต้องผ่านเครื่องคิดเงินอัตโนมัติ (POS) ซึ่งตั้งอยู่ที่ร้านค้าของพาร์ทเนอร์ และต้องใช้รหัสผ่านส่วนตัวของพาร์ทเนอร์สําหรับการเข้าใช้งานเท่านั้น . บริษัทฯ ขอยืนยันว่า บริษัทฯ ดําเนินธุรกิจด้วยความสุจริตมาตั้งแต่ปี 2561 และยังคงดําเนินธุรกิจกับพาร์ทเนอร์กว่า 3,000 ราย ด้วยรูปแบบการดําเนินธุรกิจเดียวกัน ข้อกล่าวอ้างของกลุ่มบุคคลที่ใส่ความบริษัทฯ ดังกล่าว เป็นการกล่าวอ้างที่เลื่อนลอยและปราศจากมูลความจริง การใส่ความบริษัทฯ ผ่านสื่อต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อธุรกิจ ชื่อเสียง ภาพลักษณ์ และความเชื่อมั่นในธุรกิจของบริษัทฯ รวมถึงผู้ประกอบการร้านถูกดี มีมาตรฐาน . ดังนั้น เพื่อปกป้องชื่อเสียงและสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัทฯ บริษัทฯ ได้แจ้งความดําเนินคดีอาญาข้อหาหมิ่นประมาทและข้อหาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มบุคคลดังกล่าว รวมทั้งเรียกค่าเสียหายจากผลกระทบทางธุรกิจและการเสื่อมเสียชื่อเสียงกับกลุ่มบุคคลที่ใส่ความบริษัทฯ 7 รายแรก เช่น ร้านค้าในจังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดอื่นที่ปรากฏหลักฐานขายนอกโพสต์จํานวนมาก จนสินค้าสูญหายมูลค่ากว่า 160,000 บาท ถึงเกือบ 400,000 บาท ร้านค้าในจังหวัดกําแพงเพชรและจังหวัดอื่น ที่ไม่นําส่งเงินรับจากการขายให้บริษัทฯ มูลค่าความเสียหายกว่า 50,000 บาทถึงกว่า 100,000 บาท ซึ่งอยู่ระหว่างดําเนินคดีตามกฎหมาย นอกจากนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อดําเนินคดีกับบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องหรือกรณีการกระทําผิดอื่น เพื่อปกป้องชื่อเสียงและสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัทฯ และเพื่อป้องปรามมิให้เกิดการกระทําอันเป็นการละเมิดสิทธิของบริษัทฯ ต่อไป . บริษัทฯ ขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนและบุคคลทั่วไปในการหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ หรือสนับสนุนข้อมูลเท็จดังกล่าว เพื่อไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มบุคคลที่มุ่งสร้างความเสียหายแก่บริษัทฯ .............. Sondhi X
    Sad
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 2 การแบ่งปัน 1156 มุมมอง 0 รีวิว
  • 30/11/67

    สงคราม 16 วัน จีนบุกโจมตีเวียดนาม เมื่อ พ.ศ.2521
    ความจริง ที่ต้องบอกต่อ...ให้ลูกหลาน ทั้งประเทศ ได้รับรู้ไว้
    หลังจากที่สหรัฐอเมริกาพ่ายแพ้สงครามเวียดนาม ทหารเวียดนามได้ยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ อันทันสมัยไว้มากมาย ทั้งเครื่องบินรบ รถถัง ปืนใหญ่ และอาวุธประจำกาย ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงสุดของโลกในขณะนั้น
    ทำให้กองทัพเวียดนามแข็งแกร่งขึ้นเป็นอันดับ 3 ของโลก
    ทหารเวียดนาม จึงมีความกระหายสงครามเป็นอย่างยิ่ง ประกาศยึดลาว กัมพูชา และ ไทยต่อทันที ในเวลาเพียงไม่นาน ทั้งลาวและกัมพูชา ก็ตกเป็นของเวียดนาม
    นายพลโว เหงียนเกี๊ยบ ผู้บัญชาการกองทัพเวียดนามเจ็บแค้นมาก ที่ไทยยอมให้สหรัฐอเมริกา มาตั้งฐานทัพ และใช้เครื่องบินรบ บินขึ้นจากสนามบินอู่ตะเภา และสนามบินใน จ.อุบลราชธานี ขนระเบิดไปถล่มเวียดนามนับหมื่นเที่ยวบิน
    กองทัพเวียดนามขนอาวุธทุกชนิดที่มี รถถังจำนวนมาก มาประชิดชายแดนไทยเป็นแนวยาวหลายร้อยกิโลเมตร นายพลเวียดนามประกาศว่า จะนำทหารเข้าไปกินข้าวที่กรุงเทพฯ ให้ได้ภายใน 3 วัน
    นายกรัฐมนตรีไทยในขณะนั้น คือหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เรียกประชุมด่วน และขอให้ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แจ้งไปยังสหรัฐอเมริกาว่า เรากำลังจะถูกเวียดนามบุก
    สหรัฐอเมริกา ตอบกลับมาว่า ขอให้เราช่วยตัวเอง เพราะสหรัฐเพิ่งถอนทัพจากเวียดนาม ไม่อาจช่วยอะไรได้อีกต่อไป รัฐบาลไทย จึงได้ขอใช้อาวุธ ที่ยังตกค้างอยู่ที่ไทย สหรัฐฯ ไม่อนุญาตให้ไทยใช้อาวุธของอเมริกัน ที่ตกค้างจากสงครามและฝากเก็บไว้ในดินแดนไทย
    หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ เรียกประชุมผู้นำเหล่าทัพทันที และถามในที่ประชุมว่า ด้วยศักยภาพที่มีอยู่ตอนนี้ เราจะสู้เวียดนามได้กี่วัน .... ผู้บัญชาการทหารของกองทัพไทยตอบว่าประมาณ 4 วัน (มากกว่าที่นายพลเวียดนามบอกไว้ 1 วัน)
    หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ หันไปบอกกับพลเอกชาติชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ว่า.....เราต้องรีบไปจีนด่วนที่สุด....
    หลังจากนั้นไม่นาน ผู้นำไทยก็ได้เข้าพบ “โจวเอินไหล” นายกรัฐมนตรีของจีน ประโยคแรก ที่โจวเอินไหล ทักทายพลเอกชาติชายคือ “เป็นไงบ้างหลานรัก” (พ่อของพลเอกชาติชาย คือ พลเอกผิน เป็นเพื่อนร่วมรบกับโจวเอินไหลในครั้งสงครามเชียงตุง)
    การเชื่อมความสัมพันธ์เป็นไปอย่างชี่นมื่น ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเราไปให้ความสำคัญกับไต้หวันมากกว่าจีนแผ่นดินใหญ่ รับรองไต้หวันเป็นประเทศ แต่โจว เอิน ไหลไม่คิดมาก และ ยังเปิดโอกาสให้ได้พบกับ “เหมาเจ๋อตุง” ประธานพรรคคอมมิวนิสต์ และ “เติ้ง เสี่ยวผิง” รองนายกรัฐมนตรี ผู้ซึ่งได้รับการวางตัวให้เป็นผู้นำจีนรุ่นต่อไป
    เวียดนามวุ่นวายกับลาวและกัมพูชาอยู่ 2 ปี ในเดือนมิถุนายน ปี พ.ศ. 2521 เวียดนามยกกำลังพล 400,000 นาย พร้อมอาวุธทันสมัยที่สุดในยุคนั้น เตรียมบุกไทย
    ทางรัฐบาลได้มอบหมายให้ พันเอกชวลิต ยงใจยุทธ เดินทางไปจีน เพื่อขอความช่วยเหลือตามที่ มรว.คึกฤทธิ์ได้กรุยทางไว้
    เสนาธิการทหารของจีนประชุมกันและแนะนำว่า ควรปล่อยให้เวียดนามบุกเข้ายึดกรุงเทพฯ ก่อน แล้วค่อยส่งกองทัพจีนตามไปปลดแอกให้ แต่
    เติ้งเสี่ยวผิง ลุกขึ้นตบโต๊ะในที่ประชุม แล้วกล่าวด้วยเสียงอันดังว่า "ช่วยเหลือมิตร ต้องช่วยให้ทันการณ์"
    เดือนพฤศจิกายน 2521 เติ้งเสี่ยวผิง เดินทางมาดูสถานการณ์ที่ประเทศไทย และรีบกลับไปทันที หลังจากนั้น 2 เดือน ในเดือนมกราคม 2522 กองทัพจีนพร้อมกำลังพล 500,000 นาย รถถัง 5,000 คัน เครื่องบิน 1,200 ลำ ได้เปิดสงครามสั่งสอนเวียดนาม
    กองทัพจีน เข้าตีทางภาคเหนือของเวียดนามอย่างรุนแรง เวียดนามรีบถอนทัพที่ประชิดชายแดนไทย กลับไปรับศึกจีน จีนรุกไปถึงฮานอย จนทหารเวียดนามเสียชีวิตประมาณ 50,000 นาย แต่ทหารจีนก็เสียชีวิตไปไม่น้อยกว่ากัน
    เวียตนามเสียหายหนัก
    ทัพเวียตนามต้องถอยร่นถึงชานเมืองฮานอยโดยใช้เวลาทั้งหมดเพียง 16 วัน จีนจึงหยุดตีเวีนตนาม และถอนทัพกลับ

    ย้อนไปนานกว่านั้น เมื่อครั้งปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาอยุธยาแตกเสียกรุงให้พม่า
    ราชสำนักชิง รีบส่งข้าหลวง ลงเรือสำเภามาดูสถานการณ์ในไทย และ ให้รายงานต่อราชสำนักทางปักกิ่ง อยู่ตลอดเวลา ในบันทึกภาษาจีนเขียนไว้ว่า จักรพรรดิเฉียนหลง ทรงประสงค์จะรู้ข่าวคราว ของสยามถึงขนาดกระวนกระวาย เรียกประชุมกลางดึกหลายครั้ง จะเห็นได้ว่า จักรพรรดิจีนทรงให้ความสำคัญกับสยามเพียงใด
    ในจดหมายเหตุของราชวงศ์ชิงได้บันทึกถึง ครั้งที่จีนยกทัพตีภาคเหนือของพม่าไว้ว่า ขณะที่กองทัพจีนบุกพม่า จักรพรรดิเฉียนหลง ได้ทรงติดต่อกับ “เจิ้งเจา” (สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ) หลายครั้ง ดังนั้น
    ข้อสงสัยที่ว่า จีนยกทัพตีพม่า ก็เพื่อดึงทัพของเนเมียวสีหบดีกลับไป ย่อมจะเป็นจริงเพราะถ้าทัพใหญ่ของพม่า ยังคงอยู่ที่อยุธยา กองทัพพระเจ้าตากฯ ซึ่งมีทหารเพียงหลักพันนายเท่านั้น ย่อมไม่มีทางจะเอาชนะทหารพม่าที่มีเป็นหมื่นเป็นแสนได้เลย และ ชาติไทยก็อาจจะหายไปจากแผนที่โลกในปัจจุบันก็ได้
    ........ ตลอดระยะเวลาเป็นร้อยๆปี ที่ผ่านมา เห็นได้ว่าจีนให้ความสำคัญกับไทยมากๆ ในฐานะมิตรประเทศที่มีความผูกพันอย่างแนบแน่น
    (ประเทศไทยมีคนจีนย้ายถิ่นฐานมาอาศัยมากที่สุดในโลก)
    นี่คือคุณูปการที่ผู้นำทั้ง 2 ฝ่ายทำเพื่อความอยู่รอดของเมืองไทย ที่คนรุ่นหลังไม่สนใจที่จะเรียนรู้
    ไม่ต้องรบ สยบด้วยการฑูตประเสริฐที่สุด

    ประเทศจีนช่วยเหลือประเทศไทย
    ด้วยความจริงใจ ไม่เคยคาดหวังค่าตอบแทนจากไทย ยกเว้นมิตรภาพ
    ประเทศไทยมีชาวจีนอพยพ
    มาอาศัยมากทีีสุดในโลก
    มากกว่า มาเลเซีย
    มากกว่า สิงคโปร์
    มากกว่า อินโดนีเซีย
    ดังนั้น ไทยจึงเปรียบเสมือนน้องของจีน

    ขอขอบพระคุณ
    ทันตแพทย์ สม สุจีรา ครับ
    ที่ท่านนำสาระดีๆมาให้อ่าน

    ถ่ายทอดโดย
    นายบัวสอน ประชามอญ

    โปรดแชร์ต่อถ้าเห็นว่ามีสาระดี
    30/11/67 สงคราม 16 วัน จีนบุกโจมตีเวียดนาม เมื่อ พ.ศ.2521 ความจริง ที่ต้องบอกต่อ...ให้ลูกหลาน ทั้งประเทศ ได้รับรู้ไว้ หลังจากที่สหรัฐอเมริกาพ่ายแพ้สงครามเวียดนาม ทหารเวียดนามได้ยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ อันทันสมัยไว้มากมาย ทั้งเครื่องบินรบ รถถัง ปืนใหญ่ และอาวุธประจำกาย ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงสุดของโลกในขณะนั้น ทำให้กองทัพเวียดนามแข็งแกร่งขึ้นเป็นอันดับ 3 ของโลก ทหารเวียดนาม จึงมีความกระหายสงครามเป็นอย่างยิ่ง ประกาศยึดลาว กัมพูชา และ ไทยต่อทันที ในเวลาเพียงไม่นาน ทั้งลาวและกัมพูชา ก็ตกเป็นของเวียดนาม นายพลโว เหงียนเกี๊ยบ ผู้บัญชาการกองทัพเวียดนามเจ็บแค้นมาก ที่ไทยยอมให้สหรัฐอเมริกา มาตั้งฐานทัพ และใช้เครื่องบินรบ บินขึ้นจากสนามบินอู่ตะเภา และสนามบินใน จ.อุบลราชธานี ขนระเบิดไปถล่มเวียดนามนับหมื่นเที่ยวบิน กองทัพเวียดนามขนอาวุธทุกชนิดที่มี รถถังจำนวนมาก มาประชิดชายแดนไทยเป็นแนวยาวหลายร้อยกิโลเมตร นายพลเวียดนามประกาศว่า จะนำทหารเข้าไปกินข้าวที่กรุงเทพฯ ให้ได้ภายใน 3 วัน นายกรัฐมนตรีไทยในขณะนั้น คือหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เรียกประชุมด่วน และขอให้ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แจ้งไปยังสหรัฐอเมริกาว่า เรากำลังจะถูกเวียดนามบุก สหรัฐอเมริกา ตอบกลับมาว่า ขอให้เราช่วยตัวเอง เพราะสหรัฐเพิ่งถอนทัพจากเวียดนาม ไม่อาจช่วยอะไรได้อีกต่อไป รัฐบาลไทย จึงได้ขอใช้อาวุธ ที่ยังตกค้างอยู่ที่ไทย สหรัฐฯ ไม่อนุญาตให้ไทยใช้อาวุธของอเมริกัน ที่ตกค้างจากสงครามและฝากเก็บไว้ในดินแดนไทย หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ เรียกประชุมผู้นำเหล่าทัพทันที และถามในที่ประชุมว่า ด้วยศักยภาพที่มีอยู่ตอนนี้ เราจะสู้เวียดนามได้กี่วัน .... ผู้บัญชาการทหารของกองทัพไทยตอบว่าประมาณ 4 วัน (มากกว่าที่นายพลเวียดนามบอกไว้ 1 วัน) หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ หันไปบอกกับพลเอกชาติชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ว่า.....เราต้องรีบไปจีนด่วนที่สุด.... หลังจากนั้นไม่นาน ผู้นำไทยก็ได้เข้าพบ “โจวเอินไหล” นายกรัฐมนตรีของจีน ประโยคแรก ที่โจวเอินไหล ทักทายพลเอกชาติชายคือ “เป็นไงบ้างหลานรัก” (พ่อของพลเอกชาติชาย คือ พลเอกผิน เป็นเพื่อนร่วมรบกับโจวเอินไหลในครั้งสงครามเชียงตุง) การเชื่อมความสัมพันธ์เป็นไปอย่างชี่นมื่น ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเราไปให้ความสำคัญกับไต้หวันมากกว่าจีนแผ่นดินใหญ่ รับรองไต้หวันเป็นประเทศ แต่โจว เอิน ไหลไม่คิดมาก และ ยังเปิดโอกาสให้ได้พบกับ “เหมาเจ๋อตุง” ประธานพรรคคอมมิวนิสต์ และ “เติ้ง เสี่ยวผิง” รองนายกรัฐมนตรี ผู้ซึ่งได้รับการวางตัวให้เป็นผู้นำจีนรุ่นต่อไป เวียดนามวุ่นวายกับลาวและกัมพูชาอยู่ 2 ปี ในเดือนมิถุนายน ปี พ.ศ. 2521 เวียดนามยกกำลังพล 400,000 นาย พร้อมอาวุธทันสมัยที่สุดในยุคนั้น เตรียมบุกไทย ทางรัฐบาลได้มอบหมายให้ พันเอกชวลิต ยงใจยุทธ เดินทางไปจีน เพื่อขอความช่วยเหลือตามที่ มรว.คึกฤทธิ์ได้กรุยทางไว้ เสนาธิการทหารของจีนประชุมกันและแนะนำว่า ควรปล่อยให้เวียดนามบุกเข้ายึดกรุงเทพฯ ก่อน แล้วค่อยส่งกองทัพจีนตามไปปลดแอกให้ แต่ เติ้งเสี่ยวผิง ลุกขึ้นตบโต๊ะในที่ประชุม แล้วกล่าวด้วยเสียงอันดังว่า "ช่วยเหลือมิตร ต้องช่วยให้ทันการณ์" เดือนพฤศจิกายน 2521 เติ้งเสี่ยวผิง เดินทางมาดูสถานการณ์ที่ประเทศไทย และรีบกลับไปทันที หลังจากนั้น 2 เดือน ในเดือนมกราคม 2522 กองทัพจีนพร้อมกำลังพล 500,000 นาย รถถัง 5,000 คัน เครื่องบิน 1,200 ลำ ได้เปิดสงครามสั่งสอนเวียดนาม กองทัพจีน เข้าตีทางภาคเหนือของเวียดนามอย่างรุนแรง เวียดนามรีบถอนทัพที่ประชิดชายแดนไทย กลับไปรับศึกจีน จีนรุกไปถึงฮานอย จนทหารเวียดนามเสียชีวิตประมาณ 50,000 นาย แต่ทหารจีนก็เสียชีวิตไปไม่น้อยกว่ากัน เวียตนามเสียหายหนัก ทัพเวียตนามต้องถอยร่นถึงชานเมืองฮานอยโดยใช้เวลาทั้งหมดเพียง 16 วัน จีนจึงหยุดตีเวีนตนาม และถอนทัพกลับ ย้อนไปนานกว่านั้น เมื่อครั้งปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาอยุธยาแตกเสียกรุงให้พม่า ราชสำนักชิง รีบส่งข้าหลวง ลงเรือสำเภามาดูสถานการณ์ในไทย และ ให้รายงานต่อราชสำนักทางปักกิ่ง อยู่ตลอดเวลา ในบันทึกภาษาจีนเขียนไว้ว่า จักรพรรดิเฉียนหลง ทรงประสงค์จะรู้ข่าวคราว ของสยามถึงขนาดกระวนกระวาย เรียกประชุมกลางดึกหลายครั้ง จะเห็นได้ว่า จักรพรรดิจีนทรงให้ความสำคัญกับสยามเพียงใด ในจดหมายเหตุของราชวงศ์ชิงได้บันทึกถึง ครั้งที่จีนยกทัพตีภาคเหนือของพม่าไว้ว่า ขณะที่กองทัพจีนบุกพม่า จักรพรรดิเฉียนหลง ได้ทรงติดต่อกับ “เจิ้งเจา” (สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ) หลายครั้ง ดังนั้น ข้อสงสัยที่ว่า จีนยกทัพตีพม่า ก็เพื่อดึงทัพของเนเมียวสีหบดีกลับไป ย่อมจะเป็นจริงเพราะถ้าทัพใหญ่ของพม่า ยังคงอยู่ที่อยุธยา กองทัพพระเจ้าตากฯ ซึ่งมีทหารเพียงหลักพันนายเท่านั้น ย่อมไม่มีทางจะเอาชนะทหารพม่าที่มีเป็นหมื่นเป็นแสนได้เลย และ ชาติไทยก็อาจจะหายไปจากแผนที่โลกในปัจจุบันก็ได้ ........ ตลอดระยะเวลาเป็นร้อยๆปี ที่ผ่านมา เห็นได้ว่าจีนให้ความสำคัญกับไทยมากๆ ในฐานะมิตรประเทศที่มีความผูกพันอย่างแนบแน่น (ประเทศไทยมีคนจีนย้ายถิ่นฐานมาอาศัยมากที่สุดในโลก) นี่คือคุณูปการที่ผู้นำทั้ง 2 ฝ่ายทำเพื่อความอยู่รอดของเมืองไทย ที่คนรุ่นหลังไม่สนใจที่จะเรียนรู้ ไม่ต้องรบ สยบด้วยการฑูตประเสริฐที่สุด ประเทศจีนช่วยเหลือประเทศไทย ด้วยความจริงใจ ไม่เคยคาดหวังค่าตอบแทนจากไทย ยกเว้นมิตรภาพ ประเทศไทยมีชาวจีนอพยพ มาอาศัยมากทีีสุดในโลก มากกว่า มาเลเซีย มากกว่า สิงคโปร์ มากกว่า อินโดนีเซีย ดังนั้น ไทยจึงเปรียบเสมือนน้องของจีน ขอขอบพระคุณ ทันตแพทย์ สม สุจีรา ครับ ที่ท่านนำสาระดีๆมาให้อ่าน ถ่ายทอดโดย นายบัวสอน ประชามอญ โปรดแชร์ต่อถ้าเห็นว่ามีสาระดี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 682 มุมมอง 0 รีวิว
  • ใบเฟิร์น อินฟลูเอนเชอร์สาวแนวเซ็กซี่ ที่มีผู้ติดตามเป็นล้าน เข้ารับทราบข้อกล่าวหากับตำรวจไซเบอร์ หลังถูกออกหมายเรียกข้อหาชักชวนเล่นพนัน เผยเว็บพนันออนไลน์จ้างให้โพสต์ ได้ค่าตอบแทนสุดถูกครั้งละ 3,000 เผยทำมานานแล้ว 2-3 เดือน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000110594

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ใบเฟิร์น อินฟลูเอนเชอร์สาวแนวเซ็กซี่ ที่มีผู้ติดตามเป็นล้าน เข้ารับทราบข้อกล่าวหากับตำรวจไซเบอร์ หลังถูกออกหมายเรียกข้อหาชักชวนเล่นพนัน เผยเว็บพนันออนไลน์จ้างให้โพสต์ ได้ค่าตอบแทนสุดถูกครั้งละ 3,000 เผยทำมานานแล้ว 2-3 เดือน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000110594 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    13
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1297 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ปานเทพ" น็อก "ทนายปาเกียว"
    เปิดสัญญาเด็ด โยงปม 71ล.
    ย้ำ "เมียตั้ม" รู้เห็นเงินโกงหวยออนไลน์
    .
    "ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์" ออกรายการโหนกระแส ย้อนรอยที่มาคดีเงิน 71 ล้านบาท ย้ำไม่ใช่ให้โดยเสน่หา ไม่ใช่ทั้งกู้และยืมเงิน สัญญาชัดคุณอ้อยกับผู้ผลิตแพลตฟอร์ม ไม่มีทนายตั้มเกี่ยวข้อง ชี้ถ้ามีไม้เด็ดจริงคงไม่อยู่เรือนจำ ไม่ได้ประกันตัว ถูกอายัดทรัพย์ ส่วนที่อ้างว่าภรรยาไม่รู้นั้นไม่จริง ยังไงก็รับทราบโดยตลอด
    .
    วันนี้ (13 พ.ย.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยผ่านรายการโหนกระแส ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ดำเนินรายการโดยนายกรรชัย กำเนิดพลอย ว่า น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย และคณะมาร้องเรียนกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ เนื่องจากนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เป็นบุคคลมีชื่อเสียงและมีเครือข่ายมาก ถ้าจะมีใครสักคนสามารถเปิดความจริงและต่อสู้ผ่านสื่อน่าจะเป็นค่ายผู้จัดการ ระหว่างนั้นก็เก็บข้อมูล คลิปทั้งหมด แต่ไม่คิดจะเปิดในช่วงแรก เพราะรอให้คดีนี้เข้าสู่ตำรวจสอบสวนกลาง แล้วจะเปิดประเด็นก่อน
    .
    เมื่อนายษิทราและนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ไปออกรายการโหนกระแส เมื่อวันที่ 23 ต.ค. 2567 และนายกรรชัย กำเนิดพลอย ผู้ดำเนินรายการ ถามว่าทำไมนายษิทราจึงรวย มีของแบรนด์เนม นายษิทราหลุดมาว่าให้โดยเสน่หา ซึ่งในตอนเช้านายษิทราโทรศัพท์ไปหาทนายความของ น.ส.จตุพร เพราะรู้ว่ามีการแจ้งความและรู้ว่ามีเรื่องต่อกัน และเมื่อเห็นว่านายษิทราอาศัยรายการดังกล่าวสร้างภาพ และฟอกตัวว่าไม่มีปัญหาต่อกัน ทำให้เครือผู้จัดการตัดสินใจเปิดข้อมูลในช่วงบ่าย โดยนำข้อมูลในรายการไปลงปิดท้ายด้วย ทั้งที่ตอนนั้นยังไม่ตัดสินใจเปิดประเด็น และจะเปิดสักวันหนึ่งเมื่อคดีคืบหน้าจากทั้งสองฝั่งแล้ว
    .
    เมื่อเปิดข้อมูล ปรากฎว่านายษิทราไปพาดพิงนายสนธิท้าว่าใครแพ้จะให้ดื่มน้ำปัสสาวะ 71 แก้ว ทำให้ต้องเปิดข้อมูลทั้งหมด แล้วนายษิทราก็เงียบหายไป ต่อมานายษิทราไปออกรายการของ อ.ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์ อ้างว่าเป็นการให้โดยเสน่หา และครั้งที่ 3 ให้สัมภาษณ์ที่กองปราบปราม อ้างว่าให้โดยเสน่หาโดยไม่มีเงื่อนไข และจะมีการจ่ายภาษี 5% ของรายได้ที่เกิน 10 ล้านบาท คำถามก็คือที่กล่าวว่าให้โดยเสน่หามาตลอด เพิ่งมาเปลี่ยนในรายการวานนี้ (12 พ.ย.) ว่าเป็นเงินกู้เพื่อการลงทุน ตกลงเป็นเงินกู้เพื่อการลงทุน หรือเงินยืมเพื่อการลงทุนกันแน่
    .
    ส่วนกรณีที่นายษิทราเคยนำโทรศัพท์มือถือไปให้ อ.ยิ่งศักดิ์อ่าน และนายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของนายษิทรา นำเอกสารมาให้นายกรรชัย และนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ทนายความอ่าน อ้างว่าเป็นแชตสำคัญ ตนรู้ตั้งแต่แรกว่าเป็นแชตนี้ ไม่ใช่แชตระหว่างนายษิทรากับคุณอ้อย และรู้ว่าไม่สามารถจะเป็นไม้เด็ดได้ หากเป็นไม้เด็ดจริงคงไม่อยู่ในเรือนจำ ประกันตัวไม่ได้ และอายัดทรัพย์ หลักฐานนี้เป็นการสร้างวาทกรรมการพิมพ์ไลน์ของทนายตั้มเพื่อคุยกับคุณน้อย เลขาส่วนตัว เพื่อสมอ้างว่าได้คุยกับคุณอ้อยแล้ว และข้อความไม่ได้แปลว่าสำเร็จแล้วโดยนายษิทรา เป็นการขอให้คุณน้อยไปเจรจากับคุณอ้อยอีกครั้งหนึ่ง แปลว่ายังไม่ได้เห็นด้วย
    .
    ทั้งนี้ บทสนทนาดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วง วันที่ 28-30 ม.ค. 2566 หลังจากนั้นมีการตกลงกันที่ไม่ใช่ในแชต นายษิทราอ้างว่าเป็นการให้โดยเสน่หา 3 ครั้ง โดยจ่ายภาษี 5% แต่ตอนนี้ไม่เอาแล้ว เหลือแค่ 2 อย่าง คือการกู้เงินหรือยืมเงิน พลิกไปพลิกมา ทั้งที่การกู้เงินต้องมีสัญญา ส่วนการลงทุนต้องมีผลตอบแทนและสัดส่วนหุ้นชัดเจน หากเป็นการยืมเพื่อลงทุน ก็ถือว่าเป็นการกู้อยู่ดี นายษิทราเป็นนักกฎหมาย เป็นคู่สัญญาในฐานะที่ปรึกษากฎหมาย ย่อมต้องรู้ว่าจะต้องร่างสัญญากู้เงิน แต่กลับไม่มี แสดงว่าไม่ใช่การกู้ยืมเงิน ส่วนการลงทุน มีการจดทะเบียนทรัพย์สินหรือไม่ ในแชตไลน์นำไปสู่การอ้างว่าจะทำแอปฯ หวยออนไลน์
    .
    แต่ที่ไม่เปิดนอกจากโต้ไม่ได้แล้ว ยังอวดอ้างว่ามีเส้นสายในการรับสัมปทานหวยออนไลน์ ทั้งที่ไม่มีอยู่จริง นอกจากจะพูดคนที่ไม่เข้าใจ ไม่รู้ข้อกฎหมาย และหลงเชื่อว่ามีเส้นสาย มีคอนเนกชัน มีระบบสัมปทานที่จะทำได้ ก็เลยไม่กล้าเปิด อีกทั้งการลงทุนต้องมีหุ้นในสัดส่วนอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่มีทางไม่มีสัญญาเพราะนายษิทราเป็นนักกฎหมายและเป็นที่ปรึกษากฎหมายของคุณอ้อย จะต้องมีอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งคุณอ้อยเดินทางจากประเทศฝรั่งเศสมายังประเทศไทย เมื่อวันที่ 2-8 ก.พ. 2566 เพื่อเซ็นสัญญากับบริษัทผลิตแอปพลิเคชัน ลงวันที่ 3 ก.พ. 2566 ลงนามจริงวันที่ 5 ก.พ. 2566 ทำขึ้นระหว่างคุณอ้อยกับบริษัทผู้รับจ้างผลิตแอปพลิเคชัน แสดงว่าทรัพย์สินไม่ใช่ของนายษิทรา ที่อ้างว่าเป็นการกู้ยืมเงินจึงเป็นความเท็จทั้งสิ้น
    .
    "คนเราจะตัดสินใจอย่างไร ขึ้นอยู่กับสัญญา ไม่ใช่แชตไลน์คุย เพราะการแชตไลน์คุย คุณอ้างหลักฐานพิมพ์เองว่าตกลงกันแล้วอะไรก็ได้ คุณคุยกับเลขาฯ ไม่ได้คุยกับพี่อ้อยด้วย แต่ผลลัพธ์คือเซ็นสัญญาที่ไม่มีชื่อทนายตั้มเกี่ยวข้องเลย จะมาอ้างว่าเงินกู้ยืมก็ไม่ได้ เงินลงทุนก็ไม่ได้ เพราะสัญญาไม่มีชื่อคุณแม้แต่คำเดียว และที่สำคัญ สัญญานี้ทำการปรับปรุงและแก้ไขจากสำนักงานทนายความษิทรา ลอว์เฟิร์ม ทั้งสิ้น" นายปานเทพ กล่าว
    .
    เมื่อทีมกฎหมายของนายษิทราส่งข้อความไปยังนายกรรชัย ถามว่า ใครเป็นคนสั่งให้ทำสัญญานี้ และสัญญานี้คุณอ้อยให้ทำโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงหน่วยงานราชการฝรั่งเศส นำเงินมาให้นายษิทราจริงหรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า เป็นคำถามที่ดีเพราะมีการแอบอ้างว่าสัญญาทำขึ้นเพื่อเป็นนิติกรรมอำพราง เรื่องนี้มีสัญญาชัดเจน คุณอ้อยมาประเทศไทยวันที่ 2-8 ก.พ. 2566 ภายใต้สัญญานี้ เมื่อกลับไปประเทศฝรั่งเศสก็ไปทำเรื่องถอนเงิน เตรียมขายหลักทรัพย์เพื่อโอนเงินมา เพราะเป็นทรัพย์สินของเขาเอง และการโอนเงินจากฝรั่งเศสมายังประเทศไทย ถ้าเป็นทรัพย์สินของตัวเองไม่ต้องเสียภาษี จ่ายแค่ธรรมเนียม รวมทั้งเงินทำบุญและใช้ส่วนตัวก็หลักการเดียวกัน จึงไม่จำเป็นต้องสร้างนิติกรรมอำพราง
    .
    หลังจากนั้นจึงนำเงินไปให้นายษิทราเมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2566 เพราะนายษิทราอ้างว่าเป็นผู้ดำเนินการ โดยที่นายษิทราเป็นคนติดต่อบริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันเอง และติดต่อคุณอ้อยโดยไม่ให้ทั้งสองฝ่ายเจอกัน โดยอ้างว่ารับเงินมาแล้วไปดำเนินการต่อ เพราะฉะนั้นเงิน 71 ล้านบาทจ่ายไปเพื่อวัตถุประสงค์ตามสัญญาฉบับดังกล่าว และสัญญาดังกล่าวระบุว่าจะต้องมีการจ่ายเงินภายในวันที่ 15 ก.พ. 2566 แต่โอนเงินเข้ามาไม่ทัน ต้องเป็นวันรุ่งขึ้น จึงสอดคล้องกับสัญญานี้ โดยที่คุณอ้อยหลงเชื่อว่าควรจะเป็นทรัพย์สินที่เดินหน้าทำสลากออนไลน์เพราะหลงเชื่อนายษิทรา
    .
    ทั้งนี้ นายษิทราอ้างในไลน์ตลอดว่าทำสลากออนไลน์ พอได้เงินมาเสร็จหลังจากนั้นถอนเงินไปซื้อบ้านด้วยเงินสด กรณีนี้จึงเป็นการตั้งขึ้นมาเพื่อหลอกคุณอ้อย เพราะเมื่อบริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันไม่ได้เงินก็ถามว่า ไหนสัญญาบอกว่าจะได้รับเงิน นายษิทรากล่าวว่า คุณอ้อยยกเลิกสัญญาแล้ว ทั้งที่คุณอ้อยไม่ได้ยกเลิกและจ่ายเงินไปแล้ว แต่บริษัทไม่รู้ว่ามีการจ่ายเงิน และเมื่อไม่มีการโอนเงินก็ยุติสัญญา เดิมนายษิทราและภรรยาไปขอสินเชื่อเพื่อซื้อบ้านในราคา 43 ล้านบาท จากนั้นวันที่ 22 มี.ค. 2566 นำเงินก้อนนี้เปลี่ยนจากสินเชื่อกลายเป็นซื้อเงินสด เพราะได้เงินมาจากคุณอ้อย กรณีนี้ถ้าทำกันถึงขนาดนี้คิดว่าเข้าข่ายฉ้อโกง เพราะชี้ขาดว่าใครเป็นคู่สัญญาและเจ้าของทรัพย์สิน แต่นายษิทราเป็นตัวกลางกลับนำเงินตรงนี้ไปใช้ส่วนตัวซื้อบ้านซึ่งไม่เกี่ยว
    .
    เมื่อทีมกฎหมายของนายษิทราส่งข้อความไปยังนายกรรชัย ถามว่า รู้เรื่องการโอนเงินไปยังล่ามที่ชื่อจุ๋ม ซึ่งถูกหัก 40% หรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า กรณีนี้ทรัพย์สินไม่ใช่คนอื่น เป็นคุณอ้อยโดยตรง แล้วชื่อบัญชีเป็นคุณอ้อย ชื่อสัญญาเป็นคุณอ้อย จะเป็นสัญญาคนอื่นในการโอนตรงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง จึงแสดงเจตนารมณ์ชัดเจนว่าตั้งใจโอนเงินเป็นทรัพย์สินของเขาเอง
    .
    นายปานเทพ กล่าวว่า จากนั้นใกล้ปลายปี 2566 ก็เริ่มคิดเรื่องภาษีว่านายษิทราจะนำเงินที่มา 71 ล้านบาทเป็นอย่างไร จึงมีการเจรจากับบริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันว่า ขอผ่านเงินสัก 70 ล้านบาทได้ไหม เพื่อที่จะมีบันทึกโดยไม่บอกที่มาที่ไป ต่อมาไม่มีความคืบหน้า มาเจรจาอีกครั้ง 27 ก.พ. 2567 ใกล้ถึงรอบวงจ่ายภาษี นายษิทราเสนอว่าจะเอาเงินผ่านโดยไม่บอกว่าเป็นสัญญาเดิม ครั้งที่หนึ่ง 30 ล้านบาท ครั้งที่สอง 30 ล้านบาท และครั้งที่สาม 11 ล้านบาท แล้วจะให้ค่าตอบแทน 10 ล้านบาท บริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันจึงคิดว่ายอดใกล้ 71 ล้านบาท สงสัยจะฟอกเงินและบริษัทฯ จะเป็นแพะ จึงปฎิเสธ ซึ่งมีบทสนทนา
    .
    พอถึงช่วงที่จะส่งมอบแอปพลิเคชัน กลับไม่มีการส่งมอบ คุณอ้อยจึงดำเนินการทำโนติสถึงนายษิทรา และเมื่อนายษิทราไม่สามารถนำส่งได้ ทั้งที่ได้ดำเนินการและรับเงินไปแล้ว อีกทั้งนายษิทราบอกเองว่าเป็นผู้ประสานงานโครงการนี้ ทำไมถึงยังไม่ได้ ปรากฎว่านายษิทราแชตไลน์ไปพูดคุยกับบริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันว่า มีแพลตฟอร์มนาคี ชื่อเหมือนกันแต่โลโก้เป็นสีเขียว อ้างว่าไปจ้างเขาทำมาเอง เหมือนถูกเลียนแบบ นายษิทราให้ช่วยนำแอปพลิเคชันนี้ส่งให้คุณอ้อย แต่บริษัทปฎิเสธทำไม่ได้ เพราะไม่เคยทำ และไม่ใช่แอปฯ ของบริษัท จะไปหลอกคุณอ้อยแบบนั้นไม่ได้ ก็เลยไม่ทำ เรื่องแบบนี้เป็นการให้โดยเสน่หาได้อย่างไร ให้เพื่อการลงทุนได้อย่างไรเพราะไม่มีของสักอย่างแล้วอุปโลกน์เป็นอย่างอื่น จะเรียกว่าฉ้อโกงหรือไม่
    .
    นายปานเทพ กล่าวว่า ตอนนี้ฝ่ายนายษิทรามีความคิดที่จะประกันตัวนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด หรือเดือน ภรรยา โดยอ้างว่าแค่รับเงินมาซื้อบ้าน ไม่รับรู้ที่ไปที่มา ตนอยากจะบอกว่าไม่จริง เพราะตำรวจมีหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐาน ป่านนี้รู้แล้วว่ามีข้อมูลการใช้โทรศัพท์ และแชตไลน์ทั้งหมดไปหมดแล้ว ยังไงนางปทิตตาอยู่ในคณะทำงานเรื่องหวยออนไลน์และรับทราบโดยตลอด ไม่ใช่ไม่รับรู้ ลองไปยื่นประกันตัวดู ตนเชื่อว่าตำรวจมีหลักฐานพอที่จะยืนยันได้ว่า นางปทิตตารับรู้โดยตลอดในธุรกรรมนี้ อย่างน้อยที่บอกว่าไม่รู้เรื่องนั้น ไม่จริง รู้แน่นอน หลักฐานตำรวจเขาน่าจะมีในตอนนี้
    .
    Live โหนกระแส อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ มาแล้ว เชื่อทนายปาเกียวกำลังพลิกคดี มั่นใจเมียตั้มมีรู้เห็นทั้งหมด

    https://www.youtube.com/watch?v=7X__nPHGDD0

    #Thaitimes
    "ปานเทพ" น็อก "ทนายปาเกียว" เปิดสัญญาเด็ด โยงปม 71ล. ย้ำ "เมียตั้ม" รู้เห็นเงินโกงหวยออนไลน์ . "ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์" ออกรายการโหนกระแส ย้อนรอยที่มาคดีเงิน 71 ล้านบาท ย้ำไม่ใช่ให้โดยเสน่หา ไม่ใช่ทั้งกู้และยืมเงิน สัญญาชัดคุณอ้อยกับผู้ผลิตแพลตฟอร์ม ไม่มีทนายตั้มเกี่ยวข้อง ชี้ถ้ามีไม้เด็ดจริงคงไม่อยู่เรือนจำ ไม่ได้ประกันตัว ถูกอายัดทรัพย์ ส่วนที่อ้างว่าภรรยาไม่รู้นั้นไม่จริง ยังไงก็รับทราบโดยตลอด . วันนี้ (13 พ.ย.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยผ่านรายการโหนกระแส ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ดำเนินรายการโดยนายกรรชัย กำเนิดพลอย ว่า น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย และคณะมาร้องเรียนกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ เนื่องจากนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เป็นบุคคลมีชื่อเสียงและมีเครือข่ายมาก ถ้าจะมีใครสักคนสามารถเปิดความจริงและต่อสู้ผ่านสื่อน่าจะเป็นค่ายผู้จัดการ ระหว่างนั้นก็เก็บข้อมูล คลิปทั้งหมด แต่ไม่คิดจะเปิดในช่วงแรก เพราะรอให้คดีนี้เข้าสู่ตำรวจสอบสวนกลาง แล้วจะเปิดประเด็นก่อน . เมื่อนายษิทราและนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ไปออกรายการโหนกระแส เมื่อวันที่ 23 ต.ค. 2567 และนายกรรชัย กำเนิดพลอย ผู้ดำเนินรายการ ถามว่าทำไมนายษิทราจึงรวย มีของแบรนด์เนม นายษิทราหลุดมาว่าให้โดยเสน่หา ซึ่งในตอนเช้านายษิทราโทรศัพท์ไปหาทนายความของ น.ส.จตุพร เพราะรู้ว่ามีการแจ้งความและรู้ว่ามีเรื่องต่อกัน และเมื่อเห็นว่านายษิทราอาศัยรายการดังกล่าวสร้างภาพ และฟอกตัวว่าไม่มีปัญหาต่อกัน ทำให้เครือผู้จัดการตัดสินใจเปิดข้อมูลในช่วงบ่าย โดยนำข้อมูลในรายการไปลงปิดท้ายด้วย ทั้งที่ตอนนั้นยังไม่ตัดสินใจเปิดประเด็น และจะเปิดสักวันหนึ่งเมื่อคดีคืบหน้าจากทั้งสองฝั่งแล้ว . เมื่อเปิดข้อมูล ปรากฎว่านายษิทราไปพาดพิงนายสนธิท้าว่าใครแพ้จะให้ดื่มน้ำปัสสาวะ 71 แก้ว ทำให้ต้องเปิดข้อมูลทั้งหมด แล้วนายษิทราก็เงียบหายไป ต่อมานายษิทราไปออกรายการของ อ.ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์ อ้างว่าเป็นการให้โดยเสน่หา และครั้งที่ 3 ให้สัมภาษณ์ที่กองปราบปราม อ้างว่าให้โดยเสน่หาโดยไม่มีเงื่อนไข และจะมีการจ่ายภาษี 5% ของรายได้ที่เกิน 10 ล้านบาท คำถามก็คือที่กล่าวว่าให้โดยเสน่หามาตลอด เพิ่งมาเปลี่ยนในรายการวานนี้ (12 พ.ย.) ว่าเป็นเงินกู้เพื่อการลงทุน ตกลงเป็นเงินกู้เพื่อการลงทุน หรือเงินยืมเพื่อการลงทุนกันแน่ . ส่วนกรณีที่นายษิทราเคยนำโทรศัพท์มือถือไปให้ อ.ยิ่งศักดิ์อ่าน และนายสายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของนายษิทรา นำเอกสารมาให้นายกรรชัย และนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ทนายความอ่าน อ้างว่าเป็นแชตสำคัญ ตนรู้ตั้งแต่แรกว่าเป็นแชตนี้ ไม่ใช่แชตระหว่างนายษิทรากับคุณอ้อย และรู้ว่าไม่สามารถจะเป็นไม้เด็ดได้ หากเป็นไม้เด็ดจริงคงไม่อยู่ในเรือนจำ ประกันตัวไม่ได้ และอายัดทรัพย์ หลักฐานนี้เป็นการสร้างวาทกรรมการพิมพ์ไลน์ของทนายตั้มเพื่อคุยกับคุณน้อย เลขาส่วนตัว เพื่อสมอ้างว่าได้คุยกับคุณอ้อยแล้ว และข้อความไม่ได้แปลว่าสำเร็จแล้วโดยนายษิทรา เป็นการขอให้คุณน้อยไปเจรจากับคุณอ้อยอีกครั้งหนึ่ง แปลว่ายังไม่ได้เห็นด้วย . ทั้งนี้ บทสนทนาดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วง วันที่ 28-30 ม.ค. 2566 หลังจากนั้นมีการตกลงกันที่ไม่ใช่ในแชต นายษิทราอ้างว่าเป็นการให้โดยเสน่หา 3 ครั้ง โดยจ่ายภาษี 5% แต่ตอนนี้ไม่เอาแล้ว เหลือแค่ 2 อย่าง คือการกู้เงินหรือยืมเงิน พลิกไปพลิกมา ทั้งที่การกู้เงินต้องมีสัญญา ส่วนการลงทุนต้องมีผลตอบแทนและสัดส่วนหุ้นชัดเจน หากเป็นการยืมเพื่อลงทุน ก็ถือว่าเป็นการกู้อยู่ดี นายษิทราเป็นนักกฎหมาย เป็นคู่สัญญาในฐานะที่ปรึกษากฎหมาย ย่อมต้องรู้ว่าจะต้องร่างสัญญากู้เงิน แต่กลับไม่มี แสดงว่าไม่ใช่การกู้ยืมเงิน ส่วนการลงทุน มีการจดทะเบียนทรัพย์สินหรือไม่ ในแชตไลน์นำไปสู่การอ้างว่าจะทำแอปฯ หวยออนไลน์ . แต่ที่ไม่เปิดนอกจากโต้ไม่ได้แล้ว ยังอวดอ้างว่ามีเส้นสายในการรับสัมปทานหวยออนไลน์ ทั้งที่ไม่มีอยู่จริง นอกจากจะพูดคนที่ไม่เข้าใจ ไม่รู้ข้อกฎหมาย และหลงเชื่อว่ามีเส้นสาย มีคอนเนกชัน มีระบบสัมปทานที่จะทำได้ ก็เลยไม่กล้าเปิด อีกทั้งการลงทุนต้องมีหุ้นในสัดส่วนอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่มีทางไม่มีสัญญาเพราะนายษิทราเป็นนักกฎหมายและเป็นที่ปรึกษากฎหมายของคุณอ้อย จะต้องมีอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งคุณอ้อยเดินทางจากประเทศฝรั่งเศสมายังประเทศไทย เมื่อวันที่ 2-8 ก.พ. 2566 เพื่อเซ็นสัญญากับบริษัทผลิตแอปพลิเคชัน ลงวันที่ 3 ก.พ. 2566 ลงนามจริงวันที่ 5 ก.พ. 2566 ทำขึ้นระหว่างคุณอ้อยกับบริษัทผู้รับจ้างผลิตแอปพลิเคชัน แสดงว่าทรัพย์สินไม่ใช่ของนายษิทรา ที่อ้างว่าเป็นการกู้ยืมเงินจึงเป็นความเท็จทั้งสิ้น . "คนเราจะตัดสินใจอย่างไร ขึ้นอยู่กับสัญญา ไม่ใช่แชตไลน์คุย เพราะการแชตไลน์คุย คุณอ้างหลักฐานพิมพ์เองว่าตกลงกันแล้วอะไรก็ได้ คุณคุยกับเลขาฯ ไม่ได้คุยกับพี่อ้อยด้วย แต่ผลลัพธ์คือเซ็นสัญญาที่ไม่มีชื่อทนายตั้มเกี่ยวข้องเลย จะมาอ้างว่าเงินกู้ยืมก็ไม่ได้ เงินลงทุนก็ไม่ได้ เพราะสัญญาไม่มีชื่อคุณแม้แต่คำเดียว และที่สำคัญ สัญญานี้ทำการปรับปรุงและแก้ไขจากสำนักงานทนายความษิทรา ลอว์เฟิร์ม ทั้งสิ้น" นายปานเทพ กล่าว . เมื่อทีมกฎหมายของนายษิทราส่งข้อความไปยังนายกรรชัย ถามว่า ใครเป็นคนสั่งให้ทำสัญญานี้ และสัญญานี้คุณอ้อยให้ทำโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงหน่วยงานราชการฝรั่งเศส นำเงินมาให้นายษิทราจริงหรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า เป็นคำถามที่ดีเพราะมีการแอบอ้างว่าสัญญาทำขึ้นเพื่อเป็นนิติกรรมอำพราง เรื่องนี้มีสัญญาชัดเจน คุณอ้อยมาประเทศไทยวันที่ 2-8 ก.พ. 2566 ภายใต้สัญญานี้ เมื่อกลับไปประเทศฝรั่งเศสก็ไปทำเรื่องถอนเงิน เตรียมขายหลักทรัพย์เพื่อโอนเงินมา เพราะเป็นทรัพย์สินของเขาเอง และการโอนเงินจากฝรั่งเศสมายังประเทศไทย ถ้าเป็นทรัพย์สินของตัวเองไม่ต้องเสียภาษี จ่ายแค่ธรรมเนียม รวมทั้งเงินทำบุญและใช้ส่วนตัวก็หลักการเดียวกัน จึงไม่จำเป็นต้องสร้างนิติกรรมอำพราง . หลังจากนั้นจึงนำเงินไปให้นายษิทราเมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2566 เพราะนายษิทราอ้างว่าเป็นผู้ดำเนินการ โดยที่นายษิทราเป็นคนติดต่อบริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันเอง และติดต่อคุณอ้อยโดยไม่ให้ทั้งสองฝ่ายเจอกัน โดยอ้างว่ารับเงินมาแล้วไปดำเนินการต่อ เพราะฉะนั้นเงิน 71 ล้านบาทจ่ายไปเพื่อวัตถุประสงค์ตามสัญญาฉบับดังกล่าว และสัญญาดังกล่าวระบุว่าจะต้องมีการจ่ายเงินภายในวันที่ 15 ก.พ. 2566 แต่โอนเงินเข้ามาไม่ทัน ต้องเป็นวันรุ่งขึ้น จึงสอดคล้องกับสัญญานี้ โดยที่คุณอ้อยหลงเชื่อว่าควรจะเป็นทรัพย์สินที่เดินหน้าทำสลากออนไลน์เพราะหลงเชื่อนายษิทรา . ทั้งนี้ นายษิทราอ้างในไลน์ตลอดว่าทำสลากออนไลน์ พอได้เงินมาเสร็จหลังจากนั้นถอนเงินไปซื้อบ้านด้วยเงินสด กรณีนี้จึงเป็นการตั้งขึ้นมาเพื่อหลอกคุณอ้อย เพราะเมื่อบริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันไม่ได้เงินก็ถามว่า ไหนสัญญาบอกว่าจะได้รับเงิน นายษิทรากล่าวว่า คุณอ้อยยกเลิกสัญญาแล้ว ทั้งที่คุณอ้อยไม่ได้ยกเลิกและจ่ายเงินไปแล้ว แต่บริษัทไม่รู้ว่ามีการจ่ายเงิน และเมื่อไม่มีการโอนเงินก็ยุติสัญญา เดิมนายษิทราและภรรยาไปขอสินเชื่อเพื่อซื้อบ้านในราคา 43 ล้านบาท จากนั้นวันที่ 22 มี.ค. 2566 นำเงินก้อนนี้เปลี่ยนจากสินเชื่อกลายเป็นซื้อเงินสด เพราะได้เงินมาจากคุณอ้อย กรณีนี้ถ้าทำกันถึงขนาดนี้คิดว่าเข้าข่ายฉ้อโกง เพราะชี้ขาดว่าใครเป็นคู่สัญญาและเจ้าของทรัพย์สิน แต่นายษิทราเป็นตัวกลางกลับนำเงินตรงนี้ไปใช้ส่วนตัวซื้อบ้านซึ่งไม่เกี่ยว . เมื่อทีมกฎหมายของนายษิทราส่งข้อความไปยังนายกรรชัย ถามว่า รู้เรื่องการโอนเงินไปยังล่ามที่ชื่อจุ๋ม ซึ่งถูกหัก 40% หรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า กรณีนี้ทรัพย์สินไม่ใช่คนอื่น เป็นคุณอ้อยโดยตรง แล้วชื่อบัญชีเป็นคุณอ้อย ชื่อสัญญาเป็นคุณอ้อย จะเป็นสัญญาคนอื่นในการโอนตรงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง จึงแสดงเจตนารมณ์ชัดเจนว่าตั้งใจโอนเงินเป็นทรัพย์สินของเขาเอง . นายปานเทพ กล่าวว่า จากนั้นใกล้ปลายปี 2566 ก็เริ่มคิดเรื่องภาษีว่านายษิทราจะนำเงินที่มา 71 ล้านบาทเป็นอย่างไร จึงมีการเจรจากับบริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันว่า ขอผ่านเงินสัก 70 ล้านบาทได้ไหม เพื่อที่จะมีบันทึกโดยไม่บอกที่มาที่ไป ต่อมาไม่มีความคืบหน้า มาเจรจาอีกครั้ง 27 ก.พ. 2567 ใกล้ถึงรอบวงจ่ายภาษี นายษิทราเสนอว่าจะเอาเงินผ่านโดยไม่บอกว่าเป็นสัญญาเดิม ครั้งที่หนึ่ง 30 ล้านบาท ครั้งที่สอง 30 ล้านบาท และครั้งที่สาม 11 ล้านบาท แล้วจะให้ค่าตอบแทน 10 ล้านบาท บริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันจึงคิดว่ายอดใกล้ 71 ล้านบาท สงสัยจะฟอกเงินและบริษัทฯ จะเป็นแพะ จึงปฎิเสธ ซึ่งมีบทสนทนา . พอถึงช่วงที่จะส่งมอบแอปพลิเคชัน กลับไม่มีการส่งมอบ คุณอ้อยจึงดำเนินการทำโนติสถึงนายษิทรา และเมื่อนายษิทราไม่สามารถนำส่งได้ ทั้งที่ได้ดำเนินการและรับเงินไปแล้ว อีกทั้งนายษิทราบอกเองว่าเป็นผู้ประสานงานโครงการนี้ ทำไมถึงยังไม่ได้ ปรากฎว่านายษิทราแชตไลน์ไปพูดคุยกับบริษัทผู้ผลิตแอปพลิเคชันว่า มีแพลตฟอร์มนาคี ชื่อเหมือนกันแต่โลโก้เป็นสีเขียว อ้างว่าไปจ้างเขาทำมาเอง เหมือนถูกเลียนแบบ นายษิทราให้ช่วยนำแอปพลิเคชันนี้ส่งให้คุณอ้อย แต่บริษัทปฎิเสธทำไม่ได้ เพราะไม่เคยทำ และไม่ใช่แอปฯ ของบริษัท จะไปหลอกคุณอ้อยแบบนั้นไม่ได้ ก็เลยไม่ทำ เรื่องแบบนี้เป็นการให้โดยเสน่หาได้อย่างไร ให้เพื่อการลงทุนได้อย่างไรเพราะไม่มีของสักอย่างแล้วอุปโลกน์เป็นอย่างอื่น จะเรียกว่าฉ้อโกงหรือไม่ . นายปานเทพ กล่าวว่า ตอนนี้ฝ่ายนายษิทรามีความคิดที่จะประกันตัวนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด หรือเดือน ภรรยา โดยอ้างว่าแค่รับเงินมาซื้อบ้าน ไม่รับรู้ที่ไปที่มา ตนอยากจะบอกว่าไม่จริง เพราะตำรวจมีหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐาน ป่านนี้รู้แล้วว่ามีข้อมูลการใช้โทรศัพท์ และแชตไลน์ทั้งหมดไปหมดแล้ว ยังไงนางปทิตตาอยู่ในคณะทำงานเรื่องหวยออนไลน์และรับทราบโดยตลอด ไม่ใช่ไม่รับรู้ ลองไปยื่นประกันตัวดู ตนเชื่อว่าตำรวจมีหลักฐานพอที่จะยืนยันได้ว่า นางปทิตตารับรู้โดยตลอดในธุรกรรมนี้ อย่างน้อยที่บอกว่าไม่รู้เรื่องนั้น ไม่จริง รู้แน่นอน หลักฐานตำรวจเขาน่าจะมีในตอนนี้ . Live โหนกระแส อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ มาแล้ว เชื่อทนายปาเกียวกำลังพลิกคดี มั่นใจเมียตั้มมีรู้เห็นทั้งหมด https://www.youtube.com/watch?v=7X__nPHGDD0 #Thaitimes
    Like
    Haha
    Love
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1354 มุมมอง 1 รีวิว
  • แจงแนวทางสู้คดีเงิน 71 ล้านแค่ยืมมาลงทุน ไม่มีสัญญาค่าตอบแทน (11/11/67) #news1 #คดีเงิน71ล้าน #แค่ยืมมาลงทุน #ทนายตั้ม
    แจงแนวทางสู้คดีเงิน 71 ล้านแค่ยืมมาลงทุน ไม่มีสัญญาค่าตอบแทน (11/11/67) #news1 #คดีเงิน71ล้าน #แค่ยืมมาลงทุน #ทนายตั้ม
    Haha
    Like
    Yay
    Angry
    11
    2 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1113 มุมมอง 421 0 รีวิว
  • หม่อมโจ้
    สิ่งที่ควรรู้เรื่องอิสราเอลหม่อมโจ้ โต้ทูตอิสราเอล ยันต้องเปิดความจริง ช่วยคนไทยพ้นภาวะทาส
    เพื่อนๆคงจะรู้จัก คุณปุ๊ก อาภัสรา หงสกุล อดีตนางงามจักรวาลชาวไทยคนแรก ที่เรียกว่ามิสยูนิเวอร์ส คุณอาภัสราจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.ศ.3) ปี 2506 จาก ร.ร.ศึกษาวิทยา ถนนสีลม แล้วไปเรียนอาชีวศึกษาที่ ร.ร.เลขานุการที่นครรัฐปีนัง ในมาเลเซีย จบชั้นปีที่ 2 เธอมาประกวดนางสาวไทย ได้ตำแหน่งปี 2507 จากนั้นไปเรียนต่อแล้วกลับมาปี 2508 เดินทางไปประกวดมิสยูนิเวอร์สที่นครไมอามี่ รัฐฟลอริด้า สหรัฐอเมริกา ได้ตำแหน่งขณะมีอายุ18ปี คุณปุ๊กเกิดวันที่16 มกราคม 2490 ปีกุนปีเดียวกับผม ปี 2510 ขณะมีอายุ 20ปีได้สมรสครั้งแรกกับหม่อมราชวงศ์เกียรติคุณ กิติยากร มีบุตรชายคนแรกคือหม่อมหลวงรุ่งคุณ กิติยากร
    ปัจจุบัน หม่อมโจ้ บุตรชายคนแรกของคุณปุ๊ก อายุได้ 53 ปีแล้ว หม่อมโจ้เรียนจบจากต่างประเทศที่สหรัฐอเมริกาในระดับปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจเคยทำงานบริษัทต่างประเทศจนได้ลาออกไปอุปสมบทเป็นพระภิกษุในสายวัดป่าอยู่หลายปีได้มาซื้อที่ดินที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา 45 ไร่ ปลูกพืชและผลไม้สายพันธุ์ของต่างประเทศที่ไม่มีใครทำมาก่อนจนผลไม้ขายได้ในราคาสูง หม่อมหลวงรุ่งคุณได้ศึกษาและวิเคราะห์เขียนหนังสือหลายเรื่องเกี่ยวกับอิสราเอล ไว้มากจนเป็นข่าวตอบโต้กับเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทยดังนี้
    เรียน ท่านเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย นายไซม่อน โรดเด็ด
    ข้าพเจ้ารับทราบถึงความไม่พอใจของท่านกับบทความของข้าพเจ้า ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่ข้าพเจ้าได้เขียน เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้าโดยบริสุทธิ์ใจ อันเป็นสิทธิที่ข้าพเจ้าจะแสดงได้ โดยความเห็นของข้าพเจ้านั้น เป็นไปตามข้อมูลหลักฐานอันมีจริงทางประวัติศาสตร์ที่ได้มีความพยายามในการกลบและบิดเบือน
    แม้กระนั้น ท่านอาจแปลกใจคิดว่า แล้วไฉนทั้งที่ข้าพเจ้าและประเทศไทยที่ไม่ได้มีส่วนได้เสีย ข้าพเจ้าจึงต้องไปเขียนในเรื่องราวสร้างความบาดหมางให้แก่ท่าน ข้าพเจ้าจึงใคร่ที่จะชี้แจงตรงนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนเพื่อที่จะก่อความบาดหมางให้แก่ท่านหรือแก่ผู้ใด และ เรื่องราวที่ข้าพเจ้าเขียนนั้น มีความเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้าและต่อประเทศไทยอย่างไรบ้าง
    อย่างแรก 'กลุ่มทุนธนาคารยิว Zionist' ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงนั้น ข้าพเจ้ากล่าวถึงคนเพียงกลุ่มหนึ่ง มิใช่ชาวยิวทั้งหมด โดยคำว่า 'Zionist' แม้แต่ชาวยิวแท้ Orthodox Jews ที่ยึดมั่นใน Torah จำนวนมากก็ไม่ได้เห็นด้วยเลย ดังที่พวกเขาได้ออกมาประท้วง ประกาศว่า 'Zionism' ไม่ใช่ 'Judaism' เอง ท่านทูตน่าจะพอทราบอยู่ เพราะใน Israel ก็มีการจับชาวยิวแท้ ที่มีอัธยาศัยดีเหล่านี้ ไปจำคุกอยู่จำนวนหนึ่ง
    'ทุนธนาคาร Zionist' ที่ข้าพเจ้าพูดถึง หมายถึงกลุ่มทุนธนาคารที่เป็นผู้มีอำนาจที่สุดในโลก มีอำนาจเหนือรัฐหลายรัฐ รวมถึงมหาอำนาจสหรัฐอเมริกา เขาคุมการเงินโดยกลุ่มของเขาเอง เป็นเจ้าของ Federal Reserve Bank ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา ที่พิมพ์เงินให้รัฐบาลสหรัฐฯต้องกู้ มิใช่ของประชาชนชาวอเมริกันตามที่ควรจะเป็นแต่อย่างใด กลุ่มทุนธนาคารของเขาเป็นหุ้นใหญ่ในบริษัทยักษ์ใหญ่แทบทั้งสิ้นทั่วโลก รวมถึง 6 บริษัทที่คุม 90% ของสื่อในสหรัฐอเมริกา เขาคุมแหล่งนํ้ามันและก๊าซหลัก ๆ ทั่วโลก และกำลังรุกเพื่อควบคุมผูกขาดอาหารของโลกโดยการผลิต GMO แม้แต่องค์กรโลก เช่น UN ที่ให้กำเนิด World Bank และ IMF ล้วนเป็นองค์กรที่พวกเขาจัดตั้งขึ้น และควบคุมทั้งสิ้น
    ชื่อตระกูลที่โดดเด่นมีอิทธิพลสูงสุดใน 'ทุนธนาคาร Zionist' นี้ ได้แก่ 'Rothschild' และ 'Rockefeller' ชื่อ 'Rothschild' ท่านทูตย่อมรู้จักเป็นอย่างดี โดยใน 'Independence Hall' ที่ Tel Aviv เมืองหลวงของท่านเอง ก็มีนิทรรศการเอกสารชิ้นสำคัญมากชิ้นหนึ่งเรียกว่า 'The Balfour Declaration' เป็นจดหมายจากรัฐบาลอังกฤษ จ่าหัวถึง 'Lord Rothschild' ใน 1917 แสดงถึงการที่รัฐบาลอังกฤษสนับสนุนให้เกิด บ้านอยู่ (national home) ของชาวยิว ที่ Palestine แก่ 'Lord Rothschild' Baron Edmond (Abraham Benjamin) Rothschild จึงมีสถานะเป็น "the Father of the Settlements" (Avi ha-Yishuv) หรือบิดาแห่งอิสราเอล
    ใน4บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของโลก หรือ 'The Four Horsemen of Oil' ที่อยู่เบื้องหลังนโยบายการครอบครองน้ำมันของสหรัฐฯ 2 บริษัท คือ BP Amoco และ Royal Dutch/Shell อยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูล Rothschild ที่ถือหุ้นใหญ่ ส่วน อีกสอง Exxon Mobil และ Chevron คือ บริษัทที่มาจาก Standard Oil ของ John D. Rockefeller โดยกรรมการของบริษัทน้ำมันเหล่านี้จำนวนหนึ่ง ไขว้กันเองเป็นใย และไขว้เป็นกรรมการของธนาคารยักษ์ใหญ่ เช่น JP Morgan Chase ของ Rockefeller และ Citigroup, Bank of America, Wells Fargo, N. M. Rothschild & Sons โดยตระกูล Rothschild ควบคุม และมีการเชื่อมโยงถือหุ้นไขว้กันกับกลุ่มทุนนอมินียักษ์ เช่น BlackRock, State Street, Vanguard และ Fidelity ที่ถือหุ้นใหญ่บริษัทยักษ์ใหญ่ แทบทั้งหมดในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย
    ในการสร้างอำนาจเหนือรัฐต่าง ๆ 'ทุนธนาคาร Zionist' เหล่านี้ ได้จัดตั้งองค์กร Front ของเขา เช่น The Bilderberg Group, Council on Foreign Relations (CFR) และ The Trilateral Commission (TC) โดยองค์กรเหล่านี้จะรวมกลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' และบรรดาผู้มีอิทธิผล เช่น อดีตประธานาธิบดี บริวารมือขวาของเขา Henry Kissinger นักการเมืองทุกขั้ว ทหาร หัวหน้าหน่วยงานลับ ของประเทศสำคัญในยุโรป และสหรัฐฯ โดยใน Trilateral Commission จะมีสมาชิกเป็นบุคคลสำคัญของประเทศในทวีปเอเชียต่าง ๆ ที่รับใช้พวกเขา 'ทุนธนาคาร Zionist' จึงมีอิทธิพลอำนาจเหนือรัฐ เช่นมหาอำนาจสหรัฐอเมริกา
    ด้วยความละโมบของพวกเขา ในการล่าอาณานิคมยุคใหม่ โดยกำลังก็ดี โดยวิธีแห่งการให้สินบนแก่ผู้ขายชาติตนเองก็ดี โดยการบีบบังคับด้วยหนี้สินก็ดี โดยการแทรกแซงการเมืองภายในก็ดี 'ทุนธนาคาร Zionist' เหล่านี้ ได้เข้ายึดครองทรัพยากร พลังงาน เศรษฐกิจ และการเงิน ของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ทำให้ประชาชนของประเทศนั้น ๆ ตกเป็นทาสของพวกเขา โดยในประเทศไทยเอง ปรากฏหลักฐานชัดเจนถึงการกระทำ ที่ 'ทุนธนาคาร Zionist' พร้อมการร่วมมือของ 'คนไทย' ที่ได้ขายตัวขายจิตวิญญาณให้พวกเขา ได้ร่วมกระทำ ดังต่อไปนี้ (1) การปล้นโกงน้ำมันและก๊าซ จากประชาชนคนไทย (2) การทำให้ประเทศไทยเป็นหนี้ ตามด้วยการยึดครองเศรษฐกิจการเงิน (3) การชักใยอยู่เบื้องหลังทุกฝ่าย ในการสร้างความแตกแยก ตามยุทธศาสตร์ 'แบ่งแยกแล้วปกครอง' เพื่อการยึดครองประเทศเป็นเมืองขึ้นยิ่งขึ้นไป มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ :
    (1) การปล้นโกงน้ำมันและก๊าซ จากประชาชนคนไทย โดย 'ทุนธนาคาร Zionist'
    ทั้งที่ประเทศไทย มีอธิปไตยของตนเอง โดยอธิปไตย นั้นเป็นของปวงชนชาวไทย อันหมายความว่าทรัพยากรของชาตินั้นเป็นของประชาชนคนไทย แต่ปรากฏว่า กฎหมายว่าด้วยน้ำมันและก๊าซ (พ.ร.บ.ปิโตรเลียม 2514) มิได้มีการเขียนขึ้นไม่ว่าจะ 'โดย' ประชาชน หรือ 'เพื่อ' ประชาชน แต่อย่างใด แต่ได้ถูกเขียนขึ้นโดย Walter James Levi สมาชิกทั้ง CFR และ The Trilateral Commission ผู้ทำงานให้รัฐบาลสหรัฐฯ ขั้นขึ้นชื่อว่าเป็น หัวหน้าฝ่ายเศรษฐศาสตร์พลังงานของสหรัฐอเมริกา (the dean of United States oil economists) และ ได้เป็นผู้บริหารบริษัทของตระกูล Rockefeller เองคือ Standard Oil Company of New York หรือ Socony (ปัจจุบันคือ Exxon) คนที่เขียนกฎหมายนี้ของประเทศไทย ไม่ใช่คนไทย แต่คือคนของ 'ทุนธนาคาร Zionist'
    เนื้อหาของกฎหมายดังกล่าวเอง ก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของ 'ทุนธนาคาร Zionist' โดยมีลักษณะของกฎหมายสำหรับเมืองขึ้นอันไม่เป็นธรรม คือ น้ำมันและก๊าซทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้รับสัมปทาน การได้สัมปทานเป็นไปโดยไม่มีการประมูลอย่างโปร่งใส ค่าตอบแทนเป็นไปอย่างต่ำ และ ประชาชนคนไทยที่เป็นเจ้าของโดยแท้จริง ไม่สามารถตรวจสอบรับทราบความจริงได้เลย โดยวิธีที่สามารถจะเรียกว่าโปร่งใสได้ ว่าปริมาณทรัพยากรที่มีการขุดไปนั้นมีปริมาณที่แท้จริงมากน้อยเพียงใด ประเทศไทยมีพลังงานมากน้อยแค่ไหนโดยต้องยอมรับตามตัวเลข ที่บริษัทพลังงานต่าง ๆ แจ้งเท่านั้น
    การปล้นอธิปไตยโดย 'ทุนธนาคาร Zionist' เป็นไปได้ด้วยการข่มขู่ไม่ให้ความร่วมมือ พร้อมการให้สินบนแก่ 'คนไทยที่ขายชาติตัวเอง' ซึ่งจากนั้นมา การรุกครอบครองน้ำมันและก๊าซของประชาชนคนไทย โดยวิธีการดังกล่าวได้ขยายไปเรื่อย ๆ มีการแก้ไขกฎหมายเพิ่มเติม ให้เอื้ออำนวยแก่ผู้รับสัมปทานอย่างล้นพ้นโดยภายหลังจะเห็นได้ชัดเจนถึงผู้เข้ามามีอำนาจในไทย ไม่ว่าขั้วไหน เข้ามาด้วยวิธีใด ได้สานต่อไปในทาง 'ขายชาติตัวเอง' ให้แก่ 'ทุนธนาคาร Zionist' เหล่านี้เพื่อค่าคอมมิสชั่น ถึงขั้นร่วมกันชง ส่งลูกกันข้ามรัฐบาล ยกดินแดนไทยให้กัมพูชา อันส่งผลให้พื้นที่ไทยในทะเลอ่าวไทย 27,000 ตารางกิโลเมตรอันอุดมด้วยน้ำมันและก๊าซที่สุดแห่งหนึ่ง ต้องตกกลายเป็นพื้นที่พิพาท ระหว่างไทยกับกัมพูชา
    ซึ่งในพื้นที่นี้ บริษัท Chevron คือบริษัทที่จ่อล็อกจะถือสัมปทานจากทั้ง 2 ประเทศ ในกรณีนี้ที่มีการพิพาทเรื่องพื้นที่ในอ่าวไทย หากไทยและกัมพูชา ให้สัมปทานในพื้นที่นี้ ผู้ที่จะมีอิทธิพลสูงสุดในการครอบครอง ย่อมมิใช่ไทยหรือกัมพูชาอีกทั้งนั้น แต่จะเป็นสหรัฐอเมริกาภายใต้กลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' เพราะสัมปทานจะเป็นของ Chevron โดยเอกฉันท์ ฝ่ายใดที่ให้ประโยชน์แก่สหรัฐฯ สูงสุด สหรัฐฯ ย่อมสนับสนุนฝ่ายนั้น
    ในปัจจุบัน การถูกปล้นอธิปไตย การตกเป็นอาณานิคมของ 'ทุนธนาคาร Zionist' อย่างเต็มรูปแบบในเรื่องพลังงาน ก็ประจักษ์ชัดเจนอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยในปัจจุบัน นาย ณรงค์ชัย อัครเศรณี ผู้เข้ามาดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ก่อนเข้ามารับตำแหน่ง ได้เป็นสมาชิก The Trilateral Commission (TC) องค์กรของ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' ยาวนานถึง 30 ปี โดยเมื่อเข้ามาแล้ว ก็ไม่รีรอที่จะประกาศผลักดันเปิดสัมปทานในพื้นที่ดังกล่าวอย่างเต็มที่ โดยไม่สนใจ และไม่มีการชี้แจงอันใดเกี่ยวกับการเสียดินแดนของประเทศไทย ทั้งที่มีการคัดค้าน
    ด้วยประการฉะนี้ การปล้นโกงน้ำมันและก๊าซ โดย 'ทุนธนาคาร Zionist' จึงมิได้ครอบคลุมเพียงแค่น้ำมันและก๊าซอีกต่อไป แต่ได้ขยายไปเป็นการปล้นดินแดนไทย จากประชาชนคนไทย ไปโดยเรียบร้อย
    (2) การทำให้ประเทศไทยเป็นหนี้ ตามด้วยการยึดครองเศรษฐกิจการเงินของประเทศ
    การที่เถ้าแก่สามานย์รายใดจะต้องการยึดที่ดินสวย ๆ ของชาวนา วิธีที่เขาจะกระทำคือ ให้ชาวนากู้เงิน ทำให้จ่ายหนี้ไม่ได้ เมื่อจ่ายช้าก็อายัดที่ดินนั้น บังคับขายในราคาต่ำกว่าจริงสิบเท่า แล้วเข้าซื้อเอง
    วิธีการของ 'ทุนธนาคาร Zionist' ก็เป็นเช่นนั้น ทำให้ประเทศเป็นหนี้ หลังการปล่อยกู้เงินให้แก่ประเทศไทยจำนวนมากให้คน น้อยกว่า 1% อย่างฟุ่มเฟือย George Soros สมาชิกอาวุโส CFR ได้นำกลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' มาโจมตีค่าเงินบาท จาก 25 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ กลายเป็น 56 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ เพราะกู้เงินจากต่างชาติมามาก เศรษฐกิจไทยได้เข้าสู่วิกฤต มีการล่มสลายของธุรกิจจำนวนมาก(ในปี 2540 – 2542)
    ต่อมาก็เป็นไปตามแบบแผนวิธีการของ IMF และ World Bank ที่ 51% เป็นของ US Treasury ควบคุมโดย 'ทุนธนาคาร Zionist' ของ Rothschild ตามขั้นตอนที่ Joseph Stiglitz ผู้เป็นอดีตประธานที่ปรึกษาทีมเศรษฐกิจของ President Bill Clinton อดีตรองประธาน และ Chief Economist ของ World Bank ได้เปิดโปงให้แก่หนังสือ The Observer และ Newsweek หลังมีเอกสารลับหลุดออกมาจาก World Bank คือในการขอความช่วยเหลือทางการเงิน จำต้องเซ็นสัญญา โดยในสัญญาจะตกลงใน (a) Privatization การแปรรูป โดยรัฐจะต้องยินยอมขายสมบัติของชาติเกี่ยวเนื่องกับสิ่งจำเป็น เช่น น้ำ ไฟฟ้า น้ำมันและก๊าซ (b) Capital Market Liberalization การเปิดให้ทุนไหลเข้าออก โดยส่วนใหญ่มักจะไหลออก (c) Market-based pricing การขึ้นราคา อาหาร ไฟฟ้า น้ำมันและก๊าซ โดยอ้างว่าเป็นราคาตลาดโลก (d) Free Trade การค้าเสรี ตามกฎของ WTO และ World Bank
    Stiglitz ได้ระบุในการสัมภาษณ์อย่างชัดเจนว่า การยินยอมในการตกลงนั้นเกิดขึ้นไม่ยากโดย (ก) World Bank IMF สามารถสั่ง Financial Blockage การกีดกันทางการเงินหากไม่ร่วมมือ และ (ข) นักการเมืองในประเทศนั้น ๆ ยินดีที่จะยกบริษัท น้ำ ไฟฟ้า น้ำมันและก๊าซ ให้โดย 'เขาจะตาโตกันเลย เมือเขานึกถึงค่าคอมมิสชั่นที่เขาจะได้กัน จากการลดราคาเป็นพัน ๆ ล้านในการแปรรูป' โดยเขาจะสามารถใช้ข้ออ้างว่า ถูก World Bank IMF บังคับ
    แล้วการออกกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ ก็ได้ตามมา พร้อมการขายสมบัติชาติแบบล็อกสเปคในราคาที่ต่ำกว่าทุนถึง 5 เท่า ตามด้วยการแปรรูปบริษัทน้ำมัน-ก๊าซของชาติ โดยสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าไม่ว่าจะในกรณี การยกดินแดนให้ต่างชาติ หรือ การแปรรูป จะเกิดขึ้นโดยการร่วมมือของมากกว่าหนึ่งรัฐบาล โดยฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายชง อีกฝ่ายเป็นฝ่ายจัดการ ทั้งนี้ทั้งนั้น เป็นไปเพื่อการสามารถโยนความผิดกันไปมาได้ โดยไม่มีใครผิดเต็ม ๆ โดยในกรณีนี้ แม้ขั้วนักการเมืองกลุ่มที่รับข้อตกลงรับรายละเอียดในการออกกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับจาก 'ทุนธนาคาร Zionist' นี้พยายามจะโยนความผิดให้ผู้ริเริ่มการตกลง แต่ก็ปรากฏให้เห็นได้ถึงการตอบแทน เมื่อคนของเขาได้ไปนั่งเป็นผู้อำนวยการใหญ่ WTO
    โดยการโจมตีค่าเงิน การบีบข่มขู่ การให้สินบนแก่ผู้เข้ามามีอำนาจทุกขั้ว ที่ร่วมกันขายชาติตนเอง 'ทุนธนาคาร Zionist' เช่น JP Morgan Chase, BlackRock, State Street, Vanguard และ Fidelity ได้เข้ามายึดครองควบคุม บริษัทน้ำมันก๊าซ ธนาคาร และ เศรษฐกิจการเงินของประเทศไทย ไปจากคนไทย และยังรุกคืบยิ่ง ณ ปัจจุบัน ตามข่าวการแปรรูปที่ปรากฏอยู่
    (3) การชักใยอยู่เบื้องหลัง ในการสร้างความแตกแยก ตามยุทธศาสตร์ 'แบ่งแยกแล้วปกครอง' (Divide and Conquer) เพื่อการยึดครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จ
    เป็นที่ประจักษ์ว่าไม่ว่าจะขั้วไหน เข้ามาด้วยวิธีใด ที่เข้ามามีอำนาจ ล้วนให้ความร่วมมือกับ 'ทุนธนาคาร Zionist' ในการขายทำลายชาติ โดยมีค่าคอมมิสชั่น ทั้งในทรัพยากรและในการแปรรูป เป็นตัวเชื่อม สามารถควบคุม ชักใยได้ทุกฝ่าย ยุทธศาสตร์ แบ่งแยกแล้วปกครอง เป็นยุทธศาสตร์ที่มีตัวอย่างเห็นได้ในโลกปัจจุบันมากมายในการเข้ายึดครองประเทศต่าง ๆ ของ 'ทุนธนาคาร Zionist' โดยการยุยงให้เหยื่อตีกันเอง บางกรณีให้อาวุธทั้ง 2 ฝ่าย ทำลายภูมิคุ้มกันความสามัคคีของชนชาตินั้น ๆ สร้างความแตกแยก โดยเมื่อมีรอยแตก ก็สามารถจะแทรกเข้าไป ยึดครองประเทศนั้น ๆ
    ความแตกแยก ปัญหาความขัดแย้งเสื้อสี ที่ปรากฏอยู่ในประเทศไทย ล้วนมีการชักใย มีการสนับสนุน ทั้ง 2 ฝ่ายการเมือง โดยมีกลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' เป็นผู้อยู่เบื้องหลังนักการเมืองทั้ง 2 ขั้ว โดยทั้ง 2 ขั้ว นั้นล้วนมีผลประโยชน์ในเรื่องคอมมิสชั่น จากกลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' และถูกชักใยให้ปลุกปั่นประชาชน ให้มาตีกันเองโดยการรู้ไม่เท่าทันของประชาชน ว่าโดยแท้จริงแล้ว นักการเมืองและผู้มีอำนาจ ไม่ว่าจะขั้วไหน เข้ามาด้วยวิธีใด ล้วนให้ความร่วมมือ ขายชาติตนเองแก่ 'ทุนธนาคาร Zionist' ทั้งสิ้น
    หลักฐานปรากฏชัดเจนว่าสมาชิก CFR ของ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' อาทิ (a) Robert Blackville สมาชิก CFR มือขวาการต่างประเทศของ Henry Kissinger จาก Barbour Griffif & Rogers (CFR) (b) Keneth Adelman สมาชิก CFR อดีตทูต UN ของสหรัฐ จาก Baker & Botts Robert (CFR) (c) Robert Amsterdam จาก Amsterdam & Peroff (Chatham House) ได้ทำหน้าที่เป็น lobbyist ให้อดีตนักการเมืองที่หลบอยู่ที่ Dubai และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังขบวนการเสื้อแดง และองค์กร NED ได้ให้เงินสนับสนุน Website ของเสื้อแดงจำนวนมาก โดยต้องเป็นที่กล่าวว่า นักการเมืองไทยที่หลบหนีอยู่ที่ Dubai นั้น โดยแท้จริงแล้วเป็นเพียงหุ่นเชิด ที่ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' ชักใยอยู่เบื้องหลัง ซึ่งโดยลำพังเขาไม่สามารถที่จะทำเองได้เลย (นั่นคือทักษิณ ชินวัตร)
    ส่วนนักการเมืองผู้เข้ามามีอำนาจ ฝ่ายอื่น ๆ ที่โหน อ้าง ปกป้อง สถาบันสำคัญ ๆ ฝ่ายนี้ โดยการขายตัวขายชาติ การปรารถนาได้ค่าคอมมิสชั่น ทั้งในน้ำมันก๊าซ และในการแปรรูป เป็นตัวเชื่อม ก็ไม่พ้นการอยู่ภายใต้อำนาจการชักใยของ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' ที่เป็นผู้กำกับการแสดง จูงทั้งสองสามฝ่าย ให้ชงและส่งลูกให้กัน เสี้ยมให้ชาติ ล่มสลาย เพื่อการปล้นยึดครองอย่างเบ็ดเสร็จ ในระหว่างที่สหรัฐ แขนขวาของ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' สนับสนุนฝ่ายหนึ่ง แขนซ้าย ก็ทำตัวเข้าสนับสนุนอีกฝ่าย
    ข้าพเจ้าจึงจะประกาศ ณ ที่นี้ว่าข้าพเจ้ามิได้รังเกียจประชาชนของชนชาติใด จะเป็นชาวอเมริกันหรือชาวยิวหรือชาติใด ๆ ทั้งสิ้น แต่สิ่งที่ข้าพเจ้ารังเกียจ คือพฤติกรรม เอาเปรียบ เบียดเบียน แทรกแซง ปล้นทั้งทรัพยากรและดินแดน ทำลายชาติอื่น ที่ 'ทุนธนาคาร Zionist' นี้ได้กระทำทั่วโลก
    ดังนั้น กับคำกล่าวของท่านว่าข้าพเจ้าเหยียดชนชาติ เมื่อความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นข้าพเจ้าจึงไม่เดือดร้อนใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ว่าในโลกปัจจุบัน เท่าที่ข้าพเจ้าทราบ ข้าพเจ้าไม่เห็นว่าจะมีค่ายนักโทษอันใดที่กระทำความทารุณโหดร้ายเท่ากับที่สถานที่ชื่อ Gaza และในเมื่อประเทศของท่านเองยังกระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาว Palestine อย่างที่กระทำอยู่ ท่านยังจะกล้าบังอาจเรียกผู้ใดว่าเหยียดชนชาติได้เสียอย่างไร
    จะเรียกใครว่าอย่างไรท่านจงมองตัวเองบ้างเสียเถิด ท่านจงสำเหนียกเสียบ้างเถิดว่า พฤติกรรมร้องทำจะเป็นจะตายว่าพวกตนถูกทำร้าย ทั้งที่พวกตนนั่นแหละคือผู้ที่กระทำชำเราเขาไปทั่ว ท่านคิดว่าอย่างไร พฤติกรรมนี้เป็นพฤติกรรมที่น่าสมเพชหรือไม่
    ไม่ว่าจะประชาชนชนชาติใด เขาก็ย่อมปรารถนาความสงบสุข เขาย่อมปรารถนาอธิปไตยในชาติของเขาเอง เขาย่อมปรารถนาที่จะตัดสินอนาคตเขาเอง เขาย่อมปรารถนาว่าทรัพยากรของเขาจะถูกนำมาใช้เพื่อประโยชน์ของเขาด้วยความเป็นธรรม เขาย่อมไม่ต้องการให้ใครมาเอาดินแดนของเขาไป แต่ในประเทศไทย ด้วยการชักใย การซื้อคนไทยที่ขายชาติตนเองทุกขั้ว การซื้อสื่อ การปลุกปั้นโดย 'ทุนธนาคาร Zionist' เป็นอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น
    ผลคือ คนไทย แทนที่จะรักใครสามัคคีกัน แทนที่จะได้รับผลประโยชน์จากสมบัติอันมีค่าของเขา แทนที่จะมีรัฐสวัสดิการ การรักษาพยาบาล การศึกษา ที่มีคุณภาพ แทนที่จะมีชีวิตที่มีคุณภาพความสุขที่พวกเขาควรได้รับ เขากลับต้องมาเกลียดชังกันเอง ทะเลาะสู้กันเอง เขากลับต้องมาเป็นทาสของ 'ทุนธนาคาร Zionist' ต้องมาเป็นทาสที่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายสู้กันเอง แทนที่จะสามัคคีกันเพื่อปลดปล่อยพวกตนจากความเป็นทาส เพราะความไม่รู้เท่าทัน เพราะการหลอกลวงโดยนักการเมือง ผู้เข้ามามีอำนาจที่หิวโหย ที่ล้วนทำเพื่อตนเอง โดยรับใช้ ถูกชักใยจากนายคนเดียวกันคือ 'ทุนธนาคาร Zionist' ทั้งนั้น
    ข้าพเจ้าจึงมีความจำเป็นที่จะเปิดเผยความจริง ความจริงโดยรอบด้าน และความจริงที่จริงที่สุด โดย เมื่อประชาชนชาวไทยตื่นรู้กับความจริง การเป็นทาสที่ถูกหลอกให้สู้กันเองย่อมหมดไป ความสามัคคีย่อมกลับมา โดยสิ่งนี้สิ่งเดียว คือ การตื่นรู้เท่านั้น ที่จะทำให้ชนชาติไทยรอดพ้นภัยไปได้
    ทั้งนี้ทั้งนั้น มิใช่ว่าประชาชนชาวไทยจะต้องไปเป็นศัตรูกับใคร การตบมือข้างเดียวย่อมไม่ดังฉันใด และ เมื่อคนไทยตื่นรู้เลิกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเป็นหนึ่งอันเดียวกัน รวมกันปราบปรามเหล่าคนไทยที่ขายชาติตนเองทั้งหลายแล้ว ประเทศและประชาชนชาวไทยย่อมพ้นจากการเป็นอาณานิคม พ้นจากการเป็นเป็นทาส ไม่ว่าจะเป็น ทาสของ 'ทุนธนาคาร Zionist' หรือ กลุ่มทุนอื่นใด
    จึงเรียนมาเพื่อทราบ
    ม.ล.รุ่งคุณ กิติยากร
    หม่อมโจ้ สิ่งที่ควรรู้เรื่องอิสราเอลหม่อมโจ้ โต้ทูตอิสราเอล ยันต้องเปิดความจริง ช่วยคนไทยพ้นภาวะทาส เพื่อนๆคงจะรู้จัก คุณปุ๊ก อาภัสรา หงสกุล อดีตนางงามจักรวาลชาวไทยคนแรก ที่เรียกว่ามิสยูนิเวอร์ส คุณอาภัสราจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.ศ.3) ปี 2506 จาก ร.ร.ศึกษาวิทยา ถนนสีลม แล้วไปเรียนอาชีวศึกษาที่ ร.ร.เลขานุการที่นครรัฐปีนัง ในมาเลเซีย จบชั้นปีที่ 2 เธอมาประกวดนางสาวไทย ได้ตำแหน่งปี 2507 จากนั้นไปเรียนต่อแล้วกลับมาปี 2508 เดินทางไปประกวดมิสยูนิเวอร์สที่นครไมอามี่ รัฐฟลอริด้า สหรัฐอเมริกา ได้ตำแหน่งขณะมีอายุ18ปี คุณปุ๊กเกิดวันที่16 มกราคม 2490 ปีกุนปีเดียวกับผม ปี 2510 ขณะมีอายุ 20ปีได้สมรสครั้งแรกกับหม่อมราชวงศ์เกียรติคุณ กิติยากร มีบุตรชายคนแรกคือหม่อมหลวงรุ่งคุณ กิติยากร ปัจจุบัน หม่อมโจ้ บุตรชายคนแรกของคุณปุ๊ก อายุได้ 53 ปีแล้ว หม่อมโจ้เรียนจบจากต่างประเทศที่สหรัฐอเมริกาในระดับปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจเคยทำงานบริษัทต่างประเทศจนได้ลาออกไปอุปสมบทเป็นพระภิกษุในสายวัดป่าอยู่หลายปีได้มาซื้อที่ดินที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา 45 ไร่ ปลูกพืชและผลไม้สายพันธุ์ของต่างประเทศที่ไม่มีใครทำมาก่อนจนผลไม้ขายได้ในราคาสูง หม่อมหลวงรุ่งคุณได้ศึกษาและวิเคราะห์เขียนหนังสือหลายเรื่องเกี่ยวกับอิสราเอล ไว้มากจนเป็นข่าวตอบโต้กับเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทยดังนี้ เรียน ท่านเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย นายไซม่อน โรดเด็ด ข้าพเจ้ารับทราบถึงความไม่พอใจของท่านกับบทความของข้าพเจ้า ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่ข้าพเจ้าได้เขียน เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้าโดยบริสุทธิ์ใจ อันเป็นสิทธิที่ข้าพเจ้าจะแสดงได้ โดยความเห็นของข้าพเจ้านั้น เป็นไปตามข้อมูลหลักฐานอันมีจริงทางประวัติศาสตร์ที่ได้มีความพยายามในการกลบและบิดเบือน แม้กระนั้น ท่านอาจแปลกใจคิดว่า แล้วไฉนทั้งที่ข้าพเจ้าและประเทศไทยที่ไม่ได้มีส่วนได้เสีย ข้าพเจ้าจึงต้องไปเขียนในเรื่องราวสร้างความบาดหมางให้แก่ท่าน ข้าพเจ้าจึงใคร่ที่จะชี้แจงตรงนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนเพื่อที่จะก่อความบาดหมางให้แก่ท่านหรือแก่ผู้ใด และ เรื่องราวที่ข้าพเจ้าเขียนนั้น มีความเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้าและต่อประเทศไทยอย่างไรบ้าง อย่างแรก 'กลุ่มทุนธนาคารยิว Zionist' ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงนั้น ข้าพเจ้ากล่าวถึงคนเพียงกลุ่มหนึ่ง มิใช่ชาวยิวทั้งหมด โดยคำว่า 'Zionist' แม้แต่ชาวยิวแท้ Orthodox Jews ที่ยึดมั่นใน Torah จำนวนมากก็ไม่ได้เห็นด้วยเลย ดังที่พวกเขาได้ออกมาประท้วง ประกาศว่า 'Zionism' ไม่ใช่ 'Judaism' เอง ท่านทูตน่าจะพอทราบอยู่ เพราะใน Israel ก็มีการจับชาวยิวแท้ ที่มีอัธยาศัยดีเหล่านี้ ไปจำคุกอยู่จำนวนหนึ่ง 'ทุนธนาคาร Zionist' ที่ข้าพเจ้าพูดถึง หมายถึงกลุ่มทุนธนาคารที่เป็นผู้มีอำนาจที่สุดในโลก มีอำนาจเหนือรัฐหลายรัฐ รวมถึงมหาอำนาจสหรัฐอเมริกา เขาคุมการเงินโดยกลุ่มของเขาเอง เป็นเจ้าของ Federal Reserve Bank ธนาคารกลางแห่งสหรัฐอเมริกา ที่พิมพ์เงินให้รัฐบาลสหรัฐฯต้องกู้ มิใช่ของประชาชนชาวอเมริกันตามที่ควรจะเป็นแต่อย่างใด กลุ่มทุนธนาคารของเขาเป็นหุ้นใหญ่ในบริษัทยักษ์ใหญ่แทบทั้งสิ้นทั่วโลก รวมถึง 6 บริษัทที่คุม 90% ของสื่อในสหรัฐอเมริกา เขาคุมแหล่งนํ้ามันและก๊าซหลัก ๆ ทั่วโลก และกำลังรุกเพื่อควบคุมผูกขาดอาหารของโลกโดยการผลิต GMO แม้แต่องค์กรโลก เช่น UN ที่ให้กำเนิด World Bank และ IMF ล้วนเป็นองค์กรที่พวกเขาจัดตั้งขึ้น และควบคุมทั้งสิ้น ชื่อตระกูลที่โดดเด่นมีอิทธิพลสูงสุดใน 'ทุนธนาคาร Zionist' นี้ ได้แก่ 'Rothschild' และ 'Rockefeller' ชื่อ 'Rothschild' ท่านทูตย่อมรู้จักเป็นอย่างดี โดยใน 'Independence Hall' ที่ Tel Aviv เมืองหลวงของท่านเอง ก็มีนิทรรศการเอกสารชิ้นสำคัญมากชิ้นหนึ่งเรียกว่า 'The Balfour Declaration' เป็นจดหมายจากรัฐบาลอังกฤษ จ่าหัวถึง 'Lord Rothschild' ใน 1917 แสดงถึงการที่รัฐบาลอังกฤษสนับสนุนให้เกิด บ้านอยู่ (national home) ของชาวยิว ที่ Palestine แก่ 'Lord Rothschild' Baron Edmond (Abraham Benjamin) Rothschild จึงมีสถานะเป็น "the Father of the Settlements" (Avi ha-Yishuv) หรือบิดาแห่งอิสราเอล ใน4บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของโลก หรือ 'The Four Horsemen of Oil' ที่อยู่เบื้องหลังนโยบายการครอบครองน้ำมันของสหรัฐฯ 2 บริษัท คือ BP Amoco และ Royal Dutch/Shell อยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูล Rothschild ที่ถือหุ้นใหญ่ ส่วน อีกสอง Exxon Mobil และ Chevron คือ บริษัทที่มาจาก Standard Oil ของ John D. Rockefeller โดยกรรมการของบริษัทน้ำมันเหล่านี้จำนวนหนึ่ง ไขว้กันเองเป็นใย และไขว้เป็นกรรมการของธนาคารยักษ์ใหญ่ เช่น JP Morgan Chase ของ Rockefeller และ Citigroup, Bank of America, Wells Fargo, N. M. Rothschild & Sons โดยตระกูล Rothschild ควบคุม และมีการเชื่อมโยงถือหุ้นไขว้กันกับกลุ่มทุนนอมินียักษ์ เช่น BlackRock, State Street, Vanguard และ Fidelity ที่ถือหุ้นใหญ่บริษัทยักษ์ใหญ่ แทบทั้งหมดในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ในการสร้างอำนาจเหนือรัฐต่าง ๆ 'ทุนธนาคาร Zionist' เหล่านี้ ได้จัดตั้งองค์กร Front ของเขา เช่น The Bilderberg Group, Council on Foreign Relations (CFR) และ The Trilateral Commission (TC) โดยองค์กรเหล่านี้จะรวมกลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' และบรรดาผู้มีอิทธิผล เช่น อดีตประธานาธิบดี บริวารมือขวาของเขา Henry Kissinger นักการเมืองทุกขั้ว ทหาร หัวหน้าหน่วยงานลับ ของประเทศสำคัญในยุโรป และสหรัฐฯ โดยใน Trilateral Commission จะมีสมาชิกเป็นบุคคลสำคัญของประเทศในทวีปเอเชียต่าง ๆ ที่รับใช้พวกเขา 'ทุนธนาคาร Zionist' จึงมีอิทธิพลอำนาจเหนือรัฐ เช่นมหาอำนาจสหรัฐอเมริกา ด้วยความละโมบของพวกเขา ในการล่าอาณานิคมยุคใหม่ โดยกำลังก็ดี โดยวิธีแห่งการให้สินบนแก่ผู้ขายชาติตนเองก็ดี โดยการบีบบังคับด้วยหนี้สินก็ดี โดยการแทรกแซงการเมืองภายในก็ดี 'ทุนธนาคาร Zionist' เหล่านี้ ได้เข้ายึดครองทรัพยากร พลังงาน เศรษฐกิจ และการเงิน ของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ทำให้ประชาชนของประเทศนั้น ๆ ตกเป็นทาสของพวกเขา โดยในประเทศไทยเอง ปรากฏหลักฐานชัดเจนถึงการกระทำ ที่ 'ทุนธนาคาร Zionist' พร้อมการร่วมมือของ 'คนไทย' ที่ได้ขายตัวขายจิตวิญญาณให้พวกเขา ได้ร่วมกระทำ ดังต่อไปนี้ (1) การปล้นโกงน้ำมันและก๊าซ จากประชาชนคนไทย (2) การทำให้ประเทศไทยเป็นหนี้ ตามด้วยการยึดครองเศรษฐกิจการเงิน (3) การชักใยอยู่เบื้องหลังทุกฝ่าย ในการสร้างความแตกแยก ตามยุทธศาสตร์ 'แบ่งแยกแล้วปกครอง' เพื่อการยึดครองประเทศเป็นเมืองขึ้นยิ่งขึ้นไป มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ : (1) การปล้นโกงน้ำมันและก๊าซ จากประชาชนคนไทย โดย 'ทุนธนาคาร Zionist' ทั้งที่ประเทศไทย มีอธิปไตยของตนเอง โดยอธิปไตย นั้นเป็นของปวงชนชาวไทย อันหมายความว่าทรัพยากรของชาตินั้นเป็นของประชาชนคนไทย แต่ปรากฏว่า กฎหมายว่าด้วยน้ำมันและก๊าซ (พ.ร.บ.ปิโตรเลียม 2514) มิได้มีการเขียนขึ้นไม่ว่าจะ 'โดย' ประชาชน หรือ 'เพื่อ' ประชาชน แต่อย่างใด แต่ได้ถูกเขียนขึ้นโดย Walter James Levi สมาชิกทั้ง CFR และ The Trilateral Commission ผู้ทำงานให้รัฐบาลสหรัฐฯ ขั้นขึ้นชื่อว่าเป็น หัวหน้าฝ่ายเศรษฐศาสตร์พลังงานของสหรัฐอเมริกา (the dean of United States oil economists) และ ได้เป็นผู้บริหารบริษัทของตระกูล Rockefeller เองคือ Standard Oil Company of New York หรือ Socony (ปัจจุบันคือ Exxon) คนที่เขียนกฎหมายนี้ของประเทศไทย ไม่ใช่คนไทย แต่คือคนของ 'ทุนธนาคาร Zionist' เนื้อหาของกฎหมายดังกล่าวเอง ก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของ 'ทุนธนาคาร Zionist' โดยมีลักษณะของกฎหมายสำหรับเมืองขึ้นอันไม่เป็นธรรม คือ น้ำมันและก๊าซทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้รับสัมปทาน การได้สัมปทานเป็นไปโดยไม่มีการประมูลอย่างโปร่งใส ค่าตอบแทนเป็นไปอย่างต่ำ และ ประชาชนคนไทยที่เป็นเจ้าของโดยแท้จริง ไม่สามารถตรวจสอบรับทราบความจริงได้เลย โดยวิธีที่สามารถจะเรียกว่าโปร่งใสได้ ว่าปริมาณทรัพยากรที่มีการขุดไปนั้นมีปริมาณที่แท้จริงมากน้อยเพียงใด ประเทศไทยมีพลังงานมากน้อยแค่ไหนโดยต้องยอมรับตามตัวเลข ที่บริษัทพลังงานต่าง ๆ แจ้งเท่านั้น การปล้นอธิปไตยโดย 'ทุนธนาคาร Zionist' เป็นไปได้ด้วยการข่มขู่ไม่ให้ความร่วมมือ พร้อมการให้สินบนแก่ 'คนไทยที่ขายชาติตัวเอง' ซึ่งจากนั้นมา การรุกครอบครองน้ำมันและก๊าซของประชาชนคนไทย โดยวิธีการดังกล่าวได้ขยายไปเรื่อย ๆ มีการแก้ไขกฎหมายเพิ่มเติม ให้เอื้ออำนวยแก่ผู้รับสัมปทานอย่างล้นพ้นโดยภายหลังจะเห็นได้ชัดเจนถึงผู้เข้ามามีอำนาจในไทย ไม่ว่าขั้วไหน เข้ามาด้วยวิธีใด ได้สานต่อไปในทาง 'ขายชาติตัวเอง' ให้แก่ 'ทุนธนาคาร Zionist' เหล่านี้เพื่อค่าคอมมิสชั่น ถึงขั้นร่วมกันชง ส่งลูกกันข้ามรัฐบาล ยกดินแดนไทยให้กัมพูชา อันส่งผลให้พื้นที่ไทยในทะเลอ่าวไทย 27,000 ตารางกิโลเมตรอันอุดมด้วยน้ำมันและก๊าซที่สุดแห่งหนึ่ง ต้องตกกลายเป็นพื้นที่พิพาท ระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งในพื้นที่นี้ บริษัท Chevron คือบริษัทที่จ่อล็อกจะถือสัมปทานจากทั้ง 2 ประเทศ ในกรณีนี้ที่มีการพิพาทเรื่องพื้นที่ในอ่าวไทย หากไทยและกัมพูชา ให้สัมปทานในพื้นที่นี้ ผู้ที่จะมีอิทธิพลสูงสุดในการครอบครอง ย่อมมิใช่ไทยหรือกัมพูชาอีกทั้งนั้น แต่จะเป็นสหรัฐอเมริกาภายใต้กลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' เพราะสัมปทานจะเป็นของ Chevron โดยเอกฉันท์ ฝ่ายใดที่ให้ประโยชน์แก่สหรัฐฯ สูงสุด สหรัฐฯ ย่อมสนับสนุนฝ่ายนั้น ในปัจจุบัน การถูกปล้นอธิปไตย การตกเป็นอาณานิคมของ 'ทุนธนาคาร Zionist' อย่างเต็มรูปแบบในเรื่องพลังงาน ก็ประจักษ์ชัดเจนอย่างไม่เคยมีมาก่อน โดยในปัจจุบัน นาย ณรงค์ชัย อัครเศรณี ผู้เข้ามาดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ก่อนเข้ามารับตำแหน่ง ได้เป็นสมาชิก The Trilateral Commission (TC) องค์กรของ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' ยาวนานถึง 30 ปี โดยเมื่อเข้ามาแล้ว ก็ไม่รีรอที่จะประกาศผลักดันเปิดสัมปทานในพื้นที่ดังกล่าวอย่างเต็มที่ โดยไม่สนใจ และไม่มีการชี้แจงอันใดเกี่ยวกับการเสียดินแดนของประเทศไทย ทั้งที่มีการคัดค้าน ด้วยประการฉะนี้ การปล้นโกงน้ำมันและก๊าซ โดย 'ทุนธนาคาร Zionist' จึงมิได้ครอบคลุมเพียงแค่น้ำมันและก๊าซอีกต่อไป แต่ได้ขยายไปเป็นการปล้นดินแดนไทย จากประชาชนคนไทย ไปโดยเรียบร้อย (2) การทำให้ประเทศไทยเป็นหนี้ ตามด้วยการยึดครองเศรษฐกิจการเงินของประเทศ การที่เถ้าแก่สามานย์รายใดจะต้องการยึดที่ดินสวย ๆ ของชาวนา วิธีที่เขาจะกระทำคือ ให้ชาวนากู้เงิน ทำให้จ่ายหนี้ไม่ได้ เมื่อจ่ายช้าก็อายัดที่ดินนั้น บังคับขายในราคาต่ำกว่าจริงสิบเท่า แล้วเข้าซื้อเอง วิธีการของ 'ทุนธนาคาร Zionist' ก็เป็นเช่นนั้น ทำให้ประเทศเป็นหนี้ หลังการปล่อยกู้เงินให้แก่ประเทศไทยจำนวนมากให้คน น้อยกว่า 1% อย่างฟุ่มเฟือย George Soros สมาชิกอาวุโส CFR ได้นำกลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' มาโจมตีค่าเงินบาท จาก 25 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ กลายเป็น 56 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ เพราะกู้เงินจากต่างชาติมามาก เศรษฐกิจไทยได้เข้าสู่วิกฤต มีการล่มสลายของธุรกิจจำนวนมาก(ในปี 2540 – 2542) ต่อมาก็เป็นไปตามแบบแผนวิธีการของ IMF และ World Bank ที่ 51% เป็นของ US Treasury ควบคุมโดย 'ทุนธนาคาร Zionist' ของ Rothschild ตามขั้นตอนที่ Joseph Stiglitz ผู้เป็นอดีตประธานที่ปรึกษาทีมเศรษฐกิจของ President Bill Clinton อดีตรองประธาน และ Chief Economist ของ World Bank ได้เปิดโปงให้แก่หนังสือ The Observer และ Newsweek หลังมีเอกสารลับหลุดออกมาจาก World Bank คือในการขอความช่วยเหลือทางการเงิน จำต้องเซ็นสัญญา โดยในสัญญาจะตกลงใน (a) Privatization การแปรรูป โดยรัฐจะต้องยินยอมขายสมบัติของชาติเกี่ยวเนื่องกับสิ่งจำเป็น เช่น น้ำ ไฟฟ้า น้ำมันและก๊าซ (b) Capital Market Liberalization การเปิดให้ทุนไหลเข้าออก โดยส่วนใหญ่มักจะไหลออก (c) Market-based pricing การขึ้นราคา อาหาร ไฟฟ้า น้ำมันและก๊าซ โดยอ้างว่าเป็นราคาตลาดโลก (d) Free Trade การค้าเสรี ตามกฎของ WTO และ World Bank Stiglitz ได้ระบุในการสัมภาษณ์อย่างชัดเจนว่า การยินยอมในการตกลงนั้นเกิดขึ้นไม่ยากโดย (ก) World Bank IMF สามารถสั่ง Financial Blockage การกีดกันทางการเงินหากไม่ร่วมมือ และ (ข) นักการเมืองในประเทศนั้น ๆ ยินดีที่จะยกบริษัท น้ำ ไฟฟ้า น้ำมันและก๊าซ ให้โดย 'เขาจะตาโตกันเลย เมือเขานึกถึงค่าคอมมิสชั่นที่เขาจะได้กัน จากการลดราคาเป็นพัน ๆ ล้านในการแปรรูป' โดยเขาจะสามารถใช้ข้ออ้างว่า ถูก World Bank IMF บังคับ แล้วการออกกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับ ก็ได้ตามมา พร้อมการขายสมบัติชาติแบบล็อกสเปคในราคาที่ต่ำกว่าทุนถึง 5 เท่า ตามด้วยการแปรรูปบริษัทน้ำมัน-ก๊าซของชาติ โดยสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าไม่ว่าจะในกรณี การยกดินแดนให้ต่างชาติ หรือ การแปรรูป จะเกิดขึ้นโดยการร่วมมือของมากกว่าหนึ่งรัฐบาล โดยฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายชง อีกฝ่ายเป็นฝ่ายจัดการ ทั้งนี้ทั้งนั้น เป็นไปเพื่อการสามารถโยนความผิดกันไปมาได้ โดยไม่มีใครผิดเต็ม ๆ โดยในกรณีนี้ แม้ขั้วนักการเมืองกลุ่มที่รับข้อตกลงรับรายละเอียดในการออกกฎหมายขายชาติ 11 ฉบับจาก 'ทุนธนาคาร Zionist' นี้พยายามจะโยนความผิดให้ผู้ริเริ่มการตกลง แต่ก็ปรากฏให้เห็นได้ถึงการตอบแทน เมื่อคนของเขาได้ไปนั่งเป็นผู้อำนวยการใหญ่ WTO โดยการโจมตีค่าเงิน การบีบข่มขู่ การให้สินบนแก่ผู้เข้ามามีอำนาจทุกขั้ว ที่ร่วมกันขายชาติตนเอง 'ทุนธนาคาร Zionist' เช่น JP Morgan Chase, BlackRock, State Street, Vanguard และ Fidelity ได้เข้ามายึดครองควบคุม บริษัทน้ำมันก๊าซ ธนาคาร และ เศรษฐกิจการเงินของประเทศไทย ไปจากคนไทย และยังรุกคืบยิ่ง ณ ปัจจุบัน ตามข่าวการแปรรูปที่ปรากฏอยู่ (3) การชักใยอยู่เบื้องหลัง ในการสร้างความแตกแยก ตามยุทธศาสตร์ 'แบ่งแยกแล้วปกครอง' (Divide and Conquer) เพื่อการยึดครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จ เป็นที่ประจักษ์ว่าไม่ว่าจะขั้วไหน เข้ามาด้วยวิธีใด ที่เข้ามามีอำนาจ ล้วนให้ความร่วมมือกับ 'ทุนธนาคาร Zionist' ในการขายทำลายชาติ โดยมีค่าคอมมิสชั่น ทั้งในทรัพยากรและในการแปรรูป เป็นตัวเชื่อม สามารถควบคุม ชักใยได้ทุกฝ่าย ยุทธศาสตร์ แบ่งแยกแล้วปกครอง เป็นยุทธศาสตร์ที่มีตัวอย่างเห็นได้ในโลกปัจจุบันมากมายในการเข้ายึดครองประเทศต่าง ๆ ของ 'ทุนธนาคาร Zionist' โดยการยุยงให้เหยื่อตีกันเอง บางกรณีให้อาวุธทั้ง 2 ฝ่าย ทำลายภูมิคุ้มกันความสามัคคีของชนชาตินั้น ๆ สร้างความแตกแยก โดยเมื่อมีรอยแตก ก็สามารถจะแทรกเข้าไป ยึดครองประเทศนั้น ๆ ความแตกแยก ปัญหาความขัดแย้งเสื้อสี ที่ปรากฏอยู่ในประเทศไทย ล้วนมีการชักใย มีการสนับสนุน ทั้ง 2 ฝ่ายการเมือง โดยมีกลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' เป็นผู้อยู่เบื้องหลังนักการเมืองทั้ง 2 ขั้ว โดยทั้ง 2 ขั้ว นั้นล้วนมีผลประโยชน์ในเรื่องคอมมิสชั่น จากกลุ่ม 'ทุนธนาคาร Zionist' และถูกชักใยให้ปลุกปั่นประชาชน ให้มาตีกันเองโดยการรู้ไม่เท่าทันของประชาชน ว่าโดยแท้จริงแล้ว นักการเมืองและผู้มีอำนาจ ไม่ว่าจะขั้วไหน เข้ามาด้วยวิธีใด ล้วนให้ความร่วมมือ ขายชาติตนเองแก่ 'ทุนธนาคาร Zionist' ทั้งสิ้น หลักฐานปรากฏชัดเจนว่าสมาชิก CFR ของ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' อาทิ (a) Robert Blackville สมาชิก CFR มือขวาการต่างประเทศของ Henry Kissinger จาก Barbour Griffif & Rogers (CFR) (b) Keneth Adelman สมาชิก CFR อดีตทูต UN ของสหรัฐ จาก Baker & Botts Robert (CFR) (c) Robert Amsterdam จาก Amsterdam & Peroff (Chatham House) ได้ทำหน้าที่เป็น lobbyist ให้อดีตนักการเมืองที่หลบอยู่ที่ Dubai และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังขบวนการเสื้อแดง และองค์กร NED ได้ให้เงินสนับสนุน Website ของเสื้อแดงจำนวนมาก โดยต้องเป็นที่กล่าวว่า นักการเมืองไทยที่หลบหนีอยู่ที่ Dubai นั้น โดยแท้จริงแล้วเป็นเพียงหุ่นเชิด ที่ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' ชักใยอยู่เบื้องหลัง ซึ่งโดยลำพังเขาไม่สามารถที่จะทำเองได้เลย (นั่นคือทักษิณ ชินวัตร) ส่วนนักการเมืองผู้เข้ามามีอำนาจ ฝ่ายอื่น ๆ ที่โหน อ้าง ปกป้อง สถาบันสำคัญ ๆ ฝ่ายนี้ โดยการขายตัวขายชาติ การปรารถนาได้ค่าคอมมิสชั่น ทั้งในน้ำมันก๊าซ และในการแปรรูป เป็นตัวเชื่อม ก็ไม่พ้นการอยู่ภายใต้อำนาจการชักใยของ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' ที่เป็นผู้กำกับการแสดง จูงทั้งสองสามฝ่าย ให้ชงและส่งลูกให้กัน เสี้ยมให้ชาติ ล่มสลาย เพื่อการปล้นยึดครองอย่างเบ็ดเสร็จ ในระหว่างที่สหรัฐ แขนขวาของ 'กลุ่มทุนธนาคาร Zionist' สนับสนุนฝ่ายหนึ่ง แขนซ้าย ก็ทำตัวเข้าสนับสนุนอีกฝ่าย ข้าพเจ้าจึงจะประกาศ ณ ที่นี้ว่าข้าพเจ้ามิได้รังเกียจประชาชนของชนชาติใด จะเป็นชาวอเมริกันหรือชาวยิวหรือชาติใด ๆ ทั้งสิ้น แต่สิ่งที่ข้าพเจ้ารังเกียจ คือพฤติกรรม เอาเปรียบ เบียดเบียน แทรกแซง ปล้นทั้งทรัพยากรและดินแดน ทำลายชาติอื่น ที่ 'ทุนธนาคาร Zionist' นี้ได้กระทำทั่วโลก ดังนั้น กับคำกล่าวของท่านว่าข้าพเจ้าเหยียดชนชาติ เมื่อความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นข้าพเจ้าจึงไม่เดือดร้อนใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ว่าในโลกปัจจุบัน เท่าที่ข้าพเจ้าทราบ ข้าพเจ้าไม่เห็นว่าจะมีค่ายนักโทษอันใดที่กระทำความทารุณโหดร้ายเท่ากับที่สถานที่ชื่อ Gaza และในเมื่อประเทศของท่านเองยังกระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาว Palestine อย่างที่กระทำอยู่ ท่านยังจะกล้าบังอาจเรียกผู้ใดว่าเหยียดชนชาติได้เสียอย่างไร จะเรียกใครว่าอย่างไรท่านจงมองตัวเองบ้างเสียเถิด ท่านจงสำเหนียกเสียบ้างเถิดว่า พฤติกรรมร้องทำจะเป็นจะตายว่าพวกตนถูกทำร้าย ทั้งที่พวกตนนั่นแหละคือผู้ที่กระทำชำเราเขาไปทั่ว ท่านคิดว่าอย่างไร พฤติกรรมนี้เป็นพฤติกรรมที่น่าสมเพชหรือไม่ ไม่ว่าจะประชาชนชนชาติใด เขาก็ย่อมปรารถนาความสงบสุข เขาย่อมปรารถนาอธิปไตยในชาติของเขาเอง เขาย่อมปรารถนาที่จะตัดสินอนาคตเขาเอง เขาย่อมปรารถนาว่าทรัพยากรของเขาจะถูกนำมาใช้เพื่อประโยชน์ของเขาด้วยความเป็นธรรม เขาย่อมไม่ต้องการให้ใครมาเอาดินแดนของเขาไป แต่ในประเทศไทย ด้วยการชักใย การซื้อคนไทยที่ขายชาติตนเองทุกขั้ว การซื้อสื่อ การปลุกปั้นโดย 'ทุนธนาคาร Zionist' เป็นอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น ผลคือ คนไทย แทนที่จะรักใครสามัคคีกัน แทนที่จะได้รับผลประโยชน์จากสมบัติอันมีค่าของเขา แทนที่จะมีรัฐสวัสดิการ การรักษาพยาบาล การศึกษา ที่มีคุณภาพ แทนที่จะมีชีวิตที่มีคุณภาพความสุขที่พวกเขาควรได้รับ เขากลับต้องมาเกลียดชังกันเอง ทะเลาะสู้กันเอง เขากลับต้องมาเป็นทาสของ 'ทุนธนาคาร Zionist' ต้องมาเป็นทาสที่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายสู้กันเอง แทนที่จะสามัคคีกันเพื่อปลดปล่อยพวกตนจากความเป็นทาส เพราะความไม่รู้เท่าทัน เพราะการหลอกลวงโดยนักการเมือง ผู้เข้ามามีอำนาจที่หิวโหย ที่ล้วนทำเพื่อตนเอง โดยรับใช้ ถูกชักใยจากนายคนเดียวกันคือ 'ทุนธนาคาร Zionist' ทั้งนั้น ข้าพเจ้าจึงมีความจำเป็นที่จะเปิดเผยความจริง ความจริงโดยรอบด้าน และความจริงที่จริงที่สุด โดย เมื่อประชาชนชาวไทยตื่นรู้กับความจริง การเป็นทาสที่ถูกหลอกให้สู้กันเองย่อมหมดไป ความสามัคคีย่อมกลับมา โดยสิ่งนี้สิ่งเดียว คือ การตื่นรู้เท่านั้น ที่จะทำให้ชนชาติไทยรอดพ้นภัยไปได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น มิใช่ว่าประชาชนชาวไทยจะต้องไปเป็นศัตรูกับใคร การตบมือข้างเดียวย่อมไม่ดังฉันใด และ เมื่อคนไทยตื่นรู้เลิกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเป็นหนึ่งอันเดียวกัน รวมกันปราบปรามเหล่าคนไทยที่ขายชาติตนเองทั้งหลายแล้ว ประเทศและประชาชนชาวไทยย่อมพ้นจากการเป็นอาณานิคม พ้นจากการเป็นเป็นทาส ไม่ว่าจะเป็น ทาสของ 'ทุนธนาคาร Zionist' หรือ กลุ่มทุนอื่นใด จึงเรียนมาเพื่อทราบ ม.ล.รุ่งคุณ กิติยากร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1416 มุมมอง 0 รีวิว
  • #บอสพอลบอสปันเจ็บใจสุดๆ
    บรรดานักตบที่สร้างความหวังและรีดไปหลายตังค์
    นังพัด เป็นโนหนึ่ง ทันที แม่นังปันไปพบที่บ้าน
    แพร็บบบ หกแฉนห้า ปลิวไปในเป๋าตังอิพัดเรียบร้อย
    ข้อสรุป ตอบคำถามว่า ทำไม พัดถึงเป็น โน 1
    - พัดเป็นตัวเชี่ยของทั้งสองฝั่ง
    1. รวบรวม ผสห เกือบเก้าสิบคน แล้วเอาเครดิตมาออกหน้าที่โหนกระแส
    2. เรียกรับค่าตอบแทน จาก ผสห คือ อย่างเห้ ทำท่าเปรย เคสอื่นเค้าให้ร้อยละฉี่ฉิบ อิห่านจิก เค้าเดือดร้อน มาพึ่งเมิง ไปซ้ำเติม ผสห เรียกเค้าอีก อิฉัด
    3. ดิลกับบรรดาบอสๆ อ้างว่าตัวเองช่วยได้ เรียกจากปันและบอสพอลอีก ยี่ฉิบฉามฉิบล้าน อิห่านจิก อารายของเมิง
    4. อ้าง กับ ฝั่งพอล เพื่อรับยอดแรก ต้องเอางบนี้ไปจ่ายพี่หนุ่ม เพื่อให้พี่หนุ่มเขียนคริปแก้ตัว ฟอกให้ขาวให้ และสามารถเคลียกับ อย. สคบ. สตช. ได้ทุกหน่วย
    5. อ้างกับฝั่งพอล เพื่อสร้างทีมไอโอ แก้ข่าว ต้องจ่ายหกแฉนห้าแรก
    6. อ้างกับ ผสห ต้องจ่ายผ่านนาง เพื่อเอาไป เร่งรัดคะดี
    นี่แหละ เรื่องของเรื่อง ทำไม บอสพอลถึงกาหัวไว้ ว่าต้องจัดอินี่ก่อน
    ตอนนี้ พอลส่งทะนวย พร้อมหลักต๋าน ดนคด. กับอิพัดแย้ววว
    เป็นที่แน่นอนว่า พอล ไม่ปล่อยให้ใครไว้ข้างนอกแน่นอน
    และยังมี นักตบ อีก 10 คิว ที่พอล วางงานไว้ทุกราย
    หรืออีกนัยหนึ่ง เชีอดพัดให้อีก 10 ตัวดู ว่าถ้าไม่ช่วยข้าและพวก
    เมิงจะเจอแบบอินี่
    เรียบร้อย โรงเรียน ดิไอค่อน
    #คิงส์โพธิ์แดง -สำรอง 2
    #บอสพอลบอสปันเจ็บใจสุดๆ บรรดานักตบที่สร้างความหวังและรีดไปหลายตังค์ นังพัด เป็นโนหนึ่ง ทันที แม่นังปันไปพบที่บ้าน แพร็บบบ หกแฉนห้า ปลิวไปในเป๋าตังอิพัดเรียบร้อย ข้อสรุป ตอบคำถามว่า ทำไม พัดถึงเป็น โน 1 - พัดเป็นตัวเชี่ยของทั้งสองฝั่ง 1. รวบรวม ผสห เกือบเก้าสิบคน แล้วเอาเครดิตมาออกหน้าที่โหนกระแส 2. เรียกรับค่าตอบแทน จาก ผสห คือ อย่างเห้ ทำท่าเปรย เคสอื่นเค้าให้ร้อยละฉี่ฉิบ อิห่านจิก เค้าเดือดร้อน มาพึ่งเมิง ไปซ้ำเติม ผสห เรียกเค้าอีก อิฉัด 3. ดิลกับบรรดาบอสๆ อ้างว่าตัวเองช่วยได้ เรียกจากปันและบอสพอลอีก ยี่ฉิบฉามฉิบล้าน อิห่านจิก อารายของเมิง 4. อ้าง กับ ฝั่งพอล เพื่อรับยอดแรก ต้องเอางบนี้ไปจ่ายพี่หนุ่ม เพื่อให้พี่หนุ่มเขียนคริปแก้ตัว ฟอกให้ขาวให้ และสามารถเคลียกับ อย. สคบ. สตช. ได้ทุกหน่วย 5. อ้างกับฝั่งพอล เพื่อสร้างทีมไอโอ แก้ข่าว ต้องจ่ายหกแฉนห้าแรก 6. อ้างกับ ผสห ต้องจ่ายผ่านนาง เพื่อเอาไป เร่งรัดคะดี นี่แหละ เรื่องของเรื่อง ทำไม บอสพอลถึงกาหัวไว้ ว่าต้องจัดอินี่ก่อน ตอนนี้ พอลส่งทะนวย พร้อมหลักต๋าน ดนคด. กับอิพัดแย้ววว เป็นที่แน่นอนว่า พอล ไม่ปล่อยให้ใครไว้ข้างนอกแน่นอน และยังมี นักตบ อีก 10 คิว ที่พอล วางงานไว้ทุกราย หรืออีกนัยหนึ่ง เชีอดพัดให้อีก 10 ตัวดู ว่าถ้าไม่ช่วยข้าและพวก เมิงจะเจอแบบอินี่ เรียบร้อย โรงเรียน ดิไอค่อน #คิงส์โพธิ์แดง -สำรอง 2
    Haha
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 662 มุมมอง 0 รีวิว
  • วารสารถูกตั้งคำถามว่ามีความเที่ยงตรงหรือไม่?

    ในระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา วงการวิชาการ อาทิ แพทย์ วิทยาศาสตร์เป็นต้น จะให้ความเชื่อถือว่า บทความใดที่ตีพิมพ์ในวารสาร ที่เรียกว่า peer reviewed journal เป็นที่เชื่อถือได้
    เพราะมีคณะกรรมการที่อ่าน บทความ และพิจารณาหลักฐานที่มากระบวนการศึกษา และจะทำการให้ความเห็นว่า จะไม่รับ หรือรับ แต่มีเงื่อนไข ประเด็นต้องแก้ไขใหญ่ หรือเล็ก หรือต้องมีการทำการทดลองใหม่ในบางส่วนหรือไม่
    วารสารที่มีชื่อเหล่านี้จะถูกนำไปอ้างอิงในวงวิชาการต่างๆทำให้รับรู้กันทั่วไป

    ในการส่งบทความเพื่อ ไปตีพิมพ์ในวารสารนั้น
    ผู้วิจัยจะต้องประกาศว่ามีผลประโยชน์ใดหรือไม่อย่างไร กับ บริษัทผลิตภัณฑ์ ยา วัคซีน รวมทั้งได้ค่าตอบแทนในรูปลักษณะใด ไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษา รับเงิน หรือสิ่งตอบแทน รวมค่าเดินทางค่าที่พัก เวลาไปบรรยายในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นๆ และเชื่อมโยงมาถึงการใช้ผลิตภัณฑ์หรือวัคซีนเป็นต้น

    แต่กรรมการผู้พิจารณา กลับไม่ต้องมีการแจงรายละเอียดชัดเจน เหล่านี้อาจมีเพียงแต่ว่า มีประเด็นที่ขัดแย้ง กับผู้ส่งบทความหรือผู้ทำวิจัย หรือไม่ หรือทำวิจัยในเรื่องเดียวกัน ที่อาจจะเป็นการนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ส่วนตนได้

    บทความนี้ที่ตีพิมพ์ในวารสารสมาคมแพทย์อเมริกัน (journal of American Medical Association JAMA) วันที่ 10 ตุลาคม 2024 ได้รายงานถึงหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับกรรมการผู้พิจารณาบทความ (reviewers) ว่า แท้จริงแล้ว เกินครึ่งของบุคคลกรรมการเหล่านี้ ต่างได้รับเงินสนับสนุนในการศึกษาวิจัย หรือเงินสนับสนุนในด้านผลิตภัณฑ์เครื่องมือ ต่างๆ จากบริษัทที่ตรงมาเข้าบุคคลนั้น หรือที่เข้ามายังบุคคลนั้น และสถาบันที่บุคคลนั้นอยู่

    และเป็นประเด็นที่ตั้งคำถามถึง ความเที่ยงตรง integrity และ ความมีอิสระเที่ยงตรงในการตัดสิน ในการที่จะไม่รับ หรือรับตีพิมพ์บทความที่ส่งเข้ามา

    และหลังจากที่มีการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว มีนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์ จากหลายสถาบัน ในต่างประเทศ รวมทั้งในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และอังกฤษ ต่างให้ข้อมูลที่ตนเองประสบและถ่ายทอดในสื่อต่างๆโดยเฉพาะที่ประสบในช่วงโควิด
    ที่เกี่ยวข้องกับการไม่ให้ลงตีพิมพ์ การใช้ยาบางตัว ที่มีการทดสอบแล้วว่าได้ผลทั้งๆที่ราคาถูก เข้าถึงได้ และจนกระทั่งถึงงานที่ตีพิมพ์ไปแล้วแต่บรรณาธิการถอดออก และ ที่สำคัญก็คือเรื่องผลกระทบของวัคซีนที่ ถึงชีวิตหรือพิการ
    วารสารที่ถูกเปิดเผยเรื่องเหล่านี้ ที่กรรมการพิจารณาบทความได้รับเงินสนับสนุน ต่างก็เป็นวารสารชั้นนำ เช่น British Medical journal Lancet New England journal เป็นต้น
    โดยมูลค่าของเงินสนับสนุนเหล่านี้มีจำนวนมากกว่า 1,000,000,000 เหรียญสหรัฐ

    สูตรสำเร็จ เช่น เมื่อมีการพูด ผลกระทบของวัคซีน จะมีกลุ่มที่ออกมาวิจารณ์ว่า ไม่ได้ลงตีพิมพ์ในวารสารชั้นดี หรือตีพิมพ์ไปแล้วแต่บรรณาธิการสั่งถอดออกแสดงว่า เชื่อถือไม่ได้

    แม้กระทั่ง บทความเรื่องโรคคล้ายวัวบ้าในมนุษย์หลังได้รับวัคซีนโควิดไปภายในช่วงสองสัปดาห์และเสียชีวิตภายในเวลาห้าเดือน จากคณะ ชองProf Luc Montagnier ซึ่งได้รับ รางวัล โนเบล จากการค้นพบไวรัสเอดส์ ถูกไม่รับพิจารณาในวารสาร จนกระทั่งตีพิมพ์ในวรสารในระดับรองลงมาและข้อมูลหลักฐานประกอบในบทความเป็นข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่คงเลือกได้ว่าน่าตื่นเต้นและประทับใจในการค้นพบและเชื่อมโยงการเกิดโรคคล้ายวัวบ้าในมนุษย์กับวัคซีนได้อย่างชัดเจน

    https://jamanetwork.com/journals/jama/article-abstract/2824834?utm_source=substack&utm_medium=email

    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต

    เชื่อถือได้หรือ? “หมอธีระวัฒน์” เผยวารสารการแพทย์ชื่อดังปล่อย กก.พิจารณาบทความรับผลประโยชน์จากบริษัทยา https://mgronline.com/qol/detail/9670000100753





    Two years ago, we discussed the lack of evidence supporting the idea that peer review improves the quality of scientific research. 
    Peer review is meant to guarantee the publication of high-quality research and enhance the quality of published manuscripts. The process should involve independent experts evaluating and assessing research for its quality and reliability.
    However, a recent JAMA publication questions the integrity and independence of peer review. The research letter addresses the Payments by Drug and Medical Device Manufacturers to US Peer Reviewers of Major Medical Journals.
    The authors identified peer reviewers for The BMJ, JAMA, The Lancet, and The New England Journal of Medicine (NEJM) using each journal’s 2022 reviewer list. They then used a US Open payments database to identify whether reviewers had received industry payments.
    What did they find?
    Between 2020 and 2022, 1155/1962 peer reviewers (59%) received at least one industry payment. More than half (54%) accepted general payments, while 32% received research payments.
    Between 2020 and 2022, reviewers received over $1.2 billion in industry payments, including $1 billion to individuals or their institutions. Over the three years, the median general payment was $7,614.  
    What does this mean?
    Journals such as the BMJ pride themselves on their competing interest policy. Readers should know the author's competing interests if they publish an article. They ask reviewers to provide a fair, honest, and unbiased assessment of the manuscript's strengths and weaknesses. But how is that possible if you're on the payroll of pharma?
    Furthermore, no one can identify who is being paid as there is no central database like the US where you can look up who is paying who. The voluntary nature of the system means companies can often conceal payments. For example, the drug industry’s self-regulatory body reprimanded  Novo Nordisk for failing to disclose approximately 500 payments worth £7.8m to over 150 recipients between 2020 and 2022.
    This latest publication further enhances the status of peer review: it is broken.
    A system that dates back over 200 years persists because no one can be bothered to address its shortcomings, and too many journals make hefty profits out of its inadequacies to affect the status quo.
    THE JAMA authors consider that ‘additional research and transparency regarding industry payments in the peer review process are needed.” We think this will be another smokescreen to permit the current system to limp on. 
    Editorial peer reviews are largely untested; their effects are uncertain and tainted by industry influence. The system needs a radical overhaul which starts with abandoning the current journal system that sucks in vast amounts of cash and distorts the research agenda.
    The main reasons for the survival of a broken system are tied to the biomedical publication industry. For editors, peer review is a Kevlar shield, a sloping shoulders device - “it ain’t me guv” cop-out clause. For academic authors who have to climb the greasy pole, it’s a system that works both ways; for industry and all those who have to sell something, it’s a cheap advert chance. You only need to read our Antivirals series to understand how the system works and how the public was sold and continues to sell dummies. Rotten decision-makers only have to point to ghost-written trials in mega journals to justify their decisions.
    You only have to look at our recent Zum Zum posts to see the devastating effects of this broken system. Or look up the Comirnaty series, which was written without data published in journals—it was regulatory data, the closest we are ever going to get to reality.
    This post was written by two old geezers who have been peer-viewed and have peer-reviewed countless times.
    Consider becoming a paid subscriber to receive new posts and support our work.

    October 10, 2024
    Payments by Drug and Medical Device Manufacturers to US Peer Reviewers of Major Medical Journals
    David-Dan Nguyen, MDCM, MPH1,2; Anju Muramaya3,4; Anna-Lisa Nguyen, BHSc5; et al
    วารสารถูกตั้งคำถามว่ามีความเที่ยงตรงหรือไม่? ในระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา วงการวิชาการ อาทิ แพทย์ วิทยาศาสตร์เป็นต้น จะให้ความเชื่อถือว่า บทความใดที่ตีพิมพ์ในวารสาร ที่เรียกว่า peer reviewed journal เป็นที่เชื่อถือได้ เพราะมีคณะกรรมการที่อ่าน บทความ และพิจารณาหลักฐานที่มากระบวนการศึกษา และจะทำการให้ความเห็นว่า จะไม่รับ หรือรับ แต่มีเงื่อนไข ประเด็นต้องแก้ไขใหญ่ หรือเล็ก หรือต้องมีการทำการทดลองใหม่ในบางส่วนหรือไม่ วารสารที่มีชื่อเหล่านี้จะถูกนำไปอ้างอิงในวงวิชาการต่างๆทำให้รับรู้กันทั่วไป ในการส่งบทความเพื่อ ไปตีพิมพ์ในวารสารนั้น ผู้วิจัยจะต้องประกาศว่ามีผลประโยชน์ใดหรือไม่อย่างไร กับ บริษัทผลิตภัณฑ์ ยา วัคซีน รวมทั้งได้ค่าตอบแทนในรูปลักษณะใด ไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษา รับเงิน หรือสิ่งตอบแทน รวมค่าเดินทางค่าที่พัก เวลาไปบรรยายในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นๆ และเชื่อมโยงมาถึงการใช้ผลิตภัณฑ์หรือวัคซีนเป็นต้น แต่กรรมการผู้พิจารณา กลับไม่ต้องมีการแจงรายละเอียดชัดเจน เหล่านี้อาจมีเพียงแต่ว่า มีประเด็นที่ขัดแย้ง กับผู้ส่งบทความหรือผู้ทำวิจัย หรือไม่ หรือทำวิจัยในเรื่องเดียวกัน ที่อาจจะเป็นการนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ส่วนตนได้ บทความนี้ที่ตีพิมพ์ในวารสารสมาคมแพทย์อเมริกัน (journal of American Medical Association JAMA) วันที่ 10 ตุลาคม 2024 ได้รายงานถึงหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับกรรมการผู้พิจารณาบทความ (reviewers) ว่า แท้จริงแล้ว เกินครึ่งของบุคคลกรรมการเหล่านี้ ต่างได้รับเงินสนับสนุนในการศึกษาวิจัย หรือเงินสนับสนุนในด้านผลิตภัณฑ์เครื่องมือ ต่างๆ จากบริษัทที่ตรงมาเข้าบุคคลนั้น หรือที่เข้ามายังบุคคลนั้น และสถาบันที่บุคคลนั้นอยู่ และเป็นประเด็นที่ตั้งคำถามถึง ความเที่ยงตรง integrity และ ความมีอิสระเที่ยงตรงในการตัดสิน ในการที่จะไม่รับ หรือรับตีพิมพ์บทความที่ส่งเข้ามา และหลังจากที่มีการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว มีนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์ จากหลายสถาบัน ในต่างประเทศ รวมทั้งในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และอังกฤษ ต่างให้ข้อมูลที่ตนเองประสบและถ่ายทอดในสื่อต่างๆโดยเฉพาะที่ประสบในช่วงโควิด ที่เกี่ยวข้องกับการไม่ให้ลงตีพิมพ์ การใช้ยาบางตัว ที่มีการทดสอบแล้วว่าได้ผลทั้งๆที่ราคาถูก เข้าถึงได้ และจนกระทั่งถึงงานที่ตีพิมพ์ไปแล้วแต่บรรณาธิการถอดออก และ ที่สำคัญก็คือเรื่องผลกระทบของวัคซีนที่ ถึงชีวิตหรือพิการ วารสารที่ถูกเปิดเผยเรื่องเหล่านี้ ที่กรรมการพิจารณาบทความได้รับเงินสนับสนุน ต่างก็เป็นวารสารชั้นนำ เช่น British Medical journal Lancet New England journal เป็นต้น โดยมูลค่าของเงินสนับสนุนเหล่านี้มีจำนวนมากกว่า 1,000,000,000 เหรียญสหรัฐ สูตรสำเร็จ เช่น เมื่อมีการพูด ผลกระทบของวัคซีน จะมีกลุ่มที่ออกมาวิจารณ์ว่า ไม่ได้ลงตีพิมพ์ในวารสารชั้นดี หรือตีพิมพ์ไปแล้วแต่บรรณาธิการสั่งถอดออกแสดงว่า เชื่อถือไม่ได้ แม้กระทั่ง บทความเรื่องโรคคล้ายวัวบ้าในมนุษย์หลังได้รับวัคซีนโควิดไปภายในช่วงสองสัปดาห์และเสียชีวิตภายในเวลาห้าเดือน จากคณะ ชองProf Luc Montagnier ซึ่งได้รับ รางวัล โนเบล จากการค้นพบไวรัสเอดส์ ถูกไม่รับพิจารณาในวารสาร จนกระทั่งตีพิมพ์ในวรสารในระดับรองลงมาและข้อมูลหลักฐานประกอบในบทความเป็นข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่คงเลือกได้ว่าน่าตื่นเต้นและประทับใจในการค้นพบและเชื่อมโยงการเกิดโรคคล้ายวัวบ้าในมนุษย์กับวัคซีนได้อย่างชัดเจน https://jamanetwork.com/journals/jama/article-abstract/2824834?utm_source=substack&utm_medium=email ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เชื่อถือได้หรือ? “หมอธีระวัฒน์” เผยวารสารการแพทย์ชื่อดังปล่อย กก.พิจารณาบทความรับผลประโยชน์จากบริษัทยา https://mgronline.com/qol/detail/9670000100753 Two years ago, we discussed the lack of evidence supporting the idea that peer review improves the quality of scientific research.  Peer review is meant to guarantee the publication of high-quality research and enhance the quality of published manuscripts. The process should involve independent experts evaluating and assessing research for its quality and reliability. However, a recent JAMA publication questions the integrity and independence of peer review. The research letter addresses the Payments by Drug and Medical Device Manufacturers to US Peer Reviewers of Major Medical Journals. The authors identified peer reviewers for The BMJ, JAMA, The Lancet, and The New England Journal of Medicine (NEJM) using each journal’s 2022 reviewer list. They then used a US Open payments database to identify whether reviewers had received industry payments. What did they find? Between 2020 and 2022, 1155/1962 peer reviewers (59%) received at least one industry payment. More than half (54%) accepted general payments, while 32% received research payments. Between 2020 and 2022, reviewers received over $1.2 billion in industry payments, including $1 billion to individuals or their institutions. Over the three years, the median general payment was $7,614.   What does this mean? Journals such as the BMJ pride themselves on their competing interest policy. Readers should know the author's competing interests if they publish an article. They ask reviewers to provide a fair, honest, and unbiased assessment of the manuscript's strengths and weaknesses. But how is that possible if you're on the payroll of pharma? Furthermore, no one can identify who is being paid as there is no central database like the US where you can look up who is paying who. The voluntary nature of the system means companies can often conceal payments. For example, the drug industry’s self-regulatory body reprimanded  Novo Nordisk for failing to disclose approximately 500 payments worth £7.8m to over 150 recipients between 2020 and 2022. This latest publication further enhances the status of peer review: it is broken. A system that dates back over 200 years persists because no one can be bothered to address its shortcomings, and too many journals make hefty profits out of its inadequacies to affect the status quo. THE JAMA authors consider that ‘additional research and transparency regarding industry payments in the peer review process are needed.” We think this will be another smokescreen to permit the current system to limp on.  Editorial peer reviews are largely untested; their effects are uncertain and tainted by industry influence. The system needs a radical overhaul which starts with abandoning the current journal system that sucks in vast amounts of cash and distorts the research agenda. The main reasons for the survival of a broken system are tied to the biomedical publication industry. For editors, peer review is a Kevlar shield, a sloping shoulders device - “it ain’t me guv” cop-out clause. For academic authors who have to climb the greasy pole, it’s a system that works both ways; for industry and all those who have to sell something, it’s a cheap advert chance. You only need to read our Antivirals series to understand how the system works and how the public was sold and continues to sell dummies. Rotten decision-makers only have to point to ghost-written trials in mega journals to justify their decisions. You only have to look at our recent Zum Zum posts to see the devastating effects of this broken system. Or look up the Comirnaty series, which was written without data published in journals—it was regulatory data, the closest we are ever going to get to reality. This post was written by two old geezers who have been peer-viewed and have peer-reviewed countless times. Consider becoming a paid subscriber to receive new posts and support our work. October 10, 2024 Payments by Drug and Medical Device Manufacturers to US Peer Reviewers of Major Medical Journals David-Dan Nguyen, MDCM, MPH1,2; Anju Muramaya3,4; Anna-Lisa Nguyen, BHSc5; et al
    JAMANETWORK.COM
    Payments by Drug and Medical Device Manufacturers to US Peer Reviewers of Major Medical Journals
    This study characterizes payments by drug and medical device manufacturers to US peer reviewers of major medical journals.
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 914 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเกี่ยวกับธุรกิจออนไลน์ ประกอบด้วย

    1. นายชาติพงษ์ จีระพันธุ์ อัยการอาวุโส เป็นประธานกรรมการ
    2.พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นกรรมการ
    3. นายนิรันต์ ยั่งยืน รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคุ้มครองสิทธิ และช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน เป็นกรรมการ
    4.นายกฤช เอื้อวงศ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (น.ส.จิราพร สินธุไพร) เป็นกรรมการ
    5. พ.ต.ต.จตุพล บงกชมาศ ผู้อำนวยการกองปฏิบัติการคดีพิเศษภาค กรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นกรรมการ
    6. นายวิทยา นีติธรรม ผู้อำนวยการกองกฎหมาย สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เป็นกรรมการ
    7. นายปวริศ ผุดผ่อง คณะที่ปรึกษาของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นกรรมการ
    8 นายวิสุทธิ์ ฉัตรานุฉัตร ผู้อำนวยการสำนักกฎหมายและระเบียบกลาง สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เลขานุการ

    โดยให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงมีหน้าที่และอำนาจ ดังนี้
    ข้อ 1.ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยเชิญผู้บริหาร พนักงานเจ้าหน้าที่ในสำนักงาน
    คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคหรือบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำหรือให้ข้อเท็จจริงและมีอำนาจ
    เรียกเอกสารใด ๆ จากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคหรือหน่วยงานใด ๆ เพื่อประกอบ
    การพิจารณา และให้รายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อเสนอแนะต่อรองนายกรัฐมนตรี
    (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
    ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้ออกคำสั่ง ในกรณีจำเป็นรองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง)
    อาจมีคำสั่งให้ขยายระยะเวลาออกไปได้อีกตามที่เห็นสมควร
    ข้อ 2.คณะกรรมการอาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ รวมทั้งผู้ช่วยเลขานุการ และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเพียงเท่าที่จำเป็นเพื่อพิจารณาศึกษาหรือปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่คณะกรรมการมอบหมายก็ได้

    ข้อ 3.ให้คณะกรรมการ และคณะอนุกรรมการที่แต่งตั้งตามคำสั่งนี้ได้รับเบี้ยประชุมและค่าตอบแทนตามที่กระทรวงการคลังกำหนด โดยให้เบิกจ่ายจากสำนักนายกรัฐมนตรี
    ข้อ 4 ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่ได้รับมอบหมาย

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับนายชาติพงษ์ จีระพันธุ ถูกตั้งขึ้นมาเป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เคยเป็นอดีตรองอัยการสูงสุด มีชื่อเสียงเรื่องปราบการทุจริตคอร์รัปชัน มีประสบการณ์มากมาย เคยเป็นรองอธิบดีอัยการคดีพิเศษ ,เเละอธิบดีอัยการสำนักงานคดีเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเป็นหัวหน้าคณะทำงานที่คุมคดีสำคัญของสำนักงานคดีพิเศษหลายคดี ,คดีนิติบุคคล ฟิลิป มอร์ริส นำเข้าบุหรี่โดยหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร ซึ่งขณะนี้มีกรณีพิพาท ระหว่างประเทศไทยกับประเทศฟิลิปปินส์ ในเรื่องนี้ที่องค์การการค้าโลก หรือดับเบิลยูทีโอ,คดีทุจริตสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ซึ่งเกี่ยวพันถึงคดีทุจริตฟอกเงินเครือข่ายวัดธรรมกาย ,คดีธนาคารกรุงไทย ปล่อยกู้ กลุ่มบริษัทกฤษดามหานคร ,คดีทุจริตการฟอกเงินในโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน ,เคยเป็นกรรมการสอบวินัยร้ายแรงนายเนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุด กรณีสั่งไม่ฟ้องคดีลูกนักธุรกิจชื่อดังขับรถชนคนตาย

    ล่าสุดช่วงที่ นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีเคย มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายกรณีการเข้าค้นบ้านพักอดีตรองผบ.ตร.ด้วย

    #Thaitimes
    มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเกี่ยวกับธุรกิจออนไลน์ ประกอบด้วย 1. นายชาติพงษ์ จีระพันธุ์ อัยการอาวุโส เป็นประธานกรรมการ 2.พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นกรรมการ 3. นายนิรันต์ ยั่งยืน รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคุ้มครองสิทธิ และช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน เป็นกรรมการ 4.นายกฤช เอื้อวงศ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (น.ส.จิราพร สินธุไพร) เป็นกรรมการ 5. พ.ต.ต.จตุพล บงกชมาศ ผู้อำนวยการกองปฏิบัติการคดีพิเศษภาค กรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นกรรมการ 6. นายวิทยา นีติธรรม ผู้อำนวยการกองกฎหมาย สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เป็นกรรมการ 7. นายปวริศ ผุดผ่อง คณะที่ปรึกษาของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นกรรมการ 8 นายวิสุทธิ์ ฉัตรานุฉัตร ผู้อำนวยการสำนักกฎหมายและระเบียบกลาง สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เลขานุการ โดยให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงมีหน้าที่และอำนาจ ดังนี้ ข้อ 1.ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยเชิญผู้บริหาร พนักงานเจ้าหน้าที่ในสำนักงาน คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคหรือบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำหรือให้ข้อเท็จจริงและมีอำนาจ เรียกเอกสารใด ๆ จากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคหรือหน่วยงานใด ๆ เพื่อประกอบ การพิจารณา และให้รายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อเสนอแนะต่อรองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้ออกคำสั่ง ในกรณีจำเป็นรองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) อาจมีคำสั่งให้ขยายระยะเวลาออกไปได้อีกตามที่เห็นสมควร ข้อ 2.คณะกรรมการอาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ รวมทั้งผู้ช่วยเลขานุการ และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเพียงเท่าที่จำเป็นเพื่อพิจารณาศึกษาหรือปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่คณะกรรมการมอบหมายก็ได้ ข้อ 3.ให้คณะกรรมการ และคณะอนุกรรมการที่แต่งตั้งตามคำสั่งนี้ได้รับเบี้ยประชุมและค่าตอบแทนตามที่กระทรวงการคลังกำหนด โดยให้เบิกจ่ายจากสำนักนายกรัฐมนตรี ข้อ 4 ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่ได้รับมอบหมาย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับนายชาติพงษ์ จีระพันธุ ถูกตั้งขึ้นมาเป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เคยเป็นอดีตรองอัยการสูงสุด มีชื่อเสียงเรื่องปราบการทุจริตคอร์รัปชัน มีประสบการณ์มากมาย เคยเป็นรองอธิบดีอัยการคดีพิเศษ ,เเละอธิบดีอัยการสำนักงานคดีเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเป็นหัวหน้าคณะทำงานที่คุมคดีสำคัญของสำนักงานคดีพิเศษหลายคดี ,คดีนิติบุคคล ฟิลิป มอร์ริส นำเข้าบุหรี่โดยหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร ซึ่งขณะนี้มีกรณีพิพาท ระหว่างประเทศไทยกับประเทศฟิลิปปินส์ ในเรื่องนี้ที่องค์การการค้าโลก หรือดับเบิลยูทีโอ,คดีทุจริตสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ซึ่งเกี่ยวพันถึงคดีทุจริตฟอกเงินเครือข่ายวัดธรรมกาย ,คดีธนาคารกรุงไทย ปล่อยกู้ กลุ่มบริษัทกฤษดามหานคร ,คดีทุจริตการฟอกเงินในโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน ,เคยเป็นกรรมการสอบวินัยร้ายแรงนายเนตร นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุด กรณีสั่งไม่ฟ้องคดีลูกนักธุรกิจชื่อดังขับรถชนคนตาย ล่าสุดช่วงที่ นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีเคย มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายกรณีการเข้าค้นบ้านพักอดีตรองผบ.ตร.ด้วย #Thaitimes
    สำนักนายกฯ ตั้ง ‘ชาติพงษ์’ อดีตรอง อสส.นั่ง ปธ.สอบข้อเท็จจริงคดี ‘ดิไอคอน’ จ่ายส่วยเทวดาเป็นค่าคุ้มครอง มีอำนาจเรียกสอบ-เอกสาร จาก สคบ.หน่วยงานเกี่ยวข้อง

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000099909

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 615 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิเคราะห์ 5 ประเด็นสำคัญ การให้สัมภาษณ์ของ บอสพอล ในรายการโหนกระแส /ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

    จากกรณีที่ วรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ บอสพอล ที่ตัดสินใจมาออกรายการโหนกระแส ดำเนินรายการการโดยพี่หนุ่มกรรชัย กำเนิดพลอยนั้น เป็นการเตรียมคำตอบสำหรับการต่อสู้คดี แต่บางคำตอบอาจจะเป็นสาระสำคัญแห่งคดีมีดังต่อไปนี้

    1.บอสพอลระบุว่า ตัวแทนจำหน่ายหลักมี 10 ราย คือ บอสปัน, บอสสวย, บอสวิน, บอสหมอเอก, บอสโซดา+บอสป๊อป, บอสทอมมี่, บอสต่าย, บอสอ๊อฟ+บอสจอย, บอสแม่หญิง, บอสโอม โดยบริษัทจะขายให้คนเหล่านี้เท่านั้น ส่วนแต่ละทีมจะไปแตกทีมขายด้วยกรรมวิธีอย่างไร เป็นเรื่องความรับผิดชอบของแต่ละทีม (เป็นอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ว่าขอตัดตอนในกระบวนการขายทั้งหมด ให้เป็นความรับผิดชอบของตัวแทนจำหน่าย แม่ทีม และลูกทีม)

    อย่างไรก็ตามบอสพอลระบุว่าได้เคยดูการขายออนไลน์ทั้ง 3 ขั้นตอน 1.สอนคอร์สขายของออนไลน์ 2.แนะนำสินค้า 3.การลงทุน 250,000 บาท ซึ่งแปลว่ารับรู้กระบวนการขายที่เน้นการลงทุนและหาเครือข่ายต่อนี้ด้วย จึงไม่อาจปฏิเสธขั้นตอนการขายของแม่ทีม หรือ ตัวแทนจำหน่ายได้

    2.บอสพอลระบุว่าดาราซึ่งเป็นผู้ที่มีรายรับตาม % ของ “ยอดขาย” คือ บอสกัณต์, บอสแซม, บอสมิน ดังนั้นถือว่าดาราเหล่านี้เป็นขบวนการที่มีค่าตอบแทนตาม “ยอดขาย” ยิ่งมีการลงทุนมาก หรือขายได้มาก ยิ่งได้รับผลตอบแทนมาก

    ดาราเหล่านี้ที่รับประโยชน์ตาม % ของยอดขาย จึงถือเป็นผู้มีส่วนได้เสียไม่ใช่เพียงแค่รับจ้างทั่วไป โดยเฉพาะดารามีการระบุสถานภาพเกินกว่าพรีเซ็นเตอร์ในทางสาธารณะ และทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่ามีดาราเหล่านี้เป็นผู้บริหาร จึงเร่งสร้างความน่าเชื่อถือในการลงทุน

    ส่วนบอสพอลระบุว่าสคริปต์ที่ให้เหล่าดาราพูดนั้นเป็นข้อๆ (Bullet) แต่ก็มีการร้องขอให้พูดเรื่องอื่นๆด้วย ซึ่งไม่สามารถบังคับให้ดาราเหล่านี้พูดตามหรือไม่พูดตามได้

    3.บอสพอลยอมรับว่าผู้ชื้อทุกรายอยู่ในฐานะ “ผู้ลงทุน” ซื้อสินค้ากับบริษัทโดยตรง บ้างก็รับสินค้าไป บ้างก็ฝากสินค้าเอาไว้กับบริษัท

    แต่…

    4.บอสพอลระบุว่าการลงพื้นที่ของตำรวจเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2567 แล้วสินค้าในคงคลังแทบไม่มี เพราะหลังเกิดเรื่องเป็นต้นมา ทำให้มีประชาชนบาเบิกสินค้าในคงคลังจนแทบหมด และกำลังจะเร่งสั่ง ”นำเข้ามา“ อีก เพราะบริษัทสั่งผลิต “ตามที่เบิก”

    ข้อสงสัยและคำถามประเด็นนี้ คือการสั่งผลิตสินค้า ”ตามที่เบิก“ ไม่ได้มีสินค้าตาม ”การสั่งซื้อ“ทั้งหมด หรือรับเงินมาแต่อาจจะยังไม่มีสินค้าเลยก็ได้ ดังนั้น

    เงินของคนที่จ่ายเงินมาเหล่านั้นจึงอาจไม่ใช่การซื้อสินค้า แต่อาจะเป็นการซื้อสต๊อกลมที่ไม่มีอยู่จริง หรือการกู้ยืมเงินมาหมุนโดยอ้างว่าเป็นการซื้อสินค้า หรือไม่?

    และเมื่อมีการแห่กันเบิกสินค้าจึงเริ่มสั่งซื้อสินค้าหรือไม่?

    คำถามคือคนที่จ่ายเงินไปโดยไม่สินค้าอยู่ในมือและไม่คิดจะขายสินค้า หรือคิดแต่จะหาสมาชิกเพิ่มขึ้นนั้น ได้รับผลตอบแทนเป็นอย่างไร?

    เพราะมาตรา 19 ของพระราชบัญญัติขายตรงและการตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 ความว่า

    “มาตรา 19 ห้ามมิให้ผู้ประกอบธุรกิจขายตรงและผู้ประกอบกิจตลาดแบบตรงดำเนินกิจการในลักษณะที่เป็นการชักชวนให้บุคคลเข้าร่วมเป็นเครือข่ายในการประกอบธุรกิจขายตรงหรือในการประกอบธุรกิจตลาดแบบตรง โดยตกลงว่าจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนจากการหาผู้เข้าร่วมเครือข่ายดังกล่าว ซึ่งคำนวณจากจำนวนผู้เข้าร่วมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้น“

    5.สรุปว่าบอสพอลเงินจ่ายเงินที่ถูกไถจากนักร้องเรียน ทนาย และส่วนงานอื่นๆ เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองแผลในทางธุรกิจตัวเองบางอย่าง มีตั้งแต่หลักแสน และการการถูกรีดไถในระดับ 1-3 ล้านบาท แต่ไม่ให้ความร่วมมือว่าจ่ายไปให้ใครและเพื่อกลบเกลื่อนแผลทางธุรกิจอะไร?

