• #จีน ขึ้น ภาษีนำเข้า น้ำมัน_US 10%
    และ ขี้นภาษีนำเข้า #ถ่านหิน และ
    #ก๊าซธรรมชาติ เป็น 15% กลัวซะที่ไหน

    China to impose 10% tariff on U.S. Oil; 15% tariff on coals and LNG
    #จีน ขึ้น ภาษีนำเข้า น้ำมัน_US 10% และ ขี้นภาษีนำเข้า #ถ่านหิน และ #ก๊าซธรรมชาติ เป็น 15% กลัวซะที่ไหน China to impose 10% tariff on U.S. Oil; 15% tariff on coals and LNG
    0 Comments 0 Shares 33 Views 0 Reviews
  • #จีน ขึ้น #ภาษีนำเข้า #สินค้า_US 10%
    และ ขี้น #ภาษีนำเข้า #ถ่านหิน และ
    #ก๊าซธรรมชาติ เป็น 15% กลัวซะที่ไหน

    China to impose 10% tariff on U.S. Oil; 15% tariff on coals and LNG
    #จีน ขึ้น #ภาษีนำเข้า #สินค้า_US 10% และ ขี้น #ภาษีนำเข้า #ถ่านหิน และ #ก๊าซธรรมชาติ เป็น 15% กลัวซะที่ไหน China to impose 10% tariff on U.S. Oil; 15% tariff on coals and LNG
    0 Comments 0 Shares 36 Views 0 Reviews
  • #จีน ขึ้น #ภาษีนำเข้า #สินค้า_US 10%
    และ ขี้น #ภาษีนำเข้า #ถ่านหิน และ
    #ก๊าซธรรมชาติ เป็น 15% กลัวซะที่ไหน
    China to impose 10% tariff on U.S. Oil; 15% tariff on coals and LNG
    #จีน ขึ้น #ภาษีนำเข้า #สินค้า_US 10% และ ขี้น #ภาษีนำเข้า #ถ่านหิน และ #ก๊าซธรรมชาติ เป็น 15% กลัวซะที่ไหน China to impose 10% tariff on U.S. Oil; 15% tariff on coals and LNG
    0 Comments 0 Shares 35 Views 0 Reviews
  • ทรัมป์ลงนามคำสั่งรีดภาษีศุลากรสินค้านำเข้าจากเม็กซิโก แคนาดา และจีนเมื่อวันเสาร์ (1 ก.พ.) และถูกทั้งสามชาติประกาศตอบโต้ทันควัน ขณะที่พวกนักวิเคราะห์แสดงความกังวล มาตรการครั้งนี้มีแนวโน้มทำให้อัตราเงินเฟ้อของอเมริกายิ่งเลวร้ายลง ทำลายความไว้ใจของประชาชนจำนวนมากที่โหวตให้ทรัมป์จากการหาเสียงจะทำให้ราคาสินค้าถูกลง รวมทั้งยังมีความเสี่ยงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกอีกด้วย
    .
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์บนโซเชียลมีเดียของตนในวันเสาร์ (1) ว่า มาตรการขึ้นภาษีศุลกากรเช่นนี้มีความจำเป็นเพื่อปกป้องคนอเมริกัน และกดดันให้แคนาดา เม็กซิโก ตลอดจนจีน ต้องใช้ความพยายามมากขึ้นในการควบคุมการผลิตและการส่งออกสารเสพติด “เฟนทานิล” ผิดกฎหมาย ซึ่งมีปลายทางอยู่ที่สหรัฐฯ รวมทั้งเป็นการเพิ่มแรงบีบให้แคนาดาและเม็กซิโกลดจำนวนผู้อาศัยดินแดนของพวกเขาลักลอบเดินทางเข้าสู่อเมริกา
    .
    ในคำสั่งฝ่ายบริหารที่เขาลงนามครั้งนี้ ซึ่งทรัมป์อ้างอำนาจตามรัฐบัญญัติให้อำนาจทางเศรษฐกิจแก่ประธานาธิบดีในกรณีฉุกเฉินระหว่างประเทศ กำหนดให้จัดเก็บภาษีศุลกากรจากสินค้านำเข้าทั้งหมดจากจีนสูงขึ้นอีก 10% ขณะที่สินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาจะถูกเก็บเพิ่มในอัตรา 25% ยกเว้นเฉพาะพวกสินค้าพลังงานที่นำเข้าจากแคนาดา ซึ่งรวมถึงน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และไฟฟ้า ให้ขึ้นภาษี 10%
    .
    อย่างไรก็ตาม มีเสียงแสดงความกังวลขึ้นในสหรัฐฯ ว่า หากบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรเป็นเวลานาน อาจทำให้สถานการณ์เงินเฟ้อของอเมริกาเลวร้ายลง ซึ่งคุกคามความไว้วางใจของผู้มีสิทธิออกเสียงจำนวนมากที่ลงคะแนนเลือกทรัมป์เพื่อให้จัดการทำให้ราคาของชำ น้ำมันเบนซิน บ้าน รถ และสินค้าอื่นๆ ถูกลงตามที่หาเสียงไว้ ไม่เพียงเท่านั้นยังอาจเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวมอีกด้วย
    .
    นอกจากนั้น คำสั่งของทรัมป์ครั้งนี้ยังครอบคลุมถึงการให้สหรัฐฯ ใช้กลไกขึ้นภาษีขึ้นไปอีกเพื่อเล่นงานการตอบโต้เอาคืนของประเทศอื่นๆ จึงทำให้เห็นกันว่าเพิ่มความเป็นไปได้ที่จะเกิดการสะดุดติดขัดทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงมากขึ้น
    .
    ยิ่งกว่านั้น ประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันผู้นี้ยังส่งสัญญาณว่า คำสั่งในวันเสาร์เป็นแค่หมัดแรกในการจัดการความขัดแย้งทางการค้า แถมเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเขายังประกาศว่า จะขึ้นภาษีศุลกากรเอากับสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรปด้วย รวมทั้งเพิ่มภาษีสำหรับสินค้านำเข้าจำพวกเซมิคอนดักเตอร์ เหล็กกล้า อะลูมิเนียม น้ำมัน และก๊าซ
    .
    หลังประกาศของทรัมป์ ด้านนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโดว์ ของแคนาดา แถลงในวันเสาร์ว่า การดำเนินการเช่นนี้ของทำเนียบขาวทำให้สองประเทศที่เป็นเพื่อนบ้านกันและมีนโยบายไปในแนวทางเดียวกันมาแต่ไหนแต่ไร เกิดความแตกแยกแทนที่จะสามัคคีกัน พร้อมประกาศตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีศุลกากรอัตรา 25% กับสินค้านำเข้าจากอเมริกามูลค่า 155,000 ล้านดอลลาร์ ที่รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และผลไม้ ตลอดจนถึงเรียกร้องให้คนแคนาดาใช้สินค้าและบริการในประเทศแทนที่จะซื้อของอเมริกา
    .
    ทรูโดว์เสริมว่า คนแคนาดาจำนวนมากรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง เนื่องจากที่ผ่านมา กองกำลังแคนาดาต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับอเมริกาในอัฟกานิสถาน รวมทั้งช่วยเหลือสหรัฐฯ ในการจัดการวิกฤตต่างๆ ตั้งแต่ไฟป่าในแคลิฟอร์เนีย จนถึงเฮอร์ริเคนแคทรินา
    .
    ขณะที่ประธานาธิบดีคลอเดีย เชนบาม ของเม็กซิโก โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ปฏิเสธการใส่ร้ายของทำเนียบขาวที่ว่า รัฐบาลเม็กซิโกร่วมมือกับองค์การอาชญากรรม รวมทั้งคัดค้านเจตนารมณ์ของสหรัฐฯ ในการแทรกแซงดินแดนเม็กซิโก ก่อนสำทับว่า ได้สั่งให้รัฐมนตรีเศรษฐกิจดำเนินการตอบโต้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเม็กซิโก
    .
    ผู้นำเม็กซิโกยังเหน็บทรัมป์ว่า ถ้ารัฐบาลและหน่วยงานของอเมริกาต้องการจัดการปัญหาการใช้เฟนทานิลอย่างจริงจังแล้ว ก็ควรต่อสู้กับการขายยาตามท้องถนนในเมืองใหญ่ๆ ของอเมริกา รวมถึงการฟอกเงิน
    .
    ด้านกระทรวงการต่างประเทศของจีนระบุในวันอาทิตย์ (2) ว่า รัฐบาลจีนไม่พอใจอย่างมากและคัดค้านความเคลื่อนไหวนี้ รวมทั้งจะดำเนินมาตรการตอบโต้ที่จำเป็นเพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมของประเทศ และสำทับว่า จีนเริ่มควบคุมยาที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิลในรูปสารที่ต้องควบคุมตั้งแต่ปี 2019 และร่วมกับอเมริกาในการต่อต้านสารเสพติด พร้อมเรียกร้องให้สหรัฐฯ แก้ไขการดำเนินการที่ผิดพลาดครั้งนี้
    .
    นอกจากนั้น กระทรวงพาณิชย์จีนยังเตรียมฟ้องร้องต่อองค์การการค้าโลก (WTO) สำหรับแนวทางปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องเหล่านี้ของอเมริกา
    .
    มาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์ครั้งนี้จะมีผลบังคับใช้ในวันอังคาร (4 ) ท่ามกลางความคิดเห็นที่ว่ามันอาจบ่อนทำลายการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ โดยงานวิเคราะห์ชิ้นใหม่ของห้องปฏิบัติการงบประมาณ มหาวิทยาลัยเยล ระบุว่า มาตรการนี้อาจส่งผลให้ชาวอเมริกันแต่ละครัวเรือนสูญเสียรายได้เฉลี่ย 1,170 ดอลลาร์ เศรษฐกิจชะลอตัว เงินเฟ้อสูงขึ้น และสถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายลงหากประเทศอื่นๆ ตอบโต้
    .
    วุฒิสมาชิกชัค ชูเมอร์ จากพรรคเดโมแครตก็ เตือนว่า มาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์อาจทำให้ค่าครองชีพคนอเมริกันพุ่งขึ้น
    .
    เกรเกอรี ดาโก หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ อีวาย ชี้ว่า ต้นทุนสินค้านำเข้าที่เพิ่มขึ้นจะบ่อนทำลายการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการลงทุนของภาคธุรกิจ และยังคาดว่า อัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 0.7% ในไตรมาสแรกก่อนลดลงอย่างช้าๆ นอกจากนั้นนโยบายการค้าที่ไร้ความแน่นอนมากขึ้นจะทำให้ตลาดการเงินผันผวนหนักขึ้น
    .
    อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้สนับสนุนทรัมป์พยายามผ่อนคลายความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ โดยบางคนบอกว่า แผนลดภาษีและผ่อนคลายกฎระเบียบที่ทรัมป์กำลังจะนำมาใช้จะช่วยกระตุ้นการเติบโตเป็นการชดเชย
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000010777
    ..................
    Sondhi X
    ทรัมป์ลงนามคำสั่งรีดภาษีศุลากรสินค้านำเข้าจากเม็กซิโก แคนาดา และจีนเมื่อวันเสาร์ (1 ก.พ.) และถูกทั้งสามชาติประกาศตอบโต้ทันควัน ขณะที่พวกนักวิเคราะห์แสดงความกังวล มาตรการครั้งนี้มีแนวโน้มทำให้อัตราเงินเฟ้อของอเมริกายิ่งเลวร้ายลง ทำลายความไว้ใจของประชาชนจำนวนมากที่โหวตให้ทรัมป์จากการหาเสียงจะทำให้ราคาสินค้าถูกลง รวมทั้งยังมีความเสี่ยงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกอีกด้วย . ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์บนโซเชียลมีเดียของตนในวันเสาร์ (1) ว่า มาตรการขึ้นภาษีศุลกากรเช่นนี้มีความจำเป็นเพื่อปกป้องคนอเมริกัน และกดดันให้แคนาดา เม็กซิโก ตลอดจนจีน ต้องใช้ความพยายามมากขึ้นในการควบคุมการผลิตและการส่งออกสารเสพติด “เฟนทานิล” ผิดกฎหมาย ซึ่งมีปลายทางอยู่ที่สหรัฐฯ รวมทั้งเป็นการเพิ่มแรงบีบให้แคนาดาและเม็กซิโกลดจำนวนผู้อาศัยดินแดนของพวกเขาลักลอบเดินทางเข้าสู่อเมริกา . ในคำสั่งฝ่ายบริหารที่เขาลงนามครั้งนี้ ซึ่งทรัมป์อ้างอำนาจตามรัฐบัญญัติให้อำนาจทางเศรษฐกิจแก่ประธานาธิบดีในกรณีฉุกเฉินระหว่างประเทศ กำหนดให้จัดเก็บภาษีศุลกากรจากสินค้านำเข้าทั้งหมดจากจีนสูงขึ้นอีก 10% ขณะที่สินค้านำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาจะถูกเก็บเพิ่มในอัตรา 25% ยกเว้นเฉพาะพวกสินค้าพลังงานที่นำเข้าจากแคนาดา ซึ่งรวมถึงน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และไฟฟ้า ให้ขึ้นภาษี 10% . อย่างไรก็ตาม มีเสียงแสดงความกังวลขึ้นในสหรัฐฯ ว่า หากบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรเป็นเวลานาน อาจทำให้สถานการณ์เงินเฟ้อของอเมริกาเลวร้ายลง ซึ่งคุกคามความไว้วางใจของผู้มีสิทธิออกเสียงจำนวนมากที่ลงคะแนนเลือกทรัมป์เพื่อให้จัดการทำให้ราคาของชำ น้ำมันเบนซิน บ้าน รถ และสินค้าอื่นๆ ถูกลงตามที่หาเสียงไว้ ไม่เพียงเท่านั้นยังอาจเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวมอีกด้วย . นอกจากนั้น คำสั่งของทรัมป์ครั้งนี้ยังครอบคลุมถึงการให้สหรัฐฯ ใช้กลไกขึ้นภาษีขึ้นไปอีกเพื่อเล่นงานการตอบโต้เอาคืนของประเทศอื่นๆ จึงทำให้เห็นกันว่าเพิ่มความเป็นไปได้ที่จะเกิดการสะดุดติดขัดทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงมากขึ้น . ยิ่งกว่านั้น ประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันผู้นี้ยังส่งสัญญาณว่า คำสั่งในวันเสาร์เป็นแค่หมัดแรกในการจัดการความขัดแย้งทางการค้า แถมเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเขายังประกาศว่า จะขึ้นภาษีศุลกากรเอากับสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรปด้วย รวมทั้งเพิ่มภาษีสำหรับสินค้านำเข้าจำพวกเซมิคอนดักเตอร์ เหล็กกล้า อะลูมิเนียม น้ำมัน และก๊าซ . หลังประกาศของทรัมป์ ด้านนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโดว์ ของแคนาดา แถลงในวันเสาร์ว่า การดำเนินการเช่นนี้ของทำเนียบขาวทำให้สองประเทศที่เป็นเพื่อนบ้านกันและมีนโยบายไปในแนวทางเดียวกันมาแต่ไหนแต่ไร เกิดความแตกแยกแทนที่จะสามัคคีกัน พร้อมประกาศตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีศุลกากรอัตรา 25% กับสินค้านำเข้าจากอเมริกามูลค่า 155,000 ล้านดอลลาร์ ที่รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และผลไม้ ตลอดจนถึงเรียกร้องให้คนแคนาดาใช้สินค้าและบริการในประเทศแทนที่จะซื้อของอเมริกา . ทรูโดว์เสริมว่า คนแคนาดาจำนวนมากรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง เนื่องจากที่ผ่านมา กองกำลังแคนาดาต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับอเมริกาในอัฟกานิสถาน รวมทั้งช่วยเหลือสหรัฐฯ ในการจัดการวิกฤตต่างๆ ตั้งแต่ไฟป่าในแคลิฟอร์เนีย จนถึงเฮอร์ริเคนแคทรินา . ขณะที่ประธานาธิบดีคลอเดีย เชนบาม ของเม็กซิโก โพสต์บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ปฏิเสธการใส่ร้ายของทำเนียบขาวที่ว่า รัฐบาลเม็กซิโกร่วมมือกับองค์การอาชญากรรม รวมทั้งคัดค้านเจตนารมณ์ของสหรัฐฯ ในการแทรกแซงดินแดนเม็กซิโก ก่อนสำทับว่า ได้สั่งให้รัฐมนตรีเศรษฐกิจดำเนินการตอบโต้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเม็กซิโก . ผู้นำเม็กซิโกยังเหน็บทรัมป์ว่า ถ้ารัฐบาลและหน่วยงานของอเมริกาต้องการจัดการปัญหาการใช้เฟนทานิลอย่างจริงจังแล้ว ก็ควรต่อสู้กับการขายยาตามท้องถนนในเมืองใหญ่ๆ ของอเมริกา รวมถึงการฟอกเงิน . ด้านกระทรวงการต่างประเทศของจีนระบุในวันอาทิตย์ (2) ว่า รัฐบาลจีนไม่พอใจอย่างมากและคัดค้านความเคลื่อนไหวนี้ รวมทั้งจะดำเนินมาตรการตอบโต้ที่จำเป็นเพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมของประเทศ และสำทับว่า จีนเริ่มควบคุมยาที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิลในรูปสารที่ต้องควบคุมตั้งแต่ปี 2019 และร่วมกับอเมริกาในการต่อต้านสารเสพติด พร้อมเรียกร้องให้สหรัฐฯ แก้ไขการดำเนินการที่ผิดพลาดครั้งนี้ . นอกจากนั้น กระทรวงพาณิชย์จีนยังเตรียมฟ้องร้องต่อองค์การการค้าโลก (WTO) สำหรับแนวทางปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องเหล่านี้ของอเมริกา . มาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์ครั้งนี้จะมีผลบังคับใช้ในวันอังคาร (4 ) ท่ามกลางความคิดเห็นที่ว่ามันอาจบ่อนทำลายการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ โดยงานวิเคราะห์ชิ้นใหม่ของห้องปฏิบัติการงบประมาณ มหาวิทยาลัยเยล ระบุว่า มาตรการนี้อาจส่งผลให้ชาวอเมริกันแต่ละครัวเรือนสูญเสียรายได้เฉลี่ย 1,170 ดอลลาร์ เศรษฐกิจชะลอตัว เงินเฟ้อสูงขึ้น และสถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายลงหากประเทศอื่นๆ ตอบโต้ . วุฒิสมาชิกชัค ชูเมอร์ จากพรรคเดโมแครตก็ เตือนว่า มาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์อาจทำให้ค่าครองชีพคนอเมริกันพุ่งขึ้น . เกรเกอรี ดาโก หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ อีวาย ชี้ว่า ต้นทุนสินค้านำเข้าที่เพิ่มขึ้นจะบ่อนทำลายการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการลงทุนของภาคธุรกิจ และยังคาดว่า อัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 0.7% ในไตรมาสแรกก่อนลดลงอย่างช้าๆ นอกจากนั้นนโยบายการค้าที่ไร้ความแน่นอนมากขึ้นจะทำให้ตลาดการเงินผันผวนหนักขึ้น . อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้สนับสนุนทรัมป์พยายามผ่อนคลายความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ โดยบางคนบอกว่า แผนลดภาษีและผ่อนคลายกฎระเบียบที่ทรัมป์กำลังจะนำมาใช้จะช่วยกระตุ้นการเติบโตเป็นการชดเชย . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000010777 .................. Sondhi X
    Like
    Love
    6
    0 Comments 0 Shares 737 Views 0 Reviews
  • ♣ เห็นตัวเลขผลกำไรจากการขูดเจาะก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันดิบมาขาย แค่ปีเดียวยังขนาดนี้ 50 ปีจะกำไรขนาดไหน สทร.จึงอยากเอาเกาะกูดไปแลกมาไง ประเคนดินแดนแลกประโยชน์ส่วนตัว
    #7ดอกจิก
    ♣ เห็นตัวเลขผลกำไรจากการขูดเจาะก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันดิบมาขาย แค่ปีเดียวยังขนาดนี้ 50 ปีจะกำไรขนาดไหน สทร.จึงอยากเอาเกาะกูดไปแลกมาไง ประเคนดินแดนแลกประโยชน์ส่วนตัว #7ดอกจิก
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 148 Views 0 Reviews
  • "เดนมาร์กตัดสินใจซ่อมท่อส่งก๊าซ Nord Stream ท่ามกลางความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับสหรัฐเรื่องเกาะกรีนแลนด์"

    กระทรวงพลังงานของเดนมาร์กได้ออกใบอนุญาตให้บริษัท Nord Stream AG ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการท่อส่งก๊าซ Nord Stream เพื่อเข้าดำเนินงานซ่อมแซม และรักษาท่อส่วนที่เสียหาย

    ท่อส่งก๊าซ Nord Stream 1 และ Nord Stream 2 ทอดยาวจากเมืองวีบอร์ก(Vyborg) ประเทศรัสเซีย ไปยังเมืองลูบมิน(Lubmin) ใกล้กับเมืองไกรฟส์วัลด์(Greifswald) ประเทศเยอรมนี และทอดผ่านน่านน้ำอาณาเขตของรัสเซีย เดนมาร์ก และเยอรมนี ถูกวางระเบิดจนได้รับความเสียหายเมื่อปี 2022

    ท่อส่งก๊าซ Nord Stream 1 และ 2 ที่ได้รับความเสียหายนั้นคาดว่ายังมีก๊าซที่ค้างในท่ออยู่ ซึ่งอยู่ในสถานะที่เป็นอันตราย

    เพื่อให้แน่ใจว่าท่อส่งดังกล่าวจะทำงานได้อย่างปลอดภัย สำนักงานพลังงานเดนมาร์กเป็นหนึ่งในประเทศที่อยู่ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ได้ตัดสินใจออกอนุญาตให้แก่ Nord Stream 2 AG เพื่อเข้าดำเนินการซ่อมแซมท่อส่งที่เสียหาย ให้กลับมาอยู่สถานะปกติ เพื่อป้องกันการระเบิดของก๊าซ

    Nord Stream 2 AG มีแผนจะดำเนินการดังกล่าวในไตรมาสที่สองหรือสามของปี 2025 โดยคาดว่าจะใช้เวลาสองถึงสามสัปดาห์

    บริษัทซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในเมือง Zug ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นกลุ่มบริษัทระหว่างประเทศที่ประกอบด้วยบริษัท 5 แห่งที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2005 เพื่อวางแผน ก่อสร้าง และดำเนินการท่อส่งก๊าซธรรมชาติทั้งสองแห่ง ผู้ถือหุ้นทั้ง 5 ราย ได้แก่ Gazprom, Wintershall Dea, PEG Infrastruktur (E.ON), N.V. Nederlandse Gasunie และ ENGIE
    "เดนมาร์กตัดสินใจซ่อมท่อส่งก๊าซ Nord Stream ท่ามกลางความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับสหรัฐเรื่องเกาะกรีนแลนด์" กระทรวงพลังงานของเดนมาร์กได้ออกใบอนุญาตให้บริษัท Nord Stream AG ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการท่อส่งก๊าซ Nord Stream เพื่อเข้าดำเนินงานซ่อมแซม และรักษาท่อส่วนที่เสียหาย ท่อส่งก๊าซ Nord Stream 1 และ Nord Stream 2 ทอดยาวจากเมืองวีบอร์ก(Vyborg) ประเทศรัสเซีย ไปยังเมืองลูบมิน(Lubmin) ใกล้กับเมืองไกรฟส์วัลด์(Greifswald) ประเทศเยอรมนี และทอดผ่านน่านน้ำอาณาเขตของรัสเซีย เดนมาร์ก และเยอรมนี ถูกวางระเบิดจนได้รับความเสียหายเมื่อปี 2022 ท่อส่งก๊าซ Nord Stream 1 และ 2 ที่ได้รับความเสียหายนั้นคาดว่ายังมีก๊าซที่ค้างในท่ออยู่ ซึ่งอยู่ในสถานะที่เป็นอันตราย เพื่อให้แน่ใจว่าท่อส่งดังกล่าวจะทำงานได้อย่างปลอดภัย สำนักงานพลังงานเดนมาร์กเป็นหนึ่งในประเทศที่อยู่ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ได้ตัดสินใจออกอนุญาตให้แก่ Nord Stream 2 AG เพื่อเข้าดำเนินการซ่อมแซมท่อส่งที่เสียหาย ให้กลับมาอยู่สถานะปกติ เพื่อป้องกันการระเบิดของก๊าซ Nord Stream 2 AG มีแผนจะดำเนินการดังกล่าวในไตรมาสที่สองหรือสามของปี 2025 โดยคาดว่าจะใช้เวลาสองถึงสามสัปดาห์ บริษัทซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในเมือง Zug ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นกลุ่มบริษัทระหว่างประเทศที่ประกอบด้วยบริษัท 5 แห่งที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2005 เพื่อวางแผน ก่อสร้าง และดำเนินการท่อส่งก๊าซธรรมชาติทั้งสองแห่ง ผู้ถือหุ้นทั้ง 5 ราย ได้แก่ Gazprom, Wintershall Dea, PEG Infrastruktur (E.ON), N.V. Nederlandse Gasunie และ ENGIE
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 281 Views 0 Reviews
  • 5//68

    การตื่นตระหนกของทักษิณ กำลังทำให้นายพีระพันธุ์ กับนายเอกณัฐ โดดเด่นขึ้นมาในทันที ในเรื่องของพลังงานและโกยคะแนนนิยมพุ่งพรวด ของพรรครวมไทยสร้างชาติ

    เมื่อหากย้อนกลับไปเมื่อกว่า 33 ปีที่แล้ว ที่ซาอุดิอาระเบีย ได้ตัดขาดการฑูตกับประเทศไทยอย่างถาวร ต่อกรณีความไม่พอใจในคดีการอุ้มตัวของนักการฑูตและการหายสาบสูญไปของนักธุรกิจชาวซาอุดิอาระเบีย แม้จะเริ่มต้นจากคดีการขโมยเพชรประจำตระกูลของราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย ของนายเกรียงไกร เตชะโม่ง จนมาถึงการคืนเพชรปลอมของเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยในยุคนั้น และการหายสาบสูญไปของเพชรบลูไดมอน ที่ราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียไม่ได้คืนเลยตราบเท่าทุกวันนี้

    แต่อย่างไรก็ดี ความบาดหมางใจต่อประเทศไทยของราขวงศ์ซาอุดิอาระเบีย กลับไม่ได้อยู่ที่เพชรที่หายไป แต่กลับเป็นอารบั้มรูปภาพที่สำคัญที่หายากและเป็นภาพสำคัญของราชวงศ์ที่ทรงอยู่ในวัยพระเยาว์ ที่ได้ถ่ายภาพคู่กับพระราชวงศ์ร่วมกัน ที่นายเกรียงไกร ได้ขโมยติดมือมาด้วย

    สรุปอัลบั้มรูปภาพได้ถูกนายเกรียงไกรเผาทิ้งเสียหายจนหมด หรือจากฝีมือเจ้าหน้าที่คนไหนไม่อาจทราบได้ แต่ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี ที่อดีตนายกรัฐมนตรีลุงตู่ ได้ใช้ความพยายามอย่างสูง ที่จะขอรื้อฟื้นเชื่อมความสัมพันธไมตรีกับซาอุดิอาระเบียมาตลอด .....จนประสบความสำเร็จ ที่กว่า 33ปี ที่คดีความต่างๆ มีการนำเสนอข้อเท็จจริง แบบตรงไปตรงมาต่อราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียในยุคของลุงตู่ จนทำให้มงกุฏราชกุมารทรงพอพระทัย และเริ่มกลับมาฟื้นความสัมพันธไมตรีกับประเทศไทยอีกครั้ง

    ความร่วมมือที่สำคัญที่สุดระหว่างไทยกับซาอุดิอาระเบียก็คือเรื่อง พลังงานกับอาหาร

    การเป็นแขกรับเชิญพิเศษของซาอุดิอาระเบีย ที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.กระทรวงพลังงาน ต้องบินด่วนไปที่ซาอุฯ เพื่อคุยกันถึงความร่วมมือเรื่องพลังงานที่สำคัญ และมีช่าวจากวงในว่า ซาอุดิอาระเบีย เลือกที่จะเจรจากับนายพีระพันธุ์ เท่านั้น เพราะเขาดูที่ความซื่อสัตย์และไม่มีเล่ห์เหลี่ยม เมื่อสกรีนจากนักการเมืองในรัฐบาลตอนนี้

    และแน่นอนว่า มหาอำนาจแห่งน้ำมันและก๊าซ ที่สำคัญต่อเศรษฐกิจทั้งโลก อย่างซาอุดิอาระเบีย กำลังมองหาพลังงานทางเลือกใหม่ กับการลงทุนด้านอาหารกับประเทศไทย แบบงบการลงทุนไม่มีขีดจำกัด

    เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา สหรัฐอาหรับเอมิเรต (UAE) ได้ติดตั้งโซล่าฟาร์มมากกว่า 4 ล้านแผ่น สามาถผลิตกระแสไฟฟ้าได้มากกว่า 900 เมกะวัตต์ (MW)
    สามารถส่งกระแสไฟฟ้าให้ผู้คนในประเทศได้ใช้ไฟฟรีถึงกว่า 2 แสนครอบครัว ที่สำคัญที่สุดก็คือ การติดตั้งโซล่าฟาร์มของ UAE ในครั้งนี้ สามารถลดก๊าซคาร์บอนในอากาศได้มากถึงกว่า 1.6 ล้านตัน

    UAE ตั้งเป้าจะผลิตกระแสไฟฟ้าจากโซล่าฟาร์มให้ได้5,000เมกะวัตต์ในปี พ.ศ. 2573 และจะลดก๊าซคาร์บอนได้มากถึง 5.6ล้านตัน ในอีก7ปีข้างหน้า

    ***เข้าประเด็น เรื่องนี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับตระกูลฮุนและตระกูลชิน ทำไมทักษิณถึงอย่างเขี่ยนายพีระพีนธุ์ออกจาก รมว.กระทรวงพลังงาน และต้องการเขี่ยพรรครวมไทยสร้างชาติออกจาก ครม.ของลูกสาวตนเอง***

    1.ทักษิณเริ่มสติฟั่นเฟือน หวาดระแวง ว่าตนกำลังสูญเสียอำนาจทางพลังงานไปจนหมด เพราะตระกูลชิน ใช้อำนาจทางพลังงาน รวมทั้งทุนมหาศาลในการสร้างพรรคการเมืองขึ้นมาให้มีอำนาจอยู่เหนือ 3 สถาบันหลักของรัฐธรรมนูญไทยมายาวนานมาก ถ้าหากนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ทำให้อำนาจทางพลังงานของทักษิณล่มสลายลง ตระกูลชินจะหมดอำนาจลงทั้งหมดในทางการเมืองของประเทศไทย ไปในทันที

    2. โซล่าฟาร์มของ UAE ใช้คนงานติดตั้ง มาจาก2 ประเทศคือไทยกับไต้หวัน ทีถือว่าเก่งโคตรๆในตอนนี้ โดยเฉพาะการติดตั้งแบบ ออฟกริตและออนกริต

    3.แน่นอนว่า โครงการอภิมหาโปรเจคที่จะใหญ่กว่า UAE ถึงกว่า10เท่า จะเกิดขึ้นที่ซาอุดิอาระเบีย โดยใช้แรงงานไทย และอุปกรณ์สำคัญที่มีคุณภาพสูง จะมาจากไต้หวันทั้งหมด และซาอุดิอาระเบีย จะตั้งเป้าลดก๊าซคาร์บอนลงในปี 2573 ที่ 20ล้านตัน

    4. ซาอุดิอาระเบียและกลุ่มประเทศโอเปกที่สำคัญ จะเข้ามาลงทุนกับกระทรวงพลังงานของไทย ในการผลิตกระแสไฟฟ้าไร้สาย และพลังงานสะอาดแข่งขันกับสหรัฐอเมริกา จีน และยุโรป และจะค่อยๆลดการผลิตน้ำมันกับก๊าซธรรมชาติลง ***สาเหตุเกิดจากน้ำท่วมหนักในทะเลทราย และในเมือง ส่งผลให้เกิดการปนเปื้อนก๊าศคาร์บอนมหาศาลต่อภาคการเกษตรของประเทศมหาอำนาจที่ผลิตน้ำมัน***

    ประเด็นคือ กลุ่มประเทศเหล่านี้ต้องการการร่วมมือกับนายพีระพันธุ์และนายเอกณัฐเท่านั้น

    แน่นอนว่าไม่กี่วันที่ผ่านมา ทั่วโลกได้เห็นภาพของฮุนเซน ผู้นำเขมรหอบสังขารไปเยือนกลุ่มประเทศเหล่านี้ เพราะอยากได้การลงทุนเรื่องพลังงานทางเลือกใหม่เหมือนกับไทย แต่สับขาหลอกว่า ต้องการหาทุน มาขุดคลองฟูนัน-เตโช ***ตระกูลไหนรีบคาบข่าวไปบอก ก็คงจะเดากันออกได้ไม่ยาก แต่สุดท้ายเขมรก็ไม่ได้รับการตอบสนองใดๆกลับมา***

    #### เมื่อทั่งนครดูไบ และทั้งประเทศในซาอุดิอาระเบียและหลายประเทศของโอเปก ตัดสินใจร่วมลงทุนกับนายพีระพันธุ์ แน่นอนว่าคนที่เสียหน้าที่สุดก็คือตระกูลชิน จึงได้เกิดอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยงในตอนนี้นั่นเอง###

    ***ทำนายได้ไม่ยากเลยว่า อีกไม่นานสีจิ้นผิง ผู้นำจีน จะต้องเบนเข็มมาให้ความสนใจต่อความร่วมมือกับรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของไทยเช่นเดียวกัน และก็ไม่ต้องแปลกใจไปว่า เหตุใด จีนจึงถอนตัวออกจากการลงทุนทุกอย่างกับเขมร และไม่สนับสนุนเขมรในการสำรวจขุดเอาพลังงานในเขตพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลกับไทย เพราะจีนรู้ว่าทั้งหมด มันเป็นแค่ละครแหกตาของสองตระกูลเขมรกับไทยเท่านั้น***

    ทั้งหมดก็คือเหตุผลว่า ทำไมนายพีระพันธุ์ รมว.กระทรวงพลังงานกับ นายเอกณัฐ รมว.กระทรวงอุตสาหกรรม จากพรรค รวมไทยสร้างชาติ ถึงไม่ได้ให้ความเกรงกลัวต่อทักษิณอีกเลย และไม่ได้สนใจว่า จะปรับเอาพรรครวมไทยสร้างชาติออกจาก ครม.ของแพรทองธารเลยสักนิด***แถมเบื้องบนก็เปิดไฟเขียวกันหมด รวมถึงผู้ถือหุ้นที่สำคัญทางพลังงานทั้งหมด ก็ย้ายมามาสนับสนุนนายพีระพันธุ์กันหมดแล้ว

    ผมเคยเขียนเอาไว้ล่วงหน้าว่า อีกไม่นาน ตระกูลฮุนของเขมร จะถูกทั้งโลกโดดเดี่ยวเดียวดาย และอีกไม่นาน จะเป็นตระกูลชิน จะเป็นอีกตระกูลที่จะถูกทั้งโลกไม่ให้ค่าอะไรอีกต่อไป

    ประเทศไทยกำลังจะเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่และสำคัญมาก เรื่องของพลังงาน ที่จะทำให้ความยากจนของคนในชาติลดลงในทันที หากทุกคนทั้งประเทศ รวมใจกันเลือกนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ให้เป็นนายกรัฐมนตรีและดูแลกระทรวงพลังงาน รวมไปถึงการสนับสนุนนายเอกณัฐ พร้อมพันธุ์ ให้ดูแลกระทรวงอุตสาหกรรมและหากพรรคนี้ได้ดูแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ด้วยแล้ว ***สยามประเทศจะเป็นเสือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซี่ยน ก็ไม่เกินความเป็นจริง***

    เดชา นฤนารท .

