• โกทรมีโอกาสรอด เพราะบทเรียนในอดีตเปิดช่องโหว่
    ถึงเวลาที่โกทร เจ้าพ่อปราจีนจะสิ้นอิสรภาพเข้าไปอยู่ในคู่กับมือปูน ติดตามทั้งหกเนื่องจากไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างสู้คดี กรณีคดีจ้างวานคิล ที่มีเจ้าพ่ออยู่เบื้องหลังคําสั่งคิล ย่อมผ่านการวางแผนมาเป็นอย่างดี ที่สําคัญหลังเหยื่อตุยคดีความจะเป็นไปในทิศทางไหนก็ต้องมีการเตรียมพร้อมรับมือไว้แล้วจึงเชื่อกันว่า เมื่อคดีขึ้นสู่ศาล มีโอกาสที่โกธรจะหลุดจากคดีเนื่องจากมือปืนของโกธร 2 คนให้การสารภาพในลักษณะสมอ้างว่า
    ลงมือรัวคิลสอจอโต้งด้วยเรื่องส่วนตัวเหตุจากความบันดาลโทสะถูก สอจอโต้งตบหัวขณะที่มือปูนอีกสี่คนก็ให้การสอดรับไปในทางเดียวกัน โดยกันตัวโกธรไปจากฉากนองเลือ.ดอ้างว่าตอนเกิดเหตุโกธรเข้าไปนอนแล้วไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย แม้ในทางสืบสวนรูปคดีส่อเค้าว่าการสังหาน สจโต้งคือการวางแผน รวมค่ายอย่างแยบยลถึงขั้นลงทุนใช้บ้านตัวเองเป็นสถานที่ลงมือ
    แต่การพิสูจน์ในศาลเป็นอีกเรื่องหนึ่งการนําเสนอให้ศาลเชื่อในน้ำหนักของพยานหลักฐานในเมื่อพยานทุกคนในที่เกิดเหตุให้การไปในทางเดียวกัน ในลักษณะเตี๊ยมกันมาแล้วเป็นเรื่องที่ยากพอสมควรที่จะสาวไปถึงคนบงการโดยเฉพาะสองมือปูนของโกธรพร้อมจะรับการติดคุกเองด้วยการยอมรับผิดเอง ไม่ยอมเปิดปากซัดทอดใครทั้งสิ้น
    ในอดีตก็เคยมีคดีดังซึ่งมือปูนยอมติดคุกเอง ไม่ยอมพาดพิงถึงผู้จ้างวานเป็นผลให้กฎหมายทําอะไรคนสั่งการไม่ได้ต่อให้รู้ทั้งรู้ก็ตาม ย้อนไปเมื่อปี2533 เคยเกิดคดีดังสนั่นเมือง
    เมื่อนายบุญสิทธิ์อายุ 47 ปีเจ้าของกิจการบางกอกแฮมตราหมูตัวเดียว ถูกมือปูนชุดยีนส์รัวคิลด้วยปูนจุดสามห้าเจ็ดแม็กนั่ม กระสุ.นเจาะเกราะ รถเปอโย ขณะเสี่ยบางกอกแฮมนั่งรถของทนายความประจําตัวออกจากบ้าน มือปูนสาดกระสูนจากกระจกหน้าต่างฝั่งซ้ายกระสูนเจาะร่างเสี่ยดัง
    ทั้งที่ปกติเสี่ยบุญสิทธิ์ระวังตัวมาตลอดเพราะรู้ว่าอริจ้องเอาชีวิต ถึงขั้นเตรียมกระเป๋าเจมส์บอนด์เสริมเหล็กไว้ป้องกันกระสูนปูนแต่วันนั้นไม่ทันยกกันเลยจบชีวิต
    หลังการลงมือตํารวจนครบาลรู้ในทันที สาเหตุเป็นเรื่องการคิลล้างแค้นอย่างแน่นอนเป็นผลต่อเนื่องมาจากคดียิ..งป๋าตงเจ็บ ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทฟลาวเวอร์เอ็กซ์เพรสส่งออกดอกไม้ประดิษฐ์คู่แข่งอีกธุรกิจของเสี่ยบุญสิทธิ์ จึงทำให้นายบุญสิทธิ์ใช้ปูนเป็นเครื่องมือกําจัดคู่แข่ง ส่งมือปูนสองคนใช้จักรยานยนต์เป็นพาหนะ ปืนจุดสามห้าเจ็ดแม็กนั่มเป็นอาวุธถล่มยิ.งป๋าตง ใจกลางกรุงกระสุนเจาะขมับป๋าตงแม้ไม่ถึงตุย
    แต่ก็พิการตาบอดสนิททั้งสองข้างต้องอยู่ในโลกมืดไปชั่วชีวิตต่อมาตํารวจจับมือปูนและคนบงการได้ซึ่งก็คือน้องชายของนายบุญสิทธิ์ ซึ่งเป็นโปรโมเตอร์มวยชื่อดังรวมถึงตัวนายบุญสิทธิ์เองด้วย แต่มือปูนไม่ซัดทอดศาลก็เลยยกฟ้องในส่วนของคนจ้างวานจากปี 2530 มาถึงปี 2531 ดังนั้นเหตุการณ์ของโกทร ก็คงไม่แตกต่างกับเรื่องในอดีตอย่างแน่นอน
    ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่
    #คิงส์โพธิ์ดำ

    โกทรมีโอกาสรอด เพราะบทเรียนในอดีตเปิดช่องโหว่ ถึงเวลาที่โกทร เจ้าพ่อปราจีนจะสิ้นอิสรภาพเข้าไปอยู่ในคู่กับมือปูน ติดตามทั้งหกเนื่องจากไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างสู้คดี กรณีคดีจ้างวานคิล ที่มีเจ้าพ่ออยู่เบื้องหลังคําสั่งคิล ย่อมผ่านการวางแผนมาเป็นอย่างดี ที่สําคัญหลังเหยื่อตุยคดีความจะเป็นไปในทิศทางไหนก็ต้องมีการเตรียมพร้อมรับมือไว้แล้วจึงเชื่อกันว่า เมื่อคดีขึ้นสู่ศาล มีโอกาสที่โกธรจะหลุดจากคดีเนื่องจากมือปืนของโกธร 2 คนให้การสารภาพในลักษณะสมอ้างว่า ลงมือรัวคิลสอจอโต้งด้วยเรื่องส่วนตัวเหตุจากความบันดาลโทสะถูก สอจอโต้งตบหัวขณะที่มือปูนอีกสี่คนก็ให้การสอดรับไปในทางเดียวกัน โดยกันตัวโกธรไปจากฉากนองเลือ.ดอ้างว่าตอนเกิดเหตุโกธรเข้าไปนอนแล้วไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย แม้ในทางสืบสวนรูปคดีส่อเค้าว่าการสังหาน สจโต้งคือการวางแผน รวมค่ายอย่างแยบยลถึงขั้นลงทุนใช้บ้านตัวเองเป็นสถานที่ลงมือ แต่การพิสูจน์ในศาลเป็นอีกเรื่องหนึ่งการนําเสนอให้ศาลเชื่อในน้ำหนักของพยานหลักฐานในเมื่อพยานทุกคนในที่เกิดเหตุให้การไปในทางเดียวกัน ในลักษณะเตี๊ยมกันมาแล้วเป็นเรื่องที่ยากพอสมควรที่จะสาวไปถึงคนบงการโดยเฉพาะสองมือปูนของโกธรพร้อมจะรับการติดคุกเองด้วยการยอมรับผิดเอง ไม่ยอมเปิดปากซัดทอดใครทั้งสิ้น ในอดีตก็เคยมีคดีดังซึ่งมือปูนยอมติดคุกเอง ไม่ยอมพาดพิงถึงผู้จ้างวานเป็นผลให้กฎหมายทําอะไรคนสั่งการไม่ได้ต่อให้รู้ทั้งรู้ก็ตาม ย้อนไปเมื่อปี2533 เคยเกิดคดีดังสนั่นเมือง เมื่อนายบุญสิทธิ์อายุ 47 ปีเจ้าของกิจการบางกอกแฮมตราหมูตัวเดียว ถูกมือปูนชุดยีนส์รัวคิลด้วยปูนจุดสามห้าเจ็ดแม็กนั่ม กระสุ.นเจาะเกราะ รถเปอโย ขณะเสี่ยบางกอกแฮมนั่งรถของทนายความประจําตัวออกจากบ้าน มือปูนสาดกระสูนจากกระจกหน้าต่างฝั่งซ้ายกระสูนเจาะร่างเสี่ยดัง ทั้งที่ปกติเสี่ยบุญสิทธิ์ระวังตัวมาตลอดเพราะรู้ว่าอริจ้องเอาชีวิต ถึงขั้นเตรียมกระเป๋าเจมส์บอนด์เสริมเหล็กไว้ป้องกันกระสูนปูนแต่วันนั้นไม่ทันยกกันเลยจบชีวิต หลังการลงมือตํารวจนครบาลรู้ในทันที สาเหตุเป็นเรื่องการคิลล้างแค้นอย่างแน่นอนเป็นผลต่อเนื่องมาจากคดียิ..งป๋าตงเจ็บ ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทฟลาวเวอร์เอ็กซ์เพรสส่งออกดอกไม้ประดิษฐ์คู่แข่งอีกธุรกิจของเสี่ยบุญสิทธิ์ จึงทำให้นายบุญสิทธิ์ใช้ปูนเป็นเครื่องมือกําจัดคู่แข่ง ส่งมือปูนสองคนใช้จักรยานยนต์เป็นพาหนะ ปืนจุดสามห้าเจ็ดแม็กนั่มเป็นอาวุธถล่มยิ.งป๋าตง ใจกลางกรุงกระสุนเจาะขมับป๋าตงแม้ไม่ถึงตุย แต่ก็พิการตาบอดสนิททั้งสองข้างต้องอยู่ในโลกมืดไปชั่วชีวิตต่อมาตํารวจจับมือปูนและคนบงการได้ซึ่งก็คือน้องชายของนายบุญสิทธิ์ ซึ่งเป็นโปรโมเตอร์มวยชื่อดังรวมถึงตัวนายบุญสิทธิ์เองด้วย แต่มือปูนไม่ซัดทอดศาลก็เลยยกฟ้องในส่วนของคนจ้างวานจากปี 2530 มาถึงปี 2531 ดังนั้นเหตุการณ์ของโกทร ก็คงไม่แตกต่างกับเรื่องในอดีตอย่างแน่นอน ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    Sad
    Angry
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 250 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฟันธง “แตงโม" ถูกฆาตกรรม มีเงื่อนงำพิรุธ.ที่ผ่านมา ผมพูดถึงประเด็นไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับคดีการเสียชีวิตของน้องแตงโม ภัทริดา ผมพูดเรื่องนี้มาเมื่อ 2 ปี 9 เดือนที่แล้ว ผมเป็นสื่อมวลชนเพียงคนเดียวในประเทศไทยที่ใช้สัญชาติญาณบวกกับลางสังหรณ์ของตัวเองฟันธงลงไปว่า "แตงโม" เสียชีวิตจากเหตุฆาตกรรมอำพราง เธอไม่ได้ตายเพราะตกน้ำ โดนใบพัดปั่นที่ขา ระหว่างนั่งปัสสาวะที่ท้ายเรือแต่อย่างใด.ผมได้กลิ่นความไม่ชอบมาพากลคล้ายๆกันคดีบอส อยู่วิทยา คือ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ในเวลานั้น ออกแอกชันลงมาควบคุมการสอบสวนด้วยตัวเอง แม้แตงโมจะเป็นดาราดัง เป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ แต่ผมได้กลิ่นตุๆ อย่างผิดวิสัย ว่าทำไมระดับ ผบ.ตร. ถึงลงมาทำคดีนี้ด้วยตัวเอง ตำรวจระดับล่างทำไม่ได้หรือ เพราะถ้าคุณมั่นใจว่าเป็นเรื่องคนตกน้ำตาย.วันนี้ พ.อ.นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ อดีตศัลยแพทย์ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า หอบเอกสารหลักฐานชิ้นใหญ่หลายอย่างที่ได้มาจากการสืบสวนสอบสวนของตำรวจ การหาข้อมูลเชิงเทคนิคตามหลักวิทยาศาสตร์ เอาเข้ามาให้กับอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กับทีมงาน "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ช่วยพิจารณา เพื่อยืนยันว่าลางสังหรณ์จากสัญชาติญาณของผมมันเป็นความจริง.แต่ที่ผมพูดวันนี้ ผมพูดจากคำพิพากษาของศาลยกฟ้องคดีหมิ่นประมาทที่ตำรวจ 21 นายฟ้องคุณอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ว่า การสืบสวนสอบสวนของตำรวจนั้น พยานหลักฐานการตายล้วนมีเงื่อนงำและมีพิรุธมากมาย นี่ผมไม่ได้เขียนเองหรือพูดเองนะ เป็นข้อความที่ระบุในคำพิพากษาศาลจริงๆ.ทำไมศาลจึงให้เหตุผลในคำพิพากษายกฟ้องนายอัจฉริยะ กับพวก แบบนี้ ? หลายๆ คนคงอยากรู้แล้วใช่ไหม เอาเป็นว่าคดีแตงโมนั้นมีพิรุธ มีเงื่อนงำอยู่มากมาย อยากรู้ต้องไปติดตามอาจารย์ปานเทพ อาจารย์ยิปมันของผม แห่งบ้านพระอาทิตย์ สัปดาห์หน้าน่าจะมีคำพูดใหม่ๆ เพียบ ที่คุณไม่เคยรับรู้มาก่อน
    ฟันธง “แตงโม" ถูกฆาตกรรม มีเงื่อนงำพิรุธ.ที่ผ่านมา ผมพูดถึงประเด็นไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับคดีการเสียชีวิตของน้องแตงโม ภัทริดา ผมพูดเรื่องนี้มาเมื่อ 2 ปี 9 เดือนที่แล้ว ผมเป็นสื่อมวลชนเพียงคนเดียวในประเทศไทยที่ใช้สัญชาติญาณบวกกับลางสังหรณ์ของตัวเองฟันธงลงไปว่า "แตงโม" เสียชีวิตจากเหตุฆาตกรรมอำพราง เธอไม่ได้ตายเพราะตกน้ำ โดนใบพัดปั่นที่ขา ระหว่างนั่งปัสสาวะที่ท้ายเรือแต่อย่างใด.ผมได้กลิ่นความไม่ชอบมาพากลคล้ายๆกันคดีบอส อยู่วิทยา คือ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ในเวลานั้น ออกแอกชันลงมาควบคุมการสอบสวนด้วยตัวเอง แม้แตงโมจะเป็นดาราดัง เป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ แต่ผมได้กลิ่นตุๆ อย่างผิดวิสัย ว่าทำไมระดับ ผบ.ตร. ถึงลงมาทำคดีนี้ด้วยตัวเอง ตำรวจระดับล่างทำไม่ได้หรือ เพราะถ้าคุณมั่นใจว่าเป็นเรื่องคนตกน้ำตาย.วันนี้ พ.อ.นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ อดีตศัลยแพทย์ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า หอบเอกสารหลักฐานชิ้นใหญ่หลายอย่างที่ได้มาจากการสืบสวนสอบสวนของตำรวจ การหาข้อมูลเชิงเทคนิคตามหลักวิทยาศาสตร์ เอาเข้ามาให้กับอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กับทีมงาน "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ช่วยพิจารณา เพื่อยืนยันว่าลางสังหรณ์จากสัญชาติญาณของผมมันเป็นความจริง.แต่ที่ผมพูดวันนี้ ผมพูดจากคำพิพากษาของศาลยกฟ้องคดีหมิ่นประมาทที่ตำรวจ 21 นายฟ้องคุณอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ว่า การสืบสวนสอบสวนของตำรวจนั้น พยานหลักฐานการตายล้วนมีเงื่อนงำและมีพิรุธมากมาย นี่ผมไม่ได้เขียนเองหรือพูดเองนะ เป็นข้อความที่ระบุในคำพิพากษาศาลจริงๆ.ทำไมศาลจึงให้เหตุผลในคำพิพากษายกฟ้องนายอัจฉริยะ กับพวก แบบนี้ ? หลายๆ คนคงอยากรู้แล้วใช่ไหม เอาเป็นว่าคดีแตงโมนั้นมีพิรุธ มีเงื่อนงำอยู่มากมาย อยากรู้ต้องไปติดตามอาจารย์ปานเทพ อาจารย์ยิปมันของผม แห่งบ้านพระอาทิตย์ สัปดาห์หน้าน่าจะมีคำพูดใหม่ๆ เพียบ ที่คุณไม่เคยรับรู้มาก่อน
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 215 มุมมอง 0 รีวิว
  • อำนาจ บารมี บุญคุณ จุดจบสุดเศร้าของ สจ.โต้ง
    ความตายของ สจ.โต้ง ในคฤหาสน์ของโกธร จะเป็นปฏิบัติการเจ้าพ่อใหญ่เด็ดปีกเจ้าพ่อน้อย ในสภาพมือเปล่าไร้อาวุธ และคนติดตาม เหมือนเดินเข้าไปติดกับ เข้าไปแบบมีลมหายใจแต่กลับออกมาเป็นร่างไร้วิญญาณ
    เหตุการณ์นี้ โชกโชนในยุทธจักรนักเลงมือปืนปราจีนบุรี คนที่ผงาดขึ้นมาเป็น สจ มีกลุ่มก้อนนักการเมืองท้องถิ่นของตัว กําลังเป็นขาขึ้นทางการเมืองใน วัย49 แต่ สจโต้ง ก็ประเมินนักเลงเก่าวัย 85 ต่ําเกินไป เมื่อคิดว่าการเดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ของโกธร ซึ่งเคยเป็นแหล่งอันซุกหัวนอนของตัวเองมาก่อน คงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเขา
    พวกลูกน้องคนติดตาม ให้รออยู่หน้าบ้าน พอพูดคุยเจรจากันเสร็จ ก็กลับออกมาสบายสบาย ที่ไหนได้ สอจอ โต้ง อีทลูกปืนจนร่างพรุนถึง 22 เม็ดโดนทั้งปืนลูกซองทั้งเก้ามอมอ
    ที่ผ่านมา โกธร มีมือตีนสําหรับงานสีเทามาตลอด อย่างสอจอโต้งเองก็เคยติดคุกเพราะทํางานรับใช้ โกธรมาก่อน เช่นกัน หลังสิ้นเสียงปืนมีสองคนรับสารภาพ อ้างเป็นมือสังหารและอ้างตรงกันว่า โกธรไม่รู้เรื่อง นอนหลับ ไม่รู้ ไม่เห็น
    เบาะแสสําคัญ ก็คือคลิปลับ บันทึกเสียงการเจรจากันตอนก่อนเกิดเหตุฉายภาพให้เห็นเลยว่า สจ โต้ง เป็นบุตรบุญธรรมของ โกธร ซึ่งก็แค่ในอดีต แต่ปัจจุบัน สจโต้งดันตัวเองขึ้นมาทาบบารมีเจ้านายเก่า อย่างไม่มีเกรงใจกัน แล้วพูดจาด้วยน้ําเสียงเกรี้ยวกราด มีการลําเลิกบุญคุณเก่า ที่ทํางานสกปรกให้โกธรมา14 15คดี ถึงขั้น โกธร ด่าสจโต้ง ว่ากําลังเป็น คนหลงอํานาจคิดจะฆ่ากูหรือเปล่า ซึ่งสอจอโต้งกล่าว อย่างชัดเจนหาก โกธร ส่งใครมาชิงตําแหน่งนายกอบจ ปราจีนบุรี แข่งกับภรรยาสุดที่รักของเขาจะต้องมีการตายเกิดขึ้นแน่นอน
    ว่ากันว่า เมื่อปี 2555 มีการเปิดปฏิบัติการใหญ่ ปราจีนโมเดลลุยกวาดล้างมือปืนปราจีนส่งคนมาโดนลุยตรวจค้นทั้งจังหวัด ผลก็คือ สจโต้ง ตกเป็นผู้ต้องหาไปด้วยต้องไปสู้คดีอยู่ในคุกหลายปีจนรอดคดีมาได้เมื่อปี 2558
    เนื่องจากศาลยกฟ้องออกคุกมาคราวนี้ สจโต้ง รู้สึกติดลบโกธรเจ้านายของตัวเองอย่างรุนแรงเพราะรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งในคุกอย่างไม่เหลียวแล ตรงตามคําพูดเกรี้ยวกราดในคลิปลับก่อนเกิดเหตุที่สจโต้ง งัดเรื่องนี้มาด่าโกธร อย่างดุเดือด เปรียบตัวเองเป็นหมาที่ทํางานรับใช้ด้วยความภักดีกลับถูกนายทอดทิ้งจนครอบครัวลําบากตาม ๆ กัน สจโต้งจึงแยกตัวเป็นไทยจากบ้านใหญ่ของโกธร จึงทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นมา ติดตามข่าวซีพๆแบบนี้ได้ที่
    #คิงส์โพธิ์ดำ

    อำนาจ บารมี บุญคุณ จุดจบสุดเศร้าของ สจ.โต้ง ความตายของ สจ.โต้ง ในคฤหาสน์ของโกธร จะเป็นปฏิบัติการเจ้าพ่อใหญ่เด็ดปีกเจ้าพ่อน้อย ในสภาพมือเปล่าไร้อาวุธ และคนติดตาม เหมือนเดินเข้าไปติดกับ เข้าไปแบบมีลมหายใจแต่กลับออกมาเป็นร่างไร้วิญญาณ เหตุการณ์นี้ โชกโชนในยุทธจักรนักเลงมือปืนปราจีนบุรี คนที่ผงาดขึ้นมาเป็น สจ มีกลุ่มก้อนนักการเมืองท้องถิ่นของตัว กําลังเป็นขาขึ้นทางการเมืองใน วัย49 แต่ สจโต้ง ก็ประเมินนักเลงเก่าวัย 85 ต่ําเกินไป เมื่อคิดว่าการเดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ของโกธร ซึ่งเคยเป็นแหล่งอันซุกหัวนอนของตัวเองมาก่อน คงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเขา พวกลูกน้องคนติดตาม ให้รออยู่หน้าบ้าน พอพูดคุยเจรจากันเสร็จ ก็กลับออกมาสบายสบาย ที่ไหนได้ สอจอ โต้ง อีทลูกปืนจนร่างพรุนถึง 22 เม็ดโดนทั้งปืนลูกซองทั้งเก้ามอมอ ที่ผ่านมา โกธร มีมือตีนสําหรับงานสีเทามาตลอด อย่างสอจอโต้งเองก็เคยติดคุกเพราะทํางานรับใช้ โกธรมาก่อน เช่นกัน หลังสิ้นเสียงปืนมีสองคนรับสารภาพ อ้างเป็นมือสังหารและอ้างตรงกันว่า โกธรไม่รู้เรื่อง นอนหลับ ไม่รู้ ไม่เห็น เบาะแสสําคัญ ก็คือคลิปลับ บันทึกเสียงการเจรจากันตอนก่อนเกิดเหตุฉายภาพให้เห็นเลยว่า สจ โต้ง เป็นบุตรบุญธรรมของ โกธร ซึ่งก็แค่ในอดีต แต่ปัจจุบัน สจโต้งดันตัวเองขึ้นมาทาบบารมีเจ้านายเก่า อย่างไม่มีเกรงใจกัน แล้วพูดจาด้วยน้ําเสียงเกรี้ยวกราด มีการลําเลิกบุญคุณเก่า ที่ทํางานสกปรกให้โกธรมา14 15คดี ถึงขั้น โกธร ด่าสจโต้ง ว่ากําลังเป็น คนหลงอํานาจคิดจะฆ่ากูหรือเปล่า ซึ่งสอจอโต้งกล่าว อย่างชัดเจนหาก โกธร ส่งใครมาชิงตําแหน่งนายกอบจ ปราจีนบุรี แข่งกับภรรยาสุดที่รักของเขาจะต้องมีการตายเกิดขึ้นแน่นอน ว่ากันว่า เมื่อปี 2555 มีการเปิดปฏิบัติการใหญ่ ปราจีนโมเดลลุยกวาดล้างมือปืนปราจีนส่งคนมาโดนลุยตรวจค้นทั้งจังหวัด ผลก็คือ สจโต้ง ตกเป็นผู้ต้องหาไปด้วยต้องไปสู้คดีอยู่ในคุกหลายปีจนรอดคดีมาได้เมื่อปี 2558 เนื่องจากศาลยกฟ้องออกคุกมาคราวนี้ สจโต้ง รู้สึกติดลบโกธรเจ้านายของตัวเองอย่างรุนแรงเพราะรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งในคุกอย่างไม่เหลียวแล ตรงตามคําพูดเกรี้ยวกราดในคลิปลับก่อนเกิดเหตุที่สจโต้ง งัดเรื่องนี้มาด่าโกธร อย่างดุเดือด เปรียบตัวเองเป็นหมาที่ทํางานรับใช้ด้วยความภักดีกลับถูกนายทอดทิ้งจนครอบครัวลําบากตาม ๆ กัน สจโต้งจึงแยกตัวเป็นไทยจากบ้านใหญ่ของโกธร จึงทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นมา ติดตามข่าวซีพๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 273 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฟันธง“แตงโม"ถูกฆาตกรรม มีเงื่อนงำพิรุธ
    .
    ที่ผ่านมา ผมพูดถึงประเด็นไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับคดีการเสียชีวิตของน้องแตงโม ภัทริดา ผมพูดเรื่องนี้มาเมื่อ 2 ปี 9 เดือนที่แล้ว ผมเป็นสื่อมวลชนเพียงคนเดียวในประเทศไทยที่ใช้สัญชาติญาณบวกกับลางสังหรณ์ของตัวเองฟันธงลงไปว่า "แตงโม" เสียชีวิตจากเหตุฆาตกรรมอำพราง เธอไม่ได้ตายเพราะตกน้ำ โดนใบพัดปั่นที่ขา ระหว่างนั่งปัสสาวะที่ท้ายเรือแต่อย่างใด
    .
    ผมได้กลิ่นความไม่ชอบมาพากลคล้ายๆกันคดีบอส อยู่วิทยา คือ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ในเวลานั้น ออกแอกชันลงมาควบคุมการสอบสวนด้วยตัวเอง แม้แตงโมจะเป็นดาราดัง เป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ แต่ผมได้กลิ่นตุๆ อย่างผิดวิสัย ว่าทำไมระดับ ผบ.ตร. ถึงลงมาทำคดีนี้ด้วยตัวเอง ตำรวจระดับล่างทำไม่ได้หรือ เพราะถ้าคุณมั่นใจว่าเป็นเรื่องคนตกน้ำตาย
    .
    วันนี้ พ.อ.นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ อดีตศัลยแพทย์ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า หอบเอกสารหลักฐานชิ้นใหญ่หลายอย่างที่ได้มาจากการสืบสวนสอบสวนของตำรวจ การหาข้อมูลเชิงเทคนิคตามหลักวิทยาศาสตร์ เอาเข้ามาให้กับอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กับทีมงาน "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ช่วยพิจารณา เพื่อยืนยันว่าลางสังหรณ์จากสัญชาติญาณของผมมันเป็นความจริง
    .
    แต่ที่ผมพูดวันนี้ ผมพูดจากคำพิพากษาของศาลยกฟ้องคดีหมิ่นประมาทที่ตำรวจ 21 นายฟ้องคุณอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ว่า การสืบสวนสอบสวนของตำรวจนั้น พยานหลักฐานการตายล้วนมีเงื่อนงำและมีพิรุธมากมาย นี่ผมไม่ได้เขียนเองหรือพูดเองนะ เป็นข้อความที่ระบุในคำพิพากษาศาลจริงๆ
    .
    ทำไมศาลจึงให้เหตุผลในคำพิพากษายกฟ้องนายอัจฉริยะ กับพวก แบบนี้ ? หลายๆ คนคงอยากรู้แล้วใช่ไหม เอาเป็นว่าคดีแตงโมนั้นมีพิรุธ มีเงื่อนงำอยู่มากมาย อยากรู้ต้องไปติดตามอาจารย์ปานเทพ อาจารย์ยิปมันของผม แห่งบ้านพระอาทิตย์ สัปดาห์หน้าน่าจะมีคำพูดใหม่ๆ เพียบ ที่คุณไม่เคยรับรู้มาก่อน
    ฟันธง“แตงโม"ถูกฆาตกรรม มีเงื่อนงำพิรุธ . ที่ผ่านมา ผมพูดถึงประเด็นไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับคดีการเสียชีวิตของน้องแตงโม ภัทริดา ผมพูดเรื่องนี้มาเมื่อ 2 ปี 9 เดือนที่แล้ว ผมเป็นสื่อมวลชนเพียงคนเดียวในประเทศไทยที่ใช้สัญชาติญาณบวกกับลางสังหรณ์ของตัวเองฟันธงลงไปว่า "แตงโม" เสียชีวิตจากเหตุฆาตกรรมอำพราง เธอไม่ได้ตายเพราะตกน้ำ โดนใบพัดปั่นที่ขา ระหว่างนั่งปัสสาวะที่ท้ายเรือแต่อย่างใด . ผมได้กลิ่นความไม่ชอบมาพากลคล้ายๆกันคดีบอส อยู่วิทยา คือ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ในเวลานั้น ออกแอกชันลงมาควบคุมการสอบสวนด้วยตัวเอง แม้แตงโมจะเป็นดาราดัง เป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ แต่ผมได้กลิ่นตุๆ อย่างผิดวิสัย ว่าทำไมระดับ ผบ.ตร. ถึงลงมาทำคดีนี้ด้วยตัวเอง ตำรวจระดับล่างทำไม่ได้หรือ เพราะถ้าคุณมั่นใจว่าเป็นเรื่องคนตกน้ำตาย . วันนี้ พ.อ.นพ.ธวัชชัย กาญจนรินทร์ อดีตศัลยแพทย์ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า หอบเอกสารหลักฐานชิ้นใหญ่หลายอย่างที่ได้มาจากการสืบสวนสอบสวนของตำรวจ การหาข้อมูลเชิงเทคนิคตามหลักวิทยาศาสตร์ เอาเข้ามาให้กับอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ กับทีมงาน "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ช่วยพิจารณา เพื่อยืนยันว่าลางสังหรณ์จากสัญชาติญาณของผมมันเป็นความจริง . แต่ที่ผมพูดวันนี้ ผมพูดจากคำพิพากษาของศาลยกฟ้องคดีหมิ่นประมาทที่ตำรวจ 21 นายฟ้องคุณอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ว่า การสืบสวนสอบสวนของตำรวจนั้น พยานหลักฐานการตายล้วนมีเงื่อนงำและมีพิรุธมากมาย นี่ผมไม่ได้เขียนเองหรือพูดเองนะ เป็นข้อความที่ระบุในคำพิพากษาศาลจริงๆ . ทำไมศาลจึงให้เหตุผลในคำพิพากษายกฟ้องนายอัจฉริยะ กับพวก แบบนี้ ? หลายๆ คนคงอยากรู้แล้วใช่ไหม เอาเป็นว่าคดีแตงโมนั้นมีพิรุธ มีเงื่อนงำอยู่มากมาย อยากรู้ต้องไปติดตามอาจารย์ปานเทพ อาจารย์ยิปมันของผม แห่งบ้านพระอาทิตย์ สัปดาห์หน้าน่าจะมีคำพูดใหม่ๆ เพียบ ที่คุณไม่เคยรับรู้มาก่อน
    Like
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 574 มุมมอง 0 รีวิว
  • เกียว​โด​นิวส์​ (13​ ธ.ค.)​ ศาลฎีกาญี่ปุ่นตัดสินเมื่อวันศุกร์ว่า การห้ามการแต่งงานของเพศเดียวกันนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ แต่ยังคงยืนตามคำตัดสินของศาลชั้นต้นที่ยกฟ้องการเรียกร้องค่าเสียหายของโจทก์

    ศาลฎีกาฟุกุโอกะเป็นศาลฎีกาแห่งที่ 3 ที่ตัดสินว่าการห้ามสิทธิ​ดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ ศาลชั้นต้นกล่าวเมื่อปีที่แล้วว่า​ การห้ามการแต่งงานของเพศเดียวกันอยู่ใน "สถานะที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ" ซึ่งถือเป็นการเรียกร้องให้สภานิติบัญญัติแก้ไขกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ

    คู่รักเพศเดียวกัน 3 คู่จากฟุกุโอกะ และคุมาโมโตะทางตะวันตกเฉียงใต้ของญี่ปุ่นเรียกร้องเงิน 1 ล้านเยน (6,540 ดอลลาร์) ต่อคน โดยพวกเขาโต้แย้งว่าบทบัญญัติของกฎหมายแพ่งที่ห้ามการแต่งงานของเพศเดียวกันนั้นละเมิดสิทธิความเท่าเทียมกันภายใต้รัฐธรรมนูญ และการรับรองเสรีภาพในการสมรส

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/japan/detail/9670000119677

    #MGROnline #ศาลฎีกาญี่ปุ่น #การห้ามการแต่งงาน #เพศเดียวกัน #ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
    เกียว​โด​นิวส์​ (13​ ธ.ค.)​ ศาลฎีกาญี่ปุ่นตัดสินเมื่อวันศุกร์ว่า การห้ามการแต่งงานของเพศเดียวกันนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ แต่ยังคงยืนตามคำตัดสินของศาลชั้นต้นที่ยกฟ้องการเรียกร้องค่าเสียหายของโจทก์ • ศาลฎีกาฟุกุโอกะเป็นศาลฎีกาแห่งที่ 3 ที่ตัดสินว่าการห้ามสิทธิ​ดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ ศาลชั้นต้นกล่าวเมื่อปีที่แล้วว่า​ การห้ามการแต่งงานของเพศเดียวกันอยู่ใน "สถานะที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ" ซึ่งถือเป็นการเรียกร้องให้สภานิติบัญญัติแก้ไขกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ • คู่รักเพศเดียวกัน 3 คู่จากฟุกุโอกะ และคุมาโมโตะทางตะวันตกเฉียงใต้ของญี่ปุ่นเรียกร้องเงิน 1 ล้านเยน (6,540 ดอลลาร์) ต่อคน โดยพวกเขาโต้แย้งว่าบทบัญญัติของกฎหมายแพ่งที่ห้ามการแต่งงานของเพศเดียวกันนั้นละเมิดสิทธิความเท่าเทียมกันภายใต้รัฐธรรมนูญ และการรับรองเสรีภาพในการสมรส • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/japan/detail/9670000119677 • #MGROnline #ศาลฎีกาญี่ปุ่น #การห้ามการแต่งงาน #เพศเดียวกัน #ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 206 มุมมอง 0 รีวิว
  • 11 ธันวาคม 2567-รายงานข่าวด่วนระบุว่าคนร้ายบุกกระหน่ำ ยิงบ้าน กนกวรรณ วิลาวัลย์ อดีต รมช.ศธ.เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดเหตุคนร้ายไม่ทราบจำนวน บุกบ้านนายสุนทร วิลาวัลย์ และนางกนกวรรณ วิลาวัลย์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการศึกษาธิการ ใน จ.ปราจีนบุรี ก่อนมีเสียงอาวุธปืนดังขึ้นในบ้านจำนวนหลายนัดผู้สื่อข่าวรายงานว่า เบื้องต้นมีรายงานแจ้งว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย แต่ยังไม่สามารถนำออกมาได้ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมด้วยลูกน้องของนักการเมืองได้เข้าตรวจสอบ พร้อมปิดล้อมบ้านหลังดังกล่าวพล.ต.ต.ภูมินทร์ สิงหสุต ผบก.ภ.จว.ปราจีนบุรี เปิดเผยถึงประเด็นดังกล่าวว่า วันนี้ทางผู้การพิสูจน์หลักฐานภาค 2 ขนทีมใหญ่ลงมาทำการตรวจสอบจุดเกิดเหตุด้วยตัวเอง เบื้องต้นจากการตรวจสอบเมื่อคืน มีปลอกกระสุนและมีอาวุธปืนตกอยู่ในที่เกิดเหตุ โดยทางพิสูจน์หลักฐานภาค 2 จะลงมาทำการตรวจสอบหาวิธีกระสุนอย่างละเอียดเพิ่มเติม หลักๆการตรวจสอบวิถีกระสุนก็คือ จะอยู่ในที่เกิดเหตุด้านในบ้านจากการสอบสวนผู้ที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ก็มีผู้ที่รับสารภาพและไม่รับสารภาพ แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะเปิดเผยรายละเอียดได้เยอะ แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้กล่าวหากับผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เป็นผู้ก่อเหตุทั้งหมด และเชื่อว่ามีการสั่งการ ส่วนปมการสังหารในครั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งประเด็นไว้ว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับการวางตัวผู้ลงสมัครนายก อบจ.ไว้ ล่าสุดในรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ทางช่อง 3HD นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ดำเนินรายการ ได้เปิดคลิปเสียงคล้ายกับเสียงของ สจ.โต้ง กำลังโต้เถียงกับนาย ส. ซึ่งมีการระบุว่าคลิปเสียงนี้เป็นเหตุการณ์ก่อนที่จะเกิดการสังหารโหดขึ้นโดยในคลิปนั้นเป็นการพูดคุยโต้เถียงกันเรื่องของการลงสมัครเลือกตั้งท้องถิ่น โดย สจ.โต้ง พยายามถามว่า “โก จะลงไหม จะเอายังไง โก รู้หน้าที่ดีไหม ต้องทำยังไง เวลา โก มีเรื่อง ผมเข้าไปหาไปช่วย โก ทุกครั้ง คราวนี้ผมต้องเข้ามาหาโกเหรอ ผมบอกโกว่าไง ผมไม่ต้องมาหาโก โกมีหน้าที่ต้องมาช่วยผมเอง”“โกจะลงโกลงไปเลย (คู่สนทนาบอกว่ากูไม่ลงหรอก) แล้วเราตั้งแต่วันนี้จะเหยียบครั้งนี้ครั้งสุดท้าย เพราะโกเป็นคนพูดว่า ผมไปเอาเงิน อบจ.ตรงไหน โก อย่ามาเรียกเงินผม 20 ล้าน เงิน 20 ล้าน ผมให้พ่อ”“ผมพูดหรือเปล่าว่าโกไม่ลงเลือกตั้ง (กูไม่อยากเป็นอยู่แล้ว) ผมทำอะไรให้โกบ้าง ผมทำอะไรให้โกมาทั้งชีวิต (กูรู้) ผมติดคุกมาโกไม่เคยช่วยเหลือผมเลย แล้วผมก็ไม่เคยพูดอะไรสักคำ แล้วครั้งนี้ผมมีโอกาสที่จะทำอย่างนี้ผมทำเพื่อใคร แต่โกโทรไปบอกพวกนายกฯ ทุกคน”“ไม่เป็นไร โทรไปเลย แข่งได้หมดเลย ทุกคนลงได้หมดเลย โกคิดให้ลึกๆ นะ”นอกจากนี้ยังมีบางช่วงที่ สจ.โต้งพูดถึงเรื่องของคดีเก่าที่ยกฟ้องไปด้วย “โกจะให้ผมโทรไปหานายฯ อ. ให้น้องสาว 2 ล้าน ผมถามว่า 2 ล้านแล้วคดีเขาที่ผมโดนไป 5 ล้าน ผมจ่ายให้เขาไป 5 ล้านที่คดีเขายกฟ้องนี่ ผมถามโกจากจริงเลยนะ ตั้งแต่ผมมาอยู่กับโก ผมเคยสร้างความชิบหายตรงไหนให้โกบ้าง (มึงไม่เคยหรอก) แล้วพี่น้องผมทุกคนมีใครทำร้ายโกบ้าง แต่โกทำร้ายผมด้วยการกระทำ โทรไปหาคนนั้นคนนี้เขา แต่ผมไม่ได้พูดสักคำเลย มีคนเขาถามผมว่าถ้าโกลงจะทำยังไง ผมก็บอกมันว่าก็ไปถามโกดิ จะรู้ได้ยังไง”
    11 ธันวาคม 2567-รายงานข่าวด่วนระบุว่าคนร้ายบุกกระหน่ำ ยิงบ้าน กนกวรรณ วิลาวัลย์ อดีต รมช.ศธ.เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดเหตุคนร้ายไม่ทราบจำนวน บุกบ้านนายสุนทร วิลาวัลย์ และนางกนกวรรณ วิลาวัลย์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการศึกษาธิการ ใน จ.ปราจีนบุรี ก่อนมีเสียงอาวุธปืนดังขึ้นในบ้านจำนวนหลายนัดผู้สื่อข่าวรายงานว่า เบื้องต้นมีรายงานแจ้งว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย แต่ยังไม่สามารถนำออกมาได้ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมด้วยลูกน้องของนักการเมืองได้เข้าตรวจสอบ พร้อมปิดล้อมบ้านหลังดังกล่าวพล.ต.ต.ภูมินทร์ สิงหสุต ผบก.ภ.จว.ปราจีนบุรี เปิดเผยถึงประเด็นดังกล่าวว่า วันนี้ทางผู้การพิสูจน์หลักฐานภาค 2 ขนทีมใหญ่ลงมาทำการตรวจสอบจุดเกิดเหตุด้วยตัวเอง เบื้องต้นจากการตรวจสอบเมื่อคืน มีปลอกกระสุนและมีอาวุธปืนตกอยู่ในที่เกิดเหตุ โดยทางพิสูจน์หลักฐานภาค 2 จะลงมาทำการตรวจสอบหาวิธีกระสุนอย่างละเอียดเพิ่มเติม หลักๆการตรวจสอบวิถีกระสุนก็คือ จะอยู่ในที่เกิดเหตุด้านในบ้านจากการสอบสวนผู้ที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ก็มีผู้ที่รับสารภาพและไม่รับสารภาพ แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะเปิดเผยรายละเอียดได้เยอะ แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้กล่าวหากับผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เป็นผู้ก่อเหตุทั้งหมด และเชื่อว่ามีการสั่งการ ส่วนปมการสังหารในครั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งประเด็นไว้ว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับการวางตัวผู้ลงสมัครนายก อบจ.ไว้ ล่าสุดในรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ทางช่อง 3HD นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ดำเนินรายการ ได้เปิดคลิปเสียงคล้ายกับเสียงของ สจ.โต้ง กำลังโต้เถียงกับนาย ส. ซึ่งมีการระบุว่าคลิปเสียงนี้เป็นเหตุการณ์ก่อนที่จะเกิดการสังหารโหดขึ้นโดยในคลิปนั้นเป็นการพูดคุยโต้เถียงกันเรื่องของการลงสมัครเลือกตั้งท้องถิ่น โดย สจ.โต้ง พยายามถามว่า “โก จะลงไหม จะเอายังไง โก รู้หน้าที่ดีไหม ต้องทำยังไง เวลา โก มีเรื่อง ผมเข้าไปหาไปช่วย โก ทุกครั้ง คราวนี้ผมต้องเข้ามาหาโกเหรอ ผมบอกโกว่าไง ผมไม่ต้องมาหาโก โกมีหน้าที่ต้องมาช่วยผมเอง”“โกจะลงโกลงไปเลย (คู่สนทนาบอกว่ากูไม่ลงหรอก) แล้วเราตั้งแต่วันนี้จะเหยียบครั้งนี้ครั้งสุดท้าย เพราะโกเป็นคนพูดว่า ผมไปเอาเงิน อบจ.ตรงไหน โก อย่ามาเรียกเงินผม 20 ล้าน เงิน 20 ล้าน ผมให้พ่อ”“ผมพูดหรือเปล่าว่าโกไม่ลงเลือกตั้ง (กูไม่อยากเป็นอยู่แล้ว) ผมทำอะไรให้โกบ้าง ผมทำอะไรให้โกมาทั้งชีวิต (กูรู้) ผมติดคุกมาโกไม่เคยช่วยเหลือผมเลย แล้วผมก็ไม่เคยพูดอะไรสักคำ แล้วครั้งนี้ผมมีโอกาสที่จะทำอย่างนี้ผมทำเพื่อใคร แต่โกโทรไปบอกพวกนายกฯ ทุกคน”“ไม่เป็นไร โทรไปเลย แข่งได้หมดเลย ทุกคนลงได้หมดเลย โกคิดให้ลึกๆ นะ”นอกจากนี้ยังมีบางช่วงที่ สจ.โต้งพูดถึงเรื่องของคดีเก่าที่ยกฟ้องไปด้วย “โกจะให้ผมโทรไปหานายฯ อ. ให้น้องสาว 2 ล้าน ผมถามว่า 2 ล้านแล้วคดีเขาที่ผมโดนไป 5 ล้าน ผมจ่ายให้เขาไป 5 ล้านที่คดีเขายกฟ้องนี่ ผมถามโกจากจริงเลยนะ ตั้งแต่ผมมาอยู่กับโก ผมเคยสร้างความชิบหายตรงไหนให้โกบ้าง (มึงไม่เคยหรอก) แล้วพี่น้องผมทุกคนมีใครทำร้ายโกบ้าง แต่โกทำร้ายผมด้วยการกระทำ โทรไปหาคนนั้นคนนี้เขา แต่ผมไม่ได้พูดสักคำเลย มีคนเขาถามผมว่าถ้าโกลงจะทำยังไง ผมก็บอกมันว่าก็ไปถามโกดิ จะรู้ได้ยังไง”
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 280 มุมมอง 0 รีวิว
  • เลียนแบบ888มาเก๊าเป็นมากัว ไม่รอดตำรวจไซเบอร์

    ก่อนหน้านี้เคยมีเครือข่ายการพนันออนไลน์รายใหญ่ที่มีชื่อเสียงในไทย นามว่า มาเก๊า 888 (Macau 888) สร้างปรากฎการณ์ด้วยการแต่งเพลง "มาเก๊า 888" โดยแมคคิง หรือนายอนุวัฒน์ คำยา พร้อมกับเอ็มวีที่มีนางแบบสาวสุดเซ็กซี่ร่วมแสดง กลายเป็นที่เข้าถึงแม้แต่เยาวชนจนน่าเป็นห่วง แต่แล้วถึงกาลอวสาน เมื่อปี 2566 นักแสดงสาว ดิว อริสรา ทองบริสุทธิ์ โพสต์เฟซบุ๊กแฉอดีตคนรัก ที่บ้านทำเว็บพนันรายใหญ่ และหนึ่งในพี่น้องกำลังจะแต่งงาน ซึ่งระบุว่าเป็นเครือข่ายมาเก๊า 888 แม้ตำรวจจะจับกุมอดีตคนรักมาดำเนินคดี แต่เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. ศาลอาญาพิพากษาจำคุกจำเลย 7 คน แต่อดีตคนรักรายนั้นยกฟ้อง

    ถึงกระนั้น 888 กลายเป็นเลขที่เครือข่ายการพนันและธุรกิจสีเทานำมาใช้ เพราะเชื่อว่าเป็นเลขที่นำพาไปสู่ความร่ำรวย แม้ในสายตาคนทั่วไป เลข 888 ลามไปถึงเลข 777 และ 999 ต้องมีคนคิดดีไม่ได้เลยก็ตาม

    การจับกุมเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ มากัว 888 (Macua 888) โดยกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) หรือตำรวจไซเบอร์ ที่นำโดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รรท.ผบช.สอท. และคณะ ทีแรกนึกไปว่าเครือข่ายมาเก๊า 888 กลับมาอีกแล้วหรือ แต่ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ยืนยันว่า เป็นการตั้งชื่อให้คล้ายกับเว็บมาเก๊า 888 ที่มีการจับกุมก่อนหน้านี้ สลับตัวกันแค่ตัว A และ U ไม่ใช่เครือข่ายเดียวกัน เหตุผลเพราะมาเก๊า 888 เป็นเว็บที่มีชื่อเสียง โด่งดังในกลุ่มนักพนัน และดึงดูดนักพนันให้เข้าเว็บได้ง่ายขึ้น ก็เลยเลียนแบบ มีสมาชิกกว่า 117,000 คน ยอดเงินหมุนเวียนกว่า 360 ล้านบาท

    ผู้ต้องหาประกอบด้วย นายอังกฤษ บัวสาย อายุ 28 ปี เจ้าของเว็บพนัน นายภูมิรพี แสงวุธ อายุ 19 ปี แอดมินและดูแลการเงิน นายเจษฎา การภักดี อายุ 23 ปี น.ส.ณิรินทร์ญา ธนินเมธีเมศร์ อายุ 29 ปี ผู้ดูแลการเงิน และ น.ส.นฤมล ทรัพย์สุข อายุ 27 ปี แอดมินเว็บ พร้อมของกลางเงินสด 6 ล้านบาท รถยนต์หรู นาฬิกา กำไลข้อมือ กระเป๋าแบรนด์เนม อาวุธปืน 2 กระบอก โมเดลอาร์ตทอย มือถือ 22 เครื่อง คอมพิวเตอร์ 11 ชุด สมุดบัญชี 43 เล่ม และบัตรกดเงินสด 28 ใบ รวมมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังได้จับกุมเครือข่ายหวยใต้ดิน "ห้องซื้อเฮียดัง 888" อีกด้วย

    พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวว่า เลข 888 เป็นเลขที่มีความนิยม เพราะเมื่อเอาเลข 8 มาวางเป็นแนวนอนจะแปลเป็นเครื่องหมายอินฟินิตี้ในภาษาอังกฤษ แปลว่าไม่มีที่สิ้นสุด ที่หมายถึงตัวเจ้าของจะรวยไม่สิ้นสุด ส่วนคนเล่นจะจนลง จึงขอฝากเตือนไปยังประชาชนทุกคนว่า ไม่มีใครรวยจากเว็บพนัน คนที่รวยมีเพียงเจ้าของเว็บเท่านั้น

    #Newskit
    เลียนแบบ888มาเก๊าเป็นมากัว ไม่รอดตำรวจไซเบอร์ ก่อนหน้านี้เคยมีเครือข่ายการพนันออนไลน์รายใหญ่ที่มีชื่อเสียงในไทย นามว่า มาเก๊า 888 (Macau 888) สร้างปรากฎการณ์ด้วยการแต่งเพลง "มาเก๊า 888" โดยแมคคิง หรือนายอนุวัฒน์ คำยา พร้อมกับเอ็มวีที่มีนางแบบสาวสุดเซ็กซี่ร่วมแสดง กลายเป็นที่เข้าถึงแม้แต่เยาวชนจนน่าเป็นห่วง แต่แล้วถึงกาลอวสาน เมื่อปี 2566 นักแสดงสาว ดิว อริสรา ทองบริสุทธิ์ โพสต์เฟซบุ๊กแฉอดีตคนรัก ที่บ้านทำเว็บพนันรายใหญ่ และหนึ่งในพี่น้องกำลังจะแต่งงาน ซึ่งระบุว่าเป็นเครือข่ายมาเก๊า 888 แม้ตำรวจจะจับกุมอดีตคนรักมาดำเนินคดี แต่เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. ศาลอาญาพิพากษาจำคุกจำเลย 7 คน แต่อดีตคนรักรายนั้นยกฟ้อง ถึงกระนั้น 888 กลายเป็นเลขที่เครือข่ายการพนันและธุรกิจสีเทานำมาใช้ เพราะเชื่อว่าเป็นเลขที่นำพาไปสู่ความร่ำรวย แม้ในสายตาคนทั่วไป เลข 888 ลามไปถึงเลข 777 และ 999 ต้องมีคนคิดดีไม่ได้เลยก็ตาม การจับกุมเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ มากัว 888 (Macua 888) โดยกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) หรือตำรวจไซเบอร์ ที่นำโดย พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รรท.ผบช.สอท. และคณะ ทีแรกนึกไปว่าเครือข่ายมาเก๊า 888 กลับมาอีกแล้วหรือ แต่ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ยืนยันว่า เป็นการตั้งชื่อให้คล้ายกับเว็บมาเก๊า 888 ที่มีการจับกุมก่อนหน้านี้ สลับตัวกันแค่ตัว A และ U ไม่ใช่เครือข่ายเดียวกัน เหตุผลเพราะมาเก๊า 888 เป็นเว็บที่มีชื่อเสียง โด่งดังในกลุ่มนักพนัน และดึงดูดนักพนันให้เข้าเว็บได้ง่ายขึ้น ก็เลยเลียนแบบ มีสมาชิกกว่า 117,000 คน ยอดเงินหมุนเวียนกว่า 360 ล้านบาท ผู้ต้องหาประกอบด้วย นายอังกฤษ บัวสาย อายุ 28 ปี เจ้าของเว็บพนัน นายภูมิรพี แสงวุธ อายุ 19 ปี แอดมินและดูแลการเงิน นายเจษฎา การภักดี อายุ 23 ปี น.ส.ณิรินทร์ญา ธนินเมธีเมศร์ อายุ 29 ปี ผู้ดูแลการเงิน และ น.ส.นฤมล ทรัพย์สุข อายุ 27 ปี แอดมินเว็บ พร้อมของกลางเงินสด 6 ล้านบาท รถยนต์หรู นาฬิกา กำไลข้อมือ กระเป๋าแบรนด์เนม อาวุธปืน 2 กระบอก โมเดลอาร์ตทอย มือถือ 22 เครื่อง คอมพิวเตอร์ 11 ชุด สมุดบัญชี 43 เล่ม และบัตรกดเงินสด 28 ใบ รวมมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังได้จับกุมเครือข่ายหวยใต้ดิน "ห้องซื้อเฮียดัง 888" อีกด้วย พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวว่า เลข 888 เป็นเลขที่มีความนิยม เพราะเมื่อเอาเลข 8 มาวางเป็นแนวนอนจะแปลเป็นเครื่องหมายอินฟินิตี้ในภาษาอังกฤษ แปลว่าไม่มีที่สิ้นสุด ที่หมายถึงตัวเจ้าของจะรวยไม่สิ้นสุด ส่วนคนเล่นจะจนลง จึงขอฝากเตือนไปยังประชาชนทุกคนว่า ไม่มีใครรวยจากเว็บพนัน คนที่รวยมีเพียงเจ้าของเว็บเท่านั้น #Newskit
    Like
    Haha
    4
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 517 มุมมอง 0 รีวิว
  • "เอ็ม อภิดิศร์" ส่งทนายฟ้องหมิ่นประมาท ดาราสาว หลังศาลยกฟ้องคดีกล่าวหาละเมิดทางเพศเรียกค่าเสียหาย 5 ล้าน ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้อง 3 ก.พ.ปีหน้า

    เมื่อวันที่ 20 พ.ย.ที่ผ่านมา นายอภิดิศร์ หรือเอ็ม อินทุลักษณ์ อายุ 36 ปี นักธุรกิจและเป็นหลานชายอดีต รมว.ต่างประเทศที่ศาลอาญาพิพากษายกฟ้อง คดีถูกกล่าวหาละเมิดทางเพศ นักแสดงหญิง ส่งผู้รับมอบอำนาจเดินทางไปยื่นฟ้องอดีตนักแสดงสาว ชื่อย่อ ณ. ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา พร้อมเรียกค่าเสียหาย 5 ล้านบาท

    คำฟ้องสรุปว่า โจทก์เคยเป็นซีอีโอและประธานบริษัท Aphi Enterpriseซึ่งประกอบธุรกิจหลายอย่าง โดยเฉพาะธุรกิจนำเข้าศิลปินเกาหลีมาจัดคอนเสิร์ตในประเทศไทย รวมถึงการติดต่อธุรกิจอื่นๆ เกี่ยวกับประเทศเกาหลีใต้ และธุรกิจนำเข้าที่จอดรถเทคโนโลยีจากประเทศเยอรมัน

    จำเลยเป็นนักแสดงอิสระ ซึ่งได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับโจทก์
    ในฐานความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราและอื่น ๆ จนกระทั้งศาลนี้ ได้มีคำพิพากษา ยกฟ้องโจทกในคดีนี้ ไม่มีความผิดข้อ 2 เมื่อวันที่ 26 ส.ค.2565 จนถึงปัจจุบัน จำเลยนี้ได้กระทำความผิดอาญา อันเป็นความผิดหลายกรรมด้วย

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000117549

    #MGROnline #เอ็มอภิดิศร์ #หลานอดีตรมต #ดาราสาว #ศาล #ยกฟ้อง
    "เอ็ม อภิดิศร์" ส่งทนายฟ้องหมิ่นประมาท ดาราสาว หลังศาลยกฟ้องคดีกล่าวหาละเมิดทางเพศเรียกค่าเสียหาย 5 ล้าน ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้อง 3 ก.พ.ปีหน้า • เมื่อวันที่ 20 พ.ย.ที่ผ่านมา นายอภิดิศร์ หรือเอ็ม อินทุลักษณ์ อายุ 36 ปี นักธุรกิจและเป็นหลานชายอดีต รมว.ต่างประเทศที่ศาลอาญาพิพากษายกฟ้อง คดีถูกกล่าวหาละเมิดทางเพศ นักแสดงหญิง ส่งผู้รับมอบอำนาจเดินทางไปยื่นฟ้องอดีตนักแสดงสาว ชื่อย่อ ณ. ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา พร้อมเรียกค่าเสียหาย 5 ล้านบาท • คำฟ้องสรุปว่า โจทก์เคยเป็นซีอีโอและประธานบริษัท Aphi Enterpriseซึ่งประกอบธุรกิจหลายอย่าง โดยเฉพาะธุรกิจนำเข้าศิลปินเกาหลีมาจัดคอนเสิร์ตในประเทศไทย รวมถึงการติดต่อธุรกิจอื่นๆ เกี่ยวกับประเทศเกาหลีใต้ และธุรกิจนำเข้าที่จอดรถเทคโนโลยีจากประเทศเยอรมัน • จำเลยเป็นนักแสดงอิสระ ซึ่งได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับโจทก์ ในฐานความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราและอื่น ๆ จนกระทั้งศาลนี้ ได้มีคำพิพากษา ยกฟ้องโจทกในคดีนี้ ไม่มีความผิดข้อ 2 เมื่อวันที่ 26 ส.ค.2565 จนถึงปัจจุบัน จำเลยนี้ได้กระทำความผิดอาญา อันเป็นความผิดหลายกรรมด้วย • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000117549 • #MGROnline #เอ็มอภิดิศร์ #หลานอดีตรมต #ดาราสาว #ศาล #ยกฟ้อง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 282 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปิดฉากธุรกิจโกง! อดีต CEO Celsius สารภาพผิดโกงนักลงทุน 42 ล้านดอลลาร์ เสี่ยงคุก 30 ปีธันวาคม 4, 2024อเล็กซ์ มาชินสกี้ อดีตซีอีโอของบริษัท Celsius รับสารภาพกับอัยการสหรัฐฯ หลังจากทนายความของเขาแพ้ในการขอให้ยกฟ้องข้อกล่าวหาอาญาของเขาเมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ศาลแขวงสหรัฐสำหรับเขตใต้ของนิวยอร์ก มาชินสกี้ กล่าวว่าเขาจะรับสารภาพว่ามีความผิดฐานฉ้อโกงสินค้าโภคภัณฑ์และวางแผนฉ้อโกงในการควบคุมราคา CEL โทเค็น โดยอดีต CEO ของ Celsius ยอมรับว่าได้ให้คำกล่าวเท็จเกี่ยวกับโปรแกรม Earn ของแพลตฟอร์มและส่งเสริมให้นักลงทุนขาย Bitcoin ของตน ทำให้เขาได้รับกำไรประมาณ 42 ล้านดอลลาร์มาชินสกี้ กล่าวตามรายงานของ Inner City Press ว่า “ผมบอกว่า Celsius ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลแล้วซึ่งเป็นเรื่องเท็จ และผมพูดเท็จว่าผมไม่ได้ขายโทเค็น CEL ของผม ผมยอมรับความรับผิดชอบเต็มที่สำหรับการกระทำ”ตามคำกล่าวของผู้พิพากษา จอห์น โคลเติล ระบุว่า อดีต CEO ของ Celsius อาจต้องเผชิญกับโทษจำคุกสูงสุด 30 ปี หากได้รับโทษสูงสุดในข้อกล่าวหาทั้งสองข้อซึ่งถูกสั่งลงโทษติดต่อกันหลังจากรับสารภาพ มาชินสกี้ ถูกกำหนดให้รับโทษในวันที่ 8 เมษายน โดยในตอนแรก เขาให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว โดยมีข้อจำกัดในการเดินทางบางประการ โดยใช้เงินประกัน 40 ล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะเริ่มพิจารณาคดีในเดือนมกราคม 2025ข้อตกลงรับสารภาพดังกล่าวเกิดขึ้นประมาณหนึ่งเดือนหลังจากที่ทนายความของ มาชินสกี้ แพ้ในการยกฟ้องข้อกล่าวหา 2 กรณีที่อดีตซีอีโอรับสารภาพ โดยผู้พิพากษากล่าวเมื่อเดือนพฤศจิกายนว่าข้อโต้แย้งของทีมกฎหมายนั้น “ไร้เหตุผลหรือไม่มีเหตุผล” ซึ่งเป็นเหตุให้การพิจารณาคดีอาญาในเดือนมกราคมดำเนินต่อไปได้อ้างอิง : cointelegraph.comภาพ bloomberg.com
    ปิดฉากธุรกิจโกง! อดีต CEO Celsius สารภาพผิดโกงนักลงทุน 42 ล้านดอลลาร์ เสี่ยงคุก 30 ปีธันวาคม 4, 2024อเล็กซ์ มาชินสกี้ อดีตซีอีโอของบริษัท Celsius รับสารภาพกับอัยการสหรัฐฯ หลังจากทนายความของเขาแพ้ในการขอให้ยกฟ้องข้อกล่าวหาอาญาของเขาเมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ศาลแขวงสหรัฐสำหรับเขตใต้ของนิวยอร์ก มาชินสกี้ กล่าวว่าเขาจะรับสารภาพว่ามีความผิดฐานฉ้อโกงสินค้าโภคภัณฑ์และวางแผนฉ้อโกงในการควบคุมราคา CEL โทเค็น โดยอดีต CEO ของ Celsius ยอมรับว่าได้ให้คำกล่าวเท็จเกี่ยวกับโปรแกรม Earn ของแพลตฟอร์มและส่งเสริมให้นักลงทุนขาย Bitcoin ของตน ทำให้เขาได้รับกำไรประมาณ 42 ล้านดอลลาร์มาชินสกี้ กล่าวตามรายงานของ Inner City Press ว่า “ผมบอกว่า Celsius ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลแล้วซึ่งเป็นเรื่องเท็จ และผมพูดเท็จว่าผมไม่ได้ขายโทเค็น CEL ของผม ผมยอมรับความรับผิดชอบเต็มที่สำหรับการกระทำ”ตามคำกล่าวของผู้พิพากษา จอห์น โคลเติล ระบุว่า อดีต CEO ของ Celsius อาจต้องเผชิญกับโทษจำคุกสูงสุด 30 ปี หากได้รับโทษสูงสุดในข้อกล่าวหาทั้งสองข้อซึ่งถูกสั่งลงโทษติดต่อกันหลังจากรับสารภาพ มาชินสกี้ ถูกกำหนดให้รับโทษในวันที่ 8 เมษายน โดยในตอนแรก เขาให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว โดยมีข้อจำกัดในการเดินทางบางประการ โดยใช้เงินประกัน 40 ล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะเริ่มพิจารณาคดีในเดือนมกราคม 2025ข้อตกลงรับสารภาพดังกล่าวเกิดขึ้นประมาณหนึ่งเดือนหลังจากที่ทนายความของ มาชินสกี้ แพ้ในการยกฟ้องข้อกล่าวหา 2 กรณีที่อดีตซีอีโอรับสารภาพ โดยผู้พิพากษากล่าวเมื่อเดือนพฤศจิกายนว่าข้อโต้แย้งของทีมกฎหมายนั้น “ไร้เหตุผลหรือไม่มีเหตุผล” ซึ่งเป็นเหตุให้การพิจารณาคดีอาญาในเดือนมกราคมดำเนินต่อไปได้อ้างอิง : cointelegraph.comภาพ bloomberg.com
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 242 มุมมอง 0 รีวิว
  • ร.อ.ธีรศานต์ ทนายความ เผยหลังเข้าเยี่ยม "สามารถ" ถูกหามส่ง รพ.ราชทัณฑ์ ยังอดอาหาร มีแค่จิบน้ำหวานคุมระดับน้ำตาล เตรียมยื่นอุทธรณ์ประกันตัวอีกครั้ง ขอติด EM

    วันนี้ (29 พ.ย.) เวลา 10.00 น. ที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ร.อ.ธีรศานต์ แก้วสง ทนายความของ นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ต้องหาคดีร่วมกันและสมคบกันฟอกเงิน ออกมาเปิดเผยหลังเข้าเยี่ยม นายสามารถ หลังอดอาหารจนป่วยต้องส่งมารักษาตัว ตั้งแต่ช่วงเย็นของวันที่ 27 พ.ย.ที่ผ่านมา ว่า วันนี้อาการ นายสามารถ ยังนั่งรถวิลแชร์มีเจ้าหน้าที่ช่วยเข็นรถให้ ออกมาพูดคุยกับตนในห้องทนายความ แต่พบว่ามีอาการน้ำตาลตก ค่าประมาณ 74 ทางพยาบาลได้ให้จิบน้ำหวานบ้างควบคุมระดับน้ำตาลกันอาการช็อค ส่วนอาหารและน้ำยังอดเหมือนเดิม

    ร.อ.ธีรศานต์ กล่าวว่า ตนในฐานะทนายก็อยากให้ส่งรักษาโรงพยาบาลข้างนอกตามสิทธิประกันของ นายสามารถ รวมทั้งในความเป็นจริงไม่อยากให้อดข้าวอดน้ำ ยิ่งสุขภาพแย่ยิ่งทำงานยากขึ้น เมื่อป่วยถึงขั้นเสียชีวิตก็ไม่เป็นผลดีต่อคดี เพราะในปัจจุบันต้องมีชีวิตเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม ส่วนคุณแม่ยังไม่มาเยี่ยม แค่ฝากบอกอยากให้กลับมากินข้าวกินน้ำเหมือนเดิม ทั้งนี้ ทางโรงพยาบาลจะมีแพทย์วินิจฉัยอาการป่วยถ้าอาการดีขึ้นก็จะส่งตัวกลับเรือนจำฯ ทันทีเพราะกลัวกระแสกดดัน แต่ตนดูจากอาการอยากให้อยู่โรงพยาบาลก่อน นอกจากนี้ ปัจจุบันหลายคดีความส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการตัดสินจากศาลว่าผิดหรือไม่ผิด และไม่ได้รับการประกันตัวแต่ต้องต่อสู้คดีในเรือนจำ หากเมื่อศาลยกฟ้องแล้ว แต่สิ่งที่สูญเสียแล้วกลับคืนมาไม่ได้ เช่น ครอบครัว บ้าน และการเยียวยาก็ไม่คุ้มค่า

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/crime/detail/9670000114883

    #MGROnline #สามารถ
    ร.อ.ธีรศานต์ ทนายความ เผยหลังเข้าเยี่ยม "สามารถ" ถูกหามส่ง รพ.ราชทัณฑ์ ยังอดอาหาร มีแค่จิบน้ำหวานคุมระดับน้ำตาล เตรียมยื่นอุทธรณ์ประกันตัวอีกครั้ง ขอติด EM • วันนี้ (29 พ.ย.) เวลา 10.00 น. ที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ร.อ.ธีรศานต์ แก้วสง ทนายความของ นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ต้องหาคดีร่วมกันและสมคบกันฟอกเงิน ออกมาเปิดเผยหลังเข้าเยี่ยม นายสามารถ หลังอดอาหารจนป่วยต้องส่งมารักษาตัว ตั้งแต่ช่วงเย็นของวันที่ 27 พ.ย.ที่ผ่านมา ว่า วันนี้อาการ นายสามารถ ยังนั่งรถวิลแชร์มีเจ้าหน้าที่ช่วยเข็นรถให้ ออกมาพูดคุยกับตนในห้องทนายความ แต่พบว่ามีอาการน้ำตาลตก ค่าประมาณ 74 ทางพยาบาลได้ให้จิบน้ำหวานบ้างควบคุมระดับน้ำตาลกันอาการช็อค ส่วนอาหารและน้ำยังอดเหมือนเดิม • ร.อ.ธีรศานต์ กล่าวว่า ตนในฐานะทนายก็อยากให้ส่งรักษาโรงพยาบาลข้างนอกตามสิทธิประกันของ นายสามารถ รวมทั้งในความเป็นจริงไม่อยากให้อดข้าวอดน้ำ ยิ่งสุขภาพแย่ยิ่งทำงานยากขึ้น เมื่อป่วยถึงขั้นเสียชีวิตก็ไม่เป็นผลดีต่อคดี เพราะในปัจจุบันต้องมีชีวิตเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม ส่วนคุณแม่ยังไม่มาเยี่ยม แค่ฝากบอกอยากให้กลับมากินข้าวกินน้ำเหมือนเดิม ทั้งนี้ ทางโรงพยาบาลจะมีแพทย์วินิจฉัยอาการป่วยถ้าอาการดีขึ้นก็จะส่งตัวกลับเรือนจำฯ ทันทีเพราะกลัวกระแสกดดัน แต่ตนดูจากอาการอยากให้อยู่โรงพยาบาลก่อน นอกจากนี้ ปัจจุบันหลายคดีความส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการตัดสินจากศาลว่าผิดหรือไม่ผิด และไม่ได้รับการประกันตัวแต่ต้องต่อสู้คดีในเรือนจำ หากเมื่อศาลยกฟ้องแล้ว แต่สิ่งที่สูญเสียแล้วกลับคืนมาไม่ได้ เช่น ครอบครัว บ้าน และการเยียวยาก็ไม่คุ้มค่า • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/crime/detail/9670000114883 • #MGROnline #สามารถ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 302 มุมมอง 0 รีวิว
  • อาจารย์อ๊อดเผย ทนายรัฐฉานขอไกล่เกลี่ยคดีที่อาจารย์อ๊อดฟ้องกลับข้อหาฟ้องเท็จ แถมขอไกล่เกลี่ยแบบอีแอบ ตอนเจอหน้าไม่ยอมพูดเอง แต่ให้ลูกน้องมาขอไกล่เกลี่ย แต่อาจารย์อ๊อดยืนยันไม่เกลี่ยแน่ เพราะไอ่ถั่วดำทำไว้แสบ ฟ้องอาจารย์อุดตลุด แต่ศาลยกฟ้อง ไม่รับอุทธรณ์ ไอ่รัฐฉานเลยมาขอยอมความ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง-2
    อาจารย์อ๊อดเผย ทนายรัฐฉานขอไกล่เกลี่ยคดีที่อาจารย์อ๊อดฟ้องกลับข้อหาฟ้องเท็จ แถมขอไกล่เกลี่ยแบบอีแอบ ตอนเจอหน้าไม่ยอมพูดเอง แต่ให้ลูกน้องมาขอไกล่เกลี่ย แต่อาจารย์อ๊อดยืนยันไม่เกลี่ยแน่ เพราะไอ่ถั่วดำทำไว้แสบ ฟ้องอาจารย์อุดตลุด แต่ศาลยกฟ้อง ไม่รับอุทธรณ์ ไอ่รัฐฉานเลยมาขอยอมความ #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง-2
    Like
    Haha
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 248 มุมมอง 0 รีวิว
  • โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียเยาะเย้ยระบบยุติธรรมของสหรัฐฯ หลังจากกระทรวงยุติธรรมยกเลิกข้อกล่าวหาทางอาญาต่อทรัมป์

    การตัดสินใจของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ที่จะยอมความในคดีอาญาทั้งหมดนอกศาลต่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมของสหรัฐฯ มี "ลักษณะวงจรที่น่าทึ่ง", โฆษกกระทรวงต่างประเทศรัสเซีย มาเรีย ซาคาโรวา กล่าว

    “เพราะคุณได้คิดมันออกแล้ว, ใช่ไหม? ความยุติธรรมในระบอบประชาธิปไตยของสหรัฐฯ มีลักษณะเป็นวัฏจักรที่น่าทึ่ง - ทุกๆ ๔ ปี, ความยุติธรรมจะแสดงออกมาอย่างชัดเจน ลำดับแรก, ก่อนการเลือกตั้ง, และทันทีหลังจากนั้น, ผลลัพธ์ก็ออกมาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงถึงสองครั้ง นี่คือสิ่งที่ประชาธิปไตยของสหรัฐฯเป็น,” ซาคาโรวา กล่าวบน Telegram

    ก่อนหน้านี้ แจ็ค สมิธ อัยการพิเศษของสหรัฐฯ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลแขวงประจำเขตโคลัมเบียให้ยกฟ้องคดีที่นายทรัมป์ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุจลาจลที่อาคารรัฐสภาเมื่อปี ๒๐๒๑ ซึ่งทำให้นายทรัมป์กลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯคนแรกที่ถูกสอบสวนและถูกตัดสินว่ามีความผิด
    .
    RUSSIA'S FM SPOKESWOMAN MOCKS US JUSTICE SYSTEM AFTER DOJ DROPS CRIMINAL CHARGES AGAINST TRUMP

    The US Department of Justice's (DOJ) decision to settle all federal offenses out of court against US President-elect Donald Trump demonstrates the "amazing cyclical nature" of US justice, Russian Foreign Ministry spokeswoman Maria Zakharova said.

    "Because you have figured it out, right? US democratic justice has an amazing cyclical nature - every 4 years, it demonstrates absolute impartiality. First, before the election, and then immediately after, with two completely different results. This is what US democracy is all about," Zakharova said on Telegram.

    US Special Counsel Jack Smith has earlier asked the District Court for the District of Columbia to dismiss the case against Trump regarding his alleged role in the Capitol riot of 2021. This makes Trump the first US president-elect into whom probes have been launched and against whom a verdict has been returned.
    .
    2:08 PM · Nov 26, 2024 · 2,448 Views
    https://x.com/SputnikInt/status/1861306036516221164
    โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียเยาะเย้ยระบบยุติธรรมของสหรัฐฯ หลังจากกระทรวงยุติธรรมยกเลิกข้อกล่าวหาทางอาญาต่อทรัมป์ การตัดสินใจของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ที่จะยอมความในคดีอาญาทั้งหมดนอกศาลต่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมของสหรัฐฯ มี "ลักษณะวงจรที่น่าทึ่ง", โฆษกกระทรวงต่างประเทศรัสเซีย มาเรีย ซาคาโรวา กล่าว “เพราะคุณได้คิดมันออกแล้ว, ใช่ไหม? ความยุติธรรมในระบอบประชาธิปไตยของสหรัฐฯ มีลักษณะเป็นวัฏจักรที่น่าทึ่ง - ทุกๆ ๔ ปี, ความยุติธรรมจะแสดงออกมาอย่างชัดเจน ลำดับแรก, ก่อนการเลือกตั้ง, และทันทีหลังจากนั้น, ผลลัพธ์ก็ออกมาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงถึงสองครั้ง นี่คือสิ่งที่ประชาธิปไตยของสหรัฐฯเป็น,” ซาคาโรวา กล่าวบน Telegram ก่อนหน้านี้ แจ็ค สมิธ อัยการพิเศษของสหรัฐฯ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลแขวงประจำเขตโคลัมเบียให้ยกฟ้องคดีที่นายทรัมป์ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุจลาจลที่อาคารรัฐสภาเมื่อปี ๒๐๒๑ ซึ่งทำให้นายทรัมป์กลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯคนแรกที่ถูกสอบสวนและถูกตัดสินว่ามีความผิด . RUSSIA'S FM SPOKESWOMAN MOCKS US JUSTICE SYSTEM AFTER DOJ DROPS CRIMINAL CHARGES AGAINST TRUMP The US Department of Justice's (DOJ) decision to settle all federal offenses out of court against US President-elect Donald Trump demonstrates the "amazing cyclical nature" of US justice, Russian Foreign Ministry spokeswoman Maria Zakharova said. "Because you have figured it out, right? US democratic justice has an amazing cyclical nature - every 4 years, it demonstrates absolute impartiality. First, before the election, and then immediately after, with two completely different results. This is what US democracy is all about," Zakharova said on Telegram. US Special Counsel Jack Smith has earlier asked the District Court for the District of Columbia to dismiss the case against Trump regarding his alleged role in the Capitol riot of 2021. This makes Trump the first US president-elect into whom probes have been launched and against whom a verdict has been returned. . 2:08 PM · Nov 26, 2024 · 2,448 Views https://x.com/SputnikInt/status/1861306036516221164
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 519 มุมมอง 0 รีวิว
  • #มีแฟนเพจถามมาเยอะครับ
    ว่าทำไม ทนายคนนี้ถึงวันๆ
    เอาแต่ว่าคนนั้นว่าคนนี้
    กับไลฟ์สดหลงตัวเองไปวันๆ
    เค้าไม่ไปว่าความเหรอครับ
    - เอ่อ คำถามนี้ตอบยากครับ
    แต่ก็เห็นแกใช้ชีวิตอยู่บนโซเชียลแทบตลอด 24 ชม
    เกาะกระแสทุกเหตุการณ์ แบบแสงต้องไม่ขาด
    ก็เห็นจะมีเรื่องนี้แหละ ที่ไปฟ๊องทนายนิด้า
    แต่ทนายนิด้าแม่นกฏหมายกว่า
    ศาลยกฟ๊อง เดถือว่าแพ้สะเด็ดน้ำ
    ไม่เห็นเก่งเหมือนปากที่เห่าหอนเลย
    เหมือนเป็นแค่ชายชราที่ติดโซเชียล
    เรียกร้องความสนใจไปวันๆ
    หาสาระประโยชน์ เฮี้ยอะไรไม่ได้
    จากคนนี้จริงๆ
    ไอ่ฉัด
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง-2
    #มีแฟนเพจถามมาเยอะครับ ว่าทำไม ทนายคนนี้ถึงวันๆ เอาแต่ว่าคนนั้นว่าคนนี้ กับไลฟ์สดหลงตัวเองไปวันๆ เค้าไม่ไปว่าความเหรอครับ - เอ่อ คำถามนี้ตอบยากครับ แต่ก็เห็นแกใช้ชีวิตอยู่บนโซเชียลแทบตลอด 24 ชม เกาะกระแสทุกเหตุการณ์ แบบแสงต้องไม่ขาด ก็เห็นจะมีเรื่องนี้แหละ ที่ไปฟ๊องทนายนิด้า แต่ทนายนิด้าแม่นกฏหมายกว่า ศาลยกฟ๊อง เดถือว่าแพ้สะเด็ดน้ำ ไม่เห็นเก่งเหมือนปากที่เห่าหอนเลย เหมือนเป็นแค่ชายชราที่ติดโซเชียล เรียกร้องความสนใจไปวันๆ หาสาระประโยชน์ เฮี้ยอะไรไม่ได้ จากคนนี้จริงๆ ไอ่ฉัด #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง-2
    Haha
    Like
    Wow
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 328 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔸️นับตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา ปริมาณอะลูมิเนียมในวัคซีนสำหรับเด็กเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเพิ่มขึ้นเป็นสี่เท่าของปริมาณทั้งหมด
    ในขณะเดียวกัน การวินิจฉัยโรคออทิซึมก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 27,000%
    https://thepeoplesvoice.tv/aluminum-levels-in-childhood.../
    ในขณะที่การเพิ่มขึ้นของอะลูมิเนียมในวัคซีนมักเกี่ยวข้องกับบทบาทของอะลูมิเนียมในฐานะสารเสริมภูมิคุ้มกัน—ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อวัคซีนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น—การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างส่วนประกอบของวัคซีนและอัตราการเกิดออทิซึมที่เพิ่มมากขึ้น
    อัตราการเกิดโรคออทิซึมในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1980 เมื่อครั้งนั้น อัตราการวินิจฉัยโรคออทิซึมโดยประมาณอยู่ที่ 1 ใน 10,000 เด็ก ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 อัตราดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 1 ใน 150 และข้อมูลล่าสุดจากปี 2023 ระบุว่าอัตราดังกล่าวอยู่ที่ 1 ใน 36 เด็ก
    ดร. คริส เอ็กซ์ลีย์ จากมหาวิทยาลัยคีลในอังกฤษและเพื่อนร่วมงานได้ตีพิมพ์งานวิจัยที่ทำการศึกษาเนื้อเยื่อสมองของผู้ป่วยออทิสติกเป็นครั้งแรก เพื่อตรวจสอบระดับอะลูมิเนียม (หมายเหตุ: ในสหราชอาณาจักรผู้ป่วยสะกดคำว่า “อะลูมิเนียม” เป็น “อะลูมิเนียม”) ที่พบในเนื้อเยื่อสมอง
    สำหรับใครก็ตามที่พยายามจะโน้มน้าวโลกให้เชื่อว่า “วิทยาศาสตร์ได้รับการพิสูจน์แล้วและวัคซีนไม่ได้ทำให้เกิดโรคออทิซึม” ผลการศึกษานี้ขัดแย้งกับคำกล่าวนี้อย่างมาก
    ในโพสต์บล็อกที่เขียนโดยศาสตราจารย์เอ็กซ์ลีย์ในวันที่ผลการศึกษาของเขาได้รับการตีพิมพ์
    เขาได้อธิบายผลลัพธ์อันล้ำสมัยดังต่อไปนี้:
    “…ในขณะที่ปริมาณอะลูมิเนียมในสมองของผู้ป่วยออทิสติกทั้ง 5 รายนั้นสูงอย่างน่าตกใจ แต่ตำแหน่งในเนื้อเยื่อสมองต่างหากที่เป็นจุดสังเกตที่โดดเด่น…หลักฐานใหม่ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอะลูมิเนียมเข้าสู่สมองของผู้ป่วย ASD [กลุ่มอาการออทิสติก] ผ่านทางเซลล์ที่ก่อให้เกิดการอักเสบซึ่งมีอะลูมิเนียมสะสมอยู่ในเลือดและ/หรือน้ำเหลือง ซึ่งก็เหมือนกับที่ได้รับการพิสูจน์แล้วในโมโนไซต์ที่บริเวณที่ฉีดวัคซีนรวมถึงสารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียม”
    คำพูดของดร. เอ็กซ์ลีย์รวมถึงการอ้างถึง “โมโนไซต์ที่บริเวณฉีด” และความจริงที่ว่าปฏิสัมพันธ์ระหว่างโมโนไซต์เหล่านี้กับอะลูมิเนียมได้รับการพิสูจน์แล้วในวิทยาศาสตร์ที่ตีพิมพ์ก่อนหน้านี้
    ฉันรู้ว่ามันฟังดูเป็นเทคนิคมาก แต่ลองฟังฉันก่อน
    “โมโนไซต์” คือเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง ซึ่งโมโนไซต์ชนิดหนึ่งคือ “แมคโครฟาจ” แมคโครฟาจอาจเปรียบได้กับมนุษย์ขยะในระบบภูมิคุ้มกันที่คอยกัดกินสิ่งแปลกปลอม เศษเซลล์ ฯลฯ
    อย่างที่คุณจะสังเกตเห็นในอีกไม่ช้านี้ ดูเหมือนว่าแมคโครฟาจจะมีบทบาทสำคัญและร้ายแรงในการกระตุ้นให้เกิดออทิซึม โดยทำหน้าที่นำอะลูมิเนียมที่มนุษย์สร้างขึ้นซึ่งฉีดจากวัคซีนโดยตรงเข้าไปในสมอง ซึ่งสามารถขัดขวางการพัฒนาของสมองและกระตุ้นให้เกิดออทิซึมได้
    การศึกษาวิจัยของดร. เอ็กซ์ลีย์เรื่อง “ อะลูมิเนียมในเนื้อเยื่อสมองและออทิซึม ” ถือได้ว่าเป็นชิ้นส่วนสุดท้ายของปริศนาที่เริ่มประกอบเข้าด้วยกันในปี 2004 และได้รับความสนใจมากขึ้นหลังปี 2010 ซึ่งช่วยส่งเสริมความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์อย่างมากว่าวัคซีนสามารถกระตุ้นให้เกิดออทิซึมได้อย่างไร
    ไทม์ไลน์นี้ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องตระหนัก เนื่องจากศาลวัคซีนในสหรัฐฯ ได้ยกฟ้องสมมติฐานเกี่ยวกับวัคซีน-ออทิซึมในปี 2009 นานก่อนที่สิ่งที่ฉันจะอธิบายต่อไปนี้จะเกิดขึ้นเสียอีก
    วิทยาศาสตร์คือความต่อเนื่อง ความจริงที่ปรากฏผ่านการศึกษาหลาย ๆ อย่างซึ่งมักต้องนำมาประกอบเข้าด้วยกันก่อนจึงจะมองเห็นภาพรวมได้ชัดเจน และบางครั้งความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์อาจดำเนินไปอย่างช้า ๆ จนกระทั่งถึงจุดที่ความจริงที่ปรากฏปรากฏขึ้นในลักษณะที่ไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป
    ในความเห็นของฉัน การศึกษาของดร. เอ็กซ์ลีย์ให้ข้อมูลเพียงส่วนเดียวที่ขาดหายไปจากคำอธิบายที่รัดกุมเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกชายของฉันและเด็กอีกหลายๆ คน และได้ให้ "ความน่าจะเป็นทางชีววิทยา" แก่ผู้ที่ไม่เชื่อทั้งหมดว่าวัคซีนที่ฉีดเข้าที่ไหล่ของทารกสามารถกระตุ้นให้เกิดโรคออทิซึมได้อย่างไร
    สำหรับชาวอเมริกัน การแข่งขันเพื่อค้นหาสาเหตุของโรคออทิซึมทั้งหมดนั้นน่าจะชนะได้ในต่างแดน ดังที่คุณจะเห็นในไม่ช้านี้ วิทยาศาสตร์ทั้งหมดที่อธิบายสาเหตุของโรคออทิซึมมาจากต่างประเทศ แม้ว่านักวิทยาศาสตร์จาก Caltech จะเป็นคนผลักโดมิโนตัวแรกไปเมื่อปี 2549 ก็ตาม
    ทำไมถึงมีอะลูมิเนียมอยู่ในวัคซีน?
    อะลูมิเนียมเป็นส่วนประกอบสำคัญของวัคซีนส่วนใหญ่ที่ให้กับเด็ก อะลูมิเนียมทำหน้าที่เป็น “สารเสริมภูมิคุ้มกัน” ซึ่งหมายความว่าอะลูมิเนียมทำหน้าที่ “ปลุก” ระบบภูมิคุ้มกันให้ตื่นขึ้น กระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันจดจำ “แอนติเจน” ในวัคซีนเพื่อป้องกันโรคต่างๆ ที่วัคซีนทำหน้าที่ป้องกันโรค
    ปริมาณอะลูมิเนียมในวัคซีนที่ให้กับเด็ก ๆพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเริ่มตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1990 ด้วยสาเหตุสองประการ: 1) มีการเพิ่มวัคซีนเข้าไปในตารางวัคซีนสำหรับเด็กมากขึ้น และ 2) อัตราการฉีดวัคซีนสำหรับวัคซีนทุกชนิดที่ให้กับเด็กเพิ่มขึ้น (จาก 50–60% ของเด็ก ๆ ที่ได้รับวัคซีนในช่วงกลางทศวรรษ 1980 เป็นมากกว่า 90% ในปัจจุบัน)
    ในช่วงกลางทศวรรษ 1980 เด็กจะได้รับอะลูมิเนียมจากวัคซีน 1,250 ไมโครกรัมภายในอายุ 18 เดือนหากได้รับวัคซีนครบถ้วน ปัจจุบัน ตัวเลขดังกล่าวอยู่ที่ 4,925 ไมโครกรัม ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบสี่เท่าจากปริมาณอะลูมิเนียมทั้งหมด
    คุณสามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ในผลการศึกษาที่ยอดเยี่ยม ซึ่งตีพิมพ์โดย Neil Miller
    ที่น่าประหลาดใจก็คือ อะลูมิเนียมไม่เคยผ่านการทดสอบทางชีวภาพเพื่อพิจารณาถึงความปลอดภัยในการฉีดเข้าไปในทารก เนื่องจากอะลูมิเนียมได้รับการ "ยกเว้น" ไว้ในมาตรฐานความปลอดภัยสมัยใหม่ของเรา นักวิทยาศาสตร์ชาวแคนาดา ดร. คริส ชอว์ และ ดร. ลูซิจา ทอมเยโนวิช ได้กล่าวถึงการละเว้นนี้ในการศึกษาวิจัยเชิงวิจารณ์ที่พวกเขาตีพิมพ์ในปี 2011 ในวารสารCurrent Medicinal Chemistryชื่อว่า “ สารเสริมฤทธิ์วัคซีนอะลูมิเนียม: ปลอดภัยหรือไม่ ” พวกเขาเขียนว่า:
    “อะลูมิเนียมเป็นสารพิษต่อระบบประสาทที่ได้รับการพิสูจน์แล้วจากการทดลองและเป็นสารเสริมฤทธิ์วัคซีนที่ใช้กันทั่วไป แม้ว่าจะมีการใช้สารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียมอย่างแพร่หลายมานานเกือบ 90 ปีแล้ว แต่ความเข้าใจของวิทยาศาสตร์การแพทย์เกี่ยวกับกลไกการออกฤทธิ์ของสารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียมยังคงต่ำอย่างน่าตกใจนอกจากนี้ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับพิษวิทยาและเภสัชจลนศาสตร์ของสารประกอบเหล่านี้อย่างขาดแคลน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่ากังวล แม้จะเป็นเช่นนั้น แนวคิดที่ว่าอะลูมิเนียมในวัคซีนนั้นปลอดภัยก็ยังได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางอย่างไรก็ตาม การวิจัยเชิงทดลองแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียมมีศักยภาพในการทำให้เกิดความผิดปกติทางภูมิคุ้มกันที่ร้ายแรงในมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อะลูมิเนียมในรูปแบบสารเสริมฤทธิ์มีความเสี่ยงต่อภูมิคุ้มกันตนเอง การอักเสบของสมองในระยะยาว และภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาทที่เกี่ยวข้อง และอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างกว้างขวางและรุนแรง”
    ICANตัดสินใจทดสอบความสามารถของ CDC และ NIH ในการผลิตงานวิจัยใดๆ เพื่อแสดงให้เห็นความปลอดภัยของสารเสริมฤทธิ์วัคซีนผ่านการฟ้องร้องภายใต้ FOIA ตอนนี้ฉันเดาว่าคุณคงรู้ว่าคดีจบลงอย่างไร... อ่านบทความฉบับสมบูรณ์
    “คำตอบของ CDC และ NIH ต่อคำร้องขอภายใต้พระราชบัญญัติเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูล (FOIA) ของ ICAN เกี่ยวกับสารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียมเผยให้เห็นการยอมรับที่น่าตกตะลึง นั่นคือ พวกเขาไม่มีการศึกษาแม้แต่ชิ้นเดียวที่จะสนับสนุนความปลอดภัยในการแนะนำให้ฉีดสารพิษต่อเซลล์และระบบประสาทนี้ซ้ำๆ เป็นส่วนหนึ่งของตารางการฉีดวัคซีนสำหรับเด็กของ CDC”
    🔸️นับตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา ปริมาณอะลูมิเนียมในวัคซีนสำหรับเด็กเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเพิ่มขึ้นเป็นสี่เท่าของปริมาณทั้งหมด ในขณะเดียวกัน การวินิจฉัยโรคออทิซึมก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 27,000% https://thepeoplesvoice.tv/aluminum-levels-in-childhood.../ ในขณะที่การเพิ่มขึ้นของอะลูมิเนียมในวัคซีนมักเกี่ยวข้องกับบทบาทของอะลูมิเนียมในฐานะสารเสริมภูมิคุ้มกัน—ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อวัคซีนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น—การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างส่วนประกอบของวัคซีนและอัตราการเกิดออทิซึมที่เพิ่มมากขึ้น อัตราการเกิดโรคออทิซึมในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1980 เมื่อครั้งนั้น อัตราการวินิจฉัยโรคออทิซึมโดยประมาณอยู่ที่ 1 ใน 10,000 เด็ก ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 อัตราดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 1 ใน 150 และข้อมูลล่าสุดจากปี 2023 ระบุว่าอัตราดังกล่าวอยู่ที่ 1 ใน 36 เด็ก ดร. คริส เอ็กซ์ลีย์ จากมหาวิทยาลัยคีลในอังกฤษและเพื่อนร่วมงานได้ตีพิมพ์งานวิจัยที่ทำการศึกษาเนื้อเยื่อสมองของผู้ป่วยออทิสติกเป็นครั้งแรก เพื่อตรวจสอบระดับอะลูมิเนียม (หมายเหตุ: ในสหราชอาณาจักรผู้ป่วยสะกดคำว่า “อะลูมิเนียม” เป็น “อะลูมิเนียม”) ที่พบในเนื้อเยื่อสมอง สำหรับใครก็ตามที่พยายามจะโน้มน้าวโลกให้เชื่อว่า “วิทยาศาสตร์ได้รับการพิสูจน์แล้วและวัคซีนไม่ได้ทำให้เกิดโรคออทิซึม” ผลการศึกษานี้ขัดแย้งกับคำกล่าวนี้อย่างมาก ในโพสต์บล็อกที่เขียนโดยศาสตราจารย์เอ็กซ์ลีย์ในวันที่ผลการศึกษาของเขาได้รับการตีพิมพ์ เขาได้อธิบายผลลัพธ์อันล้ำสมัยดังต่อไปนี้: “…ในขณะที่ปริมาณอะลูมิเนียมในสมองของผู้ป่วยออทิสติกทั้ง 5 รายนั้นสูงอย่างน่าตกใจ แต่ตำแหน่งในเนื้อเยื่อสมองต่างหากที่เป็นจุดสังเกตที่โดดเด่น…หลักฐานใหม่ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอะลูมิเนียมเข้าสู่สมองของผู้ป่วย ASD [กลุ่มอาการออทิสติก] ผ่านทางเซลล์ที่ก่อให้เกิดการอักเสบซึ่งมีอะลูมิเนียมสะสมอยู่ในเลือดและ/หรือน้ำเหลือง ซึ่งก็เหมือนกับที่ได้รับการพิสูจน์แล้วในโมโนไซต์ที่บริเวณที่ฉีดวัคซีนรวมถึงสารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียม” คำพูดของดร. เอ็กซ์ลีย์รวมถึงการอ้างถึง “โมโนไซต์ที่บริเวณฉีด” และความจริงที่ว่าปฏิสัมพันธ์ระหว่างโมโนไซต์เหล่านี้กับอะลูมิเนียมได้รับการพิสูจน์แล้วในวิทยาศาสตร์ที่ตีพิมพ์ก่อนหน้านี้ ฉันรู้ว่ามันฟังดูเป็นเทคนิคมาก แต่ลองฟังฉันก่อน “โมโนไซต์” คือเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง ซึ่งโมโนไซต์ชนิดหนึ่งคือ “แมคโครฟาจ” แมคโครฟาจอาจเปรียบได้กับมนุษย์ขยะในระบบภูมิคุ้มกันที่คอยกัดกินสิ่งแปลกปลอม เศษเซลล์ ฯลฯ อย่างที่คุณจะสังเกตเห็นในอีกไม่ช้านี้ ดูเหมือนว่าแมคโครฟาจจะมีบทบาทสำคัญและร้ายแรงในการกระตุ้นให้เกิดออทิซึม โดยทำหน้าที่นำอะลูมิเนียมที่มนุษย์สร้างขึ้นซึ่งฉีดจากวัคซีนโดยตรงเข้าไปในสมอง ซึ่งสามารถขัดขวางการพัฒนาของสมองและกระตุ้นให้เกิดออทิซึมได้ การศึกษาวิจัยของดร. เอ็กซ์ลีย์เรื่อง “ อะลูมิเนียมในเนื้อเยื่อสมองและออทิซึม ” ถือได้ว่าเป็นชิ้นส่วนสุดท้ายของปริศนาที่เริ่มประกอบเข้าด้วยกันในปี 2004 และได้รับความสนใจมากขึ้นหลังปี 2010 ซึ่งช่วยส่งเสริมความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์อย่างมากว่าวัคซีนสามารถกระตุ้นให้เกิดออทิซึมได้อย่างไร ไทม์ไลน์นี้ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องตระหนัก เนื่องจากศาลวัคซีนในสหรัฐฯ ได้ยกฟ้องสมมติฐานเกี่ยวกับวัคซีน-ออทิซึมในปี 2009 นานก่อนที่สิ่งที่ฉันจะอธิบายต่อไปนี้จะเกิดขึ้นเสียอีก วิทยาศาสตร์คือความต่อเนื่อง ความจริงที่ปรากฏผ่านการศึกษาหลาย ๆ อย่างซึ่งมักต้องนำมาประกอบเข้าด้วยกันก่อนจึงจะมองเห็นภาพรวมได้ชัดเจน และบางครั้งความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์อาจดำเนินไปอย่างช้า ๆ จนกระทั่งถึงจุดที่ความจริงที่ปรากฏปรากฏขึ้นในลักษณะที่ไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป ในความเห็นของฉัน การศึกษาของดร. เอ็กซ์ลีย์ให้ข้อมูลเพียงส่วนเดียวที่ขาดหายไปจากคำอธิบายที่รัดกุมเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกชายของฉันและเด็กอีกหลายๆ คน และได้ให้ "ความน่าจะเป็นทางชีววิทยา" แก่ผู้ที่ไม่เชื่อทั้งหมดว่าวัคซีนที่ฉีดเข้าที่ไหล่ของทารกสามารถกระตุ้นให้เกิดโรคออทิซึมได้อย่างไร สำหรับชาวอเมริกัน การแข่งขันเพื่อค้นหาสาเหตุของโรคออทิซึมทั้งหมดนั้นน่าจะชนะได้ในต่างแดน ดังที่คุณจะเห็นในไม่ช้านี้ วิทยาศาสตร์ทั้งหมดที่อธิบายสาเหตุของโรคออทิซึมมาจากต่างประเทศ แม้ว่านักวิทยาศาสตร์จาก Caltech จะเป็นคนผลักโดมิโนตัวแรกไปเมื่อปี 2549 ก็ตาม ทำไมถึงมีอะลูมิเนียมอยู่ในวัคซีน? อะลูมิเนียมเป็นส่วนประกอบสำคัญของวัคซีนส่วนใหญ่ที่ให้กับเด็ก อะลูมิเนียมทำหน้าที่เป็น “สารเสริมภูมิคุ้มกัน” ซึ่งหมายความว่าอะลูมิเนียมทำหน้าที่ “ปลุก” ระบบภูมิคุ้มกันให้ตื่นขึ้น กระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันจดจำ “แอนติเจน” ในวัคซีนเพื่อป้องกันโรคต่างๆ ที่วัคซีนทำหน้าที่ป้องกันโรค ปริมาณอะลูมิเนียมในวัคซีนที่ให้กับเด็ก ๆพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเริ่มตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1990 ด้วยสาเหตุสองประการ: 1) มีการเพิ่มวัคซีนเข้าไปในตารางวัคซีนสำหรับเด็กมากขึ้น และ 2) อัตราการฉีดวัคซีนสำหรับวัคซีนทุกชนิดที่ให้กับเด็กเพิ่มขึ้น (จาก 50–60% ของเด็ก ๆ ที่ได้รับวัคซีนในช่วงกลางทศวรรษ 1980 เป็นมากกว่า 90% ในปัจจุบัน) ในช่วงกลางทศวรรษ 1980 เด็กจะได้รับอะลูมิเนียมจากวัคซีน 1,250 ไมโครกรัมภายในอายุ 18 เดือนหากได้รับวัคซีนครบถ้วน ปัจจุบัน ตัวเลขดังกล่าวอยู่ที่ 4,925 ไมโครกรัม ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบสี่เท่าจากปริมาณอะลูมิเนียมทั้งหมด คุณสามารถอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ในผลการศึกษาที่ยอดเยี่ยม ซึ่งตีพิมพ์โดย Neil Miller ที่น่าประหลาดใจก็คือ อะลูมิเนียมไม่เคยผ่านการทดสอบทางชีวภาพเพื่อพิจารณาถึงความปลอดภัยในการฉีดเข้าไปในทารก เนื่องจากอะลูมิเนียมได้รับการ "ยกเว้น" ไว้ในมาตรฐานความปลอดภัยสมัยใหม่ของเรา นักวิทยาศาสตร์ชาวแคนาดา ดร. คริส ชอว์ และ ดร. ลูซิจา ทอมเยโนวิช ได้กล่าวถึงการละเว้นนี้ในการศึกษาวิจัยเชิงวิจารณ์ที่พวกเขาตีพิมพ์ในปี 2011 ในวารสารCurrent Medicinal Chemistryชื่อว่า “ สารเสริมฤทธิ์วัคซีนอะลูมิเนียม: ปลอดภัยหรือไม่ ” พวกเขาเขียนว่า: “อะลูมิเนียมเป็นสารพิษต่อระบบประสาทที่ได้รับการพิสูจน์แล้วจากการทดลองและเป็นสารเสริมฤทธิ์วัคซีนที่ใช้กันทั่วไป แม้ว่าจะมีการใช้สารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียมอย่างแพร่หลายมานานเกือบ 90 ปีแล้ว แต่ความเข้าใจของวิทยาศาสตร์การแพทย์เกี่ยวกับกลไกการออกฤทธิ์ของสารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียมยังคงต่ำอย่างน่าตกใจนอกจากนี้ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับพิษวิทยาและเภสัชจลนศาสตร์ของสารประกอบเหล่านี้อย่างขาดแคลน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่ากังวล แม้จะเป็นเช่นนั้น แนวคิดที่ว่าอะลูมิเนียมในวัคซีนนั้นปลอดภัยก็ยังได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางอย่างไรก็ตาม การวิจัยเชิงทดลองแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียมมีศักยภาพในการทำให้เกิดความผิดปกติทางภูมิคุ้มกันที่ร้ายแรงในมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อะลูมิเนียมในรูปแบบสารเสริมฤทธิ์มีความเสี่ยงต่อภูมิคุ้มกันตนเอง การอักเสบของสมองในระยะยาว และภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาทที่เกี่ยวข้อง และอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างกว้างขวางและรุนแรง” ICANตัดสินใจทดสอบความสามารถของ CDC และ NIH ในการผลิตงานวิจัยใดๆ เพื่อแสดงให้เห็นความปลอดภัยของสารเสริมฤทธิ์วัคซีนผ่านการฟ้องร้องภายใต้ FOIA ตอนนี้ฉันเดาว่าคุณคงรู้ว่าคดีจบลงอย่างไร... อ่านบทความฉบับสมบูรณ์ “คำตอบของ CDC และ NIH ต่อคำร้องขอภายใต้พระราชบัญญัติเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูล (FOIA) ของ ICAN เกี่ยวกับสารเสริมฤทธิ์อะลูมิเนียมเผยให้เห็นการยอมรับที่น่าตกตะลึง นั่นคือ พวกเขาไม่มีการศึกษาแม้แต่ชิ้นเดียวที่จะสนับสนุนความปลอดภัยในการแนะนำให้ฉีดสารพิษต่อเซลล์และระบบประสาทนี้ซ้ำๆ เป็นส่วนหนึ่งของตารางการฉีดวัคซีนสำหรับเด็กของ CDC”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 631 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลแพ่งยกฟ้อง "ม.ร.ว.ปรียนันทนา"ฟ้อง"ณัฐพล-สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน" เขียนวิทยานิพนธ์-ทำหนังสือ พาดพิงบรรพบุรุษ เรียก 50 ล้าน ชี้ไม่มีอำนาจฟ้อง

    13 พฤศจิกายน 2567- เมื่อเวลา 09.00 น.วันนี้ ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก นัดอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ พ1135/2564 ที่ ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต เป็นโจทก์ฟ้อง ผศ.ดร.ณัฐพล ใจจริง ผู้เขียนวิทยานิพนธ์และหนังสือ เป็นจำเลยที่ 1 รศ.ดร.กุลลดา เกษบุญชู มี้ด อดีตอาจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ เป็นจำเลยที่ 2 นายชัยธวัช ตุลาธน บรรณาธิการหนังสือขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ เป็นจำเลยที่ 3 น.ส.อัญชลี มณีโรจน์ บรรณาธิการหนังสือ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี เป็นจำเลยที่ 4 ห้างหุ้นส่วนจำกัดสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ผู้จัดพิมพ์หนังสือทั้ง 2 เล่ม เป็นจำเลยที่ 5 นายธนาพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการบริหารสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน เป็นจำเลยที่ 6 ในข้อหา “ละเมิดไขข่าวด้วยข้อความฝ่าฝืนความจริง” และเรียกค่าเสียหายจำนวน 50 ล้านบาท

    กรณีจำเลยเกี่ยวข้องกับวิทยานิพนธ์ การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500), หนังสือขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อและ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี

    ต่อมาเมื่อเดือน มิถุนายน 2566 โจทก์ได้ถอนฟ้อง รศ.ดร.กุลลดา เกษบุญชู มี้ด

    ศาลแพ่ง พิเคราะห์ประเด็นข้อพิพาทที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งหกร่วมกันรับผิดฐานละเมิดโดยอ้างว่าร่วมกันกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายแก่ชื่อเสียง เกียรติคุณ ทางทำมาหาได้ และทางเจริญของโจทก์ การกระทำจะเป็นการละเมิดและจำเลยทั้งหกต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ ต่อเมื่อข้อความที่กล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายฝ่าฝืนความจริงและโจทก์ได้รับความเสียหายจากข้อความดังกล่าว ซึ่งหมายถึงเป็นความเสียหายแก่โจทก์ผู้ฟ้องโดยเฉพาะ มิใช่ความเสียหายแก่ผู้อื่นผู้ใด แต่ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์กล่าวว่าเมื่อปี 2552 จนถึงปัจจุบัน จำเลยทั้งหกร่วมกันบิดเบือนข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์โดยนำข้อความอันเป็นเท็จจัดทำเอกสารไขข่าวแพร่หลายสู่สาธารณะเพื่อมุ่งประสงค์กล่าวหาให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์โดยทำเป็นกระบวนการเพื่อใช้ในการปลุกระดมให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง เริ่มจากจำเลยที่ 1 โดยความเห็นชอบและร่วมมือของจำเลยที่ 2 ปั้นแต่งความเท็จขึ้นใส่ความสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ขณะที่ทรงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการว่าทรงประพฤติตนไม่สมต่อตำแหน่งหน้าที่ ทั้งการใช้พระราชอำนาจสนับสนุนรับรองการรัฐประหารปี 2490 และการเข้าแทรกแซงการปกครองในสมัยรัฐบาลจอมพล ป.เพื่อปูทางการเมืองที่ราบรื่นให้แก่สถาบันกษัตริย์ โดยเจตนาเพื่อให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการทำวิทยานิพนธ์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ และโจทก์ได้บรรยายฟ้องระบุถึงข้อความอันเป็นเท็จในวิทยานิพนธ์ หน้า 63 วรรคแรก และหน้า 105 วรรคแรก และบรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 นำข้อความอันเป็นเท็จในวิทยานิพนธ์ไปพูดในการเสวนาที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2553 กล่าวหากรมขุนชัยนาทนเรนทรว่าก้าวก่ายรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ด้วยการเข้าไปนั่งเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี อันเป็นความเท็จ และเมื่อปี 2556 จำเลยที่ 1 เขียนหนังสือ ขอฝันใฝ่ในผันอันเหลือเชื่อ : ความเคลื่อนไหวของขบวนการปฏิปักษ์ปฏิวัติสยาม (พ.ศ.2475-2500) เนื้อหาโจมตีให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 9) ต่อเนื่องจนถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ด้วยความเท็จ และโจทก์บรรยายฟ้องถึงข้อความอันเป็นเท็จ เนื้อหาหน้า 120 -121 และหน้า 124-125 และเมื่อปี 2563 จำเลยที่ 1 เขียนหนังสือ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี กล่าวหาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร และมีข้อความโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร หลายแห่ง และโจทก์บรรยายฟ้องข้อความอันเป็นเท็จที่หน้า 60,63,66,73,77และข้อความเท็จใต้ภาพสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร หน้า 69 และโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 แต่งความเท็จใส่ร้ายกล่าวหาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร และสถาบันพระมหากษัตริย์ในหนังสือต่างประเทศที่จำหน่ายทั่วโลก ชื่อ “Saying the Unsayable Monarchy and Democracy in Thailand” ใส่ร้ายสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรว่ามีส่วนร่วมในการรัฐประหาร ปี 2490 แทรกแซงการเมืองโดยการเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี

    เมื่อข้อความอันเป็นเท็จตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ มิได้กล่าวพาดพิงถึงโจทก์หรือความเป็นอยู่ส่วนตัวของโจทก์และครอบครัว ทั้งเรื่องการรับรองรัฐประหาร ปี 2490 และการเข้าแทรกแซงการเมืองสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ก็ไม่ปรากฏว่ามีความเกี่ยวข้องกับโจทก์ อันจะทำให้ผู้ที่อ่านข้อความในวิทยานิพนธ์และในหนังสือที่จำเลยที่ 1 เขียนดังกล่าวเข้าใจผิดในตัวโจทก์ ซึ่งโจทก์ก็บรรยายฟ้องว่าการที่จำเลยที่ 1 เขียนข้อความเท็จในวิทยานิพนธ์และหนังสือดังกล่าว ทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดว่าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร เป็นผู้ไม่นิยมการปกครองระบอบประชาธิปไตย ฝักใฝ่อำนาจทางการเมือง สนับสนุนการรัฐประหาร กระทำการก้าวก่ายการบริหารราชการของรัฐบาล ฟ้องของโจทก์จึงมิได้กล่าวอ้างว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจากข้อความดังกล่าว ทั้งการบรรยายฟ้องของโจทก์ที่ระบุว่าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ได้รับความเสียหาย แต่เมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ได้สิ้นพระชนม์แล้วก่อนที่จะมีการกระทำอันเป็นละเมิดตามคำฟ้อง จึงเป็นฟ้องที่กล่าวอ้างว่ามีการกระทำละเมิดต่อหรือความเสียหายของผู้ที่ไม่มีสภาพบุคคลแล้ว แม้โจทก์เป็นหลานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรซึ่งสิ้นพระชนม์แล้วและข้อความกล่าวพาดพิงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร

    แม้หากฟังได้ว่าข้อความดังกล่าวบิดเบือนไม่เป็นความจริงตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง และทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ก็ไม่ได้เสียหายต่อโจทก์ทายาทชั้นหลานด้วย เพราะข้อความตามคำบรรยายฟ้องมิได้กล่าวหรือแสดงเรื่องราวที่ไม่ตรงต่อความจริงเกี่ยวกับโจทก์และครอบครัวและไม่ได้สื่อความหมายเกี่ยวกับโจทก์ ซึ่งโจทก์ก็เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านว่าหนังสือขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี หนังสือขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ รวมถึงวิทยานิพนธ์ของจำเลยที่ 1 กล่าวถึงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ไม่ได้กล่าวถึงโจทก์และทายาทของโจทก์ ข้อเท็จจริงตามข้อความในวิทยานิพนธ์ดังกล่าวจะเป็นความจริงหรือไม่ โจทก์ไม่ทราบเนื่องจากขณะนั้นโจทก์ยังไม่เกิด ดังนั้น เมื่อข้อความที่จำเลยที่ 1 แสดงในวิทยานิพนธ์ ในหนังสือ และที่จำเลยที่ 1 นำไปพูดตามคำฟ้องไม่ได้สื่อความหมายถึงโจทก์ ย่อมไม่อาจทำให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังเข้าใจผิดในตัวโจทก์ซึ่งเป็นทายาทชั้นหลานอันจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงหรือเกียรติคุณ และทางทำมาหาได้หรือทางเจริญ

    ส่วนที่โจทก์เบิกความว่ามีการชุมนุมและอาฆาดมาดร้ายสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร โดยมีผู้นำสีแดงมาสาดใส่ที่พระอนุสาวรีย์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรซึ่งประดิษฐานอยู่ที่กระทรวงสาธารณสุขนั้น เหตุการณ์ตามภาพข่าวและสถานที่เกิดเหตุไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเสียหายของโจทก์ ไม่ปรากฏว่าบุคคลผู้ก่อเหตุเป็นใครและการกระทำสืบเนื่องมาจากสาเหตุใด และที่โจทก์เบิกความว่ามีการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนที่ถนนวิภาวดีรังสิตปลุกระดมให้มีการยกเลิกชื่อถนนซึ่งเป็นพระนามของพระเจ้าวงวงศ์เธอพระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต ก็มิได้ระบุว่าเป็นการชุมนุมปลุกระดมสืบเนื่องจากข้อความในวิทยานิพนธ์หรือในหนังสือคดีนี้และไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเสียหายของโจทก์โดยตรง

    ทั้งการฟ้องเรียกค่าเสียหายของโจทก์ โจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านถึงมูลเหตุที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 50,000,000 บาท เนื่องจากสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ทรงทำคุณความดีและประโยชน์ให้ประเทศไทยเป็นจำนวนมากมายมหาศาล การฟ้องเรียกค่าเสียหายของโจทก์จึงมิได้มีความสัมพันธ์กับที่โจทก์ระบุในฟ้องว่าโจทก์ได้รับความเสียหาย ดังนั้น โจทก์จึงมิใช่ผู้ได้รับความเสียหายจากข้อความของจำเลยที่ 1 ตามคำฟ้องและไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิ

    ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงตามคำฟ้องทำให้ราชสกุลรังสิต รวมถึงโจทก์ผู้สืบราชสกุลและเป็นผู้แทนราชสกุลได้รับความเสียหายนั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์มิได้ว่าระบุว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้โดยได้รับมอบอำนาจจากบุคคลอื่นในราชสกุลรังสิตด้วย ทั้งราชสกุลรังสิตก็ไม่ปรากฏว่ามีสภาพบุคคลตามกฎหมายทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล เมื่อโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายคดีนี้ในฐานะส่วนตัว มิได้เป็นการฟ้องโดยได้รับมอบอำนาจจากบุคคลอื่นด้วย โจทก์จึงมิอาจกล่าวอ้างความเสียหายของราชสกุลรังสิตซึ่งไม่มีสภาพบุคคล ส่วนที่โจทก์ฟ้องและเบิกความว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธาต่อมูลนิธิวิภาวดีรังสิต ที่โจทก์เป็นประธานและมูลนิธิสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ซึ่งโจทก์เป็นกรรมการ กระทบต่อการหารายได้โดยการรับบริจาคเงินจากสาธารณชนซึ่งรายได้นำไปช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสนั้น เมื่อมูลนิธิดังกล่าวมีสภาพเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายต่างหากจากโจทก์ และโจทก์ฟ้องคดีนี้ในฐานะส่วนตัวไม่ได้ฟ้องโดยได้รับมอบอำนาจจากมูลนิธิ

    โจทก์จึงไม่อาจอ้างว่ามูลนิธิดังกล่าว ซึ่งมิได้เป็นคู่ความในคดีนี้ได้รับความเสียหายเพื่อให้มีการใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ เมื่อโจทก์ไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อฟังว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องแล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่นต่อไป พิพากษายกฟ้อง

    https://mgronline.com/crime/detail/9670000109449#google_vignette

    #Thaitimes
    ศาลแพ่งยกฟ้อง "ม.ร.ว.ปรียนันทนา"ฟ้อง"ณัฐพล-สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน" เขียนวิทยานิพนธ์-ทำหนังสือ พาดพิงบรรพบุรุษ เรียก 50 ล้าน ชี้ไม่มีอำนาจฟ้อง 13 พฤศจิกายน 2567- เมื่อเวลา 09.00 น.วันนี้ ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก นัดอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ พ1135/2564 ที่ ม.ร.ว.ปรียนันทนา รังสิต เป็นโจทก์ฟ้อง ผศ.ดร.ณัฐพล ใจจริง ผู้เขียนวิทยานิพนธ์และหนังสือ เป็นจำเลยที่ 1 รศ.ดร.กุลลดา เกษบุญชู มี้ด อดีตอาจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ เป็นจำเลยที่ 2 นายชัยธวัช ตุลาธน บรรณาธิการหนังสือขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ เป็นจำเลยที่ 3 น.ส.อัญชลี มณีโรจน์ บรรณาธิการหนังสือ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี เป็นจำเลยที่ 4 ห้างหุ้นส่วนจำกัดสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ผู้จัดพิมพ์หนังสือทั้ง 2 เล่ม เป็นจำเลยที่ 5 นายธนาพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการบริหารสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน เป็นจำเลยที่ 6 ในข้อหา “ละเมิดไขข่าวด้วยข้อความฝ่าฝืนความจริง” และเรียกค่าเสียหายจำนวน 50 ล้านบาท กรณีจำเลยเกี่ยวข้องกับวิทยานิพนธ์ การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500), หนังสือขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อและ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี ต่อมาเมื่อเดือน มิถุนายน 2566 โจทก์ได้ถอนฟ้อง รศ.ดร.กุลลดา เกษบุญชู มี้ด ศาลแพ่ง พิเคราะห์ประเด็นข้อพิพาทที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งหกร่วมกันรับผิดฐานละเมิดโดยอ้างว่าร่วมกันกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายแก่ชื่อเสียง เกียรติคุณ ทางทำมาหาได้ และทางเจริญของโจทก์ การกระทำจะเป็นการละเมิดและจำเลยทั้งหกต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ ต่อเมื่อข้อความที่กล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายฝ่าฝืนความจริงและโจทก์ได้รับความเสียหายจากข้อความดังกล่าว ซึ่งหมายถึงเป็นความเสียหายแก่โจทก์ผู้ฟ้องโดยเฉพาะ มิใช่ความเสียหายแก่ผู้อื่นผู้ใด แต่ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์กล่าวว่าเมื่อปี 2552 จนถึงปัจจุบัน จำเลยทั้งหกร่วมกันบิดเบือนข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์โดยนำข้อความอันเป็นเท็จจัดทำเอกสารไขข่าวแพร่หลายสู่สาธารณะเพื่อมุ่งประสงค์กล่าวหาให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์โดยทำเป็นกระบวนการเพื่อใช้ในการปลุกระดมให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง เริ่มจากจำเลยที่ 1 โดยความเห็นชอบและร่วมมือของจำเลยที่ 2 ปั้นแต่งความเท็จขึ้นใส่ความสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ขณะที่ทรงดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการว่าทรงประพฤติตนไม่สมต่อตำแหน่งหน้าที่ ทั้งการใช้พระราชอำนาจสนับสนุนรับรองการรัฐประหารปี 2490 และการเข้าแทรกแซงการปกครองในสมัยรัฐบาลจอมพล ป.เพื่อปูทางการเมืองที่ราบรื่นให้แก่สถาบันกษัตริย์ โดยเจตนาเพื่อให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการทำวิทยานิพนธ์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ และโจทก์ได้บรรยายฟ้องระบุถึงข้อความอันเป็นเท็จในวิทยานิพนธ์ หน้า 63 วรรคแรก และหน้า 105 วรรคแรก และบรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 นำข้อความอันเป็นเท็จในวิทยานิพนธ์ไปพูดในการเสวนาที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2553 กล่าวหากรมขุนชัยนาทนเรนทรว่าก้าวก่ายรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ด้วยการเข้าไปนั่งเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี อันเป็นความเท็จ และเมื่อปี 2556 จำเลยที่ 1 เขียนหนังสือ ขอฝันใฝ่ในผันอันเหลือเชื่อ : ความเคลื่อนไหวของขบวนการปฏิปักษ์ปฏิวัติสยาม (พ.ศ.2475-2500) เนื้อหาโจมตีให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 9) ต่อเนื่องจนถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ด้วยความเท็จ และโจทก์บรรยายฟ้องถึงข้อความอันเป็นเท็จ เนื้อหาหน้า 120 -121 และหน้า 124-125 และเมื่อปี 2563 จำเลยที่ 1 เขียนหนังสือ ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี กล่าวหาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร และมีข้อความโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร หลายแห่ง และโจทก์บรรยายฟ้องข้อความอันเป็นเท็จที่หน้า 60,63,66,73,77และข้อความเท็จใต้ภาพสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร หน้า 69 และโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 แต่งความเท็จใส่ร้ายกล่าวหาสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร และสถาบันพระมหากษัตริย์ในหนังสือต่างประเทศที่จำหน่ายทั่วโลก ชื่อ “Saying the Unsayable Monarchy and Democracy in Thailand” ใส่ร้ายสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรว่ามีส่วนร่วมในการรัฐประหาร ปี 2490 แทรกแซงการเมืองโดยการเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อข้อความอันเป็นเท็จตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ มิได้กล่าวพาดพิงถึงโจทก์หรือความเป็นอยู่ส่วนตัวของโจทก์และครอบครัว ทั้งเรื่องการรับรองรัฐประหาร ปี 2490 และการเข้าแทรกแซงการเมืองสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ก็ไม่ปรากฏว่ามีความเกี่ยวข้องกับโจทก์ อันจะทำให้ผู้ที่อ่านข้อความในวิทยานิพนธ์และในหนังสือที่จำเลยที่ 1 เขียนดังกล่าวเข้าใจผิดในตัวโจทก์ ซึ่งโจทก์ก็บรรยายฟ้องว่าการที่จำเลยที่ 1 เขียนข้อความเท็จในวิทยานิพนธ์และหนังสือดังกล่าว ทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดว่าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร เป็นผู้ไม่นิยมการปกครองระบอบประชาธิปไตย ฝักใฝ่อำนาจทางการเมือง สนับสนุนการรัฐประหาร กระทำการก้าวก่ายการบริหารราชการของรัฐบาล ฟ้องของโจทก์จึงมิได้กล่าวอ้างว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจากข้อความดังกล่าว ทั้งการบรรยายฟ้องของโจทก์ที่ระบุว่าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ได้รับความเสียหาย แต่เมื่อสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ได้สิ้นพระชนม์แล้วก่อนที่จะมีการกระทำอันเป็นละเมิดตามคำฟ้อง จึงเป็นฟ้องที่กล่าวอ้างว่ามีการกระทำละเมิดต่อหรือความเสียหายของผู้ที่ไม่มีสภาพบุคคลแล้ว แม้โจทก์เป็นหลานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรซึ่งสิ้นพระชนม์แล้วและข้อความกล่าวพาดพิงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร แม้หากฟังได้ว่าข้อความดังกล่าวบิดเบือนไม่เป็นความจริงตามที่โจทก์บรรยายฟ้อง และทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ก็ไม่ได้เสียหายต่อโจทก์ทายาทชั้นหลานด้วย เพราะข้อความตามคำบรรยายฟ้องมิได้กล่าวหรือแสดงเรื่องราวที่ไม่ตรงต่อความจริงเกี่ยวกับโจทก์และครอบครัวและไม่ได้สื่อความหมายเกี่ยวกับโจทก์ ซึ่งโจทก์ก็เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านว่าหนังสือขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี หนังสือขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ รวมถึงวิทยานิพนธ์ของจำเลยที่ 1 กล่าวถึงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ไม่ได้กล่าวถึงโจทก์และทายาทของโจทก์ ข้อเท็จจริงตามข้อความในวิทยานิพนธ์ดังกล่าวจะเป็นความจริงหรือไม่ โจทก์ไม่ทราบเนื่องจากขณะนั้นโจทก์ยังไม่เกิด ดังนั้น เมื่อข้อความที่จำเลยที่ 1 แสดงในวิทยานิพนธ์ ในหนังสือ และที่จำเลยที่ 1 นำไปพูดตามคำฟ้องไม่ได้สื่อความหมายถึงโจทก์ ย่อมไม่อาจทำให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังเข้าใจผิดในตัวโจทก์ซึ่งเป็นทายาทชั้นหลานอันจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงหรือเกียรติคุณ และทางทำมาหาได้หรือทางเจริญ ส่วนที่โจทก์เบิกความว่ามีการชุมนุมและอาฆาดมาดร้ายสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร โดยมีผู้นำสีแดงมาสาดใส่ที่พระอนุสาวรีย์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรซึ่งประดิษฐานอยู่ที่กระทรวงสาธารณสุขนั้น เหตุการณ์ตามภาพข่าวและสถานที่เกิดเหตุไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเสียหายของโจทก์ ไม่ปรากฏว่าบุคคลผู้ก่อเหตุเป็นใครและการกระทำสืบเนื่องมาจากสาเหตุใด และที่โจทก์เบิกความว่ามีการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนที่ถนนวิภาวดีรังสิตปลุกระดมให้มีการยกเลิกชื่อถนนซึ่งเป็นพระนามของพระเจ้าวงวงศ์เธอพระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต ก็มิได้ระบุว่าเป็นการชุมนุมปลุกระดมสืบเนื่องจากข้อความในวิทยานิพนธ์หรือในหนังสือคดีนี้และไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเสียหายของโจทก์โดยตรง ทั้งการฟ้องเรียกค่าเสียหายของโจทก์ โจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านถึงมูลเหตุที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 50,000,000 บาท เนื่องจากสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ทรงทำคุณความดีและประโยชน์ให้ประเทศไทยเป็นจำนวนมากมายมหาศาล การฟ้องเรียกค่าเสียหายของโจทก์จึงมิได้มีความสัมพันธ์กับที่โจทก์ระบุในฟ้องว่าโจทก์ได้รับความเสียหาย ดังนั้น โจทก์จึงมิใช่ผู้ได้รับความเสียหายจากข้อความของจำเลยที่ 1 ตามคำฟ้องและไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิ ส่วนที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงตามคำฟ้องทำให้ราชสกุลรังสิต รวมถึงโจทก์ผู้สืบราชสกุลและเป็นผู้แทนราชสกุลได้รับความเสียหายนั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์มิได้ว่าระบุว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้โดยได้รับมอบอำนาจจากบุคคลอื่นในราชสกุลรังสิตด้วย ทั้งราชสกุลรังสิตก็ไม่ปรากฏว่ามีสภาพบุคคลตามกฎหมายทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล เมื่อโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายคดีนี้ในฐานะส่วนตัว มิได้เป็นการฟ้องโดยได้รับมอบอำนาจจากบุคคลอื่นด้วย โจทก์จึงมิอาจกล่าวอ้างความเสียหายของราชสกุลรังสิตซึ่งไม่มีสภาพบุคคล ส่วนที่โจทก์ฟ้องและเบิกความว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธาต่อมูลนิธิวิภาวดีรังสิต ที่โจทก์เป็นประธานและมูลนิธิสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ซึ่งโจทก์เป็นกรรมการ กระทบต่อการหารายได้โดยการรับบริจาคเงินจากสาธารณชนซึ่งรายได้นำไปช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสนั้น เมื่อมูลนิธิดังกล่าวมีสภาพเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายต่างหากจากโจทก์ และโจทก์ฟ้องคดีนี้ในฐานะส่วนตัวไม่ได้ฟ้องโดยได้รับมอบอำนาจจากมูลนิธิ โจทก์จึงไม่อาจอ้างว่ามูลนิธิดังกล่าว ซึ่งมิได้เป็นคู่ความในคดีนี้ได้รับความเสียหายเพื่อให้มีการใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ เมื่อโจทก์ไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อฟังว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องแล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่นต่อไป พิพากษายกฟ้อง https://mgronline.com/crime/detail/9670000109449#google_vignette #Thaitimes
    MGRONLINE.COM
    ศาลแพ่งยกฟ้อง "ม.ร.ว.ปรียนันทนา" ฟ้อง"ณัฐพล-ฟ้าเดียวกัน" เขียนวิทยานิพนธ์-ทำหนังสือ พาดพิงบรรพบุรุษ ชี้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
    ศาลแพ่งยกฟ้อง ม.ร.ว.ปรียนันทนาฟ้องณัฐพล-สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน เขียนวิทยานิพนธ์-ทำหนังสือ พาดพิงบรรพบุรุษ เรียก 50 ล้าน ชี้ไม่มีอำนาจฟ้อง
    Sad
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1010 มุมมอง 0 รีวิว
  • วงการกากีเม้าแซ่บ จากหักพาล เป็น หักพัง
    เรื่องของบิ๊กโจ๊ก สังคมตํารวจซุบซิบนินทาว่าเหมือนโดนกรรมติดจรวด ลําพังมีคดีร้ายแรงติดตัวและต้องหลุดพ้นจากความเป็นตํารวจ ก็เป็นชะตากรรมที่หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว ดันมีคดีลักทรัพย์พ่วงด้วยเรื่องอื้อฉาวคาวสวาท ของมาดามกุ๊กกิ๊ก สิรินัดดา หักพาน ผุดขึ้นมาอีกราวกับเวรซ้ํากรรมซัด ยิ่งคลิปหลุดไปอยู่ในมือของ นายสิระ เจนจาคะนักการเมืองพันดุ เลยเหมือนระเบิดเวลาไม่รู้จะตูมตามออกมาว่าไหนอะไรคือการกินไอติมอะไรคือวู้แมนออนท็อป ขาเผือกเฝ้ารออย่างเก็บอาการกันทั้งเมือง ยามนี้ความทุกข์สาหัสถาโถมใส่ครอบครัวหักพัง อย่างหนักหน่วงแท้จริง
    สําหรับคนที่เคยเป็นผู้ถูกกระทํามาก่อนอย่างบริษัท oa เจ้าของกิจการทัวร์ 0 เหรียญเมื่อเห็นชะตากรรมของบิ๊กโจ๊กและภรรยาคงจะรู้สึกว่าแค่นี้ยังน้อยไปบิ๊กโจ๊กสร้างชื่อให้ตัวเองในฐานะหัวหมู่ทะลวงฟัน ทลายทัวร์ศูนย์เหรียญวาดภาพให้บริษัทโอเอเป็นผู้ร้ายขายชาติเจ้าของบริษัทและทั้งครอบครัวต้องตกเป็นจําเลยคดีอาญา ข้อหาซ่องโจร มิหนําซ้ําถูกบิ๊กตํารวจแทรกแซงคดี ด้วยการสั่งคัดค้านการประกันตัวทั้งที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ต้องหา ท้ายที่สุดคดีไม่มีหลักฐานศาลฎีกายกฟ้อง ไม่มีความผิด แต่จําเลยติดคุกฟรีไปแล้วแถมบริษัท oa แม้ชนะคดีมาได้แต่ก็เหลือแต่ซากปรักหักพังทางธุรกิจ ไม่สามารถกลับมาเหมือนเดิมได้อีก
    แล้วตอนนี้เป็นไง บิ๊กโจ๊กต้องมาโดนคดีฟอกเงินถูกให้ออกจากราชการกงล้อกรรมมีจริงฟ้ามีตาของจริงแถมลูกผู้ชายชื่อโจ๊กต้องเจอเรื่องอัปยศอดสูให้ต้องอับอายคนไปทั้งแผ่นดินอีกนาน รอวันครอบครัวแตกสลายจะช้าหรือเร็วเท่านั้น ไม่เท่านั้นคดีที่มาดามกุ๊กกิ๊กตกเป็นผู้ต้องหาลักทองคํา และเงินสดรวมกว่าหกล้านบาท ดันมีเหตุแทรกซ้อนเป็นผลทางลบในคดีฟอกเงิน มันคือกระเป๋าส่วนตัวที่มาดามดันลืมทิ้งไว้ระหว่างมาย้ายถุงสีรุ้งออกไปอย่างรีบร้อน
    เอกสารหลักฐานในกระเป๋าใบนั้นเกี่ยวพันกับการซื้อขายทองคําหลายสิบล้านบาทแถมมีลายมือเขียนเป็นบันทึกช่วยจําไว้ด้วย ลายมือนั้นดันไปละม้ายคล้ายกับของบิ๊กโจ๊กอีกต่างหาก
    ตํารวจตรวจสอบการซื้อขายทองคํามโหฬารนั้นจนโป๊ะแตกเมื่อพบว่ารายการทั้งหมดดันไปตรงกับบันทึกในคอมพิวเตอร์ของ ตํารวจพ่อบ้านคนสนิท ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ต้องหาคดีฟอกเงินเท่ากับว่ากระเป๋าใบนั้นช่วยให้ตํารวจได้หลักฐานการฟอกเงินเพิ่มเติมรัดคอบิ๊กโจ๊กกับพวกเข้าไปอีกเปราะแถมเป็นเบาะแสว่ามาดามกุ๊บกิ๊บเองอาจมีส่วนรู้เห็นเรื่องการซื้อขายทองคําด้วยเงินสีเทาเพราะหลักฐานพวกนี้ดันอยู่ในกระเป๋าถือส่วนตัวของมาดามกุ๊บกิ๊บ สอดรับกับคําให้การของลูกน้องเก่าของบิ๊กโจ๊กเคยแชร์ไว้กับตํารวจ บก ปปป ว่ามีการแปลงเงินสีเทาไปเป็นทองคํา เพื่อหนีการตรวจสอบบิ๊กโจ๊กต้องตอบให้ได้ว่าเอาเงินหลายสิบล้านจากไหน คิงส์โพธิ์ดำจะรอคำตอบนะจ๊ะ หวานเจี๊ยบบอย ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่
    #คิงส์โพธิ์ดำ
    วงการกากีเม้าแซ่บ จากหักพาล เป็น หักพัง เรื่องของบิ๊กโจ๊ก สังคมตํารวจซุบซิบนินทาว่าเหมือนโดนกรรมติดจรวด ลําพังมีคดีร้ายแรงติดตัวและต้องหลุดพ้นจากความเป็นตํารวจ ก็เป็นชะตากรรมที่หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว ดันมีคดีลักทรัพย์พ่วงด้วยเรื่องอื้อฉาวคาวสวาท ของมาดามกุ๊กกิ๊ก สิรินัดดา หักพาน ผุดขึ้นมาอีกราวกับเวรซ้ํากรรมซัด ยิ่งคลิปหลุดไปอยู่ในมือของ นายสิระ เจนจาคะนักการเมืองพันดุ เลยเหมือนระเบิดเวลาไม่รู้จะตูมตามออกมาว่าไหนอะไรคือการกินไอติมอะไรคือวู้แมนออนท็อป ขาเผือกเฝ้ารออย่างเก็บอาการกันทั้งเมือง ยามนี้ความทุกข์สาหัสถาโถมใส่ครอบครัวหักพัง อย่างหนักหน่วงแท้จริง สําหรับคนที่เคยเป็นผู้ถูกกระทํามาก่อนอย่างบริษัท oa เจ้าของกิจการทัวร์ 0 เหรียญเมื่อเห็นชะตากรรมของบิ๊กโจ๊กและภรรยาคงจะรู้สึกว่าแค่นี้ยังน้อยไปบิ๊กโจ๊กสร้างชื่อให้ตัวเองในฐานะหัวหมู่ทะลวงฟัน ทลายทัวร์ศูนย์เหรียญวาดภาพให้บริษัทโอเอเป็นผู้ร้ายขายชาติเจ้าของบริษัทและทั้งครอบครัวต้องตกเป็นจําเลยคดีอาญา ข้อหาซ่องโจร มิหนําซ้ําถูกบิ๊กตํารวจแทรกแซงคดี ด้วยการสั่งคัดค้านการประกันตัวทั้งที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ต้องหา ท้ายที่สุดคดีไม่มีหลักฐานศาลฎีกายกฟ้อง ไม่มีความผิด แต่จําเลยติดคุกฟรีไปแล้วแถมบริษัท oa แม้ชนะคดีมาได้แต่ก็เหลือแต่ซากปรักหักพังทางธุรกิจ ไม่สามารถกลับมาเหมือนเดิมได้อีก แล้วตอนนี้เป็นไง บิ๊กโจ๊กต้องมาโดนคดีฟอกเงินถูกให้ออกจากราชการกงล้อกรรมมีจริงฟ้ามีตาของจริงแถมลูกผู้ชายชื่อโจ๊กต้องเจอเรื่องอัปยศอดสูให้ต้องอับอายคนไปทั้งแผ่นดินอีกนาน รอวันครอบครัวแตกสลายจะช้าหรือเร็วเท่านั้น ไม่เท่านั้นคดีที่มาดามกุ๊กกิ๊กตกเป็นผู้ต้องหาลักทองคํา และเงินสดรวมกว่าหกล้านบาท ดันมีเหตุแทรกซ้อนเป็นผลทางลบในคดีฟอกเงิน มันคือกระเป๋าส่วนตัวที่มาดามดันลืมทิ้งไว้ระหว่างมาย้ายถุงสีรุ้งออกไปอย่างรีบร้อน เอกสารหลักฐานในกระเป๋าใบนั้นเกี่ยวพันกับการซื้อขายทองคําหลายสิบล้านบาทแถมมีลายมือเขียนเป็นบันทึกช่วยจําไว้ด้วย ลายมือนั้นดันไปละม้ายคล้ายกับของบิ๊กโจ๊กอีกต่างหาก ตํารวจตรวจสอบการซื้อขายทองคํามโหฬารนั้นจนโป๊ะแตกเมื่อพบว่ารายการทั้งหมดดันไปตรงกับบันทึกในคอมพิวเตอร์ของ ตํารวจพ่อบ้านคนสนิท ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ต้องหาคดีฟอกเงินเท่ากับว่ากระเป๋าใบนั้นช่วยให้ตํารวจได้หลักฐานการฟอกเงินเพิ่มเติมรัดคอบิ๊กโจ๊กกับพวกเข้าไปอีกเปราะแถมเป็นเบาะแสว่ามาดามกุ๊บกิ๊บเองอาจมีส่วนรู้เห็นเรื่องการซื้อขายทองคําด้วยเงินสีเทาเพราะหลักฐานพวกนี้ดันอยู่ในกระเป๋าถือส่วนตัวของมาดามกุ๊บกิ๊บ สอดรับกับคําให้การของลูกน้องเก่าของบิ๊กโจ๊กเคยแชร์ไว้กับตํารวจ บก ปปป ว่ามีการแปลงเงินสีเทาไปเป็นทองคํา เพื่อหนีการตรวจสอบบิ๊กโจ๊กต้องตอบให้ได้ว่าเอาเงินหลายสิบล้านจากไหน คิงส์โพธิ์ดำจะรอคำตอบนะจ๊ะ หวานเจี๊ยบบอย ติดตามข่าวซีฟๆแบบนี้ได้ที่ #คิงส์โพธิ์ดำ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 443 มุมมอง 0 รีวิว
  • "GGC" แจงคืบหน้าคดีอาญาอดีตผู้บริหาร-คู่ค้าทำสต็อกลมเสียหายกว่า 2 พันล้าน หลังเกิดเหตุการณ์วัตถุดิบคงคลังสูญหายช่วงมิถุนายน 2561 ชี้ลงบันทึกในระบบบัญชีของบริษัทได้รับวัตถุดิบครบถ้วน

    18 ตุลาคม 2567-รายงานข่าวฐานเศรษฐกิจระบุว่า นายกฤษฎา ประเสริฐสุโข กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC เปิดเผยความคืบหน้าด้านคดีความอันเนื่องมาจากเหตุการณ์วัตถุดิบคงคลังสูญหาย ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงมิถุนายน 2561 ตามที่ GGC ได้รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และแจ้งความดำเนินคดีกับผู้บริหาร พนักงานและ คู่ค้าที่เกี่ยวข้อง

    ซึ่งต่อมาสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)ได้ กล่าวโทษอดีตผู้บริหาร GGC 2 ราย และบริษัทคู่ค้า อีก 9 ราย ซึ่งเป็นผู้ขายวัตถุดิบ กรณีร่วมกันดำเนินการให้บริษัทซื้อวัตถุดิบและจ่ายชำระเงินค่าซื้อเต็มจำนวนให้แก่ผู้ขายโดยไม่ได้รับวัตถุดิบทั้งหมดหรือได้รับเพียงบางส่วน

    แต่กลับลงบันทึกในระบบบัญชีของบริษัทว่าได้รับวัตถุดิบครบถ้วนแล้ว รวมทั้งกรณีส่งมอบวัตถุดิบไปกลั่นโดยไม่ได้มีการกลั่นจริง ทำให้ GGC ได้รับความเสียหาย คิดเป็นมูลค่ารวม 2,157 ล้านบาท

    ทั้งนี้ GGC ได้ดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม ทั้งทางแพ่ง และอาญา ร่วมกับ ก.ล.ต. มาอย่างต่อเนื่อง โดยคดีมีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก และมีคดีถึงที่สุดแล้วหลายคดี ดังนี้

    ในส่วนคดีแพ่ง GGC มีการฟ้องร้องคดีแพ่ง 5 คดี และศาลตัดสินแล้วทั้งหมด โดย GGC ชนะทุกคดี และคดีถึงที่สุดแล้ว 4 คดี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการบังคับคดีตามคำสั่งศาลมูลค่ารวมกว่า 800 ล้านบาท

    ด้านคดีที่ GGC ถูกฟ้องเป็นจำเลยมี 6 คดี ศาลตัดสินแล้ว 4 คดี โดย GGC ชนะ 3 คดี และอีก 2 คดีอยู่ระหว่างการสืบพยาน

    ขณะที่คดีอาญา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้กล่าวโทษอดีตผู้บริหารของ GGC และบริษัทคู่ค้า และ GGC ได้แจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีอาญากับอดีตผู้บริหารและบริษัทคู่ค้ารวมทั้งสิ้น 8 คดี โดยมีคดีอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวน 4 คดี อยู่ในชั้นพนักงานอัยการ 1 คดี และอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอีก 3 คดี ซึ่งมีการตัดสินแล้ว 2 คดี

    คดีแรก ในปี 2566 ศาลพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา และความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 โดยลงโทษจำคุกอดีตผู้บริหาร 2 ปี และกรรมการของคู่ค้า 1 ปี 4 เดือน และให้อดีตผู้บริหารชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ GGC จำนวนประมาณ 328.87 ล้านบาท ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์

    คดีที่สอง ตัดสินเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ศาลพิพากษายกฟ้อง อย่างไรก็ตาม คำพิพากษาดังกล่าวเป็นคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเท่านั้น คดียังไม่ถึงที่สุด และ GGC จะสามารถใช้สิทธิในการยื่นอุทธรณ์ได้ โดยคดีดังกล่าว มีมูลค่าความเสียหายประมาณ 72.88 ล้านบาท ซึ่ง GGC ได้ยื่นขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายของบริษัทคู่ค้าไว้แล้ว

    "GGC ขอยืนยันว่า บริษัทจะดำเนินคดีตามพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงผ่านกระบวนการยุติธรรมอย่างเต็มที่และต่อเนื่อง เพื่อปกป้องสิทธิและรักษาผลประโยชน์ของ GGC และผู้ถือหุ้นทุกคน"

    ที่มา https://www.thansettakij.com/sustainable/energy/609697

    #Thaitimes
    "GGC" แจงคืบหน้าคดีอาญาอดีตผู้บริหาร-คู่ค้าทำสต็อกลมเสียหายกว่า 2 พันล้าน หลังเกิดเหตุการณ์วัตถุดิบคงคลังสูญหายช่วงมิถุนายน 2561 ชี้ลงบันทึกในระบบบัญชีของบริษัทได้รับวัตถุดิบครบถ้วน 18 ตุลาคม 2567-รายงานข่าวฐานเศรษฐกิจระบุว่า นายกฤษฎา ประเสริฐสุโข กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC เปิดเผยความคืบหน้าด้านคดีความอันเนื่องมาจากเหตุการณ์วัตถุดิบคงคลังสูญหาย ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงมิถุนายน 2561 ตามที่ GGC ได้รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และแจ้งความดำเนินคดีกับผู้บริหาร พนักงานและ คู่ค้าที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต่อมาสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)ได้ กล่าวโทษอดีตผู้บริหาร GGC 2 ราย และบริษัทคู่ค้า อีก 9 ราย ซึ่งเป็นผู้ขายวัตถุดิบ กรณีร่วมกันดำเนินการให้บริษัทซื้อวัตถุดิบและจ่ายชำระเงินค่าซื้อเต็มจำนวนให้แก่ผู้ขายโดยไม่ได้รับวัตถุดิบทั้งหมดหรือได้รับเพียงบางส่วน แต่กลับลงบันทึกในระบบบัญชีของบริษัทว่าได้รับวัตถุดิบครบถ้วนแล้ว รวมทั้งกรณีส่งมอบวัตถุดิบไปกลั่นโดยไม่ได้มีการกลั่นจริง ทำให้ GGC ได้รับความเสียหาย คิดเป็นมูลค่ารวม 2,157 ล้านบาท ทั้งนี้ GGC ได้ดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม ทั้งทางแพ่ง และอาญา ร่วมกับ ก.ล.ต. มาอย่างต่อเนื่อง โดยคดีมีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก และมีคดีถึงที่สุดแล้วหลายคดี ดังนี้ ในส่วนคดีแพ่ง GGC มีการฟ้องร้องคดีแพ่ง 5 คดี และศาลตัดสินแล้วทั้งหมด โดย GGC ชนะทุกคดี และคดีถึงที่สุดแล้ว 4 คดี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการบังคับคดีตามคำสั่งศาลมูลค่ารวมกว่า 800 ล้านบาท ด้านคดีที่ GGC ถูกฟ้องเป็นจำเลยมี 6 คดี ศาลตัดสินแล้ว 4 คดี โดย GGC ชนะ 3 คดี และอีก 2 คดีอยู่ระหว่างการสืบพยาน ขณะที่คดีอาญา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้กล่าวโทษอดีตผู้บริหารของ GGC และบริษัทคู่ค้า และ GGC ได้แจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีอาญากับอดีตผู้บริหารและบริษัทคู่ค้ารวมทั้งสิ้น 8 คดี โดยมีคดีอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวน 4 คดี อยู่ในชั้นพนักงานอัยการ 1 คดี และอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอีก 3 คดี ซึ่งมีการตัดสินแล้ว 2 คดี คดีแรก ในปี 2566 ศาลพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา และความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 โดยลงโทษจำคุกอดีตผู้บริหาร 2 ปี และกรรมการของคู่ค้า 1 ปี 4 เดือน และให้อดีตผู้บริหารชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ GGC จำนวนประมาณ 328.87 ล้านบาท ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ คดีที่สอง ตัดสินเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ศาลพิพากษายกฟ้อง อย่างไรก็ตาม คำพิพากษาดังกล่าวเป็นคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเท่านั้น คดียังไม่ถึงที่สุด และ GGC จะสามารถใช้สิทธิในการยื่นอุทธรณ์ได้ โดยคดีดังกล่าว มีมูลค่าความเสียหายประมาณ 72.88 ล้านบาท ซึ่ง GGC ได้ยื่นขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายของบริษัทคู่ค้าไว้แล้ว "GGC ขอยืนยันว่า บริษัทจะดำเนินคดีตามพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงผ่านกระบวนการยุติธรรมอย่างเต็มที่และต่อเนื่อง เพื่อปกป้องสิทธิและรักษาผลประโยชน์ของ GGC และผู้ถือหุ้นทุกคน" ที่มา https://www.thansettakij.com/sustainable/energy/609697 #Thaitimes
    WWW.THANSETTAKIJ.COM
    "GGC" แจงคืบหน้าคดีอาญาอดีตผู้บริหาร-คู่ค้าทำสต็อกลมเสียหายกว่า 2 พันล้าน
    "GGC" แจงคืบหน้าคดีอาญาอดีตผู้บริหาร-คู่ค้าทำสต็อกลมเสียหายกว่า 2 พันล้าน หลังเกิดเหตุการณ์วัตถุดิบคงคลังสูญหายช่วงมิถุนายน 2561 ชี้ลงบันทึกในระบบบัญชีของบริษัทได้รับวัตถุดิบครบถ้วน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 483 มุมมอง 0 รีวิว
  • บอสดารา The Icon ตอกย้ำด้านมืดคนดัง ดิ้นเอาตัวรอด-ไม่รับผิดชอบ
    .
    ปฏิเสธไม่ได้ว่าคดีการตรวจสอบกระบวนการทำธุรกิจของ The Icon กรุ๊ป กลายเป็นคดีระดับประเทศที่คนให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นคดีที่ท้าทายความสามารถของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่อย่าง 'บิ๊กต่าย' พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ในการกอบกู้ศักดิ์ศรีของตำรวจไทยให้ประชาชนกลับมามีความเชื่อมั่นอีกครั้ง
    .
    นอกจากคดีจะเป็นตัวชี้วัดในการเรียกศรัทธาคืนมาของตำรวจแล้ว อีกด้านคดีนี้เป็นการนำไปสู่การตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของบุคคลสาธารณะอย่างดารานักแสดงและพิธีกรด้วย ภายหลังกรณีของ The Icon พบว่ามีเหล่าผู้มีชื่อเสียงเข้าไปเกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก
    .
    ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คดีกลายเป็นที่จับจ้องของสังคมนั้น เนื่องจากปรากฎหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าเหล่าดาราเหล่านี้ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นเพียงพรีเซ็นเตอร์เท่านั้น แต่เป็นหนึ่งในผู้บริหารบริษัทด้านต่างๆ พร้อมกับมีการประกาศออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจน
    .
    แต่ทันทีที่เกิดเรื่องบรรดาผู้มีชื่อเสียงและนามสกุลใหญ่เหล่านั้นกลับเลือกที่เขียนด้วยและลบด้วยเท้าผ่านการอ้างว่าเป็นเพียงพรีเซ็นเตอร์เท่านั้น โดยไม่ได้เกี่ยวข้องในแง่การบริหารธุรกิจอย่างใด ซึ่งดันมาบังเอิญเหมาะเจาะกับการที่บริษัทดิ ไอคอน ก็ออกประกาศยืนยันว่าบอสดาราต่างๆไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท
    .
    การที่ยกข้ออ้างเหล่านี้ขึ้นมาเพื่อปกป้องบรรดาบอสดาราก็ถือเป็นสิทธิที่จะกระทำได้ ซึ่งก็ต้องไปว่ากันในแง่ของข้อกฎหมายต่อไป โดยเริ่มมีนักกฎหมายและผู้เชี่ยวชาญหลายคนเริ่มออกมาให้ความคิดเห็นแล้วว่า
    .
    หากผู้เสียหายเข้าร่วมลงทุนทำธุรกิจเพราะความน่าเชื่อถือของเหล่าดาราที่เรียกตัวเองว่าบอสเหล่านี้ จึงย่อมไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบไปได้
    .
    ในแง่ของคดีความและข้อกฎหมายก็คงต้องไปว่ากันในชั้นศาล แต่คำถามที่ตามมา ว่าเวลานี้สังคมไทยยังพอจะสามารถเชื่อถือบรรดาแวดวงคนบันเทิงในฐานะที่เป็นผู้ชี้นำและมีอิทธิพลต่อสังคมไทยได้อีกต่อไปหรือไม่
    .
    ทั้งนี้เป็นเพราะกรณีที่เกิดขึ้นจากกลุ่มบริษัท ดิ ไอคอน ไม่ได้เป็นกรณีแรกที่มีดาราเข้ามามีส่วนพัวพัน ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ก็เคยมีดารา ซึ่งเป็นบุคคลที่มีสถานะพิเศษต้องถูกดำเนินคดีและใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำให้เห็นกันมาแล้วอย่างกรณีคดีแชร์ลูกโซ่ Forex-3D ซึ่งพบว่ามีดาราอาศัยความมีชื่อเสียงของตัวเองในการชักชวนให้ประชาชนมาลงทุน
    .
    ทั้งนี้ ดังจะเห็นได้จากกรณีของพิ้งกี้ สาวิกา ไชยเดช พร้อมแม่และพี่ชายถูกฟ้องเป็นจำเลย ซึ่งปัจจุบันได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวเพื่อมาต่อสู้คดี รวมไปถึงนายพัฒนพล มินทะขิน หรือดีเจแมน และ น.ส.สุธีวัน กุญชร หรือใบเตย อาร์สยาม โดยกรณีของรายหลังศาลได้มีการยกฟ้องคดีไปบางส่วนแล้ว แต่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)ออกมาให้ข้อมูลว่าคดีที่ยกฟ้องนั้น เป็นคดีที่ประชาชนผู้เสียหายเกี่ยวกับแชร์ Forex-3D ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องเองโดยตรงที่สามารถกระทำได้ตามกฎหมาย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับคดีที่ดีเอสไอกำลังดำเนินการตรวจสอบ
    .
    หรือย้อนกลับไปกว่านั้น คือ กรณีของบริษัท เมจิกสกิน จำหน่ายอาหารเสริมที่ไม่มีคุณภาพและไม่ผ่านการตรวจสอบของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา โดยเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาเนื่องจากมีดาราจำนวนไม่น้อยรับงานรีวิวสินค้า จนถูกหมายเรียกและบางรายต้องต่อสู้คดีในชั้นศาล เช่น น.ส.รัชวิน วงศ์วิริยะ หรือ ก้อย และ นายกนกฉัตร มรรยาทอ่อน หรือ ไต้ฝุ่น หนึ่งในกลุ่มดาราที่รับรีวิวเมจิกสกิน ศาลได้พิพากษาให้ความผิดแต่ให้รอลงอาญา ขณะที่ กลุ่มผู้บริหารผลิตภัณฑ์ของบริษัท เมจิกสกิน ศาลก็ได้พิพากษาให้ลงโทษจำคุก 20 ปี แต่เนื่องจากจำเลยมีพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงการพยายามเยียวยาให้กับผู้เสียหาย ทำให้ศาลรอลงอาญาโทษจำคุก
    .
    อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องยากที่จะนำกรณีของเมจิกสกินกับดิ ไอคอน มาเปรียบเทียบกันเพื่อสรุปว่ากรณีของ The Icon จะมีบทสรุปลงเอยเหมือนกับคดีเมจิกสกิน เนื่องจากเหล่าดาราในกรณีของเมจิกสกินนั้นล้วนแล้วแต่เป็นเพียงพรีเซนเตอร์เท่านั้น
    .
    ผิดกับกรณี The Icon ที่ได้ประกาศตัวเองว่าเป็น 'บอส' ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการดึงดูดให้ประชาชนมาร่วมลงทุน ดังนั้น การจะมาอ้างว่าการเป็นบอสเป็นอีกร่างอวตารหนึ่งของพรีเซ็นเตอร์นั้นดูจะเป็นการเอาสีข้างเข้าถูกจนเกินไป
    .
    เพราะฉะนั้น จากกรณีของThe Icon ที่เกิดขึ้นมานั้นยิ่งจะเป็นปัจจัยฉุดรั้งที่ทำให้สถานะของวงการบันเทิงถูกสั่นคลอนในแง่ของความน่าเชื่อถือมากขึ้นไปอีก หลังจากที่ทุกวันนี้วงการบันเทิงไทยซบเซาลงอย่างต่อเนื่อง และคนนินทาหมาดูถูก อย่างหนัก
    ..............
    Sondhi X
    บอสดารา The Icon ตอกย้ำด้านมืดคนดัง ดิ้นเอาตัวรอด-ไม่รับผิดชอบ . ปฏิเสธไม่ได้ว่าคดีการตรวจสอบกระบวนการทำธุรกิจของ The Icon กรุ๊ป กลายเป็นคดีระดับประเทศที่คนให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นคดีที่ท้าทายความสามารถของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่อย่าง 'บิ๊กต่าย' พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ในการกอบกู้ศักดิ์ศรีของตำรวจไทยให้ประชาชนกลับมามีความเชื่อมั่นอีกครั้ง . นอกจากคดีจะเป็นตัวชี้วัดในการเรียกศรัทธาคืนมาของตำรวจแล้ว อีกด้านคดีนี้เป็นการนำไปสู่การตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของบุคคลสาธารณะอย่างดารานักแสดงและพิธีกรด้วย ภายหลังกรณีของ The Icon พบว่ามีเหล่าผู้มีชื่อเสียงเข้าไปเกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก . ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คดีกลายเป็นที่จับจ้องของสังคมนั้น เนื่องจากปรากฎหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าเหล่าดาราเหล่านี้ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นเพียงพรีเซ็นเตอร์เท่านั้น แต่เป็นหนึ่งในผู้บริหารบริษัทด้านต่างๆ พร้อมกับมีการประกาศออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจน . แต่ทันทีที่เกิดเรื่องบรรดาผู้มีชื่อเสียงและนามสกุลใหญ่เหล่านั้นกลับเลือกที่เขียนด้วยและลบด้วยเท้าผ่านการอ้างว่าเป็นเพียงพรีเซ็นเตอร์เท่านั้น โดยไม่ได้เกี่ยวข้องในแง่การบริหารธุรกิจอย่างใด ซึ่งดันมาบังเอิญเหมาะเจาะกับการที่บริษัทดิ ไอคอน ก็ออกประกาศยืนยันว่าบอสดาราต่างๆไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท . การที่ยกข้ออ้างเหล่านี้ขึ้นมาเพื่อปกป้องบรรดาบอสดาราก็ถือเป็นสิทธิที่จะกระทำได้ ซึ่งก็ต้องไปว่ากันในแง่ของข้อกฎหมายต่อไป โดยเริ่มมีนักกฎหมายและผู้เชี่ยวชาญหลายคนเริ่มออกมาให้ความคิดเห็นแล้วว่า . หากผู้เสียหายเข้าร่วมลงทุนทำธุรกิจเพราะความน่าเชื่อถือของเหล่าดาราที่เรียกตัวเองว่าบอสเหล่านี้ จึงย่อมไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบไปได้ . ในแง่ของคดีความและข้อกฎหมายก็คงต้องไปว่ากันในชั้นศาล แต่คำถามที่ตามมา ว่าเวลานี้สังคมไทยยังพอจะสามารถเชื่อถือบรรดาแวดวงคนบันเทิงในฐานะที่เป็นผู้ชี้นำและมีอิทธิพลต่อสังคมไทยได้อีกต่อไปหรือไม่ . ทั้งนี้เป็นเพราะกรณีที่เกิดขึ้นจากกลุ่มบริษัท ดิ ไอคอน ไม่ได้เป็นกรณีแรกที่มีดาราเข้ามามีส่วนพัวพัน ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ก็เคยมีดารา ซึ่งเป็นบุคคลที่มีสถานะพิเศษต้องถูกดำเนินคดีและใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำให้เห็นกันมาแล้วอย่างกรณีคดีแชร์ลูกโซ่ Forex-3D ซึ่งพบว่ามีดาราอาศัยความมีชื่อเสียงของตัวเองในการชักชวนให้ประชาชนมาลงทุน . ทั้งนี้ ดังจะเห็นได้จากกรณีของพิ้งกี้ สาวิกา ไชยเดช พร้อมแม่และพี่ชายถูกฟ้องเป็นจำเลย ซึ่งปัจจุบันได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวเพื่อมาต่อสู้คดี รวมไปถึงนายพัฒนพล มินทะขิน หรือดีเจแมน และ น.ส.สุธีวัน กุญชร หรือใบเตย อาร์สยาม โดยกรณีของรายหลังศาลได้มีการยกฟ้องคดีไปบางส่วนแล้ว แต่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)ออกมาให้ข้อมูลว่าคดีที่ยกฟ้องนั้น เป็นคดีที่ประชาชนผู้เสียหายเกี่ยวกับแชร์ Forex-3D ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องเองโดยตรงที่สามารถกระทำได้ตามกฎหมาย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับคดีที่ดีเอสไอกำลังดำเนินการตรวจสอบ . หรือย้อนกลับไปกว่านั้น คือ กรณีของบริษัท เมจิกสกิน จำหน่ายอาหารเสริมที่ไม่มีคุณภาพและไม่ผ่านการตรวจสอบของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา โดยเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาเนื่องจากมีดาราจำนวนไม่น้อยรับงานรีวิวสินค้า จนถูกหมายเรียกและบางรายต้องต่อสู้คดีในชั้นศาล เช่น น.ส.รัชวิน วงศ์วิริยะ หรือ ก้อย และ นายกนกฉัตร มรรยาทอ่อน หรือ ไต้ฝุ่น หนึ่งในกลุ่มดาราที่รับรีวิวเมจิกสกิน ศาลได้พิพากษาให้ความผิดแต่ให้รอลงอาญา ขณะที่ กลุ่มผู้บริหารผลิตภัณฑ์ของบริษัท เมจิกสกิน ศาลก็ได้พิพากษาให้ลงโทษจำคุก 20 ปี แต่เนื่องจากจำเลยมีพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงการพยายามเยียวยาให้กับผู้เสียหาย ทำให้ศาลรอลงอาญาโทษจำคุก . อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องยากที่จะนำกรณีของเมจิกสกินกับดิ ไอคอน มาเปรียบเทียบกันเพื่อสรุปว่ากรณีของ The Icon จะมีบทสรุปลงเอยเหมือนกับคดีเมจิกสกิน เนื่องจากเหล่าดาราในกรณีของเมจิกสกินนั้นล้วนแล้วแต่เป็นเพียงพรีเซนเตอร์เท่านั้น . ผิดกับกรณี The Icon ที่ได้ประกาศตัวเองว่าเป็น 'บอส' ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการดึงดูดให้ประชาชนมาร่วมลงทุน ดังนั้น การจะมาอ้างว่าการเป็นบอสเป็นอีกร่างอวตารหนึ่งของพรีเซ็นเตอร์นั้นดูจะเป็นการเอาสีข้างเข้าถูกจนเกินไป . เพราะฉะนั้น จากกรณีของThe Icon ที่เกิดขึ้นมานั้นยิ่งจะเป็นปัจจัยฉุดรั้งที่ทำให้สถานะของวงการบันเทิงถูกสั่นคลอนในแง่ของความน่าเชื่อถือมากขึ้นไปอีก หลังจากที่ทุกวันนี้วงการบันเทิงไทยซบเซาลงอย่างต่อเนื่อง และคนนินทาหมาดูถูก อย่างหนัก .............. Sondhi X
    Like
    Angry
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 965 มุมมอง 0 รีวิว
  • 'ณฐพร โตประยูร' ร้อง ป.ป.ช.สอบจริยธรรม 'รังสิมันต์ โรม' ใช้อำนาจ กมธ.ล้วงลูกคดี 'ทุน มิน หลัด'

    9 ตุลาคม 2567 - รายงานข่าวไทยโพสต์ระบุว่า นายณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เปิดเผยว่า ได้เดินทางไปยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนและมีความเห็นกรณี นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 185 หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยใช้สถานะประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐกิจการชายแดนยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ก้าวก่าย แทรกแซงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานจากส่วนราชการ อ้างวาระประชุมเพื่อพิจารณาศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ไขเกี่ยวกับการอายัดทรัพย์คดียาเสพติด การฟอกเงิน และการใช้บัญชีม้าในขบวนการยาเสพติดที่เชื่อมโยงกับอาชญากรรมที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ โดยนำคดีของ นายทุน มิน หลัดที่ศาลมีคำพิพากษายกฟ้องมาพิจารณา รวม 3 ครั้ง คือ วันที่ 29 ส.ค. 2567 วันที่ 11 ก.ย. 2567 และวันที่ 3 ต.ค. 2567 เพื่อนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ ในการต่อสู้คดีที่ถูกนายอุปกิต ปาจรียางกูร อดีตสมาชิกวุฒิสภา ฟ้องหมิ่นประมาทจำนวน 3 คดี ค่าเสียหายรวม 140 ล้านบาท

    นายณฐพร กล่าวว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการแสวงหาประโยชน์ส่วนตน เพราะหากนายรังสิมันต์จะหาข้อเท็จจริงต้องทำตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ คือ ต้องมีหนังสือถึงรัฐมนตรีเพื่อให้เจ้าหน้าที่ส่งข้อเท็จจริงให้ นอกจากนี้ยังเรียกให้ พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียมาให้ข้อมูลต่อที่ประชุม ทั้ง ๆ ที่นายอุปกิต ฟ้อง พ.ต.ท.มานะพงษ์ ต่อศาลอาญาทุจริตประพฤติมิชอบกลาง เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2566 และคดียังอยู่ชั้นศาลอุทธรณ์ ดังนั้นข้อมูลจาก พ.ต.ท.มานะพงษ์ จึงเป็นข้อมูลที่ไม่เป็นกลาง และทำให้ พ.ต.ท.มานะพงษ์ รู้ข้อมูลเชิงลับ ในการสอบหาข้อเท็จจริงของคณะกรรมาธิการ ถือเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.คำสั่งเรียก ฯ และ ไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 129 ที่ได้วางมาตรการป้องกันการใช้อำนาจของคณะกรรมาธิการอีกด้วย

    “ในเนื้อหาการประชุมเห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า นายรังสิมันต์ มิได้ปฏิบัติหน้าที่ ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ กฎหมายและหลักนิติธรรม เช่น ต้องการให้ดำเนินคดีกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สาขาแม่สายที่อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง และยังให้ผู้แทนกระทรวงมหาดไทยไปหาแนวทางยกเลิกสัญญาระหว่างการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค” อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดินระบุ

    https://www.thaipost.net/x-cite-news/670670/

    #Thaitimes
    'ณฐพร โตประยูร' ร้อง ป.ป.ช.สอบจริยธรรม 'รังสิมันต์ โรม' ใช้อำนาจ กมธ.ล้วงลูกคดี 'ทุน มิน หลัด' 9 ตุลาคม 2567 - รายงานข่าวไทยโพสต์ระบุว่า นายณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เปิดเผยว่า ได้เดินทางไปยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนและมีความเห็นกรณี นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 185 หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยใช้สถานะประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐกิจการชายแดนยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ก้าวก่าย แทรกแซงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานจากส่วนราชการ อ้างวาระประชุมเพื่อพิจารณาศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ไขเกี่ยวกับการอายัดทรัพย์คดียาเสพติด การฟอกเงิน และการใช้บัญชีม้าในขบวนการยาเสพติดที่เชื่อมโยงกับอาชญากรรมที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ โดยนำคดีของ นายทุน มิน หลัดที่ศาลมีคำพิพากษายกฟ้องมาพิจารณา รวม 3 ครั้ง คือ วันที่ 29 ส.ค. 2567 วันที่ 11 ก.ย. 2567 และวันที่ 3 ต.ค. 2567 เพื่อนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ ในการต่อสู้คดีที่ถูกนายอุปกิต ปาจรียางกูร อดีตสมาชิกวุฒิสภา ฟ้องหมิ่นประมาทจำนวน 3 คดี ค่าเสียหายรวม 140 ล้านบาท นายณฐพร กล่าวว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการแสวงหาประโยชน์ส่วนตน เพราะหากนายรังสิมันต์จะหาข้อเท็จจริงต้องทำตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ คือ ต้องมีหนังสือถึงรัฐมนตรีเพื่อให้เจ้าหน้าที่ส่งข้อเท็จจริงให้ นอกจากนี้ยังเรียกให้ พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียมาให้ข้อมูลต่อที่ประชุม ทั้ง ๆ ที่นายอุปกิต ฟ้อง พ.ต.ท.มานะพงษ์ ต่อศาลอาญาทุจริตประพฤติมิชอบกลาง เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2566 และคดียังอยู่ชั้นศาลอุทธรณ์ ดังนั้นข้อมูลจาก พ.ต.ท.มานะพงษ์ จึงเป็นข้อมูลที่ไม่เป็นกลาง และทำให้ พ.ต.ท.มานะพงษ์ รู้ข้อมูลเชิงลับ ในการสอบหาข้อเท็จจริงของคณะกรรมาธิการ ถือเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.คำสั่งเรียก ฯ และ ไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 129 ที่ได้วางมาตรการป้องกันการใช้อำนาจของคณะกรรมาธิการอีกด้วย “ในเนื้อหาการประชุมเห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า นายรังสิมันต์ มิได้ปฏิบัติหน้าที่ ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ กฎหมายและหลักนิติธรรม เช่น ต้องการให้ดำเนินคดีกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สาขาแม่สายที่อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง และยังให้ผู้แทนกระทรวงมหาดไทยไปหาแนวทางยกเลิกสัญญาระหว่างการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค” อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดินระบุ https://www.thaipost.net/x-cite-news/670670/ #Thaitimes
    WWW.THAIPOST.NET
    'ณฐพร' ร้องสอบจริยธรรม 'ทั่นโรม' ใช้อำนาจล้วงลูกคดี!
    'ณฐพร' ร้อง ป.ป.ช.สอบจริยธรรม 'รังสิมันต์ โรม' ใช้อำนาจ กมธ.ล้วงลูกคดี 'ทุน มิน หลัด'
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 722 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลปกครองพิพากษายกฟ้องคดีที่ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ฟ้องสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าเสียหายหรือค่าใช้จ่ายใดๆ จากผู้ถูกฟ้องคดีที่มอบพื้นที่ล่าช้า เพราะ ผู้ถูกฟ้องได้ให้สิทธิแก่ซิโน-ไทยขยายเวลาก่อสร้างตามสัญญาออกไป 4 ครั้ง รวมเป็นเวลา 1,864 วัน

    17 กันยายน 2567-รายงานข่าวระบุว่า ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ 961/2563 หมายเลขแดงที่ 2042/2567ระหว่างบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้ฟ้องคดี กับสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ผู้ถูกฟ้องคดี

    โดยศาลพิเคราะห์ข้อกำหนดในเอกสารประกาศประกวดราคาจ้างก่อสร้างและข้อตกลงในสัญญาพิพาทแล้ว เห็นว่า ทั้งผู้ฟ้องคดีและผู้ถูกฟ้องคดีต่างรับรู้และตระหนักถึงปัญหาเรื่องการส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างที่อาจไม่เป็นไปตามที่วางแผนไว้ในเบื้องต้น โดยเห็นได้จากในข้อ 1 วรรคสอง ของสัญญาพิพาท ตกลงกันว่า ในการดำเนินการตามสัญญานี้ ผู้ว่าจ้างจะส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้องหรือตามความพร้อมของผู้ว่าจ้าง

    และในกรณีที่มีการส่งมอบพื้นที่ล่าช้า ผู้รับจ้างไม่อาจเรียกร้องค่าเสียหายใดๆ จากผู้ว่าจ้างได้ หรือหากผู้ว่าจ้างไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้พื้นที่จากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ผู้ว่าจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและผู้รับจ้างไม่อาจเรียกร้องค่าเสียหายใดๆ จากผู้ว่าจ้างได้เช่นกัน

    อย่างไรก็ดี ในกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องแก่ผู้ฟ้องคดีได้ตามที่กำหนดไว้ หรือในกรณีที่ผู้รับจ้างรายอื่นๆ ไม่สามารถส่งมอบพื้นที่หรือผลงานที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับงานของผู้รับจ้างได้ตามที่ตกลงกันไว้ ผู้ถูกฟ้องคดีมีหน้าที่ต้องพิจารณาขยายระยะเวลาของงานส่วนที่ต้องล่าช้าออกไปอันมีผลกระทบมาจากกรณีดังกล่าวเหล่านั้นให้แก่ผู้ฟ้องคดีตามความเหมาะสม แต่ผู้ถูกฟ้องคดีไม่มีหน้าที่ชดเชยค่าใช้จ่ายใดๆ ให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสิ้น

    เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าการส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างให้แก่ผู้ฟ้องคดี ไม่เป็นไปตามแผนการส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างกำหนดไว้เบื้องต้น และผู้ฟ้องคดีประสบปัญหาอุปสรรคความล่าช้าในการขนดินออกจากพื้นที่ก่อสร้าง เนื่องจากผู้ถูกฟ้องคดีไม่สามารถจัดหาที่พักดินให้ได้ตามสัญญาทำให้มีผลกระทบต่องานก่อสร้างฐานและอาคารชั้นใต้ดิน อันเป็นเหตุให้การดำเนินงานก่อสร้างของผู้ฟ้องคดีมีความล่าช้า ซึ่งเหตุดังกล่าวเป็นกรณีที่ผู้ว่าจ้างไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องแก่ผู้รับจ้างตามกำหนดไว้

    และปัญหาอุปสรรคที่เกิดจากการหาสถานที่ทิ้งดิน รวมถึงการที่ผู้รับซื้อดินที่ผู้ถูกฟ้องคดีจัดหามา ไม่สามารถขนย้ายดินออกจากโครงการได้ทัน เป็นกรณีที่ผู้รับจ้างรายอื่นๆ ไม่สามารถส่งมอบผลงานที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับงานของผู้รับจ้างได้ตามที่ตกลงกันไว้ ตามนัยข้อ 24.2 ของสัญญาพิพาท ที่ผู้ฟ้องคดีมีสิทธิได้รับการพิจารณาขยายเวลาก่อสร้างออกไป และผู้ถูกฟ้องคดีมีหน้าที่ต้องพิจารณาขยายระยะเวลาของงานส่วนที่ต้องล่าช้าออกไปตามความเหมาะสม

    เมื่อผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือขอขยายเวลาก่อสร้างออกไปหลายครั้ง ผู้ถูกฟ้องคดีก็ได้ประชุมพิจารณาร่วมกับที่ปรึกษาบริหารโครงการ คณะกรรมการตรวจการจ้าง ผู้ควบคุมงาน ผู้ฟ้องคดี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วได้ขยายเวลาทำการก่อสร้างตามสัญญาออกไป 4 ครั้ง รวมเป็นเวลา 1,864 วัน

    กรณีจึงเห็นว่า ฝ่ายผู้ถูกฟ้องคดี ได้ทำหน้าที่พิจารณาขยายระยะเวลาของงานส่วนที่ต้องล่าช้าออกไปให้แก่ผู้ฟ้องคดีตามข้อตกลงในสัญญาแล้ว ผู้ฟ้องคดีจึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าเสียหายหรือค่าใช้จ่ายใดๆ จากผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสิ้น ทั้งนี้ ตามข้อ 1 วรรคสอง และข้อ 24.2 ของสัญญาพิพาท พิพากษายกฟ้อง

    #Thaitimes
    ศาลปกครองพิพากษายกฟ้องคดีที่ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ฟ้องสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าเสียหายหรือค่าใช้จ่ายใดๆ จากผู้ถูกฟ้องคดีที่มอบพื้นที่ล่าช้า เพราะ ผู้ถูกฟ้องได้ให้สิทธิแก่ซิโน-ไทยขยายเวลาก่อสร้างตามสัญญาออกไป 4 ครั้ง รวมเป็นเวลา 1,864 วัน 17 กันยายน 2567-รายงานข่าวระบุว่า ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ 961/2563 หมายเลขแดงที่ 2042/2567ระหว่างบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้ฟ้องคดี กับสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ผู้ถูกฟ้องคดี โดยศาลพิเคราะห์ข้อกำหนดในเอกสารประกาศประกวดราคาจ้างก่อสร้างและข้อตกลงในสัญญาพิพาทแล้ว เห็นว่า ทั้งผู้ฟ้องคดีและผู้ถูกฟ้องคดีต่างรับรู้และตระหนักถึงปัญหาเรื่องการส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างที่อาจไม่เป็นไปตามที่วางแผนไว้ในเบื้องต้น โดยเห็นได้จากในข้อ 1 วรรคสอง ของสัญญาพิพาท ตกลงกันว่า ในการดำเนินการตามสัญญานี้ ผู้ว่าจ้างจะส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้องหรือตามความพร้อมของผู้ว่าจ้าง และในกรณีที่มีการส่งมอบพื้นที่ล่าช้า ผู้รับจ้างไม่อาจเรียกร้องค่าเสียหายใดๆ จากผู้ว่าจ้างได้ หรือหากผู้ว่าจ้างไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้พื้นที่จากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ผู้ว่าจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและผู้รับจ้างไม่อาจเรียกร้องค่าเสียหายใดๆ จากผู้ว่าจ้างได้เช่นกัน อย่างไรก็ดี ในกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องแก่ผู้ฟ้องคดีได้ตามที่กำหนดไว้ หรือในกรณีที่ผู้รับจ้างรายอื่นๆ ไม่สามารถส่งมอบพื้นที่หรือผลงานที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับงานของผู้รับจ้างได้ตามที่ตกลงกันไว้ ผู้ถูกฟ้องคดีมีหน้าที่ต้องพิจารณาขยายระยะเวลาของงานส่วนที่ต้องล่าช้าออกไปอันมีผลกระทบมาจากกรณีดังกล่าวเหล่านั้นให้แก่ผู้ฟ้องคดีตามความเหมาะสม แต่ผู้ถูกฟ้องคดีไม่มีหน้าที่ชดเชยค่าใช้จ่ายใดๆ ให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสิ้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าการส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างให้แก่ผู้ฟ้องคดี ไม่เป็นไปตามแผนการส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างกำหนดไว้เบื้องต้น และผู้ฟ้องคดีประสบปัญหาอุปสรรคความล่าช้าในการขนดินออกจากพื้นที่ก่อสร้าง เนื่องจากผู้ถูกฟ้องคดีไม่สามารถจัดหาที่พักดินให้ได้ตามสัญญาทำให้มีผลกระทบต่องานก่อสร้างฐานและอาคารชั้นใต้ดิน อันเป็นเหตุให้การดำเนินงานก่อสร้างของผู้ฟ้องคดีมีความล่าช้า ซึ่งเหตุดังกล่าวเป็นกรณีที่ผู้ว่าจ้างไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องแก่ผู้รับจ้างตามกำหนดไว้ และปัญหาอุปสรรคที่เกิดจากการหาสถานที่ทิ้งดิน รวมถึงการที่ผู้รับซื้อดินที่ผู้ถูกฟ้องคดีจัดหามา ไม่สามารถขนย้ายดินออกจากโครงการได้ทัน เป็นกรณีที่ผู้รับจ้างรายอื่นๆ ไม่สามารถส่งมอบผลงานที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับงานของผู้รับจ้างได้ตามที่ตกลงกันไว้ ตามนัยข้อ 24.2 ของสัญญาพิพาท ที่ผู้ฟ้องคดีมีสิทธิได้รับการพิจารณาขยายเวลาก่อสร้างออกไป และผู้ถูกฟ้องคดีมีหน้าที่ต้องพิจารณาขยายระยะเวลาของงานส่วนที่ต้องล่าช้าออกไปตามความเหมาะสม เมื่อผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือขอขยายเวลาก่อสร้างออกไปหลายครั้ง ผู้ถูกฟ้องคดีก็ได้ประชุมพิจารณาร่วมกับที่ปรึกษาบริหารโครงการ คณะกรรมการตรวจการจ้าง ผู้ควบคุมงาน ผู้ฟ้องคดี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วได้ขยายเวลาทำการก่อสร้างตามสัญญาออกไป 4 ครั้ง รวมเป็นเวลา 1,864 วัน กรณีจึงเห็นว่า ฝ่ายผู้ถูกฟ้องคดี ได้ทำหน้าที่พิจารณาขยายระยะเวลาของงานส่วนที่ต้องล่าช้าออกไปให้แก่ผู้ฟ้องคดีตามข้อตกลงในสัญญาแล้ว ผู้ฟ้องคดีจึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าเสียหายหรือค่าใช้จ่ายใดๆ จากผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสิ้น ทั้งนี้ ตามข้อ 1 วรรคสอง และข้อ 24.2 ของสัญญาพิพาท พิพากษายกฟ้อง #Thaitimes
    Like
    Yay
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 789 มุมมอง 0 รีวิว
  • แจ้งได้ ต้องเข้าองค์ประกอบ 2อย่าง คือ
    1 ขายในราคาพระแท้
    2.มีการรับประกันแท้ และจงใจให้ผู้ซื้อเข้าใจว่าเป็นของแท้
    ..ในข้อหาฉ้อโกง..
    **ถ้าของหลักพัน หลักหมื่น แสน ล้าน ขายราคาหลักร้อย หลักพัน ดุลพินิจของศาลจะมองว่า ผู้ซื้อเป็นผู้รับความเสี่ยงนั้นไว้เอง และส่วนใหญ่ยกฟ้อง.
    **ถ้าคนขายเก๊ทั้งหมดติดคุก สนามพระที่มีมากกว่า 6-70 ปี คงมีคนติดคุกไม่น้อย.
    **ถามว่า ตร.รับแจ้งความได้ไหม.ตอบว่าได้ แต่ถ้าไม่เข้าองค์ประกอบ 2ข้อข้างต้น คนแจ้งจะโดนฟ้องกลับ ในข้อหาแจ้งความเท็จ ตร.ผู้รับแจ้ง ก็อาจโดน ม.157 ด้วย
    แจ้งได้ ต้องเข้าองค์ประกอบ 2อย่าง คือ 1 ขายในราคาพระแท้ 2.มีการรับประกันแท้ และจงใจให้ผู้ซื้อเข้าใจว่าเป็นของแท้ ..ในข้อหาฉ้อโกง.. **ถ้าของหลักพัน หลักหมื่น แสน ล้าน ขายราคาหลักร้อย หลักพัน ดุลพินิจของศาลจะมองว่า ผู้ซื้อเป็นผู้รับความเสี่ยงนั้นไว้เอง และส่วนใหญ่ยกฟ้อง. **ถ้าคนขายเก๊ทั้งหมดติดคุก สนามพระที่มีมากกว่า 6-70 ปี คงมีคนติดคุกไม่น้อย. **ถามว่า ตร.รับแจ้งความได้ไหม.ตอบว่าได้ แต่ถ้าไม่เข้าองค์ประกอบ 2ข้อข้างต้น คนแจ้งจะโดนฟ้องกลับ ในข้อหาแจ้งความเท็จ ตร.ผู้รับแจ้ง ก็อาจโดน ม.157 ด้วย
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 207 มุมมอง 0 รีวิว
  • แหม่ #หนูเล่นแบบนี้คนไทยคนเชียร์ก็ใจเจ็บอะดิ
    พี่คิงส์ว่าละ มีคนเอาข่าวมาบอก
    ว่าพรรคการเมือง 80% เอาคอมเพล็ก
    ถ้ายื่นมติเมื่อไหร่ผ่านแน่นอน
    เศร้าเนาะ ไม่สนใจว่าสังคมไทยจะดิ่งแค่ไหน
    มา เ-ฟี-ย เต็มประเทศ คนไทยคือชนชั้นสอง
    แค่ทุกวันนี้ ฝรั่งเตะหมอไทยยังยกฟ้องเลย
    ไอ่ฉัด
    #คิงส์โพธิ์แดง
    แหม่ #หนูเล่นแบบนี้คนไทยคนเชียร์ก็ใจเจ็บอะดิ พี่คิงส์ว่าละ มีคนเอาข่าวมาบอก ว่าพรรคการเมือง 80% เอาคอมเพล็ก ถ้ายื่นมติเมื่อไหร่ผ่านแน่นอน เศร้าเนาะ ไม่สนใจว่าสังคมไทยจะดิ่งแค่ไหน มา เ-ฟี-ย เต็มประเทศ คนไทยคือชนชั้นสอง แค่ทุกวันนี้ ฝรั่งเตะหมอไทยยังยกฟ้องเลย ไอ่ฉัด #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 351 มุมมอง 0 รีวิว
  • ศาลแขวงภูเก็ตพิพากษา ยกฟ้องคดีฝรั่งเตะหมอ หลัง "หมอปาย" เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง “เดวิด” ข้อหาทำร้ายร่างกาย ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000081689

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ศาลแขวงภูเก็ตพิพากษา ยกฟ้องคดีฝรั่งเตะหมอ หลัง "หมอปาย" เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง “เดวิด” ข้อหาทำร้ายร่างกาย ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000081689 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Angry
    Like
    Sad
    Haha
    27
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 4630 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยกฟ้อง เดวิด ค-ดี เ-ต-ะ หมอ
    นี่แหละถ้าประเทศไทยมี ค-า-สิ-โ-น จะมีคนอย่างฝรั่งเดวิดอีกเป็นแสนเป็นล้านคน
    #คิงส์โพธิ์แดง
    ยกฟ้อง เดวิด ค-ดี เ-ต-ะ หมอ นี่แหละถ้าประเทศไทยมี ค-า-สิ-โ-น จะมีคนอย่างฝรั่งเดวิดอีกเป็นแสนเป็นล้านคน #คิงส์โพธิ์แดง
    Angry
    Like
    Sad
    7
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 303 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยังไม่ทันเปิดกาสิโน ต่างชาติก็ลุแก่อำนาจ ทำร้ายคนไทย โดยมีศาลปกป้อง ยกฟ้องแล้ว อย่าเผลอไปนั่งบันไดไหน อาจ...
    #คิงส์โพธิ์แดง
    ยังไม่ทันเปิดกาสิโน ต่างชาติก็ลุแก่อำนาจ ทำร้ายคนไทย โดยมีศาลปกป้อง ยกฟ้องแล้ว อย่าเผลอไปนั่งบันไดไหน อาจ... #คิงส์โพธิ์แดง
    Sad
    Angry
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 229 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts