• "ดูดีขึ้นมาหน่อย!"

    ทรัมป์ประกาศแต่งตั้ง Tulsi Gabbard ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ (Director of National Intelligence)

    หลังจากมีการประกาศรายชื่อรัฐมนตรีและทีมงานของทรัมป์ผ่านมาได้สองสามวัน ยังไม่ถูกใจชาวโปรรัสเซียสักเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้คงพอยิ้มได้ เมื่อทรัมป์ประกาศรายชื่อ "ผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ" คนใหม่ คือ "พันตรีหญิง ทูลซี แกบบาร์ด"

    ทูลซี่ แกบบาร์ด เป็นอดีต สส.พรรคเดโมแครตจากรัฐฮาวาย และทหารผ่านศึกในสงครามซีเรีย เธอลาออกจากพรรคเดโมแครตในปี 2022 โดยให้เหตุผลว่า "พรรคกำลังตกอยู่ภายใต้การควบคุมโดยสมบูรณ์ของกลุ่มผู้กระหายสงคราม"

    แกบบาร์ด หันมาสนับสนุนทรัมป์ ซึ่งอยู่พรรครีพับลิกันอย่างเต็มตัว ในการสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งนี้ เธอกล่าวชื่นชมนโยบายต่างประเทศที่เป็นเอกเทศและไม่ไปวุ่นวายกับภูมิรัฐศาสตร์โลกของทรัมป์ โดยระบุว่า “เราเห็นสิ่งนี้ผ่านวาระแรกของเขาในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เขาไม่เพียงแต่ไม่ก่อสงครามใหม่ใดๆ แต่ยังลงมือปฏิบัติเพื่อลดระดับความรุนแรงและป้องกันสงครามอีกด้วย”

    เธอยังวิจารณ์ รัฐบาลไบเดนว่า “ทำให้สหรัฐต้องเผชิญกับสงครามหลายครั้งในหลายแนวรบในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก… และโลกเข้าใกล้การเกิดสงครามนิวเคลียร์ไปทุกขณะอย่างที่ไม่เคยเป็นก่อน”

    แกบบาร์ด ต่อต้านนโยบายการให้เงินทุนแก่กองทัพยูเครนของประธานาธิบดี โจ ไบเดน มาโดยตลอด และยังวิจารณ์ไบเดนว่า สามารถป้องกันไม่ให้กิดสงครามในยูเครนได้ตั้งแต่แรก เพียงแค่บอกกับเซเลนสกีไปตรงๆว่า ยูเครนจะไม่มีโอกาสเข้าเป็นสมาชิกนาโต เพราะความจริงคือยูเครนไม่มีโอกาสสักนิดเดียวที่จะเข้าใกล้การเป็นสมาชิกนาโต แต่ไบเดนเลือกที่จะไม่ทำแบบนั้น ในความจริงผู้นำนาโตและสหรัฐอาจต้องการให้รัสเซียบุกยูเครน เพียงเพื่อต้องการใช้มาตรการคว่ำบาตรมหาโหดต่อรัสเซีย เพียงเพื่อต้องการหยุดรัสเซียไม่ให้พัฒนาไปได้เร็วเท่าทุกวันนี้

    นอกจากนี้เธอยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกคือ:
    - มีจุดยืนต่อต้านสงครามในตะวันออกกลาง อย่างชัดเจน
    - เธอเดินทางไปประเทศซีเรีย เพื่อสืบสวนว่ารัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมีเข่นฆ่าประชาชนจริงหรือไม่ ซึ่งผลปรากฏว่าไม่เป็นความจริง จนตัวเธอถูกสื่อกระแสหลักในสหรัฐฯ กล่าวหาว่าเข้าข้าง “รัฐบาลเผด็จการซีเรีย”
    - เมื่อปี 2017 เธอออกมาเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะว่า รัฐบาลสหรัฐฯคือผู้ให้การสนับสนุนกลุ่มไอซิส กลุ่มอัลเคด้า และกลุ่มก่อการร้ายกลุ่มอื่นๆในซีเรีย
    - เมื่อ 4 เดือนที่แล้ว Tulsi Gabbard ถูกรัฐบาล Biden/Harris จัดให้อยู่ในรายชื่อเฝ้าระวังการก่อการร้ายภายในประเทศ และตอนนี้ เธอเป็นผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติคนต่อไปเรียบร้อยแล้ว 🔥
    - เธออยู่ในรายชื่อบนเว็บไซต์ Myrotvorets ซึ่งเป็นเว็บไซต์ของยูเครน ซึ่งมักจะระบุรายชื่อบุคคลที่ต่อต้านยูเครน และเป็นที่ต้องการตัวในยูเครน โดยถูกกล่าวหาว่าเธอเป็นสายลับของรัสเซีย
    - ก่อนสงครามยูเครน-รัสเซียจะเริ่มต้นขึ้น เธอเคยวิจารณ์รัฐบาลยูเครนอย่างรุนแรง โดยเรียกเซเลนสกีว่าเป็น "เผด็จ" และเรียกร้องให้ฟื้นฟูความสัมพันธ์กับรัสเซีย เธอยังคงยืนยันคำพูดของเธอ แม้ว่ารัสเซียเริ่มบุกยูเครนไปแล้วก็ตาม
    "ดูดีขึ้นมาหน่อย!" ทรัมป์ประกาศแต่งตั้ง Tulsi Gabbard ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ (Director of National Intelligence) หลังจากมีการประกาศรายชื่อรัฐมนตรีและทีมงานของทรัมป์ผ่านมาได้สองสามวัน ยังไม่ถูกใจชาวโปรรัสเซียสักเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้คงพอยิ้มได้ เมื่อทรัมป์ประกาศรายชื่อ "ผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ" คนใหม่ คือ "พันตรีหญิง ทูลซี แกบบาร์ด" ทูลซี่ แกบบาร์ด เป็นอดีต สส.พรรคเดโมแครตจากรัฐฮาวาย และทหารผ่านศึกในสงครามซีเรีย เธอลาออกจากพรรคเดโมแครตในปี 2022 โดยให้เหตุผลว่า "พรรคกำลังตกอยู่ภายใต้การควบคุมโดยสมบูรณ์ของกลุ่มผู้กระหายสงคราม" แกบบาร์ด หันมาสนับสนุนทรัมป์ ซึ่งอยู่พรรครีพับลิกันอย่างเต็มตัว ในการสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งนี้ เธอกล่าวชื่นชมนโยบายต่างประเทศที่เป็นเอกเทศและไม่ไปวุ่นวายกับภูมิรัฐศาสตร์โลกของทรัมป์ โดยระบุว่า “เราเห็นสิ่งนี้ผ่านวาระแรกของเขาในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เขาไม่เพียงแต่ไม่ก่อสงครามใหม่ใดๆ แต่ยังลงมือปฏิบัติเพื่อลดระดับความรุนแรงและป้องกันสงครามอีกด้วย” เธอยังวิจารณ์ รัฐบาลไบเดนว่า “ทำให้สหรัฐต้องเผชิญกับสงครามหลายครั้งในหลายแนวรบในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก… และโลกเข้าใกล้การเกิดสงครามนิวเคลียร์ไปทุกขณะอย่างที่ไม่เคยเป็นก่อน” แกบบาร์ด ต่อต้านนโยบายการให้เงินทุนแก่กองทัพยูเครนของประธานาธิบดี โจ ไบเดน มาโดยตลอด และยังวิจารณ์ไบเดนว่า สามารถป้องกันไม่ให้กิดสงครามในยูเครนได้ตั้งแต่แรก เพียงแค่บอกกับเซเลนสกีไปตรงๆว่า ยูเครนจะไม่มีโอกาสเข้าเป็นสมาชิกนาโต เพราะความจริงคือยูเครนไม่มีโอกาสสักนิดเดียวที่จะเข้าใกล้การเป็นสมาชิกนาโต แต่ไบเดนเลือกที่จะไม่ทำแบบนั้น ในความจริงผู้นำนาโตและสหรัฐอาจต้องการให้รัสเซียบุกยูเครน เพียงเพื่อต้องการใช้มาตรการคว่ำบาตรมหาโหดต่อรัสเซีย เพียงเพื่อต้องการหยุดรัสเซียไม่ให้พัฒนาไปได้เร็วเท่าทุกวันนี้ นอกจากนี้เธอยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกคือ: - มีจุดยืนต่อต้านสงครามในตะวันออกกลาง อย่างชัดเจน - เธอเดินทางไปประเทศซีเรีย เพื่อสืบสวนว่ารัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมีเข่นฆ่าประชาชนจริงหรือไม่ ซึ่งผลปรากฏว่าไม่เป็นความจริง จนตัวเธอถูกสื่อกระแสหลักในสหรัฐฯ กล่าวหาว่าเข้าข้าง “รัฐบาลเผด็จการซีเรีย” - เมื่อปี 2017 เธอออกมาเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะว่า รัฐบาลสหรัฐฯคือผู้ให้การสนับสนุนกลุ่มไอซิส กลุ่มอัลเคด้า และกลุ่มก่อการร้ายกลุ่มอื่นๆในซีเรีย - เมื่อ 4 เดือนที่แล้ว Tulsi Gabbard ถูกรัฐบาล Biden/Harris จัดให้อยู่ในรายชื่อเฝ้าระวังการก่อการร้ายภายในประเทศ และตอนนี้ เธอเป็นผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติคนต่อไปเรียบร้อยแล้ว 🔥 - เธออยู่ในรายชื่อบนเว็บไซต์ Myrotvorets ซึ่งเป็นเว็บไซต์ของยูเครน ซึ่งมักจะระบุรายชื่อบุคคลที่ต่อต้านยูเครน และเป็นที่ต้องการตัวในยูเครน โดยถูกกล่าวหาว่าเธอเป็นสายลับของรัสเซีย - ก่อนสงครามยูเครน-รัสเซียจะเริ่มต้นขึ้น เธอเคยวิจารณ์รัฐบาลยูเครนอย่างรุนแรง โดยเรียกเซเลนสกีว่าเป็น "เผด็จ" และเรียกร้องให้ฟื้นฟูความสัมพันธ์กับรัสเซีย เธอยังคงยืนยันคำพูดของเธอ แม้ว่ารัสเซียเริ่มบุกยูเครนไปแล้วก็ตาม
    0 Comments 0 Shares 75 Views 0 Reviews
  • มีให้บริการสมัครการแจ้งเตือน พัฒนาถึงการแจ้งเตือน ภัยพิบัติธรรมชาติ แบบญี่ปุ่น หรือเกาหลี เลยไหมครับ ไทยไทม์?
    มีให้บริการสมัครการแจ้งเตือน พัฒนาถึงการแจ้งเตือน ภัยพิบัติธรรมชาติ แบบญี่ปุ่น หรือเกาหลี เลยไหมครับ ไทยไทม์?
    0 Comments 0 Shares 50 Views 0 Reviews
  • MONOMAX เรือธง ยิงสดพรีเมียร์ลีก

    การแถลงข่าวเพิ่มเติมของนายโสรัชย์ อัศวะประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (รักษาการ) บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ถึงกรณีที่บริษัทฯ บรรลุข้อตกลงถือลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย กัมพูชา และลาว ตั้งแต่ฤดูกาล 2025/26 เป็นต้นไป คิดเป็นเงิน 549 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 18,791.88 ล้านบาท ซึ่งเชิญเฉพาะอินฟลูเอนเซอร์และสื่อมวลชนสายฟุตบอล มีรายละเอียดเพิ่มเติมถึงช่องทางการรับชมที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้

    นายโสรัชย์ กล่าวว่า ช่องทางการรับชมเบื้องต้นเป็นสตรีมมิงแพลตฟอร์ม MONOMAX โดยมีแนวทางจัดจำหน่ายทุกเครือข่ายและผู้ให้บริการมือถือ เช่น เอไอเอส และทรู เพื่อสนับสนุนให้คอนเทนต์เข้าถึงผู้ชมได้มากที่สุด โดยค่าบริการยืนยันว่าไม่แพงกว่าราคาปัจจุบัน และอาจทำให้ต่ำกว่า ไม่ให้เกิน 400 บาทต่อเดือน และมีนโยบายราคาเดียว คุณภาพการถ่ายทอด ภาพคมชัดระดับ Full-HD โดยปรับ Auto bit rate ตามความเร็วของอินเทอร์เน็ต และอุปกรณ์รับสัญญาณ บางคู่อาจถ่ายทอดระดับ 4K

    นอกจากนี้ ยังจะนำการแข่งขันบางคู่ ถ่ายทอดสดผ่านทีวีดิจิทัลช่อง MONO29 โดยยืนยันว่าไม่ปิดกั้นทีวีดิจิทัลช่องอื่น ถ้าสนใจก็สามารถเจรจาเป็นช่องพันธมิตรได้ รวมทั้งทรูวิชั่นส์ ผู้ถือลิขสิทธิ์เดิม ในอนาคตถ้าสนใจก็มาเจรจาได้

    ระหว่างการแถลงข่าว นายโสรัชย์ ยังได้นำ MONOMAX PLAY TV STICK อุปกรณ์รับสัญญาณโทรทัศน์ ผ่านอินเทอร์เน็ตระบบแอนดรอยด์มาแสดง ซึ่งใช้เสียบเข้ากับช่อง HDMI ของเครื่องรับโทรทัศน์ และต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ตไว-ไฟในบ้าน อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ชมที่มีกล่องทีวีแอนดรอยด์ สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน MONOMAX ได้ที่เมนู Google Play Store โดยการสมัครสมาชิก ชำระเงินผ่านบิลโทรศัพท์มือถือรายเดือน พร้อมเพย์ บัตรเครดิตหรือเดบิต กระเป๋าเงินดิจิทัล และพาร์ทเนอร์

    ด้านนายองอาจ ประภากมล หัวหน้าสายงานทรูวิชั่นส์ และมีเดีย บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ยอมรับว่าได้เข้าร่วมประมูลลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ฤดูกาล 2025-2028 โดยได้ยื่นข้อเสนอแข่งขันไปในราคาที่เหมาะสม แต่เนื่องจากมีผู้ร่วมประมูลรายอื่นเสนอราคาสูงกว่า จึงได้รับสิทธิ์การถ่ายทอดสำหรับฤดูกาลหน้าไป ซึ่งผลจากการประมูลครั้งนี้ จะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจของทรู คอร์ปอเรชั่น หรือความพึงพอใจของลูกค้าสมาชิก

    สำหรับสมาชิกทรูวิชั่นส์ ยังคงสามารถรับชมพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2024/25 ถึงเดือน พ.ค. 2568 รวมทั้งคอนเทนท์กีฬาฟุตบอลอื่นๆ และฟุตบอลไทยลีก

    #Newskit #Monomax #PremierLeague
    MONOMAX เรือธง ยิงสดพรีเมียร์ลีก การแถลงข่าวเพิ่มเติมของนายโสรัชย์ อัศวะประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (รักษาการ) บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ถึงกรณีที่บริษัทฯ บรรลุข้อตกลงถือลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย กัมพูชา และลาว ตั้งแต่ฤดูกาล 2025/26 เป็นต้นไป คิดเป็นเงิน 549 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 18,791.88 ล้านบาท ซึ่งเชิญเฉพาะอินฟลูเอนเซอร์และสื่อมวลชนสายฟุตบอล มีรายละเอียดเพิ่มเติมถึงช่องทางการรับชมที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ นายโสรัชย์ กล่าวว่า ช่องทางการรับชมเบื้องต้นเป็นสตรีมมิงแพลตฟอร์ม MONOMAX โดยมีแนวทางจัดจำหน่ายทุกเครือข่ายและผู้ให้บริการมือถือ เช่น เอไอเอส และทรู เพื่อสนับสนุนให้คอนเทนต์เข้าถึงผู้ชมได้มากที่สุด โดยค่าบริการยืนยันว่าไม่แพงกว่าราคาปัจจุบัน และอาจทำให้ต่ำกว่า ไม่ให้เกิน 400 บาทต่อเดือน และมีนโยบายราคาเดียว คุณภาพการถ่ายทอด ภาพคมชัดระดับ Full-HD โดยปรับ Auto bit rate ตามความเร็วของอินเทอร์เน็ต และอุปกรณ์รับสัญญาณ บางคู่อาจถ่ายทอดระดับ 4K นอกจากนี้ ยังจะนำการแข่งขันบางคู่ ถ่ายทอดสดผ่านทีวีดิจิทัลช่อง MONO29 โดยยืนยันว่าไม่ปิดกั้นทีวีดิจิทัลช่องอื่น ถ้าสนใจก็สามารถเจรจาเป็นช่องพันธมิตรได้ รวมทั้งทรูวิชั่นส์ ผู้ถือลิขสิทธิ์เดิม ในอนาคตถ้าสนใจก็มาเจรจาได้ ระหว่างการแถลงข่าว นายโสรัชย์ ยังได้นำ MONOMAX PLAY TV STICK อุปกรณ์รับสัญญาณโทรทัศน์ ผ่านอินเทอร์เน็ตระบบแอนดรอยด์มาแสดง ซึ่งใช้เสียบเข้ากับช่อง HDMI ของเครื่องรับโทรทัศน์ และต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ตไว-ไฟในบ้าน อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ชมที่มีกล่องทีวีแอนดรอยด์ สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน MONOMAX ได้ที่เมนู Google Play Store โดยการสมัครสมาชิก ชำระเงินผ่านบิลโทรศัพท์มือถือรายเดือน พร้อมเพย์ บัตรเครดิตหรือเดบิต กระเป๋าเงินดิจิทัล และพาร์ทเนอร์ ด้านนายองอาจ ประภากมล หัวหน้าสายงานทรูวิชั่นส์ และมีเดีย บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ยอมรับว่าได้เข้าร่วมประมูลลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ฤดูกาล 2025-2028 โดยได้ยื่นข้อเสนอแข่งขันไปในราคาที่เหมาะสม แต่เนื่องจากมีผู้ร่วมประมูลรายอื่นเสนอราคาสูงกว่า จึงได้รับสิทธิ์การถ่ายทอดสำหรับฤดูกาลหน้าไป ซึ่งผลจากการประมูลครั้งนี้ จะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจของทรู คอร์ปอเรชั่น หรือความพึงพอใจของลูกค้าสมาชิก สำหรับสมาชิกทรูวิชั่นส์ ยังคงสามารถรับชมพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2024/25 ถึงเดือน พ.ค. 2568 รวมทั้งคอนเทนท์กีฬาฟุตบอลอื่นๆ และฟุตบอลไทยลีก #Newskit #Monomax #PremierLeague
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 301 Views 0 Reviews
  • ชาวอเมริกันเกือบ 70% ขาดความเชื่อมั่นในสื่อ!!

    ผลสำรวจล่าสุดของ Gallup พบว่าชาวอเมริกันเกือบ 70% ขาดความเชื่อมั่นในสื่อ “ชาวอเมริกันส่วนใหญ่เชื่อว่าสื่อมีอคติ และเป็นอาชีพที่ในปัจจุบันได้รับความไว้วางใจน้อยที่สุด”

    Washington Post ไม่กลัวสูญเสียประชาชนที่สนับสนุนจะเลิกติดตาม ประกาศยกเลิกสนับสนุนผู้สมัครประธานาธิบดี และเลิกเสนอข่าวเอนเอียงทางการเมือง

    เรื่องนี้ถูกเปิดเผยขึ้นหลังจาก "เจฟฟ์ เบโซส์" ซึ่งเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ Washington Post ตัดสินใจไม่ให้บรรณาธิการรายงานข่าวที่มีเนื้อหาสนับสนุน คามาลา แฮร์ริส เป็นประธานาธิบดี จนเป็นเหตุให้ subscribers กว่า 200,000 คน หรือประมาณ 8% ของจำนวน subscribers ทั้งหมด ได้ยกเลิกการสมัครรับข่าวสารของ นสพ. Washington Post รวมถึงคอลัมนิสต์จำนวนหนึ่งได้ลาออกด้วยเช่นกัน

    เมื่อวันที่ 25 ต.ค. วิล ลูอิส หนึ่งในผู้บริหารออกมาประกาศว่า ต่อไปนี้ Washington Post จะไม่ให้การสนับสนุนผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งวันที่ 5 พฤศจิกายน รวมถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งต่อๆ ไปด้วย
    “เรากำลังย้อนกลับไปสู่ประเพณีอันกีงามของสื่อที่มีมาตั้งแต่ในอดีต นั่นคือการไม่สนับสนุนผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใด” ลูอิส กล่าว

    ทางด้าน เจฟฟ์ เบโซส์ เจ้าของ Amazon นิตยสาร Forbes รวมทั้ง หนังสือพิมพ์ Washington Post ชี้แจงเหตุผลของเขาผ่านทาง Washington Post หลังจากต้องเผชิญกับปฏิกิริยาตอบโต้ด้านลบจากพนักงานในปัจจุบันและอดีต รวมทั้งประชาชนที่สนับสนุน "นางคามาลา" โดยระบุว่า ผลสำรวจล่าสุดของ Gallup พบว่าชาวอเมริกันเกือบ 70% ขาดความเชื่อมั่นในสื่อ “ชาวอเมริกันส่วนใหญ่เชื่อว่าสื่อมีอคติ และเป็นอาชีพที่ในปัจจุบันได้รับความไว้วางใจน้อยที่สุด”

    “การสนับสนุนผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีไม่ได้ช่วยเปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้งแต่อย่างใด แต่กลับสร้างความรู้สึกที่ประชาชนส่วนใหญ่รับรู้ได้ถึงอคติทางการเมือง การรับรู้ถึงความไม่เป็นอิสระของสื่อ ดังนั้นการยุติการสนับสนุนผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจึงเป็นการตัดสินใจที่มีหลักการ และเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง”

    ชาวอเมริกันเกือบ 70% ขาดความเชื่อมั่นในสื่อ!! ผลสำรวจล่าสุดของ Gallup พบว่าชาวอเมริกันเกือบ 70% ขาดความเชื่อมั่นในสื่อ “ชาวอเมริกันส่วนใหญ่เชื่อว่าสื่อมีอคติ และเป็นอาชีพที่ในปัจจุบันได้รับความไว้วางใจน้อยที่สุด” Washington Post ไม่กลัวสูญเสียประชาชนที่สนับสนุนจะเลิกติดตาม ประกาศยกเลิกสนับสนุนผู้สมัครประธานาธิบดี และเลิกเสนอข่าวเอนเอียงทางการเมือง เรื่องนี้ถูกเปิดเผยขึ้นหลังจาก "เจฟฟ์ เบโซส์" ซึ่งเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ Washington Post ตัดสินใจไม่ให้บรรณาธิการรายงานข่าวที่มีเนื้อหาสนับสนุน คามาลา แฮร์ริส เป็นประธานาธิบดี จนเป็นเหตุให้ subscribers กว่า 200,000 คน หรือประมาณ 8% ของจำนวน subscribers ทั้งหมด ได้ยกเลิกการสมัครรับข่าวสารของ นสพ. Washington Post รวมถึงคอลัมนิสต์จำนวนหนึ่งได้ลาออกด้วยเช่นกัน เมื่อวันที่ 25 ต.ค. วิล ลูอิส หนึ่งในผู้บริหารออกมาประกาศว่า ต่อไปนี้ Washington Post จะไม่ให้การสนับสนุนผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งวันที่ 5 พฤศจิกายน รวมถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งต่อๆ ไปด้วย “เรากำลังย้อนกลับไปสู่ประเพณีอันกีงามของสื่อที่มีมาตั้งแต่ในอดีต นั่นคือการไม่สนับสนุนผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใด” ลูอิส กล่าว ทางด้าน เจฟฟ์ เบโซส์ เจ้าของ Amazon นิตยสาร Forbes รวมทั้ง หนังสือพิมพ์ Washington Post ชี้แจงเหตุผลของเขาผ่านทาง Washington Post หลังจากต้องเผชิญกับปฏิกิริยาตอบโต้ด้านลบจากพนักงานในปัจจุบันและอดีต รวมทั้งประชาชนที่สนับสนุน "นางคามาลา" โดยระบุว่า ผลสำรวจล่าสุดของ Gallup พบว่าชาวอเมริกันเกือบ 70% ขาดความเชื่อมั่นในสื่อ “ชาวอเมริกันส่วนใหญ่เชื่อว่าสื่อมีอคติ และเป็นอาชีพที่ในปัจจุบันได้รับความไว้วางใจน้อยที่สุด” “การสนับสนุนผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีไม่ได้ช่วยเปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้งแต่อย่างใด แต่กลับสร้างความรู้สึกที่ประชาชนส่วนใหญ่รับรู้ได้ถึงอคติทางการเมือง การรับรู้ถึงความไม่เป็นอิสระของสื่อ ดังนั้นการยุติการสนับสนุนผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจึงเป็นการตัดสินใจที่มีหลักการ และเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง”
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 69 Views 0 Reviews
  • ‘บลิงเคน’ ถามหาเหตุผล ทำไมไทยเข้าร่วม BRICS

    นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะผู้แทนของนายกรัฐมนตรี เดินทางเยือนเมืองคาซาน ของรัสเซีย ที่เป็นเจ้าภาพการประชุมผู้นำกลุ่มบริกส์กับกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา (BRICS Plus Summit) ครั้งที่ 4 วันที่ 24 ต.ค.2567 ในหัวข้อ “BRICS and the Global South: Building a Better World Together”

    สำหรับการประชุมครั้งนี้ได้หารือแนวทางการแก้ไขปัญหาความท้าทายในระดับภูมิภาค และระดับโลก รวมถึงหารือการส่งเสริมระบบพหุภาคีเพื่อการสร้างระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เป็นธรรม และเป็นประโยชน์ต่อประเทศกำลังพัฒนามากขึ้น โดยการประชุมดังกล่าวเกิดขึ้นหลังการประชุมผู้นำบริกส์ เมื่อวันที่ 23 ต.ค.2567

    ทางด้านนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า ระหว่างการประชุมผู้นำอาเซียน ระหว่างวันที่ 9 - 11 ต.ค.2567 ที่ประเทศลาว ได้มีการหารือทวิภาคีระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับนายแอนโทนี เจ.บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ โดยสหรัฐได้สอบถามการสมัครเข้ากระบวนการเป็นสมาชิกกลุ่มบริกส์ของไทย

    ทั้งนี้ ไทยได้ชี้แจงสหรัฐถึงเหตุผลที่ต้องการขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มมากขึ้น โดยไม่ได้มีเหตุผลทางภูมิรัฐศาสตร์แต่เป็นเหตุผลทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นการเข้าสู่ตลาดขนาดใหญ่หลายประเทศที่มีประชากรมาก โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยขยายตัวเฉลี่ยไม่ถึง 2% แต่การขยายตลาดจะสนับสนุนเป้าหมายเศรษฐกิจขยายตัวได้ และสหรัฐได้รับฟัง และเข้าใจเหตุผลดังกล่าว
    .
    https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1150596
    ‘บลิงเคน’ ถามหาเหตุผล ทำไมไทยเข้าร่วม BRICS นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะผู้แทนของนายกรัฐมนตรี เดินทางเยือนเมืองคาซาน ของรัสเซีย ที่เป็นเจ้าภาพการประชุมผู้นำกลุ่มบริกส์กับกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา (BRICS Plus Summit) ครั้งที่ 4 วันที่ 24 ต.ค.2567 ในหัวข้อ “BRICS and the Global South: Building a Better World Together” สำหรับการประชุมครั้งนี้ได้หารือแนวทางการแก้ไขปัญหาความท้าทายในระดับภูมิภาค และระดับโลก รวมถึงหารือการส่งเสริมระบบพหุภาคีเพื่อการสร้างระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เป็นธรรม และเป็นประโยชน์ต่อประเทศกำลังพัฒนามากขึ้น โดยการประชุมดังกล่าวเกิดขึ้นหลังการประชุมผู้นำบริกส์ เมื่อวันที่ 23 ต.ค.2567 ทางด้านนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า ระหว่างการประชุมผู้นำอาเซียน ระหว่างวันที่ 9 - 11 ต.ค.2567 ที่ประเทศลาว ได้มีการหารือทวิภาคีระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับนายแอนโทนี เจ.บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ โดยสหรัฐได้สอบถามการสมัครเข้ากระบวนการเป็นสมาชิกกลุ่มบริกส์ของไทย ทั้งนี้ ไทยได้ชี้แจงสหรัฐถึงเหตุผลที่ต้องการขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มมากขึ้น โดยไม่ได้มีเหตุผลทางภูมิรัฐศาสตร์แต่เป็นเหตุผลทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นการเข้าสู่ตลาดขนาดใหญ่หลายประเทศที่มีประชากรมาก โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยขยายตัวเฉลี่ยไม่ถึง 2% แต่การขยายตลาดจะสนับสนุนเป้าหมายเศรษฐกิจขยายตัวได้ และสหรัฐได้รับฟัง และเข้าใจเหตุผลดังกล่าว . https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1150596
    0 Comments 0 Shares 76 Views 0 Reviews
  • ขั้นตอนการลงทะเบียนในแอป Thaitimes แบบเมนูไทย :

    ### ขั้นตอนที่ 1: ดาวน์โหลดและติดตั้งแอป
    - ดาวน์โหลดแอป Thaitimes ได้จาก Google Play Store (สำหรับ Android) หรือ App Store (สำหรับ iOS)
    - ค้นหา "thaitimes" และกดปุ่ม ติดตั้ง (สำหรับ Android) หรือ รับ (สำหรับ iOS)
    - เมื่อการติดตั้งเสร็จสิ้น ให้กดปุ่ม เปิด เพื่อเริ่มใช้งาน

    ### ขั้นตอนที่ 2: สมัครสมาชิก
    - เมื่อเปิดแอปขึ้นมา หากยังไม่มีบัญชี Thaitimes ให้กดที่ลิงก์ "สมัครสมาชิก" หรือปุ่ม "Sign Up" บนหน้าจอ
    - ระบบจะพาคุณไปยังหน้าสำหรับกรอกข้อมูลสมัครสมาชิก

    ### ขั้นตอนที่ 3: กรอกข้อมูลสมัครสมาชิก
    - กรอกข้อมูลต่าง ๆ ตามที่ระบบกำหนด:
    1. ชื่อผู้ใช้: กรอกชื่อหรือชื่อเล่นที่คุณต้องการให้แสดงในแอป
    2. Username หรือเบอร์โทรศัพท์: ใช้เบอร์โทรหรือชื่อผู้ใช้สำหรับเข้าสู่ระบบ
    3. Email: ใส่อีเมลสำหรับรับรหัส OTP เพื่อยืนยันตัวตน
    4. Password: ตั้งรหัสผ่านที่มีความยาวอย่างน้อย 6 ตัวอักษร

    - หลังจากกรอกข้อมูลครบถ้วนแล้ว กดปุ่ม สมัครสมาชิก แล้ว "กดยอมรับทั้งสองช่อง"
    - กดปุ่ม สมัครสมาชิก อีกครั้ง

    ### ขั้นตอนที่ 4: ยืนยันรหัส OTP
    - ระบบจะส่งรหัส OTP ไปยังอีเมลที่คุณกรอกไว้
    - เปิดแอปอีเมลของคุณและค้นหารหัส OTP จากทีมงาน Thaitimes ที่ส่ง mail ไป
    - นำรหัสมา OTP จาก mail มากรอกรหัส OTP ใส่ในแอปและกดปุ่ม ยืนยัน

    ### ขั้นตอนที่ 5: เข้าสู่ขั้นตอนถัดไป
    - หลังจากกรอกรหัส OTP แล้ว คุณจะเข้าสู่หน้าต้อนรับ
    - คุณสามารถทำขั้นตอนต่อไปได้โดย:
    - ขั้นตอนที่ 1: คลิกปุ่ม "ไปหน้าถัดไป" ที่อยู่ด้านล่างของหน้าจอเพื่อเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป
    - ขั้นตอนที่ 2: เลื่อนลงมาด้านล่างของหน้าจอและกดปุ่ม "ไปหน้าถัดไป" ได้ทันที โดยยังไม่จำเป็นต้องกรอกข้อมูลทั้งหมด

    ### ขั้นตอนที่ 6: เสร็จสิ้นการสมัคร
    - ในขั้นตอนสุดท้าย ยังไม่ต้องเพิ่มเพื่อน > สามารถเลื่อนขึ้นไปด้านบนแล้วกดปุ่ม "เสร็จสิ้น" เพื่อเสร็จสิ้นการสมัครสมาชิก
    - จากนั้น คุณสามารถเริ่มใช้งานแอปได้ทันที เช่น การสร้างโพสต์หรือเชื่อมต่อกับเพื่อนในแอป

    https://thaitimes.co/

    #thaitimes #Howto #ช่วยกันshareเยอะๆนะครับ #social #app #web
    ขั้นตอนการลงทะเบียนในแอป Thaitimes แบบเมนูไทย : ### ขั้นตอนที่ 1: ดาวน์โหลดและติดตั้งแอป - ดาวน์โหลดแอป Thaitimes ได้จาก Google Play Store (สำหรับ Android) หรือ App Store (สำหรับ iOS) - ค้นหา "thaitimes" และกดปุ่ม ติดตั้ง (สำหรับ Android) หรือ รับ (สำหรับ iOS) - เมื่อการติดตั้งเสร็จสิ้น ให้กดปุ่ม เปิด เพื่อเริ่มใช้งาน ### ขั้นตอนที่ 2: สมัครสมาชิก - เมื่อเปิดแอปขึ้นมา หากยังไม่มีบัญชี Thaitimes ให้กดที่ลิงก์ "สมัครสมาชิก" หรือปุ่ม "Sign Up" บนหน้าจอ - ระบบจะพาคุณไปยังหน้าสำหรับกรอกข้อมูลสมัครสมาชิก ### ขั้นตอนที่ 3: กรอกข้อมูลสมัครสมาชิก - กรอกข้อมูลต่าง ๆ ตามที่ระบบกำหนด: 1. ชื่อผู้ใช้: กรอกชื่อหรือชื่อเล่นที่คุณต้องการให้แสดงในแอป 2. Username หรือเบอร์โทรศัพท์: ใช้เบอร์โทรหรือชื่อผู้ใช้สำหรับเข้าสู่ระบบ 3. Email: ใส่อีเมลสำหรับรับรหัส OTP เพื่อยืนยันตัวตน 4. Password: ตั้งรหัสผ่านที่มีความยาวอย่างน้อย 6 ตัวอักษร - หลังจากกรอกข้อมูลครบถ้วนแล้ว กดปุ่ม สมัครสมาชิก แล้ว "กดยอมรับทั้งสองช่อง" - กดปุ่ม สมัครสมาชิก อีกครั้ง ### ขั้นตอนที่ 4: ยืนยันรหัส OTP - ระบบจะส่งรหัส OTP ไปยังอีเมลที่คุณกรอกไว้ - เปิดแอปอีเมลของคุณและค้นหารหัส OTP จากทีมงาน Thaitimes ที่ส่ง mail ไป - นำรหัสมา OTP จาก mail มากรอกรหัส OTP ใส่ในแอปและกดปุ่ม ยืนยัน ### ขั้นตอนที่ 5: เข้าสู่ขั้นตอนถัดไป - หลังจากกรอกรหัส OTP แล้ว คุณจะเข้าสู่หน้าต้อนรับ - คุณสามารถทำขั้นตอนต่อไปได้โดย: - ขั้นตอนที่ 1: คลิกปุ่ม "ไปหน้าถัดไป" ที่อยู่ด้านล่างของหน้าจอเพื่อเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป - ขั้นตอนที่ 2: เลื่อนลงมาด้านล่างของหน้าจอและกดปุ่ม "ไปหน้าถัดไป" ได้ทันที โดยยังไม่จำเป็นต้องกรอกข้อมูลทั้งหมด ### ขั้นตอนที่ 6: เสร็จสิ้นการสมัคร - ในขั้นตอนสุดท้าย ยังไม่ต้องเพิ่มเพื่อน > สามารถเลื่อนขึ้นไปด้านบนแล้วกดปุ่ม "เสร็จสิ้น" เพื่อเสร็จสิ้นการสมัครสมาชิก - จากนั้น คุณสามารถเริ่มใช้งานแอปได้ทันที เช่น การสร้างโพสต์หรือเชื่อมต่อกับเพื่อนในแอป https://thaitimes.co/ #thaitimes #Howto #ช่วยกันshareเยอะๆนะครับ #social #app #web
    Like
    9
    0 Comments 2 Shares 657 Views 2 Reviews
  • แชร์ลูกโซ่ คือ Paper Company อย่างหนึ่ง พึงระวังได้อย่างไร
    .
    โดย ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
    สาขาวิชาสถิติศาสตร์
    สาขาวิชาพลเมืองวิทยาการข้อมูล
    สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง
    คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
    .
    Paper company หรือบริษัทกระดาษ เป็นบริษัทที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ไม่ได้ดำเนินกิจการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หรือพูดง่าย ๆ ว่าเป็นบริษัทที่เป็นมิจฉาชีพเพื่อโกงโดยเฉพาะ Paper company เหล่านี้อาจจะโกงได้ตั้งแต่

    1. การหลบเลี่ยงภาษี ซึ่งมีหลายรูปแบบ เช่น การจ้างพนักงานปลอม แล้วนำไปเป็นค่าใช้จ่าย โดยยอมเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding tax) ของค่าจ้างเงินเดือน และอื่น ๆ
    2.การฟอกเงิน (นำเงินที่ได้มาจากการกระทำผิดกฎหมายมาแปลงให้เป็นเงินที่ถูกกฎหมาย)
    3. การสวมรอยในการกระทำผิดกฎหมายเพื่อแสวงหารายได้ที่ไม่ถูกต้อง
    4. การพักเงินเพื่อส่งต่อผ่องถ่าย (Siphon) จากธุรกิจหนึ่งไปยังอีกธุรกิจหนึ่ง ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับธุรกิจที่ผิดกฎหมาย
    5. การขอคืนภาษีอันเป็นเท็จ (Fraudulent tax refund) ได้แก่ การขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเท็จ การขอคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นเท็จ เป็นต้น
    6. การออกใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเท็จ เพื่อนำไปใช้ในการสร้างค่าใช้จ่ายเท็จสำหรับลงบัญชีเพื่อลดการจ่ายภาษีหรือหลบเลี่ยงภาษี เป็นต้น
    7. การยืมเงินโดยอ้างว่าเป็นการลงทุน การสมัครหาสมาชิก อันเป็นการฉ้อโกงประชาชน ในลักษณะของแชร์ลูกโซ่ แต่ไม่ได้ประกอบกิจการจริง เช่น อ้างว่าเป็นธุรกิจขายตรงออนไลน์ ที่รับบริหารสินค้าคงเหลือให้เป็นศูนย์ (Zero-inventory) ได้ เป็นต้น
    8. การตั้ง paper company เพื่อใช้ยืมเงินระหว่างบริษัทหรือตั้งราคาโอน (Transfer pricing) เพื่อสร้างค่าใช้จ่ายสูง ๆ ผิดปกติ หรือสร้างยอดขายปลอม ก็เป็นสิ่งที่ทำกันเพื่อตบตานักลงทุนหรือเพื่อหลบกรมสรรพากร
    และมีรูปแบบอื่น ๆ อีกมาก

    บริษัทกระดาษเหล่านี้ หาได้ประกอบกิจการจริงไม่ หาได้ทำธุรกิจจริง แต่ตั้งขึ้นอย่างถูกต้องเพื่อโกงและกระทำผิดกฎหมายสารพัดวิธีการที่จะคิดสร้างสรรค์อย่างผิดวิธี เพื่อโกงประเทศชาติหรือหลอกลวงประชาชน ......
    .
    คลิกอ่านต่อ >> https://mgronline.com/daily/detail/9670000100823
    แชร์ลูกโซ่ คือ Paper Company อย่างหนึ่ง พึงระวังได้อย่างไร . โดย ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ สาขาวิชาสถิติศาสตร์ สาขาวิชาพลเมืองวิทยาการข้อมูล สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ . Paper company หรือบริษัทกระดาษ เป็นบริษัทที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ไม่ได้ดำเนินกิจการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หรือพูดง่าย ๆ ว่าเป็นบริษัทที่เป็นมิจฉาชีพเพื่อโกงโดยเฉพาะ Paper company เหล่านี้อาจจะโกงได้ตั้งแต่ 1. การหลบเลี่ยงภาษี ซึ่งมีหลายรูปแบบ เช่น การจ้างพนักงานปลอม แล้วนำไปเป็นค่าใช้จ่าย โดยยอมเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding tax) ของค่าจ้างเงินเดือน และอื่น ๆ 2.การฟอกเงิน (นำเงินที่ได้มาจากการกระทำผิดกฎหมายมาแปลงให้เป็นเงินที่ถูกกฎหมาย) 3. การสวมรอยในการกระทำผิดกฎหมายเพื่อแสวงหารายได้ที่ไม่ถูกต้อง 4. การพักเงินเพื่อส่งต่อผ่องถ่าย (Siphon) จากธุรกิจหนึ่งไปยังอีกธุรกิจหนึ่ง ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับธุรกิจที่ผิดกฎหมาย 5. การขอคืนภาษีอันเป็นเท็จ (Fraudulent tax refund) ได้แก่ การขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเท็จ การขอคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นเท็จ เป็นต้น 6. การออกใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเท็จ เพื่อนำไปใช้ในการสร้างค่าใช้จ่ายเท็จสำหรับลงบัญชีเพื่อลดการจ่ายภาษีหรือหลบเลี่ยงภาษี เป็นต้น 7. การยืมเงินโดยอ้างว่าเป็นการลงทุน การสมัครหาสมาชิก อันเป็นการฉ้อโกงประชาชน ในลักษณะของแชร์ลูกโซ่ แต่ไม่ได้ประกอบกิจการจริง เช่น อ้างว่าเป็นธุรกิจขายตรงออนไลน์ ที่รับบริหารสินค้าคงเหลือให้เป็นศูนย์ (Zero-inventory) ได้ เป็นต้น 8. การตั้ง paper company เพื่อใช้ยืมเงินระหว่างบริษัทหรือตั้งราคาโอน (Transfer pricing) เพื่อสร้างค่าใช้จ่ายสูง ๆ ผิดปกติ หรือสร้างยอดขายปลอม ก็เป็นสิ่งที่ทำกันเพื่อตบตานักลงทุนหรือเพื่อหลบกรมสรรพากร และมีรูปแบบอื่น ๆ อีกมาก บริษัทกระดาษเหล่านี้ หาได้ประกอบกิจการจริงไม่ หาได้ทำธุรกิจจริง แต่ตั้งขึ้นอย่างถูกต้องเพื่อโกงและกระทำผิดกฎหมายสารพัดวิธีการที่จะคิดสร้างสรรค์อย่างผิดวิธี เพื่อโกงประเทศชาติหรือหลอกลวงประชาชน ...... . คลิกอ่านต่อ >> https://mgronline.com/daily/detail/9670000100823
    MGRONLINE.COM
    แชร์ลูกโซ่ คือ Paper Company อย่างหนึ่ง พึงระวังได้อย่างไร
    Paper company หรือบริษัทกระดาษ เป็นบริษัทที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ไม่ได้ดำเนินกิจการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หรือพูดง่าย ๆ ว่าเป็นบริษัทที่เป็นมิจฉาชีพเพื่อโกงโดยเฉพาะ Paper company เหล่านี้อาจจะโกงได้ตั้งแต่
    Like
    9
    1 Comments 2 Shares 507 Views 0 Reviews
  • ""ธุรกิจขายสินค้าโดยวิธีการสมัครสมาชิก และให้สมาชิกซื้อสินค้านั้น จะเป็นการฉ้อโกงหรือไม่ จะดูจาก ""#รายได้"" ว่า ได้มาจากอะไร ซึ่งศาลฎีกาเองก็ดูจากรายได้เช่นกัน ว่า #รายได้ที่แท้จริงนั้นมาจากอะไร โดยแบ่งรายได้ออกเป็น 3 ประเภท

    ประเภทที่ 1. #รายได้จากการสมัครสมาชิก ถ้ารายได้ส่วนใหญ่มาจากค่าสมัครสมาชิก และมีแนวทางการประกอบกิจการไปที่การแนะนำให้หาสมาชิกเป็นส่วนใหญ่ วิธีการแบบนี้ เข้าลักษณะแชร์ลูกโซ่ ถือว่าเป็นการฉ้อโกงประชาชนได้ #เพราะไม่ได้เน้นที่การขายสินค้าและรายได้ส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากการขายสินค้า

    ประเภทที่ 2. #รายได้มาจากการสมัครสมาชิก และ #การบังคับซื้อสินค้า วิธีการนี้ดูเผินๆเหมือนจะเป็นการตั้งใจประกอบธุรกิจ แต่ถ้าดูให้ละเอียดจะพบว่า ไม่ได้มีเจตนาประกอบธุรกิจจริงๆ #แต่เป็นการหลอกให้ซื้อสินค้าไปเยอะๆแต่ไม่สามารถขายสินค้าได้ ฉะนั้น รายได้จริงๆของเจ้าของธุรกิจ จึงไม่ใช่ผลกำไรจากการขายสินค้าทั่วไป #แต่เป็นรายได้ที่ได้จากการให้สมาชิกต้องซื้อสินค้าจำนวนหนึ่ง [** รายได้ของธุรกิจ จะต้องได้จากการขายสินให้คนทั่วไป ไม่ใช่รายได้จากการบังคับให้สมาชิกซื้อสินค้าในจำนวน มากๆ / เรียกว่า ""รายได้หรือกำไรเทียม"" ] วิธีการแบบนี้เข้าลักษณะแชร์ลูกโซ่เช่นกัน เพราะรายได้ที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากการขายสินค้าทั่วไป #แต่เกิดจากการหลอกลวงให้สมาชิกซื้อสินค้าจำนวนมากๆ

    ประเภที่ 3. #รายได้มาจากการาขายสินค้าทั่วไป ธุรกิจประเภทนี้ถือเป็นธุรกิจทั่วๆไป คือ นำสินออกขาย ถ้าขายได้ก็ได้กำไร ถ้าขายไม่ได้ก็ขาดทุน โดยจะไม่มีรายได้จากค่าสมาชิก หรือรายได้จากการบังคับซื้อสินค้าในจำนวนมากๆ

    #ธุรกิจที่กำลังเป็นข่าวดังอยู่ในตอนนี้ เข้าลักษณะที่ 2. คือ มีสินค้าจริง แต่จะให้สมาชิกซื้อสินค้าในจำนวนมากๆ #แต่สินค้าจะขายไม่ได้ หรือจะขายได้น้อย #และถ้าไปดูรายได้ของบริษัทแม่จริงๆ ก็จะพบว่ รายได้หรือกำไร #มาจากการซื้อสินค้าของสมาชิก ส่วนสมาชิกจะนำสินค้าไปขายได้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

    เมื่อรายได้หรือกำไรของบริษัท ไม่ได้เกิดจากการขายสินค้าให้แก่คนทั่วไป แต่เกิดจากการซื้ของสมาชิกเอง ก็แสดงว่า #รายได้หรือกำไรของบริษัทนั้นมีขึ้นก่อนที่จะนำสินค้าออกขายให้แก่คนทั่วไปโดยสมาชิก

    ดู ไทมไลน์ ดังนี้
    1. ผลิตสินค้า
    2.หาสมาชิก
    3. ให้สมาชิกซื้อสินค้าจำนวนมาก [** รายได้ของบริษัท]
    4. สมาชิกนำสินค้าที่ซื้อไปขาย

    จะเห็นว่า รายได้ของบริษัท #เกิดขึ้นก่อน ที่สมาชิกจะเอาสินค้าไปขาย และเป็นรายได้ที่มาจากสมาชิกเอง

    วิธีการที่จะหลอกสมาชิกให้มาสมัครเป็นสมาชิก และให้ซื้อสินค้าในจำนวนมากๆได้นั้น จะต้องอาศัยเครื่องมือ ที่เรียกว่า ""#ดาราหรืออินฟลูเอ็นเซอร์"" ธุรกิจพวกนี้จะให้ดาราหรืออินฟลูเอ็นเซอร์มาช่วยโปรโมทธุรกิจของตนเอง

    "" #โดยมีวัตถุประสงค์ให้สมาชิกตัดสินใจซื้อสินค้าให้เยอะขึ้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ให้สมาชิกนำสินค้าไปขายได้ง่ายขึ้น ..........""

    ดู คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 2901/2547 วินิจฉัยว่า
    "" ถ้ารายได้หรือผลกำไร มาจากค่าสมัครสมาชิก และจะได้มากขึ้นเมื่อสามารถชักชวนคนอื่นให้เข้ามาเป็นสมาชิกได้ #อันแสดงว่ารายได้หรือผลกำไรไม่ได้ขึ้นอยู่กับสินค้าหรือบริการ แต่ขึ้นอยู่กับการชักชวนหรือการหาสมาชิกให้ได้จำนวนมากๆ #และเมื่อรายได้หรือผลกำไรเกิดจากค่าสมัครสมาชิกไม่ได้เกิดจากสินค้าหรือบริการโดยตรง จึงต้องตามความหมายของบทนิยามคำว่า "กู้ยืมเงิน" และ "ผลประโยชน์ตอบแทน" ตาม พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนฯ ม. 3 จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ....."

    ดู คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 1172/2566 วินิจฉัยว่า
    "" จำเลย ชักชวนให้ผู้เสียหายร่วมลงทุนในกิจการและธุรกิจของจำเลย #แต่จำเลยกลับไม่มีกิจการใดๆเลยที่จะให้ผลประโยชน์ตอบแทนได้ตามที่จำเลยโฆษณา ดังนั้น การโฆษณาชักชวนของจำเลยจึงเป็นการหลอกลวง อันเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ""

    ดู คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 326/2566 วินิจฉัยว่า
    "" จำเลย ชักชวนให้ผู้เสียหายร่วมลงทุน กับ บริษัท อ. แต่กลับพบว่า ในขณะที่จำเลยชักชวนให้ผู้เสียหายร่วมลงทุนนั้น บริษัท อ. #ไม่ได้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทตามกฎหมาย ซึ่งการจดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทหรือไม่นั้น ถือเป็นสาระสำคัญที่ทำให้ผู้เสียหายร่วมลงทุน เมื่อจำเลยรู้อยู่แล้วว่า บริษัท อ.นั้น ยังไม่ได้จดทะเบียนตั้งบริษัท #แต่กลับปกปิดความจริงข้อนี้เอาไว้ จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง .....""

    #คดีตามข่าว เส้นแบ่งว่าจะเป็นฉ้อโกงหรือไม่ ให้ดูจากรายได้ของบริษัท ว่า รายได้หรือกำไรมาจากการที่สมาชิกขายสินค้าให้แก่บุคคลทั่วไปได้ หรือเป็นรายได้หรือกำไรที่ได้มาจากการซื้อสินค้าของสมาชิกเอง ถ้ารายได้ของบริษัท ไม่ได้เกิดจากการขายสินค้าให้แก่บุคคลทั่วๆไป แต่เกิดจากการบังคับหรือหลอกลวงให้สมาชิกซื้อสินค้าในจำนวนมากๆ แบบนี้ก็จะเข้าข่ายฉ้อโกง โดยศาลจะถือว่า ""#รู้อยู่แล้วว่าสินค้าไม่สามารถขายได้"" และการใช้ดาราหรืออินฟลูเอ็นเซอร์มาโฆษณานั้น #ก็ด้วยวัตถุประสงค์ให้สมาชิกซื้อสินค้าในจำนวนมากๆ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ส่งเสริมการขายหรือช่วยให้สมาชิกขายสินค้าได้แต่อย่างใด

    (1) รายได้บริษัท มาจากการซื้อสินค้าของสมาชิก
    (2) การใช้ดารามาโฆษณา เพื่อให้สมาชิกตัดสินใจซื้อสินค้าง่ายขึ้น
    (3) บริษัทได้รายได้ไปก่อนที่สมาชิกจะนำสินค้าไปขาย
    (4) พยายามชักจูงใจให้สมาชิกซื้อสินค้ามากกว่าขายสินค้าทั่วไป
    (5) สมาชิกตัดสินใจซื้อสินค้าเพราะโฆษณาไม่ใช่เกิดจากการใช้จริง
    (6) บริษัทเน้นรายได้ที่จะไดจากสมาชิกเป็นหลัก โดยไม่สนใจว่าสมาชิกจะขายสินค้าได้หรือไม่
    (7) สุดท้ายบริษัทเท่านั้นที่มีรายได้ ส่วนสมาชิกส่วนใหญ่ขาดทุน เพราะขายสินค้าไม่ได้ แต่ต้องจ่ายเงินให้บริษัทเพื่อซื้อสินค้าไปก่อน
    (8) สมาชิกสนใจธุรกิจ เพราะ การโฆษณาชวนเชื่อ #ไม่ได้สนใจ #เพราะสินค้าขายดี

    จะเห็นว่า ธุรกิจแบบนี้ มีลักษณะที่ดูยากว่าเป็นการฉ้อโกง เพราะเขามีตัวสินค้าอยู่จริง และสินค้าเขาอาจจะดีจริงก็ได้เช่นกัน #แต่ขอให้ดูรายได้ของบริษัทว่ามาจากอะไร เพราะศาลเองก็จะดูเช่นกันว่า ถ้ามีเจตนาจะขายสินค้าหรือบริการจริงๆ ก็จะต้องเน้นไปที่การขายสินค้าหรือบริการ #และรายได้หลักก็ควรเป็นรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการแก่บุคคลทั่วไป ไม่ใช่รายได้หลักเกิดจากการให้สมาชิกซื้อสินค้าในจำนวนมากๆ รายได้หลักเกิดการการซื้อสินค้าของสมาชิก #ก็ย่อมแสดงว่า บริษัททราบอยู่ก่อนแล้ว่าสินค้าหรือบริการ ไม่สามารถขายได้หรือถ้าขายได้ก็ทำรายได้ไม่ถึงกับที่ตนเองโฆษณา #ซึ่งในที่สุดสมาชิกก็จะขาดทุนเพราะสินค้าขายไม่ได้ อันถือว่าผิดหลักการค้าขายทั่วไป ที่จะต้อนเน้นไปที่การขายสินค้าให้แก่บุคคลทั่วไปได้ ไม่ใช่เน้นส่งเสริมให้สมาชิกซื้อสินค้าเยอะๆ ""

    Cr: คดีโลกคดีธรรม
    ""ธุรกิจขายสินค้าโดยวิธีการสมัครสมาชิก และให้สมาชิกซื้อสินค้านั้น จะเป็นการฉ้อโกงหรือไม่ จะดูจาก ""#รายได้"" ว่า ได้มาจากอะไร ซึ่งศาลฎีกาเองก็ดูจากรายได้เช่นกัน ว่า #รายได้ที่แท้จริงนั้นมาจากอะไร โดยแบ่งรายได้ออกเป็น 3 ประเภท ประเภทที่ 1. #รายได้จากการสมัครสมาชิก ถ้ารายได้ส่วนใหญ่มาจากค่าสมัครสมาชิก และมีแนวทางการประกอบกิจการไปที่การแนะนำให้หาสมาชิกเป็นส่วนใหญ่ วิธีการแบบนี้ เข้าลักษณะแชร์ลูกโซ่ ถือว่าเป็นการฉ้อโกงประชาชนได้ #เพราะไม่ได้เน้นที่การขายสินค้าและรายได้ส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากการขายสินค้า ประเภทที่ 2. #รายได้มาจากการสมัครสมาชิก และ #การบังคับซื้อสินค้า วิธีการนี้ดูเผินๆเหมือนจะเป็นการตั้งใจประกอบธุรกิจ แต่ถ้าดูให้ละเอียดจะพบว่า ไม่ได้มีเจตนาประกอบธุรกิจจริงๆ #แต่เป็นการหลอกให้ซื้อสินค้าไปเยอะๆแต่ไม่สามารถขายสินค้าได้ ฉะนั้น รายได้จริงๆของเจ้าของธุรกิจ จึงไม่ใช่ผลกำไรจากการขายสินค้าทั่วไป #แต่เป็นรายได้ที่ได้จากการให้สมาชิกต้องซื้อสินค้าจำนวนหนึ่ง [** รายได้ของธุรกิจ จะต้องได้จากการขายสินให้คนทั่วไป ไม่ใช่รายได้จากการบังคับให้สมาชิกซื้อสินค้าในจำนวน มากๆ / เรียกว่า ""รายได้หรือกำไรเทียม"" ] วิธีการแบบนี้เข้าลักษณะแชร์ลูกโซ่เช่นกัน เพราะรายได้ที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากการขายสินค้าทั่วไป #แต่เกิดจากการหลอกลวงให้สมาชิกซื้อสินค้าจำนวนมากๆ ประเภที่ 3. #รายได้มาจากการาขายสินค้าทั่วไป ธุรกิจประเภทนี้ถือเป็นธุรกิจทั่วๆไป คือ นำสินออกขาย ถ้าขายได้ก็ได้กำไร ถ้าขายไม่ได้ก็ขาดทุน โดยจะไม่มีรายได้จากค่าสมาชิก หรือรายได้จากการบังคับซื้อสินค้าในจำนวนมากๆ #ธุรกิจที่กำลังเป็นข่าวดังอยู่ในตอนนี้ เข้าลักษณะที่ 2. คือ มีสินค้าจริง แต่จะให้สมาชิกซื้อสินค้าในจำนวนมากๆ #แต่สินค้าจะขายไม่ได้ หรือจะขายได้น้อย #และถ้าไปดูรายได้ของบริษัทแม่จริงๆ ก็จะพบว่ รายได้หรือกำไร #มาจากการซื้อสินค้าของสมาชิก ส่วนสมาชิกจะนำสินค้าไปขายได้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อรายได้หรือกำไรของบริษัท ไม่ได้เกิดจากการขายสินค้าให้แก่คนทั่วไป แต่เกิดจากการซื้ของสมาชิกเอง ก็แสดงว่า #รายได้หรือกำไรของบริษัทนั้นมีขึ้นก่อนที่จะนำสินค้าออกขายให้แก่คนทั่วไปโดยสมาชิก ดู ไทมไลน์ ดังนี้ 1. ผลิตสินค้า 2.หาสมาชิก 3. ให้สมาชิกซื้อสินค้าจำนวนมาก [** รายได้ของบริษัท] 4. สมาชิกนำสินค้าที่ซื้อไปขาย จะเห็นว่า รายได้ของบริษัท #เกิดขึ้นก่อน ที่สมาชิกจะเอาสินค้าไปขาย และเป็นรายได้ที่มาจากสมาชิกเอง วิธีการที่จะหลอกสมาชิกให้มาสมัครเป็นสมาชิก และให้ซื้อสินค้าในจำนวนมากๆได้นั้น จะต้องอาศัยเครื่องมือ ที่เรียกว่า ""#ดาราหรืออินฟลูเอ็นเซอร์"" ธุรกิจพวกนี้จะให้ดาราหรืออินฟลูเอ็นเซอร์มาช่วยโปรโมทธุรกิจของตนเอง "" #โดยมีวัตถุประสงค์ให้สมาชิกตัดสินใจซื้อสินค้าให้เยอะขึ้น ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ให้สมาชิกนำสินค้าไปขายได้ง่ายขึ้น .........."" ดู คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 2901/2547 วินิจฉัยว่า "" ถ้ารายได้หรือผลกำไร มาจากค่าสมัครสมาชิก และจะได้มากขึ้นเมื่อสามารถชักชวนคนอื่นให้เข้ามาเป็นสมาชิกได้ #อันแสดงว่ารายได้หรือผลกำไรไม่ได้ขึ้นอยู่กับสินค้าหรือบริการ แต่ขึ้นอยู่กับการชักชวนหรือการหาสมาชิกให้ได้จำนวนมากๆ #และเมื่อรายได้หรือผลกำไรเกิดจากค่าสมัครสมาชิกไม่ได้เกิดจากสินค้าหรือบริการโดยตรง จึงต้องตามความหมายของบทนิยามคำว่า "กู้ยืมเงิน" และ "ผลประโยชน์ตอบแทน" ตาม พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนฯ ม. 3 จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ....." ดู คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 1172/2566 วินิจฉัยว่า "" จำเลย ชักชวนให้ผู้เสียหายร่วมลงทุนในกิจการและธุรกิจของจำเลย #แต่จำเลยกลับไม่มีกิจการใดๆเลยที่จะให้ผลประโยชน์ตอบแทนได้ตามที่จำเลยโฆษณา ดังนั้น การโฆษณาชักชวนของจำเลยจึงเป็นการหลอกลวง อันเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน "" ดู คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 326/2566 วินิจฉัยว่า "" จำเลย ชักชวนให้ผู้เสียหายร่วมลงทุน กับ บริษัท อ. แต่กลับพบว่า ในขณะที่จำเลยชักชวนให้ผู้เสียหายร่วมลงทุนนั้น บริษัท อ. #ไม่ได้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทตามกฎหมาย ซึ่งการจดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทหรือไม่นั้น ถือเป็นสาระสำคัญที่ทำให้ผู้เสียหายร่วมลงทุน เมื่อจำเลยรู้อยู่แล้วว่า บริษัท อ.นั้น ยังไม่ได้จดทะเบียนตั้งบริษัท #แต่กลับปกปิดความจริงข้อนี้เอาไว้ จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง ....."" #คดีตามข่าว เส้นแบ่งว่าจะเป็นฉ้อโกงหรือไม่ ให้ดูจากรายได้ของบริษัท ว่า รายได้หรือกำไรมาจากการที่สมาชิกขายสินค้าให้แก่บุคคลทั่วไปได้ หรือเป็นรายได้หรือกำไรที่ได้มาจากการซื้อสินค้าของสมาชิกเอง ถ้ารายได้ของบริษัท ไม่ได้เกิดจากการขายสินค้าให้แก่บุคคลทั่วๆไป แต่เกิดจากการบังคับหรือหลอกลวงให้สมาชิกซื้อสินค้าในจำนวนมากๆ แบบนี้ก็จะเข้าข่ายฉ้อโกง โดยศาลจะถือว่า ""#รู้อยู่แล้วว่าสินค้าไม่สามารถขายได้"" และการใช้ดาราหรืออินฟลูเอ็นเซอร์มาโฆษณานั้น #ก็ด้วยวัตถุประสงค์ให้สมาชิกซื้อสินค้าในจำนวนมากๆ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ส่งเสริมการขายหรือช่วยให้สมาชิกขายสินค้าได้แต่อย่างใด (1) รายได้บริษัท มาจากการซื้อสินค้าของสมาชิก (2) การใช้ดารามาโฆษณา เพื่อให้สมาชิกตัดสินใจซื้อสินค้าง่ายขึ้น (3) บริษัทได้รายได้ไปก่อนที่สมาชิกจะนำสินค้าไปขาย (4) พยายามชักจูงใจให้สมาชิกซื้อสินค้ามากกว่าขายสินค้าทั่วไป (5) สมาชิกตัดสินใจซื้อสินค้าเพราะโฆษณาไม่ใช่เกิดจากการใช้จริง (6) บริษัทเน้นรายได้ที่จะไดจากสมาชิกเป็นหลัก โดยไม่สนใจว่าสมาชิกจะขายสินค้าได้หรือไม่ (7) สุดท้ายบริษัทเท่านั้นที่มีรายได้ ส่วนสมาชิกส่วนใหญ่ขาดทุน เพราะขายสินค้าไม่ได้ แต่ต้องจ่ายเงินให้บริษัทเพื่อซื้อสินค้าไปก่อน (8) สมาชิกสนใจธุรกิจ เพราะ การโฆษณาชวนเชื่อ #ไม่ได้สนใจ #เพราะสินค้าขายดี จะเห็นว่า ธุรกิจแบบนี้ มีลักษณะที่ดูยากว่าเป็นการฉ้อโกง เพราะเขามีตัวสินค้าอยู่จริง และสินค้าเขาอาจจะดีจริงก็ได้เช่นกัน #แต่ขอให้ดูรายได้ของบริษัทว่ามาจากอะไร เพราะศาลเองก็จะดูเช่นกันว่า ถ้ามีเจตนาจะขายสินค้าหรือบริการจริงๆ ก็จะต้องเน้นไปที่การขายสินค้าหรือบริการ #และรายได้หลักก็ควรเป็นรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการแก่บุคคลทั่วไป ไม่ใช่รายได้หลักเกิดจากการให้สมาชิกซื้อสินค้าในจำนวนมากๆ รายได้หลักเกิดการการซื้อสินค้าของสมาชิก #ก็ย่อมแสดงว่า บริษัททราบอยู่ก่อนแล้ว่าสินค้าหรือบริการ ไม่สามารถขายได้หรือถ้าขายได้ก็ทำรายได้ไม่ถึงกับที่ตนเองโฆษณา #ซึ่งในที่สุดสมาชิกก็จะขาดทุนเพราะสินค้าขายไม่ได้ อันถือว่าผิดหลักการค้าขายทั่วไป ที่จะต้อนเน้นไปที่การขายสินค้าให้แก่บุคคลทั่วไปได้ ไม่ใช่เน้นส่งเสริมให้สมาชิกซื้อสินค้าเยอะๆ "" Cr: คดีโลกคดีธรรม
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 114 Views 0 Reviews
  • HowTo : วิธีการสมัคร Thaitimes เพื่อใช้งานครับ

    หากยังไม่เคยสมัครสมาชิก ให้คลิกที่ ‘สมัครสมาชิก’  ก่อนนะครับ
    > ลำดับถัดไปคือ ขั้นตอนกรอกข้อมูลพร้อมอีเมล
    > ลำดับถัดไปคือ รอรับรหัส OTP ที่ email แล้วนำมากรอกใส่
    > ลำดับถัดไปคือ Step 1-2 ท่านสามารถ เลื่อนลงมาเพื่อคลิ๊กข้ามไปก่อนได้เลยครับ ยังไม่ต้องกรอกข้อมูลก็ได้
    > ลำดับสุดท้ายคือ Step 3 คลิ๊ก เสร็จสิ้น (เลื่อนมาด้านบน)
    > เสร็จแล้วก็เริ่มใช้งานได้เลย!

    สามารถดูตัวอย่างตามรูปที่แนบมาได้เลยครับ

    Thaitimes สามารถเล่นบนเวปได้ด้วยนะครับ เป็นอีกทางเลือกในการใช้งาน ที่ https://thaitimes.co/

    และหากท่านใดติดปัญหาต้องการคำแนะนำ หรือแจ้งปัญหาสิ่งที่พบเจอ สามารถทักเข้ามาสอบถามได้ที่ Line : @sondhitalk ได้เลยนะครับ

    #thaitimes #thaitimesHelpCenter #Howto #sondhitalk #การสมัคร
    HowTo : วิธีการสมัคร Thaitimes เพื่อใช้งานครับ หากยังไม่เคยสมัครสมาชิก ให้คลิกที่ ‘สมัครสมาชิก’  ก่อนนะครับ > ลำดับถัดไปคือ ขั้นตอนกรอกข้อมูลพร้อมอีเมล > ลำดับถัดไปคือ รอรับรหัส OTP ที่ email แล้วนำมากรอกใส่ > ลำดับถัดไปคือ Step 1-2 ท่านสามารถ เลื่อนลงมาเพื่อคลิ๊กข้ามไปก่อนได้เลยครับ ยังไม่ต้องกรอกข้อมูลก็ได้ > ลำดับสุดท้ายคือ Step 3 คลิ๊ก เสร็จสิ้น (เลื่อนมาด้านบน) > เสร็จแล้วก็เริ่มใช้งานได้เลย! สามารถดูตัวอย่างตามรูปที่แนบมาได้เลยครับ Thaitimes สามารถเล่นบนเวปได้ด้วยนะครับ เป็นอีกทางเลือกในการใช้งาน ที่ https://thaitimes.co/ และหากท่านใดติดปัญหาต้องการคำแนะนำ หรือแจ้งปัญหาสิ่งที่พบเจอ สามารถทักเข้ามาสอบถามได้ที่ Line : @sondhitalk ได้เลยนะครับ #thaitimes #thaitimesHelpCenter #Howto #sondhitalk #การสมัคร
    Like
    6
    5 Comments 1 Shares 1288 Views 0 Reviews
  • CIA เปิดรับสมัคร "สายลับ" สำหรับปฏิบัติการใน จีน อิหร่าน และเกาหลีเหนือ

    4 ตุลาคม 2567-รายงานข่าว INN World News ระบุว่า หน่วยสืบราชการลับของสหรัฐหรือ CIA เปิดรับสมัครสายลับในประเทศที่เป็นเป้าหมายและคู่แข่งสำคัญของสหรัฐ ที่ผู้สนใจสามารถส่งชื่อและข้อมูลสมัครได้ทางเว็บไซต์

    CIA ได้โพสต์ประกาศรับสมัครสายลับในหลายประเทศที่เป็นคู่แข่งกับสหรัฐฯ เช่น จีน อิหร่าน และเกาหลีเหนือ ผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ทั้ง X, Facebook, YouTube, Instagram, Telegram และ LinkedIn รวมถึงในเว็บมืด เป็นทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาจีนกลาง ภาษาฟาร์ซี และภาษาเกาหลี ซึ่งในโพสต์ดังกล่าวยังระบุถึงวิธีการสมัครและการติดต่อกับ CIA อย่างถูกต้อง

    อีกทั้ง CIA ยังขอให้ผู้สนใจแจ้งชื่อ ที่อยู่ และข้อมูลการติดต่อของตนกลับมา รวมไปถึงได้แนะนำให้ผู้ใช้งานติดต่อ CIA ผ่านเว็บไซต์ทางการ โดยใช้เครือข่าย VPN ที่มีการเข้ารหัสที่น่าเชื่อถือ หรือผ่านเบราว์เซอร์เว็บแบบไม่ระบุตัวตนที่รู้จักกันในชื่อเครือข่าย Tor ซึ่งมักใช้ในการเข้าถึงเว็บมืด

    ส่วนสาเหตุที่ทำไม CIA ต้องประกาศรับสมัครสายลับผ่านโซเชียลมีเดียแทนที่จะไปหาสายลับกันแบบเงียบ ๆ เรื่องนี้โฆษก CIA กล่าวในแถลงการณ์ว่า "เราต้องการให้แน่ใจว่าบุคคลในระบอบเผด็จการอื่น ๆ รู้ว่าเราพร้อมอยู่เสมอ"

    เดวิด โคเฮน รองผู้อำนวยการ CIA แสดงความมั่นใจกับสำนักข่าว Bloomberg ว่าจะมีคนจากประเทศเหล่านี้จำนวนมาก มาสมัครเป็นสายลับกับ CIA อย่างแน่นอน โดยเขาบอกว่า มีคนจำนวนมากที่เข้าถึงข้อมูลภายในของรัฐบาลตัวเองและไม่พอใจกับระบอบการปกครองในประเทศของตัวเอง CIA จึงมั่นใจว่าคนกลุ่มนี้จะมาสมัคร

    อย่างไรก็ตาม เกิดคำถามว่าแล้วคนเกาหลีเหนือที่สนใจจะสมัครเป็นสายลับให้ CIA จะสมัครได้อย่างไร เพราะคนเกาหลีเหนือส่วนใหญ่ไม่มีอินเทอร์เน็ตใช้ CIA คาดว่าเป็นไปได้ที่คนเกาหลีเหนือที่อาศัยอยู่ติดชายแดนจีนมักจะข้ามพรมแดนเข้ามาค้าขายในจีนแล้วกลับไปที่เกาหลีเหนือ จุงทำให้ในช่วงที่มาฝั่งจีนเป็นโอกาสที่ดีที่พวกเขาจะเข้าถึงอินเตอร์เน็ตและอาจสนใจสมัครเป็นสายลับให้ CIA

    ขณะที่ โฆษกสถานทูตจีนในกรุงวอชิงตันดี.ซี. กล่าวว่า “ความพยายามใดๆ ที่จะบ่อนทำลายความสัมพันธ์ระหว่างชาวจีนและพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะล้มเหลวอย่างแน่นอน" ซึ่งที่ผ่านมา จีนพยายามเตือนประชาชนของตัวเองให้ระวังถูกสายลับต่างชาติล่อลวงให้เผยแพร่ข้อมูลความลับ ส่วนในต่างประเทศก็มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยหลายคนที่เป็นสายลับให้ประเทศจีน โดยผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่าในยุคนี้เราจะเริ่มเห็นหลายประเทศกลับมาใช้ "สายลับ" เป็นเครื่องมือสำคัญในการทำสงครามด้านข้อมูลอีกครั้ง

    ภาพ: Stock.Adobe
    ที่มา : TNNWorldNews
    https://www.facebook.com/share/p/EEvjf5xsd4aYD1vk/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    CIA เปิดรับสมัคร "สายลับ" สำหรับปฏิบัติการใน จีน อิหร่าน และเกาหลีเหนือ 4 ตุลาคม 2567-รายงานข่าว INN World News ระบุว่า หน่วยสืบราชการลับของสหรัฐหรือ CIA เปิดรับสมัครสายลับในประเทศที่เป็นเป้าหมายและคู่แข่งสำคัญของสหรัฐ ที่ผู้สนใจสามารถส่งชื่อและข้อมูลสมัครได้ทางเว็บไซต์ CIA ได้โพสต์ประกาศรับสมัครสายลับในหลายประเทศที่เป็นคู่แข่งกับสหรัฐฯ เช่น จีน อิหร่าน และเกาหลีเหนือ ผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ทั้ง X, Facebook, YouTube, Instagram, Telegram และ LinkedIn รวมถึงในเว็บมืด เป็นทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาจีนกลาง ภาษาฟาร์ซี และภาษาเกาหลี ซึ่งในโพสต์ดังกล่าวยังระบุถึงวิธีการสมัครและการติดต่อกับ CIA อย่างถูกต้อง อีกทั้ง CIA ยังขอให้ผู้สนใจแจ้งชื่อ ที่อยู่ และข้อมูลการติดต่อของตนกลับมา รวมไปถึงได้แนะนำให้ผู้ใช้งานติดต่อ CIA ผ่านเว็บไซต์ทางการ โดยใช้เครือข่าย VPN ที่มีการเข้ารหัสที่น่าเชื่อถือ หรือผ่านเบราว์เซอร์เว็บแบบไม่ระบุตัวตนที่รู้จักกันในชื่อเครือข่าย Tor ซึ่งมักใช้ในการเข้าถึงเว็บมืด ส่วนสาเหตุที่ทำไม CIA ต้องประกาศรับสมัครสายลับผ่านโซเชียลมีเดียแทนที่จะไปหาสายลับกันแบบเงียบ ๆ เรื่องนี้โฆษก CIA กล่าวในแถลงการณ์ว่า "เราต้องการให้แน่ใจว่าบุคคลในระบอบเผด็จการอื่น ๆ รู้ว่าเราพร้อมอยู่เสมอ" เดวิด โคเฮน รองผู้อำนวยการ CIA แสดงความมั่นใจกับสำนักข่าว Bloomberg ว่าจะมีคนจากประเทศเหล่านี้จำนวนมาก มาสมัครเป็นสายลับกับ CIA อย่างแน่นอน โดยเขาบอกว่า มีคนจำนวนมากที่เข้าถึงข้อมูลภายในของรัฐบาลตัวเองและไม่พอใจกับระบอบการปกครองในประเทศของตัวเอง CIA จึงมั่นใจว่าคนกลุ่มนี้จะมาสมัคร อย่างไรก็ตาม เกิดคำถามว่าแล้วคนเกาหลีเหนือที่สนใจจะสมัครเป็นสายลับให้ CIA จะสมัครได้อย่างไร เพราะคนเกาหลีเหนือส่วนใหญ่ไม่มีอินเทอร์เน็ตใช้ CIA คาดว่าเป็นไปได้ที่คนเกาหลีเหนือที่อาศัยอยู่ติดชายแดนจีนมักจะข้ามพรมแดนเข้ามาค้าขายในจีนแล้วกลับไปที่เกาหลีเหนือ จุงทำให้ในช่วงที่มาฝั่งจีนเป็นโอกาสที่ดีที่พวกเขาจะเข้าถึงอินเตอร์เน็ตและอาจสนใจสมัครเป็นสายลับให้ CIA ขณะที่ โฆษกสถานทูตจีนในกรุงวอชิงตันดี.ซี. กล่าวว่า “ความพยายามใดๆ ที่จะบ่อนทำลายความสัมพันธ์ระหว่างชาวจีนและพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะล้มเหลวอย่างแน่นอน" ซึ่งที่ผ่านมา จีนพยายามเตือนประชาชนของตัวเองให้ระวังถูกสายลับต่างชาติล่อลวงให้เผยแพร่ข้อมูลความลับ ส่วนในต่างประเทศก็มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยหลายคนที่เป็นสายลับให้ประเทศจีน โดยผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่าในยุคนี้เราจะเริ่มเห็นหลายประเทศกลับมาใช้ "สายลับ" เป็นเครื่องมือสำคัญในการทำสงครามด้านข้อมูลอีกครั้ง ภาพ: Stock.Adobe ที่มา : TNNWorldNews https://www.facebook.com/share/p/EEvjf5xsd4aYD1vk/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    Haha
    8
    0 Comments 2 Shares 954 Views 0 Reviews
  • เลือดย่อมเข้มกว่าน้ำ

    หลังจากที่สหรัฐฯ ไม่อนุญาตให้นักเรียนชาวจีนไปเรียนที่สหรัฐอเมริกาอีกต่อไป และไม่อนุญาตให้ชาวจีนไปเรียนในสถาบันวิจัยสำคัญๆ ในสหรัฐฯ อีกต่อไป สหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นประเทศไฮเทคของโลกอย่างสหราชอาณาจักร ก็ตัดสินใจไม่อนุญาตอีกต่อไป ภาษาจีนเพื่อศึกษาความรู้ไฮเทคในสถาบันวิจัยมหาวิทยาลัยของอังกฤษ

    ขณะนี้มีนักเรียนเกือบ 1,000 คนเข้ามาเรียนในสหราชอาณาจักรแล้ว และถูกจำกัดให้ออกจาก สหราชอาณาจักรภายในหนึ่งเดือน และกล่าวว่าเมื่อถูกไล่ออกจากโรงเรียนโดยรัฐบาลสหรัฐฯ สหราชอาณาจักรจะจำกัดไม่ให้นักเรียนเหล่านี้เข้าสหราชอาณาจักร

    บังเอิญญี่ปุ่นได้ประกาศข้อจำกัดที่เข้มงวดสำหรับนักเรียนชาวจีนจากการลงทะเบียนในวิชาที่มีเทคโนโลยีสูงของญี่ปุ่น ขับไล่นักเรียนชาวจีน 1,500 คนในโรงเรียน และนักเรียนชาวจีนที่มีประวัติการปฏิเสธวีซ่าจากสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นยังได้ติดตามและปฏิเสธที่จะให้วีซ่าเข้าประเทศแก่บุคคลเหล่านี้

    ในเวลาเดียวกัน กระทรวงศึกษาธิการของแคนาดาได้ประกาศขับไล่นักศึกษาชาวจีน 900 คน

    ออสเตรเลียขับไล่นักศึกษาชาวจีน 2,200 คน; นิวซีแลนด์ขับไล่นักเรียนชาวจีน 1,300 คน

    กระทรวงศึกษาธิการของฝรั่งเศสและเยอรมนีประกาศว่า การสมัครนักเรียนจีนเพื่อศึกษาต่อต่างประเทศจะต้องดำเนินการตามบทบัญญัติการทบทวนอย่างเข้มงวดของสหรัฐอเมริกา

    จนถึงตอนนี้ มากกว่า 80% ของนักเรียนจีน 600,000 คนที่ต้องการสมัครเรียนต่อต่างประเทศจะถูกปฏิเสธวีซ่า นี่เป็นเหตุการณ์ที่น่ากลัวมากที่เกี่ยวข้องกับแผนพัฒนาในอนาคตของจีน

    ไบเดนสาบานที่จะป้องกันไม่ให้จีนมีอำนาจมากกว่าสหรัฐฯ

    เวลานี้เป็นช่วงของกระแสนักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้าหัวกะทิหลั่งไหลกลับสู่มาตุภูมิบ้านเกิด

    1. มหาเศรษฐี หลี่ ไค ฟู่ (李开复) เป็นคนนำหน้า ทิ้งกรีนการ์ดกลับสู่ประเทศจีน ทำให้สหรัฐฯเสียหายถึง 1 แสน 3 หมื่น ล้านเหรียญ พร้อมทั้งประกาศว่าจะออกจากตลาดสหรัฐฯตลอดไป โดยบริษัทใหญ่ที่ทำการวิจัยถอนตัวออกจากหุบเขาซิลิคอน (ซิลิคอนแวลลีย์ 硅谷)ของสหรัฐฯ นำเงินทุนของบริษัท 95 % พร้อมทั้งเทคโนโลยีทั้งหมดกลับสู่ประเทศจีน การกระทำเช่นนี้ยังเป็นการชักจูงแบบโดมิโนให้คนเชื้อชาติจีนชั้นนำทยอยกลับประเทศมากขึ้นเรื่อยๆพร้อมทั้งนำเงินทุนกลับประเทศ มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    2. หยิ่น จื้อ หย๋าว (尹志尧) เทพแห่ง ซิลิคอนแวลลี่ย์ แม้ว่าทางสหรัฐฯจะเสนอเงินทองเงื่อนไขที่ดีเลิศเพียงใดก็มิอาจยับยั้งให้เขาที่มีความตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะกลับสู่ประเทศจีนได้ เขาถูกขนานนามว่า เป็นหนึ่งในคนเชื้อชาติจีนที่มีความสามารถอย่างยอดเยี่ยมคนหนึ่ง เป็นคนจีนที่ทางสหรัฐฯไม่อยากให้จากไปอย่างยิ่ง เขาไม่เพียงแค่นำพานักวิทยาศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมทางด้านไมโครชิพ 30 กว่าคน กลับไปด้วย เมื่อกลับถึงประเทศจีนแล้วเขายังเป็นผู้นำกลุ่มเอาชนะการผูกขาดทางเทคโนโลยี โดยสามารถสร้าง 5 nm Etching machine ได้สำเร็จ เปิดตำนานไมโครชิพขึ้นมาใหม่

    3. เสิ่น เซี่ยง หยาง ( 沈向洋 ) ทำงานทางด้าน microsoft ผ่านไป 23 ปี ก็กลับสู่มาตุภูมิ เขาเป็นคนจีนที่อยู่ในระดับชั้นสูงสุดของงานทางด้านนี้ผู้นำทางด้าน AI Microsoft การกลับประเทศของเขาถึงกลับทำให้ประเทศหรัฐฯสั่นคลอนแม้แต่ Bill Gates ยังรู้สึกเสียดาย ปัจจุบันเขาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย ต้าชิง สร้างบุคลากรทางด้าน AI ให้กับประเทศจีน

    4. เซี่ย เสี่ยว เกา ( 谢小高 ) ศึกษาและทำงานที่ต่างประเทศ 30 กว่าปี สุดท้ายยอมสละทิ้งตำแหน่งอาจารย์ของมหาวิทยาลัย Harvard มาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง เขาเป็นคนจีนที่ใด้รับรางวัลโนเบลคนหนึ่ง เป็นบุคคลผู้นำระหว่างประเทศทางด้านชีววิทยา ฟิสิกส์ เคมี การวิจัยพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์ สหรัฐฯใช้เงินรางวัลถึง 40 ล้านเหรียญก็ไม่สามารถรั้งเข้าไว้ได้ หลังกลับประเทศเขาก็เริ่มเสนอการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเกี่ยวการวิจัยหลายรายการ นำพานักเรียนสู่การวิจัยที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง นักวิทยาศาสตร์จีนที่เก่งๆจำนวนมากทะยอยกลับประเทศจีนไม่ขาดสาย จะเป็นผลดีต่อประเทศเร็วขึ้น

    Cr: Boonchu Chung (羅文娟)
    จีนปฏิรูปการศึกษาต่อทันทีหลังคุมโควิด19ได้เบ็ดเสร็จแล้ว

    - ห้ามการสอบข้อเขียนในเด็กเล็ก, ลดการสอบต่างๆ, ลดการบ้าน, ให้บริษัทกวดวิชาเอกชนเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร, เลิกการมีห้องเรียนพิเศษสำหรับเด็กอัจฉริยะ, ลดเวลาการเล่มเกมของเด็ก, ปรับให้ครูไปรับตำแหน่งในร.ร. อื่นๆทุก 6 ปีป้องกันครูที่มีความรู้ความสามารถกระจุกตัวอยู่ในร.ร.บางแห่ง
    การปฏิรูปการศึกษาที่จีน

    เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ดิฉันทึ่งกับการแก้ปัญหาเรื่องการศึกษาของเด็กและเยาวชนในประเทศจีนเป็นอย่างมาก หลังจากติดตามข่าวคราวมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลจีนมีมาตรการทางด้านการศึกษามาโดยตลอด เพียงแต่มาสะดุดช่วงเกิดโรคระบาดโควิด-19 ที่ทำให้ต้องไปแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

    เมื่อโรคระบาดโควิด-19 ในจีนได้รับการบริหารจัดการแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในเวลาอันรวดเร็ว สถานการณ์ดีขึ้น รัฐบาลจีนก็เดินหน้าปฏิรูปการศึกษาต่อทันที

    ล่าสุดกระทรวงศึกษาธิการของจีนประกาศห้ามการสอบข้อเขียนสำหรับเด็กที่มีอายุ 6-7 ปี เพราะการสอบที่มากเกินไปส่งผลให้นักเรียนต้องรับภาระหนักและอยู่ภายใต้ความกดดัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตใจและร่างกายอย่างมาก

    กฎระเบียบใหม่ยังจำกัดการสอบในชั้นปีอื่น ๆ ของการศึกษาภาคบังคับ ไม่ให้เกินภาคการศึกษาละ 1 ครั้ง และห้ามท้องถิ่นจัดสอบระดับภูมิภาค หรือระหว่างโรงเรียน สำหรับชั้นประถมศึกษาทั้งหมด

    ส่วนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่ยังไม่จบการศึกษา ห้ามโรงเรียนจัดสอบย่อยรายสัปดาห์ สอบย่อยรายวิชา รวมถึงสอบรายเดือน และห้ามเลี่ยงไปเปิดการสอบในชื่ออื่น ๆ ด้วย

    ถือเป็นการเดินหน้าแผนปฏิรูปการศึกษาเพื่อลดความกดดันต่อนักเรียน และพ่อแม่ในระบบโรงเรียนที่มีการแข่งขันสูง

    ที่ผ่านมาระบบการศึกษาของจีนมุ่งเน้นที่ผลสอบ กำหนดให้นักเรียนต้องเข้าสอบตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนตั้งแต่ปีแรก ไปจนถึงการสอบเข้ามหาวิทยาลัยสำหรับนักเรียนอายุ 18 ปี ที่เรียกกันในภาษาจีนว่า “เกาเข่า” ทำให้เกิดการแข่งขันกันอย่างดุเดือด ประมาณว่าถ้าพลาดไปเพียงคะแนนเดียว ก็สามารถชี้ขาดอนาคตได้ ทำให้เกิดการแข่งขันกันอย่างหนัก และแย่งกันกวดวิชาสุดฤทธิ์

    และนั่นหมายความว่าเมื่อกระทรวงศึกษาของจีนประกาศปฏิรูปการศึกษาในทุกระดับ ก็ต้องรวมถึงแนวทางการจัดการโรงเรียนกวดวิชาด้วย โดยเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จีนได้สั่งให้บรรดาบริษัทกวดวิชาของเอกชนทั้งหมดแปลงเป็นองค์กรที่ไม่แสวงผลกำไร โดยให้สถาบันติวเตอร์เหล่านี้สอนบทเรียนได้เฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์วันละ 1 ชั่วโมง และห้ามสอนวิชาหลัก

    นี่ยังไม่นับรวมถึงนโยบายเรื่องครูในสถานศึกษา ที่ต้องให้สลับปรับเปลี่ยนกันไปรับตำแหน่งในโรงเรียนต่าง ๆ ทุก 6 ปี เพื่อป้องกันไม่ให้ครูที่มีความรู้ความสามารถกระจุกอยู่ในโรงเรียนระดับหัวกะทิบางแห่งเท่านั้น

    ที่สำคัญกว่านั้น ยังได้ออกตำเตือนไม่ให้โรงเรียนต่าง ๆ สร้างห้องเรียนพิเศษสำหรับเด็กที่มีพรสวรรค์ ประเภทห้องกิ๊ฟ(อัจฉริยะ) หรือห้องพิเศษใด ๆ

    และถ้าจำกันได้ เมื่อต้นปีกระทรวงศึกษาธิการบ้านเขาก็สั่งห้ามครูให้การบ้านแบบข้อเขียนสำหรับนักเรียนเกรด 1-2 รวมทั้งจำกัดการให้การบ้านนักเรียนมัธยมต้น ไม่ให้เกินวันละ 1.5 ชั่วโมง

    งานนี้เรียกว่าจีน “ยกเครื่อง” ปฏิรูปการศึกษาใหม่กันเลยทีเดียว โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้ได้

    เลิกการสอบข้อเขียนในเด็กเล็ก

    ลดการบ้านเด็ก

    ละ ไม่ให้มีห้องเรียนพิเศษ

    คุมร.ร.กวดวิชาไม่ให้แสวงผลกำไร

    ห้ามร.ร.จัดอันดับคะแนนสอบ

    ปรับครูทุก 6 ปี

    ล่าสุดทางการเมืองเซี่ยงไฮ้ประกาศยกเลิกการสอบปลายภาควิชาภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา เพื่อลดภาระของนักเรียนและผู้ปกครอง ตามเสียงเรียกร้องเพื่อลดการให้ความสำคัญกับการเรียนภาษาอังกฤษในโรงเรียนรัฐบาล หลังจากนี้นักเรียนประถมจะสอบปลายภาคเฉพาะวิชาภาษาจีนและคณิตศาสตร์ ส่วนวิชาอื่นรวมทั้งภาษาอังกฤษจะวัดผลจากการประเมินของครูผู้สอน โดยไม่มีคะแนนสอบ

    นี่ยังไม่นับเรื่องที่จีนออกกฎหมายบังคับให้เด็กและเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เล่นเกมได้ไม่เกิน 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แค่ระหว่างเวลา 20.00-21.00 น. เฉพาะวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ในช่วงเปิดภาคเรียนเท่านั้น ส่วนช่วงปิดเทอม เด็กจะได้รับอนุญาตให้เล่นเกมออนไลน์ได้นานขึ้น แต่ยังจำกัดวันละ 60 นาที เป็นกฎใหม่ที่มีความพยายามเพื่อควบคุมพฤติกรรมเด็กติดเกมของจีน ที่ส่งผลต่อการศึกษาและชีวิตประจำวันของเด็กอย่างมาก

    ที่รวบรวมเรื่อง “ทึ่ง” เหล่านี้ขึ้นมา ก็เพราะ “อึ้ง” กับประเด็นปัญหาที่เหมือนในบ้านเราที่มีมาอย่างยาวนาน ซึ่งยังไม่ได้รับการชำระสะสาง แม้จะผ่านการปฏิรูปการศึกษาครั้งแรกตั้งแต่ปี 2542 และปัญหาเหล่านี้ก็ยังดำรงอยู่

    ภาพที่สะท้อนชัดในบ้านเขาก็คือ การจัดการที่เด็ดขาด ลงมือทำทันที และแก้ปัญหาที่มีลักษณะโดมิโน่และส่งผลสัมพันธ์กันในเวลาที่ไล่เลี่ยแบบสอดรับกัน แม้จะยังไม่เห็นผล แต่สิ่งเหล่านี้คือข้อเรียกร้องที่เกิดขึ้นในบ้านเรามาตลอด

    และถ้าเรายังแก้ปัญหาทีละอย่าง เงื้อง่าทีละเรื่อง สุดท้ายก็แก้ปัญหาไม่ได้ซะที

    เล่าสู่กันฟังเฉย ๆ ไม่ได้คิดไม่ได้ฝันว่าจะเกิดขึ้นในบ้านเรา
    #ดร.สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน
    เลือดย่อมเข้มกว่าน้ำ หลังจากที่สหรัฐฯ ไม่อนุญาตให้นักเรียนชาวจีนไปเรียนที่สหรัฐอเมริกาอีกต่อไป และไม่อนุญาตให้ชาวจีนไปเรียนในสถาบันวิจัยสำคัญๆ ในสหรัฐฯ อีกต่อไป สหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นประเทศไฮเทคของโลกอย่างสหราชอาณาจักร ก็ตัดสินใจไม่อนุญาตอีกต่อไป ภาษาจีนเพื่อศึกษาความรู้ไฮเทคในสถาบันวิจัยมหาวิทยาลัยของอังกฤษ ขณะนี้มีนักเรียนเกือบ 1,000 คนเข้ามาเรียนในสหราชอาณาจักรแล้ว และถูกจำกัดให้ออกจาก สหราชอาณาจักรภายในหนึ่งเดือน และกล่าวว่าเมื่อถูกไล่ออกจากโรงเรียนโดยรัฐบาลสหรัฐฯ สหราชอาณาจักรจะจำกัดไม่ให้นักเรียนเหล่านี้เข้าสหราชอาณาจักร บังเอิญญี่ปุ่นได้ประกาศข้อจำกัดที่เข้มงวดสำหรับนักเรียนชาวจีนจากการลงทะเบียนในวิชาที่มีเทคโนโลยีสูงของญี่ปุ่น ขับไล่นักเรียนชาวจีน 1,500 คนในโรงเรียน และนักเรียนชาวจีนที่มีประวัติการปฏิเสธวีซ่าจากสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นยังได้ติดตามและปฏิเสธที่จะให้วีซ่าเข้าประเทศแก่บุคคลเหล่านี้ ในเวลาเดียวกัน กระทรวงศึกษาธิการของแคนาดาได้ประกาศขับไล่นักศึกษาชาวจีน 900 คน ออสเตรเลียขับไล่นักศึกษาชาวจีน 2,200 คน; นิวซีแลนด์ขับไล่นักเรียนชาวจีน 1,300 คน กระทรวงศึกษาธิการของฝรั่งเศสและเยอรมนีประกาศว่า การสมัครนักเรียนจีนเพื่อศึกษาต่อต่างประเทศจะต้องดำเนินการตามบทบัญญัติการทบทวนอย่างเข้มงวดของสหรัฐอเมริกา จนถึงตอนนี้ มากกว่า 80% ของนักเรียนจีน 600,000 คนที่ต้องการสมัครเรียนต่อต่างประเทศจะถูกปฏิเสธวีซ่า นี่เป็นเหตุการณ์ที่น่ากลัวมากที่เกี่ยวข้องกับแผนพัฒนาในอนาคตของจีน ไบเดนสาบานที่จะป้องกันไม่ให้จีนมีอำนาจมากกว่าสหรัฐฯ เวลานี้เป็นช่วงของกระแสนักวิทยาศาสตร์ชั้นแนวหน้าหัวกะทิหลั่งไหลกลับสู่มาตุภูมิบ้านเกิด 1. มหาเศรษฐี หลี่ ไค ฟู่ (李开复) เป็นคนนำหน้า ทิ้งกรีนการ์ดกลับสู่ประเทศจีน ทำให้สหรัฐฯเสียหายถึง 1 แสน 3 หมื่น ล้านเหรียญ พร้อมทั้งประกาศว่าจะออกจากตลาดสหรัฐฯตลอดไป โดยบริษัทใหญ่ที่ทำการวิจัยถอนตัวออกจากหุบเขาซิลิคอน (ซิลิคอนแวลลีย์ 硅谷)ของสหรัฐฯ นำเงินทุนของบริษัท 95 % พร้อมทั้งเทคโนโลยีทั้งหมดกลับสู่ประเทศจีน การกระทำเช่นนี้ยังเป็นการชักจูงแบบโดมิโนให้คนเชื้อชาติจีนชั้นนำทยอยกลับประเทศมากขึ้นเรื่อยๆพร้อมทั้งนำเงินทุนกลับประเทศ มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง 2. หยิ่น จื้อ หย๋าว (尹志尧) เทพแห่ง ซิลิคอนแวลลี่ย์ แม้ว่าทางสหรัฐฯจะเสนอเงินทองเงื่อนไขที่ดีเลิศเพียงใดก็มิอาจยับยั้งให้เขาที่มีความตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะกลับสู่ประเทศจีนได้ เขาถูกขนานนามว่า เป็นหนึ่งในคนเชื้อชาติจีนที่มีความสามารถอย่างยอดเยี่ยมคนหนึ่ง เป็นคนจีนที่ทางสหรัฐฯไม่อยากให้จากไปอย่างยิ่ง เขาไม่เพียงแค่นำพานักวิทยาศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมทางด้านไมโครชิพ 30 กว่าคน กลับไปด้วย เมื่อกลับถึงประเทศจีนแล้วเขายังเป็นผู้นำกลุ่มเอาชนะการผูกขาดทางเทคโนโลยี โดยสามารถสร้าง 5 nm Etching machine ได้สำเร็จ เปิดตำนานไมโครชิพขึ้นมาใหม่ 3. เสิ่น เซี่ยง หยาง ( 沈向洋 ) ทำงานทางด้าน microsoft ผ่านไป 23 ปี ก็กลับสู่มาตุภูมิ เขาเป็นคนจีนที่อยู่ในระดับชั้นสูงสุดของงานทางด้านนี้ผู้นำทางด้าน AI Microsoft การกลับประเทศของเขาถึงกลับทำให้ประเทศหรัฐฯสั่นคลอนแม้แต่ Bill Gates ยังรู้สึกเสียดาย ปัจจุบันเขาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย ต้าชิง สร้างบุคลากรทางด้าน AI ให้กับประเทศจีน 4. เซี่ย เสี่ยว เกา ( 谢小高 ) ศึกษาและทำงานที่ต่างประเทศ 30 กว่าปี สุดท้ายยอมสละทิ้งตำแหน่งอาจารย์ของมหาวิทยาลัย Harvard มาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง เขาเป็นคนจีนที่ใด้รับรางวัลโนเบลคนหนึ่ง เป็นบุคคลผู้นำระหว่างประเทศทางด้านชีววิทยา ฟิสิกส์ เคมี การวิจัยพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์ สหรัฐฯใช้เงินรางวัลถึง 40 ล้านเหรียญก็ไม่สามารถรั้งเข้าไว้ได้ หลังกลับประเทศเขาก็เริ่มเสนอการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเกี่ยวการวิจัยหลายรายการ นำพานักเรียนสู่การวิจัยที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง นักวิทยาศาสตร์จีนที่เก่งๆจำนวนมากทะยอยกลับประเทศจีนไม่ขาดสาย จะเป็นผลดีต่อประเทศเร็วขึ้น Cr: Boonchu Chung (羅文娟) จีนปฏิรูปการศึกษาต่อทันทีหลังคุมโควิด19ได้เบ็ดเสร็จแล้ว - ห้ามการสอบข้อเขียนในเด็กเล็ก, ลดการสอบต่างๆ, ลดการบ้าน, ให้บริษัทกวดวิชาเอกชนเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร, เลิกการมีห้องเรียนพิเศษสำหรับเด็กอัจฉริยะ, ลดเวลาการเล่มเกมของเด็ก, ปรับให้ครูไปรับตำแหน่งในร.ร. อื่นๆทุก 6 ปีป้องกันครูที่มีความรู้ความสามารถกระจุกตัวอยู่ในร.ร.บางแห่ง การปฏิรูปการศึกษาที่จีน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ดิฉันทึ่งกับการแก้ปัญหาเรื่องการศึกษาของเด็กและเยาวชนในประเทศจีนเป็นอย่างมาก หลังจากติดตามข่าวคราวมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลจีนมีมาตรการทางด้านการศึกษามาโดยตลอด เพียงแต่มาสะดุดช่วงเกิดโรคระบาดโควิด-19 ที่ทำให้ต้องไปแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เมื่อโรคระบาดโควิด-19 ในจีนได้รับการบริหารจัดการแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในเวลาอันรวดเร็ว สถานการณ์ดีขึ้น รัฐบาลจีนก็เดินหน้าปฏิรูปการศึกษาต่อทันที ล่าสุดกระทรวงศึกษาธิการของจีนประกาศห้ามการสอบข้อเขียนสำหรับเด็กที่มีอายุ 6-7 ปี เพราะการสอบที่มากเกินไปส่งผลให้นักเรียนต้องรับภาระหนักและอยู่ภายใต้ความกดดัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตใจและร่างกายอย่างมาก กฎระเบียบใหม่ยังจำกัดการสอบในชั้นปีอื่น ๆ ของการศึกษาภาคบังคับ ไม่ให้เกินภาคการศึกษาละ 1 ครั้ง และห้ามท้องถิ่นจัดสอบระดับภูมิภาค หรือระหว่างโรงเรียน สำหรับชั้นประถมศึกษาทั้งหมด ส่วนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่ยังไม่จบการศึกษา ห้ามโรงเรียนจัดสอบย่อยรายสัปดาห์ สอบย่อยรายวิชา รวมถึงสอบรายเดือน และห้ามเลี่ยงไปเปิดการสอบในชื่ออื่น ๆ ด้วย ถือเป็นการเดินหน้าแผนปฏิรูปการศึกษาเพื่อลดความกดดันต่อนักเรียน และพ่อแม่ในระบบโรงเรียนที่มีการแข่งขันสูง ที่ผ่านมาระบบการศึกษาของจีนมุ่งเน้นที่ผลสอบ กำหนดให้นักเรียนต้องเข้าสอบตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนตั้งแต่ปีแรก ไปจนถึงการสอบเข้ามหาวิทยาลัยสำหรับนักเรียนอายุ 18 ปี ที่เรียกกันในภาษาจีนว่า “เกาเข่า” ทำให้เกิดการแข่งขันกันอย่างดุเดือด ประมาณว่าถ้าพลาดไปเพียงคะแนนเดียว ก็สามารถชี้ขาดอนาคตได้ ทำให้เกิดการแข่งขันกันอย่างหนัก และแย่งกันกวดวิชาสุดฤทธิ์ และนั่นหมายความว่าเมื่อกระทรวงศึกษาของจีนประกาศปฏิรูปการศึกษาในทุกระดับ ก็ต้องรวมถึงแนวทางการจัดการโรงเรียนกวดวิชาด้วย โดยเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จีนได้สั่งให้บรรดาบริษัทกวดวิชาของเอกชนทั้งหมดแปลงเป็นองค์กรที่ไม่แสวงผลกำไร โดยให้สถาบันติวเตอร์เหล่านี้สอนบทเรียนได้เฉพาะวันหยุดสุดสัปดาห์วันละ 1 ชั่วโมง และห้ามสอนวิชาหลัก นี่ยังไม่นับรวมถึงนโยบายเรื่องครูในสถานศึกษา ที่ต้องให้สลับปรับเปลี่ยนกันไปรับตำแหน่งในโรงเรียนต่าง ๆ ทุก 6 ปี เพื่อป้องกันไม่ให้ครูที่มีความรู้ความสามารถกระจุกอยู่ในโรงเรียนระดับหัวกะทิบางแห่งเท่านั้น ที่สำคัญกว่านั้น ยังได้ออกตำเตือนไม่ให้โรงเรียนต่าง ๆ สร้างห้องเรียนพิเศษสำหรับเด็กที่มีพรสวรรค์ ประเภทห้องกิ๊ฟ(อัจฉริยะ) หรือห้องพิเศษใด ๆ และถ้าจำกันได้ เมื่อต้นปีกระทรวงศึกษาธิการบ้านเขาก็สั่งห้ามครูให้การบ้านแบบข้อเขียนสำหรับนักเรียนเกรด 1-2 รวมทั้งจำกัดการให้การบ้านนักเรียนมัธยมต้น ไม่ให้เกินวันละ 1.5 ชั่วโมง งานนี้เรียกว่าจีน “ยกเครื่อง” ปฏิรูปการศึกษาใหม่กันเลยทีเดียว โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาให้ได้ เลิกการสอบข้อเขียนในเด็กเล็ก ลดการบ้านเด็ก ละ ไม่ให้มีห้องเรียนพิเศษ คุมร.ร.กวดวิชาไม่ให้แสวงผลกำไร ห้ามร.ร.จัดอันดับคะแนนสอบ ปรับครูทุก 6 ปี ล่าสุดทางการเมืองเซี่ยงไฮ้ประกาศยกเลิกการสอบปลายภาควิชาภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา เพื่อลดภาระของนักเรียนและผู้ปกครอง ตามเสียงเรียกร้องเพื่อลดการให้ความสำคัญกับการเรียนภาษาอังกฤษในโรงเรียนรัฐบาล หลังจากนี้นักเรียนประถมจะสอบปลายภาคเฉพาะวิชาภาษาจีนและคณิตศาสตร์ ส่วนวิชาอื่นรวมทั้งภาษาอังกฤษจะวัดผลจากการประเมินของครูผู้สอน โดยไม่มีคะแนนสอบ นี่ยังไม่นับเรื่องที่จีนออกกฎหมายบังคับให้เด็กและเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เล่นเกมได้ไม่เกิน 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แค่ระหว่างเวลา 20.00-21.00 น. เฉพาะวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ในช่วงเปิดภาคเรียนเท่านั้น ส่วนช่วงปิดเทอม เด็กจะได้รับอนุญาตให้เล่นเกมออนไลน์ได้นานขึ้น แต่ยังจำกัดวันละ 60 นาที เป็นกฎใหม่ที่มีความพยายามเพื่อควบคุมพฤติกรรมเด็กติดเกมของจีน ที่ส่งผลต่อการศึกษาและชีวิตประจำวันของเด็กอย่างมาก ที่รวบรวมเรื่อง “ทึ่ง” เหล่านี้ขึ้นมา ก็เพราะ “อึ้ง” กับประเด็นปัญหาที่เหมือนในบ้านเราที่มีมาอย่างยาวนาน ซึ่งยังไม่ได้รับการชำระสะสาง แม้จะผ่านการปฏิรูปการศึกษาครั้งแรกตั้งแต่ปี 2542 และปัญหาเหล่านี้ก็ยังดำรงอยู่ ภาพที่สะท้อนชัดในบ้านเขาก็คือ การจัดการที่เด็ดขาด ลงมือทำทันที และแก้ปัญหาที่มีลักษณะโดมิโน่และส่งผลสัมพันธ์กันในเวลาที่ไล่เลี่ยแบบสอดรับกัน แม้จะยังไม่เห็นผล แต่สิ่งเหล่านี้คือข้อเรียกร้องที่เกิดขึ้นในบ้านเรามาตลอด และถ้าเรายังแก้ปัญหาทีละอย่าง เงื้อง่าทีละเรื่อง สุดท้ายก็แก้ปัญหาไม่ได้ซะที เล่าสู่กันฟังเฉย ๆ ไม่ได้คิดไม่ได้ฝันว่าจะเกิดขึ้นในบ้านเรา #ดร.สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน
    Love
    1
    0 Comments 0 Shares 136 Views 0 Reviews
  • เปิดตัว Thaitimes โซเชียลฯ สำหรับคนไทย

    นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อในเครือผู้จัดการ และผู้ดำเนินรายการ คุยทุกเรื่องกับสนธิ เปิดตัวแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ "ไทยไทมส์" (Thaitimes) อย่างเป็นทางการ ที่หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 29 ก.ย. โดยได้แนะนำนายอาทิตย์ เซกาล และนายกฤษณะ ผู้อยู่เบื้องหลังในการพัฒนาแพลตฟอร์มดังกล่าวบนเวทีอีกด้วย คาดว่าภายในสิ้นปี 2567 จะมีผู้ใช้งานมากกว่า 5 หมื่นคน และปีหน้า (2568) จะมีสมาชิกหลักแสนคน

    นายสนธิ กล่าวว่า ได้เปิดทดลองใช้แอปพลิเคชัน Thaitimes เป็นครั้งแรกตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา ถึงปัจจุบันเป็นเวลาประมาณ 1 เดือน มีผู้สมัครเข้าใช้แอปพลิเคชันนี้แล้วมากกว่า 2 หมื่นราย จุดเด่นของแอปพลิเคชันไทยไทมส์ คือ มีความเป็นสากลและความเป็นท้องถิ่นอยู่ในตัวเอง ซึ่งสิ่งโซเชียลมีเดียของต่างชาติขาดหายไป คือการใช้มาตรฐานเดียวกันหมดทั่วโลก ทั้งที่ทั่วโลกต้องการความหลากหลาย

    "สิ่งที่สำคัญคือ โซเชียลมีเดียต่างชาตินั้น รับงานรัฐบาลของตัวเองปิดกั้นข้อมูลข้อเท็จจริง ที่คนไทยหรือคนทั่วโลกควรรับรู้อย่างเช่น เรื่องโควิด-19 วัคซีน ผลกระทบของวัคซีน ซึ่งเป็นเรื่องความเป็นความตายของผู้คนทั่วโลก ... ทุกคนมั่นใจว่าแอปฯ นี้จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนไทย ในยุคที่แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ต่างประเทศเซ็นเซอร์ ปิดกั้นข้อมูลข้อเท็จจริง และแสวงหากำไรเกินควร" นายสนธิ ระบุ

    สำหรับแอปพลิเคชัน Thaitimes นอกจากจะมีหน้าโปร์ไฟล์สำหรับแบ่งปันเรื่องราวแล้ว ยังมีเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" จากรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ เพจ "ความจริงมีหนึ่งเดียว" ถ่ายทอดสดงานความจริงมีหนึ่งเดียว เพจ "News1" ของสถานีข่าวนิวส์วัน เพจ "Thanong Fanclub" ของนายทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวต่างประเทศ เรื่องราวด้านสุขภาพจากเพจ "ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์" ของ อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต และเพจ "Thiravat Hemachudha" ของ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นต้น

    ผู้ใช้งานสามารถสมัครฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้ที่ App Store และ Google Play Store หากพบปัญหาการใช้งาน หรือดูวิธีการสมัครต่างๆ แจ้งได้ที่เพจ Thaitimes Help Center หรือแจ้งปัญหาการใช้งานได้ที่ไลน์ @sondhitalk

    #Newskit #Thaitimes #ไทยไทมส์
    เปิดตัว Thaitimes โซเชียลฯ สำหรับคนไทย นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อในเครือผู้จัดการ และผู้ดำเนินรายการ คุยทุกเรื่องกับสนธิ เปิดตัวแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ "ไทยไทมส์" (Thaitimes) อย่างเป็นทางการ ที่หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 29 ก.ย. โดยได้แนะนำนายอาทิตย์ เซกาล และนายกฤษณะ ผู้อยู่เบื้องหลังในการพัฒนาแพลตฟอร์มดังกล่าวบนเวทีอีกด้วย คาดว่าภายในสิ้นปี 2567 จะมีผู้ใช้งานมากกว่า 5 หมื่นคน และปีหน้า (2568) จะมีสมาชิกหลักแสนคน นายสนธิ กล่าวว่า ได้เปิดทดลองใช้แอปพลิเคชัน Thaitimes เป็นครั้งแรกตั้งแต่ช่วงปลายเดือน ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา ถึงปัจจุบันเป็นเวลาประมาณ 1 เดือน มีผู้สมัครเข้าใช้แอปพลิเคชันนี้แล้วมากกว่า 2 หมื่นราย จุดเด่นของแอปพลิเคชันไทยไทมส์ คือ มีความเป็นสากลและความเป็นท้องถิ่นอยู่ในตัวเอง ซึ่งสิ่งโซเชียลมีเดียของต่างชาติขาดหายไป คือการใช้มาตรฐานเดียวกันหมดทั่วโลก ทั้งที่ทั่วโลกต้องการความหลากหลาย "สิ่งที่สำคัญคือ โซเชียลมีเดียต่างชาตินั้น รับงานรัฐบาลของตัวเองปิดกั้นข้อมูลข้อเท็จจริง ที่คนไทยหรือคนทั่วโลกควรรับรู้อย่างเช่น เรื่องโควิด-19 วัคซีน ผลกระทบของวัคซีน ซึ่งเป็นเรื่องความเป็นความตายของผู้คนทั่วโลก ... ทุกคนมั่นใจว่าแอปฯ นี้จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนไทย ในยุคที่แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ต่างประเทศเซ็นเซอร์ ปิดกั้นข้อมูลข้อเท็จจริง และแสวงหากำไรเกินควร" นายสนธิ ระบุ สำหรับแอปพลิเคชัน Thaitimes นอกจากจะมีหน้าโปร์ไฟล์สำหรับแบ่งปันเรื่องราวแล้ว ยังมีเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" จากรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ เพจ "ความจริงมีหนึ่งเดียว" ถ่ายทอดสดงานความจริงมีหนึ่งเดียว เพจ "News1" ของสถานีข่าวนิวส์วัน เพจ "Thanong Fanclub" ของนายทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวต่างประเทศ เรื่องราวด้านสุขภาพจากเพจ "ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์" ของ อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต และเพจ "Thiravat Hemachudha" ของ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นต้น ผู้ใช้งานสามารถสมัครฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้ที่ App Store และ Google Play Store หากพบปัญหาการใช้งาน หรือดูวิธีการสมัครต่างๆ แจ้งได้ที่เพจ Thaitimes Help Center หรือแจ้งปัญหาการใช้งานได้ที่ไลน์ @sondhitalk #Newskit #Thaitimes #ไทยไทมส์
    Like
    Love
    Yay
    Haha
    161
    13 Comments 5 Shares 7399 Views 6 Reviews
  • ขั้นตอนการสมัคร ChatGPT https://youtu.be/Kfgee8Jl9Bo #chatgpt
    ขั้นตอนการสมัคร ChatGPT https://youtu.be/Kfgee8Jl9Bo #chatgpt
    0 Comments 0 Shares 43 Views 0 Reviews
  • อัพเดท ตอนนี้ได้ปรับแต่ง Resume ให้สมบูรณ์แบบเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ เนื่องจากอันก่อนหน้านั้นเป็นตัวทดสอบ แต่อันนี้ผมหวังว่าคงใช้ได้ และมีการอัพเดทเรื่อยๆ เพราะอาจจะมีงานใหม่ และอาจจะปรับเปลี่ยนตามกาลเวลาและผลงานที่เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆและต่อเนื่อง
    ส่วน Portfolio ยังไม่ได้เริ่มทำและออกแบบครับ
    เพราะหัวใจหลักในการสมัครงาน หรือขายผลงาน (เน้นขายผลงาน ทำงานอยู่ที่บ้าน WFH มากกว่า ณ ตอนนี้ เพราะ ผมสะดวกแบบนี้มาตลอดครับ)
    ตอนเรียนไม่ค่อยสร้างผลงาน ชิ้นงานอย่างต่อเนื่อง และไม่เริ่มทำฟรีแลนซ์ แต่คงต้องหาลูกค้าเพิ่มโดยลงมือทำครับ
    อัพเดท ตอนนี้ได้ปรับแต่ง Resume ให้สมบูรณ์แบบเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ เนื่องจากอันก่อนหน้านั้นเป็นตัวทดสอบ แต่อันนี้ผมหวังว่าคงใช้ได้ และมีการอัพเดทเรื่อยๆ เพราะอาจจะมีงานใหม่ และอาจจะปรับเปลี่ยนตามกาลเวลาและผลงานที่เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆและต่อเนื่อง ส่วน Portfolio ยังไม่ได้เริ่มทำและออกแบบครับ เพราะหัวใจหลักในการสมัครงาน หรือขายผลงาน (เน้นขายผลงาน ทำงานอยู่ที่บ้าน WFH มากกว่า ณ ตอนนี้ เพราะ ผมสะดวกแบบนี้มาตลอดครับ) ตอนเรียนไม่ค่อยสร้างผลงาน ชิ้นงานอย่างต่อเนื่อง และไม่เริ่มทำฟรีแลนซ์ แต่คงต้องหาลูกค้าเพิ่มโดยลงมือทำครับ
    0 Comments 0 Shares 131 Views 0 Reviews
  • รู้สึกเหมือนได้เริ่มในโลกใหม่เพราะแพลตฟอร์มยอดนิยมเดิมผมไม่สันทัดมุมมองนี้น่าจะเป็นกลุ่มบุคคลที่ได้คัดกรองมาส่วนหนึ่งจากการรับรู้ในการสมัครสมาชิกในช่วงแรกเพราะเป็นกลุ่มคนที่มีความคิดเหมือนกันคือต้องการค้นหาความจริงความถูกต้องความดีเลยเป็นแหล่งที่น่าจะมีคุณภาพกว่าแพลตฟอร์มหลักปัจจุบันผมจึงตัดสินใจทำเรื่องสนุกๆขึ้นมากับชีวิตถือว่าเริ่มตื่นเต้นเหมือนกัน
    การเขียนการเล่าออกมาโดยไม่ได้คาดหวังอะไรยิ่งทำให้เรารู้สึกอยากจะเล่ามันออกไปเรื่อยๆวันนี้วันแรกผมก็เริ่มสนุกแล้ว
    รู้สึกเหมือนได้เริ่มในโลกใหม่เพราะแพลตฟอร์มยอดนิยมเดิมผมไม่สันทัดมุมมองนี้น่าจะเป็นกลุ่มบุคคลที่ได้คัดกรองมาส่วนหนึ่งจากการรับรู้ในการสมัครสมาชิกในช่วงแรกเพราะเป็นกลุ่มคนที่มีความคิดเหมือนกันคือต้องการค้นหาความจริงความถูกต้องความดีเลยเป็นแหล่งที่น่าจะมีคุณภาพกว่าแพลตฟอร์มหลักปัจจุบันผมจึงตัดสินใจทำเรื่องสนุกๆขึ้นมากับชีวิตถือว่าเริ่มตื่นเต้นเหมือนกัน การเขียนการเล่าออกมาโดยไม่ได้คาดหวังอะไรยิ่งทำให้เรารู้สึกอยากจะเล่ามันออกไปเรื่อยๆวันนี้วันแรกผมก็เริ่มสนุกแล้ว
    0 Comments 0 Shares 224 Views 0 Reviews
  • สวิตเซอร์แลนดจะขับไล่นักวิทยาศาสตร์รัสเซียนหลายร้อยคนออกจากCERN

    นักวิจัยชาวรัสเซียหลายร้อยคนที่ทำงานในห้องปฏิบัติการฟิสิกส์อนุภาค CERN ในสวิตเซอร์แลนด์จะต้องออกจากประเทศในเทือกเขาแอลป์ในช่วงปลายปีนี้ วารสาร Nature รายงานเมื่อวันพุธ

    วารสารดังกล่าวระบุว่า องค์กรวิจัยนิวเคลียร์ยุโรป (CERN) มีแผนที่จะยุติข้อตกลงความร่วมมือกับรัสเซียในวันที่ 1 ธันวาคม โดยห้ามนักวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับรัสเซียทั้งหมดเข้าทำงานในสำนักงาน นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้จะถูกเพิกถอนใบอนุญาตพำนักในฝรั่งเศสหรือสวิตเซอร์แลนด์ที่พวกเขาถืออยู่ในปัจจุบันอีกด้วย

    CERN ได้ประกาศแผนการตัดความสัมพันธ์กับผู้เชี่ยวชาญชาวรัสเซียไปแล้วเมื่อต้นปีนี้ โดยได้ตัดสินใจที่จะไม่ขยายข้อตกลงความร่วมมือกับรัสเซียออกไปในเดือนธันวาคม 2023 ซึ่งข้อตกลงที่มีอยู่จะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 พฤศจิกายน

    ในเดือนมีนาคม หัวหน้าฝ่ายสื่อสารมวลชนของ CERN กล่าวว่าองค์กรยังคงมีผู้เชี่ยวชาญ "น้อยกว่า 500 คนที่ยังคงเกี่ยวข้องกับองค์กรของรัสเซีย" และเสริมว่าจะไม่มีนักวิทยาศาสตร์รัสเซียทำงานที่ CERN ได้เมื่อข้อตกลงสิ้นสุดลง

    CERNเริ่มให้ความร่วมมือกับสหภาพโซเวียตตั้งแต่ปี 1955 แม้ว่าสหภาพโซเวียตและรัสเซียจะไม่เคยเป็นสมาชิกเต็มตัวก็ตาม รัสเซียได้ยื่นสมัครเข้าเป็นสมาชิกสมทบในปี 2012 แต่ได้ถอนการสมัครในหกปีต่อมา และยังคงสถานะผู้สังเกตการณ์นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

    ในเดือนมีนาคม 2022 CERN ได้ระงับสถานะผู้สังเกตการณ์นี้เพื่อตอบสนองต่อการเริ่มต้นปฏิบัติการทางทหารของรัสเซียในยูเครน

    รัสเซียมีส่วนสนับสนุนทางการเงินให้กับองค์กรและช่วยสร้างเครื่องเร่งอนุภาคแฮดรอนขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นเครื่องเร่งอนุภาคที่ใหญ่ที่สุดและทรงพลังที่สุดในโลก ซึ่งประสบความสำเร็จในการให้อนุภาคชนกันชนกันครั้งแรกในปี 2010 เครื่องเร่งอนุภาคนี้ทำให้เหล่านักวิทยาศาสตร์สามารถยืนยันการมีอยู่ของโบซอนฮิกส์ ซึ่งเป็นอนุภาคที่ให้มวลแก่อนุภาคอื่นๆ เช่น อิเล็กตรอนและควาร์ก

    การสูญเสียการสนับสนุนของรัสเซียในการอัพเกรดเครื่องเร่งอนุภาคความเข้มสูงตามกำหนดในปี 2029 จะทำให้ CERN สูญเสียเงินไปประมาณ 40 ล้านฟรังก์สวิส (47 ล้านดอลลาร์) ตามรายงานของ Nature

    ฮันเนส ยุง นักฟิสิกส์อนุภาคจาก German Electron Synchrotron ในเมืองฮัมบูร์ก ซึ่งทำงานร่วมกับ CERN ด้วย กล่าวกับ Natureว่า การตัดความสัมพันธ์กับรัสเซียยังหมายถึงการถดถอยสำหรับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์อีกด้วย

    “มันจะทิ้งช่องว่างไว้” ผมคิดว่ามันเป็นภาพลวงตาที่เชื่อว่านักวิทยาศาสตร์คนอื่นสามารถปกปิดเรื่องนี้ได้ง่ายๆ” จุง ซึ่งเป็นสมาชิกของ Science4Peace Forum ซึ่งเป็นกลุ่มที่รณรงค์ต่อต้านข้อจำกัดในความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศ กล่าว

    CERN ยังคงคาดว่าจะทำงานร่วมกับสถาบันวิจัยนิวเคลียร์ร่วม (JINR) ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยระหว่างรัฐบาลที่ตั้งอยู่ใกล้กับมอสโกว์ ซึ่งดำเนินการเครื่องชนอนุภาคแฮดรอนของตัวเองแม้ว่าจะมีขนาดเล็กกว่าก็ตาม

    องค์กรดังกล่าวโต้แย้งว่าข้อตกลงกับ JINR นั้นแยกจากข้อตกลงกับรัฐบาลรัสเซีย อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจดำเนินการดังกล่าวยังคงได้รับการประณามจากยูเครน ซึ่งเป็นสมาชิกสมทบของ CERN
    21/9/2024
    สวิตเซอร์แลนดจะขับไล่นักวิทยาศาสตร์รัสเซียนหลายร้อยคนออกจากCERN นักวิจัยชาวรัสเซียหลายร้อยคนที่ทำงานในห้องปฏิบัติการฟิสิกส์อนุภาค CERN ในสวิตเซอร์แลนด์จะต้องออกจากประเทศในเทือกเขาแอลป์ในช่วงปลายปีนี้ วารสาร Nature รายงานเมื่อวันพุธ วารสารดังกล่าวระบุว่า องค์กรวิจัยนิวเคลียร์ยุโรป (CERN) มีแผนที่จะยุติข้อตกลงความร่วมมือกับรัสเซียในวันที่ 1 ธันวาคม โดยห้ามนักวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับรัสเซียทั้งหมดเข้าทำงานในสำนักงาน นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้จะถูกเพิกถอนใบอนุญาตพำนักในฝรั่งเศสหรือสวิตเซอร์แลนด์ที่พวกเขาถืออยู่ในปัจจุบันอีกด้วย CERN ได้ประกาศแผนการตัดความสัมพันธ์กับผู้เชี่ยวชาญชาวรัสเซียไปแล้วเมื่อต้นปีนี้ โดยได้ตัดสินใจที่จะไม่ขยายข้อตกลงความร่วมมือกับรัสเซียออกไปในเดือนธันวาคม 2023 ซึ่งข้อตกลงที่มีอยู่จะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 พฤศจิกายน ในเดือนมีนาคม หัวหน้าฝ่ายสื่อสารมวลชนของ CERN กล่าวว่าองค์กรยังคงมีผู้เชี่ยวชาญ "น้อยกว่า 500 คนที่ยังคงเกี่ยวข้องกับองค์กรของรัสเซีย" และเสริมว่าจะไม่มีนักวิทยาศาสตร์รัสเซียทำงานที่ CERN ได้เมื่อข้อตกลงสิ้นสุดลง CERNเริ่มให้ความร่วมมือกับสหภาพโซเวียตตั้งแต่ปี 1955 แม้ว่าสหภาพโซเวียตและรัสเซียจะไม่เคยเป็นสมาชิกเต็มตัวก็ตาม รัสเซียได้ยื่นสมัครเข้าเป็นสมาชิกสมทบในปี 2012 แต่ได้ถอนการสมัครในหกปีต่อมา และยังคงสถานะผู้สังเกตการณ์นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในเดือนมีนาคม 2022 CERN ได้ระงับสถานะผู้สังเกตการณ์นี้เพื่อตอบสนองต่อการเริ่มต้นปฏิบัติการทางทหารของรัสเซียในยูเครน รัสเซียมีส่วนสนับสนุนทางการเงินให้กับองค์กรและช่วยสร้างเครื่องเร่งอนุภาคแฮดรอนขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นเครื่องเร่งอนุภาคที่ใหญ่ที่สุดและทรงพลังที่สุดในโลก ซึ่งประสบความสำเร็จในการให้อนุภาคชนกันชนกันครั้งแรกในปี 2010 เครื่องเร่งอนุภาคนี้ทำให้เหล่านักวิทยาศาสตร์สามารถยืนยันการมีอยู่ของโบซอนฮิกส์ ซึ่งเป็นอนุภาคที่ให้มวลแก่อนุภาคอื่นๆ เช่น อิเล็กตรอนและควาร์ก การสูญเสียการสนับสนุนของรัสเซียในการอัพเกรดเครื่องเร่งอนุภาคความเข้มสูงตามกำหนดในปี 2029 จะทำให้ CERN สูญเสียเงินไปประมาณ 40 ล้านฟรังก์สวิส (47 ล้านดอลลาร์) ตามรายงานของ Nature ฮันเนส ยุง นักฟิสิกส์อนุภาคจาก German Electron Synchrotron ในเมืองฮัมบูร์ก ซึ่งทำงานร่วมกับ CERN ด้วย กล่าวกับ Natureว่า การตัดความสัมพันธ์กับรัสเซียยังหมายถึงการถดถอยสำหรับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์อีกด้วย “มันจะทิ้งช่องว่างไว้” ผมคิดว่ามันเป็นภาพลวงตาที่เชื่อว่านักวิทยาศาสตร์คนอื่นสามารถปกปิดเรื่องนี้ได้ง่ายๆ” จุง ซึ่งเป็นสมาชิกของ Science4Peace Forum ซึ่งเป็นกลุ่มที่รณรงค์ต่อต้านข้อจำกัดในความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์ระหว่างประเทศ กล่าว CERN ยังคงคาดว่าจะทำงานร่วมกับสถาบันวิจัยนิวเคลียร์ร่วม (JINR) ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยระหว่างรัฐบาลที่ตั้งอยู่ใกล้กับมอสโกว์ ซึ่งดำเนินการเครื่องชนอนุภาคแฮดรอนของตัวเองแม้ว่าจะมีขนาดเล็กกว่าก็ตาม องค์กรดังกล่าวโต้แย้งว่าข้อตกลงกับ JINR นั้นแยกจากข้อตกลงกับรัฐบาลรัสเซีย อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจดำเนินการดังกล่าวยังคงได้รับการประณามจากยูเครน ซึ่งเป็นสมาชิกสมทบของ CERN 21/9/2024
    Like
    Sad
    Haha
    Wow
    Angry
    42
    2 Comments 0 Shares 1136 Views 0 Reviews
  • ขั้นตอนการสมัครสมาชิกในแอป Thaitimes

    ###ขั้นตอนที่ 1: การดาวน์โหลดและติดตั้งแอป

    1. ไปที่ Play Store หรือ App Store พิมพ์ค้นหา “Thaitimes” แล้วกดปุ่ม “Get” หรือ “Install” เพื่อติดตั้งแอปลงในอุปกรณ์ของคุณ
    2. หลังจากการติดตั้งเสร็จสิ้น เปิดแอป Thaitimes ขึ้นมาเพื่อเริ่มต้นการสมัครสมาชิก

    ###ขั้นตอนที่ 2: การสมัครสมาชิก

    3. เมื่อเปิดแอปแล้วจะเห็นหน้าจอเข้าสู่ระบบ (Sign In) ถ้าคุณยังไม่มีบัญชี ให้คลิกที่ “Sign Up” หรือ “สมัครสมาชิก” ที่ด้านล่างของหน้าจอ

    ###ขั้นตอนที่ 3: การกรอกข้อมูลสมัครสมาชิก

    4. กรอกข้อมูลในช่องที่กำหนดให้ครบถ้วน

    1. ช่องรูปคน (👤): ชื่อ นามสกุล
    • “ใส่ ชื่อ และ นามสกุล ของคุณให้ครบถ้วน”
    2. ช่องรูปโลก (🌐): Login App (ชื่อผู้ใช้/เบอร์โทรศัพท์สำหรับเข้าสู่ระบบ)
    • “ใส่เบอร์โทรศัพท์หรือชื่อผู้ใช้สำหรับการเข้าสู่ระบบครับ/ค่ะ (ห้ามเว้นวรรค)”
    3. ช่องรูปซองจดหมาย (✉️): Email (อีเมล)
    • “ใส่อีเมลของคุณ เพื่อรับรหัส OTP สำหรับการยืนยันตัวตน”
    4. ช่องรูปแม่กุญแจ (🔒): Password (รหัสผ่าน)
    • “ตั้งรหัสผ่านที่มีความยาวอย่างน้อย 6 ตัวอักษร”
    5. เมื่อกรอกข้อมูลครบแล้ว ให้ตรวจสอบและคลิก “Sign Up” เพื่อสมัครสมาชิก

    ###ขั้นตอนที่ 4: การยืนยันตัวตน

    6. ระบบจะส่งรหัส OTP ไปยังอีเมลที่คุณกรอกไว้ ให้คุณเปิดอีเมลของคุณเพื่อนำรหัส OTP มากรอกในช่อง “Enter OTP”
    7. หลังจากกรอกรหัส OTP แล้ว ให้คลิก “Verify” เพื่อยืนยันตัวตน

    ###ขั้นตอนที่ 5: การตั้งค่าขั้นต้น

    8. ระบบจะนำคุณเข้าสู่ขั้นตอนการตั้งค่าขั้นต้น 3 ขั้นตอน
    • Step 1: อัปโหลดรูปภาพโปรไฟล์ของคุณ
    • Step 2: อัปเดตข้อมูลส่วนตัว เช่น ที่อยู่หรือข้อมูลเพิ่มเติม
    • Step 3: เพิ่มเพื่อนในแอป
    คุณสามารถข้ามแต่ละขั้นตอนโดยการคลิกที่ “Next Step”

    ###ขั้นตอนที่ 6: เสร็จสิ้นการสมัคร

    9. เมื่อถึงขั้นตอนสุดท้าย Step 3 หลังจากเพิ่มเพื่อนหรือข้ามไป ให้คลิกปุ่ม “Finish” เพื่อเสร็จสิ้นการสมัครสมาชิก เพียงเท่านี้คุณก็สามารถเริ่มใช้งานแอป Thaitimes ได้ทันที

    #thaitimes #howto
    ขั้นตอนการสมัครสมาชิกในแอป Thaitimes ###ขั้นตอนที่ 1: การดาวน์โหลดและติดตั้งแอป 1. ไปที่ Play Store หรือ App Store พิมพ์ค้นหา “Thaitimes” แล้วกดปุ่ม “Get” หรือ “Install” เพื่อติดตั้งแอปลงในอุปกรณ์ของคุณ 2. หลังจากการติดตั้งเสร็จสิ้น เปิดแอป Thaitimes ขึ้นมาเพื่อเริ่มต้นการสมัครสมาชิก ###ขั้นตอนที่ 2: การสมัครสมาชิก 3. เมื่อเปิดแอปแล้วจะเห็นหน้าจอเข้าสู่ระบบ (Sign In) ถ้าคุณยังไม่มีบัญชี ให้คลิกที่ “Sign Up” หรือ “สมัครสมาชิก” ที่ด้านล่างของหน้าจอ ###ขั้นตอนที่ 3: การกรอกข้อมูลสมัครสมาชิก 4. กรอกข้อมูลในช่องที่กำหนดให้ครบถ้วน 1. ช่องรูปคน (👤): ชื่อ นามสกุล • “ใส่ ชื่อ และ นามสกุล ของคุณให้ครบถ้วน” 2. ช่องรูปโลก (🌐): Login App (ชื่อผู้ใช้/เบอร์โทรศัพท์สำหรับเข้าสู่ระบบ) • “ใส่เบอร์โทรศัพท์หรือชื่อผู้ใช้สำหรับการเข้าสู่ระบบครับ/ค่ะ (ห้ามเว้นวรรค)” 3. ช่องรูปซองจดหมาย (✉️): Email (อีเมล) • “ใส่อีเมลของคุณ เพื่อรับรหัส OTP สำหรับการยืนยันตัวตน” 4. ช่องรูปแม่กุญแจ (🔒): Password (รหัสผ่าน) • “ตั้งรหัสผ่านที่มีความยาวอย่างน้อย 6 ตัวอักษร” 5. เมื่อกรอกข้อมูลครบแล้ว ให้ตรวจสอบและคลิก “Sign Up” เพื่อสมัครสมาชิก ###ขั้นตอนที่ 4: การยืนยันตัวตน 6. ระบบจะส่งรหัส OTP ไปยังอีเมลที่คุณกรอกไว้ ให้คุณเปิดอีเมลของคุณเพื่อนำรหัส OTP มากรอกในช่อง “Enter OTP” 7. หลังจากกรอกรหัส OTP แล้ว ให้คลิก “Verify” เพื่อยืนยันตัวตน ###ขั้นตอนที่ 5: การตั้งค่าขั้นต้น 8. ระบบจะนำคุณเข้าสู่ขั้นตอนการตั้งค่าขั้นต้น 3 ขั้นตอน • Step 1: อัปโหลดรูปภาพโปรไฟล์ของคุณ • Step 2: อัปเดตข้อมูลส่วนตัว เช่น ที่อยู่หรือข้อมูลเพิ่มเติม • Step 3: เพิ่มเพื่อนในแอป คุณสามารถข้ามแต่ละขั้นตอนโดยการคลิกที่ “Next Step” ###ขั้นตอนที่ 6: เสร็จสิ้นการสมัคร 9. เมื่อถึงขั้นตอนสุดท้าย Step 3 หลังจากเพิ่มเพื่อนหรือข้ามไป ให้คลิกปุ่ม “Finish” เพื่อเสร็จสิ้นการสมัครสมาชิก เพียงเท่านี้คุณก็สามารถเริ่มใช้งานแอป Thaitimes ได้ทันที #thaitimes #howto
    Like
    Love
    6
    4 Comments 1 Shares 1417 Views 1 Reviews
  • พรรคประชาชน ปล้นประชาชนผ่านการสมัครสมาชิก เพราะบังคับระบุ "เลขหลังบัตร" สามารถนำไปใช้ทำธุรกรรมแทนได้ ขนาดธนาคารยังเตือนห้ามหลุดเลขหลังบัตรให้มิจฉาชีพ แต่พรรคประชาชนทำซะเอง
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #เลขหลังบัตร
    พรรคประชาชน ปล้นประชาชนผ่านการสมัครสมาชิก เพราะบังคับระบุ "เลขหลังบัตร" สามารถนำไปใช้ทำธุรกรรมแทนได้ ขนาดธนาคารยังเตือนห้ามหลุดเลขหลังบัตรให้มิจฉาชีพ แต่พรรคประชาชนทำซะเอง #คิงส์โพธิ์แดง #เลขหลังบัตร
    Like
    Haha
    2
    0 Comments 0 Shares 239 Views 0 Reviews
  • #เลื่อนร้านค้าลงทะเบียนไม่เลื่อนได้ไงไม่มีอะไรเสร็จจริงซักอย่าง
    หลังจากที่รัฐบาลได้ยื่นให้คณะรัฐมนตรี ลงมติว่าจะทำดิจิตอลวอลเลท
    ได้คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัต "หลักการ"
    หากตามขั้นตอน ต้องมีการยื่นเมื่อขอมติในเชิง วิธีการ ขั้นตอน ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำจนเสร็จสิ้นกระบวนการ
    ...แต่ปรากฏว่า รัฐบาลได้สั่งดำเนินการจัดสร้างแอพ รวมถึงให้ประชาชนทำการสมัครลงทะเบียนผ่านแอพที่เอกชนได้เป็นผู้รับจ้าง โดยย้ำว่า ทั้งหมดนี้ เป็นการทำโดยพละการ ไม่ได้ผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี และอย่าว่าผ่านมติรัฐมนตรีเลย แค่คณะวางแผนยังไม่สเด็ดน้ำกันเลย เปลี่ยนกันได้วันต่อวัน
    ...เมื่อสืบต่อจะทราบ ว่ายังไม่มีการคอนเนคใดๆกับธนาคารพาณิชย์ ที่ท้ายที่สุดต้องมีการเชื่อมต่อกับธนาคารต่างๆ
    ...ยังไม่รวมไปถึง ที่มาขอการใช้งบ ที่มีสภาวะคลุมเคลือ แต่สุดท้าย มีคนจับได้ว่าจะนำเงินฉุกเฉินของชาติ ที่ปกติจะต้องมีสำรองสำหรับปัญหาฉุกเฉินจริงๆ หรือเรื่องของการนำงบก้อนนี้ไปอยู่ในงบที่ผิดประเภท เอาง่ายๆว่า จะเอาเงินมาจากตรงไหนนั้น ส่วนนี้ ก็ยังไม่มีมติจากคณะรัฐมนตรีเช่นกัน
    ...พอมาดูเรื่องของระบบการทำงานของแอพ ที่หลายคนไม่รู้ ว่ากระบวนการจ้างเอกชน เข้ามาดำเนินการ ยังมีอีกบางส่วน ที่ขณะนี้เองก็ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะให้ใครมารับผิดชอบ หรือรับงานส่วนนี้
    ...พี่คิงส์โพธิ์แดง ยิ่งรับรู้ก็ยิ่งงง ว่าโดยปกติ ทุกอย่างมันต้องทำเสร็จสำเร็จ พร้อมแล้ว จึงให้ประชาชนลงทะเบียน แต่ครั้งนี้ ยังไม่มีอะไรเสร็จซักอย่าง แต่กลับให้ประชาชนเร่งลงทะเบียน อย่างรวดเร็ว
    โดยมีคำถามว่า ขั้นตอนต่างๆที่ยังไม่เสร็จ ทั้งมติคณะรัฐมนตรี ทั้งด้านเทคนิค รวมถึงระบบการคอนเน็คกับธนาคารพาณิชย์ และบริษัทเอกชน รวมถึงที่มาของงบประมาณ หากมีเรื่องผิดขั้นตอนที่ผิดกฏหมาย หรือมีหลายส่วนที่หากเกิดการสะดุด นั่นหมายถึงเปอร์เซ็นต์ที่ดิจิตอลวอลเลทจะไม่สำเร็จ ก็ยังมีสูงมาก
    คำถามคือ
    1. ถ้ามันไปต่อไม่ได้ แล้วข้อมูลที่ประชาชนแห่ลงทะเบียน อยู่บนมือบริษัทเอกชน ดาต้านี้ ใครจะรับผิดชอบ
    2. ถ้านายกนิดไม่ได้ไปต่อ นายกคนต่อไปไม่ต่อแน่สำหรับโปรเจคนี้ แล้วใครจะเป็นคนรับผิดชอบกับสิ่งที่เสียไปในภาคประชาชน
    3. ประชาชนที่มีความมั่นใจว่าจะได้ จำนวนไม่น้อย ยอมลงทุนกับการซื้อโทรศัพท์มือถือมาเพื่อการนี้ แต่กลับไม่ได้ในสิ่งที่รัฐบาลสัญญาไว้ เหมือนทำให้เชื่อโดยไม่มีใครรับผิดชอบ
    ดังนั้น จึงไม่แปลก ที่ภูมิธรรม ต้องมาประกาศเลื่อนสำหรับการลงทะเบียนร้านค้า เพราะมันไม่มีอะไรเสร็จจริงซักอย่าง และโดยเฉพาะโครงการนี้คนละเรื่องกับคนละครึ่ง เพราะร้านค้ารายย่อยที่ไม่มีสายป่านยาวพอจะไม่สามารถเข้าร่วมกับโครงการนี้ จะมีก็แต่ระดับร้านเจ้าสัวเท่านั้นที่มีระบบสายป่านรองรับ นี่ก็เป็นทางตันจุดสำคัญของโครงการนี้
    ฝ่ายที่ให้กำลังใจและเชียร์โครงการนี้ น่าเห็นใจที่สุด
    เพราะไม่รู้เลยว่า โครงการนี้ ยังอยู่ในขั้นตอนสร้างคอนเซ็บเท่านั้น
    ไม่ได้พร้อมใช้งานสำหรับประชาชน
    ดิจิตอลวอลเลท สำเร็จก็พัง
    ไม่สำเร็จก็พัง นักการเมืองมาแล้วก็ไป
    แต่ความเสียหายยังคงอยู่กับคนไทย ที่ต้องนั่งรับภาระความเสียหายไปอีกนาน
    ไม่ว่าจะเป็น เอาปตท สมบัติชาติ ไปเป็นของนายทุน ค่าน้ำมันคอนโทรลไม่ได้ กำไรมหาศาลบนความเดือดร้อนของคนทั้งประเทศ
    ค่าไฟ ยิ่งลักษณ์ไปเซ็นสัญญากับบริษัทเอกชน เกินกว่าความเป็นจริง ทำให้เราจ่ายค่า ft รวมถึงเป็นหนี้เอกชน คนไทยจึงต้องมาโดนคิดไฟเพิ่มเพื่อใช้หนี้เอกชน จนแทบลืมหูลืมตาไม่ขึ้น ยิ่งลักษณ์ได้ค่าตอบแทนจากสัญญานี้ไปแล้ว แต่คนไทยยังคงต้องชดใช้ไปอีกเกือบยี่สิบปี ลุงตู่เคยพยายามฟ้องเอกชนที่ฮั๊วสัญญากับยิ่งลักษณ์ ให้สัญญาเป็นโมฆะ แต่เอกชนและยิ่งลักษณ์ทำสัญญาไว้รัดกุม กลายเป็นว่า คนไทยต้องโดนค่าไฟที่แพงกว่านี้อีกมาก แค่ตอนนี้ พีระพันธิ์พยายามแก้ที่โครงสร้าง ที่ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง เพื่อต่อสู้กับทั้งนายทุน ปตท และบริษัทเอกชนผู้ถือสัญญากับการไฟฟ้า แต่พอน้ำมันขึ้นเพราะนายทุนผู้ถือหุ้นแสวงหาประโยชน์ พีระพันโดนด่า พอค่าไฟขึ้นเพราะสัญญาที่ยิ่งลักษณ์ฮั๊วกับเอกชน พีระพันธิ์โดนด่า เออ สนุกดี
    ของจริงมันเป็นแบบนี้ ก่อนจะเถียงไปหาข้อมูลก่อนสวน
    พี่คิงส์ของจริงอย่าทะลึ่ง บอกไว้ก่อนเลย
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #เลื่อนร้านค้าลงทะเบียนไม่เลื่อนได้ไงไม่มีอะไรเสร็จจริงซักอย่าง หลังจากที่รัฐบาลได้ยื่นให้คณะรัฐมนตรี ลงมติว่าจะทำดิจิตอลวอลเลท ได้คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัต "หลักการ" หากตามขั้นตอน ต้องมีการยื่นเมื่อขอมติในเชิง วิธีการ ขั้นตอน ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำจนเสร็จสิ้นกระบวนการ ...แต่ปรากฏว่า รัฐบาลได้สั่งดำเนินการจัดสร้างแอพ รวมถึงให้ประชาชนทำการสมัครลงทะเบียนผ่านแอพที่เอกชนได้เป็นผู้รับจ้าง โดยย้ำว่า ทั้งหมดนี้ เป็นการทำโดยพละการ ไม่ได้ผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี และอย่าว่าผ่านมติรัฐมนตรีเลย แค่คณะวางแผนยังไม่สเด็ดน้ำกันเลย เปลี่ยนกันได้วันต่อวัน ...เมื่อสืบต่อจะทราบ ว่ายังไม่มีการคอนเนคใดๆกับธนาคารพาณิชย์ ที่ท้ายที่สุดต้องมีการเชื่อมต่อกับธนาคารต่างๆ ...ยังไม่รวมไปถึง ที่มาขอการใช้งบ ที่มีสภาวะคลุมเคลือ แต่สุดท้าย มีคนจับได้ว่าจะนำเงินฉุกเฉินของชาติ ที่ปกติจะต้องมีสำรองสำหรับปัญหาฉุกเฉินจริงๆ หรือเรื่องของการนำงบก้อนนี้ไปอยู่ในงบที่ผิดประเภท เอาง่ายๆว่า จะเอาเงินมาจากตรงไหนนั้น ส่วนนี้ ก็ยังไม่มีมติจากคณะรัฐมนตรีเช่นกัน ...พอมาดูเรื่องของระบบการทำงานของแอพ ที่หลายคนไม่รู้ ว่ากระบวนการจ้างเอกชน เข้ามาดำเนินการ ยังมีอีกบางส่วน ที่ขณะนี้เองก็ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะให้ใครมารับผิดชอบ หรือรับงานส่วนนี้ ...พี่คิงส์โพธิ์แดง ยิ่งรับรู้ก็ยิ่งงง ว่าโดยปกติ ทุกอย่างมันต้องทำเสร็จสำเร็จ พร้อมแล้ว จึงให้ประชาชนลงทะเบียน แต่ครั้งนี้ ยังไม่มีอะไรเสร็จซักอย่าง แต่กลับให้ประชาชนเร่งลงทะเบียน อย่างรวดเร็ว โดยมีคำถามว่า ขั้นตอนต่างๆที่ยังไม่เสร็จ ทั้งมติคณะรัฐมนตรี ทั้งด้านเทคนิค รวมถึงระบบการคอนเน็คกับธนาคารพาณิชย์ และบริษัทเอกชน รวมถึงที่มาของงบประมาณ หากมีเรื่องผิดขั้นตอนที่ผิดกฏหมาย หรือมีหลายส่วนที่หากเกิดการสะดุด นั่นหมายถึงเปอร์เซ็นต์ที่ดิจิตอลวอลเลทจะไม่สำเร็จ ก็ยังมีสูงมาก คำถามคือ 1. ถ้ามันไปต่อไม่ได้ แล้วข้อมูลที่ประชาชนแห่ลงทะเบียน อยู่บนมือบริษัทเอกชน ดาต้านี้ ใครจะรับผิดชอบ 2. ถ้านายกนิดไม่ได้ไปต่อ นายกคนต่อไปไม่ต่อแน่สำหรับโปรเจคนี้ แล้วใครจะเป็นคนรับผิดชอบกับสิ่งที่เสียไปในภาคประชาชน 3. ประชาชนที่มีความมั่นใจว่าจะได้ จำนวนไม่น้อย ยอมลงทุนกับการซื้อโทรศัพท์มือถือมาเพื่อการนี้ แต่กลับไม่ได้ในสิ่งที่รัฐบาลสัญญาไว้ เหมือนทำให้เชื่อโดยไม่มีใครรับผิดชอบ ดังนั้น จึงไม่แปลก ที่ภูมิธรรม ต้องมาประกาศเลื่อนสำหรับการลงทะเบียนร้านค้า เพราะมันไม่มีอะไรเสร็จจริงซักอย่าง และโดยเฉพาะโครงการนี้คนละเรื่องกับคนละครึ่ง เพราะร้านค้ารายย่อยที่ไม่มีสายป่านยาวพอจะไม่สามารถเข้าร่วมกับโครงการนี้ จะมีก็แต่ระดับร้านเจ้าสัวเท่านั้นที่มีระบบสายป่านรองรับ นี่ก็เป็นทางตันจุดสำคัญของโครงการนี้ ฝ่ายที่ให้กำลังใจและเชียร์โครงการนี้ น่าเห็นใจที่สุด เพราะไม่รู้เลยว่า โครงการนี้ ยังอยู่ในขั้นตอนสร้างคอนเซ็บเท่านั้น ไม่ได้พร้อมใช้งานสำหรับประชาชน ดิจิตอลวอลเลท สำเร็จก็พัง ไม่สำเร็จก็พัง นักการเมืองมาแล้วก็ไป แต่ความเสียหายยังคงอยู่กับคนไทย ที่ต้องนั่งรับภาระความเสียหายไปอีกนาน ไม่ว่าจะเป็น เอาปตท สมบัติชาติ ไปเป็นของนายทุน ค่าน้ำมันคอนโทรลไม่ได้ กำไรมหาศาลบนความเดือดร้อนของคนทั้งประเทศ ค่าไฟ ยิ่งลักษณ์ไปเซ็นสัญญากับบริษัทเอกชน เกินกว่าความเป็นจริง ทำให้เราจ่ายค่า ft รวมถึงเป็นหนี้เอกชน คนไทยจึงต้องมาโดนคิดไฟเพิ่มเพื่อใช้หนี้เอกชน จนแทบลืมหูลืมตาไม่ขึ้น ยิ่งลักษณ์ได้ค่าตอบแทนจากสัญญานี้ไปแล้ว แต่คนไทยยังคงต้องชดใช้ไปอีกเกือบยี่สิบปี ลุงตู่เคยพยายามฟ้องเอกชนที่ฮั๊วสัญญากับยิ่งลักษณ์ ให้สัญญาเป็นโมฆะ แต่เอกชนและยิ่งลักษณ์ทำสัญญาไว้รัดกุม กลายเป็นว่า คนไทยต้องโดนค่าไฟที่แพงกว่านี้อีกมาก แค่ตอนนี้ พีระพันธิ์พยายามแก้ที่โครงสร้าง ที่ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง เพื่อต่อสู้กับทั้งนายทุน ปตท และบริษัทเอกชนผู้ถือสัญญากับการไฟฟ้า แต่พอน้ำมันขึ้นเพราะนายทุนผู้ถือหุ้นแสวงหาประโยชน์ พีระพันโดนด่า พอค่าไฟขึ้นเพราะสัญญาที่ยิ่งลักษณ์ฮั๊วกับเอกชน พีระพันธิ์โดนด่า เออ สนุกดี ของจริงมันเป็นแบบนี้ ก่อนจะเถียงไปหาข้อมูลก่อนสวน พี่คิงส์ของจริงอย่าทะลึ่ง บอกไว้ก่อนเลย #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 590 Views 0 Reviews
  • มาเลเซียยื่นใบสมัครเข้าเป็นสมาชิก BRICSแล้ว

    28 กรกฏาคม 2567-รายงานข่าวซินหัวระบุว่า อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2567 มาเลเซียได้ส่งหนังสือถึงประเทศรัสเซียซึ่งเป็นประธานหมุนเวียนของกลุ่ม BRICS เพื่อสมัครเข้าเป็นพันธมิตรร่วมกลไกความร่วมมือของกลุ่ม BRICS หลังจากหารือกับนายเซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ซึ่งเยือนมาเลเซีย และในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีอันวาร์ของมาเลเซียได้แสดงความประสงค์ในการเข้าร่วมกลไกความร่วมมือ BRICS ต่อประธานาธิบดีบราซิล โดยอ้างถึงความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ว่า ตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของประเทศเป็นปัจจัยสำคัญ เนื่องจากศักยภาพในการเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS ของมาเลเซียมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ เนื่องจากตั้งอยู่ในตำแหน่งริมช่องแคบมะละกา ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือสำคัญที่เชื่อมระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดียระหว่างมาเลเซียและเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย

    สำนักงานนายกรัฐมนตรีมาเลเซียระบุในแถลงการณ์ว่า นอกจากการสมัครของมาเลเซียเข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS แล้ว ยังมีการหารือถึงความร่วมมือทวิภาคีในประเด็นต่างๆ โดยเฉพาะการลงทุนและการค้า วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การเกษตร การป้องกันประเทศและการทหาร การศึกษา การท่องเที่ยวและวัฒนธรรม

    นายกรัฐมนตรีมาเลเซียกล่าวว่า“การหารือของเราเน้นไปที่การสมัครเข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS ของมาเลเซีย ซึ่งปัจจุบันรัสเซียเป็นประธาน การเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS ถือเป็นความหวังที่สำคัญสำหรับทั้งสองประเทศ และตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศที่แข็งแกร่ง”

    ส่วนนายลาฟรอฟกล่าวว่า รัสเซียยินดีต้อนรับความสนใจของมาเลเซียที่มีต่อกลุ่ม BRICS และจะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์

    นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันในปาเลสไตน์ โดยมาเลเซียเรียกร้องให้มีการหยุดยิงถาวรในฉนวนกาซาโดยเร็ว และเร่งการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ฉนวนกาซา รวมถึงการยอมรับปาเลสไตน์เป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการของสหประชาชาติ

    มาเลเซียเป็นประเทศล่าสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่แสดงความสนใจเข้าร่วมกลุ่ม BRICS หลังจากที่ไทย เมียนมา ลาว และกัมพูชา แสดงเจตจำนงไปก่อนหน้านี้ ในขณะที่เวียดนามและอินโดนีเซียอยู่ระหว่างการพิจารณา ความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์เชิงยุทธศาสตร์

    ในเดือนตุลาคม 2024 รัสเซียจะรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพในการประชุมสุดยอดประจำปีที่เมืองคาซาน ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ ในโอกาสนี้ ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซียบอกว่า เขาจะใช้การดำรงตำแหน่งประธานกลุ่มบริกส์ในครั้งนี้ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ 3 ประการคือ

    1.เพิ่มบทบาทของกลุ่มบริกส์ในเวทีการเงินระหว่างประเทศ
    2.พัฒนาความร่วมมือระหว่างภาคธนาคารและขยายการใช้เงินสกุลท้องถิ่นของสมาชิกกลุ่มบริกส์
    3.ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านสรรพากร (ภาษี) และศุลกากร
    มาเลเซียยื่นใบสมัครเข้าเป็นสมาชิก BRICSแล้ว 28 กรกฏาคม 2567-รายงานข่าวซินหัวระบุว่า อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2567 มาเลเซียได้ส่งหนังสือถึงประเทศรัสเซียซึ่งเป็นประธานหมุนเวียนของกลุ่ม BRICS เพื่อสมัครเข้าเป็นพันธมิตรร่วมกลไกความร่วมมือของกลุ่ม BRICS หลังจากหารือกับนายเซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ซึ่งเยือนมาเลเซีย และในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีอันวาร์ของมาเลเซียได้แสดงความประสงค์ในการเข้าร่วมกลไกความร่วมมือ BRICS ต่อประธานาธิบดีบราซิล โดยอ้างถึงความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ว่า ตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของประเทศเป็นปัจจัยสำคัญ เนื่องจากศักยภาพในการเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS ของมาเลเซียมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ เนื่องจากตั้งอยู่ในตำแหน่งริมช่องแคบมะละกา ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือสำคัญที่เชื่อมระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดียระหว่างมาเลเซียและเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย สำนักงานนายกรัฐมนตรีมาเลเซียระบุในแถลงการณ์ว่า นอกจากการสมัครของมาเลเซียเข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS แล้ว ยังมีการหารือถึงความร่วมมือทวิภาคีในประเด็นต่างๆ โดยเฉพาะการลงทุนและการค้า วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การเกษตร การป้องกันประเทศและการทหาร การศึกษา การท่องเที่ยวและวัฒนธรรม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียกล่าวว่า“การหารือของเราเน้นไปที่การสมัครเข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS ของมาเลเซีย ซึ่งปัจจุบันรัสเซียเป็นประธาน การเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS ถือเป็นความหวังที่สำคัญสำหรับทั้งสองประเทศ และตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศที่แข็งแกร่ง” ส่วนนายลาฟรอฟกล่าวว่า รัสเซียยินดีต้อนรับความสนใจของมาเลเซียที่มีต่อกลุ่ม BRICS และจะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันในปาเลสไตน์ โดยมาเลเซียเรียกร้องให้มีการหยุดยิงถาวรในฉนวนกาซาโดยเร็ว และเร่งการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ฉนวนกาซา รวมถึงการยอมรับปาเลสไตน์เป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการของสหประชาชาติ มาเลเซียเป็นประเทศล่าสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่แสดงความสนใจเข้าร่วมกลุ่ม BRICS หลังจากที่ไทย เมียนมา ลาว และกัมพูชา แสดงเจตจำนงไปก่อนหน้านี้ ในขณะที่เวียดนามและอินโดนีเซียอยู่ระหว่างการพิจารณา ความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์เชิงยุทธศาสตร์ ในเดือนตุลาคม 2024 รัสเซียจะรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพในการประชุมสุดยอดประจำปีที่เมืองคาซาน ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ ในโอกาสนี้ ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซียบอกว่า เขาจะใช้การดำรงตำแหน่งประธานกลุ่มบริกส์ในครั้งนี้ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ 3 ประการคือ 1.เพิ่มบทบาทของกลุ่มบริกส์ในเวทีการเงินระหว่างประเทศ 2.พัฒนาความร่วมมือระหว่างภาคธนาคารและขยายการใช้เงินสกุลท้องถิ่นของสมาชิกกลุ่มบริกส์ 3.ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านสรรพากร (ภาษี) และศุลกากร
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 569 Views 0 Reviews