• เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ AI กลายเป็น “เจ้านายใหม่” ที่ทำให้คนตกงาน

    ปี 2025 กลายเป็นปีที่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีต้องเผชิญกับคลื่นพายุแห่งการปลดพนักงานครั้งใหญ่ — มากกว่า 100,000 คนถูกเลิกจ้างภายในครึ่งปีแรก และตัวเลขยังคงพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    บริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Intel, Microsoft, Meta, Google, Amazon และ Cisco ต่างทยอยปลดพนักงานหลายหมื่นคน โดยมีเหตุผลหลักคือการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อมุ่งสู่ยุค AI อย่างเต็มตัว

    Intel ซึ่งเคยเป็นยักษ์ใหญ่ด้านชิป PC กำลังเผชิญกับยอดขายที่ตกต่ำ และหันไปเน้นการพัฒนาเทคโนโลยี AI แทน โดยคาดว่าจะปลดพนักงานถึง 75,000 คนภายในสิ้นปีนี้

    Microsoft ก็ไม่ต่างกัน — ปลดพนักงานไปแล้ว 15,000 คน แม้จะมีกำไรดี แต่กลับเลือกลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI และใช้ Copilot เขียนโค้ดแทนมนุษย์ถึง 30% แล้ว

    หลายบริษัทอ้างว่า AI ไม่ได้ “แทนที่” คน แต่เป็นการ “ปรับโครงสร้าง” เพื่อให้มีงบลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ แต่สำหรับพนักงานที่ถูกปลด คำอธิบายนี้อาจฟังดูเย็นชาเกินไป

    ยอดปลดพนักงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีปี 2025 ทะลุ 100,000 คนแล้ว
    เกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
    เป็นการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ในหลายบริษัท

    Intel มีแผนปลดพนักงานมากที่สุด
    ประกาศปลด 24,000 คน และคาดว่าจะถึง 75,000 คนภายในสิ้นปี
    สาเหตุหลักคือยอดขาย CPU ลดลง และหันไปเน้นธุรกิจ AI

    Microsoft ปลดพนักงาน 15,000 คน
    ครอบคลุมหลายแผนก เช่น cloud, gaming, hardware
    ใช้ AI เขียนโค้ดถึง 30% และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $80 พันล้าน

    บริษัทอื่น ๆ ก็ปรับตัวเช่นกัน
    Meta, Google, Amazon, Cisco ปลดพนักงานหลายพันคน
    นำงบไปลงทุนในโมเดล AI และระบบอัตโนมัติ

    สาเหตุอื่นที่ทำให้เกิดการปลดพนักงาน
    การจ้างงานเกินในช่วงโควิดที่ไม่สามารถรักษาไว้ได้
    ความไม่แน่นอนจากภาษีและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์

    AI กลายเป็นปัจจัยหลักในการปรับโครงสร้าง
    งานที่เคยทำโดยมนุษย์ถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ
    บริษัทเน้น “การจ้างงานแบบแม่นยำ” มากกว่าการจ้างงานจำนวนมาก

    https://www.techspot.com/news/108818-layoffs-surge-tech-more-than-100000-jobs-cut.html
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ AI กลายเป็น “เจ้านายใหม่” ที่ทำให้คนตกงาน ปี 2025 กลายเป็นปีที่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีต้องเผชิญกับคลื่นพายุแห่งการปลดพนักงานครั้งใหญ่ — มากกว่า 100,000 คนถูกเลิกจ้างภายในครึ่งปีแรก และตัวเลขยังคงพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Intel, Microsoft, Meta, Google, Amazon และ Cisco ต่างทยอยปลดพนักงานหลายหมื่นคน โดยมีเหตุผลหลักคือการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อมุ่งสู่ยุค AI อย่างเต็มตัว Intel ซึ่งเคยเป็นยักษ์ใหญ่ด้านชิป PC กำลังเผชิญกับยอดขายที่ตกต่ำ และหันไปเน้นการพัฒนาเทคโนโลยี AI แทน โดยคาดว่าจะปลดพนักงานถึง 75,000 คนภายในสิ้นปีนี้ Microsoft ก็ไม่ต่างกัน — ปลดพนักงานไปแล้ว 15,000 คน แม้จะมีกำไรดี แต่กลับเลือกลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI และใช้ Copilot เขียนโค้ดแทนมนุษย์ถึง 30% แล้ว หลายบริษัทอ้างว่า AI ไม่ได้ “แทนที่” คน แต่เป็นการ “ปรับโครงสร้าง” เพื่อให้มีงบลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ แต่สำหรับพนักงานที่ถูกปลด คำอธิบายนี้อาจฟังดูเย็นชาเกินไป ✅ ยอดปลดพนักงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีปี 2025 ทะลุ 100,000 คนแล้ว ➡️ เกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ➡️ เป็นการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ในหลายบริษัท ✅ Intel มีแผนปลดพนักงานมากที่สุด ➡️ ประกาศปลด 24,000 คน และคาดว่าจะถึง 75,000 คนภายในสิ้นปี ➡️ สาเหตุหลักคือยอดขาย CPU ลดลง และหันไปเน้นธุรกิจ AI ✅ Microsoft ปลดพนักงาน 15,000 คน ➡️ ครอบคลุมหลายแผนก เช่น cloud, gaming, hardware ➡️ ใช้ AI เขียนโค้ดถึง 30% และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI มูลค่า $80 พันล้าน ✅ บริษัทอื่น ๆ ก็ปรับตัวเช่นกัน ➡️ Meta, Google, Amazon, Cisco ปลดพนักงานหลายพันคน ➡️ นำงบไปลงทุนในโมเดล AI และระบบอัตโนมัติ ✅ สาเหตุอื่นที่ทำให้เกิดการปลดพนักงาน ➡️ การจ้างงานเกินในช่วงโควิดที่ไม่สามารถรักษาไว้ได้ ➡️ ความไม่แน่นอนจากภาษีและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ✅ AI กลายเป็นปัจจัยหลักในการปรับโครงสร้าง ➡️ งานที่เคยทำโดยมนุษย์ถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ ➡️ บริษัทเน้น “การจ้างงานแบบแม่นยำ” มากกว่าการจ้างงานจำนวนมาก https://www.techspot.com/news/108818-layoffs-surge-tech-more-than-100000-jobs-cut.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Layoffs surge in tech: More than 100,000 jobs cut in 2025 so far
    We've now entered the second half of the year, and tech-related layoffs have already skyrocketed past the 100,000 mark. The Bridge Chronicle has compiled a list of...
    0 Comments 0 Shares 117 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากศูนย์กลางใหม่ของ AI: เมื่ออินเดียกลายเป็น “สมองส่วนกลาง” ของบริษัทระดับโลก

    อินเดียเคยถูกมองว่าเป็นแหล่ง “แรงงานราคาถูก” สำหรับงาน back-office แต่ตอนนี้ GCCs กลายเป็นศูนย์กลางด้าน AI ที่มีบทบาทสำคัญ เช่น:
    - วิเคราะห์ข้อมูลจากอุปกรณ์อุตสาหกรรม
    - แนะนำสินค้าแบบ personalized
    - ควบคุมระบบจากระยะไกล เช่น ตู้เย็นของ Tesco ทั่วโลก

    Tesco เป็นตัวอย่างชัดเจน: จากเดิมที่ใช้ศูนย์ Bengaluru เพื่อลดต้นทุน ตอนนี้มีพนักงาน 5,000 คนที่ใช้ AI วิเคราะห์อุณหภูมิตู้เย็นทั่วโลก และช่วยลดการสูญเสียอาหารได้หลายล้านปอนด์ต่อปี

    บริษัทอย่าง McDonald’s และ Bupa กำลังตั้ง GCCs เพื่อรับมือกับปัญหาการจ้างงานด้าน AI ในตลาดตะวันตกที่มีต้นทุนสูงและบุคลากรขาดแคลน

    แม้อินเดียจะยังตามหลังสหรัฐฯ และจีนในด้านนวัตกรรม AI แต่ GCCs สามารถใช้โมเดลจากบริษัทแม่ เช่น LLMs และเครื่องมือวิเคราะห์ขั้นสูง เพื่อสร้างคุณค่าใหม่กลับไปยังสำนักงานใหญ่

    การเติบโตของ GCCs:
    - รายได้จาก back-office เพิ่มจาก $11.5B ในปี 2010 เป็น $65B ในปี 2021
    - พนักงานเพิ่มจาก 400,000 เป็น 1.8 ล้านคน
    - คาดว่าจะถึง $100B ในปี 2030
    - งานด้าน R&D เพิ่มจาก 45% เป็น 55% ของรายได้ในช่วง 8 ปี

    รัฐ Karnataka ซึ่งมี GCCs มากที่สุดในอินเดีย (40%) กำลังผลักดันให้ประเทศกลายเป็น “ระบบนิเวศแห่งนวัตกรรม” ไม่ใช่แค่ผู้ให้บริการ

    https://www.techspot.com/news/108762-ai-hiring-woes-pushing-companies-like-mcdonald-bupa.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากศูนย์กลางใหม่ของ AI: เมื่ออินเดียกลายเป็น “สมองส่วนกลาง” ของบริษัทระดับโลก อินเดียเคยถูกมองว่าเป็นแหล่ง “แรงงานราคาถูก” สำหรับงาน back-office แต่ตอนนี้ GCCs กลายเป็นศูนย์กลางด้าน AI ที่มีบทบาทสำคัญ เช่น: - วิเคราะห์ข้อมูลจากอุปกรณ์อุตสาหกรรม - แนะนำสินค้าแบบ personalized - ควบคุมระบบจากระยะไกล เช่น ตู้เย็นของ Tesco ทั่วโลก Tesco เป็นตัวอย่างชัดเจน: จากเดิมที่ใช้ศูนย์ Bengaluru เพื่อลดต้นทุน ตอนนี้มีพนักงาน 5,000 คนที่ใช้ AI วิเคราะห์อุณหภูมิตู้เย็นทั่วโลก และช่วยลดการสูญเสียอาหารได้หลายล้านปอนด์ต่อปี บริษัทอย่าง McDonald’s และ Bupa กำลังตั้ง GCCs เพื่อรับมือกับปัญหาการจ้างงานด้าน AI ในตลาดตะวันตกที่มีต้นทุนสูงและบุคลากรขาดแคลน แม้อินเดียจะยังตามหลังสหรัฐฯ และจีนในด้านนวัตกรรม AI แต่ GCCs สามารถใช้โมเดลจากบริษัทแม่ เช่น LLMs และเครื่องมือวิเคราะห์ขั้นสูง เพื่อสร้างคุณค่าใหม่กลับไปยังสำนักงานใหญ่ การเติบโตของ GCCs: - รายได้จาก back-office เพิ่มจาก $11.5B ในปี 2010 เป็น $65B ในปี 2021 - พนักงานเพิ่มจาก 400,000 เป็น 1.8 ล้านคน - คาดว่าจะถึง $100B ในปี 2030 - งานด้าน R&D เพิ่มจาก 45% เป็น 55% ของรายได้ในช่วง 8 ปี รัฐ Karnataka ซึ่งมี GCCs มากที่สุดในอินเดีย (40%) กำลังผลักดันให้ประเทศกลายเป็น “ระบบนิเวศแห่งนวัตกรรม” ไม่ใช่แค่ผู้ให้บริการ https://www.techspot.com/news/108762-ai-hiring-woes-pushing-companies-like-mcdonald-bupa.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    AI hiring woes are pushing some companies like McDonald's and Bupa to India's "tech hubs"
    The movement is not simply a play for lower labor costs; it reflects an escalating need for advanced AI abilities that are in short supply at home...
    0 Comments 0 Shares 121 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกเศรษฐกิจใหม่: AI กำลังกินเศรษฐกิจทั้งระบบ — แบบที่ไม่เคยเกิดมาก่อน

    การใช้จ่ายเพื่อสร้าง AI datacenter กำลังพุ่งสูงจนกระทบตัวเลขเศรษฐกิจอย่างเห็นได้ชัด เช่น:
    - สหรัฐฯ คาดว่า AI capex จะคิดเป็น ~2% ของ GDP ปี 2025
    - ส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจถึง ~0.7%
    - หากนับรวม multiplier ทางเศรษฐศาสตร์ — จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากกว่าที่เห็น

    ขนาดของการลงทุนนี้ใหญ่ใกล้เคียงกับช่วงพีคของการสร้างรางรถไฟในยุค 1800s และสูงกว่าการลงทุนในยุค dot-com boom แล้วด้วยซ้ำ

    ในจีนก็เกิดปรากฏการณ์คล้ายกันจนประธานาธิบดีสีจิ้นผิงออกมาเตือนว่า “ไม่ใช่ทุกมณฑลต้องแข่งกันสร้าง datacenter และ AI project” เพราะมีมากกว่า 250 แห่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง

    แต่คำถามใหญ่คือ: เงินมาจากไหน และไปกระทบอะไรบ้าง?

    AI capex ในสหรัฐฯ อาจแตะ 2% ของ GDP ในปี 2025
    ส่งผลให้เศรษฐกิจโตเพิ่ม ~0.7% จากส่วนนี้โดยตรง

    Nvidia มีรายได้จาก datacenter ถึง ~$156B (annualized) ในปีนี้
    โดยประมาณ 99% มาจากขายชิป AI เช่น H100/GH200

    คาดว่า AI capex รวมทั้งหมดอาจมากกว่า ~$520B หากคิดจาก share ของ Nvidia
    คิดเป็นเกือบ 20% ของจุดสูงสุดการลงทุนในระบบรางรถไฟยุคก่อน

    แหล่งเงินทุนมาจาก: cashflow ภายใน, การออกหุ้น, VC, leasing, cloud commitment
    ส่งผลให้เงินทุนจากภาคอื่นถูกเบนเบนออกจาก venture, infra, cloud services

    ส่งผลให้บางกลุ่มถูกตัดงบ เช่น Cloud, biotech และภาคผลิตดั้งเดิม
    เริ่มเกิดการเลิกจ้างในบางบริษัท เช่น Amazon และ Microsoft

    หากไม่มีการลงทุนใน datacenter เศรษฐกิจ Q1/2025 อาจหดตัว -2.1%
    แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเพียง contraction เล็ก ๆ หรือไม่ติดลบเลย

    การใช้จ่ายอาจกำลัง “กลืน” การลงทุนในภาคเศรษฐกิจอื่น
    เช่น ภาคพลังงาน, การผลิต หรือ venture non-AI ที่กำลังขาดเงินทุนหนัก

    โครงสร้างพื้นฐาน AI มีอายุการใช้งานสั้น — ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์บ่อย
    ไม่เหมือนการสร้างรางรถไฟที่อยู่ได้เป็นศตวรรษ อาจสูญเปล่าระยะยาว

    การย้ายการจ้างงานและทรัพยากรไปที่ AI กำลังทำให้เกิดการเลิกจ้าง
    มีผลกระทบทางแรงงานก่อน AI ถูกใช้งานในวงกว้างเสียอีก

    การลงทุนแบบทุ่มหมดหน้าตักในเทคโนโลยีที่ยังปรับตัวอยู่อาจเป็น “ฟองสบู่”
    หากความคาดหวังเกินผลลัพธ์จริง เศรษฐกิจอาจสะเทือนในอนาคต

    https://paulkedrosky.com/honey-ai-capex-ate-the-economy/
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกเศรษฐกิจใหม่: AI กำลังกินเศรษฐกิจทั้งระบบ — แบบที่ไม่เคยเกิดมาก่อน การใช้จ่ายเพื่อสร้าง AI datacenter กำลังพุ่งสูงจนกระทบตัวเลขเศรษฐกิจอย่างเห็นได้ชัด เช่น: - สหรัฐฯ คาดว่า AI capex จะคิดเป็น ~2% ของ GDP ปี 2025 - ส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจถึง ~0.7% - หากนับรวม multiplier ทางเศรษฐศาสตร์ — จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากกว่าที่เห็น ขนาดของการลงทุนนี้ใหญ่ใกล้เคียงกับช่วงพีคของการสร้างรางรถไฟในยุค 1800s และสูงกว่าการลงทุนในยุค dot-com boom แล้วด้วยซ้ำ ในจีนก็เกิดปรากฏการณ์คล้ายกันจนประธานาธิบดีสีจิ้นผิงออกมาเตือนว่า “ไม่ใช่ทุกมณฑลต้องแข่งกันสร้าง datacenter และ AI project” เพราะมีมากกว่า 250 แห่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง แต่คำถามใหญ่คือ: เงินมาจากไหน และไปกระทบอะไรบ้าง? ✅ AI capex ในสหรัฐฯ อาจแตะ 2% ของ GDP ในปี 2025 ➡️ ส่งผลให้เศรษฐกิจโตเพิ่ม ~0.7% จากส่วนนี้โดยตรง ✅ Nvidia มีรายได้จาก datacenter ถึง ~$156B (annualized) ในปีนี้ ➡️ โดยประมาณ 99% มาจากขายชิป AI เช่น H100/GH200 ✅ คาดว่า AI capex รวมทั้งหมดอาจมากกว่า ~$520B หากคิดจาก share ของ Nvidia ➡️ คิดเป็นเกือบ 20% ของจุดสูงสุดการลงทุนในระบบรางรถไฟยุคก่อน ✅ แหล่งเงินทุนมาจาก: cashflow ภายใน, การออกหุ้น, VC, leasing, cloud commitment ➡️ ส่งผลให้เงินทุนจากภาคอื่นถูกเบนเบนออกจาก venture, infra, cloud services ✅ ส่งผลให้บางกลุ่มถูกตัดงบ เช่น Cloud, biotech และภาคผลิตดั้งเดิม ➡️ เริ่มเกิดการเลิกจ้างในบางบริษัท เช่น Amazon และ Microsoft ✅ หากไม่มีการลงทุนใน datacenter เศรษฐกิจ Q1/2025 อาจหดตัว -2.1% ➡️ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเพียง contraction เล็ก ๆ หรือไม่ติดลบเลย ‼️ การใช้จ่ายอาจกำลัง “กลืน” การลงทุนในภาคเศรษฐกิจอื่น ⛔ เช่น ภาคพลังงาน, การผลิต หรือ venture non-AI ที่กำลังขาดเงินทุนหนัก ‼️ โครงสร้างพื้นฐาน AI มีอายุการใช้งานสั้น — ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์บ่อย ⛔ ไม่เหมือนการสร้างรางรถไฟที่อยู่ได้เป็นศตวรรษ อาจสูญเปล่าระยะยาว ‼️ การย้ายการจ้างงานและทรัพยากรไปที่ AI กำลังทำให้เกิดการเลิกจ้าง ⛔ มีผลกระทบทางแรงงานก่อน AI ถูกใช้งานในวงกว้างเสียอีก ‼️ การลงทุนแบบทุ่มหมดหน้าตักในเทคโนโลยีที่ยังปรับตัวอยู่อาจเป็น “ฟองสบู่” ⛔ หากความคาดหวังเกินผลลัพธ์จริง เศรษฐกิจอาจสะเทือนในอนาคต https://paulkedrosky.com/honey-ai-capex-ate-the-economy/
    PAULKEDROSKY.COM
    Honey, AI Capex is Eating the Economy
    AI capex is so big that it's affecting economic statistics, boosting the economy, and beginning to approach the railroad boom
    0 Comments 0 Shares 244 Views 0 Reviews
  • แชตบอทสมัครงานของ McDonald’s ทำข้อมูลหลุด 64 ล้านคน เพราะรหัสผ่าน “123456”

