• สหรัฐจะผิดนัดชำระหนี้ในปี2026/2027

    Martin Armstrong นักการเงิน และนักวิเคราะห์ชื่อดังให้สัมภาษณ์กับFinancial Senseว่าสหรัฐจะผิดนัดชำระหนี้ในปี2026/2027 ซึ่งจะเป็นช่วงไซเกิ้ลของสงครามโลกคร้ังที่ 3ที่จะเกิดขึ้นพอดี

    การผิดนัดชำระหนี้หมายถึงการที่กระทรวงการคลังสหรัฐออกพันธะบัตรแล้วไม่มีคนซื้อ เพราะว่าไม่มั่นใจกับปริมาณหนี้มหาศาลที่สหรัฐแบกรับอยู่ และนโยบายแซงชั่นของรัฐบาลสหรัฐ ทำให้ดอกเบี้ยจะพุ่งสูง ค่าเงินดอลล่าร์จะด้อยค่า จนท้ายที่สุดไม่มีใครต้องการถือครองทรัพย์สินดอลล่าร์อีกต่อไป

    หรืออีกวิธีหนึ่งของการผิดนัดชำระหนี้คือการก่อสงคราม แล้วหยุดจ่ายหนี้ หรือเบี้ยวหนี้ไปเลย

    อาร์มสตรองบอกว่า ความจริงพันธะบัตรสหรัฐมีปัญหาอยู่แล้ว อันเห็นได้จากการที่เจเน็ต เยลเลน รมว คลังสหรัฐบินไปปักกิ่งหลายคร้ังในช่วงที่ผ่านมา เพื่อขอร้องให้รัฐบาลจีนไม่ให้ขายพันธบัตรสหรัฐ หรือให้ซื้อพันธบัตรล็อตใหม่ แต่ถูกทางจีนปฏิเสธ

    ตัวเลขหนี้สาธารณะล่าสุดของรัฐบาลสหรัฐอยู่ที่$35.2ล้านล้าน เทียบกับขนาดของจีดีพีที่$28ล้านล้าน ในขณะที่มีหนี้นอกงบประมาณที่$70ล้านล้าน ซึ่งเป็นพันธะด้านสวัสดิการสังคมต่างๆที่ต้องจ่ายในอนาคต ลำพังแค่ต้องจ่ายเฉพาะส่วนที่เป็นดอกเบี้ยด้วยการออกพัน
    ธะบัตรมารีไฟแนนซ์ รัฐบาลสหรัฐมีภาระต้องจ่าย$1ล้านล้านต่อปี ซึ่งเป็นการใช้จ่ายที่สูงสุดในงบประมาณ สูงกว่างบของกระทรวงกลาโหมที่800,000กว่าล้านเสียอีก หนี้ส่วนที่เป็นเงินต้นสหรัฐไม่คิดที่จะจ่ายคืนอยู่แล้ว นอกจากนี้รัฐบาลสหรัฐยังขาดดุลงบประมาณปีละ2ล้านล้าน

    หนี้สินทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นกว่า 15 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2023 สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ใหม่ที่ 313 ล้านล้านดอลลาร์ โดยประมาณ 55% ของการเพิ่มขึ้นนี้มาจากเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้ว โดยส่วนใหญ่คือสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และเยอรมนี หนี้สินที่ไม่ได้รับการจัดสรร (unfunded liabilities)ในสหรัฐอเมริกามีมูลค่า 72 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเกือบ 300% ของ GDP ซึ่งอาจดูสูงเกินไปจนกว่าจะหันไปดูสเปนที่มีหนี้ต่อ GDPที่ 500% ฝรั่งเศสที่มีหนี้ต่อ GDP เกือบ 400% หรือเยอรมนีที่มีหนี้ต่อ GDP เกือบ 350%

    งบดุลของประเทศแบบนี้ถือว่าล้มละลายแล้ว หนี้ของประเทศในยุโรปท้ังในงบดุลและนอกงบดุลก็ประสบวิกฤตคล้ายๆกับสหรัฐ ทำให้สหรัฐและยุโรปจับมือกันก่อสงครามกับรัสเซียผ่านตัวแทนยูเครนเพื่อหาทางเบี้ยวหนี้ หรือรีเซ็ตระบบการเงินใหม่เพื่อรักษาสถานภาพเดิมทางอำนาจทางการเงิน

    การยึดเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของรัสเซียโดยสหรัฐและยุโรปทำให้หลายประเทศทิ้งทรัพย์สินดอลล่าร์ และหันไปถือครองทองคำแทน เพราะเกรงว่าจะถูกยึดเหมือนรัสเซียถ้าดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ไม่ถูกใจวอชิงตัน ทำให้ราคาทองคำพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในช่วงที่ผ่านมา ล่าสุดราคาทองคำ2,574เหรียญต่อออนซ์ ส่วนราคาทองคำฟิวเจอร์สส่งมอบเดือนธันวาคมพุ่งทะลุระดับ2,600เหรียญต่อออนซ์ไปแล้ว

    ธนาคารกลางทั่วโลกก็หันมาตุนทองคำ โดยขายพันธะบัตรสหรัฐออกไปเพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงทางการเงินท่ามกลางความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น การซื้อทองคำของธนาคารกลาง1,136ตันในปี 2022 และ1,037ตันในปี 2023 เป็นปัจจัยที่สำคัญที่มีน้ำหนักมากที่สุดที่ทำให้ราคาทองคำพุ่งสูงในช่วงที่ผ่านมา ปี2024น่าจะเป็นอีกปีของการสร้างสถิติการซื้อทองคำของธนาคารกลาง

    กลุ่มBRICSมีนโยบายออกจากดอลล่าร์ (de-dollarization) ด้วยการค้าการกันเองผ่านเงินสกุลประจำชาติ และไม่ใช้ดอลล่าร์ รวมท้ังการวางโครงการที่จะเอาทองคำมาหนุนหลังค่าเงินของเงินสกุลร่วมBRICS ที่เรียกกันว่า the Unit โดยใช้ทองคำ40%หนุนหลัง และอีก60%หนุนหลังค่าเงินก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักลงทุนทั่วโลกเห็นจุดเริ่มต้นของจุดจบของความเป็นเงินสกุลหลักของโลกของดอลล่าร์ที่โดยเนื้อแท้แล้วเป็นเงินกระดาษเปล่าๆที่ไม่มีทรัพย์สินอะไรหนุนหลัง

    อย่างไรก็ดี โดนัลด์ ทรัมป์ประกาศว่าเขาจะเก็บภาษี100%สำหรับประเทศใดก็ตามที่หันหลังให้กับดอลล่าร์ เพื่อที่จะปกป้องดอลล่าร์ให้เป็นเงินสกุลหลักของโลกต่อไป ท่าทีของทรัมป์แม้ว่าจะเป็นการพูดหาเสียงแต่ก็สะท้อนความเข้าใจของทรัมป์ว่าเงินดอลล่าร์กำลังหมดความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งซาอุดิ อาราเบียได้ออกมาให้ข่าวว่าจะขายน้ำมันแลกเงินหยวนของจีน ซึ่งถือว่าเป็นการออกจากเปโตรดอลล่าร์ที่ซาอุฯเป็นผู้ค้ำประกันมาตั้งแต่ปี1974

    สหรัฐจะผิดนัดชำระหนี้ในปี2026/2027 Martin Armstrong นักการเงิน และนักวิเคราะห์ชื่อดังให้สัมภาษณ์กับFinancial Senseว่าสหรัฐจะผิดนัดชำระหนี้ในปี2026/2027 ซึ่งจะเป็นช่วงไซเกิ้ลของสงครามโลกคร้ังที่ 3ที่จะเกิดขึ้นพอดี การผิดนัดชำระหนี้หมายถึงการที่กระทรวงการคลังสหรัฐออกพันธะบัตรแล้วไม่มีคนซื้อ เพราะว่าไม่มั่นใจกับปริมาณหนี้มหาศาลที่สหรัฐแบกรับอยู่ และนโยบายแซงชั่นของรัฐบาลสหรัฐ ทำให้ดอกเบี้ยจะพุ่งสูง ค่าเงินดอลล่าร์จะด้อยค่า จนท้ายที่สุดไม่มีใครต้องการถือครองทรัพย์สินดอลล่าร์อีกต่อไป หรืออีกวิธีหนึ่งของการผิดนัดชำระหนี้คือการก่อสงคราม แล้วหยุดจ่ายหนี้ หรือเบี้ยวหนี้ไปเลย อาร์มสตรองบอกว่า ความจริงพันธะบัตรสหรัฐมีปัญหาอยู่แล้ว อันเห็นได้จากการที่เจเน็ต เยลเลน รมว คลังสหรัฐบินไปปักกิ่งหลายคร้ังในช่วงที่ผ่านมา เพื่อขอร้องให้รัฐบาลจีนไม่ให้ขายพันธบัตรสหรัฐ หรือให้ซื้อพันธบัตรล็อตใหม่ แต่ถูกทางจีนปฏิเสธ ตัวเลขหนี้สาธารณะล่าสุดของรัฐบาลสหรัฐอยู่ที่$35.2ล้านล้าน เทียบกับขนาดของจีดีพีที่$28ล้านล้าน ในขณะที่มีหนี้นอกงบประมาณที่$70ล้านล้าน ซึ่งเป็นพันธะด้านสวัสดิการสังคมต่างๆที่ต้องจ่ายในอนาคต ลำพังแค่ต้องจ่ายเฉพาะส่วนที่เป็นดอกเบี้ยด้วยการออกพัน ธะบัตรมารีไฟแนนซ์ รัฐบาลสหรัฐมีภาระต้องจ่าย$1ล้านล้านต่อปี ซึ่งเป็นการใช้จ่ายที่สูงสุดในงบประมาณ สูงกว่างบของกระทรวงกลาโหมที่800,000กว่าล้านเสียอีก หนี้ส่วนที่เป็นเงินต้นสหรัฐไม่คิดที่จะจ่ายคืนอยู่แล้ว นอกจากนี้รัฐบาลสหรัฐยังขาดดุลงบประมาณปีละ2ล้านล้าน หนี้สินทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นกว่า 15 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2023 สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ใหม่ที่ 313 ล้านล้านดอลลาร์ โดยประมาณ 55% ของการเพิ่มขึ้นนี้มาจากเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้ว โดยส่วนใหญ่คือสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และเยอรมนี หนี้สินที่ไม่ได้รับการจัดสรร (unfunded liabilities)ในสหรัฐอเมริกามีมูลค่า 72 ล้านล้านดอลลาร์ หรือเกือบ 300% ของ GDP ซึ่งอาจดูสูงเกินไปจนกว่าจะหันไปดูสเปนที่มีหนี้ต่อ GDPที่ 500% ฝรั่งเศสที่มีหนี้ต่อ GDP เกือบ 400% หรือเยอรมนีที่มีหนี้ต่อ GDP เกือบ 350% งบดุลของประเทศแบบนี้ถือว่าล้มละลายแล้ว หนี้ของประเทศในยุโรปท้ังในงบดุลและนอกงบดุลก็ประสบวิกฤตคล้ายๆกับสหรัฐ ทำให้สหรัฐและยุโรปจับมือกันก่อสงครามกับรัสเซียผ่านตัวแทนยูเครนเพื่อหาทางเบี้ยวหนี้ หรือรีเซ็ตระบบการเงินใหม่เพื่อรักษาสถานภาพเดิมทางอำนาจทางการเงิน การยึดเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของรัสเซียโดยสหรัฐและยุโรปทำให้หลายประเทศทิ้งทรัพย์สินดอลล่าร์ และหันไปถือครองทองคำแทน เพราะเกรงว่าจะถูกยึดเหมือนรัสเซียถ้าดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ไม่ถูกใจวอชิงตัน ทำให้ราคาทองคำพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในช่วงที่ผ่านมา ล่าสุดราคาทองคำ2,574เหรียญต่อออนซ์ ส่วนราคาทองคำฟิวเจอร์สส่งมอบเดือนธันวาคมพุ่งทะลุระดับ2,600เหรียญต่อออนซ์ไปแล้ว ธนาคารกลางทั่วโลกก็หันมาตุนทองคำ โดยขายพันธะบัตรสหรัฐออกไปเพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงทางการเงินท่ามกลางความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น การซื้อทองคำของธนาคารกลาง1,136ตันในปี 2022 และ1,037ตันในปี 2023 เป็นปัจจัยที่สำคัญที่มีน้ำหนักมากที่สุดที่ทำให้ราคาทองคำพุ่งสูงในช่วงที่ผ่านมา ปี2024น่าจะเป็นอีกปีของการสร้างสถิติการซื้อทองคำของธนาคารกลาง กลุ่มBRICSมีนโยบายออกจากดอลล่าร์ (de-dollarization) ด้วยการค้าการกันเองผ่านเงินสกุลประจำชาติ และไม่ใช้ดอลล่าร์ รวมท้ังการวางโครงการที่จะเอาทองคำมาหนุนหลังค่าเงินของเงินสกุลร่วมBRICS ที่เรียกกันว่า the Unit โดยใช้ทองคำ40%หนุนหลัง และอีก60%หนุนหลังค่าเงินก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักลงทุนทั่วโลกเห็นจุดเริ่มต้นของจุดจบของความเป็นเงินสกุลหลักของโลกของดอลล่าร์ที่โดยเนื้อแท้แล้วเป็นเงินกระดาษเปล่าๆที่ไม่มีทรัพย์สินอะไรหนุนหลัง อย่างไรก็ดี โดนัลด์ ทรัมป์ประกาศว่าเขาจะเก็บภาษี100%สำหรับประเทศใดก็ตามที่หันหลังให้กับดอลล่าร์ เพื่อที่จะปกป้องดอลล่าร์ให้เป็นเงินสกุลหลักของโลกต่อไป ท่าทีของทรัมป์แม้ว่าจะเป็นการพูดหาเสียงแต่ก็สะท้อนความเข้าใจของทรัมป์ว่าเงินดอลล่าร์กำลังหมดความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งซาอุดิ อาราเบียได้ออกมาให้ข่าวว่าจะขายน้ำมันแลกเงินหยวนของจีน ซึ่งถือว่าเป็นการออกจากเปโตรดอลล่าร์ที่ซาอุฯเป็นผู้ค้ำประกันมาตั้งแต่ปี1974
    Like
    17
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 351 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตัวเลขขาดดุลงบประมาณ ของสหรัฐ ในปี 2567
    ล่าสุดอยู่ที่ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ
    ประมาณ 63.3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 24%
    เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566

    และหนี้สาธารณะ ณ ปัจจุบัน มีมูลค่ารวม
    35.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ
    1,175 ล้านล้านบาท และมีภาระดอกเบี้ย
    ปีละประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
    หรือประมาณ 33.3 ล้านล้านบาท/ปี

    ที่มา : cnbc

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ขาดดุลงบประมาณ
    #thaitimes
    🔥🔥ตัวเลขขาดดุลงบประมาณ ของสหรัฐ ในปี 2567 ล่าสุดอยู่ที่ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 63.3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 🔥🔥และหนี้สาธารณะ ณ ปัจจุบัน มีมูลค่ารวม 35.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,175 ล้านล้านบาท และมีภาระดอกเบี้ย ปีละประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 33.3 ล้านล้านบาท/ปี ที่มา : cnbc #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ขาดดุลงบประมาณ #thaitimes
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 605 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อวันพฤหัสบดี (29 ส.ค.) มัสก์แชร์โพสต์ๆ หนึ่งของผู้ใช้รายอื่นบนแพลตฟอร์มเอกซ์ (ทวิตเตอร) ของเขา ซึ่งคาดการณ์จากงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐฯ สำหรับปีงบประมาณ 2025 ระบุว่าการขาดดุลงบประมาณอาจเพิ่มขึ้นจากระดับปัจจุบันเกือบ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นเกือบ 16.3 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในปี 2035

    "ณ อัตราการใช้จ่ายของรัฐบาลในปัจจุบัน อเมริกาอยู่บนเลนด่วนของการล้มละลาย" มัสก์เขียน พร้อมบ่งชี้ว่า "การใช้จ่ายมากเกินไปของรัฐบาล คือสิ่งที่เป็นสาเหตุของเงินเฟ้อในประเทศ"

    อย่างไรก็ตาม ทางกระทรวงการคลังสหรัฐฯ แถลงว่าตัวเลขหนี้ของประเทศพุ่งผ่าน 35 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยเพิ่มขึ้นมา 1 ล้านล้านนับตั้งแต่เดือนมกราคม

    สำนักงานงบประมาณสภาคองเกรสสหรัฐฯ (CBO) คาดการณ์ว่าภายในปี 2034 ตัวเลขหนี้จะพุ่งเกิน 50 ล้านล้าน เทียบเท่ากับมากกว่า 122% ของจีดีพี นอกจากนี้ ทาง CBO ยังคาดหมายด้วยว่าอัตราการเติบโตของจีดีพีโดยเฉลี่ยจะอยู่เพียงแค่ราว 1.8% ตั้งแต่ปี 2029 ถึงปี 2034

    เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายงบประมาณที่มีความรับผิดชอบ Committee for a Responsible Federal Budget(CRFB) สถาบันวิจัยซึ่งไม่ฝักใฝ่กลุ่มการเมืองใด อ้างว่าหนี้สินของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 4.3 ล้านล้านดอลลาร์ ภายใต้การบริหารของ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ขณะที่สมัย โดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่ง ตัวเลขหนี้ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 8.4 ล้านล้านดอลลาร์

    ที่มา : อาร์ทีนิวส์/เอเจนซี)
    https://mgronline.com/around/detail/9670000081106

    #Thaitimes
    เมื่อวันพฤหัสบดี (29 ส.ค.) มัสก์แชร์โพสต์ๆ หนึ่งของผู้ใช้รายอื่นบนแพลตฟอร์มเอกซ์ (ทวิตเตอร) ของเขา ซึ่งคาดการณ์จากงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐฯ สำหรับปีงบประมาณ 2025 ระบุว่าการขาดดุลงบประมาณอาจเพิ่มขึ้นจากระดับปัจจุบันเกือบ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นเกือบ 16.3 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในปี 2035 "ณ อัตราการใช้จ่ายของรัฐบาลในปัจจุบัน อเมริกาอยู่บนเลนด่วนของการล้มละลาย" มัสก์เขียน พร้อมบ่งชี้ว่า "การใช้จ่ายมากเกินไปของรัฐบาล คือสิ่งที่เป็นสาเหตุของเงินเฟ้อในประเทศ" อย่างไรก็ตาม ทางกระทรวงการคลังสหรัฐฯ แถลงว่าตัวเลขหนี้ของประเทศพุ่งผ่าน 35 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยเพิ่มขึ้นมา 1 ล้านล้านนับตั้งแต่เดือนมกราคม สำนักงานงบประมาณสภาคองเกรสสหรัฐฯ (CBO) คาดการณ์ว่าภายในปี 2034 ตัวเลขหนี้จะพุ่งเกิน 50 ล้านล้าน เทียบเท่ากับมากกว่า 122% ของจีดีพี นอกจากนี้ ทาง CBO ยังคาดหมายด้วยว่าอัตราการเติบโตของจีดีพีโดยเฉลี่ยจะอยู่เพียงแค่ราว 1.8% ตั้งแต่ปี 2029 ถึงปี 2034 เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายงบประมาณที่มีความรับผิดชอบ Committee for a Responsible Federal Budget(CRFB) สถาบันวิจัยซึ่งไม่ฝักใฝ่กลุ่มการเมืองใด อ้างว่าหนี้สินของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 4.3 ล้านล้านดอลลาร์ ภายใต้การบริหารของ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ขณะที่สมัย โดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่ง ตัวเลขหนี้ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 8.4 ล้านล้านดอลลาร์ ที่มา : อาร์ทีนิวส์/เอเจนซี) https://mgronline.com/around/detail/9670000081106 #Thaitimes
    MGRONLINE.COM
    อาการไม่ดี! มัสก์เตือนสหรัฐฯ กำลังมุ่งหน้าอย่างรวดเร็วสู่การ 'ล้มละลาย'
    สหรัฐฯกำลังมุ่งหน้าสู่การล้มละลายอย่างรวดเร็ว สืบเนื่องจากรัฐบาลในวอชิงตันใช้จ่ายเงินมากเกินไป จากเสียงเตือนของอีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลาและสเปซเอ็กซ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 458 มุมมอง 0 รีวิว