• 56 ปี สิ้น “อิศรา อมันตกุล” นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก
    ตำนานนักหนังสือพิมพ์ผู้กล้า ✊ สู่ต้นแบบนักสื่อสารมวลชนไทย

    รัฐจับขัง 5 ปี ไม่มีสั่งฟ้อง! แต่หัวใจนักข่าวไม่เคยสิ้นไฟ

    📌 ถ้าพูดถึงตำนานนักข่าวไทย ชื่อ “อิศรา อมันตกุล” คงเป็นหนึ่งในบุคคล ที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด เพราะคือผู้ที่ไม่เพียงแต่เป็น นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก แต่ยังเป็นนักข่าว นักเขียน และนักต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน ตัวจริงเสียงจริง วั

    💥 ย้อนไปในอดีตเมื่อ 56 ปี ที่ผ่านมา เพื่อรำลึกถึงชายผู้พลิกโฉม วงการสื่อสารมวลชนไทย อย่างแท้จริง "อาจไม่ใช่คนดังในโลกออนไลน์ แต่ในยุคที่ปากกาคืออาวุธ อิศราคือหนึ่งในนักรบผู้ยิ่งใหญ่"

    “อิศรา อมันตกุล” นักหนังสือพิมพ์ที่ชีวิตจริงยิ่งกว่านวนิยาย
    🗓 เกิดวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2464
    🏠 เชื้อสายมุสลิมอินเดีย จากครอบครัวมูฮัมหมัดซาเลย์ อะมัน และวัน อมรทัต
    🎓 จบชั้นประถมจากโรงเรียนบำรุงวิทยา จ.นครปฐม และชั้นมัธยมจากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน ปี 2479 คะแนนภาษาอังกฤษอันดับ 1 ของประเทศ

    ชีวิตอิศราไม่ใช่เส้นตรง เริ่มจากครูสอนหนังสือในนครศรีธรรมราช ก่อนที่โชคชะตาจะพากลับสู่เส้นทางของ “นักข่าว”

    นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก บทบาทที่สร้างมาตรฐานวิชาชีพสื่อไทย ในปี พ.ศ. 2499 อิศราได้รับเลือกให้เป็น นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก และดำรงตำแหน่งต่อเนื่อง 3 สมัย (2499 - 2501)

    💡 ผลงานสำคัญ เปลี่ยนรูปแบบการจัดหน้าหนังสือพิมพ์จาก 7 คอลัมน์เป็น 8 คอลัมน์ วางรากฐานจรรยาบรรณนักข่าวไทย 🌱 ปกป้องสิทธิเสรีภาพสื่อ แม้ต้องแลกด้วยอิสรภาพของตัวเองก็ตาม "อิศราเชื่อว่า หนังสือพิมพ์คือบันทึกประวัติศาสตร์รายวัน"

    เสรีภาพกับราคาที่ต้องจ่าย เมื่อ “อิศรา” ต้องติดคุกเกือบ 6 ปี โดยไม่มีการฟ้องร้อง!
    📆 วันที่ 21 ตุลาคม 2501 หลังรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ อิศราในฐานะบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ บางกอกเดลิเมล์ ถูกจับกุมข้อหาคอมมิวนิสต์
    🚫 ไม่มีการสอบสวน ไม่มีการส่งฟ้อง
    ⏳ ถูกขัง 5 ปี 10 เดือน

    แม้จะอยู่ในเรือนจำ แต่อิศรายังคงเขียนงานอย่างต่อเนื่อง ใช้นามปากกามากกว่า 10 ชื่อ เช่น
    ✨ นายอิสระ
    ✨ มะงุมมะงาหรา
    ✨ ธนุธร
    ✨ ดร.x XYZ

    🗨 "เอ็งติดตะรางเพราะทำงานหนังสือพิมพ์ มันยังโก้กว่าติดตะรางเพราะเป็นหัวไม้" เสียงแม่ที่ยังอยู่ในใจอิศราเสมอ

    ผลงานเด่นในวงการหนังสือพิมพ์ ครอบคลุมทุกแขนงข่าว จนกลายเป็นต้นแบบนักข่าว
    📰 หนังสือพิมพ์ที่อิศราเคยร่วมงาน สุภาพบุรุษ, สุวัณณภูมิ, บางกอกรายวัน, พิมพ์ไทยเบื้องหลังข่าว, เอกราช, เดลินิวส์

    📍 อิศราคือผู้ควบคุมการผลิตข่าว สารคดีเชิงข่าว เรื่องแรกของไทย คดีปล้นร้านทองเบ๊ลี่แซ นำไปสร้างเป็นละครเวที และภาพยนตร์ในเวลาต่อมา

    🎯 เทคนิคข่าวของอิศรา เน้นความถูกต้อง เที่ยงธรรม และตรวจสอบได้ "ข่าวไม่ใช่การสร้างสีสัน แต่คือการสะท้อนความจริงของสังคม"

    จุดยืนเพื่อเสรีภาพและศักดิ์ศรี ไม่เคยยอมอำนาจรัฐ ไม่รับสินบน ไม่หวั่นคำขู่ อิศราเป็นนักข่าว ที่ไม่ยอมให้นายทุน หรืออำนาจรัฐแทรกแซงสื่อ
    💼 ตรวจสอบทุกแหล่งข่าว
    🛑 ไม่ประณามผู้ต้องหาโดยไม่มีหลักฐาน
    ✍ ไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของบุคคล

    อิศราเคยกล่าวว่า "หนังสือพิมพ์อาจดูเหมือนกระดาษไร้ค่า แต่ในวันหน้า มันคือหลักฐานทางประวัติศาสตร์"

    นักเขียนนวนิยายที่ตีแผ่สังคมไทย ผลงานที่ฝังลึกในหัวใจคนไทย
    📚 นวนิยาย นักบุญ-คนบาป (2486)
    🎭 เรื่องสั้น-นวนิยายกว่า 100 เรื่อง
    🖋 ภาษาเขียนที่สวิงสวาย แตกต่างจากนักเขียนร่วมยุค

    "...ชีพจรของงานเต้นเร็วถี่ขึ้นเป็นลำดับ..."
    "...เสียงซ่าของคลื่นที่ยื่นปากจูบชายหาย..."

    จอมพลสฤษดิ์ กับการปิดปากนักข่าว คุกคือคำตอบของรัฐต่อ “ปากกา” ของอิศรา
    📅 ตุลาคม 2501 รัฐประหาร -> จับนักข่าว นักการเมือง นักวิชาการ 📌 รวมถึง กุหลาบ สายประดิษฐ์, สุวัฒน์ วรดิลก และอิศรา อมันตกุล ไม่มีการพิสูจน์ ไม่มีหลักฐาน แต่ถูกขังโดยไม่ไต่สวน

    "นักหนังสือพิมพ์ถูกจับเ พราะเขียนข่าวที่รัฐไม่พอใจ"

    แม้ไร้อิสรภาพ แต่หัวใจยังคงเสรี เขียนหนังสือแม้ในเรือนจำ ใช้หลายนามปากกาเขียนคอลัมน์ และเรื่องสั้น

    📜 แสดงความกล้าหาญในการพูดถึงสังคม
    📢 ปกป้องเสรีภาพผ่านตัวหนังสือ

    "การติดคุกเพราะทำหนังสือพิมพ์ ยังโก้กว่าเป็นหัวไม้!" แม่ของอิศรา

    วาระสุดท้ายที่ไม่สิ้นไฟ ปากกาวาง...แต่คำยังสะท้อนก้อง

    🕯 เสียชีวิต 14 มีนาคม 2512 ด้วยโรคมะเร็งลิ้น อายุ 47 ปี "ผมไม่เสียใจเลย ที่เกิดมาเป็นหนังสือพิมพ์"
    แม้เจ็บป่วยแ ต่ยังเขียนข้อความสั้นๆ ฝากถึงเพื่อนร่วมวิชาชีพ

    ✒ ปณิธานนักข่าวไม่เคยจางหาย สารจากอิศรา ถึงคนข่าวรุ่นใหม่ "ข้าพเจ้าเป็นคนสามัญคนหนึ่ง ซึ่งมั่นหมายจะเขียน เฉพาะเรื่องราวของประชาชน เพื่อถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก ความดิ้นรน และความหวังจากประชาชนไปสู่ประชาชน เพราะประชาชนเท่านั้นที่เป็นผู้กำลังต่อสู้ และกำลังทำงานเพื่อสร้างเสรีภาพอันถูกต้อง และศตวรรษแห่งสามัญชน"

    สรุปบทเรียนจากชีวิต “อิศรา อมันตกุล”
    ✨ นักข่าวคือผู้บันทึกประวัติศาสตร์
    ✨ เสรีภาพไม่ใช่ของขวัญจากรัฐ แต่คือสิทธิที่ต้องรักษา
    ✨ จรรยาบรรณต้องมาก่อนผลประโยชน์
    ✨ ปากกาคืออาวุธ แต่ใจต้องเป็นธรรม

    🔖 คำคมจากอิศรา 🖋 "หนังสือพิมพ์คือเอกสารทางประวัติศาสตร์อย่างหนึ่ง และนักข่าวคือผู้บันทึกประวัติศาสตร์วันต่อวัน"

    “เพราะหนังสือพิมพ์ในวันนี้ คือประวัติศาสตร์ของวันหน้า”

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 141021 มี.ค. 2568

    🏷️ #อิศราอมันตกุล #นักข่าวต้นแบบ #เสรีภาพสื่อไทย #สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย #นักหนังสือพิมพ์ในตำนาน #ประวัติศาสตร์ข่าวไทย #ชีวิตอิศรา #นักข่าวสายตรง #นักเขียนเพื่อประชาชน #สื่อเสรีไทย
    56 ปี สิ้น “อิศรา อมันตกุล” นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก ตำนานนักหนังสือพิมพ์ผู้กล้า ✊ สู่ต้นแบบนักสื่อสารมวลชนไทย รัฐจับขัง 5 ปี ไม่มีสั่งฟ้อง! แต่หัวใจนักข่าวไม่เคยสิ้นไฟ 📌 ถ้าพูดถึงตำนานนักข่าวไทย ชื่อ “อิศรา อมันตกุล” คงเป็นหนึ่งในบุคคล ที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด เพราะคือผู้ที่ไม่เพียงแต่เป็น นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก แต่ยังเป็นนักข่าว นักเขียน และนักต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน ตัวจริงเสียงจริง วั 💥 ย้อนไปในอดีตเมื่อ 56 ปี ที่ผ่านมา เพื่อรำลึกถึงชายผู้พลิกโฉม วงการสื่อสารมวลชนไทย อย่างแท้จริง "อาจไม่ใช่คนดังในโลกออนไลน์ แต่ในยุคที่ปากกาคืออาวุธ อิศราคือหนึ่งในนักรบผู้ยิ่งใหญ่" “อิศรา อมันตกุล” นักหนังสือพิมพ์ที่ชีวิตจริงยิ่งกว่านวนิยาย 🗓 เกิดวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2464 🏠 เชื้อสายมุสลิมอินเดีย จากครอบครัวมูฮัมหมัดซาเลย์ อะมัน และวัน อมรทัต 🎓 จบชั้นประถมจากโรงเรียนบำรุงวิทยา จ.นครปฐม และชั้นมัธยมจากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน ปี 2479 คะแนนภาษาอังกฤษอันดับ 1 ของประเทศ ชีวิตอิศราไม่ใช่เส้นตรง เริ่มจากครูสอนหนังสือในนครศรีธรรมราช ก่อนที่โชคชะตาจะพากลับสู่เส้นทางของ “นักข่าว” นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก บทบาทที่สร้างมาตรฐานวิชาชีพสื่อไทย ในปี พ.ศ. 2499 อิศราได้รับเลือกให้เป็น นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก และดำรงตำแหน่งต่อเนื่อง 3 สมัย (2499 - 2501) 💡 ผลงานสำคัญ เปลี่ยนรูปแบบการจัดหน้าหนังสือพิมพ์จาก 7 คอลัมน์เป็น 8 คอลัมน์ วางรากฐานจรรยาบรรณนักข่าวไทย 🌱 ปกป้องสิทธิเสรีภาพสื่อ แม้ต้องแลกด้วยอิสรภาพของตัวเองก็ตาม "อิศราเชื่อว่า หนังสือพิมพ์คือบันทึกประวัติศาสตร์รายวัน" เสรีภาพกับราคาที่ต้องจ่าย เมื่อ “อิศรา” ต้องติดคุกเกือบ 6 ปี โดยไม่มีการฟ้องร้อง! 📆 วันที่ 21 ตุลาคม 2501 หลังรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ อิศราในฐานะบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ บางกอกเดลิเมล์ ถูกจับกุมข้อหาคอมมิวนิสต์ 🚫 ไม่มีการสอบสวน ไม่มีการส่งฟ้อง ⏳ ถูกขัง 5 ปี 10 เดือน แม้จะอยู่ในเรือนจำ แต่อิศรายังคงเขียนงานอย่างต่อเนื่อง ใช้นามปากกามากกว่า 10 ชื่อ เช่น ✨ นายอิสระ ✨ มะงุมมะงาหรา ✨ ธนุธร ✨ ดร.x XYZ 🗨 "เอ็งติดตะรางเพราะทำงานหนังสือพิมพ์ มันยังโก้กว่าติดตะรางเพราะเป็นหัวไม้" เสียงแม่ที่ยังอยู่ในใจอิศราเสมอ ผลงานเด่นในวงการหนังสือพิมพ์ ครอบคลุมทุกแขนงข่าว จนกลายเป็นต้นแบบนักข่าว 📰 หนังสือพิมพ์ที่อิศราเคยร่วมงาน สุภาพบุรุษ, สุวัณณภูมิ, บางกอกรายวัน, พิมพ์ไทยเบื้องหลังข่าว, เอกราช, เดลินิวส์ 📍 อิศราคือผู้ควบคุมการผลิตข่าว สารคดีเชิงข่าว เรื่องแรกของไทย คดีปล้นร้านทองเบ๊ลี่แซ นำไปสร้างเป็นละครเวที และภาพยนตร์ในเวลาต่อมา 🎯 เทคนิคข่าวของอิศรา เน้นความถูกต้อง เที่ยงธรรม และตรวจสอบได้ "ข่าวไม่ใช่การสร้างสีสัน แต่คือการสะท้อนความจริงของสังคม" จุดยืนเพื่อเสรีภาพและศักดิ์ศรี ไม่เคยยอมอำนาจรัฐ ไม่รับสินบน ไม่หวั่นคำขู่ อิศราเป็นนักข่าว ที่ไม่ยอมให้นายทุน หรืออำนาจรัฐแทรกแซงสื่อ 💼 ตรวจสอบทุกแหล่งข่าว 🛑 ไม่ประณามผู้ต้องหาโดยไม่มีหลักฐาน ✍ ไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของบุคคล อิศราเคยกล่าวว่า "หนังสือพิมพ์อาจดูเหมือนกระดาษไร้ค่า แต่ในวันหน้า มันคือหลักฐานทางประวัติศาสตร์" นักเขียนนวนิยายที่ตีแผ่สังคมไทย ผลงานที่ฝังลึกในหัวใจคนไทย 📚 นวนิยาย นักบุญ-คนบาป (2486) 🎭 เรื่องสั้น-นวนิยายกว่า 100 เรื่อง 🖋 ภาษาเขียนที่สวิงสวาย แตกต่างจากนักเขียนร่วมยุค "...ชีพจรของงานเต้นเร็วถี่ขึ้นเป็นลำดับ..." "...เสียงซ่าของคลื่นที่ยื่นปากจูบชายหาย..." จอมพลสฤษดิ์ กับการปิดปากนักข่าว คุกคือคำตอบของรัฐต่อ “ปากกา” ของอิศรา 📅 ตุลาคม 2501 รัฐประหาร -> จับนักข่าว นักการเมือง นักวิชาการ 📌 รวมถึง กุหลาบ สายประดิษฐ์, สุวัฒน์ วรดิลก และอิศรา อมันตกุล ไม่มีการพิสูจน์ ไม่มีหลักฐาน แต่ถูกขังโดยไม่ไต่สวน "นักหนังสือพิมพ์ถูกจับเ พราะเขียนข่าวที่รัฐไม่พอใจ" แม้ไร้อิสรภาพ แต่หัวใจยังคงเสรี เขียนหนังสือแม้ในเรือนจำ ใช้หลายนามปากกาเขียนคอลัมน์ และเรื่องสั้น 📜 แสดงความกล้าหาญในการพูดถึงสังคม 📢 ปกป้องเสรีภาพผ่านตัวหนังสือ "การติดคุกเพราะทำหนังสือพิมพ์ ยังโก้กว่าเป็นหัวไม้!" แม่ของอิศรา วาระสุดท้ายที่ไม่สิ้นไฟ ปากกาวาง...แต่คำยังสะท้อนก้อง 🕯 เสียชีวิต 14 มีนาคม 2512 ด้วยโรคมะเร็งลิ้น อายุ 47 ปี "ผมไม่เสียใจเลย ที่เกิดมาเป็นหนังสือพิมพ์" แม้เจ็บป่วยแ ต่ยังเขียนข้อความสั้นๆ ฝากถึงเพื่อนร่วมวิชาชีพ ✒ ปณิธานนักข่าวไม่เคยจางหาย สารจากอิศรา ถึงคนข่าวรุ่นใหม่ "ข้าพเจ้าเป็นคนสามัญคนหนึ่ง ซึ่งมั่นหมายจะเขียน เฉพาะเรื่องราวของประชาชน เพื่อถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก ความดิ้นรน และความหวังจากประชาชนไปสู่ประชาชน เพราะประชาชนเท่านั้นที่เป็นผู้กำลังต่อสู้ และกำลังทำงานเพื่อสร้างเสรีภาพอันถูกต้อง และศตวรรษแห่งสามัญชน" สรุปบทเรียนจากชีวิต “อิศรา อมันตกุล” ✨ นักข่าวคือผู้บันทึกประวัติศาสตร์ ✨ เสรีภาพไม่ใช่ของขวัญจากรัฐ แต่คือสิทธิที่ต้องรักษา ✨ จรรยาบรรณต้องมาก่อนผลประโยชน์ ✨ ปากกาคืออาวุธ แต่ใจต้องเป็นธรรม 🔖 คำคมจากอิศรา 🖋 "หนังสือพิมพ์คือเอกสารทางประวัติศาสตร์อย่างหนึ่ง และนักข่าวคือผู้บันทึกประวัติศาสตร์วันต่อวัน" “เพราะหนังสือพิมพ์ในวันนี้ คือประวัติศาสตร์ของวันหน้า” ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 141021 มี.ค. 2568 🏷️ #อิศราอมันตกุล #นักข่าวต้นแบบ #เสรีภาพสื่อไทย #สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย #นักหนังสือพิมพ์ในตำนาน #ประวัติศาสตร์ข่าวไทย #ชีวิตอิศรา #นักข่าวสายตรง #นักเขียนเพื่อประชาชน #สื่อเสรีไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 148 มุมมอง 0 รีวิว
  • 20 ปี สิ้น “สาวสองพันปี” เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่ ✨ เจ้าแม่แห่งการตัดริบบิ้น 🟣 ผู้นำเทรนด์ม่วงหัวจรดเท้า สาวเปรี้ยวแห่งยุค

    ย้อนตำนานเจ้าแม่ตัดริบบิ้น เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่ หญิงสาวผู้เปลี่ยนทุกเวที ให้กลายเป็นรันเวย์แฟชั่นสีม่วง ตลอด 69 ปีเต็มของชีวิต ตัวแทนความเปรี้ยว และกล้าฉีกกฎยุคสมัยอย่างแท้จริง

    เสน่ห์ที่ไม่มีวันลบเลือน วงสังคมไฮโซไทย 🌟 ถ้าจะกล่าวถึงผู้หญิง ที่ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองจางหาย จากความสนใจของผู้คน ชื่อของ “เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่” หรือที่เรียกขานกันว่า "เจ้าป้า" ต้องโผล่มาในใจคนรุ่นเก่าและใหม่เสมอ 🟣 เจ้าป้าคือ "สาวสองพันปี" ตำนานแฟชั่นม่วง ที่กลายเป็นไอคอนของความเปรี้ยว ความมั่นใจ และความโดดเด่นเหนือใคร ✨

    ตลอด 69 ปีของชีวิต เจ้ากอแก้วได้สร้างตำนานในหลายบท ทั้งในฐานะลูกหลานเจ้านายฝ่ายเหนือแห่งเชียงใหม่ 🏯 นักเรียนที่มีการศึกษาระดับสากล 📚 ผู้นำแฟชั่นที่ไม่กลัวคำครหา 👜 และ "เจ้าแม่แห่งการตัดริบบิ้น" ✂️ ที่ไม่เคยปล่อยให้เวทีไหนเงียบเหงา ❤️

    👑 เชื้อสายเจ้านายฝ่ายเหนือ อดีตผู้ครองนครเชียงใหม่ เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่ เกิดเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2478 ในตระกูล "ณ เชียงใหม่" อันทรงเกียรติ เป็นธิดาคนสุดท้องของเจ้ากาวิละวงศ์ กับเจ้าศิริประกาย ณ เชียงใหม่ 🌸 เป็นหลานสาวของเจ้าแก้วนวรัฐ ผู้ครองนครเชียงใหม่องค์สุดท้าย

    ชื่อที่มีความหมาย และเรื่องราวที่น่าจดจำ เมื่อแรกเกิด ได้รับพระราชทานชื่อ "ประกายกาวิล" จากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัฐกาลที่ 7 ต่อมาเมื่อหม่อมกอบแก้ว อาภากร ณ อยุธยา ขอเป็นแม่อุปถัมภ์ ได้ไปที่เชียงใหม่ และไปเฝ้าเจ้าตาขอให้ตั้งชื่อหลานสาวว่า “กอบแก้ว” แต่ตัว บ.ใบไม้หายไป จึงกลายเป็น “กอแก้ว” 🎉

    ✈️ เจ้ากอแก้วได้รับการศึกษาระดับประถมศึกษา ที่โรงเรียนเรยีนาเชลีวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ จากนั้นย้ายไปเรียนที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย กรุงเทพฯ ก่อนจะเดินทางไปศึกษาต่อ ที่ประเทศอังกฤษ 🇬🇧 และฝรั่งเศส 🇫🇷

    - Raven's Croft ในอีสต์บอร์น
    - Southampton Technical College
    - เรียนพิมพ์ดีดและเลขานุการที่ Pitman College กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
    - ฝึกมารยาทและการเข้าสังคมที่ Lucy Clayton
    - เรียนภาษาและมารยาททางสังคมที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส🇫🇷

    ภายหลัง เจ้ากอแก้วสามารถใช้ภาษาอังกฤษ และฝรั่งเศสได้อย่างคล่องแคล่ว ✍️

    เจ้ากอแก้ว เจ้าแม่แฟชั่นแห่งยุคที่ไม่เคยตกเทรนด์ 💄👠 สีม่วง เอกลักษณ์ที่กลายเป็นตำนาน ไม่ว่าจะผ่านมากี่ทศวรรษ สีม่วงก็ยังเป็นสีประจำตัวของเจ้าป้าคนนี้ 🔮 เจ้าป้าย้อมผมเป็นสีม่วงเข้ม ฟูฟ่องตั้งแต่รากจรดปลาย และเลือกเครื่องแต่งกายทุกชิ้น ตั้งแต่หมวก 🧢 เสื้อผ้า 👗 กระเป๋า 👜 รองเท้า 👠 ไปจนถึงต่างหู 💎 ให้เป็นสีม่วงตั้งแต่หัวจรดเท้า

    เจ้าป้าเคยกล่าวขำๆ ว่า... “ทีแรกเลย ป้าต้องการสีเปลือกมังคุด แต่ไม่รู้ว่าช่างเขาผสมยังไง ผสมไปผสมมามันก็กลายเป็นสีนี้ไปได้ พอออกมาอย่างนี้เราก็เออ สวยดีแฮะ ก็เลยเอาสีนี้ก็สีนี้แหละชอบ” 😄

    ตำนานการตัดริบบิ้นที่ไม่มีใครเทียบ เจ้าป้าได้รับฉายา "เจ้าแม่แห่งการตัดริบบิ้น" ✂️ เพราะการปรากฏตัวที่งานเปิดตัวต่างๆ มักนำมาซึ่งโชคลาภ และความสำเร็จแก่เจ้าของกิจการ 🏢 เคยสร้างสถิติตัดริบบิ้น 8 งานในวันเดียว! เจ้าป้ามีเทคนิคเฉพาะในการ "จรดกรรไกร" ให้นักข่าวถ่ายภาพได้มุมเป๊ะทุกครั้ง 📸

    ความเปรี้ยวที่เหนือกาลเวลา 🕶 เจ้ากอแก้วเริ่มสูบบุหรี่ตั้งแต่อายุ 14 ปี 🚬 ใส่เสื้อเกาะอกตั้งแต่อายุ 20 ปี 👗 และชอบดื่มไวน์ 🍷 พร้อมแต่งหน้าเข้ม ตั้งแต่ยุคที่ผู้หญิงไทยยังนิยมเรียบร้อย เจ้าป้าไม่เคยกลัวคำวิจารณ์ แต่กลับเห็นว่าเป็นสีสันของชีวิต 🖌️

    ถ้อยคำอมตะของสาวสองพันปี "คนมอง ก็อยากมองเอง ช่วยอะไรไม่ได้ เราบังคับเขาไม่ได้ แม้ว่าเขาจะเห็นเราตลก เอาเราไปล้อเลียนก็เถอะ แต่เราถือว่าเขาให้เกียรติเรา" 🌟

    ❤️ เจ้ากอแก้วสมรสครั้งแรกกับ พลตำรวจโท ทิพย์ อัศวรักษ์ มีบุตรชาย 1 คน คือ ทินกร อัศวรักษ์ หรือกุ๊กกี้ ต่อมาหย่าขาดกัน และใช้ชีวิตคู่กับเรืออากาศเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช อีก 6 ปี ก่อนลงเอยกับเอดิลเบอร์โต้ โรเมโร ชาวฟิลิปปินส์ แม้ไม่มีบุตรร่วมกัน แต่ก็มีช่วงเวลาคู่ชีวิตที่มีค่า 💞

    ผลงานและหน้าที่การงานที่น่าประทับใจ 💼
    - บริษัท CTO. Lines
    - เลขานุการและมัคคุเทศก์ บริษัทซีต้า แทรเวล
    - ประชาสัมพันธ์โรงแรมชวลิต หรือแอมบาสซาเดอร์ในปัจจุบัน
    - ประชาสัมพันธ์ ศูนย์บริหารร่างกายโจแอนดรูว์
    - ที่ปรึกษาการตลาด บริษัทเดอะมอลล์กรุ๊ป

    💐 เจ้ากอแก้วประกายกาวิลเสียชีวิต เมื่อช่วงสายวันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 เวลา 10.30 น. ด้วยวัย 69 ปี สิ้นสุดตำนาน "สาวสองพันปี" ณ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระราชทานหีบทองทึบ และรับพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ที่วัดธาตุทอง ✨ พิธีพระราชทานเพลิงศพ จัดขึ้นเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2548

    ตำนานที่ยังคงอยู่ในใจผู้คน 🕊️ 20 ปีผ่านไป ชื่อของเจ้ากอแก้วประกายกาวิล ยังไม่จางหาย เจ้าป้าคือแรงบันดาลใจ ให้คนรุ่นใหม่ที่กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก และกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง 💜

