• ตัวแทนบริษัทแบรนด์เนม มันนี่ จำกัด พร้อมทนายความแจ้งความตำรวจ สน.ปทุมวัน แจ้งความเอาผิด “ดิว อริสรา” ข้อหาฉ้อโกง กรณีนำเอาสร้อย “Bvlgari” ของ "เมย์ วาสนา" มาจำนำ โดยอ้างเป็นของตัวเอง ทนายเผยแจ้งเป็นคดีอาญาไว้ก่อนแต่ยอมความได้ถ้ามาพูดคุยให้จบและเยียวยา

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000027655
    ตัวแทนบริษัทแบรนด์เนม มันนี่ จำกัด พร้อมทนายความแจ้งความตำรวจ สน.ปทุมวัน แจ้งความเอาผิด “ดิว อริสรา” ข้อหาฉ้อโกง กรณีนำเอาสร้อย “Bvlgari” ของ "เมย์ วาสนา" มาจำนำ โดยอ้างเป็นของตัวเอง ทนายเผยแจ้งเป็นคดีอาญาไว้ก่อนแต่ยอมความได้ถ้ามาพูดคุยให้จบและเยียวยา อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000027655
    Like
    Love
    Haha
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 602 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้ (22 มี.ค.) เวลา 11. 00 น. ทางด้าน "ทนายวิฑูรย์ เก่งงาน" ได้เดินทางมาที่สน.ปทุมวัน พร้อมกับตัวแทนของบริษัท แบรนด์เนม มันนี่ จำกัด เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนักแสดงชื่อดัง "ดิว อริสรา ทองบริสุทธิ์" ในข้อหาฉ้อโกง โดยการเอาสร้อยของผู้อื่นมาขายฝากกับบริษัท โดยทุจริตหลอกลวงว่าเป็นของตัวเอง โดย ทนายวิฑูรย์ เปิดเผยว่า ความผิดของนักแสดงสาวเข้าข่ายกฎหมายฉ้อโกงทุกประการ

    ทนาย : "ผมพาตัวแทนจากบริษัท แบรนด์เนม มันนี่ มาเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับคุณดิว อริสรา ทองบริสุทธิ์ ในข้อหาฉ้อโกง เพราะตอนที่คุณดิวให้คนเอาสร้อยคอของบุลการีมาวางขายฝากกับทางบริษัท คุณดิวก็อ้างว่าสร้อยเส้นนี้เป็นของตัวเขาเอง และเอามาขายฝากไว้เพื่อจะได้เงินสินเชื่อนี้ไปเป็นของตัวเอง คือปกปิดข้อเท็จจริงครับ เข้าองค์ประกอบความผิดข้อหาฉ้อโกงทุกประการ ตอนนี้ทางบริษัทต้องรักษาสิทธิตามกฎหมาย เพราะว่าบริษัทได้รับความเสียหาย จากการถูกหลอกลวงโดยทำให้เชื่อว่าทรัพย์สินนี้เป็นของลูกหนี้ และนำมาขายฝากไว้ มีสัญญาขายฝากตั้งแต่วันที่ 19 ส.ค. 65 และมีการต่อขยายสัญญามาเรื่อยๆ ครับจนถึงสัญญาฉบับที่ 4"

    ตัวแทนบริษัท : "เรื่องของใบเซอร์ ในวันที่ 19 ส.ค. ที่นำสร้อยมาฝาก เราได้มีการสอบถามถึงใบเซอร์แล้ว ทางคุณดิวก็แจ้งว่าอยู่อีกที่นึง อย่างที่แจ้งว่าบริษัทเราทำธุรกิจที่ทำสินเชื่อเช่าซื้อแบรนด์เนมและสินเชื่อรับฝากแบรนด์เนม คือเราไม่ได้ต้องการของเพื่อจะนำไปขายต่อ แต่เราเป็นการรับฝาก ซึ่งอุปกรณ์ไม่ต้องมาครบก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ราคาก็จะลดหลั่นลงไปตามที่อุปกรณ์มี ซึ่งตอนนั้นเราได้มาแค่สร้อยกับตัวกล่องค่ะ การรับฝากแบรนด์เนมเราไม่สามารถไปเช็คจากช็อปได้ว่าของชิ้นนี้เป็นของใคร ทุกช็อปจะมีกฎของเขาในการเช็ก ซึ่งชื่อที่มาขายฝากก็เป็นชื่อคุณดิวเลยค่ะ เรามีการทำธุรกรรมถูกต้องกับคุณดิว มีการเซ็นเอกสารสัญญาถูกต้องค่ะ แต่เป็นการเซ็นออนไลน์ เราส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ไปค่ะ แล้วคุณดิวก็ส่งกลับมา มีเอกสารถูกต้องก็คือมีบัตรประชาชน และการลงนามถูกต้องในสัญญาค่ะ"

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000027618

    #MGROnline #ดิวอริสรา #ข้อหาฉ้อโกง
    วันนี้ (22 มี.ค.) เวลา 11. 00 น. ทางด้าน "ทนายวิฑูรย์ เก่งงาน" ได้เดินทางมาที่สน.ปทุมวัน พร้อมกับตัวแทนของบริษัท แบรนด์เนม มันนี่ จำกัด เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนักแสดงชื่อดัง "ดิว อริสรา ทองบริสุทธิ์" ในข้อหาฉ้อโกง โดยการเอาสร้อยของผู้อื่นมาขายฝากกับบริษัท โดยทุจริตหลอกลวงว่าเป็นของตัวเอง โดย ทนายวิฑูรย์ เปิดเผยว่า ความผิดของนักแสดงสาวเข้าข่ายกฎหมายฉ้อโกงทุกประการ • ทนาย : "ผมพาตัวแทนจากบริษัท แบรนด์เนม มันนี่ มาเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับคุณดิว อริสรา ทองบริสุทธิ์ ในข้อหาฉ้อโกง เพราะตอนที่คุณดิวให้คนเอาสร้อยคอของบุลการีมาวางขายฝากกับทางบริษัท คุณดิวก็อ้างว่าสร้อยเส้นนี้เป็นของตัวเขาเอง และเอามาขายฝากไว้เพื่อจะได้เงินสินเชื่อนี้ไปเป็นของตัวเอง คือปกปิดข้อเท็จจริงครับ เข้าองค์ประกอบความผิดข้อหาฉ้อโกงทุกประการ ตอนนี้ทางบริษัทต้องรักษาสิทธิตามกฎหมาย เพราะว่าบริษัทได้รับความเสียหาย จากการถูกหลอกลวงโดยทำให้เชื่อว่าทรัพย์สินนี้เป็นของลูกหนี้ และนำมาขายฝากไว้ มีสัญญาขายฝากตั้งแต่วันที่ 19 ส.ค. 65 และมีการต่อขยายสัญญามาเรื่อยๆ ครับจนถึงสัญญาฉบับที่ 4" • ตัวแทนบริษัท : "เรื่องของใบเซอร์ ในวันที่ 19 ส.ค. ที่นำสร้อยมาฝาก เราได้มีการสอบถามถึงใบเซอร์แล้ว ทางคุณดิวก็แจ้งว่าอยู่อีกที่นึง อย่างที่แจ้งว่าบริษัทเราทำธุรกิจที่ทำสินเชื่อเช่าซื้อแบรนด์เนมและสินเชื่อรับฝากแบรนด์เนม คือเราไม่ได้ต้องการของเพื่อจะนำไปขายต่อ แต่เราเป็นการรับฝาก ซึ่งอุปกรณ์ไม่ต้องมาครบก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ราคาก็จะลดหลั่นลงไปตามที่อุปกรณ์มี ซึ่งตอนนั้นเราได้มาแค่สร้อยกับตัวกล่องค่ะ การรับฝากแบรนด์เนมเราไม่สามารถไปเช็คจากช็อปได้ว่าของชิ้นนี้เป็นของใคร ทุกช็อปจะมีกฎของเขาในการเช็ก ซึ่งชื่อที่มาขายฝากก็เป็นชื่อคุณดิวเลยค่ะ เรามีการทำธุรกรรมถูกต้องกับคุณดิว มีการเซ็นเอกสารสัญญาถูกต้องค่ะ แต่เป็นการเซ็นออนไลน์ เราส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ไปค่ะ แล้วคุณดิวก็ส่งกลับมา มีเอกสารถูกต้องก็คือมีบัตรประชาชน และการลงนามถูกต้องในสัญญาค่ะ" • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000027618 • #MGROnline #ดิวอริสรา #ข้อหาฉ้อโกง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 205 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อี้ แทนคุณ" พา 5 ผู้เสียหายถูก "ฟิล์ม รัฐภูมิ" ตบทรัพย์เข้าพบ "บิ๊กเต่า"ให้ข้อมูลพิจารณาเอาผิดข้อหาฉ้อโกงเป็นปกติธุระ ส่วน "ดีเจแมน-ใบเตย" ยังไม่พร้อมเข้าพบตำรวจ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000017337

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    "อี้ แทนคุณ" พา 5 ผู้เสียหายถูก "ฟิล์ม รัฐภูมิ" ตบทรัพย์เข้าพบ "บิ๊กเต่า"ให้ข้อมูลพิจารณาเอาผิดข้อหาฉ้อโกงเป็นปกติธุระ ส่วน "ดีเจแมน-ใบเตย" ยังไม่พร้อมเข้าพบตำรวจ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000017337 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1250 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อี้ แทนคุณ" พา 5 ผู้เสียหายถูก "ฟิล์ม รัฐภูมิ" ตบทรัพย์เข้าพบ "บิ๊กเต่า"ให้ข้อมูลพิจารณาเอาผิดข้อหาฉ้อโกงเป็นปกติธุระ ส่วน "ดีเจแมน-ใบเตย" ยังไม่พร้อมเข้าพบตำรวจ

    วันนี้ (21 ก.พ.) เมื่อเวลา 12.30 น. นายแทนคุณ หรืออี้ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม นำผู้เสียหายใน 5 คดีที่เชื่อมโยงกับ นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือฟิล์ม รัฐภูมิ ดารานักแสดง เรียกรับผลประโยชน์และแอบอ้างช่วยวิ่งเต้นคดีให้เดินทางเข้าพบ พล.ต.ท.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. เพื่อให้ข้อมูลหลักฐานกับพนักงานสอบสวนนำไปพิจารณาประกอบสำนวนคดี

    นายแทนคุณ กล่าวว่า วันนี้พาผู้เสียหายจากทั้ง 5 คดีที่เชื่อมโยงกับฟิล์ม รัฐภูมิ เข้าให้ข้อมูลหลักฐานกับ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เพื่อให้พิจารณาหาความเชื่อมโยงกับคดีเดิม และบุคคลดังกล่าวมีพฤติการณ์ซ้ำ ๆ เพื่อพิจารณาหลักฐานตรงนี้ว่าจะสามารถดำเนินคดีกับ นายฟิล์ม ในข้อหาฉ้อโกงเป็นปกติธุระได้หรือไม่ โดยเฉพาะกรณีของดีเจแมนและใบเตย ตนเองได้มีการพูดคุยมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งพบว่าทั้งคู่มีหลักฐานเป็นเส้นทางการเงิน ที่สามารถบ่งชี้ได้ว่าเงินดังกล่าวออกจากบุคคลใดบุคคลหนึ่งไปยังบุคคลหนึ่ง มูลค่าหลักสิบล้านขึ้นไป รวมทั้งคลิปเสียงสนทนาระหว่างดีเจแมน ใบเตยและบุคคลที่สาม ขณะที่เป็นผู้ต้องหาอยู่ระหว่างต่อสู้คดี ซึ่งได้มีบุคคลเข้ามาติดต่อโดยอ้างว่ารู้จักกับผู้ใหญ่ โดยได้มีการเปิดวิดีโอคอลโทรศัพท์ให้เห็นว่าอยู่กับผู้ใหญ่ในสถานที่นั้นจริง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ก่อนจะมีการเรียกรับผลประโยชน์จากดีเจแมนและใบเตยคนละ 7 ล้านบาท รวม 14 ล้านบาท

    คลิกรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ >> https://mgronline.com/crime/detail/9680000017337

    #MGROnline #อี้แทนคุณ #ฟิล์มรัฐภูมิ #ตบทรัพย์ #บิ๊กเต่า #ข้อหาฉ้อโกงเป็นปกติธุระ
    "อี้ แทนคุณ" พา 5 ผู้เสียหายถูก "ฟิล์ม รัฐภูมิ" ตบทรัพย์เข้าพบ "บิ๊กเต่า"ให้ข้อมูลพิจารณาเอาผิดข้อหาฉ้อโกงเป็นปกติธุระ ส่วน "ดีเจแมน-ใบเตย" ยังไม่พร้อมเข้าพบตำรวจ • วันนี้ (21 ก.พ.) เมื่อเวลา 12.30 น. นายแทนคุณ หรืออี้ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม นำผู้เสียหายใน 5 คดีที่เชื่อมโยงกับ นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ หรือฟิล์ม รัฐภูมิ ดารานักแสดง เรียกรับผลประโยชน์และแอบอ้างช่วยวิ่งเต้นคดีให้เดินทางเข้าพบ พล.ต.ท.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. เพื่อให้ข้อมูลหลักฐานกับพนักงานสอบสวนนำไปพิจารณาประกอบสำนวนคดี • นายแทนคุณ กล่าวว่า วันนี้พาผู้เสียหายจากทั้ง 5 คดีที่เชื่อมโยงกับฟิล์ม รัฐภูมิ เข้าให้ข้อมูลหลักฐานกับ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เพื่อให้พิจารณาหาความเชื่อมโยงกับคดีเดิม และบุคคลดังกล่าวมีพฤติการณ์ซ้ำ ๆ เพื่อพิจารณาหลักฐานตรงนี้ว่าจะสามารถดำเนินคดีกับ นายฟิล์ม ในข้อหาฉ้อโกงเป็นปกติธุระได้หรือไม่ โดยเฉพาะกรณีของดีเจแมนและใบเตย ตนเองได้มีการพูดคุยมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งพบว่าทั้งคู่มีหลักฐานเป็นเส้นทางการเงิน ที่สามารถบ่งชี้ได้ว่าเงินดังกล่าวออกจากบุคคลใดบุคคลหนึ่งไปยังบุคคลหนึ่ง มูลค่าหลักสิบล้านขึ้นไป รวมทั้งคลิปเสียงสนทนาระหว่างดีเจแมน ใบเตยและบุคคลที่สาม ขณะที่เป็นผู้ต้องหาอยู่ระหว่างต่อสู้คดี ซึ่งได้มีบุคคลเข้ามาติดต่อโดยอ้างว่ารู้จักกับผู้ใหญ่ โดยได้มีการเปิดวิดีโอคอลโทรศัพท์ให้เห็นว่าอยู่กับผู้ใหญ่ในสถานที่นั้นจริง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ก่อนจะมีการเรียกรับผลประโยชน์จากดีเจแมนและใบเตยคนละ 7 ล้านบาท รวม 14 ล้านบาท • คลิกรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ >> https://mgronline.com/crime/detail/9680000017337 • #MGROnline #อี้แทนคุณ #ฟิล์มรัฐภูมิ #ตบทรัพย์ #บิ๊กเต่า #ข้อหาฉ้อโกงเป็นปกติธุระ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 511 มุมมอง 0 รีวิว
  • "นารา เครปกะเทย" ถูกศาลตัดสินจำคุก 28 ปี 7 เดือน ผู้ต้องหาคดีร่วมกันฉ้อโกงประชาชนฯ กรณีฉ้อโกงกล่องสุ่มทองที่มีประชาชนตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก ก่อนรับสารภาพเหลือ 14 ปี ปรับ 70,000 บาท

    วันนี้ (20 ก.พ.) มีรายงานว่า นารา เครปกะเทย ได้ออกมาโพสต์ข้อความก่อนที่ศาลจะมีคำตัดสินในข้อหาฉ้อโกงประชาชน และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โดยเจ้าตัวได้ระบุข้อความว่า

    "อีก5นาทีก่อนตัดสิน ไม่รู้ว่าวันนี้จะเป็นยังไงท่านศาลจะเมตรตาไหม สิ่งเดียวที่นารารู้ คือนาราจะสู้ให้ถึงที่สุด❤️ ตั้งแต่วันแรกออกมาจนถึงวันนี้ไม่มีวันไหนที่นาราไม่มีวันใช้หนี้เที่ยวบ้างผักผ่อนบ้างเพราะเจอการกดดันอะไรหลายอย่างแต่ไม่เคยมีโอกาสได้เล่าให้ใครฟังเจอหลายล้านพันอารมณ์นาราก็ทนทำทุกอย่างที่ได้เงินโดนดูถูก โดนด่า โดนชม ดิฉันได้รองรชชาติมาหมดแล้วงานมีบ้างไม่มีบ้างสุดท้ายเด็กคนนี้ไม่เคยท้อคิดทุกอย่างกูจะทำไงใช้หนี้หมดคิดทุกอย่างทำไงให้มีเงินจะได้ใช้ชีวิตให้สบายบ้างตื่นมาทุกครั้งไม่มีครั้งไหนที่นอนสบายใจตื่นมาคิดทุกวันวันนี้จะทำไรดีอยากกลับไปหาครอบครัวหาไปเที่ยวบ้างก็ทำไม่ได้ทำไปก็โดนด่าขอให้ผ่านไปได้นะ ถ้าผ่านไม่ได้ก็ช่างมันเจออะไรมาหมดแล้ว คงไม่แย่ไปกว่านี้แล้วละรักทุกคน ออกไปได้ฉันจะตั้งใจขายไฟเบอร์นาราให้หมดดีที่สุด รอนะคะทุกคน❤️ อย่าลืมกัน"

    ก่อนที่สุดท้ายแล้วศาลจะมีคำตัดสินว่าจำคุก นารา เครปกะเทย 28 ปี 7 เดือนปรับ 7 หมื่น ข้อหาฉ้อโกงประชาชน-พรบ.คอมพ์

    อย่างไรก็ตาม หลังมีคำตัดสินออกมา ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับนาราออกมาโพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า

    “ขอให้นาราประกันอุทธรณ์ออกมาได้ด้วยเถอะ ศาลตัดสินมา 28 ปี 7 เดือน รับสารภาพเหลือ 14 ปี ปรับ 70,000 บาท”

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000017029

    #MGROnline #นาราเครปกะเทย
    "นารา เครปกะเทย" ถูกศาลตัดสินจำคุก 28 ปี 7 เดือน ผู้ต้องหาคดีร่วมกันฉ้อโกงประชาชนฯ กรณีฉ้อโกงกล่องสุ่มทองที่มีประชาชนตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก ก่อนรับสารภาพเหลือ 14 ปี ปรับ 70,000 บาท • วันนี้ (20 ก.พ.) มีรายงานว่า นารา เครปกะเทย ได้ออกมาโพสต์ข้อความก่อนที่ศาลจะมีคำตัดสินในข้อหาฉ้อโกงประชาชน และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โดยเจ้าตัวได้ระบุข้อความว่า • "อีก5นาทีก่อนตัดสิน ไม่รู้ว่าวันนี้จะเป็นยังไงท่านศาลจะเมตรตาไหม สิ่งเดียวที่นารารู้ คือนาราจะสู้ให้ถึงที่สุด❤️ ตั้งแต่วันแรกออกมาจนถึงวันนี้ไม่มีวันไหนที่นาราไม่มีวันใช้หนี้เที่ยวบ้างผักผ่อนบ้างเพราะเจอการกดดันอะไรหลายอย่างแต่ไม่เคยมีโอกาสได้เล่าให้ใครฟังเจอหลายล้านพันอารมณ์นาราก็ทนทำทุกอย่างที่ได้เงินโดนดูถูก โดนด่า โดนชม ดิฉันได้รองรชชาติมาหมดแล้วงานมีบ้างไม่มีบ้างสุดท้ายเด็กคนนี้ไม่เคยท้อคิดทุกอย่างกูจะทำไงใช้หนี้หมดคิดทุกอย่างทำไงให้มีเงินจะได้ใช้ชีวิตให้สบายบ้างตื่นมาทุกครั้งไม่มีครั้งไหนที่นอนสบายใจตื่นมาคิดทุกวันวันนี้จะทำไรดีอยากกลับไปหาครอบครัวหาไปเที่ยวบ้างก็ทำไม่ได้ทำไปก็โดนด่าขอให้ผ่านไปได้นะ ถ้าผ่านไม่ได้ก็ช่างมันเจออะไรมาหมดแล้ว คงไม่แย่ไปกว่านี้แล้วละรักทุกคน ออกไปได้ฉันจะตั้งใจขายไฟเบอร์นาราให้หมดดีที่สุด รอนะคะทุกคน❤️ อย่าลืมกัน" • ก่อนที่สุดท้ายแล้วศาลจะมีคำตัดสินว่าจำคุก นารา เครปกะเทย 28 ปี 7 เดือนปรับ 7 หมื่น ข้อหาฉ้อโกงประชาชน-พรบ.คอมพ์ • อย่างไรก็ตาม หลังมีคำตัดสินออกมา ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับนาราออกมาโพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า • “ขอให้นาราประกันอุทธรณ์ออกมาได้ด้วยเถอะ ศาลตัดสินมา 28 ปี 7 เดือน รับสารภาพเหลือ 14 ปี ปรับ 70,000 บาท” • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/onlinesection/detail/9680000017029 • #MGROnline #นาราเครปกะเทย
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 467 มุมมอง 0 รีวิว
  • "แอม ไซยาไนด์" ให้การปฏิเสธ สู้คดีวางยาตำรวจหญิงตาย เพื่อพ้นผิดข้อหาฉ้อโกง ศาลนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก 4 พ.ย.นี้

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000013367

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    "แอม ไซยาไนด์" ให้การปฏิเสธ สู้คดีวางยาตำรวจหญิงตาย เพื่อพ้นผิดข้อหาฉ้อโกง ศาลนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก 4 พ.ย.นี้ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000013367 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    Sad
    Angry
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 836 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลอาญาให้ประกันตัว "แม่ตั๊ก-ป๋าเบียร์" สามีภรรยา จำเลยคดีหลอกขายทองคำไม่ได้คุณภาพผ่านออนไลน์ โดยวางเงินประกันคนละ 2 ล้านบาท ติดกำไล EM ห้ามไขข่าวกระทบพิจารณาคดี และห้ามออกนอกประเทศ
    .
    วันนี้ (31 ม.ค.) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำสั่งในคำร้องขอปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 2-3 คดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัท เคทูเอ็น โกลด์ จำกัด โดยนายกานต์พล เรืองอร่าม หรือป๋าเบียร์ และ น.ส.กรกนก สุวรรณบุตร หรือเเม่ตั๊ก เป็น จำเลยที่ 1-3 ฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, ร่วมกันโฆษณาโดยใช้ข้อความที่เป็นการไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค โดยเจตนาก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพ ปริมาณ หรือสาระสำคัญประการอื่นอันเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการไม่ว่าจะเป็นของตนเองหรือผู้อื่น โฆษณาหรือใช้ฉลากที่มีข้อความอันเป็นเท็จหรือข้อความที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดเช่นว่านั้น
    .
    ร่วมกันขายสินค้าที่ควบคุมฉลากโดยไม่มีฉลากหรือมีฉลากแต่ฉลากหรือการแสดงฉลากนั้นไม่ถูกต้อง และร่วมกันประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343, 83, 91 พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1) พรบ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มาตรา 22, 30, 47 และ 52, พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 มาตรา 27, 47 ที่แก้ไขแล้ว กรณีที่จำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำผิดโฆษณาหลอกลวง ขายทองคำที่ไม่ได้มาตรฐาน จนมีผู้เสียหายจำนวนมากหลงเชื่อซื้อทองคำจากพวกจำเลยไป มูลค่าความเสียหายสูง นัดฟังคำสั่งวันนี้ โจทก์ จำเลยที่ 2-3 ทนายจำเลยที่ 2-3 มาศาล
    .
    มีรายงานเบื้องต้นว่า ศาลอาญาอนุญาตให้ทั้งสองประกันตัว โดยวางหลักประกันเป็นเงินสดคนละ 2 ล้านบาท พร้อมกับให้ติดอุปกรณ์ติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ หรือ กำไลอีเอ็ม (EM), ให้นำหนังสือเดินทางที่ยังไม่หมดอายุมาวางศาล โดยห้ามเดินทางออกนอกประเทศ และห้ามให้สัมภาษณ์ ไขข่าว หรือเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับคดีต่อสื่อมวลชน กระทบการพิจารณาคดี
    .
    สำหรับ น.ส.กรกนก หรือแม่ตั๊ก และนายกานต์พล หรือป๋าเบียร์ ถูกตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) จับกุมเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2567 ที่บ้านพักในซอยรามอินทรา 65 แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพฯ หลังมีผู้เสียหายจากการซื้อทองคำออนไลน์ แล้วพบว่าคุณภาพทองคำต่ำกว่ามาตรฐาน เข้าแจ้งความที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อขอให้ดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกงประชาชน ก่อนที่จะฝากขัง น.ส.กรกนกที่ทัณฑสถานหญิงกลาง และนายกานต์พลที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยเมื่อวันที่ 1 ต.ค.2567 ศาลอาญาไม่อนุญาตให้ประกันตัวทั้งสองมาแล้วครั้งหนึ่ง เนื่องจากพฤติการณ์แห่งคดีก่อความเสียหายแก่ผู้เสียหายหลายคน และในชั้นสอบสวนยังมีพยานบุคคลที่ต้องสอบสวนเพิ่มเติม ผู้ต้องหาอาจหลบหนีหรือยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน จึงยกคำร้อง รวมระยะเวลาที่ทั้งสองถูกจำคุกประมาณ 4 เดือน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000010118
    .........
    Sondhi X
    ศาลอาญาให้ประกันตัว "แม่ตั๊ก-ป๋าเบียร์" สามีภรรยา จำเลยคดีหลอกขายทองคำไม่ได้คุณภาพผ่านออนไลน์ โดยวางเงินประกันคนละ 2 ล้านบาท ติดกำไล EM ห้ามไขข่าวกระทบพิจารณาคดี และห้ามออกนอกประเทศ . วันนี้ (31 ม.ค.) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำสั่งในคำร้องขอปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 2-3 คดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัท เคทูเอ็น โกลด์ จำกัด โดยนายกานต์พล เรืองอร่าม หรือป๋าเบียร์ และ น.ส.กรกนก สุวรรณบุตร หรือเเม่ตั๊ก เป็น จำเลยที่ 1-3 ฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, ร่วมกันโฆษณาโดยใช้ข้อความที่เป็นการไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค โดยเจตนาก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพ ปริมาณ หรือสาระสำคัญประการอื่นอันเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการไม่ว่าจะเป็นของตนเองหรือผู้อื่น โฆษณาหรือใช้ฉลากที่มีข้อความอันเป็นเท็จหรือข้อความที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดเช่นว่านั้น . ร่วมกันขายสินค้าที่ควบคุมฉลากโดยไม่มีฉลากหรือมีฉลากแต่ฉลากหรือการแสดงฉลากนั้นไม่ถูกต้อง และร่วมกันประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343, 83, 91 พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1) พรบ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มาตรา 22, 30, 47 และ 52, พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 มาตรา 27, 47 ที่แก้ไขแล้ว กรณีที่จำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำผิดโฆษณาหลอกลวง ขายทองคำที่ไม่ได้มาตรฐาน จนมีผู้เสียหายจำนวนมากหลงเชื่อซื้อทองคำจากพวกจำเลยไป มูลค่าความเสียหายสูง นัดฟังคำสั่งวันนี้ โจทก์ จำเลยที่ 2-3 ทนายจำเลยที่ 2-3 มาศาล . มีรายงานเบื้องต้นว่า ศาลอาญาอนุญาตให้ทั้งสองประกันตัว โดยวางหลักประกันเป็นเงินสดคนละ 2 ล้านบาท พร้อมกับให้ติดอุปกรณ์ติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ หรือ กำไลอีเอ็ม (EM), ให้นำหนังสือเดินทางที่ยังไม่หมดอายุมาวางศาล โดยห้ามเดินทางออกนอกประเทศ และห้ามให้สัมภาษณ์ ไขข่าว หรือเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับคดีต่อสื่อมวลชน กระทบการพิจารณาคดี . สำหรับ น.ส.กรกนก หรือแม่ตั๊ก และนายกานต์พล หรือป๋าเบียร์ ถูกตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) จับกุมเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2567 ที่บ้านพักในซอยรามอินทรา 65 แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพฯ หลังมีผู้เสียหายจากการซื้อทองคำออนไลน์ แล้วพบว่าคุณภาพทองคำต่ำกว่ามาตรฐาน เข้าแจ้งความที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อขอให้ดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกงประชาชน ก่อนที่จะฝากขัง น.ส.กรกนกที่ทัณฑสถานหญิงกลาง และนายกานต์พลที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยเมื่อวันที่ 1 ต.ค.2567 ศาลอาญาไม่อนุญาตให้ประกันตัวทั้งสองมาแล้วครั้งหนึ่ง เนื่องจากพฤติการณ์แห่งคดีก่อความเสียหายแก่ผู้เสียหายหลายคน และในชั้นสอบสวนยังมีพยานบุคคลที่ต้องสอบสวนเพิ่มเติม ผู้ต้องหาอาจหลบหนีหรือยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน จึงยกคำร้อง รวมระยะเวลาที่ทั้งสองถูกจำคุกประมาณ 4 เดือน . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000010118 ......... Sondhi X
    Like
    Love
    Sad
    Haha
    Yay
    27
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2527 มุมมอง 1 รีวิว
  • ข่าวนี้ทำให้รู้สึกตกใจและผิดหวังมากที่ Alexander Beckman และภรรยาของเขา Valerie Lau Beckman ถูกฟ้องในข้อหาฉ้อโกงนักลงทุนมูลค่า 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การที่ผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพ AI และภรรยาของเขาถูกกล่าวหาว่าปลอมแปลงเอกสารและหลอกลวงนักลงทุนเป็นเรื่องที่น่าตกใจและน่าผิดหวังอย่างยิ่ง

    การฉ้อโกงนี้ไม่เพียงแต่ทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่สูญเสียเงินทุน แต่ยังทำลายความเชื่อมั่นในวงการสตาร์ทอัพและเทคโนโลยีอีกด้วย การที่บริษัทที่เคยมีชื่อเสียงและลูกค้าชื่อดังหลายรายต้องเผชิญกับปัญหาทางการเงินและการฉ้อโกงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าและน่าผิดหวัง

    หวังว่าเหตุการณ์นี้จะเป็นบทเรียนสำคัญให้กับนักลงทุนและผู้ประกอบการในการตรวจสอบและป้องกันการฉ้อโกงในอนาคต. การรักษาความซื่อสัตย์และความโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นและความสำเร็จในวงการธุรกิจและเทคโนโลยีครับ

    https://www.techspot.com/news/106525-san-francisco-ai-startup-founder-wife-indicted-60.html
    ข่าวนี้ทำให้รู้สึกตกใจและผิดหวังมากที่ Alexander Beckman และภรรยาของเขา Valerie Lau Beckman ถูกฟ้องในข้อหาฉ้อโกงนักลงทุนมูลค่า 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การที่ผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพ AI และภรรยาของเขาถูกกล่าวหาว่าปลอมแปลงเอกสารและหลอกลวงนักลงทุนเป็นเรื่องที่น่าตกใจและน่าผิดหวังอย่างยิ่ง การฉ้อโกงนี้ไม่เพียงแต่ทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่สูญเสียเงินทุน แต่ยังทำลายความเชื่อมั่นในวงการสตาร์ทอัพและเทคโนโลยีอีกด้วย การที่บริษัทที่เคยมีชื่อเสียงและลูกค้าชื่อดังหลายรายต้องเผชิญกับปัญหาทางการเงินและการฉ้อโกงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าและน่าผิดหวัง หวังว่าเหตุการณ์นี้จะเป็นบทเรียนสำคัญให้กับนักลงทุนและผู้ประกอบการในการตรวจสอบและป้องกันการฉ้อโกงในอนาคต. การรักษาความซื่อสัตย์และความโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นและความสำเร็จในวงการธุรกิจและเทคโนโลยีครับ https://www.techspot.com/news/106525-san-francisco-ai-startup-founder-wife-indicted-60.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    San Francisco AI startup founder and wife indicted in $60 million fraud scheme
    Alexander Beckman, founder of the AI startup GameOn Technology (now ON Platform), and his wife, attorney Valerie Lau Beckman, were indicted on 25 charges, including conspiracy, wire...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 188 มุมมอง 0 รีวิว
  • “พุดเดิ้ล ยุพดี” เพื่อนสนิท “แอนนา ทีวีพูล” ยันที่ผ่านมาไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดีฉ้อโกง ถูกเรียกสอบ 3 ครั้ง ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี น้อยใจถูกสังคมโจมตีจนเก็บตัว เปลี่ยนเบอร์ เปลี่ยนไลน์ ลั่นแอนนาดีใจจะมีการรื้อคดีการตายของ “แตงโม” พร้อมโต้แตงโมตาย วิ่งหาแสง แอนนา ติดคุก ทิ้งเพื่อน

    เป็นทั้งเพื่อนสนิทและผู้จัดการให้กับ “แอนนา ทีวีพูล” วรินทร วัตรสังข์ สำหรับ “พุดเดิ้ล ยุพดี” ก่อนที่แอนนาจะเดินเข้าเรือนจำเอง ข้อหาฉ้อโกงประชาชน ซึ่งที่ผ่านมาข่าวคราวของพุดเดิ้ล ยุพดี ก็หายเงียบไปด้วย ล่าสุดผู้สื่อข่าวเจอเจ้าตัวในงานประกวด มิสแกรนด์เลย 2025 พุดเดิ้ลก็ได้เผยชีวิตในช่วงนี้ให้ฟังว่า

    “ที่ผ่านมาไม่ค่อยเห็นเราได้ออกงาน จะพูดยังไงดี คือเราสนิทกับแอนนามาก มีพุดเดิ้ลก็ต้องมีแอนนา ตอนนี้พี่แอนนาอยู่ในเรือนจำ หลายคนก็มองว่าพุดเดิ้ลจะไปยังไงต่อดี บางคนก็มองว่า เรามีส่วนรู้เห็นไหมกับสิ่งที่มันเกิดขึ้น ตอนนี้มันอยู่ในกระบวนการของกฎหมาย พุดเดิ้ลเป็นผู้จัดการแอนนา เป็นเพื่อน เป็นคนสนิท เรื่องบางเรื่อง พุดเดิ้ลไม่เคยรับรู้ และก็ไม่ได้รับทราบ กับสิ่งที่มันเกิดขึ้น พุดเดิ้ลทราบในเรื่องของพุดเดิ้ลเอง สังคมก็โจมตีว่าเราต้องมีส่วนรู้เห็นแน่นอน ต้องทำเป็นกระบวนการ ซึ่งสิ่งที่มันเกิดขึ้น ตำรวจได้เรียกพุดเดิ้ล ไปสอบสวนว่ารายละเอียดเป็นยังไง

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000004148

    #MGROnline #พุดเดิ้ล #แอนนาทีวีพูล
    “พุดเดิ้ล ยุพดี” เพื่อนสนิท “แอนนา ทีวีพูล” ยันที่ผ่านมาไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดีฉ้อโกง ถูกเรียกสอบ 3 ครั้ง ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี น้อยใจถูกสังคมโจมตีจนเก็บตัว เปลี่ยนเบอร์ เปลี่ยนไลน์ ลั่นแอนนาดีใจจะมีการรื้อคดีการตายของ “แตงโม” พร้อมโต้แตงโมตาย วิ่งหาแสง แอนนา ติดคุก ทิ้งเพื่อน • เป็นทั้งเพื่อนสนิทและผู้จัดการให้กับ “แอนนา ทีวีพูล” วรินทร วัตรสังข์ สำหรับ “พุดเดิ้ล ยุพดี” ก่อนที่แอนนาจะเดินเข้าเรือนจำเอง ข้อหาฉ้อโกงประชาชน ซึ่งที่ผ่านมาข่าวคราวของพุดเดิ้ล ยุพดี ก็หายเงียบไปด้วย ล่าสุดผู้สื่อข่าวเจอเจ้าตัวในงานประกวด มิสแกรนด์เลย 2025 พุดเดิ้ลก็ได้เผยชีวิตในช่วงนี้ให้ฟังว่า • “ที่ผ่านมาไม่ค่อยเห็นเราได้ออกงาน จะพูดยังไงดี คือเราสนิทกับแอนนามาก มีพุดเดิ้ลก็ต้องมีแอนนา ตอนนี้พี่แอนนาอยู่ในเรือนจำ หลายคนก็มองว่าพุดเดิ้ลจะไปยังไงต่อดี บางคนก็มองว่า เรามีส่วนรู้เห็นไหมกับสิ่งที่มันเกิดขึ้น ตอนนี้มันอยู่ในกระบวนการของกฎหมาย พุดเดิ้ลเป็นผู้จัดการแอนนา เป็นเพื่อน เป็นคนสนิท เรื่องบางเรื่อง พุดเดิ้ลไม่เคยรับรู้ และก็ไม่ได้รับทราบ กับสิ่งที่มันเกิดขึ้น พุดเดิ้ลทราบในเรื่องของพุดเดิ้ลเอง สังคมก็โจมตีว่าเราต้องมีส่วนรู้เห็นแน่นอน ต้องทำเป็นกระบวนการ ซึ่งสิ่งที่มันเกิดขึ้น ตำรวจได้เรียกพุดเดิ้ล ไปสอบสวนว่ารายละเอียดเป็นยังไง • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/entertainment/detail/9680000004148 • #MGROnline #พุดเดิ้ล #แอนนาทีวีพูล
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 499 มุมมอง 0 รีวิว
  • โฆษกดีเอสไอ เผยคดี "ดิไอคอน" มีความผิดข้อหาฉ้อโกงประชาชน-แชร์ลูกโซ่ เป็นอาญาแผ่นดิน พยานขอถอนแจ้งความไม่มีผลต่อรูปคดี

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000000745

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    โฆษกดีเอสไอ เผยคดี "ดิไอคอน" มีความผิดข้อหาฉ้อโกงประชาชน-แชร์ลูกโซ่ เป็นอาญาแผ่นดิน พยานขอถอนแจ้งความไม่มีผลต่อรูปคดี อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000000745 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1660 มุมมอง 0 รีวิว
  • (๕/๖) 🇺🇦ยูเครน

    ❌รัฐมนตรีกลาโหม รุสเตม อูเมรอฟ ถูกเรียกตัวมาสอบสวนเมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม กรณีทุ่นระเบิดของกองทัพที่บกพร่อง ในเดือนพฤศจิกายน, ตำรวจได้จับกุม โรมัน บาลีกิน อดีตที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม และ อิกอร์ ฟรานชุก, อดีตลูกเขยของอดีตประธานาธิบดีคุชมา, ในข้อหาฉ้อโกงโครงการจัดหาเครื่องแบบ

    ❌เมื่อเดือนตุลาคม, เจ้าหน้าที่ได้เปิดโปงกลโกงหลบเลี่ยงการเกณฑ์ทหารในโอเดสซา ซึ่งเกี่ยวข้องกับการปลอมแปลงเอกสารทางการแพทย์
    .
    (5/6) 🇺🇦UKRAINE

    ❌Defense Minister Rustem Umerov was summoned on December 3 over faulty military mines. In November, police arrested former Defense Ministry adviser Roman Balykin and Igor Franchuk, ex-President Kuchma's former son-in-law, for a fraudulent uniform procurement scheme.

    ❌In October, authorities uncovered a draft-dodging scam in Odessa involving fake medical documentation.
    .
    9:20 PM · Dec 4, 2024 · 4,488 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1864313770895384862
    (๕/๖) 🇺🇦ยูเครน ❌รัฐมนตรีกลาโหม รุสเตม อูเมรอฟ ถูกเรียกตัวมาสอบสวนเมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม กรณีทุ่นระเบิดของกองทัพที่บกพร่อง ในเดือนพฤศจิกายน, ตำรวจได้จับกุม โรมัน บาลีกิน อดีตที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม และ อิกอร์ ฟรานชุก, อดีตลูกเขยของอดีตประธานาธิบดีคุชมา, ในข้อหาฉ้อโกงโครงการจัดหาเครื่องแบบ ❌เมื่อเดือนตุลาคม, เจ้าหน้าที่ได้เปิดโปงกลโกงหลบเลี่ยงการเกณฑ์ทหารในโอเดสซา ซึ่งเกี่ยวข้องกับการปลอมแปลงเอกสารทางการแพทย์ . (5/6) 🇺🇦UKRAINE ❌Defense Minister Rustem Umerov was summoned on December 3 over faulty military mines. In November, police arrested former Defense Ministry adviser Roman Balykin and Igor Franchuk, ex-President Kuchma's former son-in-law, for a fraudulent uniform procurement scheme. ❌In October, authorities uncovered a draft-dodging scam in Odessa involving fake medical documentation. . 9:20 PM · Dec 4, 2024 · 4,488 Views https://x.com/SputnikInt/status/1864313770895384862
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 195 มุมมอง 0 รีวิว
  • ด่วน!!
    ปธน.ไบเดน ลงนามในคำอภัยโทษอย่างเป็นทางการให้แก่ "ฮันเตอร์ ไบเดน" ลูกชายสุดรักของเขา

    ในแถลงการณ์ของไบเดน เขากล่าวว่าลูกชายของเขาถูกดำเนินคดีอย่างเลือกปฏิบัติและไม่เป็นธรรม และเรียกคดีของเขาว่าเป็นกระบวนการยุติธรรมที่ผิดพลาด นอกจากนี้ ไบเดนยังอ้างว่าหากเป็นบุคคลทั่วไป พวกเขาแทบจะไม่เคยถูกนำตัวขึ้นศาลในข้อกล่าวหาทางอาญาเพียงเล็กน้อยเลย และเป็นเกมของคู่ต่อสู้ทางการเมืองในสภาคองที่พยายามโจมตีตัวเขา และต่อต้านการเลือกตั้งของเขา

    อย่างไรก็ตาม การอภัยโทษอย่างสมบูรณ์และไม่มีเงื่อนไขดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าเขาจะไม่ให้ลูกชายได้รับการอภัยโทษ โดยเมื่อเดือนกันยายน โฆษกทำเนียบขาวกล่าวว่า "ไบเดนจะไม่อภัยโทษให้ลูกชายของเขาอย่างแน่นอน"

    ทางด้านฮันเตอร์ ไบเดน ลูกชายของโจ ไบเดนกล่าวว่า ความผิดพลาดที่เขาทำในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดของการติดยาของเขานั้น “ถูกใช้เพื่อทำให้ครอบครัวของเขาอับอายและขายหน้าต่อสาธารณะ” เพื่อความสนุกสนานทางการเมือง

    “ผมจะไม่มีวันมองข้ามการอภัยโทษที่ผมได้รับในวันนี้ และจะอุทิศชีวิตที่ผมสร้างขึ้นใหม่เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ยังคงเจ็บป่วยและทุกข์ทรมาน” ชายวัย 54 ปีกล่าวเสริม

    เมื่อต้นเดือนกันยายน ฮันเตอร์ ไบเดน สารภาพผิดในข้อหาฉ้อโกงภาษีของรัฐบาลกลาง 9 กระทง ซึ่งเขาอาจต้องติดคุกนานถึง 17 ปี และถูกตัดสินว่ามีความผิดทางอาญา 3 กระทงในข้อหาซื้อปืนในเดือนมิถุนายน ซึ่งเขาอาจต้องติดคุกนานถึง 25 ปี

    "คดีเหล่านี้กำลังจะมีกำหนดพิพากษาในวันที่ 12 และ 16 ธันวาคมนี้"


    ด่วน!! ปธน.ไบเดน ลงนามในคำอภัยโทษอย่างเป็นทางการให้แก่ "ฮันเตอร์ ไบเดน" ลูกชายสุดรักของเขา ในแถลงการณ์ของไบเดน เขากล่าวว่าลูกชายของเขาถูกดำเนินคดีอย่างเลือกปฏิบัติและไม่เป็นธรรม และเรียกคดีของเขาว่าเป็นกระบวนการยุติธรรมที่ผิดพลาด นอกจากนี้ ไบเดนยังอ้างว่าหากเป็นบุคคลทั่วไป พวกเขาแทบจะไม่เคยถูกนำตัวขึ้นศาลในข้อกล่าวหาทางอาญาเพียงเล็กน้อยเลย และเป็นเกมของคู่ต่อสู้ทางการเมืองในสภาคองที่พยายามโจมตีตัวเขา และต่อต้านการเลือกตั้งของเขา อย่างไรก็ตาม การอภัยโทษอย่างสมบูรณ์และไม่มีเงื่อนไขดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าเขาจะไม่ให้ลูกชายได้รับการอภัยโทษ โดยเมื่อเดือนกันยายน โฆษกทำเนียบขาวกล่าวว่า "ไบเดนจะไม่อภัยโทษให้ลูกชายของเขาอย่างแน่นอน" ทางด้านฮันเตอร์ ไบเดน ลูกชายของโจ ไบเดนกล่าวว่า ความผิดพลาดที่เขาทำในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดของการติดยาของเขานั้น “ถูกใช้เพื่อทำให้ครอบครัวของเขาอับอายและขายหน้าต่อสาธารณะ” เพื่อความสนุกสนานทางการเมือง “ผมจะไม่มีวันมองข้ามการอภัยโทษที่ผมได้รับในวันนี้ และจะอุทิศชีวิตที่ผมสร้างขึ้นใหม่เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ยังคงเจ็บป่วยและทุกข์ทรมาน” ชายวัย 54 ปีกล่าวเสริม เมื่อต้นเดือนกันยายน ฮันเตอร์ ไบเดน สารภาพผิดในข้อหาฉ้อโกงภาษีของรัฐบาลกลาง 9 กระทง ซึ่งเขาอาจต้องติดคุกนานถึง 17 ปี และถูกตัดสินว่ามีความผิดทางอาญา 3 กระทงในข้อหาซื้อปืนในเดือนมิถุนายน ซึ่งเขาอาจต้องติดคุกนานถึง 25 ปี "คดีเหล่านี้กำลังจะมีกำหนดพิพากษาในวันที่ 12 และ 16 ธันวาคมนี้"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 233 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อ.ปานเทพ" เข้าให้ปากคำตำรวจกองปราบ คดี "ทนายตั้ม" โกง"พี่อ้อย"แฉพยายามนำลูกมาเป็นบุตรบุญธรรมก่อนสอดไส้ตั้งตัวเองเป็นผู้จัดการมรดก เตรียมจ่อเปิดคลิปสาวไส้ในรายการสนธิทอล์ค พบปม 39 ล้าน โอนให้แก๊งสแกมเมอร์แค่ 1 แสน ที่เหลือนำมาแบ่งกัน เชื่อคดีคลี่คลายในเร็ววัน.วันนี้ (18 พ.ย.) ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา 13.00 น. นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เข้าให้ปากคำในฐานะพยานคดี นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ "ทนายตั้ม" ฉ้อโกง น.ส. จตุพร อุบลเลิศ หรือพี่อ้อย โดยนายปานเทพ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจเชิญมาเป็นพยาน ในฐานะที่เป็นผู้ได้รับเรื่องจาก นางจตุพร โดยเมื่อช่วงเช้าวันนี้นางจตุพรได้เดินทางมาที่บ้านพระอาทิตย์ เป็นครั้งที่ 3 เพื่อมาขอบคุณนายสนธิ ลิ้มทองกุล เว็บไซต์ผู้จัดการ และฝากขอบคุณสื่อมวลชนทุกค่ายที่ให้ข้อมูลเรื่องนี้.นายปานเทพ กล่าวว่านอกจากนี้ ยังมีการสัมภาษณ์เพิ่มเติมพิเศษในประเด็นอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นทำให้เราติดตามประเด็นนี้ต่อไป โดยเฉพาะคลิปที่สื่อมวลชนยังไม่ทราบ โดยเราจะเผยแพร่เป็นระยะ และจะสัมภาษณ์ น.ส.จตุพร เป็นกรณีพิเศษเพิ่มเติม รวมถึงหลังจากนี้รายการ สนธิทอล์ค จะเปิดคลิปที่เกี่ยวข้องกับคดี ในเวลาที่เหมาะสม ซึ่งในขณะนี้มั่นใจแล้วว่ากรณีเงิน 39 ล้านบาท จะมีความคืบหน้าในคดีอย่างแน่นอน และจะมีความชัดเจนว่า มีการแบ่งเงินกันเท่าไหร่ และแบ่งไปให้ใครบ้าง ซึ่งทั้งหมดในขณะนี้ พี่อ้อย ได้ทราบข้อเท็จจริงแล้ว และเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ทราบแล้วเช่นเดียวกัน จึงเชื่อว่าคดีนี้จะคลี่คลายในเร็ววันอย่างแน่นอน.นายปานเทพ กล่าวต่อว่าอย่างไรก็ตาม ยังมีบางประเด็นที่สังคมอาจจะยังไม่เข้าใจ กรณีที่ นายษิทรา มีความพยายามจะนำลูกมาเป็นบุตรบุญธรรมของพี่อ้อย ซึ่งพบว่า แท้ที่จริงแล้วมีขบวนการก่อนหน้านั้น คือการทำพินัยกรรม และให้นายษิทราเป็นผู้จัดการมรดก โดยเฉพาะครั้งแรกยังไม่มีผู้จัดการมรดก โดยครั้งที่ 2 สำนักงานทนายความษิทรา มีการแปลงเป็นผู้จัดการมรดก แล้วยังพบว่า มีพฤติการณ์ที่ตามมาหลังจากนั้น ทั้งเรื่องของการติด GPS ในรถของน.ส.จตุพร จนทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัย และยังชวนไปในสถานที่ต่าง ๆ ที่อาจจะไม่มีสัญญาณ GPS ซึ่งนางจตุพรได้ปฏิเสธทั้งหมด.นายปานเทพ กล่าวต่อว่า แม้ขณะนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องพินัยกรรมเรียบร้อยแล้ว แต่นายษิทรายังไม่คืนพินัยกรรมฉบับก่อนไว้เลย แม้จะทวงถามไปแล้ว ซึ่งเจ้าตัวอ้างว่าได้ทำลายไปแล้ว แต่ก็ไม่เคยทำลายให้เห็นต่อหน้า น.ส.จตุพร ฉะนั้นข้อมูลทั้งหมดจะถูกนำมาประกอบคดี ให้มีความแน่นหนามากขึ้นในข้อหาฉ้อโกงเป็นปกติธุระ ส่วนลักษณะฉ้อโกงเป็นอย่างไรจะเปิดให้ฟังในรายการสนธิทอล์คอีกครั้งหนึ่ง.
    "อ.ปานเทพ" เข้าให้ปากคำตำรวจกองปราบ คดี "ทนายตั้ม" โกง"พี่อ้อย"แฉพยายามนำลูกมาเป็นบุตรบุญธรรมก่อนสอดไส้ตั้งตัวเองเป็นผู้จัดการมรดก เตรียมจ่อเปิดคลิปสาวไส้ในรายการสนธิทอล์ค พบปม 39 ล้าน โอนให้แก๊งสแกมเมอร์แค่ 1 แสน ที่เหลือนำมาแบ่งกัน เชื่อคดีคลี่คลายในเร็ววัน.วันนี้ (18 พ.ย.) ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา 13.00 น. นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เข้าให้ปากคำในฐานะพยานคดี นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ "ทนายตั้ม" ฉ้อโกง น.ส. จตุพร อุบลเลิศ หรือพี่อ้อย โดยนายปานเทพ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจเชิญมาเป็นพยาน ในฐานะที่เป็นผู้ได้รับเรื่องจาก นางจตุพร โดยเมื่อช่วงเช้าวันนี้นางจตุพรได้เดินทางมาที่บ้านพระอาทิตย์ เป็นครั้งที่ 3 เพื่อมาขอบคุณนายสนธิ ลิ้มทองกุล เว็บไซต์ผู้จัดการ และฝากขอบคุณสื่อมวลชนทุกค่ายที่ให้ข้อมูลเรื่องนี้.นายปานเทพ กล่าวว่านอกจากนี้ ยังมีการสัมภาษณ์เพิ่มเติมพิเศษในประเด็นอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นทำให้เราติดตามประเด็นนี้ต่อไป โดยเฉพาะคลิปที่สื่อมวลชนยังไม่ทราบ โดยเราจะเผยแพร่เป็นระยะ และจะสัมภาษณ์ น.ส.จตุพร เป็นกรณีพิเศษเพิ่มเติม รวมถึงหลังจากนี้รายการ สนธิทอล์ค จะเปิดคลิปที่เกี่ยวข้องกับคดี ในเวลาที่เหมาะสม ซึ่งในขณะนี้มั่นใจแล้วว่ากรณีเงิน 39 ล้านบาท จะมีความคืบหน้าในคดีอย่างแน่นอน และจะมีความชัดเจนว่า มีการแบ่งเงินกันเท่าไหร่ และแบ่งไปให้ใครบ้าง ซึ่งทั้งหมดในขณะนี้ พี่อ้อย ได้ทราบข้อเท็จจริงแล้ว และเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ทราบแล้วเช่นเดียวกัน จึงเชื่อว่าคดีนี้จะคลี่คลายในเร็ววันอย่างแน่นอน.นายปานเทพ กล่าวต่อว่าอย่างไรก็ตาม ยังมีบางประเด็นที่สังคมอาจจะยังไม่เข้าใจ กรณีที่ นายษิทรา มีความพยายามจะนำลูกมาเป็นบุตรบุญธรรมของพี่อ้อย ซึ่งพบว่า แท้ที่จริงแล้วมีขบวนการก่อนหน้านั้น คือการทำพินัยกรรม และให้นายษิทราเป็นผู้จัดการมรดก โดยเฉพาะครั้งแรกยังไม่มีผู้จัดการมรดก โดยครั้งที่ 2 สำนักงานทนายความษิทรา มีการแปลงเป็นผู้จัดการมรดก แล้วยังพบว่า มีพฤติการณ์ที่ตามมาหลังจากนั้น ทั้งเรื่องของการติด GPS ในรถของน.ส.จตุพร จนทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัย และยังชวนไปในสถานที่ต่าง ๆ ที่อาจจะไม่มีสัญญาณ GPS ซึ่งนางจตุพรได้ปฏิเสธทั้งหมด.นายปานเทพ กล่าวต่อว่า แม้ขณะนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องพินัยกรรมเรียบร้อยแล้ว แต่นายษิทรายังไม่คืนพินัยกรรมฉบับก่อนไว้เลย แม้จะทวงถามไปแล้ว ซึ่งเจ้าตัวอ้างว่าได้ทำลายไปแล้ว แต่ก็ไม่เคยทำลายให้เห็นต่อหน้า น.ส.จตุพร ฉะนั้นข้อมูลทั้งหมดจะถูกนำมาประกอบคดี ให้มีความแน่นหนามากขึ้นในข้อหาฉ้อโกงเป็นปกติธุระ ส่วนลักษณะฉ้อโกงเป็นอย่างไรจะเปิดให้ฟังในรายการสนธิทอล์คอีกครั้งหนึ่ง.
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 847 มุมมอง 0 รีวิว
  • "เชน ธนา" อดีตนักร้องดังโร่พบกองปราบรับทราบข้อหาฉ้อโกง 79 ล้าน ร่ำไห้ยอมรับเครียด มองเป็นคดีแพ่ง แต่กลับถูกดำเนินคดีอาญา เผยสินค้าทุกชิ้นยังอยู่ในโกดัง ที่ไม่นำมาขายเพราะบริษัทคู่กรณีผลิตไม่ตรงปกจนถูก อย.สั่งห้ามโฆษณา•วันนี้ (18 พ.ย.) ที่ กองปราบปราม นายธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ หรือเชน ธนา อดีตนักแสดงและนักร้องบอยแบนด์วงNice 2 Meet U พร้อมด้วยนางกณิการ์ ภูศรี ภรรยา เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป. ตามหมายเรียกครั้งที่ 2 เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา "ฉ้อโกง" หลังถูกบริษัทรับผลิตอาหารเสริมแห่งหนึ่ง แจ้งความดำเนินคดีในความผิดฐานฉ้อโกงเงินค่าผลิตสินค้าอาหารเสริมจำนวน 79 ล้านบาท•นายธนาตรัยฉัตร กล่าวว่า วันนี้เดินทางเข้ามาพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก กรณีที่ก่อนหน้านี้มีบริษัท ท. แจ้งความดำเนินคดีกับตนและภรรยาในเรื่องการฉ้อโกงเงินค่าผลิตสินค้าจำนวน 79 ล้านบาท เบื้องต้นให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา เนื่องจากสินค้าทั้งหมดยังอยู่ และไม่ได้นำไปขาย เดิมทีคดีนี้พนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง เนื่องจากมองว่าเป็นคดีแพ่งตั้งแต่วันที่ 25 ต.ค. 65 ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นมองว่าเป็นเรื่องทางธุรกิจ หากศาลแพ่งมองว่าตนเป็นหนี้ก็ยินดีที่จะจ่าย แต่ต่อมาทางอัยการกลับมีความเห็นสั่งให้ฟ้องในข้อหาฉ้อโกง พร้อมทำหนังสือให้ทางพนักงานสอบสวนเรียกให้มาเข้าพบเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา•คลิกรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000110972•#MGROnline #เชนธนา
    "เชน ธนา" อดีตนักร้องดังโร่พบกองปราบรับทราบข้อหาฉ้อโกง 79 ล้าน ร่ำไห้ยอมรับเครียด มองเป็นคดีแพ่ง แต่กลับถูกดำเนินคดีอาญา เผยสินค้าทุกชิ้นยังอยู่ในโกดัง ที่ไม่นำมาขายเพราะบริษัทคู่กรณีผลิตไม่ตรงปกจนถูก อย.สั่งห้ามโฆษณา•วันนี้ (18 พ.ย.) ที่ กองปราบปราม นายธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์ หรือเชน ธนา อดีตนักแสดงและนักร้องบอยแบนด์วงNice 2 Meet U พร้อมด้วยนางกณิการ์ ภูศรี ภรรยา เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป. ตามหมายเรียกครั้งที่ 2 เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา "ฉ้อโกง" หลังถูกบริษัทรับผลิตอาหารเสริมแห่งหนึ่ง แจ้งความดำเนินคดีในความผิดฐานฉ้อโกงเงินค่าผลิตสินค้าอาหารเสริมจำนวน 79 ล้านบาท•นายธนาตรัยฉัตร กล่าวว่า วันนี้เดินทางเข้ามาพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก กรณีที่ก่อนหน้านี้มีบริษัท ท. แจ้งความดำเนินคดีกับตนและภรรยาในเรื่องการฉ้อโกงเงินค่าผลิตสินค้าจำนวน 79 ล้านบาท เบื้องต้นให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา เนื่องจากสินค้าทั้งหมดยังอยู่ และไม่ได้นำไปขาย เดิมทีคดีนี้พนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง เนื่องจากมองว่าเป็นคดีแพ่งตั้งแต่วันที่ 25 ต.ค. 65 ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นมองว่าเป็นเรื่องทางธุรกิจ หากศาลแพ่งมองว่าตนเป็นหนี้ก็ยินดีที่จะจ่าย แต่ต่อมาทางอัยการกลับมีความเห็นสั่งให้ฟ้องในข้อหาฉ้อโกง พร้อมทำหนังสือให้ทางพนักงานสอบสวนเรียกให้มาเข้าพบเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา•คลิกรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่ >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000110972•#MGROnline #เชนธนา
    Like
    Angry
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 426 มุมมอง 0 รีวิว
  • ย่อพฤติการณ์ "นุ-สา" แหกตาบิตคอยน์

    คดีที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย แจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ให้เอาผิดกับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ในข้อหาฉ้อโกงเงิน 71 ล้านบาท หลังโอนคดีไปยังตำรวจสอบสวนกลาง เมื่อตำรวจและสื่อมวลชนขุดคุ้ยขึ้นมา คดีก็งอกออกมาทั้งการจัดหาซื้อรถยนต์เบนซ์ รุ่น จี 400 และการเขียนแบบก่อสร้างโรงแรม นำไปสู่การจับกุมนายษิทรา พร้อมกับนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2567 โดยระบุพฤติการณ์มีลักษณะฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ

    มาถึงคดีล่าสุด เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2567 จับกุม นายนุวัฒน์ ยงยุทธ อายุ 34 ปี คนสนิทนายษิทรา และ น.ส.สารินี นุชนารถ อายุ 32 ปี แฟนสาว ก่อนที่วันต่อมาตำรวจได้นำตัวทั้งคู่ฝากขังต่อศาลอาญา

    ความน่าสนใจอยู่ที่คำร้องขอฝากขังของตำรวจ ระบุพฤติการณ์แห่งคดี โดยได้ย้อนตั้งแต่กรณีเงิน 71 ล้านบาท ซึ่งเป็นการหลอกลวงให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ กรณีการจัดหาซื้อรถยนต์เบนซ์ ที่นายษิทราได้ค่าส่วนต่าง 1.53 ล้านบาท กรณีว่าจ้างบริษัทหนึ่งเขียนแบบก่อสร้างโรงแรม 9 ล้านบาท แต่นายษิทราว่าจ้างอีกบริษัทหนึ่ง ได้ค่าส่วนต่าง 5.5 ล้านบาท มาถึงคดีล่าสุด นายษิทรา นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ร่วมกันหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ

    โดยระบุว่า นายนุวัฒน์มีกระเป๋าเงินดิจิทัล สามารถโอนสกุลเงินดิจิทัลบิทคอยน์ได้ น.ส.จตุพร จึงให้โอนเงินไปยังอินสตาแกรม เฉินคุณ (ดาราจีน) จากนั้นได้หลอกลวง น.ส.จตุพรว่า นายนุวัฒน์ใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลของของ น.ส.สารินี โอนเงิน ทำให้กระเป๋าเงินถูกระงับการใช้งาน เสียหาย 39 ล้านบาทโดยได้ร่วมกันส่งภาพถ่ายสำเนาบันทึกประจำวันไปให้ น.ส.จตุพรดูทางไลน์ ทำให้ น.ส.จตุพรหลงเชื่อ ทั้งที่ความจริงกระเป๋าเงินดิจิทัลของนายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ไม่ได้ถูกระจับแต่อย่างใด

    จากนั้น น.ส.จตุพร ส่งมอบเงินด้วยการซื้อแคชเชียร์เช็ค สั่งจ่าย น.ส.สารินี จำนวน 39 ล้านบาท ก่อนที่นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินีร่วมกันนำแคชเชียร์เช็คไปเข้าบัญชีธนาคารของ น.ส.สารินี จากนั้นนายษิทรา นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ร่วมกันเบิกถอนเงินสดออกจากบัญชีของ น.ส.สารินี การกระทำของนายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี เป็นความผิดฐานฉ้อโกง นำเข้าสู่คอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบกันฟอกเงิน

    ในท้ายคำร้อง พนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูงถึง 10 ปี และมูลค่าความเสียหายสูงมาก เกรงว่าจะหลบหนี และพบว่าก่อนถูกจับกุม ทั้งสองคนมีการเปลี่ยนโทรศัพท์และเบอร์มือถือ เพื่อให้ยากต่อการติดตามตัว

    #Newskit
    ย่อพฤติการณ์ "นุ-สา" แหกตาบิตคอยน์ คดีที่ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย แจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ให้เอาผิดกับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ในข้อหาฉ้อโกงเงิน 71 ล้านบาท หลังโอนคดีไปยังตำรวจสอบสวนกลาง เมื่อตำรวจและสื่อมวลชนขุดคุ้ยขึ้นมา คดีก็งอกออกมาทั้งการจัดหาซื้อรถยนต์เบนซ์ รุ่น จี 400 และการเขียนแบบก่อสร้างโรงแรม นำไปสู่การจับกุมนายษิทรา พร้อมกับนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2567 โดยระบุพฤติการณ์มีลักษณะฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ มาถึงคดีล่าสุด เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2567 จับกุม นายนุวัฒน์ ยงยุทธ อายุ 34 ปี คนสนิทนายษิทรา และ น.ส.สารินี นุชนารถ อายุ 32 ปี แฟนสาว ก่อนที่วันต่อมาตำรวจได้นำตัวทั้งคู่ฝากขังต่อศาลอาญา ความน่าสนใจอยู่ที่คำร้องขอฝากขังของตำรวจ ระบุพฤติการณ์แห่งคดี โดยได้ย้อนตั้งแต่กรณีเงิน 71 ล้านบาท ซึ่งเป็นการหลอกลวงให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ กรณีการจัดหาซื้อรถยนต์เบนซ์ ที่นายษิทราได้ค่าส่วนต่าง 1.53 ล้านบาท กรณีว่าจ้างบริษัทหนึ่งเขียนแบบก่อสร้างโรงแรม 9 ล้านบาท แต่นายษิทราว่าจ้างอีกบริษัทหนึ่ง ได้ค่าส่วนต่าง 5.5 ล้านบาท มาถึงคดีล่าสุด นายษิทรา นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ร่วมกันหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ โดยระบุว่า นายนุวัฒน์มีกระเป๋าเงินดิจิทัล สามารถโอนสกุลเงินดิจิทัลบิทคอยน์ได้ น.ส.จตุพร จึงให้โอนเงินไปยังอินสตาแกรม เฉินคุณ (ดาราจีน) จากนั้นได้หลอกลวง น.ส.จตุพรว่า นายนุวัฒน์ใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลของของ น.ส.สารินี โอนเงิน ทำให้กระเป๋าเงินถูกระงับการใช้งาน เสียหาย 39 ล้านบาทโดยได้ร่วมกันส่งภาพถ่ายสำเนาบันทึกประจำวันไปให้ น.ส.จตุพรดูทางไลน์ ทำให้ น.ส.จตุพรหลงเชื่อ ทั้งที่ความจริงกระเป๋าเงินดิจิทัลของนายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ไม่ได้ถูกระจับแต่อย่างใด จากนั้น น.ส.จตุพร ส่งมอบเงินด้วยการซื้อแคชเชียร์เช็ค สั่งจ่าย น.ส.สารินี จำนวน 39 ล้านบาท ก่อนที่นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินีร่วมกันนำแคชเชียร์เช็คไปเข้าบัญชีธนาคารของ น.ส.สารินี จากนั้นนายษิทรา นายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี ร่วมกันเบิกถอนเงินสดออกจากบัญชีของ น.ส.สารินี การกระทำของนายนุวัฒน์ และ น.ส.สารินี เป็นความผิดฐานฉ้อโกง นำเข้าสู่คอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบกันฟอกเงิน ในท้ายคำร้อง พนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูงถึง 10 ปี และมูลค่าความเสียหายสูงมาก เกรงว่าจะหลบหนี และพบว่าก่อนถูกจับกุม ทั้งสองคนมีการเปลี่ยนโทรศัพท์และเบอร์มือถือ เพื่อให้ยากต่อการติดตามตัว #Newskit
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1275 มุมมอง 0 รีวิว
  • จุดจบ “ทนายษิทรา”? ฉ้อโกงโยงแก๊งฟอกเงิน
    .
    ผมเคยพูดมาตลอดว่าเวรกรรมมันมีจริง และปล่อยให้กรรมทำงานของมันไปดีกว่า ผมถูกนายษิทรา เบี้ยบังเกิด กล่าวหาว่าผมอยู่เบื้องหลัง เป็นผู้วางแผนการ ทั้งๆที่ผมไม่ได้เกี่ยวข้องเลยแม้แต่นิดเดียวซึ่งผมอธิบายให้ท่านผู้ชมฟังไปแล้ว
    .
    นายษิทรา เบี้ยบังเกิด โดนหมายจับครั้งนี้เนื่องจากคณะกรรมการสอบสวนเขาได้ระบุชัดเจนเลยว่า "จากหลักฐานที่มีอยู่" เขาอนุมานและประเมินเรื่องราวต่างๆ ได้ว่า นายษิทรา เบี้ยบังเกิด และภรรยา มีส่วนร่วมกันฉ้อโกง
    .
    นั่นคือตำรวจทำคดีนี้ ไม่ได้มองว่างานนี้นายษิทราคนเดียวที่ทำ แต่ทำเป็นขบวนการ ตรงนี้ที่นายษิทราแพ้ แล้วยังมีทีเด็ดอีก ซึ่งผมไม่สามารถพูดได้ เอาเป็นว่ามันมีหลักฐานพิสูจน์ว่านายษิทรา เบี้ยบังเกิดนั้นรับรู้ในเรื่องเงิน 39 ล้านและก็ได้ส่วนแบ่งไปด้วย
    .
    เพราะฉะนั้นแล้ว จากการฉ้อโกงส่วนบุคคล กลายเป็นฉ้อโกงเป็นขบวนการ เมื่อฉ้อโกงเป็นขบวนการแล้ว ข้อหาฉ้อโกงธรรมดาก็ไม่ได้ใช้แล้ว ก็เพิ่มข้อหาเป็น "ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ" ก็คือฉ้อโกงอย่างเป็นสันดานนั่นเอง เจอเรื่องอะไรก็ฉ้อโกงมันหมดทุกเรื่อง
    .
    ผมอ่านตามหน้าไพ่ว่า ข้อแรก ข้อหาที่ตำรวจตั้งนั้นเป็นข้อหาที่รุนแรงหนัก ไม่ใช่ข้อหาธรรมดา "ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ" ก็คือฉ้อโกงจนเป็นสันดาน เมื่อบวกการฟอกเงินเป็นข้อหาที่หนักมาก
    .
    ข้อที่สอง การที่นายษิทรา เบี้ยบังเกิดปากเสีย ไปที่หน้ากองปราบ ไปโชว์ตัวและออกมาพูดถึงเนื้อหาในคดี ซึ่งข้างในอาคารเขากำลังสอบสวนอยู่ แล้วอ้างว่าตัวเองไม่ผิด อย่างโน้นอย่างนี้ นี่คือการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม เหมือนกับข่มขู่คนที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ หรือข่มขู่พยานที่กำลังให้ปากคำอยู่
    .
    ข้อที่สามก็คือ แทนที่จะอยู่เพื่อให้จับ กลับขับรถหนีอ้างว่าไปไหว้หลวงพ่อโสธร
    .
    เพราะฉะนั้น ด้วยเหตุสามข้อนี้ ตามที่ผมอ่านตามหน้าไพ่ ตำรวจจะคัดค้านการประกันตัว และถ้าศาลไม่ให้ประกันตัวตามมูลเหตุดังที่ผมพูดมานี้ ก็ค่อนข้างจะแน่นอนว่า ยื่นประกันตัวต่อไปในอนาคตก็ไม่ได้
    .
    มิหนำซ้ำ ระหว่างที่ฝากขังและสอบสวนษิทราอยู่ ตำรวจก็หาข้อมูล ก็อาจจะมีหมายจับออกมาเรื่อยๆ เพราะมันมีไม่ใช่เฉพาะ ษิทราและภรรยาเท่านั้น มีพี่ภรรยาอีก ซึ่งจะโดนหรือเปล่า ผมไม่ทราบ แต่ถ้าโดนผมก็ไม่ประหลาดใจ มีนายณุ และภรรยาชื่อ สา ซึ่งเกี่ยวข้องกับเงิน 39 ล้าน ก็อาจจะโดนหมายจับเช่นกัน แล้วผมยังมั่นใจว่าหมายจับยังจะต้องมีเพิ่มอีก
    .
    เชื่อหรือยังว่าเวรกรรมนั้นมันมีจริง ทำความชั่ว ทำร้ายผู้คนจำนวนมากจากการหลอกลวง ฉ้อโกงเขา ตั้งแต่หนุ่มตั้งแต่แน่นแล้ว เคยมีคดีลวนลามผู้หญิง หรือว่าพรากผู้เยาว์ ผมมีประวัติเขาตั้งแต่เขายังเป็นเด็กหนุ่ม เอาไว้วันหลังผมจะเรียบเรียงให้ฟัง
    จุดจบ “ทนายษิทรา”? ฉ้อโกงโยงแก๊งฟอกเงิน . ผมเคยพูดมาตลอดว่าเวรกรรมมันมีจริง และปล่อยให้กรรมทำงานของมันไปดีกว่า ผมถูกนายษิทรา เบี้ยบังเกิด กล่าวหาว่าผมอยู่เบื้องหลัง เป็นผู้วางแผนการ ทั้งๆที่ผมไม่ได้เกี่ยวข้องเลยแม้แต่นิดเดียวซึ่งผมอธิบายให้ท่านผู้ชมฟังไปแล้ว . นายษิทรา เบี้ยบังเกิด โดนหมายจับครั้งนี้เนื่องจากคณะกรรมการสอบสวนเขาได้ระบุชัดเจนเลยว่า "จากหลักฐานที่มีอยู่" เขาอนุมานและประเมินเรื่องราวต่างๆ ได้ว่า นายษิทรา เบี้ยบังเกิด และภรรยา มีส่วนร่วมกันฉ้อโกง . นั่นคือตำรวจทำคดีนี้ ไม่ได้มองว่างานนี้นายษิทราคนเดียวที่ทำ แต่ทำเป็นขบวนการ ตรงนี้ที่นายษิทราแพ้ แล้วยังมีทีเด็ดอีก ซึ่งผมไม่สามารถพูดได้ เอาเป็นว่ามันมีหลักฐานพิสูจน์ว่านายษิทรา เบี้ยบังเกิดนั้นรับรู้ในเรื่องเงิน 39 ล้านและก็ได้ส่วนแบ่งไปด้วย . เพราะฉะนั้นแล้ว จากการฉ้อโกงส่วนบุคคล กลายเป็นฉ้อโกงเป็นขบวนการ เมื่อฉ้อโกงเป็นขบวนการแล้ว ข้อหาฉ้อโกงธรรมดาก็ไม่ได้ใช้แล้ว ก็เพิ่มข้อหาเป็น "ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ" ก็คือฉ้อโกงอย่างเป็นสันดานนั่นเอง เจอเรื่องอะไรก็ฉ้อโกงมันหมดทุกเรื่อง . ผมอ่านตามหน้าไพ่ว่า ข้อแรก ข้อหาที่ตำรวจตั้งนั้นเป็นข้อหาที่รุนแรงหนัก ไม่ใช่ข้อหาธรรมดา "ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ" ก็คือฉ้อโกงจนเป็นสันดาน เมื่อบวกการฟอกเงินเป็นข้อหาที่หนักมาก . ข้อที่สอง การที่นายษิทรา เบี้ยบังเกิดปากเสีย ไปที่หน้ากองปราบ ไปโชว์ตัวและออกมาพูดถึงเนื้อหาในคดี ซึ่งข้างในอาคารเขากำลังสอบสวนอยู่ แล้วอ้างว่าตัวเองไม่ผิด อย่างโน้นอย่างนี้ นี่คือการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม เหมือนกับข่มขู่คนที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ หรือข่มขู่พยานที่กำลังให้ปากคำอยู่ . ข้อที่สามก็คือ แทนที่จะอยู่เพื่อให้จับ กลับขับรถหนีอ้างว่าไปไหว้หลวงพ่อโสธร . เพราะฉะนั้น ด้วยเหตุสามข้อนี้ ตามที่ผมอ่านตามหน้าไพ่ ตำรวจจะคัดค้านการประกันตัว และถ้าศาลไม่ให้ประกันตัวตามมูลเหตุดังที่ผมพูดมานี้ ก็ค่อนข้างจะแน่นอนว่า ยื่นประกันตัวต่อไปในอนาคตก็ไม่ได้ . มิหนำซ้ำ ระหว่างที่ฝากขังและสอบสวนษิทราอยู่ ตำรวจก็หาข้อมูล ก็อาจจะมีหมายจับออกมาเรื่อยๆ เพราะมันมีไม่ใช่เฉพาะ ษิทราและภรรยาเท่านั้น มีพี่ภรรยาอีก ซึ่งจะโดนหรือเปล่า ผมไม่ทราบ แต่ถ้าโดนผมก็ไม่ประหลาดใจ มีนายณุ และภรรยาชื่อ สา ซึ่งเกี่ยวข้องกับเงิน 39 ล้าน ก็อาจจะโดนหมายจับเช่นกัน แล้วผมยังมั่นใจว่าหมายจับยังจะต้องมีเพิ่มอีก . เชื่อหรือยังว่าเวรกรรมนั้นมันมีจริง ทำความชั่ว ทำร้ายผู้คนจำนวนมากจากการหลอกลวง ฉ้อโกงเขา ตั้งแต่หนุ่มตั้งแต่แน่นแล้ว เคยมีคดีลวนลามผู้หญิง หรือว่าพรากผู้เยาว์ ผมมีประวัติเขาตั้งแต่เขายังเป็นเด็กหนุ่ม เอาไว้วันหลังผมจะเรียบเรียงให้ฟัง
    Like
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1237 มุมมอง 1 รีวิว
  • คดีทนายตั้ม ไม่ได้มีแค่คุณอ้อย

    กรณีที่ตำรวจกองปราบปรามจับกุมนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ตามหมายจับของศาลอาญาในข้อหาฉ้อโกง ฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงินและข้อหาสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน พร้อมกับนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา ข้อหาร่วมกันฟอกเงิน สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน

    คำร้องฝากขัง ระบุพฤติการณ์หลอกลวง น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย ผู้เสียหาย โดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จปกปิดข้อความจริง เป็นเหตุให้คุณอ้อยหลงเชื่อส่งมอบเงินให้ต่างกรรมต่างวาระ ได้แก่ 1. หลอกลวงให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ อ้างว่าต้องจ่ายค่าจ้างเขียนโปรแกรม 2 ล้านยูโร หรือกว่า 71 ล้านบาท 2. การจัดหาซื้อรถยนต์เบนซ์ รุ่น จี 400 หลอกลวงว่าซื้อรถในราคา 12.93 ล้านบาท ทั้งที่ราคาเพียง 11.4 ล้านบาท คิดเป็นส่วนต่าง 1.53 ล้านบาท

    และ 3. หลอกลวงว่าได้ว่าจ้างบริษัทแห่งหนึ่งเขียนแบบก่อสร้างโรงแรม มีค่าเขียนแบบ 9 ล้านบาท ทั้งที่ไปว่าจ้างบริษัทอื่นเขียนแบบเพียง 3.5 ล้านบาท ผู้เสียหายโอนเงินให้บริษัทแห่งหนึ่ง ก่อนถอนเงินไปมอบให้ ได้ส่วนต่าง 5.5 ล้านบาท ทั้ง 3 กรณีความเสียหายรวมกว่า 78 ล้านบาท

    ยังมีผู้เสียหายที่ชื่อ "เตอร์" โปรแกรมเมอร์ และ "มี่" ภรรยา ซึ่ง อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กล่าวว่า นายษิทราว่าจ้างให้เขียนโปรแกรมลอตเตอรีออนไลน์ "นาคี" จำนวน 20 ล้านบาท แต่ให้เขียนสัญญาอีกฉบับ ระบุจำนวนเงิน 2 ล้านยูโร อ้างว่าเป็นค่าซื้อสลาก ปรากฎว่าถึงกำหนดชำระเงิน 15 ก.พ. 2566 ไม่มีเงินเข้า แต่ไม่รู้ว่าสัญญาอีกฉบับ คุณอ้อยโอนเงินให้นายษิทราไปแล้ว 2 ล้านยูโร เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2566

    ต่อมานายษิทราบอกว่าอย่าเพิ่งไปไหน จะให้ก่อสร้างโรงแรม แต่ต้องเขียนแบบก่อน จึงทำใบเสนอราคา 9 ล้านบาท คุณอ้อยโอนเงินไปที่บริษัทของเตอร์และมี่ ก่อนส่งมอบเงินสดให้นายษิทรา ปรากฎว่าไม่ได้งาน เพราะนายษิทราจ้างบริษัทอื่นเขียนแบบในราคา 3.5 ล้านบาท ก่อนชักจูงให้ก่อสร้าง แต่คุณอ้อยพบความผิดปกติจึงยกเลิก นายษิทราสั่งให้เดินหน้า ภายหลังคุณอ้อยขอบอกเลิกสัญญา 2 ครั้ง นายษิทรากลับเสนอให้เตอร์และมี่ยื่นโนติสเรียกค่าเสียหาย 30 ล้านบาท ซึ่งเตอร์และมี่ให้การกับตำรวจในฐานะผู้เสียหายแล้ว

    อย่างไรก็ตาม ยังมีกรณีเงิน 39 ล้านบาท ซึ่งมี "นุ" คนสนิทนายษิทรา และ "สาริณี" ภรรยาที่อ้างว่าถูกสแกมเมอร์หลอก และรับแคชเชียร์เช็คจากคุณอ้อย อยู่ในระหว่างการสืบสวนของตำรวจ

    #Newskit
    คดีทนายตั้ม ไม่ได้มีแค่คุณอ้อย กรณีที่ตำรวจกองปราบปรามจับกุมนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ตามหมายจับของศาลอาญาในข้อหาฉ้อโกง ฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงินและข้อหาสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน พร้อมกับนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา ข้อหาร่วมกันฟอกเงิน สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน คำร้องฝากขัง ระบุพฤติการณ์หลอกลวง น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย ผู้เสียหาย โดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จปกปิดข้อความจริง เป็นเหตุให้คุณอ้อยหลงเชื่อส่งมอบเงินให้ต่างกรรมต่างวาระ ได้แก่ 1. หลอกลวงให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ อ้างว่าต้องจ่ายค่าจ้างเขียนโปรแกรม 2 ล้านยูโร หรือกว่า 71 ล้านบาท 2. การจัดหาซื้อรถยนต์เบนซ์ รุ่น จี 400 หลอกลวงว่าซื้อรถในราคา 12.93 ล้านบาท ทั้งที่ราคาเพียง 11.4 ล้านบาท คิดเป็นส่วนต่าง 1.53 ล้านบาท และ 3. หลอกลวงว่าได้ว่าจ้างบริษัทแห่งหนึ่งเขียนแบบก่อสร้างโรงแรม มีค่าเขียนแบบ 9 ล้านบาท ทั้งที่ไปว่าจ้างบริษัทอื่นเขียนแบบเพียง 3.5 ล้านบาท ผู้เสียหายโอนเงินให้บริษัทแห่งหนึ่ง ก่อนถอนเงินไปมอบให้ ได้ส่วนต่าง 5.5 ล้านบาท ทั้ง 3 กรณีความเสียหายรวมกว่า 78 ล้านบาท ยังมีผู้เสียหายที่ชื่อ "เตอร์" โปรแกรมเมอร์ และ "มี่" ภรรยา ซึ่ง อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กล่าวว่า นายษิทราว่าจ้างให้เขียนโปรแกรมลอตเตอรีออนไลน์ "นาคี" จำนวน 20 ล้านบาท แต่ให้เขียนสัญญาอีกฉบับ ระบุจำนวนเงิน 2 ล้านยูโร อ้างว่าเป็นค่าซื้อสลาก ปรากฎว่าถึงกำหนดชำระเงิน 15 ก.พ. 2566 ไม่มีเงินเข้า แต่ไม่รู้ว่าสัญญาอีกฉบับ คุณอ้อยโอนเงินให้นายษิทราไปแล้ว 2 ล้านยูโร เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2566 ต่อมานายษิทราบอกว่าอย่าเพิ่งไปไหน จะให้ก่อสร้างโรงแรม แต่ต้องเขียนแบบก่อน จึงทำใบเสนอราคา 9 ล้านบาท คุณอ้อยโอนเงินไปที่บริษัทของเตอร์และมี่ ก่อนส่งมอบเงินสดให้นายษิทรา ปรากฎว่าไม่ได้งาน เพราะนายษิทราจ้างบริษัทอื่นเขียนแบบในราคา 3.5 ล้านบาท ก่อนชักจูงให้ก่อสร้าง แต่คุณอ้อยพบความผิดปกติจึงยกเลิก นายษิทราสั่งให้เดินหน้า ภายหลังคุณอ้อยขอบอกเลิกสัญญา 2 ครั้ง นายษิทรากลับเสนอให้เตอร์และมี่ยื่นโนติสเรียกค่าเสียหาย 30 ล้านบาท ซึ่งเตอร์และมี่ให้การกับตำรวจในฐานะผู้เสียหายแล้ว อย่างไรก็ตาม ยังมีกรณีเงิน 39 ล้านบาท ซึ่งมี "นุ" คนสนิทนายษิทรา และ "สาริณี" ภรรยาที่อ้างว่าถูกสแกมเมอร์หลอก และรับแคชเชียร์เช็คจากคุณอ้อย อยู่ในระหว่างการสืบสวนของตำรวจ #Newskit
    Like
    9
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 838 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลไม่ให้ประกันภรรยาทนายตั้ม พบย้ายทรัพย์ออกจากตู้เซฟ เปลี่ยนมือถือก่อนหนีไปเขมร
    .
    เปิดพฤติการณ์ทนายตั้มหลอกคุณอ้อยลงทุนหวยออนไลน์ ฟันส่วนต่างรถเบนซ์-เขียนแบบบ้าน ส่วนภรรยาใกล้ชิดย่อมรู้ทุกการกระทำ เผยก่อนถูกจับมีข่มขู่พยาน ด้อยค่าตำรวจ เปลี่ยนมือถือ ย้ายทรัพย์ออกจากเซฟ ก่อนขับรถไปชายแดน หวั่นหากปล่อยตัวเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวน ด้านศาลไม่อนุญาตให้ประกันภรรยา แม้ทนายความยื่นประกัน 5 แสน ขอติดกำไลอีเอ็ม
    .
    วันนี้ (8 พ.ย.) เมื่อเวลา 13.40 น. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวนกองปราบปรามนำตัวนายษิทธา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาที่ 1 ในข้อหาฉ้อโกง, ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด อายุ 41 ปี ภรรยาทนายตั้ม เป็นผู้ต้องหาที่ 2 ในข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิด ฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน มายื่นคำร้องฝากขังครั้งที่ 1
    .
    คำร้องระบุว่า ก่อนเกิดเหตุ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ ผู้เสียหาย ได้ว่าจ้างผู้ต้องหาที่ 1 ให้เป็นที่ปรึกษากฎหมายต่อมาผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จปกปิดข้อความจริง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ ส่งมอบเงินให้แก่ผู้ต้องหาที่ 1 หลายเรื่องหลายครั้งต่างกรรมต่างวาระ ได้แก่
    .
    1.ผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ อ้างว่าจะต้องจ่ายเงินเป็นค่าจ้างเขียนโปรแกรมเป็นเงินจำนวน 2,000,000 ยูโร พร้อมกับนำสัญญาว่าจ้างมาให้ผู้เสียหายลงลายมือชื่อ ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินค่าจ้างดังกล่าวไปยังบัญชีธนาคารของผู้ต้องหาที่ 1 คิดเป็นเงินไทย จำนวน 71,067,764.70 บาท
    .
    2. ผู้เสียหายได้มอบหมายให้ผู้ต้องหาที่ 1 หาซื้อรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น จี 400 จากนั้นผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าสามารถหาซื้อรถยนต์ดังกล่าวได้ในราคา 12,900,000 บาท และมีค่าติดฟิล์มรถยนต์จำนวน 30,000 บาท รวมเป็นเงิน 12,930,000 บาท ทั้งที่ความจริงแล้วรถยนต์คันดังกล่าวมีราคาเพียง 11,400,000 บาท โดยไม่มีราคาติดฟิล์ม ทำให้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้เงินค่าส่วนต่างจากราคารถยนต์และค่าฟิล์มรถ รวมเป็นเงินจำนวน 1,530,000 บาท
    .
    3. ผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าผู้ต้องหาที่ 1 ได้ติดต่อว่าจ้างบริษัทแห่งหนึ่งเป็นผู้เขียนแบบก่อสร้างโรงแรม ที่ผู้เสียหายจะก่อสร้าง โดยอ้างว่ามีค่าเขียนแบบโรงแรมเป็นจำนวนเงิน 9,000,000 บาท ทั้งที่ความจริงแล้วผู้ต้องหาที่ 1 ได้ไปว่าจ้างบริษัทอื่นให้เขียนแบบโรงแรมดังกล่าวให้แก่ผู้เสียหายในราคา 3,500,000 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินชำระค่าเขียนแบบดังกล่าวจำนวน 9,000,000 บาท เข้าบัญชีธนาคารให้แก่บริษัทแห่งหนึ่งจากนั้นได้มีการถอนเงินไปมอบให้แก่ผู้ต้องหาที่ 1 ทำให้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้เงินส่วนต่างค่าเขียนแบบโรงแรมเป็นเงินจำนวน 5,500,000 บาท
    .
    การกระทำดังกล่าวของผู้ต้องหาที่ 1 เป็นความผิดฐานฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และจากการสืบสวนสอบสวนพบผู้ต้องหาที่ 1 และผู้ต้องหาที่ 2 มีการกระทำต่อทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดดังกล่าวเข้าข่ายเป็นการฟอกเงิน ดังนี้
    .
    1. หลังจากผู้ต้องหาที่ 1 ได้รับโอนเงินจากผู้เสียหายจำนวน 71 ล้านบาทเศษ ผู้ต้องหาที่ 1 ได้โอนเงินจำนวน 71 ล้านบาท ออกจากบัญชีธนาคารของตนเองไปยังบัญชีอื่นของตนเองอีก 2 ทอด เพื่อชำระหนี้ค่าบ้านและที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้ต้องหาที่ 2
    .
    2. ผู้ต้องหาที่ 1 ได้รับมอบเงินสดของผู้เสียหายที่หลอกลวงเป็นค่าเขียนแบบโรงแรมจำนวน 9,000,000 บาทได้แบ่งเงินสดจำนวน 1,000,000 บาท ไปมอบให้แก่พี่สาวของผู้ต้องหาที่ 2 ก่อนพี่สาวของผู้ต้องหาที่ 2 นำไปเข้าบัญชีธนาคารของตัวเอง
    .
    ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาที่ 1-2 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
    .
    ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัว เนื่องจาก ผู้ต้องหาที่ 1 เป็นทนายความมีความรู้ทางกฎหมายเป็นอย่างดีและเป็นผู้ที่สังคมให้ความเชื่อถือ แต่กลับมีการกระทำผิดหลายครั้งหลายหนต่อเนื่องกัน ในลักษณะฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 เป็นภรรยาของผู้ต้องหาที่ 1 เป็นบุคคลใกล้ชิดและพักอาศัยอยู่ด้วยกัน ย่อมรู้เห็นการกระทำผิดและร่วมกระทำความผิดฟอกเงินกับผู้ต้องหาที่ 1 โดยผู้ต้องหาทั้งสองคนมีพฤติการณ์ที่จะหลบหนียุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานและเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของพนักงานสอบสวน ดังนี้
    .
    ผู้ต้องหาที่ 1 ได้ให้พยานบุคคลที่สำคัญในคดีให้การต่อพนักงานสอบสวนในลักษณะปกปิดข้อเท็จจริงการกระทำความผิดของตนผู้ต้องหาที่ 1 มีพฤติการณ์สำคัญบางประการ ทำให้พยานเกิดความเกรงกลัวภายในอันตรายที่จะเกิดกับพยานหรือตัวครอบครัวเพื่อไม่ให้พยานมาให้การหรือไม่ให้การข้อเท็จจริงที่สำคัญต่อคดี ผู้ต้องหาที่ 1 มีการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนในลักษณะลดทอนความน่าเชื่อถือในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวน ทำให้ผู้เสียหายและพยานบุคคลที่มาให้การต่อพนักงานสอบสวนเกิดความไม่มั่นใจและไม่ไว้วางใจการทำงานของพนักงานสอบสวน
    .
    จากการสืบสวนพบว่าก่อนที่จะมาจับกุมผู้ต้องหาที่ 1 และบุคคลใกล้ชิดมีการเปลี่ยนโทรศัพท์และหมายเลขโทรศัพท์มือถือ และพบว่าหมายเลขโทรศัพท์ที่ผู้ต้องหาที่ 1 ใช้อยู่ประจำได้ปิดสัญญาณไป และขณะจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยึดโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาที่ 1 - 2 ตรวจสอบพบว่าโทรศัพท์มือถือผู้ต้องหาที่ 1 ใช้ซิมการ์ดหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ต้องหาที่ 2 ส่วนโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาที่ 2 ใช้ซิมการ์ดหมายเลขโทรศัพท์ของพี่สาวผู้ต้องหาที่ 2 การกระทำของผู้ต้องหาที่ 1 - 2 ทำให้ยากแก่การติดต่อหรือติดตามตัวและค้นหาพยานหลักฐานในโทรศัพท์ ทั้งนี้ จากการตรวจค้นหาพยานหลักฐานที่บ้านพักผู้ต้องหาที่ 1- 2 พบว่าภายในบ้านมีตู้นิรภัยขนาดใหญ่สูง 2 เมตร ติดตั้งหลบซ่อน ทำให้ยากต่อการมองเห็นจากบุคคลภายนอก เมื่อเจ้าหน้าที่ค้นเปิดตู้นิรภัยดังกล่าว พบว่ามีร่องรอยผ่านการเก็บทรัพย์สินแล้ว จึงไม่พบทรัพย์สินมีค่าใดๆ อยู่ภายในตู้ดังกล่าว น่าเชื่อว่าผู้ต้องหาที่ 1 -2 ได้ร่วมกันยักย้ายทรัพย์สินออกไปก่อนที่เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจค้น
    .
    และขณะเจ้าหน้าที่ทำการจับกุมขณะผู้ต้องหาที่ 1 -2 ขับรถยนต์อยู่บริเวณถนนสายกบินทร์บุรี-ฉะเชิงเทรา มุ่งหน้าไปทางชายแดนประเทศกัมพูชาและพบกระเป๋าเดินทางภายในมีเสื้อผ้าเครื่องใช้ส่วนตัวของผู้ต้องหาที่ 1- 2 มีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนีออกนอกประเทศ
    .
    ประกอบกับคดีที่ผู้ต้องหาที่ 1 -2 ถูกตั้งข้อหาจับกุมมีอัตราโทษสูงถึง 10 ปีในคดีนี้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้กระทำความผิดฉ้อโกงและได้ทรัพย์สินของผู้เสียหายจำนวนทั้งสิ้น 78,097,764.70 บาท ซึ่งเป็นความเสียหายมูลค่าสูง จากเหตุผลดังกล่าว หากผู้ต้องหาที่ 1-2 ได้รับการปล่อยชั่วคราวไป เชื่อว่าผู้ต้องหาที่ 1-2 น่าจะหลบหนีเข้าไปยุ่งหรือพยานหลักฐาน และจะเป็นอุปสรรคก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของคณะพนักงานสอบสวน อย่างไรก็ตาม มีผู้เสียหายยื่นคำร้องขอคัดค้านการปล่อยชั่วคราว โดยระบุว่าคดีมีอัตราโทษสูงและมูลค่าความเสียหายสูง หากผู้ต้องการผู้ต้องหาที่ 1-2 ได้รับการปล่อยชั่วคราว เกรงว่าจะหลบหนี ซึ่งอาจทำให้ผู้เสียหายไม่ได้รับชดใช้ค่าเสียหาย
    .
    ศาลอาญาพิจารณาแล้วอนุญาตฝากขังตามคำร้อง
    .
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ทนายของผู้ต้องหาที่ 2 ได้ยื่นคำร้องขอประกัน พร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 5 แสนบาท รวมทั้งยื่นเงื่อนไขให้ศาล ติดกำไลอีเอ็ม รวมทั้งห้ามออกนอกประเทศ และมารายงานตัวตามนัดทุกครั้ง ล่าสุด ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว
    ..............
    Sondhi X
    ศาลไม่ให้ประกันภรรยาทนายตั้ม พบย้ายทรัพย์ออกจากตู้เซฟ เปลี่ยนมือถือก่อนหนีไปเขมร . เปิดพฤติการณ์ทนายตั้มหลอกคุณอ้อยลงทุนหวยออนไลน์ ฟันส่วนต่างรถเบนซ์-เขียนแบบบ้าน ส่วนภรรยาใกล้ชิดย่อมรู้ทุกการกระทำ เผยก่อนถูกจับมีข่มขู่พยาน ด้อยค่าตำรวจ เปลี่ยนมือถือ ย้ายทรัพย์ออกจากเซฟ ก่อนขับรถไปชายแดน หวั่นหากปล่อยตัวเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวน ด้านศาลไม่อนุญาตให้ประกันภรรยา แม้ทนายความยื่นประกัน 5 แสน ขอติดกำไลอีเอ็ม . วันนี้ (8 พ.ย.) เมื่อเวลา 13.40 น. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวนกองปราบปรามนำตัวนายษิทธา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาที่ 1 ในข้อหาฉ้อโกง, ร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด อายุ 41 ปี ภรรยาทนายตั้ม เป็นผู้ต้องหาที่ 2 ในข้อหาร่วมกันฟอกเงินและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิด ฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน มายื่นคำร้องฝากขังครั้งที่ 1 . คำร้องระบุว่า ก่อนเกิดเหตุ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ ผู้เสียหาย ได้ว่าจ้างผู้ต้องหาที่ 1 ให้เป็นที่ปรึกษากฎหมายต่อมาผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จปกปิดข้อความจริง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ ส่งมอบเงินให้แก่ผู้ต้องหาที่ 1 หลายเรื่องหลายครั้งต่างกรรมต่างวาระ ได้แก่ . 1.ผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ อ้างว่าจะต้องจ่ายเงินเป็นค่าจ้างเขียนโปรแกรมเป็นเงินจำนวน 2,000,000 ยูโร พร้อมกับนำสัญญาว่าจ้างมาให้ผู้เสียหายลงลายมือชื่อ ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินค่าจ้างดังกล่าวไปยังบัญชีธนาคารของผู้ต้องหาที่ 1 คิดเป็นเงินไทย จำนวน 71,067,764.70 บาท . 2. ผู้เสียหายได้มอบหมายให้ผู้ต้องหาที่ 1 หาซื้อรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น จี 400 จากนั้นผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าสามารถหาซื้อรถยนต์ดังกล่าวได้ในราคา 12,900,000 บาท และมีค่าติดฟิล์มรถยนต์จำนวน 30,000 บาท รวมเป็นเงิน 12,930,000 บาท ทั้งที่ความจริงแล้วรถยนต์คันดังกล่าวมีราคาเพียง 11,400,000 บาท โดยไม่มีราคาติดฟิล์ม ทำให้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้เงินค่าส่วนต่างจากราคารถยนต์และค่าฟิล์มรถ รวมเป็นเงินจำนวน 1,530,000 บาท . 3. ผู้ต้องหาที่ 1 ได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าผู้ต้องหาที่ 1 ได้ติดต่อว่าจ้างบริษัทแห่งหนึ่งเป็นผู้เขียนแบบก่อสร้างโรงแรม ที่ผู้เสียหายจะก่อสร้าง โดยอ้างว่ามีค่าเขียนแบบโรงแรมเป็นจำนวนเงิน 9,000,000 บาท ทั้งที่ความจริงแล้วผู้ต้องหาที่ 1 ได้ไปว่าจ้างบริษัทอื่นให้เขียนแบบโรงแรมดังกล่าวให้แก่ผู้เสียหายในราคา 3,500,000 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินชำระค่าเขียนแบบดังกล่าวจำนวน 9,000,000 บาท เข้าบัญชีธนาคารให้แก่บริษัทแห่งหนึ่งจากนั้นได้มีการถอนเงินไปมอบให้แก่ผู้ต้องหาที่ 1 ทำให้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้เงินส่วนต่างค่าเขียนแบบโรงแรมเป็นเงินจำนวน 5,500,000 บาท . การกระทำดังกล่าวของผู้ต้องหาที่ 1 เป็นความผิดฐานฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และจากการสืบสวนสอบสวนพบผู้ต้องหาที่ 1 และผู้ต้องหาที่ 2 มีการกระทำต่อทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดดังกล่าวเข้าข่ายเป็นการฟอกเงิน ดังนี้ . 1. หลังจากผู้ต้องหาที่ 1 ได้รับโอนเงินจากผู้เสียหายจำนวน 71 ล้านบาทเศษ ผู้ต้องหาที่ 1 ได้โอนเงินจำนวน 71 ล้านบาท ออกจากบัญชีธนาคารของตนเองไปยังบัญชีอื่นของตนเองอีก 2 ทอด เพื่อชำระหนี้ค่าบ้านและที่ดินดังกล่าวให้แก่ผู้ต้องหาที่ 2 . 2. ผู้ต้องหาที่ 1 ได้รับมอบเงินสดของผู้เสียหายที่หลอกลวงเป็นค่าเขียนแบบโรงแรมจำนวน 9,000,000 บาทได้แบ่งเงินสดจำนวน 1,000,000 บาท ไปมอบให้แก่พี่สาวของผู้ต้องหาที่ 2 ก่อนพี่สาวของผู้ต้องหาที่ 2 นำไปเข้าบัญชีธนาคารของตัวเอง . ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาที่ 1-2 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา . ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัว เนื่องจาก ผู้ต้องหาที่ 1 เป็นทนายความมีความรู้ทางกฎหมายเป็นอย่างดีและเป็นผู้ที่สังคมให้ความเชื่อถือ แต่กลับมีการกระทำผิดหลายครั้งหลายหนต่อเนื่องกัน ในลักษณะฉ้อโกงอันเป็นปกติธุระ ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 เป็นภรรยาของผู้ต้องหาที่ 1 เป็นบุคคลใกล้ชิดและพักอาศัยอยู่ด้วยกัน ย่อมรู้เห็นการกระทำผิดและร่วมกระทำความผิดฟอกเงินกับผู้ต้องหาที่ 1 โดยผู้ต้องหาทั้งสองคนมีพฤติการณ์ที่จะหลบหนียุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานและเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของพนักงานสอบสวน ดังนี้ . ผู้ต้องหาที่ 1 ได้ให้พยานบุคคลที่สำคัญในคดีให้การต่อพนักงานสอบสวนในลักษณะปกปิดข้อเท็จจริงการกระทำความผิดของตนผู้ต้องหาที่ 1 มีพฤติการณ์สำคัญบางประการ ทำให้พยานเกิดความเกรงกลัวภายในอันตรายที่จะเกิดกับพยานหรือตัวครอบครัวเพื่อไม่ให้พยานมาให้การหรือไม่ให้การข้อเท็จจริงที่สำคัญต่อคดี ผู้ต้องหาที่ 1 มีการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนในลักษณะลดทอนความน่าเชื่อถือในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวน ทำให้ผู้เสียหายและพยานบุคคลที่มาให้การต่อพนักงานสอบสวนเกิดความไม่มั่นใจและไม่ไว้วางใจการทำงานของพนักงานสอบสวน . จากการสืบสวนพบว่าก่อนที่จะมาจับกุมผู้ต้องหาที่ 1 และบุคคลใกล้ชิดมีการเปลี่ยนโทรศัพท์และหมายเลขโทรศัพท์มือถือ และพบว่าหมายเลขโทรศัพท์ที่ผู้ต้องหาที่ 1 ใช้อยู่ประจำได้ปิดสัญญาณไป และขณะจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยึดโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาที่ 1 - 2 ตรวจสอบพบว่าโทรศัพท์มือถือผู้ต้องหาที่ 1 ใช้ซิมการ์ดหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ต้องหาที่ 2 ส่วนโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาที่ 2 ใช้ซิมการ์ดหมายเลขโทรศัพท์ของพี่สาวผู้ต้องหาที่ 2 การกระทำของผู้ต้องหาที่ 1 - 2 ทำให้ยากแก่การติดต่อหรือติดตามตัวและค้นหาพยานหลักฐานในโทรศัพท์ ทั้งนี้ จากการตรวจค้นหาพยานหลักฐานที่บ้านพักผู้ต้องหาที่ 1- 2 พบว่าภายในบ้านมีตู้นิรภัยขนาดใหญ่สูง 2 เมตร ติดตั้งหลบซ่อน ทำให้ยากต่อการมองเห็นจากบุคคลภายนอก เมื่อเจ้าหน้าที่ค้นเปิดตู้นิรภัยดังกล่าว พบว่ามีร่องรอยผ่านการเก็บทรัพย์สินแล้ว จึงไม่พบทรัพย์สินมีค่าใดๆ อยู่ภายในตู้ดังกล่าว น่าเชื่อว่าผู้ต้องหาที่ 1 -2 ได้ร่วมกันยักย้ายทรัพย์สินออกไปก่อนที่เจ้าหน้าที่จะทำการตรวจค้น . และขณะเจ้าหน้าที่ทำการจับกุมขณะผู้ต้องหาที่ 1 -2 ขับรถยนต์อยู่บริเวณถนนสายกบินทร์บุรี-ฉะเชิงเทรา มุ่งหน้าไปทางชายแดนประเทศกัมพูชาและพบกระเป๋าเดินทางภายในมีเสื้อผ้าเครื่องใช้ส่วนตัวของผู้ต้องหาที่ 1- 2 มีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนีออกนอกประเทศ . ประกอบกับคดีที่ผู้ต้องหาที่ 1 -2 ถูกตั้งข้อหาจับกุมมีอัตราโทษสูงถึง 10 ปีในคดีนี้ผู้ต้องหาที่ 1 ได้กระทำความผิดฉ้อโกงและได้ทรัพย์สินของผู้เสียหายจำนวนทั้งสิ้น 78,097,764.70 บาท ซึ่งเป็นความเสียหายมูลค่าสูง จากเหตุผลดังกล่าว หากผู้ต้องหาที่ 1-2 ได้รับการปล่อยชั่วคราวไป เชื่อว่าผู้ต้องหาที่ 1-2 น่าจะหลบหนีเข้าไปยุ่งหรือพยานหลักฐาน และจะเป็นอุปสรรคก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของคณะพนักงานสอบสวน อย่างไรก็ตาม มีผู้เสียหายยื่นคำร้องขอคัดค้านการปล่อยชั่วคราว โดยระบุว่าคดีมีอัตราโทษสูงและมูลค่าความเสียหายสูง หากผู้ต้องการผู้ต้องหาที่ 1-2 ได้รับการปล่อยชั่วคราว เกรงว่าจะหลบหนี ซึ่งอาจทำให้ผู้เสียหายไม่ได้รับชดใช้ค่าเสียหาย . ศาลอาญาพิจารณาแล้วอนุญาตฝากขังตามคำร้อง . ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ทนายของผู้ต้องหาที่ 2 ได้ยื่นคำร้องขอประกัน พร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 5 แสนบาท รวมทั้งยื่นเงื่อนไขให้ศาล ติดกำไลอีเอ็ม รวมทั้งห้ามออกนอกประเทศ และมารายงานตัวตามนัดทุกครั้ง ล่าสุด ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว .............. Sondhi X
    Like
    Love
    Haha
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1548 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อคืน “ทนายตั้ม” นอนซังเต
    หลังกองปราบสอบ 11 ชม.
    .
    ตำรวจกองปราบคุมตัวทนายตั้มเข้าห้องขัง หลังสอบมาราธอน 11 ชั่วโมง
    .
    จากกรณีตำรวจกองปราบติดตามจับกุมตัวนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ในข้อหาฉ้อโกง , ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิด ฐานฟอกเงิน และนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา ในข้อหาร่วมกันฟอกเงิน ได้ที่ ต.แสนภูดาษ อ.บ้านโพธิ์ ฉะเชิงเทรา เมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา ก่อนควบคุมตัวมาสอบปากคำ ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.)
    .
    ล่าสุดเมื่อเวลา 00.20 น.วันที่ 8 พ.ย.ที่อาคารกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ภายหลังการสอบปากคำกว่า 11 ชั่วโมง พนักงานสอบสวนร่วมกันควบคุมตัวนายษิทรา เบี้ยบังเกิด (สวมเสื้อเชิ๊ตเเขสั้นสีขาว กางเกงยีน) พร้อมนางปทิตตา ฯ (เสื้อยืดสีดำ) สองสามีภรรยา ลงจากห้องสอบสวน เพื่อนำตัวเข้าห้องขังที่บริเวณชั้น 1 บก.ป.
    .
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้าที่ทนายตั้ม จะลงมาห้องขัง ได้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ว่า "ยังมีนักข่าวเฝ้าอยู่หรือไม่" เนื่องจากไม่อยากเจอสื่อมวลชน โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบจึงขอความร่วมมือกับสื่อมวลชนให้ออกมาเฝ้าสังเกตุการณ์ด้านนอกอาคารแทน กระทั่งผ่านไปกว่า 1 ชั่วโมง เจ้าหน้าควบคุมตัวทนายตั้ม เดินลงจากห้องสอบสวน โดยทนายตั้ม มีสีหน้าอิฐโรย และพยายามเหลือบมองสื่อมวลชน รวมถึงนางปทิตตา ก็ได้เดินก้มหน้า ก่อนทั้งสองจะถูกนำตัวเข้าห้องขังไปทันที .
    .
    ด้าน นาย สายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของทนายตั้ม เปิดเผยว่าทนายตั้มไม่เครียดกับการถูกดำเนินคดี พร้อมทั้งยังเตรียมตัวถูกจับกุมจากตำรวจมาเป็นเวลานานถึง 5 วัน โดยใส่สูทแต่งตัวรอให้ถูกจับกุมอยู่ที่บ้านตลอดเวลา กระทั่งวันนี้เห็นว่ายังไม่มีการออกหมายจับจึงเดินทางไปทำบุญที่วัดในจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยไม่ได้มีพฤติการณ์หลบหนี ซึ่งมีความบริสุทธิ์ใจสังเกตได้จากการแต่งตัวและเสื้อผ้า ที่ทั้งสองคนวางแผนว่าจะไปนอนทำวัตรเย็นที่วัดและเดินทางกลับบ้าน ไม่ได้จะเดินทางหนีออกไปยังชายแดนอย่างที่ทุกคนตั้งข้อสังเกต แต่ยอมรับว่าภรรยาของทนายสิทธามีอาการเครียด เนื่องจากเป็นผู้หญิงและไม่คิดว่าจะต้องถูกดำเนินคดีเข้าเรือนจำ
    .
    ส่วนแนวทางการต่อสู้คดี ยืนยันว่าตนเองและทนายตั้มได้เตรียมพยานหลักฐานที่เป็นเอกสารหลักฐานสัญญาไว้อย่างละเอียดแล้ว และเชื่อว่าจะสามารถนำไปต่อสู้คดีในชั้นศาลได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจและการตีความกฎหมาย นอกจากนี้จะหารือกับญาติของลูกความทั้งสองคนว่าจะเตรียมหลักทรัพย์ในการประกันตัวผู้ต้องหาทั้งสองคนไว้อย่างไร
    ..............
    Sondhi X
    เมื่อคืน “ทนายตั้ม” นอนซังเต หลังกองปราบสอบ 11 ชม. . ตำรวจกองปราบคุมตัวทนายตั้มเข้าห้องขัง หลังสอบมาราธอน 11 ชั่วโมง . จากกรณีตำรวจกองปราบติดตามจับกุมตัวนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ในข้อหาฉ้อโกง , ฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิด ฐานฟอกเงิน และนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา ในข้อหาร่วมกันฟอกเงิน ได้ที่ ต.แสนภูดาษ อ.บ้านโพธิ์ ฉะเชิงเทรา เมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา ก่อนควบคุมตัวมาสอบปากคำ ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) . ล่าสุดเมื่อเวลา 00.20 น.วันที่ 8 พ.ย.ที่อาคารกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ภายหลังการสอบปากคำกว่า 11 ชั่วโมง พนักงานสอบสวนร่วมกันควบคุมตัวนายษิทรา เบี้ยบังเกิด (สวมเสื้อเชิ๊ตเเขสั้นสีขาว กางเกงยีน) พร้อมนางปทิตตา ฯ (เสื้อยืดสีดำ) สองสามีภรรยา ลงจากห้องสอบสวน เพื่อนำตัวเข้าห้องขังที่บริเวณชั้น 1 บก.ป. . ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้าที่ทนายตั้ม จะลงมาห้องขัง ได้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ว่า "ยังมีนักข่าวเฝ้าอยู่หรือไม่" เนื่องจากไม่อยากเจอสื่อมวลชน โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบจึงขอความร่วมมือกับสื่อมวลชนให้ออกมาเฝ้าสังเกตุการณ์ด้านนอกอาคารแทน กระทั่งผ่านไปกว่า 1 ชั่วโมง เจ้าหน้าควบคุมตัวทนายตั้ม เดินลงจากห้องสอบสวน โดยทนายตั้ม มีสีหน้าอิฐโรย และพยายามเหลือบมองสื่อมวลชน รวมถึงนางปทิตตา ก็ได้เดินก้มหน้า ก่อนทั้งสองจะถูกนำตัวเข้าห้องขังไปทันที . . ด้าน นาย สายหยุด เพ็งบุญชู ทนายความของทนายตั้ม เปิดเผยว่าทนายตั้มไม่เครียดกับการถูกดำเนินคดี พร้อมทั้งยังเตรียมตัวถูกจับกุมจากตำรวจมาเป็นเวลานานถึง 5 วัน โดยใส่สูทแต่งตัวรอให้ถูกจับกุมอยู่ที่บ้านตลอดเวลา กระทั่งวันนี้เห็นว่ายังไม่มีการออกหมายจับจึงเดินทางไปทำบุญที่วัดในจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยไม่ได้มีพฤติการณ์หลบหนี ซึ่งมีความบริสุทธิ์ใจสังเกตได้จากการแต่งตัวและเสื้อผ้า ที่ทั้งสองคนวางแผนว่าจะไปนอนทำวัตรเย็นที่วัดและเดินทางกลับบ้าน ไม่ได้จะเดินทางหนีออกไปยังชายแดนอย่างที่ทุกคนตั้งข้อสังเกต แต่ยอมรับว่าภรรยาของทนายสิทธามีอาการเครียด เนื่องจากเป็นผู้หญิงและไม่คิดว่าจะต้องถูกดำเนินคดีเข้าเรือนจำ . ส่วนแนวทางการต่อสู้คดี ยืนยันว่าตนเองและทนายตั้มได้เตรียมพยานหลักฐานที่เป็นเอกสารหลักฐานสัญญาไว้อย่างละเอียดแล้ว และเชื่อว่าจะสามารถนำไปต่อสู้คดีในชั้นศาลได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจและการตีความกฎหมาย นอกจากนี้จะหารือกับญาติของลูกความทั้งสองคนว่าจะเตรียมหลักทรัพย์ในการประกันตัวผู้ต้องหาทั้งสองคนไว้อย่างไร .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Wow
    11
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1131 มุมมอง 0 รีวิว
  • คุณอ้อยสบายใจ คดีทนายตั้มฉ้อโกงคืบ ย้ำไม่ยอมความให้ศาลตัดสิน
    .
    วันนี้ (1 พ.ย.) ที่อาคารประชาอารักษ์ กองบังคับการปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือ คุณอ้อย เศรษฐินีชาวไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งแจ้งความดำเนินคดีกับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ข้อหาฉ้อโกง จากการชักชวนลงทุนแพลตฟอร์มลอตเตอรี่ออนไลน์ เสียหายกว่า 71 ล้านบาท ได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนที่มาเฝ้ารอสัมภาษณ์นานกว่า 11 ชั่วโมง หลังให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม ตั้งแต่เวลา 10.00 น. ที่ผ่านมา ซึ่งการให้ปากคำยังไม่เสร็จสิ้น ยังคงต้องมาอีกครั้ง โดยพนักงานสอบสวนจะเป็นผู้นัดหมาย
    .
    คุณอ้อย กล่าวว่า รายละเอียดได้ให้ตำรวจไปหมดแล้ว ไม่อยากให้สัมภาษณ์อะไรมากเพราะจะกระทบรูปคดี แต่ยืนยันว่าไม่ได้ให้เงิน 71 ล้านบาทโดยเสน่หา ทั้งนี้ ตนมีความรู้สึกสบายใจมากขึ้น และรู้สึกดีมาก หลังจากเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมาย ไม่มีความกังวลใดๆ ส่วนนายษิทราติดต่อเข้ามาหาหรือไม่ คุณอ้อย กล่าวว่า ไม่ติดต่อมาเลย เพราะยื่นโนติสให้เขาแล้วแต่ไม่ติดต่อกลับมา พอเห็นว่านานมาแล้วจึงเรียกทนายความ
    .
    ถามว่า รู้สึกผิดหวังกับทนายคนดังไหม คุณอ้อย กล่าวว่า รู้สึกใจสลาย ถามว่าอยากจะฝากบอกอะไรถึงนายษิทรา คุณอ้อย กล่าวว่า เมื่อก่อนเคยช่วยเหลือทุกอย่าง การเดินทางท่องเที่ยว เหมือนคนในครอบครัว ถามว่าจุดแตกหักคือเรื่องเงินหรือเรื่องรถ คุณอ้อยกล่าวว่า รู้ระแคะระคาย รายละเอียดเดี๋ยวให้ทนายความชี้แจง ถามว่าถ้านายษิทรามาเจรจาหรือขอคืนเงิน คุณอ้อย กล่าวว่า ไม่ เพราะให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน ยืนยันว่าจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ไม่มียอมความ
    .
    ด้านนายสมชาติ พินิจอักษร ทนายความ เปิดเผยว่า การให้ปากคำในวันนี้เนื้อหาไม่แตกต่างจากเมื่อวาน แต่มีการข้อมูลเพิ่มเติมให้พนักงานสอบสวน ลงลึกในรายละเอียดมากขึ้น ซึ่งการให้ปากคำตลอด 2 วันที่ผ่านมา ถือว่าคืบหน้าไปแล้ว 60% นอกจากนี้ ยังได้นำพยานหลักฐานซึ่งเป็นเอกสารมาให้พนักงานสอบสวนด้วย ส่วนปมแตกหักระหว่างคุณอ้อยและนายษิทรานั้น มีปัญหาบาดหมางระหองระแหง แต่ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดว่าเป็นเรื่องใด คุณอ้อยยืนยันว่าจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด นั่นหมายถึงให้ศาลฯ เป็นผู้พิพากษา
    .
    ส่วนกรณีที่นายษิทราออกมายืนยันว่า จะไม่มีทางคืนเงิน 71 ล้านบาท พร้อมต่อสู้ในชั้นศาลฯ ก็เป็นแนวทางการต่อสู้ของเขา แต่ทางเรามีพยานหลักฐานและมีแนวทางการต่อสู้คดีเหมือนกัน ไม่ใช่ให้เงินโดยเสน่หาอย่างแน่นอน
    .
    ส่วนกรณีรถเบนซ์สีดำ ก่อนหน้านี้คุณอ้อยเป็นเจ้าของรถ แต่มีการหยิบยืมไปใช้บ้างเป็นครั้งคราว ส่วนกระแสข่าวคนใช้รถตัวจริงไม่ใช่คู่กรณี แต่มีการนำไปให้ชาวต่างชาติ หรือกลุ่มจีนเทาเป็นผู้ใช้รถนั้น ยอมรับว่าตนได้ข้อมูลเหมือนกับสื่อมวลชน ซึ่งเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ส่วนกรณีที่มีคนพบว่านายษิทรา คู่กรณีมีการไปยื่นขอหนังสือเดินทางเพื่อไปยุโรปนั้น ตนยังไม่ทราบเรื่องดังกล่าว แต่ยืนยันว่าต่อให้หลบหนีไปต่างประเทศก็ไม่ทำให้หนักใจ เพราะเชื่อมั่นในการทำงานของตำรวจ
    ..............
    Sondhi X
    คุณอ้อยสบายใจ คดีทนายตั้มฉ้อโกงคืบ ย้ำไม่ยอมความให้ศาลตัดสิน . วันนี้ (1 พ.ย.) ที่อาคารประชาอารักษ์ กองบังคับการปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือ คุณอ้อย เศรษฐินีชาวไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งแจ้งความดำเนินคดีกับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ข้อหาฉ้อโกง จากการชักชวนลงทุนแพลตฟอร์มลอตเตอรี่ออนไลน์ เสียหายกว่า 71 ล้านบาท ได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนที่มาเฝ้ารอสัมภาษณ์นานกว่า 11 ชั่วโมง หลังให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม ตั้งแต่เวลา 10.00 น. ที่ผ่านมา ซึ่งการให้ปากคำยังไม่เสร็จสิ้น ยังคงต้องมาอีกครั้ง โดยพนักงานสอบสวนจะเป็นผู้นัดหมาย . คุณอ้อย กล่าวว่า รายละเอียดได้ให้ตำรวจไปหมดแล้ว ไม่อยากให้สัมภาษณ์อะไรมากเพราะจะกระทบรูปคดี แต่ยืนยันว่าไม่ได้ให้เงิน 71 ล้านบาทโดยเสน่หา ทั้งนี้ ตนมีความรู้สึกสบายใจมากขึ้น และรู้สึกดีมาก หลังจากเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมาย ไม่มีความกังวลใดๆ ส่วนนายษิทราติดต่อเข้ามาหาหรือไม่ คุณอ้อย กล่าวว่า ไม่ติดต่อมาเลย เพราะยื่นโนติสให้เขาแล้วแต่ไม่ติดต่อกลับมา พอเห็นว่านานมาแล้วจึงเรียกทนายความ . ถามว่า รู้สึกผิดหวังกับทนายคนดังไหม คุณอ้อย กล่าวว่า รู้สึกใจสลาย ถามว่าอยากจะฝากบอกอะไรถึงนายษิทรา คุณอ้อย กล่าวว่า เมื่อก่อนเคยช่วยเหลือทุกอย่าง การเดินทางท่องเที่ยว เหมือนคนในครอบครัว ถามว่าจุดแตกหักคือเรื่องเงินหรือเรื่องรถ คุณอ้อยกล่าวว่า รู้ระแคะระคาย รายละเอียดเดี๋ยวให้ทนายความชี้แจง ถามว่าถ้านายษิทรามาเจรจาหรือขอคืนเงิน คุณอ้อย กล่าวว่า ไม่ เพราะให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน ยืนยันว่าจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ไม่มียอมความ . ด้านนายสมชาติ พินิจอักษร ทนายความ เปิดเผยว่า การให้ปากคำในวันนี้เนื้อหาไม่แตกต่างจากเมื่อวาน แต่มีการข้อมูลเพิ่มเติมให้พนักงานสอบสวน ลงลึกในรายละเอียดมากขึ้น ซึ่งการให้ปากคำตลอด 2 วันที่ผ่านมา ถือว่าคืบหน้าไปแล้ว 60% นอกจากนี้ ยังได้นำพยานหลักฐานซึ่งเป็นเอกสารมาให้พนักงานสอบสวนด้วย ส่วนปมแตกหักระหว่างคุณอ้อยและนายษิทรานั้น มีปัญหาบาดหมางระหองระแหง แต่ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดว่าเป็นเรื่องใด คุณอ้อยยืนยันว่าจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด นั่นหมายถึงให้ศาลฯ เป็นผู้พิพากษา . ส่วนกรณีที่นายษิทราออกมายืนยันว่า จะไม่มีทางคืนเงิน 71 ล้านบาท พร้อมต่อสู้ในชั้นศาลฯ ก็เป็นแนวทางการต่อสู้ของเขา แต่ทางเรามีพยานหลักฐานและมีแนวทางการต่อสู้คดีเหมือนกัน ไม่ใช่ให้เงินโดยเสน่หาอย่างแน่นอน . ส่วนกรณีรถเบนซ์สีดำ ก่อนหน้านี้คุณอ้อยเป็นเจ้าของรถ แต่มีการหยิบยืมไปใช้บ้างเป็นครั้งคราว ส่วนกระแสข่าวคนใช้รถตัวจริงไม่ใช่คู่กรณี แต่มีการนำไปให้ชาวต่างชาติ หรือกลุ่มจีนเทาเป็นผู้ใช้รถนั้น ยอมรับว่าตนได้ข้อมูลเหมือนกับสื่อมวลชน ซึ่งเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ส่วนกรณีที่มีคนพบว่านายษิทรา คู่กรณีมีการไปยื่นขอหนังสือเดินทางเพื่อไปยุโรปนั้น ตนยังไม่ทราบเรื่องดังกล่าว แต่ยืนยันว่าต่อให้หลบหนีไปต่างประเทศก็ไม่ทำให้หนักใจ เพราะเชื่อมั่นในการทำงานของตำรวจ .............. Sondhi X
    Like
    Love
    21
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1168 มุมมอง 3 รีวิว
  • “อิลสลิก” จัดให้ ของขวัญวันฮัลโลวีนแต่งเพลงให้ทนายความชื่อดังที่กำลังเป็นประเด็นเงิน 71 ล้าน หลังเคยมีประเด็นกันเมื่อ 2 ปีที่แล้ว
    .
    จากกรณีก่อนหน้านี้ ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความชื่อดัง และทีมงานร้าน Subscribe พระราม 7 แถลงข่าวโต้กลับกรณีที่แร็ปเปอร์หนุ่ม Illslick (อิลสลิก) หรือทิฆัมพร เวชไทยสงค์ ยกเลิกการแสดงคอนเสิร์ต และพูดถึงร้านดังกล่าวในทางเสียหาย
    .
    ต่อมาทนายตั้มยังฟาดไม่หยุด เข้ามาคอมเมนต์ “จะเแต่งเพลงด่าผมไหม ผมสู้นะบอกก่อน" "ก่อนจะปวารณาตัวเองเป็นนักร้องอันดับหนึ่ง แต่งทำนองเพลงเองให้ได้ก่อนครับ อย่าไปยืมเพลงคนอื่นเขามาใช้เลย ร้อยล้านที่ภูมิใจ จากบีตเพลงชาวบ้าน มันไม่แหล่ม" ซึ่งยังแซะแร็ปเปอร์หนุ่มด้วยเนื้อเพลงว่า "u ma number one baby จะไม่มีใครที่มาแทนที่เธอ และไม่ว่านานแค่ไหนฉันจะรักเธอตลอดไป ..มายลูกความ" รวมถึงยังบอก" เดี๋ยวไปดิสกันหน้าบัลลังก์นะครับ จะได้รู้ว่าผมก็ตัวจี๊ด"
    .
    ล่าสุด ”ทนายตั้ม“ โดนเฟซบุ๊ก "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ Sondhitalk เผยแพร่วิดีโอคลิป นายสนธิ ลิ้มทองกุล พูดคุยกับ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย เศรษฐินีเจ้าของธุรกิจที่ประเทศฝรั่งเศส ที่แจ้งความดำเนินคดีต่อนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ในข้อหาฉ้อโกงจากการชักชวนให้ลงทุนธุรกิจลอตเตอรี่ออนไลน์ จำนวน 2 ล้านยูโร หรือประมาณ 71 ล้านบาท ต่อจากเมื่อวานนี้ เป็นการเปิดใจคุณอ้อย แท้จริงเป็นอย่างไร กรณีนายษิทราออกมาประกาศว่าเงิน 71 ล้านบาทได้มาโดยเสน่หา ตามที่ได้เสนอข่าวไปก่อนหน้านี้แล้วนั้น
    .
    ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 31 ต.ค. อิลสลิก แร็ปเปอร์ดัง ได้ออกมาโพสต์ข้อความ "The boogeyman is coming เดี๋ยวผมมีของขวัญวันฮัลโลวีนให้ 👑"

    ก่อนที่เจ้าตัวจะปล่อยเพลงลงใน Reels ความยาวกว่า 1 นาที โดยมีภาพการ์ตูนหน้าคล้ายทนายความชื่อดัง ระบุ “หน้าไม่อาย ใครเขาอ้างเสน่หา”
    .
    ที่มาข่าว
    https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000105257
    .
    คลิป
    https://web.facebook.com/reel/3715704305408230
    .
    ข่าวตอนปี 65 😆😆😆
    https://www.facebook.com/share/p/XYNyLNrPFCxQBnnD/
    “อิลสลิก” จัดให้ ของขวัญวันฮัลโลวีนแต่งเพลงให้ทนายความชื่อดังที่กำลังเป็นประเด็นเงิน 71 ล้าน หลังเคยมีประเด็นกันเมื่อ 2 ปีที่แล้ว . จากกรณีก่อนหน้านี้ ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความชื่อดัง และทีมงานร้าน Subscribe พระราม 7 แถลงข่าวโต้กลับกรณีที่แร็ปเปอร์หนุ่ม Illslick (อิลสลิก) หรือทิฆัมพร เวชไทยสงค์ ยกเลิกการแสดงคอนเสิร์ต และพูดถึงร้านดังกล่าวในทางเสียหาย . ต่อมาทนายตั้มยังฟาดไม่หยุด เข้ามาคอมเมนต์ “จะเแต่งเพลงด่าผมไหม ผมสู้นะบอกก่อน" "ก่อนจะปวารณาตัวเองเป็นนักร้องอันดับหนึ่ง แต่งทำนองเพลงเองให้ได้ก่อนครับ อย่าไปยืมเพลงคนอื่นเขามาใช้เลย ร้อยล้านที่ภูมิใจ จากบีตเพลงชาวบ้าน มันไม่แหล่ม" ซึ่งยังแซะแร็ปเปอร์หนุ่มด้วยเนื้อเพลงว่า "u ma number one baby จะไม่มีใครที่มาแทนที่เธอ และไม่ว่านานแค่ไหนฉันจะรักเธอตลอดไป ..มายลูกความ" รวมถึงยังบอก" เดี๋ยวไปดิสกันหน้าบัลลังก์นะครับ จะได้รู้ว่าผมก็ตัวจี๊ด" . ล่าสุด ”ทนายตั้ม“ โดนเฟซบุ๊ก "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ Sondhitalk เผยแพร่วิดีโอคลิป นายสนธิ ลิ้มทองกุล พูดคุยกับ น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย เศรษฐินีเจ้าของธุรกิจที่ประเทศฝรั่งเศส ที่แจ้งความดำเนินคดีต่อนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ในข้อหาฉ้อโกงจากการชักชวนให้ลงทุนธุรกิจลอตเตอรี่ออนไลน์ จำนวน 2 ล้านยูโร หรือประมาณ 71 ล้านบาท ต่อจากเมื่อวานนี้ เป็นการเปิดใจคุณอ้อย แท้จริงเป็นอย่างไร กรณีนายษิทราออกมาประกาศว่าเงิน 71 ล้านบาทได้มาโดยเสน่หา ตามที่ได้เสนอข่าวไปก่อนหน้านี้แล้วนั้น . ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 31 ต.ค. อิลสลิก แร็ปเปอร์ดัง ได้ออกมาโพสต์ข้อความ "The boogeyman is coming เดี๋ยวผมมีของขวัญวันฮัลโลวีนให้ 👑" ก่อนที่เจ้าตัวจะปล่อยเพลงลงใน Reels ความยาวกว่า 1 นาที โดยมีภาพการ์ตูนหน้าคล้ายทนายความชื่อดัง ระบุ “หน้าไม่อาย ใครเขาอ้างเสน่หา” . ที่มาข่าว https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000105257 . คลิป https://web.facebook.com/reel/3715704305408230 . ข่าวตอนปี 65 😆😆😆 https://www.facebook.com/share/p/XYNyLNrPFCxQBnnD/
    Like
    Love
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1665 มุมมอง 445 0 รีวิว
  • โลภ ลวง โกง รวย หายนะ

    ขอบพระคุณเจ้าของบทความชีวิตตนเอง ผู้แปล และเพื่อนสนิทที่กรุณาส่งมาให้ครับ

    ความร่ำรวยที่มาจากการหลอกลวงคนอื่นเป็นเหมือนสิ่งเสพติด เมื่อความโลภเริ่มเข้าครอบงำจิตใจ มันไม่ใช่แค่เรื่องของการหาเงินอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นความต้องการที่ไม่มีที่สิ้นสุด และจุดจบของมันมีเพียงหนึ่งเดียว คือความหายนะ

    "เงินไม่ได้เปลี่ยนคุณ มันเพียงแค่ขยายสิ่งที่คุณเป็นอยู่แล้วให้ชัดเจนขึ้น ถ้าคุณเป็นคนเลวอยู่แล้ว เงินจะทำให้คุณเป็นคนเลวยิ่งกว่าเดิม"

    นี่คือสิ่งที่จอร์แดน เบลฟอร์ท (Jordan Belfort) เจ้าของเรื่องราวใน "The Wolf of Wall Street" พยายามอธิบายให้เราเข้าใจกลไกความคิดของคนที่ฉ้อโกงจนหาเงินมหาศาลได้เพียงชั่วข้ามคืน

    เงินไม่ได้เป็นตัวเปลี่ยนแปลงความคิดหรือนิสัยบุคคลใดๆ แต่เพียงทำให้สิ่งที่เป็นอยู่แล้วภายในตัวคนเหล่านั้นปรากฏชัดเจนขึ้นไปอีก หากคนมีจริยธรรมไม่ดีหรือเห็นแก่ตัวอยู่แล้ว เมื่อมีเงินมากขึ้น สิ่งเหล่านั้นก็จะยิ่งขยายตัว

    "ฉันหาเงินมาได้เยอะมาก มากจนเกินปกติ ตั้งแต่อายุยังน้อย และฉันหามันมาโดยใช้กลอุบายทุกอย่างที่มี ค้นหาช่องว่างสีเทาในกฎหมาย ในพื้นที่ที่คนอื่นกลัวจะเข้าไป และนั่นคือวิธีที่คุณจะเอาชนะ โดยการทำสิ่งที่คนอื่นกลัวที่จะทำ”

    เบลฟอร์ท เป็นอดีตนายหน้าค้าหุ้นและนักธุรกิจผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังจากการสร้างอาณาจักรการเงินที่เต็มไปด้วยการทุจริต การฉ้อโกงหุ้น และการฟอกเงิน

    เบลฟอร์ทถูกจับกุมในปี 1999 หลังจากสารภาพผิดในข้อหาฉ้อโกงนักลงทุนหลายล้านดอลลาร์

    ในปี 2007 เรื่องราวของเขาถูกถ่ายทอดลงในหนังสือ "The Wolf of Wall Street" ได้รับความนิยมจนถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2013 ซึ่งกำกับโดย มาร์ติน สกอร์เซซี (Martin Scorsese) และนำแสดงโดย ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ (Leonardo DiCaprio)

    ปัจจุบัน เบลฟอร์ทเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เขาเดินทางไปทั่วโลกเพื่อให้คำแนะนำด้านธุรกิจและการใช้ชีวิตอย่างมีจริยธรรม

    “สิ่งที่ฉันไม่เคยเข้าใจคือเมื่อคุณเดินเข้าสู่เส้นทางนั้น มันจะไม่มีทางหวนกลับได้ มันจะกลืนกินคุณ เปลี่ยนแปลงตัวตนคุณ และทันใดนั้น คุณก็ไม่ใช่เจ้าของเงินอีกต่อไป แต่เงินต่างหากที่เป็นเจ้าของคุณ"

    เบลฟอร์ทกล่าวว่า การที่เราสามารถรวยได้อย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์หรือเดือน มันกลายเป็นสิ่งที่ชวนให้หลงใหล เหมือนกับสิ่งเสพติด ที่ต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ยิ่งเราได้มันมากเท่าไร ในที่สุดมันก็จะเข้ามากลืนกินเรา จนสุดท้ายพบว่าตัวเองกำลังไล่ตามบางสิ่งที่ไม่มีวันพอ

    “และเมื่อถึงจุดสุดท้ายแล้ว เงินทั้งหมดในโลกก็ไม่สามารถซื้อจิตวิญญาณของเราคืนมาได้”

    ความร่ำรวยที่มาจากสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่สามารถซื้อตัวตนหรือความสงบสุขในจิตใจคืนมาได้ แม้ว่าภายนอกจะดูเหมือนประสบความสำเร็จ แต่ข้างในกลับเต็มไปด้วยความว่างเปล่า และการสูญเสียจริยธรรมของตนเอง

    ”ไม่ว่าจะหาเงินได้มากแค่ไหน หรือประสบความสำเร็จเพียงใด มันก็ไม่เคยพอ ฉันกำลังไล่ตามบางสิ่งที่ฉันไม่มีวันครอบครองได้จริงๆ เพราะความสุขและความสมบูรณ์ในชีวิตไม่ใช่สิ่งที่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน"

    แต่มันไม่ใช่ว่าเราจะไม่พยายามไขว่คว้าหาเงินหาความมั่งคั่งให้กับตนเอง เขากล่าวว่าความยากจนไม่ใช่สิ่งที่ต้องยกย่อง แต่การเป็นคนร่ำรวยจากการฉ้อโกงก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องเชิดชูเช่นกัน

    ความท้าทายที่แท้จริงในชีวิตคือการหาความสำเร็จโดยที่ยังคงยึดมั่นในคุณค่าของตัวเอง

    สิ่งที่สำคัญจริงๆ คือการหาวิธีที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตโดยไม่ละทิ้งคุณค่าทางศีลธรรมของตนเอง ความสำเร็จที่แท้จริงไม่ใช่แค่การสะสมทรัพย์สินหรือเงินทอง แต่แต่มันเกี่ยวกับสิ่งที่เราทำออกมา มันดีกับคนรอบข้างหรือไม่
    โลภ ลวง โกง รวย หายนะ ขอบพระคุณเจ้าของบทความชีวิตตนเอง ผู้แปล และเพื่อนสนิทที่กรุณาส่งมาให้ครับ ความร่ำรวยที่มาจากการหลอกลวงคนอื่นเป็นเหมือนสิ่งเสพติด เมื่อความโลภเริ่มเข้าครอบงำจิตใจ มันไม่ใช่แค่เรื่องของการหาเงินอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นความต้องการที่ไม่มีที่สิ้นสุด และจุดจบของมันมีเพียงหนึ่งเดียว คือความหายนะ "เงินไม่ได้เปลี่ยนคุณ มันเพียงแค่ขยายสิ่งที่คุณเป็นอยู่แล้วให้ชัดเจนขึ้น ถ้าคุณเป็นคนเลวอยู่แล้ว เงินจะทำให้คุณเป็นคนเลวยิ่งกว่าเดิม" นี่คือสิ่งที่จอร์แดน เบลฟอร์ท (Jordan Belfort) เจ้าของเรื่องราวใน "The Wolf of Wall Street" พยายามอธิบายให้เราเข้าใจกลไกความคิดของคนที่ฉ้อโกงจนหาเงินมหาศาลได้เพียงชั่วข้ามคืน เงินไม่ได้เป็นตัวเปลี่ยนแปลงความคิดหรือนิสัยบุคคลใดๆ แต่เพียงทำให้สิ่งที่เป็นอยู่แล้วภายในตัวคนเหล่านั้นปรากฏชัดเจนขึ้นไปอีก หากคนมีจริยธรรมไม่ดีหรือเห็นแก่ตัวอยู่แล้ว เมื่อมีเงินมากขึ้น สิ่งเหล่านั้นก็จะยิ่งขยายตัว "ฉันหาเงินมาได้เยอะมาก มากจนเกินปกติ ตั้งแต่อายุยังน้อย และฉันหามันมาโดยใช้กลอุบายทุกอย่างที่มี ค้นหาช่องว่างสีเทาในกฎหมาย ในพื้นที่ที่คนอื่นกลัวจะเข้าไป และนั่นคือวิธีที่คุณจะเอาชนะ โดยการทำสิ่งที่คนอื่นกลัวที่จะทำ” เบลฟอร์ท เป็นอดีตนายหน้าค้าหุ้นและนักธุรกิจผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังจากการสร้างอาณาจักรการเงินที่เต็มไปด้วยการทุจริต การฉ้อโกงหุ้น และการฟอกเงิน เบลฟอร์ทถูกจับกุมในปี 1999 หลังจากสารภาพผิดในข้อหาฉ้อโกงนักลงทุนหลายล้านดอลลาร์ ในปี 2007 เรื่องราวของเขาถูกถ่ายทอดลงในหนังสือ "The Wolf of Wall Street" ได้รับความนิยมจนถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี 2013 ซึ่งกำกับโดย มาร์ติน สกอร์เซซี (Martin Scorsese) และนำแสดงโดย ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ (Leonardo DiCaprio) ปัจจุบัน เบลฟอร์ทเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ เขาเดินทางไปทั่วโลกเพื่อให้คำแนะนำด้านธุรกิจและการใช้ชีวิตอย่างมีจริยธรรม “สิ่งที่ฉันไม่เคยเข้าใจคือเมื่อคุณเดินเข้าสู่เส้นทางนั้น มันจะไม่มีทางหวนกลับได้ มันจะกลืนกินคุณ เปลี่ยนแปลงตัวตนคุณ และทันใดนั้น คุณก็ไม่ใช่เจ้าของเงินอีกต่อไป แต่เงินต่างหากที่เป็นเจ้าของคุณ" เบลฟอร์ทกล่าวว่า การที่เราสามารถรวยได้อย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์หรือเดือน มันกลายเป็นสิ่งที่ชวนให้หลงใหล เหมือนกับสิ่งเสพติด ที่ต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ยิ่งเราได้มันมากเท่าไร ในที่สุดมันก็จะเข้ามากลืนกินเรา จนสุดท้ายพบว่าตัวเองกำลังไล่ตามบางสิ่งที่ไม่มีวันพอ “และเมื่อถึงจุดสุดท้ายแล้ว เงินทั้งหมดในโลกก็ไม่สามารถซื้อจิตวิญญาณของเราคืนมาได้” ความร่ำรวยที่มาจากสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่สามารถซื้อตัวตนหรือความสงบสุขในจิตใจคืนมาได้ แม้ว่าภายนอกจะดูเหมือนประสบความสำเร็จ แต่ข้างในกลับเต็มไปด้วยความว่างเปล่า และการสูญเสียจริยธรรมของตนเอง ”ไม่ว่าจะหาเงินได้มากแค่ไหน หรือประสบความสำเร็จเพียงใด มันก็ไม่เคยพอ ฉันกำลังไล่ตามบางสิ่งที่ฉันไม่มีวันครอบครองได้จริงๆ เพราะความสุขและความสมบูรณ์ในชีวิตไม่ใช่สิ่งที่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน" แต่มันไม่ใช่ว่าเราจะไม่พยายามไขว่คว้าหาเงินหาความมั่งคั่งให้กับตนเอง เขากล่าวว่าความยากจนไม่ใช่สิ่งที่ต้องยกย่อง แต่การเป็นคนร่ำรวยจากการฉ้อโกงก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องเชิดชูเช่นกัน ความท้าทายที่แท้จริงในชีวิตคือการหาความสำเร็จโดยที่ยังคงยึดมั่นในคุณค่าของตัวเอง สิ่งที่สำคัญจริงๆ คือการหาวิธีที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตโดยไม่ละทิ้งคุณค่าทางศีลธรรมของตนเอง ความสำเร็จที่แท้จริงไม่ใช่แค่การสะสมทรัพย์สินหรือเงินทอง แต่แต่มันเกี่ยวกับสิ่งที่เราทำออกมา มันดีกับคนรอบข้างหรือไม่
    Like
    Love
    Yay
    21
    0 ความคิดเห็น 4 การแบ่งปัน 979 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทนายรัชพล ศิริสาคร เผย ไม่หนักใจกระแสข่าว ทนายตั้มเรียกรัยเงินบอสพอล ชี้ เป็นเรื่องปกติ ทนายเรียกเงินให้ลูกความ แคลงใจ ทำไมตำรวจไม่ตั้งข้อหา แชร์ลูกโซ่-พ.ร.บ.ขายตรง

    วันนี้ (28 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทนายรัชพล ศิริสาคร เปิดใจถึงกรณีกระแสข่าวทนายต้้มเรียกรับเงินบอสพอล ว่า เบื้องต้นตนไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน มาทราบอีกทีเมื่อมีข่าว แต่ถึงอย่างไรพอทราบเรื่อง ก็ไม่ได้รู้สึกตกใจ หรือคิดอะไรมาก เพราะทราบว่าเป็นการเรียกเงินเพื่อนำมาให้ผู้เสียหาย เพราะว่ามันเป็นการทำงานของทนายความในการที่จะไกล่เกลี่ยให้คู่กรณีสามารถที่จะตกลงกันได้ หรือว่าชดใช้ค่าเสียหายเป็นเรื่องปกติ แต่ว่าถ้าเกินกว่านี้ก็ต้องดูเป็นเป็นรายละเอียดไป

    และสำหรับประเด็นตอนที่ทนายตั้ม ประสานมาช่วยงาน ตอนนั้นตนอยู่ต่างประเทศ ก็ได้รับการประสานจากทนายตั้ม พอเดินทางกลับมาจากต่างประเทศก็ได้เดินทางไปช่วยทันที เพราะทนายตั้มแจ้งว่าเป็นเคสใหญ่ มีผู้เสียหายกว่า 100 คน จึงได้ไปช่วยดูแลให้คำแนะนำผู้เสียหายว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไปบ้าง

    ทนายรัชพล ยังบอกอีกว่า มีประเด็นที่น่ากังวลใจ คือ เรื่องการแจ้งข้อกล่าวหา บอสแต่ละคนซึ่งมีการแจ้งข้อกล่าวหา ข้อหาฉ้อโกง ประชาชน และข้อหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งแต่ละบอสออกมาแถลงข่าวว่าตนเองเป็นเพียงพรีเซ็นเตอร์ แต่เมื่อใดถ้าเกิดขึ้นศาล แล้วพิสูจน์ทราบได้ว่าเป็นบอสจริง ก็อาจจะหลุดข้อหาได้ และตั้งข้อสงสัยว่าทำไมกรณีนี้เจ้าหน้าที่ไม่ตั้งข้อหาเอาผิดเรื่อง แชร์ลูกโซ่ และ พ.ร.บ.ขายตรง ซึ่งเป็นประเด็นที่เห็นชัดอยู่แล้ว

    #MGROnline #ทนายรัชพล #ดิไอคอน #ดิไอคอนกรุ๊ป #TheiConGroup #บอสพอล
    ทนายรัชพล ศิริสาคร เผย ไม่หนักใจกระแสข่าว ทนายตั้มเรียกรัยเงินบอสพอล ชี้ เป็นเรื่องปกติ ทนายเรียกเงินให้ลูกความ แคลงใจ ทำไมตำรวจไม่ตั้งข้อหา แชร์ลูกโซ่-พ.ร.บ.ขายตรง • วันนี้ (28 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทนายรัชพล ศิริสาคร เปิดใจถึงกรณีกระแสข่าวทนายต้้มเรียกรับเงินบอสพอล ว่า เบื้องต้นตนไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน มาทราบอีกทีเมื่อมีข่าว แต่ถึงอย่างไรพอทราบเรื่อง ก็ไม่ได้รู้สึกตกใจ หรือคิดอะไรมาก เพราะทราบว่าเป็นการเรียกเงินเพื่อนำมาให้ผู้เสียหาย เพราะว่ามันเป็นการทำงานของทนายความในการที่จะไกล่เกลี่ยให้คู่กรณีสามารถที่จะตกลงกันได้ หรือว่าชดใช้ค่าเสียหายเป็นเรื่องปกติ แต่ว่าถ้าเกินกว่านี้ก็ต้องดูเป็นเป็นรายละเอียดไป • และสำหรับประเด็นตอนที่ทนายตั้ม ประสานมาช่วยงาน ตอนนั้นตนอยู่ต่างประเทศ ก็ได้รับการประสานจากทนายตั้ม พอเดินทางกลับมาจากต่างประเทศก็ได้เดินทางไปช่วยทันที เพราะทนายตั้มแจ้งว่าเป็นเคสใหญ่ มีผู้เสียหายกว่า 100 คน จึงได้ไปช่วยดูแลให้คำแนะนำผู้เสียหายว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไปบ้าง • ทนายรัชพล ยังบอกอีกว่า มีประเด็นที่น่ากังวลใจ คือ เรื่องการแจ้งข้อกล่าวหา บอสแต่ละคนซึ่งมีการแจ้งข้อกล่าวหา ข้อหาฉ้อโกง ประชาชน และข้อหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งแต่ละบอสออกมาแถลงข่าวว่าตนเองเป็นเพียงพรีเซ็นเตอร์ แต่เมื่อใดถ้าเกิดขึ้นศาล แล้วพิสูจน์ทราบได้ว่าเป็นบอสจริง ก็อาจจะหลุดข้อหาได้ และตั้งข้อสงสัยว่าทำไมกรณีนี้เจ้าหน้าที่ไม่ตั้งข้อหาเอาผิดเรื่อง แชร์ลูกโซ่ และ พ.ร.บ.ขายตรง ซึ่งเป็นประเด็นที่เห็นชัดอยู่แล้ว • #MGROnline #ทนายรัชพล #ดิไอคอน #ดิไอคอนกรุ๊ป #TheiConGroup #บอสพอล
    Angry
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 788 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตำรวจ สภ.ปากช่อง โคราช โอนดคี “ทนายตั้ม” ถูกนักธุรกิจสาวแจ้งความดำเนินคดีข้อหาฉ้อโกง 71 ล้าน ไปให้ตำรวจสอบสวนกลางแล้ว ตามคำสั่ง สตช.

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000103004

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ตำรวจ สภ.ปากช่อง โคราช โอนดคี “ทนายตั้ม” ถูกนักธุรกิจสาวแจ้งความดำเนินคดีข้อหาฉ้อโกง 71 ล้าน ไปให้ตำรวจสอบสวนกลางแล้ว ตามคำสั่ง สตช. อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000103004 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Haha
    Love
    39
    4 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 3894 มุมมอง 0 รีวิว
  • แฉ ทนายตั้ม จอมลวงโลก ต้มตุ๋นเหยื่อ71ล้าน

    เรื่องนี้เป็นคดีความแล้วเต็มตัว ไม่ใช่แค่ปล่อยข่าวทำลายกัน โดยผู้เสียหายซึ่งปัจจุบันอาศัยอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส แจ้งความดำเนินคดีกับ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ข้อหาฉ้อโกง โดยให้ตำรวจดำเนินคดีจนถึงที่สุด

    #Sondhix #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิฯ #ษิทราเบี้ยบังเกิด #ทนายตั้ม #ต้มตุ๋นเหยื่อ71ล้าน
    แฉ ทนายตั้ม จอมลวงโลก ต้มตุ๋นเหยื่อ71ล้าน เรื่องนี้เป็นคดีความแล้วเต็มตัว ไม่ใช่แค่ปล่อยข่าวทำลายกัน โดยผู้เสียหายซึ่งปัจจุบันอาศัยอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส แจ้งความดำเนินคดีกับ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ข้อหาฉ้อโกง โดยให้ตำรวจดำเนินคดีจนถึงที่สุด #Sondhix #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิฯ #ษิทราเบี้ยบังเกิด #ทนายตั้ม #ต้มตุ๋นเหยื่อ71ล้าน
    Like
    Love
    Haha
    Angry
    17
    0 ความคิดเห็น 2 การแบ่งปัน 2889 มุมมอง 758 1 รีวิว
Pages Boosts