• ความหายนะของประเทศได้ย่างกรายเข้ามาแล้ว​เศรษฐกิจโลกจะถดถอยหนัก โดยตอนนี้ได้ก่อให้เกิดอาการช็อคขึ้นมาแล้วว่าเศรษฐกิจโลกจะตกต่ำเหลือเติบโตได้แค่ 2.5 % ในช่วง 3 ปีข้างหน้านี้ คือตั้งแต่ปีนี้ไปจนปี 2027 ซึ่งโลกจะเจอกับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ที่สุดใน 65 ปี นับตั้งแต่ทศวรรษ 1960​ที่กล่าวข้างต้นนี้ไม่ใช่เป็นข่าวโซเชียลธรรมดา แต่เป็นรายงานของธนาคารโลกที่เพิ่งเผยแพร่ออกมาเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2025 นี้ โดยรองประธานอาวุโสและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ (Senior Vice President and Chief Economist) ของธนาคารโลก ชื่อว่า Indermit Gill รายงานฉบับนี้ระบุชัดว่าสาเหตุที่ต้องปรับลดการคาดการณ์เศรษฐกิจโลกลงสู่ระดับต่ำสุดๆเช่นนี้เป็นผลมาจากสงครามภาษี และความเสี่ยงที่สูงของเศรษฐกิจโลกนั่นเอง​ประเทศที่จะได้รับผลกระทบจากการต่อสู้ทางเศรษฐกิจของชาติมหาอำนาจในครั้งนี้ ตามรายงานบอกไว้ชัดว่าประเทศที่ยากจนมากจะได้รับผลกระทบที่เจ็บปวดแน่ แต่ประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลาย (เช่นไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เป็นต้น) จะได้รับผลกระทบที่เลวร้ายสุดๆ​แล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย ประเทศที่ช่วงเดือนเมษายนนี้ธนาคารโลกได้คาดการณ์ว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้แค่ 1.6 % และปี 2026 จะขยายตัวได้เพียง 1.8 % ประเทศที่ถูกเพื่อนต่างชาติมองว่าเป็นผู้ป่วยหนักสุดในเอเชีย ประเทศที่ทางด้านเศรษฐกิจทำอย่างไรก็ไม่ดีขึ้น แถมการเมืองก็สุดจะเลวร้ายซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องต่างก็ทำการเมืองแบบแย่งชิงทั้งอำนาจและเงินตราอย่างถึงพริกถึงขิง ไม่มีสำนึกและยางอายให้ประชาชนเห็น จะดูมิติไหนก็ไม่มีดีสักอย่าง ซ้ำร้ายกว่านั้น ประเทศนี้เป็นประเทศเดียวที่มีนายกรัฐมนตรีกำลังฝึกงานอยู่ ด้วยสถานการณ์ที่เลวร้ายทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง ได้ส่งผลให้ภาวะด้านสังคมที่เละเทะอยู่แล้วในทุกภาคส่วน นับตั้งแต่พฤติกรรมฉ้อโกงของผู้คนทุกประเภท การทุจริตการคอร์รัปชั่นที่ฝังรากลึก การเผยแพร่ที่ไม่หยุดยั้งของยาเสพติด การค้ามนุษย์ การพนันและหวยออนไลน์ที่เข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของชนระดับล่างทั้งประเทศ การประกอบธุรกิจสีเทาทั้งคนไทยและต่างชาติ เรื่องเลวร้ายของไทยเหล่านี้ได้ขยายตัวออกไปทั่วประเทศจนยากที่จะแก้ไขให้กลับสู่สังคมที่น่าอยู่ของคนไทยในอดีตได้อีกแล้ว​ภาพที่น่ากลัว น่าเป็นห่วงของการคาดการณ์ของเศรษฐกิจโลกของธนาคารโลกครั้งนี้ไม่ใช่เป็นการข่มขู่แต่อย่างใด แต่ Chief Economist ของธนาคารโลก ต้องการชี้ให้เห็นว่าสิ่งเลวร้ายด้านเศรษฐกิจที่จะต้องเกิดขึ้นในโลกใบนี้แน่ๆในช่วง 3 ปีข้างหน้านี้มีอะไรบ้าง และจะกระทบต่อประเทศไหนรุนแรงแค่ไหน​รายงานของธนาคารโลกฉบับนี้ยังได้เสนอแนะแนวทางแก้ไขไว้ให้ประเทศต่างๆ ถึง 3 ประการ ประการแรก ประเทศที่เกี่ยวข้องจะต้องปรับความสัมพันธ์ทางการค้าเสียใหม่ (rebuild trade relation) โดยให้คำนึงถึงรากฐานทางการค้าที่แท้จริงที่ต้องมีต่อกัน เป็นต้นประการที่สอง ทุกประเทศต้องพยายามรักษาและปรับปรุงกฎเกณฑ์ของการคลังภาครัฐ (reform fiscal order) โดยเฉพาะประเทศที่รายได้ต่ำที่ถูกกดดันบีบคั้น ทั้งจากงบประมาณที่มีน้อยและการช่วยเหลือจากต่างชาติที่ลดลง รวมทั้งการที่ต้องจ่ายเงินไปในเรื่องค่าดอกเบี้ยของหนี้สาธารณะที่สูงจากงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด เหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาและอุปสรรคที่สำคัญต่อการเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าในเรื่องการลงทุนที่จำเป็น หรือการกระตุ้นการบริโภค ซึ่งรายงานได้แนะนำไว้ชัดว่าประเทศที่กำลังพัฒนาจำเป็นต้องหันมาสนใจเรื่องการขยายฐานภาษีและเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บรายได้จากภาษีอย่างจริงจังให้มากขึ้นประการที่สาม เร่งรัดการมีงานทำ (accelerate job creation) ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลของประเทศที่ยากจนจำต้องทำอย่างจริงจัง รวมถึงการยกระดับความรู้และความสามารถให้ผู้ใช้แรงงาน และการดูแลตลาดแรงงานให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นผมเห็นว่าสมควรที่คนไทยต้องรับรู้ไว้เพราะเรากำลังประสบกับภาวะวิกฤตหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่รับผิดชอบในการบริหารประเทศ ทั้งที่เป็นนักการเมืองและข้าราชการประจำ ควรพิจารณาตนเองให้หนักและควรพลิกผันความรู้สึกนึกคิดของตนเองให้ทำการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติด้วยใจ เพื่อเชิดชูประเทศชาติ สถาบันของชาติ และพลเมืองของชาติไว้เหนือสิ่งอื่นใดด้วยความจริงใจ ไม่ใช่แค่ด้วยคำพูดที่สวยงามลมๆแล้งๆ อีกต่อไป
    ความหายนะของประเทศได้ย่างกรายเข้ามาแล้ว​เศรษฐกิจโลกจะถดถอยหนัก โดยตอนนี้ได้ก่อให้เกิดอาการช็อคขึ้นมาแล้วว่าเศรษฐกิจโลกจะตกต่ำเหลือเติบโตได้แค่ 2.5 % ในช่วง 3 ปีข้างหน้านี้ คือตั้งแต่ปีนี้ไปจนปี 2027 ซึ่งโลกจะเจอกับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ที่สุดใน 65 ปี นับตั้งแต่ทศวรรษ 1960​ที่กล่าวข้างต้นนี้ไม่ใช่เป็นข่าวโซเชียลธรรมดา แต่เป็นรายงานของธนาคารโลกที่เพิ่งเผยแพร่ออกมาเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2025 นี้ โดยรองประธานอาวุโสและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ (Senior Vice President and Chief Economist) ของธนาคารโลก ชื่อว่า Indermit Gill รายงานฉบับนี้ระบุชัดว่าสาเหตุที่ต้องปรับลดการคาดการณ์เศรษฐกิจโลกลงสู่ระดับต่ำสุดๆเช่นนี้เป็นผลมาจากสงครามภาษี และความเสี่ยงที่สูงของเศรษฐกิจโลกนั่นเอง​ประเทศที่จะได้รับผลกระทบจากการต่อสู้ทางเศรษฐกิจของชาติมหาอำนาจในครั้งนี้ ตามรายงานบอกไว้ชัดว่าประเทศที่ยากจนมากจะได้รับผลกระทบที่เจ็บปวดแน่ แต่ประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลาย (เช่นไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เป็นต้น) จะได้รับผลกระทบที่เลวร้ายสุดๆ​แล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศไทย ประเทศที่ช่วงเดือนเมษายนนี้ธนาคารโลกได้คาดการณ์ว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้แค่ 1.6 % และปี 2026 จะขยายตัวได้เพียง 1.8 % ประเทศที่ถูกเพื่อนต่างชาติมองว่าเป็นผู้ป่วยหนักสุดในเอเชีย ประเทศที่ทางด้านเศรษฐกิจทำอย่างไรก็ไม่ดีขึ้น แถมการเมืองก็สุดจะเลวร้ายซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องต่างก็ทำการเมืองแบบแย่งชิงทั้งอำนาจและเงินตราอย่างถึงพริกถึงขิง ไม่มีสำนึกและยางอายให้ประชาชนเห็น จะดูมิติไหนก็ไม่มีดีสักอย่าง ซ้ำร้ายกว่านั้น ประเทศนี้เป็นประเทศเดียวที่มีนายกรัฐมนตรีกำลังฝึกงานอยู่ ด้วยสถานการณ์ที่เลวร้ายทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง ได้ส่งผลให้ภาวะด้านสังคมที่เละเทะอยู่แล้วในทุกภาคส่วน นับตั้งแต่พฤติกรรมฉ้อโกงของผู้คนทุกประเภท การทุจริตการคอร์รัปชั่นที่ฝังรากลึก การเผยแพร่ที่ไม่หยุดยั้งของยาเสพติด การค้ามนุษย์ การพนันและหวยออนไลน์ที่เข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของชนระดับล่างทั้งประเทศ การประกอบธุรกิจสีเทาทั้งคนไทยและต่างชาติ เรื่องเลวร้ายของไทยเหล่านี้ได้ขยายตัวออกไปทั่วประเทศจนยากที่จะแก้ไขให้กลับสู่สังคมที่น่าอยู่ของคนไทยในอดีตได้อีกแล้ว​ภาพที่น่ากลัว น่าเป็นห่วงของการคาดการณ์ของเศรษฐกิจโลกของธนาคารโลกครั้งนี้ไม่ใช่เป็นการข่มขู่แต่อย่างใด แต่ Chief Economist ของธนาคารโลก ต้องการชี้ให้เห็นว่าสิ่งเลวร้ายด้านเศรษฐกิจที่จะต้องเกิดขึ้นในโลกใบนี้แน่ๆในช่วง 3 ปีข้างหน้านี้มีอะไรบ้าง และจะกระทบต่อประเทศไหนรุนแรงแค่ไหน​รายงานของธนาคารโลกฉบับนี้ยังได้เสนอแนะแนวทางแก้ไขไว้ให้ประเทศต่างๆ ถึง 3 ประการ ประการแรก ประเทศที่เกี่ยวข้องจะต้องปรับความสัมพันธ์ทางการค้าเสียใหม่ (rebuild trade relation) โดยให้คำนึงถึงรากฐานทางการค้าที่แท้จริงที่ต้องมีต่อกัน เป็นต้นประการที่สอง ทุกประเทศต้องพยายามรักษาและปรับปรุงกฎเกณฑ์ของการคลังภาครัฐ (reform fiscal order) โดยเฉพาะประเทศที่รายได้ต่ำที่ถูกกดดันบีบคั้น ทั้งจากงบประมาณที่มีน้อยและการช่วยเหลือจากต่างชาติที่ลดลง รวมทั้งการที่ต้องจ่ายเงินไปในเรื่องค่าดอกเบี้ยของหนี้สาธารณะที่สูงจากงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด เหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาและอุปสรรคที่สำคัญต่อการเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าในเรื่องการลงทุนที่จำเป็น หรือการกระตุ้นการบริโภค ซึ่งรายงานได้แนะนำไว้ชัดว่าประเทศที่กำลังพัฒนาจำเป็นต้องหันมาสนใจเรื่องการขยายฐานภาษีและเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บรายได้จากภาษีอย่างจริงจังให้มากขึ้นประการที่สาม เร่งรัดการมีงานทำ (accelerate job creation) ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลของประเทศที่ยากจนจำต้องทำอย่างจริงจัง รวมถึงการยกระดับความรู้และความสามารถให้ผู้ใช้แรงงาน และการดูแลตลาดแรงงานให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นผมเห็นว่าสมควรที่คนไทยต้องรับรู้ไว้เพราะเรากำลังประสบกับภาวะวิกฤตหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่รับผิดชอบในการบริหารประเทศ ทั้งที่เป็นนักการเมืองและข้าราชการประจำ ควรพิจารณาตนเองให้หนักและควรพลิกผันความรู้สึกนึกคิดของตนเองให้ทำการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติด้วยใจ เพื่อเชิดชูประเทศชาติ สถาบันของชาติ และพลเมืองของชาติไว้เหนือสิ่งอื่นใดด้วยความจริงใจ ไม่ใช่แค่ด้วยคำพูดที่สวยงามลมๆแล้งๆ อีกต่อไป
    0 Comments 0 Shares 275 Views 0 Reviews
  • สั่ง 'พิชัย' ปั๊มเศรษฐกิจ มองโลกสวยงาม ในวิกฤตมีโอกาส
    .
    สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทยในเวลานี้เรียกได้ว่าตามหลังเพื่อนบ้านพอสมควร ส่งผลให้ประเทศไทยถูกลดระดับความน่าเชื่อถือลงจากหลายสถาบันพอสมควร อีกทั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ธนาคารโลก (World Bank) ยังปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยปี 2568 เหลือเพียงประมาณ 2% เท่านั้น ทำให้คณะรัฐมนตรีไม่อาจอยู่เฉยได้อีกแล้ว
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000042537

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    สั่ง 'พิชัย' ปั๊มเศรษฐกิจ มองโลกสวยงาม ในวิกฤตมีโอกาส . สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทยในเวลานี้เรียกได้ว่าตามหลังเพื่อนบ้านพอสมควร ส่งผลให้ประเทศไทยถูกลดระดับความน่าเชื่อถือลงจากหลายสถาบันพอสมควร อีกทั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ธนาคารโลก (World Bank) ยังปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยปี 2568 เหลือเพียงประมาณ 2% เท่านั้น ทำให้คณะรัฐมนตรีไม่อาจอยู่เฉยได้อีกแล้ว . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000042537 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Love
    7
    1 Comments 0 Shares 1311 Views 0 Reviews
  • 💥💥SCB EIC ศูนย์วิจัยไทยพาณิชณ์ ได้คาดการณ์
    ภาวะเศรษฐกิจไทย ในปีหน้า 2568 ดังนี้

    1.1 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของไทย (GDP ประเทศไทย)

    SCB EIC ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2568 เหลือ 2.4%
    จากเดิมที่คาดไว้ 2.6% เนื่องจากผลกระทบของนโยบาย
    "Trump 2.0" ที่อาจเพิ่มความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์
    และการกีดกันทางการค้าอย่างรุนแรง ซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย
    ผ่านช่องทางการค้า การผลิต และการลงทุนเป็นหลัก

    สำหรับเศรษฐกิจไทยปี 2567 SCB EIC ปรับเพิ่มคาดการณ์
    การขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็น 2.7% จากเดิม 2.5%
    โดยเหตุผลหลักมาจากมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท
    เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่เริ่มตั้งแต่ปลายไตรมาส 3
    การใช้จ่ายของภาครัฐที่เพิ่มขึ้นจากการเร่งเบิกงบประมาณ
    รวมถึงการส่งออกสินค้าที่กลับมาฟื้นตัว

    นอกจากนี้ ยังมีการเร่งตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ
    ในช่วงสองเดือนสุดท้ายของปี ซึ่งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม

    1.2 อัตราเงินเฟ้อของไทย
    SCB EIC ประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยในปี 2567
    จะอยู่ที่ 0.5% สำหรับปีหน้า (2568) จะอยู่ที่ 1%
    (ประเมิน ณ เดือน พ.ย. 2567)

    1.3 อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย
    SCB EIC คาดการณ์ว่า ในการประชุมเดือน ธ.ค. นี้ กนง.
    จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้เช่นเดิม ตามแนวทางที่ กนง.
    สื่อสารไว้เกี่ยวกับการรักษาขีดความสามารถของนโยบายการเงิน
    (Policy space) เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนในระบบเศรษฐกิ
    จและการเงินของไทยในอนาคต

    อย่างไรก็ตาม SCB EIC มองว่า กนง. อาจตัดสินใจลดดอกเบี้ย
    นโยบายลงอีก 0.25% ในการประชุมเดือน ก.พ. 2568
    เพื่อช่วยผ่อนคลายสภาพคล่องทางการเงินเพิ่มเติม
    และเศรษฐกิจไทยจะมีความเสี่ยงด้านลบเพิ่มขึ้นจากนโยบาย
    Trump 2.0

    ที่มา : SCBEIC

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ภาวะเศรษฐกิจไทย2568
    #SCBEIC #thaitimes
    💥💥SCB EIC ศูนย์วิจัยไทยพาณิชณ์ ได้คาดการณ์ ภาวะเศรษฐกิจไทย ในปีหน้า 2568 ดังนี้ 1.1 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของไทย (GDP ประเทศไทย) SCB EIC ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2568 เหลือ 2.4% จากเดิมที่คาดไว้ 2.6% เนื่องจากผลกระทบของนโยบาย "Trump 2.0" ที่อาจเพิ่มความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และการกีดกันทางการค้าอย่างรุนแรง ซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย ผ่านช่องทางการค้า การผลิต และการลงทุนเป็นหลัก สำหรับเศรษฐกิจไทยปี 2567 SCB EIC ปรับเพิ่มคาดการณ์ การขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็น 2.7% จากเดิม 2.5% โดยเหตุผลหลักมาจากมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่เริ่มตั้งแต่ปลายไตรมาส 3 การใช้จ่ายของภาครัฐที่เพิ่มขึ้นจากการเร่งเบิกงบประมาณ รวมถึงการส่งออกสินค้าที่กลับมาฟื้นตัว นอกจากนี้ ยังมีการเร่งตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในช่วงสองเดือนสุดท้ายของปี ซึ่งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม 1.2 อัตราเงินเฟ้อของไทย SCB EIC ประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยในปี 2567 จะอยู่ที่ 0.5% สำหรับปีหน้า (2568) จะอยู่ที่ 1% (ประเมิน ณ เดือน พ.ย. 2567) 1.3 อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย SCB EIC คาดการณ์ว่า ในการประชุมเดือน ธ.ค. นี้ กนง. จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้เช่นเดิม ตามแนวทางที่ กนง. สื่อสารไว้เกี่ยวกับการรักษาขีดความสามารถของนโยบายการเงิน (Policy space) เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนในระบบเศรษฐกิ จและการเงินของไทยในอนาคต อย่างไรก็ตาม SCB EIC มองว่า กนง. อาจตัดสินใจลดดอกเบี้ย นโยบายลงอีก 0.25% ในการประชุมเดือน ก.พ. 2568 เพื่อช่วยผ่อนคลายสภาพคล่องทางการเงินเพิ่มเติม และเศรษฐกิจไทยจะมีความเสี่ยงด้านลบเพิ่มขึ้นจากนโยบาย Trump 2.0 ที่มา : SCBEIC #หุ้นติดดอย #การลงทุน #ภาวะเศรษฐกิจไทย2568 #SCBEIC #thaitimes
    0 Comments 0 Shares 1255 Views 0 Reviews
  • 💥💥ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์การขยายตัว
    ทางเศรษฐกิจไทย ปี 2567 อยู่ที่ 2.6%
    จากแรงหนุนการฟื้นตัวภาคการส่งออก
    การท่องเที่ยวช่วงไฮต์ซีซั่น และมาตรการ
    การกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นจากภาครัฐ

    🚩อย่างไรก็ตามผลกระทบจากน้ำท่วม
    แนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว
    รวมถึงอุปสงค์ หรือ กำลังซื้อในประเทศ
    ที่อ่อนแอลง ยังคงเป็นความเสี่ยง
    ต่อเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า

    🚩ประเด็นเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ สร้างทั้งโอกาส
    และความเสี่ยง ต่อเศรษฐกิจไทย
    โอกาสคือ ไทยในฐานะประเทศศูนย์กลาง
    อาเซียน และวางตัวเป็นกลาง ทางภูมิรัฐศาสตร์โลก
    ทำให้สามารถทำการค้าขายได้กับทุกฝ่าย
    แต่ความเสี่ยงคือ ผลกระทบจากมาตรการ
    การกีดกันทางการค้าโลก

    🚩แรงกดดันต่ออุตสาหกรรมไทย จะเพิ่มขึ้น
    ในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะการผลิต
    เช่น การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า อาจจะเผชิญสถานการณ์
    การผลิตที่มีแนวโน้มที่จะผลิตออกมาล้นตลาด
    และยากที่จะส่งออกให้ได้ตามเป้า จากมาตรการ
    กีดกันการค้า

    🚩ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์โลก ความไม่สงบทางการเมือง
    ระหว่างประเทศ และทิศทางดอกเบี้ยขาลง
    ทำให้ราคาสินทรัพย์ปลอดภัยได้รับแรงหนุน
    ในการเข้าซื้อจากนักลงทุน

    #หุ้นติดดอย #การลงทุน #การขยายตัวทางเศรษฐกิจ
    #จีดีพี #thaitimes

    💥💥ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์การขยายตัว ทางเศรษฐกิจไทย ปี 2567 อยู่ที่ 2.6% จากแรงหนุนการฟื้นตัวภาคการส่งออก การท่องเที่ยวช่วงไฮต์ซีซั่น และมาตรการ การกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นจากภาครัฐ 🚩อย่างไรก็ตามผลกระทบจากน้ำท่วม แนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว รวมถึงอุปสงค์ หรือ กำลังซื้อในประเทศ ที่อ่อนแอลง ยังคงเป็นความเสี่ยง ต่อเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า 🚩ประเด็นเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ สร้างทั้งโอกาส และความเสี่ยง ต่อเศรษฐกิจไทย โอกาสคือ ไทยในฐานะประเทศศูนย์กลาง อาเซียน และวางตัวเป็นกลาง ทางภูมิรัฐศาสตร์โลก ทำให้สามารถทำการค้าขายได้กับทุกฝ่าย แต่ความเสี่ยงคือ ผลกระทบจากมาตรการ การกีดกันทางการค้าโลก 🚩แรงกดดันต่ออุตสาหกรรมไทย จะเพิ่มขึ้น ในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะการผลิต เช่น การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า อาจจะเผชิญสถานการณ์ การผลิตที่มีแนวโน้มที่จะผลิตออกมาล้นตลาด และยากที่จะส่งออกให้ได้ตามเป้า จากมาตรการ กีดกันการค้า 🚩ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์โลก ความไม่สงบทางการเมือง ระหว่างประเทศ และทิศทางดอกเบี้ยขาลง ทำให้ราคาสินทรัพย์ปลอดภัยได้รับแรงหนุน ในการเข้าซื้อจากนักลงทุน #หุ้นติดดอย #การลงทุน #การขยายตัวทางเศรษฐกิจ #จีดีพี #thaitimes
    0 Comments 0 Shares 1496 Views 0 Reviews
  • ปลายปีแจก 1 หมื่น เปิดที่มาเงินดิจิทัล จาก 3 แหล่ง ไม่กู้เงิน

    ในที่สุดมีความชัดเจนเสียที ภายหลังต้องเลื่อนแล้วเลื่อนอีกมาหลายครั้งสำหรับโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet โดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงผลการประชุมคณะกรรมการอย่างเป็นทางการ

    นายเศรษฐา ระบุว่า นโยบายการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet เป็นนโยบายเรือธงของรัฐบาล นโยบายยกระดับเศรษฐกิจของประเทศ และประชาชน ได้เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว รัฐบาลได้ใช้ความพยายามสูงสุดฝ่าฟันข้อจำกัด รัฐบาลได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน ส่งมอบนโยบายพลิกชีวิตประชาชนได้ และที่สำคัญเป็นไปตามตัวบทกฎหมายทุกประการ อยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด โดยประชาชนร้านค้าจะได้ลงทะเบียนได้ในไตรมาส 3/2567 และเงินส่งตรงถึงประชาชนในไตรมาส 4/2567

    นายเศรษฐา กล่าวว่า นโยบายนี้มีวัตถุประสงค์กระตุ้นเศรษฐกิจ มีเม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่ ลดภาระค่าครองชีพ ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน เช่น กลุ่มเปราะบาง กลุ่มเกษตรกร เป็นต้น เพื่อให้ประชาชนเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจ พึ่งพาตนเองได้ สร้างโอกาสประกอบอาชีพของประชาชน ก่อให้เกิดนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีดิจิทัล อันเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม ทั้งนี้ความคุ้มค่าจะให้สิทธิแก่ประชาชนจำนวน 50 ล้านคนผ่านดิจิทัลวอลเล็ต วงเงิน 5 แสนล้านบาท กำหนดใช้จ่ายในร้านค้าที่กำหนด เป็นการเติมเงินลงสู่ฐานราก ส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย 1.2-1.6%
    ปลายปีแจก 1 หมื่น เปิดที่มาเงินดิจิทัล จาก 3 แหล่ง ไม่กู้เงิน ในที่สุดมีความชัดเจนเสียที ภายหลังต้องเลื่อนแล้วเลื่อนอีกมาหลายครั้งสำหรับโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet โดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงผลการประชุมคณะกรรมการอย่างเป็นทางการ นายเศรษฐา ระบุว่า นโยบายการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet เป็นนโยบายเรือธงของรัฐบาล นโยบายยกระดับเศรษฐกิจของประเทศ และประชาชน ได้เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว รัฐบาลได้ใช้ความพยายามสูงสุดฝ่าฟันข้อจำกัด รัฐบาลได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน ส่งมอบนโยบายพลิกชีวิตประชาชนได้ และที่สำคัญเป็นไปตามตัวบทกฎหมายทุกประการ อยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด โดยประชาชนร้านค้าจะได้ลงทะเบียนได้ในไตรมาส 3/2567 และเงินส่งตรงถึงประชาชนในไตรมาส 4/2567 นายเศรษฐา กล่าวว่า นโยบายนี้มีวัตถุประสงค์กระตุ้นเศรษฐกิจ มีเม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่ ลดภาระค่าครองชีพ ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน เช่น กลุ่มเปราะบาง กลุ่มเกษตรกร เป็นต้น เพื่อให้ประชาชนเข้มแข็งด้านเศรษฐกิจ พึ่งพาตนเองได้ สร้างโอกาสประกอบอาชีพของประชาชน ก่อให้เกิดนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีดิจิทัล อันเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม ทั้งนี้ความคุ้มค่าจะให้สิทธิแก่ประชาชนจำนวน 50 ล้านคนผ่านดิจิทัลวอลเล็ต วงเงิน 5 แสนล้านบาท กำหนดใช้จ่ายในร้านค้าที่กำหนด เป็นการเติมเงินลงสู่ฐานราก ส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย 1.2-1.6%
    Like
    Love
    Haha
    5
    0 Comments 0 Shares 2026 Views 0 Reviews