• Buy Craigslist Posting Service

    https://globalseoshop.com/product/buy-craigslist-posting-service/

    On the off chance that you need more data simply thump us-
    Email: Globalseoshop@gmail.com
    WhatsApp: +1(864)7088783
    Skype: GlobalSeoShop
    Telegram: @GlobalSeoShop

    #BuyCraigslistliveadsfree
    #buyCraigslistliveadscalifornia
    #Buycraigslistadpostingservice
    #Buycraigslistpostingservicemultiplecities
    Buy Craigslist Posting Service https://globalseoshop.com/product/buy-craigslist-posting-service/ On the off chance that you need more data simply thump us- Email: Globalseoshop@gmail.com WhatsApp: +1(864)7088783 Skype: GlobalSeoShop Telegram: @GlobalSeoShop #BuyCraigslistliveadsfree #buyCraigslistliveadscalifornia #Buycraigslistadpostingservice #Buycraigslistpostingservicemultiplecities
    GLOBALSEOSHOP.COM
    Buy Craigslist Posting Service
    If you're looking to expand your business's reach on Craigslist, then it might be worth considering Buy Craigslist posting services from GlobalSeoShop.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 5 มุมมอง 0 รีวิว
  • “20 ปีแห่งการต่อสู้ของ TurboTax” — เมื่อบริษัทซอฟต์แวร์พยายามขัดขวางคนอเมริกันจากการยื่นภาษีฟรี

    บทความจาก ProPublica เปิดเผยเบื้องหลังการล็อบบี้และกลยุทธ์ของ Intuit บริษัทเจ้าของ TurboTax ที่ใช้เวลากว่า 20 ปีในการขัดขวางไม่ให้รัฐบาลสหรัฐฯ สร้างระบบยื่นภาษีฟรีสำหรับประชาชน ทั้งที่เทคโนโลยีและข้อมูลพร้อมแล้ว

    Intuit ใช้งบประมาณมหาศาลในการล็อบบี้รัฐสภาและหน่วยงานภาษี (IRS) เพื่อผลักดันข้อตกลง “Free File” ซึ่งให้บริษัทเอกชนสร้างระบบยื่นภาษีฟรีแทนรัฐบาล แต่แฝงข้อจำกัดมากมาย เช่น:

    จำกัดเฉพาะผู้มีรายได้น้อย
    ซ่อนช่องทางฟรีจากการค้นหา
    บังคับให้ผู้ใช้ซื้อบริการเสริมที่ไม่จำเป็น

    แม้จะมีผู้ใช้หลายล้านคนที่ควรได้รับสิทธิ์ยื่นภาษีฟรี แต่กลับถูกนำไปสู่หน้าเสียเงินโดยเจตนา ผ่านการออกแบบ UX ที่ซับซ้อนและการใช้ SEO เพื่อเบี่ยงเบนการค้นหา

    Intuit ยังพยายามขัดขวางโครงการ “Direct File” ของ IRS ที่จะให้ประชาชนยื่นภาษีตรงกับรัฐบาลโดยไม่ผ่านบริษัทเอกชน โดยอ้างว่า “จะทำให้เกิดความสับสนและลดนวัตกรรม”

    ข้อมูลในข่าว
    Intuit ใช้เวลากว่า 20 ปีในการขัดขวางระบบยื่นภาษีฟรีของรัฐบาล
    ข้อตกลง Free File ให้บริษัทเอกชนสร้างระบบยื่นภาษีฟรีแทนรัฐบาล
    ระบบฟรีถูกจำกัดเฉพาะผู้มีรายได้น้อย และถูกซ่อนจากการค้นหา
    UX ถูกออกแบบให้ผู้ใช้หลงไปใช้บริการเสียเงิน
    SEO ถูกใช้เพื่อเบี่ยงเบนการค้นหาจากช่องทางฟรี
    Intuit ต่อต้านโครงการ Direct File ของ IRS
    อ้างว่า Direct File จะลดนวัตกรรมและทำให้ผู้ใช้สับสน
    มีการล็อบบี้รัฐสภาและหน่วยงานภาษีอย่างต่อเนื่อง
    ผู้ใช้หลายล้านคนเสียเงินโดยไม่จำเป็น ทั้งที่ควรยื่นภาษีฟรีได้

    https://www.propublica.org/article/inside-turbotax-20-year-fight-to-stop-americans-from-filing-their-taxes-for-free
    💸 “20 ปีแห่งการต่อสู้ของ TurboTax” — เมื่อบริษัทซอฟต์แวร์พยายามขัดขวางคนอเมริกันจากการยื่นภาษีฟรี บทความจาก ProPublica เปิดเผยเบื้องหลังการล็อบบี้และกลยุทธ์ของ Intuit บริษัทเจ้าของ TurboTax ที่ใช้เวลากว่า 20 ปีในการขัดขวางไม่ให้รัฐบาลสหรัฐฯ สร้างระบบยื่นภาษีฟรีสำหรับประชาชน ทั้งที่เทคโนโลยีและข้อมูลพร้อมแล้ว Intuit ใช้งบประมาณมหาศาลในการล็อบบี้รัฐสภาและหน่วยงานภาษี (IRS) เพื่อผลักดันข้อตกลง “Free File” ซึ่งให้บริษัทเอกชนสร้างระบบยื่นภาษีฟรีแทนรัฐบาล แต่แฝงข้อจำกัดมากมาย เช่น: 💸 จำกัดเฉพาะผู้มีรายได้น้อย 💸 ซ่อนช่องทางฟรีจากการค้นหา 💸 บังคับให้ผู้ใช้ซื้อบริการเสริมที่ไม่จำเป็น แม้จะมีผู้ใช้หลายล้านคนที่ควรได้รับสิทธิ์ยื่นภาษีฟรี แต่กลับถูกนำไปสู่หน้าเสียเงินโดยเจตนา ผ่านการออกแบบ UX ที่ซับซ้อนและการใช้ SEO เพื่อเบี่ยงเบนการค้นหา Intuit ยังพยายามขัดขวางโครงการ “Direct File” ของ IRS ที่จะให้ประชาชนยื่นภาษีตรงกับรัฐบาลโดยไม่ผ่านบริษัทเอกชน โดยอ้างว่า “จะทำให้เกิดความสับสนและลดนวัตกรรม” ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Intuit ใช้เวลากว่า 20 ปีในการขัดขวางระบบยื่นภาษีฟรีของรัฐบาล ➡️ ข้อตกลง Free File ให้บริษัทเอกชนสร้างระบบยื่นภาษีฟรีแทนรัฐบาล ➡️ ระบบฟรีถูกจำกัดเฉพาะผู้มีรายได้น้อย และถูกซ่อนจากการค้นหา ➡️ UX ถูกออกแบบให้ผู้ใช้หลงไปใช้บริการเสียเงิน ➡️ SEO ถูกใช้เพื่อเบี่ยงเบนการค้นหาจากช่องทางฟรี ➡️ Intuit ต่อต้านโครงการ Direct File ของ IRS ➡️ อ้างว่า Direct File จะลดนวัตกรรมและทำให้ผู้ใช้สับสน ➡️ มีการล็อบบี้รัฐสภาและหน่วยงานภาษีอย่างต่อเนื่อง ➡️ ผู้ใช้หลายล้านคนเสียเงินโดยไม่จำเป็น ทั้งที่ควรยื่นภาษีฟรีได้ https://www.propublica.org/article/inside-turbotax-20-year-fight-to-stop-americans-from-filing-their-taxes-for-free
    WWW.PROPUBLICA.ORG
    Inside TurboTax’s 20-Year Fight to Stop Americans From Filing Their Taxes for Free
    Using lobbying, the revolving door and “dark pattern” customer tricks, Intuit fended off the government’s attempts to make tax filing free and easy, and created its multi-billion-dollar franchise.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 58 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Librephone โดย FSF” — โปรเจกต์ปลดปล่อยมือถือจากซอฟต์แวร์ปิดซอร์ส ไม่ใช่แค่ Android fork แต่คือการท้าทายโครงสร้างระบบมือถือทั้งวงการ

    ในงานครบรอบ 40 ปีของ Free Software Foundation (FSF) ที่จัดขึ้นในบอสตัน มีการเปิดตัวโปรเจกต์ใหม่ชื่อ “Librephone” ซึ่งไม่ใช่แค่การสร้างระบบปฏิบัติการมือถือแบบโอเพ่นซอร์ส แต่เป็นความพยายามครั้งใหญ่ในการ “ปลดปล่อย” มือถือจากซอฟต์แวร์ปิดซอร์สที่ฝังอยู่ในชิปและเฟิร์มแวร์

    Rob Savoye หัวหน้าทีมพัฒนา Librephone ซึ่งมีประสบการณ์ยาวนานกับ GNU toolchain ระบุว่า เป้าหมายหลักของโปรเจกต์คือการ reverse-engineer และแทนที่ binary blobs ที่อยู่ใน SoC (System-on-Chip) ของมือถือ ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมอุปกรณ์ของตัวเองได้อย่างแท้จริง

    FSF ยืนยันว่า Librephone ไม่ใช่แค่ Android fork และไม่เกี่ยวกับการผลิตฮาร์ดแวร์ใหม่ แต่จะเน้นการสร้างสเปกที่ชัดเจนสำหรับนักพัฒนานอกเขต DMCA เพื่อให้สามารถสร้างระบบที่เป็นอิสระได้ โดยจะเริ่มจากอุปกรณ์ที่มี “ปัญหาเรื่องเสรีภาพ” น้อยที่สุดก่อน

    แม้แต่ระบบยอดนิยมอย่าง LineageOS ก็ยังมี binary blobs อยู่ FSF จึงหวังว่า Librephone จะเป็นรากฐานให้กับระบบที่ปลอดจากซอฟต์แวร์ปิดซอร์สอย่างแท้จริง เช่นเดียวกับที่เคยสนับสนุนโครงการ Replicant มาก่อน

    ที่สำคัญคือ FSF ต้องการให้ชุมชนมีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นนักพัฒนา ผู้ทดสอบ นักเขียนเอกสาร หรือผู้สนับสนุนด้านการเงิน โดยสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ librephone.fsf.org

    ข้อมูลในข่าว
    Librephone เป็นโปรเจกต์ใหม่จาก Free Software Foundation (FSF)
    เป้าหมายคือการ reverse-engineer และแทนที่ proprietary binary blobs ในมือถือ
    ไม่ใช่ Android fork และไม่เกี่ยวกับการผลิตฮาร์ดแวร์
    มุ่งเน้นการสร้างสเปกสำหรับนักพัฒนานอกเขต DMCA
    เริ่มจากอุปกรณ์ที่มีปัญหาเรื่องเสรีภาพน้อยที่สุด
    Rob Savoye เป็นหัวหน้าทีมพัฒนา มีประสบการณ์กับ GNU toolchain
    FSF เคยสนับสนุนโครงการ Replicant มาก่อน
    LineageOS ยังมี binary blobs อยู่
    Librephone จะเป็นรากฐานให้กับระบบมือถือที่เสรีอย่างแท้จริง
    เปิดรับอาสาสมัครทุกระดับ ไม่จำกัดเฉพาะวิศวกร
    สนับสนุนได้ผ่านการบริจาค ทดสอบ เขียนเอกสาร หรือเผยแพร่ข้อมูล

    https://news.itsfoss.com/librephone-project-overview/
    📱 “Librephone โดย FSF” — โปรเจกต์ปลดปล่อยมือถือจากซอฟต์แวร์ปิดซอร์ส ไม่ใช่แค่ Android fork แต่คือการท้าทายโครงสร้างระบบมือถือทั้งวงการ ในงานครบรอบ 40 ปีของ Free Software Foundation (FSF) ที่จัดขึ้นในบอสตัน มีการเปิดตัวโปรเจกต์ใหม่ชื่อ “Librephone” ซึ่งไม่ใช่แค่การสร้างระบบปฏิบัติการมือถือแบบโอเพ่นซอร์ส แต่เป็นความพยายามครั้งใหญ่ในการ “ปลดปล่อย” มือถือจากซอฟต์แวร์ปิดซอร์สที่ฝังอยู่ในชิปและเฟิร์มแวร์ Rob Savoye หัวหน้าทีมพัฒนา Librephone ซึ่งมีประสบการณ์ยาวนานกับ GNU toolchain ระบุว่า เป้าหมายหลักของโปรเจกต์คือการ reverse-engineer และแทนที่ binary blobs ที่อยู่ใน SoC (System-on-Chip) ของมือถือ ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมอุปกรณ์ของตัวเองได้อย่างแท้จริง FSF ยืนยันว่า Librephone ไม่ใช่แค่ Android fork และไม่เกี่ยวกับการผลิตฮาร์ดแวร์ใหม่ แต่จะเน้นการสร้างสเปกที่ชัดเจนสำหรับนักพัฒนานอกเขต DMCA เพื่อให้สามารถสร้างระบบที่เป็นอิสระได้ โดยจะเริ่มจากอุปกรณ์ที่มี “ปัญหาเรื่องเสรีภาพ” น้อยที่สุดก่อน แม้แต่ระบบยอดนิยมอย่าง LineageOS ก็ยังมี binary blobs อยู่ FSF จึงหวังว่า Librephone จะเป็นรากฐานให้กับระบบที่ปลอดจากซอฟต์แวร์ปิดซอร์สอย่างแท้จริง เช่นเดียวกับที่เคยสนับสนุนโครงการ Replicant มาก่อน ที่สำคัญคือ FSF ต้องการให้ชุมชนมีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นนักพัฒนา ผู้ทดสอบ นักเขียนเอกสาร หรือผู้สนับสนุนด้านการเงิน โดยสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ librephone.fsf.org ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Librephone เป็นโปรเจกต์ใหม่จาก Free Software Foundation (FSF) ➡️ เป้าหมายคือการ reverse-engineer และแทนที่ proprietary binary blobs ในมือถือ ➡️ ไม่ใช่ Android fork และไม่เกี่ยวกับการผลิตฮาร์ดแวร์ ➡️ มุ่งเน้นการสร้างสเปกสำหรับนักพัฒนานอกเขต DMCA ➡️ เริ่มจากอุปกรณ์ที่มีปัญหาเรื่องเสรีภาพน้อยที่สุด ➡️ Rob Savoye เป็นหัวหน้าทีมพัฒนา มีประสบการณ์กับ GNU toolchain ➡️ FSF เคยสนับสนุนโครงการ Replicant มาก่อน ➡️ LineageOS ยังมี binary blobs อยู่ ➡️ Librephone จะเป็นรากฐานให้กับระบบมือถือที่เสรีอย่างแท้จริง ➡️ เปิดรับอาสาสมัครทุกระดับ ไม่จำกัดเฉพาะวิศวกร ➡️ สนับสนุนได้ผ่านการบริจาค ทดสอบ เขียนเอกสาร หรือเผยแพร่ข้อมูล https://news.itsfoss.com/librephone-project-overview/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Free Software Foundation Is Serious About The Librephone Project [To Bring Mobile Freedom To The Masses]
    Not just another Android fork, this project aims to liberate mobile computing at its core.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 66 มุมมอง 0 รีวิว
  • Gelato vs. Ice Cream vs. Frozen Yogurt vs. Sherbet vs. Sorbet: Get The Scoop On The Difference

    You scream, I scream, we all scream for… wait, is that ice cream or gelato? Or frozen yogurt? And what’s the deal with sherbet and sorbet? Are all of these things ice cream, too?

    Don’t get a brain freeze. We’ll break down the similarities and technical differences between these frozen treats—based on ingredients and how they’re made—in addition to dipping into the overlap of the terms in casual use.

    Join as we serve up the answers to these questions and more:

    What defines ice cream?
    What is the difference between gelato and ice cream?
    How is ice cream different from frozen yogurt?
    Is sherbet a kind of ice cream?
    What is the difference between sherbet and sorbet?
    How is gelato different from sorbet?
    What is the difference between sorbet and ice cream?

    Quick summary

    We casually call a lot of frozen treats ice cream. But according to US technical guidelines, ice cream must contain 10 percent milk fat. It’s typically made with milk, cream, flavorings, and sometimes egg yolk. Gelato is similar to ice cream but typically contains less cream and air. Frozen yogurt uses yogurt as its primary ingredient rather than milk and cream. Unlike ice cream, sherbet uses fruit juice or fruit purée as its main ingredient and typically only has a small amount of dairy. Sorbet also uses fruit juice or purée as its main ingredient, but it doesn’t contain any dairy products or eggs.

    What is the difference between gelato and ice cream?

    Generally, the term ice cream refers to a creamy frozen dessert that’s made with dairy fats, sugar, and sometimes egg yolks. However, ice cream is often casually used as a catchall term to refer to all kinds of frozen desserts, including many of the ones that we’ll compare here, some of which do not contain cream or any dairy products.

    That being said, the definition of ice cream is often much more narrow in technical use. In fact, according to US law, in order for a food to be considered ice cream in the US it must contain at least 10 percent milk fat. The legal definition also touches on the inclusion of flavoring ingredients like sugar or artificial sweeteners and optional dairy products, such as cream, butter, buttermilk, and skim milk. Typically, egg yolks are also allowed as an ingredient. Ice cream typically contains a lot of cream in order to achieve the required milk fat percentage.

    Gelato is an Italian-style dessert that usually contains many of the same ingredients as ice cream. It’s often considered a type of ice cream—sometimes referred to as “Italian ice cream.”

    Compared to ice cream, though, gelato usually contains less cream and has a lower milk fat percentage. Additionally, the slower churning process of gelato causes it to be infused with less air than ice cream. All of this means that gelato tends to have a silkier texture than ice cream.

    frozen yogurt vs. ice cream

    Frozen yogurt (popularly nicknamed fro-yo) and ice cream are both typically made from dairy products and sugar. However, the main ingredients in ice cream are milk and cream and the main ingredient in frozen yogurt is, unsurprisingly, yogurt. Under certain technical requirements, ice cream must have at least 10 percent milk fat, but those requirements don’t apply to frozen yogurt. The fat percentage of frozen yogurt depends on what type of milk was used to make the yogurt in it.

    Is sherbet ice cream?

    Sherbet is a creamy frozen dessert made mainly from fruit juice or fruit purée—it typically contains only small amounts of dairy products, egg whites, and/or gelatin. (Sherbet is pronounced [ shur-bit ], but many people say [ shur-burt ], leading to spelling sherbert becoming increasingly common.)

    Sherbet is technically not ice cream, even though they both can contain fruit and dairy products. The big difference is that sherbet’s main ingredient is fruit juice or purée, while ice cream’s main ingredients are typically milk and cream. Still, they’re close enough that many people likely consider sherbet a type of ice cream.

    sherbet vs. sorbet

    As we just learned, sherbet typically contains only a small amount of dairy products and/or eggs. Sorbet (pronounced [ sawr-bey ]) is a creamy frozen concoction made from fruit juice or fruit purée that does not contain any dairy products or eggs. Sorbet is usually a dessert, but not always—it’s sometimes served between courses as a palate cleanser.

    The words look similar because they’re ultimately based on the same root—the Turkish şerbet, from the Persian sharbat, from the Arabic sharbah, meaning “a drink.”

    gelato vs. sorbet

    By now, you know that gelato traditionally uses milk and cream as its main ingredients, and that sorbet primarily contains fruit juice or fruit purée and does not use dairy products or eggs. Sorbet is less creamy.

    sorbet vs. ice cream

    The difference between ice cream and sorbet is also based on whether or not dairy is used. Technically speaking, ice cream always contains cream and/or milk as its main ingredients, while sorbet traditionally never includes dairy or eggs, instead being primarily made from fruit juice or fruit purée.

    sherbet vs. sorbet

    As we just learned, sherbet typically contains only a small amount of dairy products and/or eggs. Sorbet (pronounced [ sawr-bey ]) is a creamy frozen concoction made from fruit juice or fruit purée that does not contain any dairy products or eggs. Sorbet is usually a dessert, but not always—it’s sometimes served between courses as a palate cleanser.

    The words look similar because they’re ultimately based on the same root—the Turkish şerbet, from the Persian sharbat, from the Arabic sharbah, meaning “a drink.”

    gelato vs. sorbet

    By now, you know that gelato traditionally uses milk and cream as its main ingredients, and that sorbet primarily contains fruit juice or fruit purée and does not use dairy products or eggs. Sorbet is less creamy.

    sorbet vs. ice cream

    The difference between ice cream and sorbet is also based on whether or not dairy is used. Technically speaking, ice cream always contains cream and/or milk as its main ingredients, while sorbet traditionally never includes dairy or eggs, instead being primarily made from fruit juice or fruit purée.

    Get the inside scoop

    Here’s the final scoop: All of these distinctions are traditional and technical. As more dairy-free options become available, you’re much more likely to see many of these names applied to frozen desserts that include some nontraditional ingredients. In the case of ice cream, for example, fat sources used for the base may include ingredients like coconut milk, oat milk, or avocado.

    สงวนลิขสิทธิ์ © 2025 AAKKHRA & Co.
    Gelato vs. Ice Cream vs. Frozen Yogurt vs. Sherbet vs. Sorbet: Get The Scoop On The Difference You scream, I scream, we all scream for… wait, is that ice cream or gelato? Or frozen yogurt? And what’s the deal with sherbet and sorbet? Are all of these things ice cream, too? Don’t get a brain freeze. We’ll break down the similarities and technical differences between these frozen treats—based on ingredients and how they’re made—in addition to dipping into the overlap of the terms in casual use. Join as we serve up the answers to these questions and more: What defines ice cream? What is the difference between gelato and ice cream? How is ice cream different from frozen yogurt? Is sherbet a kind of ice cream? What is the difference between sherbet and sorbet? How is gelato different from sorbet? What is the difference between sorbet and ice cream? Quick summary We casually call a lot of frozen treats ice cream. But according to US technical guidelines, ice cream must contain 10 percent milk fat. It’s typically made with milk, cream, flavorings, and sometimes egg yolk. Gelato is similar to ice cream but typically contains less cream and air. Frozen yogurt uses yogurt as its primary ingredient rather than milk and cream. Unlike ice cream, sherbet uses fruit juice or fruit purée as its main ingredient and typically only has a small amount of dairy. Sorbet also uses fruit juice or purée as its main ingredient, but it doesn’t contain any dairy products or eggs. What is the difference between gelato and ice cream? Generally, the term ice cream refers to a creamy frozen dessert that’s made with dairy fats, sugar, and sometimes egg yolks. However, ice cream is often casually used as a catchall term to refer to all kinds of frozen desserts, including many of the ones that we’ll compare here, some of which do not contain cream or any dairy products. That being said, the definition of ice cream is often much more narrow in technical use. In fact, according to US law, in order for a food to be considered ice cream in the US it must contain at least 10 percent milk fat. The legal definition also touches on the inclusion of flavoring ingredients like sugar or artificial sweeteners and optional dairy products, such as cream, butter, buttermilk, and skim milk. Typically, egg yolks are also allowed as an ingredient. Ice cream typically contains a lot of cream in order to achieve the required milk fat percentage. Gelato is an Italian-style dessert that usually contains many of the same ingredients as ice cream. It’s often considered a type of ice cream—sometimes referred to as “Italian ice cream.” Compared to ice cream, though, gelato usually contains less cream and has a lower milk fat percentage. Additionally, the slower churning process of gelato causes it to be infused with less air than ice cream. All of this means that gelato tends to have a silkier texture than ice cream. frozen yogurt vs. ice cream Frozen yogurt (popularly nicknamed fro-yo) and ice cream are both typically made from dairy products and sugar. However, the main ingredients in ice cream are milk and cream and the main ingredient in frozen yogurt is, unsurprisingly, yogurt. Under certain technical requirements, ice cream must have at least 10 percent milk fat, but those requirements don’t apply to frozen yogurt. The fat percentage of frozen yogurt depends on what type of milk was used to make the yogurt in it. Is sherbet ice cream? Sherbet is a creamy frozen dessert made mainly from fruit juice or fruit purée—it typically contains only small amounts of dairy products, egg whites, and/or gelatin. (Sherbet is pronounced [ shur-bit ], but many people say [ shur-burt ], leading to spelling sherbert becoming increasingly common.) Sherbet is technically not ice cream, even though they both can contain fruit and dairy products. The big difference is that sherbet’s main ingredient is fruit juice or purée, while ice cream’s main ingredients are typically milk and cream. Still, they’re close enough that many people likely consider sherbet a type of ice cream. sherbet vs. sorbet As we just learned, sherbet typically contains only a small amount of dairy products and/or eggs. Sorbet (pronounced [ sawr-bey ]) is a creamy frozen concoction made from fruit juice or fruit purée that does not contain any dairy products or eggs. Sorbet is usually a dessert, but not always—it’s sometimes served between courses as a palate cleanser. The words look similar because they’re ultimately based on the same root—the Turkish şerbet, from the Persian sharbat, from the Arabic sharbah, meaning “a drink.” gelato vs. sorbet By now, you know that gelato traditionally uses milk and cream as its main ingredients, and that sorbet primarily contains fruit juice or fruit purée and does not use dairy products or eggs. Sorbet is less creamy. sorbet vs. ice cream The difference between ice cream and sorbet is also based on whether or not dairy is used. Technically speaking, ice cream always contains cream and/or milk as its main ingredients, while sorbet traditionally never includes dairy or eggs, instead being primarily made from fruit juice or fruit purée. sherbet vs. sorbet As we just learned, sherbet typically contains only a small amount of dairy products and/or eggs. Sorbet (pronounced [ sawr-bey ]) is a creamy frozen concoction made from fruit juice or fruit purée that does not contain any dairy products or eggs. Sorbet is usually a dessert, but not always—it’s sometimes served between courses as a palate cleanser. The words look similar because they’re ultimately based on the same root—the Turkish şerbet, from the Persian sharbat, from the Arabic sharbah, meaning “a drink.” gelato vs. sorbet By now, you know that gelato traditionally uses milk and cream as its main ingredients, and that sorbet primarily contains fruit juice or fruit purée and does not use dairy products or eggs. Sorbet is less creamy. sorbet vs. ice cream The difference between ice cream and sorbet is also based on whether or not dairy is used. Technically speaking, ice cream always contains cream and/or milk as its main ingredients, while sorbet traditionally never includes dairy or eggs, instead being primarily made from fruit juice or fruit purée. Get the inside scoop Here’s the final scoop: All of these distinctions are traditional and technical. As more dairy-free options become available, you’re much more likely to see many of these names applied to frozen desserts that include some nontraditional ingredients. In the case of ice cream, for example, fat sources used for the base may include ingredients like coconut milk, oat milk, or avocado. สงวนลิขสิทธิ์ © 2025 AAKKHRA & Co.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 97 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://telegra.ph/Unlock-Financial-Freedom-Acquire-Your-Verified-Perfect-Money-Account-Today-03-23
    https://telegra.ph/Unlock-Financial-Freedom-Acquire-Your-Verified-Perfect-Money-Account-Today-03-23
    TELEGRA.PH
    Unlock Financial Freedom: Acquire Your Verified Perfect Money Account Today!
    Unlock financial freedom by acquiring your verified Perfect Money account today! Enjoy secure online payments with low fees and wide acceptance. Are you looking for a secure and reliable way to manage your finances online? Look no further than Perfect Money! With a verified Perfect Money account, you can unlock a world of financial freedom and convenience. In this article, we will explore the benefits of using Perfect Money and how you can easily acquire a verified account to start enjoying all the perks it…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 36 มุมมอง 0 รีวิว
  • Buy Craigslist Posting Service

    https://globalseoshop.com/product/buy-craigslist-posting-service/

    On the off chance that you need more data simply thump us-
    Email: Globalseoshop@gmail.com
    WhatsApp: +1(864)7088783
    Skype: GlobalSeoShop
    Telegram: @GlobalSeoShop

