• จินนี่ ตอนที่ 4

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “จินนี่”
    ตอน 4
    อเมริกากำลังคิดอะไรอยู่ หรืออเมริกา รออะไร
    อเมริกาน่าจะกำลัง “ทำความเข้าใจ หรือทำความรู้จัก” กับศักยภาพกองทัพของรัสเซียของจริง จากการรบของรัสเซียในตะวันออกกลาง ไม่ใช่จากกระดาษรายงาน ของเหล่านักวิเคราะห์ ผู้เชี่ยวชาญ หรือถังความคิด รายใดรายหนึ่ง
    เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ประมาณ 2 เดือนหลังจากเฝ้าดูลีลาของรัสเซียในตะวันออกกลาง นาย Richard N Haass ประธานถังขยะความคิดหมายเลขหนึ่งของอเมริกา The Council on Foreign Relations หรือ CFR ถังขยะที่เชื่อกันว่า น่าจะเป็นผู้กำกับฝูงนกอินทรีตัวจริง ก็ลงมือเขียนรายงาน ชื่อ “Testing Putin in Syria ”
    ท่านประธานถังขยะ สรุปว่า ชัดเจนว่าการเข้าไปในตะวันออกกลางของปูติน เหมือนไปต่อท่อหายใจให้กับอัสสาดของซีเรีย แต่ขณะเดียวกัน ปูตินก็ใช้โอกาสนี้ บอกให้โลกรู้ว่า รัสเซียยังอยู่นะ และอยู่แบบแข็งแรงด้วย เป็นการเบี่ยงเบน จากความจริงว่า เศรษฐกิจในบ้านรัสเซียกำลังหดเหี่ยว และเพื่อให้ผู้คนลืมเรื่องยูเครนไปด้วย ทั้งหมดนี้ ก็เพื่อสร้างคะแนนเสียงให้กับตัวเองในรัสเซียนั่นแหละ
    มีหลายคนเป็นห่วงว่า การที่รัสเซียเข้าไปในซีเรีย ไม่ใช่จะทำให้ อัสสาดเผด็จการจอมโหดแข็งแรงขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำให้พวกไอซิสโตขึ้นอีกด้วย เพราะการที่รัสเซียมุ่งหน้าแต่จะทำลายศัตรูของอัสสาด เท่ากับเปิดโอกาส ให้ไอซิสขยายพันธ์ง่ายขึ้นอีกด้วย
    นอกจากนี้ยังมีผู้ห่วงว่า รัสเซีย จะเป็นคนเริ่มสงครามเย็นในตะวันออกกลาง ด้วยการปิดล้อม ประเทศที่อยู่คนละฝ่ายกับอัสสาด แต่ท่านประธานถังขยะ บอกว่า ลืมไปได้เลย รัสเซียไม่มีปัญญารับมือกับการเปิดศึกหลายด้านหรอก เพราะนโยบายต่างประเทศแบบนั้น มันมีค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งสภาพทางเศรษฐกิจ กับสภาพกองทัพของรัสเซีย ไม่เอื้อให้รัสเซียเล่นได้ขนาดนั้น และก็ไม่แน่ว่า ชาวรัสเซียจะสนับสนุนปูติน ให้ทำเช่นนั้นด้วย
    ก็เหลือแต่ว่าปูติน ยังอยากจะเพลินกับการปกครอง แบบรวบอำนาจของตน ไปอีกนานไหมล่ะ ทุกอย่างมันมีขอบเขต และมีราคาทั้งสิ้น และปูตินอย่าลืมว่า เมื่อไอซิสแข็งแรงขึ้น ไม่นานเกินรอ คงได้เห็นนักรบพลีชีพ ไปก่อระเบิดในมอสโคว์แน่นอน (ขณะที่เขียนนี่ มอสโคว์ยังไม่มีระเบิดพลีชีพ แต่เครื่องบินโดยสารของรัสเซียโดนมือมืดสอยร่วงไปแล้ว นับว่าท่านประธานถังขยะ อ่านเกมขาด.!?)
    ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า ปูตินคิดเรื่องซีเรีย ถึงขนาดไหน ถึงขนาดจะเอาอัสสาดไว้ ไม่ว่าต้วเองจะฉิบหายแค่ไหนอย่างนั้นหรือ หรือเอาแค่ว่า รัสเซียก็สามารถมีส่วน ในการจัดการตะวันออกกลางด้วย โดยไม่ต้องเอาเรื่องอัสสาดมาเกี่ยว
    ประธานถังขยะ แนะนำว่า ระหว่างที่ท่าทีของรัสเซียยังไม่ชัดเจน อเมริกาเอง ควรเลือกดำเนินการ 2 อย่างควบคู่กันไป ทางหนึ่งคือ จัดการดุลยอำนาจในบริเวณซีเรียเสียใหม่ ด้วยการสนับสนุนชาวเคิร์ด กับพวกสุนนี่บางกลุ่มเหมือนเดิม ขณะเดียวกันก็เดินหน้าถล่มไอซิสจากทางอากาศต่อไป เหมือนเดิมอีกเหมือนกัน
    ขณะเดียวกัน ก็พยายามดำเนินการทางการทูต เพื่อนำไปสู่ “การแบ่งซีเรีย” !!!!
    โดยแบ่งซีเรียออกเป็นส่วนๆ และแยกการปกครอง ของแต่ละส่วนออกจากกัน น่าจะเป็นสูตรที่เหมาะสมสำหรับทุกฝ่าย ไม่ว่าอเมริกา หรือใคร ก็คงไม่ได้สนใจจริงจังใช่ไหม ที่จะรักษารัฐบาลของซีเรีย ที่มีอำนาจควบคุมซีเรียทั้งหมดหรอก
    และด้วยการดำเนินการอย่างนี้ อเมริกาก็สามารถที่จะให้รัสเซีย และแม้แต่ อิหร่าน ก็เข้ามามีส่วนร่วมในการแบ่ง (เค๊ก) ซีเรียด้วยกัน แบบนี้ ปูตินก็น่าจะพอใจ เพราะได้หน้ากำลังดี คุ้มกับราคาที่เสียไปในการเข้ามาในซีเรีย
    …ดูเหมือน บทความนี้จะเป็นการโยนหินถามทาง ระหว่างที่ท่านหัวหน้าใบตองแห้งกำลังนั่งกัดเล็บ อยู่ในมุมมืดของห้องทำงานที่ทำเนียบขาว รอผลสรุปจากพวกลูกกระเป๋ง ก่อนจะวางยุทธศาสตร์ หาทางเดินให้ตัวเอง….
    แต่ผมขอเพิ่มสักหน่อยว่า บทความของท่านประธานถังขยะ นี่มันยั่วยวน กวนส้นจริงๆ ส่อสันดานอเมริกาของแท้อย่างชัดเจน ทั้งดูถูกเหยียดหยามคนอื่น ไม่มีใครเก่งวิเศษเท่ามึง ที่ดีแต่ปาก แต่ จริงๆก็ขี้ขลาดเอาตัวรอด งก และยังหน้าด้าน เห็นแก่ได้ แม้กระทั่งลางแพ้รออยู่ข้างหน้า … มึงคิดได้ยังไง อยู่ดีๆจะเสนอแบ่งประเทศเขา….. เราต้องจำวิธีคิดแบบนี้ของไอ้ใบตองแห้งให้ดีๆ นะครับ
    เห็นการวิเคราะห์ของฝั่งวอชิงตันแล้ว คราวนี้ลองไปฟัง การวิเคราะห์ของอีกฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติกกันบ้างครับ
    2 วัน ก่อนหน้าที่เรื่อง คุณจีนนี่ จะออกมาเป็นข่าว ถังขยะความคิดของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ Chatham House คู่แฝดของ CFR ก็ออกบทความเหมือนกัน ชื่อ Putin’s Gamble in Syria เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ.2015
    สรุปว่า ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นสมัยสหภาพโซเวียต หรือเป็นรัสเซียใหม่ ยังไม่เคยมีก้าวไหนของรัสเซียที่ท้าทาย เท่ากับการเข้าไปแทรกแซงเกี่ยวกับซีเรียของนายปูตินครั้งนี้ ส่วนใหญ่ เวลาที่รัสเซียมีกิจกรรมนอกพื้นที่ตัวเอง ก็มักจะเกี่ยวข้องโดยตรง กับเรื่องของรัสเซียเอง แต่ครั้งนี้ ดูเหมือนไม่ใช่เช่นนั้น
    เมื่อวันที่นายปูติน บินไปนิวยอร์ค เพื่อพบหน้ากับนายโอบามา ในการประชุมใหญ่ของสหประชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ปูติน พยายามหลีกเลี่ยงมาตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านมานั้น ในวันนั้น กองทัพของรัสเซีย เครื่องบินรบ รวมทั้งนาวิกโยธินของรัสเซีย และเรือบรรทุกครื่องบิน Moskva ทั้งหมด ได้ไปประจำการณ์อยู่ที่ท่าเรือ Latakia/Tartous ที่อยู่ทางเหนือของซีเรีย เรียบร้อยหมดแล้ว และเมื่อปูติน
    พบกับโอบามา เขาก็คงจะบอกกับโอบามา ว่ารัสเซียจะใช้ของที่เอาไปอยู่ตรงนั้นอย่างไร และจริงๆ ภายใน 48 ชั่วโมงหลังจากนั้น ฝูงบิน Sukhoi ของรัสเซีย ก็เริ่มโจมตีกลุ่มไอซิส ที่ al-Rakaa แล้ว รวมทั้งโจมตีกลุ่มกองกำลังฝ่ายกบฏซีเรีย ที่อเมริกาและพวก ที่นำโดยซาอุดิอารเบีย และตุรกี เป็นผู้สนับสนุนอีกด้วย
    การจู่โจมของรัสเซีย นับเป็นปรากฏการณ์ ที่น่าตื่นเต้นอย่างมากในตะวันออกกลาง แม้ว่าจะปูตินจะพารัสเซียเข้าไปอยู่ในความเสี่ยงสูง แต่ก็ต้องยอมรับว่า ปูตินยังมียุทธศาสตร์ ในขณะที่โอบามาเอง กำลังนั่งมึนหาทางไปไม่เจอ แต่ปูตินเข้าไปอยู่ในพื้นที่แล้ว เพื่อให้แน่ใจว่า ตัวเองจะต้องอยู่ตรงนั้น เมื่อวันตัดสินชะตาของซีเรียเกิดขึ้น แต่โอบามา ยังคงนั่งเงียบอยู่
    ผลกระทบในตะวันออกกลาง จากการเข้าไปแทรกแซงเกี่ยวกับซีเรียของรัสเซีย มีสูงยิ่ง เมื่อเปรียบเทียบระหว่างฝ่ายสุนนี่ที่ต่อต้านอัสสาด (ซาอุดิอารเบีย การ์ตา ตุรกี) กับฝ่ายรัสเซีย ที่สนับสนุน อัสสาด รวมทั้งความไม่เด็ดขาดของโอบามา เมื่อเทียบกับปูติน
    ถังขยะของชาวเกาะบอกว่า มีสิ่งที่น่าสนใจอีก 2 รายการ คือ สัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับอียิปต์ ที่ดูเหมือนนับวันจะใกล้ชิดกันมากขึ้น ขณะที่อิทธิพลของอเมริกา ที่มีต่ออียิปต์ดูเหมือนจะจางลง (มิน่า เครื่องบินรัสเซีย ถึงต้องถูกสอยร่วงที่อียิปต์ เดี๋ยวจะใกล้ชิดกันมากไป..)
    แต่ที่น่าสนใจที่สุด คือ การที่นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เนทันยาฮู บินไปหา ปูติน เมื่อปลายเดือนสิงหาคม โดยการแจ้งล่วงหน้าเพียง 24 ชั่วโมง
    หนังสือพิมพ์ Haaretz ซึ่งเป็นสื่อมีเสียงดังมากในอิสราเอล สรุปการเดินทางไปมอสโคว์ของเนทันยาฮูว่า “เป็นการแสดงให้เห็นว่า อำนาจของอเมริกาในตะวันออกกลาง เป็นอดีตไปเสียแล้ว…”
    ถังของชาวเกาะ สรุปส่งท้ายว่า โอกาสที่อเมริกา จะกลับมามีอำนาจเหมือนเดิม มีแค่ทางเดียว คือ อเมริกาต้องเคลื่อนตัวเองเข้ามาในตะวันออกกลางเสียใหม่ และอย่างรวดเร็ว และจัดการสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นในซีเรีย
    เป็นถังขยะแฝดกันก็จริง และทุกทีก็มักจะวิเคราะห์แบบประสานเสียงกัน โดยเฉพาะเวลาร้องเพลงด่ารัสเซีย เอ แต่ทำไมเรื่องรัสเซียอุ้มซีเรียคราวนี้ คู่แฝดเหมือนแตกเสียงกัน แต่จะถึงกับแตกคอกันหรือไม่… ดูไปก่อนนะครับ
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    6 พ.ย. 2558
    จินนี่ ตอนที่ 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “จินนี่” ตอน 4 อเมริกากำลังคิดอะไรอยู่ หรืออเมริกา รออะไร อเมริกาน่าจะกำลัง “ทำความเข้าใจ หรือทำความรู้จัก” กับศักยภาพกองทัพของรัสเซียของจริง จากการรบของรัสเซียในตะวันออกกลาง ไม่ใช่จากกระดาษรายงาน ของเหล่านักวิเคราะห์ ผู้เชี่ยวชาญ หรือถังความคิด รายใดรายหนึ่ง เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม ประมาณ 2 เดือนหลังจากเฝ้าดูลีลาของรัสเซียในตะวันออกกลาง นาย Richard N Haass ประธานถังขยะความคิดหมายเลขหนึ่งของอเมริกา The Council on Foreign Relations หรือ CFR ถังขยะที่เชื่อกันว่า น่าจะเป็นผู้กำกับฝูงนกอินทรีตัวจริง ก็ลงมือเขียนรายงาน ชื่อ “Testing Putin in Syria ” ท่านประธานถังขยะ สรุปว่า ชัดเจนว่าการเข้าไปในตะวันออกกลางของปูติน เหมือนไปต่อท่อหายใจให้กับอัสสาดของซีเรีย แต่ขณะเดียวกัน ปูตินก็ใช้โอกาสนี้ บอกให้โลกรู้ว่า รัสเซียยังอยู่นะ และอยู่แบบแข็งแรงด้วย เป็นการเบี่ยงเบน จากความจริงว่า เศรษฐกิจในบ้านรัสเซียกำลังหดเหี่ยว และเพื่อให้ผู้คนลืมเรื่องยูเครนไปด้วย ทั้งหมดนี้ ก็เพื่อสร้างคะแนนเสียงให้กับตัวเองในรัสเซียนั่นแหละ มีหลายคนเป็นห่วงว่า การที่รัสเซียเข้าไปในซีเรีย ไม่ใช่จะทำให้ อัสสาดเผด็จการจอมโหดแข็งแรงขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำให้พวกไอซิสโตขึ้นอีกด้วย เพราะการที่รัสเซียมุ่งหน้าแต่จะทำลายศัตรูของอัสสาด เท่ากับเปิดโอกาส ให้ไอซิสขยายพันธ์ง่ายขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีผู้ห่วงว่า รัสเซีย จะเป็นคนเริ่มสงครามเย็นในตะวันออกกลาง ด้วยการปิดล้อม ประเทศที่อยู่คนละฝ่ายกับอัสสาด แต่ท่านประธานถังขยะ บอกว่า ลืมไปได้เลย รัสเซียไม่มีปัญญารับมือกับการเปิดศึกหลายด้านหรอก เพราะนโยบายต่างประเทศแบบนั้น มันมีค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งสภาพทางเศรษฐกิจ กับสภาพกองทัพของรัสเซีย ไม่เอื้อให้รัสเซียเล่นได้ขนาดนั้น และก็ไม่แน่ว่า ชาวรัสเซียจะสนับสนุนปูติน ให้ทำเช่นนั้นด้วย ก็เหลือแต่ว่าปูติน ยังอยากจะเพลินกับการปกครอง แบบรวบอำนาจของตน ไปอีกนานไหมล่ะ ทุกอย่างมันมีขอบเขต และมีราคาทั้งสิ้น และปูตินอย่าลืมว่า เมื่อไอซิสแข็งแรงขึ้น ไม่นานเกินรอ คงได้เห็นนักรบพลีชีพ ไปก่อระเบิดในมอสโคว์แน่นอน (ขณะที่เขียนนี่ มอสโคว์ยังไม่มีระเบิดพลีชีพ แต่เครื่องบินโดยสารของรัสเซียโดนมือมืดสอยร่วงไปแล้ว นับว่าท่านประธานถังขยะ อ่านเกมขาด.!?) ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า ปูตินคิดเรื่องซีเรีย ถึงขนาดไหน ถึงขนาดจะเอาอัสสาดไว้ ไม่ว่าต้วเองจะฉิบหายแค่ไหนอย่างนั้นหรือ หรือเอาแค่ว่า รัสเซียก็สามารถมีส่วน ในการจัดการตะวันออกกลางด้วย โดยไม่ต้องเอาเรื่องอัสสาดมาเกี่ยว ประธานถังขยะ แนะนำว่า ระหว่างที่ท่าทีของรัสเซียยังไม่ชัดเจน อเมริกาเอง ควรเลือกดำเนินการ 2 อย่างควบคู่กันไป ทางหนึ่งคือ จัดการดุลยอำนาจในบริเวณซีเรียเสียใหม่ ด้วยการสนับสนุนชาวเคิร์ด กับพวกสุนนี่บางกลุ่มเหมือนเดิม ขณะเดียวกันก็เดินหน้าถล่มไอซิสจากทางอากาศต่อไป เหมือนเดิมอีกเหมือนกัน ขณะเดียวกัน ก็พยายามดำเนินการทางการทูต เพื่อนำไปสู่ “การแบ่งซีเรีย” !!!! โดยแบ่งซีเรียออกเป็นส่วนๆ และแยกการปกครอง ของแต่ละส่วนออกจากกัน น่าจะเป็นสูตรที่เหมาะสมสำหรับทุกฝ่าย ไม่ว่าอเมริกา หรือใคร ก็คงไม่ได้สนใจจริงจังใช่ไหม ที่จะรักษารัฐบาลของซีเรีย ที่มีอำนาจควบคุมซีเรียทั้งหมดหรอก และด้วยการดำเนินการอย่างนี้ อเมริกาก็สามารถที่จะให้รัสเซีย และแม้แต่ อิหร่าน ก็เข้ามามีส่วนร่วมในการแบ่ง (เค๊ก) ซีเรียด้วยกัน แบบนี้ ปูตินก็น่าจะพอใจ เพราะได้หน้ากำลังดี คุ้มกับราคาที่เสียไปในการเข้ามาในซีเรีย …ดูเหมือน บทความนี้จะเป็นการโยนหินถามทาง ระหว่างที่ท่านหัวหน้าใบตองแห้งกำลังนั่งกัดเล็บ อยู่ในมุมมืดของห้องทำงานที่ทำเนียบขาว รอผลสรุปจากพวกลูกกระเป๋ง ก่อนจะวางยุทธศาสตร์ หาทางเดินให้ตัวเอง…. แต่ผมขอเพิ่มสักหน่อยว่า บทความของท่านประธานถังขยะ นี่มันยั่วยวน กวนส้นจริงๆ ส่อสันดานอเมริกาของแท้อย่างชัดเจน ทั้งดูถูกเหยียดหยามคนอื่น ไม่มีใครเก่งวิเศษเท่ามึง ที่ดีแต่ปาก แต่ จริงๆก็ขี้ขลาดเอาตัวรอด งก และยังหน้าด้าน เห็นแก่ได้ แม้กระทั่งลางแพ้รออยู่ข้างหน้า … มึงคิดได้ยังไง อยู่ดีๆจะเสนอแบ่งประเทศเขา….. เราต้องจำวิธีคิดแบบนี้ของไอ้ใบตองแห้งให้ดีๆ นะครับ เห็นการวิเคราะห์ของฝั่งวอชิงตันแล้ว คราวนี้ลองไปฟัง การวิเคราะห์ของอีกฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติกกันบ้างครับ 2 วัน ก่อนหน้าที่เรื่อง คุณจีนนี่ จะออกมาเป็นข่าว ถังขยะความคิดของชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ Chatham House คู่แฝดของ CFR ก็ออกบทความเหมือนกัน ชื่อ Putin’s Gamble in Syria เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ.2015 สรุปว่า ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นสมัยสหภาพโซเวียต หรือเป็นรัสเซียใหม่ ยังไม่เคยมีก้าวไหนของรัสเซียที่ท้าทาย เท่ากับการเข้าไปแทรกแซงเกี่ยวกับซีเรียของนายปูตินครั้งนี้ ส่วนใหญ่ เวลาที่รัสเซียมีกิจกรรมนอกพื้นที่ตัวเอง ก็มักจะเกี่ยวข้องโดยตรง กับเรื่องของรัสเซียเอง แต่ครั้งนี้ ดูเหมือนไม่ใช่เช่นนั้น เมื่อวันที่นายปูติน บินไปนิวยอร์ค เพื่อพบหน้ากับนายโอบามา ในการประชุมใหญ่ของสหประชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ปูติน พยายามหลีกเลี่ยงมาตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านมานั้น ในวันนั้น กองทัพของรัสเซีย เครื่องบินรบ รวมทั้งนาวิกโยธินของรัสเซีย และเรือบรรทุกครื่องบิน Moskva ทั้งหมด ได้ไปประจำการณ์อยู่ที่ท่าเรือ Latakia/Tartous ที่อยู่ทางเหนือของซีเรีย เรียบร้อยหมดแล้ว และเมื่อปูติน พบกับโอบามา เขาก็คงจะบอกกับโอบามา ว่ารัสเซียจะใช้ของที่เอาไปอยู่ตรงนั้นอย่างไร และจริงๆ ภายใน 48 ชั่วโมงหลังจากนั้น ฝูงบิน Sukhoi ของรัสเซีย ก็เริ่มโจมตีกลุ่มไอซิส ที่ al-Rakaa แล้ว รวมทั้งโจมตีกลุ่มกองกำลังฝ่ายกบฏซีเรีย ที่อเมริกาและพวก ที่นำโดยซาอุดิอารเบีย และตุรกี เป็นผู้สนับสนุนอีกด้วย การจู่โจมของรัสเซีย นับเป็นปรากฏการณ์ ที่น่าตื่นเต้นอย่างมากในตะวันออกกลาง แม้ว่าจะปูตินจะพารัสเซียเข้าไปอยู่ในความเสี่ยงสูง แต่ก็ต้องยอมรับว่า ปูตินยังมียุทธศาสตร์ ในขณะที่โอบามาเอง กำลังนั่งมึนหาทางไปไม่เจอ แต่ปูตินเข้าไปอยู่ในพื้นที่แล้ว เพื่อให้แน่ใจว่า ตัวเองจะต้องอยู่ตรงนั้น เมื่อวันตัดสินชะตาของซีเรียเกิดขึ้น แต่โอบามา ยังคงนั่งเงียบอยู่ ผลกระทบในตะวันออกกลาง จากการเข้าไปแทรกแซงเกี่ยวกับซีเรียของรัสเซีย มีสูงยิ่ง เมื่อเปรียบเทียบระหว่างฝ่ายสุนนี่ที่ต่อต้านอัสสาด (ซาอุดิอารเบีย การ์ตา ตุรกี) กับฝ่ายรัสเซีย ที่สนับสนุน อัสสาด รวมทั้งความไม่เด็ดขาดของโอบามา เมื่อเทียบกับปูติน ถังขยะของชาวเกาะบอกว่า มีสิ่งที่น่าสนใจอีก 2 รายการ คือ สัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับอียิปต์ ที่ดูเหมือนนับวันจะใกล้ชิดกันมากขึ้น ขณะที่อิทธิพลของอเมริกา ที่มีต่ออียิปต์ดูเหมือนจะจางลง (มิน่า เครื่องบินรัสเซีย ถึงต้องถูกสอยร่วงที่อียิปต์ เดี๋ยวจะใกล้ชิดกันมากไป..) แต่ที่น่าสนใจที่สุด คือ การที่นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เนทันยาฮู บินไปหา ปูติน เมื่อปลายเดือนสิงหาคม โดยการแจ้งล่วงหน้าเพียง 24 ชั่วโมง หนังสือพิมพ์ Haaretz ซึ่งเป็นสื่อมีเสียงดังมากในอิสราเอล สรุปการเดินทางไปมอสโคว์ของเนทันยาฮูว่า “เป็นการแสดงให้เห็นว่า อำนาจของอเมริกาในตะวันออกกลาง เป็นอดีตไปเสียแล้ว…” ถังของชาวเกาะ สรุปส่งท้ายว่า โอกาสที่อเมริกา จะกลับมามีอำนาจเหมือนเดิม มีแค่ทางเดียว คือ อเมริกาต้องเคลื่อนตัวเองเข้ามาในตะวันออกกลางเสียใหม่ และอย่างรวดเร็ว และจัดการสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นในซีเรีย เป็นถังขยะแฝดกันก็จริง และทุกทีก็มักจะวิเคราะห์แบบประสานเสียงกัน โดยเฉพาะเวลาร้องเพลงด่ารัสเซีย เอ แต่ทำไมเรื่องรัสเซียอุ้มซีเรียคราวนี้ คู่แฝดเหมือนแตกเสียงกัน แต่จะถึงกับแตกคอกันหรือไม่… ดูไปก่อนนะครับ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 6 พ.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 201 มุมมอง 0 รีวิว
  • จินนี่ ตอนที่ 2

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “จินนี่”
    ตอน 2
    จินนี่เป็นใคร ทำไมถึงได้สัมปทาน และทำไมเซียนระดับโลกทางด้านภูมิศาสตร์การเมืองถึงวิเคราะห์ว่า เรื่องจีนนี่ อาจเป็นตัวจุดระเบิดสงครามโลกครั้งที่ 3
    จีนนี่ Genie Energy เป็นบริษัทจดทะเบียนที่ Newark, New Jersey ในอเมริกา อยู่ภายใต้การดูแลของคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ของบริษัท Strategic Advisory Board ที่มีรายชื่อน่าสนใจระดับโลก เช่น **** Cheney, James Woolsey, Bill Richardson, Jacob Lord Rothschild, Rupert Murdock, Larry Summmers และ Michael Steinhardt…
    **** Cheney เป็นเหยี่ยวกระหายเลือดตัวจริง ยังไม่ตาย และยังอยู่ดี เขาเป็นรองประธานาธิบดี ที่เป็นเสมือนประธานาธิบดีตัวจริง สมัยที่คาวบอยบุชเป็นประธานาธิบดี ก่อนหน้านั้น เขาเคยเป็นประธานผู้บริหารของบริษัทขายน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลกบริษัทหนึ่งคือ Halliburton ซึ่งตระกูลบุช ดูเหมือนจะเป็นเจ้าของตัวจริง Halliburton ไม่ได้ค้าแต่น้ำมัน ช่วงสงครามอิรัค Halliburton ค้าอาวุธ ยุทธภัณท์ทุกอย่าง ที่จำเป็นสำหรับการทำสงคราม ให้แก่รัฐบาลอเมริกัน ที่ตอนนั้นมีคาวบอยบุช เป็นประธานาธิบดี เข้าใจเรื่องการค้าเสรี และการเป็นประชาธิปไตย ในความหมายของอเมริกาแล้วนะครับ
    James Woolsey เป็นอดีตผู้อำนวยการซีไอเอสมัยที่ บิล คลินตัน ผู้นิยมเด็กฝึกงานเป็นประธานาธิบดี เขาเป็นสายเหยี่ยวเช่นเดียวกัน ปัจจุบัน นั่งเป็นประธานถังความคิด ชื่อ Foundation for Defense of Democracies อ้อ… พวกอยู่หลังเขาเหมือนกัน นอกจากนี้ ยังเป็นสมาชิกผู้สนับสนุนโครงการเพื่อความเป็นหมายเลขหนึ่งของอเมริกาในศตวรรษใหม่ Project of the New American Century (PNAC) อันโด่งดัง ร่วมกับ Cheney และ Donald Rumsfeld สรุปว่า เป็นก๊วนเหยี่ยวกระหายเลือด ตะกระน้ำมันด้วยกัน
    Bill Richardson เป็นอดีตรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของอเมริกา
    Rupert Murdoch เป็นเจ้าของสื่อใหญ่ ทั้งในอเมริกา อังกฤษ และออสเตรเลีย หรือเป็นเจ้าของโรงงานฟอกย้อมข่าวตัวสำคัญนั่นเอง ทั้งรวย ทั้งมีอิทธิพลสูงในวงการสื่อระดับโลก เขาเป็นเจ้าของสื่อตัวแสบ Wall Street Journal และเป็นนายทุนให้นิตยสารรายสัปดาห์ the Standard ที่เป็นสายเหยี่ยว และที่มีหัวหน้าคณะบรรณาธิการ เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง โครงการ PNAC
    Larry Summers เป็นอดีตรัฐมนตรีคลังของอเมริกา ที่มีบทบาทสำคัญในการเอาเงินภาษีชาวอเมริกัน มาอุ้มยักษ์ใหญ่ทางการเงิน ไม่ให้ล้มละลาย จากการทำธุรกรรมทางการเงินอย่างตะกระ และไร้ความรับผิดชอบ ….อ้าว นึกว่าอเมริกาเคร่งเรื่องธรรมาภิบาล good governance เห็นสมุนชาวสยามคนสำคัญ ชอบเดินสายสั่งสอนชาวสยามให้มีธรรมาภิบาล งวดหน้า รบกวนท่านบินไปพูดแถวอเมริกาด้วยนะครับ ถ้ายังมีแรงเหลือ…
    Michael Steinhardt เป็นเจ้าของกองทุนเล่นหุ้น หรือนักปั่นหุ้นระดับโลก ที่ใกล้ชิดกับอิสราเอล (เป็นนักเล่นหุ้นชาวยิวน่ะครับ)
    ส่วน Jacob Lord Rothschild คงไม่ต้องแนะนำกันมาก แค่ขอเพิ่มข้อมูลให้ว่า เขาเป็นหุ้นส่วนกับนักธุรกิจน้ำมันตัวแสบชาวรัสเซีย Mikhail Khodorkovsky ซึ่งถูกคุณพี่ปูตินสั่งจับและดำเนินคดีข้อหาฉ้อโกง และเอาปูนหมายหน้าเอาไว้ เกี่ยวกับ Yukos Oil ที่มีความหมายกับรัสเซียมาก บางสื่อในรัสเซียเรียกเขาว่า เป็นคนขายชาติ ( อ่านเรื่องของเขาได้ ในนิทานเรื่อง หักหน้าหักหลัง และเรื่องแกะรอยสงครามโลกครั้ง ที่ 3) แต่นาย Kho ก็หนีออกจากรัสเซีย มาซุกอกใบตองแห้งได้ และเมื่อมีข่าวว่าจะถูกจับ นาย Kho โอนหุ้นที่ถือทั้งหมดใน Yukos Oil (กลับ !?) ไปให้ Jacob Rothschild ซึ่งปัจจุบัน เป็นผู้ถือหุ้นส่วนหนึ่งในจีนนี่ ที่ได้รับสัมปทานจากรัฐบาลเนทันยาฮู ในปี ค.ศ.2013 เพื่อทำการสำรวจน้ำมัน และแก๊ส ในเนื้อที่จำนวน 153 ตารางไมล์ ที่อยู่ในที่ราบสูงโกลาน เป็นเวลา 3 ปี
    เห็นรายชื่อผู้เกี่ยวข้องกับ จีนนี่ แล้ว ก็พอจะเดาได้ว่า จีนนี่ น่าจะร้อนแรงน่าดู
    และก๊วนเหยี่ยวกระหายเลือด เหยี่ยวตะกระน้ำมันนี้แหละ ที่เป็นตัวริเริ่ม ยุให้อเมริกาบุกเข้าไปในตะวันออกกลางโดยเฉพาะที่อิรัค เพื่อไปปล้นน้ำมันอิรัค และก็ไอ้ก๊วนนี้อีกเช่นกัน ที่สนับสนุนให้อเมริกาส่งกำลังเข้าไปสนับสนุนพวกกบฏซีเรีย เพื่อไล่อัสสาดให้กระเด็นออกไปจากการปกครองซีเรีย
    คงพอเห็นภาพกันแล้วนะครับว่า ทำไม จึงมีคนถูตะเกียงเรียก จินนี่ ออกมาตอนนี้ และทำไมถึงมีเซียนวิเคราะห์ว่า จีนนี่ อาจจะทำให้เรื่องราวในตะวันออกกลาง บานปลาย กลายเป็นตัวจุดชนวนสงครามโลก ครั้งที่ 3 ก็ได้
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    4 พ.ย. 2558
    จินนี่ ตอนที่ 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “จินนี่” ตอน 2 จินนี่เป็นใคร ทำไมถึงได้สัมปทาน และทำไมเซียนระดับโลกทางด้านภูมิศาสตร์การเมืองถึงวิเคราะห์ว่า เรื่องจีนนี่ อาจเป็นตัวจุดระเบิดสงครามโลกครั้งที่ 3 จีนนี่ Genie Energy เป็นบริษัทจดทะเบียนที่ Newark, New Jersey ในอเมริกา อยู่ภายใต้การดูแลของคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ของบริษัท Strategic Advisory Board ที่มีรายชื่อน่าสนใจระดับโลก เช่น Dick Cheney, James Woolsey, Bill Richardson, Jacob Lord Rothschild, Rupert Murdock, Larry Summmers และ Michael Steinhardt… Dick Cheney เป็นเหยี่ยวกระหายเลือดตัวจริง ยังไม่ตาย และยังอยู่ดี เขาเป็นรองประธานาธิบดี ที่เป็นเสมือนประธานาธิบดีตัวจริง สมัยที่คาวบอยบุชเป็นประธานาธิบดี ก่อนหน้านั้น เขาเคยเป็นประธานผู้บริหารของบริษัทขายน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลกบริษัทหนึ่งคือ Halliburton ซึ่งตระกูลบุช ดูเหมือนจะเป็นเจ้าของตัวจริง Halliburton ไม่ได้ค้าแต่น้ำมัน ช่วงสงครามอิรัค Halliburton ค้าอาวุธ ยุทธภัณท์ทุกอย่าง ที่จำเป็นสำหรับการทำสงคราม ให้แก่รัฐบาลอเมริกัน ที่ตอนนั้นมีคาวบอยบุช เป็นประธานาธิบดี เข้าใจเรื่องการค้าเสรี และการเป็นประชาธิปไตย ในความหมายของอเมริกาแล้วนะครับ James Woolsey เป็นอดีตผู้อำนวยการซีไอเอสมัยที่ บิล คลินตัน ผู้นิยมเด็กฝึกงานเป็นประธานาธิบดี เขาเป็นสายเหยี่ยวเช่นเดียวกัน ปัจจุบัน นั่งเป็นประธานถังความคิด ชื่อ Foundation for Defense of Democracies อ้อ… พวกอยู่หลังเขาเหมือนกัน นอกจากนี้ ยังเป็นสมาชิกผู้สนับสนุนโครงการเพื่อความเป็นหมายเลขหนึ่งของอเมริกาในศตวรรษใหม่ Project of the New American Century (PNAC) อันโด่งดัง ร่วมกับ Cheney และ Donald Rumsfeld สรุปว่า เป็นก๊วนเหยี่ยวกระหายเลือด ตะกระน้ำมันด้วยกัน Bill Richardson เป็นอดีตรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของอเมริกา Rupert Murdoch เป็นเจ้าของสื่อใหญ่ ทั้งในอเมริกา อังกฤษ และออสเตรเลีย หรือเป็นเจ้าของโรงงานฟอกย้อมข่าวตัวสำคัญนั่นเอง ทั้งรวย ทั้งมีอิทธิพลสูงในวงการสื่อระดับโลก เขาเป็นเจ้าของสื่อตัวแสบ Wall Street Journal และเป็นนายทุนให้นิตยสารรายสัปดาห์ the Standard ที่เป็นสายเหยี่ยว และที่มีหัวหน้าคณะบรรณาธิการ เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง โครงการ PNAC Larry Summers เป็นอดีตรัฐมนตรีคลังของอเมริกา ที่มีบทบาทสำคัญในการเอาเงินภาษีชาวอเมริกัน มาอุ้มยักษ์ใหญ่ทางการเงิน ไม่ให้ล้มละลาย จากการทำธุรกรรมทางการเงินอย่างตะกระ และไร้ความรับผิดชอบ ….อ้าว นึกว่าอเมริกาเคร่งเรื่องธรรมาภิบาล good governance เห็นสมุนชาวสยามคนสำคัญ ชอบเดินสายสั่งสอนชาวสยามให้มีธรรมาภิบาล งวดหน้า รบกวนท่านบินไปพูดแถวอเมริกาด้วยนะครับ ถ้ายังมีแรงเหลือ… Michael Steinhardt เป็นเจ้าของกองทุนเล่นหุ้น หรือนักปั่นหุ้นระดับโลก ที่ใกล้ชิดกับอิสราเอล (เป็นนักเล่นหุ้นชาวยิวน่ะครับ) ส่วน Jacob Lord Rothschild คงไม่ต้องแนะนำกันมาก แค่ขอเพิ่มข้อมูลให้ว่า เขาเป็นหุ้นส่วนกับนักธุรกิจน้ำมันตัวแสบชาวรัสเซีย Mikhail Khodorkovsky ซึ่งถูกคุณพี่ปูตินสั่งจับและดำเนินคดีข้อหาฉ้อโกง และเอาปูนหมายหน้าเอาไว้ เกี่ยวกับ Yukos Oil ที่มีความหมายกับรัสเซียมาก บางสื่อในรัสเซียเรียกเขาว่า เป็นคนขายชาติ ( อ่านเรื่องของเขาได้ ในนิทานเรื่อง หักหน้าหักหลัง และเรื่องแกะรอยสงครามโลกครั้ง ที่ 3) แต่นาย Kho ก็หนีออกจากรัสเซีย มาซุกอกใบตองแห้งได้ และเมื่อมีข่าวว่าจะถูกจับ นาย Kho โอนหุ้นที่ถือทั้งหมดใน Yukos Oil (กลับ !?) ไปให้ Jacob Rothschild ซึ่งปัจจุบัน เป็นผู้ถือหุ้นส่วนหนึ่งในจีนนี่ ที่ได้รับสัมปทานจากรัฐบาลเนทันยาฮู ในปี ค.ศ.2013 เพื่อทำการสำรวจน้ำมัน และแก๊ส ในเนื้อที่จำนวน 153 ตารางไมล์ ที่อยู่ในที่ราบสูงโกลาน เป็นเวลา 3 ปี เห็นรายชื่อผู้เกี่ยวข้องกับ จีนนี่ แล้ว ก็พอจะเดาได้ว่า จีนนี่ น่าจะร้อนแรงน่าดู และก๊วนเหยี่ยวกระหายเลือด เหยี่ยวตะกระน้ำมันนี้แหละ ที่เป็นตัวริเริ่ม ยุให้อเมริกาบุกเข้าไปในตะวันออกกลางโดยเฉพาะที่อิรัค เพื่อไปปล้นน้ำมันอิรัค และก็ไอ้ก๊วนนี้อีกเช่นกัน ที่สนับสนุนให้อเมริกาส่งกำลังเข้าไปสนับสนุนพวกกบฏซีเรีย เพื่อไล่อัสสาดให้กระเด็นออกไปจากการปกครองซีเรีย คงพอเห็นภาพกันแล้วนะครับว่า ทำไม จึงมีคนถูตะเกียงเรียก จินนี่ ออกมาตอนนี้ และทำไมถึงมีเซียนวิเคราะห์ว่า จีนนี่ อาจจะทำให้เรื่องราวในตะวันออกกลาง บานปลาย กลายเป็นตัวจุดชนวนสงครามโลก ครั้งที่ 3 ก็ได้ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 4 พ.ย. 2558
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 249 มุมมอง 0 รีวิว
  • จินนี่ ตอนที่ 1

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “จินนี่”
    ตอน 1
    ตั้งชื่อแบบนี่ อย่านึกว่าผมจะเขียนเรื่องดารานะครับ ยังไม่อยากดังแข่งกับซ้อ….
    จีนนี่ หรือ Genie Energy เป็นชื่อ ของบริษัทน้ำมัน ที่มีเซียนระดับโลก ด้านยุทธศาสตร์การเมืองเขาว่า มันอาจจะเป็นตัวจุดระเบิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ตัวจริงก็ได้ และถ้าจับมาโยงกับเรื่องซีเรีย ฮู้ย… มันยกร่อง เห็นไส้เน่าลากยาวไปถึงไหนๆ ไม่ทำความรู้จัก “จีนนี่” เอาไว้ เดี๋ยวเชยตาย.. อายเขาแย่
    เมื่อวันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมา (ค.ศ.2015) ระหว่างที่ ฝูงเครื่องบินรบของคุณพี่ปูติน กำลังบินขึ้น บินลง วันละไม่รู้กี่เที่ยว ไล่ถล่มรังไอซิสราบไปเป็นแถบๆ (แต่สื่อตะวันตกไม่ลงให้หรอก เดี๋ยวคุณพี่ปูตินแกจะหล่อมากไป) นาย Yuval Bartov หัวหน้านักธรณีวิทยาประจำบริษัท Afek Oil & Gas ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Genie ก็ไปออกโทรทัศน์ของอิสราเอล ทำเสียงทุ้มบอกว่า ตอนนี้บริษัทของเขาได้พบแหล่งน้ำมันใหญ่มากกกก ในที่ราบสูงโกลาน Golan Heights
    … เสียงทุ้ม โม้ต่ออย่างตื่นเต้นว่า เราเจอน้ำมัน shale oil ใต้ชั้นหินดินดาน ที่หนาถึง 350 เมตร อยู่ที่ด้านใต้ของที่ราบสูงโกลาน ซึ่งโดยทั่วไปหินดินดาน ที่มีน้ำมันแบบนี้ ที่เจอกันส่วนใหญ่จะหนาแค่ประมาณ 20 ถึง 30 เมตรเท่านั้น นี่มันหนา 10 เท่าเชียวนะ เรากำลังเจออะไรที่มันมหึมา และน่าจะปริมาณที่มหาศาล… โอ้ย ตื่นเต้น ตื่นเต้น
    อิสราเอลนี่ โชคดีชะมัด แบบนี้ยิวคงโม้ไม่หยุดว่า พระเจ้าได้ประทานของขวัญชิ้นใหญ่ให้ยิวผู้ซึ่งเป็นชนพันธุ์พิเศษ เอะ แต่ที่ราบสูงโกลานเป็นของยิวแน่หรือครับ ใจคอคิดจะงาบของเขาไปง่ายๆแบบนี้ เจ้าของเขาจะยอมหรือครับ ไม่ใช่ของชิ้นเล็กวางโชว์ เดินผ่าน ก็ยื่นมือฉวยเอาเข้ากระเป๋ากันง่ายๆแบบนั้นนะ ไอ้แบบนั้นก็กุ๊ยแย่พอแล้ว นี่มันแหล่งน้ำมันนะครับ แล้วเป็นแหล่งตั้งใหญ่โตมโหฬารอย่างนี้
    ในปี ค.ศ.1967 กลุ่มประเทศที่มีบริเวณใกล้ชิดกับอิสราเอล คือ อียิปต์ ซีเรีย จอร์แดน ออกอาการเหม็นเบื่อยิว จึงมีการแอบเหยียบตีน หรือยื่นศอกไปซัดกันอยู่เรื่อย อิสราเอล ได้ลูกยุจากฝั่งอเมริกาที่กำลั งกร่างสุด สั่งให้นายพลโมเช่ดายัน ทำหน้าที่พระเอก ยกทัพไปลุยอียิปต์ ที่นำโดยนายพลกามาล นัสเซอร์ พระเอกอีกคน ที่เป็นเพื่อนรักของโซเวียต โดยมี ซีเรีย อิรัค กับจอร์แดน ถือหางข้างอียิปต์ เอาละสิ
    ผลปรากฏว่า อิสราเอลคงมีของดี รบแค่ 6 วัน อียิปต์ถอยกรูด ทำให้ อิสราเอลโม้เรื่องสงคราม 6 วันนี้ไม่เลิก แต่คนที่น่าจะยังจำเรื่องนี้ดี คือ รัสเซีย ที่เป็นลูกพี่ใหญ่ของอียิปต์ และซีเรียในช่วงนั้น เห็นไหมครับ บางเรื่อง มันมีที่มาเยอะ ไม่รู้เรื่องเก่าๆ ก็อาจจะไม่รู้ว่าเรื่องใหม่ที่เขากำลังเล่นกันนั้น จะเล่นกันยาวไกลย้อนเกล็ดกันหนักหนาขนาดไหน
    อิสราเอลนั้น พอรบชนะ ก็ตัวยืดเบ่งกล้าม ถือโอกาสยึดครองพื้นที่ของซีเรียไป 460 ตารางไมล์ตามแนวเขตแดนของซีเรีย โดยรวมเอาที่ราบสูงโกลานของซีเรียไปด้วยอย่างหน้าตาเฉย หรือเขาเรียกว่า หน้าด้าน ผมไม่แน่ใจ
    ที่ราบสูงโกลานในตอนนั้น ก็มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์แล้ว อย่างแรก
    โกลาน มีแหล่งน้ำจืดใหญ่ ที่ไหลลงมาตามแม่น้ำจอร์แดน เลี้ยงหลายประเทศในแถบนั้น รวมทั้งเลี้ยงอิสราเอลด้วย อย่าลืมว่าตะวันออกกลางเป็นทะเลทราย คงหาน้ำจืดยาก แม้คนแถบนั้นจะเคยเป็นคนเลี้ยงอูฐกันมาก่อน ก็ไม่ได้หมายความว่า จะเก็บน้ำไว้ในหนอกคอตัวเองได้อย่างอูฐ น้ำจืดจึงเป็นสิ่งมีค่ามากสำหรับพวกเขา แต่ดันมีไอ้คนใจดำ ยึดน้ำจืด ของชาวบ้านเขาไปอย่างหน้าด้านๆ
    นอกจากนี้ ถ้าเอาเครื่องมือจารกรรม จะแบบลูกกอล์ฟยักษ์ ที่ชอบใช้กันนัก หรือจานใบใหญ่ ไปตั้งไว้บนที่ราบสูงโกลาน ที่อยู่หน้าบ้านดามัสคัส เมืองหลวงของซีเรีย อิสราเอลก็คงเห็นหนังสด ทั้งภาพทั้งเสียงในดามัสคัสชัดเจน แจ๋วแหวว ล้างหูล้างตามั่งนะคุณยิว
    ดูหนังสดข้างบ้านจนติดใจ ในปี ค.ศ.1981 อิสราเอล เลยออกกฏหมาย กำหนดให้ที่ราบสูงโกลานเป็นของตัว อยู่ภายใต้บังคับกฏหมาย และการปกครองของอิสราเอล แม้ว่าจะมีมติของสหประชาชาติที่ 242 ตั้งแต่ปี ค.ศ.1967 บอกว่า การครอบครองที่ราบสูงโกลานของอิสราเอล ไม่ชอบด้วยหลักกฏหมายระหว่างประเทศ ให้อิสราเอลถอนการครอบครองออก ไปจากบริเวณนั้น แต่อิสราเอลไม่สนใจ จะต้องสนใจทำไม ก็ลูกพี่อเมริกา ไม่เห็นว่าอะไรเลย นี่… ให้มันรู้กันเสียบ้างว่า ข้างกูทำได้ทั้งนั้น ไม่มีผิด ไม่มีคว่ำบาตร แต่ข้างมึงอย่า.. เชียวนะ ทีนี้ใครอย่ามาอ้างเรื่องมติสหประชาชาติกับผมนะ ผมจะด่าให้หงายเงิบเลย ( ผมใช้ศัพท์สมัยใหม่แล้วนะ ใช้ถูกไหมครับ)
    ถึงปี ค.ศ.2008 สหประชาชาติ เอาใหม่ มีมติที่ 161-1 ยืนยัน มติเดิม ให้อิสราเอลคืนพื้นที่ให้แก่ซีเรีย และให้กฏหมายที่อิสราเอลออกใช้บังคับ เมื่อปี ค.ศ.1981 นั้นไม่มีผลใช้บังคับ และให้อิสราเอล ทำการปรับพื้นที่บนที่ราบสูงโกลาน กลับสู่สภาพเดิมทั้งหมด และยุติการครอบครอง การก่อสร้าง และยุติการบังคับให้ชาวซีเรียที่อยู่ในพื้นราบสูงโกลาน มาถือสัญชาติและใช้บัตรประจำตัวของอิสราเอลอีกด้วย โห…สั่งได้เข้ม เห็นภาพเลยว่า ชาวซีเรียนี่โดนข่มขืนย่ำยีใน ศักดิ์ศรี ของความเป็นชาติของเขามานานแล้วนะ แล้วเราเคยรู้เรื่องนี้กันไหมครับ ไม่รู้แน่นอน เพราะสื่อกระป๋องสีไม่ว่ายี่ห้อไหน จะออกข่าวแต่เรื่องอัสสาดเป็นเผด็จการ ตามใบสั่งเท่านั้น
    แล้วตกลงมติเข้มของสหประชาชาติได้ผลไหม มีใครทำอะไรอิสราเอลได้ไหม ไม่น่าถาม ไม่มีครับ ใครจะกล้า ลูกพี่ใหญ่ยืนจังก้าอยู่ข้างหลัง เห็นความเป็นธรรมชัดเจนจัง แบบนี้ยังมาพล่ามเรื่อง
    ธรรมาภิบาล สิทธิมนุษยชน ถุด…เดี๋ยวรื้อเรื่องเขาพระวิหารมาเล่นใหม่เสียหรอก
    ตกลงเห็นหน้าเห็นตัวกันแล้วนะครับว่า ใครเป็นเจ้าของตัวจริงของที่ราบสูง
    โกลาน ที่เพิ่งมีการเจอแหล่งน้ำมันมหึมา ไม่ใช่ไอ้ตัวที่ไปงาบเขามา ตั้งแต่ปี ค.ศ.1967
    และแม้สหประชาชาติ จะมีมติให้อิสราเอลคืนที่ราบสูงโกลาน ให้กับซีเรีย นอกจากอิสราเอลจะไม่สนใจแล้ว อิสราเอลยังเดินหน้ามอบสัมปทานบนพื้นที่ดังกล่าวให้บริษัท จีนนี่ อีกด้วย แน่จริงๆ
    แต่ที่แน่กว่านั้น มันเป็นการให้สัมปทานในปี ค.ศ.2013 ในช่วงเวลาที่ซีเรียกำลังถูกรุมกินโต๊ะ และหนึ่งในผู้รุมกินก็คือ อิสราเอล มันเป็นการวางจังหวะ การรุมกินโต๊ะ และการให้สัมปทาน ที่ได้เวลาอย่างที่อัสสาดไม่มีทางประท้วง หรือต่อสู้อะไรเลย เพราะตัวเองก็ยังแทบจะเอาไม่รอดอยู่แล้ว คนวางแผนรายการนี้ ฝีมือร้ายกาจมาก
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    3 พ.ย. 2558
    จินนี่ ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “จินนี่” ตอน 1 ตั้งชื่อแบบนี่ อย่านึกว่าผมจะเขียนเรื่องดารานะครับ ยังไม่อยากดังแข่งกับซ้อ…. จีนนี่ หรือ Genie Energy เป็นชื่อ ของบริษัทน้ำมัน ที่มีเซียนระดับโลก ด้านยุทธศาสตร์การเมืองเขาว่า มันอาจจะเป็นตัวจุดระเบิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ตัวจริงก็ได้ และถ้าจับมาโยงกับเรื่องซีเรีย ฮู้ย… มันยกร่อง เห็นไส้เน่าลากยาวไปถึงไหนๆ ไม่ทำความรู้จัก “จีนนี่” เอาไว้ เดี๋ยวเชยตาย.. อายเขาแย่ เมื่อวันที่ 8 ตุลาคมที่ผ่านมา (ค.ศ.2015) ระหว่างที่ ฝูงเครื่องบินรบของคุณพี่ปูติน กำลังบินขึ้น บินลง วันละไม่รู้กี่เที่ยว ไล่ถล่มรังไอซิสราบไปเป็นแถบๆ (แต่สื่อตะวันตกไม่ลงให้หรอก เดี๋ยวคุณพี่ปูตินแกจะหล่อมากไป) นาย Yuval Bartov หัวหน้านักธรณีวิทยาประจำบริษัท Afek Oil & Gas ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Genie ก็ไปออกโทรทัศน์ของอิสราเอล ทำเสียงทุ้มบอกว่า ตอนนี้บริษัทของเขาได้พบแหล่งน้ำมันใหญ่มากกกก ในที่ราบสูงโกลาน Golan Heights … เสียงทุ้ม โม้ต่ออย่างตื่นเต้นว่า เราเจอน้ำมัน shale oil ใต้ชั้นหินดินดาน ที่หนาถึง 350 เมตร อยู่ที่ด้านใต้ของที่ราบสูงโกลาน ซึ่งโดยทั่วไปหินดินดาน ที่มีน้ำมันแบบนี้ ที่เจอกันส่วนใหญ่จะหนาแค่ประมาณ 20 ถึง 30 เมตรเท่านั้น นี่มันหนา 10 เท่าเชียวนะ เรากำลังเจออะไรที่มันมหึมา และน่าจะปริมาณที่มหาศาล… โอ้ย ตื่นเต้น ตื่นเต้น อิสราเอลนี่ โชคดีชะมัด แบบนี้ยิวคงโม้ไม่หยุดว่า พระเจ้าได้ประทานของขวัญชิ้นใหญ่ให้ยิวผู้ซึ่งเป็นชนพันธุ์พิเศษ เอะ แต่ที่ราบสูงโกลานเป็นของยิวแน่หรือครับ ใจคอคิดจะงาบของเขาไปง่ายๆแบบนี้ เจ้าของเขาจะยอมหรือครับ ไม่ใช่ของชิ้นเล็กวางโชว์ เดินผ่าน ก็ยื่นมือฉวยเอาเข้ากระเป๋ากันง่ายๆแบบนั้นนะ ไอ้แบบนั้นก็กุ๊ยแย่พอแล้ว นี่มันแหล่งน้ำมันนะครับ แล้วเป็นแหล่งตั้งใหญ่โตมโหฬารอย่างนี้ ในปี ค.ศ.1967 กลุ่มประเทศที่มีบริเวณใกล้ชิดกับอิสราเอล คือ อียิปต์ ซีเรีย จอร์แดน ออกอาการเหม็นเบื่อยิว จึงมีการแอบเหยียบตีน หรือยื่นศอกไปซัดกันอยู่เรื่อย อิสราเอล ได้ลูกยุจากฝั่งอเมริกาที่กำลั งกร่างสุด สั่งให้นายพลโมเช่ดายัน ทำหน้าที่พระเอก ยกทัพไปลุยอียิปต์ ที่นำโดยนายพลกามาล นัสเซอร์ พระเอกอีกคน ที่เป็นเพื่อนรักของโซเวียต โดยมี ซีเรีย อิรัค กับจอร์แดน ถือหางข้างอียิปต์ เอาละสิ ผลปรากฏว่า อิสราเอลคงมีของดี รบแค่ 6 วัน อียิปต์ถอยกรูด ทำให้ อิสราเอลโม้เรื่องสงคราม 6 วันนี้ไม่เลิก แต่คนที่น่าจะยังจำเรื่องนี้ดี คือ รัสเซีย ที่เป็นลูกพี่ใหญ่ของอียิปต์ และซีเรียในช่วงนั้น เห็นไหมครับ บางเรื่อง มันมีที่มาเยอะ ไม่รู้เรื่องเก่าๆ ก็อาจจะไม่รู้ว่าเรื่องใหม่ที่เขากำลังเล่นกันนั้น จะเล่นกันยาวไกลย้อนเกล็ดกันหนักหนาขนาดไหน อิสราเอลนั้น พอรบชนะ ก็ตัวยืดเบ่งกล้าม ถือโอกาสยึดครองพื้นที่ของซีเรียไป 460 ตารางไมล์ตามแนวเขตแดนของซีเรีย โดยรวมเอาที่ราบสูงโกลานของซีเรียไปด้วยอย่างหน้าตาเฉย หรือเขาเรียกว่า หน้าด้าน ผมไม่แน่ใจ ที่ราบสูงโกลานในตอนนั้น ก็มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์แล้ว อย่างแรก โกลาน มีแหล่งน้ำจืดใหญ่ ที่ไหลลงมาตามแม่น้ำจอร์แดน เลี้ยงหลายประเทศในแถบนั้น รวมทั้งเลี้ยงอิสราเอลด้วย อย่าลืมว่าตะวันออกกลางเป็นทะเลทราย คงหาน้ำจืดยาก แม้คนแถบนั้นจะเคยเป็นคนเลี้ยงอูฐกันมาก่อน ก็ไม่ได้หมายความว่า จะเก็บน้ำไว้ในหนอกคอตัวเองได้อย่างอูฐ น้ำจืดจึงเป็นสิ่งมีค่ามากสำหรับพวกเขา แต่ดันมีไอ้คนใจดำ ยึดน้ำจืด ของชาวบ้านเขาไปอย่างหน้าด้านๆ นอกจากนี้ ถ้าเอาเครื่องมือจารกรรม จะแบบลูกกอล์ฟยักษ์ ที่ชอบใช้กันนัก หรือจานใบใหญ่ ไปตั้งไว้บนที่ราบสูงโกลาน ที่อยู่หน้าบ้านดามัสคัส เมืองหลวงของซีเรีย อิสราเอลก็คงเห็นหนังสด ทั้งภาพทั้งเสียงในดามัสคัสชัดเจน แจ๋วแหวว ล้างหูล้างตามั่งนะคุณยิว ดูหนังสดข้างบ้านจนติดใจ ในปี ค.ศ.1981 อิสราเอล เลยออกกฏหมาย กำหนดให้ที่ราบสูงโกลานเป็นของตัว อยู่ภายใต้บังคับกฏหมาย และการปกครองของอิสราเอล แม้ว่าจะมีมติของสหประชาชาติที่ 242 ตั้งแต่ปี ค.ศ.1967 บอกว่า การครอบครองที่ราบสูงโกลานของอิสราเอล ไม่ชอบด้วยหลักกฏหมายระหว่างประเทศ ให้อิสราเอลถอนการครอบครองออก ไปจากบริเวณนั้น แต่อิสราเอลไม่สนใจ จะต้องสนใจทำไม ก็ลูกพี่อเมริกา ไม่เห็นว่าอะไรเลย นี่… ให้มันรู้กันเสียบ้างว่า ข้างกูทำได้ทั้งนั้น ไม่มีผิด ไม่มีคว่ำบาตร แต่ข้างมึงอย่า.. เชียวนะ ทีนี้ใครอย่ามาอ้างเรื่องมติสหประชาชาติกับผมนะ ผมจะด่าให้หงายเงิบเลย ( ผมใช้ศัพท์สมัยใหม่แล้วนะ ใช้ถูกไหมครับ) ถึงปี ค.ศ.2008 สหประชาชาติ เอาใหม่ มีมติที่ 161-1 ยืนยัน มติเดิม ให้อิสราเอลคืนพื้นที่ให้แก่ซีเรีย และให้กฏหมายที่อิสราเอลออกใช้บังคับ เมื่อปี ค.ศ.1981 นั้นไม่มีผลใช้บังคับ และให้อิสราเอล ทำการปรับพื้นที่บนที่ราบสูงโกลาน กลับสู่สภาพเดิมทั้งหมด และยุติการครอบครอง การก่อสร้าง และยุติการบังคับให้ชาวซีเรียที่อยู่ในพื้นราบสูงโกลาน มาถือสัญชาติและใช้บัตรประจำตัวของอิสราเอลอีกด้วย โห…สั่งได้เข้ม เห็นภาพเลยว่า ชาวซีเรียนี่โดนข่มขืนย่ำยีใน ศักดิ์ศรี ของความเป็นชาติของเขามานานแล้วนะ แล้วเราเคยรู้เรื่องนี้กันไหมครับ ไม่รู้แน่นอน เพราะสื่อกระป๋องสีไม่ว่ายี่ห้อไหน จะออกข่าวแต่เรื่องอัสสาดเป็นเผด็จการ ตามใบสั่งเท่านั้น แล้วตกลงมติเข้มของสหประชาชาติได้ผลไหม มีใครทำอะไรอิสราเอลได้ไหม ไม่น่าถาม ไม่มีครับ ใครจะกล้า ลูกพี่ใหญ่ยืนจังก้าอยู่ข้างหลัง เห็นความเป็นธรรมชัดเจนจัง แบบนี้ยังมาพล่ามเรื่อง ธรรมาภิบาล สิทธิมนุษยชน ถุด…เดี๋ยวรื้อเรื่องเขาพระวิหารมาเล่นใหม่เสียหรอก ตกลงเห็นหน้าเห็นตัวกันแล้วนะครับว่า ใครเป็นเจ้าของตัวจริงของที่ราบสูง โกลาน ที่เพิ่งมีการเจอแหล่งน้ำมันมหึมา ไม่ใช่ไอ้ตัวที่ไปงาบเขามา ตั้งแต่ปี ค.ศ.1967 และแม้สหประชาชาติ จะมีมติให้อิสราเอลคืนที่ราบสูงโกลาน ให้กับซีเรีย นอกจากอิสราเอลจะไม่สนใจแล้ว อิสราเอลยังเดินหน้ามอบสัมปทานบนพื้นที่ดังกล่าวให้บริษัท จีนนี่ อีกด้วย แน่จริงๆ แต่ที่แน่กว่านั้น มันเป็นการให้สัมปทานในปี ค.ศ.2013 ในช่วงเวลาที่ซีเรียกำลังถูกรุมกินโต๊ะ และหนึ่งในผู้รุมกินก็คือ อิสราเอล มันเป็นการวางจังหวะ การรุมกินโต๊ะ และการให้สัมปทาน ที่ได้เวลาอย่างที่อัสสาดไม่มีทางประท้วง หรือต่อสู้อะไรเลย เพราะตัวเองก็ยังแทบจะเอาไม่รอดอยู่แล้ว คนวางแผนรายการนี้ ฝีมือร้ายกาจมาก สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 3 พ.ย. 2558
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 217 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่อง แตกคอ แตกคอ
    “แตกคอ แตกคอก”
    ตอน 1
    กำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน เหตุการณ์แถวบ้านยังไม่รู้จะออกหัวออกก้อย แต่วงพนันแถวบ้านผม เขาเอียงไปทางออกก้อยมากกว่านะ เอะ พูดถึงใครกันลุง ก็จะใครเสียอีกล่ะ เสี่ยปั๊มคนใหญ่ คนถูกข่าวลือเล่นใส่นั่นไงครับ วันนี้มาอีกแล้ว สื่ออังกฤษยังเล่นไม่เลิก บอกว่าพระญาติพระวงศ์กำลังร่วมกันทำหนังสือ เสนอให้ปลดกษัตริย์ ซาลมาน จากตำแหน่งกษัตริย์ คราวนี้ในหนังสือบอกชื่อมาเลยว่า ต้องการใครมาแทน แน่จริงๆ แถม 2 วันนี้ ยังเพิ่มข่าวให้อีกว่า มีเจ้าชายชาวซาอุดิ หลานกษัตริย์ ถูกจับที่เลบานอน เพราะขนยาบ้าหนักกว่า 2 ตัน มาในเครื่องบินส่วนตัว
    เล่นกันแรงจริง กลัวคุณพี่ปูตินเขาจะฉกเอาปั๊มไปครองก่อนหรือครับ
    ตะวันออกกลางกำลังระส่ำจริงๆ เอาแค่เฉพาะพวกที่ลากกันมาจับมือ เมื่อปี ค.ศ.1981 ต้ังก๊วนชาวอ่าว the Gulf Cooperation Council (GCC) กันไม่ให้ใครออกอ่าวไปลำพัง ดูเผินๆ เหมือนรักกันจัง แต่เขาว่า นั้นมันหน้าฉาก ของจริงไม่ใช่อย่างที่ภาพออกมาหรอก
    ก๊วนริมอ่าวมีกัน 6 ประเทศ ลูกพี่ใหญ่ หรือปั๊มใหญ่สุด ก็ซาอุดิอารเบียนั่นเอง ที่มีเพื่อนรักในก๊วนอีกราย เป็นเหมือนลูกกระเดือกติดคอหอยคือ บาห์เรน 2 เสี่ยปั๊มนี่ เกลียดอิหร่านอย่างที่สุด มองว่าอิหร่านคือ นักล่า… อ้าว นั่นมันสมญาคู่รักคู่ขุด ของเสี่ยเองนะครับ อย่าไปปนกัน เดี๋ยวงอนผิดคน (ฮา) 2 เสี่ยปั๊มใหญ่บอกว่า อิหร่านเป็นตัวร้าย ความปั่นป่วนในตะวันกลางน่ะ มาจากฝีมือของอิหร่านทั้งนั้น เชื่อถือไม่ได้ ไว้ใจไม่ลง ถึงขนาดนั้นเอาเลย
    ซาอุดิ ถูกหลอนทั้งเวลาหลับเวลาตื่นว่า อิหร่านคู่แข่งตัวสำคัญ ในตะวันออกกลาง ทำทุกอย่างเพื่อแย่งความเป็นใหญ่ ในตะวันออกกลางไปจากซาอุดิอารเบีย ยิ่งอเมริกาไปเสียเวลามากมาย ในการเจรจาเรื่องนิวเคลียร์กับอิหร่าน ซาอุก็มองว่า อเมริกากำลังอ่อนข้อ แถมเสียเชิงให้อิหร่านไปแล้วด้วย ทำเอาเสี่ยปั๊มใหญ่งอนกับอเมริกา จนถูกนินทาไปค่อนโลก
    แต่ชาวอ่าวอีก 3 รายคือ โอมาน การ์ตา และเอมิเรต ดูไบ บอกว่า เรื่องอิหร่านนิวเคลียร์ ไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้นนะ อิหร่านตกลงหยุดผลิตนิวเคลียร์ ก็ดีกับพวกเราไม่ใช่หรือ เราน่าคุยกับอิหร่านดีๆ ยังไงก็เป็นชาวตะวันออกกลางด้วยกัน จับมือกัน ทำการค้าด้วยกัน แบ่งพลังงานกันใช้ (ฮั่นแน่..) และร่วมมือกันเรื่องความมั่นคง
    ตั้งแต่มีกลุ่ม Islamic State หรือ IS เกิดขึ้นในอิรัคและซีเรีย ซึ่งนับว่าเป็นการคุกคาม ทั้งฝ่ายก๊วนชาวอ่าว ทั้งฝ่ายอิหร่าน ก็ทำให้บางประเทศในก๊วนชาวอ่าวเอง พยายามหาทางจับมือคุยกับอิหร่าน แหม ใครจะอยากเปิดศึกมันทุกด้าน
    เมื่อ ฮัสซัน รูฮานี่ Hassan Rouhani เข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีอิหร่าน เมื่อปี ค.ศ.2013 เขาบอกว่าภาระกิจสำคัญอันดับแรกของเขาคือ การพยายามที่จะคุยกับประเทศเล็กๆในก๊วนชาวอ่าว ให้มาร่วมมือกับอิหร่าน ในการแก้ปัญหาความมั่นคงของภูมิภาค และคูเวต เป็นประเทศแรกใน
ก๊วนชาวอ่าว ที่ รัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่านไปเยี่ยม หลังจากเสร็จการเจรจาเรื่องนิวเคลียร์กับกลุ่มพี่เบิ้ม แต่ถ้าดูแผนที่ ว่าคูเวต ตั้งอยู่ที่ไหนแล้ว ก็ต้องยอมรับว่า อิหร่านคิดไกล…
    อิหร่านบอกกับคูเวตว่า ประเทศเดียวจะแก้ปัญหาของภูมิภาคไม่ได้หรอก มันต้องร่วมมือกัน และต้องถือว่าการคุกคามประเทศใด คือการคุกคามทั้งภูมิภาค เราจึงต้องร่วมต่อสู้ด้วยกัน
    แต่การบอกกล่าวแบบนี้ของอิหร่าน กลับเจอศอกกลับ จากบางเสี้ยวของก๊วนชาวอ่าว ที่ซัดกลับว่า อิหร่านต่างหาก เป็นผู้สนับสนุนอาวุธ และให้การฝึกกับกลุ่มกองกำลังติดอาวุธ ที่กำลังแซะความมั่นคงของบางประเทศในก๊วนชาวอ่าว แล้วแบบนี้จะพูดกันรู้เรื่องไหม อย่าว่าแต่จะร่วมมือกันเลย
    และอเมริกาก็คงยิ้มอยู่ในหน้า โอกาสเอาแต่ปั้มไม่เอาคน ยิ่งใกล้ความเป็นจริง … ถ้ารัสเซียไม่โผล่เข้ามาแทรกเรื่องซีเรียเสียก่อน อย่างไม่ทันรู้ตัว ตื่นไม่ทัน
    ###############
ตอน 2
    เมื่อซาอุดิอารเบีย เกิดอาการหน้ามืด ขานชื่อเรียกรวมพล เพื่อถล่มเยเมน ในปลายเดือนมีนาคม ต้นปี ค.ศ.2015 นั้น มีก๊วนชาวอ่าว 1 ราย คือ โอมาน ไม่มาร่วมรายการด้วย เรื่องนี้น่าสนใจมาก มันทำให้เห็นว่า แม้ในตะวันออกกลางเอง ก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับขั้วอำนาจ
    โอมานเป็นประเทศไม่ใหญ่ ไม่เล็ก แต่โดยสภาพภูมิศาสตร์ถือว่า อยู่ในจุดที่ทั้งสำคัญและอันตราย เพราะโอมานอยู่ตรงปากอ่าวโอมาน ฝั่งตรงกันข้ามกับอิหร่าน คุมเชิงช่องแคบฮอร์มุส เส้นทางเดินของน้ำมัน ที่แออัดที่สุดในโลกด้วยกัน
    โอมาน แม้จะสังกัดก๊วนชาวอ่าว แต่การที่โอมานอยู่ฝั่งตรงกันข้าม กับปากอิหร่าน โอมานจึงมีสภาพเหมือนคนขี่รถจักรยานสองล้อ ถีบอยู่ตรงกลาง ระหว่างรถสิบล้อ 2 คัน ที่กำลังวิ่งแข่งกัน รักษาระยะไม่ดี มีหวังถูกเบียดบี้แหลกคาถนน แต่โอมาน ก็ดูเหมือนจะรักษาระยะได้ดีพอสมควร โดยเฉพาะหลังจากเกิดเทศกาลอาหรับสปริง ที่เสี่ยปั้มใหญ่ซาอุดิอารเบีย พยายามบีบมือชาวอ่าวตัวเล็กๆให้แน่นขึ้น เพราะไม่ไว้ใจ กลัวจะหลุดมือไปอิงฝั่งอิหร่าน ถึงขนาดยอมควักกระเป๋าหลายหน เพื่อสนับสนุนทั้งด้านอาวุธและด้านเศรษฐกิจให้ชาวอ่าวตัวเล็กๆ
    แต่โอมาน ถึงจะไม่รวย และเหมือนอยู่ใต้มือของซาอุ และแถมยังเป็นเพื่อนกับอเมริกาอีกด้วย แต่โอมานน่าจะขี่จักรยานระหว่างทางแคบเก่ง จึงยังคงค้าขาย และผูกสัมพันธ์กับอิหร่านไว้สม่ำเสมอ แม้อเมริกาจะพยายามทัดทาน ไม่ให้โอมานไปมีสัมพันธ์กับอิหร่าน แต่ดูเหมือนอเมริกาก็จะห้ามไม่สำเร็จ ยิ่งจะไปถามว่า เมื่อไหร่โอมานจะเป็นประชาธิปไตย เมื่อไหร่จะมีเลือกตั้ง อเมริกาคงไม่กล้าเสือก เพราะอะไร ก็ลองนึกดูกันนะครับ ใครมีของดี ก็ต้องรู้ตัว รู้จักใช้
    เพราะฉะนั้นใครที่ว่าอเมริกายิ่งใหญ่ เป็นพี่เบิ้ม แห่งค่ายประชาธิปไตย ใครไม่เป็นประชาธิปไตย กูคว่ำบาตรหมด ผมว่าน่าทุเรศครับ ถ้ามีใครมาเสือกยุ่ง ถามว่า เมื่อไหร่แดนสยามเราจะมีการเลือกตั้ง ฝากลุงตู่ศอกกลับด้วยนะครับ ว่า ไอ้ 6 ประเทศชาวอ่าว นอกจากไม่มีเลือกตั้ง ไม่รู้จักรัฐธรรมนูญ ยังใช้การปกครองแบบ ที่ผู้มีอำนาจปกครอง เป็นกษัตริย์ หรือสุลต่าน มีอำนาจสูงสุด ยิ่งกว่าเผด็จการเสียอีก ทำไมพวกมีงไม่ชวนกันไปคว่ำบาตรให้หมด มายุ่งอะไรกับประเทศผม
    จากข้อมูลของ Oil and Gas Journal ระบุว่า โอมานมีแหล่งพลังงานมากเป็นอันดับที่ 23 ของโลก แต่โอมานเอาไว้ขายเป็นรายได้ให้ประเทศ มากกว่าจะเอามาใช้ในประเทศ ย้อนไปตั้งแต่ ปี ค.ศ.2005 โอมานเรื่มซื้อแก๊สจากอิหร่านแล้ว และในปี ค.ศ.2007 โอมานก็ซื้อแก๊ส LNG จากอิหร่านด้วย ในช่วงนั้น โอมานเป็น 1 ใน 3 ประเทศ ที่ยังคงค้าขายกับอิหร่าน ขี่จักรยานในทางแคบไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจการกดดันของอเมริกา ที่จะให้โอมานไปซื้อแก๊สจากการ์ตาแทน
    และเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีข่าวว่า โอมานกับอิหร่านกำลังเดินหน้า ที่จะร่วมมือกันสร้างท่อส่งแก๊ส วิ่งตรงระหว่าง 2 ประเทศ ยาว 173 ไมล์ รอดใต้ทะเล เรื่องนี้เป็นข่าวมาตั้งแต่เดือนมีนาคม ค.ศ.2013 ว่า ทั้ง 2 ประเทศ ทำบันทึกความเข้าใจกันไว้ แต่ยังไม่ได้ลงมือ
    แค่ไม่กี่วันหลังจาก การลงนามเรื่องอิหร่านนิวเคลียร์ โอมานก็ทำบันทึกข้อตกลงที่จะซื้อแก๊สจากอิหร่านประมาณ 20 ล้านคิวบิกเมตรต่อวัน เป็นระยะเวลา 25 ปี คิดเป็นมูลค่าทั้งหมด ประมาณ 6 หมื่นล้านเหรียญ! และตัวเลขนี้คงมีการเพิ่มขึ้นอีกมาก เมื่อท่อส่งแก๊สสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 2018 ค่าก่อสร้างท่อประมาณมูลค่า 1 พันล้านเหรียญ เป็นการลงทุนของโอมาน ที่เหมือนโอมานตัดสินใจโหนสิบล้อยี่ห้ออิหร่านไปแล้ว
    ###############
ตอน 3
    ปัจจุบัน ซาอุดิอารเบียขายทั้งน้ำมันและแก๊สให้แก่โอมาน มูลค่าประมาณ 1 พันล้านเหรียญต่อปี ไม่มีการลดราคา ไม่มีการแบ่งส่วนกำไร เสี่ยปั๊มใหญ่ หน้าใหญ่จริงเพื่อความมั่นคงของตัว แต่เค็มจังเวลาค้าขาย โอมานคงคิดแล้วว่า จ่ายค่าน้ำมันแก๊สทุกปีอย่างนี้ให้ลูกพี่ใหญ่ ก็คงอยู่เท่านี้ แต่ข้อเสนอของอิหร่าน เป็นการร่วมลงทุนในบริษัทที่จะตั้งร่วมกัน เพื่อขายแก็สอิหร่านที่ส่งมาตามท่อส่ง กำไรจากการขายแก๊สก็แบ่งกัน ด้วยวิธีนี้ โอมานจะได้รับส่วนแบ่งกำไรจากการขายแก๊ส และมีแก๊สพอใช้ในประเทศด้วย
    สรุปว่า ค่ายรัสเซีย จีน อิหร่าน ใช้แผนยุทธศาสตร์ สู่ด้วยท่อส่งเหมือนกัน ท่อส่งไปที่ไหน เจ้าของบริเวณที่ท่อส่งไปถึง ที่เป็นเจ้าของร่วมกัน ก็ต้องช่วยดูแลให้ เพราะเป็นผลประโยชน์ร่วมกัน แบบนี้ น่าจะดีกว่า สร้างขบวนการจราจล การแตกแยกขึ้นในประเทศเขา ระหว่างเขารบกัน ก็ถือโอกาสปล้นทรัพยากรเขาไปจนเกลี้ยง
    การที่โอมานไปตกลงกับอิหร่านแบบนี้ แน่นอน คงยิ่งทำให้ซาอุดิอารเบียหงุดหงิด อาการหลอนเรื่องอิหร่าน ยิ่งกำเริบหนัก แต่หลอนเรื่องอิหร่านจะเป็นใหญ่ในตะวันออกกลาง ดูเหมือนจะไม่น่าเสียวไส้เท่าเรื่อง กระเป๋าเสี่ยปั๊มใหญ่จะเบาหวิว…
    หลายปีที่ผ่านมา เสี่ยปั๊มใหญ่ถือว่ามีน้ำมันแยะ ขยายตลาดไปทั่ว และในราคาที่สูงลิ่ว ไม่มีโปรโมชั่นลดแลกแจกแถม เสี่ยปั๊มใหญ่เล่นเต็มอัตรา ถือว่าน้ำกำลังขึ้น แต่วันนี้ ดูเหมือนน้ำจะเริ่มลงเสียแล้ว น้ำมันเหลือประมาณ 44.2 และ 46.65 ต่อบาเรล (เป็นราคาที่แสดงของ ICE และ NYMEX ซึ่งปรากฏอยู่ในข้อมูลลงวันที่ 6 ตุลาคมที่ผมอ่าน ครับ) และทำให้ บัญชีรายรับของซาอุดิอารเบีย เริ่มแสดงรายการ ขาดทุน !!!
    แต่น้ำมันและแก๊สของอิหร่าน กำลังจะมีตลาดเพิ่มขึ้น (ขณะนี้ EU ยกเลิก การคว่ำบาตร ให้ผู้ผลิตน้ำมันของอิหร่านไป 2 รายแล้ว) ไม่ใช่แค่ว่า จะเป็นการเข้ามาเบียดตลาดของซาอุดิอารเบียเท่านั้น ถ้าอิหร่านยังสามารถรักษา ราคาขายที่ต่ำในระดับนี้ได้ต่อไปอีก ซาอุดิอารเบียมีหวังกระอัก และจะมีผลกระทบกับเศรษฐกิจของซาอุดิอารเบีย อย่างรุนแรง เพราะเศรษฐกิจของซาอุ พึ่งอยู่กับการขายน้ำมันอย่างเดียว และตอนนี้ เริ่มมีนักวิเคราะห์ ประเมินสถานะของซาอุแล้วว่า ถ้าสภาพตลาดน้ำมันยังเป็นอยู่เช่นนี้ต่อไปอีก 2 ปี โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง คงได้เห็นเสี่ยปั๊มใหญ่ ซาอุดิอารเบีย ล้มละลายแน่นอน….ฮู้ย….เดี๋ยวได้ขายอูฐแน่
    การจับมือระหว่างโอมานกับอิหร่าน สร้างท่อส่งแก๊ส จึงเหมือนหมัดชกใส่หน้าเสี่ยปั๊มใหญ่ แม้ไม่คว่ำ แต่ทำให้เซเหมือนกัน โอมาน เป็นที่ยอมรับจากผู้คนส่วนใหญ่ในความเป็นกลาง แต่ตอนนี้ เหมือนโอมาน จะเอียงออกมานอกกลุ่มชาวอ่าวค่อนข้างชัด เมื่อตอนที่เสี่ยปั๊มใหญ่เรียก ระดมพลไปถล่มเยเมน โอมานไม่ไปร่วม พอมีข้ออ้างได้ว่า โอมานเป็นกลาง ไม่อยากเข้าไปยุ่งในกิจการบ้านคนอื่น แต่การที่โอมานตกลงจับมือกับอิหร่าน เพื่อสร้างท่อส่งเแก๊ส นี่ เหมือนโอมานกำลังบอกใครว่า การคบกับอิหร่าน นอกจากไม่เป็นการคุกคามบ้านตัวแล้ว ดูเหมือนจะดีกับเศรษฐกิจของบ้านตัวเองเสียอีกด้วย
    เรื่องโอมาน คงไม่ทำให้ซาอุดิอารเบียกลุ้มใจรายเดียว คู่รักคู่ขุด ก็น่าจะกลุ้มใจด้วย ถ้าโอมานเอียงไปจับมือกับอิหร่าน โอกาสที่อเมริกาจะควบคุม ช่องแคบฮอร์มุส คงแทบจะเป็นเรื่องเพ้อ และเรื่องกลับเข้าไปใหญ่ในตะวันออกกลาง อาจจะเป็นเรื่องหลอนอเมริกาบ้าง คราวนี้ จะได้สมเป็นคู่รักคู่หลอนกันเลย ฮาจังวุ้ย
    แค่เรื่องโอมานนี่ ก็ทำให้เสียปั้มใหญ่เซแล้วนะ แต่เขาว่าข่าวร้ายเวลามา มันไม่มาเรื่องเดียวหรอก
    การ์ตา เสี่ยปั้มซ่าหนุ่มสำอางค์ ตอนแรกทำคึกคักไปร่วมกับเสี่ยปั้มใหญ่ ไล่ถล่มซีเรียจนเละ มาวันนี้ วันที่คุณพี่ปูตินเดินท่าหล่อ พากองทัพเรือ บก อากาศ ยาตราเข้าเข้ามาในตะวันออกกลาง เพื่อช่วยซีเรียเพื่อนเก่า ที่กำลังถูกรุมทึ้ง เขาว่า ตอนนี้การ์ตาเอง ก็กำลังเตรียมกลับลำ แอบไปเจรจากับอิหร่านแล้ว
    …พี่ครับ หลุมแก๊สเราหลุมเดียวกันนะครับ ลงทุนทำท่อส่งแก๊สร่วมกัน รวยด้วยกัน แทนที่จะรบกัน ดีไหมครับ เอาแบบ แฟร์ แฟร์ เลยนะพี่นะ ( นี่ผมเดาเอานะ ว่า เสี่ยรุ่นใหม่เขาคงจะพูดแบบนี้)
    ส่วน อินเดีย อีนี่ ก็มีข่าวว่า กำลังเจรจากับอิหร่านและโอมาน ให้ต่อท่อส่งแก๊ส ยาวไปถึงฝั่งอินเดียเสียด้วยเลย ตัดหน้าปากีสถาน ที่ก็มีแผนสร้างท่อส่งเหมือนกัน
    โอ้ย… ตอนนี้ใครไม่รู้จักยุทธศาสตร์ท่อส่ง โน่น ไปอยู่หลังเขา กับค่ายประชาธิปไตยคือการเลือกตั้งได้เลย เชยฉิบหาย โลกหมุนไปทุกวัน มึงคิดได้แต่ทวงเมื่อไหร่จะมีเลือกตั้ง….
    ซาอุดิอารเบีย ส่งน้ำมันให้อินเดียประมาณ ปีละ 29.2 พันล้านเหรียญ เงินจำนวนนี้ อาจหายไปจากบัญชีรายรับของเสี่ยปั้มใหญ่ และก็คงเป็นเรื่องใหญ่สำหรับซาอุ อ๋อ…. มิน่า เสี่ยปั๊มใหญ่ถึงไม่พอใจ ดิ้นเร้าๆ ….. ผมนี่คิดช้าจัง ถ้าเขาตกลงเรื่องนิวเคลียร์กันได้ และมีการยกเลิกการคว่ำบาตร อิหร่านก็ติดปีก ยึดตลาดพลังงาน ซาอุดิอารเบีย ก็คงถลาลงดิน และอีก อ๋อ… มิน่า ตอนนี้อเมริกา ถึงเอาใจอีนี่แขกอินเดียจัง แต่เรื่องแขกอินเดียนี่ สุภาษิตไทยว่าไว้อย่างไร อเมริกาคงไม่รู้จัก ฮา อีกแล้ว แหม เขียนเรื่องนี้สนุกดีจัง เห็นความฉลาดของคุณพ่ออเมริกาของใครไม่รู้ หายเหี้ยนเลย
    ตลอดเวลาที่ผ่านมา ซาอุดิอารเบียกล่าวหาว่าอิหร่านยุแยงเพื่อแย่งความเป็นใหญ่ในตะวันออกกลาง นี่ถ้าเรื่องการ์ตาจะไปจับมือกับอิหร่าน เป็นจริง อาจมีชาวอ่าว ทะยอยแตกคอก ออกไปอีก มันไม่ใช่เรื่องประสาทหลอนแล้ว เรื่องหลอนจะกลายเป็นเรื่องจริง อย่างน้อยๆ การที่รัสเซียเดินเข้ามายืนเคียงอิหร่านในตะวันออกกลาง เพื่อช่วยซีเรียเพื่อนเก่า และอื่นๆ ผมว่า แค่นี้ก็คงทำให้เสี่ยปั๊มใหญ่ ระทมอยู่ในอกเอาเรื่อง นอกจากไม่มีเพื่อนรัก คู่รักมายืนเคียงแล้ว ยังมีแต่ข่าวลือ ข่าวร้ายออกมาเพิ่มไม่จบ เสี่ยปั๊มใหญ่จะทนระทมต่อไปไหวหรือครับ เป็นผมมีคู่รักใจจืดใส่ ยามยากแบบนี้ ถีบให้ตกเตียงไปเลยครับ
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
30 ต.ค. 2558
    เรื่อง แตกคอ แตกคอ “แตกคอ แตกคอก” ตอน 1 กำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน เหตุการณ์แถวบ้านยังไม่รู้จะออกหัวออกก้อย แต่วงพนันแถวบ้านผม เขาเอียงไปทางออกก้อยมากกว่านะ เอะ พูดถึงใครกันลุง ก็จะใครเสียอีกล่ะ เสี่ยปั๊มคนใหญ่ คนถูกข่าวลือเล่นใส่นั่นไงครับ วันนี้มาอีกแล้ว สื่ออังกฤษยังเล่นไม่เลิก บอกว่าพระญาติพระวงศ์กำลังร่วมกันทำหนังสือ เสนอให้ปลดกษัตริย์ ซาลมาน จากตำแหน่งกษัตริย์ คราวนี้ในหนังสือบอกชื่อมาเลยว่า ต้องการใครมาแทน แน่จริงๆ แถม 2 วันนี้ ยังเพิ่มข่าวให้อีกว่า มีเจ้าชายชาวซาอุดิ หลานกษัตริย์ ถูกจับที่เลบานอน เพราะขนยาบ้าหนักกว่า 2 ตัน มาในเครื่องบินส่วนตัว เล่นกันแรงจริง กลัวคุณพี่ปูตินเขาจะฉกเอาปั๊มไปครองก่อนหรือครับ ตะวันออกกลางกำลังระส่ำจริงๆ เอาแค่เฉพาะพวกที่ลากกันมาจับมือ เมื่อปี ค.ศ.1981 ต้ังก๊วนชาวอ่าว the Gulf Cooperation Council (GCC) กันไม่ให้ใครออกอ่าวไปลำพัง ดูเผินๆ เหมือนรักกันจัง แต่เขาว่า นั้นมันหน้าฉาก ของจริงไม่ใช่อย่างที่ภาพออกมาหรอก ก๊วนริมอ่าวมีกัน 6 ประเทศ ลูกพี่ใหญ่ หรือปั๊มใหญ่สุด ก็ซาอุดิอารเบียนั่นเอง ที่มีเพื่อนรักในก๊วนอีกราย เป็นเหมือนลูกกระเดือกติดคอหอยคือ บาห์เรน 2 เสี่ยปั๊มนี่ เกลียดอิหร่านอย่างที่สุด มองว่าอิหร่านคือ นักล่า… อ้าว นั่นมันสมญาคู่รักคู่ขุด ของเสี่ยเองนะครับ อย่าไปปนกัน เดี๋ยวงอนผิดคน (ฮา) 2 เสี่ยปั๊มใหญ่บอกว่า อิหร่านเป็นตัวร้าย ความปั่นป่วนในตะวันกลางน่ะ มาจากฝีมือของอิหร่านทั้งนั้น เชื่อถือไม่ได้ ไว้ใจไม่ลง ถึงขนาดนั้นเอาเลย ซาอุดิ ถูกหลอนทั้งเวลาหลับเวลาตื่นว่า อิหร่านคู่แข่งตัวสำคัญ ในตะวันออกกลาง ทำทุกอย่างเพื่อแย่งความเป็นใหญ่ ในตะวันออกกลางไปจากซาอุดิอารเบีย ยิ่งอเมริกาไปเสียเวลามากมาย ในการเจรจาเรื่องนิวเคลียร์กับอิหร่าน ซาอุก็มองว่า อเมริกากำลังอ่อนข้อ แถมเสียเชิงให้อิหร่านไปแล้วด้วย ทำเอาเสี่ยปั๊มใหญ่งอนกับอเมริกา จนถูกนินทาไปค่อนโลก แต่ชาวอ่าวอีก 3 รายคือ โอมาน การ์ตา และเอมิเรต ดูไบ บอกว่า เรื่องอิหร่านนิวเคลียร์ ไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้นนะ อิหร่านตกลงหยุดผลิตนิวเคลียร์ ก็ดีกับพวกเราไม่ใช่หรือ เราน่าคุยกับอิหร่านดีๆ ยังไงก็เป็นชาวตะวันออกกลางด้วยกัน จับมือกัน ทำการค้าด้วยกัน แบ่งพลังงานกันใช้ (ฮั่นแน่..) และร่วมมือกันเรื่องความมั่นคง ตั้งแต่มีกลุ่ม Islamic State หรือ IS เกิดขึ้นในอิรัคและซีเรีย ซึ่งนับว่าเป็นการคุกคาม ทั้งฝ่ายก๊วนชาวอ่าว ทั้งฝ่ายอิหร่าน ก็ทำให้บางประเทศในก๊วนชาวอ่าวเอง พยายามหาทางจับมือคุยกับอิหร่าน แหม ใครจะอยากเปิดศึกมันทุกด้าน เมื่อ ฮัสซัน รูฮานี่ Hassan Rouhani เข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีอิหร่าน เมื่อปี ค.ศ.2013 เขาบอกว่าภาระกิจสำคัญอันดับแรกของเขาคือ การพยายามที่จะคุยกับประเทศเล็กๆในก๊วนชาวอ่าว ให้มาร่วมมือกับอิหร่าน ในการแก้ปัญหาความมั่นคงของภูมิภาค และคูเวต เป็นประเทศแรกใน
ก๊วนชาวอ่าว ที่ รัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่านไปเยี่ยม หลังจากเสร็จการเจรจาเรื่องนิวเคลียร์กับกลุ่มพี่เบิ้ม แต่ถ้าดูแผนที่ ว่าคูเวต ตั้งอยู่ที่ไหนแล้ว ก็ต้องยอมรับว่า อิหร่านคิดไกล… อิหร่านบอกกับคูเวตว่า ประเทศเดียวจะแก้ปัญหาของภูมิภาคไม่ได้หรอก มันต้องร่วมมือกัน และต้องถือว่าการคุกคามประเทศใด คือการคุกคามทั้งภูมิภาค เราจึงต้องร่วมต่อสู้ด้วยกัน แต่การบอกกล่าวแบบนี้ของอิหร่าน กลับเจอศอกกลับ จากบางเสี้ยวของก๊วนชาวอ่าว ที่ซัดกลับว่า อิหร่านต่างหาก เป็นผู้สนับสนุนอาวุธ และให้การฝึกกับกลุ่มกองกำลังติดอาวุธ ที่กำลังแซะความมั่นคงของบางประเทศในก๊วนชาวอ่าว แล้วแบบนี้จะพูดกันรู้เรื่องไหม อย่าว่าแต่จะร่วมมือกันเลย และอเมริกาก็คงยิ้มอยู่ในหน้า โอกาสเอาแต่ปั้มไม่เอาคน ยิ่งใกล้ความเป็นจริง … ถ้ารัสเซียไม่โผล่เข้ามาแทรกเรื่องซีเรียเสียก่อน อย่างไม่ทันรู้ตัว ตื่นไม่ทัน ###############
ตอน 2 เมื่อซาอุดิอารเบีย เกิดอาการหน้ามืด ขานชื่อเรียกรวมพล เพื่อถล่มเยเมน ในปลายเดือนมีนาคม ต้นปี ค.ศ.2015 นั้น มีก๊วนชาวอ่าว 1 ราย คือ โอมาน ไม่มาร่วมรายการด้วย เรื่องนี้น่าสนใจมาก มันทำให้เห็นว่า แม้ในตะวันออกกลางเอง ก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับขั้วอำนาจ โอมานเป็นประเทศไม่ใหญ่ ไม่เล็ก แต่โดยสภาพภูมิศาสตร์ถือว่า อยู่ในจุดที่ทั้งสำคัญและอันตราย เพราะโอมานอยู่ตรงปากอ่าวโอมาน ฝั่งตรงกันข้ามกับอิหร่าน คุมเชิงช่องแคบฮอร์มุส เส้นทางเดินของน้ำมัน ที่แออัดที่สุดในโลกด้วยกัน โอมาน แม้จะสังกัดก๊วนชาวอ่าว แต่การที่โอมานอยู่ฝั่งตรงกันข้าม กับปากอิหร่าน โอมานจึงมีสภาพเหมือนคนขี่รถจักรยานสองล้อ ถีบอยู่ตรงกลาง ระหว่างรถสิบล้อ 2 คัน ที่กำลังวิ่งแข่งกัน รักษาระยะไม่ดี มีหวังถูกเบียดบี้แหลกคาถนน แต่โอมาน ก็ดูเหมือนจะรักษาระยะได้ดีพอสมควร โดยเฉพาะหลังจากเกิดเทศกาลอาหรับสปริง ที่เสี่ยปั้มใหญ่ซาอุดิอารเบีย พยายามบีบมือชาวอ่าวตัวเล็กๆให้แน่นขึ้น เพราะไม่ไว้ใจ กลัวจะหลุดมือไปอิงฝั่งอิหร่าน ถึงขนาดยอมควักกระเป๋าหลายหน เพื่อสนับสนุนทั้งด้านอาวุธและด้านเศรษฐกิจให้ชาวอ่าวตัวเล็กๆ แต่โอมาน ถึงจะไม่รวย และเหมือนอยู่ใต้มือของซาอุ และแถมยังเป็นเพื่อนกับอเมริกาอีกด้วย แต่โอมานน่าจะขี่จักรยานระหว่างทางแคบเก่ง จึงยังคงค้าขาย และผูกสัมพันธ์กับอิหร่านไว้สม่ำเสมอ แม้อเมริกาจะพยายามทัดทาน ไม่ให้โอมานไปมีสัมพันธ์กับอิหร่าน แต่ดูเหมือนอเมริกาก็จะห้ามไม่สำเร็จ ยิ่งจะไปถามว่า เมื่อไหร่โอมานจะเป็นประชาธิปไตย เมื่อไหร่จะมีเลือกตั้ง อเมริกาคงไม่กล้าเสือก เพราะอะไร ก็ลองนึกดูกันนะครับ ใครมีของดี ก็ต้องรู้ตัว รู้จักใช้ เพราะฉะนั้นใครที่ว่าอเมริกายิ่งใหญ่ เป็นพี่เบิ้ม แห่งค่ายประชาธิปไตย ใครไม่เป็นประชาธิปไตย กูคว่ำบาตรหมด ผมว่าน่าทุเรศครับ ถ้ามีใครมาเสือกยุ่ง ถามว่า เมื่อไหร่แดนสยามเราจะมีการเลือกตั้ง ฝากลุงตู่ศอกกลับด้วยนะครับ ว่า ไอ้ 6 ประเทศชาวอ่าว นอกจากไม่มีเลือกตั้ง ไม่รู้จักรัฐธรรมนูญ ยังใช้การปกครองแบบ ที่ผู้มีอำนาจปกครอง เป็นกษัตริย์ หรือสุลต่าน มีอำนาจสูงสุด ยิ่งกว่าเผด็จการเสียอีก ทำไมพวกมีงไม่ชวนกันไปคว่ำบาตรให้หมด มายุ่งอะไรกับประเทศผม จากข้อมูลของ Oil and Gas Journal ระบุว่า โอมานมีแหล่งพลังงานมากเป็นอันดับที่ 23 ของโลก แต่โอมานเอาไว้ขายเป็นรายได้ให้ประเทศ มากกว่าจะเอามาใช้ในประเทศ ย้อนไปตั้งแต่ ปี ค.ศ.2005 โอมานเรื่มซื้อแก๊สจากอิหร่านแล้ว และในปี ค.ศ.2007 โอมานก็ซื้อแก๊ส LNG จากอิหร่านด้วย ในช่วงนั้น โอมานเป็น 1 ใน 3 ประเทศ ที่ยังคงค้าขายกับอิหร่าน ขี่จักรยานในทางแคบไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจการกดดันของอเมริกา ที่จะให้โอมานไปซื้อแก๊สจากการ์ตาแทน และเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีข่าวว่า โอมานกับอิหร่านกำลังเดินหน้า ที่จะร่วมมือกันสร้างท่อส่งแก๊ส วิ่งตรงระหว่าง 2 ประเทศ ยาว 173 ไมล์ รอดใต้ทะเล เรื่องนี้เป็นข่าวมาตั้งแต่เดือนมีนาคม ค.ศ.2013 ว่า ทั้ง 2 ประเทศ ทำบันทึกความเข้าใจกันไว้ แต่ยังไม่ได้ลงมือ แค่ไม่กี่วันหลังจาก การลงนามเรื่องอิหร่านนิวเคลียร์ โอมานก็ทำบันทึกข้อตกลงที่จะซื้อแก๊สจากอิหร่านประมาณ 20 ล้านคิวบิกเมตรต่อวัน เป็นระยะเวลา 25 ปี คิดเป็นมูลค่าทั้งหมด ประมาณ 6 หมื่นล้านเหรียญ! และตัวเลขนี้คงมีการเพิ่มขึ้นอีกมาก เมื่อท่อส่งแก๊สสร้างเสร็จในปี ค.ศ. 2018 ค่าก่อสร้างท่อประมาณมูลค่า 1 พันล้านเหรียญ เป็นการลงทุนของโอมาน ที่เหมือนโอมานตัดสินใจโหนสิบล้อยี่ห้ออิหร่านไปแล้ว ###############
ตอน 3 ปัจจุบัน ซาอุดิอารเบียขายทั้งน้ำมันและแก๊สให้แก่โอมาน มูลค่าประมาณ 1 พันล้านเหรียญต่อปี ไม่มีการลดราคา ไม่มีการแบ่งส่วนกำไร เสี่ยปั๊มใหญ่ หน้าใหญ่จริงเพื่อความมั่นคงของตัว แต่เค็มจังเวลาค้าขาย โอมานคงคิดแล้วว่า จ่ายค่าน้ำมันแก๊สทุกปีอย่างนี้ให้ลูกพี่ใหญ่ ก็คงอยู่เท่านี้ แต่ข้อเสนอของอิหร่าน เป็นการร่วมลงทุนในบริษัทที่จะตั้งร่วมกัน เพื่อขายแก็สอิหร่านที่ส่งมาตามท่อส่ง กำไรจากการขายแก๊สก็แบ่งกัน ด้วยวิธีนี้ โอมานจะได้รับส่วนแบ่งกำไรจากการขายแก๊ส และมีแก๊สพอใช้ในประเทศด้วย สรุปว่า ค่ายรัสเซีย จีน อิหร่าน ใช้แผนยุทธศาสตร์ สู่ด้วยท่อส่งเหมือนกัน ท่อส่งไปที่ไหน เจ้าของบริเวณที่ท่อส่งไปถึง ที่เป็นเจ้าของร่วมกัน ก็ต้องช่วยดูแลให้ เพราะเป็นผลประโยชน์ร่วมกัน แบบนี้ น่าจะดีกว่า สร้างขบวนการจราจล การแตกแยกขึ้นในประเทศเขา ระหว่างเขารบกัน ก็ถือโอกาสปล้นทรัพยากรเขาไปจนเกลี้ยง การที่โอมานไปตกลงกับอิหร่านแบบนี้ แน่นอน คงยิ่งทำให้ซาอุดิอารเบียหงุดหงิด อาการหลอนเรื่องอิหร่าน ยิ่งกำเริบหนัก แต่หลอนเรื่องอิหร่านจะเป็นใหญ่ในตะวันออกกลาง ดูเหมือนจะไม่น่าเสียวไส้เท่าเรื่อง กระเป๋าเสี่ยปั๊มใหญ่จะเบาหวิว… หลายปีที่ผ่านมา เสี่ยปั๊มใหญ่ถือว่ามีน้ำมันแยะ ขยายตลาดไปทั่ว และในราคาที่สูงลิ่ว ไม่มีโปรโมชั่นลดแลกแจกแถม เสี่ยปั๊มใหญ่เล่นเต็มอัตรา ถือว่าน้ำกำลังขึ้น แต่วันนี้ ดูเหมือนน้ำจะเริ่มลงเสียแล้ว น้ำมันเหลือประมาณ 44.2 และ 46.65 ต่อบาเรล (เป็นราคาที่แสดงของ ICE และ NYMEX ซึ่งปรากฏอยู่ในข้อมูลลงวันที่ 6 ตุลาคมที่ผมอ่าน ครับ) และทำให้ บัญชีรายรับของซาอุดิอารเบีย เริ่มแสดงรายการ ขาดทุน !!! แต่น้ำมันและแก๊สของอิหร่าน กำลังจะมีตลาดเพิ่มขึ้น (ขณะนี้ EU ยกเลิก การคว่ำบาตร ให้ผู้ผลิตน้ำมันของอิหร่านไป 2 รายแล้ว) ไม่ใช่แค่ว่า จะเป็นการเข้ามาเบียดตลาดของซาอุดิอารเบียเท่านั้น ถ้าอิหร่านยังสามารถรักษา ราคาขายที่ต่ำในระดับนี้ได้ต่อไปอีก ซาอุดิอารเบียมีหวังกระอัก และจะมีผลกระทบกับเศรษฐกิจของซาอุดิอารเบีย อย่างรุนแรง เพราะเศรษฐกิจของซาอุ พึ่งอยู่กับการขายน้ำมันอย่างเดียว และตอนนี้ เริ่มมีนักวิเคราะห์ ประเมินสถานะของซาอุแล้วว่า ถ้าสภาพตลาดน้ำมันยังเป็นอยู่เช่นนี้ต่อไปอีก 2 ปี โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง คงได้เห็นเสี่ยปั๊มใหญ่ ซาอุดิอารเบีย ล้มละลายแน่นอน….ฮู้ย….เดี๋ยวได้ขายอูฐแน่ การจับมือระหว่างโอมานกับอิหร่าน สร้างท่อส่งแก๊ส จึงเหมือนหมัดชกใส่หน้าเสี่ยปั๊มใหญ่ แม้ไม่คว่ำ แต่ทำให้เซเหมือนกัน โอมาน เป็นที่ยอมรับจากผู้คนส่วนใหญ่ในความเป็นกลาง แต่ตอนนี้ เหมือนโอมาน จะเอียงออกมานอกกลุ่มชาวอ่าวค่อนข้างชัด เมื่อตอนที่เสี่ยปั๊มใหญ่เรียก ระดมพลไปถล่มเยเมน โอมานไม่ไปร่วม พอมีข้ออ้างได้ว่า โอมานเป็นกลาง ไม่อยากเข้าไปยุ่งในกิจการบ้านคนอื่น แต่การที่โอมานตกลงจับมือกับอิหร่าน เพื่อสร้างท่อส่งเแก๊ส นี่ เหมือนโอมานกำลังบอกใครว่า การคบกับอิหร่าน นอกจากไม่เป็นการคุกคามบ้านตัวแล้ว ดูเหมือนจะดีกับเศรษฐกิจของบ้านตัวเองเสียอีกด้วย เรื่องโอมาน คงไม่ทำให้ซาอุดิอารเบียกลุ้มใจรายเดียว คู่รักคู่ขุด ก็น่าจะกลุ้มใจด้วย ถ้าโอมานเอียงไปจับมือกับอิหร่าน โอกาสที่อเมริกาจะควบคุม ช่องแคบฮอร์มุส คงแทบจะเป็นเรื่องเพ้อ และเรื่องกลับเข้าไปใหญ่ในตะวันออกกลาง อาจจะเป็นเรื่องหลอนอเมริกาบ้าง คราวนี้ จะได้สมเป็นคู่รักคู่หลอนกันเลย ฮาจังวุ้ย แค่เรื่องโอมานนี่ ก็ทำให้เสียปั้มใหญ่เซแล้วนะ แต่เขาว่าข่าวร้ายเวลามา มันไม่มาเรื่องเดียวหรอก การ์ตา เสี่ยปั้มซ่าหนุ่มสำอางค์ ตอนแรกทำคึกคักไปร่วมกับเสี่ยปั้มใหญ่ ไล่ถล่มซีเรียจนเละ มาวันนี้ วันที่คุณพี่ปูตินเดินท่าหล่อ พากองทัพเรือ บก อากาศ ยาตราเข้าเข้ามาในตะวันออกกลาง เพื่อช่วยซีเรียเพื่อนเก่า ที่กำลังถูกรุมทึ้ง เขาว่า ตอนนี้การ์ตาเอง ก็กำลังเตรียมกลับลำ แอบไปเจรจากับอิหร่านแล้ว …พี่ครับ หลุมแก๊สเราหลุมเดียวกันนะครับ ลงทุนทำท่อส่งแก๊สร่วมกัน รวยด้วยกัน แทนที่จะรบกัน ดีไหมครับ เอาแบบ แฟร์ แฟร์ เลยนะพี่นะ ( นี่ผมเดาเอานะ ว่า เสี่ยรุ่นใหม่เขาคงจะพูดแบบนี้) ส่วน อินเดีย อีนี่ ก็มีข่าวว่า กำลังเจรจากับอิหร่านและโอมาน ให้ต่อท่อส่งแก๊ส ยาวไปถึงฝั่งอินเดียเสียด้วยเลย ตัดหน้าปากีสถาน ที่ก็มีแผนสร้างท่อส่งเหมือนกัน โอ้ย… ตอนนี้ใครไม่รู้จักยุทธศาสตร์ท่อส่ง โน่น ไปอยู่หลังเขา กับค่ายประชาธิปไตยคือการเลือกตั้งได้เลย เชยฉิบหาย โลกหมุนไปทุกวัน มึงคิดได้แต่ทวงเมื่อไหร่จะมีเลือกตั้ง…. ซาอุดิอารเบีย ส่งน้ำมันให้อินเดียประมาณ ปีละ 29.2 พันล้านเหรียญ เงินจำนวนนี้ อาจหายไปจากบัญชีรายรับของเสี่ยปั้มใหญ่ และก็คงเป็นเรื่องใหญ่สำหรับซาอุ อ๋อ…. มิน่า เสี่ยปั๊มใหญ่ถึงไม่พอใจ ดิ้นเร้าๆ ….. ผมนี่คิดช้าจัง ถ้าเขาตกลงเรื่องนิวเคลียร์กันได้ และมีการยกเลิกการคว่ำบาตร อิหร่านก็ติดปีก ยึดตลาดพลังงาน ซาอุดิอารเบีย ก็คงถลาลงดิน และอีก อ๋อ… มิน่า ตอนนี้อเมริกา ถึงเอาใจอีนี่แขกอินเดียจัง แต่เรื่องแขกอินเดียนี่ สุภาษิตไทยว่าไว้อย่างไร อเมริกาคงไม่รู้จัก ฮา อีกแล้ว แหม เขียนเรื่องนี้สนุกดีจัง เห็นความฉลาดของคุณพ่ออเมริกาของใครไม่รู้ หายเหี้ยนเลย ตลอดเวลาที่ผ่านมา ซาอุดิอารเบียกล่าวหาว่าอิหร่านยุแยงเพื่อแย่งความเป็นใหญ่ในตะวันออกกลาง นี่ถ้าเรื่องการ์ตาจะไปจับมือกับอิหร่าน เป็นจริง อาจมีชาวอ่าว ทะยอยแตกคอก ออกไปอีก มันไม่ใช่เรื่องประสาทหลอนแล้ว เรื่องหลอนจะกลายเป็นเรื่องจริง อย่างน้อยๆ การที่รัสเซียเดินเข้ามายืนเคียงอิหร่านในตะวันออกกลาง เพื่อช่วยซีเรียเพื่อนเก่า และอื่นๆ ผมว่า แค่นี้ก็คงทำให้เสี่ยปั๊มใหญ่ ระทมอยู่ในอกเอาเรื่อง นอกจากไม่มีเพื่อนรัก คู่รักมายืนเคียงแล้ว ยังมีแต่ข่าวลือ ข่าวร้ายออกมาเพิ่มไม่จบ เสี่ยปั๊มใหญ่จะทนระทมต่อไปไหวหรือครับ เป็นผมมีคู่รักใจจืดใส่ ยามยากแบบนี้ ถีบให้ตกเตียงไปเลยครับ สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
30 ต.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 387 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวลือ ข่าวลวง ตอนที่ 8
    “ข่าวลือ ข่าวลวง”