    4/1/68 11.25 น.
    5//68 การตื่นตระหนกของทักษิณ กำลังทำให้นายพีระพันธุ์ กับนายเอกณัฐ โดดเด่นขึ้นมาในทันที ในเรื่องของพลังงานและโกยคะแนนนิยมพุ่งพรวด ของพรรครวมไทยสร้างชาติ เมื่อหากย้อนกลับไปเมื่อกว่า 33 ปีที่แล้ว ที่ซาอุดิอาระเบีย ได้ตัดขาดการฑูตกับประเทศไทยอย่างถาวร ต่อกรณีความไม่พอใจในคดีการอุ้มตัวของนักการฑูตและการหายสาบสูญไปของนักธุรกิจชาวซาอุดิอาระเบีย แม้จะเริ่มต้นจากคดีการขโมยเพชรประจำตระกูลของราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย ของนายเกรียงไกร เตชะโม่ง จนมาถึงการคืนเพชรปลอมของเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยในยุคนั้น และการหายสาบสูญไปของเพชรบลูไดมอน ที่ราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียไม่ได้คืนเลยตราบเท่าทุกวันนี้ แต่อย่างไรก็ดี ความบาดหมางใจต่อประเทศไทยของราขวงศ์ซาอุดิอาระเบีย กลับไม่ได้อยู่ที่เพชรที่หายไป แต่กลับเป็นอารบั้มรูปภาพที่สำคัญที่หายากและเป็นภาพสำคัญของราชวงศ์ที่ทรงอยู่ในวัยพระเยาว์ ที่ได้ถ่ายภาพคู่กับพระราชวงศ์ร่วมกัน ที่นายเกรียงไกร ได้ขโมยติดมือมาด้วย สรุปอัลบั้มรูปภาพได้ถูกนายเกรียงไกรเผาทิ้งเสียหายจนหมด หรือจากฝีมือเจ้าหน้าที่คนไหนไม่อาจทราบได้ แต่ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี ที่อดีตนายกรัฐมนตรีลุงตู่ ได้ใช้ความพยายามอย่างสูง ที่จะขอรื้อฟื้นเชื่อมความสัมพันธไมตรีกับซาอุดิอาระเบียมาตลอด .....จนประสบความสำเร็จ ที่กว่า 33ปี ที่คดีความต่างๆ มีการนำเสนอข้อเท็จจริง แบบตรงไปตรงมาต่อราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียในยุคของลุงตู่ จนทำให้มงกุฏราชกุมารทรงพอพระทัย และเริ่มกลับมาฟื้นความสัมพันธไมตรีกับประเทศไทยอีกครั้ง ความร่วมมือที่สำคัญที่สุดระหว่างไทยกับซาอุดิอาระเบียก็คือเรื่อง พลังงานกับอาหาร การเป็นแขกรับเชิญพิเศษของซาอุดิอาระเบีย ที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.กระทรวงพลังงาน ต้องบินด่วนไปที่ซาอุฯ เพื่อคุยกันถึงความร่วมมือเรื่องพลังงานที่สำคัญ และมีช่าวจากวงในว่า ซาอุดิอาระเบีย เลือกที่จะเจรจากับนายพีระพันธุ์ เท่านั้น เพราะเขาดูที่ความซื่อสัตย์และไม่มีเล่ห์เหลี่ยม เมื่อสกรีนจากนักการเมืองในรัฐบาลตอนนี้ และแน่นอนว่า มหาอำนาจแห่งน้ำมันและก๊าซ ที่สำคัญต่อเศรษฐกิจทั้งโลก อย่างซาอุดิอาระเบีย กำลังมองหาพลังงานทางเลือกใหม่ กับการลงทุนด้านอาหารกับประเทศไทย แบบงบการลงทุนไม่มีขีดจำกัด เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา สหรัฐอาหรับเอมิเรต (UAE) ได้ติดตั้งโซล่าฟาร์มมากกว่า 4 ล้านแผ่น สามาถผลิตกระแสไฟฟ้าได้มากกว่า 900 เมกะวัตต์ (MW) สามารถส่งกระแสไฟฟ้าให้ผู้คนในประเทศได้ใช้ไฟฟรีถึงกว่า 2 แสนครอบครัว ที่สำคัญที่สุดก็คือ การติดตั้งโซล่าฟาร์มของ UAE ในครั้งนี้ สามารถลดก๊าซคาร์บอนในอากาศได้มากถึงกว่า 1.6 ล้านตัน UAE ตั้งเป้าจะผลิตกระแสไฟฟ้าจากโซล่าฟาร์มให้ได้5,000เมกะวัตต์ในปี พ.ศ. 2573 และจะลดก๊าซคาร์บอนได้มากถึง 5.6ล้านตัน ในอีก7ปีข้างหน้า ***เข้าประเด็น เรื่องนี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับตระกูลฮุนและตระกูลชิน ทำไมทักษิณถึงอย่างเขี่ยนายพีระพีนธุ์ออกจาก รมว.กระทรวงพลังงาน และต้องการเขี่ยพรรครวมไทยสร้างชาติออกจาก ครม.ของลูกสาวตนเอง*** 1.ทักษิณเริ่มสติฟั่นเฟือน หวาดระแวง ว่าตนกำลังสูญเสียอำนาจทางพลังงานไปจนหมด เพราะตระกูลชิน ใช้อำนาจทางพลังงาน รวมทั้งทุนมหาศาลในการสร้างพรรคการเมืองขึ้นมาให้มีอำนาจอยู่เหนือ 3 สถาบันหลักของรัฐธรรมนูญไทยมายาวนานมาก ถ้าหากนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ทำให้อำนาจทางพลังงานของทักษิณล่มสลายลง ตระกูลชินจะหมดอำนาจลงทั้งหมดในทางการเมืองของประเทศไทย ไปในทันที 2. โซล่าฟาร์มของ UAE ใช้คนงานติดตั้ง มาจาก2 ประเทศคือไทยกับไต้หวัน ทีถือว่าเก่งโคตรๆในตอนนี้ โดยเฉพาะการติดตั้งแบบ ออฟกริตและออนกริต 3.แน่นอนว่า โครงการอภิมหาโปรเจคที่จะใหญ่กว่า UAE ถึงกว่า10เท่า จะเกิดขึ้นที่ซาอุดิอาระเบีย โดยใช้แรงงานไทย และอุปกรณ์สำคัญที่มีคุณภาพสูง จะมาจากไต้หวันทั้งหมด และซาอุดิอาระเบีย จะตั้งเป้าลดก๊าซคาร์บอนลงในปี 2573 ที่ 20ล้านตัน 4. ซาอุดิอาระเบียและกลุ่มประเทศโอเปกที่สำคัญ จะเข้ามาลงทุนกับกระทรวงพลังงานของไทย ในการผลิตกระแสไฟฟ้าไร้สาย และพลังงานสะอาดแข่งขันกับสหรัฐอเมริกา จีน และยุโรป และจะค่อยๆลดการผลิตน้ำมันกับก๊าซธรรมชาติลง ***สาเหตุเกิดจากน้ำท่วมหนักในทะเลทราย และในเมือง ส่งผลให้เกิดการปนเปื้อนก๊าศคาร์บอนมหาศาลต่อภาคการเกษตรของประเทศมหาอำนาจที่ผลิตน้ำมัน*** ประเด็นคือ กลุ่มประเทศเหล่านี้ต้องการการร่วมมือกับนายพีระพันธุ์และนายเอกณัฐเท่านั้น แน่นอนว่าไม่กี่วันที่ผ่านมา ทั่วโลกได้เห็นภาพของฮุนเซน ผู้นำเขมรหอบสังขารไปเยือนกลุ่มประเทศเหล่านี้ เพราะอยากได้การลงทุนเรื่องพลังงานทางเลือกใหม่เหมือนกับไทย แต่สับขาหลอกว่า ต้องการหาทุน มาขุดคลองฟูนัน-เตโช ***ตระกูลไหนรีบคาบข่าวไปบอก ก็คงจะเดากันออกได้ไม่ยาก แต่สุดท้ายเขมรก็ไม่ได้รับการตอบสนองใดๆกลับมา*** #### เมื่อทั่งนครดูไบ และทั้งประเทศในซาอุดิอาระเบียและหลายประเทศของโอเปก ตัดสินใจร่วมลงทุนกับนายพีระพันธุ์ แน่นอนว่าคนที่เสียหน้าที่สุดก็คือตระกูลชิน จึงได้เกิดอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยงในตอนนี้นั่นเอง### ***ทำนายได้ไม่ยากเลยว่า อีกไม่นานสีจิ้นผิง ผู้นำจีน จะต้องเบนเข็มมาให้ความสนใจต่อความร่วมมือกับรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของไทยเช่นเดียวกัน และก็ไม่ต้องแปลกใจไปว่า เหตุใด จีนจึงถอนตัวออกจากการลงทุนทุกอย่างกับเขมร และไม่สนับสนุนเขมรในการสำรวจขุดเอาพลังงานในเขตพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลกับไทย เพราะจีนรู้ว่าทั้งหมด มันเป็นแค่ละครแหกตาของสองตระกูลเขมรกับไทยเท่านั้น*** ทั้งหมดก็คือเหตุผลว่า ทำไมนายพีระพันธุ์ รมว.กระทรวงพลังงานกับ นายเอกณัฐ รมว.กระทรวงอุตสาหกรรม จากพรรค รวมไทยสร้างชาติ ถึงไม่ได้ให้ความเกรงกลัวต่อทักษิณอีกเลย และไม่ได้สนใจว่า จะปรับเอาพรรครวมไทยสร้างชาติออกจาก ครม.ของแพรทองธารเลยสักนิด***แถมเบื้องบนก็เปิดไฟเขียวกันหมด รวมถึงผู้ถือหุ้นที่สำคัญทางพลังงานทั้งหมด ก็ย้ายมามาสนับสนุนนายพีระพันธุ์กันหมดแล้ว ผมเคยเขียนเอาไว้ล่วงหน้าว่า อีกไม่นาน ตระกูลฮุนของเขมร จะถูกทั้งโลกโดดเดี่ยวเดียวดาย และอีกไม่นาน จะเป็นตระกูลชิน จะเป็นอีกตระกูลที่จะถูกทั้งโลกไม่ให้ค่าอะไรอีกต่อไป ประเทศไทยกำลังจะเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่และสำคัญมาก เรื่องของพลังงาน ที่จะทำให้ความยากจนของคนในชาติลดลงในทันที หากทุกคนทั้งประเทศ รวมใจกันเลือกนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ให้เป็นนายกรัฐมนตรีและดูแลกระทรวงพลังงาน รวมไปถึงการสนับสนุนนายเอกณัฐ พร้อมพันธุ์ ให้ดูแลกระทรวงอุตสาหกรรมและหากพรรคนี้ได้ดูแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ด้วยแล้ว ***สยามประเทศจะเป็นเสือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซี่ยน ก็ไม่เกินความเป็นจริง*** เดชา นฤนารท . 4/1/68 11.25 น.
    0 Comments 0 Shares 675 Views 0 Reviews
  • ราคาก๊าซธรรมชาติล่วงหน้าของยุโรปพุ่งสูงถึง 51 ยูโรต่อเมกะวัตต์ชั่วโมง(megawatt-hour) ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2023 หลังจากยูเครนไม่ยอมขยายสัญญาการขนส่งก๊าซจากรัสเซียเข้าสู่ยุโรป

    นอกจากนี้ยังมีความกังวลเกี่ยวปริมาณก๊าซในคลังที่ลดลงอย่างรวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่ปี 2021 และสภาพอากาศที่อุณหภูมิต่ำกว่าศูนย์ในบางส่วนของยุโรปอาจส่งผลให้ความต้องการใช้ก๊าซเพิ่มขึ้น แม้ว่ายุโรปจะมีก๊าซเพียงพอสำหรับฤดูหนาวนี้ แต่การเติมก๊าซสำรองในฤดูกาลหน้าอาจมีต้นทุนที่สูงขึ้น

    การนำเข้าก๊าซจะมีราคาแพงสำหรับประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล มีส่วนเพิ่มแรงกดดันเพิ่มขึ้น
    ราคาก๊าซธรรมชาติล่วงหน้าของยุโรปพุ่งสูงถึง 51 ยูโรต่อเมกะวัตต์ชั่วโมง(megawatt-hour) ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2023 หลังจากยูเครนไม่ยอมขยายสัญญาการขนส่งก๊าซจากรัสเซียเข้าสู่ยุโรป นอกจากนี้ยังมีความกังวลเกี่ยวปริมาณก๊าซในคลังที่ลดลงอย่างรวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่ปี 2021 และสภาพอากาศที่อุณหภูมิต่ำกว่าศูนย์ในบางส่วนของยุโรปอาจส่งผลให้ความต้องการใช้ก๊าซเพิ่มขึ้น แม้ว่ายุโรปจะมีก๊าซเพียงพอสำหรับฤดูหนาวนี้ แต่การเติมก๊าซสำรองในฤดูกาลหน้าอาจมีต้นทุนที่สูงขึ้น การนำเข้าก๊าซจะมีราคาแพงสำหรับประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล มีส่วนเพิ่มแรงกดดันเพิ่มขึ้น
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 250 Views 0 Reviews
  • บริษัท Gazprom ของรัสเซียประกาศหยุดส่งก๊าซให้กับยุโรปผ่านทางยูเครนแล้ว!

    ข้อตกลงระหว่าง Gazprom และ Naftogaz ของยูเครน ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2019 สำหรับการขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ผ่านดินแดนยูเครน สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2024 และเซเลนสกีประกาศไม่มีการต่อสัญญาออกไปอีก ทำให้ Gazprom ยุติการส่งก๊าซผ่านยูเครนตั้งแต่เวลา 8.00 น. ตามเวลามอสโกของวันที่ 1 มกราคม 2025 โดยเขา้ให้เหตุผลว่า ไม่อนุญาตให้เครมลิน "หารายได้เพิ่มเติมหลายพันล้านดอลลาร์" จากเลือดของชาวยูเครน

    ประกาศจาก Gazprom ระบุว่า “Gazprom จัดหาก๊าซประมาณ 15,500 ล้านลูกบาศก์เมตรผ่านเส้นทางนี้เมื่อปีที่แล้ว คิดเป็นประมาณ 4.5% ของการบริโภคก๊าซทั้งหมดในสหภาพยุโรป

    นอกจากนี้ มอลโดวาและประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป 4 ประเทศ ได้แก่ สโลวาเกีย ออสเตรีย อิตาลี และสาธารณรัฐเช็ก ได้รับก๊าซของรัสเซียผ่านเส้นทางนี้เช่นกัน”

    บริษัท Gazprom ของรัสเซียประกาศหยุดส่งก๊าซให้กับยุโรปผ่านทางยูเครนแล้ว! ข้อตกลงระหว่าง Gazprom และ Naftogaz ของยูเครน ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2019 สำหรับการขนส่งก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ผ่านดินแดนยูเครน สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2024 และเซเลนสกีประกาศไม่มีการต่อสัญญาออกไปอีก ทำให้ Gazprom ยุติการส่งก๊าซผ่านยูเครนตั้งแต่เวลา 8.00 น. ตามเวลามอสโกของวันที่ 1 มกราคม 2025 โดยเขา้ให้เหตุผลว่า ไม่อนุญาตให้เครมลิน "หารายได้เพิ่มเติมหลายพันล้านดอลลาร์" จากเลือดของชาวยูเครน ประกาศจาก Gazprom ระบุว่า “Gazprom จัดหาก๊าซประมาณ 15,500 ล้านลูกบาศก์เมตรผ่านเส้นทางนี้เมื่อปีที่แล้ว คิดเป็นประมาณ 4.5% ของการบริโภคก๊าซทั้งหมดในสหภาพยุโรป นอกจากนี้ มอลโดวาและประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป 4 ประเทศ ได้แก่ สโลวาเกีย ออสเตรีย อิตาลี และสาธารณรัฐเช็ก ได้รับก๊าซของรัสเซียผ่านเส้นทางนี้เช่นกัน”
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 217 Views 0 Reviews
  • เครื่องบินโดยสารไอพ่นของสายการบินอาเซอร์ไบจานที่มีคนอยู่บนเครื่องรวม 67 คน ตกกระแทกพื้นในวันพุธ (25 ธ.ค.) ในบริเวณภาคตะวันตกของคาซัคสถาน หลังจากบินหันเหออกจากเส้นทางที่กำหนดเอาไว้ ทั้งนี้ตามปากคำของเจ้าหน้าที่หลายราย

    พวกเจ้าหน้าที่อาเซอร์ไบจานระบุว่า มีผู้รอดชีวิตมาได้ 32 คนจากเหตุการณ์โหม่งโลกของเครื่องบินโดยสารแบบ เอมบราเออร์ 190 ลำนี้ ที่บริเวณใกล้ๆ เมืองออคเตา ของคาซัคสถาน ซึ่งเป็นศูนย์กลางด้านน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของแถบชายฝั่งด้านตะวันออกของทะเลแคสเปียน

    เครื่องบินโดยสารผลิตโดยบริษัทบราซิลลำนี้ กำลังบินจากเมืองหลวงบากู ของอาเซอร์ไบจาน ที่อยู่บนชายฝั่งด้านตะวันตกของแคสเปียน ไปยังเมืองกรอซนี ในแคว้นเชชเนีย ทางตอนใต้ของรัสเซีย

    “เครื่องบินที่กำลังบินบนเส้นทางบากู-กรอซนี ได้ตกโหม่งโลกตรงใกล้เมืองออคเตา โดยเป็นเครื่องของสายการบินอาเซอร์ไบจานแอร์ไลนส์” กระทรวงคมนาคมคาซัคสถาน โพสต์ข้อความนี้บนแพลตฟอร์มเทเลแกรม

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/around/detail/9670000123875

    #MGROnline #เครื่องบินโดยสารไอพ่น #สายการบินอาเซอร์ไบจาน
    เครื่องบินโดยสารไอพ่นของสายการบินอาเซอร์ไบจานที่มีคนอยู่บนเครื่องรวม 67 คน ตกกระแทกพื้นในวันพุธ (25 ธ.ค.) ในบริเวณภาคตะวันตกของคาซัคสถาน หลังจากบินหันเหออกจากเส้นทางที่กำหนดเอาไว้ ทั้งนี้ตามปากคำของเจ้าหน้าที่หลายราย • พวกเจ้าหน้าที่อาเซอร์ไบจานระบุว่า มีผู้รอดชีวิตมาได้ 32 คนจากเหตุการณ์โหม่งโลกของเครื่องบินโดยสารแบบ เอมบราเออร์ 190 ลำนี้ ที่บริเวณใกล้ๆ เมืองออคเตา ของคาซัคสถาน ซึ่งเป็นศูนย์กลางด้านน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของแถบชายฝั่งด้านตะวันออกของทะเลแคสเปียน • เครื่องบินโดยสารผลิตโดยบริษัทบราซิลลำนี้ กำลังบินจากเมืองหลวงบากู ของอาเซอร์ไบจาน ที่อยู่บนชายฝั่งด้านตะวันตกของแคสเปียน ไปยังเมืองกรอซนี ในแคว้นเชชเนีย ทางตอนใต้ของรัสเซีย • “เครื่องบินที่กำลังบินบนเส้นทางบากู-กรอซนี ได้ตกโหม่งโลกตรงใกล้เมืองออคเตา โดยเป็นเครื่องของสายการบินอาเซอร์ไบจานแอร์ไลนส์” กระทรวงคมนาคมคาซัคสถาน โพสต์ข้อความนี้บนแพลตฟอร์มเทเลแกรม • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/around/detail/9670000123875 • #MGROnline #เครื่องบินโดยสารไอพ่น #สายการบินอาเซอร์ไบจาน
    0 Comments 0 Shares 214 Views 0 Reviews
  • จังหวะนรก ก่อนถึงความสูญเสีย

    อุบัติเหตุรถยนต์ฮอนด้า ซีอาร์วี สีบรอนซ์เงิน พุ่งชนตำรวจจราจร ประชาชน และนักเรียนที่กำลังเลิกเรียน บริเวณหน้าโรงเรียนบ้านดอนขวาง ถนนเพชรมาตุคลา ต.หัวทะเล อ.เมืองฯ จ.นครราชสีมา เมื่อเวลา 16.15 น. วันที่ 23 ธ.ค. 2567 เป็นเหตุให้ ร.ต.ท.วิมุต แท่นสุโพธิ์ รองสารวัตรจราจร สภ.เมืองนครราชสีมา เสียชีวิต บาดเจ็บอีก 9 คน รถยนต์ รถจักรยานยนต์ถูกชนได้รับความเสียหายนับสิบคัน คนขับรถคันดังกล่าวคือ นายธเนศ อาศรัยเจ้า สภาพมึนเมาพูดคุยไม่รู้เรื่อง เมื่อตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์พบพุ่งสูงขึ้นถึง 194 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์

    เหตุการณ์นี้นอกจากจะเกิดความสูญเสียที่เป็นผลมาจากเมาแล้วขับโดยตรงแล้ว อาจเป็นจังหวะนรกของคนบางกลุ่ม

    เพราะเมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2567 ตัวแทนภาคเอกชน 14 องค์กรในจังหวัดนครราชสีมาเข้าพบ พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 เพื่อมอบกระเช้าแสดงความยินดี และหารือเรื่องความเดือดร้อนของผู้ประกอบการสถานบันเทิง ร้านอาหาร และประชาชนในพื้นที่ อ้างว่ามาตรการการตั้งด่านทำให้ประชาชนไม่กล้าออกมาใช้บริการ เศรษฐกิจในพื้นที่ซบเซา ซึ่ง พล.ต.ท.วัฒนา รับปากว่าจะกำชับให้ลดตั้งด่านตรวจแอลกอฮอล์ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจ แต่ให้เน้นการตั้งด่านบนถนนสายหลักเพื่อป้องกันอาชญากรรม และสิ่งของผิดกฎหมายเท่านั้น

    จากโศกนาฎกรรมดังกล่าว ทำให้เฟซบุ๊กเพจ "เพื่อนตำรวจ" กระบอกเสียงของตำรวจชั้นผู้น้อย ระบุว่า ผู้ประกอบการเพิ่งตบเท้าเข้าพบ ผบช.ภาค 3 ให้ลดการตั้งด่านเมาเเล้วขับ โดยอ้างเหตุผลว่าเศรษฐกิจซบเซาเพราะตำรวจตั้งด่านกวดขัน วันนี้ตำรวจจราจร สภ.เมืองนครราชสีมา เสียชีวิตเพราะคนเมาเเล้วขับ 14 องค์กรภาคเอกชนจะรับผิดชอบยังไง?

    จังหวะนรกก่อนหน้านี้ เมื่อเช้าวันที่ 1 ต.ค. 2567 สมาคมธุรกิจรถตู้ต่างจังหวัด ยื่นข้อเรียกร้องถึงนายกรัฐมนตรีให้แต่งตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหารถโดยสารสาธารณะ โดยเฉพาะระเบียบของกรมการขนส่งทางบกที่กำหนดให้รถตู้โดยสารที่มีอายุ 13 ปี จะต้องเปลี่ยนเป็นรถมินิบัสทั้งหมด ซึ่งผู้ประกอบการรถตู้มองว่าไม่คุ้มทุน จากต้นทุนเชื้อเพลิงของรถมินิบัสสูงกว่ารถตู้ แต่คนที่ใช้บริการเป็นประจำทราบดีว่า รถตู้ส่วนหนึ่งใช้ก๊าซธรรมชาติเอ็นจีวีเป็นเชื้อเพลิง

    ปรากฎว่า ช่วงเที่ยงวันเดียวกัน เกิดโศกนาฎกรรมเพลิงไหม้รถบัสทัศนศึกษาบนถนนวิภาวดีรังสิต หน้าอนุสรณ์สถานแห่งชาติ จ.ปทุมธานี ทำให้นักเรียนและครูเสียชีวิต 23 ราย ภายหลังสำนักงานพิสูจน์หลักฐานกลาง เปิดเผยว่า สาเหตุมาจากการรั่วไกลของก๊าซเอ็นจีวีบริเวณส่วนหน้าของรถ และพบว่ามีการติดถังถังก๊าซเอ็นจีวีมากกว่าที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด

    #Newskit
    จังหวะนรก ก่อนถึงความสูญเสีย อุบัติเหตุรถยนต์ฮอนด้า ซีอาร์วี สีบรอนซ์เงิน พุ่งชนตำรวจจราจร ประชาชน และนักเรียนที่กำลังเลิกเรียน บริเวณหน้าโรงเรียนบ้านดอนขวาง ถนนเพชรมาตุคลา ต.หัวทะเล อ.เมืองฯ จ.นครราชสีมา เมื่อเวลา 16.15 น. วันที่ 23 ธ.ค. 2567 เป็นเหตุให้ ร.ต.ท.วิมุต แท่นสุโพธิ์ รองสารวัตรจราจร สภ.เมืองนครราชสีมา เสียชีวิต บาดเจ็บอีก 9 คน รถยนต์ รถจักรยานยนต์ถูกชนได้รับความเสียหายนับสิบคัน คนขับรถคันดังกล่าวคือ นายธเนศ อาศรัยเจ้า สภาพมึนเมาพูดคุยไม่รู้เรื่อง เมื่อตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์พบพุ่งสูงขึ้นถึง 194 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เหตุการณ์นี้นอกจากจะเกิดความสูญเสียที่เป็นผลมาจากเมาแล้วขับโดยตรงแล้ว อาจเป็นจังหวะนรกของคนบางกลุ่ม เพราะเมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2567 ตัวแทนภาคเอกชน 14 องค์กรในจังหวัดนครราชสีมาเข้าพบ พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 เพื่อมอบกระเช้าแสดงความยินดี และหารือเรื่องความเดือดร้อนของผู้ประกอบการสถานบันเทิง ร้านอาหาร และประชาชนในพื้นที่ อ้างว่ามาตรการการตั้งด่านทำให้ประชาชนไม่กล้าออกมาใช้บริการ เศรษฐกิจในพื้นที่ซบเซา ซึ่ง พล.ต.ท.วัฒนา รับปากว่าจะกำชับให้ลดตั้งด่านตรวจแอลกอฮอล์ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจ แต่ให้เน้นการตั้งด่านบนถนนสายหลักเพื่อป้องกันอาชญากรรม และสิ่งของผิดกฎหมายเท่านั้น จากโศกนาฎกรรมดังกล่าว ทำให้เฟซบุ๊กเพจ "เพื่อนตำรวจ" กระบอกเสียงของตำรวจชั้นผู้น้อย ระบุว่า ผู้ประกอบการเพิ่งตบเท้าเข้าพบ ผบช.ภาค 3 ให้ลดการตั้งด่านเมาเเล้วขับ โดยอ้างเหตุผลว่าเศรษฐกิจซบเซาเพราะตำรวจตั้งด่านกวดขัน วันนี้ตำรวจจราจร สภ.เมืองนครราชสีมา เสียชีวิตเพราะคนเมาเเล้วขับ 14 องค์กรภาคเอกชนจะรับผิดชอบยังไง? จังหวะนรกก่อนหน้านี้ เมื่อเช้าวันที่ 1 ต.ค. 2567 สมาคมธุรกิจรถตู้ต่างจังหวัด ยื่นข้อเรียกร้องถึงนายกรัฐมนตรีให้แต่งตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหารถโดยสารสาธารณะ โดยเฉพาะระเบียบของกรมการขนส่งทางบกที่กำหนดให้รถตู้โดยสารที่มีอายุ 13 ปี จะต้องเปลี่ยนเป็นรถมินิบัสทั้งหมด ซึ่งผู้ประกอบการรถตู้มองว่าไม่คุ้มทุน จากต้นทุนเชื้อเพลิงของรถมินิบัสสูงกว่ารถตู้ แต่คนที่ใช้บริการเป็นประจำทราบดีว่า รถตู้ส่วนหนึ่งใช้ก๊าซธรรมชาติเอ็นจีวีเป็นเชื้อเพลิง ปรากฎว่า ช่วงเที่ยงวันเดียวกัน เกิดโศกนาฎกรรมเพลิงไหม้รถบัสทัศนศึกษาบนถนนวิภาวดีรังสิต หน้าอนุสรณ์สถานแห่งชาติ จ.ปทุมธานี ทำให้นักเรียนและครูเสียชีวิต 23 ราย ภายหลังสำนักงานพิสูจน์หลักฐานกลาง เปิดเผยว่า สาเหตุมาจากการรั่วไกลของก๊าซเอ็นจีวีบริเวณส่วนหน้าของรถ และพบว่ามีการติดถังถังก๊าซเอ็นจีวีมากกว่าที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด #Newskit
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 801 Views 0 Reviews
  • โรเบิร์ต ฟิโก นายกรัฐมนตรีสโลวะเกีย กล่าวหา โวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน พยายามติดสินบนเขากว่า 500 ล้านยูโร (ราว 18,000 ล้านบาท) แลกกับคำมั่นสัญญาของบราติสลาวา ที่จะสนับสนุนเคียฟเข้าเป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต)
    .
    ฟิโก ออกมาเปิดเผยในเรื่องนี้ระหว่างการแถลงข่าวในกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว ไม่นานหลังจากประชุมลับกับ เซเลนสกี รอบนอกการประชุมซัมมิตผู้นำอียู
    .
    ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีรายนี้บอกกับพวกผู้สื่อข่าวว่า สโลวะเกียอาจพิจารณาใช้มาตรการยื่นหมูยื่นแมว หลังจากยูเครนปฏิเสธขยายกรอบเวลาข้อตกลงส่งต่อก๊าซธรรมชาติกับรัสเซีย ซึ่งมีกำหนดหมดอายุลงในช่วงสิ้นปี
    .
    ด้วยที่ยูเครนหยิบยกความขัดแย้งกับรัสเซียที่กำลังดำเนินอยู่เป็นข้ออ้าง มันจึงก่อความกังวลแก่สโลวะเกีย ชาติที่ต้องพึ่งพิงอุปทานก๊าซธรรมชาติของรัสเซียที่ส่งผ่านทางยูเครน ในขณะที่ ฟิโก เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ต้องมีทางออกอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงวิกฤตขาดแคลนก๊าซธรรมชาติ
    .
    เขาเล่าว่าระหว่างการพูดคุยเจรจากับเซเลนสกีนั้น ทางผู้นำยูเครนส่งเสียงแข็งกร้าวไม่อนุญาตให้ส่งผ่านพลังงาน พร้อมกับยื่นข้อเสนออันไร้สาระสำหรับทางออกในประเด็นก๊าซ
    .
    นายกรัฐมนตรีสโลวะเกีย อ้างว่านอกเหนือจากสิ่งอื่นๆ แล้ว เซเลนสกี "ยังถามผมว่า ผมจะโหวตการเป็นสมาชิกนาโตของยูเครนหรือไม่ ถ้าเขามอบเงิน 500 ล้านดอลลาร์แก่ผม ด้วยทรัพย์สินของรัสเซียที่ถูกอายัดในตะวันตก" ตามหลังความขัดแย้งระหว่างมอสโกกับเคียฟปะทุขึ้น
    .
    ฟิโก เผยต่อ เขาตอบผู้นำยูเครนกลับไปตรงๆ ว่า เขาจะไม่มีวันตอบตกลงข้อเสนอลักษณะดังกล่าว "คุณรู้ดีเกี่ยวกับความเห็นของผมในเรื่องสถานภาพสมาชิกของยูเครนในนาโต และมันแปลกๆ ที่เขาถามผมด้วยคำถามดังกล่าว เพราะเขารู้เป็นอย่างดีว่า คำเชิญยูเครนเข้าร่วมนาโต ไม่มีทางเป็นจริงโดยสิ้นเชิง"
    .
    อาร์ทีออม โดมิทรูค ส.ส.ฝ่ายค้านของยูเครน ซึ่งมีข่าวว่าได้หลบหนีออกนอกระเทศเมื่อช่วงกลางปี สืบเนื่องจากความหวั่นกลัวถูกตามประหัตประหาร แสดงความเห็นว่า เป็นอีกครั้งที่ เซเลนสกี สร้างความเสื่อมเสียแก่ยูเครนต่อหน้าคนทั้งโลก ด้วยพยายามติดสินบนฟิโก
    .
    "ผมเชื่อว่าการพูดคุยอาจไม่ใช่แค่เงินจากทรัพย์สินของรัสเซีย แต่มันอาจเป็นเงินสดที่เซเลนสีเก็บกวาดเข้ากระเป๋า" โดมิทรูค เขียนบนเทเลแกรมในวันศกร์ (20 ธ.ค.)
    .
    มอสโก ซึ่งมองนาโตในฐานะศัตรู และส่งเสียงคัดค้านอย่างแข็งกร้าวในการแผ่ขยายเขตแดนมาทางตะวันออก หยิบยกความปรารถนาอย่างแรงกล้าของเคียฟ ในการเข้าร่วมกลุ่มที่นำโดยสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในเหตุผลหลักสำหรับการเปิดปฏิบัติการทางทหารในเดือนกุมภาพันธ์ 2022
    .
    อย่างไรก็ตาม เคียฟ ยืนกรานถึงความปรารถนาเข้าเป็นสมาชิกนาโตตลอดความขัดแย้งที่ผ่านมา อ้างว่ามันเป็นหนทางเดียวที่จะป้องปรามรัสเซีย ก่อนหน้านี้ในเดือนธันวาคม เซเลนสกี บอกว่าเขาจะร้องขอประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ให้ออกคำเชิญเคียฟเข้าร่วมกลุ่มนาโตอย่างเป็นทางการ ก่อน โดนัลด์ ทรัมป์ สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 20 มกราคม 2025 ในขณะที่ ทรัมป์ แสดงความคลางแคลงใจมาตลอดเกี่ยวกับความช่วยเหลือของอเมริกาที่มอบให้แก่ยูเครน
    .
    หนังสือพิมพ์ Le Monde ของฝรั่งเศส รายงานว่าไม่ใช่แค่สโลวะเกียเท่านั้น แต่รัฐสมาชิกอื่นๆ ในนั้นรวมถึงสหรัฐฯ เยอรมนี ฮังการี เบลเยียม สโลวีเนีย และสเปน ปัจจุบันก็คัดค้านการเข้าร่วมเป็นสมาชิกนาโตของยูเครนเช่นกัน
    .
    อ่านเพิ่มเติม..
    ..............
    Sondhi X
    โรเบิร์ต ฟิโก นายกรัฐมนตรีสโลวะเกีย กล่าวหา โวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน พยายามติดสินบนเขากว่า 500 ล้านยูโร (ราว 18,000 ล้านบาท) แลกกับคำมั่นสัญญาของบราติสลาวา ที่จะสนับสนุนเคียฟเข้าเป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) . ฟิโก ออกมาเปิดเผยในเรื่องนี้ระหว่างการแถลงข่าวในกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว ไม่นานหลังจากประชุมลับกับ เซเลนสกี รอบนอกการประชุมซัมมิตผู้นำอียู . ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีรายนี้บอกกับพวกผู้สื่อข่าวว่า สโลวะเกียอาจพิจารณาใช้มาตรการยื่นหมูยื่นแมว หลังจากยูเครนปฏิเสธขยายกรอบเวลาข้อตกลงส่งต่อก๊าซธรรมชาติกับรัสเซีย ซึ่งมีกำหนดหมดอายุลงในช่วงสิ้นปี . ด้วยที่ยูเครนหยิบยกความขัดแย้งกับรัสเซียที่กำลังดำเนินอยู่เป็นข้ออ้าง มันจึงก่อความกังวลแก่สโลวะเกีย ชาติที่ต้องพึ่งพิงอุปทานก๊าซธรรมชาติของรัสเซียที่ส่งผ่านทางยูเครน ในขณะที่ ฟิโก เน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ต้องมีทางออกอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงวิกฤตขาดแคลนก๊าซธรรมชาติ . เขาเล่าว่าระหว่างการพูดคุยเจรจากับเซเลนสกีนั้น ทางผู้นำยูเครนส่งเสียงแข็งกร้าวไม่อนุญาตให้ส่งผ่านพลังงาน พร้อมกับยื่นข้อเสนออันไร้สาระสำหรับทางออกในประเด็นก๊าซ . นายกรัฐมนตรีสโลวะเกีย อ้างว่านอกเหนือจากสิ่งอื่นๆ แล้ว เซเลนสกี "ยังถามผมว่า ผมจะโหวตการเป็นสมาชิกนาโตของยูเครนหรือไม่ ถ้าเขามอบเงิน 500 ล้านดอลลาร์แก่ผม ด้วยทรัพย์สินของรัสเซียที่ถูกอายัดในตะวันตก" ตามหลังความขัดแย้งระหว่างมอสโกกับเคียฟปะทุขึ้น . ฟิโก เผยต่อ เขาตอบผู้นำยูเครนกลับไปตรงๆ ว่า เขาจะไม่มีวันตอบตกลงข้อเสนอลักษณะดังกล่าว "คุณรู้ดีเกี่ยวกับความเห็นของผมในเรื่องสถานภาพสมาชิกของยูเครนในนาโต และมันแปลกๆ ที่เขาถามผมด้วยคำถามดังกล่าว เพราะเขารู้เป็นอย่างดีว่า คำเชิญยูเครนเข้าร่วมนาโต ไม่มีทางเป็นจริงโดยสิ้นเชิง" . อาร์ทีออม โดมิทรูค ส.ส.ฝ่ายค้านของยูเครน ซึ่งมีข่าวว่าได้หลบหนีออกนอกระเทศเมื่อช่วงกลางปี สืบเนื่องจากความหวั่นกลัวถูกตามประหัตประหาร แสดงความเห็นว่า เป็นอีกครั้งที่ เซเลนสกี สร้างความเสื่อมเสียแก่ยูเครนต่อหน้าคนทั้งโลก ด้วยพยายามติดสินบนฟิโก . "ผมเชื่อว่าการพูดคุยอาจไม่ใช่แค่เงินจากทรัพย์สินของรัสเซีย แต่มันอาจเป็นเงินสดที่เซเลนสีเก็บกวาดเข้ากระเป๋า" โดมิทรูค เขียนบนเทเลแกรมในวันศกร์ (20 ธ.ค.) . มอสโก ซึ่งมองนาโตในฐานะศัตรู และส่งเสียงคัดค้านอย่างแข็งกร้าวในการแผ่ขยายเขตแดนมาทางตะวันออก หยิบยกความปรารถนาอย่างแรงกล้าของเคียฟ ในการเข้าร่วมกลุ่มที่นำโดยสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในเหตุผลหลักสำหรับการเปิดปฏิบัติการทางทหารในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 . อย่างไรก็ตาม เคียฟ ยืนกรานถึงความปรารถนาเข้าเป็นสมาชิกนาโตตลอดความขัดแย้งที่ผ่านมา อ้างว่ามันเป็นหนทางเดียวที่จะป้องปรามรัสเซีย ก่อนหน้านี้ในเดือนธันวาคม เซเลนสกี บอกว่าเขาจะร้องขอประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ให้ออกคำเชิญเคียฟเข้าร่วมกลุ่มนาโตอย่างเป็นทางการ ก่อน โดนัลด์ ทรัมป์ สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 20 มกราคม 2025 ในขณะที่ ทรัมป์ แสดงความคลางแคลงใจมาตลอดเกี่ยวกับความช่วยเหลือของอเมริกาที่มอบให้แก่ยูเครน . หนังสือพิมพ์ Le Monde ของฝรั่งเศส รายงานว่าไม่ใช่แค่สโลวะเกียเท่านั้น แต่รัฐสมาชิกอื่นๆ ในนั้นรวมถึงสหรัฐฯ เยอรมนี ฮังการี เบลเยียม สโลวีเนีย และสเปน ปัจจุบันก็คัดค้านการเข้าร่วมเป็นสมาชิกนาโตของยูเครนเช่นกัน . อ่านเพิ่มเติม.. .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    7
    1 Comments 0 Shares 740 Views 0 Reviews
  • 🇷🇺🇪🇺 รัสเซียยังคงเป็นซัพพลายเออร์ก๊าซธรรมชาติเหลวรายใหญ่ที่สุดของสหภาพยุโรปในเดือนตุลาคม, โดยส่งมอบก๊าซมูลค่า ๗๐๑.๕ ล้านยูโร
    .
    JUST IN: 🇷🇺🇪🇺 Russia remained the European Union's top Liquified Natural Gas supplier in October, delivering €701.5 million in gas.
    .
    1:38 PM · Dec 18, 2024 · 128.4K Views
    https://x.com/BRICSinfo/status/1869270897443709034
    🇷🇺🇪🇺 รัสเซียยังคงเป็นซัพพลายเออร์ก๊าซธรรมชาติเหลวรายใหญ่ที่สุดของสหภาพยุโรปในเดือนตุลาคม, โดยส่งมอบก๊าซมูลค่า ๗๐๑.๕ ล้านยูโร . JUST IN: 🇷🇺🇪🇺 Russia remained the European Union's top Liquified Natural Gas supplier in October, delivering €701.5 million in gas. . 1:38 PM · Dec 18, 2024 · 128.4K Views https://x.com/BRICSinfo/status/1869270897443709034
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 164 Views 0 Reviews
  • สหรัฐฯซื้อก๊าซธรรมชาติเหลวรัสเซียจากอินเดีย และขายให้กับยุโรปในราคาที่สูงเกินจริง
    .
    The United States is buying Russian Liquefied Natural Gas from India and selling it to Europe at inflated prices.
    .
    10:58 AM · Dec 16, 2024 · 2M Views
    https://x.com/BRICSinfo/status/1868505906784137373
    สหรัฐฯซื้อก๊าซธรรมชาติเหลวรัสเซียจากอินเดีย และขายให้กับยุโรปในราคาที่สูงเกินจริง . The United States is buying Russian Liquefied Natural Gas from India and selling it to Europe at inflated prices. . 10:58 AM · Dec 16, 2024 · 2M Views https://x.com/BRICSinfo/status/1868505906784137373
    Haha
    1
    0 Comments 0 Shares 148 Views 0 Reviews
  • "ศรีสุรรณ" ฟ้องศาลปกครอง สั่งเพิกถอนโครงการก่อสร้างท่าเรือมาบตาพุดระยะที่ 3 ส่งผลกระทบต่อระบบริเวศน์ ก่อมลพิษ อ่าวถูกทำลาย ทำชาวระยองเดือดร้อนถ้วนหน้า

    วันนี้(16ธ.ค.)นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านภาวะโลกร้อน กับพวก รวม 6 ราย ได้รับมอบอำนาจจากชาวระยอง ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อฟ้องการนิคมแห่งประเทศไทย ,อธิบดีกรมเจ้าท่า, อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง,คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฐานใช้อำนาจโดยมิชอบและละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ กรณีร่วมกันให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติให้เอกชนได้ดำเนินโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 และโครงการท่าเทียบเรือขนถ่ายก๊าซธรรมชาติ โดยมีการถมทะเลในอ่าวระยองมากถึง 1,000 ไร่ จะก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรง ทั้งทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ความหลากหลายทางธรรมชาติ และคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมทั้งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการทำลายชายหาด ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวของคนไทยและคนระยองให้เสียหาย ถูกกัดเซาะ พังทลาย โดยไม่สามารถฟื้นคืนกลับมาได้ เช่น หาดแสงจันทร์ หาดหนองแฟบ หาดพลา หาดวาริน หาดตากวน จึงขอให้ศาลสั่งระงับและเพิกถอนโครงการฯ ดังกล่าวทั้งหมด

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/politics/detail/9670000120562

    #MGROnline #ศรีสุรรณ #ศาลปกครอง #โครงการก่อสร้างท่าเรือมาบตาพุด
    "ศรีสุรรณ" ฟ้องศาลปกครอง สั่งเพิกถอนโครงการก่อสร้างท่าเรือมาบตาพุดระยะที่ 3 ส่งผลกระทบต่อระบบริเวศน์ ก่อมลพิษ อ่าวถูกทำลาย ทำชาวระยองเดือดร้อนถ้วนหน้า • วันนี้(16ธ.ค.)นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านภาวะโลกร้อน กับพวก รวม 6 ราย ได้รับมอบอำนาจจากชาวระยอง ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อฟ้องการนิคมแห่งประเทศไทย ,อธิบดีกรมเจ้าท่า, อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง,คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฐานใช้อำนาจโดยมิชอบและละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ กรณีร่วมกันให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติให้เอกชนได้ดำเนินโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 และโครงการท่าเทียบเรือขนถ่ายก๊าซธรรมชาติ โดยมีการถมทะเลในอ่าวระยองมากถึง 1,000 ไร่ จะก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรง ทั้งทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ความหลากหลายทางธรรมชาติ และคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมทั้งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการทำลายชายหาด ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวของคนไทยและคนระยองให้เสียหาย ถูกกัดเซาะ พังทลาย โดยไม่สามารถฟื้นคืนกลับมาได้ เช่น หาดแสงจันทร์ หาดหนองแฟบ หาดพลา หาดวาริน หาดตากวน จึงขอให้ศาลสั่งระงับและเพิกถอนโครงการฯ ดังกล่าวทั้งหมด • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/politics/detail/9670000120562 • #MGROnline #ศรีสุรรณ #ศาลปกครอง #โครงการก่อสร้างท่าเรือมาบตาพุด
    0 Comments 0 Shares 414 Views 0 Reviews
  • ศาลไม่รับคดีล้มล้าง ขาดหลักฐานชัดเจน จับตาคดีในมือ กกต.-ปปช.
    .
    ที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีมติยกคำร้องของนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร (ผู้ร้อง) ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 กล่าวอ้างว่า นายทักษิณ ชินวัตร (ผู้ถูกร้องที่ 1) และพรรคเพื่อไทย (ผู้ถูกร้องที่ 2) ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อพิจารณารับหรือไม่รับคำร้องนี้ไว้วินิจฉัย
    .
    สำหรับคำร้องที่นายธีรยุทธยื่นมี 6 ประเด็น ประกอบด้วย ประเด็นที่ 1 นายทักษิณสั่งการรัฐบาลผ่านกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ ให้เอื้อประโยชน์แก่นายทักษิณ ให้พักอาศัยอยู่ห้องพัก ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ในระหว่างรับโทษจำคุก เพื่อให้ไม่ต้องรับโทษในเรือนจำทั้งที่ไม่พบว่ามีอาการป่วยขั้นวิกฤต
    .
    ประเด็นที่ 2 นายทักษิณสั่งการรัฐบาลให้เอื้อประโยชน์แก่อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศกัมพูชา ให้มีการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลเพื่อแบ่งผลประโยชน์ก๊าซธรรมชาติและทรัพยากรใต้ทะเลในเขตอธิปไตยทางทะเลของประเทศไทยให้แก่ประเทศกัมพูชา
    .
    ประเด็นที่ 3 นายทักษิณสั่งการให้พรรคเพื่อไทยร่วมมือเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญกับพรรคประชาชน ซึ่งเป็นพรรคที่ก่อตั้งโดยกลุ่มการเมืองของพรรคก้าวไกลเดิม ที่ต้องคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญว่ามีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
    .
    ประเด็นที่ 4 นายทักษิณสั่งการแทนพรรคเพื่อไทย โดยเจรจากับแกนนำของพรรคการเมืองอื่นที่ร่วมรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมตรี เพื่อหารือการเสนอชื่อบุคคลผู้สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ที่บ้านพักส่วนตัวของนายทักษิณ
    .
    ประเด็นที่ 5 นายทักษิณสั่งการให้พรรคเพื่อไทยมีมติขับพรรคพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาล
    .
    ประเด็นที่ 6 นายทักษิณสั่งการให้พรรคเพื่อไทยนำนโยบายของนายทักษิณที่แสดงวิสัยทัศน์ไว้ไปดำเนินการให้เป็นนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภา
    .
    ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้ผู้ร้องจะใช้สิทธิยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดแล้วและอัยการสูงสุดไม่ดำเนินการภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอ อันทำให้ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ก็ตาม แต่การพิจารณาว่า บุคคลใดจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงชัดเจนเพียงพอที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งหมาย และความประสงค์ระดับที่วิญญูชนคาดเห็นได้ว่าน่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยการกระทำนั้นจะต้องกำลังดำเนินอยู่และไม่ห่างไกลเกินกว่าเหตุ
    .
    ข้อกล่าวอ้างในประเด็นที่ 1 และประเด็นที่ 3 ถึงประเด็นที่ 6 ยังไม่มีน้ำหนักพยานหลักฐานเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองน่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ดังนั้น กรณีไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ ไม่รับไว้พิจารณาวินิจฉัยในประเด็นที่ 1 และประเด็นที่ 3 ถึงประเด็นที่ 6
    .
    สำหรับประเด็นที่ 2 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก (7 ต่อ 2) มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย
    .
    ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก จำนวน 7 คน คือ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายปัญญา อุดชาชน นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ นายอุดม รัฐอมฤต และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ เห็นว่า ยังไม่มีน้ำหนักพยานหลักฐานเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองน่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง
    .
    ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย จำนวน 2 คน คือ นายจิรนิติ หะวานนท์ และนายนภดล เทพพิทักษ์ เห็นว่า มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองน่าจะทำให้เกิดผล เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับไว้พิจารณาวินิจฉัยได้
    .
    ด้านดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม ประธานสถาบันสุจริตไทย อดีตส.ว. แสดงความคิดเห็นว่าแม้ศาลรัฐธรรมนูญจะสั่งไม่รับคำร้องของนายธีรยุทธ์ สุวรรณเกษรที่ขอให้สั่งหยุดการกระทำของคุณทักษิณและ พท.ทั้ง 6 ประเด็น เพราะข้อเท็จจริงยังไม่เพียงพอที่จะชี้ว่าเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองฯแต่ข้อเท็จจริงทั้ง 6 ประเด็นก็ยังมีผู้ยื่นคำร้องต่อ ปปช.และ กกต.กล่าวหานายทักษิณ พรรคเพื่อไทยและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องร่วมทำผิดตามกฎหมายอื่นที่มีโทษรุนแรงทั้งต่อบุคคลและพรรคการเมือง ที่อยู่ระหว่างการเสนอเรื่องไปสิ้นสุดการพิจารณาที่ศาลยุติธรรมหรือ ศาลรัฐธรรมนูญได้อีกเป็นหลายกรณี ประชาชนพลเมืองดีของไทยจึงยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องติดตามกันต่อไป
    ..............
    Sondhi X
    ศาลไม่รับคดีล้มล้าง ขาดหลักฐานชัดเจน จับตาคดีในมือ กกต.-ปปช. . ที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีมติยกคำร้องของนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร (ผู้ร้อง) ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 กล่าวอ้างว่า นายทักษิณ ชินวัตร (ผู้ถูกร้องที่ 1) และพรรคเพื่อไทย (ผู้ถูกร้องที่ 2) ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อพิจารณารับหรือไม่รับคำร้องนี้ไว้วินิจฉัย . สำหรับคำร้องที่นายธีรยุทธยื่นมี 6 ประเด็น ประกอบด้วย ประเด็นที่ 1 นายทักษิณสั่งการรัฐบาลผ่านกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ ให้เอื้อประโยชน์แก่นายทักษิณ ให้พักอาศัยอยู่ห้องพัก ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ในระหว่างรับโทษจำคุก เพื่อให้ไม่ต้องรับโทษในเรือนจำทั้งที่ไม่พบว่ามีอาการป่วยขั้นวิกฤต . ประเด็นที่ 2 นายทักษิณสั่งการรัฐบาลให้เอื้อประโยชน์แก่อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศกัมพูชา ให้มีการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลเพื่อแบ่งผลประโยชน์ก๊าซธรรมชาติและทรัพยากรใต้ทะเลในเขตอธิปไตยทางทะเลของประเทศไทยให้แก่ประเทศกัมพูชา . ประเด็นที่ 3 นายทักษิณสั่งการให้พรรคเพื่อไทยร่วมมือเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญกับพรรคประชาชน ซึ่งเป็นพรรคที่ก่อตั้งโดยกลุ่มการเมืองของพรรคก้าวไกลเดิม ที่ต้องคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญว่ามีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข . ประเด็นที่ 4 นายทักษิณสั่งการแทนพรรคเพื่อไทย โดยเจรจากับแกนนำของพรรคการเมืองอื่นที่ร่วมรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมตรี เพื่อหารือการเสนอชื่อบุคคลผู้สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ที่บ้านพักส่วนตัวของนายทักษิณ . ประเด็นที่ 5 นายทักษิณสั่งการให้พรรคเพื่อไทยมีมติขับพรรคพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาล . ประเด็นที่ 6 นายทักษิณสั่งการให้พรรคเพื่อไทยนำนโยบายของนายทักษิณที่แสดงวิสัยทัศน์ไว้ไปดำเนินการให้เป็นนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภา . ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้แม้ผู้ร้องจะใช้สิทธิยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดแล้วและอัยการสูงสุดไม่ดำเนินการภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอ อันทำให้ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ก็ตาม แต่การพิจารณาว่า บุคคลใดจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงชัดเจนเพียงพอที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งหมาย และความประสงค์ระดับที่วิญญูชนคาดเห็นได้ว่าน่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยการกระทำนั้นจะต้องกำลังดำเนินอยู่และไม่ห่างไกลเกินกว่าเหตุ . ข้อกล่าวอ้างในประเด็นที่ 1 และประเด็นที่ 3 ถึงประเด็นที่ 6 ยังไม่มีน้ำหนักพยานหลักฐานเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองน่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ดังนั้น กรณีไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ ไม่รับไว้พิจารณาวินิจฉัยในประเด็นที่ 1 และประเด็นที่ 3 ถึงประเด็นที่ 6 . สำหรับประเด็นที่ 2 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก (7 ต่อ 2) มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย . ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก จำนวน 7 คน คือ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายปัญญา อุดชาชน นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ นายอุดม รัฐอมฤต และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ เห็นว่า ยังไม่มีน้ำหนักพยานหลักฐานเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองน่าจะทำให้เกิดผลเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง . ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย จำนวน 2 คน คือ นายจิรนิติ หะวานนท์ และนายนภดล เทพพิทักษ์ เห็นว่า มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองน่าจะทำให้เกิดผล เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับไว้พิจารณาวินิจฉัยได้ . ด้านดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม ประธานสถาบันสุจริตไทย อดีตส.ว. แสดงความคิดเห็นว่าแม้ศาลรัฐธรรมนูญจะสั่งไม่รับคำร้องของนายธีรยุทธ์ สุวรรณเกษรที่ขอให้สั่งหยุดการกระทำของคุณทักษิณและ พท.ทั้ง 6 ประเด็น เพราะข้อเท็จจริงยังไม่เพียงพอที่จะชี้ว่าเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองฯแต่ข้อเท็จจริงทั้ง 6 ประเด็นก็ยังมีผู้ยื่นคำร้องต่อ ปปช.และ กกต.กล่าวหานายทักษิณ พรรคเพื่อไทยและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องร่วมทำผิดตามกฎหมายอื่นที่มีโทษรุนแรงทั้งต่อบุคคลและพรรคการเมือง ที่อยู่ระหว่างการเสนอเรื่องไปสิ้นสุดการพิจารณาที่ศาลยุติธรรมหรือ ศาลรัฐธรรมนูญได้อีกเป็นหลายกรณี ประชาชนพลเมืองดีของไทยจึงยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องติดตามกันต่อไป .............. Sondhi X
    Sad
    Like
    4
    1 Comments 0 Shares 2097 Views 0 Reviews
  • 🇷🇺🇨🇳 จีนและรัสเซียสร้างท่อส่งก๊าซธรรมชาติเส้นทางตะวันออกสำเร็จอย่างเป็นทางการ, โดยเชื่อมต่อทั้งสองประเทศโดยตรง

    คาดว่าท่อส่งดังกล่าวจะส่งมอบก๊าซธรรมชาติได้ ๓๘,๐๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี
    .
    JUST IN: 🇷🇺🇨🇳 China and Russia officially complete East-Route Natural Gas Pipeline, directly connecting both countries.

    The pipeline is expected to deliver 38 billion cubic metres of natural gas annually.
    .
    7:29 AM · Nov 19, 2024 · 10K Views
    https://x.com/BRICSinfo/status/1858668895634149741
    🇷🇺🇨🇳 จีนและรัสเซียสร้างท่อส่งก๊าซธรรมชาติเส้นทางตะวันออกสำเร็จอย่างเป็นทางการ, โดยเชื่อมต่อทั้งสองประเทศโดยตรง คาดว่าท่อส่งดังกล่าวจะส่งมอบก๊าซธรรมชาติได้ ๓๘,๐๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี . JUST IN: 🇷🇺🇨🇳 China and Russia officially complete East-Route Natural Gas Pipeline, directly connecting both countries. The pipeline is expected to deliver 38 billion cubic metres of natural gas annually. . 7:29 AM · Nov 19, 2024 · 10K Views https://x.com/BRICSinfo/status/1858668895634149741
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 208 Views 0 Reviews
  • ท่อส่งก๊าซรัสเซีย-จีน ฝั่งตะวันออกเสร็จสมบูรณ์แล้ว!

    กลุ่มท่อส่งน้ำมันและก๊าซแห่งชาติของจีนประกาศขั้นตอนสุดท้ายของท่อส่งก๊าซทางตะวันออกความยาว 5,111 กม. เสร็จเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้ท่อส่งดังกล่าวเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายของการทดสอบเดินเครื่องแล้ว และเมื่อเปิดใช้งาน จะมีปริมาณก๊าซได้ไหลผ่าน 38,000 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี

    ท่อส่งก๊าซในส่วนของพื้นที่ประเทศจีนเริ่มต้นที่เฮยเหอ(Heihe) มณฑลเฮยหลงเจียง(Heilongjiang) จากชายแดนรัสเซีย และทอดยาวลงไปทางใต้ผ่าน 9 มณฑล เทศบาล และเขตปกครองตนเอง ไปจนถึงเซี่ยงไฮ้

    เมื่อดำเนินการได้เต็มรูปแบบแล้ว ท่อส่งนี้จะจ่ายก๊าซธรรมชาติไปยัง 3 มณฑลทางตะวันออก ได้แก่ จีนตะวันออกเฉียงเหนือ ปักกิ่ง-เทียนจิน-เหอเป่ย และสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี โดยมีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการก๊าซประจำปีของครัวเรือนชาวจีน 130 ล้านครัวเรือน!
    ท่อส่งก๊าซรัสเซีย-จีน ฝั่งตะวันออกเสร็จสมบูรณ์แล้ว! กลุ่มท่อส่งน้ำมันและก๊าซแห่งชาติของจีนประกาศขั้นตอนสุดท้ายของท่อส่งก๊าซทางตะวันออกความยาว 5,111 กม. เสร็จเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้ท่อส่งดังกล่าวเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายของการทดสอบเดินเครื่องแล้ว และเมื่อเปิดใช้งาน จะมีปริมาณก๊าซได้ไหลผ่าน 38,000 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ท่อส่งก๊าซในส่วนของพื้นที่ประเทศจีนเริ่มต้นที่เฮยเหอ(Heihe) มณฑลเฮยหลงเจียง(Heilongjiang) จากชายแดนรัสเซีย และทอดยาวลงไปทางใต้ผ่าน 9 มณฑล เทศบาล และเขตปกครองตนเอง ไปจนถึงเซี่ยงไฮ้ เมื่อดำเนินการได้เต็มรูปแบบแล้ว ท่อส่งนี้จะจ่ายก๊าซธรรมชาติไปยัง 3 มณฑลทางตะวันออก ได้แก่ จีนตะวันออกเฉียงเหนือ ปักกิ่ง-เทียนจิน-เหอเป่ย และสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี โดยมีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการก๊าซประจำปีของครัวเรือนชาวจีน 130 ล้านครัวเรือน!
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 237 Views 0 Reviews
  • ทำไมกัมพูชาไม่ยอมรับกฎเกณฑ์ UNCLOS 1982 ที่ประเทศทั่วโลกยอมรับและยึดถือกว่า 160 ประเทศ เป็นกฎหมายจารีตประเพณีที่เป็นหลักในการเจรจาความเมืองใด ๆ เกี่ยวกับทะเล

    ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณได้เขียนเรื่อง “ความลับกัมพูชาที่คนไทยทุกคนควรต้องรู้ ”เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2567ไว้ว่า

    “กัมพูชาเป็นเพียงประเทศเดียวในภูมิภาคแถบนี้ ที่ไม่ยอมเข้าร่วมอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 หรือ United Nations Convention on the Law Of the Sea (UNCLOS) อ่านออกเสียงตัวอักษรย่อ UNCLOS ว่า "อันโคลซ" ซึ่งปัจจุบันนับได้ว่าเป็นอนุสัญญาสหประชาชาติสำคัญ เป็นที่ยอมรับในการแบ่งเขตแดนทางทะเลของแต่ละประเทศอันเป็นหลักสากล โปร่งใส และมีความเป็นธรรม สามารถช่วยแก้ไข ตลอดจนระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับการแบ่งเขตแดนทางทะเลระหว่างประเทศได้อย่างสันติ

    เหตุผลประการสำคัญที่กัมพูชาไม่ยอมเข้าร่วม UNCLOS เป็นเพราะทางกัมพูชาทราบดีว่าจะเสียเปรียบในการเจรจาแบ่งเขตแดนทางทะเลกับประเทศเพื่อนบ้าน โดย ดร.วันนาริธ ชเฮียง นักวิชาการชื่อดังชาวกัมพูชาเป็นผู้ยอมรับเอง ยืนยันว่ารัฐบาลกัมพูชากลัวการเข้าร่วมอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล UNCLOS จะทำให้กัมพูชาเสียเปรียบในการเจรจากำหนดเขตแดนทางทะเลกับประเทศเพื่อนบ้าน ดังที่กัมพูชาพยายามอ้างสิทธิ์ตามเส้นเขตแดนที่ลากขึ้นในสมัยที่ยังเป็นรัฐอารักขาของประเทศฝรั่งเศส

    เมื่อทราบความจริงดังนี้ ประเทศไทยของเราจึงไม่ควรเจรจากับกัมพูชาเป็นอย่างยิ่งตราบใดที่กัมพูชายังไม่ยอมเข้าร่วม UNCLOS เพราะไทยจะกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบเสียเองหากยังคงยึดข้อพิพาทเดิมตามแนวทาง MOU 2544 ที่ล้าสมัยไปแล้ว ขนาดรัฐบาลกัมพูชายังไม่ยอมเสียเปรียบไทย ถ้ารัฐบาลไทยยอมเสียเปรียบกัมพูชา ยอมยกผลประโยชน์ของประเทศชาติและปวงชนชาวไทยมูลค่านับล้านล้านบาทให้กับกัมพูชา กล้าเสนอหน้าไปเจรจาโดยที่กัมพูชายังไม่ยอมเข้าร่วม UNCLOS จะเรียกว่า "โง่" หรือ "ขายชาติ" ดีครับ?

    ดังนั้น UNCLOS จึงเป็นหลักสำคัญในการเจรจาระหว่างไทยและกัมพูชา ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนจะจบลงทันที เพราะเส้นเขตแดนทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชาภายใต้ UNCLOS เป็นสากลอยู่แล้ว สิ่งที่เหลือให้ไทยและกัมพูชายังต้องเจรจาตกลงกัน คือ หลุมน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติที่วางตัวอยู่ในแนวเส้นแบ่งเขตแดนทางทะเลของทั้งสองประเทศ นอกจากไทยเราจะไม่เสียเกาะกูดเป็นแน่แล้ว ยังจะสามารถครองพื้นที่ส่วนใหญ่ที่เป็นข้อพิพาท รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติในท้องทะเล ทั้งน้ำมันดิบและก๊าชธรรมชาติส่วนใหญ่จะตกเป็นของไทย

    ขนาดนักวิชาการกัมพูชายังยืนยันชัดเจนว่ารัฐบาลกัมพูชาไม่เข้าร่วม UNCLOS เพราะกลัวเสียเปรียบ พี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนจึงควรตระหนักรู้เกี่ยวกับ UNCLOS เพื่อให้รัฐบาลไทยยื่นข้อเสนอให้กัมพูชาเข้าร่วม UNCLOS เสียก่อนเท่านั้น แล้วจึงค่อยเปิดการเจรจาที่เป็นธรรม!

    ที่มา https://www.facebook.com/share/15FAF2zRds/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    ทำไมกัมพูชาไม่ยอมรับกฎเกณฑ์ UNCLOS 1982 ที่ประเทศทั่วโลกยอมรับและยึดถือกว่า 160 ประเทศ เป็นกฎหมายจารีตประเพณีที่เป็นหลักในการเจรจาความเมืองใด ๆ เกี่ยวกับทะเล ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณได้เขียนเรื่อง “ความลับกัมพูชาที่คนไทยทุกคนควรต้องรู้ ”เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2567ไว้ว่า “กัมพูชาเป็นเพียงประเทศเดียวในภูมิภาคแถบนี้ ที่ไม่ยอมเข้าร่วมอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 หรือ United Nations Convention on the Law Of the Sea (UNCLOS) อ่านออกเสียงตัวอักษรย่อ UNCLOS ว่า "อันโคลซ" ซึ่งปัจจุบันนับได้ว่าเป็นอนุสัญญาสหประชาชาติสำคัญ เป็นที่ยอมรับในการแบ่งเขตแดนทางทะเลของแต่ละประเทศอันเป็นหลักสากล โปร่งใส และมีความเป็นธรรม สามารถช่วยแก้ไข ตลอดจนระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับการแบ่งเขตแดนทางทะเลระหว่างประเทศได้อย่างสันติ เหตุผลประการสำคัญที่กัมพูชาไม่ยอมเข้าร่วม UNCLOS เป็นเพราะทางกัมพูชาทราบดีว่าจะเสียเปรียบในการเจรจาแบ่งเขตแดนทางทะเลกับประเทศเพื่อนบ้าน โดย ดร.วันนาริธ ชเฮียง นักวิชาการชื่อดังชาวกัมพูชาเป็นผู้ยอมรับเอง ยืนยันว่ารัฐบาลกัมพูชากลัวการเข้าร่วมอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล UNCLOS จะทำให้กัมพูชาเสียเปรียบในการเจรจากำหนดเขตแดนทางทะเลกับประเทศเพื่อนบ้าน ดังที่กัมพูชาพยายามอ้างสิทธิ์ตามเส้นเขตแดนที่ลากขึ้นในสมัยที่ยังเป็นรัฐอารักขาของประเทศฝรั่งเศส เมื่อทราบความจริงดังนี้ ประเทศไทยของเราจึงไม่ควรเจรจากับกัมพูชาเป็นอย่างยิ่งตราบใดที่กัมพูชายังไม่ยอมเข้าร่วม UNCLOS เพราะไทยจะกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบเสียเองหากยังคงยึดข้อพิพาทเดิมตามแนวทาง MOU 2544 ที่ล้าสมัยไปแล้ว ขนาดรัฐบาลกัมพูชายังไม่ยอมเสียเปรียบไทย ถ้ารัฐบาลไทยยอมเสียเปรียบกัมพูชา ยอมยกผลประโยชน์ของประเทศชาติและปวงชนชาวไทยมูลค่านับล้านล้านบาทให้กับกัมพูชา กล้าเสนอหน้าไปเจรจาโดยที่กัมพูชายังไม่ยอมเข้าร่วม UNCLOS จะเรียกว่า "โง่" หรือ "ขายชาติ" ดีครับ? ดังนั้น UNCLOS จึงเป็นหลักสำคัญในการเจรจาระหว่างไทยและกัมพูชา ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนจะจบลงทันที เพราะเส้นเขตแดนทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชาภายใต้ UNCLOS เป็นสากลอยู่แล้ว สิ่งที่เหลือให้ไทยและกัมพูชายังต้องเจรจาตกลงกัน คือ หลุมน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติที่วางตัวอยู่ในแนวเส้นแบ่งเขตแดนทางทะเลของทั้งสองประเทศ นอกจากไทยเราจะไม่เสียเกาะกูดเป็นแน่แล้ว ยังจะสามารถครองพื้นที่ส่วนใหญ่ที่เป็นข้อพิพาท รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติในท้องทะเล ทั้งน้ำมันดิบและก๊าชธรรมชาติส่วนใหญ่จะตกเป็นของไทย ขนาดนักวิชาการกัมพูชายังยืนยันชัดเจนว่ารัฐบาลกัมพูชาไม่เข้าร่วม UNCLOS เพราะกลัวเสียเปรียบ พี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนจึงควรตระหนักรู้เกี่ยวกับ UNCLOS เพื่อให้รัฐบาลไทยยื่นข้อเสนอให้กัมพูชาเข้าร่วม UNCLOS เสียก่อนเท่านั้น แล้วจึงค่อยเปิดการเจรจาที่เป็นธรรม! ที่มา https://www.facebook.com/share/15FAF2zRds/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    Yay
    Angry
    6
    0 Comments 0 Shares 594 Views 0 Reviews
  • ก๊าซธรรมชาติ NGV ไม่ได้ไปต่อในมาเลเซีย

    ในที่สุดรัฐบาลมาเลเซียตัดสินใจยกเลิกการใช้ก๊าซธรรมชาติ (NGV) สำหรับยานยนต์ เมื่อนายแอนโทนี่ ลก รมว.คมนาคมมาเลเซีย ประกาศว่ายานพาหนะที่ใช้เชื้อเพลิงก๊าซ NGV จะไม่อนุญาตให้จดทะเบียนและนำมาใช้บนท้องถนนตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2568 เป็นต้นไป รวมทั้งบริษัทน้ำมันและก๊าซแห่งชาติของมาเลเซียอย่างปิโตรนาส (Petronas) จะยุติการจัดหาก๊าซธรรมชาติ NGV สำหรับค้าปลีกในตลาดมาเลเซีย ก่อนยุติกิจการอย่างสมบูรณ์ในช่วงเวลาเดียวกัน

    รมว.คมนาคมมาเลเซียให้เหตุผลว่า ตั้งแต่ปี 2538-2557 ยานพาหนะในมาเลเซียดัดแปลงและติดตั้งชุดอุปกรณ์ NGV ซึ่งบ่งชี้ว่าถังก๊าซหมดอายุการใช้งานแล้ว จำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่ โดยอายุการใช้งานอย่างปลอดภัยอยู่ที่ 15 ปี ซึ่งการเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่จะมีค่าใช้จ่าย 7,000 ริงกิตต่อคัน (ประมาณ 54,200 บาท) แต่อะไหล่มาตรฐานไม่มีจำหน่ายอีกต่อไป หรือหาซื้อได้ยากในตลาดมาเลเซีย นอกจากนี้ยังพบผู้ใช้รถบางส่วนดัดแปลงอุปกรณ์โดยใช้ถังก๊าซหุงต้ม (LPG) ซึ่งเสี่ยงต่อการระเบิดและอุบัติเหตุอีกด้วย

    ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2551-2557 ในมาเลเซียเคยมีอุบัติเหตุใหญ่เกี่ยวข้องกับยานพาหนะ NGV มาแล้ว 6 ครั้ง รวมทั้งอุบัติเหตุรถบัสทัศนศึกษาในประเทศไทยถูกเพลิงไหม้ ครูและนักเรียนเสียชีวิต 23 ราย เชื่อว่าเกิดจากถังก๊าซ NGV ที่ติดตั้งอย่างผิดกฎหมาย เกิดประกายไฟจากการเสียดสีทำให้ระเบิดและลุกไหม้ดังกล่าว

    ปัจจุบันมาเลเซียมีรถยนต์ที่ใช้น้ำมันแต่ดัดแปลงให้ใช้ NGV มากกว่า 95% และยานพาหนะที่ใช้เชื้อเพลิง NGV ข้อมูลจากกรมการขนส่งทางบกมาเลเซีย (JPJ) ระบุว่ามียานพาหนะที่ใช้เชื้อเพลิง NGV ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 44,383 คัน ประกอบด้วย รถยนต์ส่วนบุคคล 32,137 คัน รถแท็กซี่และรถเช่า 9,509 คัน รถประจำทางและรถบรรทุก 2,150 คัน และยานพาหนะอื่นหรือเครื่องจักร 587 คัน เมื่อเทียบกับยานพาหนะที่จดทะเบียนทั้งหมดในมาเลเซีย (ไม่รวมรถจักรยานยนต์) คิดเป็น 0.2% เท่านั้น

    ด้านบริษัทปิโตรนาส เอ็นจีวี (PETRONAS NGV Sdn Bhd) ได้ออกมาตรการช่วยเหลือการเปลี่ยนผ่านยานพาหนะจากก๊าซ NGV เป็นน้ำมันเบนซิน ดีเซล หรือยานพาหนะอื่นๆ แบ่งเป็น 1.รถแท็กซี่จะได้รับบัตรกำนัลอิเล็กทรอนิกส์ของ Setel จำนวน 3,000 ริงกิต (ประมาณ 23,100 บาท) 2.บริการถอดชุดติดตั้ง NGV ฟรีสำหรับรถยนต์แบบ Dual-fuel และ 3.รถยนต์ที่ใช้ก๊าซ NGV อย่างเดียว เมื่อยกเลิกการจดทะเบียนรถและทำลายรถยนต์ผ่านตัวแทนที่ได้รับอนุญาต จะได้รับเงินชดเชยตามราคาประเมิน โดยให้ชาวมาเลเซียยื่นคำร้องผ่านช่องทางออนไลน์ภายใน 31 ธ.ค. 2567 เท่านั้น

    #Newskit #PetronasNGV
    ก๊าซธรรมชาติ NGV ไม่ได้ไปต่อในมาเลเซีย ในที่สุดรัฐบาลมาเลเซียตัดสินใจยกเลิกการใช้ก๊าซธรรมชาติ (NGV) สำหรับยานยนต์ เมื่อนายแอนโทนี่ ลก รมว.คมนาคมมาเลเซีย ประกาศว่ายานพาหนะที่ใช้เชื้อเพลิงก๊าซ NGV จะไม่อนุญาตให้จดทะเบียนและนำมาใช้บนท้องถนนตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2568 เป็นต้นไป รวมทั้งบริษัทน้ำมันและก๊าซแห่งชาติของมาเลเซียอย่างปิโตรนาส (Petronas) จะยุติการจัดหาก๊าซธรรมชาติ NGV สำหรับค้าปลีกในตลาดมาเลเซีย ก่อนยุติกิจการอย่างสมบูรณ์ในช่วงเวลาเดียวกัน รมว.คมนาคมมาเลเซียให้เหตุผลว่า ตั้งแต่ปี 2538-2557 ยานพาหนะในมาเลเซียดัดแปลงและติดตั้งชุดอุปกรณ์ NGV ซึ่งบ่งชี้ว่าถังก๊าซหมดอายุการใช้งานแล้ว จำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่ โดยอายุการใช้งานอย่างปลอดภัยอยู่ที่ 15 ปี ซึ่งการเปลี่ยนอุปกรณ์ใหม่จะมีค่าใช้จ่าย 7,000 ริงกิตต่อคัน (ประมาณ 54,200 บาท) แต่อะไหล่มาตรฐานไม่มีจำหน่ายอีกต่อไป หรือหาซื้อได้ยากในตลาดมาเลเซีย นอกจากนี้ยังพบผู้ใช้รถบางส่วนดัดแปลงอุปกรณ์โดยใช้ถังก๊าซหุงต้ม (LPG) ซึ่งเสี่ยงต่อการระเบิดและอุบัติเหตุอีกด้วย ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2551-2557 ในมาเลเซียเคยมีอุบัติเหตุใหญ่เกี่ยวข้องกับยานพาหนะ NGV มาแล้ว 6 ครั้ง รวมทั้งอุบัติเหตุรถบัสทัศนศึกษาในประเทศไทยถูกเพลิงไหม้ ครูและนักเรียนเสียชีวิต 23 ราย เชื่อว่าเกิดจากถังก๊าซ NGV ที่ติดตั้งอย่างผิดกฎหมาย เกิดประกายไฟจากการเสียดสีทำให้ระเบิดและลุกไหม้ดังกล่าว ปัจจุบันมาเลเซียมีรถยนต์ที่ใช้น้ำมันแต่ดัดแปลงให้ใช้ NGV มากกว่า 95% และยานพาหนะที่ใช้เชื้อเพลิง NGV ข้อมูลจากกรมการขนส่งทางบกมาเลเซีย (JPJ) ระบุว่ามียานพาหนะที่ใช้เชื้อเพลิง NGV ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 44,383 คัน ประกอบด้วย รถยนต์ส่วนบุคคล 32,137 คัน รถแท็กซี่และรถเช่า 9,509 คัน รถประจำทางและรถบรรทุก 2,150 คัน และยานพาหนะอื่นหรือเครื่องจักร 587 คัน เมื่อเทียบกับยานพาหนะที่จดทะเบียนทั้งหมดในมาเลเซีย (ไม่รวมรถจักรยานยนต์) คิดเป็น 0.2% เท่านั้น ด้านบริษัทปิโตรนาส เอ็นจีวี (PETRONAS NGV Sdn Bhd) ได้ออกมาตรการช่วยเหลือการเปลี่ยนผ่านยานพาหนะจากก๊าซ NGV เป็นน้ำมันเบนซิน ดีเซล หรือยานพาหนะอื่นๆ แบ่งเป็น 1.รถแท็กซี่จะได้รับบัตรกำนัลอิเล็กทรอนิกส์ของ Setel จำนวน 3,000 ริงกิต (ประมาณ 23,100 บาท) 2.บริการถอดชุดติดตั้ง NGV ฟรีสำหรับรถยนต์แบบ Dual-fuel และ 3.รถยนต์ที่ใช้ก๊าซ NGV อย่างเดียว เมื่อยกเลิกการจดทะเบียนรถและทำลายรถยนต์ผ่านตัวแทนที่ได้รับอนุญาต จะได้รับเงินชดเชยตามราคาประเมิน โดยให้ชาวมาเลเซียยื่นคำร้องผ่านช่องทางออนไลน์ภายใน 31 ธ.ค. 2567 เท่านั้น #Newskit #PetronasNGV
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 777 Views 0 Reviews
  • ปิโตรเลียมเกาะกูด น้ำมันแพงเหมือนเดิม

    มีคำกล่าวว่า "ข่าวลือมักจะมาก่อนข่าวจริงเสมอ" ประเด็นเกาะกูดเกิดขึ้นจากข่าวลือแบบปากต่อปากว่า นักการเมืองรายหนึ่งจะยกเกาะกูดให้เขมร กระทั่งนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้พักการลงโทษจากคดีทุจริตไปแสดงวิสัยทัศน์ให้กับสถานีโทรทัศน์เนชั่นทีวี เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2567 เสนอให้รัฐบาลใหม่เร่งดำเนินการพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันของไทยกับกัมพูชา หรือ OCA (Overlapping Claims Area) อ้างว่ากัมพูชาลากเส้นจากไหล่ทวีป 200 ไมล์ทะเลแล้วเกยกัน ถือว่าเป็นเขตทับซ้อน ถ้ามีทรัพยากรอยู่ก็ถือว่าแบ่งกันคนละครึ่ง

    แม้ว่าเกาะกูดเป็นของไทย ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ร.ศ.125 แต่เมื่อปี 2515 กัมพูชาประกาศเขตไหล่ทวีปในอ่าวไทย 200 ไมล์ทะเลฝ่ายเดียว โดยลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 จ.ตราด ไปผ่ากลางครึ่งหนึ่งของเกาะกูด แต่ก็มีพระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยในปี 2516 โดยแบ่งครึ่งมุมจากหลักเขตที่ 73 ระหว่างเกาะกูดและเกาะกง ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายสากล คือ บทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ค.ศ. 1958 แต่กัมพูชายังคงยึดถือเขตไหล่ทวีปของตนเอง หนำซ้ำรัฐบาลทักษิณไปเซ็น MOU 2544 ทำให้นายทักษิณอ้างว่าเป็นเขตทับซ้อน

    ต่อมาวันที่ 10 ต.ค. 2567 สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวนายทักษิณ จะเริ่มเจรจากับกัมพูชาอีกครั้ง เพื่อสำรวจแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่งที่มีมูลค่าอย่างน้อย 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งใน 10 นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล เนื่องจากต้องการเพิ่มปริมาณก๊าซธรรมชาติที่ลดลง ควบคุมค่าไฟฟ้า และลดค่าใช้จ่ายนำเข้าเชื้อเพลิงที่พุ่งสูงขึ้น คาดว่าจะมีก๊าซธรรมชาติ 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุตและน้ำมันดิบ 300 ล้านบาร์เรล แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะทั้งสองประเทศขัดแย้งทางการทูตและความอ่อนไหวเรื่องอธิปไตย ทำให้การเจรจาหยุดชะงักตั้งแต่ปี 2544

    แม้เรื่องเกาะกูดจะไม่โด่งดัง แต่ก็เป็นที่พูดถึงในกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล กังวลว่าไทยจะเสียสิทธิ์ทางทะเล และเสียดินแดนเช่นเดียวกับกรณีปราสาทพระวิหาร ส่วนรัฐบาลตอบโต้ว่าเป็นพวกคลั่งชาติ ทำร้ายผลประโยชน์ของประเทศ อย่างไรก็ตาม ถึงรัฐบาลทั้งสองประเทศจะร่วมกันนำพลังงานขึ้นมาใช้ แต่สุดท้ายคนไทยใช้น้ำมันแพงเหมือนเดิม เพราะอ้างอิงราคาน้ำมันจากประเทศสิงคโปร์ แถมต้นทุนโรงกลั่นในไทยสูงกว่าสิงค์โปร์ ส่วนธุรกิจก๊าซธรรมชาติยังจำกัดอยู่ที่รายใหญ่ เชื่อไม่ได้ว่าค่าไฟฟ้าจะถูกลง คนที่ได้ประโยชน์ตัวจริงคือนักการเมือง กับกลุ่มทุนพลังงานบางกลุ่มเท่านั้น

    #Newskit #เกาะกูด
    ปิโตรเลียมเกาะกูด น้ำมันแพงเหมือนเดิม มีคำกล่าวว่า "ข่าวลือมักจะมาก่อนข่าวจริงเสมอ" ประเด็นเกาะกูดเกิดขึ้นจากข่าวลือแบบปากต่อปากว่า นักการเมืองรายหนึ่งจะยกเกาะกูดให้เขมร กระทั่งนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้พักการลงโทษจากคดีทุจริตไปแสดงวิสัยทัศน์ให้กับสถานีโทรทัศน์เนชั่นทีวี เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2567 เสนอให้รัฐบาลใหม่เร่งดำเนินการพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันของไทยกับกัมพูชา หรือ OCA (Overlapping Claims Area) อ้างว่ากัมพูชาลากเส้นจากไหล่ทวีป 200 ไมล์ทะเลแล้วเกยกัน ถือว่าเป็นเขตทับซ้อน ถ้ามีทรัพยากรอยู่ก็ถือว่าแบ่งกันคนละครึ่ง แม้ว่าเกาะกูดเป็นของไทย ตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ร.ศ.125 แต่เมื่อปี 2515 กัมพูชาประกาศเขตไหล่ทวีปในอ่าวไทย 200 ไมล์ทะเลฝ่ายเดียว โดยลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 จ.ตราด ไปผ่ากลางครึ่งหนึ่งของเกาะกูด แต่ก็มีพระบรมราชโองการประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปประเทศไทยด้านอ่าวไทยในปี 2516 โดยแบ่งครึ่งมุมจากหลักเขตที่ 73 ระหว่างเกาะกูดและเกาะกง ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายสากล คือ บทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ค.ศ. 1958 แต่กัมพูชายังคงยึดถือเขตไหล่ทวีปของตนเอง หนำซ้ำรัฐบาลทักษิณไปเซ็น MOU 2544 ทำให้นายทักษิณอ้างว่าเป็นเขตทับซ้อน ต่อมาวันที่ 10 ต.ค. 2567 สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวนายทักษิณ จะเริ่มเจรจากับกัมพูชาอีกครั้ง เพื่อสำรวจแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่งที่มีมูลค่าอย่างน้อย 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งใน 10 นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล เนื่องจากต้องการเพิ่มปริมาณก๊าซธรรมชาติที่ลดลง ควบคุมค่าไฟฟ้า และลดค่าใช้จ่ายนำเข้าเชื้อเพลิงที่พุ่งสูงขึ้น คาดว่าจะมีก๊าซธรรมชาติ 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุตและน้ำมันดิบ 300 ล้านบาร์เรล แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะทั้งสองประเทศขัดแย้งทางการทูตและความอ่อนไหวเรื่องอธิปไตย ทำให้การเจรจาหยุดชะงักตั้งแต่ปี 2544 แม้เรื่องเกาะกูดจะไม่โด่งดัง แต่ก็เป็นที่พูดถึงในกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล กังวลว่าไทยจะเสียสิทธิ์ทางทะเล และเสียดินแดนเช่นเดียวกับกรณีปราสาทพระวิหาร ส่วนรัฐบาลตอบโต้ว่าเป็นพวกคลั่งชาติ ทำร้ายผลประโยชน์ของประเทศ อย่างไรก็ตาม ถึงรัฐบาลทั้งสองประเทศจะร่วมกันนำพลังงานขึ้นมาใช้ แต่สุดท้ายคนไทยใช้น้ำมันแพงเหมือนเดิม เพราะอ้างอิงราคาน้ำมันจากประเทศสิงคโปร์ แถมต้นทุนโรงกลั่นในไทยสูงกว่าสิงค์โปร์ ส่วนธุรกิจก๊าซธรรมชาติยังจำกัดอยู่ที่รายใหญ่ เชื่อไม่ได้ว่าค่าไฟฟ้าจะถูกลง คนที่ได้ประโยชน์ตัวจริงคือนักการเมือง กับกลุ่มทุนพลังงานบางกลุ่มเท่านั้น #Newskit #เกาะกูด
    Like
    14
    1 Comments 0 Shares 896 Views 0 Reviews
  • 'ดร.นิว' แฉความลับกัมพูชาที่คนไทยควรรู้!

    31 ต.ค.2567 - ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ดร.นิว นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “ความลับกัมพูชาที่คนไทยทุกคนควรต้องรู้” ระบุว่า กัมพูชาเป็นเพียงประเทศเดียวในภูมิภาคแทบนี้ ที่ไม่ยอมเข้าร่วมอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 หรือ United Nations Convention on the Law Of the Sea (UNCLOS) อ่านออกเสียงตัวอักษรย่อ UNCLOS ว่า "อันโคลซ" ซึ่งปัจจุบันนับได้ว่าเป็นอนุสัญญาสหประชาชาติสำคัญ เป็นที่ยอมรับในการแบ่งเขตแดนทางทะเลของแต่ละประเทศอันเป็นหลักสากล โปร่งใส และมีความเป็นธรรม สามารถช่วยแก้ไข ตลอดจนระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับการแบ่งเขตแดนทางทะเลระหว่างประเทศได้อย่างสันติ

    เหตุผลประการสำคัญที่กัมพูชาไม่ยอมเข้าร่วม UNCLOS เป็นเพราะทางกัมพูชาทราบดีว่าจะเสียเปรียบในการเจรจาแบ่งเขตแดนทางทะเลกับประเทศเพื่อนบ้าน โดย ดร.วันนาริธ ชเฮียง นักวิชาการชื่อดังชาวกัมพูชาเป็นผู้ยอมรับเอง ยืนยันว่ารัฐบาลกัมพูชากลัวการเข้าร่วมอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล UNCLOS จะทำให้กัมพูชาเสียเปรียบในการเจรจากำหนดเขตแดนทางทะเลกับประเทศเพื่อนบ้าน ดังที่กัมพูชาพยายามอ้างสิทธิ์ตามเส้นเขตแดนที่ลากขึ้นในสมัยที่ยังเป็นรัฐอารักขาของประเทศฝรั่งเศส

    เมื่อทราบความจริงดังนี้ ประเทศไทยของเราจึงไม่ควรเจรจากับกัมพูชาเป็นอย่างยิ่งตราบใดที่กัมพูชายังไม่ยอมเข้าร่วม UNCLOS เพราะไทยจะกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบเสียเองหากยังคงยึดข้อพิพาทเดิมตามแนวทาง MOU 2544 ที่ล้าสมัยไปแล้ว ขนาดรัฐบาลกัมพูชายังไม่ยอมเสียเปรียบไทย ถ้ารัฐบาลไทยยอมเสียเปรียบกัมพูชา ยอมยกผลประโยชน์ของประเทศชาติและปวงชนชาวไทยมูลค่านับล้านล้านบาทให้กับกัมพูชา กล้าเสนอหน้าไปเจรจาโดยที่กัมพูชายังไม่ยอมเข้าร่วม UNCLOS จะเรียกว่า "โง่" หรือ "ขายชาติ" ดีครับ?

    ดังนั้น UNCLOS จึงเป็นหลักสำคัญในการเจรจาระหว่างไทยและกัมพูชา ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนจะจบลงทันที เพราะเส้นเขตแดนทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชาภายใต้ UNCLOS เป็นสากลอยู่แล้ว สิ่งที่เหลือให้ไทยและกัมพูชายังต้องเจรจาตกลงกัน คือ หลุมน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติที่วางตัวอยู่ในแนวเส้นแบ่งเขตแดนทางทะเลของทั้งสองประเทศ นอกจากไทยเราจะไม่เสียเกาะกูดเป็นแน่แล้ว ยังจะสามารถครองพื้นที่ส่วนใหญ่ที่เป็นข้อพิพาท รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติในท้องทะเล ทั้งน้ำมันดิบและก๊าชธรรมชาติส่วนใหญ่จะตกเป็นของไทย
    ขนาดนักวิชาการกัมพูชายังยืนยันชัดเจนว่ารัฐบาลกัมพูชาไม่เข้าร่วม UNCLOS เพราะกลัวเสียเปรียบ พี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนจึงควรตระหนักรู้เกี่ยวกับ UNCLOS เพื่อให้รัฐบาลไทยยื่นข้อเสนอให้กัมพูชาเข้าร่วม UNCLOS เสียก่อนเท่านั้น แล้วจึงค่อยเปิดการเจรจาที่เป็นธรรม!

    ที่มา https://www.thaipost.net/x-cite-news/682589/

    #Thaitimes
    'ดร.นิว' แฉความลับกัมพูชาที่คนไทยควรรู้! 31 ต.ค.2567 - ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ดร.นิว นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “ความลับกัมพูชาที่คนไทยทุกคนควรต้องรู้” ระบุว่า กัมพูชาเป็นเพียงประเทศเดียวในภูมิภาคแทบนี้ ที่ไม่ยอมเข้าร่วมอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 หรือ United Nations Convention on the Law Of the Sea (UNCLOS) อ่านออกเสียงตัวอักษรย่อ UNCLOS ว่า "อันโคลซ" ซึ่งปัจจุบันนับได้ว่าเป็นอนุสัญญาสหประชาชาติสำคัญ เป็นที่ยอมรับในการแบ่งเขตแดนทางทะเลของแต่ละประเทศอันเป็นหลักสากล โปร่งใส และมีความเป็นธรรม สามารถช่วยแก้ไข ตลอดจนระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับการแบ่งเขตแดนทางทะเลระหว่างประเทศได้อย่างสันติ เหตุผลประการสำคัญที่กัมพูชาไม่ยอมเข้าร่วม UNCLOS เป็นเพราะทางกัมพูชาทราบดีว่าจะเสียเปรียบในการเจรจาแบ่งเขตแดนทางทะเลกับประเทศเพื่อนบ้าน โดย ดร.วันนาริธ ชเฮียง นักวิชาการชื่อดังชาวกัมพูชาเป็นผู้ยอมรับเอง ยืนยันว่ารัฐบาลกัมพูชากลัวการเข้าร่วมอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล UNCLOS จะทำให้กัมพูชาเสียเปรียบในการเจรจากำหนดเขตแดนทางทะเลกับประเทศเพื่อนบ้าน ดังที่กัมพูชาพยายามอ้างสิทธิ์ตามเส้นเขตแดนที่ลากขึ้นในสมัยที่ยังเป็นรัฐอารักขาของประเทศฝรั่งเศส เมื่อทราบความจริงดังนี้ ประเทศไทยของเราจึงไม่ควรเจรจากับกัมพูชาเป็นอย่างยิ่งตราบใดที่กัมพูชายังไม่ยอมเข้าร่วม UNCLOS เพราะไทยจะกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบเสียเองหากยังคงยึดข้อพิพาทเดิมตามแนวทาง MOU 2544 ที่ล้าสมัยไปแล้ว ขนาดรัฐบาลกัมพูชายังไม่ยอมเสียเปรียบไทย ถ้ารัฐบาลไทยยอมเสียเปรียบกัมพูชา ยอมยกผลประโยชน์ของประเทศชาติและปวงชนชาวไทยมูลค่านับล้านล้านบาทให้กับกัมพูชา กล้าเสนอหน้าไปเจรจาโดยที่กัมพูชายังไม่ยอมเข้าร่วม UNCLOS จะเรียกว่า "โง่" หรือ "ขายชาติ" ดีครับ? ดังนั้น UNCLOS จึงเป็นหลักสำคัญในการเจรจาระหว่างไทยและกัมพูชา ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนจะจบลงทันที เพราะเส้นเขตแดนทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชาภายใต้ UNCLOS เป็นสากลอยู่แล้ว สิ่งที่เหลือให้ไทยและกัมพูชายังต้องเจรจาตกลงกัน คือ หลุมน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติที่วางตัวอยู่ในแนวเส้นแบ่งเขตแดนทางทะเลของทั้งสองประเทศ นอกจากไทยเราจะไม่เสียเกาะกูดเป็นแน่แล้ว ยังจะสามารถครองพื้นที่ส่วนใหญ่ที่เป็นข้อพิพาท รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติในท้องทะเล ทั้งน้ำมันดิบและก๊าชธรรมชาติส่วนใหญ่จะตกเป็นของไทย ขนาดนักวิชาการกัมพูชายังยืนยันชัดเจนว่ารัฐบาลกัมพูชาไม่เข้าร่วม UNCLOS เพราะกลัวเสียเปรียบ พี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนจึงควรตระหนักรู้เกี่ยวกับ UNCLOS เพื่อให้รัฐบาลไทยยื่นข้อเสนอให้กัมพูชาเข้าร่วม UNCLOS เสียก่อนเท่านั้น แล้วจึงค่อยเปิดการเจรจาที่เป็นธรรม! ที่มา https://www.thaipost.net/x-cite-news/682589/ #Thaitimes
    WWW.THAIPOST.NET
    'ดร.นิว' แฉความลับกัมพูชาที่คนไทยควรรู้!
    ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ดร.นิว นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center
    Like
    3
    0 Comments 3 Shares 765 Views 0 Reviews
  • ศาลรัฐธรรมนูญมีหนังสือแจ้งอัยการสูงสุด ขอทราบการดำเนินการ-รวบรวมหลักฐาน ตามคำร้อง "ธีรยุทธ " ปม "ทักษิณ-เพื่อไทย" ล้มล้างการปกครองฯ ภายใน 15 วัน

    22 ตุลาคม .2567- ศาลรัฐธรรมนูญประชุมปรึกษาคดีที่สำคัญและเป็นที่น่าสนใจ หนึ่งในนั้นเป็นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 (เรื่องพิจารณาที่ 36/2567)

    นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร (ผู้ร้อง) ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธธรรมนูญ วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 กล่าวอ้างว่า นายทักษิณ ชินวัตร (ผู้ถูกร้องที่ 3) และพรรคเพื่อไทย (ผู้ถูกร้องที่ 2) ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 6 ประเด็น ดังนี้

    ประเด็นที่ 1 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการรัฐบาลผ่านกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ ให้เอื้อประโยชน์แก่ผู้ถูกร้องที่ 1 ให้พักอาศัยอยู่ห้องพัก ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ในระหว่างรับโทษจำคุก เพื่อให้ไม่ต้องรับโทษในเรือนจำ ทั้งที่ไม่พบว่ามีอาการป่วยขั้นวิกฤต

    ประเด็นที่ 2 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการรัฐบาลให้เอื้อประโยชน์แก่อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศกัมพูชา ให้มีการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลเพื่อแบ่งผลประโยชน์ก๊าซธรรมชาติและทรัพยากรใต้ทะเลในเขตอธิปไตยทางทะเลของประเทศไทยให้แก่ประเทศกัมพูชา

    ประเด็นที่ 3 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 ร่วมมือเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญกับพรรคประชาชน ซึ่งเป็นพรรคที่ก่อตั้งโดยกลุ่มการเมืองของพรรคก้าวไกลเดิมที่ต้องคำวินิจฉัยศาลรัฐธธธรรมนูญว่ามีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

    ประเด็นที่ 4 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการแทนผู้ถูกร้องที่ 2 โดยเจรจากับแกนนำของพรรคการเมืองอื่นที่ร่วมรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมตรี เพื่อหารือการเสนอชื่อบุคคลผู้สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ที่บ้านพักส่วนตัวของผู้ถูกร้องที่ 1

    ประเด็นที่ 5 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 มีมติขับพรรคพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาล

    ประเด็นที่ 6 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 นำนโยบายของผู้ถูกร้องที่ 1 ที่แสดงวิสัยทัศน์ไว้ไปดำเนินการให้เป็นนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภา

    ผู้ร้องยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดเมื่อวันที่ 24 ก.ย.2567 ขอให้อัยการสูงสุดร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้ผู้ถูกร้องทั้งสองเลิกการกระทำ แต่อัยการสูงสุดมิได้ดำเนินการภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคสาม ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญญเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 1 เลิกกระทำการดังกล่าวและให้ผู้ถูกร้องที่ 2 เลิกยินยอมให้ผู้ถูกร้องที่ 1 ใช้เป็นเครื่องมือกระทำการดังกล่าว

    ผลการพิจารณา ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า เพื่อประโยชน์แก่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญว่าจะรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยหรือไม่ ในชั้นนี้ ให้มีหนังสือแจ้งอัยการสูงสุดเพื่อขอทราบว่าได้ดำเนินการตามคำร้องของผู้ร้องไปแล้วอย่างไร และรวบรวมพยานหลักฐานได้เพียงใด โดยให้จัดส่งต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ

    ที่มา https://www.facebook.com/share/p/AQ6ESAWFP4idRqEr/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    ศาลรัฐธรรมนูญมีหนังสือแจ้งอัยการสูงสุด ขอทราบการดำเนินการ-รวบรวมหลักฐาน ตามคำร้อง "ธีรยุทธ " ปม "ทักษิณ-เพื่อไทย" ล้มล้างการปกครองฯ ภายใน 15 วัน 22 ตุลาคม .2567- ศาลรัฐธรรมนูญประชุมปรึกษาคดีที่สำคัญและเป็นที่น่าสนใจ หนึ่งในนั้นเป็นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 (เรื่องพิจารณาที่ 36/2567) นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร (ผู้ร้อง) ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธธรรมนูญ วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 กล่าวอ้างว่า นายทักษิณ ชินวัตร (ผู้ถูกร้องที่ 3) และพรรคเพื่อไทย (ผู้ถูกร้องที่ 2) ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 6 ประเด็น ดังนี้ ประเด็นที่ 1 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการรัฐบาลผ่านกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ ให้เอื้อประโยชน์แก่ผู้ถูกร้องที่ 1 ให้พักอาศัยอยู่ห้องพัก ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ในระหว่างรับโทษจำคุก เพื่อให้ไม่ต้องรับโทษในเรือนจำ ทั้งที่ไม่พบว่ามีอาการป่วยขั้นวิกฤต ประเด็นที่ 2 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการรัฐบาลให้เอื้อประโยชน์แก่อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศกัมพูชา ให้มีการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลเพื่อแบ่งผลประโยชน์ก๊าซธรรมชาติและทรัพยากรใต้ทะเลในเขตอธิปไตยทางทะเลของประเทศไทยให้แก่ประเทศกัมพูชา ประเด็นที่ 3 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 ร่วมมือเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญกับพรรคประชาชน ซึ่งเป็นพรรคที่ก่อตั้งโดยกลุ่มการเมืองของพรรคก้าวไกลเดิมที่ต้องคำวินิจฉัยศาลรัฐธธธรรมนูญว่ามีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ประเด็นที่ 4 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการแทนผู้ถูกร้องที่ 2 โดยเจรจากับแกนนำของพรรคการเมืองอื่นที่ร่วมรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมตรี เพื่อหารือการเสนอชื่อบุคคลผู้สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ที่บ้านพักส่วนตัวของผู้ถูกร้องที่ 1 ประเด็นที่ 5 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 มีมติขับพรรคพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาล ประเด็นที่ 6 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 นำนโยบายของผู้ถูกร้องที่ 1 ที่แสดงวิสัยทัศน์ไว้ไปดำเนินการให้เป็นนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภา ผู้ร้องยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดเมื่อวันที่ 24 ก.ย.2567 ขอให้อัยการสูงสุดร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้ผู้ถูกร้องทั้งสองเลิกการกระทำ แต่อัยการสูงสุดมิได้ดำเนินการภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคสาม ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญญเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 1 เลิกกระทำการดังกล่าวและให้ผู้ถูกร้องที่ 2 เลิกยินยอมให้ผู้ถูกร้องที่ 1 ใช้เป็นเครื่องมือกระทำการดังกล่าว ผลการพิจารณา ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า เพื่อประโยชน์แก่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญว่าจะรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยหรือไม่ ในชั้นนี้ ให้มีหนังสือแจ้งอัยการสูงสุดเพื่อขอทราบว่าได้ดำเนินการตามคำร้องของผู้ร้องไปแล้วอย่างไร และรวบรวมพยานหลักฐานได้เพียงใด โดยให้จัดส่งต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ ที่มา https://www.facebook.com/share/p/AQ6ESAWFP4idRqEr/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 927 Views 0 Reviews
  • ทักษิณ พท.มีเสียว คดีล้มล้าง ยุบพรรค ศาล รธน.ขอเคลียร์ อสส. ก่อน 15 วัน
    .
    วันนี้ (22ต.ค.) ศาลรัฐธรรมนูญได้มีการอภิปรายในคำร้องที่นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร (ผู้ร้อง) ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 โดยกล่าวอ้างว่า นายทักษิณ ชินวัตร (ผู้ถูกร้องที่ 1) และพรรคเพื่อไทย (ผู้ถูกร้องที่ 2) ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข 6 ประเด็น ประกอบด้วย ประเด็นที่ 1 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการรัฐบาลผ่านกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาล ตำรวจ ให้เอื้อประโยชน์แก่ผู้ถูกร้องที่ 1 ให้พักอาศัยอยู่ห้องพัก ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ในระหว่างรับโทษ จำคุก เพื่อให้ไม่ต้องรับโทษในเรือนจำ ทั้งที่ไม่พบว่ามีอาการป่วยขั้นวิกฤต
    .
    ประเด็นที่ 2 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการรัฐบาลให้เอื้อประโยชน์แก่อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศกัมพูชา ให้มีการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลเพื่อแบ่งผลประโยชน์ก๊าซธรรมชาติและทรัพยากรใต้ทะเลในเขตอธิปไตย ทางทะเลของประเทศไทยให้แก่ประเทศกัมพูชา
    .
    ประเด็นที่ 3 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 ร่วมมือเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญกับพรรคประชาชน ซึ่งเป็นพรรคที่ก่อตั้งโดยกลุ่มการเมืองของพรรคก้าวไกลเดิมที่ต้องคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญว่ามีพฤติการณ์ล้มล้าง การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
    .
    ประเด็นที่ 4 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการแทนผู้ถูกร้องที่ 2 โดยเจรจากับแกนนำของพรรคการเมืองอื่น ที่ร่วมรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือการเสนอชื่อบุคคลผู้สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ที่บ้านพักส่วนตัวของผู้ถูกร้องที่ 1
    .
    ประเด็นที่ 5 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 มีมติขับพรรคพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาล
    .
    ประเด็นที่ 6 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 นำนโยบายของผู้ถูกร้องที่ 1 ที่แสดงวิสัยทัศน์ไว้ ไปดำเนินการให้เป็นนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภา
    .
    โดยนายธีรยุทธได้ยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดเมื่อวันที่ 24 ก.ย. 67 ขอให้อัยการสูงสุดร้องขอให้ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้ผู้ถูกร้องทั้งสองเลิกการกระทำ แต่อัยการสูงสุดมิได้ดำเนินการภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคสาม นายธีรยุทธจึงยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 1 เลิกกระทำการดังกล่าว และให้ผู้ถูกร้องที่ 2 เลิกยินยอมให้ผู้ถูกร้องที่ 1 ใช้เป็นเครื่องมือกระทำการดังกล่าว
    .
    ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า เพื่อประโยชน์แก่การพิจารณาของ ศาลรัฐธรรมนูญว่าจะรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยหรือไม่ ในชั้นนี้ ให้มีหนังสือแจ้งอัยการสูงสุดเพื่อขอทราบว่า ได้ดำเนินการตามคำร้องของนายธีรยุทธไปแล้วอย่างไร และรวบรวมพยานหลักฐานได้เพียงใด โดยให้จัดส่งต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ
    ..............
    Sondhi X
    ทักษิณ พท.มีเสียว คดีล้มล้าง ยุบพรรค ศาล รธน.ขอเคลียร์ อสส. ก่อน 15 วัน . วันนี้ (22ต.ค.) ศาลรัฐธรรมนูญได้มีการอภิปรายในคำร้องที่นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร (ผู้ร้อง) ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 โดยกล่าวอ้างว่า นายทักษิณ ชินวัตร (ผู้ถูกร้องที่ 1) และพรรคเพื่อไทย (ผู้ถูกร้องที่ 2) ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข 6 ประเด็น ประกอบด้วย ประเด็นที่ 1 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการรัฐบาลผ่านกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาล ตำรวจ ให้เอื้อประโยชน์แก่ผู้ถูกร้องที่ 1 ให้พักอาศัยอยู่ห้องพัก ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ในระหว่างรับโทษ จำคุก เพื่อให้ไม่ต้องรับโทษในเรือนจำ ทั้งที่ไม่พบว่ามีอาการป่วยขั้นวิกฤต . ประเด็นที่ 2 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการรัฐบาลให้เอื้อประโยชน์แก่อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศกัมพูชา ให้มีการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลเพื่อแบ่งผลประโยชน์ก๊าซธรรมชาติและทรัพยากรใต้ทะเลในเขตอธิปไตย ทางทะเลของประเทศไทยให้แก่ประเทศกัมพูชา . ประเด็นที่ 3 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 ร่วมมือเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญกับพรรคประชาชน ซึ่งเป็นพรรคที่ก่อตั้งโดยกลุ่มการเมืองของพรรคก้าวไกลเดิมที่ต้องคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญว่ามีพฤติการณ์ล้มล้าง การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข . ประเด็นที่ 4 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการแทนผู้ถูกร้องที่ 2 โดยเจรจากับแกนนำของพรรคการเมืองอื่น ที่ร่วมรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือการเสนอชื่อบุคคลผู้สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ที่บ้านพักส่วนตัวของผู้ถูกร้องที่ 1 . ประเด็นที่ 5 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 มีมติขับพรรคพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาล . ประเด็นที่ 6 ผู้ถูกร้องที่ 1 สั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 2 นำนโยบายของผู้ถูกร้องที่ 1 ที่แสดงวิสัยทัศน์ไว้ ไปดำเนินการให้เป็นนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภา . โดยนายธีรยุทธได้ยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดเมื่อวันที่ 24 ก.ย. 67 ขอให้อัยการสูงสุดร้องขอให้ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้ผู้ถูกร้องทั้งสองเลิกการกระทำ แต่อัยการสูงสุดมิได้ดำเนินการภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคสาม นายธีรยุทธจึงยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้ผู้ถูกร้องที่ 1 เลิกกระทำการดังกล่าว และให้ผู้ถูกร้องที่ 2 เลิกยินยอมให้ผู้ถูกร้องที่ 1 ใช้เป็นเครื่องมือกระทำการดังกล่าว . ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า เพื่อประโยชน์แก่การพิจารณาของ ศาลรัฐธรรมนูญว่าจะรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยหรือไม่ ในชั้นนี้ ให้มีหนังสือแจ้งอัยการสูงสุดเพื่อขอทราบว่า ได้ดำเนินการตามคำร้องของนายธีรยุทธไปแล้วอย่างไร และรวบรวมพยานหลักฐานได้เพียงใด โดยให้จัดส่งต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ .............. Sondhi X
    Like
    5
    0 Comments 0 Shares 1396 Views 0 Reviews
  • จากแหล่งช่าวในกัมพูชา คือ กัมพูชาเดลี่ และขแมร์ไทมส์ และข่าวจาก เซาท์ ไชน่า มอร์นิ่งโพสต์ ลงข่าวตรงกันว่ารัฐบาลไทยเป็นฝ่ายเร่งรีบเจรจาพื้นที่ทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชาในอ่าวไทย การกระทำเช่นนี้ย่อมเสี่ยงเป็นการยกพื้นที่ทางทะเลของไทย ให้กลายเป็นพื้นที่ทับซ้อนของไทย-กัมพูชา ผลคือเราแทบไม่ได้อะไร พลังงานที่จะตกอยู่กับผู้รับสัมปทานเดิม คือยกให้เชฟรอนของสหรัฐอเมริกาที่ได้รับสัญญาสัปทานที่ไทยเสียเปรียบเมื่อ 50 ปีก่อน โดยที่ฝ่ายไทยไม่ได้เงื่อนไขการยกเลิกสัญญาจนถึงวันนี้ โดยในขณะที่ดอลลาร์สหรัฐกำลังเสื่อมถอย และในขณะที่ BRICS กำลังสถาปนาสกุลเงินของโลกใหม่ ย่อมเท่ากับไทยประกาศให้แหล่งปิโตรเลียมขนาดใหญ่ของโลกตรึงอยู่กับเงินดอลลาร์สหรัฐ(ปิโตรดอลลาร์)ไปโดยปริยาย ดังนั้นประเทศไทยจะไม่ได้อะไรอย่างที่กล่าวอ้าง ประชาชนไม่ได้อะไรเรื่องค่าไฟฟ้า เพราะปัจจุบันปัญหาที่แท้จริงคือโรงไฟฟ้าเราก็ผลิตล้นเกินจนค่าไฟแพงมหาศาล แหล่งปิโตรเลียมราคาขายให้ประชาชนก็อิงราคาตลาดโลก ก๊าซธรรมชาติผ่านโรงแยกก๊าซก็จะมอบให้อุตสาหกรรมปิโตรเลียมก่อนประชาชน มีแต่สหรัฐอเมริกาจะอาศัยสิทธิ์ให้มีกองกำลังเข้ามาคุ้มครองแหล่งปิโตรเลียมในอ่าวไทย เหมือนกับที่จีนเข้ามาคุ้มครองท่อก๊าซธรรมชาติในเมียนมา การใช้นโยบายต่างประเทศเช่นนี้จึงป็นการชักศึกเข้าบ้านในสถานการเประาบางอ่อนไหวในทางภูมิรัฐศาสตร์ จะมาอ้างไม่ได้ว่าเป็นการเจรจาร่วมเรื่องพลังงานอย่างเดียวไม่เกี่ยวกับเขตแดน คำถามคือ แล้วแหล่งพลังงานที่เคยเป็นของไทยแท้ๆ ผู้รับสัมปทานหรือแบ่งปันผลผลิตจะเป็นการเซ็นสัญญากับชาติใด? ถ้าเป็นของไทยก็ต้องเซ็นกับรัฐบาลไทยเท่านั้น ถ้ายอมรับว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน ก็ต้องเซ็นลงนาม 2 ประเทศ การกระทำเช่นนี้จึงย่อมเท่ากับยกทรัพยากรของไทยในประเทศไทย ให้กลายเป็นของทั้ง 2 ประเทศ เป็นการสละทะเลอาณาเขตของไทย ทั้งๆที่กัมพูชาขีดเส้นทางทะเลอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมายสากลคร่อมเกาะกูดประเทศไทย กองทัพเรือและประชาชนชาวไทยจะยอมได้อย่างไร

    ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
    22 ตุลาคม 2567

    https://www.facebook.com/100044511276276/posts/1078558973637802/?
    จากแหล่งช่าวในกัมพูชา คือ กัมพูชาเดลี่ และขแมร์ไทมส์ และข่าวจาก เซาท์ ไชน่า มอร์นิ่งโพสต์ ลงข่าวตรงกันว่ารัฐบาลไทยเป็นฝ่ายเร่งรีบเจรจาพื้นที่ทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชาในอ่าวไทย การกระทำเช่นนี้ย่อมเสี่ยงเป็นการยกพื้นที่ทางทะเลของไทย ให้กลายเป็นพื้นที่ทับซ้อนของไทย-กัมพูชา ผลคือเราแทบไม่ได้อะไร พลังงานที่จะตกอยู่กับผู้รับสัมปทานเดิม คือยกให้เชฟรอนของสหรัฐอเมริกาที่ได้รับสัญญาสัปทานที่ไทยเสียเปรียบเมื่อ 50 ปีก่อน โดยที่ฝ่ายไทยไม่ได้เงื่อนไขการยกเลิกสัญญาจนถึงวันนี้ โดยในขณะที่ดอลลาร์สหรัฐกำลังเสื่อมถอย และในขณะที่ BRICS กำลังสถาปนาสกุลเงินของโลกใหม่ ย่อมเท่ากับไทยประกาศให้แหล่งปิโตรเลียมขนาดใหญ่ของโลกตรึงอยู่กับเงินดอลลาร์สหรัฐ(ปิโตรดอลลาร์)ไปโดยปริยาย ดังนั้นประเทศไทยจะไม่ได้อะไรอย่างที่กล่าวอ้าง ประชาชนไม่ได้อะไรเรื่องค่าไฟฟ้า เพราะปัจจุบันปัญหาที่แท้จริงคือโรงไฟฟ้าเราก็ผลิตล้นเกินจนค่าไฟแพงมหาศาล แหล่งปิโตรเลียมราคาขายให้ประชาชนก็อิงราคาตลาดโลก ก๊าซธรรมชาติผ่านโรงแยกก๊าซก็จะมอบให้อุตสาหกรรมปิโตรเลียมก่อนประชาชน มีแต่สหรัฐอเมริกาจะอาศัยสิทธิ์ให้มีกองกำลังเข้ามาคุ้มครองแหล่งปิโตรเลียมในอ่าวไทย เหมือนกับที่จีนเข้ามาคุ้มครองท่อก๊าซธรรมชาติในเมียนมา การใช้นโยบายต่างประเทศเช่นนี้จึงป็นการชักศึกเข้าบ้านในสถานการเประาบางอ่อนไหวในทางภูมิรัฐศาสตร์ จะมาอ้างไม่ได้ว่าเป็นการเจรจาร่วมเรื่องพลังงานอย่างเดียวไม่เกี่ยวกับเขตแดน คำถามคือ แล้วแหล่งพลังงานที่เคยเป็นของไทยแท้ๆ ผู้รับสัมปทานหรือแบ่งปันผลผลิตจะเป็นการเซ็นสัญญากับชาติใด? ถ้าเป็นของไทยก็ต้องเซ็นกับรัฐบาลไทยเท่านั้น ถ้ายอมรับว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน ก็ต้องเซ็นลงนาม 2 ประเทศ การกระทำเช่นนี้จึงย่อมเท่ากับยกทรัพยากรของไทยในประเทศไทย ให้กลายเป็นของทั้ง 2 ประเทศ เป็นการสละทะเลอาณาเขตของไทย ทั้งๆที่กัมพูชาขีดเส้นทางทะเลอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมายสากลคร่อมเกาะกูดประเทศไทย กองทัพเรือและประชาชนชาวไทยจะยอมได้อย่างไร ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ 22 ตุลาคม 2567 https://www.facebook.com/100044511276276/posts/1078558973637802/?
    Like
    Love
    Sad
    Angry
    16
    1 Comments 2 Shares 1064 Views 0 Reviews
More Results