    #BuyCraigslistliveadsfree
    #buyCraigslistliveadscalifornia
    #Buycraigslistadpostingservice
    #Buycraigslistpostingservicemultiplecities
    Buy Craigslist Posting Service https://globalseoshop.com/product/buy-craigslist-posting-service/ On the off chance that you need more data simply thump us- Email: Globalseoshop@gmail.com WhatsApp: +1(864)7088783 Skype: GlobalSeoShop Telegram: @GlobalSeoShop #BuyCraigslistliveadsfree #buyCraigslistliveadscalifornia #Buycraigslistadpostingservice #Buycraigslistpostingservicemultiplecities
    GLOBALSEOSHOP.COM
    Buy Craigslist Posting Service
    If you're looking to expand your business's reach on Craigslist, then it might be worth considering Buy Craigslist posting services from GlobalSeoShop.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 53 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AMD และ Intel ฉลองครบรอบพันธมิตร x86” — พร้อมเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่เสริมความปลอดภัยใน CPU ยุคหน้า

    AMD และ Intel สองยักษ์ใหญ่แห่งวงการซีพียู ได้ร่วมฉลองครบรอบ 1 ปีของการก่อตั้งกลุ่มพันธมิตร x86 Ecosystem Advisory Group ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาและประสานงานฟีเจอร์ใหม่ในสถาปัตยกรรม x86 ให้รองรับร่วมกันระหว่างสองค่าย

    ในปีแรกของความร่วมมือ ทั้งสองบริษัทสามารถผลักดันฟีเจอร์ใหม่ได้ถึง 4 รายการ ได้แก่ ACE (Advanced Matrix Extension), AVX10, FRED (Flexible Return and Event Delivery) และ ChkTag (x86 Memory Tagging) ซึ่งทั้งหมดมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยของระบบ

    ฟีเจอร์ ACE และ AVX10 จะช่วยเพิ่มความเร็วในการคำนวณเมทริกซ์และเวกเตอร์ โดย Intel ได้เริ่มใช้งาน AVX10.1 และ AMX ในซีพียู Granite Rapids แล้ว ส่วน AMD จะเริ่มรองรับในรุ่นถัดไป เช่น Zen 6 หรือ Zen 7

    FRED เป็นฟีเจอร์ที่ออกแบบมาเพื่อแทนที่กลไกการจัดการ interrupt แบบเดิมของ x86 โดยใช้เส้นทางการเข้าออกจากโหมดผู้ใช้และโหมดเคอร์เนลที่กำหนดโดยฮาร์ดแวร์ ซึ่งช่วยลด latency และเพิ่มความปลอดภัยในการสลับบริบทระหว่างแอปพลิเคชันกับระบบปฏิบัติการ

    ChkTag หรือ x86 Memory Tagging เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ยังไม่ถูกพูดถึงมากนัก แต่มีความสำคัญในการตรวจจับข้อผิดพลาดด้านความปลอดภัยของหน่วยความจำ เช่น buffer overflow และ use-after-free โดยใช้การติดแท็กหน่วยความจำในระดับฮาร์ดแวร์ ซึ่งคล้ายกับเทคโนโลยี MTE ของ Arm ที่ Apple และ Ampere ใช้อยู่

    แม้จะยังไม่มีกรอบเวลาชัดเจนในการนำฟีเจอร์เหล่านี้มาใช้งานจริงในผลิตภัณฑ์ แต่การรับรองจากกลุ่มพันธมิตร x86 ถือเป็นสัญญาณว่าอนาคตของซีพียูจะมีความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างแน่นอน

    ข้อมูลในข่าว
    AMD และ Intel ฉลองครบรอบ 1 ปีของกลุ่มพันธมิตร x86 Ecosystem Advisory Group
    ฟีเจอร์ใหม่ที่ได้รับการรับรอง ได้แก่ ACE, AVX10, FRED และ ChkTag
    ACE และ AVX10 ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการคำนวณเมทริกซ์และเวกเตอร์
    Intel เริ่มใช้งาน AVX10.1 และ AMX แล้ว ส่วน AMD จะรองรับใน Zen รุ่นถัดไป
    FRED แทนที่กลไก interrupt แบบเดิมด้วยเส้นทางที่กำหนดโดยฮาร์ดแวร์
    ChkTag ตรวจจับข้อผิดพลาดด้านความปลอดภัยของหน่วยความจำในระดับฮาร์ดแวร์
    เทคโนโลยีคล้ายกับ MTE ของ Arm ที่ Apple และ Ampere ใช้

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-and-intel-celebrate-first-anniversary-of-x86-alliance-new-security-features-coming-to-x86-cpus
    🤝 “AMD และ Intel ฉลองครบรอบพันธมิตร x86” — พร้อมเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่เสริมความปลอดภัยใน CPU ยุคหน้า AMD และ Intel สองยักษ์ใหญ่แห่งวงการซีพียู ได้ร่วมฉลองครบรอบ 1 ปีของการก่อตั้งกลุ่มพันธมิตร x86 Ecosystem Advisory Group ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาและประสานงานฟีเจอร์ใหม่ในสถาปัตยกรรม x86 ให้รองรับร่วมกันระหว่างสองค่าย ในปีแรกของความร่วมมือ ทั้งสองบริษัทสามารถผลักดันฟีเจอร์ใหม่ได้ถึง 4 รายการ ได้แก่ ACE (Advanced Matrix Extension), AVX10, FRED (Flexible Return and Event Delivery) และ ChkTag (x86 Memory Tagging) ซึ่งทั้งหมดมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยของระบบ ฟีเจอร์ ACE และ AVX10 จะช่วยเพิ่มความเร็วในการคำนวณเมทริกซ์และเวกเตอร์ โดย Intel ได้เริ่มใช้งาน AVX10.1 และ AMX ในซีพียู Granite Rapids แล้ว ส่วน AMD จะเริ่มรองรับในรุ่นถัดไป เช่น Zen 6 หรือ Zen 7 FRED เป็นฟีเจอร์ที่ออกแบบมาเพื่อแทนที่กลไกการจัดการ interrupt แบบเดิมของ x86 โดยใช้เส้นทางการเข้าออกจากโหมดผู้ใช้และโหมดเคอร์เนลที่กำหนดโดยฮาร์ดแวร์ ซึ่งช่วยลด latency และเพิ่มความปลอดภัยในการสลับบริบทระหว่างแอปพลิเคชันกับระบบปฏิบัติการ ChkTag หรือ x86 Memory Tagging เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ยังไม่ถูกพูดถึงมากนัก แต่มีความสำคัญในการตรวจจับข้อผิดพลาดด้านความปลอดภัยของหน่วยความจำ เช่น buffer overflow และ use-after-free โดยใช้การติดแท็กหน่วยความจำในระดับฮาร์ดแวร์ ซึ่งคล้ายกับเทคโนโลยี MTE ของ Arm ที่ Apple และ Ampere ใช้อยู่ แม้จะยังไม่มีกรอบเวลาชัดเจนในการนำฟีเจอร์เหล่านี้มาใช้งานจริงในผลิตภัณฑ์ แต่การรับรองจากกลุ่มพันธมิตร x86 ถือเป็นสัญญาณว่าอนาคตของซีพียูจะมีความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างแน่นอน ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ AMD และ Intel ฉลองครบรอบ 1 ปีของกลุ่มพันธมิตร x86 Ecosystem Advisory Group ➡️ ฟีเจอร์ใหม่ที่ได้รับการรับรอง ได้แก่ ACE, AVX10, FRED และ ChkTag ➡️ ACE และ AVX10 ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการคำนวณเมทริกซ์และเวกเตอร์ ➡️ Intel เริ่มใช้งาน AVX10.1 และ AMX แล้ว ส่วน AMD จะรองรับใน Zen รุ่นถัดไป ➡️ FRED แทนที่กลไก interrupt แบบเดิมด้วยเส้นทางที่กำหนดโดยฮาร์ดแวร์ ➡️ ChkTag ตรวจจับข้อผิดพลาดด้านความปลอดภัยของหน่วยความจำในระดับฮาร์ดแวร์ ➡️ เทคโนโลยีคล้ายกับ MTE ของ Arm ที่ Apple และ Ampere ใช้ https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-and-intel-celebrate-first-anniversary-of-x86-alliance-new-security-features-coming-to-x86-cpus
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 112 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Spotify จับมือ Netflix” — เปิดศักราชใหม่ของวิดีโอพอดแคสต์บนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง

    Spotify กำลังพลิกโฉมวงการพอดแคสต์อีกครั้ง ด้วยการจับมือกับ Netflix เพื่อนำวิดีโอพอดแคสต์ยอดนิยมจากค่าย Ringer และ Spotify Studios ไปเผยแพร่บนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งที่มีผู้ชมมหาศาล โดยเริ่มจากสหรัฐฯ ในปีหน้า และจะขยายไปยังประเทศอื่น ๆ ในภายหลัง

    รายการที่ถูกเลือกให้เผยแพร่บน Netflix ได้แก่ The Bill Simmons Podcast, The Zach Lowe Show, The Rewatchables, Conspiracy Theories และ The Big Picture ซึ่งจะมีเฉพาะคลิปบางส่วนเท่านั้นที่ยังคงเผยแพร่บน YouTube ส่วนเวอร์ชันเสียงยังคงฟังได้ผ่านแพลตฟอร์มพอดแคสต์ทั่วไป

    การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงแนวโน้มของพอดแคสต์ที่กำลังเปลี่ยนจากเสียงล้วนไปสู่รูปแบบวิดีโอ เพื่อเข้าถึงผู้ชมมากขึ้น โดยอิงกับอัลกอริธึมของ TikTok, YouTube และ Instagram ที่เน้นคอนเทนต์ภาพเคลื่อนไหว ปัจจุบันมีผู้ชมวิดีโอพอดแคสต์บน YouTube มากกว่า 1 พันล้านคนต่อเดือน และ 77% ของผู้ฟังใหม่ระบุว่าชอบดูวิดีโอพอดแคสต์มากกว่าฟังอย่างเดียว

    Netflix เองก็เริ่มทดลองเผยแพร่พอดแคสต์วิดีโอมาบ้างแล้ว เช่นรายการ Kill Tony และมีผู้บริหารระดับสูงอย่าง Ted Sarandos ที่นั่งอยู่ในบอร์ดของ Spotify ซึ่งช่วยผลักดันความร่วมมือครั้งนี้

    Spotify ยังเดินหน้าสร้างระบบสนับสนุนครีเอเตอร์วิดีโอ โดยเปิดให้ YouTuber และผู้ผลิตคอนเทนต์อัปโหลดรายการของตนเอง พร้อมเผยว่า มีวิดีโอพอดแคสต์มากกว่า 430,000 รายการบนแพลตฟอร์ม และมีผู้ชมกว่า 350 ล้านคนแล้ว

    ข้อมูลในข่าว
    Spotify ร่วมมือกับ Netflix นำวิดีโอพอดแคสต์เผยแพร่บนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง
    เริ่มจากสหรัฐฯ ปีหน้า และจะขยายไปยังตลาดอื่น
    รายการที่เผยแพร่ เช่น The Bill Simmons Podcast และ The Rewatchables
    YouTube จะมีเฉพาะคลิปบางส่วน ไม่ใช่ตอนเต็ม
    พอดแคสต์เสียงยังคงฟังได้บนแพลตฟอร์มทั่วไป
    Netflix จะเผยแพร่แบบไม่มีโฆษณาสำหรับผู้ใช้แพ็กเกจ ad-free
    Spotify มีวิดีโอพอดแคสต์มากกว่า 430,000 รายการ และผู้ชมกว่า 350 ล้านคน

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    การเปลี่ยนแปลงรูปแบบพอดแคสต์อาจทำให้ผู้ฟังที่ชอบเสียงล้วนรู้สึกไม่สะดวก
    คอนเทนต์บางรายการอาจถูกจำกัดการเข้าถึงบน YouTube
    ผู้ผลิตพอดแคสต์อิสระอาจต้องปรับตัวเพื่อแข่งขันกับคอนเทนต์จากแพลตฟอร์มใหญ่
    การรวมตัวของแพลตฟอร์มอาจนำไปสู่การควบคุมเนื้อหาและอัลกอริธึมที่มากขึ้น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/15/spotify-to-start-putting-video-podcasts-on-netflix
    🎬 “Spotify จับมือ Netflix” — เปิดศักราชใหม่ของวิดีโอพอดแคสต์บนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง Spotify กำลังพลิกโฉมวงการพอดแคสต์อีกครั้ง ด้วยการจับมือกับ Netflix เพื่อนำวิดีโอพอดแคสต์ยอดนิยมจากค่าย Ringer และ Spotify Studios ไปเผยแพร่บนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งที่มีผู้ชมมหาศาล โดยเริ่มจากสหรัฐฯ ในปีหน้า และจะขยายไปยังประเทศอื่น ๆ ในภายหลัง รายการที่ถูกเลือกให้เผยแพร่บน Netflix ได้แก่ The Bill Simmons Podcast, The Zach Lowe Show, The Rewatchables, Conspiracy Theories และ The Big Picture ซึ่งจะมีเฉพาะคลิปบางส่วนเท่านั้นที่ยังคงเผยแพร่บน YouTube ส่วนเวอร์ชันเสียงยังคงฟังได้ผ่านแพลตฟอร์มพอดแคสต์ทั่วไป การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงแนวโน้มของพอดแคสต์ที่กำลังเปลี่ยนจากเสียงล้วนไปสู่รูปแบบวิดีโอ เพื่อเข้าถึงผู้ชมมากขึ้น โดยอิงกับอัลกอริธึมของ TikTok, YouTube และ Instagram ที่เน้นคอนเทนต์ภาพเคลื่อนไหว ปัจจุบันมีผู้ชมวิดีโอพอดแคสต์บน YouTube มากกว่า 1 พันล้านคนต่อเดือน และ 77% ของผู้ฟังใหม่ระบุว่าชอบดูวิดีโอพอดแคสต์มากกว่าฟังอย่างเดียว Netflix เองก็เริ่มทดลองเผยแพร่พอดแคสต์วิดีโอมาบ้างแล้ว เช่นรายการ Kill Tony และมีผู้บริหารระดับสูงอย่าง Ted Sarandos ที่นั่งอยู่ในบอร์ดของ Spotify ซึ่งช่วยผลักดันความร่วมมือครั้งนี้ Spotify ยังเดินหน้าสร้างระบบสนับสนุนครีเอเตอร์วิดีโอ โดยเปิดให้ YouTuber และผู้ผลิตคอนเทนต์อัปโหลดรายการของตนเอง พร้อมเผยว่า มีวิดีโอพอดแคสต์มากกว่า 430,000 รายการบนแพลตฟอร์ม และมีผู้ชมกว่า 350 ล้านคนแล้ว ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Spotify ร่วมมือกับ Netflix นำวิดีโอพอดแคสต์เผยแพร่บนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง ➡️ เริ่มจากสหรัฐฯ ปีหน้า และจะขยายไปยังตลาดอื่น ➡️ รายการที่เผยแพร่ เช่น The Bill Simmons Podcast และ The Rewatchables ➡️ YouTube จะมีเฉพาะคลิปบางส่วน ไม่ใช่ตอนเต็ม ➡️ พอดแคสต์เสียงยังคงฟังได้บนแพลตฟอร์มทั่วไป ➡️ Netflix จะเผยแพร่แบบไม่มีโฆษณาสำหรับผู้ใช้แพ็กเกจ ad-free ➡️ Spotify มีวิดีโอพอดแคสต์มากกว่า 430,000 รายการ และผู้ชมกว่า 350 ล้านคน ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบพอดแคสต์อาจทำให้ผู้ฟังที่ชอบเสียงล้วนรู้สึกไม่สะดวก ⛔ คอนเทนต์บางรายการอาจถูกจำกัดการเข้าถึงบน YouTube ⛔ ผู้ผลิตพอดแคสต์อิสระอาจต้องปรับตัวเพื่อแข่งขันกับคอนเทนต์จากแพลตฟอร์มใหญ่ ⛔ การรวมตัวของแพลตฟอร์มอาจนำไปสู่การควบคุมเนื้อหาและอัลกอริธึมที่มากขึ้น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/15/spotify-to-start-putting-video-podcasts-on-netflix
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Spotify to start putting video podcasts on Netflix
    Spotify Technology SA is partnering with Netflix Inc. to bring some of its top video podcasts to the streaming service's massive audience.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 118 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Thunderbird 144 อัปเดต Flatpak Runtime — เสริมความปลอดภัยและเสถียรภาพให้ผู้ใช้ Linux”

    Mozilla Thunderbird โปรแกรมอีเมลโอเพ่นซอร์สยอดนิยม ได้ปล่อยเวอร์ชัน 144 ผ่านช่องทาง Flatpak โดยมีการอัปเดตสำคัญคือการเปลี่ยน runtime ไปใช้ Freedesktop SDK 24.08 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดที่มาพร้อมกับการปรับปรุงด้านความปลอดภัยและความเข้ากันได้กับระบบ Linux รุ่นใหม่

    การเปลี่ยน runtime นี้ช่วยให้ Thunderbird สามารถทำงานได้ดีขึ้นบนดิสโทรที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ เช่น Wayland, PipeWire และระบบ sandbox ที่เข้มงวดมากขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งพาไลบรารีเก่าที่อาจมีช่องโหว่

    นอกจากนี้ยังมีการอัปเดตแพ็กเกจพื้นฐาน เช่น GTK4, glibc, systemd และ Flatpak runtime core ซึ่งช่วยให้แอปทำงานได้เร็วขึ้นและเสถียรมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อใช้งานร่วมกับ GNOME หรือ KDE

    Thunderbird 144 ยังรองรับฟีเจอร์ใหม่จาก upstream เช่น การจัดการบัญชีหลายชุด, การปรับแต่งอินเทอร์เฟซ และการเชื่อมต่อกับบริการอีเมลแบบ OAuth2 ได้ดีขึ้น

    Thunderbird 144 ปล่อยผ่าน Flatpak พร้อมอัปเดต runtime
    ใช้ Freedesktop SDK 24.08 แทนเวอร์ชันเก่า

    Freedesktop SDK 24.08 รองรับเทคโนโลยีใหม่ใน Linux
    เช่น Wayland, PipeWire, sandbox ที่ปลอดภัยขึ้น

    อัปเดตแพ็กเกจพื้นฐาน เช่น GTK4, glibc, systemd
    ช่วยให้แอปทำงานเร็วขึ้นและเสถียรมากขึ้น

    รองรับฟีเจอร์ใหม่จาก upstream Thunderbird
    เช่น การจัดการบัญชีหลายชุด, OAuth2, ปรับแต่ง UI

    Flatpak ช่วยให้แอปทำงานแบบ isolated
    ลดความเสี่ยงจากการเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต

    การอัปเดตนี้มีผลเฉพาะผู้ใช้ที่ติดตั้งผ่าน Flatpak
    ผู้ใช้จากช่องทางอื่นต้องรออัปเดตแยก

    https://9to5linux.com/mozilla-thunderbird-144-updates-the-flatpak-runtime-to-freedesktop-sdk-24-08
    📬 “Thunderbird 144 อัปเดต Flatpak Runtime — เสริมความปลอดภัยและเสถียรภาพให้ผู้ใช้ Linux” Mozilla Thunderbird โปรแกรมอีเมลโอเพ่นซอร์สยอดนิยม ได้ปล่อยเวอร์ชัน 144 ผ่านช่องทาง Flatpak โดยมีการอัปเดตสำคัญคือการเปลี่ยน runtime ไปใช้ Freedesktop SDK 24.08 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดที่มาพร้อมกับการปรับปรุงด้านความปลอดภัยและความเข้ากันได้กับระบบ Linux รุ่นใหม่ การเปลี่ยน runtime นี้ช่วยให้ Thunderbird สามารถทำงานได้ดีขึ้นบนดิสโทรที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ เช่น Wayland, PipeWire และระบบ sandbox ที่เข้มงวดมากขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งพาไลบรารีเก่าที่อาจมีช่องโหว่ นอกจากนี้ยังมีการอัปเดตแพ็กเกจพื้นฐาน เช่น GTK4, glibc, systemd และ Flatpak runtime core ซึ่งช่วยให้แอปทำงานได้เร็วขึ้นและเสถียรมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อใช้งานร่วมกับ GNOME หรือ KDE Thunderbird 144 ยังรองรับฟีเจอร์ใหม่จาก upstream เช่น การจัดการบัญชีหลายชุด, การปรับแต่งอินเทอร์เฟซ และการเชื่อมต่อกับบริการอีเมลแบบ OAuth2 ได้ดีขึ้น ✅ Thunderbird 144 ปล่อยผ่าน Flatpak พร้อมอัปเดต runtime ➡️ ใช้ Freedesktop SDK 24.08 แทนเวอร์ชันเก่า ✅ Freedesktop SDK 24.08 รองรับเทคโนโลยีใหม่ใน Linux ➡️ เช่น Wayland, PipeWire, sandbox ที่ปลอดภัยขึ้น ✅ อัปเดตแพ็กเกจพื้นฐาน เช่น GTK4, glibc, systemd ➡️ ช่วยให้แอปทำงานเร็วขึ้นและเสถียรมากขึ้น ✅ รองรับฟีเจอร์ใหม่จาก upstream Thunderbird ➡️ เช่น การจัดการบัญชีหลายชุด, OAuth2, ปรับแต่ง UI ✅ Flatpak ช่วยให้แอปทำงานแบบ isolated ➡️ ลดความเสี่ยงจากการเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต ✅ การอัปเดตนี้มีผลเฉพาะผู้ใช้ที่ติดตั้งผ่าน Flatpak ➡️ ผู้ใช้จากช่องทางอื่นต้องรออัปเดตแยก https://9to5linux.com/mozilla-thunderbird-144-updates-the-flatpak-runtime-to-freedesktop-sdk-24-08
    9TO5LINUX.COM
    Mozilla Thunderbird 144 Updates the Flatpak Runtime to Freedesktop SDK 24.08 - 9to5Linux
    Mozilla Thunderbird 144 open-source email client is now available for download with an updated Flatpak runtime and various bug fixes.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 67 มุมมอง 0 รีวิว
  • “รักษามะเร็งโดยไม่ต้องผ่าตัด — เมื่อคลื่นเสียงกลายเป็นอาวุธใหม่ที่แม่นยำและไร้แผล”

    ในอดีต การรักษามะเร็งมักหมายถึงการผ่าตัด เคมีบำบัด หรือฉายรังสี ซึ่งล้วนมีผลข้างเคียงและความเสี่ยงสูง แต่วันนี้ นักวิทยาศาสตร์กำลังเปิดประตูสู่ยุคใหม่ของการรักษาแบบ “ไร้แผล” ด้วยเทคโนโลยีที่เรียกว่า “Focused Ultrasound” หรือคลื่นเสียงความเข้มสูงแบบเจาะจง

    เทคโนโลยีนี้ใช้คลื่นเสียงที่แม่นยำในการทำลายเนื้อเยื่อมะเร็งโดยไม่ต้องเปิดผิวหนังหรือแทรกแซงอวัยวะใด ๆ คล้ายกับการใช้แว่นขยายรวมแสงอาทิตย์เพื่อเผาจุดเล็ก ๆ — แต่แทนที่จะใช้แสง ใช้คลื่นเสียงที่สามารถเจาะลึกถึงอวัยวะภายในได้อย่างปลอดภัย

    การทดลองล่าสุดในสหรัฐฯ และยุโรปแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีนี้สามารถใช้รักษามะเร็งตับ, ต่อมลูกหมาก, สมอง และแม้แต่มะเร็งเต้านมบางชนิดได้ โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือพักฟื้นนาน ผู้ป่วยบางรายสามารถกลับบ้านได้ภายในวันเดียว

    นอกจากการทำลายเนื้อเยื่อมะเร็งโดยตรงแล้ว คลื่นเสียงยังสามารถ “เปิดช่อง” ให้ยาเคมีบำบัดหรือภูมิคุ้มกันบำบัดเข้าสู่เนื้อเยื่อได้ดีขึ้น ซึ่งอาจเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาแบบผสม

    “Focused Ultrasound” คือการใช้คลื่นเสียงความเข้มสูงแบบเจาะจง
    ทำลายเนื้อเยื่อมะเร็งโดยไม่ต้องผ่าตัด

    คลื่นเสียงสามารถเจาะลึกถึงอวัยวะภายในโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบข้าง
    คล้ายการใช้แว่นขยายรวมแสง แต่ปลอดภัยกว่า

    ใช้รักษามะเร็งหลายชนิด เช่น ตับ, ต่อมลูกหมาก, สมอง, เต้านม
    ผู้ป่วยบางรายกลับบ้านได้ภายในวันเดียว

    คลื่นเสียงสามารถช่วยให้ยาเข้าสู่เนื้อเยื่อได้ดีขึ้น
    เพิ่มประสิทธิภาพของเคมีบำบัดหรือภูมิคุ้มกันบำบัด

    การรักษาแบบนี้ไม่ต้องใช้มีดผ่าตัดหรือการฉายรังสี
    ลดผลข้างเคียงและความเสี่ยงจากการรักษาแบบเดิม

    มีการทดลองในหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ, อังกฤษ, เยอรมนี
    ผลลัพธ์เบื้องต้นเป็นบวกและปลอดภัย

    เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในขั้นทดลองสำหรับบางชนิดของมะเร็ง
    ยังไม่สามารถใช้แทนการรักษาแบบเดิมได้ทั้งหมด

    ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะและทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ
    ไม่สามารถใช้ได้ในโรงพยาบาลทั่วไปทุกแห่ง

    การรักษาอาจไม่เหมาะกับผู้ป่วยที่มีเนื้องอกในตำแหน่งลึกหรือใกล้โครงสร้างสำคัญ
    เช่น ใกล้เส้นเลือดใหญ่หรือเส้นประสาท

    ยังไม่มีข้อมูลระยะยาวเกี่ยวกับประสิทธิภาพและผลข้างเคียง
    ต้องติดตามผลการทดลองเพิ่มเติมในอนาคต

    https://www.bbc.com/future/article/20251007-how-ultrasound-is-ushering-a-new-era-of-surgery-free-cancer-treatment
    🩺 “รักษามะเร็งโดยไม่ต้องผ่าตัด — เมื่อคลื่นเสียงกลายเป็นอาวุธใหม่ที่แม่นยำและไร้แผล” ในอดีต การรักษามะเร็งมักหมายถึงการผ่าตัด เคมีบำบัด หรือฉายรังสี ซึ่งล้วนมีผลข้างเคียงและความเสี่ยงสูง แต่วันนี้ นักวิทยาศาสตร์กำลังเปิดประตูสู่ยุคใหม่ของการรักษาแบบ “ไร้แผล” ด้วยเทคโนโลยีที่เรียกว่า “Focused Ultrasound” หรือคลื่นเสียงความเข้มสูงแบบเจาะจง เทคโนโลยีนี้ใช้คลื่นเสียงที่แม่นยำในการทำลายเนื้อเยื่อมะเร็งโดยไม่ต้องเปิดผิวหนังหรือแทรกแซงอวัยวะใด ๆ คล้ายกับการใช้แว่นขยายรวมแสงอาทิตย์เพื่อเผาจุดเล็ก ๆ — แต่แทนที่จะใช้แสง ใช้คลื่นเสียงที่สามารถเจาะลึกถึงอวัยวะภายในได้อย่างปลอดภัย การทดลองล่าสุดในสหรัฐฯ และยุโรปแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีนี้สามารถใช้รักษามะเร็งตับ, ต่อมลูกหมาก, สมอง และแม้แต่มะเร็งเต้านมบางชนิดได้ โดยไม่ต้องผ่าตัดหรือพักฟื้นนาน ผู้ป่วยบางรายสามารถกลับบ้านได้ภายในวันเดียว นอกจากการทำลายเนื้อเยื่อมะเร็งโดยตรงแล้ว คลื่นเสียงยังสามารถ “เปิดช่อง” ให้ยาเคมีบำบัดหรือภูมิคุ้มกันบำบัดเข้าสู่เนื้อเยื่อได้ดีขึ้น ซึ่งอาจเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาแบบผสม ✅ “Focused Ultrasound” คือการใช้คลื่นเสียงความเข้มสูงแบบเจาะจง ➡️ ทำลายเนื้อเยื่อมะเร็งโดยไม่ต้องผ่าตัด ✅ คลื่นเสียงสามารถเจาะลึกถึงอวัยวะภายในโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบข้าง ➡️ คล้ายการใช้แว่นขยายรวมแสง แต่ปลอดภัยกว่า ✅ ใช้รักษามะเร็งหลายชนิด เช่น ตับ, ต่อมลูกหมาก, สมอง, เต้านม ➡️ ผู้ป่วยบางรายกลับบ้านได้ภายในวันเดียว ✅ คลื่นเสียงสามารถช่วยให้ยาเข้าสู่เนื้อเยื่อได้ดีขึ้น ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพของเคมีบำบัดหรือภูมิคุ้มกันบำบัด ✅ การรักษาแบบนี้ไม่ต้องใช้มีดผ่าตัดหรือการฉายรังสี ➡️ ลดผลข้างเคียงและความเสี่ยงจากการรักษาแบบเดิม ✅ มีการทดลองในหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ, อังกฤษ, เยอรมนี ➡️ ผลลัพธ์เบื้องต้นเป็นบวกและปลอดภัย ‼️ เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในขั้นทดลองสำหรับบางชนิดของมะเร็ง ⛔ ยังไม่สามารถใช้แทนการรักษาแบบเดิมได้ทั้งหมด ‼️ ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะและทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ ⛔ ไม่สามารถใช้ได้ในโรงพยาบาลทั่วไปทุกแห่ง ‼️ การรักษาอาจไม่เหมาะกับผู้ป่วยที่มีเนื้องอกในตำแหน่งลึกหรือใกล้โครงสร้างสำคัญ ⛔ เช่น ใกล้เส้นเลือดใหญ่หรือเส้นประสาท ‼️ ยังไม่มีข้อมูลระยะยาวเกี่ยวกับประสิทธิภาพและผลข้างเคียง ⛔ ต้องติดตามผลการทดลองเพิ่มเติมในอนาคต https://www.bbc.com/future/article/20251007-how-ultrasound-is-ushering-a-new-era-of-surgery-free-cancer-treatment
    WWW.BBC.COM
    How ultrasound is ushering a new era of surgery-free cancer treatment
    Ultrasound has long been used for helping doctors see inside the body, but focused high frequency sound waves are offering new ways of targeting cancer.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 98 มุมมอง 0 รีวิว
  • “กลุ่ม Telegram ของ It’s FOSS ถูกแบนโดยไม่มีคำอธิบาย — เมื่อระบบอัตโนมัติกลายเป็นผู้พิพากษาโดยไร้ความเข้าใจ”

    It’s FOSS เว็บไซต์ข่าวและชุมชนด้านโอเพ่นซอร์สชื่อดัง ได้เผยแพร่บทความแสดงความไม่พอใจต่อ Telegram หลังจากกลุ่ม “It’s FOSS Community” ที่มีสมาชิกกว่า 250 คน ถูกลบออกจากแพลตฟอร์มโดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า

    กลุ่มดังกล่าวมีเนื้อหาการพูดคุยเกี่ยวกับ Linux, โอเพ่นซอร์ส, DIY และบางครั้งก็มีการพูดถึงการเมืองเล็กน้อย แต่เนื้อหาหลักยังคงอยู่ในขอบเขตของเทคโนโลยีและการศึกษา อย่างไรก็ตาม Telegram แจ้งว่าเนื้อหาบางส่วนถูก “รายงานว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย” ซึ่งทีมงานของ It’s FOSS คาดว่าอาจเกิดจากระบบอัตโนมัติที่เข้าใจผิดว่า “free software” หมายถึง “ซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์”

    ก่อนหน้านี้กลุ่มเคยได้รับการแจ้งเตือนจากบัญชี Abuse Notifications ของ Telegram ว่ามีข้อความละเมิดเงื่อนไขการใช้งาน ซึ่งโพสต์โดยบอทที่หลุดเข้ามาในกลุ่ม แม้ทีมงานจะใช้บอท MissRose และระบบ CAPTCHA เพื่อป้องกัน แต่ก็ยังมีบอทที่สามารถหลบเลี่ยงระบบและโพสต์ข้อความหลอกลวงได้

    เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงปัญหาการจัดการของ Telegram ที่ไม่สามารถแยกแยะระหว่างกลุ่มที่ถูกโจมตีโดยบอท กับกลุ่มที่มีพฤติกรรมละเมิดจริง ๆ และยังไม่มีช่องทางให้ผู้ดูแลกลุ่มสามารถอุทธรณ์หรือสื่อสารกับทีมงาน Telegram ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    กลุ่ม “It’s FOSS Community” บน Telegram ถูกลบโดยไม่มีการแจ้งเตือน
    มีสมาชิกกว่า 250 คน พูดคุยเรื่อง Linux และโอเพ่นซอร์ส

    Telegram แจ้งว่าเนื้อหาถูกรายงานว่า “ผิดกฎหมาย”
    ทีมงานคาดว่าเกิดจากการเข้าใจผิดของระบบอัตโนมัติ

    เคยได้รับการแจ้งเตือนจาก Abuse Notifications ว่ามีข้อความละเมิด
    ข้อความนั้นโพสต์โดยบอท ไม่ใช่สมาชิกจริง

    ใช้บอท MissRose และ CAPTCHA เพื่อป้องกันบอท
    แต่บอทยังสามารถหลบเลี่ยงและโพสต์ข้อความหลอกลวงได้

    Telegram ไม่มีการตอบกลับคำร้องเรียนจากทีมงาน It’s FOSS
    แม้จะเป็นชุมชนที่มีชื่อเสียงในวงการโอเพ่นซอร์ส

    มีกรณีคล้ายกันเกิดขึ้นกับกลุ่มอื่น ๆ บน Telegram
    Reddit และคอมเมนต์ต่าง ๆ ยืนยันว่าปัญหานี้เกิดขึ้นบ่อย

    https://news.itsfoss.com/telegram-unfair-community-ban/
    📵 “กลุ่ม Telegram ของ It’s FOSS ถูกแบนโดยไม่มีคำอธิบาย — เมื่อระบบอัตโนมัติกลายเป็นผู้พิพากษาโดยไร้ความเข้าใจ” It’s FOSS เว็บไซต์ข่าวและชุมชนด้านโอเพ่นซอร์สชื่อดัง ได้เผยแพร่บทความแสดงความไม่พอใจต่อ Telegram หลังจากกลุ่ม “It’s FOSS Community” ที่มีสมาชิกกว่า 250 คน ถูกลบออกจากแพลตฟอร์มโดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า กลุ่มดังกล่าวมีเนื้อหาการพูดคุยเกี่ยวกับ Linux, โอเพ่นซอร์ส, DIY และบางครั้งก็มีการพูดถึงการเมืองเล็กน้อย แต่เนื้อหาหลักยังคงอยู่ในขอบเขตของเทคโนโลยีและการศึกษา อย่างไรก็ตาม Telegram แจ้งว่าเนื้อหาบางส่วนถูก “รายงานว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย” ซึ่งทีมงานของ It’s FOSS คาดว่าอาจเกิดจากระบบอัตโนมัติที่เข้าใจผิดว่า “free software” หมายถึง “ซอฟต์แวร์ละเมิดลิขสิทธิ์” ก่อนหน้านี้กลุ่มเคยได้รับการแจ้งเตือนจากบัญชี Abuse Notifications ของ Telegram ว่ามีข้อความละเมิดเงื่อนไขการใช้งาน ซึ่งโพสต์โดยบอทที่หลุดเข้ามาในกลุ่ม แม้ทีมงานจะใช้บอท MissRose และระบบ CAPTCHA เพื่อป้องกัน แต่ก็ยังมีบอทที่สามารถหลบเลี่ยงระบบและโพสต์ข้อความหลอกลวงได้ เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงปัญหาการจัดการของ Telegram ที่ไม่สามารถแยกแยะระหว่างกลุ่มที่ถูกโจมตีโดยบอท กับกลุ่มที่มีพฤติกรรมละเมิดจริง ๆ และยังไม่มีช่องทางให้ผู้ดูแลกลุ่มสามารถอุทธรณ์หรือสื่อสารกับทีมงาน Telegram ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ กลุ่ม “It’s FOSS Community” บน Telegram ถูกลบโดยไม่มีการแจ้งเตือน ➡️ มีสมาชิกกว่า 250 คน พูดคุยเรื่อง Linux และโอเพ่นซอร์ส ✅ Telegram แจ้งว่าเนื้อหาถูกรายงานว่า “ผิดกฎหมาย” ➡️ ทีมงานคาดว่าเกิดจากการเข้าใจผิดของระบบอัตโนมัติ ✅ เคยได้รับการแจ้งเตือนจาก Abuse Notifications ว่ามีข้อความละเมิด ➡️ ข้อความนั้นโพสต์โดยบอท ไม่ใช่สมาชิกจริง ✅ ใช้บอท MissRose และ CAPTCHA เพื่อป้องกันบอท ➡️ แต่บอทยังสามารถหลบเลี่ยงและโพสต์ข้อความหลอกลวงได้ ✅ Telegram ไม่มีการตอบกลับคำร้องเรียนจากทีมงาน It’s FOSS ➡️ แม้จะเป็นชุมชนที่มีชื่อเสียงในวงการโอเพ่นซอร์ส ✅ มีกรณีคล้ายกันเกิดขึ้นกับกลุ่มอื่น ๆ บน Telegram ➡️ Reddit และคอมเมนต์ต่าง ๆ ยืนยันว่าปัญหานี้เกิดขึ้นบ่อย https://news.itsfoss.com/telegram-unfair-community-ban/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Telegram, Please Learn Who's a Threat and Who's Not
    Our Telegram community got deleted without an explanation.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 106 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Google อุดช่องโหว่ CVE-2025-11756 ใน Safe Browsing — เสี่ยง RCE จาก use-after-free บน Chrome เวอร์ชันล่าสุด”

    Google ได้ปล่อยอัปเดตใหม่สำหรับ Chrome Desktop (เวอร์ชัน 141.0.7390.107/.108) เพื่อแก้ไขช่องโหว่ความปลอดภัยระดับสูง CVE-2025-11756 ซึ่งเป็นช่องโหว่แบบ “use-after-free” ที่อยู่ในระบบ Safe Browsing — ฟีเจอร์ที่ใช้ตรวจสอบเว็บไซต์และไฟล์อันตรายก่อนเข้าถึง

    ช่องโหว่นี้เกิดจากการที่โปรแกรมยังคงใช้งานหน่วยความจำที่ถูกปล่อยไปแล้ว ซึ่งอาจเปิดช่องให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดจากระยะไกล (Remote Code Execution) หรือหลบหนีจาก sandbox ได้ โดยเฉพาะในแคมเปญ phishing หรือ drive-by download ที่ใช้ช่องโหว่เพื่อฝังมัลแวร์

    แม้ Google ยังไม่ยืนยันว่ามีการโจมตีจริงเกิดขึ้น แต่ระดับความรุนแรงของช่องโหว่และตำแหน่งในระบบ Safe Browsing ทำให้การอัปเดตครั้งนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนสำหรับผู้ใช้ทั่วไปและองค์กร

    Google แนะนำให้ผู้ใช้เข้าไปที่ Settings → Help → About Google Chrome เพื่อให้เบราว์เซอร์ตรวจสอบและติดตั้งอัปเดตล่าสุดโดยอัตโนมัติ

    ช่องโหว่ CVE-2025-11756 เป็นแบบ use-after-free
    อยู่ในระบบ Safe Browsing ของ Chrome

    ช่องโหว่มีความรุนแรงระดับ “สูง”
    เสี่ยงต่อการถูกโจมตีแบบ Remote Code Execution (RCE)

    Google ปล่อยอัปเดต Chrome เวอร์ชัน 141.0.7390.107/.108
    สำหรับ Windows, macOS และ Linux

    ช่องโหว่สามารถถูกใช้ในแคมเปญ phishing หรือ drive-by download
    โดยฝังโค้ดอันตรายผ่านเว็บไซต์หรือไฟล์

    Google ยังไม่ยืนยันการโจมตีจริง
    แต่แนะนำให้ผู้ใช้ติดตั้งอัปเดตทันที

    วิธีอัปเดต: Settings → Help → About Google Chrome
    ระบบจะตรวจสอบและติดตั้งอัตโนมัติ

    คำเตือนและข้อจำกัด
    ช่องโหว่ use-after-free อาจถูกใช้เพื่อหลบหนี sandbox
    ทำให้มัลแวร์สามารถเข้าถึงระบบได้ลึกขึ้น

    ผู้ใช้ที่ยังไม่อัปเดต Chrome เสี่ยงต่อการถูกโจมตี
    โดยเฉพาะหากเปิดเว็บไซต์ที่ไม่ปลอดภัย

    องค์กรที่ใช้ Chrome ในระบบภายในควรเร่งอัปเดต
    เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของมัลแวร์ผ่านเครือข่าย

    ช่องโหว่ใน Safe Browsing อาจทำให้ระบบตรวจสอบภัยคุกคามล้มเหลว
    เปิดทางให้ผู้โจมตีหลอกผู้ใช้ให้เข้าถึงเนื้อหาอันตราย

    https://securityonline.info/chrome-fix-new-use-after-free-flaw-cve-2025-11756-in-safe-browsing-component-poses-high-risk/
    🛡️ “Google อุดช่องโหว่ CVE-2025-11756 ใน Safe Browsing — เสี่ยง RCE จาก use-after-free บน Chrome เวอร์ชันล่าสุด” Google ได้ปล่อยอัปเดตใหม่สำหรับ Chrome Desktop (เวอร์ชัน 141.0.7390.107/.108) เพื่อแก้ไขช่องโหว่ความปลอดภัยระดับสูง CVE-2025-11756 ซึ่งเป็นช่องโหว่แบบ “use-after-free” ที่อยู่ในระบบ Safe Browsing — ฟีเจอร์ที่ใช้ตรวจสอบเว็บไซต์และไฟล์อันตรายก่อนเข้าถึง ช่องโหว่นี้เกิดจากการที่โปรแกรมยังคงใช้งานหน่วยความจำที่ถูกปล่อยไปแล้ว ซึ่งอาจเปิดช่องให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดจากระยะไกล (Remote Code Execution) หรือหลบหนีจาก sandbox ได้ โดยเฉพาะในแคมเปญ phishing หรือ drive-by download ที่ใช้ช่องโหว่เพื่อฝังมัลแวร์ แม้ Google ยังไม่ยืนยันว่ามีการโจมตีจริงเกิดขึ้น แต่ระดับความรุนแรงของช่องโหว่และตำแหน่งในระบบ Safe Browsing ทำให้การอัปเดตครั้งนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนสำหรับผู้ใช้ทั่วไปและองค์กร Google แนะนำให้ผู้ใช้เข้าไปที่ Settings → Help → About Google Chrome เพื่อให้เบราว์เซอร์ตรวจสอบและติดตั้งอัปเดตล่าสุดโดยอัตโนมัติ ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-11756 เป็นแบบ use-after-free ➡️ อยู่ในระบบ Safe Browsing ของ Chrome ✅ ช่องโหว่มีความรุนแรงระดับ “สูง” ➡️ เสี่ยงต่อการถูกโจมตีแบบ Remote Code Execution (RCE) ✅ Google ปล่อยอัปเดต Chrome เวอร์ชัน 141.0.7390.107/.108 ➡️ สำหรับ Windows, macOS และ Linux ✅ ช่องโหว่สามารถถูกใช้ในแคมเปญ phishing หรือ drive-by download ➡️ โดยฝังโค้ดอันตรายผ่านเว็บไซต์หรือไฟล์ ✅ Google ยังไม่ยืนยันการโจมตีจริง ➡️ แต่แนะนำให้ผู้ใช้ติดตั้งอัปเดตทันที ✅ วิธีอัปเดต: Settings → Help → About Google Chrome ➡️ ระบบจะตรวจสอบและติดตั้งอัตโนมัติ ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ‼️ ช่องโหว่ use-after-free อาจถูกใช้เพื่อหลบหนี sandbox ⛔ ทำให้มัลแวร์สามารถเข้าถึงระบบได้ลึกขึ้น ‼️ ผู้ใช้ที่ยังไม่อัปเดต Chrome เสี่ยงต่อการถูกโจมตี ⛔ โดยเฉพาะหากเปิดเว็บไซต์ที่ไม่ปลอดภัย ‼️ องค์กรที่ใช้ Chrome ในระบบภายในควรเร่งอัปเดต ⛔ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของมัลแวร์ผ่านเครือข่าย ‼️ ช่องโหว่ใน Safe Browsing อาจทำให้ระบบตรวจสอบภัยคุกคามล้มเหลว ⛔ เปิดทางให้ผู้โจมตีหลอกผู้ใช้ให้เข้าถึงเนื้อหาอันตราย https://securityonline.info/chrome-fix-new-use-after-free-flaw-cve-2025-11756-in-safe-browsing-component-poses-high-risk/
    SECURITYONLINE.INFO
    Chrome Fix: New Use-After-Free Flaw (CVE-2025-11756) in Safe Browsing Component Poses High Risk
    Google released an urgent update for Chrome (v141.0.7390.107), patching a High-severity Use-After-Free flaw (CVE-2025-11756) in the Safe Browsing component. Update immediately.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 80 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Free Software ยังไม่ชนะ — เมื่อเสรีภาพของผู้ใช้ยังถูกล็อกไว้ในเฟิร์มแวร์และอุปกรณ์รอบตัว”

    บทความนี้เป็นฉบับเรียบเรียงจากการบรรยายของ Dorota ที่งาน P.I.W.O. ซึ่งตั้งคำถามว่า “Free Software ชนะแล้วจริงหรือ?” แม้เราจะใช้ Linux, Firefox, Inkscape และเครื่องมือโอเพ่นซอร์สมากมาย แต่เมื่อมองลึกลงไปในอุปกรณ์รอบตัว เช่น โทรศัพท์, เครื่องพิมพ์, การ์ดจอ, หรือแม้แต่จักรยานไฟฟ้า — เรากลับพบว่าเฟิร์มแวร์และซอฟต์แวร์ภายในยังคงเป็นระบบปิดที่ผู้ใช้ไม่มีสิทธิ์ควบคุม

    Dorota ยกตัวอย่างจากประสบการณ์พัฒนาโทรศัพท์ Librem 5 ที่ต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านสิทธิบัตรและการผูกขาดของผู้ผลิตชิปโมเด็ม ซึ่งทำให้ไม่สามารถหาชิ้นส่วนที่เปิดซอร์สได้อย่างแท้จริง แม้จะมีความพยายามจากชุมชนโอเพ่นซอร์ส แต่การล็อกบูตโหลดเดอร์, การจำกัดการอัปเดต, และการปิดกั้นการเข้าถึงซอร์สโค้ด ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ

    บทความยังชี้ให้เห็นว่าแม้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สจะถูกใช้ในอุปกรณ์มากมาย แต่ผู้ใช้กลับไม่มีสิทธิ์ในการศึกษา แก้ไข หรือแจกจ่ายซอฟต์แวร์นั้น เพราะผู้ผลิตเลือกใช้ไลเซนส์แบบ “permissive” ที่เปิดช่องให้ปิดซอร์สในภายหลังได้

    Dorota เสนอว่าการผลักดัน Free Software ให้ “ชนะจริง” ต้องอาศัยแรงผลักดันทางการเมือง เช่น การออกกฎหมายบังคับให้เปิดซอร์สเฟิร์มแวร์ หรือการสนับสนุนผู้ผลิตที่เป็นมิตรกับโอเพ่นซอร์ส เช่น Purism, Prusa, หรือ Espruino

    Free Software ยังไม่ชนะในระดับเฟิร์มแวร์และอุปกรณ์
    โทรศัพท์, เครื่องพิมพ์, การ์ดจอ, และอุปกรณ์ IoT ยังใช้ระบบปิด

    ตัวอย่างจาก Librem 5 พบข้อจำกัดด้านสิทธิบัตรและการผูกขาด
    ผู้ผลิตชิปโมเด็มควบคุมการเข้าถึงและการจัดจำหน่าย

    เฟิร์มแวร์ในอุปกรณ์ทั่วไปยังเป็นระบบปิด
    เช่น SSD, HDD, GPU, keyboard, network card

    Secure Boot และระบบล็อกบูตโหลดเดอร์จำกัดสิทธิ์ผู้ใช้
    ผู้ผลิตสามารถเลือกซอฟต์แวร์ที่ผู้ใช้รันได้

    ซอฟต์แวร์ที่ใช้ไลเซนส์ permissive อาจถูกปิดซอร์สในภายหลัง
    ผู้ใช้ไม่มีสิทธิ์แก้ไขหรือแจกจ่ายซอฟต์แวร์ที่ถูกดัดแปลง

    การสนับสนุนผู้ผลิตที่เปิดซอร์สเป็นทางเลือกหนึ่ง
    เช่น Librem 5, Prusa 3D, Espruino

    Google Chromebook มี BIOS และ Embedded Controller แบบเปิด
    ใช้ Coreboot และสามารถรัน Linux ได้อย่างเสรี

    Debian เป็นตัวอย่างของระบบที่พัฒนาโดยชุมชน
    ต่างจาก Android ที่ถูกควบคุมโดยบริษัท

    คำเตือนและข้อจำกัด
    ผู้ใช้ทั่วไปยังขาดสิทธิ์ในการควบคุมอุปกรณ์ของตนเอง
    เฟิร์มแวร์และระบบล็อกทำให้ไม่สามารถแก้ไขหรือปรับแต่งได้

    อุปกรณ์ที่ใช้บริการคลาวด์อาจกลายเป็น “อิฐ” เมื่อเซิร์ฟเวอร์ปิดตัว
    เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า, กล้อง, หรืออุปกรณ์เกษตร

    ซอฟต์แวร์ปิดในอุปกรณ์การแพทย์อาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้
    เช่น pacemaker ที่ไม่สามารถปรับแต่งหรือตรวจสอบได้

    การใช้ไลเซนส์ permissive โดยผู้ผลิตอาจทำให้ผู้ใช้เสียสิทธิ์
    แม้จะใช้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส แต่ไม่สามารถเข้าถึงซอร์สโค้ด

    การพัฒนาโดยบริษัทอาจขัดแย้งกับเป้าหมายของผู้ใช้
    เช่น Android ที่ปิดซอร์สส่วนสำคัญและจำกัดการอัปเดต

    https://dorotac.eu/posts/fosswon/
    🧠 “Free Software ยังไม่ชนะ — เมื่อเสรีภาพของผู้ใช้ยังถูกล็อกไว้ในเฟิร์มแวร์และอุปกรณ์รอบตัว” บทความนี้เป็นฉบับเรียบเรียงจากการบรรยายของ Dorota ที่งาน P.I.W.O. ซึ่งตั้งคำถามว่า “Free Software ชนะแล้วจริงหรือ?” แม้เราจะใช้ Linux, Firefox, Inkscape และเครื่องมือโอเพ่นซอร์สมากมาย แต่เมื่อมองลึกลงไปในอุปกรณ์รอบตัว เช่น โทรศัพท์, เครื่องพิมพ์, การ์ดจอ, หรือแม้แต่จักรยานไฟฟ้า — เรากลับพบว่าเฟิร์มแวร์และซอฟต์แวร์ภายในยังคงเป็นระบบปิดที่ผู้ใช้ไม่มีสิทธิ์ควบคุม Dorota ยกตัวอย่างจากประสบการณ์พัฒนาโทรศัพท์ Librem 5 ที่ต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านสิทธิบัตรและการผูกขาดของผู้ผลิตชิปโมเด็ม ซึ่งทำให้ไม่สามารถหาชิ้นส่วนที่เปิดซอร์สได้อย่างแท้จริง แม้จะมีความพยายามจากชุมชนโอเพ่นซอร์ส แต่การล็อกบูตโหลดเดอร์, การจำกัดการอัปเดต, และการปิดกั้นการเข้าถึงซอร์สโค้ด ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ บทความยังชี้ให้เห็นว่าแม้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สจะถูกใช้ในอุปกรณ์มากมาย แต่ผู้ใช้กลับไม่มีสิทธิ์ในการศึกษา แก้ไข หรือแจกจ่ายซอฟต์แวร์นั้น เพราะผู้ผลิตเลือกใช้ไลเซนส์แบบ “permissive” ที่เปิดช่องให้ปิดซอร์สในภายหลังได้ Dorota เสนอว่าการผลักดัน Free Software ให้ “ชนะจริง” ต้องอาศัยแรงผลักดันทางการเมือง เช่น การออกกฎหมายบังคับให้เปิดซอร์สเฟิร์มแวร์ หรือการสนับสนุนผู้ผลิตที่เป็นมิตรกับโอเพ่นซอร์ส เช่น Purism, Prusa, หรือ Espruino ✅ Free Software ยังไม่ชนะในระดับเฟิร์มแวร์และอุปกรณ์ ➡️ โทรศัพท์, เครื่องพิมพ์, การ์ดจอ, และอุปกรณ์ IoT ยังใช้ระบบปิด ✅ ตัวอย่างจาก Librem 5 พบข้อจำกัดด้านสิทธิบัตรและการผูกขาด ➡️ ผู้ผลิตชิปโมเด็มควบคุมการเข้าถึงและการจัดจำหน่าย ✅ เฟิร์มแวร์ในอุปกรณ์ทั่วไปยังเป็นระบบปิด ➡️ เช่น SSD, HDD, GPU, keyboard, network card ✅ Secure Boot และระบบล็อกบูตโหลดเดอร์จำกัดสิทธิ์ผู้ใช้ ➡️ ผู้ผลิตสามารถเลือกซอฟต์แวร์ที่ผู้ใช้รันได้ ✅ ซอฟต์แวร์ที่ใช้ไลเซนส์ permissive อาจถูกปิดซอร์สในภายหลัง ➡️ ผู้ใช้ไม่มีสิทธิ์แก้ไขหรือแจกจ่ายซอฟต์แวร์ที่ถูกดัดแปลง ✅ การสนับสนุนผู้ผลิตที่เปิดซอร์สเป็นทางเลือกหนึ่ง ➡️ เช่น Librem 5, Prusa 3D, Espruino ✅ Google Chromebook มี BIOS และ Embedded Controller แบบเปิด ➡️ ใช้ Coreboot และสามารถรัน Linux ได้อย่างเสรี ✅ Debian เป็นตัวอย่างของระบบที่พัฒนาโดยชุมชน ➡️ ต่างจาก Android ที่ถูกควบคุมโดยบริษัท ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ‼️ ผู้ใช้ทั่วไปยังขาดสิทธิ์ในการควบคุมอุปกรณ์ของตนเอง ⛔ เฟิร์มแวร์และระบบล็อกทำให้ไม่สามารถแก้ไขหรือปรับแต่งได้ ‼️ อุปกรณ์ที่ใช้บริการคลาวด์อาจกลายเป็น “อิฐ” เมื่อเซิร์ฟเวอร์ปิดตัว ⛔ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า, กล้อง, หรืออุปกรณ์เกษตร ‼️ ซอฟต์แวร์ปิดในอุปกรณ์การแพทย์อาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ ⛔ เช่น pacemaker ที่ไม่สามารถปรับแต่งหรือตรวจสอบได้ ‼️ การใช้ไลเซนส์ permissive โดยผู้ผลิตอาจทำให้ผู้ใช้เสียสิทธิ์ ⛔ แม้จะใช้ซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส แต่ไม่สามารถเข้าถึงซอร์สโค้ด ‼️ การพัฒนาโดยบริษัทอาจขัดแย้งกับเป้าหมายของผู้ใช้ ⛔ เช่น Android ที่ปิดซอร์สส่วนสำคัญและจำกัดการอัปเดต https://dorotac.eu/posts/fosswon/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 127 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Framework สปอนเซอร์ Hyprland จุดชนวนดราม่า — ชุมชนลินุกซ์ถกเดือดเรื่องอุดมการณ์และการเมือง”

    Framework ผู้ผลิตแล็ปท็อปแบบโมดูลาร์ชื่อดัง ประกาศเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2025 ว่าได้เป็นผู้สนับสนุนระดับ Gold ของ Hyprland ซึ่งเป็น Wayland compositor ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้ลินุกซ์สายปรับแต่งหน้าตา โดยข่าวนี้ถูกเผยแพร่พร้อมกับการเข้าร่วม Linux Foundation และการเป็นผู้สนับสนุนรายแรกของ Linux Vendor Firmware Service (LVFS)

    อย่างไรก็ตาม การสนับสนุน Hyprland กลับกลายเป็นประเด็นร้อนในชุมชนโอเพ่นซอร์ส เนื่องจาก Vaxry ผู้พัฒนา Hyprland เคยถูกแบนจาก freedesktop.org ด้วยเหตุผลเกี่ยวกับการจัดการ moderation ใน Discord ของโครงการ ซึ่งทำให้หลายคนมองว่า Hyprland มีแนวโน้มสนับสนุนแนวคิดฝ่ายขวา และไม่เป็นมิตรกับผู้มีแนวคิดเสรีนิยม

    กระแสยิ่งรุนแรงขึ้นเมื่อ Framework โพสต์บน X (Twitter) เปรียบเทียบ Omarchy Linux ซึ่งสร้างโดย David Heinemeier Hansson (DHH) กับ Windows XP ในเชิงขำขัน โดย DHH เป็นบุคคลที่มีแนวคิดขวาชัดเจนและเคยวิจารณ์แนวคิดเสรีนิยมอย่างตรงไปตรงมา ทำให้ผู้ใช้บางส่วนมองว่า Framework กำลังสนับสนุนบุคคลและโครงการที่มีแนวคิดการเมืองขวาจัด

    ผลคือเกิดกระทู้ในฟอรัมของ Framework ชื่อ “Framework supporting far-right racists?” ซึ่งมีการถกเถียงกันอย่างดุเดือดกว่า 1,300 ความเห็น โดย CEO ของ Framework, Nirav Patel ได้ออกมาตอบว่า บริษัทมีแนวทาง “big tent” ที่เปิดรับทุกโครงการโอเพ่นซอร์สโดยไม่พิจารณาแนวคิดทางการเมืองของผู้พัฒนา เพราะเป้าหมายคือการผลักดันโอเพ่นซอร์สให้เติบโต

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Framework เป็นผู้สนับสนุนระดับ Gold ของ Hyprland
    Hyprland เป็น Wayland compositor ที่เน้นความสวยงามและปรับแต่งได้
    Vaxry ผู้พัฒนา Hyprland เคยถูกแบนจาก freedesktop.org
    Framework เข้าร่วม Linux Foundation และสนับสนุน LVFS
    Framework โพสต์สนับสนุน Omarchy Linux ของ DHH
    DHH มีแนวคิดการเมืองขวาชัดเจน
    เกิดกระทู้ “Framework supporting far-right racists?” ในฟอรัม
    CEO Framework ตอบว่าแนวทางบริษัทคือ “big tent” ไม่เลือกข้างการเมือง
    ฟอรัมมีการถกเถียงกว่า 1,300 ความเห็น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    “Big tent” เป็นแนวคิดที่เปิดรับความหลากหลายเพื่อสร้างความร่วมมือ
    LVFS เป็นบริการที่ช่วยให้ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ปล่อย firmware ผ่านระบบลินุกซ์
    Hyprland ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้ Arch และผู้ชอบปรับแต่ง UI
    DHH เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Ruby on Rails และมีบทบาทในวงการซอฟต์แวร์
    การเมืองในวงการโอเพ่นซอร์สเริ่มมีบทบาทมากขึ้นในช่วงหลัง

    https://news.itsfoss.com/framework-hyprland-sponsorship/
    💻 “Framework สปอนเซอร์ Hyprland จุดชนวนดราม่า — ชุมชนลินุกซ์ถกเดือดเรื่องอุดมการณ์และการเมือง” Framework ผู้ผลิตแล็ปท็อปแบบโมดูลาร์ชื่อดัง ประกาศเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2025 ว่าได้เป็นผู้สนับสนุนระดับ Gold ของ Hyprland ซึ่งเป็น Wayland compositor ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้ลินุกซ์สายปรับแต่งหน้าตา โดยข่าวนี้ถูกเผยแพร่พร้อมกับการเข้าร่วม Linux Foundation และการเป็นผู้สนับสนุนรายแรกของ Linux Vendor Firmware Service (LVFS) อย่างไรก็ตาม การสนับสนุน Hyprland กลับกลายเป็นประเด็นร้อนในชุมชนโอเพ่นซอร์ส เนื่องจาก Vaxry ผู้พัฒนา Hyprland เคยถูกแบนจาก freedesktop.org ด้วยเหตุผลเกี่ยวกับการจัดการ moderation ใน Discord ของโครงการ ซึ่งทำให้หลายคนมองว่า Hyprland มีแนวโน้มสนับสนุนแนวคิดฝ่ายขวา และไม่เป็นมิตรกับผู้มีแนวคิดเสรีนิยม กระแสยิ่งรุนแรงขึ้นเมื่อ Framework โพสต์บน X (Twitter) เปรียบเทียบ Omarchy Linux ซึ่งสร้างโดย David Heinemeier Hansson (DHH) กับ Windows XP ในเชิงขำขัน โดย DHH เป็นบุคคลที่มีแนวคิดขวาชัดเจนและเคยวิจารณ์แนวคิดเสรีนิยมอย่างตรงไปตรงมา ทำให้ผู้ใช้บางส่วนมองว่า Framework กำลังสนับสนุนบุคคลและโครงการที่มีแนวคิดการเมืองขวาจัด ผลคือเกิดกระทู้ในฟอรัมของ Framework ชื่อ “Framework supporting far-right racists?” ซึ่งมีการถกเถียงกันอย่างดุเดือดกว่า 1,300 ความเห็น โดย CEO ของ Framework, Nirav Patel ได้ออกมาตอบว่า บริษัทมีแนวทาง “big tent” ที่เปิดรับทุกโครงการโอเพ่นซอร์สโดยไม่พิจารณาแนวคิดทางการเมืองของผู้พัฒนา เพราะเป้าหมายคือการผลักดันโอเพ่นซอร์สให้เติบโต ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Framework เป็นผู้สนับสนุนระดับ Gold ของ Hyprland ➡️ Hyprland เป็น Wayland compositor ที่เน้นความสวยงามและปรับแต่งได้ ➡️ Vaxry ผู้พัฒนา Hyprland เคยถูกแบนจาก freedesktop.org ➡️ Framework เข้าร่วม Linux Foundation และสนับสนุน LVFS ➡️ Framework โพสต์สนับสนุน Omarchy Linux ของ DHH ➡️ DHH มีแนวคิดการเมืองขวาชัดเจน ➡️ เกิดกระทู้ “Framework supporting far-right racists?” ในฟอรัม ➡️ CEO Framework ตอบว่าแนวทางบริษัทคือ “big tent” ไม่เลือกข้างการเมือง ➡️ ฟอรัมมีการถกเถียงกว่า 1,300 ความเห็น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ “Big tent” เป็นแนวคิดที่เปิดรับความหลากหลายเพื่อสร้างความร่วมมือ ➡️ LVFS เป็นบริการที่ช่วยให้ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ปล่อย firmware ผ่านระบบลินุกซ์ ➡️ Hyprland ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้ Arch และผู้ชอบปรับแต่ง UI ➡️ DHH เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Ruby on Rails และมีบทบาทในวงการซอฟต์แวร์ ➡️ การเมืองในวงการโอเพ่นซอร์สเริ่มมีบทบาทมากขึ้นในช่วงหลัง https://news.itsfoss.com/framework-hyprland-sponsorship/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Framework is Accused of Supporting the Far-right, Apparently for Sponsoring the Hyprland Project
    The announcement has generated quite some buzz but for all the wrong reasons.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 128 มุมมอง 0 รีวิว
  • Buy Craigslist Posting Service

    https://globalseoshop.com/product/buy-craigslist-posting-service/

    On the off chance that you need more data simply thump us-
    Email: Globalseoshop@gmail.com
    WhatsApp: +1(864)7088783
    Skype: GlobalSeoShop
    Telegram: @GlobalSeoShop

    #BuyCraigslistliveadsfree
    #buyCraigslistliveadscalifornia
    #Buycraigslistadpostingservice
    #Buycraigslistpostingservicemultiplecities
    #Buycraigslistpostingservicecost
    #Buyautomatedcraigslistposting service
    #bestxraigslistadpostingservice
    Buy Craigslist Posting Service https://globalseoshop.com/product/buy-craigslist-posting-service/ On the off chance that you need more data simply thump us- Email: Globalseoshop@gmail.com WhatsApp: +1(864)7088783 Skype: GlobalSeoShop Telegram: @GlobalSeoShop #BuyCraigslistliveadsfree #buyCraigslistliveadscalifornia #Buycraigslistadpostingservice #Buycraigslistpostingservicemultiplecities #Buycraigslistpostingservicecost #Buyautomatedcraigslistposting service #bestxraigslistadpostingservice
    GLOBALSEOSHOP.COM
    Buy Craigslist Posting Service
    If you're looking to expand your business's reach on Craigslist, then it might be worth considering Buy Craigslist posting services from GlobalSeoShop.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 106 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: เมื่อระบบปิดกลายเป็นกรงขังความคิดสร้างสรรค์ – 5 สัญญาณที่บอกว่าคุณควรเปลี่ยนมาใช้โอเพ่นซอร์ส

    คุณเคยรู้สึกว่าซอฟต์แวร์ที่คุณใช้อยู่กำลังควบคุมวิธีทำงานของคุณมากกว่าที่คุณควบคุมมันไหม? บทความนี้ชี้ให้เห็นถึง 5 สัญญาณที่บอกว่าระบบปิด (Proprietary Workflow) กำลังบั่นทอนความคิดสร้างสรรค์ของคุณ และเสนอทางออกด้วย Free and Open Source Software (FOSS) ที่ให้คุณกลับมาควบคุมงานของตัวเองได้อีกครั้ง

    ตั้งแต่การถูกล็อกให้ใช้ซอฟต์แวร์แบบจ่ายรายเดือน ไปจนถึงการไม่สามารถปรับแต่งเครื่องมือให้เหมาะกับสไตล์การทำงานของตัวเอง ระบบปิดเหล่านี้อาจทำให้คุณรู้สึกเหมือนถูกจำกัดเสรีภาพในการสร้างสรรค์งาน ไม่ว่าจะเป็นนักเขียนที่ต้องพึ่งพาโปรแกรมเดียวในการเปิดต้นฉบับ หรือศิลปินที่ต้อง “flatten” งานศิลป์เพื่อส่งออกไฟล์

    FOSS เสนอทางเลือกที่เปิดกว้างกว่า เช่น LibreOffice, Krita, Inkscape, Blender และ Emacs ที่ไม่เพียงแต่ฟรี แต่ยังให้คุณปรับแต่งเครื่องมือได้ตามใจ แชร์ไฟล์ได้ง่าย และไม่ต้องกลัวว่าฟีเจอร์ที่คุณรักจะหายไปหลังอัปเดต

    นอกจากนี้ยังมีชุมชนผู้ใช้ที่พร้อมช่วยเหลือและพัฒนาเครื่องมือให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้คุณไม่ต้องพึ่งพาบริษัทใหญ่ที่อาจเปลี่ยนแปลงนโยบายโดยไม่แจ้งล่วงหน้า

    คุณถูกล็อกให้ใช้ซอฟต์แวร์แบบจ่ายรายเดือน
    เสี่ยงต่อการสูญเสียการเข้าถึงไฟล์เมื่อหมดอายุ
    การเปลี่ยนแปลงราคาและฟีเจอร์โดยไม่แจ้งล่วงหน้า

    ไฟล์ของคุณถูกขังในรูปแบบเฉพาะ
    ไม่สามารถเปิดในโปรแกรมอื่นได้
    การส่งออกทำให้สูญเสียเลเยอร์หรือความสามารถในการแก้ไข

    คุณไม่สามารถปรับแต่งหรือเพิ่มฟีเจอร์ให้เครื่องมือ
    ไม่มีระบบปลั๊กอินหรือสคริปต์
    ต้องทำงานซ้ำ ๆ โดยไม่มีทางลัด

    การทำงานร่วมกับผู้อื่นถูกจำกัด
    ต้องใช้โปรแกรมเดียวกันเพื่อเปิดไฟล์
    การส่งออกไฟล์ทำให้คุณภาพลดลง

    ฟีเจอร์ที่คุณใช้อาจหายไปเมื่อมีการอัปเดต
    ไม่มีสิทธิ์ควบคุมการเปลี่ยนแปลง
    ต้องปรับตัวกับระบบใหม่โดยไม่เต็มใจ

    ทางออกด้วย FOSS
    โปรแกรมเช่น LibreOffice, Krita, Inkscape, Blender, Emacs
    รองรับไฟล์เปิด (ODT, SVG, PNG, EXR)
    มีชุมชนช่วยเหลือและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

    คำเตือนเกี่ยวกับการใช้ระบบปิด
    เสี่ยงต่อการสูญเสียไฟล์หรือการเข้าถึงเมื่อเลิกจ่าย
    ไม่สามารถควบคุมหรือปรับแต่งเครื่องมือให้เหมาะกับงาน
    การทำงานร่วมกับผู้อื่นอาจติดขัดจากข้อจำกัดของไฟล์

    https://news.itsfoss.com/proprietary-workflow-stifling-creativity/
    📰 หัวข้อข่าว: เมื่อระบบปิดกลายเป็นกรงขังความคิดสร้างสรรค์ – 5 สัญญาณที่บอกว่าคุณควรเปลี่ยนมาใช้โอเพ่นซอร์ส คุณเคยรู้สึกว่าซอฟต์แวร์ที่คุณใช้อยู่กำลังควบคุมวิธีทำงานของคุณมากกว่าที่คุณควบคุมมันไหม? บทความนี้ชี้ให้เห็นถึง 5 สัญญาณที่บอกว่าระบบปิด (Proprietary Workflow) กำลังบั่นทอนความคิดสร้างสรรค์ของคุณ และเสนอทางออกด้วย Free and Open Source Software (FOSS) ที่ให้คุณกลับมาควบคุมงานของตัวเองได้อีกครั้ง ตั้งแต่การถูกล็อกให้ใช้ซอฟต์แวร์แบบจ่ายรายเดือน ไปจนถึงการไม่สามารถปรับแต่งเครื่องมือให้เหมาะกับสไตล์การทำงานของตัวเอง ระบบปิดเหล่านี้อาจทำให้คุณรู้สึกเหมือนถูกจำกัดเสรีภาพในการสร้างสรรค์งาน ไม่ว่าจะเป็นนักเขียนที่ต้องพึ่งพาโปรแกรมเดียวในการเปิดต้นฉบับ หรือศิลปินที่ต้อง “flatten” งานศิลป์เพื่อส่งออกไฟล์ FOSS เสนอทางเลือกที่เปิดกว้างกว่า เช่น LibreOffice, Krita, Inkscape, Blender และ Emacs ที่ไม่เพียงแต่ฟรี แต่ยังให้คุณปรับแต่งเครื่องมือได้ตามใจ แชร์ไฟล์ได้ง่าย และไม่ต้องกลัวว่าฟีเจอร์ที่คุณรักจะหายไปหลังอัปเดต นอกจากนี้ยังมีชุมชนผู้ใช้ที่พร้อมช่วยเหลือและพัฒนาเครื่องมือให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้คุณไม่ต้องพึ่งพาบริษัทใหญ่ที่อาจเปลี่ยนแปลงนโยบายโดยไม่แจ้งล่วงหน้า ✅ คุณถูกล็อกให้ใช้ซอฟต์แวร์แบบจ่ายรายเดือน ➡️ เสี่ยงต่อการสูญเสียการเข้าถึงไฟล์เมื่อหมดอายุ ➡️ การเปลี่ยนแปลงราคาและฟีเจอร์โดยไม่แจ้งล่วงหน้า ✅ ไฟล์ของคุณถูกขังในรูปแบบเฉพาะ ➡️ ไม่สามารถเปิดในโปรแกรมอื่นได้ ➡️ การส่งออกทำให้สูญเสียเลเยอร์หรือความสามารถในการแก้ไข ✅ คุณไม่สามารถปรับแต่งหรือเพิ่มฟีเจอร์ให้เครื่องมือ ➡️ ไม่มีระบบปลั๊กอินหรือสคริปต์ ➡️ ต้องทำงานซ้ำ ๆ โดยไม่มีทางลัด ✅ การทำงานร่วมกับผู้อื่นถูกจำกัด ➡️ ต้องใช้โปรแกรมเดียวกันเพื่อเปิดไฟล์ ➡️ การส่งออกไฟล์ทำให้คุณภาพลดลง ✅ ฟีเจอร์ที่คุณใช้อาจหายไปเมื่อมีการอัปเดต ➡️ ไม่มีสิทธิ์ควบคุมการเปลี่ยนแปลง ➡️ ต้องปรับตัวกับระบบใหม่โดยไม่เต็มใจ ✅ ทางออกด้วย FOSS ➡️ โปรแกรมเช่น LibreOffice, Krita, Inkscape, Blender, Emacs ➡️ รองรับไฟล์เปิด (ODT, SVG, PNG, EXR) ➡️ มีชุมชนช่วยเหลือและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการใช้ระบบปิด ⛔ เสี่ยงต่อการสูญเสียไฟล์หรือการเข้าถึงเมื่อเลิกจ่าย ⛔ ไม่สามารถควบคุมหรือปรับแต่งเครื่องมือให้เหมาะกับงาน ⛔ การทำงานร่วมกับผู้อื่นอาจติดขัดจากข้อจำกัดของไฟล์ https://news.itsfoss.com/proprietary-workflow-stifling-creativity/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    5 Signs Your Proprietary Workflow Is Stifling Your Creativity (And What You Can Do About It)
    If these signs feel familiar, your creativity may be stifled by proprietary constraints.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 112 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Python 3.14 มาแล้ว! เร็วขึ้นกว่าเดิม แต่ JIT ยังไม่เปรี้ยง — Free-threading คือดาวเด่นของเวอร์ชันนี้”

    หลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 7 ตุลาคม 2025 Python 3.14 ได้รับการทดสอบประสิทธิภาพโดยนักพัฒนา Miguel Grinberg ซึ่งเปรียบเทียบกับเวอร์ชันก่อนหน้าและภาษาคู่แข่งอย่าง Node.js, Rust และ Pypy โดยใช้สคริปต์ทดสอบสองแบบคือ Fibonacci (เน้น recursion) และ Bubble Sort (เน้น iteration)

    ผลลัพธ์ชี้ว่า Python 3.14 เร็วกว่า Python 3.13 ประมาณ 27% ในการคำนวณ Fibonacci และเร็วกว่าเวอร์ชัน 3.11 ถึง 45% โดย Bubble Sort ก็เร็วขึ้นเช่นกัน แม้จะไม่มากเท่า Fibonacci

    นอกจากนี้ Python 3.14 ยังมี interpreter แบบใหม่สองแบบคือ JIT (Just-In-Time) และ Free-threading (FT) ซึ่งเปิดตัวตั้งแต่เวอร์ชัน 3.13 โดย JIT ยังไม่แสดงผลลัพธ์ที่โดดเด่นในงานทดสอบของ Miguel แต่ Free-threading กลับสร้างความประทับใจ โดยสามารถรันงานแบบ multi-thread ได้เร็วกว่า interpreter ปกติถึง 3 เท่าในบางกรณี

    การเปลี่ยนแปลงนี้มีความสำคัญ เพราะ Free-threading ช่วยปลดล็อกข้อจำกัดของ GIL (Global Interpreter Lock) ที่เคยเป็นอุปสรรคในการใช้ Python กับงานที่ต้องการประมวลผลหลายเธรดพร้อมกัน เช่น งานด้าน data science, machine learning และ simulation

    นอกจากนี้ Python 3.14 ยังมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ เช่น t-strings (PEP 750) สำหรับการจัดการข้อความแบบปลอดภัย, การรองรับ UUID เวอร์ชัน 6–8, และโมดูลใหม่สำหรับการบีบอัดข้อมูลด้วย Zstandard (PEP 784)

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Python 3.14 เปิดตัวเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2025
    เร็วกว่า Python 3.13 ประมาณ 27% ในการคำนวณ Fibonacci
    Bubble Sort ก็เร็วขึ้น แต่ไม่มากเท่า Fibonacci
    มี interpreter ใหม่: JIT และ Free-threading (FT)
    Free-threading รันงาน multi-thread ได้เร็วกว่า interpreter ปกติถึง 3 เท่า
    JIT ยังไม่แสดงผลลัพธ์ที่โดดเด่นในงานทดสอบ
    ฟีเจอร์ใหม่: t-strings (PEP 750), UUID v6–8, โมดูลบีบอัด Zstandard (PEP 784)
    รองรับการพัฒนาแอป Android ด้วย binary อย่างเป็นทางการ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    GIL เป็นข้อจำกัดที่ทำให้ Python ไม่สามารถใช้ CPU หลายคอร์ได้เต็มที่
    Free-threading ช่วยให้ Python ใช้ multi-core ได้จริง โดยไม่ต้องใช้ multiprocessing
    NumPy เริ่มรองรับ Free-threading แล้วใน Linux และ macOS
    t-strings ช่วยลดความเสี่ยงจาก SQL injection และ XSS
    Rust และ Pypy ยังเร็วกว่า Python 3.14 อย่างมากในงานที่ใช้ CPU หนัก

    คำเตือนและข้อจำกัด
    JIT ยังไม่ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนในงานที่ใช้ recursion หนัก
    Free-threading ยังช้ากว่า interpreter ปกติในงาน single-thread
    การเปลี่ยน interpreter อาจต้อง rebuild จาก source และปรับ config
    ฟีเจอร์ใหม่บางอย่างยังไม่รองรับในทุกระบบปฏิบัติการ
    การใช้ Free-threading ต้องระวังเรื่อง thread safety และการจัดการ memory

    https://blog.miguelgrinberg.com/post/python-3-14-is-here-how-fast-is-it
    🐍 “Python 3.14 มาแล้ว! เร็วขึ้นกว่าเดิม แต่ JIT ยังไม่เปรี้ยง — Free-threading คือดาวเด่นของเวอร์ชันนี้” หลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 7 ตุลาคม 2025 Python 3.14 ได้รับการทดสอบประสิทธิภาพโดยนักพัฒนา Miguel Grinberg ซึ่งเปรียบเทียบกับเวอร์ชันก่อนหน้าและภาษาคู่แข่งอย่าง Node.js, Rust และ Pypy โดยใช้สคริปต์ทดสอบสองแบบคือ Fibonacci (เน้น recursion) และ Bubble Sort (เน้น iteration) ผลลัพธ์ชี้ว่า Python 3.14 เร็วกว่า Python 3.13 ประมาณ 27% ในการคำนวณ Fibonacci และเร็วกว่าเวอร์ชัน 3.11 ถึง 45% โดย Bubble Sort ก็เร็วขึ้นเช่นกัน แม้จะไม่มากเท่า Fibonacci นอกจากนี้ Python 3.14 ยังมี interpreter แบบใหม่สองแบบคือ JIT (Just-In-Time) และ Free-threading (FT) ซึ่งเปิดตัวตั้งแต่เวอร์ชัน 3.13 โดย JIT ยังไม่แสดงผลลัพธ์ที่โดดเด่นในงานทดสอบของ Miguel แต่ Free-threading กลับสร้างความประทับใจ โดยสามารถรันงานแบบ multi-thread ได้เร็วกว่า interpreter ปกติถึง 3 เท่าในบางกรณี การเปลี่ยนแปลงนี้มีความสำคัญ เพราะ Free-threading ช่วยปลดล็อกข้อจำกัดของ GIL (Global Interpreter Lock) ที่เคยเป็นอุปสรรคในการใช้ Python กับงานที่ต้องการประมวลผลหลายเธรดพร้อมกัน เช่น งานด้าน data science, machine learning และ simulation นอกจากนี้ Python 3.14 ยังมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ เช่น t-strings (PEP 750) สำหรับการจัดการข้อความแบบปลอดภัย, การรองรับ UUID เวอร์ชัน 6–8, และโมดูลใหม่สำหรับการบีบอัดข้อมูลด้วย Zstandard (PEP 784) ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Python 3.14 เปิดตัวเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2025 ➡️ เร็วกว่า Python 3.13 ประมาณ 27% ในการคำนวณ Fibonacci ➡️ Bubble Sort ก็เร็วขึ้น แต่ไม่มากเท่า Fibonacci ➡️ มี interpreter ใหม่: JIT และ Free-threading (FT) ➡️ Free-threading รันงาน multi-thread ได้เร็วกว่า interpreter ปกติถึง 3 เท่า ➡️ JIT ยังไม่แสดงผลลัพธ์ที่โดดเด่นในงานทดสอบ ➡️ ฟีเจอร์ใหม่: t-strings (PEP 750), UUID v6–8, โมดูลบีบอัด Zstandard (PEP 784) ➡️ รองรับการพัฒนาแอป Android ด้วย binary อย่างเป็นทางการ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ GIL เป็นข้อจำกัดที่ทำให้ Python ไม่สามารถใช้ CPU หลายคอร์ได้เต็มที่ ➡️ Free-threading ช่วยให้ Python ใช้ multi-core ได้จริง โดยไม่ต้องใช้ multiprocessing ➡️ NumPy เริ่มรองรับ Free-threading แล้วใน Linux และ macOS ➡️ t-strings ช่วยลดความเสี่ยงจาก SQL injection และ XSS ➡️ Rust และ Pypy ยังเร็วกว่า Python 3.14 อย่างมากในงานที่ใช้ CPU หนัก ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ JIT ยังไม่ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนในงานที่ใช้ recursion หนัก ⛔ Free-threading ยังช้ากว่า interpreter ปกติในงาน single-thread ⛔ การเปลี่ยน interpreter อาจต้อง rebuild จาก source และปรับ config ⛔ ฟีเจอร์ใหม่บางอย่างยังไม่รองรับในทุกระบบปฏิบัติการ ⛔ การใช้ Free-threading ต้องระวังเรื่อง thread safety และการจัดการ memory https://blog.miguelgrinberg.com/post/python-3-14-is-here-how-fast-is-it
    BLOG.MIGUELGRINBERG.COM
    Python 3.14 Is Here. How Fast Is It?
    In November of 2024 I wrote a blog post titled "Is Python Really That Slow?", in which I tested several versions of Python and noted the steady progress the language has been making in terms of…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 132 มุมมอง 0 รีวิว
  • “RediShell — ช่องโหว่ 13 ปีใน Redis ที่เปิดประตูให้แฮกเกอร์ยึดเซิร์ฟเวอร์กว่า 60,000 เครื่องทั่วโลก”

    Redis ฐานข้อมูลแบบ in-memory ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในระบบคลาวด์ทั่วโลก กำลังเผชิญกับช่องโหว่ร้ายแรงที่ถูกค้นพบในปี 2025 โดยนักวิจัยจาก Wiz ซึ่งตั้งชื่อว่า “RediShell” (CVE-2025-49844) ช่องโหว่นี้มีคะแนนความรุนแรง CVSS เต็ม 10.0 และถูกซ่อนอยู่ในโค้ดของ Redis มานานกว่า 13 ปีโดยไม่มีใครตรวจพบ

    จุดอ่อนเกิดจากบั๊กประเภท use-after-free ใน Lua interpreter ของ Redis ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่เปิดใช้งานโดยค่าเริ่มต้น ผู้โจมตีสามารถส่งสคริปต์ Lua ที่ถูกออกแบบมาอย่างเจาะจงเพื่อหลบหนีจาก sandbox และรันคำสั่ง native บนเซิร์ฟเวอร์ได้โดยตรง ส่งผลให้สามารถขโมยข้อมูล ติดตั้งมัลแวร์ หรือใช้เซิร์ฟเวอร์ที่ถูกยึดเพื่อโจมตีระบบอื่นต่อได้

    จากการสแกนของ Wiz พบว่า Redis ถูกใช้งานในกว่า 75% ของระบบคลาวด์ และมี Redis instance ที่เปิดให้เข้าถึงจากอินเทอร์เน็ตกว่า 330,000 เครื่อง โดยประมาณ 60,000 เครื่องไม่มีระบบ authentication ใด ๆ ทำให้เสี่ยงต่อการถูกโจมตีโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน

    Redis ได้ออกแพตช์แก้ไขเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2025 และแนะนำให้ผู้ดูแลระบบอัปเดตทันที พร้อมตั้งค่าความปลอดภัยเพิ่มเติม เช่น ปิด Lua scripting หากไม่จำเป็น ใช้บัญชี non-root และจำกัดการเข้าถึงผ่าน firewall หรือ VPC

    RediShell เป็นตัวอย่างชัดเจนของ “หนี้ทางเทคนิค” ที่สะสมในโค้ดโอเพ่นซอร์ส และแสดงให้เห็นว่าการตั้งค่าระบบที่ไม่รัดกุมสามารถเปิดช่องให้เกิดการโจมตีระดับร้ายแรงได้ แม้จะไม่มีหลักฐานว่าช่องโหว่นี้ถูกใช้โจมตีจริงในขณะนี้ แต่ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นถือว่าสูงมาก โดยเฉพาะในระบบที่เปิดสู่สาธารณะ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ช่องโหว่ RediShell (CVE-2025-49844) เป็นบั๊ก use-after-free ใน Lua interpreter ของ Redis
    ผู้โจมตีสามารถส่ง Lua script เพื่อหลบหนี sandbox และรันคำสั่ง native บนเซิร์ฟเวอร์
    มี Redis instance เปิดสู่สาธารณะกว่า 330,000 เครื่อง โดย 60,000 ไม่มี authentication
    Redis ใช้ในกว่า 75% ของระบบคลาวด์ทั่วโลก
    Redis ออกแพตช์แก้ไขเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2025
    Wiz ค้นพบช่องโหว่นี้ในงาน Pwn2Own Berlin และแจ้ง Redis ล่วงหน้า
    แนะนำให้ปิด Lua scripting หากไม่จำเป็น และใช้บัญชี non-root
    ควรจำกัดการเข้าถึง Redis ด้วย firewall หรือ VPC
    เปิดระบบ logging และ monitoring เพื่อจับพฤติกรรมผิดปกติ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Lua เป็นภาษา lightweight ที่นิยมใช้ใน embedded systems และเกม
    use-after-free เป็นบั๊กที่เกิดจากการใช้ memory หลังจากถูกปล่อยคืนแล้ว
    Redis เคยถูกโจมตีด้วยมัลแวร์ เช่น P2PInfect, Redigo, HeadCrab และ Migo
    Redis container บน Docker มักไม่มีการตั้งค่า authentication โดยค่าเริ่มต้น
    การตั้งค่า bind 0.0.0.0 ใน Docker Compose อาจเปิด Redis สู่สาธารณะโดยไม่ตั้งใจ

    https://hackread.com/13-year-old-redishell-vulnerability-redis-servers-risk/
    🔥 “RediShell — ช่องโหว่ 13 ปีใน Redis ที่เปิดประตูให้แฮกเกอร์ยึดเซิร์ฟเวอร์กว่า 60,000 เครื่องทั่วโลก” Redis ฐานข้อมูลแบบ in-memory ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในระบบคลาวด์ทั่วโลก กำลังเผชิญกับช่องโหว่ร้ายแรงที่ถูกค้นพบในปี 2025 โดยนักวิจัยจาก Wiz ซึ่งตั้งชื่อว่า “RediShell” (CVE-2025-49844) ช่องโหว่นี้มีคะแนนความรุนแรง CVSS เต็ม 10.0 และถูกซ่อนอยู่ในโค้ดของ Redis มานานกว่า 13 ปีโดยไม่มีใครตรวจพบ จุดอ่อนเกิดจากบั๊กประเภท use-after-free ใน Lua interpreter ของ Redis ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่เปิดใช้งานโดยค่าเริ่มต้น ผู้โจมตีสามารถส่งสคริปต์ Lua ที่ถูกออกแบบมาอย่างเจาะจงเพื่อหลบหนีจาก sandbox และรันคำสั่ง native บนเซิร์ฟเวอร์ได้โดยตรง ส่งผลให้สามารถขโมยข้อมูล ติดตั้งมัลแวร์ หรือใช้เซิร์ฟเวอร์ที่ถูกยึดเพื่อโจมตีระบบอื่นต่อได้ จากการสแกนของ Wiz พบว่า Redis ถูกใช้งานในกว่า 75% ของระบบคลาวด์ และมี Redis instance ที่เปิดให้เข้าถึงจากอินเทอร์เน็ตกว่า 330,000 เครื่อง โดยประมาณ 60,000 เครื่องไม่มีระบบ authentication ใด ๆ ทำให้เสี่ยงต่อการถูกโจมตีโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน Redis ได้ออกแพตช์แก้ไขเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2025 และแนะนำให้ผู้ดูแลระบบอัปเดตทันที พร้อมตั้งค่าความปลอดภัยเพิ่มเติม เช่น ปิด Lua scripting หากไม่จำเป็น ใช้บัญชี non-root และจำกัดการเข้าถึงผ่าน firewall หรือ VPC RediShell เป็นตัวอย่างชัดเจนของ “หนี้ทางเทคนิค” ที่สะสมในโค้ดโอเพ่นซอร์ส และแสดงให้เห็นว่าการตั้งค่าระบบที่ไม่รัดกุมสามารถเปิดช่องให้เกิดการโจมตีระดับร้ายแรงได้ แม้จะไม่มีหลักฐานว่าช่องโหว่นี้ถูกใช้โจมตีจริงในขณะนี้ แต่ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นถือว่าสูงมาก โดยเฉพาะในระบบที่เปิดสู่สาธารณะ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ช่องโหว่ RediShell (CVE-2025-49844) เป็นบั๊ก use-after-free ใน Lua interpreter ของ Redis ➡️ ผู้โจมตีสามารถส่ง Lua script เพื่อหลบหนี sandbox และรันคำสั่ง native บนเซิร์ฟเวอร์ ➡️ มี Redis instance เปิดสู่สาธารณะกว่า 330,000 เครื่อง โดย 60,000 ไม่มี authentication ➡️ Redis ใช้ในกว่า 75% ของระบบคลาวด์ทั่วโลก ➡️ Redis ออกแพตช์แก้ไขเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2025 ➡️ Wiz ค้นพบช่องโหว่นี้ในงาน Pwn2Own Berlin และแจ้ง Redis ล่วงหน้า ➡️ แนะนำให้ปิด Lua scripting หากไม่จำเป็น และใช้บัญชี non-root ➡️ ควรจำกัดการเข้าถึง Redis ด้วย firewall หรือ VPC ➡️ เปิดระบบ logging และ monitoring เพื่อจับพฤติกรรมผิดปกติ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Lua เป็นภาษา lightweight ที่นิยมใช้ใน embedded systems และเกม ➡️ use-after-free เป็นบั๊กที่เกิดจากการใช้ memory หลังจากถูกปล่อยคืนแล้ว ➡️ Redis เคยถูกโจมตีด้วยมัลแวร์ เช่น P2PInfect, Redigo, HeadCrab และ Migo ➡️ Redis container บน Docker มักไม่มีการตั้งค่า authentication โดยค่าเริ่มต้น ➡️ การตั้งค่า bind 0.0.0.0 ใน Docker Compose อาจเปิด Redis สู่สาธารณะโดยไม่ตั้งใจ https://hackread.com/13-year-old-redishell-vulnerability-redis-servers-risk/
    HACKREAD.COM
    13-Year-Old RediShell Vulnerability Puts 60,000 Redis Servers at Risk
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 168 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แคนาดาเสนอร่างกฎหมาย C-8 — เปิดช่องให้รัฐตัดอินเทอร์เน็ตบุคคลใดก็ได้โดยไม่ต้องมีหมายศาล”

    ในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2025 รัฐบาลแคนาดาได้เสนอร่างกฎหมาย C-8 ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร โดยมีสาระสำคัญคือการให้อำนาจรัฐในการ “ตัดการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต” ของบุคคลที่ถูกระบุว่าเป็น “บุคคลที่ระบุไว้” (specified persons) โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการยุติธรรมล่วงหน้า

    ร่างกฎหมายนี้จะปรับแก้พระราชบัญญัติการสื่อสารโทรคมนาคม (Telecommunications Act) โดยเพิ่มบทบัญญัติที่ให้อำนาจรัฐมนตรีอุตสาหกรรม (ปัจจุบันคือ Mélanie Joly) ร่วมกับรัฐมนตรีความมั่นคงสาธารณะ (Gary Anandasangaree) ในการสั่งให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต เช่น Rogers หรือ Telus “หยุดให้บริการแก่บุคคลใดก็ได้” ที่รัฐเห็นว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงไซเบอร์

    สิ่งที่น่ากังวลคือ คำสั่งนี้ไม่ต้องมีหมายศาล และการตรวจสอบโดยศาลจะเกิดขึ้น “หลังจาก” ที่มีการตัดบริการไปแล้ว กล่าวคือ บุคคลที่ถูกตัดอินเทอร์เน็ตจะไม่มีโอกาสโต้แย้งหรือรับรู้ล่วงหน้า

    รัฐบาลให้เหตุผลว่า กฎหมายนี้จำเป็นต่อการรับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์ที่รุนแรงขึ้น เช่น การโจมตีจากแฮกเกอร์ การขโมยข้อมูลจากรัฐ และการแทรกแซงระบบโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ โดยระบุว่า “เพื่อปกป้องระบบโทรคมนาคมของแคนาดาจากการแทรกแซง การบิดเบือน การหยุดชะงัก หรือการเสื่อมถอย”

    อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์จากสมาคมสิทธิเสรีภาพพลเมืองแคนาดา (CCLA) เตือนว่า ร่างกฎหมายนี้ให้อำนาจรัฐมากเกินไปในการสอดแนมและควบคุมข้อมูลโดยไม่ต้องแจ้งให้ประชาชนทราบ และอาจนำไปสู่การลดทอนมาตรฐานการเข้ารหัสข้อมูลของเอกชน

    ที่สำคัญคือ ร่างกฎหมายนี้ขัดแย้งกับจุดยืนเดิมของรัฐบาลแคนาดา ที่เคยประกาศว่า “การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตคือสิทธิมนุษยชน” และเคยเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งของ Freedom Online Coalition ซึ่งส่งเสริมเสรีภาพออนไลน์ทั่วโลก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ร่างกฎหมาย C-8 ให้อำนาจรัฐในการตัดอินเทอร์เน็ตของบุคคลที่ถูกระบุว่าเป็นภัย
    ไม่ต้องมีหมายศาล และการตรวจสอบโดยศาลจะเกิดหลังจากมีคำสั่งแล้ว
    รัฐมนตรีอุตสาหกรรมและรัฐมนตรีความมั่นคงสามารถออกคำสั่งร่วมกันได้
    ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตต้องปฏิบัติตามคำสั่งโดยไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ
    เหตุผลของรัฐคือเพื่อรับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์ เช่น แฮกเกอร์และการแทรกแซงระบบ
    ร่างกฎหมายนี้แก้ไขพระราชบัญญัติการสื่อสารโทรคมนาคมของแคนาดา
    มีการวิจารณ์จาก CCLA ว่าอาจนำไปสู่การสอดแนมและลดมาตรฐานการเข้ารหัส
    ขัดแย้งกับจุดยืนเดิมของรัฐบาลที่เคยสนับสนุนเสรีภาพออนไลน์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Freedom Online Coalition เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ส่งเสริมเสรีภาพอินเทอร์เน็ต
    หลายประเทศ เช่น เยอรมนีและเนเธอร์แลนด์ เคยวิจารณ์การควบคุมอินเทอร์เน็ตของรัฐ
    การตัดอินเทอร์เน็ตของบุคคลอาจกระทบสิทธิในการแสดงออกและการเข้าถึงข้อมูล
    การสอดแนมโดยไม่แจ้งล่วงหน้าอาจละเมิดสิทธิในความเป็นส่วนตัวตามกฎบัตรสิทธิ
    การลดมาตรฐานการเข้ารหัสอาจทำให้ข้อมูลของประชาชนตกอยู่ในความเสี่ยง

    https://nationalpost.com/opinion/canadian-bill-would-strip-internet-access-from-specified-persons
    🛑 “แคนาดาเสนอร่างกฎหมาย C-8 — เปิดช่องให้รัฐตัดอินเทอร์เน็ตบุคคลใดก็ได้โดยไม่ต้องมีหมายศาล” ในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2025 รัฐบาลแคนาดาได้เสนอร่างกฎหมาย C-8 ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร โดยมีสาระสำคัญคือการให้อำนาจรัฐในการ “ตัดการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต” ของบุคคลที่ถูกระบุว่าเป็น “บุคคลที่ระบุไว้” (specified persons) โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการยุติธรรมล่วงหน้า ร่างกฎหมายนี้จะปรับแก้พระราชบัญญัติการสื่อสารโทรคมนาคม (Telecommunications Act) โดยเพิ่มบทบัญญัติที่ให้อำนาจรัฐมนตรีอุตสาหกรรม (ปัจจุบันคือ Mélanie Joly) ร่วมกับรัฐมนตรีความมั่นคงสาธารณะ (Gary Anandasangaree) ในการสั่งให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต เช่น Rogers หรือ Telus “หยุดให้บริการแก่บุคคลใดก็ได้” ที่รัฐเห็นว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงไซเบอร์ สิ่งที่น่ากังวลคือ คำสั่งนี้ไม่ต้องมีหมายศาล และการตรวจสอบโดยศาลจะเกิดขึ้น “หลังจาก” ที่มีการตัดบริการไปแล้ว กล่าวคือ บุคคลที่ถูกตัดอินเทอร์เน็ตจะไม่มีโอกาสโต้แย้งหรือรับรู้ล่วงหน้า รัฐบาลให้เหตุผลว่า กฎหมายนี้จำเป็นต่อการรับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์ที่รุนแรงขึ้น เช่น การโจมตีจากแฮกเกอร์ การขโมยข้อมูลจากรัฐ และการแทรกแซงระบบโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ โดยระบุว่า “เพื่อปกป้องระบบโทรคมนาคมของแคนาดาจากการแทรกแซง การบิดเบือน การหยุดชะงัก หรือการเสื่อมถอย” อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์จากสมาคมสิทธิเสรีภาพพลเมืองแคนาดา (CCLA) เตือนว่า ร่างกฎหมายนี้ให้อำนาจรัฐมากเกินไปในการสอดแนมและควบคุมข้อมูลโดยไม่ต้องแจ้งให้ประชาชนทราบ และอาจนำไปสู่การลดทอนมาตรฐานการเข้ารหัสข้อมูลของเอกชน ที่สำคัญคือ ร่างกฎหมายนี้ขัดแย้งกับจุดยืนเดิมของรัฐบาลแคนาดา ที่เคยประกาศว่า “การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตคือสิทธิมนุษยชน” และเคยเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งของ Freedom Online Coalition ซึ่งส่งเสริมเสรีภาพออนไลน์ทั่วโลก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ร่างกฎหมาย C-8 ให้อำนาจรัฐในการตัดอินเทอร์เน็ตของบุคคลที่ถูกระบุว่าเป็นภัย ➡️ ไม่ต้องมีหมายศาล และการตรวจสอบโดยศาลจะเกิดหลังจากมีคำสั่งแล้ว ➡️ รัฐมนตรีอุตสาหกรรมและรัฐมนตรีความมั่นคงสามารถออกคำสั่งร่วมกันได้ ➡️ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตต้องปฏิบัติตามคำสั่งโดยไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ ➡️ เหตุผลของรัฐคือเพื่อรับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์ เช่น แฮกเกอร์และการแทรกแซงระบบ ➡️ ร่างกฎหมายนี้แก้ไขพระราชบัญญัติการสื่อสารโทรคมนาคมของแคนาดา ➡️ มีการวิจารณ์จาก CCLA ว่าอาจนำไปสู่การสอดแนมและลดมาตรฐานการเข้ารหัส ➡️ ขัดแย้งกับจุดยืนเดิมของรัฐบาลที่เคยสนับสนุนเสรีภาพออนไลน์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Freedom Online Coalition เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ส่งเสริมเสรีภาพอินเทอร์เน็ต ➡️ หลายประเทศ เช่น เยอรมนีและเนเธอร์แลนด์ เคยวิจารณ์การควบคุมอินเทอร์เน็ตของรัฐ ➡️ การตัดอินเทอร์เน็ตของบุคคลอาจกระทบสิทธิในการแสดงออกและการเข้าถึงข้อมูล ➡️ การสอดแนมโดยไม่แจ้งล่วงหน้าอาจละเมิดสิทธิในความเป็นส่วนตัวตามกฎบัตรสิทธิ ➡️ การลดมาตรฐานการเข้ารหัสอาจทำให้ข้อมูลของประชาชนตกอยู่ในความเสี่ยง https://nationalpost.com/opinion/canadian-bill-would-strip-internet-access-from-specified-persons
    NATIONALPOST.COM
    FIRST READING: Canadian bill would strip internet access from 'specified persons'
    Not too long ago, Liberals were defending internet access as akin to a human right.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 215 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Mission:Libre จุดประกายเยาวชนสู่โลกซอฟต์แวร์เสรี — เวทีใหม่ที่เปิดให้เสียงวัยรุ่นกำหนดทิศทางเทคโนโลยี”

    ในโลกที่ซอฟต์แวร์เสรี (Free Software) เป็นรากฐานของความโปร่งใสและเสรีภาพทางดิจิทัล กลุ่มเยาวชนกลับยังมีบทบาทน้อยในการกำหนดทิศทางของการพัฒนา ล่าสุด Carmen-Lisandrette นักเคลื่อนไหวด้านซอฟต์แวร์เสรีจากนิวซีแลนด์ ได้เปิดตัวโครงการ “Mission:Libre” เพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้น

    Mission:Libre เป็นโครงการที่ไม่แสวงหากำไร ก่อตั้งขึ้นในเดือนสิงหาคม 2025 โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างพื้นที่ให้เยาวชนอายุ 13–17 ปี ได้เรียนรู้ พูดคุย และมีส่วนร่วมกับการเคลื่อนไหวด้านซอฟต์แวร์เสรี ผ่านกิจกรรมออนไลน์ เช่น การประชุมกลุ่มย่อย (roundtable discussions) ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 12 และ 14 พฤศจิกายนนี้ ผ่านแพลตฟอร์ม Jitsi

    องค์กรนี้มีโครงสร้างที่โปร่งใส โดยมีข้อกำหนดในรัฐธรรมนูญที่ห้ามผู้ใดใช้ทรัพย์สินขององค์กรเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว และหากองค์กรต้องยุติการดำเนินงาน ทรัพย์สินทั้งหมดจะถูกส่งต่อไปยังองค์กรซอฟต์แวร์เสรีอื่น ๆ

    กิจกรรมของ Mission:Libre ไม่เพียงเปิดโอกาสให้เยาวชนได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับอนาคตของซอฟต์แวร์เสรี แต่ยังเป็นเวทีให้พวกเขาเสนอสิ่งที่ต้องการเห็นจากขบวนการนี้ เช่น การสนับสนุนการเรียนรู้ การเข้าถึงเครื่องมือโอเพ่นซอร์ส หรือการสร้างชุมชนที่ปลอดภัยสำหรับวัยรุ่น

    ผลจากการประชุมจะถูกสรุปและเผยแพร่ต่อสาธารณะ เพื่อให้เสียงของเยาวชนมีผลต่อทิศทางของการเคลื่อนไหวในอนาคต

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Mission:Libre เป็นโครงการสนับสนุนเยาวชนในขบวนการซอฟต์แวร์เสรี
    ก่อตั้งโดย Carmen-Lisandrette ในเดือนสิงหาคม 2025 ที่นิวซีแลนด์
    ดำเนินการผ่านบริษัท Mission:Libre Limited ที่ไม่แสวงหากำไร
    มีข้อกำหนดห้ามใช้ทรัพย์สินเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว และต้องส่งต่อให้กลุ่มซอฟต์แวร์เสรีหากยุติ
    กิจกรรมแรกคือ roundtable discussions วันที่ 12 และ 14 พฤศจิกายน 2025
    ใช้แพลตฟอร์ม Jitsi สำหรับการประชุมออนไลน์
    เปิดรับเยาวชนอายุ 13–17 ปี เพื่อร่วมแสดงความคิดเห็น
    ผลการประชุมจะถูกสรุปและเผยแพร่ต่อสาธารณะ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ซอฟต์แวร์เสรีเน้นเสรีภาพในการใช้ แก้ไข และแจกจ่ายซอฟต์แวร์
    โครงการอย่าง GNU, Linux และ Firefox เป็นตัวอย่างของซอฟต์แวร์เสรีที่ประสบความสำเร็จ
    Carmen เคยมีบทบาทในชุมชน GNOME และ LibrePlanet มาก่อน
    การมีส่วนร่วมของเยาวชนช่วยสร้างนักพัฒนาและนักเคลื่อนไหวรุ่นใหม่
    การใช้ Jitsi เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและไม่ผูกกับแพลตฟอร์มเชิงพาณิชย์

    https://news.itsfoss.com/mission-libre/
    🌱 “Mission:Libre จุดประกายเยาวชนสู่โลกซอฟต์แวร์เสรี — เวทีใหม่ที่เปิดให้เสียงวัยรุ่นกำหนดทิศทางเทคโนโลยี” ในโลกที่ซอฟต์แวร์เสรี (Free Software) เป็นรากฐานของความโปร่งใสและเสรีภาพทางดิจิทัล กลุ่มเยาวชนกลับยังมีบทบาทน้อยในการกำหนดทิศทางของการพัฒนา ล่าสุด Carmen-Lisandrette นักเคลื่อนไหวด้านซอฟต์แวร์เสรีจากนิวซีแลนด์ ได้เปิดตัวโครงการ “Mission:Libre” เพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้น Mission:Libre เป็นโครงการที่ไม่แสวงหากำไร ก่อตั้งขึ้นในเดือนสิงหาคม 2025 โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างพื้นที่ให้เยาวชนอายุ 13–17 ปี ได้เรียนรู้ พูดคุย และมีส่วนร่วมกับการเคลื่อนไหวด้านซอฟต์แวร์เสรี ผ่านกิจกรรมออนไลน์ เช่น การประชุมกลุ่มย่อย (roundtable discussions) ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 12 และ 14 พฤศจิกายนนี้ ผ่านแพลตฟอร์ม Jitsi องค์กรนี้มีโครงสร้างที่โปร่งใส โดยมีข้อกำหนดในรัฐธรรมนูญที่ห้ามผู้ใดใช้ทรัพย์สินขององค์กรเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว และหากองค์กรต้องยุติการดำเนินงาน ทรัพย์สินทั้งหมดจะถูกส่งต่อไปยังองค์กรซอฟต์แวร์เสรีอื่น ๆ กิจกรรมของ Mission:Libre ไม่เพียงเปิดโอกาสให้เยาวชนได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับอนาคตของซอฟต์แวร์เสรี แต่ยังเป็นเวทีให้พวกเขาเสนอสิ่งที่ต้องการเห็นจากขบวนการนี้ เช่น การสนับสนุนการเรียนรู้ การเข้าถึงเครื่องมือโอเพ่นซอร์ส หรือการสร้างชุมชนที่ปลอดภัยสำหรับวัยรุ่น ผลจากการประชุมจะถูกสรุปและเผยแพร่ต่อสาธารณะ เพื่อให้เสียงของเยาวชนมีผลต่อทิศทางของการเคลื่อนไหวในอนาคต ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Mission:Libre เป็นโครงการสนับสนุนเยาวชนในขบวนการซอฟต์แวร์เสรี ➡️ ก่อตั้งโดย Carmen-Lisandrette ในเดือนสิงหาคม 2025 ที่นิวซีแลนด์ ➡️ ดำเนินการผ่านบริษัท Mission:Libre Limited ที่ไม่แสวงหากำไร ➡️ มีข้อกำหนดห้ามใช้ทรัพย์สินเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว และต้องส่งต่อให้กลุ่มซอฟต์แวร์เสรีหากยุติ ➡️ กิจกรรมแรกคือ roundtable discussions วันที่ 12 และ 14 พฤศจิกายน 2025 ➡️ ใช้แพลตฟอร์ม Jitsi สำหรับการประชุมออนไลน์ ➡️ เปิดรับเยาวชนอายุ 13–17 ปี เพื่อร่วมแสดงความคิดเห็น ➡️ ผลการประชุมจะถูกสรุปและเผยแพร่ต่อสาธารณะ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ซอฟต์แวร์เสรีเน้นเสรีภาพในการใช้ แก้ไข และแจกจ่ายซอฟต์แวร์ ➡️ โครงการอย่าง GNU, Linux และ Firefox เป็นตัวอย่างของซอฟต์แวร์เสรีที่ประสบความสำเร็จ ➡️ Carmen เคยมีบทบาทในชุมชน GNOME และ LibrePlanet มาก่อน ➡️ การมีส่วนร่วมของเยาวชนช่วยสร้างนักพัฒนาและนักเคลื่อนไหวรุ่นใหม่ ➡️ การใช้ Jitsi เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและไม่ผูกกับแพลตฟอร์มเชิงพาณิชย์ https://news.itsfoss.com/mission-libre/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Mission:Libre: A New Community Building Free Software's Teen Movement
    Teen-focused initiative seeks input on free software's future direction.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 173 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหยื่อติดคอ ตอนที่ 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อติดคอ”
    ตอนที่ 4

    อเมริกาเริ่มมองหาผู้ที่น่าจะเหมาะสมเป็นหุ่นตัวใหม่แทน Shah สาระพัดฑูตและที่ปรึกษาถูกส่งตัวไปเดินหาข่าวแถวอิหร่าน แน่นอนทุกคนต่างหาเรื่องโกหกมาบังหน้าในการเดินเข้าไปอยู่ในสังคมอิหร่าน

    นาย Henry Precht นักการฑูตคนหนึ่ง ซึ่งถูกส่งไปเดินเล่นช่วงนั้น บรรยายถึงการปฏิบัติการดังกล่าว “เป็นปฏิบัติการสร้างหนทางสำหรับให้คนในสังคมการเมืองระดับสูง เข้ามาจัดตั้งรัฐบาลอิหร่านที่สนับสนุนอเมริกา”

    นาย William H. Sullivan ฑูตอเมริกันประจำอิหร่านช่วง ค.ศ.1977 ถึง ค.ศ.1979 พูดถึงช่วงเวลาดังกล่าวไว้ว่า “ในช่วงฤดูใบไม้ผลิของ ค.ศ.1978 (ประมาณ 1 ปี ก่อนมี Islamic Revolution ) สถานะการณ์ในอิหร่านเกิดการเปลี่ยนแปลง และเราก็คอยโอกาสนั้น……… สถานฑูตเราได้สร้างเครือข่ายติดต่อกับผู้ไม่เห็นด้วย (กับ Shah) และเราก็ทำให้พวกเขาเชื่อมั่น………. พวกเขาส่วนมากแปลกใจที่ความเห็นของเรากับของพวกเขาใกล้เคียงกันมาก……… เขา (Shah) ถามผมบ่อยๆว่า พวกนักสอนศาสนาเพื่อนคุณทำอะไรกันนะ ? ……”

    เมื่อพวกนักเดินเล่น ส่งรายงานกลับไปที่วอซิงตัน พวกเขาสรุปกันว่า อเมริกาควรสนับสนุนพวก Islamic ที่อยู่ตรงกันข้ามกับ Shah พวกนักการเมืองฝ่านค้าน อ่อนแอเกินไป ส่วนพรรคคอมมิวนิตส์ ก็ใกล้ชิดกับสหภาพโซเวียตมากไป พวก Islamic นี้ มีผู้นำชื่อ Ayatollah Ruhollah Khomeini ซึ่งอาศัยอยู่ที่เมือง Najif ในอิรักมาหลายปี ตั้งแต่ตั้งตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามกับ Shah แต่ใน ค.ศ.1978 Saddam Hussein ไล่เขาออกไปจากอิรัก Khomeini ย้ายไปปักหลักแถวชานเมืองของปารีสที่ฝรั่งเศสชื่อ Neauphle Le Chateau

    เมื่ออยู่ที่เมือง Najif พวกอเมริกันไปแวะเยี่ยม Khomeini บ่อยๆ Richard Cottam พวก CIA กลุ่มที่มีส่วนในการสร้างการปฏิวัติโค่น Massadeq ได้ไปพบ Khomeini ในฐานะตัวแทนของรัฐบาลอเมริกัน Cottam เข้าใจว่า Khomeini มีความเป็นห่วงคอมมิวนิตส์จะเข้ามาครองอิหร่าน และบอกว่าจะต้องระวังไม่ใช่ไล่ Shah ออกไป แล้วเป็นการเปิดทางให้คอมมิวนิตส์เข้ามาครองอิหร่านแทน Khomeini ขอให้ Cottam สื่อสารกับนายที่วอซิงตันให้รู้เรื่องว่า Khomeini หวังจะได้รับการสนับสนุนจากอเมริกา หากพวกคอมมิวนิตส์ในอิหร่านต่อต้านการปฏิวัติ

    อเมริกาส่งตัวแทนไปคุยที่ Neauphle Le Chateau ในเดือนตุลาคม ค.ศ.1978 แล้ว Khomeini กับอเมริกา ก็ได้มีตกลงกันเป็นทางการว่า Khomeini ตกลงจะให้ความร่วมมือกับอเมริกา ถ้าอเมริกาจะช่วยเขาโค่น Shah และรับรองว่าหลังจากการปฏิวัติโค่น Shah อเมริกาจะไม่เข้ามายุ่งในกิจการภายในของอิหร่าน อเมริกาตกลงรับคำ
    ประธานาธิบดี Jimmy Carter ส่ง General Robert Huyser ไปอิหร่านเพื่อประสานงานกับพวกนายพลอิหร่าน Huyser ถึงอิหร่านในวันที่ 4 มกราคม ค.ศ.1979 เขาบอกกับนายพลอิหร่านว่า ถ้าพวกคุณไม่สนับสนุนการปฏิวัติของ Khomeini โดยนั่งอยู่เฉยๆแล้วละก้อ พวกคอมมิวนิตส์จะฉวยโอกาสนี้บุกเข้าประเทศคุณ เปลี่ยนอิหร่านเป็นรัฐคอมมิวนิตส์แน่นอน ข้อมูลนี้ปรากฏอยู่ในรายงานของ Al Watan รายงานในหนังสือพิมพ์ Kuwaiti วันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ.1979 ประธานาธิบดี Carter เขียนไว้ในบันทึกความทรงจำของเขาว่า “Huyser มีความเห็นว่า กองทัพอิหร่านเตรียมพร้อมที่จะป้องกันอาวุธพวกเขา (ไม่ไห้ตกไปอยู่ในมือของคนอื่น) และรับรองว่าจะไม่ออกมาขัดขวางตามถนน”

    Shah เองก็สังหรณ์ใจว่า น่าจะมีอะไรผิดปกติ เขาเขียนในบันทึกความทรงจำเกี่ยวกับการมาอิหร่านของ General Huyser ในเดือนมกราคม ค.ศ.1979 ว่า “Huyser ไม่แจ้งเราล่วงหน้าถึงการมา เขามาเตหะรานบ่อยมาก และทุกครั้งจะแจ้งตารางการนัดพบล่วงหน้า เพื่อหารือกับเราเกี่ยวกับเรื่อ งการทหาร กับเราและพวกทหาร” แต่การมาคราวนี้ของ Huyser ไม่มีการแจ้งให้ Shah ทราบ Shah ได้เขียนบันทึกต่อไปว่า “Huyser ได้กล่อมให้หัวหน้าเลขาธิการของเรา General Ghara-Baghi ซึ่งพฤติกรรมช่วงหลังของเขา ทำให้เราเชื่อว่าเขาทรยศต่อเราแล้ว Huyser ขอให้ Ghara-Baghi นัดให้เขาพบกับทนายชื่อดังด้านสิทธิมนุษยชนชื่อ Mehdi Bazargan” (ซึ่งภายหลังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของรัฐบาล Khomeini)

    “นายพล Ghara-Baghi แจ้งเราเกี่ยวกับเรื่องที่ Huyser ขอให้นัด ก่อนที่เราจะไปจากอิหร่าน และเราไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้น เรารู้แต่ว่า Ghara-Baghi ใช้อำนาจของเขา ห้ามกองทัพมิให้ขัดขวาง Khomeini เขาคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่า มีการตัดสินใจกันอย่างไรและในราคาใด เข้าใจว่าพวกนายพลของเราตอนหลังได้ถูกประหารชีวิตหมด ยกเว้น Ghara-Baghi ที่ได้รับผ่อนผัน คนช่วยเขาก็คือ Mehdi Bazargan นั่นแหละ”

    วันที่ 14 มกราคม ค.ศ.1979 ฑูตอเมริกันได้นัดพบกับ Ebrahin Yazedi ผู้ช่วยของ Khomeini พร้อมด้วยตัวแทนของกระทรวงต่างประเทศอเมริกา Yazedi อาศัยอยู่ในอเมริกาเป็นเวลานานตั้งแต่ ค.ศ.1961 เขาถูกบังคับให้ลี้ภัยจากอิหร่าน เพราะเขาต่อต้าน Shah หลังจากเข้าไปอยู่ในอเมริกา เขาผูกสัมพันธ์แน่นชิดกับ CIA และกระทรวงต่างประเทศอเมริกา ตอนหลังเขาได้แปลงสัญชาติเป็นอเมริกัน

    ระหว่างการนัดพบ Warren Zimmerman ในฐานะตัวแทนของกระทรวงต่างประเทศอเมริกา บอกให้ Yazedi แจ้ง Khomeini ให้คอยก่อน อย่างเพิ่งกลับมาอิหร่าน จนกว่า Huyser จะได้เตี๊ยมกับบรรดาพวกนายพลอิหร่านเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นใน วันที่ 26 มกราคม ค.ศ.1979 นาย Ramsay Clark จากกระทรวงต่างประเทศก็ไปพบ Khomeini ที่ Neauphle Le Chateau หลังจากพบ เขาแจ้งแก่นักข่าวว่า เราหวังว่าการปฏิวัติจะสร้างความเป็นธรรมในสังคมให้กลับมาสู่ชาวอิหร่าน การปฏิวัติได้ถูกเตรียมการพร้อมเดินหน้าแล้ว

    วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1979 Khomeini ก็ขึ้นเครื่องบิน Air France จากปารีสบินเข้าเตหะราน ส่วน Shah รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น และคงไม่อยู่ในสภาพที่จะระงับได้ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1979 Khomeini ก็ขึ้นมาเป็นผู้ครองอิหร่าน และตั้งรัฐบาลรักษาการณ์ มี Mehdi Bazargan เป็นหัวหน้ารัฐบาล
    Bazargan เป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างพวกปฏิวัติ กับอเมริกา ในช่วง ค.ศ.1978 ตัวแทนของรัฐบาลอเมริกัน เช่น John Stempel, Hurry Precht, Warren Zimmerman และ Richard Cottam ต่างได้มาพบพูดคุยกับขบวนการ Iranian Freedom Movement ซึ่งนำโดย Bazargan อยู่ตลอด อเมริกาติดต่อกับ Bazargan โดยผ่านขบวนการ Freedom Movement นี้ตลอดช่วงเดือนแรกๆ หลังจากการปฏิวัติ

    Bazargan ได้แต่งตั้ง Abbas Amir Entezam ซึ่งอยู่อเมริกามากว่า 20 ปี ให้เป็นรองนายกรัฐมนตรี Entezam นี้ใกล้ชิดติดต่อกับ CIA มาตั้งแต่สมัยของ Massadeq และเป็นสายข่าวให้แก่ CIA เมื่อมีการสร้างปฏิวัติล้ม Massadeq นอกจากนี้ยังตั้ง Kerim Sanjabi เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ Sanjabi ก็เช่นกัน เป็นผู้ที่คุ้นเคยกับสถานฑูตอเมริกาในกรุงเตหะราน คณะรัฐมนตรีของ Bazargan สรุปแล้วมีคนอิหร่านถือสัญชาติอเมริกันถึง 5 คน

    ในบันทึกความทรงจำของประธานาธิบดี Carter เขียนชื่นชมว่า Bazargan และคณะรัฐบาล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้จบการศึกษาจากตะวันตกว่า ให้ความร่วมมือกับอเมริกาอย่าง ดีเยี่ยม คอยดูแลป้องกันสถานฑูต ดูแลการเดินทางของ General Philip C. Gast ซึ่งมาแทน Huyser และคอยส่งข่าวให้พวกเรา Bazargan เองก็ประกาศชัดเจนว่า ต้องการจะสร้างสัมพันธ์ไมตรีอันดียิ่งกับอเมริกา และอิหร่านก็จะกลับมาส่งน้ำมันให้แก่ลูกค้าตามปกติในเร็วๆนี้

    การปฏิวัติในอิหร่านในปี ค.ศ.1979 เหมือนเป็นการจับคู่ที่เหมาะสม ระหว่างกลุ่มอิสลามที่เคร่งครัดและไม่ชอบระบอบคอมมิวนิตส์ กับจักรวรรดิอเมริกาที่กีดกั้นระบอบคอมมิวนิตส์ แต่ไม่แน่ว่าการจับคู่ถูกในตอนนั้น จะไปลงท้ายด้วยการหย่าและเคียดแค้น หรือถือไม้เท้ายอดทองด้วยกัน

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    23 กันยายน 2557
    เหยื่อติดคอ ตอนที่ 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “เหยื่อติดคอ” ตอนที่ 4 อเมริกาเริ่มมองหาผู้ที่น่าจะเหมาะสมเป็นหุ่นตัวใหม่แทน Shah สาระพัดฑูตและที่ปรึกษาถูกส่งตัวไปเดินหาข่าวแถวอิหร่าน แน่นอนทุกคนต่างหาเรื่องโกหกมาบังหน้าในการเดินเข้าไปอยู่ในสังคมอิหร่าน นาย Henry Precht นักการฑูตคนหนึ่ง ซึ่งถูกส่งไปเดินเล่นช่วงนั้น บรรยายถึงการปฏิบัติการดังกล่าว “เป็นปฏิบัติการสร้างหนทางสำหรับให้คนในสังคมการเมืองระดับสูง เข้ามาจัดตั้งรัฐบาลอิหร่านที่สนับสนุนอเมริกา” นาย William H. Sullivan ฑูตอเมริกันประจำอิหร่านช่วง ค.ศ.1977 ถึง ค.ศ.1979 พูดถึงช่วงเวลาดังกล่าวไว้ว่า “ในช่วงฤดูใบไม้ผลิของ ค.ศ.1978 (ประมาณ 1 ปี ก่อนมี Islamic Revolution ) สถานะการณ์ในอิหร่านเกิดการเปลี่ยนแปลง และเราก็คอยโอกาสนั้น……… สถานฑูตเราได้สร้างเครือข่ายติดต่อกับผู้ไม่เห็นด้วย (กับ Shah) และเราก็ทำให้พวกเขาเชื่อมั่น………. พวกเขาส่วนมากแปลกใจที่ความเห็นของเรากับของพวกเขาใกล้เคียงกันมาก……… เขา (Shah) ถามผมบ่อยๆว่า พวกนักสอนศาสนาเพื่อนคุณทำอะไรกันนะ ? ……” เมื่อพวกนักเดินเล่น ส่งรายงานกลับไปที่วอซิงตัน พวกเขาสรุปกันว่า อเมริกาควรสนับสนุนพวก Islamic ที่อยู่ตรงกันข้ามกับ Shah พวกนักการเมืองฝ่านค้าน อ่อนแอเกินไป ส่วนพรรคคอมมิวนิตส์ ก็ใกล้ชิดกับสหภาพโซเวียตมากไป พวก Islamic นี้ มีผู้นำชื่อ Ayatollah Ruhollah Khomeini ซึ่งอาศัยอยู่ที่เมือง Najif ในอิรักมาหลายปี ตั้งแต่ตั้งตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามกับ Shah แต่ใน ค.ศ.1978 Saddam Hussein ไล่เขาออกไปจากอิรัก Khomeini ย้ายไปปักหลักแถวชานเมืองของปารีสที่ฝรั่งเศสชื่อ Neauphle Le Chateau เมื่ออยู่ที่เมือง Najif พวกอเมริกันไปแวะเยี่ยม Khomeini บ่อยๆ Richard Cottam พวก CIA กลุ่มที่มีส่วนในการสร้างการปฏิวัติโค่น Massadeq ได้ไปพบ Khomeini ในฐานะตัวแทนของรัฐบาลอเมริกัน Cottam เข้าใจว่า Khomeini มีความเป็นห่วงคอมมิวนิตส์จะเข้ามาครองอิหร่าน และบอกว่าจะต้องระวังไม่ใช่ไล่ Shah ออกไป แล้วเป็นการเปิดทางให้คอมมิวนิตส์เข้ามาครองอิหร่านแทน Khomeini ขอให้ Cottam สื่อสารกับนายที่วอซิงตันให้รู้เรื่องว่า Khomeini หวังจะได้รับการสนับสนุนจากอเมริกา หากพวกคอมมิวนิตส์ในอิหร่านต่อต้านการปฏิวัติ อเมริกาส่งตัวแทนไปคุยที่ Neauphle Le Chateau ในเดือนตุลาคม ค.ศ.1978 แล้ว Khomeini กับอเมริกา ก็ได้มีตกลงกันเป็นทางการว่า Khomeini ตกลงจะให้ความร่วมมือกับอเมริกา ถ้าอเมริกาจะช่วยเขาโค่น Shah และรับรองว่าหลังจากการปฏิวัติโค่น Shah อเมริกาจะไม่เข้ามายุ่งในกิจการภายในของอิหร่าน อเมริกาตกลงรับคำ ประธานาธิบดี Jimmy Carter ส่ง General Robert Huyser ไปอิหร่านเพื่อประสานงานกับพวกนายพลอิหร่าน Huyser ถึงอิหร่านในวันที่ 4 มกราคม ค.ศ.1979 เขาบอกกับนายพลอิหร่านว่า ถ้าพวกคุณไม่สนับสนุนการปฏิวัติของ Khomeini โดยนั่งอยู่เฉยๆแล้วละก้อ พวกคอมมิวนิตส์จะฉวยโอกาสนี้บุกเข้าประเทศคุณ เปลี่ยนอิหร่านเป็นรัฐคอมมิวนิตส์แน่นอน ข้อมูลนี้ปรากฏอยู่ในรายงานของ Al Watan รายงานในหนังสือพิมพ์ Kuwaiti วันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ.1979 ประธานาธิบดี Carter เขียนไว้ในบันทึกความทรงจำของเขาว่า “Huyser มีความเห็นว่า กองทัพอิหร่านเตรียมพร้อมที่จะป้องกันอาวุธพวกเขา (ไม่ไห้ตกไปอยู่ในมือของคนอื่น) และรับรองว่าจะไม่ออกมาขัดขวางตามถนน” Shah เองก็สังหรณ์ใจว่า น่าจะมีอะไรผิดปกติ เขาเขียนในบันทึกความทรงจำเกี่ยวกับการมาอิหร่านของ General Huyser ในเดือนมกราคม ค.ศ.1979 ว่า “Huyser ไม่แจ้งเราล่วงหน้าถึงการมา เขามาเตหะรานบ่อยมาก และทุกครั้งจะแจ้งตารางการนัดพบล่วงหน้า เพื่อหารือกับเราเกี่ยวกับเรื่อ งการทหาร กับเราและพวกทหาร” แต่การมาคราวนี้ของ Huyser ไม่มีการแจ้งให้ Shah ทราบ Shah ได้เขียนบันทึกต่อไปว่า “Huyser ได้กล่อมให้หัวหน้าเลขาธิการของเรา General Ghara-Baghi ซึ่งพฤติกรรมช่วงหลังของเขา ทำให้เราเชื่อว่าเขาทรยศต่อเราแล้ว Huyser ขอให้ Ghara-Baghi นัดให้เขาพบกับทนายชื่อดังด้านสิทธิมนุษยชนชื่อ Mehdi Bazargan” (ซึ่งภายหลังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของรัฐบาล Khomeini) “นายพล Ghara-Baghi แจ้งเราเกี่ยวกับเรื่องที่ Huyser ขอให้นัด ก่อนที่เราจะไปจากอิหร่าน และเราไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้น เรารู้แต่ว่า Ghara-Baghi ใช้อำนาจของเขา ห้ามกองทัพมิให้ขัดขวาง Khomeini เขาคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่า มีการตัดสินใจกันอย่างไรและในราคาใด เข้าใจว่าพวกนายพลของเราตอนหลังได้ถูกประหารชีวิตหมด ยกเว้น Ghara-Baghi ที่ได้รับผ่อนผัน คนช่วยเขาก็คือ Mehdi Bazargan นั่นแหละ” วันที่ 14 มกราคม ค.ศ.1979 ฑูตอเมริกันได้นัดพบกับ Ebrahin Yazedi ผู้ช่วยของ Khomeini พร้อมด้วยตัวแทนของกระทรวงต่างประเทศอเมริกา Yazedi อาศัยอยู่ในอเมริกาเป็นเวลานานตั้งแต่ ค.ศ.1961 เขาถูกบังคับให้ลี้ภัยจากอิหร่าน เพราะเขาต่อต้าน Shah หลังจากเข้าไปอยู่ในอเมริกา เขาผูกสัมพันธ์แน่นชิดกับ CIA และกระทรวงต่างประเทศอเมริกา ตอนหลังเขาได้แปลงสัญชาติเป็นอเมริกัน ระหว่างการนัดพบ Warren Zimmerman ในฐานะตัวแทนของกระทรวงต่างประเทศอเมริกา บอกให้ Yazedi แจ้ง Khomeini ให้คอยก่อน อย่างเพิ่งกลับมาอิหร่าน จนกว่า Huyser จะได้เตี๊ยมกับบรรดาพวกนายพลอิหร่านเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นใน วันที่ 26 มกราคม ค.ศ.1979 นาย Ramsay Clark จากกระทรวงต่างประเทศก็ไปพบ Khomeini ที่ Neauphle Le Chateau หลังจากพบ เขาแจ้งแก่นักข่าวว่า เราหวังว่าการปฏิวัติจะสร้างความเป็นธรรมในสังคมให้กลับมาสู่ชาวอิหร่าน การปฏิวัติได้ถูกเตรียมการพร้อมเดินหน้าแล้ว วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1979 Khomeini ก็ขึ้นเครื่องบิน Air France จากปารีสบินเข้าเตหะราน ส่วน Shah รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น และคงไม่อยู่ในสภาพที่จะระงับได้ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1979 Khomeini ก็ขึ้นมาเป็นผู้ครองอิหร่าน และตั้งรัฐบาลรักษาการณ์ มี Mehdi Bazargan เป็นหัวหน้ารัฐบาล Bazargan เป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างพวกปฏิวัติ กับอเมริกา ในช่วง ค.ศ.1978 ตัวแทนของรัฐบาลอเมริกัน เช่น John Stempel, Hurry Precht, Warren Zimmerman และ Richard Cottam ต่างได้มาพบพูดคุยกับขบวนการ Iranian Freedom Movement ซึ่งนำโดย Bazargan อยู่ตลอด อเมริกาติดต่อกับ Bazargan โดยผ่านขบวนการ Freedom Movement นี้ตลอดช่วงเดือนแรกๆ หลังจากการปฏิวัติ Bazargan ได้แต่งตั้ง Abbas Amir Entezam ซึ่งอยู่อเมริกามากว่า 20 ปี ให้เป็นรองนายกรัฐมนตรี Entezam นี้ใกล้ชิดติดต่อกับ CIA มาตั้งแต่สมัยของ Massadeq และเป็นสายข่าวให้แก่ CIA เมื่อมีการสร้างปฏิวัติล้ม Massadeq นอกจากนี้ยังตั้ง Kerim Sanjabi เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ Sanjabi ก็เช่นกัน เป็นผู้ที่คุ้นเคยกับสถานฑูตอเมริกาในกรุงเตหะราน คณะรัฐมนตรีของ Bazargan สรุปแล้วมีคนอิหร่านถือสัญชาติอเมริกันถึง 5 คน ในบันทึกความทรงจำของประธานาธิบดี Carter เขียนชื่นชมว่า Bazargan และคณะรัฐบาล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้จบการศึกษาจากตะวันตกว่า ให้ความร่วมมือกับอเมริกาอย่าง ดีเยี่ยม คอยดูแลป้องกันสถานฑูต ดูแลการเดินทางของ General Philip C. Gast ซึ่งมาแทน Huyser และคอยส่งข่าวให้พวกเรา Bazargan เองก็ประกาศชัดเจนว่า ต้องการจะสร้างสัมพันธ์ไมตรีอันดียิ่งกับอเมริกา และอิหร่านก็จะกลับมาส่งน้ำมันให้แก่ลูกค้าตามปกติในเร็วๆนี้ การปฏิวัติในอิหร่านในปี ค.ศ.1979 เหมือนเป็นการจับคู่ที่เหมาะสม ระหว่างกลุ่มอิสลามที่เคร่งครัดและไม่ชอบระบอบคอมมิวนิตส์ กับจักรวรรดิอเมริกาที่กีดกั้นระบอบคอมมิวนิตส์ แต่ไม่แน่ว่าการจับคู่ถูกในตอนนั้น จะไปลงท้ายด้วยการหย่าและเคียดแค้น หรือถือไม้เท้ายอดทองด้วยกัน สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 23 กันยายน 2557
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 295 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Free Software Foundation ครบรอบ 40 ปี เปิดตัว ‘LibrePhone’ — มือถือเสรีที่ให้คุณควบคุมทุกบิตของระบบ”

    ในงานฉลองครบรอบ 40 ปีของ Free Software Foundation (FSF) ที่จัดขึ้นในเมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา องค์กรผู้ผลักดันซอฟต์แวร์เสรีได้เปิดตัวโครงการใหม่สุดทะเยอทะยานชื่อว่า “LibrePhone” ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบมือถือที่เปิดเสรีอย่างแท้จริง ตั้งแต่เฟิร์มแวร์ไปจนถึงระบบปฏิบัติการ โดยไม่พึ่งพาซอฟต์แวร์ปิดหรือบริการคลาวด์ที่ควบคุมโดยบริษัทใหญ่

    โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง FSF กับ Rob Savoye นักพัฒนาระดับตำนานที่มีบทบาทในโครงการ GNU มาตั้งแต่ยุค 1980 โดยเขาเชื่อว่า “มือถือคือคอมพิวเตอร์ที่ทุกคนใช้ทุกวัน และควรมีสิทธิ์ควบคุมมันได้เต็มที่” LibrePhone จึงถูกออกแบบให้เป็นแพลตฟอร์มมือถือที่ใช้ซอฟต์แวร์เสรีทั้งหมด เพื่อให้ผู้ใช้สามารถศึกษา แก้ไข และแจกจ่ายซอฟต์แวร์ได้อย่างอิสระ

    ในงาน FSF40 ยังมีการแต่งตั้ง Ian Kelling เป็นประธานคนใหม่ของ FSF โดยเขาให้คำมั่นว่าจะเสริมความแข็งแกร่งให้กับองค์กรในการรับมือกับภัยคุกคามใหม่ ๆ และเปิดรับผู้สนับสนุนซอฟต์แวร์เสรีให้มากขึ้นกว่าเดิม

    นอกจาก LibrePhone แล้ว FSF ยังประกาศแผนจัดกิจกรรมระดับท้องถิ่นทั่วโลกผ่านเครือข่าย “LibreLocal” เพื่อส่งเสริมความรู้ด้านเทคโนโลยีเสรีในชุมชน พร้อมทั้งพัฒนาเกณฑ์ใหม่สำหรับประเมินความเสรีของระบบ AI ที่กำลังแพร่หลาย โดยเน้นว่าการใช้โมเดลปิดและข้อมูลที่ไม่เปิดเผยขัดกับหลักการของซอฟต์แวร์เสรี

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    FSF ฉลองครบรอบ 40 ปีด้วยการเปิดตัวโครงการ LibrePhone
    LibrePhone เป็นมือถือที่ใช้ซอฟต์แวร์เสรีทั้งหมด ตั้งแต่เฟิร์มแวร์ถึง OS
    พัฒนาโดย Rob Savoye ผู้มีบทบาทใน GNU toolchain ตั้งแต่ยุค 1980
    เป้าหมายคือให้ผู้ใช้ควบคุมมือถือได้เต็มที่ และไม่พึ่งพาซอฟต์แวร์ปิด
    Ian Kelling ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคนใหม่ของ FSF
    FSF เตรียมจัดกิจกรรมท้องถิ่นผ่านเครือข่าย LibreLocal เพื่อส่งเสริมความรู้
    มีการพัฒนาเกณฑ์ใหม่สำหรับประเมินความเสรีของระบบ AI
    งาน FSF40 มีผู้ร่วมอภิปรายจาก EFF, F-Droid, Sugar Labs และนักพัฒนา GNU
    เน้นความสำคัญของซอฟต์แวร์เสรีในด้านการศึกษา ความเป็นส่วนตัว และสิทธิผู้ใช้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    FSF ก่อตั้งในปี 1985 โดย Richard Stallman เพื่อส่งเสริม “Four Freedoms” ของผู้ใช้
    มือถือในปัจจุบันมักใช้ระบบปิด เช่น Android และ iOS ที่ควบคุมโดยบริษัทใหญ่
    โครงการมือถือเสรีเคยมีมาก่อน เช่น Librem 5 และ PinePhone แต่ยังไม่แพร่หลาย
    Rob Savoye เคยพัฒนา Gnash (Flash player แบบเสรี) และมีบทบาทใน GDB
    การประเมิน AI แบบเสรีจะช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจและควบคุมระบบที่ใช้ machine learning ได้ดีขึ้น

    https://news.itsfoss.com/fsf-librephone-initiative/
    📱 “Free Software Foundation ครบรอบ 40 ปี เปิดตัว ‘LibrePhone’ — มือถือเสรีที่ให้คุณควบคุมทุกบิตของระบบ” ในงานฉลองครบรอบ 40 ปีของ Free Software Foundation (FSF) ที่จัดขึ้นในเมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา องค์กรผู้ผลักดันซอฟต์แวร์เสรีได้เปิดตัวโครงการใหม่สุดทะเยอทะยานชื่อว่า “LibrePhone” ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบมือถือที่เปิดเสรีอย่างแท้จริง ตั้งแต่เฟิร์มแวร์ไปจนถึงระบบปฏิบัติการ โดยไม่พึ่งพาซอฟต์แวร์ปิดหรือบริการคลาวด์ที่ควบคุมโดยบริษัทใหญ่ โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง FSF กับ Rob Savoye นักพัฒนาระดับตำนานที่มีบทบาทในโครงการ GNU มาตั้งแต่ยุค 1980 โดยเขาเชื่อว่า “มือถือคือคอมพิวเตอร์ที่ทุกคนใช้ทุกวัน และควรมีสิทธิ์ควบคุมมันได้เต็มที่” LibrePhone จึงถูกออกแบบให้เป็นแพลตฟอร์มมือถือที่ใช้ซอฟต์แวร์เสรีทั้งหมด เพื่อให้ผู้ใช้สามารถศึกษา แก้ไข และแจกจ่ายซอฟต์แวร์ได้อย่างอิสระ ในงาน FSF40 ยังมีการแต่งตั้ง Ian Kelling เป็นประธานคนใหม่ของ FSF โดยเขาให้คำมั่นว่าจะเสริมความแข็งแกร่งให้กับองค์กรในการรับมือกับภัยคุกคามใหม่ ๆ และเปิดรับผู้สนับสนุนซอฟต์แวร์เสรีให้มากขึ้นกว่าเดิม นอกจาก LibrePhone แล้ว FSF ยังประกาศแผนจัดกิจกรรมระดับท้องถิ่นทั่วโลกผ่านเครือข่าย “LibreLocal” เพื่อส่งเสริมความรู้ด้านเทคโนโลยีเสรีในชุมชน พร้อมทั้งพัฒนาเกณฑ์ใหม่สำหรับประเมินความเสรีของระบบ AI ที่กำลังแพร่หลาย โดยเน้นว่าการใช้โมเดลปิดและข้อมูลที่ไม่เปิดเผยขัดกับหลักการของซอฟต์แวร์เสรี ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ FSF ฉลองครบรอบ 40 ปีด้วยการเปิดตัวโครงการ LibrePhone ➡️ LibrePhone เป็นมือถือที่ใช้ซอฟต์แวร์เสรีทั้งหมด ตั้งแต่เฟิร์มแวร์ถึง OS ➡️ พัฒนาโดย Rob Savoye ผู้มีบทบาทใน GNU toolchain ตั้งแต่ยุค 1980 ➡️ เป้าหมายคือให้ผู้ใช้ควบคุมมือถือได้เต็มที่ และไม่พึ่งพาซอฟต์แวร์ปิด ➡️ Ian Kelling ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคนใหม่ของ FSF ➡️ FSF เตรียมจัดกิจกรรมท้องถิ่นผ่านเครือข่าย LibreLocal เพื่อส่งเสริมความรู้ ➡️ มีการพัฒนาเกณฑ์ใหม่สำหรับประเมินความเสรีของระบบ AI ➡️ งาน FSF40 มีผู้ร่วมอภิปรายจาก EFF, F-Droid, Sugar Labs และนักพัฒนา GNU ➡️ เน้นความสำคัญของซอฟต์แวร์เสรีในด้านการศึกษา ความเป็นส่วนตัว และสิทธิผู้ใช้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ FSF ก่อตั้งในปี 1985 โดย Richard Stallman เพื่อส่งเสริม “Four Freedoms” ของผู้ใช้ ➡️ มือถือในปัจจุบันมักใช้ระบบปิด เช่น Android และ iOS ที่ควบคุมโดยบริษัทใหญ่ ➡️ โครงการมือถือเสรีเคยมีมาก่อน เช่น Librem 5 และ PinePhone แต่ยังไม่แพร่หลาย ➡️ Rob Savoye เคยพัฒนา Gnash (Flash player แบบเสรี) และมีบทบาทใน GDB ➡️ การประเมิน AI แบบเสรีจะช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจและควบคุมระบบที่ใช้ machine learning ได้ดีขึ้น https://news.itsfoss.com/fsf-librephone-initiative/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    At 40 Years, Free Software Foundation Now Wants to 'Free Your Phone'
    The FSF looks to bring computing freedom to mobile with LibrePlanet and they also have a new president.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 168 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Qt อุดช่องโหว่ SVG ร้ายแรง 2 จุด — เสี่ยงล่มระบบและรันโค้ดอันตรายจากไฟล์ภาพ”

    Qt Group ได้ออกประกาศแจ้งเตือนความปลอดภัยระดับวิกฤตเกี่ยวกับช่องโหว่ 2 รายการในโมดูล SVG ซึ่งมีรหัส CVE-2025-10728 และ CVE-2025-10729 โดยทั้งสองช่องโหว่มีคะแนนความรุนแรง CVSS 4.0 อยู่ที่ 9.4 ถือว่าอยู่ในระดับ “Critical” และส่งผลกระทบต่อ Qt เวอร์ชัน 6.7.0 ถึง 6.8.4 และ 6.9.0 ถึง 6.9.2

    ช่องโหว่แรก (CVE-2025-10728) เกิดจากการเรนเดอร์ไฟล์ SVG ที่มี <pattern> แบบวนซ้ำ ซึ่งอาจทำให้เกิดการเรียกซ้ำไม่รู้จบ (infinite recursion) จนเกิด stack overflow และทำให้แอปพลิเคชันหรือระบบล่มได้ทันที แม้จะไม่สามารถใช้โจมตีเพื่อรันโค้ดโดยตรง แต่ก็เป็นภัยคุกคามต่อความเสถียรของระบบ โดยเฉพาะในอุปกรณ์ฝังตัวหรือ UI ที่ต้องประมวลผลภาพจากภายนอก

    ช่องโหว่ที่สอง (CVE-2025-10729) อันตรายยิ่งกว่า เพราะเป็นบั๊กแบบ use-after-free ที่เกิดขึ้นเมื่อโมดูล SVG พยายาม parse <pattern> ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้โหนดโครงสร้างหลักของไฟล์ SVG ซึ่งจะทำให้โหนดนั้นถูกลบหลังสร้าง แต่ยังถูกเรียกใช้งานภายหลัง ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมไม่คาดคิด เช่น การรันโค้ดจากระยะไกล (RCE) หากหน่วยความจำถูกจัดสรรใหม่ในลักษณะที่เอื้อให้โจมตี

    ช่องโหว่เหล่านี้มีผลกระทบกว้าง เพราะ Qt SVG ถูกใช้งานในหลายระบบ เช่น KDE Plasma, UI ฝังตัวในรถยนต์ อุปกรณ์การแพทย์ และ IoT ซึ่งมักต้องประมวลผล SVG จากผู้ใช้หรือจากอินเทอร์เน็ต ทำให้แม้แต่การอัปโหลดภาพธรรมดาก็อาจกลายเป็นช่องทางโจมตีได้

    Qt แนะนำให้ผู้พัฒนาอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 6.9.3 หรือ 6.8.5 โดยเร็วที่สุด และหลีกเลี่ยงการเรนเดอร์ SVG ที่ไม่ได้รับการตรวจสอบความปลอดภัย พร้อมตรวจสอบไลบรารีของบุคคลที่สามว่ามีการใช้โมดูล SVG ที่มีช่องโหว่หรือไม่

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ช่องโหว่ CVE-2025-10728 และ CVE-2025-10729 อยู่ในโมดูล SVG ของ Qt
    CVE-2025-10728 เกิดจากการเรนเดอร์ <pattern> แบบวนซ้ำ ทำให้เกิด stack overflow
    CVE-2025-10729 เป็นบั๊ก use-after-free ที่อาจนำไปสู่การรันโค้ดจากระยะไกล
    ช่องโหว่มีผลกับ Qt เวอร์ชัน 6.7.0 ถึง 6.8.4 และ 6.9.0 ถึง 6.9.2
    Qt แนะนำให้อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 6.9.3 หรือ 6.8.5
    ช่องโหว่มีคะแนน CVSS 4.0 อยู่ที่ 9.4 ถือว่า “Critical”
    Qt SVG ถูกใช้งานในระบบหลากหลาย เช่น KDE Plasma, รถยนต์, อุปกรณ์การแพทย์ และ IoT
    ช่องโหว่สามารถถูกโจมตีผ่านไฟล์ SVG ที่อัปโหลดจากผู้ใช้
    ไม่มีรายงานการโจมตีจริงในขณะนี้ แต่มีความเสี่ยงสูง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SVG เป็นไฟล์ภาพแบบเวกเตอร์ที่นิยมใช้ในเว็บและ UI เพราะขนาดเล็กและปรับขนาดได้
    use-after-free เป็นบั๊กที่อันตรายเพราะสามารถนำไปสู่การควบคุมหน่วยความจำ
    Qt เป็นเฟรมเวิร์กที่ใช้ในซอฟต์แวร์ระดับองค์กรและอุปกรณ์ฝังตัวจำนวนมาก
    การโจมตีผ่าน SVG เคยถูกใช้ใน phishing และการฝังโค้ด HTML ในภาพ
    การตรวจสอบไฟล์ SVG ก่อนเรนเดอร์เป็นแนวทางป้องกันที่สำคัญ

    https://securityonline.info/qt-fixes-dual-critical-vulnerabilities-cve-2025-10728-cve-2025-10729-in-svg-module/
    🖼️ “Qt อุดช่องโหว่ SVG ร้ายแรง 2 จุด — เสี่ยงล่มระบบและรันโค้ดอันตรายจากไฟล์ภาพ” Qt Group ได้ออกประกาศแจ้งเตือนความปลอดภัยระดับวิกฤตเกี่ยวกับช่องโหว่ 2 รายการในโมดูล SVG ซึ่งมีรหัส CVE-2025-10728 และ CVE-2025-10729 โดยทั้งสองช่องโหว่มีคะแนนความรุนแรง CVSS 4.0 อยู่ที่ 9.4 ถือว่าอยู่ในระดับ “Critical” และส่งผลกระทบต่อ Qt เวอร์ชัน 6.7.0 ถึง 6.8.4 และ 6.9.0 ถึง 6.9.2 ช่องโหว่แรก (CVE-2025-10728) เกิดจากการเรนเดอร์ไฟล์ SVG ที่มี <pattern> แบบวนซ้ำ ซึ่งอาจทำให้เกิดการเรียกซ้ำไม่รู้จบ (infinite recursion) จนเกิด stack overflow และทำให้แอปพลิเคชันหรือระบบล่มได้ทันที แม้จะไม่สามารถใช้โจมตีเพื่อรันโค้ดโดยตรง แต่ก็เป็นภัยคุกคามต่อความเสถียรของระบบ โดยเฉพาะในอุปกรณ์ฝังตัวหรือ UI ที่ต้องประมวลผลภาพจากภายนอก ช่องโหว่ที่สอง (CVE-2025-10729) อันตรายยิ่งกว่า เพราะเป็นบั๊กแบบ use-after-free ที่เกิดขึ้นเมื่อโมดูล SVG พยายาม parse <pattern> ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้โหนดโครงสร้างหลักของไฟล์ SVG ซึ่งจะทำให้โหนดนั้นถูกลบหลังสร้าง แต่ยังถูกเรียกใช้งานภายหลัง ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมไม่คาดคิด เช่น การรันโค้ดจากระยะไกล (RCE) หากหน่วยความจำถูกจัดสรรใหม่ในลักษณะที่เอื้อให้โจมตี ช่องโหว่เหล่านี้มีผลกระทบกว้าง เพราะ Qt SVG ถูกใช้งานในหลายระบบ เช่น KDE Plasma, UI ฝังตัวในรถยนต์ อุปกรณ์การแพทย์ และ IoT ซึ่งมักต้องประมวลผล SVG จากผู้ใช้หรือจากอินเทอร์เน็ต ทำให้แม้แต่การอัปโหลดภาพธรรมดาก็อาจกลายเป็นช่องทางโจมตีได้ Qt แนะนำให้ผู้พัฒนาอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 6.9.3 หรือ 6.8.5 โดยเร็วที่สุด และหลีกเลี่ยงการเรนเดอร์ SVG ที่ไม่ได้รับการตรวจสอบความปลอดภัย พร้อมตรวจสอบไลบรารีของบุคคลที่สามว่ามีการใช้โมดูล SVG ที่มีช่องโหว่หรือไม่ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-10728 และ CVE-2025-10729 อยู่ในโมดูล SVG ของ Qt ➡️ CVE-2025-10728 เกิดจากการเรนเดอร์ <pattern> แบบวนซ้ำ ทำให้เกิด stack overflow ➡️ CVE-2025-10729 เป็นบั๊ก use-after-free ที่อาจนำไปสู่การรันโค้ดจากระยะไกล ➡️ ช่องโหว่มีผลกับ Qt เวอร์ชัน 6.7.0 ถึง 6.8.4 และ 6.9.0 ถึง 6.9.2 ➡️ Qt แนะนำให้อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 6.9.3 หรือ 6.8.5 ➡️ ช่องโหว่มีคะแนน CVSS 4.0 อยู่ที่ 9.4 ถือว่า “Critical” ➡️ Qt SVG ถูกใช้งานในระบบหลากหลาย เช่น KDE Plasma, รถยนต์, อุปกรณ์การแพทย์ และ IoT ➡️ ช่องโหว่สามารถถูกโจมตีผ่านไฟล์ SVG ที่อัปโหลดจากผู้ใช้ ➡️ ไม่มีรายงานการโจมตีจริงในขณะนี้ แต่มีความเสี่ยงสูง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SVG เป็นไฟล์ภาพแบบเวกเตอร์ที่นิยมใช้ในเว็บและ UI เพราะขนาดเล็กและปรับขนาดได้ ➡️ use-after-free เป็นบั๊กที่อันตรายเพราะสามารถนำไปสู่การควบคุมหน่วยความจำ ➡️ Qt เป็นเฟรมเวิร์กที่ใช้ในซอฟต์แวร์ระดับองค์กรและอุปกรณ์ฝังตัวจำนวนมาก ➡️ การโจมตีผ่าน SVG เคยถูกใช้ใน phishing และการฝังโค้ด HTML ในภาพ ➡️ การตรวจสอบไฟล์ SVG ก่อนเรนเดอร์เป็นแนวทางป้องกันที่สำคัญ https://securityonline.info/qt-fixes-dual-critical-vulnerabilities-cve-2025-10728-cve-2025-10729-in-svg-module/
    SECURITYONLINE.INFO
    Qt Fixes Dual Critical Vulnerabilities (CVE-2025-10728 & CVE-2025-10729) in SVG Module
    The Qt Group patched two critical flaws in Qt SVG: a UAF bug (CVE-2025-10729) that risks RCE, and recursive pattern element (CVE-2025-10728) leading to stack overflow DoS.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Chrome 141 อุดช่องโหว่ร้ายแรง 3 จุด — เสี่ยงถูกแฮกผ่าน Sync, Storage และ WebCodecs”

    Google ได้ปล่อยอัปเดต Chrome เวอร์ชัน 141.0.7390.65/.66 สำหรับ Windows และ macOS และ 141.0.7390.65 สำหรับ Linux โดยมีการแก้ไขช่องโหว่ความปลอดภัยสำคัญ 3 รายการที่อาจเปิดทางให้ผู้โจมตีเข้าถึงข้อมูลหรือรันโค้ดอันตรายผ่านการจัดการหน่วยความจำผิดพลาด

    ช่องโหว่แรกคือ CVE-2025-11458 ซึ่งเป็นช่องโหว่ระดับสูงในฟีเจอร์ Sync ของ Chrome ที่ใช้ในการซิงก์ข้อมูลผู้ใช้ เช่น bookmarks, history และ settings ข้ามอุปกรณ์ โดยมีการเขียนข้อมูลเกินขอบเขตของหน่วยความจำ (heap buffer overflow) ซึ่งอาจนำไปสู่การรันโค้ดโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือทำให้เบราว์เซอร์ล่ม

    ช่องโหว่ที่สองคือ CVE-2025-11460 ซึ่งเป็นบั๊กแบบ use-after-free ในระบบ Storage ของ Chrome ที่จัดการฐานข้อมูลภายใน เช่น IndexedDB และ LocalStorage หากถูกโจมตีผ่านเว็บเพจที่ออกแบบมาเฉพาะ อาจทำให้เกิดการใช้หน่วยความจำที่ถูกปล่อยแล้ว ส่งผลให้ข้อมูลรั่วไหลหรือรันโค้ดอันตรายได้

    ช่องโหว่สุดท้ายคือ CVE-2025-11211 ซึ่งเป็นช่องโหว่ระดับกลางใน WebCodecs API ที่ใช้สำหรับประมวลผลวิดีโอและเสียง โดยเกิดจากการอ่านข้อมูลนอกขอบเขตหน่วยความจำ (out-of-bounds read) ซึ่งอาจทำให้ข้อมูลในหน่วยความจำรั่วไหลหรือทำให้เบราว์เซอร์ไม่เสถียรระหว่างการเล่นไฟล์มีเดีย

    Google แนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดต Chrome โดยเร็วที่สุด โดยสามารถเข้าไปที่ Settings → Help → About Google Chrome เพื่อเริ่มการอัปเดตและรีสตาร์ทเบราว์เซอร์ทันที

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Chrome 141 อัปเดตเพื่อแก้ไขช่องโหว่ความปลอดภัย 3 รายการ
    CVE-2025-11458: heap buffer overflow ในฟีเจอร์ Sync
    CVE-2025-11460: use-after-free ในระบบ Storage
    CVE-2025-11211: out-of-bounds read ใน WebCodecs API
    ช่องโหว่ใน Sync อาจนำไปสู่การรันโค้ดหรือทำให้เบราว์เซอร์ล่ม
    ช่องโหว่ใน Storage อาจทำให้ข้อมูลรั่วไหลหรือถูกโจมตีผ่านเว็บเพจ
    ช่องโหว่ใน WebCodecs อาจทำให้ข้อมูลในหน่วยความจำรั่วไหล
    Chrome เวอร์ชันใหม่คือ 141.0.7390.65/.66 สำหรับ Windows/macOS และ .65 สำหรับ Linux
    ผู้ใช้สามารถอัปเดตผ่าน Settings → Help → About Google Chrome

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ช่องโหว่ heap overflow และ use-after-free เป็นเป้าหมายหลักของการโจมตีเบราว์เซอร์
    WebCodecs เป็น API ใหม่ที่ช่วยให้เว็บแอปจัดการวิดีโอได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    Chrome ใช้สถาปัตยกรรม multiprocess เพื่อจำกัดผลกระทบจากการโจมตี
    Google มีโปรแกรมแจกรางวัลสำหรับผู้รายงานช่องโหว่ (VRP) สูงสุดถึง $5,000
    ช่องโหว่ใน Storage อาจถูกใช้ร่วมกับเทคนิค sandbox escape เพื่อเข้าถึงระบบ

    https://securityonline.info/chrome-141-stable-fixes-two-high-severity-flaws-heap-overflow-in-sync-and-uaf-in-storage/
    🛡️ “Chrome 141 อุดช่องโหว่ร้ายแรง 3 จุด — เสี่ยงถูกแฮกผ่าน Sync, Storage และ WebCodecs” Google ได้ปล่อยอัปเดต Chrome เวอร์ชัน 141.0.7390.65/.66 สำหรับ Windows และ macOS และ 141.0.7390.65 สำหรับ Linux โดยมีการแก้ไขช่องโหว่ความปลอดภัยสำคัญ 3 รายการที่อาจเปิดทางให้ผู้โจมตีเข้าถึงข้อมูลหรือรันโค้ดอันตรายผ่านการจัดการหน่วยความจำผิดพลาด ช่องโหว่แรกคือ CVE-2025-11458 ซึ่งเป็นช่องโหว่ระดับสูงในฟีเจอร์ Sync ของ Chrome ที่ใช้ในการซิงก์ข้อมูลผู้ใช้ เช่น bookmarks, history และ settings ข้ามอุปกรณ์ โดยมีการเขียนข้อมูลเกินขอบเขตของหน่วยความจำ (heap buffer overflow) ซึ่งอาจนำไปสู่การรันโค้ดโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือทำให้เบราว์เซอร์ล่ม ช่องโหว่ที่สองคือ CVE-2025-11460 ซึ่งเป็นบั๊กแบบ use-after-free ในระบบ Storage ของ Chrome ที่จัดการฐานข้อมูลภายใน เช่น IndexedDB และ LocalStorage หากถูกโจมตีผ่านเว็บเพจที่ออกแบบมาเฉพาะ อาจทำให้เกิดการใช้หน่วยความจำที่ถูกปล่อยแล้ว ส่งผลให้ข้อมูลรั่วไหลหรือรันโค้ดอันตรายได้ ช่องโหว่สุดท้ายคือ CVE-2025-11211 ซึ่งเป็นช่องโหว่ระดับกลางใน WebCodecs API ที่ใช้สำหรับประมวลผลวิดีโอและเสียง โดยเกิดจากการอ่านข้อมูลนอกขอบเขตหน่วยความจำ (out-of-bounds read) ซึ่งอาจทำให้ข้อมูลในหน่วยความจำรั่วไหลหรือทำให้เบราว์เซอร์ไม่เสถียรระหว่างการเล่นไฟล์มีเดีย Google แนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดต Chrome โดยเร็วที่สุด โดยสามารถเข้าไปที่ Settings → Help → About Google Chrome เพื่อเริ่มการอัปเดตและรีสตาร์ทเบราว์เซอร์ทันที ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Chrome 141 อัปเดตเพื่อแก้ไขช่องโหว่ความปลอดภัย 3 รายการ ➡️ CVE-2025-11458: heap buffer overflow ในฟีเจอร์ Sync ➡️ CVE-2025-11460: use-after-free ในระบบ Storage ➡️ CVE-2025-11211: out-of-bounds read ใน WebCodecs API ➡️ ช่องโหว่ใน Sync อาจนำไปสู่การรันโค้ดหรือทำให้เบราว์เซอร์ล่ม ➡️ ช่องโหว่ใน Storage อาจทำให้ข้อมูลรั่วไหลหรือถูกโจมตีผ่านเว็บเพจ ➡️ ช่องโหว่ใน WebCodecs อาจทำให้ข้อมูลในหน่วยความจำรั่วไหล ➡️ Chrome เวอร์ชันใหม่คือ 141.0.7390.65/.66 สำหรับ Windows/macOS และ .65 สำหรับ Linux ➡️ ผู้ใช้สามารถอัปเดตผ่าน Settings → Help → About Google Chrome ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ช่องโหว่ heap overflow และ use-after-free เป็นเป้าหมายหลักของการโจมตีเบราว์เซอร์ ➡️ WebCodecs เป็น API ใหม่ที่ช่วยให้เว็บแอปจัดการวิดีโอได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ➡️ Chrome ใช้สถาปัตยกรรม multiprocess เพื่อจำกัดผลกระทบจากการโจมตี ➡️ Google มีโปรแกรมแจกรางวัลสำหรับผู้รายงานช่องโหว่ (VRP) สูงสุดถึง $5,000 ➡️ ช่องโหว่ใน Storage อาจถูกใช้ร่วมกับเทคนิค sandbox escape เพื่อเข้าถึงระบบ https://securityonline.info/chrome-141-stable-fixes-two-high-severity-flaws-heap-overflow-in-sync-and-uaf-in-storage/
    SECURITYONLINE.INFO
    Chrome 141 Stable Fixes Two High-Severity Flaws: Heap Overflow in Sync and UAF in Storage
    Chrome 141.0.7390.65/66 is released, patching High-severity memory flaws: CVE-2025-11458 (Sync Heap Overflow) and CVE-2025-11460 (Storage UAF), risking RCE. Update immediately.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 156 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Redis พบช่องโหว่ร้ายแรงซ่อนมา 13 ปี — เสี่ยงถูกแฮกนับแสนเซิร์ฟเวอร์ทั่วโลก”

    Redis ฐานข้อมูลแบบ in-memory ที่นิยมใช้ในระบบคลาวด์ทั่วโลก กำลังเผชิญกับช่องโหว่ความปลอดภัยระดับวิกฤตที่ถูกซ่อนอยู่ในซอร์สโค้ดมานานถึง 13 ปี โดยช่องโหว่นี้มีชื่อว่า CVE-2025-49844 หรือ “RediShell” ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้โจมตีที่ผ่านการยืนยันตัวตนสามารถรันโค้ดอันตรายจากระยะไกลได้ผ่านการใช้ Lua script ที่ถูกออกแบบมาเฉพาะ

    ช่องโหว่นี้เกิดจากบั๊กประเภท “use-after-free” ในระบบจัดการหน่วยความจำของ Lua engine ที่ฝังอยู่ใน Redis โดยผู้โจมตีสามารถใช้สคริปต์ Lua เพื่อหลบหนีจาก sandbox และเข้าถึงหน่วยความจำที่ถูกปล่อยแล้ว ทำให้สามารถเปิด reverse shell และควบคุมเซิร์ฟเวอร์ Redis ได้เต็มรูปแบบ

    ผลกระทบอาจรุนแรงถึงขั้นขโมยข้อมูลสำคัญ ติดตั้งมัลแวร์ ขุดคริปโต หรือเคลื่อนย้ายไปยังระบบอื่นในเครือข่ายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพบว่ามี Redis instance กว่า 330,000 ตัวที่เปิดให้เข้าถึงผ่านอินเทอร์เน็ต และกว่า 60,000 ตัวไม่มีระบบยืนยันตัวตนเลย

    Redis ได้ออกแพตช์แก้ไขในเวอร์ชัน 8.2.2 และแนะนำให้ผู้ดูแลระบบอัปเดตทันที หากไม่สามารถอัปเดตได้ในตอนนี้ ควรปิดการใช้งาน Lua script โดยใช้ ACL เพื่อจำกัดคำสั่ง EVAL และ EVALSHA พร้อมตั้งค่าการยืนยันตัวตนให้รัดกุม

    นักวิจัยจาก Wiz และ Trend Micro ที่ค้นพบช่องโหว่นี้เตือนว่า “นี่คือช่องโหว่ที่อันตรายที่สุดในรอบหลายปี” และอาจนำไปสู่การโจมตีแบบ botnet และ cryptojacking คล้ายกับกรณีมัลแวร์ P2PInfect ที่เคยแพร่กระจายผ่าน Redis ในปี 2024

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Redis พบช่องโหว่ CVE-2025-49844 ที่มีความรุนแรงระดับ 10/10
    ช่องโหว่นี้เกิดจากบั๊ก use-after-free ใน Lua engine ที่ฝังอยู่ใน Redis
    ผู้โจมตีสามารถใช้ Lua script เพื่อหลบ sandbox และรันโค้ดอันตราย
    ส่งผลให้สามารถเปิด reverse shell และควบคุมเซิร์ฟเวอร์ Redis ได้
    Redis ได้ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 8.2.2 เพื่อแก้ไขช่องโหว่นี้
    มี Redis instance กว่า 330,000 ตัวเปิดให้เข้าถึงผ่านอินเทอร์เน็ต
    อย่างน้อย 60,000 ตัวไม่มีระบบยืนยันตัวตน
    หากไม่สามารถอัปเดตได้ ควรใช้ ACL ปิดคำสั่ง EVAL และ EVALSHA
    ช่องโหว่นี้ถูกค้นพบโดย Wiz และ Trend Micro ในเดือนพฤษภาคม 2025
    Redis Cloud ได้รับการอัปเดตแล้ว ไม่ต้องดำเนินการเพิ่มเติม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Redis ใช้ในกว่า 75% ของระบบคลาวด์ทั่วโลก
    ช่องโหว่นี้มีผลกับ Redis ทุกเวอร์ชันที่รองรับ Lua scripting
    Valkey ซึ่งเป็น fork ของ Redis ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน
    การโจมตีแบบ cryptojacking ผ่าน Redis เคยเกิดขึ้นแล้วในปี 2024
    การตั้งค่า Redis โดยไม่ใช้ root และจำกัดการเข้าถึงผ่าน firewall เป็นแนวทางป้องกันที่แนะนำ

    https://www.techradar.com/pro/security/redis-warns-major-security-flaw-could-be-impacting-thousands-of-instances-so-patch-now
    🚨 “Redis พบช่องโหว่ร้ายแรงซ่อนมา 13 ปี — เสี่ยงถูกแฮกนับแสนเซิร์ฟเวอร์ทั่วโลก” Redis ฐานข้อมูลแบบ in-memory ที่นิยมใช้ในระบบคลาวด์ทั่วโลก กำลังเผชิญกับช่องโหว่ความปลอดภัยระดับวิกฤตที่ถูกซ่อนอยู่ในซอร์สโค้ดมานานถึง 13 ปี โดยช่องโหว่นี้มีชื่อว่า CVE-2025-49844 หรือ “RediShell” ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้โจมตีที่ผ่านการยืนยันตัวตนสามารถรันโค้ดอันตรายจากระยะไกลได้ผ่านการใช้ Lua script ที่ถูกออกแบบมาเฉพาะ ช่องโหว่นี้เกิดจากบั๊กประเภท “use-after-free” ในระบบจัดการหน่วยความจำของ Lua engine ที่ฝังอยู่ใน Redis โดยผู้โจมตีสามารถใช้สคริปต์ Lua เพื่อหลบหนีจาก sandbox และเข้าถึงหน่วยความจำที่ถูกปล่อยแล้ว ทำให้สามารถเปิด reverse shell และควบคุมเซิร์ฟเวอร์ Redis ได้เต็มรูปแบบ ผลกระทบอาจรุนแรงถึงขั้นขโมยข้อมูลสำคัญ ติดตั้งมัลแวร์ ขุดคริปโต หรือเคลื่อนย้ายไปยังระบบอื่นในเครือข่ายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพบว่ามี Redis instance กว่า 330,000 ตัวที่เปิดให้เข้าถึงผ่านอินเทอร์เน็ต และกว่า 60,000 ตัวไม่มีระบบยืนยันตัวตนเลย Redis ได้ออกแพตช์แก้ไขในเวอร์ชัน 8.2.2 และแนะนำให้ผู้ดูแลระบบอัปเดตทันที หากไม่สามารถอัปเดตได้ในตอนนี้ ควรปิดการใช้งาน Lua script โดยใช้ ACL เพื่อจำกัดคำสั่ง EVAL และ EVALSHA พร้อมตั้งค่าการยืนยันตัวตนให้รัดกุม นักวิจัยจาก Wiz และ Trend Micro ที่ค้นพบช่องโหว่นี้เตือนว่า “นี่คือช่องโหว่ที่อันตรายที่สุดในรอบหลายปี” และอาจนำไปสู่การโจมตีแบบ botnet และ cryptojacking คล้ายกับกรณีมัลแวร์ P2PInfect ที่เคยแพร่กระจายผ่าน Redis ในปี 2024 ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Redis พบช่องโหว่ CVE-2025-49844 ที่มีความรุนแรงระดับ 10/10 ➡️ ช่องโหว่นี้เกิดจากบั๊ก use-after-free ใน Lua engine ที่ฝังอยู่ใน Redis ➡️ ผู้โจมตีสามารถใช้ Lua script เพื่อหลบ sandbox และรันโค้ดอันตราย ➡️ ส่งผลให้สามารถเปิด reverse shell และควบคุมเซิร์ฟเวอร์ Redis ได้ ➡️ Redis ได้ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 8.2.2 เพื่อแก้ไขช่องโหว่นี้ ➡️ มี Redis instance กว่า 330,000 ตัวเปิดให้เข้าถึงผ่านอินเทอร์เน็ต ➡️ อย่างน้อย 60,000 ตัวไม่มีระบบยืนยันตัวตน ➡️ หากไม่สามารถอัปเดตได้ ควรใช้ ACL ปิดคำสั่ง EVAL และ EVALSHA ➡️ ช่องโหว่นี้ถูกค้นพบโดย Wiz และ Trend Micro ในเดือนพฤษภาคม 2025 ➡️ Redis Cloud ได้รับการอัปเดตแล้ว ไม่ต้องดำเนินการเพิ่มเติม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Redis ใช้ในกว่า 75% ของระบบคลาวด์ทั่วโลก ➡️ ช่องโหว่นี้มีผลกับ Redis ทุกเวอร์ชันที่รองรับ Lua scripting ➡️ Valkey ซึ่งเป็น fork ของ Redis ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ➡️ การโจมตีแบบ cryptojacking ผ่าน Redis เคยเกิดขึ้นแล้วในปี 2024 ➡️ การตั้งค่า Redis โดยไม่ใช้ root และจำกัดการเข้าถึงผ่าน firewall เป็นแนวทางป้องกันที่แนะนำ https://www.techradar.com/pro/security/redis-warns-major-security-flaw-could-be-impacting-thousands-of-instances-so-patch-now
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 201 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts