• 🩷 รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline 🩷
    #รวมข่าวIT #20251202 #securityonline

    Android เจอช่องโหว่ร้ายแรง ต้องรีบอัปเดต
    Google ออก Android Security Bulletin เดือนธันวาคม 2025 ที่ทำให้หลายคนต้องรีบอัปเดตเครื่องทันที เพราะมีการยืนยันว่ามีการโจมตีจริงในโลกออนไลน์แล้ว โดยมีช่องโหว่สำคัญใน Android Framework ที่อาจทำให้เครื่องถูกสั่งให้หยุดทำงานจากระยะไกลได้โดยไม่ต้องมีสิทธิ์พิเศษใด ๆ นอกจากนี้ยังมีช่องโหว่ที่เปิดทางให้ผู้โจมตีเข้าถึงข้อมูลหรือยกระดับสิทธิ์ในเครื่องได้ โดยเฉพาะ CVE-2025-48631 ที่ถูกจัดว่าเป็น Critical DoS flaw ซึ่งสามารถทำให้เครื่องค้างหรือใช้งานไม่ได้ทันที รวมถึงยังมีปัญหาใน Kernel อย่าง PKVM และ IOMMU ที่ถ้าโดนเจาะก็อาจทะลุผ่านระบบป้องกันข้อมูลสำคัญได้ ผู้ใช้ Android จึงถูกแนะนำให้ตรวจสอบว่าเครื่องได้รับแพตช์ระดับ 2025-12-05 แล้ว เพื่อความปลอดภัยทั้งจากซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์
    https://securityonline.info/android-emergency-critical-dos-flaw-and-2-exploited-zero-days-in-framework-require-immediate-patch

    nopCommerce มีช่องโหว่ยึดระบบแอดมินได้
    แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชื่อดังอย่าง nopCommerce ถูกพบช่องโหว่ใหม่ CVE-2025-11699 ที่อันตรายมาก เพราะผู้โจมตีสามารถใช้ session cookie ที่หมดอายุแล้วกลับมาใช้งานอีกครั้งเพื่อเข้าสู่ระบบในสิทธิ์แอดมินได้ เท่ากับว่าผู้โจมตีสามารถเข้าควบคุมระบบหลังบ้านได้เต็มที่ แม้ผู้ใช้จะออกจากระบบไปแล้วก็ตาม ช่องโหว่นี้ทำให้ข้อมูลลูกค้าและธุรกรรมเสี่ยงต่อการถูกเข้าถึงหรือแก้ไขโดยไม่ได้รับอนุญาต ผู้ดูแลระบบจึงควรรีบอัปเดตแพตช์และตรวจสอบการจัดการ session อย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันการโจมตี
    https://securityonline.info/nopcommerce-flaw-cve-2025-11699-allows-admin-takeover-by-reusing-session-cookies-after-logout

    มัลแวร์รุ่นใหม่ Arkanix หลบการเข้ารหัส Chrome ได้
    มีการค้นพบมัลแวร์สายขโมยข้อมูลรุ่นใหม่ชื่อ Arkanix ที่พัฒนาให้ฉลาดขึ้นกว่าเดิม โดยมันสามารถเลี่ยงการป้องกันของ Chrome ที่ใช้ App-Bound Encryption ได้ ด้วยเทคนิคการฉีดโค้ดเข้าไปใน process ของ C++ ทำให้สามารถดึงข้อมูลที่ควรถูกเข้ารหัสออกมาได้อย่างง่ายดาย จุดนี้ถือว่าอันตรายมากเพราะ Chrome เป็นเบราว์เซอร์ที่มีผู้ใช้มหาศาล และการหลบเลี่ยงระบบเข้ารหัสได้หมายถึงข้อมูลสำคัญอย่างรหัสผ่านหรือ session อาจถูกขโมยไปโดยไม่รู้ตัว นักวิจัยเตือนว่ามัลแวร์นี้เป็น “next-gen stealer” ที่อาจถูกใช้ในแคมเปญโจมตีครั้งใหญ่ในอนาคต
    https://securityonline.info/next-gen-stealer-arkanix-bypasses-chrome-app-bound-encryption-using-c-process-injection

    ช่องโหว่ Apache Struts ทำเซิร์ฟเวอร์ล่มด้วยไฟล์ชั่วคราว
    เรื่องนี้เป็นการเตือนครั้งใหญ่จาก Apache Software Foundation เกี่ยวกับช่องโหว่ที่ชื่อว่า CVE-2025-64775 ซึ่งเกิดขึ้นจากการจัดการไฟล์ชั่วคราวที่ผิดพลาดในกระบวนการอัปโหลดไฟล์ของ Struts framework เมื่อผู้โจมตีส่งคำขอแบบ multipart จำนวนมาก ไฟล์ชั่วคราวที่ควรถูกลบกลับถูกทิ้งไว้ ทำให้พื้นที่ดิสก์เต็มไปเรื่อย ๆ จนระบบไม่สามารถทำงานต่อได้ กลายเป็นการโจมตีแบบ Denial of Service ถึงแม้จะไม่ใช่การรันโค้ดจากระยะไกล แต่ก็สามารถทำให้บริการสำคัญหยุดชะงักได้ง่ายมาก ทางออกคือผู้ใช้ต้องรีบอัปเดตไปยังเวอร์ชันที่ถูกแก้ไขแล้วคือ Struts 6.8.0 และ 7.1.1
    https://securityonline.info/cve-2025-64775-apache-struts-file-leak-vulnerability-threatens-disk-exhaustion

    APT36 หันเป้าโจมตี Linux ด้วยทางลัดเงียบ
    กลุ่มแฮกเกอร์ที่มีชื่อเสียง APT36 หรือ Transparent Tribe ซึ่งเคยโจมตีระบบ Windows มานาน ตอนนี้ได้พัฒนาเครื่องมือใหม่เพื่อเจาะระบบ Linux โดยเฉพาะ BOSS Linux ที่ใช้ในหน่วยงานรัฐบาลอินเดีย พวกเขาส่งอีเมลฟิชชิ่งที่แนบไฟล์ .desktop ปลอมให้ดูเหมือนเอกสารจริง แต่เมื่อเปิดขึ้นมา มัลแวร์จะถูกติดตั้งอย่างเงียบ ๆ พร้อมสร้างความคงอยู่ในระบบโดยไม่ต้องใช้สิทธิ์ root จุดเด่นคือเป็น Remote Administration Tool ที่ทำงานได้ทั้ง Windows และ Linux สามารถสั่งรันคำสั่ง ดูดข้อมูล และจับภาพหน้าจอได้ การขยายเป้าหมายไปยัง Linux ถือเป็นการยกระดับครั้งสำคัญของกลุ่มนี้
    https://securityonline.info/the-boss-breach-apt36-pivots-to-linux-espionage-with-silent-shortcuts

    Albiriox มัลแวร์ Android แบบบริการเช่า
    นักวิจัยพบมัลแวร์ใหม่ชื่อ Albiriox ที่ถูกพัฒนาเป็น Malware-as-a-Service โดยกลุ่มผู้พูดภาษารัสเซีย เปิดให้เช่าใช้เดือนละราว 650–720 ดอลลาร์ จุดแข็งคือสามารถทำ On-Device Fraud ได้ หมายถึงการทำธุรกรรมหลอกลวงจากเครื่องของเหยื่อเองเพื่อหลบเลี่ยงระบบตรวจสอบของธนาคาร ฟีเจอร์เด่นคือ AcVNC ที่สามารถควบคุมหน้าจอแม้แอปธนาคารจะพยายามบล็อกการบันทึกหน้าจอ แคมเปญแรกเริ่มโจมตีผู้ใช้ในออสเตรียผ่านแอป Penny Market ปลอม แต่จริง ๆ แล้วมีรายชื่อเป้าหมายกว่า 400 แอปธนาคารและคริปโตทั่วโลก ถือเป็นการยกระดับภัยคุกคามบนมือถืออย่างชัดเจน
    https://securityonline.info/albiriox-the-russian-maas-android-trojan-redefining-mobile-fraud

    ศึกชิปขั้นสูง Apple ปะทะ NVIDIA
    ในโลกเซมิคอนดักเตอร์ตอนนี้ Apple และ NVIDIA กำลังแย่งชิงกำลังการผลิตขั้นสูงของ TSMC โดยเฉพาะกระบวนการ A16 และ A14 ที่ถือเป็นระดับ angstrom-class ซึ่งมีความสำคัญต่อการผลิตชิปประสิทธิภาพสูง ทั้งสองบริษัทต่างต้องการพื้นที่ผลิตที่จำกัดนี้เพื่อรองรับความต้องการด้าน AI ที่พุ่งสูงขึ้น ขณะเดียวกัน Apple ยังมองหาทางเลือกใหม่โดยอาจร่วมมือกับ Intel ในกระบวนการ 18AP สำหรับชิประดับเริ่มต้น เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มอำนาจต่อรองกับ TSMC การแข่งขันนี้สะท้อนให้เห็นว่าชิปขั้นสูงได้กลายเป็นสมรภูมิที่ดุเดือดระหว่างยักษ์ใหญ่เทคโนโลยี
    https://securityonline.info/semiconductor-showdown-apple-and-nvidia-battle-for-tsmcs-a16-capacity

    OpenAI เริ่มทดลองโฆษณาใน ChatGPT
    แม้ ChatGPT จะมีผู้ใช้มหาศาล แต่ OpenAI ก็ยังขาดทุนหนัก โดยคาดว่าจะสะสมการขาดทุนถึง 115 พันล้านดอลลาร์ก่อนจะเริ่มมีกำไร นักพัฒนาพบโค้ดที่เกี่ยวข้องกับโฆษณาในแอป ChatGPT บน Android ซึ่งบ่งชี้ว่าบริษัทกำลังทดลองโมเดลรายได้ใหม่ผ่านการแสดงโฆษณาในคำตอบ โดยเฉพาะโฆษณาแบบค้นหา (Search Ads) ที่ฝังลิงก์สปอนเซอร์ในผลลัพธ์ หากเปิดใช้งานจริงจะเป็นแหล่งรายได้มหาศาลเสริมจากค่าสมาชิกและ API การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงความพยายามของ OpenAI ที่จะหาทางออกจากภาระขาดทุนมหาศาล
    https://securityonline.info/chatgpt-ads-spotted-monetization-push-underway-to-offset-115-billion-in-openai-losses

    BreachLock ครองแชมป์ PTaaS ต่อเนื่อง
    BreachLock ได้รับการจัดอันดับจากรายงาน GigaOm Radar ปี 2025 ให้เป็นผู้นำด้านบริการ Penetration Testing as a Service (PTaaS) ต่อเนื่องเป็นปีที่สาม จุดเด่นของบริษัทคือการผสมผสานการทดสอบเจาะระบบแบบอัตโนมัติและการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ ทำให้ลูกค้าได้รับผลลัพธ์ที่รวดเร็วและแม่นยำ พร้อมทั้งสามารถปรับขนาดการทดสอบให้เหมาะสมกับองค์กรทุกระดับ การได้รับการยอมรับซ้ำ ๆ แสดงถึงความแข็งแกร่งและความน่าเชื่อถือในตลาดที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
    https://securityonline.info/breachlock-named-a-leader-in-2025-gigaom-radar-report-for-penetration-testing-as-a-service-ptaas-for-third-consecutive-year

    ช่องโหว่ร้ายแรงใน Snapdragon และโมเด็ม 5G
    พบช่องโหว่ใหม่ CVE-2025-47372 ที่กระทบ Snapdragon 8 Gen 3 และโมเด็ม 5G โดยปัญหานี้เกิดขึ้นในกระบวนการบูต ทำให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงสิทธิ์ระดับสูงตั้งแต่เริ่มต้นระบบ ผลกระทบคืออุปกรณ์อาจถูกควบคุมหรือทำงานผิดพลาดตั้งแต่เปิดเครื่อง ถือเป็นภัยร้ายแรงเพราะเกี่ยวข้องกับชิปที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งในสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์เครือข่าย การแก้ไขคือผู้ผลิตต้องรีบอัปเดตเฟิร์มแวร์เพื่ออุดช่องโหว่ก่อนที่จะถูกนำไปใช้โจมตีจริง
    https://securityonline.info/boot-process-compromised-critical-flaw-cve-2025-47372-hits-snapdragon-8-gen-3-5g-modems

    Kevin Lancaster เข้าร่วมบอร์ด usecure Kevin Lancaster
    ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาช่องทางธุรกิจ ได้เข้าร่วมบอร์ดของบริษัท usecure เพื่อช่วยเร่งการเติบโตในตลาดอเมริกาเหนือ Lancaster มีประสบการณ์ยาวนานในการสร้างเครือข่ายพันธมิตรและการขยายธุรกิจด้านความปลอดภัยไซเบอร์ การเข้ามาของเขาถือเป็นการเสริมกำลังสำคัญให้ usecure สามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่มความแข็งแกร่งในการแข่งขันในภูมิภาคนี้
    https://securityonline.info/kevin-lancaster-joins-the-usecure-board-to-accelerate-north-american-channel-growth

    ช่องโหว่ Windows EoP พร้อม PoC
    มีการเผยแพร่โค้ดทดสอบการโจมตี (PoC) สำหรับช่องโหว่ CVE-2025-60718 ที่เกี่ยวข้องกับ Windows Administrator Protection ซึ่งเป็นช่องโหว่ Elevation of Privilege ทำให้ผู้โจมตีสามารถยกระดับสิทธิ์ในระบบได้ ช่องโหว่นี้ถือว่าอันตรายเพราะสามารถใช้เป็นขั้นตอนหนึ่งในการเข้าควบคุมระบบทั้งหมดได้ การที่ PoC ถูกปล่อยออกมาแล้วทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างมาก ผู้ใช้และผู้ดูแลระบบควรเร่งอัปเดตแพตช์ทันที
    https://securityonline.info/poc-exploit-releases-for-cve-2025-60718-windows-administrator-protection-elevation-of-privilege-vulnerability

    OpenVPN อุดช่องโหว่ร้ายแรง
    OpenVPN ได้ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่สำคัญสองรายการ ได้แก่ Heap Over-Read ที่มีคะแนน CVSS 9.1 และช่องโหว่ HMAC Bypass ซึ่งสามารถทำให้เกิดการโจมตีแบบ DoS ได้ ช่องโหว่เหล่านี้หากถูกนำไปใช้จะทำให้การเชื่อมต่อ VPN ไม่ปลอดภัยและอาจถูกโจมตีจนระบบล่ม การอัปเดตเวอร์ชันล่าสุดจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ใช้งานทุกคนเพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น
    https://securityonline.info/critical-openvpn-flaws-fix-heap-over-read-cvss-9-1-and-hmac-bypass-allow-dos-attacks
    📌🔐🩷 รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline 🩷🔐📌 #รวมข่าวIT #20251202 #securityonline 🛡️ Android เจอช่องโหว่ร้ายแรง ต้องรีบอัปเดต Google ออก Android Security Bulletin เดือนธันวาคม 2025 ที่ทำให้หลายคนต้องรีบอัปเดตเครื่องทันที เพราะมีการยืนยันว่ามีการโจมตีจริงในโลกออนไลน์แล้ว โดยมีช่องโหว่สำคัญใน Android Framework ที่อาจทำให้เครื่องถูกสั่งให้หยุดทำงานจากระยะไกลได้โดยไม่ต้องมีสิทธิ์พิเศษใด ๆ นอกจากนี้ยังมีช่องโหว่ที่เปิดทางให้ผู้โจมตีเข้าถึงข้อมูลหรือยกระดับสิทธิ์ในเครื่องได้ โดยเฉพาะ CVE-2025-48631 ที่ถูกจัดว่าเป็น Critical DoS flaw ซึ่งสามารถทำให้เครื่องค้างหรือใช้งานไม่ได้ทันที รวมถึงยังมีปัญหาใน Kernel อย่าง PKVM และ IOMMU ที่ถ้าโดนเจาะก็อาจทะลุผ่านระบบป้องกันข้อมูลสำคัญได้ ผู้ใช้ Android จึงถูกแนะนำให้ตรวจสอบว่าเครื่องได้รับแพตช์ระดับ 2025-12-05 แล้ว เพื่อความปลอดภัยทั้งจากซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ 🔗 https://securityonline.info/android-emergency-critical-dos-flaw-and-2-exploited-zero-days-in-framework-require-immediate-patch ⚠️ nopCommerce มีช่องโหว่ยึดระบบแอดมินได้ แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซชื่อดังอย่าง nopCommerce ถูกพบช่องโหว่ใหม่ CVE-2025-11699 ที่อันตรายมาก เพราะผู้โจมตีสามารถใช้ session cookie ที่หมดอายุแล้วกลับมาใช้งานอีกครั้งเพื่อเข้าสู่ระบบในสิทธิ์แอดมินได้ เท่ากับว่าผู้โจมตีสามารถเข้าควบคุมระบบหลังบ้านได้เต็มที่ แม้ผู้ใช้จะออกจากระบบไปแล้วก็ตาม ช่องโหว่นี้ทำให้ข้อมูลลูกค้าและธุรกรรมเสี่ยงต่อการถูกเข้าถึงหรือแก้ไขโดยไม่ได้รับอนุญาต ผู้ดูแลระบบจึงควรรีบอัปเดตแพตช์และตรวจสอบการจัดการ session อย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันการโจมตี 🔗 https://securityonline.info/nopcommerce-flaw-cve-2025-11699-allows-admin-takeover-by-reusing-session-cookies-after-logout 🕵️‍♂️ มัลแวร์รุ่นใหม่ Arkanix หลบการเข้ารหัส Chrome ได้ มีการค้นพบมัลแวร์สายขโมยข้อมูลรุ่นใหม่ชื่อ Arkanix ที่พัฒนาให้ฉลาดขึ้นกว่าเดิม โดยมันสามารถเลี่ยงการป้องกันของ Chrome ที่ใช้ App-Bound Encryption ได้ ด้วยเทคนิคการฉีดโค้ดเข้าไปใน process ของ C++ ทำให้สามารถดึงข้อมูลที่ควรถูกเข้ารหัสออกมาได้อย่างง่ายดาย จุดนี้ถือว่าอันตรายมากเพราะ Chrome เป็นเบราว์เซอร์ที่มีผู้ใช้มหาศาล และการหลบเลี่ยงระบบเข้ารหัสได้หมายถึงข้อมูลสำคัญอย่างรหัสผ่านหรือ session อาจถูกขโมยไปโดยไม่รู้ตัว นักวิจัยเตือนว่ามัลแวร์นี้เป็น “next-gen stealer” ที่อาจถูกใช้ในแคมเปญโจมตีครั้งใหญ่ในอนาคต 🔗 https://securityonline.info/next-gen-stealer-arkanix-bypasses-chrome-app-bound-encryption-using-c-process-injection 🖥️ ช่องโหว่ Apache Struts ทำเซิร์ฟเวอร์ล่มด้วยไฟล์ชั่วคราว เรื่องนี้เป็นการเตือนครั้งใหญ่จาก Apache Software Foundation เกี่ยวกับช่องโหว่ที่ชื่อว่า CVE-2025-64775 ซึ่งเกิดขึ้นจากการจัดการไฟล์ชั่วคราวที่ผิดพลาดในกระบวนการอัปโหลดไฟล์ของ Struts framework เมื่อผู้โจมตีส่งคำขอแบบ multipart จำนวนมาก ไฟล์ชั่วคราวที่ควรถูกลบกลับถูกทิ้งไว้ ทำให้พื้นที่ดิสก์เต็มไปเรื่อย ๆ จนระบบไม่สามารถทำงานต่อได้ กลายเป็นการโจมตีแบบ Denial of Service ถึงแม้จะไม่ใช่การรันโค้ดจากระยะไกล แต่ก็สามารถทำให้บริการสำคัญหยุดชะงักได้ง่ายมาก ทางออกคือผู้ใช้ต้องรีบอัปเดตไปยังเวอร์ชันที่ถูกแก้ไขแล้วคือ Struts 6.8.0 และ 7.1.1 🔗 https://securityonline.info/cve-2025-64775-apache-struts-file-leak-vulnerability-threatens-disk-exhaustion 🐧 APT36 หันเป้าโจมตี Linux ด้วยทางลัดเงียบ กลุ่มแฮกเกอร์ที่มีชื่อเสียง APT36 หรือ Transparent Tribe ซึ่งเคยโจมตีระบบ Windows มานาน ตอนนี้ได้พัฒนาเครื่องมือใหม่เพื่อเจาะระบบ Linux โดยเฉพาะ BOSS Linux ที่ใช้ในหน่วยงานรัฐบาลอินเดีย พวกเขาส่งอีเมลฟิชชิ่งที่แนบไฟล์ .desktop ปลอมให้ดูเหมือนเอกสารจริง แต่เมื่อเปิดขึ้นมา มัลแวร์จะถูกติดตั้งอย่างเงียบ ๆ พร้อมสร้างความคงอยู่ในระบบโดยไม่ต้องใช้สิทธิ์ root จุดเด่นคือเป็น Remote Administration Tool ที่ทำงานได้ทั้ง Windows และ Linux สามารถสั่งรันคำสั่ง ดูดข้อมูล และจับภาพหน้าจอได้ การขยายเป้าหมายไปยัง Linux ถือเป็นการยกระดับครั้งสำคัญของกลุ่มนี้ 🔗 https://securityonline.info/the-boss-breach-apt36-pivots-to-linux-espionage-with-silent-shortcuts 📱 Albiriox มัลแวร์ Android แบบบริการเช่า นักวิจัยพบมัลแวร์ใหม่ชื่อ Albiriox ที่ถูกพัฒนาเป็น Malware-as-a-Service โดยกลุ่มผู้พูดภาษารัสเซีย เปิดให้เช่าใช้เดือนละราว 650–720 ดอลลาร์ จุดแข็งคือสามารถทำ On-Device Fraud ได้ หมายถึงการทำธุรกรรมหลอกลวงจากเครื่องของเหยื่อเองเพื่อหลบเลี่ยงระบบตรวจสอบของธนาคาร ฟีเจอร์เด่นคือ AcVNC ที่สามารถควบคุมหน้าจอแม้แอปธนาคารจะพยายามบล็อกการบันทึกหน้าจอ แคมเปญแรกเริ่มโจมตีผู้ใช้ในออสเตรียผ่านแอป Penny Market ปลอม แต่จริง ๆ แล้วมีรายชื่อเป้าหมายกว่า 400 แอปธนาคารและคริปโตทั่วโลก ถือเป็นการยกระดับภัยคุกคามบนมือถืออย่างชัดเจน 🔗 https://securityonline.info/albiriox-the-russian-maas-android-trojan-redefining-mobile-fraud ⚙️ ศึกชิปขั้นสูง Apple ปะทะ NVIDIA ในโลกเซมิคอนดักเตอร์ตอนนี้ Apple และ NVIDIA กำลังแย่งชิงกำลังการผลิตขั้นสูงของ TSMC โดยเฉพาะกระบวนการ A16 และ A14 ที่ถือเป็นระดับ angstrom-class ซึ่งมีความสำคัญต่อการผลิตชิปประสิทธิภาพสูง ทั้งสองบริษัทต่างต้องการพื้นที่ผลิตที่จำกัดนี้เพื่อรองรับความต้องการด้าน AI ที่พุ่งสูงขึ้น ขณะเดียวกัน Apple ยังมองหาทางเลือกใหม่โดยอาจร่วมมือกับ Intel ในกระบวนการ 18AP สำหรับชิประดับเริ่มต้น เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มอำนาจต่อรองกับ TSMC การแข่งขันนี้สะท้อนให้เห็นว่าชิปขั้นสูงได้กลายเป็นสมรภูมิที่ดุเดือดระหว่างยักษ์ใหญ่เทคโนโลยี 🔗 https://securityonline.info/semiconductor-showdown-apple-and-nvidia-battle-for-tsmcs-a16-capacity 💰 OpenAI เริ่มทดลองโฆษณาใน ChatGPT แม้ ChatGPT จะมีผู้ใช้มหาศาล แต่ OpenAI ก็ยังขาดทุนหนัก โดยคาดว่าจะสะสมการขาดทุนถึง 115 พันล้านดอลลาร์ก่อนจะเริ่มมีกำไร นักพัฒนาพบโค้ดที่เกี่ยวข้องกับโฆษณาในแอป ChatGPT บน Android ซึ่งบ่งชี้ว่าบริษัทกำลังทดลองโมเดลรายได้ใหม่ผ่านการแสดงโฆษณาในคำตอบ โดยเฉพาะโฆษณาแบบค้นหา (Search Ads) ที่ฝังลิงก์สปอนเซอร์ในผลลัพธ์ หากเปิดใช้งานจริงจะเป็นแหล่งรายได้มหาศาลเสริมจากค่าสมาชิกและ API การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงความพยายามของ OpenAI ที่จะหาทางออกจากภาระขาดทุนมหาศาล 🔗 https://securityonline.info/chatgpt-ads-spotted-monetization-push-underway-to-offset-115-billion-in-openai-losses 🛡️ BreachLock ครองแชมป์ PTaaS ต่อเนื่อง BreachLock ได้รับการจัดอันดับจากรายงาน GigaOm Radar ปี 2025 ให้เป็นผู้นำด้านบริการ Penetration Testing as a Service (PTaaS) ต่อเนื่องเป็นปีที่สาม จุดเด่นของบริษัทคือการผสมผสานการทดสอบเจาะระบบแบบอัตโนมัติและการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ ทำให้ลูกค้าได้รับผลลัพธ์ที่รวดเร็วและแม่นยำ พร้อมทั้งสามารถปรับขนาดการทดสอบให้เหมาะสมกับองค์กรทุกระดับ การได้รับการยอมรับซ้ำ ๆ แสดงถึงความแข็งแกร่งและความน่าเชื่อถือในตลาดที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว 🔗 https://securityonline.info/breachlock-named-a-leader-in-2025-gigaom-radar-report-for-penetration-testing-as-a-service-ptaas-for-third-consecutive-year 📶 ช่องโหว่ร้ายแรงใน Snapdragon และโมเด็ม 5G พบช่องโหว่ใหม่ CVE-2025-47372 ที่กระทบ Snapdragon 8 Gen 3 และโมเด็ม 5G โดยปัญหานี้เกิดขึ้นในกระบวนการบูต ทำให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงสิทธิ์ระดับสูงตั้งแต่เริ่มต้นระบบ ผลกระทบคืออุปกรณ์อาจถูกควบคุมหรือทำงานผิดพลาดตั้งแต่เปิดเครื่อง ถือเป็นภัยร้ายแรงเพราะเกี่ยวข้องกับชิปที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งในสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์เครือข่าย การแก้ไขคือผู้ผลิตต้องรีบอัปเดตเฟิร์มแวร์เพื่ออุดช่องโหว่ก่อนที่จะถูกนำไปใช้โจมตีจริง 🔗 https://securityonline.info/boot-process-compromised-critical-flaw-cve-2025-47372-hits-snapdragon-8-gen-3-5g-modems 🤝 Kevin Lancaster เข้าร่วมบอร์ด usecure Kevin Lancaster ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาช่องทางธุรกิจ ได้เข้าร่วมบอร์ดของบริษัท usecure เพื่อช่วยเร่งการเติบโตในตลาดอเมริกาเหนือ Lancaster มีประสบการณ์ยาวนานในการสร้างเครือข่ายพันธมิตรและการขยายธุรกิจด้านความปลอดภัยไซเบอร์ การเข้ามาของเขาถือเป็นการเสริมกำลังสำคัญให้ usecure สามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่มความแข็งแกร่งในการแข่งขันในภูมิภาคนี้ 🔗 https://securityonline.info/kevin-lancaster-joins-the-usecure-board-to-accelerate-north-american-channel-growth 🪟 ช่องโหว่ Windows EoP พร้อม PoC มีการเผยแพร่โค้ดทดสอบการโจมตี (PoC) สำหรับช่องโหว่ CVE-2025-60718 ที่เกี่ยวข้องกับ Windows Administrator Protection ซึ่งเป็นช่องโหว่ Elevation of Privilege ทำให้ผู้โจมตีสามารถยกระดับสิทธิ์ในระบบได้ ช่องโหว่นี้ถือว่าอันตรายเพราะสามารถใช้เป็นขั้นตอนหนึ่งในการเข้าควบคุมระบบทั้งหมดได้ การที่ PoC ถูกปล่อยออกมาแล้วทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างมาก ผู้ใช้และผู้ดูแลระบบควรเร่งอัปเดตแพตช์ทันที 🔗 https://securityonline.info/poc-exploit-releases-for-cve-2025-60718-windows-administrator-protection-elevation-of-privilege-vulnerability 🔐 OpenVPN อุดช่องโหว่ร้ายแรง OpenVPN ได้ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่สำคัญสองรายการ ได้แก่ Heap Over-Read ที่มีคะแนน CVSS 9.1 และช่องโหว่ HMAC Bypass ซึ่งสามารถทำให้เกิดการโจมตีแบบ DoS ได้ ช่องโหว่เหล่านี้หากถูกนำไปใช้จะทำให้การเชื่อมต่อ VPN ไม่ปลอดภัยและอาจถูกโจมตีจนระบบล่ม การอัปเดตเวอร์ชันล่าสุดจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ใช้งานทุกคนเพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น 🔗 https://securityonline.info/critical-openvpn-flaws-fix-heap-over-read-cvss-9-1-and-hmac-bypass-allow-dos-attacks
    0 Comments 0 Shares 3 Views 0 Reviews
  • Dan Houser วิจารณ์การผลักดัน Generative AI ในการสร้างเกม

    Dan Houser ผู้ร่วมก่อตั้ง Rockstar Games และผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้างซีรีส์ดังอย่าง Grand Theft Auto และ Red Dead Redemption ได้ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับการใช้ Generative AI ในการสร้างเกม โดยเขามองว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยี แต่คือ “คนที่พยายามผลักดันให้ AI ถูกใช้ในทุกสถานการณ์” ซึ่งเขาเรียกว่า “ไม่ใช่คนที่มีความเป็นมนุษย์หรือความคิดสร้างสรรค์มากที่สุด”

    Houser อธิบายว่า AI มีข้อจำกัดที่ชัดเจน โดยเฉพาะการพึ่งพาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต ซึ่งในอนาคตจะเต็มไปด้วยข้อมูลที่สร้างโดย AI เอง ทำให้คุณภาพของข้อมูลลดลง เขาเปรียบเทียบว่า “เหมือนตอนที่เราให้อาหารวัวด้วยวัวเองแล้วเกิดโรค BSE (mad cow disease)” ซึ่งสะท้อนถึงความเสี่ยงที่ AI จะวนซ้ำและเสื่อมคุณภาพไปเรื่อย ๆ

    แม้ Houser จะยอมรับว่า AI สามารถช่วยให้บางคนสร้างสรรค์ผลงานได้ง่ายขึ้น แต่เขาเชื่อว่าผลงานจำนวนมากจะออกมา “คล้ายกันหมด” และ AI จะเก่งในงานที่ “ราคาถูกและพอใช้ได้” แต่ไม่สามารถสร้าง “เวทมนตร์” แบบที่มนุษย์ทำได้ เขายังเสริมว่า คนที่มีพรสวรรค์จริง ๆ จะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ยังคงเป็นสิ่งที่ AI ไม่สามารถแทนที่ได้

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Dan Houser วิจารณ์การผลักดัน Generative AI
    มองว่าคนที่ผลักดันไม่ใช่คนที่มีความคิดสร้างสรรค์หรือความเป็นมนุษย์มากที่สุด
    เชื่อว่า AI ไม่สามารถแทนที่ความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ได้

    ข้อจำกัดของ AI ที่ Houser ชี้ให้เห็น
    พึ่งพาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตที่อาจเสื่อมคุณภาพเมื่อ AI สร้างข้อมูลเอง
    เปรียบเทียบกับโรค mad cow disease ที่เกิดจากการวนซ้ำในระบบ

    มุมมองต่อผลกระทบในวงการเกม
    AI จะสร้างผลงานที่คล้ายกันไปหมด
    เก่งในงานที่ราคาถูกและพอใช้ แต่ไม่สามารถสร้าง “เวทมนตร์” ได้

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    การใช้ AI ในทุกด้านอาจลดความหลากหลายและคุณภาพของงานสร้างสรรค์
    ความเสี่ยงที่ข้อมูลจะวนซ้ำและเสื่อมคุณภาพ
    อาจทำให้ผู้สร้างเกมที่ไม่มีความคิดสร้างสรรค์จริง ๆ พึ่งพา AI มากเกินไป

    https://wccftech.com/dan-houser-calls-people-pushing-genai-not-the-most-humane-or-creative-people/
    🎮 Dan Houser วิจารณ์การผลักดัน Generative AI ในการสร้างเกม Dan Houser ผู้ร่วมก่อตั้ง Rockstar Games และผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้างซีรีส์ดังอย่าง Grand Theft Auto และ Red Dead Redemption ได้ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับการใช้ Generative AI ในการสร้างเกม โดยเขามองว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยี แต่คือ “คนที่พยายามผลักดันให้ AI ถูกใช้ในทุกสถานการณ์” ซึ่งเขาเรียกว่า “ไม่ใช่คนที่มีความเป็นมนุษย์หรือความคิดสร้างสรรค์มากที่สุด” Houser อธิบายว่า AI มีข้อจำกัดที่ชัดเจน โดยเฉพาะการพึ่งพาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต ซึ่งในอนาคตจะเต็มไปด้วยข้อมูลที่สร้างโดย AI เอง ทำให้คุณภาพของข้อมูลลดลง เขาเปรียบเทียบว่า “เหมือนตอนที่เราให้อาหารวัวด้วยวัวเองแล้วเกิดโรค BSE (mad cow disease)” ซึ่งสะท้อนถึงความเสี่ยงที่ AI จะวนซ้ำและเสื่อมคุณภาพไปเรื่อย ๆ แม้ Houser จะยอมรับว่า AI สามารถช่วยให้บางคนสร้างสรรค์ผลงานได้ง่ายขึ้น แต่เขาเชื่อว่าผลงานจำนวนมากจะออกมา “คล้ายกันหมด” และ AI จะเก่งในงานที่ “ราคาถูกและพอใช้ได้” แต่ไม่สามารถสร้าง “เวทมนตร์” แบบที่มนุษย์ทำได้ เขายังเสริมว่า คนที่มีพรสวรรค์จริง ๆ จะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ยังคงเป็นสิ่งที่ AI ไม่สามารถแทนที่ได้ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Dan Houser วิจารณ์การผลักดัน Generative AI ➡️ มองว่าคนที่ผลักดันไม่ใช่คนที่มีความคิดสร้างสรรค์หรือความเป็นมนุษย์มากที่สุด ➡️ เชื่อว่า AI ไม่สามารถแทนที่ความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ได้ ✅ ข้อจำกัดของ AI ที่ Houser ชี้ให้เห็น ➡️ พึ่งพาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตที่อาจเสื่อมคุณภาพเมื่อ AI สร้างข้อมูลเอง ➡️ เปรียบเทียบกับโรค mad cow disease ที่เกิดจากการวนซ้ำในระบบ ✅ มุมมองต่อผลกระทบในวงการเกม ➡️ AI จะสร้างผลงานที่คล้ายกันไปหมด ➡️ เก่งในงานที่ราคาถูกและพอใช้ แต่ไม่สามารถสร้าง “เวทมนตร์” ได้ ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ การใช้ AI ในทุกด้านอาจลดความหลากหลายและคุณภาพของงานสร้างสรรค์ ⛔ ความเสี่ยงที่ข้อมูลจะวนซ้ำและเสื่อมคุณภาพ ⛔ อาจทำให้ผู้สร้างเกมที่ไม่มีความคิดสร้างสรรค์จริง ๆ พึ่งพา AI มากเกินไป https://wccftech.com/dan-houser-calls-people-pushing-genai-not-the-most-humane-or-creative-people/
    WCCFTECH.COM
    Rockstar Co-Founder Dan Houser Calls Those Pushing for GenAI Use In Everything "Not the Most Humane or Creative People"
    Rockstar co-founder and lead creative Dan Houser calls those pushing GenAI "not the most humane or creative people."
    0 Comments 0 Shares 3 Views 0 Reviews
  • MediaTek ร่วมพัฒนา Google TPU v7 เพื่อยกระดับ Dimensity 9600

    MediaTek ได้เข้าร่วมในโครงการพัฒนา Google TPU v7 Ironwood ซึ่งถูกมองว่าเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ NVIDIA Blackwell GPUs โดย MediaTek มีบทบาทสำคัญในการออกแบบ I/O modules ของ TPU รุ่นนี้ เพื่อให้การสื่อสารระหว่างโปรเซสเซอร์และอุปกรณ์รอบข้างมีประสิทธิภาพสูงขึ้น การมีส่วนร่วมครั้งนี้ไม่เพียงสร้างรายได้มหาศาลให้กับ MediaTek แต่ยังเปิดโอกาสให้บริษัทนำประสบการณ์ไปปรับใช้กับชิปสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่อย่าง Dimensity 9600

    สถาปัตยกรรมของ TPU v7 ใช้ dual-chiplet design ที่ประกอบด้วย TensorCore, Vector Processing Unit (VPU), Matrix Multiply Unit (MXU) และ SparseCores พร้อมหน่วยความจำ HBM ขนาด 96GB เชื่อมต่อกันด้วย die-to-die interconnect ที่เร็วกว่าเดิมถึง 6 เท่า และสามารถขยายเป็นระบบ superpod ที่มีมากกว่า 9,000 ชิปเพื่อรองรับงาน AI ขนาดใหญ่

    สำหรับ Dimensity 9600 แม้จะเป็น Application Processor (AP) ที่แตกต่างจาก ASIC อย่าง TPU แต่ MediaTek สามารถนำแนวคิดจากการทำงานร่วมกับ Google มาปรับใช้ เช่น กลยุทธ์ power gating ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น, การปรับปรุง voltage scaling และ การจัดการ clock-gating เพื่อยืดอายุแบตเตอรี่และลดการใช้พลังงาน ซึ่งถือเป็นการยกระดับชิปมือถือให้แข่งขันได้ในตลาดที่เน้น AI และประสิทธิภาพพลังงาน

    การร่วมมือครั้งนี้ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในตลาดเซมิคอนดักเตอร์ ที่บริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนเริ่มมีบทบาทในโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดใหญ่ ซึ่งอาจทำให้ MediaTek ก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาด AI chips ในอนาคต

    สรุปประเด็นสำคัญ
    MediaTek มีบทบาทใน Google TPU v7 Ironwood
    ออกแบบ I/O modules เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสาร
    คาดว่าจะสร้างรายได้กว่า 4 พันล้านดอลลาร์

    สถาปัตยกรรม TPU v7 ที่ล้ำสมัย
    Dual-chiplet design พร้อม TensorCore, VPU, MXU และ SparseCores
    ใช้ HBM 96GB และ interconnect ที่เร็วกว่าเดิม 6 เท่า

    ผลต่อ Dimensity 9600
    ปรับปรุง power gating และ voltage scaling
    clock-gating ที่ดีขึ้นเพื่อยืดอายุแบตเตอรี่

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    ASIC และ AP มีโครงสร้างต่างกัน ทำให้ไม่สามารถนำประสบการณ์มาใช้ได้ทั้งหมด
    การแข่งขันกับ NVIDIA และ Qualcomm ในตลาด AI chips ยังเข้มข้น
    การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่อาจเพิ่มต้นทุนการผลิตและความเสี่ยงด้านซัพพลายเชน

    https://wccftech.com/mediateks-work-on-the-google-tpu-v7-to-boost-dimensity-9600s-efficiency/
    ⚙️ MediaTek ร่วมพัฒนา Google TPU v7 เพื่อยกระดับ Dimensity 9600 MediaTek ได้เข้าร่วมในโครงการพัฒนา Google TPU v7 Ironwood ซึ่งถูกมองว่าเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ NVIDIA Blackwell GPUs โดย MediaTek มีบทบาทสำคัญในการออกแบบ I/O modules ของ TPU รุ่นนี้ เพื่อให้การสื่อสารระหว่างโปรเซสเซอร์และอุปกรณ์รอบข้างมีประสิทธิภาพสูงขึ้น การมีส่วนร่วมครั้งนี้ไม่เพียงสร้างรายได้มหาศาลให้กับ MediaTek แต่ยังเปิดโอกาสให้บริษัทนำประสบการณ์ไปปรับใช้กับชิปสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่อย่าง Dimensity 9600 สถาปัตยกรรมของ TPU v7 ใช้ dual-chiplet design ที่ประกอบด้วย TensorCore, Vector Processing Unit (VPU), Matrix Multiply Unit (MXU) และ SparseCores พร้อมหน่วยความจำ HBM ขนาด 96GB เชื่อมต่อกันด้วย die-to-die interconnect ที่เร็วกว่าเดิมถึง 6 เท่า และสามารถขยายเป็นระบบ superpod ที่มีมากกว่า 9,000 ชิปเพื่อรองรับงาน AI ขนาดใหญ่ สำหรับ Dimensity 9600 แม้จะเป็น Application Processor (AP) ที่แตกต่างจาก ASIC อย่าง TPU แต่ MediaTek สามารถนำแนวคิดจากการทำงานร่วมกับ Google มาปรับใช้ เช่น กลยุทธ์ power gating ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น, การปรับปรุง voltage scaling และ การจัดการ clock-gating เพื่อยืดอายุแบตเตอรี่และลดการใช้พลังงาน ซึ่งถือเป็นการยกระดับชิปมือถือให้แข่งขันได้ในตลาดที่เน้น AI และประสิทธิภาพพลังงาน การร่วมมือครั้งนี้ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในตลาดเซมิคอนดักเตอร์ ที่บริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนเริ่มมีบทบาทในโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดใหญ่ ซึ่งอาจทำให้ MediaTek ก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาด AI chips ในอนาคต 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ MediaTek มีบทบาทใน Google TPU v7 Ironwood ➡️ ออกแบบ I/O modules เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสาร ➡️ คาดว่าจะสร้างรายได้กว่า 4 พันล้านดอลลาร์ ✅ สถาปัตยกรรม TPU v7 ที่ล้ำสมัย ➡️ Dual-chiplet design พร้อม TensorCore, VPU, MXU และ SparseCores ➡️ ใช้ HBM 96GB และ interconnect ที่เร็วกว่าเดิม 6 เท่า ✅ ผลต่อ Dimensity 9600 ➡️ ปรับปรุง power gating และ voltage scaling ➡️ clock-gating ที่ดีขึ้นเพื่อยืดอายุแบตเตอรี่ ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ ASIC และ AP มีโครงสร้างต่างกัน ทำให้ไม่สามารถนำประสบการณ์มาใช้ได้ทั้งหมด ⛔ การแข่งขันกับ NVIDIA และ Qualcomm ในตลาด AI chips ยังเข้มข้น ⛔ การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่อาจเพิ่มต้นทุนการผลิตและความเสี่ยงด้านซัพพลายเชน https://wccftech.com/mediateks-work-on-the-google-tpu-v7-to-boost-dimensity-9600s-efficiency/
    WCCFTECH.COM
    MediaTek Dimensity 9600: Google's TPU v7 Partnership Unlocks Next-Gen Efficiency
    MediaTek won't be able to use all of its TPU v7 Ironwood experience on the Dimensity 9600, but can still use the know-how to make a difference.
    0 Comments 0 Shares 3 Views 0 Reviews
  • Non-Binary RAM Kits ทางเลือกใหม่ฝ่าวิกฤติราคา DDR5

    ตลาดหน่วยความจำ DDR5 กำลังเผชิญวิกฤติราคาที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ล่าสุดมีการค้นพบว่า Non-Binary RAM Kits เช่นขนาด 48GB หรือ 96GB อาจเป็นทางออกที่ช่วยให้ผู้บริโภคได้ความจุสูงกว่าในราคาที่ถูกกว่าชุด 32GB หรือ 64GB แบบดั้งเดิม

    รายงานจาก Tom’s Hardware ระบุว่าในช่วงเทศกาลลดราคาล่าสุด มีการเปลี่ยนแปลงจากชุด RAM ขนาดมาตรฐานไปสู่ชุด non-binary ที่ให้ความจุแปลกใหม่ เช่น 48GB และ 96GB โดยบางรุ่นสามารถแข่งขันด้านราคาได้ดีกว่าชุด 32GB แม้จะมีความเร็วที่ต่ำกว่าเล็กน้อย ตัวอย่างเช่น Corsair Vengeance RGB 48GB DDR5-5200 CL38 มีราคาถูกกว่าชุด 32GB DDR5-6000 แม้ความเร็วจะต่ำกว่า แต่ให้ความจุที่มากกว่าในราคาที่ใกล้เคียงกัน

    นอกจากนี้ยังมีตัวเลือกจาก Team Group T-Create Expert 48GB DDR5-6400 CL32 ที่ให้ latency ต่ำกว่าและความเร็วสูงกว่าในราคาที่ใกล้เคียงกับชุด 32GB ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า non-binary kits อาจเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ากว่าในตลาดที่ราคากำลังพุ่งสูง

    นักวิเคราะห์ชี้ว่า non-binary kits ใช้ 24Gb dies ซึ่งได้รับผลกระทบจากต้นทุน DRAM น้อยกว่า 16Gb dies ที่ใช้ใน binary kits ทำให้ราคายังไม่พุ่งแรงเท่ากับชุดมาตรฐาน อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ควรตรวจสอบความเข้ากันได้กับเมนบอร์ดและอาจต้องอัปเดต BIOS เพื่อใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Non-Binary RAM Kits เป็นทางเลือกใหม่
    ขนาด 48GB และ 96GB ให้ความจุสูงกว่าชุดมาตรฐาน
    ราคาบางรุ่นถูกกว่าชุด 32GB หรือ 64GB

    ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ
    Corsair Vengeance RGB 48GB DDR5-5200 CL38 ราคาถูกกว่าชุด 32GB DDR5-6000
    Team Group T-Create Expert 48GB DDR5-6400 CL32 latency ต่ำและราคาคุ้มค่า

    ข้อได้เปรียบเชิงเทคนิค
    ใช้ 24Gb dies ที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุน DRAM น้อยกว่า
    สามารถช่วยลดต้นทุนต่อ GB ในช่วงราคาพุ่งสูง

    ข้อควรระวังในการใช้งาน
    อาจต้องอัปเดต BIOS เพื่อรองรับ non-binary kits
    ความเร็วบางรุ่นต่ำกว่าชุด binary มาตรฐาน
    ความเข้ากันได้กับเมนบอร์ดต้องตรวจสอบก่อนซื้อ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ram/non-binary-ram-kits-might-be-the-secret-to-skirt-surging-ddr5-prices-get-48gb-of-memory-for-less-than-32gb
    💻 Non-Binary RAM Kits ทางเลือกใหม่ฝ่าวิกฤติราคา DDR5 ตลาดหน่วยความจำ DDR5 กำลังเผชิญวิกฤติราคาที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ล่าสุดมีการค้นพบว่า Non-Binary RAM Kits เช่นขนาด 48GB หรือ 96GB อาจเป็นทางออกที่ช่วยให้ผู้บริโภคได้ความจุสูงกว่าในราคาที่ถูกกว่าชุด 32GB หรือ 64GB แบบดั้งเดิม รายงานจาก Tom’s Hardware ระบุว่าในช่วงเทศกาลลดราคาล่าสุด มีการเปลี่ยนแปลงจากชุด RAM ขนาดมาตรฐานไปสู่ชุด non-binary ที่ให้ความจุแปลกใหม่ เช่น 48GB และ 96GB โดยบางรุ่นสามารถแข่งขันด้านราคาได้ดีกว่าชุด 32GB แม้จะมีความเร็วที่ต่ำกว่าเล็กน้อย ตัวอย่างเช่น Corsair Vengeance RGB 48GB DDR5-5200 CL38 มีราคาถูกกว่าชุด 32GB DDR5-6000 แม้ความเร็วจะต่ำกว่า แต่ให้ความจุที่มากกว่าในราคาที่ใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ยังมีตัวเลือกจาก Team Group T-Create Expert 48GB DDR5-6400 CL32 ที่ให้ latency ต่ำกว่าและความเร็วสูงกว่าในราคาที่ใกล้เคียงกับชุด 32GB ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า non-binary kits อาจเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ากว่าในตลาดที่ราคากำลังพุ่งสูง นักวิเคราะห์ชี้ว่า non-binary kits ใช้ 24Gb dies ซึ่งได้รับผลกระทบจากต้นทุน DRAM น้อยกว่า 16Gb dies ที่ใช้ใน binary kits ทำให้ราคายังไม่พุ่งแรงเท่ากับชุดมาตรฐาน อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ควรตรวจสอบความเข้ากันได้กับเมนบอร์ดและอาจต้องอัปเดต BIOS เพื่อใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Non-Binary RAM Kits เป็นทางเลือกใหม่ ➡️ ขนาด 48GB และ 96GB ให้ความจุสูงกว่าชุดมาตรฐาน ➡️ ราคาบางรุ่นถูกกว่าชุด 32GB หรือ 64GB ✅ ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ ➡️ Corsair Vengeance RGB 48GB DDR5-5200 CL38 ราคาถูกกว่าชุด 32GB DDR5-6000 ➡️ Team Group T-Create Expert 48GB DDR5-6400 CL32 latency ต่ำและราคาคุ้มค่า ✅ ข้อได้เปรียบเชิงเทคนิค ➡️ ใช้ 24Gb dies ที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุน DRAM น้อยกว่า ➡️ สามารถช่วยลดต้นทุนต่อ GB ในช่วงราคาพุ่งสูง ‼️ ข้อควรระวังในการใช้งาน ⛔ อาจต้องอัปเดต BIOS เพื่อรองรับ non-binary kits ⛔ ความเร็วบางรุ่นต่ำกว่าชุด binary มาตรฐาน ⛔ ความเข้ากันได้กับเมนบอร์ดต้องตรวจสอบก่อนซื้อ https://www.tomshardware.com/pc-components/ram/non-binary-ram-kits-might-be-the-secret-to-skirt-surging-ddr5-prices-get-48gb-of-memory-for-less-than-32gb
    0 Comments 0 Shares 1 Views 0 Reviews
  • Samsung พัฒนา NAND รุ่นใหม่ ลดพลังงานได้ 96%

    Samsung ได้ตีพิมพ์งานวิจัยในวารสาร Nature เกี่ยวกับสถาปัตยกรรม NAND แบบใหม่ที่ใช้ Ferroelectric Field-Effect Transistor (FeFET) โดยผสมผสานวัสดุ hafnia-based ferroelectric เข้ากับช่องสัญญาณออกไซด์เซมิคอนดักเตอร์ จุดเด่นคือการทำงานที่ near-zero pass voltage ซึ่งช่วยลดพลังงานที่ใช้ในการอ่านและเขียนข้อมูลได้อย่างมหาศาล

    ใน NAND แบบดั้งเดิม การเพิ่มจำนวนเลเยอร์ทำให้ต้องใช้แรงดันไฟฟ้า (Vpass) สูงขึ้นเพื่อป้องกันการรบกวนข้อมูล แต่สถาปัตยกรรมใหม่ของ Samsung สามารถทำงานได้โดยไม่ต้องใช้แรงดันสูง ทำให้ลดภาระของวงจร charge pump และลดการใช้พลังงานรวมได้ถึง 94–96% ในอุปกรณ์ที่มี 286–1024 เลเยอร์

    นักวิจัยได้ทดสอบทั้งในรูปแบบ planar arrays และโครงสร้าง 3D NAND ขนาดเล็ก พบว่าสามารถรองรับการเขียนข้อมูลได้ถึง 5 บิตต่อเซลล์ (PLC-class) แม้ความทนทานยังจำกัดอยู่ที่หลักร้อยถึงพันรอบการเขียน แต่ถือเป็นการพิสูจน์ศักยภาพของเทคโนโลยีนี้สำหรับอนาคต

    แม้ยังไม่มีแผนผลิตเชิงพาณิชย์ในตอนนี้ แต่ Samsung มองว่านี่คือ งานวิจัยพื้นฐาน ที่จะนำไปสู่ NAND รุ่นใหม่ที่ใช้พลังงานต่ำและมีความหนาแน่นสูง เหมาะสำหรับการใช้งานใน AI accelerators, ดาต้าเซ็นเตอร์ และอุปกรณ์ความจุสูง ที่ต้องการประสิทธิภาพและความยั่งยืนด้านพลังงาน

    สรุปประเด็นสำคัญ
    สถาปัตยกรรม NAND แบบใหม่จาก Samsung
    ใช้ Ferroelectric Field-Effect Transistor (FeFET)
    ทำงานที่ near-zero pass voltage ลดพลังงาน

    ประสิทธิภาพที่เหนือกว่า NAND เดิม
    ลดการใช้พลังงานได้ 94–96% ในอุปกรณ์ 286–1024 เลเยอร์
    รองรับการเขียนข้อมูลได้ถึง 5 บิตต่อเซลล์

    การทดสอบและผลลัพธ์
    ทดสอบทั้ง planar arrays และโครงสร้าง 3D NAND
    ความทนทานอยู่ที่หลักร้อยถึงพันรอบการเขียน

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    ความทนทานของเซลล์ยังต่ำเมื่อเทียบกับ NAND เชิงพาณิชย์
    ต้องพัฒนาระบบ program-inhibit และ negative-voltage generation เพิ่มเติม
    พฤติกรรมของช่องสัญญาณออกไซด์ภายใต้ความร้อนสูงยังต้องศึกษาเพิ่มเติม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/samsung-researchers-publish-96percent-lower-power-nand-design-based-on-ferroelectric-transistors
    🔋 Samsung พัฒนา NAND รุ่นใหม่ ลดพลังงานได้ 96% Samsung ได้ตีพิมพ์งานวิจัยในวารสาร Nature เกี่ยวกับสถาปัตยกรรม NAND แบบใหม่ที่ใช้ Ferroelectric Field-Effect Transistor (FeFET) โดยผสมผสานวัสดุ hafnia-based ferroelectric เข้ากับช่องสัญญาณออกไซด์เซมิคอนดักเตอร์ จุดเด่นคือการทำงานที่ near-zero pass voltage ซึ่งช่วยลดพลังงานที่ใช้ในการอ่านและเขียนข้อมูลได้อย่างมหาศาล ใน NAND แบบดั้งเดิม การเพิ่มจำนวนเลเยอร์ทำให้ต้องใช้แรงดันไฟฟ้า (Vpass) สูงขึ้นเพื่อป้องกันการรบกวนข้อมูล แต่สถาปัตยกรรมใหม่ของ Samsung สามารถทำงานได้โดยไม่ต้องใช้แรงดันสูง ทำให้ลดภาระของวงจร charge pump และลดการใช้พลังงานรวมได้ถึง 94–96% ในอุปกรณ์ที่มี 286–1024 เลเยอร์ นักวิจัยได้ทดสอบทั้งในรูปแบบ planar arrays และโครงสร้าง 3D NAND ขนาดเล็ก พบว่าสามารถรองรับการเขียนข้อมูลได้ถึง 5 บิตต่อเซลล์ (PLC-class) แม้ความทนทานยังจำกัดอยู่ที่หลักร้อยถึงพันรอบการเขียน แต่ถือเป็นการพิสูจน์ศักยภาพของเทคโนโลยีนี้สำหรับอนาคต แม้ยังไม่มีแผนผลิตเชิงพาณิชย์ในตอนนี้ แต่ Samsung มองว่านี่คือ งานวิจัยพื้นฐาน ที่จะนำไปสู่ NAND รุ่นใหม่ที่ใช้พลังงานต่ำและมีความหนาแน่นสูง เหมาะสำหรับการใช้งานใน AI accelerators, ดาต้าเซ็นเตอร์ และอุปกรณ์ความจุสูง ที่ต้องการประสิทธิภาพและความยั่งยืนด้านพลังงาน 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ สถาปัตยกรรม NAND แบบใหม่จาก Samsung ➡️ ใช้ Ferroelectric Field-Effect Transistor (FeFET) ➡️ ทำงานที่ near-zero pass voltage ลดพลังงาน ✅ ประสิทธิภาพที่เหนือกว่า NAND เดิม ➡️ ลดการใช้พลังงานได้ 94–96% ในอุปกรณ์ 286–1024 เลเยอร์ ➡️ รองรับการเขียนข้อมูลได้ถึง 5 บิตต่อเซลล์ ✅ การทดสอบและผลลัพธ์ ➡️ ทดสอบทั้ง planar arrays และโครงสร้าง 3D NAND ➡️ ความทนทานอยู่ที่หลักร้อยถึงพันรอบการเขียน ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ ความทนทานของเซลล์ยังต่ำเมื่อเทียบกับ NAND เชิงพาณิชย์ ⛔ ต้องพัฒนาระบบ program-inhibit และ negative-voltage generation เพิ่มเติม ⛔ พฤติกรรมของช่องสัญญาณออกไซด์ภายใต้ความร้อนสูงยังต้องศึกษาเพิ่มเติม https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/samsung-researchers-publish-96percent-lower-power-nand-design-based-on-ferroelectric-transistors
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Samsung touts 96% lower-power NAND design — researchers investigate design based on ferroelectric transistors
    Researchers demonstrate FeFET-based 3D NAND cells with near-zero pass voltage and up to five bits per cell.
    0 Comments 0 Shares 2 Views 0 Reviews
  • วิกฤติราคา RAM/NAND รุนแรงขึ้น – TeamGroup เตือนปี 2026 จะหนักกว่าเดิม

    ตลาดหน่วยความจำกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เนื่องจากผู้ผลิต DRAM และ NAND หันไปทุ่มกำลังผลิตให้กับ HBM (High Bandwidth Memory) ที่ใช้ใน AI accelerators เช่น Nvidia B300 และเซิร์ฟเวอร์ของ AWS, Google, Microsoft ส่งผลให้หน่วยความจำทั่วไปสำหรับ PC และสมาร์ทโฟนขาดแคลนอย่างหนัก

    ข้อมูลล่าสุดเผยว่า ราคาสัญญา DRAM และ NAND เพิ่มขึ้น 80–100% ภายในเดือนเดียว ขณะที่ราคา spot ของชิป DDR5 16Gb พุ่งจาก 6.84 ดอลลาร์ในเดือนกันยายน ไปถึงกว่า 27 ดอลลาร์ในเดือนธันวาคม ทำให้โมดูล RAM 16GB มีต้นทุนสูงถึง 225–228 ดอลลาร์โดยไม่รวมค่าขนส่งและภาษี

    ผู้บริหาร TeamGroup เตือนว่าในปี 2026 เมื่อสต็อกสินค้าหมดไป สถานการณ์จะยิ่งเลวร้าย เพราะแม้ผู้ซื้อจะยอมจ่ายแพงก็อาจไม่สามารถหาสินค้าได้ การสร้างโรงงานใหม่ใช้เวลานานถึง 3 ปี ทำให้การแก้ปัญหานี้อาจต้องรอถึงปี 2027–2028 หรือหลังจากนั้น

    ผลกระทบชัดเจนแล้วในตลาดผู้บริโภค: ราคาหน่วยความจำสำหรับ PC พุ่งสูงจน 64GB DDR5 มีราคามากกว่าเครื่อง PlayStation 5 และผู้ผลิตบางรายเช่น Framework ต้องหยุดขาย RAM แยกเพื่อป้องกันการกักตุนสินค้า สถานการณ์นี้อาจทำให้ราคาสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์พุ่งสูงตามไปด้วย

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ราคาหน่วยความจำพุ่งสูงผิดปกติ
    DRAM และ NAND เพิ่มขึ้น 80–100% ภายในเดือนเดียว
    DDR5 16Gb จาก 6.84 ดอลลาร์ → 27 ดอลลาร์

    สาเหตุหลักคือการเบี่ยงกำลังผลิตไปยัง HBM สำหรับ AI
    Nvidia, AWS, Google, Microsoft จองกำลังผลิตล่วงหน้า
    DRAM และ NAND สำหรับผู้บริโภคถูกลดความสำคัญ

    ผลกระทบต่อผู้บริโภคและตลาด
    RAM 64GB แพงกว่าเครื่อง PS5
    Framework หยุดขาย RAM แยกเพื่อป้องกันการกักตุน

    คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ
    ปี 2026 อาจหาซื้อ RAM/NAND ไม่ได้ แม้ยอมจ่ายแพง
    การสร้างโรงงานใหม่ใช้เวลา 3 ปี ทำให้ราคาจะไม่กลับมาปกติจนถึง 2027–2028
    ราคาสมาร์ทโฟนและ PC อาจพุ่งสูงตามต้นทุนหน่วยความจำ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/the-ram-pricing-crisis-has-only-just-started-team-group-gm-warns-says-problem-will-get-worse-in-2026-as-dram-and-nand-prices-double-in-one-month
    💾 วิกฤติราคา RAM/NAND รุนแรงขึ้น – TeamGroup เตือนปี 2026 จะหนักกว่าเดิม ตลาดหน่วยความจำกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เนื่องจากผู้ผลิต DRAM และ NAND หันไปทุ่มกำลังผลิตให้กับ HBM (High Bandwidth Memory) ที่ใช้ใน AI accelerators เช่น Nvidia B300 และเซิร์ฟเวอร์ของ AWS, Google, Microsoft ส่งผลให้หน่วยความจำทั่วไปสำหรับ PC และสมาร์ทโฟนขาดแคลนอย่างหนัก ข้อมูลล่าสุดเผยว่า ราคาสัญญา DRAM และ NAND เพิ่มขึ้น 80–100% ภายในเดือนเดียว ขณะที่ราคา spot ของชิป DDR5 16Gb พุ่งจาก 6.84 ดอลลาร์ในเดือนกันยายน ไปถึงกว่า 27 ดอลลาร์ในเดือนธันวาคม ทำให้โมดูล RAM 16GB มีต้นทุนสูงถึง 225–228 ดอลลาร์โดยไม่รวมค่าขนส่งและภาษี ผู้บริหาร TeamGroup เตือนว่าในปี 2026 เมื่อสต็อกสินค้าหมดไป สถานการณ์จะยิ่งเลวร้าย เพราะแม้ผู้ซื้อจะยอมจ่ายแพงก็อาจไม่สามารถหาสินค้าได้ การสร้างโรงงานใหม่ใช้เวลานานถึง 3 ปี ทำให้การแก้ปัญหานี้อาจต้องรอถึงปี 2027–2028 หรือหลังจากนั้น ผลกระทบชัดเจนแล้วในตลาดผู้บริโภค: ราคาหน่วยความจำสำหรับ PC พุ่งสูงจน 64GB DDR5 มีราคามากกว่าเครื่อง PlayStation 5 และผู้ผลิตบางรายเช่น Framework ต้องหยุดขาย RAM แยกเพื่อป้องกันการกักตุนสินค้า สถานการณ์นี้อาจทำให้ราคาสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์พุ่งสูงตามไปด้วย 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ราคาหน่วยความจำพุ่งสูงผิดปกติ ➡️ DRAM และ NAND เพิ่มขึ้น 80–100% ภายในเดือนเดียว ➡️ DDR5 16Gb จาก 6.84 ดอลลาร์ → 27 ดอลลาร์ ✅ สาเหตุหลักคือการเบี่ยงกำลังผลิตไปยัง HBM สำหรับ AI ➡️ Nvidia, AWS, Google, Microsoft จองกำลังผลิตล่วงหน้า ➡️ DRAM และ NAND สำหรับผู้บริโภคถูกลดความสำคัญ ✅ ผลกระทบต่อผู้บริโภคและตลาด ➡️ RAM 64GB แพงกว่าเครื่อง PS5 ➡️ Framework หยุดขาย RAM แยกเพื่อป้องกันการกักตุน ‼️ คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ ⛔ ปี 2026 อาจหาซื้อ RAM/NAND ไม่ได้ แม้ยอมจ่ายแพง ⛔ การสร้างโรงงานใหม่ใช้เวลา 3 ปี ทำให้ราคาจะไม่กลับมาปกติจนถึง 2027–2028 ⛔ ราคาสมาร์ทโฟนและ PC อาจพุ่งสูงตามต้นทุนหน่วยความจำ https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/the-ram-pricing-crisis-has-only-just-started-team-group-gm-warns-says-problem-will-get-worse-in-2026-as-dram-and-nand-prices-double-in-one-month
    0 Comments 0 Shares 2 Views 0 Reviews
  • Bambu Lab และ Prusa เปิดตัวเครื่องพิมพ์ 3D รุ่นใหม่ที่ Formnext 2025

    ที่งาน Formnext 2025 ในแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี สองผู้ผลิตเครื่องพิมพ์ 3D ชั้นนำอย่าง Bambu Lab และ Prusa Research ได้เปิดตัวเครื่องพิมพ์รุ่นใหม่ที่สร้างความตื่นเต้นให้กับวงการ โดย Bambu Lab เปิดตัว H2C dual-nozzle printer ที่ใช้หัวฉีดแบบ Vortek nozzle swapper ซึ่งช่วยแก้ปัญหา “printer poop” หรือเศษวัสดุที่เกิดจากการเปลี่ยนสี/วัสดุในการพิมพ์

    เครื่อง H2C สามารถสลับหัวฉีดได้อัตโนมัติจากชุดหัวฉีดไร้สายที่ถูกทำความร้อนด้วย induction heater ทำให้รองรับการพิมพ์ได้สูงสุด 7 สี โดยไม่ต้องสร้างเศษวัสดุจำนวนมากเหมือนรุ่นก่อนหน้า นอกจากนี้ยังมีระบบเก็บข้อมูลวัสดุในแต่ละหัวฉีดเพื่อป้องกันการอุดตันและเพิ่มความแม่นยำในการพิมพ์

    ด้าน Prusa Research ได้เปิดตัว CORE One INDX tool changer ที่สามารถติดตั้งหัวฉีดได้ตั้งแต่ 4–8 หัว โดยใช้ระบบเปลี่ยนเครื่องมือแบบรวดเร็ว ทำให้การพิมพ์หลายวัสดุหรือหลายสีมีประสิทธิภาพมากขึ้น รุ่นนี้เปิดตัวในรูปแบบ Founders Edition kits ซึ่งขายหมดทันทีหลังเปิดตัว แสดงถึงความต้องการสูงในตลาด

    นอกจากสองแบรนด์ใหญ่ ยังมีผู้ผลิตรายอื่น เช่น Snapmaker, Anycubic, Creality และ Elegoo ที่นำเสนอเครื่องพิมพ์ 3D รุ่นใหม่ที่เน้นการพิมพ์หลายสีและการลดของเสีย รวมถึงการพัฒนาเครื่องพิมพ์เรซินสีเต็มรูปแบบ ซึ่งอาจเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตลาดเครื่องพิมพ์ 3D ระดับผู้ใช้ทั่วไป

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Bambu Lab เปิดตัว H2C dual-nozzle printer
    ใช้หัวฉีด Vortek nozzle swapper ลดปัญหา “printer poop”
    รองรับการพิมพ์สูงสุด 7 สีด้วยระบบหัวฉีดไร้สาย

    Prusa Research เปิดตัว CORE One INDX tool changer
    รองรับหัวฉีด 4–8 หัว เปลี่ยนเครื่องมือได้รวดเร็ว
    รุ่น Founders Edition kits ขายหมดทันทีหลังเปิดตัว

    ผู้ผลิตรายอื่นร่วมโชว์นวัตกรรม
    Snapmaker U1 ระดมทุนได้กว่า 20 ล้านดอลลาร์
    Creality Ender 3 v4 เน้นผู้เริ่มต้น ใช้งานง่ายและสีสันสดใส
    Elegoo Centauri Carbon 2 รองรับการพิมพ์หลายสีด้วยระบบ CANVAS

    ข้อควรระวังและความท้าทาย
    ระบบหัวฉีดหลายสีอาจเพิ่มความซับซ้อนในการบำรุงรักษา
    ราคาของเครื่องพิมพ์หลายสีและหลายหัวฉีดอาจสูงกว่ารุ่นทั่วไป
    การพิมพ์หลายวัสดุพร้อมกันยังต้องการการปรับแต่งและทดสอบเพื่อให้ได้คุณภาพที่เสถียร

    https://www.tomshardware.com/3d-printing/bambu-lab-and-prusa-show-off-new-3d-printers-at-formnext-h2c-dual-nozzle-uses-vortek-nozzle-to-eliminate-3d-printer-poop
    🖨️ Bambu Lab และ Prusa เปิดตัวเครื่องพิมพ์ 3D รุ่นใหม่ที่ Formnext 2025 ที่งาน Formnext 2025 ในแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี สองผู้ผลิตเครื่องพิมพ์ 3D ชั้นนำอย่าง Bambu Lab และ Prusa Research ได้เปิดตัวเครื่องพิมพ์รุ่นใหม่ที่สร้างความตื่นเต้นให้กับวงการ โดย Bambu Lab เปิดตัว H2C dual-nozzle printer ที่ใช้หัวฉีดแบบ Vortek nozzle swapper ซึ่งช่วยแก้ปัญหา “printer poop” หรือเศษวัสดุที่เกิดจากการเปลี่ยนสี/วัสดุในการพิมพ์ เครื่อง H2C สามารถสลับหัวฉีดได้อัตโนมัติจากชุดหัวฉีดไร้สายที่ถูกทำความร้อนด้วย induction heater ทำให้รองรับการพิมพ์ได้สูงสุด 7 สี โดยไม่ต้องสร้างเศษวัสดุจำนวนมากเหมือนรุ่นก่อนหน้า นอกจากนี้ยังมีระบบเก็บข้อมูลวัสดุในแต่ละหัวฉีดเพื่อป้องกันการอุดตันและเพิ่มความแม่นยำในการพิมพ์ ด้าน Prusa Research ได้เปิดตัว CORE One INDX tool changer ที่สามารถติดตั้งหัวฉีดได้ตั้งแต่ 4–8 หัว โดยใช้ระบบเปลี่ยนเครื่องมือแบบรวดเร็ว ทำให้การพิมพ์หลายวัสดุหรือหลายสีมีประสิทธิภาพมากขึ้น รุ่นนี้เปิดตัวในรูปแบบ Founders Edition kits ซึ่งขายหมดทันทีหลังเปิดตัว แสดงถึงความต้องการสูงในตลาด นอกจากสองแบรนด์ใหญ่ ยังมีผู้ผลิตรายอื่น เช่น Snapmaker, Anycubic, Creality และ Elegoo ที่นำเสนอเครื่องพิมพ์ 3D รุ่นใหม่ที่เน้นการพิมพ์หลายสีและการลดของเสีย รวมถึงการพัฒนาเครื่องพิมพ์เรซินสีเต็มรูปแบบ ซึ่งอาจเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตลาดเครื่องพิมพ์ 3D ระดับผู้ใช้ทั่วไป 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Bambu Lab เปิดตัว H2C dual-nozzle printer ➡️ ใช้หัวฉีด Vortek nozzle swapper ลดปัญหา “printer poop” ➡️ รองรับการพิมพ์สูงสุด 7 สีด้วยระบบหัวฉีดไร้สาย ✅ Prusa Research เปิดตัว CORE One INDX tool changer ➡️ รองรับหัวฉีด 4–8 หัว เปลี่ยนเครื่องมือได้รวดเร็ว ➡️ รุ่น Founders Edition kits ขายหมดทันทีหลังเปิดตัว ✅ ผู้ผลิตรายอื่นร่วมโชว์นวัตกรรม ➡️ Snapmaker U1 ระดมทุนได้กว่า 20 ล้านดอลลาร์ ➡️ Creality Ender 3 v4 เน้นผู้เริ่มต้น ใช้งานง่ายและสีสันสดใส ➡️ Elegoo Centauri Carbon 2 รองรับการพิมพ์หลายสีด้วยระบบ CANVAS ‼️ ข้อควรระวังและความท้าทาย ⛔ ระบบหัวฉีดหลายสีอาจเพิ่มความซับซ้อนในการบำรุงรักษา ⛔ ราคาของเครื่องพิมพ์หลายสีและหลายหัวฉีดอาจสูงกว่ารุ่นทั่วไป ⛔ การพิมพ์หลายวัสดุพร้อมกันยังต้องการการปรับแต่งและทดสอบเพื่อให้ได้คุณภาพที่เสถียร https://www.tomshardware.com/3d-printing/bambu-lab-and-prusa-show-off-new-3d-printers-at-formnext-h2c-dual-nozzle-uses-vortek-nozzle-to-eliminate-3d-printer-poop
    0 Comments 0 Shares 2 Views 0 Reviews
  • 🖧 TSMC เปิดตัวโซลูชัน Optical Connectivity สำหรับชิป AI รุ่นใหม่

    ที่งาน TSMC European OIP Forum ล่าสุด บริษัท Alchip และ Ayar Labs ได้ร่วมกันสาธิตโซลูชันเชื่อมต่อแบบ Optical I/O ที่สร้างบนแพลตฟอร์ม COUPE (Compact Universal Photonic Engine) ของ TSMC ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการประมวลผล AI รุ่นใหม่ โซลูชันนี้สามารถส่งข้อมูลได้สูงสุดถึง 100 Tb/s ต่อหนึ่งตัวเร่งความเร็ว (accelerator) และรองรับการเชื่อมต่อกับชิปอื่น ๆ ผ่านมาตรฐาน UCIe interface

    สิ่งที่น่าสนใจคือ โซลูชันนี้ช่วยให้บริษัทขนาดเล็กที่ไม่มีทรัพยากรในการพัฒนา subsystem ด้าน optical เอง สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีระดับสูงได้ โดยใช้โมดูลที่พร้อมใช้งานจาก Alchip และ Ayar Labs ทำให้ลดต้นทุนการลงทุนหลายสิบล้านดอลลาร์ และยังสามารถขยายระบบได้ในระดับ rack-scale หรือ multi-rack-scale เพื่อเชื่อมต่อชิปจำนวนมหาศาลให้ทำงานเหมือนเป็นโปรเซสเซอร์เดียว

    ในเชิงเทคนิค โซลูชันนี้ประกอบด้วย สาม chiplets ได้แก่ ตัว protocol converter ของ Alchip, ตัว EIC (electrical interface die) และตัว PIC (photonic integrated circuit) ของ Ayar Labs ที่ใช้สถาปัตยกรรม microring พร้อมตัวเชื่อมต่อไฟเบอร์แบบถอดได้ รองรับทั้ง PAM4 CWDM และ DWDM ซึ่งให้ latency ต่ำและอัตราความผิดพลาดของข้อมูล (BER) ที่ดีมาก

    นอกจากการเชื่อมต่อระหว่างชิปแล้ว ทีมพัฒนายังมองว่าโซลูชันนี้สามารถนำไปใช้เป็น memory extender ได้ด้วย โดย reference design ที่นำเสนอมีการรวม accelerator dies, HBM stacks และ optical engines บน substrate เดียว ทำให้เกิดการเชื่อมต่อที่มีประสิทธิภาพสูงและใช้พลังงานต่ำ ซึ่งอาจเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนา AI accelerators ในอนาคต

    สรุปประเด็นสำคัญ
    โซลูชัน Optical I/O จาก TSMC, Alchip และ Ayar Labs
    รองรับ bandwidth สูงสุด 100 Tb/s ต่อ accelerator
    ใช้มาตรฐาน UCIe interface เชื่อมต่อกับชิปอื่น ๆ

    ช่วยให้บริษัทขนาดเล็กเข้าถึงเทคโนโลยี optical connectivity ได้ง่ายขึ้น
    ลดต้นทุนการลงทุน subsystem optical หลายสิบล้านดอลลาร์
    สามารถขยายระบบได้ทั้ง rack-scale และ multi-rack-scale

    โครงสร้างสาม chiplets ที่ทำงานร่วมกัน
    Protocol converter รองรับ UCIe และ proprietary protocols
    PIC ของ Ayar Labs ใช้ microring architecture พร้อม fiber connector

    การใช้งานที่หลากหลาย
    เชื่อมต่อ XPU-to-XPU, XPU-to-switch และ switch-to-switch
    สามารถใช้เป็น memory extender ได้

    ความท้าทายและข้อควรระวัง
    การผลิตและบูรณาการ subsystem optical ต้องการความแม่นยำสูง
    หาก latency หรือ BER ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน อาจกระทบต่อประสิทธิภาพ AI accelerators
    การขยายระบบในระดับ multi-rack-scale อาจเพิ่มความซับซ้อนในการจัดการพลังงานและความเสถียร

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/industrys-first-tsmc-coupe-based-optical-connectivity-solution-for-next-gen-ai-chips-displayed-alchip-and-ayar-labs-show-future-silicon-photonics-device
    🖧 TSMC เปิดตัวโซลูชัน Optical Connectivity สำหรับชิป AI รุ่นใหม่ ที่งาน TSMC European OIP Forum ล่าสุด บริษัท Alchip และ Ayar Labs ได้ร่วมกันสาธิตโซลูชันเชื่อมต่อแบบ Optical I/O ที่สร้างบนแพลตฟอร์ม COUPE (Compact Universal Photonic Engine) ของ TSMC ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการประมวลผล AI รุ่นใหม่ โซลูชันนี้สามารถส่งข้อมูลได้สูงสุดถึง 100 Tb/s ต่อหนึ่งตัวเร่งความเร็ว (accelerator) และรองรับการเชื่อมต่อกับชิปอื่น ๆ ผ่านมาตรฐาน UCIe interface สิ่งที่น่าสนใจคือ โซลูชันนี้ช่วยให้บริษัทขนาดเล็กที่ไม่มีทรัพยากรในการพัฒนา subsystem ด้าน optical เอง สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีระดับสูงได้ โดยใช้โมดูลที่พร้อมใช้งานจาก Alchip และ Ayar Labs ทำให้ลดต้นทุนการลงทุนหลายสิบล้านดอลลาร์ และยังสามารถขยายระบบได้ในระดับ rack-scale หรือ multi-rack-scale เพื่อเชื่อมต่อชิปจำนวนมหาศาลให้ทำงานเหมือนเป็นโปรเซสเซอร์เดียว ในเชิงเทคนิค โซลูชันนี้ประกอบด้วย สาม chiplets ได้แก่ ตัว protocol converter ของ Alchip, ตัว EIC (electrical interface die) และตัว PIC (photonic integrated circuit) ของ Ayar Labs ที่ใช้สถาปัตยกรรม microring พร้อมตัวเชื่อมต่อไฟเบอร์แบบถอดได้ รองรับทั้ง PAM4 CWDM และ DWDM ซึ่งให้ latency ต่ำและอัตราความผิดพลาดของข้อมูล (BER) ที่ดีมาก นอกจากการเชื่อมต่อระหว่างชิปแล้ว ทีมพัฒนายังมองว่าโซลูชันนี้สามารถนำไปใช้เป็น memory extender ได้ด้วย โดย reference design ที่นำเสนอมีการรวม accelerator dies, HBM stacks และ optical engines บน substrate เดียว ทำให้เกิดการเชื่อมต่อที่มีประสิทธิภาพสูงและใช้พลังงานต่ำ ซึ่งอาจเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนา AI accelerators ในอนาคต 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ โซลูชัน Optical I/O จาก TSMC, Alchip และ Ayar Labs ➡️ รองรับ bandwidth สูงสุด 100 Tb/s ต่อ accelerator ➡️ ใช้มาตรฐาน UCIe interface เชื่อมต่อกับชิปอื่น ๆ ✅ ช่วยให้บริษัทขนาดเล็กเข้าถึงเทคโนโลยี optical connectivity ได้ง่ายขึ้น ➡️ ลดต้นทุนการลงทุน subsystem optical หลายสิบล้านดอลลาร์ ➡️ สามารถขยายระบบได้ทั้ง rack-scale และ multi-rack-scale ✅ โครงสร้างสาม chiplets ที่ทำงานร่วมกัน ➡️ Protocol converter รองรับ UCIe และ proprietary protocols ➡️ PIC ของ Ayar Labs ใช้ microring architecture พร้อม fiber connector ✅ การใช้งานที่หลากหลาย ➡️ เชื่อมต่อ XPU-to-XPU, XPU-to-switch และ switch-to-switch ➡️ สามารถใช้เป็น memory extender ได้ ‼️ ความท้าทายและข้อควรระวัง ⛔ การผลิตและบูรณาการ subsystem optical ต้องการความแม่นยำสูง ⛔ หาก latency หรือ BER ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน อาจกระทบต่อประสิทธิภาพ AI accelerators ⛔ การขยายระบบในระดับ multi-rack-scale อาจเพิ่มความซับซ้อนในการจัดการพลังงานและความเสถียร https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/industrys-first-tsmc-coupe-based-optical-connectivity-solution-for-next-gen-ai-chips-displayed-alchip-and-ayar-labs-show-future-silicon-photonics-device
    0 Comments 0 Shares 3 Views 0 Reviews
  • รัฐบาลออสเตรเลียประกาศ National AI Plan เพื่อเร่งการลงทุนและการใช้ AI

    รัฐบาลกลางออสเตรเลียเผยแพร่ National AI Plan โดยมีเป้าหมายเพื่อดึงดูดการลงทุนในดาต้าเซ็นเตอร์ขั้นสูง สร้างทักษะด้าน AI ให้แรงงาน และรักษาความปลอดภัยสาธารณะเมื่อ AI ถูกนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน แนวทางนี้จะอาศัยกฎหมายและกรอบการกำกับดูแลที่มีอยู่แล้ว แทนที่จะออกกฎหมายใหม่ที่เข้มงวด

    การกำกับดูแลและความปลอดภัย
    รัฐบาลระบุว่า หน่วยงานและผู้กำกับดูแลในแต่ละภาคส่วนจะยังคงมีหน้าที่จัดการความเสี่ยงจาก AI โดยใช้กฎหมายที่มีอยู่ เช่น กฎหมายความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย ขณะเดียวกันจะจัดตั้ง AI Safety Institute ในปี 2026 เพื่อช่วยตรวจสอบและตอบสนองต่อภัยคุกคามใหม่ ๆ ที่เกิดจาก AI

    ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ
    แม้แผนนี้ถูกมองว่าเป็นการสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและความเสี่ยง แต่ผู้เชี่ยวชาญบางราย เช่น Associate Professor Niusha Shafiabady จาก Australian Catholic University เตือนว่าแผนดังกล่าวยังมี “ช่องว่างสำคัญ” เช่น ความรับผิดชอบ ความยั่งยืน และการกำกับดูแลเชิงประชาธิปไตย หากไม่แก้ไข ออสเตรเลียอาจสร้างเศรษฐกิจ AI ที่มีประสิทธิภาพแต่ไม่เป็นธรรม

    ความหมายต่ออนาคต
    การเลือกใช้กฎหมายที่มีอยู่สะท้อนถึงแนวทางที่แตกต่างจากยุโรปซึ่งออกกฎหมาย AI Act โดยตรง หากออสเตรเลียสามารถสร้างสมดุลได้สำเร็จ อาจกลายเป็นโมเดลที่ประเทศอื่นนำไปปรับใช้ แต่หากละเลยประเด็นความรับผิดชอบและความโปร่งใส ก็อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน

    สรุปเป็นหัวข้อ
    เนื้อหาหลักของ National AI Plan
    ดึงดูดการลงทุนในดาต้าเซ็นเตอร์ขั้นสูง
    สร้างทักษะด้าน AI ให้แรงงาน
    ใช้กฎหมายที่มีอยู่แทนการออกกฎใหม่

    การกำกับดูแลและความปลอดภัย
    หน่วยงานกำกับดูแลยังคงรับผิดชอบความเสี่ยง AI
    ตั้ง AI Safety Institute ในปี 2026

    ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ
    เตือนว่ามีช่องว่างด้านความรับผิดชอบและความยั่งยืน
    เสี่ยงต่อการสร้างเศรษฐกิจ AI ที่ไม่เป็นธรรม

    ความหมายต่ออนาคต
    แนวทางต่างจากยุโรปที่ใช้ AI Act
    อาจเป็นโมเดลให้ประเทศอื่นปรับใช้

    คำเตือนที่ควรระวัง
    หากไม่แก้ไขช่องว่าง อาจกระทบความเชื่อมั่นประชาชน
    การพึ่งกฎหมายเดิมอาจไม่ทันต่อความเสี่ยงใหม่จาก AI
    ความไม่ชัดเจนด้านความรับผิดชอบอาจทำให้เกิดปัญหาทางสังคมและเศรษฐกิจ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/02/australia-rolls-out-ai-roadmap-steps-back-from-tougher-rules
    🏙️ รัฐบาลออสเตรเลียประกาศ National AI Plan เพื่อเร่งการลงทุนและการใช้ AI รัฐบาลกลางออสเตรเลียเผยแพร่ National AI Plan โดยมีเป้าหมายเพื่อดึงดูดการลงทุนในดาต้าเซ็นเตอร์ขั้นสูง สร้างทักษะด้าน AI ให้แรงงาน และรักษาความปลอดภัยสาธารณะเมื่อ AI ถูกนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน แนวทางนี้จะอาศัยกฎหมายและกรอบการกำกับดูแลที่มีอยู่แล้ว แทนที่จะออกกฎหมายใหม่ที่เข้มงวด 🛡️ การกำกับดูแลและความปลอดภัย รัฐบาลระบุว่า หน่วยงานและผู้กำกับดูแลในแต่ละภาคส่วนจะยังคงมีหน้าที่จัดการความเสี่ยงจาก AI โดยใช้กฎหมายที่มีอยู่ เช่น กฎหมายความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย ขณะเดียวกันจะจัดตั้ง AI Safety Institute ในปี 2026 เพื่อช่วยตรวจสอบและตอบสนองต่อภัยคุกคามใหม่ ๆ ที่เกิดจาก AI 🎓 ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ แม้แผนนี้ถูกมองว่าเป็นการสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและความเสี่ยง แต่ผู้เชี่ยวชาญบางราย เช่น Associate Professor Niusha Shafiabady จาก Australian Catholic University เตือนว่าแผนดังกล่าวยังมี “ช่องว่างสำคัญ” เช่น ความรับผิดชอบ ความยั่งยืน และการกำกับดูแลเชิงประชาธิปไตย หากไม่แก้ไข ออสเตรเลียอาจสร้างเศรษฐกิจ AI ที่มีประสิทธิภาพแต่ไม่เป็นธรรม 🔮 ความหมายต่ออนาคต การเลือกใช้กฎหมายที่มีอยู่สะท้อนถึงแนวทางที่แตกต่างจากยุโรปซึ่งออกกฎหมาย AI Act โดยตรง หากออสเตรเลียสามารถสร้างสมดุลได้สำเร็จ อาจกลายเป็นโมเดลที่ประเทศอื่นนำไปปรับใช้ แต่หากละเลยประเด็นความรับผิดชอบและความโปร่งใส ก็อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ เนื้อหาหลักของ National AI Plan ➡️ ดึงดูดการลงทุนในดาต้าเซ็นเตอร์ขั้นสูง ➡️ สร้างทักษะด้าน AI ให้แรงงาน ➡️ ใช้กฎหมายที่มีอยู่แทนการออกกฎใหม่ ✅ การกำกับดูแลและความปลอดภัย ➡️ หน่วยงานกำกับดูแลยังคงรับผิดชอบความเสี่ยง AI ➡️ ตั้ง AI Safety Institute ในปี 2026 ✅ ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ เตือนว่ามีช่องว่างด้านความรับผิดชอบและความยั่งยืน ➡️ เสี่ยงต่อการสร้างเศรษฐกิจ AI ที่ไม่เป็นธรรม ✅ ความหมายต่ออนาคต ➡️ แนวทางต่างจากยุโรปที่ใช้ AI Act ➡️ อาจเป็นโมเดลให้ประเทศอื่นปรับใช้ ‼️ คำเตือนที่ควรระวัง ⛔ หากไม่แก้ไขช่องว่าง อาจกระทบความเชื่อมั่นประชาชน ⛔ การพึ่งกฎหมายเดิมอาจไม่ทันต่อความเสี่ยงใหม่จาก AI ⛔ ความไม่ชัดเจนด้านความรับผิดชอบอาจทำให้เกิดปัญหาทางสังคมและเศรษฐกิจ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/02/australia-rolls-out-ai-roadmap-steps-back-from-tougher-rules
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Australia rolls out AI roadmap, steps back from tougher rules
    SYDNEY, Dec 2 (Reuters) - Australia on Tuesday unveiled a roadmap to ramp up the adoption of artificial intelligence across its economy but said it would rely on existing laws to manage emerging risks, stepping back from earlier plans for tougher rules on high-risk scenarios.
    0 Comments 0 Shares 5 Views 0 Reviews
  • Apple ประกาศแต่งตั้ง Amar Subramanya เป็นรองประธานฝ่าย AI คนใหม่

    Apple ซึ่งถูกมองว่าเป็น “ผู้ตาม” ในการแข่งขันด้าน AI ได้ตัดสินใจเปลี่ยนผู้นำ โดยแต่งตั้ง Amar Subramanya เข้ามารับตำแหน่ง VP of AI แทน John Giannandrea ที่จะเกษียณในปีหน้า การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงความพยายามของ Apple ในการเร่งพัฒนา AI หลังจากถูกวิจารณ์ว่าล่าช้ากว่าคู่แข่งอย่าง Samsung และ Google

    ประวัติของ Amar Subramanya
    ก่อนเข้าร่วม Apple เขาเคยทำงานที่ Microsoft ในตำแหน่ง Corporate VP of AI และใช้เวลากว่า 16 ปีที่ Google โดยมีบทบาทสำคัญในฐานะหัวหน้าวิศวกรรมของ Gemini Assistant ประสบการณ์ที่ลึกซึ้งทั้งด้านวิจัยและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ AI ทำให้เขาเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในการนำ Apple เข้าสู่ยุคใหม่ของ AI

    Siri และความท้าทาย
    Apple เคยประกาศว่า การปรับปรุง Siri ด้วย AI จะล่าช้าไปจนถึงปี 2026 ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญญาณว่าบริษัทกำลังเผชิญความท้าทายในการบูรณาการ AI เข้ากับผลิตภัณฑ์หลัก การแต่งตั้ง Subramanya จึงถูกมองว่าเป็นการแก้เกมเพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของผู้ใช้และนักลงทุน

    ความหมายต่ออนาคต Apple
    การเปลี่ยนผู้นำครั้งนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเร่งพัฒนา AI ภายใน Apple หาก Subramanya สามารถผลักดัน Foundation Models และ ML research ได้สำเร็จ Apple อาจกลับมาเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาด AI ที่กำลังแข่งขันอย่างดุเดือด

    สรุปเป็นหัวข้อ
    การเปลี่ยนแปลงในทีม AI
    Amar Subramanya ขึ้นแทน John Giannandrea
    ดูแล Foundation Models และ ML research

    ประวัติของ Subramanya
    อดีต Corporate VP of AI ที่ Microsoft
    16 ปีที่ Google เป็นหัวหน้าวิศวกรรม Gemini Assistant

    ความท้าทายของ Apple
    Siri ปรับปรุงด้วย AI ล่าช้าถึงปี 2026
    ถูกวิจารณ์ว่าตามหลังคู่แข่งในตลาด AI

    ความหมายต่ออนาคต
    อาจฟื้นความเชื่อมั่นผู้ใช้และนักลงทุน
    เพิ่มโอกาสให้ Apple กลับมาเป็นผู้นำด้าน AI

    คำเตือนที่ควรระวัง
    หากการพัฒนา Foundation Models ไม่สำเร็จ Apple อาจเสียโอกาสในตลาด
    ความล่าช้าในการปรับปรุง Siri อาจกระทบภาพลักษณ์แบรนด์
    การแข่งขันจาก Samsung และ Google ยังคงกดดันอย่างหนัก

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/02/apple-names-amar-subramanya-new-vp-of-ai-replacing-john-giannandrea
    🍎 Apple ประกาศแต่งตั้ง Amar Subramanya เป็นรองประธานฝ่าย AI คนใหม่ Apple ซึ่งถูกมองว่าเป็น “ผู้ตาม” ในการแข่งขันด้าน AI ได้ตัดสินใจเปลี่ยนผู้นำ โดยแต่งตั้ง Amar Subramanya เข้ามารับตำแหน่ง VP of AI แทน John Giannandrea ที่จะเกษียณในปีหน้า การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงความพยายามของ Apple ในการเร่งพัฒนา AI หลังจากถูกวิจารณ์ว่าล่าช้ากว่าคู่แข่งอย่าง Samsung และ Google 👨‍💼 ประวัติของ Amar Subramanya ก่อนเข้าร่วม Apple เขาเคยทำงานที่ Microsoft ในตำแหน่ง Corporate VP of AI และใช้เวลากว่า 16 ปีที่ Google โดยมีบทบาทสำคัญในฐานะหัวหน้าวิศวกรรมของ Gemini Assistant ประสบการณ์ที่ลึกซึ้งทั้งด้านวิจัยและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ AI ทำให้เขาเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมในการนำ Apple เข้าสู่ยุคใหม่ของ AI 🗣️ Siri และความท้าทาย Apple เคยประกาศว่า การปรับปรุง Siri ด้วย AI จะล่าช้าไปจนถึงปี 2026 ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญญาณว่าบริษัทกำลังเผชิญความท้าทายในการบูรณาการ AI เข้ากับผลิตภัณฑ์หลัก การแต่งตั้ง Subramanya จึงถูกมองว่าเป็นการแก้เกมเพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของผู้ใช้และนักลงทุน 🔮 ความหมายต่ออนาคต Apple การเปลี่ยนผู้นำครั้งนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเร่งพัฒนา AI ภายใน Apple หาก Subramanya สามารถผลักดัน Foundation Models และ ML research ได้สำเร็จ Apple อาจกลับมาเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาด AI ที่กำลังแข่งขันอย่างดุเดือด 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ การเปลี่ยนแปลงในทีม AI ➡️ Amar Subramanya ขึ้นแทน John Giannandrea ➡️ ดูแล Foundation Models และ ML research ✅ ประวัติของ Subramanya ➡️ อดีต Corporate VP of AI ที่ Microsoft ➡️ 16 ปีที่ Google เป็นหัวหน้าวิศวกรรม Gemini Assistant ✅ ความท้าทายของ Apple ➡️ Siri ปรับปรุงด้วย AI ล่าช้าถึงปี 2026 ➡️ ถูกวิจารณ์ว่าตามหลังคู่แข่งในตลาด AI ✅ ความหมายต่ออนาคต ➡️ อาจฟื้นความเชื่อมั่นผู้ใช้และนักลงทุน ➡️ เพิ่มโอกาสให้ Apple กลับมาเป็นผู้นำด้าน AI ‼️ คำเตือนที่ควรระวัง ⛔ หากการพัฒนา Foundation Models ไม่สำเร็จ Apple อาจเสียโอกาสในตลาด ⛔ ความล่าช้าในการปรับปรุง Siri อาจกระทบภาพลักษณ์แบรนด์ ⛔ การแข่งขันจาก Samsung และ Google ยังคงกดดันอย่างหนัก https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/02/apple-names-amar-subramanya-new-vp-of-ai-replacing-john-giannandrea
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Apple names Amar Subramanya new VP of AI, replacing John Giannandrea
    Dec 1 (Reuters) - Apple on Monday named veteran researcher Amar Subramanya as its vice president of AI, replacing John Giannandrea.
    0 Comments 0 Shares 3 Views 0 Reviews
  • เครื่องมือที่สามารถลดความขัดแย้งบน X

    นักวิจัยจาก Stanford University พัฒนาเครื่องมือที่สามารถลดความเป็นปฏิปักษ์ทางการเมืองบนแพลตฟอร์ม X (เดิม Twitter) โดยการปรับลำดับโพสต์ในฟีด แทนที่จะบล็อกเนื้อหาออกไป

    วิธีการลดความขัดแย้ง
    งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science ชี้ว่า การปรับลำดับโพสต์ในฟีดให้สมดุลมากขึ้น สามารถลดการเห็นเนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์รุนแรงได้ โดยไม่จำเป็นต้องลบหรือบล็อกโพสต์ออกไป วิธีนี้ช่วยให้ผู้ใช้ยังคงเข้าถึงข้อมูลที่หลากหลาย แต่ในรูปแบบที่ไม่ทำให้เกิดการแบ่งขั้วรุนแรง

    ความหมายต่อสังคมประชาธิปไตย
    นักวิจัยเชื่อว่าการออกแบบอัลกอริทึมใหม่สามารถช่วยสร้าง “ความไว้วางใจทางสังคม” และส่งเสริมการสนทนาที่มีสุขภาพดีขึ้นในโลกออนไลน์ หากนำไปใช้จริง อาจช่วยลดความตึงเครียดทางการเมืองและสร้างพื้นที่ที่ผู้ใช้ต่างฝ่ายสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นโดยไม่รู้สึกถูกโจมตี

    การควบคุมโดยผู้ใช้
    แนวคิดสำคัญคือการให้ผู้ใช้สามารถควบคุมอัลกอริทึมของตนเองได้ ไม่ใช่ปล่อยให้แพลตฟอร์มกำหนดเพียงฝ่ายเดียว หากผู้ใช้สามารถเลือกว่าจะให้ฟีดของตนเน้นความหลากหลายหรือความสมดุลมากขึ้น ก็จะช่วยสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นต่อแพลตฟอร์ม

    อนาคตของแพลตฟอร์มโซเชียล
    แม้ยังอยู่ในขั้นทดลอง แต่หากแพลตฟอร์มใหญ่ ๆ นำแนวคิดนี้ไปใช้ อาจเปลี่ยนวิธีที่ผู้คนเสพข่าวและข้อมูลบนโลกออนไลน์อย่างสิ้นเชิง จากการเสริมแรงความเชื่อเดิม ไปสู่การเปิดพื้นที่สนทนาที่กว้างและลดการแบ่งขั้ว

    สรุปเป็นหัวข้อ
    วิธีการที่นักวิจัยใช้
    ปรับลำดับโพสต์แทนการบล็อกเนื้อหา
    ลดการเห็นเนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์รุนแรง

    ผลต่อสังคมประชาธิปไตย
    สร้างความไว้วางใจทางสังคม
    ส่งเสริมการสนทนาที่มีสุขภาพดีขึ้น

    การควบคุมโดยผู้ใช้
    ผู้ใช้สามารถเลือกปรับอัลกอริทึมเอง
    เพิ่มความโปร่งใสและความเชื่อมั่นต่อแพลตฟอร์ม

    อนาคตของแพลตฟอร์มโซเชียล
    อาจเปลี่ยนวิธีการเสพข่าวและข้อมูล
    ลดการแบ่งขั้วและเปิดพื้นที่สนทนา

    คำเตือนที่ควรระวัง
    หากปรับอัลกอริทึมผิดพลาด อาจทำให้ข้อมูลสำคัญถูกลดทอน
    การให้ผู้ใช้ควบคุมเองอาจสร้างความซับซ้อนและความไม่เข้าใจ
    หากแพลตฟอร์มไม่โปร่งใสจริง อาจทำให้ผู้ใช้สูญเสียความเชื่อมั่น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/01/researchers-tone-down-polarisation-on-x-with-tweaks-to-algorithm
    🤝 เครื่องมือที่สามารถลดความขัดแย้งบน X นักวิจัยจาก Stanford University พัฒนาเครื่องมือที่สามารถลดความเป็นปฏิปักษ์ทางการเมืองบนแพลตฟอร์ม X (เดิม Twitter) โดยการปรับลำดับโพสต์ในฟีด แทนที่จะบล็อกเนื้อหาออกไป 🧩 วิธีการลดความขัดแย้ง งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science ชี้ว่า การปรับลำดับโพสต์ในฟีดให้สมดุลมากขึ้น สามารถลดการเห็นเนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์รุนแรงได้ โดยไม่จำเป็นต้องลบหรือบล็อกโพสต์ออกไป วิธีนี้ช่วยให้ผู้ใช้ยังคงเข้าถึงข้อมูลที่หลากหลาย แต่ในรูปแบบที่ไม่ทำให้เกิดการแบ่งขั้วรุนแรง 🌍 ความหมายต่อสังคมประชาธิปไตย นักวิจัยเชื่อว่าการออกแบบอัลกอริทึมใหม่สามารถช่วยสร้าง “ความไว้วางใจทางสังคม” และส่งเสริมการสนทนาที่มีสุขภาพดีขึ้นในโลกออนไลน์ หากนำไปใช้จริง อาจช่วยลดความตึงเครียดทางการเมืองและสร้างพื้นที่ที่ผู้ใช้ต่างฝ่ายสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นโดยไม่รู้สึกถูกโจมตี 🔧 การควบคุมโดยผู้ใช้ แนวคิดสำคัญคือการให้ผู้ใช้สามารถควบคุมอัลกอริทึมของตนเองได้ ไม่ใช่ปล่อยให้แพลตฟอร์มกำหนดเพียงฝ่ายเดียว หากผู้ใช้สามารถเลือกว่าจะให้ฟีดของตนเน้นความหลากหลายหรือความสมดุลมากขึ้น ก็จะช่วยสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นต่อแพลตฟอร์ม 🔮 อนาคตของแพลตฟอร์มโซเชียล แม้ยังอยู่ในขั้นทดลอง แต่หากแพลตฟอร์มใหญ่ ๆ นำแนวคิดนี้ไปใช้ อาจเปลี่ยนวิธีที่ผู้คนเสพข่าวและข้อมูลบนโลกออนไลน์อย่างสิ้นเชิง จากการเสริมแรงความเชื่อเดิม ไปสู่การเปิดพื้นที่สนทนาที่กว้างและลดการแบ่งขั้ว 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ วิธีการที่นักวิจัยใช้ ➡️ ปรับลำดับโพสต์แทนการบล็อกเนื้อหา ➡️ ลดการเห็นเนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์รุนแรง ✅ ผลต่อสังคมประชาธิปไตย ➡️ สร้างความไว้วางใจทางสังคม ➡️ ส่งเสริมการสนทนาที่มีสุขภาพดีขึ้น ✅ การควบคุมโดยผู้ใช้ ➡️ ผู้ใช้สามารถเลือกปรับอัลกอริทึมเอง ➡️ เพิ่มความโปร่งใสและความเชื่อมั่นต่อแพลตฟอร์ม ✅ อนาคตของแพลตฟอร์มโซเชียล ➡️ อาจเปลี่ยนวิธีการเสพข่าวและข้อมูล ➡️ ลดการแบ่งขั้วและเปิดพื้นที่สนทนา ‼️ คำเตือนที่ควรระวัง ⛔ หากปรับอัลกอริทึมผิดพลาด อาจทำให้ข้อมูลสำคัญถูกลดทอน ⛔ การให้ผู้ใช้ควบคุมเองอาจสร้างความซับซ้อนและความไม่เข้าใจ ⛔ หากแพลตฟอร์มไม่โปร่งใสจริง อาจทำให้ผู้ใช้สูญเสียความเชื่อมั่น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/01/researchers-tone-down-polarisation-on-x-with-tweaks-to-algorithm
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Researchers tone down polarisation on X with tweaks to algorithm
    The study, published in the journal Science, suggests it may one day be possible to let users control their own social media algorithms, not only on X, formerly Twitter, but on other platforms.
    0 Comments 0 Shares 5 Views 0 Reviews
  • จีนกำลังเร่งพัฒนา “รถบินได้” โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้านยานยนต์ไฟฟ้าเป็นฐาน

    จีนกำลังเร่งพัฒนา “รถบินได้” โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้านยานยนต์ไฟฟ้าเป็นฐาน แม้ทั่วโลกยังมีอุปสรรคด้านเทคนิคและกฎระเบียบ แต่จีนเริ่มทดลองสายการผลิตและโชว์โมเดลใหม่ ๆ ที่ใกล้เคียงการใช้งานจริง

    จีนมีความได้เปรียบจากการเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งด้านแบตเตอรี่ มอเตอร์ และระบบควบคุมพลังงาน ความเชี่ยวชาญนี้ถูกนำมาต่อยอดสู่การสร้าง “รถบินได้” หรือ air mobility vehicles ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ทำให้สามารถลดต้นทุนและเพิ่มความปลอดภัยได้มากขึ้น

    การผลิตและทดสอบจริง
    รายงานจากกวางโจวเผยว่าโรงงานจีนเริ่มทดลองสายการผลิตรถบินได้ โดยมีโมเดลสองที่นั่งที่ใช้ใบพัดไฟฟ้าเป็นต้นแบบ นักข่าวได้เห็นการตรวจสอบคุณภาพอย่างเข้มงวด เช่น การทดสอบใบพัดและระบบควบคุมการบิน ซึ่งสะท้อนว่าจีนไม่ได้เพียงแค่พัฒนาในห้องทดลอง แต่กำลังเดินหน้าสู่การผลิตจริง

    อุปสรรคระดับโลก
    แม้ความก้าวหน้าจะน่าตื่นเต้น แต่ทั่วโลกยังมีปัญหาสำคัญ เช่น กฎระเบียบการบินที่เข้มงวด ความปลอดภัยของผู้โดยสาร และโครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่รองรับการบินในเมืองใหญ่ หลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น วางแผนเปิดตัว “air taxi” ในปี 2027 แต่ยังต้องผ่านการทดสอบและอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล

    ความหมายต่ออนาคตการเดินทาง
    หากจีนสามารถผลักดันการผลิตและใช้งานจริงได้ รถบินไฟฟ้าอาจกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเดินทางในเมืองใหญ่ ลดการจราจรบนถนน และเปิดโอกาสใหม่ในอุตสาหกรรมการบินพลเรือน อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จขึ้นอยู่กับการสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยและการยอมรับจากสังคม

    สรุปเป็นหัวข้อ
    ความได้เปรียบของจีน
    เชี่ยวชาญด้านแบตเตอรี่และระบบไฟฟ้า
    ใช้เทคโนโลยี EV มาต่อยอดสู่รถบินได้

    การผลิตและทดสอบ
    โรงงานในกวางโจวเริ่มทดลองสายการผลิต
    ตรวจสอบคุณภาพใบพัดและระบบควบคุมการบิน

    อุปสรรคระดับโลก
    กฎระเบียบการบินเข้มงวด
    โครงสร้างพื้นฐานยังไม่รองรับ air taxi

    ความหมายต่ออนาคต
    ลดการจราจรในเมืองใหญ่
    เปิดโอกาสใหม่ในอุตสาหกรรมการบินพลเรือน

    คำเตือนที่ควรระวัง
    ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของผู้โดยสาร
    การยอมรับจากสังคมและหน่วยงานกำกับยังไม่แน่นอน
    หากโครงสร้างพื้นฐานไม่พร้อม อาจทำให้โครงการล่าช้า

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/01/electric-vehicle-prowess-helps-china039s-flying-car-sector-take-off
    🚙 จีนกำลังเร่งพัฒนา “รถบินได้” โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้านยานยนต์ไฟฟ้าเป็นฐาน จีนกำลังเร่งพัฒนา “รถบินได้” โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้านยานยนต์ไฟฟ้าเป็นฐาน แม้ทั่วโลกยังมีอุปสรรคด้านเทคนิคและกฎระเบียบ แต่จีนเริ่มทดลองสายการผลิตและโชว์โมเดลใหม่ ๆ ที่ใกล้เคียงการใช้งานจริง จีนมีความได้เปรียบจากการเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งด้านแบตเตอรี่ มอเตอร์ และระบบควบคุมพลังงาน ความเชี่ยวชาญนี้ถูกนำมาต่อยอดสู่การสร้าง “รถบินได้” หรือ air mobility vehicles ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ทำให้สามารถลดต้นทุนและเพิ่มความปลอดภัยได้มากขึ้น ✈️ การผลิตและทดสอบจริง รายงานจากกวางโจวเผยว่าโรงงานจีนเริ่มทดลองสายการผลิตรถบินได้ โดยมีโมเดลสองที่นั่งที่ใช้ใบพัดไฟฟ้าเป็นต้นแบบ นักข่าวได้เห็นการตรวจสอบคุณภาพอย่างเข้มงวด เช่น การทดสอบใบพัดและระบบควบคุมการบิน ซึ่งสะท้อนว่าจีนไม่ได้เพียงแค่พัฒนาในห้องทดลอง แต่กำลังเดินหน้าสู่การผลิตจริง 🌍 อุปสรรคระดับโลก แม้ความก้าวหน้าจะน่าตื่นเต้น แต่ทั่วโลกยังมีปัญหาสำคัญ เช่น กฎระเบียบการบินที่เข้มงวด ความปลอดภัยของผู้โดยสาร และโครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่รองรับการบินในเมืองใหญ่ หลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น วางแผนเปิดตัว “air taxi” ในปี 2027 แต่ยังต้องผ่านการทดสอบและอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแล 🔮 ความหมายต่ออนาคตการเดินทาง หากจีนสามารถผลักดันการผลิตและใช้งานจริงได้ รถบินไฟฟ้าอาจกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเดินทางในเมืองใหญ่ ลดการจราจรบนถนน และเปิดโอกาสใหม่ในอุตสาหกรรมการบินพลเรือน อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จขึ้นอยู่กับการสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยและการยอมรับจากสังคม 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ ความได้เปรียบของจีน ➡️ เชี่ยวชาญด้านแบตเตอรี่และระบบไฟฟ้า ➡️ ใช้เทคโนโลยี EV มาต่อยอดสู่รถบินได้ ✅ การผลิตและทดสอบ ➡️ โรงงานในกวางโจวเริ่มทดลองสายการผลิต ➡️ ตรวจสอบคุณภาพใบพัดและระบบควบคุมการบิน ✅ อุปสรรคระดับโลก ➡️ กฎระเบียบการบินเข้มงวด ➡️ โครงสร้างพื้นฐานยังไม่รองรับ air taxi ✅ ความหมายต่ออนาคต ➡️ ลดการจราจรในเมืองใหญ่ ➡️ เปิดโอกาสใหม่ในอุตสาหกรรมการบินพลเรือน ‼️ คำเตือนที่ควรระวัง ⛔ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของผู้โดยสาร ⛔ การยอมรับจากสังคมและหน่วยงานกำกับยังไม่แน่นอน ⛔ หากโครงสร้างพื้นฐานไม่พร้อม อาจทำให้โครงการล่าช้า https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/01/electric-vehicle-prowess-helps-china039s-flying-car-sector-take-off
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Electric vehicle prowess helps China's flying car sector take off
    Globally, technical and regulatory challenges have prevented the much-hyped flying car sector from getting off the ground.
    0 Comments 0 Shares 4 Views 0 Reviews
  • โครงการเว็บเบราว์เซอร์ Dillo ประกาศย้ายออกจาก GitHub

    โครงการเว็บเบราว์เซอร์ Dillo ประกาศย้ายออกจาก GitHub ไปสู่การโฮสต์เอง พร้อมสร้างระบบ mirror หลายแห่ง เพื่อแก้ปัญหาความไม่เหมาะสมของ GitHub และลดความเสี่ยงจากการสูญเสียข้อมูล

    เหตุผลในการย้ายออกจาก GitHub
    Rodrigo Arias Mallo ผู้ดูแลโครงการ Dillo อธิบายว่า GitHub แม้จะเคยมีประโยชน์ แต่ปัจจุบันมีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น
    ไม่รองรับการใช้งานโดยตรงกับ Dillo เนื่องจากต้องใช้ JavaScript ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถเปิด issue หรือดูโค้ดได้
    เป็นจุดล้มเหลวเพียงจุดเดียว (single point of failure) หากบัญชีถูกแบนหรือระบบมีปัญหา ข้อมูลทั้งหมดอาจสูญหาย
    ทรัพยากรสิ้นเปลืองและช้า รวมถึงบังคับให้ทำงานแบบ “push model” ที่ไม่เหมาะกับการทำงานออฟไลน์
    ปัญหาสังคมและการจัดการผู้ใช้ ที่ทำให้เกิด burnout ในทีมพัฒนา
    การเน้น AI และ LLMs ที่ทำให้เว็บเต็มไปด้วยการป้องกันด้วย JavaScript walls ซึ่งกันผู้ใช้ Dillo ออกไป

    การโฮสต์เองและเครื่องมือใหม่
    เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ Dillo ได้ย้ายไปยังโดเมนใหม่ dillo-browser.org และตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์ VPS ขนาดเล็ก โดยใช้เครื่องมือที่เบาและไม่ต้องพึ่ง JavaScript เช่น:
    cgit สำหรับแสดงโค้ดและ repository อย่างเบาและเข้าถึงได้จาก Dillo
    Buggy เครื่องมือ bug tracker ที่เขียนด้วย C ใช้ Markdown และสร้าง HTML แบบ static เพื่อความปลอดภัยและทำงานออฟไลน์ได้
    ระบบ mirror บน Codeberg และ Sourcehut เพื่อกระจายข้อมูล ลดความเสี่ยงจากการสูญเสีย

    ความมั่นคงและการตรวจสอบ
    เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ เว็บไซต์และ repository ถูกเซ็นด้วย OpenPGP signature ทำให้สามารถยืนยันความเป็นเจ้าของได้แม้สูญเสีย DNS หรือย้ายเซิร์ฟเวอร์ ข้อมูลทั้งหมดถูกเก็บใน git และ replicated หลายแห่ง จึงลดความเสี่ยงจากการสูญหายเหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับโดเมนเก่า dillo.org

    ผลกระทบและอนาคต
    การย้ายครั้งนี้สะท้อนถึงความพยายามรักษาอิสระและความยั่งยืนของโครงการโอเพนซอร์สเล็ก ๆ ที่ไม่ต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มใหญ่ Rodrigo เชื่อว่าด้วยค่าใช้จ่ายต่ำและการสนับสนุนจากผู้ใช้ Dillo จะสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างมั่นคงในอีกหลายปีข้างหน้า

    สรุปเป็นหัวข้อ
    เหตุผลในการย้ายออกจาก GitHub
    ไม่รองรับ Dillo เพราะบังคับใช้ JavaScript
    เสี่ยงต่อการสูญหายจากการควบคุมโดยบริษัทเดียว
    ทำงานช้าและไม่เหมาะกับการใช้งานออฟไลน์
    ปัญหาการจัดการผู้ใช้และ burnout
    แนวโน้มเน้น AI ทำให้ผู้ใช้ Dillo ถูกกันออก

    การโฮสต์เองและเครื่องมือใหม่
    ใช้โดเมน dillo-browser.org และ VPS ขนาดเล็ก
    ใช้ cgit ที่เบาและไม่ต้องพึ่ง JS
    สร้าง bug tracker “Buggy” ที่ใช้ Markdown และ HTML static
    ตั้ง mirror บน Codeberg และ Sourcehut

    ความมั่นคงและการตรวจสอบ
    ใช้ OpenPGP signature เพื่อยืนยันความเป็นเจ้าของ
    ข้อมูล replicated หลายแห่ง ลดความเสี่ยงสูญหาย

    ผลกระทบและอนาคต
    ลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มใหญ่
    ค่าใช้จ่ายต่ำและยั่งยืนด้วยการสนับสนุนจากผู้ใช้

    คำเตือนที่ควรระวัง
    DNS ของ dillo-browser.org ยังเป็นจุดเสี่ยง หากสูญเสียจะกระทบการเข้าถึง
    การพึ่งพา mirror ต้องอัปเดตสม่ำเสมอเพื่อไม่ให้ข้อมูลไม่ตรงกัน
    การโฮสต์เองอาจมีภาระด้านการดูแลระบบและความปลอดภัย

    https://dillo-browser.org/news/migration-from-github/
    🌐 โครงการเว็บเบราว์เซอร์ Dillo ประกาศย้ายออกจาก GitHub โครงการเว็บเบราว์เซอร์ Dillo ประกาศย้ายออกจาก GitHub ไปสู่การโฮสต์เอง พร้อมสร้างระบบ mirror หลายแห่ง เพื่อแก้ปัญหาความไม่เหมาะสมของ GitHub และลดความเสี่ยงจากการสูญเสียข้อมูล 🌐 เหตุผลในการย้ายออกจาก GitHub Rodrigo Arias Mallo ผู้ดูแลโครงการ Dillo อธิบายว่า GitHub แม้จะเคยมีประโยชน์ แต่ปัจจุบันมีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น 💠 ไม่รองรับการใช้งานโดยตรงกับ Dillo เนื่องจากต้องใช้ JavaScript ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถเปิด issue หรือดูโค้ดได้ 💠 เป็นจุดล้มเหลวเพียงจุดเดียว (single point of failure) หากบัญชีถูกแบนหรือระบบมีปัญหา ข้อมูลทั้งหมดอาจสูญหาย 💠 ทรัพยากรสิ้นเปลืองและช้า รวมถึงบังคับให้ทำงานแบบ “push model” ที่ไม่เหมาะกับการทำงานออฟไลน์ 💠 ปัญหาสังคมและการจัดการผู้ใช้ ที่ทำให้เกิด burnout ในทีมพัฒนา 💠 การเน้น AI และ LLMs ที่ทำให้เว็บเต็มไปด้วยการป้องกันด้วย JavaScript walls ซึ่งกันผู้ใช้ Dillo ออกไป 🛠️ การโฮสต์เองและเครื่องมือใหม่ เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ Dillo ได้ย้ายไปยังโดเมนใหม่ dillo-browser.org และตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์ VPS ขนาดเล็ก โดยใช้เครื่องมือที่เบาและไม่ต้องพึ่ง JavaScript เช่น: 💠 cgit สำหรับแสดงโค้ดและ repository อย่างเบาและเข้าถึงได้จาก Dillo 💠 Buggy เครื่องมือ bug tracker ที่เขียนด้วย C ใช้ Markdown และสร้าง HTML แบบ static เพื่อความปลอดภัยและทำงานออฟไลน์ได้ 💠 ระบบ mirror บน Codeberg และ Sourcehut เพื่อกระจายข้อมูล ลดความเสี่ยงจากการสูญเสีย 🔐 ความมั่นคงและการตรวจสอบ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ เว็บไซต์และ repository ถูกเซ็นด้วย OpenPGP signature ทำให้สามารถยืนยันความเป็นเจ้าของได้แม้สูญเสีย DNS หรือย้ายเซิร์ฟเวอร์ ข้อมูลทั้งหมดถูกเก็บใน git และ replicated หลายแห่ง จึงลดความเสี่ยงจากการสูญหายเหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับโดเมนเก่า dillo.org 🌱 ผลกระทบและอนาคต การย้ายครั้งนี้สะท้อนถึงความพยายามรักษาอิสระและความยั่งยืนของโครงการโอเพนซอร์สเล็ก ๆ ที่ไม่ต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มใหญ่ Rodrigo เชื่อว่าด้วยค่าใช้จ่ายต่ำและการสนับสนุนจากผู้ใช้ Dillo จะสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างมั่นคงในอีกหลายปีข้างหน้า 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ เหตุผลในการย้ายออกจาก GitHub ➡️ ไม่รองรับ Dillo เพราะบังคับใช้ JavaScript ➡️ เสี่ยงต่อการสูญหายจากการควบคุมโดยบริษัทเดียว ➡️ ทำงานช้าและไม่เหมาะกับการใช้งานออฟไลน์ ➡️ ปัญหาการจัดการผู้ใช้และ burnout ➡️ แนวโน้มเน้น AI ทำให้ผู้ใช้ Dillo ถูกกันออก ✅ การโฮสต์เองและเครื่องมือใหม่ ➡️ ใช้โดเมน dillo-browser.org และ VPS ขนาดเล็ก ➡️ ใช้ cgit ที่เบาและไม่ต้องพึ่ง JS ➡️ สร้าง bug tracker “Buggy” ที่ใช้ Markdown และ HTML static ➡️ ตั้ง mirror บน Codeberg และ Sourcehut ✅ ความมั่นคงและการตรวจสอบ ➡️ ใช้ OpenPGP signature เพื่อยืนยันความเป็นเจ้าของ ➡️ ข้อมูล replicated หลายแห่ง ลดความเสี่ยงสูญหาย ✅ ผลกระทบและอนาคต ➡️ ลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มใหญ่ ➡️ ค่าใช้จ่ายต่ำและยั่งยืนด้วยการสนับสนุนจากผู้ใช้ ‼️ คำเตือนที่ควรระวัง ⛔ DNS ของ dillo-browser.org ยังเป็นจุดเสี่ยง หากสูญเสียจะกระทบการเข้าถึง ⛔ การพึ่งพา mirror ต้องอัปเดตสม่ำเสมอเพื่อไม่ให้ข้อมูลไม่ตรงกัน ⛔ การโฮสต์เองอาจมีภาระด้านการดูแลระบบและความปลอดภัย https://dillo-browser.org/news/migration-from-github/
    0 Comments 0 Shares 5 Views 0 Reviews
  • เทคนิคการเขียน CLAUDE.md ที่ดีสำหรับ AI Coding Agent

    บทความนี้เจาะลึกการเขียนไฟล์ CLAUDE.md (หรือ AGENTS.md) ที่มีประสิทธิภาพสำหรับการทำงานกับ AI coding agents อย่าง Claude Code, Cursor, และ Zed โดยเน้นย้ำว่า LLMs เป็น stateless functions ที่ไม่ได้เรียนรู้ตลอดเวลา จึงต้องอาศัยไฟล์นี้เป็นตัวกลางในการ "onboard" AI เข้าสู่ codebase ของเรา ซึ่งไฟล์นี้จะถูกใส่เข้าไปใน ทุกๆ conversation ทำให้มันเป็นจุดที่มี leverage สูงที่สุดในการทำงานกับ AI

    สิ่งที่น่าสนใจคือ Claude มักจะ เพิกเฉยต่อเนื้อหาใน CLAUDE.md หากมันตัดสินใจว่าไม่เกี่ยวข้องกับงานปัจจุบัน ทีม Anthropic ได้ออกแบบให้ระบบทำงานแบบนี้เพื่อกรองคำสั่งที่ไม่จำเป็นออกไป ดังนั้นยิ่งใส่คำสั่งที่ไม่ได้ใช้บ่อยมากเท่าไหร่ โอกาสที่ Claude จะเพิกเฉยก็ยิ่งสูงขึ้น ผู้เขียนแนะนำให้ใช้หลัก "Less is More" โดยควรมีคำสั่งที่ universally applicable เท่านั้น

    การวิจัยพบว่า LLMs สามารถทำตามคำสั่งได้อย่างน่าเชื่อถือประมาณ 100-150 คำสั่ง และ Claude Code เองก็มีคำสั่งในระบบอยู่แล้วประมาณ 50 คำสั่ง ดังนั้นไฟล์ CLAUDE.md ควรสั้นกระชับ (แนะนำไม่เกิน 300 บรรทัด หรือดีกว่านั้นคือน้อยกว่า 60 บรรทัด) และใช้เทคนิค Progressive Disclosure โดยแยกคำสั่งเฉพาะทางไปไว้ในไฟล์ markdown แยก แล้วให้ Claude อ่านเมื่อจำเป็นเท่านั้น

    สุดท้าย ผู้เขียนเตือนว่าไม่ควรใช้ LLM ทำหน้าที่ของ linter หรือ formatter เพราะช้าและแพงกว่ามาก ควรใช้เครื่องมือ deterministic แทน และไม่ควรใช้คำสั่ง /init หรือ auto-generate ไฟล์ CLAUDE.md เพราะไฟล์นี้สำคัญมากและควรใช้เวลาคิดทุกบรรทัดอย่างรอบคอบ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    หลักการพื้นฐานของ LLMs และ CLAUDE.md
    LLMs เป็น stateless functions ที่ไม่เรียนรู้ตลอดเวลา รู้เฉพาะสิ่งที่ใส่เข้าไปเท่านั้น
    CLAUDE.md ถูกใส่เข้าไปในทุก conversation จึงเป็นจุดที่มี leverage สูงสุด
    ควรใช้ไฟล์นี้เพื่อ onboard Claude เข้าสู่ codebase

    พฤติกรรมของ Claude กับ CLAUDE.md
    Claude มักเพิกเฉยเนื้อหาที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานปัจจุบัน
    ยิ่งมีคำสั่งที่ไม่ universal มาก โอกาสถูกเพิกเฉยยิ่งสูง
    Anthropic ออกแบบให้ทำงานแบบนี้เพื่อกรองคำสั่งที่ไม่จำเป็น

    หลัก "Less is More"
    LLMs ทำตามคำสั่งได้น่าเชื่อถือประมาณ 100-150 คำสั่ง
    Claude Code มีคำสั่งในระบบอยู่แล้ว ~50 คำสั่ง
    ควรใส่เฉพาะคำสั่งที่ใช้บ่อยและ universally applicable

    ความยาวและความเกี่ยวข้องของไฟล์
    แนะนำไม่เกิน 300 บรรทัด ยิ่งสั้นยิ่งดี
    HumanLayer ใช้ไฟล์ไม่เกิน 60 บรรทัด
    Context window ที่เต็มไปด้วยข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้ผลลัพธ์ดีกว่า

    Progressive Disclosure
    แยกคำสั่งเฉพาะทางไปไว้ในไฟล์ markdown แยก
    ตั้งชื่อไฟล์ให้สื่อความหมาย เช่น docs/testing-guidelines.md
    ให้ Claude อ่านเมื่อจำเป็นเท่านั้น แทนการใส่ทุกอย่างใน CLAUDE.md
    ใช้ file:line references แทนการ copy code เพื่อหลีกเลี่ยง outdated information

    อย่าใช้ LLM ทำงาน Linter
    LLMs ช้าและแพงกว่า traditional linters มาก
    Code style guidelines จะกินพื้นที่ context window และลดประสิทธิภาพ
    LLMs เป็น in-context learners จะเรียนรู้ pattern จากโค้ดที่มีอยู่เองได้
    ควรใช้ deterministic tools อย่าง Biome หรือ linters ที่ auto-fix ได้

    อย่าใช้ /init หรือ auto-generate
    CLAUDE.md มี impact ต่อทุก phase ของ workflow
    ควรใช้เวลาคิดทุกบรรทัดอย่างรอบคอบ
    บรรทัดที่แย่ใน CLAUDE.md จะส่งผลกระทบวงกว้างกว่าโค้ดทั่วไป

    https://www.humanlayer.dev/blog/writing-a-good-claude-md
    📝 เทคนิคการเขียน CLAUDE.md ที่ดีสำหรับ AI Coding Agent บทความนี้เจาะลึกการเขียนไฟล์ CLAUDE.md (หรือ AGENTS.md) ที่มีประสิทธิภาพสำหรับการทำงานกับ AI coding agents อย่าง Claude Code, Cursor, และ Zed โดยเน้นย้ำว่า LLMs เป็น stateless functions ที่ไม่ได้เรียนรู้ตลอดเวลา จึงต้องอาศัยไฟล์นี้เป็นตัวกลางในการ "onboard" AI เข้าสู่ codebase ของเรา ซึ่งไฟล์นี้จะถูกใส่เข้าไปใน ทุกๆ conversation ทำให้มันเป็นจุดที่มี leverage สูงที่สุดในการทำงานกับ AI สิ่งที่น่าสนใจคือ Claude มักจะ เพิกเฉยต่อเนื้อหาใน CLAUDE.md หากมันตัดสินใจว่าไม่เกี่ยวข้องกับงานปัจจุบัน ทีม Anthropic ได้ออกแบบให้ระบบทำงานแบบนี้เพื่อกรองคำสั่งที่ไม่จำเป็นออกไป ดังนั้นยิ่งใส่คำสั่งที่ไม่ได้ใช้บ่อยมากเท่าไหร่ โอกาสที่ Claude จะเพิกเฉยก็ยิ่งสูงขึ้น ผู้เขียนแนะนำให้ใช้หลัก "Less is More" โดยควรมีคำสั่งที่ universally applicable เท่านั้น การวิจัยพบว่า LLMs สามารถทำตามคำสั่งได้อย่างน่าเชื่อถือประมาณ 100-150 คำสั่ง และ Claude Code เองก็มีคำสั่งในระบบอยู่แล้วประมาณ 50 คำสั่ง ดังนั้นไฟล์ CLAUDE.md ควรสั้นกระชับ (แนะนำไม่เกิน 300 บรรทัด หรือดีกว่านั้นคือน้อยกว่า 60 บรรทัด) และใช้เทคนิค Progressive Disclosure โดยแยกคำสั่งเฉพาะทางไปไว้ในไฟล์ markdown แยก แล้วให้ Claude อ่านเมื่อจำเป็นเท่านั้น สุดท้าย ผู้เขียนเตือนว่าไม่ควรใช้ LLM ทำหน้าที่ของ linter หรือ formatter เพราะช้าและแพงกว่ามาก ควรใช้เครื่องมือ deterministic แทน และไม่ควรใช้คำสั่ง /init หรือ auto-generate ไฟล์ CLAUDE.md เพราะไฟล์นี้สำคัญมากและควรใช้เวลาคิดทุกบรรทัดอย่างรอบคอบ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ หลักการพื้นฐานของ LLMs และ CLAUDE.md ➡️ LLMs เป็น stateless functions ที่ไม่เรียนรู้ตลอดเวลา รู้เฉพาะสิ่งที่ใส่เข้าไปเท่านั้น ➡️ CLAUDE.md ถูกใส่เข้าไปในทุก conversation จึงเป็นจุดที่มี leverage สูงสุด ➡️ ควรใช้ไฟล์นี้เพื่อ onboard Claude เข้าสู่ codebase ✅ พฤติกรรมของ Claude กับ CLAUDE.md ➡️ Claude มักเพิกเฉยเนื้อหาที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานปัจจุบัน ➡️ ยิ่งมีคำสั่งที่ไม่ universal มาก โอกาสถูกเพิกเฉยยิ่งสูง ➡️ Anthropic ออกแบบให้ทำงานแบบนี้เพื่อกรองคำสั่งที่ไม่จำเป็น ✅ หลัก "Less is More" ➡️ LLMs ทำตามคำสั่งได้น่าเชื่อถือประมาณ 100-150 คำสั่ง ➡️ Claude Code มีคำสั่งในระบบอยู่แล้ว ~50 คำสั่ง ➡️ ควรใส่เฉพาะคำสั่งที่ใช้บ่อยและ universally applicable ✅ ความยาวและความเกี่ยวข้องของไฟล์ ➡️ แนะนำไม่เกิน 300 บรรทัด ยิ่งสั้นยิ่งดี ➡️ HumanLayer ใช้ไฟล์ไม่เกิน 60 บรรทัด ➡️ Context window ที่เต็มไปด้วยข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้ผลลัพธ์ดีกว่า ✅ Progressive Disclosure ➡️ แยกคำสั่งเฉพาะทางไปไว้ในไฟล์ markdown แยก ➡️ ตั้งชื่อไฟล์ให้สื่อความหมาย เช่น docs/testing-guidelines.md ➡️ ให้ Claude อ่านเมื่อจำเป็นเท่านั้น แทนการใส่ทุกอย่างใน CLAUDE.md ➡️ ใช้ file:line references แทนการ copy code เพื่อหลีกเลี่ยง outdated information ‼️ อย่าใช้ LLM ทำงาน Linter ⛔ LLMs ช้าและแพงกว่า traditional linters มาก ⛔ Code style guidelines จะกินพื้นที่ context window และลดประสิทธิภาพ ⛔ LLMs เป็น in-context learners จะเรียนรู้ pattern จากโค้ดที่มีอยู่เองได้ ⛔ ควรใช้ deterministic tools อย่าง Biome หรือ linters ที่ auto-fix ได้ ‼️ อย่าใช้ /init หรือ auto-generate ⛔ CLAUDE.md มี impact ต่อทุก phase ของ workflow ⛔ ควรใช้เวลาคิดทุกบรรทัดอย่างรอบคอบ ⛔ บรรทัดที่แย่ใน CLAUDE.md จะส่งผลกระทบวงกว้างกว่าโค้ดทั่วไป https://www.humanlayer.dev/blog/writing-a-good-claude-md
    WWW.HUMANLAYER.DEV
    Writing a good CLAUDE.md
    `CLAUDE.md` is a high-leverage configuration point for Claude Code. Learning how to write a good `CLAUDE.md` (or `AGENTS.md`) is a key skill for agent-enabled software engineering.
    0 Comments 0 Shares 6 Views 0 Reviews
  • ปีที่หนักหน่วงของธุรกิจสร้างสรรค์

    Andy Bell ผู้ก่อตั้ง Set Studio และ Piccalilli เล่าถึงปี 2025 ที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ทั้งเศรษฐกิจชะลอตัว ภาวะเงินเฟ้อ และความไม่มั่นคงทางการเมือง ทำให้การหาลูกค้าใหม่ยากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อสตูดิโอเลือกที่จะไม่ทำงานด้านการตลาดที่เกี่ยวข้องกับ AI แม้จะเป็นสิ่งที่ตลาดต้องการมากที่สุด เขาย้ำว่าการรักษาชื่อเสียงและจริยธรรมสำคัญกว่าการตามกระแส

    เศรษฐกิจโลกในปี 2025
    รายงานจาก World Economic Forum และ ACCA ชี้ว่าโลกกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญ ทั้งการเพิ่มขึ้นของภาษีการค้า ความเสี่ยงจากสงคราม และการเร่งตัวของ AI ที่เข้ามาเปลี่ยนโครงสร้างแรงงานและการผลิต หลายประเทศ เช่น อินเดีย กลับสามารถเติบโตสวนกระแสด้วยการบริโภคภายในและการผลิตที่แข็งแกร่ง แต่โดยรวมแล้วธุรกิจขนาดเล็กทั่วโลกยังคงเผชิญแรงกดดันจากต้นทุนและความไม่แน่นอน

    AI กับวงการครีเอทีฟ
    ในขณะที่บางสตูดิโอเลือกปฏิเสธ AI หลายแห่งกลับนำมาใช้เป็นเครื่องมือเสริม เช่น การสร้างไอเดียเบื้องต้น การออกแบบภาพตัวอย่าง หรือการช่วยกำหนดทิศทางงานศิลป์ ข้อมูลล่าสุดเผยว่า 78% ของเอเจนซี่ครีเอทีฟทั่วโลกใช้ AI ในบางขั้นตอนแล้ว แม้จะทำให้ราคางานบางประเภทถูกลง แต่ก็เพิ่มปริมาณงานและรายได้โดยรวม อย่างไรก็ตาม ความกังวลเรื่องการแทนที่แรงงานและความเสื่อมของคุณค่ามนุษย์ยังคงเป็นประเด็นใหญ่

    ทางรอดและความหวัง
    Andy เสนอให้ผู้สนับสนุนช่วยซื้อคอร์สออนไลน์ แชร์ผลงาน หรือจ้างสตูดิโอเพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไป เขาเชื่อว่าการสร้างงานที่มีคุณภาพจริงและไม่เอาเปรียบผู้ใช้คือหนทางที่จะทำให้ธุรกิจเล็ก ๆ อยู่รอดในยุคที่ AI และเศรษฐกิจโลกกำลังเขย่าโครงสร้างเดิม

    สรุปเป็นหัวข้อ
    ความท้าทายของ Set Studio และ Piccalilli
    เศรษฐกิจชะลอตัวและต้นทุนสูง
    ปฏิเสธงานการตลาดที่เกี่ยวข้องกับ AI เพื่อรักษาจริยธรรม

    แนวโน้มเศรษฐกิจโลกปี 2025
    ภาษีการค้าและความไม่แน่นอนทางการเมือง
    อินเดียเติบโตสวนกระแสด้วยการผลิตและการบริโภค

    ผลกระทบของ AI ต่อวงการครีเอทีฟ
    78% ของเอเจนซี่ใช้ AI ในบางขั้นตอน
    ราคางานลดลงแต่ปริมาณงานเพิ่มขึ้น

    ทางรอดของธุรกิจเล็ก
    การขายคอร์สออนไลน์และการสนับสนุนจากชุมชน
    การสร้างงานคุณภาพที่ไม่เอาเปรียบผู้ใช้

    คำเตือนจากแนวโน้มโลก
    ความเสี่ยงจากการพึ่งพา AI มากเกินไป อาจนำไปสู่การตกงาน
    ความไม่แน่นอนทางการเมืองและสงครามอาจกระทบเศรษฐกิจหนักขึ้น
    การแข่งขันด้านราคาอาจบีบให้ธุรกิจเล็กอยู่รอดยากขึ้น

    https://bell.bz/its-been-a-very-hard-year/
    📰 ปีที่หนักหน่วงของธุรกิจสร้างสรรค์ Andy Bell ผู้ก่อตั้ง Set Studio และ Piccalilli เล่าถึงปี 2025 ที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ทั้งเศรษฐกิจชะลอตัว ภาวะเงินเฟ้อ และความไม่มั่นคงทางการเมือง ทำให้การหาลูกค้าใหม่ยากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อสตูดิโอเลือกที่จะไม่ทำงานด้านการตลาดที่เกี่ยวข้องกับ AI แม้จะเป็นสิ่งที่ตลาดต้องการมากที่สุด เขาย้ำว่าการรักษาชื่อเสียงและจริยธรรมสำคัญกว่าการตามกระแส 🌍 เศรษฐกิจโลกในปี 2025 รายงานจาก World Economic Forum และ ACCA ชี้ว่าโลกกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญ ทั้งการเพิ่มขึ้นของภาษีการค้า ความเสี่ยงจากสงคราม และการเร่งตัวของ AI ที่เข้ามาเปลี่ยนโครงสร้างแรงงานและการผลิต หลายประเทศ เช่น อินเดีย กลับสามารถเติบโตสวนกระแสด้วยการบริโภคภายในและการผลิตที่แข็งแกร่ง แต่โดยรวมแล้วธุรกิจขนาดเล็กทั่วโลกยังคงเผชิญแรงกดดันจากต้นทุนและความไม่แน่นอน 🎨 AI กับวงการครีเอทีฟ ในขณะที่บางสตูดิโอเลือกปฏิเสธ AI หลายแห่งกลับนำมาใช้เป็นเครื่องมือเสริม เช่น การสร้างไอเดียเบื้องต้น การออกแบบภาพตัวอย่าง หรือการช่วยกำหนดทิศทางงานศิลป์ ข้อมูลล่าสุดเผยว่า 78% ของเอเจนซี่ครีเอทีฟทั่วโลกใช้ AI ในบางขั้นตอนแล้ว แม้จะทำให้ราคางานบางประเภทถูกลง แต่ก็เพิ่มปริมาณงานและรายได้โดยรวม อย่างไรก็ตาม ความกังวลเรื่องการแทนที่แรงงานและความเสื่อมของคุณค่ามนุษย์ยังคงเป็นประเด็นใหญ่ 💡 ทางรอดและความหวัง Andy เสนอให้ผู้สนับสนุนช่วยซื้อคอร์สออนไลน์ แชร์ผลงาน หรือจ้างสตูดิโอเพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไป เขาเชื่อว่าการสร้างงานที่มีคุณภาพจริงและไม่เอาเปรียบผู้ใช้คือหนทางที่จะทำให้ธุรกิจเล็ก ๆ อยู่รอดในยุคที่ AI และเศรษฐกิจโลกกำลังเขย่าโครงสร้างเดิม 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ ความท้าทายของ Set Studio และ Piccalilli ➡️ เศรษฐกิจชะลอตัวและต้นทุนสูง ➡️ ปฏิเสธงานการตลาดที่เกี่ยวข้องกับ AI เพื่อรักษาจริยธรรม ✅ แนวโน้มเศรษฐกิจโลกปี 2025 ➡️ ภาษีการค้าและความไม่แน่นอนทางการเมือง ➡️ อินเดียเติบโตสวนกระแสด้วยการผลิตและการบริโภค ✅ ผลกระทบของ AI ต่อวงการครีเอทีฟ ➡️ 78% ของเอเจนซี่ใช้ AI ในบางขั้นตอน ➡️ ราคางานลดลงแต่ปริมาณงานเพิ่มขึ้น ✅ ทางรอดของธุรกิจเล็ก ➡️ การขายคอร์สออนไลน์และการสนับสนุนจากชุมชน ➡️ การสร้างงานคุณภาพที่ไม่เอาเปรียบผู้ใช้ ‼️ คำเตือนจากแนวโน้มโลก ⛔ ความเสี่ยงจากการพึ่งพา AI มากเกินไป อาจนำไปสู่การตกงาน ⛔ ความไม่แน่นอนทางการเมืองและสงครามอาจกระทบเศรษฐกิจหนักขึ้น ⛔ การแข่งขันด้านราคาอาจบีบให้ธุรกิจเล็กอยู่รอดยากขึ้น https://bell.bz/its-been-a-very-hard-year/
    0 Comments 0 Shares 5 Views 0 Reviews
  • 12 สัญญาณความสัมพันธ์ CISO–CIO กำลังแตกหัก และแนวทางแก้ไข

    บทความจาก CSO Online ชี้ให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง CISO (Chief Information Security Officer) และ CIO (Chief Information Officer) มีความสำคัญต่อความสำเร็จขององค์กร แต่บ่อยครั้งกลับเต็มไปด้วยความขัดแย้งและการไม่สอดประสาน ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและการดำเนินธุรกิจที่ไม่ราบรื่น

    สัญญาณทั้ง 12:
    1️⃣ CIO มักละเลยหรือปฏิเสธข้อเสนอของ CISO
    ตัวอย่างเช่น CIO บอกว่า “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ แต่เราจะทำตามที่เราต้องการ” ซึ่งทำให้ CISO ถูกลดบทบาทและความน่าเชื่อถือ

    2️⃣ CIO และ CISO ไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งได้
    ความขัดแย้งเป็นเรื่องปกติ แต่หากไม่สามารถหาทางออกได้โดยไม่ต้องพึ่งผู้บริหารระดับสูง แสดงถึงการขาด alignment

    3️⃣ CIO ไม่แชร์ข้อมูลกับ CISO
    การปิดบังข้อมูลสำคัญเป็นสัญญาณอันตราย เพราะทำให้ฝ่ายความปลอดภัยไม่สามารถทำงานได้เต็มที่

    4️⃣ CIO บิดเบือนหรือบล็อกข้อความของ CISO ต่อบอร์ด
    ทำให้บอร์ดได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วน และลดความน่าเชื่อถือของฝ่ายความปลอดภัย

    5️⃣ CISO ไม่ได้รับการมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นในโครงการ IT
    ความปลอดภัยถูกมองว่าเป็น “ส่วนเสริม” ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของกลยุทธ์หลัก

    6️⃣ CIO ไม่ให้ความสำคัญกับ cyber hygiene
    เช่น การ patch ระบบ, การจัดการรหัสผ่าน, หรือการตรวจสอบความเสี่ยงพื้นฐาน

    7️⃣ ไม่มีการสื่อสารตรงและสม่ำเสมอระหว่าง CIO–CISO
    ขาดการประชุมแบบตัวต่อตัว ทำให้ความเข้าใจร่วมกันลดลง

    8️⃣ เกิดการแข่งขันแย่งอำนาจระหว่างสองฝ่าย
    ทั้งคู่พยายามควบคุมทรัพยากรและการตัดสินใจ ทำให้เกิดความตึงเครียด

    9️⃣ ไม่เคารพบทบาทและความรับผิดชอบของกันและกัน
    CIO อาจมองว่า CISO เป็น “department of no” ขณะที่ CISO มองว่า CIO ไม่สนใจความปลอดภัย

    ไม่สอดคล้องกับ risk appetite ขององค์กร
    หาก CIO ต้องการความเร็ว แต่ CISO ต้องการความปลอดภัยสูงสุด โดยไม่มีการหาจุดสมดุล

    1️⃣1️⃣ ขาดความไว้วางใจซึ่งกันและกัน
    ทำให้การทำงานร่วมกันเป็นไปอย่างระแวง ไม่สามารถสร้างทีมที่แข็งแรงได้

    1️⃣2️⃣ บรรยากาศการทำงานแบบ “us vs them”
    สร้างความรู้สึกเป็นฝ่ายตรงข้ามมากกว่าการร่วมมือเพื่อเป้าหมายองค์กร

    แนวทางแก้ไข
    สร้างการสื่อสารตรงและสม่ำเสมอระหว่าง CIO–CISO
    กำหนดบทบาทและความรับผิดชอบให้ชัดเจน
    ปรับทัศนคติของ CISO ให้เป็น business enabler
    สร้างความเข้าใจร่วมกันเรื่อง enterprise risk

    ข้อควรระวัง
    หาก CIO และ CISO ไม่ร่วมมือกัน องค์กรจะเสี่ยงต่อการโจมตีไซเบอร์
    การขาด alignment อาจนำไปสู่ความล้มเหลวทั้งด้าน IT และธุรกิจ

    https://www.csoonline.com/article/4094754/12-signs-the-ciso-cio-relationship-is-broken-and-steps-to-fix-it.html
    🛡️ 12 สัญญาณความสัมพันธ์ CISO–CIO กำลังแตกหัก และแนวทางแก้ไข บทความจาก CSO Online ชี้ให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง CISO (Chief Information Security Officer) และ CIO (Chief Information Officer) มีความสำคัญต่อความสำเร็จขององค์กร แต่บ่อยครั้งกลับเต็มไปด้วยความขัดแย้งและการไม่สอดประสาน ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและการดำเนินธุรกิจที่ไม่ราบรื่น 🔎 สัญญาณทั้ง 12: 1️⃣ CIO มักละเลยหรือปฏิเสธข้อเสนอของ CISO ตัวอย่างเช่น CIO บอกว่า “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ แต่เราจะทำตามที่เราต้องการ” ซึ่งทำให้ CISO ถูกลดบทบาทและความน่าเชื่อถือ 2️⃣ CIO และ CISO ไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งได้ ความขัดแย้งเป็นเรื่องปกติ แต่หากไม่สามารถหาทางออกได้โดยไม่ต้องพึ่งผู้บริหารระดับสูง แสดงถึงการขาด alignment 3️⃣ CIO ไม่แชร์ข้อมูลกับ CISO การปิดบังข้อมูลสำคัญเป็นสัญญาณอันตราย เพราะทำให้ฝ่ายความปลอดภัยไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ 4️⃣ CIO บิดเบือนหรือบล็อกข้อความของ CISO ต่อบอร์ด ทำให้บอร์ดได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วน และลดความน่าเชื่อถือของฝ่ายความปลอดภัย 5️⃣ CISO ไม่ได้รับการมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นในโครงการ IT ความปลอดภัยถูกมองว่าเป็น “ส่วนเสริม” ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของกลยุทธ์หลัก 6️⃣ CIO ไม่ให้ความสำคัญกับ cyber hygiene เช่น การ patch ระบบ, การจัดการรหัสผ่าน, หรือการตรวจสอบความเสี่ยงพื้นฐาน 7️⃣ ไม่มีการสื่อสารตรงและสม่ำเสมอระหว่าง CIO–CISO ขาดการประชุมแบบตัวต่อตัว ทำให้ความเข้าใจร่วมกันลดลง 8️⃣ เกิดการแข่งขันแย่งอำนาจระหว่างสองฝ่าย ทั้งคู่พยายามควบคุมทรัพยากรและการตัดสินใจ ทำให้เกิดความตึงเครียด 9️⃣ ไม่เคารพบทบาทและความรับผิดชอบของกันและกัน CIO อาจมองว่า CISO เป็น “department of no” ขณะที่ CISO มองว่า CIO ไม่สนใจความปลอดภัย 🔟 ไม่สอดคล้องกับ risk appetite ขององค์กร หาก CIO ต้องการความเร็ว แต่ CISO ต้องการความปลอดภัยสูงสุด โดยไม่มีการหาจุดสมดุล 1️⃣1️⃣ ขาดความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ทำให้การทำงานร่วมกันเป็นไปอย่างระแวง ไม่สามารถสร้างทีมที่แข็งแรงได้ 1️⃣2️⃣ บรรยากาศการทำงานแบบ “us vs them” สร้างความรู้สึกเป็นฝ่ายตรงข้ามมากกว่าการร่วมมือเพื่อเป้าหมายองค์กร ✅ แนวทางแก้ไข ➡️ สร้างการสื่อสารตรงและสม่ำเสมอระหว่าง CIO–CISO ➡️ กำหนดบทบาทและความรับผิดชอบให้ชัดเจน ➡️ ปรับทัศนคติของ CISO ให้เป็น business enabler ➡️ สร้างความเข้าใจร่วมกันเรื่อง enterprise risk ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ หาก CIO และ CISO ไม่ร่วมมือกัน องค์กรจะเสี่ยงต่อการโจมตีไซเบอร์ ⛔ การขาด alignment อาจนำไปสู่ความล้มเหลวทั้งด้าน IT และธุรกิจ https://www.csoonline.com/article/4094754/12-signs-the-ciso-cio-relationship-is-broken-and-steps-to-fix-it.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    12 signs the CISO-CIO relationship is broken — and steps to fix it
    A CISO’s success depends on an aligned, resilient partnership with their CIO. Here’s how to tell whether yours is damaged and in need of intentional repair.
    0 Comments 0 Shares 6 Views 0 Reviews
  • วิธีตั้งค่าที่ปลอดภัยในการเก็บสินทรัพย์ดิจิทัล

    บทความจาก Hackread ได้อธิบายแนวทางการจัดเก็บสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างปลอดภัย โดยเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมที่มั่นคง การเลือกกระเป๋าเงินที่เหมาะสม และการปฏิบัติที่รอบคอบในการทำธุรกรรม เพื่อป้องกันการสูญเสียจากการโจมตีหรือความผิดพลาดที่เกิดจากความประมาท

    เริ่มต้นด้วยการตรวจสอบ อุปกรณ์ที่ใช้เข้าถึงสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น โทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ ต้องมั่นใจว่าไม่มีมัลแวร์หรือ keylogger แฝงอยู่ และควรอัปเดตระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์ให้ทันสมัยอยู่เสมอ รวมถึงหลีกเลี่ยงการใช้งานบน Wi-Fi สาธารณะ ที่อาจถูกดักจับข้อมูลได้ง่าย

    ในด้านกระเป๋าเงินดิจิทัล บทความแนะนำให้ใช้ กลยุทธ์ผสมผสานระหว่าง Hot Wallet และ Cold Wallet โดยเก็บจำนวนเล็ก ๆ ไว้ใน Hot Wallet เพื่อความสะดวกในการทำธุรกรรม แต่เก็บสินทรัพย์หลักไว้ใน Cold Wallet ที่ไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อความปลอดภัยสูงสุด พร้อมทั้งปกป้อง Recovery Phrase ด้วยการเขียนเก็บไว้บนกระดาษหรือแผ่นโลหะ และเก็บในที่ปลอดภัย เช่น ตู้เซฟหรือกล่องฝากธนาคาร

    นอกจากนี้ยังเน้นการสร้าง นิสัยที่ปลอดภัยในการทำธุรกรรม เช่น ตรวจสอบที่อยู่ปลายทางทุกครั้งก่อนยืนยัน ใช้เว็บไซต์ที่เชื่อถือได้ และหยุดชั่วคราวหากพบสิ่งผิดปกติ รวมถึงการทบทวนระบบความปลอดภัยเป็นประจำ เพื่อปรับปรุงให้ทันกับภัยคุกคามใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในโลก Web3

    สรุปสาระสำคัญ
    สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย
    อัปเดตระบบและซอฟต์แวร์ให้ทันสมัย
    หลีกเลี่ยงการใช้งานบน Wi-Fi สาธารณะ

    การเลือกกระเป๋าเงินดิจิทัล
    ใช้ Hot Wallet สำหรับธุรกรรมเล็ก ๆ
    เก็บสินทรัพย์หลักใน Cold Wallet

    การปกป้อง Recovery Phrase
    เขียนเก็บไว้บนกระดาษหรือแผ่นโลหะ
    เก็บในตู้เซฟหรือกล่องฝากธนาคาร

    นิสัยที่ปลอดภัยในการทำธุรกรรม
    ตรวจสอบที่อยู่ปลายทางทุกครั้ง
    ใช้เว็บไซต์ที่เชื่อถือได้และหยุดหากพบสิ่งผิดปกติ

    ข้อควรระวัง
    หากอุปกรณ์ติดมัลแวร์ กระเป๋าเงินจะถูกเจาะได้ทันที
    การละเลยการทบทวนระบบความปลอดภัยทำให้เสี่ยงต่อภัยคุกคามใหม่ ๆ

    https://hackread.com/what-secure-setup-looks-storing-digital-assets/
    🔐 วิธีตั้งค่าที่ปลอดภัยในการเก็บสินทรัพย์ดิจิทัล บทความจาก Hackread ได้อธิบายแนวทางการจัดเก็บสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างปลอดภัย โดยเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมที่มั่นคง การเลือกกระเป๋าเงินที่เหมาะสม และการปฏิบัติที่รอบคอบในการทำธุรกรรม เพื่อป้องกันการสูญเสียจากการโจมตีหรือความผิดพลาดที่เกิดจากความประมาท เริ่มต้นด้วยการตรวจสอบ อุปกรณ์ที่ใช้เข้าถึงสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น โทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ ต้องมั่นใจว่าไม่มีมัลแวร์หรือ keylogger แฝงอยู่ และควรอัปเดตระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์ให้ทันสมัยอยู่เสมอ รวมถึงหลีกเลี่ยงการใช้งานบน Wi-Fi สาธารณะ ที่อาจถูกดักจับข้อมูลได้ง่าย ในด้านกระเป๋าเงินดิจิทัล บทความแนะนำให้ใช้ กลยุทธ์ผสมผสานระหว่าง Hot Wallet และ Cold Wallet โดยเก็บจำนวนเล็ก ๆ ไว้ใน Hot Wallet เพื่อความสะดวกในการทำธุรกรรม แต่เก็บสินทรัพย์หลักไว้ใน Cold Wallet ที่ไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อความปลอดภัยสูงสุด พร้อมทั้งปกป้อง Recovery Phrase ด้วยการเขียนเก็บไว้บนกระดาษหรือแผ่นโลหะ และเก็บในที่ปลอดภัย เช่น ตู้เซฟหรือกล่องฝากธนาคาร นอกจากนี้ยังเน้นการสร้าง นิสัยที่ปลอดภัยในการทำธุรกรรม เช่น ตรวจสอบที่อยู่ปลายทางทุกครั้งก่อนยืนยัน ใช้เว็บไซต์ที่เชื่อถือได้ และหยุดชั่วคราวหากพบสิ่งผิดปกติ รวมถึงการทบทวนระบบความปลอดภัยเป็นประจำ เพื่อปรับปรุงให้ทันกับภัยคุกคามใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในโลก Web3 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ➡️ อัปเดตระบบและซอฟต์แวร์ให้ทันสมัย ➡️ หลีกเลี่ยงการใช้งานบน Wi-Fi สาธารณะ ✅ การเลือกกระเป๋าเงินดิจิทัล ➡️ ใช้ Hot Wallet สำหรับธุรกรรมเล็ก ๆ ➡️ เก็บสินทรัพย์หลักใน Cold Wallet ✅ การปกป้อง Recovery Phrase ➡️ เขียนเก็บไว้บนกระดาษหรือแผ่นโลหะ ➡️ เก็บในตู้เซฟหรือกล่องฝากธนาคาร ✅ นิสัยที่ปลอดภัยในการทำธุรกรรม ➡️ ตรวจสอบที่อยู่ปลายทางทุกครั้ง ➡️ ใช้เว็บไซต์ที่เชื่อถือได้และหยุดหากพบสิ่งผิดปกติ ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ หากอุปกรณ์ติดมัลแวร์ กระเป๋าเงินจะถูกเจาะได้ทันที ⛔ การละเลยการทบทวนระบบความปลอดภัยทำให้เสี่ยงต่อภัยคุกคามใหม่ ๆ https://hackread.com/what-secure-setup-looks-storing-digital-assets/
    HACKREAD.COM
    What a Secure Setup Really Looks Like for Storing Digital Assets
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 6 Views 0 Reviews
  • Ubuntu Touch OTA-1.1 มอบ VoLTE ให้ Fairphone 4 และ Volla Phone 22

    UBports Foundation ได้ปล่อยอัปเดต Ubuntu Touch OTA-1.1 สำหรับผู้ใช้บนฐาน Ubuntu 24.04 LTS และ OTA-11 สำหรับผู้ใช้บนฐาน Ubuntu 20.04 LTS โดยมีการปรับปรุงสำคัญทั้งด้านฟีเจอร์และความปลอดภัย ไฮไลต์หลักคือการเพิ่ม VoLTE (Voice over LTE) ให้กับ Fairphone 4 และ Volla Phone 22 ซึ่งช่วยให้การโทรศัพท์มีคุณภาพเสียงที่ดีขึ้นและรองรับเครือข่าย 4G อย่างเต็มรูปแบบ

    นอกจาก VoLTE แล้ว OTA-1.1 ยังปรับปรุง เวลาเริ่มต้นระบบหลังการอัปเกรด, การจัดการ Wi-Fi และ VPN ที่ถูกลบแล้วจะไม่กลับมาอีกหลังรีบูต, รวมถึงการปรับปรุง Wi-Fi hotspot บนอุปกรณ์บางรุ่น อีกทั้งยังแก้ไขบั๊กหลายรายการ เช่น การ crash ของแอป Messaging เมื่อเปิดไฟล์แนบวิดีโอ/เสียง, ปัญหาปฏิทินผิดพลาดในเมนู pull-down, และการไม่แสดง notification badges บน launcher สำหรับ Phone และ Messaging apps

    ด้านความปลอดภัย OTA-1.1 และ OTA-11 ได้แก้ไขช่องโหว่ใน GStreamer multimedia framework ที่อาจถูกใช้โจมตีระบบ จึงแนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดตโดยเร็วที่สุด นอกจากนี้ OTA-11 ยังเพิ่มการรองรับ USB-C headset และแก้ไขปัญหาเสียงไม่หยุดเล่นเมื่อถอดหูฟัง Bluetooth ออก

    การอัปเดตนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ UBports ในการทำให้ Ubuntu Touch เป็นระบบปฏิบัติการมือถือที่มีความเสถียรและปลอดภัยมากขึ้น พร้อมรองรับอุปกรณ์ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการผลักดันระบบปฏิบัติการโอเพนซอร์สสำหรับมือถือให้แข่งขันได้ในตลาดที่ถูกครองโดย Android และ iOS

    สรุปสาระสำคัญ
    ฟีเจอร์ใหม่ใน OTA-1.1
    เพิ่ม VoLTE ให้ Fairphone 4 และ Volla Phone 22
    ปรับปรุงเวลาเริ่มต้นระบบหลังอัปเกรด
    แก้ไขการจัดการ Wi-Fi/VPN และ Wi-Fi hotspot

    การแก้ไขบั๊ก
    แก้ crash ของ Messaging app เมื่อเปิดไฟล์แนบ
    แก้ปัญหาปฏิทินผิดพลาดในเมนู pull-down
    แก้ notification badges ไม่แสดงใน launcher

    การปรับปรุงด้านความปลอดภัย
    แก้ช่องโหว่ใน GStreamer multimedia framework
    OTA-11 เพิ่มการรองรับ USB-C headset และแก้ไขเสียง Bluetooth

    ข้อควรระวัง
    การ rollout OTA อาจใช้เวลาหลายวัน ไม่ใช่ทุกคนจะได้รับอัปเดตพร้อมกัน
    ผู้ใช้ควรตรวจสอบการตั้งค่าและสำรองข้อมูลก่อนอัปเดตเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา

    https://9to5linux.com/ubuntu-touch-ota-1-1-rolls-out-with-volte-support-for-fairphone-4-volla-phone-22
    📱 Ubuntu Touch OTA-1.1 มอบ VoLTE ให้ Fairphone 4 และ Volla Phone 22 UBports Foundation ได้ปล่อยอัปเดต Ubuntu Touch OTA-1.1 สำหรับผู้ใช้บนฐาน Ubuntu 24.04 LTS และ OTA-11 สำหรับผู้ใช้บนฐาน Ubuntu 20.04 LTS โดยมีการปรับปรุงสำคัญทั้งด้านฟีเจอร์และความปลอดภัย ไฮไลต์หลักคือการเพิ่ม VoLTE (Voice over LTE) ให้กับ Fairphone 4 และ Volla Phone 22 ซึ่งช่วยให้การโทรศัพท์มีคุณภาพเสียงที่ดีขึ้นและรองรับเครือข่าย 4G อย่างเต็มรูปแบบ นอกจาก VoLTE แล้ว OTA-1.1 ยังปรับปรุง เวลาเริ่มต้นระบบหลังการอัปเกรด, การจัดการ Wi-Fi และ VPN ที่ถูกลบแล้วจะไม่กลับมาอีกหลังรีบูต, รวมถึงการปรับปรุง Wi-Fi hotspot บนอุปกรณ์บางรุ่น อีกทั้งยังแก้ไขบั๊กหลายรายการ เช่น การ crash ของแอป Messaging เมื่อเปิดไฟล์แนบวิดีโอ/เสียง, ปัญหาปฏิทินผิดพลาดในเมนู pull-down, และการไม่แสดง notification badges บน launcher สำหรับ Phone และ Messaging apps ด้านความปลอดภัย OTA-1.1 และ OTA-11 ได้แก้ไขช่องโหว่ใน GStreamer multimedia framework ที่อาจถูกใช้โจมตีระบบ จึงแนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดตโดยเร็วที่สุด นอกจากนี้ OTA-11 ยังเพิ่มการรองรับ USB-C headset และแก้ไขปัญหาเสียงไม่หยุดเล่นเมื่อถอดหูฟัง Bluetooth ออก การอัปเดตนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ UBports ในการทำให้ Ubuntu Touch เป็นระบบปฏิบัติการมือถือที่มีความเสถียรและปลอดภัยมากขึ้น พร้อมรองรับอุปกรณ์ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการผลักดันระบบปฏิบัติการโอเพนซอร์สสำหรับมือถือให้แข่งขันได้ในตลาดที่ถูกครองโดย Android และ iOS 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน OTA-1.1 ➡️ เพิ่ม VoLTE ให้ Fairphone 4 และ Volla Phone 22 ➡️ ปรับปรุงเวลาเริ่มต้นระบบหลังอัปเกรด ➡️ แก้ไขการจัดการ Wi-Fi/VPN และ Wi-Fi hotspot ✅ การแก้ไขบั๊ก ➡️ แก้ crash ของ Messaging app เมื่อเปิดไฟล์แนบ ➡️ แก้ปัญหาปฏิทินผิดพลาดในเมนู pull-down ➡️ แก้ notification badges ไม่แสดงใน launcher ✅ การปรับปรุงด้านความปลอดภัย ➡️ แก้ช่องโหว่ใน GStreamer multimedia framework ➡️ OTA-11 เพิ่มการรองรับ USB-C headset และแก้ไขเสียง Bluetooth ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ การ rollout OTA อาจใช้เวลาหลายวัน ไม่ใช่ทุกคนจะได้รับอัปเดตพร้อมกัน ⛔ ผู้ใช้ควรตรวจสอบการตั้งค่าและสำรองข้อมูลก่อนอัปเดตเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา https://9to5linux.com/ubuntu-touch-ota-1-1-rolls-out-with-volte-support-for-fairphone-4-volla-phone-22
    9TO5LINUX.COM
    Ubuntu Touch OTA-1.1 Rolls Out with VoLTE Support for Fairphone 4, Volla Phone 22 - 9to5Linux
    Ubuntu Touch OTA 1.1 update is now rolling out with VoLTE support for Fairphone 4 and Volla Phone 22 devices.
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 Reviews
  • GStreamer 1.26.9 อัปเดตครั้งใหญ่ รองรับ DeckLink และ Spotify

    โครงการ GStreamer ได้ปล่อยเวอร์ชัน 1.26.9 ซึ่งเป็นการอัปเดตบำรุงรักษาครั้งที่ 9 ของซีรีส์ 1.26 โดยมุ่งเน้นการปรับปรุงความเสถียรและการรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ ๆ ที่สำคัญ เช่น Blackmagic DeckLink capture cards และ AJA playout รวมถึงการปรับปรุงการทำงานบน macOS และการเชื่อมต่อกับ Spotify ผ่าน extended metadata endpoint

    การอัปเดตนี้ยังแก้ไขปัญหาหลายด้าน เช่น NDI source audio corruption, ปัญหาการทำงานของ playbin3 และ decodebin3, รวมถึงการปรับปรุงระบบ adaptive streaming (HLS และ DASH) ให้มีความเสถียรมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขบั๊กด้าน memory leak และเพิ่มความสามารถในการ cross-compilation สำหรับ Python bindings

    ฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจคือการเพิ่ม property ใหม่ใน gtk4paintablesink เพื่อปรับพฤติกรรมการ reconfigure เมื่อมีการปรับขนาดหน้าต่าง, การเพิ่ม SMPTE ST291-1 ancillary metadata RTP payloader/depayloader, และ ST-2038 metadata combiner/extractor ซึ่งช่วยให้การจัดการสื่อมีความยืดหยุ่นและรองรับมาตรฐานอุตสาหกรรมมากขึ้น

    นอกจากนี้ GStreamer 1.26.9 ยังเพิ่มการรองรับ VA-API hardware-accelerated encoders ใน webrtcsink element และการสนับสนุน Visual Studio 2026 ใน Cerbero build system ถือเป็นการยกระดับทั้งด้านการพัฒนาและการใช้งานจริง ทำให้ GStreamer ยังคงเป็นเฟรมเวิร์กมัลติมีเดียที่ทรงพลังและทันสมัยสำหรับนักพัฒนาและผู้ใช้ทั่วไป

    สรุปสาระสำคัญ
    การรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่
    Blackmagic DeckLink capture cards และ AJA playout
    ปรับปรุง macOS video decoder และ Spotify integration

    การแก้ไขและปรับปรุงระบบ
    แก้ไข NDI source audio corruption และ memory leak
    ปรับปรุง adaptive streaming (HLS/DASH) และ playbin3/decodebin3

    ฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามา
    Property ใหม่ใน gtk4paintablesink สำหรับ window resize
    SMPTE ST291-1 RTP payloader/depayloader และ ST-2038 metadata tools

    การพัฒนาและการสนับสนุนเพิ่มเติม
    รองรับ VA-API encoders ใน webrtcsink
    เพิ่มการสนับสนุน Visual Studio 2026 ใน Cerbero

    ข้อควรระวัง
    ผู้ใช้ที่อัปเดตควรตรวจสอบ compatibility กับปลั๊กอินที่ใช้งานอยู่
    ฟีเจอร์ใหม่บางอย่างอาจยังไม่เสถียรในสภาพแวดล้อมการผลิตจริง

    https://9to5linux.com/gstreamer-1-26-9-improves-support-for-decklink-capture-cards-spotify-integration
    🎶 GStreamer 1.26.9 อัปเดตครั้งใหญ่ รองรับ DeckLink และ Spotify โครงการ GStreamer ได้ปล่อยเวอร์ชัน 1.26.9 ซึ่งเป็นการอัปเดตบำรุงรักษาครั้งที่ 9 ของซีรีส์ 1.26 โดยมุ่งเน้นการปรับปรุงความเสถียรและการรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ ๆ ที่สำคัญ เช่น Blackmagic DeckLink capture cards และ AJA playout รวมถึงการปรับปรุงการทำงานบน macOS และการเชื่อมต่อกับ Spotify ผ่าน extended metadata endpoint การอัปเดตนี้ยังแก้ไขปัญหาหลายด้าน เช่น NDI source audio corruption, ปัญหาการทำงานของ playbin3 และ decodebin3, รวมถึงการปรับปรุงระบบ adaptive streaming (HLS และ DASH) ให้มีความเสถียรมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขบั๊กด้าน memory leak และเพิ่มความสามารถในการ cross-compilation สำหรับ Python bindings ฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจคือการเพิ่ม property ใหม่ใน gtk4paintablesink เพื่อปรับพฤติกรรมการ reconfigure เมื่อมีการปรับขนาดหน้าต่าง, การเพิ่ม SMPTE ST291-1 ancillary metadata RTP payloader/depayloader, และ ST-2038 metadata combiner/extractor ซึ่งช่วยให้การจัดการสื่อมีความยืดหยุ่นและรองรับมาตรฐานอุตสาหกรรมมากขึ้น นอกจากนี้ GStreamer 1.26.9 ยังเพิ่มการรองรับ VA-API hardware-accelerated encoders ใน webrtcsink element และการสนับสนุน Visual Studio 2026 ใน Cerbero build system ถือเป็นการยกระดับทั้งด้านการพัฒนาและการใช้งานจริง ทำให้ GStreamer ยังคงเป็นเฟรมเวิร์กมัลติมีเดียที่ทรงพลังและทันสมัยสำหรับนักพัฒนาและผู้ใช้ทั่วไป 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ ➡️ Blackmagic DeckLink capture cards และ AJA playout ➡️ ปรับปรุง macOS video decoder และ Spotify integration ✅ การแก้ไขและปรับปรุงระบบ ➡️ แก้ไข NDI source audio corruption และ memory leak ➡️ ปรับปรุง adaptive streaming (HLS/DASH) และ playbin3/decodebin3 ✅ ฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามา ➡️ Property ใหม่ใน gtk4paintablesink สำหรับ window resize ➡️ SMPTE ST291-1 RTP payloader/depayloader และ ST-2038 metadata tools ✅ การพัฒนาและการสนับสนุนเพิ่มเติม ➡️ รองรับ VA-API encoders ใน webrtcsink ➡️ เพิ่มการสนับสนุน Visual Studio 2026 ใน Cerbero ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ผู้ใช้ที่อัปเดตควรตรวจสอบ compatibility กับปลั๊กอินที่ใช้งานอยู่ ⛔ ฟีเจอร์ใหม่บางอย่างอาจยังไม่เสถียรในสภาพแวดล้อมการผลิตจริง https://9to5linux.com/gstreamer-1-26-9-improves-support-for-decklink-capture-cards-spotify-integration
    9TO5LINUX.COM
    GStreamer 1.26.9 Improves Support for DeckLink Capture Cards, Spotify Integration - 9to5Linux
    GStreamer 1.26.9 open-source multimedia framework is now available for download with various improvements and bug fixes. Here’s what’s new!
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • Raspberry Pi 5 รุ่นใหม่ มาพร้อม RAM 1GB ราคาเพียง $45

    Raspberry Pi ประกาศเปิดตัวรุ่นใหม่ของ Raspberry Pi 5 ที่มาพร้อม RAM 1GB เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผู้ใช้ที่ต้องการบอร์ดราคาประหยัดสำหรับงานทดลองและโครงการโอเพนซอร์ส โดยรุ่นนี้ยังคงใช้ Broadcom BCM2712 พร้อมซีพียู quad-core Arm Cortex-A76 ความเร็ว 2.4GHz เช่นเดียวกับรุ่น RAM ที่สูงกว่า

    การเปิดตัวครั้งนี้ทำให้ Raspberry Pi 5 มีตัวเลือก RAM ครบตั้งแต่ 1GB, 2GB, 4GB, 8GB ไปจนถึง 16GB ตอบโจทย์ทั้งผู้ใช้ทั่วไป นักพัฒนา และผู้ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสำหรับงานเฉพาะทาง เช่น การประมวลผลภาพหรือการจำลองระบบเสมือน ขณะเดียวกัน Raspberry Pi ยังประกาศปรับขึ้นราคาของบางรุ่นเพื่อรับมือกับต้นทุนหน่วยความจำที่สูงขึ้น

    ในด้านสเปกเพิ่มเติม Raspberry Pi 5 รองรับ dual 4Kp60 HDMI output, VideoCore VII GPU ที่รองรับ Vulkan 1.3 และ OpenGL ES 3.1a รวมถึง PCIe slot สำหรับการขยายอุปกรณ์เสริม นอกจากนี้ยังมี HEVC decoder ที่รองรับการเล่นวิดีโอ 4Kp60 ทำให้บอร์ดเล็ก ๆ นี้สามารถใช้งานได้ทั้งในงานมัลติมีเดียและการพัฒนาเชิงลึก

    แม้การเปิดตัวรุ่น RAM ต่ำจะช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึง Raspberry Pi ได้ง่ายขึ้น แต่การปรับขึ้นราคาของรุ่นอื่น ๆ เช่น Raspberry Pi 4 และ Raspberry Pi 5 รุ่น RAM สูง อาจสร้างแรงกดดันต่อผู้ใช้ที่ต้องการประสิทธิภาพมากขึ้น ถือเป็นการสะท้อนถึงสถานการณ์ตลาดหน่วยความจำที่ตึงตัวในปี 2026

    สรุปสาระสำคัญ
    การเปิดตัวรุ่นใหม่
    Raspberry Pi 5 รุ่น RAM 1GB ราคา $45
    ใช้ซีพียู Broadcom BCM2712 Cortex-A76 2.4GHz

    ตัวเลือก RAM ที่หลากหลาย
    มีตั้งแต่ 1GB, 2GB, 4GB, 8GB จนถึง 16GB
    รองรับการใช้งานตั้งแต่ทั่วไปจนถึงงานประสิทธิภาพสูง

    สเปกเด่นของ Raspberry Pi 5
    Dual 4Kp60 HDMI output และ VideoCore VII GPU
    รองรับ Vulkan 1.3, OpenGL ES 3.1a และ HEVC decoder
    มี PCIe slot สำหรับขยายอุปกรณ์เสริม

    ข้อควรระวังและผลกระทบ
    ราคาของ Raspberry Pi 4 และ 5 รุ่น RAM สูงถูกปรับขึ้น
    ตลาดหน่วยความจำตึงตัว อาจกระทบต่อผู้ใช้ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง

    https://9to5linux.com/raspberry-pi-5-single-board-computer-now-available-with-1gb-ram-for-45-usd
    🖥️ Raspberry Pi 5 รุ่นใหม่ มาพร้อม RAM 1GB ราคาเพียง $45 Raspberry Pi ประกาศเปิดตัวรุ่นใหม่ของ Raspberry Pi 5 ที่มาพร้อม RAM 1GB เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผู้ใช้ที่ต้องการบอร์ดราคาประหยัดสำหรับงานทดลองและโครงการโอเพนซอร์ส โดยรุ่นนี้ยังคงใช้ Broadcom BCM2712 พร้อมซีพียู quad-core Arm Cortex-A76 ความเร็ว 2.4GHz เช่นเดียวกับรุ่น RAM ที่สูงกว่า การเปิดตัวครั้งนี้ทำให้ Raspberry Pi 5 มีตัวเลือก RAM ครบตั้งแต่ 1GB, 2GB, 4GB, 8GB ไปจนถึง 16GB ตอบโจทย์ทั้งผู้ใช้ทั่วไป นักพัฒนา และผู้ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสำหรับงานเฉพาะทาง เช่น การประมวลผลภาพหรือการจำลองระบบเสมือน ขณะเดียวกัน Raspberry Pi ยังประกาศปรับขึ้นราคาของบางรุ่นเพื่อรับมือกับต้นทุนหน่วยความจำที่สูงขึ้น ในด้านสเปกเพิ่มเติม Raspberry Pi 5 รองรับ dual 4Kp60 HDMI output, VideoCore VII GPU ที่รองรับ Vulkan 1.3 และ OpenGL ES 3.1a รวมถึง PCIe slot สำหรับการขยายอุปกรณ์เสริม นอกจากนี้ยังมี HEVC decoder ที่รองรับการเล่นวิดีโอ 4Kp60 ทำให้บอร์ดเล็ก ๆ นี้สามารถใช้งานได้ทั้งในงานมัลติมีเดียและการพัฒนาเชิงลึก แม้การเปิดตัวรุ่น RAM ต่ำจะช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึง Raspberry Pi ได้ง่ายขึ้น แต่การปรับขึ้นราคาของรุ่นอื่น ๆ เช่น Raspberry Pi 4 และ Raspberry Pi 5 รุ่น RAM สูง อาจสร้างแรงกดดันต่อผู้ใช้ที่ต้องการประสิทธิภาพมากขึ้น ถือเป็นการสะท้อนถึงสถานการณ์ตลาดหน่วยความจำที่ตึงตัวในปี 2026 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การเปิดตัวรุ่นใหม่ ➡️ Raspberry Pi 5 รุ่น RAM 1GB ราคา $45 ➡️ ใช้ซีพียู Broadcom BCM2712 Cortex-A76 2.4GHz ✅ ตัวเลือก RAM ที่หลากหลาย ➡️ มีตั้งแต่ 1GB, 2GB, 4GB, 8GB จนถึง 16GB ➡️ รองรับการใช้งานตั้งแต่ทั่วไปจนถึงงานประสิทธิภาพสูง ✅ สเปกเด่นของ Raspberry Pi 5 ➡️ Dual 4Kp60 HDMI output และ VideoCore VII GPU ➡️ รองรับ Vulkan 1.3, OpenGL ES 3.1a และ HEVC decoder ➡️ มี PCIe slot สำหรับขยายอุปกรณ์เสริม ‼️ ข้อควรระวังและผลกระทบ ⛔ ราคาของ Raspberry Pi 4 และ 5 รุ่น RAM สูงถูกปรับขึ้น ⛔ ตลาดหน่วยความจำตึงตัว อาจกระทบต่อผู้ใช้ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง https://9to5linux.com/raspberry-pi-5-single-board-computer-now-available-with-1gb-ram-for-45-usd
    9TO5LINUX.COM
    Raspberry Pi 5 Single-Board Computer Now Available with 1GB RAM for $45 USD - 9to5Linux
    Raspberry Pi 5 single-board computer is now available with 1GB RAM for $45 USD with dual-band Wi-Fi and PCI Express port.
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 Reviews
  • GNU Linux-Libre 6.18 Kernel สำหรับสายเสรีภาพซอฟต์แวร์

    โครงการ GNU Linux-Libre ประกาศเปิดตัว Kernel รุ่น 6.18 ซึ่งพัฒนาต่อยอดจาก Linux Kernel 6.18 โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ใช้ที่รักเสรีภาพซอฟต์แวร์สามารถใช้งานระบบที่ 100% ปราศจากโค้ด proprietary ได้อย่างมั่นใจ การอัปเดตครั้งนี้เน้นการทำความสะอาด (deblob) ไดรเวอร์ใหม่ ๆ ที่ถูกเพิ่มเข้ามาใน Linux 6.18 เช่น FourSemi digital audio amplifier, TI TAS2783 speaker amplifier, และ Qualcomm GENI Serial Engine

    นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงการทำความสะอาดสำหรับไดรเวอร์ที่มีการเปลี่ยนแปลง upstream เช่น Nova-Core, Intel XE, TI PRU Ethernet, และ Marvell WiFi-Ex รวมถึงการถอดการ deblob ของ TI WL1273 FM Radio driver เนื่องจากถูกลบออกไปแล้วใน upstream และการปรับตำแหน่ง deblob สำหรับ Lantiq GSWIP driver

    การอัปเดตยังครอบคลุมการทำความสะอาด devicetree files สำหรับอุปกรณ์จาก Qualcomm, Mediatek และ TI ARM64 ซึ่งช่วยให้ระบบ GNU/Linux ที่ใช้ Kernel นี้สามารถทำงานได้โดยไม่พึ่งพาโค้ด proprietary ใด ๆ ถือเป็นการยกระดับความเข้มงวดในการรักษาเสรีภาพของผู้ใช้และนักพัฒนา

    ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลด compressed tarballs ของ GNU Linux-Libre 6.18 ได้จากเว็บไซต์ทางการ รวมถึงมีแพ็กเกจพร้อมใช้งานสำหรับดิสโทรสาย Debian (DEB) และ Red Hat (RPM) ผ่านโครงการ Freesh และ RPM Freedom ทำให้สามารถติดตั้งได้แทบทุกดิสโทร ไม่ว่าจะใช้แทน Kernel มาตรฐานหรือใช้งานควบคู่กัน

    สรุปสาระสำคัญ
    การทำความสะอาดไดรเวอร์ใหม่
    FourSemi digital audio amplifier
    TI TAS2783 speaker amplifier
    Qualcomm GENI Serial Engine

    การปรับปรุง deblob ไดรเวอร์เดิม
    Nova-Core, Intel XE, TI PRU Ethernet, Marvell WiFi-Ex
    TI WL1273 FM Radio driver ถูกถอดออก upstream
    Lantiq GSWIP driver ปรับตำแหน่ง deblob

    การทำความสะอาด devicetree files
    Qualcomm, Mediatek และ TI ARM64 devices

    การเผยแพร่และติดตั้ง
    มี compressed tarballs ให้ดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ทางการ
    มีแพ็กเกจ DEB และ RPM ผ่าน Freesh และ RPM Freedom

    ข้อควรระวัง
    ผู้ใช้ที่ต้องการไดรเวอร์ proprietary อาจพบข้อจำกัดในการใช้งาน
    การใช้ Kernel นี้เหมาะกับผู้ที่ต้องการระบบ 100% free software เท่านั้น

    https://9to5linux.com/gnu-linux-libre-6-18-kernel-released-for-software-freedom-lovers
    🐧 GNU Linux-Libre 6.18 Kernel สำหรับสายเสรีภาพซอฟต์แวร์ โครงการ GNU Linux-Libre ประกาศเปิดตัว Kernel รุ่น 6.18 ซึ่งพัฒนาต่อยอดจาก Linux Kernel 6.18 โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ใช้ที่รักเสรีภาพซอฟต์แวร์สามารถใช้งานระบบที่ 100% ปราศจากโค้ด proprietary ได้อย่างมั่นใจ การอัปเดตครั้งนี้เน้นการทำความสะอาด (deblob) ไดรเวอร์ใหม่ ๆ ที่ถูกเพิ่มเข้ามาใน Linux 6.18 เช่น FourSemi digital audio amplifier, TI TAS2783 speaker amplifier, และ Qualcomm GENI Serial Engine นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงการทำความสะอาดสำหรับไดรเวอร์ที่มีการเปลี่ยนแปลง upstream เช่น Nova-Core, Intel XE, TI PRU Ethernet, และ Marvell WiFi-Ex รวมถึงการถอดการ deblob ของ TI WL1273 FM Radio driver เนื่องจากถูกลบออกไปแล้วใน upstream และการปรับตำแหน่ง deblob สำหรับ Lantiq GSWIP driver การอัปเดตยังครอบคลุมการทำความสะอาด devicetree files สำหรับอุปกรณ์จาก Qualcomm, Mediatek และ TI ARM64 ซึ่งช่วยให้ระบบ GNU/Linux ที่ใช้ Kernel นี้สามารถทำงานได้โดยไม่พึ่งพาโค้ด proprietary ใด ๆ ถือเป็นการยกระดับความเข้มงวดในการรักษาเสรีภาพของผู้ใช้และนักพัฒนา ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลด compressed tarballs ของ GNU Linux-Libre 6.18 ได้จากเว็บไซต์ทางการ รวมถึงมีแพ็กเกจพร้อมใช้งานสำหรับดิสโทรสาย Debian (DEB) และ Red Hat (RPM) ผ่านโครงการ Freesh และ RPM Freedom ทำให้สามารถติดตั้งได้แทบทุกดิสโทร ไม่ว่าจะใช้แทน Kernel มาตรฐานหรือใช้งานควบคู่กัน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การทำความสะอาดไดรเวอร์ใหม่ ➡️ FourSemi digital audio amplifier ➡️ TI TAS2783 speaker amplifier ➡️ Qualcomm GENI Serial Engine ✅ การปรับปรุง deblob ไดรเวอร์เดิม ➡️ Nova-Core, Intel XE, TI PRU Ethernet, Marvell WiFi-Ex ➡️ TI WL1273 FM Radio driver ถูกถอดออก upstream ➡️ Lantiq GSWIP driver ปรับตำแหน่ง deblob ✅ การทำความสะอาด devicetree files ➡️ Qualcomm, Mediatek และ TI ARM64 devices ✅ การเผยแพร่และติดตั้ง ➡️ มี compressed tarballs ให้ดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ทางการ ➡️ มีแพ็กเกจ DEB และ RPM ผ่าน Freesh และ RPM Freedom ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ผู้ใช้ที่ต้องการไดรเวอร์ proprietary อาจพบข้อจำกัดในการใช้งาน ⛔ การใช้ Kernel นี้เหมาะกับผู้ที่ต้องการระบบ 100% free software เท่านั้น https://9to5linux.com/gnu-linux-libre-6-18-kernel-released-for-software-freedom-lovers
    9TO5LINUX.COM
    GNU Linux-Libre 6.18 Kernel Released for Software Freedom Lovers - 9to5Linux
    GNU Linux-libre 6.18 kernel is now available for download based on Linux kernel 6.18 targeted at those who seek 100% freedom for their PCs.
    0 Comments 0 Shares 8 Views 0 Reviews
  • Fwupd 2.0.18 เสริมพลัง Linux รองรับ Lenovo Legion Go 2

    Fwupd 2.0.18 ถือเป็นการอัปเดตครั้งสำคัญของเครื่องมือ Linux Firmware Updater ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดการและอัปเดตเฟิร์มแวร์อุปกรณ์ได้อย่างง่ายดาย โดยในเวอร์ชันนี้ได้เพิ่มการรองรับ Lenovo Legion Go 2 ซึ่งเป็นเครื่องเกมพกพารุ่นใหม่ รวมถึงอุปกรณ์เสริมอย่าง HP USB-C 4K HDMI Hub และ Synaptics HapticsPad ทำให้ผู้ใช้สามารถมั่นใจได้ว่าอุปกรณ์ใหม่ ๆ จะได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง

    นอกจากการรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่แล้ว Fwupd 2.0.18 ยังมีการปรับปรุงระบบ เช่น การสร้างไฟล์ reboot-required เมื่อเฟิร์มแวร์ต้องการรีบูต, การบันทึกสถานะระบบสำหรับการจำลอง composite, และ การอัปเดตเฟิร์มแวร์ USI docking station โดยไม่ต้องถอดเสียบใหม่ สิ่งเหล่านี้ช่วยให้การอัปเดตเฟิร์มแวร์มีความราบรื่นและลดความยุ่งยากสำหรับผู้ใช้ทั่วไป

    ในด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพ Fwupd ได้เพิ่มการตรวจสอบ Intel SPI BIOS lock, ปรับปรุงความเร็วในการค้นหา firmware stream, และแก้ไขบั๊กหลายรายการ เช่น การ parsing USB BOS descriptors และการ crash ที่เกิดขึ้นระหว่างการจำลอง i2c นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงให้ทำงานได้ดีขึ้นบนระบบที่ไม่รองรับ Secure Boot และเพิ่มการรองรับสถาปัตยกรรม RISC-V อีกด้วย

    การอัปเดตครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของโครงการ Fwupd ที่จะทำให้ Linux เป็นระบบที่สามารถจัดการเฟิร์มแวร์ได้อย่างมีมาตรฐานและปลอดภัยมากขึ้น ถือเป็นอีกก้าวสำคัญที่ช่วยให้ผู้ใช้ Linux มีประสบการณ์ที่ใกล้เคียงกับระบบเชิงพาณิชย์ในด้านการดูแลอุปกรณ์

    สรุปสาระสำคัญ
    การรองรับอุปกรณ์ใหม่
    Lenovo Legion Go 2
    HP Portable USB-C 4K HDMI Hub
    Synaptics HapticsPad

    ฟีเจอร์ใหม่และปรับปรุง
    สร้างไฟล์ reboot-required เมื่อจำเป็น
    บันทึกสถานะระบบสำหรับ composite emulation
    อัปเดต USI docking station โดยไม่ต้อง replug

    การปรับปรุงด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
    ตรวจสอบ Intel SPI BIOS lock
    ปรับปรุงความเร็ว firmware stream searching
    รองรับสถาปัตยกรรม RISC-V

    ข้อควรระวัง
    ผู้ใช้ควรอัปเดตจาก repository ที่เชื่อถือได้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาความปลอดภัย
    ฟีเจอร์ใหม่บางอย่างอาจยังไม่เสถียรบนบางดิสโทร ควรทดสอบก่อนใช้งานจริง

    https://9to5linux.com/fwupd-2-0-18-linux-firmware-updater-adds-support-for-lenovo-legion-go-2
    🔧 Fwupd 2.0.18 เสริมพลัง Linux รองรับ Lenovo Legion Go 2 Fwupd 2.0.18 ถือเป็นการอัปเดตครั้งสำคัญของเครื่องมือ Linux Firmware Updater ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดการและอัปเดตเฟิร์มแวร์อุปกรณ์ได้อย่างง่ายดาย โดยในเวอร์ชันนี้ได้เพิ่มการรองรับ Lenovo Legion Go 2 ซึ่งเป็นเครื่องเกมพกพารุ่นใหม่ รวมถึงอุปกรณ์เสริมอย่าง HP USB-C 4K HDMI Hub และ Synaptics HapticsPad ทำให้ผู้ใช้สามารถมั่นใจได้ว่าอุปกรณ์ใหม่ ๆ จะได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง นอกจากการรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่แล้ว Fwupd 2.0.18 ยังมีการปรับปรุงระบบ เช่น การสร้างไฟล์ reboot-required เมื่อเฟิร์มแวร์ต้องการรีบูต, การบันทึกสถานะระบบสำหรับการจำลอง composite, และ การอัปเดตเฟิร์มแวร์ USI docking station โดยไม่ต้องถอดเสียบใหม่ สิ่งเหล่านี้ช่วยให้การอัปเดตเฟิร์มแวร์มีความราบรื่นและลดความยุ่งยากสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ในด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพ Fwupd ได้เพิ่มการตรวจสอบ Intel SPI BIOS lock, ปรับปรุงความเร็วในการค้นหา firmware stream, และแก้ไขบั๊กหลายรายการ เช่น การ parsing USB BOS descriptors และการ crash ที่เกิดขึ้นระหว่างการจำลอง i2c นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงให้ทำงานได้ดีขึ้นบนระบบที่ไม่รองรับ Secure Boot และเพิ่มการรองรับสถาปัตยกรรม RISC-V อีกด้วย การอัปเดตครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของโครงการ Fwupd ที่จะทำให้ Linux เป็นระบบที่สามารถจัดการเฟิร์มแวร์ได้อย่างมีมาตรฐานและปลอดภัยมากขึ้น ถือเป็นอีกก้าวสำคัญที่ช่วยให้ผู้ใช้ Linux มีประสบการณ์ที่ใกล้เคียงกับระบบเชิงพาณิชย์ในด้านการดูแลอุปกรณ์ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การรองรับอุปกรณ์ใหม่ ➡️ Lenovo Legion Go 2 ➡️ HP Portable USB-C 4K HDMI Hub ➡️ Synaptics HapticsPad ✅ ฟีเจอร์ใหม่และปรับปรุง ➡️ สร้างไฟล์ reboot-required เมื่อจำเป็น ➡️ บันทึกสถานะระบบสำหรับ composite emulation ➡️ อัปเดต USI docking station โดยไม่ต้อง replug ✅ การปรับปรุงด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพ ➡️ ตรวจสอบ Intel SPI BIOS lock ➡️ ปรับปรุงความเร็ว firmware stream searching ➡️ รองรับสถาปัตยกรรม RISC-V ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ผู้ใช้ควรอัปเดตจาก repository ที่เชื่อถือได้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาความปลอดภัย ⛔ ฟีเจอร์ใหม่บางอย่างอาจยังไม่เสถียรบนบางดิสโทร ควรทดสอบก่อนใช้งานจริง https://9to5linux.com/fwupd-2-0-18-linux-firmware-updater-adds-support-for-lenovo-legion-go-2
    9TO5LINUX.COM
    Fwupd 2.0.18 Linux Firmware Updater Adds Support for Lenovo Legion Go 2 - 9to5Linux
    Fwupd 2.0.18 Linux firmware updater is now available for download with support for Lenovo Legion Go 2 and HP Portable USB-C 4K HDMI hub.
    0 Comments 0 Shares 5 Views 0 Reviews
  • Linux Kernel 6.18 เปิดตัว พร้อมลุ้นเป็น LTS ประจำปี 2025

    Linux Kernel 6.18 ได้รับการปล่อยออกมาแล้ว โดยมีการปรับปรุงครั้งใหญ่ทั้งด้าน ฮาร์ดแวร์ใหม่, ระบบไฟล์, และความปลอดภัย ซึ่ง Linus Torvalds ยืนยันว่าแม้จะมี “เสียงรบกวนจากบั๊กฟิกซ์” มากกว่าที่คาด แต่ก็ไม่มีปัญหาที่ต้องเลื่อนการเปิดตัว ทำให้เวอร์ชันนี้ถูกมองว่าอาจกลายเป็น Long-Term Support (LTS) ของปี 2025

    หนึ่งในไฮไลต์คือการรองรับ Intel Wildcat Lake CPUs และ Panther Lake SoC Power Slider ที่ช่วยให้ผู้ใช้เลือกโหมดพลังงานได้ตามต้องการ รวมถึงการปรับปรุง Intel P-State driver และการรองรับ Intel TDX สำหรับงานด้านความปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีการเพิ่ม Device Tree สำหรับ Apple M2 Pro/Max/Ultra และโน้ตบุ๊ก Snapdragon X1 หลายรุ่น ทำให้การใช้งาน Linux บนฮาร์ดแวร์ใหม่ ๆ ราบรื่นขึ้น

    ฝั่ง AMD ก็มีการปรับปรุงสำคัญ เช่น การรองรับ EPYC Venice processors และการแก้ไขบั๊กที่กระทบ VM ขนาดใหญ่ รวมถึงการเพิ่มฟีเจอร์ Secure AVIC สำหรับ SEV-SNP VM ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน Linux 6.18 ยังเปิดตัว Tyr driver ที่เขียนด้วย Rust สำหรับ GPU Arm Mali CSF ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของการนำ Rust มาใช้ใน Kernel

    ด้านระบบไฟล์ก็มีการเปลี่ยนแปลง เช่น Bcachefs ถูกถอดออกจาก mainline หลังเกิดความขัดแย้งกับ Linus Torvalds, Btrfs ได้รับการเร่งความเร็ว ในงานอ่านข้อมูลหนัก ๆ, และ XFS เปิดใช้งานการตรวจสอบไฟล์ระบบออนไลน์โดยค่าเริ่มต้น ซึ่งช่วยเพิ่มความเสถียรและความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งาน

    สรุปสาระสำคัญ
    การรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่
    Intel Wildcat Lake CPUs และ Panther Lake SoC Power Slider
    Apple M2 Pro/Max/Ultra และโน้ตบุ๊ก Snapdragon X1

    การปรับปรุงฝั่ง AMD
    รองรับ EPYC Venice processors และ SEV-SNP VM
    แก้ไขบั๊ก VM ขนาดใหญ่และเพิ่ม Secure AVIC

    การพัฒนา GPU และ Rust
    เปิดตัว Tyr driver สำหรับ Arm Mali CSF GPUs
    เป็น Rust-based driver ที่ยังอยู่ในขั้นทดลอง

    การเปลี่ยนแปลงระบบไฟล์
    Bcachefs ถูกถอดออกจาก mainline
    Btrfs เร็วขึ้น และ XFS เปิดใช้งานตรวจสอบออนไลน์

    คำเตือนและความเสี่ยง
    ผู้ใช้ที่พึ่งพา Bcachefs ต้องใช้ DKMS module แทน
    ฟีเจอร์ใหม่บางอย่างยังอยู่ในขั้นทดลอง อาจไม่เสถียรในงานจริง

    https://itsfoss.com/news/linux-kernel-6-18/
    🐧 Linux Kernel 6.18 เปิดตัว พร้อมลุ้นเป็น LTS ประจำปี 2025 Linux Kernel 6.18 ได้รับการปล่อยออกมาแล้ว โดยมีการปรับปรุงครั้งใหญ่ทั้งด้าน ฮาร์ดแวร์ใหม่, ระบบไฟล์, และความปลอดภัย ซึ่ง Linus Torvalds ยืนยันว่าแม้จะมี “เสียงรบกวนจากบั๊กฟิกซ์” มากกว่าที่คาด แต่ก็ไม่มีปัญหาที่ต้องเลื่อนการเปิดตัว ทำให้เวอร์ชันนี้ถูกมองว่าอาจกลายเป็น Long-Term Support (LTS) ของปี 2025 หนึ่งในไฮไลต์คือการรองรับ Intel Wildcat Lake CPUs และ Panther Lake SoC Power Slider ที่ช่วยให้ผู้ใช้เลือกโหมดพลังงานได้ตามต้องการ รวมถึงการปรับปรุง Intel P-State driver และการรองรับ Intel TDX สำหรับงานด้านความปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีการเพิ่ม Device Tree สำหรับ Apple M2 Pro/Max/Ultra และโน้ตบุ๊ก Snapdragon X1 หลายรุ่น ทำให้การใช้งาน Linux บนฮาร์ดแวร์ใหม่ ๆ ราบรื่นขึ้น ฝั่ง AMD ก็มีการปรับปรุงสำคัญ เช่น การรองรับ EPYC Venice processors และการแก้ไขบั๊กที่กระทบ VM ขนาดใหญ่ รวมถึงการเพิ่มฟีเจอร์ Secure AVIC สำหรับ SEV-SNP VM ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน Linux 6.18 ยังเปิดตัว Tyr driver ที่เขียนด้วย Rust สำหรับ GPU Arm Mali CSF ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของการนำ Rust มาใช้ใน Kernel ด้านระบบไฟล์ก็มีการเปลี่ยนแปลง เช่น Bcachefs ถูกถอดออกจาก mainline หลังเกิดความขัดแย้งกับ Linus Torvalds, Btrfs ได้รับการเร่งความเร็ว ในงานอ่านข้อมูลหนัก ๆ, และ XFS เปิดใช้งานการตรวจสอบไฟล์ระบบออนไลน์โดยค่าเริ่มต้น ซึ่งช่วยเพิ่มความเสถียรและความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งาน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ ➡️ Intel Wildcat Lake CPUs และ Panther Lake SoC Power Slider ➡️ Apple M2 Pro/Max/Ultra และโน้ตบุ๊ก Snapdragon X1 ✅ การปรับปรุงฝั่ง AMD ➡️ รองรับ EPYC Venice processors และ SEV-SNP VM ➡️ แก้ไขบั๊ก VM ขนาดใหญ่และเพิ่ม Secure AVIC ✅ การพัฒนา GPU และ Rust ➡️ เปิดตัว Tyr driver สำหรับ Arm Mali CSF GPUs ➡️ เป็น Rust-based driver ที่ยังอยู่ในขั้นทดลอง ✅ การเปลี่ยนแปลงระบบไฟล์ ➡️ Bcachefs ถูกถอดออกจาก mainline ➡️ Btrfs เร็วขึ้น และ XFS เปิดใช้งานตรวจสอบออนไลน์ ‼️ คำเตือนและความเสี่ยง ⛔ ผู้ใช้ที่พึ่งพา Bcachefs ต้องใช้ DKMS module แทน ⛔ ฟีเจอร์ใหม่บางอย่างยังอยู่ในขั้นทดลอง อาจไม่เสถียรในงานจริง https://itsfoss.com/news/linux-kernel-6-18/
    0 Comments 0 Shares 6 Views 0 Reviews
  • ศึกชิปขั้นสูง Apple ปะทะ NVIDIA แย่งชิงกำลังผลิต TSMC A16

    ความต้องการด้านการประมวลผล AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ทำให้กำลังการผลิตชิปขั้นสูงของ TSMC กลายเป็นสมรภูมิแข่งขันที่ร้อนแรงที่สุดในโลกเทคโนโลยี โดยเฉพาะ A16 และ A14 nodes ที่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการประมวลผลระดับ Angstrom-class ซึ่งมีความหนาแน่นทรานซิสเตอร์สูงและประสิทธิภาพเหนือกว่า 3nm รุ่นปัจจุบัน

    Apple ในฐานะลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของ TSMC ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่ไม่เคยมีมาก่อนจาก NVIDIA ซึ่งกำลังเร่งขยายกำลังผลิตเพื่อรองรับความต้องการ GPU สำหรับ AI และ Data Center ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้นยังมีคู่แข่งรายอื่นอย่าง AMD และ MediaTek ที่พร้อมเข้าร่วมแย่งชิงกำลังผลิตเช่นกัน

    นักวิเคราะห์ชื่อดัง Ming-Chi Kuo ระบุว่า Apple กำลังพิจารณาความร่วมมือกับ Intel Foundry โดยใช้กระบวนการผลิต 18AP สำหรับชิป M-series ระดับเริ่มต้น เช่น iPad และ MacBook Air เพื่อกระจายความเสี่ยงด้านซัพพลายเชน และสงวนกำลังผลิต A16 ของ TSMC สำหรับสินค้าระดับพรีเมียมอย่าง iPhone Pro และ MacBook รุ่นสูง

    การเคลื่อนไหวนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ Apple ลดความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และการพึ่งพา TSMC แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญของ Intel ที่จะพิสูจน์ความสามารถในการกลับมาแข่งขันในตลาด Foundry อีกครั้ง หาก Intel สามารถตอบโจทย์ Apple ได้ จะเป็นการยกระดับความน่าเชื่อถือและสร้างแรงกดดันต่อ TSMC ในระยะยาว

    สรุปสาระสำคัญ
    การแข่งขันกำลังผลิตชิปขั้นสูง
    Apple และ NVIDIA แย่งชิงกำลังผลิต A16 และ A14 ของ TSMC
    AMD และ MediaTek ก็เข้าร่วมแข่งขันเช่นกัน

    กลยุทธ์ของ Apple
    พิจารณาความร่วมมือกับ Intel Foundry ใช้ 18AP สำหรับชิป M-series ระดับเริ่มต้น
    สงวนกำลังผลิต A16 ของ TSMC สำหรับ iPhone Pro และ MacBook รุ่นสูง

    โอกาสของ Intel
    หากร่วมมือกับ Apple จะเป็นการยืนยันศักยภาพ Foundry ของ Intel
    เพิ่มแรงกดดันต่อ TSMC ในตลาดโลก

    ความเสี่ยงและคำเตือน
    ความต้องการ AI อาจทำให้ซัพพลายเชนตึงตัวและราคาชิปสูงขึ้น
    การแข่งขันรุนแรงอาจส่งผลกระทบต่อการจัดหาชิปของผู้ผลิตรายเล็ก

    https://securityonline.info/semiconductor-showdown-apple-and-nvidia-battle-for-tsmcs-a16-capacity/
    ⚔️ ศึกชิปขั้นสูง Apple ปะทะ NVIDIA แย่งชิงกำลังผลิต TSMC A16 ความต้องการด้านการประมวลผล AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ทำให้กำลังการผลิตชิปขั้นสูงของ TSMC กลายเป็นสมรภูมิแข่งขันที่ร้อนแรงที่สุดในโลกเทคโนโลยี โดยเฉพาะ A16 และ A14 nodes ที่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการประมวลผลระดับ Angstrom-class ซึ่งมีความหนาแน่นทรานซิสเตอร์สูงและประสิทธิภาพเหนือกว่า 3nm รุ่นปัจจุบัน Apple ในฐานะลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของ TSMC ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่ไม่เคยมีมาก่อนจาก NVIDIA ซึ่งกำลังเร่งขยายกำลังผลิตเพื่อรองรับความต้องการ GPU สำหรับ AI และ Data Center ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้นยังมีคู่แข่งรายอื่นอย่าง AMD และ MediaTek ที่พร้อมเข้าร่วมแย่งชิงกำลังผลิตเช่นกัน นักวิเคราะห์ชื่อดัง Ming-Chi Kuo ระบุว่า Apple กำลังพิจารณาความร่วมมือกับ Intel Foundry โดยใช้กระบวนการผลิต 18AP สำหรับชิป M-series ระดับเริ่มต้น เช่น iPad และ MacBook Air เพื่อกระจายความเสี่ยงด้านซัพพลายเชน และสงวนกำลังผลิต A16 ของ TSMC สำหรับสินค้าระดับพรีเมียมอย่าง iPhone Pro และ MacBook รุ่นสูง การเคลื่อนไหวนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ Apple ลดความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และการพึ่งพา TSMC แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญของ Intel ที่จะพิสูจน์ความสามารถในการกลับมาแข่งขันในตลาด Foundry อีกครั้ง หาก Intel สามารถตอบโจทย์ Apple ได้ จะเป็นการยกระดับความน่าเชื่อถือและสร้างแรงกดดันต่อ TSMC ในระยะยาว 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การแข่งขันกำลังผลิตชิปขั้นสูง ➡️ Apple และ NVIDIA แย่งชิงกำลังผลิต A16 และ A14 ของ TSMC ➡️ AMD และ MediaTek ก็เข้าร่วมแข่งขันเช่นกัน ✅ กลยุทธ์ของ Apple ➡️ พิจารณาความร่วมมือกับ Intel Foundry ใช้ 18AP สำหรับชิป M-series ระดับเริ่มต้น ➡️ สงวนกำลังผลิต A16 ของ TSMC สำหรับ iPhone Pro และ MacBook รุ่นสูง ✅ โอกาสของ Intel ➡️ หากร่วมมือกับ Apple จะเป็นการยืนยันศักยภาพ Foundry ของ Intel ➡️ เพิ่มแรงกดดันต่อ TSMC ในตลาดโลก ‼️ ความเสี่ยงและคำเตือน ⛔ ความต้องการ AI อาจทำให้ซัพพลายเชนตึงตัวและราคาชิปสูงขึ้น ⛔ การแข่งขันรุนแรงอาจส่งผลกระทบต่อการจัดหาชิปของผู้ผลิตรายเล็ก https://securityonline.info/semiconductor-showdown-apple-and-nvidia-battle-for-tsmcs-a16-capacity/
    SECURITYONLINE.INFO
    Semiconductor Showdown: Apple and NVIDIA Battle for TSMC's A16 Capacity
    Apple and NVIDIA are fiercely competing for TSMC's next-gen A16/A14 capacity. To mitigate risk, Apple is exploring using Intel's 18AP process for entry-level M-series chips.
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 Reviews
  • APT36 โจมตี BOSS Linux ด้วย “Silent Shortcuts”

    กลุ่ม APT36 ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับรัฐ ได้เปลี่ยนกลยุทธ์จากการโจมตี Windows มาสู่การเจาะระบบ Linux โดยเฉพาะ BOSS Linux ที่ใช้ในหน่วยงานรัฐบาลอินเดีย การโจมตีเริ่มต้นจาก อีเมลฟิชชิ่ง ที่แนบไฟล์ ZIP ซึ่งภายในมีไฟล์ลัด .desktop ปลอมแปลงเป็นเอกสาร เมื่อเหยื่อเปิดไฟล์ ระบบจะดาวน์โหลดมัลแวร์และติดตั้งโดยไม่ให้ผู้ใช้สงสัย

    มัลแวร์นี้ใช้วิธี แสดงเอกสาร PDF หลอก เพื่อเบี่ยงความสนใจ ขณะเดียวกันเบื้องหลังจะดาวน์โหลดไฟล์ ELF และสคริปต์ที่ช่วยให้มัลแวร์ฝังตัวในระบบผ่าน systemd service โดยไม่ต้องใช้สิทธิ์ root ทำให้สามารถอยู่ในเครื่องได้อย่างต่อเนื่อง

    สิ่งที่น่ากังวลคือ Payload หลักเป็น Python-based RAT (Remote Administration Tool) ที่สามารถทำงานได้ทั้งบน Linux และ Windows มันมีความสามารถในการ สั่งรันคำสั่ง, ขโมยไฟล์, และจับภาพหน้าจอ เพื่อสอดแนมกิจกรรมของเหยื่อแบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ยังมีการใช้เซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) ที่ตั้งอยู่ในต่างประเทศเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ

    การโจมตีครั้งนี้สะท้อนถึงการพัฒนาความซับซ้อนของ APT36 ที่หันมาเจาะระบบปฏิบัติการท้องถิ่นของรัฐบาลอินเดียโดยตรง ถือเป็นการยกระดับการสอดแนมเชิงกลยุทธ์ และเป็นสัญญาณเตือนว่าภัยคุกคามไซเบอร์กำลังขยายขอบเขตไปยังแพลตฟอร์มที่เคยถูกมองว่าปลอดภัยกว่า

    สรุปสาระสำคัญ
    วิธีการโจมตี
    ใช้อีเมลฟิชชิ่งแนบไฟล์ ZIP ที่มีไฟล์ .desktop ปลอม
    เปิดไฟล์แล้วดาวน์โหลดมัลแวร์และแสดง PDF หลอก

    เทคนิคการฝังตัว
    ใช้ systemd service เพื่อรันมัลแวร์โดยไม่ต้องใช้ root
    ซ่อนตัวในโฟลเดอร์ผู้ใช้ เช่น ~/.swcbc

    ความสามารถของมัลแวร์
    เป็น Python-based RAT ที่ทำงานได้ทั้ง Linux และ Windows
    สามารถรันคำสั่ง, ขโมยไฟล์, และจับภาพหน้าจอ

    ความเสี่ยงและคำเตือน
    หน่วยงานรัฐบาลอินเดียเสี่ยงถูกสอดแนมข้อมูลสำคัญ
    การใช้ไฟล์ลัดปลอมเป็นเทคนิคใหม่ที่ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่ทันระวัง

    https://securityonline.info/the-boss-breach-apt36-pivots-to-linux-espionage-with-silent-shortcuts/
    🖥️ APT36 โจมตี BOSS Linux ด้วย “Silent Shortcuts” กลุ่ม APT36 ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับรัฐ ได้เปลี่ยนกลยุทธ์จากการโจมตี Windows มาสู่การเจาะระบบ Linux โดยเฉพาะ BOSS Linux ที่ใช้ในหน่วยงานรัฐบาลอินเดีย การโจมตีเริ่มต้นจาก อีเมลฟิชชิ่ง ที่แนบไฟล์ ZIP ซึ่งภายในมีไฟล์ลัด .desktop ปลอมแปลงเป็นเอกสาร เมื่อเหยื่อเปิดไฟล์ ระบบจะดาวน์โหลดมัลแวร์และติดตั้งโดยไม่ให้ผู้ใช้สงสัย มัลแวร์นี้ใช้วิธี แสดงเอกสาร PDF หลอก เพื่อเบี่ยงความสนใจ ขณะเดียวกันเบื้องหลังจะดาวน์โหลดไฟล์ ELF และสคริปต์ที่ช่วยให้มัลแวร์ฝังตัวในระบบผ่าน systemd service โดยไม่ต้องใช้สิทธิ์ root ทำให้สามารถอยู่ในเครื่องได้อย่างต่อเนื่อง สิ่งที่น่ากังวลคือ Payload หลักเป็น Python-based RAT (Remote Administration Tool) ที่สามารถทำงานได้ทั้งบน Linux และ Windows มันมีความสามารถในการ สั่งรันคำสั่ง, ขโมยไฟล์, และจับภาพหน้าจอ เพื่อสอดแนมกิจกรรมของเหยื่อแบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ยังมีการใช้เซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) ที่ตั้งอยู่ในต่างประเทศเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ การโจมตีครั้งนี้สะท้อนถึงการพัฒนาความซับซ้อนของ APT36 ที่หันมาเจาะระบบปฏิบัติการท้องถิ่นของรัฐบาลอินเดียโดยตรง ถือเป็นการยกระดับการสอดแนมเชิงกลยุทธ์ และเป็นสัญญาณเตือนว่าภัยคุกคามไซเบอร์กำลังขยายขอบเขตไปยังแพลตฟอร์มที่เคยถูกมองว่าปลอดภัยกว่า 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ วิธีการโจมตี ➡️ ใช้อีเมลฟิชชิ่งแนบไฟล์ ZIP ที่มีไฟล์ .desktop ปลอม ➡️ เปิดไฟล์แล้วดาวน์โหลดมัลแวร์และแสดง PDF หลอก ✅ เทคนิคการฝังตัว ➡️ ใช้ systemd service เพื่อรันมัลแวร์โดยไม่ต้องใช้ root ➡️ ซ่อนตัวในโฟลเดอร์ผู้ใช้ เช่น ~/.swcbc ✅ ความสามารถของมัลแวร์ ➡️ เป็น Python-based RAT ที่ทำงานได้ทั้ง Linux และ Windows ➡️ สามารถรันคำสั่ง, ขโมยไฟล์, และจับภาพหน้าจอ ‼️ ความเสี่ยงและคำเตือน ⛔ หน่วยงานรัฐบาลอินเดียเสี่ยงถูกสอดแนมข้อมูลสำคัญ ⛔ การใช้ไฟล์ลัดปลอมเป็นเทคนิคใหม่ที่ผู้ใช้ทั่วไปอาจไม่ทันระวัง https://securityonline.info/the-boss-breach-apt36-pivots-to-linux-espionage-with-silent-shortcuts/
    SECURITYONLINE.INFO
    The BOSS Breach: APT36 Pivots to Linux Espionage with "Silent" Shortcuts
    Transparent Tribe (APT36) evolves with new Linux malware targeting Indian government BOSS systems via weaponized shortcut files.
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 Reviews
More Results