    ขอบคุณรายการโหนกระแสที่จัดการสัมภาษณ์ ครั้งนี้ให้เกิดความชัดเจนขึ้นครับ

    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
    คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต
    14 ตุลาคม 2567

    https://www.facebook.com/100044511276276/posts/1073002797526753/?

    #Thaitimes
    วิเคราะห์ 5 ประเด็นสำคัญ การให้สัมภาษณ์ของ บอสพอล ในรายการโหนกระแส /ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ จากกรณีที่ วรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ บอสพอล ที่ตัดสินใจมาออกรายการโหนกระแส ดำเนินรายการการโดยพี่หนุ่มกรรชัย กำเนิดพลอยนั้น เป็นการเตรียมคำตอบสำหรับการต่อสู้คดี แต่บางคำตอบอาจจะเป็นสาระสำคัญแห่งคดีมีดังต่อไปนี้ 1.บอสพอลระบุว่า ตัวแทนจำหน่ายหลักมี 10 ราย คือ บอสปัน, บอสสวย, บอสวิน, บอสหมอเอก, บอสโซดา+บอสป๊อป, บอสทอมมี่, บอสต่าย, บอสอ๊อฟ+บอสจอย, บอสแม่หญิง, บอสโอม โดยบริษัทจะขายให้คนเหล่านี้เท่านั้น ส่วนแต่ละทีมจะไปแตกทีมขายด้วยกรรมวิธีอย่างไร เป็นเรื่องความรับผิดชอบของแต่ละทีม (เป็นอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ว่าขอตัดตอนในกระบวนการขายทั้งหมด ให้เป็นความรับผิดชอบของตัวแทนจำหน่าย แม่ทีม และลูกทีม) อย่างไรก็ตามบอสพอลระบุว่าได้เคยดูการขายออนไลน์ทั้ง 3 ขั้นตอน 1.สอนคอร์สขายของออนไลน์ 2.แนะนำสินค้า 3.การลงทุน 250,000 บาท ซึ่งแปลว่ารับรู้กระบวนการขายที่เน้นการลงทุนและหาเครือข่ายต่อนี้ด้วย จึงไม่อาจปฏิเสธขั้นตอนการขายของแม่ทีม หรือ ตัวแทนจำหน่ายได้ 2.บอสพอลระบุว่าดาราซึ่งเป็นผู้ที่มีรายรับตาม % ของ “ยอดขาย” คือ บอสกัณต์, บอสแซม, บอสมิน ดังนั้นถือว่าดาราเหล่านี้เป็นขบวนการที่มีค่าตอบแทนตาม “ยอดขาย” ยิ่งมีการลงทุนมาก หรือขายได้มาก ยิ่งได้รับผลตอบแทนมาก ดาราเหล่านี้ที่รับประโยชน์ตาม % ของยอดขาย จึงถือเป็นผู้มีส่วนได้เสียไม่ใช่เพียงแค่รับจ้างทั่วไป โดยเฉพาะดารามีการระบุสถานภาพเกินกว่าพรีเซ็นเตอร์ในทางสาธารณะ และทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่ามีดาราเหล่านี้เป็นผู้บริหาร จึงเร่งสร้างความน่าเชื่อถือในการลงทุน ส่วนบอสพอลระบุว่าสคริปต์ที่ให้เหล่าดาราพูดนั้นเป็นข้อๆ (Bullet) แต่ก็มีการร้องขอให้พูดเรื่องอื่นๆด้วย ซึ่งไม่สามารถบังคับให้ดาราเหล่านี้พูดตามหรือไม่พูดตามได้ 3.บอสพอลยอมรับว่าผู้ชื้อทุกรายอยู่ในฐานะ “ผู้ลงทุน” ซื้อสินค้ากับบริษัทโดยตรง บ้างก็รับสินค้าไป บ้างก็ฝากสินค้าเอาไว้กับบริษัท แต่… 4.บอสพอลระบุว่าการลงพื้นที่ของตำรวจเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2567 แล้วสินค้าในคงคลังแทบไม่มี เพราะหลังเกิดเรื่องเป็นต้นมา ทำให้มีประชาชนบาเบิกสินค้าในคงคลังจนแทบหมด และกำลังจะเร่งสั่ง ”นำเข้ามา“ อีก เพราะบริษัทสั่งผลิต “ตามที่เบิก” ข้อสงสัยและคำถามประเด็นนี้ คือการสั่งผลิตสินค้า ”ตามที่เบิก“ ไม่ได้มีสินค้าตาม ”การสั่งซื้อ“ทั้งหมด หรือรับเงินมาแต่อาจจะยังไม่มีสินค้าเลยก็ได้ ดังนั้น เงินของคนที่จ่ายเงินมาเหล่านั้นจึงอาจไม่ใช่การซื้อสินค้า แต่อาจะเป็นการซื้อสต๊อกลมที่ไม่มีอยู่จริง หรือการกู้ยืมเงินมาหมุนโดยอ้างว่าเป็นการซื้อสินค้า หรือไม่? และเมื่อมีการแห่กันเบิกสินค้าจึงเริ่มสั่งซื้อสินค้าหรือไม่? คำถามคือคนที่จ่ายเงินไปโดยไม่สินค้าอยู่ในมือและไม่คิดจะขายสินค้า หรือคิดแต่จะหาสมาชิกเพิ่มขึ้นนั้น ได้รับผลตอบแทนเป็นอย่างไร? เพราะมาตรา 19 ของพระราชบัญญัติขายตรงและการตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 ความว่า “มาตรา 19 ห้ามมิให้ผู้ประกอบธุรกิจขายตรงและผู้ประกอบกิจตลาดแบบตรงดำเนินกิจการในลักษณะที่เป็นการชักชวนให้บุคคลเข้าร่วมเป็นเครือข่ายในการประกอบธุรกิจขายตรงหรือในการประกอบธุรกิจตลาดแบบตรง โดยตกลงว่าจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนจากการหาผู้เข้าร่วมเครือข่ายดังกล่าว ซึ่งคำนวณจากจำนวนผู้เข้าร่วมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้น“ 5.สรุปว่าบอสพอลเงินจ่ายเงินที่ถูกไถจากนักร้องเรียน ทนาย และส่วนงานอื่นๆ เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองแผลในทางธุรกิจตัวเองบางอย่าง มีตั้งแต่หลักแสน และการการถูกรีดไถในระดับ 1-3 ล้านบาท แต่ไม่ให้ความร่วมมือว่าจ่ายไปให้ใครและเพื่อกลบเกลื่อนแผลทางธุรกิจอะไร? ขอบคุณรายการโหนกระแสที่จัดการสัมภาษณ์ ครั้งนี้ให้เกิดความชัดเจนขึ้นครับ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต 14 ตุลาคม 2567 https://www.facebook.com/100044511276276/posts/1073002797526753/? #Thaitimes
    Like
    Love
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1509 มุมมอง 1 รีวิว
  • 🔥🔥วันนี้แอดมินเพจหุ้นติดดอย จะพาเพื่อนๆ
    มาดูลักษณะของธุรกิจที่มีแนวโน้ม
    จะเป็นธุรกิจแชร์ลูกโซ่ (Ponze scheme)

    ซึ่งเป็นรูปแบบการลงทุน ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
    และมักจะมีลักษณะเฉพาะ ที่ทำให้นักลงทุนหลงเชื่อ
    และเข้าร่วมลงทุน โดยมีจุดสังเกต
    อยู่ 5 ลักษณะดังต่อไปนี้ คือ

    🚩1. การรับประกันผลตอบแทนสูง
    ให้สังเกตว่า ธุรกิจใดๆ ที่มักชักจูง ชักชวนผู้คน
    ด้วยการกล่าวอ้าง การให้ผลตอบแทนสูงๆเกินจริง
    ในระยะเวลาอันสั้น โดยไม่มีความชัดเจนในการ
    ดำเนินธุรกิจ การขายสินค้า และวิธีการสร้างรายได้
    มีแนวโน้มจะเป็นธุรกิจแชร์ลูกโซ่

    🚩2. การจ่ายผลตอบแทนจากเงินของนักลงทุนใหม่
    ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ มักจะมีโมเดลธุรกิจคล้ายๆกัน
    นั่นคือ ให้สมาชิกเดิม ไปชักชวน ชักจูง สมาชิกใหม่
    ให้มาสมัครมากๆ โดยให้สมาชิกใหม่ซื้อสินค้า
    ตามจำนวนที่ตกลง และให้สมาชิกใหม่ ไปหา
    สมาชิกของตนมาสมัครเป็นทอดๆ ไปเรื่อยๆ

    🚩3. การขาดความโปร่งใส
    ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ มักขากความชัดเจนเกี่ยวกับวิธีการ
    ในการดำเนินะธุรกิจ หรือ แหล่งที่มาของรายได้
    ส่วนใหญ่มักเกิดจากการโฆษณาชวนเชื่อ
    และกล่าวอ้างเกินจริง อวดอ้างความร่ำรวย
    จากธุรกิจ แต่จริงๆแล้ว ไม่มีที่มาของรายได้
    รวมทั้งสมาชิก ไม่สามารถตรวจสอบงบการเงิน
    และผลการดำเนินงานได้

    🚩4. การสร้างแรงจูงใจในการชักชวนคนอื่น
    ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ มักให้ค่าตอบแทน หรือค่า
    คอมมิชชั่น หรือ โบนัสให้กับผู้ที่สามารถชักชวน
    ชักจูง โน้มน้าวคนอื่นๆ ให้มาสมัครเป็นสมาชิกใหม่ได้

    🚩5. การใช้กลยุทธ์การตลาดที่ดึงดูด
    ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ มักใช้โฆษณา หรือ การตลาด
    ที่ดึงดูดใจ เช่น การกล่าวอวดอ้างต่างๆ
    เพื่อสร้างความมั่นใจ โชว์บ้าน โชว์รถ โชว์เงิน
    โชว์ทอง โชว์การไปเที่ยวต่างๆ เพื่อดึงดูดสมาชิกใหม่
    หรือ การใช้บุคคลที่มีชื่อเสียง เช่น ดารา เซเล็ปต่างๆ
    เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และชักจูง โน้มน้าว
    สมาชิกใหม่ได้ง่าย

    💥ทั้ง 5 ลักษณะนี้เป็นเพียง จุดสังเกตของธุรกิจแชร์ลูกโซ่
    เท่านั้น ดังนั้นผู้จะเข้าลงทุน หรือร่วมลงทุนในธุรกิจใดๆ
    ควรศึกษาข้อมูลของธุรกิจนั้นๆ อย่างละเอียดรอบครอบ
    และถี่ถ้วน โดยไม่ใช้ความโลภ ในการเข้าไปลงทุน
    เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียเงินลงทุน และปัญหา
    ทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน
    #5ลักษณะธุรกิจที่เข้าข่ายเป็นแชร์ลูกโซ่
    #thaitimes
    🔥🔥วันนี้แอดมินเพจหุ้นติดดอย จะพาเพื่อนๆ มาดูลักษณะของธุรกิจที่มีแนวโน้ม จะเป็นธุรกิจแชร์ลูกโซ่ (Ponze scheme) ซึ่งเป็นรูปแบบการลงทุน ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และมักจะมีลักษณะเฉพาะ ที่ทำให้นักลงทุนหลงเชื่อ และเข้าร่วมลงทุน โดยมีจุดสังเกต อยู่ 5 ลักษณะดังต่อไปนี้ คือ 🚩1. การรับประกันผลตอบแทนสูง ให้สังเกตว่า ธุรกิจใดๆ ที่มักชักจูง ชักชวนผู้คน ด้วยการกล่าวอ้าง การให้ผลตอบแทนสูงๆเกินจริง ในระยะเวลาอันสั้น โดยไม่มีความชัดเจนในการ ดำเนินธุรกิจ การขายสินค้า และวิธีการสร้างรายได้ มีแนวโน้มจะเป็นธุรกิจแชร์ลูกโซ่ 🚩2. การจ่ายผลตอบแทนจากเงินของนักลงทุนใหม่ ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ มักจะมีโมเดลธุรกิจคล้ายๆกัน นั่นคือ ให้สมาชิกเดิม ไปชักชวน ชักจูง สมาชิกใหม่ ให้มาสมัครมากๆ โดยให้สมาชิกใหม่ซื้อสินค้า ตามจำนวนที่ตกลง และให้สมาชิกใหม่ ไปหา สมาชิกของตนมาสมัครเป็นทอดๆ ไปเรื่อยๆ 🚩3. การขาดความโปร่งใส ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ มักขากความชัดเจนเกี่ยวกับวิธีการ ในการดำเนินะธุรกิจ หรือ แหล่งที่มาของรายได้ ส่วนใหญ่มักเกิดจากการโฆษณาชวนเชื่อ และกล่าวอ้างเกินจริง อวดอ้างความร่ำรวย จากธุรกิจ แต่จริงๆแล้ว ไม่มีที่มาของรายได้ รวมทั้งสมาชิก ไม่สามารถตรวจสอบงบการเงิน และผลการดำเนินงานได้ 🚩4. การสร้างแรงจูงใจในการชักชวนคนอื่น ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ มักให้ค่าตอบแทน หรือค่า คอมมิชชั่น หรือ โบนัสให้กับผู้ที่สามารถชักชวน ชักจูง โน้มน้าวคนอื่นๆ ให้มาสมัครเป็นสมาชิกใหม่ได้ 🚩5. การใช้กลยุทธ์การตลาดที่ดึงดูด ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ มักใช้โฆษณา หรือ การตลาด ที่ดึงดูดใจ เช่น การกล่าวอวดอ้างต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นใจ โชว์บ้าน โชว์รถ โชว์เงิน โชว์ทอง โชว์การไปเที่ยวต่างๆ เพื่อดึงดูดสมาชิกใหม่ หรือ การใช้บุคคลที่มีชื่อเสียง เช่น ดารา เซเล็ปต่างๆ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และชักจูง โน้มน้าว สมาชิกใหม่ได้ง่าย 💥ทั้ง 5 ลักษณะนี้เป็นเพียง จุดสังเกตของธุรกิจแชร์ลูกโซ่ เท่านั้น ดังนั้นผู้จะเข้าลงทุน หรือร่วมลงทุนในธุรกิจใดๆ ควรศึกษาข้อมูลของธุรกิจนั้นๆ อย่างละเอียดรอบครอบ และถี่ถ้วน โดยไม่ใช้ความโลภ ในการเข้าไปลงทุน เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียเงินลงทุน และปัญหา ทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต #หุ้นติดดอย #การลงทุน #5ลักษณะธุรกิจที่เข้าข่ายเป็นแชร์ลูกโซ่ #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 724 มุมมอง 160 0 รีวิว
  • 🔥🔥วันนี้แอดมินเพจหุ้นติดดอย จะพาเพื่อนๆ
    มาดูลักษณะของธุรกิจที่มีแนวโน้ม
    จะเป็นธุรกิจแชร์ลูกโซ่ (Ponze scheme)

    ซึ่งเป็นรูปแบบการลงทุน ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
    และมักจะมีลักษณะเฉพาะ ที่ทำให้นักลงทุนหลงเชื่อ
    และเข้าร่วมลงทุน โดยมีจุดสังเกต
    อยู่ 5 ลักษณะดังต่อไปนี้ คือ

    🚩1. การรับประกันผลตอบแทนสูง
    ให้สังเกตว่า ธุรกิจใดๆ ที่มักชักจูง ชักชวนผู้คน
    ด้วยการกล่าวอ้าง การให้ผลตอบแทนสูงๆเกินจริง
    ในระยะเวลาอันสั้น โดยไม่มีความชัดเจนในการ
    ดำเนินธุรกิจ การขายสินค้า และวิธีการสร้างรายได้
    มีแนวโน้มจะเป็นธุรกิจแชร์ลูกโซ่

    🚩2. การจ่ายผลตอบแทนจากเงินของนักลงทุนใหม่
    ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ มักจะมีโมเดลธุรกิจคล้ายๆกัน
    นั่นคือ ให้สมาชิกเดิม ไปชักชวน ชักจูง สมาชิกใหม่
    ให้มาสมัครมากๆ โดยให้สมาชิกใหม่ซื้อสินค้า
    ตามจำนวนที่ตกลง และให้สมาชิกใหม่ ไปหา
    สมาชิกของตนมาสมัครเป็นทอดๆ ไปเรื่อยๆ

    🚩3. การขาดความโปร่งใส
    ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ มักขากความชัดเจนเกี่ยวกับวิธีการ
    ในการดำเนินธุรกิจ หรือ แหล่งที่มาของรายได้
    ส่วนใหญ่มักเกิดจากการโฆษณาชวนเชื่อ
    และกล่าวอ้างเกินจริง อวดอ้างความร่ำรวย
    จากธุรกิจ แต่จริงๆแล้ว ไม่มีที่มาของรายได้
    รวมทั้งสมาชิก ไม่สามารถตรวจสอบงบการเงิน
    และผลการดำเนินงานได้

    🚩4. การสร้างแรงจูงใจในการชักชวนคนอื่น
    ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ มักให้ค่าตอบแทน หรือค่า
    คอมมิชชั่น หรือ โบนัสให้กับผู้ที่สามารถชักชวน
    ชักจูง โน้มน้าวคนอื่นๆ ให้มาสมัครเป็นสมาชิกใหม่ได้

    🚩5. การใช้กลยุทธ์การตลาดที่ดึงดูด
    ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ มักใช้โฆษณา หรือ การตลาด
    ที่ดึงดูดใจ เช่น การกล่าวอวดอ้างต่างๆ
    เพื่อสร้างความมั่นใจ โชว์บ้าน โชว์รถ โชว์เงิน
    โชว์ทอง โชว์การไปเที่ยวต่างๆ เพื่อดึงดูดสมาชิกใหม่
    หรือ การใช้บุคคลที่มีชื่อเสียง เช่น ดารา เซเล็ปต่างๆ
    เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และชักจูง โน้มน้าว
    สมาชิกใหม่ได้ง่าย

    💥ทั้ง 5 ลักษณะนี้เป็นเพียง จุดสังเกตของธุรกิจแชร์ลูกโซ่
    เท่านั้น ดังนั้นผู้จะเข้าลงทุน หรือร่วมลงทุนในธุรกิจใดๆ
    ควรศึกษาข้อมูลของธุรกิจนั้นๆ อย่างละเอียดรอบครอบ
    และถี่ถ้วน โดยไม่ใช้ความโลภ ในการเข้าไปลงทุน
    เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียเงินลงทุน และปัญหา
    ทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน
    #5ลักษณะธุรกิจที่เข้าข่ายเป็นแชร์ลูกโซ่
    #thaitimes
    🔥🔥วันนี้แอดมินเพจหุ้นติดดอย จะพาเพื่อนๆ มาดูลักษณะของธุรกิจที่มีแนวโน้ม จะเป็นธุรกิจแชร์ลูกโซ่ (Ponze scheme) ซึ่งเป็นรูปแบบการลงทุน ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และมักจะมีลักษณะเฉพาะ ที่ทำให้นักลงทุนหลงเชื่อ และเข้าร่วมลงทุน โดยมีจุดสังเกต อยู่ 5 ลักษณะดังต่อไปนี้ คือ 🚩1. การรับประกันผลตอบแทนสูง ให้สังเกตว่า ธุรกิจใดๆ ที่มักชักจูง ชักชวนผู้คน ด้วยการกล่าวอ้าง การให้ผลตอบแทนสูงๆเกินจริง ในระยะเวลาอันสั้น โดยไม่มีความชัดเจนในการ ดำเนินธุรกิจ การขายสินค้า และวิธีการสร้างรายได้ มีแนวโน้มจะเป็นธุรกิจแชร์ลูกโซ่ 🚩2. การจ่ายผลตอบแทนจากเงินของนักลงทุนใหม่ ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ มักจะมีโมเดลธุรกิจคล้ายๆกัน นั่นคือ ให้สมาชิกเดิม ไปชักชวน ชักจูง สมาชิกใหม่ ให้มาสมัครมากๆ โดยให้สมาชิกใหม่ซื้อสินค้า ตามจำนวนที่ตกลง และให้สมาชิกใหม่ ไปหา สมาชิกของตนมาสมัครเป็นทอดๆ ไปเรื่อยๆ 🚩3. การขาดความโปร่งใส ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ มักขากความชัดเจนเกี่ยวกับวิธีการ ในการดำเนินธุรกิจ หรือ แหล่งที่มาของรายได้ ส่วนใหญ่มักเกิดจากการโฆษณาชวนเชื่อ และกล่าวอ้างเกินจริง อวดอ้างความร่ำรวย จากธุรกิจ แต่จริงๆแล้ว ไม่มีที่มาของรายได้ รวมทั้งสมาชิก ไม่สามารถตรวจสอบงบการเงิน และผลการดำเนินงานได้ 🚩4. การสร้างแรงจูงใจในการชักชวนคนอื่น ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ มักให้ค่าตอบแทน หรือค่า คอมมิชชั่น หรือ โบนัสให้กับผู้ที่สามารถชักชวน ชักจูง โน้มน้าวคนอื่นๆ ให้มาสมัครเป็นสมาชิกใหม่ได้ 🚩5. การใช้กลยุทธ์การตลาดที่ดึงดูด ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ มักใช้โฆษณา หรือ การตลาด ที่ดึงดูดใจ เช่น การกล่าวอวดอ้างต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นใจ โชว์บ้าน โชว์รถ โชว์เงิน โชว์ทอง โชว์การไปเที่ยวต่างๆ เพื่อดึงดูดสมาชิกใหม่ หรือ การใช้บุคคลที่มีชื่อเสียง เช่น ดารา เซเล็ปต่างๆ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และชักจูง โน้มน้าว สมาชิกใหม่ได้ง่าย 💥ทั้ง 5 ลักษณะนี้เป็นเพียง จุดสังเกตของธุรกิจแชร์ลูกโซ่ เท่านั้น ดังนั้นผู้จะเข้าลงทุน หรือร่วมลงทุนในธุรกิจใดๆ ควรศึกษาข้อมูลของธุรกิจนั้นๆ อย่างละเอียดรอบครอบ และถี่ถ้วน โดยไม่ใช้ความโลภ ในการเข้าไปลงทุน เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียเงินลงทุน และปัญหา ทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต #หุ้นติดดอย #การลงทุน #5ลักษณะธุรกิจที่เข้าข่ายเป็นแชร์ลูกโซ่ #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 667 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts