• เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 4 – อิยิปต์ 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 4 ”
    อิยิปต์ 2
อังกฤษเมื่อแรกเข้ามาใช้อียิปต์นั้น นอกจากใช้เป็นที่วางไม้ขวางฝรั่งเศส ไม่ให้เดินเลยไปถึงอินเดียแล้ว อังกฤษสนใจ ที่จะใช้อียิปต์เป็นแหล่งผลิตผ้าฝ้าย เดิมอังกฤษอาศัยฝ้ายจากทางใต้ของอเมริกา ซึ่งผลิตฝ้ายดีราคาถูกจากแรงงานทาสผิวดำ แต่เมื่ออเมริกาเกิดสงครามกลางเมือง การผลิตฝ้ายของทางใต้ของอเมริกากันหยุดชะงัก อังกฤษต้องมองหาตลาดใหม่ อียิปต์มีภูมิอากาศเหมาะสำหรับปลูกฝ่ายอย่างยิ่ง
    หลังจาก ค.ศ. 1882 เป็นต้นมา อังกฤษเอาจริงกับการใช้อียิปต์เป็นแหล่งปลูกฝ้าย จะปลูกฝ้ายก็ต้องมีน้ำ โครงการสร้างคลองชลประทาน จึงเกิดขึ้นในอียิปต์ ไม่ใช่เพราะอยากให้ชาวอียิปต์มีน้ำใช้ทั่วถึงหรอกนะ อังกฤษไม่เคยใจดีอย่างนั้น แต่น้ำจากคลองชลประทานก็ยังไม่ พอ เพราะเมื่อปลูกฝ้ายแล้ว อังกฤษก็ตั้งโรงงานทอผ้า ทำเป็นอุตสาหกรรมใหญ่ อุตสาหกรรมก็ต้องมีพลังงาน น้ำมันยังไม่มีให้ใช้ ดังนั้นต้องใช้พลังน้ำจากเขื่อน เขื่อนอัสวาน (Aswan) จึงจำเป็นต้องสร้างขึ้น
    ช่วงปี ค.ศ. 1890 – 1914 อียิปต์สร้างเขื่อนหลายเขื่อน และระบบชลประทานทั่วประเทศ เขื่อนอัสวาน 1 เสร็จไปแล้ว แต่ยังไม่ได้พลังงานพอใช้ อัสวาน 2 จึงต้องสร้างเพิ่มในปี ค.ศ.1912 เพื่อให้มีน้ำเลี้ยงทั้งปีทุกบริเวณ ตั้งแต่อียิปต์กลางและอียิปต์ใต้ ทำให้อียิปต์เพิ่มเนื้อที่จากการปลูกฝ้าย จาก 4.4 ล้าน เฟดดาน (feddan) ในปี ค.ศ. 1877 เป็น 5.5 ล้าน เฟดดาน ในปี ค.ศ. 1913
    อังกฤษกลายเป็นผู้ผูกขาด การปลูก การผลิต การขาย ฝ้ายในอียิปต์ ระบบชลประทานเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการปลูกฝ้าย อังกฤษส่งคนมาคุมทำการขุด และสร้างระบบ บริษัทอังกฤษเป็นผู้ก่อสร้างระบบชลประทาน ทั่วประเทศอียิปต์ มันไม่ใช่ควบคุมเฉพาะการปลูกเท่านั้น เมื่อต้องขนส่งฝ้ายทางรถไฟ ทางเรือตามแม่น้ำ ลำคลอง เรือกลไฟของอังกฤษก็มาเทียบท่าเมือง Alexandria แม้รถไฟจะเป็นของรัฐ แต่คนอังกฤษเป็นผู้ควบคุม
    การปลูก ผลิต ขาย ฝ้าย อยู่ในมือของคนอังกฤษ รวมทั้งธนาคารของคนอังกฤษ คนอียิปต์มีส่วนเป็นเพียงเจ้าของแผ่นดิน และได้ค่าตอบแทน เป็นแรงงานราคาถูก
    ที่สำคัญ อังกฤษเปลี่ยนเนื้อที่ ที่ชาวอียิปต์เคยปลูกพืชอื่น ในการยังชีพของพวกเขา เช่น ข้าวบาเลย์ แป้งสาลี น้ำตาล ให้ไปปลูกฝ้ายเกือบหมด ในที่สุดพืชเหล่านี้ ก็ถูกกินเนื้อที่ ชาวอียิปต์ นอกจากไม่ได้ร่ำรวยจากการปลูกฝ้ายแล้ว ยังอดอยากอีกด้วย แถมตอนหลังอังกฤษเห็นว่ายาสูบไม่ใชสิ่งจำเป็น อังกฤษออกประกาศให้ยาสูบเป็นพืชต้องห้าม คนอียิปต์ที่ส่วนใหญ่ติดยาดูดเป็นชีวิต ถ้าไม่อยากลงแดง ก็ต้องไปอาศัยดูดยาของตุรกีซึ่งมีราคาแพงแทน
    ข้อมูลภูมิศาสตร์โลกที่ระบุว่า อียิปต์เป็นประเทศที่ปลูกฝ้ายดีที่สุดในโลก เป็นผู้ผลิตฝ้ายเป็นอันดับ 3 ของโลก เป็นดินแดนแห่งฝ้ายดีมีคุณภาพ ฯลฯ สาระพัดจะเขียนกัน แต่อียิปต์ไม่ได้เป็นเจ้าของโรงงานทอผ้าฝ้าย แม้แต่โรงงานเดียว และส่งออกฝ้ายเนื้อดีนี้ทั้งหมดไปที่อังกฤษ
    คนอียิปต์ยังใช้ฝ้ายราคาถูกคุณภาพต่ำเหมือนเดิม อียิปต์ผลิตผ้าฝ้าย 1 ใน 3 ของความต้องการฝ้ายทั้งหมดของอังกฤษ และในปี ค.ศ. 1914 สินค้าออกของอียิปต์เป็นฝ้ายเสีย 85%
    ตั้งแต่อียิปต์สร้างคลองสุเอช อียิปต์เริ่มมีหนี้ติดตัวไปทุกแห่ง แต่หนี้ของอียิปต์งอกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากที่อังกฤษเข้ามายึด อียิปต์ในปี ค.ศ. 1882 การแปลงอียิปต์เป็นแดนฝ้าย สร้างหนี้ให้อียิปต์อีกมหาศาล จากการสร้างระบบชลประทาน สร้างเขื่อน ทางรถไฟ ระบบขนส่ง ด้วยเงินของรัฐบาลอียิปต์ ที่อังกฤษเป็นดูแล
ในปี ค.ศ. 1898 อังกฤษตั้งธนาคารชาติแห่งอียิปต์ ชื่อเป็นอียิปต์ นอกจากไม่ได้เป็นธนาคารของชาติอียิปต์แล้ว ยังเป็นธนาคารของเอกชนอีกด้วย และเอกชนนั้น ก็ไม่ใช่คนอียิปต์ แต่เป็นคนอังกฤษ แต่ธนาคารชาตินี้มีสิทธิในการพิมพ์ธนบัตรอียิปต์ เหยื่ออย่างสมบูณ์แบบจริงๆ
    เมื่ออียิปต์มีรายได้ ฝรั่งก็ตั้งหน่วยงาน เรียกว่าสำนักบริหารหนี้ของอียิปต์ เพื่อมาจัดเก็บรายได้นำไปชำระหนี้ ที่อียิปต์มีต่อผู้ให้กู้ต่างประเทศก่อน ถ้าออตโมมานเป็นคนป่วยของยุโรป อียิปต์น่าจะเป็นคนใกล้ตาย หรือตายซาก ในภูมิภาคนั้น
    เห็นฝีมือเถือหนังแทะกระดูกเหยื่อต่าง ๆ ของนักล่าชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯแล้ว คงเข้าใจว่าทำไมผมเรียกมันอย่าง รังเกียจ เหยียดหยามเช่นนี้
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
13 ก.ย. 57
    เหยื่อ – เคี้ยว ตอนที่ 4 – อิยิปต์ 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อ”
ตอนที่ 3 : “เคี้ยว 4 ” อิยิปต์ 2
อังกฤษเมื่อแรกเข้ามาใช้อียิปต์นั้น นอกจากใช้เป็นที่วางไม้ขวางฝรั่งเศส ไม่ให้เดินเลยไปถึงอินเดียแล้ว อังกฤษสนใจ ที่จะใช้อียิปต์เป็นแหล่งผลิตผ้าฝ้าย เดิมอังกฤษอาศัยฝ้ายจากทางใต้ของอเมริกา ซึ่งผลิตฝ้ายดีราคาถูกจากแรงงานทาสผิวดำ แต่เมื่ออเมริกาเกิดสงครามกลางเมือง การผลิตฝ้ายของทางใต้ของอเมริกากันหยุดชะงัก อังกฤษต้องมองหาตลาดใหม่ อียิปต์มีภูมิอากาศเหมาะสำหรับปลูกฝ่ายอย่างยิ่ง หลังจาก ค.ศ. 1882 เป็นต้นมา อังกฤษเอาจริงกับการใช้อียิปต์เป็นแหล่งปลูกฝ้าย จะปลูกฝ้ายก็ต้องมีน้ำ โครงการสร้างคลองชลประทาน จึงเกิดขึ้นในอียิปต์ ไม่ใช่เพราะอยากให้ชาวอียิปต์มีน้ำใช้ทั่วถึงหรอกนะ อังกฤษไม่เคยใจดีอย่างนั้น แต่น้ำจากคลองชลประทานก็ยังไม่ พอ เพราะเมื่อปลูกฝ้ายแล้ว อังกฤษก็ตั้งโรงงานทอผ้า ทำเป็นอุตสาหกรรมใหญ่ อุตสาหกรรมก็ต้องมีพลังงาน น้ำมันยังไม่มีให้ใช้ ดังนั้นต้องใช้พลังน้ำจากเขื่อน เขื่อนอัสวาน (Aswan) จึงจำเป็นต้องสร้างขึ้น ช่วงปี ค.ศ. 1890 – 1914 อียิปต์สร้างเขื่อนหลายเขื่อน และระบบชลประทานทั่วประเทศ เขื่อนอัสวาน 1 เสร็จไปแล้ว แต่ยังไม่ได้พลังงานพอใช้ อัสวาน 2 จึงต้องสร้างเพิ่มในปี ค.ศ.1912 เพื่อให้มีน้ำเลี้ยงทั้งปีทุกบริเวณ ตั้งแต่อียิปต์กลางและอียิปต์ใต้ ทำให้อียิปต์เพิ่มเนื้อที่จากการปลูกฝ้าย จาก 4.4 ล้าน เฟดดาน (feddan) ในปี ค.ศ. 1877 เป็น 5.5 ล้าน เฟดดาน ในปี ค.ศ. 1913 อังกฤษกลายเป็นผู้ผูกขาด การปลูก การผลิต การขาย ฝ้ายในอียิปต์ ระบบชลประทานเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการปลูกฝ้าย อังกฤษส่งคนมาคุมทำการขุด และสร้างระบบ บริษัทอังกฤษเป็นผู้ก่อสร้างระบบชลประทาน ทั่วประเทศอียิปต์ มันไม่ใช่ควบคุมเฉพาะการปลูกเท่านั้น เมื่อต้องขนส่งฝ้ายทางรถไฟ ทางเรือตามแม่น้ำ ลำคลอง เรือกลไฟของอังกฤษก็มาเทียบท่าเมือง Alexandria แม้รถไฟจะเป็นของรัฐ แต่คนอังกฤษเป็นผู้ควบคุม การปลูก ผลิต ขาย ฝ้าย อยู่ในมือของคนอังกฤษ รวมทั้งธนาคารของคนอังกฤษ คนอียิปต์มีส่วนเป็นเพียงเจ้าของแผ่นดิน และได้ค่าตอบแทน เป็นแรงงานราคาถูก ที่สำคัญ อังกฤษเปลี่ยนเนื้อที่ ที่ชาวอียิปต์เคยปลูกพืชอื่น ในการยังชีพของพวกเขา เช่น ข้าวบาเลย์ แป้งสาลี น้ำตาล ให้ไปปลูกฝ้ายเกือบหมด ในที่สุดพืชเหล่านี้ ก็ถูกกินเนื้อที่ ชาวอียิปต์ นอกจากไม่ได้ร่ำรวยจากการปลูกฝ้ายแล้ว ยังอดอยากอีกด้วย แถมตอนหลังอังกฤษเห็นว่ายาสูบไม่ใชสิ่งจำเป็น อังกฤษออกประกาศให้ยาสูบเป็นพืชต้องห้าม คนอียิปต์ที่ส่วนใหญ่ติดยาดูดเป็นชีวิต ถ้าไม่อยากลงแดง ก็ต้องไปอาศัยดูดยาของตุรกีซึ่งมีราคาแพงแทน ข้อมูลภูมิศาสตร์โลกที่ระบุว่า อียิปต์เป็นประเทศที่ปลูกฝ้ายดีที่สุดในโลก เป็นผู้ผลิตฝ้ายเป็นอันดับ 3 ของโลก เป็นดินแดนแห่งฝ้ายดีมีคุณภาพ ฯลฯ สาระพัดจะเขียนกัน แต่อียิปต์ไม่ได้เป็นเจ้าของโรงงานทอผ้าฝ้าย แม้แต่โรงงานเดียว และส่งออกฝ้ายเนื้อดีนี้ทั้งหมดไปที่อังกฤษ คนอียิปต์ยังใช้ฝ้ายราคาถูกคุณภาพต่ำเหมือนเดิม อียิปต์ผลิตผ้าฝ้าย 1 ใน 3 ของความต้องการฝ้ายทั้งหมดของอังกฤษ และในปี ค.ศ. 1914 สินค้าออกของอียิปต์เป็นฝ้ายเสีย 85% ตั้งแต่อียิปต์สร้างคลองสุเอช อียิปต์เริ่มมีหนี้ติดตัวไปทุกแห่ง แต่หนี้ของอียิปต์งอกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากที่อังกฤษเข้ามายึด อียิปต์ในปี ค.ศ. 1882 การแปลงอียิปต์เป็นแดนฝ้าย สร้างหนี้ให้อียิปต์อีกมหาศาล จากการสร้างระบบชลประทาน สร้างเขื่อน ทางรถไฟ ระบบขนส่ง ด้วยเงินของรัฐบาลอียิปต์ ที่อังกฤษเป็นดูแล
ในปี ค.ศ. 1898 อังกฤษตั้งธนาคารชาติแห่งอียิปต์ ชื่อเป็นอียิปต์ นอกจากไม่ได้เป็นธนาคารของชาติอียิปต์แล้ว ยังเป็นธนาคารของเอกชนอีกด้วย และเอกชนนั้น ก็ไม่ใช่คนอียิปต์ แต่เป็นคนอังกฤษ แต่ธนาคารชาตินี้มีสิทธิในการพิมพ์ธนบัตรอียิปต์ เหยื่ออย่างสมบูณ์แบบจริงๆ เมื่ออียิปต์มีรายได้ ฝรั่งก็ตั้งหน่วยงาน เรียกว่าสำนักบริหารหนี้ของอียิปต์ เพื่อมาจัดเก็บรายได้นำไปชำระหนี้ ที่อียิปต์มีต่อผู้ให้กู้ต่างประเทศก่อน ถ้าออตโมมานเป็นคนป่วยของยุโรป อียิปต์น่าจะเป็นคนใกล้ตาย หรือตายซาก ในภูมิภาคนั้น เห็นฝีมือเถือหนังแทะกระดูกเหยื่อต่าง ๆ ของนักล่าชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯแล้ว คงเข้าใจว่าทำไมผมเรียกมันอย่าง รังเกียจ เหยียดหยามเช่นนี้ สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
13 ก.ย. 57
    0 Comments 0 Shares 127 Views 0 Reviews
  • “OpenAI รายได้พุ่ง $4.3B ในครึ่งปีแรก 2025 — แต่ขาดทุนทะลุ $13.5B จากต้นทุนวิจัยและดีลกับ Microsoft”

    แม้จะเป็นผู้นำในวงการ AI ระดับโลก แต่รายงานทางการเงินล่าสุดของ OpenAI กลับเผยให้เห็นภาพที่ซับซ้อนกว่าที่หลายคนคาดไว้ โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 บริษัทสร้างรายได้กว่า $4.3 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 16% จากปี 2024 โดยส่วนใหญ่เป็นรายได้จาก ChatGPT และ API สำหรับองค์กร

    แต่ในขณะเดียวกัน OpenAI ก็รายงานผลขาดทุนสุทธิสูงถึง $13.5 พันล้านดอลลาร์ โดยมากกว่าครึ่งของตัวเลขนี้มาจากการปรับมูลค่าผลประโยชน์จากหุ้นแปลงสภาพ (convertible interest rights) ซึ่งเป็นรายการทางบัญชีที่ไม่ใช่เงินสดโดยตรง

    ค่าใช้จ่ายด้านวิจัยและพัฒนา (R&D) ยังคงเป็นภาระหลัก โดยสูงถึง $6.7 พันล้านดอลลาร์ในครึ่งปีแรก ขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านการขายและโฆษณาเพิ่มขึ้นเป็น $2 พันล้านดอลลาร์ และค่าตอบแทนแบบหุ้น (stock-based compensation) ก็พุ่งขึ้นเป็น $2.5 พันล้านดอลลาร์

    OpenAI ยังจ่ายเงินให้ Microsoft เป็นสัดส่วน 20% ของรายได้ทั้งหมด ตามข้อตกลงที่มีอยู่ ซึ่งกลายเป็นประเด็นที่นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าและความยั่งยืนของโมเดลธุรกิจนี้

    แม้จะเผาเงินไปกว่า $2.5 พันล้านดอลลาร์ในช่วงครึ่งปีแรก แต่บริษัทก็ยังถือเงินสดและหลักทรัพย์รวมกว่า $17.5 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับเงินทุนใหม่ $10 พันล้านดอลลาร์ และกำลังเจรจาเพื่อระดมทุนเพิ่มอีก $30 พันล้านดอลลาร์

    ขณะเดียวกัน มีการเสนอขายหุ้นให้พนักงาน (tender offer) ที่ประเมินมูลค่าบริษัทไว้สูงถึง $500 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในอนาคตของ OpenAI แม้จะยังไม่สามารถทำกำไรได้ในระยะสั้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    รายได้ครึ่งปีแรก 2025 ของ OpenAI อยู่ที่ $4.3 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 16% จากปี 2024
    ขาดทุนสุทธิอยู่ที่ $13.5 พันล้านดอลลาร์ โดยมากกว่าครึ่งมาจากการปรับมูลค่าหุ้นแปลงสภาพ
    ค่าใช้จ่ายด้าน R&D สูงถึง $6.7 พันล้านดอลลาร์
    ค่าใช้จ่ายด้านการขายและโฆษณาอยู่ที่ $2 พันล้านดอลลาร์
    ค่าตอบแทนแบบหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น $2.5 พันล้านดอลลาร์
    จ่ายรายได้ 20% ให้ Microsoft ตามข้อตกลงที่มีอยู่
    เผาเงินสดไป $2.5 พันล้านดอลลาร์ในครึ่งปีแรก
    ถือเงินสดและหลักทรัพย์รวม $17.5 พันล้านดอลลาร์
    กำลังเจรจาระดมทุนเพิ่มอีก $30 พันล้านดอลลาร์
    Tender offer ประเมินมูลค่าบริษัทไว้ที่ $500 พันล้านดอลลาร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    รายได้หลักของ OpenAI มาจาก ChatGPT Plus และ API สำหรับองค์กร
    ค่าใช้จ่ายด้าน compute สำหรับฝึกโมเดล GPT อาจแตะ $14 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025
    การจ่ายรายได้ให้ Microsoft เป็นผลจากข้อตกลงที่ Microsoft ลงทุนใน OpenAI
    การประเมินมูลค่าบริษัทที่ $500 พันล้านดอลลาร์ ทำให้ OpenAI กลายเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูงที่สุด
    นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามถึงความยั่งยืนของโมเดลธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนมหาศาลเพื่อขยายฐานผู้ใช้

    https://www.techinasia.com/news/openais-revenue-rises-16-to-4-3b-in-h1-2025
    💸 “OpenAI รายได้พุ่ง $4.3B ในครึ่งปีแรก 2025 — แต่ขาดทุนทะลุ $13.5B จากต้นทุนวิจัยและดีลกับ Microsoft” แม้จะเป็นผู้นำในวงการ AI ระดับโลก แต่รายงานทางการเงินล่าสุดของ OpenAI กลับเผยให้เห็นภาพที่ซับซ้อนกว่าที่หลายคนคาดไว้ โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 บริษัทสร้างรายได้กว่า $4.3 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 16% จากปี 2024 โดยส่วนใหญ่เป็นรายได้จาก ChatGPT และ API สำหรับองค์กร แต่ในขณะเดียวกัน OpenAI ก็รายงานผลขาดทุนสุทธิสูงถึง $13.5 พันล้านดอลลาร์ โดยมากกว่าครึ่งของตัวเลขนี้มาจากการปรับมูลค่าผลประโยชน์จากหุ้นแปลงสภาพ (convertible interest rights) ซึ่งเป็นรายการทางบัญชีที่ไม่ใช่เงินสดโดยตรง ค่าใช้จ่ายด้านวิจัยและพัฒนา (R&D) ยังคงเป็นภาระหลัก โดยสูงถึง $6.7 พันล้านดอลลาร์ในครึ่งปีแรก ขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านการขายและโฆษณาเพิ่มขึ้นเป็น $2 พันล้านดอลลาร์ และค่าตอบแทนแบบหุ้น (stock-based compensation) ก็พุ่งขึ้นเป็น $2.5 พันล้านดอลลาร์ OpenAI ยังจ่ายเงินให้ Microsoft เป็นสัดส่วน 20% ของรายได้ทั้งหมด ตามข้อตกลงที่มีอยู่ ซึ่งกลายเป็นประเด็นที่นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าและความยั่งยืนของโมเดลธุรกิจนี้ แม้จะเผาเงินไปกว่า $2.5 พันล้านดอลลาร์ในช่วงครึ่งปีแรก แต่บริษัทก็ยังถือเงินสดและหลักทรัพย์รวมกว่า $17.5 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับเงินทุนใหม่ $10 พันล้านดอลลาร์ และกำลังเจรจาเพื่อระดมทุนเพิ่มอีก $30 พันล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกัน มีการเสนอขายหุ้นให้พนักงาน (tender offer) ที่ประเมินมูลค่าบริษัทไว้สูงถึง $500 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในอนาคตของ OpenAI แม้จะยังไม่สามารถทำกำไรได้ในระยะสั้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ รายได้ครึ่งปีแรก 2025 ของ OpenAI อยู่ที่ $4.3 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 16% จากปี 2024 ➡️ ขาดทุนสุทธิอยู่ที่ $13.5 พันล้านดอลลาร์ โดยมากกว่าครึ่งมาจากการปรับมูลค่าหุ้นแปลงสภาพ ➡️ ค่าใช้จ่ายด้าน R&D สูงถึง $6.7 พันล้านดอลลาร์ ➡️ ค่าใช้จ่ายด้านการขายและโฆษณาอยู่ที่ $2 พันล้านดอลลาร์ ➡️ ค่าตอบแทนแบบหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น $2.5 พันล้านดอลลาร์ ➡️ จ่ายรายได้ 20% ให้ Microsoft ตามข้อตกลงที่มีอยู่ ➡️ เผาเงินสดไป $2.5 พันล้านดอลลาร์ในครึ่งปีแรก ➡️ ถือเงินสดและหลักทรัพย์รวม $17.5 พันล้านดอลลาร์ ➡️ กำลังเจรจาระดมทุนเพิ่มอีก $30 พันล้านดอลลาร์ ➡️ Tender offer ประเมินมูลค่าบริษัทไว้ที่ $500 พันล้านดอลลาร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ รายได้หลักของ OpenAI มาจาก ChatGPT Plus และ API สำหรับองค์กร ➡️ ค่าใช้จ่ายด้าน compute สำหรับฝึกโมเดล GPT อาจแตะ $14 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025 ➡️ การจ่ายรายได้ให้ Microsoft เป็นผลจากข้อตกลงที่ Microsoft ลงทุนใน OpenAI ➡️ การประเมินมูลค่าบริษัทที่ $500 พันล้านดอลลาร์ ทำให้ OpenAI กลายเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูงที่สุด ➡️ นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามถึงความยั่งยืนของโมเดลธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนมหาศาลเพื่อขยายฐานผู้ใช้ https://www.techinasia.com/news/openais-revenue-rises-16-to-4-3b-in-h1-2025
    0 Comments 0 Shares 123 Views 0 Reviews


  • ..จริงๆสส.สมควรมีแค่เงินเดือนก็พอนะ.ฤ
    ..ข้าราชการทั่วประเทศก็สมควรมีแค่เงินเดือนแค่นั้นเช่นกัน.
    ..การรักษาพยาบาลทั้งหมดต้องเข้าใช้สิทธิ30บาทรักษาทุกๆโรค ทุกๆที่เสมอกัน,ชัตดาวน์และปิดสวิตช์ไปเลยในสวัสดิการต่างๆสิ้นเปลืองมากเช่นเบี้ยนั้นเบี้ยนี้ เบี้ยประชุมสส.ซึ่งต้องประชุมนั้นมันเป็นหน้าที่อยู่แล้ว.
    ..สิทธิประโยชน์สส.ทั้งหมดจึงสมควรทำตนเองเป็นแบบอย่างที่ดีแก่คนข้าราชการทั่วไทยที่ฝ่ายนักการเมืองเองต้องบริหารคนข้าราชการในนามรัฐบาลอยู่แล้วด้วยจึงสมควรยุบทิ้งสิทธิประโยชน์เหล่านี้ให้หมด ทำตนเองมาหัดใช้แบบประชาชนตนที่ขันอาสาลงสมัครรับเลือกตั้งไปเป็นตัวแทนของประชาชนด้วย,ไปสร้างสมดุลที่เงินเดือนฝ่ายเดียวดีกว่า เช่น สส.คาดว่าใช้วันละ1,000ก็คงเพียงพอ 30วันก็30,000บาทต่อเดือนอาจคูณ3เท่าครอบคลุมค่าใช้จ่ายส่วนเกินอื่นๆที่จำเป็นและเลอะเทอะบ้างก็90,000บาทต่อเดือน,ตีให้เป็นตัวเลขกลมๆให้แก่เกียรติสส.ก็100,000บาทต่อคนต่อเดือนก็เพียงพอแล้ว,เลิกคนรับใช้ลูกน้องสส.ทั้งหมด

    ..

    #สวัสดิการของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.)
    ..ในระหว่างการดำรงตำแหน่ง ครอบคลุมถึงการรักษาพยาบาล การเดินทาง การศึกษาบุตร และเบี้ยประชุม โดย สส. สามารถเบิกค่าใช้จ่ายจริงตามอัตราที่กำหนดไว้ในด้านการรักษาพยาบาล การเดินทาง และมีผู้ช่วยในการทำงานพร้อมค่าตอบแทน นอกจากนี้ สส. ที่พ้นจากตำแหน่งแล้ว อาจได้รับเงินทุนเลี้ยงชีพรายเดือนตลอดชีวิตตามระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง และมีเงินช่วยเหลือกรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพ. นอกจากสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาล

    สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
    ได้รับเงินประจำตำแหน่งเดือนละ 71,230 บาท และได้รับเงินเพิ่มอีกเดือนละ 42,330 บาท รวมเป็นเดือนละ 113,560 บาท
    เมื่อ ส.ส. ต้องรับตำแหน่งทางการเมือง


    ทีมงาน: สส. สามารถแต่งตั้งทีมงานได้ 8 คน โดยมีผู้เชี่ยวชาญ 1 คน (เงินเดือน 24,000 บาท), ผู้ชำนาญการ 2 คน (เงินเดือน 15,000 บาท), และผู้ช่วยดำเนินงาน 5 คน (เงินเดือน 15,000 บาท).

    ค่าเดินทาง: เบิกค่าเดินทางไปประชุมรัฐสภาตามระยะทางและค่าพาหนะอื่นๆ เช่น รถไฟ, รถยนต์ประจำทาง, เครื่องบิน ได้ตามจริง.

    เบี้ยเลี้ยงและค่าที่พัก: ได้รับเบี้ยเลี้ยงสำหรับเดินทางไปราชการทั้งในและต่างประเทศ พร้อมเบิกค่าเช่าที่พักตามจริงหรืออัตราเหมาจ่าย.

    เบี้ยประชุม: ได้รับเบี้ยประชุมสำหรับการเข้าร่วมประชุมคณะกรรมาธิการและอนุกรรมาธิการ.
    สวัสดิการหลังพ้นจากตำแหน่ง

    เงินทุนเลี้ยงชีพ: ผู้ที่เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) อาจได้รับเงินทุนเลี้ยงชีพรายเดือนตลอดชีวิต ตามระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง.

    เงินช่วยเหลือ: กรณีถึงแก่กรรม จะได้รับเงินช่วยเหลือ 100,000 บาท และค่าพวงหรีด 1,000 บาท ส่วนกรณีทุพพลภาพ จะได้รับเงินช่วยเหลือเดือนละ 5,000 บาท

    ...........................................................................

    เป็น ส.ส.ได้เงินเดือน-สิทธิประโยชน์อะไรบ้าง
    การเมือง
    20 มิ.ย. 66

    หลัง กกต. ประกาศรับรอง ส.ส. ให้ทั้ง 500 คนเรียบร้อยแล้ว กำหนดการเปิดประชุมสภาฯ คาดการณ์จะมีขึ้นกลางเดือน ก.ค. และหลังจากนั้น ส.ส.แต่ละคนจะเริ่มปฏิบัติงานกันตามที่เคยหาเสียงไว้ เปิดรายได้ ส.ส. ได้เงินเดือนและสวัสดิการคุ้มค่ากับเสียงที่เลือกมาหรือไม่
    รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้บัญญัติการจ่ายเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของสมาชิกรัฐสภา ดังนี้
    เงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานและรองประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา ให้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีซึ่งต้องกำหนดให้จ่ายได้ไม่ก่อนวันเข้ารับหน้าที่ (มาตรา 196)
    ก่อนเข้ารับหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาต้องปฏิญาณตนในที่ประชุมแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิก (มาตรา 123)
    ต่อมาในปี 2555 ได้มีพระราชกฤษฎีกาเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของ ปธ.สภาฯ และ รอง ปธ.สภาฯ ปธ.วุฒิสภา และ รอง ปธ.วุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ ส.ส. ส.ว. และกรรมาธิการ พ.ศ. 2555 กำหนดให้ปธ.สภาฯ และ รอง ปธ.สภาฯ ปธ.วุฒิสภา และ รอง ปธ.วุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ ส.ส. ส.ว. ได้รับเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มเป็นรายเดือนนับแต่วันเข้ารับหน้าที่ ดังนี้


    ประธานสภาผู้แทนราษฎร
    ได้รับเงินประจำตำแหน่งเดือนละ 75,590 บาท และได้รับเงินเพิ่มอีกเดือนละ 50,000 บาท รวมเป็นเดือนละ 125,590 บาท

    รองประธานสภาผู้แทนราษฎร
    ได้รับเงินประจำตำแหน่งเดือนละ 73,250 บาท และได้รับเงินเพิ่มอีกเดือนละ 42,500 บาท รวมเป็นเดือนละ 115,740 บาท

    ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
    ได้รับเงินประจำตำแหน่งเดือนละ 73,240 บาท และได้รับเงินเพิ่มอีกเดือนละ 42,500 บาท รวมเป็นเดือนละ 115,740 บาท

    สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
    ได้รับเงินประจำตำแหน่งเดือนละ 71,230 บาท และได้รับเงินเพิ่มอีกเดือนละ 42,330 บาท รวมเป็นเดือนละ 113,560 บาท
    เมื่อ ส.ส. ต้องรับตำแหน่งทางการเมือง

    ...........................................................................


    ตำแหน่งข้าราชการการเมืองที่สำคัญ
    นายกรัฐมนตรี รายรับรวมเดือนละ 125,590 บาท
    รองนายกรัฐมนตรี รายรับรวมเดือนละ 119,920 บาท
    รัฐมนตรีว่าการกระทรวง หรือ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ รายรับรวมเดือนละ 115,740 บาท
    รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง รายรับรวมเดือนละ 113,560 บาท

    หมายเหตุ : ส.ส. ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีด้วย เมื่อได้รับเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งในฐานะรัฐมนตรีแล้ว ไม่มีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่ง ส.ส. อีก

    ...........................................................................

    คณะทำงานทางการเมือง
    คณะทำงานทางการเมืองจะประกอบด้วย ที่ปรึกษา นักวิชาการ และเลขานุการ เพื่อทำหน้าที่ตามความประสงค์ของปธ.สภาฯ, รอง ปธ.สภาฯ และผู้นำฝ่ายค้าน แล้วแต่กรณี โดยที่แต่ละตำแหน่งจะมีจำนวนบุคคลในคณะทำงานทางการเมืองแตกต่างกันออกไป ดังนี้

    ปธ.สภาฯ มีคณะทำงานทางการเมือง จำนวน 10 คน ประกอบด้วย
    ที่ปรึกษา 4 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 16,000 บาท
    นักวิชาการ 3 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 12,800 บาท
    เลขานุการ 3 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 9,600 บาท

    รอง ปธ.สภาฯ 1 คน มีคณะทำงานทางการเมือง จำนวน 7 คน ประกอบด้วย
    ที่ปรึกษา 3 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 16,000 บาท
    นักวิชาการ 2 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 12,800 บาท
    เลขานุการ 2 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 9,600 บาท

    ผู้นำฝ่ายค้าน มีคณะทำงานทางการเมือง จำนวน 10 คน ประกอบด้วย
    ที่ปรึกษา 4 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 16,000 บาท
    นักวิชาการ 4 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 12,800 บาท
    เลขานุการ 2 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 9,600 บาท

    ...........................................................................


    ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
    ส.ส. ซึ่งมีถิ่นที่อยู่นอกจังหวัดอันเป็นที่ตั้งรัฐสภา จะได้รับค่าพาหนะในการเดินทางจากจังหวัดอันเป็นถิ่นที่อยู่ มายังจังหวัดอันเป็นที่ตั้งรัฐสภา เฉพาะการเดินทางครั้งแรกเพื่อมาเข้ารับหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ และเมื่อสมาชิกภาพของ ส.ส. สิ้นสุดลง ให้ ส.ส. ซึ่งมีถิ่นที่อยู่นอกจังหวัดอันเป็นที่ตั้งรัฐสภา ได้รับค่าพาหนะในการเดินทางจากจังหวัดอันเป็นที่ตั้งรัฐสภากลับไปยังจังหวัดอันเป็นถิ่นที่อยู่เดิม โดยให้ได้รับสิทธิในอัตราเดียวกับข้าราชการ ผู้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการ ระดับกระทรวง
    จ่ายให้เมื่อเข้ารัฐสภาในวันแรกของการรับตำแหน่ง ส.ส.
    และจ่ายให้อีกครั้ง เมื่อสิ้นสุดสภาพความเป็น ส.ส.
    ซึ่งการเดินทางนั้นครอบคลุม รถไฟ รถยนต์ประจำทาง และเครื่องบิน โดยจะให้สำนักงานเลขาธิการสภาฯ จัดใบเบิกทางโดยสารตามจริงให้ และอนุญาตให้มีผู้ติดตามได้ 1 คน ในชั้นเดียวกัน


    เงินสวัสดิการรักษาพยาบาลของ ส.ส.
    พ.ร.ฎ.เงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของสมาชิกรัฐสภา พ.ศ.2550 กำหนดให้ ส.ส. ได้รับเงินสวัสดิการรักษาพยาบาลตามจำนวนที่จ่ายจริงและต้องไม่เกินอัตราที่กำหนด

    ผู้ป่วยใน
    ค่าห้องและค่าอาหาร (ไม่เกิน 31 วัน/ครั้ง) 4,000 บาท/วัน
    ค่าห้อง ICU/CCU (สูงสุดไม่เกิน 7 วัน/ครั้ง) 10,000 บาท/วัน
    ค่ารักษาพยาบาลทั่วไป 100,000 บาท/ครั้ง
    ค่ารถพยาบาล 1,000 บาท/ครั้ง
    ค่าแพทย์ผ่าตัด 120,000 บาท/ครั้ง
    ค่าแพทย์เยี่ยมไข้ (ไม่เกิน 31 วัน/ครั้ง) 1,000 บาท/วัน
    ค่าปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะโรค 4,000 บาท/ครั้ง
    การรักษาทันตกรรม 5,000 บาท/ปี
    การคลอดบุตร :
    คลอดธรรมชาติ 20,000 บาท
    คลอดโดยการผ่าตัด 40,000 บาท
    สวัสดิการอื่น ๆ

    ...........................................................................

    ผู้ป่วยนอก
    ค่ารักษาพยาบาลทั่วไป 90,000 บาท/ปี
    อุบัติเหตุฉุกเฉิน 20,000 บาท/ครั้ง
    การตรวจสุขภาพประจำปี 7,000 บาท/ปี
    เบี้ยประชุมกรรมาธิการ และอนุกรรมาธิการ
    ...........................................................................

    เบี้ยประชุมกรรมาธิการ
    ให้กรรมาธิการ ส.ส. ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายครั้งเฉพาะครั้งที่มาประชุม ในอัตราครั้งละ 1,500 บาท กรรมาธิการดังกล่าวให้ได้รับเบี้ยประชุมเพียงครั้งเดียวใน 1 วัน เว้นแต่ในกรณีที่กรรมาธิการนั้น มีการประชุมในคณะกรรมาธิการคณะอื่นด้วยในวันเดียวกัน ให้ได้รับเบี้ยประชุมในวันนั้นไม่เกิน 2 ครั้ง

    เบี้ยประชุมอนุกรรมาธิการ
    ให้อนุกรรมาธิการ ส.ส. ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายครั้งเฉพาะครั้งที่มาประชุม ในอัตราครั้งละ 800 บาท อนุกรรมาธิการดังกล่าวให้ได้รับเบี้ยประชุมเพียงครั้งเดียวใน 1 วัน เว้นแต่ในกรณีที่อนุกรรมาธิการนั้น มีการประชุมในคณะอนุกรรมาธิการคณะอื่นด้วยในวันเดียวกัน ให้ได้รับเบี้ยประชุมในวันนั้นไม่เกิน 2 ครั้ง

    ที่มา : สิทธิประโยชน์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2556

    ...........................................................................


    https://youtube.com/shorts/2qe_HnXNIOU?si=ZquKZfAl3RBSL_Wo



    ..จริงๆสส.สมควรมีแค่เงินเดือนก็พอนะ.ฤ ..ข้าราชการทั่วประเทศก็สมควรมีแค่เงินเดือนแค่นั้นเช่นกัน. ..การรักษาพยาบาลทั้งหมดต้องเข้าใช้สิทธิ30บาทรักษาทุกๆโรค ทุกๆที่เสมอกัน,ชัตดาวน์และปิดสวิตช์ไปเลยในสวัสดิการต่างๆสิ้นเปลืองมากเช่นเบี้ยนั้นเบี้ยนี้ เบี้ยประชุมสส.ซึ่งต้องประชุมนั้นมันเป็นหน้าที่อยู่แล้ว. ..สิทธิประโยชน์สส.ทั้งหมดจึงสมควรทำตนเองเป็นแบบอย่างที่ดีแก่คนข้าราชการทั่วไทยที่ฝ่ายนักการเมืองเองต้องบริหารคนข้าราชการในนามรัฐบาลอยู่แล้วด้วยจึงสมควรยุบทิ้งสิทธิประโยชน์เหล่านี้ให้หมด ทำตนเองมาหัดใช้แบบประชาชนตนที่ขันอาสาลงสมัครรับเลือกตั้งไปเป็นตัวแทนของประชาชนด้วย,ไปสร้างสมดุลที่เงินเดือนฝ่ายเดียวดีกว่า เช่น สส.คาดว่าใช้วันละ1,000ก็คงเพียงพอ 30วันก็30,000บาทต่อเดือนอาจคูณ3เท่าครอบคลุมค่าใช้จ่ายส่วนเกินอื่นๆที่จำเป็นและเลอะเทอะบ้างก็90,000บาทต่อเดือน,ตีให้เป็นตัวเลขกลมๆให้แก่เกียรติสส.ก็100,000บาทต่อคนต่อเดือนก็เพียงพอแล้ว,เลิกคนรับใช้ลูกน้องสส.ทั้งหมด .. #สวัสดิการของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ..ในระหว่างการดำรงตำแหน่ง ครอบคลุมถึงการรักษาพยาบาล การเดินทาง การศึกษาบุตร และเบี้ยประชุม โดย สส. สามารถเบิกค่าใช้จ่ายจริงตามอัตราที่กำหนดไว้ในด้านการรักษาพยาบาล การเดินทาง และมีผู้ช่วยในการทำงานพร้อมค่าตอบแทน นอกจากนี้ สส. ที่พ้นจากตำแหน่งแล้ว อาจได้รับเงินทุนเลี้ยงชีพรายเดือนตลอดชีวิตตามระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง และมีเงินช่วยเหลือกรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพ. นอกจากสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้รับเงินประจำตำแหน่งเดือนละ 71,230 บาท และได้รับเงินเพิ่มอีกเดือนละ 42,330 บาท รวมเป็นเดือนละ 113,560 บาท เมื่อ ส.ส. ต้องรับตำแหน่งทางการเมือง ทีมงาน: สส. สามารถแต่งตั้งทีมงานได้ 8 คน โดยมีผู้เชี่ยวชาญ 1 คน (เงินเดือน 24,000 บาท), ผู้ชำนาญการ 2 คน (เงินเดือน 15,000 บาท), และผู้ช่วยดำเนินงาน 5 คน (เงินเดือน 15,000 บาท). ค่าเดินทาง: เบิกค่าเดินทางไปประชุมรัฐสภาตามระยะทางและค่าพาหนะอื่นๆ เช่น รถไฟ, รถยนต์ประจำทาง, เครื่องบิน ได้ตามจริง. เบี้ยเลี้ยงและค่าที่พัก: ได้รับเบี้ยเลี้ยงสำหรับเดินทางไปราชการทั้งในและต่างประเทศ พร้อมเบิกค่าเช่าที่พักตามจริงหรืออัตราเหมาจ่าย. เบี้ยประชุม: ได้รับเบี้ยประชุมสำหรับการเข้าร่วมประชุมคณะกรรมาธิการและอนุกรรมาธิการ. สวัสดิการหลังพ้นจากตำแหน่ง เงินทุนเลี้ยงชีพ: ผู้ที่เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) อาจได้รับเงินทุนเลี้ยงชีพรายเดือนตลอดชีวิต ตามระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง. เงินช่วยเหลือ: กรณีถึงแก่กรรม จะได้รับเงินช่วยเหลือ 100,000 บาท และค่าพวงหรีด 1,000 บาท ส่วนกรณีทุพพลภาพ จะได้รับเงินช่วยเหลือเดือนละ 5,000 บาท ........................................................................... เป็น ส.ส.ได้เงินเดือน-สิทธิประโยชน์อะไรบ้าง การเมือง 20 มิ.ย. 66 หลัง กกต. ประกาศรับรอง ส.ส. ให้ทั้ง 500 คนเรียบร้อยแล้ว กำหนดการเปิดประชุมสภาฯ คาดการณ์จะมีขึ้นกลางเดือน ก.ค. และหลังจากนั้น ส.ส.แต่ละคนจะเริ่มปฏิบัติงานกันตามที่เคยหาเสียงไว้ เปิดรายได้ ส.ส. ได้เงินเดือนและสวัสดิการคุ้มค่ากับเสียงที่เลือกมาหรือไม่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้บัญญัติการจ่ายเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของสมาชิกรัฐสภา ดังนี้ เงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานและรองประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา ให้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีซึ่งต้องกำหนดให้จ่ายได้ไม่ก่อนวันเข้ารับหน้าที่ (มาตรา 196) ก่อนเข้ารับหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาต้องปฏิญาณตนในที่ประชุมแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิก (มาตรา 123) ต่อมาในปี 2555 ได้มีพระราชกฤษฎีกาเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของ ปธ.สภาฯ และ รอง ปธ.สภาฯ ปธ.วุฒิสภา และ รอง ปธ.วุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ ส.ส. ส.ว. และกรรมาธิการ พ.ศ. 2555 กำหนดให้ปธ.สภาฯ และ รอง ปธ.สภาฯ ปธ.วุฒิสภา และ รอง ปธ.วุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ ส.ส. ส.ว. ได้รับเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มเป็นรายเดือนนับแต่วันเข้ารับหน้าที่ ดังนี้ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้รับเงินประจำตำแหน่งเดือนละ 75,590 บาท และได้รับเงินเพิ่มอีกเดือนละ 50,000 บาท รวมเป็นเดือนละ 125,590 บาท รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้รับเงินประจำตำแหน่งเดือนละ 73,250 บาท และได้รับเงินเพิ่มอีกเดือนละ 42,500 บาท รวมเป็นเดือนละ 115,740 บาท ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ได้รับเงินประจำตำแหน่งเดือนละ 73,240 บาท และได้รับเงินเพิ่มอีกเดือนละ 42,500 บาท รวมเป็นเดือนละ 115,740 บาท สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้รับเงินประจำตำแหน่งเดือนละ 71,230 บาท และได้รับเงินเพิ่มอีกเดือนละ 42,330 บาท รวมเป็นเดือนละ 113,560 บาท เมื่อ ส.ส. ต้องรับตำแหน่งทางการเมือง ........................................................................... ตำแหน่งข้าราชการการเมืองที่สำคัญ นายกรัฐมนตรี รายรับรวมเดือนละ 125,590 บาท รองนายกรัฐมนตรี รายรับรวมเดือนละ 119,920 บาท รัฐมนตรีว่าการกระทรวง หรือ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ รายรับรวมเดือนละ 115,740 บาท รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง รายรับรวมเดือนละ 113,560 บาท หมายเหตุ : ส.ส. ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีด้วย เมื่อได้รับเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งในฐานะรัฐมนตรีแล้ว ไม่มีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่ง ส.ส. อีก ........................................................................... คณะทำงานทางการเมือง คณะทำงานทางการเมืองจะประกอบด้วย ที่ปรึกษา นักวิชาการ และเลขานุการ เพื่อทำหน้าที่ตามความประสงค์ของปธ.สภาฯ, รอง ปธ.สภาฯ และผู้นำฝ่ายค้าน แล้วแต่กรณี โดยที่แต่ละตำแหน่งจะมีจำนวนบุคคลในคณะทำงานทางการเมืองแตกต่างกันออกไป ดังนี้ ปธ.สภาฯ มีคณะทำงานทางการเมือง จำนวน 10 คน ประกอบด้วย ที่ปรึกษา 4 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 16,000 บาท นักวิชาการ 3 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 12,800 บาท เลขานุการ 3 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 9,600 บาท รอง ปธ.สภาฯ 1 คน มีคณะทำงานทางการเมือง จำนวน 7 คน ประกอบด้วย ที่ปรึกษา 3 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 16,000 บาท นักวิชาการ 2 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 12,800 บาท เลขานุการ 2 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 9,600 บาท ผู้นำฝ่ายค้าน มีคณะทำงานทางการเมือง จำนวน 10 คน ประกอบด้วย ที่ปรึกษา 4 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 16,000 บาท นักวิชาการ 4 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 12,800 บาท เลขานุการ 2 คน ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 9,600 บาท ........................................................................... ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ส.ส. ซึ่งมีถิ่นที่อยู่นอกจังหวัดอันเป็นที่ตั้งรัฐสภา จะได้รับค่าพาหนะในการเดินทางจากจังหวัดอันเป็นถิ่นที่อยู่ มายังจังหวัดอันเป็นที่ตั้งรัฐสภา เฉพาะการเดินทางครั้งแรกเพื่อมาเข้ารับหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ และเมื่อสมาชิกภาพของ ส.ส. สิ้นสุดลง ให้ ส.ส. ซึ่งมีถิ่นที่อยู่นอกจังหวัดอันเป็นที่ตั้งรัฐสภา ได้รับค่าพาหนะในการเดินทางจากจังหวัดอันเป็นที่ตั้งรัฐสภากลับไปยังจังหวัดอันเป็นถิ่นที่อยู่เดิม โดยให้ได้รับสิทธิในอัตราเดียวกับข้าราชการ ผู้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการ ระดับกระทรวง จ่ายให้เมื่อเข้ารัฐสภาในวันแรกของการรับตำแหน่ง ส.ส. และจ่ายให้อีกครั้ง เมื่อสิ้นสุดสภาพความเป็น ส.ส. ซึ่งการเดินทางนั้นครอบคลุม รถไฟ รถยนต์ประจำทาง และเครื่องบิน โดยจะให้สำนักงานเลขาธิการสภาฯ จัดใบเบิกทางโดยสารตามจริงให้ และอนุญาตให้มีผู้ติดตามได้ 1 คน ในชั้นเดียวกัน เงินสวัสดิการรักษาพยาบาลของ ส.ส. พ.ร.ฎ.เงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของสมาชิกรัฐสภา พ.ศ.2550 กำหนดให้ ส.ส. ได้รับเงินสวัสดิการรักษาพยาบาลตามจำนวนที่จ่ายจริงและต้องไม่เกินอัตราที่กำหนด ผู้ป่วยใน ค่าห้องและค่าอาหาร (ไม่เกิน 31 วัน/ครั้ง) 4,000 บาท/วัน ค่าห้อง ICU/CCU (สูงสุดไม่เกิน 7 วัน/ครั้ง) 10,000 บาท/วัน ค่ารักษาพยาบาลทั่วไป 100,000 บาท/ครั้ง ค่ารถพยาบาล 1,000 บาท/ครั้ง ค่าแพทย์ผ่าตัด 120,000 บาท/ครั้ง ค่าแพทย์เยี่ยมไข้ (ไม่เกิน 31 วัน/ครั้ง) 1,000 บาท/วัน ค่าปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะโรค 4,000 บาท/ครั้ง การรักษาทันตกรรม 5,000 บาท/ปี การคลอดบุตร : คลอดธรรมชาติ 20,000 บาท คลอดโดยการผ่าตัด 40,000 บาท สวัสดิการอื่น ๆ ........................................................................... ผู้ป่วยนอก ค่ารักษาพยาบาลทั่วไป 90,000 บาท/ปี อุบัติเหตุฉุกเฉิน 20,000 บาท/ครั้ง การตรวจสุขภาพประจำปี 7,000 บาท/ปี เบี้ยประชุมกรรมาธิการ และอนุกรรมาธิการ ........................................................................... เบี้ยประชุมกรรมาธิการ ให้กรรมาธิการ ส.ส. ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายครั้งเฉพาะครั้งที่มาประชุม ในอัตราครั้งละ 1,500 บาท กรรมาธิการดังกล่าวให้ได้รับเบี้ยประชุมเพียงครั้งเดียวใน 1 วัน เว้นแต่ในกรณีที่กรรมาธิการนั้น มีการประชุมในคณะกรรมาธิการคณะอื่นด้วยในวันเดียวกัน ให้ได้รับเบี้ยประชุมในวันนั้นไม่เกิน 2 ครั้ง เบี้ยประชุมอนุกรรมาธิการ ให้อนุกรรมาธิการ ส.ส. ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายครั้งเฉพาะครั้งที่มาประชุม ในอัตราครั้งละ 800 บาท อนุกรรมาธิการดังกล่าวให้ได้รับเบี้ยประชุมเพียงครั้งเดียวใน 1 วัน เว้นแต่ในกรณีที่อนุกรรมาธิการนั้น มีการประชุมในคณะอนุกรรมาธิการคณะอื่นด้วยในวันเดียวกัน ให้ได้รับเบี้ยประชุมในวันนั้นไม่เกิน 2 ครั้ง ที่มา : สิทธิประโยชน์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2556 ........................................................................... https://youtube.com/shorts/2qe_HnXNIOU?si=ZquKZfAl3RBSL_Wo
    0 Comments 0 Shares 178 Views 0 Reviews
  • “Aiode เปิดตัวแพลตฟอร์ม AI ดนตรีแบบจริยธรรม — สร้างเพลงร่วมกับนักดนตรีเสมือนที่ได้รับค่าตอบแทนจริง”

    ในยุคที่เพลงจาก AI กำลังท่วมแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง และปัญหาลิขสิทธิ์กลายเป็นประเด็นร้อน Aiode ได้เปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ที่พลิกแนวคิดการสร้างเพลงด้วย AI โดยเน้น “จริยธรรม” และ “ความร่วมมือกับมนุษย์” เป็นหัวใจหลัก

    Aiode เป็นแอปเดสก์ท็อปสำหรับนักดนตรีและโปรดิวเซอร์ ที่ให้ผู้ใช้สร้างเพลงร่วมกับ “นักดนตรีเสมือน” ซึ่งเป็นโมเดล AI ที่ถูกฝึกจากสไตล์ของนักดนตรีจริง โดยนักดนตรีเหล่านี้มีส่วนร่วมในการเลือกเครื่องดนตรี แนวเพลง และลักษณะการเล่นของโมเดล และที่สำคัญคือได้รับค่าตอบแทนทุกครั้งที่โมเดลของพวกเขาถูกใช้งาน

    ผู้ใช้สามารถเลือกนักดนตรีเสมือนที่ต้องการ แล้วให้พวกเขาเล่นท่อนโซโลหรือคอรัสใหม่ โดยไม่ต้องแก้ไขทั้งเพลง ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากการทดสอบแบบปิดก่อนเปิดตัวจริง นอกจากนี้ยังสามารถปรับแต่งสไตล์ การเล่น และโครงสร้างของเพลงได้อย่างละเอียด

    Aiode ยังเน้นความโปร่งใสในการฝึกโมเดล โดยใช้ข้อมูลที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น และมีระบบ “clean room” ที่แยกข้อมูลฝึกออกจากระบบอื่น เพื่อป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ พร้อมระบบจ่ายค่าลิขสิทธิ์กลับไปยังศิลปินต้นฉบับผ่านกลไก royalty pool

    แม้จะใช้เวลามากกว่าการพิมพ์ prompt แล้วรอเพลงจากแพลตฟอร์มอย่าง Suno หรือ Udio แต่ Aiode ให้ความสำคัญกับการควบคุมและความแม่นยำในการสร้างเพลงมากกว่า โดยเปรียบเสมือนการทำงานร่วมกับนักดนตรีจริงในสตูดิโอ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Aiode เปิดตัวแพลตฟอร์ม AI ดนตรีแบบเดสก์ท็อปสำหรับนักดนตรีและโปรดิวเซอร์
    ใช้ “นักดนตรีเสมือน” ที่ถูกฝึกจากสไตล์ของนักดนตรีจริง
    นักดนตรีต้นฉบับมีส่วนร่วมในการเลือกเครื่องดนตรีและแนวเพลงของโมเดล
    ได้รับค่าตอบแทนทุกครั้งที่โมเดลของพวกเขาถูกใช้งาน
    ผู้ใช้สามารถปรับแต่งท่อนเพลงเฉพาะ เช่น คอรัสหรือโซโล โดยไม่ต้องแก้ทั้งเพลง
    ใช้ระบบ clean room และข้อมูลที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นในการฝึกโมเดล
    มีระบบจ่ายค่าลิขสิทธิ์ผ่าน royalty pool กลับไปยังศิลปินต้นฉบับ
    เน้นการควบคุมและความแม่นยำมากกว่าการสร้างเพลงแบบ prompt-based
    เปิดตัวหลังจากทดสอบแบบปิดนานกว่า 1 ปี และได้รับเงินทุน $5.5M เพื่อขยายแพลตฟอร์ม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Suno และ Udio เป็นแพลตฟอร์ม AI ดนตรีที่เน้นการสร้างเพลงจากข้อความแบบรวดเร็ว
    ปัญหาลิขสิทธิ์ในวงการ AI ดนตรีกำลังทวีความรุนแรง โดยมีการฟ้องร้องหลายกรณี
    การฝึกโมเดลด้วยข้อมูลที่ได้รับอนุญาตช่วยลดความเสี่ยงด้านกฎหมาย
    นักดนตรีสามารถใช้ Aiode เพื่อเข้าใจสไตล์ของตัวเองผ่านโมเดลเสมือน
    การใช้ AI แบบจริยธรรมอาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในวงการสร้างสรรค์

    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/musicians-meet-your-ethical-ai-bandmates
    🎼 “Aiode เปิดตัวแพลตฟอร์ม AI ดนตรีแบบจริยธรรม — สร้างเพลงร่วมกับนักดนตรีเสมือนที่ได้รับค่าตอบแทนจริง” ในยุคที่เพลงจาก AI กำลังท่วมแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง และปัญหาลิขสิทธิ์กลายเป็นประเด็นร้อน Aiode ได้เปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ที่พลิกแนวคิดการสร้างเพลงด้วย AI โดยเน้น “จริยธรรม” และ “ความร่วมมือกับมนุษย์” เป็นหัวใจหลัก Aiode เป็นแอปเดสก์ท็อปสำหรับนักดนตรีและโปรดิวเซอร์ ที่ให้ผู้ใช้สร้างเพลงร่วมกับ “นักดนตรีเสมือน” ซึ่งเป็นโมเดล AI ที่ถูกฝึกจากสไตล์ของนักดนตรีจริง โดยนักดนตรีเหล่านี้มีส่วนร่วมในการเลือกเครื่องดนตรี แนวเพลง และลักษณะการเล่นของโมเดล และที่สำคัญคือได้รับค่าตอบแทนทุกครั้งที่โมเดลของพวกเขาถูกใช้งาน ผู้ใช้สามารถเลือกนักดนตรีเสมือนที่ต้องการ แล้วให้พวกเขาเล่นท่อนโซโลหรือคอรัสใหม่ โดยไม่ต้องแก้ไขทั้งเพลง ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากการทดสอบแบบปิดก่อนเปิดตัวจริง นอกจากนี้ยังสามารถปรับแต่งสไตล์ การเล่น และโครงสร้างของเพลงได้อย่างละเอียด Aiode ยังเน้นความโปร่งใสในการฝึกโมเดล โดยใช้ข้อมูลที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น และมีระบบ “clean room” ที่แยกข้อมูลฝึกออกจากระบบอื่น เพื่อป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ พร้อมระบบจ่ายค่าลิขสิทธิ์กลับไปยังศิลปินต้นฉบับผ่านกลไก royalty pool แม้จะใช้เวลามากกว่าการพิมพ์ prompt แล้วรอเพลงจากแพลตฟอร์มอย่าง Suno หรือ Udio แต่ Aiode ให้ความสำคัญกับการควบคุมและความแม่นยำในการสร้างเพลงมากกว่า โดยเปรียบเสมือนการทำงานร่วมกับนักดนตรีจริงในสตูดิโอ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Aiode เปิดตัวแพลตฟอร์ม AI ดนตรีแบบเดสก์ท็อปสำหรับนักดนตรีและโปรดิวเซอร์ ➡️ ใช้ “นักดนตรีเสมือน” ที่ถูกฝึกจากสไตล์ของนักดนตรีจริง ➡️ นักดนตรีต้นฉบับมีส่วนร่วมในการเลือกเครื่องดนตรีและแนวเพลงของโมเดล ➡️ ได้รับค่าตอบแทนทุกครั้งที่โมเดลของพวกเขาถูกใช้งาน ➡️ ผู้ใช้สามารถปรับแต่งท่อนเพลงเฉพาะ เช่น คอรัสหรือโซโล โดยไม่ต้องแก้ทั้งเพลง ➡️ ใช้ระบบ clean room และข้อมูลที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นในการฝึกโมเดล ➡️ มีระบบจ่ายค่าลิขสิทธิ์ผ่าน royalty pool กลับไปยังศิลปินต้นฉบับ ➡️ เน้นการควบคุมและความแม่นยำมากกว่าการสร้างเพลงแบบ prompt-based ➡️ เปิดตัวหลังจากทดสอบแบบปิดนานกว่า 1 ปี และได้รับเงินทุน $5.5M เพื่อขยายแพลตฟอร์ม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Suno และ Udio เป็นแพลตฟอร์ม AI ดนตรีที่เน้นการสร้างเพลงจากข้อความแบบรวดเร็ว ➡️ ปัญหาลิขสิทธิ์ในวงการ AI ดนตรีกำลังทวีความรุนแรง โดยมีการฟ้องร้องหลายกรณี ➡️ การฝึกโมเดลด้วยข้อมูลที่ได้รับอนุญาตช่วยลดความเสี่ยงด้านกฎหมาย ➡️ นักดนตรีสามารถใช้ Aiode เพื่อเข้าใจสไตล์ของตัวเองผ่านโมเดลเสมือน ➡️ การใช้ AI แบบจริยธรรมอาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในวงการสร้างสรรค์ https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/musicians-meet-your-ethical-ai-bandmates
    WWW.TECHRADAR.COM
    New AI music platform Aiode pays artists for the digital clones collaborating on new songs.
    Aiode's AI-powered music studio pays the people inspiring its virtual session players
    0 Comments 0 Shares 145 Views 0 Reviews
  • “Microsoft เปิดตลาดซื้อขายคอนเทนต์ AI กับสื่อมวลชน — เปลี่ยนโมเดลจากการดึงฟรี สู่การจ่ายจริงเพื่อความยั่งยืน”

    ในยุคที่ AI ถูกวิจารณ์อย่างหนักเรื่องการนำเนื้อหาจากเว็บไซต์และสื่อมวลชนไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต Microsoft ประกาศเปิดตัวโครงการนำร่องใหม่ที่พลิกแนวทางเดิมอย่างสิ้นเชิง โดยจะจ่ายเงินให้กับผู้ผลิตเนื้อหาเพื่อแลกกับสิทธิ์ในการนำข้อมูลไปใช้ฝึกโมเดล AI และตอบคำถามผ่าน Copilot

    โครงการนี้จะเริ่มจากการเจรจากับสื่อในสหรัฐฯ เพื่อสร้าง “ตลาดสองฝั่ง” ที่ผู้ผลิตเนื้อหาสามารถขายสิทธิ์การใช้งานให้กับ Microsoft ได้โดยตรง โดย Copilot จะเป็นผู้ซื้อรายแรกในระบบนี้ ซึ่ง Microsoft มองว่าเป็นก้าวแรกสู่โมเดลธุรกิจ AI ที่ยั่งยืนและเป็นธรรม

    Microsoft ระบุว่า AI ไม่สามารถให้คำตอบที่แม่นยำและมีคุณภาพได้ หากไม่มีเนื้อหาต้นฉบับจากผู้ผลิตข่าวสาร และย้ำว่า “คุณสมควรได้รับค่าตอบแทนตามคุณภาพของทรัพย์สินทางปัญญา” พร้อมประกาศว่าจะร่วมพัฒนาเครื่องมือ นโยบาย และโมเดลราคาใหม่สำหรับการซื้อขายเนื้อหาในระบบ PCM (Publisher Content Monetization)

    แม้ยังไม่มีไทม์ไลน์เปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่ Microsoft ได้เริ่มทดลองภายในกับพันธมิตรบางราย และมีแผนขยายไปยังผลิตภัณฑ์ AI อื่น ๆ ในอนาคต โดยแนวทางนี้แตกต่างจากคู่แข่งอย่าง Google ที่ยังไม่มีข้อตกลงจ่ายเงินให้กับผู้ผลิตเนื้อหา แม้จะใช้ข้อมูลจากเว็บไซต์ในการสร้าง AI Overviews ซึ่งส่งผลให้หลายสื่อสูญเสียทราฟฟิกและรายได้โฆษณาอย่างหนัก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Microsoft เปิดโครงการนำร่องจ่ายเงินให้ผู้ผลิตเนื้อหาเพื่อใช้ใน AI
    เริ่มจากการเจรจากับสื่อในสหรัฐฯ เพื่อสร้างตลาดสองฝั่งระหว่างผู้ผลิตและผู้ใช้ AI
    Copilot จะเป็นผู้ซื้อรายแรกในระบบ Publisher Content Marketplace
    Microsoft จะร่วมพัฒนาเครื่องมือ นโยบาย และโมเดลราคาสำหรับ PCM
    เน้นความยั่งยืนของระบบ AI โดยให้ค่าตอบแทนแก่ผู้ผลิตเนื้อหา
    ยังไม่มีไทม์ไลน์เปิดตัว แต่เริ่มทดลองกับพันธมิตรบางรายแล้ว
    มีแผนขยายไปยังผลิตภัณฑ์ AI อื่น ๆ ของ Microsoft ในอนาคต

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Cloudflare กำลังพัฒนาเครื่องมือให้เว็บไซต์บล็อก AI scrapers และเสนอโมเดลการจ่ายเงินเช่นกัน
    Google ยังไม่มีข้อตกลงจ่ายเงินให้สื่อ แต่ใช้เนื้อหาในการสร้าง AI Overviews
    สื่อหลายแห่งฟ้อง Google ฐานละเมิดลิขสิทธิ์และทำให้ทราฟฟิกลดลง
    การสร้างตลาดคอนเทนต์ AI อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรม
    Microsoft เคยเซ็นสัญญากับบางสื่อเพื่อเข้าถึงเนื้อหาอย่างถูกต้องมาแล้ว

    https://securityonline.info/microsoft-to-pay-publishers-for-ai-content-in-new-pilot-program/
    📰 “Microsoft เปิดตลาดซื้อขายคอนเทนต์ AI กับสื่อมวลชน — เปลี่ยนโมเดลจากการดึงฟรี สู่การจ่ายจริงเพื่อความยั่งยืน” ในยุคที่ AI ถูกวิจารณ์อย่างหนักเรื่องการนำเนื้อหาจากเว็บไซต์และสื่อมวลชนไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต Microsoft ประกาศเปิดตัวโครงการนำร่องใหม่ที่พลิกแนวทางเดิมอย่างสิ้นเชิง โดยจะจ่ายเงินให้กับผู้ผลิตเนื้อหาเพื่อแลกกับสิทธิ์ในการนำข้อมูลไปใช้ฝึกโมเดล AI และตอบคำถามผ่าน Copilot โครงการนี้จะเริ่มจากการเจรจากับสื่อในสหรัฐฯ เพื่อสร้าง “ตลาดสองฝั่ง” ที่ผู้ผลิตเนื้อหาสามารถขายสิทธิ์การใช้งานให้กับ Microsoft ได้โดยตรง โดย Copilot จะเป็นผู้ซื้อรายแรกในระบบนี้ ซึ่ง Microsoft มองว่าเป็นก้าวแรกสู่โมเดลธุรกิจ AI ที่ยั่งยืนและเป็นธรรม Microsoft ระบุว่า AI ไม่สามารถให้คำตอบที่แม่นยำและมีคุณภาพได้ หากไม่มีเนื้อหาต้นฉบับจากผู้ผลิตข่าวสาร และย้ำว่า “คุณสมควรได้รับค่าตอบแทนตามคุณภาพของทรัพย์สินทางปัญญา” พร้อมประกาศว่าจะร่วมพัฒนาเครื่องมือ นโยบาย และโมเดลราคาใหม่สำหรับการซื้อขายเนื้อหาในระบบ PCM (Publisher Content Monetization) แม้ยังไม่มีไทม์ไลน์เปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่ Microsoft ได้เริ่มทดลองภายในกับพันธมิตรบางราย และมีแผนขยายไปยังผลิตภัณฑ์ AI อื่น ๆ ในอนาคต โดยแนวทางนี้แตกต่างจากคู่แข่งอย่าง Google ที่ยังไม่มีข้อตกลงจ่ายเงินให้กับผู้ผลิตเนื้อหา แม้จะใช้ข้อมูลจากเว็บไซต์ในการสร้าง AI Overviews ซึ่งส่งผลให้หลายสื่อสูญเสียทราฟฟิกและรายได้โฆษณาอย่างหนัก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Microsoft เปิดโครงการนำร่องจ่ายเงินให้ผู้ผลิตเนื้อหาเพื่อใช้ใน AI ➡️ เริ่มจากการเจรจากับสื่อในสหรัฐฯ เพื่อสร้างตลาดสองฝั่งระหว่างผู้ผลิตและผู้ใช้ AI ➡️ Copilot จะเป็นผู้ซื้อรายแรกในระบบ Publisher Content Marketplace ➡️ Microsoft จะร่วมพัฒนาเครื่องมือ นโยบาย และโมเดลราคาสำหรับ PCM ➡️ เน้นความยั่งยืนของระบบ AI โดยให้ค่าตอบแทนแก่ผู้ผลิตเนื้อหา ➡️ ยังไม่มีไทม์ไลน์เปิดตัว แต่เริ่มทดลองกับพันธมิตรบางรายแล้ว ➡️ มีแผนขยายไปยังผลิตภัณฑ์ AI อื่น ๆ ของ Microsoft ในอนาคต ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Cloudflare กำลังพัฒนาเครื่องมือให้เว็บไซต์บล็อก AI scrapers และเสนอโมเดลการจ่ายเงินเช่นกัน ➡️ Google ยังไม่มีข้อตกลงจ่ายเงินให้สื่อ แต่ใช้เนื้อหาในการสร้าง AI Overviews ➡️ สื่อหลายแห่งฟ้อง Google ฐานละเมิดลิขสิทธิ์และทำให้ทราฟฟิกลดลง ➡️ การสร้างตลาดคอนเทนต์ AI อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรม ➡️ Microsoft เคยเซ็นสัญญากับบางสื่อเพื่อเข้าถึงเนื้อหาอย่างถูกต้องมาแล้ว https://securityonline.info/microsoft-to-pay-publishers-for-ai-content-in-new-pilot-program/
    SECURITYONLINE.INFO
    Microsoft to Pay Publishers for AI Content in New Pilot Program
    Microsoft is reportedly building a pilot program to pay publishers when their content is used by its AI, signaling a new path for content monetization.
    0 Comments 0 Shares 153 Views 0 Reviews
  • “Google ปลดพนักงาน AI กว่า 200 คน — เบื้องหลังไม่ใช่แค่ ‘ลดโปรเจกต์’ แต่คือความไม่มั่นคงและแรงต้านจากแรงงาน”

    กลางเดือนสิงหาคม 2025 Google ได้ปลดพนักงานสัญญาจ้างกว่า 200 คนที่ทำงานเกี่ยวกับโครงการ AI เช่น Gemini และ AI Overviews โดยอ้างว่าเป็นการ “ลดขนาดโปรเจกต์” แต่เสียงจากคนทำงานกลับสะท้อนอีกด้าน—ว่าการปลดครั้งนี้เกี่ยวข้องกับการเรียกร้องค่าตอบแทนที่เป็นธรรม และความพยายามรวมตัวเพื่อสร้างสหภาพแรงงาน

    พนักงานเหล่านี้ส่วนใหญ่ทำงานผ่านบริษัท GlobalLogic ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Hitachi โดยมีหน้าที่เป็น “super raters” คือผู้ตรวจสอบและปรับแต่งคำตอบที่สร้างโดย AI ให้มีความถูกต้องและเป็นธรรมชาติ หลายคนมีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาโทหรือเอก และทำงานในสาขาวิชาชีพ เช่น การศึกษา การเขียน และการวิจัย

    แม้จะมีความเชี่ยวชาญสูง แต่พวกเขากลับได้รับค่าตอบแทนต่ำ โดยผู้ที่จ้างตรงจาก GlobalLogic ได้รับ $28–$32 ต่อชั่วโมง ขณะที่ผู้รับเหมาผ่านบริษัทตัวกลางได้เพียง $18–$22 ต่อชั่วโมงสำหรับงานเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีการห้ามทำงานจากระยะไกล และจำกัดการเข้าถึงช่องทางสื่อสารภายในที่ใช้พูดคุยเรื่องความเหลื่อมล้ำ

    หลายคนเชื่อว่าการปลดครั้งนี้เป็นการตอบโต้ต่อความพยายามรวมตัวเป็นสหภาพแรงงาน โดยมีผู้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการแรงงานแห่งชาติของสหรัฐฯ (NLRB) แล้วอย่างน้อยสองราย และมีรายงานว่า GlobalLogic กำลังพัฒนา AI ที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ในด้านการให้คะแนนคำตอบ ซึ่งทำให้พนักงานรู้สึกว่าตนเองกำลัง “ฝึก AI เพื่อมาแทนที่ตัวเอง”

    เหตุการณ์นี้สะท้อนภาพรวมของอุตสาหกรรม AI ที่แม้จะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่กลับมีความไม่มั่นคงในระดับแรงงาน โดยเฉพาะในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการจัดการข้อมูล เช่น การจัดหมวดหมู่ การให้คะแนน และการตรวจสอบคำตอบ ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นงานระดับล่าง ทั้งที่มีบทบาทสำคัญต่อคุณภาพของระบบ AI

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/google-terminates-200-ai-contractors-ramp-down-blamed-but-workers-claim-questions-over-pay-and-job-insecurity-are-the-real-reason-behind-layoffs
    🧠 “Google ปลดพนักงาน AI กว่า 200 คน — เบื้องหลังไม่ใช่แค่ ‘ลดโปรเจกต์’ แต่คือความไม่มั่นคงและแรงต้านจากแรงงาน” กลางเดือนสิงหาคม 2025 Google ได้ปลดพนักงานสัญญาจ้างกว่า 200 คนที่ทำงานเกี่ยวกับโครงการ AI เช่น Gemini และ AI Overviews โดยอ้างว่าเป็นการ “ลดขนาดโปรเจกต์” แต่เสียงจากคนทำงานกลับสะท้อนอีกด้าน—ว่าการปลดครั้งนี้เกี่ยวข้องกับการเรียกร้องค่าตอบแทนที่เป็นธรรม และความพยายามรวมตัวเพื่อสร้างสหภาพแรงงาน พนักงานเหล่านี้ส่วนใหญ่ทำงานผ่านบริษัท GlobalLogic ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Hitachi โดยมีหน้าที่เป็น “super raters” คือผู้ตรวจสอบและปรับแต่งคำตอบที่สร้างโดย AI ให้มีความถูกต้องและเป็นธรรมชาติ หลายคนมีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาโทหรือเอก และทำงานในสาขาวิชาชีพ เช่น การศึกษา การเขียน และการวิจัย แม้จะมีความเชี่ยวชาญสูง แต่พวกเขากลับได้รับค่าตอบแทนต่ำ โดยผู้ที่จ้างตรงจาก GlobalLogic ได้รับ $28–$32 ต่อชั่วโมง ขณะที่ผู้รับเหมาผ่านบริษัทตัวกลางได้เพียง $18–$22 ต่อชั่วโมงสำหรับงานเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีการห้ามทำงานจากระยะไกล และจำกัดการเข้าถึงช่องทางสื่อสารภายในที่ใช้พูดคุยเรื่องความเหลื่อมล้ำ หลายคนเชื่อว่าการปลดครั้งนี้เป็นการตอบโต้ต่อความพยายามรวมตัวเป็นสหภาพแรงงาน โดยมีผู้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการแรงงานแห่งชาติของสหรัฐฯ (NLRB) แล้วอย่างน้อยสองราย และมีรายงานว่า GlobalLogic กำลังพัฒนา AI ที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ในด้านการให้คะแนนคำตอบ ซึ่งทำให้พนักงานรู้สึกว่าตนเองกำลัง “ฝึก AI เพื่อมาแทนที่ตัวเอง” เหตุการณ์นี้สะท้อนภาพรวมของอุตสาหกรรม AI ที่แม้จะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่กลับมีความไม่มั่นคงในระดับแรงงาน โดยเฉพาะในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการจัดการข้อมูล เช่น การจัดหมวดหมู่ การให้คะแนน และการตรวจสอบคำตอบ ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นงานระดับล่าง ทั้งที่มีบทบาทสำคัญต่อคุณภาพของระบบ AI https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/google-terminates-200-ai-contractors-ramp-down-blamed-but-workers-claim-questions-over-pay-and-job-insecurity-are-the-real-reason-behind-layoffs
    0 Comments 0 Shares 258 Views 0 Reviews
  • “นิวเม็กซิโกประกาศใช้ ‘Universal Child Care’ เป็นรัฐแรกในสหรัฐฯ — ดูแลเด็กทุกคนฟรี ไม่จำกัดรายได้!”

    ลองจินตนาการว่าคุณเป็นพ่อแม่ในรัฐนิวเม็กซิโก ที่ต้องจ่ายค่าเนอร์สเซอรี่หรือศูนย์ดูแลเด็กเดือนละหลายร้อยดอลลาร์ — แล้ววันหนึ่งรัฐประกาศว่า “ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายนนี้ ทุกครอบครัวจะได้รับสิทธิ์ดูแลเด็กฟรี โดยไม่ต้องสนใจรายได้” นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปี 2025 และถือเป็นก้าวประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา

    ผู้ว่าการรัฐ Michelle Lujan Grisham ร่วมกับกรมการศึกษาปฐมวัยของรัฐ (ECECD) ประกาศว่า นิวเม็กซิโกจะเป็นรัฐแรกที่ให้บริการดูแลเด็กแบบ “ฟรีถ้วนหน้า” โดยยกเลิกข้อกำหนดด้านรายได้ และยังคงยกเว้นค่า copay สำหรับครอบครัวทั้งหมด

    นโยบายนี้ต่อยอดจากความพยายามตั้งแต่ปี 2019 ที่รัฐเริ่มขยายสิทธิ์ให้ครอบครัวที่มีรายได้ไม่เกิน 400% ของระดับความยากจนของรัฐบาลกลาง และตอนนี้จะครอบคลุมทุกครอบครัวโดยไม่จำกัดรายได้ — คิดเป็นการประหยัดเฉลี่ยปีละ $12,000 ต่อเด็กหนึ่งคน

    นอกจากการให้สิทธิ์ฟรี รัฐยังลงทุนเพิ่มในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น กองทุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ $12.7 ล้าน เพื่อสร้างและปรับปรุงศูนย์ดูแลเด็ก และขอเพิ่มงบอีก $20 ล้านในปีงบประมาณ 2027 พร้อมทั้งเพิ่มค่าตอบแทนให้ผู้ดูแลเด็ก โดยกำหนดขั้นต่ำ $18 ต่อชั่วโมง และให้สิทธิพิเศษกับศูนย์ที่เปิดบริการ 10 ชั่วโมงต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์

    เป้าหมายคือการเพิ่มจำนวนบุคลากรอีก 5,000 คนทั่วรัฐ เพื่อรองรับระบบถ้วนหน้าอย่างเต็มรูปแบบ และสร้างระบบที่ยั่งยืนสำหรับเด็กเล็ก ครอบครัว และเศรษฐกิจของรัฐในระยะยาว

    การประกาศใช้นโยบาย Universal Child Care
    เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2025
    ยกเลิกข้อกำหนดด้านรายได้ในการรับสิทธิ์
    ยังคงยกเว้นค่า copay สำหรับทุกครอบครัว
    ประหยัดเฉลี่ย $12,000 ต่อเด็กหนึ่งคนต่อปี

    การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน
    กองทุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ $12.7 ล้านสำหรับสร้างและปรับปรุงศูนย์ดูแลเด็ก
    ขอเพิ่มงบอีก $20 ล้านในปีงบประมาณ 2027
    เน้นการขยายบริการสำหรับเด็กเล็ก, ครอบครัวยากจน และเด็กพิเศษ

    การสนับสนุนผู้ให้บริการ
    เพิ่มอัตราการจ่ายให้สะท้อนต้นทุนจริง
    ศูนย์ที่จ่ายขั้นต่ำ $18/ชม. และเปิดบริการ 10 ชม./วัน จะได้รับอัตราส่งเสริม
    เปิดแคมเปญทั่วรัฐเพื่อรับสมัครผู้ให้บริการแบบบ้าน (home providers)

    ผลกระทบต่อครอบครัวและเศรษฐกิจ
    ครอบครัวมีเสถียรภาพทางการเงินมากขึ้น
    มีเวลามากขึ้นในการดูแลลูกและเลือกศูนย์ที่มีคุณภาพ
    ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในตลาดแรงงาน
    สร้างผลลัพธ์ที่ดีในด้านสุขภาพ การเรียนรู้ และความเป็นอยู่ของเด็ก

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Save the Children Action Network ยกย่องนโยบายนี้ว่าเป็นต้นแบบระดับชาติ
    นโยบายนี้ต่อยอดจากการตั้งกองทุน Early Childhood Trust Fund และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
    นักวิชาการชี้ว่าเป็นการลงทุนที่สร้างความเท่าเทียมและความมั่นคงในระยะยาว
    นิวเม็กซิโกเคยเป็นผู้นำด้าน universal preschool และการปรับค่าจ้างครูเด็กเล็ก

    https://www.governor.state.nm.us/2025/09/08/new-mexico-is-first-state-in-nation-to-offer-universal-child-care/
    👶 “นิวเม็กซิโกประกาศใช้ ‘Universal Child Care’ เป็นรัฐแรกในสหรัฐฯ — ดูแลเด็กทุกคนฟรี ไม่จำกัดรายได้!” ลองจินตนาการว่าคุณเป็นพ่อแม่ในรัฐนิวเม็กซิโก ที่ต้องจ่ายค่าเนอร์สเซอรี่หรือศูนย์ดูแลเด็กเดือนละหลายร้อยดอลลาร์ — แล้ววันหนึ่งรัฐประกาศว่า “ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายนนี้ ทุกครอบครัวจะได้รับสิทธิ์ดูแลเด็กฟรี โดยไม่ต้องสนใจรายได้” นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปี 2025 และถือเป็นก้าวประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา ผู้ว่าการรัฐ Michelle Lujan Grisham ร่วมกับกรมการศึกษาปฐมวัยของรัฐ (ECECD) ประกาศว่า นิวเม็กซิโกจะเป็นรัฐแรกที่ให้บริการดูแลเด็กแบบ “ฟรีถ้วนหน้า” โดยยกเลิกข้อกำหนดด้านรายได้ และยังคงยกเว้นค่า copay สำหรับครอบครัวทั้งหมด นโยบายนี้ต่อยอดจากความพยายามตั้งแต่ปี 2019 ที่รัฐเริ่มขยายสิทธิ์ให้ครอบครัวที่มีรายได้ไม่เกิน 400% ของระดับความยากจนของรัฐบาลกลาง และตอนนี้จะครอบคลุมทุกครอบครัวโดยไม่จำกัดรายได้ — คิดเป็นการประหยัดเฉลี่ยปีละ $12,000 ต่อเด็กหนึ่งคน นอกจากการให้สิทธิ์ฟรี รัฐยังลงทุนเพิ่มในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น กองทุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ $12.7 ล้าน เพื่อสร้างและปรับปรุงศูนย์ดูแลเด็ก และขอเพิ่มงบอีก $20 ล้านในปีงบประมาณ 2027 พร้อมทั้งเพิ่มค่าตอบแทนให้ผู้ดูแลเด็ก โดยกำหนดขั้นต่ำ $18 ต่อชั่วโมง และให้สิทธิพิเศษกับศูนย์ที่เปิดบริการ 10 ชั่วโมงต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์ เป้าหมายคือการเพิ่มจำนวนบุคลากรอีก 5,000 คนทั่วรัฐ เพื่อรองรับระบบถ้วนหน้าอย่างเต็มรูปแบบ และสร้างระบบที่ยั่งยืนสำหรับเด็กเล็ก ครอบครัว และเศรษฐกิจของรัฐในระยะยาว ✅ การประกาศใช้นโยบาย Universal Child Care ➡️ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2025 ➡️ ยกเลิกข้อกำหนดด้านรายได้ในการรับสิทธิ์ ➡️ ยังคงยกเว้นค่า copay สำหรับทุกครอบครัว ➡️ ประหยัดเฉลี่ย $12,000 ต่อเด็กหนึ่งคนต่อปี ✅ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ กองทุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ $12.7 ล้านสำหรับสร้างและปรับปรุงศูนย์ดูแลเด็ก ➡️ ขอเพิ่มงบอีก $20 ล้านในปีงบประมาณ 2027 ➡️ เน้นการขยายบริการสำหรับเด็กเล็ก, ครอบครัวยากจน และเด็กพิเศษ ✅ การสนับสนุนผู้ให้บริการ ➡️ เพิ่มอัตราการจ่ายให้สะท้อนต้นทุนจริง ➡️ ศูนย์ที่จ่ายขั้นต่ำ $18/ชม. และเปิดบริการ 10 ชม./วัน จะได้รับอัตราส่งเสริม ➡️ เปิดแคมเปญทั่วรัฐเพื่อรับสมัครผู้ให้บริการแบบบ้าน (home providers) ✅ ผลกระทบต่อครอบครัวและเศรษฐกิจ ➡️ ครอบครัวมีเสถียรภาพทางการเงินมากขึ้น ➡️ มีเวลามากขึ้นในการดูแลลูกและเลือกศูนย์ที่มีคุณภาพ ➡️ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในตลาดแรงงาน ➡️ สร้างผลลัพธ์ที่ดีในด้านสุขภาพ การเรียนรู้ และความเป็นอยู่ของเด็ก ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Save the Children Action Network ยกย่องนโยบายนี้ว่าเป็นต้นแบบระดับชาติ ➡️ นโยบายนี้ต่อยอดจากการตั้งกองทุน Early Childhood Trust Fund และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ➡️ นักวิชาการชี้ว่าเป็นการลงทุนที่สร้างความเท่าเทียมและความมั่นคงในระยะยาว ➡️ นิวเม็กซิโกเคยเป็นผู้นำด้าน universal preschool และการปรับค่าจ้างครูเด็กเล็ก https://www.governor.state.nm.us/2025/09/08/new-mexico-is-first-state-in-nation-to-offer-universal-child-care/
    WWW.GOVERNOR.STATE.NM.US
    New Mexico is first state in nation to offer universal child care - Office of the Governor - Michelle Lujan Grisham
    [et_pb_section fb_built=”1″ fullwidth=”on” _builder_version=”3.19.5″ background_image=”https://www.governor.state.nm.us/wp-content/uploads/2018/12/press-release.jpg” global_module=”236″ saved_tabs=”all” locked=”off” global_colors_info=”{}” theme_builder_area=”post_content”][et_pb_fullwidth_header title=”PRESS RELEASES” _builder_version=”4.16″ title_font=”|||on|||||” title_font_size=”50px” use_background_color_gradient=”on” background_color_gradient_direction=”90deg” background_color_gradient_stops=”#141a3d 16%|rgba(20,26,61,0) 100%” background_color_gradient_overlays_image=”on” background_color_gradient_start=”#141a3d” background_color_gradient_start_position=”16%” background_color_gradient_end=”rgba(20,26,61,0)” background_image=”https://www.governor.state.nm.us/wp-content/uploads/2018/12/press-release.jpg” custom_margin=”|0px||0px||true” custom_padding=”|0px||0px||true” global_colors_info=”{}” theme_builder_area=”post_content”][/et_pb_fullwidth_header][/et_pb_section][et_pb_section fb_built=”1″ _builder_version=”4.17.4″ width=”100%” custom_margin=”0px|0px|0px|0px|true|true” custom_padding=”0px|0px|0px|0px|true|true” global_module=”200″ locked=”on” global_colors_info=”{}” theme_builder_area=”post_content”][et_pb_row use_custom_gutter=”on” gutter_width=”1″ module_class=” et_pb_row_fullwidth” _builder_version=”4.16″ width=”100%” width_tablet=”100%” width_phone=”” width_last_edited=”on|desktop” max_width=”100%” max_width_tablet=”100%” max_width_phone=”” max_width_last_edited=”on|desktop” custom_margin=”0px|0px|0px|0px|true|true” custom_padding=”0px||0px|0px” make_fullwidth=”on” locked=”on” […]
    0 Comments 0 Shares 301 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากคำสัญญาสู่คำจำกัดความใหม่: เมื่อ Tesla เปลี่ยนความหมายของ FSD และยอมรับว่า “ขับเองจริง” ยังมาไม่ถึง

    ย้อนกลับไปปี 2016 Tesla เคยประกาศว่า รถทุกคันที่ผลิตจะสามารถอัปเดตซอฟต์แวร์เพื่อให้ขับเองได้โดยไม่ต้องมีคนควบคุม และตั้งแต่ปี 2018 Elon Musk ก็พูดซ้ำทุกปีว่า “ภายในสิ้นปีนี้” ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติจะพร้อมใช้งานจริง

    Tesla ยังขายแพ็กเกจ “Full Self-Driving Capability” (FSD) ให้ลูกค้าราคา $15,000 พร้อมคำสัญญาว่าจะอัปเดตให้รถขับเองได้ในอนาคต แต่ในปี 2025 Tesla ยอมรับแล้วว่า รถที่ผลิตระหว่างปี 2016–2023 ไม่มีฮาร์ดแวร์ที่รองรับการขับเองโดยสมบูรณ์ และไม่มีแผนชัดเจนในการอัปเกรด

    ล่าสุด Tesla ได้เปลี่ยนชื่อแพ็กเกจเป็น “Full Self-Driving (Supervised)” พร้อมระบุในเงื่อนไขว่า “ไม่ใช่ระบบอัตโนมัติ” และ “ไม่รับประกันว่าจะเป็นฟีเจอร์ในอนาคต” ซึ่งหมายความว่าผู้ซื้อ FSD วันนี้ไม่ได้ซื้อความสามารถขับเองแบบที่เคยสัญญาไว้

    ที่น่าจับตามองคือ Tesla ยังใช้คำว่า FSD ในแผนการจ่ายค่าตอบแทนให้ Elon Musk ซึ่งอาจมีมูลค่าสูงถึง $1 ล้านล้านดอลลาร์ หากบรรลุเป้าหมาย เช่น มีผู้สมัครใช้งาน FSD ถึง 10 ล้านราย แต่ในเอกสารนั้น Tesla ได้เปลี่ยนคำจำกัดความของ FSD ให้คลุมเครือว่า “เป็นระบบช่วยขับที่สามารถทำงานคล้ายอัตโนมัติในบางสถานการณ์”

    นั่นหมายความว่า แม้ระบบจะยังต้องมีคนจับพวงมาลัยตลอดเวลา ก็ยังถือว่า “บรรลุเป้าหมาย” ได้ตามนิยามใหม่ และ Musk ก็อาจได้รับหุ้นมูลค่ามหาศาลจากการเปลี่ยนคำจำกัดความนี้

    การเปลี่ยนแปลงของคำว่า FSD
    เดิมหมายถึงระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบโดยไม่ต้องมีคนควบคุม
    ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น “Full Self-Driving (Supervised)” ที่ยังต้องมีคนจับพวงมาลัย
    Tesla ระบุชัดว่าไม่ใช่ระบบอัตโนมัติ และไม่รับประกันว่าจะเป็นฟีเจอร์ในอนาคต

    ผลกระทบต่อผู้ซื้อ FSD
    รถที่ผลิตระหว่างปี 2016–2023 ไม่มีฮาร์ดแวร์ที่รองรับการขับเอง
    ไม่มีแผนชัดเจนในการอัปเกรดฮาร์ดแวร์ให้กับรถรุ่นเก่า
    ผู้ซื้อ FSD วันนี้ไม่ได้รับคำสัญญาแบบเดียวกับผู้ซื้อในอดีต

    แผนค่าตอบแทนของ Elon Musk
    Tesla เสนอแพ็กเกจค่าตอบแทนสูงสุด $1 ล้านล้านดอลลาร์
    หนึ่งในเป้าหมายคือมีผู้ใช้งาน FSD ถึง 10 ล้านราย
    คำจำกัดความของ FSD ในเอกสารถูกเปลี่ยนให้คลุมเครือ

    ความแตกต่างระหว่างการตลาดกับเอกสารทางกฎหมาย
    Tesla ใช้คำว่า “ขับเองได้” ในการขาย แต่ใช้คำว่า “ช่วยขับ” ในเอกสาร
    ระบบที่ยังต้องมีคนควบคุมก็ถือว่า “บรรลุเป้าหมาย” ได้ตามนิยามใหม่
    อาจนำไปสู่การจ่ายหุ้นให้ Musk แม้ระบบยังไม่ขับเองจริง

    https://electrek.co/2025/09/05/tesla-changes-meaning-full-self-driving-give-up-promise-autonomy/
    🎙️ เรื่องเล่าจากคำสัญญาสู่คำจำกัดความใหม่: เมื่อ Tesla เปลี่ยนความหมายของ FSD และยอมรับว่า “ขับเองจริง” ยังมาไม่ถึง ย้อนกลับไปปี 2016 Tesla เคยประกาศว่า รถทุกคันที่ผลิตจะสามารถอัปเดตซอฟต์แวร์เพื่อให้ขับเองได้โดยไม่ต้องมีคนควบคุม และตั้งแต่ปี 2018 Elon Musk ก็พูดซ้ำทุกปีว่า “ภายในสิ้นปีนี้” ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติจะพร้อมใช้งานจริง Tesla ยังขายแพ็กเกจ “Full Self-Driving Capability” (FSD) ให้ลูกค้าราคา $15,000 พร้อมคำสัญญาว่าจะอัปเดตให้รถขับเองได้ในอนาคต แต่ในปี 2025 Tesla ยอมรับแล้วว่า รถที่ผลิตระหว่างปี 2016–2023 ไม่มีฮาร์ดแวร์ที่รองรับการขับเองโดยสมบูรณ์ และไม่มีแผนชัดเจนในการอัปเกรด ล่าสุด Tesla ได้เปลี่ยนชื่อแพ็กเกจเป็น “Full Self-Driving (Supervised)” พร้อมระบุในเงื่อนไขว่า “ไม่ใช่ระบบอัตโนมัติ” และ “ไม่รับประกันว่าจะเป็นฟีเจอร์ในอนาคต” ซึ่งหมายความว่าผู้ซื้อ FSD วันนี้ไม่ได้ซื้อความสามารถขับเองแบบที่เคยสัญญาไว้ ที่น่าจับตามองคือ Tesla ยังใช้คำว่า FSD ในแผนการจ่ายค่าตอบแทนให้ Elon Musk ซึ่งอาจมีมูลค่าสูงถึง $1 ล้านล้านดอลลาร์ หากบรรลุเป้าหมาย เช่น มีผู้สมัครใช้งาน FSD ถึง 10 ล้านราย แต่ในเอกสารนั้น Tesla ได้เปลี่ยนคำจำกัดความของ FSD ให้คลุมเครือว่า “เป็นระบบช่วยขับที่สามารถทำงานคล้ายอัตโนมัติในบางสถานการณ์” นั่นหมายความว่า แม้ระบบจะยังต้องมีคนจับพวงมาลัยตลอดเวลา ก็ยังถือว่า “บรรลุเป้าหมาย” ได้ตามนิยามใหม่ และ Musk ก็อาจได้รับหุ้นมูลค่ามหาศาลจากการเปลี่ยนคำจำกัดความนี้ ✅ การเปลี่ยนแปลงของคำว่า FSD ➡️ เดิมหมายถึงระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบโดยไม่ต้องมีคนควบคุม ➡️ ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น “Full Self-Driving (Supervised)” ที่ยังต้องมีคนจับพวงมาลัย ➡️ Tesla ระบุชัดว่าไม่ใช่ระบบอัตโนมัติ และไม่รับประกันว่าจะเป็นฟีเจอร์ในอนาคต ✅ ผลกระทบต่อผู้ซื้อ FSD ➡️ รถที่ผลิตระหว่างปี 2016–2023 ไม่มีฮาร์ดแวร์ที่รองรับการขับเอง ➡️ ไม่มีแผนชัดเจนในการอัปเกรดฮาร์ดแวร์ให้กับรถรุ่นเก่า ➡️ ผู้ซื้อ FSD วันนี้ไม่ได้รับคำสัญญาแบบเดียวกับผู้ซื้อในอดีต ✅ แผนค่าตอบแทนของ Elon Musk ➡️ Tesla เสนอแพ็กเกจค่าตอบแทนสูงสุด $1 ล้านล้านดอลลาร์ ➡️ หนึ่งในเป้าหมายคือมีผู้ใช้งาน FSD ถึง 10 ล้านราย ➡️ คำจำกัดความของ FSD ในเอกสารถูกเปลี่ยนให้คลุมเครือ ✅ ความแตกต่างระหว่างการตลาดกับเอกสารทางกฎหมาย ➡️ Tesla ใช้คำว่า “ขับเองได้” ในการขาย แต่ใช้คำว่า “ช่วยขับ” ในเอกสาร ➡️ ระบบที่ยังต้องมีคนควบคุมก็ถือว่า “บรรลุเป้าหมาย” ได้ตามนิยามใหม่ ➡️ อาจนำไปสู่การจ่ายหุ้นให้ Musk แม้ระบบยังไม่ขับเองจริง https://electrek.co/2025/09/05/tesla-changes-meaning-full-self-driving-give-up-promise-autonomy/
    ELECTREK.CO
    Tesla changes meaning of 'Full Self-Driving', gives up on promise of autonomy
    Tesla has changed the meaning of “Full Self-Driving”, also known as “FSD”, to give up on its original promise of...
    0 Comments 0 Shares 166 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากการสำรวจภาคธุรกิจ: เมื่อ AI ยังไม่ทำให้คนตกงาน แต่เริ่มเปลี่ยนวิธีจ้างงานและฝึกอบรม

    ในบล็อกของ New York Fed ที่เผยแพร่เมื่อ 4 กันยายน 2025 นักเศรษฐศาสตร์ระบุว่า แม้การใช้งาน AI ในภาคธุรกิจจะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงปีที่ผ่านมา แต่ผลกระทบต่อการจ้างงานยังถือว่า “น้อยมาก” โดยเฉพาะในแง่ของการเลิกจ้างพนักงาน

    จากการสำรวจในเขตนิวยอร์กและนิวเจอร์ซีย์ พบว่า 40% ของบริษัทด้านบริการ และ 26% ของผู้ผลิต ใช้ AI ในกระบวนการทำงานแล้ว เพิ่มขึ้นจาก 25% และ 16% ตามลำดับเมื่อปีที่แล้ว และเกือบครึ่งของบริษัทเหล่านี้มีแผนจะใช้ AI เพิ่มในอีก 6 เดือนข้างหน้า

    แต่แทนที่จะปลดพนักงาน บริษัทกลับเลือกที่จะ “ฝึกอบรมใหม่” เพื่อให้พนักงานสามารถทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในตำแหน่งที่ต้องใช้ทักษะเฉพาะ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล, การตลาด, และการบริการลูกค้า

    อย่างไรก็ตาม นักวิจัยเตือนว่าแนวโน้มนี้อาจเปลี่ยนไปในอนาคต เมื่อ AI ถูกนำไปใช้ในระดับลึกมากขึ้น โดยเฉพาะในตำแหน่งที่มีค่าตอบแทนสูง เช่น ผู้จัดการ, นักวิเคราะห์, หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน ซึ่งอาจถูกแทนที่บางส่วนด้วยระบบอัตโนมัติ

    การใช้งาน AI ในภาคธุรกิจนิวยอร์ก
    40% ของบริษัทบริการ และ 26% ของผู้ผลิตใช้ AI แล้ว
    เพิ่มขึ้นจาก 25% และ 16% เมื่อปีที่แล้ว
    เกือบครึ่งของบริษัทมีแผนจะใช้ AI เพิ่มในอีก 6 เดือนข้างหน้า

    ผลกระทบต่อการจ้างงาน
    บริษัทส่วนใหญ่ยังไม่ปลดพนักงานเพราะ AI
    เลือกฝึกอบรมพนักงานใหม่เพื่อทำงานร่วมกับ AI
    การเลิกจ้างที่เกิดจาก AI ยังอยู่ในระดับต่ำมาก

    แนวโน้มในอนาคต
    บริษัทเริ่มคาดการณ์ว่าจะมีการลดการจ้างงานในบางตำแหน่ง
    โดยเฉพาะงานที่ใช้ทักษะสูงและมีค่าตอบแทนสูง
    การจ้างงานใหม่อาจเน้นคนที่มีทักษะด้าน AI มากขึ้น

    การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง
    AI เริ่มมีบทบาทในการคัดเลือกพนักงานและวิเคราะห์ประสิทธิภาพ
    บางบริษัทลดการจ้างงานใหม่ แต่เพิ่มการจ้างคนที่ใช้ AI ได้
    ตลาดแรงงานอาจเปลี่ยนจาก “จำนวนคน” เป็น “คุณภาพทักษะ”

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/04/ai-not-affecting-job-market-much-so-far-new-york-fed-says
    🎙️ เรื่องเล่าจากการสำรวจภาคธุรกิจ: เมื่อ AI ยังไม่ทำให้คนตกงาน แต่เริ่มเปลี่ยนวิธีจ้างงานและฝึกอบรม ในบล็อกของ New York Fed ที่เผยแพร่เมื่อ 4 กันยายน 2025 นักเศรษฐศาสตร์ระบุว่า แม้การใช้งาน AI ในภาคธุรกิจจะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงปีที่ผ่านมา แต่ผลกระทบต่อการจ้างงานยังถือว่า “น้อยมาก” โดยเฉพาะในแง่ของการเลิกจ้างพนักงาน จากการสำรวจในเขตนิวยอร์กและนิวเจอร์ซีย์ พบว่า 40% ของบริษัทด้านบริการ และ 26% ของผู้ผลิต ใช้ AI ในกระบวนการทำงานแล้ว เพิ่มขึ้นจาก 25% และ 16% ตามลำดับเมื่อปีที่แล้ว และเกือบครึ่งของบริษัทเหล่านี้มีแผนจะใช้ AI เพิ่มในอีก 6 เดือนข้างหน้า แต่แทนที่จะปลดพนักงาน บริษัทกลับเลือกที่จะ “ฝึกอบรมใหม่” เพื่อให้พนักงานสามารถทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในตำแหน่งที่ต้องใช้ทักษะเฉพาะ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล, การตลาด, และการบริการลูกค้า อย่างไรก็ตาม นักวิจัยเตือนว่าแนวโน้มนี้อาจเปลี่ยนไปในอนาคต เมื่อ AI ถูกนำไปใช้ในระดับลึกมากขึ้น โดยเฉพาะในตำแหน่งที่มีค่าตอบแทนสูง เช่น ผู้จัดการ, นักวิเคราะห์, หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน ซึ่งอาจถูกแทนที่บางส่วนด้วยระบบอัตโนมัติ ✅ การใช้งาน AI ในภาคธุรกิจนิวยอร์ก ➡️ 40% ของบริษัทบริการ และ 26% ของผู้ผลิตใช้ AI แล้ว ➡️ เพิ่มขึ้นจาก 25% และ 16% เมื่อปีที่แล้ว ➡️ เกือบครึ่งของบริษัทมีแผนจะใช้ AI เพิ่มในอีก 6 เดือนข้างหน้า ✅ ผลกระทบต่อการจ้างงาน ➡️ บริษัทส่วนใหญ่ยังไม่ปลดพนักงานเพราะ AI ➡️ เลือกฝึกอบรมพนักงานใหม่เพื่อทำงานร่วมกับ AI ➡️ การเลิกจ้างที่เกิดจาก AI ยังอยู่ในระดับต่ำมาก ✅ แนวโน้มในอนาคต ➡️ บริษัทเริ่มคาดการณ์ว่าจะมีการลดการจ้างงานในบางตำแหน่ง ➡️ โดยเฉพาะงานที่ใช้ทักษะสูงและมีค่าตอบแทนสูง ➡️ การจ้างงานใหม่อาจเน้นคนที่มีทักษะด้าน AI มากขึ้น ✅ การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ➡️ AI เริ่มมีบทบาทในการคัดเลือกพนักงานและวิเคราะห์ประสิทธิภาพ ➡️ บางบริษัทลดการจ้างงานใหม่ แต่เพิ่มการจ้างคนที่ใช้ AI ได้ ➡️ ตลาดแรงงานอาจเปลี่ยนจาก “จำนวนคน” เป็น “คุณภาพทักษะ” https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/04/ai-not-affecting-job-market-much-so-far-new-york-fed-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AI not affecting job market much so far, New York Fed says
    NEW YORK (Reuters) -Rising adoption of artificial intelligence technology by firms in the Federal Reserve's New York district has not been much of a job-killer so far, the regional Fed bank said in a blog on Thursday.
    0 Comments 0 Shares 237 Views 0 Reviews
  • เมื่อเบอร์ลินเสนอขอ “ดูแล” Chrome – และอาจเปลี่ยนเบราว์เซอร์ให้กลายเป็นเครื่องมือสีเขียว

    ในวันที่ 21 สิงหาคม 2025 Ecosia บริษัทไม่แสวงหากำไรจากเยอรมนีที่รู้จักกันดีในฐานะเสิร์ชเอนจินสายสิ่งแวดล้อม ได้เสนอแนวคิดที่ไม่ธรรมดา: ขอรับหน้าที่ดูแล Google Chrome เป็นเวลา 10 ปี โดยไม่ขอซื้อ แต่ขอ “บริหารจัดการ” แทน

    ข้อเสนอของ Ecosia คือให้ Google แยก Chrome ออกเป็นมูลนิธิที่ยังคงถือสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาไว้ แต่ให้ Ecosia รับผิดชอบการดำเนินงานทั้งหมด โดย Ecosiaจะนำกำไรจาก Chrome ประมาณ 60% ไปลงทุนในโครงการด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การปลูกป่า การพัฒนา AI สีเขียว และการฟ้องร้องผู้ก่อมลพิษ ส่วนอีก 40% จะคืนให้ Google เป็นค่าตอบแทน

    ข้อเสนอนี้เกิดขึ้นในช่วงที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ กำลังพิจารณาให้ Google แยก Chrome ออกจากธุรกิจหลัก หลังจากถูกตัดสินว่าผูกขาดตลาดค้นหา Ecosiaจึงเสนอแนวทางที่ไม่ใช่การขาย แต่เป็นการดูแลแบบมีเป้าหมายเพื่อสาธารณะ

    ก่อนหน้านี้ Perplexity AI เคยเสนอซื้อ Chrome ด้วยเงินสด $34.5 พันล้าน แม้จะมีมูลค่าต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ แต่ก็สะท้อนถึงความสนใจใน Chrome ที่มีผู้ใช้งานหลายพันล้านคนทั่วโลก

    แม้ข้อเสนอของ Ecosia จะดู “ฟรี” แต่พวกเขาคาดว่า Chrome จะสร้างรายได้ถึง $1 ล้านล้านใน 10 ปี ซึ่งหมายความว่า Ecosia จะบริหารเงินกว่า $600 พันล้านเพื่อสิ่งแวดล้อม และ Google จะได้รับคืน $400 พันล้าน โดยไม่ต้องบริหารเอง

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Ecosia เสนอรับหน้าที่ดูแล Google Chrome เป็นเวลา 10 ปี โดยไม่ขอซื้อ
    Google จะยังคงถือสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาและสามารถเป็น search engine เริ่มต้นได้
    Ecosia จะนำกำไร 60% ไปลงทุนในโครงการสิ่งแวดล้อม และคืน 40% ให้ Google
    ข้อเสนอเกิดขึ้นหลัง DOJ สหรัฐฯ พิจารณาให้ Google แยก Chrome ออกจากธุรกิจหลัก
    Ecosia คาดว่า Chrome จะสร้างรายได้ $1 ล้านล้านใน 10 ปี
    โครงการสิ่งแวดล้อมที่เสนอรวมถึงการปลูกป่า, พัฒนา AI สีเขียว และฟ้องร้องผู้ก่อมลพิษ
    Google ยังไม่ตอบรับหรือปฏิเสธข้อเสนออย่างเป็นทางการ
    Ecosia มีความสัมพันธ์กับ Google อยู่แล้วผ่านการใช้ search engine และ revenue sharing
    ข้อเสนอของ Ecosia ถูกมองว่าเป็นทางเลือกที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์ แต่เน้นผลประโยชน์สาธารณะ
    หากครบ 10 ปี อาจมีการเปลี่ยนผู้ดูแลหรือทบทวนใหม่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Perplexity AI เคยเสนอซื้อ Chrome ด้วยเงินสด $34.5 พันล้าน แม้จะต่ำกว่าคาด
    OpenAI ก็แสดงความสนใจในการซื้อ Chrome หากมีการเปิดขาย
    Ecosia ก่อตั้งในปี 2009 และลงทุนในโครงการสิ่งแวดล้อมในกว่า 35 ประเทศ
    นักวิเคราะห์คาดว่า Chrome อาจมีมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์หากเปิดประมูล
    การเปลี่ยน Chrome เป็นมูลนิธิอาจช่วยลดแรงกดดันด้านกฎหมายต่อตัว Google

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/21/germany039s-ecosia-proposes-stewardship-to-run-google-chrome
    🎙️ เมื่อเบอร์ลินเสนอขอ “ดูแล” Chrome – และอาจเปลี่ยนเบราว์เซอร์ให้กลายเป็นเครื่องมือสีเขียว ในวันที่ 21 สิงหาคม 2025 Ecosia บริษัทไม่แสวงหากำไรจากเยอรมนีที่รู้จักกันดีในฐานะเสิร์ชเอนจินสายสิ่งแวดล้อม ได้เสนอแนวคิดที่ไม่ธรรมดา: ขอรับหน้าที่ดูแล Google Chrome เป็นเวลา 10 ปี โดยไม่ขอซื้อ แต่ขอ “บริหารจัดการ” แทน ข้อเสนอของ Ecosia คือให้ Google แยก Chrome ออกเป็นมูลนิธิที่ยังคงถือสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาไว้ แต่ให้ Ecosia รับผิดชอบการดำเนินงานทั้งหมด โดย Ecosiaจะนำกำไรจาก Chrome ประมาณ 60% ไปลงทุนในโครงการด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การปลูกป่า การพัฒนา AI สีเขียว และการฟ้องร้องผู้ก่อมลพิษ ส่วนอีก 40% จะคืนให้ Google เป็นค่าตอบแทน ข้อเสนอนี้เกิดขึ้นในช่วงที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ กำลังพิจารณาให้ Google แยก Chrome ออกจากธุรกิจหลัก หลังจากถูกตัดสินว่าผูกขาดตลาดค้นหา Ecosiaจึงเสนอแนวทางที่ไม่ใช่การขาย แต่เป็นการดูแลแบบมีเป้าหมายเพื่อสาธารณะ ก่อนหน้านี้ Perplexity AI เคยเสนอซื้อ Chrome ด้วยเงินสด $34.5 พันล้าน แม้จะมีมูลค่าต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ แต่ก็สะท้อนถึงความสนใจใน Chrome ที่มีผู้ใช้งานหลายพันล้านคนทั่วโลก แม้ข้อเสนอของ Ecosia จะดู “ฟรี” แต่พวกเขาคาดว่า Chrome จะสร้างรายได้ถึง $1 ล้านล้านใน 10 ปี ซึ่งหมายความว่า Ecosia จะบริหารเงินกว่า $600 พันล้านเพื่อสิ่งแวดล้อม และ Google จะได้รับคืน $400 พันล้าน โดยไม่ต้องบริหารเอง 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Ecosia เสนอรับหน้าที่ดูแล Google Chrome เป็นเวลา 10 ปี โดยไม่ขอซื้อ ➡️ Google จะยังคงถือสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาและสามารถเป็น search engine เริ่มต้นได้ ➡️ Ecosia จะนำกำไร 60% ไปลงทุนในโครงการสิ่งแวดล้อม และคืน 40% ให้ Google ➡️ ข้อเสนอเกิดขึ้นหลัง DOJ สหรัฐฯ พิจารณาให้ Google แยก Chrome ออกจากธุรกิจหลัก ➡️ Ecosia คาดว่า Chrome จะสร้างรายได้ $1 ล้านล้านใน 10 ปี ➡️ โครงการสิ่งแวดล้อมที่เสนอรวมถึงการปลูกป่า, พัฒนา AI สีเขียว และฟ้องร้องผู้ก่อมลพิษ ➡️ Google ยังไม่ตอบรับหรือปฏิเสธข้อเสนออย่างเป็นทางการ ➡️ Ecosia มีความสัมพันธ์กับ Google อยู่แล้วผ่านการใช้ search engine และ revenue sharing ➡️ ข้อเสนอของ Ecosia ถูกมองว่าเป็นทางเลือกที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์ แต่เน้นผลประโยชน์สาธารณะ ➡️ หากครบ 10 ปี อาจมีการเปลี่ยนผู้ดูแลหรือทบทวนใหม่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Perplexity AI เคยเสนอซื้อ Chrome ด้วยเงินสด $34.5 พันล้าน แม้จะต่ำกว่าคาด ➡️ OpenAI ก็แสดงความสนใจในการซื้อ Chrome หากมีการเปิดขาย ➡️ Ecosia ก่อตั้งในปี 2009 และลงทุนในโครงการสิ่งแวดล้อมในกว่า 35 ประเทศ ➡️ นักวิเคราะห์คาดว่า Chrome อาจมีมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์หากเปิดประมูล ➡️ การเปลี่ยน Chrome เป็นมูลนิธิอาจช่วยลดแรงกดดันด้านกฎหมายต่อตัว Google https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/21/germany039s-ecosia-proposes-stewardship-to-run-google-chrome
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Germany's Ecosia proposes stewardship to run Google Chrome
    STOCKHOLM (Reuters) -Germany's Ecosia, a nonprofit search engine, said on Thursday it has submitted a proposal to assume a 10-year stewardship of Alphabet's Google Chrome web browser.
    0 Comments 0 Shares 310 Views 0 Reviews
  • เมื่อ Zuckerberg เบรกการจ้างงาน AI – สัญญาณฟองสบู่ที่ Silicon Valley เริ่มสั่นคลอน

    ในช่วงปีที่ผ่านมา Meta ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อดึงตัวนักวิจัย AI ระดับหัวกะทิจากบริษัทคู่แข่งอย่าง OpenAI และ Google โดยเสนอค่าตอบแทนสูงถึง $1 พันล้านดอลลาร์ต่อคน เพื่อเร่งพัฒนา “Superintelligence Labs” ที่มีเป้าหมายสร้างผู้ช่วยอัจฉริยะถาวรในรูปแบบแว่นตาอัจฉริยะ

    แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Mark Zuckerberg กลับสั่ง “เบรก” การจ้างงานทั้งหมดในแผนก AI ของ Meta ท่ามกลางความกังวลว่าอุตสาหกรรม AI กำลังเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ หลังจากรายงานของ MIT ระบุว่า 95% ของบริษัทที่ลงทุนใน AI ไม่ได้รับผลตอบแทนใด ๆ

    การหยุดจ้างงานนี้เกิดขึ้นก่อนที่ตลาดหุ้นจะร่วงหนัก โดยหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Nvidia, Arm และ Palantir ตกลงอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามว่าเงินที่ทุ่มไปกับ AI นั้นคุ้มค่าจริงหรือไม่

    แม้ Meta จะออกมาบอกว่าเป็น “การวางแผนองค์กรตามปกติ” แต่เบื้องหลังคือการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยแบ่ง Superintelligence Labs ออกเป็น 4 หน่วยงานใหม่ และยุบทีม AGI Foundations ที่เคยพัฒนาโมเดล Llama และ Behemoth ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าบิดเบือน benchmark เพื่อให้ดูดีเกินจริง

    นักวิเคราะห์เตือนว่า การจ่ายค่าตอบแทนสูงเกินไปโดยไม่มีนวัตกรรมที่ชัดเจนอาจทำให้มูลค่าหุ้นลดลง และความคาดหวังต่อ GPT-5 ที่ไม่เป็นไปตาม hype ยิ่งตอกย้ำว่าฟองสบู่ AI อาจแตกในไม่ช้า

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Meta สั่งหยุดการจ้างงานในแผนก AI ทั้งหมด ยกเว้นกรณีพิเศษที่ต้องได้รับอนุมัติจาก Alexandr Wang
    การหยุดจ้างงานเกิดขึ้นก่อนตลาดหุ้นร่วงจากความกังวลเรื่องฟองสบู่ AI
    Zuckerberg เคยเสนอค่าตอบแทนสูงถึง $1 พันล้านเพื่อดึงนักวิจัยจาก OpenAI และ Google
    Superintelligence Labs ถูกแบ่งออกเป็น 4 หน่วยงานใหม่ และทีม AGI Foundations ถูกยุบ
    โมเดล Behemoth ถูกวิจารณ์ว่าบิดเบือน benchmark และมีการลาออกของทีมงาน
    Meta อ้างว่าเป็น “การวางแผนองค์กรตามปกติ” เช่น การจัดงบประมาณประจำปี
    หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง เช่น Nvidia และ Palantir ร่วงจากความกังวลเรื่องผลตอบแทน AI
    Zuckerberg ยืนยันว่าเป้าหมายคือสร้าง “ผู้ช่วยอัจฉริยะถาวร” ที่อยู่ในแว่นตาอัจฉริยะ
    เขาเน้นทีมขนาดเล็กที่มีความสามารถสูง แทนการจ้างงานจำนวนมาก
    ค่าใช้จ่ายในการจ้างงาน AI จะเพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคต

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Meta ดึงตัวนักวิจัย AI มากกว่า 50 คนจากบริษัทคู่แข่งภายในไม่กี่เดือน
    นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley เตือนว่าการจ่ายค่าตอบแทนสูงอาจลดมูลค่าหุ้น
    GPT-5 ได้รับการตอบรับแบบ “กลาง ๆ” ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง
    Sam Altman เปรียบ hype ของ AI กับฟองสบู่ dotcom ในปี 2000
    บริษัทเทคโนโลยียังคงลงทุนหลายหมื่นล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐาน AI แม้รายได้ยังไม่ชัดเจน

    https://www.telegraph.co.uk/business/2025/08/21/zuckerberg-freezes-ai-hiring-amid-bubble-fears/
    🎙️ เมื่อ Zuckerberg เบรกการจ้างงาน AI – สัญญาณฟองสบู่ที่ Silicon Valley เริ่มสั่นคลอน ในช่วงปีที่ผ่านมา Meta ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อดึงตัวนักวิจัย AI ระดับหัวกะทิจากบริษัทคู่แข่งอย่าง OpenAI และ Google โดยเสนอค่าตอบแทนสูงถึง $1 พันล้านดอลลาร์ต่อคน เพื่อเร่งพัฒนา “Superintelligence Labs” ที่มีเป้าหมายสร้างผู้ช่วยอัจฉริยะถาวรในรูปแบบแว่นตาอัจฉริยะ แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Mark Zuckerberg กลับสั่ง “เบรก” การจ้างงานทั้งหมดในแผนก AI ของ Meta ท่ามกลางความกังวลว่าอุตสาหกรรม AI กำลังเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ หลังจากรายงานของ MIT ระบุว่า 95% ของบริษัทที่ลงทุนใน AI ไม่ได้รับผลตอบแทนใด ๆ การหยุดจ้างงานนี้เกิดขึ้นก่อนที่ตลาดหุ้นจะร่วงหนัก โดยหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Nvidia, Arm และ Palantir ตกลงอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามว่าเงินที่ทุ่มไปกับ AI นั้นคุ้มค่าจริงหรือไม่ แม้ Meta จะออกมาบอกว่าเป็น “การวางแผนองค์กรตามปกติ” แต่เบื้องหลังคือการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยแบ่ง Superintelligence Labs ออกเป็น 4 หน่วยงานใหม่ และยุบทีม AGI Foundations ที่เคยพัฒนาโมเดล Llama และ Behemoth ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าบิดเบือน benchmark เพื่อให้ดูดีเกินจริง นักวิเคราะห์เตือนว่า การจ่ายค่าตอบแทนสูงเกินไปโดยไม่มีนวัตกรรมที่ชัดเจนอาจทำให้มูลค่าหุ้นลดลง และความคาดหวังต่อ GPT-5 ที่ไม่เป็นไปตาม hype ยิ่งตอกย้ำว่าฟองสบู่ AI อาจแตกในไม่ช้า 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Meta สั่งหยุดการจ้างงานในแผนก AI ทั้งหมด ยกเว้นกรณีพิเศษที่ต้องได้รับอนุมัติจาก Alexandr Wang ➡️ การหยุดจ้างงานเกิดขึ้นก่อนตลาดหุ้นร่วงจากความกังวลเรื่องฟองสบู่ AI ➡️ Zuckerberg เคยเสนอค่าตอบแทนสูงถึง $1 พันล้านเพื่อดึงนักวิจัยจาก OpenAI และ Google ➡️ Superintelligence Labs ถูกแบ่งออกเป็น 4 หน่วยงานใหม่ และทีม AGI Foundations ถูกยุบ ➡️ โมเดล Behemoth ถูกวิจารณ์ว่าบิดเบือน benchmark และมีการลาออกของทีมงาน ➡️ Meta อ้างว่าเป็น “การวางแผนองค์กรตามปกติ” เช่น การจัดงบประมาณประจำปี ➡️ หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง เช่น Nvidia และ Palantir ร่วงจากความกังวลเรื่องผลตอบแทน AI ➡️ Zuckerberg ยืนยันว่าเป้าหมายคือสร้าง “ผู้ช่วยอัจฉริยะถาวร” ที่อยู่ในแว่นตาอัจฉริยะ ➡️ เขาเน้นทีมขนาดเล็กที่มีความสามารถสูง แทนการจ้างงานจำนวนมาก ➡️ ค่าใช้จ่ายในการจ้างงาน AI จะเพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคต ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Meta ดึงตัวนักวิจัย AI มากกว่า 50 คนจากบริษัทคู่แข่งภายในไม่กี่เดือน ➡️ นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley เตือนว่าการจ่ายค่าตอบแทนสูงอาจลดมูลค่าหุ้น ➡️ GPT-5 ได้รับการตอบรับแบบ “กลาง ๆ” ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง ➡️ Sam Altman เปรียบ hype ของ AI กับฟองสบู่ dotcom ในปี 2000 ➡️ บริษัทเทคโนโลยียังคงลงทุนหลายหมื่นล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐาน AI แม้รายได้ยังไม่ชัดเจน https://www.telegraph.co.uk/business/2025/08/21/zuckerberg-freezes-ai-hiring-amid-bubble-fears/
    0 Comments 0 Shares 336 Views 0 Reviews
  • เมื่ออัจฉริยะรวมตัวกัน: Meta กับภารกิจสร้าง AI เหนือมนุษย์ และความท้าทายในการบริหารทีมระดับเทพ

    ในปี 2025 Meta ได้เปิดตัว “Superintelligence Lab” โดยรวบรวมสุดยอดนักวิจัย AI จาก OpenAI, DeepMind, Anthropic และ Scale AI เพื่อเร่งพัฒนา AI ที่มีความสามารถใกล้เคียงหรือเหนือกว่ามนุษย์ หรือที่เรียกว่า Artificial General Intelligence (AGI)

    Mark Zuckerberg ทุ่มงบมหาศาล พร้อมเสนอค่าตอบแทนระดับ $100–300 ล้านต่อคน เพื่อดึงตัวนักวิจัยระดับโลกมาร่วมทีม โดยมี Alexandr Wang อดีต CEO ของ Scale AI และ Nat Friedman อดีต CEO ของ GitHub เป็นผู้นำทีม

    แต่การรวมตัวของอัจฉริยะจำนวนมากไม่ได้หมายถึงความสำเร็จเสมอไป งานวิจัยจาก Harvard และ MIT ชี้ว่า ทีมที่มีแต่คนเก่งอาจเกิดความขัดแย้ง อีโก้ชนกัน และประสิทธิภาพลดลง หากไม่มีการบริหารจัดการที่ดี

    นักวิชาการแนะนำว่า การบริหารทีมระดับสูงต้องมี “การแบ่งหน้าที่ชัดเจน” และ “โครงสร้างอำนาจที่โปร่งใส” เพื่อป้องกันการแย่งอำนาจและความขัดแย้งภายใน นอกจากนี้ยังต้องสร้าง “เคมีของทีม” ผ่านความไว้วางใจและเป้าหมายร่วมกัน

    Meta ยังต้องรับมือกับความท้าทายด้านวัฒนธรรมองค์กร การรวมคนจากหลากหลายประเทศและภูมิหลัง เช่น ทีมที่มีสมาชิกเชื้อสายจีนกว่า 50% และถือ PhD ถึง 75% อาจเกิดความขัดแย้งเชิงวัฒนธรรมและการสื่อสาร

    การสร้างทีม Superintelligence ของ Meta
    รวมตัวนักวิจัยจาก OpenAI, DeepMind, Anthropic และ Scale AI
    นำโดย Alexandr Wang และ Nat Friedman
    เป้าหมายคือสร้าง AGI ที่มีความสามารถเหนือมนุษย์

    กลยุทธ์การดึงตัวบุคลากร
    เสนอค่าตอบแทนสูงถึง $300 ล้านต่อคน
    Zuckerberg เข้าร่วมกระบวนการสรรหาด้วยตัวเอง
    ลงทุน $14.3 พันล้านใน Scale AI เพื่อดึง Wang มาร่วมทีม

    ความท้าทายด้านการบริหารทีมอัจฉริยะ
    ทีมที่มีแต่คนเก่งอาจเกิดความขัดแย้งและประสิทธิภาพลดลง
    ต้องมีการแบ่งหน้าที่ชัดเจนและโครงสร้างอำนาจที่โปร่งใส
    การสร้างเคมีของทีมต้องใช้เวลาและความอดทนจากผู้นำ

    ข้อเสนอจากนักวิชาการด้านการบริหารทีม
    กำหนด “เลน” ของแต่ละคนให้ชัดเจน
    สร้างโครงสร้างอำนาจที่ยืดหยุ่นแต่ชัดเจน
    สร้างความไว้วางใจและเป้าหมายร่วมกันในทีม

    ความหลากหลายของทีมและผลกระทบ
    ทีมมีสมาชิกเชื้อสายจีนกว่า 50% และถือ PhD ถึง 75%
    ความหลากหลายช่วยเพิ่มมุมมอง แต่ต้องจัดการความขัดแย้งทางวัฒนธรรม
    การสื่อสารและความเข้าใจระหว่างสมาชิกเป็นหัวใจสำคัญ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/16/metas-superintelligence-dream-team-will-be-management-challenge-of-the-century
    🧠 เมื่ออัจฉริยะรวมตัวกัน: Meta กับภารกิจสร้าง AI เหนือมนุษย์ และความท้าทายในการบริหารทีมระดับเทพ ในปี 2025 Meta ได้เปิดตัว “Superintelligence Lab” โดยรวบรวมสุดยอดนักวิจัย AI จาก OpenAI, DeepMind, Anthropic และ Scale AI เพื่อเร่งพัฒนา AI ที่มีความสามารถใกล้เคียงหรือเหนือกว่ามนุษย์ หรือที่เรียกว่า Artificial General Intelligence (AGI) Mark Zuckerberg ทุ่มงบมหาศาล พร้อมเสนอค่าตอบแทนระดับ $100–300 ล้านต่อคน เพื่อดึงตัวนักวิจัยระดับโลกมาร่วมทีม โดยมี Alexandr Wang อดีต CEO ของ Scale AI และ Nat Friedman อดีต CEO ของ GitHub เป็นผู้นำทีม แต่การรวมตัวของอัจฉริยะจำนวนมากไม่ได้หมายถึงความสำเร็จเสมอไป งานวิจัยจาก Harvard และ MIT ชี้ว่า ทีมที่มีแต่คนเก่งอาจเกิดความขัดแย้ง อีโก้ชนกัน และประสิทธิภาพลดลง หากไม่มีการบริหารจัดการที่ดี นักวิชาการแนะนำว่า การบริหารทีมระดับสูงต้องมี “การแบ่งหน้าที่ชัดเจน” และ “โครงสร้างอำนาจที่โปร่งใส” เพื่อป้องกันการแย่งอำนาจและความขัดแย้งภายใน นอกจากนี้ยังต้องสร้าง “เคมีของทีม” ผ่านความไว้วางใจและเป้าหมายร่วมกัน Meta ยังต้องรับมือกับความท้าทายด้านวัฒนธรรมองค์กร การรวมคนจากหลากหลายประเทศและภูมิหลัง เช่น ทีมที่มีสมาชิกเชื้อสายจีนกว่า 50% และถือ PhD ถึง 75% อาจเกิดความขัดแย้งเชิงวัฒนธรรมและการสื่อสาร ✅ การสร้างทีม Superintelligence ของ Meta ➡️ รวมตัวนักวิจัยจาก OpenAI, DeepMind, Anthropic และ Scale AI ➡️ นำโดย Alexandr Wang และ Nat Friedman ➡️ เป้าหมายคือสร้าง AGI ที่มีความสามารถเหนือมนุษย์ ✅ กลยุทธ์การดึงตัวบุคลากร ➡️ เสนอค่าตอบแทนสูงถึง $300 ล้านต่อคน ➡️ Zuckerberg เข้าร่วมกระบวนการสรรหาด้วยตัวเอง ➡️ ลงทุน $14.3 พันล้านใน Scale AI เพื่อดึง Wang มาร่วมทีม ✅ ความท้าทายด้านการบริหารทีมอัจฉริยะ ➡️ ทีมที่มีแต่คนเก่งอาจเกิดความขัดแย้งและประสิทธิภาพลดลง ➡️ ต้องมีการแบ่งหน้าที่ชัดเจนและโครงสร้างอำนาจที่โปร่งใส ➡️ การสร้างเคมีของทีมต้องใช้เวลาและความอดทนจากผู้นำ ✅ ข้อเสนอจากนักวิชาการด้านการบริหารทีม ➡️ กำหนด “เลน” ของแต่ละคนให้ชัดเจน ➡️ สร้างโครงสร้างอำนาจที่ยืดหยุ่นแต่ชัดเจน ➡️ สร้างความไว้วางใจและเป้าหมายร่วมกันในทีม ✅ ความหลากหลายของทีมและผลกระทบ ➡️ ทีมมีสมาชิกเชื้อสายจีนกว่า 50% และถือ PhD ถึง 75% ➡️ ความหลากหลายช่วยเพิ่มมุมมอง แต่ต้องจัดการความขัดแย้งทางวัฒนธรรม ➡️ การสื่อสารและความเข้าใจระหว่างสมาชิกเป็นหัวใจสำคัญ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/16/metas-superintelligence-dream-team-will-be-management-challenge-of-the-century
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Meta’s superintelligence dream team will be management challenge of the century
    Without expert management, too much talent in one group can lead to diminishing returns – or even outright failure – if egos clash and the chemistry is poor enough.
    0 Comments 0 Shares 332 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากห้องประชุม: CISO ผู้นำความมั่นคงไซเบอร์ที่องค์กรยุคใหม่ขาดไม่ได้

    ในยุคที่ข้อมูลคือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดขององค์กร ตำแหน่ง “CISO” หรือ Chief Information Security Officer จึงกลายเป็นหนึ่งในบทบาทที่สำคัญที่สุดในระดับผู้บริหาร โดยมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของข้อมูลและระบบดิจิทัลทั้งหมดขององค์กร

    แต่รู้ไหมว่า...มีเพียง 45% ของบริษัทในอเมริกาเหนือเท่านั้นที่มี CISO และในบริษัทที่มีรายได้เกินพันล้านดอลลาร์ ตัวเลขนี้ลดลงเหลือเพียง 15%! หลายองค์กรยังมองว่า cybersecurity เป็นแค่ต้นทุนด้าน IT ไม่ใช่ความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ ทำให้ CISO บางคนต้องรายงานต่อ CIO หรือ CSO แทนที่จะได้ที่นั่งในห้องประชุมผู้บริหาร

    CISO ที่มีอำนาจจริงจะต้องรับผิดชอบตั้งแต่การวางนโยบายความปลอดภัย การจัดการความเสี่ยง การตอบสนองเหตุการณ์ ไปจนถึงการสื่อสารกับบอร์ดและผู้ถือหุ้น พวกเขาต้องมีทั้งความรู้ด้านเทคนิค เช่น DNS, VPN, firewall และความเข้าใจในกฎหมายอย่าง GDPR, HIPAA, SOX รวมถึงทักษะการบริหารและการสื่อสารเชิงธุรกิจ

    ในปี 2025 บทบาทของ CISO ขยายไปสู่การกำกับดูแล AI, การควบรวมกิจการ และการเปลี่ยนผ่านดิจิทัล ทำให้พวกเขากลายเป็น “ผู้ขับเคลื่อนกลยุทธ์องค์กร” ไม่ใช่แค่ “ผู้เฝ้าประตูระบบ”

    CISO คือผู้บริหารระดับสูงที่รับผิดชอบด้านความปลอดภัยของข้อมูล
    ดูแลทั้งระบบ IT, นโยบาย, การตอบสนองเหตุการณ์ และการบริหารความเสี่ยง

    มีเพียง 45% ของบริษัทในอเมริกาเหนือที่มี CISO
    และเพียง 15% ของบริษัทที่มีรายได้เกิน $1B ที่มี CISO ในระดับ C-suite

    CISO ที่รายงานตรงต่อ CEO หรือบอร์ดจะมีอิทธิพลมากกว่า
    ช่วยให้การตัดสินใจด้านความปลอดภัยมีน้ำหนักในเชิงกลยุทธ์

    หน้าที่หลักของ CISO ได้แก่:
    Security operations, Cyber risk, Data loss prevention, Architecture, IAM, Program management, Forensics, Governance

    คุณสมบัติของ CISO ที่ดีต้องมีทั้งพื้นฐานเทคนิคและทักษะธุรกิจ
    เช่น ความเข้าใจใน DNS, VPN, ethical hacking, compliance และการสื่อสารกับผู้บริหาร

    บทบาทของ CISO ขยายไปสู่การกำกับดูแล AI และการควบรวมกิจการ
    ทำให้กลายเป็นผู้ขับเคลื่อนกลยุทธ์องค์กร ไม่ใช่แค่ฝ่ายเทคนิค

    มีการแบ่งประเภท CISO เป็น 3 กลุ่ม: Strategic, Functional, Tactical
    Strategic CISO มีอิทธิพลสูงสุดในองค์กรและได้รับค่าตอบแทนสูง

    ความท้าทายใหม่ของ CISO ได้แก่ภัยคุกคามจาก AI, ransomware และ social engineering
    ต้องใช้แนวทางป้องกันที่ปรับตัวได้และเน้นการฝึกอบรมพนักงาน

    การมี CISO ที่มี visibility ในบอร์ดช่วยเพิ่มความพึงพอใจในงานและโอกาสเติบโต
    เช่น การสร้างความสัมพันธ์กับบอร์ดนอกการประชุม

    https://www.csoonline.com/article/566757/what-is-a-ciso-responsibilities-and-requirements-for-this-vital-leadership-role.html
    🛡️🏢 เรื่องเล่าจากห้องประชุม: CISO ผู้นำความมั่นคงไซเบอร์ที่องค์กรยุคใหม่ขาดไม่ได้ ในยุคที่ข้อมูลคือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดขององค์กร ตำแหน่ง “CISO” หรือ Chief Information Security Officer จึงกลายเป็นหนึ่งในบทบาทที่สำคัญที่สุดในระดับผู้บริหาร โดยมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของข้อมูลและระบบดิจิทัลทั้งหมดขององค์กร แต่รู้ไหมว่า...มีเพียง 45% ของบริษัทในอเมริกาเหนือเท่านั้นที่มี CISO และในบริษัทที่มีรายได้เกินพันล้านดอลลาร์ ตัวเลขนี้ลดลงเหลือเพียง 15%! หลายองค์กรยังมองว่า cybersecurity เป็นแค่ต้นทุนด้าน IT ไม่ใช่ความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ ทำให้ CISO บางคนต้องรายงานต่อ CIO หรือ CSO แทนที่จะได้ที่นั่งในห้องประชุมผู้บริหาร CISO ที่มีอำนาจจริงจะต้องรับผิดชอบตั้งแต่การวางนโยบายความปลอดภัย การจัดการความเสี่ยง การตอบสนองเหตุการณ์ ไปจนถึงการสื่อสารกับบอร์ดและผู้ถือหุ้น พวกเขาต้องมีทั้งความรู้ด้านเทคนิค เช่น DNS, VPN, firewall และความเข้าใจในกฎหมายอย่าง GDPR, HIPAA, SOX รวมถึงทักษะการบริหารและการสื่อสารเชิงธุรกิจ ในปี 2025 บทบาทของ CISO ขยายไปสู่การกำกับดูแล AI, การควบรวมกิจการ และการเปลี่ยนผ่านดิจิทัล ทำให้พวกเขากลายเป็น “ผู้ขับเคลื่อนกลยุทธ์องค์กร” ไม่ใช่แค่ “ผู้เฝ้าประตูระบบ” ✅ CISO คือผู้บริหารระดับสูงที่รับผิดชอบด้านความปลอดภัยของข้อมูล ➡️ ดูแลทั้งระบบ IT, นโยบาย, การตอบสนองเหตุการณ์ และการบริหารความเสี่ยง ✅ มีเพียง 45% ของบริษัทในอเมริกาเหนือที่มี CISO ➡️ และเพียง 15% ของบริษัทที่มีรายได้เกิน $1B ที่มี CISO ในระดับ C-suite ✅ CISO ที่รายงานตรงต่อ CEO หรือบอร์ดจะมีอิทธิพลมากกว่า ➡️ ช่วยให้การตัดสินใจด้านความปลอดภัยมีน้ำหนักในเชิงกลยุทธ์ ✅ หน้าที่หลักของ CISO ได้แก่: ➡️ Security operations, Cyber risk, Data loss prevention, Architecture, IAM, Program management, Forensics, Governance ✅ คุณสมบัติของ CISO ที่ดีต้องมีทั้งพื้นฐานเทคนิคและทักษะธุรกิจ ➡️ เช่น ความเข้าใจใน DNS, VPN, ethical hacking, compliance และการสื่อสารกับผู้บริหาร ✅ บทบาทของ CISO ขยายไปสู่การกำกับดูแล AI และการควบรวมกิจการ ➡️ ทำให้กลายเป็นผู้ขับเคลื่อนกลยุทธ์องค์กร ไม่ใช่แค่ฝ่ายเทคนิค ✅ มีการแบ่งประเภท CISO เป็น 3 กลุ่ม: Strategic, Functional, Tactical ➡️ Strategic CISO มีอิทธิพลสูงสุดในองค์กรและได้รับค่าตอบแทนสูง ✅ ความท้าทายใหม่ของ CISO ได้แก่ภัยคุกคามจาก AI, ransomware และ social engineering ➡️ ต้องใช้แนวทางป้องกันที่ปรับตัวได้และเน้นการฝึกอบรมพนักงาน ✅ การมี CISO ที่มี visibility ในบอร์ดช่วยเพิ่มความพึงพอใจในงานและโอกาสเติบโต ➡️ เช่น การสร้างความสัมพันธ์กับบอร์ดนอกการประชุม https://www.csoonline.com/article/566757/what-is-a-ciso-responsibilities-and-requirements-for-this-vital-leadership-role.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    What is a CISO? The top IT security leader role explained
    The chief information security officer (CISO) is the executive responsible for an organization’s information and data security. Here’s what it takes to succeed in this role.
    0 Comments 0 Shares 395 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: วิศวกร AI ปฏิเสธเงินพันล้านจาก Meta เพื่อสร้างอนาคตในแบบที่ตัวเองเชื่อ

    Meta พยายามดึงตัวทีมงานจาก Thinking Machines Lab ซึ่งนำโดย Andrew Tulloch และ Mira Murati—สองบุคคลสำคัญที่เคยมีบทบาทใน Meta และ OpenAI โดยเสนอแพ็กเกจค่าตอบแทนที่อาจรวมสูงถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์ในระยะหลายปี ขึ้นอยู่กับหุ้นและโบนัส

    แต่ทั้ง Tulloch และ Murati รวมถึงทีมงานของพวกเขา ปฏิเสธข้อเสนอทั้งหมด โดยให้เหตุผลว่า พวกเขาต้องการสร้างเทคโนโลยีในแบบที่มีจริยธรรม ไม่ถูกครอบงำด้วยเป้าหมายทางโฆษณาหรือผลตอบแทนผู้ถือหุ้น

    เหตุการณ์นี้สะท้อนแนวโน้มใหม่ในวงการ AI ที่นักพัฒนาเริ่มให้ความสำคัญกับ “เป้าหมายร่วม” และ “ความไว้วางใจในผู้นำ” มากกว่าการไล่ตามเงินก้อนโต ซึ่ง Meta แม้จะมีทรัพยากรมหาศาล ก็ยังไม่สามารถดึงตัวนักวิจัยระดับสูงจากคู่แข่งได้มากนัก

    Meta เสนอค่าตอบแทนสูงถึง $1.5 พันล้านให้กับ Andrew Tulloch และทีม Thinking Machines
    ขึ้นอยู่กับหุ้นและโบนัสในระยะหลายปี
    เป็นหนึ่งในข้อเสนอที่สูงที่สุดในวงการ AI

    Mira Murati และทีมงานของเธอปฏิเสธข้อเสนอจาก Meta ทั้งหมด
    ไม่เพียงแต่ปฏิเสธการเข้าซื้อกิจการ แต่ยังปฏิเสธข้อเสนอส่วนตัว
    แสดงจุดยืนชัดเจนในการรักษาอุดมการณ์ขององค์กร

    Meta ไม่ปฏิเสธว่ามีความพยายามดึงตัวนักวิจัยจากคู่แข่ง
    แม้จะบอกว่าตัวเลขอาจถูกกล่าวเกินจริง
    แต่ยอมรับว่ามีการทาบทามนักวิจัยระดับสูงจริง

    แนวโน้มใหม่ในวงการ AI คือการเลือก “เป้าหมายร่วม” มากกว่า “ค่าตอบแทนสูงสุด”
    วิศวกรบางคนต้องการสร้างเทคโนโลยีที่มีจริยธรรม
    ไม่ต้องการให้ผลงานถูกใช้เพื่อโฆษณาหรือผลตอบแทนผู้ถือหุ้น

    Meta สามารถดึงตัวนักวิจัยจากคู่แข่งได้เพียงจำนวนน้อย แม้จะมีทรัพยากรมหาศาล
    การแข่งขันด้าน AI ไม่ได้วัดกันแค่เงิน
    ความเชื่อมั่นในผู้นำและเป้าหมายองค์กรกลายเป็นปัจจัยสำคัญ

    https://www.techspot.com/news/108917-ai-engineers-reject-meta-15-billion-offers-stay.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: วิศวกร AI ปฏิเสธเงินพันล้านจาก Meta เพื่อสร้างอนาคตในแบบที่ตัวเองเชื่อ Meta พยายามดึงตัวทีมงานจาก Thinking Machines Lab ซึ่งนำโดย Andrew Tulloch และ Mira Murati—สองบุคคลสำคัญที่เคยมีบทบาทใน Meta และ OpenAI โดยเสนอแพ็กเกจค่าตอบแทนที่อาจรวมสูงถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์ในระยะหลายปี ขึ้นอยู่กับหุ้นและโบนัส แต่ทั้ง Tulloch และ Murati รวมถึงทีมงานของพวกเขา ปฏิเสธข้อเสนอทั้งหมด โดยให้เหตุผลว่า พวกเขาต้องการสร้างเทคโนโลยีในแบบที่มีจริยธรรม ไม่ถูกครอบงำด้วยเป้าหมายทางโฆษณาหรือผลตอบแทนผู้ถือหุ้น เหตุการณ์นี้สะท้อนแนวโน้มใหม่ในวงการ AI ที่นักพัฒนาเริ่มให้ความสำคัญกับ “เป้าหมายร่วม” และ “ความไว้วางใจในผู้นำ” มากกว่าการไล่ตามเงินก้อนโต ซึ่ง Meta แม้จะมีทรัพยากรมหาศาล ก็ยังไม่สามารถดึงตัวนักวิจัยระดับสูงจากคู่แข่งได้มากนัก ✅ Meta เสนอค่าตอบแทนสูงถึง $1.5 พันล้านให้กับ Andrew Tulloch และทีม Thinking Machines ➡️ ขึ้นอยู่กับหุ้นและโบนัสในระยะหลายปี ➡️ เป็นหนึ่งในข้อเสนอที่สูงที่สุดในวงการ AI ✅ Mira Murati และทีมงานของเธอปฏิเสธข้อเสนอจาก Meta ทั้งหมด ➡️ ไม่เพียงแต่ปฏิเสธการเข้าซื้อกิจการ แต่ยังปฏิเสธข้อเสนอส่วนตัว ➡️ แสดงจุดยืนชัดเจนในการรักษาอุดมการณ์ขององค์กร ✅ Meta ไม่ปฏิเสธว่ามีความพยายามดึงตัวนักวิจัยจากคู่แข่ง ➡️ แม้จะบอกว่าตัวเลขอาจถูกกล่าวเกินจริง ➡️ แต่ยอมรับว่ามีการทาบทามนักวิจัยระดับสูงจริง ✅ แนวโน้มใหม่ในวงการ AI คือการเลือก “เป้าหมายร่วม” มากกว่า “ค่าตอบแทนสูงสุด” ➡️ วิศวกรบางคนต้องการสร้างเทคโนโลยีที่มีจริยธรรม ➡️ ไม่ต้องการให้ผลงานถูกใช้เพื่อโฆษณาหรือผลตอบแทนผู้ถือหุ้น ✅ Meta สามารถดึงตัวนักวิจัยจากคู่แข่งได้เพียงจำนวนน้อย แม้จะมีทรัพยากรมหาศาล ➡️ การแข่งขันด้าน AI ไม่ได้วัดกันแค่เงิน ➡️ ความเชื่อมั่นในผู้นำและเป้าหมายองค์กรกลายเป็นปัจจัยสำคัญ https://www.techspot.com/news/108917-ai-engineers-reject-meta-15-billion-offers-stay.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    AI engineers reject Meta's $1.5 billion offers to build on their own terms
    While not in the majority, many engineers are choosing to pass up unprecedented offers in favor of staying loyal to their mission, values, and the chance to...
    0 Comments 0 Shares 340 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: นักวิจัย AI กับค่าตัวระดับ NBA—เมื่อสมองกลายเป็นสินทรัพย์ที่แพงที่สุดในโลก

    Matt Deitke นักวิจัย AI วัย 24 ปี ได้รับข้อเสนอจาก Mark Zuckerberg ให้เข้าร่วมทีมวิจัย “superintelligence” ของ Meta ด้วยค่าตอบแทนสูงถึง 250 ล้านดอลลาร์ใน 4 ปี—มากกว่าสัญญาของ Steph Curry กับทีม Golden State Warriors เสียอีก

    นี่ไม่ใช่กรณีเดียว เพราะบริษัทใหญ่อย่าง Meta, Google, Microsoft และ OpenAI กำลังแข่งขันกันดึงตัวนักวิจัย AI ด้วยข้อเสนอระดับ “ไม่มีเพดานเงินเดือน” พร้อมโบนัส, หุ้น, และสิทธิพิเศษที่ฟังดูเหมือนการจีบซูเปอร์สตาร์กีฬา

    การแย่งชิงนี้เกิดจากความขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ด้าน deep learning และการสร้างระบบ AI ขั้นสูง ซึ่งต้องใช้ทั้งประสบการณ์และทรัพยากรคอมพิวเตอร์มหาศาลที่มีเพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้น

    Matt Deitke ได้รับข้อเสนอจาก Meta มูลค่า 250 ล้านดอลลาร์ใน 4 ปี เพื่อร่วมทีมวิจัย AI
    มีเงินสดถึง 100 ล้านดอลลาร์จ่ายในปีแรก
    ข้อเสนอถูกเปรียบเทียบว่าแพงกว่าสัญญานักบาส NBA

    บริษัทเทคโนโลยีใหญ่กำลังแข่งขันกันดึงตัวนักวิจัย AI ด้วยข้อเสนอระดับร้อยล้านดอลลาร์
    ไม่มีเพดานเงินเดือนเหมือนทีมกีฬา
    ใช้กลยุทธ์แบบ “เจ้าของทีม” เพื่อจีบผู้มีพรสวรรค์

    การแย่งชิงบุคลากร AI กลายเป็นปรากฏการณ์บนโซเชียลมีเดีย คล้ายช่วงซื้อขายนักกีฬา
    มีการโพสต์กราฟิกแนว ESPN เพื่อประกาศการ “ย้ายทีม”
    ผู้คนติดตามการย้ายงานของนักวิจัยเหมือนติดตามกีฬา

    นักวิจัย AI รุ่นใหม่ใช้ “เอเจนต์” และทีมที่ปรึกษาในการต่อรองค่าตอบแทน
    คล้ายกับนักกีฬาอาชีพที่มีทีมดูแลสัญญา
    มีการวางแผนกลยุทธ์เพื่อให้ได้ข้อเสนอสูงสุด

    ความขาดแคลนบุคลากรที่เชี่ยวชาญ AI ขั้นสูงเป็นแรงผลักดันให้ค่าตอบแทนพุ่งสูง
    ระบบ AI ต้องใช้ข้อมูลมหาศาลและทรัพยากรคอมพิวเตอร์ระดับสูง
    มีเพียงไม่กี่คนที่มีประสบการณ์กับระบบระดับนี้

    นักวิจัย AI ระดับสูงใน OpenAI และ Google ได้รับค่าตอบแทนเฉลี่ย 10–20 ล้านดอลลาร์ต่อปี
    รวมโบนัส, หุ้น, และสิทธิพิเศษ
    บางรายได้รับเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวเพื่อเจรจาสัญญา

    การเปิดตัว ChatGPT ในปี 2022 เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ตลาดแรงงาน AI พุ่งทะยาน
    บริษัทต่าง ๆ เร่งลงทุนเพื่อเป็นผู้นำด้าน AI
    ทำให้ความต้องการบุคลากรเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด

    บางนักวิจัยเลือกปฏิเสธข้อเสนอใหญ่เพื่อสร้างสตาร์ทอัพของตัวเอง
    ต้องการอิสระในการวิจัยและพัฒนา
    มองว่าการสร้างนวัตกรรมต้องเริ่มจากความเชื่อ ไม่ใช่เงิน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/02/ai-researchers-are-negotiating-us250mil-pay-packages-just-like-nba-stars
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: นักวิจัย AI กับค่าตัวระดับ NBA—เมื่อสมองกลายเป็นสินทรัพย์ที่แพงที่สุดในโลก Matt Deitke นักวิจัย AI วัย 24 ปี ได้รับข้อเสนอจาก Mark Zuckerberg ให้เข้าร่วมทีมวิจัย “superintelligence” ของ Meta ด้วยค่าตอบแทนสูงถึง 250 ล้านดอลลาร์ใน 4 ปี—มากกว่าสัญญาของ Steph Curry กับทีม Golden State Warriors เสียอีก นี่ไม่ใช่กรณีเดียว เพราะบริษัทใหญ่อย่าง Meta, Google, Microsoft และ OpenAI กำลังแข่งขันกันดึงตัวนักวิจัย AI ด้วยข้อเสนอระดับ “ไม่มีเพดานเงินเดือน” พร้อมโบนัส, หุ้น, และสิทธิพิเศษที่ฟังดูเหมือนการจีบซูเปอร์สตาร์กีฬา การแย่งชิงนี้เกิดจากความขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้ด้าน deep learning และการสร้างระบบ AI ขั้นสูง ซึ่งต้องใช้ทั้งประสบการณ์และทรัพยากรคอมพิวเตอร์มหาศาลที่มีเพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้น ✅ Matt Deitke ได้รับข้อเสนอจาก Meta มูลค่า 250 ล้านดอลลาร์ใน 4 ปี เพื่อร่วมทีมวิจัย AI ➡️ มีเงินสดถึง 100 ล้านดอลลาร์จ่ายในปีแรก ➡️ ข้อเสนอถูกเปรียบเทียบว่าแพงกว่าสัญญานักบาส NBA ✅ บริษัทเทคโนโลยีใหญ่กำลังแข่งขันกันดึงตัวนักวิจัย AI ด้วยข้อเสนอระดับร้อยล้านดอลลาร์ ➡️ ไม่มีเพดานเงินเดือนเหมือนทีมกีฬา ➡️ ใช้กลยุทธ์แบบ “เจ้าของทีม” เพื่อจีบผู้มีพรสวรรค์ ✅ การแย่งชิงบุคลากร AI กลายเป็นปรากฏการณ์บนโซเชียลมีเดีย คล้ายช่วงซื้อขายนักกีฬา ➡️ มีการโพสต์กราฟิกแนว ESPN เพื่อประกาศการ “ย้ายทีม” ➡️ ผู้คนติดตามการย้ายงานของนักวิจัยเหมือนติดตามกีฬา ✅ นักวิจัย AI รุ่นใหม่ใช้ “เอเจนต์” และทีมที่ปรึกษาในการต่อรองค่าตอบแทน ➡️ คล้ายกับนักกีฬาอาชีพที่มีทีมดูแลสัญญา ➡️ มีการวางแผนกลยุทธ์เพื่อให้ได้ข้อเสนอสูงสุด ✅ ความขาดแคลนบุคลากรที่เชี่ยวชาญ AI ขั้นสูงเป็นแรงผลักดันให้ค่าตอบแทนพุ่งสูง ➡️ ระบบ AI ต้องใช้ข้อมูลมหาศาลและทรัพยากรคอมพิวเตอร์ระดับสูง ➡️ มีเพียงไม่กี่คนที่มีประสบการณ์กับระบบระดับนี้ ✅ นักวิจัย AI ระดับสูงใน OpenAI และ Google ได้รับค่าตอบแทนเฉลี่ย 10–20 ล้านดอลลาร์ต่อปี ➡️ รวมโบนัส, หุ้น, และสิทธิพิเศษ ➡️ บางรายได้รับเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวเพื่อเจรจาสัญญา ✅ การเปิดตัว ChatGPT ในปี 2022 เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ตลาดแรงงาน AI พุ่งทะยาน ➡️ บริษัทต่าง ๆ เร่งลงทุนเพื่อเป็นผู้นำด้าน AI ➡️ ทำให้ความต้องการบุคลากรเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ✅ บางนักวิจัยเลือกปฏิเสธข้อเสนอใหญ่เพื่อสร้างสตาร์ทอัพของตัวเอง ➡️ ต้องการอิสระในการวิจัยและพัฒนา ➡️ มองว่าการสร้างนวัตกรรมต้องเริ่มจากความเชื่อ ไม่ใช่เงิน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/02/ai-researchers-are-negotiating-us250mil-pay-packages-just-like-nba-stars
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AI researchers are negotiating US$250mil pay packages. Just like NBA stars
    They have been aided by scarcity: Only a small pool of people have the technical know-how and experience to work on advanced artificial intelligence systems.
    0 Comments 0 Shares 421 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากแนวหน้าไซเบอร์: เมื่อ CISO ต้องลดงบแต่ยังต้องป้องกันองค์กร

    David Mahdi อดีต CISO และที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยของ Transmit Security เคยเผชิญกับการตัดงบกลางปีแบบไม่ทันตั้งตัวจากแรงกดดันหลายด้าน ทั้งหนี้เทคโนโลยีเก่า ตลาดผันผวน และภูมิรัฐศาสตร์ เขาเรียนรู้ว่า “การลดแบบบาง ๆ ทุกส่วน” เป็นกับดักที่สร้างความเปราะบางโดยไม่รู้ตัว

    เขาเสนอกรอบการตัดสินใจ 3 มิติ:
    - ความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์: ถ้าควบคุมล้มเหลว จะเกิดอะไรขึ้น?
    - การสอดคล้องกับธุรกิจ: สิ่งนี้ช่วยสร้างรายได้ ความไว้วางใจ หรือการปฏิบัติตามกฎหมายหรือไม่?
    - สิ่งที่ควรตัดทันที: เครื่องมือซ้ำซ้อนหรือ “ละครความปลอดภัย” ที่ดูดีแต่ไม่มีผลจริง

    CISO ที่มีประสิทธิภาพจะใช้ทีมข้ามสายงานร่วมกันประเมิน และใช้ข้อมูลจริงในการตัดสินใจ ไม่ใช่แค่ความรู้สึกหรือภาพลวงตา

    CISOs เผชิญกับการตัดงบประมาณในปี 2024–2025
    1 ใน 8 รายงานว่าถูกลดงบ
    เกือบ 1 ใน 3 บอกว่างบไม่เพียงพอ

    งบประมาณส่วนใหญ่ใช้กับบุคลากรและซอฟต์แวร์
    37% ไปที่เงินเดือนและค่าตอบแทน
    23% สำหรับซอฟต์แวร์นอกองค์กร
    4% เท่านั้นสำหรับการฝึกอบรม

    แนวทางลดงบโดยไม่ลดความปลอดภัย2
    ตัดเครื่องมือซ้ำซ้อน
    ใช้โอเพ่นซอร์สหรือพัฒนาเอง
    ปรับปรุงกระบวนการแทนการพึ่งเครื่องมือ
    พักโครงการทดลองที่ไม่เร่งด่วน

    CISO ที่ดีต้องเป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์ ไม่ใช่แค่ผู้เชี่ยวชาญเทคนิค
    สื่อสารกับผู้บริหารเรื่อง ROI ของความปลอดภัย
    สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กร
    ใช้ AI อย่างมีกรอบกำกับและจริยธรรม

    การประเมินควรใช้ข้อมูลจริง ไม่ใช่ความรู้สึกหรือภาพลวงตา
    ความมั่นใจของผู้บริหารมักสูงกว่าความเป็นจริง
    ผู้ปฏิบัติงานเห็นปัญหาเช่น alert fatigue และระบบเก่า

    https://www.csoonline.com/article/4029274/how-cisos-can-scale-down-without-compromising-security.html
    🧠 เรื่องเล่าจากแนวหน้าไซเบอร์: เมื่อ CISO ต้องลดงบแต่ยังต้องป้องกันองค์กร David Mahdi อดีต CISO และที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยของ Transmit Security เคยเผชิญกับการตัดงบกลางปีแบบไม่ทันตั้งตัวจากแรงกดดันหลายด้าน ทั้งหนี้เทคโนโลยีเก่า ตลาดผันผวน และภูมิรัฐศาสตร์ เขาเรียนรู้ว่า “การลดแบบบาง ๆ ทุกส่วน” เป็นกับดักที่สร้างความเปราะบางโดยไม่รู้ตัว เขาเสนอกรอบการตัดสินใจ 3 มิติ: - ความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์: ถ้าควบคุมล้มเหลว จะเกิดอะไรขึ้น? - การสอดคล้องกับธุรกิจ: สิ่งนี้ช่วยสร้างรายได้ ความไว้วางใจ หรือการปฏิบัติตามกฎหมายหรือไม่? - สิ่งที่ควรตัดทันที: เครื่องมือซ้ำซ้อนหรือ “ละครความปลอดภัย” ที่ดูดีแต่ไม่มีผลจริง CISO ที่มีประสิทธิภาพจะใช้ทีมข้ามสายงานร่วมกันประเมิน และใช้ข้อมูลจริงในการตัดสินใจ ไม่ใช่แค่ความรู้สึกหรือภาพลวงตา ✅ CISOs เผชิญกับการตัดงบประมาณในปี 2024–2025 ➡️ 1 ใน 8 รายงานว่าถูกลดงบ ➡️ เกือบ 1 ใน 3 บอกว่างบไม่เพียงพอ ✅ งบประมาณส่วนใหญ่ใช้กับบุคลากรและซอฟต์แวร์ ➡️ 37% ไปที่เงินเดือนและค่าตอบแทน ➡️ 23% สำหรับซอฟต์แวร์นอกองค์กร ➡️ 4% เท่านั้นสำหรับการฝึกอบรม ✅ แนวทางลดงบโดยไม่ลดความปลอดภัย2 ➡️ ตัดเครื่องมือซ้ำซ้อน ➡️ ใช้โอเพ่นซอร์สหรือพัฒนาเอง ➡️ ปรับปรุงกระบวนการแทนการพึ่งเครื่องมือ ➡️ พักโครงการทดลองที่ไม่เร่งด่วน ✅ CISO ที่ดีต้องเป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์ ไม่ใช่แค่ผู้เชี่ยวชาญเทคนิค ➡️ สื่อสารกับผู้บริหารเรื่อง ROI ของความปลอดภัย ➡️ สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กร ➡️ ใช้ AI อย่างมีกรอบกำกับและจริยธรรม ✅ การประเมินควรใช้ข้อมูลจริง ไม่ใช่ความรู้สึกหรือภาพลวงตา ➡️ ความมั่นใจของผู้บริหารมักสูงกว่าความเป็นจริง ➡️ ผู้ปฏิบัติงานเห็นปัญหาเช่น alert fatigue และระบบเก่า https://www.csoonline.com/article/4029274/how-cisos-can-scale-down-without-compromising-security.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    How CISOs can scale down without compromising security
    When budget cuts hit, CISOs face tough choices. But clear priorities, transparency, and a focus on people and processes can help them navigate the moment.
    0 Comments 0 Shares 282 Views 0 Reviews


  • ..จริงๆแล้วทั้งหมดคือการมีอยู่ของกสทช.เรา
    ..กสทช.ต้องถูกปฏิวัติ
    ..อนาคตคือยุคล้ำเทคโนโลยีมากมายแต่กระบวนการ กสทช.ยังไม่พัฒนาอะไรเลย,ไม่มีส่วนร่วมในการปกป้องประชาชนคนไทยเลย,ยุคเก่าแล้วนั้นเอง,ไม่ต่างจากแบงค์ชาติก่อตั้งมาเพื่อสนับสนุนธนาคารเอกชนทั้งหมดในประเทศไทยแต่อ้างประชาชนบังหน้า ควบคุมธนาคารเอกชนเพื่อปกป้องผลประโยชน์ประชาชนแต่สภาพความเป็นจริงด้วยแบงค์แค่อนุญาตการขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ในภาวะวิกฤติการเงินกระทบทั่วโลกชัดเชน ธนาคารไทยฟันกำไรดอกเบี้ยแต่ละธนาคารหมื่นล้านบาทเป็นอย่างน้อย แสนล้านบาทภาพรวมกลุ่มแบงค์ยิ่งชัดเจน,คือก่อกำเนิดมาเพื่อเป็นกลไลเครื่องมือให้เอกชนหากกินให้ชอบธรรมแค่นั้นผ่านใบอนุญาตนี้,ยกสิทธิผูกขาดของชาติให้เอกชน,จากนั้นก็บอกประชาชนว่า ห้ามใครมาแข่งขันใดๆอีกโดยไม่มีใบอนุญาต,ธนาคารกองทุนหมู่บ้านก็ไม่ได้เกิด,เกิดแบบธนาคารชุมชนผีบ้าต่างๆแบบธกส.ออมสินคุมหลังฉากก็ใช่ไม่ได้,แค่ร้านค้ากองทุนหมู่บ้านหากต่อยอดพัฒนาดีๆรัฐสนับสนุนช่วยเป็นพี่เลี้ยงวางระบบงานวางเทคโนโลยีช่วยให้สะดวกสบายซื้อขายคล่องจะล้ำกว่า7/11อีก ประชาชนในหมู่บ้านนั้นๆมีตลาดร้านค้าตนเองฝากขายทั่วไทยได้,สร้างระบบฝากขายออนไลน์มีโชว์เรียลไทม์ในร้านค้าออนไลน์ของกองทุนหมู่บ้านทั่วประเทศไทยได้ มี80,000หมู่บ้าน ก็80,000สาขาขายออนไลน์ผ่านหมู่บ้านใครมันได้โดยเข้าระบบสมาชิกผ่านบัตรประชาชนลงทะเบียนการมีตัวตนชัดเจน,พื้นที่จริงออฟไลน์วางขายไม่สะดวก ฝากขายเป็
    นหมวดหมู่บนตลาดออนไลน์ได้ผ่านแพลนฟอร์มตลาดชุมชนตนเหมือนช็อปปี้ ลาซาด้า ติ๊กต๊อกไลน์สดขายของฟรีๆก็ได้,มียอดสั่งซื้อก็ให้ร้านค้ากองทุนหมู่บ้านต่างๆรับรองมาตราฐานสินค้าเบื้องต้นส่งผ่านในนามร้านค้ากองทุนหมู่บ้านตนนั้นๆ ซึ่งร้านค้ากองทุนหมู่บ้านใครมันจะสร้างแผนกฝ่ายนี้แยกต่างหากจากหน้าร้านเดิมปกติที่คนในหมู่บ้านเข้าร้านซื้อขายของปกติ,มีพื้นที่ให้บริการอำนวยความสะดวกสบายแก่ค้าขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์นี้นั้นเอง,หรือใครสะดวกทำเองที่บ้านก็ได้เครดิตมากน้อยในค่าตอบแทน ใครขนส่งผ่านจุดบริการที่สำนักงานกองทุนร้านค้าชุมชนหมู่บ้านก็เครดิตค่าใช้จ่ายมากหน่อยเพราะให้บริการคนมากมายส่วนรวม,ใครอำนวยสะดวกลูกค้าตนแทนสำนักงานก็ต้องส่งเสริมให้ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหน่อย.ช่วยค่าใช้จ่ายด้านขนส่งบรรจุภัณฑ์ไป,ชาวบ้านจะมีตลาดเป็นของตนเองจริง เม็ดเงินหมุนเวียนในชุมชนแต่ละบ้านขั้นต่ำวันละ100,000บาทโดยเฉลี่ย,80,000หมู่บ้านก็อาจกว่า8,000ล้านบาทต่อวันทั่วประเทศเฉพาะซื้อขายจับจ่ายใช้จ่ายภาคการบริโภคครัวเรือนในร้านค้าชุมชนตนใครมันในแต่ละพื้นที่,ไม่ต้องเข้าห้างเข้า7/11ก็ได้,หันไปซื้อสินค้าราคาทุนผ่านกองทุนร้านค้าตนเองแต่ละหมู่บ้านใครมัน,กำหนดนโยบายหลักให้ชัดเจนว่าขายต่ำกว่าราคาท้องตลาด ยาสีฟันปกติร้านทั่วไปตามห้างตาม7/11ขายหลอดละ10-20บาท ร้านกองทุนหมู่บ้านก็ขายหลอดละ9หรือ19บาท,ยาหม่องตลับเล็กขายตลับละ8บาทก็ขายตลับละ7บาท เป็นต้น,กำไร1สตางค์จะเป็นอะไร,กองทุนร้านค้าชุมชนไม่มุ่งแสวงหากำไรปุ๊บ!!!,ชาวบ้านจะคิดต่างทันทีดีกว่า7/11ก็หันมาสนับสนุนร้านค้าตนเองแทน,นี้ไม่รวมยอดรายได้จากค้าขายออนไลน์บนแพลตฟอร์มของกองทุนร้านค้าชุมชนอีก,การวางระบบ การเป็นพี่เลี้ยงจากรัฐบาลจึงสำคัญหากรัฐบาลมองอย่างจริงใจว่าคนไทยเราต้องพึ่งพาตนเองสามัคคีกันทั่วไทยให้ได้ ตลาดอีคอมเมิร์ซผ่านค้าขายออนไลน์ในเน็ตมีส่วนแบ่งการตลาดดีมาก ทั่วโลกกว่า25-50ล้านล้านเหรียญ,ประเทศไทยนำโดยกองทุนร้านค้าชุมชนหมู่บ้านอาจเป็นผู้นำในไทยตนเองแทนแพลตฟอร์มลาซาด้า ซ็อปปี้ ติ๊กต๊อก อะลีบาบา เตมูหลอกลวงนั้นอีก เราสามารถกำหนดมาตราฐานของชุมชนควบคุมสินค้าไปในตัวด้วย,ชุมชนใดส่งมอบสินค้าไม่ดี เราสามารถแจ้งเตือนปรับปรุงจรรโลงตลาดเราได้ ส่วนแบ่งรวมทั้งค้่ขายออนไลน์ในประเทศและต่างประเทศเราอาจมำได้กว่า10-20ล้านล้านเหรียญจากยอดสั่งซื้อจากทั่วโลกได้,อาทิ ทุเรียนไทย ส่งขายตรงผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์กองทุนร้านค้าหมู่บ้านชุมชน ยอดค้าปลีกในหมู่บ้านนั้นๆอาจส่งออกทั่วโลกถึงวันละ1,000ล้านบาทก็ได้ จังหวัดนั้นๆแพ็คขายตรงถึงมือลูกค้าอาจกว่า10,000ล้านบาทต่อวันก็ได้กระจายไปทั่วโลกคนละ1กก.คนละลูกตามคำสั่งซื้อตรงผ่านแพลตฟอร์มเรา,
    ..ในส่วนรัฐบาลที่ดีมีโครงการเงินทุนสัมมาสร้างอาชีพก็อัดตรงลงที่สำนักงานกองทุนร้านค้าชุมชนหมู่บ้านนั้นๆทางตรงก็ได้เช่น งบลงไปให้ชาวบ้านสร้างอาชีพไม่ต้องผ่านธนาคารของรัฐวิสาหกิจหรือธนาคารของเอกชนใดๆ ให้หมู่บ้านชุมชนนั้นๆละ10ล้านบาท นำไปปล่อยยืมสร้างอาชีพห้ามเก็บดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมใดๆกับประชาชนชาวบ้านปีแรกอาจลงงบฯไป10,000หมู่บ้านก่อน,ปีละ10,000หมู่บ้านๆละ10ล้านบาทก็100,000ล้านบาทต่อปี,8ปีก็80,000หมู่บ้านคือ800,000ล้านบาทและ800,000ล้านบาทนี้ก็หมุนเวียนในชุมชนจริงด้วยมิใช้เข้าห้างเข้า7/11 เป็นต้น ต่อเงินอาจได้กว่า8ล้านล้านบาทในสัมมาอาชีพที่รัฐบาลช่วยทุนสัมมาอาชีพนั้น เช่นบางคนได้ตังจากหมู่บ้านตนปล่อยยืมคนละ100,000บาทไร้ดอกเบี้ยมีกำลังพอควรสร้างอาชีพทุนพอดี ช่วยได้หมู่บ้านละ100คนในชุดนั้นปีต่อมาเขาคืนทุนทำกำไร ทั้งค้าขายเอง ค้าขายออนไลน์กับค้าขายเปิดหน้าร้านด้วย ขายฝากร้านค้าชุมชนในหมู่บ้านที่เป็นสถานที่หน้าร้านจริงอีก,มีคำสั่งซื้อเข้ามาช่วยหลายทาง เช่นขายขนมต่างๆทำมมีรายได้ต่อเดือนอาจ5-6หมื่นบาท กำไร3-4หมื่นบาท 1ปี3-4แสนบาทเป็นต้น,ทุกๆคนสมมุติคืนทุนได้แน่นอนปีแรก,ปีต่อไป คนที่เหลือสามารถยืมฟรีๆต่อได้อีกในทุน10ล้านบาทนั้น,หมู่บ้านหนึ่งอาจมี4-5ร้อยครัวเรือนแค่นั้น บางหมู่บ้านมีไม่ถึง200ครัวเรือน ก็แค่2รอบครบกันหมด,หมุนเวียนได้ตลอด,ในชุมชน,จะซื้ออะไรก็ใช้จ่ายแค่ร้านค้ากองทุนหมู่บ้านตน ไม่ฝากตังที่ธนาคารเอกชน ธนาคารรัฐ ฝากกันในกองทุนร้านค้าชุมชนตนนั้นล่ะ ถอน-ฝากตรงในชุมชนตนเองเลยโดยมีรัฐอำนวยวิธีการบริหารจัดการให้เป็นระบบระเบียน,หมู่บ้านหนึ่งอาจกว่า1,000ล้านบาทต่อเดือนของรายได้เข้าชุมชนเช่นขายทุเรียนผลไม้พืชผัก,รัฐมีสำนักงานใหญ่ดูแลระบบช่วยเหลือประชาชน จ้างโดยรัฐบาลพี่เลี้ยงก่อน,เงินมหาศาลจากการค้าขายการฝากออมจะไหลไปรวมก็ศูนย์กลางสำนักงานใหญ่ทันทีกว่าล้านล้านบาทต่อวัน,สำนักงานใหญ่สามารถบริหารจัดการสภาพคล่องกระแสเงินนั้นสบานมากๆ,บริหารจัดการเงินทุนช่วยสร้างอาชีพสร้างรายได้แก่ประชาชนได้สบายอย่างแท้จริง,ติดขัดอะไรเห็นปัญหา สามารถเชื่อมประสานงานแก้ไขได้ผ่านกระบวนการกลไกอำนาจรัฐ,เน็ตมีปัญหา ตรงดิ่งไปกสทช.เอาคลื่นความถี่ฟรีๆมาให้บริการประชาชนโซนเรานี้,จากนั้นประชาชนแค่ลงทะเบียนด้วยบัตรประชาชนยืนยันการใช้งานและความเป็นคนไทยสามารถใช้เครือข่ายโทรฟรีเน็ตฟรีเพื่อส่งเสริมสนับสัมมาอาชีพค้าขายพึ่งพาตนเองได้,มีทุนมากหน่อยลงมติ ร่วมบริจาคสร้างดาวเทียมเน็ตฟรีๆก็ได้หรือรัฐฐะมีหน้าที่ตรงต้องสร้างมาสนับสนุนสัมมาอาชีพประชาชนและวิถีชีวิตประชาชนมิใช่ช่วยเหลือเอกชนประกอบอาชีพค้ากำไรต่อประชาชนให้ไปใช้บริการมัน,
    ..กสทช.ก็ตาม แบงค์ชาติก็ตาม ทั้งหมดเสมือนก่อเกิดขึ้นมาเพื่อส่งเสริมอาชีพเอกชนมาค้ารายได้กำไรจากประชาชนโดยอ้างการให้บริการแก่ประชาชนต้องมีการแลกเปลี่ยนจ่ายค่าให้บริการมาก็ว่า,ธนาคารได้ดอกเบี้ยจากการปล่อยกู้ ค่ายมือถือได้ตังจากค่าเน็ตค่าโทรค่าใช้บริการสาระพัดมุกที่จะมีโปรโมชั่นจากค่ายมือถือมาดูดตังจากประชาชน,ทั้งจากเดอะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ด้วย โทรมาโชว์แต่เบอร์ ไม่เคยปรับปรุงว่า 1เบอร์มือถือ 1เลขหมายโทรศัพท์ตือ1บัตรประชาชนเท่านั่น,ระบบต้องโชว์ชื่อโชว์นามสกุลของคนโทรเข้ามาอัตโนมัติด้วย มิใช่โชว์แค่เบอร์ในปัจจุบัน.,ห้ามคนไทยทุดๆคนมีเลขหมายโทรศัพท์เกิน1เบอร์,ส่วนเปิดกิจการค้าขายต้องเงื่อนไขต่างหาก,นี้สามารถตัดตอนเดอะแก๊งชั่วเลวแบบคอลเซ็นเตอร์ได้ทันที,ร่วมถึงธนาคารต้องห้ามคนไทยมีบัญชีธนาคารเกิน1บัญชีต่อ1บัตรประชาชนด้วย มรึงจะมีตังเกิน1ล้านล้านบาทก็มีได้แค่1บัญชี ไม่สามารถฟอกตังฟอกเงินได้ตัดตอนได้อีก,,นี้คือการปกครองที่ซื่อสัตย์สุจริตโปร่งใส่ของจริงด้วย,ต่างชาติใดๆจะมาเยือนประเทศไทย,ในกรณีประชาชนทั่วไป ต้องรวมรวบสถานะการเงินเป็นบัญชีเดียวทั้งหมดเช่นกันก่อนเข้าประเทศไทย,ป้องกันการฟอกเงินข้ามชาติได้ด้วย,สามารถเชื่อมโยงคริปโตโทเคนได้ด้วยในการแจ้งสถานะมูลค่าถือครองมีในครอบครองนั้นก่อนเข้าประเทศไทยทุกๆกรณีด้วย,บริษัทกิจการใดจะมาลงทุนประเทศไทยต้องรวมสถานะการเงินเป็นบัญชีเดียวทั้งหมดให้ชัดเจนนั้นเอง,ตัดตอนการทุจริตการฟอกเงินทันทีด้วยหรือนัยยะบ่อนทำลายประเทศไทยก็ด้วย,ทั้งหมดที่ผ่านมาเป็นกิจกรรมที่ไม่โปร่งใสทั้งหมด อำนวยอาชญากรอาชญากรรมสาระพัดรูปแบบได้หมด,ปกปิดการเคลื่อนไหวสถานะการเงินนั้นเอง,เงินสามารถจ้างอาชญากรใดๆทั่วโลกได้ ค้าอาวุธค้ายาค้ามนุษย์ได้ และพวกนี้จะกระจายเม็ดเงินกันด้วย,แบงค์ชาติและแบงค์เอกชนเห็นสิ่งนี้หมดแต่ก็เปิดช่องให้คนชั่วเลวนี้ถึงปัจจุบัน,
    ..ในมิติกสทช.คงเห็น1บัตรประชาชน 1เบอร์โทรศัพท์ได้ยาก,การค้าซิมของค่ายมือถือคือบ่อเกิดความหายนะต่อประชาชนตนภายในประเทศ,จำเป็นอะไรที่ประชาชนต้องมีมากกว่า1เบอร์โทรศัพท์,นอกจากมิจฉาชีพจะชอบใช้ก่ออาชญากรรมแล้วทิ้งมิให้มีหลักฐานแค่นั้น,และสะดวกสบายด้วย ต่างจาก1บัตรประชาชน 1เบอร์โทรศัพท์ ล็อกตัวได้ง่าย ระบุที่ตั้งตัวตนคนนั้นได้ชัดเจน แบบเขมรเดอะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็อ้างเบอร์นั้นนี้มาทำชั่วเลวแทบไม่ได้เลย,โทรมาจากเขมรก็โชว์ว่ามาจากเขมรทันทีได้,เพราะยกเลิกซิม ใช้บัตรประชาชนใครมันคือเบอร์มือถือใครมันจริงนั้นเอง.กสทช.ไม่เคยปรับปรุงตนเองเลย อย่างเดียวที่ทำคือประมูลคลื่นความถี่.,ไม่คิดอ่านว่าคลื่นสาธารณะแผ่นดินนี้ประชาชนคนไทยสมควรใช้บริการฟรีๆเพื่ออัพเรเวลคุณภาพชีวิตคนไทยได้แล้ว,ไลน์ก็ใช้เน็ตติดต่อเรื่องราวระหว่างครูกับผู้ปกครองหรือนักเรียนกับครูๆ,ซิมก็ซื้ออายุเวลาซิมอีกมิใช่ตลอดชีพ ให้มือถือเก็บตังรีดไถ่เก็บส่วยในมุกรักษาอายุซิมก็ว่าตลอด,ค่าเน็ตก็แพง ผูกขาดไม่กี่เจ้าอีก,ทหารยึดอำนาจ ยึดคลื่นจากค่ายมือถือยุบกสทช.ด้วยก็ดี.ไร้ประโยชน์จริงๆ,ทำเองดีกว่า ตั้งหน่วยงานใหม่รับผิดชอบเน็ตคนไทยเลย,ประเทศไทยเลอะเทอะมากพอแล้ว,คืนค่าโรงงานทั้งหมดคืนค่าประเทศไทยทั้งหมดยึดคืนมากเป็นของคนไทยทั้งหมดเหมือนเดิมเพื่อก้าวเดินในวิถีโลกยุคใหม่นี้จริงๆ,ไม่ล้างระบบเก่า จะสร้างใหม่ได้อย่างไร,บ้านใหม่บรแผ่นดินเดิมเรา,บ้านนี้ผุพังเป็นอันมากปลวกมดสัตว์เลื้อยคลานอาศัยอยู่เป็นอันมาก,พังพินาศไส้ในสิ้นดี.

    https://youtube.com/watch?v=7wwuNRyzL4c&feature=shared
    ..จริงๆแล้วทั้งหมดคือการมีอยู่ของกสทช.เรา ..กสทช.ต้องถูกปฏิวัติ ..อนาคตคือยุคล้ำเทคโนโลยีมากมายแต่กระบวนการ กสทช.ยังไม่พัฒนาอะไรเลย,ไม่มีส่วนร่วมในการปกป้องประชาชนคนไทยเลย,ยุคเก่าแล้วนั้นเอง,ไม่ต่างจากแบงค์ชาติก่อตั้งมาเพื่อสนับสนุนธนาคารเอกชนทั้งหมดในประเทศไทยแต่อ้างประชาชนบังหน้า ควบคุมธนาคารเอกชนเพื่อปกป้องผลประโยชน์ประชาชนแต่สภาพความเป็นจริงด้วยแบงค์แค่อนุญาตการขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ในภาวะวิกฤติการเงินกระทบทั่วโลกชัดเชน ธนาคารไทยฟันกำไรดอกเบี้ยแต่ละธนาคารหมื่นล้านบาทเป็นอย่างน้อย แสนล้านบาทภาพรวมกลุ่มแบงค์ยิ่งชัดเจน,คือก่อกำเนิดมาเพื่อเป็นกลไลเครื่องมือให้เอกชนหากกินให้ชอบธรรมแค่นั้นผ่านใบอนุญาตนี้,ยกสิทธิผูกขาดของชาติให้เอกชน,จากนั้นก็บอกประชาชนว่า ห้ามใครมาแข่งขันใดๆอีกโดยไม่มีใบอนุญาต,ธนาคารกองทุนหมู่บ้านก็ไม่ได้เกิด,เกิดแบบธนาคารชุมชนผีบ้าต่างๆแบบธกส.ออมสินคุมหลังฉากก็ใช่ไม่ได้,แค่ร้านค้ากองทุนหมู่บ้านหากต่อยอดพัฒนาดีๆรัฐสนับสนุนช่วยเป็นพี่เลี้ยงวางระบบงานวางเทคโนโลยีช่วยให้สะดวกสบายซื้อขายคล่องจะล้ำกว่า7/11อีก ประชาชนในหมู่บ้านนั้นๆมีตลาดร้านค้าตนเองฝากขายทั่วไทยได้,สร้างระบบฝากขายออนไลน์มีโชว์เรียลไทม์ในร้านค้าออนไลน์ของกองทุนหมู่บ้านทั่วประเทศไทยได้ มี80,000หมู่บ้าน ก็80,000สาขาขายออนไลน์ผ่านหมู่บ้านใครมันได้โดยเข้าระบบสมาชิกผ่านบัตรประชาชนลงทะเบียนการมีตัวตนชัดเจน,พื้นที่จริงออฟไลน์วางขายไม่สะดวก ฝากขายเป็ นหมวดหมู่บนตลาดออนไลน์ได้ผ่านแพลนฟอร์มตลาดชุมชนตนเหมือนช็อปปี้ ลาซาด้า ติ๊กต๊อกไลน์สดขายของฟรีๆก็ได้,มียอดสั่งซื้อก็ให้ร้านค้ากองทุนหมู่บ้านต่างๆรับรองมาตราฐานสินค้าเบื้องต้นส่งผ่านในนามร้านค้ากองทุนหมู่บ้านตนนั้นๆ ซึ่งร้านค้ากองทุนหมู่บ้านใครมันจะสร้างแผนกฝ่ายนี้แยกต่างหากจากหน้าร้านเดิมปกติที่คนในหมู่บ้านเข้าร้านซื้อขายของปกติ,มีพื้นที่ให้บริการอำนวยความสะดวกสบายแก่ค้าขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์นี้นั้นเอง,หรือใครสะดวกทำเองที่บ้านก็ได้เครดิตมากน้อยในค่าตอบแทน ใครขนส่งผ่านจุดบริการที่สำนักงานกองทุนร้านค้าชุมชนหมู่บ้านก็เครดิตค่าใช้จ่ายมากหน่อยเพราะให้บริการคนมากมายส่วนรวม,ใครอำนวยสะดวกลูกค้าตนแทนสำนักงานก็ต้องส่งเสริมให้ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหน่อย.ช่วยค่าใช้จ่ายด้านขนส่งบรรจุภัณฑ์ไป,ชาวบ้านจะมีตลาดเป็นของตนเองจริง เม็ดเงินหมุนเวียนในชุมชนแต่ละบ้านขั้นต่ำวันละ100,000บาทโดยเฉลี่ย,80,000หมู่บ้านก็อาจกว่า8,000ล้านบาทต่อวันทั่วประเทศเฉพาะซื้อขายจับจ่ายใช้จ่ายภาคการบริโภคครัวเรือนในร้านค้าชุมชนตนใครมันในแต่ละพื้นที่,ไม่ต้องเข้าห้างเข้า7/11ก็ได้,หันไปซื้อสินค้าราคาทุนผ่านกองทุนร้านค้าตนเองแต่ละหมู่บ้านใครมัน,กำหนดนโยบายหลักให้ชัดเจนว่าขายต่ำกว่าราคาท้องตลาด ยาสีฟันปกติร้านทั่วไปตามห้างตาม7/11ขายหลอดละ10-20บาท ร้านกองทุนหมู่บ้านก็ขายหลอดละ9หรือ19บาท,ยาหม่องตลับเล็กขายตลับละ8บาทก็ขายตลับละ7บาท เป็นต้น,กำไร1สตางค์จะเป็นอะไร,กองทุนร้านค้าชุมชนไม่มุ่งแสวงหากำไรปุ๊บ!!!,ชาวบ้านจะคิดต่างทันทีดีกว่า7/11ก็หันมาสนับสนุนร้านค้าตนเองแทน,นี้ไม่รวมยอดรายได้จากค้าขายออนไลน์บนแพลตฟอร์มของกองทุนร้านค้าชุมชนอีก,การวางระบบ การเป็นพี่เลี้ยงจากรัฐบาลจึงสำคัญหากรัฐบาลมองอย่างจริงใจว่าคนไทยเราต้องพึ่งพาตนเองสามัคคีกันทั่วไทยให้ได้ ตลาดอีคอมเมิร์ซผ่านค้าขายออนไลน์ในเน็ตมีส่วนแบ่งการตลาดดีมาก ทั่วโลกกว่า25-50ล้านล้านเหรียญ,ประเทศไทยนำโดยกองทุนร้านค้าชุมชนหมู่บ้านอาจเป็นผู้นำในไทยตนเองแทนแพลตฟอร์มลาซาด้า ซ็อปปี้ ติ๊กต๊อก อะลีบาบา เตมูหลอกลวงนั้นอีก เราสามารถกำหนดมาตราฐานของชุมชนควบคุมสินค้าไปในตัวด้วย,ชุมชนใดส่งมอบสินค้าไม่ดี เราสามารถแจ้งเตือนปรับปรุงจรรโลงตลาดเราได้ ส่วนแบ่งรวมทั้งค้่ขายออนไลน์ในประเทศและต่างประเทศเราอาจมำได้กว่า10-20ล้านล้านเหรียญจากยอดสั่งซื้อจากทั่วโลกได้,อาทิ ทุเรียนไทย ส่งขายตรงผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์กองทุนร้านค้าหมู่บ้านชุมชน ยอดค้าปลีกในหมู่บ้านนั้นๆอาจส่งออกทั่วโลกถึงวันละ1,000ล้านบาทก็ได้ จังหวัดนั้นๆแพ็คขายตรงถึงมือลูกค้าอาจกว่า10,000ล้านบาทต่อวันก็ได้กระจายไปทั่วโลกคนละ1กก.คนละลูกตามคำสั่งซื้อตรงผ่านแพลตฟอร์มเรา, ..ในส่วนรัฐบาลที่ดีมีโครงการเงินทุนสัมมาสร้างอาชีพก็อัดตรงลงที่สำนักงานกองทุนร้านค้าชุมชนหมู่บ้านนั้นๆทางตรงก็ได้เช่น งบลงไปให้ชาวบ้านสร้างอาชีพไม่ต้องผ่านธนาคารของรัฐวิสาหกิจหรือธนาคารของเอกชนใดๆ ให้หมู่บ้านชุมชนนั้นๆละ10ล้านบาท นำไปปล่อยยืมสร้างอาชีพห้ามเก็บดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมใดๆกับประชาชนชาวบ้านปีแรกอาจลงงบฯไป10,000หมู่บ้านก่อน,ปีละ10,000หมู่บ้านๆละ10ล้านบาทก็100,000ล้านบาทต่อปี,8ปีก็80,000หมู่บ้านคือ800,000ล้านบาทและ800,000ล้านบาทนี้ก็หมุนเวียนในชุมชนจริงด้วยมิใช้เข้าห้างเข้า7/11 เป็นต้น ต่อเงินอาจได้กว่า8ล้านล้านบาทในสัมมาอาชีพที่รัฐบาลช่วยทุนสัมมาอาชีพนั้น เช่นบางคนได้ตังจากหมู่บ้านตนปล่อยยืมคนละ100,000บาทไร้ดอกเบี้ยมีกำลังพอควรสร้างอาชีพทุนพอดี ช่วยได้หมู่บ้านละ100คนในชุดนั้นปีต่อมาเขาคืนทุนทำกำไร ทั้งค้าขายเอง ค้าขายออนไลน์กับค้าขายเปิดหน้าร้านด้วย ขายฝากร้านค้าชุมชนในหมู่บ้านที่เป็นสถานที่หน้าร้านจริงอีก,มีคำสั่งซื้อเข้ามาช่วยหลายทาง เช่นขายขนมต่างๆทำมมีรายได้ต่อเดือนอาจ5-6หมื่นบาท กำไร3-4หมื่นบาท 1ปี3-4แสนบาทเป็นต้น,ทุกๆคนสมมุติคืนทุนได้แน่นอนปีแรก,ปีต่อไป คนที่เหลือสามารถยืมฟรีๆต่อได้อีกในทุน10ล้านบาทนั้น,หมู่บ้านหนึ่งอาจมี4-5ร้อยครัวเรือนแค่นั้น บางหมู่บ้านมีไม่ถึง200ครัวเรือน ก็แค่2รอบครบกันหมด,หมุนเวียนได้ตลอด,ในชุมชน,จะซื้ออะไรก็ใช้จ่ายแค่ร้านค้ากองทุนหมู่บ้านตน ไม่ฝากตังที่ธนาคารเอกชน ธนาคารรัฐ ฝากกันในกองทุนร้านค้าชุมชนตนนั้นล่ะ ถอน-ฝากตรงในชุมชนตนเองเลยโดยมีรัฐอำนวยวิธีการบริหารจัดการให้เป็นระบบระเบียน,หมู่บ้านหนึ่งอาจกว่า1,000ล้านบาทต่อเดือนของรายได้เข้าชุมชนเช่นขายทุเรียนผลไม้พืชผัก,รัฐมีสำนักงานใหญ่ดูแลระบบช่วยเหลือประชาชน จ้างโดยรัฐบาลพี่เลี้ยงก่อน,เงินมหาศาลจากการค้าขายการฝากออมจะไหลไปรวมก็ศูนย์กลางสำนักงานใหญ่ทันทีกว่าล้านล้านบาทต่อวัน,สำนักงานใหญ่สามารถบริหารจัดการสภาพคล่องกระแสเงินนั้นสบานมากๆ,บริหารจัดการเงินทุนช่วยสร้างอาชีพสร้างรายได้แก่ประชาชนได้สบายอย่างแท้จริง,ติดขัดอะไรเห็นปัญหา สามารถเชื่อมประสานงานแก้ไขได้ผ่านกระบวนการกลไกอำนาจรัฐ,เน็ตมีปัญหา ตรงดิ่งไปกสทช.เอาคลื่นความถี่ฟรีๆมาให้บริการประชาชนโซนเรานี้,จากนั้นประชาชนแค่ลงทะเบียนด้วยบัตรประชาชนยืนยันการใช้งานและความเป็นคนไทยสามารถใช้เครือข่ายโทรฟรีเน็ตฟรีเพื่อส่งเสริมสนับสัมมาอาชีพค้าขายพึ่งพาตนเองได้,มีทุนมากหน่อยลงมติ ร่วมบริจาคสร้างดาวเทียมเน็ตฟรีๆก็ได้หรือรัฐฐะมีหน้าที่ตรงต้องสร้างมาสนับสนุนสัมมาอาชีพประชาชนและวิถีชีวิตประชาชนมิใช่ช่วยเหลือเอกชนประกอบอาชีพค้ากำไรต่อประชาชนให้ไปใช้บริการมัน, ..กสทช.ก็ตาม แบงค์ชาติก็ตาม ทั้งหมดเสมือนก่อเกิดขึ้นมาเพื่อส่งเสริมอาชีพเอกชนมาค้ารายได้กำไรจากประชาชนโดยอ้างการให้บริการแก่ประชาชนต้องมีการแลกเปลี่ยนจ่ายค่าให้บริการมาก็ว่า,ธนาคารได้ดอกเบี้ยจากการปล่อยกู้ ค่ายมือถือได้ตังจากค่าเน็ตค่าโทรค่าใช้บริการสาระพัดมุกที่จะมีโปรโมชั่นจากค่ายมือถือมาดูดตังจากประชาชน,ทั้งจากเดอะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ด้วย โทรมาโชว์แต่เบอร์ ไม่เคยปรับปรุงว่า 1เบอร์มือถือ 1เลขหมายโทรศัพท์ตือ1บัตรประชาชนเท่านั่น,ระบบต้องโชว์ชื่อโชว์นามสกุลของคนโทรเข้ามาอัตโนมัติด้วย มิใช่โชว์แค่เบอร์ในปัจจุบัน.,ห้ามคนไทยทุดๆคนมีเลขหมายโทรศัพท์เกิน1เบอร์,ส่วนเปิดกิจการค้าขายต้องเงื่อนไขต่างหาก,นี้สามารถตัดตอนเดอะแก๊งชั่วเลวแบบคอลเซ็นเตอร์ได้ทันที,ร่วมถึงธนาคารต้องห้ามคนไทยมีบัญชีธนาคารเกิน1บัญชีต่อ1บัตรประชาชนด้วย มรึงจะมีตังเกิน1ล้านล้านบาทก็มีได้แค่1บัญชี ไม่สามารถฟอกตังฟอกเงินได้ตัดตอนได้อีก,,นี้คือการปกครองที่ซื่อสัตย์สุจริตโปร่งใส่ของจริงด้วย,ต่างชาติใดๆจะมาเยือนประเทศไทย,ในกรณีประชาชนทั่วไป ต้องรวมรวบสถานะการเงินเป็นบัญชีเดียวทั้งหมดเช่นกันก่อนเข้าประเทศไทย,ป้องกันการฟอกเงินข้ามชาติได้ด้วย,สามารถเชื่อมโยงคริปโตโทเคนได้ด้วยในการแจ้งสถานะมูลค่าถือครองมีในครอบครองนั้นก่อนเข้าประเทศไทยทุกๆกรณีด้วย,บริษัทกิจการใดจะมาลงทุนประเทศไทยต้องรวมสถานะการเงินเป็นบัญชีเดียวทั้งหมดให้ชัดเจนนั้นเอง,ตัดตอนการทุจริตการฟอกเงินทันทีด้วยหรือนัยยะบ่อนทำลายประเทศไทยก็ด้วย,ทั้งหมดที่ผ่านมาเป็นกิจกรรมที่ไม่โปร่งใสทั้งหมด อำนวยอาชญากรอาชญากรรมสาระพัดรูปแบบได้หมด,ปกปิดการเคลื่อนไหวสถานะการเงินนั้นเอง,เงินสามารถจ้างอาชญากรใดๆทั่วโลกได้ ค้าอาวุธค้ายาค้ามนุษย์ได้ และพวกนี้จะกระจายเม็ดเงินกันด้วย,แบงค์ชาติและแบงค์เอกชนเห็นสิ่งนี้หมดแต่ก็เปิดช่องให้คนชั่วเลวนี้ถึงปัจจุบัน, ..ในมิติกสทช.คงเห็น1บัตรประชาชน 1เบอร์โทรศัพท์ได้ยาก,การค้าซิมของค่ายมือถือคือบ่อเกิดความหายนะต่อประชาชนตนภายในประเทศ,จำเป็นอะไรที่ประชาชนต้องมีมากกว่า1เบอร์โทรศัพท์,นอกจากมิจฉาชีพจะชอบใช้ก่ออาชญากรรมแล้วทิ้งมิให้มีหลักฐานแค่นั้น,และสะดวกสบายด้วย ต่างจาก1บัตรประชาชน 1เบอร์โทรศัพท์ ล็อกตัวได้ง่าย ระบุที่ตั้งตัวตนคนนั้นได้ชัดเจน แบบเขมรเดอะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็อ้างเบอร์นั้นนี้มาทำชั่วเลวแทบไม่ได้เลย,โทรมาจากเขมรก็โชว์ว่ามาจากเขมรทันทีได้,เพราะยกเลิกซิม ใช้บัตรประชาชนใครมันคือเบอร์มือถือใครมันจริงนั้นเอง.กสทช.ไม่เคยปรับปรุงตนเองเลย อย่างเดียวที่ทำคือประมูลคลื่นความถี่.,ไม่คิดอ่านว่าคลื่นสาธารณะแผ่นดินนี้ประชาชนคนไทยสมควรใช้บริการฟรีๆเพื่ออัพเรเวลคุณภาพชีวิตคนไทยได้แล้ว,ไลน์ก็ใช้เน็ตติดต่อเรื่องราวระหว่างครูกับผู้ปกครองหรือนักเรียนกับครูๆ,ซิมก็ซื้ออายุเวลาซิมอีกมิใช่ตลอดชีพ ให้มือถือเก็บตังรีดไถ่เก็บส่วยในมุกรักษาอายุซิมก็ว่าตลอด,ค่าเน็ตก็แพง ผูกขาดไม่กี่เจ้าอีก,ทหารยึดอำนาจ ยึดคลื่นจากค่ายมือถือยุบกสทช.ด้วยก็ดี.ไร้ประโยชน์จริงๆ,ทำเองดีกว่า ตั้งหน่วยงานใหม่รับผิดชอบเน็ตคนไทยเลย,ประเทศไทยเลอะเทอะมากพอแล้ว,คืนค่าโรงงานทั้งหมดคืนค่าประเทศไทยทั้งหมดยึดคืนมากเป็นของคนไทยทั้งหมดเหมือนเดิมเพื่อก้าวเดินในวิถีโลกยุคใหม่นี้จริงๆ,ไม่ล้างระบบเก่า จะสร้างใหม่ได้อย่างไร,บ้านใหม่บรแผ่นดินเดิมเรา,บ้านนี้ผุพังเป็นอันมากปลวกมดสัตว์เลื้อยคลานอาศัยอยู่เป็นอันมาก,พังพินาศไส้ในสิ้นดี. https://youtube.com/watch?v=7wwuNRyzL4c&feature=shared
    0 Comments 0 Shares 630 Views 0 Reviews
  • สตง.มาแปลกบี้ EXIM BANK สอบจ่ายเงินแม่บ้าน-คนขับรถ

    องค์กรที่ถูกสังคมเคลือบแคลงสงสัยถึงความโปร่งใส หลังโครงการอาคารสำนักงานถล่ม คนงานเสียชีวิตเกือบ 100 ศพ เฉกเช่นสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) หลังส่งหนังสือถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ขอตรวจสอบการใช้เงินงบประมาณของกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบคดีตึก สตง.ถล่มไปก่อนหน้านี้ ล่าสุดเกิดเรื่องวุ่นวายกับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) หรือเอ็กซิมแบงก์ (EXIM BANK) เมื่อ สตง. สั่งให้เอ็กซิมแบงก์แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดทางวินัย และคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด แก่พนักงาน 22 คน (ไม่รวมกรรมการผู้จัดการใหญ่) กรณีจ่ายเงินช่วยเหลือรายเดือนให้กับบุคคลที่มิใช่พนักงานของเอ็กซิมแบงก์ ประกอบด้วย ผู้จัดการสาขาสำนักงานใหญ่ สาขาทั้งในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัด รวม 9 แห่ง และพนักงานธุรการที่เกี่ยวข้อง

    สืบเนื่องมาจากในอดีต ธนาคารฯ มีการจ้างพนักงานภายนอก หรือเอาต์ซอร์ส (Outsource) บางกลุ่ม เช่น พนักงานทำความสะอาด พนักงานเดินเอกสารภายในสำนักงาน พนักงานรับ-ส่งเอกสาร และพนักงานขับรถ ผ่านทางบริษัทภายนอก แต่ทางธนาคารฯ ในยุคนั้นมีความเห็นใจว่า พนักงานกลุ่มนี้ได้เงินค่าตอบแทนน้อย หากจะจ่ายผ่านบริษัทฯ จะไม่ถึงมือพนักงาน ทำให้ในสมัยที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการเอ็กซิมแบงก์ ได้มีการอนุมัติให้จ่ายเงินช่วยเหลือแก่พนักงานกลุ่มนี้โดยตรงมาตั้งแต่ปี 2537 เดือนละประมาณ 800 ถึง 1,500 บาท โดยทางธนาคารฯ จะออกคำสั่งให้ผู้จัดการธนาคารแต่ละสาขาดำเนินการจ่ายเงินก้อนนี้มาทุกปี และมีการทำเช่นนี้เป็นธรรมเนียมเรื่อยมา

    ผ่านมาเกือบ 30 ปี เมื่อปี 2567 สตง. ตรวจสอบบัญชีเอ็กซิมแบงก์ ก่อนระบุว่าการจ่ายเงินบุคคลที่มิใช่พนักงานของเอ็กซิมแบงก์ ในปีงบประมาณ 2565 ไม่เป็นไปตามกฎหมายวินัยการเงินการคลัง และสั่งการให้ธนาคารฯ เอาผิดทางวินัยกลุ่มพนักงาน 22 คน ทั้งที่ทั้งหมดทำตามบันทึกภายในที่อนุมัติโดยกรรมการผู้จัดการในอดีต และทำกันมานาน แม้ว่าเอ็กซิมแบงก์จะทำหนังสือชี้แจง แต่เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. สตง. สั่งการให้ธนาคารฯ ต้องเอาผิดพนักงานกลุ่มดังกล่าวทั้งหมด ภายใน 30 วัน อ้างว่าทำให้รัฐเสียหาย 2.87 ล้านบาท ไม่เช่นนั้นจะเสนอคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ลงโทษทางปกครอง ทำให้ธนาคารฯ ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง และให้พนักงานกลุ่มดังกล่าวชี้แจงข้อเท็จจริงเพิ่มเติมภายใน 7 วัน ซึ่งเป็นเวลากระชั้นชิด ขณะนี้พนักงานทั้งหมดได้ทำหนังสือขอขยายเวลาชี้แจง รวมถึงขอความเป็นธรรมแล้ว

    #Newskit
    สตง.มาแปลกบี้ EXIM BANK สอบจ่ายเงินแม่บ้าน-คนขับรถ องค์กรที่ถูกสังคมเคลือบแคลงสงสัยถึงความโปร่งใส หลังโครงการอาคารสำนักงานถล่ม คนงานเสียชีวิตเกือบ 100 ศพ เฉกเช่นสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) หลังส่งหนังสือถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ขอตรวจสอบการใช้เงินงบประมาณของกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบคดีตึก สตง.ถล่มไปก่อนหน้านี้ ล่าสุดเกิดเรื่องวุ่นวายกับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) หรือเอ็กซิมแบงก์ (EXIM BANK) เมื่อ สตง. สั่งให้เอ็กซิมแบงก์แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดทางวินัย และคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด แก่พนักงาน 22 คน (ไม่รวมกรรมการผู้จัดการใหญ่) กรณีจ่ายเงินช่วยเหลือรายเดือนให้กับบุคคลที่มิใช่พนักงานของเอ็กซิมแบงก์ ประกอบด้วย ผู้จัดการสาขาสำนักงานใหญ่ สาขาทั้งในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัด รวม 9 แห่ง และพนักงานธุรการที่เกี่ยวข้อง สืบเนื่องมาจากในอดีต ธนาคารฯ มีการจ้างพนักงานภายนอก หรือเอาต์ซอร์ส (Outsource) บางกลุ่ม เช่น พนักงานทำความสะอาด พนักงานเดินเอกสารภายในสำนักงาน พนักงานรับ-ส่งเอกสาร และพนักงานขับรถ ผ่านทางบริษัทภายนอก แต่ทางธนาคารฯ ในยุคนั้นมีความเห็นใจว่า พนักงานกลุ่มนี้ได้เงินค่าตอบแทนน้อย หากจะจ่ายผ่านบริษัทฯ จะไม่ถึงมือพนักงาน ทำให้ในสมัยที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการเอ็กซิมแบงก์ ได้มีการอนุมัติให้จ่ายเงินช่วยเหลือแก่พนักงานกลุ่มนี้โดยตรงมาตั้งแต่ปี 2537 เดือนละประมาณ 800 ถึง 1,500 บาท โดยทางธนาคารฯ จะออกคำสั่งให้ผู้จัดการธนาคารแต่ละสาขาดำเนินการจ่ายเงินก้อนนี้มาทุกปี และมีการทำเช่นนี้เป็นธรรมเนียมเรื่อยมา ผ่านมาเกือบ 30 ปี เมื่อปี 2567 สตง. ตรวจสอบบัญชีเอ็กซิมแบงก์ ก่อนระบุว่าการจ่ายเงินบุคคลที่มิใช่พนักงานของเอ็กซิมแบงก์ ในปีงบประมาณ 2565 ไม่เป็นไปตามกฎหมายวินัยการเงินการคลัง และสั่งการให้ธนาคารฯ เอาผิดทางวินัยกลุ่มพนักงาน 22 คน ทั้งที่ทั้งหมดทำตามบันทึกภายในที่อนุมัติโดยกรรมการผู้จัดการในอดีต และทำกันมานาน แม้ว่าเอ็กซิมแบงก์จะทำหนังสือชี้แจง แต่เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. สตง. สั่งการให้ธนาคารฯ ต้องเอาผิดพนักงานกลุ่มดังกล่าวทั้งหมด ภายใน 30 วัน อ้างว่าทำให้รัฐเสียหาย 2.87 ล้านบาท ไม่เช่นนั้นจะเสนอคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ลงโทษทางปกครอง ทำให้ธนาคารฯ ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง และให้พนักงานกลุ่มดังกล่าวชี้แจงข้อเท็จจริงเพิ่มเติมภายใน 7 วัน ซึ่งเป็นเวลากระชั้นชิด ขณะนี้พนักงานทั้งหมดได้ทำหนังสือขอขยายเวลาชี้แจง รวมถึงขอความเป็นธรรมแล้ว #Newskit
    Haha
    1
    0 Comments 0 Shares 511 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Silicon Valley: เมื่อ AI ไม่ได้แค่เปลี่ยนเทคโนโลยี แต่เปลี่ยนความสัมพันธ์ของคน

    กรณีที่เด่นที่สุดเกิดกับ Windsurf บริษัทสตาร์ทอัพ AI ที่กำลังจะขายให้ OpenAI ในมูลค่า $3B — แต่ CEO Varun Mohan กลับ ล้มดีล และลาออกไปร่วมทีม Google พร้อมพาทีมงานหลักบางส่วนตามไปด้วย

    ข่าวนี้กระทบแรง เพราะทีมงาน Windsurf ส่วนใหญ่หวังว่าจะได้เงิน payout จากการเข้าซื้อ และบางคนถึงขั้นถ่ายวิดีโอโหมโรงไว้แล้วเพื่อเฉลิมฉลอง — กลับกลายเป็นคลิปบันทึก “การล่มสลาย” ของบริษัท

    แต่ภายในไม่กี่วัน Cognition บริษัท AI ที่เล็กกว่าแต่กำลังโตไวก็เข้ามาซื้อ Windsurf แทน โดย CEO Jeff Wang บอกว่าจะจ่ายเงินให้พนักงานทุกคนไม่ว่าจะอยู่มานานแค่ไหน — สร้างบรรยากาศ “คืนชีวิต” ให้ทีมงานอีกครั้ง

    ด้าน Meta กลายเป็นผู้เล่นที่ดุเดือดที่สุด — Mark Zuckerberg ทุ่มตัวเองลงไปล่าผู้เชี่ยวชาญจาก OpenAI, Google DeepMind, Apple และ Anthropic ด้วยข้อเสนอที่มากกว่า $300 ล้านภายใน 4 ปี (จ่ายปีแรกถึงหนึ่งในสาม)

    แต่แม้จะทุ่มเงินมากขนาดนั้น Meta ก็ยังขาด “หัวหน้าฝ่ายวิจัย” และยังไม่ได้ตัวบุคคลสำคัญที่ต้องการ เช่นในกรณีของ Safe Superintelligence ที่ Daniel Gross ถูก Meta ล่อตัวไป จนทิ้งผู้ร่วมก่อตั้ง Ilya Sutskever ไปอย่างเจ็บปวด

    เทียบอีกเคสคือ Alexandr Wang ผู้ก่อตั้ง Scale AI ที่เคยเป็นดาวรุ่ง — ถูก Meta ดึงตัวไปเปิดแล็บใหม่และลงทุน $14B กับบริษัทของเขา แต่ผลคือ Scale สูญเสียดีลสำคัญกับ OpenAI และ Google พร้อมต้องปลดพนักงาน 14% ในเวลาสั้น ๆ

    เสียงสะท้อนจาก Sam Altman ของ OpenAI บอกว่า “ภูมิใจในความยึดมั่นพันธกิจในวงการนี้” แต่มองเห็น “การล่าโดยพวกจอมทัพ mercenaries” ที่ทำให้วงการเปลี่ยนจากความฝัน มาเป็นเรื่องของเงินและอำนาจ

    Windsurf เคยอยู่ระหว่างดีลขายให้ OpenAI มูลค่า $3B แต่ CEO เลิกดีลกลางทาง
    Varun Mohan ไปเข้าร่วมทีม Google พร้อมพาทีมหลักตามไป

    ภายในไม่กี่วัน Cognition เข้าซื้อ Windsurf และให้พนักงานทุกคนได้ส่วนแบ่ง
    ทำให้กำลังใจกลับมาแม้ดีลแรกถูกล้มกลางทาง

    Meta เสนอค่าตอบแทนมากกว่า $300M ต่อคนในบางกรณีเพื่อดึงนักวิจัย AI
    แบ่งจ่ายปีแรกหนึ่งในสามเป็นการจูงใจ

    Mark Zuckerberg ลงมาล่าผู้เชี่ยวชาญด้วยตัวเอง ไม่ใช่แค่ส่งทีม HR
    มีเป้าหมายสร้างแล็บเพื่อ AI ระดับ “superintelligence”

    Alexandr Wang จาก Scale AI ถูก Meta ดึงตัว — ส่งผลให้ Scale เสียดีลสำคัญ
    บริษัทประกาศปลดพนักงาน 14% หลังจากนั้น

    Daniel Gross จาก Safe Superintelligence ถูกดึงตัว ทำให้ Sutskever ต้องแยกทาง
    กระทบต่อทีมวิจัยที่เคยมีพันธกิจร่วมกัน

    https://www.techspot.com/news/108733-silicon-valley-ai-boom-turns-battle-brains-ndash.html
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Silicon Valley: เมื่อ AI ไม่ได้แค่เปลี่ยนเทคโนโลยี แต่เปลี่ยนความสัมพันธ์ของคน กรณีที่เด่นที่สุดเกิดกับ Windsurf บริษัทสตาร์ทอัพ AI ที่กำลังจะขายให้ OpenAI ในมูลค่า $3B — แต่ CEO Varun Mohan กลับ ล้มดีล และลาออกไปร่วมทีม Google พร้อมพาทีมงานหลักบางส่วนตามไปด้วย ข่าวนี้กระทบแรง เพราะทีมงาน Windsurf ส่วนใหญ่หวังว่าจะได้เงิน payout จากการเข้าซื้อ และบางคนถึงขั้นถ่ายวิดีโอโหมโรงไว้แล้วเพื่อเฉลิมฉลอง — กลับกลายเป็นคลิปบันทึก “การล่มสลาย” ของบริษัท แต่ภายในไม่กี่วัน Cognition บริษัท AI ที่เล็กกว่าแต่กำลังโตไวก็เข้ามาซื้อ Windsurf แทน โดย CEO Jeff Wang บอกว่าจะจ่ายเงินให้พนักงานทุกคนไม่ว่าจะอยู่มานานแค่ไหน — สร้างบรรยากาศ “คืนชีวิต” ให้ทีมงานอีกครั้ง ด้าน Meta กลายเป็นผู้เล่นที่ดุเดือดที่สุด — Mark Zuckerberg ทุ่มตัวเองลงไปล่าผู้เชี่ยวชาญจาก OpenAI, Google DeepMind, Apple และ Anthropic ด้วยข้อเสนอที่มากกว่า $300 ล้านภายใน 4 ปี (จ่ายปีแรกถึงหนึ่งในสาม) แต่แม้จะทุ่มเงินมากขนาดนั้น Meta ก็ยังขาด “หัวหน้าฝ่ายวิจัย” และยังไม่ได้ตัวบุคคลสำคัญที่ต้องการ เช่นในกรณีของ Safe Superintelligence ที่ Daniel Gross ถูก Meta ล่อตัวไป จนทิ้งผู้ร่วมก่อตั้ง Ilya Sutskever ไปอย่างเจ็บปวด เทียบอีกเคสคือ Alexandr Wang ผู้ก่อตั้ง Scale AI ที่เคยเป็นดาวรุ่ง — ถูก Meta ดึงตัวไปเปิดแล็บใหม่และลงทุน $14B กับบริษัทของเขา แต่ผลคือ Scale สูญเสียดีลสำคัญกับ OpenAI และ Google พร้อมต้องปลดพนักงาน 14% ในเวลาสั้น ๆ เสียงสะท้อนจาก Sam Altman ของ OpenAI บอกว่า “ภูมิใจในความยึดมั่นพันธกิจในวงการนี้” แต่มองเห็น “การล่าโดยพวกจอมทัพ mercenaries” ที่ทำให้วงการเปลี่ยนจากความฝัน มาเป็นเรื่องของเงินและอำนาจ ✅ Windsurf เคยอยู่ระหว่างดีลขายให้ OpenAI มูลค่า $3B แต่ CEO เลิกดีลกลางทาง ➡️ Varun Mohan ไปเข้าร่วมทีม Google พร้อมพาทีมหลักตามไป ✅ ภายในไม่กี่วัน Cognition เข้าซื้อ Windsurf และให้พนักงานทุกคนได้ส่วนแบ่ง ➡️ ทำให้กำลังใจกลับมาแม้ดีลแรกถูกล้มกลางทาง ✅ Meta เสนอค่าตอบแทนมากกว่า $300M ต่อคนในบางกรณีเพื่อดึงนักวิจัย AI ➡️ แบ่งจ่ายปีแรกหนึ่งในสามเป็นการจูงใจ ✅ Mark Zuckerberg ลงมาล่าผู้เชี่ยวชาญด้วยตัวเอง ไม่ใช่แค่ส่งทีม HR ➡️ มีเป้าหมายสร้างแล็บเพื่อ AI ระดับ “superintelligence” ✅ Alexandr Wang จาก Scale AI ถูก Meta ดึงตัว — ส่งผลให้ Scale เสียดีลสำคัญ ➡️ บริษัทประกาศปลดพนักงาน 14% หลังจากนั้น ✅ Daniel Gross จาก Safe Superintelligence ถูกดึงตัว ทำให้ Sutskever ต้องแยกทาง ➡️ กระทบต่อทีมวิจัยที่เคยมีพันธกิจร่วมกัน https://www.techspot.com/news/108733-silicon-valley-ai-boom-turns-battle-brains-ndash.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Silicon Valley's AI boom turns into a battle for brains – and billions
    Nowhere has that power struggle played out more dramatically than inside Windsurf, a fast-growing AI company that had, until recently, been seen as a rising star.
    0 Comments 0 Shares 359 Views 0 Reviews
  • ยิ่งเก่ง ยิ่งช้า? AI coding assistant อาจทำให้โปรแกรมเมอร์มือเก๋าทำงานช้าลง

    องค์กรวิจัยไม่แสวงกำไร METR (Model Evaluation & Threat Research) ได้ทำการศึกษาผลกระทบของ AI coding tools ต่อประสิทธิภาพของนักพัฒนา โดยติดตามนักพัฒนาโอเพ่นซอร์สที่มีประสบการณ์ 16 คน ขณะทำงานกับโค้ดที่พวกเขาคุ้นเคยมากกว่า 246 งานจริง ตั้งแต่การแก้บั๊กไปจนถึงการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่

    ก่อนเริ่มงาน นักพัฒนาคาดว่า AI จะช่วยให้พวกเขาทำงานเร็วขึ้น 24% และหลังจบงานก็ยังเชื่อว่าตัวเองเร็วขึ้น 20% เมื่อใช้ AI แต่ข้อมูลจริงกลับพบว่า พวกเขาใช้เวลานานขึ้นถึง 19% เมื่อใช้ AI coding assistant

    สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดความล่าช้า ได้แก่:
    - ความคาดหวังเกินจริงต่อความสามารถของ AI
    - โค้ดที่ซับซ้อนและมีขนาดใหญ่เกินกว่าที่ AI จะเข้าใจบริบทได้ดี
    - ความแม่นยำของโค้ดที่ AI สร้างยังไม่ดีพอ โดยนักพัฒนายอมรับโค้ดที่ AI เสนอเพียง 44%
    - ต้องเสียเวลาในการตรวจสอบและแก้ไขโค้ดที่ AI สร้าง
    - AI ไม่สามารถเข้าใจบริบทแฝงในโปรเจกต์ขนาดใหญ่ได้ดี

    แม้ผลลัพธ์จะชี้ว่า AI ทำให้ช้าลง แต่ผู้เข้าร่วมหลายคนยังคงใช้ AI ต่อไป เพราะรู้สึกว่างานเขียนโค้ดมีความเครียดน้อยลง และกลายเป็นกระบวนการที่ “ไม่ต้องใช้พลังสมองมาก” เหมือนเดิม

    ข้อมูลจากข่าว
    - METR ศึกษานักพัฒนา 16 คนกับงานจริง 246 งานในโค้ดที่คุ้นเคย
    - นักพัฒนาคาดว่า AI จะช่วยให้เร็วขึ้น 24% แต่จริง ๆ แล้วช้าลง 19%
    - ใช้ AI coding tools เช่น Cursor Pro ร่วมกับ Claude 3.5 หรือ 3.7 Sonnet
    - นักพัฒนายอมรับโค้ดจาก AI เพียง 44% และต้องใช้เวลาตรวจสอบมาก
    - AI เข้าใจบริบทของโค้ดขนาดใหญ่ได้ไม่ดี ทำให้เสนอคำตอบผิด
    - การศึกษามีความเข้มงวดและไม่มีอคติจากผู้วิจัย
    - ผู้เข้าร่วมได้รับค่าตอบแทน $150 ต่อชั่วโมงเพื่อความจริงจัง
    - แม้จะช้าลง แต่หลายคนยังใช้ AI เพราะช่วยลดความเครียดในการทำงาน

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - AI coding tools อาจไม่เหมาะกับนักพัฒนาที่มีประสบการณ์สูงและทำงานกับโค้ดที่ซับซ้อน
    - ความคาดหวังเกินจริงต่อ AI อาจทำให้เสียเวลาแทนที่จะได้ประโยชน์
    - การใช้ AI กับโปรเจกต์ขนาดใหญ่ต้องระวังเรื่องบริบทที่ AI อาจเข้าใจผิด
    - การตรวจสอบและแก้ไขโค้ดจาก AI อาจใช้เวลามากกว่าการเขียนเอง
    - ผลการศึกษานี้ไม่ควรนำไปใช้กับนักพัฒนาทุกระดับ เพราะ AI อาจมีประโยชน์มากกว่าสำหรับผู้เริ่มต้นหรือโปรเจกต์ขนาดเล็ก

    https://www.techspot.com/news/108651-experienced-developers-working-ai-tools-take-longer-complete.html
    ยิ่งเก่ง ยิ่งช้า? AI coding assistant อาจทำให้โปรแกรมเมอร์มือเก๋าทำงานช้าลง องค์กรวิจัยไม่แสวงกำไร METR (Model Evaluation & Threat Research) ได้ทำการศึกษาผลกระทบของ AI coding tools ต่อประสิทธิภาพของนักพัฒนา โดยติดตามนักพัฒนาโอเพ่นซอร์สที่มีประสบการณ์ 16 คน ขณะทำงานกับโค้ดที่พวกเขาคุ้นเคยมากกว่า 246 งานจริง ตั้งแต่การแก้บั๊กไปจนถึงการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ก่อนเริ่มงาน นักพัฒนาคาดว่า AI จะช่วยให้พวกเขาทำงานเร็วขึ้น 24% และหลังจบงานก็ยังเชื่อว่าตัวเองเร็วขึ้น 20% เมื่อใช้ AI แต่ข้อมูลจริงกลับพบว่า พวกเขาใช้เวลานานขึ้นถึง 19% เมื่อใช้ AI coding assistant สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดความล่าช้า ได้แก่: - ความคาดหวังเกินจริงต่อความสามารถของ AI - โค้ดที่ซับซ้อนและมีขนาดใหญ่เกินกว่าที่ AI จะเข้าใจบริบทได้ดี - ความแม่นยำของโค้ดที่ AI สร้างยังไม่ดีพอ โดยนักพัฒนายอมรับโค้ดที่ AI เสนอเพียง 44% - ต้องเสียเวลาในการตรวจสอบและแก้ไขโค้ดที่ AI สร้าง - AI ไม่สามารถเข้าใจบริบทแฝงในโปรเจกต์ขนาดใหญ่ได้ดี แม้ผลลัพธ์จะชี้ว่า AI ทำให้ช้าลง แต่ผู้เข้าร่วมหลายคนยังคงใช้ AI ต่อไป เพราะรู้สึกว่างานเขียนโค้ดมีความเครียดน้อยลง และกลายเป็นกระบวนการที่ “ไม่ต้องใช้พลังสมองมาก” เหมือนเดิม ✅ ข้อมูลจากข่าว - METR ศึกษานักพัฒนา 16 คนกับงานจริง 246 งานในโค้ดที่คุ้นเคย - นักพัฒนาคาดว่า AI จะช่วยให้เร็วขึ้น 24% แต่จริง ๆ แล้วช้าลง 19% - ใช้ AI coding tools เช่น Cursor Pro ร่วมกับ Claude 3.5 หรือ 3.7 Sonnet - นักพัฒนายอมรับโค้ดจาก AI เพียง 44% และต้องใช้เวลาตรวจสอบมาก - AI เข้าใจบริบทของโค้ดขนาดใหญ่ได้ไม่ดี ทำให้เสนอคำตอบผิด - การศึกษามีความเข้มงวดและไม่มีอคติจากผู้วิจัย - ผู้เข้าร่วมได้รับค่าตอบแทน $150 ต่อชั่วโมงเพื่อความจริงจัง - แม้จะช้าลง แต่หลายคนยังใช้ AI เพราะช่วยลดความเครียดในการทำงาน ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - AI coding tools อาจไม่เหมาะกับนักพัฒนาที่มีประสบการณ์สูงและทำงานกับโค้ดที่ซับซ้อน - ความคาดหวังเกินจริงต่อ AI อาจทำให้เสียเวลาแทนที่จะได้ประโยชน์ - การใช้ AI กับโปรเจกต์ขนาดใหญ่ต้องระวังเรื่องบริบทที่ AI อาจเข้าใจผิด - การตรวจสอบและแก้ไขโค้ดจาก AI อาจใช้เวลามากกว่าการเขียนเอง - ผลการศึกษานี้ไม่ควรนำไปใช้กับนักพัฒนาทุกระดับ เพราะ AI อาจมีประโยชน์มากกว่าสำหรับผู้เริ่มต้นหรือโปรเจกต์ขนาดเล็ก https://www.techspot.com/news/108651-experienced-developers-working-ai-tools-take-longer-complete.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Study shows AI coding assistants actually slow down experienced developers
    The research, conducted by the non-profit Model Evaluation & Threat Research (METR), set out to measure the real-world impact of advanced AI tools on software development. Over...
    0 Comments 0 Shares 337 Views 0 Reviews
  • วิศวกรรัสเซียลอบขโมยข้อมูลชิปจาก ASML และ NXP – ถูกตัดสินจำคุกในเนเธอร์แลนด์

    German Aksenov อดีตวิศวกรวัย 43 ปี ซึ่งเคยทำงานให้กับ ASML และ NXP ถูกศาลเนเธอร์แลนด์ตัดสินจำคุก 3 ปี ฐานลักลอบนำข้อมูลลับด้านการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ส่งต่อให้กับหน่วยข่าวกรองของรัสเซีย (FSB)

    Aksenov ไม่ใช่แฮกเกอร์ แต่ใช้วิธีแบบดั้งเดิม:
    - คัดลอกไฟล์จากเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท
    - เก็บไว้ใน USB และฮาร์ดดิสก์
    - นำอุปกรณ์เหล่านั้นเดินทางไปมอสโก และส่งมอบให้กับเจ้าหน้าที่ FSB

    เขาอ้างว่าเก็บไฟล์ไว้เพื่อ “พัฒนาความรู้ด้านอาชีพ” และไม่ได้ตั้งใจเป็นสายลับ แต่ศาลเห็นว่าการกระทำของเขาละเมิดมาตรการคว่ำบาตรของสหภาพยุโรปที่มีต่อรัสเซียตั้งแต่ปี 2014

    ASML เป็นผู้ผลิตเครื่อง EUV lithography เพียงรายเดียวในโลก ซึ่งเป็นหัวใจของการผลิตชิประดับสูง ส่วน NXP เป็นผู้นำด้านเซมิคอนดักเตอร์ที่ร่วมพัฒนาเทคโนโลยี NFC กับ Sony ทำให้ทั้งสองบริษัทเป็นเป้าหมายสำคัญของการจารกรรมทางอุตสาหกรรม

    แม้จะไม่มีหลักฐานว่า Aksenov ได้รับค่าตอบแทนจากการกระทำดังกล่าว แต่ศาลยังคงลงโทษจำคุก โดยเปิดโอกาสให้เขายื่นอุทธรณ์ภายใน 14 วัน

    ข้อมูลจากข่าว
    - German Aksenov อดีตวิศวกรของ ASML และ NXP ถูกตัดสินจำคุก 3 ปีในเนเธอร์แลนด์
    - เขาลักลอบนำข้อมูลลับด้านการผลิตชิปส่งต่อให้กับ FSB ของรัสเซีย
    - ใช้วิธีคัดลอกไฟล์ลง USB และฮาร์ดดิสก์ แล้วนำไปมอบให้เจ้าหน้าที่ในมอสโก
    - อ้างว่าเก็บข้อมูลเพื่อพัฒนาความรู้ด้านอาชีพ ไม่ได้ตั้งใจเป็นสายลับ
    - ศาลลงโทษจำคุก แม้ไม่มีหลักฐานว่าได้รับค่าตอบแทน
    - ASML และ NXP เป็นเป้าหมายสำคัญของการจารกรรมด้านเทคโนโลยี
    - NXP ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่สอบสวน ส่วน ASML ยังไม่เปิดเผยรายละเอียด

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - การลักลอบขโมยข้อมูลจากภายในองค์กรยังคงเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรง
    - การส่งข้อมูลผ่านอุปกรณ์พกพา เช่น USB ยังเป็นช่องโหว่ที่หลายองค์กรมองข้าม
    - การละเมิดมาตรการคว่ำบาตรอาจนำไปสู่บทลงโทษทางกฎหมายที่รุนแรง
    - บริษัทเทคโนโลยีควรมีระบบตรวจสอบการเข้าถึงข้อมูลภายในอย่างเข้มงวด
    - พนักงานควรได้รับการอบรมเรื่องจริยธรรมและความปลอดภัยของข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ

    https://www.techspot.com/news/108642-russian-engineer-jailed-stealing-chipmaking-secrets-asml-nxp.html
    วิศวกรรัสเซียลอบขโมยข้อมูลชิปจาก ASML และ NXP – ถูกตัดสินจำคุกในเนเธอร์แลนด์ German Aksenov อดีตวิศวกรวัย 43 ปี ซึ่งเคยทำงานให้กับ ASML และ NXP ถูกศาลเนเธอร์แลนด์ตัดสินจำคุก 3 ปี ฐานลักลอบนำข้อมูลลับด้านการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ส่งต่อให้กับหน่วยข่าวกรองของรัสเซีย (FSB) Aksenov ไม่ใช่แฮกเกอร์ แต่ใช้วิธีแบบดั้งเดิม: - คัดลอกไฟล์จากเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท - เก็บไว้ใน USB และฮาร์ดดิสก์ - นำอุปกรณ์เหล่านั้นเดินทางไปมอสโก และส่งมอบให้กับเจ้าหน้าที่ FSB เขาอ้างว่าเก็บไฟล์ไว้เพื่อ “พัฒนาความรู้ด้านอาชีพ” และไม่ได้ตั้งใจเป็นสายลับ แต่ศาลเห็นว่าการกระทำของเขาละเมิดมาตรการคว่ำบาตรของสหภาพยุโรปที่มีต่อรัสเซียตั้งแต่ปี 2014 ASML เป็นผู้ผลิตเครื่อง EUV lithography เพียงรายเดียวในโลก ซึ่งเป็นหัวใจของการผลิตชิประดับสูง ส่วน NXP เป็นผู้นำด้านเซมิคอนดักเตอร์ที่ร่วมพัฒนาเทคโนโลยี NFC กับ Sony ทำให้ทั้งสองบริษัทเป็นเป้าหมายสำคัญของการจารกรรมทางอุตสาหกรรม แม้จะไม่มีหลักฐานว่า Aksenov ได้รับค่าตอบแทนจากการกระทำดังกล่าว แต่ศาลยังคงลงโทษจำคุก โดยเปิดโอกาสให้เขายื่นอุทธรณ์ภายใน 14 วัน ✅ ข้อมูลจากข่าว - German Aksenov อดีตวิศวกรของ ASML และ NXP ถูกตัดสินจำคุก 3 ปีในเนเธอร์แลนด์ - เขาลักลอบนำข้อมูลลับด้านการผลิตชิปส่งต่อให้กับ FSB ของรัสเซีย - ใช้วิธีคัดลอกไฟล์ลง USB และฮาร์ดดิสก์ แล้วนำไปมอบให้เจ้าหน้าที่ในมอสโก - อ้างว่าเก็บข้อมูลเพื่อพัฒนาความรู้ด้านอาชีพ ไม่ได้ตั้งใจเป็นสายลับ - ศาลลงโทษจำคุก แม้ไม่มีหลักฐานว่าได้รับค่าตอบแทน - ASML และ NXP เป็นเป้าหมายสำคัญของการจารกรรมด้านเทคโนโลยี - NXP ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่สอบสวน ส่วน ASML ยังไม่เปิดเผยรายละเอียด ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - การลักลอบขโมยข้อมูลจากภายในองค์กรยังคงเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรง - การส่งข้อมูลผ่านอุปกรณ์พกพา เช่น USB ยังเป็นช่องโหว่ที่หลายองค์กรมองข้าม - การละเมิดมาตรการคว่ำบาตรอาจนำไปสู่บทลงโทษทางกฎหมายที่รุนแรง - บริษัทเทคโนโลยีควรมีระบบตรวจสอบการเข้าถึงข้อมูลภายในอย่างเข้มงวด - พนักงานควรได้รับการอบรมเรื่องจริยธรรมและความปลอดภัยของข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ https://www.techspot.com/news/108642-russian-engineer-jailed-stealing-chipmaking-secrets-asml-nxp.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Former ASML and NXP engineer jailed for leaking chipmaking secrets to Russia
    German Aksenov, a 43-year-old former employee of ASML and NXP, has been sentenced to three years in prison for sharing sensitive chip manufacturing documents with a contact...
    0 Comments 0 Shares 433 Views 0 Reviews
  • ตอนที่พูดถึง “งานเงินดีในวงการเซมิคอนดักเตอร์” ส่วนใหญ่คนมักจะนึกถึง TSMC — เจ้าพ่อโรงงานผลิตชิปของโลกที่รับผลิตให้ Apple, Nvidia ฯลฯ แต่ข้อมูลล่าสุดจากรายงานของ ITHome กลับเผยสิ่งตรงกันข้ามเล็กน้อย: → พนักงานทั่วไป (non-executive, full-time) ที่ MediaTek ได้เงินเดือนเฉลี่ยสูงสุดในไต้หวัน คือ NT$4.31 ล้าน/ปี (~$149,000) → ขณะที่ TSMC อยู่อันดับ 7 เท่านั้น ด้วยค่าเฉลี่ย NT$3.391 ล้าน/ปี (~$117,000) → Realtek ตามมาในอันดับ 2 ด้วย NT$3.915 ล้าน/ปี (~$135,000)

    นั่นหมายความว่า MediaTek เป็นบริษัทเดียวที่จ่ายเกิน 4 ล้านไต้หวันดอลลาร์/ปี ให้พนักงานทั่วไป และที่น่าทึ่งยิ่งกว่าคือ… ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นถึง 14.81% จากปี 2023 สวนทางกับหลายบริษัทที่กำลังรัดเข็มขัด

    เหตุผลอาจมาจากหลายด้าน เช่น
    - MediaTek มีพนักงานเพียง ~22,000 คน เทียบกับ TSMC ที่มีมากถึง ~83,000 คน
    - แปลว่าอาจบริหารสัดส่วนค่าตอบแทน–ประสิทธิภาพเฉลี่ยได้เข้มข้นกว่า
    - และที่สำคัญ — MediaTek ยังได้รับเลือกเป็นหนึ่งใน “บริษัทน่าทำงานด้วยที่สุด” ของไต้หวันด้วย

    https://wccftech.com/mediatek-only-taiwan-listed-company-whose-employees-are-paid-nt4-million-annually/
    ตอนที่พูดถึง “งานเงินดีในวงการเซมิคอนดักเตอร์” ส่วนใหญ่คนมักจะนึกถึง TSMC — เจ้าพ่อโรงงานผลิตชิปของโลกที่รับผลิตให้ Apple, Nvidia ฯลฯ แต่ข้อมูลล่าสุดจากรายงานของ ITHome กลับเผยสิ่งตรงกันข้ามเล็กน้อย: → พนักงานทั่วไป (non-executive, full-time) ที่ MediaTek ได้เงินเดือนเฉลี่ยสูงสุดในไต้หวัน คือ NT$4.31 ล้าน/ปี (~$149,000) → ขณะที่ TSMC อยู่อันดับ 7 เท่านั้น ด้วยค่าเฉลี่ย NT$3.391 ล้าน/ปี (~$117,000) → Realtek ตามมาในอันดับ 2 ด้วย NT$3.915 ล้าน/ปี (~$135,000) นั่นหมายความว่า MediaTek เป็นบริษัทเดียวที่จ่ายเกิน 4 ล้านไต้หวันดอลลาร์/ปี ให้พนักงานทั่วไป และที่น่าทึ่งยิ่งกว่าคือ… ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นถึง 14.81% จากปี 2023 สวนทางกับหลายบริษัทที่กำลังรัดเข็มขัด เหตุผลอาจมาจากหลายด้าน เช่น - MediaTek มีพนักงานเพียง ~22,000 คน เทียบกับ TSMC ที่มีมากถึง ~83,000 คน - แปลว่าอาจบริหารสัดส่วนค่าตอบแทน–ประสิทธิภาพเฉลี่ยได้เข้มข้นกว่า - และที่สำคัญ — MediaTek ยังได้รับเลือกเป็นหนึ่งใน “บริษัทน่าทำงานด้วยที่สุด” ของไต้หวันด้วย https://wccftech.com/mediatek-only-taiwan-listed-company-whose-employees-are-paid-nt4-million-annually/
    0 Comments 0 Shares 264 Views 0 Reviews
  • ศาลอาญายกฟ้องคดี "บิ๊กอ๊อด" ฟ้องหมิ่น "สนธิ ลิ้มทองกุล" พาดพิงในรายการสนธิทอล์ก ชี้แสดงความเห็นโดยสุจริต ด้านเจ้าตัวระบุสู้คดีด้วยหลักฐานและความจริง พร้อมยืนยันไปขึ้นเวทีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 28 มิ.ย.นี้แน่นอน

    เมื่อเวลา 09.30 น.วันนี้ (24 มิ.ย.) ที่ห้องพิจารณาคดี 809 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีอ.2708/2566 ที่พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร.และนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย เป็นโจทก์ฟ้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งเครือหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และบริษัทผู้จัดการ 360 องศา เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณาและนำข้อความเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เรียกค่าเสียหาย จำนวน 50 ล้านบาท

    คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า นายสนธิ จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของช่องยูทูป และรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ หรือ รายการ Sonthi Talk โดยเมื่อวันที่ 6-7 ก.ค. 2566 ที่ผ่านมา นายสนธิ ได้พูดในรายการ Sonthi Talk พาดพิงให้เกิดความเสียหายด้วยข้อความว่า “จริงๆแล้วสมาคมฟุตบอลไทยนั้นทำงานเละเทะมานานแล้ว ตั้งแต่คุณสมยศขึ้นมาเป็นนายกสมาคม...” และข้อความ “คุณไม่รู้หรอกว่าชีวิตคุณเนี่ย ตั้งแต่เป็นผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คุณได้สร้างวีรกรรมมาเยอะไปหมดเลย หลายอย่าง ไม่ว่าเป็นคดีบอส อยู่วิทยาโน่นนี่นั่น ซึ่งผมได้เคยพูดเรื่องนี้ไปแล้ว อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดแฟนบอลไทยก็ต้องดีใจเก้อ เพราะล่าสุดประชุมสภากรรมการสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ซึ่งคนของคุณสมยศทั้งนั้น นี่ต้องยืนยันเป็นคนของคุณสมยศทั้งนั้น มีมติเป็นเอกฉันท์ยับยั้งการลาออก ให้ทำหน้าที่ไปจนครบวาระ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2567 โดยอ้างตามเกมที่คุณสมยศวางหมากไว้ว่า ไม่ให้ไทยต้องเสี่ยงการโดนฟีฟ่าลงดาบ ซึ่งจะถูกห้ามยุ่งกับการแข่งขันระดับนานาชาติทั้งหมด รวมทั้งกิจกรรมของฟีฟ่าประเด็นครับ ในวันลงมติมีคนในที่ประชุมกระซิบผมมาว่าก่อนลงมติบอร์ดสภากรรมการวงแตก หลายคน WORK OUT ขอลาออกรับไม่ได้ที่มีคนชงมติไว้ให้คุณสมยศอยู่ต่อ คนที่ชงมติไว้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย ก็พี่นวยของผมนั่นเองอดีตมิตรตำรวจด้วยกันคือ พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน…” ข้อความต่อมา “ท่านผู้ชมอย่าลืมนะว่าคนคนนี้เป็นคนที่พูดว่า อาชีพตำรวจถือว่าเป็นไซต์ไลน์ อาชีพหลักๆ คือเป็นนักธุรกิจ คุณสมยศคือเสี่ยงิ้วราชการในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในปี 2558... ยังมีอีกประเด็นหนึ่งไปยืมเงินเสี่ยกำพล วิระเทพสุภรณ์ เจ้าพ่ออาบอบนวด ซึ่งต้องคดีค้ามนุษย์ถึงสี่ครั้ง ไปยืมมา 300 ล้านบาท จนเป็นข่าวฉาวโฉ่ในช่วงนั้น สมยศระบุมาตลอดชีวิตรับราชการเกือบจะเรียกได้ว่า อาชีพตำรวจเป็นไซต์ไลน์ แต่หลักๆ แล้วเค้าทำเรื่องหุ้น พฤศจิกายน 2564 สองปีที่แล้ว กฤษฎีกาตีความว่า พล.ต.อ.สมยศ ได้รับเงินเดือนในตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลโดยมิชอบ เพราะตำแหน่งรวมทั้งกรรมการสมาคมฟุตบอล เป็นงานอาสา งานเสียสละไม่ใช่งานลูกจ้าง จึงไม่สามารถเรียกรับเงินค่าตอบแทนได้แม้แต่บาทเดียว...พอเป็นข่าวก็ออกมาชี้แจง รับเงินเดือนจริงแต่บริจาคกลับไปที่สมาคมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ประเด็นนี้คือว่ามันผิดกฎหมาย คุณจะบริจาคให้ใครไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือคุณไม่มีสิทธิ์ที่จะตั้งเงินเดือนคุณเอง เพราะงานนี้เป็นงานที่เสียสละ”



    นอกจากนี้ข้อความ “ส่วนเรื่องสิทธิประโยชน์สมาคมฟุตบอล มีบริษัทหนึ่งชนะการประมูลจนได้เข้ามาดูแลนั้น บริษัทดังกล่าว แวดวงในบอกว่าเป็นลูกรักของบิ๊กอ็อด ที่เข้ามาอุ้มชู ปลุกปั้นมาตั้งแต่สมัยเป็นตำรวจ หลายฝ่ายจึงมองว่าการประมูลในครั้งนี้มีการเอื้อประโยชน์แก่กัน ดูตัวอย่าง ตัวอย่างหนึ่ง เราย้อนกลับไปปี 2563 ได้บริษัทเซ้นส์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ ที่ไม่มีประสบการในการทำคอนเทนต์เกี่ยวกับกีฬามาก่อน แต่ดันชนะการประมูล ถือครองลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดไทยลีก มูลค่า 12,000 ล้านบาท ตกปีละ 1,500 ล้านบาท สุดท้ายไปไม่รอด ผู้บริหารขาดทุนแบบย่อยยับ ต้องเปลี่ยนผู้ถือครองมาเป็น AIS ทำให้มูลค่าลิขสิทธิ์ตกลงมาเกือบ 4 เท่า เหลือแค่ 400 ล้านบาท ตัดภาพมาตอนปัจจุบันเลย ในเรื่องดราม่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดฟุตบอลไทย ที่มีข่าวว่ามูลค่าลดฮวบ จาก 1,000 ล้านบาท เหลือเพียง 50 ล้านบาท ถ้าเราย้อนอดีตไป ลิขสิทธิ์บอลไทยเคยมีรายได้อู้ฟู่ โดยที่กระฉูดที่สุดในช่วงปี 2560-2563 ที่ทรูวิชั่น ประมูลค่าลิขสิทธิ์ 4,200 ล้านบาท แบ่งเป็นปี 60 900 ล้านบาท 61 1,000 ล้านบาท 62 1,100 ล้านบาท 63 1,200 ล้านบาท ในช่วงปี 2563 มีปัญหาเรื่องการแพร่ระบาดโรคโควิด ทรูวิชั่นก็ไม่มี ไม่สามารถจะจ่ายเต็มจำนวนได้ ฤดูกาล 2564-65 ค่าลิขสิทธิ์จาก AIS ก็ลดลงเหลือ 800 ล้านบาท ผ่านมาถึงฤดูกาล 2565-66 มีรายงานว่าเหลือแค่ราวๆ 300 ล้านบาท”และข้อความอื่น ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ๆทั้งนี้จำเลยทั้งสองร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ อันมีข้อความหมิ่นประมาทและดูหมิ่นโจทก์โดยการโฆษณา ขอให้ลงโทษตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 แก้ไข ฉบับที่ 2 มาตรา 16 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326,328,332,393, 91 เหตุเกิดทั่วราชอาณาจักร

    โดยช่วงเช้าวันนี้ นายสนธิ จำเลย เดินทางมาฟังคำพิพากษาพร้อมน.ส.อัจฉรา แสงขาว ทนายความ ส่วนโจทก์มีผู้รับมอบอำนาจมาฟังคำพิพากษา

    ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว เห็นว่า เป็นการแสดงความคิดเห็นและติชมโดยสุจริต พิพากษายกฟ้อง

    ภายหลังนายสนธิ กล่าวเพียงว่า ศาลพิพากษายกฟ้องในคดีที่ พล.ต.อ.สมยศ ฟ้องหมิ่นประมาท โดยตนสู้คดีด้วยหลักฐาน ความจริง และมีพยานมายืนยันข้อเท็จจริงทุกคดี ซึ่งพอใจผลคำพิพากษา เพราะชนะคดีก็ต้องพอใจ ยืนยันว่าไม่ใช่คดีแรกในชีวิต ตนเองทำงานสื่อมวลชนมา 50 ปี มีคดีทั้งหมด 246 คดี

    ผู้สื่อข่าวถามว่า การชุมนุมเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ในวันเสาร์ที่ 28 มิ.ย.นี้ จะไปขึ้นเวทีปราศรัยหรือไม่

    นายสนธิ กล่าวว่า ไปแน่นอน และให้สื่อมวลชนคอยฟังให้ดี เพราะตนจะมีทีเด็ดในการพูดบนเวทีการชุมนุมแน่นอน โดยการชุมนุมจะเริ่มตั้งแต่ บ่าย 3 โมงเย็น ถึงเวลา 2 ทุ่มของวันเสาร์

    เมื่อถามว่า การพูดทีเด็ดบนเวที จะทำให้รัฐบาลสะเทือนหรือไม่ นายสนธิกล่าวทิ้งท้ายว่า รัฐบาลชุดนี้พูดอะไรไปก็ไม่สะเทือนหรอก"

    https://sondhitalk.com/photo-gallery/9680000059229?fbclid=IwQ0xDSwLHDOBleHRuA2FlbQIxMQABHjn6VGI0tuOTxS9x_CkwyfHJV-yBaFUZuPKiJhpkpFj61C6LFET_1vKF_qsn_aem_sKwXdW8qRXGV0NWL3DHNAQ
    ศาลอาญายกฟ้องคดี "บิ๊กอ๊อด" ฟ้องหมิ่น "สนธิ ลิ้มทองกุล" พาดพิงในรายการสนธิทอล์ก ชี้แสดงความเห็นโดยสุจริต ด้านเจ้าตัวระบุสู้คดีด้วยหลักฐานและความจริง พร้อมยืนยันไปขึ้นเวทีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 28 มิ.ย.นี้แน่นอน เมื่อเวลา 09.30 น.วันนี้ (24 มิ.ย.) ที่ห้องพิจารณาคดี 809 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีอ.2708/2566 ที่พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร.และนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย เป็นโจทก์ฟ้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งเครือหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และบริษัทผู้จัดการ 360 องศา เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณาและนำข้อความเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เรียกค่าเสียหาย จำนวน 50 ล้านบาท คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า นายสนธิ จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของช่องยูทูป และรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ หรือ รายการ Sonthi Talk โดยเมื่อวันที่ 6-7 ก.ค. 2566 ที่ผ่านมา นายสนธิ ได้พูดในรายการ Sonthi Talk พาดพิงให้เกิดความเสียหายด้วยข้อความว่า “จริงๆแล้วสมาคมฟุตบอลไทยนั้นทำงานเละเทะมานานแล้ว ตั้งแต่คุณสมยศขึ้นมาเป็นนายกสมาคม...” และข้อความ “คุณไม่รู้หรอกว่าชีวิตคุณเนี่ย ตั้งแต่เป็นผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คุณได้สร้างวีรกรรมมาเยอะไปหมดเลย หลายอย่าง ไม่ว่าเป็นคดีบอส อยู่วิทยาโน่นนี่นั่น ซึ่งผมได้เคยพูดเรื่องนี้ไปแล้ว อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดแฟนบอลไทยก็ต้องดีใจเก้อ เพราะล่าสุดประชุมสภากรรมการสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ซึ่งคนของคุณสมยศทั้งนั้น นี่ต้องยืนยันเป็นคนของคุณสมยศทั้งนั้น มีมติเป็นเอกฉันท์ยับยั้งการลาออก ให้ทำหน้าที่ไปจนครบวาระ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2567 โดยอ้างตามเกมที่คุณสมยศวางหมากไว้ว่า ไม่ให้ไทยต้องเสี่ยงการโดนฟีฟ่าลงดาบ ซึ่งจะถูกห้ามยุ่งกับการแข่งขันระดับนานาชาติทั้งหมด รวมทั้งกิจกรรมของฟีฟ่าประเด็นครับ ในวันลงมติมีคนในที่ประชุมกระซิบผมมาว่าก่อนลงมติบอร์ดสภากรรมการวงแตก หลายคน WORK OUT ขอลาออกรับไม่ได้ที่มีคนชงมติไว้ให้คุณสมยศอยู่ต่อ คนที่ชงมติไว้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย ก็พี่นวยของผมนั่นเองอดีตมิตรตำรวจด้วยกันคือ พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน…” ข้อความต่อมา “ท่านผู้ชมอย่าลืมนะว่าคนคนนี้เป็นคนที่พูดว่า อาชีพตำรวจถือว่าเป็นไซต์ไลน์ อาชีพหลักๆ คือเป็นนักธุรกิจ คุณสมยศคือเสี่ยงิ้วราชการในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในปี 2558... ยังมีอีกประเด็นหนึ่งไปยืมเงินเสี่ยกำพล วิระเทพสุภรณ์ เจ้าพ่ออาบอบนวด ซึ่งต้องคดีค้ามนุษย์ถึงสี่ครั้ง ไปยืมมา 300 ล้านบาท จนเป็นข่าวฉาวโฉ่ในช่วงนั้น สมยศระบุมาตลอดชีวิตรับราชการเกือบจะเรียกได้ว่า อาชีพตำรวจเป็นไซต์ไลน์ แต่หลักๆ แล้วเค้าทำเรื่องหุ้น พฤศจิกายน 2564 สองปีที่แล้ว กฤษฎีกาตีความว่า พล.ต.อ.สมยศ ได้รับเงินเดือนในตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลโดยมิชอบ เพราะตำแหน่งรวมทั้งกรรมการสมาคมฟุตบอล เป็นงานอาสา งานเสียสละไม่ใช่งานลูกจ้าง จึงไม่สามารถเรียกรับเงินค่าตอบแทนได้แม้แต่บาทเดียว...พอเป็นข่าวก็ออกมาชี้แจง รับเงินเดือนจริงแต่บริจาคกลับไปที่สมาคมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ประเด็นนี้คือว่ามันผิดกฎหมาย คุณจะบริจาคให้ใครไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือคุณไม่มีสิทธิ์ที่จะตั้งเงินเดือนคุณเอง เพราะงานนี้เป็นงานที่เสียสละ” นอกจากนี้ข้อความ “ส่วนเรื่องสิทธิประโยชน์สมาคมฟุตบอล มีบริษัทหนึ่งชนะการประมูลจนได้เข้ามาดูแลนั้น บริษัทดังกล่าว แวดวงในบอกว่าเป็นลูกรักของบิ๊กอ็อด ที่เข้ามาอุ้มชู ปลุกปั้นมาตั้งแต่สมัยเป็นตำรวจ หลายฝ่ายจึงมองว่าการประมูลในครั้งนี้มีการเอื้อประโยชน์แก่กัน ดูตัวอย่าง ตัวอย่างหนึ่ง เราย้อนกลับไปปี 2563 ได้บริษัทเซ้นส์ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ ที่ไม่มีประสบการในการทำคอนเทนต์เกี่ยวกับกีฬามาก่อน แต่ดันชนะการประมูล ถือครองลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดไทยลีก มูลค่า 12,000 ล้านบาท ตกปีละ 1,500 ล้านบาท สุดท้ายไปไม่รอด ผู้บริหารขาดทุนแบบย่อยยับ ต้องเปลี่ยนผู้ถือครองมาเป็น AIS ทำให้มูลค่าลิขสิทธิ์ตกลงมาเกือบ 4 เท่า เหลือแค่ 400 ล้านบาท ตัดภาพมาตอนปัจจุบันเลย ในเรื่องดราม่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดฟุตบอลไทย ที่มีข่าวว่ามูลค่าลดฮวบ จาก 1,000 ล้านบาท เหลือเพียง 50 ล้านบาท ถ้าเราย้อนอดีตไป ลิขสิทธิ์บอลไทยเคยมีรายได้อู้ฟู่ โดยที่กระฉูดที่สุดในช่วงปี 2560-2563 ที่ทรูวิชั่น ประมูลค่าลิขสิทธิ์ 4,200 ล้านบาท แบ่งเป็นปี 60 900 ล้านบาท 61 1,000 ล้านบาท 62 1,100 ล้านบาท 63 1,200 ล้านบาท ในช่วงปี 2563 มีปัญหาเรื่องการแพร่ระบาดโรคโควิด ทรูวิชั่นก็ไม่มี ไม่สามารถจะจ่ายเต็มจำนวนได้ ฤดูกาล 2564-65 ค่าลิขสิทธิ์จาก AIS ก็ลดลงเหลือ 800 ล้านบาท ผ่านมาถึงฤดูกาล 2565-66 มีรายงานว่าเหลือแค่ราวๆ 300 ล้านบาท”และข้อความอื่น ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ๆทั้งนี้จำเลยทั้งสองร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ อันมีข้อความหมิ่นประมาทและดูหมิ่นโจทก์โดยการโฆษณา ขอให้ลงโทษตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 แก้ไข ฉบับที่ 2 มาตรา 16 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326,328,332,393, 91 เหตุเกิดทั่วราชอาณาจักร โดยช่วงเช้าวันนี้ นายสนธิ จำเลย เดินทางมาฟังคำพิพากษาพร้อมน.ส.อัจฉรา แสงขาว ทนายความ ส่วนโจทก์มีผู้รับมอบอำนาจมาฟังคำพิพากษา ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว เห็นว่า เป็นการแสดงความคิดเห็นและติชมโดยสุจริต พิพากษายกฟ้อง ภายหลังนายสนธิ กล่าวเพียงว่า ศาลพิพากษายกฟ้องในคดีที่ พล.ต.อ.สมยศ ฟ้องหมิ่นประมาท โดยตนสู้คดีด้วยหลักฐาน ความจริง และมีพยานมายืนยันข้อเท็จจริงทุกคดี ซึ่งพอใจผลคำพิพากษา เพราะชนะคดีก็ต้องพอใจ ยืนยันว่าไม่ใช่คดีแรกในชีวิต ตนเองทำงานสื่อมวลชนมา 50 ปี มีคดีทั้งหมด 246 คดี ผู้สื่อข่าวถามว่า การชุมนุมเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ในวันเสาร์ที่ 28 มิ.ย.นี้ จะไปขึ้นเวทีปราศรัยหรือไม่ นายสนธิ กล่าวว่า ไปแน่นอน และให้สื่อมวลชนคอยฟังให้ดี เพราะตนจะมีทีเด็ดในการพูดบนเวทีการชุมนุมแน่นอน โดยการชุมนุมจะเริ่มตั้งแต่ บ่าย 3 โมงเย็น ถึงเวลา 2 ทุ่มของวันเสาร์ เมื่อถามว่า การพูดทีเด็ดบนเวที จะทำให้รัฐบาลสะเทือนหรือไม่ นายสนธิกล่าวทิ้งท้ายว่า รัฐบาลชุดนี้พูดอะไรไปก็ไม่สะเทือนหรอก" https://sondhitalk.com/photo-gallery/9680000059229?fbclid=IwQ0xDSwLHDOBleHRuA2FlbQIxMQABHjn6VGI0tuOTxS9x_CkwyfHJV-yBaFUZuPKiJhpkpFj61C6LFET_1vKF_qsn_aem_sKwXdW8qRXGV0NWL3DHNAQ
    SONDHITALK.COM
    Photo Gallery ศาลอาญายกฟ้อง "บิ๊กอ๊อด" ฟ้องหมิ่น "สนธิ ลิ้มทองกุล" พูดพาดพิงในรายการสนธิทอล์ก ชี้แสดงความเห็นโดยสุจริต
    Photo Gallery ศาลอาญายกฟ้อง บิ๊กอ็อด ฟ้องหมิ่น สนธิ ลิ้มทองกุล พาดพิงในรายการสนธิทอร์ค ชี้แสดงความเห็นโดยสุจริต ด้านเจ้าตัวระบุสู้คดีด้วยหลักฐานและความจริง พร้อมยืนยันไปขึ้นเวทีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 28 มิ.ย.นี้แน่นอน
    0 Comments 0 Shares 813 Views 0 Reviews
  • หลายคนใช้ CapCut เพราะมันฟรี ใช้ง่าย และมีลูกเล่นที่ดีมาก…แต่หลังจากอัปเดตข้อกำหนดการใช้งาน (Terms of Service) ล่าสุด ผู้เชี่ยวชาญด้านความเป็นส่วนตัวเตือนว่า ผู้ใช้แทบไม่ได้เป็นเจ้าของเนื้อหาของตัวเองแล้ว

    CapCut เขียนเงื่อนไขว่า เมื่อคุณอัปโหลดวิดีโอ รูปภาพ หรือเสียงใด ๆ เข้าไปในระบบ (แม้แต่อันที่ไม่ได้กดเผยแพร่ก็ตาม) คุณจะมอบ สิทธิใช้งานแบบ “ทั่วโลก, ถาวร, โอนต่อได้, และไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์” ให้ CapCut ใช้ผลงานของคุณ — ทั้งใบหน้า เสียง ลักษณะท่าทาง และผลงานสร้างสรรค์ของคุณ เพื่อทำอะไรก็ได้ รวมถึงการใช้ในโฆษณา โดยไม่ต้องบอกล่วงหน้าหรือให้ค่าตอบแทนใด ๆ

    สิ่งที่น่ากังวลยิ่งขึ้นคือ ถึงคุณจะลบบัญชี CapCut ไปแล้ว ข้อมูลเหล่านั้นก็ยังเป็นของ CapCut ตลอดไป เพราะเขาเขียนว่า "perpetual" — ไม่มีหมดอายุ

    แถมไม่มีวิธี opt-out ด้วย...หมายความว่าแค่คุณใช้งานก็ถือว่ายอมรับโดยอัตโนมัติ

    CapCut อัปเดตข้อตกลงการใช้งาน โดยอ้างสิทธิในผลงานของผู้ใช้แบบถาวรและโอนต่อได้  
    • ครอบคลุมถึงภาพใบหน้า เสียง ลักษณะท่าทาง และงานตัดต่อทั้งหมด  
    • ใช้ได้แม้ผู้ใช้จะลบบัญชีแล้ว

    ข้อตกลงใหม่นี้ครอบคลุมถึงเนื้อหาทั้งหมดที่อัปโหลด — แม้จะไม่ได้เผยแพร่ก็ตาม  
    • รวมถึงคลิป draft, voiceover, หรือไฟล์ชั่วคราว

    CapCut ไม่มีระบบ opt-out — หากใช้งานถือว่ายอมรับข้อตกลงทันที  
    • ใช้กับทั้งผู้ใช้งานส่วนบุคคลและเชิงพาณิชย์

    ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการใช้เนื้อหาของผู้ใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต อาจละเมิดกฎหมายสิทธิภาพลักษณ์ (right of publicity)  
    • แต่การบังคับใช้ลำบากมากเพราะผู้ใช้กดยอมรับแล้วใน ToS

    ทางเลือกของผู้ใช้งานคือเปลี่ยนไปใช้โปรแกรมอื่น เช่น DaVinci Resolve หรือ Adobe Premiere ที่ให้ความเป็นเจ้าของผลงานแก่ผู้ใช้ชัดเจนกว่า

    https://www.techradar.com/pro/popular-video-editing-app-capcut-wants-to-use-any-content-you-produce-for-free-forever-heres-what-you-should-know
    หลายคนใช้ CapCut เพราะมันฟรี ใช้ง่าย และมีลูกเล่นที่ดีมาก…แต่หลังจากอัปเดตข้อกำหนดการใช้งาน (Terms of Service) ล่าสุด ผู้เชี่ยวชาญด้านความเป็นส่วนตัวเตือนว่า ผู้ใช้แทบไม่ได้เป็นเจ้าของเนื้อหาของตัวเองแล้ว CapCut เขียนเงื่อนไขว่า เมื่อคุณอัปโหลดวิดีโอ รูปภาพ หรือเสียงใด ๆ เข้าไปในระบบ (แม้แต่อันที่ไม่ได้กดเผยแพร่ก็ตาม) คุณจะมอบ สิทธิใช้งานแบบ “ทั่วโลก, ถาวร, โอนต่อได้, และไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์” ให้ CapCut ใช้ผลงานของคุณ — ทั้งใบหน้า เสียง ลักษณะท่าทาง และผลงานสร้างสรรค์ของคุณ เพื่อทำอะไรก็ได้ รวมถึงการใช้ในโฆษณา โดยไม่ต้องบอกล่วงหน้าหรือให้ค่าตอบแทนใด ๆ สิ่งที่น่ากังวลยิ่งขึ้นคือ ถึงคุณจะลบบัญชี CapCut ไปแล้ว ข้อมูลเหล่านั้นก็ยังเป็นของ CapCut ตลอดไป เพราะเขาเขียนว่า "perpetual" — ไม่มีหมดอายุ แถมไม่มีวิธี opt-out ด้วย...หมายความว่าแค่คุณใช้งานก็ถือว่ายอมรับโดยอัตโนมัติ ✅ CapCut อัปเดตข้อตกลงการใช้งาน โดยอ้างสิทธิในผลงานของผู้ใช้แบบถาวรและโอนต่อได้   • ครอบคลุมถึงภาพใบหน้า เสียง ลักษณะท่าทาง และงานตัดต่อทั้งหมด   • ใช้ได้แม้ผู้ใช้จะลบบัญชีแล้ว ✅ ข้อตกลงใหม่นี้ครอบคลุมถึงเนื้อหาทั้งหมดที่อัปโหลด — แม้จะไม่ได้เผยแพร่ก็ตาม   • รวมถึงคลิป draft, voiceover, หรือไฟล์ชั่วคราว ✅ CapCut ไม่มีระบบ opt-out — หากใช้งานถือว่ายอมรับข้อตกลงทันที   • ใช้กับทั้งผู้ใช้งานส่วนบุคคลและเชิงพาณิชย์ ✅ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการใช้เนื้อหาของผู้ใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต อาจละเมิดกฎหมายสิทธิภาพลักษณ์ (right of publicity)   • แต่การบังคับใช้ลำบากมากเพราะผู้ใช้กดยอมรับแล้วใน ToS ✅ ทางเลือกของผู้ใช้งานคือเปลี่ยนไปใช้โปรแกรมอื่น เช่น DaVinci Resolve หรือ Adobe Premiere ที่ให้ความเป็นเจ้าของผลงานแก่ผู้ใช้ชัดเจนกว่า https://www.techradar.com/pro/popular-video-editing-app-capcut-wants-to-use-any-content-you-produce-for-free-forever-heres-what-you-should-know
    0 Comments 0 Shares 373 Views 0 Reviews
  • ลองนึกภาพว่าเมื่อก่อน Google หรือ search engine เข้ามาเก็บข้อมูลเว็บเรา 6 ครั้ง จะมีคนคลิกเข้ามาสัก 1 ครั้งเพื่ออ่านจริง เหมือนเรายังพอ “มีค่าตอบแทน” จากการเปิดบ้านให้บอทเข้าเก็บข้อมูล

    แต่ตอนนี้อะไรเปลี่ยนไปหมด — Google, OpenAI และ Anthropic ใช้ AI มาสรุปเนื้อหาให้คนเลยทันที ผู้ใช้ไม่ต้องคลิก ไม่ต้องเข้าเว็บ แค่แชตหรือดูคำตอบบนหน้าแรกก็จบแล้ว ส่งผลให้สัดส่วน crawler : คนคลิก ลดฮวบลงเหลือระดับ “น่าตกใจ” เช่น:

    - Google: จาก 6:1 → เหลือ 18:1
    - OpenAI: จาก 250:1 → เหลือ 1,500:1
    - Anthropic: จาก 6,000:1 → เหลือ 60,000:1

    ซีอีโอของ Cloudflare มองว่าถ้ายังปล่อยให้เป็นแบบนี้ อินเทอร์เน็ตอาจเข้าสู่ยุค “เว็บผีไร้คนอ่าน” เพราะเจ้าของเว็บไม่มีแรงจูงใจในการผลิตเนื้อหาอีกแล้ว

    แม้ AI หลายรายเริ่ม “ใส่เครดิต” และลิงก์กลับไปยังต้นทาง แต่ Prince บอกว่า “ไม่มีใครคลิกจริง” เพราะตอนนี้ผู้คนเชื่อใจคำตอบของ AI มากขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่รู้ตัวว่าอาจกำลังอ่านข้อมูล “ผิดหรือคลาดเคลื่อน”

    เพื่อสู้กับเรื่องนี้ Cloudflare พัฒนาเครื่องมือใหม่ชื่อว่า AI Labyrinth ซึ่งเป็นระบบดัก crawler ที่ลอบเก็บข้อมูลโดยไม่เคารพ robots.txt หรือกฎเว็บ โดยจะพามัน “หลงในวงกตลิงก์ AI ปลอม ๆ” เพื่อให้มันเสียเวลาและพลังประมวลผลไปกับของไม่มีค่า — เหมือน AI เจอกับ AI นั่นเอง

    AI search และ zero-click result กำลังทำให้เว็บไซต์สูญเสียผู้เข้าชมจำนวนมาก  
    • สัดส่วน bot : คนคลิกพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว  
    • ส่งผลต่อรายได้จากโฆษณาและความอยู่รอดของเว็บไซต์

    Cloudflare เตรียมต่อสู้ด้วยเครื่องมือชื่อ “AI Labyrinth” เพื่อเบี่ยงเบน bot ที่ไม่เคารพกฎ  
    • สร้างลิงก์หลอกและหน้าปลอมให้ bot “เดินหลง”  
    • ใช้ AI สู้กับ AI ด้วยตรรกะแบบป้องกัน

    Google และ OpenAI แม้จะใส่เครดิตในผลลัพธ์ AI แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่คลิกลิงก์  
    • ผู้ใช้ “เชื่อ” คำตอบของ AI มากขึ้น  
    • เพิ่มโอกาสการกระจายข้อมูลผิดหรือไม่ครบถ้วน

    Cloudflare เตือนว่าถ้าไม่แก้ไข โมเดลรายได้ของเว็บจะล่มสลาย  
    • นักเขียน ครีเอเตอร์ และเว็บคุณภาพอาจเลิกสร้างเนื้อหา  
    • เหลือเพียงอินเทอร์เน็ตที่มีแต่ bot คุยกับ bot

    https://www.techspot.com/news/108399-cloudflare-ceo-warns-ai-crawlers-summaries-eroding-internet.html
    ลองนึกภาพว่าเมื่อก่อน Google หรือ search engine เข้ามาเก็บข้อมูลเว็บเรา 6 ครั้ง จะมีคนคลิกเข้ามาสัก 1 ครั้งเพื่ออ่านจริง เหมือนเรายังพอ “มีค่าตอบแทน” จากการเปิดบ้านให้บอทเข้าเก็บข้อมูล แต่ตอนนี้อะไรเปลี่ยนไปหมด — Google, OpenAI และ Anthropic ใช้ AI มาสรุปเนื้อหาให้คนเลยทันที ผู้ใช้ไม่ต้องคลิก ไม่ต้องเข้าเว็บ แค่แชตหรือดูคำตอบบนหน้าแรกก็จบแล้ว ส่งผลให้สัดส่วน crawler : คนคลิก ลดฮวบลงเหลือระดับ “น่าตกใจ” เช่น: - Google: จาก 6:1 → เหลือ 18:1 - OpenAI: จาก 250:1 → เหลือ 1,500:1 - Anthropic: จาก 6,000:1 → เหลือ 60,000:1 ซีอีโอของ Cloudflare มองว่าถ้ายังปล่อยให้เป็นแบบนี้ อินเทอร์เน็ตอาจเข้าสู่ยุค “เว็บผีไร้คนอ่าน” เพราะเจ้าของเว็บไม่มีแรงจูงใจในการผลิตเนื้อหาอีกแล้ว แม้ AI หลายรายเริ่ม “ใส่เครดิต” และลิงก์กลับไปยังต้นทาง แต่ Prince บอกว่า “ไม่มีใครคลิกจริง” เพราะตอนนี้ผู้คนเชื่อใจคำตอบของ AI มากขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่รู้ตัวว่าอาจกำลังอ่านข้อมูล “ผิดหรือคลาดเคลื่อน” เพื่อสู้กับเรื่องนี้ Cloudflare พัฒนาเครื่องมือใหม่ชื่อว่า AI Labyrinth ซึ่งเป็นระบบดัก crawler ที่ลอบเก็บข้อมูลโดยไม่เคารพ robots.txt หรือกฎเว็บ โดยจะพามัน “หลงในวงกตลิงก์ AI ปลอม ๆ” เพื่อให้มันเสียเวลาและพลังประมวลผลไปกับของไม่มีค่า — เหมือน AI เจอกับ AI นั่นเอง ✅ AI search และ zero-click result กำลังทำให้เว็บไซต์สูญเสียผู้เข้าชมจำนวนมาก   • สัดส่วน bot : คนคลิกพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว   • ส่งผลต่อรายได้จากโฆษณาและความอยู่รอดของเว็บไซต์ ✅ Cloudflare เตรียมต่อสู้ด้วยเครื่องมือชื่อ “AI Labyrinth” เพื่อเบี่ยงเบน bot ที่ไม่เคารพกฎ   • สร้างลิงก์หลอกและหน้าปลอมให้ bot “เดินหลง”   • ใช้ AI สู้กับ AI ด้วยตรรกะแบบป้องกัน ✅ Google และ OpenAI แม้จะใส่เครดิตในผลลัพธ์ AI แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่คลิกลิงก์   • ผู้ใช้ “เชื่อ” คำตอบของ AI มากขึ้น   • เพิ่มโอกาสการกระจายข้อมูลผิดหรือไม่ครบถ้วน ✅ Cloudflare เตือนว่าถ้าไม่แก้ไข โมเดลรายได้ของเว็บจะล่มสลาย   • นักเขียน ครีเอเตอร์ และเว็บคุณภาพอาจเลิกสร้างเนื้อหา   • เหลือเพียงอินเทอร์เน็ตที่มีแต่ bot คุยกับ bot https://www.techspot.com/news/108399-cloudflare-ceo-warns-ai-crawlers-summaries-eroding-internet.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Cloudflare CEO warns AI crawlers and summaries are eroding the internet's business model
    Speaking at an Axios event in Cannes last week, Prince explained that search engines and chatbots using generative AI to summarize web content have significantly reduced the...
    0 Comments 0 Shares 303 Views 0 Reviews
More Results