• ลอร่า บรานิแกน (Laura Branigan) ถือเป็นหนึ่งในนักร้องหญิงที่โดดเด่นที่สุดในยุค 1980s ด้วยเสียงร้องที่ทรงพลังและมีเอกลักษณ์ ซึ่งทำให้เธอได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ เธอเกิดเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 1952 ในเมืองเมานต์คิสโก นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในครอบครัวชาวไอริช-อเมริกัน โดยเป็นลูกคนที่สี่ในห้าคน พ่อของเธอชื่อเจมส์ บรานิแกน ซีเนียร์ เป็นนายหน้าซื้อขายหุ้นและกองทุนรวม ส่วนแม่ชื่อแคธลีน (นามสกุลเดิม โอแฮร์) เธอเติบโตในเมืองอาร์มองก์และได้รับการศึกษาจากโรงเรียนคาทอลิกในชัปปาควา ก่อนจบมัธยมจากไบแรมฮิลส์ไฮสคูลในปี 1970 จากนั้นเธอเข้าศึกษาที่ American Academy of Dramatic Arts ในนิวยอร์คระหว่างปี 1970-1972 ซึ่งช่วยพัฒนาทักษะการแสดงและร้องเพลงของเธอ ในช่วงต้นอาชีพ เธอเคยทำงานหลากหลาย เช่น เป็นนักร้องแบ็กอัพให้กับเลนาร์ด โคเฮน ในทัวร์ยุโรปปี 1976 และเป็นสมาชิกวงโฟล์ก-ร็อกชื่อ Meadow ซึ่งออกอัลบั้ม The Friend Ship ในปี 1973 พร้อมซิงเกิล "When You Were Young" และ "Cane and Able" แต่หลังวงยุบ เธอเซ็นสัญญากับ Atlantic Records ในปี 1979 ผ่านการแนะนำจากผู้จัดการซิด เบิร์นสไตน์

    อาชีพหลักของบรานิแกนเริ่มพุ่งขึ้นในปี 1982 ด้วยอัลบั้มแรก Branigan ที่มีเพลงฮิต "Gloria" (คัฟเวอร์จากเพลงอิตาลีของอุมแบร์โต โตซซี) ซึ่งขึ้นอันดับ 2 บน Billboard Hot 100 นาน 3 สัปดาห์ อยู่ในชาร์ตนาน 36 สัปดาห์ (สถิติสำหรับศิลปินหญิงในขณะนั้น) และได้รับการรับรองแพลตตินัม นอกจากนี้ยังขึ้นอันดับ 1 ในออสเตรเลียและแคนาดา รวมถึงได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่สาขา Best Female Pop Vocal Performance ในปี 1983 เธอมีส่วนร่วมในซาวด์แทร็กภาพยนตร์ Flashdance ในปี 1983 ซึ่งได้รับรางวัลแกรมมี่และออสการ์สำหรับอัลบั้มโดยรวม และปรากฏตัวในรายการทีวีชื่อดังอย่าง Saturday Night Live, CHiPs, Automan และ Knight Rider อัลบั้มที่สอง Branigan 2 ในปี 1983 มีเพลงฮิต "Solitaire" (ท็อป 10 ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเพลงฮิตแรกของไดแอน วอร์เรน) และ "How Am I Supposed to Live Without You" (อันดับ 12 บน Hot 100 และอันดับ 1 บน Adult Contemporary นาน 3 สัปดาห์ เขียนร่วมโดยไมเคิล โบลตัน) ในปี 1984 อัลบั้ม Self Control กลายเป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จที่สุดของเธอ ได้รับการรับรองแพลตตินัม และมีเพลงฮิตอย่าง "Self Control", "Ti Amo" (อันดับ 2 ในออสเตรเลีย คัฟเวอร์จากโตซซีอีกเพลง), "The Lucky One" (ชนะรางวัล Grand Prix ที่ Tokyo Music Festival) และ "Satisfaction" เธอยังมีส่วนในซาวด์แทร็ก Ghostbusters ด้วยเพลง "Hot Night" และปรากฏในซีรีส์ Miami Vice อัลบั้มต่อๆ มา เช่น Hold Me (1985) มี "Spanish Eddie" และ "I Found Someone", Touch (1987) มี "Shattered Glass" และ "The Power of Love" (กลับสู่ท็อป 40 ในสหรัฐฯ), อัลบั้มชื่อตัวเองในปี 1990 มี "Moonlight on Water" และ "Never in a Million Years" และอัลบั้มสุดท้าย Over My Heart ในปี 1993 นอกจากร้องเพลง เธอยังแสดงในภาพยนตร์อย่าง Mugsy's Girls (1985) และ Backstage (1988) รวมถึงละครเวที Love, Janis ในฐานะจานิส จอปลิน ในปี 2002 ในช่วงปี 1990s เธอหยุดพักหลังสามีเสียชีวิต แต่กลับมาร้องเพลงดูเอ็ตกับเดวิด แฮสเซลฮอฟฟ์ สำหรับ Baywatch และพยายามคัมแบ็กในช่วงต้น 2000s แต่ประสบอุบัติเหตุตกบันไดหักขาทั้งสองข้างในปี 2001 ทำให้ต้องพักฟื้น 6 เดือน บรานิแกนเสียชีวิตอย่างกะทันหันเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2004 ที่บ้านในอีสต์ควอก นิวยอร์ก จากอาการโป่งพองของหลอดเลือดสมองที่ไม่ได้รับการวินิจฉัย หลังจากปวดหัวต่อเนื่องหลายสัปดาห์โดยไม่ได้ไปพบแพทย์ เถ้าถ่านของเธอถูกโปรยลงในลองไอส์แลนด์ซาวด์ เพลงของเธอได้รับความนิยมใหม่ในปี 2019 เมื่อ "Gloria" กลายเป็นเพลงชัยชนะอย่างไม่เป็นทางการของทีมฮอกกี้ St. Louis Blues ในฤดูกาล 2018-19 นำไปสู่การชนะสแตนลีย์คัพครั้งแรก และทำให้เพลงพุ่งขึ้นชาร์ตและสตรีมมิง

    เพลง "Self Control" มีจุดเริ่มต้นจากผลงานของนักร้องอิตาลีราฟ (ราฟฟาเอเล รีเอโฟลี) ซึ่งเขียนร่วมกับกีอันคาร์โล บิกัซซีและสตีฟ พิคโคโล จัดเรียงโดยเซลโซ วาลลี และโปรดิวซ์โดยบิกัซซี ออกในเดือนกุมภาพันธ์ 1984 เป็นซิงเกิลจากอัลบั้ม Raf ภายใต้ค่าย Carrere Records เวอร์ชัน 7 นิ้วยาว 4:21 นาที และ 12 นิ้วยาว 6:08 นาที โดยมีเพลง B-side เป็น "Self Control (Part Two)" และ "Running Away" ตามลำดับ เวอร์ชันของราฟมีส่วนแร็พซึ่งหายากสำหรับศิลปินผิวขาวในขณะนั้น และประสบความสำเร็จในยุโรป โดยขึ้นอันดับ 1 ในอิตาลี (7 สัปดาห์ไม่ต่อเนื่อง) และสวิตเซอร์แลนด์ อันดับ 2 ในเยอรมนีตะวันตก อันดับ 7 ในออสเตรีย และอันดับ 40 ในฝรั่งเศส ได้รับการรับรองโกลด์ในอิตาลี (50,000 ยูนิต) และติดอันดับปี 1984 ที่ 10 ในสวิตเซอร์แลนด์ และ 15 ในเยอรมนีตะวันตก ในปีเดียวกัน ลอร่า บรานิแกนนำมาคัฟเวอร์และออกเมื่อวันที่ 19 เมษายน 1984 เป็นเพลงนำจากอัลบั้ม Self Control ภายใต้ Atlantic Records โปรดิวซ์โดยแจ็ค ไวต์และร็อบบี้ บูคานัน จัดเรียงโดยฮาโรลด์ ฟัลเตอร์เมเยอร์และบูคานัน บันทึกเสียงในเยอรมนีตะวันตกและลอสแองเจลิส การปรับเปลี่ยนจากเวอร์ชันราฟรวมถึงการแทนที่คีย์บอร์ดฮุกด้วยกีตาร์ริฟฟ์และเพิ่มเพอร์คัสชันที่คมชัด มิวสิกวิดีโอกำกับโดยวิลเลียม ฟรีดกิน ถ่ายทำในนิวเจอร์ซีย์และนิวยอร์คซิตี้ แต่ถูก MTV ถือว่ารุนแรงเกินไป ทำให้ต้องตัดต่อและออกอากาศเฉพาะช่วงดึก ส่งผลให้บรานิแกนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง American Music Awards ปี 1985 สาขา Favorite Pop/Rock Female Video Artist (แต่แพ้ให้ไซนดี ลอเปอร์) เธอแสดงเพลงนี้ในรายการทีวีหลายแห่ง เช่น The Tonight Show Starring Johnny Carson (27 เมษายน 1984), The Merv Griffin Show, Solid Gold (12 พฤษภาคม 1984), American Bandstand (9 มิถุนายน 1984) และ Rock Rolls On

    ในแง่ความหมาย เพลง "Self Control" บรรยายถึงการสูญเสียการควบคุมตนเองในชีวิตกลางคืน ท่ามกลางแสงสีและสิ่งยั่วยวน โดยผู้บรรยายรู้สึกว่ากลางวันไร้ความหมายแต่กลางคืนคือโลกที่แท้จริง ท่อนเพลงหลักอย่าง "You take my self, you take my self control" แสดงถึงการยอมจำนนต่ออิทธิพลภายนอก ซึ่งอาจเป็นกลางคืน คนรัก หรือสิ่งเสพติด บรานิแกนอธิบายว่ามันเกี่ยวกับการสูญเสียการควบคุมให้กับกลางคืนหรือใครบางคน โดยในมิวสิกวิดีโอมีผู้ชายสวมหน้ากากแทนกลางคืนที่พาเธอเข้าสู่โลกนั้น การวิเคราะห์บางชิ้นชี้ว่ามันสะท้อนไลฟ์สไตล์ที่เกินขอบเขตในยุค 1980s ซึ่งเต็มไปด้วยการบริโภคและการปลดปล่อยตัวเอง แต่ก็มีความตึงเครียดระหว่างความดึงดูดและอันตราย การตีความอื่นๆ รวมถึงมุมมองว่ามันเกี่ยวกับหญิงสาวที่ชีวิตกลางวันปกติแต่กลางคืนกลายเป็น "creatures of the night" ที่ไม่อาจต่อต้านอนาคตใหม่ได้ ทำให้ต้องเชื่อว่าพรุ่งนี้ไม่มีจริง เพลงนี้ยังถูกนำไปตีความในแง่การต่อสู้ภายในจิตใจหรือแม้กระทั่งการเสพติด nightlife ที่อาจนำไปสู่ความเสี่ยง

    สำหรับความสำเร็จระดับโลก เวอร์ชันของบรานิแกนขึ้นอันดับ 1 ในออสเตรีย แคนาดา เดนมาร์ก ฟินแลนด์ โปรตุเกส แอฟริกาใต้ สวีเดน และสวิตเซอร์แลนด์ อันดับ 2 ในนอร์เวย์และไอร์แลนด์ อันดับ 3 ในออสเตรเลีย อันดับ 4 บน US Billboard Hot 100 (เข้าชาร์ตที่ 63 เมื่อ 8 เมษายน 1984 ขึ้นสูงสุด 4 นาน 2 สัปดาห์เมื่อ 24 มิถุนายน 1984 และอยู่ในชาร์ต 19 สัปดาห์ โดย 6 สัปดาห์ในท็อป 10) และอันดับ 5 บน UK Singles Chart สำหรับปี 1984 มันเป็นเพลงอันดับ 1 ในเยอรมนีและสวิตเซอร์แลนด์ ได้รับการรับรองโกลด์ในเดนมาร์ก (45,000 ยูนิต) ฝรั่งเศส (500,000 ยูนิต) เยอรมนี (500,000 ยูนิต) สเปน (30,000 ยูนิต) และซิลเวอร์ในสหราชอาณาจักร (250,000 ยูนิต) ทั้งสองเวอร์ชัน (ราฟและบรานิแกน) ครองชาร์ตยุโรปในฤดูร้อน 1984 โดยสลับอันดับ 1 ในสวิตเซอร์แลนด์หลายครั้ง และจุดประกายกระแส Italo disco ในยุโรปแผ่นดินใหญ่ เพลงนี้กลายเป็นเพลงกำหนดยุค 1980s และถูกนำไปรีเมกหลายครั้ง เช่น โดยริกกี้ มาร์ติน ในปี 1993 (เป็นภาษาสเปนชื่อ "Que Día Es Hoy" ขึ้นอันดับ 26 บน US Hot Latin Songs), Royal Gigolos ในปี 2005 (ท็อป 20 ในเดนมาร์กและฟินแลนด์), Infernal ในปี 2006 (ท็อป 10 ในเดนมาร์กและฟินแลนด์), รีเมกแดนซ์โดยบรานิแกนเองในปี 2004 (อันดับ 10 บน US Dance Singles Sales), Kendra Erika ในปี 2018 (อันดับ 1 บน US Dance Club Songs), Eelke Kleijn และ Lee Cabrera ในปี 2023 และ Fast Boy ในปี 2024 (เปลี่ยนชื่อเป็น "Wave") นอกจากนี้ยังปรากฏในวัฒนธรรมป็อป เช่น ในตอน "The Great McCarthy" ของ Miami Vice ปี 1984 และเกม Grand Theft Auto: Vice City

    เพลง "Self Control" ไม่เพียงเป็นจุดสูงสุดในอาชีพของลอร่า บรานิแกน แต่ยังเป็นตัวแทนของยุคสมัยที่ผสมผสานดนตรีอิตาลีกับป็อปอเมริกัน ทำให้มันยังคงได้รับการยกย่องและนำไปใช้ในสื่อสมัยใหม่จนถึงปัจจุบัน

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://www.youtube.com/watch?v=RP0_8J7uxhs
    ลอร่า บรานิแกน (Laura Branigan) ถือเป็นหนึ่งในนักร้องหญิงที่โดดเด่นที่สุดในยุค 1980s ด้วยเสียงร้องที่ทรงพลังและมีเอกลักษณ์ ซึ่งทำให้เธอได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ เธอเกิดเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 1952 ในเมืองเมานต์คิสโก นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในครอบครัวชาวไอริช-อเมริกัน โดยเป็นลูกคนที่สี่ในห้าคน พ่อของเธอชื่อเจมส์ บรานิแกน ซีเนียร์ เป็นนายหน้าซื้อขายหุ้นและกองทุนรวม ส่วนแม่ชื่อแคธลีน (นามสกุลเดิม โอแฮร์) เธอเติบโตในเมืองอาร์มองก์และได้รับการศึกษาจากโรงเรียนคาทอลิกในชัปปาควา ก่อนจบมัธยมจากไบแรมฮิลส์ไฮสคูลในปี 1970 จากนั้นเธอเข้าศึกษาที่ American Academy of Dramatic Arts ในนิวยอร์คระหว่างปี 1970-1972 ซึ่งช่วยพัฒนาทักษะการแสดงและร้องเพลงของเธอ ในช่วงต้นอาชีพ เธอเคยทำงานหลากหลาย เช่น เป็นนักร้องแบ็กอัพให้กับเลนาร์ด โคเฮน ในทัวร์ยุโรปปี 1976 และเป็นสมาชิกวงโฟล์ก-ร็อกชื่อ Meadow ซึ่งออกอัลบั้ม The Friend Ship ในปี 1973 พร้อมซิงเกิล "When You Were Young" และ "Cane and Able" แต่หลังวงยุบ เธอเซ็นสัญญากับ Atlantic Records ในปี 1979 ผ่านการแนะนำจากผู้จัดการซิด เบิร์นสไตน์ 🌠 🎤 อาชีพหลักของบรานิแกนเริ่มพุ่งขึ้นในปี 1982 ด้วยอัลบั้มแรก Branigan ที่มีเพลงฮิต "Gloria" (คัฟเวอร์จากเพลงอิตาลีของอุมแบร์โต โตซซี) ซึ่งขึ้นอันดับ 2 บน Billboard Hot 100 นาน 3 สัปดาห์ อยู่ในชาร์ตนาน 36 สัปดาห์ (สถิติสำหรับศิลปินหญิงในขณะนั้น) และได้รับการรับรองแพลตตินัม นอกจากนี้ยังขึ้นอันดับ 1 ในออสเตรเลียและแคนาดา รวมถึงได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่สาขา Best Female Pop Vocal Performance ในปี 1983 เธอมีส่วนร่วมในซาวด์แทร็กภาพยนตร์ Flashdance ในปี 1983 ซึ่งได้รับรางวัลแกรมมี่และออสการ์สำหรับอัลบั้มโดยรวม และปรากฏตัวในรายการทีวีชื่อดังอย่าง Saturday Night Live, CHiPs, Automan และ Knight Rider อัลบั้มที่สอง Branigan 2 ในปี 1983 มีเพลงฮิต "Solitaire" (ท็อป 10 ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเพลงฮิตแรกของไดแอน วอร์เรน) และ "How Am I Supposed to Live Without You" (อันดับ 12 บน Hot 100 และอันดับ 1 บน Adult Contemporary นาน 3 สัปดาห์ เขียนร่วมโดยไมเคิล โบลตัน) ในปี 1984 อัลบั้ม Self Control กลายเป็นอัลบั้มที่ประสบความสำเร็จที่สุดของเธอ ได้รับการรับรองแพลตตินัม และมีเพลงฮิตอย่าง "Self Control", "Ti Amo" (อันดับ 2 ในออสเตรเลีย คัฟเวอร์จากโตซซีอีกเพลง), "The Lucky One" (ชนะรางวัล Grand Prix ที่ Tokyo Music Festival) และ "Satisfaction" เธอยังมีส่วนในซาวด์แทร็ก Ghostbusters ด้วยเพลง "Hot Night" และปรากฏในซีรีส์ Miami Vice อัลบั้มต่อๆ มา เช่น Hold Me (1985) มี "Spanish Eddie" และ "I Found Someone", Touch (1987) มี "Shattered Glass" และ "The Power of Love" (กลับสู่ท็อป 40 ในสหรัฐฯ), อัลบั้มชื่อตัวเองในปี 1990 มี "Moonlight on Water" และ "Never in a Million Years" และอัลบั้มสุดท้าย Over My Heart ในปี 1993 นอกจากร้องเพลง เธอยังแสดงในภาพยนตร์อย่าง Mugsy's Girls (1985) และ Backstage (1988) รวมถึงละครเวที Love, Janis ในฐานะจานิส จอปลิน ในปี 2002 ในช่วงปี 1990s เธอหยุดพักหลังสามีเสียชีวิต แต่กลับมาร้องเพลงดูเอ็ตกับเดวิด แฮสเซลฮอฟฟ์ สำหรับ Baywatch และพยายามคัมแบ็กในช่วงต้น 2000s แต่ประสบอุบัติเหตุตกบันไดหักขาทั้งสองข้างในปี 2001 ทำให้ต้องพักฟื้น 6 เดือน บรานิแกนเสียชีวิตอย่างกะทันหันเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2004 ที่บ้านในอีสต์ควอก นิวยอร์ก จากอาการโป่งพองของหลอดเลือดสมองที่ไม่ได้รับการวินิจฉัย หลังจากปวดหัวต่อเนื่องหลายสัปดาห์โดยไม่ได้ไปพบแพทย์ เถ้าถ่านของเธอถูกโปรยลงในลองไอส์แลนด์ซาวด์ เพลงของเธอได้รับความนิยมใหม่ในปี 2019 เมื่อ "Gloria" กลายเป็นเพลงชัยชนะอย่างไม่เป็นทางการของทีมฮอกกี้ St. Louis Blues ในฤดูกาล 2018-19 นำไปสู่การชนะสแตนลีย์คัพครั้งแรก และทำให้เพลงพุ่งขึ้นชาร์ตและสตรีมมิง 💿 เพลง "Self Control" มีจุดเริ่มต้นจากผลงานของนักร้องอิตาลีราฟ (ราฟฟาเอเล รีเอโฟลี) ซึ่งเขียนร่วมกับกีอันคาร์โล บิกัซซีและสตีฟ พิคโคโล จัดเรียงโดยเซลโซ วาลลี และโปรดิวซ์โดยบิกัซซี ออกในเดือนกุมภาพันธ์ 1984 เป็นซิงเกิลจากอัลบั้ม Raf ภายใต้ค่าย Carrere Records เวอร์ชัน 7 นิ้วยาว 4:21 นาที และ 12 นิ้วยาว 6:08 นาที โดยมีเพลง B-side เป็น "Self Control (Part Two)" และ "Running Away" ตามลำดับ เวอร์ชันของราฟมีส่วนแร็พซึ่งหายากสำหรับศิลปินผิวขาวในขณะนั้น และประสบความสำเร็จในยุโรป โดยขึ้นอันดับ 1 ในอิตาลี (7 สัปดาห์ไม่ต่อเนื่อง) และสวิตเซอร์แลนด์ อันดับ 2 ในเยอรมนีตะวันตก อันดับ 7 ในออสเตรีย และอันดับ 40 ในฝรั่งเศส ได้รับการรับรองโกลด์ในอิตาลี (50,000 ยูนิต) และติดอันดับปี 1984 ที่ 10 ในสวิตเซอร์แลนด์ และ 15 ในเยอรมนีตะวันตก ในปีเดียวกัน ลอร่า บรานิแกนนำมาคัฟเวอร์และออกเมื่อวันที่ 19 เมษายน 1984 เป็นเพลงนำจากอัลบั้ม Self Control ภายใต้ Atlantic Records โปรดิวซ์โดยแจ็ค ไวต์และร็อบบี้ บูคานัน จัดเรียงโดยฮาโรลด์ ฟัลเตอร์เมเยอร์และบูคานัน บันทึกเสียงในเยอรมนีตะวันตกและลอสแองเจลิส การปรับเปลี่ยนจากเวอร์ชันราฟรวมถึงการแทนที่คีย์บอร์ดฮุกด้วยกีตาร์ริฟฟ์และเพิ่มเพอร์คัสชันที่คมชัด มิวสิกวิดีโอกำกับโดยวิลเลียม ฟรีดกิน ถ่ายทำในนิวเจอร์ซีย์และนิวยอร์คซิตี้ แต่ถูก MTV ถือว่ารุนแรงเกินไป ทำให้ต้องตัดต่อและออกอากาศเฉพาะช่วงดึก ส่งผลให้บรานิแกนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง American Music Awards ปี 1985 สาขา Favorite Pop/Rock Female Video Artist (แต่แพ้ให้ไซนดี ลอเปอร์) เธอแสดงเพลงนี้ในรายการทีวีหลายแห่ง เช่น The Tonight Show Starring Johnny Carson (27 เมษายน 1984), The Merv Griffin Show, Solid Gold (12 พฤษภาคม 1984), American Bandstand (9 มิถุนายน 1984) และ Rock Rolls On 📝 ในแง่ความหมาย เพลง "Self Control" บรรยายถึงการสูญเสียการควบคุมตนเองในชีวิตกลางคืน ท่ามกลางแสงสีและสิ่งยั่วยวน โดยผู้บรรยายรู้สึกว่ากลางวันไร้ความหมายแต่กลางคืนคือโลกที่แท้จริง ท่อนเพลงหลักอย่าง "You take my self, you take my self control" แสดงถึงการยอมจำนนต่ออิทธิพลภายนอก ซึ่งอาจเป็นกลางคืน คนรัก หรือสิ่งเสพติด บรานิแกนอธิบายว่ามันเกี่ยวกับการสูญเสียการควบคุมให้กับกลางคืนหรือใครบางคน โดยในมิวสิกวิดีโอมีผู้ชายสวมหน้ากากแทนกลางคืนที่พาเธอเข้าสู่โลกนั้น การวิเคราะห์บางชิ้นชี้ว่ามันสะท้อนไลฟ์สไตล์ที่เกินขอบเขตในยุค 1980s ซึ่งเต็มไปด้วยการบริโภคและการปลดปล่อยตัวเอง แต่ก็มีความตึงเครียดระหว่างความดึงดูดและอันตราย การตีความอื่นๆ รวมถึงมุมมองว่ามันเกี่ยวกับหญิงสาวที่ชีวิตกลางวันปกติแต่กลางคืนกลายเป็น "creatures of the night" ที่ไม่อาจต่อต้านอนาคตใหม่ได้ ทำให้ต้องเชื่อว่าพรุ่งนี้ไม่มีจริง เพลงนี้ยังถูกนำไปตีความในแง่การต่อสู้ภายในจิตใจหรือแม้กระทั่งการเสพติด nightlife ที่อาจนำไปสู่ความเสี่ยง 🏅 สำหรับความสำเร็จระดับโลก เวอร์ชันของบรานิแกนขึ้นอันดับ 1 ในออสเตรีย แคนาดา เดนมาร์ก ฟินแลนด์ โปรตุเกส แอฟริกาใต้ สวีเดน และสวิตเซอร์แลนด์ อันดับ 2 ในนอร์เวย์และไอร์แลนด์ อันดับ 3 ในออสเตรเลีย อันดับ 4 บน US Billboard Hot 100 (เข้าชาร์ตที่ 63 เมื่อ 8 เมษายน 1984 ขึ้นสูงสุด 4 นาน 2 สัปดาห์เมื่อ 24 มิถุนายน 1984 และอยู่ในชาร์ต 19 สัปดาห์ โดย 6 สัปดาห์ในท็อป 10) และอันดับ 5 บน UK Singles Chart สำหรับปี 1984 มันเป็นเพลงอันดับ 1 ในเยอรมนีและสวิตเซอร์แลนด์ ได้รับการรับรองโกลด์ในเดนมาร์ก (45,000 ยูนิต) ฝรั่งเศส (500,000 ยูนิต) เยอรมนี (500,000 ยูนิต) สเปน (30,000 ยูนิต) และซิลเวอร์ในสหราชอาณาจักร (250,000 ยูนิต) ทั้งสองเวอร์ชัน (ราฟและบรานิแกน) ครองชาร์ตยุโรปในฤดูร้อน 1984 โดยสลับอันดับ 1 ในสวิตเซอร์แลนด์หลายครั้ง และจุดประกายกระแส Italo disco ในยุโรปแผ่นดินใหญ่ เพลงนี้กลายเป็นเพลงกำหนดยุค 1980s และถูกนำไปรีเมกหลายครั้ง เช่น โดยริกกี้ มาร์ติน ในปี 1993 (เป็นภาษาสเปนชื่อ "Que Día Es Hoy" ขึ้นอันดับ 26 บน US Hot Latin Songs), Royal Gigolos ในปี 2005 (ท็อป 20 ในเดนมาร์กและฟินแลนด์), Infernal ในปี 2006 (ท็อป 10 ในเดนมาร์กและฟินแลนด์), รีเมกแดนซ์โดยบรานิแกนเองในปี 2004 (อันดับ 10 บน US Dance Singles Sales), Kendra Erika ในปี 2018 (อันดับ 1 บน US Dance Club Songs), Eelke Kleijn และ Lee Cabrera ในปี 2023 และ Fast Boy ในปี 2024 (เปลี่ยนชื่อเป็น "Wave") นอกจากนี้ยังปรากฏในวัฒนธรรมป็อป เช่น ในตอน "The Great McCarthy" ของ Miami Vice ปี 1984 และเกม Grand Theft Auto: Vice City 💃 เพลง "Self Control" ไม่เพียงเป็นจุดสูงสุดในอาชีพของลอร่า บรานิแกน แต่ยังเป็นตัวแทนของยุคสมัยที่ผสมผสานดนตรีอิตาลีกับป็อปอเมริกัน ทำให้มันยังคงได้รับการยกย่องและนำไปใช้ในสื่อสมัยใหม่จนถึงปัจจุบัน 🌟💫 #ลุงเล่าหลานฟัง https://www.youtube.com/watch?v=RP0_8J7uxhs
    0 Comments 0 Shares 161 Views 0 Reviews
  • วิกฤติหน่วยความจำ: Micron เตือน DRAM ขาดตลาดยาวถึงปี 2026

    Micron รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกปีงบประมาณ 2026 พร้อมยืนยันว่าแม้จะปิดแบรนด์ Crucial ไปแล้ว แต่ความต้องการ DRAM และ NAND ยังคงสูงมาก โดยเฉพาะจากศูนย์ข้อมูล AI ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว บริษัททำรายได้สูงถึง 13.64 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นกว่า 57% เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ก็ยอมรับว่าจะไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้เต็มที่ และคาดว่าการขาดแคลนจะยืดเยื้อต่อไปหลังปี 2026

    หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือการเติบโตของ HBM (High Bandwidth Memory) ซึ่งใช้พื้นที่เวเฟอร์มากกว่า DDR5 ถึงสามเท่า ทำให้ทรัพยากรการผลิตตึงตัวมากขึ้น Micron คาดว่าตลาด HBM จะมีมูลค่าถึง 100 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2028 ซึ่งจะกลายเป็นตลาดใหญ่กว่าทั้ง DRAM ในปี 2024 การแข่งขันด้านการผลิตจึงเข้มข้นขึ้น และผู้ผลิตหลายรายเริ่มทำสัญญาระยะยาวเพื่อรักษาซัพพลาย

    Micron กำลังลงทุนสร้างโรงงานใหม่ในไอดาโฮและนิวยอร์ก โดยโรงงานแรกจะเริ่มผลิตกลางปี 2027 ส่วนอีกแห่งจะเริ่มก่อสร้างในปี 2026 และคาดว่าจะผลิตจริงราวปี 2030 อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการขยายกำลังผลิต บริษัทก็ยังคาดว่าจะสามารถตอบสนองได้เพียงครึ่งถึงสองในสามของความต้องการลูกค้าหลักเท่านั้น

    ผลกระทบต่อผู้บริโภคเริ่มเห็นชัดเจนแล้ว ราคาของ DDR5 พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ผลิตบางรายเช่น Kingston เตือนว่าราคาจะยังคงปรับขึ้น ส่วน Sapphire คาดว่าราคาจะเริ่มทรงตัวในอีก 6–8 เดือน แต่ก็อาจไม่ใช่ระดับราคาที่ผู้ใช้ต้องการ นอกจากนี้ยังมีปัญหาสินค้าปลอมและการฉ้อโกงในตลาดออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นตามแรงกดดันของราคา

    สรุปสาระสำคัญและคำเตือน
    ผลประกอบการ Micron
    รายได้ไตรมาสแรกปีงบประมาณ 2026 สูงถึง 13.64 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 57%

    การขาดแคลน DRAM ต่อเนื่อง
    Micron คาดว่าปัญหาจะยืดเยื้อไปหลังปี 2026 และตอบสนองได้เพียง 50–66% ของความต้องการ

    การเติบโตของตลาด HBM
    ใช้พื้นที่เวเฟอร์มากกว่า DDR5 ถึง 3 เท่า และคาดว่ามูลค่าตลาดจะถึง 100 พันล้านดอลลาร์ในปี 2028

    การลงทุนโรงงานใหม่
    โรงงานในไอดาโฮจะเริ่มผลิตปี 2027 และโรงงานนิวยอร์กคาดว่าจะผลิตจริงราวปี 2030

    ผลกระทบต่อผู้บริโภค
    ราคาของ DDR5 พุ่งสูงขึ้น และผู้ผลิตบางรายเตือนว่าราคาจะยังคงเพิ่มต่อไป

    คำเตือนด้านราคาและตลาด
    ราคาหน่วยความจำอาจไม่กลับไปสู่ระดับที่ผู้ใช้คาดหวัง แม้จะเริ่มทรงตัว
    ความเสี่ยงจากสินค้าปลอมและการฉ้อโกงออนไลน์เพิ่มขึ้นตามแรงกดดันของราคา

    https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/micron-outlines-grim-outlook-for-dram-supply-in-first-earnings-call-since-killing-crucial-memory-and-ssd-brand-ceo-says-it-can-only-meet-half-to-two-thirds-of-demand
    🖥️ วิกฤติหน่วยความจำ: Micron เตือน DRAM ขาดตลาดยาวถึงปี 2026 Micron รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกปีงบประมาณ 2026 พร้อมยืนยันว่าแม้จะปิดแบรนด์ Crucial ไปแล้ว แต่ความต้องการ DRAM และ NAND ยังคงสูงมาก โดยเฉพาะจากศูนย์ข้อมูล AI ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว บริษัททำรายได้สูงถึง 13.64 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นกว่า 57% เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ก็ยอมรับว่าจะไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้เต็มที่ และคาดว่าการขาดแคลนจะยืดเยื้อต่อไปหลังปี 2026 หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือการเติบโตของ HBM (High Bandwidth Memory) ซึ่งใช้พื้นที่เวเฟอร์มากกว่า DDR5 ถึงสามเท่า ทำให้ทรัพยากรการผลิตตึงตัวมากขึ้น Micron คาดว่าตลาด HBM จะมีมูลค่าถึง 100 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2028 ซึ่งจะกลายเป็นตลาดใหญ่กว่าทั้ง DRAM ในปี 2024 การแข่งขันด้านการผลิตจึงเข้มข้นขึ้น และผู้ผลิตหลายรายเริ่มทำสัญญาระยะยาวเพื่อรักษาซัพพลาย Micron กำลังลงทุนสร้างโรงงานใหม่ในไอดาโฮและนิวยอร์ก โดยโรงงานแรกจะเริ่มผลิตกลางปี 2027 ส่วนอีกแห่งจะเริ่มก่อสร้างในปี 2026 และคาดว่าจะผลิตจริงราวปี 2030 อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการขยายกำลังผลิต บริษัทก็ยังคาดว่าจะสามารถตอบสนองได้เพียงครึ่งถึงสองในสามของความต้องการลูกค้าหลักเท่านั้น ผลกระทบต่อผู้บริโภคเริ่มเห็นชัดเจนแล้ว ราคาของ DDR5 พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ผลิตบางรายเช่น Kingston เตือนว่าราคาจะยังคงปรับขึ้น ส่วน Sapphire คาดว่าราคาจะเริ่มทรงตัวในอีก 6–8 เดือน แต่ก็อาจไม่ใช่ระดับราคาที่ผู้ใช้ต้องการ นอกจากนี้ยังมีปัญหาสินค้าปลอมและการฉ้อโกงในตลาดออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นตามแรงกดดันของราคา 📌 สรุปสาระสำคัญและคำเตือน ✅ ผลประกอบการ Micron ➡️ รายได้ไตรมาสแรกปีงบประมาณ 2026 สูงถึง 13.64 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 57% ✅ การขาดแคลน DRAM ต่อเนื่อง ➡️ Micron คาดว่าปัญหาจะยืดเยื้อไปหลังปี 2026 และตอบสนองได้เพียง 50–66% ของความต้องการ ✅ การเติบโตของตลาด HBM ➡️ ใช้พื้นที่เวเฟอร์มากกว่า DDR5 ถึง 3 เท่า และคาดว่ามูลค่าตลาดจะถึง 100 พันล้านดอลลาร์ในปี 2028 ✅ การลงทุนโรงงานใหม่ ➡️ โรงงานในไอดาโฮจะเริ่มผลิตปี 2027 และโรงงานนิวยอร์กคาดว่าจะผลิตจริงราวปี 2030 ✅ ผลกระทบต่อผู้บริโภค ➡️ ราคาของ DDR5 พุ่งสูงขึ้น และผู้ผลิตบางรายเตือนว่าราคาจะยังคงเพิ่มต่อไป ‼️ คำเตือนด้านราคาและตลาด ⛔ ราคาหน่วยความจำอาจไม่กลับไปสู่ระดับที่ผู้ใช้คาดหวัง แม้จะเริ่มทรงตัว ⛔ ความเสี่ยงจากสินค้าปลอมและการฉ้อโกงออนไลน์เพิ่มขึ้นตามแรงกดดันของราคา https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/micron-outlines-grim-outlook-for-dram-supply-in-first-earnings-call-since-killing-crucial-memory-and-ssd-brand-ceo-says-it-can-only-meet-half-to-two-thirds-of-demand
    0 Comments 0 Shares 204 Views 0 Reviews
  • ปฏิบัติการซินดูร์ จีนใช้โอกาสทดสอบอาวุธกับขีปนาวุธและเครื่องบินรบที่สร้างโดยรัสเซียและฝรั่งเศส คลังแสงของปากีสถานเต็มไปด้วยยุทโธปกรณ์ของปักกิ่ง และมันถูกใช้ทดสอบกับเครื่องบินรบราฟาลของอินเดียและระบบป้องกันขีปนาวุธ S-400 เช่นเดียวกับอื่นๆ ในความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาก็เช่นกัน มันมอบโอกาสให้จีนวิเคราะห์ว่าจรวดและขีปนาวุธของพวกเขา มีประสิทธิภาพแค่ไหนในการต่อกรกับยุทโธปกรณ์ของสหรัฐฯ ตามรายงานของนิตยสารเดอะวีค สื่อมวลชนที่มีสำนักงานในนิวยอร์ก
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000120797

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    ปฏิบัติการซินดูร์ จีนใช้โอกาสทดสอบอาวุธกับขีปนาวุธและเครื่องบินรบที่สร้างโดยรัสเซียและฝรั่งเศส คลังแสงของปากีสถานเต็มไปด้วยยุทโธปกรณ์ของปักกิ่ง และมันถูกใช้ทดสอบกับเครื่องบินรบราฟาลของอินเดียและระบบป้องกันขีปนาวุธ S-400 เช่นเดียวกับอื่นๆ ในความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาก็เช่นกัน มันมอบโอกาสให้จีนวิเคราะห์ว่าจรวดและขีปนาวุธของพวกเขา มีประสิทธิภาพแค่ไหนในการต่อกรกับยุทโธปกรณ์ของสหรัฐฯ ตามรายงานของนิตยสารเดอะวีค สื่อมวลชนที่มีสำนักงานในนิวยอร์ก . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000120797 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 393 Views 0 Reviews
  • การกู้คืน Li.st ของ Anthony Bourdain

    ผู้เขียนเล่าถึงความพยายามในการกู้คืนเนื้อหาที่ Anthony Bourdain เคยเผยแพร่บนแพลตฟอร์ม li.st ซึ่งปิดตัวไปแล้ว โดยอ้างอิงจากงานของ Greg Technology ที่เคยเผยแพร่บางส่วน และใช้ Common Crawl เพื่อค้นหาและดึงข้อมูล HTML ที่ยังหลงเหลืออยู่ในอินเทอร์เน็ต

    วิธีการและเครื่องมือที่ใช้
    ผู้เขียนได้สร้างสคริปต์ Python (commoncrawl_search.py) เพื่อค้นหาเส้นทางที่เกี่ยวข้องกับ Bourdain บน Common Crawl และดึงไฟล์ HTML ที่ยังคงอยู่มาแสดงผลใหม่ พร้อมปรับแต่งเลย์เอาต์ให้ใกล้เคียงกับต้นฉบับมากที่สุด แม้ภาพประกอบจำนวนมากจะสูญหายไป แต่ข้อความต้นฉบับยังสามารถกู้คืนได้ค่อนข้างสมบูรณ์

    เนื้อหาที่ถูกกู้คืน
    หลายลิสต์ที่ Bourdain เคยเขียนถูกกู้คืน เช่น:
    Things I No Longer Have Time or Patience For (สิ่งที่เขาไม่มีเวลาและความอดทนอีกต่อไป เช่น Cocaine, Beer nerds)
    Nice Views (สถานที่ที่เขาชื่นชอบ เช่น Montana, Puerto Rico, Istanbul)
    Objects of Desire (สิ่งของที่เขาหลงใหล เช่น แว่น Persol, มีด Kramer, เครื่องมือเจาะกะโหลกโบราณ)
    Hotel Slut (That’s Me) (โรงแรมที่เขารัก เช่น Chateau Marmont, Chiltern Firehouse, Park Hyatt Tokyo)
    Some New York Sandwiches (แซนด์วิชที่เขาชื่นชอบในนิวยอร์ก เช่น Pastrami Queen, Eisenberg’s Sandwich Shop)

    ความหมายและคุณค่า
    การกู้คืนนี้ไม่ใช่เพียงการเก็บบันทึกดิจิทัล แต่ยังเป็นการรักษามรดกทางวัฒนธรรมและความคิดของ Bourdain ให้คนรุ่นหลังได้สัมผัสอีกครั้ง เนื้อหาของเขาเต็มไปด้วยมุมมองตรงไปตรงมา ความหลงใหลในอาหาร การเดินทาง และชีวิตที่ไม่เหมือนใคร

    สรุปประเด็นสำคัญ
    โครงการกู้คืน Li.st ของ Bourdain
    ใช้ Common Crawl และสคริปต์ Python เพื่อค้นหาและดึงข้อมูล HTML
    แม้ภาพสูญหาย แต่ข้อความยังคงอยู่

    เนื้อหาที่กู้คืนได้
    Things I No Longer Have Time or Patience For
    Nice Views, Objects of Desire, Hotel Slut, Some New York Sandwiches

    คุณค่าของการกู้คืน
    รักษามรดกทางวัฒนธรรมและความคิดของ Anthony Bourdain
    เปิดโอกาสให้สาธารณะเข้าถึงงานเขียนที่สูญหายไป

    คำเตือนด้านการกู้คืนข้อมูลดิจิทัล
    ภาพประกอบจำนวนมากไม่สามารถกู้คืนได้
    ข้อมูลบางส่วนอาจสูญหายถาวรและไม่สามารถเข้าถึงได้อีก

    https://sandyuraz.com/blogs/bourdain/
    📜 การกู้คืน Li.st ของ Anthony Bourdain ผู้เขียนเล่าถึงความพยายามในการกู้คืนเนื้อหาที่ Anthony Bourdain เคยเผยแพร่บนแพลตฟอร์ม li.st ซึ่งปิดตัวไปแล้ว โดยอ้างอิงจากงานของ Greg Technology ที่เคยเผยแพร่บางส่วน และใช้ Common Crawl เพื่อค้นหาและดึงข้อมูล HTML ที่ยังหลงเหลืออยู่ในอินเทอร์เน็ต 🛠️ วิธีการและเครื่องมือที่ใช้ ผู้เขียนได้สร้างสคริปต์ Python (commoncrawl_search.py) เพื่อค้นหาเส้นทางที่เกี่ยวข้องกับ Bourdain บน Common Crawl และดึงไฟล์ HTML ที่ยังคงอยู่มาแสดงผลใหม่ พร้อมปรับแต่งเลย์เอาต์ให้ใกล้เคียงกับต้นฉบับมากที่สุด แม้ภาพประกอบจำนวนมากจะสูญหายไป แต่ข้อความต้นฉบับยังสามารถกู้คืนได้ค่อนข้างสมบูรณ์ 🌍 เนื้อหาที่ถูกกู้คืน หลายลิสต์ที่ Bourdain เคยเขียนถูกกู้คืน เช่น: 💠 Things I No Longer Have Time or Patience For (สิ่งที่เขาไม่มีเวลาและความอดทนอีกต่อไป เช่น Cocaine, Beer nerds) 💠 Nice Views (สถานที่ที่เขาชื่นชอบ เช่น Montana, Puerto Rico, Istanbul) 💠 Objects of Desire (สิ่งของที่เขาหลงใหล เช่น แว่น Persol, มีด Kramer, เครื่องมือเจาะกะโหลกโบราณ) 💠 Hotel Slut (That’s Me) (โรงแรมที่เขารัก เช่น Chateau Marmont, Chiltern Firehouse, Park Hyatt Tokyo) 💠 Some New York Sandwiches (แซนด์วิชที่เขาชื่นชอบในนิวยอร์ก เช่น Pastrami Queen, Eisenberg’s Sandwich Shop) 🔮 ความหมายและคุณค่า การกู้คืนนี้ไม่ใช่เพียงการเก็บบันทึกดิจิทัล แต่ยังเป็นการรักษามรดกทางวัฒนธรรมและความคิดของ Bourdain ให้คนรุ่นหลังได้สัมผัสอีกครั้ง เนื้อหาของเขาเต็มไปด้วยมุมมองตรงไปตรงมา ความหลงใหลในอาหาร การเดินทาง และชีวิตที่ไม่เหมือนใคร 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ โครงการกู้คืน Li.st ของ Bourdain ➡️ ใช้ Common Crawl และสคริปต์ Python เพื่อค้นหาและดึงข้อมูล HTML ➡️ แม้ภาพสูญหาย แต่ข้อความยังคงอยู่ ✅ เนื้อหาที่กู้คืนได้ ➡️ Things I No Longer Have Time or Patience For ➡️ Nice Views, Objects of Desire, Hotel Slut, Some New York Sandwiches ✅ คุณค่าของการกู้คืน ➡️ รักษามรดกทางวัฒนธรรมและความคิดของ Anthony Bourdain ➡️ เปิดโอกาสให้สาธารณะเข้าถึงงานเขียนที่สูญหายไป ‼️ คำเตือนด้านการกู้คืนข้อมูลดิจิทัล ⛔ ภาพประกอบจำนวนมากไม่สามารถกู้คืนได้ ⛔ ข้อมูลบางส่วนอาจสูญหายถาวรและไม่สามารถเข้าถึงได้อีก https://sandyuraz.com/blogs/bourdain/
    SANDYURAZ.COM
    Recovering Anthony Bourdain’s (really) lost Li.st’s
    Loved reading through GReg TeChnoLogY Anthony Bourdain’s Lost Li.st’s and seeing the list of los...
    0 Comments 0 Shares 174 Views 0 Reviews
  • Aircela: น้ำมันเบนซินจากอากาศ

    บริษัท Aircela จากนิวยอร์กกำลังสร้างนวัตกรรมที่ดูเหมือนฝัน คือเครื่องจักรที่สามารถดึง คาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศ แล้วเปลี่ยนเป็น น้ำมันเบนซินปลอดฟอสซิล เครื่องนี้มีขนาดประมาณ 6 ฟุตสูง และ 3 ฟุตกว้าง ใช้สารละลายน้ำผสมโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ในการจับ CO₂ ก่อนจะแยกน้ำเป็นไฮโดรเจนและออกซิเจน แล้วนำไฮโดรเจนกับ CO₂ มาสร้างเป็นเมทานอล และสุดท้ายแปรสภาพเป็นน้ำมันเบนซินที่ไม่มีสารพิษอย่างกำมะถันหรือโลหะหนัก

    ประสิทธิภาพและการทำงาน
    เครื่อง Aircela สามารถจับ CO₂ ได้ราว 10 กิโลกรัมต่อวัน และผลิตน้ำมันเบนซินได้ประมาณ 1 แกลลอนต่อวัน โดยมีถังเก็บเชื้อเพลิงได้ถึง 17 แกลลอน ซึ่งหมายความว่าต้องใช้เวลามากกว่า 2 สัปดาห์ในการผลิตน้ำมันเต็มถังสำหรับรถยนต์ทั่วไป แม้จะยังไม่เร็วพอสำหรับการใช้งานเชิงพาณิชย์ แต่ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเชื้อเพลิงสะอาด

    ผลกระทบและความเป็นไปได้
    หากเทคโนโลยีนี้ถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อาจช่วยลดการพึ่งพาน้ำมันฟอสซิล และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมาก จุดเด่นคือสามารถติดตั้งได้ทั้งในบ้านหรือพื้นที่ห่างไกลที่เข้าถึงน้ำมันเชื้อเพลิงยาก คล้ายกับการใช้ แผงโซลาร์เซลล์แบบโมดูลาร์ ที่สามารถเชื่อมต่อหลายเครื่องเข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต

    แผนการในอนาคต
    Aircela ตั้งเป้าที่จะเปิดตัวเชิงพาณิชย์ในปี 2026 และหวังให้เชื้อเพลิงที่ผลิตได้มีราคาสมเหตุสมผลใกล้เคียงกับน้ำมันเบนซินทั่วไป หากสำเร็จ จะเป็นการปฏิวัติวงการพลังงานและการเดินทาง โดยเฉพาะในยุคที่โลกกำลังมองหาทางออกจากวิกฤติสภาพภูมิอากาศ

    สรุปสาระสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    Aircela พัฒนาเครื่องผลิตน้ำมันเบนซินจากอากาศ น้ำ และคาร์บอน
    เครื่องจับ CO₂ ได้ 10 กก./วัน ผลิตน้ำมัน 1 แกลลอน/วัน
    ถังเก็บได้ 17 แกลลอน ใช้เวลามากกว่า 2 สัปดาห์ในการผลิตเต็มถัง

    ผลกระทบ
    ลดการพึ่งพาน้ำมันฟอสซิล
    ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
    ใช้งานได้ทั้งบ้านและพื้นที่ห่างไกล

    อนาคต
    ตั้งเป้าเปิดตัวเชิงพาณิชย์ในปี 2026
    ราคาน้ำมันสะอาดใกล้เคียงกับน้ำมันทั่วไป

    คำเตือน
    ปริมาณการผลิตยังน้อย ไม่เหมาะกับการใช้งานจริงในตอนนี้
    ต้องใช้เวลานานกว่าจะได้เชื้อเพลิงเต็มถัง
    ยังไม่เปิดเผยต้นทุนเครื่องและราคาน้ำมันที่ผลิตได้

    https://www.slashgear.com/2048896/ev-alternative-clean-fuel-aircela-gas-from-air-water-carbon/
    🌱 Aircela: น้ำมันเบนซินจากอากาศ บริษัท Aircela จากนิวยอร์กกำลังสร้างนวัตกรรมที่ดูเหมือนฝัน คือเครื่องจักรที่สามารถดึง คาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศ แล้วเปลี่ยนเป็น น้ำมันเบนซินปลอดฟอสซิล เครื่องนี้มีขนาดประมาณ 6 ฟุตสูง และ 3 ฟุตกว้าง ใช้สารละลายน้ำผสมโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ในการจับ CO₂ ก่อนจะแยกน้ำเป็นไฮโดรเจนและออกซิเจน แล้วนำไฮโดรเจนกับ CO₂ มาสร้างเป็นเมทานอล และสุดท้ายแปรสภาพเป็นน้ำมันเบนซินที่ไม่มีสารพิษอย่างกำมะถันหรือโลหะหนัก ⚙️ ประสิทธิภาพและการทำงาน เครื่อง Aircela สามารถจับ CO₂ ได้ราว 10 กิโลกรัมต่อวัน และผลิตน้ำมันเบนซินได้ประมาณ 1 แกลลอนต่อวัน โดยมีถังเก็บเชื้อเพลิงได้ถึง 17 แกลลอน ซึ่งหมายความว่าต้องใช้เวลามากกว่า 2 สัปดาห์ในการผลิตน้ำมันเต็มถังสำหรับรถยนต์ทั่วไป แม้จะยังไม่เร็วพอสำหรับการใช้งานเชิงพาณิชย์ แต่ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเชื้อเพลิงสะอาด 🌐 ผลกระทบและความเป็นไปได้ หากเทคโนโลยีนี้ถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อาจช่วยลดการพึ่งพาน้ำมันฟอสซิล และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมาก จุดเด่นคือสามารถติดตั้งได้ทั้งในบ้านหรือพื้นที่ห่างไกลที่เข้าถึงน้ำมันเชื้อเพลิงยาก คล้ายกับการใช้ แผงโซลาร์เซลล์แบบโมดูลาร์ ที่สามารถเชื่อมต่อหลายเครื่องเข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต 🔮 แผนการในอนาคต Aircela ตั้งเป้าที่จะเปิดตัวเชิงพาณิชย์ในปี 2026 และหวังให้เชื้อเพลิงที่ผลิตได้มีราคาสมเหตุสมผลใกล้เคียงกับน้ำมันเบนซินทั่วไป หากสำเร็จ จะเป็นการปฏิวัติวงการพลังงานและการเดินทาง โดยเฉพาะในยุคที่โลกกำลังมองหาทางออกจากวิกฤติสภาพภูมิอากาศ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ Aircela พัฒนาเครื่องผลิตน้ำมันเบนซินจากอากาศ น้ำ และคาร์บอน ➡️ เครื่องจับ CO₂ ได้ 10 กก./วัน ผลิตน้ำมัน 1 แกลลอน/วัน ➡️ ถังเก็บได้ 17 แกลลอน ใช้เวลามากกว่า 2 สัปดาห์ในการผลิตเต็มถัง ✅ ผลกระทบ ➡️ ลดการพึ่งพาน้ำมันฟอสซิล ➡️ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ➡️ ใช้งานได้ทั้งบ้านและพื้นที่ห่างไกล ✅ อนาคต ➡️ ตั้งเป้าเปิดตัวเชิงพาณิชย์ในปี 2026 ➡️ ราคาน้ำมันสะอาดใกล้เคียงกับน้ำมันทั่วไป ‼️ คำเตือน ⛔ ปริมาณการผลิตยังน้อย ไม่เหมาะกับการใช้งานจริงในตอนนี้ ⛔ ต้องใช้เวลานานกว่าจะได้เชื้อเพลิงเต็มถัง ⛔ ยังไม่เปิดเผยต้นทุนเครื่องและราคาน้ำมันที่ผลิตได้ https://www.slashgear.com/2048896/ev-alternative-clean-fuel-aircela-gas-from-air-water-carbon/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This Ambitious Startup Says Its Machine Can Make Gasoline Out Of Thin Air - SlashGear
    A New York-based company called Aircela says its machine is able to capture 10 kilograms of CO2 and convert it into one gallon of gasoline each day.
    0 Comments 0 Shares 204 Views 0 Reviews
  • นิวยอร์กซิตี้ใช้ค่าผ่านทาง ลดรถ ลดมลพิษ

    มาตรการ Congestion Pricing ของนิวยอร์กซิตี้ ที่เริ่มใช้ในปี 2025 ทำให้การจราจรลดลงและมลพิษทางอากาศลดลงถึง 22% ในพื้นที่แมนฮัตตัน พร้อมผลพลอยได้เช่นอุบัติเหตุลดลงและเสียงรบกวนลดลงอย่างชัดเจน

    ตั้งแต่เดือนมกราคม 2025 รถยนต์ที่ต้องการเข้าพื้นที่ใจกลางแมนฮัตตันในช่วงเวลาเร่งด่วนต้องจ่ายค่าผ่านทาง 9 ดอลลาร์ ผลลัพธ์ใน 6 เดือนแรกคือการจราจรลดลง 11% และอุบัติเหตุลดลง 14% ขณะเดียวกันเสียงรบกวนจากการบีบแตรหรือเสียงดังอื่น ๆ ลดลงถึง 45%

    ผลลัพธ์ด้านสิ่งแวดล้อม
    งานวิจัยจาก Cornell University พบว่า มลพิษฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM) ลดลงถึง 22% ในพื้นที่ที่มีการบังคับใช้มาตรการ ซึ่งถือว่ามากกว่าผลลัพธ์ที่เคยเห็นในเมืองอื่น เช่น สตอกโฮล์มและลอนดอน มลพิษเหล่านี้เป็นสาเหตุสำคัญของโรคหอบหืด โรคหัวใจ และมะเร็งปอด

    พฤติกรรมการเดินทางเปลี่ยนไป
    นักวิจัยระบุว่ามาตรการนี้ไม่ได้เพียงแค่ผลักภาระไปยังชานเมือง แต่ช่วยให้ทั้งมหานครนิวยอร์กมีอากาศดีขึ้น เพราะผู้คนเลือกใช้ ขนส่งสาธารณะ หรือปรับเวลาเดินทาง เช่น ส่งสินค้าในเวลากลางคืน ทำให้การจราจรเบาบางลงและลดการสะสมของหมอกควัน

    ความหมายต่อเมืองใหญ่ทั่วโลก
    ผลลัพธ์นี้สะท้อนว่า Congestion Pricing ไม่ใช่แค่เรื่องการจัดการจราจร แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตและสุขภาพประชาชน หากเมืองใหญ่ทั่วโลกนำไปปรับใช้ อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากมลพิษทางอากาศได้อย่างมีนัยสำคัญ

    สรุปสาระสำคัญ
    มาตรการ Congestion Pricing เริ่มใช้ในนิวยอร์กปี 2025
    รถยนต์ต้องจ่าย $9 เพื่อเข้าพื้นที่แมนฮัตตันช่วงเร่งด่วน

    ผลลัพธ์ใน 6 เดือนแรก
    การจราจรลดลง 11%, อุบัติเหตุลดลง 14%, เสียงรบกวนลดลง 45%

    มลพิษฝุ่นละออง PM ลดลง 22%
    ลดความเสี่ยงโรคหอบหืด, โรคหัวใจ, มะเร็งปอด

    พฤติกรรมผู้คนเปลี่ยนไป
    ใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น, ส่งสินค้าเวลากลางคืน

    หากไม่มีมาตรการต่อเนื่อง มลพิษอาจกลับมาเพิ่มขึ้น
    การพึ่งพารถยนต์ส่วนตัวจะทำให้ผลลัพธ์ถดถอย

    เมืองที่ไม่ปรับใช้มาตรการคล้ายกันเสี่ยงต่อสุขภาพประชาชน
    มลพิษทางอากาศยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรทั่วโลก

    https://e360.yale.edu/digest/new-york-congestion-pricing-pollution
    🚗 นิวยอร์กซิตี้ใช้ค่าผ่านทาง ลดรถ ลดมลพิษ มาตรการ Congestion Pricing ของนิวยอร์กซิตี้ ที่เริ่มใช้ในปี 2025 ทำให้การจราจรลดลงและมลพิษทางอากาศลดลงถึง 22% ในพื้นที่แมนฮัตตัน พร้อมผลพลอยได้เช่นอุบัติเหตุลดลงและเสียงรบกวนลดลงอย่างชัดเจน ตั้งแต่เดือนมกราคม 2025 รถยนต์ที่ต้องการเข้าพื้นที่ใจกลางแมนฮัตตันในช่วงเวลาเร่งด่วนต้องจ่ายค่าผ่านทาง 9 ดอลลาร์ ผลลัพธ์ใน 6 เดือนแรกคือการจราจรลดลง 11% และอุบัติเหตุลดลง 14% ขณะเดียวกันเสียงรบกวนจากการบีบแตรหรือเสียงดังอื่น ๆ ลดลงถึง 45% 🌫️ ผลลัพธ์ด้านสิ่งแวดล้อม งานวิจัยจาก Cornell University พบว่า มลพิษฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM) ลดลงถึง 22% ในพื้นที่ที่มีการบังคับใช้มาตรการ ซึ่งถือว่ามากกว่าผลลัพธ์ที่เคยเห็นในเมืองอื่น เช่น สตอกโฮล์มและลอนดอน มลพิษเหล่านี้เป็นสาเหตุสำคัญของโรคหอบหืด โรคหัวใจ และมะเร็งปอด 🚉 พฤติกรรมการเดินทางเปลี่ยนไป นักวิจัยระบุว่ามาตรการนี้ไม่ได้เพียงแค่ผลักภาระไปยังชานเมือง แต่ช่วยให้ทั้งมหานครนิวยอร์กมีอากาศดีขึ้น เพราะผู้คนเลือกใช้ ขนส่งสาธารณะ หรือปรับเวลาเดินทาง เช่น ส่งสินค้าในเวลากลางคืน ทำให้การจราจรเบาบางลงและลดการสะสมของหมอกควัน 🌍 ความหมายต่อเมืองใหญ่ทั่วโลก ผลลัพธ์นี้สะท้อนว่า Congestion Pricing ไม่ใช่แค่เรื่องการจัดการจราจร แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตและสุขภาพประชาชน หากเมืองใหญ่ทั่วโลกนำไปปรับใช้ อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากมลพิษทางอากาศได้อย่างมีนัยสำคัญ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ มาตรการ Congestion Pricing เริ่มใช้ในนิวยอร์กปี 2025 ➡️ รถยนต์ต้องจ่าย $9 เพื่อเข้าพื้นที่แมนฮัตตันช่วงเร่งด่วน ✅ ผลลัพธ์ใน 6 เดือนแรก ➡️ การจราจรลดลง 11%, อุบัติเหตุลดลง 14%, เสียงรบกวนลดลง 45% ✅ มลพิษฝุ่นละออง PM ลดลง 22% ➡️ ลดความเสี่ยงโรคหอบหืด, โรคหัวใจ, มะเร็งปอด ✅ พฤติกรรมผู้คนเปลี่ยนไป ➡️ ใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น, ส่งสินค้าเวลากลางคืน ‼️ หากไม่มีมาตรการต่อเนื่อง มลพิษอาจกลับมาเพิ่มขึ้น ⛔ การพึ่งพารถยนต์ส่วนตัวจะทำให้ผลลัพธ์ถดถอย ‼️ เมืองที่ไม่ปรับใช้มาตรการคล้ายกันเสี่ยงต่อสุขภาพประชาชน ⛔ มลพิษทางอากาศยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรทั่วโลก https://e360.yale.edu/digest/new-york-congestion-pricing-pollution
    0 Comments 0 Shares 249 Views 0 Reviews
  • "จับเพิ่มอีก 2 รายในคดีลักลอบชิป Nvidia ไปจีน"

    กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (DOJ) รายงานว่ามีการจับกุมผู้ต้องหาเพิ่มอีก 2 รายในนิวยอร์กและออนแทรีโอ หลังพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักลอบนำเข้า Nvidia H100 และ H200 ไปยังจีน . ก่อนหน้านี้มีผู้ต้องหาที่ฮูสตันยอมรับผิดแล้ว ทำให้คดีนี้มีผู้เกี่ยวข้องรวมอย่างน้อย 3 ราย .

    วิธีการลักลอบ: "ปลอมฉลากเป็นแบรนด์ Sandkyan"
    กลุ่มผู้ต้องหาถูกกล่าวหาว่าใช้วิธี เปลี่ยนฉลากบนกล่องและพาเลทของชิป Nvidia ให้เป็นชื่อแบรนด์สมมติ “Sandkyan” เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ศุลกากร . พวกเขายังร่วมมือกับบริษัทขนส่งในฮ่องกงและบริษัท AI ในจีนเพื่ออำนวยความสะดวกในการนำชิปผ่านด่านควบคุม .

    ปฏิบัติการ Gatekeeper: "สกัดการแพร่กระจายเทคโนโลยี AI"
    การจับกุมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Operation Gatekeeper ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเทคโนโลยี AI ของสหรัฐไปยังประเทศที่อาจใช้เป็นภัยต่อความมั่นคง . แม้ชิป H100 และ H200 จะถือเป็นรุ่นเก่ากว่าชิป Blackwell ที่กำลังเป็นที่ต้องการ แต่ก็ยังมีศักยภาพสูงในการประมวลผล AI .

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและความมั่นคง
    การลักลอบครั้งนี้สะท้อนถึงความต้องการมหาศาลของจีนต่อชิป AI แม้จะถูกจำกัดการนำเข้า . สหรัฐมองว่าการผ่อนปรนให้จีนเข้าถึงชิป Hopper รุ่นเก่าอาจไม่กระทบต่อความเหนือกว่าทางเทคโนโลยี แต่เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าความเสี่ยงยังคงมีอยู่ และตลาดมืดของชิป AI กำลังเติบโต .

    สรุปสาระสำคัญ
    การจับกุมเพิ่มเติม
    ผู้ต้องหาใหม่ 2 รายในนิวยอร์กและออนแทรีโอ

    วิธีการลักลอบ
    เปลี่ยนฉลากเป็นแบรนด์สมมติ “Sandkyan”
    ร่วมมือกับบริษัทขนส่งในฮ่องกงและบริษัท AI ในจีน

    Operation Gatekeeper
    ปฏิบัติการของ DOJ เพื่อสกัดการแพร่กระจายเทคโนโลยี AI

    สถานะชิป Nvidia
    H100 และ H200 เป็นรุ่น Hopper ที่ยังมีศักยภาพสูง แม้จะไม่ทันสมัยเท่า Blackwell

    คำเตือนด้านความมั่นคง
    การลักลอบอาจช่วยจีนเสริมศักยภาพ AI และการทหาร

    คำเตือนด้านตลาดมืด
    ความต้องการชิป AI สูงทำให้ตลาดมืดเติบโตและยากต่อการควบคุม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/two-more-perps-apprehended-over-smuggling-of-usd160-million-of-nvidia-chips-to-china-doj-says-h100-and-h200-shipments-were-relabelled-with-a-fictional-brand-to-dodge-export-controls
    🚨 "จับเพิ่มอีก 2 รายในคดีลักลอบชิป Nvidia ไปจีน" กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ (DOJ) รายงานว่ามีการจับกุมผู้ต้องหาเพิ่มอีก 2 รายในนิวยอร์กและออนแทรีโอ หลังพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักลอบนำเข้า Nvidia H100 และ H200 ไปยังจีน . ก่อนหน้านี้มีผู้ต้องหาที่ฮูสตันยอมรับผิดแล้ว ทำให้คดีนี้มีผู้เกี่ยวข้องรวมอย่างน้อย 3 ราย . 🕵️ วิธีการลักลอบ: "ปลอมฉลากเป็นแบรนด์ Sandkyan" กลุ่มผู้ต้องหาถูกกล่าวหาว่าใช้วิธี เปลี่ยนฉลากบนกล่องและพาเลทของชิป Nvidia ให้เป็นชื่อแบรนด์สมมติ “Sandkyan” เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ศุลกากร . พวกเขายังร่วมมือกับบริษัทขนส่งในฮ่องกงและบริษัท AI ในจีนเพื่ออำนวยความสะดวกในการนำชิปผ่านด่านควบคุม . 🛡️ ปฏิบัติการ Gatekeeper: "สกัดการแพร่กระจายเทคโนโลยี AI" การจับกุมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Operation Gatekeeper ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเทคโนโลยี AI ของสหรัฐไปยังประเทศที่อาจใช้เป็นภัยต่อความมั่นคง . แม้ชิป H100 และ H200 จะถือเป็นรุ่นเก่ากว่าชิป Blackwell ที่กำลังเป็นที่ต้องการ แต่ก็ยังมีศักยภาพสูงในการประมวลผล AI . 🌍 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและความมั่นคง การลักลอบครั้งนี้สะท้อนถึงความต้องการมหาศาลของจีนต่อชิป AI แม้จะถูกจำกัดการนำเข้า . สหรัฐมองว่าการผ่อนปรนให้จีนเข้าถึงชิป Hopper รุ่นเก่าอาจไม่กระทบต่อความเหนือกว่าทางเทคโนโลยี แต่เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าความเสี่ยงยังคงมีอยู่ และตลาดมืดของชิป AI กำลังเติบโต . 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การจับกุมเพิ่มเติม ➡️ ผู้ต้องหาใหม่ 2 รายในนิวยอร์กและออนแทรีโอ ✅ วิธีการลักลอบ ➡️ เปลี่ยนฉลากเป็นแบรนด์สมมติ “Sandkyan” ➡️ ร่วมมือกับบริษัทขนส่งในฮ่องกงและบริษัท AI ในจีน ✅ Operation Gatekeeper ➡️ ปฏิบัติการของ DOJ เพื่อสกัดการแพร่กระจายเทคโนโลยี AI ✅ สถานะชิป Nvidia ➡️ H100 และ H200 เป็นรุ่น Hopper ที่ยังมีศักยภาพสูง แม้จะไม่ทันสมัยเท่า Blackwell ‼️ คำเตือนด้านความมั่นคง ⛔ การลักลอบอาจช่วยจีนเสริมศักยภาพ AI และการทหาร ‼️ คำเตือนด้านตลาดมืด ⛔ ความต้องการชิป AI สูงทำให้ตลาดมืดเติบโตและยากต่อการควบคุม https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/two-more-perps-apprehended-over-smuggling-of-usd160-million-of-nvidia-chips-to-china-doj-says-h100-and-h200-shipments-were-relabelled-with-a-fictional-brand-to-dodge-export-controls
    0 Comments 0 Shares 224 Views 0 Reviews
  • "AI จุดกระแสสร้างศูนย์ข้อมูลยักษ์ใน Data Centre Alley – แต่ชุมชนเริ่มตั้งคำถาม"

    Ashburn เมืองเล็กใน Loudoun County รัฐเวอร์จิเนีย กลายเป็นศูนย์กลางของโลกดิจิทัล โดยมี 152 ศูนย์ข้อมูลในพื้นที่เพียง 40 ตารางกิโลเมตร และรองรับกว่า 70% ของการจราจรอินเทอร์เน็ตโลกในแต่ละช่วงเวลา. การลงทุนด้าน AI ทำให้เกิดการเร่งสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง

    ข้อมูลจาก US Census Bureau ระบุว่าในปี 2025 บริษัทเอกชนใช้เงินกว่า 40 พันล้านดอลลาร์ต่อเดือน เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลในสหรัฐฯ เทียบกับเพียง 1.8 พันล้านดอลลาร์เมื่อสิบปีก่อน. โครงการเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเมกะโปรเจกต์จาก Google, Amazon, Microsoft และ OpenAI

    อย่างไรก็ตาม ศูนย์ข้อมูลรุ่นใหม่ที่ใช้ GPU ของ Nvidia สำหรับการฝึก AI ต้องการพลังงานและโครงสร้างที่ใหญ่และแข็งแรงกว่ามาก รวมถึงระบบ ระบายความร้อนด้วยน้ำ แทนเครื่องปรับอากาศทั่วไป ทำให้เกิดข้อกังวลด้านสิ่งแวดล้อมและการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่น

    แม้ศูนย์ข้อมูลจะสร้างรายได้และโครงสร้างพื้นฐานใหม่ให้กับเมือง แต่ งานถาวรมีน้อย ส่วนใหญ่จำกัดอยู่ในช่วงก่อสร้าง ขณะเดียวกันนักการเมืองท้องถิ่นเริ่มรณรงค์ให้ ชะลอการขยายตัว แทนที่จะดึงดูดการลงทุนเพิ่ม เพราะชุมชนเริ่มตั้งคำถามถึงผลกระทบระยะยาวต่อพลังงานและคุณภาพชีวิต

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    Ashburn มีศูนย์ข้อมูล 152 แห่งในพื้นที่ 40 ตร.กม.
    รองรับกว่า 70% ของการจราจรอินเทอร์เน็ตโลก
    การลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูลในสหรัฐฯ พุ่งถึง 40 พันล้านดอลลาร์ต่อเดือนในปี 2025
    ใช้ GPU ของ Nvidia และระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ

    ข้อมูลเสริมจาก Internet
    ตลาดศูนย์ข้อมูลทั่วโลกคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 10% ต่อปีในช่วง 2025–2030
    หลายประเทศเริ่มออกกฎหมายจำกัดการใช้พลังงานและน้ำของศูนย์ข้อมูล
    การแข่งขัน AI ทำให้บริษัทเทคโนโลยีเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับโมเดลขนาดใหญ่

    คำเตือนจากข่าว
    ศูนย์ข้อมูลใช้ไฟฟ้าในเวอร์จิเนียมากเท่ากับทั้งเมืองนิวยอร์กในปีที่ผ่านมา
    งานถาวรในศูนย์ข้อมูลมีน้อย ทำให้ผลประโยชน์ต่อชุมชนจำกัด
    การขยายตัวอาจกระทบสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/04/in-data-centre-alley-ai-sows-building-boom-doubts
    🏗️ "AI จุดกระแสสร้างศูนย์ข้อมูลยักษ์ใน Data Centre Alley – แต่ชุมชนเริ่มตั้งคำถาม" Ashburn เมืองเล็กใน Loudoun County รัฐเวอร์จิเนีย กลายเป็นศูนย์กลางของโลกดิจิทัล โดยมี 152 ศูนย์ข้อมูลในพื้นที่เพียง 40 ตารางกิโลเมตร และรองรับกว่า 70% ของการจราจรอินเทอร์เน็ตโลกในแต่ละช่วงเวลา. การลงทุนด้าน AI ทำให้เกิดการเร่งสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ข้อมูลจาก US Census Bureau ระบุว่าในปี 2025 บริษัทเอกชนใช้เงินกว่า 40 พันล้านดอลลาร์ต่อเดือน เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลในสหรัฐฯ เทียบกับเพียง 1.8 พันล้านดอลลาร์เมื่อสิบปีก่อน. โครงการเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเมกะโปรเจกต์จาก Google, Amazon, Microsoft และ OpenAI อย่างไรก็ตาม ศูนย์ข้อมูลรุ่นใหม่ที่ใช้ GPU ของ Nvidia สำหรับการฝึก AI ต้องการพลังงานและโครงสร้างที่ใหญ่และแข็งแรงกว่ามาก รวมถึงระบบ ระบายความร้อนด้วยน้ำ แทนเครื่องปรับอากาศทั่วไป ทำให้เกิดข้อกังวลด้านสิ่งแวดล้อมและการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่น แม้ศูนย์ข้อมูลจะสร้างรายได้และโครงสร้างพื้นฐานใหม่ให้กับเมือง แต่ งานถาวรมีน้อย ส่วนใหญ่จำกัดอยู่ในช่วงก่อสร้าง ขณะเดียวกันนักการเมืองท้องถิ่นเริ่มรณรงค์ให้ ชะลอการขยายตัว แทนที่จะดึงดูดการลงทุนเพิ่ม เพราะชุมชนเริ่มตั้งคำถามถึงผลกระทบระยะยาวต่อพลังงานและคุณภาพชีวิต 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ Ashburn มีศูนย์ข้อมูล 152 แห่งในพื้นที่ 40 ตร.กม. ➡️ รองรับกว่า 70% ของการจราจรอินเทอร์เน็ตโลก ➡️ การลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูลในสหรัฐฯ พุ่งถึง 40 พันล้านดอลลาร์ต่อเดือนในปี 2025 ➡️ ใช้ GPU ของ Nvidia และระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ ✅ ข้อมูลเสริมจาก Internet ➡️ ตลาดศูนย์ข้อมูลทั่วโลกคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 10% ต่อปีในช่วง 2025–2030 ➡️ หลายประเทศเริ่มออกกฎหมายจำกัดการใช้พลังงานและน้ำของศูนย์ข้อมูล ➡️ การแข่งขัน AI ทำให้บริษัทเทคโนโลยีเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับโมเดลขนาดใหญ่ ‼️ คำเตือนจากข่าว ⛔ ศูนย์ข้อมูลใช้ไฟฟ้าในเวอร์จิเนียมากเท่ากับทั้งเมืองนิวยอร์กในปีที่ผ่านมา ⛔ งานถาวรในศูนย์ข้อมูลมีน้อย ทำให้ผลประโยชน์ต่อชุมชนจำกัด ⛔ การขยายตัวอาจกระทบสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/04/in-data-centre-alley-ai-sows-building-boom-doubts
    WWW.THESTAR.COM.MY
    In Data Centre Alley, AI sows building boom, doubts
    As planes make their final approach to Washington DC's Dulles Airport, just below lies Ashburn, a town otherwise known as Data centre Alley – where an estimated 70% of all global Internet traffic at any moment finds its way.
    0 Comments 0 Shares 273 Views 0 Reviews
  • Slop Evader: เครื่องมือเลี่ยง “AI Slop”

    Slop Evader คือส่วนขยายสำหรับ Chrome และ Firefox ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยผู้ใช้หลีกเลี่ยงเนื้อหาที่ถูกสร้างโดย AI บนอินเทอร์เน็ต หลังจากการเปิดตัว ChatGPT และโมเดลภาษาอื่น ๆ โลกออนไลน์เต็มไปด้วยข้อความ ภาพ และวิดีโอที่ผลิตโดย AI เครื่องมือนี้ใช้ Google Search API เพื่อจำกัดผลลัพธ์ให้เฉพาะเนื้อหาที่เผยแพร่ก่อนวันที่ 30 พฤศจิกายน 2022 เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นงานที่สร้างโดยมนุษย์จริง ๆ

    ปัญหามลพิษข้อมูลดิจิทัล
    การแพร่หลายของ AI ทำให้เกิดสิ่งที่นักวิจัยเรียกว่า “AI Slop” หรือการปนเปื้อนของข้อมูลที่ไม่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ เนื้อหาที่ผลิตโดย AI อาจซ้ำซ้อน ขาดความถูกต้อง หรือถูกใช้เพื่อสร้างข่าวปลอมและการตลาดที่ไม่โปร่งใส Slop Evader จึงเป็นการตอบสนองต่อความกังวลนี้ โดยเปิดโอกาสให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือมากกว่า

    ศิลปินเบื้องหลังโครงการ
    Tega Brain ศิลปินชาวออสเตรเลียที่ทำงานในนิวยอร์ก เป็นผู้สร้าง Slop Evader เธอมีชื่อเสียงจากการสำรวจ “การเมืองของการคำนวณ” ในยุคที่โลกเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผลงานของเธอมักตั้งคำถามต่อบทบาทของเทคโนโลยีในสังคม และ Slop Evader ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่สะท้อนความพยายามในการรักษาความเป็นมนุษย์ในโลกดิจิทัล

    ความหมายต่ออนาคตการค้นหา
    แม้ Slop Evader จะเป็นเพียงเครื่องมือเล็ก ๆ แต่ก็สะท้อนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับคุณภาพข้อมูลในยุค AI หากแนวโน้มการสร้างเนื้อหาโดย AI ยังคงเติบโต ผู้ใช้และนักพัฒนาอาจต้องหาวิธีใหม่ ๆ ในการกรองและตรวจสอบข้อมูล เพื่อให้มั่นใจว่าความรู้ที่เผยแพร่ยังคงมีคุณค่าและความน่าเชื่อถือ

    สรุปเป็นหัวข้อ
    Slop Evader คืออะไร
    ส่วนขยายสำหรับ Chrome และ Firefox
    กรองผลลัพธ์ให้เฉพาะเนื้อหาก่อน 30 พฤศจิกายน 2022

    ปัญหาที่เครื่องมือนี้แก้ไข
    การแพร่กระจายของ “AI Slop” หรือข้อมูลที่ผลิตโดย AI
    ลดความเสี่ยงจากข่าวปลอมและเนื้อหาที่ไม่ถูกต้อง

    ผู้สร้างและแรงบันดาลใจ
    Tega Brain ศิลปินชาวออสเตรเลียในนิวยอร์ก
    สำรวจการเมืองของการคำนวณและผลกระทบต่อสังคม

    ความหมายต่ออนาคต
    สะท้อนความกังวลเรื่องคุณภาพข้อมูลในยุค AI
    อาจนำไปสู่การพัฒนาเครื่องมือกรองข้อมูลที่ซับซ้อนขึ้น

    คำเตือนที่ควรระวัง
    การใช้ Slop Evader อาจทำให้พลาดข้อมูลใหม่ที่มีคุณค่าแต่ถูกสร้างหลังปี 2022
    การพึ่งพาเครื่องมือเดียวอาจไม่เพียงพอ ต้องใช้วิจารณญาณร่วมด้วย


    https://tegabrain.com/Slop-Evader
    🛡️ Slop Evader: เครื่องมือเลี่ยง “AI Slop” Slop Evader คือส่วนขยายสำหรับ Chrome และ Firefox ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยผู้ใช้หลีกเลี่ยงเนื้อหาที่ถูกสร้างโดย AI บนอินเทอร์เน็ต หลังจากการเปิดตัว ChatGPT และโมเดลภาษาอื่น ๆ โลกออนไลน์เต็มไปด้วยข้อความ ภาพ และวิดีโอที่ผลิตโดย AI เครื่องมือนี้ใช้ Google Search API เพื่อจำกัดผลลัพธ์ให้เฉพาะเนื้อหาที่เผยแพร่ก่อนวันที่ 30 พฤศจิกายน 2022 เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นงานที่สร้างโดยมนุษย์จริง ๆ 🌐 ปัญหามลพิษข้อมูลดิจิทัล การแพร่หลายของ AI ทำให้เกิดสิ่งที่นักวิจัยเรียกว่า “AI Slop” หรือการปนเปื้อนของข้อมูลที่ไม่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ เนื้อหาที่ผลิตโดย AI อาจซ้ำซ้อน ขาดความถูกต้อง หรือถูกใช้เพื่อสร้างข่าวปลอมและการตลาดที่ไม่โปร่งใส Slop Evader จึงเป็นการตอบสนองต่อความกังวลนี้ โดยเปิดโอกาสให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือมากกว่า 🎨 ศิลปินเบื้องหลังโครงการ Tega Brain ศิลปินชาวออสเตรเลียที่ทำงานในนิวยอร์ก เป็นผู้สร้าง Slop Evader เธอมีชื่อเสียงจากการสำรวจ “การเมืองของการคำนวณ” ในยุคที่โลกเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผลงานของเธอมักตั้งคำถามต่อบทบาทของเทคโนโลยีในสังคม และ Slop Evader ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่สะท้อนความพยายามในการรักษาความเป็นมนุษย์ในโลกดิจิทัล 🔮 ความหมายต่ออนาคตการค้นหา แม้ Slop Evader จะเป็นเพียงเครื่องมือเล็ก ๆ แต่ก็สะท้อนถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับคุณภาพข้อมูลในยุค AI หากแนวโน้มการสร้างเนื้อหาโดย AI ยังคงเติบโต ผู้ใช้และนักพัฒนาอาจต้องหาวิธีใหม่ ๆ ในการกรองและตรวจสอบข้อมูล เพื่อให้มั่นใจว่าความรู้ที่เผยแพร่ยังคงมีคุณค่าและความน่าเชื่อถือ 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ Slop Evader คืออะไร ➡️ ส่วนขยายสำหรับ Chrome และ Firefox ➡️ กรองผลลัพธ์ให้เฉพาะเนื้อหาก่อน 30 พฤศจิกายน 2022 ✅ ปัญหาที่เครื่องมือนี้แก้ไข ➡️ การแพร่กระจายของ “AI Slop” หรือข้อมูลที่ผลิตโดย AI ➡️ ลดความเสี่ยงจากข่าวปลอมและเนื้อหาที่ไม่ถูกต้อง ✅ ผู้สร้างและแรงบันดาลใจ ➡️ Tega Brain ศิลปินชาวออสเตรเลียในนิวยอร์ก ➡️ สำรวจการเมืองของการคำนวณและผลกระทบต่อสังคม ✅ ความหมายต่ออนาคต ➡️ สะท้อนความกังวลเรื่องคุณภาพข้อมูลในยุค AI ➡️ อาจนำไปสู่การพัฒนาเครื่องมือกรองข้อมูลที่ซับซ้อนขึ้น ‼️ คำเตือนที่ควรระวัง ⛔ การใช้ Slop Evader อาจทำให้พลาดข้อมูลใหม่ที่มีคุณค่าแต่ถูกสร้างหลังปี 2022 ⛔ การพึ่งพาเครื่องมือเดียวอาจไม่เพียงพอ ต้องใช้วิจารณญาณร่วมด้วย https://tegabrain.com/Slop-Evader
    TEGABRAIN.COM
    Slop Evader — Tega Brain
    A browser extension for avoiding AI slop. Download it for Chrome or Firefox. This is a search tool that will only return content created before ChatGPT's...
    0 Comments 0 Shares 277 Views 0 Reviews
  • “สังคม Tap-to-Pay กำลังทิ้งชาวนิวยอร์กบางกลุ่มไว้ข้างหลัง”

    บทความจาก The Star เล่าถึงผลกระทบของการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมไร้เงินสดในนิวยอร์ก โดยเฉพาะกับผู้ที่ยังพึ่งพาเงินสด เช่น คนไร้บ้าน ผู้ขายอาหารริมทาง และนักแสดงข้างถนน แม้การจ่ายเงินแบบ tap-to-pay และ mobile wallet จะทำให้ชีวิตสะดวกขึ้นสำหรับผู้มีสมาร์ทโฟนและบัตรเครดิต แต่กลับสร้างช่องว่างทางเศรษฐกิจและสังคมที่ชัดเจนขึ้น

    ตัวอย่างเช่น Rob Brender ผู้พิการที่อาศัยอยู่ในบ้านพักคนพิการ เขายังคงใช้แก้วพลาสติกขอเงินตามท้องถนน แต่รายได้ลดลงมากเพราะคนส่วนใหญ่ไม่พกเงินสดแล้ว แม้เพื่อนจะช่วยทำป้ายพร้อม Venmo username แต่เขาไม่รู้วิธีใช้งานและไม่มีบัญชีธนาคารที่เชื่อมต่อได้จริง ขณะที่นักออกแบบและคนทำงานรุ่นใหม่บางคนยอมพกเงินสดเล็กน้อยเพื่อยังสามารถให้ทิปแก่ศิลปินข้างถนน เพราะพวกเขารู้สึกว่า “การให้เงินสดคือการเชื่อมต่อมนุษย์”

    อีกด้านหนึ่ง ผู้ขายอาหารริมทาง อย่าง Mohamed Attia เล่าว่าเงินสดยังจำเป็นเพราะการทำธุรกิจต้องใช้ทุนหมุนเวียนทันที แต่การรับเงินผ่านแอปต้องรอหลายวันกว่าจะเข้าบัญชี ทำให้ไม่สามารถซื้อวัตถุดิบได้ทันเวลา เขาและเพื่อน ๆ จึงค่อย ๆ ติดตั้งระบบจ่ายเงินดิจิทัล แต่ก็ยังเจอปัญหาด้านภาษาและการเข้าถึงธนาคาร โดยเฉพาะผู้ขายที่เป็นผู้อพยพ

    แม้เมืองนิวยอร์กจะออกกฎหมายห้ามร้านค้าปฏิเสธการรับเงินสดตั้งแต่ปี 2020 แต่ในทางปฏิบัติหลายร้านยังคงไม่ปฏิบัติตาม และผู้ที่ไม่มีบัตรหรือบัญชีธนาคารก็ยังถูกกีดกันจากการซื้อสินค้าและบริการในชีวิตประจำวัน สะท้อนให้เห็นว่าการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมไร้เงินสดยังมีผลกระทบต่อความเท่าเทียมและการเข้าถึงอย่างมาก

    สรุปสาระสำคัญ
    การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมไร้เงินสด
    Tap-to-pay และ mobile wallet ทำให้ชีวิตสะดวกขึ้นสำหรับผู้มีสมาร์ทโฟนและบัตรเครดิต
    แต่สร้างช่องว่างทางเศรษฐกิจสำหรับผู้ที่ยังพึ่งพาเงินสด

    ผลกระทบต่อผู้คน
    คนไร้บ้านและนักแสดงข้างถนนรายได้ลดลงเพราะคนไม่พกเงินสด
    ผู้ขายอาหารริมทางต้องใช้เงินสดเพื่อทุนหมุนเวียนทันที

    ความพยายามแก้ปัญหา
    บางคนพยายามใช้ Venmo, Zelle หรือ Cash App แต่มีอุปสรรคด้านเทคนิคและภาษา
    นักออกแบบบางคนยังพกเงินสดเพื่อรักษาการเชื่อมต่อทางสังคม

    คำเตือนและข้อสังเกต
    กฎหมายห้ามร้านค้าปฏิเสธเงินสดยังถูกละเมิดในหลายพื้นที่
    ผู้ไม่มีบัญชีธนาคารหรือบัตรเครดิตถูกกีดกันจากการเข้าถึงสินค้าและบริการ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/01/a-tap-to-pay-society-is-leaving-these-new-yorkers-behind
    💳 “สังคม Tap-to-Pay กำลังทิ้งชาวนิวยอร์กบางกลุ่มไว้ข้างหลัง” บทความจาก The Star เล่าถึงผลกระทบของการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมไร้เงินสดในนิวยอร์ก โดยเฉพาะกับผู้ที่ยังพึ่งพาเงินสด เช่น คนไร้บ้าน ผู้ขายอาหารริมทาง และนักแสดงข้างถนน แม้การจ่ายเงินแบบ tap-to-pay และ mobile wallet จะทำให้ชีวิตสะดวกขึ้นสำหรับผู้มีสมาร์ทโฟนและบัตรเครดิต แต่กลับสร้างช่องว่างทางเศรษฐกิจและสังคมที่ชัดเจนขึ้น ตัวอย่างเช่น Rob Brender ผู้พิการที่อาศัยอยู่ในบ้านพักคนพิการ เขายังคงใช้แก้วพลาสติกขอเงินตามท้องถนน แต่รายได้ลดลงมากเพราะคนส่วนใหญ่ไม่พกเงินสดแล้ว แม้เพื่อนจะช่วยทำป้ายพร้อม Venmo username แต่เขาไม่รู้วิธีใช้งานและไม่มีบัญชีธนาคารที่เชื่อมต่อได้จริง ขณะที่นักออกแบบและคนทำงานรุ่นใหม่บางคนยอมพกเงินสดเล็กน้อยเพื่อยังสามารถให้ทิปแก่ศิลปินข้างถนน เพราะพวกเขารู้สึกว่า “การให้เงินสดคือการเชื่อมต่อมนุษย์” อีกด้านหนึ่ง ผู้ขายอาหารริมทาง อย่าง Mohamed Attia เล่าว่าเงินสดยังจำเป็นเพราะการทำธุรกิจต้องใช้ทุนหมุนเวียนทันที แต่การรับเงินผ่านแอปต้องรอหลายวันกว่าจะเข้าบัญชี ทำให้ไม่สามารถซื้อวัตถุดิบได้ทันเวลา เขาและเพื่อน ๆ จึงค่อย ๆ ติดตั้งระบบจ่ายเงินดิจิทัล แต่ก็ยังเจอปัญหาด้านภาษาและการเข้าถึงธนาคาร โดยเฉพาะผู้ขายที่เป็นผู้อพยพ แม้เมืองนิวยอร์กจะออกกฎหมายห้ามร้านค้าปฏิเสธการรับเงินสดตั้งแต่ปี 2020 แต่ในทางปฏิบัติหลายร้านยังคงไม่ปฏิบัติตาม และผู้ที่ไม่มีบัตรหรือบัญชีธนาคารก็ยังถูกกีดกันจากการซื้อสินค้าและบริการในชีวิตประจำวัน สะท้อนให้เห็นว่าการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมไร้เงินสดยังมีผลกระทบต่อความเท่าเทียมและการเข้าถึงอย่างมาก 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การเปลี่ยนผ่านสู่สังคมไร้เงินสด ➡️ Tap-to-pay และ mobile wallet ทำให้ชีวิตสะดวกขึ้นสำหรับผู้มีสมาร์ทโฟนและบัตรเครดิต ➡️ แต่สร้างช่องว่างทางเศรษฐกิจสำหรับผู้ที่ยังพึ่งพาเงินสด ✅ ผลกระทบต่อผู้คน ➡️ คนไร้บ้านและนักแสดงข้างถนนรายได้ลดลงเพราะคนไม่พกเงินสด ➡️ ผู้ขายอาหารริมทางต้องใช้เงินสดเพื่อทุนหมุนเวียนทันที ✅ ความพยายามแก้ปัญหา ➡️ บางคนพยายามใช้ Venmo, Zelle หรือ Cash App แต่มีอุปสรรคด้านเทคนิคและภาษา ➡️ นักออกแบบบางคนยังพกเงินสดเพื่อรักษาการเชื่อมต่อทางสังคม ‼️ คำเตือนและข้อสังเกต ⛔ กฎหมายห้ามร้านค้าปฏิเสธเงินสดยังถูกละเมิดในหลายพื้นที่ ⛔ ผู้ไม่มีบัญชีธนาคารหรือบัตรเครดิตถูกกีดกันจากการเข้าถึงสินค้าและบริการ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/01/a-tap-to-pay-society-is-leaving-these-new-yorkers-behind
    WWW.THESTAR.COM.MY
    A tap-to-pay society is leaving these New Yorkers behind
    As fewer people carry cash, vendors, street performers and people experiencing homelessness and unemployment are at a disadvantage.
    0 Comments 0 Shares 283 Views 0 Reviews
  • “วัยรุ่นนิวยอร์กสร้างเว็บหาบ้านราคาถูก – แก้ปัญหาที่ผู้ใหญ่ทำไม่สำเร็จ”

    ในนิวยอร์กซิตี้ที่ค่าเช่าบ้านเฉลี่ยพุ่งสูงถึงราว 4,000 ดอลลาร์ต่อเดือน การหาที่อยู่อาศัยราคาย่อมเยาเป็นเรื่องยากเย็น เด็กนักเรียนมัธยมปลายสองคน Beckett Zahedi และ Derrick Webster Jr. จึงตัดสินใจสร้างเว็บไซต์ชื่อ Realer Estate เพื่อช่วยให้ผู้คนค้นหาอพาร์ตเมนต์ที่มีค่าเช่าต่ำกว่าตลาดและห้องพักที่อยู่ในโครงการ rent-stabilized ได้ง่ายขึ้น

    Zahedi ได้แรงบันดาลใจจากประสบการณ์ส่วนตัวที่ครอบครัวต้องดิ้นรนหาบ้านเช่า เขาจึงสอนตัวเองเขียนโค้ดจาก YouTube และ AI ตลอดช่วงฤดูร้อน ก่อนจะร่วมมือกับ Webster ในการสร้างระบบอีเมลแจ้งเตือนผู้ใช้เมื่อมีห้องพักใหม่ที่ตรงกับเงื่อนไข เว็บไซต์นี้ใช้ อัลกอริทึมสแกนประกาศเช่าและขาย แล้วเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลอาคารที่มีห้อง rent-stabilized เพื่อคำนวณว่าอพาร์ตเมนต์ใด “ต่ำกว่าราคาตลาด” อย่างน้อย 15%

    โครงการนี้ได้รับความสนใจอย่างมาก มีผู้เข้าใช้งานกว่า 27,000 คน และได้รับคำชื่นชมจาก Adrienne Adams ประธานสภาเมืองนิวยอร์ก ที่กล่าวว่า “ประทับใจในความมุ่งมั่นของ Beckett ที่ช่วยเหลือชาวนิวยอร์กให้หาที่อยู่อาศัยได้” นอกจากนี้ยังมีนักลงทุนสตาร์ทอัพอย่าง Audos ที่สนับสนุนเงินทุนสูงสุดถึง 25,000 ดอลลาร์เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มต่อไป

    แม้จะยังมีข้อจำกัด เช่น บางย่านมีข้อมูลน้อย และระบบคำนวณความคุ้มค่าอาจไม่ครอบคลุมทุกงบประมาณ แต่ Realer Estate ได้พิสูจน์ว่า เยาวชนก็สามารถสร้างนวัตกรรมแก้ปัญหาสังคมที่ผู้ใหญ่ยังทำไม่สำเร็จ และอาจเป็นต้นแบบให้เมืองอื่น ๆ ที่เผชิญวิกฤติค่าเช่าบ้านสูงเช่นกัน

    สรุปสาระสำคัญ
    การสร้าง Realer Estate
    พัฒนาโดยนักเรียนมัธยมปลาย Beckett Zahedi และ Derrick Webster Jr.
    ใช้อัลกอริทึมสแกนประกาศเช่าและฐานข้อมูลอาคาร rent-stabilized

    แรงบันดาลใจและการทำงาน
    Zahedi ได้แรงบันดาลใจจากประสบการณ์ครอบครัวหาบ้านเช่ายาก
    สอนตัวเองเขียนโค้ดจาก YouTube และ AI

    ผลตอบรับและการสนับสนุน
    มีผู้เข้าใช้งานกว่า 27,000 คน
    ได้รับคำชื่นชมจากประธานสภาเมืองนิวยอร์ก
    นักลงทุน Audos สนับสนุนเงินทุนสูงสุด 25,000 ดอลลาร์

    ข้อจำกัดและคำเตือน
    บางย่านมีข้อมูลน้อย ทำให้การค้นหาไม่ครอบคลุม
    ระบบคำนวณความคุ้มค่าอาจไม่เหมาะกับทุกงบประมาณ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/01/new-york-lacked-an-affordable-housing-portal-so-these-teenagers-made-one
    🏙️ “วัยรุ่นนิวยอร์กสร้างเว็บหาบ้านราคาถูก – แก้ปัญหาที่ผู้ใหญ่ทำไม่สำเร็จ” ในนิวยอร์กซิตี้ที่ค่าเช่าบ้านเฉลี่ยพุ่งสูงถึงราว 4,000 ดอลลาร์ต่อเดือน การหาที่อยู่อาศัยราคาย่อมเยาเป็นเรื่องยากเย็น เด็กนักเรียนมัธยมปลายสองคน Beckett Zahedi และ Derrick Webster Jr. จึงตัดสินใจสร้างเว็บไซต์ชื่อ Realer Estate เพื่อช่วยให้ผู้คนค้นหาอพาร์ตเมนต์ที่มีค่าเช่าต่ำกว่าตลาดและห้องพักที่อยู่ในโครงการ rent-stabilized ได้ง่ายขึ้น Zahedi ได้แรงบันดาลใจจากประสบการณ์ส่วนตัวที่ครอบครัวต้องดิ้นรนหาบ้านเช่า เขาจึงสอนตัวเองเขียนโค้ดจาก YouTube และ AI ตลอดช่วงฤดูร้อน ก่อนจะร่วมมือกับ Webster ในการสร้างระบบอีเมลแจ้งเตือนผู้ใช้เมื่อมีห้องพักใหม่ที่ตรงกับเงื่อนไข เว็บไซต์นี้ใช้ อัลกอริทึมสแกนประกาศเช่าและขาย แล้วเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลอาคารที่มีห้อง rent-stabilized เพื่อคำนวณว่าอพาร์ตเมนต์ใด “ต่ำกว่าราคาตลาด” อย่างน้อย 15% โครงการนี้ได้รับความสนใจอย่างมาก มีผู้เข้าใช้งานกว่า 27,000 คน และได้รับคำชื่นชมจาก Adrienne Adams ประธานสภาเมืองนิวยอร์ก ที่กล่าวว่า “ประทับใจในความมุ่งมั่นของ Beckett ที่ช่วยเหลือชาวนิวยอร์กให้หาที่อยู่อาศัยได้” นอกจากนี้ยังมีนักลงทุนสตาร์ทอัพอย่าง Audos ที่สนับสนุนเงินทุนสูงสุดถึง 25,000 ดอลลาร์เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มต่อไป แม้จะยังมีข้อจำกัด เช่น บางย่านมีข้อมูลน้อย และระบบคำนวณความคุ้มค่าอาจไม่ครอบคลุมทุกงบประมาณ แต่ Realer Estate ได้พิสูจน์ว่า เยาวชนก็สามารถสร้างนวัตกรรมแก้ปัญหาสังคมที่ผู้ใหญ่ยังทำไม่สำเร็จ และอาจเป็นต้นแบบให้เมืองอื่น ๆ ที่เผชิญวิกฤติค่าเช่าบ้านสูงเช่นกัน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การสร้าง Realer Estate ➡️ พัฒนาโดยนักเรียนมัธยมปลาย Beckett Zahedi และ Derrick Webster Jr. ➡️ ใช้อัลกอริทึมสแกนประกาศเช่าและฐานข้อมูลอาคาร rent-stabilized ✅ แรงบันดาลใจและการทำงาน ➡️ Zahedi ได้แรงบันดาลใจจากประสบการณ์ครอบครัวหาบ้านเช่ายาก ➡️ สอนตัวเองเขียนโค้ดจาก YouTube และ AI ✅ ผลตอบรับและการสนับสนุน ➡️ มีผู้เข้าใช้งานกว่า 27,000 คน ➡️ ได้รับคำชื่นชมจากประธานสภาเมืองนิวยอร์ก ➡️ นักลงทุน Audos สนับสนุนเงินทุนสูงสุด 25,000 ดอลลาร์ ‼️ ข้อจำกัดและคำเตือน ⛔ บางย่านมีข้อมูลน้อย ทำให้การค้นหาไม่ครอบคลุม ⛔ ระบบคำนวณความคุ้มค่าอาจไม่เหมาะกับทุกงบประมาณ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/01/new-york-lacked-an-affordable-housing-portal-so-these-teenagers-made-one
    WWW.THESTAR.COM.MY
    New York lacked an affordable housing portal. So these teenagers made one.
    Two "children of the pandemic" did something the grown-ups who run the city have never managed to do.
    0 Comments 0 Shares 300 Views 0 Reviews
  • “Surveillance Pricing: เมื่อข้อมูลส่วนตัวถูกใช้กำหนดราคาสินค้า”

    แนวคิด surveillance pricing เกิดขึ้นจากการที่บริษัทใช้ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น การค้นหาออนไลน์ การเคลื่อนไหวของเมาส์ หรือสินค้าที่ถูกทิ้งไว้ในตะกร้า เพื่อปรับราคาสินค้าให้เหมาะกับผู้บริโภคแต่ละคน ตัวอย่างเช่น พ่อแม่มือใหม่อาจเห็นสินค้าสำหรับเด็กที่แพงกว่าคู่รักที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หรือคนที่เพิ่งได้รับเงินเดือนอาจไม่ได้รับคูปองส่วนลดเหมือนคนอื่น

    แม้การตั้งราคาตามข้อมูลผู้บริโภคจะถูกกฎหมาย แต่ก็สร้างความรู้สึกไม่สบายใจ เพราะราคาที่จ่ายไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “อุปสงค์และอุปทาน” แบบดั้งเดิม แต่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่บริษัทคิดว่าผู้บริโภค “ยอมจ่าย” ซึ่งทำให้หลายคนรู้สึกเหมือนถูกเอาเปรียบและถูกติดตามตลอดเวลา

    ในสหรัฐฯ ประเด็นนี้ถูกหยิบยกโดย Federal Trade Commission (FTC) ที่เคยเปิดรับความคิดเห็นสาธารณะ แต่ภายหลังถูกปิดไป อย่างไรก็ตาม รัฐต่าง ๆ เช่น แคลิฟอร์เนีย จอร์เจีย และอิลลินอยส์ กำลังพิจารณากฎหมายเพื่อจำกัดการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลในการตั้งราคา ขณะที่รัฐนิวยอร์กถึงขั้นออกกฎหมายบังคับให้บริษัทต้องเปิดเผยหากใช้วิธีนี้ และอัยการสูงสุดได้ออกประกาศเตือนผู้บริโภคแล้ว

    นักวิชาการและนักเคลื่อนไหวด้านผู้บริโภคมองว่า surveillance pricing เป็น “การปฏิวัติที่น่ากังวล” ในระบบเศรษฐกิจ เพราะมันใช้ข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น อารมณ์ ความเคลื่อนไหวสายตา หรือแม้แต่การกดแป้นพิมพ์ เพื่อกำหนดราคาสินค้าในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ผ้าอ้อมไปจนถึงขนมปัง

    สรุปเป็นหัวข้อ
    แนวคิด Surveillance Pricing
    ใช้ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น การค้นหา การคลิก หรือการละทิ้งสินค้าในตะกร้า
    ตั้งราคาสินค้าแตกต่างกันตามผู้บริโภคแต่ละคน

    ตัวอย่างการใช้งานจริง
    พ่อแม่มือใหม่เห็นสินค้าสำหรับเด็กแพงกว่าคนอื่น
    คนที่เพิ่งได้รับเงินเดือนอาจไม่ได้รับคูปองส่วนลด

    สถานะทางกฎหมาย
    การตั้งราคาแบบนี้ยังถือว่าถูกกฎหมาย
    FTC เคยศึกษาเรื่องนี้ แต่ปิดช่องทางรับความคิดเห็นไปแล้ว

    การเคลื่อนไหวในระดับรัฐ
    แคลิฟอร์เนีย จอร์เจีย และอิลลินอยส์ กำลังพิจารณากฎหมายควบคุม
    นิวยอร์กออกกฎหมายบังคับให้บริษัทเปิดเผยการใช้วิธีนี้

    ข้อกังวลต่อผู้บริโภค
    รู้สึกถูกติดตามและถูกเอาเปรียบ
    ราคาสินค้าไม่สะท้อนอุปสงค์-อุปทาน แต่สะท้อนสิ่งที่บริษัทคิดว่าผู้บริโภคยอมจ่าย

    ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคม
    ใช้ข้อมูลละเอียดอ่อน เช่น อารมณ์และการเคลื่อนไหวสายตา
    อาจสร้างความไม่ไว้วางใจต่อระบบเศรษฐกิจดิจิทัล

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/25/why-039surveillance-pricing039-strikes-a-nerve
    🕵️ “Surveillance Pricing: เมื่อข้อมูลส่วนตัวถูกใช้กำหนดราคาสินค้า” แนวคิด surveillance pricing เกิดขึ้นจากการที่บริษัทใช้ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น การค้นหาออนไลน์ การเคลื่อนไหวของเมาส์ หรือสินค้าที่ถูกทิ้งไว้ในตะกร้า เพื่อปรับราคาสินค้าให้เหมาะกับผู้บริโภคแต่ละคน ตัวอย่างเช่น พ่อแม่มือใหม่อาจเห็นสินค้าสำหรับเด็กที่แพงกว่าคู่รักที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หรือคนที่เพิ่งได้รับเงินเดือนอาจไม่ได้รับคูปองส่วนลดเหมือนคนอื่น แม้การตั้งราคาตามข้อมูลผู้บริโภคจะถูกกฎหมาย แต่ก็สร้างความรู้สึกไม่สบายใจ เพราะราคาที่จ่ายไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “อุปสงค์และอุปทาน” แบบดั้งเดิม แต่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่บริษัทคิดว่าผู้บริโภค “ยอมจ่าย” ซึ่งทำให้หลายคนรู้สึกเหมือนถูกเอาเปรียบและถูกติดตามตลอดเวลา ในสหรัฐฯ ประเด็นนี้ถูกหยิบยกโดย Federal Trade Commission (FTC) ที่เคยเปิดรับความคิดเห็นสาธารณะ แต่ภายหลังถูกปิดไป อย่างไรก็ตาม รัฐต่าง ๆ เช่น แคลิฟอร์เนีย จอร์เจีย และอิลลินอยส์ กำลังพิจารณากฎหมายเพื่อจำกัดการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลในการตั้งราคา ขณะที่รัฐนิวยอร์กถึงขั้นออกกฎหมายบังคับให้บริษัทต้องเปิดเผยหากใช้วิธีนี้ และอัยการสูงสุดได้ออกประกาศเตือนผู้บริโภคแล้ว นักวิชาการและนักเคลื่อนไหวด้านผู้บริโภคมองว่า surveillance pricing เป็น “การปฏิวัติที่น่ากังวล” ในระบบเศรษฐกิจ เพราะมันใช้ข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น อารมณ์ ความเคลื่อนไหวสายตา หรือแม้แต่การกดแป้นพิมพ์ เพื่อกำหนดราคาสินค้าในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ผ้าอ้อมไปจนถึงขนมปัง 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ แนวคิด Surveillance Pricing ➡️ ใช้ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น การค้นหา การคลิก หรือการละทิ้งสินค้าในตะกร้า ➡️ ตั้งราคาสินค้าแตกต่างกันตามผู้บริโภคแต่ละคน ✅ ตัวอย่างการใช้งานจริง ➡️ พ่อแม่มือใหม่เห็นสินค้าสำหรับเด็กแพงกว่าคนอื่น ➡️ คนที่เพิ่งได้รับเงินเดือนอาจไม่ได้รับคูปองส่วนลด ✅ สถานะทางกฎหมาย ➡️ การตั้งราคาแบบนี้ยังถือว่าถูกกฎหมาย ➡️ FTC เคยศึกษาเรื่องนี้ แต่ปิดช่องทางรับความคิดเห็นไปแล้ว ✅ การเคลื่อนไหวในระดับรัฐ ➡️ แคลิฟอร์เนีย จอร์เจีย และอิลลินอยส์ กำลังพิจารณากฎหมายควบคุม ➡️ นิวยอร์กออกกฎหมายบังคับให้บริษัทเปิดเผยการใช้วิธีนี้ ‼️ ข้อกังวลต่อผู้บริโภค ⛔ รู้สึกถูกติดตามและถูกเอาเปรียบ ⛔ ราคาสินค้าไม่สะท้อนอุปสงค์-อุปทาน แต่สะท้อนสิ่งที่บริษัทคิดว่าผู้บริโภคยอมจ่าย ‼️ ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคม ⛔ ใช้ข้อมูลละเอียดอ่อน เช่น อารมณ์และการเคลื่อนไหวสายตา ⛔ อาจสร้างความไม่ไว้วางใจต่อระบบเศรษฐกิจดิจิทัล https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/25/why-039surveillance-pricing039-strikes-a-nerve
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Why 'surveillance pricing' strikes a nerve
    Surveillance pricing describes a practice in which a company sets a price for particular consumers based on what it gleans from their personal data.
    0 Comments 0 Shares 348 Views 0 Reviews
  • 🛳 MSC Meraviglia เตรียมกลับประจำการที่ยุโรปอีกครั้ง หลังจากประจำการที่นิวยอร์กมาตั้งแต่ช่วง เมษายน 2566
    เรือจะล่องออกจากนิวยอร์ก ตั้งแต่ 19 เมษายน 2026 ระยะเวลา 16 คืน มุ่งหน้าสู่แคนาดา โปรตุเกส สเปน ยิบรอลตาร์ และฝรั่งเศส นับเป็นจุดเริ่มต้นของการกลับมาประจำการที่ยุโรป

    ดูเรือ MSC ทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/9a3b40

    ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 0 2116 9696 (Auto)

    #เรือMSC #msccruiseline #MSCMeraviglia #Mediterranean #canada #Portugal #Spain #Gibraltar #France #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #ข่าวเรือสำราญ #updates #News #CruiseDomain
    🛳 MSC Meraviglia เตรียมกลับประจำการที่ยุโรปอีกครั้ง หลังจากประจำการที่นิวยอร์กมาตั้งแต่ช่วง เมษายน 2566 🗽 เรือจะล่องออกจากนิวยอร์ก ตั้งแต่ 19 เมษายน 2026 ระยะเวลา 16 คืน มุ่งหน้าสู่แคนาดา โปรตุเกส สเปน ยิบรอลตาร์ และฝรั่งเศส นับเป็นจุดเริ่มต้นของการกลับมาประจำการที่ยุโรป 🗼🎀 ดูเรือ MSC ทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/9a3b40 ✅ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 (Auto) #เรือMSC #msccruiseline #MSCMeraviglia #Mediterranean #canada #Portugal #Spain #Gibraltar #France #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #ข่าวเรือสำราญ #updates #News #CruiseDomain
    0 Comments 0 Shares 578 Views 0 Reviews
  • AI Boom: ความร้อนแรงในตลาดการเงิน

    การประชุม Reuters Momentum AI 2026 ที่นิวยอร์กเผยว่า AI กลายเป็น “หัวข้ออันดับหนึ่ง” ของทั้งนักลงทุนและผู้บริหารบริษัท หลายองค์กรเร่งสร้างกลยุทธ์ AI โดยเลือกซื้อกิจการหรือฐานข้อมูลเฉพาะทางแทนการพัฒนาเอง ส่งผลให้การประเมินมูลค่าบริษัทพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ นักลงทุนจำนวนมากยอมจ่ายเพื่อ “อนาคต” มากกว่าพื้นฐานทางการเงินในปัจจุบัน

    เงินทุนมหาศาลและการเติบโตของ Nvidia
    McKinsey คาดว่าอุตสาหกรรม AI จะต้องใช้เงินทุนกว่า 7 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลเพียงอย่างเดียว ขณะเดียวกัน Nvidia ซึ่งเป็นผู้นำด้านชิป AI รายงานรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 65% เมื่อเทียบปีต่อปี ทำให้หุ้นพุ่งขึ้นกว่า 5% ในการซื้อขายก่อนตลาดเปิด

    ความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่
    Joanna Welsh จาก Citadel เตือนว่า ตลาดสมัยใหม่ขยายแรงกระแทกเร็วและแรงขึ้น ความเสี่ยงในตลาดเครดิตเริ่ม “ซ้อนทับกัน” เช่น การออกพันธบัตรระยะยาว 30-40 ปี เพื่อซื้อสินทรัพย์ที่มีอายุใช้งานเพียง 4 ปี ทำให้บริษัทต้องแบกรับหนี้นานกว่าสินทรัพย์ที่ใช้จริง นอกจากนี้ยังมีการออกพันธบัตรแบบ zero-coupon convertible bonds โดยบริษัทเทคโนโลยีที่มีเครดิตต่ำ ซึ่งเป็นสัญญาณคล้ายกับช่วงก่อนฟองสบู่ปี 2001 และ 2021

    สรุปประเด็นสำคัญ
    AI เป็นหัวข้อร้อนแรงในตลาด
    นักลงทุนและผู้บริหารเร่งหากลยุทธ์ AI
    การประเมินมูลค่าพุ่งสูงเกินพื้นฐานจริง

    เงินทุนและการเติบโต
    อุตสาหกรรมต้องใช้เงินกว่า 7 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2030
    Nvidia รายงานกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 65% และหุ้นพุ่งกว่า 5%

    คำเตือนด้านความเสี่ยง
    พันธบัตรระยะยาวไม่สอดคล้องกับอายุสินทรัพย์
    การออก zero-coupon bonds โดยบริษัทเครดิตต่ำอาจนำไปสู่ความเปราะบาง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/20/ai-boom-brings-fresh-risks-to-us-markets-and-more-money-to-ma
    📈 AI Boom: ความร้อนแรงในตลาดการเงิน การประชุม Reuters Momentum AI 2026 ที่นิวยอร์กเผยว่า AI กลายเป็น “หัวข้ออันดับหนึ่ง” ของทั้งนักลงทุนและผู้บริหารบริษัท หลายองค์กรเร่งสร้างกลยุทธ์ AI โดยเลือกซื้อกิจการหรือฐานข้อมูลเฉพาะทางแทนการพัฒนาเอง ส่งผลให้การประเมินมูลค่าบริษัทพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ นักลงทุนจำนวนมากยอมจ่ายเพื่อ “อนาคต” มากกว่าพื้นฐานทางการเงินในปัจจุบัน 💰 เงินทุนมหาศาลและการเติบโตของ Nvidia McKinsey คาดว่าอุตสาหกรรม AI จะต้องใช้เงินทุนกว่า 7 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลเพียงอย่างเดียว ขณะเดียวกัน Nvidia ซึ่งเป็นผู้นำด้านชิป AI รายงานรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 65% เมื่อเทียบปีต่อปี ทำให้หุ้นพุ่งขึ้นกว่า 5% ในการซื้อขายก่อนตลาดเปิด ⚠️ ความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ Joanna Welsh จาก Citadel เตือนว่า ตลาดสมัยใหม่ขยายแรงกระแทกเร็วและแรงขึ้น ความเสี่ยงในตลาดเครดิตเริ่ม “ซ้อนทับกัน” เช่น การออกพันธบัตรระยะยาว 30-40 ปี เพื่อซื้อสินทรัพย์ที่มีอายุใช้งานเพียง 4 ปี ทำให้บริษัทต้องแบกรับหนี้นานกว่าสินทรัพย์ที่ใช้จริง นอกจากนี้ยังมีการออกพันธบัตรแบบ zero-coupon convertible bonds โดยบริษัทเทคโนโลยีที่มีเครดิตต่ำ ซึ่งเป็นสัญญาณคล้ายกับช่วงก่อนฟองสบู่ปี 2001 และ 2021 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ AI เป็นหัวข้อร้อนแรงในตลาด ➡️ นักลงทุนและผู้บริหารเร่งหากลยุทธ์ AI ➡️ การประเมินมูลค่าพุ่งสูงเกินพื้นฐานจริง ✅ เงินทุนและการเติบโต ➡️ อุตสาหกรรมต้องใช้เงินกว่า 7 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 ➡️ Nvidia รายงานกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 65% และหุ้นพุ่งกว่า 5% ‼️ คำเตือนด้านความเสี่ยง ⛔ พันธบัตรระยะยาวไม่สอดคล้องกับอายุสินทรัพย์ ⛔ การออก zero-coupon bonds โดยบริษัทเครดิตต่ำอาจนำไปสู่ความเปราะบาง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/20/ai-boom-brings-fresh-risks-to-us-markets-and-more-money-to-ma
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AI boom brings fresh risks to US markets, and more money to M&A
    NEW YORK (Reuters) -The AI boom is bringing new risks to the financial markets as investors flock to tech stocks and executives pay steep premiums to buy AI technology they cannot build in-house, warned two top finance executives.
    0 Comments 0 Shares 260 Views 0 Reviews
  • Klook เตรียมเข้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ: ก้าวใหม่ของแพลตฟอร์มท่องเที่ยวจากเอเชีย

    Klook แพลตฟอร์มจองกิจกรรมและบริการท่องเที่ยวชื่อดังจากฮ่องกงที่ได้รับการสนับสนุนจาก SoftBank ได้ยื่นเอกสารขอเสนอขายหุ้น IPO ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กแล้ว โดยใช้สัญลักษณ์ “KLK” ถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจสู่ระดับโลก ท่ามกลางสัญญาณฟื้นตัวของตลาด IPO สหรัฐฯ หลังจากความผันผวนจากสงครามภาษีและการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ช่วยกระตุ้นความต้องการลงทุน

    การเข้าตลาดหุ้นครั้งนี้มี Goldman Sachs, Morgan Stanley และ J.P. Morgan เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นใจของนักลงทุนในศักยภาพของ Klook ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดท่องเที่ยวดิจิทัล

    Klook ยื่นขอ IPO ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ
    เตรียมจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE)
    ใช้สัญลักษณ์ “KLK” ในการซื้อขายหุ้น

    ได้รับการสนับสนุนจาก SoftBank
    SoftBank เป็นหนึ่งในผู้ลงทุนหลักของ Klook
    การสนับสนุนนี้ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและเงินทุนในการขยายธุรกิจ

    ตลาด IPO สหรัฐฯ เริ่มฟื้นตัว
    ปัจจัยบวกจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและการฟื้นตัวของตลาดหุ้น
    แม้จะมีความล่าช้าจากการปิดทำการของรัฐบาล แต่ความต้องการลงทุนยังคงแข็งแกร่ง

    มีธนาคารชั้นนำเป็นผู้จัดการ IPO
    Goldman Sachs, Morgan Stanley และ J.P. Morgan เป็นผู้จัดการหลัก
    สะท้อนถึงความมั่นใจในศักยภาพของ Klook จากสถาบันการเงินระดับโลก

    คำเตือน: การลงทุนใน IPO มีความเสี่ยง
    ราคาหุ้นอาจผันผวนสูงในช่วงแรกของการเปิดตลาด
    นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลพื้นฐานของบริษัทก่อนตัดสินใจ

    อุตสาหกรรมท่องเที่ยวยังเผชิญความไม่แน่นอน
    ความเสี่ยงจากโรคระบาด การเมือง และเศรษฐกิจโลกยังคงมีผลต่อธุรกิจ
    การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวอาจไม่เท่ากันในแต่ละภูมิภาค

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/11/travel-booking-platform-klook-makes-us-ipo-filing-public
    📈 Klook เตรียมเข้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ: ก้าวใหม่ของแพลตฟอร์มท่องเที่ยวจากเอเชีย Klook แพลตฟอร์มจองกิจกรรมและบริการท่องเที่ยวชื่อดังจากฮ่องกงที่ได้รับการสนับสนุนจาก SoftBank ได้ยื่นเอกสารขอเสนอขายหุ้น IPO ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กแล้ว โดยใช้สัญลักษณ์ “KLK” ถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจสู่ระดับโลก ท่ามกลางสัญญาณฟื้นตัวของตลาด IPO สหรัฐฯ หลังจากความผันผวนจากสงครามภาษีและการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ช่วยกระตุ้นความต้องการลงทุน การเข้าตลาดหุ้นครั้งนี้มี Goldman Sachs, Morgan Stanley และ J.P. Morgan เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นใจของนักลงทุนในศักยภาพของ Klook ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดท่องเที่ยวดิจิทัล ✅ Klook ยื่นขอ IPO ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ➡️ เตรียมจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) ➡️ ใช้สัญลักษณ์ “KLK” ในการซื้อขายหุ้น ✅ ได้รับการสนับสนุนจาก SoftBank ➡️ SoftBank เป็นหนึ่งในผู้ลงทุนหลักของ Klook ➡️ การสนับสนุนนี้ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและเงินทุนในการขยายธุรกิจ ✅ ตลาด IPO สหรัฐฯ เริ่มฟื้นตัว ➡️ ปัจจัยบวกจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและการฟื้นตัวของตลาดหุ้น ➡️ แม้จะมีความล่าช้าจากการปิดทำการของรัฐบาล แต่ความต้องการลงทุนยังคงแข็งแกร่ง ✅ มีธนาคารชั้นนำเป็นผู้จัดการ IPO ➡️ Goldman Sachs, Morgan Stanley และ J.P. Morgan เป็นผู้จัดการหลัก ➡️ สะท้อนถึงความมั่นใจในศักยภาพของ Klook จากสถาบันการเงินระดับโลก ‼️ คำเตือน: การลงทุนใน IPO มีความเสี่ยง ⛔ ราคาหุ้นอาจผันผวนสูงในช่วงแรกของการเปิดตลาด ⛔ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลพื้นฐานของบริษัทก่อนตัดสินใจ ‼️ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวยังเผชิญความไม่แน่นอน ⛔ ความเสี่ยงจากโรคระบาด การเมือง และเศรษฐกิจโลกยังคงมีผลต่อธุรกิจ ⛔ การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวอาจไม่เท่ากันในแต่ละภูมิภาค https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/11/travel-booking-platform-klook-makes-us-ipo-filing-public
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Travel booking platform Klook makes US IPO filing public
    (Reuters) -SoftBank-backed Klook, an online travel booking platform, filed for an initial public offering in the United States on Monday.
    0 Comments 0 Shares 483 Views 0 Reviews
  • Micron ปรับแผนครั้งใหญ่: ชะลอโรงงานผลิตชิปในนิวยอร์ก 5 ปี แต่เร่งสร้างแห่งใหม่ในไอดาโฮ

    Micron ประกาศเปลี่ยนแผนการลงทุนครั้งสำคัญ โดยเลื่อนการเปิดโรงงานผลิตชิปในนิวยอร์กออกไปถึงปี 2033 พร้อมเร่งสร้างโรงงานแห่งที่สองในไอดาโฮ และปรับการใช้เงินสนับสนุนจาก CHIPS Act ใหม่

    Micron เคยวางแผนสร้างโรงงานผลิต DRAM ขนาดใหญ่ในเมือง Clay รัฐนิวยอร์ก โดยเริ่มผลิตในปี 2025 แต่ล่าสุดมีการเปิดเผยว่าโครงการนี้จะล่าช้าออกไปถึงปี 2030 สำหรับโรงงานแรก และโรงงานสุดท้ายจะเสร็จในปี 2045 — ช้ากว่ากำหนดเดิมถึง 5 ปี

    ในขณะเดียวกัน Micron กลับเร่งสร้างโรงงานแห่งที่สองในไอดาโฮ โดยปรับแผนการใช้เงินจาก CHIPS Act มูลค่า 6.1 พันล้านดอลลาร์ โดยย้ายงบประมาณราว 1.2 พันล้านดอลลาร์จากนิวยอร์กไปยังไอดาโฮ เพื่อให้โรงงานในไอดาโฮเสร็จเร็วขึ้นและเริ่มผลิตก่อน

    เหตุผลหลักที่ทำให้โครงการในนิวยอร์กล่าช้า คือปัญหาขาดแคลนแรงงานและระยะเวลาก่อสร้างที่ยาวนานขึ้น ซึ่งเป็นปัญหาทั่วไปในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ

    แม้จะล่าช้า แต่ Micron ยังยืนยันเป้าหมายเดิมในการผลิต DRAM ให้ได้ 40% ภายในสหรัฐฯ โดยการเร่งสร้างโรงงานในไอดาโฮจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิต HBM (High Bandwidth Memory) และเทคโนโลยีการแพ็กเกจขั้นสูงที่จำเป็นสำหรับยุค AI

    Micron เลื่อนแผนสร้างโรงงานในนิวยอร์กออกไป
    โรงงานแรก (Fab 1) จะเริ่มผลิตในปี 2030 แทนปี 2025
    โรงงานสุดท้าย (Fab 4) จะเสร็จในปี 2045

    โรงงานในไอดาโฮถูกเร่งสร้างให้เสร็จก่อน
    Micron ปรับแผนการใช้เงินจาก CHIPS Act
    ย้ายงบประมาณ 1.2 พันล้านดอลลาร์จากนิวยอร์กไปไอดาโฮ

    ปัญหาหลักคือแรงงานและระยะเวลาก่อสร้าง
    การก่อสร้างโรงงานใช้เวลานานขึ้นกว่าที่คาด
    ส่งผลให้ต้องปรับแผนการดำเนินงานและการจ้างงาน

    Micron ยังยืนยันเป้าหมายผลิต DRAM ในสหรัฐฯ
    ตั้งเป้าผลิต DRAM ให้ได้ 40% ภายในประเทศ
    โรงงานในไอดาโฮจะช่วยเพิ่มกำลังผลิต HBM และเทคโนโลยีแพ็กเกจขั้นสูง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/microns-new-york-chipmaking-fabs-by-five-years-but-accelerates-second-fab-in-idaho-and-reallocates-chips-act-funding
    🏭 Micron ปรับแผนครั้งใหญ่: ชะลอโรงงานผลิตชิปในนิวยอร์ก 5 ปี แต่เร่งสร้างแห่งใหม่ในไอดาโฮ 🏭⚡ Micron ประกาศเปลี่ยนแผนการลงทุนครั้งสำคัญ โดยเลื่อนการเปิดโรงงานผลิตชิปในนิวยอร์กออกไปถึงปี 2033 พร้อมเร่งสร้างโรงงานแห่งที่สองในไอดาโฮ และปรับการใช้เงินสนับสนุนจาก CHIPS Act ใหม่ Micron เคยวางแผนสร้างโรงงานผลิต DRAM ขนาดใหญ่ในเมือง Clay รัฐนิวยอร์ก โดยเริ่มผลิตในปี 2025 แต่ล่าสุดมีการเปิดเผยว่าโครงการนี้จะล่าช้าออกไปถึงปี 2030 สำหรับโรงงานแรก และโรงงานสุดท้ายจะเสร็จในปี 2045 — ช้ากว่ากำหนดเดิมถึง 5 ปี ในขณะเดียวกัน Micron กลับเร่งสร้างโรงงานแห่งที่สองในไอดาโฮ โดยปรับแผนการใช้เงินจาก CHIPS Act มูลค่า 6.1 พันล้านดอลลาร์ โดยย้ายงบประมาณราว 1.2 พันล้านดอลลาร์จากนิวยอร์กไปยังไอดาโฮ เพื่อให้โรงงานในไอดาโฮเสร็จเร็วขึ้นและเริ่มผลิตก่อน เหตุผลหลักที่ทำให้โครงการในนิวยอร์กล่าช้า คือปัญหาขาดแคลนแรงงานและระยะเวลาก่อสร้างที่ยาวนานขึ้น ซึ่งเป็นปัญหาทั่วไปในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ แม้จะล่าช้า แต่ Micron ยังยืนยันเป้าหมายเดิมในการผลิต DRAM ให้ได้ 40% ภายในสหรัฐฯ โดยการเร่งสร้างโรงงานในไอดาโฮจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิต HBM (High Bandwidth Memory) และเทคโนโลยีการแพ็กเกจขั้นสูงที่จำเป็นสำหรับยุค AI ✅ Micron เลื่อนแผนสร้างโรงงานในนิวยอร์กออกไป ➡️ โรงงานแรก (Fab 1) จะเริ่มผลิตในปี 2030 แทนปี 2025 ➡️ โรงงานสุดท้าย (Fab 4) จะเสร็จในปี 2045 ✅ โรงงานในไอดาโฮถูกเร่งสร้างให้เสร็จก่อน ➡️ Micron ปรับแผนการใช้เงินจาก CHIPS Act ➡️ ย้ายงบประมาณ 1.2 พันล้านดอลลาร์จากนิวยอร์กไปไอดาโฮ ✅ ปัญหาหลักคือแรงงานและระยะเวลาก่อสร้าง ➡️ การก่อสร้างโรงงานใช้เวลานานขึ้นกว่าที่คาด ➡️ ส่งผลให้ต้องปรับแผนการดำเนินงานและการจ้างงาน ✅ Micron ยังยืนยันเป้าหมายผลิต DRAM ในสหรัฐฯ ➡️ ตั้งเป้าผลิต DRAM ให้ได้ 40% ภายในประเทศ ➡️ โรงงานในไอดาโฮจะช่วยเพิ่มกำลังผลิต HBM และเทคโนโลยีแพ็กเกจขั้นสูง https://www.tomshardware.com/pc-components/dram/microns-new-york-chipmaking-fabs-by-five-years-but-accelerates-second-fab-in-idaho-and-reallocates-chips-act-funding
    0 Comments 0 Shares 322 Views 0 Reviews
  • S.E.S. และ “Dreams Come True” ที่ทำให้ผมรู้จัก K-POP เป็นครั้งแรก: ปฐมบทของวงการ K-POP

    ในยุคที่เพลงป๊อปเกาหลียังไม่เป็นที่รู้จักในระดับโลก K-POP ได้เริ่มต้นก้าวแรกสู่การเป็นปรากฏการณ์วัฒนธรรมผ่านเกิร์ลกรุ๊ปอย่าง S.E.S. สำหรับผมแล้ว การได้ฟังเพลง “Dreams Come True” คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หลงรัก K-POP เป็นครั้งแรก มันไม่ใช่แค่เพลง แต่เป็นสัญลักษณ์ของความฝันที่กลายเป็นจริง และเป็นปฐมบทที่ปูทางให้อุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีใต้ก้าวสู่เวทีโลก S.E.S. ไม่เพียงเป็นไอดอลหญิงรุ่นบุกเบิก แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินรุ่นหลัง และช่วยจุดประกายกระแส Hallyu (Korean Wave) ที่เรารู้จักกันดีในวันนี้ บทความนี้จะพาไปสำรวจประวัติ ความดัง ผลกระทบของ S.E.S. และเรื่องราวเบื้องหลังเพลงฮิตอย่าง “Dreams Come True” ที่ยังคงเป็นตำนาน

    👩🏻‍🧒🏻‍👧🏻 S.E.S.: ผู้บุกเบิกเกิร์ลกรุ๊ปยุคแรกของ K-POP
    S.E.S. (ย่อมาจาก Sea, Eugene, Shoo) เป็นเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลีใต้จากค่าย SM Entertainment ที่เดบิวต์เมื่อปี 1997 สมาชิกทั้งสามคนคือ Bada (หรือ Sea), Eugene และ Shoo ซึ่งชื่อวงมาจากชื่อจริงของพวกเธอโดยตรง. ในยุคนั้น K-POP ยังอยู่ในช่วงตั้งไข่ และ S.E.S. ได้กลายเป็นหนึ่งในกลุ่มไอดอลหญิงกลุ่มแรกที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ด้วยภาพลักษณ์น่ารักบริสุทธิ์แบบ “fairies” (원조 요정) ที่ดึงดูดแฟนวัยรุ่น และพัฒนาไปสู่สไตล์ที่ซับซ้อนมากขึ้นในภายหลัง ทำให้พวกเธอครองชาร์ตเพลงและกลายเป็นคู่แข่งหลักกับ Fin.K.L. ในสมัยนั้น

    ความสำเร็จของ S.E.S. มาอย่างรวดเร็ว อัลบั้มเดบิวต์ I’m Your Girl ขายได้กว่า 650,000 ชุด ทำให้เป็นอัลบั้มเกิร์ลกรุ๊ปที่ขายดีอันดับ 3 ในเกาหลีใต้. อัลบั้มต่อ ๆ มาอย่าง Sea & Eugene & Shoo (ขายกว่า 650,000 ชุด), Love (กลายเป็นอัลบั้มเกิร์ลกรุ๊ปที่ขายดีอันดับ 2 ในขณะนั้น) และ A Letter from Greenland (ขายกว่า 635,000 ชุด) ยิ่งตอกย้ำความนิยม. เพลงฮิตที่ครองชาร์ตยาวนาน ได้แก่ “(‘Cause) I’m Your Girl”, “Dreams Come True” (ซึ่งขึ้นอันดับ 1 บน Music Bank 3 สัปดาห์ติด), “Love”, “Just in Love” และ “U”. เพลง “I’m Your Girl” ยังถูกยกให้เป็นหนึ่งใน 100 เพลงที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ K-POP โดย Rolling Stone.

    พวกเธอไม่ได้จำกัดอยู่แค่เกาหลีใต้ แต่ขยายตลาดไปญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 1998 กับซิงเกิล “Meguriau Sekai” ที่ขึ้นชาร์ต Oricon อันดับ 37 และขายกว่า 13,000 ชุด รวมถึงอัลบั้ม Reach Out ที่ขึ้นอันดับ 50. นอกจากนี้ ยังขายอัลบั้มได้กว่า 200,000 ชุดในไต้หวัน ทำให้ได้รับแผ่นประกาศเกียรติคุณจาก Rock Records. S.E.S. จัดคอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกในปี 2000 ที่ Olympic Gymnastics Arena ขายหมดเกลี้ยงกว่า 9,000 ที่นั่ง. แม้ยุบวงในปี 2002 แต่พวกเธอ reunite ในปี 2007, 2008, 2009 และอย่างยิ่งใหญ่ในปี 2016-2017 ด้วยอัลบั้มพิเศษ Remember พร้อมคอนเสิร์ตและรายการเรียลลิตี้

    รางวัลที่ได้รับมากมาย เช่น Rookie of the Year จาก Golden Disc Awards (1998), Best Female Group จาก MAMA (2001, 2002), และ Bonsang จากหลายเวทีอย่าง KBS Song Festival, KMTV Music Awards และ Seoul Music Awards. พวกเธอยังได้รับการยกย่องจากรัฐบาลเกาหลี เช่น Commendation จากกระทรวงวัฒนธรรม (1999) และ Appreciation Plaques จากสหภาพศิลปิน (2000). ในลิสต์ต่าง ๆ S.E.S. ติดอันดับ 4 ในศิลปินหญิงที่ดีที่สุดโดยผู้เชี่ยวชาญจาก The Dong-a Ilbo (2016) และอันดับ 80 ใน Legend 100 Artists จาก Mnet (2013).

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีใต้
    S.E.S. ถือเป็นผู้บุกเบิกที่เปิดยุคเกิร์ลกรุ๊ปใน K-POP โดยถูกเรียกว่า “original fairies” และตั้งมาตรฐานให้กับภาพลักษณ์ไอดอลหญิงที่ได้รับการยอมรับทั้งในด้านเพลงและภาพลักษณ์. นักวิจารณ์อย่าง Kim Bong-hyun ยกย่องพวกเธอว่าเป็น “กลุ่มไอดอลแรกที่ภาพลักษณ์และเพลงได้รับการยอมรับ” ขณะที่ Kang Myeong-seok ชี้ว่าเพลงอย่าง “Love” และ “Be Natural” เป็น “ตำนานของเพลงเกิร์ลกรุ๊ป” พวกเธอมีอิทธิพลต่อรุ่นหลัง เช่น Red Velvet ที่ remake “Be Natural” ในปี 2014.

    S.E.S. ช่วยยกระดับ SM Entertainment ให้เป็นค่ายยักษ์ใหญ่ และตั้งมาตรฐานการผลิต เช่น มิวสิกวิดีโอ “Love” ที่ถ่ายทำในนิวยอร์กด้วยงบ 1 พันล้านวอน ซึ่งเป็นการลงทุนสูงในยุคนั้น. พวกเธอยังมีส่วนในจุดเริ่มต้นของ Hallyu โดยขยาย K-POP ไปยังญี่ปุ่น ไต้หวัน และตลาดเอเชีย ซึ่งปูทางให้ศิลปินรุ่นหลังอย่าง BoA และ TVXQ. โดยรวมแล้ว S.E.S. ไม่เพียงทำให้เกิร์ลกรุ๊ปกลายเป็นส่วนสำคัญของอุตสาหกรรม แต่ยังช่วยให้ K-POP พัฒนาจากเพลงท้องถิ่นสู่ปรากฏการณ์ระดับโลกในเวลาต่อมา

    “Dreams Come True”: เพลงที่จุดประกายความฝันและ K-POP
    เพลง “Dreams Come True” ของ S.E.S. คือซิงเกิลที่สองจากอัลบั้มชุดที่สอง Sea & Eugene & Shoo ที่ออกเมื่อปี 1998 มันเป็นเพลงที่ทำให้ผมรู้จัก K-POP เป็นครั้งแรก ด้วยจังหวะ dance-pop ที่สดใสและเนื้อเพลงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง เพลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากศูนย์ แต่เป็น cover จากเพลงฟินแลนด์ชื่อ “Rakastuin mä looseriin” (หรือ “Like a Fool”) ของวง Nylon Beat ที่ออกในปี 1996 ประพันธ์โดย Risto Asikainen และ Jukka Immonen. ค่าย SM ซื้อลิขสิทธิ์มาปรับให้เข้ากับตลาดเกาหลี โดย Yoo Young-jin ช่วยแต่งเพิ่ม และ Bada ร่วมเขียนเนื้อเพลงภาษาเกาหลี ทำให้เวอร์ชันนี้มีส่วนผสมใหม่ ๆ เช่น เสียงเติมและส่วน arrange เพิ่มในช่วงท้าย แต่ยังคงโครงสร้างดนตรีหลักไว้ เพลงถูกบันทึกที่ SM Digital Recording Studio ในโซล และปล่อยอย่างเป็นทางการเมื่อ 23 พฤศจิกายน 1998

    มิวสิกวิดีโอถ่ายทำในนิวยอร์กและฮาวาย เน้นภาพลักษณ์น่ารัก fairy-like และในปี 2021 ถูก remaster ใหม่ให้คมชัดขึ้น. ความหมายของเนื้อเพลงพูดถึงความฝันที่กลายเป็นจริงแบบไม่คาดคิด เปรียบเทียบกับความรู้สึกตกหลุมรักที่ทำให้ชีวิตสดใสขึ้น สะท้อนถึงความมองโลกในแง่ดีและความตื่นเต้น ต่างจากต้นฉบับฟินแลนด์ที่พูดถึงการตกหลุมรักคนไม่เอาไหน แต่เวอร์ชัน S.E.S. ปรับให้ positive มากขึ้น. ลิริคอย่าง “Dreams come true, yes, they do” ย้ำว่าฝันเป็นจริงได้ถ้าเราเชื่อมั่น

    เพลงนี้ดังเปรี้ยงปร้าง ขึ้นอันดับ 1 ในรายการเพลงเกาหลีหลายรายการ เช่น Music Bank (ชนะ 3 สัปดาห์), Inkigayo และ Music Camp ในปี 1998-1999 ช่วยให้อัลบั้มขายดี และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ S.E.S. ประสบความสำเร็จ. ในปี 2021 เพลงนี้ติดอันดับ 86 ในลิสต์ 100 เพลง K-POP ที่ดีที่สุดตลอดกาลโดย Melon และ Seoul Shinmun. มันยังถูก remake หลายครั้ง เช่น โดย aespa ในปี 2021 ซึ่งเพิ่ม element trap-hip hop และชาร์ตดีทั้งในเกาหลีและต่างประเทศ รวมถึง cover จาก Girls’ Generation, Red Velvet, Twice และอื่น ๆ.

    Legacy ที่ยังคงอยู่: จากปฐมบทสู่ปรากฏการณ์โลก
    กาลเวลาผ่านไปกว่า 28 ปี แต่ legacy ของ S.E.S. และ “Dreams Come True” ยังคงถูกพูดถึงในฐานะตำนานที่เปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีใต้ เพลงนี้ไม่ใช่แค่เพลงฮิต แต่เป็นสัญลักษณ์ของ K-POP ยุคแรกที่ผสมผสานวัฒนธรรมต่างชาติเข้ากับสไตล์เกาหลีได้อย่างลงตัว สำหรับผม มันคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้รู้จัก K-POP จนถึงทุกวันนี้ S.E.S. พิสูจน์ว่าความฝันสามารถเป็นจริงได้ และพวกเธอคือปฐมบทที่ทำให้ K-POP เติบโตเป็นอุตสาหกรรมพันล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน ถ้าคุณยังไม่เคยฟัง ลองเปิด “Dreams Come True” แล้วคุณจะเข้าใจว่าทำไมมันถึงพิเศษ

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://www.youtube.com/watch?v=8uiR4SrDGZk
    🚩💿 S.E.S. และ “Dreams Come True” ที่ทำให้ผมรู้จัก K-POP เป็นครั้งแรก: ปฐมบทของวงการ K-POP ⌛ ในยุคที่เพลงป๊อปเกาหลียังไม่เป็นที่รู้จักในระดับโลก K-POP ได้เริ่มต้นก้าวแรกสู่การเป็นปรากฏการณ์วัฒนธรรมผ่านเกิร์ลกรุ๊ปอย่าง S.E.S. สำหรับผมแล้ว การได้ฟังเพลง “Dreams Come True” คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หลงรัก K-POP เป็นครั้งแรก มันไม่ใช่แค่เพลง แต่เป็นสัญลักษณ์ของความฝันที่กลายเป็นจริง และเป็นปฐมบทที่ปูทางให้อุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีใต้ก้าวสู่เวทีโลก S.E.S. ไม่เพียงเป็นไอดอลหญิงรุ่นบุกเบิก แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินรุ่นหลัง และช่วยจุดประกายกระแส Hallyu (Korean Wave) ที่เรารู้จักกันดีในวันนี้ บทความนี้จะพาไปสำรวจประวัติ ความดัง ผลกระทบของ S.E.S. และเรื่องราวเบื้องหลังเพลงฮิตอย่าง “Dreams Come True” ที่ยังคงเป็นตำนาน 👩‍👧‍👦👩🏻‍🧒🏻‍👧🏻 S.E.S.: ผู้บุกเบิกเกิร์ลกรุ๊ปยุคแรกของ K-POP S.E.S. (ย่อมาจาก Sea, Eugene, Shoo) เป็นเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลีใต้จากค่าย SM Entertainment ที่เดบิวต์เมื่อปี 1997 สมาชิกทั้งสามคนคือ Bada (หรือ Sea), Eugene และ Shoo ซึ่งชื่อวงมาจากชื่อจริงของพวกเธอโดยตรง. ในยุคนั้น K-POP ยังอยู่ในช่วงตั้งไข่ และ S.E.S. ได้กลายเป็นหนึ่งในกลุ่มไอดอลหญิงกลุ่มแรกที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ด้วยภาพลักษณ์น่ารักบริสุทธิ์แบบ “fairies” (원조 요정) ที่ดึงดูดแฟนวัยรุ่น และพัฒนาไปสู่สไตล์ที่ซับซ้อนมากขึ้นในภายหลัง ทำให้พวกเธอครองชาร์ตเพลงและกลายเป็นคู่แข่งหลักกับ Fin.K.L. ในสมัยนั้น ความสำเร็จของ S.E.S. มาอย่างรวดเร็ว อัลบั้มเดบิวต์ I’m Your Girl ขายได้กว่า 650,000 ชุด ทำให้เป็นอัลบั้มเกิร์ลกรุ๊ปที่ขายดีอันดับ 3 ในเกาหลีใต้. อัลบั้มต่อ ๆ มาอย่าง Sea & Eugene & Shoo (ขายกว่า 650,000 ชุด), Love (กลายเป็นอัลบั้มเกิร์ลกรุ๊ปที่ขายดีอันดับ 2 ในขณะนั้น) และ A Letter from Greenland (ขายกว่า 635,000 ชุด) ยิ่งตอกย้ำความนิยม. เพลงฮิตที่ครองชาร์ตยาวนาน ได้แก่ “(‘Cause) I’m Your Girl”, “Dreams Come True” (ซึ่งขึ้นอันดับ 1 บน Music Bank 3 สัปดาห์ติด), “Love”, “Just in Love” และ “U”. เพลง “I’m Your Girl” ยังถูกยกให้เป็นหนึ่งใน 100 เพลงที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ K-POP โดย Rolling Stone. 🌏 พวกเธอไม่ได้จำกัดอยู่แค่เกาหลีใต้ แต่ขยายตลาดไปญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 1998 กับซิงเกิล “Meguriau Sekai” ที่ขึ้นชาร์ต Oricon อันดับ 37 และขายกว่า 13,000 ชุด รวมถึงอัลบั้ม Reach Out ที่ขึ้นอันดับ 50. นอกจากนี้ ยังขายอัลบั้มได้กว่า 200,000 ชุดในไต้หวัน ทำให้ได้รับแผ่นประกาศเกียรติคุณจาก Rock Records. S.E.S. จัดคอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกในปี 2000 ที่ Olympic Gymnastics Arena ขายหมดเกลี้ยงกว่า 9,000 ที่นั่ง. แม้ยุบวงในปี 2002 แต่พวกเธอ reunite ในปี 2007, 2008, 2009 และอย่างยิ่งใหญ่ในปี 2016-2017 ด้วยอัลบั้มพิเศษ Remember พร้อมคอนเสิร์ตและรายการเรียลลิตี้ 🥇🏆 รางวัลที่ได้รับมากมาย เช่น Rookie of the Year จาก Golden Disc Awards (1998), Best Female Group จาก MAMA (2001, 2002), และ Bonsang จากหลายเวทีอย่าง KBS Song Festival, KMTV Music Awards และ Seoul Music Awards. พวกเธอยังได้รับการยกย่องจากรัฐบาลเกาหลี เช่น Commendation จากกระทรวงวัฒนธรรม (1999) และ Appreciation Plaques จากสหภาพศิลปิน (2000). ในลิสต์ต่าง ๆ S.E.S. ติดอันดับ 4 ในศิลปินหญิงที่ดีที่สุดโดยผู้เชี่ยวชาญจาก The Dong-a Ilbo (2016) และอันดับ 80 ใน Legend 100 Artists จาก Mnet (2013). ⏯️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีใต้ 🏁 S.E.S. ถือเป็นผู้บุกเบิกที่เปิดยุคเกิร์ลกรุ๊ปใน K-POP โดยถูกเรียกว่า “original fairies” และตั้งมาตรฐานให้กับภาพลักษณ์ไอดอลหญิงที่ได้รับการยอมรับทั้งในด้านเพลงและภาพลักษณ์. นักวิจารณ์อย่าง Kim Bong-hyun ยกย่องพวกเธอว่าเป็น “กลุ่มไอดอลแรกที่ภาพลักษณ์และเพลงได้รับการยอมรับ” ขณะที่ Kang Myeong-seok ชี้ว่าเพลงอย่าง “Love” และ “Be Natural” เป็น “ตำนานของเพลงเกิร์ลกรุ๊ป” พวกเธอมีอิทธิพลต่อรุ่นหลัง เช่น Red Velvet ที่ remake “Be Natural” ในปี 2014. S.E.S. ช่วยยกระดับ SM Entertainment ให้เป็นค่ายยักษ์ใหญ่ และตั้งมาตรฐานการผลิต เช่น มิวสิกวิดีโอ “Love” ที่ถ่ายทำในนิวยอร์กด้วยงบ 1 พันล้านวอน ซึ่งเป็นการลงทุนสูงในยุคนั้น. พวกเธอยังมีส่วนในจุดเริ่มต้นของ Hallyu โดยขยาย K-POP ไปยังญี่ปุ่น ไต้หวัน และตลาดเอเชีย ซึ่งปูทางให้ศิลปินรุ่นหลังอย่าง BoA และ TVXQ. โดยรวมแล้ว S.E.S. ไม่เพียงทำให้เกิร์ลกรุ๊ปกลายเป็นส่วนสำคัญของอุตสาหกรรม แต่ยังช่วยให้ K-POP พัฒนาจากเพลงท้องถิ่นสู่ปรากฏการณ์ระดับโลกในเวลาต่อมา 🎶🎶 “Dreams Come True”: เพลงที่จุดประกายความฝันและ K-POP เพลง “Dreams Come True” ของ S.E.S. คือซิงเกิลที่สองจากอัลบั้มชุดที่สอง Sea & Eugene & Shoo ที่ออกเมื่อปี 1998 มันเป็นเพลงที่ทำให้ผมรู้จัก K-POP เป็นครั้งแรก ด้วยจังหวะ dance-pop ที่สดใสและเนื้อเพลงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง เพลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากศูนย์ แต่เป็น cover จากเพลงฟินแลนด์ชื่อ “Rakastuin mä looseriin” (หรือ “Like a Fool”) ของวง Nylon Beat ที่ออกในปี 1996 ประพันธ์โดย Risto Asikainen และ Jukka Immonen. ค่าย SM ซื้อลิขสิทธิ์มาปรับให้เข้ากับตลาดเกาหลี โดย Yoo Young-jin ช่วยแต่งเพิ่ม และ Bada ร่วมเขียนเนื้อเพลงภาษาเกาหลี ทำให้เวอร์ชันนี้มีส่วนผสมใหม่ ๆ เช่น เสียงเติมและส่วน arrange เพิ่มในช่วงท้าย แต่ยังคงโครงสร้างดนตรีหลักไว้ เพลงถูกบันทึกที่ SM Digital Recording Studio ในโซล และปล่อยอย่างเป็นทางการเมื่อ 23 พฤศจิกายน 1998 🎥 มิวสิกวิดีโอถ่ายทำในนิวยอร์กและฮาวาย เน้นภาพลักษณ์น่ารัก fairy-like และในปี 2021 ถูก remaster ใหม่ให้คมชัดขึ้น. ความหมายของเนื้อเพลงพูดถึงความฝันที่กลายเป็นจริงแบบไม่คาดคิด เปรียบเทียบกับความรู้สึกตกหลุมรักที่ทำให้ชีวิตสดใสขึ้น สะท้อนถึงความมองโลกในแง่ดีและความตื่นเต้น ต่างจากต้นฉบับฟินแลนด์ที่พูดถึงการตกหลุมรักคนไม่เอาไหน แต่เวอร์ชัน S.E.S. ปรับให้ positive มากขึ้น. ลิริคอย่าง “Dreams come true, yes, they do” ย้ำว่าฝันเป็นจริงได้ถ้าเราเชื่อมั่น 📼 เพลงนี้ดังเปรี้ยงปร้าง ขึ้นอันดับ 1 ในรายการเพลงเกาหลีหลายรายการ เช่น Music Bank (ชนะ 3 สัปดาห์), Inkigayo และ Music Camp ในปี 1998-1999 ช่วยให้อัลบั้มขายดี และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ S.E.S. ประสบความสำเร็จ. ในปี 2021 เพลงนี้ติดอันดับ 86 ในลิสต์ 100 เพลง K-POP ที่ดีที่สุดตลอดกาลโดย Melon และ Seoul Shinmun. มันยังถูก remake หลายครั้ง เช่น โดย aespa ในปี 2021 ซึ่งเพิ่ม element trap-hip hop และชาร์ตดีทั้งในเกาหลีและต่างประเทศ รวมถึง cover จาก Girls’ Generation, Red Velvet, Twice และอื่น ๆ. 🍾 🏆 Legacy ที่ยังคงอยู่: จากปฐมบทสู่ปรากฏการณ์โลก กาลเวลาผ่านไปกว่า 28 ปี แต่ legacy ของ S.E.S. และ “Dreams Come True” ยังคงถูกพูดถึงในฐานะตำนานที่เปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีใต้ เพลงนี้ไม่ใช่แค่เพลงฮิต แต่เป็นสัญลักษณ์ของ K-POP ยุคแรกที่ผสมผสานวัฒนธรรมต่างชาติเข้ากับสไตล์เกาหลีได้อย่างลงตัว สำหรับผม มันคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้รู้จัก K-POP จนถึงทุกวันนี้ S.E.S. พิสูจน์ว่าความฝันสามารถเป็นจริงได้ และพวกเธอคือปฐมบทที่ทำให้ K-POP เติบโตเป็นอุตสาหกรรมพันล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน ถ้าคุณยังไม่เคยฟัง ลองเปิด “Dreams Come True” แล้วคุณจะเข้าใจว่าทำไมมันถึงพิเศษ 💫 #ลุงเล่าหลานฟัง https://www.youtube.com/watch?v=8uiR4SrDGZk
    1 Comments 0 Shares 966 Views 0 Reviews
  • สะเทือนวงการเว็บเก็บข้อมูล! FBI สั่งผู้ให้บริการเผยตัวตนผู้ใช้ Archive.today

    ในโลกไซเบอร์ที่เต็มไปด้วยข้อมูลและความลับ เว็บไซต์ Archive.today ถือเป็นหนึ่งในแหล่งเก็บข้อมูลเว็บเพจที่ลึกลับที่สุดแห่งหนึ่ง ซึ่งเปิดให้ผู้ใช้สามารถบันทึกและเข้าถึงหน้าเว็บในอดีตได้โดยไม่ต้องผ่านข้อจำกัดใด ๆ เช่นเดียวกับ Wayback Machine แต่มีความเป็นอิสระและไม่เปิดเผยตัวตนมากกว่า

    ล่าสุด เว็บไซต์นี้กำลังตกเป็นเป้าหมายของ FBI ที่ออกคำสั่งศาลให้ผู้ให้บริการโดเมน Tucows ในแคนาดา ส่งมอบข้อมูลผู้ใช้ที่อยู่เบื้องหลัง Archive.today ซึ่งรวมถึงข้อมูลการติดต่อและการชำระเงิน โดยมีบทลงโทษหากไม่ปฏิบัติตาม

    เรื่องราวนี้เริ่มต้นจากโพสต์ลึกลับในบัญชี X (Twitter เดิม) ของ Archive.today ที่เงียบหายไปนานกว่า 1 ปี โดยโพสต์คำว่า “Canary” พร้อมลิงก์ไปยังไฟล์ PDF ซึ่งเปรียบเสมือนสัญญาณเตือนภัยในเหมืองถ่านหินยุคเก่า ว่าอาจมีอันตรายที่มองไม่เห็นกำลังใกล้เข้ามา

    แม้คำสั่งศาลจะยังไม่สามารถยืนยันความถูกต้องได้ แต่ก็จุดกระแสให้เกิดการขุดคุ้ยถึงตัวตนของผู้ดำเนินการเว็บไซต์นี้ บางรายงานชี้ว่าอาจมีความเชื่อมโยงกับรัสเซีย ขณะที่อีกแหล่งหนึ่งระบุว่าเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ในนิวยอร์ก

    นอกจากประเด็นด้านลิขสิทธิ์แล้ว ยังมีข้อสงสัยเรื่องการใช้ botnet เพื่อหลบเลี่ยงระบบป้องกันการดึงข้อมูลจากเว็บไซต์อื่น ซึ่งอาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้หน่วยงานสืบสวนของสหรัฐฯ ให้ความสนใจ

    Archive.today คืออะไร
    เป็นเว็บไซต์ที่เก็บ snapshot ของหน้าเว็บในอดีต โดยไม่สนข้อจำกัดหรือกฎเกณฑ์ทั่วไป
    ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเนื้อหาที่ถูกลบหรืออยู่หลัง paywall ได้

    คำสั่งศาลจาก FBI
    สั่งให้ Tucows ผู้ให้บริการโดเมนในแคนาดา ส่งข้อมูลผู้ใช้ของ Archive.today
    รวมถึงข้อมูลการติดต่อและการชำระเงิน
    หากไม่ส่งข้อมูลตามคำสั่ง จะมีบทลงโทษตามกฎหมาย

    สัญญาณเตือนจากโพสต์ “Canary”
    เป็นสัญลักษณ์เตือนภัยแบบลับ ๆ ว่าเว็บไซต์อาจกำลังเผชิญอันตราย
    ลิงก์ไปยังไฟล์ PDF ที่อ้างว่าเป็นคำสั่งศาล

    ข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวตนผู้ดำเนินการ
    บางรายงานชี้ว่าอาจมีความเกี่ยวข้องกับรัสเซีย
    อีกแหล่งหนึ่งระบุว่าเป็นนักพัฒนาจากนิวยอร์ก
    ยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัด

    พฤติกรรมที่อาจเข้าข่ายละเมิด
    ใช้ botnet เพื่อหลบเลี่ยงระบบป้องกันการดึงข้อมูล
    อาจละเมิดลิขสิทธิ์จากการเผยแพร่เนื้อหาหลัง paywall

    https://www.heise.de/en/news/Archive-today-FBI-Demands-Data-from-Provider-Tucows-11066346.html
    🕵️‍♂️ สะเทือนวงการเว็บเก็บข้อมูล! FBI สั่งผู้ให้บริการเผยตัวตนผู้ใช้ Archive.today ในโลกไซเบอร์ที่เต็มไปด้วยข้อมูลและความลับ เว็บไซต์ Archive.today ถือเป็นหนึ่งในแหล่งเก็บข้อมูลเว็บเพจที่ลึกลับที่สุดแห่งหนึ่ง ซึ่งเปิดให้ผู้ใช้สามารถบันทึกและเข้าถึงหน้าเว็บในอดีตได้โดยไม่ต้องผ่านข้อจำกัดใด ๆ เช่นเดียวกับ Wayback Machine แต่มีความเป็นอิสระและไม่เปิดเผยตัวตนมากกว่า ล่าสุด เว็บไซต์นี้กำลังตกเป็นเป้าหมายของ FBI ที่ออกคำสั่งศาลให้ผู้ให้บริการโดเมน Tucows ในแคนาดา ส่งมอบข้อมูลผู้ใช้ที่อยู่เบื้องหลัง Archive.today ซึ่งรวมถึงข้อมูลการติดต่อและการชำระเงิน โดยมีบทลงโทษหากไม่ปฏิบัติตาม เรื่องราวนี้เริ่มต้นจากโพสต์ลึกลับในบัญชี X (Twitter เดิม) ของ Archive.today ที่เงียบหายไปนานกว่า 1 ปี โดยโพสต์คำว่า “Canary” พร้อมลิงก์ไปยังไฟล์ PDF ซึ่งเปรียบเสมือนสัญญาณเตือนภัยในเหมืองถ่านหินยุคเก่า ว่าอาจมีอันตรายที่มองไม่เห็นกำลังใกล้เข้ามา แม้คำสั่งศาลจะยังไม่สามารถยืนยันความถูกต้องได้ แต่ก็จุดกระแสให้เกิดการขุดคุ้ยถึงตัวตนของผู้ดำเนินการเว็บไซต์นี้ บางรายงานชี้ว่าอาจมีความเชื่อมโยงกับรัสเซีย ขณะที่อีกแหล่งหนึ่งระบุว่าเป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ในนิวยอร์ก นอกจากประเด็นด้านลิขสิทธิ์แล้ว ยังมีข้อสงสัยเรื่องการใช้ botnet เพื่อหลบเลี่ยงระบบป้องกันการดึงข้อมูลจากเว็บไซต์อื่น ซึ่งอาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้หน่วยงานสืบสวนของสหรัฐฯ ให้ความสนใจ ✅ Archive.today คืออะไร ➡️ เป็นเว็บไซต์ที่เก็บ snapshot ของหน้าเว็บในอดีต โดยไม่สนข้อจำกัดหรือกฎเกณฑ์ทั่วไป ➡️ ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเนื้อหาที่ถูกลบหรืออยู่หลัง paywall ได้ ✅ คำสั่งศาลจาก FBI ➡️ สั่งให้ Tucows ผู้ให้บริการโดเมนในแคนาดา ส่งข้อมูลผู้ใช้ของ Archive.today ➡️ รวมถึงข้อมูลการติดต่อและการชำระเงิน ➡️ หากไม่ส่งข้อมูลตามคำสั่ง จะมีบทลงโทษตามกฎหมาย ✅ สัญญาณเตือนจากโพสต์ “Canary” ➡️ เป็นสัญลักษณ์เตือนภัยแบบลับ ๆ ว่าเว็บไซต์อาจกำลังเผชิญอันตราย ➡️ ลิงก์ไปยังไฟล์ PDF ที่อ้างว่าเป็นคำสั่งศาล ✅ ข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวตนผู้ดำเนินการ ➡️ บางรายงานชี้ว่าอาจมีความเกี่ยวข้องกับรัสเซีย ➡️ อีกแหล่งหนึ่งระบุว่าเป็นนักพัฒนาจากนิวยอร์ก ➡️ ยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัด ✅ พฤติกรรมที่อาจเข้าข่ายละเมิด ➡️ ใช้ botnet เพื่อหลบเลี่ยงระบบป้องกันการดึงข้อมูล ➡️ อาจละเมิดลิขสิทธิ์จากการเผยแพร่เนื้อหาหลัง paywall https://www.heise.de/en/news/Archive-today-FBI-Demands-Data-from-Provider-Tucows-11066346.html
    WWW.HEISE.DE
    Archive.today: FBI Demands Data from Provider Tucows
    The mysterious website Archive.today is coming under the FBI's crosshairs. A court order is forcing the provider Tucows to hand over user data.
    0 Comments 0 Shares 333 Views 0 Reviews
  • รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ กำลังพิจารณา 3 แนวทางสำหรับโค่น นิโคลัส มาดูโร ประธานาธิบดีเวเนซุเอลา ลงจากอำนาจ ในนั้นรวมถึงผ่านปฏิบัติการหนึ่งของหน่วยซีลแห่งนาวิกโยธินอเมริกา ตามรายงานของนิวยอร์กไทม์ส อ้างอิงแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ประสงค์เอ่ยนาม

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000106283


    #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ กำลังพิจารณา 3 แนวทางสำหรับโค่น นิโคลัส มาดูโร ประธานาธิบดีเวเนซุเอลา ลงจากอำนาจ ในนั้นรวมถึงผ่านปฏิบัติการหนึ่งของหน่วยซีลแห่งนาวิกโยธินอเมริกา ตามรายงานของนิวยอร์กไทม์ส อ้างอิงแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ประสงค์เอ่ยนาม อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000106283 #News1live #News1 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire #เขมรลักลอบวางระเบิด
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 432 Views 0 Reviews
  • นิวยอร์กโหวตสั่งสอนทรัมป์!เลือกโซรานห์มัมดานี่ท่วมท้น : คนเคาะข่าว 06-11-68
    .
    https://www.youtube.com/watch?v=j95rnNvhB-M
    นิวยอร์กโหวตสั่งสอนทรัมป์!เลือกโซรานห์มัมดานี่ท่วมท้น : คนเคาะข่าว 06-11-68 . https://www.youtube.com/watch?v=j95rnNvhB-M
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 239 Views 0 Reviews
  • นักวิจัยสร้างเยอรมันเนียมตัวนำยิ่งยวดด้วยเทคนิคการผลิตชิปมาตรฐาน — ก้าวใหม่ของวงการควอนตัม

    ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก (NYU) และมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ (UQ) ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนวัสดุเยอรมันเนียมให้กลายเป็นตัวนำยิ่งยวด โดยใช้เทคนิคการผลิตชิปที่มีอยู่แล้วในอุตสาหกรรม ทำให้เกิดความหวังใหม่ในการสร้างวงจรควอนตัมที่สามารถผลิตได้ในระดับโรงงาน

    เยอรมันเนียมเป็นวัสดุที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการเซมิคอนดักเตอร์ แต่ไม่เคยถูกทำให้เป็นตัวนำยิ่งยวดได้สำเร็จมาก่อน เพราะต้องควบคุมโครงสร้างอะตอมอย่างแม่นยำมาก

    ทีมนักวิจัยจาก NYU และ UQ ใช้เทคนิค molecular beam epitaxy (MBE) เพื่อฝังอะตอมของแกลเลียมลงในโครงสร้างผลึกของเยอรมันเนียมอย่างแม่นยำ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแถบพลังงานอิเล็กตรอน จนสามารถนำไฟฟ้าได้โดยไม่มีความต้านทาน เมื่ออยู่ในอุณหภูมิต่ำกว่า 3.5 เคลวิน

    สิ่งที่น่าทึ่งคือ พวกเขาสามารถสร้าง junction แบบ Josephson ได้หลายล้านจุดบนแผ่นเวเฟอร์ขนาด 2 นิ้ว ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของวงจรควอนตัมและอุปกรณ์ cryogenic RF

    ความสำเร็จในการทำให้เยอรมันเนียมเป็นตัวนำยิ่งยวด
    ใช้เทคนิค MBE ฝังแกลเลียมลงในโครงสร้างผลึกเยอรมันเนียม
    เกิด superconductivity ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 3.5K
    สร้าง junction แบบ Josephson ได้หลายล้านจุดบนเวเฟอร์ขนาด 2 นิ้ว
    โครงสร้างผลึกยังคงเป็น epitaxial ไม่มีชั้นแทรกที่รบกวนการนำไฟฟ้า
    รองรับการผลิตในระดับโรงงานด้วยเทคนิคที่ใช้ใน cryo-CMOS และ compound semiconductors

    ผลกระทบต่อวงการเทคโนโลยี
    เปิดทางสู่การสร้างวงจรควอนตัมแบบ monolithic stack
    ลดปัญหาการเชื่อมต่อระหว่างวงจรควบคุมและตัวนำยิ่งยวด
    เหมาะกับการใช้งานใน quantum computing, cryogenic sensors และอุปกรณ์ RF ในอวกาศ
    เพิ่มความเป็นไปได้ในการผลิตอุปกรณ์ควอนตัมที่มีความเสถียรและประหยัดพลังงาน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/researchers-create-superconductive-germanium-using-standard-chip-fabrication-techniques
    🔬 นักวิจัยสร้างเยอรมันเนียมตัวนำยิ่งยวดด้วยเทคนิคการผลิตชิปมาตรฐาน — ก้าวใหม่ของวงการควอนตัม ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก (NYU) และมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ (UQ) ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนวัสดุเยอรมันเนียมให้กลายเป็นตัวนำยิ่งยวด โดยใช้เทคนิคการผลิตชิปที่มีอยู่แล้วในอุตสาหกรรม ทำให้เกิดความหวังใหม่ในการสร้างวงจรควอนตัมที่สามารถผลิตได้ในระดับโรงงาน เยอรมันเนียมเป็นวัสดุที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการเซมิคอนดักเตอร์ แต่ไม่เคยถูกทำให้เป็นตัวนำยิ่งยวดได้สำเร็จมาก่อน เพราะต้องควบคุมโครงสร้างอะตอมอย่างแม่นยำมาก ทีมนักวิจัยจาก NYU และ UQ ใช้เทคนิค molecular beam epitaxy (MBE) เพื่อฝังอะตอมของแกลเลียมลงในโครงสร้างผลึกของเยอรมันเนียมอย่างแม่นยำ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแถบพลังงานอิเล็กตรอน จนสามารถนำไฟฟ้าได้โดยไม่มีความต้านทาน เมื่ออยู่ในอุณหภูมิต่ำกว่า 3.5 เคลวิน สิ่งที่น่าทึ่งคือ พวกเขาสามารถสร้าง junction แบบ Josephson ได้หลายล้านจุดบนแผ่นเวเฟอร์ขนาด 2 นิ้ว ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของวงจรควอนตัมและอุปกรณ์ cryogenic RF ✅ ความสำเร็จในการทำให้เยอรมันเนียมเป็นตัวนำยิ่งยวด ➡️ ใช้เทคนิค MBE ฝังแกลเลียมลงในโครงสร้างผลึกเยอรมันเนียม ➡️ เกิด superconductivity ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 3.5K ➡️ สร้าง junction แบบ Josephson ได้หลายล้านจุดบนเวเฟอร์ขนาด 2 นิ้ว ➡️ โครงสร้างผลึกยังคงเป็น epitaxial ไม่มีชั้นแทรกที่รบกวนการนำไฟฟ้า ➡️ รองรับการผลิตในระดับโรงงานด้วยเทคนิคที่ใช้ใน cryo-CMOS และ compound semiconductors ✅ ผลกระทบต่อวงการเทคโนโลยี ➡️ เปิดทางสู่การสร้างวงจรควอนตัมแบบ monolithic stack ➡️ ลดปัญหาการเชื่อมต่อระหว่างวงจรควบคุมและตัวนำยิ่งยวด ➡️ เหมาะกับการใช้งานใน quantum computing, cryogenic sensors และอุปกรณ์ RF ในอวกาศ ➡️ เพิ่มความเป็นไปได้ในการผลิตอุปกรณ์ควอนตัมที่มีความเสถียรและประหยัดพลังงาน https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/researchers-create-superconductive-germanium-using-standard-chip-fabrication-techniques
    0 Comments 0 Shares 340 Views 0 Reviews
  • ย้อนรอยความสำเร็จ Debbie Gibson และ “Foolish Beat” เพลงบัลลาดแห่งยุค 80s

    ในยุค 80s ที่ดนตรีป๊อปกำลังเบ่งบาน Debbie Gibson คือหนึ่งในศิลปินวัยรุ่นที่สร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการเพลง ด้วยเพลง “Foolish Beat” ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นซิงเกิ้ลฮิตอันดับหนึ่ง แต่ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงพรสวรรค์ของเธอในฐานะนักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ และนักร้อง บทความนี้จะพาไปสำรวจประวัติของเพลงและศิลปิน ความหมายเบื้องลึก ความนิยมที่สร้างประวัติศาสตร์ พร้อมกับมุมมองส่วนตัวของผมที่มองว่าเธอคือ “Princess of Pop” ที่ไม่มีใครเทียบได้แม้กระทั่งในปัจจุบัน

    ประวัติของศิลปิน: Debbie Gibson
    Debbie Gibson หรือชื่อเต็ม Deborah Ann Gibson เกิดเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 1970 ที่เมืองบรูคลิน นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เธอเริ่มต้นเส้นทางดนตรีตั้งแต่เด็ก โดยเริ่มแต่งเพลงตั้งแต่อายุยังน้อยและเคยร้องในคณะประสานเสียงเด็กของ Metropolitan Opera House ตอนอายุ 8 ขวบ ในวัย 16 ปี ขณะที่ยังเรียนมัธยม เธอเซ็นสัญญากับค่าย Atlantic Records และเริ่มแสดงในไนต์คลับทั่วสหรัฐฯ บางครั้งเล่นถึงสามเซ็ตต่อคืนแม้จะมีตารางเรียนหนัก
    อัลบั้มเดบิวต์ของเธอ Out of the Blue (1987) ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม โดยมีซิงเกิ้ลฮิตติดท็อป 5 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ถึงสี่เพลง ได้แก่ “Only in My Dreams”, “Shake Your Love”, “Out of the Blue” และ “Foolish Beat” อัลบั้มนี้ขายได้หลายล้านแผ่นและได้รับสถานะ multi-platinum ตามมาด้วยอัลบั้ม Electric Youth (1989) ที่มีเพลงฮิตอันดับหนึ่งอีกเพลงอย่าง “Lost in Your Eyes” ทำให้เธอมีซิงเกิ้ลท็อป 10 รวมห้าเพลง
    หลังจากยุคป๊อปวัยรุ่น เธอหันไปทำงานละครบรอดเวย์ เช่น เล่นใน Les Misérables, Grease, Cabaret และ Beauty and the Beast เธอยังคง active ในวงการบันเทิงจนถึงปัจจุบัน รวมถึงการออกอัลบั้มใหม่และทัวร์คอนเสิร์ต Debbie Gibson คือตัวอย่างของศิลปินที่เริ่มจาก teen idol แต่พัฒนาตัวเองไปสู่การเป็นศิลปินหลากหลายแขนง

    ประวัติของเพลง Foolish Beat
    “Foolish Beat” เป็นซิงเกิ้ลที่สี่จากอัลบั้ม Out of the Blue ปล่อยออกมาในเดือนมีนาคม 1988 (บางแหล่งระบุเมษายน) เพลงนี้แตกต่างจากซิงเกิ้ลก่อนหน้าที่เป็นแนว upbeat โดยเป็นบัลลาดเศร้าที่ Debbie เขียน โปรดิวซ์ และร้องเองทั้งหมด เธอทำงานร่วมกับโปรดิวเซอร์ Fred Zarr เพื่อบันทึกอัลบั้มนี้ในเวลาเพียงสี่สัปดาห์
    มิวสิกวิดีโอของเพลง กำกับโดย Nick Willing แสดงภาพ Debbie ในบรรยากาศเศร้า เช่น ในคาบาเรต์ ถนนเมือง และร้านอาหารที่เธอนั่งคนเดียว ซึ่งได้รับการออกอากาศบน MTV และ VH1 ในปี 2010 เธอรีเรคคอร์ดเพลงนี้ใหม่สำหรับ Deluxe Edition ของอัลบั้มญี่ปุ่น เพลงนี้ยังถูกปล่อยในญี่ปุ่นเป็น B-side ของ “Out of the Blue”

    ความหมายของเพลง
    “Foolish Beat” พูดถึงความรู้สึกของเด็กสาววัยรุ่นที่อกหักครั้งแรก เธอรู้สึกเศร้า สงสัยว่าตัวเองจะรักใครได้อีกไหม และตำหนิตัวเองที่ปล่อยให้ความรักจบลงด้วย “foolish beat” หรือจังหวะโง่เขลาในหัวใจ Debbie เขียนเพลงนี้ตอนที่ยังไม่มีประสบการณ์จริงในความรัก เธอ “เดา” ว่าความรักและการสูญเสียจะเป็นยังไง แต่เนื้อเพลงที่เรียบง่ายกลับเปิดช่องให้ผู้ฟังเติมเต็มด้วยประสบการณ์ของตัวเอง ในสัมภาษณ์ปี 2013 เธอบอกว่าตอนนี้เธอร้องเพลงนี้ด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นหลังจากผ่านความรักจริงๆ เพลงนี้จึงไม่ใช่แค่บัลลาดป๊อป แต่เป็นการสำรวจอารมณ์ที่ซับซ้อนสำหรับวัยรุ่น

    ความดังและความนิยม
    “Foolish Beat” ขึ้นอันดับหนึ่งบน Billboard Hot 100 เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1988 ทำให้ Debbie วัย 17 ปี 9 เดือน กลายเป็นศิลปินอายุน้อยที่สุดที่เขียน โปรดิวซ์ และร้องเพลงฮิตอันดับหนึ่งด้วยตัวเอง บันทึกนี้ถูกทำลายโดย Soulja Boy ในปี 2007 แต่เธอยังคงเป็นผู้หญิงอายุน้อยที่สุดที่ทำได้ เพลงนี้ยังติดท็อป 5 ในแคนาดาและไอร์แลนด์ ท็อป 10 ในสหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์
    ความนิยมของเพลงช่วยผลักดันอัลบั้ม Out of the Blue ให้ขึ้นอันดับ 7 บน Billboard 200 และทำให้ Debbie กลายเป็นไอดอลวัยรุ่นที่ปรากฏบนปกนิตยสารทั่วโลก แม้ในปี 2025 เพลงนี้ยังถูกกล่าวถึงในบทความและโซเชียลมีเดีย เช่น บน Reddit ที่แฟนๆ ยกย่องว่าเป็นเพลงคลาสสิกยุค 80s และในบทความ回顾ประวัติศาสตร์ดนตรี

    มุมมองส่วนตัว: Debbie Gibson คือ Princess of Pop ที่ไม่มีใครเทียบ
    จากประสบการณ์ของผมที่ติดตามดนตรีป๊อปมานาน Debbie Gibson คือ “Princess of Pop” แท้จริงที่ไม่มีใครเทียบได้จนถึงปัจจุบัน เธอไม่ใช่แค่ร้องเพลง แต่เขียนและโปรดิวซ์เองตั้งแต่อายุยังน้อย ในยุคที่ศิลปินวัยรุ่นมักถูกควบคุมโดยค่าย เธอสร้างสรรค์งานด้วยตัวเอง ทำให้เพลงอย่าง “Foolish Beat” มีความจริงใจและลึกซึ้ง แม้ในยุคปัจจุบันที่มีศิลปินอย่าง Britney Spears หรือ Taylor Swift ที่ถูกเรียกในชื่อคล้ายกัน แต่ Debbie คือต้นแบบที่ผสมผสานพรสวรรค์ดนตรีกับภาพลักษณ์สดใสแบบวัยรุ่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ เธอปูทางให้ศิลปินรุ่นหลัง และแม้เวลาจะผ่านไปกว่า 30 ปี ความมหัศจรรย์ของเธอยังคงอยู่ เหมือนกับที่เพลง “Foolish Beat” สอนเราเรื่องความรักที่ไม่มีวันเก่า

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://www.youtube.com/watch?v=bAhmMOJjTnk
    👑 ย้อนรอยความสำเร็จ Debbie Gibson และ “Foolish Beat” เพลงบัลลาดแห่งยุค 80s 🕰️ ในยุค 80s ที่ดนตรีป๊อปกำลังเบ่งบาน Debbie Gibson คือหนึ่งในศิลปินวัยรุ่นที่สร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการเพลง ด้วยเพลง “Foolish Beat” ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นซิงเกิ้ลฮิตอันดับหนึ่ง แต่ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงพรสวรรค์ของเธอในฐานะนักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ และนักร้อง บทความนี้จะพาไปสำรวจประวัติของเพลงและศิลปิน ความหมายเบื้องลึก ความนิยมที่สร้างประวัติศาสตร์ พร้อมกับมุมมองส่วนตัวของผมที่มองว่าเธอคือ “Princess of Pop” ที่ไม่มีใครเทียบได้แม้กระทั่งในปัจจุบัน 🎤 ประวัติของศิลปิน: Debbie Gibson Debbie Gibson หรือชื่อเต็ม Deborah Ann Gibson เกิดเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 1970 ที่เมืองบรูคลิน นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เธอเริ่มต้นเส้นทางดนตรีตั้งแต่เด็ก โดยเริ่มแต่งเพลงตั้งแต่อายุยังน้อยและเคยร้องในคณะประสานเสียงเด็กของ Metropolitan Opera House ตอนอายุ 8 ขวบ ในวัย 16 ปี ขณะที่ยังเรียนมัธยม เธอเซ็นสัญญากับค่าย Atlantic Records และเริ่มแสดงในไนต์คลับทั่วสหรัฐฯ บางครั้งเล่นถึงสามเซ็ตต่อคืนแม้จะมีตารางเรียนหนัก อัลบั้มเดบิวต์ของเธอ Out of the Blue (1987) ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม โดยมีซิงเกิ้ลฮิตติดท็อป 5 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ถึงสี่เพลง ได้แก่ “Only in My Dreams”, “Shake Your Love”, “Out of the Blue” และ “Foolish Beat” อัลบั้มนี้ขายได้หลายล้านแผ่นและได้รับสถานะ multi-platinum ตามมาด้วยอัลบั้ม Electric Youth (1989) ที่มีเพลงฮิตอันดับหนึ่งอีกเพลงอย่าง “Lost in Your Eyes” ทำให้เธอมีซิงเกิ้ลท็อป 10 รวมห้าเพลง หลังจากยุคป๊อปวัยรุ่น เธอหันไปทำงานละครบรอดเวย์ เช่น เล่นใน Les Misérables, Grease, Cabaret และ Beauty and the Beast เธอยังคง active ในวงการบันเทิงจนถึงปัจจุบัน รวมถึงการออกอัลบั้มใหม่และทัวร์คอนเสิร์ต Debbie Gibson คือตัวอย่างของศิลปินที่เริ่มจาก teen idol แต่พัฒนาตัวเองไปสู่การเป็นศิลปินหลากหลายแขนง 🎶 ประวัติของเพลง Foolish Beat “Foolish Beat” เป็นซิงเกิ้ลที่สี่จากอัลบั้ม Out of the Blue ปล่อยออกมาในเดือนมีนาคม 1988 (บางแหล่งระบุเมษายน) เพลงนี้แตกต่างจากซิงเกิ้ลก่อนหน้าที่เป็นแนว upbeat โดยเป็นบัลลาดเศร้าที่ Debbie เขียน โปรดิวซ์ และร้องเองทั้งหมด เธอทำงานร่วมกับโปรดิวเซอร์ Fred Zarr เพื่อบันทึกอัลบั้มนี้ในเวลาเพียงสี่สัปดาห์ มิวสิกวิดีโอของเพลง กำกับโดย Nick Willing แสดงภาพ Debbie ในบรรยากาศเศร้า เช่น ในคาบาเรต์ ถนนเมือง และร้านอาหารที่เธอนั่งคนเดียว ซึ่งได้รับการออกอากาศบน MTV และ VH1 ในปี 2010 เธอรีเรคคอร์ดเพลงนี้ใหม่สำหรับ Deluxe Edition ของอัลบั้มญี่ปุ่น เพลงนี้ยังถูกปล่อยในญี่ปุ่นเป็น B-side ของ “Out of the Blue” 💔 ความหมายของเพลง “Foolish Beat” พูดถึงความรู้สึกของเด็กสาววัยรุ่นที่อกหักครั้งแรก เธอรู้สึกเศร้า สงสัยว่าตัวเองจะรักใครได้อีกไหม และตำหนิตัวเองที่ปล่อยให้ความรักจบลงด้วย “foolish beat” หรือจังหวะโง่เขลาในหัวใจ Debbie เขียนเพลงนี้ตอนที่ยังไม่มีประสบการณ์จริงในความรัก เธอ “เดา” ว่าความรักและการสูญเสียจะเป็นยังไง แต่เนื้อเพลงที่เรียบง่ายกลับเปิดช่องให้ผู้ฟังเติมเต็มด้วยประสบการณ์ของตัวเอง ในสัมภาษณ์ปี 2013 เธอบอกว่าตอนนี้เธอร้องเพลงนี้ด้วยความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นหลังจากผ่านความรักจริงๆ เพลงนี้จึงไม่ใช่แค่บัลลาดป๊อป แต่เป็นการสำรวจอารมณ์ที่ซับซ้อนสำหรับวัยรุ่น 🌟 ความดังและความนิยม “Foolish Beat” ขึ้นอันดับหนึ่งบน Billboard Hot 100 เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 1988 ทำให้ Debbie วัย 17 ปี 9 เดือน กลายเป็นศิลปินอายุน้อยที่สุดที่เขียน โปรดิวซ์ และร้องเพลงฮิตอันดับหนึ่งด้วยตัวเอง บันทึกนี้ถูกทำลายโดย Soulja Boy ในปี 2007 แต่เธอยังคงเป็นผู้หญิงอายุน้อยที่สุดที่ทำได้ เพลงนี้ยังติดท็อป 5 ในแคนาดาและไอร์แลนด์ ท็อป 10 ในสหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์ ความนิยมของเพลงช่วยผลักดันอัลบั้ม Out of the Blue ให้ขึ้นอันดับ 7 บน Billboard 200 และทำให้ Debbie กลายเป็นไอดอลวัยรุ่นที่ปรากฏบนปกนิตยสารทั่วโลก แม้ในปี 2025 เพลงนี้ยังถูกกล่าวถึงในบทความและโซเชียลมีเดีย เช่น บน Reddit ที่แฟนๆ ยกย่องว่าเป็นเพลงคลาสสิกยุค 80s และในบทความ回顾ประวัติศาสตร์ดนตรี 👑 มุมมองส่วนตัว: Debbie Gibson คือ Princess of Pop ที่ไม่มีใครเทียบ จากประสบการณ์ของผมที่ติดตามดนตรีป๊อปมานาน Debbie Gibson คือ “Princess of Pop” แท้จริงที่ไม่มีใครเทียบได้จนถึงปัจจุบัน เธอไม่ใช่แค่ร้องเพลง แต่เขียนและโปรดิวซ์เองตั้งแต่อายุยังน้อย ในยุคที่ศิลปินวัยรุ่นมักถูกควบคุมโดยค่าย เธอสร้างสรรค์งานด้วยตัวเอง ทำให้เพลงอย่าง “Foolish Beat” มีความจริงใจและลึกซึ้ง แม้ในยุคปัจจุบันที่มีศิลปินอย่าง Britney Spears หรือ Taylor Swift ที่ถูกเรียกในชื่อคล้ายกัน แต่ Debbie คือต้นแบบที่ผสมผสานพรสวรรค์ดนตรีกับภาพลักษณ์สดใสแบบวัยรุ่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ เธอปูทางให้ศิลปินรุ่นหลัง และแม้เวลาจะผ่านไปกว่า 30 ปี ความมหัศจรรย์ของเธอยังคงอยู่ เหมือนกับที่เพลง “Foolish Beat” สอนเราเรื่องความรักที่ไม่มีวันเก่า 🎗️ #ลุงเล่าหลานฟัง https://www.youtube.com/watch?v=bAhmMOJjTnk
    0 Comments 0 Shares 643 Views 0 Reviews
  • Intel เปิด Pop-up Store 5 เมืองทั่วโลก โชว์พลัง AI PC พร้อมเผยโฉมชิป Panther Lake ที่มิวนิก!

    Intel เปิดตัว “AI Experience Store” ใน 5 เมืองใหญ่ทั่วโลก ได้แก่ นิวยอร์ก ลอนดอน ปารีส มิวนิก และโซล เพื่อโปรโมตโน้ตบุ๊ก AI จากแบรนด์ชั้นนำช่วงเทศกาลช้อปปิ้งปลายปี โดยมีทั้ง Asus, Acer, Dell, HP, Lenovo, LG, Microsoft, MSI, Samsung และ Google ร่วมจัดแสดงผลิตภัณฑ์

    ร้าน Pop-up ของ Intel ไม่ได้มีแค่โน้ตบุ๊กทำงานทั่วไปหรือ Chromebook เท่านั้น แต่ยังมีโซนเกมที่ให้ผู้เข้าชมทดลองเล่นเกมดังอย่าง Clair Obscur: Expedition 33, Marvel Rivals และ Battlefield 6 บนเครื่องที่ใช้ชิป AI รุ่นล่าสุด

    แม้ร้านในนิวยอร์กจะเน้นโชว์เครื่องที่มีวางขายอยู่แล้ว แต่ที่มิวนิกกลับมีเซอร์ไพรส์ เมื่อ YouTuber สายเทคโนโลยี “High Yield” พบโน้ตบุ๊กที่ใช้ชิป “Panther Lake” ซึ่งยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ

    Panther Lake คือชิปรุ่นใหม่ของ Intel ที่ใช้กระบวนการผลิต 18A ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล้ำหน้าที่สุดของบริษัท คาดว่าจะมีประสิทธิภาพสูงกว่า Lunar Lake ถึง 50% ที่ระดับพลังงานเท่ากัน และจะเป็นหัวใจสำคัญของโน้ตบุ๊ก AI รุ่นถัดไป

    อย่างไรก็ตาม แม้ Intel จะพยายามผลักดันแบรนด์ “AI PC” อย่างหนัก แต่ยอดขายกลับยังไม่เป็นไปตามคาด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับชิปรุ่นเก่าอย่าง Raptor Lake ที่ยังขายดีกว่า และการสิ้นสุดการสนับสนุน Windows 10 ที่ควรเป็นแรงผลักดันให้ผู้ใช้เปลี่ยนเครื่องใหม่ กลับกลายเป็นว่าผู้บริโภคจำนวนมากเลือกหันไปใช้ Mac แทน

    Intel เปิด Pop-up Store ใน 5 เมืองใหญ่ทั่วโลก
    นิวยอร์ก, ลอนดอน, ปารีส, มิวนิก, โซล
    จัดแสดงโน้ตบุ๊ก AI จากแบรนด์ชั้นนำ
    มีโซนเกมให้ทดลองเล่นเกมใหม่ล่าสุด

    การพบชิป Panther Lake ที่มิวนิก
    พบในโน้ตบุ๊กบางรุ่นที่จัดแสดง
    ใช้กระบวนการผลิต 18A ของ Intel
    ประสิทธิภาพสูงกว่า Lunar Lake ถึง 50% ที่พลังงานเท่ากัน

    ความพยายามของ Intel ในการโปรโมต AI PC
    ใช้แบรนด์ “AI Experience” เพื่อดึงดูดผู้บริโภค
    ชูจุดขายด้านการทำงาน, การเรียนรู้, การสร้างสรรค์ และการเล่นเกม

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-opens-pop-up-stores-across-five-cities-featuring-ai-pcs-from-laptop-manufacturers-we-stopped-by-the-nyc-store-and-one-visitor-in-munich-found-panther-lake
    🏬💻 Intel เปิด Pop-up Store 5 เมืองทั่วโลก โชว์พลัง AI PC พร้อมเผยโฉมชิป Panther Lake ที่มิวนิก! Intel เปิดตัว “AI Experience Store” ใน 5 เมืองใหญ่ทั่วโลก ได้แก่ นิวยอร์ก ลอนดอน ปารีส มิวนิก และโซล เพื่อโปรโมตโน้ตบุ๊ก AI จากแบรนด์ชั้นนำช่วงเทศกาลช้อปปิ้งปลายปี โดยมีทั้ง Asus, Acer, Dell, HP, Lenovo, LG, Microsoft, MSI, Samsung และ Google ร่วมจัดแสดงผลิตภัณฑ์ ร้าน Pop-up ของ Intel ไม่ได้มีแค่โน้ตบุ๊กทำงานทั่วไปหรือ Chromebook เท่านั้น แต่ยังมีโซนเกมที่ให้ผู้เข้าชมทดลองเล่นเกมดังอย่าง Clair Obscur: Expedition 33, Marvel Rivals และ Battlefield 6 บนเครื่องที่ใช้ชิป AI รุ่นล่าสุด แม้ร้านในนิวยอร์กจะเน้นโชว์เครื่องที่มีวางขายอยู่แล้ว แต่ที่มิวนิกกลับมีเซอร์ไพรส์ เมื่อ YouTuber สายเทคโนโลยี “High Yield” พบโน้ตบุ๊กที่ใช้ชิป “Panther Lake” ซึ่งยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ Panther Lake คือชิปรุ่นใหม่ของ Intel ที่ใช้กระบวนการผลิต 18A ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล้ำหน้าที่สุดของบริษัท คาดว่าจะมีประสิทธิภาพสูงกว่า Lunar Lake ถึง 50% ที่ระดับพลังงานเท่ากัน และจะเป็นหัวใจสำคัญของโน้ตบุ๊ก AI รุ่นถัดไป อย่างไรก็ตาม แม้ Intel จะพยายามผลักดันแบรนด์ “AI PC” อย่างหนัก แต่ยอดขายกลับยังไม่เป็นไปตามคาด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับชิปรุ่นเก่าอย่าง Raptor Lake ที่ยังขายดีกว่า และการสิ้นสุดการสนับสนุน Windows 10 ที่ควรเป็นแรงผลักดันให้ผู้ใช้เปลี่ยนเครื่องใหม่ กลับกลายเป็นว่าผู้บริโภคจำนวนมากเลือกหันไปใช้ Mac แทน ✅ Intel เปิด Pop-up Store ใน 5 เมืองใหญ่ทั่วโลก ➡️ นิวยอร์ก, ลอนดอน, ปารีส, มิวนิก, โซล ➡️ จัดแสดงโน้ตบุ๊ก AI จากแบรนด์ชั้นนำ ➡️ มีโซนเกมให้ทดลองเล่นเกมใหม่ล่าสุด ✅ การพบชิป Panther Lake ที่มิวนิก ➡️ พบในโน้ตบุ๊กบางรุ่นที่จัดแสดง ➡️ ใช้กระบวนการผลิต 18A ของ Intel ➡️ ประสิทธิภาพสูงกว่า Lunar Lake ถึง 50% ที่พลังงานเท่ากัน ✅ ความพยายามของ Intel ในการโปรโมต AI PC ➡️ ใช้แบรนด์ “AI Experience” เพื่อดึงดูดผู้บริโภค ➡️ ชูจุดขายด้านการทำงาน, การเรียนรู้, การสร้างสรรค์ และการเล่นเกม https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-opens-pop-up-stores-across-five-cities-featuring-ai-pcs-from-laptop-manufacturers-we-stopped-by-the-nyc-store-and-one-visitor-in-munich-found-panther-lake
    0 Comments 0 Shares 412 Views 0 Reviews
  • นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เผยกรณีนิวยอร์กไทมส์ระบุ ไทยก็เป็นศูนย์กลางของสแกมเมอร์ ยืนยัน รัฐบาลนี้ปราบสแกมเมอร์แล้ว ทั้งถอนสัญชาติ ยึดทรัพย์ คนทำงานไม่จำเป็นต้องพูดทุกเรื่อง ชี้แจง อาคารซิโน-ไทยทาวเวอร์แค่อาคารให้เช่า หลังดีเอสไอบุกตรวจสอบพบผู้ถือหุ้นชาวไทยของ ปริ้นซ์ กรุ๊ป ตั้งอยู่ในอาคาร ใครมาเช่าแล้วทำผิดกฎหมายก็ต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย ชี้นิ้วบอกสื่อ คุณอย่าผูก ถ้าบริษัทซิโน-ไทย ทำสแกมเมอร์เองค่อยมาว่ากัน ส่วนข้อสงสัย อนุทิน-เนวิน เป็นเจ้าของสแกมเมอร์ บทสรุปเซงกะบ๊วยอย่างงี้ไม่ได้ คุยกับนายวรภัค ธันยาวงษ์ อดีต รมช.คลัง แล้ว ไม่กลัวถูกร้องเรียนเพราะตรวจสอบทุกอย่าง

    -ไม่มีเงินถึงมูลนิธิธรรมนัส
    -ไม่รู้เรื่องยกทรัพย์สินให้
    -วางกำลังป้องกันภูมะเขือ
    -เผาเคเค-พาร์คโชว์อาเซียน
    นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เผยกรณีนิวยอร์กไทมส์ระบุ ไทยก็เป็นศูนย์กลางของสแกมเมอร์ ยืนยัน รัฐบาลนี้ปราบสแกมเมอร์แล้ว ทั้งถอนสัญชาติ ยึดทรัพย์ คนทำงานไม่จำเป็นต้องพูดทุกเรื่อง ชี้แจง อาคารซิโน-ไทยทาวเวอร์แค่อาคารให้เช่า หลังดีเอสไอบุกตรวจสอบพบผู้ถือหุ้นชาวไทยของ ปริ้นซ์ กรุ๊ป ตั้งอยู่ในอาคาร ใครมาเช่าแล้วทำผิดกฎหมายก็ต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย ชี้นิ้วบอกสื่อ คุณอย่าผูก ถ้าบริษัทซิโน-ไทย ทำสแกมเมอร์เองค่อยมาว่ากัน ส่วนข้อสงสัย อนุทิน-เนวิน เป็นเจ้าของสแกมเมอร์ บทสรุปเซงกะบ๊วยอย่างงี้ไม่ได้ คุยกับนายวรภัค ธันยาวงษ์ อดีต รมช.คลัง แล้ว ไม่กลัวถูกร้องเรียนเพราะตรวจสอบทุกอย่าง -ไม่มีเงินถึงมูลนิธิธรรมนัส -ไม่รู้เรื่องยกทรัพย์สินให้ -วางกำลังป้องกันภูมะเขือ -เผาเคเค-พาร์คโชว์อาเซียน
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 676 Views 0 0 Reviews
  • ครั้งหนึ่งในชีวิต! ล่องเรือรอบโลก เที่ยวครบ 5 ทวีป สัมผัส 25 ประเทศ บนเส้นทางจากญี่ปุ่นถึงนิวยอร์ก ผ่านยุโรปเหนือ–ใต้สุดอลังการ

    🛳 แพ็คเกจ ล่องเรือสำราญ Peace Boat Pacific World ลำที่123 Cruise Only, 105 วัน 104 คืน

    🗓 วันที่ 7 เม.ย. - 20 ก.ค. 2569

    เส้นทาง : ขึ้น-ลง โยโกฮาม่า ญี่ปุ่น การเดินทางอันยิ่งใหญ่สู่ดินแดนเหนือสุดขั้วโลก

    โปรโมชั่นพิเศษ ชำระยอดเต็มเต็มภายใน 31 ตุลาคม 2568
    ปกติราคาเริ่มต้น 574,000 ลดเหลือ 387,000 บาท

    ค่าที่พักตลอดการเดินทาง (ห้องพักบนเรือสําราญ)
    อาหาร 5 มื้อต่อวัน และน้ำเปล่า (ไม่รวมเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์)
    กิจกรรม แลกเปลี่ยน และเรียนรู้วัฒนธรรมบนเรือ
    สิ่งอำนวยความสะดวก สระว่ายน้ำ ห้องฟิตเนส ห้องคาราโอเกะ

    รหัสแพคเกจทัวร์ : PCBP-105D104N-YOK-YOK-2604071
    คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/efb48f

    ดูเรือ Peace Boat ทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/e4a501

    ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 0 2116 9696 (Auto)

    #เรือPeaceBoat #PeaceBoatPacificWorld #PeaceBoat #Europe #Asia #America #Honolulu #Greece #Santorini #Norway #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #ล่องเรือรอบโลก #CruiseDomain
    🌍 ครั้งหนึ่งในชีวิต! ล่องเรือรอบโลก เที่ยวครบ 5 ทวีป สัมผัส 25 ประเทศ บนเส้นทางจากญี่ปุ่นถึงนิวยอร์ก ผ่านยุโรปเหนือ–ใต้สุดอลังการ 🗽 🛳 แพ็คเกจ ล่องเรือสำราญ Peace Boat Pacific World ลำที่123 Cruise Only, 105 วัน 104 คืน 🗓 วันที่ 7 เม.ย. - 20 ก.ค. 2569 📍 เส้นทาง : ขึ้น-ลง โยโกฮาม่า ญี่ปุ่น การเดินทางอันยิ่งใหญ่สู่ดินแดนเหนือสุดขั้วโลก ❄️☃️ โปรโมชั่นพิเศษ ชำระยอดเต็มเต็มภายใน 31 ตุลาคม 2568 💰 ปกติราคาเริ่มต้น 574,000 ลดเหลือ 387,000 บาท ✅ ค่าที่พักตลอดการเดินทาง (ห้องพักบนเรือสําราญ) ✅ อาหาร 5 มื้อต่อวัน และน้ำเปล่า (ไม่รวมเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์) ✅ กิจกรรม แลกเปลี่ยน และเรียนรู้วัฒนธรรมบนเรือ ✅ สิ่งอำนวยความสะดวก สระว่ายน้ำ ห้องฟิตเนส ห้องคาราโอเกะ ➡️ รหัสแพคเกจทัวร์ : PCBP-105D104N-YOK-YOK-2604071 คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/efb48f ดูเรือ Peace Boat ทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/e4a501 ✅ ดูแพ็คเกจเรือทั้งหมด https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 (Auto) #เรือPeaceBoat #PeaceBoatPacificWorld #PeaceBoat #Europe #Asia #America #Honolulu #Greece #Santorini #Norway #แพ็คเกจล่องเรือสำราญ #ล่องเรือรอบโลก #CruiseDomain
    0 Comments 0 Shares 914 Views 0 Reviews
More Results