    ในช่วงต้นปี 2025 ผู้สมัครงานกับ McDonald’s ทั่วโลกอาจไม่รู้เลยว่าข้อมูลส่วนตัวของพวกเขา—ชื่อ เบอร์โทร อีเมล ที่อยู่ และสถานะการจ้างงาน—ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะโดยไม่ตั้งใจ

    เรื่องเริ่มจาก Ian Carroll นักวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์ พบช่องโหว่ในระบบของ Paradox.ai ซึ่งเป็นบริษัทที่พัฒนาแชตบอทชื่อ “Olivia” ให้ McDonald’s ใช้สัมภาษณ์งานอัตโนมัติในกว่า 90% ของสาขา

    Carroll พบว่าหน้าเข้าสู่ระบบของพนักงาน Paradox ยังเปิดให้เข้าถึงได้ และที่น่าตกใจคือ เขาสามารถล็อกอินด้วยชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน “123456” ได้ทันที! จากนั้นเขาเข้าถึงโค้ดของเว็บไซต์ และพบ API ที่สามารถเรียกดูประวัติการสนทนาของผู้สมัครงานได้ทั้งหมด—รวมกว่า 64 ล้านรายการ

    ข้อมูลที่หลุดออกมานั้นไม่ใช่แค่ข้อความแชต แต่รวมถึง token การยืนยันตัวตน และสถานะการจ้างงานของผู้สมัครด้วย

    Carroll พยายามแจ้งเตือน Paradox แต่ไม่พบช่องทางรายงานช่องโหว่ด้านความปลอดภัยเลย ต้องส่งอีเมลสุ่มไปยังพนักงาน จนในที่สุด Paradox และ McDonald’s ยืนยันว่าได้แก้ไขปัญหาแล้วในต้นเดือนกรกฎาคม

    ข้อมูลจากข่าว
    - ข้อมูลผู้สมัครงานกว่า 64 ล้านคนถูกเปิดเผยจากระบบของ Paradox.ai
    - นักวิจัยสามารถล็อกอินด้วยชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน “123456”
    - เข้าถึง API ที่แสดงประวัติแชตของแชตบอท Olivia ได้ทั้งหมด
    - ข้อมูลที่หลุดรวมถึงชื่อ เบอร์โทร อีเมล ที่อยู่ token และสถานะการจ้างงาน
    - Paradox ไม่มีช่องทางรายงานช่องโหว่ด้านความปลอดภัยอย่างเป็นทางการ
    - McDonald’s และ Paradox ยืนยันว่าแก้ไขปัญหาแล้วในเดือนกรกฎาคม
    - Olivia ถูกใช้ในกว่า 90% ของสาขา McDonald’s เพื่อสัมภาษณ์งานอัตโนมัติ

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - การใช้รหัสผ่านง่าย ๆ เช่น “123456” ยังคงเป็นช่องโหว่ร้ายแรงที่พบได้บ่อย
    - ระบบ AI ที่จัดการข้อมูลส่วนบุคคลต้องมีมาตรการความปลอดภัยที่เข้มงวด
    - บริษัทที่ไม่มีช่องทางรายงานช่องโหว่ อาจทำให้การแก้ไขล่าช้าและเสี่ยงต่อการโจมตี
    - ผู้สมัครงานควรระวังการให้ข้อมูลผ่านระบบอัตโนมัติ โดยเฉพาะข้อมูลส่วนตัว
    - องค์กรควรตรวจสอบระบบ third-party อย่างสม่ำเสมอ และมีการทดสอบความปลอดภัย (penetration test)
    - การใช้ AI ในงาน HR ต้องมาพร้อมกับ governance และการตรวจสอบจากมนุษย์

    https://www.techspot.com/news/108619-mcdonald-ai-hiring-chatbot-exposed-data-64-million.html
    แชตบอทสมัครงานของ McDonald’s ทำข้อมูลหลุด 64 ล้านคน เพราะรหัสผ่าน “123456” ในช่วงต้นปี 2025 ผู้สมัครงานกับ McDonald’s ทั่วโลกอาจไม่รู้เลยว่าข้อมูลส่วนตัวของพวกเขา—ชื่อ เบอร์โทร อีเมล ที่อยู่ และสถานะการจ้างงาน—ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะโดยไม่ตั้งใจ เรื่องเริ่มจาก Ian Carroll นักวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์ พบช่องโหว่ในระบบของ Paradox.ai ซึ่งเป็นบริษัทที่พัฒนาแชตบอทชื่อ “Olivia” ให้ McDonald’s ใช้สัมภาษณ์งานอัตโนมัติในกว่า 90% ของสาขา Carroll พบว่าหน้าเข้าสู่ระบบของพนักงาน Paradox ยังเปิดให้เข้าถึงได้ และที่น่าตกใจคือ เขาสามารถล็อกอินด้วยชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน “123456” ได้ทันที! จากนั้นเขาเข้าถึงโค้ดของเว็บไซต์ และพบ API ที่สามารถเรียกดูประวัติการสนทนาของผู้สมัครงานได้ทั้งหมด—รวมกว่า 64 ล้านรายการ ข้อมูลที่หลุดออกมานั้นไม่ใช่แค่ข้อความแชต แต่รวมถึง token การยืนยันตัวตน และสถานะการจ้างงานของผู้สมัครด้วย Carroll พยายามแจ้งเตือน Paradox แต่ไม่พบช่องทางรายงานช่องโหว่ด้านความปลอดภัยเลย ต้องส่งอีเมลสุ่มไปยังพนักงาน จนในที่สุด Paradox และ McDonald’s ยืนยันว่าได้แก้ไขปัญหาแล้วในต้นเดือนกรกฎาคม ✅ ข้อมูลจากข่าว - ข้อมูลผู้สมัครงานกว่า 64 ล้านคนถูกเปิดเผยจากระบบของ Paradox.ai - นักวิจัยสามารถล็อกอินด้วยชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน “123456” - เข้าถึง API ที่แสดงประวัติแชตของแชตบอท Olivia ได้ทั้งหมด - ข้อมูลที่หลุดรวมถึงชื่อ เบอร์โทร อีเมล ที่อยู่ token และสถานะการจ้างงาน - Paradox ไม่มีช่องทางรายงานช่องโหว่ด้านความปลอดภัยอย่างเป็นทางการ - McDonald’s และ Paradox ยืนยันว่าแก้ไขปัญหาแล้วในเดือนกรกฎาคม - Olivia ถูกใช้ในกว่า 90% ของสาขา McDonald’s เพื่อสัมภาษณ์งานอัตโนมัติ ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - การใช้รหัสผ่านง่าย ๆ เช่น “123456” ยังคงเป็นช่องโหว่ร้ายแรงที่พบได้บ่อย - ระบบ AI ที่จัดการข้อมูลส่วนบุคคลต้องมีมาตรการความปลอดภัยที่เข้มงวด - บริษัทที่ไม่มีช่องทางรายงานช่องโหว่ อาจทำให้การแก้ไขล่าช้าและเสี่ยงต่อการโจมตี - ผู้สมัครงานควรระวังการให้ข้อมูลผ่านระบบอัตโนมัติ โดยเฉพาะข้อมูลส่วนตัว - องค์กรควรตรวจสอบระบบ third-party อย่างสม่ำเสมอ และมีการทดสอบความปลอดภัย (penetration test) - การใช้ AI ในงาน HR ต้องมาพร้อมกับ governance และการตรวจสอบจากมนุษย์ https://www.techspot.com/news/108619-mcdonald-ai-hiring-chatbot-exposed-data-64-million.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    McDonald's AI hiring chatbot exposed data of 64 million applicants with "123456" password
    Security researcher Ian Carroll successfully logged into an administrative account for Paradox.ai, the company that built McDonald's AI job interviewer, using "123456" as both a username and...
    0 Comments 0 Shares 242 Views 0 Reviews
  • ..555,การค้าผีบ้าของพวกโลกเสรี ประเทศที่พัฒนาแล้วพะนะ พัฒนาในการเก็บส่วย พัฒนาในการขูดรีดตังจากประเทศอื่นที่เรียกเขาว่ากำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนา พัฒนาในการเอาเปรียบประเทศอื่น555ค้าขายกันปกติต้องเก็บภาษีเท่าๆกันสิ,เช่นไทยถูกอเมริกาเก็บที่35%,ไทยก็สามารถเก็บสินค้านำเข้าไทยของอเมริกาที่35%ด้วย,แต่ละคนส่งส่วยเท่ากัน,ปัญหาคือคนอเมริกาต้องการสินค้าจากไทยหรือไม่,ทรัมป์ไม่ฉลาด ต้องระบุด้วยว่า ภาษี35%นี้จะเรียกเก็บเฉพาะกับกิจการไทยที่มีนักลงทุนต่างชาติถือหุ้นเกิน35%ในกิจการไทยนัันๆ,ต่างชาติถือหุ้นเกิน49%ก็เก็บภาษีขั้นต่ำ49%ไป,กิจการไทยไหนถือโดยคนไทย100%ก็คิดขั้นต่ำที่14%ก็จบ,ไทยก็ด้วยถ้ากิจการอเมริกาคนมะกันถือหุ้น100%ก็คิดภาษีเท่ากันที่14%,นี้คนฉลาดแบบทรัมป์ต้องจัดการแบบนีัเลือกเป้าหมายศัตรูให้ชัดเจน,จะเป็นมาตราฐานการค้าเสรีของโลกยุคใหม่ด้วยสร้างบริบทใหม่ปฐมบทใหม่ก็ด้วย,กิจการใดย้ายฐานมาไทยมาอ้างนามชื่อไทยส่งออกก็ไม่รอดนั้นล่ะ,ยาถูกกับโรค,ไทยเป็นมหาอำนาจหากจะจัดการเขมรไปสร้างโรงงานที่ติมอร์อ้างส่งออกมาไทย,ไทยก็คิดภาษีติมอร์โดยดูว่ากิจการในติมอร์ที่ส่งออกมาไทยนั้นมีเขมรลงทุนเท่าไรถือหุ้น100% ไทยก็เก็บภาษีกิจการนั้นในนามติมอร์ที่200%ก็ได้ เป็นต้น,นี้คือบอกไทยจากทรัมป์อเมริกาว่าให้ไทยเป็นไทอย่าเป็นทาสใครมายืมที่ดินตั้งโรงงานยืมจมูกไทยหายใจทำรายได้ก็ว่า หัดใช้สมองใช้ปัญญาสร้างกิจการโรงงานผลิตตนเอง มีเงินทุนตนเอง100%บ้าง,อเมริกาจะส่งเสริมชาติที่ก่อร่างสร้างตัวตนเอง มิใช่ให้เหี้ยใดแทรกแซงการเติบโตภายในประเทศนั้นๆที่ผิดปกติคือมะเร็งที่เติบโตผิดปกติในประเทศบ้านเมืองนั้นๆในร่างกายนั้นๆก็ว่า,นี้คือยารักษาชนิดขมของทรัมป์ก็ได้แต่ ถ้านายกฯเราดีมาจากพระราชทานนะ สามารถเชื่อมใจอเมริกาจีนรัสเชียสบายทางการค้า,มรึงจะตีกันแบบไหนเรื่องส่วนตัวของพวกมรึง,จีนมาตั้งโรงงานในไทย ต่างชาติเหี้ยใดๆมาสร้างกิจการในไทยแต่หมายส่งเข้าไปในอเมริกา อเมริกาดูกิจการนั่นๆทันทีว่าเจ้าของและคนถือหุ้นคือคนไทย100%มั้ย,ถ้าใช่ก็คิดอัตราต่ำสุดสนับสนุนการค้าเสรีกัน,แต่ไม่ใช่ เช่นสืบสวนพบต่างชาติถือเกินผ่านนอมินีด้วยอาจคิดที่อัตรา200%ในกิจการนั้นๆทันทีแม้ส่งออกมาไทยก็ว่า,แนวทางนี้จะช่วยให้ชาตินั้นๆตั้งใจพัฒนาการค้าการขายการตลาดในตัวด้วยตลอดสร้างวัตถุดิบพึ่งพาในประเทศตนเองด้วย,
    ..ยิ่งคิดภาษีให้จัดหนักลงลึกไปอีกสไตล์ทรัมป์ฟันอัตราภาษีเก็บที่60%ในทุกๆประเทศเพื่อสนับสนุนการจ้างงานภายในประเทศโดยเป็นแรงงานตนเองมิใช่ต่างด้าวภายนอกเป็นหลักด้วย ลดการค้ามนุษย์ ลดการก่ออาชญากรรมข้ามชาติหลากหลายมิติได้ด้วยหรือค้ายาเสพติดและอื่นๆสาระพัดก็ว่าจากการเคลื่อนย้ายแรงงานไปทำงานในโรงงานกิจการต่างๆ ในประเทศนั้นๆ ย่อมาไทย เช่น กิจการ บริษัทRK เป็นของคนไทยถือหุ้น100%แต่จ้างแรงงานต่างด้าวทั้งหมดเกือบเต็มโรงงาน หรือเกือบ100%ด้วย ทรัมป์สามารถคิดภาษีไทยที่อัตรานำเข้าอเมริกาที่200%เลยก็ว่า,มีแรงงานต่างด้าวในกิจการคนไทยที่50%ก็คิดภาษีนำเข้าอเมริกาอัตราที่100%ไป,มี25%เป็นแรงงานต่างด้าวก็เก็บภาษีส่งออกไปอเมริกาที่50%เลย,มีต่างด้าวต่างชาติทำงานในบริษัทในกิจการคนไทย12.5%ก็เก็บภาษีส่งออกที่25%ไป,มีต่างชาติต่างด้าวในกิจการคนไทย6.75%ก็คิดอัตราภาษีส่งออกไปอเมริกาปกติที่14% เป็นต้น,นี้อาจประยุกต์กับโรงงานต่างชาติย้ายฐานมาไทยด้วย มีคนไทยถือหุ้นเกิน51%ก็ตาม,แต่ทั้งโรงงานเป็นแรงงานต่างชาติต่างด้าวเต็มโรงงานย้ายฐานมานั้นอีก ทรัมป์อาจเก็บกิจการโรงงานที่อัตราภาษี200%บวกอีก200%ข้อหาแรงงานต่างชาติต่างด้าวเต็มโรงงานที่มิใช่คนไทยเลยก็ด้วย,ทรัมป์ทำแบบนี้นะ จะเก็บส่วยเก็บตังเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างชาติต่อปีอาจกว่า100ล้านล้านบาทแน่นอน,สามารถมีตังล้างหนี้อเมริกากว่า35-36ล้านล้านเหรียญนั้นภายในไม่กี่ปีจริง,ทั้งช่วยสร้างงานจริงแก่คนในพื้นที่ของคนภายในประเทศเขาเองนั้นๆด้วย,ย่อมาไทยคือกิจการบริษัทต่างๆและโรงงานต่างๆทั่วประเทศไทยจะจ้างงานคนไทยมากกว่าคนต่างด้าวต่างชาติทันทีเพราะแลกกับตังที่สูญเสียไปไม่คุ้มทุนนั้นเอง บังเอิญทุกๆประเทศเสือกลอกเลียนแบบอเมริกา,bricsเองก็ด้วยกำหนดให้ชาติสมาชิกใช้มาตราการนี้มาตราฐานนี้เช่นกัน,คุณภาพการทำงานจะถูกเอาใจใส่ทันทีด้วย ชาวโลกทั่วโลกจะไม่ตกงาน ทำงานก็จะมีความสุข ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากหน้างานตำแหน่งงานเนื้องานแบบในอดีตอีก,ชนะด้วยกันหมด,อัพเรเวลโลกอีกสถานะหนึ่งนะนั้น.,ฝ่ายแสงบังเอิญมาอ่านผ่านๆไป เอาไปบอกทรัมป์ด้วย.บังคับแดกยารักษาพิษกลายๆก็ว่า,ขมในช่วงต้น แล้วสุขภาพจะดีในทุกๆประเทศ ค้าขายอย่างมีความสุขร่วมกันอีกครััง.


    https://youtube.com/watch?v=auqh7GjGax0&si=PWLqM2E30_vhlihE

    ..555,การค้าผีบ้าของพวกโลกเสรี ประเทศที่พัฒนาแล้วพะนะ พัฒนาในการเก็บส่วย พัฒนาในการขูดรีดตังจากประเทศอื่นที่เรียกเขาว่ากำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนา พัฒนาในการเอาเปรียบประเทศอื่น555ค้าขายกันปกติต้องเก็บภาษีเท่าๆกันสิ,เช่นไทยถูกอเมริกาเก็บที่35%,ไทยก็สามารถเก็บสินค้านำเข้าไทยของอเมริกาที่35%ด้วย,แต่ละคนส่งส่วยเท่ากัน,ปัญหาคือคนอเมริกาต้องการสินค้าจากไทยหรือไม่,ทรัมป์ไม่ฉลาด ต้องระบุด้วยว่า ภาษี35%นี้จะเรียกเก็บเฉพาะกับกิจการไทยที่มีนักลงทุนต่างชาติถือหุ้นเกิน35%ในกิจการไทยนัันๆ,ต่างชาติถือหุ้นเกิน49%ก็เก็บภาษีขั้นต่ำ49%ไป,กิจการไทยไหนถือโดยคนไทย100%ก็คิดขั้นต่ำที่14%ก็จบ,ไทยก็ด้วยถ้ากิจการอเมริกาคนมะกันถือหุ้น100%ก็คิดภาษีเท่ากันที่14%,นี้คนฉลาดแบบทรัมป์ต้องจัดการแบบนีัเลือกเป้าหมายศัตรูให้ชัดเจน,จะเป็นมาตราฐานการค้าเสรีของโลกยุคใหม่ด้วยสร้างบริบทใหม่ปฐมบทใหม่ก็ด้วย,กิจการใดย้ายฐานมาไทยมาอ้างนามชื่อไทยส่งออกก็ไม่รอดนั้นล่ะ,ยาถูกกับโรค,ไทยเป็นมหาอำนาจหากจะจัดการเขมรไปสร้างโรงงานที่ติมอร์อ้างส่งออกมาไทย,ไทยก็คิดภาษีติมอร์โดยดูว่ากิจการในติมอร์ที่ส่งออกมาไทยนั้นมีเขมรลงทุนเท่าไรถือหุ้น100% ไทยก็เก็บภาษีกิจการนั้นในนามติมอร์ที่200%ก็ได้ เป็นต้น,นี้คือบอกไทยจากทรัมป์อเมริกาว่าให้ไทยเป็นไทอย่าเป็นทาสใครมายืมที่ดินตั้งโรงงานยืมจมูกไทยหายใจทำรายได้ก็ว่า หัดใช้สมองใช้ปัญญาสร้างกิจการโรงงานผลิตตนเอง มีเงินทุนตนเอง100%บ้าง,อเมริกาจะส่งเสริมชาติที่ก่อร่างสร้างตัวตนเอง มิใช่ให้เหี้ยใดแทรกแซงการเติบโตภายในประเทศนั้นๆที่ผิดปกติคือมะเร็งที่เติบโตผิดปกติในประเทศบ้านเมืองนั้นๆในร่างกายนั้นๆก็ว่า,นี้คือยารักษาชนิดขมของทรัมป์ก็ได้แต่ ถ้านายกฯเราดีมาจากพระราชทานนะ สามารถเชื่อมใจอเมริกาจีนรัสเชียสบายทางการค้า,มรึงจะตีกันแบบไหนเรื่องส่วนตัวของพวกมรึง,จีนมาตั้งโรงงานในไทย ต่างชาติเหี้ยใดๆมาสร้างกิจการในไทยแต่หมายส่งเข้าไปในอเมริกา อเมริกาดูกิจการนั่นๆทันทีว่าเจ้าของและคนถือหุ้นคือคนไทย100%มั้ย,ถ้าใช่ก็คิดอัตราต่ำสุดสนับสนุนการค้าเสรีกัน,แต่ไม่ใช่ เช่นสืบสวนพบต่างชาติถือเกินผ่านนอมินีด้วยอาจคิดที่อัตรา200%ในกิจการนั้นๆทันทีแม้ส่งออกมาไทยก็ว่า,แนวทางนี้จะช่วยให้ชาตินั้นๆตั้งใจพัฒนาการค้าการขายการตลาดในตัวด้วยตลอดสร้างวัตถุดิบพึ่งพาในประเทศตนเองด้วย, ..ยิ่งคิดภาษีให้จัดหนักลงลึกไปอีกสไตล์ทรัมป์ฟันอัตราภาษีเก็บที่60%ในทุกๆประเทศเพื่อสนับสนุนการจ้างงานภายในประเทศโดยเป็นแรงงานตนเองมิใช่ต่างด้าวภายนอกเป็นหลักด้วย ลดการค้ามนุษย์ ลดการก่ออาชญากรรมข้ามชาติหลากหลายมิติได้ด้วยหรือค้ายาเสพติดและอื่นๆสาระพัดก็ว่าจากการเคลื่อนย้ายแรงงานไปทำงานในโรงงานกิจการต่างๆ ในประเทศนั้นๆ ย่อมาไทย เช่น กิจการ บริษัทRK เป็นของคนไทยถือหุ้น100%แต่จ้างแรงงานต่างด้าวทั้งหมดเกือบเต็มโรงงาน หรือเกือบ100%ด้วย ทรัมป์สามารถคิดภาษีไทยที่อัตรานำเข้าอเมริกาที่200%เลยก็ว่า,มีแรงงานต่างด้าวในกิจการคนไทยที่50%ก็คิดภาษีนำเข้าอเมริกาอัตราที่100%ไป,มี25%เป็นแรงงานต่างด้าวก็เก็บภาษีส่งออกไปอเมริกาที่50%เลย,มีต่างด้าวต่างชาติทำงานในบริษัทในกิจการคนไทย12.5%ก็เก็บภาษีส่งออกที่25%ไป,มีต่างชาติต่างด้าวในกิจการคนไทย6.75%ก็คิดอัตราภาษีส่งออกไปอเมริกาปกติที่14% เป็นต้น,นี้อาจประยุกต์กับโรงงานต่างชาติย้ายฐานมาไทยด้วย มีคนไทยถือหุ้นเกิน51%ก็ตาม,แต่ทั้งโรงงานเป็นแรงงานต่างชาติต่างด้าวเต็มโรงงานย้ายฐานมานั้นอีก ทรัมป์อาจเก็บกิจการโรงงานที่อัตราภาษี200%บวกอีก200%ข้อหาแรงงานต่างชาติต่างด้าวเต็มโรงงานที่มิใช่คนไทยเลยก็ด้วย,ทรัมป์ทำแบบนี้นะ จะเก็บส่วยเก็บตังเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างชาติต่อปีอาจกว่า100ล้านล้านบาทแน่นอน,สามารถมีตังล้างหนี้อเมริกากว่า35-36ล้านล้านเหรียญนั้นภายในไม่กี่ปีจริง,ทั้งช่วยสร้างงานจริงแก่คนในพื้นที่ของคนภายในประเทศเขาเองนั้นๆด้วย,ย่อมาไทยคือกิจการบริษัทต่างๆและโรงงานต่างๆทั่วประเทศไทยจะจ้างงานคนไทยมากกว่าคนต่างด้าวต่างชาติทันทีเพราะแลกกับตังที่สูญเสียไปไม่คุ้มทุนนั้นเอง บังเอิญทุกๆประเทศเสือกลอกเลียนแบบอเมริกา,bricsเองก็ด้วยกำหนดให้ชาติสมาชิกใช้มาตราการนี้มาตราฐานนี้เช่นกัน,คุณภาพการทำงานจะถูกเอาใจใส่ทันทีด้วย ชาวโลกทั่วโลกจะไม่ตกงาน ทำงานก็จะมีความสุข ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากหน้างานตำแหน่งงานเนื้องานแบบในอดีตอีก,ชนะด้วยกันหมด,อัพเรเวลโลกอีกสถานะหนึ่งนะนั้น.,ฝ่ายแสงบังเอิญมาอ่านผ่านๆไป เอาไปบอกทรัมป์ด้วย.บังคับแดกยารักษาพิษกลายๆก็ว่า,ขมในช่วงต้น แล้วสุขภาพจะดีในทุกๆประเทศ ค้าขายอย่างมีความสุขร่วมกันอีกครััง. https://youtube.com/watch?v=auqh7GjGax0&si=PWLqM2E30_vhlihE
    0 Comments 0 Shares 403 Views 0 Reviews
  • TSMC บริษัทผลิตชิปยักษ์ใหญ่จากไต้หวัน กำลังถูกฟ้องโดยพนักงานอเมริกันกว่า 17 คนในโรงงานที่รัฐแอริโซนา โดยกล่าวหาว่าถูกเลือกปฏิบัติตลอดกระบวนการจ้างงาน ไปจนถึงสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัยและไม่เป็นธรรม เช่น:
    - รับคนที่พูดจีนหรือไต้หวันก่อน
    - การประชุม–เอกสาร–การฝึกอบรมเป็นภาษาจีน แม้จะอยู่ในอเมริกา
    - ถูกเรียกว่า “โง่–ขี้เกียจ” หรือถูกดูถูกว่าไม่ขยันพอ
    - ถูกตัดโอกาสเลื่อนขั้นทั้งที่ผลงานดี
    - มีกรณีที่วิศวกรชายอเมริกัน “ถูกตบก้นโดยวิศวกรชายไต้หวัน” และเพื่อนร่วมงานผิวดำถูกแขวน “ไก่ยาง” ไว้เหนือโต๊ะ → ดูเสียดสีเชื้อชาติ

    ไม่ใช่แค่เรื่องเหยียด แต่ยังรวมถึงปัญหาด้านความปลอดภัย → พนักงานบางรายถูก chemical gas ทำให้หายใจติดขัด แต่ถูกปล่อยให้ขับรถไปโรงพยาบาลเอง → บางคนถูกตอบโต้หลังร้องเรียน เช่น ให้นั่งแยกไม่ให้ทำงาน หรือเพิกเฉยจากทีมงาน

    ที่น่าจับตาคือ นี่คือโรงงานเรือธงของ TSMC ที่สร้างขึ้นตามแผนบูมอุตสาหกรรมชิปในอเมริกา → แต่กลับมีพนักงานในพื้นที่ไม่พอใจและฟ้องแบบกลุ่มใหญ่

    พนักงาน 17 คนในโรงงาน TSMC Arizona รวมตัวฟ้องบริษัท ฐานเลือกปฏิบัติ–ละเลยความปลอดภัย  
    • กลุ่มนี้ประกอบด้วยวิศวกร, HR, เทคนิเชียน ทั้งที่ยังทำงานอยู่และลาออกแล้ว  
    • เดิมเริ่มต้นจาก 12 คนในปี 2023 ก่อนเพิ่มเป็น 17 คนในปี 2025

    ข้อกล่าวหาหลักในคดี ได้แก่:  
    • TSMC เลือกรับพนักงานจีน/ไต้หวันเป็นหลัก  
    • ประชุม–ฝึกงาน–เอกสารเป็นภาษาจีน แม้ในอเมริกา  
    • พนักงานอเมริกันถูกเรียก “ขี้เกียจ–โง่–ไม่ทุ่มเท”  
    • ถูกประเมินผลต่ำกว่าความจริง ไม่ได้เลื่อนขั้น  
    • พฤติกรรมละเมิด เช่น การสัมผัสไม่เหมาะสม / เหยียดเชื้อชาติ

    เหตุการณ์ที่อ้างในคดีรวมถึง:  
    • ถูกตบก้น, โดนล้อทางเพศ  
    • ถูกแขวนไก่ยางไว้เหนือตารางทำงานของวิศวกรผิวดำ  
    • ถูกให้ขับรถเองไปโรงพยาบาล หลังสูดสารเคมี  
    • ถูกกันออกจากทีม, ถูกเบลอ-บูลลี่, ถูกแก้แค้นหลังร้องเรียน

    TSMC ปฏิเสธแสดงความเห็นต่อคดี แต่ระบุว่า “ภูมิใจในทีมงานจากกว่า 3,000 คน และมุ่งมั่นสร้างสภาพแวดล้อมปลอดภัยและมีความหลากหลาย”

    https://wccftech.com/tsmc-arizonas-male-technician-patted-on-the-buttocks-while-colleague-found-rubber-chicken-hanging-over-his-desk-alleges-lawsuit/
    TSMC บริษัทผลิตชิปยักษ์ใหญ่จากไต้หวัน กำลังถูกฟ้องโดยพนักงานอเมริกันกว่า 17 คนในโรงงานที่รัฐแอริโซนา โดยกล่าวหาว่าถูกเลือกปฏิบัติตลอดกระบวนการจ้างงาน ไปจนถึงสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัยและไม่เป็นธรรม เช่น: - รับคนที่พูดจีนหรือไต้หวันก่อน - การประชุม–เอกสาร–การฝึกอบรมเป็นภาษาจีน แม้จะอยู่ในอเมริกา - ถูกเรียกว่า “โง่–ขี้เกียจ” หรือถูกดูถูกว่าไม่ขยันพอ - ถูกตัดโอกาสเลื่อนขั้นทั้งที่ผลงานดี - มีกรณีที่วิศวกรชายอเมริกัน “ถูกตบก้นโดยวิศวกรชายไต้หวัน” และเพื่อนร่วมงานผิวดำถูกแขวน “ไก่ยาง” ไว้เหนือโต๊ะ → ดูเสียดสีเชื้อชาติ ไม่ใช่แค่เรื่องเหยียด แต่ยังรวมถึงปัญหาด้านความปลอดภัย → พนักงานบางรายถูก chemical gas ทำให้หายใจติดขัด แต่ถูกปล่อยให้ขับรถไปโรงพยาบาลเอง → บางคนถูกตอบโต้หลังร้องเรียน เช่น ให้นั่งแยกไม่ให้ทำงาน หรือเพิกเฉยจากทีมงาน ที่น่าจับตาคือ นี่คือโรงงานเรือธงของ TSMC ที่สร้างขึ้นตามแผนบูมอุตสาหกรรมชิปในอเมริกา → แต่กลับมีพนักงานในพื้นที่ไม่พอใจและฟ้องแบบกลุ่มใหญ่ ✅ พนักงาน 17 คนในโรงงาน TSMC Arizona รวมตัวฟ้องบริษัท ฐานเลือกปฏิบัติ–ละเลยความปลอดภัย   • กลุ่มนี้ประกอบด้วยวิศวกร, HR, เทคนิเชียน ทั้งที่ยังทำงานอยู่และลาออกแล้ว   • เดิมเริ่มต้นจาก 12 คนในปี 2023 ก่อนเพิ่มเป็น 17 คนในปี 2025 ✅ ข้อกล่าวหาหลักในคดี ได้แก่:   • TSMC เลือกรับพนักงานจีน/ไต้หวันเป็นหลัก   • ประชุม–ฝึกงาน–เอกสารเป็นภาษาจีน แม้ในอเมริกา   • พนักงานอเมริกันถูกเรียก “ขี้เกียจ–โง่–ไม่ทุ่มเท”   • ถูกประเมินผลต่ำกว่าความจริง ไม่ได้เลื่อนขั้น   • พฤติกรรมละเมิด เช่น การสัมผัสไม่เหมาะสม / เหยียดเชื้อชาติ ✅ เหตุการณ์ที่อ้างในคดีรวมถึง:   • ถูกตบก้น, โดนล้อทางเพศ   • ถูกแขวนไก่ยางไว้เหนือตารางทำงานของวิศวกรผิวดำ   • ถูกให้ขับรถเองไปโรงพยาบาล หลังสูดสารเคมี   • ถูกกันออกจากทีม, ถูกเบลอ-บูลลี่, ถูกแก้แค้นหลังร้องเรียน ✅ TSMC ปฏิเสธแสดงความเห็นต่อคดี แต่ระบุว่า “ภูมิใจในทีมงานจากกว่า 3,000 คน และมุ่งมั่นสร้างสภาพแวดล้อมปลอดภัยและมีความหลากหลาย” https://wccftech.com/tsmc-arizonas-male-technician-patted-on-the-buttocks-while-colleague-found-rubber-chicken-hanging-over-his-desk-alleges-lawsuit/
    WCCFTECH.COM
    TSMC Arizona's Male Technician "Patted On The Buttocks" While Colleague Found Rubber Chicken Hanging Over His Desk, Alleges Lawsuit
    TSMC is facing serious claims of discrimination in a lawsuit filed by former and current workers in Arizona, USA.
    0 Comments 0 Shares 281 Views 0 Reviews
  • ใครเคยคิดว่า “โรงงานผลิตแรม” จะมีขนาดใหญ่เท่าศูนย์ประชุม! Micron เปิดเผยว่าโรงงาน ID1 ที่ Boise, Idaho ซึ่งเป็นแห่งแรกในชุดนี้ กำลังสร้าง cleanroom ขนาด 600,000 ตารางฟุต — ใหญ่เทียบเท่าโรงงาน SK Hynix หรือ Samsung ในเกาหลีใต้เลย

    เป้าหมายคือภายใน 20 ปีข้างหน้า Micron จะลงทุนรวม $200,000 ล้าน (ประมาณ 7.3 ล้านล้านบาท) ในการตั้งโรงงาน DRAM, สร้างแพ็กกิ้ง HBM ในเวอร์จิเนีย และขยาย R&D อย่างจริงจัง เพื่อให้สหรัฐฯ มีกำลังผลิต DRAM “อย่างน้อย 40%” อยู่ภายในประเทศ

    แผนนี้จะสร้างงานกว่า 90,000 ตำแหน่ง และทำให้สหรัฐฯ มีศูนย์กลางการผลิตหน่วยความจำแข่งกับเกาหลี–ญี่ปุ่น–ไต้หวันมากขึ้น โดยได้แรงหนุนจาก CHIPS Act และเครดิตภาษีอีกมาก

    แต่ในทางกลับกัน แม้ DRAM จะมีแผนลงหลักปักฐานในอเมริกาแล้ว — Micron ยังไม่ประกาศว่าจะย้ายการผลิต NAND มาในประเทศแต่อย่างใด ทำให้ “ศูนย์ถ่วงการผลิตแฟลช” อาจยังอยู่ที่เอเชียอีกนาน

    Micron ประกาศลงทุน $200,000 ล้านในสหรัฐฯ ตลอด 20 ปีข้างหน้า  
    • แบ่งเป็น $150B สำหรับผลิต DRAM และ $50B สำหรับงานวิจัย (R&D)  
    • ได้รับแรงหนุนจาก CHIPS Act และเครดิตภาษีอีกมากมาย

    แผนประกอบด้วย:  
    • โรงงาน DRAM 2 แห่งใน Idaho  
    • โรงงาน DRAM 4 แห่งในนิวยอร์ก (Clay, NY)  
    • ส่วนแพ็กกิ้ง HBM (เช่น HBM5/6) ในเวอร์จิเนีย (Manassas)  
    • ตั้งเป้าผลิต DRAM ในสหรัฐฯ 40% ภายใน 10 ปี

    ID1 (โรงงานแรกในไอดาโฮ) จะเริ่มเดินสายการผลิตช่วงครึ่งหลังปี 2027  
    • มี cleanroom ขนาด 600,000 ตร.ฟุต (ใหญ่พอ ๆ กับ Samsung/Hynix)  
    • ID2 จะสร้างติดกัน เพื่อใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน

    โรงงานในนิวยอร์กอยู่ระหว่างรอผลประเมินสิ่งแวดล้อม (EIA)  
    • คาดว่าเริ่มถมที่ปลายปี 2025

    Manassas, VA จะถูกอัปเกรดให้แพ็กกิ้ง HBM ได้เองในประเทศ  
    • แต่จะเริ่มหลังจากที่ DRAM แผ่นเวเฟอร์ในอเมริกาเพียงพอก่อน

    คาดว่าจะมีการจ้างงาน ~90,000 ตำแหน่ง (ตรง + อ้อม)  
    • ทั้งในสายงานวิศวกรรม, ก่อสร้าง, บริการ และ supply chain

    ตั้งเป้าให้ DRAM จากอเมริกาใช้ในระบบสำคัญ เช่น AI, คลาวด์, เซิร์ฟเวอร์ และอุปกรณ์เชิงยุทธศาสตร์

    https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/micron-details-new-u-s-fab-projects-idaho-fab-1-comes-online-in-2h-2027-new-york-fabs-come-later-hbm-assembly-in-the-u-s
    ใครเคยคิดว่า “โรงงานผลิตแรม” จะมีขนาดใหญ่เท่าศูนย์ประชุม! Micron เปิดเผยว่าโรงงาน ID1 ที่ Boise, Idaho ซึ่งเป็นแห่งแรกในชุดนี้ กำลังสร้าง cleanroom ขนาด 600,000 ตารางฟุต — ใหญ่เทียบเท่าโรงงาน SK Hynix หรือ Samsung ในเกาหลีใต้เลย เป้าหมายคือภายใน 20 ปีข้างหน้า Micron จะลงทุนรวม $200,000 ล้าน (ประมาณ 7.3 ล้านล้านบาท) ในการตั้งโรงงาน DRAM, สร้างแพ็กกิ้ง HBM ในเวอร์จิเนีย และขยาย R&D อย่างจริงจัง เพื่อให้สหรัฐฯ มีกำลังผลิต DRAM “อย่างน้อย 40%” อยู่ภายในประเทศ แผนนี้จะสร้างงานกว่า 90,000 ตำแหน่ง และทำให้สหรัฐฯ มีศูนย์กลางการผลิตหน่วยความจำแข่งกับเกาหลี–ญี่ปุ่น–ไต้หวันมากขึ้น โดยได้แรงหนุนจาก CHIPS Act และเครดิตภาษีอีกมาก แต่ในทางกลับกัน แม้ DRAM จะมีแผนลงหลักปักฐานในอเมริกาแล้ว — Micron ยังไม่ประกาศว่าจะย้ายการผลิต NAND มาในประเทศแต่อย่างใด ทำให้ “ศูนย์ถ่วงการผลิตแฟลช” อาจยังอยู่ที่เอเชียอีกนาน ✅ Micron ประกาศลงทุน $200,000 ล้านในสหรัฐฯ ตลอด 20 ปีข้างหน้า   • แบ่งเป็น $150B สำหรับผลิต DRAM และ $50B สำหรับงานวิจัย (R&D)   • ได้รับแรงหนุนจาก CHIPS Act และเครดิตภาษีอีกมากมาย ✅ แผนประกอบด้วย:   • โรงงาน DRAM 2 แห่งใน Idaho   • โรงงาน DRAM 4 แห่งในนิวยอร์ก (Clay, NY)   • ส่วนแพ็กกิ้ง HBM (เช่น HBM5/6) ในเวอร์จิเนีย (Manassas)   • ตั้งเป้าผลิต DRAM ในสหรัฐฯ 40% ภายใน 10 ปี ✅ ID1 (โรงงานแรกในไอดาโฮ) จะเริ่มเดินสายการผลิตช่วงครึ่งหลังปี 2027   • มี cleanroom ขนาด 600,000 ตร.ฟุต (ใหญ่พอ ๆ กับ Samsung/Hynix)   • ID2 จะสร้างติดกัน เพื่อใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน ✅ โรงงานในนิวยอร์กอยู่ระหว่างรอผลประเมินสิ่งแวดล้อม (EIA)   • คาดว่าเริ่มถมที่ปลายปี 2025 ✅ Manassas, VA จะถูกอัปเกรดให้แพ็กกิ้ง HBM ได้เองในประเทศ   • แต่จะเริ่มหลังจากที่ DRAM แผ่นเวเฟอร์ในอเมริกาเพียงพอก่อน ✅ คาดว่าจะมีการจ้างงาน ~90,000 ตำแหน่ง (ตรง + อ้อม)   • ทั้งในสายงานวิศวกรรม, ก่อสร้าง, บริการ และ supply chain ✅ ตั้งเป้าให้ DRAM จากอเมริกาใช้ในระบบสำคัญ เช่น AI, คลาวด์, เซิร์ฟเวอร์ และอุปกรณ์เชิงยุทธศาสตร์ https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/micron-details-new-u-s-fab-projects-idaho-fab-1-comes-online-in-2h-2027-new-york-fabs-come-later-hbm-assembly-in-the-u-s
    0 Comments 0 Shares 367 Views 0 Reviews
  • Carnegie Mellon (CMU) เป็นสถาบันระดับโลกด้าน Computer Science ที่ผลิตยอดฝีมือเข้าสู่วงการมาตลอด แต่ปีนี้อาจารย์ต้องนัด retreat กันกลางซัมเมอร์ — เพื่อ “ทบทวนหลักสูตรทั้งระบบ” หลัง Generative AI เข้ามาเขย่าทุกวิชา

    เพราะเดี๋ยวนี้ AI อย่าง Copilot, Claude หรือ Gemini สามารถ:
    - เขียนโค้ดแทนเด็กปี 1 ได้ทั้งยวง
    - ทำ code review, debug, อธิบาย flow ได้ในไม่กี่วินาที
    - ใช้ prompt ภาษาอังกฤษแทนภาษาคอมพิวเตอร์

    แต่ปัญหาคือ — “เด็กไม่เข้าใจว่ามันทำงานยังไง” → พอถึงเวลาที่โค้ดพัง หรือต้องทำของใหม่จากศูนย์ กลับไม่มีใครซ่อมเองได้!

    ดังนั้นหลายมหาวิทยาลัยเริ่มหาทางออก เช่น:
    - ลดการสอน syntax ภาษาโปรแกรม → ไปเน้น “ความคิดเชิงคอมพิวเตอร์” (computational thinking)
    - ปรับวิชาให้ข้ามศาสตร์ เช่น สร้างวิชาร่วมระหว่าง AI กับการตลาด, การแพทย์, การออกแบบ
    - สร้างความรู้ด้าน “AI literacy” — เพื่อให้เด็กรู้ว่าใช้ AI อย่างไรให้ถูกจรรยาบรรณ
    - เปิดโครงการระดับชาติ เช่น “Level Up AI” ของ US ที่เชิญวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยทั่วประเทศมาสร้างมาตรฐานร่วมกัน

    ข้อเท็จจริงที่น่าเจ็บปวดกว่าคือ... ตลาดแรงงานเปลี่ยนเร็วยิ่งกว่า:
    - งานเขียนโค้ดระดับพื้นฐานเริ่มถูก AI แย่ง → คนจบใหม่ถูกปัดตกบ่อย
    - ต้องส่งใบสมัครมากกว่า 100–200 แห่งกว่าจะได้สัมภาษณ์
    - บริษัทเทคส่วนใหญ่หดการจ้างงานตั้งแต่ช่วง post-pandemic แล้ว

    นักศึกษาบางคนปรับตัวโดยต่อยอดตนเองให้เก่งข้ามศาสตร์ เช่น เรียน Political Science ควบกับ Cybersecurity เพื่อทำงานด้านความมั่นคง/ข่าวกรองได้ในอนาคต

    สุดท้ายอาจไม่ใช่ว่า “งานโปรแกรมเมอร์หายไป” แต่โลกต้องการ “คนที่ใช้ AI สร้างโค้ดได้โดยเข้าใจมันจริง ๆ” มากกว่า

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/01/how-do-you-teach-computer-science-in-the-ai-era
    Carnegie Mellon (CMU) เป็นสถาบันระดับโลกด้าน Computer Science ที่ผลิตยอดฝีมือเข้าสู่วงการมาตลอด แต่ปีนี้อาจารย์ต้องนัด retreat กันกลางซัมเมอร์ — เพื่อ “ทบทวนหลักสูตรทั้งระบบ” หลัง Generative AI เข้ามาเขย่าทุกวิชา เพราะเดี๋ยวนี้ AI อย่าง Copilot, Claude หรือ Gemini สามารถ: - เขียนโค้ดแทนเด็กปี 1 ได้ทั้งยวง - ทำ code review, debug, อธิบาย flow ได้ในไม่กี่วินาที - ใช้ prompt ภาษาอังกฤษแทนภาษาคอมพิวเตอร์ แต่ปัญหาคือ — “เด็กไม่เข้าใจว่ามันทำงานยังไง” → พอถึงเวลาที่โค้ดพัง หรือต้องทำของใหม่จากศูนย์ กลับไม่มีใครซ่อมเองได้! ดังนั้นหลายมหาวิทยาลัยเริ่มหาทางออก เช่น: - ลดการสอน syntax ภาษาโปรแกรม → ไปเน้น “ความคิดเชิงคอมพิวเตอร์” (computational thinking) - ปรับวิชาให้ข้ามศาสตร์ เช่น สร้างวิชาร่วมระหว่าง AI กับการตลาด, การแพทย์, การออกแบบ - สร้างความรู้ด้าน “AI literacy” — เพื่อให้เด็กรู้ว่าใช้ AI อย่างไรให้ถูกจรรยาบรรณ - เปิดโครงการระดับชาติ เช่น “Level Up AI” ของ US ที่เชิญวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยทั่วประเทศมาสร้างมาตรฐานร่วมกัน ข้อเท็จจริงที่น่าเจ็บปวดกว่าคือ... ตลาดแรงงานเปลี่ยนเร็วยิ่งกว่า: - งานเขียนโค้ดระดับพื้นฐานเริ่มถูก AI แย่ง → คนจบใหม่ถูกปัดตกบ่อย - ต้องส่งใบสมัครมากกว่า 100–200 แห่งกว่าจะได้สัมภาษณ์ - บริษัทเทคส่วนใหญ่หดการจ้างงานตั้งแต่ช่วง post-pandemic แล้ว นักศึกษาบางคนปรับตัวโดยต่อยอดตนเองให้เก่งข้ามศาสตร์ เช่น เรียน Political Science ควบกับ Cybersecurity เพื่อทำงานด้านความมั่นคง/ข่าวกรองได้ในอนาคต สุดท้ายอาจไม่ใช่ว่า “งานโปรแกรมเมอร์หายไป” แต่โลกต้องการ “คนที่ใช้ AI สร้างโค้ดได้โดยเข้าใจมันจริง ๆ” มากกว่า https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/01/how-do-you-teach-computer-science-in-the-ai-era
    WWW.THESTAR.COM.MY
    How do you teach computer science in the AI era?
    Universities across the United States are scrambling to understand the implications of generative AI's transformation of technology.
    0 Comments 0 Shares 333 Views 0 Reviews
  • สื่อกัมพูชา "คีรี โพสต์" แฉเองว่า ตลาดแรงงานในกัมพูชายังไม่พร้อมรับแรงงานที่ทะลักจากไทย แถมแนวโน้มการจ้างงานในอุตฯ สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม รองเท้า ที่เคยเฟื่อง ก็ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีทรัมป์ นายฮุนมาเนตกล้าหลอกใช้แรงงานกัมพูชา เพื่อตอบโต้ไทยเท่านั้น
    #คิงส์โพธิ์แดง
    สื่อกัมพูชา "คีรี โพสต์" แฉเองว่า ตลาดแรงงานในกัมพูชายังไม่พร้อมรับแรงงานที่ทะลักจากไทย แถมแนวโน้มการจ้างงานในอุตฯ สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม รองเท้า ที่เคยเฟื่อง ก็ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีทรัมป์ นายฮุนมาเนตกล้าหลอกใช้แรงงานกัมพูชา เพื่อตอบโต้ไทยเท่านั้น #คิงส์โพธิ์แดง
    0 Comments 0 Shares 344 Views 0 Reviews
  • Foxconn เริ่มเตรียมใช้ “หุ่นยนต์หน้าคล้ายมนุษย์” เพื่อทำงานประกอบชิ้นส่วนในโรงงานผลิต AI Server ของ NVIDIA โดยเฉพาะรุ่น GB300 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเซิร์ฟเวอร์ AI ตัวแรงของอนาคต โดยแหล่งข่าววงในบอกว่า หุ่นยนต์จะเริ่มทำงานจริงต้นปี 2026 ที่โรงงานในเมืองฮิวสตัน ซึ่งมีพื้นที่กว้างและเหมาะกับการทดลองระบบอัตโนมัติแบบใหม่

    แม้ตอนนี้ Foxconn เคยทดลองใช้หุ่นยนต์จากบริษัทจีนชื่อ UBTech อยู่บ้าง แต่โปรเจกต์นี้ Foxconn จะร่วมพัฒนาหุ่นยนต์กับ NVIDIA เอง ไม่ใช่แค่ซื้อมาจากเจ้าอื่น

    หุ่นยนต์มีอยู่ 2 แบบ:
    - ตัวหนึ่งใช้ “ขา” เดินได้เหมือนคน
    - อีกตัวเป็น “หุ่นยนต์ติดล้อ” (wheeled AMR) แบบที่ต้นทุนถูกกว่า

    ทั้งสองแบบจะถูกโชว์ในเดือนพฤศจิกายนนี้ และคาดว่าจะนำมาช่วยงาน หยิบวัตถุ, เสียบสาย, ประกอบชิ้นส่วน แทนคน ซึ่งยังไม่มีใครยืนยันว่าจะส่งผลกับการจ้างงานแค่ไหน

    NVIDIA เองก็ไม่ธรรมดา เพราะ Jensen Huang เคยบอกว่า "หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์จะถูกใช้งานจริงในอุตสาหกรรมภายใน 5 ปีนี้" — และดูเหมือนว่าเขากำลังทำให้คำนั้นเป็นจริงก่อนใคร

    https://www.neowin.net/news/nvidia-and-foxconn-planning-to-deploy-humanoid-robots-within-months/
    Foxconn เริ่มเตรียมใช้ “หุ่นยนต์หน้าคล้ายมนุษย์” เพื่อทำงานประกอบชิ้นส่วนในโรงงานผลิต AI Server ของ NVIDIA โดยเฉพาะรุ่น GB300 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเซิร์ฟเวอร์ AI ตัวแรงของอนาคต โดยแหล่งข่าววงในบอกว่า หุ่นยนต์จะเริ่มทำงานจริงต้นปี 2026 ที่โรงงานในเมืองฮิวสตัน ซึ่งมีพื้นที่กว้างและเหมาะกับการทดลองระบบอัตโนมัติแบบใหม่ แม้ตอนนี้ Foxconn เคยทดลองใช้หุ่นยนต์จากบริษัทจีนชื่อ UBTech อยู่บ้าง แต่โปรเจกต์นี้ Foxconn จะร่วมพัฒนาหุ่นยนต์กับ NVIDIA เอง ไม่ใช่แค่ซื้อมาจากเจ้าอื่น หุ่นยนต์มีอยู่ 2 แบบ: - ตัวหนึ่งใช้ “ขา” เดินได้เหมือนคน - อีกตัวเป็น “หุ่นยนต์ติดล้อ” (wheeled AMR) แบบที่ต้นทุนถูกกว่า ทั้งสองแบบจะถูกโชว์ในเดือนพฤศจิกายนนี้ และคาดว่าจะนำมาช่วยงาน หยิบวัตถุ, เสียบสาย, ประกอบชิ้นส่วน แทนคน ซึ่งยังไม่มีใครยืนยันว่าจะส่งผลกับการจ้างงานแค่ไหน NVIDIA เองก็ไม่ธรรมดา เพราะ Jensen Huang เคยบอกว่า "หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์จะถูกใช้งานจริงในอุตสาหกรรมภายใน 5 ปีนี้" — และดูเหมือนว่าเขากำลังทำให้คำนั้นเป็นจริงก่อนใคร https://www.neowin.net/news/nvidia-and-foxconn-planning-to-deploy-humanoid-robots-within-months/
    WWW.NEOWIN.NET
    Nvidia and Foxconn planning to deploy humanoid robots within months
    Nvidia and Foxconn are in talks to have humanoid robots work on factory lines producing AI server hardware for Nvidia. It poses questions for the future of factory jobs.
    0 Comments 0 Shares 199 Views 0 Reviews
  • AI กับอนาคตของงาน: มุมมองที่แตกต่าง
    Jensen Huang และ Dario Amodei มีมุมมองที่แตกต่างกันเกี่ยวกับผลกระทบของ AI ต่อการจ้างงาน โดยเฉพาะงานระดับเริ่มต้นในสายงานปกขาว

    มุมมองของ Dario Amodei
    - Amodei เตือนว่า AI อาจทำให้ งานระดับเริ่มต้นในสายงานปกขาวหายไปถึง 50% ในอีก 5 ปีข้างหน้า
    - เขาคาดการณ์ว่า อัตราการว่างงานอาจเพิ่มขึ้นถึง 20% เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงาน
    - เขาเสนอให้มี มาตรฐานความโปร่งใสระดับประเทศ เพื่อให้ประชาชนและผู้กำหนดนโยบายเข้าใจความสามารถและความเสี่ยงของ AI

    มุมมองของ Jensen Huang
    - Huang ไม่เห็นด้วยกับคำเตือนของ Amodei และมองว่า AI จะสร้างงานใหม่ เช่น วิศวกรด้าน AI และผู้เชี่ยวชาญด้านการตั้งค่าระบบ
    - เขาเชื่อว่า การเรียนรู้ทักษะด้านโปรแกรมมิ่งจะมีความสำคัญน้อยลง และควรเน้นไปที่ทักษะอื่น เช่น ชีววิทยา การศึกษา การผลิต และเกษตรกรรม
    - Huang เน้นว่า AI ควรพัฒนาอย่างเปิดเผย ไม่ใช่ในลักษณะที่ปิดกั้นโดยบริษัทใดบริษัทหนึ่ง

    ข้อควรระวัง
    - การเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานอาจเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาด ทำให้บางอาชีพหายไปก่อนที่ระบบเศรษฐกิจจะปรับตัวทัน
    - Universal Basic Income (UBI) อาจไม่ใช่ทางออกที่ดี เพราะ Amodei มองว่าเป็นแนวคิดที่ "ดิสโทเปีย" และไม่ใช่โลกที่เราควรตั้งเป้าหมายไว้
    - การพัฒนา AI อย่างรวดเร็วอาจทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ ระหว่างผู้ที่สามารถปรับตัวได้กับผู้ที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

    ข้อพิพาทระหว่าง Nvidia และ Anthropic
    ความขัดแย้งเกี่ยวกับการควบคุม AI
    - Anthropic สนับสนุน กฎควบคุมการส่งออกเทคโนโลยี AI ไปยังประเทศต่างๆ เช่น จีน
    - Nvidia โต้แย้งว่า ชิปของบริษัทไม่เคยถูกลักลอบนำเข้าจีน ผ่านวิธีแปลกๆ เช่น ซ่อนในท้องปลาหรือพุงปลอมของหญิงตั้งครรภ์

    ข้อควรระวังเกี่ยวกับการควบคุม AI
    - การควบคุมที่เข้มงวดอาจทำให้เกิดการลักลอบนำเข้าเทคโนโลยี ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นคงระดับโลก
    - การพัฒนา AI ในลักษณะที่ปิดกั้นอาจทำให้เกิดการผูกขาด และลดโอกาสในการแข่งขันของบริษัทอื่นๆ
    - ต้องมีการกำหนดมาตรฐานที่ชัดเจน เพื่อให้ AI ถูกพัฒนาอย่างปลอดภัยและมีความรับผิดชอบ

    แนวโน้มของ AI และตลาดแรงงาน
    โอกาสใหม่ที่เกิดขึ้น
    - AI อาจช่วยให้เกิด อาชีพใหม่ที่ยังไม่เคยมีมาก่อน เช่น นักออกแบบการโต้ตอบกับ AI
    - การใช้ AI ในภาคการศึกษาอาจช่วยให้ นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    - AI อาจช่วยให้ การผลิตและเกษตรกรรมมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต

    ข้อควรระวังเกี่ยวกับอนาคตของ AI
    - ต้องมีการพัฒนา AI อย่างมีจริยธรรม เพื่อป้องกันการใช้งานในทางที่ผิด
    - ต้องมีการเตรียมความพร้อมของแรงงาน เพื่อให้สามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาด
    - ต้องมีการกำหนดนโยบายที่ชัดเจน เพื่อให้ AI ถูกนำมาใช้ในทางที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม

    https://www.techspot.com/news/108317-jensen-huang-hits-back-anthropic-ceo-warning-ai.html
    🤖 AI กับอนาคตของงาน: มุมมองที่แตกต่าง Jensen Huang และ Dario Amodei มีมุมมองที่แตกต่างกันเกี่ยวกับผลกระทบของ AI ต่อการจ้างงาน โดยเฉพาะงานระดับเริ่มต้นในสายงานปกขาว ✅ มุมมองของ Dario Amodei - Amodei เตือนว่า AI อาจทำให้ งานระดับเริ่มต้นในสายงานปกขาวหายไปถึง 50% ในอีก 5 ปีข้างหน้า - เขาคาดการณ์ว่า อัตราการว่างงานอาจเพิ่มขึ้นถึง 20% เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงาน - เขาเสนอให้มี มาตรฐานความโปร่งใสระดับประเทศ เพื่อให้ประชาชนและผู้กำหนดนโยบายเข้าใจความสามารถและความเสี่ยงของ AI ✅ มุมมองของ Jensen Huang - Huang ไม่เห็นด้วยกับคำเตือนของ Amodei และมองว่า AI จะสร้างงานใหม่ เช่น วิศวกรด้าน AI และผู้เชี่ยวชาญด้านการตั้งค่าระบบ - เขาเชื่อว่า การเรียนรู้ทักษะด้านโปรแกรมมิ่งจะมีความสำคัญน้อยลง และควรเน้นไปที่ทักษะอื่น เช่น ชีววิทยา การศึกษา การผลิต และเกษตรกรรม - Huang เน้นว่า AI ควรพัฒนาอย่างเปิดเผย ไม่ใช่ในลักษณะที่ปิดกั้นโดยบริษัทใดบริษัทหนึ่ง ‼️ ข้อควรระวัง - การเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานอาจเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาด ทำให้บางอาชีพหายไปก่อนที่ระบบเศรษฐกิจจะปรับตัวทัน - Universal Basic Income (UBI) อาจไม่ใช่ทางออกที่ดี เพราะ Amodei มองว่าเป็นแนวคิดที่ "ดิสโทเปีย" และไม่ใช่โลกที่เราควรตั้งเป้าหมายไว้ - การพัฒนา AI อย่างรวดเร็วอาจทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ ระหว่างผู้ที่สามารถปรับตัวได้กับผู้ที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง 🔍 ข้อพิพาทระหว่าง Nvidia และ Anthropic ✅ ความขัดแย้งเกี่ยวกับการควบคุม AI - Anthropic สนับสนุน กฎควบคุมการส่งออกเทคโนโลยี AI ไปยังประเทศต่างๆ เช่น จีน - Nvidia โต้แย้งว่า ชิปของบริษัทไม่เคยถูกลักลอบนำเข้าจีน ผ่านวิธีแปลกๆ เช่น ซ่อนในท้องปลาหรือพุงปลอมของหญิงตั้งครรภ์ ‼️ ข้อควรระวังเกี่ยวกับการควบคุม AI - การควบคุมที่เข้มงวดอาจทำให้เกิดการลักลอบนำเข้าเทคโนโลยี ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นคงระดับโลก - การพัฒนา AI ในลักษณะที่ปิดกั้นอาจทำให้เกิดการผูกขาด และลดโอกาสในการแข่งขันของบริษัทอื่นๆ - ต้องมีการกำหนดมาตรฐานที่ชัดเจน เพื่อให้ AI ถูกพัฒนาอย่างปลอดภัยและมีความรับผิดชอบ 🌍 แนวโน้มของ AI และตลาดแรงงาน ✅ โอกาสใหม่ที่เกิดขึ้น - AI อาจช่วยให้เกิด อาชีพใหม่ที่ยังไม่เคยมีมาก่อน เช่น นักออกแบบการโต้ตอบกับ AI - การใช้ AI ในภาคการศึกษาอาจช่วยให้ นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น - AI อาจช่วยให้ การผลิตและเกษตรกรรมมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต ‼️ ข้อควรระวังเกี่ยวกับอนาคตของ AI - ต้องมีการพัฒนา AI อย่างมีจริยธรรม เพื่อป้องกันการใช้งานในทางที่ผิด - ต้องมีการเตรียมความพร้อมของแรงงาน เพื่อให้สามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาด - ต้องมีการกำหนดนโยบายที่ชัดเจน เพื่อให้ AI ถูกนำมาใช้ในทางที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม https://www.techspot.com/news/108317-jensen-huang-hits-back-anthropic-ceo-warning-ai.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Jensen Huang hits back at Anthropic CEO's warning that AI will eliminate half of white-collar jobs
    Amodei made his ominous prediction about AI's impact on entry-level, white-collar jobs in May, warning that the eradication of these positions will lead to unemployment spikes of 20%.
    0 Comments 0 Shares 309 Views 0 Reviews
  • ประเทศไทย ต้องมี!! : [Biz Talk]

    รัฐบาลเพื่อไทย ผลักดัน ‘Entertainment Complex’เต็มกำลัง ระบุเป็นโอกาสประเทศที่ไม่ควรเสีย ดึงเม็ดเงินจากการท่องเที่ยวมหาศาล เกิดการจ้างงานจำนวนมาก ย้ำชัด ไม่ใช่การพนันออนไลน์ มีกฎหมายควบคุม ‘กาสิโน’ มั่นใจร่าง พ.ร.บ.ฯผ่านสภาทันรัฐบาลชุดนี้
    ประเทศไทย ต้องมี!! : [Biz Talk] รัฐบาลเพื่อไทย ผลักดัน ‘Entertainment Complex’เต็มกำลัง ระบุเป็นโอกาสประเทศที่ไม่ควรเสีย ดึงเม็ดเงินจากการท่องเที่ยวมหาศาล เกิดการจ้างงานจำนวนมาก ย้ำชัด ไม่ใช่การพนันออนไลน์ มีกฎหมายควบคุม ‘กาสิโน’ มั่นใจร่าง พ.ร.บ.ฯผ่านสภาทันรัฐบาลชุดนี้
    Like
    Haha
    5
    0 Comments 0 Shares 632 Views 37 0 Reviews
  • Amazon ลงทุน 20 พันล้านดอลลาร์ สร้างศูนย์ข้อมูล AI ในเพนซิลเวเนีย
    Amazon Web Services (AWS) ประกาศแผนลงทุนอย่างน้อย 20 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสร้าง ศูนย์ข้อมูล AI และคลาวด์คอมพิวติ้ง ในรัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งถือเป็น การลงทุนภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของรัฐ

    AWS จะสร้าง AI campuses ใน Salem Township และ Falls Township โดยมีแผนขยายเพิ่มเติม ซึ่งอาจทำให้ มูลค่าการลงทุนสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้

    ข้อมูลจากข่าว
    - Amazon ลงทุน 20 พันล้านดอลลาร์ในศูนย์ข้อมูล AI และคลาวด์คอมพิวติ้งในเพนซิลเวเนีย
    - โครงการนี้จะสร้างงาน IT อย่างน้อย 1,250 ตำแหน่ง พร้อมงานก่อสร้างและบำรุงรักษาอีกหลายพันตำแหน่ง
    - รัฐเพนซิลเวเนียทำงานร่วมกับ Amazon และผู้นำท้องถิ่นเพื่อสรุปข้อตกลงนี้
    - Governor Josh Shapiro ระบุว่าโครงการนี้จะช่วยให้รัฐมีบทบาทสำคัญในการพัฒนา AI ขั้นสูง
    - Amazon ลงทุนในเพนซิลเวเนียมากกว่า 26 พันล้านดอลลาร์ตั้งแต่ปี 2010

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI และเศรษฐกิจ
    การลงทุนครั้งนี้ ช่วยให้สหรัฐฯ รักษาความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม AI และ เพิ่มโอกาสการจ้างงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้โครงการนี้จะสร้างงานจำนวนมาก แต่ต้องติดตามว่าผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจะเป็นอย่างไร
    - Amazon อาจได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากรัฐ ซึ่งอาจส่งผลต่อรายได้ของรัฐบาลท้องถิ่น
    - ต้องติดตามว่าโครงการนี้จะช่วยให้เพนซิลเวเนียกลายเป็นศูนย์กลาง AI ระดับโลกหรือไม่
    - การพัฒนา AI ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยและการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล

    Amazon มุ่งเน้น การพัฒนา AI และโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ เพื่อรองรับ บริการ AI ขั้นสูง เช่น Generative AI และ Machine Learning อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการลงทุนนี้จะส่งผลต่อการแข่งขันในตลาด AI อย่างไร

    https://www.techspot.com/news/108276-amazon-invest-20-billion-ai-data-centers-across.html
    🏗️ Amazon ลงทุน 20 พันล้านดอลลาร์ สร้างศูนย์ข้อมูล AI ในเพนซิลเวเนีย Amazon Web Services (AWS) ประกาศแผนลงทุนอย่างน้อย 20 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสร้าง ศูนย์ข้อมูล AI และคลาวด์คอมพิวติ้ง ในรัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งถือเป็น การลงทุนภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของรัฐ AWS จะสร้าง AI campuses ใน Salem Township และ Falls Township โดยมีแผนขยายเพิ่มเติม ซึ่งอาจทำให้ มูลค่าการลงทุนสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Amazon ลงทุน 20 พันล้านดอลลาร์ในศูนย์ข้อมูล AI และคลาวด์คอมพิวติ้งในเพนซิลเวเนีย - โครงการนี้จะสร้างงาน IT อย่างน้อย 1,250 ตำแหน่ง พร้อมงานก่อสร้างและบำรุงรักษาอีกหลายพันตำแหน่ง - รัฐเพนซิลเวเนียทำงานร่วมกับ Amazon และผู้นำท้องถิ่นเพื่อสรุปข้อตกลงนี้ - Governor Josh Shapiro ระบุว่าโครงการนี้จะช่วยให้รัฐมีบทบาทสำคัญในการพัฒนา AI ขั้นสูง - Amazon ลงทุนในเพนซิลเวเนียมากกว่า 26 พันล้านดอลลาร์ตั้งแต่ปี 2010 🔥 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม AI และเศรษฐกิจ การลงทุนครั้งนี้ ช่วยให้สหรัฐฯ รักษาความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม AI และ เพิ่มโอกาสการจ้างงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้โครงการนี้จะสร้างงานจำนวนมาก แต่ต้องติดตามว่าผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจะเป็นอย่างไร - Amazon อาจได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากรัฐ ซึ่งอาจส่งผลต่อรายได้ของรัฐบาลท้องถิ่น - ต้องติดตามว่าโครงการนี้จะช่วยให้เพนซิลเวเนียกลายเป็นศูนย์กลาง AI ระดับโลกหรือไม่ - การพัฒนา AI ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยและการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล Amazon มุ่งเน้น การพัฒนา AI และโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ เพื่อรองรับ บริการ AI ขั้นสูง เช่น Generative AI และ Machine Learning อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการลงทุนนี้จะส่งผลต่อการแข่งขันในตลาด AI อย่างไร https://www.techspot.com/news/108276-amazon-invest-20-billion-ai-data-centers-across.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Amazon to invest $20 billion in AI data centers across Pennsylvania
    Amazon has announced plans to invest at least $20 billion in new cloud computing facilities across Pennsylvania. The tech giant, founded by Jeff Bezos, says the move...
    0 Comments 0 Shares 198 Views 0 Reviews
  • อัตราว่างงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5
    รายงานล่าสุดจาก Janco Associates ระบุว่า อัตราว่างงานของผู้เชี่ยวชาญด้าน IT ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 5.5% ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ และเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5

    สาเหตุของการเพิ่มขึ้นของอัตราว่างงาน
    การเติบโตของ AI และระบบอัตโนมัติ ส่งผลให้ ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นในอุตสาหกรรม IT ลดลง โดยเฉพาะใน ภาคโทรคมนาคม, การรายงานข้อมูล และการสนับสนุนด้านเทคนิค

    ข้อมูลจากข่าว
    - อัตราว่างงานของผู้เชี่ยวชาญด้าน IT ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 5.5% ในเดือนพฤษภาคม
    - ตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับ AI, Blockchain และ Omnichannel Commerce ยังคงมีความต้องการสูง
    - ตำแหน่งงานที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือในภาคโทรคมนาคมและการรายงานข้อมูล
    - ผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะ "Legacy" ในเมืองเล็ก เช่น Nashville และ Tulsa ได้รับผลกระทบมากกว่าผู้ที่อยู่ในเมืองใหญ่ เช่น New York และ Dallas
    - AI ถูกใช้แทนพนักงานในงานด้านการรายงานและการตรวจสอบข้อมูล

    ผลกระทบของ AI ต่อการจ้างงาน
    แม้ว่าผู้บริหารหลายคนจะกล่าวว่า AI มีไว้เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ไม่ใช่แทนที่พนักงาน แต่ในทางปฏิบัติ AI ได้เข้ามาแทนที่งานระดับเริ่มต้นจำนวนมาก

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - AI อาจทำให้ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นในอุตสาหกรรม IT ลดลงอย่างต่อเนื่อง
    - บริษัทต่าง ๆ กำลังใช้ AI เพื่อแทนที่พนักงานในงานที่เกี่ยวข้องกับการรายงานและการตรวจสอบข้อมูล
    - Sebastian Siemiatkowski ซีอีโอของ Klarna เชื่อว่า AI อาจทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
    - Dario Amodei ซีอีโอของ Anthropic คาดการณ์ว่า AI อาจทำให้ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นหายไปถึง 50% ในอีก 5 ปีข้างหน้า

    แม้ว่าตำแหน่งงานบางประเภทจะลดลง แต่ความต้องการผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ยังคงเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อเศรษฐกิจและตลาดแรงงานในระยะยาวอย่างไร

    https://www.techspot.com/news/108275-us-unemployment-rate-climbs-fifth-consecutive-month-55.html
    📉 อัตราว่างงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 รายงานล่าสุดจาก Janco Associates ระบุว่า อัตราว่างงานของผู้เชี่ยวชาญด้าน IT ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 5.5% ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ และเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 🔍 สาเหตุของการเพิ่มขึ้นของอัตราว่างงาน การเติบโตของ AI และระบบอัตโนมัติ ส่งผลให้ ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นในอุตสาหกรรม IT ลดลง โดยเฉพาะใน ภาคโทรคมนาคม, การรายงานข้อมูล และการสนับสนุนด้านเทคนิค ✅ ข้อมูลจากข่าว - อัตราว่างงานของผู้เชี่ยวชาญด้าน IT ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 5.5% ในเดือนพฤษภาคม - ตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับ AI, Blockchain และ Omnichannel Commerce ยังคงมีความต้องการสูง - ตำแหน่งงานที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือในภาคโทรคมนาคมและการรายงานข้อมูล - ผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะ "Legacy" ในเมืองเล็ก เช่น Nashville และ Tulsa ได้รับผลกระทบมากกว่าผู้ที่อยู่ในเมืองใหญ่ เช่น New York และ Dallas - AI ถูกใช้แทนพนักงานในงานด้านการรายงานและการตรวจสอบข้อมูล 🔥 ผลกระทบของ AI ต่อการจ้างงาน แม้ว่าผู้บริหารหลายคนจะกล่าวว่า AI มีไว้เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ไม่ใช่แทนที่พนักงาน แต่ในทางปฏิบัติ AI ได้เข้ามาแทนที่งานระดับเริ่มต้นจำนวนมาก ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - AI อาจทำให้ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นในอุตสาหกรรม IT ลดลงอย่างต่อเนื่อง - บริษัทต่าง ๆ กำลังใช้ AI เพื่อแทนที่พนักงานในงานที่เกี่ยวข้องกับการรายงานและการตรวจสอบข้อมูล - Sebastian Siemiatkowski ซีอีโอของ Klarna เชื่อว่า AI อาจทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย - Dario Amodei ซีอีโอของ Anthropic คาดการณ์ว่า AI อาจทำให้ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นหายไปถึง 50% ในอีก 5 ปีข้างหน้า แม้ว่าตำแหน่งงานบางประเภทจะลดลง แต่ความต้องการผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ยังคงเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อเศรษฐกิจและตลาดแรงงานในระยะยาวอย่างไร https://www.techspot.com/news/108275-us-unemployment-rate-climbs-fifth-consecutive-month-55.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Tech unemployment in the US climbs for fifth consecutive month to 5.5%, AI blamed for job losses
    The report, from IT management consulting company Janco, states that the unemployment rate for IT pros in the United States jumped 0.9% from 4.6% in April to 5.5% in May.
    0 Comments 0 Shares 242 Views 0 Reviews
  • Amazon ใช้ AI ปรับปรุงระบบคลังสินค้าและการจัดส่ง
    Amazon กำลังนำ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้เพื่อปรับปรุง ระบบคลังสินค้าและการจัดส่ง โดยเน้นการพัฒนา หุ่นยนต์อัจฉริยะ และ แผนที่นำทางสำหรับพนักงานส่งของ

    Amazon กำลังพัฒนา หุ่นยนต์คลังสินค้ารุ่นใหม่ ที่สามารถทำงานได้หลายอย่างพร้อมกัน เช่น ขนถ่ายสินค้าออกจากรถบรรทุก และนำชิ้นส่วนไปซ่อมแซม ซึ่งเป็นการก้าวกระโดดจากหุ่นยนต์รุ่นก่อนที่ทำงานได้เพียงอย่างเดียว

    เทคโนโลยีนี้ใช้ Agentic AI ซึ่งช่วยให้หุ่นยนต์สามารถ ตัดสินใจและดำเนินการได้เองโดยไม่ต้องมีคำสั่งจากมนุษย์ โดยคาดว่า จะช่วยลดของเสียและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน

    ข้อมูลจากข่าว
    - Amazon พัฒนา AI เพื่อปรับปรุงระบบคลังสินค้าและการจัดส่ง
    - หุ่นยนต์คลังสินค้ารุ่นใหม่สามารถทำงานได้หลายอย่างพร้อมกัน
    - ใช้ Agentic AI เพื่อให้หุ่นยนต์สามารถตัดสินใจและดำเนินการได้เอง
    - เทคโนโลยีนี้ช่วยลดของเสียและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน
    - Amazon ยังใช้ AI เพื่อสร้างแผนที่นำทางที่ละเอียดขึ้นสำหรับพนักงานส่งของ

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - ยังไม่มีข้อมูลว่าหุ่นยนต์เหล่านี้จะถูกนำมาใช้จริงเมื่อใด
    - ต้องติดตามว่าการใช้ AI ในคลังสินค้าจะส่งผลต่อการจ้างงานของพนักงานหรือไม่
    - การใช้ AI ในการนำทางอาจทำให้เกิดข้อกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของพนักงาน
    - Amazon อาจเผชิญกับข้อกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมข้อมูลที่ AI ใช้ในการตัดสินใจ

    การนำ AI มาใช้ในระบบคลังสินค้าและการจัดส่ง อาจช่วยให้ Amazon สามารถส่งสินค้าได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อพนักงานและกฎระเบียบด้านความปลอดภัยอย่างไร

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/05/amazon039s-delivery-and-logistics-will-get-an-ai-boost
    🚚 Amazon ใช้ AI ปรับปรุงระบบคลังสินค้าและการจัดส่ง Amazon กำลังนำ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้เพื่อปรับปรุง ระบบคลังสินค้าและการจัดส่ง โดยเน้นการพัฒนา หุ่นยนต์อัจฉริยะ และ แผนที่นำทางสำหรับพนักงานส่งของ Amazon กำลังพัฒนา หุ่นยนต์คลังสินค้ารุ่นใหม่ ที่สามารถทำงานได้หลายอย่างพร้อมกัน เช่น ขนถ่ายสินค้าออกจากรถบรรทุก และนำชิ้นส่วนไปซ่อมแซม ซึ่งเป็นการก้าวกระโดดจากหุ่นยนต์รุ่นก่อนที่ทำงานได้เพียงอย่างเดียว เทคโนโลยีนี้ใช้ Agentic AI ซึ่งช่วยให้หุ่นยนต์สามารถ ตัดสินใจและดำเนินการได้เองโดยไม่ต้องมีคำสั่งจากมนุษย์ โดยคาดว่า จะช่วยลดของเสียและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ✅ ข้อมูลจากข่าว - Amazon พัฒนา AI เพื่อปรับปรุงระบบคลังสินค้าและการจัดส่ง - หุ่นยนต์คลังสินค้ารุ่นใหม่สามารถทำงานได้หลายอย่างพร้อมกัน - ใช้ Agentic AI เพื่อให้หุ่นยนต์สามารถตัดสินใจและดำเนินการได้เอง - เทคโนโลยีนี้ช่วยลดของเสียและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน - Amazon ยังใช้ AI เพื่อสร้างแผนที่นำทางที่ละเอียดขึ้นสำหรับพนักงานส่งของ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - ยังไม่มีข้อมูลว่าหุ่นยนต์เหล่านี้จะถูกนำมาใช้จริงเมื่อใด - ต้องติดตามว่าการใช้ AI ในคลังสินค้าจะส่งผลต่อการจ้างงานของพนักงานหรือไม่ - การใช้ AI ในการนำทางอาจทำให้เกิดข้อกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของพนักงาน - Amazon อาจเผชิญกับข้อกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมข้อมูลที่ AI ใช้ในการตัดสินใจ การนำ AI มาใช้ในระบบคลังสินค้าและการจัดส่ง อาจช่วยให้ Amazon สามารถส่งสินค้าได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อพนักงานและกฎระเบียบด้านความปลอดภัยอย่างไร https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/05/amazon039s-delivery-and-logistics-will-get-an-ai-boost
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Amazon's delivery, logistics get an AI boost
    SUNNYVALE, Calif. (Reuters) -Amazon wants customers to know that artificial intelligence is not just for writing college essays.
    0 Comments 0 Shares 169 Views 0 Reviews
  • AI อาจช่วยค้นพบความรู้ใหม่ในอนาคต
    Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI กล่าวในงาน Snowflake Summit 2025 ว่า AI อาจช่วยมนุษย์ค้นพบความรู้ใหม่ โดยเฉพาะในกรณีที่ซับซ้อน เช่น การแก้ปัญหาทางธุรกิจที่ไม่สามารถแก้ไขได้ง่าย ๆ

    แม้ว่าการใช้ AI ในการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ยังคงถูกมองด้วยความสงสัย แต่ก็มีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า AI สามารถช่วยเร่งกระบวนการวิจัย เช่น

    Microsoft Discovery Platform ซึ่งใช้ AI ในการเร่งการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ สามารถค้นพบ สารเคมีใหม่สำหรับการระบายความร้อนของศูนย์ข้อมูล ภายใน 200 ชั่วโมง ซึ่งปกติใช้เวลาหลายปี

    OpenAI Codex ซึ่งช่วยนักพัฒนาเขียนและแก้ไขโค้ด โดย OpenAI ระบุว่า วิศวกรของบริษัทใช้ Codex เป็นประจำ

    ข้อมูลจากข่าว
    - Sam Altman ระบุว่า AI อาจช่วยมนุษย์ค้นพบความรู้ใหม่ในบางกรณี
    - AI สามารถช่วยแก้ปัญหาทางธุรกิจที่ซับซ้อน
    - Microsoft Discovery Platform ใช้ AI ค้นพบสารเคมีใหม่สำหรับการระบายความร้อนของศูนย์ข้อมูล
    - OpenAI Codex ช่วยนักพัฒนาเขียนและแก้ไขโค้ด
    - บริษัทต่าง ๆ กำลังพัฒนา AI agents ที่สามารถทำงานได้หลากหลาย

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การใช้ AI ในการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ยังคงถูกมองด้วยความสงสัย
    - AI อาจทำให้บางตำแหน่งงานถูกแทนที่ เช่น Duolingo ที่ใช้ AI แทนพนักงานสัญญาจ้าง
    - Shopify กำหนดให้ผู้จัดการต้องให้เหตุผลว่าทำไม AI ไม่สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้ ก่อนอนุมัติการจ้างงานใหม่
    - ต้องติดตามว่าการพัฒนา AI agents จะส่งผลต่อโครงสร้างการทำงานขององค์กรอย่างไร

    AI กำลังพัฒนาไปสู่การเป็น เครื่องมือที่ช่วยค้นพบความรู้ใหม่ และอาจเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อโครงสร้างองค์กรและตลาดแรงงานอย่างไร

    https://www.neowin.net/news/sam-altman-says-ai-could-soon-help-with-discovering-new-knowledge/
    🤖 AI อาจช่วยค้นพบความรู้ใหม่ในอนาคต Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI กล่าวในงาน Snowflake Summit 2025 ว่า AI อาจช่วยมนุษย์ค้นพบความรู้ใหม่ โดยเฉพาะในกรณีที่ซับซ้อน เช่น การแก้ปัญหาทางธุรกิจที่ไม่สามารถแก้ไขได้ง่าย ๆ แม้ว่าการใช้ AI ในการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ยังคงถูกมองด้วยความสงสัย แต่ก็มีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า AI สามารถช่วยเร่งกระบวนการวิจัย เช่น Microsoft Discovery Platform ซึ่งใช้ AI ในการเร่งการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ สามารถค้นพบ สารเคมีใหม่สำหรับการระบายความร้อนของศูนย์ข้อมูล ภายใน 200 ชั่วโมง ซึ่งปกติใช้เวลาหลายปี OpenAI Codex ซึ่งช่วยนักพัฒนาเขียนและแก้ไขโค้ด โดย OpenAI ระบุว่า วิศวกรของบริษัทใช้ Codex เป็นประจำ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Sam Altman ระบุว่า AI อาจช่วยมนุษย์ค้นพบความรู้ใหม่ในบางกรณี - AI สามารถช่วยแก้ปัญหาทางธุรกิจที่ซับซ้อน - Microsoft Discovery Platform ใช้ AI ค้นพบสารเคมีใหม่สำหรับการระบายความร้อนของศูนย์ข้อมูล - OpenAI Codex ช่วยนักพัฒนาเขียนและแก้ไขโค้ด - บริษัทต่าง ๆ กำลังพัฒนา AI agents ที่สามารถทำงานได้หลากหลาย ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การใช้ AI ในการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ยังคงถูกมองด้วยความสงสัย - AI อาจทำให้บางตำแหน่งงานถูกแทนที่ เช่น Duolingo ที่ใช้ AI แทนพนักงานสัญญาจ้าง - Shopify กำหนดให้ผู้จัดการต้องให้เหตุผลว่าทำไม AI ไม่สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้ ก่อนอนุมัติการจ้างงานใหม่ - ต้องติดตามว่าการพัฒนา AI agents จะส่งผลต่อโครงสร้างการทำงานขององค์กรอย่างไร AI กำลังพัฒนาไปสู่การเป็น เครื่องมือที่ช่วยค้นพบความรู้ใหม่ และอาจเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อโครงสร้างองค์กรและตลาดแรงงานอย่างไร https://www.neowin.net/news/sam-altman-says-ai-could-soon-help-with-discovering-new-knowledge/
    WWW.NEOWIN.NET
    Sam Altman says AI could soon help with discovering new knowledge
    OpenAI CEO Sam Altman looks pretty optimistic about AI's capability to help humans discover new knowledge.
    0 Comments 0 Shares 199 Views 0 Reviews
  • AI กับอนาคตของงานระดับเริ่มต้น
    Dario Amodei CEO ของ Anthropic เตือนว่า AI อาจทำให้ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นในสายงานปัญญาชนหายไปถึง 50% ภายใน 5 ปี ซึ่งอาจนำไปสู่การว่างงานสูงถึง 20%

    Amodei ระบุว่า AI กำลังแทนที่งานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี, การเงิน, กฎหมาย และที่ปรึกษา โดยเฉพาะตำแหน่งระดับเริ่มต้นที่มีความเสี่ยงสูงสุด

    ข้อมูลจาก SignalFire พบว่า การจ้างงานบัณฑิตใหม่ในบริษัทเทคโนโลยีลดลงกว่า 50% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 และสตาร์ทอัพก็ลดการจ้างงานลงกว่า 30%

    อย่างไรก็ตาม บางบริษัท เช่น Klarna และ Duolingo เริ่มกลับมาจ้างมนุษย์อีกครั้ง เนื่องจากประสิทธิภาพของ AI ยังไม่สามารถทดแทนแรงงานได้เต็มที่

    ข้อมูลจากข่าว
    - AI อาจทำให้ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นหายไปถึง 50% ภายใน 5 ปี
    - อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ เทคโนโลยี, การเงิน, กฎหมาย และที่ปรึกษา
    - การจ้างงานบัณฑิตใหม่ในบริษัทเทคโนโลยีลดลงกว่า 50% เมื่อเทียบกับปี 2019
    - สตาร์ทอัพลดการจ้างงานลงกว่า 30% ในช่วงเวลาเดียวกัน
    - บางบริษัทเริ่มกลับมาจ้างมนุษย์อีกครั้ง เนื่องจาก AI ยังมีข้อจำกัด

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - รัฐบาลและบริษัท AI ควรเตรียมมาตรการรองรับการเปลี่ยนแปลงนี้
    - การว่างงานอาจเพิ่มขึ้นถึง 20% หากไม่มีการปรับตัวที่เหมาะสม
    - AI อาจไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ แต่แทนที่แรงงานในระยะยาว
    - OpenAI CEO เสนอแนวทาง Universal Basic Income (UBI) แต่ยังมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ

    ผลกระทบต่ออนาคตของแรงงาน
    AI กำลังเปลี่ยนแปลงตลาดแรงงานอย่างรวดเร็ว และอาจทำให้ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นลดลงอย่างมีนัยสำคัญ การเตรียมตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับทั้งรัฐบาลและภาคธุรกิจ

    https://www.techspot.com/news/108111-ai-could-erase-half-all-entry-level-white.html
    🤖 AI กับอนาคตของงานระดับเริ่มต้น Dario Amodei CEO ของ Anthropic เตือนว่า AI อาจทำให้ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นในสายงานปัญญาชนหายไปถึง 50% ภายใน 5 ปี ซึ่งอาจนำไปสู่การว่างงานสูงถึง 20% Amodei ระบุว่า AI กำลังแทนที่งานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี, การเงิน, กฎหมาย และที่ปรึกษา โดยเฉพาะตำแหน่งระดับเริ่มต้นที่มีความเสี่ยงสูงสุด ข้อมูลจาก SignalFire พบว่า การจ้างงานบัณฑิตใหม่ในบริษัทเทคโนโลยีลดลงกว่า 50% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 และสตาร์ทอัพก็ลดการจ้างงานลงกว่า 30% อย่างไรก็ตาม บางบริษัท เช่น Klarna และ Duolingo เริ่มกลับมาจ้างมนุษย์อีกครั้ง เนื่องจากประสิทธิภาพของ AI ยังไม่สามารถทดแทนแรงงานได้เต็มที่ ✅ ข้อมูลจากข่าว - AI อาจทำให้ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นหายไปถึง 50% ภายใน 5 ปี - อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ เทคโนโลยี, การเงิน, กฎหมาย และที่ปรึกษา - การจ้างงานบัณฑิตใหม่ในบริษัทเทคโนโลยีลดลงกว่า 50% เมื่อเทียบกับปี 2019 - สตาร์ทอัพลดการจ้างงานลงกว่า 30% ในช่วงเวลาเดียวกัน - บางบริษัทเริ่มกลับมาจ้างมนุษย์อีกครั้ง เนื่องจาก AI ยังมีข้อจำกัด ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - รัฐบาลและบริษัท AI ควรเตรียมมาตรการรองรับการเปลี่ยนแปลงนี้ - การว่างงานอาจเพิ่มขึ้นถึง 20% หากไม่มีการปรับตัวที่เหมาะสม - AI อาจไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ แต่แทนที่แรงงานในระยะยาว - OpenAI CEO เสนอแนวทาง Universal Basic Income (UBI) แต่ยังมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ 🌍 ผลกระทบต่ออนาคตของแรงงาน AI กำลังเปลี่ยนแปลงตลาดแรงงานอย่างรวดเร็ว และอาจทำให้ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้นลดลงอย่างมีนัยสำคัญ การเตรียมตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับทั้งรัฐบาลและภาคธุรกิจ https://www.techspot.com/news/108111-ai-could-erase-half-all-entry-level-white.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    AI could erase half of all entry-level white-collar jobs within five years, warns Anthropic CEO
    Amodei made his comments during an interview with Axios. He said that AI companies and the government needed to stop "sugar-coating" the potential mass elimination of jobs...
    0 Comments 0 Shares 206 Views 0 Reviews
  • พนักงานจำนวนมากขึ้นกำลังต่อต้านนโยบาย กลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา โดยผลสำรวจล่าสุดจาก King's College London (KCL) พบว่า น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของแรงงานในสหราชอาณาจักร ยอมรับข้อกำหนดนี้ โดยเฉพาะ ผู้หญิงและพ่อแม่ที่มีลูกเล็ก ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มต่อต้านมากที่สุด

    การทำงานจากที่บ้าน (Remote Work) ได้รับความนิยมมากขึ้นหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 และหลายบริษัทเลือกใช้ รูปแบบการทำงานแบบไฮบริด (Hybrid Work) แทนการกลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา อย่างไรก็ตาม บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ เช่น Google, Intel และ Amazon กำลังผลักดันให้พนักงานกลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา โดยอ้างว่า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แม้ว่าผลสำรวจหลายฉบับจะชี้ว่า การทำงานจากที่บ้านไม่ได้ลดประสิทธิภาพลง

    ข้อมูลจากข่าว
    - 42% ของแรงงานในสหราชอาณาจักร ยอมรับการกลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา ลดลงจาก 54% ในปี 2022
    - 50% ของพนักงาน ระบุว่าพวกเขาจะหางานใหม่แทนการกลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา เพิ่มขึ้นจาก 40% ในปี 2022
    - 10% ของพนักงาน ระบุว่าพวกเขาจะลาออกทันทีหากถูกบังคับให้กลับเข้าออฟฟิศ
    - ผู้หญิงมีแนวโน้มลาออกมากกว่าผู้ชาย โดย 55% ของผู้หญิง ระบุว่าจะหางานใหม่ เทียบกับ 43% ของผู้ชาย
    - พ่อแม่ที่มีลูกเล็ก เป็นกลุ่มที่ต่อต้านมากที่สุด โดย เพียง 33% ของแม่ที่มีลูกเล็ก ยอมรับการกลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - บริษัทที่บังคับให้พนักงานกลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา อาจเผชิญกับอัตราการลาออกที่สูงขึ้น
    - แรงงานที่มีภาระครอบครัว อาจได้รับผลกระทบมากที่สุดจากนโยบายนี้
    - ความไม่เท่าเทียมในสถานที่ทำงาน อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้บางกลุ่มแรงงานยอมรับการกลับเข้าออฟฟิศมากกว่ากลุ่มอื่น
    - บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ กำลังลดโอกาสการทำงานแบบไฮบริด ซึ่งอาจส่งผลต่อแนวโน้มการจ้างงานในอนาคต

    การเปลี่ยนแปลงนโยบายการทำงานของบริษัทต่างๆ กำลังส่งผลต่อแรงงานทั่วโลก และอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พนักงานต้องตัดสินใจว่าจะอยู่ต่อหรือหางานใหม่

    https://www.techspot.com/news/108084-more-workers-theyll-quit-instead-going-back-office.html
    พนักงานจำนวนมากขึ้นกำลังต่อต้านนโยบาย กลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา โดยผลสำรวจล่าสุดจาก King's College London (KCL) พบว่า น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของแรงงานในสหราชอาณาจักร ยอมรับข้อกำหนดนี้ โดยเฉพาะ ผู้หญิงและพ่อแม่ที่มีลูกเล็ก ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มต่อต้านมากที่สุด การทำงานจากที่บ้าน (Remote Work) ได้รับความนิยมมากขึ้นหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 และหลายบริษัทเลือกใช้ รูปแบบการทำงานแบบไฮบริด (Hybrid Work) แทนการกลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา อย่างไรก็ตาม บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ เช่น Google, Intel และ Amazon กำลังผลักดันให้พนักงานกลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา โดยอ้างว่า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แม้ว่าผลสำรวจหลายฉบับจะชี้ว่า การทำงานจากที่บ้านไม่ได้ลดประสิทธิภาพลง ✅ ข้อมูลจากข่าว - 42% ของแรงงานในสหราชอาณาจักร ยอมรับการกลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา ลดลงจาก 54% ในปี 2022 - 50% ของพนักงาน ระบุว่าพวกเขาจะหางานใหม่แทนการกลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา เพิ่มขึ้นจาก 40% ในปี 2022 - 10% ของพนักงาน ระบุว่าพวกเขาจะลาออกทันทีหากถูกบังคับให้กลับเข้าออฟฟิศ - ผู้หญิงมีแนวโน้มลาออกมากกว่าผู้ชาย โดย 55% ของผู้หญิง ระบุว่าจะหางานใหม่ เทียบกับ 43% ของผู้ชาย - พ่อแม่ที่มีลูกเล็ก เป็นกลุ่มที่ต่อต้านมากที่สุด โดย เพียง 33% ของแม่ที่มีลูกเล็ก ยอมรับการกลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - บริษัทที่บังคับให้พนักงานกลับเข้าออฟฟิศเต็มเวลา อาจเผชิญกับอัตราการลาออกที่สูงขึ้น - แรงงานที่มีภาระครอบครัว อาจได้รับผลกระทบมากที่สุดจากนโยบายนี้ - ความไม่เท่าเทียมในสถานที่ทำงาน อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้บางกลุ่มแรงงานยอมรับการกลับเข้าออฟฟิศมากกว่ากลุ่มอื่น - บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ กำลังลดโอกาสการทำงานแบบไฮบริด ซึ่งอาจส่งผลต่อแนวโน้มการจ้างงานในอนาคต การเปลี่ยนแปลงนโยบายการทำงานของบริษัทต่างๆ กำลังส่งผลต่อแรงงานทั่วโลก และอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พนักงานต้องตัดสินใจว่าจะอยู่ต่อหรือหางานใหม่ https://www.techspot.com/news/108084-more-workers-theyll-quit-instead-going-back-office.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    More workers say they'll quit instead of going back to the office full time
    The report comes from researchers at King's College London (KCL) and King's Business School. They analyzed over a million data points from the UK government's Labour Force...
    0 Comments 0 Shares 197 Views 0 Reviews
  • Disney ฟ้อง YouTube เพื่อหยุดการจ้างอดีตผู้บริหารดูแลสื่อและกีฬา

    Disney ยื่นฟ้อง Alphabet's YouTube ในศาลรัฐลอสแอนเจลิส เพื่อขัดขวางการแต่งตั้ง Justin Connolly เป็นหัวหน้าฝ่ายสื่อและกีฬา โดยอ้างว่า เป็นการละเมิดสัญญาการจ้างงาน

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับคดีระหว่าง Disney และ YouTube
    Disney อ้างว่า Connolly มีสัญญาจ้างงานกับบริษัทจนถึงปี 2027
    - เขาเซ็นสัญญาใหม่ในเดือนพฤศจิกายน 2024 โดยมีสิทธิ์ยกเลิกได้เพียงครั้งเดียวก่อนมีนาคม 2027

    YouTube ประกาศแต่งตั้ง Connolly เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2025
    - เขาจะดูแล ความสัมพันธ์กับบริษัทสื่อรายใหญ่และขยายพอร์ตโฟลิโอกีฬา

    YouTube ลงทุนมหาศาลในสตรีมมิ่งกีฬา
    - เซ็นสัญญา $14 พันล้านกับ NFL ในปี 2022 เพื่อสตรีมการแข่งขันฟุตบอล

    Disney กำลังเตรียมเปิดตัวแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง ESPN
    - Connolly เคยเป็นหัวหน้าฝ่ายจัดจำหน่ายแพลตฟอร์มของ ESPN และ Disney

    YouTube ยังไม่ได้ตอบกลับคำร้องขอความคิดเห็นจาก Reuters
    - คดีนี้ อาจส่งผลต่อแนวทางการจ้างงานในอุตสาหกรรมสื่อ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/23/youtube-hires-former-disney-veteran-to-oversee-sports-and-media
    Disney ฟ้อง YouTube เพื่อหยุดการจ้างอดีตผู้บริหารดูแลสื่อและกีฬา Disney ยื่นฟ้อง Alphabet's YouTube ในศาลรัฐลอสแอนเจลิส เพื่อขัดขวางการแต่งตั้ง Justin Connolly เป็นหัวหน้าฝ่ายสื่อและกีฬา โดยอ้างว่า เป็นการละเมิดสัญญาการจ้างงาน 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับคดีระหว่าง Disney และ YouTube ✅ Disney อ้างว่า Connolly มีสัญญาจ้างงานกับบริษัทจนถึงปี 2027 - เขาเซ็นสัญญาใหม่ในเดือนพฤศจิกายน 2024 โดยมีสิทธิ์ยกเลิกได้เพียงครั้งเดียวก่อนมีนาคม 2027 ✅ YouTube ประกาศแต่งตั้ง Connolly เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2025 - เขาจะดูแล ความสัมพันธ์กับบริษัทสื่อรายใหญ่และขยายพอร์ตโฟลิโอกีฬา ✅ YouTube ลงทุนมหาศาลในสตรีมมิ่งกีฬา - เซ็นสัญญา $14 พันล้านกับ NFL ในปี 2022 เพื่อสตรีมการแข่งขันฟุตบอล ✅ Disney กำลังเตรียมเปิดตัวแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง ESPN - Connolly เคยเป็นหัวหน้าฝ่ายจัดจำหน่ายแพลตฟอร์มของ ESPN และ Disney ✅ YouTube ยังไม่ได้ตอบกลับคำร้องขอความคิดเห็นจาก Reuters - คดีนี้ อาจส่งผลต่อแนวทางการจ้างงานในอุตสาหกรรมสื่อ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/23/youtube-hires-former-disney-veteran-to-oversee-sports-and-media
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Disney seeks to stop YouTube from hiring veteran to oversee sports and media
    (Reuters) -Walt Disney seeks to stop Alphabet's YouTube, which announced on Thursday that it has appointed long-time executive Justin Connolly as its global head of media and sports.
    0 Comments 0 Shares 334 Views 0 Reviews
  • 12 เมืองในสหรัฐฯ ที่มีการเติบโตของงานและเงินเดือนด้านความปลอดภัยไซเบอร์สูงสุด

    บทความนี้ วิเคราะห์เมืองที่มีโอกาสเติบโตด้านอาชีพความปลอดภัยไซเบอร์ โดยพิจารณาจาก แนวโน้มการจ้างงาน, ค่าครองชีพ และการลงทุนจากบริษัทร่วมทุน ซึ่งช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์สามารถเลือกสถานที่ทำงานที่เหมาะสมกับอนาคตของตนเอง

    ปัจจัยสำคัญในการเลือกเมืองสำหรับอาชีพความปลอดภัยไซเบอร์
    แนวโน้มอาชีพ
    - เมืองที่มีตำแหน่งงานมากขึ้น ช่วยให้โอกาสเติบโตในสายอาชีพดีขึ้น
    - การเพิ่มขึ้นของเงินเดือน สะท้อนถึงความต้องการที่สูงในตลาดแรงงาน

    ค่าครองชีพ
    - รายได้สูงอาจถูกลดค่าลงในพื้นที่ที่มีค่าครองชีพสูง
    - การย้ายจากเมืองที่มีค่าครองชีพสูงไปยังเมืองที่มีค่าครองชีพต่ำ ช่วยให้เงินเดือนมีมูลค่ามากขึ้น

    การลงทุนจากบริษัทร่วมทุน (Venture Capital)
    - เมืองที่มีการลงทุนสูง มักมีโอกาสเติบโตทางอาชีพที่มั่นคงกว่า
    - การลงทุนในเทคโนโลยี ช่วยกระตุ้นความต้องการผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์

    12 เมืองที่มีการเติบโตของงานและเงินเดือนด้านความปลอดภัยไซเบอร์สูงสุดในปี 2025
    Indianapolis – มีอัตราเพิ่มขึ้นของเงินเดือนสูงสุดที่ 17.2%
    Raleigh, N.C. – มีการเติบโตของตำแหน่งงาน 59%
    Cleveland – มีอัตราเพิ่มขึ้นของตำแหน่งงานสูงสุดที่ 60%
    Kansas City, Mo. – มีการเติบโตของเงินเดือน 13.7%
    San Francisco – เงินเดือนเฉลี่ยสูงสุดที่ $157,660
    Columbus, Ohio – มีการเติบโตของตำแหน่งงาน 34.3%
    Pittsburgh – มีการเติบโตของตำแหน่งงาน 22.5%
    Omaha, Neb. – มีการเติบโตของเงินเดือน 10.6%
    Cincinnati – มีการเติบโตของตำแหน่งงาน 34.1%
    Seattle – มีการเติบโตของเงินเดือน 13.3%
    Boston – มีการเติบโตของตำแหน่งงาน 14.6%
    Birmingham, Ala. – มีค่าครองชีพต่ำที่สุดในกลุ่ม

    ค่าครองชีพในบางเมืองอาจลดมูลค่าของเงินเดือนลง
    - เช่น San Francisco และ Seattle มีค่าครองชีพสูง ทำให้รายได้จริงลดลง

    บางเมืองอาจมีการเติบโตของตำแหน่งงานลดลง
    - เช่น Seattle มีอัตราการจ้างงานลดลง 8.6%

    https://www.csoonline.com/article/3988368/top-12-us-cities-for-cybersecurity-job-and-salary-growth.html
    12 เมืองในสหรัฐฯ ที่มีการเติบโตของงานและเงินเดือนด้านความปลอดภัยไซเบอร์สูงสุด บทความนี้ วิเคราะห์เมืองที่มีโอกาสเติบโตด้านอาชีพความปลอดภัยไซเบอร์ โดยพิจารณาจาก แนวโน้มการจ้างงาน, ค่าครองชีพ และการลงทุนจากบริษัทร่วมทุน ซึ่งช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์สามารถเลือกสถานที่ทำงานที่เหมาะสมกับอนาคตของตนเอง 🔍 ปัจจัยสำคัญในการเลือกเมืองสำหรับอาชีพความปลอดภัยไซเบอร์ ✅ แนวโน้มอาชีพ - เมืองที่มีตำแหน่งงานมากขึ้น ช่วยให้โอกาสเติบโตในสายอาชีพดีขึ้น - การเพิ่มขึ้นของเงินเดือน สะท้อนถึงความต้องการที่สูงในตลาดแรงงาน ✅ ค่าครองชีพ - รายได้สูงอาจถูกลดค่าลงในพื้นที่ที่มีค่าครองชีพสูง - การย้ายจากเมืองที่มีค่าครองชีพสูงไปยังเมืองที่มีค่าครองชีพต่ำ ช่วยให้เงินเดือนมีมูลค่ามากขึ้น ✅ การลงทุนจากบริษัทร่วมทุน (Venture Capital) - เมืองที่มีการลงทุนสูง มักมีโอกาสเติบโตทางอาชีพที่มั่นคงกว่า - การลงทุนในเทคโนโลยี ช่วยกระตุ้นความต้องการผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์ 🏆 12 เมืองที่มีการเติบโตของงานและเงินเดือนด้านความปลอดภัยไซเบอร์สูงสุดในปี 2025 ✅ Indianapolis – มีอัตราเพิ่มขึ้นของเงินเดือนสูงสุดที่ 17.2% ✅ Raleigh, N.C. – มีการเติบโตของตำแหน่งงาน 59% ✅ Cleveland – มีอัตราเพิ่มขึ้นของตำแหน่งงานสูงสุดที่ 60% ✅ Kansas City, Mo. – มีการเติบโตของเงินเดือน 13.7% ✅ San Francisco – เงินเดือนเฉลี่ยสูงสุดที่ $157,660 ✅ Columbus, Ohio – มีการเติบโตของตำแหน่งงาน 34.3% ✅ Pittsburgh – มีการเติบโตของตำแหน่งงาน 22.5% ✅ Omaha, Neb. – มีการเติบโตของเงินเดือน 10.6% ✅ Cincinnati – มีการเติบโตของตำแหน่งงาน 34.1% ✅ Seattle – มีการเติบโตของเงินเดือน 13.3% ✅ Boston – มีการเติบโตของตำแหน่งงาน 14.6% ✅ Birmingham, Ala. – มีค่าครองชีพต่ำที่สุดในกลุ่ม ‼️ ค่าครองชีพในบางเมืองอาจลดมูลค่าของเงินเดือนลง - เช่น San Francisco และ Seattle มีค่าครองชีพสูง ทำให้รายได้จริงลดลง ‼️ บางเมืองอาจมีการเติบโตของตำแหน่งงานลดลง - เช่น Seattle มีอัตราการจ้างงานลดลง 8.6% https://www.csoonline.com/article/3988368/top-12-us-cities-for-cybersecurity-job-and-salary-growth.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Top 12 US cities for cybersecurity job and salary growth
    These dozen cities stand out as the most promising destinations for cybersecurity professionals due to their strong job growth, rising salaries, and long-term career potential.
    0 Comments 0 Shares 258 Views 0 Reviews
  • NT วุ่นสหภาพค้านแหลก AIS ขอซื้อลูกค้ามือถือ-เน็ตบ้าน

    เรื่องวุ่นๆ ของบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT รัฐวิสาหกิจของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เมื่อเว็บไซต์ The Mature ของอดีตนักข่าวไอทีค่ายใหญ่ เผยแพร่หนังสือที่นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส ลงนามเมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2568 ถึงกรรมการผู้จัดการใหญ่ NT ขอซื้อฐานลูกค้ามือถือ รวมทั้งพิจารณาการแก้ไขและยกเลิกสัญญาการให้บริการมือถือบนคลื่น 700 MHz รวมทั้งลูกค้าบรอดแบนด์รายย่อยทั้งหมด โดยขอเช่าใช้และขอสิทธิบริหารโครงข่ายบรอดแบนด์ของ NT ระบุว่า เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย และเป็นโอกาสของ NT ในการสร้างรายได้ที่มั่นคง

    เรื่องนี้ทำให้สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ NT ออกมาคัดค้าน เนื่องจากคลื่นความถี่เป็นทรัพย์สินของชาติ ควรอยู่ในการกำกับดูแลของรัฐเพื่อประโยชน์สาธารณะ ไม่ควรให้เอกชนเข้ามาใช้ประโยชน์ รวมถึงข้อเสนอดังกล่าวคล้ายการแปรรูป NT ทางอ้อม อาจส่งผลกระทบต่อพนักงาน NT ทั้งในด้านการจ้างงาน บทบาทหน้าที่ และอนาคตในสายงาน พร้อมเรียกร้องให้ผู้บริหาร NT ไม่สนับสนุนข้อเสนอของเอไอเอส และให้กระทรวงดีอี คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ

    นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ดีอี ยืนยันว่า การเสนอซื้อฐานลูกค้ามือถือและบรอดแบนด์รายย่อย แม้จะเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ต้องเปิดกว้างรับข้อเสนอจากทุกราย เพื่อประโยชน์สูงสุดของ NT และยังต้องรับผิดชอบพนักงาน NT ที่จะถูกโอนย้ายไปด้วย ขณะนี้กำลังศึกษาความเป็นไปได้และมีหลายปัจจัยต้องพิจารณา ต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการบอร์ด NT และยังต้องดูผลประกอบการของธุรกิจบรอดแบนด์ จึงยังจะไม่ได้ข้อสรุปในเร็ววันนี้

    ขณะที่เอไอเอสทำหนังสือชี้แจงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อตกลงหรือความคืบหน้าใดๆ โดยหากมีพัฒนาการที่สำคัญ บริษัทจะแจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อไป ส่วนแหล่งข่าวจาก กสทช. กล่าวกับเว็บไซต์ MGR Online ว่า ลูกค้ามือถือ-บรอดแบนด์ซื้อขายกันไม่ได้ ต้องได้รับการยินยอมจากลูกค้า จะบังคับให้ย้ายหรือโอนย้ายโดยไม่แจ้งลูกค้าไม่ได้ ที่ผ่านมาไม่เคยเกิดกรณีแบบนี้มาก่อน

    ปัจจุบัน NT มีลูกค้าบรอดแบนด์รายย่อยประมาณ 2 ล้านราย ฐานลูกค้ามือถือ NT Mobile ที่มาจาก TOT Mobile เดิม ราว 3 แสนราย ที่ใบอนุญาตคลื่นความถี่ 2100 และ 2300 MHz. จะหมดอายุในวันที่ 3 ส.ค.นี้ และ My by NT ที่มาจาก CAT Telecom เดิมบนคลื่นความถี่ 700 MHz. ราว 2.17 ล้านราย ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าระบบเติมเงิน

    #Newskit
    NT วุ่นสหภาพค้านแหลก AIS ขอซื้อลูกค้ามือถือ-เน็ตบ้าน เรื่องวุ่นๆ ของบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT รัฐวิสาหกิจของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เมื่อเว็บไซต์ The Mature ของอดีตนักข่าวไอทีค่ายใหญ่ เผยแพร่หนังสือที่นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส ลงนามเมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2568 ถึงกรรมการผู้จัดการใหญ่ NT ขอซื้อฐานลูกค้ามือถือ รวมทั้งพิจารณาการแก้ไขและยกเลิกสัญญาการให้บริการมือถือบนคลื่น 700 MHz รวมทั้งลูกค้าบรอดแบนด์รายย่อยทั้งหมด โดยขอเช่าใช้และขอสิทธิบริหารโครงข่ายบรอดแบนด์ของ NT ระบุว่า เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย และเป็นโอกาสของ NT ในการสร้างรายได้ที่มั่นคง เรื่องนี้ทำให้สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ NT ออกมาคัดค้าน เนื่องจากคลื่นความถี่เป็นทรัพย์สินของชาติ ควรอยู่ในการกำกับดูแลของรัฐเพื่อประโยชน์สาธารณะ ไม่ควรให้เอกชนเข้ามาใช้ประโยชน์ รวมถึงข้อเสนอดังกล่าวคล้ายการแปรรูป NT ทางอ้อม อาจส่งผลกระทบต่อพนักงาน NT ทั้งในด้านการจ้างงาน บทบาทหน้าที่ และอนาคตในสายงาน พร้อมเรียกร้องให้ผู้บริหาร NT ไม่สนับสนุนข้อเสนอของเอไอเอส และให้กระทรวงดีอี คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ดีอี ยืนยันว่า การเสนอซื้อฐานลูกค้ามือถือและบรอดแบนด์รายย่อย แม้จะเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ต้องเปิดกว้างรับข้อเสนอจากทุกราย เพื่อประโยชน์สูงสุดของ NT และยังต้องรับผิดชอบพนักงาน NT ที่จะถูกโอนย้ายไปด้วย ขณะนี้กำลังศึกษาความเป็นไปได้และมีหลายปัจจัยต้องพิจารณา ต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการบอร์ด NT และยังต้องดูผลประกอบการของธุรกิจบรอดแบนด์ จึงยังจะไม่ได้ข้อสรุปในเร็ววันนี้ ขณะที่เอไอเอสทำหนังสือชี้แจงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อตกลงหรือความคืบหน้าใดๆ โดยหากมีพัฒนาการที่สำคัญ บริษัทจะแจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อไป ส่วนแหล่งข่าวจาก กสทช. กล่าวกับเว็บไซต์ MGR Online ว่า ลูกค้ามือถือ-บรอดแบนด์ซื้อขายกันไม่ได้ ต้องได้รับการยินยอมจากลูกค้า จะบังคับให้ย้ายหรือโอนย้ายโดยไม่แจ้งลูกค้าไม่ได้ ที่ผ่านมาไม่เคยเกิดกรณีแบบนี้มาก่อน ปัจจุบัน NT มีลูกค้าบรอดแบนด์รายย่อยประมาณ 2 ล้านราย ฐานลูกค้ามือถือ NT Mobile ที่มาจาก TOT Mobile เดิม ราว 3 แสนราย ที่ใบอนุญาตคลื่นความถี่ 2100 และ 2300 MHz. จะหมดอายุในวันที่ 3 ส.ค.นี้ และ My by NT ที่มาจาก CAT Telecom เดิมบนคลื่นความถี่ 700 MHz. ราว 2.17 ล้านราย ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าระบบเติมเงิน #Newskit
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 539 Views 0 Reviews
  • AI ส่งผลกระทบต่อการจ้างงานของผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

    รายงานจาก องค์การแรงงานระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติ (ILO) ระบุว่า งานที่ผู้หญิงทำมีแนวโน้มได้รับผลกระทบจาก AI มากกว่างานที่ผู้ชายทำ โดยเฉพาะในประเทศที่มีรายได้สูง เนื่องจาก AI กำลังเข้ามาแทนที่งานด้านธุรการและงานเอกสาร เช่น งานเลขานุการ

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับผลกระทบของ AI ต่อการจ้างงานของผู้หญิง
    9.6% ของงานที่ผู้หญิงทำมีแนวโน้มถูกเปลี่ยนแปลงโดย AI เทียบกับ 3.5% ของงานที่ผู้ชายทำ
    - งานที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือธุรการและงานเอกสาร

    AI กำลังเข้ามาแทนที่งานเลขานุการและงานด้านเอกสารในองค์กร
    - ทำให้ ตำแหน่งงานเหล่านี้ลดลงอย่างต่อเนื่อง

    ประเทศที่มีรายได้สูงได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศที่มีรายได้ต่ำ
    - เนื่องจาก องค์กรในประเทศที่พัฒนาแล้วมีการนำ AI มาใช้มากขึ้น

    ILO เตือนว่าการเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อความเท่าเทียมทางเพศในตลาดแรงงาน
    - หากไม่มีมาตรการรองรับ ผู้หญิงอาจเผชิญกับความท้าทายในการหางานใหม่

    การพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยีอาจช่วยให้ผู้หญิงปรับตัวเข้ากับตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลง
    - เช่น การเรียนรู้ทักษะด้าน AI และการวิเคราะห์ข้อมูล

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/20/ai-poses-a-bigger-threat-to-women039s-work-than-men039s-says-report
    AI ส่งผลกระทบต่อการจ้างงานของผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย รายงานจาก องค์การแรงงานระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติ (ILO) ระบุว่า งานที่ผู้หญิงทำมีแนวโน้มได้รับผลกระทบจาก AI มากกว่างานที่ผู้ชายทำ โดยเฉพาะในประเทศที่มีรายได้สูง เนื่องจาก AI กำลังเข้ามาแทนที่งานด้านธุรการและงานเอกสาร เช่น งานเลขานุการ 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับผลกระทบของ AI ต่อการจ้างงานของผู้หญิง ✅ 9.6% ของงานที่ผู้หญิงทำมีแนวโน้มถูกเปลี่ยนแปลงโดย AI เทียบกับ 3.5% ของงานที่ผู้ชายทำ - งานที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือธุรการและงานเอกสาร ✅ AI กำลังเข้ามาแทนที่งานเลขานุการและงานด้านเอกสารในองค์กร - ทำให้ ตำแหน่งงานเหล่านี้ลดลงอย่างต่อเนื่อง ✅ ประเทศที่มีรายได้สูงได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศที่มีรายได้ต่ำ - เนื่องจาก องค์กรในประเทศที่พัฒนาแล้วมีการนำ AI มาใช้มากขึ้น ✅ ILO เตือนว่าการเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่อความเท่าเทียมทางเพศในตลาดแรงงาน - หากไม่มีมาตรการรองรับ ผู้หญิงอาจเผชิญกับความท้าทายในการหางานใหม่ ✅ การพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยีอาจช่วยให้ผู้หญิงปรับตัวเข้ากับตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลง - เช่น การเรียนรู้ทักษะด้าน AI และการวิเคราะห์ข้อมูล https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/05/20/ai-poses-a-bigger-threat-to-women039s-work-than-men039s-says-report
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AI poses a bigger threat to women's work, than men's, says report
    GENEVA (Reuters) -Jobs traditionally done by women are more vulnerable to the impact of artificial intelligence than those done by men, especially in high-income countries, a report by the United Nations' International Labour Organization showed on Tuesday.
    0 Comments 0 Shares 131 Views 0 Reviews
  • ..นี้คือวิสัยทัศน์ของคนได้มาเป็นผู้ปกครอง&ผู้นำ&ผู้มีอำนาจในประเทศเราล้วนๆ,และนั้นคือการรีเซ็ตระบบใหม่หมด ของการเล่าเรียนๆในประเทศเราทุกๆมิติ,เมื่อเราวางพื้นฐาน&รากฐานองค์ความรู้อย่างยอดเยี่ยม เราจะไม่หวาดกลัวการเปลี่ยนแปลงใดๆเลย ,ส่วนการแตกไลน์แตกแขนงเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยแค่น้ำจิ้มๆแล้ว แทบไม่มีผลกระทบต่อฐานรากเราเลย,เพียงแก้ไขแก้ปมตามจุดตามข้อของยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปแค่นั้น เพราะมันไม่พลิกแบบก้าวกระโดดอะไรมากมายหรอก,สุดท้ายเป็นไปเพื่อตังนั้นล่ะ,หางานดีๆตำแหน่งดีๆก็มุ่งหมายตังสืบต่อแก่การใช้จ่าย&กินอยู่ในชีวิตประจำวันแค่นั้น,AIนำมาใช้ก็เพื่อมุ่งผลิตงานต่างๆตอบสนองคนๆเราให้ไปซื้อไปใช้ตัง&จ่ายให้คนทำคนผลิตจากAIได้กำไรทางตังทั้งนั้นล่ะ.เพราะแก่นหลักคือเอาAIมาทำตังมากๆไม่มีอะไรเลย,คนไม่ซื้อไม่ใช้บริการต่างๆจากAIผลิต แบนบริษัทกิจการที่ใช้งานAIมากกว่าคน ไม่ส่งเสริมคนคุณค่ามนุษย์บนประเทศไทย ประชาชนพากันแบนพากันเปิดโปงบริษัทกิจการทั่วโซเชียล ไม่ซื้อ ไม่ใช้สินค้า ไม่ไปใช้บริการในกิจการแม่กิจการสาขากิจการลูกเครือข่ายบริษัทแม่นั้นๆ กิจการนั้นพังแน่นอนในประเทศไทย บวกนโยบายรัฐเราเองคิดภาษีแบบทรัมป์ต่อกิจการโรงงานบริษัทที่ใช้AIนั้นเกินอัตราที่รัฐกำหนดมิให้เลิกจ้างสถานะมนุษย์เกิน95% เกินจะคิดภาษีทุกๆบริษัทกิจการในไทยทั้งหมดที่3,000%-5,000%แบบทรัมป์คิดภาษีบริษัทกิจการในไทยเช่นโรงงานจีนในไทยผลิตแผงแดดขาย ส่งไปอเมริกาทรัมป์คิดภาษีแผงแดดที่จะส่งมาขายในอเมริกาที่3,000%ถึง4,000%โน้น พะสาโรงงานกิจการ&บริษัทใดๆในไทย หากใช้AIจักรกลเกินอัตราที่กำหนดไม่เกิน5%ก็ฟันภาษีที่3,000%-4,000%ได้,เพื่อเฉลี่ยชดเชยในการเลี้ยงดูเยียวยาทรัพยากรมนุษย์ในประเทศไทยเราเอง,นี้ก็คือผู้นำไทยเราต้องกล้าหาญต่อโลกจะมากระทำกระทบตนขนาดปรับปรังพัฒนาการตนหรือวิวัฒนาการนำพาชาติไทยเข้าสู่ยุคใหม่,กำแพงสงครามปกป้อง&ป้องกันประเภทภายในตนเองก็ว่า,ยังไม่เกี่ยวกับกระบวนการศึกษาและการจ้างงานจัดการบริหารเนื้อตำแหน่งงานองค์รวมของประเทศไทยเรานะ.

    https://m.youtube.com/watch?v=UkLQT11Li9Q
    ..นี้คือวิสัยทัศน์ของคนได้มาเป็นผู้ปกครอง&ผู้นำ&ผู้มีอำนาจในประเทศเราล้วนๆ,และนั้นคือการรีเซ็ตระบบใหม่หมด ของการเล่าเรียนๆในประเทศเราทุกๆมิติ,เมื่อเราวางพื้นฐาน&รากฐานองค์ความรู้อย่างยอดเยี่ยม เราจะไม่หวาดกลัวการเปลี่ยนแปลงใดๆเลย ,ส่วนการแตกไลน์แตกแขนงเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยแค่น้ำจิ้มๆแล้ว แทบไม่มีผลกระทบต่อฐานรากเราเลย,เพียงแก้ไขแก้ปมตามจุดตามข้อของยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปแค่นั้น เพราะมันไม่พลิกแบบก้าวกระโดดอะไรมากมายหรอก,สุดท้ายเป็นไปเพื่อตังนั้นล่ะ,หางานดีๆตำแหน่งดีๆก็มุ่งหมายตังสืบต่อแก่การใช้จ่าย&กินอยู่ในชีวิตประจำวันแค่นั้น,AIนำมาใช้ก็เพื่อมุ่งผลิตงานต่างๆตอบสนองคนๆเราให้ไปซื้อไปใช้ตัง&จ่ายให้คนทำคนผลิตจากAIได้กำไรทางตังทั้งนั้นล่ะ.เพราะแก่นหลักคือเอาAIมาทำตังมากๆไม่มีอะไรเลย,คนไม่ซื้อไม่ใช้บริการต่างๆจากAIผลิต แบนบริษัทกิจการที่ใช้งานAIมากกว่าคน ไม่ส่งเสริมคนคุณค่ามนุษย์บนประเทศไทย ประชาชนพากันแบนพากันเปิดโปงบริษัทกิจการทั่วโซเชียล ไม่ซื้อ ไม่ใช้สินค้า ไม่ไปใช้บริการในกิจการแม่กิจการสาขากิจการลูกเครือข่ายบริษัทแม่นั้นๆ กิจการนั้นพังแน่นอนในประเทศไทย บวกนโยบายรัฐเราเองคิดภาษีแบบทรัมป์ต่อกิจการโรงงานบริษัทที่ใช้AIนั้นเกินอัตราที่รัฐกำหนดมิให้เลิกจ้างสถานะมนุษย์เกิน95% เกินจะคิดภาษีทุกๆบริษัทกิจการในไทยทั้งหมดที่3,000%-5,000%แบบทรัมป์คิดภาษีบริษัทกิจการในไทยเช่นโรงงานจีนในไทยผลิตแผงแดดขาย ส่งไปอเมริกาทรัมป์คิดภาษีแผงแดดที่จะส่งมาขายในอเมริกาที่3,000%ถึง4,000%โน้น พะสาโรงงานกิจการ&บริษัทใดๆในไทย หากใช้AIจักรกลเกินอัตราที่กำหนดไม่เกิน5%ก็ฟันภาษีที่3,000%-4,000%ได้,เพื่อเฉลี่ยชดเชยในการเลี้ยงดูเยียวยาทรัพยากรมนุษย์ในประเทศไทยเราเอง,นี้ก็คือผู้นำไทยเราต้องกล้าหาญต่อโลกจะมากระทำกระทบตนขนาดปรับปรังพัฒนาการตนหรือวิวัฒนาการนำพาชาติไทยเข้าสู่ยุคใหม่,กำแพงสงครามปกป้อง&ป้องกันประเภทภายในตนเองก็ว่า,ยังไม่เกี่ยวกับกระบวนการศึกษาและการจ้างงานจัดการบริหารเนื้อตำแหน่งงานองค์รวมของประเทศไทยเรานะ. https://m.youtube.com/watch?v=UkLQT11Li9Q
    0 Comments 0 Shares 339 Views 0 Reviews
  • เรียน ทุกท่าน

    แบงก์ชาติอีสาน ขอนำส่งสรุปภาวะเศรษฐกิจอีสาน ไตรมาส 1 ปี 2568 มาเพื่อทราบ ดังนี้

    ประเด็นสำคัญ "กิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวม หดตัวจากไตรมาสก่อน"

    ตามการบริโภคภาคเอกชนที่กลับมาหดตัวหลังเร่งใช้จ่ายไปในไตรมาสก่อนและกำลังซื้อที่ฟื้นตัวช้า กอปรกับรายได้เกษตรกรที่หดตัวจากปัจจัยด้านราคา ช่วยพยุงการบริโภคได้ลดลง อย่างไรก็ดี ภาคบริการท่องเที่ยวขยายตัวต่อเนื่อง ตามการจัดกิจกรรมขนาดใหญ่เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในหลายพื้นที่ และการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ขยายตัวตามการแปรรูปสินค้าเกษตร

    อัตราเงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้น ตามราคาอาหารสดเป็นสำคัญ ด้านตลาดแรงงานปรับลดลง ตามการจ้างงานในภาคเกษตร การผลิต และก่อสร้างที่ปรับลดลง อย่างไรก็ดี การจ้างงานในภาคบริการปรับดีขึ้น ตามสถานการณ์การท่องเที่ยวที่ขยายตัว

    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในรูปแบบอินโฟกราฟิก ได้ที่ https://www.bot.or.th/th/news-and-media/news/news-bot-ne-20250507.html
    เรียน ทุกท่าน แบงก์ชาติอีสาน ขอนำส่งสรุปภาวะเศรษฐกิจอีสาน ไตรมาส 1 ปี 2568 มาเพื่อทราบ ดังนี้ 📉 ประเด็นสำคัญ "กิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวม หดตัวจากไตรมาสก่อน" ตามการบริโภคภาคเอกชนที่กลับมาหดตัวหลังเร่งใช้จ่ายไปในไตรมาสก่อนและกำลังซื้อที่ฟื้นตัวช้า กอปรกับรายได้เกษตรกรที่หดตัวจากปัจจัยด้านราคา ช่วยพยุงการบริโภคได้ลดลง อย่างไรก็ดี ภาคบริการท่องเที่ยวขยายตัวต่อเนื่อง ตามการจัดกิจกรรมขนาดใหญ่เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในหลายพื้นที่ และการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ขยายตัวตามการแปรรูปสินค้าเกษตร อัตราเงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้น ตามราคาอาหารสดเป็นสำคัญ ด้านตลาดแรงงานปรับลดลง ตามการจ้างงานในภาคเกษตร การผลิต และก่อสร้างที่ปรับลดลง อย่างไรก็ดี การจ้างงานในภาคบริการปรับดีขึ้น ตามสถานการณ์การท่องเที่ยวที่ขยายตัว 📖 อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในรูปแบบอินโฟกราฟิก ได้ที่ https://www.bot.or.th/th/news-and-media/news/news-bot-ne-20250507.html
    WWW.BOT.OR.TH
    แถลงข่าวเศรษฐกิจและการเงินภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไตรมาสที่ 1 ปี 2568
    แถลงข่าวเศรษฐกิจและการเงินภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ไตรมาสที่ 1 ปี 2568
    0 Comments 0 Shares 369 Views 0 Reviews
  • อดีตพนักงาน SK Hynix ถูกกล่าวหาว่าถ่ายโอนเทคโนโลยีบรรจุชิปขั้นสูงให้ Huawei อดีตพนักงานของ SK Hynix ถูกกล่าวหาว่า ถ่ายโอนเทคโนโลยีบรรจุชิปขั้นสูง ซึ่งใช้ใน 3D NAND, HBM และ CMOS image sensors ไปยัง HiSilicon ของ Huawei โดยไม่ได้รับอนุญาต

    แม้ว่า Huawei จะไม่ได้ร้องขอเทคโนโลยีเฉพาะเจาะจง แต่พนักงานรายนี้ นำข้อมูลลับจาก SK Hynix ไปใช้ในการสมัครงานกับบริษัทจีน และ ลบเครื่องหมายระบุบริษัทออกจากเอกสารเพื่อปกปิดแหล่งที่มา

    อดีตพนักงาน SK Hynix ถูกกล่าวหาว่าถ่ายโอนเทคโนโลยีบรรจุชิปขั้นสูงให้ Huawei
    - รวมถึง เทคโนโลยี CMOS image sensors และ hybrid bonding chip packaging

    Huawei ไม่ได้ร้องขอเทคโนโลยีเฉพาะเจาะจง แต่รับข้อมูลเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการจ้างงาน
    - พนักงานรายนี้ ใช้ข้อมูลลับในการสมัครงานกับบริษัทจีน

    SK Hynix ระบุว่าข้อมูลที่รั่วไหลเป็นกระบวนการ wafer-to-wafer ทั่วไป
    - ไม่ใช่ เทคนิค hybrid bonding ที่ใช้ในผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์

    พนักงานรายนี้ถ่ายภาพเอกสารลับกว่า 11,000 ภาพ และลบเครื่องหมายบริษัทออกเพื่อปกปิดแหล่งที่มา
    - ใช้เอกสารเหล่านี้ เพื่อเพิ่มคุณสมบัติในการสมัครงาน

    กรณีนี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของการถ่ายโอนเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    - โดยเฉพาะในช่วงที่ จีนพยายามพัฒนาเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ของตนเอง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/former-sk-hynix-employee-transferred-advanced-chip-packaging-technologies-to-huawei
    อดีตพนักงาน SK Hynix ถูกกล่าวหาว่าถ่ายโอนเทคโนโลยีบรรจุชิปขั้นสูงให้ Huawei อดีตพนักงานของ SK Hynix ถูกกล่าวหาว่า ถ่ายโอนเทคโนโลยีบรรจุชิปขั้นสูง ซึ่งใช้ใน 3D NAND, HBM และ CMOS image sensors ไปยัง HiSilicon ของ Huawei โดยไม่ได้รับอนุญาต แม้ว่า Huawei จะไม่ได้ร้องขอเทคโนโลยีเฉพาะเจาะจง แต่พนักงานรายนี้ นำข้อมูลลับจาก SK Hynix ไปใช้ในการสมัครงานกับบริษัทจีน และ ลบเครื่องหมายระบุบริษัทออกจากเอกสารเพื่อปกปิดแหล่งที่มา ✅ อดีตพนักงาน SK Hynix ถูกกล่าวหาว่าถ่ายโอนเทคโนโลยีบรรจุชิปขั้นสูงให้ Huawei - รวมถึง เทคโนโลยี CMOS image sensors และ hybrid bonding chip packaging ✅ Huawei ไม่ได้ร้องขอเทคโนโลยีเฉพาะเจาะจง แต่รับข้อมูลเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการจ้างงาน - พนักงานรายนี้ ใช้ข้อมูลลับในการสมัครงานกับบริษัทจีน ✅ SK Hynix ระบุว่าข้อมูลที่รั่วไหลเป็นกระบวนการ wafer-to-wafer ทั่วไป - ไม่ใช่ เทคนิค hybrid bonding ที่ใช้ในผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ ✅ พนักงานรายนี้ถ่ายภาพเอกสารลับกว่า 11,000 ภาพ และลบเครื่องหมายบริษัทออกเพื่อปกปิดแหล่งที่มา - ใช้เอกสารเหล่านี้ เพื่อเพิ่มคุณสมบัติในการสมัครงาน ✅ กรณีนี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของการถ่ายโอนเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ - โดยเฉพาะในช่วงที่ จีนพยายามพัฒนาเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ของตนเอง https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/former-sk-hynix-employee-transferred-advanced-chip-packaging-technologies-to-huawei
    0 Comments 0 Shares 280 Views 0 Reviews
More Results