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 131110 มี.ค. 2568

    #เจ้ากอแก้วประกายกาวิล #สาวสองพันปี #เจ้าแม่ตัดริบบิ้น #แฟชั่นสีม่วง #ไฮโซเชียงใหม่ #ตำนานสังคมไทย #สาวเปรี้ยวแห่งยุค #กอแก้วประกายกาวิล #ChiangMaiLegend #PurpleIcon
    20 ปี สิ้น “สาวสองพันปี” เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่ ✨ เจ้าแม่แห่งการตัดริบบิ้น 🟣 ผู้นำเทรนด์ม่วงหัวจรดเท้า สาวเปรี้ยวแห่งยุค ย้อนตำนานเจ้าแม่ตัดริบบิ้น เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่ หญิงสาวผู้เปลี่ยนทุกเวที ให้กลายเป็นรันเวย์แฟชั่นสีม่วง ตลอด 69 ปีเต็มของชีวิต ตัวแทนความเปรี้ยว และกล้าฉีกกฎยุคสมัยอย่างแท้จริง เสน่ห์ที่ไม่มีวันลบเลือน วงสังคมไฮโซไทย 🌟 ถ้าจะกล่าวถึงผู้หญิง ที่ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองจางหาย จากความสนใจของผู้คน ชื่อของ “เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่” หรือที่เรียกขานกันว่า "เจ้าป้า" ต้องโผล่มาในใจคนรุ่นเก่าและใหม่เสมอ 🟣 เจ้าป้าคือ "สาวสองพันปี" ตำนานแฟชั่นม่วง ที่กลายเป็นไอคอนของความเปรี้ยว ความมั่นใจ และความโดดเด่นเหนือใคร ✨ ตลอด 69 ปีของชีวิต เจ้ากอแก้วได้สร้างตำนานในหลายบท ทั้งในฐานะลูกหลานเจ้านายฝ่ายเหนือแห่งเชียงใหม่ 🏯 นักเรียนที่มีการศึกษาระดับสากล 📚 ผู้นำแฟชั่นที่ไม่กลัวคำครหา 👜 และ "เจ้าแม่แห่งการตัดริบบิ้น" ✂️ ที่ไม่เคยปล่อยให้เวทีไหนเงียบเหงา ❤️ 👑 เชื้อสายเจ้านายฝ่ายเหนือ อดีตผู้ครองนครเชียงใหม่ เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่ เกิดเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2478 ในตระกูล "ณ เชียงใหม่" อันทรงเกียรติ เป็นธิดาคนสุดท้องของเจ้ากาวิละวงศ์ กับเจ้าศิริประกาย ณ เชียงใหม่ 🌸 เป็นหลานสาวของเจ้าแก้วนวรัฐ ผู้ครองนครเชียงใหม่องค์สุดท้าย ชื่อที่มีความหมาย และเรื่องราวที่น่าจดจำ เมื่อแรกเกิด ได้รับพระราชทานชื่อ "ประกายกาวิล" จากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัฐกาลที่ 7 ต่อมาเมื่อหม่อมกอบแก้ว อาภากร ณ อยุธยา ขอเป็นแม่อุปถัมภ์ ได้ไปที่เชียงใหม่ และไปเฝ้าเจ้าตาขอให้ตั้งชื่อหลานสาวว่า “กอบแก้ว” แต่ตัว บ.ใบไม้หายไป จึงกลายเป็น “กอแก้ว” 🎉 ✈️ เจ้ากอแก้วได้รับการศึกษาระดับประถมศึกษา ที่โรงเรียนเรยีนาเชลีวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ จากนั้นย้ายไปเรียนที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย กรุงเทพฯ ก่อนจะเดินทางไปศึกษาต่อ ที่ประเทศอังกฤษ 🇬🇧 และฝรั่งเศส 🇫🇷 - Raven's Croft ในอีสต์บอร์น - Southampton Technical College - เรียนพิมพ์ดีดและเลขานุการที่ Pitman College กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ - ฝึกมารยาทและการเข้าสังคมที่ Lucy Clayton - เรียนภาษาและมารยาททางสังคมที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส🇫🇷 ภายหลัง เจ้ากอแก้วสามารถใช้ภาษาอังกฤษ และฝรั่งเศสได้อย่างคล่องแคล่ว ✍️ เจ้ากอแก้ว เจ้าแม่แฟชั่นแห่งยุคที่ไม่เคยตกเทรนด์ 💄👠 สีม่วง เอกลักษณ์ที่กลายเป็นตำนาน ไม่ว่าจะผ่านมากี่ทศวรรษ สีม่วงก็ยังเป็นสีประจำตัวของเจ้าป้าคนนี้ 🔮 เจ้าป้าย้อมผมเป็นสีม่วงเข้ม ฟูฟ่องตั้งแต่รากจรดปลาย และเลือกเครื่องแต่งกายทุกชิ้น ตั้งแต่หมวก 🧢 เสื้อผ้า 👗 กระเป๋า 👜 รองเท้า 👠 ไปจนถึงต่างหู 💎 ให้เป็นสีม่วงตั้งแต่หัวจรดเท้า เจ้าป้าเคยกล่าวขำๆ ว่า... “ทีแรกเลย ป้าต้องการสีเปลือกมังคุด แต่ไม่รู้ว่าช่างเขาผสมยังไง ผสมไปผสมมามันก็กลายเป็นสีนี้ไปได้ พอออกมาอย่างนี้เราก็เออ สวยดีแฮะ ก็เลยเอาสีนี้ก็สีนี้แหละชอบ” 😄 ตำนานการตัดริบบิ้นที่ไม่มีใครเทียบ เจ้าป้าได้รับฉายา "เจ้าแม่แห่งการตัดริบบิ้น" ✂️ เพราะการปรากฏตัวที่งานเปิดตัวต่างๆ มักนำมาซึ่งโชคลาภ และความสำเร็จแก่เจ้าของกิจการ 🏢 เคยสร้างสถิติตัดริบบิ้น 8 งานในวันเดียว! เจ้าป้ามีเทคนิคเฉพาะในการ "จรดกรรไกร" ให้นักข่าวถ่ายภาพได้มุมเป๊ะทุกครั้ง 📸 ความเปรี้ยวที่เหนือกาลเวลา 🕶 เจ้ากอแก้วเริ่มสูบบุหรี่ตั้งแต่อายุ 14 ปี 🚬 ใส่เสื้อเกาะอกตั้งแต่อายุ 20 ปี 👗 และชอบดื่มไวน์ 🍷 พร้อมแต่งหน้าเข้ม ตั้งแต่ยุคที่ผู้หญิงไทยยังนิยมเรียบร้อย เจ้าป้าไม่เคยกลัวคำวิจารณ์ แต่กลับเห็นว่าเป็นสีสันของชีวิต 🖌️ ถ้อยคำอมตะของสาวสองพันปี "คนมอง ก็อยากมองเอง ช่วยอะไรไม่ได้ เราบังคับเขาไม่ได้ แม้ว่าเขาจะเห็นเราตลก เอาเราไปล้อเลียนก็เถอะ แต่เราถือว่าเขาให้เกียรติเรา" 🌟 ❤️ เจ้ากอแก้วสมรสครั้งแรกกับ พลตำรวจโท ทิพย์ อัศวรักษ์ มีบุตรชาย 1 คน คือ ทินกร อัศวรักษ์ หรือกุ๊กกี้ ต่อมาหย่าขาดกัน และใช้ชีวิตคู่กับเรืออากาศเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช อีก 6 ปี ก่อนลงเอยกับเอดิลเบอร์โต้ โรเมโร ชาวฟิลิปปินส์ แม้ไม่มีบุตรร่วมกัน แต่ก็มีช่วงเวลาคู่ชีวิตที่มีค่า 💞 ผลงานและหน้าที่การงานที่น่าประทับใจ 💼 - บริษัท CTO. Lines - เลขานุการและมัคคุเทศก์ บริษัทซีต้า แทรเวล - ประชาสัมพันธ์โรงแรมชวลิต หรือแอมบาสซาเดอร์ในปัจจุบัน - ประชาสัมพันธ์ ศูนย์บริหารร่างกายโจแอนดรูว์ - ที่ปรึกษาการตลาด บริษัทเดอะมอลล์กรุ๊ป 💐 เจ้ากอแก้วประกายกาวิลเสียชีวิต เมื่อช่วงสายวันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 เวลา 10.30 น. ด้วยวัย 69 ปี สิ้นสุดตำนาน "สาวสองพันปี" ณ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระราชทานหีบทองทึบ และรับพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ที่วัดธาตุทอง ✨ พิธีพระราชทานเพลิงศพ จัดขึ้นเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 ตำนานที่ยังคงอยู่ในใจผู้คน 🕊️ 20 ปีผ่านไป ชื่อของเจ้ากอแก้วประกายกาวิล ยังไม่จางหาย เจ้าป้าคือแรงบันดาลใจ ให้คนรุ่นใหม่ที่กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก และกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง 💜 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 131110 มี.ค. 2568 #เจ้ากอแก้วประกายกาวิล #สาวสองพันปี #เจ้าแม่ตัดริบบิ้น #แฟชั่นสีม่วง #ไฮโซเชียงใหม่ #ตำนานสังคมไทย #สาวเปรี้ยวแห่งยุค #กอแก้วประกายกาวิล #ChiangMaiLegend #PurpleIcon
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 315 มุมมอง 0 รีวิว
  • ป.ป.ช. สนธิกำลังปฏิบัติการร่วม ป.ป.ท. และ ป.ป.ป. จับกุม 7 เจ้าหน้าที่สังกัดสำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กรุงเทพมหานคร จัดจ้างซ่อมรถบัสทิพย์ เสียหาย 2.8 ล้าน

    วันนี้ (12 มี.ค. ) นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มอบหมายให้ นายสุขสันต์ ประสาระเอ ผู้อำนวยการสำนักสืบสวนและกิจการพิเศษ และ นายไพโรจน์ นิยมเดชา ผู้อำนวยการสืบสวนกลุ่มสืบสวนและปฏิบัติการข่าว 2 พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.) และกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ปฏิบัติการจับกุมเจ้าหน้าที่สังกัดกองการกีฬา สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กรุงเทพมหานคร จัดจ้างซ่อมรถโดยสารเป็นเท็จ มูลค่าความเสียหาย 2,790,928 บาท จำนวน 7 ราย

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000023832

    #MGROnline #จับกุมเจ้าหน้าที่ #สังกัดกองการกีฬา #สำนักวัฒนธรรมกีฬาและการท่องเที่ยว #กรุงเทพมหานคร
    ป.ป.ช. สนธิกำลังปฏิบัติการร่วม ป.ป.ท. และ ป.ป.ป. จับกุม 7 เจ้าหน้าที่สังกัดสำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กรุงเทพมหานคร จัดจ้างซ่อมรถบัสทิพย์ เสียหาย 2.8 ล้าน • วันนี้ (12 มี.ค. ) นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มอบหมายให้ นายสุขสันต์ ประสาระเอ ผู้อำนวยการสำนักสืบสวนและกิจการพิเศษ และ นายไพโรจน์ นิยมเดชา ผู้อำนวยการสืบสวนกลุ่มสืบสวนและปฏิบัติการข่าว 2 พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.) และกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ปฏิบัติการจับกุมเจ้าหน้าที่สังกัดกองการกีฬา สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กรุงเทพมหานคร จัดจ้างซ่อมรถโดยสารเป็นเท็จ มูลค่าความเสียหาย 2,790,928 บาท จำนวน 7 ราย • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000023832 • #MGROnline #จับกุมเจ้าหน้าที่ #สังกัดกองการกีฬา #สำนักวัฒนธรรมกีฬาและการท่องเที่ยว #กรุงเทพมหานคร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 186 มุมมอง 0 รีวิว
  • 15 ปี สิ้น “จ่าเพียร ขาเหล็ก” ผู้กำกับนักสู้แห่งเทือกเขาบูโด ตำนานย้ายยากเย็น เซ่นสลับบัญชี โชคร้ายตายก่อนขึ้นรองผู้การ

    🚔 “คงอยากจะขอยศพันตำรวจเอกให้ผม ตอนที่ผมตายแล้ว” คำพูดที่ยังคงก้องในหัวใจคนไทยหลายคน… 🕊️

    🌿 ตำนานที่ยังไม่ลืม ผ่านมากว่า 15 ปี แล้ว... แต่เรื่องราวของ “จ่าเพียร ขาเหล็ก” หรือ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.สภ.บันนังสตา ภ.จว.ยะลา ยังถูกเล่าขานในฐานะ “นักสู้แห่งเทือกเขาบูโด” ผู้ทุ่มเทชีวิตเพื่อความสงบสุขของแผ่นดินปลายด้ามขวาน 🗡️ แม้จะแลกด้วยความเหน็ดเหนื่อย เจ็บปวด และสุดท้าย... ชีวิต

    👮‍♂️ “สมเพียร เอกสมญา” หรือชื่อเล่นว่า “เนี้ยบ” เกิดเมื่อปี 2493 ในครอบครัวยากจนที่จังหวัดสงขลา ชีวิตในวัยเด็กเต็มไปด้วยความลำบาก ต้องช่วยพ่อแม่กรีดยาง เพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว แต่ความยากจน ไม่สามารถปิดกั้นความฝันได้ 🎓

    หลังเรียนจบชั้นประถมปีที่ 4 สมเพียรตัดสินใจเป็นศิษย์วัดเพื่อเรียนต่อ และก้าวขึ้นสู่การเป็นนักเรียนตำรวจ ต้องเปลี่ยนนามสกุลจาก “แซ่เจ่ง” เป็น “เอกสมญา” เพื่อเข้ารับราชการในยุคนั้น

    จุดเริ่มต้นของนักรบแดนใต้ ปี 2513 สมเพียรเริ่มต้นอาชีพตำรวจที่ สถานีตำรวจภูธรบันนังสตา ภ.จว.ยะลา ในช่วงเวลาที่ภาคใต้ร้อนระอุ จากความขัดแย้งของพรรคคอมมิวนิสต์มลายา (พคม.) และกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดน

    ชีวิตของสมเพียร ไม่ใช่แค่การจับผู้ร้ายทั่วไป แต่ต้องเผชิญหน้ากับสงครามกองโจร และการลอบสังหารเกือบทุกวัน 😔

    🔥 วีรกรรมและตำนาน “ขาเหล็ก” เหตุการณ์ปะทะที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด ปี 2519 ขณะที่ครองยศ "จ่าสิบตำรวจ" ได้เข้าปะทะกับขบวนการก่อการไม่สงบ ที่จับตำรวจและครอบครัวเป็นตัวประกัน บนเขาเจาะปันตัง เหตุการณ์นั้นทำให้ จ่าเพียรเกือบเสียขาข้างซ้าย ต้องใส่เหล็กดามขามาตลอดชีวิต จนได้ฉายาว่า “จ่าเพียร ขาเหล็ก” 🦿

    🦾 “ผมไม่อยากเป็นวีรบุรุษ และจะไม่ขอตายในชุดนักรบ” พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา

    🦅 ปฏิบัติการ “ยูงทอง” ชุดปฏิบัติการปราบปราม กลุ่มก่อการไม่สงบในบันนังสตา มีชื่อเสียงอย่างมากภาย ใต้การนำของจ่าเพียร เคยนำทีมเข้าปะทะกองกำลังกว่า 30 คน ในปี 2526 แม้ตัวเองจะโดนยิงที่ต้นขาขวา แต่ยังสู้ไม่ถอย ✊

    🏡 ความฝันสุดท้ายของจ่าเพียร อยากกลับบ้าน...แค่ใช้ชีวิตกับครอบครัว ในช่วงสุดท้ายของชีวิต พ.ต.อ.สมเพียร ยื่นเรื่องขอย้ายกลับไปอยู่ สภ.กันตัง จ.ตรัง บ้านเกิดของภรรยา เพื่อใช้ชีวิตเงียบสงบช่วง 18 เดือนก่อนเกษียณ แต่การโยกย้ายกลับไม่เกิดขึ้น แม้ว่าจะมีชื่อติดในโผโยกย้ายตั้งแต่แรก แต่ในขั้นตอนสุดท้าย กลับถูกสับเปลี่ยนชื่อ สลับบัญชี เพื่อหลีกทางให้คนของนักการเมือง 🍃

    จ่าเพียรไม่ยอมรับโผอัปยศ จึงเดินทางจากชายแดนใต้สู่กรุงเทพฯ ไปทวงถามความเป็นธรรม ถึงทำเนียบรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งได้รับคำปลอบใจว่า จะเยียวยาโดยให้ขึ้นตำแหน่ง "รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด" ก่อนที่จะเกษียณอายุราชการ

    💬 “ไม่มีการแต่งตั้งตำรวจครั้งไหนที่แย่เท่าครั้งนี้อีกแล้ว” แม้ว่าจ่าเพยีจะพูดด้วยน้ำตา แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

    💔 วันแห่งความสูญเสีย ปฏิบัติการสุดท้ายที่บ้านทับช้าง ในเช้าวันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2553 จ่าเพียร พร้อมด้วยลูกน้อง 4 นาย และ อส.คนสนิทอีก 1 นาย นั่งรถยนต์ปิกอัพ โตโยต้าไฮลักซ์วีโก้ 4 ประตู สีน้ำตาล หมายเลขทะเบียน กข 9302 ยะลา และอส.คนสนิท อีก 1 นาย ออกลาดตระเวนในพื้นที่บ้านทับช้าง แต่ถูกกลุ่มก่อการไม่สงบ กดระเบิด และกราดยิงด้วยอาวุธสงครามอย่างหนัก จ่าเพียรได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา ลูกน้องได้รับบาดเจ็บสาหัส 3 นาย และอีก 1 นายเสียชีวิต 🔫

    ⚰️ อายุ 59 ปี สิ้นสุดเส้นทางของนักรบผู้ภักดีต่อหน้าที่ บทเรียนชีวิตและความจริงที่เจ็บปวด การต่อสู้ของจ่าเพียร ไม่ใช่แค่ศึกในสนามรบ แต่ยังเป็นศึกในระบบราชการที่ซับซ้อน และมีปัญหาเรื่องอุปถัมภ์ จ่าเพียรไม่ได้รับโอกาสเลื่อนยศหรือโยกย้าย จนกว่าจะเสียชีวิตแล้ว ถึงได้เลื่อนยศ 7 ขั้น เป็น "พลตำรวจเอก" 🕊️

    ⚖️ ระบบที่ควรตอบแทนคนทุ่มเท กลับถูกแทนที่ด้วยสายสัมพันธ์และอำนาจ มรดกและแรงบันดาลใจ
    หลังจากการเสียชีวิตของจ่าเพียร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มอบเงินช่วยเหลือครอบครัวจำนวน 3 ล้านบาท และรับผิดชอบการศึกษาของลูก จนจบปริญญาตรี แต่สิ่งที่จ่าเพียรทิ้งไว้ไม่ใช่แค่เงินทอง

    ❤️ “จ่าเพียร ขาเหล็ก” กลายเป็นสัญลักษณ์ของตำรวจที่ทุ่มเท และไม่ยอมแพ้ต่ออุปถัมภ์

    🗣️ คำพูดสุดท้ายที่ยังตราตรึง "ผมไม่ได้อยากย้ายเพื่อความก้าวหน้า แต่อยากกลับไปอยู่กับครอบครัว ผมทำงานมา 40 ปี แทบไม่มีเวลาให้พวกเขาเลย"

    ❓ คำถามที่ยังไร้คำตอบ แม้เวลาจะผ่านไป 15 ปี แต่เรื่องราวของจ่าเพียร ยังเป็นกระจกสะท้อนปัญหาระบบราชการไทย หลายคนยังสงสัยว่า…

    - ทำไมตำรวจน้ำดี ต้องตายก่อนจึงได้รับการยกย่อง?
    - ทำไมระบบโยกย้าย ถึงเต็มไปด้วยข้อครหา?
    - ใครจะปกป้องผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ที่ไม่มีเส้นสาย?

    🤝 เสียงจากคนในพื้นที่ “จ่าเพียรกลับมาแล้ว” ไม่ใช่แค่ตำรวจ แต่เป็นที่พึ่งของชาวบ้าน

    🕊️ “กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ยะลา ปัตตานี นราธิวาส รู้จักจ่าเพียรในฐานะคนที่ไม่เคยทิ้งพื้นที่”

    🌳 "คนที่เคยเป็นเยาวชนไม่มีอนาคต กลายมาเป็นอาสาสมัครในทีมของจ่าเพียร ด้วยศรัทธาและความเชื่อมั่น"

    🕯️ ตำนานที่ไม่ควรจางหาย ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ชื่อ "สมเพียร เอกสมญา" ไม่ได้ตายเพราะกระสุนหรือระเบิด แต่เพราะระบบที่ล้มเหลวในการดูแลคนดี 💐

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 121155 มี.ค. 2568

    #จ่าเพียรขาเหล็ก #ฮีโร่แดนใต้ #ผู้กำกับนักสู้ #สมเพียรเอกสมญา #ชายแดนใต้ #นักรบแห่งบูโด #ตำรวจไทย #ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ #วีรบุรุษแดนใต้ #ระบบอุปถัมภ์

    15 ปี สิ้น “จ่าเพียร ขาเหล็ก” ผู้กำกับนักสู้แห่งเทือกเขาบูโด ตำนานย้ายยากเย็น เซ่นสลับบัญชี โชคร้ายตายก่อนขึ้นรองผู้การ 🚔 “คงอยากจะขอยศพันตำรวจเอกให้ผม ตอนที่ผมตายแล้ว” คำพูดที่ยังคงก้องในหัวใจคนไทยหลายคน… 🕊️ 🌿 ตำนานที่ยังไม่ลืม ผ่านมากว่า 15 ปี แล้ว... แต่เรื่องราวของ “จ่าเพียร ขาเหล็ก” หรือ พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.สภ.บันนังสตา ภ.จว.ยะลา ยังถูกเล่าขานในฐานะ “นักสู้แห่งเทือกเขาบูโด” ผู้ทุ่มเทชีวิตเพื่อความสงบสุขของแผ่นดินปลายด้ามขวาน 🗡️ แม้จะแลกด้วยความเหน็ดเหนื่อย เจ็บปวด และสุดท้าย... ชีวิต 👮‍♂️ “สมเพียร เอกสมญา” หรือชื่อเล่นว่า “เนี้ยบ” เกิดเมื่อปี 2493 ในครอบครัวยากจนที่จังหวัดสงขลา ชีวิตในวัยเด็กเต็มไปด้วยความลำบาก ต้องช่วยพ่อแม่กรีดยาง เพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว แต่ความยากจน ไม่สามารถปิดกั้นความฝันได้ 🎓 หลังเรียนจบชั้นประถมปีที่ 4 สมเพียรตัดสินใจเป็นศิษย์วัดเพื่อเรียนต่อ และก้าวขึ้นสู่การเป็นนักเรียนตำรวจ ต้องเปลี่ยนนามสกุลจาก “แซ่เจ่ง” เป็น “เอกสมญา” เพื่อเข้ารับราชการในยุคนั้น จุดเริ่มต้นของนักรบแดนใต้ ปี 2513 สมเพียรเริ่มต้นอาชีพตำรวจที่ สถานีตำรวจภูธรบันนังสตา ภ.จว.ยะลา ในช่วงเวลาที่ภาคใต้ร้อนระอุ จากความขัดแย้งของพรรคคอมมิวนิสต์มลายา (พคม.) และกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดน ชีวิตของสมเพียร ไม่ใช่แค่การจับผู้ร้ายทั่วไป แต่ต้องเผชิญหน้ากับสงครามกองโจร และการลอบสังหารเกือบทุกวัน 😔 🔥 วีรกรรมและตำนาน “ขาเหล็ก” เหตุการณ์ปะทะที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด ปี 2519 ขณะที่ครองยศ "จ่าสิบตำรวจ" ได้เข้าปะทะกับขบวนการก่อการไม่สงบ ที่จับตำรวจและครอบครัวเป็นตัวประกัน บนเขาเจาะปันตัง เหตุการณ์นั้นทำให้ จ่าเพียรเกือบเสียขาข้างซ้าย ต้องใส่เหล็กดามขามาตลอดชีวิต จนได้ฉายาว่า “จ่าเพียร ขาเหล็ก” 🦿 🦾 “ผมไม่อยากเป็นวีรบุรุษ และจะไม่ขอตายในชุดนักรบ” พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา 🦅 ปฏิบัติการ “ยูงทอง” ชุดปฏิบัติการปราบปราม กลุ่มก่อการไม่สงบในบันนังสตา มีชื่อเสียงอย่างมากภาย ใต้การนำของจ่าเพียร เคยนำทีมเข้าปะทะกองกำลังกว่า 30 คน ในปี 2526 แม้ตัวเองจะโดนยิงที่ต้นขาขวา แต่ยังสู้ไม่ถอย ✊ 🏡 ความฝันสุดท้ายของจ่าเพียร อยากกลับบ้าน...แค่ใช้ชีวิตกับครอบครัว ในช่วงสุดท้ายของชีวิต พ.ต.อ.สมเพียร ยื่นเรื่องขอย้ายกลับไปอยู่ สภ.กันตัง จ.ตรัง บ้านเกิดของภรรยา เพื่อใช้ชีวิตเงียบสงบช่วง 18 เดือนก่อนเกษียณ แต่การโยกย้ายกลับไม่เกิดขึ้น แม้ว่าจะมีชื่อติดในโผโยกย้ายตั้งแต่แรก แต่ในขั้นตอนสุดท้าย กลับถูกสับเปลี่ยนชื่อ สลับบัญชี เพื่อหลีกทางให้คนของนักการเมือง 🍃 จ่าเพียรไม่ยอมรับโผอัปยศ จึงเดินทางจากชายแดนใต้สู่กรุงเทพฯ ไปทวงถามความเป็นธรรม ถึงทำเนียบรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งได้รับคำปลอบใจว่า จะเยียวยาโดยให้ขึ้นตำแหน่ง "รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด" ก่อนที่จะเกษียณอายุราชการ 💬 “ไม่มีการแต่งตั้งตำรวจครั้งไหนที่แย่เท่าครั้งนี้อีกแล้ว” แม้ว่าจ่าเพยีจะพูดด้วยน้ำตา แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง 💔 วันแห่งความสูญเสีย ปฏิบัติการสุดท้ายที่บ้านทับช้าง ในเช้าวันศุกร์ที่ 12 มีนาคม 2553 จ่าเพียร พร้อมด้วยลูกน้อง 4 นาย และ อส.คนสนิทอีก 1 นาย นั่งรถยนต์ปิกอัพ โตโยต้าไฮลักซ์วีโก้ 4 ประตู สีน้ำตาล หมายเลขทะเบียน กข 9302 ยะลา และอส.คนสนิท อีก 1 นาย ออกลาดตระเวนในพื้นที่บ้านทับช้าง แต่ถูกกลุ่มก่อการไม่สงบ กดระเบิด และกราดยิงด้วยอาวุธสงครามอย่างหนัก จ่าเพียรได้รับบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา ลูกน้องได้รับบาดเจ็บสาหัส 3 นาย และอีก 1 นายเสียชีวิต 🔫 ⚰️ อายุ 59 ปี สิ้นสุดเส้นทางของนักรบผู้ภักดีต่อหน้าที่ บทเรียนชีวิตและความจริงที่เจ็บปวด การต่อสู้ของจ่าเพียร ไม่ใช่แค่ศึกในสนามรบ แต่ยังเป็นศึกในระบบราชการที่ซับซ้อน และมีปัญหาเรื่องอุปถัมภ์ จ่าเพียรไม่ได้รับโอกาสเลื่อนยศหรือโยกย้าย จนกว่าจะเสียชีวิตแล้ว ถึงได้เลื่อนยศ 7 ขั้น เป็น "พลตำรวจเอก" 🕊️ ⚖️ ระบบที่ควรตอบแทนคนทุ่มเท กลับถูกแทนที่ด้วยสายสัมพันธ์และอำนาจ มรดกและแรงบันดาลใจ หลังจากการเสียชีวิตของจ่าเพียร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มอบเงินช่วยเหลือครอบครัวจำนวน 3 ล้านบาท และรับผิดชอบการศึกษาของลูก จนจบปริญญาตรี แต่สิ่งที่จ่าเพียรทิ้งไว้ไม่ใช่แค่เงินทอง ❤️ “จ่าเพียร ขาเหล็ก” กลายเป็นสัญลักษณ์ของตำรวจที่ทุ่มเท และไม่ยอมแพ้ต่ออุปถัมภ์ 🗣️ คำพูดสุดท้ายที่ยังตราตรึง "ผมไม่ได้อยากย้ายเพื่อความก้าวหน้า แต่อยากกลับไปอยู่กับครอบครัว ผมทำงานมา 40 ปี แทบไม่มีเวลาให้พวกเขาเลย" ❓ คำถามที่ยังไร้คำตอบ แม้เวลาจะผ่านไป 15 ปี แต่เรื่องราวของจ่าเพียร ยังเป็นกระจกสะท้อนปัญหาระบบราชการไทย หลายคนยังสงสัยว่า… - ทำไมตำรวจน้ำดี ต้องตายก่อนจึงได้รับการยกย่อง? - ทำไมระบบโยกย้าย ถึงเต็มไปด้วยข้อครหา? - ใครจะปกป้องผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ที่ไม่มีเส้นสาย? 🤝 เสียงจากคนในพื้นที่ “จ่าเพียรกลับมาแล้ว” ไม่ใช่แค่ตำรวจ แต่เป็นที่พึ่งของชาวบ้าน 🕊️ “กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ยะลา ปัตตานี นราธิวาส รู้จักจ่าเพียรในฐานะคนที่ไม่เคยทิ้งพื้นที่” 🌳 "คนที่เคยเป็นเยาวชนไม่มีอนาคต กลายมาเป็นอาสาสมัครในทีมของจ่าเพียร ด้วยศรัทธาและความเชื่อมั่น" 🕯️ ตำนานที่ไม่ควรจางหาย ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ชื่อ "สมเพียร เอกสมญา" ไม่ได้ตายเพราะกระสุนหรือระเบิด แต่เพราะระบบที่ล้มเหลวในการดูแลคนดี 💐 ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 121155 มี.ค. 2568 #จ่าเพียรขาเหล็ก #ฮีโร่แดนใต้ #ผู้กำกับนักสู้ #สมเพียรเอกสมญา #ชายแดนใต้ #นักรบแห่งบูโด #ตำรวจไทย #ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ #วีรบุรุษแดนใต้ #ระบบอุปถัมภ์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 302 มุมมอง 0 รีวิว
  • [ “พระแก้วมรกต” เป็นของใคร ? ]
    .
    เท้าความก่อนตามหลักฐาน “พระแก้วมรกต” ได้รับการสร้างขึ้นในล้านนา ยุคที่ได้รับอิทธิพลทางพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์จากสุโขทัย เป็นพระพุทธรูปสกุลช่างพะเยาที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะสุโขทัย เมืองซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของ “พระแก้วมรกต”
    .
    ขอเริ่มที่สมัย “พญากือนา” กษัตริย์ล้านนา พระองค์ที่ ๖ ครองนครเชียงใหม่ ช่วงปี ๑๘๙๙–๑๙๒๙ พระอนุชาของพระเจ้ากือนา ชื่อ “เจ้ามหาพรหม” ครองนครเชียงราย เป็นเมืองลูกหลวง ได้ยกกองทัพมาเมืองกำแพงเพชรในสมัยพระเจ้าติปัญญา (พระยาญาณดิศ) ทูลขอ “พระพุทธสิหิงค์” และ “พระแก้วมรกต” ไปเมืองเชียงราย ต่อมาพญากือนาสวรรคต แล้ว “พญาแสนเมืองมา” กษัตริย์ล้านนาองค์ต่อมา พระองค์ที่ ๗ ได้ครองเมืองเชียงใหม่ ช่วงปี ๑๙๒๘-๑๙๔๔ จึงยกทัพไปรบกับ “เจ้ามหาพรหม” ผู้เป็นพระปิตุลา (อา) ปรากฏว่า “พญาแสนเมืองมา” ชนะ จึงเชิญ “พระพุทธสิหิงค์” กลับไปเชียงใหม่ได้องค์เดียว ส่วน “พระแก้วมรกต” มีผู้นำไปซ่อนไว้
    .
    ครั้นถึงรัชสมัยของ “พญาสามฝั่งแกน” พระองค์ที่ ๘ ครองนครเชียงใหม่ ช่วงปี ๑๙๕๙-๑๙๙๐ ที่เชียงรายที่ประดิษฐานของ “พระแก้วมรกต” เกิดอสุนีบาต ฟ้าได้ผ่าลงองค์พระเจดีย์จนพังทลายลง จึงพบพระพุทธรูปพอกปูนลงรักปิดทอง จึงได้นำไปไว้ในวิหาร ต่อมาปูนบริเวณพระนาสิก (จมูก) เกิดกะเทาะออก เห็นเป็นเนื้อมรกต พระภิกษุเจ้าอาวาสได้กะเทาะรักและทองออกทั้งองค์ เห็นเป็นเนื้อหยกสีมรกตทั้งองค์ นั่นคือ “พระแก้วมรกต”
    .
    เรื่องนี้ไปถึงพระกรรณ “พญาสามฝั่งแกน” ทราบข่าวการค้นพบพระพุทธรูปนี้ จึงเชิญมาประดิษฐานที่เชียงใหม่ตามพระประสงค์ของพญาแสนเมือง (พระราชบิดา) แต่ช้างทรงของ “พระแก้วมรกต” ไม่ยอมเดินทางมาเชียงใหม่ แต่เดินทางไปลำปางแทน “พญาสามฝั่งแกน” เห็นว่าเมืองลำปางก็อยู่ในอาณาจักรล้านนาจึงนำไปประดิษฐานไว้ที่ “วัดพระแก้วดอนเต้า” แทน ประดิษฐานไว้นาน ๓๒ ปี
    .
    ครั้นถึงรัชสมัยของ “พระเจ้าติโลกราช” พระองค์ที่ ๙ ครองนครเชียงใหม่ (พ.ศ. ๑๙๘๕–๒๐๓๑) พระองค์ทำการรัฐประหารยึดพระราชอำนาจพญาสามฝั่งแกน (พระราชบิดา) ได้สำเร็จ โดยความช่วยเหลือของหมื่นโลกนครแห่งลำปาง จากนั้นพระองค์ได้เชิญ “พระแก้วมรกต” มายังเชียงใหม่ ในปี ๒๐๒๒ พระองค์โปรดให้บูรณะ “พระเจดีย์หลวง” เพื่อประดิษฐาน “พระแก้วมรกต” ไว้ ณ ซุ้มบนองค์เจดีย์ด้านตะวันออก แต่ก็ถูกฟ้าผ่าหลายครั้ง
    .
    หลังจากที่ “พระนางจิรประภาเทวี” พระองค์ที่ ๑๔ ครองนครเชียงใหม่ สละราชสมบัติ ตำแหน่งที่ล้านนาว่างลง “สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช” แห่งล้านช้าง ซึ่งเป็นพระญาติกับราชวงศ์ล้านนามา ก็ได้ครองนครเชียงใหม่ เป็นกษัตริย์พระองค์ที่ ๑๕ ต่อมาล้านช้างได้เกิดความวุ่นวาย เจ้านายทั้งหลายต่างแย่งชิงราชสมบัติกัน ขุนนางล้านช้างและเจ้าศรีวรวงษาราชกุมารจึงเชิญ “พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช” แห่งล้านนา เสด็จกลับมานครหลวงพระบาง แห่งล้านช้าง เพื่อรับราชสมบัติระงับเหตุวุ่นวายที่จะเกิดขึ้น พระองค์ได้อัญเชิญ “พระแก้วมรกต” รวมทั้ง “พระพุทธสิหิงค์” “พระแก้วขาว” และ “พระแซกคำ” ไปหลวงพระบางด้วย โดยอ้างว่าหนีศึกพระเจ้าบุเรงนอง แห่งหงสาวดี
    .
    ครั้งถึงรัชสมัย “พระเมกุฏิสุทธิวงศ์” พระองค์ที่ ๑๖ ครองนครเชียงใหม่ ก็ขอคือพระพุทธรูปที่เอาไปจากเชียงใหม่ แต่ได้คืนมาเพียง ๒ องค์ คือ “พระพุทธสิหิงค์” กับ “พระแก้วขาว” เมื่อปี ๒๑๐๓ ทรงย้ายราชธานีจาก “หลวงพระบาง” มา “เวียงจันทน์” ก็เชิญ “พระแก้วมรกต” มาประดิษฐาน ณ ราชธานีใหม่ของอาณาจักรล้านช้าง “พระแก้วมรกต” จึงประดิษฐานอยู่ที่ “อาณาจักรล้านช้าง” ตั้งแต่นั้นมา
    .
    ต่อมาในปี ๒๓๒๒ “สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี” โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (รัชกาลที่ ๑ ในกาลต่อมา) ยกทัพไปปราบกบฏเมืองเวียงจันทน์ เมื่อปราบกบฏเรียบร้อยแล้วได้ขนย้ายกวาดต้อนบรรดาเชื้อพระวงศ์ ทรัพย์สินมีค่าต่าง ๆ แล้วให้อัญเชิญ “พระแก้วมรกต” และ “พระบาง ” ซึ่งสถิตอยู่ ณ พระวิหารในวังพระเจ้าล้านช้างนั้น อาราธนาลงเรือข้ามฟากมาประดิษฐานไว้ ณ เมืองพานพร้าวด้วย แล้วในครั้งนั้นประดิษฐานไว้ที่วัดอรุณราชวราราม
    .
    ต่อมาเมื่อสิ้นรัชสมัยของพระองค์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเป็นราชธานี พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดพระศรีรัตนศาสนาดาขึ้น ในพระบรมมหาราชวัง และได้อัญเชิญ “พระแก้วมรกต” ลงบุษบกในเรือพระที่นั่ง เสด็จข้ามฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยามาประดิษฐานในพระอุโบสถ เมื่อปี ๒๓๒๗ ซึ่ง “พระแก้วมรกต” ก็มาเป็นพระพุทธรูปที่เป็นมิ่งขวัญของบ้านเมืองของประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน ส่วน “พระบาง” ได้คืนให้แก่ หลวงพระบาง ปัจจุบัน คือ “ลาว”
    .
    ดังนั้น โดยสรุปแล้วสถานที่ประดิษฐาน “พระแก้วมรกต” พอจะเรียงตามช่วงเวลาได้ดังต่อไปนี้จาก เชียงราย (ล้านนา) > ลำปาง (ล้านนา) > เชียงใหม่ (ล้านนา) > หลวงพระบาง (ล้านช้าง) > เวียงจันทน์ (ล้านช้าง) > ธนบุรี > รัตนโกสินทร์ จึงไม่อาจกล่าวได้ว่า “พระแก้วมรกต” เป็นของลาวตั้งแต่ต้น
    .
    การพูดว่า “พระแก้วมรกต” เป็นของลาว จึงเรื่องที่คลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริง ถ้าจะพูดให้ถูกตามข้อเท็จจริงต้องพูดว่า “พระแก้วมรกต” เคยประดิษฐานอยู่ที่ลาวในระยะหนึ่งเท่านั้น
    .
    ส่วนเรื่องการสาปแช่งของฝ่ายลาว ต่อเหตุการณ์ที่ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงให้เจ้าพระยาจักรี (ต่อมาคือรัชกาลที่ ๑) ทรงอัญเชิญ “พระแก้วมรกต” มากรุงเทพฯ อันนี้ไม่มีหลักฐานว่ารองรับหรือบันทึกไว้ เรื่องคำสาปแช่ง น่าจะเป็นเรื่องที่พูดไปพูดมากันภายหลังมากกว่า เพราะไม่มีเอกสารอะไรที่ยืนยันได้เลย
    .
    อ้างอิง
    (๑) สมบัติ พลายน้อย. (๒๕๖๓). ตำนานพระแก้วมรกต. วารสารวัฒนธรรม ค่าล้ำ...วัฒนธรรม ชาวภูเขา, (๑). ๓๔-๔๑.
    (๒) ศักดิ์ชัย สายสิงห์, “ตำนานพระแก้วมรกต (ฉบับหลวงพระบาง)” ในสุจิตต์ วงษ์เทศ (บรรณาธิการ), พระแก้วมรกต. หน้า ๑๑๘. “ตำนานพระแก้วมรกต” ฉบับนี้น่าจะมาจากเวียงจัน มิใช่หลวงพระบาง แต่เจ้าผู้ครองนครหลวงพระบาง
    (๓) โยซิยูกิ มาซูฮารา, ประวัติศาสตร์ลาว. หน้า ๙๘.
    (๔) ศักดิ์ชัย สายสิงห์, “พระแก้วมรกตคือพระพุทธรูปล้านนาที่มีความสัมพันธ์ทางด้านรูปแบบกับพระพุทธรูปหินทรายสกุลช่างพะเยา” ในสุจิตต์ วงษ์เทศ (บรรณาธิการ) พระแก้วมรกต. หน้า ๓๑๓-๓๒๓.
    (๕) พิเศษ เจียจันทร์พงษ์, “คำนำเสนอ พระแก้วมรกตกับประวัติศาสตร์ตำนาน”, ในสุจิตต์ วงษ์เทศ (บรรณาธิการ), พระแก้วมรกต. หน้า (๑๙).
    [ “พระแก้วมรกต” เป็นของใคร ? ] . เท้าความก่อนตามหลักฐาน “พระแก้วมรกต” ได้รับการสร้างขึ้นในล้านนา ยุคที่ได้รับอิทธิพลทางพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์จากสุโขทัย เป็นพระพุทธรูปสกุลช่างพะเยาที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะสุโขทัย เมืองซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของ “พระแก้วมรกต” . ขอเริ่มที่สมัย “พญากือนา” กษัตริย์ล้านนา พระองค์ที่ ๖ ครองนครเชียงใหม่ ช่วงปี ๑๘๙๙–๑๙๒๙ พระอนุชาของพระเจ้ากือนา ชื่อ “เจ้ามหาพรหม” ครองนครเชียงราย เป็นเมืองลูกหลวง ได้ยกกองทัพมาเมืองกำแพงเพชรในสมัยพระเจ้าติปัญญา (พระยาญาณดิศ) ทูลขอ “พระพุทธสิหิงค์” และ “พระแก้วมรกต” ไปเมืองเชียงราย ต่อมาพญากือนาสวรรคต แล้ว “พญาแสนเมืองมา” กษัตริย์ล้านนาองค์ต่อมา พระองค์ที่ ๗ ได้ครองเมืองเชียงใหม่ ช่วงปี ๑๙๒๘-๑๙๔๔ จึงยกทัพไปรบกับ “เจ้ามหาพรหม” ผู้เป็นพระปิตุลา (อา) ปรากฏว่า “พญาแสนเมืองมา” ชนะ จึงเชิญ “พระพุทธสิหิงค์” กลับไปเชียงใหม่ได้องค์เดียว ส่วน “พระแก้วมรกต” มีผู้นำไปซ่อนไว้ . ครั้นถึงรัชสมัยของ “พญาสามฝั่งแกน” พระองค์ที่ ๘ ครองนครเชียงใหม่ ช่วงปี ๑๙๕๙-๑๙๙๐ ที่เชียงรายที่ประดิษฐานของ “พระแก้วมรกต” เกิดอสุนีบาต ฟ้าได้ผ่าลงองค์พระเจดีย์จนพังทลายลง จึงพบพระพุทธรูปพอกปูนลงรักปิดทอง จึงได้นำไปไว้ในวิหาร ต่อมาปูนบริเวณพระนาสิก (จมูก) เกิดกะเทาะออก เห็นเป็นเนื้อมรกต พระภิกษุเจ้าอาวาสได้กะเทาะรักและทองออกทั้งองค์ เห็นเป็นเนื้อหยกสีมรกตทั้งองค์ นั่นคือ “พระแก้วมรกต” . เรื่องนี้ไปถึงพระกรรณ “พญาสามฝั่งแกน” ทราบข่าวการค้นพบพระพุทธรูปนี้ จึงเชิญมาประดิษฐานที่เชียงใหม่ตามพระประสงค์ของพญาแสนเมือง (พระราชบิดา) แต่ช้างทรงของ “พระแก้วมรกต” ไม่ยอมเดินทางมาเชียงใหม่ แต่เดินทางไปลำปางแทน “พญาสามฝั่งแกน” เห็นว่าเมืองลำปางก็อยู่ในอาณาจักรล้านนาจึงนำไปประดิษฐานไว้ที่ “วัดพระแก้วดอนเต้า” แทน ประดิษฐานไว้นาน ๓๒ ปี . ครั้นถึงรัชสมัยของ “พระเจ้าติโลกราช” พระองค์ที่ ๙ ครองนครเชียงใหม่ (พ.ศ. ๑๙๘๕–๒๐๓๑) พระองค์ทำการรัฐประหารยึดพระราชอำนาจพญาสามฝั่งแกน (พระราชบิดา) ได้สำเร็จ โดยความช่วยเหลือของหมื่นโลกนครแห่งลำปาง จากนั้นพระองค์ได้เชิญ “พระแก้วมรกต” มายังเชียงใหม่ ในปี ๒๐๒๒ พระองค์โปรดให้บูรณะ “พระเจดีย์หลวง” เพื่อประดิษฐาน “พระแก้วมรกต” ไว้ ณ ซุ้มบนองค์เจดีย์ด้านตะวันออก แต่ก็ถูกฟ้าผ่าหลายครั้ง . หลังจากที่ “พระนางจิรประภาเทวี” พระองค์ที่ ๑๔ ครองนครเชียงใหม่ สละราชสมบัติ ตำแหน่งที่ล้านนาว่างลง “สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช” แห่งล้านช้าง ซึ่งเป็นพระญาติกับราชวงศ์ล้านนามา ก็ได้ครองนครเชียงใหม่ เป็นกษัตริย์พระองค์ที่ ๑๕ ต่อมาล้านช้างได้เกิดความวุ่นวาย เจ้านายทั้งหลายต่างแย่งชิงราชสมบัติกัน ขุนนางล้านช้างและเจ้าศรีวรวงษาราชกุมารจึงเชิญ “พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช” แห่งล้านนา เสด็จกลับมานครหลวงพระบาง แห่งล้านช้าง เพื่อรับราชสมบัติระงับเหตุวุ่นวายที่จะเกิดขึ้น พระองค์ได้อัญเชิญ “พระแก้วมรกต” รวมทั้ง “พระพุทธสิหิงค์” “พระแก้วขาว” และ “พระแซกคำ” ไปหลวงพระบางด้วย โดยอ้างว่าหนีศึกพระเจ้าบุเรงนอง แห่งหงสาวดี . ครั้งถึงรัชสมัย “พระเมกุฏิสุทธิวงศ์” พระองค์ที่ ๑๖ ครองนครเชียงใหม่ ก็ขอคือพระพุทธรูปที่เอาไปจากเชียงใหม่ แต่ได้คืนมาเพียง ๒ องค์ คือ “พระพุทธสิหิงค์” กับ “พระแก้วขาว” เมื่อปี ๒๑๐๓ ทรงย้ายราชธานีจาก “หลวงพระบาง” มา “เวียงจันทน์” ก็เชิญ “พระแก้วมรกต” มาประดิษฐาน ณ ราชธานีใหม่ของอาณาจักรล้านช้าง “พระแก้วมรกต” จึงประดิษฐานอยู่ที่ “อาณาจักรล้านช้าง” ตั้งแต่นั้นมา . ต่อมาในปี ๒๓๒๒ “สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี” โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (รัชกาลที่ ๑ ในกาลต่อมา) ยกทัพไปปราบกบฏเมืองเวียงจันทน์ เมื่อปราบกบฏเรียบร้อยแล้วได้ขนย้ายกวาดต้อนบรรดาเชื้อพระวงศ์ ทรัพย์สินมีค่าต่าง ๆ แล้วให้อัญเชิญ “พระแก้วมรกต” และ “พระบาง ” ซึ่งสถิตอยู่ ณ พระวิหารในวังพระเจ้าล้านช้างนั้น อาราธนาลงเรือข้ามฟากมาประดิษฐานไว้ ณ เมืองพานพร้าวด้วย แล้วในครั้งนั้นประดิษฐานไว้ที่วัดอรุณราชวราราม . ต่อมาเมื่อสิ้นรัชสมัยของพระองค์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเป็นราชธานี พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดพระศรีรัตนศาสนาดาขึ้น ในพระบรมมหาราชวัง และได้อัญเชิญ “พระแก้วมรกต” ลงบุษบกในเรือพระที่นั่ง เสด็จข้ามฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยามาประดิษฐานในพระอุโบสถ เมื่อปี ๒๓๒๗ ซึ่ง “พระแก้วมรกต” ก็มาเป็นพระพุทธรูปที่เป็นมิ่งขวัญของบ้านเมืองของประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน ส่วน “พระบาง” ได้คืนให้แก่ หลวงพระบาง ปัจจุบัน คือ “ลาว” . ดังนั้น โดยสรุปแล้วสถานที่ประดิษฐาน “พระแก้วมรกต” พอจะเรียงตามช่วงเวลาได้ดังต่อไปนี้จาก เชียงราย (ล้านนา) > ลำปาง (ล้านนา) > เชียงใหม่ (ล้านนา) > หลวงพระบาง (ล้านช้าง) > เวียงจันทน์ (ล้านช้าง) > ธนบุรี > รัตนโกสินทร์ จึงไม่อาจกล่าวได้ว่า “พระแก้วมรกต” เป็นของลาวตั้งแต่ต้น . การพูดว่า “พระแก้วมรกต” เป็นของลาว จึงเรื่องที่คลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริง ถ้าจะพูดให้ถูกตามข้อเท็จจริงต้องพูดว่า “พระแก้วมรกต” เคยประดิษฐานอยู่ที่ลาวในระยะหนึ่งเท่านั้น . ส่วนเรื่องการสาปแช่งของฝ่ายลาว ต่อเหตุการณ์ที่ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงให้เจ้าพระยาจักรี (ต่อมาคือรัชกาลที่ ๑) ทรงอัญเชิญ “พระแก้วมรกต” มากรุงเทพฯ อันนี้ไม่มีหลักฐานว่ารองรับหรือบันทึกไว้ เรื่องคำสาปแช่ง น่าจะเป็นเรื่องที่พูดไปพูดมากันภายหลังมากกว่า เพราะไม่มีเอกสารอะไรที่ยืนยันได้เลย . อ้างอิง (๑) สมบัติ พลายน้อย. (๒๕๖๓). ตำนานพระแก้วมรกต. วารสารวัฒนธรรม ค่าล้ำ...วัฒนธรรม ชาวภูเขา, (๑). ๓๔-๔๑. (๒) ศักดิ์ชัย สายสิงห์, “ตำนานพระแก้วมรกต (ฉบับหลวงพระบาง)” ในสุจิตต์ วงษ์เทศ (บรรณาธิการ), พระแก้วมรกต. หน้า ๑๑๘. “ตำนานพระแก้วมรกต” ฉบับนี้น่าจะมาจากเวียงจัน มิใช่หลวงพระบาง แต่เจ้าผู้ครองนครหลวงพระบาง (๓) โยซิยูกิ มาซูฮารา, ประวัติศาสตร์ลาว. หน้า ๙๘. (๔) ศักดิ์ชัย สายสิงห์, “พระแก้วมรกตคือพระพุทธรูปล้านนาที่มีความสัมพันธ์ทางด้านรูปแบบกับพระพุทธรูปหินทรายสกุลช่างพะเยา” ในสุจิตต์ วงษ์เทศ (บรรณาธิการ) พระแก้วมรกต. หน้า ๓๑๓-๓๒๓. (๕) พิเศษ เจียจันทร์พงษ์, “คำนำเสนอ พระแก้วมรกตกับประวัติศาสตร์ตำนาน”, ในสุจิตต์ วงษ์เทศ (บรรณาธิการ), พระแก้วมรกต. หน้า (๑๙).
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 157 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไปเป็นสาวกทม. อีกแล้วหนึ่งค่ะ อวยพรให้ลูกสาวของแม่เดินทางปลอดภัย ไปอยู่กับคุณพ่อคุณแม่คนใหม่ที่รักหนูและเอ็นดูหนูนะ ขอให้หนูสุขภาพร่างกายแข็งแรงๆน๊าาา
    #คิดถึงนะคะสุดสวย
    #ขอบคุณลูกค้าทางกรุงเทพนะคะ🙏🏻❤️
    ไปเป็นสาวกทม. อีกแล้วหนึ่งค่ะ อวยพรให้ลูกสาวของแม่เดินทางปลอดภัย ไปอยู่กับคุณพ่อคุณแม่คนใหม่ที่รักหนูและเอ็นดูหนูนะ ขอให้หนูสุขภาพร่างกายแข็งแรงๆน๊าาา #คิดถึงนะคะสุดสวย #ขอบคุณลูกค้าทางกรุงเทพนะคะ🙏🏻❤️
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 121 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ดีเอสไอ" เรียก “แต๊ง-พงศกร” ให้ข้อมูลคดีแตงโม พร้อมนำไปสืบสวนขยายผลเพิ่มเติม เบื้องต้นคาดว่าแตงโมขาดการติดต่อทางโทรศัพท์ตั้งแต่ช่วงเวลา 20.40 น.

    วันนี้ (7 มี.ค.) เวลา 13.00 น. ที่ห้องประชุม ขั้น 2 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อาคารเอ ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร นายพงศกร มหาเปารยะ หรือ แต๊ง อดีตเพื่อนนักแสดง น.ส.ภัทรธิดา (นิดา) พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม เปิดเผยหลังให้ข้อมูลพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ร่วม 3 ชั่วโมง ว่า ข้อมูลที่ตนได้ให้กับดีเอสไอ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถเปิดเผยออกสื่อได้ เจ้าหน้าที่มองว่าเป็นประโยชน์ เพราะข้อมูลบางส่วน เจ้าหน้าที่พอมีข้อมูลอยู่แล้วแต่ยังไม่ยืนยันจึงเตรียมนำข้อมูลดังกล่าวไปขยายผลทางคดีต่อ

    นายพงศกร กล่าวว่า ส่วนประเด็นที่มีข้อมูลว่าแตงโมรีวิวเรือ 400,000 บาทนั้น ตนเองมองว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะราคารับงานรีวิวจะไม่สูงถึงหลักแสน ซึ่งการรับงานที่มีราคาสูงถึงหลักแสนส่วนใหญ่จะเป็นงานที่ต้องมีสัญญาเท่านั้น อย่างไรก็ตามหลังจาก 3 ปีผ่านไปตนเองมีความคิดที่เปลี่ยนจากตอนแรกมองคดีนี้เป็นอุบัติเหตุ แต่ตอนนี้ความเห็นส่วนตัวคิดว่า คดีนี้คือฆาตกรรมแน่นอน

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000022239

    #MGROnline #ดีเอสไอ #แต๊งพงศกร #แตงโมต้องได้รับความยุติธรรรม
    "ดีเอสไอ" เรียก “แต๊ง-พงศกร” ให้ข้อมูลคดีแตงโม พร้อมนำไปสืบสวนขยายผลเพิ่มเติม เบื้องต้นคาดว่าแตงโมขาดการติดต่อทางโทรศัพท์ตั้งแต่ช่วงเวลา 20.40 น. • วันนี้ (7 มี.ค.) เวลา 13.00 น. ที่ห้องประชุม ขั้น 2 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อาคารเอ ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร นายพงศกร มหาเปารยะ หรือ แต๊ง อดีตเพื่อนนักแสดง น.ส.ภัทรธิดา (นิดา) พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม เปิดเผยหลังให้ข้อมูลพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ร่วม 3 ชั่วโมง ว่า ข้อมูลที่ตนได้ให้กับดีเอสไอ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถเปิดเผยออกสื่อได้ เจ้าหน้าที่มองว่าเป็นประโยชน์ เพราะข้อมูลบางส่วน เจ้าหน้าที่พอมีข้อมูลอยู่แล้วแต่ยังไม่ยืนยันจึงเตรียมนำข้อมูลดังกล่าวไปขยายผลทางคดีต่อ • นายพงศกร กล่าวว่า ส่วนประเด็นที่มีข้อมูลว่าแตงโมรีวิวเรือ 400,000 บาทนั้น ตนเองมองว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะราคารับงานรีวิวจะไม่สูงถึงหลักแสน ซึ่งการรับงานที่มีราคาสูงถึงหลักแสนส่วนใหญ่จะเป็นงานที่ต้องมีสัญญาเท่านั้น อย่างไรก็ตามหลังจาก 3 ปีผ่านไปตนเองมีความคิดที่เปลี่ยนจากตอนแรกมองคดีนี้เป็นอุบัติเหตุ แต่ตอนนี้ความเห็นส่วนตัวคิดว่า คดีนี้คือฆาตกรรมแน่นอน • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000022239 • #MGROnline #ดีเอสไอ #แต๊งพงศกร #แตงโมต้องได้รับความยุติธรรรม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 230 มุมมอง 0 รีวิว
  • 7 มีนาคม 2568-เมื่อเวลา 08.55 น.วันที่ 7 มีนาคม 2568 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ในฉลองพระองค์ชุดนักบิน เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์ ไปทอดพระเนตรการแสดงการบิน เนื่องในโอกาสครบ 88 ปี กองทัพอากาศ ณ ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 กองทัพอากาศ เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานครเมื่อเสด็จพระราชดำเนินถึง พลอากาศเอก พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ พลอากาศเอก เสกสรร คันธา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ ประธานจัดงานการแสดงการบินเนื่องในโอกาสครบ 88 ปี กองทัพอากาศ พร้อมด้วยนายทหารชั้นผู้ใหญ่ และข้าราชการทหารอากาศ เฝ้าฯ รับเสด็จจากนั้น เสด็จพระราชดำเนินไปยังที่ประทับหน้าอาคารท่าอากาศยานทหาร 2 ทรงฉายพระบรมฉายาลักษณ์ร่วมกับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พร้อมนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพอากาศ แล้วพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ พลอากาศเอก คิดควร สดับ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ และนางวริสรา สดับ ภริยา เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าฯ ถวายสูจิบัตร แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสร็จแล้ว ผู้บัญชาการทหารอากาศ กราบบังคมทูลรายงานการจัดการแสดงการบินเนื่องในโอกาสครบ 88 ปี กองทัพอากาศจากนั้น ทอดพระเนตรการแสดงการบิน ชุดที่ 1 ประกอบด้วย “การบินฟอร์เมชัน ดิสเพลย์ วิธ เนชันแนล คัลเลอร์ส สโมค” (Formation Display with National Colors Smoke) โดยเครื่องบิน AU-23, T-50TH และเครื่องบิน F-16MLU จากกองทัพอากาศไทย “การบินกริพเพน เดโม” (Gripen Demo) จากกองทัพอากาศไทย “การบินออกัสท์ เฟิร์ธ” (August 1ST) โดยเครื่องบิน J-10C จากกองทัพอากาศสาธารณรัฐประชาชนจีน และ “การบินเอฟ-35เอ เดโม” (F-35A Demo) จากกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกาภายหลังจบการแสดงการบินชุดที่ 1 แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จเข้าภายในอาคารท่าอากาศยานทหาร 2 พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ และภริยา เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายของที่ระลึกจากนั้น ทอดพระเนตรนิทรรศการและวีดิทัศน์ภารกิจเครื่องบิน “กริพเพน” (Gripen) บินลงจอดบนถนนในพื้นที่จังหวัดสงขลา ซึ่งทำการวิ่งขึ้นจาก สนามบินหาดใหญ่บินไปตามจุดที่กำหนดเพื่อทำการลงสนามแบบ Straight in approach โดยในเที่ยวแรกได้ทำ Low approach เพื่อทำความคุ้นเคยและในเที่ยวบินที่2 จึงทำการลงสนามจริง นิทรรศการพระมหากษัตริย์นักบินแห่งราชวงศ์จักรี ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสนพระราชหฤทัย และทรงพระปรีชาสามารถด้านการบินทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติอย่างเชี่ยวชาญ หลังจากที่ทรงสำเร็จการศึกษาทางการทหารเมื่อพุทธศักราช 2522 ทรงเริ่มเข้ารับการฝึกบินหลักสูตรเฮลิคอปเตอร์โจมตีติดอาวุธ (Gunship) ของกองทัพบก เมื่อพุทธศักราช 2523 และทรงฝึกบินหลักสูตรเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพอากาศ ทรงสำเร็จตามหลักสูตร เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2523 และได้ทรงบินเฮลิคอปเตอร์ด้วยพระองค์เอง เสด็จพระราชดำเนินไปยังโรงเรียนนายเรืออากาศ เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2523 ซึ่งปัจจุบันคือโรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช และทรงรับพระราชทานประดับเครื่องหมายแสดงความสามารถในการบินของกองทัพอากาศ จากพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร อันเป็นความภูมิใจของกำลังพลของกองทัพอากาศ และพสกนิกรชาวไทยที่ได้มีพระมหากษัตริย์นักบิน เป็นมิ่งขวัญของแผ่นดินภายหลังจากทอดพระเนตรนิทรรศการเสร็จแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี เสด็จฯ ไปยังหน้าอาคารท่าอากาศยานทหาร 2 ทอดพระเนตรเครื่องบินขับไล่ไอพ่นแบบ เอฟ-5อี (F-5E) และทรงฉายพระบรมฉายาลักษณ์กับเครื่องบิน ที-50 อากาศยานไอพ่นความเร็วเหนือเสียง และเป็นอากาศยานโจมตี จากกองบิน 4 ตาคลี จ.นครสวรรค์ด้วยพระราชปณิธานในการเป็นนักบิน ทรงเข้ารับการถวายการฝึกบินกับอากาศยานปีกตรึงโดยกองทัพอากาศ และเสด็จพระราชดำเนินไปทรงศึกษาเทคนิคการบินจากฐานทัพอากาศสหรัฐอเมริกา ได้แก่ ฐานทัพอากาศเล็คแลนด์ เมืองแซนเอนโทนิโอ รัฐเท็กซัส ทรงจบหลักสูตรการบินขับไล่ไอพ่น ยุทธวิธีขั้นพื้นฐานจากฝูงบินขับไล่ยุทธวิธีที่ 425 ฐานบินวิลเลียมส์ รัฐแอริโซนา ทรงเข้าศึกษาฝึกบินกับเครื่องบินขับไล่ไอพ่นแบบ เอฟ-5อี (F-5E) ในหลักสูตรการบินขับไล่ไอพ่นทางยุทธวิธีชั้นสูง ทรงเข้าประจำการ ณ กองปฏิบัติการทางอากาศพิเศษ การทำลายและยุทธวิธีรบนอกแบบ กับทรงศึกษาหลักสูตรทางทหารเพิ่มเติม เช่น หลักสูตรต้นหนชั้นสูง การลาดตระเวน หลักสูตรส่งทางอากาศ หลักสูตรการบิ เฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไปแบบ ยูเอช-1เอช (UH-1H) ของกองทัพบกสหรัฐอเมริกา ณ ฟอร์ท แบรกก์ รัฐนอร์ธ แคโรไลนา และหลักสูตรเฮลิคอปเตอร์โจมตีติดอาวุธแบบ เอเอช-1เอส คอบรา (AH-1S COBRA) ทรงฝึกฝนการบินอย่างสม่ำเสมอ และยังได้ทรงเข้าร่วมการแข่งขันการปฏิบัติการทางอากาศยุทธวิธีของกองทัพอากาศที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยทรงเข้าร่วมแข่งขันระหว่างพุทธศักราช 2526 ถึง 2530 ณ สนามฝึกใช้อาวุธทางอากาศชัยบาดาล จ.ลพบุรีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระมหากษัตริย์นักบินขับไล่ไอพ่นพระองค์แรกแห่งราชวงศ์จักรี ที่ทรงทำการบินกับเครื่องบินกองทัพอากาศได้เกือบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นอากาศยานปีกหมุน อากาศยานปีกตรึงแบบใบพัด และเครื่องยนต์ไอพ่น และด้วยพระปรีชาสามารถ ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเป็นนักบินขับไล่ที่มีชั่วโมงบินต่อเนื่องมากกว่า 2,800 ชั่วโมงบิน ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ยากยิ่งสำหรับนักบินขับไล่ทั่วโลกที่จะทำได้ และด้วยพระราชหฤทัยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตา ทรงถ่ายทอดประสบการณ์ที่ทรงมี ปฏิบัติหน้าที่ครูการบิน พระราชทานการฝึกสอนทั้งวิชาการภาคพื้นและการฝึกบินให้แก่นักบินขับไล่ของกองทัพอากาศ แสดงถึงพระปรีชาสามารถที่ทรงตั้งพระราชหฤทัยพัฒนาและยกระดับการบินของชาติให้ทัดเทียมนานาประเทศ ทรงอุปถัมภ์งานด้านการบินอย่างต่อเนื่อง นับเป็นคุณูปการแก่กองทัพอากาศไทย และกิจการการบินของประเทศเป็นอย่างยิ่งจากนั้นทอดพระเนตรนิทรรศการเครื่องบินฝึกจำลอง (Gripen E/F Simulator) ของเครื่องบิน Gripen ด้วยความสนพระราชหฤทัย ในโอกาสนี้ มีพระราชปฏิสันถารกับนักบินในฝูงบินจากสาธารณรัฐประชาชนจีน และสหรัฐอเมริกาเสร็จแล้ว เสด็จพระราชดำเนินไปยังที่ประทับหน้าอาคารท่าอากาศยานทหาร 2 ทอดพระเนตรการแสดงการบิน ชุดที่ 2 “การบินสูรยกิรัณ” (Suryakiran) จากกองทัพอากาศสาธารณรัฐอินเดีย ภายหลังจบการแสดงการบิน เสด็จออกจากที่ประทับหน้าอาคารท่าอากาศยานทหาร 2 ประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินกลับกองทัพอากาศ จัดการแสดงการบินเนื่องในโอกาสครบ 88 ปี เพื่อเฉลิมฉลองเนื่องในวาระที่กระทรวงกลาโหมได้ยกฐานะกรมทหารอากาศ ขึ้นเป็นกองทัพอากาศ ตั้งแต่พุทธศักราช 2480 ซึ่งปฏิบัติภารกิจอย่างมุ่งมั่นเพื่อรักษาความมั่นคง ของชาติ และดํารงความพร้อมของกําลังทางอากาศ เพื่อรับมือกับภัยคุกคาม ทุกรูปแบบ รวมทั้งการใช้ขีดความสามารถของ กองทัพอากาศทุกมิติ เพื่อช่วยเหลือ ประชาชนอย่างเต็มความสามารถตลอด 88 ปีที่ผ่านมา ดังนั้น จึงจัดงานขึ้นภายใต้แนวคิด “AIR SOVEREIGNTY THROUGH UNBEATABLE COLLABORATION” หรือ “อธิปไตยเหนือน่านฟ้า ผ่านความร่วมมืออันแข็งแกร่ง” เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงเกียรติประวัติความภาคภูมิใจ ในเกียรติภูมิของกองทัพอากาศ และแสดงถึงขีดความสามารถของ กองทัพอากาศ ในการปฏิบัติภารกิจด้านความมั่นคง การสนับสนุนหน่วยงาน ภาครัฐและเอกชน การใช้ขีดความสามารถในทุกด้านเพื่อช่วยเหลือประชาชน ตลอดจนแสดงถึงแผนการพัฒนากองทัพอากาศในอนาคต แสดงถึงความพร้อมของกองทัพอากาศ ในด้านการส่งเสริม ภาคอุตสาหกรรมการบิน และภาคอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ อันนำไปสู่ การเป็นศูนย์กลางทางการบินในภูมิภาคตามนโยบายรัฐบาล ที่ส่งเสริมและกระชับความร่วมมือภายในประเทศ และเสริมสร้างมิตรภาพความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างกองทัพอากาศ กับกองทัพอากาศมิตรประเทศโดยปีนี้ได้จัดแสดงอากาศยานของกองทัพอากาศไทย และกองทัพอากาศมิตรประเทศ ทั้ง 3 ประเทศด้วยกัน ประกอบด้วย กองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา , กองทัพอากาศสาธารณรัฐอินเดีย และกองทัพอากาศสาธารณรัฐประชาชนจีน มีกำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 7 - 8 มีนาคม ณ กองบิน 6 ท่าอากาศยานทหารดอนเมือง
    7 มีนาคม 2568-เมื่อเวลา 08.55 น.วันที่ 7 มีนาคม 2568 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ในฉลองพระองค์ชุดนักบิน เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์ ไปทอดพระเนตรการแสดงการบิน เนื่องในโอกาสครบ 88 ปี กองทัพอากาศ ณ ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 กองทัพอากาศ เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานครเมื่อเสด็จพระราชดำเนินถึง พลอากาศเอก พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ พลอากาศเอก เสกสรร คันธา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ ประธานจัดงานการแสดงการบินเนื่องในโอกาสครบ 88 ปี กองทัพอากาศ พร้อมด้วยนายทหารชั้นผู้ใหญ่ และข้าราชการทหารอากาศ เฝ้าฯ รับเสด็จจากนั้น เสด็จพระราชดำเนินไปยังที่ประทับหน้าอาคารท่าอากาศยานทหาร 2 ทรงฉายพระบรมฉายาลักษณ์ร่วมกับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พร้อมนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพอากาศ แล้วพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ พลอากาศเอก คิดควร สดับ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ และนางวริสรา สดับ ภริยา เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าฯ ถวายสูจิบัตร แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสร็จแล้ว ผู้บัญชาการทหารอากาศ กราบบังคมทูลรายงานการจัดการแสดงการบินเนื่องในโอกาสครบ 88 ปี กองทัพอากาศจากนั้น ทอดพระเนตรการแสดงการบิน ชุดที่ 1 ประกอบด้วย “การบินฟอร์เมชัน ดิสเพลย์ วิธ เนชันแนล คัลเลอร์ส สโมค” (Formation Display with National Colors Smoke) โดยเครื่องบิน AU-23, T-50TH และเครื่องบิน F-16MLU จากกองทัพอากาศไทย “การบินกริพเพน เดโม” (Gripen Demo) จากกองทัพอากาศไทย “การบินออกัสท์ เฟิร์ธ” (August 1ST) โดยเครื่องบิน J-10C จากกองทัพอากาศสาธารณรัฐประชาชนจีน และ “การบินเอฟ-35เอ เดโม” (F-35A Demo) จากกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกาภายหลังจบการแสดงการบินชุดที่ 1 แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จเข้าภายในอาคารท่าอากาศยานทหาร 2 พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ และภริยา เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายของที่ระลึกจากนั้น ทอดพระเนตรนิทรรศการและวีดิทัศน์ภารกิจเครื่องบิน “กริพเพน” (Gripen) บินลงจอดบนถนนในพื้นที่จังหวัดสงขลา ซึ่งทำการวิ่งขึ้นจาก สนามบินหาดใหญ่บินไปตามจุดที่กำหนดเพื่อทำการลงสนามแบบ Straight in approach โดยในเที่ยวแรกได้ทำ Low approach เพื่อทำความคุ้นเคยและในเที่ยวบินที่2 จึงทำการลงสนามจริง นิทรรศการพระมหากษัตริย์นักบินแห่งราชวงศ์จักรี ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสนพระราชหฤทัย และทรงพระปรีชาสามารถด้านการบินทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติอย่างเชี่ยวชาญ หลังจากที่ทรงสำเร็จการศึกษาทางการทหารเมื่อพุทธศักราช 2522 ทรงเริ่มเข้ารับการฝึกบินหลักสูตรเฮลิคอปเตอร์โจมตีติดอาวุธ (Gunship) ของกองทัพบก เมื่อพุทธศักราช 2523 และทรงฝึกบินหลักสูตรเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพอากาศ ทรงสำเร็จตามหลักสูตร เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2523 และได้ทรงบินเฮลิคอปเตอร์ด้วยพระองค์เอง เสด็จพระราชดำเนินไปยังโรงเรียนนายเรืออากาศ เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2523 ซึ่งปัจจุบันคือโรงเรียนนายเรืออากาศนวมินทกษัตริยาธิราช และทรงรับพระราชทานประดับเครื่องหมายแสดงความสามารถในการบินของกองทัพอากาศ จากพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร อันเป็นความภูมิใจของกำลังพลของกองทัพอากาศ และพสกนิกรชาวไทยที่ได้มีพระมหากษัตริย์นักบิน เป็นมิ่งขวัญของแผ่นดินภายหลังจากทอดพระเนตรนิทรรศการเสร็จแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี เสด็จฯ ไปยังหน้าอาคารท่าอากาศยานทหาร 2 ทอดพระเนตรเครื่องบินขับไล่ไอพ่นแบบ เอฟ-5อี (F-5E) และทรงฉายพระบรมฉายาลักษณ์กับเครื่องบิน ที-50 อากาศยานไอพ่นความเร็วเหนือเสียง และเป็นอากาศยานโจมตี จากกองบิน 4 ตาคลี จ.นครสวรรค์ด้วยพระราชปณิธานในการเป็นนักบิน ทรงเข้ารับการถวายการฝึกบินกับอากาศยานปีกตรึงโดยกองทัพอากาศ และเสด็จพระราชดำเนินไปทรงศึกษาเทคนิคการบินจากฐานทัพอากาศสหรัฐอเมริกา ได้แก่ ฐานทัพอากาศเล็คแลนด์ เมืองแซนเอนโทนิโอ รัฐเท็กซัส ทรงจบหลักสูตรการบินขับไล่ไอพ่น ยุทธวิธีขั้นพื้นฐานจากฝูงบินขับไล่ยุทธวิธีที่ 425 ฐานบินวิลเลียมส์ รัฐแอริโซนา ทรงเข้าศึกษาฝึกบินกับเครื่องบินขับไล่ไอพ่นแบบ เอฟ-5อี (F-5E) ในหลักสูตรการบินขับไล่ไอพ่นทางยุทธวิธีชั้นสูง ทรงเข้าประจำการ ณ กองปฏิบัติการทางอากาศพิเศษ การทำลายและยุทธวิธีรบนอกแบบ กับทรงศึกษาหลักสูตรทางทหารเพิ่มเติม เช่น หลักสูตรต้นหนชั้นสูง การลาดตระเวน หลักสูตรส่งทางอากาศ หลักสูตรการบิ เฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไปแบบ ยูเอช-1เอช (UH-1H) ของกองทัพบกสหรัฐอเมริกา ณ ฟอร์ท แบรกก์ รัฐนอร์ธ แคโรไลนา และหลักสูตรเฮลิคอปเตอร์โจมตีติดอาวุธแบบ เอเอช-1เอส คอบรา (AH-1S COBRA) ทรงฝึกฝนการบินอย่างสม่ำเสมอ และยังได้ทรงเข้าร่วมการแข่งขันการปฏิบัติการทางอากาศยุทธวิธีของกองทัพอากาศที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยทรงเข้าร่วมแข่งขันระหว่างพุทธศักราช 2526 ถึง 2530 ณ สนามฝึกใช้อาวุธทางอากาศชัยบาดาล จ.ลพบุรีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระมหากษัตริย์นักบินขับไล่ไอพ่นพระองค์แรกแห่งราชวงศ์จักรี ที่ทรงทำการบินกับเครื่องบินกองทัพอากาศได้เกือบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นอากาศยานปีกหมุน อากาศยานปีกตรึงแบบใบพัด และเครื่องยนต์ไอพ่น และด้วยพระปรีชาสามารถ ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเป็นนักบินขับไล่ที่มีชั่วโมงบินต่อเนื่องมากกว่า 2,800 ชั่วโมงบิน ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ยากยิ่งสำหรับนักบินขับไล่ทั่วโลกที่จะทำได้ และด้วยพระราชหฤทัยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตา ทรงถ่ายทอดประสบการณ์ที่ทรงมี ปฏิบัติหน้าที่ครูการบิน พระราชทานการฝึกสอนทั้งวิชาการภาคพื้นและการฝึกบินให้แก่นักบินขับไล่ของกองทัพอากาศ แสดงถึงพระปรีชาสามารถที่ทรงตั้งพระราชหฤทัยพัฒนาและยกระดับการบินของชาติให้ทัดเทียมนานาประเทศ ทรงอุปถัมภ์งานด้านการบินอย่างต่อเนื่อง นับเป็นคุณูปการแก่กองทัพอากาศไทย และกิจการการบินของประเทศเป็นอย่างยิ่งจากนั้นทอดพระเนตรนิทรรศการเครื่องบินฝึกจำลอง (Gripen E/F Simulator) ของเครื่องบิน Gripen ด้วยความสนพระราชหฤทัย ในโอกาสนี้ มีพระราชปฏิสันถารกับนักบินในฝูงบินจากสาธารณรัฐประชาชนจีน และสหรัฐอเมริกาเสร็จแล้ว เสด็จพระราชดำเนินไปยังที่ประทับหน้าอาคารท่าอากาศยานทหาร 2 ทอดพระเนตรการแสดงการบิน ชุดที่ 2 “การบินสูรยกิรัณ” (Suryakiran) จากกองทัพอากาศสาธารณรัฐอินเดีย ภายหลังจบการแสดงการบิน เสด็จออกจากที่ประทับหน้าอาคารท่าอากาศยานทหาร 2 ประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินกลับกองทัพอากาศ จัดการแสดงการบินเนื่องในโอกาสครบ 88 ปี เพื่อเฉลิมฉลองเนื่องในวาระที่กระทรวงกลาโหมได้ยกฐานะกรมทหารอากาศ ขึ้นเป็นกองทัพอากาศ ตั้งแต่พุทธศักราช 2480 ซึ่งปฏิบัติภารกิจอย่างมุ่งมั่นเพื่อรักษาความมั่นคง ของชาติ และดํารงความพร้อมของกําลังทางอากาศ เพื่อรับมือกับภัยคุกคาม ทุกรูปแบบ รวมทั้งการใช้ขีดความสามารถของ กองทัพอากาศทุกมิติ เพื่อช่วยเหลือ ประชาชนอย่างเต็มความสามารถตลอด 88 ปีที่ผ่านมา ดังนั้น จึงจัดงานขึ้นภายใต้แนวคิด “AIR SOVEREIGNTY THROUGH UNBEATABLE COLLABORATION” หรือ “อธิปไตยเหนือน่านฟ้า ผ่านความร่วมมืออันแข็งแกร่ง” เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงเกียรติประวัติความภาคภูมิใจ ในเกียรติภูมิของกองทัพอากาศ และแสดงถึงขีดความสามารถของ กองทัพอากาศ ในการปฏิบัติภารกิจด้านความมั่นคง การสนับสนุนหน่วยงาน ภาครัฐและเอกชน การใช้ขีดความสามารถในทุกด้านเพื่อช่วยเหลือประชาชน ตลอดจนแสดงถึงแผนการพัฒนากองทัพอากาศในอนาคต แสดงถึงความพร้อมของกองทัพอากาศ ในด้านการส่งเสริม ภาคอุตสาหกรรมการบิน และภาคอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ อันนำไปสู่ การเป็นศูนย์กลางทางการบินในภูมิภาคตามนโยบายรัฐบาล ที่ส่งเสริมและกระชับความร่วมมือภายในประเทศ และเสริมสร้างมิตรภาพความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างกองทัพอากาศ กับกองทัพอากาศมิตรประเทศโดยปีนี้ได้จัดแสดงอากาศยานของกองทัพอากาศไทย และกองทัพอากาศมิตรประเทศ ทั้ง 3 ประเทศด้วยกัน ประกอบด้วย กองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา , กองทัพอากาศสาธารณรัฐอินเดีย และกองทัพอากาศสาธารณรัฐประชาชนจีน มีกำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 7 - 8 มีนาคม ณ กองบิน 6 ท่าอากาศยานทหารดอนเมือง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 323 มุมมอง 0 รีวิว
  • บางบัวทอง-บางปะอิน อนาคตมอเตอร์เวย์

    เมื่อวันก่อน สำนักก่อสร้างทางที่ 1 กรมทางหลวง เผยแพร่ภาพโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 3901 สายทางคู่ขนานวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ด้านตะวันตก) ด้านซ้ายทาง ตอน 2 ระหว่างกิโลเมตรที่ 73+800 ถึงกิโลเมตรที่ 86+559.873 แล้วเสร็จ ระยะทาง 12.759 กิโลเมตร ซึ่งก่อสร้างแล้วเสร็จ เป็นการก่อสร้างทางขนาน (Frontage Road) ขนาด 3 ช่องจราจร จากภาพมีการสร้างสะพานข้ามทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 6 บางปะอิน-นครราชสีมา โดยให้รถยนต์จากทางขนานทุกคันข้ามสะพานดังกล่าว ปิดช่องทางหลัก (Main Road) ที่มีอยู่เดิมซึ่งจะลอดใต้สะพานไปยังด่านบางปะอิน

    การก่อสร้างดังกล่าวเป็นการรองรับโครงการมอเตอร์เวย์หมายเลข 9 สายบางบัวทอง-บางปะอิน ที่จะก่อสร้างแทนที่บนทางหลัก โดยมีแนวเขตทาง 42 เมตร ขนาด 6 ช่องจราจร กว้างช่องละ 3.60 เมตร พร้อมรั้วกั้น เหมือนมอเตอร์เวย์หมายเลข 7 ช่วงทางแยกต่างระดับคีรีถึงทางแยกต่างระดับโป่ง (พัทยา) ซึ่งที่ผ่านมาได้ก่อสร้างทางขนานพร้อมกำหนดให้เป็นทางหลวงหมายเลข 3901 (ด้านซ้ายทาง) และ 3902 (ด้านขวาทาง) อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ยังเหลือการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ที่จะสิ้นสุดสัญญาในวันที่ 27 ส.ค. 2569 แต่ติดปัญหาสาธารณูปโภคและการรุกล้ำแนวเขตทาง

    สำหรับผู้ใช้รถใช้ถนนที่มาจากบางบัวทอง ช่องทางหลักมีสภาพผิวจราจรชำรุด ไม่แนะนำให้ใช้ทาง ส่วนช่องทางขนาน ช่วงบางบัวทอง ผ่านทางแยกต่างระดับลาดหลุมแก้ว และทางแยกต่างระดับสามโคก ก่อสร้างแล้วเสร็จ เป็นถนนคอนกรีตเสริมเหล็กอย่างดี แต่เมื่อถึงสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา จะเบี่ยงทางให้ใช้สะพานเก่าระหว่างการก่อสร้าง เมื่อลงจากสะพานแล้วจะมีทางขนานที่เพิ่งก่อสร้างแล้วเสร็จ แต่รถส่วนใหญ่จะใช้ทางหลัก ผ่านทางด่วนอุดรรัถยา ทางแยกต่างระดับเชียงรากน้อย (ทางหลวงหมายเลข 347) สะพานข้ามทางรถไฟ แล้วจะถึงสะพานที่เบี่ยงให้รถทุกคันขึ้นไป มุ่งหน้าทางแยกต่างระดับบางปะอิน

    ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน ต.ค. 2566 กรมทางหลวงเคยเตรียมเสนอโครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์หมายเลข 9 ช่วงบางบัวทอง-ลาดหลุมแก้ว งบประมาณ 4,300 ล้านบาท แต่สุดท้ายก็เงียบหายไป กระทั่งวันที่ 3 ธ.ค. 2567 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กรมทางหลวงดำเนินโครงการมอเตอร์เวย์หมายเลข 9 ตอนทางยกระดับบางขุนเทียน-บางบัวทอง ระยะทาง 35.85 กิโลเมตร ซึ่งเป็นทางยกระดับขนาด 6 ช่องจราจร มีทางขึ้น 8 จุด ทางลง 6 จุด ทางแยกต่างระดับ 5 แห่ง มูลค่าโครงการ 68,686.63 ล้านบาท ลงทุนร่วมกับเอกชนในรูปแบบ PPP NET Cost ขณะนี้อยู่ในระหว่างพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA)

    #Newskit
    บางบัวทอง-บางปะอิน อนาคตมอเตอร์เวย์ เมื่อวันก่อน สำนักก่อสร้างทางที่ 1 กรมทางหลวง เผยแพร่ภาพโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 3901 สายทางคู่ขนานวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ด้านตะวันตก) ด้านซ้ายทาง ตอน 2 ระหว่างกิโลเมตรที่ 73+800 ถึงกิโลเมตรที่ 86+559.873 แล้วเสร็จ ระยะทาง 12.759 กิโลเมตร ซึ่งก่อสร้างแล้วเสร็จ เป็นการก่อสร้างทางขนาน (Frontage Road) ขนาด 3 ช่องจราจร จากภาพมีการสร้างสะพานข้ามทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 6 บางปะอิน-นครราชสีมา โดยให้รถยนต์จากทางขนานทุกคันข้ามสะพานดังกล่าว ปิดช่องทางหลัก (Main Road) ที่มีอยู่เดิมซึ่งจะลอดใต้สะพานไปยังด่านบางปะอิน การก่อสร้างดังกล่าวเป็นการรองรับโครงการมอเตอร์เวย์หมายเลข 9 สายบางบัวทอง-บางปะอิน ที่จะก่อสร้างแทนที่บนทางหลัก โดยมีแนวเขตทาง 42 เมตร ขนาด 6 ช่องจราจร กว้างช่องละ 3.60 เมตร พร้อมรั้วกั้น เหมือนมอเตอร์เวย์หมายเลข 7 ช่วงทางแยกต่างระดับคีรีถึงทางแยกต่างระดับโป่ง (พัทยา) ซึ่งที่ผ่านมาได้ก่อสร้างทางขนานพร้อมกำหนดให้เป็นทางหลวงหมายเลข 3901 (ด้านซ้ายทาง) และ 3902 (ด้านขวาทาง) อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ยังเหลือการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ที่จะสิ้นสุดสัญญาในวันที่ 27 ส.ค. 2569 แต่ติดปัญหาสาธารณูปโภคและการรุกล้ำแนวเขตทาง สำหรับผู้ใช้รถใช้ถนนที่มาจากบางบัวทอง ช่องทางหลักมีสภาพผิวจราจรชำรุด ไม่แนะนำให้ใช้ทาง ส่วนช่องทางขนาน ช่วงบางบัวทอง ผ่านทางแยกต่างระดับลาดหลุมแก้ว และทางแยกต่างระดับสามโคก ก่อสร้างแล้วเสร็จ เป็นถนนคอนกรีตเสริมเหล็กอย่างดี แต่เมื่อถึงสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา จะเบี่ยงทางให้ใช้สะพานเก่าระหว่างการก่อสร้าง เมื่อลงจากสะพานแล้วจะมีทางขนานที่เพิ่งก่อสร้างแล้วเสร็จ แต่รถส่วนใหญ่จะใช้ทางหลัก ผ่านทางด่วนอุดรรัถยา ทางแยกต่างระดับเชียงรากน้อย (ทางหลวงหมายเลข 347) สะพานข้ามทางรถไฟ แล้วจะถึงสะพานที่เบี่ยงให้รถทุกคันขึ้นไป มุ่งหน้าทางแยกต่างระดับบางปะอิน ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน ต.ค. 2566 กรมทางหลวงเคยเตรียมเสนอโครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์หมายเลข 9 ช่วงบางบัวทอง-ลาดหลุมแก้ว งบประมาณ 4,300 ล้านบาท แต่สุดท้ายก็เงียบหายไป กระทั่งวันที่ 3 ธ.ค. 2567 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กรมทางหลวงดำเนินโครงการมอเตอร์เวย์หมายเลข 9 ตอนทางยกระดับบางขุนเทียน-บางบัวทอง ระยะทาง 35.85 กิโลเมตร ซึ่งเป็นทางยกระดับขนาด 6 ช่องจราจร มีทางขึ้น 8 จุด ทางลง 6 จุด ทางแยกต่างระดับ 5 แห่ง มูลค่าโครงการ 68,686.63 ล้านบาท ลงทุนร่วมกับเอกชนในรูปแบบ PPP NET Cost ขณะนี้อยู่ในระหว่างพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) #Newskit
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 276 มุมมอง 0 รีวิว
  • รับฟ้องแล้ว! ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ รับฟ้องคดีแบบกลุ่ม 'กรณีปลาหมอคางดำ' หลังประชาชนฟ้อง CPF 2,500 ล้านบาท
    https://www.thai-tai.tv/news/17512/
    รับฟ้องแล้ว! ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ รับฟ้องคดีแบบกลุ่ม 'กรณีปลาหมอคางดำ' หลังประชาชนฟ้อง CPF 2,500 ล้านบาท https://www.thai-tai.tv/news/17512/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 87 มุมมอง 0 รีวิว
  • “พุดเดิ้ล” เข้าพบดีเอสไอ เผยมี 5 คนคอยรับงานให้ "แตงโม" คือ "แอนนา-พุดเดิ้ล-กระติก-ฮิปโป-อุ้ย" ในไลน์กลุ่ม แต่วันลงเรือไม่ทราบว่าเจ้าตัวไปรับรีวิวเรือหรือไม่

    วันนี้ (5 มี.ค.) เวลา 10.00 น. ที่ห้องคณะพนักงานสืบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ศูนย์ราชการฯ อาคารเอ ชั้น 2 ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายวีระพงศ์ กลั่นประเสริฐ หรือพุดเดิ้ล เพื่อนสนิทของ น.ส.ภัทรธิดา (นิดา) พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม นักแสดงชื่อดัง ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสืบสวนที่ 20/2568 กรณี คดีการเสียชีวิตของ น.ส.ภัทรธิดา (นิดา) พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม นักแสดงชื่อดัง เพื่อให้ข้อมูลข้อเท็จจริงอันเป็นประโยชน์ต่อการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ

    โดย นายวีระพงศ์ กลั่นประเสริฐ หรือพุดเดิ้ล เปิดเผยว่า ย้อนไปเมื่อวันที่ 24 ก.พ.65 คืนวันเกิดเหตุตอนนั้นตนอยู่ในรถกับแอนนา (นายวรินทร วัตรสังข์) ซึ่งตนได้โทรศัพท์หาแตงโมแต่ไม่รับสาย จึงทักไปว่าทำอะไร ตนจะโอนเงินค่างานให้ แต่แตงโมตอบกลับมาตอนเวลา 22.21 น. ว่า ”แพ๊พ ๆ“ อย่างไรก็ตาม ตนจำเวลาตอนโทรศัพท์ไปไม่ได้ แต่ตนได้ทักไปตอนประมาณ 21.00 น. นอกจากนั้น ตนตั้งข้อสังเกตว่าแตงโมไม่เคยพิมพ์คำแบบนี้เลย แต่ตอนนั้นก็ไม่สามารถตอบได้ว่าเป็นแตงโมตอบเองหรือไม่ จากนั้น 2 ชม. หลังจากแตงโมตอบกลับ ตนเห็นกลุ่มนางงามโพสต์ว่าแตงโมตกเรือเสียชีวิต ซึ่งตนคิดว่าโพสต์เล่น กระทั่งผ่านไปครึ่ง ชม. ก็มีคนทักมาหาเยอะ ตนเริ่มตะหงิดใจ จึงใช้เบอร์ส่วนตัวโทรศัพท์หาแตงโมหลายสายก็ไม่มีใครรับ ตนเริ่มกระวนกระวาย ทางแอนนาจึงโทรศัพท์หากระติก (น.ส.อิจศรินทร์ จุฑาสุขสวัสดิ์) ถามว่าจริงหรือไม่ กระติกตอบกลับว่า “รู้ได้ไง” ตนจึงถามต่อว่า “ตกจริงใช่ไหม” ก่อนกระติกยอมรับว่าจริง จากนั้นทั้งตนและแอนนาก็ไปตามหา ตอนประมาณเวลา 00.00 น.

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000021401

    #MGROnline #พุดเดิ้ล #ดีเอสไอ
    “พุดเดิ้ล” เข้าพบดีเอสไอ เผยมี 5 คนคอยรับงานให้ "แตงโม" คือ "แอนนา-พุดเดิ้ล-กระติก-ฮิปโป-อุ้ย" ในไลน์กลุ่ม แต่วันลงเรือไม่ทราบว่าเจ้าตัวไปรับรีวิวเรือหรือไม่ • วันนี้ (5 มี.ค.) เวลา 10.00 น. ที่ห้องคณะพนักงานสืบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ศูนย์ราชการฯ อาคารเอ ชั้น 2 ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายวีระพงศ์ กลั่นประเสริฐ หรือพุดเดิ้ล เพื่อนสนิทของ น.ส.ภัทรธิดา (นิดา) พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม นักแสดงชื่อดัง ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสืบสวนที่ 20/2568 กรณี คดีการเสียชีวิตของ น.ส.ภัทรธิดา (นิดา) พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม นักแสดงชื่อดัง เพื่อให้ข้อมูลข้อเท็จจริงอันเป็นประโยชน์ต่อการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ • โดย นายวีระพงศ์ กลั่นประเสริฐ หรือพุดเดิ้ล เปิดเผยว่า ย้อนไปเมื่อวันที่ 24 ก.พ.65 คืนวันเกิดเหตุตอนนั้นตนอยู่ในรถกับแอนนา (นายวรินทร วัตรสังข์) ซึ่งตนได้โทรศัพท์หาแตงโมแต่ไม่รับสาย จึงทักไปว่าทำอะไร ตนจะโอนเงินค่างานให้ แต่แตงโมตอบกลับมาตอนเวลา 22.21 น. ว่า ”แพ๊พ ๆ“ อย่างไรก็ตาม ตนจำเวลาตอนโทรศัพท์ไปไม่ได้ แต่ตนได้ทักไปตอนประมาณ 21.00 น. นอกจากนั้น ตนตั้งข้อสังเกตว่าแตงโมไม่เคยพิมพ์คำแบบนี้เลย แต่ตอนนั้นก็ไม่สามารถตอบได้ว่าเป็นแตงโมตอบเองหรือไม่ จากนั้น 2 ชม. หลังจากแตงโมตอบกลับ ตนเห็นกลุ่มนางงามโพสต์ว่าแตงโมตกเรือเสียชีวิต ซึ่งตนคิดว่าโพสต์เล่น กระทั่งผ่านไปครึ่ง ชม. ก็มีคนทักมาหาเยอะ ตนเริ่มตะหงิดใจ จึงใช้เบอร์ส่วนตัวโทรศัพท์หาแตงโมหลายสายก็ไม่มีใครรับ ตนเริ่มกระวนกระวาย ทางแอนนาจึงโทรศัพท์หากระติก (น.ส.อิจศรินทร์ จุฑาสุขสวัสดิ์) ถามว่าจริงหรือไม่ กระติกตอบกลับว่า “รู้ได้ไง” ตนจึงถามต่อว่า “ตกจริงใช่ไหม” ก่อนกระติกยอมรับว่าจริง จากนั้นทั้งตนและแอนนาก็ไปตามหา ตอนประมาณเวลา 00.00 น. • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000021401 • #MGROnline #พุดเดิ้ล #ดีเอสไอ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 202 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📣 ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี❓️มันยาวนะ แต่อ่านจบแล้วจะรู้คำตอบ

    👉ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี เป็นข้อความที่ยั่วยุให้คนไทยเปิดอ่านหนังสือชื่อนี้ ซึ่งฟังแปลกหูและแปลกใหม่

    คนญี่ปุ่นก็เป็นเช่นเดียวกันเพราะเป็นหนังสือยอดฮิตในประเทศนั้น โดยมีเนื้อหาปลุกเร้าให้เกิดพฤติกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพและต่อกระเป๋า

    หนังสือ “ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี” แปลจากภาษาญี่ปุ่น ซึ่งผู้เขียนคือนายแพทย์โยะชิ โนะริ นะงุโม (Yoshinori Nagumo) ผู้แปลคือคุณพิมพ์รัก สุขสวัสดิ์ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์วีเลิร์น

    ปิยมิตรของผมคนหนึ่งคือ คุณอดิศร ธรรมาพฤทธิ นักธุรกิจใหญ่แนวหน้าของไทยในเรื่องการหล่อโลหะ ได้ซื้อหนังสือเล่มนี้เป็นร้อยเล่มเพื่อแจกเพื่อนๆ และยิ่งไปกว่านั้นยังได้เขียนสรุปเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้และโพสต์ออนไลน์เมื่อเร็วๆ นี้เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่สาธารณชน ผมขอนำเอาสิ่งที่คุณอดิศรเขียนไว้มานำเสนอดังต่อไปนี้

    “ผู้เขียนเป็นนายแพทย์และเป็นผู้อำนวยการใหญ่ในโรงพยาบาลสี่แห่งในญี่ปุ่น เป็นนักเขียนชื่อดังในญี่ปุ่น และเป็นแขกประจำรายการทีวีหลายรายการ เป็นประธานกิตติมศักดิ์ของ Anti-Aging Medicine World Congress ผู้เขียนค้นพบวิธีการลดน้ำหนักด้วยการทานเหลือวันละมื้อ และพบว่าความหิวเป็นกระบวนการที่ทำให้ร่างกายซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอด้วยยีนที่ชื่อ เซอร์ทูอิน (Sirtuin) ในขณะเดียวกันร่างกายก็จะผลิต Growth Hormone ออกมา

    คุณหมอบอกว่า “...สิ่งที่ผมมุ่งหวังคือการวางแผนสำหรับชีวิตที่มีอายุยืนถึงหนึ่งร้อยปี โดยยังมีหน้าท้องที่แบนราบและมีรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูอ่อนเยาว์ บางคนบอกว่าไม่อยากอายุยืนขนาดนั้น... แต่คนที่พูดแบบนั้นพอถึงคราวเจ็บป่วยก็รีบวิ่งโร่มาหาหมอทุกราย …เมื่อเข้าสู่วัยชรา ทุกวันจะมีแต่ความทุกข์ทรมาน ซึ่งเป็นผลจากการละเลยสุขภาพ.... …ผมว่าต้องเลือกแล้วละว่า จะใช้เวลานอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลแล้วทำให้คนรอบข้างเดือดร้อน หรือจะมีสุขภาพดีร่างกายแข็งแรง มีกำลังวังชา รูปลักษณ์ภายนอกดูอ่อนเยาว์จนถึงวาระสุดท้าย แล้วจากไปอย่างสง่างาม…”

    ในบทนำมีการเกริ่นว่าผู้เขียนเริ่มทานอาหารเหลือวันละมื้อเมื่ออายุ 45 ปีเพราะปัญหาเรื่องสุขภาพ ผ่านไปสิบปีเมื่อเขาไปตรวจร่างกายพบว่าอายุหลอดเลือดของเขาเท่ากับคนอายุ 26 ปี

    เขาเล่าว่ามนุษย์ในอดีตไม่ได้มีกินอุดมสมบูรณ์โดยกินสามมื้อเหมือนปัจจุบันนี้ ในอดีตเรากินวันละมื้อก็บุญแล้ว ดังนั้น ร่างกายเราจึงมีภูมิคุ้มกันในตัวเอง เมื่อเราหิวไม่มีกินเราจะมียีนที่ชื่อ เซอร์ทูอิน (Sirtuin) ออกมาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอต่างๆ ภายในร่างกาย ในขณะเดียวกันร่างกายก็จะผลิต Growth Hormone ออกมา ซึ่งเจ้า Growth Hormone นี้ทำให้เรากลับเป็นหนุ่มสาวมากขึ้น ซึ่งเป็นกระบวนการเพื่อการอยู่รอด

    ปัญหาก็คือ เมื่อร่างกายอิ่ม กลไกนี้ไม่เกิด เราจึงแก่ไปเรื่อยๆ สรุปง่ายๆ ก็คือ การกินมากไปคือสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคภัยต่างๆ และที่สำคัญร่างกายเราไม่ได้ถูกออกแบบให้กินอิ่ม เราจึงปรับตัวให้การกินอิ่มได้ไม่ดี ทำให้กระบวนการธรรมชาติของร่างกายเรารวนนั่นเอง

    ในเรื่องการกินวันละมื้อ ผู้เขียนได้แนะนำสิ่งที่เขาทำมาแล้วได้ผล เขาบอกว่าเขาเพลิดเพลินกับการที่ได้ยินเสียงท้องร้องจ๊อกๆ เพราะว่าเขารู้ว่าร่างกายเรากำลังซ่อมแซมและปรับตัวให้เยาว์วัยด้วยกระบวนการที่กล่าวถึงข้างต้น

    ในเชิงหลักการทางวิทยาศาสตร์เขาอธิบายดังนี้

    (1) ปากทางเข้าลำไส้เล็กจะมีเซนเซอร์เตรียมรอรับของกินอยู่ ถ้าไม่มีอาหารไหลลงมาเสียที ลำไส้เล็กก็จะรีบหลั่งฮอร์โมนสำหรับย่อยอาหาร โมลิติน (Molitin) ออกมา ทำให้กระเพาะอาหารบีบตัว เพื่อส่งของกินที่อาจจะตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหารเข้าไปในลำไส้เล็ก เรียกว่า “การบีบตัวเมื่อหิว” และเป็นตัวการที่แท้จริงของอาการท้องร้องจ๊อกๆ

    (2) เมื่อกระเพาะรู้ตัวว่าหิวจะหลั่งฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) ออกมา เกรลินจะถูกหลั่งออกมาจากเยื่อบุกระเพาะอาหารซึ่งถูกกระตุ้นเพราะความหิว โดยจะออกฤทธิ์ที่สมองส่วนไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ทำให้เกิดความอยากอาหาร ขณะเดียวกันก็จะออกฤทธิ์ที่ต่อมใต้สมอง ทำให้หลั่ง Growth Hormone ออกมา เจ้า Growth Hormone นี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ฮอร์โมนที่ทำให้กลับไปเป็น หนุ่มสาว” นั่นหมายความว่าตอนที่ท้องกำลังร้องจ๊อกๆ เพราะหิว คุณจะค่อยๆ มีเสน่ห์ขึ้นจากฮอร์โมนที่ทำให้กลับเป็นหนุ่มสาว ถึงท้องจะร้องก็อย่าเพิ่งรีบกินอาหาร ให้มาลองเพลิดเพลินกับประสิทธิภาพของการกลับเป็นหนุ่มสาวที่ได้จาก Growth Hormone กันสักครู่หนึ่งก่อน

    (3) ตอนที่ท้องกำลังร้องจ๊อกๆ นั้น ความสามารถในการอยู่รอดอันยอดเยี่ยมกำลังพลุ่งพล่านขึ้นมา นั่นก็คือ “ยีนเซอร์ทูอิน” ที่มีสมญาว่า “ยีนต่ออายุขัย” หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ยีนที่ทำให้อายุยืน” กำลังทำงาน จากการทดลองกับสัตว์หลายชนิดพบว่า เมื่อลดปริมาณอาหารลง 40% จะทำให้อายุยืนขึ้น 1.5 เท่า ทว่ายีนนี้จะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อมีเงื่อนไขบางประการ นั่นคือ “ความหิว” ตราบใดที่ท้องไม่ร้องจ๊อกเพราะหิว ยีนนี้ก็จะไม่ทำงาน ดังนั้นการกินอาหารทั้งที่ยังไม่หิวจึงหมายถึงการมีของดีอยู่กับตัวแต่ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ มาทำให้ท้องร้องจ๊อกด้วยการกินอาหารวันละมื้อดีกว่า แล้วยีนเซอร์ทูอินนี้จะช่วยสแกนยีนในร่างกายอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งค่อยๆ ฟื้นฟูส่วนที่เสียหาย กล่าวกันว่าความแก่ชราและโรคมะเร็งก็มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของยีน ดังนั้นเราสามารถทำให้กลับเป็นหนุ่มสาวและป้องกันโรคมะเร็งด้วยการกินอาหารวันละมื้อ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อหิวแล้วอาหารยังตกไม่ถึงท้อง ร่างกายจะนำไขมันที่สะสมไว้ในช่องท้องมาเปลี่ยนเป็นสารอาหาร ทำให้หน้าท้องแบนราบ

    นอกจากการกินวันละมื้อแล้ว ผู้เขียนมีข้อมูลใหม่เพิ่มเติมอีกว่าการนอนที่ดีคือนอนในช่วงร่างกายผลิต Growth Hormone ได้ดีที่สุดนั่นก็คือช่วงเวลาระหว่างสี่ทุ่มถึงตีสอง

    หลังอ่านจบผมมีความเห็นส่วนตัวว่าสิ่งที่จะทำคือ

    (1) รอให้ท้องร้องจ๊อกๆ บ่อยๆ เพื่อซ่อมแซมตัวเองและทำให้เยาว์วัยลง และ (2) ทานน้อยลง 60% ของแต่ละมื้อ.......”

    นอกจากที่คุณอดิศรเขียนแล้ว ผมไปค้นคว้าเพิ่มเติมและพบว่าเมื่อตอนคุณหมอ Nagumo มีอายุ 37 ปี เขาหนัก 77 กิโลกรัม และเมื่ออายุ 57 ปี หนัก 62 กิโลกรัม ความดันโลหิตเท่ากับคนอายุ 26 ปี อายุมวลกระดูกเท่ากับคนอายุ 28 ปี และสมองมีอายุเท่ากับคนอายุ 38 ปี จากที่ดูรูปในอินเทอร์เน็ตถึงแม้ขณะนี้คุณหมออายุ 59 ปี แต่หน้าตาเหมือนไม่ถึง 40 ปี ด้วยซ้ำ

    คุณหมอพูดในโทรทัศน์ว่าแค่เริ่มต้นไม่กี่วันก็จะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของสุขภาพแล้ว กลิ่นตัวจะหายไป ผิวหนังจะเนียนขึ้น หน้าท้องจะเรียบขึ้น รูปลักษณ์ของคนผอมจะเริ่มปรากฏ และจิตใจคึกคักขึ้นกว่าเก่า

    คุณหมอแนะนำให้ทำติดต่อกัน 52 วัน โดยกินอาหารวันละหนึ่งมื้อคือมื้อกลางวัน ในมื้อนี้อยากกินอะไรก็ตามใจตัวเองได้ หากหิวมากก็อาจเสริมด้วยผลไม้และอาหารเบาๆ ก่อนอาหารเย็น

    การกินอาหารน้อยลงมีประโยชน์อย่างแน่นอนเพราะมนุษย์เราโดยทั่วไปก็กินกันเกินพอดีอยู่แล้ว การทำตามคำแนะนำของคุณหมอแค่กินอาหารน้อยลง กินหลังจากที่ท้องร้องนานพอควร และหากแถมด้วยการเดินและออกกำลังกายก็ย่อมดีต่อสุขภาพ

    ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ

    ที่มา: คอลัมน์ "อาหารสมอง" | กรุงเทพธุรกิจ | 20 ม.ค. 58

    Cr.FB: โต๊ะป้าศรี CH Table
    📣 ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี❓️มันยาวนะ แต่อ่านจบแล้วจะรู้คำตอบ 👉ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี เป็นข้อความที่ยั่วยุให้คนไทยเปิดอ่านหนังสือชื่อนี้ ซึ่งฟังแปลกหูและแปลกใหม่ คนญี่ปุ่นก็เป็นเช่นเดียวกันเพราะเป็นหนังสือยอดฮิตในประเทศนั้น โดยมีเนื้อหาปลุกเร้าให้เกิดพฤติกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพและต่อกระเป๋า หนังสือ “ยิ่งหิวยิ่งสุขภาพดี” แปลจากภาษาญี่ปุ่น ซึ่งผู้เขียนคือนายแพทย์โยะชิ โนะริ นะงุโม (Yoshinori Nagumo) ผู้แปลคือคุณพิมพ์รัก สุขสวัสดิ์ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์วีเลิร์น ปิยมิตรของผมคนหนึ่งคือ คุณอดิศร ธรรมาพฤทธิ นักธุรกิจใหญ่แนวหน้าของไทยในเรื่องการหล่อโลหะ ได้ซื้อหนังสือเล่มนี้เป็นร้อยเล่มเพื่อแจกเพื่อนๆ และยิ่งไปกว่านั้นยังได้เขียนสรุปเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้และโพสต์ออนไลน์เมื่อเร็วๆ นี้เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่สาธารณชน ผมขอนำเอาสิ่งที่คุณอดิศรเขียนไว้มานำเสนอดังต่อไปนี้ “ผู้เขียนเป็นนายแพทย์และเป็นผู้อำนวยการใหญ่ในโรงพยาบาลสี่แห่งในญี่ปุ่น เป็นนักเขียนชื่อดังในญี่ปุ่น และเป็นแขกประจำรายการทีวีหลายรายการ เป็นประธานกิตติมศักดิ์ของ Anti-Aging Medicine World Congress ผู้เขียนค้นพบวิธีการลดน้ำหนักด้วยการทานเหลือวันละมื้อ และพบว่าความหิวเป็นกระบวนการที่ทำให้ร่างกายซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอด้วยยีนที่ชื่อ เซอร์ทูอิน (Sirtuin) ในขณะเดียวกันร่างกายก็จะผลิต Growth Hormone ออกมา คุณหมอบอกว่า “...สิ่งที่ผมมุ่งหวังคือการวางแผนสำหรับชีวิตที่มีอายุยืนถึงหนึ่งร้อยปี โดยยังมีหน้าท้องที่แบนราบและมีรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูอ่อนเยาว์ บางคนบอกว่าไม่อยากอายุยืนขนาดนั้น... แต่คนที่พูดแบบนั้นพอถึงคราวเจ็บป่วยก็รีบวิ่งโร่มาหาหมอทุกราย …เมื่อเข้าสู่วัยชรา ทุกวันจะมีแต่ความทุกข์ทรมาน ซึ่งเป็นผลจากการละเลยสุขภาพ.... …ผมว่าต้องเลือกแล้วละว่า จะใช้เวลานอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลแล้วทำให้คนรอบข้างเดือดร้อน หรือจะมีสุขภาพดีร่างกายแข็งแรง มีกำลังวังชา รูปลักษณ์ภายนอกดูอ่อนเยาว์จนถึงวาระสุดท้าย แล้วจากไปอย่างสง่างาม…” ในบทนำมีการเกริ่นว่าผู้เขียนเริ่มทานอาหารเหลือวันละมื้อเมื่ออายุ 45 ปีเพราะปัญหาเรื่องสุขภาพ ผ่านไปสิบปีเมื่อเขาไปตรวจร่างกายพบว่าอายุหลอดเลือดของเขาเท่ากับคนอายุ 26 ปี เขาเล่าว่ามนุษย์ในอดีตไม่ได้มีกินอุดมสมบูรณ์โดยกินสามมื้อเหมือนปัจจุบันนี้ ในอดีตเรากินวันละมื้อก็บุญแล้ว ดังนั้น ร่างกายเราจึงมีภูมิคุ้มกันในตัวเอง เมื่อเราหิวไม่มีกินเราจะมียีนที่ชื่อ เซอร์ทูอิน (Sirtuin) ออกมาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอต่างๆ ภายในร่างกาย ในขณะเดียวกันร่างกายก็จะผลิต Growth Hormone ออกมา ซึ่งเจ้า Growth Hormone นี้ทำให้เรากลับเป็นหนุ่มสาวมากขึ้น ซึ่งเป็นกระบวนการเพื่อการอยู่รอด ปัญหาก็คือ เมื่อร่างกายอิ่ม กลไกนี้ไม่เกิด เราจึงแก่ไปเรื่อยๆ สรุปง่ายๆ ก็คือ การกินมากไปคือสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคภัยต่างๆ และที่สำคัญร่างกายเราไม่ได้ถูกออกแบบให้กินอิ่ม เราจึงปรับตัวให้การกินอิ่มได้ไม่ดี ทำให้กระบวนการธรรมชาติของร่างกายเรารวนนั่นเอง ในเรื่องการกินวันละมื้อ ผู้เขียนได้แนะนำสิ่งที่เขาทำมาแล้วได้ผล เขาบอกว่าเขาเพลิดเพลินกับการที่ได้ยินเสียงท้องร้องจ๊อกๆ เพราะว่าเขารู้ว่าร่างกายเรากำลังซ่อมแซมและปรับตัวให้เยาว์วัยด้วยกระบวนการที่กล่าวถึงข้างต้น ในเชิงหลักการทางวิทยาศาสตร์เขาอธิบายดังนี้ (1) ปากทางเข้าลำไส้เล็กจะมีเซนเซอร์เตรียมรอรับของกินอยู่ ถ้าไม่มีอาหารไหลลงมาเสียที ลำไส้เล็กก็จะรีบหลั่งฮอร์โมนสำหรับย่อยอาหาร โมลิติน (Molitin) ออกมา ทำให้กระเพาะอาหารบีบตัว เพื่อส่งของกินที่อาจจะตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหารเข้าไปในลำไส้เล็ก เรียกว่า “การบีบตัวเมื่อหิว” และเป็นตัวการที่แท้จริงของอาการท้องร้องจ๊อกๆ (2) เมื่อกระเพาะรู้ตัวว่าหิวจะหลั่งฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) ออกมา เกรลินจะถูกหลั่งออกมาจากเยื่อบุกระเพาะอาหารซึ่งถูกกระตุ้นเพราะความหิว โดยจะออกฤทธิ์ที่สมองส่วนไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ทำให้เกิดความอยากอาหาร ขณะเดียวกันก็จะออกฤทธิ์ที่ต่อมใต้สมอง ทำให้หลั่ง Growth Hormone ออกมา เจ้า Growth Hormone นี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ฮอร์โมนที่ทำให้กลับไปเป็น หนุ่มสาว” นั่นหมายความว่าตอนที่ท้องกำลังร้องจ๊อกๆ เพราะหิว คุณจะค่อยๆ มีเสน่ห์ขึ้นจากฮอร์โมนที่ทำให้กลับเป็นหนุ่มสาว ถึงท้องจะร้องก็อย่าเพิ่งรีบกินอาหาร ให้มาลองเพลิดเพลินกับประสิทธิภาพของการกลับเป็นหนุ่มสาวที่ได้จาก Growth Hormone กันสักครู่หนึ่งก่อน (3) ตอนที่ท้องกำลังร้องจ๊อกๆ นั้น ความสามารถในการอยู่รอดอันยอดเยี่ยมกำลังพลุ่งพล่านขึ้นมา นั่นก็คือ “ยีนเซอร์ทูอิน” ที่มีสมญาว่า “ยีนต่ออายุขัย” หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ยีนที่ทำให้อายุยืน” กำลังทำงาน จากการทดลองกับสัตว์หลายชนิดพบว่า เมื่อลดปริมาณอาหารลง 40% จะทำให้อายุยืนขึ้น 1.5 เท่า ทว่ายีนนี้จะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อมีเงื่อนไขบางประการ นั่นคือ “ความหิว” ตราบใดที่ท้องไม่ร้องจ๊อกเพราะหิว ยีนนี้ก็จะไม่ทำงาน ดังนั้นการกินอาหารทั้งที่ยังไม่หิวจึงหมายถึงการมีของดีอยู่กับตัวแต่ไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ มาทำให้ท้องร้องจ๊อกด้วยการกินอาหารวันละมื้อดีกว่า แล้วยีนเซอร์ทูอินนี้จะช่วยสแกนยีนในร่างกายอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งค่อยๆ ฟื้นฟูส่วนที่เสียหาย กล่าวกันว่าความแก่ชราและโรคมะเร็งก็มีสาเหตุมาจากความผิดปกติของยีน ดังนั้นเราสามารถทำให้กลับเป็นหนุ่มสาวและป้องกันโรคมะเร็งด้วยการกินอาหารวันละมื้อ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อหิวแล้วอาหารยังตกไม่ถึงท้อง ร่างกายจะนำไขมันที่สะสมไว้ในช่องท้องมาเปลี่ยนเป็นสารอาหาร ทำให้หน้าท้องแบนราบ นอกจากการกินวันละมื้อแล้ว ผู้เขียนมีข้อมูลใหม่เพิ่มเติมอีกว่าการนอนที่ดีคือนอนในช่วงร่างกายผลิต Growth Hormone ได้ดีที่สุดนั่นก็คือช่วงเวลาระหว่างสี่ทุ่มถึงตีสอง หลังอ่านจบผมมีความเห็นส่วนตัวว่าสิ่งที่จะทำคือ (1) รอให้ท้องร้องจ๊อกๆ บ่อยๆ เพื่อซ่อมแซมตัวเองและทำให้เยาว์วัยลง และ (2) ทานน้อยลง 60% ของแต่ละมื้อ.......” นอกจากที่คุณอดิศรเขียนแล้ว ผมไปค้นคว้าเพิ่มเติมและพบว่าเมื่อตอนคุณหมอ Nagumo มีอายุ 37 ปี เขาหนัก 77 กิโลกรัม และเมื่ออายุ 57 ปี หนัก 62 กิโลกรัม ความดันโลหิตเท่ากับคนอายุ 26 ปี อายุมวลกระดูกเท่ากับคนอายุ 28 ปี และสมองมีอายุเท่ากับคนอายุ 38 ปี จากที่ดูรูปในอินเทอร์เน็ตถึงแม้ขณะนี้คุณหมออายุ 59 ปี แต่หน้าตาเหมือนไม่ถึง 40 ปี ด้วยซ้ำ คุณหมอพูดในโทรทัศน์ว่าแค่เริ่มต้นไม่กี่วันก็จะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของสุขภาพแล้ว กลิ่นตัวจะหายไป ผิวหนังจะเนียนขึ้น หน้าท้องจะเรียบขึ้น รูปลักษณ์ของคนผอมจะเริ่มปรากฏ และจิตใจคึกคักขึ้นกว่าเก่า คุณหมอแนะนำให้ทำติดต่อกัน 52 วัน โดยกินอาหารวันละหนึ่งมื้อคือมื้อกลางวัน ในมื้อนี้อยากกินอะไรก็ตามใจตัวเองได้ หากหิวมากก็อาจเสริมด้วยผลไม้และอาหารเบาๆ ก่อนอาหารเย็น การกินอาหารน้อยลงมีประโยชน์อย่างแน่นอนเพราะมนุษย์เราโดยทั่วไปก็กินกันเกินพอดีอยู่แล้ว การทำตามคำแนะนำของคุณหมอแค่กินอาหารน้อยลง กินหลังจากที่ท้องร้องนานพอควร และหากแถมด้วยการเดินและออกกำลังกายก็ย่อมดีต่อสุขภาพ ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ ที่มา: คอลัมน์ "อาหารสมอง" | กรุงเทพธุรกิจ | 20 ม.ค. 58 Cr.FB: โต๊ะป้าศรี CH Table
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 247 มุมมอง 0 รีวิว
  • "เบิร์ด" เดือดผมไม่กลัวใคร ไม่เชื่อ "แตงโม" ตกเรือ : [THE MESSAGE]

    เบิร์ด เทคนิค แฟน แตงโม นิดา เผยหลังให้ข้อมูลกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ในคดีการเสียชีวิตของแตงโม เปิดไทม์ไลน์ไปภูเก็ตวันที่ 17 ก.พ. 2565 กลับกรุงเทพ 19 ก.พ. เพราะแตงโมมีถ่ายละคร ส่วนวันเกิดเหตุ 24 ก.พ. แตงโมบอกก่อนลงเรือ 1 คืน ว่าจะไปกินข้าวกับกระติกและเพื่อน วันเกิดเหตุแตงโมแต่งตัวตามปกติ จากนั้นมาหอมแก้มแล้วบอกว่า “ที่รักเค้าไปกินข้าวกับเพื่อนแล้วนะ” ยืนยันไม่รู้จักคนบนเรือ รู้จักกระติกคนเดียวแต่ไม่สนิทกัน ซึ่งเวลา 19.19 น.ได้คุยกับแตงโมครั้งสุดท้าย โดยแตงโมส่งข้อความบอกว่า "เธอกินข้าวหรือยัง เค้าถึงร้านอาหารลงเรือกินข้าวแล้ว เธอทำอะไร" ตนตอบกลับว่า "กินแล้ว" ไม่เชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุ ส่วนที่ไม่ออกมาพูดตลอด 3 ปี เพราะทำตามใจตัวเอง ไม่ได้ทำตามใจคนอื่น แต่ผมเสียใจ แต่ละคนจิตใจไม่เหมือนกัน รับได้ไม่เท่ากัน ผมรับได้เท่านี้ อยากให้สังคมเสพข่าวแต่ไม่ต้องเชื่อทั้งหมด ต้องคิดวิเคราะห์แยกแยะ ไม่เคยโดนข่มขู่และไม่กลัวใคร
    "เบิร์ด" เดือดผมไม่กลัวใคร ไม่เชื่อ "แตงโม" ตกเรือ : [THE MESSAGE] เบิร์ด เทคนิค แฟน แตงโม นิดา เผยหลังให้ข้อมูลกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ในคดีการเสียชีวิตของแตงโม เปิดไทม์ไลน์ไปภูเก็ตวันที่ 17 ก.พ. 2565 กลับกรุงเทพ 19 ก.พ. เพราะแตงโมมีถ่ายละคร ส่วนวันเกิดเหตุ 24 ก.พ. แตงโมบอกก่อนลงเรือ 1 คืน ว่าจะไปกินข้าวกับกระติกและเพื่อน วันเกิดเหตุแตงโมแต่งตัวตามปกติ จากนั้นมาหอมแก้มแล้วบอกว่า “ที่รักเค้าไปกินข้าวกับเพื่อนแล้วนะ” ยืนยันไม่รู้จักคนบนเรือ รู้จักกระติกคนเดียวแต่ไม่สนิทกัน ซึ่งเวลา 19.19 น.ได้คุยกับแตงโมครั้งสุดท้าย โดยแตงโมส่งข้อความบอกว่า "เธอกินข้าวหรือยัง เค้าถึงร้านอาหารลงเรือกินข้าวแล้ว เธอทำอะไร" ตนตอบกลับว่า "กินแล้ว" ไม่เชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุ ส่วนที่ไม่ออกมาพูดตลอด 3 ปี เพราะทำตามใจตัวเอง ไม่ได้ทำตามใจคนอื่น แต่ผมเสียใจ แต่ละคนจิตใจไม่เหมือนกัน รับได้ไม่เท่ากัน ผมรับได้เท่านี้ อยากให้สังคมเสพข่าวแต่ไม่ต้องเชื่อทั้งหมด ต้องคิดวิเคราะห์แยกแยะ ไม่เคยโดนข่มขู่และไม่กลัวใคร
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 754 มุมมอง 42 0 รีวิว
  • เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี่ เปิดปฎิบัติการทลายเครือข่ายพนันออนไลน์ "มินนี่" รอบสอง หลังจากที่เคยถูกจับแต่ไม่เข็ดหลาบ

    เมื่อเช้าวันที่ 4 มีนาคม 2568 ตำรวจกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี่ (สอท) หรือตำรวจไซเบอร์ นำกำลังตรวจค้น 9 จุด ทั้งในกรุงเทพมหานคร / จังหวัดเลย และ จังหวัดใกล้เคียง จับตัว น.ส.ธันยนันท์ สุจริตชินศรี หรือ มินนี่ ไว้ได้ และควบคุมผู้ต้องหาตามหมายจับในเครือข่ายพนันออนไลน์"มินนี่"กว่า 30 หมายจับ นำตัวไปดำเนินคดี

    สำหรับ น.ส.ธันยนันท์ สุจริตชินศรี เคยตกเป็นข่าวดัง ถูกจับในคดีพนันออนไลน์ ฟอกเงิน เมื่อสองปีก่อน โดยคดีที่ถูกจับส่งผลกระเทือนถึงตำรวจใหญ่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จนถูกให้ออกจากราชการไว้ก่อน เนื่องจากมีภาพสนิทสนมใกล้ชิดกัน และ มีเส้นเงินพัวพัน ขณะนี้ คดีอยู่ในขั้นอัยการ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000021011

    #MGROnline #มินนี่ #พนันออนไลน์ #ฟอกเงิน
    เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี่ เปิดปฎิบัติการทลายเครือข่ายพนันออนไลน์ "มินนี่" รอบสอง หลังจากที่เคยถูกจับแต่ไม่เข็ดหลาบ • เมื่อเช้าวันที่ 4 มีนาคม 2568 ตำรวจกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี่ (สอท) หรือตำรวจไซเบอร์ นำกำลังตรวจค้น 9 จุด ทั้งในกรุงเทพมหานคร / จังหวัดเลย และ จังหวัดใกล้เคียง จับตัว น.ส.ธันยนันท์ สุจริตชินศรี หรือ มินนี่ ไว้ได้ และควบคุมผู้ต้องหาตามหมายจับในเครือข่ายพนันออนไลน์"มินนี่"กว่า 30 หมายจับ นำตัวไปดำเนินคดี • สำหรับ น.ส.ธันยนันท์ สุจริตชินศรี เคยตกเป็นข่าวดัง ถูกจับในคดีพนันออนไลน์ ฟอกเงิน เมื่อสองปีก่อน โดยคดีที่ถูกจับส่งผลกระเทือนถึงตำรวจใหญ่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จนถูกให้ออกจากราชการไว้ก่อน เนื่องจากมีภาพสนิทสนมใกล้ชิดกัน และ มีเส้นเงินพัวพัน ขณะนี้ คดีอยู่ในขั้นอัยการ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000021011 • #MGROnline #มินนี่ #พนันออนไลน์ #ฟอกเงิน
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 204 มุมมอง 0 รีวิว
  • "เสี่ยสมพงษ์" เดินทางเข้าพบ ดีเอสไอ หลังเป็นผู้พบร่าง "แตงโม" คนแรก ยืนยันอยากช่วยค้นหา แต่ตลอด 3 ปีกลับถูกแฟนคลับตามต่อว่ามาตลอด

    วันนี้ (4 มี.ค.) เวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุม กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อาคานเอ ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร นายสมพงษ์ สุนทรพรวาที หรือ "เสี่ยสมพงษ์" อายุ 67 ปี กรรมการผู้จัดการบริษัท บางกอกโรลเลอร์ จำกัด ผู้นำเรือช่วยค้นหาและผู้พบร่าง น.ส.ภัทรธิดา (นิดา) พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม เป็นคนแรก เดินทางเข้าพบ พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนข้อเท็จจริงคดีการเสียชีวิตของแตงโม หลังรับเป็นเลขสืบสวนที่ 20/2568

    นายสมพงษ์ กล่าวว่า เดินทางมาวันนี้ก็จะให้ข้อมูลแบบเดิมที่เคยให้การไปแล้วที่ สภ.นนทบุรี ส่วนที่รู้ว่าเป็นศพแตงโมตั้งแต่พบครั้งแรกเพราะด้วยสัญชาตญานความเป็นมนุษย์เวลานั้น เนื่องจากรู้ข่าวแตงโมตกน้ำเลยรู้ว่าต้องมีศพโผล่ขึ้นมาหรือจะให้เป็นศพคนอื่น โดยตนไม่ได้เป็นอาสาแต่ตนได้ซื้อเรือมาลำหนึ่ง จึงอยากช่วยค้นหาก็เลยเติมน้ำมันออกหาแตงโม แล้วก็บังเอิญเจอ แต่ตลอด 3 ปีมาถูกแฟนคลับแตงโมว่ามาตลอด ไม่เห็นบอกว่าตนเป็นพลเมืองดีเลย

    นายสมพงษ์ กล่าวอีกว่า วันพบร่างแตงโมใครจะเชื่อก็เชื่อ ใครไม่เชื่อก็ไม่ว่ากัน วันนั้นตรงกับวันเสาร์ บ้านตนมีโรงยิม มีสระว่ายน้ำ ตนตื่นตี 5 ทุกวัน ไปนั่งสมาธิที่โรงยิม ขณะเดินจากบ้านหลังใหญ่จะไปนั่งสมาธิที่โรงยิม แต่ไม่เกี่ยวกับนั่งสมาธิ คุณแตงโมก็ดลจิตดลใจขึ้นมา ตนได้ถามว่ามาทำอะไร เขาไม่ตอบอะไร จึงบอกกลับไปว่าจะเอาเรือไปช่วยหา ถ้าคุณอยากเจอตน ก็ขอให้เจอง่ายๆ

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000020976

    #MGROnline #เสี่ยสมพงษ์ #ดีเอสไอ #แตงโม
    "เสี่ยสมพงษ์" เดินทางเข้าพบ ดีเอสไอ หลังเป็นผู้พบร่าง "แตงโม" คนแรก ยืนยันอยากช่วยค้นหา แต่ตลอด 3 ปีกลับถูกแฟนคลับตามต่อว่ามาตลอด • วันนี้ (4 มี.ค.) เวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุม กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อาคานเอ ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร นายสมพงษ์ สุนทรพรวาที หรือ "เสี่ยสมพงษ์" อายุ 67 ปี กรรมการผู้จัดการบริษัท บางกอกโรลเลอร์ จำกัด ผู้นำเรือช่วยค้นหาและผู้พบร่าง น.ส.ภัทรธิดา (นิดา) พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม เป็นคนแรก เดินทางเข้าพบ พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนข้อเท็จจริงคดีการเสียชีวิตของแตงโม หลังรับเป็นเลขสืบสวนที่ 20/2568 • นายสมพงษ์ กล่าวว่า เดินทางมาวันนี้ก็จะให้ข้อมูลแบบเดิมที่เคยให้การไปแล้วที่ สภ.นนทบุรี ส่วนที่รู้ว่าเป็นศพแตงโมตั้งแต่พบครั้งแรกเพราะด้วยสัญชาตญานความเป็นมนุษย์เวลานั้น เนื่องจากรู้ข่าวแตงโมตกน้ำเลยรู้ว่าต้องมีศพโผล่ขึ้นมาหรือจะให้เป็นศพคนอื่น โดยตนไม่ได้เป็นอาสาแต่ตนได้ซื้อเรือมาลำหนึ่ง จึงอยากช่วยค้นหาก็เลยเติมน้ำมันออกหาแตงโม แล้วก็บังเอิญเจอ แต่ตลอด 3 ปีมาถูกแฟนคลับแตงโมว่ามาตลอด ไม่เห็นบอกว่าตนเป็นพลเมืองดีเลย • นายสมพงษ์ กล่าวอีกว่า วันพบร่างแตงโมใครจะเชื่อก็เชื่อ ใครไม่เชื่อก็ไม่ว่ากัน วันนั้นตรงกับวันเสาร์ บ้านตนมีโรงยิม มีสระว่ายน้ำ ตนตื่นตี 5 ทุกวัน ไปนั่งสมาธิที่โรงยิม ขณะเดินจากบ้านหลังใหญ่จะไปนั่งสมาธิที่โรงยิม แต่ไม่เกี่ยวกับนั่งสมาธิ คุณแตงโมก็ดลจิตดลใจขึ้นมา ตนได้ถามว่ามาทำอะไร เขาไม่ตอบอะไร จึงบอกกลับไปว่าจะเอาเรือไปช่วยหา ถ้าคุณอยากเจอตน ก็ขอให้เจอง่ายๆ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000020976 • #MGROnline #เสี่ยสมพงษ์ #ดีเอสไอ #แตงโม
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 224 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข้อความสุดท้าย 19.19 น. ไม่เชื่อเป็นอุบัติเหตุ : [NEWS UPDATE]

    เบิร์ด เทคนิค แฟน แตงโม นิดา เผยหลังให้ข้อมูลกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ในคดีการเสียชีวิตของแตงโม โดยใช้เวลากว่า 6 ชั่วโมง โดยไทม์ไลน์ไปภูเก็ตคือวันที่ 17 ก.พ. 2565 กลับกรุงเทพ 19 ก.พ. เพราะแตงโมมีถ่ายละคร ส่วนวันเกิดเหตุ 24 ก.พ. แตงโมบอกก่อนลงเรือ 1 คืน ว่าจะไปกินข้าวกับกระติกและเพื่อน วันเกิดเหตุแตงโมแต่งตัวตามปกติ จากนั้นมาหอมแก้มแล้วบอกว่า “ที่รักเค้าไปกินข้าวกับเพื่อนแล้วนะ” ยืนยันไม่รู้จักคนบนเรือ รู้จักเพียงกระติกคนเดียวแต่ไม่สนิทกัน ซึ่งเวลา 19.19 น.ได้คุยกับแตงโมครั้งสุดท้าย โดยแตงโมส่งข้อความบอกว่า "เธอกินข้าวหรือยัง เค้าถึงร้านอาหารลงเรือกินข้าวแล้ว เธอทำอะไร" ตนตอบกลับไปว่า "กินแล้ว" ไม่เชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุ อยากให้สังคมเสพข่าวแต่ไม่ต้องเชื่อทั้งหมด ต้องคิดวิเคราะห์แยกแยะ ไม่เคยโดนข่มขู่และไม่กลัวใคร ส่วนที่ไม่ออกมาพูดตลอด 3 ปี เพราะทำตามใจตัวเอง ไม่ได้ทำตามใจคนอื่น แต่ผมเสียใจ แต่ละคนจิตใจไม่เหมือนกัน รับได้ไม่เท่ากัน ผมรับได้เท่านี้

    -เตรียมเก็บวัสดุวิเคราะห์

    -"แสวง"ให้นำโพยเข้าคูหา?

    -โมโตจีพีดันศก. 5 พันล้าน

    -แก้เกณฑ์ 50 ล้านเล่นกาสิโน
    ข้อความสุดท้าย 19.19 น. ไม่เชื่อเป็นอุบัติเหตุ : [NEWS UPDATE] เบิร์ด เทคนิค แฟน แตงโม นิดา เผยหลังให้ข้อมูลกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ในคดีการเสียชีวิตของแตงโม โดยใช้เวลากว่า 6 ชั่วโมง โดยไทม์ไลน์ไปภูเก็ตคือวันที่ 17 ก.พ. 2565 กลับกรุงเทพ 19 ก.พ. เพราะแตงโมมีถ่ายละคร ส่วนวันเกิดเหตุ 24 ก.พ. แตงโมบอกก่อนลงเรือ 1 คืน ว่าจะไปกินข้าวกับกระติกและเพื่อน วันเกิดเหตุแตงโมแต่งตัวตามปกติ จากนั้นมาหอมแก้มแล้วบอกว่า “ที่รักเค้าไปกินข้าวกับเพื่อนแล้วนะ” ยืนยันไม่รู้จักคนบนเรือ รู้จักเพียงกระติกคนเดียวแต่ไม่สนิทกัน ซึ่งเวลา 19.19 น.ได้คุยกับแตงโมครั้งสุดท้าย โดยแตงโมส่งข้อความบอกว่า "เธอกินข้าวหรือยัง เค้าถึงร้านอาหารลงเรือกินข้าวแล้ว เธอทำอะไร" ตนตอบกลับไปว่า "กินแล้ว" ไม่เชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุ อยากให้สังคมเสพข่าวแต่ไม่ต้องเชื่อทั้งหมด ต้องคิดวิเคราะห์แยกแยะ ไม่เคยโดนข่มขู่และไม่กลัวใคร ส่วนที่ไม่ออกมาพูดตลอด 3 ปี เพราะทำตามใจตัวเอง ไม่ได้ทำตามใจคนอื่น แต่ผมเสียใจ แต่ละคนจิตใจไม่เหมือนกัน รับได้ไม่เท่ากัน ผมรับได้เท่านี้ -เตรียมเก็บวัสดุวิเคราะห์ -"แสวง"ให้นำโพยเข้าคูหา? -โมโตจีพีดันศก. 5 พันล้าน -แก้เกณฑ์ 50 ล้านเล่นกาสิโน
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 767 มุมมอง 47 0 รีวิว
  • บขส.เปิดเส้นทางสนามบิน ไปหัวหิน-พัทยา

    ตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค. 2568 เป็นต้นไป บริษัท ขนส่ง จำกัด หรือ บขส. จะเปิดให้บริการรถโดยสารระบบขนส่งเสริม (Feeder) เส้นทางจากท่าอากาศยานเชื่อมต่อไปยังจังหวัดต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางระหว่างรถโดยสารสาธารณะกับท่าอากาศยาน กระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในเมืองหลัก และเมืองรองหรือเมืองน่าเที่ยวภายในประเทศ นำร่อง 3 เส้นทาง ได้แก่

    1. ท่าอากาศยานดอนเมือง-พัทยา จ.ชลบุรี ระยะทาง 162 กิโลเมตร ค่าโดยสาร 155 บาท ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง 30 นาที ปลายทางถนนสุขุมวิท ขาออก ระหว่างพัทยาเหนือและพัทยากลาง

    2. ท่าอากาศยานดอนเมือง-หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 216 กิโลเมตร ค่าโดยสาร 200 บาท ใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมง 30 นาที เฉพาะเที่ยวไป รถจอดส่งผู้โดยสารที่หน้าวัดหัวหิน ศูนย์การค้าบลูพอร์ต หัวหิน รีสอร์ทมอลล์ และสถานีเดินรถหัวหิน

    3. ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-พัทยา ระยะทาง 127 กิโลเมตร ค่าโดยสาร 122 บาท ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง ปลายทางถนนสุขุมวิท ขาออก ระหว่างพัทยาเหนือและพัทยากลาง

    สามารถตรวจสอบเวลาเดินรถ และจองตั๋วโดยสารได้ทางเว็บไซต์ https://tcl99web.transport.co.th

    • จากสนามบินดอนเมือง เลือกจังหวัด "กรุงเทพมหานคร" เลือกต้นทาง "ท่าอากาศยานดอนเมือง"

    • จากสนามบินสุวรรณภูมิ เลือกจังหวัด "สมุทรปราการ" เลือกต้นทาง "สุวรรณภูมิ(สนามบิน)021344099"

    • จากพัทยา เลือกจังหวัด "ชลบุรี" เลือกต้นทาง "พัทยา(กลาง) 038231142"

    • จากหัวหิน เลือกจังหวัด "ประจวบคีรีขันธ์" เลือกต้นทาง "หัวหิน032-511230"

    จุดขึ้นรถที่ท่าอากาศยานดอนเมือง จะอยู่ที่อาคาร Service Hall ชั้น 1 ติดอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ อาคาร 1 ด้านทิศเหนือของสนามบินดอนเมือง

    จุดขึ้นรถที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จะอยู่ที่ประตู 8 ชั้น 1 อาคารผู้โดยสาร โทร. 0-2134-4099

    จุดขึ้นรถที่เมืองพัทยา เที่ยวกลับ อยู่ที่ถนนสุขุมวิท ฝั่งขาออก ระหว่างแยกพัทยาเหนือและแยกพัทยากลาง โทร. 0-3823-1142

    จุดขึ้นรถที่หัวหิน เที่ยวกลับ มี 2 จุด ได้แก่ สถานีเดินรถหัวหิน ถนนเพชรเกษม บริเวณแยกพุทธไชโย ซอยหัวหิน 91 ห่างจากสวนน้ำวานา นาวา ประมาณ 1 กิโลเมตร โทร. 0-3251-1230 และศูนย์การค้าบลูพอร์ต หัวหิน รีสอร์ทมอลล์

    การเปิดเส้นทางเดินรถดังกล่าว ผู้โดยสารทั้งในและต่างประเทศ สามารถต่อรถทัวร์ไปหัวหินและพัทยาได้โดยไม่ต้องเสียเวลาไปขึ้นรถที่หมอชิต 2 อีกต่อไป รวมทั้งจากหัวหินไปดอนเมือง และจากพัทยาไปดอนเมืองหรือสุวรรณภูมิโดยตรง ช่วยประหยัดเวลามากขึ้น

    สอบถามข้อมูลการเดินทางได้ที่ บขส. โทร. 0-2936-3660 หรือไลน์ @TCL99

    #Newskit
    บขส.เปิดเส้นทางสนามบิน ไปหัวหิน-พัทยา ตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค. 2568 เป็นต้นไป บริษัท ขนส่ง จำกัด หรือ บขส. จะเปิดให้บริการรถโดยสารระบบขนส่งเสริม (Feeder) เส้นทางจากท่าอากาศยานเชื่อมต่อไปยังจังหวัดต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางระหว่างรถโดยสารสาธารณะกับท่าอากาศยาน กระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในเมืองหลัก และเมืองรองหรือเมืองน่าเที่ยวภายในประเทศ นำร่อง 3 เส้นทาง ได้แก่ 1. ท่าอากาศยานดอนเมือง-พัทยา จ.ชลบุรี ระยะทาง 162 กิโลเมตร ค่าโดยสาร 155 บาท ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง 30 นาที ปลายทางถนนสุขุมวิท ขาออก ระหว่างพัทยาเหนือและพัทยากลาง 2. ท่าอากาศยานดอนเมือง-หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 216 กิโลเมตร ค่าโดยสาร 200 บาท ใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมง 30 นาที เฉพาะเที่ยวไป รถจอดส่งผู้โดยสารที่หน้าวัดหัวหิน ศูนย์การค้าบลูพอร์ต หัวหิน รีสอร์ทมอลล์ และสถานีเดินรถหัวหิน 3. ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-พัทยา ระยะทาง 127 กิโลเมตร ค่าโดยสาร 122 บาท ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมง ปลายทางถนนสุขุมวิท ขาออก ระหว่างพัทยาเหนือและพัทยากลาง สามารถตรวจสอบเวลาเดินรถ และจองตั๋วโดยสารได้ทางเว็บไซต์ https://tcl99web.transport.co.th • จากสนามบินดอนเมือง เลือกจังหวัด "กรุงเทพมหานคร" เลือกต้นทาง "ท่าอากาศยานดอนเมือง" • จากสนามบินสุวรรณภูมิ เลือกจังหวัด "สมุทรปราการ" เลือกต้นทาง "สุวรรณภูมิ(สนามบิน)021344099" • จากพัทยา เลือกจังหวัด "ชลบุรี" เลือกต้นทาง "พัทยา(กลาง) 038231142" • จากหัวหิน เลือกจังหวัด "ประจวบคีรีขันธ์" เลือกต้นทาง "หัวหิน032-511230" จุดขึ้นรถที่ท่าอากาศยานดอนเมือง จะอยู่ที่อาคาร Service Hall ชั้น 1 ติดอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ อาคาร 1 ด้านทิศเหนือของสนามบินดอนเมือง จุดขึ้นรถที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จะอยู่ที่ประตู 8 ชั้น 1 อาคารผู้โดยสาร โทร. 0-2134-4099 จุดขึ้นรถที่เมืองพัทยา เที่ยวกลับ อยู่ที่ถนนสุขุมวิท ฝั่งขาออก ระหว่างแยกพัทยาเหนือและแยกพัทยากลาง โทร. 0-3823-1142 จุดขึ้นรถที่หัวหิน เที่ยวกลับ มี 2 จุด ได้แก่ สถานีเดินรถหัวหิน ถนนเพชรเกษม บริเวณแยกพุทธไชโย ซอยหัวหิน 91 ห่างจากสวนน้ำวานา นาวา ประมาณ 1 กิโลเมตร โทร. 0-3251-1230 และศูนย์การค้าบลูพอร์ต หัวหิน รีสอร์ทมอลล์ การเปิดเส้นทางเดินรถดังกล่าว ผู้โดยสารทั้งในและต่างประเทศ สามารถต่อรถทัวร์ไปหัวหินและพัทยาได้โดยไม่ต้องเสียเวลาไปขึ้นรถที่หมอชิต 2 อีกต่อไป รวมทั้งจากหัวหินไปดอนเมือง และจากพัทยาไปดอนเมืองหรือสุวรรณภูมิโดยตรง ช่วยประหยัดเวลามากขึ้น สอบถามข้อมูลการเดินทางได้ที่ บขส. โทร. 0-2936-3660 หรือไลน์ @TCL99 #Newskit
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 352 มุมมอง 0 รีวิว
  • “เบิร์ด-เทคนิค” เดินทางเข้าพบดีเอสไอให้ข้อมูลคดี "แตงโม" เชื่อไม่เป็นอุบัติเหตุและไม่เคยโดนข่มขู่ ส่วนคนบนเรือรู้จักแค่กระติกคนเดียวแต่ไม่สนิท

    วันนี้ (3 มี.ค.) เวลา 18.45 น. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) "เบิร์ด-เทคนิค" อดีตแฟนสาว น.ส.ภัทรธิดา (นิดา) พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม เปิดเผยหลังการเข้าพบ พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนข้อเท็จจริง เพื่อให้ข้อมูลคดี โดยใช้เวลากว่า 6 ชั่วโมง

    เบิร์ด เทคนิค กล่าวว่า วันนี้ดีใจที่ได้ออกมาแสดงความบริสุทธิ์และทำตามหน้าที่ทำในสิ่งที่นัดหมายไว้กับดีเอสไอ ถ้ามีปัญหาหรือเรื่องสำคัญอะไรเพิ่มเติมก็ให้ดีเอสไอติดต่อตนได้โดยตรง ซึ่งวันนี้ให้ข้อมูลทางคดีกับดีเอสไอเรียบร้อยหมดแล้ว ส่วนไทม์ไลน์ที่ตนไปภูเก็ตคือตนไป จ.ภูเก็ต วันที่ 17 ก.พ. และกลับกรุงเทพฯในวันที่ 19 ก.พ. เพราะแตงโมมีถ่ายละครวันที่ 22 หรือ 23 ก.พ. ตนไม่แน่ใจ แต่วันเกิดเหตุวันที่ 24 ก.พ. โดยแตงโมบอกกับตนก่อนลงเรือ 1 คืนว่าจะไปกินข้าวกับกระติกและเพื่อน

    เบิร์ด เทคนิค กล่าวอีกว่า ก่อนวันเกิดเหตุ แตงโมแต่งตัวตามปกติ จากนั้นมาหอมแก้มแล้วบอกกับตนว่า “ที่รักเค้าไปกินข้าวกับเพื่อนแล้วนะ” ระหว่างตนนอนอยู่บนเตียง ตอนนั้นตนไม่เอะใจว่าเป็นการบอกลา เพราะทำเป็นปกติก่อนออกไปข้างนอกอยู่แล้ว ทั้งนี้ตนยืนยันว่าไม่รู้จักกับคนบนเรือสักคน รู้จักเพียงกระติกคนเดียว แต่ก็ไม่สนิทกัน ส่วนคนชื่อเอ็กซ์ที่ให้ข้อมูลคนบนเรือ ตนไม่ได้สนิทด้วยรู้จักกันเพียงแค่วันไปขับรถเล่นที่บางแสน จ.ชลบุรี เพียงวันเดียว และตนก็ไม่ได้ติดต่อกับเขาเลย ส่วนรายละเอียดอื่นอยู่ในสำนวนคดีเรียบร้อยแล้ว

    นอกจากนี้ วันเกิดเหตุ เวลาประมาณ 19.19 น. ตนคุยกับแตงโมครั้งสุดท้าย โดยแตงโมบอกว่าถึงร้านอาหารแล้ว กินข้าวแล้ว เธอกินข้าวหรือยัง ตนตอบกลับไปว่ากินแล้ว กำลังทำงานอยู่ หลังจากที่เบิร์ดพูดประเด็นดังกล่าวปรากฏว่าเพื่อนของเบิร์ดที่มาด้วยพยายามดึงตัวเบิร์ดออกไปแล้วบอกว่า “พอแล้ว”

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000020781

    #MGROnline #เบิร์ดเทคนิค #ดีเอสไอ
    “เบิร์ด-เทคนิค” เดินทางเข้าพบดีเอสไอให้ข้อมูลคดี "แตงโม" เชื่อไม่เป็นอุบัติเหตุและไม่เคยโดนข่มขู่ ส่วนคนบนเรือรู้จักแค่กระติกคนเดียวแต่ไม่สนิท • วันนี้ (3 มี.ค.) เวลา 18.45 น. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) "เบิร์ด-เทคนิค" อดีตแฟนสาว น.ส.ภัทรธิดา (นิดา) พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม เปิดเผยหลังการเข้าพบ พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนข้อเท็จจริง เพื่อให้ข้อมูลคดี โดยใช้เวลากว่า 6 ชั่วโมง • เบิร์ด เทคนิค กล่าวว่า วันนี้ดีใจที่ได้ออกมาแสดงความบริสุทธิ์และทำตามหน้าที่ทำในสิ่งที่นัดหมายไว้กับดีเอสไอ ถ้ามีปัญหาหรือเรื่องสำคัญอะไรเพิ่มเติมก็ให้ดีเอสไอติดต่อตนได้โดยตรง ซึ่งวันนี้ให้ข้อมูลทางคดีกับดีเอสไอเรียบร้อยหมดแล้ว ส่วนไทม์ไลน์ที่ตนไปภูเก็ตคือตนไป จ.ภูเก็ต วันที่ 17 ก.พ. และกลับกรุงเทพฯในวันที่ 19 ก.พ. เพราะแตงโมมีถ่ายละครวันที่ 22 หรือ 23 ก.พ. ตนไม่แน่ใจ แต่วันเกิดเหตุวันที่ 24 ก.พ. โดยแตงโมบอกกับตนก่อนลงเรือ 1 คืนว่าจะไปกินข้าวกับกระติกและเพื่อน • เบิร์ด เทคนิค กล่าวอีกว่า ก่อนวันเกิดเหตุ แตงโมแต่งตัวตามปกติ จากนั้นมาหอมแก้มแล้วบอกกับตนว่า “ที่รักเค้าไปกินข้าวกับเพื่อนแล้วนะ” ระหว่างตนนอนอยู่บนเตียง ตอนนั้นตนไม่เอะใจว่าเป็นการบอกลา เพราะทำเป็นปกติก่อนออกไปข้างนอกอยู่แล้ว ทั้งนี้ตนยืนยันว่าไม่รู้จักกับคนบนเรือสักคน รู้จักเพียงกระติกคนเดียว แต่ก็ไม่สนิทกัน ส่วนคนชื่อเอ็กซ์ที่ให้ข้อมูลคนบนเรือ ตนไม่ได้สนิทด้วยรู้จักกันเพียงแค่วันไปขับรถเล่นที่บางแสน จ.ชลบุรี เพียงวันเดียว และตนก็ไม่ได้ติดต่อกับเขาเลย ส่วนรายละเอียดอื่นอยู่ในสำนวนคดีเรียบร้อยแล้ว • นอกจากนี้ วันเกิดเหตุ เวลาประมาณ 19.19 น. ตนคุยกับแตงโมครั้งสุดท้าย โดยแตงโมบอกว่าถึงร้านอาหารแล้ว กินข้าวแล้ว เธอกินข้าวหรือยัง ตนตอบกลับไปว่ากินแล้ว กำลังทำงานอยู่ หลังจากที่เบิร์ดพูดประเด็นดังกล่าวปรากฏว่าเพื่อนของเบิร์ดที่มาด้วยพยายามดึงตัวเบิร์ดออกไปแล้วบอกว่า “พอแล้ว” • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000020781 • #MGROnline #เบิร์ดเทคนิค #ดีเอสไอ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 272 มุมมอง 0 รีวิว
  • รองอธิบดีดีเอสไอ เผยการประชุมคณะอนุกรรมการฯ ประชุมแนวทางพิจารณาคดีฮั้ว สว. พบเข้าข่ายความผิด "อั้งยี่-ฟอกเงิน-ม.116" เสนอบอร์ด กคพ. รับ-ไม่รับคดีพิเศษ

    วันนี้ (3 มี.ค.) เวลา 13.00 น. ที่ ห้องประชุม ชั้น 1 อาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร คณะอนุกรรมการกลั่นกรองด้านอาชญากรรมระหว่างประเทศและอาชญากรรมพิเศษ นำโดย ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะประธานอนุกรรมการ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ และบุคลากรผู้แทนจาก 4 หน่วยงาน ประกอบด้วย ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) และผู้แทนกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะอนุกรรมการ เข้าร่วมประชุม

    เนื่องด้วยในการประชุมบอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) วันที่ 25 ก.พ.ที่ผ่านมา มีการพิจารณาเพื่อมีมติให้คดีความผิดทางอาญาอื่นเป็นคดีพิเศษ โดยที่ประชุมมีความเห็นเกี่ยวกับกรณีร้องขอให้ตรวจสอบกระบวนการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 ในประเด็นพิจารณาเกี่ยวกับอำนาจในการดำเนินการตามมาตรา 49 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560 ว่าเป็นอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หรือเป็นอำนาจของเลขาธิการคณะกรรมการเลือกตั้ง จึงมีมติให้คณะพนักงานสืบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษไปดำเนินการในประเด็นดังกล่าวเพิ่มเติม และดำเนินการเสนอเรื่องผ่านคณะอนุกรรมการกลั่นกรองด้านอาชญากรรมระหว่างประเทศและอาชญากรรมพิเศษ ของกรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการ ก่อนนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) อีกครั้งในการประชุมครั้งที่ 3/2568 วันที่ 6 มี.ค. เพื่อให้คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) พิจารณามีมติต่อไป

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000020716

    #MGROnline #ดีเอสไอ #สมาชิกวุฒิสภา
    รองอธิบดีดีเอสไอ เผยการประชุมคณะอนุกรรมการฯ ประชุมแนวทางพิจารณาคดีฮั้ว สว. พบเข้าข่ายความผิด "อั้งยี่-ฟอกเงิน-ม.116" เสนอบอร์ด กคพ. รับ-ไม่รับคดีพิเศษ • วันนี้ (3 มี.ค.) เวลา 13.00 น. ที่ ห้องประชุม ชั้น 1 อาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร คณะอนุกรรมการกลั่นกรองด้านอาชญากรรมระหว่างประเทศและอาชญากรรมพิเศษ นำโดย ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะประธานอนุกรรมการ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ และบุคลากรผู้แทนจาก 4 หน่วยงาน ประกอบด้วย ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) และผู้แทนกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะอนุกรรมการ เข้าร่วมประชุม • เนื่องด้วยในการประชุมบอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) วันที่ 25 ก.พ.ที่ผ่านมา มีการพิจารณาเพื่อมีมติให้คดีความผิดทางอาญาอื่นเป็นคดีพิเศษ โดยที่ประชุมมีความเห็นเกี่ยวกับกรณีร้องขอให้ตรวจสอบกระบวนการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 ในประเด็นพิจารณาเกี่ยวกับอำนาจในการดำเนินการตามมาตรา 49 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560 ว่าเป็นอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หรือเป็นอำนาจของเลขาธิการคณะกรรมการเลือกตั้ง จึงมีมติให้คณะพนักงานสืบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษไปดำเนินการในประเด็นดังกล่าวเพิ่มเติม และดำเนินการเสนอเรื่องผ่านคณะอนุกรรมการกลั่นกรองด้านอาชญากรรมระหว่างประเทศและอาชญากรรมพิเศษ ของกรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการ ก่อนนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) อีกครั้งในการประชุมครั้งที่ 3/2568 วันที่ 6 มี.ค. เพื่อให้คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) พิจารณามีมติต่อไป • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000020716 • #MGROnline #ดีเอสไอ #สมาชิกวุฒิสภา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 204 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองปราบบุกทลายเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ SBOBET รวบ 13 ผู้ต้องหายึดเงินสด 7 ล้าน-ทรัพย์สินรวม 20 ล้านบาท พบเปิดมา 10 ปี เงินหมุนเวียน 1.6 พันล้าน เตรียมนำเฉลี่ยคืนเหยื่อ "อ.อ๊อด ตี่ลี่ฮวงจุ้ย" ลูกค้า VIP ของเว็บฯ

    วันนี้ (3 มี.ค. ) ที่ กองปราบปราม ( บก.ป.) พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ป. พร้อมด้วย พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ, พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ป. และ เจ้าหน้าที่ กก.1 บก.ป. ร่วมกันแถลงผลปฏิบัติการ “ตี่ลี่ ภาค 2 เซียนพนัน VIP ถังแตก ทลายเครือข่ายเว็บพนัน SBOBET” หลังนำกำลังเข้าปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 3 จุด ในพื้นที่ กรุงเทพมหานคร และ จ.ปทุมธานี ก่อนสามารถจับกุม นายธนะพัฒน์ อายุ 58 ปี เอเยนต์ เว็บไซต์พนันออนไลน์ SBOBET พร้อมทีมงานบริหารจัดการเว็บ ,แอดมิน ,บัญชีม้า และ บุคคลที่ได้รับผลประโยชน์ รวม 13 ราย ในจำนวนนี้มีผู้ต้องที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำจากคดีอื่น 1 ราย

    พร้อมกันนี้ยังได้ตรวจยึดของกลาง หลายรายการประกอบด้วย เงินสด 7 ล้านบาท รถยนต์ BMW X3 จำนวน 1 คัน รถยนต์ Toyota Alphard 1 คัน รถยนต์มิซูบิชิ ปาเจโร่ 1 คัน ตุ๊กตาแบร์บริค 5 ตัว พระเครื่อง 132 องค์ นาฬิกาหรู 3 เรือน รถจักรยานยนต์ 1 คัน อาวุธปืน 2 กระบอก โทรศัพท์มือถือ 18 เครื่อง สมุดบัญชีเงินฝาก รวม 49 เล่ม คอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง ไอแพด 3 เครื่อง เครื่องนับเงิน 1 เครื่อง เอกสารฝาก-ถอนเงิน และ เอกสารประกอบหลักฐานอื่นๆ อีกจำนวนมาก รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ตรวจยึดกว่า 20 ล้านบาท

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000020653

    #MGROnline #กองปราบ #เครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ #SBOBET
    กองปราบบุกทลายเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ SBOBET รวบ 13 ผู้ต้องหายึดเงินสด 7 ล้าน-ทรัพย์สินรวม 20 ล้านบาท พบเปิดมา 10 ปี เงินหมุนเวียน 1.6 พันล้าน เตรียมนำเฉลี่ยคืนเหยื่อ "อ.อ๊อด ตี่ลี่ฮวงจุ้ย" ลูกค้า VIP ของเว็บฯ • วันนี้ (3 มี.ค. ) ที่ กองปราบปราม ( บก.ป.) พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ป. พร้อมด้วย พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ, พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รอง ผบก.ป. และ เจ้าหน้าที่ กก.1 บก.ป. ร่วมกันแถลงผลปฏิบัติการ “ตี่ลี่ ภาค 2 เซียนพนัน VIP ถังแตก ทลายเครือข่ายเว็บพนัน SBOBET” หลังนำกำลังเข้าปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 3 จุด ในพื้นที่ กรุงเทพมหานคร และ จ.ปทุมธานี ก่อนสามารถจับกุม นายธนะพัฒน์ อายุ 58 ปี เอเยนต์ เว็บไซต์พนันออนไลน์ SBOBET พร้อมทีมงานบริหารจัดการเว็บ ,แอดมิน ,บัญชีม้า และ บุคคลที่ได้รับผลประโยชน์ รวม 13 ราย ในจำนวนนี้มีผู้ต้องที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำจากคดีอื่น 1 ราย • พร้อมกันนี้ยังได้ตรวจยึดของกลาง หลายรายการประกอบด้วย เงินสด 7 ล้านบาท รถยนต์ BMW X3 จำนวน 1 คัน รถยนต์ Toyota Alphard 1 คัน รถยนต์มิซูบิชิ ปาเจโร่ 1 คัน ตุ๊กตาแบร์บริค 5 ตัว พระเครื่อง 132 องค์ นาฬิกาหรู 3 เรือน รถจักรยานยนต์ 1 คัน อาวุธปืน 2 กระบอก โทรศัพท์มือถือ 18 เครื่อง สมุดบัญชีเงินฝาก รวม 49 เล่ม คอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง ไอแพด 3 เครื่อง เครื่องนับเงิน 1 เครื่อง เอกสารฝาก-ถอนเงิน และ เอกสารประกอบหลักฐานอื่นๆ อีกจำนวนมาก รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ตรวจยึดกว่า 20 ล้านบาท • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000020653 • #MGROnline #กองปราบ #เครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ #SBOBET
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 314 มุมมอง 0 รีวิว
  • พระสมเด็จหลังยันต์จม วัดศีลขันธาราม จ.อ่างทอง ปี2513
    พระสมเด็จหลังยันต์จม วัดศีลขันธาราม จ.อ่างทอง ปี2513 //พระดี พิธีดี ปีลึก // พระสถาพสวยมากก คมชัด พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ >> รับประกันพระแท้ตลอดชีพ !!##

    ** พุทธคุณทางเมตตามหานิยม อุดมลาภ มหาลาภ มหาเสน่ห์ มหาอุด ช่วยให้ประสบความสำเร็จในอาชีพหน้าที่การงาน คุ้มครองและส่งเสริมให้ประสบผลสำเร็จ ทำมาหากินเจริญรุ่งเรือง >>

    ** พระสมเด็จหลังยันต์จม วัดศีลขันธาราม อ่างทอง ปี2513 จัดสร้างโดย พระอาจารย์สนิท เจ้าอาวาสวัดศีลขันธาราม ด้านหลังเป็นยันต์จมและมีการฝังผง ใช้ผงพุทธคุณที่ผ่านการอธิษฐานจิตของท่านเจ้าคุณนรฯ เป็นมวลสารหลัก โดยท่านเจ้าคุณสนิท เกิดและอุปสมบทที่จังหวัดชลบุรี หลังจากนั้นท่านได้เข้ามาจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพ โดยมีท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯ ธัมมวิตกโก เป็นเจ้าอาวาสอยู่ในขณะนั้น ท่านเจ้าคุณสนิทมีความเคารพเลื่อมใสศรัทธาท่านเจ้าคุณนรฯ เป็นอย่างมาก และท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพศิรินทร์เป็นเวลาทั้งสิ้น 11 พรรษาจากนั้นท่านเจ้าคุณนรฯ ได้ให้ท่านไปดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดศีลขันธ์ ซึ่งขณะนั้นวัดศีลขันธ์ ชำรุดทรุดโทรมเป็นอย่างมาก ละท่านเจ้าคุณสนิท จึงต้องเร่งหาทุนทรัพย์เพื่อมาทำนุบำรุงเสนาสนะต่าง ๆ ภายในวัด รวมทั้งก่อสร้างถาวรวัตถุต่าง ๆ >>

    ** พระสถาพสวยมากก คมชัด พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ

    ช่องทางติดต่อ
    LINE 0881915131
    โทรศัพท์ 0881915131
    พระสมเด็จหลังยันต์จม วัดศีลขันธาราม จ.อ่างทอง ปี2513 พระสมเด็จหลังยันต์จม วัดศีลขันธาราม จ.อ่างทอง ปี2513 //พระดี พิธีดี ปีลึก // พระสถาพสวยมากก คมชัด พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ >> รับประกันพระแท้ตลอดชีพ !!## ** พุทธคุณทางเมตตามหานิยม อุดมลาภ มหาลาภ มหาเสน่ห์ มหาอุด ช่วยให้ประสบความสำเร็จในอาชีพหน้าที่การงาน คุ้มครองและส่งเสริมให้ประสบผลสำเร็จ ทำมาหากินเจริญรุ่งเรือง >> ** พระสมเด็จหลังยันต์จม วัดศีลขันธาราม อ่างทอง ปี2513 จัดสร้างโดย พระอาจารย์สนิท เจ้าอาวาสวัดศีลขันธาราม ด้านหลังเป็นยันต์จมและมีการฝังผง ใช้ผงพุทธคุณที่ผ่านการอธิษฐานจิตของท่านเจ้าคุณนรฯ เป็นมวลสารหลัก โดยท่านเจ้าคุณสนิท เกิดและอุปสมบทที่จังหวัดชลบุรี หลังจากนั้นท่านได้เข้ามาจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพ โดยมีท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯ ธัมมวิตกโก เป็นเจ้าอาวาสอยู่ในขณะนั้น ท่านเจ้าคุณสนิทมีความเคารพเลื่อมใสศรัทธาท่านเจ้าคุณนรฯ เป็นอย่างมาก และท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพศิรินทร์เป็นเวลาทั้งสิ้น 11 พรรษาจากนั้นท่านเจ้าคุณนรฯ ได้ให้ท่านไปดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดศีลขันธ์ ซึ่งขณะนั้นวัดศีลขันธ์ ชำรุดทรุดโทรมเป็นอย่างมาก ละท่านเจ้าคุณสนิท จึงต้องเร่งหาทุนทรัพย์เพื่อมาทำนุบำรุงเสนาสนะต่าง ๆ ภายในวัด รวมทั้งก่อสร้างถาวรวัตถุต่าง ๆ >> ** พระสถาพสวยมากก คมชัด พระสถาพสมบูรณ์ หายากก พระไม่ถูกใช้ครับ ช่องทางติดต่อ LINE 0881915131 โทรศัพท์ 0881915131
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 167 มุมมอง 0 รีวิว
  • เตรียมพยาน 1000 ปาก 'ดีเอสไอ' พร้อมลุยสอบฮั้ว ส.ว. วุฒิสภา เตรียมซักฟอกกลับ
    .
    ความเคลื่อนไหวที่ว่าด้วยการตรวจสอบการเลือกส.ว.นั้น แม้ด้านหนึ่งจะยังต้องรอความชัดเจนจากการพิจารณาของคณะกรรมการคดีพิเศษในวันที่ 6 มี.ค.นี้ก่อน แต่ปรากฎว่าเวลานี้มีการเผยแพร่เอกสารในสื่อสังคมออนไลน์ที่เป็นรายชื่อพยานมากกว่า 100 รายที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เตรียมนำมาให้ข้อมูลแล้ว
    .
    ทั้งนี้มีรายงานจากดีเอสไอระบุว่า รายชื่อกว่า 1,200 รายที่ปรากฏในโพยพยานของดีเอสไอ มีทั้งในส่วนของผู้สมัครสมาชิก สว. และผู้ได้รับเลือกเป็น สว. อาทิ พื้นที่ จ.กระบี่ กรุงเทพมหานคร กำแพงเพชร ขอนแก่น จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชัยนาทชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย เชียงใหม่ ตรัง ตราด นครนายก นครพนม นครปฐม นครราชสีมา นครศรีธรรมราช นครสวรรค์ นนทบุรี นราธิวาส น่าน บึงกาฬ บุรีรัมย์ ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา พะเยา พัทลุง พิจิตร เพชรบุรี แพร่ ภูเก็ต มุกดาหาร แม่ฮ่องสอน ยโสธร ยะลา ระนอง ระยอง ราชบุรี ลพบุรี ลำปาง ลำพูน เลย ศรีสะเกษ สงขลา สตูล สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สิงห์บุรี สุโขทัย สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อ่างทอง อำนาจเจริญ อุตรดิตถ์ อุทัยธานี อุบลราชธานี เป็นต้น
    .
    ขณะเดียวกันยังมีรายงานอีกว่า สำหรับรายชื่อกว่า 1,200 ชื่อ ที่ปรากฏชื่อว่าจะเป็นบุคคลที่ดีเอสไอเตรียมเรียกสอบปากคำในฐานะพยานในคดีฮั้ว สว.67 นั้น หากในวันที่ 6 มี.ค.นี้ ซึ่งจะเป็นการประชุมหารือครั้งที่ 2 เพื่อเอาคำตอบสุดท้ายของคณะกรรมการคดีพิเศษ(กคพ.) ในการมีมติในที่ประชุมว่าจะรับหรือไม่รับคดีฮั้ว สว.67 เป็นคดีพิเศษ หากผลมติในที่ประชุมขอให้รับไว้ดำเนินการเป็นคดีพิเศษ ขั้นตอนต่อไปก็จะมีการแต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษเพื่อทำการสอบสวนและขยายผลหาผู้ร่วมขบวนการในการกระทำความผิด ซึ่งในขั้นตอนดังกล่าวนั้น ทางคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะได้ทยอยออกหมายเรียกพยานกว่า 1,200 ราย เข้าให้ปากคำและสอบสวนดำเนินการต่อเนื่อง
    .
    ขณะที่ ความเคลื่อนของส.ว. ในการประชุมวุฒิสภาวันที่ 4 มี.ค. นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้นัดประชุมวุฒิสภา โดยมีวาระพิจารณาที่น่าสนใจคือ การเสนอญัตติให้วุฒิสภาพิจารณาปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งเสนอโดย พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร ส.ว.กลุ่มกฎหมาย และคณะ
    .
    สาระของญัตติที่เสนอดังกล่าวมีการอ้างถึงรัฐธรรมนูญ 2560 ที่กำหนดให้รัฐพึงจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ และให้รัฐมีมาตรฐานคุ้มครองเจ้าหน้าที่ของรัฐในกระบวนการยุติธรรม ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยเคร่งครัด ปราศจากการแทรกแซงหรือครอบงำ แต่ที่ผ่านมาพบว่ากระบวนการยุติธรรมไทยขาดประสิทธิภาพ และมีการแทรกแซง ครอบงำจากฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะการดำเนินคดีพิเศษของกระทรวงยุติธรรม โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งพบว่าที่ผ่านมากระบวนการยุติธรรมขาดประสิทธิภาพ ทำคดีล่าช้า ไม่สามารถทำให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษอย่างแท้จริง รวมถึงไม่สามารถป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดและปกป้องผลประโยชน์ของรัฐ เช่น การดำเนินคดีกับนายทุนชาวจีนสีเทาในข้อหายาเสพติดฟอกเงิน และการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ การดำเนินคดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ที่เป็นปัญหายาวนานและทวีความรุนแรง กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ
    .
    นอกจากนี้ ในการดำเนินการกระบวนการยุติธรรมยังเป็นปัญหาในการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่มีประสิทธิภาพ เช่น กรณีการให้สิทธิแก่ผู้ต้องขังที่ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างเท่าเทียม ที่ผ่านมามีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ไม่โปร่งใส และไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยผู้ต้องขังบางคนได้รับสิทธิในการเข้ารับการรักษาพยาบาลที่พิเศษกว่าผู้ต้องขังคนอื่นๆ จึงสมควรที่วุฒิสภาจะได้อภิปรายระดมความคิดเห็นเพื่อพิจารณาปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรม และการบังคับใช้กฎหมาย และเสนอไปยังรัฐบาลเพื่อพิจารณาดำเนินการตามข้อบังคับวุฒิสภา ข้อ 35
    ...........
    Sondhi X
    เตรียมพยาน 1000 ปาก 'ดีเอสไอ' พร้อมลุยสอบฮั้ว ส.ว. วุฒิสภา เตรียมซักฟอกกลับ . ความเคลื่อนไหวที่ว่าด้วยการตรวจสอบการเลือกส.ว.นั้น แม้ด้านหนึ่งจะยังต้องรอความชัดเจนจากการพิจารณาของคณะกรรมการคดีพิเศษในวันที่ 6 มี.ค.นี้ก่อน แต่ปรากฎว่าเวลานี้มีการเผยแพร่เอกสารในสื่อสังคมออนไลน์ที่เป็นรายชื่อพยานมากกว่า 100 รายที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เตรียมนำมาให้ข้อมูลแล้ว . ทั้งนี้มีรายงานจากดีเอสไอระบุว่า รายชื่อกว่า 1,200 รายที่ปรากฏในโพยพยานของดีเอสไอ มีทั้งในส่วนของผู้สมัครสมาชิก สว. และผู้ได้รับเลือกเป็น สว. อาทิ พื้นที่ จ.กระบี่ กรุงเทพมหานคร กำแพงเพชร ขอนแก่น จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชัยนาทชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย เชียงใหม่ ตรัง ตราด นครนายก นครพนม นครปฐม นครราชสีมา นครศรีธรรมราช นครสวรรค์ นนทบุรี นราธิวาส น่าน บึงกาฬ บุรีรัมย์ ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา พะเยา พัทลุง พิจิตร เพชรบุรี แพร่ ภูเก็ต มุกดาหาร แม่ฮ่องสอน ยโสธร ยะลา ระนอง ระยอง ราชบุรี ลพบุรี ลำปาง ลำพูน เลย ศรีสะเกษ สงขลา สตูล สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สิงห์บุรี สุโขทัย สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อ่างทอง อำนาจเจริญ อุตรดิตถ์ อุทัยธานี อุบลราชธานี เป็นต้น . ขณะเดียวกันยังมีรายงานอีกว่า สำหรับรายชื่อกว่า 1,200 ชื่อ ที่ปรากฏชื่อว่าจะเป็นบุคคลที่ดีเอสไอเตรียมเรียกสอบปากคำในฐานะพยานในคดีฮั้ว สว.67 นั้น หากในวันที่ 6 มี.ค.นี้ ซึ่งจะเป็นการประชุมหารือครั้งที่ 2 เพื่อเอาคำตอบสุดท้ายของคณะกรรมการคดีพิเศษ(กคพ.) ในการมีมติในที่ประชุมว่าจะรับหรือไม่รับคดีฮั้ว สว.67 เป็นคดีพิเศษ หากผลมติในที่ประชุมขอให้รับไว้ดำเนินการเป็นคดีพิเศษ ขั้นตอนต่อไปก็จะมีการแต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษเพื่อทำการสอบสวนและขยายผลหาผู้ร่วมขบวนการในการกระทำความผิด ซึ่งในขั้นตอนดังกล่าวนั้น ทางคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะได้ทยอยออกหมายเรียกพยานกว่า 1,200 ราย เข้าให้ปากคำและสอบสวนดำเนินการต่อเนื่อง . ขณะที่ ความเคลื่อนของส.ว. ในการประชุมวุฒิสภาวันที่ 4 มี.ค. นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้นัดประชุมวุฒิสภา โดยมีวาระพิจารณาที่น่าสนใจคือ การเสนอญัตติให้วุฒิสภาพิจารณาปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งเสนอโดย พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร ส.ว.กลุ่มกฎหมาย และคณะ . สาระของญัตติที่เสนอดังกล่าวมีการอ้างถึงรัฐธรรมนูญ 2560 ที่กำหนดให้รัฐพึงจัดระบบการบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ และให้รัฐมีมาตรฐานคุ้มครองเจ้าหน้าที่ของรัฐในกระบวนการยุติธรรม ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยเคร่งครัด ปราศจากการแทรกแซงหรือครอบงำ แต่ที่ผ่านมาพบว่ากระบวนการยุติธรรมไทยขาดประสิทธิภาพ และมีการแทรกแซง ครอบงำจากฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะการดำเนินคดีพิเศษของกระทรวงยุติธรรม โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งพบว่าที่ผ่านมากระบวนการยุติธรรมขาดประสิทธิภาพ ทำคดีล่าช้า ไม่สามารถทำให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษอย่างแท้จริง รวมถึงไม่สามารถป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดและปกป้องผลประโยชน์ของรัฐ เช่น การดำเนินคดีกับนายทุนชาวจีนสีเทาในข้อหายาเสพติดฟอกเงิน และการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ การดำเนินคดีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ที่เป็นปัญหายาวนานและทวีความรุนแรง กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ . นอกจากนี้ ในการดำเนินการกระบวนการยุติธรรมยังเป็นปัญหาในการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่มีประสิทธิภาพ เช่น กรณีการให้สิทธิแก่ผู้ต้องขังที่ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างเท่าเทียม ที่ผ่านมามีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ไม่โปร่งใส และไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยผู้ต้องขังบางคนได้รับสิทธิในการเข้ารับการรักษาพยาบาลที่พิเศษกว่าผู้ต้องขังคนอื่นๆ จึงสมควรที่วุฒิสภาจะได้อภิปรายระดมความคิดเห็นเพื่อพิจารณาปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรม และการบังคับใช้กฎหมาย และเสนอไปยังรัฐบาลเพื่อพิจารณาดำเนินการตามข้อบังคับวุฒิสภา ข้อ 35 ........... Sondhi X
    Like
    Haha
    Love
    8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1624 มุมมอง 0 รีวิว
  • 24 ปี เที่ยวบิน TG114 “ระเบิดก่อนขึ้นบิน” นายกทักษิณรอดหวุดหวิด ลอบฆ่า หรือว่า... อุบัติเหตุ?

    🛫 ย้อนรอย 24 ปี โศกนาฏกรรมทางการบินของไทย ที่ยังเป็นปริศนา เมื่อช่วงบ่ายวันเสาร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2544 เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด ได้เกิดขึ้นที่ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง กรุงเทพมหานคร เครื่องบินโบอิ้ง 737-400 ของการบินไทย เที่ยวบิน TG114 ได้เกิดระเบิดกลางลานจอด และถูกไฟไหม้เสียหายทั้งลำ เพียง 25 นาที ก่อนที่ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีขณะนั้น พร้อมด้วบบุตรชาย จะเดินทางไปเชียงใหม่

    แม้ว่าจะไม่มีผู้โดยสารอยู่บนเครื่อง แต่ช่างเทคนิคการบิน 1 คน เสียชีวิต ทำให้เกิดคำถามมากมายว่า นี่เป็นอุบัติเหตุ หรือเป็นการวางแผนลอบสังหาร? 📌

    🔎 เหตุการณ์ในวันเกิดเหตุ 3 มีนาคม 2544 เวลา 14:48 น. 📍 เที่ยวบิน TG114 ของการบินไทย ซึ่งเป็นเครื่องบิน โบอิ้ง 737-400 ทะเบียน HS-TDC ดอนเมือง-เชียงใหม่ ได้เกิดการระเบิดขณะจอดอยู่ที่ลานจอด สนามบินนานาชาติดอนเมือง กรุงเทพมหานคร เครื่องบินถูกไฟไหม้เสียหายทั้งลำ ไม่มีผู้โดยสารบนเครื่อง มีเพียงลูกเรือ 8 คน อยู่บนเครื่อง ซึ่งช่างเทคนิคการบินเสียชีวิต 1 คน

    ✈️ จุดหมายปลายทางของเที่ยวบิน เที่ยวบิน TG114 เดิมมีกำหนดออกเดินทางไปยัง ท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ โดยมีบุคคลสำคัญเดินทางไปด้วย รวมถึง พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะเนั้น และนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย

    🛑 แต่เพียง 25 นาที ก่อนเครื่องออกเดินทาง เครื่องบินกลับระเบิดขึ้นก่อน

    🚨 เหตุการณ์ครั้งนี้ จึงถูกตั้งข้อสังเกตว่า อาจเป็นการลอบสังหารทางการเมือง?

    🔥 สาเหตุที่เป็นไปได้ วินาศกรรม หรืออุบัติเหตุ? มี 2 ทฤษฎีหลัก ที่ถูกหยิบยกขึ้นมา เกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนี้ 🎯

    💥 ทฤษฎีวินาศกรรม ลอบสังหารนายกรัฐมนตรี? หลังเหตุการณ์เกิดขึ้น พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า "นี่เป็นการก่อวินาศกรรม ที่มุ่งเป้าสังหารตนเอง"

    หลักฐานที่ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า มีการวางระเบิด ได้แก่
    🔎 พบร่องรอยสารระเบิด เจ้าหน้าที่ไทยตรวจพบ ร่องรอยของระเบิดซีโฟร์ (C-4) หรือเซมเท็กซ์ (Semtex)
    🎯 นายกทักษิณกล่าวว่า อาจเป็นฝีมือของกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์ จากนโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาล เช่น ขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ เช่น กลุ่มว้าแดง
    ⏳ เวลาที่เกิดเหตุใกล้เคียงกับกำหนดการเดินทางของนายกฯ
    📢 ตำรวจไทยในตอนแรกสรุปว่า เป็นการ "วางระเบิด" และคณะกรรมาธิการ ของสภาผู้แทนราษฎรเองก็มีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกัน

    🛠️ ทฤษฎีอุบัติเหตุ ข้อสรุปของ NTSB คณะกรรมการความปลอดภัย ในการขนส่งแห่งชาติสหรัฐฯ (NTSB) ซึ่งส่งผู้เชี่ยวชาญเข้ามาร่วมสอบสวน ได้ออกแถลงการณ์ เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2544 ว่า
    🚫 ไม่มีร่องรอยของวัตถุระเบิด
    ⚡ การระเบิดอาจเกิดจากระบบปรับอากาศ ที่ทำงานต่อเนื่อง ส่งผลให้ถังน้ำมันส่วนกลาง เกิดการสันดาป และระเบิด
    ✈️ ลักษณะคล้ายกับอุบัติเหตุของเที่ยวบิน 143 ของฟิลิปปินส์แอร์ไลน์ เมื่อปี 2543

    ในท้ายที่สุด รัฐบาลไทยและ NTSB ได้ออกแถลงการณ์ร่วมกันว่า "เป็นอุบัติเหตุจากความร้อนสะสม ของอุปกรณ์ทำความเย็น ที่อยู่ใกล้ถังน้ำมัน"

    💡 วินาศกรรมที่ล้มเหลว หรือโศกนาฏกรรมที่ไม่ได้ตั้งใจ? ข้อถกเถียงเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ ยังไม่จบง่ายๆ 🧐 เพราะ...

    1️⃣ ผลการสอบสวนของไทยและสหรัฐฯ ต่างกัน ฝ่ายไทยเชื่อว่ามี หลักฐานของการวางระเบิด
    NTSB แย้งว่า ไม่พบร่องรอยระเบิดเลย

    2️⃣ ช่วงเวลาการระเบิดน่าสงสัย ทำไมถึงเกิดขึ้นก่อนนายกฯ เดินทางเพียง 25 นาที ถ้าเป็นเพียงอุบัติเหตุ ทำไมไม่เกิดกับเครื่องลำอื่น?

    3️⃣ กลุ่มที่มีแรงจูงใจในการลอบสังหาร นโยบายปราบปรามยาเสพติดของนายกทักษิณ สร้างศัตรูจำนวนมาก ขบวนการค้ายาเสพติดอาจไม่พอใจ จนถึงขั้นต้องการลอบสังหาร

    📌 หรืออาจเป็นเพียงการ "ใช้ข่าวระเบิด" เพื่อกลบกระแสเรื่องคดีซุกหุ้น?

    🚨 เหตุการณ์ลอบสังหารนายกทักษิณ ที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมา นี่ไม่ใช่ครั้งเดียว ที่มีความพยายามลอบสังหาร พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ 🎯

    📍 ปี 2546 ข่าวลือว่า กลุ่มว้าแดงตั้งค่าหัว 80 ล้านบาท ทำให้ต้องเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย

    📍 ปี 2549 คดี "คาร์บอมบ์" ที่บริเวณสี่แยกบางพลัด ใกล้บ้านพักของนายกทักษิณ ก่อนที่ รปภ. จะพบระเบิดก่อน

    📍 ปี 2559 นายกทักษิณให้สัมภาษณ์กับ Al Jazeera ว่า "มีคนพยายามลอบสังหารผม 4 ครั้ง"

    🎯 ระเบิดเที่ยวบิน TG114 ยังเป็นปริศนา?
    📌 แม้ว่าผลสอบสวนทางการบินของสหรัฐฯ จะสรุปว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่คำถามยังคงอยู่
    📌 หลายฝ่ายยังสงสัยว่า นี่อาจเป็นการลอบสังหารทางการเมือง ที่ไม่สำเร็จ
    📌 หรือเป็นเพียง "เหตุบังเอิญ" ที่เกิดขึ้นอย่างมีเงื่อนงำ?

    🔎 24 ปี ผ่านไป คำตอบของเหตุการณ์นี้ยังคงเป็นปริศนา และอาจไม่มีวันได้รับคำตอบที่ชัดเจน

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 030847 มี.ค. 2568

    📌 #ทักษิณ #เที่ยวบินTG114 #การบินไทย #วินาศกรรม #อุบัติเหตุ #เครื่องบินระเบิด #ข่าวการเมือง #ว้าแดง #คดีลึกลับ #ประวัติศาสตร์ไทย
    24 ปี เที่ยวบิน TG114 “ระเบิดก่อนขึ้นบิน” นายกทักษิณรอดหวุดหวิด ลอบฆ่า หรือว่า... อุบัติเหตุ? 🛫 ย้อนรอย 24 ปี โศกนาฏกรรมทางการบินของไทย ที่ยังเป็นปริศนา เมื่อช่วงบ่ายวันเสาร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2544 เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด ได้เกิดขึ้นที่ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง กรุงเทพมหานคร เครื่องบินโบอิ้ง 737-400 ของการบินไทย เที่ยวบิน TG114 ได้เกิดระเบิดกลางลานจอด และถูกไฟไหม้เสียหายทั้งลำ เพียง 25 นาที ก่อนที่ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีขณะนั้น พร้อมด้วบบุตรชาย จะเดินทางไปเชียงใหม่ แม้ว่าจะไม่มีผู้โดยสารอยู่บนเครื่อง แต่ช่างเทคนิคการบิน 1 คน เสียชีวิต ทำให้เกิดคำถามมากมายว่า นี่เป็นอุบัติเหตุ หรือเป็นการวางแผนลอบสังหาร? 📌 🔎 เหตุการณ์ในวันเกิดเหตุ 3 มีนาคม 2544 เวลา 14:48 น. 📍 เที่ยวบิน TG114 ของการบินไทย ซึ่งเป็นเครื่องบิน โบอิ้ง 737-400 ทะเบียน HS-TDC ดอนเมือง-เชียงใหม่ ได้เกิดการระเบิดขณะจอดอยู่ที่ลานจอด สนามบินนานาชาติดอนเมือง กรุงเทพมหานคร เครื่องบินถูกไฟไหม้เสียหายทั้งลำ ไม่มีผู้โดยสารบนเครื่อง มีเพียงลูกเรือ 8 คน อยู่บนเครื่อง ซึ่งช่างเทคนิคการบินเสียชีวิต 1 คน ✈️ จุดหมายปลายทางของเที่ยวบิน เที่ยวบิน TG114 เดิมมีกำหนดออกเดินทางไปยัง ท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ โดยมีบุคคลสำคัญเดินทางไปด้วย รวมถึง พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะเนั้น และนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย 🛑 แต่เพียง 25 นาที ก่อนเครื่องออกเดินทาง เครื่องบินกลับระเบิดขึ้นก่อน 🚨 เหตุการณ์ครั้งนี้ จึงถูกตั้งข้อสังเกตว่า อาจเป็นการลอบสังหารทางการเมือง? 🔥 สาเหตุที่เป็นไปได้ วินาศกรรม หรืออุบัติเหตุ? มี 2 ทฤษฎีหลัก ที่ถูกหยิบยกขึ้นมา เกี่ยวกับเหตุการณ์ครั้งนี้ 🎯 💥 ทฤษฎีวินาศกรรม ลอบสังหารนายกรัฐมนตรี? หลังเหตุการณ์เกิดขึ้น พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า "นี่เป็นการก่อวินาศกรรม ที่มุ่งเป้าสังหารตนเอง" หลักฐานที่ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า มีการวางระเบิด ได้แก่ 🔎 พบร่องรอยสารระเบิด เจ้าหน้าที่ไทยตรวจพบ ร่องรอยของระเบิดซีโฟร์ (C-4) หรือเซมเท็กซ์ (Semtex) 🎯 นายกทักษิณกล่าวว่า อาจเป็นฝีมือของกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์ จากนโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาล เช่น ขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ เช่น กลุ่มว้าแดง ⏳ เวลาที่เกิดเหตุใกล้เคียงกับกำหนดการเดินทางของนายกฯ 📢 ตำรวจไทยในตอนแรกสรุปว่า เป็นการ "วางระเบิด" และคณะกรรมาธิการ ของสภาผู้แทนราษฎรเองก็มีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกัน 🛠️ ทฤษฎีอุบัติเหตุ ข้อสรุปของ NTSB คณะกรรมการความปลอดภัย ในการขนส่งแห่งชาติสหรัฐฯ (NTSB) ซึ่งส่งผู้เชี่ยวชาญเข้ามาร่วมสอบสวน ได้ออกแถลงการณ์ เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2544 ว่า 🚫 ไม่มีร่องรอยของวัตถุระเบิด ⚡ การระเบิดอาจเกิดจากระบบปรับอากาศ ที่ทำงานต่อเนื่อง ส่งผลให้ถังน้ำมันส่วนกลาง เกิดการสันดาป และระเบิด ✈️ ลักษณะคล้ายกับอุบัติเหตุของเที่ยวบิน 143 ของฟิลิปปินส์แอร์ไลน์ เมื่อปี 2543 ในท้ายที่สุด รัฐบาลไทยและ NTSB ได้ออกแถลงการณ์ร่วมกันว่า "เป็นอุบัติเหตุจากความร้อนสะสม ของอุปกรณ์ทำความเย็น ที่อยู่ใกล้ถังน้ำมัน" 💡 วินาศกรรมที่ล้มเหลว หรือโศกนาฏกรรมที่ไม่ได้ตั้งใจ? ข้อถกเถียงเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ ยังไม่จบง่ายๆ 🧐 เพราะ... 1️⃣ ผลการสอบสวนของไทยและสหรัฐฯ ต่างกัน ฝ่ายไทยเชื่อว่ามี หลักฐานของการวางระเบิด NTSB แย้งว่า ไม่พบร่องรอยระเบิดเลย 2️⃣ ช่วงเวลาการระเบิดน่าสงสัย ทำไมถึงเกิดขึ้นก่อนนายกฯ เดินทางเพียง 25 นาที ถ้าเป็นเพียงอุบัติเหตุ ทำไมไม่เกิดกับเครื่องลำอื่น? 3️⃣ กลุ่มที่มีแรงจูงใจในการลอบสังหาร นโยบายปราบปรามยาเสพติดของนายกทักษิณ สร้างศัตรูจำนวนมาก ขบวนการค้ายาเสพติดอาจไม่พอใจ จนถึงขั้นต้องการลอบสังหาร 📌 หรืออาจเป็นเพียงการ "ใช้ข่าวระเบิด" เพื่อกลบกระแสเรื่องคดีซุกหุ้น? 🚨 เหตุการณ์ลอบสังหารนายกทักษิณ ที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมา นี่ไม่ใช่ครั้งเดียว ที่มีความพยายามลอบสังหาร พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ 🎯 📍 ปี 2546 ข่าวลือว่า กลุ่มว้าแดงตั้งค่าหัว 80 ล้านบาท ทำให้ต้องเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย 📍 ปี 2549 คดี "คาร์บอมบ์" ที่บริเวณสี่แยกบางพลัด ใกล้บ้านพักของนายกทักษิณ ก่อนที่ รปภ. จะพบระเบิดก่อน 📍 ปี 2559 นายกทักษิณให้สัมภาษณ์กับ Al Jazeera ว่า "มีคนพยายามลอบสังหารผม 4 ครั้ง" 🎯 ระเบิดเที่ยวบิน TG114 ยังเป็นปริศนา? 📌 แม้ว่าผลสอบสวนทางการบินของสหรัฐฯ จะสรุปว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่คำถามยังคงอยู่ 📌 หลายฝ่ายยังสงสัยว่า นี่อาจเป็นการลอบสังหารทางการเมือง ที่ไม่สำเร็จ 📌 หรือเป็นเพียง "เหตุบังเอิญ" ที่เกิดขึ้นอย่างมีเงื่อนงำ? 🔎 24 ปี ผ่านไป คำตอบของเหตุการณ์นี้ยังคงเป็นปริศนา และอาจไม่มีวันได้รับคำตอบที่ชัดเจน ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 030847 มี.ค. 2568 📌 #ทักษิณ #เที่ยวบินTG114 #การบินไทย #วินาศกรรม #อุบัติเหตุ #เครื่องบินระเบิด #ข่าวการเมือง #ว้าแดง #คดีลึกลับ #ประวัติศาสตร์ไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 372 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชื่อหลุดว่อนเน็ต! ถูกดีเอสไอเรียกสอบปม “ฮั้วเลือก สว.” เป็นโหวตเตอร์นับพันราย แหล่งข่าวยันตรงเกือบ 100% พร้อมเรียกผู้เกี่ยวข้องรอบนอกด้วย

    วันที่ (2 มี.ค.) ความคืบหน้าคดีสอบฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา ปี 2567 ล่าสุด มีรายงานว่า ในโลกออนไลน์ได้มีการส่งต่อข้อมูลที่อ้างว่าเป็นรายชื่อของผู้ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เตรียมเรียกสอบ ซึ่งเป็นเอกสารจำนวนกว่า 5 หน้ากระดาษมากกว่า 1,000 รายชื่อ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สมัคร สว. บรรดาโหวตเตอร์ในจังหวัดต่างๆ ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร กระบี่ ขอนแก่น จันทบุรี ชัยนาท เชียงราย ตรัง ตราด นครนายก นครราชสีมา นครศรีธรรมราช นครสวรรค์ บึงกาฬ บุรีรัมย์ ปราจีนบุรี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา พะเยา พังงา พิจิตร เพชรบุรี ภูเก็ต มหาสารคาม มุกดาหาร ยโสธร ยะลา ระนอง ราชบุรี ลำปาง เลย ศรีสะเกษ สงขลา สตูล สมุทรปราการ สมุทรสาคร สิงห์บุรี สุโขทัย สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อ่างทอง อำนาจเจริญ อุทัยธานี และอุบลราชธานี

    แหล่งข่าวจากดีเอสไอ ระบุว่า จากตรวจสอบข้อมูลดังกล่าวแล้ว พบว่า รายชื่อส่วนใหญ่จากเอกสารที่เผยแพร่ในโลกออนไลน์นั้น ตรงกับที่พนักงานสอบสวนเตรียมเรียกมาสอบเกือบ 100% แต่ในส่วนของพนักงานสอบสวนเตรียมเรียกผู้เกี่ยวข้องรอบนอกที่ไม่ใช่เฉพาะโหวตเตอร์มาสอบด้วย

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000020319

    #MGROnline #ดีเอสไอ
    ชื่อหลุดว่อนเน็ต! ถูกดีเอสไอเรียกสอบปม “ฮั้วเลือก สว.” เป็นโหวตเตอร์นับพันราย แหล่งข่าวยันตรงเกือบ 100% พร้อมเรียกผู้เกี่ยวข้องรอบนอกด้วย • วันที่ (2 มี.ค.) ความคืบหน้าคดีสอบฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา ปี 2567 ล่าสุด มีรายงานว่า ในโลกออนไลน์ได้มีการส่งต่อข้อมูลที่อ้างว่าเป็นรายชื่อของผู้ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เตรียมเรียกสอบ ซึ่งเป็นเอกสารจำนวนกว่า 5 หน้ากระดาษมากกว่า 1,000 รายชื่อ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สมัคร สว. บรรดาโหวตเตอร์ในจังหวัดต่างๆ ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร กระบี่ ขอนแก่น จันทบุรี ชัยนาท เชียงราย ตรัง ตราด นครนายก นครราชสีมา นครศรีธรรมราช นครสวรรค์ บึงกาฬ บุรีรัมย์ ปราจีนบุรี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา พะเยา พังงา พิจิตร เพชรบุรี ภูเก็ต มหาสารคาม มุกดาหาร ยโสธร ยะลา ระนอง ราชบุรี ลำปาง เลย ศรีสะเกษ สงขลา สตูล สมุทรปราการ สมุทรสาคร สิงห์บุรี สุโขทัย สุรินทร์ หนองคาย หนองบัวลำภู อ่างทอง อำนาจเจริญ อุทัยธานี และอุบลราชธานี • แหล่งข่าวจากดีเอสไอ ระบุว่า จากตรวจสอบข้อมูลดังกล่าวแล้ว พบว่า รายชื่อส่วนใหญ่จากเอกสารที่เผยแพร่ในโลกออนไลน์นั้น ตรงกับที่พนักงานสอบสวนเตรียมเรียกมาสอบเกือบ 100% แต่ในส่วนของพนักงานสอบสวนเตรียมเรียกผู้เกี่ยวข้องรอบนอกที่ไม่ใช่เฉพาะโหวตเตอร์มาสอบด้วย • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/politics/detail/9680000020319 • #MGROnline #ดีเอสไอ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 408 มุมมอง 0 รีวิว
  • 34 ปี โศกนาฏกรรม คลังสารเคมีคลองเตยระเบิด! “คาร์บอนแบล็ค” ฟุ้งกระจาย สูญเสียครั้งใหญ่ที่ถูกลืม ตายทันที 4 ศพ เจ็บ 1,700 คน การท่าเรือได้พื้นที่คืนสมใจ 200 ไร่

    📌 ย้อนรอยโศกนาฏกรรมท่าเรือคลองเตย 2534 ผ่านมา 34 ปีเต็ม กับเหตุการณ์โกดังเก็บสารเคมีระเบิด ครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายวันเสาร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2534 ที่ท่าเรือคลองเตย กรุงเทพมหานคร นำไปสู่การสูญเสียชีวิต และสุขภาพของผู้คนหลายพันราย แต่กลับไม่มีใครได้รับผิดชอบ อย่างแท้จริง! ⏳

    📆 บ่ายวันเสาร์ที่ 2 มีนาคม 2534 เวลา 13.30 น. เสียงระเบิดดังสนั่น จากโกดังเก็บสารเคมีหมายเลข 3 ท่าเรือคลองเตย กรุงเทพมหานคร ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ก่อนที่ไฟจะลุกลามอย่างรวดเร็วไปยังโกดังหมายเลข 4 และ 5 สารเคมีหลายชนิดถูกเผาไหม้ และปล่อยควันพิษมหาศาล รถดับเพลิงกว่า 100 คัน และเจ้าหน้าที่ดับเพลิง 500 นาย ถูกระดมเข้าไปดับไฟ แต่กลับทำให้เกิดการระเบิด เพิ่มขึ้นอีก! 🔥

    🚨 แรงระเบิดทำให้เกิดไฟไหม้ ลามไปถึงบ้านเรือนประชาชนในรัศมี 1 กิโลเมตร ชุมชนคลองเตยถูกเผาผลาญไปกว่า 642 หลังคาเรือน กลายเป็นทะเลเพลิงในพริบตา

    ☠️ ผลกระทบจากการระเบิด สูญเสียมหาศาล!
    🔴 ยอดผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ
    ✅ เสียชีวิตทันที 4 ศพ
    ✅ บาดเจ็บสาหัส 30 ราย รวมเจ้าหน้าที่ดับเพลิง 16 นาย
    ✅ ได้รับสารพิษต้องรักษาในโรงพยาบาล 1,700 คน รวมหญิงมีครรภ์ 499 คน
    ✅ เสียชีวิตจากผลกระทบระยะยาว 43 ราย
    ✅ ผู้ไร้ที่อยู่อาศัย กว่า 5,000 คน

    💀 “คาร์บอนแบล็ค” และสารพิษที่แทรกซึมร่างกายผู้คน หนึ่งในสารเคมีอันตราย ที่กระจายออกมาจากเหตุการณ์นี้คือ "คาร์บอนแบล็ค" (Carbon Black) ซึ่งเป็นเขม่าสีดำ ที่เกิดจากการเผาไหม้สารเคมีในอุณหภูมิสูง มันไม่เพียงแต่กระจายไปไกล กว่า 13 กิโลเมตร แต่ยังแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายผู้คนโดยตรง

    🔬 นักวิจัยตรวจพบว่า
    ✔️ ฝุ่นคาร์บอนแบล็คกระจายไปตามบ้านเรือน โรงเรียน และพื้นที่สาธารณะ
    ✔️ มีการปนเปื้อนของสารพิษในแหล่งน้ำ ส่งผลให้สัตว์ทดลองตายใน 24-96 ชั่วโมง
    ✔️ ผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ เกิดโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง ผิวหนังอักเสบ และมะเร็ง

    ⛔ ไม่มีแพทย์รายใดกล้ารับรองว่า โรคเหล่านี้เกิดจากพิษสารเคมีโดยตรง! ส่งผลให้ผู้ได้รับผลกระทบ
    ไม่ได้รับการเยียวยา อย่างเป็นธรรม

    🚒 การรับมือที่ผิดพลาด ทำไมความเสียหายถึงรุนแรง?
    ❌ การดับเพลิงที่ไม่ถูกต้อง สารเคมีหลายชนิด ห้ามใช้น้ำดับเพลิง แต่เจ้าหน้าที่กลับฉีดน้ำเข้าไป โดยไม่ทราบข้อมูล ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมี ที่ทำให้ไฟลุกลามและระเบิดซ้ำ 🔥

    ❌ ไม่มีมาตรการอพยพฉุกเฉิน ประชาชนในพื้นที่ ไม่ถูกสั่งให้อพยพอย่างเป็นระบบ หลายคนยังคงอยู่ในพื้นที่ ที่เต็มไปด้วยสารพิษ ส่งผลให้มีผู้ป่วย จากการสูดดมควันพิษจำนวนมาก 🏃‍♂️

    ❌ ขาดการเปิดเผยข้อมูล เจ้าหน้าที่และภาครัฐ ปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับสารเคมี ที่เก็บอยู่ในโกดัง ทำให้แพทย์ไม่สามารถให้การรักษาผู้ป่วย ได้อย่างถูกต้อง 📢

    💰 ใครต้องรับผิดชอบ? แต่กลับไม่มีใครต้องรับโทษ! การสอบสวนพบว่า โกดังที่ระเบิด เป็นที่เก็บสารเคมีอันตรายหลายชนิด แต่กลับสรุปว่า เหตุการณ์นี้เป็น "อุบัติเหตุ" 🚔

    🔍 การท่าเรือแห่งประเทศไทย ในฐานะเจ้าของสถานที่
    ✔️ ให้เงินช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตเพียง 1,000 - 12,000 บาท
    ✔️ ใช้งบประมาณ 1,500 ล้านบาท สร้างแฟลตใหม่ แต่ไม่ใช่ค่าชดเชยให้กับผู้ประสบภัย
    ✔️ ไม่เคยมีการฟ้องร้องผู้บริหารระดับสูง ของการท่าเรือฯ หรือบริษัทที่เกี่ยวข้อง

    📜 มีการฟ้องร้องจากผู้ป่วยเพียง 2 ราย ในปี 2539 และ 2542 ซึ่งการดำเนินคดี เต็มไปด้วยอุปสรรคและไม่เป็นที่สนใจของรัฐ

    ⚖️ บทเรียนราคาแพงที่ไม่มีการแก้ไข
    📌 เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงปัญหาสำคัญ หลายประการ
    ✅ การจัดเก็บสารเคมีที่อันตราย ในพื้นที่ชุมชน
    ✅ การไม่เปิดเผยข้อมูลอันตราย ต่อประชาชน
    ✅ ระบบกฎหมายไทย ที่ไม่สามารถคุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบ
    ✅ ขาดมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ในระยะยาว

    📢 34 ปีผ่านไป แต่เหตุการณ์นี้ ยังคงเป็นโศกนาฏกรรมที่ถูกลืม!

    🔴 34 ปีผ่านไป ท่าเรือคลองเตยได้พื้นที่คืน แต่ความเป็นธรรมยังมาไม่ถึง! วันนี้ที่ดินกว่า 200 ไร่ ที่เคยเป็นโกดังเก็บสารเคมี ถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่ใช้สอย ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ตามแผนเดิมที่วางไว้ ⏳

    💬 คำถามคือ
    ✔️ ใครได้ประโยชน์ จากโศกนาฏกรรมครั้งนี้?
    ✔️ ใครคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบ ต่อชีวิตที่สูญเสียไป?
    ✔️ ระบบความปลอดภัยเกี่ยวกับสารเคมีในประเทศไทย พัฒนาไปมากน้อยแค่ไหน?

    ⛔ อย่าปล่อยให้โศกนาฏกรรมครั้งนี้ถูกลืม! 💔

    📌 #คลองเตยระเบิด #โศกนาฏกรรมที่ถูกลืม #คาร์บอนแบล็ค #ภัยสารเคมี #กฎหมายสิ่งแวดล้อม #ความยุติธรรมที่หายไป #34ปีคลองเตย #อุบัติภัยครั้งใหญ่ #ระเบิดสารเคมี #สิ่งแวดล้อมไทย
    34 ปี โศกนาฏกรรม คลังสารเคมีคลองเตยระเบิด! “คาร์บอนแบล็ค” ฟุ้งกระจาย สูญเสียครั้งใหญ่ที่ถูกลืม ตายทันที 4 ศพ เจ็บ 1,700 คน การท่าเรือได้พื้นที่คืนสมใจ 200 ไร่ 📌 ย้อนรอยโศกนาฏกรรมท่าเรือคลองเตย 2534 ผ่านมา 34 ปีเต็ม กับเหตุการณ์โกดังเก็บสารเคมีระเบิด ครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายวันเสาร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2534 ที่ท่าเรือคลองเตย กรุงเทพมหานคร นำไปสู่การสูญเสียชีวิต และสุขภาพของผู้คนหลายพันราย แต่กลับไม่มีใครได้รับผิดชอบ อย่างแท้จริง! ⏳ 📆 บ่ายวันเสาร์ที่ 2 มีนาคม 2534 เวลา 13.30 น. เสียงระเบิดดังสนั่น จากโกดังเก็บสารเคมีหมายเลข 3 ท่าเรือคลองเตย กรุงเทพมหานคร ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ก่อนที่ไฟจะลุกลามอย่างรวดเร็วไปยังโกดังหมายเลข 4 และ 5 สารเคมีหลายชนิดถูกเผาไหม้ และปล่อยควันพิษมหาศาล รถดับเพลิงกว่า 100 คัน และเจ้าหน้าที่ดับเพลิง 500 นาย ถูกระดมเข้าไปดับไฟ แต่กลับทำให้เกิดการระเบิด เพิ่มขึ้นอีก! 🔥 🚨 แรงระเบิดทำให้เกิดไฟไหม้ ลามไปถึงบ้านเรือนประชาชนในรัศมี 1 กิโลเมตร ชุมชนคลองเตยถูกเผาผลาญไปกว่า 642 หลังคาเรือน กลายเป็นทะเลเพลิงในพริบตา ☠️ ผลกระทบจากการระเบิด สูญเสียมหาศาล! 🔴 ยอดผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ✅ เสียชีวิตทันที 4 ศพ ✅ บาดเจ็บสาหัส 30 ราย รวมเจ้าหน้าที่ดับเพลิง 16 นาย ✅ ได้รับสารพิษต้องรักษาในโรงพยาบาล 1,700 คน รวมหญิงมีครรภ์ 499 คน ✅ เสียชีวิตจากผลกระทบระยะยาว 43 ราย ✅ ผู้ไร้ที่อยู่อาศัย กว่า 5,000 คน 💀 “คาร์บอนแบล็ค” และสารพิษที่แทรกซึมร่างกายผู้คน หนึ่งในสารเคมีอันตราย ที่กระจายออกมาจากเหตุการณ์นี้คือ "คาร์บอนแบล็ค" (Carbon Black) ซึ่งเป็นเขม่าสีดำ ที่เกิดจากการเผาไหม้สารเคมีในอุณหภูมิสูง มันไม่เพียงแต่กระจายไปไกล กว่า 13 กิโลเมตร แต่ยังแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายผู้คนโดยตรง 🔬 นักวิจัยตรวจพบว่า ✔️ ฝุ่นคาร์บอนแบล็คกระจายไปตามบ้านเรือน โรงเรียน และพื้นที่สาธารณะ ✔️ มีการปนเปื้อนของสารพิษในแหล่งน้ำ ส่งผลให้สัตว์ทดลองตายใน 24-96 ชั่วโมง ✔️ ผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ เกิดโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง ผิวหนังอักเสบ และมะเร็ง ⛔ ไม่มีแพทย์รายใดกล้ารับรองว่า โรคเหล่านี้เกิดจากพิษสารเคมีโดยตรง! ส่งผลให้ผู้ได้รับผลกระทบ ไม่ได้รับการเยียวยา อย่างเป็นธรรม 🚒 การรับมือที่ผิดพลาด ทำไมความเสียหายถึงรุนแรง? ❌ การดับเพลิงที่ไม่ถูกต้อง สารเคมีหลายชนิด ห้ามใช้น้ำดับเพลิง แต่เจ้าหน้าที่กลับฉีดน้ำเข้าไป โดยไม่ทราบข้อมูล ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมี ที่ทำให้ไฟลุกลามและระเบิดซ้ำ 🔥 ❌ ไม่มีมาตรการอพยพฉุกเฉิน ประชาชนในพื้นที่ ไม่ถูกสั่งให้อพยพอย่างเป็นระบบ หลายคนยังคงอยู่ในพื้นที่ ที่เต็มไปด้วยสารพิษ ส่งผลให้มีผู้ป่วย จากการสูดดมควันพิษจำนวนมาก 🏃‍♂️ ❌ ขาดการเปิดเผยข้อมูล เจ้าหน้าที่และภาครัฐ ปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับสารเคมี ที่เก็บอยู่ในโกดัง ทำให้แพทย์ไม่สามารถให้การรักษาผู้ป่วย ได้อย่างถูกต้อง 📢 💰 ใครต้องรับผิดชอบ? แต่กลับไม่มีใครต้องรับโทษ! การสอบสวนพบว่า โกดังที่ระเบิด เป็นที่เก็บสารเคมีอันตรายหลายชนิด แต่กลับสรุปว่า เหตุการณ์นี้เป็น "อุบัติเหตุ" 🚔 🔍 การท่าเรือแห่งประเทศไทย ในฐานะเจ้าของสถานที่ ✔️ ให้เงินช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตเพียง 1,000 - 12,000 บาท ✔️ ใช้งบประมาณ 1,500 ล้านบาท สร้างแฟลตใหม่ แต่ไม่ใช่ค่าชดเชยให้กับผู้ประสบภัย ✔️ ไม่เคยมีการฟ้องร้องผู้บริหารระดับสูง ของการท่าเรือฯ หรือบริษัทที่เกี่ยวข้อง 📜 มีการฟ้องร้องจากผู้ป่วยเพียง 2 ราย ในปี 2539 และ 2542 ซึ่งการดำเนินคดี เต็มไปด้วยอุปสรรคและไม่เป็นที่สนใจของรัฐ ⚖️ บทเรียนราคาแพงที่ไม่มีการแก้ไข 📌 เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงปัญหาสำคัญ หลายประการ ✅ การจัดเก็บสารเคมีที่อันตราย ในพื้นที่ชุมชน ✅ การไม่เปิดเผยข้อมูลอันตราย ต่อประชาชน ✅ ระบบกฎหมายไทย ที่ไม่สามารถคุ้มครองผู้ได้รับผลกระทบ ✅ ขาดมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ในระยะยาว 📢 34 ปีผ่านไป แต่เหตุการณ์นี้ ยังคงเป็นโศกนาฏกรรมที่ถูกลืม! 🔴 34 ปีผ่านไป ท่าเรือคลองเตยได้พื้นที่คืน แต่ความเป็นธรรมยังมาไม่ถึง! วันนี้ที่ดินกว่า 200 ไร่ ที่เคยเป็นโกดังเก็บสารเคมี ถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่ใช้สอย ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ตามแผนเดิมที่วางไว้ ⏳ 💬 คำถามคือ ✔️ ใครได้ประโยชน์ จากโศกนาฏกรรมครั้งนี้? ✔️ ใครคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบ ต่อชีวิตที่สูญเสียไป? ✔️ ระบบความปลอดภัยเกี่ยวกับสารเคมีในประเทศไทย พัฒนาไปมากน้อยแค่ไหน? ⛔ อย่าปล่อยให้โศกนาฏกรรมครั้งนี้ถูกลืม! 💔 📌 #คลองเตยระเบิด #โศกนาฏกรรมที่ถูกลืม #คาร์บอนแบล็ค #ภัยสารเคมี #กฎหมายสิ่งแวดล้อม #ความยุติธรรมที่หายไป #34ปีคลองเตย #อุบัติภัยครั้งใหญ่ #ระเบิดสารเคมี #สิ่งแวดล้อมไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 402 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts