• #พระอาทิตย์ตก #มอเตอร์เวย์ #ลำตะคลอง #โคราช
    #พระอาทิตย์ตก #มอเตอร์เวย์ #ลำตะคลอง #โคราช
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 43 มุมมอง 28 0 รีวิว
  • 22/10/67


    หาดห้าสี อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา สตูล # อุทยานธรณีสตูล

    เป็นหาดเล็กๆ หน้าหาดหันเข้าหาอ่าวละงู ตะวันตกเขาโต๊ะหงาย บนหาดทรายเล็กๆนั้นมีกลุ่มก้อนหินสี อยู่บนชายหาดอย่างละลานตา เป็นหินสีแดง ฟ้า เหลือง ขาว ดำ หินพวกนี้มาจากไหน?

    หินสีแดง มาจากหินภูเขาโต๊ะหงาย เป็นหินทรายเก่าแก่ในยุคแคมเบรียน อายุ.....๕๔๒- ๔๘๘ ล้านปี ซึ่งภูเขาโต๊ะหงายทางด้านตะวันตกเป็นหินนี้เกือบทั้งหมด

    หินสีฟ้า เป็นหินปูนยุคออโดวิเชียนอายุ ๔๘๘-๔๔๔ ซึ่งก็ต่อจากยุคแคมแบรียนนั่นเอง หินปูนนี้จะอยู่ฝั่งตะวันออกของเขาโต๊ะหงาย

    ส่วนสีขาว และดำ น่าจะเป็นเหมือนกรวด สีดำนั้นคล้ายบนหาดหินงาม

    ทุกก้อนกลม มน คิดว่าคงจะถูกคลื่นพัดพาขัดสีกันจนเป็นลักษณะมน พอมาอยู่รวมกันบนหาด มันเลย
    เหมือนสลิ่ม คละสี

    เป็นความมหัศจรรย์ทางธรณีที่น่าสนใจมาก
    ใครจะถ่ายรูป แนะให้มาตอนเย็น แดดจะเข้าทางตะวันตกพอดี แล้วดูพระอาทิตย์ตกด้วยรูปจะสวยกว่านี้

    ## ที่สำคัญ ต้องย้ำกันเลยว่า...อย่าเอาหินพวกนี้ไปนะ...มันเป็นสมบัติของประเทศชาติ อย่าเอาไปครอบครองส่วนตัว เก็บไว้ให้คนอื่นได้ดูและชื่นชมร่วมกัน เก็บเอาไปไว้ที่บ้าน มันจะเป็นแค่ก้อนหินธรรมดา แต่เมื่อมันอยู่บนหาด มันคือหาดห้าสีที่สวยงามของไทย หาไม่ได้ง่ายๆในโลก ควรช่วยกันเก็บรักษา ถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอมา ไม่มีใครว่าอะไร​
    22/10/67 หาดห้าสี อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา สตูล # อุทยานธรณีสตูล เป็นหาดเล็กๆ หน้าหาดหันเข้าหาอ่าวละงู ตะวันตกเขาโต๊ะหงาย บนหาดทรายเล็กๆนั้นมีกลุ่มก้อนหินสี อยู่บนชายหาดอย่างละลานตา เป็นหินสีแดง ฟ้า เหลือง ขาว ดำ หินพวกนี้มาจากไหน? หินสีแดง มาจากหินภูเขาโต๊ะหงาย เป็นหินทรายเก่าแก่ในยุคแคมเบรียน อายุ.....๕๔๒- ๔๘๘ ล้านปี ซึ่งภูเขาโต๊ะหงายทางด้านตะวันตกเป็นหินนี้เกือบทั้งหมด หินสีฟ้า เป็นหินปูนยุคออโดวิเชียนอายุ ๔๘๘-๔๔๔ ซึ่งก็ต่อจากยุคแคมแบรียนนั่นเอง หินปูนนี้จะอยู่ฝั่งตะวันออกของเขาโต๊ะหงาย ส่วนสีขาว และดำ น่าจะเป็นเหมือนกรวด สีดำนั้นคล้ายบนหาดหินงาม ทุกก้อนกลม มน คิดว่าคงจะถูกคลื่นพัดพาขัดสีกันจนเป็นลักษณะมน พอมาอยู่รวมกันบนหาด มันเลย เหมือนสลิ่ม คละสี เป็นความมหัศจรรย์ทางธรณีที่น่าสนใจมาก ใครจะถ่ายรูป แนะให้มาตอนเย็น แดดจะเข้าทางตะวันตกพอดี แล้วดูพระอาทิตย์ตกด้วยรูปจะสวยกว่านี้ ## ที่สำคัญ ต้องย้ำกันเลยว่า...อย่าเอาหินพวกนี้ไปนะ...มันเป็นสมบัติของประเทศชาติ อย่าเอาไปครอบครองส่วนตัว เก็บไว้ให้คนอื่นได้ดูและชื่นชมร่วมกัน เก็บเอาไปไว้ที่บ้าน มันจะเป็นแค่ก้อนหินธรรมดา แต่เมื่อมันอยู่บนหาด มันคือหาดห้าสีที่สวยงามของไทย หาไม่ได้ง่ายๆในโลก ควรช่วยกันเก็บรักษา ถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอมา ไม่มีใครว่าอะไร​
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 20 มุมมอง 0 รีวิว
  • หาดตะโละกาโปร์ จังหวัดปัตตานี
    หาดตะโละกาโปร์ ตั้งอยู่ใน ตำบลตะโละกาโปร์ อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี ชายหาดชื่อดังที่มาพร้อมกับทัศนีภาพอันงดงามของหาดทรายสีขาว ทอดยาวอยู่ขนานไปกับน้ำทะเลเป็นระยะทางกว่า 10 กิโลเมตร ตามชายหาดมีร่มเงาของต้นไม้คอยให้ความร่มรื่นอยู่เสมอ จึงทำให้ชายหาดแห่งนี้กลายเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจชื่อดังที่ชาวปัตตานีมักจะไปเล่นน้ำ เดินเล่น และชมพระอาทิตย์ตกดินอยู่เป็นประจำ

    สมัยก่อน บริเวณของหาดตะโละกาโปร์มีเปลือกหอยอยู่เป็นจำนวนมาก จึงเป็นพื้นที่เก็บเปลือกหอยมาเผาไฟจนสุกกลายเป็นปูนขาว และนำมากินกับหมาก ซึ่งหอยที่ว่านั้นคาดว่าจะเป็น หอยขาว หรือ หอยแครง นั่นเอง เพราะหอยขาวถือเป็นหอยประจำอ่าวของที่นี่ และเป็นสินค้าส่งออกของอำเภอยะหริ่งเลยค่ะ ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นที่มาของชื่อ หาดตะโละกาโปร์ ในภาษามาลายู ตะโละ แปลว่า "อ่าว" ส่วน กาโปร์ แปลว่า "ปูน"

    นอกจากจะเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของชาวปัตตานีแล้ว หาดตะโละกาโปร์ยังตั้งอยู่ใกล้กับหมู่บ้านชาวประมง จึงไม่แปลกหากเราจะเห็น เรือกอและ เรือประมงพื้นบ้านของภาคใต้มาจอดเรียงรายกันหลายลำ แต่ละลำก็จะมีลวดลายเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไป โดยจะผสมผสานลายมลายูลายชวาและลายไทยอย่างประณีตบรรจง สีสันฉูดฉาดโดดเด่นท่ามกลางท้องทะเล เป็นเสน่ห์ที่หาชมได้ยากจริงๆ

    #ปัตตานี
    #หาดตะโละกาโปร์
    หาดตะโละกาโปร์ จังหวัดปัตตานี หาดตะโละกาโปร์ ตั้งอยู่ใน ตำบลตะโละกาโปร์ อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี ชายหาดชื่อดังที่มาพร้อมกับทัศนีภาพอันงดงามของหาดทรายสีขาว ทอดยาวอยู่ขนานไปกับน้ำทะเลเป็นระยะทางกว่า 10 กิโลเมตร ตามชายหาดมีร่มเงาของต้นไม้คอยให้ความร่มรื่นอยู่เสมอ จึงทำให้ชายหาดแห่งนี้กลายเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจชื่อดังที่ชาวปัตตานีมักจะไปเล่นน้ำ เดินเล่น และชมพระอาทิตย์ตกดินอยู่เป็นประจำ สมัยก่อน บริเวณของหาดตะโละกาโปร์มีเปลือกหอยอยู่เป็นจำนวนมาก จึงเป็นพื้นที่เก็บเปลือกหอยมาเผาไฟจนสุกกลายเป็นปูนขาว และนำมากินกับหมาก ซึ่งหอยที่ว่านั้นคาดว่าจะเป็น หอยขาว หรือ หอยแครง นั่นเอง เพราะหอยขาวถือเป็นหอยประจำอ่าวของที่นี่ และเป็นสินค้าส่งออกของอำเภอยะหริ่งเลยค่ะ ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นที่มาของชื่อ หาดตะโละกาโปร์ ในภาษามาลายู ตะโละ แปลว่า "อ่าว" ส่วน กาโปร์ แปลว่า "ปูน" นอกจากจะเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของชาวปัตตานีแล้ว หาดตะโละกาโปร์ยังตั้งอยู่ใกล้กับหมู่บ้านชาวประมง จึงไม่แปลกหากเราจะเห็น เรือกอและ เรือประมงพื้นบ้านของภาคใต้มาจอดเรียงรายกันหลายลำ แต่ละลำก็จะมีลวดลายเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไป โดยจะผสมผสานลายมลายูลายชวาและลายไทยอย่างประณีตบรรจง สีสันฉูดฉาดโดดเด่นท่ามกลางท้องทะเล เป็นเสน่ห์ที่หาชมได้ยากจริงๆ #ปัตตานี #หาดตะโละกาโปร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 รีวิว
  • มัสยิดกลางประจำจังหวัดสงขลา ทัชมาฮาลเมืองไทย

    มัสยิดกลางประจำจังหวัดสงขลา ตั้งอยู่ที่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เป็นศาสนสถาน ศูนย์รวมจิตใจของชาวมุสลิมในสงขลาที่ใหญ่และอลังการมาก หากใครได้มาจังหวัดสงขลาแล้ว ต้องไม่พลาดที่จะมาชมความงดงามของ มัสยิดกลางแห่งนี้ได้รับการขนานนามว่า ” ทัชมาฮาลเมืองไทย ” ยิ่งมาในช่วงเวลาเย็นไปถึงช่วงค่ำ มัสยิดเปิดไฟสว่างมีฉากหลังของ ท้องฟ้าเปลี่ยนสีในยามเย็นงดงามยิ่งนัก

    ตั้งอยู่ไม่ไกลจากตลาดน้ำคลองแห สำหรับการเดินทางด้วย google maps แนะนำให้พิมว่า “มัสยิดกลางประจำจังหวัดสงขลา” เพราะหากใส่ว่า มัสยิดกลางดิย์นุลอิสลาม จะไปโผล่ที่มัสยิดในเมืองหาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่คนละแห่งกัน มาถึงมัสยิดสามารถจอดรถไว้บริเวณที่จอดรถภายใต้อาคาร จากนั้นเดินมาด้านหน้าเก็บมุมภาพตามใจชอบ

    ภายในมัสยิดสีขาวสะอาดตา ล้อมรอบด้วยกระจกใสสีขาว ภายในตกแต่งได้สวยงาม โล่ง โอ่โถง เหมาะแก่การทำจิตใจให้สงบและทำพีธีกรรมต่างๆ ทางศาสนา พื้นที่รอบมัสยิดเดินเล่นชมบรรยากาศเหมือนกำลังเดินอยู่ในแดนนภารตะ😍

    บรรยากาศในยามเย็น คือ อีกหนึ่งช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพ ยิ่งช่วงพระอาทิตย์ตก และเริ่มมีแสงไฟส่องสว่างยิ่งสวยงาม


    #มัสยิดกลางประจำจังหวัดสงขลา
    #ทัชมาฮาลเมืองไทย




    มัสยิดกลางประจำจังหวัดสงขลา ทัชมาฮาลเมืองไทย มัสยิดกลางประจำจังหวัดสงขลา ตั้งอยู่ที่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เป็นศาสนสถาน ศูนย์รวมจิตใจของชาวมุสลิมในสงขลาที่ใหญ่และอลังการมาก หากใครได้มาจังหวัดสงขลาแล้ว ต้องไม่พลาดที่จะมาชมความงดงามของ มัสยิดกลางแห่งนี้ได้รับการขนานนามว่า ” ทัชมาฮาลเมืองไทย ” ยิ่งมาในช่วงเวลาเย็นไปถึงช่วงค่ำ มัสยิดเปิดไฟสว่างมีฉากหลังของ ท้องฟ้าเปลี่ยนสีในยามเย็นงดงามยิ่งนัก ตั้งอยู่ไม่ไกลจากตลาดน้ำคลองแห สำหรับการเดินทางด้วย google maps แนะนำให้พิมว่า “มัสยิดกลางประจำจังหวัดสงขลา” เพราะหากใส่ว่า มัสยิดกลางดิย์นุลอิสลาม จะไปโผล่ที่มัสยิดในเมืองหาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่คนละแห่งกัน มาถึงมัสยิดสามารถจอดรถไว้บริเวณที่จอดรถภายใต้อาคาร จากนั้นเดินมาด้านหน้าเก็บมุมภาพตามใจชอบ ภายในมัสยิดสีขาวสะอาดตา ล้อมรอบด้วยกระจกใสสีขาว ภายในตกแต่งได้สวยงาม โล่ง โอ่โถง เหมาะแก่การทำจิตใจให้สงบและทำพีธีกรรมต่างๆ ทางศาสนา พื้นที่รอบมัสยิดเดินเล่นชมบรรยากาศเหมือนกำลังเดินอยู่ในแดนนภารตะ😍 บรรยากาศในยามเย็น คือ อีกหนึ่งช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพ ยิ่งช่วงพระอาทิตย์ตก และเริ่มมีแสงไฟส่องสว่างยิ่งสวยงาม #มัสยิดกลางประจำจังหวัดสงขลา #ทัชมาฮาลเมืองไทย
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 102 มุมมอง 0 รีวิว
  • อุทยานฯภูหินร่องกล้า อดีตพื้นที่ "สีแดง" ปัจุบันมีแต่ความงามสีเขียว

    ในช่วงปี พ.ศ. 2511-2525 “ภูหินร่องกล้า” หรือ “ภูร่องกล้า” นอกจากจะเป็นป่าเขารกชัฏแล้ว ยังถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ "สีแดง" ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายระหว่างการสู้รบของคน 2 กลุ่ม คือ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.) กับ ฝ่ายความมั่นคง

    บทสรุปของการสู้รบไม่ปรากฏผลแพ้-ชนะ เพราะสุดท้ายฝ่ายความมั่นคงประกาศนโยบาย 66/2523 และ 65/2525 ที่ใช้การเมืองนำการทหาร เปิดโอกาสให้เหล่านักศึกษาประชาชนที่หนีเข้าป่า กลับคืนสู่เมืองมาช่วยกันพัฒนาชาติไทย
    หลังจากนั้นมาดินแดนภูหินร่องกล้าก็ได้รับการประกาศจัดตั้งเป็น “อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า” อุทยานแห่งชาติ ลำดับที่ 48 ของประเทศไทย ในวันที่ 26 ก.ค. 2527 มีพื้นที่ประมาณ 191,875 ไร่ ครอบคลุม 3 จังหวัดคือ เลย(อ.ด่านซ้าย) เพชรบูรณ์(อ.หล่มสัก) และ พิษณุโลก(อ.นครไทย)

    นับแต่นั้นมาอีกไม่นานจากดินแดนที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งการต่อสู้ ก็กลับกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่งดงามไปด้วยธรรมชาติที่หลากหลาย ทั้ง ป่าไม้ น้ำตก ภูผา หินรูปร่างแปลกตา และรอยอดีตแห่งประวัติศาสตร์ในยุคสมรภูมิเดือด ซึ่งในหน้าฝนอย่างนี้ภูหินร่องกล้าได้แสดงศักยภาพแห่งป่าไพรออกมาอย่างเต็มเปี่ยม ถือเป็นอีกหนึ่งเส้นทางโรแมนติกฉ่ำฝนที่นอกจากจะเต็มไปด้วยทิวทัศน์อันงดงามแล้ว บางวันยังมีสายหมอกฝนขาวโพลนให้เราได้ สัมผัสกันอย่างจุใจ

    ในพื้นที่ภูหินร่องกล้ายังมี “โครงการพัฒนาป่าไม้ตามแนวพระราชดำริภูหินร่องกล้า” เป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวน่าสนใจ ที่นี่มีแปลงปลูกไม้ดอก ไม้เมืองหนาว หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นกาแฟ สตรอเบอร์รี่ พันธุ์ 80 รสสุดหวานฉ่ำ มีต้นนางพญาเสือโคร่งที่จะออกดอกชมพูสะพรั่งในช่วงราวเดือน ธ.ค.-ม.ค.ของทุกฤดูกาล ส่วนในช่วงเดือน ต.ค.-ก.พ.จะมีทุ่งดอกกระดาษออกดอกสวยงามไปทั่วบริเวณริมผา(ช่วงเวลาที่สวยงามที่สุดคือ พ.ย.-ม.ค.)
    ส่วนอีกหนึ่งจุดที่เป็นไฮไลท์ของสถานที่แห่งนี้ก็คือบรรดาหน้าผาชมวิวชื่อสุดกิ๊บเก๋ มีทั้ง “ผาไททานิค”, “ผาพบรัก,“ผาบอกรัก”, “ผาคู่รัก”, “ผารักยืนยง” และ“ผาสลัดรัก” ที่เป็นหน้าผาตั้งไล่เรียงไป มีโขดหินให้เดินไปยืนชมทัศนียภาพอันงดงามของขุนเขาผืนป่าใหญ่ ซึ่งเราสามารถมาเที่ยวชมความงามได้ทั้งปีในบรรยากาศที่แตกต่างกันออกไป

    ลานหินปุ่ม-ผาชูธง-ซันแครก

    นอกจากแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์แล้ว ภูหินร่องกล้ายังโดดเด่นไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันสวยงามหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น “ลานหินแตก” กับลักษณะของธรรมชาติอันแปลกตาของลานหินกว้างมีรอยแตกคล้ายแผ่นดินแยก, “น้ำตกหมันแดง” น้ำตกงาม 13 ชั้น ที่ในช่วงกลางฤดูฝนราวเดือนสิงหาคมจะสวยงามไปด้วย “ดอกลิ้นมังกร” ที่ออกดอกบานสีชมพูสะพรั่งขึ้นกระจายอยู่ตามโขดหินบริเวณธารน้ำตก โดยเฉพาะที่บริเวณโขดหินด้านหน้าของน้ำตกชั้นที่ 5 จะเป็นจุดที่พบดอกลิ้นมังกรบานหนาแน่นมากที่สุด

    “ลานหินปุ่ม” จุดไฮไลท์สำคัญที่เป็นดังสัญลักษณ์ของภูหินร่องกล้า กับลานหินขนาดย่อมริมหน้าผาที่มีรูปร่างลักษณะอันแปลกประหลาด เป็นลานกว้างแล้วมีหินเป็นลูกกลมมนผุดขึ้นมาเป็นลูกๆปุ่มๆละลานเต็มไปหมด สันนิษฐานว่าลานหินปุ่มเกิดจากการโก่งตัวของเปลือกโลก แล้วเกิดการสึกกร่อนพร้อมถูกลมฝนกระทำขัดเกลา จนเกิดเป็นลานหินปุ่มขึ้นมา
    นอกจากนี้ลานหินปุ่มยังเป็นจุดชมวิวชั้นดี กับทิวทัศน์เบื้องล่างอันสวยงามกว้างไกล นับเป็นอีกจุดถ่ายรูปอันโดดเด่นกับเอกลักษณะเฉพาะตัวของปุ่มหินประหลาดที่ไมเหมือนใครและไม่มีใครเหมือน

    “ผาชูธง” หน้าผาสูงที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้อย่างสวยงามกว้างไกล โดยเฉพาะจุดชมพระอาทิตย์ตกยามเย็นที่สวยงามไม่เป็นรองใคร ผาชูธงในอดีตเคยเป็นจุดที่ พคท. เมื่อรบชนะทหารไทยจะขึ้นไปชูธงแดงเพื่อเป็นสัญลักษณ์ ส่วนปัจจุบันบนผามีธงชาติไทยปักอยู่

    ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า 0 5535 6607,081-5965977 และสามารถสอบถามข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร และการเดินทางในจังหวัด พิษณุโลก-เพชรบูรณ์ เพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) สำนักงานพิษณุโลก(พื้นที่รับผิดชอบ พิษณุโลก,เพชรบูรณ์) โทร.0-5525-2742-3, 0-5525-9907

    #ภูหินร่องกล้า
    #พิษณุโลก
    #ท่องเที่ยว

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    https://mgronline.com/travel/detail/9600000072287
    อุทยานฯภูหินร่องกล้า อดีตพื้นที่ "สีแดง" ปัจุบันมีแต่ความงามสีเขียว ในช่วงปี พ.ศ. 2511-2525 “ภูหินร่องกล้า” หรือ “ภูร่องกล้า” นอกจากจะเป็นป่าเขารกชัฏแล้ว ยังถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ "สีแดง" ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายระหว่างการสู้รบของคน 2 กลุ่ม คือ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.) กับ ฝ่ายความมั่นคง บทสรุปของการสู้รบไม่ปรากฏผลแพ้-ชนะ เพราะสุดท้ายฝ่ายความมั่นคงประกาศนโยบาย 66/2523 และ 65/2525 ที่ใช้การเมืองนำการทหาร เปิดโอกาสให้เหล่านักศึกษาประชาชนที่หนีเข้าป่า กลับคืนสู่เมืองมาช่วยกันพัฒนาชาติไทย หลังจากนั้นมาดินแดนภูหินร่องกล้าก็ได้รับการประกาศจัดตั้งเป็น “อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า” อุทยานแห่งชาติ ลำดับที่ 48 ของประเทศไทย ในวันที่ 26 ก.ค. 2527 มีพื้นที่ประมาณ 191,875 ไร่ ครอบคลุม 3 จังหวัดคือ เลย(อ.ด่านซ้าย) เพชรบูรณ์(อ.หล่มสัก) และ พิษณุโลก(อ.นครไทย) นับแต่นั้นมาอีกไม่นานจากดินแดนที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งการต่อสู้ ก็กลับกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่งดงามไปด้วยธรรมชาติที่หลากหลาย ทั้ง ป่าไม้ น้ำตก ภูผา หินรูปร่างแปลกตา และรอยอดีตแห่งประวัติศาสตร์ในยุคสมรภูมิเดือด ซึ่งในหน้าฝนอย่างนี้ภูหินร่องกล้าได้แสดงศักยภาพแห่งป่าไพรออกมาอย่างเต็มเปี่ยม ถือเป็นอีกหนึ่งเส้นทางโรแมนติกฉ่ำฝนที่นอกจากจะเต็มไปด้วยทิวทัศน์อันงดงามแล้ว บางวันยังมีสายหมอกฝนขาวโพลนให้เราได้ สัมผัสกันอย่างจุใจ ในพื้นที่ภูหินร่องกล้ายังมี “โครงการพัฒนาป่าไม้ตามแนวพระราชดำริภูหินร่องกล้า” เป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวน่าสนใจ ที่นี่มีแปลงปลูกไม้ดอก ไม้เมืองหนาว หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นกาแฟ สตรอเบอร์รี่ พันธุ์ 80 รสสุดหวานฉ่ำ มีต้นนางพญาเสือโคร่งที่จะออกดอกชมพูสะพรั่งในช่วงราวเดือน ธ.ค.-ม.ค.ของทุกฤดูกาล ส่วนในช่วงเดือน ต.ค.-ก.พ.จะมีทุ่งดอกกระดาษออกดอกสวยงามไปทั่วบริเวณริมผา(ช่วงเวลาที่สวยงามที่สุดคือ พ.ย.-ม.ค.) ส่วนอีกหนึ่งจุดที่เป็นไฮไลท์ของสถานที่แห่งนี้ก็คือบรรดาหน้าผาชมวิวชื่อสุดกิ๊บเก๋ มีทั้ง “ผาไททานิค”, “ผาพบรัก,“ผาบอกรัก”, “ผาคู่รัก”, “ผารักยืนยง” และ“ผาสลัดรัก” ที่เป็นหน้าผาตั้งไล่เรียงไป มีโขดหินให้เดินไปยืนชมทัศนียภาพอันงดงามของขุนเขาผืนป่าใหญ่ ซึ่งเราสามารถมาเที่ยวชมความงามได้ทั้งปีในบรรยากาศที่แตกต่างกันออกไป ลานหินปุ่ม-ผาชูธง-ซันแครก นอกจากแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์แล้ว ภูหินร่องกล้ายังโดดเด่นไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันสวยงามหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น “ลานหินแตก” กับลักษณะของธรรมชาติอันแปลกตาของลานหินกว้างมีรอยแตกคล้ายแผ่นดินแยก, “น้ำตกหมันแดง” น้ำตกงาม 13 ชั้น ที่ในช่วงกลางฤดูฝนราวเดือนสิงหาคมจะสวยงามไปด้วย “ดอกลิ้นมังกร” ที่ออกดอกบานสีชมพูสะพรั่งขึ้นกระจายอยู่ตามโขดหินบริเวณธารน้ำตก โดยเฉพาะที่บริเวณโขดหินด้านหน้าของน้ำตกชั้นที่ 5 จะเป็นจุดที่พบดอกลิ้นมังกรบานหนาแน่นมากที่สุด “ลานหินปุ่ม” จุดไฮไลท์สำคัญที่เป็นดังสัญลักษณ์ของภูหินร่องกล้า กับลานหินขนาดย่อมริมหน้าผาที่มีรูปร่างลักษณะอันแปลกประหลาด เป็นลานกว้างแล้วมีหินเป็นลูกกลมมนผุดขึ้นมาเป็นลูกๆปุ่มๆละลานเต็มไปหมด สันนิษฐานว่าลานหินปุ่มเกิดจากการโก่งตัวของเปลือกโลก แล้วเกิดการสึกกร่อนพร้อมถูกลมฝนกระทำขัดเกลา จนเกิดเป็นลานหินปุ่มขึ้นมา นอกจากนี้ลานหินปุ่มยังเป็นจุดชมวิวชั้นดี กับทิวทัศน์เบื้องล่างอันสวยงามกว้างไกล นับเป็นอีกจุดถ่ายรูปอันโดดเด่นกับเอกลักษณะเฉพาะตัวของปุ่มหินประหลาดที่ไมเหมือนใครและไม่มีใครเหมือน “ผาชูธง” หน้าผาสูงที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้อย่างสวยงามกว้างไกล โดยเฉพาะจุดชมพระอาทิตย์ตกยามเย็นที่สวยงามไม่เป็นรองใคร ผาชูธงในอดีตเคยเป็นจุดที่ พคท. เมื่อรบชนะทหารไทยจะขึ้นไปชูธงแดงเพื่อเป็นสัญลักษณ์ ส่วนปัจจุบันบนผามีธงชาติไทยปักอยู่ ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า 0 5535 6607,081-5965977 และสามารถสอบถามข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร และการเดินทางในจังหวัด พิษณุโลก-เพชรบูรณ์ เพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) สำนักงานพิษณุโลก(พื้นที่รับผิดชอบ พิษณุโลก,เพชรบูรณ์) โทร.0-5525-2742-3, 0-5525-9907 #ภูหินร่องกล้า #พิษณุโลก #ท่องเที่ยว ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://mgronline.com/travel/detail/9600000072287
    Like
    Love
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 437 มุมมอง 0 รีวิว
  • “บึงสีไฟ” โฉมใหม่ใต้พระบารมี จากบึงน้ำ (เคย) เสื่อมโทรม สู่แลนด์มาร์กสำคัญแห่งเมืองพิจิตร

    “บึงสีไฟ” เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของเมืองชาละวัน ดังปรากฏในคำขวัญจังหวัดพิจิตร ว่า

    “ถิ่นประสูติพระเจ้าเสือ แข่งเรือยาวประเพณี พระเครื่องดีหลวงพ่อเงิน เพลิดเพลินบึงสีไฟ ศูนย์รวมใจหลวงพ่อเพชร รสเด็ดส้มท่าข่อย ข้าวเจ้าอร่อยลือเลื่อง ตำนานเมืองชาละวัน”

    บึงสีไฟ เป็นบึงน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ที่อยู่คู่กับจังหวัดพิจิตรมาช้านาน มีหลักฐานปรากฏในสมัยพระบรมไตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยา ที่ทรงเห็นว่าพิจิตรเป็นพื้นที่ลุ่มเต็มไปด้วยห้วยหนองคลองบึง โดยเฉพาะบึงสีไฟที่มีน้ำขังตลอดทั้งปี จึงทรงเรียกเมืองพิจิตรว่า “โอฆะบุรี” ที่แปลว่าห้วงน้ำ

    เดิมบึงสีไฟมีพื้นที่กว้างขวางถึงกว่า 12,000 ไร่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเกิดความเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ทำให้ปัจจุบันบึงสีไฟลดขนาดลงเหลือพื้นที่ราว 5,390 ไร่ ถือเป็นแหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่อันดับ 3 ของเมืองไทย มีความลึกเฉลี่ยประมาณ 1.5–2 เมตร ครอบคลุมพื้นที่ 5 ตำบลใน อ.เมืองพิจิตร ได้แก่ ต.ในเมือง ต.ท่าหลวง ต.เมืองเก่า ต.โรงช้าง และ ต.คลองคะเชนทร์
    บึงสีไฟนอกจากจะเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติคู่เมืองชาละวันแล้ว ยังเป็นแหล่งเศรษฐกิจและแหล่งรายได้จากการทำประมง ทำสวนบัว การค้าขาย และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญคู่เมืองพิจิตร

    เมื่อเดือน มี.ค. 2544 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินมาที่จังหวัดพิจิตรพร้อมได้ทอดพระเนตรบึงสีไฟเป็นการส่วนพระองค์

    จากนั้นในปี 2556 บึงสีไฟประสบภาวะภัยแล้งอย่างหนัก ฝนที่ทิ้งช่วงเป็นเวลานานทำให้น้ำในบึงแห้งขอด จนเกิดดินแตกระแหง และในปี 2560 เกิดไฟไหม้บริเวณเกาะกลางบึงสีไฟ เนื่องจากมีวัชพืชแห้งทับถมกันเป็นเวลานาน ทำให้เกิดไฟไหม้ได้ง่าย โดยเฉพาะในภัยแล้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงมีพระบรมราโชบายในการพัฒนาแม่น้ำลำคลองและแหล่งน้ำในพื้นที่ที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนทั่วประเทศ

    โครงการพัฒนาบึงสีไฟเฉลิมพระเกียรติฯ

    ในปี 2566-2567 บึงสีไฟสามารถกักเก็บน้ำเต็มบึง 100% ในปริมาณ 12.64 ล้านลูกบาศก์เมตร (จากเดิมก่อนพัฒนาบึงเก็บน้ำได้ประมาณ 2 ล้านลูกบาศก์เมตร)

    วันนี้ “โครงการพัฒนาบึงสีไฟเฉลิมพระเกียรติฯ” หลังการพัฒนาปรับปรุง ได้พลิกโฉมจากบึงที่เคยเสื่อมโทรม กลายเป็นบึงน้ำอันสวยงาม มีสวนสาธารณะให้คนในพิจิตรและคนต่างถิ่นมาพักผ่อนหย่อนใจ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเช็กอินสำคัญของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนพิจิตร รวมถึงเป็นสถานที่จัดงานสำคัญต่าง ๆ ของจังหวัดพิจิตร อย่างเช่น “เทศกาลสายลมแห่งความสุข KiteXballoon @บึงสีไฟ” ที่จัดขึ้นที่ริมบึงสีไฟเมื่อวันที่ 24 - 25 ก.พ. 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งมีคนมาร่วมงานกันเป็นจำนวนมาก

    สำหรับสิ่งน่าสนใจในบริเวณบึงสีไฟนั้น ได้แก่

    -สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เนื่องในวโรกาสพระชนมายุครบ 80 พรรษา เมื่อ พ.ศ. 2527 มีเนื้อที่ 170 ไร่ เป็นสวนพักผ่อนริมบึงสีไฟ มีสะพานทอดลงน้ำสู่ศาลาใหญ่ที่จัดไว้เป็นที่พักผ่อน นักท่องเที่ยวนิยมมาให้อาหารปลาและชมพระอาทิตย์ตกในบึงน้ำที่นี่

    นอกจากนี้บึงสีไฟยังมีไฮไลต์แห่งใหม่ใต้พระบารมี คือ เลนปั่นจักรยานรอบบึงระยะทาง 10.28 กิโลเมตร และสนามจักรยานประเภทต่าง ๆ คือ สนามจักรยาน BMX สนามขาไถ สนามปั๊มแทรค และสนามเด็กเล่นสร้างปัญญา ซึ่งทางจังหวัดพิจิตรเสนอให้บึงสีไฟเป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยพระราชทานชื่อสนามจักรยานว่า “สนามจักรยานสราญจิตมงคลสุข” หมายความว่า สนามจักรยานเป็นสถานที่ทำให้ใจสำราญเป็นมงคลและสุขสบาย

    ขอขอบคุณ ข้อมูจาก https://mgronline.com/travel/detail/9670000026330

    #บึงสีไฟ
    #พิจิตร
    #ท่องเที่ยว

    “บึงสีไฟ” โฉมใหม่ใต้พระบารมี จากบึงน้ำ (เคย) เสื่อมโทรม สู่แลนด์มาร์กสำคัญแห่งเมืองพิจิตร “บึงสีไฟ” เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของเมืองชาละวัน ดังปรากฏในคำขวัญจังหวัดพิจิตร ว่า “ถิ่นประสูติพระเจ้าเสือ แข่งเรือยาวประเพณี พระเครื่องดีหลวงพ่อเงิน เพลิดเพลินบึงสีไฟ ศูนย์รวมใจหลวงพ่อเพชร รสเด็ดส้มท่าข่อย ข้าวเจ้าอร่อยลือเลื่อง ตำนานเมืองชาละวัน” บึงสีไฟ เป็นบึงน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ที่อยู่คู่กับจังหวัดพิจิตรมาช้านาน มีหลักฐานปรากฏในสมัยพระบรมไตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยา ที่ทรงเห็นว่าพิจิตรเป็นพื้นที่ลุ่มเต็มไปด้วยห้วยหนองคลองบึง โดยเฉพาะบึงสีไฟที่มีน้ำขังตลอดทั้งปี จึงทรงเรียกเมืองพิจิตรว่า “โอฆะบุรี” ที่แปลว่าห้วงน้ำ เดิมบึงสีไฟมีพื้นที่กว้างขวางถึงกว่า 12,000 ไร่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเกิดความเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ทำให้ปัจจุบันบึงสีไฟลดขนาดลงเหลือพื้นที่ราว 5,390 ไร่ ถือเป็นแหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่อันดับ 3 ของเมืองไทย มีความลึกเฉลี่ยประมาณ 1.5–2 เมตร ครอบคลุมพื้นที่ 5 ตำบลใน อ.เมืองพิจิตร ได้แก่ ต.ในเมือง ต.ท่าหลวง ต.เมืองเก่า ต.โรงช้าง และ ต.คลองคะเชนทร์ บึงสีไฟนอกจากจะเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติคู่เมืองชาละวันแล้ว ยังเป็นแหล่งเศรษฐกิจและแหล่งรายได้จากการทำประมง ทำสวนบัว การค้าขาย และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญคู่เมืองพิจิตร เมื่อเดือน มี.ค. 2544 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินมาที่จังหวัดพิจิตรพร้อมได้ทอดพระเนตรบึงสีไฟเป็นการส่วนพระองค์ จากนั้นในปี 2556 บึงสีไฟประสบภาวะภัยแล้งอย่างหนัก ฝนที่ทิ้งช่วงเป็นเวลานานทำให้น้ำในบึงแห้งขอด จนเกิดดินแตกระแหง และในปี 2560 เกิดไฟไหม้บริเวณเกาะกลางบึงสีไฟ เนื่องจากมีวัชพืชแห้งทับถมกันเป็นเวลานาน ทำให้เกิดไฟไหม้ได้ง่าย โดยเฉพาะในภัยแล้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงมีพระบรมราโชบายในการพัฒนาแม่น้ำลำคลองและแหล่งน้ำในพื้นที่ที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนทั่วประเทศ โครงการพัฒนาบึงสีไฟเฉลิมพระเกียรติฯ ในปี 2566-2567 บึงสีไฟสามารถกักเก็บน้ำเต็มบึง 100% ในปริมาณ 12.64 ล้านลูกบาศก์เมตร (จากเดิมก่อนพัฒนาบึงเก็บน้ำได้ประมาณ 2 ล้านลูกบาศก์เมตร) วันนี้ “โครงการพัฒนาบึงสีไฟเฉลิมพระเกียรติฯ” หลังการพัฒนาปรับปรุง ได้พลิกโฉมจากบึงที่เคยเสื่อมโทรม กลายเป็นบึงน้ำอันสวยงาม มีสวนสาธารณะให้คนในพิจิตรและคนต่างถิ่นมาพักผ่อนหย่อนใจ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเช็กอินสำคัญของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนพิจิตร รวมถึงเป็นสถานที่จัดงานสำคัญต่าง ๆ ของจังหวัดพิจิตร อย่างเช่น “เทศกาลสายลมแห่งความสุข KiteXballoon @บึงสีไฟ” ที่จัดขึ้นที่ริมบึงสีไฟเมื่อวันที่ 24 - 25 ก.พ. 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งมีคนมาร่วมงานกันเป็นจำนวนมาก สำหรับสิ่งน่าสนใจในบริเวณบึงสีไฟนั้น ได้แก่ -สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เนื่องในวโรกาสพระชนมายุครบ 80 พรรษา เมื่อ พ.ศ. 2527 มีเนื้อที่ 170 ไร่ เป็นสวนพักผ่อนริมบึงสีไฟ มีสะพานทอดลงน้ำสู่ศาลาใหญ่ที่จัดไว้เป็นที่พักผ่อน นักท่องเที่ยวนิยมมาให้อาหารปลาและชมพระอาทิตย์ตกในบึงน้ำที่นี่ นอกจากนี้บึงสีไฟยังมีไฮไลต์แห่งใหม่ใต้พระบารมี คือ เลนปั่นจักรยานรอบบึงระยะทาง 10.28 กิโลเมตร และสนามจักรยานประเภทต่าง ๆ คือ สนามจักรยาน BMX สนามขาไถ สนามปั๊มแทรค และสนามเด็กเล่นสร้างปัญญา ซึ่งทางจังหวัดพิจิตรเสนอให้บึงสีไฟเป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยพระราชทานชื่อสนามจักรยานว่า “สนามจักรยานสราญจิตมงคลสุข” หมายความว่า สนามจักรยานเป็นสถานที่ทำให้ใจสำราญเป็นมงคลและสุขสบาย ขอขอบคุณ ข้อมูจาก https://mgronline.com/travel/detail/9670000026330 #บึงสีไฟ #พิจิตร #ท่องเที่ยว
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 458 มุมมอง 0 รีวิว
  • สกายวอร์ค กาญจนบุรี แลนมาร์คเมืองกาญจนบุรี
    เป็นจุดที่แม่น้ำแควน้อยกับแควใหญ่มาบรรจบกัน
    ไหลรวมลงไปเป็นแม่น้ำแม่กลอง
    จะมองเห็นชุมชนริมน้ำ มีบริการล่องแพ กิจกรรมสันทนาการบนแพ
    ยามเย็นเป็นจุดรอชมพระอาทิตย์ตกได้
    ค่าบริการ 60 บาท

    ปล.รูปผ่านการปรับสีช่วยมา
    สกายวอร์ค กาญจนบุรี แลนมาร์คเมืองกาญจนบุรี เป็นจุดที่แม่น้ำแควน้อยกับแควใหญ่มาบรรจบกัน ไหลรวมลงไปเป็นแม่น้ำแม่กลอง จะมองเห็นชุมชนริมน้ำ มีบริการล่องแพ กิจกรรมสันทนาการบนแพ ยามเย็นเป็นจุดรอชมพระอาทิตย์ตกได้ ค่าบริการ 60 บาท ปล.รูปผ่านการปรับสีช่วยมา
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 123 มุมมอง 0 รีวิว
  • เขาไม่ง้อ เขาค้อก็ได้..
    ที่เที่ยวเขาค้อ ฉบับอัปเดต
    เที่ยวฟิน เช็กอินได้ตลอดทั้งปี

    1. วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว
    ถ้ามาเที่ยวเขาค้อแล้วไม่ได้แวะมาไหว้พระที่วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว ถือว่ามาไม่ถึงเขาค้ออย่างแน่นอน เพราะวัดนี้เป็นวัดสำคัญของเขาค้อ และเป็นวัดที่ชาวพุทธนิยมมากราบไหว้สักการะ เพราะมีมหาวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ตั้งอยู่โดดเด่นบนเนินเขา และเจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้ว สิริราชย์ธรรมนฤมิต สีทอง ที่ประดับประดาด้วยลูกแก้วและกระเบื้องเครื่องเบญจรงค์ นอกจากจะเป็นพุทธศาสนสถานที่มีความสำคัญแล้ว ยังถือเป็นที่เที่ยวของอำเภอเขาค้อที่ผู้คนนิยมไปแวะเช็กอินถ่ายรูป ชมความสวยงามกันอีกด้วย

    2. พระตำหนักเขาค้อ
    จุดสูงสุดของเขาค้อ สามารถมองเห็นวิวเขาค้อได้แบบครอบคลุม และยังจะได้ดื่มด่ำกับความงดงามของสวนดอกไม้และพืชนานาพรรณ พร้อมทั้งมีป่าสนสูงใหญ่สวยงามอุดมสมบูรณ์ อากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี ในช่วงวันหยุดยาวทางเจ้าหน้าที่จะเปิดพื้นที่ให้เข้ามากางเต็นท์ได้ด้วย

    3. ภูแก้วพีค - Phukaew Peak
    ร้านกาแฟและจุดชมวิวที่ตั้งอยู่ภายในภูแก้วรีสอร์ต & แอดเวนเจอร์ ปาร์ค เขาค้อ เป็นจุดชมวิวที่อยู่บนจุดที่สูงที่สุดของรีสอร์ต สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเขาค้อได้แบบพาโนรามา เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยมาก บริเวณลานชมวิวมีพื้นที่กว้างขวางและจุดถ่ายภาพที่สวยงามหลายจุด ทั้งจุดชมวิวอุ้งมือยักษ์ที่เป็นทางเดินแบบยกสูงลอยฟ้า ลานและระเบียงชมวิวต่าง ๆ มาที่เดียวนอกจากจะได้ชมวิวในมุมสูงแบบสวยงามแล้ว รับรองว่าได้ภาพสวยถูกใจกลับไปแน่นอน

    #เขาค้อ
    #เพชรบูรณ์
    #ท่องเที่ยว
    เขาไม่ง้อ เขาค้อก็ได้.. ที่เที่ยวเขาค้อ ฉบับอัปเดต เที่ยวฟิน เช็กอินได้ตลอดทั้งปี 1. วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว ถ้ามาเที่ยวเขาค้อแล้วไม่ได้แวะมาไหว้พระที่วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว ถือว่ามาไม่ถึงเขาค้ออย่างแน่นอน เพราะวัดนี้เป็นวัดสำคัญของเขาค้อ และเป็นวัดที่ชาวพุทธนิยมมากราบไหว้สักการะ เพราะมีมหาวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ตั้งอยู่โดดเด่นบนเนินเขา และเจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้ว สิริราชย์ธรรมนฤมิต สีทอง ที่ประดับประดาด้วยลูกแก้วและกระเบื้องเครื่องเบญจรงค์ นอกจากจะเป็นพุทธศาสนสถานที่มีความสำคัญแล้ว ยังถือเป็นที่เที่ยวของอำเภอเขาค้อที่ผู้คนนิยมไปแวะเช็กอินถ่ายรูป ชมความสวยงามกันอีกด้วย 2. พระตำหนักเขาค้อ จุดสูงสุดของเขาค้อ สามารถมองเห็นวิวเขาค้อได้แบบครอบคลุม และยังจะได้ดื่มด่ำกับความงดงามของสวนดอกไม้และพืชนานาพรรณ พร้อมทั้งมีป่าสนสูงใหญ่สวยงามอุดมสมบูรณ์ อากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี ในช่วงวันหยุดยาวทางเจ้าหน้าที่จะเปิดพื้นที่ให้เข้ามากางเต็นท์ได้ด้วย 3. ภูแก้วพีค - Phukaew Peak ร้านกาแฟและจุดชมวิวที่ตั้งอยู่ภายในภูแก้วรีสอร์ต & แอดเวนเจอร์ ปาร์ค เขาค้อ เป็นจุดชมวิวที่อยู่บนจุดที่สูงที่สุดของรีสอร์ต สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเขาค้อได้แบบพาโนรามา เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยมาก บริเวณลานชมวิวมีพื้นที่กว้างขวางและจุดถ่ายภาพที่สวยงามหลายจุด ทั้งจุดชมวิวอุ้งมือยักษ์ที่เป็นทางเดินแบบยกสูงลอยฟ้า ลานและระเบียงชมวิวต่าง ๆ มาที่เดียวนอกจากจะได้ชมวิวในมุมสูงแบบสวยงามแล้ว รับรองว่าได้ภาพสวยถูกใจกลับไปแน่นอน #เขาค้อ #เพชรบูรณ์ #ท่องเที่ยว
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 307 มุมมอง 0 รีวิว
  • อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม หยิบหมอก หยอกกระเจียว เที่ยวผาสุดแผ่นดิน🌷

    สายฝนเริ่มโปรยปรายเราเลยจะชวนทุกคนไปเที่ยวหน้าฝน ชมดอกกระเจียวสวย ๆ กันที่อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม จังหวัดชัยภูมิ เพลิดเพลินกับธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ รายล้อมด้วยภูเขาน้อยใหญ่ ป่าไม้เขียวขจี อากาศเย็นสบาย ได้สูดออกซิเจนให้เต็มปอด ก่อนจะวางแผนเดินทางไปเที่ยวกัน มารู้จักกับเรื่องน่ารู้ของอุทยานแห่งชาติป่าหินงามก่อนดีกว่า

    อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม ตั้งอยู่บนเทือกเขาพังเหย อยู่ในพื้นที่อำเภอเทพสถิต และอำเภอซับใหญ่ จังหวัดชัยภูมิ มีเนื้อที่ประมาณ 62,437.50 ไร่ หรือ 99.9 ตารางกิโลเมตร ภูมิประเทศเป็นเนินเขาสลับซับซ้อน เป็นแหล่งต้นน้ำลำธารของลุ่มน้ำชีและแม่น้ำป่าสัก มีสภาพป่าสมบูรณ์ ปกคลุมด้วยป่าเต็งรัง ป่าดิบแล้ง และป่าเบญจพรรณ ทำให้มีความหลากหลายของระบบนิเวศ และมีไม้ดอกจำพวกดุสิตา เอนอ้า และกล้วยไม้ ขึ้นอยู่จำนวนมาก รวมถึงมีสัตว์ป่านานาพรรณ ที่สำคัญยังมีจุดเด่นทางธรรมชาติที่สวยงามหลายแห่งโดยเฉพาะ “ทุ่งดอกกระเจียว” ซึ่งจะบานสะพรั่งสวยงามในราวเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม ของทุกปี

    ทุ่งดอกกระเจียว ดอกกระเจียว หรือดอกบัวสวรรค์ ราชินีแห่งมวลไม้ในขุนเขา เป็นพืชล้มลุกประเภทหัว จำพวกขิง-ข่า พบขึ้นกระจายอยู่ทั่วไปตั้งแต่ลานหินงามไปจนถึงจุดชมวิวสุดแผ่นดิน รวมเป็นระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร โดยช่วงเวลาที่เหมาะสมในการมาเที่ยวชมความสวยงามของดอกกระเจียวที่เบ่งบานผลิดอกสีชมพูอมม่วงขึ้นเต็มทั่วผืนป่า คือในช่วงฤดูฝนประมาณเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม ของทุกปี ทั้งนี้ ดอกกระเจียวที่บานในอุทยานค้นพบทั้งหมด 3 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ปทุมมา สายพันธุ์กระเจียวดิน และสายพันธุ์กระเจียวขาว

    ลานหินงาม เป็นบริเวณลานหินที่มีโขดหินใหญ่รูปร่างแปลกตากระจายอยู่ในพื้นที่กว่า 10 ไร่ ซึ่งโขดหินดังกล่าวเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยเป็นการกัดเซาะเนื้อดินและหินในส่วนที่จับตัวกันอย่างเบาบางหลุดออกไป นานวันเข้าจึงเกิดโขดหินที่มีรูปลักษณ์แตกต่างกัน สามารถจินตนาการเป็นรูปต่าง ๆ เช่น ตะปู เรด้าร์ แม่ไก่ รูปสัตว์ ปราสาทโบราณ หินรูปถ้วยรางวัลฟุตบอลโลก รูปดอกเห็ด เป็นต้น สำหรับลานหินงามนี้อยู่ทางด้านทิศตะวันตกของพื้นที่ทำการอุทยานแห่งชาติมีทางรถยนต์เข้าถึง

    สุดแผ่นดิน หน้าผาสูงชันและจุดสูงสุดของเทือกเขาพังเหย อยู่ทางด้านทิศเหนือห่างจากที่ทำการอุทยาน ประมาณ 2 กิโลเมตร มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 846 เมตร เป็นแนวหน้าผาซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างภาคกลางและภาคอีสาน ที่จุดชมวิวสุดแผ่นดินจะมองเห็นทิวทัศน์สันเขาพังเหยและเขตพื้นที่ป่าของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าซับลังกา และมีสายลมพัดเย็นสบายตลอดวัน จึงเป็นจุดชมวิวสำคัญที่นักท่องเที่ยวนิยมมาดูสายหมอกตอนเช้าและพระอาทิตย์ตกในตอนเย็น รวมถึงแวะมาถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกกันด้วย

    #ป่าหินงาม
    #ชัยภูมิ
    #ดอกกระเจียว


    อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม หยิบหมอก หยอกกระเจียว เที่ยวผาสุดแผ่นดิน🌷 สายฝนเริ่มโปรยปรายเราเลยจะชวนทุกคนไปเที่ยวหน้าฝน ชมดอกกระเจียวสวย ๆ กันที่อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม จังหวัดชัยภูมิ เพลิดเพลินกับธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ รายล้อมด้วยภูเขาน้อยใหญ่ ป่าไม้เขียวขจี อากาศเย็นสบาย ได้สูดออกซิเจนให้เต็มปอด ก่อนจะวางแผนเดินทางไปเที่ยวกัน มารู้จักกับเรื่องน่ารู้ของอุทยานแห่งชาติป่าหินงามก่อนดีกว่า อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม ตั้งอยู่บนเทือกเขาพังเหย อยู่ในพื้นที่อำเภอเทพสถิต และอำเภอซับใหญ่ จังหวัดชัยภูมิ มีเนื้อที่ประมาณ 62,437.50 ไร่ หรือ 99.9 ตารางกิโลเมตร ภูมิประเทศเป็นเนินเขาสลับซับซ้อน เป็นแหล่งต้นน้ำลำธารของลุ่มน้ำชีและแม่น้ำป่าสัก มีสภาพป่าสมบูรณ์ ปกคลุมด้วยป่าเต็งรัง ป่าดิบแล้ง และป่าเบญจพรรณ ทำให้มีความหลากหลายของระบบนิเวศ และมีไม้ดอกจำพวกดุสิตา เอนอ้า และกล้วยไม้ ขึ้นอยู่จำนวนมาก รวมถึงมีสัตว์ป่านานาพรรณ ที่สำคัญยังมีจุดเด่นทางธรรมชาติที่สวยงามหลายแห่งโดยเฉพาะ “ทุ่งดอกกระเจียว” ซึ่งจะบานสะพรั่งสวยงามในราวเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม ของทุกปี ทุ่งดอกกระเจียว ดอกกระเจียว หรือดอกบัวสวรรค์ ราชินีแห่งมวลไม้ในขุนเขา เป็นพืชล้มลุกประเภทหัว จำพวกขิง-ข่า พบขึ้นกระจายอยู่ทั่วไปตั้งแต่ลานหินงามไปจนถึงจุดชมวิวสุดแผ่นดิน รวมเป็นระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร โดยช่วงเวลาที่เหมาะสมในการมาเที่ยวชมความสวยงามของดอกกระเจียวที่เบ่งบานผลิดอกสีชมพูอมม่วงขึ้นเต็มทั่วผืนป่า คือในช่วงฤดูฝนประมาณเดือนมิถุนายนถึงเดือนสิงหาคม ของทุกปี ทั้งนี้ ดอกกระเจียวที่บานในอุทยานค้นพบทั้งหมด 3 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ปทุมมา สายพันธุ์กระเจียวดิน และสายพันธุ์กระเจียวขาว ลานหินงาม เป็นบริเวณลานหินที่มีโขดหินใหญ่รูปร่างแปลกตากระจายอยู่ในพื้นที่กว่า 10 ไร่ ซึ่งโขดหินดังกล่าวเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยเป็นการกัดเซาะเนื้อดินและหินในส่วนที่จับตัวกันอย่างเบาบางหลุดออกไป นานวันเข้าจึงเกิดโขดหินที่มีรูปลักษณ์แตกต่างกัน สามารถจินตนาการเป็นรูปต่าง ๆ เช่น ตะปู เรด้าร์ แม่ไก่ รูปสัตว์ ปราสาทโบราณ หินรูปถ้วยรางวัลฟุตบอลโลก รูปดอกเห็ด เป็นต้น สำหรับลานหินงามนี้อยู่ทางด้านทิศตะวันตกของพื้นที่ทำการอุทยานแห่งชาติมีทางรถยนต์เข้าถึง สุดแผ่นดิน หน้าผาสูงชันและจุดสูงสุดของเทือกเขาพังเหย อยู่ทางด้านทิศเหนือห่างจากที่ทำการอุทยาน ประมาณ 2 กิโลเมตร มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 846 เมตร เป็นแนวหน้าผาซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างภาคกลางและภาคอีสาน ที่จุดชมวิวสุดแผ่นดินจะมองเห็นทิวทัศน์สันเขาพังเหยและเขตพื้นที่ป่าของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าซับลังกา และมีสายลมพัดเย็นสบายตลอดวัน จึงเป็นจุดชมวิวสำคัญที่นักท่องเที่ยวนิยมมาดูสายหมอกตอนเช้าและพระอาทิตย์ตกในตอนเย็น รวมถึงแวะมาถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกกันด้วย #ป่าหินงาม #ชัยภูมิ #ดอกกระเจียว
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 396 มุมมอง 0 รีวิว