• Tiny386 Emulator – คอมพิวเตอร์ยุค 90 บนบอร์ดจิ๋ว

    มีโปรแกรมเมอร์ชาวจีนชื่อ He Chunhui ที่สร้างโปรเจกต์สุดแปลกชื่อ Tiny386 โดยใช้บอร์ดไมโครคอนโทรลเลอร์ ESP32-S3 ราคาประมาณ 25–30 ดอลลาร์ มาทำให้มันสามารถจำลองเครื่องคอมพิวเตอร์ i386 ได้เต็มรูปแบบ แม้จะเป็นบอร์ดเล็ก ๆ แต่สามารถบูต Windows 95 และ Linux ได้จริง รวมถึงเกมในตำนานอย่าง Doom ก็ยังเล่นได้! สิ่งที่น่าสนใจคือเขาไม่ได้หยุดแค่ CPU แต่ยังพอร์ตอุปกรณ์เสริมอย่าง VGA, IDE Controller และ Sound Blaster 16 เข้าไปด้วย ทำให้บอร์ดเล็ก ๆ นี้กลายเป็นคอมพิวเตอร์จำลองที่สมบูรณ์แบบ

    แม้ว่า ESP32-S3 จะไม่แรงเท่า Raspberry Pi แต่การเขียนโค้ดกว่า 6,000 บรรทัดด้วยภาษา C99 ทำให้มันสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จุดเด่นคือการส่งสัญญาณคีย์บอร์ดและเมาส์ผ่าน Wi-Fi เพราะบอร์ดไม่มีพอร์ตจริง ๆ ให้เสียบอุปกรณ์ นี่คือการผสมผสานระหว่างความคิดสร้างสรรค์และความหลงใหลในเทคโนโลยีเก่า ๆ ที่ยังคงมีเสน่ห์ไม่เสื่อมคลาย

    สิ่งที่น่าตื่นเต้นคือ Tiny386 ไม่ได้หยุดแค่การจำลอง i386 แต่ยังเพิ่มคำสั่งของ 486 และ Pentium เพื่อให้สามารถบูต Linux รุ่นใหม่ ๆ ได้ด้วย ถือเป็นการเชื่อมโลกเก่าและโลกใหม่เข้าด้วยกันอย่างลงตัว และยังเปิดโอกาสให้ผู้สนใจสามารถทดลองผ่าน WebAssembly หรือดูตัวอย่างใน YouTube ได้อีกด้วย

    Tiny386 จำลอง i386 บนบอร์ด ESP32-S3
    สามารถบูต Windows 95, Linux และเล่น Doom ได้

    ใช้โค้ดกว่า 6,000 บรรทัดในภาษา C99
    เพิ่มคำสั่ง 486 และ Pentium เพื่อรองรับ OS รุ่นใหม่

    ข้อจำกัดด้านพลังประมวลผลของ ESP32-S3
    ไม่สามารถแทนที่เครื่อง PC จริงได้ และยังมีฟีเจอร์ที่ขาดไปบางส่วน

    https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/tiny386-emulator-turns-an-esp-s3-microcontroller-into-a-full-i386-pc-tiny-virtual-machine-can-boot-windows-95-and-linux
    🖥️ Tiny386 Emulator – คอมพิวเตอร์ยุค 90 บนบอร์ดจิ๋ว มีโปรแกรมเมอร์ชาวจีนชื่อ He Chunhui ที่สร้างโปรเจกต์สุดแปลกชื่อ Tiny386 โดยใช้บอร์ดไมโครคอนโทรลเลอร์ ESP32-S3 ราคาประมาณ 25–30 ดอลลาร์ มาทำให้มันสามารถจำลองเครื่องคอมพิวเตอร์ i386 ได้เต็มรูปแบบ แม้จะเป็นบอร์ดเล็ก ๆ แต่สามารถบูต Windows 95 และ Linux ได้จริง รวมถึงเกมในตำนานอย่าง Doom ก็ยังเล่นได้! สิ่งที่น่าสนใจคือเขาไม่ได้หยุดแค่ CPU แต่ยังพอร์ตอุปกรณ์เสริมอย่าง VGA, IDE Controller และ Sound Blaster 16 เข้าไปด้วย ทำให้บอร์ดเล็ก ๆ นี้กลายเป็นคอมพิวเตอร์จำลองที่สมบูรณ์แบบ แม้ว่า ESP32-S3 จะไม่แรงเท่า Raspberry Pi แต่การเขียนโค้ดกว่า 6,000 บรรทัดด้วยภาษา C99 ทำให้มันสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จุดเด่นคือการส่งสัญญาณคีย์บอร์ดและเมาส์ผ่าน Wi-Fi เพราะบอร์ดไม่มีพอร์ตจริง ๆ ให้เสียบอุปกรณ์ นี่คือการผสมผสานระหว่างความคิดสร้างสรรค์และความหลงใหลในเทคโนโลยีเก่า ๆ ที่ยังคงมีเสน่ห์ไม่เสื่อมคลาย สิ่งที่น่าตื่นเต้นคือ Tiny386 ไม่ได้หยุดแค่การจำลอง i386 แต่ยังเพิ่มคำสั่งของ 486 และ Pentium เพื่อให้สามารถบูต Linux รุ่นใหม่ ๆ ได้ด้วย ถือเป็นการเชื่อมโลกเก่าและโลกใหม่เข้าด้วยกันอย่างลงตัว และยังเปิดโอกาสให้ผู้สนใจสามารถทดลองผ่าน WebAssembly หรือดูตัวอย่างใน YouTube ได้อีกด้วย ✅ Tiny386 จำลอง i386 บนบอร์ด ESP32-S3 ➡️ สามารถบูต Windows 95, Linux และเล่น Doom ได้ ✅ ใช้โค้ดกว่า 6,000 บรรทัดในภาษา C99 ➡️ เพิ่มคำสั่ง 486 และ Pentium เพื่อรองรับ OS รุ่นใหม่ ‼️ ข้อจำกัดด้านพลังประมวลผลของ ESP32-S3 ⛔ ไม่สามารถแทนที่เครื่อง PC จริงได้ และยังมีฟีเจอร์ที่ขาดไปบางส่วน https://www.tomshardware.com/video-games/retro-gaming/tiny386-emulator-turns-an-esp-s3-microcontroller-into-a-full-i386-pc-tiny-virtual-machine-can-boot-windows-95-and-linux
    0 Comments 0 Shares 59 Views 0 Reviews
  • สำหรับทุกคนที่พูดถึง "ฟองสบู่ AI" การปลดพนักงานจำนวนมากในบริษัทต่างๆ ในอเมริกาพิสูจน์ให้เห็นว่าแท้จริงแล้วมีฟองสบู่แรงงานมนุษย์อยู่ และนั่นคือประเด็นหลักของรายงานพอดแคสต์ของผม (ด้านล่าง)

    AI กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วในสถานที่ทำงาน เข้ามาแทนที่พนักงานบริการลูกค้า พนักงานขาย ผู้ช่วยทนายความ โปรแกรมเมอร์ และอื่นๆ อีกมากมาย บริษัทต่างๆ ไม่สามารถมี GPU ได้เพียงพอ (ความต้องการในปัจจุบันแทบจะไร้ขีดจำกัด) สำหรับการประมวลผล AI แต่ดูเหมือนว่าพวกเขามีพนักงานเงินเดือนมากเกินไป นั่นคือเหตุผลที่พนักงานถูกเลิกจ้าง:

    Amazon – 30,000
    GEICO – 30,000
    Nissan – 20,000
    UPS – 20,000
    Nestlé – 16,000
    Panasonic – 10,000
    Chevron – 9,000
    Novo Nordisk – 9,000
    Microsoft – 9,000
    BP – 7,700
    Estée Lauder – 7,000
    Intel – 5,000
    Porsche – 3,900
    ConocoPhillips – 2,950
    HPE – 2,500
    Morgan Stanley – 2,400
    Starbucks – 2,000
    Microchip Technology – 2,000
    ExxonMobil – 2,000
    Target – 1,800

    เห็นได้ชัดว่าบริษัทในอเมริกาเชื่อว่ามีฟองสบู่แรงงานมนุษย์ ไม่ใช่ฟองสบู่ AI ผมอธิบายเพิ่มเติมในพอดแคสต์นี้:

    มีฟองสบู่แรงงานมนุษย์ ไม่ใช่ฟองสบู่ AI
    https://www.brighteon.com/b70b6601-e86c-4a72-97c4-19fc3618e581
    สำหรับทุกคนที่พูดถึง "ฟองสบู่ AI" การปลดพนักงานจำนวนมากในบริษัทต่างๆ ในอเมริกาพิสูจน์ให้เห็นว่าแท้จริงแล้วมีฟองสบู่แรงงานมนุษย์อยู่ และนั่นคือประเด็นหลักของรายงานพอดแคสต์ของผม (ด้านล่าง) AI กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วในสถานที่ทำงาน เข้ามาแทนที่พนักงานบริการลูกค้า พนักงานขาย ผู้ช่วยทนายความ โปรแกรมเมอร์ และอื่นๆ อีกมากมาย บริษัทต่างๆ ไม่สามารถมี GPU ได้เพียงพอ (ความต้องการในปัจจุบันแทบจะไร้ขีดจำกัด) สำหรับการประมวลผล AI แต่ดูเหมือนว่าพวกเขามีพนักงานเงินเดือนมากเกินไป นั่นคือเหตุผลที่พนักงานถูกเลิกจ้าง: Amazon – 30,000 GEICO – 30,000 Nissan – 20,000 UPS – 20,000 Nestlé – 16,000 Panasonic – 10,000 Chevron – 9,000 Novo Nordisk – 9,000 Microsoft – 9,000 BP – 7,700 Estée Lauder – 7,000 Intel – 5,000 Porsche – 3,900 ConocoPhillips – 2,950 HPE – 2,500 Morgan Stanley – 2,400 Starbucks – 2,000 Microchip Technology – 2,000 ExxonMobil – 2,000 Target – 1,800 เห็นได้ชัดว่าบริษัทในอเมริกาเชื่อว่ามีฟองสบู่แรงงานมนุษย์ ไม่ใช่ฟองสบู่ AI ผมอธิบายเพิ่มเติมในพอดแคสต์นี้: มีฟองสบู่แรงงานมนุษย์ ไม่ใช่ฟองสบู่ AI https://www.brighteon.com/b70b6601-e86c-4a72-97c4-19fc3618e581
    0 Comments 0 Shares 116 Views 0 Reviews
  • “AI’s Dial-Up Era” – เมื่อ AI อยู่ในยุคโมเด็มเสียงหวีด

    ในปี 1995 อินเทอร์เน็ตยังใหม่มาก—เว็บไซต์มีไม่ถึง 3,000 แห่ง โมเด็มส่งเสียงหวีดตอนเชื่อมต่อ และไม่มีใครกล้าใส่บัตรเครดิตออนไลน์ แต่ภายใน 25 ปี โลกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เราไว้ใจคนแปลกหน้าในอินเทอร์เน็ตให้ขับรถให้เรา พาเราไปพักในบ้านของพวกเขา และแม้แต่หาคู่ให้เรา

    ผู้เขียน Nowfal ชี้ว่า AI ในวันนี้ก็เหมือนอินเทอร์เน็ตในปี 1995—ยังอยู่ในช่วง “เสียงหวีด” ของการเริ่มต้น และทั้งฝ่ายมองโลกในแง่ดีและแง่ร้ายต่างก็เข้าใจผิดในบางจุด

    การเปรียบเทียบกับยุคอินเทอร์เน็ต
    อินเทอร์เน็ตเคยถูกมองว่าเป็นแฟชั่นชั่วคราว
    แต่กลับเปลี่ยนวิถีชีวิตมนุษย์ในทุกมิติ
    AI กำลังอยู่ในจุดเริ่มต้นแบบเดียวกัน

    ปริศนาการจ้างงานกับ AI
    บางอาชีพ เช่น รังสีแพทย์ ยังไม่ถูกแทนที่แม้มี AI
    Jevons Paradox: ยิ่งเทคโนโลยีทำให้บริการถูกลง ความต้องการกลับเพิ่ม
    แต่ผลกระทบขึ้นกับอุตสาหกรรม เช่น รถยนต์ยังไม่อิ่มตัว แต่สิ่งทออิ่มตัวแล้ว

    เศรษฐศาสตร์ของฟองสบู่ AI
    การลงทุนใน AI คล้ายยุคดอทคอม
    บริษัทบางแห่งระดมทุนมหาศาลโดยไม่มีผลิตภัณฑ์
    แต่โครงสร้างพื้นฐานที่สร้างขึ้นจะอยู่ต่อแม้ฟองสบู่แตก

    การเปลี่ยนแปลงของอาชีพ
    อาชีพใหม่จะเกิดขึ้นจาก AI เช่นเดียวกับที่อินเทอร์เน็ตสร้าง YouTuber, Influencer
    ความหมายของ “วิศวกรซอฟต์แวร์” จะเปลี่ยนไป
    คนทั่วไปจะสร้างซอฟต์แวร์โดยไม่ต้องเป็นโปรแกรมเมอร์

    ความไม่แน่นอนที่คาดเดาได้
    เราคาดการณ์ทิศทางได้ แต่ไม่รู้รายละเอียด
    เช่นเดียวกับที่ไม่มีใครคาดว่า Airbnb หรือ Uber จะเกิดขึ้นในปี 1995

    อย่าหลงเชื่อสุดโต่งทั้งสองฝั่ง
    ฝ่ายที่บอกว่า AI จะทำลายงานทั้งหมดอาจมองข้ามความซับซ้อนของอุตสาหกรรม
    ฝ่ายที่เชื่อว่า AI จะสร้างงานเสมออาจไม่เห็นข้อจำกัดของดีมานด์

    ฟองสบู่ AI อาจแตก
    การลงทุนที่เกินจริงอาจนำไปสู่การล่มสลายของบริษัท
    แต่โครงสร้างพื้นฐานที่สร้างไว้จะยังคงอยู่

    การเปลี่ยนแปลงของอาชีพไม่เท่ากับความมั่นคง
    แม้จะมี “ผู้สร้างคอนเทนต์” มากขึ้น แต่รายได้ไม่เท่ากับนักข่าวมืออาชีพในอดีต
    การเปลี่ยนแปลงอาจทำให้เกิดความไม่มั่นคงในอาชีพใหม่

    AI ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเปลี่ยนโลก เหมือนอินเทอร์เน็ตในยุคโมเด็มเสียงหวีด เราอาจไม่รู้ว่ามันจะพาเราไปถึงไหน แต่สิ่งที่แน่นอนคือ—มันจะเปลี่ยนทุกอย่าง และเราควรเตรียมตัวให้พร้อมทั้งในแง่โอกาสและความเสี่ยง

    https://www.wreflection.com/p/ai-dial-up-era
    📰 “AI’s Dial-Up Era” – เมื่อ AI อยู่ในยุคโมเด็มเสียงหวีด ในปี 1995 อินเทอร์เน็ตยังใหม่มาก—เว็บไซต์มีไม่ถึง 3,000 แห่ง โมเด็มส่งเสียงหวีดตอนเชื่อมต่อ และไม่มีใครกล้าใส่บัตรเครดิตออนไลน์ แต่ภายใน 25 ปี โลกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เราไว้ใจคนแปลกหน้าในอินเทอร์เน็ตให้ขับรถให้เรา พาเราไปพักในบ้านของพวกเขา และแม้แต่หาคู่ให้เรา ผู้เขียน Nowfal ชี้ว่า AI ในวันนี้ก็เหมือนอินเทอร์เน็ตในปี 1995—ยังอยู่ในช่วง “เสียงหวีด” ของการเริ่มต้น และทั้งฝ่ายมองโลกในแง่ดีและแง่ร้ายต่างก็เข้าใจผิดในบางจุด ✅ การเปรียบเทียบกับยุคอินเทอร์เน็ต ➡️ อินเทอร์เน็ตเคยถูกมองว่าเป็นแฟชั่นชั่วคราว ➡️ แต่กลับเปลี่ยนวิถีชีวิตมนุษย์ในทุกมิติ ➡️ AI กำลังอยู่ในจุดเริ่มต้นแบบเดียวกัน ✅ ปริศนาการจ้างงานกับ AI ➡️ บางอาชีพ เช่น รังสีแพทย์ ยังไม่ถูกแทนที่แม้มี AI ➡️ Jevons Paradox: ยิ่งเทคโนโลยีทำให้บริการถูกลง ความต้องการกลับเพิ่ม ➡️ แต่ผลกระทบขึ้นกับอุตสาหกรรม เช่น รถยนต์ยังไม่อิ่มตัว แต่สิ่งทออิ่มตัวแล้ว ✅ เศรษฐศาสตร์ของฟองสบู่ AI ➡️ การลงทุนใน AI คล้ายยุคดอทคอม ➡️ บริษัทบางแห่งระดมทุนมหาศาลโดยไม่มีผลิตภัณฑ์ ➡️ แต่โครงสร้างพื้นฐานที่สร้างขึ้นจะอยู่ต่อแม้ฟองสบู่แตก ✅ การเปลี่ยนแปลงของอาชีพ ➡️ อาชีพใหม่จะเกิดขึ้นจาก AI เช่นเดียวกับที่อินเทอร์เน็ตสร้าง YouTuber, Influencer ➡️ ความหมายของ “วิศวกรซอฟต์แวร์” จะเปลี่ยนไป ➡️ คนทั่วไปจะสร้างซอฟต์แวร์โดยไม่ต้องเป็นโปรแกรมเมอร์ ✅ ความไม่แน่นอนที่คาดเดาได้ ➡️ เราคาดการณ์ทิศทางได้ แต่ไม่รู้รายละเอียด ➡️ เช่นเดียวกับที่ไม่มีใครคาดว่า Airbnb หรือ Uber จะเกิดขึ้นในปี 1995 ‼️ อย่าหลงเชื่อสุดโต่งทั้งสองฝั่ง ⛔ ฝ่ายที่บอกว่า AI จะทำลายงานทั้งหมดอาจมองข้ามความซับซ้อนของอุตสาหกรรม ⛔ ฝ่ายที่เชื่อว่า AI จะสร้างงานเสมออาจไม่เห็นข้อจำกัดของดีมานด์ ‼️ ฟองสบู่ AI อาจแตก ⛔ การลงทุนที่เกินจริงอาจนำไปสู่การล่มสลายของบริษัท ⛔ แต่โครงสร้างพื้นฐานที่สร้างไว้จะยังคงอยู่ ‼️ การเปลี่ยนแปลงของอาชีพไม่เท่ากับความมั่นคง ⛔ แม้จะมี “ผู้สร้างคอนเทนต์” มากขึ้น แต่รายได้ไม่เท่ากับนักข่าวมืออาชีพในอดีต ⛔ การเปลี่ยนแปลงอาจทำให้เกิดความไม่มั่นคงในอาชีพใหม่ AI ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเปลี่ยนโลก เหมือนอินเทอร์เน็ตในยุคโมเด็มเสียงหวีด เราอาจไม่รู้ว่ามันจะพาเราไปถึงไหน แต่สิ่งที่แน่นอนคือ—มันจะเปลี่ยนทุกอย่าง และเราควรเตรียมตัวให้พร้อมทั้งในแง่โอกาสและความเสี่ยง https://www.wreflection.com/p/ai-dial-up-era
    0 Comments 0 Shares 163 Views 0 Reviews
  • AI ไม่ได้แย่งงาน แต่เปิดโอกาสใหม่ให้สายโปรแกรมเมอร์ – ยุคทองของนักพัฒนาซอฟต์แวร์กำลังมา

    แม้หลายคนจะกังวลว่า AI จะมาแทนที่นักพัฒนา แต่รายงานล่าสุดจาก Morgan Stanley กลับชี้ว่า AI จะช่วยเพิ่มตำแหน่งงานในสายนี้ และทำให้การลงทุนด้านซอฟต์แวร์เติบโตอย่างต่อเนื่อง

    รายงานจาก Morgan Stanley ระบุว่า AI-powered coding tools ไม่ได้ลดจำนวนงาน แต่กลับสร้างโอกาสใหม่ให้กับนักพัฒนาและบริษัทซอฟต์แวร์. จากการสำรวจ CIO ในสหรัฐฯ และยุโรปกว่า 100 คน พบว่า งบประมาณด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์เพิ่มขึ้นมากกว่าด้านบริการ IT และฮาร์ดแวร์

    Sanjit Singh จาก Morgan Stanley เชื่อว่า ความต้องการนักพัฒนาที่มีทักษะจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากธุรกิจต้องการสร้างแอปพลิเคชันที่ซับซ้อนมากขึ้น โดย คาดการณ์ว่าอัตราการจ้างงานนักพัฒนาจะเพิ่มขึ้น 1.6% ต่อปีจนถึงปี 2033 และบางการประเมินชี้ว่าอาจเพิ่มขึ้นถึงระดับเลขสองหลัก

    แต่ผลกระทบของ AI ยังไม่แน่นอน
    รายงานจาก METR ในปี 2025 พบว่า AI อาจทำให้นักพัฒนาทำงานช้าลง โดยเฉพาะผู้ที่มีประสบการณ์สูง ขณะที่ งานวิจัยจาก Stanford ระบุว่า AI ช่วยผู้ที่มีทักษะต่ำได้ดี แต่กลับลดประสิทธิภาพของผู้มีความเชี่ยวชาญ

    Keith Weiss จาก Morgan Stanley กล่าวเสริมว่า การลงทุนด้านซอฟต์แวร์ยังคงแข็งแกร่ง แม้ในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของนักพัฒนาในยุคที่ AI กำลังเปลี่ยนแปลงทุกอุตสาหกรรม

    AI ช่วยเพิ่มโอกาสในสายงานพัฒนาซอฟต์แวร์
    เครื่องมือเขียนโค้ดด้วย AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ
    บริษัทลงทุนด้านซอฟต์แวร์มากกว่าบริการ IT และฮาร์ดแวร์
    ความต้องการนักพัฒนาที่มีทักษะจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    การจ้างงานนักพัฒนามีแนวโน้มเติบโต
    คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.6% ต่อปีจนถึงปี 2033
    บางการประเมินชี้ว่าอาจเพิ่มขึ้นถึงระดับเลขสองหลัก
    ธุรกิจต้องการแอปพลิเคชันที่ซับซ้อนมากขึ้น

    ผลกระทบของ AI ยังไม่ชัดเจน
    รายงานจาก METR พบว่า AI ทำให้นักพัฒนาทำงานช้าลง
    งานวิจัยจาก Stanford ชี้ว่า AI ลดประสิทธิภาพของผู้มีประสบการณ์
    ผลลัพธ์ของ AI ต่อการทำงาน “แตกต่างกันอย่างมาก”

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/04/learn-to-code-ai-could-mean-boom-times-for-software-developers
    📈 AI ไม่ได้แย่งงาน แต่เปิดโอกาสใหม่ให้สายโปรแกรมเมอร์ – ยุคทองของนักพัฒนาซอฟต์แวร์กำลังมา แม้หลายคนจะกังวลว่า AI จะมาแทนที่นักพัฒนา แต่รายงานล่าสุดจาก Morgan Stanley กลับชี้ว่า AI จะช่วยเพิ่มตำแหน่งงานในสายนี้ และทำให้การลงทุนด้านซอฟต์แวร์เติบโตอย่างต่อเนื่อง รายงานจาก Morgan Stanley ระบุว่า AI-powered coding tools ไม่ได้ลดจำนวนงาน แต่กลับสร้างโอกาสใหม่ให้กับนักพัฒนาและบริษัทซอฟต์แวร์. จากการสำรวจ CIO ในสหรัฐฯ และยุโรปกว่า 100 คน พบว่า งบประมาณด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์เพิ่มขึ้นมากกว่าด้านบริการ IT และฮาร์ดแวร์ Sanjit Singh จาก Morgan Stanley เชื่อว่า ความต้องการนักพัฒนาที่มีทักษะจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากธุรกิจต้องการสร้างแอปพลิเคชันที่ซับซ้อนมากขึ้น โดย คาดการณ์ว่าอัตราการจ้างงานนักพัฒนาจะเพิ่มขึ้น 1.6% ต่อปีจนถึงปี 2033 และบางการประเมินชี้ว่าอาจเพิ่มขึ้นถึงระดับเลขสองหลัก 🧪 แต่ผลกระทบของ AI ยังไม่แน่นอน รายงานจาก METR ในปี 2025 พบว่า AI อาจทำให้นักพัฒนาทำงานช้าลง โดยเฉพาะผู้ที่มีประสบการณ์สูง ขณะที่ งานวิจัยจาก Stanford ระบุว่า AI ช่วยผู้ที่มีทักษะต่ำได้ดี แต่กลับลดประสิทธิภาพของผู้มีความเชี่ยวชาญ Keith Weiss จาก Morgan Stanley กล่าวเสริมว่า การลงทุนด้านซอฟต์แวร์ยังคงแข็งแกร่ง แม้ในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของนักพัฒนาในยุคที่ AI กำลังเปลี่ยนแปลงทุกอุตสาหกรรม ✅ AI ช่วยเพิ่มโอกาสในสายงานพัฒนาซอฟต์แวร์ ➡️ เครื่องมือเขียนโค้ดด้วย AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ บริษัทลงทุนด้านซอฟต์แวร์มากกว่าบริการ IT และฮาร์ดแวร์ ➡️ ความต้องการนักพัฒนาที่มีทักษะจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ✅ การจ้างงานนักพัฒนามีแนวโน้มเติบโต ➡️ คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.6% ต่อปีจนถึงปี 2033 ➡️ บางการประเมินชี้ว่าอาจเพิ่มขึ้นถึงระดับเลขสองหลัก ➡️ ธุรกิจต้องการแอปพลิเคชันที่ซับซ้อนมากขึ้น ‼️ ผลกระทบของ AI ยังไม่ชัดเจน ⛔ รายงานจาก METR พบว่า AI ทำให้นักพัฒนาทำงานช้าลง ⛔ งานวิจัยจาก Stanford ชี้ว่า AI ลดประสิทธิภาพของผู้มีประสบการณ์ ⛔ ผลลัพธ์ของ AI ต่อการทำงาน “แตกต่างกันอย่างมาก” https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/04/learn-to-code-ai-could-mean-boom-times-for-software-developers
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Learn to code: AI could mean boom times for software developers
    Artificial intelligence (AI) could, in time, create more jobs for software developers rather than eliminate them, according to investment bank Morgan Stanley.
    0 Comments 0 Shares 166 Views 0 Reviews
  • AI กำลังเปลี่ยนโฉมตลาดงานโปรแกรมเมอร์ — โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งจบสายคอมพิวเตอร์

    รายงานจาก Stanford University เผยว่า ตลาดงานสำหรับนักพัฒนาโปรแกรมรุ่นใหม่กำลังหดตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 22–25 ปี ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแทนที่ด้วย AI coding tools เช่น Copilot และ GPT ที่บริษัทต่าง ๆ นำมาใช้แทนการจ้างงานจริง

    การจ้างงานในสายงานที่ “AI-exposed” ลดลง 13%
    โดยเฉพาะสาย software development ที่ถูกแทนที่ด้วย automation
    ตัวเลขนี้ยังคงอยู่แม้ปรับตามปัจจัยภายในบริษัท

    ตลาดงาน coding ลดลงเกือบ 20% ตั้งแต่ปี 2022 ถึงกลางปี 2025
    จุดเปลี่ยนคือการเปิดตัว ChatGPT และเครื่องมือ AI อื่น ๆ
    บริษัทต่าง ๆ เลือกใช้ AI แทนการจ้างนักพัฒนาใหม่

    นักพัฒนาใหม่ใช้ AI ตลอดเวลา แต่ขาดความเข้าใจลึก
    “AI ให้คำตอบเร็ว แต่ความรู้ที่ได้ตื้น” — Namanyay Goel
    StackOverflow เคยบังคับให้เรียนรู้จากการถกเถียงของผู้เชี่ยวชาญ

    AI-generated code มีปัญหาด้านคุณภาพและความปลอดภัย
    นักพัฒนาพบว่าโค้ดจาก AI ใช้เวลาซ่อมมากขึ้น
    เพียง 44% ของโค้ดที่สร้างโดย AI ถูกมองว่า “ใช้งานได้”
    มีการเพิ่มขึ้น 322% ในการเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโค้ดที่สร้างโดย AI

    ช่องโหว่ร้ายแรงเพิ่มขึ้น 37.6% เมื่อโค้ดถูกสร้างซ้ำด้วย AI หลายรอบ
    งานวิจัยจาก Apiiro และ University of San Francisco ยืนยันความเสี่ยง
    ผู้ใช้มักเข้าใจผิดว่า AI ทำให้ตนเองเร็วขึ้น ทั้งที่จริงแล้วช้าลง

    นักพัฒนาใหม่อาจพึ่งพา AI มากเกินไปจนขาดทักษะพื้นฐาน
    ส่งผลให้ไม่สามารถแก้ปัญหาหรือเข้าใจโค้ดที่ซับซ้อนได้
    อาจกลายเป็น “ผู้ใช้ AI” มากกว่า “นักพัฒนา”

    องค์กรที่ลดจำนวนพนักงานและพึ่งพา AI เสี่ยงต่อคุณภาพซอฟต์แวร์
    โค้ดที่ไม่มีคนเข้าใจจะทำให้การแก้ไขบั๊กและการอัปเดตล่าช้า
    อาจเปิดช่องให้เกิดการโจมตีหรือความเสียหายต่อระบบ

    https://www.slashgear.com/2005612/ai-coding-programmer-job-market-stanford-study/
    📉 AI กำลังเปลี่ยนโฉมตลาดงานโปรแกรมเมอร์ — โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งจบสายคอมพิวเตอร์ รายงานจาก Stanford University เผยว่า ตลาดงานสำหรับนักพัฒนาโปรแกรมรุ่นใหม่กำลังหดตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 22–25 ปี ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแทนที่ด้วย AI coding tools เช่น Copilot และ GPT ที่บริษัทต่าง ๆ นำมาใช้แทนการจ้างงานจริง ✅ การจ้างงานในสายงานที่ “AI-exposed” ลดลง 13% ➡️ โดยเฉพาะสาย software development ที่ถูกแทนที่ด้วย automation ➡️ ตัวเลขนี้ยังคงอยู่แม้ปรับตามปัจจัยภายในบริษัท ✅ ตลาดงาน coding ลดลงเกือบ 20% ตั้งแต่ปี 2022 ถึงกลางปี 2025 ➡️ จุดเปลี่ยนคือการเปิดตัว ChatGPT และเครื่องมือ AI อื่น ๆ ➡️ บริษัทต่าง ๆ เลือกใช้ AI แทนการจ้างนักพัฒนาใหม่ ✅ นักพัฒนาใหม่ใช้ AI ตลอดเวลา แต่ขาดความเข้าใจลึก ➡️ “AI ให้คำตอบเร็ว แต่ความรู้ที่ได้ตื้น” — Namanyay Goel ➡️ StackOverflow เคยบังคับให้เรียนรู้จากการถกเถียงของผู้เชี่ยวชาญ ✅ AI-generated code มีปัญหาด้านคุณภาพและความปลอดภัย ➡️ นักพัฒนาพบว่าโค้ดจาก AI ใช้เวลาซ่อมมากขึ้น ➡️ เพียง 44% ของโค้ดที่สร้างโดย AI ถูกมองว่า “ใช้งานได้” ➡️ มีการเพิ่มขึ้น 322% ในการเข้าถึงระบบโดยไม่ได้รับอนุญาตจากโค้ดที่สร้างโดย AI ✅ ช่องโหว่ร้ายแรงเพิ่มขึ้น 37.6% เมื่อโค้ดถูกสร้างซ้ำด้วย AI หลายรอบ ➡️ งานวิจัยจาก Apiiro และ University of San Francisco ยืนยันความเสี่ยง ➡️ ผู้ใช้มักเข้าใจผิดว่า AI ทำให้ตนเองเร็วขึ้น ทั้งที่จริงแล้วช้าลง ‼️ นักพัฒนาใหม่อาจพึ่งพา AI มากเกินไปจนขาดทักษะพื้นฐาน ⛔ ส่งผลให้ไม่สามารถแก้ปัญหาหรือเข้าใจโค้ดที่ซับซ้อนได้ ⛔ อาจกลายเป็น “ผู้ใช้ AI” มากกว่า “นักพัฒนา” ‼️ องค์กรที่ลดจำนวนพนักงานและพึ่งพา AI เสี่ยงต่อคุณภาพซอฟต์แวร์ ⛔ โค้ดที่ไม่มีคนเข้าใจจะทำให้การแก้ไขบั๊กและการอัปเดตล่าช้า ⛔ อาจเปิดช่องให้เกิดการโจมตีหรือความเสียหายต่อระบบ https://www.slashgear.com/2005612/ai-coding-programmer-job-market-stanford-study/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    AI Is Killing The Job Market For Young Coders, New Study Shows - SlashGear
    While an education and background in coding was thought to be an easy way to secure a job, a new study finds that those opportunities are drying up.
    0 Comments 0 Shares 193 Views 0 Reviews
  • “CEO ใหญ่ชี้ AI จะนำไปสู่การทำงานแค่ 3 วันต่อสัปดาห์ — แต่คำถามคือ ใครจะได้ประโยชน์จริง?”

    ในยุคที่ AI กำลังเปลี่ยนโฉมโลกการทำงานอย่างรวดเร็ว บรรดาผู้นำเทคโนโลยีระดับโลกต่างออกมาแสดงความเห็นว่า “การทำงาน 3 วันต่อสัปดาห์” อาจกลายเป็นความจริงในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะเมื่อ AI เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดงานซ้ำซ้อน และปลดล็อกเวลาส่วนตัวให้กับมนุษย์

    Eric Yuan ซีอีโอของ Zoom กล่าวกับ New York Times ว่า “ทุกบริษัทจะสนับสนุนการทำงาน 3 หรือ 4 วันต่อสัปดาห์” เพราะ AI จะช่วยให้ทุกคนมีเวลามากขึ้น ขณะที่ Bill Gates ก็เคยพูดในหลายเวทีว่า AI อาจทำให้มนุษย์ไม่ต้องทำงานเต็มสัปดาห์อีกต่อไป แม้จะเตือนว่าอาชีพที่เคยคิดว่า AI ทำแทนไม่ได้ เช่น แพทย์หรือครู ก็อาจถูกแทนที่ได้

    Jensen Huang จาก Nvidia เปรียบ AI กับการปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยเชื่อว่ามันจะเปลี่ยนพฤติกรรมทางสังคม และอาจนำไปสู่การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ ส่วน Jamie Dimon จาก JPMorgan และ Bernie Sanders ก็เคยพูดถึงแนวโน้มนี้เช่นกัน

    แต่ในอีกด้านหนึ่ง หลายงานวิจัยกลับตั้งคำถามว่า AI จะเพิ่มประสิทธิภาพจริงหรือไม่ เช่น รายงานจาก McKinsey พบว่า 80% ของบริษัทที่ใช้ AI ยังไม่สามารถเพิ่มกำไรได้ และ MIT ระบุว่า 95% ของโครงการ AI ในองค์กรล้มเหลว ขณะที่พนักงานจำนวนมากรู้สึกเบื่อหน่ายและหมดแรงจากการต้องแก้ “งานที่ AI ทำผิด” หรือที่เรียกว่า “AI Workslop”

    แม้จะมีความหวังเรื่องการลดวันทำงาน แต่ก็มีคำถามว่า AI จะลดชั่วโมงทำงาน หรือจะลดจำนวนพนักงานกันแน่ เพราะมีบริษัทอย่าง Klarna ที่ปลดพนักงานจำนวนมากเพื่อใช้ AI แทน ก่อนจะพบปัญหาคุณภาพและต้องถอยกลับ ขณะที่ IBM เลิกจ้างฝ่าย HR แต่จ้างเพิ่มในสายงานโปรแกรมเมอร์และฝ่ายขาย

    สุดท้ายแล้ว คำถามสำคัญคือ: AI จะช่วยให้เราทำงานน้อยลง หรือแค่ทำให้เราทำงานหนักขึ้นในเวลาที่สั้นลง?

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Eric Yuan (Zoom) เชื่อว่าทุกบริษัทจะสนับสนุนการทำงาน 3–4 วันต่อสัปดาห์
    Bill Gates เคยพูดว่า AI อาจทำให้มนุษย์ทำงานแค่ 3 วันต่อสัปดาห์
    Jensen Huang (Nvidia) เปรียบ AI กับการปฏิวัติอุตสาหกรรม และเชื่อว่าจะเปลี่ยนพฤติกรรมสังคม
    Jamie Dimon และ Bernie Sanders ก็เคยพูดถึงแนวโน้มการลดวันทำงาน
    รายงานจาก McKinsey พบว่า 80% ของบริษัทที่ใช้ AI ยังไม่เพิ่มกำไร
    MIT ระบุว่า 95% ของโครงการ AI ในองค์กรล้มเหลว
    พนักงานบางส่วนรู้สึกเบื่อและหมดแรงจากการแก้งานที่ AI ทำผิด
    Klarna ปลดพนักงานจำนวนมากเพื่อใช้ AI ก่อนจะพบปัญหาคุณภาพ
    IBM เลิกจ้างฝ่าย HR แต่จ้างเพิ่มในสายงานเทคโนโลยี
    รายงานจาก Tech.co ระบุว่า 93% ของบริษัทที่ใช้ AI เปิดรับแนวคิดการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การทดลองทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ในหลายประเทศพบว่าพนักงานมีความสุขและประสิทธิภาพดีขึ้น
    AI สามารถช่วยลดงานซ้ำซ้อน เช่น การจัดการเอกสาร การตอบอีเมล หรือการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น
    แนวคิด “digital twin” อาจช่วยให้พนักงานมีตัวแทน AI ทำงานแทนในบางส่วน
    การลดวันทำงานอาจช่วยลดภาวะหมดไฟ (burnout) และเพิ่มคุณภาพชีวิต
    การใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยการฝึกอบรมและการปรับโครงสร้างองค์กร

    https://www.slashgear.com/1984496/eric-yuan-bill-gates-ceo-three-day-work-week-thanks-to-ai/
    🧠 “CEO ใหญ่ชี้ AI จะนำไปสู่การทำงานแค่ 3 วันต่อสัปดาห์ — แต่คำถามคือ ใครจะได้ประโยชน์จริง?” ในยุคที่ AI กำลังเปลี่ยนโฉมโลกการทำงานอย่างรวดเร็ว บรรดาผู้นำเทคโนโลยีระดับโลกต่างออกมาแสดงความเห็นว่า “การทำงาน 3 วันต่อสัปดาห์” อาจกลายเป็นความจริงในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะเมื่อ AI เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดงานซ้ำซ้อน และปลดล็อกเวลาส่วนตัวให้กับมนุษย์ Eric Yuan ซีอีโอของ Zoom กล่าวกับ New York Times ว่า “ทุกบริษัทจะสนับสนุนการทำงาน 3 หรือ 4 วันต่อสัปดาห์” เพราะ AI จะช่วยให้ทุกคนมีเวลามากขึ้น ขณะที่ Bill Gates ก็เคยพูดในหลายเวทีว่า AI อาจทำให้มนุษย์ไม่ต้องทำงานเต็มสัปดาห์อีกต่อไป แม้จะเตือนว่าอาชีพที่เคยคิดว่า AI ทำแทนไม่ได้ เช่น แพทย์หรือครู ก็อาจถูกแทนที่ได้ Jensen Huang จาก Nvidia เปรียบ AI กับการปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยเชื่อว่ามันจะเปลี่ยนพฤติกรรมทางสังคม และอาจนำไปสู่การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ ส่วน Jamie Dimon จาก JPMorgan และ Bernie Sanders ก็เคยพูดถึงแนวโน้มนี้เช่นกัน แต่ในอีกด้านหนึ่ง หลายงานวิจัยกลับตั้งคำถามว่า AI จะเพิ่มประสิทธิภาพจริงหรือไม่ เช่น รายงานจาก McKinsey พบว่า 80% ของบริษัทที่ใช้ AI ยังไม่สามารถเพิ่มกำไรได้ และ MIT ระบุว่า 95% ของโครงการ AI ในองค์กรล้มเหลว ขณะที่พนักงานจำนวนมากรู้สึกเบื่อหน่ายและหมดแรงจากการต้องแก้ “งานที่ AI ทำผิด” หรือที่เรียกว่า “AI Workslop” แม้จะมีความหวังเรื่องการลดวันทำงาน แต่ก็มีคำถามว่า AI จะลดชั่วโมงทำงาน หรือจะลดจำนวนพนักงานกันแน่ เพราะมีบริษัทอย่าง Klarna ที่ปลดพนักงานจำนวนมากเพื่อใช้ AI แทน ก่อนจะพบปัญหาคุณภาพและต้องถอยกลับ ขณะที่ IBM เลิกจ้างฝ่าย HR แต่จ้างเพิ่มในสายงานโปรแกรมเมอร์และฝ่ายขาย สุดท้ายแล้ว คำถามสำคัญคือ: AI จะช่วยให้เราทำงานน้อยลง หรือแค่ทำให้เราทำงานหนักขึ้นในเวลาที่สั้นลง? ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Eric Yuan (Zoom) เชื่อว่าทุกบริษัทจะสนับสนุนการทำงาน 3–4 วันต่อสัปดาห์ ➡️ Bill Gates เคยพูดว่า AI อาจทำให้มนุษย์ทำงานแค่ 3 วันต่อสัปดาห์ ➡️ Jensen Huang (Nvidia) เปรียบ AI กับการปฏิวัติอุตสาหกรรม และเชื่อว่าจะเปลี่ยนพฤติกรรมสังคม ➡️ Jamie Dimon และ Bernie Sanders ก็เคยพูดถึงแนวโน้มการลดวันทำงาน ➡️ รายงานจาก McKinsey พบว่า 80% ของบริษัทที่ใช้ AI ยังไม่เพิ่มกำไร ➡️ MIT ระบุว่า 95% ของโครงการ AI ในองค์กรล้มเหลว ➡️ พนักงานบางส่วนรู้สึกเบื่อและหมดแรงจากการแก้งานที่ AI ทำผิด ➡️ Klarna ปลดพนักงานจำนวนมากเพื่อใช้ AI ก่อนจะพบปัญหาคุณภาพ ➡️ IBM เลิกจ้างฝ่าย HR แต่จ้างเพิ่มในสายงานเทคโนโลยี ➡️ รายงานจาก Tech.co ระบุว่า 93% ของบริษัทที่ใช้ AI เปิดรับแนวคิดการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การทดลองทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ในหลายประเทศพบว่าพนักงานมีความสุขและประสิทธิภาพดีขึ้น ➡️ AI สามารถช่วยลดงานซ้ำซ้อน เช่น การจัดการเอกสาร การตอบอีเมล หรือการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ➡️ แนวคิด “digital twin” อาจช่วยให้พนักงานมีตัวแทน AI ทำงานแทนในบางส่วน ➡️ การลดวันทำงานอาจช่วยลดภาวะหมดไฟ (burnout) และเพิ่มคุณภาพชีวิต ➡️ การใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยการฝึกอบรมและการปรับโครงสร้างองค์กร https://www.slashgear.com/1984496/eric-yuan-bill-gates-ceo-three-day-work-week-thanks-to-ai/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    These Big Tech CEOs Think A 3-Day Work Week Is Coming, Thanks To AI - SlashGear
    AI promises productivity gains, and one way that could manifest is by shortening the work week. These tech CEOs think it'll happen, but others are skeptical.
    0 Comments 0 Shares 246 Views 0 Reviews
  • “Jules Tools: Google เปิดตัว CLI และ API สำหรับ AI Coding Agent — เชื่อมต่อเวิร์กโฟลว์นักพัฒนาแบบไร้รอยต่อ”

    หลังจากเปิดตัว “Jules” ไปเมื่อสองเดือนก่อน Google ก็เดินหน้าขยายความสามารถของ AI coding agent ตัวนี้อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้เปิดตัว “Jules Tools” ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือใหม่ที่ประกอบด้วย CLI (Command-Line Interface) และ API สาธารณะ เพื่อให้ Jules เข้าไปอยู่ในเวิร์กโฟลว์ของนักพัฒนาได้อย่างลื่นไหล

    Jules Tools ถูกออกแบบมาให้ “เบาและเร็ว” โดยสามารถเรียกใช้งาน Jules ได้จากเทอร์มินัลโดยตรง ไม่ต้องสลับไปมาระหว่างเว็บหรือ GitHub อีกต่อไป นักพัฒนาสามารถใช้คำสั่งเพื่อให้ Jules แก้บั๊ก, สร้างโค้ดใหม่, หรือปรับปรุงโมดูลต่าง ๆ ได้แบบ asynchronous — ทำงานเบื้องหลังโดยไม่รบกวนการเขียนโค้ดหลัก

    นอกจากนี้ Google ยังเปิด API ของ Jules ให้ใช้งานได้อย่างเป็นทางการ ซึ่งก่อนหน้านี้ใช้เฉพาะภายในบริษัทเท่านั้น นักพัฒนาสามารถนำ API ไปเชื่อมกับระบบ CI/CD, IDE หรือแม้แต่ Slack เพื่อให้ Jules ทำงานอัตโนมัติเมื่อมี pull request หรือการเปลี่ยนแปลงใน repository

    Jules ใช้โมเดล Gemini 2.5 ซึ่งมีความสามารถในการเข้าใจบริบทของโปรเจกต์ได้ดีขึ้น และสามารถจดจำประวัติการใช้งานของผู้ใช้เพื่อปรับคำแนะนำให้เหมาะสมมากขึ้น ทำให้ Jules กลายเป็นเหมือน “คู่หูโปรแกรมเมอร์” ที่รู้จักสไตล์การเขียนโค้ดของคุณ

    แม้จะมีคู่แข่งในตลาด AI coding agent มากมาย เช่น GitHub Copilot หรือ Claude Code แต่ Jules แตกต่างตรงที่เน้นการทำงานแบบเบื้องหลัง ไม่ต้องโต้ตอบมาก และสามารถปรับแต่งให้เข้ากับเวิร์กโฟลว์ของทีมได้อย่างยืดหยุ่น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Google เปิดตัว Jules Tools ซึ่งประกอบด้วย CLI และ API สำหรับ AI coding agent Jules
    CLI ช่วยให้เรียกใช้งาน Jules จากเทอร์มินัลได้โดยตรงแบบ asynchronous
    API เปิดให้ใช้งานสาธารณะแล้ว สามารถเชื่อมกับ CI/CD, IDE, Slack ฯลฯ
    Jules ใช้โมเดล Gemini 2.5 ที่เข้าใจบริบทโปรเจกต์และจดจำประวัติผู้ใช้
    นักพัฒนาสามารถใช้ Jules เพื่อแก้บั๊ก, สร้างโค้ด, ปรับปรุงโมดูล ได้แบบไม่ต้องออกจากเทอร์มินัล
    Jules Tools รองรับการติดตั้งผ่าน Python หรือ Node.js และใช้ GitHub token หรือ API key
    สามารถใช้ Jules เพื่อ enforce coding style และลดเวลาในการ review โค้ด
    Jules ทำงานแบบเบื้องหลัง ไม่ต้องโต้ตอบมาก เหมาะกับงานที่มีขอบเขตชัดเจน
    Google มีแผนสร้าง plugin สำหรับ IDE เพิ่มเติมในอนาคต

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Gemini 2.5 เป็นโมเดล AI ที่มีความสามารถด้าน memory และ context tracking สูง
    การทำงานแบบ asynchronous ช่วยลด context switching และเพิ่ม productivity
    การเชื่อมต่อกับ CI/CD pipeline ช่วยให้ Jules ทำงานอัตโนมัติเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงโค้ด
    การใช้ CLI ทำให้ไม่ต้องพึ่งพา IDE ใด IDE หนึ่ง — ใช้งานได้ทุกที่ที่มีเทอร์มินัล
    API ของ Jules สามารถใช้สร้างระบบ automation สำหรับทีม devops ได้

    https://www.techradar.com/pro/googles-ai-coding-agent-jules-is-getting-new-command-line-tools
    🧑‍💻 “Jules Tools: Google เปิดตัว CLI และ API สำหรับ AI Coding Agent — เชื่อมต่อเวิร์กโฟลว์นักพัฒนาแบบไร้รอยต่อ” หลังจากเปิดตัว “Jules” ไปเมื่อสองเดือนก่อน Google ก็เดินหน้าขยายความสามารถของ AI coding agent ตัวนี้อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้เปิดตัว “Jules Tools” ซึ่งเป็นชุดเครื่องมือใหม่ที่ประกอบด้วย CLI (Command-Line Interface) และ API สาธารณะ เพื่อให้ Jules เข้าไปอยู่ในเวิร์กโฟลว์ของนักพัฒนาได้อย่างลื่นไหล Jules Tools ถูกออกแบบมาให้ “เบาและเร็ว” โดยสามารถเรียกใช้งาน Jules ได้จากเทอร์มินัลโดยตรง ไม่ต้องสลับไปมาระหว่างเว็บหรือ GitHub อีกต่อไป นักพัฒนาสามารถใช้คำสั่งเพื่อให้ Jules แก้บั๊ก, สร้างโค้ดใหม่, หรือปรับปรุงโมดูลต่าง ๆ ได้แบบ asynchronous — ทำงานเบื้องหลังโดยไม่รบกวนการเขียนโค้ดหลัก นอกจากนี้ Google ยังเปิด API ของ Jules ให้ใช้งานได้อย่างเป็นทางการ ซึ่งก่อนหน้านี้ใช้เฉพาะภายในบริษัทเท่านั้น นักพัฒนาสามารถนำ API ไปเชื่อมกับระบบ CI/CD, IDE หรือแม้แต่ Slack เพื่อให้ Jules ทำงานอัตโนมัติเมื่อมี pull request หรือการเปลี่ยนแปลงใน repository Jules ใช้โมเดล Gemini 2.5 ซึ่งมีความสามารถในการเข้าใจบริบทของโปรเจกต์ได้ดีขึ้น และสามารถจดจำประวัติการใช้งานของผู้ใช้เพื่อปรับคำแนะนำให้เหมาะสมมากขึ้น ทำให้ Jules กลายเป็นเหมือน “คู่หูโปรแกรมเมอร์” ที่รู้จักสไตล์การเขียนโค้ดของคุณ แม้จะมีคู่แข่งในตลาด AI coding agent มากมาย เช่น GitHub Copilot หรือ Claude Code แต่ Jules แตกต่างตรงที่เน้นการทำงานแบบเบื้องหลัง ไม่ต้องโต้ตอบมาก และสามารถปรับแต่งให้เข้ากับเวิร์กโฟลว์ของทีมได้อย่างยืดหยุ่น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Google เปิดตัว Jules Tools ซึ่งประกอบด้วย CLI และ API สำหรับ AI coding agent Jules ➡️ CLI ช่วยให้เรียกใช้งาน Jules จากเทอร์มินัลได้โดยตรงแบบ asynchronous ➡️ API เปิดให้ใช้งานสาธารณะแล้ว สามารถเชื่อมกับ CI/CD, IDE, Slack ฯลฯ ➡️ Jules ใช้โมเดล Gemini 2.5 ที่เข้าใจบริบทโปรเจกต์และจดจำประวัติผู้ใช้ ➡️ นักพัฒนาสามารถใช้ Jules เพื่อแก้บั๊ก, สร้างโค้ด, ปรับปรุงโมดูล ได้แบบไม่ต้องออกจากเทอร์มินัล ➡️ Jules Tools รองรับการติดตั้งผ่าน Python หรือ Node.js และใช้ GitHub token หรือ API key ➡️ สามารถใช้ Jules เพื่อ enforce coding style และลดเวลาในการ review โค้ด ➡️ Jules ทำงานแบบเบื้องหลัง ไม่ต้องโต้ตอบมาก เหมาะกับงานที่มีขอบเขตชัดเจน ➡️ Google มีแผนสร้าง plugin สำหรับ IDE เพิ่มเติมในอนาคต ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Gemini 2.5 เป็นโมเดล AI ที่มีความสามารถด้าน memory และ context tracking สูง ➡️ การทำงานแบบ asynchronous ช่วยลด context switching และเพิ่ม productivity ➡️ การเชื่อมต่อกับ CI/CD pipeline ช่วยให้ Jules ทำงานอัตโนมัติเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงโค้ด ➡️ การใช้ CLI ทำให้ไม่ต้องพึ่งพา IDE ใด IDE หนึ่ง — ใช้งานได้ทุกที่ที่มีเทอร์มินัล ➡️ API ของ Jules สามารถใช้สร้างระบบ automation สำหรับทีม devops ได้ https://www.techradar.com/pro/googles-ai-coding-agent-jules-is-getting-new-command-line-tools
    WWW.TECHRADAR.COM
    Google's AI coding agent Jules is getting new command line tools
    Google says Jules Tools is a new “lightweight” CLI
    0 Comments 0 Shares 291 Views 0 Reviews
  • ยิ่งเก่ง ยิ่งช้า? AI coding assistant อาจทำให้โปรแกรมเมอร์มือเก๋าทำงานช้าลง

    องค์กรวิจัยไม่แสวงกำไร METR (Model Evaluation & Threat Research) ได้ทำการศึกษาผลกระทบของ AI coding tools ต่อประสิทธิภาพของนักพัฒนา โดยติดตามนักพัฒนาโอเพ่นซอร์สที่มีประสบการณ์ 16 คน ขณะทำงานกับโค้ดที่พวกเขาคุ้นเคยมากกว่า 246 งานจริง ตั้งแต่การแก้บั๊กไปจนถึงการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่

    ก่อนเริ่มงาน นักพัฒนาคาดว่า AI จะช่วยให้พวกเขาทำงานเร็วขึ้น 24% และหลังจบงานก็ยังเชื่อว่าตัวเองเร็วขึ้น 20% เมื่อใช้ AI แต่ข้อมูลจริงกลับพบว่า พวกเขาใช้เวลานานขึ้นถึง 19% เมื่อใช้ AI coding assistant

    สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดความล่าช้า ได้แก่:
    - ความคาดหวังเกินจริงต่อความสามารถของ AI
    - โค้ดที่ซับซ้อนและมีขนาดใหญ่เกินกว่าที่ AI จะเข้าใจบริบทได้ดี
    - ความแม่นยำของโค้ดที่ AI สร้างยังไม่ดีพอ โดยนักพัฒนายอมรับโค้ดที่ AI เสนอเพียง 44%
    - ต้องเสียเวลาในการตรวจสอบและแก้ไขโค้ดที่ AI สร้าง
    - AI ไม่สามารถเข้าใจบริบทแฝงในโปรเจกต์ขนาดใหญ่ได้ดี

    แม้ผลลัพธ์จะชี้ว่า AI ทำให้ช้าลง แต่ผู้เข้าร่วมหลายคนยังคงใช้ AI ต่อไป เพราะรู้สึกว่างานเขียนโค้ดมีความเครียดน้อยลง และกลายเป็นกระบวนการที่ “ไม่ต้องใช้พลังสมองมาก” เหมือนเดิม

    ข้อมูลจากข่าว
    - METR ศึกษานักพัฒนา 16 คนกับงานจริง 246 งานในโค้ดที่คุ้นเคย
    - นักพัฒนาคาดว่า AI จะช่วยให้เร็วขึ้น 24% แต่จริง ๆ แล้วช้าลง 19%
    - ใช้ AI coding tools เช่น Cursor Pro ร่วมกับ Claude 3.5 หรือ 3.7 Sonnet
    - นักพัฒนายอมรับโค้ดจาก AI เพียง 44% และต้องใช้เวลาตรวจสอบมาก
    - AI เข้าใจบริบทของโค้ดขนาดใหญ่ได้ไม่ดี ทำให้เสนอคำตอบผิด
    - การศึกษามีความเข้มงวดและไม่มีอคติจากผู้วิจัย
    - ผู้เข้าร่วมได้รับค่าตอบแทน $150 ต่อชั่วโมงเพื่อความจริงจัง
    - แม้จะช้าลง แต่หลายคนยังใช้ AI เพราะช่วยลดความเครียดในการทำงาน

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - AI coding tools อาจไม่เหมาะกับนักพัฒนาที่มีประสบการณ์สูงและทำงานกับโค้ดที่ซับซ้อน
    - ความคาดหวังเกินจริงต่อ AI อาจทำให้เสียเวลาแทนที่จะได้ประโยชน์
    - การใช้ AI กับโปรเจกต์ขนาดใหญ่ต้องระวังเรื่องบริบทที่ AI อาจเข้าใจผิด
    - การตรวจสอบและแก้ไขโค้ดจาก AI อาจใช้เวลามากกว่าการเขียนเอง
    - ผลการศึกษานี้ไม่ควรนำไปใช้กับนักพัฒนาทุกระดับ เพราะ AI อาจมีประโยชน์มากกว่าสำหรับผู้เริ่มต้นหรือโปรเจกต์ขนาดเล็ก

    https://www.techspot.com/news/108651-experienced-developers-working-ai-tools-take-longer-complete.html
    ยิ่งเก่ง ยิ่งช้า? AI coding assistant อาจทำให้โปรแกรมเมอร์มือเก๋าทำงานช้าลง องค์กรวิจัยไม่แสวงกำไร METR (Model Evaluation & Threat Research) ได้ทำการศึกษาผลกระทบของ AI coding tools ต่อประสิทธิภาพของนักพัฒนา โดยติดตามนักพัฒนาโอเพ่นซอร์สที่มีประสบการณ์ 16 คน ขณะทำงานกับโค้ดที่พวกเขาคุ้นเคยมากกว่า 246 งานจริง ตั้งแต่การแก้บั๊กไปจนถึงการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ก่อนเริ่มงาน นักพัฒนาคาดว่า AI จะช่วยให้พวกเขาทำงานเร็วขึ้น 24% และหลังจบงานก็ยังเชื่อว่าตัวเองเร็วขึ้น 20% เมื่อใช้ AI แต่ข้อมูลจริงกลับพบว่า พวกเขาใช้เวลานานขึ้นถึง 19% เมื่อใช้ AI coding assistant สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดความล่าช้า ได้แก่: - ความคาดหวังเกินจริงต่อความสามารถของ AI - โค้ดที่ซับซ้อนและมีขนาดใหญ่เกินกว่าที่ AI จะเข้าใจบริบทได้ดี - ความแม่นยำของโค้ดที่ AI สร้างยังไม่ดีพอ โดยนักพัฒนายอมรับโค้ดที่ AI เสนอเพียง 44% - ต้องเสียเวลาในการตรวจสอบและแก้ไขโค้ดที่ AI สร้าง - AI ไม่สามารถเข้าใจบริบทแฝงในโปรเจกต์ขนาดใหญ่ได้ดี แม้ผลลัพธ์จะชี้ว่า AI ทำให้ช้าลง แต่ผู้เข้าร่วมหลายคนยังคงใช้ AI ต่อไป เพราะรู้สึกว่างานเขียนโค้ดมีความเครียดน้อยลง และกลายเป็นกระบวนการที่ “ไม่ต้องใช้พลังสมองมาก” เหมือนเดิม ✅ ข้อมูลจากข่าว - METR ศึกษานักพัฒนา 16 คนกับงานจริง 246 งานในโค้ดที่คุ้นเคย - นักพัฒนาคาดว่า AI จะช่วยให้เร็วขึ้น 24% แต่จริง ๆ แล้วช้าลง 19% - ใช้ AI coding tools เช่น Cursor Pro ร่วมกับ Claude 3.5 หรือ 3.7 Sonnet - นักพัฒนายอมรับโค้ดจาก AI เพียง 44% และต้องใช้เวลาตรวจสอบมาก - AI เข้าใจบริบทของโค้ดขนาดใหญ่ได้ไม่ดี ทำให้เสนอคำตอบผิด - การศึกษามีความเข้มงวดและไม่มีอคติจากผู้วิจัย - ผู้เข้าร่วมได้รับค่าตอบแทน $150 ต่อชั่วโมงเพื่อความจริงจัง - แม้จะช้าลง แต่หลายคนยังใช้ AI เพราะช่วยลดความเครียดในการทำงาน ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - AI coding tools อาจไม่เหมาะกับนักพัฒนาที่มีประสบการณ์สูงและทำงานกับโค้ดที่ซับซ้อน - ความคาดหวังเกินจริงต่อ AI อาจทำให้เสียเวลาแทนที่จะได้ประโยชน์ - การใช้ AI กับโปรเจกต์ขนาดใหญ่ต้องระวังเรื่องบริบทที่ AI อาจเข้าใจผิด - การตรวจสอบและแก้ไขโค้ดจาก AI อาจใช้เวลามากกว่าการเขียนเอง - ผลการศึกษานี้ไม่ควรนำไปใช้กับนักพัฒนาทุกระดับ เพราะ AI อาจมีประโยชน์มากกว่าสำหรับผู้เริ่มต้นหรือโปรเจกต์ขนาดเล็ก https://www.techspot.com/news/108651-experienced-developers-working-ai-tools-take-longer-complete.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Study shows AI coding assistants actually slow down experienced developers
    The research, conducted by the non-profit Model Evaluation & Threat Research (METR), set out to measure the real-world impact of advanced AI tools on software development. Over...
    0 Comments 0 Shares 361 Views 0 Reviews
  • Jim Farley ซีอีโอของ Ford กล่าวในงาน Aspen Ideas Festival ว่า “ในอีกไม่กี่ปี AI อาจแทนที่งานของพนักงานสาย white-collar ได้ถึงครึ่งหนึ่งทั่วสหรัฐฯ” — โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับเอกสาร, การวิเคราะห์, การเขียนรายงาน, งานธุรการ หรือแม้แต่งานด้านกฎหมายและการเงิน

    เขาไม่ได้พูดคนเดียวครับ — บิ๊กเทคอย่าง Amazon, Spotify, Fiverr, Moderna, Anthropic และแม้แต่ JPMorgan Chase ต่างก็เตือนในทางเดียวกัน:
    - CEO ของ Amazon บอกว่า “หลายตำแหน่งจะหายไป” แต่จะมีโอกาสใหม่เกิดในสายงาน STEM และ Robotics
    - CEO ของ Anthropic ถึงขั้นคาดว่า "AI จะลบงานระดับเริ่มต้น (entry-level white-collar) ไปครึ่งหนึ่งใน 5 ปี" และอาจเพิ่มอัตราการว่างงาน 10-20%
    - CPO ของ Anthropic ยังบอกว่า “ลังเลที่จะจ้างเด็กจบใหม่” เพราะไม่แน่ใจว่างานที่พวกเขาทำจะยังอยู่ไหม
    - CEO ของ Fiverr, Spotify, Moderna ต่างก็พูดในทำนองเดียวกันว่า “แม้แต่งานสายเทคที่ดูรอด ก็ไม่รอด”

    ฝั่งคนทำงานเองก็เริ่มหวั่น — รายงานจาก PYMNTs (พฤษภาคม 2025) พบว่า คนอเมริกัน 54% มองว่า AI กำลังคุกคามงานของพวกเขา และยิ่งเรียนสูง–เก่งเทค ยิ่งกลัวหนัก

    ในขณะที่ฝั่งตรงข้ามอย่าง Jensen Huang (CEO ของ Nvidia) กลับบอกว่า “การมองว่า AI จะลบงานเป็นเรื่องเว่อร์เกินจริง” และสนับสนุนให้พัฒนาร่วมกันอย่างโปร่งใส

    Ford CEO เตือนว่า AI อาจแทนงาน white-collar ครึ่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาในไม่กี่ปี  
    • โดยเฉพาะสายงานวิเคราะห์, เอกสาร, บริหาร ฯลฯ

    Amazon, Anthropic, Fiverr, Spotify, JPMorgan, และ Moderna แสดงความกังวลเช่นกัน  
    • Anthropic คาดการว่างงานอาจเพิ่ม 10-20% ภายใน 5 ปี  
    • CEO ของบางบริษัทเริ่ม “หยุดจ้างเด็กจบใหม่” เพราะไม่แน่ใจอนาคตตำแหน่งงาน

    งานที่ AI อาจแทนที่ได้ รวมถึง:  
    • โปรแกรมเมอร์, นักออกแบบ, ผู้จัดการผลิตภัณฑ์  
    • นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล, ทนายความ, ฝ่ายซัพพอร์ต, ฝ่ายขาย, นักวิเคราะห์การเงิน

    Moderna ตั้งเป้า “ไม่ต้องการพนักงานมากกว่าหลักพันคน” เพราะใช้ AI  
    • จากเดิมที่บริษัทในระดับเดียวกันอาจมีคนเป็นหมื่น

    ผลสำรวจในสหรัฐฯ พ.ค. 2025 พบว่า 54% ของพนักงานเชื่อว่า AI กำลังคุกคามงานของตน  
    • โดยกลุ่มที่เรียนสูงและทำงานสายเทคมีความกังวลมากที่สุด

    มีเพียง Jensen Huang (CEO ของ Nvidia) ที่ออกมาบอกว่า “มองโลกในแง่ร้ายเกินไป”

    https://www.techspot.com/news/108552-ford-ceo-warns-generative-ai-could-eliminate-half.html
    Jim Farley ซีอีโอของ Ford กล่าวในงาน Aspen Ideas Festival ว่า “ในอีกไม่กี่ปี AI อาจแทนที่งานของพนักงานสาย white-collar ได้ถึงครึ่งหนึ่งทั่วสหรัฐฯ” — โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับเอกสาร, การวิเคราะห์, การเขียนรายงาน, งานธุรการ หรือแม้แต่งานด้านกฎหมายและการเงิน เขาไม่ได้พูดคนเดียวครับ — บิ๊กเทคอย่าง Amazon, Spotify, Fiverr, Moderna, Anthropic และแม้แต่ JPMorgan Chase ต่างก็เตือนในทางเดียวกัน: - CEO ของ Amazon บอกว่า “หลายตำแหน่งจะหายไป” แต่จะมีโอกาสใหม่เกิดในสายงาน STEM และ Robotics - CEO ของ Anthropic ถึงขั้นคาดว่า "AI จะลบงานระดับเริ่มต้น (entry-level white-collar) ไปครึ่งหนึ่งใน 5 ปี" และอาจเพิ่มอัตราการว่างงาน 10-20% - CPO ของ Anthropic ยังบอกว่า “ลังเลที่จะจ้างเด็กจบใหม่” เพราะไม่แน่ใจว่างานที่พวกเขาทำจะยังอยู่ไหม - CEO ของ Fiverr, Spotify, Moderna ต่างก็พูดในทำนองเดียวกันว่า “แม้แต่งานสายเทคที่ดูรอด ก็ไม่รอด” ฝั่งคนทำงานเองก็เริ่มหวั่น — รายงานจาก PYMNTs (พฤษภาคม 2025) พบว่า คนอเมริกัน 54% มองว่า AI กำลังคุกคามงานของพวกเขา และยิ่งเรียนสูง–เก่งเทค ยิ่งกลัวหนัก ในขณะที่ฝั่งตรงข้ามอย่าง Jensen Huang (CEO ของ Nvidia) กลับบอกว่า “การมองว่า AI จะลบงานเป็นเรื่องเว่อร์เกินจริง” และสนับสนุนให้พัฒนาร่วมกันอย่างโปร่งใส ✅ Ford CEO เตือนว่า AI อาจแทนงาน white-collar ครึ่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาในไม่กี่ปี   • โดยเฉพาะสายงานวิเคราะห์, เอกสาร, บริหาร ฯลฯ ✅ Amazon, Anthropic, Fiverr, Spotify, JPMorgan, และ Moderna แสดงความกังวลเช่นกัน   • Anthropic คาดการว่างงานอาจเพิ่ม 10-20% ภายใน 5 ปี   • CEO ของบางบริษัทเริ่ม “หยุดจ้างเด็กจบใหม่” เพราะไม่แน่ใจอนาคตตำแหน่งงาน ✅ งานที่ AI อาจแทนที่ได้ รวมถึง:   • โปรแกรมเมอร์, นักออกแบบ, ผู้จัดการผลิตภัณฑ์   • นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล, ทนายความ, ฝ่ายซัพพอร์ต, ฝ่ายขาย, นักวิเคราะห์การเงิน ✅ Moderna ตั้งเป้า “ไม่ต้องการพนักงานมากกว่าหลักพันคน” เพราะใช้ AI   • จากเดิมที่บริษัทในระดับเดียวกันอาจมีคนเป็นหมื่น ✅ ผลสำรวจในสหรัฐฯ พ.ค. 2025 พบว่า 54% ของพนักงานเชื่อว่า AI กำลังคุกคามงานของตน   • โดยกลุ่มที่เรียนสูงและทำงานสายเทคมีความกังวลมากที่สุด ✅ มีเพียง Jensen Huang (CEO ของ Nvidia) ที่ออกมาบอกว่า “มองโลกในแง่ร้ายเกินไป” https://www.techspot.com/news/108552-ford-ceo-warns-generative-ai-could-eliminate-half.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Ford CEO joins list of execs warning AI could eliminate millions of white-collar jobs
    Farley did not elaborate on his views, but he is hardly the only Fortune 500 CEO who believes AI could spell trouble for educated white-collar workers. Leaders...
    0 Comments 0 Shares 479 Views 0 Reviews
  • Carnegie Mellon (CMU) เป็นสถาบันระดับโลกด้าน Computer Science ที่ผลิตยอดฝีมือเข้าสู่วงการมาตลอด แต่ปีนี้อาจารย์ต้องนัด retreat กันกลางซัมเมอร์ — เพื่อ “ทบทวนหลักสูตรทั้งระบบ” หลัง Generative AI เข้ามาเขย่าทุกวิชา

    เพราะเดี๋ยวนี้ AI อย่าง Copilot, Claude หรือ Gemini สามารถ:
    - เขียนโค้ดแทนเด็กปี 1 ได้ทั้งยวง
    - ทำ code review, debug, อธิบาย flow ได้ในไม่กี่วินาที
    - ใช้ prompt ภาษาอังกฤษแทนภาษาคอมพิวเตอร์

    แต่ปัญหาคือ — “เด็กไม่เข้าใจว่ามันทำงานยังไง” → พอถึงเวลาที่โค้ดพัง หรือต้องทำของใหม่จากศูนย์ กลับไม่มีใครซ่อมเองได้!

    ดังนั้นหลายมหาวิทยาลัยเริ่มหาทางออก เช่น:
    - ลดการสอน syntax ภาษาโปรแกรม → ไปเน้น “ความคิดเชิงคอมพิวเตอร์” (computational thinking)
    - ปรับวิชาให้ข้ามศาสตร์ เช่น สร้างวิชาร่วมระหว่าง AI กับการตลาด, การแพทย์, การออกแบบ
    - สร้างความรู้ด้าน “AI literacy” — เพื่อให้เด็กรู้ว่าใช้ AI อย่างไรให้ถูกจรรยาบรรณ
    - เปิดโครงการระดับชาติ เช่น “Level Up AI” ของ US ที่เชิญวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยทั่วประเทศมาสร้างมาตรฐานร่วมกัน

    ข้อเท็จจริงที่น่าเจ็บปวดกว่าคือ... ตลาดแรงงานเปลี่ยนเร็วยิ่งกว่า:
    - งานเขียนโค้ดระดับพื้นฐานเริ่มถูก AI แย่ง → คนจบใหม่ถูกปัดตกบ่อย
    - ต้องส่งใบสมัครมากกว่า 100–200 แห่งกว่าจะได้สัมภาษณ์
    - บริษัทเทคส่วนใหญ่หดการจ้างงานตั้งแต่ช่วง post-pandemic แล้ว

    นักศึกษาบางคนปรับตัวโดยต่อยอดตนเองให้เก่งข้ามศาสตร์ เช่น เรียน Political Science ควบกับ Cybersecurity เพื่อทำงานด้านความมั่นคง/ข่าวกรองได้ในอนาคต

    สุดท้ายอาจไม่ใช่ว่า “งานโปรแกรมเมอร์หายไป” แต่โลกต้องการ “คนที่ใช้ AI สร้างโค้ดได้โดยเข้าใจมันจริง ๆ” มากกว่า

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/01/how-do-you-teach-computer-science-in-the-ai-era
    Carnegie Mellon (CMU) เป็นสถาบันระดับโลกด้าน Computer Science ที่ผลิตยอดฝีมือเข้าสู่วงการมาตลอด แต่ปีนี้อาจารย์ต้องนัด retreat กันกลางซัมเมอร์ — เพื่อ “ทบทวนหลักสูตรทั้งระบบ” หลัง Generative AI เข้ามาเขย่าทุกวิชา เพราะเดี๋ยวนี้ AI อย่าง Copilot, Claude หรือ Gemini สามารถ: - เขียนโค้ดแทนเด็กปี 1 ได้ทั้งยวง - ทำ code review, debug, อธิบาย flow ได้ในไม่กี่วินาที - ใช้ prompt ภาษาอังกฤษแทนภาษาคอมพิวเตอร์ แต่ปัญหาคือ — “เด็กไม่เข้าใจว่ามันทำงานยังไง” → พอถึงเวลาที่โค้ดพัง หรือต้องทำของใหม่จากศูนย์ กลับไม่มีใครซ่อมเองได้! ดังนั้นหลายมหาวิทยาลัยเริ่มหาทางออก เช่น: - ลดการสอน syntax ภาษาโปรแกรม → ไปเน้น “ความคิดเชิงคอมพิวเตอร์” (computational thinking) - ปรับวิชาให้ข้ามศาสตร์ เช่น สร้างวิชาร่วมระหว่าง AI กับการตลาด, การแพทย์, การออกแบบ - สร้างความรู้ด้าน “AI literacy” — เพื่อให้เด็กรู้ว่าใช้ AI อย่างไรให้ถูกจรรยาบรรณ - เปิดโครงการระดับชาติ เช่น “Level Up AI” ของ US ที่เชิญวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยทั่วประเทศมาสร้างมาตรฐานร่วมกัน ข้อเท็จจริงที่น่าเจ็บปวดกว่าคือ... ตลาดแรงงานเปลี่ยนเร็วยิ่งกว่า: - งานเขียนโค้ดระดับพื้นฐานเริ่มถูก AI แย่ง → คนจบใหม่ถูกปัดตกบ่อย - ต้องส่งใบสมัครมากกว่า 100–200 แห่งกว่าจะได้สัมภาษณ์ - บริษัทเทคส่วนใหญ่หดการจ้างงานตั้งแต่ช่วง post-pandemic แล้ว นักศึกษาบางคนปรับตัวโดยต่อยอดตนเองให้เก่งข้ามศาสตร์ เช่น เรียน Political Science ควบกับ Cybersecurity เพื่อทำงานด้านความมั่นคง/ข่าวกรองได้ในอนาคต สุดท้ายอาจไม่ใช่ว่า “งานโปรแกรมเมอร์หายไป” แต่โลกต้องการ “คนที่ใช้ AI สร้างโค้ดได้โดยเข้าใจมันจริง ๆ” มากกว่า https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/01/how-do-you-teach-computer-science-in-the-ai-era
    WWW.THESTAR.COM.MY
    How do you teach computer science in the AI era?
    Universities across the United States are scrambling to understand the implications of generative AI's transformation of technology.
    0 Comments 0 Shares 361 Views 0 Reviews
  • บริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งกำลัง ลดจำนวนพนักงานและแทนที่ด้วย AI โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ การบริหารทรัพยากรบุคคล, การตลาด และการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ล่าสุด CrowdStrike ได้ปลดพนักงาน 500 คน หรือประมาณ 5% ของจำนวนพนักงานทั้งหมด ขณะที่ IBM ใช้ AI แทนพนักงานฝ่าย HR หลายร้อยคน

    CrowdStrike ปลดพนักงาน 500 คน หรือประมาณ 5% ของจำนวนพนักงานทั้งหมด
    - บริษัทระบุว่า AI ช่วยให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    IBM ใช้ AI แทนพนักงานฝ่าย HR หลายร้อยคน
    - แต่สามารถ จ้างพนักงานเพิ่มในฝ่ายโปรแกรมเมอร์และการตลาด

    AI ถูกนำมาใช้ในหลายอุตสาหกรรม เช่น การเงิน, กฎหมาย และเทคโนโลยี
    - ทำให้ ไม่มีอุตสาหกรรมใดปลอดภัยจากการเปลี่ยนแปลงนี้

    IBM สนับสนุนให้รัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มงบประมาณวิจัย AI
    - CEO ของ IBM ระบุว่า AI ควรได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ

    AI ช่วยให้บริษัทสามารถพัฒนาและเปิดตัวผลิตภัณฑ์ได้เร็วขึ้น
    - ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน

    https://www.techradar.com/pro/security/the-gr-ai-m-reaper-hundreds-of-jobs-at-ibm-and-crowdstrike-vanish-as-artificial-intelligence-makes-humans-more-dispensable
    บริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งกำลัง ลดจำนวนพนักงานและแทนที่ด้วย AI โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ การบริหารทรัพยากรบุคคล, การตลาด และการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ล่าสุด CrowdStrike ได้ปลดพนักงาน 500 คน หรือประมาณ 5% ของจำนวนพนักงานทั้งหมด ขณะที่ IBM ใช้ AI แทนพนักงานฝ่าย HR หลายร้อยคน ✅ CrowdStrike ปลดพนักงาน 500 คน หรือประมาณ 5% ของจำนวนพนักงานทั้งหมด - บริษัทระบุว่า AI ช่วยให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✅ IBM ใช้ AI แทนพนักงานฝ่าย HR หลายร้อยคน - แต่สามารถ จ้างพนักงานเพิ่มในฝ่ายโปรแกรมเมอร์และการตลาด ✅ AI ถูกนำมาใช้ในหลายอุตสาหกรรม เช่น การเงิน, กฎหมาย และเทคโนโลยี - ทำให้ ไม่มีอุตสาหกรรมใดปลอดภัยจากการเปลี่ยนแปลงนี้ ✅ IBM สนับสนุนให้รัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มงบประมาณวิจัย AI - CEO ของ IBM ระบุว่า AI ควรได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ ✅ AI ช่วยให้บริษัทสามารถพัฒนาและเปิดตัวผลิตภัณฑ์ได้เร็วขึ้น - ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน https://www.techradar.com/pro/security/the-gr-ai-m-reaper-hundreds-of-jobs-at-ibm-and-crowdstrike-vanish-as-artificial-intelligence-makes-humans-more-dispensable
    WWW.TECHRADAR.COM
    Wave of job losses hits tech sector as AI makes human roles more dispensable
    Both companies stress humans still have a role to play - for now
    0 Comments 0 Shares 211 Views 0 Reviews
  • Microsoft กำลังใช้ AI ในการเขียนโค้ดมากขึ้น โดย Satya Nadella ซีอีโอของบริษัทเปิดเผยว่า 20-30% ของโค้ดในโปรเจ็กต์ของ Microsoft ถูกเขียนโดย AI และบางโปรเจ็กต์อาจใช้ AI ในการเขียนโค้ดทั้งหมด

    Nadella ได้เข้าร่วมงาน LlamaCon ร่วมกับ Mark Zuckerberg ซีอีโอของ Meta เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการพัฒนา AI และการมีส่วนร่วมในระบบโอเพ่นซอร์ส โดยเขาระบุว่า AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเขียนโค้ด โดยเฉพาะในงานที่ต้องใช้ข้อมูลจำนวนมากและมีรูปแบบที่คาดเดาได้

    แม้ว่า AI จะช่วยให้การพัฒนาโค้ดมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ก็มีข้อกังวลเกี่ยวกับ ผลกระทบต่อโปรแกรมเมอร์รุ่นใหม่ เนื่องจาก AI สามารถลดจำนวนงานระดับเริ่มต้นลง อย่างไรก็ตาม Nadella ย้ำว่า AI ยังต้องการการตรวจสอบจากนักพัฒนาที่มีประสบการณ์ เพื่อให้แน่ใจว่าโค้ดที่สร้างขึ้นสามารถทำงานได้อย่างถูกต้อง

    Microsoft พบว่า AI สามารถสร้างโค้ด Python ได้ดีกว่า C++ เนื่องจาก Python มีโครงสร้างที่ง่ายกว่า, รองรับ dynamic typing และมีระบบจัดการหน่วยความจำที่ดีกว่า ขณะที่ C++ เป็นภาษาที่เกี่ยวข้องกับโค้ดระดับต่ำ ซึ่งยากต่อการทำให้เป็นอัตโนมัติ

    AI เขียนโค้ดในโปรเจ็กต์ของ Microsoft
    - 20-30% ของโค้ดในโปรเจ็กต์ของ Microsoft ถูกเขียนโดย AI
    - บางโปรเจ็กต์อาจใช้ AI ในการเขียนโค้ดทั้งหมด

    การพัฒนา AI ในระบบโอเพ่นซอร์ส
    - Nadella และ Zuckerberg พูดคุยเกี่ยวกับการพัฒนา AI ในงาน LlamaCon
    - AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเขียนโค้ด โดยเฉพาะงานที่มีรูปแบบที่คาดเดาได้

    ผลกระทบต่อโปรแกรมเมอร์รุ่นใหม่
    - AI อาจลดจำนวนงานระดับเริ่มต้นลง
    - นักพัฒนาที่มีประสบการณ์ยังคงมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบโค้ด

    ความแตกต่างระหว่าง Python และ C++ ในการใช้ AI
    - AI สามารถสร้างโค้ด Python ได้ดีกว่า C++
    - Python มีโครงสร้างที่ง่ายกว่าและมีระบบจัดการหน่วยความจำที่ดีกว่า

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/microsofts-ceo-reveals-that-ai-writes-up-to-30-percent-of-its-code-some-projects-may-have-all-of-its-code-written-by-ai
    Microsoft กำลังใช้ AI ในการเขียนโค้ดมากขึ้น โดย Satya Nadella ซีอีโอของบริษัทเปิดเผยว่า 20-30% ของโค้ดในโปรเจ็กต์ของ Microsoft ถูกเขียนโดย AI และบางโปรเจ็กต์อาจใช้ AI ในการเขียนโค้ดทั้งหมด Nadella ได้เข้าร่วมงาน LlamaCon ร่วมกับ Mark Zuckerberg ซีอีโอของ Meta เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการพัฒนา AI และการมีส่วนร่วมในระบบโอเพ่นซอร์ส โดยเขาระบุว่า AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเขียนโค้ด โดยเฉพาะในงานที่ต้องใช้ข้อมูลจำนวนมากและมีรูปแบบที่คาดเดาได้ แม้ว่า AI จะช่วยให้การพัฒนาโค้ดมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ก็มีข้อกังวลเกี่ยวกับ ผลกระทบต่อโปรแกรมเมอร์รุ่นใหม่ เนื่องจาก AI สามารถลดจำนวนงานระดับเริ่มต้นลง อย่างไรก็ตาม Nadella ย้ำว่า AI ยังต้องการการตรวจสอบจากนักพัฒนาที่มีประสบการณ์ เพื่อให้แน่ใจว่าโค้ดที่สร้างขึ้นสามารถทำงานได้อย่างถูกต้อง Microsoft พบว่า AI สามารถสร้างโค้ด Python ได้ดีกว่า C++ เนื่องจาก Python มีโครงสร้างที่ง่ายกว่า, รองรับ dynamic typing และมีระบบจัดการหน่วยความจำที่ดีกว่า ขณะที่ C++ เป็นภาษาที่เกี่ยวข้องกับโค้ดระดับต่ำ ซึ่งยากต่อการทำให้เป็นอัตโนมัติ ✅ AI เขียนโค้ดในโปรเจ็กต์ของ Microsoft - 20-30% ของโค้ดในโปรเจ็กต์ของ Microsoft ถูกเขียนโดย AI - บางโปรเจ็กต์อาจใช้ AI ในการเขียนโค้ดทั้งหมด ✅ การพัฒนา AI ในระบบโอเพ่นซอร์ส - Nadella และ Zuckerberg พูดคุยเกี่ยวกับการพัฒนา AI ในงาน LlamaCon - AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเขียนโค้ด โดยเฉพาะงานที่มีรูปแบบที่คาดเดาได้ ✅ ผลกระทบต่อโปรแกรมเมอร์รุ่นใหม่ - AI อาจลดจำนวนงานระดับเริ่มต้นลง - นักพัฒนาที่มีประสบการณ์ยังคงมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบโค้ด ✅ ความแตกต่างระหว่าง Python และ C++ ในการใช้ AI - AI สามารถสร้างโค้ด Python ได้ดีกว่า C++ - Python มีโครงสร้างที่ง่ายกว่าและมีระบบจัดการหน่วยความจำที่ดีกว่า https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/microsofts-ceo-reveals-that-ai-writes-up-to-30-percent-of-its-code-some-projects-may-have-all-of-its-code-written-by-ai
    0 Comments 0 Shares 162 Views 0 Reviews
  • สองวิศวกรซอฟต์แวร์เสนอเงิน $10,000 ให้กับคนที่ช่วยให้พวกเขาได้งานเงินเดือน 6 หลัก เนื่องจากตลาดแรงงานด้านโปรแกรมเมอร์กำลังแข่งขันสูงและตำแหน่งงานลดลงอย่างมาก หลังโพสต์ข้อเสนอ พวกเขาได้รับโอกาสสัมภาษณ์งานและข้อเสนองานสัญญาชั่วคราว แนวทางนี้ช่วยให้พวกเขาโดดเด่นในตลาดที่เต็มไปด้วยผู้สมัครจำนวนมาก

    Argenis De La Rosa และ Ryan Prescott คือวิศวกรที่ริเริ่มไอเดียนี้
    - พวกเขามองว่าวิธีที่ดีที่สุดในการได้งานคือ กระตุ้นให้คนช่วยหาตำแหน่งงานที่เหมาะสมผ่านแรงจูงใจด้านเงิน
    - หากได้งาน เงินรางวัลจะถูกจ่ายเป็นงวดตามโครงสร้างของเงินเดือน

    De La Rosa ได้สัมภาษณ์งาน 3 แห่งหลังจากโพสต์ข้อเสนอ
    - แม้ยังไม่ได้งานประจำ แต่เขาได้รับ งานสัญญาชั่วคราว จากการโพสต์

    Prescott ใช้วิธีเดียวกันและได้งานโดยไม่ต้องจ่ายเงินรางวัล
    - เขาพบว่าการโพสต์ช่วยให้มีคนเห็นโปรไฟล์มากขึ้นและได้รับข้อเสนองาน

    จำนวนตำแหน่งงานสายโปรแกรมเมอร์ลดลง แม้ตลาดแรงงานโดยรวมเติบโต
    - ตลาดแรงงานโดยรวม โตขึ้น 10% ตั้งแต่ปี 2020 แต่สายงานพัฒนา กลับลดลง 35% ในช่วงเดียวกัน

    อุตสาหกรรมเทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนไปอย่างมากหลังการแพร่ระบาด
    - การได้งานไม่ง่ายเหมือนก่อนปี 2020 และต้องมีวิธีที่โดดเด่นเพื่อดึงดูดความสนใจ

    https://www.techspot.com/news/107404-software-engineers-offer-10000-reward-anyone-who-helps.html
    สองวิศวกรซอฟต์แวร์เสนอเงิน $10,000 ให้กับคนที่ช่วยให้พวกเขาได้งานเงินเดือน 6 หลัก เนื่องจากตลาดแรงงานด้านโปรแกรมเมอร์กำลังแข่งขันสูงและตำแหน่งงานลดลงอย่างมาก หลังโพสต์ข้อเสนอ พวกเขาได้รับโอกาสสัมภาษณ์งานและข้อเสนองานสัญญาชั่วคราว แนวทางนี้ช่วยให้พวกเขาโดดเด่นในตลาดที่เต็มไปด้วยผู้สมัครจำนวนมาก ✅ Argenis De La Rosa และ Ryan Prescott คือวิศวกรที่ริเริ่มไอเดียนี้ - พวกเขามองว่าวิธีที่ดีที่สุดในการได้งานคือ กระตุ้นให้คนช่วยหาตำแหน่งงานที่เหมาะสมผ่านแรงจูงใจด้านเงิน - หากได้งาน เงินรางวัลจะถูกจ่ายเป็นงวดตามโครงสร้างของเงินเดือน ✅ De La Rosa ได้สัมภาษณ์งาน 3 แห่งหลังจากโพสต์ข้อเสนอ - แม้ยังไม่ได้งานประจำ แต่เขาได้รับ งานสัญญาชั่วคราว จากการโพสต์ ✅ Prescott ใช้วิธีเดียวกันและได้งานโดยไม่ต้องจ่ายเงินรางวัล - เขาพบว่าการโพสต์ช่วยให้มีคนเห็นโปรไฟล์มากขึ้นและได้รับข้อเสนองาน ✅ จำนวนตำแหน่งงานสายโปรแกรมเมอร์ลดลง แม้ตลาดแรงงานโดยรวมเติบโต - ตลาดแรงงานโดยรวม โตขึ้น 10% ตั้งแต่ปี 2020 แต่สายงานพัฒนา กลับลดลง 35% ในช่วงเดียวกัน ✅ อุตสาหกรรมเทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนไปอย่างมากหลังการแพร่ระบาด - การได้งานไม่ง่ายเหมือนก่อนปี 2020 และต้องมีวิธีที่โดดเด่นเพื่อดึงดูดความสนใจ https://www.techspot.com/news/107404-software-engineers-offer-10000-reward-anyone-who-helps.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Software engineers offer $10,000 reward to anyone who helps them land six-figure jobs
    From the tech industry trend of streamlining businesses to generative AI reducing the need for programmers, getting a job in the industry isn't as easy or lucrative...
    0 Comments 0 Shares 241 Views 0 Reviews
  • บริษัทผู้ผลิตแล็ปท็อป Compal Electronics ได้รับรางวัล iF Design Award 2025 จากการออกแบบที่น่าตื่นเต้นของแล็ปท็อปรุ่น Compal Infinite ซึ่งมีหน้าจอที่สามารถขยายแนวนอนจาก 14 นิ้ว ไปจนถึง 18 นิ้ว ได้อย่างน่าทึ่ง! ฟีเจอร์นี้ใช้เทคโนโลยี rollable OLED screen ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเพิ่มพื้นที่การทำงานเมื่อจำเป็น โดยไม่ต้องพกพาจอพกพาเพิ่มเติม

    คุณสมบัติเด่นที่น่าสนใจ
    1) การขยายหน้าจอ:
    - หน้าจอสามารถเลื่อนขยายออกทั้งด้านซ้ายและด้านขวา ทำให้เครื่องยังคงสมดุลขณะใช้งาน
    - ฟีเจอร์นี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการพื้นที่หน้าจอที่กว้างขึ้น เช่น นักออกแบบหรือโปรแกรมเมอร์

    2) การออกแบบที่ไร้รอยต่อ:
    - กลไกการเลื่อนหน้าจอถูกออกแบบให้เรียบเนียน แข็งแรง และทนทาน โดย Compal เน้นว่าการขยายหน้าจอจะไม่ส่งผลต่อคุณภาพหรืออายุการใช้งาน

    3) แสง LED บนฝาแล็ปท็อป:
    - ฝาเครื่องมีไฟ LED แบบปรับแต่งได้ ซึ่งสามารถแสดงการแจ้งเตือนต่างๆ เช่น การมาของอีเมล

    ก่อนหน้านี้ Lenovo ได้เปิดตัวต้นแบบแล็ปท็อปหน้าจอขยายในแนวตั้ง และ ThinkBook ที่สามารถขยายได้จาก 14 นิ้วถึง 16.7 นิ้ว แต่ Compal Infinite มอบมิติใหม่ด้วยการขยายในแนวนอนที่ช่วยตอบโจทย์ผู้ที่ใช้งานจอกว้างโดยเฉพาะ

    แม้ว่าดีไซน์ล้ำสมัยของ Compal Infinite จะยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทางเทคนิคหรือแผนการผลิตเชิงพาณิชย์ แต่เทคโนโลยีนี้แสดงถึงทิศทางที่น่าจับตามองในตลาดแล็ปท็อป ยิ่งถ้าผู้ผลิตแบรนด์ใหญ่ที่ใช้ Compal เป็น OEM หยิบไปต่อยอด อุปกรณ์นี้อาจกลายเป็นตัวเลือกสำคัญในตลาดพรีเมียมได้เลย!

    https://www.tomshardware.com/laptops/compal-infinite-laptop-built-around-screen-that-extends-from-14-to-18-inches-horizontally
    บริษัทผู้ผลิตแล็ปท็อป Compal Electronics ได้รับรางวัล iF Design Award 2025 จากการออกแบบที่น่าตื่นเต้นของแล็ปท็อปรุ่น Compal Infinite ซึ่งมีหน้าจอที่สามารถขยายแนวนอนจาก 14 นิ้ว ไปจนถึง 18 นิ้ว ได้อย่างน่าทึ่ง! ฟีเจอร์นี้ใช้เทคโนโลยี rollable OLED screen ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเพิ่มพื้นที่การทำงานเมื่อจำเป็น โดยไม่ต้องพกพาจอพกพาเพิ่มเติม คุณสมบัติเด่นที่น่าสนใจ 1) การขยายหน้าจอ: - หน้าจอสามารถเลื่อนขยายออกทั้งด้านซ้ายและด้านขวา ทำให้เครื่องยังคงสมดุลขณะใช้งาน - ฟีเจอร์นี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการพื้นที่หน้าจอที่กว้างขึ้น เช่น นักออกแบบหรือโปรแกรมเมอร์ 2) การออกแบบที่ไร้รอยต่อ: - กลไกการเลื่อนหน้าจอถูกออกแบบให้เรียบเนียน แข็งแรง และทนทาน โดย Compal เน้นว่าการขยายหน้าจอจะไม่ส่งผลต่อคุณภาพหรืออายุการใช้งาน 3) แสง LED บนฝาแล็ปท็อป: - ฝาเครื่องมีไฟ LED แบบปรับแต่งได้ ซึ่งสามารถแสดงการแจ้งเตือนต่างๆ เช่น การมาของอีเมล ก่อนหน้านี้ Lenovo ได้เปิดตัวต้นแบบแล็ปท็อปหน้าจอขยายในแนวตั้ง และ ThinkBook ที่สามารถขยายได้จาก 14 นิ้วถึง 16.7 นิ้ว แต่ Compal Infinite มอบมิติใหม่ด้วยการขยายในแนวนอนที่ช่วยตอบโจทย์ผู้ที่ใช้งานจอกว้างโดยเฉพาะ แม้ว่าดีไซน์ล้ำสมัยของ Compal Infinite จะยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทางเทคนิคหรือแผนการผลิตเชิงพาณิชย์ แต่เทคโนโลยีนี้แสดงถึงทิศทางที่น่าจับตามองในตลาดแล็ปท็อป ยิ่งถ้าผู้ผลิตแบรนด์ใหญ่ที่ใช้ Compal เป็น OEM หยิบไปต่อยอด อุปกรณ์นี้อาจกลายเป็นตัวเลือกสำคัญในตลาดพรีเมียมได้เลย! https://www.tomshardware.com/laptops/compal-infinite-laptop-built-around-screen-that-extends-from-14-to-18-inches-horizontally
    0 Comments 0 Shares 470 Views 0 Reviews
  • มีการเปิดเผยว่า ผู้รับผลประโยชน์จากโครงการประกันสังคมของสหรัฐฯ หลายล้านคนที่ดูเหมือนเสียชีวิตแล้ว แต่ยังคงได้รับผลประโยชน์อยู่ ความเข้าใจผิดนี้เกิดขึ้นจากการใช้ภาษาโปรแกรมเก่าอย่าง COBOL ที่เคยพัฒนาขึ้นในปี 1950 สำหรับการจัดการข้อมูลผู้รับผลประโยชน์

    เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ Elon Musk อ้างว่า มีชาวอเมริกันจำนวนมากกว่า 20 ล้านคนที่มีอายุมากกว่า 100 ปี และยังคงได้รับผลประโยชน์จากโครงการประกันสังคม ซึ่งดูเหมือนเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ มีคนจำนวนมากที่ถูกระบุว่าอายุถึง 150 ปี และยังได้รับผลประโยชน์อยู่

    ปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับภาษา COBOL คือไม่มีวิธีมาตรฐานในการจัดการวันที่ ทำให้โปรแกรมเมอร์ต้องหาวิธีสร้างข้อมูลวันที่ขึ้นมาเอง โดยมักใช้วันที่สมมุติเช่น 20 พฤษภาคม 1875 ซึ่งเป็นวันที่ที่เลือกตามมาตรฐาน ISO 8601 สำหรับการจัดเก็บข้อมูลที่ไม่ทราบวันที่จริง เมื่อวันที่นี้ถูกบันทึกลงในฐานข้อมูลของผู้สมัครที่ไม่มีข้อมูลวันเกิดที่แท้จริง ก็เกิดความเข้าใจผิดว่าผู้สมัครเหล่านี้มีอายุถึง 150 ปี

    ถึงแม้ว่าจะมีข้อผิดพลาดเช่นนี้ หน่วยงานประกันสังคมของสหรัฐฯ (SSA) ได้ใช้มาตรการเพื่อป้องกันการทุจริต โดยมีการตรวจสอบข้อมูลผู้รับผลประโยชน์ที่มีอายุเกิน 115 ปี และมีการใช้ระบบอัตโนมัติที่สามารถบล็อกการจ่ายเงินให้แก่ผู้รับผลประโยชน์ที่มีอายุเกินกว่านั้น

    ตัวอย่างนี้ยังชี้ให้เห็นถึงความท้าทายที่หน่วยงานรัฐบาลอื่นๆ ของสหรัฐฯ ต้องเผชิญ เนื่องจากมีการใช้ภาษาโปรแกรมเก่าแบบ COBOL ในการจัดการข้อมูลที่สำคัญและมีการทำงานที่ซับซ้อน

    https://www.techspot.com/news/106926-millions-dead-social-security-recipients-actually-caused-cobol.html
    มีการเปิดเผยว่า ผู้รับผลประโยชน์จากโครงการประกันสังคมของสหรัฐฯ หลายล้านคนที่ดูเหมือนเสียชีวิตแล้ว แต่ยังคงได้รับผลประโยชน์อยู่ ความเข้าใจผิดนี้เกิดขึ้นจากการใช้ภาษาโปรแกรมเก่าอย่าง COBOL ที่เคยพัฒนาขึ้นในปี 1950 สำหรับการจัดการข้อมูลผู้รับผลประโยชน์ เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ Elon Musk อ้างว่า มีชาวอเมริกันจำนวนมากกว่า 20 ล้านคนที่มีอายุมากกว่า 100 ปี และยังคงได้รับผลประโยชน์จากโครงการประกันสังคม ซึ่งดูเหมือนเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ มีคนจำนวนมากที่ถูกระบุว่าอายุถึง 150 ปี และยังได้รับผลประโยชน์อยู่ ปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับภาษา COBOL คือไม่มีวิธีมาตรฐานในการจัดการวันที่ ทำให้โปรแกรมเมอร์ต้องหาวิธีสร้างข้อมูลวันที่ขึ้นมาเอง โดยมักใช้วันที่สมมุติเช่น 20 พฤษภาคม 1875 ซึ่งเป็นวันที่ที่เลือกตามมาตรฐาน ISO 8601 สำหรับการจัดเก็บข้อมูลที่ไม่ทราบวันที่จริง เมื่อวันที่นี้ถูกบันทึกลงในฐานข้อมูลของผู้สมัครที่ไม่มีข้อมูลวันเกิดที่แท้จริง ก็เกิดความเข้าใจผิดว่าผู้สมัครเหล่านี้มีอายุถึง 150 ปี ถึงแม้ว่าจะมีข้อผิดพลาดเช่นนี้ หน่วยงานประกันสังคมของสหรัฐฯ (SSA) ได้ใช้มาตรการเพื่อป้องกันการทุจริต โดยมีการตรวจสอบข้อมูลผู้รับผลประโยชน์ที่มีอายุเกิน 115 ปี และมีการใช้ระบบอัตโนมัติที่สามารถบล็อกการจ่ายเงินให้แก่ผู้รับผลประโยชน์ที่มีอายุเกินกว่านั้น ตัวอย่างนี้ยังชี้ให้เห็นถึงความท้าทายที่หน่วยงานรัฐบาลอื่นๆ ของสหรัฐฯ ต้องเผชิญ เนื่องจากมีการใช้ภาษาโปรแกรมเก่าแบบ COBOL ในการจัดการข้อมูลที่สำคัญและมีการทำงานที่ซับซ้อน https://www.techspot.com/news/106926-millions-dead-social-security-recipients-actually-caused-cobol.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Millions of "dead" Social Security recipients actually caused by a COBOL coding quirk
    The rumors began when Elon Musk claimed that a significant number of Americans over the age of 100 were inappropriately receiving benefits. Musk and other DOGE representatives...
    0 Comments 0 Shares 298 Views 0 Reviews
  • "อู๊ด" ยันไม่ได้แก้ GPS พิกัดต่างเป็นการเดินเรือ : [NEWS UPDATE]

    นายกิตติภัฎ ธนาสนธิราช หรือ อู๊ด ผู้เชี่ยวชาญด้านเรือ เข้าให้ข้อมูลกับหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนข้อเท็จจริงคดีการเสียชีวิตของ แตงโม นิดา กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) และนำหลักฐานเอกสารใบรับรองว่ามีความเชี่ยวชาญด้าน GPS เรือนานกว่า 30 ปี มายืนยันข้อมูลการเดินเรือ การติดตั้ง GPS เรือในวันที่เกิดเหตุ ยืนยันตนไม่ได้เปลี่ยนแปลง GPS เรือ โดยเป็นหลักฐานเดียวกับที่เคยยื่นไว้กับตำรวจ สภ.เมืองนนทบุรี เมื่อ 3 ปีก่อน ซึ่งจะทำให้รู้ว่าวันเกิดเหตุเรือเดินทางไปในทิศทางใด สามารถดูพิกัดได้ว่าหัวเรือหันไปในทิศทางใด จอดหยุดนิ่งตรงจุดไหนในแม่น้ำ อยู่ที่ความลึกของแม่น้ำเท่าไหร่ เวลาไหน รวมถึงความเร็วในการแล่นเรือ โดยการตรวจสอบได้ทำงานร่วมกับบริษัท แนฟเกียร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทนำเข้าเกี่ยวกับระบบ GPS เรือ อย่างไรก็ตาม ข้อมูล GPS ต่างกับข้อมูล GPS ของนายเอกราช นามโภคิน โปรแกรมเมอร์ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ และวิเคราะห์ระบบ GPS เนื่องจากข้อมูลของตัวเองเป็น GPS การเดินเรือ แต่ข้อมูลของนายเอกราช เป็น GPS การเดินทางบนบก ส่วนกรณีเซ็นเซอร์ใบพัดเรือหากโดนวัตถุบางอย่างจะทำงานทำให้เรือหยุด ได้ให้ข้อมูลไปแล้ว อยู่ในสำนวนคดีไม่สามารถเปิดเผยได้



    ถอนป่วยทิพย์ข้อมูลไม่พอ

    ซัดเพื่อไทยเลี่ยงตรวจสอบ

    รวบแก๊งฟอกเงินอาชญากร

    ครม.สงขลาผ่านงบ 300 ล้าน
    "อู๊ด" ยันไม่ได้แก้ GPS พิกัดต่างเป็นการเดินเรือ : [NEWS UPDATE] นายกิตติภัฎ ธนาสนธิราช หรือ อู๊ด ผู้เชี่ยวชาญด้านเรือ เข้าให้ข้อมูลกับหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนข้อเท็จจริงคดีการเสียชีวิตของ แตงโม นิดา กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) และนำหลักฐานเอกสารใบรับรองว่ามีความเชี่ยวชาญด้าน GPS เรือนานกว่า 30 ปี มายืนยันข้อมูลการเดินเรือ การติดตั้ง GPS เรือในวันที่เกิดเหตุ ยืนยันตนไม่ได้เปลี่ยนแปลง GPS เรือ โดยเป็นหลักฐานเดียวกับที่เคยยื่นไว้กับตำรวจ สภ.เมืองนนทบุรี เมื่อ 3 ปีก่อน ซึ่งจะทำให้รู้ว่าวันเกิดเหตุเรือเดินทางไปในทิศทางใด สามารถดูพิกัดได้ว่าหัวเรือหันไปในทิศทางใด จอดหยุดนิ่งตรงจุดไหนในแม่น้ำ อยู่ที่ความลึกของแม่น้ำเท่าไหร่ เวลาไหน รวมถึงความเร็วในการแล่นเรือ โดยการตรวจสอบได้ทำงานร่วมกับบริษัท แนฟเกียร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทนำเข้าเกี่ยวกับระบบ GPS เรือ อย่างไรก็ตาม ข้อมูล GPS ต่างกับข้อมูล GPS ของนายเอกราช นามโภคิน โปรแกรมเมอร์ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ และวิเคราะห์ระบบ GPS เนื่องจากข้อมูลของตัวเองเป็น GPS การเดินเรือ แต่ข้อมูลของนายเอกราช เป็น GPS การเดินทางบนบก ส่วนกรณีเซ็นเซอร์ใบพัดเรือหากโดนวัตถุบางอย่างจะทำงานทำให้เรือหยุด ได้ให้ข้อมูลไปแล้ว อยู่ในสำนวนคดีไม่สามารถเปิดเผยได้ ถอนป่วยทิพย์ข้อมูลไม่พอ ซัดเพื่อไทยเลี่ยงตรวจสอบ รวบแก๊งฟอกเงินอาชญากร ครม.สงขลาผ่านงบ 300 ล้าน
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 1211 Views 33 0 Reviews
  • # ดีเอสไอเรียก "โปรแกรมเมอร์" ขอหลักฐานเป็นภาพและคลิปวิดีโอ พิสูจน์ข้อเท็จจริงคดี "แตงโม" สันนิษฐานว่าภาพคู่กระติกมีการตัดต่อถ่ายกับคนอื่น

    วันนี้ (30 ม.ค.) เวลา 11.30 น. ห้องประชุม ชั้น 2 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม พา นายเอกราช นามโภคิน โปรแกรมเมอร์ ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์และวิเคราะห์ระบบ GPS เดินทางเข้าพบ พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งเเวดล้อม ในฐานะหัวหน้าทีมตรวจสอบข้อเท็จจริงคดีการเสียชีวิตของ น.ส.ภัทรธิดา (นิดา) พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม เพื่อให้ข้อมูลดีเอสไอ หลังรับเป็นเลขสืบสวนที่ 20/2568

    นายอัจฉริยะ กล่าวให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า วันนี้พยานบุคคลในคดีนี้คือ นายเอกราช นามโภคิน เข้ามาพบกับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ โดยในวันนี้ยังได้นำรายงานการวิเคราะห์ทางด้านโปรแกรมเมอร์มาให้เห็นว่ามีการทุจริตอย่างไรในการตัดแต่งภาพ หรือการใช้เอกสารปลอมเกี่ยวกับเรื่องข้อมูลเจ้าหน้าที่รัฐเคยแถลงข่าว พร้อมกับคนบนเรือที่เคยให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน ซึ่งตอนนี้ได้ส่งมอบให้กับดีเอสไอสมบูรณ์เรียบร้อย

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000009747

    #MGROnline #ดีเอสไอ #โปรแกรมเมอร์ #แตงโม #กระติก #ภาพคู่กระติก #ตัดต่อ

    # ดีเอสไอเรียก "โปรแกรมเมอร์" ขอหลักฐานเป็นภาพและคลิปวิดีโอ พิสูจน์ข้อเท็จจริงคดี "แตงโม" สันนิษฐานว่าภาพคู่กระติกมีการตัดต่อถ่ายกับคนอื่น • วันนี้ (30 ม.ค.) เวลา 11.30 น. ห้องประชุม ชั้น 2 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม พา นายเอกราช นามโภคิน โปรแกรมเมอร์ ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์และวิเคราะห์ระบบ GPS เดินทางเข้าพบ พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งเเวดล้อม ในฐานะหัวหน้าทีมตรวจสอบข้อเท็จจริงคดีการเสียชีวิตของ น.ส.ภัทรธิดา (นิดา) พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม เพื่อให้ข้อมูลดีเอสไอ หลังรับเป็นเลขสืบสวนที่ 20/2568 • นายอัจฉริยะ กล่าวให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า วันนี้พยานบุคคลในคดีนี้คือ นายเอกราช นามโภคิน เข้ามาพบกับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ โดยในวันนี้ยังได้นำรายงานการวิเคราะห์ทางด้านโปรแกรมเมอร์มาให้เห็นว่ามีการทุจริตอย่างไรในการตัดแต่งภาพ หรือการใช้เอกสารปลอมเกี่ยวกับเรื่องข้อมูลเจ้าหน้าที่รัฐเคยแถลงข่าว พร้อมกับคนบนเรือที่เคยให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน ซึ่งตอนนี้ได้ส่งมอบให้กับดีเอสไอสมบูรณ์เรียบร้อย • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000009747 • #MGROnline #ดีเอสไอ #โปรแกรมเมอร์ #แตงโม #กระติก #ภาพคู่กระติก #ตัดต่อ •
    0 Comments 0 Shares 697 Views 0 Reviews
  • ดีเอสไอเรียก "โปรแกรมเมอร์" ขอหลักฐานเป็นภาพและคลิปวิดีโอ พิสูจน์ข้อเท็จจริงคดี "แตงโม" สันนิษฐานว่าภาพคู่กระติกมีการตัดต่อถ่ายกับคนอื่น

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000009747

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ดีเอสไอเรียก "โปรแกรมเมอร์" ขอหลักฐานเป็นภาพและคลิปวิดีโอ พิสูจน์ข้อเท็จจริงคดี "แตงโม" สันนิษฐานว่าภาพคู่กระติกมีการตัดต่อถ่ายกับคนอื่น อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000009747 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    10
    0 Comments 0 Shares 1405 Views 0 Reviews
  • บทความนี้กล่าวถึงการโจมตีแบบฟิชชิ่งที่ซับซ้อนที่สุดที่ Google เคยพบ ซึ่งทำให้ Google ต้องเพิ่มการป้องกันการโจมตีแบบฟิชชิ่งนี้

    Zach Latta, โปรแกรมเมอร์ของ Google, ได้เตือนในบล็อกโพสต์ล่าสุดว่า "มีคนพยายามโจมตีแบบฟิชชิ่งที่ซับซ้อนที่สุดที่ฉันเคยเห็น ฉันเกือบจะตกหลุมพรางนี้" การโจมตีเริ่มต้นด้วยการโทรศัพท์จาก Caller ID ที่แสดงว่าเป็น 'Google' ซึ่งทำให้ Latta เกือบจะกดปุ่มเดียวเพื่อทำให้เกิดความเสียหาย

    การโจมตีนี้มีความน่าเชื่อถือมาก โดยมี 'วิศวกรของ Google' ชื่อ Chloe โทรมาและถามว่าเขาได้พยายามเข้าสู่ระบบจากแฟรงก์เฟิร์ต, เยอรมนีหรือไม่ จากนั้น Chloe ได้ส่งอีเมลที่ดูเป็นทางการมากจากที่อยู่อีเมล 'workspace-noreply@google.com' พร้อมกับหมายเลขเคส

    Latta ได้ตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์และพบว่ามันเป็นหมายเลขที่ถูกต้องของ Google ซึ่งทำให้เขาเชื่อถือมากขึ้น แต่เมื่อเขาตรวจสอบบันทึกการใช้งานของ Google Workspace เอง เขาไม่พบกิจกรรมที่น่าสงสัยใดๆ

    การโจมตีนี้ทำให้ Google ต้องเพิ่มการป้องกัน โดย Google ได้ระงับบัญชีที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีนี้ และย้ำว่า Google จะไม่โทรหาผู้ใช้เพื่อรีเซ็ตรหัสผ่านหรือแก้ไขปัญหาบัญชี

    การโจมตีแบบฟิชชิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนและความน่าเชื่อถือที่เพิ่มขึ้นของการโจมตีทางไซเบอร์ในปัจจุบัน ซึ่งแม้แต่ผู้ที่มีความรู้ทางเทคนิคสูงก็ยังอาจตกเป็นเหยื่อได้

    https://www.techradar.com/pro/security/google-stepping-up-defenses-against-most-sophisticated-attack-its-ever-seen
    บทความนี้กล่าวถึงการโจมตีแบบฟิชชิ่งที่ซับซ้อนที่สุดที่ Google เคยพบ ซึ่งทำให้ Google ต้องเพิ่มการป้องกันการโจมตีแบบฟิชชิ่งนี้ Zach Latta, โปรแกรมเมอร์ของ Google, ได้เตือนในบล็อกโพสต์ล่าสุดว่า "มีคนพยายามโจมตีแบบฟิชชิ่งที่ซับซ้อนที่สุดที่ฉันเคยเห็น ฉันเกือบจะตกหลุมพรางนี้" การโจมตีเริ่มต้นด้วยการโทรศัพท์จาก Caller ID ที่แสดงว่าเป็น 'Google' ซึ่งทำให้ Latta เกือบจะกดปุ่มเดียวเพื่อทำให้เกิดความเสียหาย การโจมตีนี้มีความน่าเชื่อถือมาก โดยมี 'วิศวกรของ Google' ชื่อ Chloe โทรมาและถามว่าเขาได้พยายามเข้าสู่ระบบจากแฟรงก์เฟิร์ต, เยอรมนีหรือไม่ จากนั้น Chloe ได้ส่งอีเมลที่ดูเป็นทางการมากจากที่อยู่อีเมล 'workspace-noreply@google.com' พร้อมกับหมายเลขเคส Latta ได้ตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์และพบว่ามันเป็นหมายเลขที่ถูกต้องของ Google ซึ่งทำให้เขาเชื่อถือมากขึ้น แต่เมื่อเขาตรวจสอบบันทึกการใช้งานของ Google Workspace เอง เขาไม่พบกิจกรรมที่น่าสงสัยใดๆ การโจมตีนี้ทำให้ Google ต้องเพิ่มการป้องกัน โดย Google ได้ระงับบัญชีที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีนี้ และย้ำว่า Google จะไม่โทรหาผู้ใช้เพื่อรีเซ็ตรหัสผ่านหรือแก้ไขปัญหาบัญชี การโจมตีแบบฟิชชิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนและความน่าเชื่อถือที่เพิ่มขึ้นของการโจมตีทางไซเบอร์ในปัจจุบัน ซึ่งแม้แต่ผู้ที่มีความรู้ทางเทคนิคสูงก็ยังอาจตกเป็นเหยื่อได้ https://www.techradar.com/pro/security/google-stepping-up-defenses-against-most-sophisticated-attack-its-ever-seen
    0 Comments 0 Shares 261 Views 0 Reviews
  • พ.ต.ต.ณฐพล เผยเรียก "โปรแกรมเมอร์" วิเคราะห์ตำแหน่งเส้นทางเดินเรือ "แตงโม" วันเกิดเหตุ ให้ข้อมูลนำมาประมวลพิสูจน์ข้อเท็จจริง ก่อนรับเป็นเลขสืบสวน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000006793

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    พ.ต.ต.ณฐพล เผยเรียก "โปรแกรมเมอร์" วิเคราะห์ตำแหน่งเส้นทางเดินเรือ "แตงโม" วันเกิดเหตุ ให้ข้อมูลนำมาประมวลพิสูจน์ข้อเท็จจริง ก่อนรับเป็นเลขสืบสวน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000006793 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Angry
    6
    1 Comments 0 Shares 860 Views 0 Reviews
  • เมื่อกว่า 1 ปีก่อนมีภาพยนตร์จีนชื่อว่า #NoMoreBets เปิดเผยเรื่องขบวนการคอลเซนเตอร์ จนทำให้นักท่องเที่ยวจีนหวาดกลัว และไม่กล้าเดินทางมาท่องเที่ยวเมืองไทย....แต่ว่า นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รมต. สำนักนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้แก้ปัญหาด้วยการ️ สั่งห้ามภาพยนต์เรื่องดังกล่าวฉายในประเทศไทย.วันนี้ดูได้ทาง Netflix เรื่องราวในหนังยังเหมือนเดิม และคราวนี้ ไทยจะได้รับผลกระทบที่หนักกว่าด้วย เพราะ "มาตรการเด็ดขาด" จากจีนกำลังจะเริ่มขึ้น⛔หนังที่ถูกอ้างว่า "ทำลายการท่องเที่ยว" ทำให้นักท่องเที่ยวจีนหวาดหวั่นไม่มาเที่ยวเมืองไทย ถึงขนาดที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ต้องไปพบกับทูต #จีน เพื่อชี้แจงว่า เรื่องที่เกิดขึ้นในหนังไม่ใช่ประเทศไทย ทั้งขบวนการหลอกลวงออนไลน์, แก็งคอลเซนเตอร์, ขบวนการค้ามนุษย์ ที่หลอกคนมาทำงาน มีการลักพาตัว, กักขัง, ทรมาน จนถึงฆาตกรรม.หนังเรื่อง No More Bets ทำรายได้ในจีนได้สูงถึง 20,000 ล้านบาท ( ไม่ได้พิมพ์ผิด ! "2 หมื่นล้าน") และมีผู้เข้าชมในประเทศจีนมากกว่า 100 ล้านคน ผู้ที่ไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้ต่างพูดกันปากต่อปากว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เปิดเผยถึงความน่ากลัวของขบวนการหลอกลวงออนไลน์ จนเกิดกระแสว่า "ถ้าคนไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้เพิ่มขึ้น 1 คน ก็จะมีคนที่ถูกหลอกลวงลดน้อยลงอีก 1 คน" .ในเมืองไทย สำนักข่าวต่าง ๆ รายงานเรื่องผลกระทบต่อการท่องที่ยวจากหนังเรื่องนี้มากมาย แต่ว่าน่าจะไม่มีใครได้ดูหนังเรื่องนี้อย่างเด็มๆ ส่วนใหญ่จะแค่ "ฟังเขาเล่ามา" อีกที ...แต่ฉันได้ดูหนังเรื่องนี้ 3 รอบ และคิดว่าถ้ามี DVD หรือให้ดาวน์โหลด ก็เต็มใจจะซื้อเก็บไว้.No More Bets หรือชื่อภาษาจีนคือ "กูจู้อีจื้อ" #孤注一掷 ซึ่งเป็นสำนวนจีน ที่แปลว่า "เดิมพันครั้งสุดท้าย" ตัวเอกในหนังมี 2 คน คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มที่เป็นโปรแกรมเมอร์ผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ อีกคนหนึ่งเป็นนางแบบสาวสวย ทั้งสองคนถูกหลอกลวงว่า จะว่าได้ไปทำงานได้เงินเดือนสูง ๆ ในต่างประเทศ แต่เมื่อเดินทางไปถึงแล้ว กลับพบว่านี่คือขบวนการหลอกลวงออนไลน์.ภาพยนตร์มีฉากที่หัวหน้าขบวนการคอลเซนเตอร์พูดกับ คนที่มาทำงานด้วยว่า มี 2 ทางเลือก หนึ่งคือหลอกเงินเข้ามา สองก็คือหลอกคนให้มาทำงานด้วย.ขบวนการนี้จะใช้อุบายต่าง ๆ เพื่อหลอกเอาทรัพย์สินจากเหยื่อ คนที่ทำงานกับขบวนการนี้เล่าว่า ถึงขนาดมีคู่มือ มีการอบรมวิธีการพูด มีการสร้างเรื่องราวต่าง ๆ เป็นเหมือนบทละครเป็นร้อยเป็นพันเรื่อง เพื่อหลอกให้เหยื่อตายใจหลงเชื่อ .นอกจากการหลอกลวงให้โอนเงิน และการขโมยข้อมูลส่วนตัวแล้ว แหล่งรายได้หลักของขบวนการนี้ก็คือ การพนันออนไลน์.สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ขบวนการหลอกลวงและพนันออนไลน์แพร่หลายอย่างมาก ก็คือ ผู้ที่เข้าร่วมในขบวนการนี้ ไม่รู้สึกผิด คนเหล่านี้คิดว่าเหยื่อคือคนโลภ แต่ความจริงแล้ว เหยื่อจำนวนมากถูกหลอกลวงจนสิ้นเนื้อประดาตัว สูญเงินเกษียณ เงินที่ใช้เลี้ยงดูครอบครัว เหยื่อบางรายบ้านแตกสาแหรกขาด หรือถึงกับฆ่าตัวตายจบชีวิตตัวเองก็มี⚓️เพลงนำของหนังใช้ชื่อว่า "หมดเนื้อหมดตัว" #千金散尽 เปรียบเทียบว่า เรือลำหนึ่งที่อยากจะกลับเข้าฝั่ง แต่ว่าเมื่อถอนสมอ กางใบเรือกลับพบว่าเต็มไปด้วยรอยทะลุจนแทบจะแล่นต่อไปไม่ไหว...ความ "กล้าหาญ" ถ้ามากเกินไปก็จะเป็น "ลำพอง" ความ "ฉลาด" ถ้าใช้ไม่ถูกก็จะกลายเป็น "เล่ห์เหลี่ยม" .ความน่ากลัวของขบวนการหลอกลวงก็คือ เหยื่อจำนวนมากไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกหลอก พอนึกจะ "กลับเนื้อกลัวตัว" ก็สายไปแล้ว "กลับไม่ได้ไปไม่ถึง".No More Bets ทำให้ผู้คนตระหนักว่า ขบวนการหลอกลวงใกล้ตัวกว่าที่เราคาดคิด หลายคนคงเคยได้รับโทรศัพท์ SMS หรือข้อความในโซเชียลมีเดีย ที่มาจากแก็งค์เหล่านี้ และถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่า โทรศัพท์และข้อความเหล่านี้มีมากขึ้นทุกวัน พวกเราหลายคนอาจจะกดลบข้อความทิ้งหรือวางสายโทรศัพท์ไป แต่ว่ายังมีผู้สูงอายุ เยาวชน และคนอีกมากมายที่ไม่รู้เท่าทันจนตกเป็นเหยื่อ .มีอีกหลายกรณีที่เหยื่อเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง เป็นคนที่มีการศึกษา เข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ก็ยังถูกหลอกลวงได้...อย่าคิดว่าไม่มีโอกาสตกเป็นเหยื่อขบวนการหลอกลวง .ในภาพยนตร์บอกว่า คนเรามีจุดอ่อน 2 อย่าง คือ ความโลภ และความหลง เพราะว่า ใครๆ ก็อยากมีงานที่ดี มีเงินใช้ และก็หลงคิดไปว่า ตัวเองคงจะไม่โชคร้ายถึงขนาดที่ต้อง "ทุ่มสุดตัว วางเดิมพันครั้งสุดท้าย" เหมือนกับชื่อของภาพยนตร์ คือ No More Bets ที่มา เพจบูรพาไม่แพ้ .
    เมื่อกว่า 1 ปีก่อนมีภาพยนตร์จีนชื่อว่า #NoMoreBets เปิดเผยเรื่องขบวนการคอลเซนเตอร์ จนทำให้นักท่องเที่ยวจีนหวาดกลัว และไม่กล้าเดินทางมาท่องเที่ยวเมืองไทย....แต่ว่า นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รมต. สำนักนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้แก้ปัญหาด้วยการ⛔️ สั่งห้ามภาพยนต์เรื่องดังกล่าวฉายในประเทศไทย.วันนี้ดูได้ทาง Netflix เรื่องราวในหนังยังเหมือนเดิม และคราวนี้ ไทยจะได้รับผลกระทบที่หนักกว่าด้วย เพราะ "มาตรการเด็ดขาด" จากจีนกำลังจะเริ่มขึ้น⛔หนังที่ถูกอ้างว่า "ทำลายการท่องเที่ยว" ทำให้นักท่องเที่ยวจีนหวาดหวั่นไม่มาเที่ยวเมืองไทย ถึงขนาดที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ต้องไปพบกับทูต #จีน เพื่อชี้แจงว่า เรื่องที่เกิดขึ้นในหนังไม่ใช่ประเทศไทย ทั้งขบวนการหลอกลวงออนไลน์, แก็งคอลเซนเตอร์, ขบวนการค้ามนุษย์ ที่หลอกคนมาทำงาน มีการลักพาตัว, กักขัง, ทรมาน จนถึงฆาตกรรม.หนังเรื่อง No More Bets ทำรายได้ในจีนได้สูงถึง 20,000 ล้านบาท ( ไม่ได้พิมพ์ผิด ! "2 หมื่นล้าน") และมีผู้เข้าชมในประเทศจีนมากกว่า 100 ล้านคน ผู้ที่ไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้ต่างพูดกันปากต่อปากว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เปิดเผยถึงความน่ากลัวของขบวนการหลอกลวงออนไลน์ จนเกิดกระแสว่า "ถ้าคนไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้เพิ่มขึ้น 1 คน ก็จะมีคนที่ถูกหลอกลวงลดน้อยลงอีก 1 คน" .ในเมืองไทย สำนักข่าวต่าง ๆ รายงานเรื่องผลกระทบต่อการท่องที่ยวจากหนังเรื่องนี้มากมาย แต่ว่าน่าจะไม่มีใครได้ดูหนังเรื่องนี้อย่างเด็มๆ ส่วนใหญ่จะแค่ "ฟังเขาเล่ามา" อีกที ...แต่ฉันได้ดูหนังเรื่องนี้ 3 รอบ และคิดว่าถ้ามี DVD หรือให้ดาวน์โหลด ก็เต็มใจจะซื้อเก็บไว้.No More Bets หรือชื่อภาษาจีนคือ "กูจู้อีจื้อ" #孤注一掷 ซึ่งเป็นสำนวนจีน ที่แปลว่า "เดิมพันครั้งสุดท้าย" ตัวเอกในหนังมี 2 คน คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มที่เป็นโปรแกรมเมอร์ผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ อีกคนหนึ่งเป็นนางแบบสาวสวย ทั้งสองคนถูกหลอกลวงว่า จะว่าได้ไปทำงานได้เงินเดือนสูง ๆ ในต่างประเทศ แต่เมื่อเดินทางไปถึงแล้ว กลับพบว่านี่คือขบวนการหลอกลวงออนไลน์.ภาพยนตร์มีฉากที่หัวหน้าขบวนการคอลเซนเตอร์พูดกับ คนที่มาทำงานด้วยว่า มี 2 ทางเลือก หนึ่งคือหลอกเงินเข้ามา สองก็คือหลอกคนให้มาทำงานด้วย.ขบวนการนี้จะใช้อุบายต่าง ๆ เพื่อหลอกเอาทรัพย์สินจากเหยื่อ คนที่ทำงานกับขบวนการนี้เล่าว่า ถึงขนาดมีคู่มือ มีการอบรมวิธีการพูด มีการสร้างเรื่องราวต่าง ๆ เป็นเหมือนบทละครเป็นร้อยเป็นพันเรื่อง เพื่อหลอกให้เหยื่อตายใจหลงเชื่อ .นอกจากการหลอกลวงให้โอนเงิน และการขโมยข้อมูลส่วนตัวแล้ว แหล่งรายได้หลักของขบวนการนี้ก็คือ การพนันออนไลน์.สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ขบวนการหลอกลวงและพนันออนไลน์แพร่หลายอย่างมาก ก็คือ ผู้ที่เข้าร่วมในขบวนการนี้ ไม่รู้สึกผิด คนเหล่านี้คิดว่าเหยื่อคือคนโลภ แต่ความจริงแล้ว เหยื่อจำนวนมากถูกหลอกลวงจนสิ้นเนื้อประดาตัว สูญเงินเกษียณ เงินที่ใช้เลี้ยงดูครอบครัว เหยื่อบางรายบ้านแตกสาแหรกขาด หรือถึงกับฆ่าตัวตายจบชีวิตตัวเองก็มี⚓️เพลงนำของหนังใช้ชื่อว่า "หมดเนื้อหมดตัว" #千金散尽 เปรียบเทียบว่า เรือลำหนึ่งที่อยากจะกลับเข้าฝั่ง แต่ว่าเมื่อถอนสมอ กางใบเรือกลับพบว่าเต็มไปด้วยรอยทะลุจนแทบจะแล่นต่อไปไม่ไหว...ความ "กล้าหาญ" ถ้ามากเกินไปก็จะเป็น "ลำพอง" ความ "ฉลาด" ถ้าใช้ไม่ถูกก็จะกลายเป็น "เล่ห์เหลี่ยม" .ความน่ากลัวของขบวนการหลอกลวงก็คือ เหยื่อจำนวนมากไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกหลอก พอนึกจะ "กลับเนื้อกลัวตัว" ก็สายไปแล้ว "กลับไม่ได้ไปไม่ถึง".No More Bets ทำให้ผู้คนตระหนักว่า ขบวนการหลอกลวงใกล้ตัวกว่าที่เราคาดคิด หลายคนคงเคยได้รับโทรศัพท์ SMS หรือข้อความในโซเชียลมีเดีย ที่มาจากแก็งค์เหล่านี้ และถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่า โทรศัพท์และข้อความเหล่านี้มีมากขึ้นทุกวัน พวกเราหลายคนอาจจะกดลบข้อความทิ้งหรือวางสายโทรศัพท์ไป แต่ว่ายังมีผู้สูงอายุ เยาวชน และคนอีกมากมายที่ไม่รู้เท่าทันจนตกเป็นเหยื่อ .มีอีกหลายกรณีที่เหยื่อเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง เป็นคนที่มีการศึกษา เข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ก็ยังถูกหลอกลวงได้...อย่าคิดว่าไม่มีโอกาสตกเป็นเหยื่อขบวนการหลอกลวง .ในภาพยนตร์บอกว่า คนเรามีจุดอ่อน 2 อย่าง คือ ความโลภ และความหลง เพราะว่า ใครๆ ก็อยากมีงานที่ดี มีเงินใช้ และก็หลงคิดไปว่า ตัวเองคงจะไม่โชคร้ายถึงขนาดที่ต้อง "ทุ่มสุดตัว วางเดิมพันครั้งสุดท้าย" เหมือนกับชื่อของภาพยนตร์ คือ No More Bets ที่มา เพจบูรพาไม่แพ้ .
    0 Comments 0 Shares 1709 Views 0 Reviews
  • "อัจฉริยะ-หมอธวัชชัย" พร้อมทีมงาน 4 ราย เข้าพบดีเอสไอให้ข้อมูลปม "แตงโม" ตกเรือเสียชีวิต ก่อนพิสูจน์ความจริงวันที่ 15-16 ม.ค. ยันจะเอาผิดข้อหาใหม่

    วันนี้ (14 ม.ค.) เวลา 09.00 น. ห้องประชุม ชั้น 2 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อาคารเอ ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ พร้อม นายแพทย์ธวัชชัย กาญจนรินทร์ อดีตศัลยแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎ , ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการขับเรือ และ โปรแกรมเมอร์ รวม 4 คน เดินทางเข้าพบ พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อเข้าให้ข้อมูลเกี่ยวกับคดี "แตงโม" นิดา พัชรวีระพงษ์ หลังเคยเข้ามายื่นเรื่องกับทางกระทรวงยุติธรรม เมื่อช่วงเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา

    นายอัจฉริยะ กล่าวว่า วันนี้มาเปิดคดีแตงโมกับดีเอสไอ จึงนำพยานมา 4 ปาก คือ ตนเอง , หมอธวัชชัย , ผู้เชี่ยวชาญขับเรือซึ่งเคยขึ้นเบิกความที่ศาลอาญา และ ผู้วิเคราะห์ GPS (โปรแกรมเมอร์) เพื่อหาความเชื่อมโยงแต่ไม่เคยขึ้นศาลมาก่อน มาพูดคุยกับดีเอสไอทุกประเด็นเพื่อให้พิจารณารับเป็นเลขสืบสวนสอบสวน แต่วันสำคัญเป็นวันที่ 15 ม.ค. จะมีการซักซ้อมเหตุการณ์ ถึงเวลาเที่ยงคืน ส่วนวันที่ 16 ม.ค.นี้ จะมีการจำลองเหตุการณ์จริงใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ มีโดรนบินจับภาพบนอากาศและมีเครื่องถ่ายภาพใต้น้ำ บนเรือมีการจับภาพทั้งหมด โดยมีพนักงานสอบสวนดีเอสไอร่วมสังเกตการณ์

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000004008

    #MGROnline #อัจฉริยะ #หมอธวัชชัย #ดีเอสไอ #แตงโม
    "อัจฉริยะ-หมอธวัชชัย" พร้อมทีมงาน 4 ราย เข้าพบดีเอสไอให้ข้อมูลปม "แตงโม" ตกเรือเสียชีวิต ก่อนพิสูจน์ความจริงวันที่ 15-16 ม.ค. ยันจะเอาผิดข้อหาใหม่ • วันนี้ (14 ม.ค.) เวลา 09.00 น. ห้องประชุม ชั้น 2 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อาคารเอ ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ พร้อม นายแพทย์ธวัชชัย กาญจนรินทร์ อดีตศัลยแพทย์โรงพยาบาลพระมงกุฎ , ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการขับเรือ และ โปรแกรมเมอร์ รวม 4 คน เดินทางเข้าพบ พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อเข้าให้ข้อมูลเกี่ยวกับคดี "แตงโม" นิดา พัชรวีระพงษ์ หลังเคยเข้ามายื่นเรื่องกับทางกระทรวงยุติธรรม เมื่อช่วงเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา • นายอัจฉริยะ กล่าวว่า วันนี้มาเปิดคดีแตงโมกับดีเอสไอ จึงนำพยานมา 4 ปาก คือ ตนเอง , หมอธวัชชัย , ผู้เชี่ยวชาญขับเรือซึ่งเคยขึ้นเบิกความที่ศาลอาญา และ ผู้วิเคราะห์ GPS (โปรแกรมเมอร์) เพื่อหาความเชื่อมโยงแต่ไม่เคยขึ้นศาลมาก่อน มาพูดคุยกับดีเอสไอทุกประเด็นเพื่อให้พิจารณารับเป็นเลขสืบสวนสอบสวน แต่วันสำคัญเป็นวันที่ 15 ม.ค. จะมีการซักซ้อมเหตุการณ์ ถึงเวลาเที่ยงคืน ส่วนวันที่ 16 ม.ค.นี้ จะมีการจำลองเหตุการณ์จริงใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ มีโดรนบินจับภาพบนอากาศและมีเครื่องถ่ายภาพใต้น้ำ บนเรือมีการจับภาพทั้งหมด โดยมีพนักงานสอบสวนดีเอสไอร่วมสังเกตการณ์ • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/crime/detail/9680000004008 • #MGROnline #อัจฉริยะ #หมอธวัชชัย #ดีเอสไอ #แตงโม
    0 Comments 0 Shares 708 Views 0 Reviews
  • นาทีนี้คดีสแกมเมอร์ทิพย์ สามสิบเก้าล้าน กําลังเป็นที่สนใจของประชาชนมากที่สุด มีแต่คนอยากรู้ว่า เมื่อไหร่กองปราบปรามจะออกหมายจับกลุ่มผู้ต้องหาที่แบ่งหน้าที่กันหลอกลวงพี่อ้อย จตุพร
    คนที่อยู่ในข่ายแน่นอนแล้วก็คือนางสาวสาริณี นุชฌนาถ แล้วก็นายนุ สามีของ สาริณีซึ่งเป็นเพื่อนกับทนายตั้ม ตอนแรกพี่อ้อยเองก็สงสัยแค่สองสามีภรรยานี้เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับทนายตั้ม ส่งผลให้ทนายตั้มรอดคดีนี้มาได้ในการออกหมายจับครั้งที่ผ่านมา โดนเพียงแค่สามคดีคือฉ้อโกงแพลตฟอร์มหวยเจ็ดสิบเอ็ดล้าน คดีรถเบนซ์สิบสามล้านและคดีออกแบบโรงแรมเก้าล้าน
    แต่ตอนนี้กองปราบปรามได้หลักฐานแน่นอนแล้วว่าทนายตั้มรับเงินส่วนแบ่งจากแผนการครั้งนี้อีกทั้งคําให้การของพันตํารวจเอกภูวดล อุ่นโภช เพื่อนรักของบิ๊กโจ๊ก ก็ระบุว่าทนายตั้มเป็นคนโทรมาแจ้งเองเลยว่าจะส่งคนมาแจ้งความที่สน บางซื่อในวันดังกล่าวเป็นเบาะแสสําคัญมากที่ยืนยันถ้านายตั้มรู้เห็นกับขบวนการแจ้งความทิพย์เพื่อสร้างเรื่องสแกมเมอร์ทิพย์ไปหลอกลวงพี่อ้อย
    โดยน่าจะเป็นคนวางแผนและบงการเองเพราะฉะนั้นหมายจับระลอกสองจะออกมาอย่างแน่นอนในไม่กี่วันนี้ โดยทนายตั้มจะโดนอีกข้อหาพร้อมกับสาริณีและนุ อย่างต่ํา3 คน อาจมีมากกว่านี้ก็เป็นไปได้ขึ้นอยู่กับเส้นเงินจะโยงไปถึงใครมาว่ากันถึงคดีโกงดื้อดื้อเจ็ดสิบเอ็ดล้าน ตอนนี้แนวทางการต่อสู้คดีของทนายตั้มซึ่งพูดผ่านทนายลูกน้องของเขาเองอย่างทนายสายหยุด แล้วก็เพื่อนรักที่ช่วยเป็นโฆษกประโคมข่าวให้อย่างทนายเดชาจะเป็นแนวพลิกลิ้นกลับคําไม่เอาแล้วได้เงิน 71ล้านโดยเสน่หา คงประเมินแล้วมีแต่แพ้กับแพ้เปลี่ยนมาเป็นพี่อ้อยให้เงินทนายตั้มไปลงทุนโดยไม่ได้เสน่หา ส่วนที่ทนายตั้มเคยเที่ยวไปพูดออกสื่อหลายครั้งว่าได้มาโดยเสน่หานั้นโทรโข่งเดชา โม้ว่าทนายตั้มพูดเพื่อสับขาหลอกเท่านั้นจริงจริงวางแผนมาแต่แรกแล้วจะสู้คดีว่าเป็นเงินลงทุน แหม ช่างกล้าพูดราวคนฟังเค้ากินหญ้ามั้ง จุกกรู้ ถามว่าการพลิกเกมสู้คดีจากเงินเสน่หาเป็นเงินลงทุนจะช่วยให้คดีนี้หลุดจากคดีอาญาไปเป็นคดีแพ่งอย่างที่ทนายตั้มต้องการหรือไม่ คําตอบก็คือไม่มีโอกาสที่จะเป็นเช่นนั้น เพราะการฉ้อโกงในลักษณะหลอกลงทุน ทนายตั้มมาขายฝันให้พี่อ้อยอ้างว่าตัวเองจะได้โควตาหวยรัฐมา มันเป็นเรื่องโกหกล้วนๆเป็นแค่โควตาหวยทิพย์ซึ่งไม่เคยมีจริงแม้แต่การไปติดต่อบริษัทโปรแกรมเมอร์ ทนายสายหยุดยังแก้ต่างคดีซื้อรถเบนซ์ด้วยว่าส่วนต่าง 1,500,000 ที่ทนายตั้มได้ไปนั้นเป็นค่าคอมมิชชั่นจากการซื้อขายรถ ต้องบอกว่าเป็นแนวทางสู้คดีที่ปัญญาอ่อนฟังไม่ขึ้นเพราะปกติแล้วคนที่จ่ายค่าคอมมิชชั่น คือผู้ขายซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นบริษัทขายรถนั่นเองแต่นี่ ทนายตั้มอ้างว่าได้ค่าคอมมิชชั่นจากผู้ซื้อหน้าตาเฉย
    ทนายตั้มเองก็เป็นที่ปรึกษากฎหมายของพี่อ้อยต้องคอยรักษาผลประโยชน์ของพี่อ้อยไม่ใช่มาฉกเงินไปโดยพลการ ไม่ได้แจ้งให้เจ้าของเงินรับทราบแล้วมาแก้ตัวทีหลังว่าเป็นค่าคอมมิชชั่น การแถสีข้างถลอกว่าได้รับค่าคอมมิชชั่นจากผู้ซื้อนั้นเหมือนใครกันน้า ติดตามข่าวซีฟแบบนี้ได้ที่
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    นาทีนี้คดีสแกมเมอร์ทิพย์ สามสิบเก้าล้าน กําลังเป็นที่สนใจของประชาชนมากที่สุด มีแต่คนอยากรู้ว่า เมื่อไหร่กองปราบปรามจะออกหมายจับกลุ่มผู้ต้องหาที่แบ่งหน้าที่กันหลอกลวงพี่อ้อย จตุพร คนที่อยู่ในข่ายแน่นอนแล้วก็คือนางสาวสาริณี นุชฌนาถ แล้วก็นายนุ สามีของ สาริณีซึ่งเป็นเพื่อนกับทนายตั้ม ตอนแรกพี่อ้อยเองก็สงสัยแค่สองสามีภรรยานี้เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับทนายตั้ม ส่งผลให้ทนายตั้มรอดคดีนี้มาได้ในการออกหมายจับครั้งที่ผ่านมา โดนเพียงแค่สามคดีคือฉ้อโกงแพลตฟอร์มหวยเจ็ดสิบเอ็ดล้าน คดีรถเบนซ์สิบสามล้านและคดีออกแบบโรงแรมเก้าล้าน แต่ตอนนี้กองปราบปรามได้หลักฐานแน่นอนแล้วว่าทนายตั้มรับเงินส่วนแบ่งจากแผนการครั้งนี้อีกทั้งคําให้การของพันตํารวจเอกภูวดล อุ่นโภช เพื่อนรักของบิ๊กโจ๊ก ก็ระบุว่าทนายตั้มเป็นคนโทรมาแจ้งเองเลยว่าจะส่งคนมาแจ้งความที่สน บางซื่อในวันดังกล่าวเป็นเบาะแสสําคัญมากที่ยืนยันถ้านายตั้มรู้เห็นกับขบวนการแจ้งความทิพย์เพื่อสร้างเรื่องสแกมเมอร์ทิพย์ไปหลอกลวงพี่อ้อย โดยน่าจะเป็นคนวางแผนและบงการเองเพราะฉะนั้นหมายจับระลอกสองจะออกมาอย่างแน่นอนในไม่กี่วันนี้ โดยทนายตั้มจะโดนอีกข้อหาพร้อมกับสาริณีและนุ อย่างต่ํา3 คน อาจมีมากกว่านี้ก็เป็นไปได้ขึ้นอยู่กับเส้นเงินจะโยงไปถึงใครมาว่ากันถึงคดีโกงดื้อดื้อเจ็ดสิบเอ็ดล้าน ตอนนี้แนวทางการต่อสู้คดีของทนายตั้มซึ่งพูดผ่านทนายลูกน้องของเขาเองอย่างทนายสายหยุด แล้วก็เพื่อนรักที่ช่วยเป็นโฆษกประโคมข่าวให้อย่างทนายเดชาจะเป็นแนวพลิกลิ้นกลับคําไม่เอาแล้วได้เงิน 71ล้านโดยเสน่หา คงประเมินแล้วมีแต่แพ้กับแพ้เปลี่ยนมาเป็นพี่อ้อยให้เงินทนายตั้มไปลงทุนโดยไม่ได้เสน่หา ส่วนที่ทนายตั้มเคยเที่ยวไปพูดออกสื่อหลายครั้งว่าได้มาโดยเสน่หานั้นโทรโข่งเดชา โม้ว่าทนายตั้มพูดเพื่อสับขาหลอกเท่านั้นจริงจริงวางแผนมาแต่แรกแล้วจะสู้คดีว่าเป็นเงินลงทุน แหม ช่างกล้าพูดราวคนฟังเค้ากินหญ้ามั้ง จุกกรู้ ถามว่าการพลิกเกมสู้คดีจากเงินเสน่หาเป็นเงินลงทุนจะช่วยให้คดีนี้หลุดจากคดีอาญาไปเป็นคดีแพ่งอย่างที่ทนายตั้มต้องการหรือไม่ คําตอบก็คือไม่มีโอกาสที่จะเป็นเช่นนั้น เพราะการฉ้อโกงในลักษณะหลอกลงทุน ทนายตั้มมาขายฝันให้พี่อ้อยอ้างว่าตัวเองจะได้โควตาหวยรัฐมา มันเป็นเรื่องโกหกล้วนๆเป็นแค่โควตาหวยทิพย์ซึ่งไม่เคยมีจริงแม้แต่การไปติดต่อบริษัทโปรแกรมเมอร์ ทนายสายหยุดยังแก้ต่างคดีซื้อรถเบนซ์ด้วยว่าส่วนต่าง 1,500,000 ที่ทนายตั้มได้ไปนั้นเป็นค่าคอมมิชชั่นจากการซื้อขายรถ ต้องบอกว่าเป็นแนวทางสู้คดีที่ปัญญาอ่อนฟังไม่ขึ้นเพราะปกติแล้วคนที่จ่ายค่าคอมมิชชั่น คือผู้ขายซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นบริษัทขายรถนั่นเองแต่นี่ ทนายตั้มอ้างว่าได้ค่าคอมมิชชั่นจากผู้ซื้อหน้าตาเฉย ทนายตั้มเองก็เป็นที่ปรึกษากฎหมายของพี่อ้อยต้องคอยรักษาผลประโยชน์ของพี่อ้อยไม่ใช่มาฉกเงินไปโดยพลการ ไม่ได้แจ้งให้เจ้าของเงินรับทราบแล้วมาแก้ตัวทีหลังว่าเป็นค่าคอมมิชชั่น การแถสีข้างถลอกว่าได้รับค่าคอมมิชชั่นจากผู้ซื้อนั้นเหมือนใครกันน้า ติดตามข่าวซีฟแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 1613 Views 0 Reviews
  • คดีทนายตั้ม ไม่ได้มีแค่คุณอ้อย

    กรณีที่ตำรวจกองปราบปรามจับกุมนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ตามหมายจับของศาลอาญาในข้อหาฉ้อโกง ฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงินและข้อหาสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน พร้อมกับนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา ข้อหาร่วมกันฟอกเงิน สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน

    คำร้องฝากขัง ระบุพฤติการณ์หลอกลวง น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย ผู้เสียหาย โดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จปกปิดข้อความจริง เป็นเหตุให้คุณอ้อยหลงเชื่อส่งมอบเงินให้ต่างกรรมต่างวาระ ได้แก่ 1. หลอกลวงให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ อ้างว่าต้องจ่ายค่าจ้างเขียนโปรแกรม 2 ล้านยูโร หรือกว่า 71 ล้านบาท 2. การจัดหาซื้อรถยนต์เบนซ์ รุ่น จี 400 หลอกลวงว่าซื้อรถในราคา 12.93 ล้านบาท ทั้งที่ราคาเพียง 11.4 ล้านบาท คิดเป็นส่วนต่าง 1.53 ล้านบาท

    และ 3. หลอกลวงว่าได้ว่าจ้างบริษัทแห่งหนึ่งเขียนแบบก่อสร้างโรงแรม มีค่าเขียนแบบ 9 ล้านบาท ทั้งที่ไปว่าจ้างบริษัทอื่นเขียนแบบเพียง 3.5 ล้านบาท ผู้เสียหายโอนเงินให้บริษัทแห่งหนึ่ง ก่อนถอนเงินไปมอบให้ ได้ส่วนต่าง 5.5 ล้านบาท ทั้ง 3 กรณีความเสียหายรวมกว่า 78 ล้านบาท

    ยังมีผู้เสียหายที่ชื่อ "เตอร์" โปรแกรมเมอร์ และ "มี่" ภรรยา ซึ่ง อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กล่าวว่า นายษิทราว่าจ้างให้เขียนโปรแกรมลอตเตอรีออนไลน์ "นาคี" จำนวน 20 ล้านบาท แต่ให้เขียนสัญญาอีกฉบับ ระบุจำนวนเงิน 2 ล้านยูโร อ้างว่าเป็นค่าซื้อสลาก ปรากฎว่าถึงกำหนดชำระเงิน 15 ก.พ. 2566 ไม่มีเงินเข้า แต่ไม่รู้ว่าสัญญาอีกฉบับ คุณอ้อยโอนเงินให้นายษิทราไปแล้ว 2 ล้านยูโร เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2566

    ต่อมานายษิทราบอกว่าอย่าเพิ่งไปไหน จะให้ก่อสร้างโรงแรม แต่ต้องเขียนแบบก่อน จึงทำใบเสนอราคา 9 ล้านบาท คุณอ้อยโอนเงินไปที่บริษัทของเตอร์และมี่ ก่อนส่งมอบเงินสดให้นายษิทรา ปรากฎว่าไม่ได้งาน เพราะนายษิทราจ้างบริษัทอื่นเขียนแบบในราคา 3.5 ล้านบาท ก่อนชักจูงให้ก่อสร้าง แต่คุณอ้อยพบความผิดปกติจึงยกเลิก นายษิทราสั่งให้เดินหน้า ภายหลังคุณอ้อยขอบอกเลิกสัญญา 2 ครั้ง นายษิทรากลับเสนอให้เตอร์และมี่ยื่นโนติสเรียกค่าเสียหาย 30 ล้านบาท ซึ่งเตอร์และมี่ให้การกับตำรวจในฐานะผู้เสียหายแล้ว

    อย่างไรก็ตาม ยังมีกรณีเงิน 39 ล้านบาท ซึ่งมี "นุ" คนสนิทนายษิทรา และ "สาริณี" ภรรยาที่อ้างว่าถูกสแกมเมอร์หลอก และรับแคชเชียร์เช็คจากคุณอ้อย อยู่ในระหว่างการสืบสวนของตำรวจ

    #Newskit
    คดีทนายตั้ม ไม่ได้มีแค่คุณอ้อย กรณีที่ตำรวจกองปราบปรามจับกุมนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ตามหมายจับของศาลอาญาในข้อหาฉ้อโกง ฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงินและข้อหาสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน พร้อมกับนางปทิตตา เบี้ยบังเกิด ภรรยา ข้อหาร่วมกันฟอกเงิน สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน คำร้องฝากขัง ระบุพฤติการณ์หลอกลวง น.ส.จตุพร อุบลเลิศ หรือคุณอ้อย ผู้เสียหาย โดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จปกปิดข้อความจริง เป็นเหตุให้คุณอ้อยหลงเชื่อส่งมอบเงินให้ต่างกรรมต่างวาระ ได้แก่ 1. หลอกลวงให้ลงทุนขายสลากกินแบ่งรัฐบาลทางออนไลน์ อ้างว่าต้องจ่ายค่าจ้างเขียนโปรแกรม 2 ล้านยูโร หรือกว่า 71 ล้านบาท 2. การจัดหาซื้อรถยนต์เบนซ์ รุ่น จี 400 หลอกลวงว่าซื้อรถในราคา 12.93 ล้านบาท ทั้งที่ราคาเพียง 11.4 ล้านบาท คิดเป็นส่วนต่าง 1.53 ล้านบาท และ 3. หลอกลวงว่าได้ว่าจ้างบริษัทแห่งหนึ่งเขียนแบบก่อสร้างโรงแรม มีค่าเขียนแบบ 9 ล้านบาท ทั้งที่ไปว่าจ้างบริษัทอื่นเขียนแบบเพียง 3.5 ล้านบาท ผู้เสียหายโอนเงินให้บริษัทแห่งหนึ่ง ก่อนถอนเงินไปมอบให้ ได้ส่วนต่าง 5.5 ล้านบาท ทั้ง 3 กรณีความเสียหายรวมกว่า 78 ล้านบาท ยังมีผู้เสียหายที่ชื่อ "เตอร์" โปรแกรมเมอร์ และ "มี่" ภรรยา ซึ่ง อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กล่าวว่า นายษิทราว่าจ้างให้เขียนโปรแกรมลอตเตอรีออนไลน์ "นาคี" จำนวน 20 ล้านบาท แต่ให้เขียนสัญญาอีกฉบับ ระบุจำนวนเงิน 2 ล้านยูโร อ้างว่าเป็นค่าซื้อสลาก ปรากฎว่าถึงกำหนดชำระเงิน 15 ก.พ. 2566 ไม่มีเงินเข้า แต่ไม่รู้ว่าสัญญาอีกฉบับ คุณอ้อยโอนเงินให้นายษิทราไปแล้ว 2 ล้านยูโร เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2566 ต่อมานายษิทราบอกว่าอย่าเพิ่งไปไหน จะให้ก่อสร้างโรงแรม แต่ต้องเขียนแบบก่อน จึงทำใบเสนอราคา 9 ล้านบาท คุณอ้อยโอนเงินไปที่บริษัทของเตอร์และมี่ ก่อนส่งมอบเงินสดให้นายษิทรา ปรากฎว่าไม่ได้งาน เพราะนายษิทราจ้างบริษัทอื่นเขียนแบบในราคา 3.5 ล้านบาท ก่อนชักจูงให้ก่อสร้าง แต่คุณอ้อยพบความผิดปกติจึงยกเลิก นายษิทราสั่งให้เดินหน้า ภายหลังคุณอ้อยขอบอกเลิกสัญญา 2 ครั้ง นายษิทรากลับเสนอให้เตอร์และมี่ยื่นโนติสเรียกค่าเสียหาย 30 ล้านบาท ซึ่งเตอร์และมี่ให้การกับตำรวจในฐานะผู้เสียหายแล้ว อย่างไรก็ตาม ยังมีกรณีเงิน 39 ล้านบาท ซึ่งมี "นุ" คนสนิทนายษิทรา และ "สาริณี" ภรรยาที่อ้างว่าถูกสแกมเมอร์หลอก และรับแคชเชียร์เช็คจากคุณอ้อย อยู่ในระหว่างการสืบสวนของตำรวจ #Newskit
    Like
    9
    0 Comments 1 Shares 1065 Views 0 Reviews
  • นักธุรกิจสาวอดีตลูกความ "ทนายตั้ม-ษิทรา" แจ้งความทนายดัง "ฉ้อโกง" ฮุบเงิน 71 ล้าน! เผยถูกหลอกให้ลงทุนซื้อแพลตฟอร์ม "หวยออนไลน์" เจ้าตัวร้อนตัวรีบชิงออกสื่ออ้างได้มาโดยเสน่หา
    .
    แหล่งข่าวเชื่อถือได้เปิดเผย "ผู้จัดการรายวัน" ว่า เมื่อเร็วๆ นี้นางสาวจตุพร อุบลเลิศ นักธุรกิจสาวที่มีกิจการในต่างประเทศและในไทยในฐานะผู้เสียหายได้มอบอำนาจให้ทนายความเข้าแจ้งความร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจภูธรปากช่องจังหวัดนครราชสีมา โดยแจ้งข้อกล่าวหานายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ทนายความชื่อดังฉ้อโกง
    .
    ทั้งนี้ ทนายความผู้เสียหายได้ให้ปากคำถึงพฤติการณ์ของทนายตั้ม โดยเริ่มจากผู้เสียหายได้ว่าจ้าง บริษัทษิทรา ลอว์เฟิร์ม จำกัด ของทนายตั้มเป็นที่ปรึกษากฎหมาย ดูแลผลประโยชน์ทางธุรกิจโดยทำสัญญาตกลงว่าจ้างกันเดือนละ 300,000 บาท
    .
    หลังจากที่ว่าจ้างกันแล้วก็ไปมาหาสู่ดูแลกันฉันมิตรจนเกิดความไว้วางใจและเชื่อใจต่อตัวทนายตั้มและภรรยา ผู้เสียหายได้ดูแลการเดินทางไปต่างประเทศพร้อมกับท่องเที่ยวของทนายตั้มและครอบครัวหลายต่อหลายครั้ง
    .
    นายษิทรายังเคยพาผู้เสียหายไปเจอกับนักการเมืองระดับประเทศที่ฮ่องกง และ เคยบอกว่า สามารถเอาโควต้าสลากกินแบ่งรัฐบาลมาลงทุนเพื่อแสวงหากำไรได้รวมถึงสัมปทานกับหน่วยงานราชการอื่นๆ โดยนายษิทรากล่าวอ้างว่ารู้จักกับผู้หลักผู้ใหญ่หรือนักการเมืองหลายคน
    .
    ต่อมาเมื่อปลายปี 2565 ต่อเนื่องต้นปี 2566 นายษิทรามาบอกกับผู้เสียหายว่าได้รับโควตาสลากกินแบ่งมาจากผู้ใหญ่ที่นับถือให้มาจำหน่ายทางออนไลน์ซึ่งทนายตั้ม อ้างว่า รับปากกับผู้ใหญ่ไว้แล้วสามารถทำได้ทั้งๆ ที่ยังไม่มีเงินลงทุนจึงมาปรึกษาผู้เสียหายว่าหากตัวเขาได้ทำธุรกิจนี้จะทำให้สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้
    .
    นักธุรกิจสาว เห็นว่า การขายสลากออนไลน์เป็นโอกาสจึงซักถามถึงวิธีการและขอทราบรายละเอียดอื่นๆ
    .
    ทนายษิทราได้อธิบายว่า หากจะทำจะต้องมี แอปพลิเคชั่น และ รายละเอียดอื่นๆ เช่น โปรแกรม และ ระบบ โดยตัวเองรู้จักผู้เชี่ยวชาญที่พัฒนาเว็บไซต์และระบบโปรแกรม
    .
    ผู้เสียหายหลังจากได้ปรึกษาครอบครัวเห็นว่าโครงการดังกล่าวน่าจะเป็นไปได้ ขณะเดียวกันก็ตรงกับความตั้งใจของผู้เสียหายที่จะลงทุนอะไรสักอย่างไว้เอาไว้ให้บุตรชายจึงตอบตกลงจะทำหวยออนไลน์และให้ทนายตั้มไปติดต่อว่าจ้างโปรแกรมเมอร์และให้ทำรายละเอียดเป็นลายลักษณ์อักษรมาซึ่งทนายตั้มตอบตกลง
    .
    ต่อมาก็ได้นำสัญญาใบเสนอราคามาให้ผู้เสียหายดู และผู้เสียหายได้ลงนามในสัญญาเรียบร้อย ทนายตั้มก็รับปากว่าจะดำเนินการตามสัญญา
    .
    ต่อมาวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 ผู้เสียหายโอนเงินชำระค่าจ้างเขียนแบบโปรแกรมให้กับคู่สัญญาแต่ในวันดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการโอนเงินได้เนื่องจากเป็นเวลาที่ธนาคารปิดทำการแล้วจึงนัดทนายตั้มให้มาดูแลจัดการโอนชำระเงิน แต่นายษิทราก็ไม่ได้บอกกล่าวรายละเอียดกับผู้เสียหายว่าต้องโอนชำระให้คู่สัญญาภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ จึงนัดมาดำเนินการโอนเงินในวันรุ่งขึ้นคือ 16 กุมภาพันธ์ 2566
    .
    ต่อมาในวันดังกล่าวเมื่อทนายตั้มเดินทางมาถึงธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาโลตัส ปากช่อง ได้บอกกับผู้เสียหายให้โอนเงินมาที่ตัวเองก่อนเขาจะนำเงินไปชำระให้คู่สัญญาด้วยตัวเอง พร้อมกับเจรจาตกลงกับคู่สัญญาถึงปัญหาดังกล่าวเอง
    .
    โดยทนายตั้มได้เปิดบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาโลตัสปากช่อง ในชื่อนายษิทธา เบี้ยบังเกิด ขึ้นมาเพื่อโอนเงินจากบัญชีของผู้เสียหายไปยังบัญชีของทนายตั้ม เป็นจำนวน 71 ล้านบาทเศษ
    .
    หลังจากที่จ่ายเงินค่าจ้างเขียนโปรแกรมไปแล้วผู้เสียหายก็ได้ติดตามความคืบหน้าการซื้อระบบโปรแกรมสลากออนไลน์จากทนายตั้มเรื่อยมา แต่ได้รับคำตอบว่ายังทำไม่แล้วเสร็จ จึงเป็นสาเหตุประการหนึ่งที่ทำให้ในเวลาต่อมาผู้เสียหายได้ยกเลิกสัญญาจ้างบริษัท ษิทรา ลอว์เฟิร์ม เป็นที่ปรึกษา โดยมีหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างที่ปรึกษา ลงวันที่ 25 มกราคม 2567
    .
    จนกระทั่งวันที่ 1 กันยายน 2567 ซึ่งเป็นวันที่ครบกำหนดการส่งมอบงานตามสัญญา ฝ่ายผู้เสียหายยังไม่ได้รับการตอบรับหรือรับมอบระบบโปรแกรมตามสัญญา ดังนั้นในวันที่ 8 กันยายน 2567 ผู้เสียหายจึงมอบอำนาจให้ทนายติดตามทวงเงินจำนวน 71 ล้านบาทคืนจากทนายตั้ม
    .
    ทนายตั้มได้รับหนังสือดังกล่าวแต่เมื่อถึงกำหนดเวลาให้คืนเงินตามหนังสือทวงหนี้ทนายตั้มก็ไม่ได้คืนเงินให้กับผู้เสียหายและไม่ได้ติดต่อกลับมา จึงมอบอำนาจให้ทนายเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้ต้องหาอย่างถึงที่สุด
    .
    ขณะเดียวกัน เจ้าของผู้พัฒนาระบบหวยออนไลน์ที่มีชื่อเรียกว่า "นาคี" ซึ่งเป็นลูกความว่าจ้างบริษัทษิทราฯ เป็นที่ปรึกษากฎหมาย และ เป็นคู่สัญญากับผู้เสียหายหรือนักธุรกิจสาว ให้การเป็นพยานยืนยันว่า บริษัทตนเองพัฒนาโปรแกรม "นาคี" เพื่อเสนอขายระบบให้ลูกค้าและบุคคลทั่วไป โดยตั้งราคาขายไว้ที่ 20 ล้านบาท ซึ่งราคานี้รวมทั้งอุปกรณ์อื่นๆ เช่น เครื่องสแกนล็อตเตอรี่เข้าระบบตู้เซฟที่เก็บลอตเตอรี่รวมทั้งอุปกรณ์อื่นๆ เมื่อซื้อไปแล้วสามารถใช้งานได้ทันที
    .
    แต่ช่วงที่พัฒนาแล้วเสร็จปรากฏว่า บรรดาแพลตฟอร์มหวยออนไลน์ อาทิ มังกรฟ้า สลากพลัส ถูกทางการตรวจสอบ จึงทำให้ไม่กล้าทำการตลาดหรือเปิดตัวแนะนำ จึงนำเรื่องมาปรึกษาทนายตั๊ม ได้รับคำตอบว่า รอให้เรื่องเงียบค่อยทำการตลาดเพื่อเปิดตัวนาคี จากเหตุการณ์นี้ทำให้ทนายตั้มรู้ว่าบริษัทฯ มีระบบโปรแกรมนาคีอยู่ในครอบครอง
    .
    ต่อมาเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 ทนายตั้มได้นัดให้บริษัทผู้พัฒนานาคีไปที่ร้านอาหารในห้างสยามพารากอนและทนายตั้มได้บอกว่าหานายทุนที่จะมาซื้อระบบโปรแกรมนาคีได้แล้วจึงให้ไปเตรียมสัญญาจ้างเขียนและพัฒนาโปรแกรมเอาไว้ 2 ชุดโดยทนายตั้มบอกว่า จะทำหน้าที่ติดต่อกับผู้ซื้อด้วยตนเองเพราะต้องลงชื่อและสั่งกำชับไม่ให้ติดต่อกับนายทุนผู้ซื้อโดยตรง
    .
    ต่อมาทนายตั้มบอกให้นำสัญญาที่ลงลายมือชื่อเอามามอบให้เขาโดยที่เขาจะส่งมอบสัญญาและให้อีกฝ่ายลงชื่อ แต่หลังจากที่มอบสัญญาให้ทนายตั้ม ทนายคนดังก็ไม่เคยส่งคู่ฉบับสัญญากลับคืนและไม่มีความคืบหน้าใดๆ ของโครงการเกิดขึ้น
    .
    จนเมื่อถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งเป็นวันครบกำหนดการชำระเงินค่าจ้างเขียนโปรแกรมตามสัญญา บริษัทก็ไม่ได้รับการชำระเงินจากคู่สัญญาแต่อย่างใด จึงโทรหาทนายตั้มเพื่อแจ้งเรื่องดังกล่าว ซึ่งนายษิทราตอบกลับมาว่า ลูกค้ายกเลิกโครงการแล้วโดยที่ไม่บอกกล่าวให้เจ้าของแพลตฟอร์มนาคีให้ทราบมาก่อน
    .
    ดังนั้นวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 จึงพากันเดินทางไปที่สถานีตำรวจภูธรแก่งคอย บันทึกรายงานประจำวันไว้เป็นหลักฐานเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าบริษัทไม่ได้เป็นฝ่ายผิดเงื่อนไขตามสัญญา
    .
    ในตอนแรก บริษัทเจ้าของ "นาคี" ไม่ทราบว่านายทุนได้ชำระเงินแล้วต่อมาได้ทราบว่า นักธุรกิจสาวได้จ่ายเงินค่าจ้างตามสัญญาให้กับทนายตั๊ม 71 ล้านบาทแต่นายษิทราไม่ได้นำเงินมาจ่ายให้กับบริษัทผู้พัฒนาโปรแกรมดังกล่าว
    .
    เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนที่เรื่องราวนี้จะเปิดเผยขึ้น ในรายการโหนกระแสวันนี้(23 ตุลาคม) ซึ่งได้เชิญนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้มมาเป็นแขกรับเชิญ ช่วงหนึ่ง นายกรรชัย กำเนิดพลอย หรือ หนุ่ม ได้ถามนายษิทรา ถึงที่มาของความร่ำรวยที่หลายคนสงสัยว่า ร่ำรวยมาได้อย่างไร ทั้งๆ ที่รายได้จากค่าทนายไม่ได้มากเป็นทนายสายโจร หรือ ทนายสีเทาหรือไม่?!
    .
    นายษิทราได้ตอบว่า แต่ละปีบริษัทของตัวเองมีรายได้ประมาณ 20 ล้านบาท แต่ก็มีรายได้ที่ได้มาโดยเสน่หาจากลูกความที่เป็นมหาเศรษฐีซึ่งอยู่ต่างประเทศว่าจ้างเป็นที่ปรึกษา จากเดือนละ 300,000บาท ต่อมาภายหลังเปลี่ยนเป็นให้ทุน 2 ล้านยูโร หรือ ประมาณ 70 ล้านบาท
    .
    คำตอบดังกล่าวถึงกลับทำให้ “หนุ่ม-กรรชัย” แสดงท่าทางตกใจและถามย้ำว่า เป็นไปได้หรือจะมีคนให้เงินทนายตั้มจำนวนมากเช่นนั้นซึ่งทนายคนดังยืนยันว่าได้เงินมาจริง
    ..............
    Sondhi X
    นักธุรกิจสาวอดีตลูกความ "ทนายตั้ม-ษิทรา" แจ้งความทนายดัง "ฉ้อโกง" ฮุบเงิน 71 ล้าน! เผยถูกหลอกให้ลงทุนซื้อแพลตฟอร์ม "หวยออนไลน์" เจ้าตัวร้อนตัวรีบชิงออกสื่ออ้างได้มาโดยเสน่หา . แหล่งข่าวเชื่อถือได้เปิดเผย "ผู้จัดการรายวัน" ว่า เมื่อเร็วๆ นี้นางสาวจตุพร อุบลเลิศ นักธุรกิจสาวที่มีกิจการในต่างประเทศและในไทยในฐานะผู้เสียหายได้มอบอำนาจให้ทนายความเข้าแจ้งความร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจภูธรปากช่องจังหวัดนครราชสีมา โดยแจ้งข้อกล่าวหานายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ทนายความชื่อดังฉ้อโกง . ทั้งนี้ ทนายความผู้เสียหายได้ให้ปากคำถึงพฤติการณ์ของทนายตั้ม โดยเริ่มจากผู้เสียหายได้ว่าจ้าง บริษัทษิทรา ลอว์เฟิร์ม จำกัด ของทนายตั้มเป็นที่ปรึกษากฎหมาย ดูแลผลประโยชน์ทางธุรกิจโดยทำสัญญาตกลงว่าจ้างกันเดือนละ 300,000 บาท . หลังจากที่ว่าจ้างกันแล้วก็ไปมาหาสู่ดูแลกันฉันมิตรจนเกิดความไว้วางใจและเชื่อใจต่อตัวทนายตั้มและภรรยา ผู้เสียหายได้ดูแลการเดินทางไปต่างประเทศพร้อมกับท่องเที่ยวของทนายตั้มและครอบครัวหลายต่อหลายครั้ง . นายษิทรายังเคยพาผู้เสียหายไปเจอกับนักการเมืองระดับประเทศที่ฮ่องกง และ เคยบอกว่า สามารถเอาโควต้าสลากกินแบ่งรัฐบาลมาลงทุนเพื่อแสวงหากำไรได้รวมถึงสัมปทานกับหน่วยงานราชการอื่นๆ โดยนายษิทรากล่าวอ้างว่ารู้จักกับผู้หลักผู้ใหญ่หรือนักการเมืองหลายคน . ต่อมาเมื่อปลายปี 2565 ต่อเนื่องต้นปี 2566 นายษิทรามาบอกกับผู้เสียหายว่าได้รับโควตาสลากกินแบ่งมาจากผู้ใหญ่ที่นับถือให้มาจำหน่ายทางออนไลน์ซึ่งทนายตั้ม อ้างว่า รับปากกับผู้ใหญ่ไว้แล้วสามารถทำได้ทั้งๆ ที่ยังไม่มีเงินลงทุนจึงมาปรึกษาผู้เสียหายว่าหากตัวเขาได้ทำธุรกิจนี้จะทำให้สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้ . นักธุรกิจสาว เห็นว่า การขายสลากออนไลน์เป็นโอกาสจึงซักถามถึงวิธีการและขอทราบรายละเอียดอื่นๆ . ทนายษิทราได้อธิบายว่า หากจะทำจะต้องมี แอปพลิเคชั่น และ รายละเอียดอื่นๆ เช่น โปรแกรม และ ระบบ โดยตัวเองรู้จักผู้เชี่ยวชาญที่พัฒนาเว็บไซต์และระบบโปรแกรม . ผู้เสียหายหลังจากได้ปรึกษาครอบครัวเห็นว่าโครงการดังกล่าวน่าจะเป็นไปได้ ขณะเดียวกันก็ตรงกับความตั้งใจของผู้เสียหายที่จะลงทุนอะไรสักอย่างไว้เอาไว้ให้บุตรชายจึงตอบตกลงจะทำหวยออนไลน์และให้ทนายตั้มไปติดต่อว่าจ้างโปรแกรมเมอร์และให้ทำรายละเอียดเป็นลายลักษณ์อักษรมาซึ่งทนายตั้มตอบตกลง . ต่อมาก็ได้นำสัญญาใบเสนอราคามาให้ผู้เสียหายดู และผู้เสียหายได้ลงนามในสัญญาเรียบร้อย ทนายตั้มก็รับปากว่าจะดำเนินการตามสัญญา . ต่อมาวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 ผู้เสียหายโอนเงินชำระค่าจ้างเขียนแบบโปรแกรมให้กับคู่สัญญาแต่ในวันดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการโอนเงินได้เนื่องจากเป็นเวลาที่ธนาคารปิดทำการแล้วจึงนัดทนายตั้มให้มาดูแลจัดการโอนชำระเงิน แต่นายษิทราก็ไม่ได้บอกกล่าวรายละเอียดกับผู้เสียหายว่าต้องโอนชำระให้คู่สัญญาภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ จึงนัดมาดำเนินการโอนเงินในวันรุ่งขึ้นคือ 16 กุมภาพันธ์ 2566 . ต่อมาในวันดังกล่าวเมื่อทนายตั้มเดินทางมาถึงธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาโลตัส ปากช่อง ได้บอกกับผู้เสียหายให้โอนเงินมาที่ตัวเองก่อนเขาจะนำเงินไปชำระให้คู่สัญญาด้วยตัวเอง พร้อมกับเจรจาตกลงกับคู่สัญญาถึงปัญหาดังกล่าวเอง . โดยทนายตั้มได้เปิดบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาโลตัสปากช่อง ในชื่อนายษิทธา เบี้ยบังเกิด ขึ้นมาเพื่อโอนเงินจากบัญชีของผู้เสียหายไปยังบัญชีของทนายตั้ม เป็นจำนวน 71 ล้านบาทเศษ . หลังจากที่จ่ายเงินค่าจ้างเขียนโปรแกรมไปแล้วผู้เสียหายก็ได้ติดตามความคืบหน้าการซื้อระบบโปรแกรมสลากออนไลน์จากทนายตั้มเรื่อยมา แต่ได้รับคำตอบว่ายังทำไม่แล้วเสร็จ จึงเป็นสาเหตุประการหนึ่งที่ทำให้ในเวลาต่อมาผู้เสียหายได้ยกเลิกสัญญาจ้างบริษัท ษิทรา ลอว์เฟิร์ม เป็นที่ปรึกษา โดยมีหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างที่ปรึกษา ลงวันที่ 25 มกราคม 2567 . จนกระทั่งวันที่ 1 กันยายน 2567 ซึ่งเป็นวันที่ครบกำหนดการส่งมอบงานตามสัญญา ฝ่ายผู้เสียหายยังไม่ได้รับการตอบรับหรือรับมอบระบบโปรแกรมตามสัญญา ดังนั้นในวันที่ 8 กันยายน 2567 ผู้เสียหายจึงมอบอำนาจให้ทนายติดตามทวงเงินจำนวน 71 ล้านบาทคืนจากทนายตั้ม . ทนายตั้มได้รับหนังสือดังกล่าวแต่เมื่อถึงกำหนดเวลาให้คืนเงินตามหนังสือทวงหนี้ทนายตั้มก็ไม่ได้คืนเงินให้กับผู้เสียหายและไม่ได้ติดต่อกลับมา จึงมอบอำนาจให้ทนายเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้ต้องหาอย่างถึงที่สุด . ขณะเดียวกัน เจ้าของผู้พัฒนาระบบหวยออนไลน์ที่มีชื่อเรียกว่า "นาคี" ซึ่งเป็นลูกความว่าจ้างบริษัทษิทราฯ เป็นที่ปรึกษากฎหมาย และ เป็นคู่สัญญากับผู้เสียหายหรือนักธุรกิจสาว ให้การเป็นพยานยืนยันว่า บริษัทตนเองพัฒนาโปรแกรม "นาคี" เพื่อเสนอขายระบบให้ลูกค้าและบุคคลทั่วไป โดยตั้งราคาขายไว้ที่ 20 ล้านบาท ซึ่งราคานี้รวมทั้งอุปกรณ์อื่นๆ เช่น เครื่องสแกนล็อตเตอรี่เข้าระบบตู้เซฟที่เก็บลอตเตอรี่รวมทั้งอุปกรณ์อื่นๆ เมื่อซื้อไปแล้วสามารถใช้งานได้ทันที . แต่ช่วงที่พัฒนาแล้วเสร็จปรากฏว่า บรรดาแพลตฟอร์มหวยออนไลน์ อาทิ มังกรฟ้า สลากพลัส ถูกทางการตรวจสอบ จึงทำให้ไม่กล้าทำการตลาดหรือเปิดตัวแนะนำ จึงนำเรื่องมาปรึกษาทนายตั๊ม ได้รับคำตอบว่า รอให้เรื่องเงียบค่อยทำการตลาดเพื่อเปิดตัวนาคี จากเหตุการณ์นี้ทำให้ทนายตั้มรู้ว่าบริษัทฯ มีระบบโปรแกรมนาคีอยู่ในครอบครอง . ต่อมาเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 ทนายตั้มได้นัดให้บริษัทผู้พัฒนานาคีไปที่ร้านอาหารในห้างสยามพารากอนและทนายตั้มได้บอกว่าหานายทุนที่จะมาซื้อระบบโปรแกรมนาคีได้แล้วจึงให้ไปเตรียมสัญญาจ้างเขียนและพัฒนาโปรแกรมเอาไว้ 2 ชุดโดยทนายตั้มบอกว่า จะทำหน้าที่ติดต่อกับผู้ซื้อด้วยตนเองเพราะต้องลงชื่อและสั่งกำชับไม่ให้ติดต่อกับนายทุนผู้ซื้อโดยตรง . ต่อมาทนายตั้มบอกให้นำสัญญาที่ลงลายมือชื่อเอามามอบให้เขาโดยที่เขาจะส่งมอบสัญญาและให้อีกฝ่ายลงชื่อ แต่หลังจากที่มอบสัญญาให้ทนายตั้ม ทนายคนดังก็ไม่เคยส่งคู่ฉบับสัญญากลับคืนและไม่มีความคืบหน้าใดๆ ของโครงการเกิดขึ้น . จนเมื่อถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งเป็นวันครบกำหนดการชำระเงินค่าจ้างเขียนโปรแกรมตามสัญญา บริษัทก็ไม่ได้รับการชำระเงินจากคู่สัญญาแต่อย่างใด จึงโทรหาทนายตั้มเพื่อแจ้งเรื่องดังกล่าว ซึ่งนายษิทราตอบกลับมาว่า ลูกค้ายกเลิกโครงการแล้วโดยที่ไม่บอกกล่าวให้เจ้าของแพลตฟอร์มนาคีให้ทราบมาก่อน . ดังนั้นวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 จึงพากันเดินทางไปที่สถานีตำรวจภูธรแก่งคอย บันทึกรายงานประจำวันไว้เป็นหลักฐานเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าบริษัทไม่ได้เป็นฝ่ายผิดเงื่อนไขตามสัญญา . ในตอนแรก บริษัทเจ้าของ "นาคี" ไม่ทราบว่านายทุนได้ชำระเงินแล้วต่อมาได้ทราบว่า นักธุรกิจสาวได้จ่ายเงินค่าจ้างตามสัญญาให้กับทนายตั๊ม 71 ล้านบาทแต่นายษิทราไม่ได้นำเงินมาจ่ายให้กับบริษัทผู้พัฒนาโปรแกรมดังกล่าว . เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนที่เรื่องราวนี้จะเปิดเผยขึ้น ในรายการโหนกระแสวันนี้(23 ตุลาคม) ซึ่งได้เชิญนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้มมาเป็นแขกรับเชิญ ช่วงหนึ่ง นายกรรชัย กำเนิดพลอย หรือ หนุ่ม ได้ถามนายษิทรา ถึงที่มาของความร่ำรวยที่หลายคนสงสัยว่า ร่ำรวยมาได้อย่างไร ทั้งๆ ที่รายได้จากค่าทนายไม่ได้มากเป็นทนายสายโจร หรือ ทนายสีเทาหรือไม่?! . นายษิทราได้ตอบว่า แต่ละปีบริษัทของตัวเองมีรายได้ประมาณ 20 ล้านบาท แต่ก็มีรายได้ที่ได้มาโดยเสน่หาจากลูกความที่เป็นมหาเศรษฐีซึ่งอยู่ต่างประเทศว่าจ้างเป็นที่ปรึกษา จากเดือนละ 300,000บาท ต่อมาภายหลังเปลี่ยนเป็นให้ทุน 2 ล้านยูโร หรือ ประมาณ 70 ล้านบาท . คำตอบดังกล่าวถึงกลับทำให้ “หนุ่ม-กรรชัย” แสดงท่าทางตกใจและถามย้ำว่า เป็นไปได้หรือจะมีคนให้เงินทนายตั้มจำนวนมากเช่นนั้นซึ่งทนายคนดังยืนยันว่าได้เงินมาจริง .............. Sondhi X
    Like
    Haha
    Angry
    6
    0 Comments 0 Shares 1970 Views 0 Reviews
More Results