• แหกคอก ตอนที่ 10 – ล้อมเข้าคอก
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ”
    ตอนที่ 10 : ล้อมเข้าคอก
    อีกงานหนึ่งที่มูลนิธิ Rockefeller ทำไปพร้อมๆ กัน คือการคิดหลักสูตรใหม่ในมหาวิทยาลัย ชั้นนำของอเมริกา คือหลักสูตร International Relations ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเขามอบให้ มหาวิทยาลัย Yale เริ่มศึกษาคิดหลักสูตรนี้ ตั้งแต่ ค.ศ.1930 โดยมูลนิธิควักกระเป๋าเช่นเคย ในที่สุดในปี ค.ศ.1935 Yale Institute of International Studies ก็เกิดขึ้น และต่อมา Yale Institute นี้ ได้ร่วมทำงานกับรัฐบาล ผ่านหน่วยงาน State Department, War Department และ Board of Economic Warfare รับหน้าที่อบรมให้กองทัพอเมริกาโดยเฉพาะ ซึ่ง Yale Institute ก็ตั้ง School of Asiatic Studies ในปี ค.ศ.1945 เพื่อเตรียมตัวกองทัพในการรับมือกับภาระกิจที่จะเกิดขึ้น หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้ไปในทิศทางเดียวกับรัฐบาล หรือพูดให้ชัดเป็นไปตามที่ CFR วางแผนไว้
    ทั้งหมดนี้ มูลนิธิ Rockefeller วางยุทธศาสตร์การดำเนินการ เพื่อให้แน่ใจว่า สถาบันองค์กรต่างๆ มหาวิทยาลัย หรือผู้นำทางสังคม มีความเข้าใจ มองโลก และมองบทบาทของอเมริกา ตามที่พี่เลี้ยง CFR กำหนดไว้ และสถาบันเหล่านี้จะสามารถทำให้ประชาชนเชื่อถือและ มีความเห็นคล้อยตาม เขาเรียกโครงการนี้ว่า Scientific Management of Society มันเป็นการสร้างพื้นฐานความคิดให้แก่สังคม หรือการสร้างคอกล้อมความคิดของสังคมเพื่อให้คิดอย่างที่นายทุนนักล่า ต้องการให้สังคมเห็นด้วยคล้อยตาม มันคือการฟอกย้อมความคิด สร้างทั้งคอก มีเชือกผูกคอ ไว้ลากจูงเสร็จ มันเป็นงานใหญ่ที่เอาไว้ใช้ครอบคลุมคนทั้งโลก ทุกชนชั้น และเกือบทุกอาชีพ เขาเริ่มโครงการสร้างคอกในบ้านก่อน จึงไม่น่าแปลกใจว่าแม้คนอเมริกันเองก็ไม่รู้แน่ว่าใครเป็นผู้มีอิทธิพลเหนือรัฐบาลของตนเอง
    เมื่อจัดการวางแผนสร้างคอกในบ้านแล้ว ก็เริ่มโครงการสร้างคอกนอกบ้านทางอ้อม ตั้งแต่ ค.ศ.1934 เป็นต้นมา ทั้งมูลนิธิ Rockefeller, มูลนิธิ Ford และ Caregie ต่างช่วยกันสนับสนุนเงินทุนในการศึกษาโครงการ Area Studies ในวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ของประเทศที่เป็น non-western วิชานี้ เดิมเริ่มมาจากหลักสูตรที่คิดขึ้นโดยสถาบันการศึกษาของอังกฤษ ซึ่งแสดงการแบ่งแยกชัดเจนว่า เป็นเรา (ตะวันตก) เป็นเขา (ตะวันออก) และมีการแสดงออกถึงความเป็นผู้อยู่ในสถานะสูงกว่า (นายเหนือและขี้ข้า) อย่างชัดเจน พี่เลี้ยงบอกว่าวิธีการสอนแบบนี้ มันคงไม่ได้ผล เราจะหลอกต้มเขา เราต้องทำให้เนียน บอกแล้วเราต้องพรางตัว เราคิดหลักสูตรใหม่แล้วกัน สอนแบบอื่น ให้ได้ผลเหมือนกันน่ะ ให้เราก็ยังคุมเขา เป็นนายเขา เหมือนเดิมโดยเขาไม่รู้ตัว เราต้องทำให้เขาคิดว่า ถ้าเขาคิดแบบเรา มีความรู้แบบเรา แล้วจะทำให้เขาเหมือนเรา เป็นที่ยอมรับของเราน่ะ ทำได้ไหม แค่ใส่ความคิดให้เขาน่ะ แต่ความจริงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
    ในที่สุดโดยเงินทุนสนับสนุนจากมูลนิธิใจกว้างทั้ง 3 มหาวิทยาลัยชั้นนำของอเมริกา ตั้งแต่ University of Chicago, Columbia, North Carolina, Harvard, Yale, Virginia, Texas, Stanford etc. ต่างก็นำนโยบายของพี่เลี้ยง CFR ไปตั้งหลักสูตรทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไปปรับความคิด จัดการฟอกย้อมสังคมโดยการศึกษาจากมหาวิทยาลัยของอเมริกาสำเร็จ
    อันที่จริงหลักสูตรการสร้างคอกนี้ ไม่ใช่ทำอยู่แต่ในอเมริกาเท่านั้น ช่วงระหว่าง ค.ศ.1919 – 1940 หลักสูตรการสร้างคอกนี้ ขยายไปถึงอังกฤษผ่านการสนับสนุน ทางการเงินแก่ London School of Economics, the Graduate Institute of International Studies ในสวิส, the Centre dEtudies Politiqnes Etrangeres ในฝรั่งเศส รวมทั้งใน Norway, Sweden, Denmark, Germany และ Holland เขาสร้างหลักสูตรวิชารัฐศาสตร์ สัมพันธ์ระหว่างประเทศ, สังคมวิทยา ฯลฯ ตามทฤษฎีของอเมริกา ไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไรก็ตาม มันเป็นการฝั่งรากความคิดเกี่ยวกับสังคม/การเมือง เพื่อให้สอดคล้องกับการจัดระเบียบโลกใหม่ ต้องถือว่าการสร้างคอกความคิด ทำได้สำเร็จ คอกยาวล้อมไปทั่วโลก ไม่ว่าจะไปเรียนที่ไหนไม่สำคัญ เพราะอัดสำเนา ถ่ายก็อปบี้มาเหมือนกันหมด
    ทั้งหมดนี้เป็นการให้ทุนสนับสนุนแก่สถาบัน และให้โดยตรงกับนักศึกษา ส่วนผู้สนับสนุนเงินทุน ไม่ต้องเสียเวลาเดา มีอยู่ไม่กี่เจ้าแต่เอาจริงกระเป๋าหนัก เพื่อการครองโลกของเขา Rockefeller Foundation, Carnegie Foundation, Ford Foundation etc.
    ในบ้านเราหลักสูตรการล้อมคอกนี้ มีสอนอยู่ในหลายมหาวิทยาลัย ที่โดดเด่นมาก น่าจะเป็นคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพราะอาจารย์ที่สอนส่วนใหญ่ได้ทุนจากสถาบันต่างๆ ของอเมริกา ตามแนวทางสร้างคอก แต่ถึงจะจบจากประเทศไหนก็คงไม่ต่างกันมาก เพราะอย่างว่าใช้ก็อปบี้สำเนาเดียวกัน ส่วนของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็มีและไม่ต่างกันมาก เพียงแต่ช่วงหลังๆ ใส่ผงชูรสจัดเข้าไปตามใบสั่งบวกกับใบเสร็จ และในมหาวิทยาลัยเอกชนที่ตั้งขึ้นมาใหม่ในระยะ 10 – 20 ปี หลังนี้ ก็มีหลักสูตรเช่นนี้ด้วย
    คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    แหกคอก ตอนที่ 10 – ล้อมเข้าคอก นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ” ตอนที่ 10 : ล้อมเข้าคอก อีกงานหนึ่งที่มูลนิธิ Rockefeller ทำไปพร้อมๆ กัน คือการคิดหลักสูตรใหม่ในมหาวิทยาลัย ชั้นนำของอเมริกา คือหลักสูตร International Relations ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเขามอบให้ มหาวิทยาลัย Yale เริ่มศึกษาคิดหลักสูตรนี้ ตั้งแต่ ค.ศ.1930 โดยมูลนิธิควักกระเป๋าเช่นเคย ในที่สุดในปี ค.ศ.1935 Yale Institute of International Studies ก็เกิดขึ้น และต่อมา Yale Institute นี้ ได้ร่วมทำงานกับรัฐบาล ผ่านหน่วยงาน State Department, War Department และ Board of Economic Warfare รับหน้าที่อบรมให้กองทัพอเมริกาโดยเฉพาะ ซึ่ง Yale Institute ก็ตั้ง School of Asiatic Studies ในปี ค.ศ.1945 เพื่อเตรียมตัวกองทัพในการรับมือกับภาระกิจที่จะเกิดขึ้น หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้ไปในทิศทางเดียวกับรัฐบาล หรือพูดให้ชัดเป็นไปตามที่ CFR วางแผนไว้ ทั้งหมดนี้ มูลนิธิ Rockefeller วางยุทธศาสตร์การดำเนินการ เพื่อให้แน่ใจว่า สถาบันองค์กรต่างๆ มหาวิทยาลัย หรือผู้นำทางสังคม มีความเข้าใจ มองโลก และมองบทบาทของอเมริกา ตามที่พี่เลี้ยง CFR กำหนดไว้ และสถาบันเหล่านี้จะสามารถทำให้ประชาชนเชื่อถือและ มีความเห็นคล้อยตาม เขาเรียกโครงการนี้ว่า Scientific Management of Society มันเป็นการสร้างพื้นฐานความคิดให้แก่สังคม หรือการสร้างคอกล้อมความคิดของสังคมเพื่อให้คิดอย่างที่นายทุนนักล่า ต้องการให้สังคมเห็นด้วยคล้อยตาม มันคือการฟอกย้อมความคิด สร้างทั้งคอก มีเชือกผูกคอ ไว้ลากจูงเสร็จ มันเป็นงานใหญ่ที่เอาไว้ใช้ครอบคลุมคนทั้งโลก ทุกชนชั้น และเกือบทุกอาชีพ เขาเริ่มโครงการสร้างคอกในบ้านก่อน จึงไม่น่าแปลกใจว่าแม้คนอเมริกันเองก็ไม่รู้แน่ว่าใครเป็นผู้มีอิทธิพลเหนือรัฐบาลของตนเอง เมื่อจัดการวางแผนสร้างคอกในบ้านแล้ว ก็เริ่มโครงการสร้างคอกนอกบ้านทางอ้อม ตั้งแต่ ค.ศ.1934 เป็นต้นมา ทั้งมูลนิธิ Rockefeller, มูลนิธิ Ford และ Caregie ต่างช่วยกันสนับสนุนเงินทุนในการศึกษาโครงการ Area Studies ในวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ของประเทศที่เป็น non-western วิชานี้ เดิมเริ่มมาจากหลักสูตรที่คิดขึ้นโดยสถาบันการศึกษาของอังกฤษ ซึ่งแสดงการแบ่งแยกชัดเจนว่า เป็นเรา (ตะวันตก) เป็นเขา (ตะวันออก) และมีการแสดงออกถึงความเป็นผู้อยู่ในสถานะสูงกว่า (นายเหนือและขี้ข้า) อย่างชัดเจน พี่เลี้ยงบอกว่าวิธีการสอนแบบนี้ มันคงไม่ได้ผล เราจะหลอกต้มเขา เราต้องทำให้เนียน บอกแล้วเราต้องพรางตัว เราคิดหลักสูตรใหม่แล้วกัน สอนแบบอื่น ให้ได้ผลเหมือนกันน่ะ ให้เราก็ยังคุมเขา เป็นนายเขา เหมือนเดิมโดยเขาไม่รู้ตัว เราต้องทำให้เขาคิดว่า ถ้าเขาคิดแบบเรา มีความรู้แบบเรา แล้วจะทำให้เขาเหมือนเรา เป็นที่ยอมรับของเราน่ะ ทำได้ไหม แค่ใส่ความคิดให้เขาน่ะ แต่ความจริงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ในที่สุดโดยเงินทุนสนับสนุนจากมูลนิธิใจกว้างทั้ง 3 มหาวิทยาลัยชั้นนำของอเมริกา ตั้งแต่ University of Chicago, Columbia, North Carolina, Harvard, Yale, Virginia, Texas, Stanford etc. ต่างก็นำนโยบายของพี่เลี้ยง CFR ไปตั้งหลักสูตรทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไปปรับความคิด จัดการฟอกย้อมสังคมโดยการศึกษาจากมหาวิทยาลัยของอเมริกาสำเร็จ อันที่จริงหลักสูตรการสร้างคอกนี้ ไม่ใช่ทำอยู่แต่ในอเมริกาเท่านั้น ช่วงระหว่าง ค.ศ.1919 – 1940 หลักสูตรการสร้างคอกนี้ ขยายไปถึงอังกฤษผ่านการสนับสนุน ทางการเงินแก่ London School of Economics, the Graduate Institute of International Studies ในสวิส, the Centre dEtudies Politiqnes Etrangeres ในฝรั่งเศส รวมทั้งใน Norway, Sweden, Denmark, Germany และ Holland เขาสร้างหลักสูตรวิชารัฐศาสตร์ สัมพันธ์ระหว่างประเทศ, สังคมวิทยา ฯลฯ ตามทฤษฎีของอเมริกา ไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไรก็ตาม มันเป็นการฝั่งรากความคิดเกี่ยวกับสังคม/การเมือง เพื่อให้สอดคล้องกับการจัดระเบียบโลกใหม่ ต้องถือว่าการสร้างคอกความคิด ทำได้สำเร็จ คอกยาวล้อมไปทั่วโลก ไม่ว่าจะไปเรียนที่ไหนไม่สำคัญ เพราะอัดสำเนา ถ่ายก็อปบี้มาเหมือนกันหมด ทั้งหมดนี้เป็นการให้ทุนสนับสนุนแก่สถาบัน และให้โดยตรงกับนักศึกษา ส่วนผู้สนับสนุนเงินทุน ไม่ต้องเสียเวลาเดา มีอยู่ไม่กี่เจ้าแต่เอาจริงกระเป๋าหนัก เพื่อการครองโลกของเขา Rockefeller Foundation, Carnegie Foundation, Ford Foundation etc. ในบ้านเราหลักสูตรการล้อมคอกนี้ มีสอนอยู่ในหลายมหาวิทยาลัย ที่โดดเด่นมาก น่าจะเป็นคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพราะอาจารย์ที่สอนส่วนใหญ่ได้ทุนจากสถาบันต่างๆ ของอเมริกา ตามแนวทางสร้างคอก แต่ถึงจะจบจากประเทศไหนก็คงไม่ต่างกันมาก เพราะอย่างว่าใช้ก็อปบี้สำเนาเดียวกัน ส่วนของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็มีและไม่ต่างกันมาก เพียงแต่ช่วงหลังๆ ใส่ผงชูรสจัดเข้าไปตามใบสั่งบวกกับใบเสร็จ และในมหาวิทยาลัยเอกชนที่ตั้งขึ้นมาใหม่ในระยะ 10 – 20 ปี หลังนี้ ก็มีหลักสูตรเช่นนี้ด้วย คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
  • แหกคอก ตอนที่ 9 – สร้างคอก
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ”
    ตอนที่ 9 : สร้างคอก
    เมื่อมีใบสั่งออกมาว่า อเมริกาจะต้องเป็นผู้ครองโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พี่เลี้ยงก็เริ่มเตรียมการ จะให้นักล่าครองโลก ไปแต่หัวได้อย่างไร แขนขามือเท้าก็ต้องไปด้วยกัน เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องมีการจัดเตรียมหลักสูตรการศึกษา ภายใน ประเทศเสียใหม่ เพื่อเตรียมตัว พวก technocrat และพวกชนชั้นระดับสูงในสังคม elites ให้เข้าใจให้รู้จักกันไว้ว่า ระดับประเทศเขาจะทำอะไร เมื่ออเมริกาจะควบคุม Grand Area ก็จำเป็นต้องมีการศึกษาเกี่ยวกับ area พวกนี้ไว้ ให้รู้ว่าอยู่ที่ไหน ผู้คนมีหน้าตาอย่างไร มีอะไรน่าขะโมย น่าเคี้ยวบ้าง ไม่ใช่พูดถึง area ไหน แล้วนั่งเซ่อ ยังขี่ช้างอยู่หรือเปล่า งูบ้านยูแยะไหม แบบนั้นไม่เอานะ หลักสูตรและโครงการศึกษาที่เรียกว่า Area Studies จึงเกิดขึ้น โดยการนำเอาปัญญาชน นักวิชาการ นักผู้เชี่ยวชาญจากทุกแหล่ง มาช่วยจัดสร้างหลักสูตร สำหรับ Area Studies นี้ และนาย Kenneth ตัวแสบของเรา จึงน่าจะได้รับภาระกิจให้ไปเป็นนักสำรวจรุ่นแรกๆ ที่นำข้อมูลมาร่วมในการจัดทำหลักสูตร Area Studies นี้ด้วย
    มูลนิธิ Rockefeller รับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้าง ใหญ่ ในการจับอเมริกามาแต่งตัว แต่งหน้าใหม่ (ทำ face lift !) จากอยู่ในสังคมแบบสันโดษ isolist society เปลี่ยนมาเป็นอยู่ในสังคมโลก globalist society (จริงๆ จะกำหนดสังคมโลกใหม่น่ะ แต่มันต้องค่อยๆ ทำ จากคุณลุงวัย 60 พุงห้อย กล้ามเหี่ยว เป็นหนุ่มแน่นกล้ามท้องเรียงเป็นตับ มันต้องใช้เวลาสร้างนะ)
    ขบวนการแต่งตัวใหม่ให้อเมริกา เริ่มดำเนินการโดย CFR มาตั้งแต่ ค.ศ.1921 เป็นต้นมา แต่มาเห็นเด่นชัด เมื่อมีการศึกษา War and Peace Studies ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างทีม CFR กับทีม State Department โดยมูลนิธิ Rockefeller เป็นผู้อุปถัมภ์ควักกระเป๋าจ่ายเองทั้งหมด นอกจากนี้มูลนิธิยังให้ทำการศึกษาวิจัยอีกหลายโครงการ ในช่วง ค.ศ.1930 – 1940 ในช่วงนักล่าตั้งไข่หัดเดิน เพื่อช่วยให้ผู้บริหารของรัฐบาลระดับวางนโยบายและฝ่ายวิชาการ มีความเข้าใจเกี่ยวกับสังคมโลกและเป้าหมายการครองโลกของอเมริกาในทิศทางเดียวกัน
    นอกจากนี้ระหว่างปี ค.ศ.1927-1945 มูลนิธิยังตั้ง study group เพื่อเตรียมออกสิ่งพิมพ์ ซึ่งจำเป็นต้องใช้มากในช่วงเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้ การจัดทำสิ่งพิมพ์ publications นี้ ก็เป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง CFR กับ State Department อีกเช่นเดียวกัน นาย William P. Bundy ถึงกับเอ่ยปากว่ายังไม่เคยมีหน่วยงานเอกชนใด ก็มีโอกาสทำงานกับฝ่ายรัฐอย่างใกล้ชิดเช่นนี้มาก่อนเลย ในประวัติศาสตร์ของอเมริกา (ตกลงใครเป็นผู้นำประเทศกันแน่ รัฐบาลหรือ CFR ?) นาย Bundy ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เด็กในคาถาที่ CFR แอบส่งมาประกบรัฐบาลตั้งแต่ต้น ต่อมาปี ค.ศ.1950 เขาได้เป็นนักวิเคราะห์สังกัดหน่วยงาน CIA และเป็นที่ปรึกษาให้ประธานาธิบดี Kennedy และเป็นผช.รมว.ใน State Department เป็นผู้ดูแลงานด้าน East Asian and Pacific Affairs ในสมัยรัฐบาล Lyndon Johnson ทำให้เขากลายเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของประธานาธิบดี ในการตัดสินใจในสมัยสงครามเวี ยตนาม เมื่อนาย David Rockefeller ลงมาคุม CFR เต็มตัวในตำแหน่งประธาน CFR เมื่อปี ค.ศ.1970 เขาได้ขอ (สั่ง !) ให้นาย William Bundy มาเป็นบรรณาธิการนิตยสาร Foreign Affairs ของ CFR ซึ่งเป็นนิตยสารที่ได้รับการยอมรับและมีอิทธิพลสูงมากในวง การเมืองระหว่างประเทศ นาย Bundy ทำหน้าที่นี้อยู่ตั้งแต่ปี 1972 ถึง 1984 ส่วนพี่ชายของเขา นาย McGeorge Bundy ก็มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงให้แก่ประธานาธิบดี Kennedy ประธานาธิบดี Johnson รวมทั้งรับตำแหน่งเป็นประธานมูลนิธิ Ford ด้วย ตั้งแต่ ค.ศ.1966-1979 (เอาว่าเด็กในคาถาของ CFR เข้ายึดตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลเกือบหมด)
    นอกจากจัดหลักสูตรติวเข้มให้กับสังคมระดับไข่แดงแล้ว มูลนิธิ Rockefeller ก็ได้เตรียมการสำหรับสังคมระดับไข่ขาวด้วย เพื่อให้สังคมทั่วไปรู้จักการก้าวเข้าไปสู่สังคมนานาชาติของอเมริกา โดยเขาตั้ง Foreign Policy Association (FPA) และ Institute of Pacifics Relations (IPR) ซึ่งมีหน้าที่หลักในการสร้างความเห็นของมวลชน (เริ่มรายการฟอกย้อม ความคิดคนในประเทศก่อน) โดยย้อมความคิดทางสิ่งพิมพ์หนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง ให้ตั้งแต่ระดับเด็กนักเรียนมัธยม นักศึกษาในมหาวิทยาลัย ครู โรงเรียน สหภาพ นักธุรกิจ และสมาคมสตรีทั้งหลาย และสังคมทั่วไป โครงการนี้เพื่อสนับสนุนนโยบายต่างประเทศ ยุคใหม่ของอเมริกานั่นแหละ แต่ขณะเดียวกัน ทางมูลนิธิได้ระบุไว้ในการเสนอโครงการนี้ว่า เป็นโครงการที่ไม่มีวัตถุประสงค์ในทางการเมือง (เขาเขียนกันอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ !)
    คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    แหกคอก ตอนที่ 9 – สร้างคอก นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” แหกคอก ” ตอนที่ 9 : สร้างคอก เมื่อมีใบสั่งออกมาว่า อเมริกาจะต้องเป็นผู้ครองโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พี่เลี้ยงก็เริ่มเตรียมการ จะให้นักล่าครองโลก ไปแต่หัวได้อย่างไร แขนขามือเท้าก็ต้องไปด้วยกัน เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องมีการจัดเตรียมหลักสูตรการศึกษา ภายใน ประเทศเสียใหม่ เพื่อเตรียมตัว พวก technocrat และพวกชนชั้นระดับสูงในสังคม elites ให้เข้าใจให้รู้จักกันไว้ว่า ระดับประเทศเขาจะทำอะไร เมื่ออเมริกาจะควบคุม Grand Area ก็จำเป็นต้องมีการศึกษาเกี่ยวกับ area พวกนี้ไว้ ให้รู้ว่าอยู่ที่ไหน ผู้คนมีหน้าตาอย่างไร มีอะไรน่าขะโมย น่าเคี้ยวบ้าง ไม่ใช่พูดถึง area ไหน แล้วนั่งเซ่อ ยังขี่ช้างอยู่หรือเปล่า งูบ้านยูแยะไหม แบบนั้นไม่เอานะ หลักสูตรและโครงการศึกษาที่เรียกว่า Area Studies จึงเกิดขึ้น โดยการนำเอาปัญญาชน นักวิชาการ นักผู้เชี่ยวชาญจากทุกแหล่ง มาช่วยจัดสร้างหลักสูตร สำหรับ Area Studies นี้ และนาย Kenneth ตัวแสบของเรา จึงน่าจะได้รับภาระกิจให้ไปเป็นนักสำรวจรุ่นแรกๆ ที่นำข้อมูลมาร่วมในการจัดทำหลักสูตร Area Studies นี้ด้วย มูลนิธิ Rockefeller รับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้าง ใหญ่ ในการจับอเมริกามาแต่งตัว แต่งหน้าใหม่ (ทำ face lift !) จากอยู่ในสังคมแบบสันโดษ isolist society เปลี่ยนมาเป็นอยู่ในสังคมโลก globalist society (จริงๆ จะกำหนดสังคมโลกใหม่น่ะ แต่มันต้องค่อยๆ ทำ จากคุณลุงวัย 60 พุงห้อย กล้ามเหี่ยว เป็นหนุ่มแน่นกล้ามท้องเรียงเป็นตับ มันต้องใช้เวลาสร้างนะ) ขบวนการแต่งตัวใหม่ให้อเมริกา เริ่มดำเนินการโดย CFR มาตั้งแต่ ค.ศ.1921 เป็นต้นมา แต่มาเห็นเด่นชัด เมื่อมีการศึกษา War and Peace Studies ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างทีม CFR กับทีม State Department โดยมูลนิธิ Rockefeller เป็นผู้อุปถัมภ์ควักกระเป๋าจ่ายเองทั้งหมด นอกจากนี้มูลนิธิยังให้ทำการศึกษาวิจัยอีกหลายโครงการ ในช่วง ค.ศ.1930 – 1940 ในช่วงนักล่าตั้งไข่หัดเดิน เพื่อช่วยให้ผู้บริหารของรัฐบาลระดับวางนโยบายและฝ่ายวิชาการ มีความเข้าใจเกี่ยวกับสังคมโลกและเป้าหมายการครองโลกของอเมริกาในทิศทางเดียวกัน นอกจากนี้ระหว่างปี ค.ศ.1927-1945 มูลนิธิยังตั้ง study group เพื่อเตรียมออกสิ่งพิมพ์ ซึ่งจำเป็นต้องใช้มากในช่วงเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้ การจัดทำสิ่งพิมพ์ publications นี้ ก็เป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง CFR กับ State Department อีกเช่นเดียวกัน นาย William P. Bundy ถึงกับเอ่ยปากว่ายังไม่เคยมีหน่วยงานเอกชนใด ก็มีโอกาสทำงานกับฝ่ายรัฐอย่างใกล้ชิดเช่นนี้มาก่อนเลย ในประวัติศาสตร์ของอเมริกา (ตกลงใครเป็นผู้นำประเทศกันแน่ รัฐบาลหรือ CFR ?) นาย Bundy ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เด็กในคาถาที่ CFR แอบส่งมาประกบรัฐบาลตั้งแต่ต้น ต่อมาปี ค.ศ.1950 เขาได้เป็นนักวิเคราะห์สังกัดหน่วยงาน CIA และเป็นที่ปรึกษาให้ประธานาธิบดี Kennedy และเป็นผช.รมว.ใน State Department เป็นผู้ดูแลงานด้าน East Asian and Pacific Affairs ในสมัยรัฐบาล Lyndon Johnson ทำให้เขากลายเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของประธานาธิบดี ในการตัดสินใจในสมัยสงครามเวี ยตนาม เมื่อนาย David Rockefeller ลงมาคุม CFR เต็มตัวในตำแหน่งประธาน CFR เมื่อปี ค.ศ.1970 เขาได้ขอ (สั่ง !) ให้นาย William Bundy มาเป็นบรรณาธิการนิตยสาร Foreign Affairs ของ CFR ซึ่งเป็นนิตยสารที่ได้รับการยอมรับและมีอิทธิพลสูงมากในวง การเมืองระหว่างประเทศ นาย Bundy ทำหน้าที่นี้อยู่ตั้งแต่ปี 1972 ถึง 1984 ส่วนพี่ชายของเขา นาย McGeorge Bundy ก็มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงให้แก่ประธานาธิบดี Kennedy ประธานาธิบดี Johnson รวมทั้งรับตำแหน่งเป็นประธานมูลนิธิ Ford ด้วย ตั้งแต่ ค.ศ.1966-1979 (เอาว่าเด็กในคาถาของ CFR เข้ายึดตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลเกือบหมด) นอกจากจัดหลักสูตรติวเข้มให้กับสังคมระดับไข่แดงแล้ว มูลนิธิ Rockefeller ก็ได้เตรียมการสำหรับสังคมระดับไข่ขาวด้วย เพื่อให้สังคมทั่วไปรู้จักการก้าวเข้าไปสู่สังคมนานาชาติของอเมริกา โดยเขาตั้ง Foreign Policy Association (FPA) และ Institute of Pacifics Relations (IPR) ซึ่งมีหน้าที่หลักในการสร้างความเห็นของมวลชน (เริ่มรายการฟอกย้อม ความคิดคนในประเทศก่อน) โดยย้อมความคิดทางสิ่งพิมพ์หนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง ให้ตั้งแต่ระดับเด็กนักเรียนมัธยม นักศึกษาในมหาวิทยาลัย ครู โรงเรียน สหภาพ นักธุรกิจ และสมาคมสตรีทั้งหลาย และสังคมทั่วไป โครงการนี้เพื่อสนับสนุนนโยบายต่างประเทศ ยุคใหม่ของอเมริกานั่นแหละ แต่ขณะเดียวกัน ทางมูลนิธิได้ระบุไว้ในการเสนอโครงการนี้ว่า เป็นโครงการที่ไม่มีวัตถุประสงค์ในทางการเมือง (เขาเขียนกันอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ !) คนเล่านิทาน
30 พค. 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 109 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://shorturl.asia/VEQCO
    https://shorturl.asia/VEQCO
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 18 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลยุทธ์รักโค่นบันลังค์
    https://shorturl.asia/KnCcZ
    กลยุทธ์รักโค่นบันลังค์ https://shorturl.asia/KnCcZ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 20 มุมมอง 0 รีวิว
  • 2025 ก่อนวันสิ้นโลก
    https://shorturl.asia/ofVMP
    2025 ก่อนวันสิ้นโลก https://shorturl.asia/ofVMP
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 24 มุมมอง 0 รีวิว
  • CEO​ หนุ่มหล่อรวยและชาดีส​ เธอได้รับพรจากเทพพเจ้าโชกลาภ
    https://shorturl.asia/7pvN8
    CEO​ หนุ่มหล่อรวยและชาดีส​ เธอได้รับพรจากเทพพเจ้าโชกลาภ https://shorturl.asia/7pvN8
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 รีวิว
  • CEO ลุ่มหลง
    https://shorturl.asia/jEbYg
    CEO ลุ่มหลง https://shorturl.asia/jEbYg
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 34 มุมมอง 0 รีวิว
  • CEO ขี้เหนียว
    https://shorturl.asia/VEQCO
    CEO ขี้เหนียว https://shorturl.asia/VEQCO
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 28 มุมมอง 0 รีวิว
  • CEO ขี้เหนียว
    https://shorturl.asia/VEQCO
    CEO ขี้เหนียว https://shorturl.asia/VEQCO
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 27 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยเก่า ตอนที่ 14
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 14 (ตอนจบ)
    หลังจากนาย Kenneth จัดอบรมหลักสูตรปรับพื้นสนามล่าได้ประมาณ
2 ปี วันหนึ่งในปี ค.ศ.1963 นาย Alexis Johnson ก็เข้ามาเยี่ยมระหว่างการฝึกอบรมและประกาศว่านาย Kenneth ทำหน้าที่ปรับพื้นสนามล่าได้ผล เป็นอย่างดี ดังนั้นจึงจะให้นาย Kenneth ไปทำหน้าที่สำคัญกว่านั้น โดยเป็น Dean of Area Studies for the Foreign Service Institute ซึ่งเป็นการสร้างหลักสูตรสำหรับโปรแกรมต่างๆ ทั่วโลก เป็นงานนั่งโต๊ะ ซึ่งนาย Kenneth บอกว่าไม่รู้ตัวเลย ว่าเขาถูกปลดจากที่ยืนบนแท่นที่ มีไฟส่อง ไปนั่งโต๊ะทำงานในมุมมืด แต่งานมันมีมุมลึกกว่าเดิม ถึงจะลึกยังไง คงไม่สบกับอารมณ์ของนาย Kenneth ซึ่งชอบเสนอหน้า เขาทนนั่งทำงานอยู่ที่สถาบันนี้อยู่ 2,3 ปี จึงออกไปทำงานเป็นศาสตราจารย์เต็ม ตัวใน American University ตามคำชวนของนาย Ernest Griffith แห่ง Council for American Learned Studies ตกลง ใครนะเป็นเจ้าของ มิชชั่นนารี จากเมืองตรัง
    นาย Griffith ขอให้เขาตั้งสถาบันเอเซีย ท้ังตะวันออกเฉียงใต้และเอเซียใต้ที่ American University ซึ่งนาย Kenneth ก็ตกลง เขาคิดหลักสูตรและให้มีการสอนทั้งภาษา ไทย พม่า เวียตนาม ฮินดู และอินโดนีเซีย ฯลฯ หลังจากนั้นมหาวิทยาลัยดังๆ ต่างๆ ในอเมริกา ต่างพากันตั้งสถาบันทำนองนี้กันหมด ครอบคลุมไปหลาย area เครื่องมือนักล่าแพร่หลายและใช้การได้อย่างดี นาย Kenneth (หรือคนสร้างนาย Kenneth ? ) เป็นคนมองเห็นการณ์ไกลจริง
    และก็สถาบันแบบนี้แหละ ที่ ประมาณ 6,7 ปีมานี้ ไอ้โจรร้ายได้ส่งพวกอาจารย์นักบิด(เบือน)รุ่นใหญ่ ไปเป็นหัวหน้าภาควิชา โดยการสนับสนุนให้ทุนก้อนใหญ่ และการร่วมมือของพวกนักล่า ไปปรับหลักสูตรใหม่ โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับสถาบัน หลังจากน้ัน บทความที่บิดเบือนเกี่ยวกับสถาบัน เขียนโดยสมุนนักล่า และ ขี้ข้าโจร ก็ทยอยกันออกมา จนถึงทุกวันนี้ และตอนนี้ก็กำลังโหมฟืนเพิ่มไฟ นักล่าและไอ้โจรร้าย ทำทุกวิถีทางที่จะเขย่าเสาหลักให้คลอน การครอบครองแดนสมันน้อยจะได้ง่ายขึ้น เลิกสงสัยกันได้ว่า เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร
    อเมริกาซึ่งเคยรู้จักเมืองไทยแบบลางเลือน รู้แค่ว่าเมืองไทยมีแต่คนฝาแฝดตัวติดกัน รู้จักสถาบันกษัตริย์ของไทยผ่านสายตา ของนางพี่เลี้ยงที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและเพ้อเจ้อ เช่น นาง Anna Leonowens ก็ได้ค่อยๆเริ่มเปลี่ยนไป คงต้องยอมรับว่า ฝีมือกระล่อนและความเป็นนักฉวยโอกาสของนาย Kenneth ได้ผล ทำให้เครื่องมือนักล่าประเภทนี้ขึ้นอันดับ อเมริกาติดใจดัดแปลงเครื่องมือชนิดนี้ไปเรื่อๆ นาย Kenneth มาเป็นมิชชั่นนารี อาสามาทำงานในเมืองไทยเอง หรือจะมาด้วยเหตุผลอื่น เรายังไม่สามารถพิสูจน์ได้ชัด แต่ก็ต้องยอมรับว่าเครื่องมือนักล่าเช่นนี้ ได้ผลอย่างชนิดเหลือเชื่อ การเรียนภาษาไทยจนเข้าใจและอ่านได้ ถึงขนาดอ่านขาดว่าม้าตัวเต็งชื่อสฤษดิ์จะเข้าวิน ทำให้อเมริกาเดินงานได้ตามแผนที่วางไว้เกือบทุกอย่าง แบบนี้จะมีหรือที่ อเมริกาจะไม่เก็บเครื่องมือชนิดนี้ไว้ใช้ต่อ แค่ดัดแปลงใส่ app ใหม่ๆเข้าไปเรื่อยๆเท่านั้น
    สถาบันเอเซียศึกษาไม่ว่าอยู่ใน เมืองไทย หรือในอเมริกา มาจากไหน หนังสือเกือบ 2000 เล่ม และแผ่นที่หอบไป ขยายผลได้มากมาย มูลนิธิต่างๆ เช่น Asia Foundation ….. ได้ถูกนำมาก่อตั้งในเมืองไทยมีทั้งแบบโจ๋งครึ่ม และปกปิด ครูบาอาจารย์หรือ ให้ทุนมันเข้าไป จะได้ไปรับวัฒนธรรมทางความคิดของอเมริกากลับเข้ามา เหตุการณ์ ค.ศ.1960 ที่ประธานาธิบดี Kennedy ฉุนขาดจะต้องไม่เกิดขึ้นอีก ผ่านมากว่า 50 ปี เรารู้กันบ้างไหมว่าเขาเอานาย Kenneth 1,2,3….. ถึง 1000 มาไว้บ้านเรากี่คนแล้ว ยกตัวอย่างเช่น นาย Kenneth รุ่นใหม่ ชื่อพี่เจฟ เข้ามาเป็น Peace Corp อยู่ทางใต้ (เดินตามรอยกันมาเดี๊ยะเชียวนะ ! ) ตั้งแต่ยังแน่นหนุ่ม ตอนนั้นทั้งเหี่ยวทั้งล้านก็ยังอยู่เมืองไทย เข้าออกในที่สูงที่ลับที่แจ้ง บนเวทีลุงกำนันก็ไปขึ้นมาแล้ว ขนพรรคพวกมาอยู่ข้างเวทีเกือบทุกวัน สมัยหนึ่ง 3-4 ปีมาแล้วถึงกับจัดงานหาทุนให้พรรคการเมืองเก่าแก่พรรคหนึ่ง (ไม่เข็ดเรื่อง Lotus Project หรือไง ต้องให้แฉกันมากกว่านี้มั๊ย ? ท่านใดอ่านแล้วงงก็ไปหาอ่านกันต่อในนิทานเรื่องจิ๊กโก๋ปากซอยนะครับ) ยังมีทุนการศึกษาต่างๆ เช่น American Field Service (AFS) ที่ให้แก่นักเรียนชั้น ม. ปลาย ก่อนเข้ามหาวิทยาลัยไปอยู่กับครอบครัวอเมริกัน ตั้งแต่สมัยสงครามเวียตนาม หลายๆคน เดี๋ยวนี้ก็ยังเข้มแข็งจัดงานเฉลิมฉลองมิตรไมตรีความเข้าใจอันดีของ 2 ประเทศอยู่ทุกปี ขนาดโดนเขาด่า เขามาแทรกแซงประเทศ คนพวกนี้ก็เหมือนจะเห็นบุญคุณของ 1 ปี ที่ไปอยู่กับเขามากกว่าแผ่นดินเกิดของตนเอง
    นี่ยังไม่ได้พูดถึงครูบาอาจารย์ ที่ได้ทุนไปเรียนปริญญาตรี โท เอก ของ Asia Foundation, Fulbright, Ford Foundation, Rockefeller ฯลฯ อาจารย์ต่างๆเหล่านี้ กลับมาสอนในมหาวิทยาลัยไทย แต่จัดหลักสูตรใหม่ตามที่ผู้ให้ทุนต้องการ เขารู้จักเรามากว่า 50 ปีแล้วจากที่แทบจะไม่มีใครในบ้านเมืองเขาได้ยินชื่อเมืองเราเลย จนเดี๋ยวนี้เขารู้จักเมืองเราทุกตารางนิ้ว รู้จักและใช้คนของเราทำงานเพื่อ ประโยชน์ของเขา เขาติดตามเราทุกย่างก้าว ครอบงำความคิด วัฒนธรรม การศึกษา ฯลฯ เราเกือบทุกเรื่อง โดยเราไม่รู้ตัว หรือรู้ตัว แต่ไม่รู้สึก ไม่ฉุกคิด ไม่เฉลียวใจ ไม่รับรู้ ไม่หวงแหน นี่ขนาดเขาใช้เครื่องมือล่าระดับง่ามไม้เล็กๆ เขายังกวาดข้อมูล นำไปใช้เป็นต้นแบบเครื่องมือล่าให้แม่นยำขึ้นไปอีก แล้วถ้าเราเจอเครื่องมือล่าประเภทหัวเจาะ ไม่ว่าเป็นประเภทหัวเจาะผมทอง หรือผมดำสัญชาติไทยแต่ใจเป็นอื่น ซึ่งก็มีอยู่ไม่น้อยในบ้านเรา และอาจจะกำลังถูกนำมาใช้งานเร็วๆนี้ แล้วเราจะนั่งไม่รู้ไม่ชี้ต่อไปหรือครับ

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยเก่า ตอนที่ 14 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 14 (ตอนจบ) หลังจากนาย Kenneth จัดอบรมหลักสูตรปรับพื้นสนามล่าได้ประมาณ
2 ปี วันหนึ่งในปี ค.ศ.1963 นาย Alexis Johnson ก็เข้ามาเยี่ยมระหว่างการฝึกอบรมและประกาศว่านาย Kenneth ทำหน้าที่ปรับพื้นสนามล่าได้ผล เป็นอย่างดี ดังนั้นจึงจะให้นาย Kenneth ไปทำหน้าที่สำคัญกว่านั้น โดยเป็น Dean of Area Studies for the Foreign Service Institute ซึ่งเป็นการสร้างหลักสูตรสำหรับโปรแกรมต่างๆ ทั่วโลก เป็นงานนั่งโต๊ะ ซึ่งนาย Kenneth บอกว่าไม่รู้ตัวเลย ว่าเขาถูกปลดจากที่ยืนบนแท่นที่ มีไฟส่อง ไปนั่งโต๊ะทำงานในมุมมืด แต่งานมันมีมุมลึกกว่าเดิม ถึงจะลึกยังไง คงไม่สบกับอารมณ์ของนาย Kenneth ซึ่งชอบเสนอหน้า เขาทนนั่งทำงานอยู่ที่สถาบันนี้อยู่ 2,3 ปี จึงออกไปทำงานเป็นศาสตราจารย์เต็ม ตัวใน American University ตามคำชวนของนาย Ernest Griffith แห่ง Council for American Learned Studies ตกลง ใครนะเป็นเจ้าของ มิชชั่นนารี จากเมืองตรัง นาย Griffith ขอให้เขาตั้งสถาบันเอเซีย ท้ังตะวันออกเฉียงใต้และเอเซียใต้ที่ American University ซึ่งนาย Kenneth ก็ตกลง เขาคิดหลักสูตรและให้มีการสอนทั้งภาษา ไทย พม่า เวียตนาม ฮินดู และอินโดนีเซีย ฯลฯ หลังจากนั้นมหาวิทยาลัยดังๆ ต่างๆ ในอเมริกา ต่างพากันตั้งสถาบันทำนองนี้กันหมด ครอบคลุมไปหลาย area เครื่องมือนักล่าแพร่หลายและใช้การได้อย่างดี นาย Kenneth (หรือคนสร้างนาย Kenneth ? ) เป็นคนมองเห็นการณ์ไกลจริง และก็สถาบันแบบนี้แหละ ที่ ประมาณ 6,7 ปีมานี้ ไอ้โจรร้ายได้ส่งพวกอาจารย์นักบิด(เบือน)รุ่นใหญ่ ไปเป็นหัวหน้าภาควิชา โดยการสนับสนุนให้ทุนก้อนใหญ่ และการร่วมมือของพวกนักล่า ไปปรับหลักสูตรใหม่ โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับสถาบัน หลังจากน้ัน บทความที่บิดเบือนเกี่ยวกับสถาบัน เขียนโดยสมุนนักล่า และ ขี้ข้าโจร ก็ทยอยกันออกมา จนถึงทุกวันนี้ และตอนนี้ก็กำลังโหมฟืนเพิ่มไฟ นักล่าและไอ้โจรร้าย ทำทุกวิถีทางที่จะเขย่าเสาหลักให้คลอน การครอบครองแดนสมันน้อยจะได้ง่ายขึ้น เลิกสงสัยกันได้ว่า เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร อเมริกาซึ่งเคยรู้จักเมืองไทยแบบลางเลือน รู้แค่ว่าเมืองไทยมีแต่คนฝาแฝดตัวติดกัน รู้จักสถาบันกษัตริย์ของไทยผ่านสายตา ของนางพี่เลี้ยงที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและเพ้อเจ้อ เช่น นาง Anna Leonowens ก็ได้ค่อยๆเริ่มเปลี่ยนไป คงต้องยอมรับว่า ฝีมือกระล่อนและความเป็นนักฉวยโอกาสของนาย Kenneth ได้ผล ทำให้เครื่องมือนักล่าประเภทนี้ขึ้นอันดับ อเมริกาติดใจดัดแปลงเครื่องมือชนิดนี้ไปเรื่อๆ นาย Kenneth มาเป็นมิชชั่นนารี อาสามาทำงานในเมืองไทยเอง หรือจะมาด้วยเหตุผลอื่น เรายังไม่สามารถพิสูจน์ได้ชัด แต่ก็ต้องยอมรับว่าเครื่องมือนักล่าเช่นนี้ ได้ผลอย่างชนิดเหลือเชื่อ การเรียนภาษาไทยจนเข้าใจและอ่านได้ ถึงขนาดอ่านขาดว่าม้าตัวเต็งชื่อสฤษดิ์จะเข้าวิน ทำให้อเมริกาเดินงานได้ตามแผนที่วางไว้เกือบทุกอย่าง แบบนี้จะมีหรือที่ อเมริกาจะไม่เก็บเครื่องมือชนิดนี้ไว้ใช้ต่อ แค่ดัดแปลงใส่ app ใหม่ๆเข้าไปเรื่อยๆเท่านั้น สถาบันเอเซียศึกษาไม่ว่าอยู่ใน เมืองไทย หรือในอเมริกา มาจากไหน หนังสือเกือบ 2000 เล่ม และแผ่นที่หอบไป ขยายผลได้มากมาย มูลนิธิต่างๆ เช่น Asia Foundation ….. ได้ถูกนำมาก่อตั้งในเมืองไทยมีทั้งแบบโจ๋งครึ่ม และปกปิด ครูบาอาจารย์หรือ ให้ทุนมันเข้าไป จะได้ไปรับวัฒนธรรมทางความคิดของอเมริกากลับเข้ามา เหตุการณ์ ค.ศ.1960 ที่ประธานาธิบดี Kennedy ฉุนขาดจะต้องไม่เกิดขึ้นอีก ผ่านมากว่า 50 ปี เรารู้กันบ้างไหมว่าเขาเอานาย Kenneth 1,2,3….. ถึง 1000 มาไว้บ้านเรากี่คนแล้ว ยกตัวอย่างเช่น นาย Kenneth รุ่นใหม่ ชื่อพี่เจฟ เข้ามาเป็น Peace Corp อยู่ทางใต้ (เดินตามรอยกันมาเดี๊ยะเชียวนะ ! ) ตั้งแต่ยังแน่นหนุ่ม ตอนนั้นทั้งเหี่ยวทั้งล้านก็ยังอยู่เมืองไทย เข้าออกในที่สูงที่ลับที่แจ้ง บนเวทีลุงกำนันก็ไปขึ้นมาแล้ว ขนพรรคพวกมาอยู่ข้างเวทีเกือบทุกวัน สมัยหนึ่ง 3-4 ปีมาแล้วถึงกับจัดงานหาทุนให้พรรคการเมืองเก่าแก่พรรคหนึ่ง (ไม่เข็ดเรื่อง Lotus Project หรือไง ต้องให้แฉกันมากกว่านี้มั๊ย ? ท่านใดอ่านแล้วงงก็ไปหาอ่านกันต่อในนิทานเรื่องจิ๊กโก๋ปากซอยนะครับ) ยังมีทุนการศึกษาต่างๆ เช่น American Field Service (AFS) ที่ให้แก่นักเรียนชั้น ม. ปลาย ก่อนเข้ามหาวิทยาลัยไปอยู่กับครอบครัวอเมริกัน ตั้งแต่สมัยสงครามเวียตนาม หลายๆคน เดี๋ยวนี้ก็ยังเข้มแข็งจัดงานเฉลิมฉลองมิตรไมตรีความเข้าใจอันดีของ 2 ประเทศอยู่ทุกปี ขนาดโดนเขาด่า เขามาแทรกแซงประเทศ คนพวกนี้ก็เหมือนจะเห็นบุญคุณของ 1 ปี ที่ไปอยู่กับเขามากกว่าแผ่นดินเกิดของตนเอง นี่ยังไม่ได้พูดถึงครูบาอาจารย์ ที่ได้ทุนไปเรียนปริญญาตรี โท เอก ของ Asia Foundation, Fulbright, Ford Foundation, Rockefeller ฯลฯ อาจารย์ต่างๆเหล่านี้ กลับมาสอนในมหาวิทยาลัยไทย แต่จัดหลักสูตรใหม่ตามที่ผู้ให้ทุนต้องการ เขารู้จักเรามากว่า 50 ปีแล้วจากที่แทบจะไม่มีใครในบ้านเมืองเขาได้ยินชื่อเมืองเราเลย จนเดี๋ยวนี้เขารู้จักเมืองเราทุกตารางนิ้ว รู้จักและใช้คนของเราทำงานเพื่อ ประโยชน์ของเขา เขาติดตามเราทุกย่างก้าว ครอบงำความคิด วัฒนธรรม การศึกษา ฯลฯ เราเกือบทุกเรื่อง โดยเราไม่รู้ตัว หรือรู้ตัว แต่ไม่รู้สึก ไม่ฉุกคิด ไม่เฉลียวใจ ไม่รับรู้ ไม่หวงแหน นี่ขนาดเขาใช้เครื่องมือล่าระดับง่ามไม้เล็กๆ เขายังกวาดข้อมูล นำไปใช้เป็นต้นแบบเครื่องมือล่าให้แม่นยำขึ้นไปอีก แล้วถ้าเราเจอเครื่องมือล่าประเภทหัวเจาะ ไม่ว่าเป็นประเภทหัวเจาะผมทอง หรือผมดำสัญชาติไทยแต่ใจเป็นอื่น ซึ่งก็มีอยู่ไม่น้อยในบ้านเรา และอาจจะกำลังถูกนำมาใช้งานเร็วๆนี้ แล้วเราจะนั่งไม่รู้ไม่ชี้ต่อไปหรือครับ คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 186 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยเก่า ตอนที่ 5
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 5
    เมื่อครอบครัว Kenneth กลับมาถึงอเมริกา นาย Kenneth กลับไปทำปริญญาเอกต่อที่มหาวิทยาลัย Chicago เมื่อได้ปริญญา เขาก็รีบหางาน เพราะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจอเมริกากำลังตกสะเก็ด งานที่เขาคิดจะทำและน่าจะสมประโยชน์ คือ ไปติดต่อมหาวิทยาลัยดังๆ ในอเมริกา ให้ตั้งแผนก Southeast Asian Studies ด้วยหนังสือที่จะได้รับมาจากกรมพระยาดำรงฯ โดยเขาจะเป็นหัวหน้าแผนกวิชา เขาไปทุกมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสี ยง เช่น Princeton, Columbia, Yale, Pennsylvania, Harvard และ Chicago ฯลฯ แต่ไม่เป็นผลไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครรู้จัก สยาม รู้จักแต่จีนและเวียตนาม ส่วนใหญ่จะรู้จักประเทศที่เป็นอาณานิคม
    มหาวิทยาลัยต่างๆนี้มันอยู่ไกล กันคนละเมือง งานก็ไม่มีทำ เงินก็ไม่มี แล้วเดินทางได้ยังไง น่าสงสัยจริง แล้วนาย Kenneth ก็สารภาพมาเองว่า ที่เขาสามารถเดินทางไปติดต่อมหาวิทยาลัยต่างๆ ได้ เพราะเขาได้รับการเงินทุนสนับสนุน จาก the American Council of Learned Societies สมาคมนี้เป็นสมาคมเก่า ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1919 โดยผู้รักการศึกษาและคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ ทางด้านมนุษย์วิทยาและสังคมวิทยา และเน้นหนักทางเอเซียตะวันออกและลาตินอเมริกา ตั้งแต่ช่วง ค.ศ.1930 กว่า สมาคมนี้มีผู้อุปถัมภ์รายใหญ่ ชื่อนาย John D. Rockefeller (เขียนมาถึงตรงนี้ นักอ่านนิทานจมูกไว ร้องอ๋อกันเป็นแถว บอกไม่ต้องอ่านก็ต่อได้ แค่นี้ก็รู้เรื่องแล้ว เอาน่า อ่านต่อไปเถอะครับ มันอาจจะมีมากว่าที่นึกก็ได้)
    หมดท่าเข้านาย Kenneth จึงสมัครเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ชื่อ Earlham College ในปี ค.ศ. 1939 ขณะเดียวกัน ก็เป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาปรัชญาจีนบ้าง อินเดียบ้าง ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ
    ขณะนั้นสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นแล้ว แต่ยังเล่นยิงกันอยู่แถวยุโรป อเมริกายังสงวนท่าที ทำเป็นเฉยไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้อง วันหนึ่งประมาณปลายปี ค.ศ. 1941 ระหว่างที่ครอบครัว Kenneth ไปพักผ่อนที่ทะเลสาบแถว Michigan ขณะเขากำลังพายเรืออยู่กับลูกในทะเลสาบ เมียก็มาตะโกนบอกว่า มีโทรศัพท์ถึงเขาจากวอชิงตัน ให้เขาโทรกลับไป นาย Kenneth บอกไม่รู้จักใครเลยที่วอชิงตัน แต่เขาก็โทรกลับไป เขาบอกว่าโทรศัพท์ครั้งนี้ได้เปลี่ยนชีวิตเขาโดยสิ้นเชิง (เป็นไปตามแผน !?)
    เมื่อเขาโทรศัพท์ไปที่วอชิงตันตามหมายเลขที่ให้ไว้ คนที่รับโทรศัพท์บอกว่าเป็นนายพล Donovan และพูดในฐานะตัวแทนของประธานาธิบดี Roosevelt นาย Kenneth แทบหยุดหายใจ ท่านนายพลต้องการให้นาย Kenneth มากรุงวอชิงตันเดี๋ยวนี้เลย (โอ้พระเจ้า แล้ววันที่รอคอยก็มาถึง มันเรื่องจริงหรือนี่ นาย Kenneth คงคิดอยู่ในใจ) เพื่อมารายงานเกี่ยวกับเรื่องญี่ปุ่นและอินโดจีนให้ประธานาธิบดีทราบ
    นาย Kenneth นี้ต้องเป็นคนรอบคอบ (เค็ม !) เอาเรื่อง ขนาดบอกประธานาธิบดีให้ไปพบ เขากลับถามว่าออกค่าใช้จ่ายให้เขาหรือเปล่า และต่อรองเรื่องค่าจ้างก่อนที่จะตอบตกลง เมื่อตกลงเรื่องค่าจ้างได้ เขาจึงตอบตกลงว่าจะไปพบ
    ประธานาธิบดี Roosevelt ต้องการรู้ว่า ญี่ปุ่นมีความคิดเกี่ยวกับอินโดจีนอย่างไร และมีความตั้งใจเกี่ยวกับประเทศไทยอย่างไร และถ้าญี่ปุ่นคิดจะบุกประเทศไทย จะบุกมาทางใดและช่วงเวลาไหน ฯลฯ คำถามแบบนี้ นาย Kenneth บอกหมูสะเต๊ะ เขารู้คำตอบตั้งแต่ก่อนจะถามแล้ว
    เรื่องมันจะบังเอิญไปหน่อยหรือเปล่านะ นาย Kenneth เล่าว่า เมื่อประธานาธิบดีต้องการรู้เช่น นั้น ลูกน้องก็ตาหูเหลือก ไม่มีใครรู้จักสยามเลย รู้จักญี่ปุ่นนิดหน่อย นาย Donovan (ชื่อเต็มคือนาย William Donovan หรือ Wild Bill Donovan) ซึ่งได้รับมอบหมายจากประธานาธิบดี ให้เป็นผู้วางแผนยุทธศาสตร์การรบ ก็ต้องไปเดินคลำหาคนที่รู้จักสยาม แห่งแรกที่เขาไป คือ ห้องสมุดรัฐสภา Library of Congress หัวหน้าห้องสมุดชื่อนาย Ernest Griffith บอกว่าที่นี่ไม่มีใครรู้เรื่องสยามกับอินโดจีนหรอก นู่น คุณลองไปถามที่ American Council of Learned Societies ดูซินะ มันพวกคงแก่เรียนทั้งนั้นที่นั่น แหละ ที่เดียวที่น่าจะรู้เรื่อง แหม ! ยังกะล็อคโผ ไปถามหานาย Mortimer Graves นะ เขาคงจะรู้ที่สุดแหละ คำตอบที่นาย Donovan ได้จากนาย Graves ก็คือ น่าจะมีคนเดียวนะ ชื่อนาย Kenneth Landon ไปติดต่อเขาดูแล้วกัน นาย Donovan บอกงั้นเขาจะให้ฝ่ายข่าวกรองตรวจสอบประวัตินาย Landon นี่ก่อน ว่าเป็นตัวจริงเสียงจริงที่รู้เรื่องสยาม อินโดจีน และญี่ปุ่นหรือเปล่า
    (หมายเหตุคนเล่านิทาน : ผมเพิ่งไปอ่านเจอเอกสารฉบับหนึ่ง บอกว่านาย Donovan เป็นเครือข่ายของพวก CFR ! หน่วยงานที่อยากให้อเมริกา ค้าสงคราม เลยต้องทำความรู้จักเขาหน่อย นาย William J. Donovan จบกฏหมายจากมหาวิทยาลัย Columbia ตอนเรียนหนังสือมีเพื่อนร่วมชั้นชื่อนาย Franklin Delano Roosevelt เมื่อเรียนจบมา ก่อนเปลี่ยนเข็มไปเป็นทหาร เขาทำอาชีพนักกฏหมายตามที่เรียนมาก่อน ประสพความสำเร็จอย่างสูงจากฝีมือ และฝีปาก ซึ่งดังไปเข้าหูนาย Rockefeller จึงจ้างเขาไปทำงาน “War Relief Mission” ในยุโรป พูดให้เฉพาะก็คือไปอยู่ที่ Belgium ประเทศที่มีเมืองหลวงชื่อ Brussel ที่เป็นที่ตั้งชุมทางนักล่าชั้น สูง สมาคม Bilderberg นั่นเหละ War Relief หรือ เรียกอีกชื่อว่า American Relief นี้ ไม่รู้ทำอะไรมั่ง จะต้องไปตามสืบต่อ แต่ทำให้นาย Donovan ต้องอยู่แถวยุโรปอยู่หลายปี และทำให้เขามีโอกาสรู้จักผู้ที่ ไปมาแถวยุโรปมากมาย คนหนึ่งคือนาย William Stephenson เป็นชาวแคนาดา ซึ่งเป็นสายลับตัวฉกาจ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำงานประสานระหว่างยุโรปกับอเมริกา เขาเขียนหนังสือชีวประวัติของตัวเองไว้ชื่อ The Man Called Intrepid (ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงนำมาแปลเป็นไทย และทรงตั้งชื่อเรื่องว่า “นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ”) ต่อมานักเขียนชื่อดัง Ian Fleming นำมาดัดแปลงเป็นบุคลิกของพระเอก James Bond สายลับ 007
    เมื่อนาย Donovan จะต้องตั้งหน่วยงาน OSS สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นาย Stephenson นี้มีส่วนช่วยอย่างสำคัญ เรื่องของนาย Donovan เองก็โลดโผนโจนทยานไม่น้อย เรียกว่าเอาไปเป็นพระเอกหนังบู๊ปนรักหักเหลี่ยมสายลับได้อย่างสบาย ไม่แพ้ James Bond เหมือนกัน ไม่รู้หลุดมือนักสร้างหนัง Hollywood มาได้ไง)
    เมื่อฝ่ายข่าวกรองโทรไปตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ทุกมหาวิทยาลัยตอบเหมือนกันหมดว่า ถ้าจะมีคนรู้เรื่องสยามกับอินโดจีน ก็น่าจะเป็นนาย Kenneth นี่แหละ (ก็จะไม่ใช่ได้ยังไง เดินสายขอให้มหาวิทยาลัยต่างๆ ตั้ง Southeast Asian Studies อยู่เป็นปี !) แล้วนาย Kenneth ก็ถูกโทรศัพท์ตามตัวจากทะเลสาบ Michigan ให้มาพบประธานาธิบดี Roosevelt
    ส่วนคำตอบของนาย Kenneth เกี่ยวกับญี่ปุ่นนั้น นาย Kenneth บอกเขาไม่รู้หรอกว่าญี่ปุ่นคิดอย่างไรกับไทย แต่รู้ว่าถ้าญี่ปุ่นจะบุกไทย ถ้าญี่ปุ่นฉลาด ญี่ปุ่นน่าจะมาช่วงเดือนธันวาคมถึงเมษายน เพราะก่อนหน้านั้นเป็นหน้ามรสุม ฝนตกชุก! ไม่น่ามีใครบ้าเคลื่อนทัพ และขนย้ายอาวุธยุทโธปกรณ์ของหนัก ระหว่างฝนตกน้ำท่วม รถแท๊งค์ ปืนใหญ่จมโคลนหมด คำถามต่อไปว่า แล้วถ้าญี่ปุ่นจะมาทางรถ จะขับมาได้ถึงไหน นาย Kenneth บอกญี่ปุ่นไม่น่าจะใช้ทางหลวง เพราะเป็นเป้า น่าจะมาทางป่าและสามารถใช้จักรยานขี่ผ่านสวนยางไปตลอดทางใต้ถึงแหลมมาลายู ฯลฯ และเมื่อญี่ปุ่นบุกอินโดจีนจริงๆ ญี่ปุ่นไม่ได้ยกพลมาลงที่กรุงเทพ แต่ไปลงที่ Kota Baru ในมาลายู และขนเอาจักรยานมาด้วย ขี่ลงใต้ไปจนถึงแหลมมาลายู (ฟังดูแล้วคำถามของอเมริกานี่พื้นมาก ไม่น่าจะเป็นคำถามของพี่เบิ้มเลย ไม่รู้ว่านาย Kenneth อมข่าวหรือเต้าข่าวให้เราฟังกันแน่)


    คนเล่านิทาน
    แกะรอยเก่า ตอนที่ 5 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
ตอนที่ 5 เมื่อครอบครัว Kenneth กลับมาถึงอเมริกา นาย Kenneth กลับไปทำปริญญาเอกต่อที่มหาวิทยาลัย Chicago เมื่อได้ปริญญา เขาก็รีบหางาน เพราะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจอเมริกากำลังตกสะเก็ด งานที่เขาคิดจะทำและน่าจะสมประโยชน์ คือ ไปติดต่อมหาวิทยาลัยดังๆ ในอเมริกา ให้ตั้งแผนก Southeast Asian Studies ด้วยหนังสือที่จะได้รับมาจากกรมพระยาดำรงฯ โดยเขาจะเป็นหัวหน้าแผนกวิชา เขาไปทุกมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสี ยง เช่น Princeton, Columbia, Yale, Pennsylvania, Harvard และ Chicago ฯลฯ แต่ไม่เป็นผลไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครรู้จัก สยาม รู้จักแต่จีนและเวียตนาม ส่วนใหญ่จะรู้จักประเทศที่เป็นอาณานิคม มหาวิทยาลัยต่างๆนี้มันอยู่ไกล กันคนละเมือง งานก็ไม่มีทำ เงินก็ไม่มี แล้วเดินทางได้ยังไง น่าสงสัยจริง แล้วนาย Kenneth ก็สารภาพมาเองว่า ที่เขาสามารถเดินทางไปติดต่อมหาวิทยาลัยต่างๆ ได้ เพราะเขาได้รับการเงินทุนสนับสนุน จาก the American Council of Learned Societies สมาคมนี้เป็นสมาคมเก่า ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1919 โดยผู้รักการศึกษาและคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ ทางด้านมนุษย์วิทยาและสังคมวิทยา และเน้นหนักทางเอเซียตะวันออกและลาตินอเมริกา ตั้งแต่ช่วง ค.ศ.1930 กว่า สมาคมนี้มีผู้อุปถัมภ์รายใหญ่ ชื่อนาย John D. Rockefeller (เขียนมาถึงตรงนี้ นักอ่านนิทานจมูกไว ร้องอ๋อกันเป็นแถว บอกไม่ต้องอ่านก็ต่อได้ แค่นี้ก็รู้เรื่องแล้ว เอาน่า อ่านต่อไปเถอะครับ มันอาจจะมีมากว่าที่นึกก็ได้) หมดท่าเข้านาย Kenneth จึงสมัครเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ชื่อ Earlham College ในปี ค.ศ. 1939 ขณะเดียวกัน ก็เป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาปรัชญาจีนบ้าง อินเดียบ้าง ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ขณะนั้นสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นแล้ว แต่ยังเล่นยิงกันอยู่แถวยุโรป อเมริกายังสงวนท่าที ทำเป็นเฉยไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้อง วันหนึ่งประมาณปลายปี ค.ศ. 1941 ระหว่างที่ครอบครัว Kenneth ไปพักผ่อนที่ทะเลสาบแถว Michigan ขณะเขากำลังพายเรืออยู่กับลูกในทะเลสาบ เมียก็มาตะโกนบอกว่า มีโทรศัพท์ถึงเขาจากวอชิงตัน ให้เขาโทรกลับไป นาย Kenneth บอกไม่รู้จักใครเลยที่วอชิงตัน แต่เขาก็โทรกลับไป เขาบอกว่าโทรศัพท์ครั้งนี้ได้เปลี่ยนชีวิตเขาโดยสิ้นเชิง (เป็นไปตามแผน !?) เมื่อเขาโทรศัพท์ไปที่วอชิงตันตามหมายเลขที่ให้ไว้ คนที่รับโทรศัพท์บอกว่าเป็นนายพล Donovan และพูดในฐานะตัวแทนของประธานาธิบดี Roosevelt นาย Kenneth แทบหยุดหายใจ ท่านนายพลต้องการให้นาย Kenneth มากรุงวอชิงตันเดี๋ยวนี้เลย (โอ้พระเจ้า แล้ววันที่รอคอยก็มาถึง มันเรื่องจริงหรือนี่ นาย Kenneth คงคิดอยู่ในใจ) เพื่อมารายงานเกี่ยวกับเรื่องญี่ปุ่นและอินโดจีนให้ประธานาธิบดีทราบ นาย Kenneth นี้ต้องเป็นคนรอบคอบ (เค็ม !) เอาเรื่อง ขนาดบอกประธานาธิบดีให้ไปพบ เขากลับถามว่าออกค่าใช้จ่ายให้เขาหรือเปล่า และต่อรองเรื่องค่าจ้างก่อนที่จะตอบตกลง เมื่อตกลงเรื่องค่าจ้างได้ เขาจึงตอบตกลงว่าจะไปพบ ประธานาธิบดี Roosevelt ต้องการรู้ว่า ญี่ปุ่นมีความคิดเกี่ยวกับอินโดจีนอย่างไร และมีความตั้งใจเกี่ยวกับประเทศไทยอย่างไร และถ้าญี่ปุ่นคิดจะบุกประเทศไทย จะบุกมาทางใดและช่วงเวลาไหน ฯลฯ คำถามแบบนี้ นาย Kenneth บอกหมูสะเต๊ะ เขารู้คำตอบตั้งแต่ก่อนจะถามแล้ว เรื่องมันจะบังเอิญไปหน่อยหรือเปล่านะ นาย Kenneth เล่าว่า เมื่อประธานาธิบดีต้องการรู้เช่น นั้น ลูกน้องก็ตาหูเหลือก ไม่มีใครรู้จักสยามเลย รู้จักญี่ปุ่นนิดหน่อย นาย Donovan (ชื่อเต็มคือนาย William Donovan หรือ Wild Bill Donovan) ซึ่งได้รับมอบหมายจากประธานาธิบดี ให้เป็นผู้วางแผนยุทธศาสตร์การรบ ก็ต้องไปเดินคลำหาคนที่รู้จักสยาม แห่งแรกที่เขาไป คือ ห้องสมุดรัฐสภา Library of Congress หัวหน้าห้องสมุดชื่อนาย Ernest Griffith บอกว่าที่นี่ไม่มีใครรู้เรื่องสยามกับอินโดจีนหรอก นู่น คุณลองไปถามที่ American Council of Learned Societies ดูซินะ มันพวกคงแก่เรียนทั้งนั้นที่นั่น แหละ ที่เดียวที่น่าจะรู้เรื่อง แหม ! ยังกะล็อคโผ ไปถามหานาย Mortimer Graves นะ เขาคงจะรู้ที่สุดแหละ คำตอบที่นาย Donovan ได้จากนาย Graves ก็คือ น่าจะมีคนเดียวนะ ชื่อนาย Kenneth Landon ไปติดต่อเขาดูแล้วกัน นาย Donovan บอกงั้นเขาจะให้ฝ่ายข่าวกรองตรวจสอบประวัตินาย Landon นี่ก่อน ว่าเป็นตัวจริงเสียงจริงที่รู้เรื่องสยาม อินโดจีน และญี่ปุ่นหรือเปล่า (หมายเหตุคนเล่านิทาน : ผมเพิ่งไปอ่านเจอเอกสารฉบับหนึ่ง บอกว่านาย Donovan เป็นเครือข่ายของพวก CFR ! หน่วยงานที่อยากให้อเมริกา ค้าสงคราม เลยต้องทำความรู้จักเขาหน่อย นาย William J. Donovan จบกฏหมายจากมหาวิทยาลัย Columbia ตอนเรียนหนังสือมีเพื่อนร่วมชั้นชื่อนาย Franklin Delano Roosevelt เมื่อเรียนจบมา ก่อนเปลี่ยนเข็มไปเป็นทหาร เขาทำอาชีพนักกฏหมายตามที่เรียนมาก่อน ประสพความสำเร็จอย่างสูงจากฝีมือ และฝีปาก ซึ่งดังไปเข้าหูนาย Rockefeller จึงจ้างเขาไปทำงาน “War Relief Mission” ในยุโรป พูดให้เฉพาะก็คือไปอยู่ที่ Belgium ประเทศที่มีเมืองหลวงชื่อ Brussel ที่เป็นที่ตั้งชุมทางนักล่าชั้น สูง สมาคม Bilderberg นั่นเหละ War Relief หรือ เรียกอีกชื่อว่า American Relief นี้ ไม่รู้ทำอะไรมั่ง จะต้องไปตามสืบต่อ แต่ทำให้นาย Donovan ต้องอยู่แถวยุโรปอยู่หลายปี และทำให้เขามีโอกาสรู้จักผู้ที่ ไปมาแถวยุโรปมากมาย คนหนึ่งคือนาย William Stephenson เป็นชาวแคนาดา ซึ่งเป็นสายลับตัวฉกาจ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำงานประสานระหว่างยุโรปกับอเมริกา เขาเขียนหนังสือชีวประวัติของตัวเองไว้ชื่อ The Man Called Intrepid (ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงนำมาแปลเป็นไทย และทรงตั้งชื่อเรื่องว่า “นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ”) ต่อมานักเขียนชื่อดัง Ian Fleming นำมาดัดแปลงเป็นบุคลิกของพระเอก James Bond สายลับ 007 เมื่อนาย Donovan จะต้องตั้งหน่วยงาน OSS สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นาย Stephenson นี้มีส่วนช่วยอย่างสำคัญ เรื่องของนาย Donovan เองก็โลดโผนโจนทยานไม่น้อย เรียกว่าเอาไปเป็นพระเอกหนังบู๊ปนรักหักเหลี่ยมสายลับได้อย่างสบาย ไม่แพ้ James Bond เหมือนกัน ไม่รู้หลุดมือนักสร้างหนัง Hollywood มาได้ไง) เมื่อฝ่ายข่าวกรองโทรไปตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ทุกมหาวิทยาลัยตอบเหมือนกันหมดว่า ถ้าจะมีคนรู้เรื่องสยามกับอินโดจีน ก็น่าจะเป็นนาย Kenneth นี่แหละ (ก็จะไม่ใช่ได้ยังไง เดินสายขอให้มหาวิทยาลัยต่างๆ ตั้ง Southeast Asian Studies อยู่เป็นปี !) แล้วนาย Kenneth ก็ถูกโทรศัพท์ตามตัวจากทะเลสาบ Michigan ให้มาพบประธานาธิบดี Roosevelt ส่วนคำตอบของนาย Kenneth เกี่ยวกับญี่ปุ่นนั้น นาย Kenneth บอกเขาไม่รู้หรอกว่าญี่ปุ่นคิดอย่างไรกับไทย แต่รู้ว่าถ้าญี่ปุ่นจะบุกไทย ถ้าญี่ปุ่นฉลาด ญี่ปุ่นน่าจะมาช่วงเดือนธันวาคมถึงเมษายน เพราะก่อนหน้านั้นเป็นหน้ามรสุม ฝนตกชุก! ไม่น่ามีใครบ้าเคลื่อนทัพ และขนย้ายอาวุธยุทโธปกรณ์ของหนัก ระหว่างฝนตกน้ำท่วม รถแท๊งค์ ปืนใหญ่จมโคลนหมด คำถามต่อไปว่า แล้วถ้าญี่ปุ่นจะมาทางรถ จะขับมาได้ถึงไหน นาย Kenneth บอกญี่ปุ่นไม่น่าจะใช้ทางหลวง เพราะเป็นเป้า น่าจะมาทางป่าและสามารถใช้จักรยานขี่ผ่านสวนยางไปตลอดทางใต้ถึงแหลมมาลายู ฯลฯ และเมื่อญี่ปุ่นบุกอินโดจีนจริงๆ ญี่ปุ่นไม่ได้ยกพลมาลงที่กรุงเทพ แต่ไปลงที่ Kota Baru ในมาลายู และขนเอาจักรยานมาด้วย ขี่ลงใต้ไปจนถึงแหลมมาลายู (ฟังดูแล้วคำถามของอเมริกานี่พื้นมาก ไม่น่าจะเป็นคำถามของพี่เบิ้มเลย ไม่รู้ว่านาย Kenneth อมข่าวหรือเต้าข่าวให้เราฟังกันแน่) คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 200 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยนักล่า ตอนที่ 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยนักล่า” (3)
    คุณครูผู้ปกครอง CRS เขียนสมุดรายงานความประพฤตินักเรียนไทยแบบไม่ต้องตีความกันมาก อเมริการับไม่ได้ที่จะให้ไทยแลนด์เล่นกีฬาสีภายในกันไปตลอดชาติ มันต้องหยุดเสียที จะหยุดแบบไหน ก็แบบที่ทำให้ประเทศไทยมีความสงบมั่นคงนั่นแหละ เพราะมันเป็นความจำเป็นของนักล่า ในการจะใช้ไทย ที่มีบ้านเมืองสงบมั่นคง ร่วมขบวนทัพไปบุกบ้านอาเฮีย !

คุณครูเขียนเองนะว่า ประเทศไทยเป็นที่ชื่นชมว่า มีความมั่นคงทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมืองมาตลอด จนเมื่อมีการปฏิวัติ ค.ศ. 2006 (เมื่อมีการไล่ไอ้โจรร้ายออกไป แล้วไอ้โจรร้ายมันไม่ยอมรับ ไม่ว่าผลทางกฏหมาย หรือผลทางการเมือง มันถึงได้ตีตั๋วรวนแบบตั๋วไม่มีหมดอายุ จนกว่าหมดอายุกันไปข้างหนึ่งน่ะแหละ) เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ ถ้าสื่อนอกหรือคุณนายฑูต มันว่าไทยไม่เป็นประชาธิปไตย ก็เอารายงานคุณครู CRS ของพวกมันเองนี้แหละ ส่งไปให้อ่านนะครับ ทำเป็นแผ่นโปสเตอร์ใหญ่ ติดหน้าสถาน
ฑูตมันเลยดีไหมพี่น้อง เดี๋ยวผมจะเอา link มาลง แล้วก็ช่วยกันอ่าน ช่วยกันก๊อบส่งกันไป จริง ๆ ก็หาไม่ยากอะไร กดถามอากู “Thailand : Background and US Relations” ปี ค.ศ. 2013 มันก็ขึ้นมาแล้วครับ
    นักล่ามันจะทนนั่งเกาหัวดูอยู่เฉย ๆ ได้ยังไง ประเทศนี้อยู่ในอุ้งมือมันมาตั้งกะ ค.ศ. 1954 กว่า 60 ปีมาแล้ว ของมันเคย เคยมี เคยสั่ง เคยใช้กันได้ วันดีคืนดีมีอาเฮียมายืนพุงโต แอบจับมือกับสมันน้อยอีกคน ความอิจฉาตาร้อนก็ต้องมีเป็นธรรมดา ยังมาปากแข็งทำเป็นขู่ว่า ไอไม่ให้ไทยแลนด์เล่นเป็นตัวเอกในหนังใหม่เรื่อง เมื่อคาวบอยบุก
เซียงไฮ้ “Rebalancing” พูดแบบนี้ นึกว่าสมันน้อยจะร้องไห้ฟูมฟายหรือ ขอโทษผ่านมา 60 ปีแล้ว ไม่มีคอมมี่มาขู่ให้สมันน้อยผวาแล้ว แถมตอนนี้สมันน้อยเนื้อหอม
ไม่ให้เล่นเป็นพระเอก ในเรื่องคาวบอยบุกเซียงไฮ้ สมันน้อยอาจจะเลือกไปเล่นเป็นนางเอกเรื่อง เมื่อเซียงไฮ้ถล่มแอลเอ แทนก็ได้นะ
แล้วไงล่ะ ไปเอาพวกตัวประกอบหน้าใหม่ ผักชีโรยหน้ามาเล่นแทนนะ จะให้กบกระโดดมาจากอินโดนีเซี ย หรือออสเตรเลีย ไม่มีใบบัวแถวชุมพรรองรับ กบได้จมน้ำตายเกลี้ยง เดี๋ยวจะว่าไม่เตือน ก็รู้อยู่แก่ใจ จนหลุดปากบอกออกมาแล้วว่า ตำแหน่งที่ประเทศไทยตั้งอยู่มันเป็นส่วนสำคัญ (อย่างยิ่ง !) สำหรับการจะเข้าไปเล่นบทคาวบอยบุกเซียงไฮ้
    รายงานของคุณครูผู้ปกครอง CRS ออกมาปลายธันวาคม ค.ศ. 2013
shut down กรุงเทพฯ ของลุงกำนัน 9 ธันวาคม เกิดขึ้นแล้ว นักล่าเห็นแล้วว่า
มวลมหาประชาชน แม้จะร้องรำทำเพลงประกอบการประท้วงขับไล่ทุกวัน แต่ก็เอาจริง (เอะ ! หรือนักล่ามันเป็นคนช่วยส่ง ช่วยเสริม ให้เอาจริง ความสงบจะได้มาเร็ว !?!) แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 ผลจะออกมาเป็นอย่างไร
แต่เมื่อผลการเลือกตั้งออกมา ให้เห็นว่ารัฐบาลแพ้ยับเยิน บวกกับรายงานการสำรวจของ Asia Foundation ที่บอกว่าคนชั้นกลางจำนวนมาก ซึ่งเป็นผู้มีรายได้ สนับสนุนฝ่ายไล่รัฐบาล
    นักล่าไม่ต้องคิดมาก คุณครู CRS เขียนสารภาพออกมาแล้วว่า ไทยเป็นลูกค้ารายใหญ่ นำเข้าสินค้าจากอเมริกาเป็นจำนวนมาก ชนชั้นกลางคือผู้มีกำลังซื้อ จะปล่อยให้เล่นชกมวยสนามในบ้านไปเรื่อย ๆ แบบนี้ทำให้นักล่าเสียหายในสนามภูมิภาค แถมจะกระเทือนตำแหน่งแชมป์โลกเอาด้วย ไหนจะเรื่องกบจะจมน้ำเพราะไม่มีใบบัวรองรับ ไหนจะมีอาเฮียคอยคว้าสะเอวสมัน น้อยไปเดินเล่น นี่ยังมีเรื่องค้าขายอีก โอ้ พระเจ้า เศรษฐกิจไอกำลังอาการหนัก ต้องการกำลังซื้ออย่างยิ่ง แล้วพวกผักชีโรยหน้าที่ไปเจรจาไว้นะ เอาเข้าจริงจะพึ่งได้แบบ Mil to Mil อย่างคุณพี่ทหารของไทยแลนด์หรือเปล่า สิงคโปร์น่ะ ยังต้องส่งทหารมาฝึกกับคุณพี่ตู่ทุกปี เวียตนามล่ะ รบคนละแนว อาวุธยุทโธปกรณ์เขาก็ได้จากพี่ปูของรัสเซียทั้งนั้น แล้วแน่ใจหรือว่าคุณเวียตเขาจะเชื่อว่านักล่า รักจริงหวังแต่ง รบราฆ่าฟันกันจนตายเป็นเบื่อ เขาไม่ลืมง่าย ๆ หรอกน่า
    ส่วนอินโดน่ะ ตอนคุณพี่ Obama ไปตั้งให้เป็นคู่หูคนใหม่ เพราะบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนที่เคยอาศัยอยู่บ้านเมืองเขาอยู่เมื่อเด็ก ๆ น่ะ นักวิเคราะห์ค่ายนักล่าเอง หัวร่อกันครืน บอกว่าทดแทนบุญคุณผิดที่เสียแล้วท่าน ท่านอาจจะกำลังยื่นดาบให้ศัตรู (อ้าวตาย เรื่องนี้เขาปิดกันหรือเปล่านะ) ฟิลิปปินส์เองก็ใช่ว่าหายเคืองกัน เดี๋ยวสั่งปิดเดี๋ยวสั่งเปิดฐานทัพ ชาวบ้านเขาก็เบื่อเป็นเหมือนกันนะ วัน ๆ วิดน้ำทะเลออกจากบ้านก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว พายุมาแล้ว มาอีก แล้วคุณพ่ออเมริกามาช่วยอะไรบ้างล่ะ ถ้าจะให้ดีช่วยกลับไปอ่าน ยุทธการกบกระโดด อีกรอบนะครับ จะได้ประหยัดแรงงานคนแก่ ไม่ต้องเขียนซ้ำ
    เห็นได้ชัดว่า นักล่าแทบไม่มีทางเลือกหรอก อยากจะบุกเซียงไฮ้ ไม่มีไทยแลนด์เข้าฉากด้วย บอกได้คำเดียวว่าหนังจืดครับ เผลอ ๆ คนดูนอนหลับ น้ำลายไหลยึด จะลุยกับ
อาเฮียเขาทั้งที มันต้องยกทัพโยธาเป็นขบวนใหญ่ มันถึงจะสมศักดิ์ศรีนักล่า มีแต่เด็ก ๆ หรือพวกหน้าใหม่ผักชีโรยหน้าไป แต่หัวหมู่ทะลวงฟันคบกับมา 60 ปี มองหน้ารู้ใจ
ไม่เอาไปด้วย อย่างนี้ต้องส่งสามก๊กบวกตำรา ซุนวูไปให้ คุณพี่ Obama อ่านแทนฟังรายงานของ ไอ้พวกถังสมอง (think tank) พูดถึงเรื่องถังสมอง เดี๋ยวจะแถมให้ก่อนจบ ถ้าไม่ลืมซะก่อน

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยนักล่า ตอนที่ 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยนักล่า” (3) คุณครูผู้ปกครอง CRS เขียนสมุดรายงานความประพฤตินักเรียนไทยแบบไม่ต้องตีความกันมาก อเมริการับไม่ได้ที่จะให้ไทยแลนด์เล่นกีฬาสีภายในกันไปตลอดชาติ มันต้องหยุดเสียที จะหยุดแบบไหน ก็แบบที่ทำให้ประเทศไทยมีความสงบมั่นคงนั่นแหละ เพราะมันเป็นความจำเป็นของนักล่า ในการจะใช้ไทย ที่มีบ้านเมืองสงบมั่นคง ร่วมขบวนทัพไปบุกบ้านอาเฮีย !

คุณครูเขียนเองนะว่า ประเทศไทยเป็นที่ชื่นชมว่า มีความมั่นคงทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมืองมาตลอด จนเมื่อมีการปฏิวัติ ค.ศ. 2006 (เมื่อมีการไล่ไอ้โจรร้ายออกไป แล้วไอ้โจรร้ายมันไม่ยอมรับ ไม่ว่าผลทางกฏหมาย หรือผลทางการเมือง มันถึงได้ตีตั๋วรวนแบบตั๋วไม่มีหมดอายุ จนกว่าหมดอายุกันไปข้างหนึ่งน่ะแหละ) เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ ถ้าสื่อนอกหรือคุณนายฑูต มันว่าไทยไม่เป็นประชาธิปไตย ก็เอารายงานคุณครู CRS ของพวกมันเองนี้แหละ ส่งไปให้อ่านนะครับ ทำเป็นแผ่นโปสเตอร์ใหญ่ ติดหน้าสถาน
ฑูตมันเลยดีไหมพี่น้อง เดี๋ยวผมจะเอา link มาลง แล้วก็ช่วยกันอ่าน ช่วยกันก๊อบส่งกันไป จริง ๆ ก็หาไม่ยากอะไร กดถามอากู “Thailand : Background and US Relations” ปี ค.ศ. 2013 มันก็ขึ้นมาแล้วครับ นักล่ามันจะทนนั่งเกาหัวดูอยู่เฉย ๆ ได้ยังไง ประเทศนี้อยู่ในอุ้งมือมันมาตั้งกะ ค.ศ. 1954 กว่า 60 ปีมาแล้ว ของมันเคย เคยมี เคยสั่ง เคยใช้กันได้ วันดีคืนดีมีอาเฮียมายืนพุงโต แอบจับมือกับสมันน้อยอีกคน ความอิจฉาตาร้อนก็ต้องมีเป็นธรรมดา ยังมาปากแข็งทำเป็นขู่ว่า ไอไม่ให้ไทยแลนด์เล่นเป็นตัวเอกในหนังใหม่เรื่อง เมื่อคาวบอยบุก
เซียงไฮ้ “Rebalancing” พูดแบบนี้ นึกว่าสมันน้อยจะร้องไห้ฟูมฟายหรือ ขอโทษผ่านมา 60 ปีแล้ว ไม่มีคอมมี่มาขู่ให้สมันน้อยผวาแล้ว แถมตอนนี้สมันน้อยเนื้อหอม
ไม่ให้เล่นเป็นพระเอก ในเรื่องคาวบอยบุกเซียงไฮ้ สมันน้อยอาจจะเลือกไปเล่นเป็นนางเอกเรื่อง เมื่อเซียงไฮ้ถล่มแอลเอ แทนก็ได้นะ
แล้วไงล่ะ ไปเอาพวกตัวประกอบหน้าใหม่ ผักชีโรยหน้ามาเล่นแทนนะ จะให้กบกระโดดมาจากอินโดนีเซี ย หรือออสเตรเลีย ไม่มีใบบัวแถวชุมพรรองรับ กบได้จมน้ำตายเกลี้ยง เดี๋ยวจะว่าไม่เตือน ก็รู้อยู่แก่ใจ จนหลุดปากบอกออกมาแล้วว่า ตำแหน่งที่ประเทศไทยตั้งอยู่มันเป็นส่วนสำคัญ (อย่างยิ่ง !) สำหรับการจะเข้าไปเล่นบทคาวบอยบุกเซียงไฮ้ รายงานของคุณครูผู้ปกครอง CRS ออกมาปลายธันวาคม ค.ศ. 2013
shut down กรุงเทพฯ ของลุงกำนัน 9 ธันวาคม เกิดขึ้นแล้ว นักล่าเห็นแล้วว่า
มวลมหาประชาชน แม้จะร้องรำทำเพลงประกอบการประท้วงขับไล่ทุกวัน แต่ก็เอาจริง (เอะ ! หรือนักล่ามันเป็นคนช่วยส่ง ช่วยเสริม ให้เอาจริง ความสงบจะได้มาเร็ว !?!) แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 ผลจะออกมาเป็นอย่างไร
แต่เมื่อผลการเลือกตั้งออกมา ให้เห็นว่ารัฐบาลแพ้ยับเยิน บวกกับรายงานการสำรวจของ Asia Foundation ที่บอกว่าคนชั้นกลางจำนวนมาก ซึ่งเป็นผู้มีรายได้ สนับสนุนฝ่ายไล่รัฐบาล นักล่าไม่ต้องคิดมาก คุณครู CRS เขียนสารภาพออกมาแล้วว่า ไทยเป็นลูกค้ารายใหญ่ นำเข้าสินค้าจากอเมริกาเป็นจำนวนมาก ชนชั้นกลางคือผู้มีกำลังซื้อ จะปล่อยให้เล่นชกมวยสนามในบ้านไปเรื่อย ๆ แบบนี้ทำให้นักล่าเสียหายในสนามภูมิภาค แถมจะกระเทือนตำแหน่งแชมป์โลกเอาด้วย ไหนจะเรื่องกบจะจมน้ำเพราะไม่มีใบบัวรองรับ ไหนจะมีอาเฮียคอยคว้าสะเอวสมัน น้อยไปเดินเล่น นี่ยังมีเรื่องค้าขายอีก โอ้ พระเจ้า เศรษฐกิจไอกำลังอาการหนัก ต้องการกำลังซื้ออย่างยิ่ง แล้วพวกผักชีโรยหน้าที่ไปเจรจาไว้นะ เอาเข้าจริงจะพึ่งได้แบบ Mil to Mil อย่างคุณพี่ทหารของไทยแลนด์หรือเปล่า สิงคโปร์น่ะ ยังต้องส่งทหารมาฝึกกับคุณพี่ตู่ทุกปี เวียตนามล่ะ รบคนละแนว อาวุธยุทโธปกรณ์เขาก็ได้จากพี่ปูของรัสเซียทั้งนั้น แล้วแน่ใจหรือว่าคุณเวียตเขาจะเชื่อว่านักล่า รักจริงหวังแต่ง รบราฆ่าฟันกันจนตายเป็นเบื่อ เขาไม่ลืมง่าย ๆ หรอกน่า ส่วนอินโดน่ะ ตอนคุณพี่ Obama ไปตั้งให้เป็นคู่หูคนใหม่ เพราะบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนที่เคยอาศัยอยู่บ้านเมืองเขาอยู่เมื่อเด็ก ๆ น่ะ นักวิเคราะห์ค่ายนักล่าเอง หัวร่อกันครืน บอกว่าทดแทนบุญคุณผิดที่เสียแล้วท่าน ท่านอาจจะกำลังยื่นดาบให้ศัตรู (อ้าวตาย เรื่องนี้เขาปิดกันหรือเปล่านะ) ฟิลิปปินส์เองก็ใช่ว่าหายเคืองกัน เดี๋ยวสั่งปิดเดี๋ยวสั่งเปิดฐานทัพ ชาวบ้านเขาก็เบื่อเป็นเหมือนกันนะ วัน ๆ วิดน้ำทะเลออกจากบ้านก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว พายุมาแล้ว มาอีก แล้วคุณพ่ออเมริกามาช่วยอะไรบ้างล่ะ ถ้าจะให้ดีช่วยกลับไปอ่าน ยุทธการกบกระโดด อีกรอบนะครับ จะได้ประหยัดแรงงานคนแก่ ไม่ต้องเขียนซ้ำ เห็นได้ชัดว่า นักล่าแทบไม่มีทางเลือกหรอก อยากจะบุกเซียงไฮ้ ไม่มีไทยแลนด์เข้าฉากด้วย บอกได้คำเดียวว่าหนังจืดครับ เผลอ ๆ คนดูนอนหลับ น้ำลายไหลยึด จะลุยกับ
อาเฮียเขาทั้งที มันต้องยกทัพโยธาเป็นขบวนใหญ่ มันถึงจะสมศักดิ์ศรีนักล่า มีแต่เด็ก ๆ หรือพวกหน้าใหม่ผักชีโรยหน้าไป แต่หัวหมู่ทะลวงฟันคบกับมา 60 ปี มองหน้ารู้ใจ
ไม่เอาไปด้วย อย่างนี้ต้องส่งสามก๊กบวกตำรา ซุนวูไปให้ คุณพี่ Obama อ่านแทนฟังรายงานของ ไอ้พวกถังสมอง (think tank) พูดถึงเรื่องถังสมอง เดี๋ยวจะแถมให้ก่อนจบ ถ้าไม่ลืมซะก่อน คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 244 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Dalian: เมื่อโรงงาน NAND ที่เคยเป็นความหวังของ Intel กลายเป็นสินทรัพย์ที่ถูกจำกัดการเติบโต

    โรงงานผลิต NAND ในเมืองต้าเหลียน ประเทศจีน ซึ่งเดิมเป็นของ Intel และเปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2010 ได้ถูกเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการเป็น SK hynix Semiconductor Storage Technology (Dalian) Co., Ltd. เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2025 นี่คือขั้นตอนสุดท้ายของการเข้าซื้อกิจการมูลค่า 9 พันล้านดอลลาร์ที่ SK hynix ทำกับ Intel ตั้งแต่ปี 2020

    แม้ SK hynix จะควบคุมโรงงานนี้มาตั้งแต่ปี 2021 และยังคงผลิต NAND แบบ 192-layer สำหรับ SSD QLC ผ่านแบรนด์ Solidigm แต่การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สหรัฐฯ เพิ่งประกาศยกเลิกใบอนุญาต VEU (Validated End-User) สำหรับโรงงานในจีนของ SK hynix และ Samsung ซึ่งเคยอนุญาตให้นำเข้าเครื่องมือผลิตชิปจากสหรัฐฯ โดยไม่ต้องขออนุญาตรายครั้ง

    การยกเลิกใบอนุญาตนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2025 และจะทำให้โรงงาน Dalian ไม่สามารถอัปเกรดไปสู่เทคโนโลยี NAND รุ่นใหม่ เช่น 238-layer หรือ 321-layer ได้อีกต่อไป แม้จะยังสามารถซ่อมบำรุงเครื่องมือเดิมได้ก็ตาม

    SK hynix จึงกลายเป็นเจ้าของโรงงานที่มีข้อจำกัดด้านการเติบโตอย่างชัดเจน และอาจต้องลงทุนสร้างโรงงานใหม่นอกจีน หากต้องการแข่งขันในตลาด NAND ระดับสูง ซึ่งอาจใช้เงินถึง 10–20 พันล้านดอลลาร์

    การเปลี่ยนชื่อและโครงสร้างกรรมสิทธิ์
    โรงงาน Dalian เปลี่ยนชื่อเป็น SK hynix Semiconductor Storage Technology (Dalian) Co., Ltd.
    เป็นขั้นตอนสุดท้ายของดีลมูลค่า $9B ที่เริ่มตั้งแต่ปี 2020
    Intel Asia Holding ออกจากสถานะผู้ถือหุ้นตั้งแต่เดือนมีนาคม

    สถานะการผลิตและเทคโนโลยี
    โรงงานยังผลิต NAND แบบ 192-layer สำหรับ SSD QLC
    ใช้เทคโนโลยีที่สืบทอดจาก Intel ผ่านแบรนด์ Solidigm
    ไม่สามารถอัปเกรดไปสู่ 238- หรือ 321-layer NAND ได้

    ผลกระทบจากการยกเลิกใบอนุญาต VEU
    สหรัฐฯ ยกเลิกใบอนุญาต VEU สำหรับ SK hynix และ Samsung ในจีน
    มีผลตั้งแต่ 31 ธันวาคม 2025
    ไม่สามารถนำเข้าเครื่องมือใหม่จากสหรัฐฯ ได้โดยไม่ขออนุญาตรายครั้ง

    ทางเลือกเชิงกลยุทธ์ของ SK hynix
    อาจต้องสร้างโรงงานใหม่นอกจีนเพื่อรองรับ NAND รุ่นใหม่
    คาดว่าต้องใช้เงินลงทุน $10–20B
    ต้องปรับแผนการผลิตและ supply chain อย่างมีนัยสำคัญ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/intel-dalian-plant-now-officially-sk-hynix
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Dalian: เมื่อโรงงาน NAND ที่เคยเป็นความหวังของ Intel กลายเป็นสินทรัพย์ที่ถูกจำกัดการเติบโต โรงงานผลิต NAND ในเมืองต้าเหลียน ประเทศจีน ซึ่งเดิมเป็นของ Intel และเปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2010 ได้ถูกเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการเป็น SK hynix Semiconductor Storage Technology (Dalian) Co., Ltd. เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2025 นี่คือขั้นตอนสุดท้ายของการเข้าซื้อกิจการมูลค่า 9 พันล้านดอลลาร์ที่ SK hynix ทำกับ Intel ตั้งแต่ปี 2020 แม้ SK hynix จะควบคุมโรงงานนี้มาตั้งแต่ปี 2021 และยังคงผลิต NAND แบบ 192-layer สำหรับ SSD QLC ผ่านแบรนด์ Solidigm แต่การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สหรัฐฯ เพิ่งประกาศยกเลิกใบอนุญาต VEU (Validated End-User) สำหรับโรงงานในจีนของ SK hynix และ Samsung ซึ่งเคยอนุญาตให้นำเข้าเครื่องมือผลิตชิปจากสหรัฐฯ โดยไม่ต้องขออนุญาตรายครั้ง การยกเลิกใบอนุญาตนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2025 และจะทำให้โรงงาน Dalian ไม่สามารถอัปเกรดไปสู่เทคโนโลยี NAND รุ่นใหม่ เช่น 238-layer หรือ 321-layer ได้อีกต่อไป แม้จะยังสามารถซ่อมบำรุงเครื่องมือเดิมได้ก็ตาม SK hynix จึงกลายเป็นเจ้าของโรงงานที่มีข้อจำกัดด้านการเติบโตอย่างชัดเจน และอาจต้องลงทุนสร้างโรงงานใหม่นอกจีน หากต้องการแข่งขันในตลาด NAND ระดับสูง ซึ่งอาจใช้เงินถึง 10–20 พันล้านดอลลาร์ ✅ การเปลี่ยนชื่อและโครงสร้างกรรมสิทธิ์ ➡️ โรงงาน Dalian เปลี่ยนชื่อเป็น SK hynix Semiconductor Storage Technology (Dalian) Co., Ltd. ➡️ เป็นขั้นตอนสุดท้ายของดีลมูลค่า $9B ที่เริ่มตั้งแต่ปี 2020 ➡️ Intel Asia Holding ออกจากสถานะผู้ถือหุ้นตั้งแต่เดือนมีนาคม ✅ สถานะการผลิตและเทคโนโลยี ➡️ โรงงานยังผลิต NAND แบบ 192-layer สำหรับ SSD QLC ➡️ ใช้เทคโนโลยีที่สืบทอดจาก Intel ผ่านแบรนด์ Solidigm ➡️ ไม่สามารถอัปเกรดไปสู่ 238- หรือ 321-layer NAND ได้ ✅ ผลกระทบจากการยกเลิกใบอนุญาต VEU ➡️ สหรัฐฯ ยกเลิกใบอนุญาต VEU สำหรับ SK hynix และ Samsung ในจีน ➡️ มีผลตั้งแต่ 31 ธันวาคม 2025 ➡️ ไม่สามารถนำเข้าเครื่องมือใหม่จากสหรัฐฯ ได้โดยไม่ขออนุญาตรายครั้ง ✅ ทางเลือกเชิงกลยุทธ์ของ SK hynix ➡️ อาจต้องสร้างโรงงานใหม่นอกจีนเพื่อรองรับ NAND รุ่นใหม่ ➡️ คาดว่าต้องใช้เงินลงทุน $10–20B ➡️ ต้องปรับแผนการผลิตและ supply chain อย่างมีนัยสำคัญ https://www.tomshardware.com/tech-industry/intel-dalian-plant-now-officially-sk-hynix
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 139 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยนักล่า ตอนที่ 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยนักล่า” (2)
    ขณะที่เขียนนิทานนี้ การขับไล่รัฐบาลนังมารร้าย ของมวลมหาประชาชนยังไม่สำเร็จ มะม่วงแม้จะขั้วเน่า จุดดำขึ้นเต็มลูก ก็ยังไม่ร่วงหล่น ลุงกำนันใช้ลมปากเท่าใดก็ไม่เป็นผล และแม้จะมีนักวิชาการดาหน้ากันมาบอกว่า การเป็นรัฐบาลรักษาการของรัฐบาลนังมารร้ายได้สิ้นสุดไปแล้ว ก็เหมือนพูดกับคนหูหนวก ไม่รู้เรื่อง แถมนังมารร้ายออกมาพูดจาเลอะเทอะ ทำน้ำตาคลอ ดูอาการเหมือนคนใกล้จะวิปลาส และแม้จะมีศาลจะออกมาชี้มูลความผิด หรือแม้ว่าจะมีคุณหมอคนใดจริงใจและใจถึงออกมาบอกว่า นังมารร้ายวิปลาสไปแล้ว หล่อนก็ยังคงไม่รู้ร้อนรู้หนาวเกาะเก้าอี้ห้อยต่องแต่งต่อไป จำเป็นจะต้องรอให้มีปัจจัยอื่น ที่จะมาปลิดมะม่วงให้หล่น
    ปัจจัยภายในคือคุณพี่ทหาร ซึ่งขณะนี้ได้แสดงท่าทีว่าจวนจะหาจุดยืนถูก “ที่” แล้ว รออีกสักหน่อย ตอนนี้ยังยุ่งกับการแต่งบังเกอร์ให้หวานแหววอยู่ ส่วนปัจจัยภายนอกคือนักล่า ซึ่งได้ปล่อยข่าวผ่านสำนักหมอ ดู CSIS (Centre for Strategic and International Studies) เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 ไปแล้วว่า มันควรต้องมีการประนีประนอมด้วยการเจรจา และตกลงตั้งนายกรัฐมนตรีคนกลาง เลือกเอาจากที่ผู้คนยอมรับนับถือแบบนายอานันท์ ปันยารชุน
    แหม ! ข่าวแบบนี้เล่นเอาร้านตัดเสื้องานเข้า เขาว่ามีคนแอบไปตัดชุดขาวหลายคน (แอบลุ้นกันทั้งนั้น) บางคนก็เอาชุดเดิมไปแก้ เพราะว่าคอมันคับไป แก่แล้ว น้ำหนักมันขึ้น (ฮา)
    แม้เราจะยังไม่แน่ใจว่า นักล่าจะเล่นไพ่ใบไหน มันกะล่อนจะตาย จะเชื่อกันง่าย ๆ ก็ ฉ.ห. กันหมด แต่เมื่อลองไปแกะรอย ตามดูว่านักล่าเดินไปทางไหน มันก็พอจะบอกอะไรเพิ่มเติมได้บ้าง
    อเมริกามีหน่วยงานหนึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบ ทำรายงานเกี่ยวกับความเป็นไปของแต่ละประเทศแต่ละเหตุการณ์ในโลก เพื่อส่งให้สภาสูง เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอเมริกา เหมือนคุณครูประจำชั้นเขียนสมุดพก ประจำตัวนักเรียนแต่ละคน รายงานผู้ปกครอง สมัยเราเรียนหนังสือนั่นละ หน่วยงานที่ออกสมุดพกพวกนี้เรียกว่า Congressional Research Services (CRS) คุณครูจะออกสมุดพกของแต่ละประเทศ เป็นรายปีในกรณีปกติ หรือมากกว่านั้น ขึ้นกับเหตุการณ์และความสำคัญ เช่นถ้าอเมริกากำลังวิ่งเล่นโยนระเบิดอยู่แถวอิรัค สมุดพกของอิรัคอาจออกเป็นรายชั่วโมง (ฮา) หรือของยูเครนตอนนี้คงออกเป็นรายครึ่งวัน เพราะลงทุนส่งสมุนไปปลุกเศกการปฏิวัติประชาชนซะจนประเทศเขากำลังจะแตกเป็นเสี่ยง
    สำหรับประเทศไทย ที่เปิดเผยคือสมุดพกออกเป็นราย ปี แต่ที่ปกปิด ตามรายงานของคุณนายฑูต อาจออกเป็นรายวัน ดูสมัยเสื้อแดงเผาเมือง ฑูตสมัยนั้นรายงานทุกวัน 3 เวลาหลังอาหาร (อ่านจาก Wikileaks ที่ได้อภินันทนาการแจกกันทั่วโลกครับ) สมุดพกที่ว่านี้ปรกติของนักเรียนไทยแต่ละปี จะออกช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน แต่สำหรับปีค.ศ. 2013 ที่ผ่านมา ผ่านไปครึ่งปีคุณครูคงยังไม่สามารถสรุป ความประพฤติของนักเรียนไทยได้ เพราะเริ่มมีอาการปวดหัว ตัวร้อน มีการโดดเรียน หรือเริ่มมั่วสุมนอกห้องเรียน เพราะหงุดหงิดจากพวกแก๊งขี้โกงเสนอร่างพรบ.นิรโทษกรรมเข้าไปพิจารณาในสภา คุณครู CRS เลยถ่วงเวลามาออกเอาเดือนสุดท้ายของปี คือออกรายงานเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 2013
    รายงานคราวนี้ยาวกว่าปรกติ โดยเฉพาะเรื่องสถานการณ์ด้านการเมือง คุณครูรายงานถี่ยิบ ใส่ทุกเรื่องทุกฝ่าย
    รายงานส่วนที่สำคัญบอกว่า ไทยแลนด์เป็นพันธมิตรเก่าแก่ของอเมริกา ตั้งแต่ ค.ศ. 1954 (นานจัง) และได้รับการชื่นชมมาโดยตลอดว่าเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จ ทั้งด้านเศรษฐกิจและการดำรงความเป็นประเทศในระบอบประชาธิปไตย (อ้าว ! ไหนประนามกันเรื่อยว่าไทยไม่เป็นประชาธิปไตย เดี๋ยวฟ้องคุณครูเลย ! ) สัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศแน่นแฟ้นในช่วงสงครามเย็น และได้ขยายไปทั้งด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความมั่นคง ไทยเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของอเมริกา และการที่อเมริกาสามารถเข้าไปใช้บริการ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ของกองทัพไทย (เช่น สนามบิน ! ) ทำให้ประเทศไทยเป็นส่วนสำคัญทางยุทธศาสตร์ของอเมริกาในการจะดำรงคงอยู่ในภูมิภาค Asia Pacific นี้ได้ (แหม ! จะหลอกใช้สนามบินของเค้าอีกแล้ว)
    คุณครูบอกว่าความมั่นคงและความเจริญเติบโตของประเทศไทย เริ่มสั่นคลอนหลังจากรัฐประหารในไทย เมื่อ ค.ศ. 2006 สร้างความแตกแยกในสังคมไทยอย่างร้าวลึกและยาวนาน และขณะนี้ได้ลุกลามไปจนกลายเป็น การประท้วงเรียกร้องให้รัฐบาลลาออก และให้มีการปกครอง ที่มีบางส่วนอาจมองได้ว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองของประเทศ อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจของไทย ก็ยังเติบโตแม้จะมีวิกฤติการเมือง และยังเป็นประเทศที่รายได้ของชนชั้นกลาง ยังมีการขยายต่อได้อีก และยังเป็นพันธมิตรที่มั่นคงของอเมริกา (แปลว่าเรื่องกระเป๋าตังค์นี่ เป็นประเด็นที่นักล่าสนใจนะ)
    ประเทศไทยที่สงบและมีความมั่นคง มีนัยอย่างสำคัญทางยุทธศาสตร์ของอเมริกา เพราะประเทศไทยซึ่งมีสถานะเป็นพันธมิตรของอเมริกา ตั้งอยู่บนพื้นแผ่นดินในบริเวณที่เหมาะสมของภูมิภาคอาเซียอาคเณย์นี้ (จุดได้เปรียบของไทย จำกันไว้ให้ดี !)
    คุณครูรายงานต่อไปว่า สภาสูงของอเมริกากำลังลำบากใจที่ต้องเผชิญกับภาวะที่ดูไม่ประชาธิปไตยของไทย และจะมีปฏิกิริยาตอบรับอย่างไร กับประเด็นการดุลอำนาจระหว่างพลเรือนและทหารที่เป็นอยู่ในสังคมไทย (พูดง่าย ๆ ว่ายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอาพลเรือนนำทหาร หรือจะเอาทหารนำพลเรือนใช่ไหมคุณครู) นอกจากนี้ยังมีนักวิเคราะห์หลายรายบอกว่า การที่ไทยมัววุ่นอยู่กับปัญหาภายในประเทศของตนนานเกินไป ทำให้อิทธิพลของตนเองที่เคยมีอยู่ในภูมิภาคนี้ด้อยลงด้วย อย่างไรก็ตามแม้ในระดับการปฏิบัติการร่วมกัน ยังคงราบรื่นอยู่ แต่การริเริ่มใหม่ ๆ ดูเหมือนจะเฉื่อยชาไป (แหม ! นายท่านพวกกระผม กำลังวุ่นกับการไล่รัฐบาลโจร จะให้มัวไปเช็ดรองเท้าพวกท่านก็กรุณารอก่อนนะขอรับ ขอโทษครับ ขอเขียนแดกพวกขี้ข้าฝรั่งหน่อย อดไม่ได้)
    เมื่อรัฐบาล Obama ประกาศเปลี่ยนแปลงดุลยภาพของอเมริกา (Rebalancing) โดยให้ความสำคัญกับ Asia Pacific เป็นอันดับสำคัญ ซึ่งจำเป็นต้องมีการขับเคลื่อนร่วมมือจากประเทศที่เรียกว่าเป็นพันธมิตรในภูมิภาคนี้ด้วยนั้น เห็นชัดว่าอเมริกากับไทย ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ และประเทศไทยก็ไม่ได้ เข้าเป็นคู่สัญญาในการริเริ่มขบวนการตาม Trans Pacific Partnership (TPP) (ไทยตกรถไฟขบวน TPP น่าจะแปลว่าดีกับไทยนะ เพราะยังไม่เห็นประโยชน์อะไรกับไทยเลย !)
    แต่ประเด็นที่เป็นปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการเมืองไทย ที่อเมริกาเป็นห่วง คือโอกาสที่ทักษิณจะกลับมาอยู่ในประเทศไทย มีมากน้อยเพียงใด (แปลว่าไม่อยากได้ทักษิณใช่ไหม ทักษิณเป็นตัวปัญหาใช่ไหม คุณครู) เพราะทักษิณยังเป็นที่ยอมรับในต่างประเทศ และตัวทักษิณเองได้พูดไปทั่วว่า ตนเองยังได้รับการสนับสนุนจากคนไทยอยู่มาก และจะกลับบ้านในเร็ว ๆ นี้ ร่างกฎหมาย นิรโทษกรรมที่จะล้างผิดให้ทักษิณเป็นต้นเหตุ ให้เกิดการประท้วงใหญ่ ตั้งแต่ตุลาคม ค.ศ. 2013 เป็นต้นมา
    อีกประเด็นที่สำคัญคือคำถามเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระชนมายุ 86 แล้ว และมีรายงานว่าไม่ทรงแข็งแรง พระองค์ทรงเป็นที่เคารพอย่างสูงสุด ของประชาชนมาตลอด 60 ปี ที่ผ่านมา และสถาบันกษัตริย์เป็นที่ยอมรับว่า เป็นสถาบันที่มั่นคงที่สุดในไทย แต่ขณะนี้คำถามเกี่ยวกับการสืบสันตติวงศ์เริ่มใกล้เข้ามา ซึ่งทำให้ความมั่นคงของไทยในส่วนนี้ เป็นเรื่องที่ห่วงกันอยู่
    สาเหตุหลักที่อเมริกาจะต้องพยายามรักษาสัมพันธ์กับประเทศไทยไว้ คือ การแข่งขันในการมีอิทธิพลในอาเซียอาคเณย์ระหว่างอเมริกากับจีน (ฮั่นแน่ ! เรื่องสำคัญ มาแอบอยู่ตรงนี้เองแหละ) ไทยมีชื่อเสียงมานานในความสามารถรักษาสัมพันธ์กับทุกฝ่าย ไม่ว่าด้านธุรกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ไทยสามารถจัดการได้ดีทั้งกับจีนและอเมริกา
    ประเทศไทยที่แข็งแรง และมองออกไปนอกตัวเองมากขึ้น จะช่วยให้ได้รับการสนับสนุน ในการเข้าร่วมกระบวนการ “Rebalancing” ของอเมริกา วิกฤตการเมืองของไทย ทำให้ไทยเสียโอกาสอย่างมาก เพราะเมื่อรัฐบาล Obama ประกาศนโยบายต่างประเทศ Rebalancing ของอเมริกามาทางเอเซีย ไทยไม่ได้รับบทบาทสำคัญ (ไม่ได้เป็นพระเอก) และวอชิงตันได้มองไปที่ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และคบหุ้นส่วนใหม่ เช่น อินโดนีเซีย และเวียตนาม (พวกตัวประกอบผักชีโรยหน้า)
    อย่างไรก็ตามฝ่ายกองทัพของสหรัฐ ยังอยากที่จะคบค้าสานสัมพันธ์กับกองทัพไทยต่อไป (Mil to Mil relationship) โดยเฉพาะการสามารถเข้าไปใช้เครื่องมือเครื่องใช้อำนวยความสะดวก รวมทั้งฐานทัพของไทย ในกรณีที่เกิดปัญหาความตึงเครียดในภูมิภาคนี้
    นักวิเคราะห์ระดับภูมิภาคประโลมใจว่า แม้ประเทศไทยจะไม่วิเศษสมบูรณ์ แต่พันธมิตรที่เป็นประชาธิปไตยในภูมิภาค มีความสำคัญยิ่งในการแสดงให้เห็นถึงความผูกพันธ์ของอเมริกาในภูมิภาคนี้ (คุณนายฑูตคริสตี้ ช่วยอ่านรายงานคุณครู CRS ตอนนี้ให้เข้าไปในหัวหน่อย และถ้าคุณนายซึ่งเป็นฑูตตัวแทนประเทศตัวเอง แล้วยังตั้งหน้าตอแหลบิดเบือนต่อไปอีก ครูใหญ่ Obama ช่วยเรียกตัวกลับไปกวาดพื้นโรงเรียนประถมในอเมริกา จะเหมาะสมกับคุณนายมากกว่า และอาจจะทำให้อเมริกาถูกรังเกียจน้อยลงไปบ้าง)
    ขณะเดียวกัน มีผู้ท้วงติงว่า การที่อเมริกาพยายามจะให้ไทยใช้วิธีการบริหารประเทศ โดยให้พลเรือนควบคุมกองทัพ ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผล ดูจากเหตุการณ์ไม่กี่ปีที่ผ่านมา (แปลว่าอยากได้ทหารเป็นผู้บริหารประเทศ มากกว่าพลเรือนหรือไง ?) และแม้ว่าการจะใช้สนามบินของไทยเป็นเรื่องสำคัญสำหรับกองทัพอเมริกา ก็มีผู้สงสัยเช่นกันว่า ไทยจะยอมให้ใช้หรือไม่ หากมีความขัดแย้งกันเกิดขึ้น (เริ่มจะรู้ตัวแล้วหรือนักล่า ว่าสมันน้อยก็มีเขี้ยวเล็บเหมือนกัน)

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยนักล่า ตอนที่ 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยนักล่า” (2) ขณะที่เขียนนิทานนี้ การขับไล่รัฐบาลนังมารร้าย ของมวลมหาประชาชนยังไม่สำเร็จ มะม่วงแม้จะขั้วเน่า จุดดำขึ้นเต็มลูก ก็ยังไม่ร่วงหล่น ลุงกำนันใช้ลมปากเท่าใดก็ไม่เป็นผล และแม้จะมีนักวิชาการดาหน้ากันมาบอกว่า การเป็นรัฐบาลรักษาการของรัฐบาลนังมารร้ายได้สิ้นสุดไปแล้ว ก็เหมือนพูดกับคนหูหนวก ไม่รู้เรื่อง แถมนังมารร้ายออกมาพูดจาเลอะเทอะ ทำน้ำตาคลอ ดูอาการเหมือนคนใกล้จะวิปลาส และแม้จะมีศาลจะออกมาชี้มูลความผิด หรือแม้ว่าจะมีคุณหมอคนใดจริงใจและใจถึงออกมาบอกว่า นังมารร้ายวิปลาสไปแล้ว หล่อนก็ยังคงไม่รู้ร้อนรู้หนาวเกาะเก้าอี้ห้อยต่องแต่งต่อไป จำเป็นจะต้องรอให้มีปัจจัยอื่น ที่จะมาปลิดมะม่วงให้หล่น ปัจจัยภายในคือคุณพี่ทหาร ซึ่งขณะนี้ได้แสดงท่าทีว่าจวนจะหาจุดยืนถูก “ที่” แล้ว รออีกสักหน่อย ตอนนี้ยังยุ่งกับการแต่งบังเกอร์ให้หวานแหววอยู่ ส่วนปัจจัยภายนอกคือนักล่า ซึ่งได้ปล่อยข่าวผ่านสำนักหมอ ดู CSIS (Centre for Strategic and International Studies) เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 ไปแล้วว่า มันควรต้องมีการประนีประนอมด้วยการเจรจา และตกลงตั้งนายกรัฐมนตรีคนกลาง เลือกเอาจากที่ผู้คนยอมรับนับถือแบบนายอานันท์ ปันยารชุน แหม ! ข่าวแบบนี้เล่นเอาร้านตัดเสื้องานเข้า เขาว่ามีคนแอบไปตัดชุดขาวหลายคน (แอบลุ้นกันทั้งนั้น) บางคนก็เอาชุดเดิมไปแก้ เพราะว่าคอมันคับไป แก่แล้ว น้ำหนักมันขึ้น (ฮา) แม้เราจะยังไม่แน่ใจว่า นักล่าจะเล่นไพ่ใบไหน มันกะล่อนจะตาย จะเชื่อกันง่าย ๆ ก็ ฉ.ห. กันหมด แต่เมื่อลองไปแกะรอย ตามดูว่านักล่าเดินไปทางไหน มันก็พอจะบอกอะไรเพิ่มเติมได้บ้าง อเมริกามีหน่วยงานหนึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบ ทำรายงานเกี่ยวกับความเป็นไปของแต่ละประเทศแต่ละเหตุการณ์ในโลก เพื่อส่งให้สภาสูง เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอเมริกา เหมือนคุณครูประจำชั้นเขียนสมุดพก ประจำตัวนักเรียนแต่ละคน รายงานผู้ปกครอง สมัยเราเรียนหนังสือนั่นละ หน่วยงานที่ออกสมุดพกพวกนี้เรียกว่า Congressional Research Services (CRS) คุณครูจะออกสมุดพกของแต่ละประเทศ เป็นรายปีในกรณีปกติ หรือมากกว่านั้น ขึ้นกับเหตุการณ์และความสำคัญ เช่นถ้าอเมริกากำลังวิ่งเล่นโยนระเบิดอยู่แถวอิรัค สมุดพกของอิรัคอาจออกเป็นรายชั่วโมง (ฮา) หรือของยูเครนตอนนี้คงออกเป็นรายครึ่งวัน เพราะลงทุนส่งสมุนไปปลุกเศกการปฏิวัติประชาชนซะจนประเทศเขากำลังจะแตกเป็นเสี่ยง สำหรับประเทศไทย ที่เปิดเผยคือสมุดพกออกเป็นราย ปี แต่ที่ปกปิด ตามรายงานของคุณนายฑูต อาจออกเป็นรายวัน ดูสมัยเสื้อแดงเผาเมือง ฑูตสมัยนั้นรายงานทุกวัน 3 เวลาหลังอาหาร (อ่านจาก Wikileaks ที่ได้อภินันทนาการแจกกันทั่วโลกครับ) สมุดพกที่ว่านี้ปรกติของนักเรียนไทยแต่ละปี จะออกช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน แต่สำหรับปีค.ศ. 2013 ที่ผ่านมา ผ่านไปครึ่งปีคุณครูคงยังไม่สามารถสรุป ความประพฤติของนักเรียนไทยได้ เพราะเริ่มมีอาการปวดหัว ตัวร้อน มีการโดดเรียน หรือเริ่มมั่วสุมนอกห้องเรียน เพราะหงุดหงิดจากพวกแก๊งขี้โกงเสนอร่างพรบ.นิรโทษกรรมเข้าไปพิจารณาในสภา คุณครู CRS เลยถ่วงเวลามาออกเอาเดือนสุดท้ายของปี คือออกรายงานเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 2013 รายงานคราวนี้ยาวกว่าปรกติ โดยเฉพาะเรื่องสถานการณ์ด้านการเมือง คุณครูรายงานถี่ยิบ ใส่ทุกเรื่องทุกฝ่าย รายงานส่วนที่สำคัญบอกว่า ไทยแลนด์เป็นพันธมิตรเก่าแก่ของอเมริกา ตั้งแต่ ค.ศ. 1954 (นานจัง) และได้รับการชื่นชมมาโดยตลอดว่าเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จ ทั้งด้านเศรษฐกิจและการดำรงความเป็นประเทศในระบอบประชาธิปไตย (อ้าว ! ไหนประนามกันเรื่อยว่าไทยไม่เป็นประชาธิปไตย เดี๋ยวฟ้องคุณครูเลย ! ) สัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศแน่นแฟ้นในช่วงสงครามเย็น และได้ขยายไปทั้งด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความมั่นคง ไทยเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของอเมริกา และการที่อเมริกาสามารถเข้าไปใช้บริการ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ของกองทัพไทย (เช่น สนามบิน ! ) ทำให้ประเทศไทยเป็นส่วนสำคัญทางยุทธศาสตร์ของอเมริกาในการจะดำรงคงอยู่ในภูมิภาค Asia Pacific นี้ได้ (แหม ! จะหลอกใช้สนามบินของเค้าอีกแล้ว) คุณครูบอกว่าความมั่นคงและความเจริญเติบโตของประเทศไทย เริ่มสั่นคลอนหลังจากรัฐประหารในไทย เมื่อ ค.ศ. 2006 สร้างความแตกแยกในสังคมไทยอย่างร้าวลึกและยาวนาน และขณะนี้ได้ลุกลามไปจนกลายเป็น การประท้วงเรียกร้องให้รัฐบาลลาออก และให้มีการปกครอง ที่มีบางส่วนอาจมองได้ว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองของประเทศ อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจของไทย ก็ยังเติบโตแม้จะมีวิกฤติการเมือง และยังเป็นประเทศที่รายได้ของชนชั้นกลาง ยังมีการขยายต่อได้อีก และยังเป็นพันธมิตรที่มั่นคงของอเมริกา (แปลว่าเรื่องกระเป๋าตังค์นี่ เป็นประเด็นที่นักล่าสนใจนะ) ประเทศไทยที่สงบและมีความมั่นคง มีนัยอย่างสำคัญทางยุทธศาสตร์ของอเมริกา เพราะประเทศไทยซึ่งมีสถานะเป็นพันธมิตรของอเมริกา ตั้งอยู่บนพื้นแผ่นดินในบริเวณที่เหมาะสมของภูมิภาคอาเซียอาคเณย์นี้ (จุดได้เปรียบของไทย จำกันไว้ให้ดี !) คุณครูรายงานต่อไปว่า สภาสูงของอเมริกากำลังลำบากใจที่ต้องเผชิญกับภาวะที่ดูไม่ประชาธิปไตยของไทย และจะมีปฏิกิริยาตอบรับอย่างไร กับประเด็นการดุลอำนาจระหว่างพลเรือนและทหารที่เป็นอยู่ในสังคมไทย (พูดง่าย ๆ ว่ายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอาพลเรือนนำทหาร หรือจะเอาทหารนำพลเรือนใช่ไหมคุณครู) นอกจากนี้ยังมีนักวิเคราะห์หลายรายบอกว่า การที่ไทยมัววุ่นอยู่กับปัญหาภายในประเทศของตนนานเกินไป ทำให้อิทธิพลของตนเองที่เคยมีอยู่ในภูมิภาคนี้ด้อยลงด้วย อย่างไรก็ตามแม้ในระดับการปฏิบัติการร่วมกัน ยังคงราบรื่นอยู่ แต่การริเริ่มใหม่ ๆ ดูเหมือนจะเฉื่อยชาไป (แหม ! นายท่านพวกกระผม กำลังวุ่นกับการไล่รัฐบาลโจร จะให้มัวไปเช็ดรองเท้าพวกท่านก็กรุณารอก่อนนะขอรับ ขอโทษครับ ขอเขียนแดกพวกขี้ข้าฝรั่งหน่อย อดไม่ได้) เมื่อรัฐบาล Obama ประกาศเปลี่ยนแปลงดุลยภาพของอเมริกา (Rebalancing) โดยให้ความสำคัญกับ Asia Pacific เป็นอันดับสำคัญ ซึ่งจำเป็นต้องมีการขับเคลื่อนร่วมมือจากประเทศที่เรียกว่าเป็นพันธมิตรในภูมิภาคนี้ด้วยนั้น เห็นชัดว่าอเมริกากับไทย ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ และประเทศไทยก็ไม่ได้ เข้าเป็นคู่สัญญาในการริเริ่มขบวนการตาม Trans Pacific Partnership (TPP) (ไทยตกรถไฟขบวน TPP น่าจะแปลว่าดีกับไทยนะ เพราะยังไม่เห็นประโยชน์อะไรกับไทยเลย !) แต่ประเด็นที่เป็นปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการเมืองไทย ที่อเมริกาเป็นห่วง คือโอกาสที่ทักษิณจะกลับมาอยู่ในประเทศไทย มีมากน้อยเพียงใด (แปลว่าไม่อยากได้ทักษิณใช่ไหม ทักษิณเป็นตัวปัญหาใช่ไหม คุณครู) เพราะทักษิณยังเป็นที่ยอมรับในต่างประเทศ และตัวทักษิณเองได้พูดไปทั่วว่า ตนเองยังได้รับการสนับสนุนจากคนไทยอยู่มาก และจะกลับบ้านในเร็ว ๆ นี้ ร่างกฎหมาย นิรโทษกรรมที่จะล้างผิดให้ทักษิณเป็นต้นเหตุ ให้เกิดการประท้วงใหญ่ ตั้งแต่ตุลาคม ค.ศ. 2013 เป็นต้นมา อีกประเด็นที่สำคัญคือคำถามเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระชนมายุ 86 แล้ว และมีรายงานว่าไม่ทรงแข็งแรง พระองค์ทรงเป็นที่เคารพอย่างสูงสุด ของประชาชนมาตลอด 60 ปี ที่ผ่านมา และสถาบันกษัตริย์เป็นที่ยอมรับว่า เป็นสถาบันที่มั่นคงที่สุดในไทย แต่ขณะนี้คำถามเกี่ยวกับการสืบสันตติวงศ์เริ่มใกล้เข้ามา ซึ่งทำให้ความมั่นคงของไทยในส่วนนี้ เป็นเรื่องที่ห่วงกันอยู่ สาเหตุหลักที่อเมริกาจะต้องพยายามรักษาสัมพันธ์กับประเทศไทยไว้ คือ การแข่งขันในการมีอิทธิพลในอาเซียอาคเณย์ระหว่างอเมริกากับจีน (ฮั่นแน่ ! เรื่องสำคัญ มาแอบอยู่ตรงนี้เองแหละ) ไทยมีชื่อเสียงมานานในความสามารถรักษาสัมพันธ์กับทุกฝ่าย ไม่ว่าด้านธุรกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ไทยสามารถจัดการได้ดีทั้งกับจีนและอเมริกา ประเทศไทยที่แข็งแรง และมองออกไปนอกตัวเองมากขึ้น จะช่วยให้ได้รับการสนับสนุน ในการเข้าร่วมกระบวนการ “Rebalancing” ของอเมริกา วิกฤตการเมืองของไทย ทำให้ไทยเสียโอกาสอย่างมาก เพราะเมื่อรัฐบาล Obama ประกาศนโยบายต่างประเทศ Rebalancing ของอเมริกามาทางเอเซีย ไทยไม่ได้รับบทบาทสำคัญ (ไม่ได้เป็นพระเอก) และวอชิงตันได้มองไปที่ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และคบหุ้นส่วนใหม่ เช่น อินโดนีเซีย และเวียตนาม (พวกตัวประกอบผักชีโรยหน้า) อย่างไรก็ตามฝ่ายกองทัพของสหรัฐ ยังอยากที่จะคบค้าสานสัมพันธ์กับกองทัพไทยต่อไป (Mil to Mil relationship) โดยเฉพาะการสามารถเข้าไปใช้เครื่องมือเครื่องใช้อำนวยความสะดวก รวมทั้งฐานทัพของไทย ในกรณีที่เกิดปัญหาความตึงเครียดในภูมิภาคนี้ นักวิเคราะห์ระดับภูมิภาคประโลมใจว่า แม้ประเทศไทยจะไม่วิเศษสมบูรณ์ แต่พันธมิตรที่เป็นประชาธิปไตยในภูมิภาค มีความสำคัญยิ่งในการแสดงให้เห็นถึงความผูกพันธ์ของอเมริกาในภูมิภาคนี้ (คุณนายฑูตคริสตี้ ช่วยอ่านรายงานคุณครู CRS ตอนนี้ให้เข้าไปในหัวหน่อย และถ้าคุณนายซึ่งเป็นฑูตตัวแทนประเทศตัวเอง แล้วยังตั้งหน้าตอแหลบิดเบือนต่อไปอีก ครูใหญ่ Obama ช่วยเรียกตัวกลับไปกวาดพื้นโรงเรียนประถมในอเมริกา จะเหมาะสมกับคุณนายมากกว่า และอาจจะทำให้อเมริกาถูกรังเกียจน้อยลงไปบ้าง) ขณะเดียวกัน มีผู้ท้วงติงว่า การที่อเมริกาพยายามจะให้ไทยใช้วิธีการบริหารประเทศ โดยให้พลเรือนควบคุมกองทัพ ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผล ดูจากเหตุการณ์ไม่กี่ปีที่ผ่านมา (แปลว่าอยากได้ทหารเป็นผู้บริหารประเทศ มากกว่าพลเรือนหรือไง ?) และแม้ว่าการจะใช้สนามบินของไทยเป็นเรื่องสำคัญสำหรับกองทัพอเมริกา ก็มีผู้สงสัยเช่นกันว่า ไทยจะยอมให้ใช้หรือไม่ หากมีความขัดแย้งกันเกิดขึ้น (เริ่มจะรู้ตัวแล้วหรือนักล่า ว่าสมันน้อยก็มีเขี้ยวเล็บเหมือนกัน) คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 301 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยนักล่า ตอนที่ 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยนักล่า” (1)
    อเมริกานักล่า ทำงานอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่ทำวันนี้คิดพรุ่งนี้ หรือทำวันนี้แล้วค่อย ไปทบทวนแก้ไขกันใหม่เอาปีหน้าอย่างที่เรา ๆ ทำกัน เขาวางแผนล่วงหน้าทุกเรื่องทั้งระยะใกล้ เช่น แผนงานเฉพาะกิจ หรือระยะไกล 5 ปี 10 ปี 15 ปี จนถึง 25 ปี ฯลฯ เอกสารที่เขาออกมา คำพูดของฝ่ายรัฐบาลที่พูดออกมา มีความหมาย มีความนัยทั้งสิ้น
    เราควรมาทำความรู้จักวิธีคิด วิธีวางแผนของนักล่ากันหน่อย มันอาจจะไม่ทำให้เราเข้าใจ หรือรู้จักนักล่าเต็มร้อย แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่รู้เลย เมื่อมีข่าวเกี่ยวกับนักล่า โดยเฉพาะที่จะกระทบกับบ้านเราหรือไม่ เรายังพอติดตามวิเคราะห์เองได้ ดีกว่าจะแค่ฟัง อ่าน ดูเอาจากสื่อที่ถูกฟ้อกย้อมมา เช่น CNN BBC หรือข่าวใส่สีตีไข่ หรือข่าวประเภทเรื่องเล่าประจำวันของบ้านเรานั้น ซึ่งถ้างดดูได้ก็ดี เพราะยิ่งดูยิ่งทำให้เราบื้อ ครับ ถ้าเราขยัน ขวนขวาย ติดตาม ค้นคว้า ต่อไปเรื่อย ๆ เราอาจจะเห็นและเข้าใจวิธีการของนักล่าชัดเจนขึ้น และอาจสามารถช่วยให้บ้านเมืองเราพ้นจากการเป็นเหยื่อของนักล่าได้บ้าง บ้านเมืองเรากำลังมาถึงจุดสำคัญ เรากำลังพยายามให้มีการปฎิรูปประเทศ จะมีจริงหรือไม่และจะปฎิรูปได้มากน้อยแค่ไหน ปัจจัยภายนอกก็มีส่วนสำคัญ ช่วยกันดูแลบ้านเมืองของเรา คนละไม้คนละมือ
    การทำงานของนักล่า ในเรื่องการล่าเหยื่อ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับประธานาธิบดีคนเดียว แต่มีหน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นมันสมอง วางแผนให้นักล่าอีกเพียบ คือ
    – The National Security Council (NSC)
    ซึ่งจะมีที่ปรึกษา เรียกว่า National Security Advisor (NSA) เป็นผู้กำกับคัดท้ายที่สำคัญ และเหตุการณ์ในโลกนี้ ที่เกิดขึ้นทั้งเลวทั้งร้าย ส่วนใหญ่เป็นผลงานของไอ้ตัวร้ายที่ทำหน้าที่เป็น NSA เกือบทั้งสิ้น ตัวอย่าง (ทั้งที่เคยเล่านิทานให้ฟังแล้ว และยังไม่ได้เล่า) NSA ที่มีชื่อติดอันดับความแสบหมายเลขต้น ๆ เช่น นาย McGeorge Bundy, นาย Walt W. Restow, นาย Henry Kissinger, นาย Zbigniew Brzezinski, นาย Brent Scowcroft ฯลฯ
    นอกจากนี้ NSC จะมีหน่วยงานที่สำคัญ ที่ทำหน้าที่วางยุทธศาสตร์ คือ National Security Strategy (NSS) ถ้าอยากจะติดตามความเคลื่อนไหว และความคิดทิศทางของนักล่า ลองเริ่มต้นด้วยการอ่านรายงานของ NSS ซึ่งจะมีออกมาเป็นรายปี และบางทีก็ออกเป็นระยะ แล้วแต่ความจำเป็น รายงานนี้จะบอกอะไรเราได้พอสมควร อย่างน้อยก็เห็นทิศทางของนักล่า ซึ่งจะไปทางไหนตะวันออกหรือตะวันตกทำนองนั้น
    – เมื่อมีการวางยุทธศาสตร์ออกมาแล้ว หน่วยงานของรัฐที่ต้องทำงานประสานกัน เพื่อให้ยุทธศาสตร์นั้น เป็นความจริงประสพผลสำเร็จ ซึ่งก็จะมีทีมงานตัวเก่งตัวแสบอีกเป็นร้อยเป็นพันจัดการตามแผนการ คือ
– State Department(กระทรวงต่างประเทศ)
– Defense Department(กระทรวงกลาโหม)
– Pentagon(หน่วยงานความมั่นคงของประเทศ)
– CIA(หน่วยงานข่าวกรองของประเทศ)
    – หน่วยงานดังกล่าวข้างต้น จะรายงานต่อประธานาธิบดีและสภาสูง โดยประธานาธิบดีจะมีผู้ช่วย (ซึ่งในบางกรณี อาจจะสำคัญกว่ารองประธานาธิบดีเสียด้วยซ้ำ !) คือ Chief of Staff และ Joint Chiefs of Staff ซึ่งทำหน้าที่เลือก/กรองนโยบายต่าง ๆ เสนอต่อประธานาธิบดี
    ส่วนสภาสูง จะมีหน่วยงานที่เรียกว่า Congressional Research Service ทำหน้าที่วิเคราะห์ทุกเรื่องที่จะส่งไปให้ สภาสูงพิจารณา โดยทำเป็นรายงานการวิเคราะห์อย่างละเอียด ส่งให้ก่อนการประชุมและเป็นเอกสารเปิดเผย (ที่ปิดผมยังหาไม่ได้ครับ) ไม่ใช่ส่งแต่กระดาษหน้าเดียวเขียนไม่กี่บันทัด หรือเขียนมัน 100 หน้า มีแต่น้ำ หรือใช้วิธีเข้าไปคุกเข่ายื่นโน๊ตสั้น ๆ ระหว่างประชุมสภาแบบบ้านเราทำ
    – นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานหรือสถาบันระดับสูงของเอกชนที่มีอิทธิพล ต่อแนวทางการล่าเหยื่อของนักล่า คือ พวกที่เรียกตัวเองว่า Think Tank (ถังความคิด) แต่ส่วนใหญ่ ถังพวกนี้ไม่ได้ มีแต่ความคิด แต่เป็นตัวการชักใยสร้างบท แต่งเรื่องรวมกำกับการแสดงและจัดหาตัวผู้มีหน้าที่บริหารประเทศด้วย แม้ตำแหน่งประธานาธิบดี ก็ไม่พ้นการจัดส่งและชักใยของ Think Tank ที่มีอิทธิพลสูง เช่น
    – Council on Foreign Relations (CFR)
– The Bilderberg Group
– The Trilateral Commission
– The Centre for Strategic and International Studies (CSIS)
– The Brookings Institution
– The Rand Corporation
– The Carnegie Endowment for International Peace
– Atlantic Council
– The Asia Society
– The Group of Thirty
ฯลฯ
    พวกถังความคิดเหล่านี้ บางพวกได้รับเงินสนับสนุนจาก Washington บางพวกได้จากมูลนิธิ Rockefeller มูลนิธิ Ford มูลนิธิ Carnegie รวมทั้งบรรดาบรรษัทข้ามชาติ ที่เป็นเครือข่ายของนักล่าและพวก NSA ที่มีอิทธิพล
    think tank ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ประมาณ ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา ส่วนใหญ่ เป็นเครือข่าย ที่เหล่านักยุทธศาสตร์ด้านนโย บายต่างประเทศ ที่ปรึกษาความมั่นคง (NSA) เช่น นาย Henry Kissinger, นาย Zbigniew Brzezinski, นาย Brent Scowcroft, นาย Josef Nye … เป็นผู้ก่อตั้งขึ้นมา หรือให้เด็กของตัวตั้งขึ้นมาแทบทั้งสิ้น กล่าวได้ว่า คนไม่กี่คนนี้เอง เป็นผู้มีอิทธิพลครอบงำ อเมริกามาตั้งแต่บัดนั้นถึงบัดนี้ ไม่ว่าอเมริกาจะเปลี่ยนประธานาธิบดีเป็นใคร และมาจากพรรคใด และคงไม่เป็นการเกินไปนัก ถ้าจะบอกว่าคนไม่กี่คนนี่แหละ มีอิทธิพลต่อโลกใบนี้มากเหลือเกิน !

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยนักล่า ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยนักล่า” (1) อเมริกานักล่า ทำงานอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่ทำวันนี้คิดพรุ่งนี้ หรือทำวันนี้แล้วค่อย ไปทบทวนแก้ไขกันใหม่เอาปีหน้าอย่างที่เรา ๆ ทำกัน เขาวางแผนล่วงหน้าทุกเรื่องทั้งระยะใกล้ เช่น แผนงานเฉพาะกิจ หรือระยะไกล 5 ปี 10 ปี 15 ปี จนถึง 25 ปี ฯลฯ เอกสารที่เขาออกมา คำพูดของฝ่ายรัฐบาลที่พูดออกมา มีความหมาย มีความนัยทั้งสิ้น เราควรมาทำความรู้จักวิธีคิด วิธีวางแผนของนักล่ากันหน่อย มันอาจจะไม่ทำให้เราเข้าใจ หรือรู้จักนักล่าเต็มร้อย แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่รู้เลย เมื่อมีข่าวเกี่ยวกับนักล่า โดยเฉพาะที่จะกระทบกับบ้านเราหรือไม่ เรายังพอติดตามวิเคราะห์เองได้ ดีกว่าจะแค่ฟัง อ่าน ดูเอาจากสื่อที่ถูกฟ้อกย้อมมา เช่น CNN BBC หรือข่าวใส่สีตีไข่ หรือข่าวประเภทเรื่องเล่าประจำวันของบ้านเรานั้น ซึ่งถ้างดดูได้ก็ดี เพราะยิ่งดูยิ่งทำให้เราบื้อ ครับ ถ้าเราขยัน ขวนขวาย ติดตาม ค้นคว้า ต่อไปเรื่อย ๆ เราอาจจะเห็นและเข้าใจวิธีการของนักล่าชัดเจนขึ้น และอาจสามารถช่วยให้บ้านเมืองเราพ้นจากการเป็นเหยื่อของนักล่าได้บ้าง บ้านเมืองเรากำลังมาถึงจุดสำคัญ เรากำลังพยายามให้มีการปฎิรูปประเทศ จะมีจริงหรือไม่และจะปฎิรูปได้มากน้อยแค่ไหน ปัจจัยภายนอกก็มีส่วนสำคัญ ช่วยกันดูแลบ้านเมืองของเรา คนละไม้คนละมือ การทำงานของนักล่า ในเรื่องการล่าเหยื่อ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับประธานาธิบดีคนเดียว แต่มีหน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นมันสมอง วางแผนให้นักล่าอีกเพียบ คือ – The National Security Council (NSC) ซึ่งจะมีที่ปรึกษา เรียกว่า National Security Advisor (NSA) เป็นผู้กำกับคัดท้ายที่สำคัญ และเหตุการณ์ในโลกนี้ ที่เกิดขึ้นทั้งเลวทั้งร้าย ส่วนใหญ่เป็นผลงานของไอ้ตัวร้ายที่ทำหน้าที่เป็น NSA เกือบทั้งสิ้น ตัวอย่าง (ทั้งที่เคยเล่านิทานให้ฟังแล้ว และยังไม่ได้เล่า) NSA ที่มีชื่อติดอันดับความแสบหมายเลขต้น ๆ เช่น นาย McGeorge Bundy, นาย Walt W. Restow, นาย Henry Kissinger, นาย Zbigniew Brzezinski, นาย Brent Scowcroft ฯลฯ นอกจากนี้ NSC จะมีหน่วยงานที่สำคัญ ที่ทำหน้าที่วางยุทธศาสตร์ คือ National Security Strategy (NSS) ถ้าอยากจะติดตามความเคลื่อนไหว และความคิดทิศทางของนักล่า ลองเริ่มต้นด้วยการอ่านรายงานของ NSS ซึ่งจะมีออกมาเป็นรายปี และบางทีก็ออกเป็นระยะ แล้วแต่ความจำเป็น รายงานนี้จะบอกอะไรเราได้พอสมควร อย่างน้อยก็เห็นทิศทางของนักล่า ซึ่งจะไปทางไหนตะวันออกหรือตะวันตกทำนองนั้น – เมื่อมีการวางยุทธศาสตร์ออกมาแล้ว หน่วยงานของรัฐที่ต้องทำงานประสานกัน เพื่อให้ยุทธศาสตร์นั้น เป็นความจริงประสพผลสำเร็จ ซึ่งก็จะมีทีมงานตัวเก่งตัวแสบอีกเป็นร้อยเป็นพันจัดการตามแผนการ คือ
– State Department(กระทรวงต่างประเทศ)
– Defense Department(กระทรวงกลาโหม)
– Pentagon(หน่วยงานความมั่นคงของประเทศ)
– CIA(หน่วยงานข่าวกรองของประเทศ) – หน่วยงานดังกล่าวข้างต้น จะรายงานต่อประธานาธิบดีและสภาสูง โดยประธานาธิบดีจะมีผู้ช่วย (ซึ่งในบางกรณี อาจจะสำคัญกว่ารองประธานาธิบดีเสียด้วยซ้ำ !) คือ Chief of Staff และ Joint Chiefs of Staff ซึ่งทำหน้าที่เลือก/กรองนโยบายต่าง ๆ เสนอต่อประธานาธิบดี ส่วนสภาสูง จะมีหน่วยงานที่เรียกว่า Congressional Research Service ทำหน้าที่วิเคราะห์ทุกเรื่องที่จะส่งไปให้ สภาสูงพิจารณา โดยทำเป็นรายงานการวิเคราะห์อย่างละเอียด ส่งให้ก่อนการประชุมและเป็นเอกสารเปิดเผย (ที่ปิดผมยังหาไม่ได้ครับ) ไม่ใช่ส่งแต่กระดาษหน้าเดียวเขียนไม่กี่บันทัด หรือเขียนมัน 100 หน้า มีแต่น้ำ หรือใช้วิธีเข้าไปคุกเข่ายื่นโน๊ตสั้น ๆ ระหว่างประชุมสภาแบบบ้านเราทำ – นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานหรือสถาบันระดับสูงของเอกชนที่มีอิทธิพล ต่อแนวทางการล่าเหยื่อของนักล่า คือ พวกที่เรียกตัวเองว่า Think Tank (ถังความคิด) แต่ส่วนใหญ่ ถังพวกนี้ไม่ได้ มีแต่ความคิด แต่เป็นตัวการชักใยสร้างบท แต่งเรื่องรวมกำกับการแสดงและจัดหาตัวผู้มีหน้าที่บริหารประเทศด้วย แม้ตำแหน่งประธานาธิบดี ก็ไม่พ้นการจัดส่งและชักใยของ Think Tank ที่มีอิทธิพลสูง เช่น – Council on Foreign Relations (CFR)
– The Bilderberg Group
– The Trilateral Commission
– The Centre for Strategic and International Studies (CSIS)
– The Brookings Institution
– The Rand Corporation
– The Carnegie Endowment for International Peace
– Atlantic Council
– The Asia Society
– The Group of Thirty
ฯลฯ พวกถังความคิดเหล่านี้ บางพวกได้รับเงินสนับสนุนจาก Washington บางพวกได้จากมูลนิธิ Rockefeller มูลนิธิ Ford มูลนิธิ Carnegie รวมทั้งบรรดาบรรษัทข้ามชาติ ที่เป็นเครือข่ายของนักล่าและพวก NSA ที่มีอิทธิพล think tank ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ประมาณ ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา ส่วนใหญ่ เป็นเครือข่าย ที่เหล่านักยุทธศาสตร์ด้านนโย บายต่างประเทศ ที่ปรึกษาความมั่นคง (NSA) เช่น นาย Henry Kissinger, นาย Zbigniew Brzezinski, นาย Brent Scowcroft, นาย Josef Nye … เป็นผู้ก่อตั้งขึ้นมา หรือให้เด็กของตัวตั้งขึ้นมาแทบทั้งสิ้น กล่าวได้ว่า คนไม่กี่คนนี้เอง เป็นผู้มีอิทธิพลครอบงำ อเมริกามาตั้งแต่บัดนั้นถึงบัดนี้ ไม่ว่าอเมริกาจะเปลี่ยนประธานาธิบดีเป็นใคร และมาจากพรรคใด และคงไม่เป็นการเกินไปนัก ถ้าจะบอกว่าคนไม่กี่คนนี่แหละ มีอิทธิพลต่อโลกใบนี้มากเหลือเกิน ! คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 225 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยุทธการกบกระโดด ตอนที่ 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด”
    บทสรุป
    อันที่จริงเราแทบไม่ต้องรอดูเลยว่า National Security Strategy ของอเมริกา ประจำปี ค.ศ. 2014 จะบอกว่าอย่างไร และอเมริกาจะเลือก การบริหารจัดการกับฐานทัพของตน ที่สร้างไว้ทั่วโลกอย่างไร
    กระบวนยุทธของอเมริกาในช่วง 2-3 ปีนี้ มันฟ้องออกมาแล้วว่าอเมริกาไม่มีวันเลิก
สันดานนักล่า และเมื่อคิดว่าตัวเองเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่ง จะกระเป๋าขาดแค่ไหน ก็ไม่ต้องสนใจ เพราะอเมริกาสามารถแต่งเรื่อง พิมพ์เงินกระดาษออกมาได้เรื่อย ๆ อยู่แล้ว
แต่ที่จะปล่อยให้มีนักล่าหน้าใหม่ ขึ้นมาชิงตำแหน่งหมายเลขหนึ่งนั้น เป็นเรื่องยอมกันไม่ได้ นอกจากนั้น ในทศวรรษนี้ อเมริกาต้องตามล่าหาน้ำมันและก๊าซ เพื่อสนองความต้องการของตนเอง และที่สำคัญกว่านั้น เพื่อชิงไม่ให้ใครได้ไป เพราะน้ำมันเป็นอาวุธเลี้ยงการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและกองทัพของทุกประเทศ
และอเมริกาไม่มีทางปล่อยให้จีนโตไปกว่านี้อีกแล้ว ไม่ว่าทางเศรษฐกิจหรือทางกองทัพ
    เพราะฉะนั้นการย้ายฐานทัพ ไม่ว่าใหญ่ไม่ว่าเล็ก โดยเฉพาะฐานทัพใบบัวกบกระโดดมาทาง AsiaPacific นี้ คือการล้อมกรอบจีน (containment) ทางทะเลอย่างสมบูรณ์แบบ
    นอกจากนี้ทะเลจีนใต้ มีความสำคัญกับอเมริกาไม่ต่างกับจีน ฝ่ายใดคุมทะเลจีนใต้ ฝ่ายนั้นก็ได้เปรียบ
    – ทะเลจีนใต้ เป็นเส้นทางสัญจรทางทะเลที่คับคั่งอันดับ 2 ของโลก
    – ทะเลจีนใต้ เป็นเส้นทางขนส่งน้ำมัน 1 ใน 3 ของโลก และขนส่งก๊าซครึ่งหนึ่งของโลก
การขนส่งผ่านมาทางช่องแคบมะละกา และอ่าวไทย ภายหลังวิกฤติ Fukushima ที่ญี่ปุ่น ญี่ปุ่นต้องสั่งก๊าซเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ขนส่งมาตามเส้นทางนี้ อเมริกาจะปล่อยให้ญี่ปุ่นเสี่ยงกับการ black out ทั้งเกาะไหวไหม ?
    – ความขัดแย้งเกี่ยวกับสิทธิ บนพื้นที่เกาะบริเวณทะเลจีนใต้กำลังเข้มข้นระหว่างจีนกับ
เหล่าลูกหาบของอเมริกา สิทธิบนพื้นที่ยอมโยงกับทรัพยากรใต้พื้นที่ อเมริกาจะยืนดูลูกหาบทำสงครามแย่งชิ้นเนื้อก้อนใหญ่ โดยไม่เข้าไปกำกับการแสดงหรือ ผิดสันดานไปหน่อย
    – ทะเลจีนใต้เป็นแหล่งทรัพยากรน้ำมันและก๊าซที่อุดมสมบูรณ์มากมาก ตามรายงานของ
IEA (US Energy Information Administration)
    – จีนเพิ่งประกาศ Air Defense Identification Zone (ADIZ) เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ.2013 นี่เอง โดยไม่บอกกล่าวเล่าสิบแก่ใคร สำหรับจีนการประกาศ ADIZ นี้เป็นครั้งแรก แต่สำหรับอเมริกาทำมาแล้ว ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อเมริกาบอกว่า จีนกำลังขยายสิทธิในอาณาเขตของตัวเองออกไป เพื่อยื่นขาไปเตะญี่ปุ่นให้ออกไปจากหมู่เกาะ ที่ญี่ปุ่นเรียก Senkakuแต่จีนเรียก Diaoyu
    การประกาศ ADIZ ของจีน ทำให้นักล่ากำลังสะอึก นึกไม่ถึง สั่งให้สมุนออกมา
ช่วยกันประนามจีน ว่ากำลังทำเกิน โดยไม่ปรึกษาหรือขออนุญาตใคร แต่จีนก็ทำ แล้วถามว่าต้องถามใคร ? กำลังเป็นเรื่องที่น่าติดตามปฎิกิริยาของนักล่าและลูกหาบและสมุน
    ส่วนสมันน้อยมีทางเลือกอะไร เซ็นสัญญาเสียอธิปไตยในส่วนนี้ไปแล้ว ตั้งแต่ปีมะโว้ ควร
จะมีการเจรจาแก้ไขกันมานานแล้ว แต่ดูเหมือนฝ่ายรัฐบาล และทหารหาญทั้งหลาย คงยืนโก้งโค้งมอง ถึงได้เห็นผลลัพท์กลับหัวกลับหาง ไม่มีใครเจรจาแก้ไข ปล่อยมาถึงทุกวันนี้ วันที่สนามประลองเขี้ยวนักล่ากำลังฝุ่นตลบ ไหน ๆ ก็จะปฎิรูปประเทศแล้ว มวลมหาประชาชนก็ลองศึกษาเรื่องนี้ดูกันบ้าง จะแก้ไข หรือปล่อยคาไว้อีก 50 ปี!
    ขอจบด้วยการเล่าเรื่องฐานทัพอเมริกาที่ Okinawa ดูผ่าน ๆ เหมือนจะไม่เกี่ยวกับ สมันน้อย แต่มันอาจจะเกี่ยว และน่าสนใจ อยากเล่าครับ
    ญี่ปุ่นที่เคยอยู่แต่ในโอวาทของอเมริกา เกิดมีปัญหาขัดใจ เรื่องฐานทัอากาศ
Futenma ที่ตั้งอยู่ที่เกาะ Okinawa
ปี ค.ศ. 1995 ทหารอเมริกัน 3 คน ไปลักพาเด็กนักเรียนหญิงชาวญี่ปุ่น
อายุสิบสอง ไปรุมข่มขืนและทิ้งให้เด็กหญิงนอนอยู่ข้างถนน แล้วทหาร 3 คน ก็หนีกลับเข้าฐานทัพ
ชาวญี่ปุ่นประท้วงอยู่นาน กว่ากองทัพอเมริกาจะยอมดำเนินการหาตัวผู้กระทำผิด
แม้จะได้ตัวคนทำความผิดมาแล้ว ตอนแรกอเมริกาก็คิดจะนำกลับไปดำเนินคดีในบ้านตัวเอง เพราะมีข้อตกลงในเรื่องนี้กันไว้แล้วกับญี่ปุ่น (เช่นเดียวกับที่อเมริกาเคยทำสัญญากับราชอาณาจักรไทยสมัยสงครามเวียตนาม ทำให้เราเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต) แต่ชาวญี่ปุ่นไม่ยอม ทั้งประนามและประท้วงอย่างรุนแรง ให้มีการดำเนินคดีที่ญี่ปุ่น และยื่นคำขาดให้อเมริกาย้ายฐานทัพออกไปจากเกาะ Okinawa
    ทั้งอเมริกาและรัฐบาลญี่ปุ่นถ่วงการเจรจาอยู่ 17 ปี เพราะรัฐบาลญี่ปุ่นมองในแง่เศรษฐกิจว่า การมีฐานทัพอยู่ในบริเวณนั้น เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้แก่ญี่ปุ่น และที่สำคัญภายใต้สัญญา Treaty of Mutual Cooperation ที่ญี่ปุ่นทำไว้กับอเมริกา (ประเภทสัญญาทาสเหมือนกัน !)
ถ้ามีการย้ายฐานทัพอเมริกาออกไปจาก Okinawa ซึ่งเป็นบริเวณที่อเมริกาเจาะจงเลือก เนื่องจากอยู่ใกล้กับจีนและเกาหลีเหนือที่สุด ญี่ปุ่นจะต้องช่วยออกค่าใช้จ่ายบางส่วนในการย้ายฐานทัพ ให้แก่อเมริกา (ไม่ใช่ย้ายทิ้ง แค่ย้ายที่ยังต้องจ่าย มันโหดจริง ๆ)
ปี ค.ศ. 2006 อเมริกากับญี่ปุ่นได้ข้อตกลงเบื้องต้นว่าจะปิดฐานทัพนี้ และย้ายไปอยู่ทางเหนือของเกาะแทน แล้วเรื่องก็ค้างคา (อย่างจงใจจากรัฐบาลทั้ง 2 ฝ่าย)
    ล่าสุด เพิ่งมาตกลงกันได้ เมื่อปลายปี ค.ศ. 2013 โดยญี่ปุ่นจะต้องจ่ายเงินมหาศาลให้แก่อเมริกาเป็นค่าย้าย โดยปี ค.ศ. 2014 ต้องจ่ายเงินประมาณ 3.2 พันล้านเหรียญ หลังจากนั้นจ่ายเป็นรายปี อีกปีละ 2.85 พันล้านเหรียญ จนถึงปี ค.ศ. 2021 ญี่ปุ่นซึ่งกำลังกรอบจากเศรษฐกิจและวิกฤติ Fukushima จะมีปัญญาจ่ายไหม ?
    นอกจากนี้ ตามข้อตกลงใหม่ ฐานใหม่จะไปสร้างที่อ่าว Nago ทางเหนือของ Okinawa
ขณะเดียวกัน นายกเทศมนตรีของ Nago ที่เพิ่งได้รับเลือกตั้งกลับเข้ามาในตำแหน่ง เมื่อเดือนมกรานี้เอง หลังจากประกาศตอนหาเสียงว่า จะทำทุกอย่างไม่ให้อเมริกามาตั้งฐานทัพที่ Nago
ข่าวนี้ทำให้ทั้งวอชิงตันและนายกรัฐมนตรี Abe ออกมาโต้ นายกเทศมนตรีหมาด ๆ ว่าเป็นแค่นายกฯ เมืองเล็ก ๆ จะทะลึ่งมาล้มแผนย้ายฐานทัพได้อย่างไร นายกเล็ก บอกว่าล้มแผนได้หรือไม่ ไม่รู้ แต่นายกเล็ก มีสิทธิ สั่งห้ามการใช้ถนนและสาธารณูปโภคทั้งปวงของเมือง Nago ได้
    เป็นการต่อต้านการสร้างฐานทัพ ที่น่าสนใจครับ และน่าสนใจว่าการย้ายฐานทัพจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ? ! ?
    สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
13 กพ 57
    ยุทธการกบกระโดด ตอนที่ 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด” บทสรุป อันที่จริงเราแทบไม่ต้องรอดูเลยว่า National Security Strategy ของอเมริกา ประจำปี ค.ศ. 2014 จะบอกว่าอย่างไร และอเมริกาจะเลือก การบริหารจัดการกับฐานทัพของตน ที่สร้างไว้ทั่วโลกอย่างไร กระบวนยุทธของอเมริกาในช่วง 2-3 ปีนี้ มันฟ้องออกมาแล้วว่าอเมริกาไม่มีวันเลิก
สันดานนักล่า และเมื่อคิดว่าตัวเองเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่ง จะกระเป๋าขาดแค่ไหน ก็ไม่ต้องสนใจ เพราะอเมริกาสามารถแต่งเรื่อง พิมพ์เงินกระดาษออกมาได้เรื่อย ๆ อยู่แล้ว
แต่ที่จะปล่อยให้มีนักล่าหน้าใหม่ ขึ้นมาชิงตำแหน่งหมายเลขหนึ่งนั้น เป็นเรื่องยอมกันไม่ได้ นอกจากนั้น ในทศวรรษนี้ อเมริกาต้องตามล่าหาน้ำมันและก๊าซ เพื่อสนองความต้องการของตนเอง และที่สำคัญกว่านั้น เพื่อชิงไม่ให้ใครได้ไป เพราะน้ำมันเป็นอาวุธเลี้ยงการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและกองทัพของทุกประเทศ
และอเมริกาไม่มีทางปล่อยให้จีนโตไปกว่านี้อีกแล้ว ไม่ว่าทางเศรษฐกิจหรือทางกองทัพ เพราะฉะนั้นการย้ายฐานทัพ ไม่ว่าใหญ่ไม่ว่าเล็ก โดยเฉพาะฐานทัพใบบัวกบกระโดดมาทาง AsiaPacific นี้ คือการล้อมกรอบจีน (containment) ทางทะเลอย่างสมบูรณ์แบบ นอกจากนี้ทะเลจีนใต้ มีความสำคัญกับอเมริกาไม่ต่างกับจีน ฝ่ายใดคุมทะเลจีนใต้ ฝ่ายนั้นก็ได้เปรียบ – ทะเลจีนใต้ เป็นเส้นทางสัญจรทางทะเลที่คับคั่งอันดับ 2 ของโลก – ทะเลจีนใต้ เป็นเส้นทางขนส่งน้ำมัน 1 ใน 3 ของโลก และขนส่งก๊าซครึ่งหนึ่งของโลก
การขนส่งผ่านมาทางช่องแคบมะละกา และอ่าวไทย ภายหลังวิกฤติ Fukushima ที่ญี่ปุ่น ญี่ปุ่นต้องสั่งก๊าซเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ขนส่งมาตามเส้นทางนี้ อเมริกาจะปล่อยให้ญี่ปุ่นเสี่ยงกับการ black out ทั้งเกาะไหวไหม ? – ความขัดแย้งเกี่ยวกับสิทธิ บนพื้นที่เกาะบริเวณทะเลจีนใต้กำลังเข้มข้นระหว่างจีนกับ
เหล่าลูกหาบของอเมริกา สิทธิบนพื้นที่ยอมโยงกับทรัพยากรใต้พื้นที่ อเมริกาจะยืนดูลูกหาบทำสงครามแย่งชิ้นเนื้อก้อนใหญ่ โดยไม่เข้าไปกำกับการแสดงหรือ ผิดสันดานไปหน่อย – ทะเลจีนใต้เป็นแหล่งทรัพยากรน้ำมันและก๊าซที่อุดมสมบูรณ์มากมาก ตามรายงานของ
IEA (US Energy Information Administration) – จีนเพิ่งประกาศ Air Defense Identification Zone (ADIZ) เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ.2013 นี่เอง โดยไม่บอกกล่าวเล่าสิบแก่ใคร สำหรับจีนการประกาศ ADIZ นี้เป็นครั้งแรก แต่สำหรับอเมริกาทำมาแล้ว ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อเมริกาบอกว่า จีนกำลังขยายสิทธิในอาณาเขตของตัวเองออกไป เพื่อยื่นขาไปเตะญี่ปุ่นให้ออกไปจากหมู่เกาะ ที่ญี่ปุ่นเรียก Senkakuแต่จีนเรียก Diaoyu การประกาศ ADIZ ของจีน ทำให้นักล่ากำลังสะอึก นึกไม่ถึง สั่งให้สมุนออกมา
ช่วยกันประนามจีน ว่ากำลังทำเกิน โดยไม่ปรึกษาหรือขออนุญาตใคร แต่จีนก็ทำ แล้วถามว่าต้องถามใคร ? กำลังเป็นเรื่องที่น่าติดตามปฎิกิริยาของนักล่าและลูกหาบและสมุน ส่วนสมันน้อยมีทางเลือกอะไร เซ็นสัญญาเสียอธิปไตยในส่วนนี้ไปแล้ว ตั้งแต่ปีมะโว้ ควร
จะมีการเจรจาแก้ไขกันมานานแล้ว แต่ดูเหมือนฝ่ายรัฐบาล และทหารหาญทั้งหลาย คงยืนโก้งโค้งมอง ถึงได้เห็นผลลัพท์กลับหัวกลับหาง ไม่มีใครเจรจาแก้ไข ปล่อยมาถึงทุกวันนี้ วันที่สนามประลองเขี้ยวนักล่ากำลังฝุ่นตลบ ไหน ๆ ก็จะปฎิรูปประเทศแล้ว มวลมหาประชาชนก็ลองศึกษาเรื่องนี้ดูกันบ้าง จะแก้ไข หรือปล่อยคาไว้อีก 50 ปี! ขอจบด้วยการเล่าเรื่องฐานทัพอเมริกาที่ Okinawa ดูผ่าน ๆ เหมือนจะไม่เกี่ยวกับ สมันน้อย แต่มันอาจจะเกี่ยว และน่าสนใจ อยากเล่าครับ ญี่ปุ่นที่เคยอยู่แต่ในโอวาทของอเมริกา เกิดมีปัญหาขัดใจ เรื่องฐานทัอากาศ
Futenma ที่ตั้งอยู่ที่เกาะ Okinawa
ปี ค.ศ. 1995 ทหารอเมริกัน 3 คน ไปลักพาเด็กนักเรียนหญิงชาวญี่ปุ่น
อายุสิบสอง ไปรุมข่มขืนและทิ้งให้เด็กหญิงนอนอยู่ข้างถนน แล้วทหาร 3 คน ก็หนีกลับเข้าฐานทัพ
ชาวญี่ปุ่นประท้วงอยู่นาน กว่ากองทัพอเมริกาจะยอมดำเนินการหาตัวผู้กระทำผิด
แม้จะได้ตัวคนทำความผิดมาแล้ว ตอนแรกอเมริกาก็คิดจะนำกลับไปดำเนินคดีในบ้านตัวเอง เพราะมีข้อตกลงในเรื่องนี้กันไว้แล้วกับญี่ปุ่น (เช่นเดียวกับที่อเมริกาเคยทำสัญญากับราชอาณาจักรไทยสมัยสงครามเวียตนาม ทำให้เราเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต) แต่ชาวญี่ปุ่นไม่ยอม ทั้งประนามและประท้วงอย่างรุนแรง ให้มีการดำเนินคดีที่ญี่ปุ่น และยื่นคำขาดให้อเมริกาย้ายฐานทัพออกไปจากเกาะ Okinawa ทั้งอเมริกาและรัฐบาลญี่ปุ่นถ่วงการเจรจาอยู่ 17 ปี เพราะรัฐบาลญี่ปุ่นมองในแง่เศรษฐกิจว่า การมีฐานทัพอยู่ในบริเวณนั้น เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้แก่ญี่ปุ่น และที่สำคัญภายใต้สัญญา Treaty of Mutual Cooperation ที่ญี่ปุ่นทำไว้กับอเมริกา (ประเภทสัญญาทาสเหมือนกัน !)
ถ้ามีการย้ายฐานทัพอเมริกาออกไปจาก Okinawa ซึ่งเป็นบริเวณที่อเมริกาเจาะจงเลือก เนื่องจากอยู่ใกล้กับจีนและเกาหลีเหนือที่สุด ญี่ปุ่นจะต้องช่วยออกค่าใช้จ่ายบางส่วนในการย้ายฐานทัพ ให้แก่อเมริกา (ไม่ใช่ย้ายทิ้ง แค่ย้ายที่ยังต้องจ่าย มันโหดจริง ๆ)
ปี ค.ศ. 2006 อเมริกากับญี่ปุ่นได้ข้อตกลงเบื้องต้นว่าจะปิดฐานทัพนี้ และย้ายไปอยู่ทางเหนือของเกาะแทน แล้วเรื่องก็ค้างคา (อย่างจงใจจากรัฐบาลทั้ง 2 ฝ่าย) ล่าสุด เพิ่งมาตกลงกันได้ เมื่อปลายปี ค.ศ. 2013 โดยญี่ปุ่นจะต้องจ่ายเงินมหาศาลให้แก่อเมริกาเป็นค่าย้าย โดยปี ค.ศ. 2014 ต้องจ่ายเงินประมาณ 3.2 พันล้านเหรียญ หลังจากนั้นจ่ายเป็นรายปี อีกปีละ 2.85 พันล้านเหรียญ จนถึงปี ค.ศ. 2021 ญี่ปุ่นซึ่งกำลังกรอบจากเศรษฐกิจและวิกฤติ Fukushima จะมีปัญญาจ่ายไหม ? นอกจากนี้ ตามข้อตกลงใหม่ ฐานใหม่จะไปสร้างที่อ่าว Nago ทางเหนือของ Okinawa
ขณะเดียวกัน นายกเทศมนตรีของ Nago ที่เพิ่งได้รับเลือกตั้งกลับเข้ามาในตำแหน่ง เมื่อเดือนมกรานี้เอง หลังจากประกาศตอนหาเสียงว่า จะทำทุกอย่างไม่ให้อเมริกามาตั้งฐานทัพที่ Nago
ข่าวนี้ทำให้ทั้งวอชิงตันและนายกรัฐมนตรี Abe ออกมาโต้ นายกเทศมนตรีหมาด ๆ ว่าเป็นแค่นายกฯ เมืองเล็ก ๆ จะทะลึ่งมาล้มแผนย้ายฐานทัพได้อย่างไร นายกเล็ก บอกว่าล้มแผนได้หรือไม่ ไม่รู้ แต่นายกเล็ก มีสิทธิ สั่งห้ามการใช้ถนนและสาธารณูปโภคทั้งปวงของเมือง Nago ได้ เป็นการต่อต้านการสร้างฐานทัพ ที่น่าสนใจครับ และน่าสนใจว่าการย้ายฐานทัพจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ? ! ? สวัสดีครับ
คนเล่านิทาน
13 กพ 57
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 259 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด”
    ตอนที่ 5
    อเมริกาสมเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่ง สิงห์โตซุ่มจริง ๆ ขณะที่หน้าฉากยังไม่ชัดเจน ว่าจะ
เล่นเรื่องอะไร มีข่าวหลุดออกมาจาก Pentagon เมื่อ ค.ศ. 2012 ว่าอเมริกามีแผนจะปรับโฉมหน้าของฐานทัพ ที่มีอยู่ต่างประเทศเสียใหม่ เรียกว่าทำ face lift อัพหน้ากันใหม่ ตามยุทธการ “กบกระโดด” เพราะการมีฐานทัพกระจายทั่วโลก เป็นปัญหาทั้งด้านกระเป๋าที่ยังรั่วอยู่ และเป็นเป้าสายตาของชาวโลก ขยับตัวทีเขารู้แผนกันหมดทั้งคู่หู คู่แข่ง
สมัยนายบุชตัวลูก ก็ปวดขมอง คิดจะปิดฐานทัพไปสัก 1 ใน 3 แต่ตัดสินใจไม่ขาด จะเปิดอันไหน ปิดอันไหน คิดยังไม่ทันตก ดันหมดเทอมซะก่อน
มาถึงนายโอบามา ปัญหานี้จะทู่ซี้ต่อไป อาจจะไม่ได้ไปนั่งเท่ในทำเนียบขาว หรือถ้าได้นั่ง ก็อยู่ไม่ยาว ตอนหาเสียงเลยเล่นมุก ท่องมันไปทุกเวที Change Change Change
    เอาเข้าจริง เป็นพี่เบิ้มนักล่าถ้าเก็บเครื่องมือล่าทิ้งลงถังขยะ แล้วจะไปล่าเหยื่อได้ยังไง แบบนี้ เพื่อนซี้ เพื่อนกิน ลูกหาบก็หลบหน้า ลี้กายหายไปหมด เลยต้องเรียกเด็ก ๆ
เฮ้ย ! มาทำการบ้านใหม่โว้ย !
ตกลงนักล่ามันเปลี่ยนสันดานไหม มัน Change ไหม ?
    กบกระโดดครับนาย กบกระโดดคือคำตอบ กบจะกระโดดในสระกว้างต้องมีใบบัวรองรับ
สระกว้างใหญ่ มีใบบัวเต็มไปหมด คนมองก็ไม่รู้สึกแปลก
แต่ถ้าดันสร้างเป็น swimming pool ขนาดโอลิมปิก กบจะกระโดดไหวหรือ กลายเป็นกบพุ่งหลาวจมไม่โผล่ละซิ ส่วนที่คิดจะเอาใบบัวไปลอย ใน swimming pool น่ะ แบบนั้น มันฉากละครทีวีช่องคุณหญิงคุณชายนะ Hollywood เขาไม่ทำกัน
มันต้องทำให้เนียน ๆ
    เพราะฉะนั้นเอาฐานทัพเก่า ๆ มาดัดแปลงเสียใหม่ ไม่ให้คนสังเกต หรือแถบไหน (ของ
ประเทศคนอื่น) ที่มันเล็ก ๆ ไม่เด่นก็ไปแอบสร้าง เอาให้มันกลมกลืนกับธรรมชาติ แต่แฝงด้วยอาวุธทันสมัยติดไว้ให้เพียบ แบบนี้ก็เรียบร้อย นักล่าบอกน่าสนใจ (มาก)
    เอะ ! แล้วนี่ ที่นักล่าเขาหลอกให้เราเฝ้าแต่อู่ตะเภา แล้วถ้าเขาไปสร้างใบบัวให้กบมัน
กระโดดแถวชุมพร นี่สมันน้อยจะรู้ไหมนะ ! ?
    ด้วยยุทธศาสตร์กบกระโดดบนใบบัว อเมริกาสามารถสร้างฐานทัพให้ กระจายแบบโรยไว้ทั่ว (peppering) บริเวณ Asia Pacific ถ้าอเมริกาทำได้จริง มันก็ไม่ต่างกับการควบคุมจีนทางอ้อม (containment) และก็เหมือนเป็นการเอาฉากสงครามเย็น สมัยที่อเมริกาจัดการกับสหภาพโซเวียตมาเล่นใหม่ !
    ลองคิดดูช่วง 2-3 ปีนี้ อเมริกาเดินแผนอย่างไร กับทุกประเทศในภูมิภาคนี้ ไม่มีหลุด
สักเม็ด เค้าของสงครามโลกครั้งที่ 3 พอมองได้เห็นลาง ๆ
    – ออสเตรเลีย : อเมริกา เจรจาที่จะร่วมใช้ฐานทัพที่ Darwin และกำลังเริ่มแผนใช้
drone (เครื่องบินประเภทไร้คนขับ บังคับด้วยเรดาร์) โดยใช้ฐานทัพของออสเตรเลียที่เกาะ Cocos เป็นฐานพัก รวมทั้งการจัดกองกำลังเตรียมพร้อมไว้ แถว Brisbane และ Perth ด้วย
    – ราชอาณาจักรไทย : แน่นอนจะใช้อู่ตะเภา หรือสร้างใบบัวให้กบกระโดดที่ชุมพร หรือ
ที่ไหนอีก ตามสัญญาผูกคอทาส ทำได้สารพัด
    – ฟิลิปปินส์ : ตกลงไปแล้วให้อเมริกาฟื้นสนามบิน Clark และฐานทัพเรือ Subic Bay ที่ปิดไปชั่วคราวตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 กว่า ๆ (แต่หลังจากปี ค.ศ. 2002 ก็ยอมให้หน่วยปฏิบัติการพิเศษของอเมริกาเข้ามาใช้ใหม่บางกรณี !)
    – เวียตนาม : ทำสัญญาตกลงให้อเมริกาเพิ่มกองเรือ เข้าไปใช้ท่าเรือของเวียตนาม และ
จะขยายท่าเรือ เพื่อให้เฉพาะกองทัพเรืออเมริกาจอด
    – เกาะกวม : อเมริกาเตรียมสร้าง runway เพิ่มที่เกาะ Tinian ใกล้กับเกาะกวม และเตรียมสร้างฐานทัพ และ runwayสำหรับเครื่องบินลง ที่เกาะไซปัน (Saipan) ที่ห่างจากเกาะกวมไปประมาณ190 กม. เพื่อเป็นฐานทัพรองรับ หากกวมโดนโจมตี
    – มาเลเซีย อินโดนีเซีย และบรูไน : อเมริกาเจรจาที่จะสร้างฐานทัพเพิ่ม
    – เกาหลีใต้ : ตกลงกับอเมริกาที่จะสร้างฐานทัพเพิ่ม ให้อเมริกาใช้ที่เกาะ Jeju
    – อินเดีย : อเมริกาทำข้อตกลงเพิ่มความร่วมมือทางการทหารไปแล้ว
    นี่ยังไม่ได้นับฐานทัพอีกประมาณ 200 แห่ง ที่อเมริกามีกระจายอยู่ แล้วที่ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เกาะกวม Diego Garcia และฮาวาย ถ้าใบบัวงอกทั้งหมดนี้ อาเฮียแทบไม่มีทางออกทะเล ต้องใช้บินอย่างเดียว (ฮา !)
    ยุทธศาสตร์กบกระโดด บนใบบัวนี้ แสดงให้เห็นว่าลึก ๆ อเมริกาคิดอะไรอยู่ เป็นแผนล่า
เหยื่อของนักล่าตัวจริง ในเมื่อการสร้างฐานทัพใหญ่ ๆ ในต่างประเทศ นอกจากราคาแพงแล้ว ยังเป็นทั้งเป้าสายตาและเป้าอาวุธ แต่ถ้าแอบสร้างฐานเล็ก ๆ แบบใบบัว ให้กบกระโดด หลาย ๆแห่ง ทำได้เร็ว และไม่สร้างความอึกทึกให้โลกและเจ้าของบ้าน (ที่นักล่าหลอกไว้) ให้รู้ตัว นักยุทธศาสตร์การรบบอกว่า ฐานทัพรุ่นใบบัวนี้ ถ้าติดเครื่องมือทันสมัยให้เพียบ ใช้ควบคู่กับหน่วยรบพิเศษ (special operation forces) กบรุ่นใหม่เคลื่อนที่เร็ว แบบกบมหัศจรรย์ กับการใช้ droneสอดแนมและข่าวกรองที่มีประสิทธิภาพ (อย่าลืมว่าหน่วยปฎิบัติการในภาวะภัยพิบัตินั้น เป็นงาน
พรางตัวที่ดีที่สุด ของกองทัพในการทำงานข่าวกรอง) ร่วมกับการปฎิบัติทางโลก Cyber และมีการร่วมมือระหว่างกองทัพ กับหน่วยงานพลเรือนอย่างดี คุณสามารถทำการปฎิวัติ หรือบุกยึดเมืองใด หรือทำการรบในยุทธภูมิใดก็ได้ผลเกินคาด รวดเร็วกว่าการใช้กองทัพใหญ่ ๆ ที่เคลื่อนตัวอย่างอุ้ยอ้าย มันหมดสมัยแล้ว !
    อเมริกาปรับปรุงฐานทัพจากการขยายหรือสร้างฐานทัพใหญ่ เป็นเตรียมการสร้างฐานทัพรูปแบบใบบัว (Lily Pad) เพื่อให้กบกระโดไทั่ว แค่นั้นยังไม่พอ เพื่อให้การล่าเหยื่อเบ็ดเสร็จสมใจ อเมริกา จึงปรับปรุงการกระโดดของกบด้วย โดยแบ่งซอยกองกำลังออกมาเรียกว่า หน่วยปฎิบัติการพิเศษ
(เหมือนชายชุดดำนะครับ เอ๊ะ ! หน่วยเดียวกันหรือเปล่า ?!) Special Operation Forces (SOF)
(หรือมันเอาอย่างกัน หวังว่าไม่ถึงขนาดฝึกให้กันเลยนะ !)
    SOF นี้ เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1980 เมื่อเจ้าหน้าที่สถานฑูตอเมริกาถูกจับเป็นตัวประกันที่อิหร่าน (ก็ผลงานของนักล่าเอง !) ทำให้ตัวประกันตายไป 8 คน
อเมริกาแค้นจัด ตั้งหน่วย Special Operation Command (SOCOM) ขึ้นมา
โดยคัดหัวกะทิมาจากหน่วย Seals, Rangers, Special Operation Aviators และ Green Beret มาฝึกหนัก จริง ๆ ก็คือฝึกเป็น Rambo เหมือนในหนังน่ะ
พวก SOF นี้ ถูกใช้ให้ไปปฎิบัติการลับ ในที่ต่าง ๆ ที่เป็นความลับ
มีรายงานว่าน่าจะมี SOF ประมาณกว่า 70,000 คนในปี ค.ศ. 2014 กระจายอยู่ทั่วโลก ปฎิบัติการอยู่ในต่างประเทศ ประมาณ 70-80 ประเทศ เช่น ลิเบีย โซมาเลีย อาฟกานิสถาน ปากีสถาน หลายประเทศในอาหรับ
และลาตินอเมริกา และเอเซีย และยุโรป ฯลฯ
    สรุปแล้ว การจัดการให้มีฐานทัพแบบใบบัว (Lily Pad) และ กองกำลังแบบ SOF ตามยุทธการกบกระโดด อยู่ในบ้านเมืองใคร อเมริกาบอกว่า มันก็เหมือนเราไปอยู่ในบ้านนั้น (ยึด!) เรียบร้อยแล้วล่ะ (de facto presence) ดังนั้นเราจะต้องให้มี ฐานทัพใบบัวนี้ให้มากที่สุดให้ได้ (lots and lots of Lily pad bases!)

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด” ตอนที่ 5 อเมริกาสมเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่ง สิงห์โตซุ่มจริง ๆ ขณะที่หน้าฉากยังไม่ชัดเจน ว่าจะ
เล่นเรื่องอะไร มีข่าวหลุดออกมาจาก Pentagon เมื่อ ค.ศ. 2012 ว่าอเมริกามีแผนจะปรับโฉมหน้าของฐานทัพ ที่มีอยู่ต่างประเทศเสียใหม่ เรียกว่าทำ face lift อัพหน้ากันใหม่ ตามยุทธการ “กบกระโดด” เพราะการมีฐานทัพกระจายทั่วโลก เป็นปัญหาทั้งด้านกระเป๋าที่ยังรั่วอยู่ และเป็นเป้าสายตาของชาวโลก ขยับตัวทีเขารู้แผนกันหมดทั้งคู่หู คู่แข่ง
สมัยนายบุชตัวลูก ก็ปวดขมอง คิดจะปิดฐานทัพไปสัก 1 ใน 3 แต่ตัดสินใจไม่ขาด จะเปิดอันไหน ปิดอันไหน คิดยังไม่ทันตก ดันหมดเทอมซะก่อน
มาถึงนายโอบามา ปัญหานี้จะทู่ซี้ต่อไป อาจจะไม่ได้ไปนั่งเท่ในทำเนียบขาว หรือถ้าได้นั่ง ก็อยู่ไม่ยาว ตอนหาเสียงเลยเล่นมุก ท่องมันไปทุกเวที Change Change Change เอาเข้าจริง เป็นพี่เบิ้มนักล่าถ้าเก็บเครื่องมือล่าทิ้งลงถังขยะ แล้วจะไปล่าเหยื่อได้ยังไง แบบนี้ เพื่อนซี้ เพื่อนกิน ลูกหาบก็หลบหน้า ลี้กายหายไปหมด เลยต้องเรียกเด็ก ๆ
เฮ้ย ! มาทำการบ้านใหม่โว้ย !
ตกลงนักล่ามันเปลี่ยนสันดานไหม มัน Change ไหม ? กบกระโดดครับนาย กบกระโดดคือคำตอบ กบจะกระโดดในสระกว้างต้องมีใบบัวรองรับ
สระกว้างใหญ่ มีใบบัวเต็มไปหมด คนมองก็ไม่รู้สึกแปลก
แต่ถ้าดันสร้างเป็น swimming pool ขนาดโอลิมปิก กบจะกระโดดไหวหรือ กลายเป็นกบพุ่งหลาวจมไม่โผล่ละซิ ส่วนที่คิดจะเอาใบบัวไปลอย ใน swimming pool น่ะ แบบนั้น มันฉากละครทีวีช่องคุณหญิงคุณชายนะ Hollywood เขาไม่ทำกัน
มันต้องทำให้เนียน ๆ เพราะฉะนั้นเอาฐานทัพเก่า ๆ มาดัดแปลงเสียใหม่ ไม่ให้คนสังเกต หรือแถบไหน (ของ
ประเทศคนอื่น) ที่มันเล็ก ๆ ไม่เด่นก็ไปแอบสร้าง เอาให้มันกลมกลืนกับธรรมชาติ แต่แฝงด้วยอาวุธทันสมัยติดไว้ให้เพียบ แบบนี้ก็เรียบร้อย นักล่าบอกน่าสนใจ (มาก) เอะ ! แล้วนี่ ที่นักล่าเขาหลอกให้เราเฝ้าแต่อู่ตะเภา แล้วถ้าเขาไปสร้างใบบัวให้กบมัน
กระโดดแถวชุมพร นี่สมันน้อยจะรู้ไหมนะ ! ? ด้วยยุทธศาสตร์กบกระโดดบนใบบัว อเมริกาสามารถสร้างฐานทัพให้ กระจายแบบโรยไว้ทั่ว (peppering) บริเวณ Asia Pacific ถ้าอเมริกาทำได้จริง มันก็ไม่ต่างกับการควบคุมจีนทางอ้อม (containment) และก็เหมือนเป็นการเอาฉากสงครามเย็น สมัยที่อเมริกาจัดการกับสหภาพโซเวียตมาเล่นใหม่ ! ลองคิดดูช่วง 2-3 ปีนี้ อเมริกาเดินแผนอย่างไร กับทุกประเทศในภูมิภาคนี้ ไม่มีหลุด
สักเม็ด เค้าของสงครามโลกครั้งที่ 3 พอมองได้เห็นลาง ๆ – ออสเตรเลีย : อเมริกา เจรจาที่จะร่วมใช้ฐานทัพที่ Darwin และกำลังเริ่มแผนใช้
drone (เครื่องบินประเภทไร้คนขับ บังคับด้วยเรดาร์) โดยใช้ฐานทัพของออสเตรเลียที่เกาะ Cocos เป็นฐานพัก รวมทั้งการจัดกองกำลังเตรียมพร้อมไว้ แถว Brisbane และ Perth ด้วย – ราชอาณาจักรไทย : แน่นอนจะใช้อู่ตะเภา หรือสร้างใบบัวให้กบกระโดดที่ชุมพร หรือ
ที่ไหนอีก ตามสัญญาผูกคอทาส ทำได้สารพัด – ฟิลิปปินส์ : ตกลงไปแล้วให้อเมริกาฟื้นสนามบิน Clark และฐานทัพเรือ Subic Bay ที่ปิดไปชั่วคราวตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 กว่า ๆ (แต่หลังจากปี ค.ศ. 2002 ก็ยอมให้หน่วยปฏิบัติการพิเศษของอเมริกาเข้ามาใช้ใหม่บางกรณี !) – เวียตนาม : ทำสัญญาตกลงให้อเมริกาเพิ่มกองเรือ เข้าไปใช้ท่าเรือของเวียตนาม และ
จะขยายท่าเรือ เพื่อให้เฉพาะกองทัพเรืออเมริกาจอด – เกาะกวม : อเมริกาเตรียมสร้าง runway เพิ่มที่เกาะ Tinian ใกล้กับเกาะกวม และเตรียมสร้างฐานทัพ และ runwayสำหรับเครื่องบินลง ที่เกาะไซปัน (Saipan) ที่ห่างจากเกาะกวมไปประมาณ190 กม. เพื่อเป็นฐานทัพรองรับ หากกวมโดนโจมตี – มาเลเซีย อินโดนีเซีย และบรูไน : อเมริกาเจรจาที่จะสร้างฐานทัพเพิ่ม – เกาหลีใต้ : ตกลงกับอเมริกาที่จะสร้างฐานทัพเพิ่ม ให้อเมริกาใช้ที่เกาะ Jeju – อินเดีย : อเมริกาทำข้อตกลงเพิ่มความร่วมมือทางการทหารไปแล้ว นี่ยังไม่ได้นับฐานทัพอีกประมาณ 200 แห่ง ที่อเมริกามีกระจายอยู่ แล้วที่ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เกาะกวม Diego Garcia และฮาวาย ถ้าใบบัวงอกทั้งหมดนี้ อาเฮียแทบไม่มีทางออกทะเล ต้องใช้บินอย่างเดียว (ฮา !) ยุทธศาสตร์กบกระโดด บนใบบัวนี้ แสดงให้เห็นว่าลึก ๆ อเมริกาคิดอะไรอยู่ เป็นแผนล่า
เหยื่อของนักล่าตัวจริง ในเมื่อการสร้างฐานทัพใหญ่ ๆ ในต่างประเทศ นอกจากราคาแพงแล้ว ยังเป็นทั้งเป้าสายตาและเป้าอาวุธ แต่ถ้าแอบสร้างฐานเล็ก ๆ แบบใบบัว ให้กบกระโดด หลาย ๆแห่ง ทำได้เร็ว และไม่สร้างความอึกทึกให้โลกและเจ้าของบ้าน (ที่นักล่าหลอกไว้) ให้รู้ตัว นักยุทธศาสตร์การรบบอกว่า ฐานทัพรุ่นใบบัวนี้ ถ้าติดเครื่องมือทันสมัยให้เพียบ ใช้ควบคู่กับหน่วยรบพิเศษ (special operation forces) กบรุ่นใหม่เคลื่อนที่เร็ว แบบกบมหัศจรรย์ กับการใช้ droneสอดแนมและข่าวกรองที่มีประสิทธิภาพ (อย่าลืมว่าหน่วยปฎิบัติการในภาวะภัยพิบัตินั้น เป็นงาน
พรางตัวที่ดีที่สุด ของกองทัพในการทำงานข่าวกรอง) ร่วมกับการปฎิบัติทางโลก Cyber และมีการร่วมมือระหว่างกองทัพ กับหน่วยงานพลเรือนอย่างดี คุณสามารถทำการปฎิวัติ หรือบุกยึดเมืองใด หรือทำการรบในยุทธภูมิใดก็ได้ผลเกินคาด รวดเร็วกว่าการใช้กองทัพใหญ่ ๆ ที่เคลื่อนตัวอย่างอุ้ยอ้าย มันหมดสมัยแล้ว ! อเมริกาปรับปรุงฐานทัพจากการขยายหรือสร้างฐานทัพใหญ่ เป็นเตรียมการสร้างฐานทัพรูปแบบใบบัว (Lily Pad) เพื่อให้กบกระโดไทั่ว แค่นั้นยังไม่พอ เพื่อให้การล่าเหยื่อเบ็ดเสร็จสมใจ อเมริกา จึงปรับปรุงการกระโดดของกบด้วย โดยแบ่งซอยกองกำลังออกมาเรียกว่า หน่วยปฎิบัติการพิเศษ
(เหมือนชายชุดดำนะครับ เอ๊ะ ! หน่วยเดียวกันหรือเปล่า ?!) Special Operation Forces (SOF)
(หรือมันเอาอย่างกัน หวังว่าไม่ถึงขนาดฝึกให้กันเลยนะ !) SOF นี้ เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1980 เมื่อเจ้าหน้าที่สถานฑูตอเมริกาถูกจับเป็นตัวประกันที่อิหร่าน (ก็ผลงานของนักล่าเอง !) ทำให้ตัวประกันตายไป 8 คน
อเมริกาแค้นจัด ตั้งหน่วย Special Operation Command (SOCOM) ขึ้นมา
โดยคัดหัวกะทิมาจากหน่วย Seals, Rangers, Special Operation Aviators และ Green Beret มาฝึกหนัก จริง ๆ ก็คือฝึกเป็น Rambo เหมือนในหนังน่ะ
พวก SOF นี้ ถูกใช้ให้ไปปฎิบัติการลับ ในที่ต่าง ๆ ที่เป็นความลับ
มีรายงานว่าน่าจะมี SOF ประมาณกว่า 70,000 คนในปี ค.ศ. 2014 กระจายอยู่ทั่วโลก ปฎิบัติการอยู่ในต่างประเทศ ประมาณ 70-80 ประเทศ เช่น ลิเบีย โซมาเลีย อาฟกานิสถาน ปากีสถาน หลายประเทศในอาหรับ
และลาตินอเมริกา และเอเซีย และยุโรป ฯลฯ สรุปแล้ว การจัดการให้มีฐานทัพแบบใบบัว (Lily Pad) และ กองกำลังแบบ SOF ตามยุทธการกบกระโดด อยู่ในบ้านเมืองใคร อเมริกาบอกว่า มันก็เหมือนเราไปอยู่ในบ้านนั้น (ยึด!) เรียบร้อยแล้วล่ะ (de facto presence) ดังนั้นเราจะต้องให้มี ฐานทัพใบบัวนี้ให้มากที่สุดให้ได้ (lots and lots of Lily pad bases!) คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 282 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด”
    ตอนที่ 4
    ยุทธศาสตร์ความมั่นคง National Security Strategy สำหรับปี ค.ศ. 2014 ยังไม่คลอดคาด ว่าจะคลอดประมาณเดือนเมษายน, พฤษภาคม แต่อย่างน้อย อเมริกาก็ใบ้หวยมาหลายครั้งแล้ว คือ
    – เมื่อกลางปี ค.ศ. 2012 อเมริกาบอกว่า จะมีการปรับกองกำลังของอเมริการะหว่าง
    แอตแลนติกกับแปซิฟิก จากที่เคยวางไว้ที่ 50:50 เป็น 40:60 แปลว่าให้น้ำหนักทางแปซิฟิก มากขึ้น
    – มาปลายปี ค.ศ. 2013 อเมริกาย้ำซ้ำว่า เราจะทำการปรับดุลยอำนาจในแถวเอเซีย
    แปซิฟิกเสียใหม่
    – พอต้นปี ค.ศ. 2014 มีข่าวปล่อยว่า อเมริกาอาจจะพิจารณาผ่อนคลายการคว่ำบาตรอิหร่าน แบบนี้เซียนการเมืองต่อรองกันน่าดู ฝ่ายที่เล่นว่าอเมริกาไม่พร้อมจะก่อศึก 2 ด้านพร้อมกัน รู้ข่าววงในหรือไง !
    มาดูฝ่ายเหล่าเสือร้ายลายก้างขวางคอกันบ้าง กำลังภายในภายนอก รวมกันแล้วน่า
    ตีมือตบ เป่านกหวีดให้แค่ไหน
    ด้านอิหร่าน ถ้ารวมตัวกับรัสเซีย ซีเรียและพวกที่มีแยะ แต่ยังไม่ประสงค์จะเปิดเผยตัว
    ขณะนี้ ร่วมกันเล่นมวยหมู่ นักล่าก็จุกได้เหมือนกัน
    ส่วนด้านจีน ถ้ารวมกับกลุ่มเจ้าพ่อเซียงไฮ้ (Shanghai Corporation Organization ซึ่งมีรัสเซียรวมอยู่ด้วย) บวกกับเด็กแสบแห่งเกาหลีเหนือ
    คราวนี้อเมริกาไม่ใช่แค่จุก แต่อาจจะถึงกับเดี้ยงไปเลย เพราะเกาหลีเหนือพร้อม
    ทุกเมื่อ ที่จะส่งของขวัญ แบบส่งตรงไม่ต้องฝากใคร ไปให้อเมริกาถึงหน้าทำเนียบขาว หรือวอชิงตันดีซี (ไม่รู้ราคาคุยของเด็กแสบหรือเปล่า)
    คิดแบบนี้ นักล่าก็น่าจะคลายมือที่บีบคออิหร่านออกมาสัก 1 หุน และหันมาโชว์พาวใช้โปรแกรมขย่มขวัญอาเฮีย ด้าน Asia Pacific น่าจะเข้าท่ากว่า แล้วนี่ ถ้าบรรดาพวกก้าง เขารวมหัวกันหมด นักล่าจะใช้โปรแกรมไหนเอ่ย นึกว่าเขาไม่คิดรวม หรือไม่กล้าเล่นหรือไง
    ไม่ว่านักล่าตัดสินใจมาทาง Asia Pacific หรือล่ามันทั้งโลก โปรแกรมที่เลือกใช้
    ไม่ว่าโปรแกรมใด แน่นอนต้องมีไทยแลนด์ แดนสมันน้อย เข้าไปเกี่ยวด้วยทุกรายการ สมันน้อย ถูกสัญญาทาสผูกคอมาตั้งแต่สมัยจอมพลคนแปลก หลวมตัวทำเอาไว้ในปี พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950)ที่เราเรียกกันว่าสัญญา JUSMAC ท่านใดที่ลืมเรื่องนี้ โปรดกลับไปอ่านจิกโก๋ปากซอย นะครับ สัญญานี้ยังมีอายุอยู่ และเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 (ค.ศ. 2012) นาย Leon Panetta รมว.กลาโหมของนักล่า ขณะนั้น ก็คว้ามือคุณพี่สุกำพล รมว.กลาโหมไทยขณะนั้น
    เอาแปะโป้งซ้ำอีกรอบ ใน Joint Vision Statement ระหว่างอเมริกากับไทย พร้อมออกข่าวแถลงด้วยความดีใจ ว่าเป็นทาสเขาไปอีกรอบแล้ว
    ภายใต้สัญญา JUSMAC อเมริกาสามารถตั้งฐานทัพ ในราชอาณาจักรไทยได้
    เมื่อไทยขอร้อง หรือเมื่ออเมริกาเห็นว่าไทยถูกคุกคาม ไอ้ฉากแบบนี้น่ะ มันสร้างยากนักหรือ เพราะฉะนั้น พี่น้องก็เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ อย่ามัวแต่นั่งโลกสวย คอยอธิบายแก้ข่าวที่พวกนักล่ามันแกล้งให้ สื่อเฮงซวยลงข่าวบ้านเราผิด ๆ ประเภท ประเทศไทยกำลังทำลายประชาธิปไตย ด้วยการประท้วงไม่ให้มีการเลือกตั้ง ฯลฯ
    เลิกไปอธิบายซ้ำซากกับพวกสื่อต่างชาติได้แล้ว มันรู้อยู่แล้วว่าอะไร เป็นอะไร แต่มันแกล้งสร้างข่าว เพื่อเบนความสนใจของเราไปจากเรื่องจริง คือการมาใช้ฐานทัพและ
    การขะโมยทรัพยากรของเรา ดังนั้นหัดคิดในเชิงรุกกันบ้าง ว่าเราจะป้องกันอย่างไร ไม่ให้มันมาสาระแนในบ้านเรา เดี๋ยวจะว่าไม่เตือนกัน
    ข่าวลือมันมีมาตลอดว่า อเมริกาจะมาใช้ฐานทัพอู่ตะเภาของไทย ตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2555(ค.ศ. 2012) ข่าวนี้แรกหลุดมาจากการประชุม Shangrila Dialogue ประมาณเดือนมิถุนายน ปีค.ศ. 2012 ซึ่งเป็นการประชุมประจำปีของ International Institute for Strategic Studies (IISS)
    ซึ่งเป็นหน่วยงานประเภท think tank ระหว่างรัฐบาลด้านความมั่นคง (ก็หน่วยงานของพวก CFRนั่นแหละ !) ที่ประชุมกันที่โรงแรม Shangrila สิงคโปร์ทุกปี มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002
    ฝ่ายไทยที่ไปร่วมประชุม จะมีตัวแทนเป็นนักวิชาการด้านความมั่นคงบ้าง ผู้แทนจากกระทรวงต่างประเทศและผู้แทนจากกองทัพ เท่าที่จำได้ (จากเอกสารครับ ไม่เคยไป !) ขาประจำผูกขาดที่ไปประชุม ชื่อ นิพัท ทองเล็ก
    ในปี พ.ศ. 2555 คุณพี่สุกำพล ควงกะคุณน้องนิพัท ไปนั่งกระหนุง กระหนิง กับนาย Leon Panetta ในที่ประชุม กลับมาเมืองไทยไม่กี่เดือน ก็ยืนคู่กันถ่ายรูปประกาศการลงนามสัญญา Joint Vision Statement!

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด” ตอนที่ 4 ยุทธศาสตร์ความมั่นคง National Security Strategy สำหรับปี ค.ศ. 2014 ยังไม่คลอดคาด ว่าจะคลอดประมาณเดือนเมษายน, พฤษภาคม แต่อย่างน้อย อเมริกาก็ใบ้หวยมาหลายครั้งแล้ว คือ – เมื่อกลางปี ค.ศ. 2012 อเมริกาบอกว่า จะมีการปรับกองกำลังของอเมริการะหว่าง แอตแลนติกกับแปซิฟิก จากที่เคยวางไว้ที่ 50:50 เป็น 40:60 แปลว่าให้น้ำหนักทางแปซิฟิก มากขึ้น – มาปลายปี ค.ศ. 2013 อเมริกาย้ำซ้ำว่า เราจะทำการปรับดุลยอำนาจในแถวเอเซีย แปซิฟิกเสียใหม่ – พอต้นปี ค.ศ. 2014 มีข่าวปล่อยว่า อเมริกาอาจจะพิจารณาผ่อนคลายการคว่ำบาตรอิหร่าน แบบนี้เซียนการเมืองต่อรองกันน่าดู ฝ่ายที่เล่นว่าอเมริกาไม่พร้อมจะก่อศึก 2 ด้านพร้อมกัน รู้ข่าววงในหรือไง ! มาดูฝ่ายเหล่าเสือร้ายลายก้างขวางคอกันบ้าง กำลังภายในภายนอก รวมกันแล้วน่า ตีมือตบ เป่านกหวีดให้แค่ไหน ด้านอิหร่าน ถ้ารวมตัวกับรัสเซีย ซีเรียและพวกที่มีแยะ แต่ยังไม่ประสงค์จะเปิดเผยตัว ขณะนี้ ร่วมกันเล่นมวยหมู่ นักล่าก็จุกได้เหมือนกัน ส่วนด้านจีน ถ้ารวมกับกลุ่มเจ้าพ่อเซียงไฮ้ (Shanghai Corporation Organization ซึ่งมีรัสเซียรวมอยู่ด้วย) บวกกับเด็กแสบแห่งเกาหลีเหนือ คราวนี้อเมริกาไม่ใช่แค่จุก แต่อาจจะถึงกับเดี้ยงไปเลย เพราะเกาหลีเหนือพร้อม ทุกเมื่อ ที่จะส่งของขวัญ แบบส่งตรงไม่ต้องฝากใคร ไปให้อเมริกาถึงหน้าทำเนียบขาว หรือวอชิงตันดีซี (ไม่รู้ราคาคุยของเด็กแสบหรือเปล่า) คิดแบบนี้ นักล่าก็น่าจะคลายมือที่บีบคออิหร่านออกมาสัก 1 หุน และหันมาโชว์พาวใช้โปรแกรมขย่มขวัญอาเฮีย ด้าน Asia Pacific น่าจะเข้าท่ากว่า แล้วนี่ ถ้าบรรดาพวกก้าง เขารวมหัวกันหมด นักล่าจะใช้โปรแกรมไหนเอ่ย นึกว่าเขาไม่คิดรวม หรือไม่กล้าเล่นหรือไง ไม่ว่านักล่าตัดสินใจมาทาง Asia Pacific หรือล่ามันทั้งโลก โปรแกรมที่เลือกใช้ ไม่ว่าโปรแกรมใด แน่นอนต้องมีไทยแลนด์ แดนสมันน้อย เข้าไปเกี่ยวด้วยทุกรายการ สมันน้อย ถูกสัญญาทาสผูกคอมาตั้งแต่สมัยจอมพลคนแปลก หลวมตัวทำเอาไว้ในปี พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950)ที่เราเรียกกันว่าสัญญา JUSMAC ท่านใดที่ลืมเรื่องนี้ โปรดกลับไปอ่านจิกโก๋ปากซอย นะครับ สัญญานี้ยังมีอายุอยู่ และเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 (ค.ศ. 2012) นาย Leon Panetta รมว.กลาโหมของนักล่า ขณะนั้น ก็คว้ามือคุณพี่สุกำพล รมว.กลาโหมไทยขณะนั้น เอาแปะโป้งซ้ำอีกรอบ ใน Joint Vision Statement ระหว่างอเมริกากับไทย พร้อมออกข่าวแถลงด้วยความดีใจ ว่าเป็นทาสเขาไปอีกรอบแล้ว ภายใต้สัญญา JUSMAC อเมริกาสามารถตั้งฐานทัพ ในราชอาณาจักรไทยได้ เมื่อไทยขอร้อง หรือเมื่ออเมริกาเห็นว่าไทยถูกคุกคาม ไอ้ฉากแบบนี้น่ะ มันสร้างยากนักหรือ เพราะฉะนั้น พี่น้องก็เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ อย่ามัวแต่นั่งโลกสวย คอยอธิบายแก้ข่าวที่พวกนักล่ามันแกล้งให้ สื่อเฮงซวยลงข่าวบ้านเราผิด ๆ ประเภท ประเทศไทยกำลังทำลายประชาธิปไตย ด้วยการประท้วงไม่ให้มีการเลือกตั้ง ฯลฯ เลิกไปอธิบายซ้ำซากกับพวกสื่อต่างชาติได้แล้ว มันรู้อยู่แล้วว่าอะไร เป็นอะไร แต่มันแกล้งสร้างข่าว เพื่อเบนความสนใจของเราไปจากเรื่องจริง คือการมาใช้ฐานทัพและ การขะโมยทรัพยากรของเรา ดังนั้นหัดคิดในเชิงรุกกันบ้าง ว่าเราจะป้องกันอย่างไร ไม่ให้มันมาสาระแนในบ้านเรา เดี๋ยวจะว่าไม่เตือนกัน ข่าวลือมันมีมาตลอดว่า อเมริกาจะมาใช้ฐานทัพอู่ตะเภาของไทย ตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2555(ค.ศ. 2012) ข่าวนี้แรกหลุดมาจากการประชุม Shangrila Dialogue ประมาณเดือนมิถุนายน ปีค.ศ. 2012 ซึ่งเป็นการประชุมประจำปีของ International Institute for Strategic Studies (IISS) ซึ่งเป็นหน่วยงานประเภท think tank ระหว่างรัฐบาลด้านความมั่นคง (ก็หน่วยงานของพวก CFRนั่นแหละ !) ที่ประชุมกันที่โรงแรม Shangrila สิงคโปร์ทุกปี มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002 ฝ่ายไทยที่ไปร่วมประชุม จะมีตัวแทนเป็นนักวิชาการด้านความมั่นคงบ้าง ผู้แทนจากกระทรวงต่างประเทศและผู้แทนจากกองทัพ เท่าที่จำได้ (จากเอกสารครับ ไม่เคยไป !) ขาประจำผูกขาดที่ไปประชุม ชื่อ นิพัท ทองเล็ก ในปี พ.ศ. 2555 คุณพี่สุกำพล ควงกะคุณน้องนิพัท ไปนั่งกระหนุง กระหนิง กับนาย Leon Panetta ในที่ประชุม กลับมาเมืองไทยไม่กี่เดือน ก็ยืนคู่กันถ่ายรูปประกาศการลงนามสัญญา Joint Vision Statement! คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 229 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด”
    ตอนที่ 3
    จะแสดงอภิมหาแสนยานุภาพทั้งที ต้องดูตาถี่ตาห่าง ทบทวนกันหน่อยว่าตอนนี้
    ใครเป็นมิตร ใครเป็นศัตรู ใครเป็นพวกใคร น้ำหนักเท่าไหร่ ความไวเป็นอย่างไร จุดเป็น จุดตาย จุดอ่อนจุดแข็ง อยู่ตรงไหน โลกมันเปลี่ยนไปเร็ว เห็นตัวอย่างจากการโตเร็วของอาเฮียแดนมังกรแล้ว ไม่ทำการบ้านให้ดี ถลาเข้ามาเดินเชิดหน้าพองขน ดันโดนรุมสกรัม พุ่งถลาหน้าแหก คงไม่สง่างามสมกับเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่งของโลก
    เอ้า วัดสัดส่วนเทียบทุกจุดแล้ว โผออกมาดังนี้
    1. กลุ่มที่จะกระทบกับผลประโยชน์ของอเมริกาและพวก คือ
    – จีน และ เกาหลีเหนือ สำหรับ กลุ่มพวกเอเซีย
    – อิหร่านและซีเรีย (และกลุ่มหัวรุนแรง ที่ไม่ประกาศสัญชาติ) สำหรับ กลุ่ม
    ตะวันออกกลาง
    – รัสเซีย สำหรับ กลุ่มเอเซีย และยุโรป
    2. คู่แข่งในการแสดงอำนาจและบารมีของอเมริกาในภูมิภาคต่าง ๆ
    – จีน ในเอเซียตะวันออก เอเซียกลาง และอาฟริกา (โปรดสังเกต ไม่มีเอเซีย
    ตะวันออกเฉียงใต้ แสดงว่าประเทศแถวนี้ มันหมูในอวย หรือลูกหาบตลอดการของนักล่า หือไม่ขึ้นแล้ว อาเฮียลื้ออย่ามาเกี้ยวให้เสียเวลาเลย ฮา !)
    – อิหร่าน ในตะวันออกกลาง
    – รัสเซีย ในเอเซียกลาง และบริเวณใกล้เคียง
    3. คู่แข่งในเรื่องกองทัพและอาวุธ
    – จีน และเกาหลีเหนือ
    – อิหร่าน
    (เอะ ! ทำไมตัวละครมันซ้ำ ๆ กันแบบนี้ คนทำการบ้านวิเคราะห์ถูกหรือเปล่านะ คนเล่า
    นิทานชักเบื่อ ไม่เห็นมีอะไรใหม่เลย)
    รู้มิตร รู้ศัตรู รู้หน้าตาคู่แข่ง พวกก้างขวางคอ แล้วอเมริกาจะจัดการอย่างไรกับฐานทัพและกองทัพ ที่กระจายกันอยู่ทั่วโลก เพื่อรุกไปขย่มขวัญอาเฮียใน Asia Pacific และรับมือกับบรรดาก้างขวางคอ
    ผู้ทำแผนการล่าเหยื่อบอกไม่มีปัญหา เรามีแผนจัดเป็นโปรแกรม โปรดเลือกเอาตาม
    สะดวก ชอบโปรแกรมไหน กดไป ใช้ได้เลย เสียดายไม่ยักกะมีเพลงประจำ แต่ละโปรแกรมมาด้วย
    – โปรแกรมขย่มขวัญ
    จัดให้เพื่อแสดงบทขย่มขวัญจีนและเกาหลีเหนือโดยเฉพาะ และให้พรรคพวกอุ่นใจ
    ว่านักล่ายังฟันคมกริบ กรงเล็บแข็ง ตะปบแม่น ถ้าอเมริกาต้องการแสดงแสนยานุภาพ
    ไปทางเอเซียอย่างเต็มที่ ! มันต้องยังงั้น ! ไปท้าทายเขาถึงหน้าบ้านเลย ดูซิว่าจีนกับเกาหลีเหนือ จะยืนเกาหัวมึนไป หรือนักล่าจะถูกดักตีหัวแบะเอง ให้มันรู้กันไป เป็นจิกโก๋ต้องใจสู้ เข้าไปท้าชิงในถิ่นเขาเลย !
    การจะใช้โปรแกรมขย่มขวัญ อเมริกาต้องขยายฐานทัพ และสร้างภาพให้โลก โดยเฉพาะ
    ผู้ที่อเมริกาอยากขย่มขวัญ เห็นว่าอเมริกามาแล้ว มาอยู่ตรงนี้จริง ๆ (permanent presence) ดังนั้นควรมีการขยายฐานทัพ/สร้างฐานทัพ ของพวกลูกหาบ เช่น ในฟิลิปปินส์ ไทยแลนด์ (ของสมันน้อยไงจ๊ะ ! ) สิงคโปร์และออสเตรเลียเพิ่มขึ้น
    และหาทางเจรจาสร้างฐานทัพกับมาเลเซียเวียตนาม และอินโดนีเซีย (พวกผักชีโรยหน้า) เพื่อเป็นการรองรับปัญหาที่อาจจะมาจากกรณีทะเลจีนใต้ (ที่ตนเองไปเสี้ยมไว้) ขณะเดียวกัน ก็ต้องเพิ่มการฝึกซ้อมรบร่วมกันทั้งทางอากาศและทางทะเล กับพวกลูกหาบให้บ่อยมากขึ้น
    ส่วนฐานทัพที่อยู่ในอเมริกาไม่ต้องทำอะไร แค่ดูให้มั่นใจว่ารับศึกที่จะมาคุกคาม พรรคพวกแถวยุโรปกับอาหรับได้เป็นพอ
    (เรียกว่าเป็นโปรแกรมใหญ่ ค่าตั๋วน่าจะแพง กินงบประมาณแผ่นดินกันถ้วนหน้า ถ้าชิงรางวัลใหญ่ไม่ได้ อาจกลายเป็นเสียเมืองแทน
    พวกลูกหาบระวังตัวให้ดีแล้วกัน)
    – โปรแกรมรับมือ
    เป็นการเตรียมรับมือในกรณี เกิดความไม่มั่นคงในตะวันออกกลาง เพราะทะเลาะกันเอง
    หรือการเมือง เศรษฐกิจของหลายประเทศไม่มั่นคง (ก็เกิดจากการเสี้ยมของอเมริกานั่นแหละ ไม่ต้องวิเคราะห์มากให้ปวดหัว)
    รายการนี้ต้องใช้ฐานทัพและกองกำลังของอเมริกาเป็นตัวหลัก
    ยุทธศาสตร์นี้จะใช้ต่อเมื่อจีนไม่มีปฎิกริยาโต้ตอบกับอเมริกา เหมือนเป็นกองกำลังกงเต๊ก ส่วนในยุโรปก็ไม่มีผู้ท้าชิง ในทางตรงกันข้าม อิหร่านเกิดบ้าเลือดมาแรง เผลอ ๆ จะได้เห็นนิวเคลียร์ยี่ห้ออิหร่านลงแอลเอ ! ดังนั้น กองกำลังที่อยู่ในยุโรปและในอเมริกาเองจะต้องปรับ เพื่อให้คล่องตัวในการเล่นศึกกับอิหร่าน สำหรับเอเซีย การปรับเปลี่ยนกองกำลังและฐานทัพ จะเป็นเช่นเดียวกับโปรแกรมขย่มขวัญ
    (โปรแกรมนี้ดูมันไม่ค่อยมีเหตุผลนะ แต่ก็อยากเห็น ระเบิดลงหัวนักล่า
    เหมือนกันแหละ !)
    – โปรแกรมนักล่าตัวจริง
    กรณีนี้ใช้สำหรับนักล่าตัวจริง หมายเลข 1 ของโลก ที่จะล่ามันไปทั่วทั้งบริเวณ
    East Asia, ยุโรป และตะวันออกกลาง และขยายฐานที่มีอยู่ใน Southeast Asia ไปจนถึงตะวันออกกลาง ทั้งในด้านการเมืองและการเงิน
    ถ้าเลือกโปรแกรมนี้ นักล่าต้องฟิตหนัก เพราะต้องเตรียมตัวรับ กับ การขยายตัวทางการทหารจากจีน และเกาหลีเหนือ (ก็ยื่นหน้าไปเบ่งกล้ามใส่เขา คิดว่าเขา
    จะอยู่เฉยหรือไง !) และยังต้องมีกองกำลังในตะวันออกกลาง เพื่อเตรียมรับมือกับอิหร่านอีกด้วย
    และต้องพร้อมที่จะชนะการปะทะแถวยุโรป เพื่อแสดงให้เด็ก ๆ แถว Nato เห็นว่าลูกพี่ยังแน่อยู่
    กองทัพแถวยุโรป จึงต้องยังมีและพร้อมอยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุม นักล่าต้องทำให้น่าเชื่อว่าตัวเอง ดูแลอย่างใกล้ชิดประเทศในแถบ GCC (Gulf Cooperation Council) สร้างภาพให้เป็นที่เชื่อถือ มีภาพตัวเองติดอยู่ในแถบ GCC (ติดรูปไว้ทุกเสาไฟฟ้าเลยนะ)
    และควรมีการทำข้อตกลงกับ Saudi Arabia และ India ที่จะใช้ฐานทัพในแถบนั้นได้ ในกรณีวิกฤติ (อันนี้ไม่ใช่ผักชีโรย แต่เป็นอาหารจานหลักนี่หว่า หลอกแขกชัด ๆ) ส่วนกองกำลังปะทะ (combat) และกองกำลังเคลื่อนที่ จะต้องมีอยู่ในฐานทัพต่าง ๆ ของอเมริกา
    (นี่มันโปรแกรมฝันกลางวัน เอ ! หรือนักล่าเอาจริง ! )
    แล้วตกลงอเมริกาจะเลือกใช้โปรแกรมไหน น่าสังเกตว่าทุกโปรแกรม ยุโรปเหมือนเป็นตัว
    ประกอบราคาถูก หรือไม่กล้าใช้นายเหนืออีกทีกันแน่
    แต่ที่น่าสนใจฝ่ายวางแผนล่าเหยื่อบอกว่า อเมริกาต้องตัดสินใจ ว่าจะจัดการกับกองกำลังและฐานทัพที่เกลื่อนอยู่ทั่วโลกอย่างไร มันใช้เงินโขอยู่ ตอนนี้ก็ไม่ได้รวยอย่างที่โม้ไว้ เพราะฉะนั้นเลือกเลยว่า จะแค่ขย่มขวัญ รับมือ หรือเป็นนักล่าตัวจริง ใหญ่ค้ำโลก
    การเลือกของอเมริกาในเรื่องนี้ มันจะแสดงให้เห็นอนาคตของโลกนี้ว่า
    กระบวนยุทธครั้งนี้ของอเมริกา เป็นชนวนให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้ไหม ขณะนี้อเมริกายังไม่พูดให้ชัดว่าจะเล่นแค่ Asia Pacific เป็นฉากหน้า แต่ของจริงล่าทั้งโลก ส่วนไอ้เรื่องโปรแกรมรับมือน่ะ ไม่มีทาง เขียนมาให้โวยเล่น นักล่าหรือจะคิดแค่รับมือ!

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด” ตอนที่ 3 จะแสดงอภิมหาแสนยานุภาพทั้งที ต้องดูตาถี่ตาห่าง ทบทวนกันหน่อยว่าตอนนี้ ใครเป็นมิตร ใครเป็นศัตรู ใครเป็นพวกใคร น้ำหนักเท่าไหร่ ความไวเป็นอย่างไร จุดเป็น จุดตาย จุดอ่อนจุดแข็ง อยู่ตรงไหน โลกมันเปลี่ยนไปเร็ว เห็นตัวอย่างจากการโตเร็วของอาเฮียแดนมังกรแล้ว ไม่ทำการบ้านให้ดี ถลาเข้ามาเดินเชิดหน้าพองขน ดันโดนรุมสกรัม พุ่งถลาหน้าแหก คงไม่สง่างามสมกับเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่งของโลก เอ้า วัดสัดส่วนเทียบทุกจุดแล้ว โผออกมาดังนี้ 1. กลุ่มที่จะกระทบกับผลประโยชน์ของอเมริกาและพวก คือ – จีน และ เกาหลีเหนือ สำหรับ กลุ่มพวกเอเซีย – อิหร่านและซีเรีย (และกลุ่มหัวรุนแรง ที่ไม่ประกาศสัญชาติ) สำหรับ กลุ่ม ตะวันออกกลาง – รัสเซีย สำหรับ กลุ่มเอเซีย และยุโรป 2. คู่แข่งในการแสดงอำนาจและบารมีของอเมริกาในภูมิภาคต่าง ๆ – จีน ในเอเซียตะวันออก เอเซียกลาง และอาฟริกา (โปรดสังเกต ไม่มีเอเซีย ตะวันออกเฉียงใต้ แสดงว่าประเทศแถวนี้ มันหมูในอวย หรือลูกหาบตลอดการของนักล่า หือไม่ขึ้นแล้ว อาเฮียลื้ออย่ามาเกี้ยวให้เสียเวลาเลย ฮา !) – อิหร่าน ในตะวันออกกลาง – รัสเซีย ในเอเซียกลาง และบริเวณใกล้เคียง 3. คู่แข่งในเรื่องกองทัพและอาวุธ – จีน และเกาหลีเหนือ – อิหร่าน (เอะ ! ทำไมตัวละครมันซ้ำ ๆ กันแบบนี้ คนทำการบ้านวิเคราะห์ถูกหรือเปล่านะ คนเล่า นิทานชักเบื่อ ไม่เห็นมีอะไรใหม่เลย) รู้มิตร รู้ศัตรู รู้หน้าตาคู่แข่ง พวกก้างขวางคอ แล้วอเมริกาจะจัดการอย่างไรกับฐานทัพและกองทัพ ที่กระจายกันอยู่ทั่วโลก เพื่อรุกไปขย่มขวัญอาเฮียใน Asia Pacific และรับมือกับบรรดาก้างขวางคอ ผู้ทำแผนการล่าเหยื่อบอกไม่มีปัญหา เรามีแผนจัดเป็นโปรแกรม โปรดเลือกเอาตาม สะดวก ชอบโปรแกรมไหน กดไป ใช้ได้เลย เสียดายไม่ยักกะมีเพลงประจำ แต่ละโปรแกรมมาด้วย – โปรแกรมขย่มขวัญ จัดให้เพื่อแสดงบทขย่มขวัญจีนและเกาหลีเหนือโดยเฉพาะ และให้พรรคพวกอุ่นใจ ว่านักล่ายังฟันคมกริบ กรงเล็บแข็ง ตะปบแม่น ถ้าอเมริกาต้องการแสดงแสนยานุภาพ ไปทางเอเซียอย่างเต็มที่ ! มันต้องยังงั้น ! ไปท้าทายเขาถึงหน้าบ้านเลย ดูซิว่าจีนกับเกาหลีเหนือ จะยืนเกาหัวมึนไป หรือนักล่าจะถูกดักตีหัวแบะเอง ให้มันรู้กันไป เป็นจิกโก๋ต้องใจสู้ เข้าไปท้าชิงในถิ่นเขาเลย ! การจะใช้โปรแกรมขย่มขวัญ อเมริกาต้องขยายฐานทัพ และสร้างภาพให้โลก โดยเฉพาะ ผู้ที่อเมริกาอยากขย่มขวัญ เห็นว่าอเมริกามาแล้ว มาอยู่ตรงนี้จริง ๆ (permanent presence) ดังนั้นควรมีการขยายฐานทัพ/สร้างฐานทัพ ของพวกลูกหาบ เช่น ในฟิลิปปินส์ ไทยแลนด์ (ของสมันน้อยไงจ๊ะ ! ) สิงคโปร์และออสเตรเลียเพิ่มขึ้น และหาทางเจรจาสร้างฐานทัพกับมาเลเซียเวียตนาม และอินโดนีเซีย (พวกผักชีโรยหน้า) เพื่อเป็นการรองรับปัญหาที่อาจจะมาจากกรณีทะเลจีนใต้ (ที่ตนเองไปเสี้ยมไว้) ขณะเดียวกัน ก็ต้องเพิ่มการฝึกซ้อมรบร่วมกันทั้งทางอากาศและทางทะเล กับพวกลูกหาบให้บ่อยมากขึ้น ส่วนฐานทัพที่อยู่ในอเมริกาไม่ต้องทำอะไร แค่ดูให้มั่นใจว่ารับศึกที่จะมาคุกคาม พรรคพวกแถวยุโรปกับอาหรับได้เป็นพอ (เรียกว่าเป็นโปรแกรมใหญ่ ค่าตั๋วน่าจะแพง กินงบประมาณแผ่นดินกันถ้วนหน้า ถ้าชิงรางวัลใหญ่ไม่ได้ อาจกลายเป็นเสียเมืองแทน พวกลูกหาบระวังตัวให้ดีแล้วกัน) – โปรแกรมรับมือ เป็นการเตรียมรับมือในกรณี เกิดความไม่มั่นคงในตะวันออกกลาง เพราะทะเลาะกันเอง หรือการเมือง เศรษฐกิจของหลายประเทศไม่มั่นคง (ก็เกิดจากการเสี้ยมของอเมริกานั่นแหละ ไม่ต้องวิเคราะห์มากให้ปวดหัว) รายการนี้ต้องใช้ฐานทัพและกองกำลังของอเมริกาเป็นตัวหลัก ยุทธศาสตร์นี้จะใช้ต่อเมื่อจีนไม่มีปฎิกริยาโต้ตอบกับอเมริกา เหมือนเป็นกองกำลังกงเต๊ก ส่วนในยุโรปก็ไม่มีผู้ท้าชิง ในทางตรงกันข้าม อิหร่านเกิดบ้าเลือดมาแรง เผลอ ๆ จะได้เห็นนิวเคลียร์ยี่ห้ออิหร่านลงแอลเอ ! ดังนั้น กองกำลังที่อยู่ในยุโรปและในอเมริกาเองจะต้องปรับ เพื่อให้คล่องตัวในการเล่นศึกกับอิหร่าน สำหรับเอเซีย การปรับเปลี่ยนกองกำลังและฐานทัพ จะเป็นเช่นเดียวกับโปรแกรมขย่มขวัญ (โปรแกรมนี้ดูมันไม่ค่อยมีเหตุผลนะ แต่ก็อยากเห็น ระเบิดลงหัวนักล่า เหมือนกันแหละ !) – โปรแกรมนักล่าตัวจริง กรณีนี้ใช้สำหรับนักล่าตัวจริง หมายเลข 1 ของโลก ที่จะล่ามันไปทั่วทั้งบริเวณ East Asia, ยุโรป และตะวันออกกลาง และขยายฐานที่มีอยู่ใน Southeast Asia ไปจนถึงตะวันออกกลาง ทั้งในด้านการเมืองและการเงิน ถ้าเลือกโปรแกรมนี้ นักล่าต้องฟิตหนัก เพราะต้องเตรียมตัวรับ กับ การขยายตัวทางการทหารจากจีน และเกาหลีเหนือ (ก็ยื่นหน้าไปเบ่งกล้ามใส่เขา คิดว่าเขา จะอยู่เฉยหรือไง !) และยังต้องมีกองกำลังในตะวันออกกลาง เพื่อเตรียมรับมือกับอิหร่านอีกด้วย และต้องพร้อมที่จะชนะการปะทะแถวยุโรป เพื่อแสดงให้เด็ก ๆ แถว Nato เห็นว่าลูกพี่ยังแน่อยู่ กองทัพแถวยุโรป จึงต้องยังมีและพร้อมอยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุม นักล่าต้องทำให้น่าเชื่อว่าตัวเอง ดูแลอย่างใกล้ชิดประเทศในแถบ GCC (Gulf Cooperation Council) สร้างภาพให้เป็นที่เชื่อถือ มีภาพตัวเองติดอยู่ในแถบ GCC (ติดรูปไว้ทุกเสาไฟฟ้าเลยนะ) และควรมีการทำข้อตกลงกับ Saudi Arabia และ India ที่จะใช้ฐานทัพในแถบนั้นได้ ในกรณีวิกฤติ (อันนี้ไม่ใช่ผักชีโรย แต่เป็นอาหารจานหลักนี่หว่า หลอกแขกชัด ๆ) ส่วนกองกำลังปะทะ (combat) และกองกำลังเคลื่อนที่ จะต้องมีอยู่ในฐานทัพต่าง ๆ ของอเมริกา (นี่มันโปรแกรมฝันกลางวัน เอ ! หรือนักล่าเอาจริง ! ) แล้วตกลงอเมริกาจะเลือกใช้โปรแกรมไหน น่าสังเกตว่าทุกโปรแกรม ยุโรปเหมือนเป็นตัว ประกอบราคาถูก หรือไม่กล้าใช้นายเหนืออีกทีกันแน่ แต่ที่น่าสนใจฝ่ายวางแผนล่าเหยื่อบอกว่า อเมริกาต้องตัดสินใจ ว่าจะจัดการกับกองกำลังและฐานทัพที่เกลื่อนอยู่ทั่วโลกอย่างไร มันใช้เงินโขอยู่ ตอนนี้ก็ไม่ได้รวยอย่างที่โม้ไว้ เพราะฉะนั้นเลือกเลยว่า จะแค่ขย่มขวัญ รับมือ หรือเป็นนักล่าตัวจริง ใหญ่ค้ำโลก การเลือกของอเมริกาในเรื่องนี้ มันจะแสดงให้เห็นอนาคตของโลกนี้ว่า กระบวนยุทธครั้งนี้ของอเมริกา เป็นชนวนให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้ไหม ขณะนี้อเมริกายังไม่พูดให้ชัดว่าจะเล่นแค่ Asia Pacific เป็นฉากหน้า แต่ของจริงล่าทั้งโลก ส่วนไอ้เรื่องโปรแกรมรับมือน่ะ ไม่มีทาง เขียนมาให้โวยเล่น นักล่าหรือจะคิดแค่รับมือ! คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 250 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยุทธการกบกระโดด ตอนที่ 1
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด”
    ตอนที่ 1
    อเมริกากำลังปรับกระบวนยุทธใหม่ เพื่อมุ่งไปสู่การเป็นศูนย์อำนาจ เป็นสุดยอดนักล่า
(Strategic Pivot) ในภูมิภาค Asia Pacific แต่เพื่อให้ฟังนุ่มหู อเมริกาบอกว่าเป็นการปรับดุลยอำนาจ (Rebalancing) ในภูมิภาคนี้ใหม่ กระบวนยุทธใหม่นี้ นายโอบามา พูดถึงเป็นครั้งแรกที่กรุง Canberra Australia เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2011 หลังจากนั้น อเมริกาเริ่มปฎิบัติการอย่างเงียบ ๆ มาตลอดเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมา เราชาวโลกควรให้ความสนใจกัน เพราะต่อไปนี้
ละครฉากสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการค้า การรบ การคบ การเคี้ยว จะอยู่ตรงแถวนี้แหละ ตรงที่เรียกว่า Asia Pacific
    สิ่งที่อเมริกาเดินหน้าทำเป็นเรื่องแรก ในช่วงปรับกระบวนยุทธ คือ ทำให้ประเทศที่
เรียกว่าเป็นพันธมิตร ทั้งระดับชิดและระดับห่าง แถวภูมิภาค Asia Pacific (Alliances) เชื่อว่าเรายังเป็นก๊วนกันอยู่นะ แม้ตัวจะไกล แต่ใจแนบแน่น เพราะฉะนั้นไอกระดิกนิ้วเรียกเมื่อไหร่ ต้องวิ่งมากันเลยนะ
    อเมริกาลงทุนเดินไปเคาะประตูบ้านเกือบทุกบาน ของพันธมิตร (ลูกหาบ !) จับมือ เขย่าแขน กอดคอ หอมแก้ม ผู้นำเกือบทุกคนในภูมิภาคนี้ โดยใช้นักแสดงนำ เช่น คุณนาย Clintonรมว.ตปท. นาย Robert Gates รมว.กลาโหม นาย Leon Panetta ที่มาเป็นรมว. กลาโหมคนต่อมา รวมทั้งที่ปรึกษาความมั่นคง เช่น นาย Tom Donjion และบรรดาแม่ทัพนายกอง แถวกองทัพภาคที่ 7 ยังถูกเกณฑ์ออกมาเดินสาย ที่สำคัญตัวพระเอกเอง คือ ประธานาธิบดี Obamaก็ไม่เว้น ออกเดินสายเคาะประตูบ้านด้วยเช่นกัน
    – อันดับแรก แน่นอน ญี่ปุ่นลูกเลี้ยง ประเทศที่อเมริกาถล่มเขาซะหายไปทั้งเมือง ทำให้
ต้องกระเตงเลี้ยงกันไปตลอด ทั้งช่วยทั้งใช้ (แต่รู้สึกอย่างหลังจะมากกว่านะ) อเมริกาเข้าไปปรับปรุงยุ่งถึงในมุ้งการเมืองของญี่ปุ่น ได้นายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดมา 1 คน เพื่อให้ดำเนินนโยบายประเทศให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ใหม่ของอเมริกา และเพื่อโชว์ให้โลกเห็นว่าอเมริกาเป็นพ่อพระใจดีใจกว้าง ไม่ได้ทอดทิ้งยามยาก เช่น คราวญี่ปุ่นแผ่นดินไหว เกิดซึนามิและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์รั่ว ในปี ค.ศ. 2011 (จริง ๆ แล้วมันอยากไปดูว่าของจริง ฉ.ห แค่ไหน จะได้คิดย้ายฐานทัพของตัวออกมาน่ะ) อเมริกาก็ช่วยไป แต่งข่าวผ่าน CNN ไป ชาวเราก็ได้เรื่องจริงมาน้อยกว่าเรื่องแต่ง
    – อันดับสอง เกาหลีใต้ อเมริกาพยายามโปรโมทเกาหลีใต้ขึ้นมาแข่งกับญี่ปุ่นนานแล้ว
Toyota แพ้ Hyundai Sony แพ้ Samsung ฝีมือใคร เอ๊ะ ทำได้ไงกับลูกเลี้ยง ก็เพราะอเมริกันต้องการให้เกาหลีใต้แข็งแรง เป็นกำแพงกั้นเกาหลีเหนือ เอาความเจริญใส่เข้าไปมาก ๆ จะได้เห็นความแตกต่าง ๆ ระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ มันจะได้ยากที่จะรวมกัน เดี๋ยวมันจะเอาอย่างเยอรมันตะวันออกกับตะวันตก ไอไม่ใจดีขนาดนั้นหรอก ลงทุนไปแยะ มาถึงตอนนี้ไม่ต้องทำอะไรมาก โปรโมทเข้าไปหนัก ๆ ยูดี ยูเก่ง ยูเจริญ ที่สุดในเอเซีย ใคร ๆ ก็อยากมี look แบบเกาหลีกันทั้งนั้น โอบซ้าย โอบขวา เชียร์กังนัมมันไปเรื่อย ๆ แค่นี้ก็พอถมเถ ชาวเกาหลีใต้ส่วนใหญ่ ก็ใช่ว่าจะอยากไปอยู่กับเด็กแสบของเกาหลีเหนือ คราวนี้พักเรื่องกังนัมสักครู่ แล้วมาคุยกันเรื่องสร้างฐานทัพให้ลูกพี่จอดเรือรบก่อนนะ
    – อันดับสาม ฟิลิปปินส์ ซึ่งอเมริกาเลี้ยงดูมาหลายสิบปี มีอะไรก็ถมให้ไปหมด ขนาด
เศรษฐีโคตรรวย Rockefeller ยังพยายามทั้งผลักทั้งดัน ให้ฟิลิปปินส์เป็นเมืองเอกในเอเซีย ลงทุนตั้งมหาวิทยาลัยให้ทั้งหลัง หน่วยงานสำคัญ ๆ ก็ไปไว้ที่นั่น ADB ไง Asian for DevelopmentBank ลูกของ World Bank สำนักงานใหญ่ก็อยู่ที่นี่แหละ แต่เด็กมันไม่ค่อยรักดี ถ้าไม่โกงกันระเบิด ก็เอาระเบิดมาถล่มกันเองอยู่เรื่อย แต่ก็ยังทิ้งกันไม่ลง ก็ลงทุนสร้างฐานทัพทิ้งไว้ที่เกาะนี้เต็มไปหมด งวดนี้กัดฟันไปคุยกันใหม่ เพราะต้องใช้ฟิลิปปินส์ เป็นม้าใช้ลอยคอไปยันกับจีนแถวทะเลจีนใต้ รื้อฟื้นฐานทัพเก่าที่เคยสร้างไว้มาปัดฝุ่นใช้กันใหม่
    – อันดับสี่ ไทยแลนด์แดนสมันน้อย แหม ! นึกว่าเป็นลูกรักอยู่อันดับหนึ่ง ที่แท้อยู่โหล่
เลย ฉะนั้นอย่างสำคัญตนผิด แต่ขอโทษ คุณพี่ Obama มาเอง เพราะไทยแลนด์เป็นพันธมิตรเก่าแก่ในภูมิภาคนี้ ร่วมรบ หลอกตุ๋นกันมาตั้งกะสมัยสงครามเวียตนาม แต่พักหลังนี้ มันเล่นกีฬาสีกันแยะ จนลูกพี่ชักงง จะชอบจะใช้สีไหนดีนะ เอาที่มันใช้ง่าย ๆ น่ะ มาคราวนี้เลยบีบมือนางสมันน้อยแน่นนาน อย่าลืมนะ นางสาวแสนโง่ ! สัญญาทาสผูกคอของเราสองยังมีอยู่นะ เรียกเมื่อไหร่อย่าทำเป็นไม่รู้เรื่อง เรื่องอื่นไม่รู้เรื่องไม่เป็นไร แต่เรื่องนี้ห้ามโง่นะ ว่าแล้วก็ทำตาเยิ้มใส่กัน ฮา !
    แม้จะใช้นักแสดงนำรุ่นใหญ่ขนาดนั้น แต่ความที่บทมันไม่ชัดเหมือนดูหนังจนจบแล้ว คนดู
ยังไม่แน่ใจว่า เป็นหนังบู๊หรือหนังตลก พระเอกชักปืนจะมายิงผู้ร้ายทีไร ดันยิงเข้าหัวแม่เท้าตัวเองทุกที แบบนั้นแหละ แถมนักแสดงบางคนก็เล่นไม่เนียน ถ้าไม่หน้าใหม่ ก็หน้าโหด ดูอย่างหน้าคุณนาย Clinton ซิ ปากยิ้ม แต่ลูกตายังกะนางสิงห์กำลังจ้องจะขม้ำเหยื่อ ชาวบ้านก็เลยมึน นี่มันเรื่องจริงหรือเปล่านะ ไหนเขาลือกันว่ากระเป๋ายังโหว่อยู่ ไม่ใช่หรือ เงินเดือนจะจ่ายคนทำงานยังไม่พอเลย เป็นข่าวไปทั่วโลก จะ shut down shut up อะไรนั่น นี่มันรายการเกทับบลัฟแหลก ประเภทหน้าไพ่มีคิงแต่ข้างในกบแปดหรือเปล่านะ เล่นมุกนี้แถว Asia Pacific น่ะไม่หมูนะ อาเฮียกับพวกนี่เขาธรรมดาที่ไหน ชาวบ้านเขาก็วิจารณ์กันทั่วโลก (ยกเว้นไทยแลนด์ของสมัย
น้อยแหละ ที่ดีใจหนักหนา พี่เขากลับมาแล้ว)
    ขนาดพวกนักวิเคราะห์บางค่าย เช่น CFR (พวกกันเอง) ยังถามเลยว่ามาทาง Asia
Pacific แน่หรือ แล้วทาง Middle East ว่าอย่างไร มันยัง spring หลุดกันอยู่เลยนะ บางค่ายก็บอกว่า อเมริกาต้องมาทางนี้แหละ เพราะว่าภูมิภาคนี้ ต้องมีอเมริกามายืนผงาด ให้พวกอาเฮียรู้บางว่าใครเป็นใคร เป็นการดุลยอำนาจไงล่ะ แต่ที่แหลได้ใจ คือ นักวิเคราะห์จากค่ายลูกพี่นักล่า Chatham House บอกว่างงกันไปได้ ไม่เห็นจะเป็นเรื่องแปลกใหม่อะไรเลย อเมริกาก็เป็นพี่เบิ้มวนเวียนอยู่ทางนี้มากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว และไม่ว่าจะป็นพรรค Democrat หรือ Republican ทั้ง 2 พรรค ก็มีนโยบายเหมือนกันแหละ (คือให้ใครมาใหญ่กว่าตัวไม่ได้ทั้งนั้น) และที่สำคัญเข้าใจกันให้ถูกนะ อเมริกาไม่เคย “ไปจาก” ภูมิภาคนี้เลยต่างหาก แค่กร่างมากกร่างน้อยเท่านั้นเอง อันหลังนี้คนเขียน นิทานเพิ่มเองครับ
    ทั้งหมดนี้อเมริกาทำทำไม ไม่ต้องถามโหรระดับแม่หมอฟองสนานหรอก คนอ่านนิทาน
ทุกคนตอบได้หมด ถ้าไม่แน่ใจโปรด กลับไปอ่านจิกโก๋ปากซอย หรือยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุกใหม่นะครับ อเมริกาหมุนเข็มทิศมาทางAsia Pacific ด้วยเหตุผล 2 อย่าง เป็นเหตุผลเดิม ๆ ที่ไม่ว่าอเมริกา หรือชาติมหาอำนาจใด หรือชาติเล็กชาติน้อย หรือใครที่มันคิดจะเป็นใหญ่มันก็คิดกันอยู่แค่นี้ทั้งนั้นแหละ “อำนาจกับทุน” สูตรสำเร็จเดิม ๆ จำไม่ได้หรือไง อเมริกามาแถบนี้ เพราะต้องการให้ทุกชาติ โดยเฉพาะจีนจำใส่หัวสมองไว้ว่า อเมริกายังมีอำนาจเต็มเปี่ยม ทั้งในภูมิภาคนี้และในโลกใบนี้ ใครที่คิดว่ารวยแล้วนึกว่าตัวเองใหญ่ แบบอาเฮียเศรษฐีใหม่น่ะ คิดใหม่นะกับอีกอย่างที่อเมริกาต้องการจนน้ำลายไหลฟูมปาก คือ ทรัพยากรที่ยังเหลือเฟืออยู่ในภูมิภาคนี้และกำลังมีการหักเหลี่ยม เล่นเชิงกันอย่างเข้มข้น ทั้งใน Asia Pacific และ Central Asia แต่นิทานวันนี้จะยังไม่เล่าเรื่องทรัพยากรนะครับ จะเน้นกันเรื่องกองทัพกองกำลัง ความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อนักล่า ที่อเมริกากำลังเบ่งให้ดู

    คนเล่านิทาน
    ยุทธการกบกระโดด ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด” ตอนที่ 1 อเมริกากำลังปรับกระบวนยุทธใหม่ เพื่อมุ่งไปสู่การเป็นศูนย์อำนาจ เป็นสุดยอดนักล่า
(Strategic Pivot) ในภูมิภาค Asia Pacific แต่เพื่อให้ฟังนุ่มหู อเมริกาบอกว่าเป็นการปรับดุลยอำนาจ (Rebalancing) ในภูมิภาคนี้ใหม่ กระบวนยุทธใหม่นี้ นายโอบามา พูดถึงเป็นครั้งแรกที่กรุง Canberra Australia เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2011 หลังจากนั้น อเมริกาเริ่มปฎิบัติการอย่างเงียบ ๆ มาตลอดเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมา เราชาวโลกควรให้ความสนใจกัน เพราะต่อไปนี้
ละครฉากสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการค้า การรบ การคบ การเคี้ยว จะอยู่ตรงแถวนี้แหละ ตรงที่เรียกว่า Asia Pacific สิ่งที่อเมริกาเดินหน้าทำเป็นเรื่องแรก ในช่วงปรับกระบวนยุทธ คือ ทำให้ประเทศที่
เรียกว่าเป็นพันธมิตร ทั้งระดับชิดและระดับห่าง แถวภูมิภาค Asia Pacific (Alliances) เชื่อว่าเรายังเป็นก๊วนกันอยู่นะ แม้ตัวจะไกล แต่ใจแนบแน่น เพราะฉะนั้นไอกระดิกนิ้วเรียกเมื่อไหร่ ต้องวิ่งมากันเลยนะ อเมริกาลงทุนเดินไปเคาะประตูบ้านเกือบทุกบาน ของพันธมิตร (ลูกหาบ !) จับมือ เขย่าแขน กอดคอ หอมแก้ม ผู้นำเกือบทุกคนในภูมิภาคนี้ โดยใช้นักแสดงนำ เช่น คุณนาย Clintonรมว.ตปท. นาย Robert Gates รมว.กลาโหม นาย Leon Panetta ที่มาเป็นรมว. กลาโหมคนต่อมา รวมทั้งที่ปรึกษาความมั่นคง เช่น นาย Tom Donjion และบรรดาแม่ทัพนายกอง แถวกองทัพภาคที่ 7 ยังถูกเกณฑ์ออกมาเดินสาย ที่สำคัญตัวพระเอกเอง คือ ประธานาธิบดี Obamaก็ไม่เว้น ออกเดินสายเคาะประตูบ้านด้วยเช่นกัน – อันดับแรก แน่นอน ญี่ปุ่นลูกเลี้ยง ประเทศที่อเมริกาถล่มเขาซะหายไปทั้งเมือง ทำให้
ต้องกระเตงเลี้ยงกันไปตลอด ทั้งช่วยทั้งใช้ (แต่รู้สึกอย่างหลังจะมากกว่านะ) อเมริกาเข้าไปปรับปรุงยุ่งถึงในมุ้งการเมืองของญี่ปุ่น ได้นายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดมา 1 คน เพื่อให้ดำเนินนโยบายประเทศให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ใหม่ของอเมริกา และเพื่อโชว์ให้โลกเห็นว่าอเมริกาเป็นพ่อพระใจดีใจกว้าง ไม่ได้ทอดทิ้งยามยาก เช่น คราวญี่ปุ่นแผ่นดินไหว เกิดซึนามิและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์รั่ว ในปี ค.ศ. 2011 (จริง ๆ แล้วมันอยากไปดูว่าของจริง ฉ.ห แค่ไหน จะได้คิดย้ายฐานทัพของตัวออกมาน่ะ) อเมริกาก็ช่วยไป แต่งข่าวผ่าน CNN ไป ชาวเราก็ได้เรื่องจริงมาน้อยกว่าเรื่องแต่ง – อันดับสอง เกาหลีใต้ อเมริกาพยายามโปรโมทเกาหลีใต้ขึ้นมาแข่งกับญี่ปุ่นนานแล้ว
Toyota แพ้ Hyundai Sony แพ้ Samsung ฝีมือใคร เอ๊ะ ทำได้ไงกับลูกเลี้ยง ก็เพราะอเมริกันต้องการให้เกาหลีใต้แข็งแรง เป็นกำแพงกั้นเกาหลีเหนือ เอาความเจริญใส่เข้าไปมาก ๆ จะได้เห็นความแตกต่าง ๆ ระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ มันจะได้ยากที่จะรวมกัน เดี๋ยวมันจะเอาอย่างเยอรมันตะวันออกกับตะวันตก ไอไม่ใจดีขนาดนั้นหรอก ลงทุนไปแยะ มาถึงตอนนี้ไม่ต้องทำอะไรมาก โปรโมทเข้าไปหนัก ๆ ยูดี ยูเก่ง ยูเจริญ ที่สุดในเอเซีย ใคร ๆ ก็อยากมี look แบบเกาหลีกันทั้งนั้น โอบซ้าย โอบขวา เชียร์กังนัมมันไปเรื่อย ๆ แค่นี้ก็พอถมเถ ชาวเกาหลีใต้ส่วนใหญ่ ก็ใช่ว่าจะอยากไปอยู่กับเด็กแสบของเกาหลีเหนือ คราวนี้พักเรื่องกังนัมสักครู่ แล้วมาคุยกันเรื่องสร้างฐานทัพให้ลูกพี่จอดเรือรบก่อนนะ – อันดับสาม ฟิลิปปินส์ ซึ่งอเมริกาเลี้ยงดูมาหลายสิบปี มีอะไรก็ถมให้ไปหมด ขนาด
เศรษฐีโคตรรวย Rockefeller ยังพยายามทั้งผลักทั้งดัน ให้ฟิลิปปินส์เป็นเมืองเอกในเอเซีย ลงทุนตั้งมหาวิทยาลัยให้ทั้งหลัง หน่วยงานสำคัญ ๆ ก็ไปไว้ที่นั่น ADB ไง Asian for DevelopmentBank ลูกของ World Bank สำนักงานใหญ่ก็อยู่ที่นี่แหละ แต่เด็กมันไม่ค่อยรักดี ถ้าไม่โกงกันระเบิด ก็เอาระเบิดมาถล่มกันเองอยู่เรื่อย แต่ก็ยังทิ้งกันไม่ลง ก็ลงทุนสร้างฐานทัพทิ้งไว้ที่เกาะนี้เต็มไปหมด งวดนี้กัดฟันไปคุยกันใหม่ เพราะต้องใช้ฟิลิปปินส์ เป็นม้าใช้ลอยคอไปยันกับจีนแถวทะเลจีนใต้ รื้อฟื้นฐานทัพเก่าที่เคยสร้างไว้มาปัดฝุ่นใช้กันใหม่ – อันดับสี่ ไทยแลนด์แดนสมันน้อย แหม ! นึกว่าเป็นลูกรักอยู่อันดับหนึ่ง ที่แท้อยู่โหล่
เลย ฉะนั้นอย่างสำคัญตนผิด แต่ขอโทษ คุณพี่ Obama มาเอง เพราะไทยแลนด์เป็นพันธมิตรเก่าแก่ในภูมิภาคนี้ ร่วมรบ หลอกตุ๋นกันมาตั้งกะสมัยสงครามเวียตนาม แต่พักหลังนี้ มันเล่นกีฬาสีกันแยะ จนลูกพี่ชักงง จะชอบจะใช้สีไหนดีนะ เอาที่มันใช้ง่าย ๆ น่ะ มาคราวนี้เลยบีบมือนางสมันน้อยแน่นนาน อย่าลืมนะ นางสาวแสนโง่ ! สัญญาทาสผูกคอของเราสองยังมีอยู่นะ เรียกเมื่อไหร่อย่าทำเป็นไม่รู้เรื่อง เรื่องอื่นไม่รู้เรื่องไม่เป็นไร แต่เรื่องนี้ห้ามโง่นะ ว่าแล้วก็ทำตาเยิ้มใส่กัน ฮา ! แม้จะใช้นักแสดงนำรุ่นใหญ่ขนาดนั้น แต่ความที่บทมันไม่ชัดเหมือนดูหนังจนจบแล้ว คนดู
ยังไม่แน่ใจว่า เป็นหนังบู๊หรือหนังตลก พระเอกชักปืนจะมายิงผู้ร้ายทีไร ดันยิงเข้าหัวแม่เท้าตัวเองทุกที แบบนั้นแหละ แถมนักแสดงบางคนก็เล่นไม่เนียน ถ้าไม่หน้าใหม่ ก็หน้าโหด ดูอย่างหน้าคุณนาย Clinton ซิ ปากยิ้ม แต่ลูกตายังกะนางสิงห์กำลังจ้องจะขม้ำเหยื่อ ชาวบ้านก็เลยมึน นี่มันเรื่องจริงหรือเปล่านะ ไหนเขาลือกันว่ากระเป๋ายังโหว่อยู่ ไม่ใช่หรือ เงินเดือนจะจ่ายคนทำงานยังไม่พอเลย เป็นข่าวไปทั่วโลก จะ shut down shut up อะไรนั่น นี่มันรายการเกทับบลัฟแหลก ประเภทหน้าไพ่มีคิงแต่ข้างในกบแปดหรือเปล่านะ เล่นมุกนี้แถว Asia Pacific น่ะไม่หมูนะ อาเฮียกับพวกนี่เขาธรรมดาที่ไหน ชาวบ้านเขาก็วิจารณ์กันทั่วโลก (ยกเว้นไทยแลนด์ของสมัย
น้อยแหละ ที่ดีใจหนักหนา พี่เขากลับมาแล้ว) ขนาดพวกนักวิเคราะห์บางค่าย เช่น CFR (พวกกันเอง) ยังถามเลยว่ามาทาง Asia
Pacific แน่หรือ แล้วทาง Middle East ว่าอย่างไร มันยัง spring หลุดกันอยู่เลยนะ บางค่ายก็บอกว่า อเมริกาต้องมาทางนี้แหละ เพราะว่าภูมิภาคนี้ ต้องมีอเมริกามายืนผงาด ให้พวกอาเฮียรู้บางว่าใครเป็นใคร เป็นการดุลยอำนาจไงล่ะ แต่ที่แหลได้ใจ คือ นักวิเคราะห์จากค่ายลูกพี่นักล่า Chatham House บอกว่างงกันไปได้ ไม่เห็นจะเป็นเรื่องแปลกใหม่อะไรเลย อเมริกาก็เป็นพี่เบิ้มวนเวียนอยู่ทางนี้มากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว และไม่ว่าจะป็นพรรค Democrat หรือ Republican ทั้ง 2 พรรค ก็มีนโยบายเหมือนกันแหละ (คือให้ใครมาใหญ่กว่าตัวไม่ได้ทั้งนั้น) และที่สำคัญเข้าใจกันให้ถูกนะ อเมริกาไม่เคย “ไปจาก” ภูมิภาคนี้เลยต่างหาก แค่กร่างมากกร่างน้อยเท่านั้นเอง อันหลังนี้คนเขียน นิทานเพิ่มเองครับ ทั้งหมดนี้อเมริกาทำทำไม ไม่ต้องถามโหรระดับแม่หมอฟองสนานหรอก คนอ่านนิทาน
ทุกคนตอบได้หมด ถ้าไม่แน่ใจโปรด กลับไปอ่านจิกโก๋ปากซอย หรือยุทธศาสตร์สร้อยไข่มุกใหม่นะครับ อเมริกาหมุนเข็มทิศมาทางAsia Pacific ด้วยเหตุผล 2 อย่าง เป็นเหตุผลเดิม ๆ ที่ไม่ว่าอเมริกา หรือชาติมหาอำนาจใด หรือชาติเล็กชาติน้อย หรือใครที่มันคิดจะเป็นใหญ่มันก็คิดกันอยู่แค่นี้ทั้งนั้นแหละ “อำนาจกับทุน” สูตรสำเร็จเดิม ๆ จำไม่ได้หรือไง อเมริกามาแถบนี้ เพราะต้องการให้ทุกชาติ โดยเฉพาะจีนจำใส่หัวสมองไว้ว่า อเมริกายังมีอำนาจเต็มเปี่ยม ทั้งในภูมิภาคนี้และในโลกใบนี้ ใครที่คิดว่ารวยแล้วนึกว่าตัวเองใหญ่ แบบอาเฮียเศรษฐีใหม่น่ะ คิดใหม่นะกับอีกอย่างที่อเมริกาต้องการจนน้ำลายไหลฟูมปาก คือ ทรัพยากรที่ยังเหลือเฟืออยู่ในภูมิภาคนี้และกำลังมีการหักเหลี่ยม เล่นเชิงกันอย่างเข้มข้น ทั้งใน Asia Pacific และ Central Asia แต่นิทานวันนี้จะยังไม่เล่าเรื่องทรัพยากรนะครับ จะเน้นกันเรื่องกองทัพกองกำลัง ความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อนักล่า ที่อเมริกากำลังเบ่งให้ดู คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 268 มุมมอง 0 รีวิว
  • Costa Serena พาล่องเรือเที่ยว 3 ประเทศสุดฮิตในเอเชีย แพ็คเกจอิสระเดินทางเองเหมาะสำหรับนักเดินทางสาวชิว

    เส้นทาง ฮ่องกง - จีหลง (คีลุง), ไต้หวัน - นาฮะ, โอกินาวะ, ญี่ปุน - คาโงชิมะ, ญี่ปุน - โตเกียว, ญี่ปุ่น

    เดินทาง 21-28 พ.ย. หรือ 19-26 ธ.ค. 2568 และ 16-23 ม.ค. 2569

    ⭕️ ราคาเริ่มต้น : ฿27,800

    ราคานี้รวมครบ
    ห้องพักบนเรือสำราญ
    อาหารทุกมื้อบนเรือ
    ค่าภาษีท่าเรือ

    รหัสแพคเกจทัวร์ : COSP-8D7N-HKG-TYO-2601161
    คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/ee965a

    ดูเรือ COSTA ทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/ccbd30

    ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 0 2116 9696 (Auto)

    #เรือCOSTA #เรือCostaSerena #Costacruise #Asia #Hongkong #Taiwan #Keelung #Japan #Naha #ล่องเรือใกล้ไทย #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #CruiseDomain
    🛳️💙 Costa Serena พาล่องเรือเที่ยว 3 ประเทศสุดฮิตในเอเชีย แพ็คเกจอิสระเดินทางเองเหมาะสำหรับนักเดินทางสาวชิว ✨ 🌟 เส้นทาง ฮ่องกง - จีหลง (คีลุง), ไต้หวัน - นาฮะ, โอกินาวะ, ญี่ปุน - คาโงชิมะ, ญี่ปุน - โตเกียว, ญี่ปุ่น 📅 เดินทาง 21-28 พ.ย. หรือ 19-26 ธ.ค. 2568 และ 16-23 ม.ค. 2569 ⭕️ ราคาเริ่มต้น : ฿27,800 ✨ ราคานี้รวมครบ ✅ ห้องพักบนเรือสำราญ ✅ อาหารทุกมื้อบนเรือ ✅ ค่าภาษีท่าเรือ ➡️ รหัสแพคเกจทัวร์ : COSP-8D7N-HKG-TYO-2601161 คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/ee965a ดูเรือ COSTA ทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/ccbd30 ✅ ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 (Auto) #เรือCOSTA #เรือCostaSerena #Costacruise #Asia #Hongkong #Taiwan #Keelung #Japan #Naha #ล่องเรือใกล้ไทย #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #CruiseDomain
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 257 มุมมอง 0 รีวิว
  • บันทึกไว้บรรยากาศการทำงานของลูกสาววันแรกที่ Pfizer (01-09-2025)
    เริ่มงานวันนี้ไม่มีอะไรมาก มีเพื่อนรุ่นเดียวกันที่เป็น ASIA มาจากฮ่องกง กับ อินโดนีเซีย สังเกตุว่าที่ Pfizer ส่วนใหญ่มีแต่คนผิวขาว มีแค่เพื่อนร่วมงานAim ที่ชื่อโซมโทวที่เป็นหญิงผิวสี วันนี้เริ่มset ระบบ ตั้ง E-MAIL แนะนำสถานที่ทำงาน Pfizer แจก Laptop I-pad กับหูฟังให้ใช้ สามารถ work from home ได้สัปดาห์ละ 2 วัน แต่อู้งานไม่ได้นะ เพราะเขามีโปรแกรมตรวจจับว่าเราทำงานหรืออู้งาน ที่ Pfizer เราจะนั่งทำงานที่ไหนก็ได้ ค่าอาหารมีส่วนลดให้สำหรับพนักงาน เจอคนไทยด้วย 1 คน อายุประมาณ 40+ ตอนถ่ายรูปทำบัตรคนไทยคนนี้เป็นคนถ่ายรูปทำบัตรพนักงานให้ เขาบอกว่า หนึ่ง สอง สาม ยิ้ม เป็นภาษาไทย เพราะเขาเห็นชื่อเราเป็นชื่อไทย ผู้ชายคนนี้บอกว่าถ้าถ่ายรูปไม่สวย ถ่ายใหม่ได้พิเศษเฉพาะคนไทย ปีนี้ Pfizer รับเด็กเข้าทำงาน 76 คน และมีโปรแกรมจะรับกลุ่มนี้ เข้าทำงานหลังจากเรียนจบ 6 คน ถ้ามีผลงานดี บริษัทจะส่งไป conference ที่ อเมริกา หรือ สวิท เริ่มงาน 8.30 เลิกงาน 17.30 แต่ต้องออกจากที่พักเร็วหน่อย เพราะต้องไปขึ้นรถเมล์ให้ทัน รถเมล์มาเวลา 7.40 รอบเช้ารถเมล์ที่ดิวกับ Pfizer มีคันเดียว ใช้บัตรพนักงาน Pfizer แตะขึ้นรถได้ฟรี ถ้าพลาดต้องเรียก Uber แต่ห้ามพลาดเพราะ Uber แพงมาก ตอนเลิกงานสบายหน่อย เพราะมีรถเมล์ผ่าน 4 รอบ 15.30 16.30 17.30 และ 18.00 ถ้าเลิกงานแล้วไม่อู้ รีบเดิน จะทันรถเมล์รอบ 17.30 update ทำงานวันแรกมีเท่านี้
    บันทึกไว้บรรยากาศการทำงานของลูกสาววันแรกที่ Pfizer (01-09-2025) เริ่มงานวันนี้ไม่มีอะไรมาก มีเพื่อนรุ่นเดียวกันที่เป็น ASIA มาจากฮ่องกง กับ อินโดนีเซีย สังเกตุว่าที่ Pfizer ส่วนใหญ่มีแต่คนผิวขาว มีแค่เพื่อนร่วมงานAim ที่ชื่อโซมโทวที่เป็นหญิงผิวสี วันนี้เริ่มset ระบบ ตั้ง E-MAIL แนะนำสถานที่ทำงาน Pfizer แจก Laptop I-pad กับหูฟังให้ใช้ สามารถ work from home ได้สัปดาห์ละ 2 วัน แต่อู้งานไม่ได้นะ เพราะเขามีโปรแกรมตรวจจับว่าเราทำงานหรืออู้งาน ที่ Pfizer เราจะนั่งทำงานที่ไหนก็ได้ ค่าอาหารมีส่วนลดให้สำหรับพนักงาน เจอคนไทยด้วย 1 คน อายุประมาณ 40+ ตอนถ่ายรูปทำบัตรคนไทยคนนี้เป็นคนถ่ายรูปทำบัตรพนักงานให้ เขาบอกว่า หนึ่ง สอง สาม ยิ้ม เป็นภาษาไทย เพราะเขาเห็นชื่อเราเป็นชื่อไทย ผู้ชายคนนี้บอกว่าถ้าถ่ายรูปไม่สวย ถ่ายใหม่ได้พิเศษเฉพาะคนไทย ปีนี้ Pfizer รับเด็กเข้าทำงาน 76 คน และมีโปรแกรมจะรับกลุ่มนี้ เข้าทำงานหลังจากเรียนจบ 6 คน ถ้ามีผลงานดี บริษัทจะส่งไป conference ที่ อเมริกา หรือ สวิท เริ่มงาน 8.30 เลิกงาน 17.30 แต่ต้องออกจากที่พักเร็วหน่อย เพราะต้องไปขึ้นรถเมล์ให้ทัน รถเมล์มาเวลา 7.40 รอบเช้ารถเมล์ที่ดิวกับ Pfizer มีคันเดียว ใช้บัตรพนักงาน Pfizer แตะขึ้นรถได้ฟรี ถ้าพลาดต้องเรียก Uber แต่ห้ามพลาดเพราะ Uber แพงมาก ตอนเลิกงานสบายหน่อย เพราะมีรถเมล์ผ่าน 4 รอบ 15.30 16.30 17.30 และ 18.00 ถ้าเลิกงานแล้วไม่อู้ รีบเดิน จะทันรถเมล์รอบ 17.30 update ทำงานวันแรกมีเท่านี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ยุทธการฝูงผึ้ง ”
    ตอนที่ 2
    อย่าลืมเป้าหมายของนักล่า สำหรับศตวรรษใหม่ คือ Eurasia, ไทยแลนด์ของสมันน้อย แม้จะเป็นประเทศเล็ก แต่สถานที่ตั้งอยู่ในภูมิประเทศเหมาะเจาะ แถมยังมีทรัพยากรเหลืออื้อ โดยพวกสมันน้อยไม่มีปัญญา หรือไม่รู้จักดูแลเก็บไว้ให้ลูกหลานใช้ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้นักล่าน้ำลายหก เวลาเอ่ยชื่อสมันน้อยหรือ มันน่าหม่ำออกยังงั้น อย่า อย่าเข้าใจผิดว่าพูดถึงนางสาวแสนโง่ คนนั้น คนละเรื่องกันครับ !
    นักล่าได้พยายามหาทาง เจาะเข้ามาดินแดนของสมันน้อย หลังจากทอดทิ้งไปหลังสงครามเวียตนาม มาเข้าทาง เมื่อหมาไน เห็นผิดเป็นชอบ วิ่งเข้าไปซบกลุ่มนักล่า นึกว่าเขาจะช่วยให้ตนกลับเข้าสู่อำนาจ แน่นอนนักล่าโอบอุ้มไว้ เอาไว้ใช้เป็นหมาก เข้าสู่อาหารจานใหญ่กว่า ที่นักล่าจะกินโดยไม่มีหมาไนมาขอแบ่ง ขบวนการ มันซับซ้อน จดจำไว้ นักล่าไม่เคยคิด หรือวางแผนแบบจอแบนมิติเดียว และไม่เคยเล่นไพ่ใบเดียว หรือหมากตัวเดียว
    นักล่าโอบอุ้มหมาไน ขบวนการโลกล้อมประเทศ หมาไนต้องการหรือ จัดให้ (โดยหมาไนต้องจ่ายเงินก้อนโต ฉลาดสมคำลือ) นึกว่าเพื่อประโยชน์โดด ๆ ของหมาไนหรือ คิดให้ดี ! เมื่อถึงเวลาอันควร ปฏิบัติการฝูงผึ้ง swarming ก็เกิดขึ้น
    ปฏิบัติการฝูงผึ้งออกแบบมา เพื่อให้องค์กรดอกเห็ดทำงาน องค์กรพวกนี้ หน้าฉากเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร (NGO) แต่แท้จริงแล้ว องค์กรเหล่านี้เกือบทั้งหมด ถูกตั้งขึ้นและได้รับเงินทุนสนับสนุนจากรัฐบาลอเมริกัน หรือผู้ทรงอิทธิพล CFR หรือบุคคลที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง
    เช่น George Soros หรือบรรดาบรรษัทข้ามชาติที่เป็นเครือข่ายของ CFR ทั้งสิ้น องค์กรดอกเห็ดที่มาเดินกันพล่านแถวบ้านเราที่ออกมาล่อ ให้ฝูงผึ้งปั่นป่วนเช่น !
    – National Endowment for Democracy (NED)
    – The International Republican Institute (IRI)
    – National Democratic Institute (NDI)
    – Gene Sharp Albert Einstein Institute (AEI)
    – International Center on Nonviolent Conflict (ICNC)
    – Freedom House
    – International Crisis Group (ICG)
    เป็นต้น
    ทฤษฎีฝูงผึ้ง (swarming) เป็นทฤษฎีที่ Rand Corporation ซึ่งเป็นองค์กรที่เป็นมันสมอง (Think Tank) ของฝ่ายกองทัพอเมริกัน คิดขึ้นเมื่อ ค.ศ. 2000 อันที่จริงทฤษฎีนี้ คิดขึ้นมาเพื่อวางรูปแบบการรบ การจัดตั้งกองกำลัง และวางแผนโจมตีหรือรับมือข้าศึก แต่ต่อมาได้มีการนำมาใช้ในด้านปฏิบัติการทางสังคม และโลกของ social media
    swarming มีส่วนอย่างมากที่ทำให้ Arab Spring ก่อตัวได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง เขาทำกันอย่างไร
    เขาใช้วิธีการของทำงานของฝูงผึ้งเป็นรูปแบบ โดยการสร้างขบวนการนำทางความคิดขึ้นมาก่อน (หัวเชื้อ) หลังจากนั้นขบวนการทางสื่อจะช่วยโหม ประโคม แล้วความไม่สงบก็เกิดขึ้น
    ขั้นตอนดูเหมือนง่าย ๆ แต่การจะทำให้เกิดเป็นรูปธรรม ต้องใช้ศักยภาพและเวลา ในการสร้างกลุ่มคนให้ไปตามทิศทางที่ต้องการ ดังนั้นการนำแสดงคงไม่พ้น นักการเมือง นักวิชาการ นักเคลื่อนไหว และนักสื่อสารมวลชน
    เมื่อการทำงานภายใต้ทฤษฏี ล่อฝูงผึ้ง ไปในทิศทางที่ต้องการแล้ว ขบวนการทำให้ ผึ้งแตกรัง ก็ตามมา องค์กร เช่น Gene Sharp Albert Einstein Institute, Open Society Foundation พวกนี้จะมีส่วนสำคัญในการทำให้ผึ้งแตกรัง
    Gene Sharp เป็นผู้ที่น่าสนใจศึกษา เขาเป็นผู้ก่อตั้ง Albert Einstein Institute เป็นผู้ชำนาญด้านภูมิศาสตร์การเมือง ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้รับรางวัลโนเบล ด้านสันติภาพ ถึง 3 ครั้ง (มาอีกแล้ว พวกรางวัลโนเบล !) เขาเขียนหนังสือเรื่อง วิธีก่อการปฏิวัติ How to start a Revolution หนังสือเล่มนี้ อ้างกันว่าเหมือนเป็นคัมภีร์ของการปฏิวัติรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ ในกลุ่มพวก Arab Spring จะพกติดตัวกันเลย ปี ค.ศ. 2011 มีคนเอาเรื่องของเขาไปทำหนังสารคดีชื่อ How to Start a Revolution เป็นหนังสารคดีที่ได้รางวัล เขาเล่าว่าเหตุการณ์ประท้วงของผู้ต้องการประชาธิปไตยในพม่า ก็เป็นการ ช่วยเหลือ ของกลุ่มเขา รวมทั้งเหตุการณ์ในประเทศไทย ธิเบต Latvia Lithonia Estonia Belarus และSerbia ก็ฝีมือพวกเขาทั้งนั้น นาย Gene Sharp จะเป็นผู้คิดแผน ส่วนผู้ปฏิบัติการมือขวาของเขา ชื่อนาย Peter Ackerman ซึ่งต่อมาในปี ค.ศ. 2002 ได้ก่อตั้ง International Center for Non Violent Conflict (ICNC) และ ICNC นี้เอง เป็นผู้ให้การฝึกอบรมแก่ activist ชาวอียิปต์และตูนีเซีย
    เขาเล่าในหนังสือ How to Start a Revolution ว่า พวกคุณ นึกหรือว่า Arab Spring มันจะเกิดขึ้นมาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวแบบนั้น มันได้มีการออกแบบ วางแผน และอบรมกันล่วงหน้า 2 ปี ก่อนหน้าเหตุการณ์แล้ว.. เกือบลืมบอกไป นาย Peter Ackerman นั้นเป็น CFR ครับ

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ยุทธการฝูงผึ้ง ” ตอนที่ 2 อย่าลืมเป้าหมายของนักล่า สำหรับศตวรรษใหม่ คือ Eurasia, ไทยแลนด์ของสมันน้อย แม้จะเป็นประเทศเล็ก แต่สถานที่ตั้งอยู่ในภูมิประเทศเหมาะเจาะ แถมยังมีทรัพยากรเหลืออื้อ โดยพวกสมันน้อยไม่มีปัญญา หรือไม่รู้จักดูแลเก็บไว้ให้ลูกหลานใช้ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้นักล่าน้ำลายหก เวลาเอ่ยชื่อสมันน้อยหรือ มันน่าหม่ำออกยังงั้น อย่า อย่าเข้าใจผิดว่าพูดถึงนางสาวแสนโง่ คนนั้น คนละเรื่องกันครับ ! นักล่าได้พยายามหาทาง เจาะเข้ามาดินแดนของสมันน้อย หลังจากทอดทิ้งไปหลังสงครามเวียตนาม มาเข้าทาง เมื่อหมาไน เห็นผิดเป็นชอบ วิ่งเข้าไปซบกลุ่มนักล่า นึกว่าเขาจะช่วยให้ตนกลับเข้าสู่อำนาจ แน่นอนนักล่าโอบอุ้มไว้ เอาไว้ใช้เป็นหมาก เข้าสู่อาหารจานใหญ่กว่า ที่นักล่าจะกินโดยไม่มีหมาไนมาขอแบ่ง ขบวนการ มันซับซ้อน จดจำไว้ นักล่าไม่เคยคิด หรือวางแผนแบบจอแบนมิติเดียว และไม่เคยเล่นไพ่ใบเดียว หรือหมากตัวเดียว นักล่าโอบอุ้มหมาไน ขบวนการโลกล้อมประเทศ หมาไนต้องการหรือ จัดให้ (โดยหมาไนต้องจ่ายเงินก้อนโต ฉลาดสมคำลือ) นึกว่าเพื่อประโยชน์โดด ๆ ของหมาไนหรือ คิดให้ดี ! เมื่อถึงเวลาอันควร ปฏิบัติการฝูงผึ้ง swarming ก็เกิดขึ้น ปฏิบัติการฝูงผึ้งออกแบบมา เพื่อให้องค์กรดอกเห็ดทำงาน องค์กรพวกนี้ หน้าฉากเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร (NGO) แต่แท้จริงแล้ว องค์กรเหล่านี้เกือบทั้งหมด ถูกตั้งขึ้นและได้รับเงินทุนสนับสนุนจากรัฐบาลอเมริกัน หรือผู้ทรงอิทธิพล CFR หรือบุคคลที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง เช่น George Soros หรือบรรดาบรรษัทข้ามชาติที่เป็นเครือข่ายของ CFR ทั้งสิ้น องค์กรดอกเห็ดที่มาเดินกันพล่านแถวบ้านเราที่ออกมาล่อ ให้ฝูงผึ้งปั่นป่วนเช่น ! – National Endowment for Democracy (NED) – The International Republican Institute (IRI) – National Democratic Institute (NDI) – Gene Sharp Albert Einstein Institute (AEI) – International Center on Nonviolent Conflict (ICNC) – Freedom House – International Crisis Group (ICG) เป็นต้น ทฤษฎีฝูงผึ้ง (swarming) เป็นทฤษฎีที่ Rand Corporation ซึ่งเป็นองค์กรที่เป็นมันสมอง (Think Tank) ของฝ่ายกองทัพอเมริกัน คิดขึ้นเมื่อ ค.ศ. 2000 อันที่จริงทฤษฎีนี้ คิดขึ้นมาเพื่อวางรูปแบบการรบ การจัดตั้งกองกำลัง และวางแผนโจมตีหรือรับมือข้าศึก แต่ต่อมาได้มีการนำมาใช้ในด้านปฏิบัติการทางสังคม และโลกของ social media swarming มีส่วนอย่างมากที่ทำให้ Arab Spring ก่อตัวได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง เขาทำกันอย่างไร เขาใช้วิธีการของทำงานของฝูงผึ้งเป็นรูปแบบ โดยการสร้างขบวนการนำทางความคิดขึ้นมาก่อน (หัวเชื้อ) หลังจากนั้นขบวนการทางสื่อจะช่วยโหม ประโคม แล้วความไม่สงบก็เกิดขึ้น ขั้นตอนดูเหมือนง่าย ๆ แต่การจะทำให้เกิดเป็นรูปธรรม ต้องใช้ศักยภาพและเวลา ในการสร้างกลุ่มคนให้ไปตามทิศทางที่ต้องการ ดังนั้นการนำแสดงคงไม่พ้น นักการเมือง นักวิชาการ นักเคลื่อนไหว และนักสื่อสารมวลชน เมื่อการทำงานภายใต้ทฤษฏี ล่อฝูงผึ้ง ไปในทิศทางที่ต้องการแล้ว ขบวนการทำให้ ผึ้งแตกรัง ก็ตามมา องค์กร เช่น Gene Sharp Albert Einstein Institute, Open Society Foundation พวกนี้จะมีส่วนสำคัญในการทำให้ผึ้งแตกรัง Gene Sharp เป็นผู้ที่น่าสนใจศึกษา เขาเป็นผู้ก่อตั้ง Albert Einstein Institute เป็นผู้ชำนาญด้านภูมิศาสตร์การเมือง ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้รับรางวัลโนเบล ด้านสันติภาพ ถึง 3 ครั้ง (มาอีกแล้ว พวกรางวัลโนเบล !) เขาเขียนหนังสือเรื่อง วิธีก่อการปฏิวัติ How to start a Revolution หนังสือเล่มนี้ อ้างกันว่าเหมือนเป็นคัมภีร์ของการปฏิวัติรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ ในกลุ่มพวก Arab Spring จะพกติดตัวกันเลย ปี ค.ศ. 2011 มีคนเอาเรื่องของเขาไปทำหนังสารคดีชื่อ How to Start a Revolution เป็นหนังสารคดีที่ได้รางวัล เขาเล่าว่าเหตุการณ์ประท้วงของผู้ต้องการประชาธิปไตยในพม่า ก็เป็นการ ช่วยเหลือ ของกลุ่มเขา รวมทั้งเหตุการณ์ในประเทศไทย ธิเบต Latvia Lithonia Estonia Belarus และSerbia ก็ฝีมือพวกเขาทั้งนั้น นาย Gene Sharp จะเป็นผู้คิดแผน ส่วนผู้ปฏิบัติการมือขวาของเขา ชื่อนาย Peter Ackerman ซึ่งต่อมาในปี ค.ศ. 2002 ได้ก่อตั้ง International Center for Non Violent Conflict (ICNC) และ ICNC นี้เอง เป็นผู้ให้การฝึกอบรมแก่ activist ชาวอียิปต์และตูนีเซีย เขาเล่าในหนังสือ How to Start a Revolution ว่า พวกคุณ นึกหรือว่า Arab Spring มันจะเกิดขึ้นมาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวแบบนั้น มันได้มีการออกแบบ วางแผน และอบรมกันล่วงหน้า 2 ปี ก่อนหน้าเหตุการณ์แล้ว.. เกือบลืมบอกไป นาย Peter Ackerman นั้นเป็น CFR ครับ คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 282 มุมมอง 0 รีวิว
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ยุทธการฝูงผึ้ง ”
    ตอนที่ 1
    International Crisis Group (ICG) ของนาย George Soros และพวก เช่น นาย Kenneth Adelman นัก lobby ใหญ่ ของไอ้โจรร้ายที่เขียนไปเมื่อวันที่ 15 ม.ค พ.ศ. 2557 นั้น เป็นองค์กรที่น่าสนใจไม่ใช่ระดับธรรมดา แต่เป็นองค์กรที่ตอนนี้ถ้าเป็นเพลง ก็เรียกว่าขึ้นอยู่ในระดับ top chart เพราะเป็นองค์กร ที่ดูเหมือนจะมีส่วนในการกำหนดชะตากรรมของหลายประเทศ ในหลายภูมิภาค พูดภาษาจิกโก๋เรียกว่า เป็นผู้จัดการฝ่าย Research and Development R& D วิเคราะห์และวางแผนการล่าเหยื่อ ให้แก่กลุ่มทุนอิทธิพลนักล่าอาณานิคมยุคใหม่ (CFR) และไทยแลนด์แดนสมันน้อย ก็น่าสงสัยว่าจะอยู่ในรายการ shopping list เหยื่ออันโอชะ (อีกแล้ว !)
    ตั้งแต่ไอ้โจรร้าย ร่อนเร่ไปอยู่นอกประเทศ เพราะคุณทหารเอารถถังออกมาวิ่งรับดอกไม้จากชาวกรุงเทพ! เมื่อปี พ.ศ. 2549 นั้น บางทีมันก็ทำให้ชะตาบางคนพลิกผัน เหมือนกับการปล่อยหมูเข้าเล้า หรือปล่อยหมาไนไว้ในทุ่งหญ้า อะไรทำนองนั้น หมาไนเคยแต่แทะกระดูกตลอด กว่าจะได้กินเนื้อก็เหนื่อยจนเบ้าตา เป็นเบ้าขนมครก (ฮา !) พอเจอนักล่าเอาเหยื่อมีเนื้อติดกระดูกมาล่อ ด้วยความตะกระ อันเป็นสันดาน ก็รีบเดินเข้าไปสู่กรงเล็บนักล่าอย่างเต็มใจ ว่าแล้วก็ดันจ้างนักล่ามาเป็นที่ปรึกษา ให้ล่าประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองอย่างสุดเลว ชั่วจริง ๆ !
    เพื่อจะเข้าใจปัจจุบัน ขอทบทวนอดีตสักหน่อย ภายหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต เมื่อ ปี ค.ศ. 1989 อเมริกามีทางเลือกในฐานะผู้มีอำนาจใหญ่ล้นโลก ที่จะทำให้โลกนี้ สู่สภาพการสิ้นสุดของสงครามเย็นอย่างจริงจัง และเปลี่ยนวิถีของโลกเสียใหม่ ไปสู่สันติภาพและความรุ่งเรือง
    อย่างแท้จริง หมดสงครามเย็น ยุติการเกลียดชัง การแก่งแย่งชิงดี การเหยียดทางเชื้อชาติและสู้รบระหว่างเผ่าพันธ์ การปิดกั้นเรื่องศาสนา ฯลฯ เปลี่ยนจากการทำลายล้าง ต่อสู้ เป็นการสร้างความเจริญแก่โลก และแก้ไขปัญหาความลำบากยากจนของพลเมืองโลกอย่างแท้จริง สมกับการเป็น
    พี่เบิ้ม
    เปล่าหรอก นั้นมันเป็นความน่าจะเป็น หรือความอยากให้เป็นของชาวโลก ที่จะได้เห็นอเมริกา เดินสู่เส้นทางนั้น ในทางตรงกันข้าม นอกจากอเมริกาจะไม่ทำอย่างนั้นแล้ว ภายใต้ประกาสิตของลัทธิ New World Order จัดระเบียบโลกใหม่ ที่นาย Bush ตัวพ่อ ออกมาประกาศ
    เมื่อ ปี ค.ศ. 1990 ภายใต้การกำกับของกลุ่มผู้ทรงอิทธิพล CFR อเมริกากลับเลือกที่จะทำทุกอย่าง ไม่ว่าการเป็นการสร้าง ทำลาย หลอก ลวง ต้มตุ๋น เพื่อที่จะควบคุมและครอบครองโลก
    ปี ค.ศ. 1997 นาย Zbigniew Brzezinski ปรมาจารย์ทางด้าน Geopolitics ที่มีอิทธิพลในทางความคิดกับกลุ่ม CFR อย่างยิ่ง ได้เขียนไว้ในหนังสือ The Grand Chess Board ว่าอเมริกาจะครองโลกได้ ต้องควบคุมดินแดนที่เรียกว่า Eurasia ให้ได้เสียก่อน ดินแดนยูเรเซียคืออะไร คร่าว ๆ คือ ทวีปยุโรปกับทวีปเอเซียรวมกัน เป็นดินแดนที่มีเนื้อที่ประมาณ 1 ใน 3 ของพื้นที่โลก มีประชากรประมาณเกือบห้าพันล้านคน หรือประมาณกว่า 70% ของพลเมืองโลก และมีก๊าซและน้ำมัน ประมาณ 3 ใน 4 ของโลก คิดดูแล้วกัน มันเป็นเหยื่อกลุ่มใหญ่ รสโอชา น่ารับประทานขนาดไหนของกลุ่มนักล่า
    เมื่อคิดจะล่ากันเป็นล่ำเป็นสันอีกรอบ ในฐานะพี่เบิ้มใหญ่ คุมซอยเดียวไม่พอ มันต้องคุมทั้งเมือง ว่าแล้ว สงครามรูปแบบใหม่ จึงกลับฟื้นคืนชีพมาใหม่ แต่เปลี่ยนเครื่องทรง แต่งหน้าใหม่ ตามยุทธศาสตร์ ที่กำหนดโดย Project of the New American Century หรือ PNAC ที่
    ออกมาในปี ค.ศ. 1997 นั่นเอง ผู้อำนวยการสร้าง PNAC ไม่ใช่ใครอื่น CFR จัดส่งมาให้ทั้งแก๊ง แสดงนำโดย นาย Paul Wolfowitz, นาย R James Woolsey, นาย Donald Rumsfeld และนาย Robert Zoellick เป็นต้น เป้าหมายของ PNAC คือ เพื่อให้อเมริกาครองโลก (promote American global leadership) จะครองโลกได้ ก็ต้องมีกองทัพที่แข็งแกร่ง อเมริกาเริ่มจัดรูปแบบกองทัพ ฐานทัพ และสร้างอาวุธใหม่ ๆ ขึ้น แค่นั้นยังดูไม่เอาจริงพอ ในปี ค.ศ. 2000 PNAC ออกรายงานมาอีกชื่อ Rebuilding Americas Defenses : Strategies, Forces and Resources for a New Century
    เห็นหัวข้อรายงานก็พอจะเดาทิศทาง การเดินหมากของอเมริกาในศตวรรษใหม่ได้
    ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่กำหนดโดย PNAC ดังกล่าว เหยื่อที่ถูกเลือกให้ทดลองทฤษฎีใหม่ คือ Saddam Hussein สงครามอีรัคเกิดขึ้น ตั้งแต่ ค.ศ. 2003 ถึง 2011 ความเสียหายมีมาก เมื่อเทียบกับผลที่ได้มา ก้อนอิฐปาใส่มากกว่าดอกไม้ ยุทธศาสตร์ ตาม PNAC เน้นทางการทหาร
    มากกว่าการฑูต เหยี่ยวขยับปีกมากไปหน่อย จึงมีความคิดที่จะเอานกพิราบมาใช้แทน แต่ขอโทษ เป็นนกพิราบที่ติดกรงเล็บเหยี่ยว แถมไม่ใช่เล็บธรรมดา ในเล็บยังใส่ยาพิษไว้อีก
    ทฤษฎีนกพิราบติดกรงเล็บเหยี่ยวไม่ใช่เรื่องใหม่ ถ้าเราจะจำกันได้ เรื่องอิหร่าน ตั้งแต่อังกฤษจับมือกับอเมริกา ปลดนาย Mossadegh ในปี ค.ศ. 1953 โทษฐานที่รู้ทันไม่ยอมถูกฝรั่งต้มต่อ และในค.ศ. 1997 นกพิราบสายพันธ์เดิมก็ถูกนำมาใช้ในการปลดกลางอากาศ Shah โทษฐาน
    เล่นผิดบท และเอา Ayatollah Khomeini มาปกครองอิหร่าน ท่านผู้อ่านนิทานมายากลยุทธ มาแล้ว โปรดอย่าลืม อิหร่าน Model ทั้ง 2 รายการ เป็น Model ที่น่าสนใจ และมีนัยลึกซึ้ง โปรดอ่านทบทวน และน่าจะศึกษาเพิ่มเติมด้วย เผื่อจะเข้าใจหัวคิดและจิตใจอันแสนร้าย ของนักล่ามากขึ้น วันไหนเขานึกจะเล่น Model อิหร่านกับสมันน้อย จะได้รู้ตัว และต่อต้าน หรือต่อสู้ถูกทาง
    นกพิราบติดกรงเหยี่ยว ถูกนำมาใช้ในปฏิบัติการ ที่ CIA มักเรียก วิธีการอื่น ส่วนมากเป็นการปฏิบัติการ สำหรับการล้มล้าง ระบอบหรือรัฐบาล ผู้นำประเทศ ผู้บริหารประเทศ ที่อเมริกาเห็นว่าไม่เป็นมิตร หรือไม่เป็นประโยชน์ ไม่สมประโยชน์ หรือขัดใจ ขวางทางทำมาหากินหรือตรงข้ามกับแนวคิดของอเมริกา ปฏิบัติการนี้ก็จะถูกนำมาใช้ เพื่อเอาหมากตัวใหม่หรือไพ่ใบใหม่ มาเล่นแทน โดยไม่จำเป็นต้องใช้กองทัพของอเมริกาให้เปลืองแรง เปลืองเงิน ก็แค่นั้น
    แต่พอเป็นศตวรรษใหม่ New Century แล้ว จะใช้ CIA เล่นโดด ๆ มันก็เหมือนไม่มีงบมาเติมเงินนั้นแหละ (ฮา !) ก็ต้องสร้างงานกันหน่อย เมื่อเห็นว่าการยกทัพจับศึกอย่างที่ทำในอิรัค มันไม่เข้าท่า ถูกด่ามากกว่าถูกสรรเสริฐ เขาก็เปลี่ยนวิชามารใหม่ อย่างว่า การตั้งสถาบันต่าง ๆ จึงผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด (แหม ! กว่าจะโยงถึง ICG ต้องไปวิ่งอ้อมถึงสนามหลวง) สถาบันพวกนี้มีหน้าที่ปฏิบัติการ ที่ยังไม่จำเป็นต้องใช้กองทัพ แต่ปูทางไว้ เพื่อให้กองทัพเข้ามาได้ง่ายขึ้น

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ยุทธการฝูงผึ้ง ” ตอนที่ 1 International Crisis Group (ICG) ของนาย George Soros และพวก เช่น นาย Kenneth Adelman นัก lobby ใหญ่ ของไอ้โจรร้ายที่เขียนไปเมื่อวันที่ 15 ม.ค พ.ศ. 2557 นั้น เป็นองค์กรที่น่าสนใจไม่ใช่ระดับธรรมดา แต่เป็นองค์กรที่ตอนนี้ถ้าเป็นเพลง ก็เรียกว่าขึ้นอยู่ในระดับ top chart เพราะเป็นองค์กร ที่ดูเหมือนจะมีส่วนในการกำหนดชะตากรรมของหลายประเทศ ในหลายภูมิภาค พูดภาษาจิกโก๋เรียกว่า เป็นผู้จัดการฝ่าย Research and Development R& D วิเคราะห์และวางแผนการล่าเหยื่อ ให้แก่กลุ่มทุนอิทธิพลนักล่าอาณานิคมยุคใหม่ (CFR) และไทยแลนด์แดนสมันน้อย ก็น่าสงสัยว่าจะอยู่ในรายการ shopping list เหยื่ออันโอชะ (อีกแล้ว !) ตั้งแต่ไอ้โจรร้าย ร่อนเร่ไปอยู่นอกประเทศ เพราะคุณทหารเอารถถังออกมาวิ่งรับดอกไม้จากชาวกรุงเทพ! เมื่อปี พ.ศ. 2549 นั้น บางทีมันก็ทำให้ชะตาบางคนพลิกผัน เหมือนกับการปล่อยหมูเข้าเล้า หรือปล่อยหมาไนไว้ในทุ่งหญ้า อะไรทำนองนั้น หมาไนเคยแต่แทะกระดูกตลอด กว่าจะได้กินเนื้อก็เหนื่อยจนเบ้าตา เป็นเบ้าขนมครก (ฮา !) พอเจอนักล่าเอาเหยื่อมีเนื้อติดกระดูกมาล่อ ด้วยความตะกระ อันเป็นสันดาน ก็รีบเดินเข้าไปสู่กรงเล็บนักล่าอย่างเต็มใจ ว่าแล้วก็ดันจ้างนักล่ามาเป็นที่ปรึกษา ให้ล่าประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองอย่างสุดเลว ชั่วจริง ๆ ! เพื่อจะเข้าใจปัจจุบัน ขอทบทวนอดีตสักหน่อย ภายหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต เมื่อ ปี ค.ศ. 1989 อเมริกามีทางเลือกในฐานะผู้มีอำนาจใหญ่ล้นโลก ที่จะทำให้โลกนี้ สู่สภาพการสิ้นสุดของสงครามเย็นอย่างจริงจัง และเปลี่ยนวิถีของโลกเสียใหม่ ไปสู่สันติภาพและความรุ่งเรือง อย่างแท้จริง หมดสงครามเย็น ยุติการเกลียดชัง การแก่งแย่งชิงดี การเหยียดทางเชื้อชาติและสู้รบระหว่างเผ่าพันธ์ การปิดกั้นเรื่องศาสนา ฯลฯ เปลี่ยนจากการทำลายล้าง ต่อสู้ เป็นการสร้างความเจริญแก่โลก และแก้ไขปัญหาความลำบากยากจนของพลเมืองโลกอย่างแท้จริง สมกับการเป็น พี่เบิ้ม เปล่าหรอก นั้นมันเป็นความน่าจะเป็น หรือความอยากให้เป็นของชาวโลก ที่จะได้เห็นอเมริกา เดินสู่เส้นทางนั้น ในทางตรงกันข้าม นอกจากอเมริกาจะไม่ทำอย่างนั้นแล้ว ภายใต้ประกาสิตของลัทธิ New World Order จัดระเบียบโลกใหม่ ที่นาย Bush ตัวพ่อ ออกมาประกาศ เมื่อ ปี ค.ศ. 1990 ภายใต้การกำกับของกลุ่มผู้ทรงอิทธิพล CFR อเมริกากลับเลือกที่จะทำทุกอย่าง ไม่ว่าการเป็นการสร้าง ทำลาย หลอก ลวง ต้มตุ๋น เพื่อที่จะควบคุมและครอบครองโลก ปี ค.ศ. 1997 นาย Zbigniew Brzezinski ปรมาจารย์ทางด้าน Geopolitics ที่มีอิทธิพลในทางความคิดกับกลุ่ม CFR อย่างยิ่ง ได้เขียนไว้ในหนังสือ The Grand Chess Board ว่าอเมริกาจะครองโลกได้ ต้องควบคุมดินแดนที่เรียกว่า Eurasia ให้ได้เสียก่อน ดินแดนยูเรเซียคืออะไร คร่าว ๆ คือ ทวีปยุโรปกับทวีปเอเซียรวมกัน เป็นดินแดนที่มีเนื้อที่ประมาณ 1 ใน 3 ของพื้นที่โลก มีประชากรประมาณเกือบห้าพันล้านคน หรือประมาณกว่า 70% ของพลเมืองโลก และมีก๊าซและน้ำมัน ประมาณ 3 ใน 4 ของโลก คิดดูแล้วกัน มันเป็นเหยื่อกลุ่มใหญ่ รสโอชา น่ารับประทานขนาดไหนของกลุ่มนักล่า เมื่อคิดจะล่ากันเป็นล่ำเป็นสันอีกรอบ ในฐานะพี่เบิ้มใหญ่ คุมซอยเดียวไม่พอ มันต้องคุมทั้งเมือง ว่าแล้ว สงครามรูปแบบใหม่ จึงกลับฟื้นคืนชีพมาใหม่ แต่เปลี่ยนเครื่องทรง แต่งหน้าใหม่ ตามยุทธศาสตร์ ที่กำหนดโดย Project of the New American Century หรือ PNAC ที่ ออกมาในปี ค.ศ. 1997 นั่นเอง ผู้อำนวยการสร้าง PNAC ไม่ใช่ใครอื่น CFR จัดส่งมาให้ทั้งแก๊ง แสดงนำโดย นาย Paul Wolfowitz, นาย R James Woolsey, นาย Donald Rumsfeld และนาย Robert Zoellick เป็นต้น เป้าหมายของ PNAC คือ เพื่อให้อเมริกาครองโลก (promote American global leadership) จะครองโลกได้ ก็ต้องมีกองทัพที่แข็งแกร่ง อเมริกาเริ่มจัดรูปแบบกองทัพ ฐานทัพ และสร้างอาวุธใหม่ ๆ ขึ้น แค่นั้นยังดูไม่เอาจริงพอ ในปี ค.ศ. 2000 PNAC ออกรายงานมาอีกชื่อ Rebuilding Americas Defenses : Strategies, Forces and Resources for a New Century เห็นหัวข้อรายงานก็พอจะเดาทิศทาง การเดินหมากของอเมริกาในศตวรรษใหม่ได้ ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่กำหนดโดย PNAC ดังกล่าว เหยื่อที่ถูกเลือกให้ทดลองทฤษฎีใหม่ คือ Saddam Hussein สงครามอีรัคเกิดขึ้น ตั้งแต่ ค.ศ. 2003 ถึง 2011 ความเสียหายมีมาก เมื่อเทียบกับผลที่ได้มา ก้อนอิฐปาใส่มากกว่าดอกไม้ ยุทธศาสตร์ ตาม PNAC เน้นทางการทหาร มากกว่าการฑูต เหยี่ยวขยับปีกมากไปหน่อย จึงมีความคิดที่จะเอานกพิราบมาใช้แทน แต่ขอโทษ เป็นนกพิราบที่ติดกรงเล็บเหยี่ยว แถมไม่ใช่เล็บธรรมดา ในเล็บยังใส่ยาพิษไว้อีก ทฤษฎีนกพิราบติดกรงเล็บเหยี่ยวไม่ใช่เรื่องใหม่ ถ้าเราจะจำกันได้ เรื่องอิหร่าน ตั้งแต่อังกฤษจับมือกับอเมริกา ปลดนาย Mossadegh ในปี ค.ศ. 1953 โทษฐานที่รู้ทันไม่ยอมถูกฝรั่งต้มต่อ และในค.ศ. 1997 นกพิราบสายพันธ์เดิมก็ถูกนำมาใช้ในการปลดกลางอากาศ Shah โทษฐาน เล่นผิดบท และเอา Ayatollah Khomeini มาปกครองอิหร่าน ท่านผู้อ่านนิทานมายากลยุทธ มาแล้ว โปรดอย่าลืม อิหร่าน Model ทั้ง 2 รายการ เป็น Model ที่น่าสนใจ และมีนัยลึกซึ้ง โปรดอ่านทบทวน และน่าจะศึกษาเพิ่มเติมด้วย เผื่อจะเข้าใจหัวคิดและจิตใจอันแสนร้าย ของนักล่ามากขึ้น วันไหนเขานึกจะเล่น Model อิหร่านกับสมันน้อย จะได้รู้ตัว และต่อต้าน หรือต่อสู้ถูกทาง นกพิราบติดกรงเหยี่ยว ถูกนำมาใช้ในปฏิบัติการ ที่ CIA มักเรียก วิธีการอื่น ส่วนมากเป็นการปฏิบัติการ สำหรับการล้มล้าง ระบอบหรือรัฐบาล ผู้นำประเทศ ผู้บริหารประเทศ ที่อเมริกาเห็นว่าไม่เป็นมิตร หรือไม่เป็นประโยชน์ ไม่สมประโยชน์ หรือขัดใจ ขวางทางทำมาหากินหรือตรงข้ามกับแนวคิดของอเมริกา ปฏิบัติการนี้ก็จะถูกนำมาใช้ เพื่อเอาหมากตัวใหม่หรือไพ่ใบใหม่ มาเล่นแทน โดยไม่จำเป็นต้องใช้กองทัพของอเมริกาให้เปลืองแรง เปลืองเงิน ก็แค่นั้น แต่พอเป็นศตวรรษใหม่ New Century แล้ว จะใช้ CIA เล่นโดด ๆ มันก็เหมือนไม่มีงบมาเติมเงินนั้นแหละ (ฮา !) ก็ต้องสร้างงานกันหน่อย เมื่อเห็นว่าการยกทัพจับศึกอย่างที่ทำในอิรัค มันไม่เข้าท่า ถูกด่ามากกว่าถูกสรรเสริฐ เขาก็เปลี่ยนวิชามารใหม่ อย่างว่า การตั้งสถาบันต่าง ๆ จึงผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด (แหม ! กว่าจะโยงถึง ICG ต้องไปวิ่งอ้อมถึงสนามหลวง) สถาบันพวกนี้มีหน้าที่ปฏิบัติการ ที่ยังไม่จำเป็นต้องใช้กองทัพ แต่ปูทางไว้ เพื่อให้กองทัพเข้ามาได้ง่ายขึ้น คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 266 มุมมอง 0 รีวิว
  • มายากลยุทธ ภาค 2 ตอน บทส่งท้าย

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    บทส่งท้าย
    ไม่นานหลังจาก George Bush ได้ประกาศว่าเราจะจัดระเบียบโลกใหม่ ในปี ค.ศ. 1991 ยุทธศาสตร์ของอเมริกาที่ทยอยออกมา ก็แสดงให้เห็นถึงทิศทางเดินของอเมริกาชัดเจนขึ้น ใบประกาศหมายเลข 1 ออกมาเมื่อ ค.ศ. 1992 Defense Planning Guidance เกี่ยวกับการวางแผนด้านกองกำลังของอเมริกา เพื่อให้แน่ใจ (กับใครบ้าง?) ว่า จะไม่มีใครกล้าถลามาเป็นคู่แข่งกับอเมริกาในยุโรปตะวันตก เอเซีย หรือ บริเวณที่เคยเป็นสหภาพโซเวียตเดิม เอกสารนี้ระบุชัดเจนว่า โลกใบนี้ไม่มีใครจะมามีอำนาจเหนืออเมริกาอีกแล้ว
    ผู้ที่เป็นมันสมองในการจัดทำเอกสารนี้คือ นาย Paul Wolfowitz ซึ่งขณะนั้นรับตำแหน่งเลขาธิการด้านความมั่นคงอยู่ที่ Pentagon และต่อมาเขาได้เลื่อนเป็นผู้ช่วยรมว.กลาโหม ในสมัยรัฐบาล Bush ตัวพ่อนั่นแหละ หลังจากนั้นก็มารับตำแหน่งประธานธนาคารโลก World Bank นาย Wolf นี้เป็นสมาชิกของ Bilderberg Group, Trilateral Commission และ Council on Foreign Relations (ครบชุด 3 สถาบันผู้ทรงอิทธิพล) ปัจจุบันประจำการอยู่ที่ American Enterprise Institute ซึ่งเป็น think tank สำคัญสำหรับผู้ไม่ประสงค์จะเปิดเผยตัว
    ส่วนสำคัญของเอกสารดังกล่าว เน้นว่าการจัดระเบียบโลกใหม่ ในด้านของกองกำลังของอเมริกา จะต้องปฏิบัติการได้ เมื่อจำเป็น โดยไม่ต้องพึ่งพาหรือเล่นเป็นวงกับใคร พูดง่าย ๆ เป็นพระเอกแสดงเดี่ยว ก็ต้องเอาโลกนี้อยู่ในมือได้
    ในประดานักเลงคนละค่าย ที่จะทำให้อเมริกาคันไม้คันมือ นอกเหนือจากอิรัคและเกาหลีเหนือเจ้าประจำแล้ว ผู้ที่อเมริกาจะต้องจับตาแบบมองแบบไม่กระพริบ คือ จีนและรัสเซีย
    เมื่อ Bill Clinton เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ต่อจาก Bush ตัวพ่อในปี ค.ศ. 1993 สายเหยี่ยวของอเมริกาไม่ได้หุบปีก แต่กลับสยายมากขึ้น ถึงกับคิด Project for New American Century หรือ PNAC อันโด่งดัง ในปี ค.ศ. 2000 เขาได้เสนอรายงาน ชื่อ Rebuilding America’s Defenses : Strategy For Us and Resources for a New Century เป็นการวางแผนสำหรับการขยับขยาย เปลี่ยนรูปแบบของกองกำลังของอเมริกา เพื่อเตรียมตัวสำหรับการเข้าสู่ทรัพยากร และการสงครามในทุกสมรภูมิ ไม่ว่าใหญ่ระดับโลก หรือเล็กระดับประเทศ
    แต่ที่น่าสนใจคือนาย Zbigniew Brzezinski (หวังว่าคงจำชื่อนี้กันได้) ผู้ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของ Trilatleral Commission ให้กับนายโคตรรวย David Rockefeller รวมทั้งเป็นสมาชิก Bilderberg Group และอยู่ในคณะกรรมการของ Amnesty International และ National Endowment for Democracy (ถ้าไม่รู้จักสถาบันหลังนี้ ลองไปถามอาจารย์แถวท่าพระจันทร์ดูได้นะครับ) รวมทั้งเป็น trustee และที่ปรึกษาของ Center for Strategic and International Studies (CSIS) ที่โด่งดังในการเป็นมันสมอง ในการวางนโยบายด้านความมั่นคงระดับสูงให้แก่อเมริกา นาย Brzenzinski นี้ ถือว่าเป็น 1 ให้ผู้กุมชะตาโลก เพราะเขามีอิทธิพลต่อความคิดของพวกนักเล่นกล ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยของอเมริกาอย่างยิ่ง ในหนังสือของเขาชื่อ The Grand Chessboard ที่ออกมาเมื่อ ปี ค.ศ. 1997 บอกว่าสำหรับอเมริกาในอนาคต จงมองไปที่ Eurasia สำหรับอีก 50 ปีข้างหน้า ความเป็นไปของโลก มันจะเริ่มหรือเกี่ยวกับพื้นที่บริเวณ Eurasia นี้แหละ ใครที่ควบคุม Eurasia ได้ ก็เหมือนกับจะควบคุมชะตาโลกได้ปริยาย และนับตั้งแต่นั้นมา นโยบายของอเมริกาก็ดูเหมือนจะไปในทิศทาง ตามที่เข็มทิศยี่ห้อนาย Bzenzinski ชี้ทางเอาไว้ทั้งสิ้น เช่นเดียวกัน กับคำพูดของนาย Kissinger เมื่อเกือบ 50 ปีก่อน


    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 2 ตอน บทส่งท้าย นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” บทส่งท้าย ไม่นานหลังจาก George Bush ได้ประกาศว่าเราจะจัดระเบียบโลกใหม่ ในปี ค.ศ. 1991 ยุทธศาสตร์ของอเมริกาที่ทยอยออกมา ก็แสดงให้เห็นถึงทิศทางเดินของอเมริกาชัดเจนขึ้น ใบประกาศหมายเลข 1 ออกมาเมื่อ ค.ศ. 1992 Defense Planning Guidance เกี่ยวกับการวางแผนด้านกองกำลังของอเมริกา เพื่อให้แน่ใจ (กับใครบ้าง?) ว่า จะไม่มีใครกล้าถลามาเป็นคู่แข่งกับอเมริกาในยุโรปตะวันตก เอเซีย หรือ บริเวณที่เคยเป็นสหภาพโซเวียตเดิม เอกสารนี้ระบุชัดเจนว่า โลกใบนี้ไม่มีใครจะมามีอำนาจเหนืออเมริกาอีกแล้ว ผู้ที่เป็นมันสมองในการจัดทำเอกสารนี้คือ นาย Paul Wolfowitz ซึ่งขณะนั้นรับตำแหน่งเลขาธิการด้านความมั่นคงอยู่ที่ Pentagon และต่อมาเขาได้เลื่อนเป็นผู้ช่วยรมว.กลาโหม ในสมัยรัฐบาล Bush ตัวพ่อนั่นแหละ หลังจากนั้นก็มารับตำแหน่งประธานธนาคารโลก World Bank นาย Wolf นี้เป็นสมาชิกของ Bilderberg Group, Trilateral Commission และ Council on Foreign Relations (ครบชุด 3 สถาบันผู้ทรงอิทธิพล) ปัจจุบันประจำการอยู่ที่ American Enterprise Institute ซึ่งเป็น think tank สำคัญสำหรับผู้ไม่ประสงค์จะเปิดเผยตัว ส่วนสำคัญของเอกสารดังกล่าว เน้นว่าการจัดระเบียบโลกใหม่ ในด้านของกองกำลังของอเมริกา จะต้องปฏิบัติการได้ เมื่อจำเป็น โดยไม่ต้องพึ่งพาหรือเล่นเป็นวงกับใคร พูดง่าย ๆ เป็นพระเอกแสดงเดี่ยว ก็ต้องเอาโลกนี้อยู่ในมือได้ ในประดานักเลงคนละค่าย ที่จะทำให้อเมริกาคันไม้คันมือ นอกเหนือจากอิรัคและเกาหลีเหนือเจ้าประจำแล้ว ผู้ที่อเมริกาจะต้องจับตาแบบมองแบบไม่กระพริบ คือ จีนและรัสเซีย เมื่อ Bill Clinton เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ต่อจาก Bush ตัวพ่อในปี ค.ศ. 1993 สายเหยี่ยวของอเมริกาไม่ได้หุบปีก แต่กลับสยายมากขึ้น ถึงกับคิด Project for New American Century หรือ PNAC อันโด่งดัง ในปี ค.ศ. 2000 เขาได้เสนอรายงาน ชื่อ Rebuilding America’s Defenses : Strategy For Us and Resources for a New Century เป็นการวางแผนสำหรับการขยับขยาย เปลี่ยนรูปแบบของกองกำลังของอเมริกา เพื่อเตรียมตัวสำหรับการเข้าสู่ทรัพยากร และการสงครามในทุกสมรภูมิ ไม่ว่าใหญ่ระดับโลก หรือเล็กระดับประเทศ แต่ที่น่าสนใจคือนาย Zbigniew Brzezinski (หวังว่าคงจำชื่อนี้กันได้) ผู้ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของ Trilatleral Commission ให้กับนายโคตรรวย David Rockefeller รวมทั้งเป็นสมาชิก Bilderberg Group และอยู่ในคณะกรรมการของ Amnesty International และ National Endowment for Democracy (ถ้าไม่รู้จักสถาบันหลังนี้ ลองไปถามอาจารย์แถวท่าพระจันทร์ดูได้นะครับ) รวมทั้งเป็น trustee และที่ปรึกษาของ Center for Strategic and International Studies (CSIS) ที่โด่งดังในการเป็นมันสมอง ในการวางนโยบายด้านความมั่นคงระดับสูงให้แก่อเมริกา นาย Brzenzinski นี้ ถือว่าเป็น 1 ให้ผู้กุมชะตาโลก เพราะเขามีอิทธิพลต่อความคิดของพวกนักเล่นกล ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยของอเมริกาอย่างยิ่ง ในหนังสือของเขาชื่อ The Grand Chessboard ที่ออกมาเมื่อ ปี ค.ศ. 1997 บอกว่าสำหรับอเมริกาในอนาคต จงมองไปที่ Eurasia สำหรับอีก 50 ปีข้างหน้า ความเป็นไปของโลก มันจะเริ่มหรือเกี่ยวกับพื้นที่บริเวณ Eurasia นี้แหละ ใครที่ควบคุม Eurasia ได้ ก็เหมือนกับจะควบคุมชะตาโลกได้ปริยาย และนับตั้งแต่นั้นมา นโยบายของอเมริกาก็ดูเหมือนจะไปในทิศทาง ตามที่เข็มทิศยี่ห้อนาย Bzenzinski ชี้ทางเอาไว้ทั้งสิ้น เช่นเดียวกัน กับคำพูดของนาย Kissinger เมื่อเกือบ 50 ปีก่อน คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 251 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts