• แบตเตอรี่ CO₂: เทคโนโลยีกักเก็บพลังงานยุคใหม่ที่กำลังเติบโตทั่วโลก

    เทคโนโลยี “CO₂ Battery” ของบริษัท Energy Dome จากอิตาลีกำลังกลายเป็นหนึ่งในนวัตกรรมด้านพลังงานที่น่าจับตาที่สุดในโลก โดยใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระบบปิดเพื่อกักเก็บพลังงานหมุนเวียนในช่วงที่มีไฟฟ้าเหลือ และปล่อยกลับสู่ระบบในช่วงที่ความต้องการสูง โรงงานต้นแบบขนาด 20 MW ในเกาะซาร์ดิเนียเริ่มเดินเครื่องในปี 2025 และจะมีการสร้างโรงงานลักษณะเดียวกันในอินเดีย สหรัฐฯ และศูนย์ข้อมูลของ Google ทั่วโลกในปี 2026

    จุดเด่นของเทคโนโลยีนี้คือความสามารถในการกักเก็บพลังงานยาวนานกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนทั่วไป ซึ่งมักเก็บได้เพียง 4–8 ชั่วโมง ในขณะที่ CO₂ Battery สามารถให้พลังงานต่อเนื่อง 10 ชั่วโมงขึ้นไป และขยายขนาดได้ง่ายโดยไม่เพิ่มต้นทุนมากนัก นอกจากนี้ยังไม่ต้องใช้แร่หายาก ไม่ต้องพึ่งภูมิประเทศเฉพาะแบบโรงไฟฟ้าพลังน้ำสูบกลับ และมีอายุการใช้งานยาวนานกว่าลิเธียมไอออนถึงสามเท่า ทำให้หลายประเทศและบริษัทพลังงานเริ่มสนใจลงทุนอย่างจริงจัง

    Google เป็นหนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว โดยต้องการใช้ CO₂ Battery เพื่อให้ศูนย์ข้อมูลทั่วโลกสามารถใช้พลังงานสะอาดได้ตลอด 24 ชั่วโมง แม้ในช่วงที่ไม่มีลมหรือแสงแดด ความสามารถในการสร้างโรงงานได้ภายในเวลาไม่ถึงสองปี และติดตั้งได้แทบทุกพื้นที่ ทำให้เทคโนโลยีนี้เหมาะกับการขยายตัวในระดับโลกอย่างมาก

    แม้จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อกังวล เช่น การใช้พื้นที่มากกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน และความเสี่ยงหากโดมถูกเจาะจน CO₂ รั่วออกมา อย่างไรก็ตาม ปริมาณ CO₂ ที่รั่วจะเทียบเท่าการบินข้ามมหาสมุทรเพียงไม่กี่เที่ยว และยังถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับการปล่อยคาร์บอนจากโรงไฟฟ้าถ่านหินทั่วไป ทำให้หลายฝ่ายมองว่าความเสี่ยงนี้ “คุ้มค่า” เมื่อเทียบกับประโยชน์ด้านพลังงานสะอาดในระยะยาว

    สรุปประเด็นสำคัญ
    CO₂ Battery คืออะไร และทำงานอย่างไร
    ใช้ CO₂ ในระบบปิดเพื่อกักเก็บพลังงาน
    อัด–ระบาย CO₂ เพื่อหมุนกังหันผลิตไฟฟ้า

    ข้อดีเหนือแบตเตอรี่แบบเดิม
    เก็บพลังงานได้นานกว่า 8–10 ชั่วโมง
    ไม่ใช้แร่หายาก และอายุการใช้งานยาวกว่า 3 เท่า
    ขยายขนาดได้ง่าย ต้นทุนลดลงเมื่อเพิ่มความจุ

    การขยายตัวทั่วโลก
    อินเดีย สหรัฐฯ และ Google เตรียมสร้างโรงงานในปี 2026
    ใช้พื้นที่เพียง 5 เฮกตาร์ และสร้างเสร็จเร็ว

    ข้อควรระวังและความเสี่ยง
    ใช้พื้นที่มากกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน
    หากโดมรั่ว CO₂ จะกระจายตัว ต้องเว้นระยะความปลอดภัย
    โครงสร้างโดมอาจถูกต่อต้านในบางพื้นที่ (NIMBY)

    https://spectrum.ieee.org/co2-battery-energy-storage
    🌍⚡ แบตเตอรี่ CO₂: เทคโนโลยีกักเก็บพลังงานยุคใหม่ที่กำลังเติบโตทั่วโลก เทคโนโลยี “CO₂ Battery” ของบริษัท Energy Dome จากอิตาลีกำลังกลายเป็นหนึ่งในนวัตกรรมด้านพลังงานที่น่าจับตาที่สุดในโลก โดยใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระบบปิดเพื่อกักเก็บพลังงานหมุนเวียนในช่วงที่มีไฟฟ้าเหลือ และปล่อยกลับสู่ระบบในช่วงที่ความต้องการสูง โรงงานต้นแบบขนาด 20 MW ในเกาะซาร์ดิเนียเริ่มเดินเครื่องในปี 2025 และจะมีการสร้างโรงงานลักษณะเดียวกันในอินเดีย สหรัฐฯ และศูนย์ข้อมูลของ Google ทั่วโลกในปี 2026 จุดเด่นของเทคโนโลยีนี้คือความสามารถในการกักเก็บพลังงานยาวนานกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนทั่วไป ซึ่งมักเก็บได้เพียง 4–8 ชั่วโมง ในขณะที่ CO₂ Battery สามารถให้พลังงานต่อเนื่อง 10 ชั่วโมงขึ้นไป และขยายขนาดได้ง่ายโดยไม่เพิ่มต้นทุนมากนัก นอกจากนี้ยังไม่ต้องใช้แร่หายาก ไม่ต้องพึ่งภูมิประเทศเฉพาะแบบโรงไฟฟ้าพลังน้ำสูบกลับ และมีอายุการใช้งานยาวนานกว่าลิเธียมไอออนถึงสามเท่า ทำให้หลายประเทศและบริษัทพลังงานเริ่มสนใจลงทุนอย่างจริงจัง Google เป็นหนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว โดยต้องการใช้ CO₂ Battery เพื่อให้ศูนย์ข้อมูลทั่วโลกสามารถใช้พลังงานสะอาดได้ตลอด 24 ชั่วโมง แม้ในช่วงที่ไม่มีลมหรือแสงแดด ความสามารถในการสร้างโรงงานได้ภายในเวลาไม่ถึงสองปี และติดตั้งได้แทบทุกพื้นที่ ทำให้เทคโนโลยีนี้เหมาะกับการขยายตัวในระดับโลกอย่างมาก แม้จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อกังวล เช่น การใช้พื้นที่มากกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน และความเสี่ยงหากโดมถูกเจาะจน CO₂ รั่วออกมา อย่างไรก็ตาม ปริมาณ CO₂ ที่รั่วจะเทียบเท่าการบินข้ามมหาสมุทรเพียงไม่กี่เที่ยว และยังถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับการปล่อยคาร์บอนจากโรงไฟฟ้าถ่านหินทั่วไป ทำให้หลายฝ่ายมองว่าความเสี่ยงนี้ “คุ้มค่า” เมื่อเทียบกับประโยชน์ด้านพลังงานสะอาดในระยะยาว 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ CO₂ Battery คืออะไร และทำงานอย่างไร ➡️ ใช้ CO₂ ในระบบปิดเพื่อกักเก็บพลังงาน ➡️ อัด–ระบาย CO₂ เพื่อหมุนกังหันผลิตไฟฟ้า ✅ ข้อดีเหนือแบตเตอรี่แบบเดิม ➡️ เก็บพลังงานได้นานกว่า 8–10 ชั่วโมง ➡️ ไม่ใช้แร่หายาก และอายุการใช้งานยาวกว่า 3 เท่า ➡️ ขยายขนาดได้ง่าย ต้นทุนลดลงเมื่อเพิ่มความจุ ✅ การขยายตัวทั่วโลก ➡️ อินเดีย สหรัฐฯ และ Google เตรียมสร้างโรงงานในปี 2026 ➡️ ใช้พื้นที่เพียง 5 เฮกตาร์ และสร้างเสร็จเร็ว ‼️ ข้อควรระวังและความเสี่ยง ⛔ ใช้พื้นที่มากกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ⛔ หากโดมรั่ว CO₂ จะกระจายตัว ต้องเว้นระยะความปลอดภัย ⛔ โครงสร้างโดมอาจถูกต่อต้านในบางพื้นที่ (NIMBY) https://spectrum.ieee.org/co2-battery-energy-storage
    0 Comments 0 Shares 10 Views 0 Reviews
  • คุณไม่ได้หมดไฟ… คุณกำลัง “ขาดความหมายในชีวิต” อยู่ต่างหาก

    บทความของ Neil Thanedar เปิดด้วยแนวคิดจาก Viktor Frankl และ Nietzsche ว่า “ความหมาย” คือเชื้อเพลิงที่แท้จริงของมนุษย์ ไม่ใช่ความสะดวกสบายหรือความสำเร็จภายนอก เขาอธิบายว่าคนจำนวนมากในยุคนี้ไม่ได้หมดไฟเพราะทำงานหนักเกินไป แต่เพราะทำงานที่ “ไม่สำคัญพอ” ต่อหัวใจของตัวเอง แม้จะมีบ้านดี ๆ รายได้ดี และชีวิตที่ดูสมบูรณ์แบบ แต่กลับรู้สึกว่างเปล่า เหมือนกำลังใช้ชีวิตของคนอื่นแทนชีวิตของตัวเอง

    Thanedar ชี้ว่าความรู้สึก “ติดอยู่ในความธรรมดา” เกิดจากการที่เราเลิกฟังเสียงในใจตั้งแต่วัยเด็ก—เสียงที่เคยบอกว่าเราอยากเป็นอะไร อยากสร้างอะไร อยากเปลี่ยนโลกแบบไหน แต่เมื่อโตขึ้น เราถูกสังคม ความกลัว และความคาดหวังทำให้เสียงนั้นเงียบลง เขาเล่าว่าตัวเองเคยอยากเป็นประธานาธิบดี นักบินอวกาศ และผู้รักษาประตูฮอกกี้ ก่อนจะถูกล้อจนเลิกฝันไปหลายปี

    เมื่อเขากลับมาฟังเสียงนั้นอีกครั้ง เขาพบว่าความหมายสูงสุดของเขาคือ “ช่วยคนอื่นค้นหาความหมายของตัวเอง” และ “เป็นตัวอย่างของการไล่ตามความยิ่งใหญ่” นั่นทำให้เขาเปลี่ยนเส้นทางจากธุรกิจห้องแล็บสู่การทำงานด้านการเมืองและการสร้างโครงการ Positive Politics ที่เขาเชื่อว่าจะสร้างผลกระทบระดับระบบได้จริง

    ท้ายที่สุด เขาย้ำว่าทั้งวัฒนธรรม “ทำงานหนัก 100 ชั่วโมง” และวัฒนธรรม “ทำงานให้น้อยที่สุด” ต่างก็พลาดประเด็นสำคัญ เพราะคำตอบไม่ได้อยู่ที่จำนวนชั่วโมงทำงาน แต่อยู่ที่ว่า “งานนั้นมีความหมายกับคุณแค่ไหน” ถ้าคุณทำงานที่ใช่ คุณจะรู้สึกหิว—หิวที่จะสร้าง หิวที่จะเติบโต หิวที่จะทำสิ่งสำคัญ ไม่ใช่หมดไฟ แต่เป็นการกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    คุณไม่ได้หมดไฟ แต่กำลังขาดความหมาย
    ความเหนื่อยล้าหลายอย่างคือ “existential vacuum” ตามแนวคิดของ Viktor Frankl
    ชีวิตที่สะดวกสบายแต่ไร้ความหมายทำให้รู้สึกติดอยู่ในความธรรมดา

    เสียงในใจวัยเด็กคือเบาะแสของความหมาย
    ความฝันวัยเด็กสะท้อนตัวตนที่แท้จริง
    สังคมและความกลัวทำให้เสียงนี้เงียบลงเมื่อโตขึ้น

    ความหมายสูงสุดคือการไล่ตามศักยภาพของตัวเอง
    Thanedar เปลี่ยนเส้นทางจากธุรกิจสู่การเมืองเพื่อทำงานที่มีผลกระทบมากกว่า
    เขาเชื่อว่าความหมายคือการสร้าง “meta solutions” ที่สร้างผลลัพธ์ต่อเนื่อง

    สิ่งที่ต้องระวัง
    การไล่ตามความสะดวกสบายมากเกินไปทำให้สับสนระหว่าง “สบาย” กับ “เติมเต็ม”
    การทำงานที่ไม่สำคัญต่อหัวใจจะทำให้รู้สึกหมดไฟแม้จะไม่เหนื่อย
    การไม่ฟังเสียงในใจนานเกินไปทำให้หลงทางในเส้นทางอาชีพและชีวิต

    https://neilthanedar.com/youre-not-burnt-out-youre-existentially-starving/
    🌟 คุณไม่ได้หมดไฟ… คุณกำลัง “ขาดความหมายในชีวิต” อยู่ต่างหาก บทความของ Neil Thanedar เปิดด้วยแนวคิดจาก Viktor Frankl และ Nietzsche ว่า “ความหมาย” คือเชื้อเพลิงที่แท้จริงของมนุษย์ ไม่ใช่ความสะดวกสบายหรือความสำเร็จภายนอก เขาอธิบายว่าคนจำนวนมากในยุคนี้ไม่ได้หมดไฟเพราะทำงานหนักเกินไป แต่เพราะทำงานที่ “ไม่สำคัญพอ” ต่อหัวใจของตัวเอง แม้จะมีบ้านดี ๆ รายได้ดี และชีวิตที่ดูสมบูรณ์แบบ แต่กลับรู้สึกว่างเปล่า เหมือนกำลังใช้ชีวิตของคนอื่นแทนชีวิตของตัวเอง Thanedar ชี้ว่าความรู้สึก “ติดอยู่ในความธรรมดา” เกิดจากการที่เราเลิกฟังเสียงในใจตั้งแต่วัยเด็ก—เสียงที่เคยบอกว่าเราอยากเป็นอะไร อยากสร้างอะไร อยากเปลี่ยนโลกแบบไหน แต่เมื่อโตขึ้น เราถูกสังคม ความกลัว และความคาดหวังทำให้เสียงนั้นเงียบลง เขาเล่าว่าตัวเองเคยอยากเป็นประธานาธิบดี นักบินอวกาศ และผู้รักษาประตูฮอกกี้ ก่อนจะถูกล้อจนเลิกฝันไปหลายปี เมื่อเขากลับมาฟังเสียงนั้นอีกครั้ง เขาพบว่าความหมายสูงสุดของเขาคือ “ช่วยคนอื่นค้นหาความหมายของตัวเอง” และ “เป็นตัวอย่างของการไล่ตามความยิ่งใหญ่” นั่นทำให้เขาเปลี่ยนเส้นทางจากธุรกิจห้องแล็บสู่การทำงานด้านการเมืองและการสร้างโครงการ Positive Politics ที่เขาเชื่อว่าจะสร้างผลกระทบระดับระบบได้จริง ท้ายที่สุด เขาย้ำว่าทั้งวัฒนธรรม “ทำงานหนัก 100 ชั่วโมง” และวัฒนธรรม “ทำงานให้น้อยที่สุด” ต่างก็พลาดประเด็นสำคัญ เพราะคำตอบไม่ได้อยู่ที่จำนวนชั่วโมงทำงาน แต่อยู่ที่ว่า “งานนั้นมีความหมายกับคุณแค่ไหน” ถ้าคุณทำงานที่ใช่ คุณจะรู้สึกหิว—หิวที่จะสร้าง หิวที่จะเติบโต หิวที่จะทำสิ่งสำคัญ ไม่ใช่หมดไฟ แต่เป็นการกลับมามีชีวิตอีกครั้ง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ คุณไม่ได้หมดไฟ แต่กำลังขาดความหมาย ➡️ ความเหนื่อยล้าหลายอย่างคือ “existential vacuum” ตามแนวคิดของ Viktor Frankl ➡️ ชีวิตที่สะดวกสบายแต่ไร้ความหมายทำให้รู้สึกติดอยู่ในความธรรมดา ✅ เสียงในใจวัยเด็กคือเบาะแสของความหมาย ➡️ ความฝันวัยเด็กสะท้อนตัวตนที่แท้จริง ➡️ สังคมและความกลัวทำให้เสียงนี้เงียบลงเมื่อโตขึ้น ✅ ความหมายสูงสุดคือการไล่ตามศักยภาพของตัวเอง ➡️ Thanedar เปลี่ยนเส้นทางจากธุรกิจสู่การเมืองเพื่อทำงานที่มีผลกระทบมากกว่า ➡️ เขาเชื่อว่าความหมายคือการสร้าง “meta solutions” ที่สร้างผลลัพธ์ต่อเนื่อง ‼️ สิ่งที่ต้องระวัง ⛔ การไล่ตามความสะดวกสบายมากเกินไปทำให้สับสนระหว่าง “สบาย” กับ “เติมเต็ม” ⛔ การทำงานที่ไม่สำคัญต่อหัวใจจะทำให้รู้สึกหมดไฟแม้จะไม่เหนื่อย ⛔ การไม่ฟังเสียงในใจนานเกินไปทำให้หลงทางในเส้นทางอาชีพและชีวิต https://neilthanedar.com/youre-not-burnt-out-youre-existentially-starving/
    NEILTHANEDAR.COM
    You're Not Burnt Out. You're Existentially Starving. - Neil Thanedar
    “Those who have a ‘Why’ to live, can bear with almost any ‘How’.” ― Viktor Frankl quoting Friedrich Nietzsche, Man’s Search for Meaning Let me guess: Viktor Frankl calls this feeling the “existential vacuum” in his famous book Man’s Search for Meaning. Frankl was a psychologist who survived the Holocaust, and in this book heContinue reading
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 Reviews
  • เมื่อ Windows 10 หมดอายุ แต่เครื่องอัปเกรดไม่ได้: ผู้ใช้เดือดเพราะ Microsoft ไม่ยอม “ปล่อยให้อยู่เงียบๆ”

    บทความนี้สะท้อนความหงุดหงิดของผู้ใช้ที่ยังใช้ Windows 10 อยู่ แม้เครื่องจะยังแรงและใช้งานได้ดี แต่กลับไม่สามารถอัปเกรดเป็น Windows 11 ได้เพราะติดข้อจำกัดด้าน TPM 2.0 ซึ่งเป็นชิปความปลอดภัยบนเมนบอร์ด แม้ผู้เขียนจะยอมรับชะตากรรมว่าเครื่องเก่าไม่รองรับ แต่สิ่งที่ทำให้เขาเดือดจริง ๆ คือการที่ Microsoft ยังคงส่งการแจ้งเตือนให้อัปเกรดทุกครั้งที่เปิดเครื่อง ทั้งที่ระบบของ Microsoft เองก็รู้ว่าเครื่องนี้ “อัปไม่ได้” อยู่แล้ว

    ปัญหาไม่ได้จบแค่การแจ้งเตือน แต่ยังรวมถึงการออกแบบ UX ที่ผู้เขียนเรียกว่า “illusion of choice” เพราะปุ่มที่ให้เลือกมีเพียง “Remind me later” หรือ “Learn more” ซึ่งพาไปยัง Microsoft Store เพื่อขายเครื่องใหม่ ไม่มีปุ่ม “ไม่ต้องเตือนอีก” หรือ “ปิดไปเลย” ให้ผู้ใช้เลือก นี่ทำให้ผู้เขียนมองว่าการออกแบบนี้เป็นการบังคับกลาย ๆ และสะท้อนทิศทางของ Microsoft ที่เริ่ม “เป็นศัตรูกับผู้ใช้ของตัวเอง”

    ผู้เขียนยังวิจารณ์ว่าความเป็นเจ้าของคอมพิวเตอร์ในยุคนี้เริ่มเลือนหาย เพราะ Microsoft สามารถรันโค้ดบนเครื่องของผู้ใช้ได้ตามต้องการ ทั้งการแสดงโฆษณา การบังคับให้ใช้ Microsoft Account หรือการผลักดันบริการอย่าง OneDrive แม้ผู้ใช้จะซื้อ Windows Pro และต้องการใช้งานแบบ offline ก็ตาม เขาเปรียบเทียบอย่างประชดว่า ถ้า Microsoft ต้องการให้เขาสร้างบัญชีบนเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท เขาก็จะตั้งเงื่อนไขกลับว่า Microsoft ต้องส่งสำเนา payload ทุกครั้งที่ระบบเข้าถึงอินเทอร์เน็ตกลับมาที่เซิร์ฟเวอร์ของเขาด้วย

    ท้ายบทความ ผู้เขียนสรุปว่าปัญหานี้ไม่ใช่บั๊ก แต่เป็น “การออกแบบโดยตั้งใจ” เพื่อผลักผู้ใช้ไปสู่ Windows 11 และ ecosystem ของ Microsoft แม้เครื่องจะไม่รองรับก็ตาม พร้อมทิ้งท้ายว่าการแจ้งเตือนนี้มาจากแอปชื่อ Reusable UX Interaction Manager หรือ Campaign Manager ซึ่งเป็นกลไกที่ Microsoft ใช้ในการส่งแคมเปญโฆษณาและแจ้งเตือนต่าง ๆ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ปัญหาหลัก: เครื่องอัปไม่ได้ แต่ Microsoft ยังบังคับเตือน
    ติดข้อจำกัด TPM 2.0 แม้เครื่องยังแรงและใช้งานได้ดี
    การแจ้งเตือนขึ้นทุกครั้งที่เปิดเครื่อง

    UX ที่ถูกออกแบบให้ “ไม่มีทางปฏิเสธ”
    มีแค่ “Remind me later” และ “Learn more”
    ปุ่ม Learn more พาไปหน้าโฆษณาซื้อเครื่องใหม่

    ผู้เขียนวิจารณ์ทิศทางของ Microsoft
    ระบบเริ่มควบคุมผู้ใช้มากขึ้น ทั้งโฆษณาและการบังคับใช้บัญชี
    แม้ซื้อ Windows Pro ก็ยังถูกบังคับใช้บริการที่ไม่ต้องการ

    ความเสี่ยงและสิ่งที่ต้องจับตา
    การออกแบบ UX แบบบังคับอาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่
    ผู้ใช้ Windows 10 จำนวนมากอาจถูกกดดันให้ซื้อเครื่องใหม่
    ความเป็นเจ้าของคอมพิวเตอร์กำลังลดลงเมื่อผู้ผลิตควบคุมมากขึ้น

    https://idiallo.com/byte-size/cant-update-to-windows-11-leave-me-alone
    💻😤 เมื่อ Windows 10 หมดอายุ แต่เครื่องอัปเกรดไม่ได้: ผู้ใช้เดือดเพราะ Microsoft ไม่ยอม “ปล่อยให้อยู่เงียบๆ” บทความนี้สะท้อนความหงุดหงิดของผู้ใช้ที่ยังใช้ Windows 10 อยู่ แม้เครื่องจะยังแรงและใช้งานได้ดี แต่กลับไม่สามารถอัปเกรดเป็น Windows 11 ได้เพราะติดข้อจำกัดด้าน TPM 2.0 ซึ่งเป็นชิปความปลอดภัยบนเมนบอร์ด แม้ผู้เขียนจะยอมรับชะตากรรมว่าเครื่องเก่าไม่รองรับ แต่สิ่งที่ทำให้เขาเดือดจริง ๆ คือการที่ Microsoft ยังคงส่งการแจ้งเตือนให้อัปเกรดทุกครั้งที่เปิดเครื่อง ทั้งที่ระบบของ Microsoft เองก็รู้ว่าเครื่องนี้ “อัปไม่ได้” อยู่แล้ว ปัญหาไม่ได้จบแค่การแจ้งเตือน แต่ยังรวมถึงการออกแบบ UX ที่ผู้เขียนเรียกว่า “illusion of choice” เพราะปุ่มที่ให้เลือกมีเพียง “Remind me later” หรือ “Learn more” ซึ่งพาไปยัง Microsoft Store เพื่อขายเครื่องใหม่ ไม่มีปุ่ม “ไม่ต้องเตือนอีก” หรือ “ปิดไปเลย” ให้ผู้ใช้เลือก นี่ทำให้ผู้เขียนมองว่าการออกแบบนี้เป็นการบังคับกลาย ๆ และสะท้อนทิศทางของ Microsoft ที่เริ่ม “เป็นศัตรูกับผู้ใช้ของตัวเอง” ผู้เขียนยังวิจารณ์ว่าความเป็นเจ้าของคอมพิวเตอร์ในยุคนี้เริ่มเลือนหาย เพราะ Microsoft สามารถรันโค้ดบนเครื่องของผู้ใช้ได้ตามต้องการ ทั้งการแสดงโฆษณา การบังคับให้ใช้ Microsoft Account หรือการผลักดันบริการอย่าง OneDrive แม้ผู้ใช้จะซื้อ Windows Pro และต้องการใช้งานแบบ offline ก็ตาม เขาเปรียบเทียบอย่างประชดว่า ถ้า Microsoft ต้องการให้เขาสร้างบัญชีบนเซิร์ฟเวอร์ของบริษัท เขาก็จะตั้งเงื่อนไขกลับว่า Microsoft ต้องส่งสำเนา payload ทุกครั้งที่ระบบเข้าถึงอินเทอร์เน็ตกลับมาที่เซิร์ฟเวอร์ของเขาด้วย ท้ายบทความ ผู้เขียนสรุปว่าปัญหานี้ไม่ใช่บั๊ก แต่เป็น “การออกแบบโดยตั้งใจ” เพื่อผลักผู้ใช้ไปสู่ Windows 11 และ ecosystem ของ Microsoft แม้เครื่องจะไม่รองรับก็ตาม พร้อมทิ้งท้ายว่าการแจ้งเตือนนี้มาจากแอปชื่อ Reusable UX Interaction Manager หรือ Campaign Manager ซึ่งเป็นกลไกที่ Microsoft ใช้ในการส่งแคมเปญโฆษณาและแจ้งเตือนต่าง ๆ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ปัญหาหลัก: เครื่องอัปไม่ได้ แต่ Microsoft ยังบังคับเตือน ➡️ ติดข้อจำกัด TPM 2.0 แม้เครื่องยังแรงและใช้งานได้ดี ➡️ การแจ้งเตือนขึ้นทุกครั้งที่เปิดเครื่อง ✅ UX ที่ถูกออกแบบให้ “ไม่มีทางปฏิเสธ” ➡️ มีแค่ “Remind me later” และ “Learn more” ➡️ ปุ่ม Learn more พาไปหน้าโฆษณาซื้อเครื่องใหม่ ✅ ผู้เขียนวิจารณ์ทิศทางของ Microsoft ➡️ ระบบเริ่มควบคุมผู้ใช้มากขึ้น ทั้งโฆษณาและการบังคับใช้บัญชี ➡️ แม้ซื้อ Windows Pro ก็ยังถูกบังคับใช้บริการที่ไม่ต้องการ ‼️ ความเสี่ยงและสิ่งที่ต้องจับตา ⛔ การออกแบบ UX แบบบังคับอาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ ⛔ ผู้ใช้ Windows 10 จำนวนมากอาจถูกกดดันให้ซื้อเครื่องใหม่ ⛔ ความเป็นเจ้าของคอมพิวเตอร์กำลังลดลงเมื่อผู้ผลิตควบคุมมากขึ้น https://idiallo.com/byte-size/cant-update-to-windows-11-leave-me-alone
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • Precision 1.85mm DC Block for High-Frequency RF & Microwave Applications

    Flexi RF Inc offers precision-engineered 1.85mm DC blocks designed to deliver superior DC isolation while maintaining excellent RF signal integrity at extremely high frequencies. Built for demanding microwave and millimeter-wave applications, these DC blocks support broadband performance, low insertion loss, minimal VSWR, and exceptional power handling. Ideal for use in test and measurement systems, aerospace, defense, satellite communications, and advanced RF research, Flexi RF’s 1.85mm DC blocks ensure reliable performance in critical signal paths where DC suppression is essential. Visit here - https://flexirf.com/collections/attenuators
    Precision 1.85mm DC Block for High-Frequency RF & Microwave Applications Flexi RF Inc offers precision-engineered 1.85mm DC blocks designed to deliver superior DC isolation while maintaining excellent RF signal integrity at extremely high frequencies. Built for demanding microwave and millimeter-wave applications, these DC blocks support broadband performance, low insertion loss, minimal VSWR, and exceptional power handling. Ideal for use in test and measurement systems, aerospace, defense, satellite communications, and advanced RF research, Flexi RF’s 1.85mm DC blocks ensure reliable performance in critical signal paths where DC suppression is essential. Visit here - https://flexirf.com/collections/attenuators
    FLEXIRF.COM
    Attenuators
    Flexible Supply of RF Components, highend and affordable RF supplies with great quality and fast shipping from the US
    0 Comments 0 Shares 6 Views 0 Reviews
  • ไม่ต้องจ่าย $100/เดือนก็โค้ดด้วย AI ได้: คู่มือ Local Coding Models สำหรับสาย Dev ยุคใหม่

    บทความนี้เริ่มจากสมมติฐานที่น่าสนใจของผู้เขียน: “แทนที่จะจ่าย $100+/เดือนให้ Claude Code หรือ AI coding tools แบบคลาวด์ เอาเงินไปซื้อเครื่องแรง ๆ แล้วรันโมเดลโค้ดแบบ local จะคุ้มกว่าไหม?” เขาทดสอบด้วยการซื้อ MacBook Pro RAM 128GB แล้วลองรันโมเดลโค้ดระดับ 30B–80B ด้วยตัวเอง ผลลัพธ์แรกเริ่มเหมือนจะใช่ แต่หลังจากทดลองจริงหลายสัปดาห์ เขาพบว่าคำตอบที่ถูกต้องคือ “ใช่…แต่ก็ไม่ใช่” เพราะแม้ local models จะทำงานได้ดีมาก แต่ยังไม่สามารถแทนที่ frontier models ในงานระดับ production ได้ทั้งหมด

    ผู้เขียนยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าการทดลองครั้งแรก “ผิดพลาด” เพราะเขามองจากมุมของผู้ใช้สาย hobby มากกว่ามืออาชีพในองค์กรจริง ๆ แม้ local models จะทำงานได้ประมาณ 90% ของงานโค้ดทั่วไป แต่ “10% ที่เหลือ” คือส่วนที่สำคัญที่สุดในงานจริง และเป็นเหตุผลที่ subscription แบบ Claude Code หรือ Gemini Pro ยังจำเป็นสำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง ความเสถียร และการจัดการ context ที่ซับซ้อน

    อย่างไรก็ตาม บทความชี้ให้เห็นข้อดีของ local models ที่หลายคนมองข้าม เช่น ความเสถียรที่ไม่ขึ้นกับผู้ให้บริการ ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (เหมาะกับงานที่มี IP สำคัญ) และความพร้อมใช้งานแม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ยังอธิบายอย่างละเอียดเรื่อง RAM, context window, quantization, serving tools (MLX vs Ollama) และการเลือกโมเดลที่เหมาะกับเครื่องของคุณ ซึ่งเป็นความรู้เชิงเทคนิคที่มีประโยชน์มากสำหรับ dev ที่อยากเริ่มรันโมเดลเอง

    สุดท้าย ผู้เขียนสรุปว่า local models “คุ้มค่า” ในฐานะ ตัวเสริม ไม่ใช่ ตัวแทน ของ frontier models โดยเฉพาะเมื่อใช้คู่กับ free tier ของ Gemini หรือโมเดลโอเพ่นซอร์สที่กำลังพัฒนาเร็วขึ้นเรื่อย ๆ เขาย้ำว่าการซื้อเครื่องแรง ๆ อาจคุ้มในระยะยาว แต่ไม่ควรรีบยกเลิก subscription ถ้างานของคุณต้องการคุณภาพระดับสูงสุดของ AI coding tools

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Local models เก่งขึ้นมาก และทำงานได้ ~90% ของงานโค้ดทั่วไป
    แม้โมเดล 7B–30B ก็ทำงานได้ดีเกินคาด
    แต่ยังไม่ถึงระดับ frontier models ในงานที่ต้องการความแม่นยำสูง

    ข้อดีของการรันโมเดลแบบ local
    ไม่ต้องพึ่งคลาวด์ ไม่เจอปัญหา rate limit หรือ downtime
    เหมาะกับงานที่ต้องการความเป็นส่วนตัวของข้อมูล
    ใช้งานได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต เช่น บนเครื่องบินหรือใน secure network

    ความรู้เชิงเทคนิคที่ dev ควรรู้
    RAM คือปัจจัยสำคัญที่สุด (30B = ~60GB RAM ถ้าไม่ quantize)
    context window ใช้ RAM มากกว่าตัวโมเดลเสียอีก
    MLX เร็วกว่า Ollama บน Mac แต่ Ollama ใช้ง่ายกว่า

    ข้อควรระวัง / จุดที่ผู้เขียนแก้ไขความเข้าใจของตัวเอง
    local models ไม่เหมาะแทนที่ AI coding tools ในงาน production
    การ quantize KV cache อาจทำให้โมเดล “ลืม” reasoning trace
    การซื้อเครื่องแพง ๆ อาจไม่คุ้ม หากมี free tier ที่แรงขึ้นเรื่อย ๆ เช่น Gemini 3 Flash

    https://www.aiforswes.com/p/you-dont-need-to-spend-100mo-on-claude
    🧠💻 ไม่ต้องจ่าย $100/เดือนก็โค้ดด้วย AI ได้: คู่มือ Local Coding Models สำหรับสาย Dev ยุคใหม่ บทความนี้เริ่มจากสมมติฐานที่น่าสนใจของผู้เขียน: “แทนที่จะจ่าย $100+/เดือนให้ Claude Code หรือ AI coding tools แบบคลาวด์ เอาเงินไปซื้อเครื่องแรง ๆ แล้วรันโมเดลโค้ดแบบ local จะคุ้มกว่าไหม?” เขาทดสอบด้วยการซื้อ MacBook Pro RAM 128GB แล้วลองรันโมเดลโค้ดระดับ 30B–80B ด้วยตัวเอง ผลลัพธ์แรกเริ่มเหมือนจะใช่ แต่หลังจากทดลองจริงหลายสัปดาห์ เขาพบว่าคำตอบที่ถูกต้องคือ “ใช่…แต่ก็ไม่ใช่” เพราะแม้ local models จะทำงานได้ดีมาก แต่ยังไม่สามารถแทนที่ frontier models ในงานระดับ production ได้ทั้งหมด ผู้เขียนยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าการทดลองครั้งแรก “ผิดพลาด” เพราะเขามองจากมุมของผู้ใช้สาย hobby มากกว่ามืออาชีพในองค์กรจริง ๆ แม้ local models จะทำงานได้ประมาณ 90% ของงานโค้ดทั่วไป แต่ “10% ที่เหลือ” คือส่วนที่สำคัญที่สุดในงานจริง และเป็นเหตุผลที่ subscription แบบ Claude Code หรือ Gemini Pro ยังจำเป็นสำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำสูง ความเสถียร และการจัดการ context ที่ซับซ้อน อย่างไรก็ตาม บทความชี้ให้เห็นข้อดีของ local models ที่หลายคนมองข้าม เช่น ความเสถียรที่ไม่ขึ้นกับผู้ให้บริการ ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (เหมาะกับงานที่มี IP สำคัญ) และความพร้อมใช้งานแม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต นอกจากนี้ยังอธิบายอย่างละเอียดเรื่อง RAM, context window, quantization, serving tools (MLX vs Ollama) และการเลือกโมเดลที่เหมาะกับเครื่องของคุณ ซึ่งเป็นความรู้เชิงเทคนิคที่มีประโยชน์มากสำหรับ dev ที่อยากเริ่มรันโมเดลเอง สุดท้าย ผู้เขียนสรุปว่า local models “คุ้มค่า” ในฐานะ ตัวเสริม ไม่ใช่ ตัวแทน ของ frontier models โดยเฉพาะเมื่อใช้คู่กับ free tier ของ Gemini หรือโมเดลโอเพ่นซอร์สที่กำลังพัฒนาเร็วขึ้นเรื่อย ๆ เขาย้ำว่าการซื้อเครื่องแรง ๆ อาจคุ้มในระยะยาว แต่ไม่ควรรีบยกเลิก subscription ถ้างานของคุณต้องการคุณภาพระดับสูงสุดของ AI coding tools 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Local models เก่งขึ้นมาก และทำงานได้ ~90% ของงานโค้ดทั่วไป ➡️ แม้โมเดล 7B–30B ก็ทำงานได้ดีเกินคาด ➡️ แต่ยังไม่ถึงระดับ frontier models ในงานที่ต้องการความแม่นยำสูง ✅ ข้อดีของการรันโมเดลแบบ local ➡️ ไม่ต้องพึ่งคลาวด์ ไม่เจอปัญหา rate limit หรือ downtime ➡️ เหมาะกับงานที่ต้องการความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ➡️ ใช้งานได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต เช่น บนเครื่องบินหรือใน secure network ✅ ความรู้เชิงเทคนิคที่ dev ควรรู้ ➡️ RAM คือปัจจัยสำคัญที่สุด (30B = ~60GB RAM ถ้าไม่ quantize) ➡️ context window ใช้ RAM มากกว่าตัวโมเดลเสียอีก ➡️ MLX เร็วกว่า Ollama บน Mac แต่ Ollama ใช้ง่ายกว่า ‼️ ข้อควรระวัง / จุดที่ผู้เขียนแก้ไขความเข้าใจของตัวเอง ⛔ local models ไม่เหมาะแทนที่ AI coding tools ในงาน production ⛔ การ quantize KV cache อาจทำให้โมเดล “ลืม” reasoning trace ⛔ การซื้อเครื่องแพง ๆ อาจไม่คุ้ม หากมี free tier ที่แรงขึ้นเรื่อย ๆ เช่น Gemini 3 Flash https://www.aiforswes.com/p/you-dont-need-to-spend-100mo-on-claude
    WWW.AIFORSWES.COM
    [Revised] You Don’t Need to Spend $100/mo on Claude Code: Your Guide to Local Coding Models
    What you need to know about local model tooling and the steps for setting one up yourself
    0 Comments 0 Shares 14 Views 0 Reviews
  • ถ้าคุณไม่ออกแบบเส้นทางอาชีพของตัวเอง… คนอื่นจะเป็นคนกำหนดให้คุณแทน

    หลายคนใช้ชีวิตอยู่ในโหมด “ทำงานไปวัน ๆ” จนลืมตั้งคำถามสำคัญว่าเส้นทางอาชีพที่กำลังเดินอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ตัวเองเลือกจริงหรือไม่ บทความของ Greg McKeown ชี้ให้เห็นกับดักนี้อย่างเฉียบคม พร้อมเสนอวิธีคิดแบบ Essentialism ที่ช่วยให้เรากลับมาควบคุมทิศทางชีวิตการทำงานของตัวเองอีกครั้ง เขาเล่าว่าคนจำนวนมากยุ่งจนไม่มีเวลาคิดเรื่องชีวิต และยิ่งยุ่งก็ยิ่งปล่อยให้แรงภายนอกเป็นตัวกำหนดอนาคตแทนตัวเราเอง

    Greg เสนอให้ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงเพื่อทบทวนปีที่ผ่านมาอย่างเป็นระบบ ไล่ดูว่าเราใช้เวลาไปกับอะไรบ้าง และสิ่งเหล่านั้นสะท้อนแนวโน้มแบบไหน ถ้าปล่อยให้แนวโน้มนี้ดำเนินต่อไปอีก 1–3 ปี ชีวิตเราจะไปทางไหน นี่คือการ “อ่านข่าวของชีวิตตัวเอง” เพื่อมองเห็นความจริงที่มักถูกกลบด้วยความวุ่นวายในแต่ละวัน

    จากนั้นเขาชวนให้เรากลับไปถามคำถามที่ลึกที่สุด: ถ้าเลือกได้ “ทำอะไรก็ได้” ในอาชีพการงาน เราอยากทำอะไรจริง ๆ โดยไม่ให้เสียงวิจารณ์หรือข้อจำกัดทางรายได้มาปิดกั้นตั้งแต่ต้น เพราะหลายครั้งสิ่งที่เราคิดว่า “ไม่จริง” อาจเป็นเพียงความกลัวหรือความเชื่อเก่าที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงในปัจจุบัน การเปิดพื้นที่ให้ตัวเองฝันอย่างอิสระจึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่หลายคนมองข้าม

    สุดท้าย Greg แนะนำให้เลือก “หนึ่งเป้าหมายหลัก” สำหรับปีถัดไป แล้วตัดสิ่งอื่นออกให้มากที่สุด พร้อมกำหนด quick wins ภายในเดือนแรกเพื่อสร้างแรงส่ง เขาย้ำว่าการตัดสินใจครั้งนี้เคยเปลี่ยนชีวิตเขาเอง—จากนักศึกษากฎหมายในอังกฤษ สู่การย้ายประเทศและกลายเป็นนักเขียน–ผู้สอนที่มีผลงานระดับโลก และทั้งหมดเริ่มต้นจากการใช้เวลาเพียงสองชั่วโมงคิดเรื่องชีวิตอย่างจริงจัง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    เริ่มจากการทบทวนปีที่ผ่านมา
    ไล่ดูเดือนต่อเดือนว่าใช้เวลาไปกับอะไร
    มองหาแนวโน้มและถามว่าถ้าปล่อยไว้จะเกิดอะไรขึ้น

    ตั้งคำถามใหญ่กับตัวเอง
    “ถ้าทำอะไรก็ได้ในอาชีพ เราอยากทำอะไรจริง ๆ?”
    เปิดพื้นที่ให้ความคิดสร้างสรรค์โดยไม่ตัดสินตัวเองก่อนเวลา

    โฟกัสเพียงหนึ่งเป้าหมายหลัก
    เขียน 6 เป้าหมาย แล้วตัดออก 5 ข้อ
    เลือก “True North” ของปีนั้นเพียงหนึ่งเดียว

    สิ่งที่ต้องระวัง
    การยุ่งจนไม่มีเวลาคิดเรื่องชีวิตคือกับดักอันตราย
    การตัดสินความฝันว่า “ไม่จริง” เร็วเกินไปทำให้พลาดโอกาส
    งานดี ๆ หลายอย่างอาจเบี่ยงเราออกจากเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่า

    https://gregmckeown.com/if-you-dont-design-your-career-someone-else-will/
    🧭 ถ้าคุณไม่ออกแบบเส้นทางอาชีพของตัวเอง… คนอื่นจะเป็นคนกำหนดให้คุณแทน หลายคนใช้ชีวิตอยู่ในโหมด “ทำงานไปวัน ๆ” จนลืมตั้งคำถามสำคัญว่าเส้นทางอาชีพที่กำลังเดินอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ตัวเองเลือกจริงหรือไม่ บทความของ Greg McKeown ชี้ให้เห็นกับดักนี้อย่างเฉียบคม พร้อมเสนอวิธีคิดแบบ Essentialism ที่ช่วยให้เรากลับมาควบคุมทิศทางชีวิตการทำงานของตัวเองอีกครั้ง เขาเล่าว่าคนจำนวนมากยุ่งจนไม่มีเวลาคิดเรื่องชีวิต และยิ่งยุ่งก็ยิ่งปล่อยให้แรงภายนอกเป็นตัวกำหนดอนาคตแทนตัวเราเอง Greg เสนอให้ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงเพื่อทบทวนปีที่ผ่านมาอย่างเป็นระบบ ไล่ดูว่าเราใช้เวลาไปกับอะไรบ้าง และสิ่งเหล่านั้นสะท้อนแนวโน้มแบบไหน ถ้าปล่อยให้แนวโน้มนี้ดำเนินต่อไปอีก 1–3 ปี ชีวิตเราจะไปทางไหน นี่คือการ “อ่านข่าวของชีวิตตัวเอง” เพื่อมองเห็นความจริงที่มักถูกกลบด้วยความวุ่นวายในแต่ละวัน จากนั้นเขาชวนให้เรากลับไปถามคำถามที่ลึกที่สุด: ถ้าเลือกได้ “ทำอะไรก็ได้” ในอาชีพการงาน เราอยากทำอะไรจริง ๆ โดยไม่ให้เสียงวิจารณ์หรือข้อจำกัดทางรายได้มาปิดกั้นตั้งแต่ต้น เพราะหลายครั้งสิ่งที่เราคิดว่า “ไม่จริง” อาจเป็นเพียงความกลัวหรือความเชื่อเก่าที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงในปัจจุบัน การเปิดพื้นที่ให้ตัวเองฝันอย่างอิสระจึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่หลายคนมองข้าม สุดท้าย Greg แนะนำให้เลือก “หนึ่งเป้าหมายหลัก” สำหรับปีถัดไป แล้วตัดสิ่งอื่นออกให้มากที่สุด พร้อมกำหนด quick wins ภายในเดือนแรกเพื่อสร้างแรงส่ง เขาย้ำว่าการตัดสินใจครั้งนี้เคยเปลี่ยนชีวิตเขาเอง—จากนักศึกษากฎหมายในอังกฤษ สู่การย้ายประเทศและกลายเป็นนักเขียน–ผู้สอนที่มีผลงานระดับโลก และทั้งหมดเริ่มต้นจากการใช้เวลาเพียงสองชั่วโมงคิดเรื่องชีวิตอย่างจริงจัง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ เริ่มจากการทบทวนปีที่ผ่านมา ➡️ ไล่ดูเดือนต่อเดือนว่าใช้เวลาไปกับอะไร ➡️ มองหาแนวโน้มและถามว่าถ้าปล่อยไว้จะเกิดอะไรขึ้น ✅ ตั้งคำถามใหญ่กับตัวเอง ➡️ “ถ้าทำอะไรก็ได้ในอาชีพ เราอยากทำอะไรจริง ๆ?” ➡️ เปิดพื้นที่ให้ความคิดสร้างสรรค์โดยไม่ตัดสินตัวเองก่อนเวลา ✅ โฟกัสเพียงหนึ่งเป้าหมายหลัก ➡️ เขียน 6 เป้าหมาย แล้วตัดออก 5 ข้อ ➡️ เลือก “True North” ของปีนั้นเพียงหนึ่งเดียว ‼️ สิ่งที่ต้องระวัง ⛔ การยุ่งจนไม่มีเวลาคิดเรื่องชีวิตคือกับดักอันตราย ⛔ การตัดสินความฝันว่า “ไม่จริง” เร็วเกินไปทำให้พลาดโอกาส ⛔ งานดี ๆ หลายอย่างอาจเบี่ยงเราออกจากเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่า https://gregmckeown.com/if-you-dont-design-your-career-someone-else-will/
    GREGMCKEOWN.COM
    If You Don't Design Your Career, Someone Else Will - Greg McKeown
    A client once responded to one of my questions by saying, "Oh Greg, I am too busy living to think about life!” His off-the-cuff comment named a trap al ...
    0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews
  • อันนี้ลุงสงสัยมากว่า... ทำไมกัน?

    สหรัฐฯ สั่งหยุดก่อสร้างกังหันลมนอกชายฝั่งทั้งประเทศ อ้างเหตุผล “ลับทางทหาร”

    รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของทรัมป์ประกาศหยุดการก่อสร้างโครงการกังหันลมนอกชายฝั่งทั้ง 5 แห่งที่กำลังดำเนินงานอยู่ แม้หลายโครงการจะใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้วก็ตาม การตัดสินใจครั้งนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับหลายรัฐที่พึ่งพาพลังงานสะอาดจากโครงการเหล่านี้ โดยกระทรวงมหาดไทยอ้างว่าได้รับรายงาน “ลับ” จากกระทรวงกลาโหมเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านความมั่นคง แต่ไม่เปิดเผยรายละเอียดใด ๆ ต่อสาธารณะหรือศาล ทำให้เกิดข้อสงสัยว่ารัฐบาลกำลังใช้การจัดชั้นความลับเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบทางกฎหมายหรือไม่

    ก่อนหน้านี้ ศาลได้เพิกถอนคำสั่งหยุดโครงการลักษณะเดียวกัน เนื่องจากรัฐบาลไม่สามารถให้เหตุผลที่ชัดเจนได้ แต่ครั้งนี้การอ้างข้อมูลลับทำให้การท้าทายทางกฎหมายยากขึ้นอย่างมาก โครงการที่ได้รับผลกระทบรวมถึง Coastal Virginia Offshore Wind (2.6 GW), Empire Wind (810 MW), Revolution Wind (700 MW), Sunrise Wind (925 MW) และ Vineyard Wind 1 (800 MW) ซึ่งหลายโครงการลงทุนไปเกือบครบแล้วและกำลังรอเริ่มผลิตไฟฟ้าเพื่อคืนทุน

    รัฐต่าง ๆ เช่น คอนเนตทิคัตและนิวยอร์กออกมาต่อต้านอย่างรุนแรง โดยมองว่าการหยุดงานครั้งนี้ “ไร้เหตุผลและผิดกฎหมาย” และอาจเป็นเพียงความพยายามของฝ่ายบริหารในการทำลายโครงการพลังงานลมตามความชอบส่วนตัวของประธานาธิบดีมากกว่าการตัดสินใจเชิงนโยบายที่มีข้อมูลรองรับ ข้อมูลในคดีเก่าระบุว่าภายในรัฐบาลเองก็ไม่มีเหตุผลทางเทคนิคที่ชัดเจนในการกลับคำอนุมัติที่มีมานานหลายปี

    เหตุการณ์นี้จึงไม่ใช่แค่การหยุดโครงการพลังงานสะอาด แต่สะท้อนถึงความตึงเครียดระหว่างนโยบายพลังงาน การเมือง และความมั่นคงแห่งชาติที่ถูกใช้เป็นเหตุผลแบบ “ตรวจสอบไม่ได้” ซึ่งอาจกลายเป็นแบบอย่างอันตรายต่อโครงการโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ในอนาคต หากไม่มีการตรวจสอบอย่างโปร่งใสจากศาลและสาธารณะ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    รัฐบาลสหรัฐฯ สั่งหยุดโครงการกังหันลมนอกชายฝั่งทั้งหมด
    อ้างรายงานลับจากกระทรวงกลาโหม
    ทำให้การตรวจสอบทางกฎหมายทำได้ยากขึ้น

    โครงการที่ได้รับผลกระทบมีมูลค่ามหาศาล
    Coastal Virginia (2.6 GW), Empire Wind, Revolution Wind, Sunrise Wind, Vineyard Wind 1
    หลายโครงการใกล้เสร็จและลงทุนไปเกือบครบแล้ว

    รัฐและบริษัทพลังงานออกมาต่อต้าน
    มองว่าเป็นการใช้อำนาจโดยไร้เหตุผล
    ศาลเคยเพิกถอนคำสั่งลักษณะเดียวกันมาก่อน

    ความเสี่ยงและผลกระทบที่ต้องจับตา
    การใช้ “ข้อมูลลับ” อาจกลายเป็นช่องทางเลี่ยงการตรวจสอบ
    ความไม่แน่นอนอาจทำลายความเชื่อมั่นในโครงการพลังงานสะอาด
    อาจเป็นแบบอย่างให้รัฐบาลใช้เหตุผลด้านความมั่นคงเพื่อหยุดโครงการอื่นในอนาคต


    https://arstechnica.com/science/2025/12/us-government-finds-new-excuse-to-stop-construction-of-offshore-wind/
    อันนี้ลุงสงสัยมากว่า... ทำไมกัน? 🌬️⚠️ สหรัฐฯ สั่งหยุดก่อสร้างกังหันลมนอกชายฝั่งทั้งประเทศ อ้างเหตุผล “ลับทางทหาร” รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของทรัมป์ประกาศหยุดการก่อสร้างโครงการกังหันลมนอกชายฝั่งทั้ง 5 แห่งที่กำลังดำเนินงานอยู่ แม้หลายโครงการจะใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้วก็ตาม การตัดสินใจครั้งนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับหลายรัฐที่พึ่งพาพลังงานสะอาดจากโครงการเหล่านี้ โดยกระทรวงมหาดไทยอ้างว่าได้รับรายงาน “ลับ” จากกระทรวงกลาโหมเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านความมั่นคง แต่ไม่เปิดเผยรายละเอียดใด ๆ ต่อสาธารณะหรือศาล ทำให้เกิดข้อสงสัยว่ารัฐบาลกำลังใช้การจัดชั้นความลับเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบทางกฎหมายหรือไม่ ก่อนหน้านี้ ศาลได้เพิกถอนคำสั่งหยุดโครงการลักษณะเดียวกัน เนื่องจากรัฐบาลไม่สามารถให้เหตุผลที่ชัดเจนได้ แต่ครั้งนี้การอ้างข้อมูลลับทำให้การท้าทายทางกฎหมายยากขึ้นอย่างมาก โครงการที่ได้รับผลกระทบรวมถึง Coastal Virginia Offshore Wind (2.6 GW), Empire Wind (810 MW), Revolution Wind (700 MW), Sunrise Wind (925 MW) และ Vineyard Wind 1 (800 MW) ซึ่งหลายโครงการลงทุนไปเกือบครบแล้วและกำลังรอเริ่มผลิตไฟฟ้าเพื่อคืนทุน รัฐต่าง ๆ เช่น คอนเนตทิคัตและนิวยอร์กออกมาต่อต้านอย่างรุนแรง โดยมองว่าการหยุดงานครั้งนี้ “ไร้เหตุผลและผิดกฎหมาย” และอาจเป็นเพียงความพยายามของฝ่ายบริหารในการทำลายโครงการพลังงานลมตามความชอบส่วนตัวของประธานาธิบดีมากกว่าการตัดสินใจเชิงนโยบายที่มีข้อมูลรองรับ ข้อมูลในคดีเก่าระบุว่าภายในรัฐบาลเองก็ไม่มีเหตุผลทางเทคนิคที่ชัดเจนในการกลับคำอนุมัติที่มีมานานหลายปี เหตุการณ์นี้จึงไม่ใช่แค่การหยุดโครงการพลังงานสะอาด แต่สะท้อนถึงความตึงเครียดระหว่างนโยบายพลังงาน การเมือง และความมั่นคงแห่งชาติที่ถูกใช้เป็นเหตุผลแบบ “ตรวจสอบไม่ได้” ซึ่งอาจกลายเป็นแบบอย่างอันตรายต่อโครงการโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ในอนาคต หากไม่มีการตรวจสอบอย่างโปร่งใสจากศาลและสาธารณะ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ รัฐบาลสหรัฐฯ สั่งหยุดโครงการกังหันลมนอกชายฝั่งทั้งหมด ➡️ อ้างรายงานลับจากกระทรวงกลาโหม ➡️ ทำให้การตรวจสอบทางกฎหมายทำได้ยากขึ้น ✅ โครงการที่ได้รับผลกระทบมีมูลค่ามหาศาล ➡️ Coastal Virginia (2.6 GW), Empire Wind, Revolution Wind, Sunrise Wind, Vineyard Wind 1 ➡️ หลายโครงการใกล้เสร็จและลงทุนไปเกือบครบแล้ว ✅ รัฐและบริษัทพลังงานออกมาต่อต้าน ➡️ มองว่าเป็นการใช้อำนาจโดยไร้เหตุผล ➡️ ศาลเคยเพิกถอนคำสั่งลักษณะเดียวกันมาก่อน ‼️ ความเสี่ยงและผลกระทบที่ต้องจับตา ⛔ การใช้ “ข้อมูลลับ” อาจกลายเป็นช่องทางเลี่ยงการตรวจสอบ ⛔ ความไม่แน่นอนอาจทำลายความเชื่อมั่นในโครงการพลังงานสะอาด ⛔ อาจเป็นแบบอย่างให้รัฐบาลใช้เหตุผลด้านความมั่นคงเพื่อหยุดโครงการอื่นในอนาคต https://arstechnica.com/science/2025/12/us-government-finds-new-excuse-to-stop-construction-of-offshore-wind/
    ARSTECHNICA.COM
    US blocks all offshore wind construction, says reason is classified
    Projects with hardware in the water stopped due to Department of Defense fears.
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
  • Queen Of The World (2025/129)

    หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ. 2018 ซึ่งในขณะนั้นสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2(ต่อไปจะเขียนว่า ควีนฯ) ยังมีชีวิตอยู่ (พระองค์ท่านสวรรคตเมื่อวันที่ 8/9/2022)

    เมื่ออ่านจบเล่มแล้ว ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งว่าชื่อหนังสือ Queen Of The World ค่อนข้างจะสื่อความหมายได้ตรงตามความต้องการของผู้เขียนเลย

    ถ้าหากต้องการอ่านชีวประวัติของควีนฯ เกิดที่ไหน นิสัยเป็นแบบไหน การเรียน ความรัก ฯลฯ ไม่สามารถหาอ่านได้ในเล่มนี้แน่นอน แต่เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจ โดยเน้นเฉพาะการไปเยือนประเทศต่างๆ ทั้งในเครือจักรภพและประเทศอื่นๆ รวมไปถึงการรับรองแขกบ้านแขกเมือง เรื่องนี้ผู้เขียนเน้นย้ำเลยว่านี่คือ “Solf Power” ของประเทศอังกฤษ

    แน่นอนว่าด้วยการที่ควีนฯ ทรงดำรงตำแหน่งประมุขสูงสุดมาตั้งแต่อายุ 26ปี จึงได้มีการไปเยี่ยมเยียนประเทศรอบโลก ได้ผ่านช่วงเวลาที่หนักหนามาตั้งแต่ก่อนรับตำแหน่งที่อังกฤษเกือบล้มลายหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง จนเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พระเจ้าจอร์จที่ 6 พระราชาของอังกฤษในขณะนั้นและเป็นพระบิดาของควีนฯ สิ้นพระชนม์ด้วยความคิดมากและเสียพระทัย ควีนฯจึงต้องมารับตำแหน่งประมุขสูงสุดทั้งๆที่อายุเพียง26ปี แต่งงานได้ไม่นาน และมีลูกอายุน้อย

    หลังจากครองราชย์ได้ไม่นาน ควีนฯยังต้องประสบพบเจอกับปัญหาแต่ขอแยกเป็นอิสระของประเทศที่อยู่ในเครือจักรภพ ซึ่งเป็นปัญหาคล้ายกับโดมิโนที่เกิดขึ้นต่อเนื่องๆไปเรื่อยๆ จนทั่งเข้าสู่ภาวะเป็นเป็นการพึ่งพาอาศัยกัน ประเทศที่สร้างความกังวลกับควีนฯ ได้แก่สองประเทศใหญ่คือ อินเดีย และประเทศแอฟริกาใต้

    ในเรื่องความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆกับควีนฯ ก็น่าสนใจไม่น้อย ทั้งประเทศอเมริกา ประเทศในทวีปแอฟริกา รวมไปถึงจีนและรัสเซีย ซึ่งควีนฯได้ไปเสด็จเยือนมาทั้งหมดแล้ว มีอีกเรื่องที่น่าใจมากๆคือ เรื่องของเรือยอร์ชพระที่นั่งบริทานเนียของควีนฯ เรือบริทาเนียใช้ในการเดินทางเยือนประเทศต่างๆ นอกจากนั้นยังเป็นที่พักส่วนพระองค์ขณะไปเยือนต่างประเทศ เป็นภัตรคารรับรองประมุขของประเทศนั้นๆ และยังเป็นสถานที่เจรจาทางการเมืองอีกด้วย เรือบริทาเนียก็เปรียบเสมือนประเทศราชของควีนฯเคลื่อนที่ได้

    ท้ายเล่มผู้เขียนเพิ่มเติมเรื่องราวของพระกรณียกิจของ พระสวามีดยุคฟิลิป , เจ้าฟ้าชายชาลส์(กษัตริย์ชาลส์ที่ 3) , เจ้าหญิงไดอานา , เจ้าหญิงแอนน์ , เจ้าชายแอนดรู , เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด รวมไปถึงรุ่นหลานของควีนฯ คือเจ้าชายวิลลียมและเจ้าชายแฮรี่อีกด้วย

    #QueenOfTheWorld #รีวิวหนังสือ
    Queen Of The World (2025/129) หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ. 2018 ซึ่งในขณะนั้นสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2(ต่อไปจะเขียนว่า ควีนฯ) ยังมีชีวิตอยู่ (พระองค์ท่านสวรรคตเมื่อวันที่ 8/9/2022) เมื่ออ่านจบเล่มแล้ว ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งว่าชื่อหนังสือ Queen Of The World ค่อนข้างจะสื่อความหมายได้ตรงตามความต้องการของผู้เขียนเลย ถ้าหากต้องการอ่านชีวประวัติของควีนฯ เกิดที่ไหน นิสัยเป็นแบบไหน การเรียน ความรัก ฯลฯ ไม่สามารถหาอ่านได้ในเล่มนี้แน่นอน แต่เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจ โดยเน้นเฉพาะการไปเยือนประเทศต่างๆ ทั้งในเครือจักรภพและประเทศอื่นๆ รวมไปถึงการรับรองแขกบ้านแขกเมือง เรื่องนี้ผู้เขียนเน้นย้ำเลยว่านี่คือ “Solf Power” ของประเทศอังกฤษ แน่นอนว่าด้วยการที่ควีนฯ ทรงดำรงตำแหน่งประมุขสูงสุดมาตั้งแต่อายุ 26ปี จึงได้มีการไปเยี่ยมเยียนประเทศรอบโลก ได้ผ่านช่วงเวลาที่หนักหนามาตั้งแต่ก่อนรับตำแหน่งที่อังกฤษเกือบล้มลายหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง จนเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พระเจ้าจอร์จที่ 6 พระราชาของอังกฤษในขณะนั้นและเป็นพระบิดาของควีนฯ สิ้นพระชนม์ด้วยความคิดมากและเสียพระทัย ควีนฯจึงต้องมารับตำแหน่งประมุขสูงสุดทั้งๆที่อายุเพียง26ปี แต่งงานได้ไม่นาน และมีลูกอายุน้อย หลังจากครองราชย์ได้ไม่นาน ควีนฯยังต้องประสบพบเจอกับปัญหาแต่ขอแยกเป็นอิสระของประเทศที่อยู่ในเครือจักรภพ ซึ่งเป็นปัญหาคล้ายกับโดมิโนที่เกิดขึ้นต่อเนื่องๆไปเรื่อยๆ จนทั่งเข้าสู่ภาวะเป็นเป็นการพึ่งพาอาศัยกัน ประเทศที่สร้างความกังวลกับควีนฯ ได้แก่สองประเทศใหญ่คือ อินเดีย และประเทศแอฟริกาใต้ ในเรื่องความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆกับควีนฯ ก็น่าสนใจไม่น้อย ทั้งประเทศอเมริกา ประเทศในทวีปแอฟริกา รวมไปถึงจีนและรัสเซีย ซึ่งควีนฯได้ไปเสด็จเยือนมาทั้งหมดแล้ว มีอีกเรื่องที่น่าใจมากๆคือ เรื่องของเรือยอร์ชพระที่นั่งบริทานเนียของควีนฯ เรือบริทาเนียใช้ในการเดินทางเยือนประเทศต่างๆ นอกจากนั้นยังเป็นที่พักส่วนพระองค์ขณะไปเยือนต่างประเทศ เป็นภัตรคารรับรองประมุขของประเทศนั้นๆ และยังเป็นสถานที่เจรจาทางการเมืองอีกด้วย เรือบริทาเนียก็เปรียบเสมือนประเทศราชของควีนฯเคลื่อนที่ได้ ท้ายเล่มผู้เขียนเพิ่มเติมเรื่องราวของพระกรณียกิจของ พระสวามีดยุคฟิลิป , เจ้าฟ้าชายชาลส์(กษัตริย์ชาลส์ที่ 3) , เจ้าหญิงไดอานา , เจ้าหญิงแอนน์ , เจ้าชายแอนดรู , เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด รวมไปถึงรุ่นหลานของควีนฯ คือเจ้าชายวิลลียมและเจ้าชายแฮรี่อีกด้วย #QueenOfTheWorld #รีวิวหนังสือ
    0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews
  • แฮ็กครั้งใหญ่โจมตีหน่วยงานน้ำของโรมาเนีย: คอมพิวเตอร์ 1,000 เครื่องถูกปิดจาก BitLocker ransomware

    การโจมตีครั้งนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อโครงสร้างพื้นฐานของโรมาเนีย เมื่อหน่วยงานบริหารจัดการน้ำถูกโจมตีด้วย ransomware ที่เข้ารหัสข้อมูลผ่าน BitLocker ของ Windows ส่งผลให้คอมพิวเตอร์กว่า 1,000 เครื่องใน 10 จาก 11 สำนักงานภูมิภาคต้องหยุดทำงานทันที แม้ระบบควบคุมการจ่ายน้ำจริงจะไม่ได้รับผลกระทบ แต่ระบบสนับสนุนทั้งหมด เช่น อีเมล เว็บเซอร์วิส ฐานข้อมูล และ GIS กลับถูกทำให้ใช้งานไม่ได้อย่างสิ้นเชิง

    ผู้โจมตีไม่ได้ประกาศตัวว่าเป็นกลุ่มใด แต่ทิ้งข้อความให้หน่วยงานติดต่อกลับภายใน 7 วัน ซึ่งเป็นรูปแบบที่คล้ายกับการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานในยุโรปช่วงปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะกรณีเดนมาร์กที่เคยถูกแฮ็กจนแรงดันน้ำผิดปกติและท่อแตกหลายจุดในปี 2024 เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้บ้านเรือนกว่า 500 หลังไม่มีน้ำใช้ชั่วคราว และกลายเป็นสัญญาณเตือนว่าระบบสาธารณูปโภคกำลังกลายเป็นเป้าหมายสำคัญของสงครามไซเบอร์ยุคใหม่

    หน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์ของโรมาเนีย (DNSC) ระบุว่ายังไม่ทราบช่องทางการโจมตี แต่ยืนยันว่าผู้โจมตีใช้ BitLocker ในการเข้ารหัสข้อมูลแทนที่จะใช้เครื่องมือเฉพาะทางแบบ ransomware กลุ่มอื่น ๆ ซึ่งสะท้อนว่าการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือซับซ้อนเสมอไป ขณะนี้ DNSC และหน่วยข่าวกรองกำลังเร่งกู้ระบบและตรวจสอบความเสียหายเพิ่มเติม

    เหตุการณ์นี้ยังเชื่อมโยงกับแนวโน้มการโจมตีที่หลายประเทศในยุโรปมองว่าเป็น “สงครามลูกผสม” โดยเฉพาะการโจมตีที่เชื่อมโยงกับกลุ่มที่สนับสนุนรัสเซีย เช่น Z‑Pentest และ NoName057(16) ที่เคยโจมตีระบบน้ำและเว็บไซต์ของเดนมาร์ก รวมถึง Fancy Bear ที่ถูกกล่าวหาว่าโจมตีระบบควบคุมการบินของเยอรมนีในปี 2024 ทำให้หลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามถึงความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่ยังให้ความสำคัญกับความปลอดภัยไซเบอร์น้อยเกินไป

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ขนาดความเสียหายและผลกระทบ
    คอมพิวเตอร์กว่า 1,000 เครื่องถูกปิดจาก BitLocker ransomware
    ระบบสนับสนุน เช่น อีเมล เว็บเซอร์วิส และฐานข้อมูลหยุดทำงาน

    ระบบน้ำยังทำงานได้ตามปกติ
    ระบบควบคุมการจ่ายน้ำไม่ถูกโจมตีโดยตรง
    การควบคุมยังทำผ่านศูนย์สั่งการและการสื่อสารเสียง

    รูปแบบการโจมตีและการสืบสวน
    ผู้โจมตีไม่ประกาศตัว แต่ทิ้งข้อความให้ติดต่อภายใน 7 วัน
    ใช้ BitLocker ของ Windows ในการเข้ารหัสข้อมูล

    ความเสี่ยงและสัญญาณเตือน
    โครงสร้างพื้นฐานยุโรปกำลังเป็นเป้าหมายของ “สงครามลูกผสม”
    เคยมีกรณีเดนมาร์กถูกโจมตีจนท่อแตกและบ้านเรือนขาดน้ำ
    ความปลอดภัยไซเบอร์ยังเป็นเรื่องที่หลายหน่วยงานให้ความสำคัญต่ำเกินไป

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/1-000-computers-taken-offline-in-romanian-water-management-authority-hack-ransomware-takes-bitlocker-encrypted-systems-down
    🚨 แฮ็กครั้งใหญ่โจมตีหน่วยงานน้ำของโรมาเนีย: คอมพิวเตอร์ 1,000 เครื่องถูกปิดจาก BitLocker ransomware การโจมตีครั้งนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อโครงสร้างพื้นฐานของโรมาเนีย เมื่อหน่วยงานบริหารจัดการน้ำถูกโจมตีด้วย ransomware ที่เข้ารหัสข้อมูลผ่าน BitLocker ของ Windows ส่งผลให้คอมพิวเตอร์กว่า 1,000 เครื่องใน 10 จาก 11 สำนักงานภูมิภาคต้องหยุดทำงานทันที แม้ระบบควบคุมการจ่ายน้ำจริงจะไม่ได้รับผลกระทบ แต่ระบบสนับสนุนทั้งหมด เช่น อีเมล เว็บเซอร์วิส ฐานข้อมูล และ GIS กลับถูกทำให้ใช้งานไม่ได้อย่างสิ้นเชิง ผู้โจมตีไม่ได้ประกาศตัวว่าเป็นกลุ่มใด แต่ทิ้งข้อความให้หน่วยงานติดต่อกลับภายใน 7 วัน ซึ่งเป็นรูปแบบที่คล้ายกับการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานในยุโรปช่วงปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะกรณีเดนมาร์กที่เคยถูกแฮ็กจนแรงดันน้ำผิดปกติและท่อแตกหลายจุดในปี 2024 เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้บ้านเรือนกว่า 500 หลังไม่มีน้ำใช้ชั่วคราว และกลายเป็นสัญญาณเตือนว่าระบบสาธารณูปโภคกำลังกลายเป็นเป้าหมายสำคัญของสงครามไซเบอร์ยุคใหม่ หน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์ของโรมาเนีย (DNSC) ระบุว่ายังไม่ทราบช่องทางการโจมตี แต่ยืนยันว่าผู้โจมตีใช้ BitLocker ในการเข้ารหัสข้อมูลแทนที่จะใช้เครื่องมือเฉพาะทางแบบ ransomware กลุ่มอื่น ๆ ซึ่งสะท้อนว่าการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือซับซ้อนเสมอไป ขณะนี้ DNSC และหน่วยข่าวกรองกำลังเร่งกู้ระบบและตรวจสอบความเสียหายเพิ่มเติม เหตุการณ์นี้ยังเชื่อมโยงกับแนวโน้มการโจมตีที่หลายประเทศในยุโรปมองว่าเป็น “สงครามลูกผสม” โดยเฉพาะการโจมตีที่เชื่อมโยงกับกลุ่มที่สนับสนุนรัสเซีย เช่น Z‑Pentest และ NoName057(16) ที่เคยโจมตีระบบน้ำและเว็บไซต์ของเดนมาร์ก รวมถึง Fancy Bear ที่ถูกกล่าวหาว่าโจมตีระบบควบคุมการบินของเยอรมนีในปี 2024 ทำให้หลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามถึงความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่ยังให้ความสำคัญกับความปลอดภัยไซเบอร์น้อยเกินไป 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ขนาดความเสียหายและผลกระทบ ➡️ คอมพิวเตอร์กว่า 1,000 เครื่องถูกปิดจาก BitLocker ransomware ➡️ ระบบสนับสนุน เช่น อีเมล เว็บเซอร์วิส และฐานข้อมูลหยุดทำงาน ✅ ระบบน้ำยังทำงานได้ตามปกติ ➡️ ระบบควบคุมการจ่ายน้ำไม่ถูกโจมตีโดยตรง ➡️ การควบคุมยังทำผ่านศูนย์สั่งการและการสื่อสารเสียง ✅ รูปแบบการโจมตีและการสืบสวน ➡️ ผู้โจมตีไม่ประกาศตัว แต่ทิ้งข้อความให้ติดต่อภายใน 7 วัน ➡️ ใช้ BitLocker ของ Windows ในการเข้ารหัสข้อมูล ‼️ ความเสี่ยงและสัญญาณเตือน ⛔ โครงสร้างพื้นฐานยุโรปกำลังเป็นเป้าหมายของ “สงครามลูกผสม” ⛔ เคยมีกรณีเดนมาร์กถูกโจมตีจนท่อแตกและบ้านเรือนขาดน้ำ ⛔ ความปลอดภัยไซเบอร์ยังเป็นเรื่องที่หลายหน่วยงานให้ความสำคัญต่ำเกินไป https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/1-000-computers-taken-offline-in-romanian-water-management-authority-hack-ransomware-takes-bitlocker-encrypted-systems-down
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    1,000 computers taken offline in Romanian water management authority hack
    No group has claimed the attack yet, and thankfully, water is still flowing in Romania.
    0 Comments 0 Shares 21 Views 0 Reviews
  • Gigabyte ถอด “เจลนำความร้อน” สุดฉาวออกจาก RTX 5070 Ti Windforce V2 — หันกลับไปใช้ thermal pad แบบดั้งเดิม

    Gigabyte ตัดสินใจยุติการใช้ “server‑grade thermal conductive gel” บนการ์ดจอรุ่นใหม่ RTX 5070 Ti Windforce V2 หลังจากเกิดกระแสวิจารณ์หนักเกี่ยวกับปัญหาเจลรั่วในรุ่นก่อนหน้า การเปลี่ยนแปลงนี้ถูกค้นพบโดยชุมชนฮาร์ดแวร์ที่สังเกตว่าหน้าเว็บผลิตภัณฑ์รุ่น V2 ไม่มีการกล่าวถึงเจลอีกต่อไป ซึ่งถือเป็นสัญญาณชัดเจนว่าบริษัทเลือกถอยกลับไปใช้ thermal pad แบบเดิมเพื่อความเสถียรและความมั่นใจของผู้ใช้

    นอกจากการถอดเจลแล้ว รุ่น V2 ยังถูกออกแบบให้เล็กลงอย่างเห็นได้ชัด โดยสั้นลงกว่า 43 มม. และใช้พัดลมขนาด 80 มม. เพื่อให้เหมาะกับเคสขนาดเล็กมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การปรับโครงสร้างนี้ทำให้ตำแหน่งรูน็อตด้านหลังเปลี่ยนไป และฟีเจอร์ dual‑BIOS ถูกตัดออก ซึ่งอาจกระทบผู้ใช้ระดับ enthusiast ที่ต้องการความยืดหยุ่นในการปรับแต่ง

    ปัญหาเจลรั่วเริ่มต้นตั้งแต่ซีรีส์ RTX 50 รุ่นแรก ๆ โดยผู้ใช้จำนวนมากพบว่าเจลไหลออกจากตำแหน่ง VRAM โดยเฉพาะในเคสที่ติดตั้ง GPU แบบแนวตั้ง บางกรณีเจลแทบไม่เหลือบนชิป VRAM เลย ทำให้เกิดความเสี่ยงต่ออุณหภูมิสูงเกินไป แม้ Gigabyte จะอ้างว่าเป็นเพียง “ปัญหาด้านปริมาณที่ทามากเกินไป” และ “เป็นแค่เรื่องความสวยงาม” แต่ผู้ใช้หลายรายพิสูจน์ว่าการเปลี่ยนกลับไปใช้ thermal pad ทำให้อุณหภูมิลดลงถึง 7°C

    แม้จะไม่มีรายงานว่าการ์ดใดเสียหายจากปัญหานี้ แต่การที่ Gigabyte เลือกถอดเจลออกอย่างเงียบ ๆ ในรุ่น V2 ทำให้เกิดคำถามว่าบริษัทกำลังยอมรับปัญหาด้านความน่าเชื่อถือหรือเพียงต้องการลดต้นทุนกันแน่ อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้รุ่นใหม่จะไม่ต้องกังวลเรื่องเจลรั่วอีกต่อไป เพราะการ์ดรุ่นนี้กลับไปใช้โซลูชันที่พิสูจน์แล้วว่ามั่นคงกว่า

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Gigabyte ถอดเจลนำความร้อนออกจากรุ่นใหม่
    รุ่น V2 ไม่มีการใช้ “server‑grade thermal gel” อีกต่อไป
    เปลี่ยนกลับไปใช้ thermal pad แบบดั้งเดิม

    การออกแบบรุ่น V2 ที่เล็กลง
    สั้นลง 43 มม. และใช้พัดลม 80 มม.
    ตำแหน่งรูน็อตเปลี่ยน และไม่มี dual‑BIOS

    ปัญหาเจลรั่วในรุ่นก่อนหน้า
    พบมากในเคสที่ติดตั้ง GPU แนวตั้ง
    ผู้ใช้บางรายพบว่าเปลี่ยนเป็น thermal pad แล้วเย็นลง 7°C

    ข้อควรระวังและประเด็นที่ยังไม่ชัดเจน
    Gigabyte ไม่เคยอธิบายกรณีเจลรั่วจนหมดออกจาก VRAM
    ไม่ชัดว่าการถอดเจลเกิดจากปัญหาความน่าเชื่อถือหรือเพื่อลดต้นทุน
    รุ่น V2 ตัดฟีเจอร์ dual‑BIOS ซึ่งอาจไม่ถูกใจผู้ใช้ระดับสูง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/gigabyte-removes-controversial-leaking-thermal-gel-from-rtx-5070-ti-windforce-v2-company-opts-for-traditional-thermal-pads-with-updated-graphics-card
    🔥 Gigabyte ถอด “เจลนำความร้อน” สุดฉาวออกจาก RTX 5070 Ti Windforce V2 — หันกลับไปใช้ thermal pad แบบดั้งเดิม Gigabyte ตัดสินใจยุติการใช้ “server‑grade thermal conductive gel” บนการ์ดจอรุ่นใหม่ RTX 5070 Ti Windforce V2 หลังจากเกิดกระแสวิจารณ์หนักเกี่ยวกับปัญหาเจลรั่วในรุ่นก่อนหน้า การเปลี่ยนแปลงนี้ถูกค้นพบโดยชุมชนฮาร์ดแวร์ที่สังเกตว่าหน้าเว็บผลิตภัณฑ์รุ่น V2 ไม่มีการกล่าวถึงเจลอีกต่อไป ซึ่งถือเป็นสัญญาณชัดเจนว่าบริษัทเลือกถอยกลับไปใช้ thermal pad แบบเดิมเพื่อความเสถียรและความมั่นใจของผู้ใช้ นอกจากการถอดเจลแล้ว รุ่น V2 ยังถูกออกแบบให้เล็กลงอย่างเห็นได้ชัด โดยสั้นลงกว่า 43 มม. และใช้พัดลมขนาด 80 มม. เพื่อให้เหมาะกับเคสขนาดเล็กมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การปรับโครงสร้างนี้ทำให้ตำแหน่งรูน็อตด้านหลังเปลี่ยนไป และฟีเจอร์ dual‑BIOS ถูกตัดออก ซึ่งอาจกระทบผู้ใช้ระดับ enthusiast ที่ต้องการความยืดหยุ่นในการปรับแต่ง ปัญหาเจลรั่วเริ่มต้นตั้งแต่ซีรีส์ RTX 50 รุ่นแรก ๆ โดยผู้ใช้จำนวนมากพบว่าเจลไหลออกจากตำแหน่ง VRAM โดยเฉพาะในเคสที่ติดตั้ง GPU แบบแนวตั้ง บางกรณีเจลแทบไม่เหลือบนชิป VRAM เลย ทำให้เกิดความเสี่ยงต่ออุณหภูมิสูงเกินไป แม้ Gigabyte จะอ้างว่าเป็นเพียง “ปัญหาด้านปริมาณที่ทามากเกินไป” และ “เป็นแค่เรื่องความสวยงาม” แต่ผู้ใช้หลายรายพิสูจน์ว่าการเปลี่ยนกลับไปใช้ thermal pad ทำให้อุณหภูมิลดลงถึง 7°C แม้จะไม่มีรายงานว่าการ์ดใดเสียหายจากปัญหานี้ แต่การที่ Gigabyte เลือกถอดเจลออกอย่างเงียบ ๆ ในรุ่น V2 ทำให้เกิดคำถามว่าบริษัทกำลังยอมรับปัญหาด้านความน่าเชื่อถือหรือเพียงต้องการลดต้นทุนกันแน่ อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้รุ่นใหม่จะไม่ต้องกังวลเรื่องเจลรั่วอีกต่อไป เพราะการ์ดรุ่นนี้กลับไปใช้โซลูชันที่พิสูจน์แล้วว่ามั่นคงกว่า 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Gigabyte ถอดเจลนำความร้อนออกจากรุ่นใหม่ ➡️ รุ่น V2 ไม่มีการใช้ “server‑grade thermal gel” อีกต่อไป ➡️ เปลี่ยนกลับไปใช้ thermal pad แบบดั้งเดิม ✅ การออกแบบรุ่น V2 ที่เล็กลง ➡️ สั้นลง 43 มม. และใช้พัดลม 80 มม. ➡️ ตำแหน่งรูน็อตเปลี่ยน และไม่มี dual‑BIOS ✅ ปัญหาเจลรั่วในรุ่นก่อนหน้า ➡️ พบมากในเคสที่ติดตั้ง GPU แนวตั้ง ➡️ ผู้ใช้บางรายพบว่าเปลี่ยนเป็น thermal pad แล้วเย็นลง 7°C ‼️ ข้อควรระวังและประเด็นที่ยังไม่ชัดเจน ⛔ Gigabyte ไม่เคยอธิบายกรณีเจลรั่วจนหมดออกจาก VRAM ⛔ ไม่ชัดว่าการถอดเจลเกิดจากปัญหาความน่าเชื่อถือหรือเพื่อลดต้นทุน ⛔ รุ่น V2 ตัดฟีเจอร์ dual‑BIOS ซึ่งอาจไม่ถูกใจผู้ใช้ระดับสูง https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/gigabyte-removes-controversial-leaking-thermal-gel-from-rtx-5070-ti-windforce-v2-company-opts-for-traditional-thermal-pads-with-updated-graphics-card
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Gigabyte removes controversial leaking gel from RTX 5070 Ti Windforce V2
    The second iteration of Gigabyte's RTX 5070 Ti triple-fan Windforce graphics card comes with traditional thermal pads.
    0 Comments 0 Shares 13 Views 0 Reviews
  • แฮ็กครั้งมโหฬาร: กลุ่ม Pirate Archivist ดูดข้อมูล Spotify 300TB ปล่อยทอร์เรนต์กว่า 86 ล้านไฟล์

    เหตุการณ์ครั้งนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในวงการสตรีมมิง เมื่อกลุ่ม Anna’s Archive ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะ “เงาแห่งห้องสมุดโลก” ได้ทำการสกัดข้อมูลจาก Spotify ในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยดึงไฟล์เพลงและเมทาดาทารวมกว่า 300TB ออกมาจากแพลตฟอร์ม พร้อมปล่อยเป็นทอร์เรนต์ให้ดาวน์โหลดอย่างเสรี การรั่วไหลครั้งนี้ครอบคลุมเพลงกว่า 86 ล้านไฟล์ คิดเป็นประมาณ 37% ของคลังเพลงทั้งหมด แต่ครอบคลุมถึง 99.9% ของยอดการฟังบนแพลตฟอร์ม ซึ่งสะท้อนว่าข้อมูลที่หลุดออกมาคือ “แก่นกลาง” ของ Spotify อย่างแท้จริง

    Spotify ยืนยันว่ามีการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต และผู้โจมตีใช้วิธีหลบเลี่ยง DRM เพื่อดึงไฟล์เสียงต้นฉบับในรูปแบบ OGG Vorbis 160kbps ออกมา ขณะเดียวกันเมทาดาทากว่า 256 ล้านแถว รวมถึง ISRC ทั้ง 186 ล้านรายการ ก็ถูกนำไปสร้างเป็นฐานข้อมูลที่ค้นหาได้เต็มรูปแบบ ทำให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมการฟังเพลงทั่วโลกถูกเปิดเผยอย่างไม่เคยมีมาก่อน เช่น สัดส่วนเพลงที่แทบไม่มีคนฟัง หรือแนวโน้มความนิยมของเพลงที่มี BPM ประมาณ 120 ซึ่งเป็นจังหวะที่พบมากที่สุดบนแพลตฟอร์ม

    Anna’s Archive อ้างว่าการกระทำครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อ “การอนุรักษ์ดนตรีของมนุษยชาติ” โดยมองว่า Spotify ให้ความสำคัญกับเพลงยอดนิยมมากเกินไป และคุณภาพเสียงที่ถูกบีบอัดก็ไม่เหมาะกับการเก็บถาวร พวกเขาจึงสร้างระบบทอร์เรนต์ที่จัดหมวดหมู่ตามความนิยม และใช้ฟอร์แมต AAC (Anna’s Archive Container) เพื่อแพ็กข้อมูลอย่างเป็นระบบ พร้อมทยอยปล่อยข้อมูลเป็นชุดใหญ่ในอนาคต ซึ่งอาจทำให้ผลกระทบของเหตุการณ์นี้ยังคงขยายตัวต่อไปอีกนาน

    ด้าน Spotify ระบุว่าบัญชีที่เกี่ยวข้องกับการโจมตีถูกปิดแล้ว และกำลังเพิ่มมาตรการป้องกันใหม่เพื่อรับมือการโจมตีลักษณะนี้ในอนาคต อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้ได้เปิดประเด็นสำคัญเกี่ยวกับความปลอดภัยของแพลตฟอร์มสตรีมมิง และความเปราะบางของระบบ DRM ที่ถูกท้าทายอย่างรุนแรงจากกลุ่มผู้ต้องการ “ปลดปล่อยข้อมูล” สู่สาธารณะ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ขนาดการรั่วไหลที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
    ข้อมูลกว่า 300TB ถูกดูดออกจาก Spotify
    รวมเพลงกว่า 86 ล้านไฟล์ ครอบคลุม 99.9% ของยอดฟังทั้งหมด

    ข้อมูลเชิงลึกที่ถูกเปิดเผย
    เมทาดาทา 256 ล้านแถว และ ISRC 186 ล้านรายการ
    ข้อมูลเผยว่า 70% ของเพลงแทบไม่มีคนฟัง และ BPM 120 คือจังหวะยอดนิยม

    การตอบสนองของ Spotify
    ปิดบัญชีที่เกี่ยวข้องกับการโจมตี
    เพิ่มมาตรการป้องกันใหม่และตรวจสอบพฤติกรรมต้องสงสัย

    ความเสี่ยงและผลกระทบที่ต้องจับตา
    การหลบเลี่ยง DRM อาจกระทบความเชื่อมั่นในระบบสตรีมมิง
    การปล่อยข้อมูลเป็นชุดใหญ่ในอนาคตอาจทำให้ผลกระทบขยายวงกว้าง
    อุตสาหกรรมดนตรีอาจเผชิญความเสียหายด้านลิขสิทธิ์ครั้งใหญ่

    https://www.tomshardware.com/service-providers/streaming/pirate-archivist-group-scrapes-spotifys-300tb-library-posts-free-torrents-for-downloading-investigation-underway-as-music-and-metadata-hit-torrent-sites
    🎧 แฮ็กครั้งมโหฬาร: กลุ่ม Pirate Archivist ดูดข้อมูล Spotify 300TB ปล่อยทอร์เรนต์กว่า 86 ล้านไฟล์ เหตุการณ์ครั้งนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในวงการสตรีมมิง เมื่อกลุ่ม Anna’s Archive ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะ “เงาแห่งห้องสมุดโลก” ได้ทำการสกัดข้อมูลจาก Spotify ในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยดึงไฟล์เพลงและเมทาดาทารวมกว่า 300TB ออกมาจากแพลตฟอร์ม พร้อมปล่อยเป็นทอร์เรนต์ให้ดาวน์โหลดอย่างเสรี การรั่วไหลครั้งนี้ครอบคลุมเพลงกว่า 86 ล้านไฟล์ คิดเป็นประมาณ 37% ของคลังเพลงทั้งหมด แต่ครอบคลุมถึง 99.9% ของยอดการฟังบนแพลตฟอร์ม ซึ่งสะท้อนว่าข้อมูลที่หลุดออกมาคือ “แก่นกลาง” ของ Spotify อย่างแท้จริง Spotify ยืนยันว่ามีการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต และผู้โจมตีใช้วิธีหลบเลี่ยง DRM เพื่อดึงไฟล์เสียงต้นฉบับในรูปแบบ OGG Vorbis 160kbps ออกมา ขณะเดียวกันเมทาดาทากว่า 256 ล้านแถว รวมถึง ISRC ทั้ง 186 ล้านรายการ ก็ถูกนำไปสร้างเป็นฐานข้อมูลที่ค้นหาได้เต็มรูปแบบ ทำให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมการฟังเพลงทั่วโลกถูกเปิดเผยอย่างไม่เคยมีมาก่อน เช่น สัดส่วนเพลงที่แทบไม่มีคนฟัง หรือแนวโน้มความนิยมของเพลงที่มี BPM ประมาณ 120 ซึ่งเป็นจังหวะที่พบมากที่สุดบนแพลตฟอร์ม Anna’s Archive อ้างว่าการกระทำครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อ “การอนุรักษ์ดนตรีของมนุษยชาติ” โดยมองว่า Spotify ให้ความสำคัญกับเพลงยอดนิยมมากเกินไป และคุณภาพเสียงที่ถูกบีบอัดก็ไม่เหมาะกับการเก็บถาวร พวกเขาจึงสร้างระบบทอร์เรนต์ที่จัดหมวดหมู่ตามความนิยม และใช้ฟอร์แมต AAC (Anna’s Archive Container) เพื่อแพ็กข้อมูลอย่างเป็นระบบ พร้อมทยอยปล่อยข้อมูลเป็นชุดใหญ่ในอนาคต ซึ่งอาจทำให้ผลกระทบของเหตุการณ์นี้ยังคงขยายตัวต่อไปอีกนาน ด้าน Spotify ระบุว่าบัญชีที่เกี่ยวข้องกับการโจมตีถูกปิดแล้ว และกำลังเพิ่มมาตรการป้องกันใหม่เพื่อรับมือการโจมตีลักษณะนี้ในอนาคต อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้ได้เปิดประเด็นสำคัญเกี่ยวกับความปลอดภัยของแพลตฟอร์มสตรีมมิง และความเปราะบางของระบบ DRM ที่ถูกท้าทายอย่างรุนแรงจากกลุ่มผู้ต้องการ “ปลดปล่อยข้อมูล” สู่สาธารณะ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ขนาดการรั่วไหลที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ➡️ ข้อมูลกว่า 300TB ถูกดูดออกจาก Spotify ➡️ รวมเพลงกว่า 86 ล้านไฟล์ ครอบคลุม 99.9% ของยอดฟังทั้งหมด ✅ ข้อมูลเชิงลึกที่ถูกเปิดเผย ➡️ เมทาดาทา 256 ล้านแถว และ ISRC 186 ล้านรายการ ➡️ ข้อมูลเผยว่า 70% ของเพลงแทบไม่มีคนฟัง และ BPM 120 คือจังหวะยอดนิยม ✅ การตอบสนองของ Spotify ➡️ ปิดบัญชีที่เกี่ยวข้องกับการโจมตี ➡️ เพิ่มมาตรการป้องกันใหม่และตรวจสอบพฤติกรรมต้องสงสัย ‼️ ความเสี่ยงและผลกระทบที่ต้องจับตา ⛔ การหลบเลี่ยง DRM อาจกระทบความเชื่อมั่นในระบบสตรีมมิง ⛔ การปล่อยข้อมูลเป็นชุดใหญ่ในอนาคตอาจทำให้ผลกระทบขยายวงกว้าง ⛔ อุตสาหกรรมดนตรีอาจเผชิญความเสียหายด้านลิขสิทธิ์ครั้งใหญ่ https://www.tomshardware.com/service-providers/streaming/pirate-archivist-group-scrapes-spotifys-300tb-library-posts-free-torrents-for-downloading-investigation-underway-as-music-and-metadata-hit-torrent-sites
    0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews
  • elementary OS 8.1 ออกแล้ว: อัปเกรดครั้งใหญ่เพื่อความลื่นไหลและปลอดภัยกว่าเดิม

    elementary OS 8.1 มาพร้อมการปรับปรุงครั้งสำคัญที่เน้นประสบการณ์ผู้ใช้ ความปลอดภัย และความเข้ากันได้กับฮาร์ดแวร์ยุคใหม่ โดยอัปเดตนี้สร้างบนฐาน Ubuntu 24.04 LTS ทำให้ระบบมีความเสถียรและรองรับอุปกรณ์ได้กว้างขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้ ทีมพัฒนาได้แก้ไขปัญหามากกว่า 1,100 รายการจากเสียงสะท้อนของผู้ใช้ ทำให้เวอร์ชันนี้เป็นหนึ่งในอัปเดตที่ “เนียนที่สุด” ของ elementary OS ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา.

    ในด้านประสบการณ์ใช้งาน ผู้ใช้จะได้พบกับ Dock ที่ฉลาดขึ้น การจัดการ Workspace ที่สะดวกกว่าเดิม และฟีเจอร์ Background Portal ที่ช่วยให้เห็นว่าแอปใดกำลังทำงานอยู่เบื้องหลังอย่างโปร่งใส รวมถึงการปรับปรุงด้าน Accessibility ที่ทำให้ผู้พิการทางสายตาสามารถติดตั้งระบบได้ด้วยตัวเองอย่างสมบูรณ์ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของระบบปฏิบัติการสายดีไซน์นี้.

    ด้านความปลอดภัย Secure Session ถูกตั้งเป็นค่าเริ่มต้น ทำให้การใช้งานทั่วไปปลอดภัยขึ้น เช่น หน้าต่างยืนยันรหัสผ่านที่ป้องกันการขโมยโฟกัสจากแอปอื่น และระบบอัปเดตที่ฉลาดขึ้น ไม่รบกวนผู้ใช้ และไม่กินเน็ตบนเครือข่ายแบบจำกัดข้อมูล ทั้งหมดนี้สะท้อนแนวคิด “ปลอดภัยแต่ไม่รบกวน” ที่ elementary OS ยึดถือมาโดยตลอด.

    สุดท้าย elementary OS 8.1 ยังเปิดตัวเวอร์ชัน ARM64 อย่างเป็นทางการ รองรับอุปกรณ์อย่าง Apple Silicon และ Raspberry Pi ที่ใช้ UEFI ทำให้ระบบนี้ก้าวเข้าสู่โลก ARM อย่างเต็มตัว พร้อมแอปพื้นฐานที่ได้รับการปรับปรุง เช่น Maps, Monitor, Music และ GNOME Web 48.3 ที่เร็วขึ้นกว่าเดิม ถือเป็นอัปเดตที่ทั้งเบา ลื่น และทันสมัยขึ้นอย่างเห็นได้ชัด.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    อัปเดตด้านประสบการณ์ผู้ใช้ (UI/UX)
    Dock ใหม่รองรับ Workspace Switcher และ Background Portal
    Dark Mode แบบ “snooze” และการปรับปรุง Reduce Motion
    Accessibility ดีขึ้นจนผู้พิการทางสายตาติดตั้งระบบได้เอง

    AppCenter ฉลาดขึ้น
    แสดงคะแนนรีวิวแบบเปอร์เซ็นต์จาก ODRS
    จัดเรียงแอปตามวันที่อัปเดต และแสดงป้าย In-app purchase

    ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว
    Secure Session เป็นค่าเริ่มต้น
    หน้าต่างใส่รหัสผ่านป้องกันการขโมยโฟกัส

    ระบบอัปเดตที่เสถียรและไม่รบกวน
    แสดงขนาดไฟล์ก่อนดาวน์โหลด
    ไม่ดาวน์โหลดอัตโนมัติบนเครือข่ายแบบจำกัดข้อมูล

    รองรับ ARM64 อย่างเป็นทางการ
    ใช้งานได้บน Apple Silicon และ Raspberry Pi ที่รองรับ UEFI

    ข้อควรระวัง / จุดที่ผู้ใช้อาจต้องรู้ก่อนอัปเดต
    Secure Session อาจทำให้บางแอปเก่าหรือไดรเวอร์ไม่รองรับ
    ARM64 ยังอาจมีแอปบางตัวที่ไม่พร้อมใช้งานเต็มรูปแบบ
    การเปลี่ยนแปลง UI อาจทำให้ผู้ใช้เก่าต้องปรับตัวเล็กน้อย

    https://itsfoss.com/news/elementary-os-8-1-release/
    🖥️ elementary OS 8.1 ออกแล้ว: อัปเกรดครั้งใหญ่เพื่อความลื่นไหลและปลอดภัยกว่าเดิม elementary OS 8.1 มาพร้อมการปรับปรุงครั้งสำคัญที่เน้นประสบการณ์ผู้ใช้ ความปลอดภัย และความเข้ากันได้กับฮาร์ดแวร์ยุคใหม่ โดยอัปเดตนี้สร้างบนฐาน Ubuntu 24.04 LTS ทำให้ระบบมีความเสถียรและรองรับอุปกรณ์ได้กว้างขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้ ทีมพัฒนาได้แก้ไขปัญหามากกว่า 1,100 รายการจากเสียงสะท้อนของผู้ใช้ ทำให้เวอร์ชันนี้เป็นหนึ่งในอัปเดตที่ “เนียนที่สุด” ของ elementary OS ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา. ในด้านประสบการณ์ใช้งาน ผู้ใช้จะได้พบกับ Dock ที่ฉลาดขึ้น การจัดการ Workspace ที่สะดวกกว่าเดิม และฟีเจอร์ Background Portal ที่ช่วยให้เห็นว่าแอปใดกำลังทำงานอยู่เบื้องหลังอย่างโปร่งใส รวมถึงการปรับปรุงด้าน Accessibility ที่ทำให้ผู้พิการทางสายตาสามารถติดตั้งระบบได้ด้วยตัวเองอย่างสมบูรณ์ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของระบบปฏิบัติการสายดีไซน์นี้. ด้านความปลอดภัย Secure Session ถูกตั้งเป็นค่าเริ่มต้น ทำให้การใช้งานทั่วไปปลอดภัยขึ้น เช่น หน้าต่างยืนยันรหัสผ่านที่ป้องกันการขโมยโฟกัสจากแอปอื่น และระบบอัปเดตที่ฉลาดขึ้น ไม่รบกวนผู้ใช้ และไม่กินเน็ตบนเครือข่ายแบบจำกัดข้อมูล ทั้งหมดนี้สะท้อนแนวคิด “ปลอดภัยแต่ไม่รบกวน” ที่ elementary OS ยึดถือมาโดยตลอด. สุดท้าย elementary OS 8.1 ยังเปิดตัวเวอร์ชัน ARM64 อย่างเป็นทางการ รองรับอุปกรณ์อย่าง Apple Silicon และ Raspberry Pi ที่ใช้ UEFI ทำให้ระบบนี้ก้าวเข้าสู่โลก ARM อย่างเต็มตัว พร้อมแอปพื้นฐานที่ได้รับการปรับปรุง เช่น Maps, Monitor, Music และ GNOME Web 48.3 ที่เร็วขึ้นกว่าเดิม ถือเป็นอัปเดตที่ทั้งเบา ลื่น และทันสมัยขึ้นอย่างเห็นได้ชัด. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ อัปเดตด้านประสบการณ์ผู้ใช้ (UI/UX) ➡️ Dock ใหม่รองรับ Workspace Switcher และ Background Portal ➡️ Dark Mode แบบ “snooze” และการปรับปรุง Reduce Motion ➡️ Accessibility ดีขึ้นจนผู้พิการทางสายตาติดตั้งระบบได้เอง ✅ AppCenter ฉลาดขึ้น ➡️ แสดงคะแนนรีวิวแบบเปอร์เซ็นต์จาก ODRS ➡️ จัดเรียงแอปตามวันที่อัปเดต และแสดงป้าย In-app purchase ✅ ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ➡️ Secure Session เป็นค่าเริ่มต้น ➡️ หน้าต่างใส่รหัสผ่านป้องกันการขโมยโฟกัส ✅ ระบบอัปเดตที่เสถียรและไม่รบกวน ➡️ แสดงขนาดไฟล์ก่อนดาวน์โหลด ➡️ ไม่ดาวน์โหลดอัตโนมัติบนเครือข่ายแบบจำกัดข้อมูล ✅ รองรับ ARM64 อย่างเป็นทางการ ➡️ ใช้งานได้บน Apple Silicon และ Raspberry Pi ที่รองรับ UEFI ‼️ ข้อควรระวัง / จุดที่ผู้ใช้อาจต้องรู้ก่อนอัปเดต ⛔ Secure Session อาจทำให้บางแอปเก่าหรือไดรเวอร์ไม่รองรับ ⛔ ARM64 ยังอาจมีแอปบางตัวที่ไม่พร้อมใช้งานเต็มรูปแบบ ⛔ การเปลี่ยนแปลง UI อาจทำให้ผู้ใช้เก่าต้องปรับตัวเล็กน้อย https://itsfoss.com/news/elementary-os-8-1-release/
    ITSFOSS.COM
    Christmas Comes Early With elementary OS 8.1 Release
    Based on Ubuntu 24.04 LTS with Secure Session as default and many other improvements.
    0 Comments 0 Shares 18 Views 0 Reviews
  • #ต้อนรับปีใหม่ค่าส่งฟรี!! ไฟสปอร์ตไลท์ ขนาด 9 นิ้ว รุ่น Driving Light 32 LED ชิป CREE 3030(US) กรอบสีดำ กำลังขับ 96 วัตต์ 12V-24V ใช้สำหรับ รถออฟโรด ATV UTV เรือยอร์ช เรือท่องเที่ยว ไฟหน้างาน และ งานประมง
    ********************************
    คุณลักษณะของผลิตภัณฑ์:
    ● ช่วงแรงดันไฟฟ้าที่ใช้งานได้กว้าง: สามารถใช้ได้กับยานพาหนะประเภทต่างๆ
    ● อายุการใช้งานยาวนาน: มากกว่าหลอดไฟ LED ขั้นสูงทั่วไป อายุการใช้งานมากกว่า 30,000 ชั่วโมง
    ● ตัวเรือน: อะลูมิเนียม กันกระแทก กันน้ำได้ดีกว่า
    ● การรับรู้แสง: แสงที่นุ่มนวลขึ้นเพื่อป้องกันแสงสะท้อน กันน้ำและป้องกันการกัดกร่อน: สามารถอยู่ในสายฝนหรือสภาพแวดล้อมที่รุนแรง
    ********************************
    ● ราคาคู่ละ 3,000 บาท (6,400 บาท/ motor show)
    ● ราคาดวงละ 1,550 บาท
    ค่าส่งต้อนรับปีใหม่ 0 บาท
    มีบริการเก็บเงินปลายทาง
    ********************************
    สนใจสอบถามสั่งซื้อ ได้ทางแชทข้อความ
    https://www.sbjshoponline.com/p/8
    โทรฯ :0830614654
    #รถบรรทุก #รถพ่วง #4x4 #ATV #SUV #4WD #เรือนำเที่ยว #รถกู้ภัย #เครื่องจักรก่อสร้าง #รถไถ #รถเกี่ยว
    #ต้อนรับปีใหม่ค่าส่งฟรี!! ไฟสปอร์ตไลท์ ขนาด 9 นิ้ว รุ่น Driving Light 32 LED ชิป CREE 3030(US) กรอบสีดำ กำลังขับ 96 วัตต์ 12V-24V ใช้สำหรับ รถออฟโรด ATV UTV เรือยอร์ช เรือท่องเที่ยว ไฟหน้างาน และ งานประมง ******************************** คุณลักษณะของผลิตภัณฑ์: ● ช่วงแรงดันไฟฟ้าที่ใช้งานได้กว้าง: สามารถใช้ได้กับยานพาหนะประเภทต่างๆ ● อายุการใช้งานยาวนาน: มากกว่าหลอดไฟ LED ขั้นสูงทั่วไป อายุการใช้งานมากกว่า 30,000 ชั่วโมง ● ตัวเรือน: อะลูมิเนียม กันกระแทก กันน้ำได้ดีกว่า ● การรับรู้แสง: แสงที่นุ่มนวลขึ้นเพื่อป้องกันแสงสะท้อน กันน้ำและป้องกันการกัดกร่อน: สามารถอยู่ในสายฝนหรือสภาพแวดล้อมที่รุนแรง ******************************** ● ราคาคู่ละ 3,000 บาท (6,400 บาท/ motor show) ● ราคาดวงละ 1,550 บาท ค่าส่งต้อนรับปีใหม่ 0 บาท มีบริการเก็บเงินปลายทาง ******************************** สนใจสอบถามสั่งซื้อ ได้ทางแชทข้อความ https://www.sbjshoponline.com/p/8 โทรฯ :0830614654 #รถบรรทุก #รถพ่วง #4x4 #ATV #SUV #4WD #เรือนำเที่ยว #รถกู้ภัย #เครื่องจักรก่อสร้าง #รถไถ #รถเกี่ยว
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 Reviews
  • https://youtube.com/shorts/caf3wGr3kD8?si=OX0bRinQJPuBOxuv
    https://youtube.com/shorts/caf3wGr3kD8?si=OX0bRinQJPuBOxuv
    0 Comments 0 Shares 22 Views 0 Reviews
  • https://youtube.com/shorts/BhOkpXJcgGA?si=WMIGSw6x0_DOQ2dk
    https://youtube.com/shorts/BhOkpXJcgGA?si=WMIGSw6x0_DOQ2dk
    0 Comments 0 Shares 22 Views 0 Reviews
  • https://youtube.com/shorts/MKbW0qfQ_nc?si=YV1f0gBnWJYf-eEr
    https://youtube.com/shorts/MKbW0qfQ_nc?si=YV1f0gBnWJYf-eEr
    0 Comments 0 Shares 21 Views 0 Reviews
  • เมื่อมะเร็งทำลายเสียง แต่ AI ช่วยคืนตัวตนให้เธออีกครั้ง

    เรื่องราวของ Sonya Sotinsky เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ทรงพลังที่สุดของการที่เทคโนโลยี AI สามารถคืน “ตัวตน” ให้มนุษย์ได้ หลังจากเธอต้องสูญเสียทั้งลิ้นและกล่องเสียงเพราะมะเร็งช่องปาก เธอไม่ยอมให้ชีวิตเงียบงัน จึงเริ่มบันทึกเสียงทุกอย่างที่เธออยากเก็บไว้—ตั้งแต่คำอวยพรวันเกิด คำพูดกับครอบครัว ไปจนถึงคำสบถที่เป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกเธอเอง

    เมื่อเทคโนโลยี AI ด้านเสียงพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในปี 2024 เธอพบวิธีสร้าง “เสียงจำลอง” ที่มีสำเนียง New Jersey แบบเดิมครบถ้วน ทั้งอารมณ์ ความประชด และความเป็นตัวเธอ เสียงนี้ถูกเก็บไว้ในแอปบนโทรศัพท์ ทำให้เธอสามารถ “พูด” ได้อีกครั้งผ่านการพิมพ์ข้อความ แม้แพทย์และบริษัทประกันจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับการรักษาเสียงของเธอ แต่เธอกลับพิสูจน์ว่าเสียงคือส่วนหนึ่งของศักดิ์ศรีและความเป็นมนุษย์

    นอกจากช่วยให้เธอสื่อสารได้ดีขึ้น เสียง AI นี้ยังช่วยให้ทีมแพทย์รับรู้ความคิดและความต้องการของเธอได้ชัดเจนขึ้น จนมีส่วนช่วยในการรักษามะเร็งรอบล่าสุดที่ลุกลามไปยังปอดและตับ เธอรู้สึกว่าคนรอบตัว “มองเห็นความเป็นมนุษย์ของเธอมากขึ้น” เมื่อได้ยินเสียงที่มีชีวิตชีวาแทนเสียงสังเคราะห์แบบหุ่นยนต์ในอดีต

    วันนี้ Sotinsky ใช้ประสบการณ์ของตัวเองเพื่อผลักดันให้เกิดการวิจัยและการสนับสนุนด้านประกันสุขภาพสำหรับเทคโนโลยีเสียง AI เธอสร้างเว็บไซต์ แชร์ประสบการณ์ และพูดในงานวิชาการ เพื่อให้ผู้ป่วยคนอื่นไม่ต้องเผชิญความเงียบงันแบบที่เธอเคยเจอ เธอย้ำเสมอว่า “เสียงคืออัตลักษณ์” และแม้โรคร้ายจะพรากเสียงจริงไป แต่ AI ก็ช่วยคืนความเป็นตัวเธอได้อย่างงดงาม

    สรุปประเด็นสำคัญจากข่าว
    AI ช่วยคืนเสียงและตัวตนให้ผู้ป่วยมะเร็ง
    Sotinsky ใช้เสียงที่บันทึกไว้ก่อนผ่าตัดเพื่อสร้างเสียง AI ที่เหมือนจริง
    เสียงใหม่ช่วยให้เธอสื่อสารได้อย่างเป็นธรรมชาติและมีอารมณ์

    เสียงคือส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์มนุษย์
    เธอเชื่อว่าความถี่ น้ำเสียง และสำเนียงคือ “ลายนิ้วมือของตัวตน”
    การไม่มีเสียงทำให้เกิดความโดดเดี่ยวและความเครียดทางอารมณ์

    เทคโนโลยี AI ด้านเสียงก้าวหน้าอย่างมาก
    โมเดลใหม่สามารถสร้างเสียงที่มีอารมณ์และความเป็นธรรมชาติสูง
    ใช้เพียง 30 นาทีของเสียงต้นฉบับก็สร้างเสียงจำลองได้แล้ว

    ความท้าทายด้านระบบสุขภาพและประกัน
    บริษัทประกันปฏิเสธการครอบคลุมค่าใช้จ่ายเทคโนโลยีเสียง AI
    แพทย์จำนวนมากยังไม่รู้ว่ามีเทคโนโลยีนี้ให้ผู้ป่วยใช้

    ความเสี่ยงด้านคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยไร้เสียง
    ผู้ป่วยที่สูญเสียกล่องเสียงมีความเสี่ยงซึมเศร้าและโดดเดี่ยวสูง
    เสียงสังเคราะห์แบบเก่าอาจทำให้คนรอบข้างไม่เข้าใจหรือไม่เห็นคุณค่าความคิดของผู้ป่วย

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/22/cancer-stole-her-voice-she-used-ai-curse-words-and-kids-books-to-get-it-back
    🗞️ เมื่อมะเร็งทำลายเสียง แต่ AI ช่วยคืนตัวตนให้เธออีกครั้ง เรื่องราวของ Sonya Sotinsky เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ทรงพลังที่สุดของการที่เทคโนโลยี AI สามารถคืน “ตัวตน” ให้มนุษย์ได้ หลังจากเธอต้องสูญเสียทั้งลิ้นและกล่องเสียงเพราะมะเร็งช่องปาก เธอไม่ยอมให้ชีวิตเงียบงัน จึงเริ่มบันทึกเสียงทุกอย่างที่เธออยากเก็บไว้—ตั้งแต่คำอวยพรวันเกิด คำพูดกับครอบครัว ไปจนถึงคำสบถที่เป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกเธอเอง เมื่อเทคโนโลยี AI ด้านเสียงพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในปี 2024 เธอพบวิธีสร้าง “เสียงจำลอง” ที่มีสำเนียง New Jersey แบบเดิมครบถ้วน ทั้งอารมณ์ ความประชด และความเป็นตัวเธอ เสียงนี้ถูกเก็บไว้ในแอปบนโทรศัพท์ ทำให้เธอสามารถ “พูด” ได้อีกครั้งผ่านการพิมพ์ข้อความ แม้แพทย์และบริษัทประกันจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับการรักษาเสียงของเธอ แต่เธอกลับพิสูจน์ว่าเสียงคือส่วนหนึ่งของศักดิ์ศรีและความเป็นมนุษย์ นอกจากช่วยให้เธอสื่อสารได้ดีขึ้น เสียง AI นี้ยังช่วยให้ทีมแพทย์รับรู้ความคิดและความต้องการของเธอได้ชัดเจนขึ้น จนมีส่วนช่วยในการรักษามะเร็งรอบล่าสุดที่ลุกลามไปยังปอดและตับ เธอรู้สึกว่าคนรอบตัว “มองเห็นความเป็นมนุษย์ของเธอมากขึ้น” เมื่อได้ยินเสียงที่มีชีวิตชีวาแทนเสียงสังเคราะห์แบบหุ่นยนต์ในอดีต วันนี้ Sotinsky ใช้ประสบการณ์ของตัวเองเพื่อผลักดันให้เกิดการวิจัยและการสนับสนุนด้านประกันสุขภาพสำหรับเทคโนโลยีเสียง AI เธอสร้างเว็บไซต์ แชร์ประสบการณ์ และพูดในงานวิชาการ เพื่อให้ผู้ป่วยคนอื่นไม่ต้องเผชิญความเงียบงันแบบที่เธอเคยเจอ เธอย้ำเสมอว่า “เสียงคืออัตลักษณ์” และแม้โรคร้ายจะพรากเสียงจริงไป แต่ AI ก็ช่วยคืนความเป็นตัวเธอได้อย่างงดงาม 📌 สรุปประเด็นสำคัญจากข่าว ✅ AI ช่วยคืนเสียงและตัวตนให้ผู้ป่วยมะเร็ง ➡️ Sotinsky ใช้เสียงที่บันทึกไว้ก่อนผ่าตัดเพื่อสร้างเสียง AI ที่เหมือนจริง ➡️ เสียงใหม่ช่วยให้เธอสื่อสารได้อย่างเป็นธรรมชาติและมีอารมณ์ ✅ เสียงคือส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์มนุษย์ ➡️ เธอเชื่อว่าความถี่ น้ำเสียง และสำเนียงคือ “ลายนิ้วมือของตัวตน” ➡️ การไม่มีเสียงทำให้เกิดความโดดเดี่ยวและความเครียดทางอารมณ์ ✅ เทคโนโลยี AI ด้านเสียงก้าวหน้าอย่างมาก ➡️ โมเดลใหม่สามารถสร้างเสียงที่มีอารมณ์และความเป็นธรรมชาติสูง ➡️ ใช้เพียง 30 นาทีของเสียงต้นฉบับก็สร้างเสียงจำลองได้แล้ว ‼️ ความท้าทายด้านระบบสุขภาพและประกัน ⛔ บริษัทประกันปฏิเสธการครอบคลุมค่าใช้จ่ายเทคโนโลยีเสียง AI ⛔ แพทย์จำนวนมากยังไม่รู้ว่ามีเทคโนโลยีนี้ให้ผู้ป่วยใช้ ‼️ ความเสี่ยงด้านคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยไร้เสียง ⛔ ผู้ป่วยที่สูญเสียกล่องเสียงมีความเสี่ยงซึมเศร้าและโดดเดี่ยวสูง ⛔ เสียงสังเคราะห์แบบเก่าอาจทำให้คนรอบข้างไม่เข้าใจหรือไม่เห็นคุณค่าความคิดของผู้ป่วย https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/22/cancer-stole-her-voice-she-used-ai-curse-words-and-kids-books-to-get-it-back
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Cancer stole her voice. She used AI, curse words and kids' books to get it back
    When doctors told her they had to remove her tongue and voice box to save her life from the cancer that had invaded her mouth, Sonya Sotinsky sat down with a microphone to record herself saying the things she would never again be able to say.
    0 Comments 0 Shares 120 Views 0 Reviews
  • สหรัฐฯ vs จีนในสมรภูมิ AI: ทำไมหลายบริษัทอเมริกันกลับเลือกใช้โมเดลจากจีน

    กระแสการแข่งขันด้านปัญญาประดิษฐ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนกำลังทวีความเข้มข้น แต่ในอีกมุมหนึ่ง บริษัทและนักพัฒนาจำนวนไม่น้อยในสหรัฐฯ กลับหันไปใช้โมเดล AI แบบโอเพ่นซอร์สจากจีนมากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะมีแรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์ก็ตาม โมเดลจากค่ายจีนอย่าง Alibaba Qwen, DeepSeek R1, MiniMax, และ Z.ai ได้รับความนิยมเพราะราคาถูกกว่า ปรับแต่งได้มากกว่า และให้ประสิทธิภาพที่ “ดีพอ” สำหรับงานส่วนใหญ่ที่ไม่ต้องการความล้ำหน้าระดับ OpenAI หรือ Google

    ในเวลาเดียวกัน การเติบโตของโมเดลโอเพ่นซอร์สจากจีนยังสะท้อนการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ในอุตสาหกรรม AI ทั่วโลก จากเดิมที่สหรัฐฯ ครองความได้เปรียบด้านเทคโนโลยีอย่างชัดเจน แต่การเปิดตัวโมเดลอย่าง DeepSeek R1 ที่มีประสิทธิภาพสูงและต้นทุนต่ำ ทำให้หลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามว่า “จีนกำลังไล่ทันหรือแซงหน้าในบางด้านแล้วหรือไม่”

    นอกจากนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ เองก็เริ่มตระหนักถึงความสำคัญของโอเพ่นซอร์ส โดยออกแผน “AI Action Plan” เพื่อผลักดันโมเดลโอเพ่นซอร์สที่ยึดตามค่านิยมอเมริกัน แต่บริษัทใหญ่ในสหรัฐฯ กลับเดินไปในทิศทางตรงกันข้าม เช่น Meta ที่หันกลับไปเน้นโมเดลปิดมากขึ้น ขณะที่ฝั่งยุโรปอย่าง Mistral แม้ยังยืนหยัดในโอเพ่นซอร์ส แต่ก็ยังตามหลังจีนในด้านการใช้งานจริงทั่วโลก

    อย่างไรก็ตาม แม้โมเดลจีนจะได้รับความนิยม แต่ก็ยังมีความกังวลด้านความเสี่ยง เช่น ความเป็นไปได้ของมาตรการคว่ำบาตรในอนาคต หรือความไม่มั่นใจของลูกค้าบางกลุ่มที่ไม่ต้องการใช้เทคโนโลยีจากจีน แม้ผู้เชี่ยวชาญหลายรายยืนยันว่าโมเดลโอเพ่นซอร์สเหล่านี้สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับจีนโดยตรงก็ตาม

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ความนิยมของโมเดลโอเพ่นซอร์สจากจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
    การใช้งานทั่วโลกเพิ่มจาก 1.2% เป็นเกือบ 30% ภายในไม่ถึงปี
    โมเดลอย่าง Qwen และ DeepSeek ได้รับความนิยมเพราะราคาถูกและปรับแต่งได้ดี

    บริษัทสหรัฐฯ หลายแห่งหันมาใช้โมเดลจีน
    ผู้ประกอบการบางรายประหยัดต้นทุนได้ถึง 400,000 ดอลลาร์ต่อปี
    องค์กรใหญ่ เช่น Nvidia, Perplexity และ Stanford ก็ใช้ Qwen ในบางงาน

    จีนก้าวหน้าในด้าน AI Agents และโมเดลรุ่นใหม่
    โมเดล Kimi K2 และ DeepSeek R1 ถูกมองว่าเป็นแนวหน้าของยุค AI Agents
    โมเดลจีนจำนวนมากเปิดให้ปรับแต่งได้มากกว่าโมเดลสหรัฐฯ

    ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และการคว่ำบาตร
    บริษัทกังวลว่าโมเดลจีนอาจถูกสหรัฐฯ แบนในอนาคต
    ลูกค้าบางรายไม่มั่นใจเรื่องภาพลักษณ์และความสอดคล้องกับค่านิยมตะวันตก

    ความไม่แน่นอนด้านทิศทางของบริษัทสหรัฐฯ
    Meta หันกลับไปเน้นโมเดลปิด ทำให้ตลาดโอเพ่นซอร์สฝั่งตะวันตกอ่อนแรง
    ความไม่ชัดเจนของนโยบายสหรัฐฯ อาจทำให้บริษัทลังเลในการเลือกเทคโนโลยี

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/22/as-us-battles-china-on-ai-some-companies-choose-chinese
    🧭 สหรัฐฯ vs จีนในสมรภูมิ AI: ทำไมหลายบริษัทอเมริกันกลับเลือกใช้โมเดลจากจีน กระแสการแข่งขันด้านปัญญาประดิษฐ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนกำลังทวีความเข้มข้น แต่ในอีกมุมหนึ่ง บริษัทและนักพัฒนาจำนวนไม่น้อยในสหรัฐฯ กลับหันไปใช้โมเดล AI แบบโอเพ่นซอร์สจากจีนมากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะมีแรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์ก็ตาม โมเดลจากค่ายจีนอย่าง Alibaba Qwen, DeepSeek R1, MiniMax, และ Z.ai ได้รับความนิยมเพราะราคาถูกกว่า ปรับแต่งได้มากกว่า และให้ประสิทธิภาพที่ “ดีพอ” สำหรับงานส่วนใหญ่ที่ไม่ต้องการความล้ำหน้าระดับ OpenAI หรือ Google ในเวลาเดียวกัน การเติบโตของโมเดลโอเพ่นซอร์สจากจีนยังสะท้อนการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ในอุตสาหกรรม AI ทั่วโลก จากเดิมที่สหรัฐฯ ครองความได้เปรียบด้านเทคโนโลยีอย่างชัดเจน แต่การเปิดตัวโมเดลอย่าง DeepSeek R1 ที่มีประสิทธิภาพสูงและต้นทุนต่ำ ทำให้หลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามว่า “จีนกำลังไล่ทันหรือแซงหน้าในบางด้านแล้วหรือไม่” นอกจากนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ เองก็เริ่มตระหนักถึงความสำคัญของโอเพ่นซอร์ส โดยออกแผน “AI Action Plan” เพื่อผลักดันโมเดลโอเพ่นซอร์สที่ยึดตามค่านิยมอเมริกัน แต่บริษัทใหญ่ในสหรัฐฯ กลับเดินไปในทิศทางตรงกันข้าม เช่น Meta ที่หันกลับไปเน้นโมเดลปิดมากขึ้น ขณะที่ฝั่งยุโรปอย่าง Mistral แม้ยังยืนหยัดในโอเพ่นซอร์ส แต่ก็ยังตามหลังจีนในด้านการใช้งานจริงทั่วโลก อย่างไรก็ตาม แม้โมเดลจีนจะได้รับความนิยม แต่ก็ยังมีความกังวลด้านความเสี่ยง เช่น ความเป็นไปได้ของมาตรการคว่ำบาตรในอนาคต หรือความไม่มั่นใจของลูกค้าบางกลุ่มที่ไม่ต้องการใช้เทคโนโลยีจากจีน แม้ผู้เชี่ยวชาญหลายรายยืนยันว่าโมเดลโอเพ่นซอร์สเหล่านี้สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับจีนโดยตรงก็ตาม 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ความนิยมของโมเดลโอเพ่นซอร์สจากจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ➡️ การใช้งานทั่วโลกเพิ่มจาก 1.2% เป็นเกือบ 30% ภายในไม่ถึงปี ➡️ โมเดลอย่าง Qwen และ DeepSeek ได้รับความนิยมเพราะราคาถูกและปรับแต่งได้ดี ✅ บริษัทสหรัฐฯ หลายแห่งหันมาใช้โมเดลจีน ➡️ ผู้ประกอบการบางรายประหยัดต้นทุนได้ถึง 400,000 ดอลลาร์ต่อปี ➡️ องค์กรใหญ่ เช่น Nvidia, Perplexity และ Stanford ก็ใช้ Qwen ในบางงาน ✅ จีนก้าวหน้าในด้าน AI Agents และโมเดลรุ่นใหม่ ➡️ โมเดล Kimi K2 และ DeepSeek R1 ถูกมองว่าเป็นแนวหน้าของยุค AI Agents ➡️ โมเดลจีนจำนวนมากเปิดให้ปรับแต่งได้มากกว่าโมเดลสหรัฐฯ ‼️ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และการคว่ำบาตร ⛔ บริษัทกังวลว่าโมเดลจีนอาจถูกสหรัฐฯ แบนในอนาคต ⛔ ลูกค้าบางรายไม่มั่นใจเรื่องภาพลักษณ์และความสอดคล้องกับค่านิยมตะวันตก ‼️ ความไม่แน่นอนด้านทิศทางของบริษัทสหรัฐฯ ⛔ Meta หันกลับไปเน้นโมเดลปิด ทำให้ตลาดโอเพ่นซอร์สฝั่งตะวันตกอ่อนแรง ⛔ ความไม่ชัดเจนของนโยบายสหรัฐฯ อาจทำให้บริษัทลังเลในการเลือกเทคโนโลยี https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/22/as-us-battles-china-on-ai-some-companies-choose-chinese
    WWW.THESTAR.COM.MY
    As US battles China on AI, some companies choose Chinese
    Even as the United States is embarked on a bitter rivalry with China over the deployment of artificial intelligence, Chinese technology is quietly making inroads into the US market.
    0 Comments 0 Shares 137 Views 0 Reviews
  • รวมข่าวจากเวบ TechRadar

    #รวมข่าวIT #20251222 #TechRadar

    RAM ปลอมระบาดหนัก — ผู้ใช้ถูกหลอกด้วยสเปกเกินจริงและชิปรีไซเคิล
    รายงานเตือนว่าตลาดกำลังเผชิญปัญหา RAM ปลอมที่ถูกขายในแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยผู้ผลิตเถื่อนใช้ชิปรีไซเคิลหรือชิปคุณภาพต่ำมารีแบรนด์เป็นรุ่นความเร็วสูง ทำให้ผู้ใช้พบอาการเครื่องล่ม ประสิทธิภาพตก หรืออายุการใช้งานสั้นลงอย่างมาก ปัญหานี้เกิดขึ้นเพราะความต้องการ RAM ความเร็วสูงเพิ่มขึ้นจากงาน AI และเกมมิ่ง แต่ผู้ซื้อจำนวนมากไม่รู้วิธีตรวจสอบของแท้ ส่งผลให้มิจฉาชีพฉวยโอกาสได้ง่าย
    https://www.techradar.com/computing/memory/watch-out-ram-rip-offs-are-now-in-vogue-so-heres-how-to-avoid-falling-for-high-end-memory-scams

    “Data คือเลือดหล่อเลี้ยงองค์กร” — Veeam ชี้ความมั่นคงของข้อมูลคือเงื่อนไขสำคัญของ AI
    CEO ของ Veeam อธิบายว่าทุกอุตสาหกรรมกำลังพึ่งพา AI มากขึ้น แต่ความเสี่ยงก็เพิ่มขึ้นตาม ทั้งจากมัลแวร์ที่ใช้ AI, ปริมาณข้อมูลที่ไม่เป็นโครงสร้างมหาศาล และการขาดระบบควบคุมข้อมูลที่เชื่อถือได้ ทำให้หลายโปรเจกต์ล้มเหลว เขาย้ำว่า “ไม่มี AI หากไม่มีความปลอดภัยของข้อมูล” และชูแพลตฟอร์มของ Veeam ที่รวมความปลอดภัย การกำกับดูแล และความยืดหยุ่นของข้อมูลไว้ในระบบเดียว เพื่อให้ธุรกิจสามารถใช้ AI ได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย
    https://www.techradar.com/pro/it-doesnt-matter-which-industry-you-belong-to-data-is-your-lifeblood-veeam-ceo-tells-us-why-getting-security-and-resiliency-right-is-the-key-to-unleashing-the-power-of-ai

    ศูนย์ข้อมูลทั่วโลกสร้างใน “สภาพอากาศผิดประเภท” ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานมหาศาล
    รายงานใหม่เผยว่าเกือบ 7,000 จาก 8,808 ดาต้าเซ็นเตอร์ทั่วโลกตั้งอยู่ในพื้นที่ที่อุณหภูมิไม่เหมาะสมต่อการทำงาน (ต่ำกว่า 18°C หรือสูงกว่า 27°C) ทำให้ต้องใช้พลังงานในการทำความเย็นมากเกินจำเป็น โดยเฉพาะในประเทศร้อนอย่างสิงคโปร์ที่มีศูนย์ข้อมูลกว่า 1.4GW แม้อุณหภูมิแตะ 33°C ตลอดปี แนวโน้มนี้กำลังสร้างภาระต่อโครงข่ายไฟฟ้า และคาดว่าความต้องการพลังงานของดาต้าเซ็นเตอร์อาจเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวภายในปี 2030
    https://www.techradar.com/pro/no-wonder-theres-a-bubble-study-claims-nearly-all-of-the-worlds-data-centers-are-built-in-the-wrong-climate

    GhostPairing — เทคนิคใหม่ที่แฮ็ก WhatsApp ได้โดยไม่ต้องเจาะรหัสผ่าน
    นักวิจัยเตือนถึงการโจมตีแบบ GhostPairing ที่อาศัยฟีเจอร์ “Linked Devices” ของ WhatsApp เอง โดยหลอกเหยื่อผ่านลิงก์ปลอมให้กรอกเบอร์โทรและยืนยันรหัสเชื่อมอุปกรณ์ ทำให้แฮ็กเกอร์ผูกเบราว์เซอร์ของตนเข้ากับบัญชีเหยื่อได้ทันที เมื่อสำเร็จ ผู้โจมตีสามารถอ่านข้อความ ส่งข้อความแทนเหยื่อ และดึงข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ วิธีตรวจสอบเดียวที่เชื่อถือได้คือเข้าไปดูรายชื่ออุปกรณ์ที่เชื่อมต่อในเมนู Linked Devices แล้วลบสิ่งที่ไม่รู้จัก
    https://www.techradar.com/pro/whatsapp-user-warning-hackers-are-hijacking-accounts-without-any-need-to-crack-the-authentication-so-be-on-your-guard

    วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ กล่าวหา Big Tech ผลักภาระค่าไฟของศูนย์ข้อมูลให้ประชาชน
    วุฒิสมาชิก 3 คนส่งจดหมายถึงบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ถามเหตุผลที่ค่าไฟในพื้นที่ที่มีดาต้าเซ็นเตอร์จำนวนมากพุ่งสูงขึ้น แม้บริษัทจะอ้างว่ารับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง แต่โครงสร้างค่าไฟของรัฐกลับผลักต้นทุนการขยายโครงข่ายไฟฟ้าไปยังผู้ใช้ทั่วไป ขณะที่ศูนย์ข้อมูล AI สมัยใหม่ใช้ไฟระดับ “เมืองหนึ่งทั้งเมือง” ทำให้หลายรัฐต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเป็นพันล้านดอลลาร์
    https://www.techradar.com/pro/tech-companies-have-paid-lip-service-us-government-is-asking-ai-giants-why-data-centers-are-leading-to-rising-bills

    หลุดใหม่ชี้ Samsung Galaxy S26 จะเปิดตัวกุมภาพันธ์ แต่ขายจริงอาจต้องรอถึงมีนาคม
    ข้อมูลจากแหล่งข่าววงในระบุว่า Galaxy S26 Series จะเปิดตัวในงาน Unpacked เดือนกุมภาพันธ์ แต่จะวางขายจริงในเดือนมีนาคม ซึ่งช้ากว่ารุ่น S25 ที่เปิดตัวตั้งแต่มกราคม สาเหตุคาดว่ามาจากการปรับไลน์ผลิตภัณฑ์ เช่น การยกเลิก S26 Edge แล้วนำ S26+ กลับมา รวมถึงความไม่ลงตัวด้านชื่อรุ่นและสเปกภายใน ทำให้กำหนดการเลื่อนออกไปเล็กน้อย
    https://www.techradar.com/phones/samsung-galaxy-phones/a-new-leak-may-have-revealed-samsungs-launch-window-for-the-galaxy-s26-series-but-they-might-not-go-on-sale-right-away

    LG เปิดตัวเทคโนโลยี OLED รุ่นใหม่ “Tandem WOLED / RGB Tandem 2.0” พร้อมรีแบรนด์ครั้งใหญ่
    LG Display เตรียมยกระดับตลาดทีวีและมอนิเตอร์ปี 2026 ด้วยการรีแบรนด์เทคโนโลยีจอเป็น “Tandem WOLED” และ “Tandem OLED” พร้อมโชว์ Primary RGB Tandem 2.0 ที่คาดว่าจะเพิ่มความสว่างและประสิทธิภาพอย่างมีนัยสำคัญ โดยยังเผยพาเนลใหม่หลายรุ่น เช่น มอนิเตอร์โค้ง 39 นิ้ว 5K และจอ 27 นิ้วความหนาแน่นสูง ซึ่งทั้งหมดสะท้อนทิศทางการผลักดัน OLED ให้ตอบโจทย์ทั้งเกมมิ่งและทีวีระดับพรีเมียมในปีหน้า
    https://www.techradar.com/televisions/lg-announces-next-gen-version-of-its-best-oled-tv-tech-oh-and-its-changing-the-name

    Google Gemini กำลังจะเข้าไปอยู่ในตู้เย็น Samsung เพื่อช่วยจัดการอาหารและลดของเสีย
    Samsung เตรียมเปิดตัวตู้เย็น Bespoke AI Family Hub ที่ติดตั้ง Google Gemini ซึ่งจะใช้กล้องภายในวิเคราะห์อาหารที่มีอยู่ แนะนำเมนู แจ้งเตือนของใกล้หมดอายุ และจัดการพลังงานให้เหมาะสม รวมถึงรองรับสั่งงานด้วยเสียง ฟีเจอร์นี้อาจเป็นหนึ่งในตัวอย่างแรกของ “AI ในเครื่องใช้ไฟฟ้า” ที่ให้ประโยชน์จริงในชีวิตประจำวัน พร้อมขยายไปยังตู้แช่ไวน์รุ่นใหม่ด้วย
    https://www.techradar.com/home/smart-home/google-gemini-is-now-heading-to-fridges-and-it-might-actually-be-useful

    ช่องโหว่ในแชตบอท Eurostar เกือบทำให้ข้อมูลลูกค้าเสี่ยงถูกโจมตี
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยพบว่าแชตบอท AI ของ Eurostar มีช่องโหว่หลายจุด เช่น การตรวจสอบข้อความย้อนหลังไม่ดีพอ ทำให้ผู้โจมตีสามารถฝังคำสั่งอันตรายหรือสคริปต์ HTML ได้ แม้บริษัทจะยืนยันว่าข้อมูลลูกค้าไม่เคยเชื่อมต่อกับระบบนี้ แต่เหตุการณ์สะท้อนความเสี่ยงจากการนำ AI มาใช้เร็วเกินไปในองค์กร โดยเฉพาะเมื่อระบบยังไม่ผ่านการตรวจสอบด้านความปลอดภัยอย่างรัดกุม
    https://www.techradar.com/pro/security/eurostar-chatbot-security-flaws-almost-left-customers-exposed-to-data-theft-and-more

    NordVPN เปิดแพ็กเกจ OpenWrt แบบโอเพ่นซอร์สสำหรับเราท์เตอร์ ปรับแต่งได้ลึกระดับ sysadmin
    NordVPN เปิดตัวแพ็กเกจ Linux แบบ headless สำหรับ OpenWrt ช่วยให้ผู้ใช้ติดตั้ง VPN ครอบคลุมทั้งเครือข่ายได้ง่ายขึ้น พร้อมรองรับการตั้งค่าผ่านไฟล์ JSON และเลือกเซิร์ฟเวอร์ที่เหมาะสมอัตโนมัติผ่าน API สะท้อนทิศทางของ NordVPN ที่ผลักดันความโปร่งใสและโอเพ่นซอร์สอย่างจริงจัง รวมถึงเตรียมเพิ่ม UI แบบเว็บในอนาคตเพื่อให้เข้าถึงได้กว้างขึ้น
    https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/nord-vpn-ups-its-game-in-open-source-with-linux-based-package-for-openwrt-routers

    Google ดึงอดีตพนักงานกลับเข้าบริษัทจำนวนมากเพื่อเร่งเกม AI
    รายงานเผยว่า 20% ของวิศวกร AI ที่ Google จ้างในปี 2025 เป็น “boomerang hires” หรืออดีตพนักงานที่กลับมาใหม่ สะท้อนการแข่งขันด้าน AI ที่รุนแรงจนบริษัทต้องดึงบุคลากรที่คุ้นเคยกับระบบภายในกลับมาเสริมทัพ พร้อมทั้งเพิ่มการดึงตัวจากคู่แข่งอย่าง Microsoft, Amazon และ Apple ขณะที่ตลาดยังจับตาว่า Google จะเร่งพัฒนา Gemini และโครงสร้างพื้นฐาน AI ให้ทันคู่แข่งได้เร็วเพียงใด
    https://www.techradar.com/pro/quite-a-few-of-the-ai-software-engineers-hired-by-google-in-2025-were-actually-ex-employees

    Google–Apple เตือนพนักงาน H‑1B หลีกเลี่ยงการเดินทางออกนอกสหรัฐ
    Google และ Apple ส่งสัญญาณเตือนพนักงานที่ถือวีซ่า H‑1B ให้หยุดเดินทางต่างประเทศชั่วคราว เพราะกระบวนการตรวจสอบวีซ่ากลับเข้าประเทศเข้มงวดขึ้นและอาจล่าช้านานหลายเดือน โดยเฉพาะหลังมาตรการตรวจสอบโซเชียลมีเดียใหม่ของรัฐบาล ทำให้หลายคนเสี่ยง “ติดค้าง” ต่างประเทศ ขณะเดียวกันสถานทูตบางแห่งมีคิวสัมภาษณ์ยาวถึง 12 เดือน สะท้อนแรงกดดันด้านนโยบายตรวจคนเข้าเมืองที่กระทบแรงงานทักษะสูงจำนวนมาก
    https://www.techradar.com/pro/google-and-apple-employees-on-us-visas-apparently-told-to-avoid-international-travel

    ศาลสหรัฐบล็อกกฎหมายตรวจสอบอายุผู้ใช้โซเชียลของรัฐลุยเซียนา
    ผู้พิพากษาศาลรัฐบาลกลางมีคำสั่งระงับกฎหมาย Act 456 ของรัฐลุยเซียนาอย่างถาวร หลังพบว่ากฎหมายที่บังคับให้แพลตฟอร์มโซเชียลตรวจสอบอายุผู้ใช้ทุกคนและขอความยินยอมจากผู้ปกครองนั้นละเมิดเสรีภาพในการแสดงออกและสร้างความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว โดยศาลชี้ว่ารัฐไม่สามารถใช้อำนาจ “ควบคุมความคิดที่เด็กควรเข้าถึง” ได้ และมีวิธีปกป้องเด็กที่จำกัดสิทธิน้อยกว่านี้
    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/federal-judge-blocks-louisianas-social-media-age-verification-law-heres-why

    ผู้ให้บริการเทคโนโลยี NHS England ถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์
    DXS International ผู้ให้บริการระบบข้อมูลให้ NHS England เปิดเผยว่าเผชิญเหตุแรนซัมแวร์โจมตีเซิร์ฟเวอร์สำนักงาน แม้บริการทางคลินิกยังทำงานได้ตามปกติ แต่กลุ่มแฮ็กเกอร์ DevMan อ้างว่าขโมยข้อมูลกว่า 300GB ซึ่งอาจนำไปสู่การเรียกค่าไถ่หรือการรั่วไหลในอนาคต เหตุการณ์นี้สะท้อนความเสี่ยงต่อซัพพลายเชนด้านสาธารณสุขที่เคยเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในสหราชอาณาจักร
    https://www.techradar.com/pro/security/nhs-england-tech-provider-reveals-data-breach-dxs-international-hit-by-ransomware

    iRobot ยืนยัน Roomba ยังใช้งานได้ปกติหลังการเทกโอเวอร์
    หลัง iRobot ถูกเทกโอเวอร์โดยบริษัท Picea ท่ามกลางกระบวนการล้มละลาย ผู้ใช้ Roomba จำนวนมากกังวลเรื่องแอป การอัปเดต และการรับประกัน แต่ CEO ของ iRobot ออกมายืนยันว่าทุกอย่าง “ยังเป็นปกติ” ทั้งแอป การสนับสนุน และการอัปเดตเฟิร์มแวร์จะดำเนินต่อไป พร้อมเผยว่าบริษัทกำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะเปิดตัวในปี 2026
    https://www.techradar.com/home/robot-vacuums/its-business-as-usual-the-app-is-working-warranties-will-be-honored-irobot-ceo-reassures-roomba-owners-following-takeover

    ChatGPT เพิ่มโหมดปรับบุคลิก เลือกได้ตั้งแต่สุภาพมืออาชีพถึงเพื่อนสายแซ่บ
    OpenAI เปิดตัวฟีเจอร์ Personalization ใหม่ใน ChatGPT ให้ผู้ใช้ปรับ “บุคลิก” ของโมเดลได้ เช่น ระดับความอบอุ่น ความกระตือรือร้น การใช้หัวข้อย่อย และอีโมจิ ทำให้ผู้ใช้ควบคุมโทนการตอบได้ละเอียดขึ้น ตั้งแต่สไตล์คอร์ปอเรตจริงจังไปจนถึงเพื่อนสนิทสายเมาท์ พร้อมผสานกับ Base Style เดิม เช่น Professional, Friendly หรือ Cynical เพื่อสร้างคาแรกเตอร์เฉพาะตัว
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt/chatgpts-new-personality-settings-let-you-pick-the-vibe-and-it-ranges-from-corporate-calm-to-chaotic-bestie
    📌📡🟡 รวมข่าวจากเวบ TechRadar 🟡📡📌 #รวมข่าวIT #20251222 #TechRadar 💾 RAM ปลอมระบาดหนัก — ผู้ใช้ถูกหลอกด้วยสเปกเกินจริงและชิปรีไซเคิล รายงานเตือนว่าตลาดกำลังเผชิญปัญหา RAM ปลอมที่ถูกขายในแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยผู้ผลิตเถื่อนใช้ชิปรีไซเคิลหรือชิปคุณภาพต่ำมารีแบรนด์เป็นรุ่นความเร็วสูง ทำให้ผู้ใช้พบอาการเครื่องล่ม ประสิทธิภาพตก หรืออายุการใช้งานสั้นลงอย่างมาก ปัญหานี้เกิดขึ้นเพราะความต้องการ RAM ความเร็วสูงเพิ่มขึ้นจากงาน AI และเกมมิ่ง แต่ผู้ซื้อจำนวนมากไม่รู้วิธีตรวจสอบของแท้ ส่งผลให้มิจฉาชีพฉวยโอกาสได้ง่าย 🔗 https://www.techradar.com/computing/memory/watch-out-ram-rip-offs-are-now-in-vogue-so-heres-how-to-avoid-falling-for-high-end-memory-scams 🧠 “Data คือเลือดหล่อเลี้ยงองค์กร” — Veeam ชี้ความมั่นคงของข้อมูลคือเงื่อนไขสำคัญของ AI CEO ของ Veeam อธิบายว่าทุกอุตสาหกรรมกำลังพึ่งพา AI มากขึ้น แต่ความเสี่ยงก็เพิ่มขึ้นตาม ทั้งจากมัลแวร์ที่ใช้ AI, ปริมาณข้อมูลที่ไม่เป็นโครงสร้างมหาศาล และการขาดระบบควบคุมข้อมูลที่เชื่อถือได้ ทำให้หลายโปรเจกต์ล้มเหลว เขาย้ำว่า “ไม่มี AI หากไม่มีความปลอดภัยของข้อมูล” และชูแพลตฟอร์มของ Veeam ที่รวมความปลอดภัย การกำกับดูแล และความยืดหยุ่นของข้อมูลไว้ในระบบเดียว เพื่อให้ธุรกิจสามารถใช้ AI ได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย 🔗 https://www.techradar.com/pro/it-doesnt-matter-which-industry-you-belong-to-data-is-your-lifeblood-veeam-ceo-tells-us-why-getting-security-and-resiliency-right-is-the-key-to-unleashing-the-power-of-ai 🌡️ ศูนย์ข้อมูลทั่วโลกสร้างใน “สภาพอากาศผิดประเภท” ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานมหาศาล รายงานใหม่เผยว่าเกือบ 7,000 จาก 8,808 ดาต้าเซ็นเตอร์ทั่วโลกตั้งอยู่ในพื้นที่ที่อุณหภูมิไม่เหมาะสมต่อการทำงาน (ต่ำกว่า 18°C หรือสูงกว่า 27°C) ทำให้ต้องใช้พลังงานในการทำความเย็นมากเกินจำเป็น โดยเฉพาะในประเทศร้อนอย่างสิงคโปร์ที่มีศูนย์ข้อมูลกว่า 1.4GW แม้อุณหภูมิแตะ 33°C ตลอดปี แนวโน้มนี้กำลังสร้างภาระต่อโครงข่ายไฟฟ้า และคาดว่าความต้องการพลังงานของดาต้าเซ็นเตอร์อาจเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวภายในปี 2030 🔗 https://www.techradar.com/pro/no-wonder-theres-a-bubble-study-claims-nearly-all-of-the-worlds-data-centers-are-built-in-the-wrong-climate 🕵️‍♂️ GhostPairing — เทคนิคใหม่ที่แฮ็ก WhatsApp ได้โดยไม่ต้องเจาะรหัสผ่าน นักวิจัยเตือนถึงการโจมตีแบบ GhostPairing ที่อาศัยฟีเจอร์ “Linked Devices” ของ WhatsApp เอง โดยหลอกเหยื่อผ่านลิงก์ปลอมให้กรอกเบอร์โทรและยืนยันรหัสเชื่อมอุปกรณ์ ทำให้แฮ็กเกอร์ผูกเบราว์เซอร์ของตนเข้ากับบัญชีเหยื่อได้ทันที เมื่อสำเร็จ ผู้โจมตีสามารถอ่านข้อความ ส่งข้อความแทนเหยื่อ และดึงข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ วิธีตรวจสอบเดียวที่เชื่อถือได้คือเข้าไปดูรายชื่ออุปกรณ์ที่เชื่อมต่อในเมนู Linked Devices แล้วลบสิ่งที่ไม่รู้จัก 🔗 https://www.techradar.com/pro/whatsapp-user-warning-hackers-are-hijacking-accounts-without-any-need-to-crack-the-authentication-so-be-on-your-guard ⚡ วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ กล่าวหา Big Tech ผลักภาระค่าไฟของศูนย์ข้อมูลให้ประชาชน วุฒิสมาชิก 3 คนส่งจดหมายถึงบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ถามเหตุผลที่ค่าไฟในพื้นที่ที่มีดาต้าเซ็นเตอร์จำนวนมากพุ่งสูงขึ้น แม้บริษัทจะอ้างว่ารับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง แต่โครงสร้างค่าไฟของรัฐกลับผลักต้นทุนการขยายโครงข่ายไฟฟ้าไปยังผู้ใช้ทั่วไป ขณะที่ศูนย์ข้อมูล AI สมัยใหม่ใช้ไฟระดับ “เมืองหนึ่งทั้งเมือง” ทำให้หลายรัฐต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเป็นพันล้านดอลลาร์ 🔗 https://www.techradar.com/pro/tech-companies-have-paid-lip-service-us-government-is-asking-ai-giants-why-data-centers-are-leading-to-rising-bills 📱 หลุดใหม่ชี้ Samsung Galaxy S26 จะเปิดตัวกุมภาพันธ์ แต่ขายจริงอาจต้องรอถึงมีนาคม ข้อมูลจากแหล่งข่าววงในระบุว่า Galaxy S26 Series จะเปิดตัวในงาน Unpacked เดือนกุมภาพันธ์ แต่จะวางขายจริงในเดือนมีนาคม ซึ่งช้ากว่ารุ่น S25 ที่เปิดตัวตั้งแต่มกราคม สาเหตุคาดว่ามาจากการปรับไลน์ผลิตภัณฑ์ เช่น การยกเลิก S26 Edge แล้วนำ S26+ กลับมา รวมถึงความไม่ลงตัวด้านชื่อรุ่นและสเปกภายใน ทำให้กำหนดการเลื่อนออกไปเล็กน้อย 🔗 https://www.techradar.com/phones/samsung-galaxy-phones/a-new-leak-may-have-revealed-samsungs-launch-window-for-the-galaxy-s26-series-but-they-might-not-go-on-sale-right-away 🖥️ LG เปิดตัวเทคโนโลยี OLED รุ่นใหม่ “Tandem WOLED / RGB Tandem 2.0” พร้อมรีแบรนด์ครั้งใหญ่ LG Display เตรียมยกระดับตลาดทีวีและมอนิเตอร์ปี 2026 ด้วยการรีแบรนด์เทคโนโลยีจอเป็น “Tandem WOLED” และ “Tandem OLED” พร้อมโชว์ Primary RGB Tandem 2.0 ที่คาดว่าจะเพิ่มความสว่างและประสิทธิภาพอย่างมีนัยสำคัญ โดยยังเผยพาเนลใหม่หลายรุ่น เช่น มอนิเตอร์โค้ง 39 นิ้ว 5K และจอ 27 นิ้วความหนาแน่นสูง ซึ่งทั้งหมดสะท้อนทิศทางการผลักดัน OLED ให้ตอบโจทย์ทั้งเกมมิ่งและทีวีระดับพรีเมียมในปีหน้า 🔗 https://www.techradar.com/televisions/lg-announces-next-gen-version-of-its-best-oled-tv-tech-oh-and-its-changing-the-name 🧊 Google Gemini กำลังจะเข้าไปอยู่ในตู้เย็น Samsung เพื่อช่วยจัดการอาหารและลดของเสีย Samsung เตรียมเปิดตัวตู้เย็น Bespoke AI Family Hub ที่ติดตั้ง Google Gemini ซึ่งจะใช้กล้องภายในวิเคราะห์อาหารที่มีอยู่ แนะนำเมนู แจ้งเตือนของใกล้หมดอายุ และจัดการพลังงานให้เหมาะสม รวมถึงรองรับสั่งงานด้วยเสียง ฟีเจอร์นี้อาจเป็นหนึ่งในตัวอย่างแรกของ “AI ในเครื่องใช้ไฟฟ้า” ที่ให้ประโยชน์จริงในชีวิตประจำวัน พร้อมขยายไปยังตู้แช่ไวน์รุ่นใหม่ด้วย 🔗 https://www.techradar.com/home/smart-home/google-gemini-is-now-heading-to-fridges-and-it-might-actually-be-useful 🚨 ช่องโหว่ในแชตบอท Eurostar เกือบทำให้ข้อมูลลูกค้าเสี่ยงถูกโจมตี นักวิจัยด้านความปลอดภัยพบว่าแชตบอท AI ของ Eurostar มีช่องโหว่หลายจุด เช่น การตรวจสอบข้อความย้อนหลังไม่ดีพอ ทำให้ผู้โจมตีสามารถฝังคำสั่งอันตรายหรือสคริปต์ HTML ได้ แม้บริษัทจะยืนยันว่าข้อมูลลูกค้าไม่เคยเชื่อมต่อกับระบบนี้ แต่เหตุการณ์สะท้อนความเสี่ยงจากการนำ AI มาใช้เร็วเกินไปในองค์กร โดยเฉพาะเมื่อระบบยังไม่ผ่านการตรวจสอบด้านความปลอดภัยอย่างรัดกุม 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/eurostar-chatbot-security-flaws-almost-left-customers-exposed-to-data-theft-and-more 🔐 NordVPN เปิดแพ็กเกจ OpenWrt แบบโอเพ่นซอร์สสำหรับเราท์เตอร์ ปรับแต่งได้ลึกระดับ sysadmin NordVPN เปิดตัวแพ็กเกจ Linux แบบ headless สำหรับ OpenWrt ช่วยให้ผู้ใช้ติดตั้ง VPN ครอบคลุมทั้งเครือข่ายได้ง่ายขึ้น พร้อมรองรับการตั้งค่าผ่านไฟล์ JSON และเลือกเซิร์ฟเวอร์ที่เหมาะสมอัตโนมัติผ่าน API สะท้อนทิศทางของ NordVPN ที่ผลักดันความโปร่งใสและโอเพ่นซอร์สอย่างจริงจัง รวมถึงเตรียมเพิ่ม UI แบบเว็บในอนาคตเพื่อให้เข้าถึงได้กว้างขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/nord-vpn-ups-its-game-in-open-source-with-linux-based-package-for-openwrt-routers 🔄 Google ดึงอดีตพนักงานกลับเข้าบริษัทจำนวนมากเพื่อเร่งเกม AI รายงานเผยว่า 20% ของวิศวกร AI ที่ Google จ้างในปี 2025 เป็น “boomerang hires” หรืออดีตพนักงานที่กลับมาใหม่ สะท้อนการแข่งขันด้าน AI ที่รุนแรงจนบริษัทต้องดึงบุคลากรที่คุ้นเคยกับระบบภายในกลับมาเสริมทัพ พร้อมทั้งเพิ่มการดึงตัวจากคู่แข่งอย่าง Microsoft, Amazon และ Apple ขณะที่ตลาดยังจับตาว่า Google จะเร่งพัฒนา Gemini และโครงสร้างพื้นฐาน AI ให้ทันคู่แข่งได้เร็วเพียงใด 🔗 https://www.techradar.com/pro/quite-a-few-of-the-ai-software-engineers-hired-by-google-in-2025-were-actually-ex-employees 🛂 Google–Apple เตือนพนักงาน H‑1B หลีกเลี่ยงการเดินทางออกนอกสหรัฐ Google และ Apple ส่งสัญญาณเตือนพนักงานที่ถือวีซ่า H‑1B ให้หยุดเดินทางต่างประเทศชั่วคราว เพราะกระบวนการตรวจสอบวีซ่ากลับเข้าประเทศเข้มงวดขึ้นและอาจล่าช้านานหลายเดือน โดยเฉพาะหลังมาตรการตรวจสอบโซเชียลมีเดียใหม่ของรัฐบาล ทำให้หลายคนเสี่ยง “ติดค้าง” ต่างประเทศ ขณะเดียวกันสถานทูตบางแห่งมีคิวสัมภาษณ์ยาวถึง 12 เดือน สะท้อนแรงกดดันด้านนโยบายตรวจคนเข้าเมืองที่กระทบแรงงานทักษะสูงจำนวนมาก 🔗 https://www.techradar.com/pro/google-and-apple-employees-on-us-visas-apparently-told-to-avoid-international-travel ⚖️ ศาลสหรัฐบล็อกกฎหมายตรวจสอบอายุผู้ใช้โซเชียลของรัฐลุยเซียนา ผู้พิพากษาศาลรัฐบาลกลางมีคำสั่งระงับกฎหมาย Act 456 ของรัฐลุยเซียนาอย่างถาวร หลังพบว่ากฎหมายที่บังคับให้แพลตฟอร์มโซเชียลตรวจสอบอายุผู้ใช้ทุกคนและขอความยินยอมจากผู้ปกครองนั้นละเมิดเสรีภาพในการแสดงออกและสร้างความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว โดยศาลชี้ว่ารัฐไม่สามารถใช้อำนาจ “ควบคุมความคิดที่เด็กควรเข้าถึง” ได้ และมีวิธีปกป้องเด็กที่จำกัดสิทธิน้อยกว่านี้ 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/federal-judge-blocks-louisianas-social-media-age-verification-law-heres-why 🏥 ผู้ให้บริการเทคโนโลยี NHS England ถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ DXS International ผู้ให้บริการระบบข้อมูลให้ NHS England เปิดเผยว่าเผชิญเหตุแรนซัมแวร์โจมตีเซิร์ฟเวอร์สำนักงาน แม้บริการทางคลินิกยังทำงานได้ตามปกติ แต่กลุ่มแฮ็กเกอร์ DevMan อ้างว่าขโมยข้อมูลกว่า 300GB ซึ่งอาจนำไปสู่การเรียกค่าไถ่หรือการรั่วไหลในอนาคต เหตุการณ์นี้สะท้อนความเสี่ยงต่อซัพพลายเชนด้านสาธารณสุขที่เคยเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในสหราชอาณาจักร 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/nhs-england-tech-provider-reveals-data-breach-dxs-international-hit-by-ransomware 🤖 iRobot ยืนยัน Roomba ยังใช้งานได้ปกติหลังการเทกโอเวอร์ หลัง iRobot ถูกเทกโอเวอร์โดยบริษัท Picea ท่ามกลางกระบวนการล้มละลาย ผู้ใช้ Roomba จำนวนมากกังวลเรื่องแอป การอัปเดต และการรับประกัน แต่ CEO ของ iRobot ออกมายืนยันว่าทุกอย่าง “ยังเป็นปกติ” ทั้งแอป การสนับสนุน และการอัปเดตเฟิร์มแวร์จะดำเนินต่อไป พร้อมเผยว่าบริษัทกำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะเปิดตัวในปี 2026 🔗 https://www.techradar.com/home/robot-vacuums/its-business-as-usual-the-app-is-working-warranties-will-be-honored-irobot-ceo-reassures-roomba-owners-following-takeover 🎭 ChatGPT เพิ่มโหมดปรับบุคลิก เลือกได้ตั้งแต่สุภาพมืออาชีพถึงเพื่อนสายแซ่บ OpenAI เปิดตัวฟีเจอร์ Personalization ใหม่ใน ChatGPT ให้ผู้ใช้ปรับ “บุคลิก” ของโมเดลได้ เช่น ระดับความอบอุ่น ความกระตือรือร้น การใช้หัวข้อย่อย และอีโมจิ ทำให้ผู้ใช้ควบคุมโทนการตอบได้ละเอียดขึ้น ตั้งแต่สไตล์คอร์ปอเรตจริงจังไปจนถึงเพื่อนสนิทสายเมาท์ พร้อมผสานกับ Base Style เดิม เช่น Professional, Friendly หรือ Cynical เพื่อสร้างคาแรกเตอร์เฉพาะตัว 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt/chatgpts-new-personality-settings-let-you-pick-the-vibe-and-it-ranges-from-corporate-calm-to-chaotic-bestie
    0 Comments 0 Shares 226 Views 0 Reviews
  • รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline

    #รวมข่าวIT #20251222 #securityonline

    Dify Side-Door Exposure: ช่องโหว่เปิดคอนฟิกระบบ LLM ให้คนแปลกหน้าเห็น
    ช่องโหว่ CVE‑2025‑63387 ใน Dify เวอร์ชัน 1.9.1 เปิดให้ผู้ไม่ผ่านการยืนยันตัวตนเข้าถึง endpoint /console/api/system-features ได้โดยตรง ทำให้ข้อมูลคอนฟิกภายในของระบบ LLM ถูกเปิดเผยแบบไม่ตั้งใจ ซึ่งอาจถูกใช้เป็นจุดตั้งต้นในการวางแผนโจมตีต่อเนื่อง แม้จะเป็นเพียงการรั่วไหลข้อมูล แต่ก็ถือเป็นความเสี่ยงระดับสูงสำหรับทีมที่กำลังนำ LLM ไปใช้งานจริงในสภาพแวดล้อมโปรดักชัน
    https://securityonline.info/ais-exposed-side-door-dify-flaw-cve-2025-63387-leaks-system-configs-to-anonymous-users

    BlueDelta’s Silent Shift: GRU ใช้บริการฟรีอย่าง ngrok และ Mocky ลอบขโมยอีเมลยูเครน
    กลุ่ม BlueDelta (APT28) ของรัสเซียปรับยุทธวิธีใหม่โดยใช้บริการฟรี เช่น Mocky, DNS EXIT และ ngrok เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานชั่วคราวสำหรับขโมยบัญชี UKR.NET ผ่าน PDF ล่อเหยื่อและหน้าเว็บปลอมที่ดักทั้งรหัสผ่านและ 2FA แบบเรียลไทม์ พร้อมเทคนิคข้ามหน้าเตือนของ ngrok ด้วย header พิเศษ ทำให้การโจมตีแนบเนียนและตรวจจับยากขึ้น
    https://securityonline.info/the-grus-silent-shift-how-bluedelta-hijacks-ukrainian-webmail-using-ngrok-and-mocky

    Caminho to Compromise: BlindEagle ใช้อีเมลภายในรัฐโคลอมเบียโจมตีแบบเนียนกริบ
    BlindEagle (APT‑C‑36) ใช้บัญชีอีเมลภายในหน่วยงานรัฐโคลอมเบียที่ถูกยึดไปแล้ว ส่งฟิชชิงแนบ SVG เพื่อนำเหยื่อไปยังเว็บปลอมของศาลแรงงาน ก่อนเรียกใช้ JavaScript + PowerShell แบบ fileless และดาวน์โหลดภาพที่ซ่อนโค้ดผ่าน steganography เพื่อติดตั้ง Caminho downloader ซึ่งเชื่อมโยงตลาดมืดบราซิล และสุดท้ายดึง DCRAT ลงเครื่อง
    https://securityonline.info/caminho-to-compromise-blindeagle-hackers-hijack-government-emails-in-colombia

    DOCSWAP 2.0: Kimsuky ใช้ QR Code แพร่มัลแวร์มือถือเวอร์ชันใหม่
    Kimsuky กลุ่มแฮ็กเกอร์เกาหลีเหนือเปิดตัว DOCSWAP รุ่นอัปเกรดที่แพร่ผ่าน QR code และ smishing เพื่อหลอกให้เหยื่อติดตั้งแอปปลอมบน Android ตัวมัลแวร์ใช้ native decryption และ decoy behavior ใหม่เพื่อหลบการวิเคราะห์ ก่อนปลดล็อก RAT ที่สามารถขโมยไฟล์ ควบคุมเครื่อง และส่งข้อมูลกลับเซิร์ฟเวอร์ พร้อมหลักฐานเชื่อมโยง DPRK ผ่านข้อความ “Million OK!!!” บนโครงสร้างพื้นฐาน
    https://securityonline.info/north-koreas-kimsuky-upgrades-docswap-malware-to-hijack-smartphones-via-qr-codes

    Shadows of the North: แผนที่โครงสร้างไซเบอร์ DPRK ที่เชื่อมโยงทุกกลุ่มเข้าด้วยกัน
    รายงานร่วมของ Hunt.io และ Acronis เปิดโปงโครงสร้างพื้นฐานไซเบอร์ของเกาหลีเหนือที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกันอย่างแน่นหนา โดยพบว่า Lazarus, Kimsuky และ Bluenoroff แม้จะมีภารกิจต่างกัน แต่กลับใช้เซิร์ฟเวอร์ เครื่องมือ และโครงสร้างเครือข่ายร่วมกันอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ staging servers, credential-harvesting nodes ไปจนถึง FRP tunneling และโครงสร้างที่ผูกกับใบรับรอง SSL เดียวกัน เผยให้เห็น ecosystem ที่ทำงานแบบ “รวมศูนย์” เพื่อการจารกรรม การขโมยเงิน และปฏิบัติการทำลายล้างในระดับรัฐ
    https://securityonline.info/shadows-of-the-north-unmasking-the-sprawling-cyber-infrastructure-of-the-dprk

    ResidentBat: สปายแวร์ KGB ที่ติดตั้งผ่านการยึดมือถือจริง ไม่ต้องพึ่ง zero‑click
    การสืบสวนโดย RESIDENT.NGO และ RSF พบว่า KGB เบลารุสใช้สปายแวร์ชื่อ ResidentBat ที่ติดตั้งด้วยการยึดโทรศัพท์จากนักข่าวและนักกิจกรรมระหว่างการสอบสวน ก่อนบังคับให้ปลดล็อกเครื่องเพื่อดู PIN จากนั้นเจ้าหน้าที่นำเครื่องออกไปติดตั้งแอปที่ขอสิทธิ์สูงถึง 38 รายการ รวมถึงการใช้ Accessibility Service เพื่ออ่านข้อความจากแอปเข้ารหัสอย่าง Signal และ Telegram ทำให้มือถือกลายเป็นอุปกรณ์สอดแนมเต็มรูปแบบที่สามารถบันทึกหน้าจอ คีย์บอร์ด และข้อมูลส่วนตัวทั้งหมด
    https://securityonline.info/the-kgbs-all-seeing-eye-how-residentbat-spyware-turns-seized-phones-into-total-surveillance-tools

    AuraStealer: มัลแวร์ที่หลอกให้เหยื่อ “แฮ็กตัวเอง” ผ่านคลิป TikTok
    AuraStealer มัลแวร์แบบ MaaS ที่กำลังระบาด ใช้กลยุทธ์ “Scam‑Yourself” โดยหลอกเหยื่อผ่านคลิป TikTok ที่สอนปลดล็อกซอฟต์แวร์เถื่อน เมื่อเหยื่อตามขั้นตอนและรันคำสั่ง PowerShell เอง มัลแวร์จะถูกดาวน์โหลดและรันทันที ตัวมันใช้เทคนิคป้องกันการวิเคราะห์ขั้นสูง เช่น indirect control flow และ exception‑driven API hashing พร้อมความสามารถขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์กว่า 110 ตัวและวอลเล็ตคริปโตจำนวนมาก แม้บางฟีเจอร์ยังทำงานไม่เสถียร แต่ความเสี่ยงยังสูงมาก
    https://securityonline.info/tiktoks-scam-yourself-trap-how-aurastealer-malware-tricks-users-into-hacking-their-own-pcs

    ClickFix Trap: หน้าตรวจสอบมนุษย์ปลอมที่นำไปสู่ Qilin Ransomware
    แคมเปญ ClickFix ใช้หน้า “ยืนยันว่าเป็นมนุษย์” ปลอมเพื่อหลอกให้เหยื่อดาวน์โหลด batch file ที่ติดตั้ง NetSupport RAT จากนั้นผู้โจมตีใช้ RAT เพื่อดึง StealC V2 ลงเครื่อง ก่อนใช้ข้อมูลที่ขโมยได้เจาะ VPN ขององค์กรและปล่อย Qilin ransomware ซึ่งเป็นหนึ่งใน RaaS ที่ทำเหยื่อมากที่สุดในช่วงปี 2024–2025 โซ่การโจมตีนี้เริ่มจากสคริปต์บนเว็บที่ถูกแฮ็กและจบลงด้วยการเข้ารหัสระบบทั้งองค์กร
    https://securityonline.info/clickfix-trap-fake-human-verification-leads-to-qilin-ransomware-infection

    Cellik Android RAT: มัลแวร์ที่แฝงตัวในแอป Google Play อย่างแนบเนียน
    Cellik เป็น Android RAT แบบบริการเช่า ที่ให้ผู้โจมตีเลือกแอปจาก Google Play แล้ว “ฉีด” payload ลงไปผ่านระบบ APK Builder ทำให้แอปที่ดูปกติกลายเป็นเครื่องมือสอดแนมเต็มรูปแบบ มันรองรับการสตรีมหน้าจอแบบเรียลไทม์ ควบคุมเครื่องจากระยะไกล เปิดกล้อง/ไมค์ และใช้ hidden browser เพื่อทำธุรกรรมหรือขโมยข้อมูลโดยที่ผู้ใช้ไม่เห็นอะไรบนหน้าจอ ถือเป็นการยกระดับภัยคุกคามมือถือให้เข้าถึงได้แม้กับอาชญากรทักษะต่ำ
    https://securityonline.info/the-silent-hijacker-new-cellik-android-rat-turns-legitimate-google-play-apps-into-surveillance-tools

    110 Milliseconds of Truth: Amazon ใช้ “ดีเลย์คีย์บอร์ด” เปิดโปงสายลับเกาหลีเหนือ
    Amazon เปิดเผยปฏิบัติการสกัดแฮ็กเกอร์เกาหลีเหนือที่ปลอมตัวเป็นพนักงานรีโมต โดยใช้ “laptop farms” ในสหรัฐฯ เพื่อสมัครงานและแทรกซึมองค์กร ความผิดปกติถูกจับได้จากค่า latency การพิมพ์ที่สูงถึง 110 มิลลิวินาที ซึ่งบ่งชี้ว่ามีการควบคุมเครื่องจากต่างประเทศ พร้อมสัญญาณอื่นอย่างภาษาอังกฤษที่ไม่เป็นธรรมชาติ เหตุการณ์นี้สะท้อนการเปลี่ยนยุทธวิธีของ DPRK ที่ใช้โครงสร้างพื้นฐานในสหรัฐฯ เพื่อหลบการตรวจจับ และ Amazon ระบุว่าพยายามโจมตีเพิ่มขึ้นกว่า 27% ต่อไตรมาส
    https://securityonline.info/110-milliseconds-of-truth-how-amazon-used-lag-to-catch-a-north-korean-spy

    Dify’s Exposed Side Door: ช่องโหว่เปิดให้คนแปลกหน้าดูค่าคอนฟิกระบบ AI ได้
    แพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์ส Dify รุ่น 1.9.1 ถูกพบช่องโหว่ CVE-2025-63387 ที่ปล่อยให้ผู้ใช้ไม่ต้องล็อกอินก็เข้าถึง endpoint /console/api/system-features ได้ ทำให้ข้อมูลคอนฟิกภายในหลุดออกสู่สาธารณะ ซึ่งอาจถูกใช้เป็นจุดตั้งต้นของการโจมตีขั้นต่อไป ช่องโหว่นี้จัดเป็นระดับ High และเป็นตัวอย่างของความเสี่ยงเมื่อระบบ LLM ถูกนำไปใช้จริงโดยไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์ที่เข้มงวด
    https://securityonline.info/ais-exposed-side-door-dify-flaw-cve-2025-63387-leaks-system-configs-to-anonymous-users

    BlueDelta’s Silent Shift: GRU ใช้ ngrok + Mocky ลอบขโมยอีเมลชาวยูเครน
    กลุ่ม BlueDelta (APT28) ของรัสเซียปรับยุทธวิธีใหม่ ใช้บริการฟรีอย่าง Mocky, DNS EXIT และ ngrok เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานชั่วคราวสำหรับขโมยบัญชี UKR.NET โดยแนบลิงก์ใน PDF เพื่อหลบระบบสแกนอีเมล ก่อนพาเหยื่อเข้าสู่เว็บปลอมที่ดักทั้งรหัสผ่านและ 2FA แบบเรียลไทม์ พร้อมเทคนิคข้ามหน้าเตือนของ ngrok ผ่าน header พิเศษ แสดงให้เห็นการปรับตัวของ GRU หลังถูกกวาดล้างโครงสร้างพื้นฐานในปี 2024
    https://securityonline.info/the-grus-silent-shift-how-bluedelta-hijacks-ukrainian-webmail-using-ngrok-and-mocky

    “Caminho” to Compromise: BlindEagle ใช้อีเมลภายในรัฐโคลอมเบียโจมตีแบบเนียนกริบ
    BlindEagle (APT-C-36) ใช้บัญชีอีเมลภายในหน่วยงานรัฐโคลอมเบียที่ถูกยึดไปแล้ว ส่งฟิชชิงที่แนบ SVG เพื่อนำเหยื่อไปยังเว็บปลอมของศาลแรงงาน ก่อนเรียกใช้ JavaScript + PowerShell แบบ fileless และดาวน์โหลดภาพที่ซ่อนโค้ดผ่าน steganography เพื่อติดตั้ง Caminho downloader ซึ่งเชื่อมโยงกับตลาดมืดบราซิล และสุดท้ายดึง DCRAT ลงเครื่อง เหตุการณ์นี้สะท้อนการยกระดับความซับซ้อนของกลุ่มในภูมิภาคละตินอเมริกา
    https://securityonline.info/caminho-to-compromise-blindeagle-hackers-hijack-government-emails-in-colombia

    Kimsuky DOCSWAP 2.0: มัลแวร์มือถือเวอร์ชันใหม่ติดผ่าน QR Code
    Kimsuky กลุ่มแฮ็กเกอร์เกาหลีเหนือเปิดตัว DOCSWAP รุ่นอัปเกรดที่แพร่ผ่าน QR code และ smishing เพื่อหลอกให้เหยื่อติดตั้งแอปปลอมบนมือถือ Android ตัวมัลแวร์ใช้ native decryption และ decoy behavior ใหม่เพื่อหลบการวิเคราะห์ ก่อนปลดล็อก RAT ที่สามารถขโมยไฟล์ ควบคุมเครื่อง และส่งข้อมูลกลับเซิร์ฟเวอร์ โดยมีหลักฐานเชื่อมโยงกับ DPRK ผ่านข้อความ “Million OK!!!” และคอมเมนต์ภาษาเกาหลีบนโครงสร้างพื้นฐาน
    https://securityonline.info/north-koreas-kimsuky-upgrades-docswap-malware-to-hijack-smartphones-via-qr-codes

    Exim’s Poisoned Record: แพตช์ที่พลาดเปิดช่อง SQL Injection สู่ Heap Overflow ระดับวิกฤต
    รายงานใหม่เผยว่า Exim 4.99 ยังมีช่องโหว่ลึกที่ไม่ได้รับการแก้ไขจากแพตช์ก่อนหน้า ทำให้ SQL injection ผ่านระบบ ratelimit สามารถนำไปสู่ heap overflow ขนาดใหญ่ถึง 1.5MB ซึ่งอาจเปิดทางสู่ RCE แม้ยังไม่ยืนยันเต็มรูปแบบ ช่องโหว่นี้เกิดจากการ sanitize คีย์ฐานข้อมูลไม่ครบถ้วนและการอ่านค่า bloom_size โดยไม่ตรวจสอบ ส่งผลให้ผู้โจมตีสามารถวาง “ระเบิดเวลา” ในฐานข้อมูลและทำให้เซิร์ฟเวอร์ล่มหรือถูกควบคุมได้ในบางเงื่อนไข
    https://securityonline.info/exims-poisoned-record-how-a-failed-patch-and-sql-injection-lead-to-critical-heap-overflows

    HPE OneView RCE: ช่องโหว่ CVSS 10.0 เปิดประตูให้รันคำสั่งโดยไม่ต้องล็อกอิน
    ช่องโหว่ร้ายแรงใน HPE OneView (CVE-2025-37164) เปิดให้ผู้โจมตีเรียกใช้ API ลับ /rest/id-pools/executeCommand ที่ตั้งค่าเป็น NO_AUTH ทำให้สามารถส่งคำสั่งระบบผ่าน Runtime.exec ได้ทันที นักวิจัยพบว่าเฉพาะบางเวอร์ชัน—โดยเฉพาะ OneView for VMs 6.x และ OneView for Synergy—ได้รับผลกระทบเต็มรูปแบบ และมี PoC พร้อมใช้งานแล้ว ทำให้ผู้ดูแลต้องเร่งอัปเดตหรือใช้ hotfix โดยด่วน
    https://securityonline.info/poc-available-unauthenticated-hpe-oneview-rce-cvss-10-0-exploits-hidden-id-pools-api

    Meta พลิกทิศ: หยุดพาร์ตเนอร์ VR เพื่อทุ่มทรัพยากรสู่แว่น AI
    Meta ตัดสินใจ “พัก” โครงการเปิด Horizon OS ให้ผู้ผลิตรายอื่น เช่น ASUS และ Lenovo หลังพบว่าทิศทางตลาด VR ยังไม่ชัดเจน ขณะที่แว่นอัจฉริยะอย่าง Ray-Ban Meta กลับเติบโตแรง บริษัทจึงหันไปโฟกัสฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ของตัวเอง โดยเฉพาะสาย AI glasses และโปรเจกต์ Orion ซึ่งอาจเป็นเส้นทางสู่การใช้งานจริงในวงกว้างมากกว่า VR แบบเดิม
    https://securityonline.info/vr-vision-shift-meta-pauses-third-party-partnerships-to-pivot-toward-ai-smart-glasses

    Kimwolf Botnet: กองทัพ IoT 1.8 ล้านเครื่องที่ยิงทราฟฟิกแซง Google
    บอตเน็ต Kimwolf ที่โจมตีอุปกรณ์ Android TV และกล่องรับสัญญาณกว่า 1.8 ล้านเครื่องทั่วโลก ถูกพบว่าส่งคำสั่ง DDoS มากถึง 1.7 พันล้านครั้งในช่วงไม่กี่วัน ทำให้โดเมน C2 ของมันขึ้นอันดับหนึ่งบน Cloudflare DNS แซง Google ชั่วคราว มัลแวร์นี้ไม่เพียงยิง DDoS แต่ยังมี reverse shell และ proxy forwarding ทำให้ผู้โจมตีใช้เป็นฐานปฏิบัติการขยายผลได้อย่างกว้างขวาง
    https://securityonline.info/the-wolf-among-tvs-1-8-million-strong-kimwolf-botnet-surpasses-google-traffic-to-rule-the-iot

    Windows Server 2025 ปลดล็อก NVMe Native I/O เร็วขึ้น 70% ลดโหลด CPU เกือบครึ่ง
    Microsoft เปิดใช้ Native NVMe I/O ใน Windows Server 2025 ซึ่งตัดชั้นแปลคำสั่ง SCSI/SATA ออก ทำให้ IOPS เพิ่มขึ้นสูงสุด 70% และลด CPU load ได้ถึง 45% ในงาน I/O หนัก โดยเฉพาะฐานข้อมูลและงาน AI แม้ผลลัพธ์ในชุมชนยังหลากหลาย แต่การออกแบบ pipeline ใหม่ทั้งหมดบ่งชี้ว่าระบบที่ใช้ SSD PCIe 5.0 จะได้ประโยชน์สูงสุด
    https://securityonline.info/the-end-of-scsi-windows-server-2025-unlocks-70-faster-storage-with-native-nvme-i-o

    The $100M Stalker: เครือข่าย Nefilim ล่ม—แก๊ง Big Game Hunting สารภาพผิด
    คดีใหญ่ของกลุ่มแรนซัมแวร์ Nefilim เดินหน้าเข้าสู่ตอนสำคัญเมื่อ Artem Stryzhak แฮ็กเกอร์ชาวยูเครนยอมรับสารภาพว่ามีส่วนร่วมในปฏิบัติการโจมตีองค์กรรายได้เกิน 100–200 ล้านดอลลาร์ โดยใช้โมเดลแบ่งกำไรและระบบ “panel” ในการจัดการเหยื่อ พร้อมใช้กลยุทธ์ double extortion ขโมยข้อมูลก่อนล็อกไฟล์ ขณะเดียวกันสหรัฐฯ ยังล่าตัวหัวโจกอีกคนพร้อมตั้งค่าหัว 11 ล้านดอลลาร์ สะท้อนความซับซ้อนและความระแวงภายในโลกอาชญากรรมไซเบอร์ที่กำลังถูกบีบเข้ามาเรื่อย ๆ
    https://securityonline.info/the-100m-stalker-nefilim-ransomware-affiliate-pleads-guilty-as-doj-hunts-fugitive-leader

    Microsoft ปิดฉาก Telephone Activation—เข้าสู่ยุคยืนยันสิทธิ์ผ่านเว็บเต็มรูปแบบ
    ไมโครซอฟท์ยุติระบบโทรศัพท์สำหรับการ Activate Windows/Office ที่เคยเป็นทางเลือกสำคัญในสภาพแวดล้อมออฟไลน์ โดยผู้ใช้ถูกเปลี่ยนเส้นทางไปยังพอร์ทัลออนไลน์แทน แม้ยังไม่ชัดเจนว่าการคำนวณ Activation ID แบบออฟไลน์ถูกยกเลิกจริงหรือเพียงย้ายไปอยู่บนเว็บ แต่การเปลี่ยนผ่านนี้อาจกระทบองค์กรที่ต้องการระบบ Activate แบบไม่พึ่งอินเทอร์เน็ต และสะท้อนทิศทางใหม่ที่เน้นการควบคุมผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น
    https://securityonline.info/hang-up-the-phone-microsoft-retires-telephone-activation-for-an-online-portal

    OpenAI เปิดสไลเดอร์ปรับ “อารมณ์” ChatGPT—ยุติภาพลักษณ์หุ่นยนต์
    OpenAI ปรับประสบการณ์ใช้งาน ChatGPT ครั้งใหญ่ด้วยตัวเลือกปรับโทนเสียง อารมณ์ การใช้หัวข้อ/ลิสต์ และจำนวนอีโมจิ เพื่อแก้ปัญหาที่ผู้ใช้มองว่า GPT-5 เย็นชาเกินไปหรือบางครั้งก็ประจบเกินเหตุ การเปิดให้ผู้ใช้ควบคุมบุคลิกของโมเดลเองสะท้อนการเปลี่ยนผ่านจากโมเดลกลางสู่ประสบการณ์เฉพาะบุคคลที่ยืดหยุ่นกว่าเดิม
    https://securityonline.info/the-end-of-robotic-ai-openai-unlocks-sliders-to-control-chatgpts-warmth-and-tone

    n8n เจอช่องโหว่ CVSS 10.0—Expression Injection พาไปสู่ยึดเซิร์ฟเวอร์เต็มตัว
    แพลตฟอร์ม workflow automation ยอดนิยม n8n เผชิญช่องโหว่ร้ายแรงระดับ 10.0 ที่เปิดทางให้ผู้ใช้ที่ล็อกอินได้สามารถฉีดโค้ดผ่านระบบ Expression Evaluation และหลุดออกจาก sandbox ไปสั่งคำสั่งระดับระบบปฏิบัติการ ส่งผลให้ผู้โจมตีเข้าถึงข้อมูล แก้ไข workflow หรือยึดเครื่องแม่ข่ายได้ทันที ผู้ดูแลระบบถูกเร่งให้อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 1.122.0 โดยด่วน
    https://securityonline.info/n8n-under-fire-critical-cvss-10-0-rce-vulnerability-grants-total-server-access

    Device Code Phishing: แฮ็กเกอร์ใช้ฟีเจอร์จริงของ Microsoft 365 เพื่อยึดบัญชี
    แคมเปญโจมตีรูปแบบใหม่ใช้ “Device Code” ซึ่งเป็นฟีเจอร์จริงของ Microsoft OAuth 2.0 หลอกให้เหยื่อกรอกรหัสบนเว็บ Microsoft ที่ถูกต้อง ทำให้แอปของผู้โจมตีได้รับสิทธิ์เข้าถึงบัญชีโดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน วิธีนี้หลบการตรวจสอบ URL ปลอมได้อย่างแนบเนียน และถูกใช้โดยทั้งกลุ่มรัฐหนุนและอาชญากรไซเบอร์เพื่อยึดบัญชีองค์กรในวงกว้าง
    ​​​​​​​ https://securityonline.info/hackers-abuse-device-codes-to-bypass-security-and-seize-microsoft-365-accounts
    📌🔐🟡 รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline 🟡🔐📌 #รวมข่าวIT #20251222 #securityonline 🧩 Dify Side-Door Exposure: ช่องโหว่เปิดคอนฟิกระบบ LLM ให้คนแปลกหน้าเห็น ช่องโหว่ CVE‑2025‑63387 ใน Dify เวอร์ชัน 1.9.1 เปิดให้ผู้ไม่ผ่านการยืนยันตัวตนเข้าถึง endpoint /console/api/system-features ได้โดยตรง ทำให้ข้อมูลคอนฟิกภายในของระบบ LLM ถูกเปิดเผยแบบไม่ตั้งใจ ซึ่งอาจถูกใช้เป็นจุดตั้งต้นในการวางแผนโจมตีต่อเนื่อง แม้จะเป็นเพียงการรั่วไหลข้อมูล แต่ก็ถือเป็นความเสี่ยงระดับสูงสำหรับทีมที่กำลังนำ LLM ไปใช้งานจริงในสภาพแวดล้อมโปรดักชัน 🔗 https://securityonline.info/ais-exposed-side-door-dify-flaw-cve-2025-63387-leaks-system-configs-to-anonymous-users 🎯 BlueDelta’s Silent Shift: GRU ใช้บริการฟรีอย่าง ngrok และ Mocky ลอบขโมยอีเมลยูเครน กลุ่ม BlueDelta (APT28) ของรัสเซียปรับยุทธวิธีใหม่โดยใช้บริการฟรี เช่น Mocky, DNS EXIT และ ngrok เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานชั่วคราวสำหรับขโมยบัญชี UKR.NET ผ่าน PDF ล่อเหยื่อและหน้าเว็บปลอมที่ดักทั้งรหัสผ่านและ 2FA แบบเรียลไทม์ พร้อมเทคนิคข้ามหน้าเตือนของ ngrok ด้วย header พิเศษ ทำให้การโจมตีแนบเนียนและตรวจจับยากขึ้น 🔗 https://securityonline.info/the-grus-silent-shift-how-bluedelta-hijacks-ukrainian-webmail-using-ngrok-and-mocky 📨 Caminho to Compromise: BlindEagle ใช้อีเมลภายในรัฐโคลอมเบียโจมตีแบบเนียนกริบ BlindEagle (APT‑C‑36) ใช้บัญชีอีเมลภายในหน่วยงานรัฐโคลอมเบียที่ถูกยึดไปแล้ว ส่งฟิชชิงแนบ SVG เพื่อนำเหยื่อไปยังเว็บปลอมของศาลแรงงาน ก่อนเรียกใช้ JavaScript + PowerShell แบบ fileless และดาวน์โหลดภาพที่ซ่อนโค้ดผ่าน steganography เพื่อติดตั้ง Caminho downloader ซึ่งเชื่อมโยงตลาดมืดบราซิล และสุดท้ายดึง DCRAT ลงเครื่อง 🔗 https://securityonline.info/caminho-to-compromise-blindeagle-hackers-hijack-government-emails-in-colombia 📱 DOCSWAP 2.0: Kimsuky ใช้ QR Code แพร่มัลแวร์มือถือเวอร์ชันใหม่ Kimsuky กลุ่มแฮ็กเกอร์เกาหลีเหนือเปิดตัว DOCSWAP รุ่นอัปเกรดที่แพร่ผ่าน QR code และ smishing เพื่อหลอกให้เหยื่อติดตั้งแอปปลอมบน Android ตัวมัลแวร์ใช้ native decryption และ decoy behavior ใหม่เพื่อหลบการวิเคราะห์ ก่อนปลดล็อก RAT ที่สามารถขโมยไฟล์ ควบคุมเครื่อง และส่งข้อมูลกลับเซิร์ฟเวอร์ พร้อมหลักฐานเชื่อมโยง DPRK ผ่านข้อความ “Million OK!!!” บนโครงสร้างพื้นฐาน 🔗 https://securityonline.info/north-koreas-kimsuky-upgrades-docswap-malware-to-hijack-smartphones-via-qr-codes 🕶️ Shadows of the North: แผนที่โครงสร้างไซเบอร์ DPRK ที่เชื่อมโยงทุกกลุ่มเข้าด้วยกัน รายงานร่วมของ Hunt.io และ Acronis เปิดโปงโครงสร้างพื้นฐานไซเบอร์ของเกาหลีเหนือที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกันอย่างแน่นหนา โดยพบว่า Lazarus, Kimsuky และ Bluenoroff แม้จะมีภารกิจต่างกัน แต่กลับใช้เซิร์ฟเวอร์ เครื่องมือ และโครงสร้างเครือข่ายร่วมกันอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ staging servers, credential-harvesting nodes ไปจนถึง FRP tunneling และโครงสร้างที่ผูกกับใบรับรอง SSL เดียวกัน เผยให้เห็น ecosystem ที่ทำงานแบบ “รวมศูนย์” เพื่อการจารกรรม การขโมยเงิน และปฏิบัติการทำลายล้างในระดับรัฐ 🔗 https://securityonline.info/shadows-of-the-north-unmasking-the-sprawling-cyber-infrastructure-of-the-dprk 📱 ResidentBat: สปายแวร์ KGB ที่ติดตั้งผ่านการยึดมือถือจริง ไม่ต้องพึ่ง zero‑click การสืบสวนโดย RESIDENT.NGO และ RSF พบว่า KGB เบลารุสใช้สปายแวร์ชื่อ ResidentBat ที่ติดตั้งด้วยการยึดโทรศัพท์จากนักข่าวและนักกิจกรรมระหว่างการสอบสวน ก่อนบังคับให้ปลดล็อกเครื่องเพื่อดู PIN จากนั้นเจ้าหน้าที่นำเครื่องออกไปติดตั้งแอปที่ขอสิทธิ์สูงถึง 38 รายการ รวมถึงการใช้ Accessibility Service เพื่ออ่านข้อความจากแอปเข้ารหัสอย่าง Signal และ Telegram ทำให้มือถือกลายเป็นอุปกรณ์สอดแนมเต็มรูปแบบที่สามารถบันทึกหน้าจอ คีย์บอร์ด และข้อมูลส่วนตัวทั้งหมด 🔗 https://securityonline.info/the-kgbs-all-seeing-eye-how-residentbat-spyware-turns-seized-phones-into-total-surveillance-tools 🎭 AuraStealer: มัลแวร์ที่หลอกให้เหยื่อ “แฮ็กตัวเอง” ผ่านคลิป TikTok AuraStealer มัลแวร์แบบ MaaS ที่กำลังระบาด ใช้กลยุทธ์ “Scam‑Yourself” โดยหลอกเหยื่อผ่านคลิป TikTok ที่สอนปลดล็อกซอฟต์แวร์เถื่อน เมื่อเหยื่อตามขั้นตอนและรันคำสั่ง PowerShell เอง มัลแวร์จะถูกดาวน์โหลดและรันทันที ตัวมันใช้เทคนิคป้องกันการวิเคราะห์ขั้นสูง เช่น indirect control flow และ exception‑driven API hashing พร้อมความสามารถขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์กว่า 110 ตัวและวอลเล็ตคริปโตจำนวนมาก แม้บางฟีเจอร์ยังทำงานไม่เสถียร แต่ความเสี่ยงยังสูงมาก 🔗 https://securityonline.info/tiktoks-scam-yourself-trap-how-aurastealer-malware-tricks-users-into-hacking-their-own-pcs 🧪 ClickFix Trap: หน้าตรวจสอบมนุษย์ปลอมที่นำไปสู่ Qilin Ransomware แคมเปญ ClickFix ใช้หน้า “ยืนยันว่าเป็นมนุษย์” ปลอมเพื่อหลอกให้เหยื่อดาวน์โหลด batch file ที่ติดตั้ง NetSupport RAT จากนั้นผู้โจมตีใช้ RAT เพื่อดึง StealC V2 ลงเครื่อง ก่อนใช้ข้อมูลที่ขโมยได้เจาะ VPN ขององค์กรและปล่อย Qilin ransomware ซึ่งเป็นหนึ่งใน RaaS ที่ทำเหยื่อมากที่สุดในช่วงปี 2024–2025 โซ่การโจมตีนี้เริ่มจากสคริปต์บนเว็บที่ถูกแฮ็กและจบลงด้วยการเข้ารหัสระบบทั้งองค์กร 🔗 https://securityonline.info/clickfix-trap-fake-human-verification-leads-to-qilin-ransomware-infection 🐾 Cellik Android RAT: มัลแวร์ที่แฝงตัวในแอป Google Play อย่างแนบเนียน Cellik เป็น Android RAT แบบบริการเช่า ที่ให้ผู้โจมตีเลือกแอปจาก Google Play แล้ว “ฉีด” payload ลงไปผ่านระบบ APK Builder ทำให้แอปที่ดูปกติกลายเป็นเครื่องมือสอดแนมเต็มรูปแบบ มันรองรับการสตรีมหน้าจอแบบเรียลไทม์ ควบคุมเครื่องจากระยะไกล เปิดกล้อง/ไมค์ และใช้ hidden browser เพื่อทำธุรกรรมหรือขโมยข้อมูลโดยที่ผู้ใช้ไม่เห็นอะไรบนหน้าจอ ถือเป็นการยกระดับภัยคุกคามมือถือให้เข้าถึงได้แม้กับอาชญากรทักษะต่ำ 🔗 https://securityonline.info/the-silent-hijacker-new-cellik-android-rat-turns-legitimate-google-play-apps-into-surveillance-tools 🕵️‍♀️ 110 Milliseconds of Truth: Amazon ใช้ “ดีเลย์คีย์บอร์ด” เปิดโปงสายลับเกาหลีเหนือ Amazon เปิดเผยปฏิบัติการสกัดแฮ็กเกอร์เกาหลีเหนือที่ปลอมตัวเป็นพนักงานรีโมต โดยใช้ “laptop farms” ในสหรัฐฯ เพื่อสมัครงานและแทรกซึมองค์กร ความผิดปกติถูกจับได้จากค่า latency การพิมพ์ที่สูงถึง 110 มิลลิวินาที ซึ่งบ่งชี้ว่ามีการควบคุมเครื่องจากต่างประเทศ พร้อมสัญญาณอื่นอย่างภาษาอังกฤษที่ไม่เป็นธรรมชาติ เหตุการณ์นี้สะท้อนการเปลี่ยนยุทธวิธีของ DPRK ที่ใช้โครงสร้างพื้นฐานในสหรัฐฯ เพื่อหลบการตรวจจับ และ Amazon ระบุว่าพยายามโจมตีเพิ่มขึ้นกว่า 27% ต่อไตรมาส 🔗 https://securityonline.info/110-milliseconds-of-truth-how-amazon-used-lag-to-catch-a-north-korean-spy 🧩 Dify’s Exposed Side Door: ช่องโหว่เปิดให้คนแปลกหน้าดูค่าคอนฟิกระบบ AI ได้ แพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์ส Dify รุ่น 1.9.1 ถูกพบช่องโหว่ CVE-2025-63387 ที่ปล่อยให้ผู้ใช้ไม่ต้องล็อกอินก็เข้าถึง endpoint /console/api/system-features ได้ ทำให้ข้อมูลคอนฟิกภายในหลุดออกสู่สาธารณะ ซึ่งอาจถูกใช้เป็นจุดตั้งต้นของการโจมตีขั้นต่อไป ช่องโหว่นี้จัดเป็นระดับ High และเป็นตัวอย่างของความเสี่ยงเมื่อระบบ LLM ถูกนำไปใช้จริงโดยไม่มีการตรวจสอบสิทธิ์ที่เข้มงวด 🔗 https://securityonline.info/ais-exposed-side-door-dify-flaw-cve-2025-63387-leaks-system-configs-to-anonymous-users 🎯 BlueDelta’s Silent Shift: GRU ใช้ ngrok + Mocky ลอบขโมยอีเมลชาวยูเครน กลุ่ม BlueDelta (APT28) ของรัสเซียปรับยุทธวิธีใหม่ ใช้บริการฟรีอย่าง Mocky, DNS EXIT และ ngrok เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานชั่วคราวสำหรับขโมยบัญชี UKR.NET โดยแนบลิงก์ใน PDF เพื่อหลบระบบสแกนอีเมล ก่อนพาเหยื่อเข้าสู่เว็บปลอมที่ดักทั้งรหัสผ่านและ 2FA แบบเรียลไทม์ พร้อมเทคนิคข้ามหน้าเตือนของ ngrok ผ่าน header พิเศษ แสดงให้เห็นการปรับตัวของ GRU หลังถูกกวาดล้างโครงสร้างพื้นฐานในปี 2024 🔗 https://securityonline.info/the-grus-silent-shift-how-bluedelta-hijacks-ukrainian-webmail-using-ngrok-and-mocky 📨 “Caminho” to Compromise: BlindEagle ใช้อีเมลภายในรัฐโคลอมเบียโจมตีแบบเนียนกริบ BlindEagle (APT-C-36) ใช้บัญชีอีเมลภายในหน่วยงานรัฐโคลอมเบียที่ถูกยึดไปแล้ว ส่งฟิชชิงที่แนบ SVG เพื่อนำเหยื่อไปยังเว็บปลอมของศาลแรงงาน ก่อนเรียกใช้ JavaScript + PowerShell แบบ fileless และดาวน์โหลดภาพที่ซ่อนโค้ดผ่าน steganography เพื่อติดตั้ง Caminho downloader ซึ่งเชื่อมโยงกับตลาดมืดบราซิล และสุดท้ายดึง DCRAT ลงเครื่อง เหตุการณ์นี้สะท้อนการยกระดับความซับซ้อนของกลุ่มในภูมิภาคละตินอเมริกา 🔗 https://securityonline.info/caminho-to-compromise-blindeagle-hackers-hijack-government-emails-in-colombia 📱 Kimsuky DOCSWAP 2.0: มัลแวร์มือถือเวอร์ชันใหม่ติดผ่าน QR Code Kimsuky กลุ่มแฮ็กเกอร์เกาหลีเหนือเปิดตัว DOCSWAP รุ่นอัปเกรดที่แพร่ผ่าน QR code และ smishing เพื่อหลอกให้เหยื่อติดตั้งแอปปลอมบนมือถือ Android ตัวมัลแวร์ใช้ native decryption และ decoy behavior ใหม่เพื่อหลบการวิเคราะห์ ก่อนปลดล็อก RAT ที่สามารถขโมยไฟล์ ควบคุมเครื่อง และส่งข้อมูลกลับเซิร์ฟเวอร์ โดยมีหลักฐานเชื่อมโยงกับ DPRK ผ่านข้อความ “Million OK!!!” และคอมเมนต์ภาษาเกาหลีบนโครงสร้างพื้นฐาน 🔗 https://securityonline.info/north-koreas-kimsuky-upgrades-docswap-malware-to-hijack-smartphones-via-qr-codes 📡 Exim’s Poisoned Record: แพตช์ที่พลาดเปิดช่อง SQL Injection สู่ Heap Overflow ระดับวิกฤต รายงานใหม่เผยว่า Exim 4.99 ยังมีช่องโหว่ลึกที่ไม่ได้รับการแก้ไขจากแพตช์ก่อนหน้า ทำให้ SQL injection ผ่านระบบ ratelimit สามารถนำไปสู่ heap overflow ขนาดใหญ่ถึง 1.5MB ซึ่งอาจเปิดทางสู่ RCE แม้ยังไม่ยืนยันเต็มรูปแบบ ช่องโหว่นี้เกิดจากการ sanitize คีย์ฐานข้อมูลไม่ครบถ้วนและการอ่านค่า bloom_size โดยไม่ตรวจสอบ ส่งผลให้ผู้โจมตีสามารถวาง “ระเบิดเวลา” ในฐานข้อมูลและทำให้เซิร์ฟเวอร์ล่มหรือถูกควบคุมได้ในบางเงื่อนไข 🔗 https://securityonline.info/exims-poisoned-record-how-a-failed-patch-and-sql-injection-lead-to-critical-heap-overflows 🖥️ HPE OneView RCE: ช่องโหว่ CVSS 10.0 เปิดประตูให้รันคำสั่งโดยไม่ต้องล็อกอิน ช่องโหว่ร้ายแรงใน HPE OneView (CVE-2025-37164) เปิดให้ผู้โจมตีเรียกใช้ API ลับ /rest/id-pools/executeCommand ที่ตั้งค่าเป็น NO_AUTH ทำให้สามารถส่งคำสั่งระบบผ่าน Runtime.exec ได้ทันที นักวิจัยพบว่าเฉพาะบางเวอร์ชัน—โดยเฉพาะ OneView for VMs 6.x และ OneView for Synergy—ได้รับผลกระทบเต็มรูปแบบ และมี PoC พร้อมใช้งานแล้ว ทำให้ผู้ดูแลต้องเร่งอัปเดตหรือใช้ hotfix โดยด่วน 🔗 https://securityonline.info/poc-available-unauthenticated-hpe-oneview-rce-cvss-10-0-exploits-hidden-id-pools-api 🕶️ Meta พลิกทิศ: หยุดพาร์ตเนอร์ VR เพื่อทุ่มทรัพยากรสู่แว่น AI Meta ตัดสินใจ “พัก” โครงการเปิด Horizon OS ให้ผู้ผลิตรายอื่น เช่น ASUS และ Lenovo หลังพบว่าทิศทางตลาด VR ยังไม่ชัดเจน ขณะที่แว่นอัจฉริยะอย่าง Ray-Ban Meta กลับเติบโตแรง บริษัทจึงหันไปโฟกัสฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ของตัวเอง โดยเฉพาะสาย AI glasses และโปรเจกต์ Orion ซึ่งอาจเป็นเส้นทางสู่การใช้งานจริงในวงกว้างมากกว่า VR แบบเดิม 🔗 https://securityonline.info/vr-vision-shift-meta-pauses-third-party-partnerships-to-pivot-toward-ai-smart-glasses 🐺 Kimwolf Botnet: กองทัพ IoT 1.8 ล้านเครื่องที่ยิงทราฟฟิกแซง Google บอตเน็ต Kimwolf ที่โจมตีอุปกรณ์ Android TV และกล่องรับสัญญาณกว่า 1.8 ล้านเครื่องทั่วโลก ถูกพบว่าส่งคำสั่ง DDoS มากถึง 1.7 พันล้านครั้งในช่วงไม่กี่วัน ทำให้โดเมน C2 ของมันขึ้นอันดับหนึ่งบน Cloudflare DNS แซง Google ชั่วคราว มัลแวร์นี้ไม่เพียงยิง DDoS แต่ยังมี reverse shell และ proxy forwarding ทำให้ผู้โจมตีใช้เป็นฐานปฏิบัติการขยายผลได้อย่างกว้างขวาง 🔗 https://securityonline.info/the-wolf-among-tvs-1-8-million-strong-kimwolf-botnet-surpasses-google-traffic-to-rule-the-iot ⚡ Windows Server 2025 ปลดล็อก NVMe Native I/O เร็วขึ้น 70% ลดโหลด CPU เกือบครึ่ง Microsoft เปิดใช้ Native NVMe I/O ใน Windows Server 2025 ซึ่งตัดชั้นแปลคำสั่ง SCSI/SATA ออก ทำให้ IOPS เพิ่มขึ้นสูงสุด 70% และลด CPU load ได้ถึง 45% ในงาน I/O หนัก โดยเฉพาะฐานข้อมูลและงาน AI แม้ผลลัพธ์ในชุมชนยังหลากหลาย แต่การออกแบบ pipeline ใหม่ทั้งหมดบ่งชี้ว่าระบบที่ใช้ SSD PCIe 5.0 จะได้ประโยชน์สูงสุด 🔗 https://securityonline.info/the-end-of-scsi-windows-server-2025-unlocks-70-faster-storage-with-native-nvme-i-o 🕵️‍♂️ The $100M Stalker: เครือข่าย Nefilim ล่ม—แก๊ง Big Game Hunting สารภาพผิด คดีใหญ่ของกลุ่มแรนซัมแวร์ Nefilim เดินหน้าเข้าสู่ตอนสำคัญเมื่อ Artem Stryzhak แฮ็กเกอร์ชาวยูเครนยอมรับสารภาพว่ามีส่วนร่วมในปฏิบัติการโจมตีองค์กรรายได้เกิน 100–200 ล้านดอลลาร์ โดยใช้โมเดลแบ่งกำไรและระบบ “panel” ในการจัดการเหยื่อ พร้อมใช้กลยุทธ์ double extortion ขโมยข้อมูลก่อนล็อกไฟล์ ขณะเดียวกันสหรัฐฯ ยังล่าตัวหัวโจกอีกคนพร้อมตั้งค่าหัว 11 ล้านดอลลาร์ สะท้อนความซับซ้อนและความระแวงภายในโลกอาชญากรรมไซเบอร์ที่กำลังถูกบีบเข้ามาเรื่อย ๆ 🔗 https://securityonline.info/the-100m-stalker-nefilim-ransomware-affiliate-pleads-guilty-as-doj-hunts-fugitive-leader ☎️ Microsoft ปิดฉาก Telephone Activation—เข้าสู่ยุคยืนยันสิทธิ์ผ่านเว็บเต็มรูปแบบ ไมโครซอฟท์ยุติระบบโทรศัพท์สำหรับการ Activate Windows/Office ที่เคยเป็นทางเลือกสำคัญในสภาพแวดล้อมออฟไลน์ โดยผู้ใช้ถูกเปลี่ยนเส้นทางไปยังพอร์ทัลออนไลน์แทน แม้ยังไม่ชัดเจนว่าการคำนวณ Activation ID แบบออฟไลน์ถูกยกเลิกจริงหรือเพียงย้ายไปอยู่บนเว็บ แต่การเปลี่ยนผ่านนี้อาจกระทบองค์กรที่ต้องการระบบ Activate แบบไม่พึ่งอินเทอร์เน็ต และสะท้อนทิศทางใหม่ที่เน้นการควบคุมผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น 🔗 https://securityonline.info/hang-up-the-phone-microsoft-retires-telephone-activation-for-an-online-portal 🤖 OpenAI เปิดสไลเดอร์ปรับ “อารมณ์” ChatGPT—ยุติภาพลักษณ์หุ่นยนต์ OpenAI ปรับประสบการณ์ใช้งาน ChatGPT ครั้งใหญ่ด้วยตัวเลือกปรับโทนเสียง อารมณ์ การใช้หัวข้อ/ลิสต์ และจำนวนอีโมจิ เพื่อแก้ปัญหาที่ผู้ใช้มองว่า GPT-5 เย็นชาเกินไปหรือบางครั้งก็ประจบเกินเหตุ การเปิดให้ผู้ใช้ควบคุมบุคลิกของโมเดลเองสะท้อนการเปลี่ยนผ่านจากโมเดลกลางสู่ประสบการณ์เฉพาะบุคคลที่ยืดหยุ่นกว่าเดิม 🔗 https://securityonline.info/the-end-of-robotic-ai-openai-unlocks-sliders-to-control-chatgpts-warmth-and-tone ⚠️ n8n เจอช่องโหว่ CVSS 10.0—Expression Injection พาไปสู่ยึดเซิร์ฟเวอร์เต็มตัว แพลตฟอร์ม workflow automation ยอดนิยม n8n เผชิญช่องโหว่ร้ายแรงระดับ 10.0 ที่เปิดทางให้ผู้ใช้ที่ล็อกอินได้สามารถฉีดโค้ดผ่านระบบ Expression Evaluation และหลุดออกจาก sandbox ไปสั่งคำสั่งระดับระบบปฏิบัติการ ส่งผลให้ผู้โจมตีเข้าถึงข้อมูล แก้ไข workflow หรือยึดเครื่องแม่ข่ายได้ทันที ผู้ดูแลระบบถูกเร่งให้อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 1.122.0 โดยด่วน 🔗 https://securityonline.info/n8n-under-fire-critical-cvss-10-0-rce-vulnerability-grants-total-server-access 🔐 Device Code Phishing: แฮ็กเกอร์ใช้ฟีเจอร์จริงของ Microsoft 365 เพื่อยึดบัญชี แคมเปญโจมตีรูปแบบใหม่ใช้ “Device Code” ซึ่งเป็นฟีเจอร์จริงของ Microsoft OAuth 2.0 หลอกให้เหยื่อกรอกรหัสบนเว็บ Microsoft ที่ถูกต้อง ทำให้แอปของผู้โจมตีได้รับสิทธิ์เข้าถึงบัญชีโดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน วิธีนี้หลบการตรวจสอบ URL ปลอมได้อย่างแนบเนียน และถูกใช้โดยทั้งกลุ่มรัฐหนุนและอาชญากรไซเบอร์เพื่อยึดบัญชีองค์กรในวงกว้าง ​​​​​​​🔗 https://securityonline.info/hackers-abuse-device-codes-to-bypass-security-and-seize-microsoft-365-accounts
    0 Comments 0 Shares 243 Views 0 Reviews
  • Schedule: แอป Kanban แบบออฟไลน์สำหรับ Linux — เมื่อ “ความเรียบง่าย” กลายเป็นจุดแข็ง

    Schedule คือแอปจัดการงานส่วนตัวที่ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ Linux ที่ต้องการระบบที่เบา เรียบง่าย และไม่ต้องพึ่งพา Cloud เลยแม้แต่นิดเดียว ตัวแอปสร้างบน GTK4 และ Libadwaita ทำให้หน้าตากลมกลืนกับ GNOME อย่างเป็นธรรมชาติ จุดเด่นคือมันทำหน้าที่เหมือน “กระดานโพสต์อิทดิจิทัล” ที่คุณสามารถลากการ์ดไปมาระหว่างคอลัมน์ได้อย่างลื่นไหล โดยไม่ต้องผ่าน onboarding หรือเมนูซับซ้อนใดๆ

    ความยืดหยุ่นของ Schedule ทำให้ผู้ใช้สามารถปรับกระดานให้เข้ากับ workflow ของตัวเองได้ ไม่ว่าจะเป็น Kanban แบบคลาสสิก, ปฏิทินคอนเทนต์, หรือกระดานงานบ้าน คุณสามารถเพิ่มคอลัมน์ใหม่ เปลี่ยนชื่อคอลัมน์ และจัดเรียงการ์ดได้ตามใจชอบ พร้อมระบบ autosave ที่บันทึกทุกการเปลี่ยนแปลงทันทีโดยไม่ต้องกดปุ่มใดๆ

    อีกหนึ่งจุดแข็งคือการทำงานแบบ “offline‑first” อย่างแท้จริง ไม่มีบัญชีผู้ใช้ ไม่มีการซิงก์ข้อมูลขึ้นคลาวด์ และไม่มีการเก็บข้อมูลส่วนตัวใดๆ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการโฟกัสแบบลึก (deep work) หรือผู้ที่กังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ export กระดานออกมาเป็นไฟล์เพื่อสำรองข้อมูลได้ง่ายๆ

    อย่างไรก็ตาม ความเรียบง่ายนี้ก็มาพร้อมข้อจำกัด เช่น ไม่มีระบบแจ้งเตือน ไม่มีการซิงก์ข้ามอุปกรณ์ และไม่มีแอปมือถือ หากคุณต้องการระบบที่ซับซ้อนแบบ Sunsama หรือ Notion อาจรู้สึกว่ามัน “เบาเกินไป” แต่สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการเครื่องมือที่ไม่รบกวนสมาธิและไม่พยายามเป็นทุกอย่างในเวลาเดียวกัน Schedule คือคำตอบที่ตรงไปตรงมาที่สุดในโลก Linux

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Schedule เป็นแอป Kanban แบบออฟไลน์สำหรับ Linux
    ใช้ GTK4 + Libadwaita ทำงานลื่นและกลมกลืนกับ GNOME
    ไม่มี onboarding ซับซ้อน เปิดมาก็ใช้งานได้ทันที

    ยืดหยุ่นและปรับแต่ง workflow ได้ตามใจ
    เปลี่ยนชื่อคอลัมน์ เพิ่มลิสต์ใหม่ และลากการ์ดได้อย่างลื่นไหล
    เหมาะกับ Kanban, content planning, หรือ life admin board

    ออกแบบแบบ offline‑first และเน้นความเป็นส่วนตัว
    ไม่มีบัญชี ไม่มีคลาวด์ ไม่มีการเก็บข้อมูล
    autosave และ export กระดานได้ง่าย

    ข้อจำกัดที่ผู้ใช้ต้องพิจารณา
    ไม่มีระบบแจ้งเตือนหรือ reminder
    ไม่มีการซิงก์ข้ามอุปกรณ์และไม่มีแอปมือถือ

    อาจไม่เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการฟีเจอร์ระดับโปร
    ไม่รองรับ workflow ซับซ้อนแบบ Sunsama หรือ Notion
    ใช้ได้ดีเฉพาะงานส่วนตัว ไม่เหมาะกับทีมขนาดใหญ่

    https://itsfoss.com/schedule-kanban-board/
    🗂️ Schedule: แอป Kanban แบบออฟไลน์สำหรับ Linux — เมื่อ “ความเรียบง่าย” กลายเป็นจุดแข็ง Schedule คือแอปจัดการงานส่วนตัวที่ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ Linux ที่ต้องการระบบที่เบา เรียบง่าย และไม่ต้องพึ่งพา Cloud เลยแม้แต่นิดเดียว ตัวแอปสร้างบน GTK4 และ Libadwaita ทำให้หน้าตากลมกลืนกับ GNOME อย่างเป็นธรรมชาติ จุดเด่นคือมันทำหน้าที่เหมือน “กระดานโพสต์อิทดิจิทัล” ที่คุณสามารถลากการ์ดไปมาระหว่างคอลัมน์ได้อย่างลื่นไหล โดยไม่ต้องผ่าน onboarding หรือเมนูซับซ้อนใดๆ ความยืดหยุ่นของ Schedule ทำให้ผู้ใช้สามารถปรับกระดานให้เข้ากับ workflow ของตัวเองได้ ไม่ว่าจะเป็น Kanban แบบคลาสสิก, ปฏิทินคอนเทนต์, หรือกระดานงานบ้าน คุณสามารถเพิ่มคอลัมน์ใหม่ เปลี่ยนชื่อคอลัมน์ และจัดเรียงการ์ดได้ตามใจชอบ พร้อมระบบ autosave ที่บันทึกทุกการเปลี่ยนแปลงทันทีโดยไม่ต้องกดปุ่มใดๆ อีกหนึ่งจุดแข็งคือการทำงานแบบ “offline‑first” อย่างแท้จริง ไม่มีบัญชีผู้ใช้ ไม่มีการซิงก์ข้อมูลขึ้นคลาวด์ และไม่มีการเก็บข้อมูลส่วนตัวใดๆ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการโฟกัสแบบลึก (deep work) หรือผู้ที่กังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ export กระดานออกมาเป็นไฟล์เพื่อสำรองข้อมูลได้ง่ายๆ อย่างไรก็ตาม ความเรียบง่ายนี้ก็มาพร้อมข้อจำกัด เช่น ไม่มีระบบแจ้งเตือน ไม่มีการซิงก์ข้ามอุปกรณ์ และไม่มีแอปมือถือ หากคุณต้องการระบบที่ซับซ้อนแบบ Sunsama หรือ Notion อาจรู้สึกว่ามัน “เบาเกินไป” แต่สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการเครื่องมือที่ไม่รบกวนสมาธิและไม่พยายามเป็นทุกอย่างในเวลาเดียวกัน Schedule คือคำตอบที่ตรงไปตรงมาที่สุดในโลก Linux 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Schedule เป็นแอป Kanban แบบออฟไลน์สำหรับ Linux ➡️ ใช้ GTK4 + Libadwaita ทำงานลื่นและกลมกลืนกับ GNOME ➡️ ไม่มี onboarding ซับซ้อน เปิดมาก็ใช้งานได้ทันที ✅ ยืดหยุ่นและปรับแต่ง workflow ได้ตามใจ ➡️ เปลี่ยนชื่อคอลัมน์ เพิ่มลิสต์ใหม่ และลากการ์ดได้อย่างลื่นไหล ➡️ เหมาะกับ Kanban, content planning, หรือ life admin board ✅ ออกแบบแบบ offline‑first และเน้นความเป็นส่วนตัว ➡️ ไม่มีบัญชี ไม่มีคลาวด์ ไม่มีการเก็บข้อมูล ➡️ autosave และ export กระดานได้ง่าย ‼️ ข้อจำกัดที่ผู้ใช้ต้องพิจารณา ⛔ ไม่มีระบบแจ้งเตือนหรือ reminder ⛔ ไม่มีการซิงก์ข้ามอุปกรณ์และไม่มีแอปมือถือ ‼️ อาจไม่เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการฟีเจอร์ระดับโปร ⛔ ไม่รองรับ workflow ซับซ้อนแบบ Sunsama หรือ Notion ⛔ ใช้ได้ดีเฉพาะงานส่วนตัว ไม่เหมาะกับทีมขนาดใหญ่ https://itsfoss.com/schedule-kanban-board/
    ITSFOSS.COM
    Away from Cloud: This Local, Offline Tool is Perfect for Personal Project Management on Linux Desktop
    We have all been there. You start the week with a massive to-do list, only to feel overwhelmed by Tuesday afternoon. While heavy-duty project management tools exist, sometimes you just need a digital version of "sticky notes on a wall".
    0 Comments 0 Shares 103 Views 0 Reviews
  • สั่ง DDR5 แต่ได้ DDR4 ซ่อนใต้ฮีตสเปรดเดอร์ — สัญญาณเตือนใหม่ของ “supply‑chain fraud” ในยุคแรมแพง

    ราคาของ DDR5 ที่พุ่งสูงและสินค้าขาดตลาดทำให้การหลอกลวงในตลาดฮาร์ดแวร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ผู้ใช้ Reddit รายหนึ่งในยุโรปพบว่าแรม DDR5 ที่สั่งจาก Amazon (ขายและจัดส่งโดย Amazon เอง) ถูกสลับไส้ในเป็น DDR4 โดยมีการนำฮีตสเปรดเดอร์ของ DDR5 มาครอบทับเพื่อให้ดูเหมือนของแท้ เมื่อเขาพยายามเสียบลงเมนบอร์ด ร่องบน PCB กลับไม่ตรงกัน ทำให้รู้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ

    ที่น่าตกใจคือสินค้าชิ้นนี้ไม่ได้ถูกระบุว่าเป็นของมือสองหรือ open‑box แต่เป็นของใหม่ทั้งหมด ซึ่งบ่งชี้ว่าการสลับสินค้าอาจเกิดขึ้น “ภายในซัพพลายเชนของ Amazon เอง” ไม่ใช่จากผู้ขายภายนอก ผู้ใช้รายนี้โชคดีที่ได้รับเงินคืนเต็มจำนวน และยังได้คืนมากกว่าที่จ่ายไป เนื่องจากราคาปัจจุบันสูงขึ้นกว่าเดิมราว £100

    เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรก ก่อนหน้านี้มีผู้ซื้อในสเปนที่ได้ DDR2 ใส่ตุ้มน้ำหนักปลอมเป็น DDR5 และอีกคนที่สั่งแรมโน้ตบุ๊กแล้วถูกขโมยของในพัสดุ เหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนปัญหาใหญ่ของตลาดฮาร์ดแวร์ที่กำลังเผชิญ “return fraud” และ “component swapping” มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะสินค้าที่มีราคาสูงและขาดตลาดอย่าง DDR5

    Tom’s Hardware จึงเตือนผู้ใช้ให้ “ถ่ายวิดีโอทุกครั้งที่แกะกล่องอุปกรณ์คอมพิวเตอร์” เพื่อใช้เป็นหลักฐานหากเกิดปัญหา เพราะแม้จะซื้อจากผู้ค้ารายใหญ่ที่สุดในโลก ก็ยังมีความเสี่ยงจากการสลับสินค้าในขั้นตอนโลจิสติกส์ที่ผู้ซื้อไม่สามารถมองเห็นได้เลย

    สรุปประเด็นสำคัญ
    พบการสลับ DDR5 เป็น DDR4 ภายใต้ฮีตสเปรดเดอร์
    ผู้ซื้อสังเกตว่าฮีตสเปรดเดอร์หลวมและร่อง PCB ไม่ตรง
    เป็นการปลอมแปลงที่ทำให้ดูเหมือนของใหม่สมบูรณ์

    สินค้าถูกขายและจัดส่งโดย Amazon เอง
    ไม่ใช่สินค้ามือสองหรือ open‑box
    บ่งชี้ว่าการสลับอาจเกิดในซัพพลายเชนของ Amazon

    มีเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นหลายครั้ง
    เคยมีผู้ได้ DDR2 ใส่ตุ้มน้ำหนักปลอมเป็น DDR5
    มีเคสพัสดุถูกขโมยหรือสลับของในระหว่างขนส่ง

    ความเสี่ยงจากการหลอกลวงในตลาดฮาร์ดแวร์
    ราคาสูงและสินค้าขาดตลาดทำให้ DDR5 เป็นเป้าหมายหลัก
    การสลับสินค้าในซัพพลายเชนเป็นภัยที่ผู้ซื้อควบคุมไม่ได้

    https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/unlucky-amazon-shopper-orders-ddr5-memory-but-gets-ddr4-hidden-under-the-heatspreader-ram-sold-as-new-was-a-switcharoo
    🧨 สั่ง DDR5 แต่ได้ DDR4 ซ่อนใต้ฮีตสเปรดเดอร์ — สัญญาณเตือนใหม่ของ “supply‑chain fraud” ในยุคแรมแพง ราคาของ DDR5 ที่พุ่งสูงและสินค้าขาดตลาดทำให้การหลอกลวงในตลาดฮาร์ดแวร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ผู้ใช้ Reddit รายหนึ่งในยุโรปพบว่าแรม DDR5 ที่สั่งจาก Amazon (ขายและจัดส่งโดย Amazon เอง) ถูกสลับไส้ในเป็น DDR4 โดยมีการนำฮีตสเปรดเดอร์ของ DDR5 มาครอบทับเพื่อให้ดูเหมือนของแท้ เมื่อเขาพยายามเสียบลงเมนบอร์ด ร่องบน PCB กลับไม่ตรงกัน ทำให้รู้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ ที่น่าตกใจคือสินค้าชิ้นนี้ไม่ได้ถูกระบุว่าเป็นของมือสองหรือ open‑box แต่เป็นของใหม่ทั้งหมด ซึ่งบ่งชี้ว่าการสลับสินค้าอาจเกิดขึ้น “ภายในซัพพลายเชนของ Amazon เอง” ไม่ใช่จากผู้ขายภายนอก ผู้ใช้รายนี้โชคดีที่ได้รับเงินคืนเต็มจำนวน และยังได้คืนมากกว่าที่จ่ายไป เนื่องจากราคาปัจจุบันสูงขึ้นกว่าเดิมราว £100 เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรก ก่อนหน้านี้มีผู้ซื้อในสเปนที่ได้ DDR2 ใส่ตุ้มน้ำหนักปลอมเป็น DDR5 และอีกคนที่สั่งแรมโน้ตบุ๊กแล้วถูกขโมยของในพัสดุ เหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนปัญหาใหญ่ของตลาดฮาร์ดแวร์ที่กำลังเผชิญ “return fraud” และ “component swapping” มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะสินค้าที่มีราคาสูงและขาดตลาดอย่าง DDR5 Tom’s Hardware จึงเตือนผู้ใช้ให้ “ถ่ายวิดีโอทุกครั้งที่แกะกล่องอุปกรณ์คอมพิวเตอร์” เพื่อใช้เป็นหลักฐานหากเกิดปัญหา เพราะแม้จะซื้อจากผู้ค้ารายใหญ่ที่สุดในโลก ก็ยังมีความเสี่ยงจากการสลับสินค้าในขั้นตอนโลจิสติกส์ที่ผู้ซื้อไม่สามารถมองเห็นได้เลย 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ พบการสลับ DDR5 เป็น DDR4 ภายใต้ฮีตสเปรดเดอร์ ➡️ ผู้ซื้อสังเกตว่าฮีตสเปรดเดอร์หลวมและร่อง PCB ไม่ตรง ➡️ เป็นการปลอมแปลงที่ทำให้ดูเหมือนของใหม่สมบูรณ์ ✅ สินค้าถูกขายและจัดส่งโดย Amazon เอง ➡️ ไม่ใช่สินค้ามือสองหรือ open‑box ➡️ บ่งชี้ว่าการสลับอาจเกิดในซัพพลายเชนของ Amazon ✅ มีเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นหลายครั้ง ➡️ เคยมีผู้ได้ DDR2 ใส่ตุ้มน้ำหนักปลอมเป็น DDR5 ➡️ มีเคสพัสดุถูกขโมยหรือสลับของในระหว่างขนส่ง ‼️ ความเสี่ยงจากการหลอกลวงในตลาดฮาร์ดแวร์ ⛔ ราคาสูงและสินค้าขาดตลาดทำให้ DDR5 เป็นเป้าหมายหลัก ⛔ การสลับสินค้าในซัพพลายเชนเป็นภัยที่ผู้ซื้อควบคุมไม่ได้ https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/unlucky-amazon-shopper-orders-ddr5-memory-but-gets-ddr4-hidden-under-the-heatspreader-ram-sold-as-new-was-a-switcharoo
    0 Comments 0 Shares 121 Views 0 Reviews
  • Atari Hotel เปิดระดมทุนสาธารณะ — โรงแรมธีมเกมยุคคลาสสิกมูลค่า $124M ที่คุณเป็นเจ้าของได้ด้วยเงินเพียง $500

    โครงการ Atari Hotel ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี 2020 กลับมาเป็นข่าวใหญ่อีกครั้งหลังจากเงียบไปหลายปี โดยตอนนี้โครงการแรกกำลังจะถูกสร้างขึ้นที่ Phoenix, Arizona พร้อมเปิดให้บุคคลทั่วไปลงทุนผ่าน Regulation A Tier 2 ของ SEC ด้วยเงินเริ่มต้นเพียง $500 การลงทุนนี้ไม่ใช่การซื้อของที่ระลึก แต่เป็นการถือหุ้นจริงในโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีธีมเกมยุคเรโทรและวัฒนธรรมป๊อปเป็นแกนกลาง

    แม้ชื่อ Atari จะถูกใช้เป็นแบรนด์หลัก แต่โรงแรมนี้ไม่ได้สร้างโดยบริษัท Atari เอง หากเป็นผลงานของ Intersection Development และดีไซเนอร์ räkkhaus ที่ได้รับสิทธิ์ใช้แบรนด์ Atari เพื่อสร้างประสบการณ์แบบ “cyberpunk arena” ที่ผสมผสานเกม เทคโนโลยี และศิลปะเข้าด้วยกัน ภาพเรนเดอร์ของโครงการเผยให้เห็นพื้นที่กว่า 118,770 ตารางฟุต พร้อมสปอร์ตเซ็นเตอร์ ร้านค้า และล็อบบี้ที่เต็มไปด้วย LED walls ขนาดใหญ่

    โครงการนี้มีงบประมาณรวม $124 ล้าน โดยระดมทุนไปแล้ว $14 ล้าน และตั้งเป้าเพิ่มอีก $35–40 ล้าน แต่ตามกฎของ SEC สามารถรับเงินได้สูงสุดถึง $75 ล้าน นักลงทุนจะได้รับสิทธิ์เข้าชมไซต์แบบ virtual ก่อนเปิดจริง และมี “digital brick” ของตัวเองในล็อบบี้ ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างการลงทุนอสังหาฯ กับวัฒนธรรมแฟนคลับในยุคดิจิทัล

    โรงแรมมีกำหนดเริ่มก่อสร้างในปีหน้า และตั้งเป้าเปิดให้บริการช่วงกลางถึงปลายปี 2028 แม้จะมีความเสี่ยงด้านเงินทุนและความไม่แน่นอนของตลาดอสังหาฯ แต่โครงการนี้สะท้อนความพยายามของแบรนด์ Atari ที่กำลังทดลองเส้นทางใหม่ๆ ตั้งแต่ NFT ไปจนถึงสินค้าไลฟ์สไตล์ เพื่อฟื้นบทบาทของตนในโลกสมัยใหม่

    สรุปประเด็นสำคัญ
    โครงการ Atari Hotel เปิดให้บุคคลทั่วไปลงทุน
    ใช้ Regulation A Tier 2 ของ SEC
    เริ่มลงทุนได้ที่ $500 และสูงสุดกว่า $50,000

    โรงแรมธีมเกมและวัฒนธรรมป๊อปมูลค่า $124 ล้าน
    พื้นที่รวม 118,770 ตารางฟุต พร้อมสปอร์ตเซ็นเตอร์และร้านค้า
    ล็อบบี้มี LED walls และงานศิลปะตามธีม Atari

    สิทธิพิเศษสำหรับนักลงทุน
    virtual tour ก่อนเปิดจริง
    “digital brick” ในล็อบบี้เป็นสัญลักษณ์การมีส่วนร่วม

    ความเสี่ยงด้านเงินทุนและการก่อสร้าง
    ต้องการเงินอย่างน้อย ~$8.7M เพื่อให้ข้อเสนอเดินหน้าต่อ
    แม้จะรับได้สูงสุด $75M แต่ยังต้องหาเงินเพิ่มจากแหล่งอื่น

    ความไม่แน่นอนของแบรนด์ Atari ในยุคใหม่
    เคยทดลองธุรกิจหลากหลาย เช่น crypto และ NFT ที่ไม่ประสบความสำเร็จ
    โครงการอาจถูกมองว่าใช้แบรนด์ Atari เพื่อดึงดูดนักลงทุนมากกว่าการสร้างคุณค่าจริง

    https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/you-can-own-a-piece-of-the-first-usd124-million-atari-hotel-in-phoenix-for-as-little-as-usd500-developer-launches-sec-backed-fundraiser-with-construction-set-to-begin-next-year
    🏨 Atari Hotel เปิดระดมทุนสาธารณะ — โรงแรมธีมเกมยุคคลาสสิกมูลค่า $124M ที่คุณเป็นเจ้าของได้ด้วยเงินเพียง $500 โครงการ Atari Hotel ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี 2020 กลับมาเป็นข่าวใหญ่อีกครั้งหลังจากเงียบไปหลายปี โดยตอนนี้โครงการแรกกำลังจะถูกสร้างขึ้นที่ Phoenix, Arizona พร้อมเปิดให้บุคคลทั่วไปลงทุนผ่าน Regulation A Tier 2 ของ SEC ด้วยเงินเริ่มต้นเพียง $500 การลงทุนนี้ไม่ใช่การซื้อของที่ระลึก แต่เป็นการถือหุ้นจริงในโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีธีมเกมยุคเรโทรและวัฒนธรรมป๊อปเป็นแกนกลาง แม้ชื่อ Atari จะถูกใช้เป็นแบรนด์หลัก แต่โรงแรมนี้ไม่ได้สร้างโดยบริษัท Atari เอง หากเป็นผลงานของ Intersection Development และดีไซเนอร์ räkkhaus ที่ได้รับสิทธิ์ใช้แบรนด์ Atari เพื่อสร้างประสบการณ์แบบ “cyberpunk arena” ที่ผสมผสานเกม เทคโนโลยี และศิลปะเข้าด้วยกัน ภาพเรนเดอร์ของโครงการเผยให้เห็นพื้นที่กว่า 118,770 ตารางฟุต พร้อมสปอร์ตเซ็นเตอร์ ร้านค้า และล็อบบี้ที่เต็มไปด้วย LED walls ขนาดใหญ่ โครงการนี้มีงบประมาณรวม $124 ล้าน โดยระดมทุนไปแล้ว $14 ล้าน และตั้งเป้าเพิ่มอีก $35–40 ล้าน แต่ตามกฎของ SEC สามารถรับเงินได้สูงสุดถึง $75 ล้าน นักลงทุนจะได้รับสิทธิ์เข้าชมไซต์แบบ virtual ก่อนเปิดจริง และมี “digital brick” ของตัวเองในล็อบบี้ ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างการลงทุนอสังหาฯ กับวัฒนธรรมแฟนคลับในยุคดิจิทัล โรงแรมมีกำหนดเริ่มก่อสร้างในปีหน้า และตั้งเป้าเปิดให้บริการช่วงกลางถึงปลายปี 2028 แม้จะมีความเสี่ยงด้านเงินทุนและความไม่แน่นอนของตลาดอสังหาฯ แต่โครงการนี้สะท้อนความพยายามของแบรนด์ Atari ที่กำลังทดลองเส้นทางใหม่ๆ ตั้งแต่ NFT ไปจนถึงสินค้าไลฟ์สไตล์ เพื่อฟื้นบทบาทของตนในโลกสมัยใหม่ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ โครงการ Atari Hotel เปิดให้บุคคลทั่วไปลงทุน ➡️ ใช้ Regulation A Tier 2 ของ SEC ➡️ เริ่มลงทุนได้ที่ $500 และสูงสุดกว่า $50,000 ✅ โรงแรมธีมเกมและวัฒนธรรมป๊อปมูลค่า $124 ล้าน ➡️ พื้นที่รวม 118,770 ตารางฟุต พร้อมสปอร์ตเซ็นเตอร์และร้านค้า ➡️ ล็อบบี้มี LED walls และงานศิลปะตามธีม Atari ✅ สิทธิพิเศษสำหรับนักลงทุน ➡️ virtual tour ก่อนเปิดจริง ➡️ “digital brick” ในล็อบบี้เป็นสัญลักษณ์การมีส่วนร่วม ‼️ ความเสี่ยงด้านเงินทุนและการก่อสร้าง ⛔ ต้องการเงินอย่างน้อย ~$8.7M เพื่อให้ข้อเสนอเดินหน้าต่อ ⛔ แม้จะรับได้สูงสุด $75M แต่ยังต้องหาเงินเพิ่มจากแหล่งอื่น ‼️ ความไม่แน่นอนของแบรนด์ Atari ในยุคใหม่ ⛔ เคยทดลองธุรกิจหลากหลาย เช่น crypto และ NFT ที่ไม่ประสบความสำเร็จ ⛔ โครงการอาจถูกมองว่าใช้แบรนด์ Atari เพื่อดึงดูดนักลงทุนมากกว่าการสร้างคุณค่าจริง https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/you-can-own-a-piece-of-the-first-usd124-million-atari-hotel-in-phoenix-for-as-little-as-usd500-developer-launches-sec-backed-fundraiser-with-construction-set-to-begin-next-year
    0 Comments 0 Shares 131 Views 0 Reviews
  • Biren เปิดตัว IPO ในฮ่องกง — มังกรตัวใหม่ในศึกชิงบัลลังก์ AI GPU จาก Nvidia

    Biren Intelligent Technology ผู้ผลิต GPU ชั้นนำของจีนเริ่มกระบวนการ bookbuilding สำหรับการเข้าตลาดหุ้นฮ่องกง โดยตั้งเป้าระดมทุนสูงสุดถึง 4.85 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ประมาณ 624 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ผู้ผลิต GPU จากจีนแผ่นดินใหญ่เข้าจดทะเบียนในฮ่องกง และสะท้อนความเร่งรีบของบริษัทจีนที่ต้องการเงินทุนเพื่อเร่งพัฒนา AI accelerators ท่ามกลางความต้องการมหาศาลจากตลาดโลก

    การเข้าตลาดของ Biren เกิดขึ้นในช่วงที่สตาร์ทอัพ GPU จีนกำลังได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม โดย Moore Threads และ MetaX ต่างสร้างสถิติราคาหุ้นพุ่งขึ้นหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ในวันแรกของการซื้อขาย ทำให้ทั้งสามบริษัท รวมถึง Enflame ถูกเรียกว่า “สี่มังกรน้อย” ของวงการ GPU จีน ซึ่งต่างมีเป้าหมายเดียวกันคือท้าทายความเป็นเจ้าตลาดของ Nvidia ในตลาด AI accelerator

    แม้ Biren จะเริ่มมีรายได้จากโซลูชันคอมพิวติ้งอัจฉริยะตั้งแต่ปี 2023 แต่บริษัทก็ยังขาดทุนอย่างหนัก โดยขาดทุนเกือบ 9 พันล้านหยวนในครึ่งแรกของปี 2025 จากการลงทุนด้าน R&D และซอฟต์แวร์อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ Biren ยังได้รับผลกระทบจากการถูกสหรัฐฯ ใส่ใน Entity List ทำให้เข้าถึงเทคโนโลยีต่างประเทศได้ยากขึ้น และต้องหันมาพึ่งซัพพลายเชนภายในประเทศมากขึ้น

    การเข้าตลาดครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การระดมทุน แต่เป็นการประกาศจุดยืนของจีนในสงครามเทคโนโลยีระดับโลก โดย Biren, MiniMax, Zhipu และบริษัท AI อื่นๆ ต่างเร่งเข้าตลาดเพื่อเสริมทุนและเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง ในขณะที่การแข่งขันด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ AI ภายในจีนกำลังทวีความรุนแรงขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Biren เปิดตัว IPO มูลค่าสูงสุด 624 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
    เป็นผู้ผลิต GPU จีนรายแรกที่เข้าตลาดฮ่องกง
    เสนอขายหุ้น 247.7 ล้านหุ้น ราคา 17–19.60 ดอลลาร์ฮ่องกง

    กระแส “สี่มังกรน้อย” ของวงการ GPU จีนกำลังมาแรง
    Moore Threads และ MetaX ทำราคาหุ้นพุ่งหลายร้อยเปอร์เซ็นต์
    ทั้งหมดมีเป้าหมายท้าทาย Nvidia ในตลาด AI accelerator

    Biren มีรายได้เพิ่มขึ้นแต่ยังขาดทุนหนัก
    รายได้ปี 2023 อยู่ที่ 336.8 ล้านหยวน
    ขาดทุนครึ่งแรกปี 2025 เกือบ 9 พันล้านหยวนจากการลงทุน R&D

    ความเสี่ยงจากข้อจำกัดทางการเมืองและซัพพลายเชน
    ถูกสหรัฐฯ ใส่ใน Entity List ทำให้เข้าถึงเทคโนโลยีต่างประเทศยากขึ้น
    ต้องพึ่งซัพพลายเชนภายในประเทศมากขึ้น ซึ่งยังไม่สมบูรณ์

    การแข่งขันในตลาด AI จีนกำลังรุนแรงขึ้น
    MiniMax และ Zhipu ก็เตรียมเข้าตลาดเช่นกัน
    บริษัทต้องเร่งพัฒนาเพื่อไม่ให้ตามหลังคู่แข่งทั้งในและนอกประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/biren-kicks-off-hong-kong-ipo
    🐉 Biren เปิดตัว IPO ในฮ่องกง — มังกรตัวใหม่ในศึกชิงบัลลังก์ AI GPU จาก Nvidia Biren Intelligent Technology ผู้ผลิต GPU ชั้นนำของจีนเริ่มกระบวนการ bookbuilding สำหรับการเข้าตลาดหุ้นฮ่องกง โดยตั้งเป้าระดมทุนสูงสุดถึง 4.85 พันล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ประมาณ 624 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ผู้ผลิต GPU จากจีนแผ่นดินใหญ่เข้าจดทะเบียนในฮ่องกง และสะท้อนความเร่งรีบของบริษัทจีนที่ต้องการเงินทุนเพื่อเร่งพัฒนา AI accelerators ท่ามกลางความต้องการมหาศาลจากตลาดโลก การเข้าตลาดของ Biren เกิดขึ้นในช่วงที่สตาร์ทอัพ GPU จีนกำลังได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม โดย Moore Threads และ MetaX ต่างสร้างสถิติราคาหุ้นพุ่งขึ้นหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ในวันแรกของการซื้อขาย ทำให้ทั้งสามบริษัท รวมถึง Enflame ถูกเรียกว่า “สี่มังกรน้อย” ของวงการ GPU จีน ซึ่งต่างมีเป้าหมายเดียวกันคือท้าทายความเป็นเจ้าตลาดของ Nvidia ในตลาด AI accelerator แม้ Biren จะเริ่มมีรายได้จากโซลูชันคอมพิวติ้งอัจฉริยะตั้งแต่ปี 2023 แต่บริษัทก็ยังขาดทุนอย่างหนัก โดยขาดทุนเกือบ 9 พันล้านหยวนในครึ่งแรกของปี 2025 จากการลงทุนด้าน R&D และซอฟต์แวร์อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ Biren ยังได้รับผลกระทบจากการถูกสหรัฐฯ ใส่ใน Entity List ทำให้เข้าถึงเทคโนโลยีต่างประเทศได้ยากขึ้น และต้องหันมาพึ่งซัพพลายเชนภายในประเทศมากขึ้น การเข้าตลาดครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การระดมทุน แต่เป็นการประกาศจุดยืนของจีนในสงครามเทคโนโลยีระดับโลก โดย Biren, MiniMax, Zhipu และบริษัท AI อื่นๆ ต่างเร่งเข้าตลาดเพื่อเสริมทุนและเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง ในขณะที่การแข่งขันด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ AI ภายในจีนกำลังทวีความรุนแรงขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Biren เปิดตัว IPO มูลค่าสูงสุด 624 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ➡️ เป็นผู้ผลิต GPU จีนรายแรกที่เข้าตลาดฮ่องกง ➡️ เสนอขายหุ้น 247.7 ล้านหุ้น ราคา 17–19.60 ดอลลาร์ฮ่องกง ✅ กระแส “สี่มังกรน้อย” ของวงการ GPU จีนกำลังมาแรง ➡️ Moore Threads และ MetaX ทำราคาหุ้นพุ่งหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ ➡️ ทั้งหมดมีเป้าหมายท้าทาย Nvidia ในตลาด AI accelerator ✅ Biren มีรายได้เพิ่มขึ้นแต่ยังขาดทุนหนัก ➡️ รายได้ปี 2023 อยู่ที่ 336.8 ล้านหยวน ➡️ ขาดทุนครึ่งแรกปี 2025 เกือบ 9 พันล้านหยวนจากการลงทุน R&D ‼️ ความเสี่ยงจากข้อจำกัดทางการเมืองและซัพพลายเชน ⛔ ถูกสหรัฐฯ ใส่ใน Entity List ทำให้เข้าถึงเทคโนโลยีต่างประเทศยากขึ้น ⛔ ต้องพึ่งซัพพลายเชนภายในประเทศมากขึ้น ซึ่งยังไม่สมบูรณ์ ‼️ การแข่งขันในตลาด AI จีนกำลังรุนแรงขึ้น ⛔ MiniMax และ Zhipu ก็เตรียมเข้าตลาดเช่นกัน ⛔ บริษัทต้องเร่งพัฒนาเพื่อไม่ให้ตามหลังคู่แข่งทั้งในและนอกประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/biren-kicks-off-hong-kong-ipo
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    China's premier GPU maker Biren kicks off Hong Kong IPO — GPU startups vying for Nvidia's crown race to fund AI chip development
    Shanghai-based Biren is targeting up to US$624 million in what would be the first Hong Kong listing by a mainland GPU developer.
    0 Comments 0 Shares 134 Views 0 Reviews
  • NIST เตือนเซิร์ฟเวอร์เวลาใน Boulder อาจคลาดเคลื่อน — เมื่อ “เวลามาตรฐานของโลก” สะดุดเพราะไฟดับ

    เหตุขัดข้องครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อศูนย์ NIST ที่ Boulder, Colorado สูญเสียไฟฟ้าระดับยูทิลิตี้ในช่วงลมแรงที่ทำให้สายไฟเสียหายและมีการปิดระบบเพื่อป้องกันไฟป่า ผลกระทบหนักที่สุดคือการที่เครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองล้มเหลวในจุดสำคัญของโซ่สัญญาณ ทำให้ atomic ensemble time scale NIST‑F4 ซึ่งเป็นหัวใจของ Internet Time Service หยุดทำงานชั่วคราว ส่งผลให้เซิร์ฟเวอร์ time‑a‑b ถึง time‑e‑b รวมถึง ntp‑b.nist.gov อาจให้เวลาที่ไม่ถูกต้อง

    แม้เซิร์ฟเวอร์เหล่านี้ยังตอบสนองคำขอ NTP ได้ แต่ NIST เตือนว่ามันอาจไม่ได้อ้างอิงแหล่งเวลาที่ถูกต้อง และอาจต้องปิดเซิร์ฟเวอร์บางตัวเพื่อป้องกันการกระจายเวลาที่ผิดพลาด ปัญหานี้เกิดขึ้นเพียงหนึ่งสัปดาห์หลังจากเหตุการณ์ที่ Gaithersburg ซึ่งทำให้เวลาคลาดเคลื่อนถึง –10 มิลลิวินาที แสดงให้เห็นว่าระบบเวลามาตรฐานของสหรัฐฯ กำลังเผชิญความเสี่ยงจากเหตุการณ์โครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น

    แม้ความคลาดเคลื่อนระดับไมโครวินาทีจะไม่กระทบผู้ใช้ทั่วไป แต่สำหรับระบบที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การเงิน 고‑frequency, การซิงก์ข้อมูลในดาต้าเซ็นเตอร์, ระบบไฟฟ้า, และ GPS — ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจสร้างความเสียหายเป็นลูกโซ่ได้ นี่คือเหตุผลที่ผู้ใช้งานระดับ critical ต้องตรวจสอบหลายแหล่งเวลาเสมอ และเหตุการณ์นี้ย้ำให้เห็นว่าการพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานเพียงจุดเดียวเป็นความเสี่ยงเชิงระบบ

    NIST ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะกู้คืนระบบทั้งหมดเมื่อใด แต่ยืนยันว่าบริการ time.nist.gov ซึ่งใช้ round‑robin DNS และกระจายโหลดข้ามหลายภูมิภาคไม่ได้รับผลกระทบ เหตุการณ์นี้จึงเป็นสัญญาณเตือนว่าการออกแบบระบบเวลาในระดับประเทศต้องมีความทนทานต่อความล้มเหลวมากกว่าที่เป็นอยู่

    สรุปประเด็นสำคัญ
    เหตุไฟดับทำให้ระบบเวลาหลัก NIST‑F4 สะดุด
    เกิดจากลมแรงทำให้สายไฟเสียหายและระบบป้องกันไฟป่าตัดไฟ
    เครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองล้มเหลวในตำแหน่งสำคัญของโซ่สัญญาณ

    เซิร์ฟเวอร์เวลาใน Boulder อาจให้เวลาคลาดเคลื่อน
    time‑a‑b ถึง time‑e‑b และ ntp‑b.nist.gov ได้รับผลกระทบ
    อาจต้องปิดเซิร์ฟเวอร์เพื่อป้องกันการกระจายเวลาที่ผิด

    บริการหลัก time.nist.gov ไม่ได้รับผลกระทบ
    ใช้ round‑robin DNS และกระจายโหลดหลายภูมิภาค
    ผู้ใช้ทั่วไปจึงไม่เห็นผลกระทบโดยตรง

    ความเสี่ยงเชิงระบบจากความคลาดเคลื่อนของเวลา
    กระทบระบบการเงิน, ดาต้าเซ็นเตอร์, พลังงาน, และ GPS
    ความผิดพลาดระดับไมโครวินาทีอาจสร้างผลกระทบเป็นลูกโซ่

    โครงสร้างพื้นฐานเวลาของประเทศยังเปราะบาง
    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองในเดือนเดียว
    การพึ่งพาแหล่งเวลาเดียวเป็นความเสี่ยงที่ต้องแก้ไข

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/nist-warns-of-potential-inaccuracies-on-boulder-time-servers-after-power-failure
    ⏱️ NIST เตือนเซิร์ฟเวอร์เวลาใน Boulder อาจคลาดเคลื่อน — เมื่อ “เวลามาตรฐานของโลก” สะดุดเพราะไฟดับ เหตุขัดข้องครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อศูนย์ NIST ที่ Boulder, Colorado สูญเสียไฟฟ้าระดับยูทิลิตี้ในช่วงลมแรงที่ทำให้สายไฟเสียหายและมีการปิดระบบเพื่อป้องกันไฟป่า ผลกระทบหนักที่สุดคือการที่เครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองล้มเหลวในจุดสำคัญของโซ่สัญญาณ ทำให้ atomic ensemble time scale NIST‑F4 ซึ่งเป็นหัวใจของ Internet Time Service หยุดทำงานชั่วคราว ส่งผลให้เซิร์ฟเวอร์ time‑a‑b ถึง time‑e‑b รวมถึง ntp‑b.nist.gov อาจให้เวลาที่ไม่ถูกต้อง แม้เซิร์ฟเวอร์เหล่านี้ยังตอบสนองคำขอ NTP ได้ แต่ NIST เตือนว่ามันอาจไม่ได้อ้างอิงแหล่งเวลาที่ถูกต้อง และอาจต้องปิดเซิร์ฟเวอร์บางตัวเพื่อป้องกันการกระจายเวลาที่ผิดพลาด ปัญหานี้เกิดขึ้นเพียงหนึ่งสัปดาห์หลังจากเหตุการณ์ที่ Gaithersburg ซึ่งทำให้เวลาคลาดเคลื่อนถึง –10 มิลลิวินาที แสดงให้เห็นว่าระบบเวลามาตรฐานของสหรัฐฯ กำลังเผชิญความเสี่ยงจากเหตุการณ์โครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น แม้ความคลาดเคลื่อนระดับไมโครวินาทีจะไม่กระทบผู้ใช้ทั่วไป แต่สำหรับระบบที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น การเงิน 고‑frequency, การซิงก์ข้อมูลในดาต้าเซ็นเตอร์, ระบบไฟฟ้า, และ GPS — ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจสร้างความเสียหายเป็นลูกโซ่ได้ นี่คือเหตุผลที่ผู้ใช้งานระดับ critical ต้องตรวจสอบหลายแหล่งเวลาเสมอ และเหตุการณ์นี้ย้ำให้เห็นว่าการพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานเพียงจุดเดียวเป็นความเสี่ยงเชิงระบบ NIST ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะกู้คืนระบบทั้งหมดเมื่อใด แต่ยืนยันว่าบริการ time.nist.gov ซึ่งใช้ round‑robin DNS และกระจายโหลดข้ามหลายภูมิภาคไม่ได้รับผลกระทบ เหตุการณ์นี้จึงเป็นสัญญาณเตือนว่าการออกแบบระบบเวลาในระดับประเทศต้องมีความทนทานต่อความล้มเหลวมากกว่าที่เป็นอยู่ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ เหตุไฟดับทำให้ระบบเวลาหลัก NIST‑F4 สะดุด ➡️ เกิดจากลมแรงทำให้สายไฟเสียหายและระบบป้องกันไฟป่าตัดไฟ ➡️ เครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำรองล้มเหลวในตำแหน่งสำคัญของโซ่สัญญาณ ✅ เซิร์ฟเวอร์เวลาใน Boulder อาจให้เวลาคลาดเคลื่อน ➡️ time‑a‑b ถึง time‑e‑b และ ntp‑b.nist.gov ได้รับผลกระทบ ➡️ อาจต้องปิดเซิร์ฟเวอร์เพื่อป้องกันการกระจายเวลาที่ผิด ✅ บริการหลัก time.nist.gov ไม่ได้รับผลกระทบ ➡️ ใช้ round‑robin DNS และกระจายโหลดหลายภูมิภาค ➡️ ผู้ใช้ทั่วไปจึงไม่เห็นผลกระทบโดยตรง ‼️ ความเสี่ยงเชิงระบบจากความคลาดเคลื่อนของเวลา ⛔ กระทบระบบการเงิน, ดาต้าเซ็นเตอร์, พลังงาน, และ GPS ⛔ ความผิดพลาดระดับไมโครวินาทีอาจสร้างผลกระทบเป็นลูกโซ่ ‼️ โครงสร้างพื้นฐานเวลาของประเทศยังเปราะบาง ⛔ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองในเดือนเดียว ⛔ การพึ่งพาแหล่งเวลาเดียวเป็นความเสี่ยงที่ต้องแก้ไข https://www.tomshardware.com/tech-industry/nist-warns-of-potential-inaccuracies-on-boulder-time-servers-after-power-failure
    0 Comments 0 Shares 107 Views 0 Reviews
More Results