• ภาพรวมของแนวรบทิศทาง Kurakhove

    แนวป้องกันที่แข็งแกร่งของยูเครน เหลืออีกเพียงแห่งเดียว เรียกว่าแนว Andriivka (วงรีสีฟ้า) ซึ่งเป็นแนวป้องกันที่เชื่อมต่อของหมู่บ้านหลายแห่ง และยังเชื่อมต่อไปถึงเขตแดนของภูมิภาค Dnepropetrovsk

    กล่าวกันว่านี่เป็นแนวป้อมปราการที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 2014 ด้วยความช่วยเหลือจากที่ปรึกษา NATO ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภาคป้องกัน การบุกเข้าสู่ Dnepropetrovsk
    ภาพรวมของแนวรบทิศทาง Kurakhove แนวป้องกันที่แข็งแกร่งของยูเครน เหลืออีกเพียงแห่งเดียว เรียกว่าแนว Andriivka (วงรีสีฟ้า) ซึ่งเป็นแนวป้องกันที่เชื่อมต่อของหมู่บ้านหลายแห่ง และยังเชื่อมต่อไปถึงเขตแดนของภูมิภาค Dnepropetrovsk กล่าวกันว่านี่เป็นแนวป้อมปราการที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 2014 ด้วยความช่วยเหลือจากที่ปรึกษา NATO ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภาคป้องกัน การบุกเข้าสู่ Dnepropetrovsk
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • สื่อสหรัสฯThe Diplomat สับรัฐบาลไทยเรื่องเรือชาวประมงไทยที่ถูกพม่ากล่าวหาว่ารุกน่านน้ำจับตัวคนไทยไป ทำให้เห็นถึงความไม่เป็นมืออาชีพและขาดประสิทธิภาพในการสื่อสารของผู้นำที่ทำให้สับสนในช่วงเวลาที่วิกฤติ การแถลงแต่ละครั้งกลับทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบเปรียบเปรียบเปรียบเปรียบเปรียบเปรียบหายและเสียเปรียบ สำหรับเนื้อหาที่ระบุในDiplomatเมื่อ17ธันวาคม2567ระบุว่า “เมื่อเร็วๆ นี้ รัฐบาลไทยขาดตกบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่แม้ว่าคำแถลงของแพทองธารจะสอดคล้องกับพิธีการในระดับสูง แต่ก็เน้นย้ำแสดงถึงความสับสนในการสื่อสารในภาวะวิกฤตของไทย ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากแหล่งข่าวทางการอีกสองแหล่งเปิดเผยข้อมูลที่ไม่แน่นอนและไม่ได้รับการยืนยันต่อสาธารณชน นอกจากนี้ แม้ว่าเรือของไทยจะข้ามเข้าสู่เขตน่านน้ำเมียนมาร์ก็ตาม แต่แหล่งข่าวของรัฐบาลไทยก็ถือว่าไม่เป็นมืออาชีพและไม่มีความรับผิดชอบที่ไปยอมรับเรื่องนี้ ความจริงก็คือเขตแดนทางทะเลระหว่างไทยและเมียนมาร์อยู่ในเขตที่ไม่มีขอบเขตอาณาเขตและไม่ชัดเจน การประกาศอย่างเปิดเผยว่าเรือของไทยอยู่ในเขตน่านน้ำเมียนมาร์ถือเป็นการสร้างบรรทัดฐานอย่างเป็นทางการสำหรับการเจรจาระหว่างสองรัฐผู้เรียกร้องในภายหลัง หาก พื้นที่ใดไม่ได้ถูกกำหนดขอบเขตทางกฎหมายโดยสองรัฐ เจ้าหน้าที่จะต้องไม่ยอมรับอย่างเป็นทางการว่าดินแดนแห่งหนึ่งเป็นของรัฐอื่น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการอ้างสิทธิ์ในดินแดนของรัฐนั้นได้“
    สื่อสหรัสฯThe Diplomat สับรัฐบาลไทยเรื่องเรือชาวประมงไทยที่ถูกพม่ากล่าวหาว่ารุกน่านน้ำจับตัวคนไทยไป ทำให้เห็นถึงความไม่เป็นมืออาชีพและขาดประสิทธิภาพในการสื่อสารของผู้นำที่ทำให้สับสนในช่วงเวลาที่วิกฤติ การแถลงแต่ละครั้งกลับทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบเปรียบเปรียบเปรียบเปรียบเปรียบเปรียบหายและเสียเปรียบ สำหรับเนื้อหาที่ระบุในDiplomatเมื่อ17ธันวาคม2567ระบุว่า “เมื่อเร็วๆ นี้ รัฐบาลไทยขาดตกบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่แม้ว่าคำแถลงของแพทองธารจะสอดคล้องกับพิธีการในระดับสูง แต่ก็เน้นย้ำแสดงถึงความสับสนในการสื่อสารในภาวะวิกฤตของไทย ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากแหล่งข่าวทางการอีกสองแหล่งเปิดเผยข้อมูลที่ไม่แน่นอนและไม่ได้รับการยืนยันต่อสาธารณชน นอกจากนี้ แม้ว่าเรือของไทยจะข้ามเข้าสู่เขตน่านน้ำเมียนมาร์ก็ตาม แต่แหล่งข่าวของรัฐบาลไทยก็ถือว่าไม่เป็นมืออาชีพและไม่มีความรับผิดชอบที่ไปยอมรับเรื่องนี้ ความจริงก็คือเขตแดนทางทะเลระหว่างไทยและเมียนมาร์อยู่ในเขตที่ไม่มีขอบเขตอาณาเขตและไม่ชัดเจน การประกาศอย่างเปิดเผยว่าเรือของไทยอยู่ในเขตน่านน้ำเมียนมาร์ถือเป็นการสร้างบรรทัดฐานอย่างเป็นทางการสำหรับการเจรจาระหว่างสองรัฐผู้เรียกร้องในภายหลัง หาก พื้นที่ใดไม่ได้ถูกกำหนดขอบเขตทางกฎหมายโดยสองรัฐ เจ้าหน้าที่จะต้องไม่ยอมรับอย่างเป็นทางการว่าดินแดนแห่งหนึ่งเป็นของรัฐอื่น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการอ้างสิทธิ์ในดินแดนของรัฐนั้นได้“
    Like
    Sad
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 152 มุมมอง 0 รีวิว
  • เปิดช่องยื่นผู้ตรวจฯ ส่งศาลฉีก MOU2544 ก่อนตัดสินใจลงถนน
    .
    ปมประเด็นปัญหาในเรื่องข้อพิพาทเกี่ยวกับเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาผ่านกรณีMOU 2544 นั้น ถือเป็นประเด็นหนึ่งที่หลายฝ่ายให้ความสนใจ และมีนักวิชาการ รวมไปถึงผู้ทรงคุณวุฒิออกมาให้ความเห็นเป็นอย่างมาก โดยนายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า "MOU 2544 มีความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่? กรณีที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุลและคณะทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ.2567 ขอให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่กรณี MOU 2544 และ JC 2544 ซึ่งมีการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ขัดต่อพระบรมราชโองการฯและฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมาย อันเป็นการสุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียเอกราช อำนาจอธิปไตย สิทธิอธิปไตยและบูรณภาพแห่งทะเลอาณาเขต เขตต่อเนื่องและเขตไหล่ทวีปของราชอาณาจักรไทยนั้น ผมเห็นด้วยกับเหตุผลตามหนังสือดังกล่าวทุกประการ เพราะหากรัฐบาลยังดำเนินการใดๆต่อไปตาม MOU 2544 เท่ากับเป็นการเปลี่ยนสถานภาพในหลักการสำคัญ จากการ “ปฏิเสธ”เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ละเมิดสิทธิและอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย กลายเป็น “การรับรู้” พื้นที่อ้างสิทธิเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ขีดเส้นตามอำเภอใจและไม่เป็นไปตามกฎหมายสากลโดยปริยาย"
    .
    "ดังนั้นการที่รัฐบาลไทย “รับรู้” การลากเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายสากล แม้ว่ารัฐบาลไทยจะอ้างว่ายังคงปฏิเสธการลากเส้นของกัมพูชาดังกล่าว ประเทศไทยก็จะตกอยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยงที่จะถูกตีความได้ว่าราชอาณาจักรไทยได้ “สละสิทธิ” จุดแข็งที่สุดของเราคือการลากเส้นไหล่ทวีปตามกฎหมายสากลเพียงอย่างเดียว และกลายเป็นการยอมรับความไม่ชัดเจนของพื้นที่อาณาเขตทางทะเลว่ามีความเหลื่อมซ้อนกันอยู่ระหว่างสองประเทศ ตลอดทั้งการให้สัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรีไทยในทำนองว่าหากตกลงกันไม่ได้ ก็แบ่งครึ่งกัน จึงอาจเข้าทำนองรอยเดิมกรณีปราสาทพระวิหารที่ฝ่ายไทยต้องพ่ายแพ้ด้วยเหตุผลของ “กฎหมายปิดปาก” นั่นเอง"
    .
    นายธีรภัทร์ ให้ความเห็นอีกว่า ข้อเรียกร้องของคุณสนธิและคณะให้นายกรัฐมนตรีเสนอเรื่องดังกล่าวนี้ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและมีมติให้ส่ง MOU 2544และ JC 2544 ต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่าขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 บทบัญญัติมาตรา 1 และมาตรา 178 เพื่อให้ได้ข้อยุติในข้อสงสัยนี้เสียก่อนนั้น จึงเป็นข้อเรียกร้องที่มีเหตุมีผลที่รัฐบาลควรสนองตอบ และเป็นทางออกที่เป็นไปตามกติกาของบ้านเมือง อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลไม่สนองตอบข้อเรียกร้องของคุณสนธิและคณะ ผมก็ขอเสนอต่อไปว่าคุณสนธิและคณะควรจะเสนอเรื่องดังกล่าวนี้ผ่านผู้ตรวจการแผ่นดินตามมาตรา 231 ของรัฐธรรมนูญฯเพื่อให้ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองแล้วแต่กรณีเพื่อพิจารณาให้ได้ข้อยุติต่อไปได้ หากกระบวนการโดยสันติตามรัฐธรรมนูญฯไม่บังเกิดผลแล้ว จึงค่อยใช้เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฯกันต่อไป
    ..............
    Sondhi X
    เปิดช่องยื่นผู้ตรวจฯ ส่งศาลฉีก MOU2544 ก่อนตัดสินใจลงถนน . ปมประเด็นปัญหาในเรื่องข้อพิพาทเกี่ยวกับเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาผ่านกรณีMOU 2544 นั้น ถือเป็นประเด็นหนึ่งที่หลายฝ่ายให้ความสนใจ และมีนักวิชาการ รวมไปถึงผู้ทรงคุณวุฒิออกมาให้ความเห็นเป็นอย่างมาก โดยนายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า "MOU 2544 มีความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่? กรณีที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุลและคณะทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ.2567 ขอให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่กรณี MOU 2544 และ JC 2544 ซึ่งมีการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ขัดต่อพระบรมราชโองการฯและฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมาย อันเป็นการสุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียเอกราช อำนาจอธิปไตย สิทธิอธิปไตยและบูรณภาพแห่งทะเลอาณาเขต เขตต่อเนื่องและเขตไหล่ทวีปของราชอาณาจักรไทยนั้น ผมเห็นด้วยกับเหตุผลตามหนังสือดังกล่าวทุกประการ เพราะหากรัฐบาลยังดำเนินการใดๆต่อไปตาม MOU 2544 เท่ากับเป็นการเปลี่ยนสถานภาพในหลักการสำคัญ จากการ “ปฏิเสธ”เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ละเมิดสิทธิและอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย กลายเป็น “การรับรู้” พื้นที่อ้างสิทธิเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ขีดเส้นตามอำเภอใจและไม่เป็นไปตามกฎหมายสากลโดยปริยาย" . "ดังนั้นการที่รัฐบาลไทย “รับรู้” การลากเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายสากล แม้ว่ารัฐบาลไทยจะอ้างว่ายังคงปฏิเสธการลากเส้นของกัมพูชาดังกล่าว ประเทศไทยก็จะตกอยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยงที่จะถูกตีความได้ว่าราชอาณาจักรไทยได้ “สละสิทธิ” จุดแข็งที่สุดของเราคือการลากเส้นไหล่ทวีปตามกฎหมายสากลเพียงอย่างเดียว และกลายเป็นการยอมรับความไม่ชัดเจนของพื้นที่อาณาเขตทางทะเลว่ามีความเหลื่อมซ้อนกันอยู่ระหว่างสองประเทศ ตลอดทั้งการให้สัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรีไทยในทำนองว่าหากตกลงกันไม่ได้ ก็แบ่งครึ่งกัน จึงอาจเข้าทำนองรอยเดิมกรณีปราสาทพระวิหารที่ฝ่ายไทยต้องพ่ายแพ้ด้วยเหตุผลของ “กฎหมายปิดปาก” นั่นเอง" . นายธีรภัทร์ ให้ความเห็นอีกว่า ข้อเรียกร้องของคุณสนธิและคณะให้นายกรัฐมนตรีเสนอเรื่องดังกล่าวนี้ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและมีมติให้ส่ง MOU 2544และ JC 2544 ต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่าขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 บทบัญญัติมาตรา 1 และมาตรา 178 เพื่อให้ได้ข้อยุติในข้อสงสัยนี้เสียก่อนนั้น จึงเป็นข้อเรียกร้องที่มีเหตุมีผลที่รัฐบาลควรสนองตอบ และเป็นทางออกที่เป็นไปตามกติกาของบ้านเมือง อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลไม่สนองตอบข้อเรียกร้องของคุณสนธิและคณะ ผมก็ขอเสนอต่อไปว่าคุณสนธิและคณะควรจะเสนอเรื่องดังกล่าวนี้ผ่านผู้ตรวจการแผ่นดินตามมาตรา 231 ของรัฐธรรมนูญฯเพื่อให้ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองแล้วแต่กรณีเพื่อพิจารณาให้ได้ข้อยุติต่อไปได้ หากกระบวนการโดยสันติตามรัฐธรรมนูญฯไม่บังเกิดผลแล้ว จึงค่อยใช้เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฯกันต่อไป .............. Sondhi X
    Like
    7
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 603 มุมมอง 0 รีวิว
  • #Hoist #transfer #ปฎิบัติการร่วม ระหว่าง #เรือที่เล็กที่สุด กับ #อากาศยานใน #กองทัพเรือ ฝึก ฝึก ฝึก พร้อมปกป้องดูแลรักษา #เขตแดน #ทะเล #อธิปไตยไทย #ทรัพยากร ในทะเล #พื้นที่ทางทะเล #แผ่นดินไทย #ชาติไทย #ประเทศไทย เราต้องรักษาไว้ #ยิ่งชีพ #จงรักภักดี #สามัคคีเป็นพลังค้ำจุนแผ่นดินไทย
    https://youtu.be/-vQkB5oILPA
    #Hoist #transfer #ปฎิบัติการร่วม ระหว่าง #เรือที่เล็กที่สุด กับ #อากาศยานใน #กองทัพเรือ ฝึก ฝึก ฝึก พร้อมปกป้องดูแลรักษา #เขตแดน #ทะเล #อธิปไตยไทย #ทรัพยากร ในทะเล #พื้นที่ทางทะเล #แผ่นดินไทย #ชาติไทย #ประเทศไทย เราต้องรักษาไว้ #ยิ่งชีพ #จงรักภักดี #สามัคคีเป็นพลังค้ำจุนแผ่นดินไทย https://youtu.be/-vQkB5oILPA
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 245 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐบาลจัง...ไ.ร แสร้งการ์ดตก หวังเปิดช่องให้เขมรใช้อำนาจศาลโลกยึดเกาะกูด ทั้งที่มันมั่วเส้นเขตแดนทางทะเล แต่ไอ่แม้วไม่ปฏิเสธ จึงเท่ากับรับรู้ จึงอาจซ้ำรอยกรณีปราสาทพระวิหาร
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    รัฐบาลจัง...ไ.ร แสร้งการ์ดตก หวังเปิดช่องให้เขมรใช้อำนาจศาลโลกยึดเกาะกูด ทั้งที่มันมั่วเส้นเขตแดนทางทะเล แต่ไอ่แม้วไม่ปฏิเสธ จึงเท่ากับรับรู้ จึงอาจซ้ำรอยกรณีปราสาทพระวิหาร #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    Angry
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 271 มุมมอง 1 รีวิว
  • ผู้บัญชาการกองทัพอิรัก:

    “สถานการณ์ในซีเรียไร้เสถียรอย่างมาก จากการถูกรุกราน เราจะไม่ยอมให้เขตแดนของเราถูกคุกคาม เราได้เสริมกำลังกองกำลังชายแดนด้วยแนวป้องกันจากกองทัพและจากกองกำลังประชาชน”

    ทางด้านอิหร่านตอบรับทันควัน:
    "เตหะรานจะเข้าแทรกแซงโดยตรงในสนามรบทันที หากอิรักถูกคุกคามโดยกลุ่มก่อการร้าย

    เราได้รับข่าวกรองว่าผู้ก่อการร้ายราว 11,000 คน กำลังแทรกซึมเข้าสู่อิรักภายในไม่กี่เดือนนี้" เอกอัครราชทูตอิหร่านประจำกรุงแบกแดดกล่าว
    ผู้บัญชาการกองทัพอิรัก: “สถานการณ์ในซีเรียไร้เสถียรอย่างมาก จากการถูกรุกราน เราจะไม่ยอมให้เขตแดนของเราถูกคุกคาม เราได้เสริมกำลังกองกำลังชายแดนด้วยแนวป้องกันจากกองทัพและจากกองกำลังประชาชน” ทางด้านอิหร่านตอบรับทันควัน: "เตหะรานจะเข้าแทรกแซงโดยตรงในสนามรบทันที หากอิรักถูกคุกคามโดยกลุ่มก่อการร้าย เราได้รับข่าวกรองว่าผู้ก่อการร้ายราว 11,000 คน กำลังแทรกซึมเข้าสู่อิรักภายในไม่กี่เดือนนี้" เอกอัครราชทูตอิหร่านประจำกรุงแบกแดดกล่าว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 123 มุมมอง 0 รีวิว
  • เฮอร์ซี ฮาเลวี ผู้บัญชาการกำลังอิสราเอล ประกาศส่งกองกำลังเข้าสู่ดินแดนประเทศซีเรีย

    "ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป กองทหารของอิสราเอลจะเข้าสู่ดินแดนซีเรีย และจะประจำการอยู่ที่แนวเขตดินแดนใหม่ของเรา เราจะไม่ยอมให้ศัตรูบุกเข้าเขตแดนของเรา!"

    อิสราเอลเปิดปฏิบัติการบุกดินแดนของประเทศซีเรียเพื่อยึดมาเป็นของตนเอง ตั้งแต่กลุ่มก่อการร้ายที่ร่วมมือกับสหรัฐ ตุรกี และอิสราเอลสามารถโค่นล้มรัฐบาลของอัสซาด และประกาศตั้งตัวแทนปกครองประเทศแทน

    ขณะที่ฮาเลวี ไม่ได้ระบุว่าแนวเขตดินแดนใหม่ที่ยึดมาจากประเทศซีเรียจะหยุดที่ตรงไหน ทำให้การขยายแนวรบกินดินแดนซีเรียดำเนินต่อไปเรื่อยๆ และยังไม่มีชาติประชาธิปไตยหน้าไหนประณามการกระทำของอิสราเอลแม้แต่ชาติเดียว
    เฮอร์ซี ฮาเลวี ผู้บัญชาการกำลังอิสราเอล ประกาศส่งกองกำลังเข้าสู่ดินแดนประเทศซีเรีย "ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป กองทหารของอิสราเอลจะเข้าสู่ดินแดนซีเรีย และจะประจำการอยู่ที่แนวเขตดินแดนใหม่ของเรา เราจะไม่ยอมให้ศัตรูบุกเข้าเขตแดนของเรา!" อิสราเอลเปิดปฏิบัติการบุกดินแดนของประเทศซีเรียเพื่อยึดมาเป็นของตนเอง ตั้งแต่กลุ่มก่อการร้ายที่ร่วมมือกับสหรัฐ ตุรกี และอิสราเอลสามารถโค่นล้มรัฐบาลของอัสซาด และประกาศตั้งตัวแทนปกครองประเทศแทน ขณะที่ฮาเลวี ไม่ได้ระบุว่าแนวเขตดินแดนใหม่ที่ยึดมาจากประเทศซีเรียจะหยุดที่ตรงไหน ทำให้การขยายแนวรบกินดินแดนซีเรียดำเนินต่อไปเรื่อยๆ และยังไม่มีชาติประชาธิปไตยหน้าไหนประณามการกระทำของอิสราเอลแม้แต่ชาติเดียว
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
  • สำนักข่าวกัมพูชาหลายแห่งรายงานว่า นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทชายแดนเกาะกูดกับไทย โดยระบุอย่างชัดเจนว่ารัฐบาลกัมพูชาจะไม่ประนีประนอมบูรณภาพแห่งดินแดนของราชอาณาจักร
    .
    ผู้นำเขมรได้แสดงความคิดเห็นดังกล่าวตั้งแต่ปลายเดือน พ.ย. โดยระบุว่าการเจรจาประเด็นเรื่องชายแดนต้องใช้เวลาและการเตรียมการอย่างรอบคอบ
    .
    “สิ่งนี้คือความรับผิดชอบของเรา และเราจะไม่สูญเสียดินแดนหรืออธิปไตย โปรดไว้ใจเราในเรื่องนี้” ผู้นำกัมพูชา กล่าว
    .
    ฮุน มาเนต กล่าวเสริมว่ารัฐบาลกัมพูชาใช้วิถีทางที่ผ่านการไตร่ตรองอย่างรอบคอบและมีวุฒิภาวะ ไม่ตอบสนองอย่างหุนหันพลันแล่น
    .
    “ปัญหาเกาะกูดต้องได้รับการแก้ไขอย่างมีวุฒิภาวะทางการเมืองและความรับผิดชอบ โดยให้ความสำคัญกับบูรณภาพแห่งดินแดนและอธิปไตยของชาติเป็นอย่างแรก” ฮุน มาเนต กล่าว
    .
    นายกรัฐมนตรีกัมพูชาชี้แจงว่า การเจรจาระหว่างกัมพูชาและไทยยังคงดำเนินต่อไป และยังไม่มีการบรรลุข้อตกลงใดๆ ดังนั้นการอ้างว่าเสียเกาะกูดให้ไทยนั้นไม่มีมูลความจริง และย้ำว่าการตอบสนองอย่างใจเย็นของรัฐบาลนั้นเป็นความตั้งใจ ด้วยมีเป้าหมายที่จะแก้ปัญหาผ่านช่องทางทางการทูต มากกว่าที่จะเพิ่มความตึงเครียด
    .
    “การคิดถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นสิ่งสำคัญ แต่เราต้องเข้าใจว่าเมื่อใดควรดำเนินการและดำเนินการอย่างไร” ฮุน มาเนต ระบุ
    .
    รัฐบาลกัมพูชาดำเนินการแก้ไขปัญหาชายแดนด้วยการใช้กลไกอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่ผ่านแพลตฟอร์มเฟซบุ๊ก หรือกลไกสื่อ ฮุน มาเนต กล่าวเสริม และว่ากลไกการแก้ไขอย่างเป็นทางการคือกลไกที่ตกลงกันโดยรัฐบาลกัมพูชาและไทย คือคณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) และคณะกรรมการเทคนิคร่วม (JTC) ซึ่งคณะกรรมการเหล่านี้ทำหน้าที่เจรจาเรื่องการกำหนดเขตแดนทางบกและกำหนดเขตแดนทางทะเล
    .
    “ขณะนี้ชายแดนกัมพูชา-ไทย บรรลุข้อตกลงเพียงพรมแดนทางบก ที่ครอบคลุมระยะทาง 805 กิโลเมตร และหลักเขต 73 หลัก รัฐบาลของทั้งสองประเทศบรรลุข้อตกลงไปแล้ว 42 หลัก” ฮุน มาเนต กล่าว และว่าประเด็นเรื่องเกาะกูดยังอยู่ระหว่างเจรจา ยังไม่มีข้อตกลงใดๆ ดังนั้น เกาะนี้จึงยังไม่ถูกยกให้ใคร
    .
    เขายอมรับว่ามีความคิดเห็นและคำวิจารณ์มากมายเกี่ยวกับปัญหาเกาะกูดจากไทย แต่เน้นย้ำว่ารัฐบาลจะไม่นำไฟเข้ามาในบ้านของตัวเอง
    .
    ฮุน มาเนต เสริมว่ากัมพูชาและไทยได้เจรจากันมาตั้งแต่ปี 2549 เกี่ยวกับการกำหนดเขตแดน แต่การหารือเกี่ยวกับดินแดนทางบกและทางทะเลยังไม่เสร็จสิ้นและยังคงดำเนินต่อไป
    .
    ขณะเดียวกัน ฮุนเซน ประธานสภาสูงของกัมพูชา ได้วิพากษ์วิจารณ์นักการเมืองฝ่ายค้านในต่างประเทศที่พยายามเปลี่ยนประเด็นเกาะกูดให้กลายเป็นความขัดแย้งชายแดนระหว่างกัมพูชาและไทยผ่านการยุยงปลุกปั่นประชาชน แม้ว่าสองรัฐบาลจะร่วมมือกันแก้ไขปัญหาโดยสันติ
    .
    ทั้งนี้ อดีตผู้นำเขมรยังได้กล่าวย้อนถึงเรื่องการเจรจาร่วมกันกับ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย เรื่องการเจาะน้ำมันที่เกาะกูด แต่ไม่มีความคืบหน้าใดๆ ในแผนนี้ และในปี 2544 ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ แต่ไม่มีการหารืออย่างละเอียดในช่วง 23 ปีที่ผ่านมา
    .
    “รัฐบาลทั้งสองประเทศกำลังเจรจากันอย่างสันติเกี่ยวกับปัญหาเกาะกูด แต่ในไทย กลุ่มหัวรุนแรงเรียกร้องให้รัฐบาลอ้างสิทธิเกาะกูดจากกัมพูชา ขณะที่กลุ่มฝ่ายค้านหัวรุนแรงของกัมพูชาในต่างประเทศเรียกร้องให้ชาวกัมพูชาเข้าร่วมการชุมนุมเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลฟ้องศาลระหว่างประเทศเพื่อเรียกร้องเกาะกูดคืน” ฮุนเซน กล่าว
    .
    ฮุนเซนกล่าวว่า ความพยายามของฝ่ายค้านในต่างประเทศครั้งนี้อาจส่งผลร้ายแรงต่อประเทศ
    .
    “ครั้งแล้วครั้งเล่าที่กลุ่มฝ่ายค้านกดดันประชาชนและขัดขวางไม่ให้พวกเขาอยู่กันอย่างสันติ ด้วยการปลุกระดมให้เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล บางทีอาจถึงเวลาที่ต้องตราพวกเขาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย เพราะพวกเขากำลังยุยงให้เกิดความขัดแย้งด้วยอาวุธระหว่างกัมพูชาและไทย” อดีตผู้นำเขมร กล่าว
    .
    นอกจากนี้ ฮุนเซนยังเรียกร้องให้ชาวกัมพูชาและชาวไทยเชื่อมั่นในรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายในการแก้ไขปัญหาเกาะกูดด้วยสันติวิธี และขอให้กองทัพบกและกองทัพเรือกัมพูชาไม่ระดมกำลังเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าว
    .
    อดีตผู้นำเขมรเตือนว่าบาดแผลจากสงครามที่ปราสาทพระวิหาร ปราสาทตาเมือน และปราสาทตากระบัย และความทุกข์ทรมานของประชาชนกัมพูชาและไทยจากการสูญเสียคนรักหรือได้รับบาดเจ็บจากสงครามเหล่านั้นยังคงไม่สิ้นสุด
    .
    “การยุติข้อพิพาทจะดำเนินต่อไป แต่ด้วยการเจรจา เรายังไม่ได้ใช้ความเป็นไปได้ทั้งหมดของการเจรจาทวิภาคี” ฮุนเซน กล่าว.
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000119176
    ..............
    Sondhi X
    สำนักข่าวกัมพูชาหลายแห่งรายงานว่า นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทชายแดนเกาะกูดกับไทย โดยระบุอย่างชัดเจนว่ารัฐบาลกัมพูชาจะไม่ประนีประนอมบูรณภาพแห่งดินแดนของราชอาณาจักร . ผู้นำเขมรได้แสดงความคิดเห็นดังกล่าวตั้งแต่ปลายเดือน พ.ย. โดยระบุว่าการเจรจาประเด็นเรื่องชายแดนต้องใช้เวลาและการเตรียมการอย่างรอบคอบ . “สิ่งนี้คือความรับผิดชอบของเรา และเราจะไม่สูญเสียดินแดนหรืออธิปไตย โปรดไว้ใจเราในเรื่องนี้” ผู้นำกัมพูชา กล่าว . ฮุน มาเนต กล่าวเสริมว่ารัฐบาลกัมพูชาใช้วิถีทางที่ผ่านการไตร่ตรองอย่างรอบคอบและมีวุฒิภาวะ ไม่ตอบสนองอย่างหุนหันพลันแล่น . “ปัญหาเกาะกูดต้องได้รับการแก้ไขอย่างมีวุฒิภาวะทางการเมืองและความรับผิดชอบ โดยให้ความสำคัญกับบูรณภาพแห่งดินแดนและอธิปไตยของชาติเป็นอย่างแรก” ฮุน มาเนต กล่าว . นายกรัฐมนตรีกัมพูชาชี้แจงว่า การเจรจาระหว่างกัมพูชาและไทยยังคงดำเนินต่อไป และยังไม่มีการบรรลุข้อตกลงใดๆ ดังนั้นการอ้างว่าเสียเกาะกูดให้ไทยนั้นไม่มีมูลความจริง และย้ำว่าการตอบสนองอย่างใจเย็นของรัฐบาลนั้นเป็นความตั้งใจ ด้วยมีเป้าหมายที่จะแก้ปัญหาผ่านช่องทางทางการทูต มากกว่าที่จะเพิ่มความตึงเครียด . “การคิดถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นสิ่งสำคัญ แต่เราต้องเข้าใจว่าเมื่อใดควรดำเนินการและดำเนินการอย่างไร” ฮุน มาเนต ระบุ . รัฐบาลกัมพูชาดำเนินการแก้ไขปัญหาชายแดนด้วยการใช้กลไกอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่ผ่านแพลตฟอร์มเฟซบุ๊ก หรือกลไกสื่อ ฮุน มาเนต กล่าวเสริม และว่ากลไกการแก้ไขอย่างเป็นทางการคือกลไกที่ตกลงกันโดยรัฐบาลกัมพูชาและไทย คือคณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) และคณะกรรมการเทคนิคร่วม (JTC) ซึ่งคณะกรรมการเหล่านี้ทำหน้าที่เจรจาเรื่องการกำหนดเขตแดนทางบกและกำหนดเขตแดนทางทะเล . “ขณะนี้ชายแดนกัมพูชา-ไทย บรรลุข้อตกลงเพียงพรมแดนทางบก ที่ครอบคลุมระยะทาง 805 กิโลเมตร และหลักเขต 73 หลัก รัฐบาลของทั้งสองประเทศบรรลุข้อตกลงไปแล้ว 42 หลัก” ฮุน มาเนต กล่าว และว่าประเด็นเรื่องเกาะกูดยังอยู่ระหว่างเจรจา ยังไม่มีข้อตกลงใดๆ ดังนั้น เกาะนี้จึงยังไม่ถูกยกให้ใคร . เขายอมรับว่ามีความคิดเห็นและคำวิจารณ์มากมายเกี่ยวกับปัญหาเกาะกูดจากไทย แต่เน้นย้ำว่ารัฐบาลจะไม่นำไฟเข้ามาในบ้านของตัวเอง . ฮุน มาเนต เสริมว่ากัมพูชาและไทยได้เจรจากันมาตั้งแต่ปี 2549 เกี่ยวกับการกำหนดเขตแดน แต่การหารือเกี่ยวกับดินแดนทางบกและทางทะเลยังไม่เสร็จสิ้นและยังคงดำเนินต่อไป . ขณะเดียวกัน ฮุนเซน ประธานสภาสูงของกัมพูชา ได้วิพากษ์วิจารณ์นักการเมืองฝ่ายค้านในต่างประเทศที่พยายามเปลี่ยนประเด็นเกาะกูดให้กลายเป็นความขัดแย้งชายแดนระหว่างกัมพูชาและไทยผ่านการยุยงปลุกปั่นประชาชน แม้ว่าสองรัฐบาลจะร่วมมือกันแก้ไขปัญหาโดยสันติ . ทั้งนี้ อดีตผู้นำเขมรยังได้กล่าวย้อนถึงเรื่องการเจรจาร่วมกันกับ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย เรื่องการเจาะน้ำมันที่เกาะกูด แต่ไม่มีความคืบหน้าใดๆ ในแผนนี้ และในปี 2544 ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ แต่ไม่มีการหารืออย่างละเอียดในช่วง 23 ปีที่ผ่านมา . “รัฐบาลทั้งสองประเทศกำลังเจรจากันอย่างสันติเกี่ยวกับปัญหาเกาะกูด แต่ในไทย กลุ่มหัวรุนแรงเรียกร้องให้รัฐบาลอ้างสิทธิเกาะกูดจากกัมพูชา ขณะที่กลุ่มฝ่ายค้านหัวรุนแรงของกัมพูชาในต่างประเทศเรียกร้องให้ชาวกัมพูชาเข้าร่วมการชุมนุมเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลฟ้องศาลระหว่างประเทศเพื่อเรียกร้องเกาะกูดคืน” ฮุนเซน กล่าว . ฮุนเซนกล่าวว่า ความพยายามของฝ่ายค้านในต่างประเทศครั้งนี้อาจส่งผลร้ายแรงต่อประเทศ . “ครั้งแล้วครั้งเล่าที่กลุ่มฝ่ายค้านกดดันประชาชนและขัดขวางไม่ให้พวกเขาอยู่กันอย่างสันติ ด้วยการปลุกระดมให้เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล บางทีอาจถึงเวลาที่ต้องตราพวกเขาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย เพราะพวกเขากำลังยุยงให้เกิดความขัดแย้งด้วยอาวุธระหว่างกัมพูชาและไทย” อดีตผู้นำเขมร กล่าว . นอกจากนี้ ฮุนเซนยังเรียกร้องให้ชาวกัมพูชาและชาวไทยเชื่อมั่นในรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายในการแก้ไขปัญหาเกาะกูดด้วยสันติวิธี และขอให้กองทัพบกและกองทัพเรือกัมพูชาไม่ระดมกำลังเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าว . อดีตผู้นำเขมรเตือนว่าบาดแผลจากสงครามที่ปราสาทพระวิหาร ปราสาทตาเมือน และปราสาทตากระบัย และความทุกข์ทรมานของประชาชนกัมพูชาและไทยจากการสูญเสียคนรักหรือได้รับบาดเจ็บจากสงครามเหล่านั้นยังคงไม่สิ้นสุด . “การยุติข้อพิพาทจะดำเนินต่อไป แต่ด้วยการเจรจา เรายังไม่ได้ใช้ความเป็นไปได้ทั้งหมดของการเจรจาทวิภาคี” ฮุนเซน กล่าว. . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000119176 .............. Sondhi X
    Angry
    Like
    Yay
    Haha
    Sad
    10
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 703 มุมมอง 0 รีวิว
  • #MOU2544 #JC2544 #ขัดรัฐธรรมนูญ #ขัดพระบรมราชโองการ ไม่ทำตาม #กฎหมายสากล #เส้นเขตแดน เราต้องรักษา #อธิปไตยไทย #ทรัพยากร ในทะเล #ของของเรา #ไม่ต้องแบ่งใคร
    https://youtu.be/uygFiIn1nt4
    #MOU2544 #JC2544 #ขัดรัฐธรรมนูญ #ขัดพระบรมราชโองการ ไม่ทำตาม #กฎหมายสากล #เส้นเขตแดน เราต้องรักษา #อธิปไตยไทย #ทรัพยากร ในทะเล #ของของเรา #ไม่ต้องแบ่งใคร https://youtu.be/uygFiIn1nt4
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 251 มุมมอง 0 รีวิว
  • #MOU2544 #JC2544 #ขัดรัฐธรรมนูญ #ขัดพระบรมราชโองการ ไม่ทำตาม #กฎหมายสากล #เส้นเขตแดน เราต้องรักษา #อธิปไตยไทย #ทรัพยากร ในทะเล #ของของเรา #ไม่ต้องแบ่งใคร
    https://youtu.be/wLe_fB_0wbo
    #MOU2544 #JC2544 #ขัดรัฐธรรมนูญ #ขัดพระบรมราชโองการ ไม่ทำตาม #กฎหมายสากล #เส้นเขตแดน เราต้องรักษา #อธิปไตยไทย #ทรัพยากร ในทะเล #ของของเรา #ไม่ต้องแบ่งใคร https://youtu.be/wLe_fB_0wbo
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 239 มุมมอง 0 รีวิว
  • เส้นทางท่องเที่ยว..เชียงใหม่-เชียงราย-แม่ฮ่องสอน
    2024-2025 Chiengmai Tourist Routes

    ฉันกำลังจะเกษียณปลายเดือนมกราคม 2025
    จึงเขียนเส้นทางท่องเที่ยวเชียงใหม่ ไว้ให้เพื่อนๆ
    ที่จะมาเที่ยวเชียงใหม่บ้านของฉัน สนุก-ประทับใจ

    --------------------------
    ทริปไหว้พระ ๙ วัด (ได้ทั้งปี)

    1.วัดศรีดอนมูลครูบาน้อย ลงนะหน้า ทอง. 2.วัดพระธาตุดอยคำ
    3.วัดป่าแดด 4.วัดอุโมงค์. 5.วัดศรีสุพรรณ. 6.วัดพระสิงห์
    7.วัดเจดีย์หลวง. 8.วัดพันเตา** 9.วัดอุปคุต

    แนะนำ วัดโลกโมฬี และ วัดป่าดาราภิรมย์***สวยมาก***
    วัดพันเตา กลางคืนสวย(มาก)เดินถนนคนเดินคืนวันอาทิตย์

    ---------------------------
    ทริปดอยอ่างขาง (กลางเดือน มกราคม สวยที่สุด)

    1.คาเฟ่เฮือนไม้60. 2.แดนเทวดา. 3.วัดบ้านเด่น. 4.สวนสนแม่แตง. 5.ถนนต้นยางประตูสู่เมืองคอง. 6.ถ้ำหลวงเชียงดาว. 7.ฮิโนกิแลนด์ บ้านญี่ปุ่น 8.สวนส้ม. 9.จุดชมวิวม่อนสวนสน. 10.สถานีเกษตรดอยอ่างขาง(ซากุระ) 11.ไร่ชา2000系 12.สวนสตอเบอรี่ บ้านนอแล. 13.ฐานปฏิบัติการ ชายแดนบ้านนอแล

    ----------------------------
    ทริปดอยหลวงเชียงดาว (มกราคม- กลางเดือนกุมภาฯ)

    1.สวนดอกไม้แม่ริม. 2. คาเฟ่เรือนไม้ 6 สวน. 3.แอร์เอเชียไดมอนด์. 4.แดนเทวดา. 5.วัดบ้านเด่น. 6.สวนสนแม่แตง. 7.ประตูสู่เมืองคองถนนต้นยาง. 8.ถ้าหลวงเชียงดาว. 9.ที่พักระเบียงดาวโซนดอยหลวง 10. เมืองคอง

    -----------------------------
    ทริปแม่แตง (มค.-กพ. เทศกาลไม้ดอกเชียงใหม่)

    1.สวนดอกไม้แม่ริม. 2. คาเฟ่เฮือนไม้ 60. 3.คาเฟ่เครื่องบินแอร์เอเชียไดมอนด์. 4..แดนเทวดา 5.วัดบ้านเด่น. 6.สวนสนแม่แตง. 7.ปางช้างแม่แตง. 8.หมู่บ้านกะเหรี่ยงคอยาว. 9.แก่งกิ๊ดล่องแก่งล่องแพ. 10.ไร่ชาลุงเดช

    ----------------------------
    ทริปหมู่บ้านแม่กำปอง (เที่ยวได้ทั้งปี ยกเว้นฤดูฝน)

    1. ศูนย์หัตถกรรมร่มบ่อสร้าง 2. ถ้ำเมืองออน 3.น้ำพุร้อนสันกำแพง 4.ม่อนกุเวรท้าวเวสสุวรรณ. 5. โครงการหลวงบ้านห้วยตีนตก. 6.กาแฟบ้านต้นไม้แม่กำปอง. 7.ถนนคนเดินบ้านแม่กำปอง. 8.วัดแม่กำปองอุโบสถกลางน้ำ 9.กาแฟระเบียงวิวชมหมู่บ้าน. 10.น้ำตกบ้านแม่กำปอง. 11.กาแฟสะพานแขวนเทสดู่ 12.the ธารทอง green coffee cafe สวยๆ. 13. The giant **ทางชันมาก ต้องเหมารถที่แม่กำปองเท่านั้น
    14. กิ่วฝิ่น **ทางชันมาก ต้องเหมารถที่แม่กำปองเท่านั้น.

    -----------------------------
    ทริปอำเภอกัลยาณิวัฒนา(พฤศจิกายน-ธันวาคม)

    1. อุทยานหลวงราชพฤกษ์ 2.วัดต้นเกว๋น 3.คาเฟ่เฮือนหลองเข้าลำ 4.ทุ่งดอกเก๊กฮวย มีเฉพาะ พย-ธค. 5.ป่าสนวัดจันทร์

    ------------------------------
    ทริป อ.ปาย (ช่วงกุมภาพันธ์)

    1. กาแฟแม่มด 2. จุดเช็คอินเขตแดนปายแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่. 3. ห้วยน้ำดัง 4.สะพานประวัติศาสตร์ท่าปาย 5. ไหว้ขอพรพระธาตุแม่เย็น(ค้าง RELAX) 6. กะเหรี่ยงคอยาวห้วยมะเฟือง 7. เช็คอิน ที่ Cafe PAI in Love 8. พระอาทิตย์ตกดิน ที่ ปายแคนย่อน 9. ถนนคนเดินกลางคืน 10. ทะเลหมอกหยุนไหล 11. หมู่บ้านสันติชลบ้านจีนยูนนาน

    ------------------------------
    ทริปเชียงราย
    1. น้ำพุร้อนแม่ขะจาน 2. วัดร่องขุ่น 3. วัดร่องเสือเต้น 4. พิพิธภัณฑ์บ้านดำ 5.ไร่ชาฉุยฟง 6. วัดห้วยปลากั้ง 7.ไร่บุญรอดสิงห์ปาร์ค 8.พระตำหนักดอยตุง 9. วัดพระธาตุดอยตุง 10. จุดชมวิวดอยช้างมูป 11.ดอยผาฮี้ (ที่พัก) 12.วัดพระธาตุดอยเวา-SKYWALK 13. ตลาดแม่สาย 14.สามเหลี่ยมทองคำ 15.ภูชี้ฟ้า 16. อาข่าฟาร์มวิลล์-ฟาร์มแกะ(แม่สรวย)

    ------------------------------
    ทริปแม่ฮ่องสอน-เมืองสามหมอก (กลาง พย-ธค)

    1. บ่อน้ำแร่ห้วยไทรงาม. 2. จุดชมวิวดอยกิ่วลม. 3. ถ้ำน้ำลอดปางมะผ้าหรือ ถ้ำผีแมน. 4. ก๋วยเตี๋ยวห้อยขาบ้านจ่าโบ้(ค้าง 1 คืน). 5. จุดชมวิวบ้านห้วยรุกข้าวหลาม. 6. ถ้ำปลาแม่ฮ่องสอน. 7. พระธาตุดอยกองมู. 8. บ้านรักไทย. 9. ปางอุ๋ง ล่องแพตอนเช้า. 10. สะพานซูตองเป้
    เฉพาะกลางเดือนพฤศจิกายน ดอกบัวตอง ที่ ดอยแม่อูคอ สวยดั่งสวรรค์
    เส้นทางท่องเที่ยว..เชียงใหม่-เชียงราย-แม่ฮ่องสอน 2024-2025 Chiengmai Tourist Routes ฉันกำลังจะเกษียณปลายเดือนมกราคม 2025 จึงเขียนเส้นทางท่องเที่ยวเชียงใหม่ ไว้ให้เพื่อนๆ ที่จะมาเที่ยวเชียงใหม่บ้านของฉัน สนุก-ประทับใจ -------------------------- ทริปไหว้พระ ๙ วัด (ได้ทั้งปี) 1.วัดศรีดอนมูลครูบาน้อย ลงนะหน้า ทอง. 2.วัดพระธาตุดอยคำ 3.วัดป่าแดด 4.วัดอุโมงค์. 5.วัดศรีสุพรรณ. 6.วัดพระสิงห์ 7.วัดเจดีย์หลวง. 8.วัดพันเตา** 9.วัดอุปคุต แนะนำ วัดโลกโมฬี และ วัดป่าดาราภิรมย์***สวยมาก*** วัดพันเตา กลางคืนสวย(มาก)เดินถนนคนเดินคืนวันอาทิตย์ --------------------------- ทริปดอยอ่างขาง (กลางเดือน มกราคม สวยที่สุด) 1.คาเฟ่เฮือนไม้60. 2.แดนเทวดา. 3.วัดบ้านเด่น. 4.สวนสนแม่แตง. 5.ถนนต้นยางประตูสู่เมืองคอง. 6.ถ้ำหลวงเชียงดาว. 7.ฮิโนกิแลนด์ บ้านญี่ปุ่น 8.สวนส้ม. 9.จุดชมวิวม่อนสวนสน. 10.สถานีเกษตรดอยอ่างขาง(ซากุระ) 11.ไร่ชา2000系 12.สวนสตอเบอรี่ บ้านนอแล. 13.ฐานปฏิบัติการ ชายแดนบ้านนอแล ---------------------------- ทริปดอยหลวงเชียงดาว (มกราคม- กลางเดือนกุมภาฯ) 1.สวนดอกไม้แม่ริม. 2. คาเฟ่เรือนไม้ 6 สวน. 3.แอร์เอเชียไดมอนด์. 4.แดนเทวดา. 5.วัดบ้านเด่น. 6.สวนสนแม่แตง. 7.ประตูสู่เมืองคองถนนต้นยาง. 8.ถ้าหลวงเชียงดาว. 9.ที่พักระเบียงดาวโซนดอยหลวง 10. เมืองคอง ----------------------------- ทริปแม่แตง (มค.-กพ. เทศกาลไม้ดอกเชียงใหม่) 1.สวนดอกไม้แม่ริม. 2. คาเฟ่เฮือนไม้ 60. 3.คาเฟ่เครื่องบินแอร์เอเชียไดมอนด์. 4..แดนเทวดา 5.วัดบ้านเด่น. 6.สวนสนแม่แตง. 7.ปางช้างแม่แตง. 8.หมู่บ้านกะเหรี่ยงคอยาว. 9.แก่งกิ๊ดล่องแก่งล่องแพ. 10.ไร่ชาลุงเดช ---------------------------- ทริปหมู่บ้านแม่กำปอง (เที่ยวได้ทั้งปี ยกเว้นฤดูฝน) 1. ศูนย์หัตถกรรมร่มบ่อสร้าง 2. ถ้ำเมืองออน 3.น้ำพุร้อนสันกำแพง 4.ม่อนกุเวรท้าวเวสสุวรรณ. 5. โครงการหลวงบ้านห้วยตีนตก. 6.กาแฟบ้านต้นไม้แม่กำปอง. 7.ถนนคนเดินบ้านแม่กำปอง. 8.วัดแม่กำปองอุโบสถกลางน้ำ 9.กาแฟระเบียงวิวชมหมู่บ้าน. 10.น้ำตกบ้านแม่กำปอง. 11.กาแฟสะพานแขวนเทสดู่ 12.the ธารทอง green coffee cafe สวยๆ. 13. The giant **ทางชันมาก ต้องเหมารถที่แม่กำปองเท่านั้น 14. กิ่วฝิ่น **ทางชันมาก ต้องเหมารถที่แม่กำปองเท่านั้น. ----------------------------- ทริปอำเภอกัลยาณิวัฒนา(พฤศจิกายน-ธันวาคม) 1. อุทยานหลวงราชพฤกษ์ 2.วัดต้นเกว๋น 3.คาเฟ่เฮือนหลองเข้าลำ 4.ทุ่งดอกเก๊กฮวย มีเฉพาะ พย-ธค. 5.ป่าสนวัดจันทร์ ------------------------------ ทริป อ.ปาย (ช่วงกุมภาพันธ์) 1. กาแฟแม่มด 2. จุดเช็คอินเขตแดนปายแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่. 3. ห้วยน้ำดัง 4.สะพานประวัติศาสตร์ท่าปาย 5. ไหว้ขอพรพระธาตุแม่เย็น(ค้าง RELAX) 6. กะเหรี่ยงคอยาวห้วยมะเฟือง 7. เช็คอิน ที่ Cafe PAI in Love 8. พระอาทิตย์ตกดิน ที่ ปายแคนย่อน 9. ถนนคนเดินกลางคืน 10. ทะเลหมอกหยุนไหล 11. หมู่บ้านสันติชลบ้านจีนยูนนาน ------------------------------ ทริปเชียงราย 1. น้ำพุร้อนแม่ขะจาน 2. วัดร่องขุ่น 3. วัดร่องเสือเต้น 4. พิพิธภัณฑ์บ้านดำ 5.ไร่ชาฉุยฟง 6. วัดห้วยปลากั้ง 7.ไร่บุญรอดสิงห์ปาร์ค 8.พระตำหนักดอยตุง 9. วัดพระธาตุดอยตุง 10. จุดชมวิวดอยช้างมูป 11.ดอยผาฮี้ (ที่พัก) 12.วัดพระธาตุดอยเวา-SKYWALK 13. ตลาดแม่สาย 14.สามเหลี่ยมทองคำ 15.ภูชี้ฟ้า 16. อาข่าฟาร์มวิลล์-ฟาร์มแกะ(แม่สรวย) ------------------------------ ทริปแม่ฮ่องสอน-เมืองสามหมอก (กลาง พย-ธค) 1. บ่อน้ำแร่ห้วยไทรงาม. 2. จุดชมวิวดอยกิ่วลม. 3. ถ้ำน้ำลอดปางมะผ้าหรือ ถ้ำผีแมน. 4. ก๋วยเตี๋ยวห้อยขาบ้านจ่าโบ้(ค้าง 1 คืน). 5. จุดชมวิวบ้านห้วยรุกข้าวหลาม. 6. ถ้ำปลาแม่ฮ่องสอน. 7. พระธาตุดอยกองมู. 8. บ้านรักไทย. 9. ปางอุ๋ง ล่องแพตอนเช้า. 10. สะพานซูตองเป้ เฉพาะกลางเดือนพฤศจิกายน ดอกบัวตอง ที่ ดอยแม่อูคอ สวยดั่งสวรรค์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 285 มุมมอง 0 รีวิว
  • สำนักข่าวอาร์ทีนิวส์ สื่อมวลชนรัสเซีย รายงาน สหรัฐฯ กางปีกปกป้องปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลที่รุกรานเข้าสู่ซีเรีย โดยโฆษกกระทรวงการต่างประเทศอเมริกา ถึงขั้นเน้นย้ำว่ามันเป็นปฏิบัติการปกป้องตนเอง และอ้างด้วยว่าการรุกคืบเข้าสู่ที่ราบสูงโกลันนั้น ก็เพื่อสกัดการจู่โจมของพวกนักรบที่มีแหล่งกบดานในซีเรีย
    .
    อาร์ทีนิวส์รายงานว่าระหว่างแถลงข่าวเมื่อวันจันทร์ (9 ธ.ค.) แมตธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ อ้างว่าที่กองกำลังป้องกันตนเองของอิสราเอล (ไอดีเอฟ) รุกคืบเข้าสู่ที่ราบสูงโกลัน ในทางฝั่งของซีเรียนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้พวกนักรบที่มีแหล่งกบดานในซีเรียเข้าควบคุมดินแดนต่างๆ ตามแนวชายแดนและเปิดฉากจู่โจมเข้าใส่อิสราเอลในอนาคต
    .
    คำแก้ต่างของมิลเลอร์ มีขึ้นหลังจากกองกำลังอิสราเอลอาศัยภาวะสุญญากาศทางอำนาจในซีเรีย เคลื่อนพลเข้าสู่เขตกันชนในดินแดนยึดครองที่ราบสูงโกลันเมื่อวันอาทิตย์ (8 ธ.ค.) หลังจากกองกำลังฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซีเรียบุกยึดกรุงดามัสกัสและบีบให้ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด หลบหนีออกนอกประเทศ
    .
    จากนั้นในวันจันทร์ (9 ธ.ค.) กองกำลังอิสราเอลเดินหน้ารุกรานเพิ่มเติมเลยเขตกันชน และเข้าสู่เขตแดนของซีเรีย ในขณะที่ อิสราเอล คาทซ์ รัฐมนตรีกลาโหมของอิสราเอล อ้างว่าพวกเขามีเจตนาเพียงสร้าง "พื้นที่ความมั่นคงใหม่" ที่จะปราศจาก "อาวุธทางยุทธศาสตร์หนักและโครงสร้างพื้นฐานของพวกก่อการร้าย"
    .
    มิลเลอร์ อ้างว่าด้วยที่กองทัพซีเรียละทิ้งฐานที่มั่นในพื้นที่รอบๆ เขตกันชน "จึงมีความเป็นไปได้ว่ามันจะก่อสุญญากาศ ที่อาจเปิดทางให้พวกองค์กรก่อการร้ายต่างๆ ฉวยโอกาสเข้ามาเติมเต็ม"
    .
    "มันจะเป็นภัยคุกคามต่อรัฐอิสราเอลและจะคุกคามพลเรือนภายในอิสราเอล ทุกประเทศมีสิทธิดำเนินการกับองค์กรก่อการร้ายทั้งหลาย" มิลเลอร์เน้นย้ำ พร้อมระบุว่า "ที่สุดแล้ว มันเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องมีความมั่นคงตามแนวชายแดน และกองทัพอิสราเอลสามารถรับประกันได้แล้วในตอนนี้"
    .
    อย่างไรก็ตาม มิลเลอร์ เน้นว่าวอชิงตันคาดหมายว่าการรุกรานของอิสราเอลจะเป็นเพียงชั่วคราว "นี่เป็นปฏิบัติการเพียงชั่วคราวที่ดำเนินการตอบสนองความเคลื่อนไหวของกองทัพซีเรียที่ถอนกำลังออกไปจากพื้นที่"
    .
    "เราต้องการเห็นข้อตกลงถอนทัพปี 1974 ได้รับการยึดถือ และในนั้นรวมถึงเงื่อนไขของเขตกันชน ซึ่งรวมถึงการที่อิสราเอลถอนกำลังกลับไปยังฐานที่มั่นก่อนหน้านี้" เขากล่าวอ้างถึงข้อตกลงระหว่างอิสราเอลกับซีเรียปี 1974 ที่จัดตั้งเขตปลอดทหารในที่ราบสูงโกลัน
    .
    อาร์ทีนิวส์ ระบุว่าคำพูดของ มิลเลอร์ ดูเหมือนจะสวนทางกับคำกล่าวก่อนหน้านี้ของ เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล โดยแม้อิสราเอลจะบอกกับคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ว่าการรุกรานเข้าสู่ซีเรีย เป็น "มาตรการที่จำกัดและเพียงชั่วคราว" แต่ระหว่างการแถลงข่าวในค่ำคืนวันจันทร์ (9 ธ.ค.) เนทันยาฮู ประกาศกร้าวว่า "ที่ราบสูงโกลันจะเป็นส่วนหนึ่งที่ไม่อาจแบ่งแยกได้ของรัฐอิสราเอลไปตลอดกาล"
    .
    ก่อนหน้านี้ เขาอ้างว่าข้อตกลงจัดตั้งเขตปลอดทหารระหว่างอิสราเอลกับซีเรียนั้น เท่ากับ "พังครืนลงแล้ว" เนื่องจากทหารซีเรียละทิ้งฐานที่มั่นของตนเองในเขตกันชน
    .
    สหประชาชาติวิพากษ์วิจารณ์อิสราเอลต่อการรุกรานครั้งนี้ บอกว่ามันละเมิดข้อตกลงถอนกำลัง และเน้นย้ำว่า "ไม่ควรมีกำลังทหารและความเคลื่อนไหวใดในพื้นที่ดินแดนแยกแห่งนี้" นอกจากนี้ บรรดาชาติตะวันออกกลางหลายประเทศ ก็ประณามการรุกคืบเข้าสู่ที่ราบสูงโกลันของอิสราเอลเช่นกัน กล่าวหาอิสราเอลจัดฉากยึดดินแดนอย่างผิดกฎหมาย
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000118737
    ..............
    Sondhi X
    สำนักข่าวอาร์ทีนิวส์ สื่อมวลชนรัสเซีย รายงาน สหรัฐฯ กางปีกปกป้องปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลที่รุกรานเข้าสู่ซีเรีย โดยโฆษกกระทรวงการต่างประเทศอเมริกา ถึงขั้นเน้นย้ำว่ามันเป็นปฏิบัติการปกป้องตนเอง และอ้างด้วยว่าการรุกคืบเข้าสู่ที่ราบสูงโกลันนั้น ก็เพื่อสกัดการจู่โจมของพวกนักรบที่มีแหล่งกบดานในซีเรีย . อาร์ทีนิวส์รายงานว่าระหว่างแถลงข่าวเมื่อวันจันทร์ (9 ธ.ค.) แมตธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ อ้างว่าที่กองกำลังป้องกันตนเองของอิสราเอล (ไอดีเอฟ) รุกคืบเข้าสู่ที่ราบสูงโกลัน ในทางฝั่งของซีเรียนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้พวกนักรบที่มีแหล่งกบดานในซีเรียเข้าควบคุมดินแดนต่างๆ ตามแนวชายแดนและเปิดฉากจู่โจมเข้าใส่อิสราเอลในอนาคต . คำแก้ต่างของมิลเลอร์ มีขึ้นหลังจากกองกำลังอิสราเอลอาศัยภาวะสุญญากาศทางอำนาจในซีเรีย เคลื่อนพลเข้าสู่เขตกันชนในดินแดนยึดครองที่ราบสูงโกลันเมื่อวันอาทิตย์ (8 ธ.ค.) หลังจากกองกำลังฝ่ายต่อต้านรัฐบาลซีเรียบุกยึดกรุงดามัสกัสและบีบให้ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด หลบหนีออกนอกประเทศ . จากนั้นในวันจันทร์ (9 ธ.ค.) กองกำลังอิสราเอลเดินหน้ารุกรานเพิ่มเติมเลยเขตกันชน และเข้าสู่เขตแดนของซีเรีย ในขณะที่ อิสราเอล คาทซ์ รัฐมนตรีกลาโหมของอิสราเอล อ้างว่าพวกเขามีเจตนาเพียงสร้าง "พื้นที่ความมั่นคงใหม่" ที่จะปราศจาก "อาวุธทางยุทธศาสตร์หนักและโครงสร้างพื้นฐานของพวกก่อการร้าย" . มิลเลอร์ อ้างว่าด้วยที่กองทัพซีเรียละทิ้งฐานที่มั่นในพื้นที่รอบๆ เขตกันชน "จึงมีความเป็นไปได้ว่ามันจะก่อสุญญากาศ ที่อาจเปิดทางให้พวกองค์กรก่อการร้ายต่างๆ ฉวยโอกาสเข้ามาเติมเต็ม" . "มันจะเป็นภัยคุกคามต่อรัฐอิสราเอลและจะคุกคามพลเรือนภายในอิสราเอล ทุกประเทศมีสิทธิดำเนินการกับองค์กรก่อการร้ายทั้งหลาย" มิลเลอร์เน้นย้ำ พร้อมระบุว่า "ที่สุดแล้ว มันเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องมีความมั่นคงตามแนวชายแดน และกองทัพอิสราเอลสามารถรับประกันได้แล้วในตอนนี้" . อย่างไรก็ตาม มิลเลอร์ เน้นว่าวอชิงตันคาดหมายว่าการรุกรานของอิสราเอลจะเป็นเพียงชั่วคราว "นี่เป็นปฏิบัติการเพียงชั่วคราวที่ดำเนินการตอบสนองความเคลื่อนไหวของกองทัพซีเรียที่ถอนกำลังออกไปจากพื้นที่" . "เราต้องการเห็นข้อตกลงถอนทัพปี 1974 ได้รับการยึดถือ และในนั้นรวมถึงเงื่อนไขของเขตกันชน ซึ่งรวมถึงการที่อิสราเอลถอนกำลังกลับไปยังฐานที่มั่นก่อนหน้านี้" เขากล่าวอ้างถึงข้อตกลงระหว่างอิสราเอลกับซีเรียปี 1974 ที่จัดตั้งเขตปลอดทหารในที่ราบสูงโกลัน . อาร์ทีนิวส์ ระบุว่าคำพูดของ มิลเลอร์ ดูเหมือนจะสวนทางกับคำกล่าวก่อนหน้านี้ของ เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล โดยแม้อิสราเอลจะบอกกับคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ว่าการรุกรานเข้าสู่ซีเรีย เป็น "มาตรการที่จำกัดและเพียงชั่วคราว" แต่ระหว่างการแถลงข่าวในค่ำคืนวันจันทร์ (9 ธ.ค.) เนทันยาฮู ประกาศกร้าวว่า "ที่ราบสูงโกลันจะเป็นส่วนหนึ่งที่ไม่อาจแบ่งแยกได้ของรัฐอิสราเอลไปตลอดกาล" . ก่อนหน้านี้ เขาอ้างว่าข้อตกลงจัดตั้งเขตปลอดทหารระหว่างอิสราเอลกับซีเรียนั้น เท่ากับ "พังครืนลงแล้ว" เนื่องจากทหารซีเรียละทิ้งฐานที่มั่นของตนเองในเขตกันชน . สหประชาชาติวิพากษ์วิจารณ์อิสราเอลต่อการรุกรานครั้งนี้ บอกว่ามันละเมิดข้อตกลงถอนกำลัง และเน้นย้ำว่า "ไม่ควรมีกำลังทหารและความเคลื่อนไหวใดในพื้นที่ดินแดนแยกแห่งนี้" นอกจากนี้ บรรดาชาติตะวันออกกลางหลายประเทศ ก็ประณามการรุกคืบเข้าสู่ที่ราบสูงโกลันของอิสราเอลเช่นกัน กล่าวหาอิสราเอลจัดฉากยึดดินแดนอย่างผิดกฎหมาย . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000118737 .............. Sondhi X
    Like
    Sad
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 555 มุมมอง 0 รีวิว
  • พระอุโบสถ และยังมีอีกมีหลายความหมาย คือ หมายถึงสถานที่ที่พระสงฆ์ประชุมทำสังฆกรรมตามพระวินัย เรียกตามคำวัดว่า อุโบสถาคาร บ้าง อุโบสถัคคะ บ้าง แต่เรียกโดยทั่วไปว่า โบสถ์การเข้าจำ คือการรักษาศีล ๘ ของอุบาสก อุบาสิกา ในวันขึ้นและแรม ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ เรียกว่า รักษาอุโบสถ และรักษาอุโบสถศีลวันพระหรือวันฟังธรรมของคฤหัสถ์ วันขึ้นและแรม ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ซึ่งเป็นวันที่คฤหัสถ์รักษาอุโบสถกัน เรียกว่า วันอุโบสถวันที่พระสงค์ลงฟังพระปาติโมกข์ทุกกึ่งเดือน เรียกว่าวันอุโบสถการสวดพระปาติโมกข์ทุกกึ่งเดือนหรือทุกวันอุโบสถของพระสงฆ์ เรียกว่า การทำอุโบสถโบสถ์ เป็นคำเรียกสถานที่สำหรับพระสงฆ์ใช้ประชุมกันทำสังฆกรรมตามพระวินัย เช่นสวดพระปาติโมกข์ ให้อุปสมบท มีสีมาเป็นเครื่องบอกเขต คำว่า โบสถ์ เป็นคำที่ใช้เฉพาะในพระพุทธศาสนาโบสถ์ เรียกเต็มคำว่า อุโบสถ หรือ โรงอุโบสถ ถ้าเป็นของพระอารามหลวงเรียกว่า พระอุโบสถ บางถิ่นเรียกว่า สีมา หรือ สิมโบสถ์ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้า เป็นเขตแดนที่พระเจ้าแผ่นดินพระราชทานให้แก่สงฆ์เป็นพิเศษ เรียกว่า วิสุงคามสีมาก่อนที่จะมาเป็นโบสถ์ที่ถูกต้องตามพระวินัยจะต้องมีสังฆกรรมที่เรียกว่า ผูกสีมา หรือ ผูกพัทธสีมาก่อน
    พระอุโบสถ และยังมีอีกมีหลายความหมาย คือ หมายถึงสถานที่ที่พระสงฆ์ประชุมทำสังฆกรรมตามพระวินัย เรียกตามคำวัดว่า อุโบสถาคาร บ้าง อุโบสถัคคะ บ้าง แต่เรียกโดยทั่วไปว่า โบสถ์การเข้าจำ คือการรักษาศีล ๘ ของอุบาสก อุบาสิกา ในวันขึ้นและแรม ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ เรียกว่า รักษาอุโบสถ และรักษาอุโบสถศีลวันพระหรือวันฟังธรรมของคฤหัสถ์ วันขึ้นและแรม ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ซึ่งเป็นวันที่คฤหัสถ์รักษาอุโบสถกัน เรียกว่า วันอุโบสถวันที่พระสงค์ลงฟังพระปาติโมกข์ทุกกึ่งเดือน เรียกว่าวันอุโบสถการสวดพระปาติโมกข์ทุกกึ่งเดือนหรือทุกวันอุโบสถของพระสงฆ์ เรียกว่า การทำอุโบสถโบสถ์ เป็นคำเรียกสถานที่สำหรับพระสงฆ์ใช้ประชุมกันทำสังฆกรรมตามพระวินัย เช่นสวดพระปาติโมกข์ ให้อุปสมบท มีสีมาเป็นเครื่องบอกเขต คำว่า โบสถ์ เป็นคำที่ใช้เฉพาะในพระพุทธศาสนาโบสถ์ เรียกเต็มคำว่า อุโบสถ หรือ โรงอุโบสถ ถ้าเป็นของพระอารามหลวงเรียกว่า พระอุโบสถ บางถิ่นเรียกว่า สีมา หรือ สิมโบสถ์ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้า เป็นเขตแดนที่พระเจ้าแผ่นดินพระราชทานให้แก่สงฆ์เป็นพิเศษ เรียกว่า วิสุงคามสีมาก่อนที่จะมาเป็นโบสถ์ที่ถูกต้องตามพระวินัยจะต้องมีสังฆกรรมที่เรียกว่า ผูกสีมา หรือ ผูกพัทธสีมาก่อน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • 9/12/67

    เปิด 7 ข้อเท็จจริง 6 ข้อเรียกร้อง หนังสือถึงนายกรัฐมนตรีให้หยุดดำเนินการตาม MOU 2544 และ JC 2544 (ฉบับย่อ)

    เนื่องด้วยหนังสือของนายสนธิ ลิ้มทองกุล นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ที่จะยื่นหนังสือถึง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในวันนี้ (9 ธันวาคม 2567) มีความยาวถึง 14 หน้าและยังมีสิ่งที่ส่งมาด้วยอีกจำนวนมาก อันจะทำให้สื่อมวลชนอาจไม่สามารถนำเสนอข่าวตามเนื้อหาทั้งหมดได้ครบถ้วน จึงได้จัดทำสรุปเป็นฉบับย่อลงประมาณครึ่งหนึ่ง เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนดังนี้

    วันนี้ (9 มีนาคม 2567) นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และคณะบุคคลได้ยื่นหนังสือถึงนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้นายกรัฐมนตรีหยุดการปฏิบัติหน้าที่การดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิ์เส้นไหล่ทวีปราชาณาอาณาจักรไทยกับกัมพูชา (MOU 2544) และแถลงการณ์ร่วมระหว่างนายทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทยกับ นายฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา (JC 2544) เพราะมิชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ฝ่าฝืนต่อพระบรมราชโองการในการประกาศทะเลอาณาเขตและเขตทะเลต่อเนื่อง ตลอดจนประกาศเส้นเขตไหล่ทวีป ตามอนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1985 และกฎหมายอื่น รวมทั้งยังไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา และยังไม่มีพระบรมราชโองการประกาศเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น จึงต้องถือว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 1 และมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 ด้วยเหตุผลดังนี้

    ข้อ 1 ประเทศไทยได้ลงนามในหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 และหนังสือสัญญาดังกล่าวระบุว่า “เกาะกูด” เป็นของสยาม

    ข้อ 2 ต่อมาวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2509 ได้มีพระบรมราชโองการประกาศกำหนดความกว้างของทะเลอาณาเขตประเทศไทยมีระยะ ”12 ไมล์ทะเล“ โดยวัดจากเส้นฐานที่ใช้สำหรับวัดความกว้างของทะเลอาณาเขต เป็นการประกาศ “อำนาจอธิปไตย” ออกไปจากอาณาเขตพื้นดินและน่านน้ำภายในจนถึงแนวทะเลประชิดชายฝั่ง ซึ่งเรียกว่า“ทะเลอาณาเขต” รวมตลอดถึงห้วงอากาศเหนือทะเลอาณาเขต พื้นท้องทะเล และแผ่นดินใต้พื้นท้องทะเลของทะเลอาณาเขต ผู้ใดและชาติใดจะละเมิดมิได้

    ข้อ 3 ต่อมาได้มีพระบรมราชโองการประกาศใช้อนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2512 โดยมีผลบังคับใช้สำหรับประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2511 ส่งผลการยืนยันประกาศพื้นที่ของประเทศไทยทั้ง “น่านน้ำภายใน” และ “ทะเลอาณาเขต”ว่าเป็น “อำนาจอธิปไตย” ของประเทศไทยตามอนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958

    อนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 ยังได้กำหนด “เขตต่อเนื่อง” ขยายไปอีก 12 ไมล์ทะเลต่อจากทะเลอาณาเขต สำหรับเป็นพื้นที่ป้องกันการละเมิดข้อบังคับเกี่ยวกับศุลกากร รัษฎากร การเข้าเมือง หรือการอนามัย ภายในอาณาเขตหรือทะเลอาณาเขตของประเทศไทยอีกด้วย

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 ยังกำหนดด้วยว่าหากไม่มีการตกลงกันเป็นอย่างอื่น รัฐทั้งสองอยู่ตรงข้ามหรือประชิดกันให้ใช้ “เส้นมัธยะ” คือ จุดทุกจุดบนเส้นนั้นมีระยะห่างเท่ากันจากจุดที่ใกล้ที่สุดของเส้นฐานซึ่งใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขตของแต่ละรัฐ

    ต่อมาวันที่ 11 มิถุนายน 2513 ได้มีประกาศของสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องเส้นฐานตรงและน่านน้ำภายในของประเทศไทย โดยมีเส้นที่ลากเส้นจาก “หลักเขตที่ 73” ซึ่งตั้งอยู่ที่ บ้านหาดเล็ก ตำบลหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราดไปยังปลายแหลมด้านใต้สุดของ “เกาะกูด” นั้นเป็น “เส้นฐานตรง” โดยพื้นที่เหนือเส้นฐานตรงบริเวณนี้เป็น “น่านน้ำภายใน” ของราชอาณาจักรไทย มีอำนาจอธิปไตยเหมือนแผ่นดินของราชอาณาจักรไทยทุกประการ

    เมื่อ “เกาะกูด”เป็นของประเทศไทยตามหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ดังนั้น พื้นที่รอบเกาะกูด 12 ไมล์ทะเลของราชอาณาจักรไทย และน่านน้ำภายในของราชอาณาจักรไทย จึงเป็นเขตแดนทางทะเลที่อยู่ใน “อำนาจอธิปไตย” ของราชอาณาจักรไทย ผู้ใดและชาติใดจะละเมิดมิได้

    ดังนั้นพื้นที่เหนือของเส้นฐานตรงที่ลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 ถึงปลายแหลมสุดทิศด้านใต้ของเกาะกูดของราชอาณาจักรไทย จึงอยู่ใน“อำนาจอธิปไตย” ของราชอาณาจักรไทย รวมทั้งทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลรอบเส้นฐานของเกาะกูดก็เป็นเขตที่อยู่ใน “อำนาจอธิปไตย” ของราชอาณาจักรไทยเช่นเดียวกัน อันเป็นไปตามอนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 ซึ่งผู้ใดหรือชาติใดจะละเมิดมิได้

    ข้อ 4 ต่อมาได้มีพระบรมราชโองการ ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทย เมื่อวันที่ 18พฤษภาคม 2516 เพื่อประกาศสิทธิอธิปไตยในการสำรวจและแสวงประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทย โดยได้แนบแผนที่ซึ่งลากเส้นเขตไหล่ทวีปจากหลักเขตที่ 73 แบ่งครึ่งมุมระหว่างเกาะกูดของประเทศไทยกับเกาะกงของกัมพูชา เป็น “เส้นมัธยะ” แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น โดยไม่มีพื้นที่อ้างสิทธิอธิปไตยจากประเทศอื่น ไม่มีการแบ่งปันการสำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรในอ่าวไทยให้กับประเทศอื่นใด ซึ่งเป็นไปตามหลัก “เส้นมัธยะ” ของมูลฐานแห่งบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ค.ศ. 1958 พระบรมราชโองการประกาศฉบับนี้ ยังกำหนดเงื่อนไขวิธีการเจรจาตกลงกระหว่างประเทศใกล้เคียงในอนาคตด้วยว่าต้องเป็นไปตามมูลฐานกฎหมายทะเลสากลเท่านั้นไม่ใช่การเจรจาตกลงกันตามอำเภอใจ

    ทั้งนี้ราชอาณาจักรไทยได้ยึดถือและปกป้องอำนาจอธิปไตยน่านน้ำทะเลภายในและทะเลอาณาเขต ตลอดจนรักษาสิทธิอธิปไตยตามเส้นเขตไหล่ทวีปตามพระบรมราชโองการทุกฉบับ โดยได้ยึดถือมูลฐานแห่งบทบัญญัติของอนุสัญญากรุงเจนีวา ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 มาโดยตลอด และต่อมาประเทศไทยได้มีการลงนามและยึดถือมูลฐานตามที่กำหนดในอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 (UNCLOS 1982) ที่ได้ให้สัตยาบันเป็นภาคีอนุสัญญาฯ และมีผลบังคับใช้กับประเทศไทย เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2554 ด้วย

    ข้อ 5 อย่างไรก็ตาม MOU 2544 ได้แนบแผนที่ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ “รับรู้” โดย “ไม่ปฏิเสธ” เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาตามพระราชกฤษฎีกาประกาศเส้นไหล่ทวีปของกัมพูชาเมื่อปี 2515 ก่อให้เกิดการอ้างสิทธิในพื้นที่ไหล่ทวีประหว่างไทยกับกัมพูชาที่มีขนาดใหญ่เกินจริง โดยไม่ยึดหลัก “เส้นมัธยะ” อันเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อประเทศกัมพูชาเกินกว่าหลักมูลฐานตามบทบัญญัติของอนุสัญญากรุงเจนีวา ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958

    การอ้างสิทธิดังกล่าวจึงส่งผลทำให้เป็นการเปลี่ยนแปลง “หลักการ” สำคัญของอำนาจอธิปไตย และสิทธิอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย คือ เกิดการละเมิดอำนาจอธิปไตยของราชอาณาจักรไทยบริเวณพื้นที่ “น่านน้ำภายใน”เหนือเส้นฐานตรงด้านทิศตะวันออกของเกาะกูด และการละเมิดอำนาจอธิปไตยทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลรอบเกาะกูด และไม่ยึดหลักเส้น “มัธยะ” เพียงอย่างเดียวที่ลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 ตามพระบรมราชโองการสมัยรัชกาลที่ 9 แต่กลับไปยึดถือ “เขตแดนแนวทางอื่น” ในการเจรจาตกลงกันเองระหว่างไทยและกัมพูชาในพื้นที่อ้างสิทธิเกินจริงของกัมพูชา รวมพื้นที่ประมาณ 26,000 ตารางกิโลเมตร ที่เอื้อประโยชน์ให้แก่กัมพูชาเป็นหลัก

    ดังนั้นการดำเนินการตาม MOU 2544 ที่ถูกรับรองโดย JC 2544 จึงเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อพระบรมราชโองการ ประกาศกำหนดทะเลอาณาเขต เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2509 และพระบรมราชโองการประกาศเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2516 ซึ่งได้ยึดหลัก “เส้นมัธยะ” แห่งมูลฐานตามบทบัญญัติของอนุสัญญากรุงเจนีวา ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958

    ข้อ 6 นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผู้ซึ่งลงนามใน MOU 2544 ได้เคยเขียนบทความเมื่อเดือนพฤษภาคม 2544 ยอมรับว่า MOU 2544 มีสถานะเป็น “สนธิสัญญา” ในขณะที่ นายประจิตต์ โรจนพฤกษ์ อดีตหัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายไทยที่ประสบความสำเร็จในการเจรจาพื้นที่พัฒนาร่วมระหว่างไทยกับมาเลเซียได้เขียนบทความ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2554 แนะนำว่า ฝ่ายไทยจะต้องรีบบอกเลิก MOU 2544 โดยเร็ว มิฉะนั้นแล้วฝ่ายไทยจะเสียเปรียบหากเป็นคดีขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลระหว่างประเทศว่าด้วยกฎหมายทะเล

    ทั้งนี้การที่ประเทศไทยได้ “รับรู้” และ “ไม่ปฏิเสธ” แผนที่ที่มีการอ้างสิทธิเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาตาม MOU 2544 อาจทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบซ้ำรอยการถูกตัดสินโดย “หลักกฎหมายปิดปาก” ที่ประเทศไทยเคย “รับรู้”และ “ไม่ปฏิเสธ” แผนที่แนบท้ายหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 เป็นเหตุที่ทำให้ประเทศไทยต้องเสียปราสาทพระวิหาร เมื่อปี 2505 ในการตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมาแล้ว

    ข้อ 7 เมื่อพิจารณาตาม MOU 2544 แล้ว จะพบว่าประเทศไทยมีแต่จะเสียประโยชน์แต่เพียงฝ่ายเดียว เพราะไม่ว่าผลการเจรจาจะเป็นประการใด ประเทศไทยก็จะต้องสูญเสียสิทธิอธิปไตยในพื้นที่ในการสำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทยของราชอาณาจักรไทยฝ่ายเดียวให้กลายเป็นพื้นที่พัฒนาร่วมระหว่างไทยและกัมพูชาซึ่งมีพื้นที่อย่างน้อย 16,000 ตารางกิโลเมตรขึ้นไปใต้พื้นที่อ้างสิทธิไหล่ทวีประหว่างไทยกับกัมพูชาใต้ละติจูด 11 องศาเหนือ หรือถึงขั้นสูญเสียอำนาจอธิปไตยทางทะเลไปมากกว่านี้ได้ด้วย

    ผลลัพธ์ดังกล่าวจึงย่อมส่งผลกระทบในทางเสียหายต่อสิทธิอธิปไตยมากกว่าวิธีการเจรจาด้วย “เส้นมัธยะ” ตามมูลฐานที่บัญญัติเอาไว้ภายใต้อนุสัญญากรุงเจนีวา ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 เมื่อ MOU 2544 ซึ่งได้รับรองโดย JC 2544 มีผลทำให้เกิดเป็นการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตหรือเขตอำนาจแห่งรัฐทางทะเลที่ไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภากรณีจึงขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 224 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540 มาตั้งแต่แรกและสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

    นอกจากนั้น MOU 2544 ที่รับรองโดย JC 2544 ยังทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียสิทธิในทรัพยากรธรรมชาติทั้งหมดหรือบางส่วน เมื่อไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาจึงย่อมเป็นการขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 ด้วยเช่นเดียวกัน

    จึงเรียนมาเพื่อขอให้ท่านหยุดการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการดำเนินการตาม MOU 2544 และ JC 2544 โดยทันที และดำเนินการแก้ไขตามข้อเสนอดังต่อไปนี้ ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือฉบับนี้

    1)ให้ท่านและคณะรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาไว้ซึ่งเอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งทะเลอาณาเขต เขตต่อเนื่อง และเขตไหล่ทวีปซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยในการสำรวจและแสวงหาทรัพยากรธรรมชาติในทะเลด้านอ่าวไทย ผลประโยชน์ของชาติและความมั่นคงแห่งรัฐในพื้นที่ทะเลอาณาเขต เขตต่อเนื่องรอบเกาะกูด รวมทั้งเขตไหล่ทวีปตามพระบรมราชโองการที่ประกาศตามมูลฐานแห่งอนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 และอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 (UNCLOS 1982) อันเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ตามบทบัญญัติมาตรา 1 และมาตรา 52 ของหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

    2) ให้ท่านเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณามีมติให้ส่ง MOU 2544 และ JC 2544 ต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่าขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติมาตรา 1 และมาตรา 224 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ตั้งแต่แรก และขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติมาตรา 1 และมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 หรือไม่ รวมทั้งขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติมาตรา 1 และมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ด้วยหรือไม่ อันเป็นการดำเนินการตามมาตรา 178 วรรคห้า ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เพื่อให้ได้ข้อยุติในข้อสงสัยนี้เสียก่อน

    3) หากดำเนินการตาม ๒) แล้ว ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า MOU 2544และ JC 2544 ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ให้ยกเลิกการเจรจาตาม MOU 2544 และ JC 2544 เพื่อปฏิเสธเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาทันที

    4) หากดำเนินการตาม 2) แล้ว ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า MOU 2544 และ JC 2544 ไม่ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ก็ให้คณะรัฐมนตรีจัดให้มีการเจรจากับกัมพูชาเพื่อยกเลิก MOU 2544 และ JC 2544 ทันที โดยให้เจรจากันใหม่ภายใต้การกำหนดขอบเขตเฉพาะพื้นที่พัฒนาร่วมบนพื้นฐานโดยใช้หลักการของ “เส้นมัธยะ” ในการอ้างสิทธิไหล่ทวีปทับซ้อนตามจริงของมูลฐานแห่งบทบัญญัติอนุสัญญากรุงเจนีวา ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 ประกอบกับอนุสัญญาสหประชาชาติด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.1982 แล้วนำผลของการเจรจาเสนอต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบหรือไม่ให้ความเห็นชอบภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้เจรจาเสร็จสิ้น ก่อนนำขึ้นกราบบังคมทูลเกล้าฯ ต่อพระมหากษัตริย์เพื่อทรงมีพระราชวินิจฉัยและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกาศเป็นพระราชโองการ เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติของมาตรา 1 และมาตรา 178 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ต่อไป

    5) ระงับการแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมทางเทคนิค (Joint Technical Committee: JTC) ตาม MOU 2544 และ JC 2544ไว้ก่อน จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยและมีการดำเนินการให้ถูกต้อง

    6) ให้จัดเวทีสาธารณะให้แก่ประชาชนในเรื่อง MOU 2544 และ JC 2544 โดยให้มีความเห็นของผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจ ทั้งที่มีความเห็นต่างและที่มีความเห็นด้วยในเวทีอภิปรายสาธารณะซึ่งมีความเป็นกลางและเป็นธรรม ในสัดส่วนของเวลาที่เท่ากัน เพื่อให้ประชาชนได้มีความรู้และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในเรื่องสำคัญของประเทศไทยต่อไป

    ทั้งนี้ขอให้ท่านเสนอหนังสือฉบับนี้ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา และหากคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาแล้วมีผลเป็นประการใดขอได้โปรดแจ้งข้าพเจ้าได้ทราบ ภายใน 15 วันนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาหนังสือฉบับนี้

    https://www.facebook.com/100044511276276/posts/1110891340404565/?
    9/12/67 เปิด 7 ข้อเท็จจริง 6 ข้อเรียกร้อง หนังสือถึงนายกรัฐมนตรีให้หยุดดำเนินการตาม MOU 2544 และ JC 2544 (ฉบับย่อ) เนื่องด้วยหนังสือของนายสนธิ ลิ้มทองกุล นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ที่จะยื่นหนังสือถึง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในวันนี้ (9 ธันวาคม 2567) มีความยาวถึง 14 หน้าและยังมีสิ่งที่ส่งมาด้วยอีกจำนวนมาก อันจะทำให้สื่อมวลชนอาจไม่สามารถนำเสนอข่าวตามเนื้อหาทั้งหมดได้ครบถ้วน จึงได้จัดทำสรุปเป็นฉบับย่อลงประมาณครึ่งหนึ่ง เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนดังนี้ วันนี้ (9 มีนาคม 2567) นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ และคณะบุคคลได้ยื่นหนังสือถึงนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้นายกรัฐมนตรีหยุดการปฏิบัติหน้าที่การดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิ์เส้นไหล่ทวีปราชาณาอาณาจักรไทยกับกัมพูชา (MOU 2544) และแถลงการณ์ร่วมระหว่างนายทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทยกับ นายฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา (JC 2544) เพราะมิชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ฝ่าฝืนต่อพระบรมราชโองการในการประกาศทะเลอาณาเขตและเขตทะเลต่อเนื่อง ตลอดจนประกาศเส้นเขตไหล่ทวีป ตามอนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1985 และกฎหมายอื่น รวมทั้งยังไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา และยังไม่มีพระบรมราชโองการประกาศเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น จึงต้องถือว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 1 และมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 ด้วยเหตุผลดังนี้ ข้อ 1 ประเทศไทยได้ลงนามในหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 1907 และหนังสือสัญญาดังกล่าวระบุว่า “เกาะกูด” เป็นของสยาม ข้อ 2 ต่อมาวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2509 ได้มีพระบรมราชโองการประกาศกำหนดความกว้างของทะเลอาณาเขตประเทศไทยมีระยะ ”12 ไมล์ทะเล“ โดยวัดจากเส้นฐานที่ใช้สำหรับวัดความกว้างของทะเลอาณาเขต เป็นการประกาศ “อำนาจอธิปไตย” ออกไปจากอาณาเขตพื้นดินและน่านน้ำภายในจนถึงแนวทะเลประชิดชายฝั่ง ซึ่งเรียกว่า“ทะเลอาณาเขต” รวมตลอดถึงห้วงอากาศเหนือทะเลอาณาเขต พื้นท้องทะเล และแผ่นดินใต้พื้นท้องทะเลของทะเลอาณาเขต ผู้ใดและชาติใดจะละเมิดมิได้ ข้อ 3 ต่อมาได้มีพระบรมราชโองการประกาศใช้อนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2512 โดยมีผลบังคับใช้สำหรับประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2511 ส่งผลการยืนยันประกาศพื้นที่ของประเทศไทยทั้ง “น่านน้ำภายใน” และ “ทะเลอาณาเขต”ว่าเป็น “อำนาจอธิปไตย” ของประเทศไทยตามอนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 อนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 ยังได้กำหนด “เขตต่อเนื่อง” ขยายไปอีก 12 ไมล์ทะเลต่อจากทะเลอาณาเขต สำหรับเป็นพื้นที่ป้องกันการละเมิดข้อบังคับเกี่ยวกับศุลกากร รัษฎากร การเข้าเมือง หรือการอนามัย ภายในอาณาเขตหรือทะเลอาณาเขตของประเทศไทยอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 ยังกำหนดด้วยว่าหากไม่มีการตกลงกันเป็นอย่างอื่น รัฐทั้งสองอยู่ตรงข้ามหรือประชิดกันให้ใช้ “เส้นมัธยะ” คือ จุดทุกจุดบนเส้นนั้นมีระยะห่างเท่ากันจากจุดที่ใกล้ที่สุดของเส้นฐานซึ่งใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขตของแต่ละรัฐ ต่อมาวันที่ 11 มิถุนายน 2513 ได้มีประกาศของสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องเส้นฐานตรงและน่านน้ำภายในของประเทศไทย โดยมีเส้นที่ลากเส้นจาก “หลักเขตที่ 73” ซึ่งตั้งอยู่ที่ บ้านหาดเล็ก ตำบลหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราดไปยังปลายแหลมด้านใต้สุดของ “เกาะกูด” นั้นเป็น “เส้นฐานตรง” โดยพื้นที่เหนือเส้นฐานตรงบริเวณนี้เป็น “น่านน้ำภายใน” ของราชอาณาจักรไทย มีอำนาจอธิปไตยเหมือนแผ่นดินของราชอาณาจักรไทยทุกประการ เมื่อ “เกาะกูด”เป็นของประเทศไทยตามหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ดังนั้น พื้นที่รอบเกาะกูด 12 ไมล์ทะเลของราชอาณาจักรไทย และน่านน้ำภายในของราชอาณาจักรไทย จึงเป็นเขตแดนทางทะเลที่อยู่ใน “อำนาจอธิปไตย” ของราชอาณาจักรไทย ผู้ใดและชาติใดจะละเมิดมิได้ ดังนั้นพื้นที่เหนือของเส้นฐานตรงที่ลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 ถึงปลายแหลมสุดทิศด้านใต้ของเกาะกูดของราชอาณาจักรไทย จึงอยู่ใน“อำนาจอธิปไตย” ของราชอาณาจักรไทย รวมทั้งทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลรอบเส้นฐานของเกาะกูดก็เป็นเขตที่อยู่ใน “อำนาจอธิปไตย” ของราชอาณาจักรไทยเช่นเดียวกัน อันเป็นไปตามอนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 ซึ่งผู้ใดหรือชาติใดจะละเมิดมิได้ ข้อ 4 ต่อมาได้มีพระบรมราชโองการ ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทย เมื่อวันที่ 18พฤษภาคม 2516 เพื่อประกาศสิทธิอธิปไตยในการสำรวจและแสวงประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทย โดยได้แนบแผนที่ซึ่งลากเส้นเขตไหล่ทวีปจากหลักเขตที่ 73 แบ่งครึ่งมุมระหว่างเกาะกูดของประเทศไทยกับเกาะกงของกัมพูชา เป็น “เส้นมัธยะ” แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น โดยไม่มีพื้นที่อ้างสิทธิอธิปไตยจากประเทศอื่น ไม่มีการแบ่งปันการสำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรในอ่าวไทยให้กับประเทศอื่นใด ซึ่งเป็นไปตามหลัก “เส้นมัธยะ” ของมูลฐานแห่งบทบัญญัติของอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขตและเขตต่อเนื่อง ค.ศ. 1958 พระบรมราชโองการประกาศฉบับนี้ ยังกำหนดเงื่อนไขวิธีการเจรจาตกลงกระหว่างประเทศใกล้เคียงในอนาคตด้วยว่าต้องเป็นไปตามมูลฐานกฎหมายทะเลสากลเท่านั้นไม่ใช่การเจรจาตกลงกันตามอำเภอใจ ทั้งนี้ราชอาณาจักรไทยได้ยึดถือและปกป้องอำนาจอธิปไตยน่านน้ำทะเลภายในและทะเลอาณาเขต ตลอดจนรักษาสิทธิอธิปไตยตามเส้นเขตไหล่ทวีปตามพระบรมราชโองการทุกฉบับ โดยได้ยึดถือมูลฐานแห่งบทบัญญัติของอนุสัญญากรุงเจนีวา ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 มาโดยตลอด และต่อมาประเทศไทยได้มีการลงนามและยึดถือมูลฐานตามที่กำหนดในอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 (UNCLOS 1982) ที่ได้ให้สัตยาบันเป็นภาคีอนุสัญญาฯ และมีผลบังคับใช้กับประเทศไทย เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2554 ด้วย ข้อ 5 อย่างไรก็ตาม MOU 2544 ได้แนบแผนที่ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ “รับรู้” โดย “ไม่ปฏิเสธ” เส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาตามพระราชกฤษฎีกาประกาศเส้นไหล่ทวีปของกัมพูชาเมื่อปี 2515 ก่อให้เกิดการอ้างสิทธิในพื้นที่ไหล่ทวีประหว่างไทยกับกัมพูชาที่มีขนาดใหญ่เกินจริง โดยไม่ยึดหลัก “เส้นมัธยะ” อันเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อประเทศกัมพูชาเกินกว่าหลักมูลฐานตามบทบัญญัติของอนุสัญญากรุงเจนีวา ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 การอ้างสิทธิดังกล่าวจึงส่งผลทำให้เป็นการเปลี่ยนแปลง “หลักการ” สำคัญของอำนาจอธิปไตย และสิทธิอธิปไตยของราชอาณาจักรไทย คือ เกิดการละเมิดอำนาจอธิปไตยของราชอาณาจักรไทยบริเวณพื้นที่ “น่านน้ำภายใน”เหนือเส้นฐานตรงด้านทิศตะวันออกของเกาะกูด และการละเมิดอำนาจอธิปไตยทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลรอบเกาะกูด และไม่ยึดหลักเส้น “มัธยะ” เพียงอย่างเดียวที่ลากเส้นจากหลักเขตที่ 73 ตามพระบรมราชโองการสมัยรัชกาลที่ 9 แต่กลับไปยึดถือ “เขตแดนแนวทางอื่น” ในการเจรจาตกลงกันเองระหว่างไทยและกัมพูชาในพื้นที่อ้างสิทธิเกินจริงของกัมพูชา รวมพื้นที่ประมาณ 26,000 ตารางกิโลเมตร ที่เอื้อประโยชน์ให้แก่กัมพูชาเป็นหลัก ดังนั้นการดำเนินการตาม MOU 2544 ที่ถูกรับรองโดย JC 2544 จึงเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อพระบรมราชโองการ ประกาศกำหนดทะเลอาณาเขต เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2509 และพระบรมราชโองการประกาศเขตไหล่ทวีปของประเทศไทยด้านอ่าวไทย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2516 ซึ่งได้ยึดหลัก “เส้นมัธยะ” แห่งมูลฐานตามบทบัญญัติของอนุสัญญากรุงเจนีวา ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 ข้อ 6 นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผู้ซึ่งลงนามใน MOU 2544 ได้เคยเขียนบทความเมื่อเดือนพฤษภาคม 2544 ยอมรับว่า MOU 2544 มีสถานะเป็น “สนธิสัญญา” ในขณะที่ นายประจิตต์ โรจนพฤกษ์ อดีตหัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายไทยที่ประสบความสำเร็จในการเจรจาพื้นที่พัฒนาร่วมระหว่างไทยกับมาเลเซียได้เขียนบทความ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2554 แนะนำว่า ฝ่ายไทยจะต้องรีบบอกเลิก MOU 2544 โดยเร็ว มิฉะนั้นแล้วฝ่ายไทยจะเสียเปรียบหากเป็นคดีขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลระหว่างประเทศว่าด้วยกฎหมายทะเล ทั้งนี้การที่ประเทศไทยได้ “รับรู้” และ “ไม่ปฏิเสธ” แผนที่ที่มีการอ้างสิทธิเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาตาม MOU 2544 อาจทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบซ้ำรอยการถูกตัดสินโดย “หลักกฎหมายปิดปาก” ที่ประเทศไทยเคย “รับรู้”และ “ไม่ปฏิเสธ” แผนที่แนบท้ายหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 เป็นเหตุที่ทำให้ประเทศไทยต้องเสียปราสาทพระวิหาร เมื่อปี 2505 ในการตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมาแล้ว ข้อ 7 เมื่อพิจารณาตาม MOU 2544 แล้ว จะพบว่าประเทศไทยมีแต่จะเสียประโยชน์แต่เพียงฝ่ายเดียว เพราะไม่ว่าผลการเจรจาจะเป็นประการใด ประเทศไทยก็จะต้องสูญเสียสิทธิอธิปไตยในพื้นที่ในการสำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทยของราชอาณาจักรไทยฝ่ายเดียวให้กลายเป็นพื้นที่พัฒนาร่วมระหว่างไทยและกัมพูชาซึ่งมีพื้นที่อย่างน้อย 16,000 ตารางกิโลเมตรขึ้นไปใต้พื้นที่อ้างสิทธิไหล่ทวีประหว่างไทยกับกัมพูชาใต้ละติจูด 11 องศาเหนือ หรือถึงขั้นสูญเสียอำนาจอธิปไตยทางทะเลไปมากกว่านี้ได้ด้วย ผลลัพธ์ดังกล่าวจึงย่อมส่งผลกระทบในทางเสียหายต่อสิทธิอธิปไตยมากกว่าวิธีการเจรจาด้วย “เส้นมัธยะ” ตามมูลฐานที่บัญญัติเอาไว้ภายใต้อนุสัญญากรุงเจนีวา ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 เมื่อ MOU 2544 ซึ่งได้รับรองโดย JC 2544 มีผลทำให้เกิดเป็นการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตหรือเขตอำนาจแห่งรัฐทางทะเลที่ไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภากรณีจึงขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 224 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2540 มาตั้งแต่แรกและสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้น MOU 2544 ที่รับรองโดย JC 2544 ยังทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียสิทธิในทรัพยากรธรรมชาติทั้งหมดหรือบางส่วน เมื่อไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาจึงย่อมเป็นการขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 ด้วยเช่นเดียวกัน จึงเรียนมาเพื่อขอให้ท่านหยุดการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการดำเนินการตาม MOU 2544 และ JC 2544 โดยทันที และดำเนินการแก้ไขตามข้อเสนอดังต่อไปนี้ ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือฉบับนี้ 1)ให้ท่านและคณะรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาไว้ซึ่งเอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งทะเลอาณาเขต เขตต่อเนื่อง และเขตไหล่ทวีปซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยในการสำรวจและแสวงหาทรัพยากรธรรมชาติในทะเลด้านอ่าวไทย ผลประโยชน์ของชาติและความมั่นคงแห่งรัฐในพื้นที่ทะเลอาณาเขต เขตต่อเนื่องรอบเกาะกูด รวมทั้งเขตไหล่ทวีปตามพระบรมราชโองการที่ประกาศตามมูลฐานแห่งอนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 และอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 (UNCLOS 1982) อันเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ตามบทบัญญัติมาตรา 1 และมาตรา 52 ของหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 2) ให้ท่านเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณามีมติให้ส่ง MOU 2544 และ JC 2544 ต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยว่าขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติมาตรา 1 และมาตรา 224 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ตั้งแต่แรก และขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติมาตรา 1 และมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 หรือไม่ รวมทั้งขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติมาตรา 1 และมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ด้วยหรือไม่ อันเป็นการดำเนินการตามมาตรา 178 วรรคห้า ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 เพื่อให้ได้ข้อยุติในข้อสงสัยนี้เสียก่อน 3) หากดำเนินการตาม ๒) แล้ว ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า MOU 2544และ JC 2544 ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ให้ยกเลิกการเจรจาตาม MOU 2544 และ JC 2544 เพื่อปฏิเสธเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาทันที 4) หากดำเนินการตาม 2) แล้ว ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า MOU 2544 และ JC 2544 ไม่ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ก็ให้คณะรัฐมนตรีจัดให้มีการเจรจากับกัมพูชาเพื่อยกเลิก MOU 2544 และ JC 2544 ทันที โดยให้เจรจากันใหม่ภายใต้การกำหนดขอบเขตเฉพาะพื้นที่พัฒนาร่วมบนพื้นฐานโดยใช้หลักการของ “เส้นมัธยะ” ในการอ้างสิทธิไหล่ทวีปทับซ้อนตามจริงของมูลฐานแห่งบทบัญญัติอนุสัญญากรุงเจนีวา ว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 ประกอบกับอนุสัญญาสหประชาชาติด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.1982 แล้วนำผลของการเจรจาเสนอต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบหรือไม่ให้ความเห็นชอบภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้เจรจาเสร็จสิ้น ก่อนนำขึ้นกราบบังคมทูลเกล้าฯ ต่อพระมหากษัตริย์เพื่อทรงมีพระราชวินิจฉัยและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกาศเป็นพระราชโองการ เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติของมาตรา 1 และมาตรา 178 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ต่อไป 5) ระงับการแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมทางเทคนิค (Joint Technical Committee: JTC) ตาม MOU 2544 และ JC 2544ไว้ก่อน จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยและมีการดำเนินการให้ถูกต้อง 6) ให้จัดเวทีสาธารณะให้แก่ประชาชนในเรื่อง MOU 2544 และ JC 2544 โดยให้มีความเห็นของผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจ ทั้งที่มีความเห็นต่างและที่มีความเห็นด้วยในเวทีอภิปรายสาธารณะซึ่งมีความเป็นกลางและเป็นธรรม ในสัดส่วนของเวลาที่เท่ากัน เพื่อให้ประชาชนได้มีความรู้และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในเรื่องสำคัญของประเทศไทยต่อไป ทั้งนี้ขอให้ท่านเสนอหนังสือฉบับนี้ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา และหากคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาแล้วมีผลเป็นประการใดขอได้โปรดแจ้งข้าพเจ้าได้ทราบ ภายใน 15 วันนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาหนังสือฉบับนี้ https://www.facebook.com/100044511276276/posts/1110891340404565/?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 419 มุมมอง 0 รีวิว
  • 08-12-67/02 : หมี CNN / คัมภีร์หมี วิชัยยุทธ" EP.45 ชื่อตอนว่า "HIDDEN TRUE TARGET" โป๊ะแตก! หากทฤษฎีนี้เป็นจริง จะตอบโจทย์ได้ทุกข้อ ขออย่าให้เป็นอย่างที่หมีคิดเลย? งัดคัมภีร์หมี วิชัยยุทธ ตอนพิเศษ(สมรภูมิซีเรียใหม่) คิดอยู่นาน เพิ่งจะมาปิ๊งไอเดีย รวมกันเราอยู่ แยกกันอยู่ตายเดี่ยว จะเกิดอะไรขึ้น (หาก)ปูติน แอร์โดกัน อัสซาด สมรู้ร่วมคิด เพื่ออะไรบางอย่าง ตอบโจทย์ทุกความต้องการทุกฝ่ายวินวินได้สำเร็จ หากเป็นจริง กูบอกเลยมันส์แน่? อะไรที่แอร์โดกันฝังใจ นั่นคือเคิร์กกบฎ อะไรที่อัสซาดอยากปลดแอก คือบ่อน้ำมัน และกองกำลังเหี้ยมะกัน รวมชาติซีเรีย อะไรที่ปูตินอยากได้ แผนเชื่อมท่อแก็สรัสเซีย-ซีเรีย-ตะวันออกกลาง เมื่อความต้องการทั้ง 3 เข้ามาผูกเอี่ยวกัน จึงต้องมีการหาข้อสรุป และทำให้พึงพอใจทั้ง 3 ฝ่าย เพื่อเดินหน้าต่อโลกยุคใหม่ กับโครงการเมกะโปรเจคอีกมากที่รออยู่ แต่มันจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีความสงบสุข มั่นคง ถาวร ดอกนี้ จึงต้องใช้บริการ "กองทัพออตโตมานผู้ยิ่งใหญ่" เข้ามากวาดล้างบางอิทธิพล NATO และสหรัฐ ให้สิ้นซาก ทำไมต้องไก่งวง เพราะมันเป็นสมาชิก NATO ไงล่ะ ไม่ใช่รัฐบาลอัสซาด(ซีเรีย) แผนคือ หากอัสซาดยินยอม ยกแผ่นดินบางส่วนให้อีเคริ์กกบฎเอาไปตั้งรัฐอิสระสมหวังดั่งใจในซีเรีย โดยมีข้อกำหนด และเงื่อนไข รวมทั้งถอนถอด ควบคุมกองกำลังให้อยู่ในเฉพาะเขตแดนพิเศษ ซีเรียได้แผ่นดินทั้งหมดคืน เคิร์กได้บ้านอยู่ถาวร ตั้งรัฐเป็นประเทศตามหวัง แถมอีแอร์โดกัน ไม่ต้องปวดหัวเรื่องอีเคิร์กบฎกตลอดกาล เพราะมันจะย้ายจากตุรกี อิรัก เข้ามาอยู่รวมกันที่ซีเรียทั้งหมด หลังประกาศตั้งเป็นรัฐอิสระ(ประเทศ)สำเร็จ ไก่งวงเท่ากับกำจัดศัตรูถาวรไปในตัว โดยแลกกับการส่งกองกำลังเข้าซีเรียเพื่อปลดแอกซีเรียออกจาก NATO และสหรัฐ รวมถึงแหล่งบ่อน้ำมันด้วย ดอกนี้ เท่ากับดึงเคิร์กกบฎย้ายขั้ว เข้ามาซีเรียนั่นเอง เอาไปเลย พื้นที่เฉพาะ หรือไม่ มรึงก็ตายให้หมด ล้างเผ่าพันธุ์เคิร์กกันไปเลย นี่คือหนทางรอดทางเดียว ด้านสหรัฐ หากไม่มีกลุ่มกบฎเคิร์ก ก็อยู่ยาก ทั้งในซีเรีย อิรัก ที่มาว่าทำไม เลบานอน อิหร่าน อิรัก ส่งกองกำลังเข้ามาซีเรีย เพื่อเป้าหมายที่ราบสูงโกลาน ในช่วงเวลาที่กบฎซีเรียรุกรานอยู่ ตอบโจทย์ได้ทันที ซีเรียจะได้ที่ราบสูงโกลานคืน และเยรูซาเล็มจะแตกในไม่ช้า ด้านรัสเซีย จะได้ผลประโยชน์เต็มเหนี่ยว ทั้งในทะเลดำ และในพื้นที่ยุทธศาสตร์หลักในตะวันออกกลาง จับมือตุรกี คุยซีเรีย เพื่อให้ร่วมมือกัน ทะเลาะกันไป ก็ไม่มีใครได้ประโยชน์ ปัญหาที่ขวางทางอยู่คือ "เคิร์ก" นี่คือปมเดียว หากแก้ได้ทุกอย่างจะฉลุยทันที และเหี้ยจะไร้ที่พึง กองกำลังสหรัฐไม่สามารถอยู่ได้ หากไม่มีเจ้าถิ่นคอยแบ็คอัพ เพราะขั้วใหม่ส่งกองกำลังชุดใหญ่เข้าซีเรียแล้วตอนนี้ ไม่ได้จะเข้ามาขับไล่ กองกำลังกบฎซีเรียดอกน่ะ ตอบโจทย์ได้ว่า ทำไมชาวบ้านไม่แตกตื่น ทำไม SAA ถึงต้องย้ายออก เพื่อเปิดทางให้กองกำลังตุรกี เข้ามาปฎิบัติการกวาดล้างบางเหี้ยแทน เพราะเป็นชาติ NATO เหมือนกัน โดยที่ผ่านมา เหี้ยอ้างตลอด ว่ารัฐบาลอัสซาด ไม่เป็นปชต. แต่งวดนี้ อัสซาดแค่ย้ายก้นไปอยู่มอสโคว์ซักพัก รอให้ขยี้เหี้ยให้จบก่อน ค่อยย้ายกลับ คำถามคือ เมื่ออีไกง่วงปฎิบัติสำเร็จแล้วจะคืนพื้นที่ให้อัสซาดหรือไม่ คำตอบคือ ซีเรียเองก็ไม่ได้ปล่อยให้มรึงทำทุกอย่างได้สะดวกโยธินบูรณะทุกอย่างดอกน่ะ ในซีเรีย ยังมีกองกำลังรัสเซียอยู่ ฐานทัพรัสเซียอยู่ ไหนจะอิหร่าน ไหนจะ WAGNER หากมรึงไม่รบกันเอง ดอกนี้ ยิ่งชัด ร่วมกันตี เป้าหมายเดียวกัน ภาพใหญ่ปรากฎทันที! หลังหลายคนสงสัย S-400 ทำไมถึงถูกยึด อย่าเรียกว่ายึดเลย ส่งต่อให้ใช้น่าจะเหมาะกว่า เพราะไก่งวงก็มี S-400 อยู่แล้วน่ะ รู้การใช้งานดี แค่ส่งมอบอาวุธเอาไปใช้ต่อล้างบางเหี้ย ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย เหตุเพราะ ซีเรีย ตุรกี มีปัญหาพิพากกันมายาวนาน เพราะเรื่องกบฎเคิร์ก และเชื่อว่า บ่อน้ำมันซีเรีย ก็อยู่ในสายตาไก่งวงด้วยเช่นกัน ไม่เช่นนั้น 10 ปี ก่อน คงไม่ร่วมมือเหี้ยเข้ามาบุกซีเรีย สร้างไอซิสไปเข่นฆ่าชาวซีเรียดอกน่ะ ดอกนี้ อัสซาดต้องทำใจ อะไรที่ผ่านมาก็ต้องยอมให้ผ่านไป เพื่อเป้าหมายรวมชาติเป็นหนึ่งเดียวให้สำเร็จ รักษาแผ่นดินส่วนใหญ่เอาไว้ ควบคุมเคิร์กให้อยู่ในพื้นที่พิเศษเฉพาะ ดีกว่าปล่อยให้มันถูกศัตรูเอาไปใช้งานเป็นภัยต่อความมั่นคงซีเรียซะเอง ล่าสุด กองทัพไก่งวงในคราบกบฎซีเรีย เปิดคุก ปล่อยนักโทษเดนตายออกมา ทั้งหมดคือ "เหี้ยไอซิสทั้งนั้น" เพื่ออะไร จับอาวุธสู้กับใคร? อย่าลืมเจ้าของไอซิสเก่าก็คือ "ตุรกี" รอดู หากทฤษฎีที่หมีบอกว่า ปูติน แอร์โดกัน อัสซาด สมรู้ร่วมคิดกัน เป้าหมายที่มันต้องทำคือ แย่งบ่อน้ำมันคืนจากเคิร์กกบฎ และขับไล่กองกำลังต่างชาติออกไป ยกเว้นรัสเซีย ดอกนี้ถึงจะพิสูจน์ได้ว่าจริง แต่หากกองทัพไก่งวง ทำอะไรที่หมิ่นเหม่ เปิดทางให้ฐานทัพมะกันขยายได้ หรือเคิร์กกบฎขยายพื้นที่บ่อน้ำมันเพิ่ม ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะตุรกีเกลียดอีเคิร์กเข้าไส้ แปลว่าอีไก่งวงถูกร่างทรงเข้าแทรกแล้ว นั่นคือ แอร์โดกันถูกปลดอำนาจไปแล้ว ผู้กุมอำนาจอีกฝ่ายเป็นคนเดินเกมส์ ถึงเวลานั่น ค่อยมาวิเคราะห์ตามสถานการณ์จริงอีกที เพราะตอนนี้ ฝุ่นตลบ จะคิดอย่างไร ก็ไม่มีทางสว่างโปร่งใสได้แน่ รอควันจางเท่านั้น ตัวละครจะโผล่มาเอง แค่มาบอกแนวทาง แนวคิดอีกอย่าง เพื่อหาคำตอบ ตอบโจทย์ทั้งหมดได้ เพราะดูเหมือนช่องโหว่เยอะเกิน มันง่ายดายมากจนเกินไป เหมือนกับจงใจให้เกิด ให้เป็นไป รัสเซียเท่านั้นที่รู้ ในยามศึกสงคราม "สงครามข่าวสาร" คือสิ่งที่จำเป็น เพื่อเบี่ยงเบนประเด็นเป้าหมายหลัก ใช้กันเยอะ ไม่ว่าสงครามใดในโลก กูไม่ใช่เทวดา กูแค่จับผิด และพยายามมองทะลุหมอกควันหนาเหล่านี้ ให้เห็นร่างจริง ผู้อยู่เบื้องหลังจริงก่อน ถึงจะเดาทางต่อได้แม่นยำ หมากตานี้ อำมะหิตน่ะ ไก่งวงอยู่ดีดี จะบุกซีเรียไม่มีปี่ ไม่มีขลุ่ยได้ยังไง? หากไม่มีใครสั่ง หรือแบ็คอัพ ใครล่ะ ที่ตุรกี ซีเรีย อิหร่าน เกรงใจ? เอาไปคิดเอง?หมี CNN(หมากที่เดินไปแล้ว อย่าคิดว่ากลับตาลปัตรไม่ได้ ทุกหมาก ทุกตา หลอกล่อได้หมด ขั้วใหม่กำลังจะทำอะไร ภายนอกสื่อตี เหี้ยตัดกำลังรัสเซีย แต่หมีกลับมองว่า นี่คือ 1 ในหมากที่ถูกวางให้เดินเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว อยู่ที่ตัวละครถัดไป ใครจะโผล่ แล้วมันจะตอบคำตอบได้เองว่า ทฤษฎีสมคบคิดจริงหรือไม่? เพราะยามศึกเท็จคือจริง จริงคือเท็จ) 08 ธันวาคม 6717.52 น.------------------------------------------------------------------------—เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnnหรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNThttps://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u**เพจหลักของหมี CNN คือ**https://www.minds.com/mheecnn2/เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnnwww.vk.com/id448335733**เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**https://twitter.com/CnnMhee**เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!**https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    08-12-67/02 : หมี CNN / คัมภีร์หมี วิชัยยุทธ" EP.45 ชื่อตอนว่า "HIDDEN TRUE TARGET" โป๊ะแตก! หากทฤษฎีนี้เป็นจริง จะตอบโจทย์ได้ทุกข้อ ขออย่าให้เป็นอย่างที่หมีคิดเลย? งัดคัมภีร์หมี วิชัยยุทธ ตอนพิเศษ(สมรภูมิซีเรียใหม่) คิดอยู่นาน เพิ่งจะมาปิ๊งไอเดีย รวมกันเราอยู่ แยกกันอยู่ตายเดี่ยว จะเกิดอะไรขึ้น (หาก)ปูติน แอร์โดกัน อัสซาด สมรู้ร่วมคิด เพื่ออะไรบางอย่าง ตอบโจทย์ทุกความต้องการทุกฝ่ายวินวินได้สำเร็จ หากเป็นจริง กูบอกเลยมันส์แน่? อะไรที่แอร์โดกันฝังใจ นั่นคือเคิร์กกบฎ อะไรที่อัสซาดอยากปลดแอก คือบ่อน้ำมัน และกองกำลังเหี้ยมะกัน รวมชาติซีเรีย อะไรที่ปูตินอยากได้ แผนเชื่อมท่อแก็สรัสเซีย-ซีเรีย-ตะวันออกกลาง เมื่อความต้องการทั้ง 3 เข้ามาผูกเอี่ยวกัน จึงต้องมีการหาข้อสรุป และทำให้พึงพอใจทั้ง 3 ฝ่าย เพื่อเดินหน้าต่อโลกยุคใหม่ กับโครงการเมกะโปรเจคอีกมากที่รออยู่ แต่มันจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีความสงบสุข มั่นคง ถาวร ดอกนี้ จึงต้องใช้บริการ "กองทัพออตโตมานผู้ยิ่งใหญ่" เข้ามากวาดล้างบางอิทธิพล NATO และสหรัฐ ให้สิ้นซาก ทำไมต้องไก่งวง เพราะมันเป็นสมาชิก NATO ไงล่ะ ไม่ใช่รัฐบาลอัสซาด(ซีเรีย) แผนคือ หากอัสซาดยินยอม ยกแผ่นดินบางส่วนให้อีเคริ์กกบฎเอาไปตั้งรัฐอิสระสมหวังดั่งใจในซีเรีย โดยมีข้อกำหนด และเงื่อนไข รวมทั้งถอนถอด ควบคุมกองกำลังให้อยู่ในเฉพาะเขตแดนพิเศษ ซีเรียได้แผ่นดินทั้งหมดคืน เคิร์กได้บ้านอยู่ถาวร ตั้งรัฐเป็นประเทศตามหวัง แถมอีแอร์โดกัน ไม่ต้องปวดหัวเรื่องอีเคิร์กบฎกตลอดกาล เพราะมันจะย้ายจากตุรกี อิรัก เข้ามาอยู่รวมกันที่ซีเรียทั้งหมด หลังประกาศตั้งเป็นรัฐอิสระ(ประเทศ)สำเร็จ ไก่งวงเท่ากับกำจัดศัตรูถาวรไปในตัว โดยแลกกับการส่งกองกำลังเข้าซีเรียเพื่อปลดแอกซีเรียออกจาก NATO และสหรัฐ รวมถึงแหล่งบ่อน้ำมันด้วย ดอกนี้ เท่ากับดึงเคิร์กกบฎย้ายขั้ว เข้ามาซีเรียนั่นเอง เอาไปเลย พื้นที่เฉพาะ หรือไม่ มรึงก็ตายให้หมด ล้างเผ่าพันธุ์เคิร์กกันไปเลย นี่คือหนทางรอดทางเดียว ด้านสหรัฐ หากไม่มีกลุ่มกบฎเคิร์ก ก็อยู่ยาก ทั้งในซีเรีย อิรัก ที่มาว่าทำไม เลบานอน อิหร่าน อิรัก ส่งกองกำลังเข้ามาซีเรีย เพื่อเป้าหมายที่ราบสูงโกลาน ในช่วงเวลาที่กบฎซีเรียรุกรานอยู่ ตอบโจทย์ได้ทันที ซีเรียจะได้ที่ราบสูงโกลานคืน และเยรูซาเล็มจะแตกในไม่ช้า ด้านรัสเซีย จะได้ผลประโยชน์เต็มเหนี่ยว ทั้งในทะเลดำ และในพื้นที่ยุทธศาสตร์หลักในตะวันออกกลาง จับมือตุรกี คุยซีเรีย เพื่อให้ร่วมมือกัน ทะเลาะกันไป ก็ไม่มีใครได้ประโยชน์ ปัญหาที่ขวางทางอยู่คือ "เคิร์ก" นี่คือปมเดียว หากแก้ได้ทุกอย่างจะฉลุยทันที และเหี้ยจะไร้ที่พึง กองกำลังสหรัฐไม่สามารถอยู่ได้ หากไม่มีเจ้าถิ่นคอยแบ็คอัพ เพราะขั้วใหม่ส่งกองกำลังชุดใหญ่เข้าซีเรียแล้วตอนนี้ ไม่ได้จะเข้ามาขับไล่ กองกำลังกบฎซีเรียดอกน่ะ ตอบโจทย์ได้ว่า ทำไมชาวบ้านไม่แตกตื่น ทำไม SAA ถึงต้องย้ายออก เพื่อเปิดทางให้กองกำลังตุรกี เข้ามาปฎิบัติการกวาดล้างบางเหี้ยแทน เพราะเป็นชาติ NATO เหมือนกัน โดยที่ผ่านมา เหี้ยอ้างตลอด ว่ารัฐบาลอัสซาด ไม่เป็นปชต. แต่งวดนี้ อัสซาดแค่ย้ายก้นไปอยู่มอสโคว์ซักพัก รอให้ขยี้เหี้ยให้จบก่อน ค่อยย้ายกลับ คำถามคือ เมื่ออีไกง่วงปฎิบัติสำเร็จแล้วจะคืนพื้นที่ให้อัสซาดหรือไม่ คำตอบคือ ซีเรียเองก็ไม่ได้ปล่อยให้มรึงทำทุกอย่างได้สะดวกโยธินบูรณะทุกอย่างดอกน่ะ ในซีเรีย ยังมีกองกำลังรัสเซียอยู่ ฐานทัพรัสเซียอยู่ ไหนจะอิหร่าน ไหนจะ WAGNER หากมรึงไม่รบกันเอง ดอกนี้ ยิ่งชัด ร่วมกันตี เป้าหมายเดียวกัน ภาพใหญ่ปรากฎทันที! หลังหลายคนสงสัย S-400 ทำไมถึงถูกยึด อย่าเรียกว่ายึดเลย ส่งต่อให้ใช้น่าจะเหมาะกว่า เพราะไก่งวงก็มี S-400 อยู่แล้วน่ะ รู้การใช้งานดี แค่ส่งมอบอาวุธเอาไปใช้ต่อล้างบางเหี้ย ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย เหตุเพราะ ซีเรีย ตุรกี มีปัญหาพิพากกันมายาวนาน เพราะเรื่องกบฎเคิร์ก และเชื่อว่า บ่อน้ำมันซีเรีย ก็อยู่ในสายตาไก่งวงด้วยเช่นกัน ไม่เช่นนั้น 10 ปี ก่อน คงไม่ร่วมมือเหี้ยเข้ามาบุกซีเรีย สร้างไอซิสไปเข่นฆ่าชาวซีเรียดอกน่ะ ดอกนี้ อัสซาดต้องทำใจ อะไรที่ผ่านมาก็ต้องยอมให้ผ่านไป เพื่อเป้าหมายรวมชาติเป็นหนึ่งเดียวให้สำเร็จ รักษาแผ่นดินส่วนใหญ่เอาไว้ ควบคุมเคิร์กให้อยู่ในพื้นที่พิเศษเฉพาะ ดีกว่าปล่อยให้มันถูกศัตรูเอาไปใช้งานเป็นภัยต่อความมั่นคงซีเรียซะเอง ล่าสุด กองทัพไก่งวงในคราบกบฎซีเรีย เปิดคุก ปล่อยนักโทษเดนตายออกมา ทั้งหมดคือ "เหี้ยไอซิสทั้งนั้น" เพื่ออะไร จับอาวุธสู้กับใคร? อย่าลืมเจ้าของไอซิสเก่าก็คือ "ตุรกี" รอดู หากทฤษฎีที่หมีบอกว่า ปูติน แอร์โดกัน อัสซาด สมรู้ร่วมคิดกัน เป้าหมายที่มันต้องทำคือ แย่งบ่อน้ำมันคืนจากเคิร์กกบฎ และขับไล่กองกำลังต่างชาติออกไป ยกเว้นรัสเซีย ดอกนี้ถึงจะพิสูจน์ได้ว่าจริง แต่หากกองทัพไก่งวง ทำอะไรที่หมิ่นเหม่ เปิดทางให้ฐานทัพมะกันขยายได้ หรือเคิร์กกบฎขยายพื้นที่บ่อน้ำมันเพิ่ม ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะตุรกีเกลียดอีเคิร์กเข้าไส้ แปลว่าอีไก่งวงถูกร่างทรงเข้าแทรกแล้ว นั่นคือ แอร์โดกันถูกปลดอำนาจไปแล้ว ผู้กุมอำนาจอีกฝ่ายเป็นคนเดินเกมส์ ถึงเวลานั่น ค่อยมาวิเคราะห์ตามสถานการณ์จริงอีกที เพราะตอนนี้ ฝุ่นตลบ จะคิดอย่างไร ก็ไม่มีทางสว่างโปร่งใสได้แน่ รอควันจางเท่านั้น ตัวละครจะโผล่มาเอง แค่มาบอกแนวทาง แนวคิดอีกอย่าง เพื่อหาคำตอบ ตอบโจทย์ทั้งหมดได้ เพราะดูเหมือนช่องโหว่เยอะเกิน มันง่ายดายมากจนเกินไป เหมือนกับจงใจให้เกิด ให้เป็นไป รัสเซียเท่านั้นที่รู้ ในยามศึกสงคราม "สงครามข่าวสาร" คือสิ่งที่จำเป็น เพื่อเบี่ยงเบนประเด็นเป้าหมายหลัก ใช้กันเยอะ ไม่ว่าสงครามใดในโลก กูไม่ใช่เทวดา กูแค่จับผิด และพยายามมองทะลุหมอกควันหนาเหล่านี้ ให้เห็นร่างจริง ผู้อยู่เบื้องหลังจริงก่อน ถึงจะเดาทางต่อได้แม่นยำ หมากตานี้ อำมะหิตน่ะ ไก่งวงอยู่ดีดี จะบุกซีเรียไม่มีปี่ ไม่มีขลุ่ยได้ยังไง? หากไม่มีใครสั่ง หรือแบ็คอัพ ใครล่ะ ที่ตุรกี ซีเรีย อิหร่าน เกรงใจ? เอาไปคิดเอง?หมี CNN(หมากที่เดินไปแล้ว อย่าคิดว่ากลับตาลปัตรไม่ได้ ทุกหมาก ทุกตา หลอกล่อได้หมด ขั้วใหม่กำลังจะทำอะไร ภายนอกสื่อตี เหี้ยตัดกำลังรัสเซีย แต่หมีกลับมองว่า นี่คือ 1 ในหมากที่ถูกวางให้เดินเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว อยู่ที่ตัวละครถัดไป ใครจะโผล่ แล้วมันจะตอบคำตอบได้เองว่า ทฤษฎีสมคบคิดจริงหรือไม่? เพราะยามศึกเท็จคือจริง จริงคือเท็จ) 08 ธันวาคม 6717.52 น.------------------------------------------------------------------------—เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnnหรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNThttps://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u**เพจหลักของหมี CNN คือ**https://www.minds.com/mheecnn2/เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnnwww.vk.com/id448335733**เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**https://twitter.com/CnnMhee**เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!**https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 240 มุมมอง 0 รีวิว
  • 08-12-67/02 : หมี CNN / คัมภีร์หมี วิชัยยุทธ" EP.45 ชื่อตอนว่า "HIDDEN TRUE TARGET" โป๊ะแตก! หากทฤษฎีนี้เป็นจริง จะตอบโจทย์ได้ทุกข้อ ขออย่าให้เป็นอย่างที่หมีคิดเลย? งัดคัมภีร์หมี วิชัยยุทธ ตอนพิเศษ(สมรภูมิซีเรียใหม่) คิดอยู่นาน เพิ่งจะมาปิ๊งไอเดีย รวมกันเราอยู่ แยกกันอยู่ตายเดี่ยว จะเกิดอะไรขึ้น (หาก)ปูติน แอร์โดกัน อัสซาด สมรู้ร่วมคิด เพื่ออะไรบางอย่าง ตอบโจทย์ทุกความต้องการทุกฝ่ายวินวินได้สำเร็จ หากเป็นจริง กูบอกเลยมันส์แน่? อะไรที่แอร์โดกันฝังใจ นั่นคือเคิร์กกบฎ อะไรที่อัสซาดอยากปลดแอก คือบ่อน้ำมัน และกองกำลังเหี้ยมะกัน รวมชาติซีเรีย อะไรที่ปูตินอยากได้ แผนเชื่อมท่อแก็สรัสเซีย-ซีเรีย-ตะวันออกกลาง เมื่อความต้องการทั้ง 3 เข้ามาผูกเอี่ยวกัน จึงต้องมีการหาข้อสรุป และทำให้พึงพอใจทั้ง 3 ฝ่าย เพื่อเดินหน้าต่อโลกยุคใหม่ กับโครงการเมกะโปรเจคอีกมากที่รออยู่ แต่มันจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีความสงบสุข มั่นคง ถาวร ดอกนี้ จึงต้องใช้บริการ "กองทัพออตโตมานผู้ยิ่งใหญ่" เข้ามากวาดล้างบางอิทธิพล NATO และสหรัฐ ให้สิ้นซาก ทำไมต้องไก่งวง เพราะมันเป็นสมาชิก NATO ไงล่ะ ไม่ใช่รัฐบาลอัสซาด(ซีเรีย) แผนคือ หากอัสซาดยินยอม ยกแผ่นดินบางส่วนให้อีเคริ์กกบฎเอาไปตั้งรัฐอิสระสมหวังดั่งใจในซีเรีย โดยมีข้อกำหนด และเงื่อนไข รวมทั้งถอนถอด ควบคุมกองกำลังให้อยู่ในเฉพาะเขตแดนพิเศษ ซีเรียได้แผ่นดินทั้งหมดคืน เคิร์กได้บ้านอยู่ถาวร ตั้งรัฐเป็นประเทศตามหวัง แถมอีแอร์โดกัน ไม่ต้องปวดหัวเรื่องอีเคิร์กบฎกตลอดกาล เพราะมันจะย้ายจากตุรกี อิรัก เข้ามาอยู่รวมกันที่ซีเรียทั้งหมด หลังประกาศตั้งเป็นรัฐอิสระ(ประเทศ)สำเร็จ ไก่งวงเท่ากับกำจัดศัตรูถาวรไปในตัว โดยแลกกับการส่งกองกำลังเข้าซีเรียเพื่อปลดแอกซีเรียออกจาก NATO และสหรัฐ รวมถึงแหล่งบ่อน้ำมันด้วย ดอกนี้ เท่ากับดึงเคิร์กกบฎย้ายขั้ว เข้ามาซีเรียนั่นเอง เอาไปเลย พื้นที่เฉพาะ หรือไม่ มรึงก็ตายให้หมด ล้างเผ่าพันธุ์เคิร์กกันไปเลย นี่คือหนทางรอดทางเดียว ด้านสหรัฐ หากไม่มีกลุ่มกบฎเคิร์ก ก็อยู่ยาก ทั้งในซีเรีย อิรัก ที่มาว่าทำไม เลบานอน อิหร่าน อิรัก ส่งกองกำลังเข้ามาซีเรีย เพื่อเป้าหมายที่ราบสูงโกลาน ในช่วงเวลาที่กบฎซีเรียรุกรานอยู่ ตอบโจทย์ได้ทันที ซีเรียจะได้ที่ราบสูงโกลานคืน และเยรูซาเล็มจะแตกในไม่ช้า ด้านรัสเซีย จะได้ผลประโยชน์เต็มเหนี่ยว ทั้งในทะเลดำ และในพื้นที่ยุทธศาสตร์หลักในตะวันออกกลาง จับมือตุรกี คุยซีเรีย เพื่อให้ร่วมมือกัน ทะเลาะกันไป ก็ไม่มีใครได้ประโยชน์ ปัญหาที่ขวางทางอยู่คือ "เคิร์ก" นี่คือปมเดียว หากแก้ได้ทุกอย่างจะฉลุยทันที และเหี้ยจะไร้ที่พึง กองกำลังสหรัฐไม่สามารถอยู่ได้ หากไม่มีเจ้าถิ่นคอยแบ็คอัพ เพราะขั้วใหม่ส่งกองกำลังชุดใหญ่เข้าซีเรียแล้วตอนนี้ ไม่ได้จะเข้ามาขับไล่ กองกำลังกบฎซีเรียดอกน่ะ ตอบโจทย์ได้ว่า ทำไมชาวบ้านไม่แตกตื่น ทำไม SAA ถึงต้องย้ายออก เพื่อเปิดทางให้กองกำลังตุรกี เข้ามาปฎิบัติการกวาดล้างบางเหี้ยแทน เพราะเป็นชาติ NATO เหมือนกัน โดยที่ผ่านมา เหี้ยอ้างตลอด ว่ารัฐบาลอัสซาด ไม่เป็นปชต. แต่งวดนี้ อัสซาดแค่ย้ายก้นไปอยู่มอสโคว์ซักพัก รอให้ขยี้เหี้ยให้จบก่อน ค่อยย้ายกลับ คำถามคือ เมื่ออีไกง่วงปฎิบัติสำเร็จแล้วจะคืนพื้นที่ให้อัสซาดหรือไม่ คำตอบคือ ซีเรียเองก็ไม่ได้ปล่อยให้มรึงทำทุกอย่างได้สะดวกโยธินบูรณะทุกอย่างดอกน่ะ ในซีเรีย ยังมีกองกำลังรัสเซียอยู่ ฐานทัพรัสเซียอยู่ ไหนจะอิหร่าน ไหนจะ WAGNER หากมรึงไม่รบกันเอง ดอกนี้ ยิ่งชัด ร่วมกันตี เป้าหมายเดียวกัน ภาพใหญ่ปรากฎทันที! หลังหลายคนสงสัย S-400 ทำไมถึงถูกยึด อย่าเรียกว่ายึดเลย ส่งต่อให้ใช้น่าจะเหมาะกว่า เพราะไก่งวงก็มี S-400 อยู่แล้วน่ะ รู้การใช้งานดี แค่ส่งมอบอาวุธเอาไปใช้ต่อล้างบางเหี้ย ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย เหตุเพราะ ซีเรีย ตุรกี มีปัญหาพิพากกันมายาวนาน เพราะเรื่องกบฎเคิร์ก และเชื่อว่า บ่อน้ำมันซีเรีย ก็อยู่ในสายตาไก่งวงด้วยเช่นกัน ไม่เช่นนั้น 10 ปี ก่อน คงไม่ร่วมมือเหี้ยเข้ามาบุกซีเรีย สร้างไอซิสไปเข่นฆ่าชาวซีเรียดอกน่ะ ดอกนี้ อัสซาดต้องทำใจ อะไรที่ผ่านมาก็ต้องยอมให้ผ่านไป เพื่อเป้าหมายรวมชาติเป็นหนึ่งเดียวให้สำเร็จ รักษาแผ่นดินส่วนใหญ่เอาไว้ ควบคุมเคิร์กให้อยู่ในพื้นที่พิเศษเฉพาะ ดีกว่าปล่อยให้มันถูกศัตรูเอาไปใช้งานเป็นภัยต่อความมั่นคงซีเรียซะเอง ล่าสุด กองทัพไก่งวงในคราบกบฎซีเรีย เปิดคุก ปล่อยนักโทษเดนตายออกมา ทั้งหมดคือ "เหี้ยไอซิสทั้งนั้น" เพื่ออะไร จับอาวุธสู้กับใคร? อย่าลืมเจ้าของไอซิสเก่าก็คือ "ตุรกี" รอดู หากทฤษฎีที่หมีบอกว่า ปูติน แอร์โดกัน อัสซาด สมรู้ร่วมคิดกัน เป้าหมายที่มันต้องทำคือ แย่งบ่อน้ำมันคืนจากเคิร์กกบฎ และขับไล่กองกำลังต่างชาติออกไป ยกเว้นรัสเซีย ดอกนี้ถึงจะพิสูจน์ได้ว่าจริง แต่หากกองทัพไก่งวง ทำอะไรที่หมิ่นเหม่ เปิดทางให้ฐานทัพมะกันขยายได้ หรือเคิร์กกบฎขยายพื้นที่บ่อน้ำมันเพิ่ม ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะตุรกีเกลียดอีเคิร์กเข้าไส้ แปลว่าอีไก่งวงถูกร่างทรงเข้าแทรกแล้ว นั่นคือ แอร์โดกันถูกปลดอำนาจไปแล้ว ผู้กุมอำนาจอีกฝ่ายเป็นคนเดินเกมส์ ถึงเวลานั่น ค่อยมาวิเคราะห์ตามสถานการณ์จริงอีกที เพราะตอนนี้ ฝุ่นตลบ จะคิดอย่างไร ก็ไม่มีทางสว่างโปร่งใสได้แน่ รอควันจางเท่านั้น ตัวละครจะโผล่มาเอง แค่มาบอกแนวทาง แนวคิดอีกอย่าง เพื่อหาคำตอบ ตอบโจทย์ทั้งหมดได้ เพราะดูเหมือนช่องโหว่เยอะเกิน มันง่ายดายมากจนเกินไป เหมือนกับจงใจให้เกิด ให้เป็นไป รัสเซียเท่านั้นที่รู้ ในยามศึกสงคราม "สงครามข่าวสาร" คือสิ่งที่จำเป็น เพื่อเบี่ยงเบนประเด็นเป้าหมายหลัก ใช้กันเยอะ ไม่ว่าสงครามใดในโลก กูไม่ใช่เทวดา กูแค่จับผิด และพยายามมองทะลุหมอกควันหนาเหล่านี้ ให้เห็นร่างจริง ผู้อยู่เบื้องหลังจริงก่อน ถึงจะเดาทางต่อได้แม่นยำ หมากตานี้ อำมะหิตน่ะ ไก่งวงอยู่ดีดี จะบุกซีเรียไม่มีปี่ ไม่มีขลุ่ยได้ยังไง? หากไม่มีใครสั่ง หรือแบ็คอัพ ใครล่ะ ที่ตุรกี ซีเรีย อิหร่าน เกรงใจ? เอาไปคิดเอง?หมี CNN(หมากที่เดินไปแล้ว อย่าคิดว่ากลับตาลปัตรไม่ได้ ทุกหมาก ทุกตา หลอกล่อได้หมด ขั้วใหม่กำลังจะทำอะไร ภายนอกสื่อตี เหี้ยตัดกำลังรัสเซีย แต่หมีกลับมองว่า นี่คือ 1 ในหมากที่ถูกวางให้เดินเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว อยู่ที่ตัวละครถัดไป ใครจะโผล่ แล้วมันจะตอบคำตอบได้เองว่า ทฤษฎีสมคบคิดจริงหรือไม่? เพราะยามศึกเท็จคือจริง จริงคือเท็จ) 08 ธันวาคม 6717.52 น.------------------------------------------------------------------------—เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnnหรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNThttps://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u**เพจหลักของหมี CNN คือ**https://www.minds.com/mheecnn2/เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnnwww.vk.com/id448335733**เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**https://twitter.com/CnnMhee**เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!**https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    08-12-67/02 : หมี CNN / คัมภีร์หมี วิชัยยุทธ" EP.45 ชื่อตอนว่า "HIDDEN TRUE TARGET" โป๊ะแตก! หากทฤษฎีนี้เป็นจริง จะตอบโจทย์ได้ทุกข้อ ขออย่าให้เป็นอย่างที่หมีคิดเลย? งัดคัมภีร์หมี วิชัยยุทธ ตอนพิเศษ(สมรภูมิซีเรียใหม่) คิดอยู่นาน เพิ่งจะมาปิ๊งไอเดีย รวมกันเราอยู่ แยกกันอยู่ตายเดี่ยว จะเกิดอะไรขึ้น (หาก)ปูติน แอร์โดกัน อัสซาด สมรู้ร่วมคิด เพื่ออะไรบางอย่าง ตอบโจทย์ทุกความต้องการทุกฝ่ายวินวินได้สำเร็จ หากเป็นจริง กูบอกเลยมันส์แน่? อะไรที่แอร์โดกันฝังใจ นั่นคือเคิร์กกบฎ อะไรที่อัสซาดอยากปลดแอก คือบ่อน้ำมัน และกองกำลังเหี้ยมะกัน รวมชาติซีเรีย อะไรที่ปูตินอยากได้ แผนเชื่อมท่อแก็สรัสเซีย-ซีเรีย-ตะวันออกกลาง เมื่อความต้องการทั้ง 3 เข้ามาผูกเอี่ยวกัน จึงต้องมีการหาข้อสรุป และทำให้พึงพอใจทั้ง 3 ฝ่าย เพื่อเดินหน้าต่อโลกยุคใหม่ กับโครงการเมกะโปรเจคอีกมากที่รออยู่ แต่มันจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีความสงบสุข มั่นคง ถาวร ดอกนี้ จึงต้องใช้บริการ "กองทัพออตโตมานผู้ยิ่งใหญ่" เข้ามากวาดล้างบางอิทธิพล NATO และสหรัฐ ให้สิ้นซาก ทำไมต้องไก่งวง เพราะมันเป็นสมาชิก NATO ไงล่ะ ไม่ใช่รัฐบาลอัสซาด(ซีเรีย) แผนคือ หากอัสซาดยินยอม ยกแผ่นดินบางส่วนให้อีเคริ์กกบฎเอาไปตั้งรัฐอิสระสมหวังดั่งใจในซีเรีย โดยมีข้อกำหนด และเงื่อนไข รวมทั้งถอนถอด ควบคุมกองกำลังให้อยู่ในเฉพาะเขตแดนพิเศษ ซีเรียได้แผ่นดินทั้งหมดคืน เคิร์กได้บ้านอยู่ถาวร ตั้งรัฐเป็นประเทศตามหวัง แถมอีแอร์โดกัน ไม่ต้องปวดหัวเรื่องอีเคิร์กบฎกตลอดกาล เพราะมันจะย้ายจากตุรกี อิรัก เข้ามาอยู่รวมกันที่ซีเรียทั้งหมด หลังประกาศตั้งเป็นรัฐอิสระ(ประเทศ)สำเร็จ ไก่งวงเท่ากับกำจัดศัตรูถาวรไปในตัว โดยแลกกับการส่งกองกำลังเข้าซีเรียเพื่อปลดแอกซีเรียออกจาก NATO และสหรัฐ รวมถึงแหล่งบ่อน้ำมันด้วย ดอกนี้ เท่ากับดึงเคิร์กกบฎย้ายขั้ว เข้ามาซีเรียนั่นเอง เอาไปเลย พื้นที่เฉพาะ หรือไม่ มรึงก็ตายให้หมด ล้างเผ่าพันธุ์เคิร์กกันไปเลย นี่คือหนทางรอดทางเดียว ด้านสหรัฐ หากไม่มีกลุ่มกบฎเคิร์ก ก็อยู่ยาก ทั้งในซีเรีย อิรัก ที่มาว่าทำไม เลบานอน อิหร่าน อิรัก ส่งกองกำลังเข้ามาซีเรีย เพื่อเป้าหมายที่ราบสูงโกลาน ในช่วงเวลาที่กบฎซีเรียรุกรานอยู่ ตอบโจทย์ได้ทันที ซีเรียจะได้ที่ราบสูงโกลานคืน และเยรูซาเล็มจะแตกในไม่ช้า ด้านรัสเซีย จะได้ผลประโยชน์เต็มเหนี่ยว ทั้งในทะเลดำ และในพื้นที่ยุทธศาสตร์หลักในตะวันออกกลาง จับมือตุรกี คุยซีเรีย เพื่อให้ร่วมมือกัน ทะเลาะกันไป ก็ไม่มีใครได้ประโยชน์ ปัญหาที่ขวางทางอยู่คือ "เคิร์ก" นี่คือปมเดียว หากแก้ได้ทุกอย่างจะฉลุยทันที และเหี้ยจะไร้ที่พึง กองกำลังสหรัฐไม่สามารถอยู่ได้ หากไม่มีเจ้าถิ่นคอยแบ็คอัพ เพราะขั้วใหม่ส่งกองกำลังชุดใหญ่เข้าซีเรียแล้วตอนนี้ ไม่ได้จะเข้ามาขับไล่ กองกำลังกบฎซีเรียดอกน่ะ ตอบโจทย์ได้ว่า ทำไมชาวบ้านไม่แตกตื่น ทำไม SAA ถึงต้องย้ายออก เพื่อเปิดทางให้กองกำลังตุรกี เข้ามาปฎิบัติการกวาดล้างบางเหี้ยแทน เพราะเป็นชาติ NATO เหมือนกัน โดยที่ผ่านมา เหี้ยอ้างตลอด ว่ารัฐบาลอัสซาด ไม่เป็นปชต. แต่งวดนี้ อัสซาดแค่ย้ายก้นไปอยู่มอสโคว์ซักพัก รอให้ขยี้เหี้ยให้จบก่อน ค่อยย้ายกลับ คำถามคือ เมื่ออีไกง่วงปฎิบัติสำเร็จแล้วจะคืนพื้นที่ให้อัสซาดหรือไม่ คำตอบคือ ซีเรียเองก็ไม่ได้ปล่อยให้มรึงทำทุกอย่างได้สะดวกโยธินบูรณะทุกอย่างดอกน่ะ ในซีเรีย ยังมีกองกำลังรัสเซียอยู่ ฐานทัพรัสเซียอยู่ ไหนจะอิหร่าน ไหนจะ WAGNER หากมรึงไม่รบกันเอง ดอกนี้ ยิ่งชัด ร่วมกันตี เป้าหมายเดียวกัน ภาพใหญ่ปรากฎทันที! หลังหลายคนสงสัย S-400 ทำไมถึงถูกยึด อย่าเรียกว่ายึดเลย ส่งต่อให้ใช้น่าจะเหมาะกว่า เพราะไก่งวงก็มี S-400 อยู่แล้วน่ะ รู้การใช้งานดี แค่ส่งมอบอาวุธเอาไปใช้ต่อล้างบางเหี้ย ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย เหตุเพราะ ซีเรีย ตุรกี มีปัญหาพิพากกันมายาวนาน เพราะเรื่องกบฎเคิร์ก และเชื่อว่า บ่อน้ำมันซีเรีย ก็อยู่ในสายตาไก่งวงด้วยเช่นกัน ไม่เช่นนั้น 10 ปี ก่อน คงไม่ร่วมมือเหี้ยเข้ามาบุกซีเรีย สร้างไอซิสไปเข่นฆ่าชาวซีเรียดอกน่ะ ดอกนี้ อัสซาดต้องทำใจ อะไรที่ผ่านมาก็ต้องยอมให้ผ่านไป เพื่อเป้าหมายรวมชาติเป็นหนึ่งเดียวให้สำเร็จ รักษาแผ่นดินส่วนใหญ่เอาไว้ ควบคุมเคิร์กให้อยู่ในพื้นที่พิเศษเฉพาะ ดีกว่าปล่อยให้มันถูกศัตรูเอาไปใช้งานเป็นภัยต่อความมั่นคงซีเรียซะเอง ล่าสุด กองทัพไก่งวงในคราบกบฎซีเรีย เปิดคุก ปล่อยนักโทษเดนตายออกมา ทั้งหมดคือ "เหี้ยไอซิสทั้งนั้น" เพื่ออะไร จับอาวุธสู้กับใคร? อย่าลืมเจ้าของไอซิสเก่าก็คือ "ตุรกี" รอดู หากทฤษฎีที่หมีบอกว่า ปูติน แอร์โดกัน อัสซาด สมรู้ร่วมคิดกัน เป้าหมายที่มันต้องทำคือ แย่งบ่อน้ำมันคืนจากเคิร์กกบฎ และขับไล่กองกำลังต่างชาติออกไป ยกเว้นรัสเซีย ดอกนี้ถึงจะพิสูจน์ได้ว่าจริง แต่หากกองทัพไก่งวง ทำอะไรที่หมิ่นเหม่ เปิดทางให้ฐานทัพมะกันขยายได้ หรือเคิร์กกบฎขยายพื้นที่บ่อน้ำมันเพิ่ม ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะตุรกีเกลียดอีเคิร์กเข้าไส้ แปลว่าอีไก่งวงถูกร่างทรงเข้าแทรกแล้ว นั่นคือ แอร์โดกันถูกปลดอำนาจไปแล้ว ผู้กุมอำนาจอีกฝ่ายเป็นคนเดินเกมส์ ถึงเวลานั่น ค่อยมาวิเคราะห์ตามสถานการณ์จริงอีกที เพราะตอนนี้ ฝุ่นตลบ จะคิดอย่างไร ก็ไม่มีทางสว่างโปร่งใสได้แน่ รอควันจางเท่านั้น ตัวละครจะโผล่มาเอง แค่มาบอกแนวทาง แนวคิดอีกอย่าง เพื่อหาคำตอบ ตอบโจทย์ทั้งหมดได้ เพราะดูเหมือนช่องโหว่เยอะเกิน มันง่ายดายมากจนเกินไป เหมือนกับจงใจให้เกิด ให้เป็นไป รัสเซียเท่านั้นที่รู้ ในยามศึกสงคราม "สงครามข่าวสาร" คือสิ่งที่จำเป็น เพื่อเบี่ยงเบนประเด็นเป้าหมายหลัก ใช้กันเยอะ ไม่ว่าสงครามใดในโลก กูไม่ใช่เทวดา กูแค่จับผิด และพยายามมองทะลุหมอกควันหนาเหล่านี้ ให้เห็นร่างจริง ผู้อยู่เบื้องหลังจริงก่อน ถึงจะเดาทางต่อได้แม่นยำ หมากตานี้ อำมะหิตน่ะ ไก่งวงอยู่ดีดี จะบุกซีเรียไม่มีปี่ ไม่มีขลุ่ยได้ยังไง? หากไม่มีใครสั่ง หรือแบ็คอัพ ใครล่ะ ที่ตุรกี ซีเรีย อิหร่าน เกรงใจ? เอาไปคิดเอง?หมี CNN(หมากที่เดินไปแล้ว อย่าคิดว่ากลับตาลปัตรไม่ได้ ทุกหมาก ทุกตา หลอกล่อได้หมด ขั้วใหม่กำลังจะทำอะไร ภายนอกสื่อตี เหี้ยตัดกำลังรัสเซีย แต่หมีกลับมองว่า นี่คือ 1 ในหมากที่ถูกวางให้เดินเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว อยู่ที่ตัวละครถัดไป ใครจะโผล่ แล้วมันจะตอบคำตอบได้เองว่า ทฤษฎีสมคบคิดจริงหรือไม่? เพราะยามศึกเท็จคือจริง จริงคือเท็จ) 08 ธันวาคม 6717.52 น.------------------------------------------------------------------------—เข้าถ้ำ RONIN คลิกที่ LINK ตามนี้ : https://line.me/R/ti/p/@mheecnnหรือเข้า LINE OFFICIAL ACCOUNThttps://voom-studio.line.biz/account/@hfs0310u/voom หรือเสิร์หหาใน LINE ได้ที่ @hfs0310u**เพจหลักของหมี CNN คือ**https://www.minds.com/mheecnn2/เพจ VK ของรัสเซีย พิมคำว่า Frank Mheecnnwww.vk.com/id448335733**เพจหมี CNN ใน Twitter ตัวใหม่ล่าสุด!**https://twitter.com/CnnMhee**เพจหมี CNN ใน FB ห้องปิด ตัวใหม่ล่าสุด!**https://www.facebook.com/chatchai.sathitsit.77
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 275 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้องปลดแอกจักรวรรดินิยมฝรั่งเศสกฤษฎีกากัมพูชาที่เกี่ยวข้องกับเขตแดนในทะเล มีสองฉบับ**หนึ่ง กฤษฎีกาเลขที่ 439/72/PRK ที่กำหนดเส้นเขตไหล่ทวีป**สอง กฤษฎีกาเลขที่ 518/72/PRK ที่กำหนดทะเลอาณาเขตปรากฏว่าทั้งสองฉบับรุกล้ำทะเลอาณาเขตของไทยโดยอ้างสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส คศ 1907 ##กรณีเส้นเขตไหล่ทวีปรูป 1 จากเพจปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กัมพูชาประกาศเส้นเขตไหล่ทวีปครั้งแรกปี 2513 ผ่านเกาะกูดเต็มที่รูป 2 ต่อมาเปลี่ยนเป็นกฤษฎีกาเลขที่ 439/72/PRK เกาะกูดอยู่ที่ปลายลูกศรสีแดง กลับเขียนเกาะกูดมีเส้นขยุกขยิก ทำให้ไม่ชัดเจนว่าเส้นผ่านเกาะกูดหรือไม่รูป 3 ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เขียนเอกสารวิชาการว่า เส้นไม่ได้ผ่านเกาะกูด แต่มาจรดชายฝั่งสองด้าน รูป 4 คือล้ำเข้ามาในทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลของไทย วงกลมสีเหลือง##กรณีทะเลอาณาเขตรูป 5 ดร.สุรเกียรติ์ แสดงแผนที่ในกฤษฎีกาเลขที่ 518/72/PRK ปรากฏว่ากัมพูชาลากเส้นทะเลอาณาเขต จากหมุด 73 บนชายฝั่งมาจรดเกาะกูด แล้วหักลงใต้ผมค้นหากฤษฎีกาเลขที่ 518/72/PRK ในกูเกิ้ล ไม่พบเลย จึงขอเรียกร้องให้กระทรวงต่างประเทศเอาเอกสารสำคัญทั้งหมดเผยแพร่ในเว็บไซต์รูป 6 เส้นทะเลอาณาเขตของกัมพูชาก็รุกล้ำเข้ามาในทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลของไทยอีกเช่นกัน วงกลมสีเหลืองรูป 7 จากเว็บไซต์ CIA สถานฑูตในกรุงพนมเปญรายงานว่า กัมพูชาตราเส้นทะเลอาณาเขตเกินระยะทาง 12 ไมล์ทะเลมาประชิดเกาะกูด ก็โดยอ้างอิงสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส คศ 1907ผมให้ข้อมูลดังนี้:-หนึ่ง เส้นเขตไหล่ทวีปที่ประชิดเกาะกูดสองด้านนั้น อ้างพื้นฐานมาจากเส้นทะเลอาณาเขตเกินระยะทาง 12 ไมล์ทะเลที่กัมพูชาลากมาประชิดเกาะกูดนั่นเองสอง กัมพูชาลากเส้นทะเลอาณาเขตมาประชิดเกาะกูด เป็นการรุกล้ำเขตอธิปไตยของประเทศไทย(เขตอธิปไตยของประเทศไทยซึ่งกองทัพไทยมีหน้าที่ต้องปกป้องทันทีถ้ามีการรุกราน ไม่ว่าทางบก ทางน้ำ หรือทางอากาศ คือผืนแผ่นดินไทยซึ่งบวกกับทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเล)สาม MOU44 มีการแสดงเส้นเขตไหล่ทวีปที่มีพื้นฐานมาจากเส้นทะเลอาณาเขต จึงเป็นการรับรู้ว่า กัมพูชาลากเส้นทะเลอาณาเขตรุกล้ำเข้ามาในเขตอธิปไตยของประเทศไทยพูดแบบชาวบ้าน เป็นการไปรับรู้ว่า อาณาเขตทางทะเลของกัมพูชา กินแดนเข้ามาในอาณาเขตทางทะเลของไทยสี่ กัมพูชาอ้างสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส คศ 1907 บิดเบือน เพราะสนธิสัญญาฯพูดถึงการแบ่งเขตบนชายฝั่ง ไม่ใช่ในทะเลห้า เส้นเขตไหล่ทวีปที่ประชิดเกาะกูดสองด้านนั้น ไม่ถูกต้องตามอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป เพราะอนุสัญญาใช้สำหรับเล็งเส้นในทะเล ไม่ใช่เล็งเส้นผ่านพื้นที่บนบกและอนุสัญญาฯไม่ได้ยอมให้อ้างอิงสิทธิทางประวัติศาสตร์กล่าวโดยสรุป เหตุผลสนับสนุนยกเลิก MOU44 อีกประการหนึ่งคือ MOU44 ไปรับรู้ ทั้งเส้นเขตไหล่ทวีป และเส้นทะเลอาณาเขตของกัมพูชา รับรู้ว่าทั้งสองเส้นรุกล้ำเข้ามาในเขตอธิปไตยของประเทศไทยวันที่ 6 ธันวาคม 2567นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ
    ต้องปลดแอกจักรวรรดินิยมฝรั่งเศสกฤษฎีกากัมพูชาที่เกี่ยวข้องกับเขตแดนในทะเล มีสองฉบับ**หนึ่ง กฤษฎีกาเลขที่ 439/72/PRK ที่กำหนดเส้นเขตไหล่ทวีป**สอง กฤษฎีกาเลขที่ 518/72/PRK ที่กำหนดทะเลอาณาเขตปรากฏว่าทั้งสองฉบับรุกล้ำทะเลอาณาเขตของไทยโดยอ้างสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส คศ 1907 ##กรณีเส้นเขตไหล่ทวีปรูป 1 จากเพจปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กัมพูชาประกาศเส้นเขตไหล่ทวีปครั้งแรกปี 2513 ผ่านเกาะกูดเต็มที่รูป 2 ต่อมาเปลี่ยนเป็นกฤษฎีกาเลขที่ 439/72/PRK เกาะกูดอยู่ที่ปลายลูกศรสีแดง กลับเขียนเกาะกูดมีเส้นขยุกขยิก ทำให้ไม่ชัดเจนว่าเส้นผ่านเกาะกูดหรือไม่รูป 3 ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เขียนเอกสารวิชาการว่า เส้นไม่ได้ผ่านเกาะกูด แต่มาจรดชายฝั่งสองด้าน รูป 4 คือล้ำเข้ามาในทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลของไทย วงกลมสีเหลือง##กรณีทะเลอาณาเขตรูป 5 ดร.สุรเกียรติ์ แสดงแผนที่ในกฤษฎีกาเลขที่ 518/72/PRK ปรากฏว่ากัมพูชาลากเส้นทะเลอาณาเขต จากหมุด 73 บนชายฝั่งมาจรดเกาะกูด แล้วหักลงใต้ผมค้นหากฤษฎีกาเลขที่ 518/72/PRK ในกูเกิ้ล ไม่พบเลย จึงขอเรียกร้องให้กระทรวงต่างประเทศเอาเอกสารสำคัญทั้งหมดเผยแพร่ในเว็บไซต์รูป 6 เส้นทะเลอาณาเขตของกัมพูชาก็รุกล้ำเข้ามาในทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเลของไทยอีกเช่นกัน วงกลมสีเหลืองรูป 7 จากเว็บไซต์ CIA สถานฑูตในกรุงพนมเปญรายงานว่า กัมพูชาตราเส้นทะเลอาณาเขตเกินระยะทาง 12 ไมล์ทะเลมาประชิดเกาะกูด ก็โดยอ้างอิงสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส คศ 1907ผมให้ข้อมูลดังนี้:-หนึ่ง เส้นเขตไหล่ทวีปที่ประชิดเกาะกูดสองด้านนั้น อ้างพื้นฐานมาจากเส้นทะเลอาณาเขตเกินระยะทาง 12 ไมล์ทะเลที่กัมพูชาลากมาประชิดเกาะกูดนั่นเองสอง กัมพูชาลากเส้นทะเลอาณาเขตมาประชิดเกาะกูด เป็นการรุกล้ำเขตอธิปไตยของประเทศไทย(เขตอธิปไตยของประเทศไทยซึ่งกองทัพไทยมีหน้าที่ต้องปกป้องทันทีถ้ามีการรุกราน ไม่ว่าทางบก ทางน้ำ หรือทางอากาศ คือผืนแผ่นดินไทยซึ่งบวกกับทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเล)สาม MOU44 มีการแสดงเส้นเขตไหล่ทวีปที่มีพื้นฐานมาจากเส้นทะเลอาณาเขต จึงเป็นการรับรู้ว่า กัมพูชาลากเส้นทะเลอาณาเขตรุกล้ำเข้ามาในเขตอธิปไตยของประเทศไทยพูดแบบชาวบ้าน เป็นการไปรับรู้ว่า อาณาเขตทางทะเลของกัมพูชา กินแดนเข้ามาในอาณาเขตทางทะเลของไทยสี่ กัมพูชาอ้างสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส คศ 1907 บิดเบือน เพราะสนธิสัญญาฯพูดถึงการแบ่งเขตบนชายฝั่ง ไม่ใช่ในทะเลห้า เส้นเขตไหล่ทวีปที่ประชิดเกาะกูดสองด้านนั้น ไม่ถูกต้องตามอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป เพราะอนุสัญญาใช้สำหรับเล็งเส้นในทะเล ไม่ใช่เล็งเส้นผ่านพื้นที่บนบกและอนุสัญญาฯไม่ได้ยอมให้อ้างอิงสิทธิทางประวัติศาสตร์กล่าวโดยสรุป เหตุผลสนับสนุนยกเลิก MOU44 อีกประการหนึ่งคือ MOU44 ไปรับรู้ ทั้งเส้นเขตไหล่ทวีป และเส้นทะเลอาณาเขตของกัมพูชา รับรู้ว่าทั้งสองเส้นรุกล้ำเข้ามาในเขตอธิปไตยของประเทศไทยวันที่ 6 ธันวาคม 2567นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 333 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่มีการเจรจาครั้งใดในประวัติศาสตร์ที่ไทยมีแต่เสียเปรียบกัมพูชามากขนาดนี้ ภาพแรก ด้านซ้ายมือสุด เป็นพื้นที่ตามพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ประกาศเขตไหล่ทวีปตามกฎหมายทะเลสากลโดยลากจากหลักเขตที่ 73 แบ่งครึ่งมุมระหว่างเกาะกูดของไทยและ เกาะกงของกัมพูชา ก่อให้เกิดเขตเศรษฐกิจจำเพาะในอ่าวไทย 88,194 ตารางกิโลเมตร หรือ 55 ล้านไร่ เป็นของประเทศไทยประเทศเดียว ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน สามารถใช้สิทธิทางทะเล ทั้งอ่าวไทย การท่องเที่ยว การทหาร และทรัพยากรโดยไม่เคยถูกรุกล้ำทางกายภาพจากกัมพูชาเลยแม้แต่ครั้งเดียวภาพที่สอง เป็นภาพ MOU 2544 พื้นที่เศรษฐกิจจำเพาะของไทยตามพระบรมราชโองการ 88,194 ตารางกิโลเมตร กลับหายไปประมาณ 26,000 ตารางกิโลเมตร โดยแบ่งเป็นพี้นที่เหนือละติจูดองศาเหนือขึ้นไปประมาณ 10,000 ตารางกิโลเมตร ให้เจรจาแบ่งเขตแดน ส่วนพื้นที่ใต้ละติจูดองศาเหนือลงมา 16,000 ตารางกิโลเมตร ให้แบ่งผลประโยชน์กันระหว่างไทยกัมพูชา ทั้งๆที่เคยเป็นพื้นที่ของประเทศไทยทั้งหมด ทั้งตามกายภาพ ตามกฎหมายทะเลสากล และตามพระบรมราชโองการภาพที่สาม เป็นภาพ MOU2544 ภาพที่ 3 เป็นสมมุติฐานว่ากัมพูชาได้รับผลการเจรจาได้พื้นที่ทางทะเลมากที่สุด ไทยจะสูญเสียพื้นที่ทางทะเลเหนือละติจูด 11 องศาเหนือขึ้นไป จำนวน 10,000 ตารางกิโลเมตรตกเป็นของกัมพูชา ส่วนพื้นที่ด้านใต้ละติจูด 11 องศาเหนือลงมาจำนวน 16,000 ตารางกิโลเมตร กลายเป็นพื้นที่แบ่งผลประโยชน์กันในการพัฒนาร่วมระหว่างไทยกัมพูชา ทั้งๆที่เคยเป็นพื้นที่ของประเทศไทยทั้งหมด ทั้งตามกายภาพ ตามกฎหมายทะเลสากล และตามพระบรมราชโองการภาพที่สี่ เป็นภาพ MOU2544 ภาพขวาสุด เป็นสมมุติฐานว่าฝ่ายไทยได้รับผลการเจรจาได้พื้นที่ทางทะเลมากที่สุดตาม MOU 2544 ไทยจะได้เพื้นที่ทางทะเลเหนือละติจูด 11 องศาเหนือขึ้นไป จำนวน 10,000 ตารางกิโลเมตรทั้งๆที่เป็นของไทยตามกฎหมายทะเลสากลอยู่แล้ว ส่วนพื้นที่ด้านใต้ละติจูด 11 องศาเหนือลงมาจำนวน 16,000 ตารางกิโลเมตร กลายเป็นพื้นที่แบ่งผลประโยชน์กันในการพัฒนาร่วมระหว่างไทยกัมพูชา ทั้งๆที่เคยเป็นพื้นที่ของประเทศไทยทั้งหมด ทั้งตามกายภาพ ตามกฎหมายทะเลสากล และตามพระบรมราชโองการจะมีการเจรจาครั้งใดในประวัติศาสตร์ของราชอาณาจักรไทยที่เปลี่ยนหลักการ “สิทธิอธิปไตย” ในการสำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรในอ่าวไทยของราชอาณาจักรไทยที่เสียเปรียบและแตกต่างจากพระบรมราชโองการจนเสียเปรียบขนาดนี้ โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ไม่สนใจแผนที่ตามพระบรมราชโองการอีกด้วยถึงเวลาต้องเพิกถอน MOU2544 และ JC2544 แล้วหรือยัง? ขอเชิญทุกท่านร่วมลงนามถึงนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีแก้ไขการเสียเปรียบของชาติในครั้งนี้ ในเช้าวันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม 2567 เวลา 9.00 น. ณ โรงอาหารศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ของทำเนียบรัฐบาล (กพ.) และยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เวลา 10.00 น.ด้วยจิตคารวะปานเทพ พัวพงษ์พันธ์คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต 2 ธันวาคม 2567https://www.facebook.com/100044511276276/posts/1106546160839083/?
    ไม่มีการเจรจาครั้งใดในประวัติศาสตร์ที่ไทยมีแต่เสียเปรียบกัมพูชามากขนาดนี้ ภาพแรก ด้านซ้ายมือสุด เป็นพื้นที่ตามพระบรมราชโองการในสมัยรัชกาลที่ 9 ประกาศเขตไหล่ทวีปตามกฎหมายทะเลสากลโดยลากจากหลักเขตที่ 73 แบ่งครึ่งมุมระหว่างเกาะกูดของไทยและ เกาะกงของกัมพูชา ก่อให้เกิดเขตเศรษฐกิจจำเพาะในอ่าวไทย 88,194 ตารางกิโลเมตร หรือ 55 ล้านไร่ เป็นของประเทศไทยประเทศเดียว ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน สามารถใช้สิทธิทางทะเล ทั้งอ่าวไทย การท่องเที่ยว การทหาร และทรัพยากรโดยไม่เคยถูกรุกล้ำทางกายภาพจากกัมพูชาเลยแม้แต่ครั้งเดียวภาพที่สอง เป็นภาพ MOU 2544 พื้นที่เศรษฐกิจจำเพาะของไทยตามพระบรมราชโองการ 88,194 ตารางกิโลเมตร กลับหายไปประมาณ 26,000 ตารางกิโลเมตร โดยแบ่งเป็นพี้นที่เหนือละติจูดองศาเหนือขึ้นไปประมาณ 10,000 ตารางกิโลเมตร ให้เจรจาแบ่งเขตแดน ส่วนพื้นที่ใต้ละติจูดองศาเหนือลงมา 16,000 ตารางกิโลเมตร ให้แบ่งผลประโยชน์กันระหว่างไทยกัมพูชา ทั้งๆที่เคยเป็นพื้นที่ของประเทศไทยทั้งหมด ทั้งตามกายภาพ ตามกฎหมายทะเลสากล และตามพระบรมราชโองการภาพที่สาม เป็นภาพ MOU2544 ภาพที่ 3 เป็นสมมุติฐานว่ากัมพูชาได้รับผลการเจรจาได้พื้นที่ทางทะเลมากที่สุด ไทยจะสูญเสียพื้นที่ทางทะเลเหนือละติจูด 11 องศาเหนือขึ้นไป จำนวน 10,000 ตารางกิโลเมตรตกเป็นของกัมพูชา ส่วนพื้นที่ด้านใต้ละติจูด 11 องศาเหนือลงมาจำนวน 16,000 ตารางกิโลเมตร กลายเป็นพื้นที่แบ่งผลประโยชน์กันในการพัฒนาร่วมระหว่างไทยกัมพูชา ทั้งๆที่เคยเป็นพื้นที่ของประเทศไทยทั้งหมด ทั้งตามกายภาพ ตามกฎหมายทะเลสากล และตามพระบรมราชโองการภาพที่สี่ เป็นภาพ MOU2544 ภาพขวาสุด เป็นสมมุติฐานว่าฝ่ายไทยได้รับผลการเจรจาได้พื้นที่ทางทะเลมากที่สุดตาม MOU 2544 ไทยจะได้เพื้นที่ทางทะเลเหนือละติจูด 11 องศาเหนือขึ้นไป จำนวน 10,000 ตารางกิโลเมตรทั้งๆที่เป็นของไทยตามกฎหมายทะเลสากลอยู่แล้ว ส่วนพื้นที่ด้านใต้ละติจูด 11 องศาเหนือลงมาจำนวน 16,000 ตารางกิโลเมตร กลายเป็นพื้นที่แบ่งผลประโยชน์กันในการพัฒนาร่วมระหว่างไทยกัมพูชา ทั้งๆที่เคยเป็นพื้นที่ของประเทศไทยทั้งหมด ทั้งตามกายภาพ ตามกฎหมายทะเลสากล และตามพระบรมราชโองการจะมีการเจรจาครั้งใดในประวัติศาสตร์ของราชอาณาจักรไทยที่เปลี่ยนหลักการ “สิทธิอธิปไตย” ในการสำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรในอ่าวไทยของราชอาณาจักรไทยที่เสียเปรียบและแตกต่างจากพระบรมราชโองการจนเสียเปรียบขนาดนี้ โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ไม่สนใจแผนที่ตามพระบรมราชโองการอีกด้วยถึงเวลาต้องเพิกถอน MOU2544 และ JC2544 แล้วหรือยัง? ขอเชิญทุกท่านร่วมลงนามถึงนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีแก้ไขการเสียเปรียบของชาติในครั้งนี้ ในเช้าวันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม 2567 เวลา 9.00 น. ณ โรงอาหารศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ของทำเนียบรัฐบาล (กพ.) และยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เวลา 10.00 น.ด้วยจิตคารวะปานเทพ พัวพงษ์พันธ์คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต 2 ธันวาคม 2567https://www.facebook.com/100044511276276/posts/1106546160839083/?
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 418 มุมมอง 0 รีวิว
  • แพทองธาร "นายกฯ ไอแพด" เด็กที่สุดเวทีโลก .ผมจำเป็นต้องพูดถึงท่าน "นายกฯ ไอแพด" ที่สื่อมวลชนตั้งฉายาไว้ ท่านได้ทำอะไรที่ไม่เหมาะสมหลายอย่างในช่วงหลังๆ ผมจำเป็นต้องเอามาตีแผ่เป็นครั้งแรก ซึ่งผมก็ปล่อยให้ท่านทำงานมาพักหนึ่งแล้ว แต่ท่านก็ยังไม่รู้สึกตัวว่าท่านทำอะไรผิดบ้าง อาจจะเป็นเพราะท่านยังเด็กไปมั้ง หรืออาจจะเป็นเพราะว่าท่านมีที่ปรึกษาที่ใช้ไม่ได้ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเป็นนิสัยของท่านนายกฯ เองที่ยังคงความเป็นเด็ก วันนี้หนูเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ไม่ใช่ลูกสาวคนเล็กของบ้านจันทร์ส่องหล้า ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว.นอกจากเป็นนายกฯ ไอแพดแล้ว ท่านเป็นนายกฯ ที่ชอบเซลฟีมาก ไม่ว่าท่านเจอผู้นำที่ไหน จะต้องเซลฟีกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ตลกขบขันในหมู่วงการโลก เยอะแยะไปหมด .คุณแพทองธาร เธอจบการศึกษาปริญญาตรีจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยเซอร์รีย์ ประเทศอังกฤษ แต่เธอมีปัญหาเรื่องของการพูดไม่รู้เรื่อง คือจับความแทบไม่ได้ เพราะเธอนึกอะไรได้เธอก็พูดออกมา เหมือนไม่ได้เรียบเรียงความคิด แต่พูดภาษาอังกฤษแบบที่เขาเรียกว่า Beat around the bush หรือพูดวกไปวนมา ไม่ตรงประเด็น .นอกจากการให้สัมภาษณ์ที่เรียกว่าน่าอับอายอย่างยิ่งของนายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ บนเวที FORBES GLOBAL CEO CONFERRENCE ที่โรงแรม Ritz Carlton กรุงเทพฯ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว จะเห็นได้ชัดว่านายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ ตอบไม่ตรงคำถาม ทั้งๆ ที่ FORBES ส่งแนวทางคำถามให้ล่วงหน้าแล้ว แต่นายกฯ อยากจะพูดในสิ่งที่ตัวเองอยากจะพูด วนเวียนเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ เสถียรภาพทางการเมือง ลืมไปว่ากำลังสื่อสารกับนักลงทุนต่างชาติ ไม่ใช่หาเสียงกับชาวบ้านคนไทย.ยังมีอีกกรณีหนึ่งที่ถูกพูดถึงกันมาก คือ การพบปะหารือกับนายแอนโทนี บลิงเกน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ในระหว่างการประชุมอาเซียนซัมมิท ที่ สปป.ลาว เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 ซึ่งนายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ เอาแต่พูดเรื่องน้ำท่วม จนนายบลิงเกน งงเป็นไก่ตาแตก ในเนื้อหาคำพูดของนายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ ก็แทบไม่เข้าใจเลยว่าเธอต้องการจะพูดอะไร คณะที่ปรึกษาที่มีคุณพันศักดิ์ วิญญรัตน์ เป็นประธาน คุณสอบตกในเรื่องพวกนี้ จนในบทถอดคำสนทนาของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ถึงกับต้องถอดความบันทึกใส่วงเล็บว่า "inaudible" ก็คือ "จับความไม่ได้" คือเขาให้หน้าเอาไว้ เขาไม่อยากจะแปลออกมา เดี๋ยวจะหมอไม่รับเย็บ .ที่เป็นอย่างนี้เพราะว่าท่านนายกฯ ไม่เข้าใจนโยบายรัฐบาลอย่างถ่องแท้ แต่จำได้เพียงแค่ที่ทีมงานบรีฟให้ฟัง ขาดความรอบรู้นอกจากนี้แล้ว ท่านนายกฯ พยายามจะอธิบายแบบผิดๆ ถูกๆ เรื่องทำไมต้องมี MOU 2544 โดยอ้างว่า เพื่อให้รู้ว่าข้อที่ไม่เห็นด้วย ให้เอามาคุยกัน ซึ่งถ้าต่างคนต่างไม่ถอย เพราะฉะนั้นจึงต้องแบ่งผลประโยชน์กัน เอามาแบ่งกัน เรื่องเขตแดน เรื่องพรมแดน เรื่องแผนที่ เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย คนอย่างนายกรัฐมนตรีจะมาพูดแบบมั่วซั่วไม่ได้ เพราะคำพูดของท่านทุกคำ สิ่งที่ท่านให้สัมภาษณ์สื่อ กัมพูชาจะบันทึกเอาไว้หมด และเอาไปอ้างอิงในการต่อสู้ได้ .ด้วยเหตุนี้ ผม อาจารย์ปานเทพ จึงจำเป็นต้องยื่นหนังสือถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล ผมไม่ได้มาชี้แจงนะ แต่กล่าวหาท่านและรัฐบาลชุดนี้ที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ทางทะเล 12 ไมล์ทะเล โดยรอบเกาะกูด จังหวัดตราด .ตรงนี้ถ้าท่านนายกฯ ไม่ลงมาจัดการหรือระมัดระวังตัว เราก็คงต้องยกชาติ ยกแผ่นดิน ยกพื้นที่ให้กับเขมรขโมยพื้นที่เกาะกูดไป รวมเบ็ดเสร็จ ทั้งฉ้อราษฎร์บังหลวง ช่วยเหลือผู้คนในเครือข่ายตัวเอง ผมบอกว่าถ้าเป็นอย่างนี้ ผมจะลงถนนเพื่อไล่ท่าน.อย่าลืมนะครับ วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม ผม อาจารย์ปานเทพ จะไปยื่นหนังสือกล่าวหานายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ คุณภูมิธรรม เวชยชัย และรัฐบาลชุดนี้ กำลังจะทำให้ประเทศไทยสูญเสียอธิปไตยบนพื้นที่ทางทะเล ซึ่งเป็นสิทธิของประเทศไทย ด้วยการไปร่วมมือ สมรู้ร่วมคิดกับฝ่ายเขมร
    แพทองธาร "นายกฯ ไอแพด" เด็กที่สุดเวทีโลก .ผมจำเป็นต้องพูดถึงท่าน "นายกฯ ไอแพด" ที่สื่อมวลชนตั้งฉายาไว้ ท่านได้ทำอะไรที่ไม่เหมาะสมหลายอย่างในช่วงหลังๆ ผมจำเป็นต้องเอามาตีแผ่เป็นครั้งแรก ซึ่งผมก็ปล่อยให้ท่านทำงานมาพักหนึ่งแล้ว แต่ท่านก็ยังไม่รู้สึกตัวว่าท่านทำอะไรผิดบ้าง อาจจะเป็นเพราะท่านยังเด็กไปมั้ง หรืออาจจะเป็นเพราะว่าท่านมีที่ปรึกษาที่ใช้ไม่ได้ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเป็นนิสัยของท่านนายกฯ เองที่ยังคงความเป็นเด็ก วันนี้หนูเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ไม่ใช่ลูกสาวคนเล็กของบ้านจันทร์ส่องหล้า ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว.นอกจากเป็นนายกฯ ไอแพดแล้ว ท่านเป็นนายกฯ ที่ชอบเซลฟีมาก ไม่ว่าท่านเจอผู้นำที่ไหน จะต้องเซลฟีกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ตลกขบขันในหมู่วงการโลก เยอะแยะไปหมด .คุณแพทองธาร เธอจบการศึกษาปริญญาตรีจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยเซอร์รีย์ ประเทศอังกฤษ แต่เธอมีปัญหาเรื่องของการพูดไม่รู้เรื่อง คือจับความแทบไม่ได้ เพราะเธอนึกอะไรได้เธอก็พูดออกมา เหมือนไม่ได้เรียบเรียงความคิด แต่พูดภาษาอังกฤษแบบที่เขาเรียกว่า Beat around the bush หรือพูดวกไปวนมา ไม่ตรงประเด็น .นอกจากการให้สัมภาษณ์ที่เรียกว่าน่าอับอายอย่างยิ่งของนายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ บนเวที FORBES GLOBAL CEO CONFERRENCE ที่โรงแรม Ritz Carlton กรุงเทพฯ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว จะเห็นได้ชัดว่านายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ ตอบไม่ตรงคำถาม ทั้งๆ ที่ FORBES ส่งแนวทางคำถามให้ล่วงหน้าแล้ว แต่นายกฯ อยากจะพูดในสิ่งที่ตัวเองอยากจะพูด วนเวียนเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ เสถียรภาพทางการเมือง ลืมไปว่ากำลังสื่อสารกับนักลงทุนต่างชาติ ไม่ใช่หาเสียงกับชาวบ้านคนไทย.ยังมีอีกกรณีหนึ่งที่ถูกพูดถึงกันมาก คือ การพบปะหารือกับนายแอนโทนี บลิงเกน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ในระหว่างการประชุมอาเซียนซัมมิท ที่ สปป.ลาว เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 ซึ่งนายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ เอาแต่พูดเรื่องน้ำท่วม จนนายบลิงเกน งงเป็นไก่ตาแตก ในเนื้อหาคำพูดของนายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ ก็แทบไม่เข้าใจเลยว่าเธอต้องการจะพูดอะไร คณะที่ปรึกษาที่มีคุณพันศักดิ์ วิญญรัตน์ เป็นประธาน คุณสอบตกในเรื่องพวกนี้ จนในบทถอดคำสนทนาของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ถึงกับต้องถอดความบันทึกใส่วงเล็บว่า "inaudible" ก็คือ "จับความไม่ได้" คือเขาให้หน้าเอาไว้ เขาไม่อยากจะแปลออกมา เดี๋ยวจะหมอไม่รับเย็บ .ที่เป็นอย่างนี้เพราะว่าท่านนายกฯ ไม่เข้าใจนโยบายรัฐบาลอย่างถ่องแท้ แต่จำได้เพียงแค่ที่ทีมงานบรีฟให้ฟัง ขาดความรอบรู้นอกจากนี้แล้ว ท่านนายกฯ พยายามจะอธิบายแบบผิดๆ ถูกๆ เรื่องทำไมต้องมี MOU 2544 โดยอ้างว่า เพื่อให้รู้ว่าข้อที่ไม่เห็นด้วย ให้เอามาคุยกัน ซึ่งถ้าต่างคนต่างไม่ถอย เพราะฉะนั้นจึงต้องแบ่งผลประโยชน์กัน เอามาแบ่งกัน เรื่องเขตแดน เรื่องพรมแดน เรื่องแผนที่ เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย คนอย่างนายกรัฐมนตรีจะมาพูดแบบมั่วซั่วไม่ได้ เพราะคำพูดของท่านทุกคำ สิ่งที่ท่านให้สัมภาษณ์สื่อ กัมพูชาจะบันทึกเอาไว้หมด และเอาไปอ้างอิงในการต่อสู้ได้ .ด้วยเหตุนี้ ผม อาจารย์ปานเทพ จึงจำเป็นต้องยื่นหนังสือถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล ผมไม่ได้มาชี้แจงนะ แต่กล่าวหาท่านและรัฐบาลชุดนี้ที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ทางทะเล 12 ไมล์ทะเล โดยรอบเกาะกูด จังหวัดตราด .ตรงนี้ถ้าท่านนายกฯ ไม่ลงมาจัดการหรือระมัดระวังตัว เราก็คงต้องยกชาติ ยกแผ่นดิน ยกพื้นที่ให้กับเขมรขโมยพื้นที่เกาะกูดไป รวมเบ็ดเสร็จ ทั้งฉ้อราษฎร์บังหลวง ช่วยเหลือผู้คนในเครือข่ายตัวเอง ผมบอกว่าถ้าเป็นอย่างนี้ ผมจะลงถนนเพื่อไล่ท่าน.อย่าลืมนะครับ วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม ผม อาจารย์ปานเทพ จะไปยื่นหนังสือกล่าวหานายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ คุณภูมิธรรม เวชยชัย และรัฐบาลชุดนี้ กำลังจะทำให้ประเทศไทยสูญเสียอธิปไตยบนพื้นที่ทางทะเล ซึ่งเป็นสิทธิของประเทศไทย ด้วยการไปร่วมมือ สมรู้ร่วมคิดกับฝ่ายเขมร
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 463 มุมมอง 0 รีวิว
  • แพทองธาร "นายกฯ ไอแพด" เด็กที่สุดเวทีโลก
    .
    ผมจำเป็นต้องพูดถึงท่าน "นายกฯ ไอแพด" ที่สื่อมวลชนตั้งฉายาไว้ ท่านได้ทำอะไรที่ไม่เหมาะสมหลายอย่างในช่วงหลังๆ ผมจำเป็นต้องเอามาตีแผ่เป็นครั้งแรก ซึ่งผมก็ปล่อยให้ท่านทำงานมาพักหนึ่งแล้ว แต่ท่านก็ยังไม่รู้สึกตัวว่าท่านทำอะไรผิดบ้าง อาจจะเป็นเพราะท่านยังเด็กไปมั้ง หรืออาจจะเป็นเพราะว่าท่านมีที่ปรึกษาที่ใช้ไม่ได้ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเป็นนิสัยของท่านนายกฯ เองที่ยังคงความเป็นเด็ก วันนี้หนูเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ไม่ใช่ลูกสาวคนเล็กของบ้านจันทร์ส่องหล้า ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว
    .
    นอกจากเป็นนายกฯ ไอแพดแล้ว ท่านเป็นนายกฯ ที่ชอบเซลฟีมาก ไม่ว่าท่านเจอผู้นำที่ไหน จะต้องเซลฟีกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ตลกขบขันในหมู่วงการโลก เยอะแยะไปหมด
    .
    คุณแพทองธาร เธอจบการศึกษาปริญญาตรีจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยเซอร์รีย์ ประเทศอังกฤษ แต่เธอมีปัญหาเรื่องของการพูดไม่รู้เรื่อง คือจับความแทบไม่ได้ เพราะเธอนึกอะไรได้เธอก็พูดออกมา เหมือนไม่ได้เรียบเรียงความคิด แต่พูดภาษาอังกฤษแบบที่เขาเรียกว่า Beat around the bush หรือพูดวกไปวนมา ไม่ตรงประเด็น
    .
    นอกจากการให้สัมภาษณ์ที่เรียกว่าน่าอับอายอย่างยิ่งของนายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ บนเวที FORBES GLOBAL CEO CONFERRENCE ที่โรงแรม Ritz Carlton กรุงเทพฯ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว จะเห็นได้ชัดว่านายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ ตอบไม่ตรงคำถาม ทั้งๆ ที่ FORBES ส่งแนวทางคำถามให้ล่วงหน้าแล้ว แต่นายกฯ อยากจะพูดในสิ่งที่ตัวเองอยากจะพูด วนเวียนเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ เสถียรภาพทางการเมือง ลืมไปว่ากำลังสื่อสารกับนักลงทุนต่างชาติ ไม่ใช่หาเสียงกับชาวบ้านคนไทย
    .
    ยังมีอีกกรณีหนึ่งที่ถูกพูดถึงกันมาก คือ การพบปะหารือกับนายแอนโทนี บลิงเกน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ในระหว่างการประชุมอาเซียนซัมมิท ที่ สปป.ลาว เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 ซึ่งนายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ เอาแต่พูดเรื่องน้ำท่วม จนนายบลิงเกน งงเป็นไก่ตาแตก ในเนื้อหาคำพูดของนายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ ก็แทบไม่เข้าใจเลยว่าเธอต้องการจะพูดอะไร คณะที่ปรึกษาที่มีคุณพันศักดิ์ วิญญรัตน์ เป็นประธาน คุณสอบตกในเรื่องพวกนี้ จนในบทถอดคำสนทนาของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ถึงกับต้องถอดความบันทึกใส่วงเล็บว่า "inaudible" ก็คือ "จับความไม่ได้" คือเขาให้หน้าเอาไว้ เขาไม่อยากจะแปลออกมา เดี๋ยวจะหมอไม่รับเย็บ
    .
    ที่เป็นอย่างนี้เพราะว่าท่านนายกฯ ไม่เข้าใจนโยบายรัฐบาลอย่างถ่องแท้ แต่จำได้เพียงแค่ที่ทีมงานบรีฟให้ฟัง ขาดความรอบรู้นอกจากนี้แล้ว ท่านนายกฯ พยายามจะอธิบายแบบผิดๆ ถูกๆ เรื่องทำไมต้องมี MOU 2544 โดยอ้างว่า เพื่อให้รู้ว่าข้อที่ไม่เห็นด้วย ให้เอามาคุยกัน ซึ่งถ้าต่างคนต่างไม่ถอย เพราะฉะนั้นจึงต้องแบ่งผลประโยชน์กัน เอามาแบ่งกัน เรื่องเขตแดน เรื่องพรมแดน เรื่องแผนที่ เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย คนอย่างนายกรัฐมนตรีจะมาพูดแบบมั่วซั่วไม่ได้ เพราะคำพูดของท่านทุกคำ สิ่งที่ท่านให้สัมภาษณ์สื่อ กัมพูชาจะบันทึกเอาไว้หมด และเอาไปอ้างอิงในการต่อสู้ได้
    .
    ด้วยเหตุนี้ ผม อาจารย์ปานเทพ จึงจำเป็นต้องยื่นหนังสือถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล ผมไม่ได้มาชี้แจงนะ แต่กล่าวหาท่านและรัฐบาลชุดนี้ที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ทางทะเล 12 ไมล์ทะเล โดยรอบเกาะกูด จังหวัดตราด
    .
    ตรงนี้ถ้าท่านนายกฯ ไม่ลงมาจัดการหรือระมัดระวังตัว เราก็คงต้องยกชาติ ยกแผ่นดิน ยกพื้นที่ให้กับเขมรขโมยพื้นที่เกาะกูดไป รวมเบ็ดเสร็จ ทั้งฉ้อราษฎร์บังหลวง ช่วยเหลือผู้คนในเครือข่ายตัวเอง ผมบอกว่าถ้าเป็นอย่างนี้ ผมจะลงถนนเพื่อไล่ท่าน
    .
    อย่าลืมนะครับ วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม ผม อาจารย์ปานเทพ จะไปยื่นหนังสือกล่าวหานายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ คุณภูมิธรรม เวชยชัย และรัฐบาลชุดนี้ กำลังจะทำให้ประเทศไทยสูญเสียอธิปไตยบนพื้นที่ทางทะเล ซึ่งเป็นสิทธิของประเทศไทย ด้วยการไปร่วมมือ สมรู้ร่วมคิดกับฝ่ายเขมร
    แพทองธาร "นายกฯ ไอแพด" เด็กที่สุดเวทีโลก . ผมจำเป็นต้องพูดถึงท่าน "นายกฯ ไอแพด" ที่สื่อมวลชนตั้งฉายาไว้ ท่านได้ทำอะไรที่ไม่เหมาะสมหลายอย่างในช่วงหลังๆ ผมจำเป็นต้องเอามาตีแผ่เป็นครั้งแรก ซึ่งผมก็ปล่อยให้ท่านทำงานมาพักหนึ่งแล้ว แต่ท่านก็ยังไม่รู้สึกตัวว่าท่านทำอะไรผิดบ้าง อาจจะเป็นเพราะท่านยังเด็กไปมั้ง หรืออาจจะเป็นเพราะว่าท่านมีที่ปรึกษาที่ใช้ไม่ได้ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเป็นนิสัยของท่านนายกฯ เองที่ยังคงความเป็นเด็ก วันนี้หนูเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ไม่ใช่ลูกสาวคนเล็กของบ้านจันทร์ส่องหล้า ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว . นอกจากเป็นนายกฯ ไอแพดแล้ว ท่านเป็นนายกฯ ที่ชอบเซลฟีมาก ไม่ว่าท่านเจอผู้นำที่ไหน จะต้องเซลฟีกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ตลกขบขันในหมู่วงการโลก เยอะแยะไปหมด . คุณแพทองธาร เธอจบการศึกษาปริญญาตรีจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยเซอร์รีย์ ประเทศอังกฤษ แต่เธอมีปัญหาเรื่องของการพูดไม่รู้เรื่อง คือจับความแทบไม่ได้ เพราะเธอนึกอะไรได้เธอก็พูดออกมา เหมือนไม่ได้เรียบเรียงความคิด แต่พูดภาษาอังกฤษแบบที่เขาเรียกว่า Beat around the bush หรือพูดวกไปวนมา ไม่ตรงประเด็น . นอกจากการให้สัมภาษณ์ที่เรียกว่าน่าอับอายอย่างยิ่งของนายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ บนเวที FORBES GLOBAL CEO CONFERRENCE ที่โรงแรม Ritz Carlton กรุงเทพฯ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว จะเห็นได้ชัดว่านายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ ตอบไม่ตรงคำถาม ทั้งๆ ที่ FORBES ส่งแนวทางคำถามให้ล่วงหน้าแล้ว แต่นายกฯ อยากจะพูดในสิ่งที่ตัวเองอยากจะพูด วนเวียนเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ เสถียรภาพทางการเมือง ลืมไปว่ากำลังสื่อสารกับนักลงทุนต่างชาติ ไม่ใช่หาเสียงกับชาวบ้านคนไทย . ยังมีอีกกรณีหนึ่งที่ถูกพูดถึงกันมาก คือ การพบปะหารือกับนายแอนโทนี บลิงเกน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ในระหว่างการประชุมอาเซียนซัมมิท ที่ สปป.ลาว เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 ซึ่งนายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ เอาแต่พูดเรื่องน้ำท่วม จนนายบลิงเกน งงเป็นไก่ตาแตก ในเนื้อหาคำพูดของนายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ ก็แทบไม่เข้าใจเลยว่าเธอต้องการจะพูดอะไร คณะที่ปรึกษาที่มีคุณพันศักดิ์ วิญญรัตน์ เป็นประธาน คุณสอบตกในเรื่องพวกนี้ จนในบทถอดคำสนทนาของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ถึงกับต้องถอดความบันทึกใส่วงเล็บว่า "inaudible" ก็คือ "จับความไม่ได้" คือเขาให้หน้าเอาไว้ เขาไม่อยากจะแปลออกมา เดี๋ยวจะหมอไม่รับเย็บ . ที่เป็นอย่างนี้เพราะว่าท่านนายกฯ ไม่เข้าใจนโยบายรัฐบาลอย่างถ่องแท้ แต่จำได้เพียงแค่ที่ทีมงานบรีฟให้ฟัง ขาดความรอบรู้นอกจากนี้แล้ว ท่านนายกฯ พยายามจะอธิบายแบบผิดๆ ถูกๆ เรื่องทำไมต้องมี MOU 2544 โดยอ้างว่า เพื่อให้รู้ว่าข้อที่ไม่เห็นด้วย ให้เอามาคุยกัน ซึ่งถ้าต่างคนต่างไม่ถอย เพราะฉะนั้นจึงต้องแบ่งผลประโยชน์กัน เอามาแบ่งกัน เรื่องเขตแดน เรื่องพรมแดน เรื่องแผนที่ เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย คนอย่างนายกรัฐมนตรีจะมาพูดแบบมั่วซั่วไม่ได้ เพราะคำพูดของท่านทุกคำ สิ่งที่ท่านให้สัมภาษณ์สื่อ กัมพูชาจะบันทึกเอาไว้หมด และเอาไปอ้างอิงในการต่อสู้ได้ . ด้วยเหตุนี้ ผม อาจารย์ปานเทพ จึงจำเป็นต้องยื่นหนังสือถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล ผมไม่ได้มาชี้แจงนะ แต่กล่าวหาท่านและรัฐบาลชุดนี้ที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ทางทะเล 12 ไมล์ทะเล โดยรอบเกาะกูด จังหวัดตราด . ตรงนี้ถ้าท่านนายกฯ ไม่ลงมาจัดการหรือระมัดระวังตัว เราก็คงต้องยกชาติ ยกแผ่นดิน ยกพื้นที่ให้กับเขมรขโมยพื้นที่เกาะกูดไป รวมเบ็ดเสร็จ ทั้งฉ้อราษฎร์บังหลวง ช่วยเหลือผู้คนในเครือข่ายตัวเอง ผมบอกว่าถ้าเป็นอย่างนี้ ผมจะลงถนนเพื่อไล่ท่าน . อย่าลืมนะครับ วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม ผม อาจารย์ปานเทพ จะไปยื่นหนังสือกล่าวหานายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ คุณภูมิธรรม เวชยชัย และรัฐบาลชุดนี้ กำลังจะทำให้ประเทศไทยสูญเสียอธิปไตยบนพื้นที่ทางทะเล ซึ่งเป็นสิทธิของประเทศไทย ด้วยการไปร่วมมือ สมรู้ร่วมคิดกับฝ่ายเขมร
    Like
    Love
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 798 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรือรบพม่ายิงเรือประมงไทย! แค่เตือนลุกล้ำเขตแดน 30/11/67 #เรือรบพม่า #เรือประมงไทย #ลุกล้ำเขตแดน
    เรือรบพม่ายิงเรือประมงไทย! แค่เตือนลุกล้ำเขตแดน 30/11/67 #เรือรบพม่า #เรือประมงไทย #ลุกล้ำเขตแดน
    Like
    Angry
    Haha
    7
    5 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1230 มุมมอง 58 0 รีวิว
  • อิสราเอลจงใจละเมิดข้อตกลงหยุดยิงทางตอนใต้ของเลบานอนตลอดเวลา จากการที่อิสราเอลระเบิดและทำลายบ้านเรือน โจมตีพลเรือน และขัดขวางไม่ให้ชาวเลบานอนกลับบ้าน

    แม้จะมีการหยุดยิงในเลบานอนตอนใต้ แต่กองทัพอิสราเอลได้สังหารพลเรือนเลบานอนไปแล้ว 6 ราย และควบคุมตัวอีก 4 ราย ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา นอกจากนี้พวกเขายังทิ้งระเบิดใส่รถยนต์และยิงปืนใหญ่ใส่เมืองต่างๆ หลายแห่ง ทั้งหมดนี้อิสราเอลออกมายอมรับอย่างไม่สะทกสะท้าน

    กองกำลังอิสราเอลอ้างเหตุผลว่าเป็น "ผู้ต้องสงสัย" ในการสังหารชาวบ้านเหล่านี้ ทำให้พวกเขากลายเป็นแค่เหยื่อแห่งความ “สงสัย” ซึ่งเท่ากับเป็นการปล่อยให้อิสราเอลสังหารพลเรือนเลบานอนได้ตามใจ เพียงแค่ใช้การคาดเดาจากการ "อ้าง" ข้อกล่าวหา วิธีการเหล่านี้เลวร้ายกว่าการปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์

    ตามข้อตกลงหยุดยิง กองกำลังอิสราเอลได้รับอิสระในการเคลื่อนกำลังภายในพื้นที่เลบานอนตอนใต้ซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมเป็นเวลา 60 วัน ทำให้อิสราเอลสามารถทำลายล้างภูมิภาคนี้ได้โดยไม่มีใครขัดขวาง โปรดสังเกตว่า การให้อิสราเอลเคลื่อนที่ได้สะดวกเช่นนี้ เท่ากับว่าพื้นที่แห่งนี้ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของอิสราเอลไปโดยปริยาย ซึ่งไม่ต่างอะไรกับพื้นที่ในกาซาแม้แต่นิดเดียว หรือในทางพฤตินัย พื้นที่ของอิสราเอลทางเหนือขยายขอบเขตแดนเพิ่มขึ้นมาอีก 30 กิโลเมตร จนเกือบถึงแม่น้ำลิตานี

    ในขณะเดียวกัน ฝ่ายเลบานอนก็ไม่ได้ยิงปืนใส่แต่อย่างใด เนื่องจากพวกเขาปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัด

    ภายในวิดีโอ แสดงให้เห็นวินาทีที่บ้านหลังหนึ่งทางตอนใต้ของเลบานอนถูกทำลายเมื่อเพียง 2 ชั่วโมงที่แล้วของวันนี้ ซึ่งข้อตกลงหยุดยิงบังคับใช้มาแล้ว 2 วัน
    อิสราเอลจงใจละเมิดข้อตกลงหยุดยิงทางตอนใต้ของเลบานอนตลอดเวลา จากการที่อิสราเอลระเบิดและทำลายบ้านเรือน โจมตีพลเรือน และขัดขวางไม่ให้ชาวเลบานอนกลับบ้าน แม้จะมีการหยุดยิงในเลบานอนตอนใต้ แต่กองทัพอิสราเอลได้สังหารพลเรือนเลบานอนไปแล้ว 6 ราย และควบคุมตัวอีก 4 ราย ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา นอกจากนี้พวกเขายังทิ้งระเบิดใส่รถยนต์และยิงปืนใหญ่ใส่เมืองต่างๆ หลายแห่ง ทั้งหมดนี้อิสราเอลออกมายอมรับอย่างไม่สะทกสะท้าน กองกำลังอิสราเอลอ้างเหตุผลว่าเป็น "ผู้ต้องสงสัย" ในการสังหารชาวบ้านเหล่านี้ ทำให้พวกเขากลายเป็นแค่เหยื่อแห่งความ “สงสัย” ซึ่งเท่ากับเป็นการปล่อยให้อิสราเอลสังหารพลเรือนเลบานอนได้ตามใจ เพียงแค่ใช้การคาดเดาจากการ "อ้าง" ข้อกล่าวหา วิธีการเหล่านี้เลวร้ายกว่าการปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ ตามข้อตกลงหยุดยิง กองกำลังอิสราเอลได้รับอิสระในการเคลื่อนกำลังภายในพื้นที่เลบานอนตอนใต้ซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมเป็นเวลา 60 วัน ทำให้อิสราเอลสามารถทำลายล้างภูมิภาคนี้ได้โดยไม่มีใครขัดขวาง โปรดสังเกตว่า การให้อิสราเอลเคลื่อนที่ได้สะดวกเช่นนี้ เท่ากับว่าพื้นที่แห่งนี้ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของอิสราเอลไปโดยปริยาย ซึ่งไม่ต่างอะไรกับพื้นที่ในกาซาแม้แต่นิดเดียว หรือในทางพฤตินัย พื้นที่ของอิสราเอลทางเหนือขยายขอบเขตแดนเพิ่มขึ้นมาอีก 30 กิโลเมตร จนเกือบถึงแม่น้ำลิตานี ในขณะเดียวกัน ฝ่ายเลบานอนก็ไม่ได้ยิงปืนใส่แต่อย่างใด เนื่องจากพวกเขาปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัด ภายในวิดีโอ แสดงให้เห็นวินาทีที่บ้านหลังหนึ่งทางตอนใต้ของเลบานอนถูกทำลายเมื่อเพียง 2 ชั่วโมงที่แล้วของวันนี้ ซึ่งข้อตกลงหยุดยิงบังคับใช้มาแล้ว 2 วัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 455 มุมมอง 8 0 รีวิว
  • กองกำลังอิสราเอลยอมรับละเมิดข้อตกลงหยุดยิงจริง แต่อ้างว่าเป็นเพราะฮิซบอลเลาะห์ยั่วยุโดยแอบลักลอบกลับเข้ามาในพื้นที่ขัดแย้ง

    กองทัพอิสราเอล ออกมายอมรับว่า มีการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงจริง แต่เป็นเพราะพบสมาชิกกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ แอบลักลอบกลับเข้ามาทางตอนใต้ของเลบานอนพร้อมยานพาหนะ ทำให้รถถังของอิสราเอล "จำเป็น" ต้องยิงโจมตีพื้นที่ 6 แห่งบริเวณพรมแดนในช่วงเช้าวานนี้ ซึ่งทั้งหมดอยู่ห่างจากเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างเลบานอนและอิสราเอลไม่เกิน 2 กิโลเมตร

    ทางด้านประชาชนในพื้นที่กล่าวกับสื่อท้องถิ่นว่า พวกเขาเป็นเพียงชาวบ้านที่กลับเข้ามาที่บ้านพักและถิ่นฐานเดิมของพวกเขา หลังจากต้องอพยพออกไปนานหลายเดือน
    กองกำลังอิสราเอลยอมรับละเมิดข้อตกลงหยุดยิงจริง แต่อ้างว่าเป็นเพราะฮิซบอลเลาะห์ยั่วยุโดยแอบลักลอบกลับเข้ามาในพื้นที่ขัดแย้ง กองทัพอิสราเอล ออกมายอมรับว่า มีการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงจริง แต่เป็นเพราะพบสมาชิกกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ แอบลักลอบกลับเข้ามาทางตอนใต้ของเลบานอนพร้อมยานพาหนะ ทำให้รถถังของอิสราเอล "จำเป็น" ต้องยิงโจมตีพื้นที่ 6 แห่งบริเวณพรมแดนในช่วงเช้าวานนี้ ซึ่งทั้งหมดอยู่ห่างจากเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างเลบานอนและอิสราเอลไม่เกิน 2 กิโลเมตร ทางด้านประชาชนในพื้นที่กล่าวกับสื่อท้องถิ่นว่า พวกเขาเป็นเพียงชาวบ้านที่กลับเข้ามาที่บ้านพักและถิ่นฐานเดิมของพวกเขา หลังจากต้องอพยพออกไปนานหลายเดือน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 176 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำเตือน….สิ่งที่คนไทยไม่รู้จากบทสัมภาษณ์ของฮุน มาเนต ต่อทีท่าการเคลื่อนไหวในประเทศไทยและ MOU44 ซึ่งเขาไม่เคยยอมรับว่าเกาะกูดเป็นของไทยThe Phnom Penh Post (พนมเปญ โพส์ต) หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของทางการกัมพูชา ได้ออกข่าวบทสัมภาษณ์ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาและบุตรชายสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภาของกัมพูชา เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 บทสัมภาษณ์ทำให้เราเห็นว่า กัมพูชายังคงย้ำว่าปัญหาเกาะกูดยังไม่ได้ข้อยุติ ไทยอ้างสิทธิ์ของตนในอธิปไตยเหนือเกาะกูดแต่ฝ่ายเดียว นอกจากนี้ยังมีเรื่องอื่นๆอีกที่คนไทยเราไม่เคยรับรู้จากกระทรวงการต่างประเทศของไทย แต่เป็นเรื่องน่าละอายใจที่ต้องไปรับรู้มาจากประเทศอื่น เช่น ข้ออ้างเรื่องเขตแดนทางบก ที่บรรลุข้อตกลงไปแล้ว 42 หลักเขต ระยะทาง 805 กิโลเมตร ยังคงเหลืออีก 31 หลักซึ่งยังตกลงกันไม่ได้ รัฐบาลไทยก็ไม่สนใจเกียรติศักดิ์ศรีของตนเอง วันๆเรามีนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญต่อครอบครัวตนเองมากกว่าประเทศไทย เป็นเรื่องน่าเศร้ามากครับคำสัมภาษณ์ของฮุน มาเนตมีดังนี้“นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ได้กล่าวถึงการตัดสินใจของรัฐบาลที่นิ่งเฉยต่อข้อพิพาทอธิปไตยเหนือเกาะกูด โดยอ้างถึงการเจรจาต่อรองเขตแดนทางทะเลกับ ประเทศไทยซึ่งยังไม่ได้ให้ข้อยุติ นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต กล่าวถึงการตัดสินใจของรัฐบาลที่จะไม่พูดถึงข้อพิพาทเรื่องอธิปไตยเหนือเกาะกูด โดยอ้างถึงการเจรจาเรื่องพรมแดนทางทะเลกับไทยที่ยังคงดำเนินอยู่แต่ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ ปัจจุบันทั้งสองประเทศอ้างสิทธิ์ในเกาะดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนของตน คำอธิบายดังกล่าวเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อการวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มฝ่ายค้านและประชาชนบางส่วนที่กล่าวหารัฐบาลว่าไม่ตอบสนองต่อคำกล่าวอ้างของไทยเกี่ยวกับเกาะดังกล่าว ฮุน มาเนต ชี้แจงว่าข้อกล่าวอ้างเหล่านี้มาจากพรรคฝ่ายค้านของไทย ไม่ใช่จากรัฐบาลในการกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีสำเร็จการศึกษาของนักศึกษมหาวิทยาลัยกรุงพนมเปญเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน มาเนตเน้นย้ำว่าปัญหาที่เกี่ยวข้องกับอำนาจอธิปไตยของชาติและบูรณภาพแห่งดินแดนต้องได้รับการจัดการด้วยความระมัดระวัง บางคนบอกว่ารัฐบาลเงียบราวกับ ‘ขโมยม้า’ ไม่ยอมเผชิญหน้ากับไทยเกี่ยวกับข้อเรียกร้องดังกล่าว พวกเขาตำหนิรัฐบาลของฉันว่าสูญเสียเกาะกูดและดินแดนทางทะเลของกัมพูชา พวกเขาบอกว่ารัฐบาลควรนำเรื่องนี้ไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) และให้คำอธิบาย”“ทำไมรัฐบาลจึงนิ่งเฉย คำตอบอยู่ที่หลักการสองประการ คือ ความเป็นผู้ใหญ่ทางการเมืองและความรับผิดชอบต่อชาติ หลักการเหล่านี้เป็นแนวทางให้รัฐบาลนิ่งเฉย เพราะการพูดออกมาไม่ได้สะท้อนถึงความเป็นผู้ใหญ่” เขากล่าวมาเนต ได้ขยายความถึงแนวคิดเรื่องวุฒิภาวะทางการเมือง โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเจรจาอย่างเป็นทางการระหว่างสองประเทศเกี่ยวกับการกำหนดเขตแดน เขาย้ำว่าปัญหาที่ละเอียดอ่อนดังกล่าวควรได้รับการแก้ไขผ่านช่องทางอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่ผ่านโซเชียลมีเดียหรือสื่อมวลชนรัฐบาลไม่ได้พูดแบบที่นักวิเคราะห์พูดกัน” เขากล่าว “เมื่อเราพูด เรื่องนี้จะมีความสำคัญ เราควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการของประเทศอื่นหรือไม่ พวกเขาปกป้องสิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นของพวกเขา ฝ่ายหนึ่งอ้างว่าดินแดนของพวกเขาสูญหายไป อีกฝ่ายก็บอกว่าไม่เป็นเช่นนั้น ทำไมเราต้องจุดไฟเผาบ้านของเราโดยไม่จำเป็น การกระทำโดยหุนหันพลันแล่นอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งที่ไม่จำเป็น” เขากล่าวอธิบาย มาเนตเน้นย้ำว่ากัมพูชาและไทยได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการหารือเรื่องพรมแดนขึ้น 2 คณะ ได้แก่ คณะกรรมาธิการชายแดนร่วม (JBC) ซึ่งรับผิดชอบประเด็นพรมแดนทางบก และคณะกรรมการเทคนิคร่วม (JTC) ซึ่งเน้นที่เขตแดนทางทะเล“นี่เป็นกลไกอย่างเป็นทางการ รัฐบาลทำงานผ่านกลไกเหล่านี้ สิ่งที่พวกเขาพูด [ในประเทศไทย] เป็นเรื่องของพวกเขา หากมีข้อขัดแย้ง ควรมีการแก้ไขแบบพบหน้ากันเพื่อให้เป็นทางการ” เขากล่าวอธิบายมาเนตกล่าวว่าการเจรจาเรื่องพรมแดนระหว่างทั้งสองประเทศจนถึงขณะนี้ได้ดำเนินการเฉพาะเรื่องพรมแดนทางบกเท่านั้น โดยได้บรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับพรมแดนทางบกระยะทาง 805 กิโลเมตร ครอบคลุม 73 หลัก โดยมี 42 หลักที่สรุปผลแล้ว และอีก 31 หลักยังอยู่ระหว่างการพิจารณา“เราได้กำหนดขอบเขตที่ดินตามสนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยามในปี 1907 ซึ่งครอบคลุมระยะทาง 805 กิโลเมตรและมีเครื่องหมายพรมแดน 73 หลัก การเจรจาใช้เวลา 18 ปีจึงจะสรุปเครื่องหมายได้ 42 หลัก แต่การทำงานยังคงดำเนินต่อไปจนถึงจุดที่วัดได้ละเอียดทุกมิลลิเมตร” เขากล่าวเมื่อพูดถึงเขตแดนทางทะเล มาเนตกล่าวว่า “เราเคยตกลงกันเรื่องเขตแดนทางทะเลหรือไม่? ไม่เลย การเจรจาเกิดขึ้นหลายครั้งโดยไม่มีข้อตกลง หากไม่มีข้อตกลง เราจะสูญเสียอะไรไป? ขอถามหน่อยเถอะ บางคนบอกว่ามันเป็นการทรยศหรือสูญเสียดินแดน แต่ถ้าไม่มีข้อตกลง เราจะฟ้องร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้อย่างไร?”เขาได้ย้ำถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดนและอธิปไตยของกัมพูชาผ่านกลไกสันติภาพที่ใช้ความเชี่ยวชาญทางเทคนิคนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า สำนักเลขาธิการกิจการชายแดนมีความพร้อมอย่างเต็มที่สำหรับการเจรจาต่อเนื่องกับไทยในเรื่องชายแดนนอกจากนี้ มาเนต ยังกล่าวอีกว่า พื้นที่ทั้งหมดของประเทศอาจมีขนาดใหญ่กว่าพื้นที่ที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการคือ 181,035 ตารางกิโลเมตรเขาอ้างถึงการวัด GPS เชิงทดลองที่ดำเนินการในปี 2012 ซึ่งแนะนำว่าการวัดดังกล่าวอาจขยายได้ถึง 181,436 ตารางกิโลเมตร“เศร้าครับ….. เทพมนตรี ลิมปพยอม26 พฤศจิกายน 2567
    คำเตือน….สิ่งที่คนไทยไม่รู้จากบทสัมภาษณ์ของฮุน มาเนต ต่อทีท่าการเคลื่อนไหวในประเทศไทยและ MOU44 ซึ่งเขาไม่เคยยอมรับว่าเกาะกูดเป็นของไทยThe Phnom Penh Post (พนมเปญ โพส์ต) หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของทางการกัมพูชา ได้ออกข่าวบทสัมภาษณ์ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาและบุตรชายสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภาของกัมพูชา เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 บทสัมภาษณ์ทำให้เราเห็นว่า กัมพูชายังคงย้ำว่าปัญหาเกาะกูดยังไม่ได้ข้อยุติ ไทยอ้างสิทธิ์ของตนในอธิปไตยเหนือเกาะกูดแต่ฝ่ายเดียว นอกจากนี้ยังมีเรื่องอื่นๆอีกที่คนไทยเราไม่เคยรับรู้จากกระทรวงการต่างประเทศของไทย แต่เป็นเรื่องน่าละอายใจที่ต้องไปรับรู้มาจากประเทศอื่น เช่น ข้ออ้างเรื่องเขตแดนทางบก ที่บรรลุข้อตกลงไปแล้ว 42 หลักเขต ระยะทาง 805 กิโลเมตร ยังคงเหลืออีก 31 หลักซึ่งยังตกลงกันไม่ได้ รัฐบาลไทยก็ไม่สนใจเกียรติศักดิ์ศรีของตนเอง วันๆเรามีนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญต่อครอบครัวตนเองมากกว่าประเทศไทย เป็นเรื่องน่าเศร้ามากครับคำสัมภาษณ์ของฮุน มาเนตมีดังนี้“นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ได้กล่าวถึงการตัดสินใจของรัฐบาลที่นิ่งเฉยต่อข้อพิพาทอธิปไตยเหนือเกาะกูด โดยอ้างถึงการเจรจาต่อรองเขตแดนทางทะเลกับ ประเทศไทยซึ่งยังไม่ได้ให้ข้อยุติ นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต กล่าวถึงการตัดสินใจของรัฐบาลที่จะไม่พูดถึงข้อพิพาทเรื่องอธิปไตยเหนือเกาะกูด โดยอ้างถึงการเจรจาเรื่องพรมแดนทางทะเลกับไทยที่ยังคงดำเนินอยู่แต่ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ ปัจจุบันทั้งสองประเทศอ้างสิทธิ์ในเกาะดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนของตน คำอธิบายดังกล่าวเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อการวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มฝ่ายค้านและประชาชนบางส่วนที่กล่าวหารัฐบาลว่าไม่ตอบสนองต่อคำกล่าวอ้างของไทยเกี่ยวกับเกาะดังกล่าว ฮุน มาเนต ชี้แจงว่าข้อกล่าวอ้างเหล่านี้มาจากพรรคฝ่ายค้านของไทย ไม่ใช่จากรัฐบาลในการกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีสำเร็จการศึกษาของนักศึกษมหาวิทยาลัยกรุงพนมเปญเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน มาเนตเน้นย้ำว่าปัญหาที่เกี่ยวข้องกับอำนาจอธิปไตยของชาติและบูรณภาพแห่งดินแดนต้องได้รับการจัดการด้วยความระมัดระวัง บางคนบอกว่ารัฐบาลเงียบราวกับ ‘ขโมยม้า’ ไม่ยอมเผชิญหน้ากับไทยเกี่ยวกับข้อเรียกร้องดังกล่าว พวกเขาตำหนิรัฐบาลของฉันว่าสูญเสียเกาะกูดและดินแดนทางทะเลของกัมพูชา พวกเขาบอกว่ารัฐบาลควรนำเรื่องนี้ไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) และให้คำอธิบาย”“ทำไมรัฐบาลจึงนิ่งเฉย คำตอบอยู่ที่หลักการสองประการ คือ ความเป็นผู้ใหญ่ทางการเมืองและความรับผิดชอบต่อชาติ หลักการเหล่านี้เป็นแนวทางให้รัฐบาลนิ่งเฉย เพราะการพูดออกมาไม่ได้สะท้อนถึงความเป็นผู้ใหญ่” เขากล่าวมาเนต ได้ขยายความถึงแนวคิดเรื่องวุฒิภาวะทางการเมือง โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเจรจาอย่างเป็นทางการระหว่างสองประเทศเกี่ยวกับการกำหนดเขตแดน เขาย้ำว่าปัญหาที่ละเอียดอ่อนดังกล่าวควรได้รับการแก้ไขผ่านช่องทางอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่ผ่านโซเชียลมีเดียหรือสื่อมวลชนรัฐบาลไม่ได้พูดแบบที่นักวิเคราะห์พูดกัน” เขากล่าว “เมื่อเราพูด เรื่องนี้จะมีความสำคัญ เราควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการของประเทศอื่นหรือไม่ พวกเขาปกป้องสิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นของพวกเขา ฝ่ายหนึ่งอ้างว่าดินแดนของพวกเขาสูญหายไป อีกฝ่ายก็บอกว่าไม่เป็นเช่นนั้น ทำไมเราต้องจุดไฟเผาบ้านของเราโดยไม่จำเป็น การกระทำโดยหุนหันพลันแล่นอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งที่ไม่จำเป็น” เขากล่าวอธิบาย มาเนตเน้นย้ำว่ากัมพูชาและไทยได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการหารือเรื่องพรมแดนขึ้น 2 คณะ ได้แก่ คณะกรรมาธิการชายแดนร่วม (JBC) ซึ่งรับผิดชอบประเด็นพรมแดนทางบก และคณะกรรมการเทคนิคร่วม (JTC) ซึ่งเน้นที่เขตแดนทางทะเล“นี่เป็นกลไกอย่างเป็นทางการ รัฐบาลทำงานผ่านกลไกเหล่านี้ สิ่งที่พวกเขาพูด [ในประเทศไทย] เป็นเรื่องของพวกเขา หากมีข้อขัดแย้ง ควรมีการแก้ไขแบบพบหน้ากันเพื่อให้เป็นทางการ” เขากล่าวอธิบายมาเนตกล่าวว่าการเจรจาเรื่องพรมแดนระหว่างทั้งสองประเทศจนถึงขณะนี้ได้ดำเนินการเฉพาะเรื่องพรมแดนทางบกเท่านั้น โดยได้บรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับพรมแดนทางบกระยะทาง 805 กิโลเมตร ครอบคลุม 73 หลัก โดยมี 42 หลักที่สรุปผลแล้ว และอีก 31 หลักยังอยู่ระหว่างการพิจารณา“เราได้กำหนดขอบเขตที่ดินตามสนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยามในปี 1907 ซึ่งครอบคลุมระยะทาง 805 กิโลเมตรและมีเครื่องหมายพรมแดน 73 หลัก การเจรจาใช้เวลา 18 ปีจึงจะสรุปเครื่องหมายได้ 42 หลัก แต่การทำงานยังคงดำเนินต่อไปจนถึงจุดที่วัดได้ละเอียดทุกมิลลิเมตร” เขากล่าวเมื่อพูดถึงเขตแดนทางทะเล มาเนตกล่าวว่า “เราเคยตกลงกันเรื่องเขตแดนทางทะเลหรือไม่? ไม่เลย การเจรจาเกิดขึ้นหลายครั้งโดยไม่มีข้อตกลง หากไม่มีข้อตกลง เราจะสูญเสียอะไรไป? ขอถามหน่อยเถอะ บางคนบอกว่ามันเป็นการทรยศหรือสูญเสียดินแดน แต่ถ้าไม่มีข้อตกลง เราจะฟ้องร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้อย่างไร?”เขาได้ย้ำถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดนและอธิปไตยของกัมพูชาผ่านกลไกสันติภาพที่ใช้ความเชี่ยวชาญทางเทคนิคนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า สำนักเลขาธิการกิจการชายแดนมีความพร้อมอย่างเต็มที่สำหรับการเจรจาต่อเนื่องกับไทยในเรื่องชายแดนนอกจากนี้ มาเนต ยังกล่าวอีกว่า พื้นที่ทั้งหมดของประเทศอาจมีขนาดใหญ่กว่าพื้นที่ที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการคือ 181,035 ตารางกิโลเมตรเขาอ้างถึงการวัด GPS เชิงทดลองที่ดำเนินการในปี 2012 ซึ่งแนะนำว่าการวัดดังกล่าวอาจขยายได้ถึง 181,436 ตารางกิโลเมตร“เศร้าครับ….. เทพมนตรี ลิมปพยอม26 พฤศจิกายน 2567
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 539 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดร.สุรเกียรติ์ยิ่งก่อข้อสงสัยรูป 1-2 มีเอกสารวิชาการเขียนโดย ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เกี่ยวกับ MOU44 เผยแพร่ในปี 2554 จุลสารความมั่นคงศึกษา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ มีข้อมูลสำคัญที่ผมไม่รู้มาก่อนแต่ข้อมูลใหม่เหล่านี้ ยิ่งก่อข้อสงสัยในเจตนารมณ์ที่รัฐบาลของอดีตนายกฯทักษิณไปจัดทำ MOU44 🫡 ข้อสงสัยที่หนึ่ง กัมพูชาขีดเส้นเว้นเกาะกูดจริงหรือ?รูป 3-6 คือพระราชกฤษฎีกาของกัมพูชา ผมเข้าใจมาตลอดว่า กัมพูชาขีดเส้นพาดผ่านเกาะกูด แต่ในเอกสารหน้า 6-9 ดร.สุรเกียรติ์วิเคราะห์ว่ากัมพูชาขีดเส้นเว้นเกาะกูดแผนที่รูป 6 ขยายไปเป็นรูป 7 ท่านเขียนว่าเส้นของกัมพูชาลากจากจุด A บนชายฝั่งมาจนถึงชายฝั่งเกาะกูดด้านตะวันออก แล้วไปเริ่มเส้นต่อไปจากชายฝั่งเกาะกูดด้านตะวันตก ประกอบกับท่านเห็นว่า ในแผนที่มีการระบุชื่อเกาะกูดว่า Koh Kut (Siam) ซึ่งท่านอนุมาน'เป็นการบ่งบอกว่าเกาะกูดเป็นของประเทศไทย' ท่านจึงตีความว่า "ดังนั้น กัมพูชาไม่เคยอ้างอธิปไตยเหนือเกาะกูด"🧐 ผมโต้แย้ง:- ในรูป 3 พระราชกฤษฎีกา กัมพูชาระบุตั้งใจลากเส้นโดยอ้างอิงสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส คศ 1907 เพราะต้องการใช้ประโยชน์จากในสนธิสัญญาฯ มีข้อความ "ยอดเขาสูงสุดของเกาะกูด" ดังนั้น ถึงแม้ในรูป 7 ท่านตีความว่ากัมพูชาแสดงเจตนาไม่ต้องการให้เส้นผ่านเกาะกูด แต่อาจเป็นการตีความเข้าข้างตัวเอง🥶 ข้อสงสัย:- ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันได้แน่นอนว่า วันหน้ากัมพูชาจะไม่อ้างว่าไทยรับรู้ใน MOU44 แล้วว่า โดยสภาพความเป็นจริง เส้นนี้ย่อมมีเจตนาผ่านเกาะกูด เพราะ (ก) พระราชกฤษฎีกามีการอ้างอิงตำแหน่งแห่งหนที่ตั้งอยู่เฉพาะบนเกาะกูด และ(ข) ตรรกแห่งการตีเส้นเขตไหล่ทวีปที่ขาดแหว่งเป็นเส้นประ ไม่อยู่ในข้อใดในอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยไหล่ทวีป มีแต่เส้นต่อเนื่องทั้งนั้น🫡 ข้อสงสัยที่สอง กัมพูชายอมรับว่าเกาะกูดเป็นอธิปไตยของไทยจริงหรือ?ในเอกสารหน้า 35-36 ท่านเขียนว่า "ถึงแม้ว่าบันทึกความเข้าใจนี้จะไม่ถือว่าเป็นที่สิ้นสุดของการเจรจามีผลผูกพันทั้งสองประเทศเกี่ยวกับเส้นเขตทางทะเล แต่อย่างน้อยที่สุด ก็ถือเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงการที่รัฐบาลกัมพูชาในปัจจุบันได้ยอมรับอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรว่า ประเทศไทยมีอธิปไตยเหนือเกาะกูด" และ"ภายหลังจากการลงนามในบันทึกความเข้าใจแล้วนั้น ฝ่ายไทยก็ได้มอบหมายให้ผู้เขียนพยายามที่จะเจรจาในระดับรัฐมตรีเพื่อไม่ไม่ให้เส้นเขตแดนล้อมรอบเกาะกูดถูกกำหนดเป็นรูปตัว "U" ซึ่งผู้เขียนจำได้ว่าเคยหารือกับนาย ซก อาน รัฐมนตรีอาวุโสของกัมพูชา (ตำแหน่งในขณะนั้น) ว่าเหตุใดเส้นเขตแดนจึงมีโค้งเป็นเบ้าขนมครก เหตุใดจึงไม่เป็นเส้นตรง ซึ่งหมายความว่าจากหลักเขตแดนที่ 73 นั้น เส้นเขตทางทะเลควรจะลากจากลงมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นเส้นตรง และต้องไม่ลากผ่านเกาะกูด มิใช่ลากเส้นมาถึงเกาะกูดแล้ว จึงเกิดส่วนเว้าหลบอ้อมเกาะกูดไป ซึ่งในแง่ของไทยแล้วการลากเส้นเขตแดนเป็นเส้นตรงโดยไม่ผ่านกึ่งกลางของเกาะกูดจะมีผลทำให้อธิปไตยของเกาะกูดมีความชัดเจนมากขึ้น และทำให้อาณาเขตรวมของพื้นที่ทับช้อนทางทะเลมีขนาดเล็กลง ดังรูป 10 (เป็นเส้นประที่ลูกศรขี้ซึ่งแสดงอยู่ในรูป 8 )ซึ่งในเรื่องนี้อยู่ในระหว่างการที่ฝ่ายกัมพูชาจะขอความเห็นชอบจากผู้นำสูงสุดของกัมพูชา แต่ผู้เขียนได้พ้นหน้าที่ความรับผิดชอบในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมทางเทคนิคไปเสียก่อน"🧐 ผมโต้แย้ง:- กัมพูชาไม่ได้ยอมรับอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรว่าประเทศไทยมีอธิปไตยเหนือเกาะกูด เพราะ(ก) ไม่มีข้อความเช่นนั้นแม้แต่คำเดียวปรากฏใน MOU44 กลับเป็นการตีความของท่านฝ่ายเดียว(ข) ถ้ากัมพูชายอมรับเช่นนั้นจริง เส้นจะต้องไม่เข้ามาใกล้เกาะกูด แต่จะต้องเอียงลงตะวันตกเฉียงใต้ ดังที่ท่านเองก็ยอมรับในบทความ🥶 ข้อสงสัย:- ในขณะที่ลงนามใน MOU44 ท่านทราบหรือไม่ว่า เส้นที่ถูกต้องคือไม่เข้ามาใกล้เกาะกูด? ถ้าทราบ ท่านไปลงนามทำไม?🫡 ข้อสงสัยที่สาม:- ฝ่ายไทยควรพอใจแผนผังแนบท้าย MOU44 จริงหรือ?ในเอกสารหน้า 35 ท่านเขียนว่า"ดังนั้น แผนผังแนบท้ายบันทึกความเข้าใจนี้จึงเป็นสิ่งที่ฝ่ายไทยพอใจเพราะแสดงถึงความคืบหน้าในการเจรจาจุดเริ่มต้นของการลงเส้นเขตทางทะเลจากหลักเขตแดนทางบกที่ตรงกับจุดยืนของไทย และเส้นที่ลากนั้นได้ยอมรับอธิปไตยของไทยเหนือเกาะกูด และยังยอมรับอธิบไตยของไทยเหนือทะเลอาณาเขตรอบๆ"🧐 ผมโต้แย้ง:- ไม่มีเหตุผลใดที่ไทยควรจะพอใจกับการแสดงแผนที่ซึ่งเป็นแผนผังแนบท้าย MOU44 เพราะแสดงเส้นของสองประเทศที่ไม่เท่าเทียมกัน คือเส้นของไทยประกาศตามอนุสัญญาเจนีวา ในขณะที่เส้นของกัมพูชาไม่เป็นเช่นนั้น🫡 ข้อสงสัยที่สี่:- ท่านรู้ว่า MOU44 เป็นโมฆะตั้งแต่ต้น หรือไม่?ในเอกสารหน้า 36 ท่านเขียนว่า"(5) บันทึกความเข้าใจดังกล่าวได้ลงนามโดยผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจเต็มจากรัฐบาลของทั้งสองประเทศ จึงมีสถานะเป็นสนธิสัญญาตามอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ. 1969"🧐 ผมโต้แย้ง:- ตรงนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะท่านในฐานะผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจเต็มจากรัฐบาลไทย ไปลงนามในสนธิสัญญา ..ทั้งที่มิได้มีการทูลเกล้าฯ และมีได้มีการนำเสนอรัฐสภาเสียก่อน เป็นการกระทำเกินอำนาจ ultra vires จึงไม่ผูกพันรัฐบาลไทย และทำให้ MOU44 เป็นโมฆะตั้งแต่ต้นผมเห็นว่าไม่มีเอกสารหลักฐานชิ้นไหน ที่มีความสำคัญเท่าชิ้นนี้อีกแล้ว🫡 ข้อสงสัยที่ห้า:- ทำไมท่านไม่แจ้งรัฐบาลว่ากัมพูชาตีความสนธิสัญญาฯ ผิด?ในเอกสารหน้า 11-12 ท่านวิเคราะห์ว่ากัมพูชาตีความสนธิสัญญาฯ เข้าข้างตัวเองว่าเป็นการแบ่งเขตทางทะเล แต่เจตนารมณ์เป็นเพียงเพื่อกำหนดเส้นแบ่งเขตทางบก ซึ่งตรงกับของผม 🧐 ผมโต้แย้ง:- ในเมื่อท่านรู้ดีอยู่แล้วว่าเส้นของกัมพูชาไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ ท่านควรจะแจ้งให้รัฐบาลของท่านนายกทักษิณทราบ และกต.น่าจะแจ้งให้รัฐบาลต่างๆ ทราบ 🫡 ข้อสงสัยที่หก:- ท่านรู้หรือไม่ว่าเส้นของกัมพูชาขัดกับอนุสัญญาไหล่ทวีป?ข้อ 6 ในอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ไม่ได้อนุญาตการลากเส้นที่อ้างอิงสิทธิทางประวัติศาสตร์ดังเช่นกรณีขอทะเลอาณาเขต แต่กัมพูชากลับไปอ้างอิงสนธิสัญญาฯ เป็นสิทธิทางประวัติศาสตร์ ทั้งที่ไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ และขัดกับอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยไหล่ทวีปอย่างสิ้นเชิง🧐 ผมโต้แย้ง:- ในเมื่อท่านรู้ดีอยู่แล้วว่าเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาขัดกับอนุสัญญาไหล่ทวีป ทำไมท่านไม่โต้แย้งกัมพูชาเป็นลายลักษณ์อักษร?🫡 ข้อสงสัยที่เจ็ด:- ทำไมท่านไม่ดำเนินการตามขั้นตอนของพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย?ในเอกสารหน้า 36 ท่านเขียนว่า"ภายหลังจากที่ผู้เขียนได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 ก็ได้รับทราบถึงผลการเจรจาร่วมกันในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสที่มีขึ้นเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2543 และได้มีความเห็นตรงกันว่าควรมีการเปิดการเจรจาอย่างเป็นทางการกับรัฐบาลกัมพูชาเนื่องจากเป็นประเทศเดียวที่ไทยยังไม่เคยเจรจาอย่างจริงจังเพื่อแสวงพาผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งๆ ที่ได้มีการเจรจากับรัฐบาลมาเลเซียและเวียดนามจนเสร็จสิ้นเรียบร้อยไปแล้ว ดังนั้น จึงได้มีการเริ่มเปิดการเจรจากับกัมพูชาเพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาเขตพื้นที่ที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับช้อนกัน และการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียมร่วมกันในพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทย จนสามารถกำหนดแนวทางการเจรจาและการดำเนินการร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจนในการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสของทั้งสองประเทศที่เมืองเสียมราฐ เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2544 และนำไปสู่การลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิ"🧐 ผมโต้แย้ง:- ประชาชนมีข้อสงสัยดังนี้(ก) ในลำดับขั้นตอนการจัดทำพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย เริ่มต้นจากการเจรจาเส้นเขตแดนของทั้งสองประเทศให้เสร็จเรียบร้อยก่อน จึงจะได้อาณาเขตพื้นที่พัฒนาร่วมที่ยอมรับทั้งสองฝ่าย เป็นขั้นตอน ใช้ม้าลากรถแต่ลำดับขั้นตอนการจัดทำพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-กัมพูชา เริ่มต้นจากการกำหนดอาณาเขตพื้นที่พัฒนาร่วมขึ้นมาเอง เป็นการรีบร้อนลัดขั้นตอน ใช้รถลากม้า(ข) การเจรจากำหนดพื้นที่พัฒนาร่วมระหว่างไทยกับมาเลเซีย ใช้เวลาหลายปี ท่านใช้เวลาเจรจากำหนดพื้นที่พัฒนาร่วมระหว่างไทยกับกัมพูชาเพียงสองสามเดือนส่อเจตนาชัดเจนว่าให้ความสำคัญลำดับหนึ่งแก่การแสวงหาประโยชน์ปิโตรเลียม จนมีความเสี่ยงเรื่องเขตแดนเกิดขึ้นการเร่งรีบเช่นนี้ ทำให้ประชาชนกังวลว่า มีวาระซ่อนเร้นแฝงอยู่ในการเจรจาหรือไม่🧐 ผมขอย้ำว่า เขียนบทความนี้ด้วยความเคารพ และหวังจะให้ประโยชน์แก่รัฐมนตรีพรรคร่วมอย่างเต็มที่เป็นสำคัญวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ
    ดร.สุรเกียรติ์ยิ่งก่อข้อสงสัยรูป 1-2 มีเอกสารวิชาการเขียนโดย ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เกี่ยวกับ MOU44 เผยแพร่ในปี 2554 จุลสารความมั่นคงศึกษา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ มีข้อมูลสำคัญที่ผมไม่รู้มาก่อนแต่ข้อมูลใหม่เหล่านี้ ยิ่งก่อข้อสงสัยในเจตนารมณ์ที่รัฐบาลของอดีตนายกฯทักษิณไปจัดทำ MOU44 🫡 ข้อสงสัยที่หนึ่ง กัมพูชาขีดเส้นเว้นเกาะกูดจริงหรือ?รูป 3-6 คือพระราชกฤษฎีกาของกัมพูชา ผมเข้าใจมาตลอดว่า กัมพูชาขีดเส้นพาดผ่านเกาะกูด แต่ในเอกสารหน้า 6-9 ดร.สุรเกียรติ์วิเคราะห์ว่ากัมพูชาขีดเส้นเว้นเกาะกูดแผนที่รูป 6 ขยายไปเป็นรูป 7 ท่านเขียนว่าเส้นของกัมพูชาลากจากจุด A บนชายฝั่งมาจนถึงชายฝั่งเกาะกูดด้านตะวันออก แล้วไปเริ่มเส้นต่อไปจากชายฝั่งเกาะกูดด้านตะวันตก ประกอบกับท่านเห็นว่า ในแผนที่มีการระบุชื่อเกาะกูดว่า Koh Kut (Siam) ซึ่งท่านอนุมาน'เป็นการบ่งบอกว่าเกาะกูดเป็นของประเทศไทย' ท่านจึงตีความว่า "ดังนั้น กัมพูชาไม่เคยอ้างอธิปไตยเหนือเกาะกูด"🧐 ผมโต้แย้ง:- ในรูป 3 พระราชกฤษฎีกา กัมพูชาระบุตั้งใจลากเส้นโดยอ้างอิงสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส คศ 1907 เพราะต้องการใช้ประโยชน์จากในสนธิสัญญาฯ มีข้อความ "ยอดเขาสูงสุดของเกาะกูด" ดังนั้น ถึงแม้ในรูป 7 ท่านตีความว่ากัมพูชาแสดงเจตนาไม่ต้องการให้เส้นผ่านเกาะกูด แต่อาจเป็นการตีความเข้าข้างตัวเอง🥶 ข้อสงสัย:- ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันได้แน่นอนว่า วันหน้ากัมพูชาจะไม่อ้างว่าไทยรับรู้ใน MOU44 แล้วว่า โดยสภาพความเป็นจริง เส้นนี้ย่อมมีเจตนาผ่านเกาะกูด เพราะ (ก) พระราชกฤษฎีกามีการอ้างอิงตำแหน่งแห่งหนที่ตั้งอยู่เฉพาะบนเกาะกูด และ(ข) ตรรกแห่งการตีเส้นเขตไหล่ทวีปที่ขาดแหว่งเป็นเส้นประ ไม่อยู่ในข้อใดในอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยไหล่ทวีป มีแต่เส้นต่อเนื่องทั้งนั้น🫡 ข้อสงสัยที่สอง กัมพูชายอมรับว่าเกาะกูดเป็นอธิปไตยของไทยจริงหรือ?ในเอกสารหน้า 35-36 ท่านเขียนว่า "ถึงแม้ว่าบันทึกความเข้าใจนี้จะไม่ถือว่าเป็นที่สิ้นสุดของการเจรจามีผลผูกพันทั้งสองประเทศเกี่ยวกับเส้นเขตทางทะเล แต่อย่างน้อยที่สุด ก็ถือเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงการที่รัฐบาลกัมพูชาในปัจจุบันได้ยอมรับอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรว่า ประเทศไทยมีอธิปไตยเหนือเกาะกูด" และ"ภายหลังจากการลงนามในบันทึกความเข้าใจแล้วนั้น ฝ่ายไทยก็ได้มอบหมายให้ผู้เขียนพยายามที่จะเจรจาในระดับรัฐมตรีเพื่อไม่ไม่ให้เส้นเขตแดนล้อมรอบเกาะกูดถูกกำหนดเป็นรูปตัว "U" ซึ่งผู้เขียนจำได้ว่าเคยหารือกับนาย ซก อาน รัฐมนตรีอาวุโสของกัมพูชา (ตำแหน่งในขณะนั้น) ว่าเหตุใดเส้นเขตแดนจึงมีโค้งเป็นเบ้าขนมครก เหตุใดจึงไม่เป็นเส้นตรง ซึ่งหมายความว่าจากหลักเขตแดนที่ 73 นั้น เส้นเขตทางทะเลควรจะลากจากลงมาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นเส้นตรง และต้องไม่ลากผ่านเกาะกูด มิใช่ลากเส้นมาถึงเกาะกูดแล้ว จึงเกิดส่วนเว้าหลบอ้อมเกาะกูดไป ซึ่งในแง่ของไทยแล้วการลากเส้นเขตแดนเป็นเส้นตรงโดยไม่ผ่านกึ่งกลางของเกาะกูดจะมีผลทำให้อธิปไตยของเกาะกูดมีความชัดเจนมากขึ้น และทำให้อาณาเขตรวมของพื้นที่ทับช้อนทางทะเลมีขนาดเล็กลง ดังรูป 10 (เป็นเส้นประที่ลูกศรขี้ซึ่งแสดงอยู่ในรูป 8 )ซึ่งในเรื่องนี้อยู่ในระหว่างการที่ฝ่ายกัมพูชาจะขอความเห็นชอบจากผู้นำสูงสุดของกัมพูชา แต่ผู้เขียนได้พ้นหน้าที่ความรับผิดชอบในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมทางเทคนิคไปเสียก่อน"🧐 ผมโต้แย้ง:- กัมพูชาไม่ได้ยอมรับอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรว่าประเทศไทยมีอธิปไตยเหนือเกาะกูด เพราะ(ก) ไม่มีข้อความเช่นนั้นแม้แต่คำเดียวปรากฏใน MOU44 กลับเป็นการตีความของท่านฝ่ายเดียว(ข) ถ้ากัมพูชายอมรับเช่นนั้นจริง เส้นจะต้องไม่เข้ามาใกล้เกาะกูด แต่จะต้องเอียงลงตะวันตกเฉียงใต้ ดังที่ท่านเองก็ยอมรับในบทความ🥶 ข้อสงสัย:- ในขณะที่ลงนามใน MOU44 ท่านทราบหรือไม่ว่า เส้นที่ถูกต้องคือไม่เข้ามาใกล้เกาะกูด? ถ้าทราบ ท่านไปลงนามทำไม?🫡 ข้อสงสัยที่สาม:- ฝ่ายไทยควรพอใจแผนผังแนบท้าย MOU44 จริงหรือ?ในเอกสารหน้า 35 ท่านเขียนว่า"ดังนั้น แผนผังแนบท้ายบันทึกความเข้าใจนี้จึงเป็นสิ่งที่ฝ่ายไทยพอใจเพราะแสดงถึงความคืบหน้าในการเจรจาจุดเริ่มต้นของการลงเส้นเขตทางทะเลจากหลักเขตแดนทางบกที่ตรงกับจุดยืนของไทย และเส้นที่ลากนั้นได้ยอมรับอธิปไตยของไทยเหนือเกาะกูด และยังยอมรับอธิบไตยของไทยเหนือทะเลอาณาเขตรอบๆ"🧐 ผมโต้แย้ง:- ไม่มีเหตุผลใดที่ไทยควรจะพอใจกับการแสดงแผนที่ซึ่งเป็นแผนผังแนบท้าย MOU44 เพราะแสดงเส้นของสองประเทศที่ไม่เท่าเทียมกัน คือเส้นของไทยประกาศตามอนุสัญญาเจนีวา ในขณะที่เส้นของกัมพูชาไม่เป็นเช่นนั้น🫡 ข้อสงสัยที่สี่:- ท่านรู้ว่า MOU44 เป็นโมฆะตั้งแต่ต้น หรือไม่?ในเอกสารหน้า 36 ท่านเขียนว่า"(5) บันทึกความเข้าใจดังกล่าวได้ลงนามโดยผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจเต็มจากรัฐบาลของทั้งสองประเทศ จึงมีสถานะเป็นสนธิสัญญาตามอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ. 1969"🧐 ผมโต้แย้ง:- ตรงนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะท่านในฐานะผู้แทนที่ได้รับมอบอำนาจเต็มจากรัฐบาลไทย ไปลงนามในสนธิสัญญา ..ทั้งที่มิได้มีการทูลเกล้าฯ และมีได้มีการนำเสนอรัฐสภาเสียก่อน เป็นการกระทำเกินอำนาจ ultra vires จึงไม่ผูกพันรัฐบาลไทย และทำให้ MOU44 เป็นโมฆะตั้งแต่ต้นผมเห็นว่าไม่มีเอกสารหลักฐานชิ้นไหน ที่มีความสำคัญเท่าชิ้นนี้อีกแล้ว🫡 ข้อสงสัยที่ห้า:- ทำไมท่านไม่แจ้งรัฐบาลว่ากัมพูชาตีความสนธิสัญญาฯ ผิด?ในเอกสารหน้า 11-12 ท่านวิเคราะห์ว่ากัมพูชาตีความสนธิสัญญาฯ เข้าข้างตัวเองว่าเป็นการแบ่งเขตทางทะเล แต่เจตนารมณ์เป็นเพียงเพื่อกำหนดเส้นแบ่งเขตทางบก ซึ่งตรงกับของผม 🧐 ผมโต้แย้ง:- ในเมื่อท่านรู้ดีอยู่แล้วว่าเส้นของกัมพูชาไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ ท่านควรจะแจ้งให้รัฐบาลของท่านนายกทักษิณทราบ และกต.น่าจะแจ้งให้รัฐบาลต่างๆ ทราบ 🫡 ข้อสงสัยที่หก:- ท่านรู้หรือไม่ว่าเส้นของกัมพูชาขัดกับอนุสัญญาไหล่ทวีป?ข้อ 6 ในอนุสัญญาว่าด้วยไหล่ทวีป ไม่ได้อนุญาตการลากเส้นที่อ้างอิงสิทธิทางประวัติศาสตร์ดังเช่นกรณีขอทะเลอาณาเขต แต่กัมพูชากลับไปอ้างอิงสนธิสัญญาฯ เป็นสิทธิทางประวัติศาสตร์ ทั้งที่ไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของสนธิสัญญาฯ และขัดกับอนุสัญญาเจนีวาว่าด้วยไหล่ทวีปอย่างสิ้นเชิง🧐 ผมโต้แย้ง:- ในเมื่อท่านรู้ดีอยู่แล้วว่าเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาขัดกับอนุสัญญาไหล่ทวีป ทำไมท่านไม่โต้แย้งกัมพูชาเป็นลายลักษณ์อักษร?🫡 ข้อสงสัยที่เจ็ด:- ทำไมท่านไม่ดำเนินการตามขั้นตอนของพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย?ในเอกสารหน้า 36 ท่านเขียนว่า"ภายหลังจากที่ผู้เขียนได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 ก็ได้รับทราบถึงผลการเจรจาร่วมกันในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสที่มีขึ้นเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2543 และได้มีความเห็นตรงกันว่าควรมีการเปิดการเจรจาอย่างเป็นทางการกับรัฐบาลกัมพูชาเนื่องจากเป็นประเทศเดียวที่ไทยยังไม่เคยเจรจาอย่างจริงจังเพื่อแสวงพาผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งๆ ที่ได้มีการเจรจากับรัฐบาลมาเลเซียและเวียดนามจนเสร็จสิ้นเรียบร้อยไปแล้ว ดังนั้น จึงได้มีการเริ่มเปิดการเจรจากับกัมพูชาเพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาเขตพื้นที่ที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับช้อนกัน และการแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียมร่วมกันในพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทย จนสามารถกำหนดแนวทางการเจรจาและการดำเนินการร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจนในการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสของทั้งสองประเทศที่เมืองเสียมราฐ เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2544 และนำไปสู่การลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิ"🧐 ผมโต้แย้ง:- ประชาชนมีข้อสงสัยดังนี้(ก) ในลำดับขั้นตอนการจัดทำพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย เริ่มต้นจากการเจรจาเส้นเขตแดนของทั้งสองประเทศให้เสร็จเรียบร้อยก่อน จึงจะได้อาณาเขตพื้นที่พัฒนาร่วมที่ยอมรับทั้งสองฝ่าย เป็นขั้นตอน ใช้ม้าลากรถแต่ลำดับขั้นตอนการจัดทำพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-กัมพูชา เริ่มต้นจากการกำหนดอาณาเขตพื้นที่พัฒนาร่วมขึ้นมาเอง เป็นการรีบร้อนลัดขั้นตอน ใช้รถลากม้า(ข) การเจรจากำหนดพื้นที่พัฒนาร่วมระหว่างไทยกับมาเลเซีย ใช้เวลาหลายปี ท่านใช้เวลาเจรจากำหนดพื้นที่พัฒนาร่วมระหว่างไทยกับกัมพูชาเพียงสองสามเดือนส่อเจตนาชัดเจนว่าให้ความสำคัญลำดับหนึ่งแก่การแสวงหาประโยชน์ปิโตรเลียม จนมีความเสี่ยงเรื่องเขตแดนเกิดขึ้นการเร่งรีบเช่นนี้ ทำให้ประชาชนกังวลว่า มีวาระซ่อนเร้นแฝงอยู่ในการเจรจาหรือไม่🧐 ผมขอย้ำว่า เขียนบทความนี้ด้วยความเคารพ และหวังจะให้ประโยชน์แก่รัฐมนตรีพรรคร่วมอย่างเต็มที่เป็นสำคัญวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 599 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts