• “Phoenix Rowhammer โจมตีทะลุ ECC — ช่องโหว่ใหม่ใน DDR5 จาก SK Hynix ที่ใช้เวลาแค่ 109 วินาที!”

    ทีมนักวิจัยจาก ETH Zurich และ Google ได้เปิดเผยช่องโหว่ใหม่ในหน่วยความจำ DDR5 ของ SK Hynix ที่สามารถถูกโจมตีด้วยเทคนิค Rowhammer รุ่นใหม่ชื่อว่า “Phoenix” (CVE-2025-6202) ซึ่งสามารถทะลุการป้องกันแบบ ECC ที่ฝังอยู่ในชิปได้ภายในเวลาเพียง 109 วินาที ถือเป็นการโจมตีระดับ privilege escalation ที่เกิดขึ้นได้จริงบนเครื่องเดสก์ท็อปทั่วไป

    Phoenix ใช้เทคนิค reverse engineering เพื่อเจาะระบบป้องกัน TRR (Target Row Refresh) ที่มีอยู่ใน DRAM โดยพบว่าการรีเฟรชแถวหน่วยความจำมีช่วง sampling ที่ซ้ำทุก 128 tREFI และในช่วงต้นของแต่ละรอบมีการสุ่มตรวจสอบน้อย ทำให้สามารถออกแบบรูปแบบการโจมตีแบบใหม่ที่เรียกว่า 128-tREFI และ 2608-tREFI ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นก่อนถึง 2.6 เท่า

    นักวิจัยยังพัฒนาเทคนิค “self-correcting refresh synchronization” ที่ช่วยให้การโจมตีสามารถปรับตัวได้เมื่อเกิดการรีเฟรชผิดพลาด ทำให้สามารถรักษาความแม่นยำในการโจมตีได้แม้จะผ่านหลายพันรอบการรีเฟรช

    จากการทดสอบบนโมดูล DDR5 ของ SK Hynix จำนวน 15 รุ่นที่ผลิตระหว่างปี 2021–2024 พบว่าทุกตัวสามารถถูกโจมตีได้ โดยเกิดการเปลี่ยนแปลงบิตจำนวนมาก ซึ่งสามารถนำไปใช้สร้าง primitive สำหรับการอ่าน/เขียนข้อมูลโดยพลการ, ขโมยคีย์ RSA-2048 จาก VM ที่อยู่ใกล้กัน และยกระดับสิทธิ์โดยการแก้ไขไฟล์ sudo

    เพื่อเพิ่มโอกาสในการโจมตี นักวิจัยใช้เทคนิคการรัน pattern แบบเลื่อนตำแหน่งในแต่ละ bank พร้อมกัน ทำให้โอกาสโจมตีสำเร็จเพิ่มขึ้นจาก 1.56% เป็น 25% และเสนอวิธีแก้เบื้องต้นด้วยการเพิ่มอัตราการรีเฟรช DRAM 3 เท่า ซึ่งช่วยลดการโจมตีได้ แต่แลกกับประสิทธิภาพที่ลดลงถึง 8.4% บน SPEC CPU2017

    ข่าวดีคือทีมงานได้แจ้งช่องโหว่นี้อย่างเป็นทางการกับ SK Hynix, ผู้ผลิต CPU และผู้ให้บริการคลาวด์ ทำให้มีการออก BIOS patch สำหรับเครื่อง AMD บางรุ่นแล้ว และมีโค้ดทดสอบบน GitHub เพื่อให้ผู้ดูแลระบบสามารถตรวจสอบ DIMM ของตนเองได้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ช่องโหว่ “Phoenix” (CVE-2025-6202) เป็น Rowhammer รุ่นใหม่ที่ทะลุ ECC ได้
    ใช้เวลาโจมตีเพียง 109 วินาทีบนเครื่องเดสก์ท็อปทั่วไป
    เทคนิคใหม่ใช้ pattern 128-tREFI และ 2608-tREFI พร้อมระบบ sync อัตโนมัติ
    ทดสอบบน DDR5 ของ SK Hynix 15 รุ่น พบว่าทุกตัวมี bit flip

    ผลกระทบและการโจมตี
    เกิดการเปลี่ยนบิตจำนวนมากในหน่วยความจำ
    สร้าง primitive สำหรับการอ่าน/เขียนข้อมูล, ขโมยคีย์ RSA, และยกระดับสิทธิ์
    เพิ่มโอกาสโจมตีจาก 1.56% เป็น 25% ด้วยการรัน pattern แบบเลื่อนตำแหน่ง
    BIOS patch สำหรับ AMD ถูกปล่อยออกมาแล้วในช่วง embargo

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Rowhammer เป็นช่องโหว่ที่พบครั้งแรกในปี 2014 และยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
    ECC แบบ on-die ไม่สามารถป้องกัน Rowhammer ได้เท่ากับ ECC แบบ side-band
    การเพิ่ม refresh rate เป็นวิธีแก้ชั่วคราวที่มีต้นทุนด้านประสิทธิภาพ
    โค้ดทดสอบ Phoenix ถูกเผยแพร่บน GitHub เพื่อใช้ตรวจสอบ DIMM

    คำเตือนและข้อจำกัด
    ECC แบบฝังในชิป (on-die ECC) ไม่สามารถป้องกัน Phoenix ได้
    การเพิ่ม refresh rate 3 เท่าทำให้ประสิทธิภาพลดลงถึง 8.4%
    BIOS patch ยังไม่ครอบคลุมทุกระบบ และต้องอัปเดตด้วยตนเอง
    DIMM ที่ผลิตระหว่างปี 2021–2024 มีความเสี่ยงสูง
    โค้ดบน GitHub ใช้สำหรับการตรวจสอบเท่านั้น ไม่ใช่การป้องกันหรือโจมตี

    https://www.techpowerup.com/341059/sk-hynix-ddr5-dimms-vulnerable-to-phoenix-rowhammer-attack-ecc-dimms-exposed-too
    💥 “Phoenix Rowhammer โจมตีทะลุ ECC — ช่องโหว่ใหม่ใน DDR5 จาก SK Hynix ที่ใช้เวลาแค่ 109 วินาที!” ทีมนักวิจัยจาก ETH Zurich และ Google ได้เปิดเผยช่องโหว่ใหม่ในหน่วยความจำ DDR5 ของ SK Hynix ที่สามารถถูกโจมตีด้วยเทคนิค Rowhammer รุ่นใหม่ชื่อว่า “Phoenix” (CVE-2025-6202) ซึ่งสามารถทะลุการป้องกันแบบ ECC ที่ฝังอยู่ในชิปได้ภายในเวลาเพียง 109 วินาที ถือเป็นการโจมตีระดับ privilege escalation ที่เกิดขึ้นได้จริงบนเครื่องเดสก์ท็อปทั่วไป Phoenix ใช้เทคนิค reverse engineering เพื่อเจาะระบบป้องกัน TRR (Target Row Refresh) ที่มีอยู่ใน DRAM โดยพบว่าการรีเฟรชแถวหน่วยความจำมีช่วง sampling ที่ซ้ำทุก 128 tREFI และในช่วงต้นของแต่ละรอบมีการสุ่มตรวจสอบน้อย ทำให้สามารถออกแบบรูปแบบการโจมตีแบบใหม่ที่เรียกว่า 128-tREFI และ 2608-tREFI ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นก่อนถึง 2.6 เท่า นักวิจัยยังพัฒนาเทคนิค “self-correcting refresh synchronization” ที่ช่วยให้การโจมตีสามารถปรับตัวได้เมื่อเกิดการรีเฟรชผิดพลาด ทำให้สามารถรักษาความแม่นยำในการโจมตีได้แม้จะผ่านหลายพันรอบการรีเฟรช จากการทดสอบบนโมดูล DDR5 ของ SK Hynix จำนวน 15 รุ่นที่ผลิตระหว่างปี 2021–2024 พบว่าทุกตัวสามารถถูกโจมตีได้ โดยเกิดการเปลี่ยนแปลงบิตจำนวนมาก ซึ่งสามารถนำไปใช้สร้าง primitive สำหรับการอ่าน/เขียนข้อมูลโดยพลการ, ขโมยคีย์ RSA-2048 จาก VM ที่อยู่ใกล้กัน และยกระดับสิทธิ์โดยการแก้ไขไฟล์ sudo เพื่อเพิ่มโอกาสในการโจมตี นักวิจัยใช้เทคนิคการรัน pattern แบบเลื่อนตำแหน่งในแต่ละ bank พร้อมกัน ทำให้โอกาสโจมตีสำเร็จเพิ่มขึ้นจาก 1.56% เป็น 25% และเสนอวิธีแก้เบื้องต้นด้วยการเพิ่มอัตราการรีเฟรช DRAM 3 เท่า ซึ่งช่วยลดการโจมตีได้ แต่แลกกับประสิทธิภาพที่ลดลงถึง 8.4% บน SPEC CPU2017 ข่าวดีคือทีมงานได้แจ้งช่องโหว่นี้อย่างเป็นทางการกับ SK Hynix, ผู้ผลิต CPU และผู้ให้บริการคลาวด์ ทำให้มีการออก BIOS patch สำหรับเครื่อง AMD บางรุ่นแล้ว และมีโค้ดทดสอบบน GitHub เพื่อให้ผู้ดูแลระบบสามารถตรวจสอบ DIMM ของตนเองได้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ช่องโหว่ “Phoenix” (CVE-2025-6202) เป็น Rowhammer รุ่นใหม่ที่ทะลุ ECC ได้ ➡️ ใช้เวลาโจมตีเพียง 109 วินาทีบนเครื่องเดสก์ท็อปทั่วไป ➡️ เทคนิคใหม่ใช้ pattern 128-tREFI และ 2608-tREFI พร้อมระบบ sync อัตโนมัติ ➡️ ทดสอบบน DDR5 ของ SK Hynix 15 รุ่น พบว่าทุกตัวมี bit flip ✅ ผลกระทบและการโจมตี ➡️ เกิดการเปลี่ยนบิตจำนวนมากในหน่วยความจำ ➡️ สร้าง primitive สำหรับการอ่าน/เขียนข้อมูล, ขโมยคีย์ RSA, และยกระดับสิทธิ์ ➡️ เพิ่มโอกาสโจมตีจาก 1.56% เป็น 25% ด้วยการรัน pattern แบบเลื่อนตำแหน่ง ➡️ BIOS patch สำหรับ AMD ถูกปล่อยออกมาแล้วในช่วง embargo ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Rowhammer เป็นช่องโหว่ที่พบครั้งแรกในปี 2014 และยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ➡️ ECC แบบ on-die ไม่สามารถป้องกัน Rowhammer ได้เท่ากับ ECC แบบ side-band ➡️ การเพิ่ม refresh rate เป็นวิธีแก้ชั่วคราวที่มีต้นทุนด้านประสิทธิภาพ ➡️ โค้ดทดสอบ Phoenix ถูกเผยแพร่บน GitHub เพื่อใช้ตรวจสอบ DIMM ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ ECC แบบฝังในชิป (on-die ECC) ไม่สามารถป้องกัน Phoenix ได้ ⛔ การเพิ่ม refresh rate 3 เท่าทำให้ประสิทธิภาพลดลงถึง 8.4% ⛔ BIOS patch ยังไม่ครอบคลุมทุกระบบ และต้องอัปเดตด้วยตนเอง ⛔ DIMM ที่ผลิตระหว่างปี 2021–2024 มีความเสี่ยงสูง ⛔ โค้ดบน GitHub ใช้สำหรับการตรวจสอบเท่านั้น ไม่ใช่การป้องกันหรือโจมตี https://www.techpowerup.com/341059/sk-hynix-ddr5-dimms-vulnerable-to-phoenix-rowhammer-attack-ecc-dimms-exposed-too
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    SK Hynix DDR5 DIMMs Vulnerable to "Phoenix" Rowhammer Attack, ECC DIMMs Exposed Too
    Researchers from ETH Zurich and Google have shown that SK Hynix DDR5 modules remain vulnerable to a new Rowhammer variant they call Phoenix (CVE-2025-6202), even with on-die ECC memory modules. The attack can be executed in only 109 seconds, making it a very realistic threat. By reverse engineering ...
    0 Comments 0 Shares 0 Views 0 Reviews
  • “FSR 4 หลุดซอร์สโค้ด — เปิดทางให้การ์ดจอเก่าใช้เทคโนโลยีอัปสเกล AI แบบใหม่ โดยไม่ต้องพึ่ง Linux”

    AMD FidelityFX Super Resolution 4 หรือ FSR 4 เป็นเทคโนโลยีอัปสเกลภาพด้วย AI รุ่นล่าสุดจาก AMD ที่เดิมทีรองรับเฉพาะการ์ดจอ Radeon RX 9000 ที่ใช้สถาปัตยกรรม RDNA 4 เท่านั้น แต่เมื่อเดือนกันยายน 2025 มีการ “หลุด” ซอร์สโค้ดของ FSR 4 ออกมาโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถนำไปปรับแต่งและใช้งานบนการ์ดจอรุ่นเก่าได้อย่างกว้างขวาง

    ซอร์สโค้ดที่หลุดออกมานั้นรวมถึงเวอร์ชันที่ใช้ INT8 ซึ่งเป็นชนิดข้อมูลที่รองรับโดยเกือบทุก GPU สมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็น Radeon RX 7000, GeForce RTX 30/40 หรือแม้แต่ Intel Arc ทำให้การใช้งาน FSR 4 ไม่จำกัดเฉพาะฮาร์ดแวร์ใหม่อีกต่อไป โดยไม่ต้องใช้ Linux เหมือนวิธีการแฮกในช่วงแรก ๆ

    ผู้ใช้ Reddit นามว่า /u/AthleteDependent926 ได้รวบรวมและคอมไพล์ซอร์สโค้ดให้เป็นไฟล์ DLL ที่สามารถใช้งานได้จริงผ่าน OptiScaler ซึ่งเป็นม็อดแบบ multi-game ที่คล้ายกับ ReShade โดยผู้ใช้สามารถติดตั้ง OptiScaler ลงในโฟลเดอร์เกม แล้วเลือก FSR 4.0.2 จากเมนู UI เพื่อเปิดใช้งาน

    จากการทดสอบในเกม Cyberpunk 2077 พบว่า FSR 4 ให้คุณภาพภาพที่คมชัดกว่า FSR 3 และ Intel XeSS อย่างชัดเจน แม้จะยังไม่เทียบเท่า DLSS 4 ของ NVIDIA แต่ก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ใช้ที่ไม่มีการ์ดจอระดับสูง โดยเฉพาะในเกมที่รองรับ FSR 3 อยู่แล้ว

    อย่างไรก็ตาม การใช้งานผ่านม็อดยังมีข้อจำกัด เช่น การตั้งค่าที่ไม่ตรงไปตรงมา และประสิทธิภาพที่ลดลงเล็กน้อยจากการประมวลผลเพิ่มเติม โดยเฉพาะในโหมด Ray Tracing ซึ่งอาจทำให้เฟรมเรตลดลงจาก 60 FPS เหลือประมาณ 48 FPS

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AMD เผลอปล่อยซอร์สโค้ด FSR 4 ที่รวมเวอร์ชัน INT8 ซึ่งรองรับ GPU ส่วนใหญ่
    ผู้ใช้ Reddit คอมไพล์ซอร์สโค้ดเป็น DLL ที่ใช้งานได้จริง
    ใช้งานผ่านม็อด OptiScaler โดยเลือก FSR 4.0.2 จาก UI
    รองรับ DirectX 12, DirectX 11 และ Vulkan ในหลายเกม

    ผลการทดสอบและคุณภาพภาพ
    FSR 4 ให้ภาพคมชัดกว่า FSR 3 และ XeSS โดยเฉพาะใน Cyberpunk 2077
    ลดอาการเบลอและ aliasing บนวัตถุระยะไกล
    ใช้เวลาอัปสเกลประมาณ 4.1 ms บน RX 7800 XT และ 2.3 ms บน Radeon 8060S
    เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการคุณภาพภาพสูงโดยไม่ต้องใช้ DLSS

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    FSR 4 เวอร์ชัน FP8 ใช้เฉพาะบน RDNA 4 เท่านั้น
    INT8 เป็นชนิดข้อมูลที่ใช้กันทั่วไปในงาน AI inference
    OptiScaler เป็นม็อดที่รองรับหลายเกมและสามารถปรับแต่งได้หลากหลาย
    การใช้งาน FSR 4 ผ่าน DLL ช่วยให้เกมเก่าได้รับคุณภาพภาพที่ดีขึ้นโดยไม่ต้องอัปเกรดฮาร์ดแวร์

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/latest-fsr-4-source-code-leak-lets-you-run-amds-ai-upscaling-tech-on-nearly-any-gpu-no-linux-required
    🧠 “FSR 4 หลุดซอร์สโค้ด — เปิดทางให้การ์ดจอเก่าใช้เทคโนโลยีอัปสเกล AI แบบใหม่ โดยไม่ต้องพึ่ง Linux” AMD FidelityFX Super Resolution 4 หรือ FSR 4 เป็นเทคโนโลยีอัปสเกลภาพด้วย AI รุ่นล่าสุดจาก AMD ที่เดิมทีรองรับเฉพาะการ์ดจอ Radeon RX 9000 ที่ใช้สถาปัตยกรรม RDNA 4 เท่านั้น แต่เมื่อเดือนกันยายน 2025 มีการ “หลุด” ซอร์สโค้ดของ FSR 4 ออกมาโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถนำไปปรับแต่งและใช้งานบนการ์ดจอรุ่นเก่าได้อย่างกว้างขวาง ซอร์สโค้ดที่หลุดออกมานั้นรวมถึงเวอร์ชันที่ใช้ INT8 ซึ่งเป็นชนิดข้อมูลที่รองรับโดยเกือบทุก GPU สมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็น Radeon RX 7000, GeForce RTX 30/40 หรือแม้แต่ Intel Arc ทำให้การใช้งาน FSR 4 ไม่จำกัดเฉพาะฮาร์ดแวร์ใหม่อีกต่อไป โดยไม่ต้องใช้ Linux เหมือนวิธีการแฮกในช่วงแรก ๆ ผู้ใช้ Reddit นามว่า /u/AthleteDependent926 ได้รวบรวมและคอมไพล์ซอร์สโค้ดให้เป็นไฟล์ DLL ที่สามารถใช้งานได้จริงผ่าน OptiScaler ซึ่งเป็นม็อดแบบ multi-game ที่คล้ายกับ ReShade โดยผู้ใช้สามารถติดตั้ง OptiScaler ลงในโฟลเดอร์เกม แล้วเลือก FSR 4.0.2 จากเมนู UI เพื่อเปิดใช้งาน จากการทดสอบในเกม Cyberpunk 2077 พบว่า FSR 4 ให้คุณภาพภาพที่คมชัดกว่า FSR 3 และ Intel XeSS อย่างชัดเจน แม้จะยังไม่เทียบเท่า DLSS 4 ของ NVIDIA แต่ก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ใช้ที่ไม่มีการ์ดจอระดับสูง โดยเฉพาะในเกมที่รองรับ FSR 3 อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม การใช้งานผ่านม็อดยังมีข้อจำกัด เช่น การตั้งค่าที่ไม่ตรงไปตรงมา และประสิทธิภาพที่ลดลงเล็กน้อยจากการประมวลผลเพิ่มเติม โดยเฉพาะในโหมด Ray Tracing ซึ่งอาจทำให้เฟรมเรตลดลงจาก 60 FPS เหลือประมาณ 48 FPS ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AMD เผลอปล่อยซอร์สโค้ด FSR 4 ที่รวมเวอร์ชัน INT8 ซึ่งรองรับ GPU ส่วนใหญ่ ➡️ ผู้ใช้ Reddit คอมไพล์ซอร์สโค้ดเป็น DLL ที่ใช้งานได้จริง ➡️ ใช้งานผ่านม็อด OptiScaler โดยเลือก FSR 4.0.2 จาก UI ➡️ รองรับ DirectX 12, DirectX 11 และ Vulkan ในหลายเกม ✅ ผลการทดสอบและคุณภาพภาพ ➡️ FSR 4 ให้ภาพคมชัดกว่า FSR 3 และ XeSS โดยเฉพาะใน Cyberpunk 2077 ➡️ ลดอาการเบลอและ aliasing บนวัตถุระยะไกล ➡️ ใช้เวลาอัปสเกลประมาณ 4.1 ms บน RX 7800 XT และ 2.3 ms บน Radeon 8060S ➡️ เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการคุณภาพภาพสูงโดยไม่ต้องใช้ DLSS ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ FSR 4 เวอร์ชัน FP8 ใช้เฉพาะบน RDNA 4 เท่านั้น ➡️ INT8 เป็นชนิดข้อมูลที่ใช้กันทั่วไปในงาน AI inference ➡️ OptiScaler เป็นม็อดที่รองรับหลายเกมและสามารถปรับแต่งได้หลากหลาย ➡️ การใช้งาน FSR 4 ผ่าน DLL ช่วยให้เกมเก่าได้รับคุณภาพภาพที่ดีขึ้นโดยไม่ต้องอัปเกรดฮาร์ดแวร์ https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/latest-fsr-4-source-code-leak-lets-you-run-amds-ai-upscaling-tech-on-nearly-any-gpu-no-linux-required
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Latest FSR 4 source code 'leak' lets you run AMD's AI upscaling tech on nearly any GPU — no Linux required
    It's a bit hacky, but with some tweaking, older GPUs get a nice new upscaling option. Maybe it'll make Bl4 playable?
    0 Comments 0 Shares 0 Views 0 Reviews
  • “Looking Glass เปิดตัวจอ Hololuminescent Display — เปลี่ยนวิดีโอธรรมดาให้กลายเป็นภาพโฮโลแกรม 3D แบบไร้แว่น”

    หลังจากคร่ำหวอดในวงการจอภาพโฮโลกราฟิกมานานกว่า 10 ปี บริษัท Looking Glass ได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดในชื่อ “Hololuminescent Display” หรือ HLD ซึ่งเป็นจอภาพที่สามารถแสดงผลวิดีโอธรรมดาให้กลายเป็นภาพสามมิติแบบโฮโลแกรม โดยไม่ต้องใช้แว่นตา, eye tracking หรือซอฟต์แวร์ 3D เฉพาะทางใด ๆ

    HLD ถูกออกแบบมาให้บางเพียง 1 นิ้ว รองรับความละเอียดสูงสุดถึง 4K และสามารถติดตั้งได้ในพื้นที่ทั่วไป เช่น ร้านค้า, เวทีแสดงสินค้า, หรือป้ายดิจิทัล โดยไม่ต้องปรับโครงสร้างระบบเดิม จุดเด่นคือสามารถใช้งานร่วมกับ workflow มาตรฐาน เช่น Adobe Premiere, After Effects, Unity และ Unreal ได้ทันที

    เทคโนโลยีนี้ใช้การผสาน “holographic volume” เข้าไปใน optical stack ของจอ LCD หรือ OLED ทำให้ภาพที่แสดงออกมามีมิติและความลึกแบบโฮโลแกรมจริง ๆ โดยไม่ต้องสร้างโมเดล 3D ล่วงหน้า เหมาะสำหรับการนำเสนอสินค้า, ตัวละคร, หรือประสบการณ์แบบอินเทอร์แอคทีฟในพื้นที่สาธารณะ

    Looking Glass วางแผนเปิดตัวจอ HLD ขนาด 16 นิ้ว (FHD) ในไตรมาส 4 ปีนี้ โดยเริ่มต้นที่ราคา $1,500 ส่วนรุ่น 27 นิ้วแบบ 4K จะวางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน–ธันวาคม และรุ่นใหญ่ 86 นิ้วจะตามมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2026

    แม้จะเป็นเทคโนโลยีใหม่ แต่ HLD ไม่ได้มาแทนที่จอ Light Field Display (LFD) เดิมของบริษัท ซึ่งยังคงมีจำหน่ายสำหรับงานวิจัย, การแพทย์, และการออกแบบ 3D ที่ต้องการความแม่นยำสูง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Looking Glass เปิดตัวจอ Hololuminescent Display (HLD) ที่แสดงภาพโฮโลแกรม 3D โดยไม่ต้องใช้แว่น
    จอบางเพียง 1 นิ้ว รองรับความละเอียดสูงสุด 4K และติดตั้งได้ในพื้นที่ทั่วไป
    ใช้ workflow มาตรฐาน เช่น Adobe Premiere, After Effects, Unity และ Unreal
    ใช้เทคโนโลยี hybrid ที่ผสาน holographic volume เข้ากับ optical stack ของจอ LCD/OLED

    รุ่นและกำหนดการวางจำหน่าย
    รุ่น 16 นิ้ว (FHD) เริ่มต้นที่ $1,500 วางจำหน่ายใน Q4 ปี 2025
    รุ่น 27 นิ้ว (4K) วางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน–ธันวาคม 2025
    รุ่น 86 นิ้ว (4K) วางจำหน่ายในเดือนกุมภาพันธ์ 2026
    จอ LFD เดิมยังคงมีจำหน่ายสำหรับงานวิจัยและอุตสาหกรรมเฉพาะทาง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    HLD เหมาะสำหรับการตลาด, ป้ายดิจิทัล, และการแสดงสินค้าในพื้นที่สาธารณะ
    ไม่ต้องใช้ eye tracking หรือซอฟต์แวร์ 3D เฉพาะทาง ทำให้ใช้งานได้ง่าย
    สามารถแสดงผลกับผู้ชมหลายคนพร้อมกัน โดยไม่จำกัดมุมมอง
    เทคโนโลยีนี้ช่วยลดต้นทุนการพัฒนาเนื้อหา 3D และเพิ่มความสามารถในการขยายระบบ

    https://www.tomshardware.com/monitors/looking-glass-demos-hololuminescent-display-monitors-sizes-range-from-16-to-85-inches-starting-at-usd1-500
    🌟 “Looking Glass เปิดตัวจอ Hololuminescent Display — เปลี่ยนวิดีโอธรรมดาให้กลายเป็นภาพโฮโลแกรม 3D แบบไร้แว่น” หลังจากคร่ำหวอดในวงการจอภาพโฮโลกราฟิกมานานกว่า 10 ปี บริษัท Looking Glass ได้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดในชื่อ “Hololuminescent Display” หรือ HLD ซึ่งเป็นจอภาพที่สามารถแสดงผลวิดีโอธรรมดาให้กลายเป็นภาพสามมิติแบบโฮโลแกรม โดยไม่ต้องใช้แว่นตา, eye tracking หรือซอฟต์แวร์ 3D เฉพาะทางใด ๆ HLD ถูกออกแบบมาให้บางเพียง 1 นิ้ว รองรับความละเอียดสูงสุดถึง 4K และสามารถติดตั้งได้ในพื้นที่ทั่วไป เช่น ร้านค้า, เวทีแสดงสินค้า, หรือป้ายดิจิทัล โดยไม่ต้องปรับโครงสร้างระบบเดิม จุดเด่นคือสามารถใช้งานร่วมกับ workflow มาตรฐาน เช่น Adobe Premiere, After Effects, Unity และ Unreal ได้ทันที เทคโนโลยีนี้ใช้การผสาน “holographic volume” เข้าไปใน optical stack ของจอ LCD หรือ OLED ทำให้ภาพที่แสดงออกมามีมิติและความลึกแบบโฮโลแกรมจริง ๆ โดยไม่ต้องสร้างโมเดล 3D ล่วงหน้า เหมาะสำหรับการนำเสนอสินค้า, ตัวละคร, หรือประสบการณ์แบบอินเทอร์แอคทีฟในพื้นที่สาธารณะ Looking Glass วางแผนเปิดตัวจอ HLD ขนาด 16 นิ้ว (FHD) ในไตรมาส 4 ปีนี้ โดยเริ่มต้นที่ราคา $1,500 ส่วนรุ่น 27 นิ้วแบบ 4K จะวางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน–ธันวาคม และรุ่นใหญ่ 86 นิ้วจะตามมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2026 แม้จะเป็นเทคโนโลยีใหม่ แต่ HLD ไม่ได้มาแทนที่จอ Light Field Display (LFD) เดิมของบริษัท ซึ่งยังคงมีจำหน่ายสำหรับงานวิจัย, การแพทย์, และการออกแบบ 3D ที่ต้องการความแม่นยำสูง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Looking Glass เปิดตัวจอ Hololuminescent Display (HLD) ที่แสดงภาพโฮโลแกรม 3D โดยไม่ต้องใช้แว่น ➡️ จอบางเพียง 1 นิ้ว รองรับความละเอียดสูงสุด 4K และติดตั้งได้ในพื้นที่ทั่วไป ➡️ ใช้ workflow มาตรฐาน เช่น Adobe Premiere, After Effects, Unity และ Unreal ➡️ ใช้เทคโนโลยี hybrid ที่ผสาน holographic volume เข้ากับ optical stack ของจอ LCD/OLED ✅ รุ่นและกำหนดการวางจำหน่าย ➡️ รุ่น 16 นิ้ว (FHD) เริ่มต้นที่ $1,500 วางจำหน่ายใน Q4 ปี 2025 ➡️ รุ่น 27 นิ้ว (4K) วางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน–ธันวาคม 2025 ➡️ รุ่น 86 นิ้ว (4K) วางจำหน่ายในเดือนกุมภาพันธ์ 2026 ➡️ จอ LFD เดิมยังคงมีจำหน่ายสำหรับงานวิจัยและอุตสาหกรรมเฉพาะทาง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ HLD เหมาะสำหรับการตลาด, ป้ายดิจิทัล, และการแสดงสินค้าในพื้นที่สาธารณะ ➡️ ไม่ต้องใช้ eye tracking หรือซอฟต์แวร์ 3D เฉพาะทาง ทำให้ใช้งานได้ง่าย ➡️ สามารถแสดงผลกับผู้ชมหลายคนพร้อมกัน โดยไม่จำกัดมุมมอง ➡️ เทคโนโลยีนี้ช่วยลดต้นทุนการพัฒนาเนื้อหา 3D และเพิ่มความสามารถในการขยายระบบ https://www.tomshardware.com/monitors/looking-glass-demos-hololuminescent-display-monitors-sizes-range-from-16-to-85-inches-starting-at-usd1-500
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Looking Glass demos Hololuminescent Display monitors — sizes range from 16 to 85 inches, starting at $1,500
    These displays don't need eye tracking, special glasses, and are good for group viewing.
    0 Comments 0 Shares 2 Views 0 Reviews
  • “AMD เปิดตัว Ryzen 9700F, 9500F, 7400 และ 5600F — ซีพียูรุ่นประหยัดที่ซ่อนพลังไว้มากกว่าที่คิด”

    AMD เปิดตัวซีพียูใหม่ 4 รุ่นแบบเงียบ ๆ โดยไม่จัดงานแถลงข่าวหรือประกาศอย่างเป็นทางการ แต่เพิ่มข้อมูลลงในเว็บไซต์ ได้แก่ Ryzen 7 9700F, Ryzen 5 9500F, Ryzen 5 7400 และ Ryzen 5 5600F ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่สถาปัตยกรรม Zen 5, Zen 4 ไปจนถึง Zen 3 โดยเน้นกลุ่มผู้ใช้ระดับเริ่มต้นและตลาดต่างประเทศ

    Ryzen 7 9700F และ Ryzen 5 9500F เป็นชิป Zen 5 แบบไม่มีกราฟิกในตัว (iGPU-less) โดย 9700F มี 8 คอร์ 16 เธรด, L3 cache 32MB, TDP 65W และบูสต์สูงสุด 5.5GHz ส่วน 9500F มี 6 คอร์ 12 เธรด และบูสต์สูงสุด 5.0GHz ทั้งคู่ใช้แพลตฟอร์ม AM5 และรองรับ PCIe Gen5 รวมถึง DDR5 สูงสุด 192GB

    Ryzen 5 7400 เป็น Zen 4 รุ่นใหม่ที่มี 6 คอร์ 12 เธรด แต่มี L3 cache เพียง 16MB ซึ่งผิดปกติสำหรับชิปที่ใช้โครงสร้าง chiplet แบบ Raphael โดยคาดว่า AMD ปิดการทำงานของ cache บางส่วนเพื่อใช้ชิปที่มีตำหนิจากการผลิต ลดการสูญเปล่าและต้นทุน

    Ryzen 5 5600F เป็น Zen 3 รุ่นสุดท้ายที่ยังคงอยู่ในตลาด โดยมี 6 คอร์ 12 เธรด, L3 cache 32MB และบูสต์สูงสุด 4.0GHz แม้จะใช้ชื่อ F-series แต่จริง ๆ แล้ว Zen 3 ไม่มี iGPU อยู่แล้ว จึงเป็นการรีแบรนด์เพื่อขายในตลาดเอเชียโดยเฉพาะ

    ชิปเหล่านี้ส่วนใหญ่จะวางขายเฉพาะในภูมิภาค เช่น 9700F ในอเมริกาเหนือ, 5600F ในเอเชียแปซิฟิก และ 7400F เฉพาะในจีน โดยมีเพียง 9500F ที่มีวางจำหน่ายทั่วโลก ซึ่งสะท้อนกลยุทธ์ของ AMD ที่เน้นการใช้ชิปที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในแต่ละตลาด

    ข้อมูลซีพียูใหม่จาก AMD
    Ryzen 7 9700F: Zen 5, 8 คอร์, 5.5GHz boost, ไม่มี iGPU
    Ryzen 5 9500F: Zen 5, 6 คอร์, 5.0GHz boost, ไม่มี iGPU
    Ryzen 5 7400: Zen 4, 6 คอร์, L3 cache 16MB, ลดต้นทุนจากชิปที่มีตำหนิ
    Ryzen 5 5600F: Zen 3, 6 คอร์, ไม่มี iGPU โดยธรรมชาติ

    จุดเด่นและกลยุทธ์
    ใช้แพลตฟอร์ม AM5 รองรับ PCIe Gen5 และ DDR5 สูงสุด 192GB
    เปิดตัวแบบเงียบ ๆ โดยเพิ่มข้อมูลลงในเว็บไซต์เท่านั้น
    F-series คือรุ่นไม่มีกราฟิกในตัว และบางรุ่นมีสเปกใกล้เคียงกับรุ่น X
    วางจำหน่ายแบบจำกัดภูมิภาคตามความเหมาะสมของตลาด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Ryzen 5 9500F คาดว่าราคาอยู่ที่ประมาณ $218 และ 9700F ที่ $294
    Zen 5 มีการปรับปรุงด้าน branch prediction, ALU และ cache hierarchy
    Ryzen 5 7400F มี L3 cache 32MB และบูสต์สูงกว่า 7400 ถึง 400MHz
    Intel ก็ใช้กลยุทธ์คล้ายกัน โดยนำชิปเก่ากลับมารีแบรนด์ใน Ultra Series 1

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-launches-four-new-ryzen-cpus-including-cutdown-zen-4-and-zen-3-models-most-only-available-in-global-markets
    🧠 “AMD เปิดตัว Ryzen 9700F, 9500F, 7400 และ 5600F — ซีพียูรุ่นประหยัดที่ซ่อนพลังไว้มากกว่าที่คิด” AMD เปิดตัวซีพียูใหม่ 4 รุ่นแบบเงียบ ๆ โดยไม่จัดงานแถลงข่าวหรือประกาศอย่างเป็นทางการ แต่เพิ่มข้อมูลลงในเว็บไซต์ ได้แก่ Ryzen 7 9700F, Ryzen 5 9500F, Ryzen 5 7400 และ Ryzen 5 5600F ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่สถาปัตยกรรม Zen 5, Zen 4 ไปจนถึง Zen 3 โดยเน้นกลุ่มผู้ใช้ระดับเริ่มต้นและตลาดต่างประเทศ Ryzen 7 9700F และ Ryzen 5 9500F เป็นชิป Zen 5 แบบไม่มีกราฟิกในตัว (iGPU-less) โดย 9700F มี 8 คอร์ 16 เธรด, L3 cache 32MB, TDP 65W และบูสต์สูงสุด 5.5GHz ส่วน 9500F มี 6 คอร์ 12 เธรด และบูสต์สูงสุด 5.0GHz ทั้งคู่ใช้แพลตฟอร์ม AM5 และรองรับ PCIe Gen5 รวมถึง DDR5 สูงสุด 192GB Ryzen 5 7400 เป็น Zen 4 รุ่นใหม่ที่มี 6 คอร์ 12 เธรด แต่มี L3 cache เพียง 16MB ซึ่งผิดปกติสำหรับชิปที่ใช้โครงสร้าง chiplet แบบ Raphael โดยคาดว่า AMD ปิดการทำงานของ cache บางส่วนเพื่อใช้ชิปที่มีตำหนิจากการผลิต ลดการสูญเปล่าและต้นทุน Ryzen 5 5600F เป็น Zen 3 รุ่นสุดท้ายที่ยังคงอยู่ในตลาด โดยมี 6 คอร์ 12 เธรด, L3 cache 32MB และบูสต์สูงสุด 4.0GHz แม้จะใช้ชื่อ F-series แต่จริง ๆ แล้ว Zen 3 ไม่มี iGPU อยู่แล้ว จึงเป็นการรีแบรนด์เพื่อขายในตลาดเอเชียโดยเฉพาะ ชิปเหล่านี้ส่วนใหญ่จะวางขายเฉพาะในภูมิภาค เช่น 9700F ในอเมริกาเหนือ, 5600F ในเอเชียแปซิฟิก และ 7400F เฉพาะในจีน โดยมีเพียง 9500F ที่มีวางจำหน่ายทั่วโลก ซึ่งสะท้อนกลยุทธ์ของ AMD ที่เน้นการใช้ชิปที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในแต่ละตลาด ✅ ข้อมูลซีพียูใหม่จาก AMD ➡️ Ryzen 7 9700F: Zen 5, 8 คอร์, 5.5GHz boost, ไม่มี iGPU ➡️ Ryzen 5 9500F: Zen 5, 6 คอร์, 5.0GHz boost, ไม่มี iGPU ➡️ Ryzen 5 7400: Zen 4, 6 คอร์, L3 cache 16MB, ลดต้นทุนจากชิปที่มีตำหนิ ➡️ Ryzen 5 5600F: Zen 3, 6 คอร์, ไม่มี iGPU โดยธรรมชาติ ✅ จุดเด่นและกลยุทธ์ ➡️ ใช้แพลตฟอร์ม AM5 รองรับ PCIe Gen5 และ DDR5 สูงสุด 192GB ➡️ เปิดตัวแบบเงียบ ๆ โดยเพิ่มข้อมูลลงในเว็บไซต์เท่านั้น ➡️ F-series คือรุ่นไม่มีกราฟิกในตัว และบางรุ่นมีสเปกใกล้เคียงกับรุ่น X ➡️ วางจำหน่ายแบบจำกัดภูมิภาคตามความเหมาะสมของตลาด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Ryzen 5 9500F คาดว่าราคาอยู่ที่ประมาณ $218 และ 9700F ที่ $294 ➡️ Zen 5 มีการปรับปรุงด้าน branch prediction, ALU และ cache hierarchy ➡️ Ryzen 5 7400F มี L3 cache 32MB และบูสต์สูงกว่า 7400 ถึง 400MHz ➡️ Intel ก็ใช้กลยุทธ์คล้ายกัน โดยนำชิปเก่ากลับมารีแบรนด์ใน Ultra Series 1 https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-launches-four-new-ryzen-cpus-including-cutdown-zen-4-and-zen-3-models-most-only-available-in-global-markets
    0 Comments 0 Shares 3 Views 0 Reviews
  • “Corsair WS3000: พาวเวอร์ซัพพลาย 3,000W ที่เล็กแต่โหด — พร้อมรองรับ 4 การ์ดจอระดับเทพในเครื่องเดียว”

    Corsair เปิดตัว WS3000 พาวเวอร์ซัพพลายรุ่นใหม่ที่มีกำลังไฟสูงถึง 3,000 วัตต์ ซึ่งถือเป็นรุ่นแรกของแบรนด์ที่ทะลุขีดจำกัด 1,600W เดิม โดยออกแบบมาเพื่อรองรับระบบที่ใช้การ์ดจอหลายใบ เช่น เวิร์กสเตชันสำหรับงาน AI, เรนเดอร์ 3D หรือ CAD ที่ต้องการพลังงานมหาศาลและการจ่ายไฟที่เสถียร

    WS3000 เป็นพาวเวอร์ซัพพลายแบบ ATX 3.1 ที่มีขนาดเพียง 6.9 x 5.9 x 3.4 นิ้ว ซึ่งถือว่าเล็กมากเมื่อเทียบกับกำลังไฟที่ให้มา ทำให้สามารถติดตั้งในเคส ATX ทั่วไปได้โดยไม่ต้องปรับแต่งเพิ่มเติม ตัวเครื่องเป็นแบบ fully modular ช่วยให้จัดการสายไฟได้ง่าย และมาพร้อมกับพัดลมขนาด 140 มม. แบบลูกปืนคู่เพื่อการระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพ แม้จะไม่มีโหมด Zero RPM เพื่อความเงียบ แต่ก็ออกแบบมาเพื่อเน้นความเสถียรมากกว่าความเงียบ

    จุดเด่นคือการรองรับสายไฟแบบ 12V-2x6 จำนวน 4 เส้น ซึ่งสามารถจ่ายไฟให้การ์ดจอที่ใช้หัวต่อ 12VHPWR ได้สูงสุดถึง 600W ต่อเส้น รวมถึงสาย PCIe 8-pin แบบคู่ 4 เส้น และสาย EPS 8-pin สำหรับเมนบอร์ดระดับเวิร์กสเตชันอีก 2 เส้น

    WS3000 ใช้ระบบ single-rail ที่จ่ายไฟ +12V ได้สูงสุดถึง 250A และรองรับเฉพาะไฟบ้าน 220–240V เท่านั้น โดยใช้สายไฟแบบ C19 ที่ใหญ่และทนกระแสสูงกว่าสาย C13 ทั่วไป ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้ต้องมีระบบไฟฟ้าในบ้านที่รองรับการใช้งานระดับนี้

    Corsair รับประกัน WS3000 นานถึง 10 ปี และตั้งราคาขายไว้ที่ $599.99 แต่มีบางร้านในสหรัฐฯ ขายต่ำกว่าราคานี้เล็กน้อย

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Corsair เปิดตัว WS3000 พาวเวอร์ซัพพลายขนาด 3,000W รุ่นแรกของแบรนด์
    เป็นแบบ ATX 3.1 ขนาดเล็กเพียง 6.9 นิ้ว ติดตั้งในเคสทั่วไปได้
    ใช้ระบบ single-rail จ่ายไฟ +12V ได้สูงสุด 250A
    รองรับไฟบ้าน 220–240V และใช้สาย C19 ที่ทนกระแสสูง

    จุดเด่นด้านการเชื่อมต่อ
    มีสาย 12V-2x6 จำนวน 4 เส้น รองรับการ์ดจอ 600W ได้ 4 ใบ
    มีสาย PCIe 8-pin แบบคู่ 4 เส้น รวมเป็น 8 หัวต่อ
    มีสาย EPS 8-pin สำหรับเมนบอร์ดเวิร์กสเตชัน 2 เส้น
    เป็นแบบ fully modular ช่วยให้จัดการสายไฟได้ง่าย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เหมาะสำหรับงาน AI, เรนเดอร์ 3D, CAD และระบบ multi-GPU
    ใช้พัดลม 140 มม. แบบลูกปืนคู่เพื่อการระบายความร้อนที่เสถียร
    ไม่มี Zero RPM mode และไม่รองรับ Corsair iCUE
    รับประกันนาน 10 ปี และมี MTBF สูงถึง 100,000 ชั่วโมง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/power-supplies/corsair-launches-gargantuan-3-000w-power-supply-for-usd599-99-comes-with-four-native-12v-2x6-600w-gpu-cables
    ⚡ “Corsair WS3000: พาวเวอร์ซัพพลาย 3,000W ที่เล็กแต่โหด — พร้อมรองรับ 4 การ์ดจอระดับเทพในเครื่องเดียว” Corsair เปิดตัว WS3000 พาวเวอร์ซัพพลายรุ่นใหม่ที่มีกำลังไฟสูงถึง 3,000 วัตต์ ซึ่งถือเป็นรุ่นแรกของแบรนด์ที่ทะลุขีดจำกัด 1,600W เดิม โดยออกแบบมาเพื่อรองรับระบบที่ใช้การ์ดจอหลายใบ เช่น เวิร์กสเตชันสำหรับงาน AI, เรนเดอร์ 3D หรือ CAD ที่ต้องการพลังงานมหาศาลและการจ่ายไฟที่เสถียร WS3000 เป็นพาวเวอร์ซัพพลายแบบ ATX 3.1 ที่มีขนาดเพียง 6.9 x 5.9 x 3.4 นิ้ว ซึ่งถือว่าเล็กมากเมื่อเทียบกับกำลังไฟที่ให้มา ทำให้สามารถติดตั้งในเคส ATX ทั่วไปได้โดยไม่ต้องปรับแต่งเพิ่มเติม ตัวเครื่องเป็นแบบ fully modular ช่วยให้จัดการสายไฟได้ง่าย และมาพร้อมกับพัดลมขนาด 140 มม. แบบลูกปืนคู่เพื่อการระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพ แม้จะไม่มีโหมด Zero RPM เพื่อความเงียบ แต่ก็ออกแบบมาเพื่อเน้นความเสถียรมากกว่าความเงียบ จุดเด่นคือการรองรับสายไฟแบบ 12V-2x6 จำนวน 4 เส้น ซึ่งสามารถจ่ายไฟให้การ์ดจอที่ใช้หัวต่อ 12VHPWR ได้สูงสุดถึง 600W ต่อเส้น รวมถึงสาย PCIe 8-pin แบบคู่ 4 เส้น และสาย EPS 8-pin สำหรับเมนบอร์ดระดับเวิร์กสเตชันอีก 2 เส้น WS3000 ใช้ระบบ single-rail ที่จ่ายไฟ +12V ได้สูงสุดถึง 250A และรองรับเฉพาะไฟบ้าน 220–240V เท่านั้น โดยใช้สายไฟแบบ C19 ที่ใหญ่และทนกระแสสูงกว่าสาย C13 ทั่วไป ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้ต้องมีระบบไฟฟ้าในบ้านที่รองรับการใช้งานระดับนี้ Corsair รับประกัน WS3000 นานถึง 10 ปี และตั้งราคาขายไว้ที่ $599.99 แต่มีบางร้านในสหรัฐฯ ขายต่ำกว่าราคานี้เล็กน้อย ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Corsair เปิดตัว WS3000 พาวเวอร์ซัพพลายขนาด 3,000W รุ่นแรกของแบรนด์ ➡️ เป็นแบบ ATX 3.1 ขนาดเล็กเพียง 6.9 นิ้ว ติดตั้งในเคสทั่วไปได้ ➡️ ใช้ระบบ single-rail จ่ายไฟ +12V ได้สูงสุด 250A ➡️ รองรับไฟบ้าน 220–240V และใช้สาย C19 ที่ทนกระแสสูง ✅ จุดเด่นด้านการเชื่อมต่อ ➡️ มีสาย 12V-2x6 จำนวน 4 เส้น รองรับการ์ดจอ 600W ได้ 4 ใบ ➡️ มีสาย PCIe 8-pin แบบคู่ 4 เส้น รวมเป็น 8 หัวต่อ ➡️ มีสาย EPS 8-pin สำหรับเมนบอร์ดเวิร์กสเตชัน 2 เส้น ➡️ เป็นแบบ fully modular ช่วยให้จัดการสายไฟได้ง่าย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เหมาะสำหรับงาน AI, เรนเดอร์ 3D, CAD และระบบ multi-GPU ➡️ ใช้พัดลม 140 มม. แบบลูกปืนคู่เพื่อการระบายความร้อนที่เสถียร ➡️ ไม่มี Zero RPM mode และไม่รองรับ Corsair iCUE ➡️ รับประกันนาน 10 ปี และมี MTBF สูงถึง 100,000 ชั่วโมง https://www.tomshardware.com/pc-components/power-supplies/corsair-launches-gargantuan-3-000w-power-supply-for-usd599-99-comes-with-four-native-12v-2x6-600w-gpu-cables
    0 Comments 0 Shares 4 Views 0 Reviews
  • 'อรรถวิชช์' แฉเบื้องหลัง ‘พีระพันธุ์’ ไม่ถอนตัว! ลั่นเพราะมี ‘ตำแหน่งนายกฯ’ เป็นเดิมพัน!
    https://www.thai-tai.tv/news/21502/
    .
    #ไทยไท #พีระพันธุ์สาลีรัฐวิภาค #อรรถวิชช์สุวรรณภักดี #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    'อรรถวิชช์' แฉเบื้องหลัง ‘พีระพันธุ์’ ไม่ถอนตัว! ลั่นเพราะมี ‘ตำแหน่งนายกฯ’ เป็นเดิมพัน! https://www.thai-tai.tv/news/21502/ . #ไทยไท #พีระพันธุ์สาลีรัฐวิภาค #อรรถวิชช์สุวรรณภักดี #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    0 Comments 0 Shares 2 Views 0 Reviews
  • “ญี่ปุ่นอุดหนุนเรือวางสายเคเบิลใต้น้ำให้ NEC — ป้องกันความมั่นคงจากภัยไซเบอร์และการก่อวินาศกรรมในทะเลลึก”

    รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศอุดหนุนเงินสูงสุดถึงครึ่งหนึ่งของราคาซื้อเรือวางสายเคเบิลใต้น้ำให้กับบริษัท NEC ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ติดตั้งสายเคเบิลใต้น้ำรายใหญ่ที่สุดในเอเชีย โดยแต่ละลำมีมูลค่าประมาณ 300 ล้านดอลลาร์ การตัดสินใจครั้งนี้เกิดจากความกังวลด้านความมั่นคงระดับชาติ หลังเกิดเหตุการณ์ตัดสายเคเบิลใต้น้ำหลายครั้งทั่วโลกในช่วงปีที่ผ่านมา

    NEC เคยติดตั้งสายเคเบิลใต้น้ำมากกว่า 400,000 กิโลเมตรทั่วโลก แต่ไม่มีเรือเป็นของตัวเอง ต้องเช่าเรือจากบริษัทนอร์เวย์และบริษัทญี่ปุ่น เช่น NTT และ KDDI ซึ่งสามารถทำงานได้เฉพาะในน่านน้ำภูมิภาค ไม่สามารถเดินทางข้ามมหาสมุทรได้ ทำให้การตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินล่าช้า

    การอุดหนุนนี้เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์หลายครั้ง เช่น สายเคเบิลระหว่างฟินแลนด์–สวีเดนถูกตัดในเดือนพฤศจิกายน 2024 และสายเคเบิลระหว่างสหรัฐฯ–ไต้หวันถูกสงสัยว่าถูกเรือจีนทำให้เสียหายในเดือนมกราคม 2025 ซึ่งสร้างความเสียหายต่อการสื่อสารระหว่างประเทศอย่างรุนแรง

    รัฐบาลญี่ปุ่นมองว่าการไม่มีเรือเป็นของตัวเองคือ “ความเสี่ยงด้านความมั่นคง” และการพึ่งพาบริษัทต่างชาติอาจเปิดช่องให้เกิดการสอดแนมหรือก่อวินาศกรรมได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะเมื่อสายเคเบิลใต้น้ำส่วนใหญ่ถูกวางในน่านน้ำสากล ซึ่งการทำลายไม่ถือเป็นการประกาศสงครามโดยตรง

    แม้ NEC จะยอมรับว่าการมีเรือเป็นของตัวเองคือ “ต้นทุนคงที่มหาศาล” แต่ในช่วงที่ตลาดเคเบิลใต้น้ำกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว การลงทุนนี้อาจคุ้มค่าในระยะยาว และช่วยให้ญี่ปุ่นมีความสามารถในการป้องกันโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารที่สำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    รัฐบาลญี่ปุ่นจะอุดหนุนสูงสุดครึ่งหนึ่งของราคาซื้อเรือวางสายเคเบิลใต้น้ำให้ NEC
    เรือแต่ละลำมีมูลค่าประมาณ 300 ล้านดอลลาร์
    NEC เป็นผู้ติดตั้งสายเคเบิลใต้น้ำรายใหญ่ที่สุดในเอเชีย แต่ไม่มีเรือเป็นของตัวเอง
    ปัจจุบัน NEC เช่าเรือจากบริษัทนอร์เวย์และญี่ปุ่น ซึ่งจำกัดการใช้งานเฉพาะในภูมิภาค

    เหตุผลด้านความมั่นคง
    เกิดเหตุการณ์ตัดสายเคเบิลใต้น้ำหลายครั้ง เช่น ฟินแลนด์–สวีเดน และสหรัฐฯ–ไต้หวัน
    สายเคเบิลใต้น้ำส่วนใหญ่ถูกวางในน่านน้ำสากล ทำให้การทำลายไม่ถือเป็นสงคราม
    การไม่มีเรือเป็นของตัวเองทำให้ NEC ตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินได้ช้า
    รัฐบาลมองว่าเป็น “ความเสี่ยงด้านความมั่นคงระดับชาติ”

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    คู่แข่งของ NEC เช่น SubCom (สหรัฐฯ), Alcatel Submarine Networks (ฝรั่งเศส), และ HMN Tech (จีน) ต่างมีเรือเป็นของตัวเอง
    จีนวางสายเคเบิลใต้น้ำหลายหมื่นกิโลเมตรทั่วโลกในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
    NEC เชี่ยวชาญด้านสายเคเบิลหุ้มเกราะที่ทนต่อการก่อวินาศกรรม
    ตลาดเคเบิลใต้น้ำในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

    https://www.tomshardware.com/networking/japan-to-subsidize-undersea-cable-vessels-over-very-serious-national-security-concerns-will-front-up-to-half-the-cost-for-usd300-million-vessels-bought-by-nec
    🌊 “ญี่ปุ่นอุดหนุนเรือวางสายเคเบิลใต้น้ำให้ NEC — ป้องกันความมั่นคงจากภัยไซเบอร์และการก่อวินาศกรรมในทะเลลึก” รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศอุดหนุนเงินสูงสุดถึงครึ่งหนึ่งของราคาซื้อเรือวางสายเคเบิลใต้น้ำให้กับบริษัท NEC ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ติดตั้งสายเคเบิลใต้น้ำรายใหญ่ที่สุดในเอเชีย โดยแต่ละลำมีมูลค่าประมาณ 300 ล้านดอลลาร์ การตัดสินใจครั้งนี้เกิดจากความกังวลด้านความมั่นคงระดับชาติ หลังเกิดเหตุการณ์ตัดสายเคเบิลใต้น้ำหลายครั้งทั่วโลกในช่วงปีที่ผ่านมา NEC เคยติดตั้งสายเคเบิลใต้น้ำมากกว่า 400,000 กิโลเมตรทั่วโลก แต่ไม่มีเรือเป็นของตัวเอง ต้องเช่าเรือจากบริษัทนอร์เวย์และบริษัทญี่ปุ่น เช่น NTT และ KDDI ซึ่งสามารถทำงานได้เฉพาะในน่านน้ำภูมิภาค ไม่สามารถเดินทางข้ามมหาสมุทรได้ ทำให้การตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินล่าช้า การอุดหนุนนี้เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์หลายครั้ง เช่น สายเคเบิลระหว่างฟินแลนด์–สวีเดนถูกตัดในเดือนพฤศจิกายน 2024 และสายเคเบิลระหว่างสหรัฐฯ–ไต้หวันถูกสงสัยว่าถูกเรือจีนทำให้เสียหายในเดือนมกราคม 2025 ซึ่งสร้างความเสียหายต่อการสื่อสารระหว่างประเทศอย่างรุนแรง รัฐบาลญี่ปุ่นมองว่าการไม่มีเรือเป็นของตัวเองคือ “ความเสี่ยงด้านความมั่นคง” และการพึ่งพาบริษัทต่างชาติอาจเปิดช่องให้เกิดการสอดแนมหรือก่อวินาศกรรมได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะเมื่อสายเคเบิลใต้น้ำส่วนใหญ่ถูกวางในน่านน้ำสากล ซึ่งการทำลายไม่ถือเป็นการประกาศสงครามโดยตรง แม้ NEC จะยอมรับว่าการมีเรือเป็นของตัวเองคือ “ต้นทุนคงที่มหาศาล” แต่ในช่วงที่ตลาดเคเบิลใต้น้ำกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว การลงทุนนี้อาจคุ้มค่าในระยะยาว และช่วยให้ญี่ปุ่นมีความสามารถในการป้องกันโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารที่สำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ รัฐบาลญี่ปุ่นจะอุดหนุนสูงสุดครึ่งหนึ่งของราคาซื้อเรือวางสายเคเบิลใต้น้ำให้ NEC ➡️ เรือแต่ละลำมีมูลค่าประมาณ 300 ล้านดอลลาร์ ➡️ NEC เป็นผู้ติดตั้งสายเคเบิลใต้น้ำรายใหญ่ที่สุดในเอเชีย แต่ไม่มีเรือเป็นของตัวเอง ➡️ ปัจจุบัน NEC เช่าเรือจากบริษัทนอร์เวย์และญี่ปุ่น ซึ่งจำกัดการใช้งานเฉพาะในภูมิภาค ✅ เหตุผลด้านความมั่นคง ➡️ เกิดเหตุการณ์ตัดสายเคเบิลใต้น้ำหลายครั้ง เช่น ฟินแลนด์–สวีเดน และสหรัฐฯ–ไต้หวัน ➡️ สายเคเบิลใต้น้ำส่วนใหญ่ถูกวางในน่านน้ำสากล ทำให้การทำลายไม่ถือเป็นสงคราม ➡️ การไม่มีเรือเป็นของตัวเองทำให้ NEC ตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินได้ช้า ➡️ รัฐบาลมองว่าเป็น “ความเสี่ยงด้านความมั่นคงระดับชาติ” ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ คู่แข่งของ NEC เช่น SubCom (สหรัฐฯ), Alcatel Submarine Networks (ฝรั่งเศส), และ HMN Tech (จีน) ต่างมีเรือเป็นของตัวเอง ➡️ จีนวางสายเคเบิลใต้น้ำหลายหมื่นกิโลเมตรทั่วโลกในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ➡️ NEC เชี่ยวชาญด้านสายเคเบิลหุ้มเกราะที่ทนต่อการก่อวินาศกรรม ➡️ ตลาดเคเบิลใต้น้ำในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว https://www.tomshardware.com/networking/japan-to-subsidize-undersea-cable-vessels-over-very-serious-national-security-concerns-will-front-up-to-half-the-cost-for-usd300-million-vessels-bought-by-nec
    0 Comments 0 Shares 5 Views 0 Reviews
  • เขมรรื้อลวดหนาม ปชช.ฝากถาม บทลงโทษใช้หรือยัง??? (17/9/68)

    #เขมรล้ำแดน
    #รั้วชายแดน
    #บทลงโทษมีจริงไหม
    #ข่าววันนี้
    #News1short
    #ThaiTimes
    #TruthFromThailand
    #CambodiaNoCeasefire
    #Hunsenfiredfirst
    #scambodia
    #news1
    #shorts
    เขมรรื้อลวดหนาม ปชช.ฝากถาม บทลงโทษใช้หรือยัง??? (17/9/68) #เขมรล้ำแดน #รั้วชายแดน #บทลงโทษมีจริงไหม #ข่าววันนี้ #News1short #ThaiTimes #TruthFromThailand #CambodiaNoCeasefire #Hunsenfiredfirst #scambodia #news1 #shorts
    0 Comments 0 Shares 5 Views 0 0 Reviews
  • “Tencent หันหลังให้ Nvidia — ปรับโครงสร้าง AI สู่ชิปจีนเต็มรูปแบบ ท่ามกลางแรงกดดันจากสงครามเทคโนโลยี”

    Tencent บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีน ประกาศอย่างเป็นทางการในงาน Global Digital Ecosystem Summit เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2025 ว่าได้ “ปรับโครงสร้างระบบประมวลผล AI ทั้งหมด” เพื่อรองรับชิปที่ออกแบบโดยบริษัทจีน โดยไม่พึ่งพา Nvidia อีกต่อไป ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในยุทธศาสตร์ด้านฮาร์ดแวร์ของบริษัท และสะท้อนแนวโน้มการพึ่งพาตนเองของจีนในยุคที่การส่งออกเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ ถูกจำกัดอย่างเข้มงวด

    Qiu Yuepeng ประธาน Tencent Cloud ยืนยันว่าบริษัทได้ใช้ “ชิปจีนกระแสหลัก” ในการผลิตจริง ไม่ใช่แค่ทดลอง และกำลังร่วมมือกับผู้ผลิตชิปหลายรายเพื่อเลือกฮาร์ดแวร์ที่เหมาะสมกับแต่ละงาน พร้อมลงทุนระยะยาวเพื่อพัฒนาโครงสร้างร่วมระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เพื่อลดต้นทุนการประมวลผล

    การประกาศนี้เกิดขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังจากหน่วยงานกำกับดูแลของจีนเปิดเผยว่า Nvidia ละเมิดกฎการควบรวมกิจการจากการซื้อ Mellanox ในปี 2019 ซึ่งเพิ่มแรงกดดันให้บริษัทจีนต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง

    แม้ Tencent จะไม่เปิดเผยชื่อชิปที่ใช้งานจริง แต่หลายฝ่ายคาดว่าเป็น Huawei Ascend ซึ่งมีการใช้งานแล้วใน ByteDance และได้รับการสนับสนุนจากเฟรมเวิร์ก MindSpore ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อสงสัยว่าชิปเหล่านี้จะสามารถรองรับการฝึกโมเดลขนาดใหญ่ได้จริงหรือไม่ เนื่องจาก Huawei ถูกคาดว่าจะผลิตได้เพียง 200,000 ชิป AI ในปีหน้า

    Tencent ยังระบุว่ามีชิปสำหรับการฝึกโมเดลเพียงพอในคลัง และมี “หลายทางเลือก” สำหรับ inference ซึ่งสะท้อนถึงการกระจายความเสี่ยงด้านซัพพลายเชนอย่างชัดเจน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Tencent ประกาศปรับโครงสร้างระบบ AI เพื่อรองรับชิปจีนเต็มรูปแบบ
    ใช้ชิปจีนกระแสหลักในระดับการผลิตจริง ไม่ใช่แค่ทดลอง
    ร่วมมือกับผู้ผลิตหลายรายเพื่อเลือกฮาร์ดแวร์ที่เหมาะสมกับแต่ละงาน
    ลงทุนระยะยาวเพื่อพัฒนาโครงสร้างร่วมระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์

    ความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้อง
    Nvidia ถูกกล่าวหาว่าละเมิดกฎการควบรวมกิจการในจีนจากดีล Mellanox
    Tencent มีชิปสำหรับการฝึกโมเดลเพียงพอ และมีหลายทางเลือกสำหรับ inference
    DeepSeek AI ประกาศว่าโมเดล V3.1 ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับชิปจีนรุ่นใหม่
    Huawei Ascend ถูกใช้งานใน ByteDance และมีเฟรมเวิร์ก MindSpore รองรับ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    จีนตั้งเป้าให้บริษัทในประเทศใช้ชิปจีนอย่างน้อย 50% ภายในปี 2026
    กลุ่ม Model-Chips Ecosystem Innovation Alliance ก่อตั้งขึ้นเพื่อผลักดันการใช้ชิปจีนในงาน AI
    การเปลี่ยนจาก Nvidia ไปยังชิปจีนต้องใช้เวลาและต้นทุนสูงในการปรับซอฟต์แวร์
    Huawei Ascend ยังมีข้อจำกัดด้านปริมาณการผลิตและการเข้าถึง HBM

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tencent-goes-public-with-pivot-to-chinese-chips
    🇨🇳 “Tencent หันหลังให้ Nvidia — ปรับโครงสร้าง AI สู่ชิปจีนเต็มรูปแบบ ท่ามกลางแรงกดดันจากสงครามเทคโนโลยี” Tencent บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีน ประกาศอย่างเป็นทางการในงาน Global Digital Ecosystem Summit เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2025 ว่าได้ “ปรับโครงสร้างระบบประมวลผล AI ทั้งหมด” เพื่อรองรับชิปที่ออกแบบโดยบริษัทจีน โดยไม่พึ่งพา Nvidia อีกต่อไป ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในยุทธศาสตร์ด้านฮาร์ดแวร์ของบริษัท และสะท้อนแนวโน้มการพึ่งพาตนเองของจีนในยุคที่การส่งออกเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ ถูกจำกัดอย่างเข้มงวด Qiu Yuepeng ประธาน Tencent Cloud ยืนยันว่าบริษัทได้ใช้ “ชิปจีนกระแสหลัก” ในการผลิตจริง ไม่ใช่แค่ทดลอง และกำลังร่วมมือกับผู้ผลิตชิปหลายรายเพื่อเลือกฮาร์ดแวร์ที่เหมาะสมกับแต่ละงาน พร้อมลงทุนระยะยาวเพื่อพัฒนาโครงสร้างร่วมระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เพื่อลดต้นทุนการประมวลผล การประกาศนี้เกิดขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังจากหน่วยงานกำกับดูแลของจีนเปิดเผยว่า Nvidia ละเมิดกฎการควบรวมกิจการจากการซื้อ Mellanox ในปี 2019 ซึ่งเพิ่มแรงกดดันให้บริษัทจีนต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง แม้ Tencent จะไม่เปิดเผยชื่อชิปที่ใช้งานจริง แต่หลายฝ่ายคาดว่าเป็น Huawei Ascend ซึ่งมีการใช้งานแล้วใน ByteDance และได้รับการสนับสนุนจากเฟรมเวิร์ก MindSpore ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อสงสัยว่าชิปเหล่านี้จะสามารถรองรับการฝึกโมเดลขนาดใหญ่ได้จริงหรือไม่ เนื่องจาก Huawei ถูกคาดว่าจะผลิตได้เพียง 200,000 ชิป AI ในปีหน้า Tencent ยังระบุว่ามีชิปสำหรับการฝึกโมเดลเพียงพอในคลัง และมี “หลายทางเลือก” สำหรับ inference ซึ่งสะท้อนถึงการกระจายความเสี่ยงด้านซัพพลายเชนอย่างชัดเจน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Tencent ประกาศปรับโครงสร้างระบบ AI เพื่อรองรับชิปจีนเต็มรูปแบบ ➡️ ใช้ชิปจีนกระแสหลักในระดับการผลิตจริง ไม่ใช่แค่ทดลอง ➡️ ร่วมมือกับผู้ผลิตหลายรายเพื่อเลือกฮาร์ดแวร์ที่เหมาะสมกับแต่ละงาน ➡️ ลงทุนระยะยาวเพื่อพัฒนาโครงสร้างร่วมระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ✅ ความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้อง ➡️ Nvidia ถูกกล่าวหาว่าละเมิดกฎการควบรวมกิจการในจีนจากดีล Mellanox ➡️ Tencent มีชิปสำหรับการฝึกโมเดลเพียงพอ และมีหลายทางเลือกสำหรับ inference ➡️ DeepSeek AI ประกาศว่าโมเดล V3.1 ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับชิปจีนรุ่นใหม่ ➡️ Huawei Ascend ถูกใช้งานใน ByteDance และมีเฟรมเวิร์ก MindSpore รองรับ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ จีนตั้งเป้าให้บริษัทในประเทศใช้ชิปจีนอย่างน้อย 50% ภายในปี 2026 ➡️ กลุ่ม Model-Chips Ecosystem Innovation Alliance ก่อตั้งขึ้นเพื่อผลักดันการใช้ชิปจีนในงาน AI ➡️ การเปลี่ยนจาก Nvidia ไปยังชิปจีนต้องใช้เวลาและต้นทุนสูงในการปรับซอฟต์แวร์ ➡️ Huawei Ascend ยังมีข้อจำกัดด้านปริมาณการผลิตและการเข้าถึง HBM https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/tencent-goes-public-with-pivot-to-chinese-chips
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Chinese giant Tencent announces domestic AI chip push — says it has fully adapted infrastructure to support homegrown silicon in blow to Nvidia
    Tencent goes public with its pivot to Chinese accelerators, highlighting a deeper break from Nvidia as domestic AI hardware matures.
    0 Comments 0 Shares 6 Views 0 Reviews
  • “Intel Core Ultra 3 205: ซีพียูระดับเริ่มต้นที่ไม่ธรรมดา — แรงเกินคาด แซง Core i3 และ i5 รุ่นก่อนหน้า”

    Intel กำลังกลับมาอย่างน่าสนใจในตลาดซีพียูระดับเริ่มต้น ด้วยการเปิดตัว Core Ultra 3 205 ซึ่งเป็นรุ่นล่างสุดของตระกูล Arrow Lake สำหรับเดสก์ท็อป แม้ยังไม่วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ แต่รีวิวจาก Bulls Lab ในเกาหลีใต้ได้เผยให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่น่าทึ่งเกินคาด

    Core Ultra 3 205 ใช้สถาปัตยกรรมแบบ hybrid มี 4 P-core ที่เร่งได้ถึง 4.9 GHz และ 4 E-core ที่เร่งได้ถึง 4.4 GHz เมื่อจับคู่กับเมนบอร์ด H810 และแรม DDR5 32GB พบว่าสามารถใช้งานทั่วไปได้ลื่นไหล เปิดหลายแท็บเบราว์เซอร์พร้อมกัน และดูวิดีโอ YouTube 8K โดยใช้พลังงานต่ำ

    ผลการทดสอบ Cinebench R23 พบว่าได้คะแนน multi-core สูงถึง 13,394 ซึ่งมากกว่า Core i3-14100 ถึง 48% และคะแนน single-core ที่ 1,983 ก็ยังเหนือกว่า Core i5-14400 ด้วยซ้ำ นอกจากนี้ iGPU ที่ติดมากับชิปยังใช้ Xe-core 2 ตัว ทำให้เล่นเกมเบา ๆ อย่าง DOTA และ Valorant ได้สบาย ๆ

    ราคาที่คาดการณ์อยู่ที่ประมาณ $140 หรือ 199,000 วอน ซึ่งถือว่าเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประกอบเครื่องราคาประหยัด โดย Bulls Lab ยังพบว่ามีพีซีสำเร็จรูปที่ใช้ชิปนี้พร้อม RAM 8GB และ SSD 500GB วางขายในราคาเพียง $360

    แม้จะดูน่าสนใจ แต่ Intel ยังไม่เปิดตัวชิปนี้ในช่องทางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ และอาจวางขายเฉพาะในตลาด OEM หรือพีซีสำเร็จรูปเท่านั้น ซึ่งอาจทำให้ผู้ประกอบเครื่อง DIY เข้าถึงได้ยาก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Core Ultra 3 205 เป็นซีพียูระดับเริ่มต้นในตระกูล Arrow Lake
    ใช้ hybrid architecture: 4 P-core (สูงสุด 4.9 GHz) + 4 E-core (สูงสุด 4.4 GHz)
    ทดสอบกับเมนบอร์ด H810 และ RAM DDR5 32GB
    ใช้งานทั่วไปลื่นไหล ดู YouTube 8K ได้โดยใช้พลังงานต่ำ

    ผลการทดสอบประสิทธิภาพ
    Cinebench R23 multi-core: 13,394 คะแนน (สูงกว่า Core i3-14100 ถึง 48%)
    Single-core: 1,983 คะแนน (เหนือกว่า Core i5-14400)
    iGPU ใช้ Xe-core 2 ตัว เล่นเกมเบา ๆ ได้ดี
    ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ Core Ultra 5 225 ในด้านกราฟิก

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ใช้พลังงานสูงสุด 65W — แนะนำให้ใช้ฮีตซิงก์จากผู้ผลิตอื่นแทนของ Intel
    ราคา CPU ประมาณ $140 และพีซีสำเร็จรูปอยู่ที่ $360
    รองรับ DDR5 ความเร็วสูงถึง 6400 MHz และมี L2 cache ขนาด 16MB
    ผลิตบนกระบวนการ 3nm — เล็กกว่า Core i3-14100 ที่ใช้ 10nm

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-core-ultra-3-205-delivers-impressive-results-in-early-review-reportedly-surpasses-previous-gen-core-i3-14100-and-core-i5-14400
    ⚙️ “Intel Core Ultra 3 205: ซีพียูระดับเริ่มต้นที่ไม่ธรรมดา — แรงเกินคาด แซง Core i3 และ i5 รุ่นก่อนหน้า” Intel กำลังกลับมาอย่างน่าสนใจในตลาดซีพียูระดับเริ่มต้น ด้วยการเปิดตัว Core Ultra 3 205 ซึ่งเป็นรุ่นล่างสุดของตระกูล Arrow Lake สำหรับเดสก์ท็อป แม้ยังไม่วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ แต่รีวิวจาก Bulls Lab ในเกาหลีใต้ได้เผยให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่น่าทึ่งเกินคาด Core Ultra 3 205 ใช้สถาปัตยกรรมแบบ hybrid มี 4 P-core ที่เร่งได้ถึง 4.9 GHz และ 4 E-core ที่เร่งได้ถึง 4.4 GHz เมื่อจับคู่กับเมนบอร์ด H810 และแรม DDR5 32GB พบว่าสามารถใช้งานทั่วไปได้ลื่นไหล เปิดหลายแท็บเบราว์เซอร์พร้อมกัน และดูวิดีโอ YouTube 8K โดยใช้พลังงานต่ำ ผลการทดสอบ Cinebench R23 พบว่าได้คะแนน multi-core สูงถึง 13,394 ซึ่งมากกว่า Core i3-14100 ถึง 48% และคะแนน single-core ที่ 1,983 ก็ยังเหนือกว่า Core i5-14400 ด้วยซ้ำ นอกจากนี้ iGPU ที่ติดมากับชิปยังใช้ Xe-core 2 ตัว ทำให้เล่นเกมเบา ๆ อย่าง DOTA และ Valorant ได้สบาย ๆ ราคาที่คาดการณ์อยู่ที่ประมาณ $140 หรือ 199,000 วอน ซึ่งถือว่าเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประกอบเครื่องราคาประหยัด โดย Bulls Lab ยังพบว่ามีพีซีสำเร็จรูปที่ใช้ชิปนี้พร้อม RAM 8GB และ SSD 500GB วางขายในราคาเพียง $360 แม้จะดูน่าสนใจ แต่ Intel ยังไม่เปิดตัวชิปนี้ในช่องทางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ และอาจวางขายเฉพาะในตลาด OEM หรือพีซีสำเร็จรูปเท่านั้น ซึ่งอาจทำให้ผู้ประกอบเครื่อง DIY เข้าถึงได้ยาก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Core Ultra 3 205 เป็นซีพียูระดับเริ่มต้นในตระกูล Arrow Lake ➡️ ใช้ hybrid architecture: 4 P-core (สูงสุด 4.9 GHz) + 4 E-core (สูงสุด 4.4 GHz) ➡️ ทดสอบกับเมนบอร์ด H810 และ RAM DDR5 32GB ➡️ ใช้งานทั่วไปลื่นไหล ดู YouTube 8K ได้โดยใช้พลังงานต่ำ ✅ ผลการทดสอบประสิทธิภาพ ➡️ Cinebench R23 multi-core: 13,394 คะแนน (สูงกว่า Core i3-14100 ถึง 48%) ➡️ Single-core: 1,983 คะแนน (เหนือกว่า Core i5-14400) ➡️ iGPU ใช้ Xe-core 2 ตัว เล่นเกมเบา ๆ ได้ดี ➡️ ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ Core Ultra 5 225 ในด้านกราฟิก ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ใช้พลังงานสูงสุด 65W — แนะนำให้ใช้ฮีตซิงก์จากผู้ผลิตอื่นแทนของ Intel ➡️ ราคา CPU ประมาณ $140 และพีซีสำเร็จรูปอยู่ที่ $360 ➡️ รองรับ DDR5 ความเร็วสูงถึง 6400 MHz และมี L2 cache ขนาด 16MB ➡️ ผลิตบนกระบวนการ 3nm — เล็กกว่า Core i3-14100 ที่ใช้ 10nm https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-core-ultra-3-205-delivers-impressive-results-in-early-review-reportedly-surpasses-previous-gen-core-i3-14100-and-core-i5-14400
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 Reviews
  • ย้อนฟังแล้วร้องอ๋อ แม่ทัพภาคที่1พูดแบบนี้ เขมรถึงกล้าเหิม! (17/9/68)

    #แม่ทัพภาคที่1
    #เขมรเหิม
    #ชายแดนไทย
    #ข่าววันนี้
    #News1short
    #ThaiTimes
    #TruthFromThailand
    #CambodiaNoCeasefire
    #Hunsenfiredfirst
    #scambodia
    #news1
    #shorts
    ย้อนฟังแล้วร้องอ๋อ แม่ทัพภาคที่1พูดแบบนี้ เขมรถึงกล้าเหิม! (17/9/68) #แม่ทัพภาคที่1 #เขมรเหิม #ชายแดนไทย #ข่าววันนี้ #News1short #ThaiTimes #TruthFromThailand #CambodiaNoCeasefire #Hunsenfiredfirst #scambodia #news1 #shorts
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 0 Reviews
  • “Quantum Motion เปิดตัวคอมพิวเตอร์ควอนตัมจากชิปซิลิคอน — จุดเปลี่ยนที่อาจทำให้ควอนตัมกลายเป็นเรื่อง ‘ธรรมดา’”

    Quantum Motion สตาร์ทอัพจากสหราชอาณาจักรที่แยกตัวจากมหาวิทยาลัย Oxford และ UCL ได้ประกาศเปิดตัวคอมพิวเตอร์ควอนตัมแบบ full-stack เครื่องแรกของโลกที่สร้างขึ้นจากเทคโนโลยีชิปซิลิคอนมาตรฐานแบบเดียวกับที่ใช้ในโน้ตบุ๊กและสมาร์ตโฟน โดยระบบนี้ถูกติดตั้งแล้วที่ศูนย์ National Quantum Computing Centre (NQCC) ของสหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2025

    สิ่งที่ทำให้ระบบนี้โดดเด่นคือการใช้กระบวนการผลิต CMOS ขนาด 300 มม. ซึ่งสามารถผลิตได้ในโรงงานชิปทั่วไป และติดตั้งในตู้เซิร์ฟเวอร์ขนาดมาตรฐาน 19 นิ้วเพียง 3 ตู้เท่านั้น — รวมถึงระบบ cryogenics และอุปกรณ์ควบคุมทั้งหมด ถือเป็น “quantum computing’s silicon moment” ที่อาจเปลี่ยนเกมการผลิตฮาร์ดแวร์ควอนตัมให้สามารถขยายได้ในระดับอุตสาหกรรม

    ระบบนี้ใช้สถาปัตยกรรมแบบ tileable ที่สามารถขยายจำนวน qubit ได้ในอนาคต และรองรับเฟรมเวิร์กยอดนิยมอย่าง Qiskit และ Cirq ทำให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอปควอนตัมได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนเครื่องมือใหม่ทั้งหมด

    แม้จะเป็นก้าวใหญ่ด้านวิศวกรรม แต่ Quantum Motion ยังไม่ได้เปิดเผยข้อมูลสำคัญ เช่น จำนวน qubit, ความแม่นยำของ gate, เวลาคงอยู่ของ qubit หรือ benchmark ใด ๆ ทั้งสิ้น ทำให้ยังไม่สามารถประเมินประสิทธิภาพจริงได้ในตอนนี้ และต้องรอการทดสอบจาก NQCC ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Quantum Motion เปิดตัวคอมพิวเตอร์ควอนตัมแบบ full-stack จากชิปซิลิคอนมาตรฐาน
    ใช้กระบวนการผลิต CMOS ขนาด 300 มม. ที่สามารถผลิตในโรงงานทั่วไป
    ติดตั้งในศูนย์ NQCC ของสหราชอาณาจักรเมื่อ 15 กันยายน 2025
    ระบบทั้งหมดอยู่ในตู้เซิร์ฟเวอร์ขนาด 19 นิ้วเพียง 3 ตู้ รวมถึงตู้เย็นควอนตัมและอุปกรณ์ควบคุม

    จุดเด่นด้านเทคโนโลยี
    ใช้สถาปัตยกรรม tileable ที่สามารถขยายจำนวน qubit ได้ในอนาคต
    รองรับเฟรมเวิร์กยอดนิยม เช่น Qiskit และ Cirq
    ออกแบบให้สามารถติดตั้งในศูนย์ข้อมูลทั่วไปโดยไม่ต้องปรับโครงสร้าง
    เป็นระบบแรกที่ใช้ชิปซิลิคอนแบบ mass manufacturable สำหรับควอนตัม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Quantum Motion ก่อตั้งในปี 2017 โดยนักวิจัยจาก Oxford และ UCL
    ได้รับเงินทุนกว่า $50.8 ล้านในปี 2023 และเข้าร่วมโครงการ DARPA QBI ในปี 2025
    การใช้ชิปซิลิคอนช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการผลิตจำนวนมาก
    หากสำเร็จ อาจนำไปสู่การใช้งานควอนตัมในด้านพลังงาน ยา และการเงินอย่างแพร่หลาย

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/supercomputers/uk-start-up-quantum-computer-runs-on-standard-chips
    🧊 “Quantum Motion เปิดตัวคอมพิวเตอร์ควอนตัมจากชิปซิลิคอน — จุดเปลี่ยนที่อาจทำให้ควอนตัมกลายเป็นเรื่อง ‘ธรรมดา’” Quantum Motion สตาร์ทอัพจากสหราชอาณาจักรที่แยกตัวจากมหาวิทยาลัย Oxford และ UCL ได้ประกาศเปิดตัวคอมพิวเตอร์ควอนตัมแบบ full-stack เครื่องแรกของโลกที่สร้างขึ้นจากเทคโนโลยีชิปซิลิคอนมาตรฐานแบบเดียวกับที่ใช้ในโน้ตบุ๊กและสมาร์ตโฟน โดยระบบนี้ถูกติดตั้งแล้วที่ศูนย์ National Quantum Computing Centre (NQCC) ของสหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2025 สิ่งที่ทำให้ระบบนี้โดดเด่นคือการใช้กระบวนการผลิต CMOS ขนาด 300 มม. ซึ่งสามารถผลิตได้ในโรงงานชิปทั่วไป และติดตั้งในตู้เซิร์ฟเวอร์ขนาดมาตรฐาน 19 นิ้วเพียง 3 ตู้เท่านั้น — รวมถึงระบบ cryogenics และอุปกรณ์ควบคุมทั้งหมด ถือเป็น “quantum computing’s silicon moment” ที่อาจเปลี่ยนเกมการผลิตฮาร์ดแวร์ควอนตัมให้สามารถขยายได้ในระดับอุตสาหกรรม ระบบนี้ใช้สถาปัตยกรรมแบบ tileable ที่สามารถขยายจำนวน qubit ได้ในอนาคต และรองรับเฟรมเวิร์กยอดนิยมอย่าง Qiskit และ Cirq ทำให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอปควอนตัมได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนเครื่องมือใหม่ทั้งหมด แม้จะเป็นก้าวใหญ่ด้านวิศวกรรม แต่ Quantum Motion ยังไม่ได้เปิดเผยข้อมูลสำคัญ เช่น จำนวน qubit, ความแม่นยำของ gate, เวลาคงอยู่ของ qubit หรือ benchmark ใด ๆ ทั้งสิ้น ทำให้ยังไม่สามารถประเมินประสิทธิภาพจริงได้ในตอนนี้ และต้องรอการทดสอบจาก NQCC ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Quantum Motion เปิดตัวคอมพิวเตอร์ควอนตัมแบบ full-stack จากชิปซิลิคอนมาตรฐาน ➡️ ใช้กระบวนการผลิต CMOS ขนาด 300 มม. ที่สามารถผลิตในโรงงานทั่วไป ➡️ ติดตั้งในศูนย์ NQCC ของสหราชอาณาจักรเมื่อ 15 กันยายน 2025 ➡️ ระบบทั้งหมดอยู่ในตู้เซิร์ฟเวอร์ขนาด 19 นิ้วเพียง 3 ตู้ รวมถึงตู้เย็นควอนตัมและอุปกรณ์ควบคุม ✅ จุดเด่นด้านเทคโนโลยี ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม tileable ที่สามารถขยายจำนวน qubit ได้ในอนาคต ➡️ รองรับเฟรมเวิร์กยอดนิยม เช่น Qiskit และ Cirq ➡️ ออกแบบให้สามารถติดตั้งในศูนย์ข้อมูลทั่วไปโดยไม่ต้องปรับโครงสร้าง ➡️ เป็นระบบแรกที่ใช้ชิปซิลิคอนแบบ mass manufacturable สำหรับควอนตัม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Quantum Motion ก่อตั้งในปี 2017 โดยนักวิจัยจาก Oxford และ UCL ➡️ ได้รับเงินทุนกว่า $50.8 ล้านในปี 2023 และเข้าร่วมโครงการ DARPA QBI ในปี 2025 ➡️ การใช้ชิปซิลิคอนช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการผลิตจำนวนมาก ➡️ หากสำเร็จ อาจนำไปสู่การใช้งานควอนตัมในด้านพลังงาน ยา และการเงินอย่างแพร่หลาย https://www.tomshardware.com/tech-industry/supercomputers/uk-start-up-quantum-computer-runs-on-standard-chips
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Start-up hails world's first quantum computer made from everyday silicon — fits in three 19-inch server racks and is touted as 'quantum computing's silicon moment'
    Built on a standard CMOS process and packed into three racks, Quantum Motion’s silicon spin-qubit machine is ready to be tested.
    0 Comments 0 Shares 3 Views 0 Reviews
  • “Apple-1 ในตำนานเตรียมประมูลทะลุ $300,000 — คอมพิวเตอร์ไม้ที่เปลี่ยนโลก และเรื่องราวของเจ้าของผู้บุกเบิก”

    ในวันที่ 20 กันยายน 2025 ที่งาน Remarkable Rarities ของ RR Auctions ณ เมืองบอสตัน จะมีการประมูล Apple-1 เครื่องหายากที่ยังใช้งานได้จริง พร้อมกล่องไม้ Byte Shop ดั้งเดิม ซึ่งเชื่อว่าหลงเหลืออยู่เพียง 9 เครื่องในโลกเท่านั้น

    Apple-1 เครื่องนี้ไม่ใช่แค่ของสะสม แต่เป็น “ของจริง” ที่มาพร้อมอุปกรณ์ครบชุดจากยุค 1976 ได้แก่ แผงวงจร Apple-1 หมายเลข “01-0020”, แป้นพิมพ์ Datanetics, จอภาพ, อินเทอร์เฟซเทป, ซอฟต์แวร์บนเทปคาสเซ็ต และคู่มือการใช้งานแบบร่วมสมัย ทุกชิ้นเป็นของแท้หรือถูกแทนที่ด้วยชิ้นส่วนที่ถูกต้องตามยุคสมัย

    สิ่งที่ทำให้เครื่องนี้พิเศษยิ่งขึ้นคือ “เจ้าของเดิม” — June Blodgett Moore ผู้หญิงคนแรกที่จบการศึกษาจากคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งทำให้เครื่องนี้มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ทั้งด้านเทคโนโลยีและสังคม

    ตัวเครื่องได้รับการตรวจสอบและฟื้นฟูโดยผู้เชี่ยวชาญ Corey Cohen ในช่วงกลางปี 2025 และได้รับการประเมินสภาพที่ 8.0/10 โดยมีรอยร้าวเล็ก ๆ บนกล่องไม้ และแผ่นหลังที่ถูกถอดออกเพื่อเข้าถึงสายไฟ

    ภายในยังคงมีชิป MOS 6502 แบบเซรามิกขาว และตัวเก็บประจุ Sprague “Big Blue” ทั้งสามตัวดั้งเดิม ซึ่งหายากมากในเครื่องที่ยังหลงเหลืออยู่ นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนไดโอดบางตัวด้วยชิ้นส่วนที่ถูกต้องตามยุคเพื่อรักษาความสมบูรณ์ของระบบ

    กล่องไม้ Byte Shop นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นผลจากดีลครั้งประวัติศาสตร์ระหว่าง Steve Jobs และ Steve Wozniak กับร้าน Byte Shop ที่สั่งซื้อ Apple-1 จำนวน 50 เครื่องในราคาต่อเครื่อง $500 และขายต่อที่ $666.66 ซึ่ง Wozniakเคยกล่าวว่า “ไม่มีเหตุการณ์ใดในประวัติศาสตร์ของบริษัทที่ยิ่งใหญ่และเหนือความคาดหมายเท่านี้อีกแล้ว”

    https://www.tomshardware.com/pc-components/pc-cases/rare-apple-1-with-storied-ownership-could-fetch-over-usd300-000-at-auction-unit-housed-in-original-wood-case-thought-to-be-one-of-just-nine-surviving-examples
    🍏 “Apple-1 ในตำนานเตรียมประมูลทะลุ $300,000 — คอมพิวเตอร์ไม้ที่เปลี่ยนโลก และเรื่องราวของเจ้าของผู้บุกเบิก” ในวันที่ 20 กันยายน 2025 ที่งาน Remarkable Rarities ของ RR Auctions ณ เมืองบอสตัน จะมีการประมูล Apple-1 เครื่องหายากที่ยังใช้งานได้จริง พร้อมกล่องไม้ Byte Shop ดั้งเดิม ซึ่งเชื่อว่าหลงเหลืออยู่เพียง 9 เครื่องในโลกเท่านั้น Apple-1 เครื่องนี้ไม่ใช่แค่ของสะสม แต่เป็น “ของจริง” ที่มาพร้อมอุปกรณ์ครบชุดจากยุค 1976 ได้แก่ แผงวงจร Apple-1 หมายเลข “01-0020”, แป้นพิมพ์ Datanetics, จอภาพ, อินเทอร์เฟซเทป, ซอฟต์แวร์บนเทปคาสเซ็ต และคู่มือการใช้งานแบบร่วมสมัย ทุกชิ้นเป็นของแท้หรือถูกแทนที่ด้วยชิ้นส่วนที่ถูกต้องตามยุคสมัย สิ่งที่ทำให้เครื่องนี้พิเศษยิ่งขึ้นคือ “เจ้าของเดิม” — June Blodgett Moore ผู้หญิงคนแรกที่จบการศึกษาจากคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งทำให้เครื่องนี้มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ทั้งด้านเทคโนโลยีและสังคม ตัวเครื่องได้รับการตรวจสอบและฟื้นฟูโดยผู้เชี่ยวชาญ Corey Cohen ในช่วงกลางปี 2025 และได้รับการประเมินสภาพที่ 8.0/10 โดยมีรอยร้าวเล็ก ๆ บนกล่องไม้ และแผ่นหลังที่ถูกถอดออกเพื่อเข้าถึงสายไฟ ภายในยังคงมีชิป MOS 6502 แบบเซรามิกขาว และตัวเก็บประจุ Sprague “Big Blue” ทั้งสามตัวดั้งเดิม ซึ่งหายากมากในเครื่องที่ยังหลงเหลืออยู่ นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนไดโอดบางตัวด้วยชิ้นส่วนที่ถูกต้องตามยุคเพื่อรักษาความสมบูรณ์ของระบบ กล่องไม้ Byte Shop นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นผลจากดีลครั้งประวัติศาสตร์ระหว่าง Steve Jobs และ Steve Wozniak กับร้าน Byte Shop ที่สั่งซื้อ Apple-1 จำนวน 50 เครื่องในราคาต่อเครื่อง $500 และขายต่อที่ $666.66 ซึ่ง Wozniakเคยกล่าวว่า “ไม่มีเหตุการณ์ใดในประวัติศาสตร์ของบริษัทที่ยิ่งใหญ่และเหนือความคาดหมายเท่านี้อีกแล้ว” https://www.tomshardware.com/pc-components/pc-cases/rare-apple-1-with-storied-ownership-could-fetch-over-usd300-000-at-auction-unit-housed-in-original-wood-case-thought-to-be-one-of-just-nine-surviving-examples
    0 Comments 0 Shares 6 Views 0 Reviews
  • “Google ปลดพนักงาน AI กว่า 200 คน — เบื้องหลังไม่ใช่แค่ ‘ลดโปรเจกต์’ แต่คือความไม่มั่นคงและแรงต้านจากแรงงาน”

    กลางเดือนสิงหาคม 2025 Google ได้ปลดพนักงานสัญญาจ้างกว่า 200 คนที่ทำงานเกี่ยวกับโครงการ AI เช่น Gemini และ AI Overviews โดยอ้างว่าเป็นการ “ลดขนาดโปรเจกต์” แต่เสียงจากคนทำงานกลับสะท้อนอีกด้าน—ว่าการปลดครั้งนี้เกี่ยวข้องกับการเรียกร้องค่าตอบแทนที่เป็นธรรม และความพยายามรวมตัวเพื่อสร้างสหภาพแรงงาน

    พนักงานเหล่านี้ส่วนใหญ่ทำงานผ่านบริษัท GlobalLogic ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Hitachi โดยมีหน้าที่เป็น “super raters” คือผู้ตรวจสอบและปรับแต่งคำตอบที่สร้างโดย AI ให้มีความถูกต้องและเป็นธรรมชาติ หลายคนมีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาโทหรือเอก และทำงานในสาขาวิชาชีพ เช่น การศึกษา การเขียน และการวิจัย

    แม้จะมีความเชี่ยวชาญสูง แต่พวกเขากลับได้รับค่าตอบแทนต่ำ โดยผู้ที่จ้างตรงจาก GlobalLogic ได้รับ $28–$32 ต่อชั่วโมง ขณะที่ผู้รับเหมาผ่านบริษัทตัวกลางได้เพียง $18–$22 ต่อชั่วโมงสำหรับงานเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีการห้ามทำงานจากระยะไกล และจำกัดการเข้าถึงช่องทางสื่อสารภายในที่ใช้พูดคุยเรื่องความเหลื่อมล้ำ

    หลายคนเชื่อว่าการปลดครั้งนี้เป็นการตอบโต้ต่อความพยายามรวมตัวเป็นสหภาพแรงงาน โดยมีผู้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการแรงงานแห่งชาติของสหรัฐฯ (NLRB) แล้วอย่างน้อยสองราย และมีรายงานว่า GlobalLogic กำลังพัฒนา AI ที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ในด้านการให้คะแนนคำตอบ ซึ่งทำให้พนักงานรู้สึกว่าตนเองกำลัง “ฝึก AI เพื่อมาแทนที่ตัวเอง”

    เหตุการณ์นี้สะท้อนภาพรวมของอุตสาหกรรม AI ที่แม้จะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่กลับมีความไม่มั่นคงในระดับแรงงาน โดยเฉพาะในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการจัดการข้อมูล เช่น การจัดหมวดหมู่ การให้คะแนน และการตรวจสอบคำตอบ ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นงานระดับล่าง ทั้งที่มีบทบาทสำคัญต่อคุณภาพของระบบ AI

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/google-terminates-200-ai-contractors-ramp-down-blamed-but-workers-claim-questions-over-pay-and-job-insecurity-are-the-real-reason-behind-layoffs
    🧠 “Google ปลดพนักงาน AI กว่า 200 คน — เบื้องหลังไม่ใช่แค่ ‘ลดโปรเจกต์’ แต่คือความไม่มั่นคงและแรงต้านจากแรงงาน” กลางเดือนสิงหาคม 2025 Google ได้ปลดพนักงานสัญญาจ้างกว่า 200 คนที่ทำงานเกี่ยวกับโครงการ AI เช่น Gemini และ AI Overviews โดยอ้างว่าเป็นการ “ลดขนาดโปรเจกต์” แต่เสียงจากคนทำงานกลับสะท้อนอีกด้าน—ว่าการปลดครั้งนี้เกี่ยวข้องกับการเรียกร้องค่าตอบแทนที่เป็นธรรม และความพยายามรวมตัวเพื่อสร้างสหภาพแรงงาน พนักงานเหล่านี้ส่วนใหญ่ทำงานผ่านบริษัท GlobalLogic ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Hitachi โดยมีหน้าที่เป็น “super raters” คือผู้ตรวจสอบและปรับแต่งคำตอบที่สร้างโดย AI ให้มีความถูกต้องและเป็นธรรมชาติ หลายคนมีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาโทหรือเอก และทำงานในสาขาวิชาชีพ เช่น การศึกษา การเขียน และการวิจัย แม้จะมีความเชี่ยวชาญสูง แต่พวกเขากลับได้รับค่าตอบแทนต่ำ โดยผู้ที่จ้างตรงจาก GlobalLogic ได้รับ $28–$32 ต่อชั่วโมง ขณะที่ผู้รับเหมาผ่านบริษัทตัวกลางได้เพียง $18–$22 ต่อชั่วโมงสำหรับงานเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีการห้ามทำงานจากระยะไกล และจำกัดการเข้าถึงช่องทางสื่อสารภายในที่ใช้พูดคุยเรื่องความเหลื่อมล้ำ หลายคนเชื่อว่าการปลดครั้งนี้เป็นการตอบโต้ต่อความพยายามรวมตัวเป็นสหภาพแรงงาน โดยมีผู้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการแรงงานแห่งชาติของสหรัฐฯ (NLRB) แล้วอย่างน้อยสองราย และมีรายงานว่า GlobalLogic กำลังพัฒนา AI ที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ในด้านการให้คะแนนคำตอบ ซึ่งทำให้พนักงานรู้สึกว่าตนเองกำลัง “ฝึก AI เพื่อมาแทนที่ตัวเอง” เหตุการณ์นี้สะท้อนภาพรวมของอุตสาหกรรม AI ที่แม้จะเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่กลับมีความไม่มั่นคงในระดับแรงงาน โดยเฉพาะในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการจัดการข้อมูล เช่น การจัดหมวดหมู่ การให้คะแนน และการตรวจสอบคำตอบ ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นงานระดับล่าง ทั้งที่มีบทบาทสำคัญต่อคุณภาพของระบบ AI https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/google-terminates-200-ai-contractors-ramp-down-blamed-but-workers-claim-questions-over-pay-and-job-insecurity-are-the-real-reason-behind-layoffs
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 Reviews
  • “Loongson 9A1000: ก้าวแรกของ GPU จีนสู่ความเป็นอิสระ — ประสิทธิภาพระดับ RX 550 พร้อมพลัง AI 40 TOPS”

    หลังจากพัฒนาอย่างเงียบ ๆ มาตั้งแต่ปี 2023 บริษัท Loongson Technology ได้ประกาศความคืบหน้าครั้งสำคัญในเดือนกันยายน 2025 กับ GPU รุ่นแรกของบริษัทชื่อว่า “Loongson 9A1000” ซึ่งเตรียมเข้าสู่กระบวนการ tapeout หรือการส่งแบบไปผลิตจริงในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ถือเป็นการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ Loongson ในตลาดกราฟิกการ์ด หลังจากที่เคยเน้นเฉพาะด้านซีพียูมาก่อน

    9A1000 ถูกวางตำแหน่งเป็นกราฟิกการ์ดระดับเริ่มต้น โดยมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ AMD Radeon RX 550 ซึ่งเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2017 แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการรองรับการเร่งความเร็วด้าน AI ด้วยพลังประมวลผลสูงถึง 40 TOPS ซึ่งใกล้เคียงกับ NPU รุ่นใหม่ของ AMD อย่าง XDNA 2 ที่ให้ได้ถึง 50 TOPS

    Loongson ยังเผยว่าได้ปรับปรุงสถาปัตยกรรมภายในหลายจุด เช่น ลดพื้นที่ของ stream processor ลง 20% เพิ่มความถี่การทำงานขึ้น 25% และลดการใช้พลังงานในโหลดต่ำลงถึง 70% GPU นี้รองรับ API อย่าง OpenGL 4.0 และ OpenCL ES 3.2 และมีประสิทธิภาพสูงกว่ากราฟิกในตัว LG200 ที่อยู่ในซีพียู 2K3000 ถึง 4 เท่า

    แม้จะยังไม่มีข้อมูลสเปกเต็ม แต่ Loongson ก็ประกาศแผนต่อยอดด้วยรุ่น 9A2000 ที่จะเร็วกว่า 9A1000 ถึง 10 เท่า และมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ NVIDIA RTX 2080 รวมถึงรุ่น 9A3000 ที่อยู่ในแผนพัฒนาแล้วเช่นกัน

    การเปิดตัวนี้สะท้อนความพยายามของจีนในการสร้าง ecosystem ด้าน GPU ที่พึ่งพาตนเองได้ โดยมีบริษัทอื่น ๆ เช่น Moore Threads, Biren และ Lisuan ร่วมแข่งขันในตลาด แม้หลายสตาร์ทอัพจะล้มเหลวไปก่อนหน้านี้ แต่ Loongson ยังคงเดินหน้าด้วยความมั่นคงและเป้าหมายระยะยาว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Loongson 9A1000 เป็น GPU รุ่นแรกของบริษัท เตรียมเข้าสู่ขั้นตอน tapeout ใน Q3 ปี 2025
    พัฒนาเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2023 และวางตำแหน่งเป็นกราฟิกการ์ดระดับเริ่มต้น
    ประสิทธิภาพใกล้เคียง AMD RX 550 พร้อมรองรับ AI acceleration
    ให้พลังประมวลผล AI สูงถึง 40 TOPS ใกล้เคียงกับ AMD XDNA 2 NPU

    จุดเด่นด้านสถาปัตยกรรม
    ลดพื้นที่ stream processor ลง 20% เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
    เพิ่มความถี่การทำงานขึ้น 25% และลดการใช้พลังงานในโหลดต่ำลง 70%
    รองรับ OpenGL 4.0 และ OpenCL ES 3.2
    เร็วกว่กราฟิกในตัว LG200 ถึง 4 เท่า

    แผนพัฒนารุ่นต่อไป
    Loongson 9A2000 จะเร็วกว่า 9A1000 ถึง 10 เท่า และใกล้เคียง RTX 2080
    Loongson 9A3000 อยู่ในแผนพัฒนา แต่ยังไม่มีข้อมูลสเปก
    Loongson เข้าร่วมแข่งขันในตลาด GPU จีนร่วมกับ Moore Threads, Biren และ Lisuan

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    RX 550 เป็นกราฟิกการ์ดระดับเริ่มต้นที่เปิดตัวในปี 2017
    40 TOPS ถือว่าเพียงพอสำหรับงาน AI inference ระดับเบื้องต้น เช่น การรู้จำภาพหรือเสียง
    การลดพลังงานในโหลดต่ำช่วยให้เหมาะกับงาน edge computing และ embedded systems
    การเข้าสู่ตลาด GPU ถือเป็นการขยายขอบเขตธุรกิจของ Loongson จากเดิมที่เน้นซีพียู

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/chinas-entry-level-gpu-with-amd-rx-550-level-of-performance-is-ready-for-tapeout-loongson-9a1000-is-finally-off-the-drawing-board-and-headed-to-fabs
    🎮 “Loongson 9A1000: ก้าวแรกของ GPU จีนสู่ความเป็นอิสระ — ประสิทธิภาพระดับ RX 550 พร้อมพลัง AI 40 TOPS” หลังจากพัฒนาอย่างเงียบ ๆ มาตั้งแต่ปี 2023 บริษัท Loongson Technology ได้ประกาศความคืบหน้าครั้งสำคัญในเดือนกันยายน 2025 กับ GPU รุ่นแรกของบริษัทชื่อว่า “Loongson 9A1000” ซึ่งเตรียมเข้าสู่กระบวนการ tapeout หรือการส่งแบบไปผลิตจริงในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ถือเป็นการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ Loongson ในตลาดกราฟิกการ์ด หลังจากที่เคยเน้นเฉพาะด้านซีพียูมาก่อน 9A1000 ถูกวางตำแหน่งเป็นกราฟิกการ์ดระดับเริ่มต้น โดยมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ AMD Radeon RX 550 ซึ่งเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2017 แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการรองรับการเร่งความเร็วด้าน AI ด้วยพลังประมวลผลสูงถึง 40 TOPS ซึ่งใกล้เคียงกับ NPU รุ่นใหม่ของ AMD อย่าง XDNA 2 ที่ให้ได้ถึง 50 TOPS Loongson ยังเผยว่าได้ปรับปรุงสถาปัตยกรรมภายในหลายจุด เช่น ลดพื้นที่ของ stream processor ลง 20% เพิ่มความถี่การทำงานขึ้น 25% และลดการใช้พลังงานในโหลดต่ำลงถึง 70% GPU นี้รองรับ API อย่าง OpenGL 4.0 และ OpenCL ES 3.2 และมีประสิทธิภาพสูงกว่ากราฟิกในตัว LG200 ที่อยู่ในซีพียู 2K3000 ถึง 4 เท่า แม้จะยังไม่มีข้อมูลสเปกเต็ม แต่ Loongson ก็ประกาศแผนต่อยอดด้วยรุ่น 9A2000 ที่จะเร็วกว่า 9A1000 ถึง 10 เท่า และมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ NVIDIA RTX 2080 รวมถึงรุ่น 9A3000 ที่อยู่ในแผนพัฒนาแล้วเช่นกัน การเปิดตัวนี้สะท้อนความพยายามของจีนในการสร้าง ecosystem ด้าน GPU ที่พึ่งพาตนเองได้ โดยมีบริษัทอื่น ๆ เช่น Moore Threads, Biren และ Lisuan ร่วมแข่งขันในตลาด แม้หลายสตาร์ทอัพจะล้มเหลวไปก่อนหน้านี้ แต่ Loongson ยังคงเดินหน้าด้วยความมั่นคงและเป้าหมายระยะยาว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Loongson 9A1000 เป็น GPU รุ่นแรกของบริษัท เตรียมเข้าสู่ขั้นตอน tapeout ใน Q3 ปี 2025 ➡️ พัฒนาเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2023 และวางตำแหน่งเป็นกราฟิกการ์ดระดับเริ่มต้น ➡️ ประสิทธิภาพใกล้เคียง AMD RX 550 พร้อมรองรับ AI acceleration ➡️ ให้พลังประมวลผล AI สูงถึง 40 TOPS ใกล้เคียงกับ AMD XDNA 2 NPU ✅ จุดเด่นด้านสถาปัตยกรรม ➡️ ลดพื้นที่ stream processor ลง 20% เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ เพิ่มความถี่การทำงานขึ้น 25% และลดการใช้พลังงานในโหลดต่ำลง 70% ➡️ รองรับ OpenGL 4.0 และ OpenCL ES 3.2 ➡️ เร็วกว่กราฟิกในตัว LG200 ถึง 4 เท่า ✅ แผนพัฒนารุ่นต่อไป ➡️ Loongson 9A2000 จะเร็วกว่า 9A1000 ถึง 10 เท่า และใกล้เคียง RTX 2080 ➡️ Loongson 9A3000 อยู่ในแผนพัฒนา แต่ยังไม่มีข้อมูลสเปก ➡️ Loongson เข้าร่วมแข่งขันในตลาด GPU จีนร่วมกับ Moore Threads, Biren และ Lisuan ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ RX 550 เป็นกราฟิกการ์ดระดับเริ่มต้นที่เปิดตัวในปี 2017 ➡️ 40 TOPS ถือว่าเพียงพอสำหรับงาน AI inference ระดับเบื้องต้น เช่น การรู้จำภาพหรือเสียง ➡️ การลดพลังงานในโหลดต่ำช่วยให้เหมาะกับงาน edge computing และ embedded systems ➡️ การเข้าสู่ตลาด GPU ถือเป็นการขยายขอบเขตธุรกิจของ Loongson จากเดิมที่เน้นซีพียู https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/chinas-entry-level-gpu-with-amd-rx-550-level-of-performance-is-ready-for-tapeout-loongson-9a1000-is-finally-off-the-drawing-board-and-headed-to-fabs
    0 Comments 0 Shares 7 Views 0 Reviews
  • ลางไม่ดี บิ๊กเล็กท่าจะแย่ สะดุดบันไดคะมำ (17/9/68)

    #บิ๊กเล็ก
    #ลางไม่ดี
    #สะดุดบันได
    #ผู้นำทหาร
    #ข่าววันนี้
    #News1short
    #ThaiTimes
    #TruthFromThailand
    #CambodiaNoCeasefire
    #Hunsenfiredfirst
    #scambodia
    #news1
    #shorts
    ลางไม่ดี บิ๊กเล็กท่าจะแย่ สะดุดบันไดคะมำ (17/9/68) #บิ๊กเล็ก #ลางไม่ดี #สะดุดบันได #ผู้นำทหาร #ข่าววันนี้ #News1short #ThaiTimes #TruthFromThailand #CambodiaNoCeasefire #Hunsenfiredfirst #scambodia #news1 #shorts
    0 Comments 0 Shares 12 Views 0 0 Reviews
  • “Jack Ma กลับมาแล้ว — ปลุก Alibaba ด้วย AI และสงครามราคา เพื่อทวงคืนความยิ่งใหญ่”

    หลังจากหายตัวไปจากสาธารณะตั้งแต่ปี 2020 เพราะวิจารณ์ระบบการเงินจีนอย่างตรงไปตรงมา Jack Ma ผู้ก่อตั้ง Alibaba ได้กลับมาอีกครั้งในปี 2025 พร้อมภารกิจ “Make Alibaba Great Again” โดยไม่ต้องมีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่มีอิทธิพลเต็มรูปแบบในเบื้องหลัง

    Ma กลับมาในช่วงที่ Alibaba กำลังเผชิญการแข่งขันดุเดือดจาก JD.com และ Meituan โดยเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจทุ่มเงินกว่า 50,000 ล้านหยวน (ประมาณ 7 พันล้านดอลลาร์) เพื่ออัดฉีดเงินอุดหนุนและดึงลูกค้ากลับมา โดยเฉพาะในตลาด food delivery ที่ Alibaba มีส่วนแบ่ง 43% ตามหลัง Meituan ที่ 47%

    นอกจากสงครามราคากับคู่แข่ง Ma ยังผลักดันการลงทุนใน AI อย่างหนัก โดย Alibaba ประกาศแผนลงทุนกว่า 380,000 ล้านหยวนในโครงสร้างพื้นฐาน AI และคลาวด์ภายใน 3 ปี พร้อมเปิดตัวโมเดล Qwen รุ่นใหม่ที่มีพารามิเตอร์ระดับล้านล้าน และชิป T-head ที่พัฒนาเองเพื่อลดการพึ่งพา Nvidia

    การกลับมาของ Ma ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่ยังเป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรมองค์กรที่เคยตกต่ำในช่วงที่เขาหายไป พนักงานหลายคนถึงกับร้องไห้เมื่อเห็นเขากลับมาพูดในงานของ Ant Group และ Alibaba Cloud เพราะรู้สึกว่า “จิตวิญญาณของบริษัทกลับมาแล้ว”

    แม้ Ma จะไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่เขายังคงสวมบัตรพนักงานและเดินในแคมปัสอย่างเปิดเผย ส่งข้อความถึงผู้บริหาร ขออัปเดตด้าน AI วันละหลายครั้ง และมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงผู้นำ เช่น การสนับสนุน Jiang Fan ให้ดูแลธุรกิจอีคอมเมิร์ซแบบรวมศูนย์ใหม่

    อย่างไรก็ตาม การกลับมาของ Ma ก็มีความเสี่ยง เพราะการอัดฉีดเงินอุดหนุนอาจขัดกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการควบคุม “การแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม” และการลงทุนใน AI ยังไม่สามารถสร้างรายได้อย่างชัดเจนในระยะสั้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Jack Ma กลับมาอย่างไม่เป็นทางการใน Alibaba หลังหายไปตั้งแต่ปี 2020
    เป็นผู้อยู่เบื้องหลังแผน “Make Alibaba Great Again” และการอัดฉีดเงินอุดหนุน 50,000 ล้านหยวน
    ผลักดันการลงทุนใน AI และคลาวด์กว่า 380,000 ล้านหยวนภายใน 3 ปี
    เปิดตัวโมเดล Qwen รุ่นใหม่และชิป T-head ที่พัฒนาเอง
    สนับสนุน Jiang Fan ให้ดูแลธุรกิจอีคอมเมิร์ซแบบรวมศูนย์

    ผลกระทบต่อองค์กรและตลาด
    พนักงานรู้สึกมีขวัญกำลังใจมากขึ้นหลัง Ma กลับมา
    หุ้น Alibaba พุ่งขึ้นกว่า 88% ในปี 2025
    รายได้จากคลาวด์โตขึ้น 26% ในไตรมาสล่าสุด
    Alibaba มีส่วนแบ่งตลาด food delivery 43% ตามหลัง Meituan

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Ma เคยเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในจีน และเป็นสัญลักษณ์ของยุคเทคโนโลยีเสรี
    การหายตัวของเขาเกิดหลังวิจารณ์ระบบการเงินจีนและการล้ม IPO ของ Ant Group
    การกลับมาครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นสัญญาณว่ารัฐบาลจีนเริ่มเปิดรับผู้ก่อตั้งเทคโนโลยีอีกครั้ง
    Alibaba เคยมีมูลค่าตลาดสูงถึง 800,000 ล้านดอลลาร์ ก่อนลดลงเหลือครึ่งหนึ่ง

    คำเตือนและข้อจำกัด
    Ma ไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ อาจทำให้โครงสร้างการรายงานภายในสับสน
    การอัดฉีดเงินอุดหนุนอาจขัดกับนโยบายรัฐเรื่อง “การแข่งขันที่เป็นธรรม”
    การลงทุนใน AI ยังไม่สร้างรายได้ชัดเจน และมีต้นทุนสูง
    การเปลี่ยนผู้นำและกลยุทธ์อาจสร้างแรงเสียดทานภายในองค์กร
    การกลับมาของ Ma อาจถูกมองว่าเป็น “ความพยายามครั้งสุดท้าย” ในการกู้ชื่อเสียง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/16/jack-ma-returns-with-a-vengeance-to-make-alibaba-great-again
    🦁 “Jack Ma กลับมาแล้ว — ปลุก Alibaba ด้วย AI และสงครามราคา เพื่อทวงคืนความยิ่งใหญ่” หลังจากหายตัวไปจากสาธารณะตั้งแต่ปี 2020 เพราะวิจารณ์ระบบการเงินจีนอย่างตรงไปตรงมา Jack Ma ผู้ก่อตั้ง Alibaba ได้กลับมาอีกครั้งในปี 2025 พร้อมภารกิจ “Make Alibaba Great Again” โดยไม่ต้องมีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่มีอิทธิพลเต็มรูปแบบในเบื้องหลัง Ma กลับมาในช่วงที่ Alibaba กำลังเผชิญการแข่งขันดุเดือดจาก JD.com และ Meituan โดยเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจทุ่มเงินกว่า 50,000 ล้านหยวน (ประมาณ 7 พันล้านดอลลาร์) เพื่ออัดฉีดเงินอุดหนุนและดึงลูกค้ากลับมา โดยเฉพาะในตลาด food delivery ที่ Alibaba มีส่วนแบ่ง 43% ตามหลัง Meituan ที่ 47% นอกจากสงครามราคากับคู่แข่ง Ma ยังผลักดันการลงทุนใน AI อย่างหนัก โดย Alibaba ประกาศแผนลงทุนกว่า 380,000 ล้านหยวนในโครงสร้างพื้นฐาน AI และคลาวด์ภายใน 3 ปี พร้อมเปิดตัวโมเดล Qwen รุ่นใหม่ที่มีพารามิเตอร์ระดับล้านล้าน และชิป T-head ที่พัฒนาเองเพื่อลดการพึ่งพา Nvidia การกลับมาของ Ma ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่ยังเป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรมองค์กรที่เคยตกต่ำในช่วงที่เขาหายไป พนักงานหลายคนถึงกับร้องไห้เมื่อเห็นเขากลับมาพูดในงานของ Ant Group และ Alibaba Cloud เพราะรู้สึกว่า “จิตวิญญาณของบริษัทกลับมาแล้ว” แม้ Ma จะไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่เขายังคงสวมบัตรพนักงานและเดินในแคมปัสอย่างเปิดเผย ส่งข้อความถึงผู้บริหาร ขออัปเดตด้าน AI วันละหลายครั้ง และมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงผู้นำ เช่น การสนับสนุน Jiang Fan ให้ดูแลธุรกิจอีคอมเมิร์ซแบบรวมศูนย์ใหม่ อย่างไรก็ตาม การกลับมาของ Ma ก็มีความเสี่ยง เพราะการอัดฉีดเงินอุดหนุนอาจขัดกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการควบคุม “การแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม” และการลงทุนใน AI ยังไม่สามารถสร้างรายได้อย่างชัดเจนในระยะสั้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Jack Ma กลับมาอย่างไม่เป็นทางการใน Alibaba หลังหายไปตั้งแต่ปี 2020 ➡️ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังแผน “Make Alibaba Great Again” และการอัดฉีดเงินอุดหนุน 50,000 ล้านหยวน ➡️ ผลักดันการลงทุนใน AI และคลาวด์กว่า 380,000 ล้านหยวนภายใน 3 ปี ➡️ เปิดตัวโมเดล Qwen รุ่นใหม่และชิป T-head ที่พัฒนาเอง ➡️ สนับสนุน Jiang Fan ให้ดูแลธุรกิจอีคอมเมิร์ซแบบรวมศูนย์ ✅ ผลกระทบต่อองค์กรและตลาด ➡️ พนักงานรู้สึกมีขวัญกำลังใจมากขึ้นหลัง Ma กลับมา ➡️ หุ้น Alibaba พุ่งขึ้นกว่า 88% ในปี 2025 ➡️ รายได้จากคลาวด์โตขึ้น 26% ในไตรมาสล่าสุด ➡️ Alibaba มีส่วนแบ่งตลาด food delivery 43% ตามหลัง Meituan ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Ma เคยเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในจีน และเป็นสัญลักษณ์ของยุคเทคโนโลยีเสรี ➡️ การหายตัวของเขาเกิดหลังวิจารณ์ระบบการเงินจีนและการล้ม IPO ของ Ant Group ➡️ การกลับมาครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นสัญญาณว่ารัฐบาลจีนเริ่มเปิดรับผู้ก่อตั้งเทคโนโลยีอีกครั้ง ➡️ Alibaba เคยมีมูลค่าตลาดสูงถึง 800,000 ล้านดอลลาร์ ก่อนลดลงเหลือครึ่งหนึ่ง ‼️ คำเตือนและข้อจำกัด ⛔ Ma ไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ อาจทำให้โครงสร้างการรายงานภายในสับสน ⛔ การอัดฉีดเงินอุดหนุนอาจขัดกับนโยบายรัฐเรื่อง “การแข่งขันที่เป็นธรรม” ⛔ การลงทุนใน AI ยังไม่สร้างรายได้ชัดเจน และมีต้นทุนสูง ⛔ การเปลี่ยนผู้นำและกลยุทธ์อาจสร้างแรงเสียดทานภายในองค์กร ⛔ การกลับมาของ Ma อาจถูกมองว่าเป็น “ความพยายามครั้งสุดท้าย” ในการกู้ชื่อเสียง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/16/jack-ma-returns-with-a-vengeance-to-make-alibaba-great-again
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Jack Ma returns with a vengeance to 'Make Alibaba Great Again'
    During China's yearslong crackdown on the tech sector, Alibaba Group Holding Ltd's internal messaging boards lit up with dreams to "MAGA" – Make Alibaba Great Again. Now, the company is deploying one of its most potent weapons to accomplish that mission: Jack Ma.
    0 Comments 0 Shares 10 Views 0 Reviews
  • จับตาปรากฏการณ์ 'พรรคแตก'! ‘นพพร’ ลั่น กลุ่ม ‘สุราษฎร์ธานี’ จ่อซบ ‘ภูมิใจไทย’ ตาม ‘ชุมพร’
    https://www.thai-tai.tv/news/21501/
    .
    #ไทยไท #ภูมิใจไทย #อนุทิน #ชุมพร #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    จับตาปรากฏการณ์ 'พรรคแตก'! ‘นพพร’ ลั่น กลุ่ม ‘สุราษฎร์ธานี’ จ่อซบ ‘ภูมิใจไทย’ ตาม ‘ชุมพร’ https://www.thai-tai.tv/news/21501/ . #ไทยไท #ภูมิใจไทย #อนุทิน #ชุมพร #ข่าวการเมือง #ข่าววันนี้
    0 Comments 0 Shares 6 Views 0 Reviews
  • “AI ในศูนย์รักษาความปลอดภัยองค์กร: ผู้ช่วยอัจฉริยะหรือแค่เสียงรบกวน? — เมื่อ CISO ต้องเผชิญความจริงของการใช้งานจริง”

    ในปี 2025 การนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในระบบรักษาความปลอดภัยองค์กร (Security Operations Center – SOC) กลายเป็นประเด็นหลักของผู้บริหารด้านความปลอดภัยข้อมูล (CISO) ทั่วโลก หลายองค์กรหวังว่า AI จะเป็นตัวพลิกเกมในการรับมือภัยคุกคามไซเบอร์ที่ซับซ้อนและรวดเร็วขึ้น แต่เมื่อเริ่มใช้งานจริง กลับพบว่าความหวังนั้นต้องผ่านบทเรียนมากมายก่อนจะได้ผลลัพธ์ที่แท้จริง

    Myke Lyons จากบริษัท Cribl ชี้ว่า AI และระบบอัตโนมัติช่วยลดเวลาในการตรวจจับและตอบสนองเหตุการณ์ได้จริง แต่ต้องอาศัยการจัดการข้อมูลอย่างมีโครงสร้าง โดยเฉพาะ telemetry ที่มีความสำคัญสูง เช่น log การยืนยันตัวตนและการเข้าใช้งานแอปพลิเคชัน ซึ่งต้องถูกส่งไปยังระบบที่มีความมั่นใจสูงเพื่อการตรวจจับแบบเรียลไทม์ ส่วนข้อมูลรองลงมาถูกเก็บไว้ใน data lake เพื่อใช้วิเคราะห์ย้อนหลังและลดต้นทุน

    Erin Rogers จาก BOK Financial เสริมว่า AI แบบ “agentic” ซึ่งสามารถตัดสินใจและปรับตัวได้เอง กำลังช่วยให้ระบบตรวจจับภัยคุกคามสามารถตอบสนองได้รวดเร็วขึ้น เช่น การป้องกันการโจมตีแบบ Business Email Compromise แบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องรอมนุษย์เข้ามาแทรกแซง

    แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วย Shaila Rana จาก IEEE เตือนว่า AI ยังไม่แม่นยำพอ โดยอ้างผลการทดลองจาก Microsoft Research ที่พบว่า AI ตรวจจับมัลแวร์ได้เพียง 26% ภายใต้เงื่อนไขที่ยากที่สุด แม้จะมีความแม่นยำถึง 89% ในสถานการณ์ทั่วไปก็ตาม ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้เกิดความมั่นใจเกินจริงและลดการเฝ้าระวังที่จำเป็น

    Anar Israfilov จาก Cyberoon Enterprise ย้ำว่า AI ต้องมีการควบคุมและตรวจสอบจากมนุษย์เสมอ เพราะหากไม่มีการตั้งค่าข้อมูลที่เหมาะสม ระบบอาจสร้าง “ghost alert” หรือการแจ้งเตือนผิดพลาดจำนวนมาก ทำให้ทีมงานเสียเวลาไล่ตามสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง

    Denida Grow จาก LeMareschal ก็เห็นด้วยว่า AI ยังไม่สามารถแทนที่มนุษย์ได้ โดยเฉพาะในงานที่ต้องใช้บริบท เช่น การตอบสนองเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายท้องถิ่น หรือความเสี่ยงเฉพาะขององค์กร ซึ่ง AI ยังไม่สามารถเข้าใจได้ลึกพอ

    Jonathan Garini จาก fifthelement.ai สรุปว่า AI ควรถูกใช้เพื่อช่วยลดภาระงานซ้ำซาก เช่น การวิเคราะห์ log หรือการกรอง alert เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญมีเวลามากขึ้นในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน และการผสาน AI เข้ากับความรู้ภายในองค์กร เช่น ประวัติภัยคุกคามและ workflow ที่มีอยู่ จะช่วยให้ระบบมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ข้อมูลสำคัญจากบทความ
    AI ถูกนำมาใช้ใน SOC เพื่อเพิ่มความเร็วและลดภาระงานของนักวิเคราะห์
    ระบบ agentic AI สามารถตัดสินใจและปรับตัวได้เองในบางกรณี เช่น การป้องกันอีเมลหลอกลวง
    การจัดการ telemetry อย่างมีโครงสร้างช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับ
    AI ช่วยลดเวลาในการตอบสนองเหตุการณ์และลดต้นทุนในการดำเนินงาน

    มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ
    ต้องมีการควบคุมและตรวจสอบจากมนุษย์เพื่อหลีกเลี่ยง ghost alert
    AI ยังไม่สามารถเข้าใจบริบทเฉพาะ เช่น กฎหมายท้องถิ่นหรือความเสี่ยงเฉพาะองค์กร
    การผสาน AI กับความรู้ภายในองค์กรช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ
    AI เหมาะกับงานซ้ำซาก เช่น การกรอง alert และการวิเคราะห์ log

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Cisco และ Splunk เปิดตัว SOC รุ่นใหม่ที่ใช้ agentic AI เพื่อรวมการตรวจจับและตอบสนองภัยคุกคาม
    SANS Institute พบว่าองค์กรส่วนใหญ่ยังใช้ AI ในระดับสนับสนุน ไม่ใช่การตัดสินใจอัตโนมัติเต็มรูปแบบ
    ปัญหาหลักของ AI ในความปลอดภัยคือ false positive และการขาดบริบท
    การใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบต้องมี “guardrails” เช่น rule-based automation เพื่อควบคุมพฤติกรรมของระบบ

    https://www.csoonline.com/article/4054301/cisos-grapple-with-the-realities-of-applying-ai-to-security-functions.html
    🤖 “AI ในศูนย์รักษาความปลอดภัยองค์กร: ผู้ช่วยอัจฉริยะหรือแค่เสียงรบกวน? — เมื่อ CISO ต้องเผชิญความจริงของการใช้งานจริง” ในปี 2025 การนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในระบบรักษาความปลอดภัยองค์กร (Security Operations Center – SOC) กลายเป็นประเด็นหลักของผู้บริหารด้านความปลอดภัยข้อมูล (CISO) ทั่วโลก หลายองค์กรหวังว่า AI จะเป็นตัวพลิกเกมในการรับมือภัยคุกคามไซเบอร์ที่ซับซ้อนและรวดเร็วขึ้น แต่เมื่อเริ่มใช้งานจริง กลับพบว่าความหวังนั้นต้องผ่านบทเรียนมากมายก่อนจะได้ผลลัพธ์ที่แท้จริง Myke Lyons จากบริษัท Cribl ชี้ว่า AI และระบบอัตโนมัติช่วยลดเวลาในการตรวจจับและตอบสนองเหตุการณ์ได้จริง แต่ต้องอาศัยการจัดการข้อมูลอย่างมีโครงสร้าง โดยเฉพาะ telemetry ที่มีความสำคัญสูง เช่น log การยืนยันตัวตนและการเข้าใช้งานแอปพลิเคชัน ซึ่งต้องถูกส่งไปยังระบบที่มีความมั่นใจสูงเพื่อการตรวจจับแบบเรียลไทม์ ส่วนข้อมูลรองลงมาถูกเก็บไว้ใน data lake เพื่อใช้วิเคราะห์ย้อนหลังและลดต้นทุน Erin Rogers จาก BOK Financial เสริมว่า AI แบบ “agentic” ซึ่งสามารถตัดสินใจและปรับตัวได้เอง กำลังช่วยให้ระบบตรวจจับภัยคุกคามสามารถตอบสนองได้รวดเร็วขึ้น เช่น การป้องกันการโจมตีแบบ Business Email Compromise แบบเรียลไทม์ โดยไม่ต้องรอมนุษย์เข้ามาแทรกแซง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วย Shaila Rana จาก IEEE เตือนว่า AI ยังไม่แม่นยำพอ โดยอ้างผลการทดลองจาก Microsoft Research ที่พบว่า AI ตรวจจับมัลแวร์ได้เพียง 26% ภายใต้เงื่อนไขที่ยากที่สุด แม้จะมีความแม่นยำถึง 89% ในสถานการณ์ทั่วไปก็ตาม ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้เกิดความมั่นใจเกินจริงและลดการเฝ้าระวังที่จำเป็น Anar Israfilov จาก Cyberoon Enterprise ย้ำว่า AI ต้องมีการควบคุมและตรวจสอบจากมนุษย์เสมอ เพราะหากไม่มีการตั้งค่าข้อมูลที่เหมาะสม ระบบอาจสร้าง “ghost alert” หรือการแจ้งเตือนผิดพลาดจำนวนมาก ทำให้ทีมงานเสียเวลาไล่ตามสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง Denida Grow จาก LeMareschal ก็เห็นด้วยว่า AI ยังไม่สามารถแทนที่มนุษย์ได้ โดยเฉพาะในงานที่ต้องใช้บริบท เช่น การตอบสนองเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายท้องถิ่น หรือความเสี่ยงเฉพาะขององค์กร ซึ่ง AI ยังไม่สามารถเข้าใจได้ลึกพอ Jonathan Garini จาก fifthelement.ai สรุปว่า AI ควรถูกใช้เพื่อช่วยลดภาระงานซ้ำซาก เช่น การวิเคราะห์ log หรือการกรอง alert เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญมีเวลามากขึ้นในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน และการผสาน AI เข้ากับความรู้ภายในองค์กร เช่น ประวัติภัยคุกคามและ workflow ที่มีอยู่ จะช่วยให้ระบบมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากบทความ ➡️ AI ถูกนำมาใช้ใน SOC เพื่อเพิ่มความเร็วและลดภาระงานของนักวิเคราะห์ ➡️ ระบบ agentic AI สามารถตัดสินใจและปรับตัวได้เองในบางกรณี เช่น การป้องกันอีเมลหลอกลวง ➡️ การจัดการ telemetry อย่างมีโครงสร้างช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับ ➡️ AI ช่วยลดเวลาในการตอบสนองเหตุการณ์และลดต้นทุนในการดำเนินงาน ✅ มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ ต้องมีการควบคุมและตรวจสอบจากมนุษย์เพื่อหลีกเลี่ยง ghost alert ➡️ AI ยังไม่สามารถเข้าใจบริบทเฉพาะ เช่น กฎหมายท้องถิ่นหรือความเสี่ยงเฉพาะองค์กร ➡️ การผสาน AI กับความรู้ภายในองค์กรช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ AI เหมาะกับงานซ้ำซาก เช่น การกรอง alert และการวิเคราะห์ log ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Cisco และ Splunk เปิดตัว SOC รุ่นใหม่ที่ใช้ agentic AI เพื่อรวมการตรวจจับและตอบสนองภัยคุกคาม ➡️ SANS Institute พบว่าองค์กรส่วนใหญ่ยังใช้ AI ในระดับสนับสนุน ไม่ใช่การตัดสินใจอัตโนมัติเต็มรูปแบบ ➡️ ปัญหาหลักของ AI ในความปลอดภัยคือ false positive และการขาดบริบท ➡️ การใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบต้องมี “guardrails” เช่น rule-based automation เพื่อควบคุมพฤติกรรมของระบบ https://www.csoonline.com/article/4054301/cisos-grapple-with-the-realities-of-applying-ai-to-security-functions.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    CISOs grapple with the realities of applying AI to security functions
    Viewed as a copilot to augment rather than revolutionize security operations, well-governed AI can deliver incremental results, according to security leaders’ early returns.
    0 Comments 0 Shares 8 Views 0 Reviews
  • “Scattered Spider ประกาศ ‘เกษียณ’ หรือแค่เปลี่ยนชื่อ? — เมื่อจอมโจรไซเบอร์เลือกหายตัวในวันที่โลกยังไม่ปลอดภัย”

    กลางเดือนกันยายน 2025 กลุ่มแฮกเกอร์ชื่อฉาว Scattered Spider พร้อมพันธมิตรอีกกว่า 14 กลุ่ม ได้โพสต์จดหมายลาออกจากวงการไซเบอร์บน BreachForums และ Telegram โดยประกาศว่า “จะหายตัวไป” หลังจากมีการจับกุมสมาชิกบางส่วนในยุโรปและสหรัฐฯ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์กลับมองว่า นี่อาจเป็นเพียง “กลยุทธ์ลวงตา” เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจและเตรียมรีแบรนด์ใหม่

    จดหมายดังกล่าวถูกเขียนอย่างประณีต มีการกล่าวขอโทษต่อเหยื่อและครอบครัวของผู้ถูกจับกุม พร้อมอ้างว่าใช้เวลา 72 ชั่วโมงก่อนโพสต์เพื่อ “พูดคุยกับครอบครัวและยืนยันแผนสำรอง” แต่เนื้อหากลับเต็มไปด้วยความย้อนแย้ง เช่น การอวดว่าเคยโจมตี Jaguar Land Rover, Google, Salesforce และ CrowdStrike พร้อมระบุว่า “ขณะคุณกำลังถูกเบี่ยงเบน เรากำลังเปิดใช้งานแผนสำรอง”

    ผู้เชี่ยวชาญเช่น Brijesh Singh และ Sunil Varkey ต่างตั้งข้อสงสัยว่า การรวมกลุ่มของแฮกเกอร์กว่า 15 กลุ่มในเวลาเพียงหนึ่งเดือนก่อนประกาศเกษียณนั้น “ไม่สมเหตุสมผล” และไม่มีหลักฐานว่ากลุ่มเหล่านี้เคยร่วมมือกันจริงในอดีต

    แม้จะมีการจับกุมสมาชิก 8 คนในยุโรปตั้งแต่ปี 2024 แต่ส่วนใหญ่เป็นระดับล่าง เช่น ผู้ฟอกเงินหรือแอดมินแชต ขณะที่หัวหน้าทีมและนักพัฒนายังลอยนวลอยู่ การประกาศลาออกจึงอาจเป็นเพียงการ “ลบแบรนด์” เพื่อหลบเลี่ยงแรงกดดันจากหน่วยงานรัฐ และเปิดทางให้กลุ่มใหม่ที่ใช้เทคนิคเดิมกลับมาโจมตีอีกครั้ง

    สิ่งที่น่ากังวลคือ แม้ Scattered Spider จะหายไป แต่เทคนิคที่พวกเขาใช้ เช่น การโจมตีด้วย OAuth token, deepfake voice phishing และ ransomware บน hypervisor ยังคงแพร่กระจาย และถูกนำไปใช้โดยกลุ่มใหม่ที่เงียบกว่าแต่ร้ายกว่า

    ข้อมูลจากข่าวการประกาศลาออก
    Scattered Spider และพันธมิตร 14 กลุ่มโพสต์จดหมายลาออกบน BreachForums และ Telegram
    อ้างว่า “จะหายตัวไป” หลังจากมีการจับกุมสมาชิกบางส่วนในยุโรป
    กล่าวขอโทษต่อเหยื่อและครอบครัวของผู้ถูกจับกุม พร้อมอ้างว่าใช้เวลา 72 ชั่วโมงเพื่อเตรียมแผนสำรอง
    ระบุว่าเคยโจมตี Jaguar Land Rover, Google, Salesforce และ CrowdStrike

    ข้อสังเกตจากผู้เชี่ยวชาญ
    กลุ่มแฮกเกอร์เหล่านี้เพิ่งรวมตัวกันในเดือนสิงหาคม 2025 — การลาออกในเดือนกันยายนจึงน่าสงสัย
    ไม่มีหลักฐานว่ากลุ่มเหล่านี้เคยร่วมมือกันจริง
    การจับกุมส่วนใหญ่เป็นระดับล่าง — หัวหน้าทีมยังไม่ถูกจับ
    การประกาศลาออกอาจเป็นกลยุทธ์ “ลบแบรนด์” เพื่อหลบเลี่ยงการติดตาม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เทคนิคที่ Scattered Spider ใช้ เช่น OAuth abuse และ deepfake vishing กำลังแพร่หลาย
    Hypervisor ransomware ที่เคยเป็นของกลุ่มนี้ถูกปล่อยสู่สาธารณะ
    กลุ่มใหม่เริ่มใช้เทคนิคเดิมและดึงสมาชิกเก่ากลับมา
    การประกาศลาออกคล้ายกับกรณีของกลุ่มแฮกเกอร์อื่นในอดีต เช่น REvil และ DarkSide

    https://www.csoonline.com/article/4057074/scattered-spiders-retirement-announcement-genuine-exit-or-elaborate-smokescreen.html
    🕸️ “Scattered Spider ประกาศ ‘เกษียณ’ หรือแค่เปลี่ยนชื่อ? — เมื่อจอมโจรไซเบอร์เลือกหายตัวในวันที่โลกยังไม่ปลอดภัย” กลางเดือนกันยายน 2025 กลุ่มแฮกเกอร์ชื่อฉาว Scattered Spider พร้อมพันธมิตรอีกกว่า 14 กลุ่ม ได้โพสต์จดหมายลาออกจากวงการไซเบอร์บน BreachForums และ Telegram โดยประกาศว่า “จะหายตัวไป” หลังจากมีการจับกุมสมาชิกบางส่วนในยุโรปและสหรัฐฯ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์กลับมองว่า นี่อาจเป็นเพียง “กลยุทธ์ลวงตา” เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจและเตรียมรีแบรนด์ใหม่ จดหมายดังกล่าวถูกเขียนอย่างประณีต มีการกล่าวขอโทษต่อเหยื่อและครอบครัวของผู้ถูกจับกุม พร้อมอ้างว่าใช้เวลา 72 ชั่วโมงก่อนโพสต์เพื่อ “พูดคุยกับครอบครัวและยืนยันแผนสำรอง” แต่เนื้อหากลับเต็มไปด้วยความย้อนแย้ง เช่น การอวดว่าเคยโจมตี Jaguar Land Rover, Google, Salesforce และ CrowdStrike พร้อมระบุว่า “ขณะคุณกำลังถูกเบี่ยงเบน เรากำลังเปิดใช้งานแผนสำรอง” ผู้เชี่ยวชาญเช่น Brijesh Singh และ Sunil Varkey ต่างตั้งข้อสงสัยว่า การรวมกลุ่มของแฮกเกอร์กว่า 15 กลุ่มในเวลาเพียงหนึ่งเดือนก่อนประกาศเกษียณนั้น “ไม่สมเหตุสมผล” และไม่มีหลักฐานว่ากลุ่มเหล่านี้เคยร่วมมือกันจริงในอดีต แม้จะมีการจับกุมสมาชิก 8 คนในยุโรปตั้งแต่ปี 2024 แต่ส่วนใหญ่เป็นระดับล่าง เช่น ผู้ฟอกเงินหรือแอดมินแชต ขณะที่หัวหน้าทีมและนักพัฒนายังลอยนวลอยู่ การประกาศลาออกจึงอาจเป็นเพียงการ “ลบแบรนด์” เพื่อหลบเลี่ยงแรงกดดันจากหน่วยงานรัฐ และเปิดทางให้กลุ่มใหม่ที่ใช้เทคนิคเดิมกลับมาโจมตีอีกครั้ง สิ่งที่น่ากังวลคือ แม้ Scattered Spider จะหายไป แต่เทคนิคที่พวกเขาใช้ เช่น การโจมตีด้วย OAuth token, deepfake voice phishing และ ransomware บน hypervisor ยังคงแพร่กระจาย และถูกนำไปใช้โดยกลุ่มใหม่ที่เงียบกว่าแต่ร้ายกว่า ✅ ข้อมูลจากข่าวการประกาศลาออก ➡️ Scattered Spider และพันธมิตร 14 กลุ่มโพสต์จดหมายลาออกบน BreachForums และ Telegram ➡️ อ้างว่า “จะหายตัวไป” หลังจากมีการจับกุมสมาชิกบางส่วนในยุโรป ➡️ กล่าวขอโทษต่อเหยื่อและครอบครัวของผู้ถูกจับกุม พร้อมอ้างว่าใช้เวลา 72 ชั่วโมงเพื่อเตรียมแผนสำรอง ➡️ ระบุว่าเคยโจมตี Jaguar Land Rover, Google, Salesforce และ CrowdStrike ✅ ข้อสังเกตจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ กลุ่มแฮกเกอร์เหล่านี้เพิ่งรวมตัวกันในเดือนสิงหาคม 2025 — การลาออกในเดือนกันยายนจึงน่าสงสัย ➡️ ไม่มีหลักฐานว่ากลุ่มเหล่านี้เคยร่วมมือกันจริง ➡️ การจับกุมส่วนใหญ่เป็นระดับล่าง — หัวหน้าทีมยังไม่ถูกจับ ➡️ การประกาศลาออกอาจเป็นกลยุทธ์ “ลบแบรนด์” เพื่อหลบเลี่ยงการติดตาม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เทคนิคที่ Scattered Spider ใช้ เช่น OAuth abuse และ deepfake vishing กำลังแพร่หลาย ➡️ Hypervisor ransomware ที่เคยเป็นของกลุ่มนี้ถูกปล่อยสู่สาธารณะ ➡️ กลุ่มใหม่เริ่มใช้เทคนิคเดิมและดึงสมาชิกเก่ากลับมา ➡️ การประกาศลาออกคล้ายกับกรณีของกลุ่มแฮกเกอร์อื่นในอดีต เช่น REvil และ DarkSide https://www.csoonline.com/article/4057074/scattered-spiders-retirement-announcement-genuine-exit-or-elaborate-smokescreen.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Scattered Spider’s ‘retirement’ announcement: genuine exit or elaborate smokescreen?
    The cybercrime collective and 14 allied groups claim they’re ‘going dark’ in a dramatic farewell letter, but experts question authenticity.
    0 Comments 0 Shares 12 Views 0 Reviews
  • “Volodymyr Tymoshchuk: แฮกเกอร์ยูเครนผู้ถูกล่าทั่วโลก — เบื้องหลัง LockerGoga และเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์พันล้านดอลลาร์”

    Volodymyr Tymoshchuk ชายชาวยูเครนวัย 28 ปี ถูกระบุว่าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการโจมตีไซเบอร์ครั้งใหญ่ที่สุดในยุโรปและสหรัฐฯ ด้วยมัลแวร์เรียกค่าไถ่ชื่อ LockerGoga, MegaCortex และ Nefilim ซึ่งสร้างความเสียหายรวมกว่า 18 พันล้านดอลลาร์ทั่วโลก2 ล่าสุดเขาถูกเพิ่มชื่อในบัญชี “EU Most Wanted” และกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) ตั้งรางวัลนำจับสูงถึง 10 ล้านดอลลาร์

    Tymoshchuk ใช้นามแฝงหลายชื่อ เช่น Deadforz, Boba, Farnetwork และ Volotmsk เพื่อหลบเลี่ยงการติดตาม เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ประสานงานการเจาะระบบของบริษัทกว่า 250 แห่งในสหรัฐฯ และอีกหลายประเทศ โดยใช้มัลแวร์เพื่อเข้ารหัสข้อมูลและเรียกค่าไถ่ พร้อมขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายเงิน

    เครือข่ายของเขาถูกจัดว่าเป็นองค์กรอาชญากรรมไซเบอร์ที่มีโครงสร้างชัดเจน ตั้งแต่ผู้พัฒนามัลแวร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเจาะระบบ ไปจนถึงผู้ฟอกเงินที่แปลงค่าไถ่ให้ใช้งานได้จริง หลายคนในเครือข่ายนี้ถูกจับในยูเครนแล้ว แต่ Tymoshchuk ยังหลบหนีอยู่ และถูกต้องหาตัวโดยหลายประเทศ รวมถึงฝรั่งเศสที่ตั้งข้อหาคอมพิวเตอร์, การกรรโชก และการร่วมองค์กรอาชญากรรม

    หนึ่งในเหยื่อที่ได้รับผลกระทบหนักคือบริษัท Norsk Hydro จากนอร์เวย์ ซึ่งถูกโจมตีในปี 2019 และต้องใช้เงินกว่า 70 ล้านดอลลาร์ในการฟื้นฟูระบบ การโจมตีเหล่านี้ไม่เพียงทำให้ระบบล่ม แต่ยังทำให้ธุรกิจต้องหยุดชะงักและสูญเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้า

    Europol และหน่วยงานในหลายประเทศกำลังร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อจับกุมตัวเขา โดยเปิดช่องทางให้ประชาชนแจ้งเบาะแสผ่านเว็บไซต์ EU Most Wanted และให้การสนับสนุนด้านปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Volodymyr Tymoshchuk ถูกเพิ่มชื่อในบัญชี EU Most Wanted เมื่อ 9 ก.ย. 2025
    DOJ สหรัฐฯ ตั้งรางวัลนำจับสูงถึง 10 ล้านดอลลาร์
    เขาเป็นผู้ดูแลมัลแวร์ LockerGoga, MegaCortex และ Nefilim
    เครือข่ายของเขาสร้างความเสียหายกว่า 18 พันล้านดอลลาร์ทั่วโลก

    รูปแบบการโจมตีและผลกระทบ
    ใช้มัลแวร์เข้ารหัสข้อมูลและเรียกค่าไถ่จากบริษัทกว่า 250 แห่ง
    ขู่เปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายเงิน
    เหยื่อรายใหญ่ เช่น Norsk Hydro สูญเงินกว่า 70 ล้านดอลลาร์
    เครือข่ายมีผู้พัฒนามัลแวร์, ผู้เจาะระบบ และผู้ฟอกเงิน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    LockerGoga ถูกใช้โจมตีบริษัทอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน
    MegaCortex และ Nefilim เป็นมัลแวร์ที่เน้นการเจาะระบบองค์กรขนาดใหญ่
    Europol ใช้แพลตฟอร์ม EMPACT เพื่อประสานงานระหว่างประเทศ
    การตั้งรางวัลนำจับระดับนี้สะท้อนความร้ายแรงของคดีในระดับโลก

    https://hackread.com/lockergoga-ransomware-eu-most-wanted-list-doj-reward/
    🕵️‍♂️ “Volodymyr Tymoshchuk: แฮกเกอร์ยูเครนผู้ถูกล่าทั่วโลก — เบื้องหลัง LockerGoga และเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์พันล้านดอลลาร์” Volodymyr Tymoshchuk ชายชาวยูเครนวัย 28 ปี ถูกระบุว่าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการโจมตีไซเบอร์ครั้งใหญ่ที่สุดในยุโรปและสหรัฐฯ ด้วยมัลแวร์เรียกค่าไถ่ชื่อ LockerGoga, MegaCortex และ Nefilim ซึ่งสร้างความเสียหายรวมกว่า 18 พันล้านดอลลาร์ทั่วโลก2 ล่าสุดเขาถูกเพิ่มชื่อในบัญชี “EU Most Wanted” และกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) ตั้งรางวัลนำจับสูงถึง 10 ล้านดอลลาร์ Tymoshchuk ใช้นามแฝงหลายชื่อ เช่น Deadforz, Boba, Farnetwork และ Volotmsk เพื่อหลบเลี่ยงการติดตาม เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ประสานงานการเจาะระบบของบริษัทกว่า 250 แห่งในสหรัฐฯ และอีกหลายประเทศ โดยใช้มัลแวร์เพื่อเข้ารหัสข้อมูลและเรียกค่าไถ่ พร้อมขู่ว่าจะเปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายเงิน เครือข่ายของเขาถูกจัดว่าเป็นองค์กรอาชญากรรมไซเบอร์ที่มีโครงสร้างชัดเจน ตั้งแต่ผู้พัฒนามัลแวร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเจาะระบบ ไปจนถึงผู้ฟอกเงินที่แปลงค่าไถ่ให้ใช้งานได้จริง หลายคนในเครือข่ายนี้ถูกจับในยูเครนแล้ว แต่ Tymoshchuk ยังหลบหนีอยู่ และถูกต้องหาตัวโดยหลายประเทศ รวมถึงฝรั่งเศสที่ตั้งข้อหาคอมพิวเตอร์, การกรรโชก และการร่วมองค์กรอาชญากรรม หนึ่งในเหยื่อที่ได้รับผลกระทบหนักคือบริษัท Norsk Hydro จากนอร์เวย์ ซึ่งถูกโจมตีในปี 2019 และต้องใช้เงินกว่า 70 ล้านดอลลาร์ในการฟื้นฟูระบบ การโจมตีเหล่านี้ไม่เพียงทำให้ระบบล่ม แต่ยังทำให้ธุรกิจต้องหยุดชะงักและสูญเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้า Europol และหน่วยงานในหลายประเทศกำลังร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อจับกุมตัวเขา โดยเปิดช่องทางให้ประชาชนแจ้งเบาะแสผ่านเว็บไซต์ EU Most Wanted และให้การสนับสนุนด้านปฏิบัติการอย่างต่อเนื่อง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Volodymyr Tymoshchuk ถูกเพิ่มชื่อในบัญชี EU Most Wanted เมื่อ 9 ก.ย. 2025 ➡️ DOJ สหรัฐฯ ตั้งรางวัลนำจับสูงถึง 10 ล้านดอลลาร์ ➡️ เขาเป็นผู้ดูแลมัลแวร์ LockerGoga, MegaCortex และ Nefilim ➡️ เครือข่ายของเขาสร้างความเสียหายกว่า 18 พันล้านดอลลาร์ทั่วโลก ✅ รูปแบบการโจมตีและผลกระทบ ➡️ ใช้มัลแวร์เข้ารหัสข้อมูลและเรียกค่าไถ่จากบริษัทกว่า 250 แห่ง ➡️ ขู่เปิดเผยข้อมูลหากไม่จ่ายเงิน ➡️ เหยื่อรายใหญ่ เช่น Norsk Hydro สูญเงินกว่า 70 ล้านดอลลาร์ ➡️ เครือข่ายมีผู้พัฒนามัลแวร์, ผู้เจาะระบบ และผู้ฟอกเงิน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ LockerGoga ถูกใช้โจมตีบริษัทอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ MegaCortex และ Nefilim เป็นมัลแวร์ที่เน้นการเจาะระบบองค์กรขนาดใหญ่ ➡️ Europol ใช้แพลตฟอร์ม EMPACT เพื่อประสานงานระหว่างประเทศ ➡️ การตั้งรางวัลนำจับระดับนี้สะท้อนความร้ายแรงของคดีในระดับโลก https://hackread.com/lockergoga-ransomware-eu-most-wanted-list-doj-reward/
    HACKREAD.COM
    Ukrainian Fugitive Added to EU Most Wanted List for LockerGoga Ransomware
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
  • กระทรวงแรงงานและการฝึกอาชีพของกัมพูชา ติดตั้งบิลบอร์ดต่างๆ ส่วนหนึ่งในโครงการรณรงค์ "เขมรช่วยงานหางานและมอบงานให้เขมร" ตามสถานที่สำคัญๆทั่วกัมพูชา โดยความคิดริเริ่มนี้มีเป้าหมายเพื่อช่วยชาวกัมพูชา โดยเฉพาะพวกแรงงานที่เดินทางกลับจากไทย ในการหางานทำ

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000088828

    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    กระทรวงแรงงานและการฝึกอาชีพของกัมพูชา ติดตั้งบิลบอร์ดต่างๆ ส่วนหนึ่งในโครงการรณรงค์ "เขมรช่วยงานหางานและมอบงานให้เขมร" ตามสถานที่สำคัญๆทั่วกัมพูชา โดยความคิดริเริ่มนี้มีเป้าหมายเพื่อช่วยชาวกัมพูชา โดยเฉพาะพวกแรงงานที่เดินทางกลับจากไทย ในการหางานทำ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000088828 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    0 Comments 0 Shares 25 Views 0 Reviews
  • “xTool P3 เปิดตัวเลเซอร์ CO₂ อัจฉริยะ 80W — ปลดล็อกการผลิตอัตโนมัติสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและนักสร้างสรรค์”

    xTool ผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องตัดและแกะสลักด้วยเลเซอร์ ได้เปิดตัวเครื่องรุ่นใหม่ล่าสุด “xTool P3” ซึ่งเป็นเครื่องเลเซอร์ CO₂ ขนาด 80W ที่มาพร้อมระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบและขุมพลัง AI เพื่อยกระดับการผลิตให้กับธุรกิจขนาดเล็ก (SMBs) และนักสร้างสรรค์ทั่วโลก

    P3 ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาที่ผู้ใช้เจอมานาน เช่น การตั้งค่าที่ยุ่งยาก ความเร็วในการตัดต่ำ การรองรับวัสดุจำกัด และระบบระบายความร้อนที่ไม่เสถียร โดยรุ่นนี้มาพร้อมกับฟีเจอร์ล้ำสมัย เช่น:

    - ระบบ Automated Creation System™ ที่ใช้กล้องคู่ความละเอียดสูงและ LiDAR เพื่อจัดตำแหน่งอัตโนมัติแบบแม่นยำระดับ 0.0079 นิ้ว
    - ระบบ AutoLift Base ที่ปรับความสูงและโฟกัสโดยอัตโนมัติ
    - AI chip และเซ็นเซอร์กว่า 25 ตัวที่ช่วยจัดการ workflow แบบ end-to-end
    - ความสามารถในการตัดวัสดุหนาถึง 26 มม. ด้วยความเร็วสูงสุด 1200 มม./วินาที

    นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์เสริมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น RA3 Smart Rotary สำหรับงานทรงกระบอก และ Intelligent Conveyor Feeder สำหรับงานขนาดใหญ่แบบต่อเนื่อง พร้อมระบบความปลอดภัยระดับสูง เช่น Active Fire Detection และ SafetyPro Air Purifier

    xTool P3 วางจำหน่ายแล้วในราคาเปิดตัว $6,399 พร้อมส่วนลดพิเศษฉลองครบรอบ 5 ปีของแบรนด์ ซึ่งลดสูงสุดถึง $1,985

    จุดเด่นของ xTool P3
    เลเซอร์ CO₂ ขนาด 80W พร้อมเลเซอร์อินฟราเรด 5W สำหรับวัสดุโลหะ
    ระบบ ACS™ ใช้กล้องคู่และ LiDAR เพื่อจัดตำแหน่งอัตโนมัติแม่นยำ
    AutoLift Base ปรับความสูงและโฟกัสโดยไม่ต้องตั้งค่าด้วยมือ
    รองรับวัสดุหนาถึง 26 มม. และพื้นที่ทำงานขนาด 24x59 นิ้ว

    ฟีเจอร์อัจฉริยะและอุปกรณ์เสริม
    AI chip และเซ็นเซอร์กว่า 25 ตัวช่วยจัดการ workflow แบบอัตโนมัติ
    RA3 Smart Rotary ใช้ LiDAR 360° สร้างโมเดล 3D สำหรับงานทรงกระบอก
    Intelligent Conveyor Feeder ช่วยสร้างงานขนาดใหญ่แบบต่อเนื่อง
    ระบบความปลอดภัย: Active Fire Detection, SafetyPro Air Purifier, Water Chiller

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    xTool P3 เป็นเครื่องแรกที่ใช้ระบบ “load & leave” — ผู้ใช้ไม่ต้องตั้งค่าซับซ้อน
    ระบบ Auto-Nesting และ Batch Fill ช่วยลดการสูญเสียวัสดุ
    เหมาะสำหรับงานไม้, อะคริลิก, เครื่องประดับ, ของตกแต่งบ้าน และงานโลหะบาง
    มีส่วนลดพิเศษฉลองครบรอบ 5 ปี ลดสูงสุดถึง $1,985

    https://www.slashgear.com/sponsored/1970184/xtool-p3-co2-laser-automation-small-businesses-makers/
    🔧 “xTool P3 เปิดตัวเลเซอร์ CO₂ อัจฉริยะ 80W — ปลดล็อกการผลิตอัตโนมัติสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและนักสร้างสรรค์” xTool ผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องตัดและแกะสลักด้วยเลเซอร์ ได้เปิดตัวเครื่องรุ่นใหม่ล่าสุด “xTool P3” ซึ่งเป็นเครื่องเลเซอร์ CO₂ ขนาด 80W ที่มาพร้อมระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบและขุมพลัง AI เพื่อยกระดับการผลิตให้กับธุรกิจขนาดเล็ก (SMBs) และนักสร้างสรรค์ทั่วโลก P3 ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาที่ผู้ใช้เจอมานาน เช่น การตั้งค่าที่ยุ่งยาก ความเร็วในการตัดต่ำ การรองรับวัสดุจำกัด และระบบระบายความร้อนที่ไม่เสถียร โดยรุ่นนี้มาพร้อมกับฟีเจอร์ล้ำสมัย เช่น: - ระบบ Automated Creation System™ ที่ใช้กล้องคู่ความละเอียดสูงและ LiDAR เพื่อจัดตำแหน่งอัตโนมัติแบบแม่นยำระดับ 0.0079 นิ้ว - ระบบ AutoLift Base ที่ปรับความสูงและโฟกัสโดยอัตโนมัติ - AI chip และเซ็นเซอร์กว่า 25 ตัวที่ช่วยจัดการ workflow แบบ end-to-end - ความสามารถในการตัดวัสดุหนาถึง 26 มม. ด้วยความเร็วสูงสุด 1200 มม./วินาที นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์เสริมที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น RA3 Smart Rotary สำหรับงานทรงกระบอก และ Intelligent Conveyor Feeder สำหรับงานขนาดใหญ่แบบต่อเนื่อง พร้อมระบบความปลอดภัยระดับสูง เช่น Active Fire Detection และ SafetyPro Air Purifier xTool P3 วางจำหน่ายแล้วในราคาเปิดตัว $6,399 พร้อมส่วนลดพิเศษฉลองครบรอบ 5 ปีของแบรนด์ ซึ่งลดสูงสุดถึง $1,985 ✅ จุดเด่นของ xTool P3 ➡️ เลเซอร์ CO₂ ขนาด 80W พร้อมเลเซอร์อินฟราเรด 5W สำหรับวัสดุโลหะ ➡️ ระบบ ACS™ ใช้กล้องคู่และ LiDAR เพื่อจัดตำแหน่งอัตโนมัติแม่นยำ ➡️ AutoLift Base ปรับความสูงและโฟกัสโดยไม่ต้องตั้งค่าด้วยมือ ➡️ รองรับวัสดุหนาถึง 26 มม. และพื้นที่ทำงานขนาด 24x59 นิ้ว ✅ ฟีเจอร์อัจฉริยะและอุปกรณ์เสริม ➡️ AI chip และเซ็นเซอร์กว่า 25 ตัวช่วยจัดการ workflow แบบอัตโนมัติ ➡️ RA3 Smart Rotary ใช้ LiDAR 360° สร้างโมเดล 3D สำหรับงานทรงกระบอก ➡️ Intelligent Conveyor Feeder ช่วยสร้างงานขนาดใหญ่แบบต่อเนื่อง ➡️ ระบบความปลอดภัย: Active Fire Detection, SafetyPro Air Purifier, Water Chiller ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ xTool P3 เป็นเครื่องแรกที่ใช้ระบบ “load & leave” — ผู้ใช้ไม่ต้องตั้งค่าซับซ้อน ➡️ ระบบ Auto-Nesting และ Batch Fill ช่วยลดการสูญเสียวัสดุ ➡️ เหมาะสำหรับงานไม้, อะคริลิก, เครื่องประดับ, ของตกแต่งบ้าน และงานโลหะบาง ➡️ มีส่วนลดพิเศษฉลองครบรอบ 5 ปี ลดสูงสุดถึง $1,985 https://www.slashgear.com/sponsored/1970184/xtool-p3-co2-laser-automation-small-businesses-makers/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    xTool P3: Industrial-Grade 80W CO₂ Laser Brings Automation To SMBs And Makers - SlashGear
    Whether you're a small business owner or just a creative with a workshop, a laser machine can upgrade your setup. Find out what makes the xTool P3 so special.
    0 Comments 0 Shares 8 Views 0 Reviews
  • FENGSHUI DAILY
    อัพเดตทุกวัน ที่นี่ที่เดียว
    สีเสริมดวง เสริมความเฮง
    ทิศมงคล เวลามงคล
    อย่าลืมดูกัน เมื่อเริ่มวันใหม่
    วันพฤหัสบดีที่ 18 เดือนกันยายน พ.ศ.2568
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    FENGSHUI DAILY อัพเดตทุกวัน ที่นี่ที่เดียว สีเสริมดวง เสริมความเฮง ทิศมงคล เวลามงคล อย่าลืมดูกัน เมื่อเริ่มวันใหม่ วันพฤหัสบดีที่ 18 เดือนกันยายน พ.ศ.2568 ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    0 Comments 0 Shares 4 Views 0 Reviews
  • “5 รถต้นแบบสุดล้ำจาก Honda ที่ไม่เคยได้ผลิตจริง — เมื่อจินตนาการล้ำหน้าเกินกว่าความเป็นจริงจะตามทัน”

    Honda เป็นหนึ่งในแบรนด์รถยนต์ที่ไม่เคยหยุดฝัน โดยเฉพาะในโลกของ “รถต้นแบบ” หรือ Concept Cars ที่มักถูกสร้างขึ้นเพื่อโชว์วิสัยทัศน์แห่งอนาคต แม้หลายรุ่นจะกลายเป็นผลิตภัณฑ์จริง เช่น Honda Urban EV แต่ก็มีอีกหลายคันที่ยังคงอยู่แค่บนเวทีโชว์และในความทรงจำของแฟน ๆ เท่านั้น

    บทความนี้พาเราย้อนดู 5 รถต้นแบบจาก Honda ที่โดดเด่นทั้งดีไซน์ เทคโนโลยี และแนวคิด แต่ไม่เคยได้ผลิตจริง:

    1️⃣ Honda Spocket (1999) — รถลูกผสมระหว่างสปอร์ต, พิคอัพ และเปิดประทุน ที่สามารถเปลี่ยนจาก 4 ที่นั่งเป็น 2 ที่นั่งได้ มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบไฮบริด และกล้องแทนกระจกข้าง พร้อม HUD บนกระจกหน้า

    2️⃣ Honda Puyo (2007) — รถที่ออกแบบด้วยแนวคิด “ความนุ่มนวล” ตัวถังเรืองแสงทำจากวัสดุเจลนุ่มเพื่อความปลอดภัยและความเป็นมิตร ใช้พลังงานจากเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน และควบคุมด้วยจอยสติ๊กแทนพวงมาลัย

    3️⃣ Honda Kiwami (2003) — ซีดานพลังงานไฮโดรเจนที่ออกแบบด้วยแรงบันดาลใจจากสวนญี่ปุ่น ใช้โครงสร้างแบบ skateboard chassis เพื่อเพิ่มพื้นที่ภายใน พร้อมระบบ ultracapacitor และเซลล์เชื้อเพลิง

    4️⃣ Honda Project 2&4 (2015) — รถแข่งขนาดเล็กที่ผสมผสาน DNA ของมอเตอร์ไซค์และรถ F1 ใช้เครื่องยนต์ V4 จาก RC213V ให้แรงม้ากว่า 212 ตัว แต่มีที่นั่งแบบ “ลอยตัว” ซึ่งอาจไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย

    5️⃣ Honda Fuya-Jo (1999) — รถสำหรับสายปาร์ตี้โดยเฉพาะ ออกแบบให้สามารถยืน เต้น และเล่นดนตรีได้ภายใน มีเบาะแบบเก้าอี้สูงและแดชบอร์ดที่เหมือนโต๊ะมิกซ์ของดีเจ

    แม้รถเหล่านี้จะไม่ถูกผลิตจริง แต่ก็สะท้อนถึงความกล้าคิด กล้าทดลอง และความตั้งใจของ Honda ที่จะผลักดันขอบเขตของการออกแบบและเทคโนโลยียานยนต์ให้ก้าวไปข้างหน้า

    รถต้นแบบมักไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย เช่น ที่นั่งลอยตัวของ Project 2&4
    วัสดุเจลของ Puyo อาจไม่เหมาะกับการผลิตจริงและมีปัญหาเรื่องความทนทาน
    ระบบพลังงานไฮโดรเจนยังขาดโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการเติมเชื้อเพลิง
    รถที่ออกแบบเพื่อความบันเทิง เช่น Fuya-Jo อาจไม่เหมาะกับการใช้งานจริงบนถนน
    ต้นทุนการผลิตและความต้องการตลาดเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้รถเหล่านี้ไม่ถูกผลิต

    https://www.slashgear.com/1422341/futuristic-honda-concept-cars-never-made-production/
    🚗 “5 รถต้นแบบสุดล้ำจาก Honda ที่ไม่เคยได้ผลิตจริง — เมื่อจินตนาการล้ำหน้าเกินกว่าความเป็นจริงจะตามทัน” Honda เป็นหนึ่งในแบรนด์รถยนต์ที่ไม่เคยหยุดฝัน โดยเฉพาะในโลกของ “รถต้นแบบ” หรือ Concept Cars ที่มักถูกสร้างขึ้นเพื่อโชว์วิสัยทัศน์แห่งอนาคต แม้หลายรุ่นจะกลายเป็นผลิตภัณฑ์จริง เช่น Honda Urban EV แต่ก็มีอีกหลายคันที่ยังคงอยู่แค่บนเวทีโชว์และในความทรงจำของแฟน ๆ เท่านั้น บทความนี้พาเราย้อนดู 5 รถต้นแบบจาก Honda ที่โดดเด่นทั้งดีไซน์ เทคโนโลยี และแนวคิด แต่ไม่เคยได้ผลิตจริง: 1️⃣ Honda Spocket (1999) — รถลูกผสมระหว่างสปอร์ต, พิคอัพ และเปิดประทุน ที่สามารถเปลี่ยนจาก 4 ที่นั่งเป็น 2 ที่นั่งได้ มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบไฮบริด และกล้องแทนกระจกข้าง พร้อม HUD บนกระจกหน้า 2️⃣ Honda Puyo (2007) — รถที่ออกแบบด้วยแนวคิด “ความนุ่มนวล” ตัวถังเรืองแสงทำจากวัสดุเจลนุ่มเพื่อความปลอดภัยและความเป็นมิตร ใช้พลังงานจากเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน และควบคุมด้วยจอยสติ๊กแทนพวงมาลัย 3️⃣ Honda Kiwami (2003) — ซีดานพลังงานไฮโดรเจนที่ออกแบบด้วยแรงบันดาลใจจากสวนญี่ปุ่น ใช้โครงสร้างแบบ skateboard chassis เพื่อเพิ่มพื้นที่ภายใน พร้อมระบบ ultracapacitor และเซลล์เชื้อเพลิง 4️⃣ Honda Project 2&4 (2015) — รถแข่งขนาดเล็กที่ผสมผสาน DNA ของมอเตอร์ไซค์และรถ F1 ใช้เครื่องยนต์ V4 จาก RC213V ให้แรงม้ากว่า 212 ตัว แต่มีที่นั่งแบบ “ลอยตัว” ซึ่งอาจไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย 5️⃣ Honda Fuya-Jo (1999) — รถสำหรับสายปาร์ตี้โดยเฉพาะ ออกแบบให้สามารถยืน เต้น และเล่นดนตรีได้ภายใน มีเบาะแบบเก้าอี้สูงและแดชบอร์ดที่เหมือนโต๊ะมิกซ์ของดีเจ แม้รถเหล่านี้จะไม่ถูกผลิตจริง แต่ก็สะท้อนถึงความกล้าคิด กล้าทดลอง และความตั้งใจของ Honda ที่จะผลักดันขอบเขตของการออกแบบและเทคโนโลยียานยนต์ให้ก้าวไปข้างหน้า ⛔ รถต้นแบบมักไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย เช่น ที่นั่งลอยตัวของ Project 2&4 ⛔ วัสดุเจลของ Puyo อาจไม่เหมาะกับการผลิตจริงและมีปัญหาเรื่องความทนทาน ⛔ ระบบพลังงานไฮโดรเจนยังขาดโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการเติมเชื้อเพลิง ⛔ รถที่ออกแบบเพื่อความบันเทิง เช่น Fuya-Jo อาจไม่เหมาะกับการใช้งานจริงบนถนน ⛔ ต้นทุนการผลิตและความต้องการตลาดเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้รถเหล่านี้ไม่ถูกผลิต https://www.slashgear.com/1422341/futuristic-honda-concept-cars-never-made-production/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Futuristic Honda Concept Cars That Never Made Production - SlashGear
    While some Honda concept cars have made their way into production, others haven't gone beyond showcase floors. These five were the most futuristic.
    0 Comments 0 Shares 9 Views 0 Reviews
More Results