    ตอน 8

    เยเมน เป็นเหมือนหนามตำตีน ซาอุดิอารเบียมาตลอดเวลากว่า 70 ปีมาแล้ว

    อิบน์ ซาอูด เคยยกพลไปทำสงครามกับเยเมน เมื่อปี ค.ศ.1934 กองทัพซาอุ ยึดพื้นที่ริมทะเลแดงได้ แต่ไม่สามารถยึดพื้นที่ตามแนวภูเขาและตัวเมืองชั้นในได้สัญญาสงบศึกระหว่าง 2 ประเทศ ที่ทำขึ้น ทำให้เยเมนต้องเสียหลายเมืองตามแนวเขตแดนให้แก่ซาอุดิอารเบีย และทำให้ขบวนการทวงดินแดนของเยเมนไม่เคยหมดไป

    เมื่อตอนปี ค.ศ.1960 ซาอุ สนับสนุนราชวงศ์เซดี ที่ปกครองเยเมน ในการต่อสู้กับฝ่ายอียิปต์ ที่ให้การสนับสนุนขบวนการเป็นสาธารณรัฐของเยเมน ที่ประกาศว่า จะโค่นล้มระบบกษัตริย์ทั้งคาบสมุทรอารเบีย

    แต่พอถึงเดือนมีนาคมปีนี้ (2015) ฝ่ายซาอุ ดันยิงจรวดเข้าถล่มกลุ่มฮูตติ ที่เป็นพวกกับกบฏเซดี ซึ่งกำลังรุกเข้าไปครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ในเยเมนได้ และขับไล่รัฐบาลเยเมนที่พวกซาอุดิอารเบียสนับสนุน พ่ายแพ้หนีออกไปจากเมืองซานะ เข้าไปพึ่งใบบุญของซาอุดิอารเบีย ตั้งแต่ปีที่แล้ว

    โอ้ย วุ่นกันฉิบหาย…. อย่าเพิ่งงงนะครับ อ่านช้าๆ หลายหนก็ได้ เพราะนี่เรากำลังจะเข้าไปสู่จุดชี้ชะตา ของซาอุดิอารเบีย และก็อาจจะเป็นจุดชี้ชะตา ของอเมริกาด้วยก็ได้….

    เขาว่า ซาอุ ตัดสินใจส่งจรวดให้เยเมน เพียงเพราะฝ่ายซาอุไปได้ข่าวมาว่า พวกเซดีตกลงใจที่จะให้เส้นทางบินแก่อิหร่าน ที่จะบินตรงจากเตหะรานมาเยเมน และเยเมนยังตกลงใจที่จะให้อิหร่านใช้ท่าเรือฮูเดดาห์ Hudaydah ของเยเมน แถมกำลังมีการเจรจาจะซื้อน้ำมันราคาถูกระหว่างเยเมนกับอิหร่านอีกด้วย

    สรุปว่า เยเมนได้รับจรวด เพราะซาอุดิอารเบียประสาทกินเรื่องอิหร่าน

    เรื่องนี้ทำให้ซาอุ ออกแขกจริงๆ และไปรวบรวมเพื่อนขี่อูฐด้วยกัน ให้มาไล่ถล่มเยเมน นอกจากพรรคพวกแถวอ่าวแล้ว ยังมี จอร์แดน โมรอคโค และอิยิปต์บอกเอาด้วย แต่ที่น่าสนใจ โอมานและปากีสถาน เพื่อนเก่าบอก ไม่เอากับซาอุด้วย เออ น่าคิด

    สำหรับโอมาน เข้าใจว่าพยายามจะวางตัวเป็นกลาง เพราะยืนอยู่ใกล้ปากอิหร่านเหลือเกิน และยิ่งเป็นอิหร่านที่กำลังมาแรงเสียด้วย ก็ไม่แปลกเท่าไหร่ ที่โอมานจะทิ้งระยะห่างจากซาอุ

    แต่สำหรับปากีสถาน ซึ่งเคยว่าไงว่ากันกับอเมริกา และ อยู่ในบัญชี ประเภทสามารถรูดบัตรเติมเงินกับซาอุดิอารเบียได้มาตลอดนี่ … ยิ่งกว่าน่าสนใจ

    อเมริกาอ้างว่า ตัวเองให้การสนับสนุนซาอุในเรื่องยิงจรวดใส่เยเมนเฉพาะ ด้านงานข่าวกรอง และด้านสภาพพื้นที่ในเยเมน แม้ว่าทางริยาร์ดจะแจ้งทางอเมริกาล่วงหน้า ไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่จะยิงจรวดลูกแรกใส่เยเมน

    การบุกเยเมนในครั้งนี้ของซาอุดิอารเบีย ถือเป็นนโยบายต่างประเทศเชิงรุก มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของซาอุดิอารเบีย ที่ผ่านๆมา ซาอุ จะทำอย่างไม่เปิดเผย แถมซ่อนไปซ้อนมาเสียอีกด้วยซ้ำ

    ในความเห็นของอเมริกา การที่ซาอุดิอารเบียยิงจรวดใส่เยเมนในครั้งนี้ นับว่าเป็นเรื่องอันตรายกับซาอุเองอย่างยิ่ง

    …อ้าว แล้วทำไมไม่เตือนเพื่อนรักกันเลย จริงๆ ต้องด่าด้วยซ้ำ อยู่ๆจะไปยิงจรวดใส่บ้านคนอื่นเขาง่ายๆ อย่างนี้ได้ไงวะ ที่แค่ยังไม่มีการเลือกตั้ง มึงยังเสือกปากเข้ามาไม่เลิก…
    และจนถึงทุกวันนี้ การสู้รบที่เยเมน ก็ไม่ได้เกิดผลดีกับซาอุแต่อย่างใด ต่างฝ่ายต่างยังยันกันอยู่ ฝ่ายซาอุกับพวกอ้างว่าคุมได้แล้วทางอากาศ ชายฝั่งและท่าเรือทางใต้ของเอเดน ขณะที่ฝ่ายซาดีฮูตติและพวก ก็อ้างว่าควบคุมทางเหนือของเยเมนได้เกือบหมดแล้ว

    และระหว่างที่ซาอุและพวกฟาดฟันยุ่งอยู่กับพวกฮูตติ จึงเป็นโอกาสให้อัลไดดาขยายฐานเข้าไปยึดได้เมืองใหญ่ ที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นถิ่นเดิม ที่พ่อของบิน ลาเดน เคยอยู่มาก่อนที่จะอพยพไปอยู่ในซาอุดิอารเบีย

    สงครามเยเมน จึงเสมือนเป็นบททดสอบ บทแรกของกษัตริย์ซัลมาน เกี่ยวกับกิจการต่างประเทศ ที่อาจจะมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความมั่นคงของซาอุดิอารเบีย คาบสมุทรอารเบีย และรวมไปถึงภูมิภาคด้วย

    การรบเยเมน มีทั้งมิติเรื่องระหว่างนิกาย และเรื่องชิงความเป็นใหญ่ในภูมิภาค ระหว่างซาอุกับอิหร่าน แต่ที่สำคัญ ในความคิดของอเมริกา สงครามเยเมนยังเป็นสงครามที่แสดงให้เห็นว่า เทศกาลอาหรับสปริง ที่ซาอุดิอารเบียต่อต้านมาตลอดนั้น ยังไม่จบลง…

    อเมริกาเชื่อว่า การต่อสู้ที่เยเมน จะดึงฝ่ายอื่นๆเข้ามาร่วมรายการเพิ่มขึ้นอีก จะยืดเยื้อ และขยายวงออกไปนอกเยเมนถึงประเทศอื่นๆอีกด้วย …เป็นการวิจารณ์ ที่ทำให้มองเห็น เยเมน กำลังเป็นไฟลามทุ่ง….

    นอกจากนี้ อเมริกายังคาดการณ์ เหมือนเป็นลางร้ายอีกว่า เยเมนอาจจบลง อย่างเป็นจุดด่างของการครองราชย์ของกษัตริย์ซาลมาน และเป็นการจบสิ้นของความทะเยอทะยานของทั้ง บิน นาเยฟ และ บิน ซาลมาน ไม่ว่าทั้ง 2 คน จะได้มีส่วนร่วมกับสงครามนี้อย่างไร ชัดเจนว่า บิน ซาลมานที่เป็นรัฐมนตรีกลาโหม คงเป็นคนที่สูญเสียมากที่สุด ที่ผ่านมา เขาเป็นคนที่พ่อเชื่อใจมาก เป็นตัวแทนพ่อ ไปเยี่ยมรัสเซียและฝรั่งเศส และเมื่อกษัตริย์ซาลมาน ยกเลิกแผนที่จะไปพบโอบามา ที่แคมป์เดวิด เพื่อที่จะไปบอกกับโอบามา ว่าตนเองขุ่นเคืองขนาดไหน เกี่ยวกับเรื่องนิวเคลียร์ของอิหร่าน กษัตริย์ซัลมาน ก็ส่งเจ้าชายทั้ง 2 คน ทั้ง MBN และ MBS ไปพบโอบามาแทนตน ซึ่งโอบามา กลับพูดเร่งรัดเรื่องการปฏิรูปประเทศ แต่ก็สนับสนุนเรื่องสงครามกับเยเมน

    และในที่สุด เมื่อถึงเวลาที่กษัตริย์ซัลมานเดินทางไปวอชิงตันเข้าจริงๆ การสนทนากลับสั้น และฝ่ายซาอุกลับเป็นฝ่าย (ต้อง)ฟัง และการสนทนากลับเน้นไปที่ลูกมากกว่าพ่อ

    …แต่ โปรดสังเกตดูรูปภาพการสนทนา ระหว่างนายโอบามา กับ กษัตริย์ซาลมาน ที่ผมเอามาลงประกอบนิทานตอนนี้ ผมกลับเห็นสวนทาง กับไอ้เขี้ยวซีไอเอ ผมดูว่า ใบตองแห้งน่าจะเป็นฝ่าย ใกล้จะลงไปนั่งกับพื้น พนมมือพูดกับกษัตริย์ซาลมานร่อมร่อแล้ว เหมือนกับเป็นตัวปลอม คนละคน กับที่พูด กับคุณพี่ปูติน หรือ อาเฮียสี ช่วงวันประชุมสหประชาชาติ อย่างไม่น่าเชื่อ น่าสนใจนะครับ

    ไอ้เขี้ยวยาวซีไอเอ ยังบอกว่า บิน นาเยฟ อาจจะเป็นคนที่เข้ากับอเมริกันได้มากที่สุด ในจำนวนผู้ที่อยู่ในเส้นทางที่จะครองบัลลังค์ซาอูด และเขาอาจจะเป็นคนที่เก่งเรื่องข่าวกรองมากที่สุดในโลกตะวันออกกลาง ที่อเมริกาชื่นชม ถึงขนาดบอกว่า ฉลาดที่สุดในรุ่นเดียวกัน และต่างกับพ่อของเขา the Black Price และ บิน นาเยฟ ดูเหมือนจะพอทำงานร่วมกับอเมริกันได้ และเข้ากับโอบามาได้ดี ที่แคมป์เดวิด แต่ บิน นาเยฟ มีเรื่องต้องรับผิดชอบมากกว่าทุกคนในรุ่นเดียวกัน และมันจะมากขึ้น หลังเทศกาลอาหรับสปริงจบจริงๆ ในตะวันออกกลาง อเมริกาบอกว่า บิน นาเยฟ น่าจะรู้ดีว่า เขาต้องมีเพื่อนในยามนั้น…

    ที่เล่ามาทั้ง 8 ตอนนี้ สรุปได้ว่า เป็นรายการ ทั้งขู่เข็ญ ทั้งเปิดโปง ทั้งปิดปาก ของอเมริกา ต่อเพื่อนรัก ที่คบกันมากว่า 70 ปี อย่างน่าชื่นชมในฝีมือการเขียน
    ซีไอเอเก๋า เขี้ยวยาวเจ้าของบทความขู่สท้านโลก ตบท้ายว่า…. แต่วอชิงตัน จะทำใจยอมรับ อย่างไม่หลอกตัวเอง ไม่มีภาพลวงตา หรือเหมาเอาเอง ได้หรือไม่ว่า ซาอุดิอารเบียที่เป็นประเทศ ที่ยังปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชที่ใหญ่ที่สุด ที่ยังเหลืออยู่ในโลก กับราชวงศ์ซาอูด จะไม่มีวันยอมเปลี่ยนแปลง การปกครองประเทศของตน ไปจากแบบที่เป็นอยู่ปัจจุบันอย่างง่ายๆ และราชวงศ์ซาอูด ก็จะไม่มีวันตัดขาดกับกลุ่มวะฮาบีและเปลี่ยนแปลงความเชื่อของเขา และไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ซัลมาน เจ้าชายบิน นาเยฟ หรือเจ้าชายบิน ซาลมาน รวมทั้งราชวงศ์ที่เหลือทุกคน ต่างมีความเชื่อว่า พวกเขาอยู่รอดมาได้เช่นนี้กว่า 250 ปีแล้ว ท่ามกลางการเมืองที่ร้อนระอุ และรุนแรง และพวกเขาก็คิดว่า จะอยู่รอดแบบนี้ ต่อไป…

    ซาอุดิอารเบียและอเมริกา จะจับมือกันต่อไปไหม จะจับมือแบบอยู่รอดด้วยกัน หรือจับมือฉิบหายไปด้วยกัน หรือพวกเขาจะแยกทางกันเดิน และแยกทางกันเละ … รออ่านตอนสุดท้ายของนิทานเรื่องนี้ อย่าพลาดนะครับ!

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    24 ต.ค. 2558
    ข่าวลือ ข่าวลวง ตอนที่ 8 “ข่าวลือ ข่าวลวง” ตอน 8 เยเมน เป็นเหมือนหนามตำตีน ซาอุดิอารเบียมาตลอดเวลากว่า 70 ปีมาแล้ว อิบน์ ซาอูด เคยยกพลไปทำสงครามกับเยเมน เมื่อปี ค.ศ.1934 กองทัพซาอุ ยึดพื้นที่ริมทะเลแดงได้ แต่ไม่สามารถยึดพื้นที่ตามแนวภูเขาและตัวเมืองชั้นในได้สัญญาสงบศึกระหว่าง 2 ประเทศ ที่ทำขึ้น ทำให้เยเมนต้องเสียหลายเมืองตามแนวเขตแดนให้แก่ซาอุดิอารเบีย และทำให้ขบวนการทวงดินแดนของเยเมนไม่เคยหมดไป เมื่อตอนปี ค.ศ.1960 ซาอุ สนับสนุนราชวงศ์เซดี ที่ปกครองเยเมน ในการต่อสู้กับฝ่ายอียิปต์ ที่ให้การสนับสนุนขบวนการเป็นสาธารณรัฐของเยเมน ที่ประกาศว่า จะโค่นล้มระบบกษัตริย์ทั้งคาบสมุทรอารเบีย แต่พอถึงเดือนมีนาคมปีนี้ (2015) ฝ่ายซาอุ ดันยิงจรวดเข้าถล่มกลุ่มฮูตติ ที่เป็นพวกกับกบฏเซดี ซึ่งกำลังรุกเข้าไปครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ในเยเมนได้ และขับไล่รัฐบาลเยเมนที่พวกซาอุดิอารเบียสนับสนุน พ่ายแพ้หนีออกไปจากเมืองซานะ เข้าไปพึ่งใบบุญของซาอุดิอารเบีย ตั้งแต่ปีที่แล้ว โอ้ย วุ่นกันฉิบหาย…. อย่าเพิ่งงงนะครับ อ่านช้าๆ หลายหนก็ได้ เพราะนี่เรากำลังจะเข้าไปสู่จุดชี้ชะตา ของซาอุดิอารเบีย และก็อาจจะเป็นจุดชี้ชะตา ของอเมริกาด้วยก็ได้…. เขาว่า ซาอุ ตัดสินใจส่งจรวดให้เยเมน เพียงเพราะฝ่ายซาอุไปได้ข่าวมาว่า พวกเซดีตกลงใจที่จะให้เส้นทางบินแก่อิหร่าน ที่จะบินตรงจากเตหะรานมาเยเมน และเยเมนยังตกลงใจที่จะให้อิหร่านใช้ท่าเรือฮูเดดาห์ Hudaydah ของเยเมน แถมกำลังมีการเจรจาจะซื้อน้ำมันราคาถูกระหว่างเยเมนกับอิหร่านอีกด้วย สรุปว่า เยเมนได้รับจรวด เพราะซาอุดิอารเบียประสาทกินเรื่องอิหร่าน เรื่องนี้ทำให้ซาอุ ออกแขกจริงๆ และไปรวบรวมเพื่อนขี่อูฐด้วยกัน ให้มาไล่ถล่มเยเมน นอกจากพรรคพวกแถวอ่าวแล้ว ยังมี จอร์แดน โมรอคโค และอิยิปต์บอกเอาด้วย แต่ที่น่าสนใจ โอมานและปากีสถาน เพื่อนเก่าบอก ไม่เอากับซาอุด้วย เออ น่าคิด สำหรับโอมาน เข้าใจว่าพยายามจะวางตัวเป็นกลาง เพราะยืนอยู่ใกล้ปากอิหร่านเหลือเกิน และยิ่งเป็นอิหร่านที่กำลังมาแรงเสียด้วย ก็ไม่แปลกเท่าไหร่ ที่โอมานจะทิ้งระยะห่างจากซาอุ แต่สำหรับปากีสถาน ซึ่งเคยว่าไงว่ากันกับอเมริกา และ อยู่ในบัญชี ประเภทสามารถรูดบัตรเติมเงินกับซาอุดิอารเบียได้มาตลอดนี่ … ยิ่งกว่าน่าสนใจ อเมริกาอ้างว่า ตัวเองให้การสนับสนุนซาอุในเรื่องยิงจรวดใส่เยเมนเฉพาะ ด้านงานข่าวกรอง และด้านสภาพพื้นที่ในเยเมน แม้ว่าทางริยาร์ดจะแจ้งทางอเมริกาล่วงหน้า ไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่จะยิงจรวดลูกแรกใส่เยเมน การบุกเยเมนในครั้งนี้ของซาอุดิอารเบีย ถือเป็นนโยบายต่างประเทศเชิงรุก มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของซาอุดิอารเบีย ที่ผ่านๆมา ซาอุ จะทำอย่างไม่เปิดเผย แถมซ่อนไปซ้อนมาเสียอีกด้วยซ้ำ ในความเห็นของอเมริกา การที่ซาอุดิอารเบียยิงจรวดใส่เยเมนในครั้งนี้ นับว่าเป็นเรื่องอันตรายกับซาอุเองอย่างยิ่ง …อ้าว แล้วทำไมไม่เตือนเพื่อนรักกันเลย จริงๆ ต้องด่าด้วยซ้ำ อยู่ๆจะไปยิงจรวดใส่บ้านคนอื่นเขาง่ายๆ อย่างนี้ได้ไงวะ ที่แค่ยังไม่มีการเลือกตั้ง มึงยังเสือกปากเข้ามาไม่เลิก… และจนถึงทุกวันนี้ การสู้รบที่เยเมน ก็ไม่ได้เกิดผลดีกับซาอุแต่อย่างใด ต่างฝ่ายต่างยังยันกันอยู่ ฝ่ายซาอุกับพวกอ้างว่าคุมได้แล้วทางอากาศ ชายฝั่งและท่าเรือทางใต้ของเอเดน ขณะที่ฝ่ายซาดีฮูตติและพวก ก็อ้างว่าควบคุมทางเหนือของเยเมนได้เกือบหมดแล้ว และระหว่างที่ซาอุและพวกฟาดฟันยุ่งอยู่กับพวกฮูตติ จึงเป็นโอกาสให้อัลไดดาขยายฐานเข้าไปยึดได้เมืองใหญ่ ที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นถิ่นเดิม ที่พ่อของบิน ลาเดน เคยอยู่มาก่อนที่จะอพยพไปอยู่ในซาอุดิอารเบีย สงครามเยเมน จึงเสมือนเป็นบททดสอบ บทแรกของกษัตริย์ซัลมาน เกี่ยวกับกิจการต่างประเทศ ที่อาจจะมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความมั่นคงของซาอุดิอารเบีย คาบสมุทรอารเบีย และรวมไปถึงภูมิภาคด้วย การรบเยเมน มีทั้งมิติเรื่องระหว่างนิกาย และเรื่องชิงความเป็นใหญ่ในภูมิภาค ระหว่างซาอุกับอิหร่าน แต่ที่สำคัญ ในความคิดของอเมริกา สงครามเยเมนยังเป็นสงครามที่แสดงให้เห็นว่า เทศกาลอาหรับสปริง ที่ซาอุดิอารเบียต่อต้านมาตลอดนั้น ยังไม่จบลง… อเมริกาเชื่อว่า การต่อสู้ที่เยเมน จะดึงฝ่ายอื่นๆเข้ามาร่วมรายการเพิ่มขึ้นอีก จะยืดเยื้อ และขยายวงออกไปนอกเยเมนถึงประเทศอื่นๆอีกด้วย …เป็นการวิจารณ์ ที่ทำให้มองเห็น เยเมน กำลังเป็นไฟลามทุ่ง…. นอกจากนี้ อเมริกายังคาดการณ์ เหมือนเป็นลางร้ายอีกว่า เยเมนอาจจบลง อย่างเป็นจุดด่างของการครองราชย์ของกษัตริย์ซาลมาน และเป็นการจบสิ้นของความทะเยอทะยานของทั้ง บิน นาเยฟ และ บิน ซาลมาน ไม่ว่าทั้ง 2 คน จะได้มีส่วนร่วมกับสงครามนี้อย่างไร ชัดเจนว่า บิน ซาลมานที่เป็นรัฐมนตรีกลาโหม คงเป็นคนที่สูญเสียมากที่สุด ที่ผ่านมา เขาเป็นคนที่พ่อเชื่อใจมาก เป็นตัวแทนพ่อ ไปเยี่ยมรัสเซียและฝรั่งเศส และเมื่อกษัตริย์ซาลมาน ยกเลิกแผนที่จะไปพบโอบามา ที่แคมป์เดวิด เพื่อที่จะไปบอกกับโอบามา ว่าตนเองขุ่นเคืองขนาดไหน เกี่ยวกับเรื่องนิวเคลียร์ของอิหร่าน กษัตริย์ซัลมาน ก็ส่งเจ้าชายทั้ง 2 คน ทั้ง MBN และ MBS ไปพบโอบามาแทนตน ซึ่งโอบามา กลับพูดเร่งรัดเรื่องการปฏิรูปประเทศ แต่ก็สนับสนุนเรื่องสงครามกับเยเมน และในที่สุด เมื่อถึงเวลาที่กษัตริย์ซัลมานเดินทางไปวอชิงตันเข้าจริงๆ การสนทนากลับสั้น และฝ่ายซาอุกลับเป็นฝ่าย (ต้อง)ฟัง และการสนทนากลับเน้นไปที่ลูกมากกว่าพ่อ …แต่ โปรดสังเกตดูรูปภาพการสนทนา ระหว่างนายโอบามา กับ กษัตริย์ซาลมาน ที่ผมเอามาลงประกอบนิทานตอนนี้ ผมกลับเห็นสวนทาง กับไอ้เขี้ยวซีไอเอ ผมดูว่า ใบตองแห้งน่าจะเป็นฝ่าย ใกล้จะลงไปนั่งกับพื้น พนมมือพูดกับกษัตริย์ซาลมานร่อมร่อแล้ว เหมือนกับเป็นตัวปลอม คนละคน กับที่พูด กับคุณพี่ปูติน หรือ อาเฮียสี ช่วงวันประชุมสหประชาชาติ อย่างไม่น่าเชื่อ น่าสนใจนะครับ ไอ้เขี้ยวยาวซีไอเอ ยังบอกว่า บิน นาเยฟ อาจจะเป็นคนที่เข้ากับอเมริกันได้มากที่สุด ในจำนวนผู้ที่อยู่ในเส้นทางที่จะครองบัลลังค์ซาอูด และเขาอาจจะเป็นคนที่เก่งเรื่องข่าวกรองมากที่สุดในโลกตะวันออกกลาง ที่อเมริกาชื่นชม ถึงขนาดบอกว่า ฉลาดที่สุดในรุ่นเดียวกัน และต่างกับพ่อของเขา the Black Price และ บิน นาเยฟ ดูเหมือนจะพอทำงานร่วมกับอเมริกันได้ และเข้ากับโอบามาได้ดี ที่แคมป์เดวิด แต่ บิน นาเยฟ มีเรื่องต้องรับผิดชอบมากกว่าทุกคนในรุ่นเดียวกัน และมันจะมากขึ้น หลังเทศกาลอาหรับสปริงจบจริงๆ ในตะวันออกกลาง อเมริกาบอกว่า บิน นาเยฟ น่าจะรู้ดีว่า เขาต้องมีเพื่อนในยามนั้น… ที่เล่ามาทั้ง 8 ตอนนี้ สรุปได้ว่า เป็นรายการ ทั้งขู่เข็ญ ทั้งเปิดโปง ทั้งปิดปาก ของอเมริกา ต่อเพื่อนรัก ที่คบกันมากว่า 70 ปี อย่างน่าชื่นชมในฝีมือการเขียน ซีไอเอเก๋า เขี้ยวยาวเจ้าของบทความขู่สท้านโลก ตบท้ายว่า…. แต่วอชิงตัน จะทำใจยอมรับ อย่างไม่หลอกตัวเอง ไม่มีภาพลวงตา หรือเหมาเอาเอง ได้หรือไม่ว่า ซาอุดิอารเบียที่เป็นประเทศ ที่ยังปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชที่ใหญ่ที่สุด ที่ยังเหลืออยู่ในโลก กับราชวงศ์ซาอูด จะไม่มีวันยอมเปลี่ยนแปลง การปกครองประเทศของตน ไปจากแบบที่เป็นอยู่ปัจจุบันอย่างง่ายๆ และราชวงศ์ซาอูด ก็จะไม่มีวันตัดขาดกับกลุ่มวะฮาบีและเปลี่ยนแปลงความเชื่อของเขา และไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ซัลมาน เจ้าชายบิน นาเยฟ หรือเจ้าชายบิน ซาลมาน รวมทั้งราชวงศ์ที่เหลือทุกคน ต่างมีความเชื่อว่า พวกเขาอยู่รอดมาได้เช่นนี้กว่า 250 ปีแล้ว ท่ามกลางการเมืองที่ร้อนระอุ และรุนแรง และพวกเขาก็คิดว่า จะอยู่รอดแบบนี้ ต่อไป… ซาอุดิอารเบียและอเมริกา จะจับมือกันต่อไปไหม จะจับมือแบบอยู่รอดด้วยกัน หรือจับมือฉิบหายไปด้วยกัน หรือพวกเขาจะแยกทางกันเดิน และแยกทางกันเละ … รออ่านตอนสุดท้ายของนิทานเรื่องนี้ อย่าพลาดนะครับ! สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 24 ต.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 422 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวลือ ข่าวลวง ตอนที่ 4

    “ข่าวลือ ข่าวลวง”
    ตอน 4
    เจ้าชาย บิน นาเยฟ มงกุฏราชกุมารคนปัจจุบันของซาอุดิอารเบีย เรียนหนังสือที่อเมริกา เช่นเดียวกับเจ้าชายรุ่นหลังๆ ของซาอุ และเพื่อเตรียมตัวเป็นรัฐมนตรีมหาดไทยต่อจากพ่อ บิน นาเยฟ ยังไปศึกษาที่สถาบัน เอฟ บี ไอ ของอเมริกา ในช่วง ค.ศ.1980 กว่าๆ และไปศึกษาหลักสูตรการปราบปรามผู้ก่อการร้าย ที่สก๊อตแลนด์ยาร์ดของอังกฤษอีก 3 ปี ในช่วง ค.ศ.1992-1994 อีกด้วย ดูเหมือนเขาจะรับตะวันตกได้มากกว่า the Black Prince พ่อของเขา
    หลังจากเหตุการณ์วางระเบิดฐานทัพของอเมริกาที่ Dharan อเมริกายิ่งกดดัน ซาอุดิอารเบีย เรื่องการปราบปรามผู้ก่อการร้าย โดยเฉพาะกลุ่ม บิน ลาเดน แต่ทางซาอุดิอารเบีย ยังทำเฉยเหมือนเดิม จนเมื่อนายอัล กอร์ รองประธานาธิบดี สมัยประธานาธิบดีคลินตัน เดินทางไปเยี่ยมตะวันออกกลาง ในปี ค.ศ.1998 เกิดมีข่าวว่ากลุ่มอัลไคดา มีแผนที่จะโจมตีสถานกงสุลของอเมริกาที่กรุงริยาร์ดช่วงเวลาที่ อัล กอร์ กำลังให้การรับรองมงกุฏราชกุมารของซาอุ ขณะนั้นคือ เจ้าชายอับดุลลาห์ แต่ในที่สุดแผนนั้นก็ล่มไป และอเมริกาบอกว่าคนที่จัดการให้แผนล่มก็คือ เจ้าชายนาเยฟ the Black Prince นั่นเอง
    … เรื่องนี้ ไม่รู้ใครลวงใคร..
    หลังเหตุการณ์ 9/11 แม้จะมีข่าวว่า กลุ่มนักจี้เครื่องบินเป็นชาวซาอุเสีย 15 คน แต่เจ้าชายนาเยฟและราชวงศ์ส่วนใหญ่ ก็ไม่เชื่อว่ากลุ่มอัลไคดา ที่มีฐานอยู่ในซาอุเองจะมีส่วนเกี่ยวข้อง ต่างลงความเห็นว่า เป็นแผนที่พวกยิวไซออนิสต์สร้างขึ้นมาปรักปรำกลุ่มอัลไคดามากกว่า และแม้อเมริกาจะบอกว่ามีหลักฐานว่า 2 ใน 15 คนนั้น เป็นคนที่วางแผนเรื่องการโจมตีอัล กอร์ ในปี ค.ศ.1998 ด้วย เจ้าชายนาเยฟ ก็ไม่เชื่อคำบอกเล่าของอเมริกา
    แต่ บิน นาเยฟ คนลูก มาคนละแนวกับพ่อ อเมริกาบอก บิน นาเยฟ ใส่ใจเรื่องผู้ก่อการร้ายมาก และให้ความร่วมมือกับอเมริกาเป็นอย่างดี ในฐานะผู้ช่วยรัฐมนตรีมหาดไทย ทำให้อเมริกาโล่งอก บอกว่านับเป็นความโชคดีของซาอุเอง นะนี่ เพราะ บิน ลาเดน กำลังหันเข็มจะมาเล่นซาอุดิอารเบียและราชวงศ์แล้ว หลังจากอเมริกาไปถล่มฐานของมูจาฮิดีน อัลไคดา ที่อาฟกานิสถานจนเละ จากเหตุการณ์ 9/11 ทำให้อัลไคดา ประกาศจะล้างแค้นอเมริกาและเพื่อนรัก คือ ซาอุดิอารเบีย
    สรุปว่า เกี่ยวกับเรื่องผู้ก่อการร้ายนี่ เราคงจะฟังอเมริกา หรือซาอุดิอารเบีย ข้างใดข้างหนึ่งยากหน่อย แต่ดูเหมือนพวกเขากำลังลากไส้ ให้ลงเหวไปด้วยกัน….
    วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ.2003 เป็นวันสำคัญทางศาสนาของมุสลิ ม บิน ลาเดน ประกาศทางวิทยุว่า ราชวงค์ ซาอูด ทรยศต่ออาณาจักรออตโตมาน ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ไปเห็นแก่อังกฤษและยิว และตอนนี้ ราชวงศ์ ก็กำลังยกมัสยิด และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ให้กองทัพอเมริกามาเดินเล่น และสมคบกับยิว ให้ยิวมาสร้างอิสราเอลอยู่ในตะวันออกกลาง บิน ลาเดน บอกว่า เราจงคอยดูอเมริกากำลังใช้ฐานทัพ ของอเมริกา ที่อยู่ในซาอุดิอารเบีย เพื่อบุกอิรัค บิน ลาเดน ยังเรียก ซาอุดิอารเบีย และพวก เช่น คูเวต บาห์เรน และการ์ตา ว่า เป็นคนทรยศ อีกด้วย
    แล้วในที่สุด บิน ลาเดน ก็โจมตีพวกตะวันตก ที่อยู่ในซาอุดิอารเบีย จริงๆ เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ.2003 โดยใช้กำลังประมาณ สิบกว่าคน บุกเข้าไปในบริวณบ้านหลังหนึ่งที่กรุงริยาร์ด ซึ่งเป็นที่พักของพวกชาวะวันตก พวกนี้เป็นที่ปรึกษาด้านการทหาร ที่ซาอุดิอารเบียจ้างเอาไว้ จริงๆพวกนี้ก็คือทหารนอกระบบของอเมริกา อังกฤษ นั่นเอง พวก บิน ลาเดน ใช้ระเบิดคาร์บอมทะลวงเข้าไป ปรากฏว่า มีชาวอเมริกันตาย 8 คน ออสซี่ อีก 2 คน และชาวต่างชาติอื่นอีกหลายคน รวมทั้งหน่วยรักษาความปลอดภัยของซาอุเอง ก็ตายด้วยหลายคน
    นี่ นับเป็นรายการที่ทั้งหักหน้าซาอุ และกระตุกหนวดนักล่าใบตองแห้งไป ในตัวของบิน ลา เดน ทำให้นายโรเบิร์ต จอร์แดน Robert Jordan ซึ่งเป็นทูตอเมริกา ประจำซาอุดิ อารเบีย ในช่วงนั้น พยายามกดดันให้ซาอุจัดการกับบิน ลาเดน อย่างจริงจัง แต่เสียงของทูตอเมริกันไม่ดังมากในซาอุดิอารเบีย ไม่เหมือนในบางประเทศ
    อเมริกาใช้เครื่องเสียงแรงขึ้น ลำโพงขนาดใหญ่กว่าอีกหน่อย โดยส่งนาย จอร์จ เทเนท George Tenet ผู้อำนวยการซีไอเอ ในสมัยนั้น ให้บินตรงไปซาอุดิอารเบียทันที เพื่อขอพบมงกุฏราชกุมารเจ้าชายอับดุลลาห์ ที่ทำหน้าที่ปกครองประเทศ แทนกษัตริย์ฟาหด ที่ป่วยหนักมาเป็นปีๆ เขาบอกกับเจ้าชายอับดุลลาห์ ว่า ราชวงศ์ซาอูดและการสิ้นสุดการปกครองของราชวงศ์ คือเป้าหมายของกลุ่มอัลไคดาแล้วนะ นอกจากนี้ อัลไคดา ยังมีแผนที่จะลอบฆ่าราชวงศ์ และผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลด้านเศรษฐกิจของประเทศ อีกด้วย
    ซาอุดิอารเบีย โยนเรื่องบิน ลาเดน ให้ บิน นาเยฟ เป็นคนจัดการ ร่วมกับอเมริกา และอเมริกาบอกว่า บิน นาเยฟ เป็นตัวสำคัญ ในการต้านการข่มขู่
    ของอัลไคดา ที่มีต่อราชวงศ์ซาอูด ในช่วง ค.ศ.2003 ถึง 2006
    ในช่วง 3 ปีดังกล่าว อัลไคดา โจมตีราชอาณาจักร ซาอุดิอารเบีย เป็นว่าเล่น แม้กระทั่งกระทรวงมหาดไทย ที่กรุงริยาร์ด ก็ยังโดนโจมตี บริเวณที่อยู่อาศัยของชาวตะวันตกหลายแห่งโดนบุก ชาวอเมริกันถูกลักพาตัว และถูกตัดหัว การยิงต่อสู้ระหว่างอัลไคดากับ เจ้าหน้าที่ของซาอุ เกิดขึ้นเกือบตลอดเวลา ในเมืองใหญ่ต่างๆของซาอุ สถานที่ทำงานของชาวตะวันตก โดนโจมตีมากขึ้น รวมทั้งสถานกงสุลของอเมริกาที่เมืองจิดดาห์ ก็โดนโจมตีเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ.2004
    สรุปแล้ว มีคนตายหลายร้อย หลายบาดเจ็บนับไม่ถ้วน ในช่วง 3 ปีนั้น เป็นช่วงความไม่สงบในซาอุดิอารเบีย ที่ยาวนานที่สุด ที่ซาอุดิอารเบีย เคยผจญในรอบ 50 ปี และมีผลกระทบต่อราชวงศ์ซาอูด มากที่สุด นับตั้งแต่ตั้งประเทศในปี ค.ศ.1902 การต่อสู้ช่วงนี้ ทำให้รัฐบาลซาอุ ใช้เงินไปถึง 3 หมื่นล้านเหรียญ
    ในที่สุด ในปี ค.ศ.2007 อเมริกาบอกว่า ด้วยฝีมืออันโดดเด่นของ บิน นาเยฟ ซึ่งได้เป็นรัฐมนตรีมหาดไทยแทนพ่อ ก็สามารถทำให้กลุ่มอัลไคดา ลดน้อยลง พวกหัวรุนแรงเปลี่ยนใจ ไม่อยากสร้างสงครามในบ้านเกิดตัวเอง ส่วนชาวซาอุ ซึ่งเคยสนับสนุน บิน ลาเดน ให้สู้กับอเมริกา ก็ไม่อยากเห็นคนบริสุทธิ์ในบ้านเมืองตัวเอง พลอยฟ้าพลอยฝน โดนลูกหลงของอัลไคดาไปด้วย และก็เลยทำให้คะแนนนิยมของบิน ลาเดน ในซาอุดิอารเบีย ค่อยๆ ลดน้อยลงไป
    เห็นฝีมือซีไอเอเก๋า ที่สามารถโยงเรื่อง บิน ลาเดน กับ ซาอุดิอารเบีย เข้าด้วยกัน และแยงให้แคลงกัน อย่างแนบเนียน โดยไม่กล่าวถึงตัววางแผน ชักใย ผลักดัน แม้แต่คำเดียว ยอมรับจริงๆ ฝีมือเอ็งร้ายกาจมาก แบบนี้ ข่าวลือ สงสัยจะเป็น ข่าวลวง…
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    20 ต.ค. 2558
    ข่าวลือ ข่าวลวง ตอนที่ 4 “ข่าวลือ ข่าวลวง” ตอน 4 เจ้าชาย บิน นาเยฟ มงกุฏราชกุมารคนปัจจุบันของซาอุดิอารเบีย เรียนหนังสือที่อเมริกา เช่นเดียวกับเจ้าชายรุ่นหลังๆ ของซาอุ และเพื่อเตรียมตัวเป็นรัฐมนตรีมหาดไทยต่อจากพ่อ บิน นาเยฟ ยังไปศึกษาที่สถาบัน เอฟ บี ไอ ของอเมริกา ในช่วง ค.ศ.1980 กว่าๆ และไปศึกษาหลักสูตรการปราบปรามผู้ก่อการร้าย ที่สก๊อตแลนด์ยาร์ดของอังกฤษอีก 3 ปี ในช่วง ค.ศ.1992-1994 อีกด้วย ดูเหมือนเขาจะรับตะวันตกได้มากกว่า the Black Prince พ่อของเขา หลังจากเหตุการณ์วางระเบิดฐานทัพของอเมริกาที่ Dharan อเมริกายิ่งกดดัน ซาอุดิอารเบีย เรื่องการปราบปรามผู้ก่อการร้าย โดยเฉพาะกลุ่ม บิน ลาเดน แต่ทางซาอุดิอารเบีย ยังทำเฉยเหมือนเดิม จนเมื่อนายอัล กอร์ รองประธานาธิบดี สมัยประธานาธิบดีคลินตัน เดินทางไปเยี่ยมตะวันออกกลาง ในปี ค.ศ.1998 เกิดมีข่าวว่ากลุ่มอัลไคดา มีแผนที่จะโจมตีสถานกงสุลของอเมริกาที่กรุงริยาร์ดช่วงเวลาที่ อัล กอร์ กำลังให้การรับรองมงกุฏราชกุมารของซาอุ ขณะนั้นคือ เจ้าชายอับดุลลาห์ แต่ในที่สุดแผนนั้นก็ล่มไป และอเมริกาบอกว่าคนที่จัดการให้แผนล่มก็คือ เจ้าชายนาเยฟ the Black Prince นั่นเอง … เรื่องนี้ ไม่รู้ใครลวงใคร.. หลังเหตุการณ์ 9/11 แม้จะมีข่าวว่า กลุ่มนักจี้เครื่องบินเป็นชาวซาอุเสีย 15 คน แต่เจ้าชายนาเยฟและราชวงศ์ส่วนใหญ่ ก็ไม่เชื่อว่ากลุ่มอัลไคดา ที่มีฐานอยู่ในซาอุเองจะมีส่วนเกี่ยวข้อง ต่างลงความเห็นว่า เป็นแผนที่พวกยิวไซออนิสต์สร้างขึ้นมาปรักปรำกลุ่มอัลไคดามากกว่า และแม้อเมริกาจะบอกว่ามีหลักฐานว่า 2 ใน 15 คนนั้น เป็นคนที่วางแผนเรื่องการโจมตีอัล กอร์ ในปี ค.ศ.1998 ด้วย เจ้าชายนาเยฟ ก็ไม่เชื่อคำบอกเล่าของอเมริกา แต่ บิน นาเยฟ คนลูก มาคนละแนวกับพ่อ อเมริกาบอก บิน นาเยฟ ใส่ใจเรื่องผู้ก่อการร้ายมาก และให้ความร่วมมือกับอเมริกาเป็นอย่างดี ในฐานะผู้ช่วยรัฐมนตรีมหาดไทย ทำให้อเมริกาโล่งอก บอกว่านับเป็นความโชคดีของซาอุเอง นะนี่ เพราะ บิน ลาเดน กำลังหันเข็มจะมาเล่นซาอุดิอารเบียและราชวงศ์แล้ว หลังจากอเมริกาไปถล่มฐานของมูจาฮิดีน อัลไคดา ที่อาฟกานิสถานจนเละ จากเหตุการณ์ 9/11 ทำให้อัลไคดา ประกาศจะล้างแค้นอเมริกาและเพื่อนรัก คือ ซาอุดิอารเบีย สรุปว่า เกี่ยวกับเรื่องผู้ก่อการร้ายนี่ เราคงจะฟังอเมริกา หรือซาอุดิอารเบีย ข้างใดข้างหนึ่งยากหน่อย แต่ดูเหมือนพวกเขากำลังลากไส้ ให้ลงเหวไปด้วยกัน…. วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ.2003 เป็นวันสำคัญทางศาสนาของมุสลิ ม บิน ลาเดน ประกาศทางวิทยุว่า ราชวงค์ ซาอูด ทรยศต่ออาณาจักรออตโตมาน ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ไปเห็นแก่อังกฤษและยิว และตอนนี้ ราชวงศ์ ก็กำลังยกมัสยิด และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ให้กองทัพอเมริกามาเดินเล่น และสมคบกับยิว ให้ยิวมาสร้างอิสราเอลอยู่ในตะวันออกกลาง บิน ลาเดน บอกว่า เราจงคอยดูอเมริกากำลังใช้ฐานทัพ ของอเมริกา ที่อยู่ในซาอุดิอารเบีย เพื่อบุกอิรัค บิน ลาเดน ยังเรียก ซาอุดิอารเบีย และพวก เช่น คูเวต บาห์เรน และการ์ตา ว่า เป็นคนทรยศ อีกด้วย แล้วในที่สุด บิน ลาเดน ก็โจมตีพวกตะวันตก ที่อยู่ในซาอุดิอารเบีย จริงๆ เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ.2003 โดยใช้กำลังประมาณ สิบกว่าคน บุกเข้าไปในบริวณบ้านหลังหนึ่งที่กรุงริยาร์ด ซึ่งเป็นที่พักของพวกชาวะวันตก พวกนี้เป็นที่ปรึกษาด้านการทหาร ที่ซาอุดิอารเบียจ้างเอาไว้ จริงๆพวกนี้ก็คือทหารนอกระบบของอเมริกา อังกฤษ นั่นเอง พวก บิน ลาเดน ใช้ระเบิดคาร์บอมทะลวงเข้าไป ปรากฏว่า มีชาวอเมริกันตาย 8 คน ออสซี่ อีก 2 คน และชาวต่างชาติอื่นอีกหลายคน รวมทั้งหน่วยรักษาความปลอดภัยของซาอุเอง ก็ตายด้วยหลายคน นี่ นับเป็นรายการที่ทั้งหักหน้าซาอุ และกระตุกหนวดนักล่าใบตองแห้งไป ในตัวของบิน ลา เดน ทำให้นายโรเบิร์ต จอร์แดน Robert Jordan ซึ่งเป็นทูตอเมริกา ประจำซาอุดิ อารเบีย ในช่วงนั้น พยายามกดดันให้ซาอุจัดการกับบิน ลาเดน อย่างจริงจัง แต่เสียงของทูตอเมริกันไม่ดังมากในซาอุดิอารเบีย ไม่เหมือนในบางประเทศ อเมริกาใช้เครื่องเสียงแรงขึ้น ลำโพงขนาดใหญ่กว่าอีกหน่อย โดยส่งนาย จอร์จ เทเนท George Tenet ผู้อำนวยการซีไอเอ ในสมัยนั้น ให้บินตรงไปซาอุดิอารเบียทันที เพื่อขอพบมงกุฏราชกุมารเจ้าชายอับดุลลาห์ ที่ทำหน้าที่ปกครองประเทศ แทนกษัตริย์ฟาหด ที่ป่วยหนักมาเป็นปีๆ เขาบอกกับเจ้าชายอับดุลลาห์ ว่า ราชวงศ์ซาอูดและการสิ้นสุดการปกครองของราชวงศ์ คือเป้าหมายของกลุ่มอัลไคดาแล้วนะ นอกจากนี้ อัลไคดา ยังมีแผนที่จะลอบฆ่าราชวงศ์ และผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลด้านเศรษฐกิจของประเทศ อีกด้วย ซาอุดิอารเบีย โยนเรื่องบิน ลาเดน ให้ บิน นาเยฟ เป็นคนจัดการ ร่วมกับอเมริกา และอเมริกาบอกว่า บิน นาเยฟ เป็นตัวสำคัญ ในการต้านการข่มขู่ ของอัลไคดา ที่มีต่อราชวงศ์ซาอูด ในช่วง ค.ศ.2003 ถึง 2006 ในช่วง 3 ปีดังกล่าว อัลไคดา โจมตีราชอาณาจักร ซาอุดิอารเบีย เป็นว่าเล่น แม้กระทั่งกระทรวงมหาดไทย ที่กรุงริยาร์ด ก็ยังโดนโจมตี บริเวณที่อยู่อาศัยของชาวตะวันตกหลายแห่งโดนบุก ชาวอเมริกันถูกลักพาตัว และถูกตัดหัว การยิงต่อสู้ระหว่างอัลไคดากับ เจ้าหน้าที่ของซาอุ เกิดขึ้นเกือบตลอดเวลา ในเมืองใหญ่ต่างๆของซาอุ สถานที่ทำงานของชาวตะวันตก โดนโจมตีมากขึ้น รวมทั้งสถานกงสุลของอเมริกาที่เมืองจิดดาห์ ก็โดนโจมตีเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ.2004 สรุปแล้ว มีคนตายหลายร้อย หลายบาดเจ็บนับไม่ถ้วน ในช่วง 3 ปีนั้น เป็นช่วงความไม่สงบในซาอุดิอารเบีย ที่ยาวนานที่สุด ที่ซาอุดิอารเบีย เคยผจญในรอบ 50 ปี และมีผลกระทบต่อราชวงศ์ซาอูด มากที่สุด นับตั้งแต่ตั้งประเทศในปี ค.ศ.1902 การต่อสู้ช่วงนี้ ทำให้รัฐบาลซาอุ ใช้เงินไปถึง 3 หมื่นล้านเหรียญ ในที่สุด ในปี ค.ศ.2007 อเมริกาบอกว่า ด้วยฝีมืออันโดดเด่นของ บิน นาเยฟ ซึ่งได้เป็นรัฐมนตรีมหาดไทยแทนพ่อ ก็สามารถทำให้กลุ่มอัลไคดา ลดน้อยลง พวกหัวรุนแรงเปลี่ยนใจ ไม่อยากสร้างสงครามในบ้านเกิดตัวเอง ส่วนชาวซาอุ ซึ่งเคยสนับสนุน บิน ลาเดน ให้สู้กับอเมริกา ก็ไม่อยากเห็นคนบริสุทธิ์ในบ้านเมืองตัวเอง พลอยฟ้าพลอยฝน โดนลูกหลงของอัลไคดาไปด้วย และก็เลยทำให้คะแนนนิยมของบิน ลาเดน ในซาอุดิอารเบีย ค่อยๆ ลดน้อยลงไป เห็นฝีมือซีไอเอเก๋า ที่สามารถโยงเรื่อง บิน ลาเดน กับ ซาอุดิอารเบีย เข้าด้วยกัน และแยงให้แคลงกัน อย่างแนบเนียน โดยไม่กล่าวถึงตัววางแผน ชักใย ผลักดัน แม้แต่คำเดียว ยอมรับจริงๆ ฝีมือเอ็งร้ายกาจมาก แบบนี้ ข่าวลือ สงสัยจะเป็น ข่าวลวง… สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 20 ต.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 325 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความกฎหมาย EP.44

    อำนาจอธิปไตยของปวงชน: การเลือกตั้งโดยตรงกับที่มาของสมาชิกสภา

    ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับโครงสร้างอำนาจนิติบัญญัติในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาของไทยนั้น มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรับรู้บทบาทของประชาชนในการปกครองประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่เกี่ยวกับที่มาและอำนาจของสมาชิกรัฐสภา ซึ่งประกอบด้วยสองสภาหลัก คือ สภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และวุฒิสภา (ส.ว.) ตามหลักการทางกฎหมายรัฐธรรมนูญและหลักประชาธิปไตยสากล ข้อความที่กล่าวว่า สภาผู้แทนราษฎร และ สภาสูง มีสมาชิกมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนนั้น จำเป็นต้องได้รับการพิจารณาอย่างละเอียดตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญไทยปัจจุบัน โดยทั่วไปแล้ว "สภาผู้แทนราษฎร" เป็นองค์กรที่สะท้อนเจตจำนงของประชาชนโดยตรงอย่างไม่มีข้อสงสัย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วประเทศมาจากการเลือกตั้งทั่วไปในระบบเขตเลือกตั้งแบบแบ่งเขต และระบบบัญชีรายชื่อแบบสัดส่วนผสม ซึ่งเป็นกลไกที่รับรองหลักการที่ว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน และต้องใช้อำนาจผ่านทางผู้แทนที่ตนเลือกเข้าไปทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติ ส.ส. จึงเป็นตัวแทนโดยตรงของประชาชนในการเสนอกฎหมาย ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน และพิจารณาให้ความเห็นชอบในเรื่องสำคัญของประเทศชาติอย่างแท้จริง การเลือกตั้ง ส.ส. โดยตรงจึงเป็นเสาหลักของประชาธิปไตยที่ประชาชนทุกคนมีสิทธิออกเสียงเพื่อกำหนดทิศทางของประเทศ ทว่า ในทางกลับกัน สำหรับ "สภาสูง" หรือ "วุฒิสภา" นั้น บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญของแต่ละประเทศและแต่ละช่วงเวลาในประเทศไทยได้กำหนดที่มาของสมาชิกแตกต่างกันไปตามบริบทและเจตนารมณ์ของการจัดตั้ง วุฒิสภามักถูกออกแบบมาให้เป็นสภาที่ทำหน้าที่กลั่นกรอง ตรวจสอบกฎหมาย ถ่วงดุลอำนาจ และเป็นตัวแทนของกลุ่มวิชาชีพหรือผู้ทรงคุณวุฒิ มากกว่าที่จะเป็นตัวแทนของประชาชนในเชิงพื้นที่หรือจำนวนประชากรโดยตรงเหมือนสภาผู้แทนราษฎร ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่มาของสมาชิกวุฒิสภามีความหลากหลายอย่างยิ่ง บางช่วงมาจากการแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหารหรือผู้มีอำนาจ บางช่วงมาจากการเลือกตั้งทางอ้อมโดยผู้ทรงคุณวุฒิ หรือการคัดเลือกจากกลุ่มอาชีพ และบางช่วงมาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน แต่ตามโครงสร้างปัจจุบันภายใต้รัฐธรรมนูญบางฉบับ ที่มาของ ส.ว. อาจไม่ได้เป็นไปตามหลักการ "เลือกตั้งโดยตรง" จากประชาชนอย่างสมบูรณ์ สมาชิกวุฒิสภาอาจมาจากการคัดเลือกกันเองของกลุ่มบุคคลในสังคมที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย ซึ่งแตกต่างจากการหย่อนบัตรเลือกตั้งแบบที่ประชาชนทั่วไปคุ้นเคย การใช้คำว่า "สภาสูงมีสมาชิกมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน" จึงอาจไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงทางกฎหมายในทุกกรณีเสมอไป และเป็นจุดที่ต้องทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนเกี่ยวกับสถานะทางกฎหมายและอำนาจหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาแต่ละประเภทตามกรอบของกฎหมายรัฐธรรมนูญไทย

    ดังนั้น การแยกแยะความแตกต่างทางกฎหมายระหว่างที่มาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งยึดโยงกับการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนตามหลักการพื้นฐานของระบอบตัวแทน กับที่มาของสมาชิกวุฒิสภาซึ่งมีรูปแบบที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในการทำความเข้าใจการใช้อำนาจอธิปไตยผ่านกลไกรัฐสภา ในแง่ของนิติศาสตร์ การที่ ส.ส. มาจากการเลือกตั้งโดยตรงทำให้พวกเขามีความชอบธรรมทางการเมืองในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากเจ้าของอำนาจอธิปไตยอย่างชัดเจนที่สุด ในขณะที่ความชอบธรรมของ ส.ว. มักจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ หรือการเป็นกลไกตรวจสอบถ่วงดุลทางเทคนิคตามที่รัฐธรรมนูญออกแบบไว้ ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับการแข่งขันทางการเมืองในวงกว้างเหมือนการเลือกตั้ง ส.ส. การตีความบทบัญญัติเรื่องที่มาของสมาชิกรัฐสภาจึงต้องทำอย่างเคร่งครัดตามถ้อยคำของกฎหมายสูงสุดของประเทศ เพื่อให้การทำงานของทั้งสองสภาเป็นไปอย่างถูกต้องตามหลักการทางกฎหมายและธำรงไว้ซึ่งเสถียรภาพและประสิทธิภาพของการใช้อำนาจนิติบัญญัติ

    ในที่สุดแล้ว การทำความเข้าใจอย่างถูกต้องตามกฎหมายในประเด็นที่มาของสมาชิกรัฐสภาทั้งสองสภา คือ สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ เป็นหัวใจสำคัญในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบประชาธิปไตย ความเข้าใจที่ชัดเจนว่า สภาผู้แทนราษฎรมีที่มาจาก "การเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน" อย่างแน่นอนและเป็นหลักการที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ส่วนที่มาของสภาสูงนั้น ต้องพิจารณาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายสูงสุดในแต่ละห้วงเวลาอย่างละเอียด จะช่วยให้ประชาชนสามารถตรวจสอบและติดตามการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตระหนักถึงอำนาจและสิทธิของตนในการเลือกผู้แทนเข้าไปใช้อำนาจอธิปไตยแทนตน การรับรู้และแยกแยะความแตกต่างเหล่านี้จะนำไปสู่การเรียกร้องให้มีการปฏิรูปกฎหมายให้สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตยที่เป็นสากลมากยิ่งขึ้นต่อไปในอนาคต หากพบว่าที่มาของสภาสูงไม่เป็นไปตามหลักการประชาธิปไตยโดยตรง การยึดมั่นในหลักการที่ว่าอำนาจเป็นของปวงชนและต้องใช้อำนาจผ่านผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงอย่างแท้จริงจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนการเมืองการปกครองของประเทศ.
    บทความกฎหมาย EP.44 อำนาจอธิปไตยของปวงชน: การเลือกตั้งโดยตรงกับที่มาของสมาชิกสภา ความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับโครงสร้างอำนาจนิติบัญญัติในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาของไทยนั้น มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรับรู้บทบาทของประชาชนในการปกครองประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่เกี่ยวกับที่มาและอำนาจของสมาชิกรัฐสภา ซึ่งประกอบด้วยสองสภาหลัก คือ สภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และวุฒิสภา (ส.ว.) ตามหลักการทางกฎหมายรัฐธรรมนูญและหลักประชาธิปไตยสากล ข้อความที่กล่าวว่า สภาผู้แทนราษฎร และ สภาสูง มีสมาชิกมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนนั้น จำเป็นต้องได้รับการพิจารณาอย่างละเอียดตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญไทยปัจจุบัน โดยทั่วไปแล้ว "สภาผู้แทนราษฎร" เป็นองค์กรที่สะท้อนเจตจำนงของประชาชนโดยตรงอย่างไม่มีข้อสงสัย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วประเทศมาจากการเลือกตั้งทั่วไปในระบบเขตเลือกตั้งแบบแบ่งเขต และระบบบัญชีรายชื่อแบบสัดส่วนผสม ซึ่งเป็นกลไกที่รับรองหลักการที่ว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน และต้องใช้อำนาจผ่านทางผู้แทนที่ตนเลือกเข้าไปทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติ ส.ส. จึงเป็นตัวแทนโดยตรงของประชาชนในการเสนอกฎหมาย ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน และพิจารณาให้ความเห็นชอบในเรื่องสำคัญของประเทศชาติอย่างแท้จริง การเลือกตั้ง ส.ส. โดยตรงจึงเป็นเสาหลักของประชาธิปไตยที่ประชาชนทุกคนมีสิทธิออกเสียงเพื่อกำหนดทิศทางของประเทศ ทว่า ในทางกลับกัน สำหรับ "สภาสูง" หรือ "วุฒิสภา" นั้น บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญของแต่ละประเทศและแต่ละช่วงเวลาในประเทศไทยได้กำหนดที่มาของสมาชิกแตกต่างกันไปตามบริบทและเจตนารมณ์ของการจัดตั้ง วุฒิสภามักถูกออกแบบมาให้เป็นสภาที่ทำหน้าที่กลั่นกรอง ตรวจสอบกฎหมาย ถ่วงดุลอำนาจ และเป็นตัวแทนของกลุ่มวิชาชีพหรือผู้ทรงคุณวุฒิ มากกว่าที่จะเป็นตัวแทนของประชาชนในเชิงพื้นที่หรือจำนวนประชากรโดยตรงเหมือนสภาผู้แทนราษฎร ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่มาของสมาชิกวุฒิสภามีความหลากหลายอย่างยิ่ง บางช่วงมาจากการแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหารหรือผู้มีอำนาจ บางช่วงมาจากการเลือกตั้งทางอ้อมโดยผู้ทรงคุณวุฒิ หรือการคัดเลือกจากกลุ่มอาชีพ และบางช่วงมาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน แต่ตามโครงสร้างปัจจุบันภายใต้รัฐธรรมนูญบางฉบับ ที่มาของ ส.ว. อาจไม่ได้เป็นไปตามหลักการ "เลือกตั้งโดยตรง" จากประชาชนอย่างสมบูรณ์ สมาชิกวุฒิสภาอาจมาจากการคัดเลือกกันเองของกลุ่มบุคคลในสังคมที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย ซึ่งแตกต่างจากการหย่อนบัตรเลือกตั้งแบบที่ประชาชนทั่วไปคุ้นเคย การใช้คำว่า "สภาสูงมีสมาชิกมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน" จึงอาจไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงทางกฎหมายในทุกกรณีเสมอไป และเป็นจุดที่ต้องทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนเกี่ยวกับสถานะทางกฎหมายและอำนาจหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาแต่ละประเภทตามกรอบของกฎหมายรัฐธรรมนูญไทย ดังนั้น การแยกแยะความแตกต่างทางกฎหมายระหว่างที่มาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งยึดโยงกับการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนตามหลักการพื้นฐานของระบอบตัวแทน กับที่มาของสมาชิกวุฒิสภาซึ่งมีรูปแบบที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในการทำความเข้าใจการใช้อำนาจอธิปไตยผ่านกลไกรัฐสภา ในแง่ของนิติศาสตร์ การที่ ส.ส. มาจากการเลือกตั้งโดยตรงทำให้พวกเขามีความชอบธรรมทางการเมืองในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากเจ้าของอำนาจอธิปไตยอย่างชัดเจนที่สุด ในขณะที่ความชอบธรรมของ ส.ว. มักจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ หรือการเป็นกลไกตรวจสอบถ่วงดุลทางเทคนิคตามที่รัฐธรรมนูญออกแบบไว้ ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับการแข่งขันทางการเมืองในวงกว้างเหมือนการเลือกตั้ง ส.ส. การตีความบทบัญญัติเรื่องที่มาของสมาชิกรัฐสภาจึงต้องทำอย่างเคร่งครัดตามถ้อยคำของกฎหมายสูงสุดของประเทศ เพื่อให้การทำงานของทั้งสองสภาเป็นไปอย่างถูกต้องตามหลักการทางกฎหมายและธำรงไว้ซึ่งเสถียรภาพและประสิทธิภาพของการใช้อำนาจนิติบัญญัติ ในที่สุดแล้ว การทำความเข้าใจอย่างถูกต้องตามกฎหมายในประเด็นที่มาของสมาชิกรัฐสภาทั้งสองสภา คือ สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ เป็นหัวใจสำคัญในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบประชาธิปไตย ความเข้าใจที่ชัดเจนว่า สภาผู้แทนราษฎรมีที่มาจาก "การเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน" อย่างแน่นอนและเป็นหลักการที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ส่วนที่มาของสภาสูงนั้น ต้องพิจารณาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายสูงสุดในแต่ละห้วงเวลาอย่างละเอียด จะช่วยให้ประชาชนสามารถตรวจสอบและติดตามการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตระหนักถึงอำนาจและสิทธิของตนในการเลือกผู้แทนเข้าไปใช้อำนาจอธิปไตยแทนตน การรับรู้และแยกแยะความแตกต่างเหล่านี้จะนำไปสู่การเรียกร้องให้มีการปฏิรูปกฎหมายให้สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตยที่เป็นสากลมากยิ่งขึ้นต่อไปในอนาคต หากพบว่าที่มาของสภาสูงไม่เป็นไปตามหลักการประชาธิปไตยโดยตรง การยึดมั่นในหลักการที่ว่าอำนาจเป็นของปวงชนและต้องใช้อำนาจผ่านผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงอย่างแท้จริงจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนการเมืองการปกครองของประเทศ.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 346 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความกฎหมาย EP.43

    การยุบสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นกลไกสำคัญภายใต้ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาของประเทศไทย มักถูกเรียกอย่างย่อว่า "ยุบสภา" แต่ในทางกฎหมายรัฐธรรมนูญนั้น กระบวนการนี้มีที่มา อำนาจ และขอบเขตที่ชัดเจน ซึ่งแตกต่างจากการสิ้นสุดวาระตามปกติ โดยสาระสำคัญแล้ว การยุบสภาคือการที่ฝ่ายบริหาร โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ริเริ่มและรับผิดชอบ เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อถวายฎีกาขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ยุบสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งการกระทำดังกล่าวมีผลเป็นการคืนอำนาจการตัดสินใจทางการเมืองกลับคืนสู่ประชาชนผ่านการเลือกตั้งทั่วไปโดยเร็วที่สุด การยุบสภาจึงไม่ใช่การลงโทษ แต่เป็นการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง หรือเพื่อแสวงหาฉันทามติใหม่จากประชาชนเมื่อรัฐบาลประสบภาวะไม่สามารถบริหารประเทศต่อไปได้ด้วยความชอบธรรมทางเสียงสนับสนุนในสภา หรือในยามที่ต้องการสร้างความมั่นคงทางการเมืองให้รัฐบาลมีความเข้มแข็งและมีเสถียรภาพมากขึ้นเพื่อขับเคลื่อนนโยบายสำคัญ โดยอำนาจในการยุบสภานี้เป็นอำนาจเฉพาะตัวของนายกรัฐมนตรีในการเสนอต่อพระมหากษัตริย์ และเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในการมีพระบรมราชโองการให้ยุบสภาตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี ตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ให้เป็นอำนาจที่พระมหากษัตริย์ทรงใช้ตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบ ดังนั้น ในทางปฏิบัติ จึงเป็นไปตามการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจทางการเมืองที่ต้องรับผิดชอบต่อสาธารณชน

    ในประเด็นทางกฎหมายที่สำคัญอย่างยิ่งคือ ขอบเขตของการยุบสภานั้นตามประเพณีการปกครองและบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญจะจำกัดอยู่เพียง สภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เท่านั้น ไม่ได้รวมถึง วุฒิสภา (ส.ว.) ซึ่งถือเป็นความแตกต่างทางโครงสร้างและหน้าที่อย่างชัดเจนระหว่างสภาทั้งสอง สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน มีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสี่ปี และมีบทบาทหลักในการออกกฎหมาย การควบคุมฝ่ายบริหาร และการให้ความเห็นชอบต่างๆ การยุบสภาจึงเป็นกลไกที่ทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบันพ้นจากตำแหน่งทั้งหมดเพื่อเปิดทางให้มีการเลือกตั้งทั่วไปภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด คือประมาณสี่สิบห้าถึงหกสิบวัน เพื่อให้ได้สภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่ ในทางตรงกันข้าม วุฒิสภาอาจมีที่มาจากการเลือกตั้งโดยอ้อม การสรรหา หรือการแต่งตั้งตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับ มีวาระการดำรงตำแหน่งที่แตกต่างกัน และมีบทบาทหลักในการกลั่นกรองกฎหมาย ตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดิน และดำเนินการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองบางประเภท ด้วยเหตุนี้ โครงสร้างและอำนาจหน้าที่ที่แตกต่างกัน ทำให้วุฒิสภาไม่ได้ถูกยุบไปด้วยกับการยุบสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภาจึงยังคงอยู่ในตำแหน่งและปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้จนกว่าจะสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่งของตนเองตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ เว้นแต่รัฐธรรมนูญฉบับใดจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ซึ่งโดยหลักการประชาธิปไตยส่วนใหญ่จะคงไว้ซึ่งการยุบเฉพาะสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นตัวแทนโดยตรงของประชาชน เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาทางการเมืองที่โยงกับความชอบธรรมของฝ่ายบริหารที่มาจากฐานเสียงของสภาผู้แทนราษฎรนั่นเอง การดำเนินการยุบสภานั้นจะส่งผลให้คณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันต้องกลายเป็นคณะรัฐมนตรีรักษาการ ซึ่งมีข้อจำกัดในการใช้อำนาจและอนุมัติโครงการหรือการอนุมัติงบประมาณขนาดใหญ่ จนกว่าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะเข้ารับหน้าที่หลังการเลือกตั้ง

    สรุปได้ว่า การยุบสภาผู้แทนราษฎรคือกระบวนการทางรัฐธรรมนูญที่เปิดโอกาสให้นายกรัฐมนตรีใช้ดุลยพินิจเพื่อขจัดวิกฤตการณ์ทางการเมืองหรือเพื่อแสวงหาความชอบธรรมใหม่จากประชาชน โดยเป็นการใช้อำนาจเสนอขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ยุบเฉพาะส่วนของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นสภาที่มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับฐานอำนาจของรัฐบาลและที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ขณะที่วุฒิสภายังคงอยู่ตามวาระที่กำหนดไว้ การทำความเข้าใจความแตกต่างทางกฎหมายระหว่างการยุบสภาผู้แทนราษฎรกับการคงอยู่ของวุฒิสภาจึงเป็นสิ่งสำคัญในการติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองภายใต้หลักการของกฎหมายรัฐธรรมนูญไทย
    บทความกฎหมาย EP.43 การยุบสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นกลไกสำคัญภายใต้ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาของประเทศไทย มักถูกเรียกอย่างย่อว่า "ยุบสภา" แต่ในทางกฎหมายรัฐธรรมนูญนั้น กระบวนการนี้มีที่มา อำนาจ และขอบเขตที่ชัดเจน ซึ่งแตกต่างจากการสิ้นสุดวาระตามปกติ โดยสาระสำคัญแล้ว การยุบสภาคือการที่ฝ่ายบริหาร โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ริเริ่มและรับผิดชอบ เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อถวายฎีกาขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ยุบสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งการกระทำดังกล่าวมีผลเป็นการคืนอำนาจการตัดสินใจทางการเมืองกลับคืนสู่ประชาชนผ่านการเลือกตั้งทั่วไปโดยเร็วที่สุด การยุบสภาจึงไม่ใช่การลงโทษ แต่เป็นการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง หรือเพื่อแสวงหาฉันทามติใหม่จากประชาชนเมื่อรัฐบาลประสบภาวะไม่สามารถบริหารประเทศต่อไปได้ด้วยความชอบธรรมทางเสียงสนับสนุนในสภา หรือในยามที่ต้องการสร้างความมั่นคงทางการเมืองให้รัฐบาลมีความเข้มแข็งและมีเสถียรภาพมากขึ้นเพื่อขับเคลื่อนนโยบายสำคัญ โดยอำนาจในการยุบสภานี้เป็นอำนาจเฉพาะตัวของนายกรัฐมนตรีในการเสนอต่อพระมหากษัตริย์ และเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในการมีพระบรมราชโองการให้ยุบสภาตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี ตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ให้เป็นอำนาจที่พระมหากษัตริย์ทรงใช้ตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบ ดังนั้น ในทางปฏิบัติ จึงเป็นไปตามการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจทางการเมืองที่ต้องรับผิดชอบต่อสาธารณชน ในประเด็นทางกฎหมายที่สำคัญอย่างยิ่งคือ ขอบเขตของการยุบสภานั้นตามประเพณีการปกครองและบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญจะจำกัดอยู่เพียง สภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เท่านั้น ไม่ได้รวมถึง วุฒิสภา (ส.ว.) ซึ่งถือเป็นความแตกต่างทางโครงสร้างและหน้าที่อย่างชัดเจนระหว่างสภาทั้งสอง สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน มีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสี่ปี และมีบทบาทหลักในการออกกฎหมาย การควบคุมฝ่ายบริหาร และการให้ความเห็นชอบต่างๆ การยุบสภาจึงเป็นกลไกที่ทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบันพ้นจากตำแหน่งทั้งหมดเพื่อเปิดทางให้มีการเลือกตั้งทั่วไปภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด คือประมาณสี่สิบห้าถึงหกสิบวัน เพื่อให้ได้สภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่ ในทางตรงกันข้าม วุฒิสภาอาจมีที่มาจากการเลือกตั้งโดยอ้อม การสรรหา หรือการแต่งตั้งตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับ มีวาระการดำรงตำแหน่งที่แตกต่างกัน และมีบทบาทหลักในการกลั่นกรองกฎหมาย ตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดิน และดำเนินการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองบางประเภท ด้วยเหตุนี้ โครงสร้างและอำนาจหน้าที่ที่แตกต่างกัน ทำให้วุฒิสภาไม่ได้ถูกยุบไปด้วยกับการยุบสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภาจึงยังคงอยู่ในตำแหน่งและปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้จนกว่าจะสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่งของตนเองตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ เว้นแต่รัฐธรรมนูญฉบับใดจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ซึ่งโดยหลักการประชาธิปไตยส่วนใหญ่จะคงไว้ซึ่งการยุบเฉพาะสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นตัวแทนโดยตรงของประชาชน เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาทางการเมืองที่โยงกับความชอบธรรมของฝ่ายบริหารที่มาจากฐานเสียงของสภาผู้แทนราษฎรนั่นเอง การดำเนินการยุบสภานั้นจะส่งผลให้คณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันต้องกลายเป็นคณะรัฐมนตรีรักษาการ ซึ่งมีข้อจำกัดในการใช้อำนาจและอนุมัติโครงการหรือการอนุมัติงบประมาณขนาดใหญ่ จนกว่าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะเข้ารับหน้าที่หลังการเลือกตั้ง สรุปได้ว่า การยุบสภาผู้แทนราษฎรคือกระบวนการทางรัฐธรรมนูญที่เปิดโอกาสให้นายกรัฐมนตรีใช้ดุลยพินิจเพื่อขจัดวิกฤตการณ์ทางการเมืองหรือเพื่อแสวงหาความชอบธรรมใหม่จากประชาชน โดยเป็นการใช้อำนาจเสนอขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ยุบเฉพาะส่วนของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นสภาที่มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับฐานอำนาจของรัฐบาลและที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ขณะที่วุฒิสภายังคงอยู่ตามวาระที่กำหนดไว้ การทำความเข้าใจความแตกต่างทางกฎหมายระหว่างการยุบสภาผู้แทนราษฎรกับการคงอยู่ของวุฒิสภาจึงเป็นสิ่งสำคัญในการติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองภายใต้หลักการของกฎหมายรัฐธรรมนูญไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 351 มุมมอง 0 รีวิว
  • โง่ชิบหาย...!!!
    .
    ทำตัวเป็นเด็กยังไม่อย่านม ลงไปนอนกลิ้งจะเอาของเล่น
    .
    ประเทศชาติมีศึกสงคราม ไอ้พรรคการเมืองเหี้ยนี่ คิดอย่างเดียวจะแก้รัฐธรรมนูญ
    .
    กูจะแก้หมวด 1 หมวด 2 ด้วย...!!!
    ....
    ....
    หมวดที่ 1 บททั่วไป กำหนดหลักการพื้นฐาน
    .
    ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว และมีการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
    .
    หมวดที่ 2 พระมหากษัตริย์ กำหนดสถานะและบทบาทของพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขของรัฐ ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ
    ....
    ....
    พวกมึงอยากจะแก้เหี้ยอะไร
    .
    จะแก้หมวด 1 หรือมึงอยากจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบรัฐ แบ่งแยกดินแดนให้ BRN รึไง...???
    .
    จะแก้หมวด 2 หมวดพระมหากษัตริย์ มึงจะแก้ไขสถานะพระมหากษัตริย์เหรอ...???
    ...
    ...
    ทุกลมหายใจคิดแต่จะแก้รัฐธรรมนูญ คิดแต่จะจัดการสถาบันพระมหากษัตริย์
    .
    เค้ารบกับ มึงก็ค้านดะ หาว่าทหารจะหาซีนหาแสง ห้ามมีกระแสชาตินิยมในประเทศไทยเด็ดขาด
    .
    ไปนั่งตรวจสอบทหาร ตรวจสอบคนบริจาคช่วยทหาร...
    .
    คิดว่าตัวเองคะแนนเสียงเยอะ ไม่พอใจก็โวยวายขู่จะอภิปราย ท้าให้เขายุบสภา
    .
    เขาเลยยุบสภาฟาดหน้ามึง...!!!
    .
    ทีนี้ทำยังไง...???
    .
    ไอ้หน้าโง่เอ้ย...!!!
    .
    ไก่อ่อน...
    .
    ถ้าประเทศชาติในยามสงครามได้พวกมึงมาบริหาร...
    .
    ไม่แคล้ว ได้หยุดสงคราม กราบตีน เขมร ลาก ไอ้ทรัมป์ มาเสือกอีกแน่นอน...
    .
    โง่แล้ว โง่อยู่ โง่ต่อไป...!!!
    โง่ชิบหาย...!!! . ทำตัวเป็นเด็กยังไม่อย่านม ลงไปนอนกลิ้งจะเอาของเล่น . ประเทศชาติมีศึกสงคราม ไอ้พรรคการเมืองเหี้ยนี่ คิดอย่างเดียวจะแก้รัฐธรรมนูญ . กูจะแก้หมวด 1 หมวด 2 ด้วย...!!! .... .... หมวดที่ 1 บททั่วไป กำหนดหลักการพื้นฐาน . ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว และมีการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข . หมวดที่ 2 พระมหากษัตริย์ กำหนดสถานะและบทบาทของพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขของรัฐ ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ .... .... พวกมึงอยากจะแก้เหี้ยอะไร . จะแก้หมวด 1 หรือมึงอยากจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบรัฐ แบ่งแยกดินแดนให้ BRN รึไง...??? . จะแก้หมวด 2 หมวดพระมหากษัตริย์ มึงจะแก้ไขสถานะพระมหากษัตริย์เหรอ...??? ... ... ทุกลมหายใจคิดแต่จะแก้รัฐธรรมนูญ คิดแต่จะจัดการสถาบันพระมหากษัตริย์ . เค้ารบกับ มึงก็ค้านดะ หาว่าทหารจะหาซีนหาแสง ห้ามมีกระแสชาตินิยมในประเทศไทยเด็ดขาด . ไปนั่งตรวจสอบทหาร ตรวจสอบคนบริจาคช่วยทหาร... . คิดว่าตัวเองคะแนนเสียงเยอะ ไม่พอใจก็โวยวายขู่จะอภิปราย ท้าให้เขายุบสภา . เขาเลยยุบสภาฟาดหน้ามึง...!!! . ทีนี้ทำยังไง...??? . ไอ้หน้าโง่เอ้ย...!!! . ไก่อ่อน... . ถ้าประเทศชาติในยามสงครามได้พวกมึงมาบริหาร... . ไม่แคล้ว ได้หยุดสงคราม กราบตีน เขมร ลาก ไอ้ทรัมป์ มาเสือกอีกแน่นอน... . โง่แล้ว โง่อยู่ โง่ต่อไป...!!!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 232 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลองเชิง ตอนที่ 6

    “ลองเชิง”
    ตอน 6
    รู้จักหน้าตาภูมิหลังอย่างสังเขปของดาราใหญ่ ดาราเล็กในตะวันออกกลางกันบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้ว่าแต่ละรายนั้น เกี่ยวข้องกับซีเรีย ที่กำลังจะเป็นฉากสำคัญของโลกขนาดไหน พิษมากเผ็ดร้อน อย่างไร
    แน่นอน ตัวการใหญ่คงไม่พ้นอเมริกาหรอก ในช่วง 60 -70 ปีนี้ ความวิบัติฉิบหายในโลกนี้ รายการไหนบ้าง ที่ไม่มีอเมริกา มีส่วนสร้าง เสริม หรือเสี้ยม
    เมื่อแรกที่อเมริกาจับมือกับกษัตริย์ อับดุล อาซิส ผู้สถาปนาราชวงค์ อัล ซาอูดของซาอุดิอารเบีย ใน ช่วงประมาณปี ค.ศ.1930 กว่าๆนั้น อเมริกา ไม่ได้มีมุมมอง หรือมุมคิด เกี่ยวกับศาสนาอิสลามอยู่ในหัวเลย อเมริกาคิดแต่จะขุดน้ำมันซาอุมาขายให้รวยจ้ำบะไปเลยเท่านั้น กับ (จำใจ) รับปากจะช่วยดูแลด้านความมั่นคงของซาอุดิอารเบียให้ จริงๆก็คือ ดูแลบ่อน้ำมันซาอุ ไม่ให้มีใครมายุ่ง มาแย่งไปจากตัวเท่านั้นเอง และอเมริกาก็ทำอย่างนั้นมาหลายปี ทั้งเจ้าของบ่อ ทั้งคนขุด คนขาย ต่างก็มีความสุขเพลิดเพลินกับการนับกระดาษสีเขียว ตรานกอินทรีย์
    อเมริกา ซาอุ นับกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์เพลินอยู่นานหลายสิบปี แม้ไม่รักกัน แต่ก็เหมือนคู่แต่งงาน ที่อยู่ด้วยกันเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของทั้ง 2 ฝ่ายจนถึงประมาณ ค.ศ.1990 กว่า รัสเซียดันเข้าใปเดินเล่นในอาฟกานิสถาน เอะ รัสเซียทะลึ่งเข้ามาทำไม อเมริกาทนไม่ได้ รัสเซียกำลังจะมาทำอะไรในอาฟกานิสาน จะมาคุกคามกันหรือไง จริงๆ อาฟกานิสถานก็ไกลกับบ้านอเมริกาแยะนะ แล้วก็ไม่ได้ใกล้กับบ่อน้ำมันของซาอุด้วย แต่ อเมริกาก็ไม่พอใจ แค่ได้ยินชื่อรัสเซีย อเมริกาก็ไม่พอใจแล้ว อย่าลืมว่า อาฟกานิสถานอุดมไปด้วยแหล่งแร่มีค่าขนาดไหน
    อเมริกาต้องหาทางไล่รัสเซียออกไปให้ได้ วิธีการไหนล่ะ ที่จะไล่รัสเซียได้
    อ้อ ลัทธิคอมมิวนิสม์ไง มันจะทำให้กระทบกับความมั่นคงของซาอุดิอารเบีย ที่เคร่งศาสนาได้นะ อย่างนี้ ก็เข้าทาง นายซบิกเนียฟ เบรซินสกี้ Zbigniew Brzezinzki ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของอเมริกาขณะนั้น ที่ฝันจะสร้างแผนกินโลก ให้กับอเมริกามานานแล้ว
    เบรซินสกี้ เป็นคนที่เชื่อทฤษฏีครูแมค เรื่องการครองโลกโดยครองยูเรเซีย อย่างอย่างคลั่งไคล้ เขาเขียนถึงเรื่องยูเรเซียนี้ไว้ในหนังสือเรื่อง The Grand Chess Board กระดานหมากรุกโลก ซึ่งบอกแนวทางว่า อเมริกาจะต้องทำอย่างไร ในการจะครองโลกอย่างเบ็ดเสร็จ หนึ่งในสิ่งที่อเมริกาจะต้องทำคือ หาทางและวางยุทธศาสตร์ที่จะครอบครองยูเรเซีย นักภูมิศาสตร์การเมืองระดับโลกถึงกับบอกกันว่า หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือที่ “ต้องอ่าน” และนโยบายต่างประเทศของอเมริกา ตั้งแต่ ค.ศ.1990 เป็นต้นมา ก็ดูเหมือนจะไม่หลุดจากแนวความคิดของไอ้หมอนี่ และการรุกราน การปิดล้อม การดักเส้นทางรัดคอ ต่างๆ ที่ผมเอามาเล่าไว้ในนิทานเรื่อง “แผนชั่ว” ก็มีรากฐานมาจากความคิดของเขาเป็นส่วนมาก เพราะฉะนั้น จำชื่อเขาไว้ให้ดีๆ จะเผาพริกเผ่าเกลือด่า จะได้ไม่ผิดตัว
    เบรซินสกี้วางแผน ตั้งกองกำลังนักรบพลีชีพ จีฮาร์ด รุ่นแรก โดยตระเวนคุยกับซาอุดิอารเบีย ปากีสถาน และอาฟกานิสถาน เขาบอกกับกลุ่มนักรบว่า พระเจ้าคงพอใจ ที่พวกคุณจะได้ทำลายพวกคอมมิวนิสต์รัสเซีย ที่กำลังจะเข้ามาทำลายศาสนาของคุณ
    จี้จุดกันแบบนี้ ซาอุ ก็ตาเหลือก รีบจัดส่งพระเอกมาให้เบรซินสกี้ทันที อูซซามะ บิน ลาเดน มหาเศรษฐีหนุ่มศรัทธาแรง แห่งซาอุดิอารเบีย บอกกับอเมริกาว่า ได้เลย เราพร้อมทุกรูปแบบ เราพร้อมที่จะทิ้งบ้านที่ใหญ่ยังกับวัง และทรัพย์สมบัติมหาศาลของเรา เพื่อทุ่มเททำงานให้ศาสดาของเรา
    แล้วอเมริกาก็จัดการฝึก บิน ลาเดน และพรรคพวกอย่างจัดเต็ม พร้อมส่งอาวุธครบเครื่อง และกลุ่มอัลไคด้า หรืออัลกออิดะ ก็ถือกำเนิด บิน ลาเดน รวบรวมอิสลามหัวรุนแรงนักสู้จากทั่วโลก สร้างกองกำลัง เพื่อต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ ศัตรูของศาสนาอิสลาม ตามการแปลพระคัมภีร์ของพวกหัวรุนแรง หรือตามที่อเมริกายุ ผมไม่แน่ใจ
    เมื่ออเมริกา เตรียมทำสงครามพายุทะเลทราย Desert Storm เพื่อไล่ซัดดัม
    ที่ไปบุกคูเวต รัฐบาลซาอุ อนุญาตให้กองทัพอเมริกันเคลื่อนพล ผ่านเข้ามาในแผ่นดินซาอุดิอารเบียได้ ข่าวนี้ทำให้ บิน ลาเดน ขัดใจมาก พวกคริสเตียน จะมาเหยียบย่ำบนแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ ของอิสลามได้อย่างไร
    บิน ลาเดน ประท้วงเรื่องนี้ต่อราชวงศ์ซาอุ ที่หนุนให้เขาไปทำงานกับอเมริกา ราชวงค์บอก ไม่ต้องห่วง เราจะไม่ให้พวกนอกศาสนาก้าวเข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แน่นอน ( คือ เมือง เมกกะ เมดินา และฮิจาส) และพวกเขาจะออกไปจากแผ่นดินเรา เมื่อการรบกับอิรัคเสร็จสิ้น
    แต่แล้ว ก็ไม่มีคำสั่งจากทางซาอุ ให้กองทัพอเมริกันถอนกลับออกไป และบิน ลาเดน กลับกลายเป็นบุคคลต้องห้าม ไม่ให้เข้าซาอุดิอารเบียเสียเอง บิน ลาเดน กับพวก จึงเบนเป้าไปที่อเมริกาแทน จากเป็นเด็กฝึกของอเมริกา กลับกลายเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของอเมริกา แต่ บิน ลาเดนไม่เดือดร้อน เขาใช้สมบัติมหาศาลของตัวเอง มาเป็นทุนสู้กับอเมริกาอีกต่ออย่างเข้มข้น
    และแม้ไม่มีใครรู้แน่ว่า การถล่มตึกเวิลด์เทรดเป็นฝีมือใคร อเมริกากับอัลไคด้า ก็ประกาศตัดขาดกัน และต่างก็ต่อสู้กันอย่างเต็มที่ ทั้งในอาฟกานิสถาน และอิรัค
    อเมริกาโง่เง่า หรือใหญ่ยิ่ง จนไม่สนใจใส่ใจกับศาสนา ประเพณี และความรู้สึกของผู้อื่น
    ในปี ค.ศ.2003 เมื่อกองทัพของอเมริกาบุกเข้าไปถึงเมืองนาจาฟ เมืองสำคัญทางศาสนาของมุสลิมชีอะ เมื่อรถถังอเมริกันเคลื่อนเข้ามา ชาวบ้านไชโยโห่ร้องต้อนรับ แต่รถถังของอเมริกาก็วิ่งไปเรื่อยๆ เข้าไปในเขตสุเหร่าของอิหม่ามสูงสุดของนิกายชีอะ แม้ชาวบ้านจะตะโกนห้าม รถถังก็ยังวิ่งต่อ ในที่สุดชาวบ้านทนไม่ไหว พากันโดดลงไปนอนขวางไม่ให้รถวิ่งต่อ นี่คืออเมริกา
    อเมริกาทำพลาดเรื่อง อัลไคด้ามาแล้ว แต่อเมริกาหัวทึบ ไม่รู้จักจำ หรือไม่สนใจจำ อเมริกาทำซ้ำอีก ไม่ว่าพวกอิสลามหัวรุนแรง จะเรียกตัวเองว่าอัลไคด้า ตาลีบัน ไอซิส อัล นัสรา มูจาฮีดีน วาห์ฮะบี หรือชื่อใดก็ตาม พวกเขาก็เหมือนกันทั้งนั้น พวกเขามาจากความเคร่ง และการแปลความของพระคัมภีร์ในรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมีทั้งผู้สนับสนุน และเห็นต่าง
    ขบวนการต่อต้านรัฐบาลอัสซาด ก็เช่นเดียวกัน มันเริ่มจากการรวมตัวกันหลวมๆ ของพวกมุสลิมเคร่งครัด ที่เกลียดซีเรีย ภายใต้การปกครองของ บาชาร์ อัล อัสซาด Bashar Al-Assad ที่กล่าวกันว่า ไม่เคร่งศาสนา แล้วพวกมุสลิมเคร่งครัด ก็มาจับมืออีกต่อหนึ่ง กับพวก ศัตรู ที่ดูเหมือนจะมีไม่น้อย ของ อัสซาดที่ปกครองซีเรีย ตั้งแต่คนพ่อมาถึงคนลูกในปัจจุบัน
    ใครบ้างล่ะ ที่เห็นอัสซาด พ่อ ลูก เป็นศัตรูตัวร้าย นอกเหนือจากกลุ่มอิสลามหัวรุนแรงต่างๆ
    เริ่มมาตั้งแต่อิสราเอล (ที่ไม่พอใจซีเรีย ที่ไปให้การสนับสนุนกลุ่ม เฮสบอลเลาะห์ ที่เป็นศัตรูของอิสราเอล) เสี่ยปั้มใหญ่ปั้มเล็ก ( เพราะซีเรียเป็นเพื่อนซี้กับอิหร่าน ที่พวกเสี่ยปั้มเกลียด) ตุรกี ( เพราะความเข้มแข็งของซีเรีย ขวางเส้นทางสู่ความฝันของ เอร์โดกานที่หวังจะเป็นสุลต่านยุคใหม่แห่งตุรกี)
    และที่สำคัญ คือ กองกำลังร่วมที่ 14 มีนา ของพวกเลบานอน (ที่กล่าวหาว่า ซีเรีย มีส่วนในการลอบฆ่า ราฟิก อัล ฮาริริ Rafiq Al-Hariri อดีตนายกรัฐมนตรีของเลบานอน) กับ อีกกลุ่มที่แปลก คือ กลุ่มคริสเตียนขวาจัด ซึ่ง มาจับมือกับพวกนักรบมุสลิม
    ความหลากหลาย ของผู้ที่มารวมกลุ่มต่อต้านซีเรีย หรือซีเรียที่ปกครองโดย
    อัสซาด จึงสะท้อนให้เห็นเป้าหมายของการประท้วง ที่หลากหลายเช่นเดียวกัน
    คงมีใครทำให้พวกเขาเข้าใจว่า การต่อต้าน หรือการขับไล่อัสซาด คงใช้เวลาเวลาไม่นาน และเมื่ออัสซาดถูกขับไล่ไป กลุ่มมุสลิมก็จะได้มาปกครองซีเรียแทน พวกเขาไม่ได้เตรียมตัว และเตรียมการณ์สำหรับการรบยืดเยื้อ และการแตกแยกในกลุ่มพวกกันเอง นับเป็นการประเมินอัสซาด และซีเรีย อย่างผิดพลาดยิ่งของผู้วางแผน
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    5 ต.ค. 2558
    ลองเชิง ตอนที่ 6 “ลองเชิง” ตอน 6 รู้จักหน้าตาภูมิหลังอย่างสังเขปของดาราใหญ่ ดาราเล็กในตะวันออกกลางกันบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้ว่าแต่ละรายนั้น เกี่ยวข้องกับซีเรีย ที่กำลังจะเป็นฉากสำคัญของโลกขนาดไหน พิษมากเผ็ดร้อน อย่างไร แน่นอน ตัวการใหญ่คงไม่พ้นอเมริกาหรอก ในช่วง 60 -70 ปีนี้ ความวิบัติฉิบหายในโลกนี้ รายการไหนบ้าง ที่ไม่มีอเมริกา มีส่วนสร้าง เสริม หรือเสี้ยม เมื่อแรกที่อเมริกาจับมือกับกษัตริย์ อับดุล อาซิส ผู้สถาปนาราชวงค์ อัล ซาอูดของซาอุดิอารเบีย ใน ช่วงประมาณปี ค.ศ.1930 กว่าๆนั้น อเมริกา ไม่ได้มีมุมมอง หรือมุมคิด เกี่ยวกับศาสนาอิสลามอยู่ในหัวเลย อเมริกาคิดแต่จะขุดน้ำมันซาอุมาขายให้รวยจ้ำบะไปเลยเท่านั้น กับ (จำใจ) รับปากจะช่วยดูแลด้านความมั่นคงของซาอุดิอารเบียให้ จริงๆก็คือ ดูแลบ่อน้ำมันซาอุ ไม่ให้มีใครมายุ่ง มาแย่งไปจากตัวเท่านั้นเอง และอเมริกาก็ทำอย่างนั้นมาหลายปี ทั้งเจ้าของบ่อ ทั้งคนขุด คนขาย ต่างก็มีความสุขเพลิดเพลินกับการนับกระดาษสีเขียว ตรานกอินทรีย์ อเมริกา ซาอุ นับกระดาษสีเขียวตรานกอินทรีย์เพลินอยู่นานหลายสิบปี แม้ไม่รักกัน แต่ก็เหมือนคู่แต่งงาน ที่อยู่ด้วยกันเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของทั้ง 2 ฝ่ายจนถึงประมาณ ค.ศ.1990 กว่า รัสเซียดันเข้าใปเดินเล่นในอาฟกานิสถาน เอะ รัสเซียทะลึ่งเข้ามาทำไม อเมริกาทนไม่ได้ รัสเซียกำลังจะมาทำอะไรในอาฟกานิสาน จะมาคุกคามกันหรือไง จริงๆ อาฟกานิสถานก็ไกลกับบ้านอเมริกาแยะนะ แล้วก็ไม่ได้ใกล้กับบ่อน้ำมันของซาอุด้วย แต่ อเมริกาก็ไม่พอใจ แค่ได้ยินชื่อรัสเซีย อเมริกาก็ไม่พอใจแล้ว อย่าลืมว่า อาฟกานิสถานอุดมไปด้วยแหล่งแร่มีค่าขนาดไหน อเมริกาต้องหาทางไล่รัสเซียออกไปให้ได้ วิธีการไหนล่ะ ที่จะไล่รัสเซียได้ อ้อ ลัทธิคอมมิวนิสม์ไง มันจะทำให้กระทบกับความมั่นคงของซาอุดิอารเบีย ที่เคร่งศาสนาได้นะ อย่างนี้ ก็เข้าทาง นายซบิกเนียฟ เบรซินสกี้ Zbigniew Brzezinzki ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของอเมริกาขณะนั้น ที่ฝันจะสร้างแผนกินโลก ให้กับอเมริกามานานแล้ว เบรซินสกี้ เป็นคนที่เชื่อทฤษฏีครูแมค เรื่องการครองโลกโดยครองยูเรเซีย อย่างอย่างคลั่งไคล้ เขาเขียนถึงเรื่องยูเรเซียนี้ไว้ในหนังสือเรื่อง The Grand Chess Board กระดานหมากรุกโลก ซึ่งบอกแนวทางว่า อเมริกาจะต้องทำอย่างไร ในการจะครองโลกอย่างเบ็ดเสร็จ หนึ่งในสิ่งที่อเมริกาจะต้องทำคือ หาทางและวางยุทธศาสตร์ที่จะครอบครองยูเรเซีย นักภูมิศาสตร์การเมืองระดับโลกถึงกับบอกกันว่า หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือที่ “ต้องอ่าน” และนโยบายต่างประเทศของอเมริกา ตั้งแต่ ค.ศ.1990 เป็นต้นมา ก็ดูเหมือนจะไม่หลุดจากแนวความคิดของไอ้หมอนี่ และการรุกราน การปิดล้อม การดักเส้นทางรัดคอ ต่างๆ ที่ผมเอามาเล่าไว้ในนิทานเรื่อง “แผนชั่ว” ก็มีรากฐานมาจากความคิดของเขาเป็นส่วนมาก เพราะฉะนั้น จำชื่อเขาไว้ให้ดีๆ จะเผาพริกเผ่าเกลือด่า จะได้ไม่ผิดตัว เบรซินสกี้วางแผน ตั้งกองกำลังนักรบพลีชีพ จีฮาร์ด รุ่นแรก โดยตระเวนคุยกับซาอุดิอารเบีย ปากีสถาน และอาฟกานิสถาน เขาบอกกับกลุ่มนักรบว่า พระเจ้าคงพอใจ ที่พวกคุณจะได้ทำลายพวกคอมมิวนิสต์รัสเซีย ที่กำลังจะเข้ามาทำลายศาสนาของคุณ จี้จุดกันแบบนี้ ซาอุ ก็ตาเหลือก รีบจัดส่งพระเอกมาให้เบรซินสกี้ทันที อูซซามะ บิน ลาเดน มหาเศรษฐีหนุ่มศรัทธาแรง แห่งซาอุดิอารเบีย บอกกับอเมริกาว่า ได้เลย เราพร้อมทุกรูปแบบ เราพร้อมที่จะทิ้งบ้านที่ใหญ่ยังกับวัง และทรัพย์สมบัติมหาศาลของเรา เพื่อทุ่มเททำงานให้ศาสดาของเรา แล้วอเมริกาก็จัดการฝึก บิน ลาเดน และพรรคพวกอย่างจัดเต็ม พร้อมส่งอาวุธครบเครื่อง และกลุ่มอัลไคด้า หรืออัลกออิดะ ก็ถือกำเนิด บิน ลาเดน รวบรวมอิสลามหัวรุนแรงนักสู้จากทั่วโลก สร้างกองกำลัง เพื่อต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ ศัตรูของศาสนาอิสลาม ตามการแปลพระคัมภีร์ของพวกหัวรุนแรง หรือตามที่อเมริกายุ ผมไม่แน่ใจ เมื่ออเมริกา เตรียมทำสงครามพายุทะเลทราย Desert Storm เพื่อไล่ซัดดัม ที่ไปบุกคูเวต รัฐบาลซาอุ อนุญาตให้กองทัพอเมริกันเคลื่อนพล ผ่านเข้ามาในแผ่นดินซาอุดิอารเบียได้ ข่าวนี้ทำให้ บิน ลาเดน ขัดใจมาก พวกคริสเตียน จะมาเหยียบย่ำบนแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ ของอิสลามได้อย่างไร บิน ลาเดน ประท้วงเรื่องนี้ต่อราชวงศ์ซาอุ ที่หนุนให้เขาไปทำงานกับอเมริกา ราชวงค์บอก ไม่ต้องห่วง เราจะไม่ให้พวกนอกศาสนาก้าวเข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แน่นอน ( คือ เมือง เมกกะ เมดินา และฮิจาส) และพวกเขาจะออกไปจากแผ่นดินเรา เมื่อการรบกับอิรัคเสร็จสิ้น แต่แล้ว ก็ไม่มีคำสั่งจากทางซาอุ ให้กองทัพอเมริกันถอนกลับออกไป และบิน ลาเดน กลับกลายเป็นบุคคลต้องห้าม ไม่ให้เข้าซาอุดิอารเบียเสียเอง บิน ลาเดน กับพวก จึงเบนเป้าไปที่อเมริกาแทน จากเป็นเด็กฝึกของอเมริกา กลับกลายเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของอเมริกา แต่ บิน ลาเดนไม่เดือดร้อน เขาใช้สมบัติมหาศาลของตัวเอง มาเป็นทุนสู้กับอเมริกาอีกต่ออย่างเข้มข้น และแม้ไม่มีใครรู้แน่ว่า การถล่มตึกเวิลด์เทรดเป็นฝีมือใคร อเมริกากับอัลไคด้า ก็ประกาศตัดขาดกัน และต่างก็ต่อสู้กันอย่างเต็มที่ ทั้งในอาฟกานิสถาน และอิรัค อเมริกาโง่เง่า หรือใหญ่ยิ่ง จนไม่สนใจใส่ใจกับศาสนา ประเพณี และความรู้สึกของผู้อื่น ในปี ค.ศ.2003 เมื่อกองทัพของอเมริกาบุกเข้าไปถึงเมืองนาจาฟ เมืองสำคัญทางศาสนาของมุสลิมชีอะ เมื่อรถถังอเมริกันเคลื่อนเข้ามา ชาวบ้านไชโยโห่ร้องต้อนรับ แต่รถถังของอเมริกาก็วิ่งไปเรื่อยๆ เข้าไปในเขตสุเหร่าของอิหม่ามสูงสุดของนิกายชีอะ แม้ชาวบ้านจะตะโกนห้าม รถถังก็ยังวิ่งต่อ ในที่สุดชาวบ้านทนไม่ไหว พากันโดดลงไปนอนขวางไม่ให้รถวิ่งต่อ นี่คืออเมริกา อเมริกาทำพลาดเรื่อง อัลไคด้ามาแล้ว แต่อเมริกาหัวทึบ ไม่รู้จักจำ หรือไม่สนใจจำ อเมริกาทำซ้ำอีก ไม่ว่าพวกอิสลามหัวรุนแรง จะเรียกตัวเองว่าอัลไคด้า ตาลีบัน ไอซิส อัล นัสรา มูจาฮีดีน วาห์ฮะบี หรือชื่อใดก็ตาม พวกเขาก็เหมือนกันทั้งนั้น พวกเขามาจากความเคร่ง และการแปลความของพระคัมภีร์ในรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมีทั้งผู้สนับสนุน และเห็นต่าง ขบวนการต่อต้านรัฐบาลอัสซาด ก็เช่นเดียวกัน มันเริ่มจากการรวมตัวกันหลวมๆ ของพวกมุสลิมเคร่งครัด ที่เกลียดซีเรีย ภายใต้การปกครองของ บาชาร์ อัล อัสซาด Bashar Al-Assad ที่กล่าวกันว่า ไม่เคร่งศาสนา แล้วพวกมุสลิมเคร่งครัด ก็มาจับมืออีกต่อหนึ่ง กับพวก ศัตรู ที่ดูเหมือนจะมีไม่น้อย ของ อัสซาดที่ปกครองซีเรีย ตั้งแต่คนพ่อมาถึงคนลูกในปัจจุบัน ใครบ้างล่ะ ที่เห็นอัสซาด พ่อ ลูก เป็นศัตรูตัวร้าย นอกเหนือจากกลุ่มอิสลามหัวรุนแรงต่างๆ เริ่มมาตั้งแต่อิสราเอล (ที่ไม่พอใจซีเรีย ที่ไปให้การสนับสนุนกลุ่ม เฮสบอลเลาะห์ ที่เป็นศัตรูของอิสราเอล) เสี่ยปั้มใหญ่ปั้มเล็ก ( เพราะซีเรียเป็นเพื่อนซี้กับอิหร่าน ที่พวกเสี่ยปั้มเกลียด) ตุรกี ( เพราะความเข้มแข็งของซีเรีย ขวางเส้นทางสู่ความฝันของ เอร์โดกานที่หวังจะเป็นสุลต่านยุคใหม่แห่งตุรกี) และที่สำคัญ คือ กองกำลังร่วมที่ 14 มีนา ของพวกเลบานอน (ที่กล่าวหาว่า ซีเรีย มีส่วนในการลอบฆ่า ราฟิก อัล ฮาริริ Rafiq Al-Hariri อดีตนายกรัฐมนตรีของเลบานอน) กับ อีกกลุ่มที่แปลก คือ กลุ่มคริสเตียนขวาจัด ซึ่ง มาจับมือกับพวกนักรบมุสลิม ความหลากหลาย ของผู้ที่มารวมกลุ่มต่อต้านซีเรีย หรือซีเรียที่ปกครองโดย อัสซาด จึงสะท้อนให้เห็นเป้าหมายของการประท้วง ที่หลากหลายเช่นเดียวกัน คงมีใครทำให้พวกเขาเข้าใจว่า การต่อต้าน หรือการขับไล่อัสซาด คงใช้เวลาเวลาไม่นาน และเมื่ออัสซาดถูกขับไล่ไป กลุ่มมุสลิมก็จะได้มาปกครองซีเรียแทน พวกเขาไม่ได้เตรียมตัว และเตรียมการณ์สำหรับการรบยืดเยื้อ และการแตกแยกในกลุ่มพวกกันเอง นับเป็นการประเมินอัสซาด และซีเรีย อย่างผิดพลาดยิ่งของผู้วางแผน สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 5 ต.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 506 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความกฎหมาย EP.41

    รัฐธรรมนูญไทย กฎหมายสูงสุดเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน

    รัฐธรรมนูญเปรียบเสมือนรากฐานอันแข็งแกร่งของประเทศ เป็นเสาหลักที่ค้ำจุนการปกครองและวิถีชีวิตของผู้คนในสังคมให้ดำเนินไปอย่างสงบสุขและเป็นระเบียบเรียบร้อย เหนือกว่ากฎหมายใดๆ ในแผ่นดิน รัฐธรรมนูญทำหน้าที่กำหนดทิศทาง โครงสร้างอำนาจ และขอบเขตการใช้อำนาจรัฐอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันมิให้เกิดการใช้อำนาจเกินขอบเขตหรือในทางมิชอบ ซึ่งอาจนำมาซึ่งความไม่เป็นธรรมและความเดือดร้อนแก่ประชาชนได้ หัวใจสำคัญของรัฐธรรมนูญคือการธำรงไว้ซึ่งสิทธิเสรีภาพของปวงชนชาวไทยทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการแสดงออก สิทธิในการประกอบอาชีพ สิทธิในการได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย หรือสิทธิอื่นๆ ที่พึงมีพึงได้ในฐานะพลเมือง รัฐธรรมนูญยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดระเบียบองค์กรของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งมีหน้าที่ออกกฎหมาย ฝ่ายบริหาร ซึ่งมีหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดิน และฝ่ายตุลาการ ซึ่งมีหน้าที่ในการพิจารณาพิพากษาคดีให้เป็นไปตามกฎหมาย ทุกฝ่ายต้องทำงานภายใต้กรอบที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด เพื่อให้เกิดการถ่วงดุลและตรวจสอบซึ่งกันและกัน อันจะนำมาซึ่งความโปร่งใสและประสิทธิภาพในการบริหารประเทศ นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญยังสะท้อนถึงเจตนารมณ์และความปรารถนาร่วมกันของคนในชาติในการสร้างสรรค์สังคมที่สงบสุข ยุติธรรม และก้าวหน้า ทุกถ้อยคำในรัฐธรรมนูญจึงมิได้เป็นเพียงบทบัญญัติทางกฎหมายเท่านั้น แต่ยังเป็นเสมือนสัญญาประชาคมที่ประชาชนได้ให้ไว้แก่กัน เพื่อที่จะเคารพและปฏิบัติตามร่วมกัน เพื่อประโยชน์สุขของประเทศชาติและประชาชนโดยรวม

    ดังนั้น การทำความเข้าใจในสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับประชาชนทุกคน เพราะเมื่อประชาชนมีความรู้ความเข้าใจในสิทธิหน้าที่ของตนเอง และบทบาทของรัฐธรรมนูญในการคุ้มครองสิทธิเหล่านั้น ก็จะสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบการทำงานของรัฐ และปกป้องผลประโยชน์ของตนเองและส่วนรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การศึกษาและเรียนรู้รัฐธรรมนูญอย่างถ่องแท้ จะช่วยให้เราตระหนักถึงคุณค่าของการเป็นพลเมืองภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญเป็นหลักประกัน ประชาชนมีสิทธิที่จะรับรู้ข้อมูลข่าวสาร มีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็นทางการเมือง และมีสิทธิที่จะเลือกผู้แทนของตนเองเข้าไปทำหน้าที่ในสภา เพื่อสะท้อนปัญหาและความต้องการของประชาชน รัฐธรรมนูญจึงมิได้เป็นเพียงเอกสารทางกฎหมายที่แห้งแล้ง แต่เป็นเครื่องมือที่มีชีวิต ที่พัฒนาเปลี่ยนแปลงไปตามบริบททางสังคมและการเมือง เพื่อให้สอดรับกับความต้องการของประชาชนในแต่ละยุคสมัย และการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญก็เป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญที่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางของประเทศ เพื่อให้กฎหมายสูงสุดนี้ยังคงเป็นเสาหลักที่แข็งแกร่งและเป็นธรรมสำหรับทุกคนอย่างแท้จริง

    ท้ายที่สุดนี้ รัฐธรรมนูญไทยจึงเป็นมากกว่ากฎหมาย มันคือจิตวิญญาณแห่งความเป็นชาติ คือเครื่องมือในการสร้างสังคมที่ยุติธรรมและเสมอภาค คือหลักประกันแห่งสิทธิเสรีภาพ และคือแผนที่นำทางสู่ความเจริญรุ่งเรืองอย่างยั่งยืนของประเทศไทย การเรียนรู้และปกป้องรัฐธรรมนูญจึงเป็นหน้าที่ของพลเมืองทุกคน เพื่อให้ประเทศไทยยังคงเป็นดินแดนแห่งความหวังและโอกาสสำหรับคนรุ่นต่อไปตราบนานเท่านาน
    บทความกฎหมาย EP.41 รัฐธรรมนูญไทย กฎหมายสูงสุดเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน รัฐธรรมนูญเปรียบเสมือนรากฐานอันแข็งแกร่งของประเทศ เป็นเสาหลักที่ค้ำจุนการปกครองและวิถีชีวิตของผู้คนในสังคมให้ดำเนินไปอย่างสงบสุขและเป็นระเบียบเรียบร้อย เหนือกว่ากฎหมายใดๆ ในแผ่นดิน รัฐธรรมนูญทำหน้าที่กำหนดทิศทาง โครงสร้างอำนาจ และขอบเขตการใช้อำนาจรัฐอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันมิให้เกิดการใช้อำนาจเกินขอบเขตหรือในทางมิชอบ ซึ่งอาจนำมาซึ่งความไม่เป็นธรรมและความเดือดร้อนแก่ประชาชนได้ หัวใจสำคัญของรัฐธรรมนูญคือการธำรงไว้ซึ่งสิทธิเสรีภาพของปวงชนชาวไทยทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการแสดงออก สิทธิในการประกอบอาชีพ สิทธิในการได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย หรือสิทธิอื่นๆ ที่พึงมีพึงได้ในฐานะพลเมือง รัฐธรรมนูญยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดระเบียบองค์กรของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งมีหน้าที่ออกกฎหมาย ฝ่ายบริหาร ซึ่งมีหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดิน และฝ่ายตุลาการ ซึ่งมีหน้าที่ในการพิจารณาพิพากษาคดีให้เป็นไปตามกฎหมาย ทุกฝ่ายต้องทำงานภายใต้กรอบที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด เพื่อให้เกิดการถ่วงดุลและตรวจสอบซึ่งกันและกัน อันจะนำมาซึ่งความโปร่งใสและประสิทธิภาพในการบริหารประเทศ นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญยังสะท้อนถึงเจตนารมณ์และความปรารถนาร่วมกันของคนในชาติในการสร้างสรรค์สังคมที่สงบสุข ยุติธรรม และก้าวหน้า ทุกถ้อยคำในรัฐธรรมนูญจึงมิได้เป็นเพียงบทบัญญัติทางกฎหมายเท่านั้น แต่ยังเป็นเสมือนสัญญาประชาคมที่ประชาชนได้ให้ไว้แก่กัน เพื่อที่จะเคารพและปฏิบัติตามร่วมกัน เพื่อประโยชน์สุขของประเทศชาติและประชาชนโดยรวม ดังนั้น การทำความเข้าใจในสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับประชาชนทุกคน เพราะเมื่อประชาชนมีความรู้ความเข้าใจในสิทธิหน้าที่ของตนเอง และบทบาทของรัฐธรรมนูญในการคุ้มครองสิทธิเหล่านั้น ก็จะสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบการทำงานของรัฐ และปกป้องผลประโยชน์ของตนเองและส่วนรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การศึกษาและเรียนรู้รัฐธรรมนูญอย่างถ่องแท้ จะช่วยให้เราตระหนักถึงคุณค่าของการเป็นพลเมืองภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญเป็นหลักประกัน ประชาชนมีสิทธิที่จะรับรู้ข้อมูลข่าวสาร มีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็นทางการเมือง และมีสิทธิที่จะเลือกผู้แทนของตนเองเข้าไปทำหน้าที่ในสภา เพื่อสะท้อนปัญหาและความต้องการของประชาชน รัฐธรรมนูญจึงมิได้เป็นเพียงเอกสารทางกฎหมายที่แห้งแล้ง แต่เป็นเครื่องมือที่มีชีวิต ที่พัฒนาเปลี่ยนแปลงไปตามบริบททางสังคมและการเมือง เพื่อให้สอดรับกับความต้องการของประชาชนในแต่ละยุคสมัย และการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญก็เป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญที่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางของประเทศ เพื่อให้กฎหมายสูงสุดนี้ยังคงเป็นเสาหลักที่แข็งแกร่งและเป็นธรรมสำหรับทุกคนอย่างแท้จริง ท้ายที่สุดนี้ รัฐธรรมนูญไทยจึงเป็นมากกว่ากฎหมาย มันคือจิตวิญญาณแห่งความเป็นชาติ คือเครื่องมือในการสร้างสังคมที่ยุติธรรมและเสมอภาค คือหลักประกันแห่งสิทธิเสรีภาพ และคือแผนที่นำทางสู่ความเจริญรุ่งเรืองอย่างยั่งยืนของประเทศไทย การเรียนรู้และปกป้องรัฐธรรมนูญจึงเป็นหน้าที่ของพลเมืองทุกคน เพื่อให้ประเทศไทยยังคงเป็นดินแดนแห่งความหวังและโอกาสสำหรับคนรุ่นต่อไปตราบนานเท่านาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 364 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหรียญพระราชคุณาธาร พ่อท่านอ่อน รุ่นพิเศษ วัดประชุมชลธารา จ.นราธิวาส ปี2546
    เหรียญพระราชคุณาธาร พ่อท่านอ่อน รุ่นพิเศษ วัดประชุมชลธารา จ.นราธิวาส ปี2546 // พระดีพิธีใหญ่ เหรียญดี มีประสบการณ์มากครับ // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณ พุทธคุณ มหาอำนาจ..ทางด้านการปกครอง เมตตามหานิยมสูง แคล้วคลาดภัยภิบัติ คงกระพัน โชคลาภ มีไว้บูชาโชคลาภฯ ร่ำรวย ป้องกันภัย แก้คุณไสย ประสบการณ์เด่นทางด้านแคล้วคลาดกันบ่อย..สุดยอดประสบการณ์ 3 จังหวัดชายแดนใต้ **

    ** ท่านเจ้าคุณพระเทพศีลวิสุทธิ์ เจ้าอาวาสวัดประชุมชลธารา อ.สุไหงปาดี นราธิวาส ท่านเจ้าคุณเป็นทั้งพระนักปฏิบัติ และพระนักพัฒนา เป็นที่เคารพนับถือของคนในพื้นที่ รวมไปถึงชาวมาเลเซียและชาวสิงคโปร์ ทั้งชาวไทยพุทธและอิสลาม มีพระคณาจารย์สายใต้ฯร่วมพุทธาภิเษกฯ พุทธคุณดีครอบจักรวาลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านนิรันตราย แคล้วคลาดเป็นเลิศฯ ลูกศิษย์สายตรงไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง..พระเทพศีลวิสุทธิ์ (อ่อน ทนฺตจิตฺโต) พระเถระอีกรูปหนึ่งที่เป็นหลักชัยและหลักใจของชาวเมืองนราธิวาส เป็นเจ้าอาวาสวัดประชุมชลธารา พระผู้ใหญ่หนึ่งเดียว ผู้เป็นกาวใจพุทธ-มุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้... **


    ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    เหรียญพระราชคุณาธาร พ่อท่านอ่อน รุ่นพิเศษ วัดประชุมชลธารา จ.นราธิวาส ปี2546 เหรียญพระราชคุณาธาร พ่อท่านอ่อน รุ่นพิเศษ วัดประชุมชลธารา จ.นราธิวาส ปี2546 // พระดีพิธีใหญ่ เหรียญดี มีประสบการณ์มากครับ // พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณ พุทธคุณ มหาอำนาจ..ทางด้านการปกครอง เมตตามหานิยมสูง แคล้วคลาดภัยภิบัติ คงกระพัน โชคลาภ มีไว้บูชาโชคลาภฯ ร่ำรวย ป้องกันภัย แก้คุณไสย ประสบการณ์เด่นทางด้านแคล้วคลาดกันบ่อย..สุดยอดประสบการณ์ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ** ** ท่านเจ้าคุณพระเทพศีลวิสุทธิ์ เจ้าอาวาสวัดประชุมชลธารา อ.สุไหงปาดี นราธิวาส ท่านเจ้าคุณเป็นทั้งพระนักปฏิบัติ และพระนักพัฒนา เป็นที่เคารพนับถือของคนในพื้นที่ รวมไปถึงชาวมาเลเซียและชาวสิงคโปร์ ทั้งชาวไทยพุทธและอิสลาม มีพระคณาจารย์สายใต้ฯร่วมพุทธาภิเษกฯ พุทธคุณดีครอบจักรวาลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านนิรันตราย แคล้วคลาดเป็นเลิศฯ ลูกศิษย์สายตรงไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง..พระเทพศีลวิสุทธิ์ (อ่อน ทนฺตจิตฺโต) พระเถระอีกรูปหนึ่งที่เป็นหลักชัยและหลักใจของชาวเมืองนราธิวาส เป็นเจ้าอาวาสวัดประชุมชลธารา พระผู้ใหญ่หนึ่งเดียว ผู้เป็นกาวใจพุทธ-มุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้... ** ** พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 272 มุมมอง 0 รีวิว
  • แผนชั่ว ตอนที่ 10

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนชั่ว”
    ตอน 10
    ระหว่างที่อเมริกา ใช้ AFRICOM ค่อยๆ สร้างกับดัก และบ่วงรัดคอ อยู่แถวอาฟริกา ไล่มาถึงตะวันออกกลาง ตามยุทธศาสตร์ คุมแหล่งน้ำมัน รวมทั้งเส้นทางเดินของน้ำมัน ไม่ไห้หลุดไปถึงจีนนั้น หน่วยงานอื่นของอเมริกา ก็ทำงานอื่น อยู่ในแถบอื่น แต่เกี่ยวพันกันอย่างนึกไม่ถึง ควบคู่ไปด้วย
    ช่วงปี ค.ศ.2002 ถึง 2008 อเมริกาแจกโปรแกรม ปฏิวัติหลากสี Color Revolutions ไปทั่ว เพื่อให้มีการเปลี่ยนตัวผู้ปกครอง ประเทศ ที่ปกครองในบางประเทศมานาน แต่ถึงเวลาแล้ว ที่อเมริกาต้องการเปลี่ยน เอาคน หรือกลุ่มที่อเมริกาเลือก มาปกครองประเทศเหล่านั้น เพื่ออเมริกาจะได้เข้าไปครอบครองทรัพยากร และการปกครองประเทศเหล่านั้น
    ไหนว่าต้องการให้ ประเทศทั้งหลายในโลก ปกครองตัวเอง ด้วยระบอบประชาธิปไตย ที่ประชาชนเลือกผู้แทนของตนมาปกครอง ไงครับ
    ….อ้อ เราเข้าใจผิดหรือครับ …. ต้องใช้ว่า …. ระบอบประชาธิปไตย ที่ประชาชนเลือกผู้แทน “ตามที่อเมริกาต้องการ” มาปกครอง …. ครับ ครับ เข้าใจแล้วครับ ท่านผู้อ่านโปรดเข้าใจ ระบอบประชาธิปไตย ตามความหมายของอเมริกา เสียใหม่นะครับ
    ในช่วงนั้น องค์กรที่เรียกว่า เอ็นจีโอ non government organization ถูกอเมริกาจัดตั้ง โผล่ขึ้นมาเต็ม เหมือนเห็ดหน้าฝน ภายใต้สาระพัดชื่อ โดยอ้างว่าไม่ได้เป็นองค์กรของรัฐบาล ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล แต่รัฐบาลอเมริกัน ให้หน่วยงานอื่นสนับสนุนเงินทุนแก่เอ็นจีโอเหล่านี้ และให้อยู่ในความดูแลของฝ่ายความมั่นคง เพนตากอน และหน่วยงานข่าวกรองของอเมริกา ซีไอเอ อีกด้วย ถุด…
    เอ็นจีโอเหล่านี้ น่าจะถูกฝึก และถูกเลี้ยงเหมือนนกแก้ว เพราะร้องเป็นอยู่ ไม่กี่ประโยค…… ละเมิดสิทธิมนุษยชน…. ไม่เอาเผด็จการ …. เป็นประชาธิปไตย… นกแก้วมีหลายพันธ์ุ เช่น พันธ์ุยุโรปตะวันออก พันธ์ุอาหรับ และพันธ์ุเอเซีย นกแก้วเอเซีย กำลังถูกลำเลียง ไปปล่อยแถว พม่า ธิเบต และตรงเขตแดนสำคัญของจีน คือ ซินเกียง
    นกแก้วฝูงแรก ถูกเอาไปปล่อยที่พม่า หรือเมียนมาร์ แต่อังกฤษ เจ้านายเก่า รวมทั้งอเมริกา (ที่กำลังเบียดเข้ามาเพื่อหวังจะเป็น) เจ้านายใหม่ ยังเรียก พม่า ตามความคุ้นปากเหมือนเดิม รวมทั้งผม ก็ขอเรียก พม่า เพราะพิมพ์ง่ายกว่า
    ปี ค.ศ.2007 เกิดการปฏิวัติหลากสี ขึ้นที่พม่า อเมริกาเรียกปฏิวัตินี้ว่า ปฏิวัติสีผ้าเหลือง Saffron Revolution ซึ่งเป็นโรคติดต่อมาจาก ปฏิวัติสีกุหลาบ Rose Revolution ในจอร์เจีย ปี 2003 และ ปฏิวัติสีส้ม Orange Revolution ในยูเครน ปี 2004-2005 ที่เกิดขึ้นในยุโรปตะวันออก บริเวณที่ติดกับรัสเซีย มันเป็นการปฏิวัติ ที่อเมริกาเป็นผู้อำนวยการสร้าง เขียนบท คัดเลือกตัวผู้เข้าฉาก และกำกับการแสดงทั้งหมด และก็คงเห็นกันแล้วว่า ความฉิบหายวุ่นวาย ทั้งในจอร์เจีย และยูเครน ยังมีอยู่จนทุกวันนี้ และมีที่ท่าว่าจะแย่ลงเรื่อยๆ
    สำหรับปฏิวัติสีผ้าเหลืองในพม่านั้น มีสื่อฝรั่ง บอกว่า คนตั้งชื่อ ตั้งใจเรียกตาม สีจีวรพระพม่า เพราะตามแผนที่อเมริกาวางไว้ พระพม่าจะเป็นพระเอก เดินนำการประท้วงรัฐบาลพม่า เป็นแผนที่เด็ดขาดมากใช้พระนำขบวน ไม่บอกก่อนจะได้ส่งพวกจานบินไป ร่วม และก็เป็นเรื่องตลกมากด้วย เพราะจีวรพระพม่า สีน้ำตาลแดง ไม่ใช่สีเหลืองอมส้ม เขาว่า กลุ่มคนคิดแผน นั่งสุมหัวกันอยู่ที่สถานกงสุลอเมริกันที่เชียงใหม่ ผมชักเชื่อ แสดงว่าไอ้คนทำแผน เห็นพระไทยในเชียงใหม่ห่มจีวรสีเหลืองอมส้ม ก็สีจีวรพระบ้านเรานั่นแหละ เลยใช้เป็นชื่อปฏิวัติเสียเลย มันมั่วซั่วสิ้นดี ปฏิวัติสีผ้าเหลือง ฮาจริง
    สาเหตุการประท้วง (ไม่ใช่ปฏิวัติ) ที่อ้าง หรือสร้าง บอกว่า มาจากการที่รัฐบาลทหารของพม่า ยกเลิกการชดเชยราคาน้ำมัน ทำให้ราคาขายน้ำมันในพม่าพุ่งสูงขึ้นไปประมาณ เกือบเท่าตัว ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน กลุ่มที่ออกมาประท้วงตามข่าว มีตั้งแต่ นักเรียน แม่บ้าน นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และพระพม่าจำนวนมาก
    แต่เป้าหมายจริงๆ ก็คือสร้างความปั่นป่วนในพม่า เพื่อจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลทหาร ที่ปกครองพม่ามานาน และเอาคุณนายซู เมียฝรั่งที่ฝ่ายตะวันตกสนับสนุนมาเป็นผู้นำ คุณนายเป็นเองไม่ได้ ก็เอาคนที่คุณนายสั่งได้มาเป็น เพื่อเปิดประตูให้ตะวันตกเข้ามาในพม่า เรื่องคุณนายซู นี่ นายเก่า ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาใหญ่ และเดินสายทั้งในและนอกพม่า
    ผู้นำการปฏิวัติ ใช้ตัวเชิดเป็นฝ่ายนักเคลื่อนไหว ที่ต่อต้านรัฐบาลทหาร แต่หัวหน้าตัวจริง มีหลายคน ตั้งแต่คุณนายซู เมียฝรั่ง นักเคลื่อนไหวของพม่า พระพม่า และนักหนังสือพิมพ์ญี่ปุ่น แปลกใจไหมครับ ก็ไปนำขบวนด้วยประท้วงแล้วก็ถูกยิงตาย กลายเป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลทหารของพม่า กับรัฐบาลญี่ปุ่น และส่วนพระพม่าก็เป็นพวกที่มายืนชุมนุมอยู่หน้าบ้านคุณนาย ก่อนเคลื่อนย้ายไปตามถนนในเมืองย่างกุ้ง
    ก่อนการประท้วงเกิดขึ้น อเมริกามอบหมายให้นาย จีน ชาร์พ Gene Sharp ผู้ก่อตั้งองค์กรชื่อ สถาบันอัลเบิร์ต ไอนสไตน์ Albert Einstein ในอเมริกา ซึ่งได้รับเงินทุนสนับสนุนจากหลายสถาบันในสังกัดซีไอเอ ให้เป็นผู้รับผิดชอบ ฝึกอบรมและกำกับวิธีการประท้วง (อย่างเนียน)
    นายจีน ชาร์พ นี่ เขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ที่ดังมาก ชื่อ How to Start a Revolution พร้อมทำเป็นวีดีโอ มีทั้งภาษายูเครน ภาษาอาหรับ ไม่รู้มี ป็นภาษาพม่า ภาษาไทย ด้วยหรือเปล่า เขาเรียก ทฤษฏีฝูงผึ้ง สร้างคนน ที่จะเป็นผู้นำกลุ่มก่อน ต่อมาก็สร้างขบวนการเคลื่อนไหว และจัดหาคนตาม ที่อาจจะไม่ต้องมาก ตามทฤษฏีของจีน ชาร์พ เขาอ้างว่า การ “เคลื่อนไหว” จะทำให้คนเข้ามาร่วมเพิ่มขึ้น ไม่ใช่ยืนอยู่กับที่ ยกมือตะโกนซ้ำซาก แบบนั้น คนไม่เพิ่ม แล้วอาจเดินหนี เพราะมันหมดสมัยไปแล้ว
    จริงๆ องค์กรของชาร์พ ถูกส่งเข้าไปสร้างเครือข่ายในพม่าตั้งแต่ ค.ศ.1989 โดยพันเอก Robert Helvey หัวหน้าปฏิบัติการ ซีไอเอ และอดีตทูตทหารอเมริกันในย่างกุ้ง เป็นคนนำนายชาร์พเข้าไป นายชาร์พขึ้นล่อง อยู่ระหว่างพม่ากับจีน ก่อนเกิดเหตุการณ์ที่เทียนอันเหมินของจีน และก็เป็นผู้กำกับ Arab Spring หลายรายการ
    สถาบันใหญ่ในสังกัดซีไอเอ ที่สนับสนุนการประท้วงใหญ่สีจีวรพระที่พม่า คือ National Endowment for Democracy (NED) ที่แสนจะโด่งดัง เจ้า NED นี่ ถูกออกแบบมาเพื่อสนับสนุนนโยบายต่างประเทศของอเมริกา เขาว่า NED ทำหน้าที่เหมือนกับที่พวกซีไอเอ ทำในช่วงสงครามเย็นเพี้ยบเลย ผู้ที่สนับสนุนเงินทุนให้แก่ NED อีกต่อคือ Open Society ของไอ้หนังเหนียวตัวแสบ จอร์จ โซรอส ก็เล่นซ้ำกันอยู่อย่างนี้ เหมือนดูหนังในเคเบิลทีวีของเครือซี้ผีของบ้านเราเลย
    กระทรวงต่างประเทศอเมริกา ได้คัดเลือกตัวหัวหน้าที่จะไปเป็นผู้นำการทาขมิ้น จากหลายองค์กรในพม่า ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลทหาร โดยเจ้า NED ส่งเงินประมาณปีละ 2.5 ล้านเหรียญ หรือ ปีละ 75 ล้านบาท ให้กับพวกสีจีวรพระ ไปสร้างขบวนการประท้วง ศูนย์บัญชาการใหญ่ เขาว่า อยู่ที่สถานกงสุลอเมริกัน ที่เชียงใหม่ของเรานั่นแหละ ส่วนพวกสีจีวร ก็ฝึกอบรมกันอยู่แถวชายแดนบ้านเรา บางครั้ง พวกตัวสำคัญก็ถูกส่งไปอบรมที่อเมริกา แล้วก็กลับมาจัดองค์กรในพม่าต่อ น่าสนุกดีนะครับ เล่นกันอยู่แถวนี้เอง จะแสดงรายการที่พม่าก็มาซ้อมที่ไทย จะแสดงรายการที่ไทย ก็ไปซ้อมกันในเขมร เออ มันแน่จริงๆ นอกจากจะสร้างความปั่นป่วนในบ้านคนอื่นได้แล้ว ยังเสือกมีของแถม ทำให้เพื่อนบ้านมองหน้ากันไม่สนิทอีกด้วย
    นอกจาก NED จะอุดหนุนพวกสีจีวรแล้ว NED ยังจ่ายเงินให้กับสื่อ ชื่อ New Era Journal , Democratic Voice of Burma และ Irrawaddy ที่เขาว่า เป็นของคุณนายซู เมียฝรั่ง ซึ่งผมเข้าไปอ่านบ่อยเหมือนกัน เพราะบางข่าวเร็วมาก ยังกะส่งตรงจากสถานที่เกิดเหตุ หรือสถานที่ออกใบสั่งเลย
    แต่วัตถุประสงค์ของการจัดรายการประท้วงนี้ ที่ซ่อนไว้อีกชั้น น่าจะมี 2 เรื่อง พม่าก็น่าจะมีชะตาใกล้เคียงกับเยเมน เพราะพม่าเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญจุดหนึ่งของเส้นทางเดินน้ำมัน จากอ่าวเปอร์เซียไปสู่ทะเลจีน เส้นทางเดินเรือเลียบฝั่งพม่า เป็นเส้นทางเดินเรือที่แน่นขนัด เพื่อผ่านเข้าไปสู่ช่องแคบมะละกา จุดรัดคอ choke point อีกจุดหนึ่ง ที่แคบกว่าของเยเมน และมีความสำคัญในระดับที่ ไม่ต่างกับเยเมน ด้วย
    ช่องแคบมะละกาเชื่อมมหาสมุทรอินเดียกับมหาสมุทรแปซิฟิก และเป็นเส้นทางที่สั้นที่สุด สำหรับส่งน้ำมันจากอ่าวเปอร์เซียไปจีน ช่องแคบมะละกาจึงเป็นจุดรัดคอ choke point ที่สำคัญยิ่งของเอเซีย ประมาณ 80% ของน้ำมันที่จีนนำเข้า ต้องขนส่งทางเรือผ่านจุดนี้ ส่วนที่แคบที่สุดของช่องแคบมะละกาคือ ช่องแคบ Phillips Channel อยู่ในส่วนของสิงคโปร์ มีความกว้างเพียง 1.5 ไมล์
    ทุกวันจะมีเรือบรรทุกน้ำมันผ่านช่องแคบนี้ ประมาณวันละ 12 ล้านแท้งค์ใหญ่ และส่วนใหญ่มุ่งหน้าไปยังจีน หรือญี่ปุ่น…
    ถ้าช่องแคบมะละกาถูกปิด… ประมาณเกือบครึ่งของเรือขนส่งน้ำมันในโลก จะต้องเพิ่มเส้นทางเดินเรือยาวขึ้น หมายถึงการเพิ่มค่าขนส่งที่จะกระทบไปทั่วโลก มีเรือกว่า 5 หมื่นลำต่อปี แล่นผ่านช่องแคบมะละกา บริเว แนวเส้นทางเดินเรือ ตั้งแต่พม่าไปจนถึงบันดาร์อาเจ๊ะ จึงเป็นแนวรัดคอที่สำคัญทางยุทธศาสตร์อย่างยิ่ง ใครควบคุมเส้นทางนี้ได้ ก็หมายความว่า ได้ควบคุมเส้นทางขนส่งน้ำมันทางน้ำของจีน และน่าจะของญี่ปุ่นด้วย
    อเมริกาพยายามที่จะนำกองกำลังของตัว เข้าไปในบริเวณนั้น ตั้งแต่ ปี ค.ศ.2001 โดยใช้ข้ออ้างว่า เพื่อป้องกันการถูกโจมตีจากผู้ก่อการร้าย ไม่รู้ผู้ก่อการร้ายพันธุ์อะไร จากไหน อ้างมั่วๆ จึงไม่มีใครยอม ในที่สุด ได้ข่าวว่า อเมริกาเจรจากับอินโดนีเซีย จนได้ตั้งฐานทัพอากาศ ที่บันดาร์ อาเจ๊ะ Banda Aceh ซึ่งอยู่ไปทางเหนือสุดของเกาะสุมาตรา
    คงทำให้เราพอเห็นภาพ ความวุ่นวายในพม่า ภาคใต้ของไทย รวมทั้งเรื่องราวในมาเลเซียว่า ทำไมจึงต้องเกิดขึ้นอย่างไม่จบสิ้น และทำไมการขุดคอขอดกระ ของเราจึงเป็นเรื่องยาก
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    23 ก.ย. 2558
    แผนชั่ว ตอนที่ 10 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แผนชั่ว” ตอน 10 ระหว่างที่อเมริกา ใช้ AFRICOM ค่อยๆ สร้างกับดัก และบ่วงรัดคอ อยู่แถวอาฟริกา ไล่มาถึงตะวันออกกลาง ตามยุทธศาสตร์ คุมแหล่งน้ำมัน รวมทั้งเส้นทางเดินของน้ำมัน ไม่ไห้หลุดไปถึงจีนนั้น หน่วยงานอื่นของอเมริกา ก็ทำงานอื่น อยู่ในแถบอื่น แต่เกี่ยวพันกันอย่างนึกไม่ถึง ควบคู่ไปด้วย ช่วงปี ค.ศ.2002 ถึง 2008 อเมริกาแจกโปรแกรม ปฏิวัติหลากสี Color Revolutions ไปทั่ว เพื่อให้มีการเปลี่ยนตัวผู้ปกครอง ประเทศ ที่ปกครองในบางประเทศมานาน แต่ถึงเวลาแล้ว ที่อเมริกาต้องการเปลี่ยน เอาคน หรือกลุ่มที่อเมริกาเลือก มาปกครองประเทศเหล่านั้น เพื่ออเมริกาจะได้เข้าไปครอบครองทรัพยากร และการปกครองประเทศเหล่านั้น ไหนว่าต้องการให้ ประเทศทั้งหลายในโลก ปกครองตัวเอง ด้วยระบอบประชาธิปไตย ที่ประชาชนเลือกผู้แทนของตนมาปกครอง ไงครับ ….อ้อ เราเข้าใจผิดหรือครับ …. ต้องใช้ว่า …. ระบอบประชาธิปไตย ที่ประชาชนเลือกผู้แทน “ตามที่อเมริกาต้องการ” มาปกครอง …. ครับ ครับ เข้าใจแล้วครับ ท่านผู้อ่านโปรดเข้าใจ ระบอบประชาธิปไตย ตามความหมายของอเมริกา เสียใหม่นะครับ ในช่วงนั้น องค์กรที่เรียกว่า เอ็นจีโอ non government organization ถูกอเมริกาจัดตั้ง โผล่ขึ้นมาเต็ม เหมือนเห็ดหน้าฝน ภายใต้สาระพัดชื่อ โดยอ้างว่าไม่ได้เป็นองค์กรของรัฐบาล ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล แต่รัฐบาลอเมริกัน ให้หน่วยงานอื่นสนับสนุนเงินทุนแก่เอ็นจีโอเหล่านี้ และให้อยู่ในความดูแลของฝ่ายความมั่นคง เพนตากอน และหน่วยงานข่าวกรองของอเมริกา ซีไอเอ อีกด้วย ถุด… เอ็นจีโอเหล่านี้ น่าจะถูกฝึก และถูกเลี้ยงเหมือนนกแก้ว เพราะร้องเป็นอยู่ ไม่กี่ประโยค…… ละเมิดสิทธิมนุษยชน…. ไม่เอาเผด็จการ …. เป็นประชาธิปไตย… นกแก้วมีหลายพันธ์ุ เช่น พันธ์ุยุโรปตะวันออก พันธ์ุอาหรับ และพันธ์ุเอเซีย นกแก้วเอเซีย กำลังถูกลำเลียง ไปปล่อยแถว พม่า ธิเบต และตรงเขตแดนสำคัญของจีน คือ ซินเกียง นกแก้วฝูงแรก ถูกเอาไปปล่อยที่พม่า หรือเมียนมาร์ แต่อังกฤษ เจ้านายเก่า รวมทั้งอเมริกา (ที่กำลังเบียดเข้ามาเพื่อหวังจะเป็น) เจ้านายใหม่ ยังเรียก พม่า ตามความคุ้นปากเหมือนเดิม รวมทั้งผม ก็ขอเรียก พม่า เพราะพิมพ์ง่ายกว่า ปี ค.ศ.2007 เกิดการปฏิวัติหลากสี ขึ้นที่พม่า อเมริกาเรียกปฏิวัตินี้ว่า ปฏิวัติสีผ้าเหลือง Saffron Revolution ซึ่งเป็นโรคติดต่อมาจาก ปฏิวัติสีกุหลาบ Rose Revolution ในจอร์เจีย ปี 2003 และ ปฏิวัติสีส้ม Orange Revolution ในยูเครน ปี 2004-2005 ที่เกิดขึ้นในยุโรปตะวันออก บริเวณที่ติดกับรัสเซีย มันเป็นการปฏิวัติ ที่อเมริกาเป็นผู้อำนวยการสร้าง เขียนบท คัดเลือกตัวผู้เข้าฉาก และกำกับการแสดงทั้งหมด และก็คงเห็นกันแล้วว่า ความฉิบหายวุ่นวาย ทั้งในจอร์เจีย และยูเครน ยังมีอยู่จนทุกวันนี้ และมีที่ท่าว่าจะแย่ลงเรื่อยๆ สำหรับปฏิวัติสีผ้าเหลืองในพม่านั้น มีสื่อฝรั่ง บอกว่า คนตั้งชื่อ ตั้งใจเรียกตาม สีจีวรพระพม่า เพราะตามแผนที่อเมริกาวางไว้ พระพม่าจะเป็นพระเอก เดินนำการประท้วงรัฐบาลพม่า เป็นแผนที่เด็ดขาดมากใช้พระนำขบวน ไม่บอกก่อนจะได้ส่งพวกจานบินไป ร่วม และก็เป็นเรื่องตลกมากด้วย เพราะจีวรพระพม่า สีน้ำตาลแดง ไม่ใช่สีเหลืองอมส้ม เขาว่า กลุ่มคนคิดแผน นั่งสุมหัวกันอยู่ที่สถานกงสุลอเมริกันที่เชียงใหม่ ผมชักเชื่อ แสดงว่าไอ้คนทำแผน เห็นพระไทยในเชียงใหม่ห่มจีวรสีเหลืองอมส้ม ก็สีจีวรพระบ้านเรานั่นแหละ เลยใช้เป็นชื่อปฏิวัติเสียเลย มันมั่วซั่วสิ้นดี ปฏิวัติสีผ้าเหลือง ฮาจริง สาเหตุการประท้วง (ไม่ใช่ปฏิวัติ) ที่อ้าง หรือสร้าง บอกว่า มาจากการที่รัฐบาลทหารของพม่า ยกเลิกการชดเชยราคาน้ำมัน ทำให้ราคาขายน้ำมันในพม่าพุ่งสูงขึ้นไปประมาณ เกือบเท่าตัว ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน กลุ่มที่ออกมาประท้วงตามข่าว มีตั้งแต่ นักเรียน แม่บ้าน นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และพระพม่าจำนวนมาก แต่เป้าหมายจริงๆ ก็คือสร้างความปั่นป่วนในพม่า เพื่อจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลทหาร ที่ปกครองพม่ามานาน และเอาคุณนายซู เมียฝรั่งที่ฝ่ายตะวันตกสนับสนุนมาเป็นผู้นำ คุณนายเป็นเองไม่ได้ ก็เอาคนที่คุณนายสั่งได้มาเป็น เพื่อเปิดประตูให้ตะวันตกเข้ามาในพม่า เรื่องคุณนายซู นี่ นายเก่า ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาใหญ่ และเดินสายทั้งในและนอกพม่า ผู้นำการปฏิวัติ ใช้ตัวเชิดเป็นฝ่ายนักเคลื่อนไหว ที่ต่อต้านรัฐบาลทหาร แต่หัวหน้าตัวจริง มีหลายคน ตั้งแต่คุณนายซู เมียฝรั่ง นักเคลื่อนไหวของพม่า พระพม่า และนักหนังสือพิมพ์ญี่ปุ่น แปลกใจไหมครับ ก็ไปนำขบวนด้วยประท้วงแล้วก็ถูกยิงตาย กลายเป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลทหารของพม่า กับรัฐบาลญี่ปุ่น และส่วนพระพม่าก็เป็นพวกที่มายืนชุมนุมอยู่หน้าบ้านคุณนาย ก่อนเคลื่อนย้ายไปตามถนนในเมืองย่างกุ้ง ก่อนการประท้วงเกิดขึ้น อเมริกามอบหมายให้นาย จีน ชาร์พ Gene Sharp ผู้ก่อตั้งองค์กรชื่อ สถาบันอัลเบิร์ต ไอนสไตน์ Albert Einstein ในอเมริกา ซึ่งได้รับเงินทุนสนับสนุนจากหลายสถาบันในสังกัดซีไอเอ ให้เป็นผู้รับผิดชอบ ฝึกอบรมและกำกับวิธีการประท้วง (อย่างเนียน) นายจีน ชาร์พ นี่ เขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ที่ดังมาก ชื่อ How to Start a Revolution พร้อมทำเป็นวีดีโอ มีทั้งภาษายูเครน ภาษาอาหรับ ไม่รู้มี ป็นภาษาพม่า ภาษาไทย ด้วยหรือเปล่า เขาเรียก ทฤษฏีฝูงผึ้ง สร้างคนน ที่จะเป็นผู้นำกลุ่มก่อน ต่อมาก็สร้างขบวนการเคลื่อนไหว และจัดหาคนตาม ที่อาจจะไม่ต้องมาก ตามทฤษฏีของจีน ชาร์พ เขาอ้างว่า การ “เคลื่อนไหว” จะทำให้คนเข้ามาร่วมเพิ่มขึ้น ไม่ใช่ยืนอยู่กับที่ ยกมือตะโกนซ้ำซาก แบบนั้น คนไม่เพิ่ม แล้วอาจเดินหนี เพราะมันหมดสมัยไปแล้ว จริงๆ องค์กรของชาร์พ ถูกส่งเข้าไปสร้างเครือข่ายในพม่าตั้งแต่ ค.ศ.1989 โดยพันเอก Robert Helvey หัวหน้าปฏิบัติการ ซีไอเอ และอดีตทูตทหารอเมริกันในย่างกุ้ง เป็นคนนำนายชาร์พเข้าไป นายชาร์พขึ้นล่อง อยู่ระหว่างพม่ากับจีน ก่อนเกิดเหตุการณ์ที่เทียนอันเหมินของจีน และก็เป็นผู้กำกับ Arab Spring หลายรายการ สถาบันใหญ่ในสังกัดซีไอเอ ที่สนับสนุนการประท้วงใหญ่สีจีวรพระที่พม่า คือ National Endowment for Democracy (NED) ที่แสนจะโด่งดัง เจ้า NED นี่ ถูกออกแบบมาเพื่อสนับสนุนนโยบายต่างประเทศของอเมริกา เขาว่า NED ทำหน้าที่เหมือนกับที่พวกซีไอเอ ทำในช่วงสงครามเย็นเพี้ยบเลย ผู้ที่สนับสนุนเงินทุนให้แก่ NED อีกต่อคือ Open Society ของไอ้หนังเหนียวตัวแสบ จอร์จ โซรอส ก็เล่นซ้ำกันอยู่อย่างนี้ เหมือนดูหนังในเคเบิลทีวีของเครือซี้ผีของบ้านเราเลย กระทรวงต่างประเทศอเมริกา ได้คัดเลือกตัวหัวหน้าที่จะไปเป็นผู้นำการทาขมิ้น จากหลายองค์กรในพม่า ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลทหาร โดยเจ้า NED ส่งเงินประมาณปีละ 2.5 ล้านเหรียญ หรือ ปีละ 75 ล้านบาท ให้กับพวกสีจีวรพระ ไปสร้างขบวนการประท้วง ศูนย์บัญชาการใหญ่ เขาว่า อยู่ที่สถานกงสุลอเมริกัน ที่เชียงใหม่ของเรานั่นแหละ ส่วนพวกสีจีวร ก็ฝึกอบรมกันอยู่แถวชายแดนบ้านเรา บางครั้ง พวกตัวสำคัญก็ถูกส่งไปอบรมที่อเมริกา แล้วก็กลับมาจัดองค์กรในพม่าต่อ น่าสนุกดีนะครับ เล่นกันอยู่แถวนี้เอง จะแสดงรายการที่พม่าก็มาซ้อมที่ไทย จะแสดงรายการที่ไทย ก็ไปซ้อมกันในเขมร เออ มันแน่จริงๆ นอกจากจะสร้างความปั่นป่วนในบ้านคนอื่นได้แล้ว ยังเสือกมีของแถม ทำให้เพื่อนบ้านมองหน้ากันไม่สนิทอีกด้วย นอกจาก NED จะอุดหนุนพวกสีจีวรแล้ว NED ยังจ่ายเงินให้กับสื่อ ชื่อ New Era Journal , Democratic Voice of Burma และ Irrawaddy ที่เขาว่า เป็นของคุณนายซู เมียฝรั่ง ซึ่งผมเข้าไปอ่านบ่อยเหมือนกัน เพราะบางข่าวเร็วมาก ยังกะส่งตรงจากสถานที่เกิดเหตุ หรือสถานที่ออกใบสั่งเลย แต่วัตถุประสงค์ของการจัดรายการประท้วงนี้ ที่ซ่อนไว้อีกชั้น น่าจะมี 2 เรื่อง พม่าก็น่าจะมีชะตาใกล้เคียงกับเยเมน เพราะพม่าเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญจุดหนึ่งของเส้นทางเดินน้ำมัน จากอ่าวเปอร์เซียไปสู่ทะเลจีน เส้นทางเดินเรือเลียบฝั่งพม่า เป็นเส้นทางเดินเรือที่แน่นขนัด เพื่อผ่านเข้าไปสู่ช่องแคบมะละกา จุดรัดคอ choke point อีกจุดหนึ่ง ที่แคบกว่าของเยเมน และมีความสำคัญในระดับที่ ไม่ต่างกับเยเมน ด้วย ช่องแคบมะละกาเชื่อมมหาสมุทรอินเดียกับมหาสมุทรแปซิฟิก และเป็นเส้นทางที่สั้นที่สุด สำหรับส่งน้ำมันจากอ่าวเปอร์เซียไปจีน ช่องแคบมะละกาจึงเป็นจุดรัดคอ choke point ที่สำคัญยิ่งของเอเซีย ประมาณ 80% ของน้ำมันที่จีนนำเข้า ต้องขนส่งทางเรือผ่านจุดนี้ ส่วนที่แคบที่สุดของช่องแคบมะละกาคือ ช่องแคบ Phillips Channel อยู่ในส่วนของสิงคโปร์ มีความกว้างเพียง 1.5 ไมล์ ทุกวันจะมีเรือบรรทุกน้ำมันผ่านช่องแคบนี้ ประมาณวันละ 12 ล้านแท้งค์ใหญ่ และส่วนใหญ่มุ่งหน้าไปยังจีน หรือญี่ปุ่น… ถ้าช่องแคบมะละกาถูกปิด… ประมาณเกือบครึ่งของเรือขนส่งน้ำมันในโลก จะต้องเพิ่มเส้นทางเดินเรือยาวขึ้น หมายถึงการเพิ่มค่าขนส่งที่จะกระทบไปทั่วโลก มีเรือกว่า 5 หมื่นลำต่อปี แล่นผ่านช่องแคบมะละกา บริเว แนวเส้นทางเดินเรือ ตั้งแต่พม่าไปจนถึงบันดาร์อาเจ๊ะ จึงเป็นแนวรัดคอที่สำคัญทางยุทธศาสตร์อย่างยิ่ง ใครควบคุมเส้นทางนี้ได้ ก็หมายความว่า ได้ควบคุมเส้นทางขนส่งน้ำมันทางน้ำของจีน และน่าจะของญี่ปุ่นด้วย อเมริกาพยายามที่จะนำกองกำลังของตัว เข้าไปในบริเวณนั้น ตั้งแต่ ปี ค.ศ.2001 โดยใช้ข้ออ้างว่า เพื่อป้องกันการถูกโจมตีจากผู้ก่อการร้าย ไม่รู้ผู้ก่อการร้ายพันธุ์อะไร จากไหน อ้างมั่วๆ จึงไม่มีใครยอม ในที่สุด ได้ข่าวว่า อเมริกาเจรจากับอินโดนีเซีย จนได้ตั้งฐานทัพอากาศ ที่บันดาร์ อาเจ๊ะ Banda Aceh ซึ่งอยู่ไปทางเหนือสุดของเกาะสุมาตรา คงทำให้เราพอเห็นภาพ ความวุ่นวายในพม่า ภาคใต้ของไทย รวมทั้งเรื่องราวในมาเลเซียว่า ทำไมจึงต้องเกิดขึ้นอย่างไม่จบสิ้น และทำไมการขุดคอขอดกระ ของเราจึงเป็นเรื่องยาก สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 23 ก.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 783 มุมมอง 0 รีวิว
  • "AI ลดต้นทุนการโน้มน้าวใจ – เปิดทางชนชั้นนำออกแบบการแบ่งขั้วสังคม"

    ในระบอบประชาธิปไตย การตัดสินใจเชิงนโยบายใหญ่ ๆ ต้องอาศัยเสียงส่วนใหญ่หรือฉันทามติ แต่ชนชั้นนำจำเป็นต้องหาวิธีสร้างการสนับสนุนจากประชาชน งานวิจัยนี้เสนอว่า AI ที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความแม่นยำในการโน้มน้าวใจ กำลังทำให้การจัดการความคิดเห็นของสังคมกลายเป็นสิ่งที่สามารถ “ออกแบบ” ได้ ไม่ใช่เพียงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

    โมเดลเชิงพลวัตที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น แสดงให้เห็นว่า หากมีชนชั้นนำเพียงกลุ่มเดียว การแทรกแซงที่เหมาะสมจะผลักดันสังคมไปสู่ ความเห็นที่แตกต่างสุดขั้วมากขึ้น (polarization pull) และเมื่อเทคโนโลยี persuasion ดีขึ้น กระบวนการนี้ก็จะยิ่งเร็วขึ้น ทำให้ความแตกแยกในสังคมทวีความรุนแรง

    แต่หากมีชนชั้นนำสองฝ่ายที่ผลัดกันมีอำนาจ เทคโนโลยี persuasion เดียวกันนี้อาจสร้างแรงจูงใจให้ “ล็อก” ความเห็นของสังคมให้อยู่ในพื้นที่กึ่งกลางที่เหนียวแน่น (semi-lock) เพื่อป้องกันไม่ให้คู่แข่งเข้ามาเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ผลลัพธ์คือ AI สามารถทั้ง เพิ่มหรือบรรเทาความแตกแยก ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมทางการเมือง

    โดยรวมแล้ว งานวิจัยนี้เตือนว่า การแบ่งขั้วไม่ใช่เพียงผลพลอยได้ของสังคมยุคดิจิทัล แต่เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ของการปกครอง เมื่อเทคโนโลยี persuasion ถูกทำให้เข้าถึงง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผลกระทบต่อเสถียรภาพประชาธิปไตยจึงอาจรุนแรงกว่าที่เคยคิด

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ข้อมูลจากงานวิจัย
    AI ลดต้นทุนและเพิ่มความแม่นยำในการโน้มน้าวใจ
    ชนชั้นนำสามารถออกแบบการกระจายความคิดเห็นของประชาชนได้
    โมเดลแสดงให้เห็นว่า “polarization pull” เกิดขึ้นเมื่อมีชนชั้นนำเพียงฝ่ายเดียว
    เมื่อมีสองฝ่าย เทคโนโลยีอาจสร้าง “semi-lock” ทำให้ความเห็นเหนียวแน่น

    ข้อมูลเสริมจาก Internet
    นักวิชาการหลายคนเตือนว่า AI อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อสร้าง echo chamber
    การใช้ AI ในการโฆษณาและการรณรงค์ทางการเมืองเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในสหรัฐฯ และยุโรป
    มีการถกเถียงว่าควรมีการกำกับดูแลการใช้ AI เพื่อป้องกันการบิดเบือนประชาธิปไตย

    คำเตือนจากงานวิจัย
    การแบ่งขั้วอาจไม่ใช่ผลลัพธ์ธรรมชาติ แต่เป็นกลยุทธ์ที่ถูกออกแบบโดยชนชั้นนำ
    การใช้ AI persuasion โดยไม่มีการกำกับดูแล อาจทำให้ประชาธิปไตยเสื่อมเสถียร
    ความเห็นของประชาชนอาจถูก “ล็อก” จนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่าย

    https://arxiv.org/abs/2512.04047
    🧠 "AI ลดต้นทุนการโน้มน้าวใจ – เปิดทางชนชั้นนำออกแบบการแบ่งขั้วสังคม" ในระบอบประชาธิปไตย การตัดสินใจเชิงนโยบายใหญ่ ๆ ต้องอาศัยเสียงส่วนใหญ่หรือฉันทามติ แต่ชนชั้นนำจำเป็นต้องหาวิธีสร้างการสนับสนุนจากประชาชน งานวิจัยนี้เสนอว่า AI ที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความแม่นยำในการโน้มน้าวใจ กำลังทำให้การจัดการความคิดเห็นของสังคมกลายเป็นสิ่งที่สามารถ “ออกแบบ” ได้ ไม่ใช่เพียงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โมเดลเชิงพลวัตที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น แสดงให้เห็นว่า หากมีชนชั้นนำเพียงกลุ่มเดียว การแทรกแซงที่เหมาะสมจะผลักดันสังคมไปสู่ ความเห็นที่แตกต่างสุดขั้วมากขึ้น (polarization pull) และเมื่อเทคโนโลยี persuasion ดีขึ้น กระบวนการนี้ก็จะยิ่งเร็วขึ้น ทำให้ความแตกแยกในสังคมทวีความรุนแรง แต่หากมีชนชั้นนำสองฝ่ายที่ผลัดกันมีอำนาจ เทคโนโลยี persuasion เดียวกันนี้อาจสร้างแรงจูงใจให้ “ล็อก” ความเห็นของสังคมให้อยู่ในพื้นที่กึ่งกลางที่เหนียวแน่น (semi-lock) เพื่อป้องกันไม่ให้คู่แข่งเข้ามาเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ผลลัพธ์คือ AI สามารถทั้ง เพิ่มหรือบรรเทาความแตกแยก ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมทางการเมือง โดยรวมแล้ว งานวิจัยนี้เตือนว่า การแบ่งขั้วไม่ใช่เพียงผลพลอยได้ของสังคมยุคดิจิทัล แต่เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ของการปกครอง เมื่อเทคโนโลยี persuasion ถูกทำให้เข้าถึงง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผลกระทบต่อเสถียรภาพประชาธิปไตยจึงอาจรุนแรงกว่าที่เคยคิด 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ข้อมูลจากงานวิจัย ➡️ AI ลดต้นทุนและเพิ่มความแม่นยำในการโน้มน้าวใจ ➡️ ชนชั้นนำสามารถออกแบบการกระจายความคิดเห็นของประชาชนได้ ➡️ โมเดลแสดงให้เห็นว่า “polarization pull” เกิดขึ้นเมื่อมีชนชั้นนำเพียงฝ่ายเดียว ➡️ เมื่อมีสองฝ่าย เทคโนโลยีอาจสร้าง “semi-lock” ทำให้ความเห็นเหนียวแน่น ✅ ข้อมูลเสริมจาก Internet ➡️ นักวิชาการหลายคนเตือนว่า AI อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อสร้าง echo chamber ➡️ การใช้ AI ในการโฆษณาและการรณรงค์ทางการเมืองเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในสหรัฐฯ และยุโรป ➡️ มีการถกเถียงว่าควรมีการกำกับดูแลการใช้ AI เพื่อป้องกันการบิดเบือนประชาธิปไตย ‼️ คำเตือนจากงานวิจัย ⛔ การแบ่งขั้วอาจไม่ใช่ผลลัพธ์ธรรมชาติ แต่เป็นกลยุทธ์ที่ถูกออกแบบโดยชนชั้นนำ ⛔ การใช้ AI persuasion โดยไม่มีการกำกับดูแล อาจทำให้ประชาธิปไตยเสื่อมเสถียร ⛔ ความเห็นของประชาชนอาจถูก “ล็อก” จนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่าย https://arxiv.org/abs/2512.04047
    ARXIV.ORG
    Polarization by Design: How Elites Could Shape Mass Preferences as AI Reduces Persuasion Costs
    In democracies, major policy decisions typically require some form of majority or consensus, so elites must secure mass support to govern. Historically, elites could shape support only through limited instruments like schooling and mass media; advances in AI-driven persuasion sharply reduce the cost and increase the precision of shaping public opinion, making the distribution of preferences itself an object of deliberate design. We develop a dynamic model in which elites choose how much to reshape the distribution of policy preferences, subject to persuasion costs and a majority rule constraint. With a single elite, any optimal intervention tends to push society toward more polarized opinion profiles - a ``polarization pull'' - and improvements in persuasion technology accelerate this drift. When two opposed elites alternate in power, the same technology also creates incentives to park society in ``semi-lock'' regions where opinions are more cohesive and harder for a rival to overturn, so advances in persuasion can either heighten or dampen polarization depending on the environment. Taken together, cheaper persuasion technologies recast polarization as a strategic instrument of governance rather than a purely emergent social byproduct, with important implications for democratic stability as AI capabilities advance.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 317 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣ โคตรด้าน รัฐบาลบุรีรัมย์ เดินเกมกุมอำนาจเอื้อเลือกตั้งปีหน้า ตั้งคนสีน้ำเงินเป็นผู้ว่าฯ 18 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี กาฬสินธุ์ ฉะเชิงเทรา ชัยนาท นราธิวาส บึงกาฬ พะเยา พัทลุง มหาสารคาม ยะลา ระนอง ลพบุรี ลำพูน สตูล สมุทรสาคร สิงห์บุรี สุรินทร์ และ อำนาจเจริญ

    ก่อนหน้านี้ในช่วงกลางเดือนตุลาคม ก็เพิ่งแต่งตั้ง 30 ผู้ว่าราชการจังหวัดคนใหม่ และได้แต่งตั้ง อธิบดีฯหลายกรม ที่เอื้ออำนวยความได้เปรียบในการเลือกตั้ง เช่น อธิบดีกรมการปกครอง, กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น, กรมการพัฒนาชุมชน, กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
    #7ดอกจิก
    ♣ โคตรด้าน รัฐบาลบุรีรัมย์ เดินเกมกุมอำนาจเอื้อเลือกตั้งปีหน้า ตั้งคนสีน้ำเงินเป็นผู้ว่าฯ 18 จังหวัด ได้แก่ กาญจนบุรี กาฬสินธุ์ ฉะเชิงเทรา ชัยนาท นราธิวาส บึงกาฬ พะเยา พัทลุง มหาสารคาม ยะลา ระนอง ลพบุรี ลำพูน สตูล สมุทรสาคร สิงห์บุรี สุรินทร์ และ อำนาจเจริญ ก่อนหน้านี้ในช่วงกลางเดือนตุลาคม ก็เพิ่งแต่งตั้ง 30 ผู้ว่าราชการจังหวัดคนใหม่ และได้แต่งตั้ง อธิบดีฯหลายกรม ที่เอื้ออำนวยความได้เปรียบในการเลือกตั้ง เช่น อธิบดีกรมการปกครอง, กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น, กรมการพัฒนาชุมชน, กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย #7ดอกจิก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 456 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 14

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 14
    ทั้งอังกฤษและอเมริกา ต่างอยากได้จีนมาครอง โดยไม่แบ่งกับใคร และต่างก็มีแผน และวิธีการในการใช้ญี่ปุ่นและเคี้ยวจีน ที่เหมือนร่วมมือกัน แต่ขณะเดียวกัน ก็ดัดหลังกันเอง
    สำหรับอังกฤษ ที่เป็นเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย มีกองเรือใหญ่ก็จริง แต่จีนอยู่ห่างกับอังกฤษคนละซีกโลก แถม อังกฤษต้องเตรียมเก็บกองทัพเอาไว้ทำสงครามในยุโรป อังกฤษจึงเลือกใช้ อาวุธ soft power การมอมเมาจีนด้วยฝิ่นก่อน แล้วตามมาด้วย proxy war รุ่นแรก ทันสมัยมากนะ ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ อังกฤษ หลอกปั่นหัวญี่ปุ่นให้ไปตีตั๋วรวนจีนหลายรอบ รวมทั้งไปรบรัสเซียตามแผนอังกฤษ ทำให้ญี่ปุ่นหลงคิดว่าตนเองรบเก่ง เข้าขั้นเป็นชาติมหาอำนาจ
    แต่จะปั่นหัวซามูไร เหมือนปั่นจิ้งหรีด อังกฤษก็ต้องรู้วิธีปั่น
    เมื่อญี่ปุ่นคิดปฏิรูปประเทศ Meiji Restoration บรรดาหัวกะทิญี่ปุ่น ที่ต้องการปฏิรูปประเทศ พากันยกโขยงกันเกือบร้อยคน ไปประเทศต่างๆ ทั้งในยุโรปและอเมริกา ใช้เวลาอยู่ในประเทศต่างๆ ประมาณ 2 ปี เพื่อศึกษาด้านการปกครอง การค้า การเมือง และการทหารจากประเทศต่างๆ
    เมื่อกลับมาถึงญี่ปุ่น บารอนอีโต้ Baron Ito ซึ่งเป็นหัวกะทิหมายเลขหนึ่ง ในการเดินทางไปศึกษาระบบต่างๆ ก็สรุปว่า ในด้านการปกครอง และการเมือง ระบบของอังกฤษที่มีระบบรัฐสภา และมีกษัตริย์ หรือจักรพรรดิ เป็นศูนย์รวมของประเทศ เหมาะกับญี่ปุ่นที่สุด และเพื่อไม่ให้จักรพรรดิต้องเดือดร้อนในการตัดสินใจ (พูดเสียเพราะ จริงๆ ก็คือ ไม่ให้มายุ่งกับการเมืองโดยตรงนั่นแหล่ะ) ญี่ปุ่นจึงนำระบบ Council of State ของอังกฤษ มาแปลงเป็น คณะองคมนตรี หรือที่ปรึกษาของจักรพรรดิ ให้เป็นผู้เชื่อมระหว่าง การเมืองกับจักรพรรดิแทน
    ส่วนด้านการทหาร ในสายตาของญี่ปุ่น ไม่มีที่ไหนสู้เยอรมันได้ ส่วนระบบการเงิน ญี่ปุ่นเห็นว่าอังกฤษคือต้นแบบ ญี่ปุ่นก็เลยถอดแบบระบบธนาคารกลาง และการเงินการคลังมาจากอังกฤษ ทั้งหมดง่ายดี
    ดังนั้น ตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ.1870 จนถึง 1930 บรรดาหัวกะทิ หรืออีลิตญี่ปุ่น จึงอยู่ในความเชื่อว่า อังกฤษ นั้น ศิวิไลซ์ที่สุด ยิ่งอังกฤษสร้างภาพความเป็นมิตรกับญี่ปุ่น ญี่ปุ่นจึงเห็นแต่น้ำตาลที่อังกฤษฉาบไว้ ชาวญี่ปุ่น ตั้งแต่ราชวงศ์ชั้นสูง ลงมาถึงพวกเศรษฐีมีเงิน พวกที่อยากก้าวหน้าอย่างฝรั่ง จึงต่างพากันส่งลูกหลานไปศึกษาที่อังกฤษ เมื่อจบกลับมาก็สร้างระบบ และคิดตามที่อังกฤษฝังหัวไว้ จึงไม่ยาก ที่เหล่าซามูไรจะกลายเป็นจิ้งหรีด ให้อังกฤษปั่นหัว หลอกใช้ให้ไปรบรัสเซีย ป่วนจีน และกันท่าไม่ให้ชาติอื่น เข้ามาในจีนง่ายๆ ญี่ปุ่นมองไม่เห็นถึงไส้ในของแท้ของอังกฤษ ที่ ไม่มีวันจะเห็นชาติที่อยู่นอกเชื้อพันธ์แองโกลแซกซอน (ชนชาติที่ใช้ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาประจำชาติ) มาเท่าเทียมกับตน
    และในเมื่อ Meiji Restoration ยกให้จักรพรรดิ เป็นสิ่งสูงสุดที่สวรรค์ส่งมาให้ แม้จะไม่มีอำนาจเต็มที่ในการปกครอง แต่ผู้คนก็พากันอ้างเอาจักรพรรดิเป็นยันต์ศักดิ์สิทธิ ทั้งอังกฤษ และอเมริกา จึงพยายามแทรกเข้าไปในวัง เพื่อสร้างเครือข่าย และหวังจะชักนำราชวงศ์ไปในทิศทางที่ตนเองต้องการ
    น่าสนใจว่า อิทธิพลของฝรั่ง อีกรูปแบบหนึ่ง ที่เข้าไปในญี่ปุ่นสมัยนั้น ทั้งในระดับในวัง และระดับชนชั้นสูงนอกวัง คือ ศาสนาคริสเตียน ในแวดวงของจักรพรรดินี หรือตัวจักรพรรดินีเอง ส่วนใหญ่นับถือคริสเตียน ทำให้ชาวญี่ปุ่นที่นับถือคริสเตียน เปิดทางให้พวกต่างชาติคริสเตียนเคร่งศาสนา ที่เรียกว่า Quaker ซึ่งมีอยู่ไม่น้อยทั้งในอังกฤษและอเมริกา รายล้อมในและนอกวัง กลายเป็นเครือข่ายที่มีอิทธิพลยิ่ง
    พวกเคว้กเกอร์ เมื่อเข้ามาในญี่ปุ่น เปิดโรงเรียนสอนภาษา และหญิงผู้ดีญี่ปุ่นก็มักจะไปเรียนหนังสือ กับพวกเคว้กเกอร์ และพวกนี้ ก็จะแนะนำเพื่อนฝูง เครือญาติ ให้เข้ามารับใช้ราชวงศ์ ขณะเดียวกัน เมื่อแต่งงานกับฝ่ายชายในสังคมชั้นสูงที่มีอำนาจในการเมืองและธุรกิจ ก็ทำให้เครือข่ายของคริสเตียนเคว้กเกอร์นี้ ยิ่งแผ่ไปในสังคมชั้นสูงของญี่ปุ่นด้วย
    ทูตอเมรืกัน ประจำญี่ปุน ปี ค.ศ.1932 Joseph Grew ซึ่งเมีย ชื่อ Alice นั้น เป็นพวกเค้วกเกอร์ ที่มีเพื่อนสนิท ที่เป็นทั้งแม่ยาย ขององค์ชายชิชิบุ และเป็นคนสนิทของจักรพรรดินี ซาดาโกะ Sadako (แม่ของจักรพรรดิฮิโรฮิโต และชิชิบุ) ที่ก็มีข่าวว่าเป็นคริสเตียนจากอิทธิพลของสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกัน Alice ก็เป็นญาติกับเมียของ Jack Morgan แห่ง J P Morgan ที่ดัง ว่อน และวุ่นไปทั่วโลก
    ด้วยเส้นสายเช่นนี้ J P Morgan จึงได้มาเปิดบริษัทการเงืนใหญ่ อยู่ในญี่ปุ่น Morgan Zaibutsu พร้อมทั้งส่ง Thomas Lamont จำชื่อเขาได้ไหมครับ เขาเป็นหุ้นส่วนใหญ่อีกคนของ JP Morgan มาเป็นที่ปรึกษาการเงินให้จักรพรรดืฮิโรฮิโต และเจ้านายคนอื่นๆ ด้วย ไอ้หมอนี่ มีบทบาททั้งในอเมริกาเอง เป็นกรรมการธนาคารกลางของอเมริกา ต่อมาไปวุ่นเรื่องการปฏิวัติในรัสเซีย หลังจากนั้น มาญี่ปุ่น และก็ไปวุ่นที่อิตาลี เรื่องมุสโสลินีด้วย มันเป็นม้าใช้พันธุ์โปรด ของนักล่าจริงๆ
    ธุรกิจการเงินในญี่ปุ่นในช่วงต้น ค.ศ.1900 จึงอยู่ในมือ Morgan แต่ที่ผู้คนมักจะสงสัยเสมอ คือ ความจงรักภักดีของ Morgan ที่แม้จะเป็นบริษัทอยู่ในวอลสตรีท แต่ไม่แน่ว่าในส่วนลึก Morgan นั้น ผูกพันกับอเมริกา หรือ อังกฤษกันแน่ และเพราะเหตุนี้ ร้อกกี้เฟลเลอร์ คู่แข่ง จึงไม่ปล่อยให้ Morgan กวาดธุรกิจการเงินในญี่ปุ่นไปรายเดียว
    อเมริกา แม้จะมาที่หลังอังกฤษในจีน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า อเมริกามาสายจนเกินแกง อังกฤษใช้บริษัทบริติชอีสท์อินเดีย เป็นตัวอำนวยการแสดงในจีน แทนรัฐบาล และใช้ฝิ่นเป็นอาวุธ อเมริกาก็มีมูลนิธิร๊อกกี้เฟลเลอร์ ที่เข้าไปอย่างเงียบๆ ในจีน ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1863 เมื่อ Standard Oil ของร้อกกี้เฟลเลอร์ ขายน้ำมันก๊าดเติมตะเกียงให้แก่จีน เมื่อค้าขายไปซักพัก เขาก็เห็นตลาดอันกว้างใหญ่ของจีน และอาวุธที่ร้อกกี้ใช้จี้จุดจีน แม้จะไม่ทรงอานุภาพเช่นฝิ่นของอังกฤษ แต่ขบวนการมิชชั่นนารี ภายใต้การอุดหนุนของมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ ที่เข้าไปในจีนนานแล้ว แต่มาเปิดตัว เปิดหน้าในจีน อย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.1913 ก็ทำงานได้ตามเป้าหมายไม่น้อย ไม่เช่นนั้น อเมริกาคงไม่ได้เลี้ยงหนอนชื่อ ชาลี ซ่ง และ ซื้อไพ่ ชื่อ ซุนยัดเซ็น และเจียงไคเซ็ค
    ส่วนในญี่ปุ่นนั้น อเมริกามีวิธีแทรกเข้าไปในสังคม และการเมืองญี่ปุ่น ที่ได้ผล อย่างเหลือเชื่อมาจนถึงปัจจุบัน

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    25 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 14 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 14 ทั้งอังกฤษและอเมริกา ต่างอยากได้จีนมาครอง โดยไม่แบ่งกับใคร และต่างก็มีแผน และวิธีการในการใช้ญี่ปุ่นและเคี้ยวจีน ที่เหมือนร่วมมือกัน แต่ขณะเดียวกัน ก็ดัดหลังกันเอง สำหรับอังกฤษ ที่เป็นเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย มีกองเรือใหญ่ก็จริง แต่จีนอยู่ห่างกับอังกฤษคนละซีกโลก แถม อังกฤษต้องเตรียมเก็บกองทัพเอาไว้ทำสงครามในยุโรป อังกฤษจึงเลือกใช้ อาวุธ soft power การมอมเมาจีนด้วยฝิ่นก่อน แล้วตามมาด้วย proxy war รุ่นแรก ทันสมัยมากนะ ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ อังกฤษ หลอกปั่นหัวญี่ปุ่นให้ไปตีตั๋วรวนจีนหลายรอบ รวมทั้งไปรบรัสเซียตามแผนอังกฤษ ทำให้ญี่ปุ่นหลงคิดว่าตนเองรบเก่ง เข้าขั้นเป็นชาติมหาอำนาจ แต่จะปั่นหัวซามูไร เหมือนปั่นจิ้งหรีด อังกฤษก็ต้องรู้วิธีปั่น เมื่อญี่ปุ่นคิดปฏิรูปประเทศ Meiji Restoration บรรดาหัวกะทิญี่ปุ่น ที่ต้องการปฏิรูปประเทศ พากันยกโขยงกันเกือบร้อยคน ไปประเทศต่างๆ ทั้งในยุโรปและอเมริกา ใช้เวลาอยู่ในประเทศต่างๆ ประมาณ 2 ปี เพื่อศึกษาด้านการปกครอง การค้า การเมือง และการทหารจากประเทศต่างๆ เมื่อกลับมาถึงญี่ปุ่น บารอนอีโต้ Baron Ito ซึ่งเป็นหัวกะทิหมายเลขหนึ่ง ในการเดินทางไปศึกษาระบบต่างๆ ก็สรุปว่า ในด้านการปกครอง และการเมือง ระบบของอังกฤษที่มีระบบรัฐสภา และมีกษัตริย์ หรือจักรพรรดิ เป็นศูนย์รวมของประเทศ เหมาะกับญี่ปุ่นที่สุด และเพื่อไม่ให้จักรพรรดิต้องเดือดร้อนในการตัดสินใจ (พูดเสียเพราะ จริงๆ ก็คือ ไม่ให้มายุ่งกับการเมืองโดยตรงนั่นแหล่ะ) ญี่ปุ่นจึงนำระบบ Council of State ของอังกฤษ มาแปลงเป็น คณะองคมนตรี หรือที่ปรึกษาของจักรพรรดิ ให้เป็นผู้เชื่อมระหว่าง การเมืองกับจักรพรรดิแทน ส่วนด้านการทหาร ในสายตาของญี่ปุ่น ไม่มีที่ไหนสู้เยอรมันได้ ส่วนระบบการเงิน ญี่ปุ่นเห็นว่าอังกฤษคือต้นแบบ ญี่ปุ่นก็เลยถอดแบบระบบธนาคารกลาง และการเงินการคลังมาจากอังกฤษ ทั้งหมดง่ายดี ดังนั้น ตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ.1870 จนถึง 1930 บรรดาหัวกะทิ หรืออีลิตญี่ปุ่น จึงอยู่ในความเชื่อว่า อังกฤษ นั้น ศิวิไลซ์ที่สุด ยิ่งอังกฤษสร้างภาพความเป็นมิตรกับญี่ปุ่น ญี่ปุ่นจึงเห็นแต่น้ำตาลที่อังกฤษฉาบไว้ ชาวญี่ปุ่น ตั้งแต่ราชวงศ์ชั้นสูง ลงมาถึงพวกเศรษฐีมีเงิน พวกที่อยากก้าวหน้าอย่างฝรั่ง จึงต่างพากันส่งลูกหลานไปศึกษาที่อังกฤษ เมื่อจบกลับมาก็สร้างระบบ และคิดตามที่อังกฤษฝังหัวไว้ จึงไม่ยาก ที่เหล่าซามูไรจะกลายเป็นจิ้งหรีด ให้อังกฤษปั่นหัว หลอกใช้ให้ไปรบรัสเซีย ป่วนจีน และกันท่าไม่ให้ชาติอื่น เข้ามาในจีนง่ายๆ ญี่ปุ่นมองไม่เห็นถึงไส้ในของแท้ของอังกฤษ ที่ ไม่มีวันจะเห็นชาติที่อยู่นอกเชื้อพันธ์แองโกลแซกซอน (ชนชาติที่ใช้ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาประจำชาติ) มาเท่าเทียมกับตน และในเมื่อ Meiji Restoration ยกให้จักรพรรดิ เป็นสิ่งสูงสุดที่สวรรค์ส่งมาให้ แม้จะไม่มีอำนาจเต็มที่ในการปกครอง แต่ผู้คนก็พากันอ้างเอาจักรพรรดิเป็นยันต์ศักดิ์สิทธิ ทั้งอังกฤษ และอเมริกา จึงพยายามแทรกเข้าไปในวัง เพื่อสร้างเครือข่าย และหวังจะชักนำราชวงศ์ไปในทิศทางที่ตนเองต้องการ น่าสนใจว่า อิทธิพลของฝรั่ง อีกรูปแบบหนึ่ง ที่เข้าไปในญี่ปุ่นสมัยนั้น ทั้งในระดับในวัง และระดับชนชั้นสูงนอกวัง คือ ศาสนาคริสเตียน ในแวดวงของจักรพรรดินี หรือตัวจักรพรรดินีเอง ส่วนใหญ่นับถือคริสเตียน ทำให้ชาวญี่ปุ่นที่นับถือคริสเตียน เปิดทางให้พวกต่างชาติคริสเตียนเคร่งศาสนา ที่เรียกว่า Quaker ซึ่งมีอยู่ไม่น้อยทั้งในอังกฤษและอเมริกา รายล้อมในและนอกวัง กลายเป็นเครือข่ายที่มีอิทธิพลยิ่ง พวกเคว้กเกอร์ เมื่อเข้ามาในญี่ปุ่น เปิดโรงเรียนสอนภาษา และหญิงผู้ดีญี่ปุ่นก็มักจะไปเรียนหนังสือ กับพวกเคว้กเกอร์ และพวกนี้ ก็จะแนะนำเพื่อนฝูง เครือญาติ ให้เข้ามารับใช้ราชวงศ์ ขณะเดียวกัน เมื่อแต่งงานกับฝ่ายชายในสังคมชั้นสูงที่มีอำนาจในการเมืองและธุรกิจ ก็ทำให้เครือข่ายของคริสเตียนเคว้กเกอร์นี้ ยิ่งแผ่ไปในสังคมชั้นสูงของญี่ปุ่นด้วย ทูตอเมรืกัน ประจำญี่ปุน ปี ค.ศ.1932 Joseph Grew ซึ่งเมีย ชื่อ Alice นั้น เป็นพวกเค้วกเกอร์ ที่มีเพื่อนสนิท ที่เป็นทั้งแม่ยาย ขององค์ชายชิชิบุ และเป็นคนสนิทของจักรพรรดินี ซาดาโกะ Sadako (แม่ของจักรพรรดิฮิโรฮิโต และชิชิบุ) ที่ก็มีข่าวว่าเป็นคริสเตียนจากอิทธิพลของสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกัน Alice ก็เป็นญาติกับเมียของ Jack Morgan แห่ง J P Morgan ที่ดัง ว่อน และวุ่นไปทั่วโลก ด้วยเส้นสายเช่นนี้ J P Morgan จึงได้มาเปิดบริษัทการเงืนใหญ่ อยู่ในญี่ปุ่น Morgan Zaibutsu พร้อมทั้งส่ง Thomas Lamont จำชื่อเขาได้ไหมครับ เขาเป็นหุ้นส่วนใหญ่อีกคนของ JP Morgan มาเป็นที่ปรึกษาการเงินให้จักรพรรดืฮิโรฮิโต และเจ้านายคนอื่นๆ ด้วย ไอ้หมอนี่ มีบทบาททั้งในอเมริกาเอง เป็นกรรมการธนาคารกลางของอเมริกา ต่อมาไปวุ่นเรื่องการปฏิวัติในรัสเซีย หลังจากนั้น มาญี่ปุ่น และก็ไปวุ่นที่อิตาลี เรื่องมุสโสลินีด้วย มันเป็นม้าใช้พันธุ์โปรด ของนักล่าจริงๆ ธุรกิจการเงินในญี่ปุ่นในช่วงต้น ค.ศ.1900 จึงอยู่ในมือ Morgan แต่ที่ผู้คนมักจะสงสัยเสมอ คือ ความจงรักภักดีของ Morgan ที่แม้จะเป็นบริษัทอยู่ในวอลสตรีท แต่ไม่แน่ว่าในส่วนลึก Morgan นั้น ผูกพันกับอเมริกา หรือ อังกฤษกันแน่ และเพราะเหตุนี้ ร้อกกี้เฟลเลอร์ คู่แข่ง จึงไม่ปล่อยให้ Morgan กวาดธุรกิจการเงินในญี่ปุ่นไปรายเดียว อเมริกา แม้จะมาที่หลังอังกฤษในจีน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า อเมริกามาสายจนเกินแกง อังกฤษใช้บริษัทบริติชอีสท์อินเดีย เป็นตัวอำนวยการแสดงในจีน แทนรัฐบาล และใช้ฝิ่นเป็นอาวุธ อเมริกาก็มีมูลนิธิร๊อกกี้เฟลเลอร์ ที่เข้าไปอย่างเงียบๆ ในจีน ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1863 เมื่อ Standard Oil ของร้อกกี้เฟลเลอร์ ขายน้ำมันก๊าดเติมตะเกียงให้แก่จีน เมื่อค้าขายไปซักพัก เขาก็เห็นตลาดอันกว้างใหญ่ของจีน และอาวุธที่ร้อกกี้ใช้จี้จุดจีน แม้จะไม่ทรงอานุภาพเช่นฝิ่นของอังกฤษ แต่ขบวนการมิชชั่นนารี ภายใต้การอุดหนุนของมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ ที่เข้าไปในจีนนานแล้ว แต่มาเปิดตัว เปิดหน้าในจีน อย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.1913 ก็ทำงานได้ตามเป้าหมายไม่น้อย ไม่เช่นนั้น อเมริกาคงไม่ได้เลี้ยงหนอนชื่อ ชาลี ซ่ง และ ซื้อไพ่ ชื่อ ซุนยัดเซ็น และเจียงไคเซ็ค ส่วนในญี่ปุ่นนั้น อเมริกามีวิธีแทรกเข้าไปในสังคม และการเมืองญี่ปุ่น ที่ได้ผล อย่างเหลือเชื่อมาจนถึงปัจจุบัน สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 25 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 593 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความกฎหมาย EP.35

    นิรโทษกรรม เป็นเครื่องมือทางกฎหมายที่ลึกซึ้งและทรงพลังของรัฐ มีความหมายโดยแท้คือการออกกฎหมายระดับพระราชบัญญัติหรือพระราชกำหนด เพื่อลบล้างการกระทำผิดทางอาญาบางประเภทที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งโดยเฉพาะ โดยมีผลให้การกระทำนั้นๆ ถูกถือว่าไม่เคยเป็นความผิดทางกฎหมายมาตั้งแต่ต้นเลยทีเดียว ซึ่งนี่คือสาระสำคัญที่แยกนิรโทษกรรมออกจากการพระราชทานอภัยโทษอย่างสิ้นเชิง การอภัยโทษเป็นเพียงการลดหย่อนหรือยกเว้นโทษที่ได้รับไปแล้วหรือที่กำลังจะได้รับให้กับบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่ง โดยที่ความผิดทางอาญายังคงอยู่และยังปรากฏในประวัติความประพฤติของผู้นั้น แต่สำหรับนิรโทษกรรมแล้ว ผลของกฎหมายจะย้อนหลังไปถึงตัวการกระทำเอง ทำให้คดีอาญาที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะอยู่ในขั้นตอนของการสอบสวน การดำเนินคดีของพนักงานอัยการ หรือการพิจารณาของศาล ต้องยุติลงทั้งหมด และผู้ที่เคยถูกตัดสินลงโทษไปแล้วก็จะพ้นจากผลของการพิพากษานั้นทันที เป็นการคืนสถานะทางกฎหมายและเกียรติความเป็นมนุษย์กลับคืนมาโดยสมบูรณ์ กลไกนี้มักถูกนำมาใช้ในสถานการณ์ที่ประเทศเผชิญกับความแตกแยกทางการเมือง ความขัดแย้งทางความคิด หรือความไม่สงบครั้งใหญ่ เพื่อสร้างจุดเริ่มต้นใหม่ในการประนีประนอม โดยที่รัฐยอมสละอำนาจในการลงโทษเพื่อแลกกับการสมานฉันท์และความมั่นคงระยะยาวของคนในชาติ ซึ่งสะท้อนถึงการตัดสินใจเชิงนโยบายทางหลักนิติธรรมในระดับสูงสุดที่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมเหนือกว่าการลงโทษเป็นรายบุคคล

    ดังนั้น การพิจารณาการใช้กลไกนิรโทษกรรมจึงมิใช่แค่เรื่องของการ "ยกเว้นโทษ" ธรรมดา หากแต่เป็นการตัดสินใจเชิงหลักนิติธรรมและการเมืองในระดับสูงยิ่ง ที่ต้องชั่งน้ำหนักอย่างละเอียดอ่อนระหว่างหลักการความยุติธรรมทางอาญา ซึ่งเรียกร้องให้ผู้กระทำผิดต้องรับผลแห่งการกระทำ กับหลักการเพื่อประโยชน์ส่วนรวมและความมั่นคงของรัฐ ซึ่งมุ่งเน้นการยุติความขัดแย้งและสร้างความปรองดองในสังคมให้กลับคืนมา การกำหนดขอบเขตของการนิรโทษกรรมจึงมีความสำคัญสูงสุด ต้องระบุประเภทความผิด เวลาที่เกิดเหตุ และกลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจนและเป็นธรรม เพื่อป้องกันมิให้กลไกอันศักดิ์สิทธิ์นี้ถูกใช้เป็นช่องทางในการล้างความผิดให้กับความผิดร้ายแรงทางอาญาโดยมิชอบ หรือกลายเป็นเครื่องมือที่บ่อนทำลายหลักการปกครองด้วยกฎหมายที่ผดุงความยุติธรรมพื้นฐานเอาไว้ ความท้าทายที่แท้จริงจึงอยู่ที่การหาจุดสมดุลที่กฎหมายแห่งการลบล้างความผิดสามารถนำมาซึ่งการยอมรับและสันติสุขที่แท้จริง มิใช่การสร้างบาดแผลใหม่ที่ลึกซึ้งกว่าเดิมในจิตใจของผู้เสียหายและสังคม

    ด้วยเหตุนี้เอง การนำมาตรการนิรโทษกรรมมาใช้อย่างรอบคอบภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญและหลักการปกครองด้วยกฎหมาย จึงเป็นก้าวสำคัญที่แสดงออกถึงวุฒิภาวะของรัฐในการจัดการกับวิกฤตความขัดแย้งในอดีตอย่างสร้างสรรค์ โดยมีจุดมุ่งหมายสูงสุดคือการเปลี่ยนผ่านจากความขัดแย้งไปสู่การเริ่มต้นใหม่ที่ทุกคนสามารถก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้ร่วมกัน การนิรโทษกรรมจึงมิได้เป็นเพียงการยกโทษความผิด แต่เป็นการประกาศเจตนารมณ์ของรัฐที่จะ "ลืม" เพื่อ "สร้าง" อนาคตที่มั่นคงและเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยใช้พลังอำนาจแห่งกฎหมายเป็นสะพานเชื่อมรอยร้าวที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของชาติอย่างมีวาทะและมีพลัง.
    บทความกฎหมาย EP.35 นิรโทษกรรม เป็นเครื่องมือทางกฎหมายที่ลึกซึ้งและทรงพลังของรัฐ มีความหมายโดยแท้คือการออกกฎหมายระดับพระราชบัญญัติหรือพระราชกำหนด เพื่อลบล้างการกระทำผิดทางอาญาบางประเภทที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งโดยเฉพาะ โดยมีผลให้การกระทำนั้นๆ ถูกถือว่าไม่เคยเป็นความผิดทางกฎหมายมาตั้งแต่ต้นเลยทีเดียว ซึ่งนี่คือสาระสำคัญที่แยกนิรโทษกรรมออกจากการพระราชทานอภัยโทษอย่างสิ้นเชิง การอภัยโทษเป็นเพียงการลดหย่อนหรือยกเว้นโทษที่ได้รับไปแล้วหรือที่กำลังจะได้รับให้กับบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่ง โดยที่ความผิดทางอาญายังคงอยู่และยังปรากฏในประวัติความประพฤติของผู้นั้น แต่สำหรับนิรโทษกรรมแล้ว ผลของกฎหมายจะย้อนหลังไปถึงตัวการกระทำเอง ทำให้คดีอาญาที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะอยู่ในขั้นตอนของการสอบสวน การดำเนินคดีของพนักงานอัยการ หรือการพิจารณาของศาล ต้องยุติลงทั้งหมด และผู้ที่เคยถูกตัดสินลงโทษไปแล้วก็จะพ้นจากผลของการพิพากษานั้นทันที เป็นการคืนสถานะทางกฎหมายและเกียรติความเป็นมนุษย์กลับคืนมาโดยสมบูรณ์ กลไกนี้มักถูกนำมาใช้ในสถานการณ์ที่ประเทศเผชิญกับความแตกแยกทางการเมือง ความขัดแย้งทางความคิด หรือความไม่สงบครั้งใหญ่ เพื่อสร้างจุดเริ่มต้นใหม่ในการประนีประนอม โดยที่รัฐยอมสละอำนาจในการลงโทษเพื่อแลกกับการสมานฉันท์และความมั่นคงระยะยาวของคนในชาติ ซึ่งสะท้อนถึงการตัดสินใจเชิงนโยบายทางหลักนิติธรรมในระดับสูงสุดที่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมเหนือกว่าการลงโทษเป็นรายบุคคล ดังนั้น การพิจารณาการใช้กลไกนิรโทษกรรมจึงมิใช่แค่เรื่องของการ "ยกเว้นโทษ" ธรรมดา หากแต่เป็นการตัดสินใจเชิงหลักนิติธรรมและการเมืองในระดับสูงยิ่ง ที่ต้องชั่งน้ำหนักอย่างละเอียดอ่อนระหว่างหลักการความยุติธรรมทางอาญา ซึ่งเรียกร้องให้ผู้กระทำผิดต้องรับผลแห่งการกระทำ กับหลักการเพื่อประโยชน์ส่วนรวมและความมั่นคงของรัฐ ซึ่งมุ่งเน้นการยุติความขัดแย้งและสร้างความปรองดองในสังคมให้กลับคืนมา การกำหนดขอบเขตของการนิรโทษกรรมจึงมีความสำคัญสูงสุด ต้องระบุประเภทความผิด เวลาที่เกิดเหตุ และกลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจนและเป็นธรรม เพื่อป้องกันมิให้กลไกอันศักดิ์สิทธิ์นี้ถูกใช้เป็นช่องทางในการล้างความผิดให้กับความผิดร้ายแรงทางอาญาโดยมิชอบ หรือกลายเป็นเครื่องมือที่บ่อนทำลายหลักการปกครองด้วยกฎหมายที่ผดุงความยุติธรรมพื้นฐานเอาไว้ ความท้าทายที่แท้จริงจึงอยู่ที่การหาจุดสมดุลที่กฎหมายแห่งการลบล้างความผิดสามารถนำมาซึ่งการยอมรับและสันติสุขที่แท้จริง มิใช่การสร้างบาดแผลใหม่ที่ลึกซึ้งกว่าเดิมในจิตใจของผู้เสียหายและสังคม ด้วยเหตุนี้เอง การนำมาตรการนิรโทษกรรมมาใช้อย่างรอบคอบภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญและหลักการปกครองด้วยกฎหมาย จึงเป็นก้าวสำคัญที่แสดงออกถึงวุฒิภาวะของรัฐในการจัดการกับวิกฤตความขัดแย้งในอดีตอย่างสร้างสรรค์ โดยมีจุดมุ่งหมายสูงสุดคือการเปลี่ยนผ่านจากความขัดแย้งไปสู่การเริ่มต้นใหม่ที่ทุกคนสามารถก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้ร่วมกัน การนิรโทษกรรมจึงมิได้เป็นเพียงการยกโทษความผิด แต่เป็นการประกาศเจตนารมณ์ของรัฐที่จะ "ลืม" เพื่อ "สร้าง" อนาคตที่มั่นคงและเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยใช้พลังอำนาจแห่งกฎหมายเป็นสะพานเชื่อมรอยร้าวที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของชาติอย่างมีวาทะและมีพลัง.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 497 มุมมอง 0 รีวิว
  • อดีตนายอำเภอหาดใหญ่ “เอก ยังอภัย” โต้กลับหลังถูกกรมการปกครองสั่งให้ออกจากราชการ ปมละทิ้งพื้นที่วิกฤตน้ำท่วมระดับ 4 ยืนยันอยู่ในพื้นที่ทุกวัน แต่เจอน้ำท่วมสูงกว่า 3 เมตร ไร้ไฟ-ไร้สัญญาณสื่อสาร ทำให้ติดต่อไม่ได้ ชี้ไม่เคยทิ้งประชาชน
    .
    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000114010
    .
    #เอกยังอภัย #หาดใหญ่ #น้ำท่วมสงขลา #กรมการปกครอง #อุทกภัย #News1live #News1
    อดีตนายอำเภอหาดใหญ่ “เอก ยังอภัย” โต้กลับหลังถูกกรมการปกครองสั่งให้ออกจากราชการ ปมละทิ้งพื้นที่วิกฤตน้ำท่วมระดับ 4 ยืนยันอยู่ในพื้นที่ทุกวัน แต่เจอน้ำท่วมสูงกว่า 3 เมตร ไร้ไฟ-ไร้สัญญาณสื่อสาร ทำให้ติดต่อไม่ได้ ชี้ไม่เคยทิ้งประชาชน . อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000114010 . #เอกยังอภัย #หาดใหญ่ #น้ำท่วมสงขลา #กรมการปกครอง #อุทกภัย #News1live #News1
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 586 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 13
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” 

    ตอน 13
    หลังจากซุนยัดเซ็นตาย เจียงไคเช็คก็ขึ้นมาหัวหน้าใหญ่ของพรรคจีนก๊กมินตั๋ง เจียงเริ่มพองตัวใหญ่ขึ้น เขาเริ่มปราบพวกเจ้าพ่อก๊กต่างๆ แม้ ในตอนแรก เขาจะยังร่วมงานกับพรรคคอมมิวนิสต์ แต่พอถึงปี ค.ศ.1927 ทั้ง 2 ฝ่ายก็ออกอาการ มีการขบเขี้ยวใส่กันอยู่ตลอดเวลา ทำท่าว่าจะไปกันไม่รอด แล้วเจียงก็ไล่ที่ปรึกษาโซเวียตกลับบ้าน หลังจากนั้นก็เริ่มใช้กำลังและความรุนแรงคุยกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ไม่นานจีนก๊กมินตั๋งกับจีนคอมมิวนิสต์ก็แยกทางกันเดิน
    อะไร ทำให้เจียงเปลี่ยนแนวทางจนเดินทางเดียวกับจีนคอมมิวนิสต์ไม่ได้
    มาดูประวัติ และเส้นทางชีวิตของเขาหน่อย
    เจียงไคเช็ค เกิดเมื่อ ปี ค.ศ.1887 ในหมู่บ้านทางตะวันออกของจีน พ่อตายก่อน แม่เป็นคนเลี้ยงเขามา พออายุ 14 หนุ่มเจียง ก็มีเมียคนแรก พออายุ 18 ก็เดินทางไปเข้าโรงเรียนทหารที่โตเกียว เขาบอกว่า เขาชอบความมีวินัยของกองทัพญี่ปุ่น ถึงปี ค.ศ.1911 เจียง ก็กลับมาจีน และเข้าร่วมกับก๊กมินตั๋ง ได้เป็นทหารติดตามซุนยัดเซ็น แต่พอซุนยัดเซ็นลี้ภัยไปอยู่ญี่ปุ่น เขาก็ไม่ได้ตามไปด้วย
    เมื่อซุนยัดเซ็น กลับมาฟื้นก๊กมินตั๋ง เจียงก็กลับมาติดตามซุนยัดเซ็นต่อ ระหว่าง นั้นเจียงก็สร้างเครือข่ายอิทธิพลของต้วเองไปด้วย เมื่อซุนยัดเซ็นเสียชีวิต ในปี ค.ศ.1925 เจียงขึ้นมาเป็นหัวหน้าก๊กมินตั๋งแทน และในปี ค.ศ.1926 เขาก็แต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ต่อมาภายหลังโด่งดัง มีอำนาจคับโลก หล่อนคือ เมย์-หลิง ซ่ง May-ling Soong ลูกสาวอีกคนหนึ่งของเศรษฐีใหญ่ ชาลี ซ่ง ที่คุ้นเคยกับซุนยัดเซ็น นั่นเอง เจียงลงทุนเข้ารีต เปลี่ยนไปนับถือคริสเตียนตามเมียไฮโซ
    ชาลี ซ่ง Charlie Soong เป็นชาวจีนที่โตมากับพวกมิชชันนารีในจีนที่ไหหลำ ทางใต้ของจีน พวกมิชชั่นนารีส่งเขาไปเรียนหนังสือที่อเมริกา หลังจากนั้น ชาลี ก็เข้ารีตเป็นคริสเตียน และเปลี่ยนชื่อเป็นฝรั่ง เมื่อชาลีเรียนมหาวิทยาลัยจบ ก็กลับมาจีน และปักหลักทำธุรกิจอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ แดนฝรั่งในจีน
    เขาเรื่มธุรกิจด้วยการพิมพ์คัมภีร์ไบเบิลขาย จนมีฐานะ และต่อมาก็ถือว่า เป็นเศรษฐีคนหนึ่ง เขามีลูกสาว 3 คน ลูกชาย 3 คน ลูกชายลูกสาว ทุกคนถูกส่งไปเรียนหนังสือที่อเมริกา ตั้งแต่อายุสิบกว่าขวบ ทุกคนจบมหาวิทยาลัยชั้นดีในอเมริกา ใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารได้ดีกว่าภาษาจีน ลูกสาวคนหนึ่ง ชิง-หลิง ไปช่วยทำงานให้ซุนยัดเซ็น ในที่สุดก็รักกัน และไปอยู่กินกับซุนยัดเซ็น เมื่อซุนยัดเซ็นลี้ภัยไปอยู่ญี่ปุ่น ชิง-หลิง ก็ตามไปด้วย ซึ่งทำให้ชาลีไม่พอใจอย่างยิ่ง ถึงขนาดตัดขาดกับทั้ง 2 คน
    แต่เมื่อได้ลูกเขยชื่อเจียงไคเช็ค ชาลี ซ่ง กลับปลาบปลื้ม และทำธุรกิจร่วมกัน ไม่ใช่เฉพาะที่เซี่ยงไฮ้ แต่ขยายไปทั่ว เมื่อเจียงไคเช็คพาพรรคพวกหนีพรรคคอมมิวนิสต์ ไปอยู่ไต้หวัน และตั้งตัวเป็นประธานาธิบดี ลูกชายของ ชาลีคนหนึ่ง ชื่อ เซ-เวน Tse-ven แต่เจ้าตัวและพวกฝรั่งเรียกว่า T V ทีวี ก็ไปทำหน้าที่เป็นรัฐมนตรีคลังให้แก่น้องเขย และเป็นอยู่หลายสมัย เลยยิ่งรวยกันใหญ่
    จริงๆ T V ทำหน้าที่เป็นเลขาส่วนตัวให้แก่ซุนยัดเซ็นมาก่อน ตั้งแต่สมัยที่ซุนยัดเซ็นปักหลักเริ่มวางแผนอยู่แถวเซี่ยงไฮ้ ในปี ค.ศ.1917 นาย ทีวี นี่จบจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาด และนิยมทุกอย่างที่เกี่ยวกับอเมริกา เมื่อย้ายมาทำงานให้เขยอีกคนคือ เจียง นอกจากได้เป็นรัฐมนตรีคลังแล้ว นายทีวี ยังเป็นผู้ว่าการธนาคารกลางไต้หวัน และเป็นผู้ก่อตั้งสภาเศรษฐกิจแห่งชาติของไต้หวัน เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 นายทีวี ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานระหว่างไต้หวันกับอเมริกาโดยเป็นผู้ติดต่อโดยตรงกับประธานาธิบดี Roosevelt ของอเมริกา รูปแบบคุ้นๆ จัง
    ตัวแปรสำคัญที่ทำให้เส้นทางเดินของ เจียงไคเช็ค เปลี่ยนจุดหมาย เลี้ยวออกจากที่เคยเดินไปทางเดียวกับซุนยัดเซ็น น่าจะเป็น ตระกูลซ่ง ตั้งแต่ ตัวพ่อ ลูกสาว และลูกชาย
    จากประวัติของ ชาลี ซ่ง ที่เป็นเด็กเลี้ยงของมิชชั่นนารีคริสเตียน และภายหลัง เห็นชัดว่าเป็นเด็กสร้างของอเมริกา อเมริกาจึงน่าจะเป็นผู้จัดการให้ ชาลี ซ่ง และครอบครัว มาทำหน้าที่ ทำงานคัดท้าย จนถึงครอบงำผู้ที่จะมาทำการปกครองจีน หลังจากราชวงศ์ชิงล่ม ตามแผนครอบครองจีนของอเมริกา และเพื่อให้เป็นไปตามแผน ที่ผลสรุป ของตัวแสดงยังออกมาไม่ชัด อเมริกาจึงต้องซื้อไพ่ชื่อ ซุนยัดเซน และเจียงไคเช็ค ทั้ง 2ใบ และให้มีการประกบใกล้ชิด ทั้ง 2 ใบ มันเป็นงานใหญ่ ที่ต้องใช้กันทั้งครอบครัว และอาจจะทั้งตระกูล และใช้เวลาหลายชั่วชีวิตคน อย่างที่เราจะนึกไม่ถึง นี่คือต้นแบบของหนอนใน ที่ฝรั่งใช้เอามาฝังไว้ในประเทศต่างๆ แม้ในแดนสยามก็ยังมี และยังใช้อยู่
    มันเป็นการมองการณ์ไกลของผู้สร้าง ชาลี ซ่ง และครอบครัว บวกความทะเยอทะยานของครอบครัว ชาลี ซ่ง ผสมกัน ตบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอก ยอมเป็นขี้ข้าให้ฝรั่งใช้ในประเทศตนเอง นี่มันต้องใช้หลายอย่าง แต่ที่ไม่ใช้คือ ความรัก ความกตัญญูต่อแผ่นดินเกิดของตนเอง และความมีศักดิ์ศรีในชนชาติของตน
    ส่วนเรื่องของซุนยัดเซ็น น่าเชื่อว่า ซุนยัดเซ็นมีอุดมการณ์จริงตั้งแต่เริ่มแรก ที่ต้องการไล่ราชวงศ์ชิงที่เหลวเละและยอมฝรั่ง และไล่พวกฝรั่งให้พ้นไปจากจีน และอังกฤษเอง ก็น่าจะรู้เป้าหมายของซุนยัดเซ็นอยู่แล้ว แต่อังกฤษคงปล่อยให้ซุนยัดเซ็นเล่นไประดับหนึ่ง เพื่อไล่ราชวงศ์ชิง เพราะ ถ้าราชวงศ์ชิงร่วงไป ก็เป็นประโยชน์กับอังกฤษเช่นกัน
    ส่วนการปล่อยให้ ซุนยัดเซ็น มาอยู่ญี่ปุ่น ที่อังกฤษ รวมทั้งอเมริกา เอาตาข่ายคลุมไว้หมดแล้ว เพื่อให้เส้นสายของตน ทั้งตามดูและควบคุม ก็เป็นเรื่องเข้าใจได้ แต่เมื่อมีการปฏิวัติสำเร็จ และซุนยัดเซ็นได้รับการสนับสนุนจากประชาชนให้เป็นประธานาธิบดี และตั้งสาธารณรัฐ ฝ่ายอังกฤษจึงเห็นว่า ผิดท่า ชาวจีนสนับสนุนมากไป และน่าจะมีอเมริกามาเกี่ยวข้อง การที่อังกฤษจะไปคาบจีนกลับมา จึงอาจจะไม่ง่ายอย่างที่คิด มันก็เป็นแนวคิดเดียวกันกับการใช้ญี่ปุ่นรวนจีน แต่ไม่ได้ยกจีนให้ญี่ปุ่น อังกฤษปล่อย หรือ อาจจะสนับสนุนทางอ้อม ให้ซุนยัดเซ็นไล่ราชวงศ์ชิง แต่ไม่ได้หมายความว่ายกจีนให้ ซุนยัดเซ็น
    นี่คือสันดานที่แท้จริงของอังกฤษ “แค่ใช้ ไม่ใช่ ยกให้” ยวนชีไข่ จึงได้ใบสั่งให้มาเข้าฉากชั่วคราว เพราะอังกฤษยังไม่ว่างมาจัดการเอง เพราะช่วงนั้นกำลังวุ่นอยู่กับการแบ่งเค้กตะวันออกกลาง ที่ได้มาจากการทำสงครามโลก ครั้งที่ 1
    ขณะเดียวกัน ซุนยัดเซ็นจะเป็นเด็กสร้าง หรือรับใบสั่งของอเมริกา หรือไม่ ก็น่าคิด แต่ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น อเมริกาน่าจะเกาะติด และประกบซุนยัดเซ็น ไม่ต่างกับอังกฤษ หรือยิ่งกว่า อเมริกามีแต่ได้ ไม่มีเสีย ถ้าซุนยัดเซ็นโค่นราชวงศ์ชิงไปได้ ไล่อังกฤษออกจากจีน มันเป็นการเปิดทางเข้าให้อเมริกาทั้งนั้น ชาลี ซ่ง และครอบครัว จึงถูกส่งมาประกบ ไม่ให้ซุนยัดเซ็นหลุดเส้นทาง และหลุดมือ
    แต่การที่ ซุนยัดเซ็น เอง ที่เดินหมากเหมือนไม่ตามแผน เช่น การไปตกปากสัญญาจะยกสัมปทานในจีน ให้คนจีนโพ้นทะเล เป็นการชักจูงให้กลับมาอยู่ในประเทศ มาช่วยกันสร้างประเทศดีกว่าให้ฝรั่งมาเอาไป น่าจะบอกความในใจของซุนยัดเซ็นได้พอสมควร ดูๆไป ก็เหมือน ซุนยัดเซ็น เล่นละครหลอกฝรั่ง ทั้งอังกฤษ อเมริกา และอาจจะญี่ปุ่นด้วย เขาแสดงตัวว่า คบทั้ง อเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น เยอรมัน ทั้งคนดี คนชั่ว แต่ที่สำคัญ การมาคบกับโซเวียต นี่น่าจะเป็นเหตุใหญ่ ให้อเมริกา ที่เล่นไพ่ไว้ทั้ง 2 ใบ จึงทิ้งไพ่ เหลือเพียงใบเดียว หันมาสนับสนุน เจียงไคเช็ค ที่ชัดเจนว่าอยู่ในมืออเมริกา อย่างเต็มที่ มันเป็นรูปแบบที่อเมริกา ถนัดเล่น เล่นอย่างนี้ ทุกที่ ทุกสมัย
     
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    24 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 13 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”  ตอน 13 หลังจากซุนยัดเซ็นตาย เจียงไคเช็คก็ขึ้นมาหัวหน้าใหญ่ของพรรคจีนก๊กมินตั๋ง เจียงเริ่มพองตัวใหญ่ขึ้น เขาเริ่มปราบพวกเจ้าพ่อก๊กต่างๆ แม้ ในตอนแรก เขาจะยังร่วมงานกับพรรคคอมมิวนิสต์ แต่พอถึงปี ค.ศ.1927 ทั้ง 2 ฝ่ายก็ออกอาการ มีการขบเขี้ยวใส่กันอยู่ตลอดเวลา ทำท่าว่าจะไปกันไม่รอด แล้วเจียงก็ไล่ที่ปรึกษาโซเวียตกลับบ้าน หลังจากนั้นก็เริ่มใช้กำลังและความรุนแรงคุยกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ไม่นานจีนก๊กมินตั๋งกับจีนคอมมิวนิสต์ก็แยกทางกันเดิน อะไร ทำให้เจียงเปลี่ยนแนวทางจนเดินทางเดียวกับจีนคอมมิวนิสต์ไม่ได้ มาดูประวัติ และเส้นทางชีวิตของเขาหน่อย เจียงไคเช็ค เกิดเมื่อ ปี ค.ศ.1887 ในหมู่บ้านทางตะวันออกของจีน พ่อตายก่อน แม่เป็นคนเลี้ยงเขามา พออายุ 14 หนุ่มเจียง ก็มีเมียคนแรก พออายุ 18 ก็เดินทางไปเข้าโรงเรียนทหารที่โตเกียว เขาบอกว่า เขาชอบความมีวินัยของกองทัพญี่ปุ่น ถึงปี ค.ศ.1911 เจียง ก็กลับมาจีน และเข้าร่วมกับก๊กมินตั๋ง ได้เป็นทหารติดตามซุนยัดเซ็น แต่พอซุนยัดเซ็นลี้ภัยไปอยู่ญี่ปุ่น เขาก็ไม่ได้ตามไปด้วย เมื่อซุนยัดเซ็น กลับมาฟื้นก๊กมินตั๋ง เจียงก็กลับมาติดตามซุนยัดเซ็นต่อ ระหว่าง นั้นเจียงก็สร้างเครือข่ายอิทธิพลของต้วเองไปด้วย เมื่อซุนยัดเซ็นเสียชีวิต ในปี ค.ศ.1925 เจียงขึ้นมาเป็นหัวหน้าก๊กมินตั๋งแทน และในปี ค.ศ.1926 เขาก็แต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ต่อมาภายหลังโด่งดัง มีอำนาจคับโลก หล่อนคือ เมย์-หลิง ซ่ง May-ling Soong ลูกสาวอีกคนหนึ่งของเศรษฐีใหญ่ ชาลี ซ่ง ที่คุ้นเคยกับซุนยัดเซ็น นั่นเอง เจียงลงทุนเข้ารีต เปลี่ยนไปนับถือคริสเตียนตามเมียไฮโซ ชาลี ซ่ง Charlie Soong เป็นชาวจีนที่โตมากับพวกมิชชันนารีในจีนที่ไหหลำ ทางใต้ของจีน พวกมิชชั่นนารีส่งเขาไปเรียนหนังสือที่อเมริกา หลังจากนั้น ชาลี ก็เข้ารีตเป็นคริสเตียน และเปลี่ยนชื่อเป็นฝรั่ง เมื่อชาลีเรียนมหาวิทยาลัยจบ ก็กลับมาจีน และปักหลักทำธุรกิจอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ แดนฝรั่งในจีน เขาเรื่มธุรกิจด้วยการพิมพ์คัมภีร์ไบเบิลขาย จนมีฐานะ และต่อมาก็ถือว่า เป็นเศรษฐีคนหนึ่ง เขามีลูกสาว 3 คน ลูกชาย 3 คน ลูกชายลูกสาว ทุกคนถูกส่งไปเรียนหนังสือที่อเมริกา ตั้งแต่อายุสิบกว่าขวบ ทุกคนจบมหาวิทยาลัยชั้นดีในอเมริกา ใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารได้ดีกว่าภาษาจีน ลูกสาวคนหนึ่ง ชิง-หลิง ไปช่วยทำงานให้ซุนยัดเซ็น ในที่สุดก็รักกัน และไปอยู่กินกับซุนยัดเซ็น เมื่อซุนยัดเซ็นลี้ภัยไปอยู่ญี่ปุ่น ชิง-หลิง ก็ตามไปด้วย ซึ่งทำให้ชาลีไม่พอใจอย่างยิ่ง ถึงขนาดตัดขาดกับทั้ง 2 คน แต่เมื่อได้ลูกเขยชื่อเจียงไคเช็ค ชาลี ซ่ง กลับปลาบปลื้ม และทำธุรกิจร่วมกัน ไม่ใช่เฉพาะที่เซี่ยงไฮ้ แต่ขยายไปทั่ว เมื่อเจียงไคเช็คพาพรรคพวกหนีพรรคคอมมิวนิสต์ ไปอยู่ไต้หวัน และตั้งตัวเป็นประธานาธิบดี ลูกชายของ ชาลีคนหนึ่ง ชื่อ เซ-เวน Tse-ven แต่เจ้าตัวและพวกฝรั่งเรียกว่า T V ทีวี ก็ไปทำหน้าที่เป็นรัฐมนตรีคลังให้แก่น้องเขย และเป็นอยู่หลายสมัย เลยยิ่งรวยกันใหญ่ จริงๆ T V ทำหน้าที่เป็นเลขาส่วนตัวให้แก่ซุนยัดเซ็นมาก่อน ตั้งแต่สมัยที่ซุนยัดเซ็นปักหลักเริ่มวางแผนอยู่แถวเซี่ยงไฮ้ ในปี ค.ศ.1917 นาย ทีวี นี่จบจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาด และนิยมทุกอย่างที่เกี่ยวกับอเมริกา เมื่อย้ายมาทำงานให้เขยอีกคนคือ เจียง นอกจากได้เป็นรัฐมนตรีคลังแล้ว นายทีวี ยังเป็นผู้ว่าการธนาคารกลางไต้หวัน และเป็นผู้ก่อตั้งสภาเศรษฐกิจแห่งชาติของไต้หวัน เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 นายทีวี ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานระหว่างไต้หวันกับอเมริกาโดยเป็นผู้ติดต่อโดยตรงกับประธานาธิบดี Roosevelt ของอเมริกา รูปแบบคุ้นๆ จัง ตัวแปรสำคัญที่ทำให้เส้นทางเดินของ เจียงไคเช็ค เปลี่ยนจุดหมาย เลี้ยวออกจากที่เคยเดินไปทางเดียวกับซุนยัดเซ็น น่าจะเป็น ตระกูลซ่ง ตั้งแต่ ตัวพ่อ ลูกสาว และลูกชาย จากประวัติของ ชาลี ซ่ง ที่เป็นเด็กเลี้ยงของมิชชั่นนารีคริสเตียน และภายหลัง เห็นชัดว่าเป็นเด็กสร้างของอเมริกา อเมริกาจึงน่าจะเป็นผู้จัดการให้ ชาลี ซ่ง และครอบครัว มาทำหน้าที่ ทำงานคัดท้าย จนถึงครอบงำผู้ที่จะมาทำการปกครองจีน หลังจากราชวงศ์ชิงล่ม ตามแผนครอบครองจีนของอเมริกา และเพื่อให้เป็นไปตามแผน ที่ผลสรุป ของตัวแสดงยังออกมาไม่ชัด อเมริกาจึงต้องซื้อไพ่ชื่อ ซุนยัดเซน และเจียงไคเช็ค ทั้ง 2ใบ และให้มีการประกบใกล้ชิด ทั้ง 2 ใบ มันเป็นงานใหญ่ ที่ต้องใช้กันทั้งครอบครัว และอาจจะทั้งตระกูล และใช้เวลาหลายชั่วชีวิตคน อย่างที่เราจะนึกไม่ถึง นี่คือต้นแบบของหนอนใน ที่ฝรั่งใช้เอามาฝังไว้ในประเทศต่างๆ แม้ในแดนสยามก็ยังมี และยังใช้อยู่ มันเป็นการมองการณ์ไกลของผู้สร้าง ชาลี ซ่ง และครอบครัว บวกความทะเยอทะยานของครอบครัว ชาลี ซ่ง ผสมกัน ตบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอก ยอมเป็นขี้ข้าให้ฝรั่งใช้ในประเทศตนเอง นี่มันต้องใช้หลายอย่าง แต่ที่ไม่ใช้คือ ความรัก ความกตัญญูต่อแผ่นดินเกิดของตนเอง และความมีศักดิ์ศรีในชนชาติของตน ส่วนเรื่องของซุนยัดเซ็น น่าเชื่อว่า ซุนยัดเซ็นมีอุดมการณ์จริงตั้งแต่เริ่มแรก ที่ต้องการไล่ราชวงศ์ชิงที่เหลวเละและยอมฝรั่ง และไล่พวกฝรั่งให้พ้นไปจากจีน และอังกฤษเอง ก็น่าจะรู้เป้าหมายของซุนยัดเซ็นอยู่แล้ว แต่อังกฤษคงปล่อยให้ซุนยัดเซ็นเล่นไประดับหนึ่ง เพื่อไล่ราชวงศ์ชิง เพราะ ถ้าราชวงศ์ชิงร่วงไป ก็เป็นประโยชน์กับอังกฤษเช่นกัน ส่วนการปล่อยให้ ซุนยัดเซ็น มาอยู่ญี่ปุ่น ที่อังกฤษ รวมทั้งอเมริกา เอาตาข่ายคลุมไว้หมดแล้ว เพื่อให้เส้นสายของตน ทั้งตามดูและควบคุม ก็เป็นเรื่องเข้าใจได้ แต่เมื่อมีการปฏิวัติสำเร็จ และซุนยัดเซ็นได้รับการสนับสนุนจากประชาชนให้เป็นประธานาธิบดี และตั้งสาธารณรัฐ ฝ่ายอังกฤษจึงเห็นว่า ผิดท่า ชาวจีนสนับสนุนมากไป และน่าจะมีอเมริกามาเกี่ยวข้อง การที่อังกฤษจะไปคาบจีนกลับมา จึงอาจจะไม่ง่ายอย่างที่คิด มันก็เป็นแนวคิดเดียวกันกับการใช้ญี่ปุ่นรวนจีน แต่ไม่ได้ยกจีนให้ญี่ปุ่น อังกฤษปล่อย หรือ อาจจะสนับสนุนทางอ้อม ให้ซุนยัดเซ็นไล่ราชวงศ์ชิง แต่ไม่ได้หมายความว่ายกจีนให้ ซุนยัดเซ็น นี่คือสันดานที่แท้จริงของอังกฤษ “แค่ใช้ ไม่ใช่ ยกให้” ยวนชีไข่ จึงได้ใบสั่งให้มาเข้าฉากชั่วคราว เพราะอังกฤษยังไม่ว่างมาจัดการเอง เพราะช่วงนั้นกำลังวุ่นอยู่กับการแบ่งเค้กตะวันออกกลาง ที่ได้มาจากการทำสงครามโลก ครั้งที่ 1 ขณะเดียวกัน ซุนยัดเซ็นจะเป็นเด็กสร้าง หรือรับใบสั่งของอเมริกา หรือไม่ ก็น่าคิด แต่ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น อเมริกาน่าจะเกาะติด และประกบซุนยัดเซ็น ไม่ต่างกับอังกฤษ หรือยิ่งกว่า อเมริกามีแต่ได้ ไม่มีเสีย ถ้าซุนยัดเซ็นโค่นราชวงศ์ชิงไปได้ ไล่อังกฤษออกจากจีน มันเป็นการเปิดทางเข้าให้อเมริกาทั้งนั้น ชาลี ซ่ง และครอบครัว จึงถูกส่งมาประกบ ไม่ให้ซุนยัดเซ็นหลุดเส้นทาง และหลุดมือ แต่การที่ ซุนยัดเซ็น เอง ที่เดินหมากเหมือนไม่ตามแผน เช่น การไปตกปากสัญญาจะยกสัมปทานในจีน ให้คนจีนโพ้นทะเล เป็นการชักจูงให้กลับมาอยู่ในประเทศ มาช่วยกันสร้างประเทศดีกว่าให้ฝรั่งมาเอาไป น่าจะบอกความในใจของซุนยัดเซ็นได้พอสมควร ดูๆไป ก็เหมือน ซุนยัดเซ็น เล่นละครหลอกฝรั่ง ทั้งอังกฤษ อเมริกา และอาจจะญี่ปุ่นด้วย เขาแสดงตัวว่า คบทั้ง อเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น เยอรมัน ทั้งคนดี คนชั่ว แต่ที่สำคัญ การมาคบกับโซเวียต นี่น่าจะเป็นเหตุใหญ่ ให้อเมริกา ที่เล่นไพ่ไว้ทั้ง 2 ใบ จึงทิ้งไพ่ เหลือเพียงใบเดียว หันมาสนับสนุน เจียงไคเช็ค ที่ชัดเจนว่าอยู่ในมืออเมริกา อย่างเต็มที่ มันเป็นรูปแบบที่อเมริกา ถนัดเล่น เล่นอย่างนี้ ทุกที่ ทุกสมัย   สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 24 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 698 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 9

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 9
    นักประวัติศาสตร์บอก ญี่ปุ่นเปลี่ยนนิสัยจากการชอบอยู่สันโดษ เป็นการชอบออกล่าเหยื่อ ตั้งแต่อเมริกาเอาเรือรบมาขู่เอา ไมตรี ในปี ค.ศ.1856 และทำให้ญี่ปุ่น เริ่มขบวนการปฏิรูปประเทศ Meiji Restoration นักประวัติศาสตร์บอก เรื่องนี้ก็ไม่แปลกอะไร ในเมื่อช่วงนั้น ใครที่แข็งแรง ก็อยากเป็นนักล่ากันทั้งนั้น แต่นิสัยก้าวร้าวที่เริ่มมีให้เห็นตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ.1931 และกลายมาเป็นรุกรานอย่างโหดเหี้ยมเมื่อปี ค.ศ.1937 นี่ล่ะ มันมาจากไหนกันแน่
    เมื่อญี่ปุ่นเริ่มปฏิรูปประเทศ บรรดามือที่ปั้นญี่ปุ่นขึ้นมาใหม่ แม้จะเห็นพ้องว่า ญี่ปุ่นต้องพัฒนาประเทศให้ก้าวทันตะวันตก เพื่อไม่ให้ตกเป็นเบี้ยล่างตะวันตกอีกนั้น แต่ก็มีรายละเอียดบางอย่างต่างกัน และในที่สุดก็แบ่งความเห็นเป็น 2 ฝ่ายชัดเจน
    ฝ่ายหนึ่งบอก เราต้องเป็นญี่ปุ่นแบบ ” rich country, prosperous people” ประเทศมั่งคั่ง ประชาชนร่ำรวย
    อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่า ไม่ใช่ เราต้องเป็นญี่ปุ่น แบบ ” rich country, strong army” ประเทศมั่งคั่ง กองทัพแข็งแกร่ง”
    ทั้ง 2 ฝ่าย ต่างโต้แย้ง คัดค้าน และชิงอำนาจการปกครองประเทศกันมาตลอด ในช่วงแรก ฝ่ายแรกดูเหมือนจะมีคะแนนนำ และดูเหมือนเป็นช่วงที่ ญี่ปุ่นมีพี่เลี้ยง หรือมือที่ชักใยชื่อ อังกฤษ เกือบทุกเส้นรุ้งเส้นแวงในญี่ปุ่น เห็นอังกฤษ เป็นยิ่งกว่าเทพเจ้า ไม่เวันแม้แต่ในวังจักรพรรดิ ที่รัศมีของนักล่าจากเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ก็แผดแสงแรงนัก ในสายตาของญี่ปุ่น อังกฤษเป็นผมทองตาน้ำข้าว ที่ไม่ว่าจะกระดิกอะไร มันแสดงถึงความเป็นศิวิไลย์ของมนุษยชาติไปเสียทุกเรื่อง ญี่ปุ่นที่กำลังอยากเท่าเทียมตะวันตก ก็มีแต่จะตามลอกเลียนแบบ ด้วยความเคารพเท่านั้นเอง
    เมื่อโชกุนแห่งโตกุกาวา Tokugawa คนสุดท้าย (ถูกซามูไรพาดคอให้) ลาออกจากตำแหน่ง ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1867 บรรดานายพล และกองทัพ ของโชกุนก็สิ้นสภาพ แล้ววันที่ 2 มกราคม ค.ศ.1868 กองทัพจาก 5 แคว้นของญี่ปุ่น สะสุมะ Satsuma, โตซะ Tosa, ฮิโรชิมา Hiroshima, อิชิเซ็น Echizen และ โอวาริ Owari ที่นำโดยกลุ่มบุคคล ที่ต้องการปฏิรูปญี่ปุ่น ก็เข้ามาล้อมวังของจักรพรรดิ และให้แต่พวกที่ต่อต้านโชกุน แต่สนับสนุนจักรพรรดิ ผ่านเข้าไปในวังได้เท่านั้น และพวกเขาก็เริ่มศักราชแห่งการปฏิรูป Meiji Restoration โดยการตั้งหนุ่มน้อยอายุเพียง 14 ปี ขึ้นเป็นจักรพรรดิมัตสุฮิโต Matsuhito
    2 เดือนต่อมา เซอร์ Harry Parke ที่อังกฤษส่งมาเป็นตัวแทน นั่งเรือด่วนใช้เวลาเดินทางมา 2 เดือน เพื่อมาเข้าเฝ้าจักรพรรดิใหม่เอี่ยม ที่เพิ่งแกะออกจากกล่อง อังกฤษนับเป็นชาวต่างชาติประเทศแรก ที่สายตายาวไกล ลงทุนลงแรง เดินทางมาเข้าเฝ้าจักรพรรดิคนใหม่ หลังจากนั้นฝรั่งเศสและดัชท์ก็ตามมาติดๆ ก่อนที่จะเสียเปรียบอังกฤษมากเกินไป
    หนึ่งปีต่อมาในปี ค.ศ.1869 อังกฤษ ก็ส่งเจ้าชาย Alfred, Duke of Edinburgh ในฐานะเป็นกัปตันเรือรบหลวงของ อังกฤษ Galatea มาเยี่ยมญี่ปุ่นอีก และในปี ค.ศ.1881 อังกฤษก็ส่งเจ้าชาย มาอีกชุด คราวนี่เจ้าชาย Albert Victor และ George มาพักที่วังของจักรพรรดิเองเลย อังกฤษเล่นโอ๋ญี่ปุ่นถึงขนาดนี้ จะไม่ให้ญี่ปุ่นอ่อนเปียกอยู่ในมืออังกฤษได้อย่างไร ให้ทำอะไร ก็ต้องพร้อม
    อังกฤษไม่ได้มองเห็นหมากตัวสำคัญชื่อญี่ปุ่นแต่เพียงรายเดียวเท่านั้น รัสเซียก็มองเห็น และยังเห็นความหวานผิดปรกติของอังกฤษต่อญี่ปุ่น ในปี ค.ศ.1891 มงกุฏราชกุมารรัสเซีย เจ้าชายนิโคลัส เลยต้องแวะมาเยี่ยมญี่ปุ่นเหมือนกัน เป็นประเทศสุดท้าย ของการท่องเอเซียของเจ้าชายครั้งนั้น ระหว่างเจ้าชายนั่งรถลากชมเมืองเกียวโต มีตำรวจญี่ปุ่นชักดาบขึ้นมาคารวะเจ้าชาย หลังจากนั้นก็เอาจ้วงแทง เฉียดคอมงกุฏราชกุมารรัสเซียอย่างฉิวเฉียด สงครามญี่ปุ่นกับรัสเซีย เกือบจะเริ่มเร็วกว่าที่วางแผนไว้ หลังจากนั้น เจ้าชายนิโคลัสก็เชิญจักรพรรดิมัตสุฮิโตไปเสวยกลางวันด้วยกัน บนเรือรบของรัสเซีย ท่ามกลางเสียงคัดค้านรอบตัว ญี่ปุ่นไม่มีทางเลือก ต้องไป แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น รายการวัดใจรุ่นใหญ่ เล่นกันได้สมกับตำแหน่ง
    แต่ดูเหมือนรัสเซียจะไม่ได้ใจญี่ปุ่น อย่างที่อังกฤษได้ น้ำตาลรัสเซียถ้าจะหวานไม่พอ
    หลังจากนั้น ก็มีข่าวว่า รัสเซียตัดสินใจจะสร้างทางรถไฟ สายทรานส์ไซบีเรีย ญี่ปุ่นกลัวว่ารัสเซียกำลังมุ่งลงใต้มาเอาแหล่งน้ำจืดที่แมนจูเรียและเกาหลี ส่วนอังกฤษก็มองว่ารัสเซียกำลังขยายอำนาจลงมาทางใต้ ผ่านเกาหลี เพื่อจะมาแซะจีน แบบนี้ ทั้งอังกฤษและญี่ปุ่นจะปล่อยให้ทางรถไฟของรัสเซียเกิดขึ้นไม่ได้ ญี่ปุ่นจะต้องยึดเกาหลีมาให้ได้เสียก่อน แล้วญี่ปุ่นก็บุกเกาหลีในปี ค.ศ.1895
    ผลการยึดเกาหลี ได้ทำให้พวกฝรั่งต่างมองญี่ปุ่นด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป รัสเซีย เยอรมัน และฝรั่งเศส พากันประท้วงให้ญี่ปุ่นคืนแมนจูเรีย ญี่ปุ่นยังไม่แน่ใจในแรงหมัดของตัว เลยตกลงปล่อยมือ ที่คว้าแมนจูเรียออกไปก่อน
    เรื่องนี้ ทำให้อังกฤษหงุดหงิด เสียแผนที่วางไว้ จึงจับญี่ปุ่นมาทำสัญญาในปี ค.ศ.1902
    ทั้งเรื่องการรบชนะเกาหลี ตีจีนกระเจิง และทำให้อังกฤษมาทำสัญญากับญี่ปุ่น ทำให้ฝ่ายที่ต้องการสร้างกองทัพให้เข้มแข็ง เริ่มมีคะแนนแซงหน้า ฝ่ายที่ไม่เอากองทัพ และนโยบายของญี่ปุ่นก็ยิ่งเปลี่ยนจากเป็นผู้รักสันโดษไกลออกไปทุกที
    อันที่จริงในญี่ปุ่น ผู้ที่ไม่สนับสนุนให้ญี่ปุนสร้างกองทัพอย่างออกนอกหน้า คือ นายทากาฮาชิ โกเรกิโยะ Takahashi Korekiyo ถ้ายังจำกันได้ จากนิทานเรื่องต้มข้ามศตวรรษ เขานั่นแหละ เป็นคนที่ต้องไปทำหน้าที่หาเงินกู้มาให้ญี่ปุ่นรบรัสเซีย และเป็นคนที่ “บังเอิญ” ไปนั่งข้าง Jacob Shiff คนจัดการหาเงินกู้ ให้ญี่ปุ่นไปรบรัสเซีย โลกก็แสนจะกว้างใหญ่ แต่ทำไม หลายเรื่อง หลายคน มันมาชนกันอย่างไม่น่าเชื่อ
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    20 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 9 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 9 นักประวัติศาสตร์บอก ญี่ปุ่นเปลี่ยนนิสัยจากการชอบอยู่สันโดษ เป็นการชอบออกล่าเหยื่อ ตั้งแต่อเมริกาเอาเรือรบมาขู่เอา ไมตรี ในปี ค.ศ.1856 และทำให้ญี่ปุ่น เริ่มขบวนการปฏิรูปประเทศ Meiji Restoration นักประวัติศาสตร์บอก เรื่องนี้ก็ไม่แปลกอะไร ในเมื่อช่วงนั้น ใครที่แข็งแรง ก็อยากเป็นนักล่ากันทั้งนั้น แต่นิสัยก้าวร้าวที่เริ่มมีให้เห็นตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ.1931 และกลายมาเป็นรุกรานอย่างโหดเหี้ยมเมื่อปี ค.ศ.1937 นี่ล่ะ มันมาจากไหนกันแน่ เมื่อญี่ปุ่นเริ่มปฏิรูปประเทศ บรรดามือที่ปั้นญี่ปุ่นขึ้นมาใหม่ แม้จะเห็นพ้องว่า ญี่ปุ่นต้องพัฒนาประเทศให้ก้าวทันตะวันตก เพื่อไม่ให้ตกเป็นเบี้ยล่างตะวันตกอีกนั้น แต่ก็มีรายละเอียดบางอย่างต่างกัน และในที่สุดก็แบ่งความเห็นเป็น 2 ฝ่ายชัดเจน ฝ่ายหนึ่งบอก เราต้องเป็นญี่ปุ่นแบบ ” rich country, prosperous people” ประเทศมั่งคั่ง ประชาชนร่ำรวย อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่า ไม่ใช่ เราต้องเป็นญี่ปุ่น แบบ ” rich country, strong army” ประเทศมั่งคั่ง กองทัพแข็งแกร่ง” ทั้ง 2 ฝ่าย ต่างโต้แย้ง คัดค้าน และชิงอำนาจการปกครองประเทศกันมาตลอด ในช่วงแรก ฝ่ายแรกดูเหมือนจะมีคะแนนนำ และดูเหมือนเป็นช่วงที่ ญี่ปุ่นมีพี่เลี้ยง หรือมือที่ชักใยชื่อ อังกฤษ เกือบทุกเส้นรุ้งเส้นแวงในญี่ปุ่น เห็นอังกฤษ เป็นยิ่งกว่าเทพเจ้า ไม่เวันแม้แต่ในวังจักรพรรดิ ที่รัศมีของนักล่าจากเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ ก็แผดแสงแรงนัก ในสายตาของญี่ปุ่น อังกฤษเป็นผมทองตาน้ำข้าว ที่ไม่ว่าจะกระดิกอะไร มันแสดงถึงความเป็นศิวิไลย์ของมนุษยชาติไปเสียทุกเรื่อง ญี่ปุ่นที่กำลังอยากเท่าเทียมตะวันตก ก็มีแต่จะตามลอกเลียนแบบ ด้วยความเคารพเท่านั้นเอง เมื่อโชกุนแห่งโตกุกาวา Tokugawa คนสุดท้าย (ถูกซามูไรพาดคอให้) ลาออกจากตำแหน่ง ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1867 บรรดานายพล และกองทัพ ของโชกุนก็สิ้นสภาพ แล้ววันที่ 2 มกราคม ค.ศ.1868 กองทัพจาก 5 แคว้นของญี่ปุ่น สะสุมะ Satsuma, โตซะ Tosa, ฮิโรชิมา Hiroshima, อิชิเซ็น Echizen และ โอวาริ Owari ที่นำโดยกลุ่มบุคคล ที่ต้องการปฏิรูปญี่ปุ่น ก็เข้ามาล้อมวังของจักรพรรดิ และให้แต่พวกที่ต่อต้านโชกุน แต่สนับสนุนจักรพรรดิ ผ่านเข้าไปในวังได้เท่านั้น และพวกเขาก็เริ่มศักราชแห่งการปฏิรูป Meiji Restoration โดยการตั้งหนุ่มน้อยอายุเพียง 14 ปี ขึ้นเป็นจักรพรรดิมัตสุฮิโต Matsuhito 2 เดือนต่อมา เซอร์ Harry Parke ที่อังกฤษส่งมาเป็นตัวแทน นั่งเรือด่วนใช้เวลาเดินทางมา 2 เดือน เพื่อมาเข้าเฝ้าจักรพรรดิใหม่เอี่ยม ที่เพิ่งแกะออกจากกล่อง อังกฤษนับเป็นชาวต่างชาติประเทศแรก ที่สายตายาวไกล ลงทุนลงแรง เดินทางมาเข้าเฝ้าจักรพรรดิคนใหม่ หลังจากนั้นฝรั่งเศสและดัชท์ก็ตามมาติดๆ ก่อนที่จะเสียเปรียบอังกฤษมากเกินไป หนึ่งปีต่อมาในปี ค.ศ.1869 อังกฤษ ก็ส่งเจ้าชาย Alfred, Duke of Edinburgh ในฐานะเป็นกัปตันเรือรบหลวงของ อังกฤษ Galatea มาเยี่ยมญี่ปุ่นอีก และในปี ค.ศ.1881 อังกฤษก็ส่งเจ้าชาย มาอีกชุด คราวนี่เจ้าชาย Albert Victor และ George มาพักที่วังของจักรพรรดิเองเลย อังกฤษเล่นโอ๋ญี่ปุ่นถึงขนาดนี้ จะไม่ให้ญี่ปุ่นอ่อนเปียกอยู่ในมืออังกฤษได้อย่างไร ให้ทำอะไร ก็ต้องพร้อม อังกฤษไม่ได้มองเห็นหมากตัวสำคัญชื่อญี่ปุ่นแต่เพียงรายเดียวเท่านั้น รัสเซียก็มองเห็น และยังเห็นความหวานผิดปรกติของอังกฤษต่อญี่ปุ่น ในปี ค.ศ.1891 มงกุฏราชกุมารรัสเซีย เจ้าชายนิโคลัส เลยต้องแวะมาเยี่ยมญี่ปุ่นเหมือนกัน เป็นประเทศสุดท้าย ของการท่องเอเซียของเจ้าชายครั้งนั้น ระหว่างเจ้าชายนั่งรถลากชมเมืองเกียวโต มีตำรวจญี่ปุ่นชักดาบขึ้นมาคารวะเจ้าชาย หลังจากนั้นก็เอาจ้วงแทง เฉียดคอมงกุฏราชกุมารรัสเซียอย่างฉิวเฉียด สงครามญี่ปุ่นกับรัสเซีย เกือบจะเริ่มเร็วกว่าที่วางแผนไว้ หลังจากนั้น เจ้าชายนิโคลัสก็เชิญจักรพรรดิมัตสุฮิโตไปเสวยกลางวันด้วยกัน บนเรือรบของรัสเซีย ท่ามกลางเสียงคัดค้านรอบตัว ญี่ปุ่นไม่มีทางเลือก ต้องไป แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น รายการวัดใจรุ่นใหญ่ เล่นกันได้สมกับตำแหน่ง แต่ดูเหมือนรัสเซียจะไม่ได้ใจญี่ปุ่น อย่างที่อังกฤษได้ น้ำตาลรัสเซียถ้าจะหวานไม่พอ หลังจากนั้น ก็มีข่าวว่า รัสเซียตัดสินใจจะสร้างทางรถไฟ สายทรานส์ไซบีเรีย ญี่ปุ่นกลัวว่ารัสเซียกำลังมุ่งลงใต้มาเอาแหล่งน้ำจืดที่แมนจูเรียและเกาหลี ส่วนอังกฤษก็มองว่ารัสเซียกำลังขยายอำนาจลงมาทางใต้ ผ่านเกาหลี เพื่อจะมาแซะจีน แบบนี้ ทั้งอังกฤษและญี่ปุ่นจะปล่อยให้ทางรถไฟของรัสเซียเกิดขึ้นไม่ได้ ญี่ปุ่นจะต้องยึดเกาหลีมาให้ได้เสียก่อน แล้วญี่ปุ่นก็บุกเกาหลีในปี ค.ศ.1895 ผลการยึดเกาหลี ได้ทำให้พวกฝรั่งต่างมองญี่ปุ่นด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป รัสเซีย เยอรมัน และฝรั่งเศส พากันประท้วงให้ญี่ปุ่นคืนแมนจูเรีย ญี่ปุ่นยังไม่แน่ใจในแรงหมัดของตัว เลยตกลงปล่อยมือ ที่คว้าแมนจูเรียออกไปก่อน เรื่องนี้ ทำให้อังกฤษหงุดหงิด เสียแผนที่วางไว้ จึงจับญี่ปุ่นมาทำสัญญาในปี ค.ศ.1902 ทั้งเรื่องการรบชนะเกาหลี ตีจีนกระเจิง และทำให้อังกฤษมาทำสัญญากับญี่ปุ่น ทำให้ฝ่ายที่ต้องการสร้างกองทัพให้เข้มแข็ง เริ่มมีคะแนนแซงหน้า ฝ่ายที่ไม่เอากองทัพ และนโยบายของญี่ปุ่นก็ยิ่งเปลี่ยนจากเป็นผู้รักสันโดษไกลออกไปทุกที อันที่จริงในญี่ปุ่น ผู้ที่ไม่สนับสนุนให้ญี่ปุนสร้างกองทัพอย่างออกนอกหน้า คือ นายทากาฮาชิ โกเรกิโยะ Takahashi Korekiyo ถ้ายังจำกันได้ จากนิทานเรื่องต้มข้ามศตวรรษ เขานั่นแหละ เป็นคนที่ต้องไปทำหน้าที่หาเงินกู้มาให้ญี่ปุ่นรบรัสเซีย และเป็นคนที่ “บังเอิญ” ไปนั่งข้าง Jacob Shiff คนจัดการหาเงินกู้ ให้ญี่ปุ่นไปรบรัสเซีย โลกก็แสนจะกว้างใหญ่ แต่ทำไม หลายเรื่อง หลายคน มันมาชนกันอย่างไม่น่าเชื่อ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 20 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 606 มุมมอง 0 รีวิว
  • สั่งลบข้อมูล 1.2 ล้านราย สแกนม่านตาแลกเหรียญ

    ในช่วงกลางปี 2568 มีประชาชนจำนวนมาก รวมตัวกันที่ร้านจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์รายใหญ่นับร้อยแห่ง เพื่อรอคิวสแกนม่านตา แล้วจะได้รับเหรียญคริปโทเคอเรนซีที่ชื่อว่า เวิลด์คอยน์ เพื่อแลกเป็นเงินสด หรือเพื่อเก็งกำไรและใช้แลกเปลี่ยนระหว่างกัน บางคนบอกว่าสแกนเสร็จแล้วจะได้รับเงินโอนประมาณ 500-1,000 บาท กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องความเสี่ยงด้านข้อมูลส่วนบุคคล เนื่องจากยังไม่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รวมทั้งกรมการปกครองไม่มีนโยบายให้ประชาชนสแกนม่านตา เกรงว่าอาจกลายเป็นการหลอกลวงประชาชน

    ที่สุดแล้ว เมื่อวันที่ 24 พ.ย. สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) มีคำสั่งทางปกครองให้ World ประเทศไทย และบุคคลที่เกี่ยวข้อง ระงับหรืองดสแกนม่านตา เพื่อรับเหรียญคริปโทเคอเรนซีเพิ่มเติมโดยทันที และรายงานผลการดำเนินการแก่ สคส.ภายใน 7 วัน หลังจากตรวจสอบพบว่าใช้วิธีแจกเหรียญคริปโทฯ จูงใจประชาชน เพื่อแลกกับความยินยอมเก็บรวบรวมข้อมูลม่านตา ซึ่งไม่เป็นไปโดยอิสระตามที่กฎหมายกำหนด อีกทั้งผู้ที่เคยสแกนม่านตาไปแล้ว ไม่สามารถสแกนซ้ำได้ จึงเกินขอบเขตวัตถุประสงค์ที่ขอความยินยอมเพื่อยืนยันความเป็นมนุษย์เท่านั้น

    อีกทั้งสั่งให้ลบทำลายข้อมูลม่านตา และข้อมูลส่วนบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องของประชาชน 1.2 ล้านคนทั้งหมด เพื่อป้องกันการโอนย้ายถ่ายเทข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวไปยังต่างประเทศ โดยไม่ถูกกฎหมาย นอกจากนี้ ยังให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และหน่วยงานอื่นๆ ตรวจสอบประเด็นที่น่าสงสัยอื่นๆ เช่น กรณีมีขบวนการจ้างคนมาสแกนม่านตาแลกเหรียญ เพื่อนำไปให้บุคคคอื่นใช้ ซึ่งสำนักงาน ก.ล.ต.และตำรวจไซเบอร์ตรวจพบ และจับกุมผู้รับแลกเหรียญดิจิทัลโดยไม่ได้รับอนุญาตมาแล้วหลายราย และพบว่าประเทศอื่นมีคำสั่งระงับชัดเจน 5 ประเทศ ได้แก่ เยอรมนี สเปน เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และบราซิล

    ด้าน World ประเทศไทย ชี้แจงว่าได้ระงับกระบวนการยืนยันความเป็นมนุษย์จริงในประเทศไทยชั่วคราว แม้ได้ให้ข้อมูลและความร่วมมือกับหน่วยงานกํากับดูแลอย่างเปิดเผย โปร่งใส และตรงไปตรงมาในทุกขั้นตอน ซึ่งยังคงหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในไทยอย่างใกล้ชิด รวมถึงกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ สคส. เพื่อร่วมกันกําหนดแนวทางดําเนินงานที่เหมาะสมและยั่งยืนต่อไป ขณะที่สมาชิกที่เคยสแกนม่านตาไปแล้วบางส่วน ออกมาคัดค้านการสั่งลบข้อมูลแบบเหมาเข่ง อ้างว่ามีเพียง IrisCode และภาพถ่ายใบหน้าเท่านั้น และเกรงว่าจะกระทบกับเวิลด์คอยน์ที่ตนเองมีอยู่

    #Newskit
    สั่งลบข้อมูล 1.2 ล้านราย สแกนม่านตาแลกเหรียญ ในช่วงกลางปี 2568 มีประชาชนจำนวนมาก รวมตัวกันที่ร้านจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์รายใหญ่นับร้อยแห่ง เพื่อรอคิวสแกนม่านตา แล้วจะได้รับเหรียญคริปโทเคอเรนซีที่ชื่อว่า เวิลด์คอยน์ เพื่อแลกเป็นเงินสด หรือเพื่อเก็งกำไรและใช้แลกเปลี่ยนระหว่างกัน บางคนบอกว่าสแกนเสร็จแล้วจะได้รับเงินโอนประมาณ 500-1,000 บาท กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องความเสี่ยงด้านข้อมูลส่วนบุคคล เนื่องจากยังไม่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รวมทั้งกรมการปกครองไม่มีนโยบายให้ประชาชนสแกนม่านตา เกรงว่าอาจกลายเป็นการหลอกลวงประชาชน ที่สุดแล้ว เมื่อวันที่ 24 พ.ย. สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) มีคำสั่งทางปกครองให้ World ประเทศไทย และบุคคลที่เกี่ยวข้อง ระงับหรืองดสแกนม่านตา เพื่อรับเหรียญคริปโทเคอเรนซีเพิ่มเติมโดยทันที และรายงานผลการดำเนินการแก่ สคส.ภายใน 7 วัน หลังจากตรวจสอบพบว่าใช้วิธีแจกเหรียญคริปโทฯ จูงใจประชาชน เพื่อแลกกับความยินยอมเก็บรวบรวมข้อมูลม่านตา ซึ่งไม่เป็นไปโดยอิสระตามที่กฎหมายกำหนด อีกทั้งผู้ที่เคยสแกนม่านตาไปแล้ว ไม่สามารถสแกนซ้ำได้ จึงเกินขอบเขตวัตถุประสงค์ที่ขอความยินยอมเพื่อยืนยันความเป็นมนุษย์เท่านั้น อีกทั้งสั่งให้ลบทำลายข้อมูลม่านตา และข้อมูลส่วนบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องของประชาชน 1.2 ล้านคนทั้งหมด เพื่อป้องกันการโอนย้ายถ่ายเทข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวไปยังต่างประเทศ โดยไม่ถูกกฎหมาย นอกจากนี้ ยังให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และหน่วยงานอื่นๆ ตรวจสอบประเด็นที่น่าสงสัยอื่นๆ เช่น กรณีมีขบวนการจ้างคนมาสแกนม่านตาแลกเหรียญ เพื่อนำไปให้บุคคคอื่นใช้ ซึ่งสำนักงาน ก.ล.ต.และตำรวจไซเบอร์ตรวจพบ และจับกุมผู้รับแลกเหรียญดิจิทัลโดยไม่ได้รับอนุญาตมาแล้วหลายราย และพบว่าประเทศอื่นมีคำสั่งระงับชัดเจน 5 ประเทศ ได้แก่ เยอรมนี สเปน เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และบราซิล ด้าน World ประเทศไทย ชี้แจงว่าได้ระงับกระบวนการยืนยันความเป็นมนุษย์จริงในประเทศไทยชั่วคราว แม้ได้ให้ข้อมูลและความร่วมมือกับหน่วยงานกํากับดูแลอย่างเปิดเผย โปร่งใส และตรงไปตรงมาในทุกขั้นตอน ซึ่งยังคงหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในไทยอย่างใกล้ชิด รวมถึงกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ สคส. เพื่อร่วมกันกําหนดแนวทางดําเนินงานที่เหมาะสมและยั่งยืนต่อไป ขณะที่สมาชิกที่เคยสแกนม่านตาไปแล้วบางส่วน ออกมาคัดค้านการสั่งลบข้อมูลแบบเหมาเข่ง อ้างว่ามีเพียง IrisCode และภาพถ่ายใบหน้าเท่านั้น และเกรงว่าจะกระทบกับเวิลด์คอยน์ที่ตนเองมีอยู่ #Newskit
    Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 732 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 2

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 2
    จะเท่าเทียมชาติตะวันตกในสมัยศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นยุคล่าอาณานิคมของยุโรป หมายความว่าญี่ปุ่นก็ต้องฝึกหัด เป็นนักล่ากับเขาด้วย จะนั่งตกปลา แต่งสวน มองก้อนหิน อย่างเดิมๆ มันจะไปล่าอะไรได้ แล้วจะไปเริ่มล่าใครดีล่ะ ก็ต้องเริ่มทดสอบกับพวกอยู่ใกล้ๆตัว แล้ว เกาหลี ที่อยู่คนละฟากฝั่งทะเล ก็เป็นเป้าหมายแรก สำหรับนักล่าหน้าใหม่ จากรักสันโดษ เปลี่ยนไปสร้างสันดานใหม่
    ปี ค.ศ.1876 เกาหลี ยังทำตัวตามสบาย ไม่คิดฝันว่าจะไปผ่าตัดเปลี่ยนหน้าใคร จะคิดปฏิรูปประเทศตามก้นตะวันตกแบบญี่ปุ่น ยิ่งนึกไม่ออกใหญ่ และก็ (ยัง) ไม่เป็นเป้าหมายที่ตะวันตกสาระพัดชาติเล็งจนน้ำลายหก แบบที่ทำกับจีน แต่ที่สำคัญ เกาหลี อุดมไปด้วยเหล็ก และถ่านหิน ญี่ปุ่นคิดว่า ถ้าจะเปลี่ยนประเทศจากกสิกรรม เป็นอุตสาหกรรม มันก็ต้องหาทรัพยากรพวกนี้ไว้ เพราะญี่ปุ่นเอง มีแต่ปลากับสาหร่าย พวกแร่เหล็ก ถ่านหินหาไม่ค่อยเจอ คิดแล้ว เป้าซ้อมการล่า ชื่อเกาหลี นี่น่าจะเหมาะเจาะกว่าเพื่อน
    ปัญหาอยู่ที่ว่า เกาหลี เป็นเมืองที่ต้องส่งเครื่องบรรณาการ หรือ ส่งส่วยให้กับจีนทุกปี กษัตริย์เกาหลี ต้องแต่งตัวเต็มยศ ไปโค้งคำนับคารวะฮ่องเต้จีน ญี่ปุ่นรู้เรื่องนี้ดี แต่ก็เดินหน้า ไม่ลองไม่รู้ ฉวยโอกาสตอนจีนกำลังมึน จากการถูกกลุ่มนักล่าตะวันตก รุมสกรัม นั่นแหละเหมาะที่สุด แล้วญี่ปุ่นก็ยกกองทัพไปบุกเกาหลี แล้วก็บังคับให้เกาหลีทำข้อตกลง ยกเลิกอำนาจจีน ที่มีเหนือเกาหลี เกาหลี ตกใจ เลย ตกลง นับว่า นักล่าหน้าใหม่สอบผ่าน เรียนได้เร็ว สงสัยมีครูดี
    ปี ค.ศ.1894 เกาหลีเกิดตะลุมบอนกันเอง จีนยังมองเกาหลี เป็นเด็กในปกครอง จึงส่งกองกำลังมาห้ามมวย ส่วนญี่ปุ่น นักล่าหน้าใหม่ เห็นเกาหลีเหยื่อหมาดๆ มีเรื่องวุ่นวาย ก็ต้องโชว์มาดลูกพี่ ส่งกองกำลังไปเกาหลีด้วยเหมือนกัน เลยจ้ะเอ๋กับกองกำลังของจีน ก็เป็นเรื่องธรรมดา ที่กองกำลังของทั้ง 2 ฝ่าย จะต้องแสดงความเก่งกล้า ให้ปรากฏแก่สายตาของชาวเกาหลี ก็เลยเป็นสาเหตุของสงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 1 ในปี ค.ศ.1894-1895
    ผลการรบปรากฏว่า จีน แพ้ ญี่ปุ่น อย่างหมดรูป จีนถอยทัพหงอยๆ ออกไปจากเกาหลี แต่ญี่ปุ่นไม่ถอยกลับ ยิ่งฮึกเหิมกว่าเดิม ล่าครั้งแรกก็ได้ผลแล้ว แถม นายเก่าของเหยื่อ ยังมาแพ้ต่อหน้าลูกกระเป๋งแบบไม่ เหลือรัศมี ญี่ปุ่นเลยจับมือเกาหลี ทำสัญญาใหม่ คราวนี้เอาให้ชัดๆ เกาหลี เจ้าตกเป็นเมืองขึ้นของเรา ญี่ปุ่น แล้วนะ ส่วย บรรณาการอะไร ที่เคยส่งให้แก่จีน ก็จงเลิกส่งเสีย และส่งมาให้เราแทน นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยัง ยึดหมู่เกาะต่างๆ ที่เป็นของจีน ติดไม้ติดมือไปด้วย เกาะสำคัญที่ติดมือมาก็คือ เกาะไต้หวัน นั่นแหละ
    แค่นั้น ยังไม่หน่ำใจ ญี่ปุ่นไปยึดเอาแหลมเลี่ยวตง Liaodong Penninsula ที่บรรดาชาติตะวันตก ต่างก็เล็งจะฮุบมาจากจีน แต่จีนดันเอาแหลมเลี่ยวตง ให้รัสเซียเช่าไปนานแล้ว คราวนี้ก็สนุกซิครับ ญี่ปุ่นยิ่งเบ่งพองขึ้นไปใหญ่ เกาหลีและจีน ได้เห็นอานุภาพกองทัพของญี่ปุ่นรุ่นใหม่แล้ว คราวนี้ อิทธิพลของรัสเซียในเกาหลี และที่แมนจูเรีย กำลังจะถูกท้าทายเป็นลำดับต่อไป สันดานใหม่นี่มันโตไวจัง
    แล้วรัสเซียก็ถูกญี่ปุ่นท้าทายจริงๆ รัสเซียเป็นฝ่ายแพ้อย่างหมดท่า อีกราย ในการรบกับญี่ปุ่น Russo-Japan War ในปี ค.ศ.1904-1905 ทำให้ญี่ปุ่นขึ้นชั้น เป็นชาติมหาอำนาจทันที ญี่ปุ่นยึดแหลมเลี่ยวตง หรือแคว้นกวางตุ้ง นั่นแหละ ที่รัสเซียเช่ามาจากจีน แถมยึดลามไปเอาสมบัตืของแมนจูเรีย คือทางรถไฟ สายแมนจูเรียอีกด้วย อืม..เรื่องทางรถไฟมาอีกแล้ว จำไว้นะครับ สมัยก่อน ทางรถไฟคือเส้นเลือดใหญ่ของประเทศ
    ลำพังญี่ปุ่นเอง เป็นนักล่าหน้าใหม่ ไม่น่าจะขวัญกล้าสามารถ เดินหน้าไปท้ารบรัสเซีย ที่รุ่นใหญ่กว่าแยะนัก และรบชนะเสียด้วย ถ้ายังจำกันได้ (สำหรับท่าน ที่อ่านนิทานเรื่อง ต้มข้ามศตวรรษมาแล้ว) ญี่ปุ่น มีคนชักใย และช่วยหาทุนก้อนมหึมาให้ไปรบรัสเซีย เรื่องนี้ ลืมไม่ได้ เดี๋ยวจะเข้าใจญี่ปุ่นไขว้เข้ว เหมือนที่ญี่ปุ่นเอง อาจจะกำลังเขว้อยู่
    หลังสงครามญี่ปุ่นรัสเซียจบลง ญี่ปุ่น ประกาศผนวกเกาหลี เป็นของตัวในปี ค.ศ.1910 ญี่ปุ่นชักเชื่อว่า แนวทางปฏิรูปประเทศ ที่เอาอย่างตะวันตก ขยายกองทัพเพื่อไปล่าเหยื่อ นี่ มันถูกทาง และมันอร่อยถูกปากจริงๆ
    สงครามโลกครั้งที่ 1 ญี่ปุ่นไปเข้าร่วมสงครามกับเขาด้วย โดยอยู่ฝ่ายพวกอังกฤษ Allied Powers ไม่ได้ไปรบอะไรกับเขาในยุโรปหรอก แค่ เตรียมไล่ เก็บเล็กเก็บน้อย พวกอาณานิคมของเยอรมัน ที่อยู่แถวแปซิฟิก ญี่ปุ่นกำลังเดินตามรอยตีนนักล่ารุ่นใหญ่ อย่างขมักเขม้น และดูเหมือนนักล่ารุ่นใหญ่ ก็ไม่ได้ขัดขวาง หรือขัดคอ เพราะกำลังไม่ว่างมือว่างปาก
    ญี่ปุ่นเลยกำแหงได้ใจ ส่งหนังสือเรียกร้อง 21 ข้อ ไปถึงจีน ที่เรียกว่า The Twenty-One Demands ในปี ค.ศ.1915 ข้อเรียกร้องที่เป็นที่ฮือฮา คือ ญี่ปุ่นต้องการให้จีนส่งมอบการครอบครอง ท่าเรือ ทางรถไฟ เหมืองแร่ ฯลฯ ที่เป็นของเยอรมัน หรือที่เยอรมันเช่าไปจากจีน ให้ญี่ปุ่น แต่ข้อเรียกร้องสุดท้ายของญี่ปุ น นี่สุดยอดที่สุด คือ ให้จีน แต่งตั้งญี่ปุ่นเป็น ที่ปรึกษา การบริหารบ้านเมือง ทั้งในด้านการทหาร การค้า การปกครอง และ ขอเป็นตำรวจร่วมด้วย สรุป แปลความหนังสือเรียกร้อง 21ข้อ สั้นๆของญี่ปุ่น ถึงจีน ว่า กูจะกินมึงแล้วนะ นั่นแหละ มีปัญหาไหม
    จีนเอง กำลังมีเรื่องวุ่นวาย หลังจาก ซุนยัดเซ็น ทำการปฏิวัติล้มราชวงศ์ชิง เมื่อปี ค.ศ.1911 ปฏิวัติสำเร็จ แต่ปกครองไม่ได้ จีนแบ่งเป็นก๊กเป็นพวก แย่งชิงอำนาจ หักเหลี่ยม หักหลังกันเองอยู่หลายปี มันเป็นจังหวะเหมาะแก่การ ปีนบ้านเข้าไปตีหัวเขา ระหว่างที่เขากำลังชุลมุนกัน จีนหมดทางสู้ญี่ปุ่น ทำท่าจะยอม แต่จีนเป็นเหยื่อรายใหญ่ คิดว่า นักล่ารุ่นใหญ่ เขาจะปล่อยให้นักล่าหน้าใหม่ ฉวยโอกาสคาบเอาไปง่ายๆหรือ การแย่งชามข้าวกับแบบเอิกเกริก ก็สามารถทำใ้ห้ชามกลิ้งคว่ำข้าวหก พากันอดแดกกันหมดได้ ขบวนการขัดคอ ขวางทาง ญี่ปุ่น จึงมาจากทุกทิศ ข้อเรียกร้อง 21 ข้อ แบบด้านๆ ของญี่ปุ่น
    ก็เลยฝ่อไปดื้อๆ
    แล้วบรรยากาศความเป็นมิตร ก็เรื่มเปลี่ยน เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 จบไม่เหมือนแผนที่วางไว้ หลายประเทศในยุโรป จบแบบช้ำชอกฉิบหาย แม้ว่าจะเป็นฝ่ายชนะสงคราม เช่น อังกฤษตัวตั้งตัวตี หรือฝรั่งเศส หรือเบลเยี่ยม ที่อ้างว่าเป็นกลาง แต่ญี่ปุ่น มาร่วมสงครามแบบเสมอนอก นอกจากไม่ช้ำ เพราะไม่ได้ไปร่วมรบกับเขา แต่ดันฉวยโอกาส ไปอมของคนอื่นเขามาเสียเต็มปาก แบบนี้ ลูกพี่นักล่ารุ่นใหญ่ก็คงไม่เอ็นดูน้องใหม่เท่าไหร่ แม้จะเคยบอกรับให้เป็นสมาชิกใหม่อนาคตรุ่ง แต่เรื่องตัดหน้าคาบเหยื่อไปนี่ มันยอมให้กันไม่ได้ มันเป็นเรื่องเสียทั้งหน้า เสียทั้งเหยื่อ
    หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จบลง ฝ่ายนิยมการสร้างกองทัพ เป็นผู้มีอำนาจบริหารญี่ปุ่น ญี่ปุ่นจึงยิ่งเหมือนว่าวติดลมบน หมายมั่นจะแผ่อำนาจของตน ไปครอบคลุมจีนให้ได้ เพราะช่วงระหว่างสงครามนั้น จีนกำลังอ่อนแอ เหมาะสำหรับที่จะงับทีละคำๆ แต่หลังจากสงครามโลกจบ จีนที่แตกเป็นหลายก๊ก กลับมีการเคลื่อนไหว โดยกลุ่มก๊กมินตั๋ง รวมตัวกันได้ และยึดส่วนใต้ของจีน เป็นเขตของตัว ตั้งรัฐบาลฝ่าย Nationalist government และตั้งเมืองนานกิง Nanking หรือบ้างก็เรียก นานจิง Nanjing เป็นเมืองหลวงของตัว ส่วนฝ่ายฝักใฝ่ลัทธิคอมมิวนิสม์ ขึ้นไปยึดทางตะวันออกเฉียงเหนือ แม้ระหว่างก๊ก จะยังมีสู้กันเองบ้าง แต่ก็เริ่มมีทั้งกวาดล้างและกวาดมารวมกัน ปี ค.ศ. 1928 จีนจึงเริ่มกลับมาแข็งแรงขึ้น
    ญี่ปุ่นจับตาดูการเคลื่อนไหวของจีนอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา เห็นจีนกำลังแก้แหที่ถูกโยนมาคลุมประเทศอย่างน่าสนใจ นี่ถ้าจีนฟื้น ทางรถไฟแมนจูเรีย และแคว้นกวางตุ้ง ที่เราไปจิกมาก็น่าจะไม่ปลอดภัย ญี่ปุ่นพยายามมาเกือบ 50 ปี ที่จะไม่ต้องมีชะตากรรมอย่างจีน มาบัดนี้ จีนดันจะฟื้น ญี่ปุ่นทนไม่ไหว รีบเปลี่ยนยุทธศาสตร์
    ปี ค.ศ.1931 ญี่ปุ่น ตัดสินใจบุกแมนจูเรีย เพื่อดูแลผลประโยชน์ (ที่ตัวเองไปยึดมา) ในแมนจูเรีย และกวางตุ้ง ญี่ปุ่นตั้งรัฐแมนจูกัวขึ้นมา เหมือนเป็นรัฐเถื่อน เพราะไม่มีใครรับรอง ญี่ปุ่นไม่มีพวกสนับสนุนในเรื่องนี้ แถมทำให้จีนหันกลับมาสู้กับญี่ปุ่นต่อ การปะทะกัน เริ่มกลับมาใหม่
    ในที่สุด ญี่ปุ่นก็ยั่วยุสำเร็จ สงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่นรอบ 2 ที่ สะพาน มาร์โคโปโลก็เกิดขึ้น ในปีค.ศ.1937 สงครามระหว่างจีน กับญี่ปุ่นครั้งนี้ ไม่ได้จบเร็วอย่าง สงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่นครั้งที่ 1 ครั้งนี้ พวกก๊กต่างๆ ของจีนสงบศึกกันเองชั่วคราว จับมือกันสู้ยิบตากับญี่ปุ่น แต่ไม่ยอมสงบศึกกับญี่ปุ่น ที่เสนอเงื่อนไข หลอกให้จีนรับ เพื่อที่จะให้จีนอดตาย การรบยือเยื้อไปถึงปี ค.ศ.1941 และในที่สุด ก็เลิกรบกันไป เพราะญี่ปุ่น เปลี่ยนไปรบสนามใหญ่เข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2
    แต่การรบกับจีนครั้งนี้ แม้จะเหมือนชนะ แต่ญี่ปุ่นก็ยับเยิน มันเป็นการประเมินผิด ของญี่ปุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ
    การรบยืดเยื้อกับจีนครั้งนี้ ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่น และกองทัพระเนระนาด ยาง เหล็ก น้ำมัน ร่อยหรอ และญี่ปุ่นไม่มีเพื่อนเหลือเลยในภูมืภาค นอกจากนั้น ในสายตาของนักล่านานาชาติ ยังรุมกันประณามญี่ปุ่นอีกว่า เป็นนักรุกราน ไม่มีใครคิดยื่นมือมาช่วยญี่ปุ่นรบจีน ภาพพจน์ของญี่ปุ่น กลายเป็นชาติโหดร้าย ชอบรุกราน และในที่สุดอเมริกาก็ประกาศคว่ำบาตรญี่ปุ่นด้านการค้า
    มาถึงตอนนี้ เหมือนญี่ปุ่นตัดสินใจผิดพลาด สู้อุตส่าห์ปฏิรูปประเทศ เดินตามหมากฝรั่งเพี้ยบเลย แต่ทำไม พอญี่ปุ่นทำเหมือนตะวันตก แต่ตะวันตกกลับไม่พอใจ เอะ จะเอายังไงกันแน่
    ญี่ปุ่นเดืนตามก้นตะวันตกมาถึงกลางทาง แต่ญี่ปุ่นไม่มีทรัพยากรเหลือแล้ว มีแต่จะต้องเดินหน้าไปเอาของคนอื่น ญี่ปุ่นมีของคนอื่นให้เลือก 2 แห่ง แห่งหนึ่ง คือ ขึ้นเหนือไปไซบีเรีย ไปเอาของรัสเซีย อีกแห่งคือ ลงใต้ มาเอาแถบแปซิฟิก แต่ แปซืฟิกใต้ ส่วนใหญ่ ก็เป็น อาณานิคม ของอังกฤษ ในที่สุด ญี่ปุ่นก็เลือกลงใต้บุกแปซิฟิก !?!
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    14 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 2 จะเท่าเทียมชาติตะวันตกในสมัยศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นยุคล่าอาณานิคมของยุโรป หมายความว่าญี่ปุ่นก็ต้องฝึกหัด เป็นนักล่ากับเขาด้วย จะนั่งตกปลา แต่งสวน มองก้อนหิน อย่างเดิมๆ มันจะไปล่าอะไรได้ แล้วจะไปเริ่มล่าใครดีล่ะ ก็ต้องเริ่มทดสอบกับพวกอยู่ใกล้ๆตัว แล้ว เกาหลี ที่อยู่คนละฟากฝั่งทะเล ก็เป็นเป้าหมายแรก สำหรับนักล่าหน้าใหม่ จากรักสันโดษ เปลี่ยนไปสร้างสันดานใหม่ ปี ค.ศ.1876 เกาหลี ยังทำตัวตามสบาย ไม่คิดฝันว่าจะไปผ่าตัดเปลี่ยนหน้าใคร จะคิดปฏิรูปประเทศตามก้นตะวันตกแบบญี่ปุ่น ยิ่งนึกไม่ออกใหญ่ และก็ (ยัง) ไม่เป็นเป้าหมายที่ตะวันตกสาระพัดชาติเล็งจนน้ำลายหก แบบที่ทำกับจีน แต่ที่สำคัญ เกาหลี อุดมไปด้วยเหล็ก และถ่านหิน ญี่ปุ่นคิดว่า ถ้าจะเปลี่ยนประเทศจากกสิกรรม เป็นอุตสาหกรรม มันก็ต้องหาทรัพยากรพวกนี้ไว้ เพราะญี่ปุ่นเอง มีแต่ปลากับสาหร่าย พวกแร่เหล็ก ถ่านหินหาไม่ค่อยเจอ คิดแล้ว เป้าซ้อมการล่า ชื่อเกาหลี นี่น่าจะเหมาะเจาะกว่าเพื่อน ปัญหาอยู่ที่ว่า เกาหลี เป็นเมืองที่ต้องส่งเครื่องบรรณาการ หรือ ส่งส่วยให้กับจีนทุกปี กษัตริย์เกาหลี ต้องแต่งตัวเต็มยศ ไปโค้งคำนับคารวะฮ่องเต้จีน ญี่ปุ่นรู้เรื่องนี้ดี แต่ก็เดินหน้า ไม่ลองไม่รู้ ฉวยโอกาสตอนจีนกำลังมึน จากการถูกกลุ่มนักล่าตะวันตก รุมสกรัม นั่นแหละเหมาะที่สุด แล้วญี่ปุ่นก็ยกกองทัพไปบุกเกาหลี แล้วก็บังคับให้เกาหลีทำข้อตกลง ยกเลิกอำนาจจีน ที่มีเหนือเกาหลี เกาหลี ตกใจ เลย ตกลง นับว่า นักล่าหน้าใหม่สอบผ่าน เรียนได้เร็ว สงสัยมีครูดี ปี ค.ศ.1894 เกาหลีเกิดตะลุมบอนกันเอง จีนยังมองเกาหลี เป็นเด็กในปกครอง จึงส่งกองกำลังมาห้ามมวย ส่วนญี่ปุ่น นักล่าหน้าใหม่ เห็นเกาหลีเหยื่อหมาดๆ มีเรื่องวุ่นวาย ก็ต้องโชว์มาดลูกพี่ ส่งกองกำลังไปเกาหลีด้วยเหมือนกัน เลยจ้ะเอ๋กับกองกำลังของจีน ก็เป็นเรื่องธรรมดา ที่กองกำลังของทั้ง 2 ฝ่าย จะต้องแสดงความเก่งกล้า ให้ปรากฏแก่สายตาของชาวเกาหลี ก็เลยเป็นสาเหตุของสงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 1 ในปี ค.ศ.1894-1895 ผลการรบปรากฏว่า จีน แพ้ ญี่ปุ่น อย่างหมดรูป จีนถอยทัพหงอยๆ ออกไปจากเกาหลี แต่ญี่ปุ่นไม่ถอยกลับ ยิ่งฮึกเหิมกว่าเดิม ล่าครั้งแรกก็ได้ผลแล้ว แถม นายเก่าของเหยื่อ ยังมาแพ้ต่อหน้าลูกกระเป๋งแบบไม่ เหลือรัศมี ญี่ปุ่นเลยจับมือเกาหลี ทำสัญญาใหม่ คราวนี้เอาให้ชัดๆ เกาหลี เจ้าตกเป็นเมืองขึ้นของเรา ญี่ปุ่น แล้วนะ ส่วย บรรณาการอะไร ที่เคยส่งให้แก่จีน ก็จงเลิกส่งเสีย และส่งมาให้เราแทน นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยัง ยึดหมู่เกาะต่างๆ ที่เป็นของจีน ติดไม้ติดมือไปด้วย เกาะสำคัญที่ติดมือมาก็คือ เกาะไต้หวัน นั่นแหละ แค่นั้น ยังไม่หน่ำใจ ญี่ปุ่นไปยึดเอาแหลมเลี่ยวตง Liaodong Penninsula ที่บรรดาชาติตะวันตก ต่างก็เล็งจะฮุบมาจากจีน แต่จีนดันเอาแหลมเลี่ยวตง ให้รัสเซียเช่าไปนานแล้ว คราวนี้ก็สนุกซิครับ ญี่ปุ่นยิ่งเบ่งพองขึ้นไปใหญ่ เกาหลีและจีน ได้เห็นอานุภาพกองทัพของญี่ปุ่นรุ่นใหม่แล้ว คราวนี้ อิทธิพลของรัสเซียในเกาหลี และที่แมนจูเรีย กำลังจะถูกท้าทายเป็นลำดับต่อไป สันดานใหม่นี่มันโตไวจัง แล้วรัสเซียก็ถูกญี่ปุ่นท้าทายจริงๆ รัสเซียเป็นฝ่ายแพ้อย่างหมดท่า อีกราย ในการรบกับญี่ปุ่น Russo-Japan War ในปี ค.ศ.1904-1905 ทำให้ญี่ปุ่นขึ้นชั้น เป็นชาติมหาอำนาจทันที ญี่ปุ่นยึดแหลมเลี่ยวตง หรือแคว้นกวางตุ้ง นั่นแหละ ที่รัสเซียเช่ามาจากจีน แถมยึดลามไปเอาสมบัตืของแมนจูเรีย คือทางรถไฟ สายแมนจูเรียอีกด้วย อืม..เรื่องทางรถไฟมาอีกแล้ว จำไว้นะครับ สมัยก่อน ทางรถไฟคือเส้นเลือดใหญ่ของประเทศ ลำพังญี่ปุ่นเอง เป็นนักล่าหน้าใหม่ ไม่น่าจะขวัญกล้าสามารถ เดินหน้าไปท้ารบรัสเซีย ที่รุ่นใหญ่กว่าแยะนัก และรบชนะเสียด้วย ถ้ายังจำกันได้ (สำหรับท่าน ที่อ่านนิทานเรื่อง ต้มข้ามศตวรรษมาแล้ว) ญี่ปุ่น มีคนชักใย และช่วยหาทุนก้อนมหึมาให้ไปรบรัสเซีย เรื่องนี้ ลืมไม่ได้ เดี๋ยวจะเข้าใจญี่ปุ่นไขว้เข้ว เหมือนที่ญี่ปุ่นเอง อาจจะกำลังเขว้อยู่ หลังสงครามญี่ปุ่นรัสเซียจบลง ญี่ปุ่น ประกาศผนวกเกาหลี เป็นของตัวในปี ค.ศ.1910 ญี่ปุ่นชักเชื่อว่า แนวทางปฏิรูปประเทศ ที่เอาอย่างตะวันตก ขยายกองทัพเพื่อไปล่าเหยื่อ นี่ มันถูกทาง และมันอร่อยถูกปากจริงๆ สงครามโลกครั้งที่ 1 ญี่ปุ่นไปเข้าร่วมสงครามกับเขาด้วย โดยอยู่ฝ่ายพวกอังกฤษ Allied Powers ไม่ได้ไปรบอะไรกับเขาในยุโรปหรอก แค่ เตรียมไล่ เก็บเล็กเก็บน้อย พวกอาณานิคมของเยอรมัน ที่อยู่แถวแปซิฟิก ญี่ปุ่นกำลังเดินตามรอยตีนนักล่ารุ่นใหญ่ อย่างขมักเขม้น และดูเหมือนนักล่ารุ่นใหญ่ ก็ไม่ได้ขัดขวาง หรือขัดคอ เพราะกำลังไม่ว่างมือว่างปาก ญี่ปุ่นเลยกำแหงได้ใจ ส่งหนังสือเรียกร้อง 21 ข้อ ไปถึงจีน ที่เรียกว่า The Twenty-One Demands ในปี ค.ศ.1915 ข้อเรียกร้องที่เป็นที่ฮือฮา คือ ญี่ปุ่นต้องการให้จีนส่งมอบการครอบครอง ท่าเรือ ทางรถไฟ เหมืองแร่ ฯลฯ ที่เป็นของเยอรมัน หรือที่เยอรมันเช่าไปจากจีน ให้ญี่ปุ่น แต่ข้อเรียกร้องสุดท้ายของญี่ปุ น นี่สุดยอดที่สุด คือ ให้จีน แต่งตั้งญี่ปุ่นเป็น ที่ปรึกษา การบริหารบ้านเมือง ทั้งในด้านการทหาร การค้า การปกครอง และ ขอเป็นตำรวจร่วมด้วย สรุป แปลความหนังสือเรียกร้อง 21ข้อ สั้นๆของญี่ปุ่น ถึงจีน ว่า กูจะกินมึงแล้วนะ นั่นแหละ มีปัญหาไหม จีนเอง กำลังมีเรื่องวุ่นวาย หลังจาก ซุนยัดเซ็น ทำการปฏิวัติล้มราชวงศ์ชิง เมื่อปี ค.ศ.1911 ปฏิวัติสำเร็จ แต่ปกครองไม่ได้ จีนแบ่งเป็นก๊กเป็นพวก แย่งชิงอำนาจ หักเหลี่ยม หักหลังกันเองอยู่หลายปี มันเป็นจังหวะเหมาะแก่การ ปีนบ้านเข้าไปตีหัวเขา ระหว่างที่เขากำลังชุลมุนกัน จีนหมดทางสู้ญี่ปุ่น ทำท่าจะยอม แต่จีนเป็นเหยื่อรายใหญ่ คิดว่า นักล่ารุ่นใหญ่ เขาจะปล่อยให้นักล่าหน้าใหม่ ฉวยโอกาสคาบเอาไปง่ายๆหรือ การแย่งชามข้าวกับแบบเอิกเกริก ก็สามารถทำใ้ห้ชามกลิ้งคว่ำข้าวหก พากันอดแดกกันหมดได้ ขบวนการขัดคอ ขวางทาง ญี่ปุ่น จึงมาจากทุกทิศ ข้อเรียกร้อง 21 ข้อ แบบด้านๆ ของญี่ปุ่น ก็เลยฝ่อไปดื้อๆ แล้วบรรยากาศความเป็นมิตร ก็เรื่มเปลี่ยน เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 จบไม่เหมือนแผนที่วางไว้ หลายประเทศในยุโรป จบแบบช้ำชอกฉิบหาย แม้ว่าจะเป็นฝ่ายชนะสงคราม เช่น อังกฤษตัวตั้งตัวตี หรือฝรั่งเศส หรือเบลเยี่ยม ที่อ้างว่าเป็นกลาง แต่ญี่ปุ่น มาร่วมสงครามแบบเสมอนอก นอกจากไม่ช้ำ เพราะไม่ได้ไปร่วมรบกับเขา แต่ดันฉวยโอกาส ไปอมของคนอื่นเขามาเสียเต็มปาก แบบนี้ ลูกพี่นักล่ารุ่นใหญ่ก็คงไม่เอ็นดูน้องใหม่เท่าไหร่ แม้จะเคยบอกรับให้เป็นสมาชิกใหม่อนาคตรุ่ง แต่เรื่องตัดหน้าคาบเหยื่อไปนี่ มันยอมให้กันไม่ได้ มันเป็นเรื่องเสียทั้งหน้า เสียทั้งเหยื่อ หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จบลง ฝ่ายนิยมการสร้างกองทัพ เป็นผู้มีอำนาจบริหารญี่ปุ่น ญี่ปุ่นจึงยิ่งเหมือนว่าวติดลมบน หมายมั่นจะแผ่อำนาจของตน ไปครอบคลุมจีนให้ได้ เพราะช่วงระหว่างสงครามนั้น จีนกำลังอ่อนแอ เหมาะสำหรับที่จะงับทีละคำๆ แต่หลังจากสงครามโลกจบ จีนที่แตกเป็นหลายก๊ก กลับมีการเคลื่อนไหว โดยกลุ่มก๊กมินตั๋ง รวมตัวกันได้ และยึดส่วนใต้ของจีน เป็นเขตของตัว ตั้งรัฐบาลฝ่าย Nationalist government และตั้งเมืองนานกิง Nanking หรือบ้างก็เรียก นานจิง Nanjing เป็นเมืองหลวงของตัว ส่วนฝ่ายฝักใฝ่ลัทธิคอมมิวนิสม์ ขึ้นไปยึดทางตะวันออกเฉียงเหนือ แม้ระหว่างก๊ก จะยังมีสู้กันเองบ้าง แต่ก็เริ่มมีทั้งกวาดล้างและกวาดมารวมกัน ปี ค.ศ. 1928 จีนจึงเริ่มกลับมาแข็งแรงขึ้น ญี่ปุ่นจับตาดูการเคลื่อนไหวของจีนอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา เห็นจีนกำลังแก้แหที่ถูกโยนมาคลุมประเทศอย่างน่าสนใจ นี่ถ้าจีนฟื้น ทางรถไฟแมนจูเรีย และแคว้นกวางตุ้ง ที่เราไปจิกมาก็น่าจะไม่ปลอดภัย ญี่ปุ่นพยายามมาเกือบ 50 ปี ที่จะไม่ต้องมีชะตากรรมอย่างจีน มาบัดนี้ จีนดันจะฟื้น ญี่ปุ่นทนไม่ไหว รีบเปลี่ยนยุทธศาสตร์ ปี ค.ศ.1931 ญี่ปุ่น ตัดสินใจบุกแมนจูเรีย เพื่อดูแลผลประโยชน์ (ที่ตัวเองไปยึดมา) ในแมนจูเรีย และกวางตุ้ง ญี่ปุ่นตั้งรัฐแมนจูกัวขึ้นมา เหมือนเป็นรัฐเถื่อน เพราะไม่มีใครรับรอง ญี่ปุ่นไม่มีพวกสนับสนุนในเรื่องนี้ แถมทำให้จีนหันกลับมาสู้กับญี่ปุ่นต่อ การปะทะกัน เริ่มกลับมาใหม่ ในที่สุด ญี่ปุ่นก็ยั่วยุสำเร็จ สงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่นรอบ 2 ที่ สะพาน มาร์โคโปโลก็เกิดขึ้น ในปีค.ศ.1937 สงครามระหว่างจีน กับญี่ปุ่นครั้งนี้ ไม่ได้จบเร็วอย่าง สงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่นครั้งที่ 1 ครั้งนี้ พวกก๊กต่างๆ ของจีนสงบศึกกันเองชั่วคราว จับมือกันสู้ยิบตากับญี่ปุ่น แต่ไม่ยอมสงบศึกกับญี่ปุ่น ที่เสนอเงื่อนไข หลอกให้จีนรับ เพื่อที่จะให้จีนอดตาย การรบยือเยื้อไปถึงปี ค.ศ.1941 และในที่สุด ก็เลิกรบกันไป เพราะญี่ปุ่น เปลี่ยนไปรบสนามใหญ่เข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 แต่การรบกับจีนครั้งนี้ แม้จะเหมือนชนะ แต่ญี่ปุ่นก็ยับเยิน มันเป็นการประเมินผิด ของญี่ปุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ การรบยืดเยื้อกับจีนครั้งนี้ ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่น และกองทัพระเนระนาด ยาง เหล็ก น้ำมัน ร่อยหรอ และญี่ปุ่นไม่มีเพื่อนเหลือเลยในภูมืภาค นอกจากนั้น ในสายตาของนักล่านานาชาติ ยังรุมกันประณามญี่ปุ่นอีกว่า เป็นนักรุกราน ไม่มีใครคิดยื่นมือมาช่วยญี่ปุ่นรบจีน ภาพพจน์ของญี่ปุ่น กลายเป็นชาติโหดร้าย ชอบรุกราน และในที่สุดอเมริกาก็ประกาศคว่ำบาตรญี่ปุ่นด้านการค้า มาถึงตอนนี้ เหมือนญี่ปุ่นตัดสินใจผิดพลาด สู้อุตส่าห์ปฏิรูปประเทศ เดินตามหมากฝรั่งเพี้ยบเลย แต่ทำไม พอญี่ปุ่นทำเหมือนตะวันตก แต่ตะวันตกกลับไม่พอใจ เอะ จะเอายังไงกันแน่ ญี่ปุ่นเดืนตามก้นตะวันตกมาถึงกลางทาง แต่ญี่ปุ่นไม่มีทรัพยากรเหลือแล้ว มีแต่จะต้องเดินหน้าไปเอาของคนอื่น ญี่ปุ่นมีของคนอื่นให้เลือก 2 แห่ง แห่งหนึ่ง คือ ขึ้นเหนือไปไซบีเรีย ไปเอาของรัสเซีย อีกแห่งคือ ลงใต้ มาเอาแถบแปซิฟิก แต่ แปซืฟิกใต้ ส่วนใหญ่ ก็เป็น อาณานิคม ของอังกฤษ ในที่สุด ญี่ปุ่นก็เลือกลงใต้บุกแปซิฟิก !?! สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 14 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 846 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหรียญขวัญถุงหลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม
    เหรียญขวัญถุงหลวงพ่อพูล เนื้อทองเเดง รุ่นเงินเพิ่มพูล วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม ปี2542 // พระดีพิธีขลัง !! สุดยอดเมตตาโชคลาภ มหาลาภ //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณด้านเสน่ห์ เมตตามหานิยม ติดต่อเจรจาค้าขายคล่องๆ มีเงินมีทองเหลือกินเหลือใช้ โชคลาภ และ เสี่ยงโชคดี ช่วยให้ค้าขายดี มีโชค ช่วยให้ทรัพย์ที่ได้มางอกเงย คุ้มกันภัย คุ้มครอง ป้องกัน **

    ** หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อมหลังจากท่านปลดประจำการ ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ พ.ศ. 2480 โดยมี หลวงปู่สุข ปทฺวณฺโณ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังท่านบวช ได้พำนักอยู่ที่วัดพระงาม ศึกษาเล่าเรียนจนสอบไล่ได้นักธรรมชั้นตรี เมื่อ พ.ศ. 2482 ในระหว่างนี้เองท่านได้ให้ความสนใจศึกษาด้านการเจริญสมาธิจิตฝึกฝนวิปัสสนากรรมฐาน ตามคำสอนควบคู่กับการศึกษาวิชาอาคม ซึ่งได้รับมอบหมายจาก "ปู่แย้ม ปิ่นทอง" ที่วัดพระงามนี้ท่านจึงได้มีโอกาสได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของ หลวงพ่อพร้อม วัดพระงาม พระเกจิที่ท่านเคราพมากที่สุดคือ หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ได้รับคำแนะนำในการเจริญสมาธิภาวนา การเขียนอักขระเลขยันต์ ปลุกเสกวัตถุมงคล วิชาอาคมต่าง ๆ หลวงพ่อเงินเมตตาเป็นคนถ่ายทอดอย่างไม่ปิดบัง ต่อมาท่านได้ย้ายมาธุดงค์ที่ป่าเขาลำเนาไพรฝึกฝนสมาธิจิต และในปี พ.ศ. 2490 วัดไผ่ล้อมขาดเจ้าอาวาสในการปกครองเนื่องจากเจ้าอาวาสแต่ละรูปอยู่ปกครองวัดได้ไม่นานต้องลาสิกขาบทออกไป หลวงพ่อพูลจึงได้ย้ายมาจำพรรษาประจำอยู่ที่วัดไผ่ล้อม พร้อมกับทำการก่อสร้าง พัฒนาวัดเรื่อยตลอดเวลา **

    ** พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    เหรียญขวัญถุงหลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม เหรียญขวัญถุงหลวงพ่อพูล เนื้อทองเเดง รุ่นเงินเพิ่มพูล วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม ปี2542 // พระดีพิธีขลัง !! สุดยอดเมตตาโชคลาภ มหาลาภ //พระสถาพสวยมาก พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณด้านเสน่ห์ เมตตามหานิยม ติดต่อเจรจาค้าขายคล่องๆ มีเงินมีทองเหลือกินเหลือใช้ โชคลาภ และ เสี่ยงโชคดี ช่วยให้ค้าขายดี มีโชค ช่วยให้ทรัพย์ที่ได้มางอกเงย คุ้มกันภัย คุ้มครอง ป้องกัน ** ** หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อมหลังจากท่านปลดประจำการ ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ พ.ศ. 2480 โดยมี หลวงปู่สุข ปทฺวณฺโณ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังท่านบวช ได้พำนักอยู่ที่วัดพระงาม ศึกษาเล่าเรียนจนสอบไล่ได้นักธรรมชั้นตรี เมื่อ พ.ศ. 2482 ในระหว่างนี้เองท่านได้ให้ความสนใจศึกษาด้านการเจริญสมาธิจิตฝึกฝนวิปัสสนากรรมฐาน ตามคำสอนควบคู่กับการศึกษาวิชาอาคม ซึ่งได้รับมอบหมายจาก "ปู่แย้ม ปิ่นทอง" ที่วัดพระงามนี้ท่านจึงได้มีโอกาสได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของ หลวงพ่อพร้อม วัดพระงาม พระเกจิที่ท่านเคราพมากที่สุดคือ หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ได้รับคำแนะนำในการเจริญสมาธิภาวนา การเขียนอักขระเลขยันต์ ปลุกเสกวัตถุมงคล วิชาอาคมต่าง ๆ หลวงพ่อเงินเมตตาเป็นคนถ่ายทอดอย่างไม่ปิดบัง ต่อมาท่านได้ย้ายมาธุดงค์ที่ป่าเขาลำเนาไพรฝึกฝนสมาธิจิต และในปี พ.ศ. 2490 วัดไผ่ล้อมขาดเจ้าอาวาสในการปกครองเนื่องจากเจ้าอาวาสแต่ละรูปอยู่ปกครองวัดได้ไม่นานต้องลาสิกขาบทออกไป หลวงพ่อพูลจึงได้ย้ายมาจำพรรษาประจำอยู่ที่วัดไผ่ล้อม พร้อมกับทำการก่อสร้าง พัฒนาวัดเรื่อยตลอดเวลา ** ** พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 404 มุมมอง 0 รีวิว
  • คารัฐสภา วิโรจน์พรรคส้มเหิมเกริม อุตริตั้งชื่อระบอบการปกครองใหม่แบบนี้ (21/11/68)
    .
    #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #วิโรจน์ #พรรคสีส้ม #การเมืองไทย #รัฐสภา #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    คารัฐสภา วิโรจน์พรรคส้มเหิมเกริม อุตริตั้งชื่อระบอบการปกครองใหม่แบบนี้ (21/11/68) . #thaitimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #วิโรจน์ #พรรคสีส้ม #การเมืองไทย #รัฐสภา #ข่าวร้อน #ข่าววันนี้ #newsupdate
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 330 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • สิงห์หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จ.ระยอง ปี2517
    สิงห์เนื้อโลหะชุบทอง หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จ.ระยอง ปี2517 // พระดีพิธีขลัง !! แจกในงานผูกพัทธสีมา //พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >>

    ** พุทธคุณเด่นในด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาด ปลอดภัยพุทธคุณแรงมากๆ มีประสบการณ์สูงมาก เหมาะมากสำหรับ ผู้นำ นักการปกครอง ผู้บังคับบัญชา หรือ นักบริหารทุกระดับชั้น ข้าราชการทุกตำแหน่ง ตำรวจ ครูบาอาจารย์ นักพูด นักขาย ดารา นักร้อง นักแสดง พ่อค้า แม่ค้า ประชาชนทั่วไป ก็ไม่ควรพลาด ผู้ที่อยากให้ตำแหน่งหน้าที่การงานเจริญเติบโตก้าวหน้า ด้านการเสี่ยงโชคลาภ **

    ** สิงห์หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จ.ระยอง ปี2517 ที่ระลึกเนื่องในงานผูกพัทธสีมาฝังลูกนิมิตร พระอุโบสถวัดระหารไร่ จังหวัดระยอง พิธีปลุกเสก พร้อมกับการประกอบพิธีในการผูกพัทธสีมา โดยมีองค์หลวงปู่ทิม อิสริโก เป็นประธานในพิธี และปลุกเสกพร้อมคณะสงฆ์วัดละหารไร่ **

    ** พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    สิงห์หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จ.ระยอง ปี2517 สิงห์เนื้อโลหะชุบทอง หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จ.ระยอง ปี2517 // พระดีพิธีขลัง !! แจกในงานผูกพัทธสีมา //พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ //#รับประกันพระแท้ตลอดชีพครับ >> ** พุทธคุณเด่นในด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาด ปลอดภัยพุทธคุณแรงมากๆ มีประสบการณ์สูงมาก เหมาะมากสำหรับ ผู้นำ นักการปกครอง ผู้บังคับบัญชา หรือ นักบริหารทุกระดับชั้น ข้าราชการทุกตำแหน่ง ตำรวจ ครูบาอาจารย์ นักพูด นักขาย ดารา นักร้อง นักแสดง พ่อค้า แม่ค้า ประชาชนทั่วไป ก็ไม่ควรพลาด ผู้ที่อยากให้ตำแหน่งหน้าที่การงานเจริญเติบโตก้าวหน้า ด้านการเสี่ยงโชคลาภ ** ** สิงห์หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จ.ระยอง ปี2517 ที่ระลึกเนื่องในงานผูกพัทธสีมาฝังลูกนิมิตร พระอุโบสถวัดระหารไร่ จังหวัดระยอง พิธีปลุกเสก พร้อมกับการประกอบพิธีในการผูกพัทธสีมา โดยมีองค์หลวงปู่ทิม อิสริโก เป็นประธานในพิธี และปลุกเสกพร้อมคณะสงฆ์วัดละหารไร่ ** ** พระสถาพสวยมาก พระดูง่าย พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 406 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts