• หลัง นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้รับเสียงชื่นชมจากชาวไทยหลังขึ้นกล่าวถ้อยแถลงชี้แจงสถานการณ์ไทย-กัมพูชาบนเวทีสหประชาชาติ แต่กลับถูกนักวิจารณ์ตั้งคำถามว่าอาจขัดรัฐธรรมนูญเพราะยังไม่ได้แถลงนโยบาย ล่าสุด น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาชี้แจงอย่างเป็นทางการ ยืนยันว่าการเดินทางไปปฏิบัติภารกิจดังกล่าวถูกต้องตามกฎหมายทุกขั้นตอน โดยอ้างอิงความเห็นจากคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ระบุว่าเป็นเรื่อง "จำเป็นเร่งด่วน" เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศในเวทีโลกอย่างชัดเจน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000093014

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    หลัง นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้รับเสียงชื่นชมจากชาวไทยหลังขึ้นกล่าวถ้อยแถลงชี้แจงสถานการณ์ไทย-กัมพูชาบนเวทีสหประชาชาติ แต่กลับถูกนักวิจารณ์ตั้งคำถามว่าอาจขัดรัฐธรรมนูญเพราะยังไม่ได้แถลงนโยบาย ล่าสุด น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาชี้แจงอย่างเป็นทางการ ยืนยันว่าการเดินทางไปปฏิบัติภารกิจดังกล่าวถูกต้องตามกฎหมายทุกขั้นตอน โดยอ้างอิงความเห็นจากคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ระบุว่าเป็นเรื่อง "จำเป็นเร่งด่วน" เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศในเวทีโลกอย่างชัดเจน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000093014 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Love
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 269 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทเพลงแห่งความขัดแย้งที่กลายเป็นอมตะ: เรื่องราวเบื้องหลังเพลง 'I Can't Tell You Why' โดย Eagles

    ในช่วงปลายยุค 70 วงดนตรีร็อกชื่อดังอย่าง Eagles ได้ก้าวสู่จุดสูงสุดของความสำเร็จระดับโลกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนจากอัลบั้มยอดเยี่ยม Hotel California (1976) อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นี้กลับนำมาซึ่งแรงกดดันมหาศาลและความขัดแย้งที่ร้าวลึกภายในวง โดยเฉพาะระหว่างแกนนำอย่าง Don Henley และ Glenn Frey

    ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดนี้ การบันทึกเสียงอัลบั้มถัดมา The Long Run (1979) จึงเป็นกระบวนการที่ยาวนานและยากลำบาก ทีมงานของค่ายเพลงถึงกับเรียกมันว่า “The Long One” หรือ “สิ่งที่ยาวนาน” ซึ่ง Don Henley เองก็ยอมรับในภายหลังว่าอัลบั้มนี้โดยรวมแล้ว “ไม่ใช่แผ่นเสียงที่ดีนัก” เพราะสมาชิกวงต่าง “หมดไฟ” และ “ตึงเครียด” จนเกินไป

    แต่ท่ามกลางความวุ่นวายดังกล่าว บทเพลงบัลลาดสุดคลาสสิกอย่าง “I Can't Tell You Why” ได้ถือกำเนิดขึ้นและกลายเป็นข้อยกเว้นที่โดดเด่น เพลงนี้เป็นเพลงแรกที่วงสามารถบันทึกเสร็จสมบูรณ์สำหรับอัลบั้มนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาอันสั้นที่ Eagles สามารถกลับมาร่วมงานกันได้อย่างสร้างสรรค์ ก่อนที่ความขัดแย้งภายในจะกลับมาอีกครั้งและนำไปสู่การยุบวงในที่สุด เพลงนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงเพลงฮิต แต่เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความสามารถอันน่าทึ่งของวงในการสร้างสรรค์งานศิลปะที่สวยงามและลงตัวจากสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะพังทลาย

    เรื่องราวเริ่มขึ้นพร้อมกับการเข้ามาของ Timothy B. Schmit มือเบสคนใหม่ที่แทน Randy Meisner ในปี 1977 Schmit ได้นำไอเดียเพลงจากประสบการณ์ส่วนตัวมาเสนอ และร่วมแต่งกับ Frey และ Henley ภายในไม่กี่คืนที่ทำงานกันยันเช้า

    เรื่องราวของเพลงนี้เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับการเข้ามาของ Timothy B. Schmit มือเบสคนใหม่ผู้มากประสบการณ์จากวง Poco ที่เข้ามาแทน Randy Meisner ซึ่งลาออกไปในปี 1977 Schmit เข้ามาในฐานะคนวงนอก ผู้ที่ตั้งใจ “ทำทุกอย่างเพื่อรักษาสันติภาพ” และช่วยให้สถานการณ์ภายในวงดีขึ้น เขาได้นำไอเดียตั้งต้นของเพลงที่เขาบอกว่า “อิงจากประสบการณ์ส่วนตัว” มาเสนอต่อ Frey และ Henley เพื่อเป็นเพลงเดี่ยวเพลงแรกของเขาใน Eagles ทั้งสามคนได้ร่วมกันแต่งเพลงนี้อย่างรวดเร็วในช่วง “ไม่กี่คืนที่ทำงานกันยันเช้า” จนได้ผลงานที่สมบูรณ์ Don Henley และ Glenn Frey ต้องการนำเสนอ Timothy B. Schmit ด้วยเสียงที่แตกต่างจากดนตรีคันทรี่ร็อกที่เขาเคยทำ โดย Frey ที่มี “รากฐานลึกซึ้งในดนตรีโซล” ได้แนะนำ Schmit อย่างชัดเจนว่า “คุณสามารถร้องเพลงแบบ Smokey Robinson ได้” และให้เปลี่ยนมาทำ “เพลงแนว R&B” แทน ขณะที่ Henley ก็กล่าวเสริมว่าเพลงนี้มีสไตล์แบบ “Al Green ชัดๆ”

    ในด้านองค์ประกอบทางดนตรี Frey ยังมีบทบาทสำคัญในการเรียบเรียง โดย Timothy B. Schmit ถึงกับเรียกเขาว่า "The Lone Arranger" (ผู้เรียบเรียงเพียงหนึ่งเดียว) เนื่องจากความสามารถในการจัดการพาร์ทดนตรีต่างๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะท่อนโซโล่กีตาร์ที่ไพเราะและโดดเด่นในเพลงนี้ที่ Frey เป็นผู้บรรเลงเอง นอกจากนี้ Joe Walsh ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างบรรยากาศของเพลงด้วยการเล่นคีย์บอร์ดทั้งหมด ทั้ง Hammond organ, Fender Rhodes electric piano และ ARP String Synthesizer ทั้งหมดนี้ได้หลอมรวมกันเป็นงานบัลลาดที่แตกต่างจากเพลงร็อกและคันทรี่-ร็อกที่แข็งกร้าวของวง 7 และได้รับการยกย่องว่าเป็นเพลงที่ “มีจิตวิญญาณมากที่สุด” ของ Eagles

    เนื้อเพลงของ “I Can't Tell You Why” สะท้อนถึงความรู้สึกที่สับสนและเจ็บปวดในความสัมพันธ์ได้อย่างลึกซึ้ง มันเล่าเรื่องราวของคนที่ต้องการจะเดินจากไปแต่กลับถูกดึงดูดให้กลับมาเสมอ และไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น แม้จะอิงจากประสบการณ์ส่วนตัวของ Schmit แต่เขาก็ยืนยันว่ามันถ่ายทอด “แก่นสากลของความรัก, ความไม่แน่นอน และการสื่อสารที่ล้มเหลว” ได้อย่างครอบคลุม ด้านเสียงร้องนำโดย Timothy B. Schmit ซึ่งถูกบรรยายว่าเป็นเสียง “ใสกังวาน” และ “เสียงสูงแบบเจ็บปวด” ได้เพิ่มมิติที่ลึกซึ้งและคุณภาพที่น่าจดจำให้กับเพลง เพลงนี้ถือเป็นเพลงแรกที่ Eagles ให้ Schmit ร้องนำอย่างเต็มตัว ซึ่งทำให้เขาได้สร้างเอกลักษณ์ทางเสียงของตนเองได้อย่างชัดเจนและเป็นที่จดจำในฐานะนักร้องนำอีกคนหนึ่งของวง

    หลังจากที่ถูกปล่อยออกมาในฐานะซิงเกิลที่สามในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 1980 เพลง “I Can't Tell You Why” ก็ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว โดยขึ้นไปถึงอันดับ 8 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ในเดือนเมษายน 1980 และขึ้นไปถึงอันดับ 3 บนชาร์ต Adult Contemporary ความสำเร็จนี้ทำให้เป็นเพลงท็อป 10 เพลงที่สามติดต่อกันจากอัลบั้ม The Long Run และที่สำคัญที่สุด มันยังกลายเป็นเพลงท็อป 10 เพลงสุดท้ายของ Eagles บนชาร์ต Billboard Hot 100 ก่อนที่พวกเขาจะประกาศยุบวงในเวลาต่อมา แม้จะไม่ได้เป็นเพลงที่ทำยอดขายสูงสุดเท่ากับเพลงยอดนิยมอื่นๆ แต่ “I Can't Tell You Why” ได้กลายเป็นเพลงโปรดของแฟนๆ และเป็น “ช่วงเวลาไฮไลต์” สำหรับ Timothy B. Schmit ในการแสดงสด เพลงนี้อยู่ในอันดับที่ 9 ของเพลงที่ถูกเล่นมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของวง นอกจากนี้ เพลงยังได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์ โดย

    Billboard จัดให้เพลงนี้อยู่ในอันดับ 6 ของผลงาน Eagles ที่ดีที่สุด (2017) และ Rolling Stone ให้อันดับ 11 (2019)

    ความสำคัญของเพลงนี้ยังคงดำเนินต่อไปผ่านเพลงคัฟเวอร์จำนวนมากที่สะท้อนถึงความหลากหลายทางดนตรี ตัวอย่างที่โดดเด่น ได้แก่

    วง R&B อย่าง Brownstone ที่นำเพลงนี้มาทำใหม่ในรูปแบบอาร์แอนด์บีร่วมสมัยในปี 1995 ซึ่งเวอร์ชันของพวกเขาขึ้นถึงอันดับ 54 บน Billboard Hot 100 และอันดับ 22 บนชาร์ต Hot R&B ศิลปินเพลงคันทรี่

    ศิลปินเพลงคันทรี่ Vince Gill ก็เคยนำเพลงนี้ไปคัฟเวอร์ในปี 1993 โดยมี Timothy B. Schmit มาร่วมร้องประสานให้ด้วย ซึ่งเวอร์ชันนี้สามารถไต่ขึ้นไปถึงอันดับ 42 บนชาร์ต Hot Country Songs

    นอกจากนี้ ศิลปินแจ๊สอย่าง Diana Krall ก็ได้นำเพลงนี้ไปตีความใหม่ในแนวแจ๊สอันนุ่มนวลสำหรับอัลบั้ม Wallflower ของเธอในปี 2015 ซึ่งเวอร์ชันนี้ขึ้นไปถึงอันดับ 10 บนชาร์ต Billboard Smooth Jazz การที่เพลงสามารถถูกนำไปคัฟเวอร์ในหลากหลายแนวเพลง แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเนื้อหาและโครงสร้างทางดนตรีของเพลงต้นฉบับ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ “I Can't Tell You Why” ยังคงเป็นเพลงที่โดดเด่นและมีอิทธิพลเหนือกาลเวลา

    “I Can't Tell You Why” จึงเป็นตัวอย่างที่หาได้ยากของบทเพลงที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งอย่างรุนแรงแต่กลับกลายเป็นสัญลักษณ์ของความสมานฉันท์และการสร้างสรรค์อันยอดเยี่ยม เพลงนี้ไม่เพียงแต่เป็นเพลงฮิตที่ประสบความสำเร็จทางพาณิชย์เท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นเพลงที่เชื่อมโยง Eagles เข้ากับยุคใหม่ ด้วยการแนะนำสมาชิกใหม่และสำรวจแนวเพลงที่ไม่เคยทำมาก่อน และในขณะเดียวกัน ก็เป็นเพลงท็อป 10 เพลงสุดท้ายของวงในยุคนั้น ท้ายที่สุด “I Can't Tell You Why” ยังคงเป็นหนึ่งในบัลลาดที่สำคัญและได้รับความนิยมสูงสุดของ Eagles เพราะเรื่องราวที่ซับซ้อนและย้อนแย้งที่อยู่เบื้องหลังการกำเนิดของมัน เพลงนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า แม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด Eagles ก็ยังสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่ไร้กาลเวลาซึ่งยังคงดึงดูดและสะท้อนความรู้สึกของผู้ฟังมาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างน่าอัศจรรย์

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://youtu.be/Odcn6qk94bs
    🎶 บทเพลงแห่งความขัดแย้งที่กลายเป็นอมตะ: เรื่องราวเบื้องหลังเพลง 'I Can't Tell You Why' โดย Eagles ✨ ในช่วงปลายยุค 70 วงดนตรีร็อกชื่อดังอย่าง Eagles ได้ก้าวสู่จุดสูงสุดของความสำเร็จระดับโลกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนจากอัลบั้มยอดเยี่ยม Hotel California (1976) อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่นี้กลับนำมาซึ่งแรงกดดันมหาศาลและความขัดแย้งที่ร้าวลึกภายในวง โดยเฉพาะระหว่างแกนนำอย่าง Don Henley และ Glenn Frey 💿 ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดนี้ การบันทึกเสียงอัลบั้มถัดมา The Long Run (1979) จึงเป็นกระบวนการที่ยาวนานและยากลำบาก ทีมงานของค่ายเพลงถึงกับเรียกมันว่า “The Long One” หรือ “สิ่งที่ยาวนาน” ซึ่ง Don Henley เองก็ยอมรับในภายหลังว่าอัลบั้มนี้โดยรวมแล้ว “ไม่ใช่แผ่นเสียงที่ดีนัก” เพราะสมาชิกวงต่าง “หมดไฟ” และ “ตึงเครียด” จนเกินไป ❤️ แต่ท่ามกลางความวุ่นวายดังกล่าว บทเพลงบัลลาดสุดคลาสสิกอย่าง “I Can't Tell You Why” ได้ถือกำเนิดขึ้นและกลายเป็นข้อยกเว้นที่โดดเด่น เพลงนี้เป็นเพลงแรกที่วงสามารถบันทึกเสร็จสมบูรณ์สำหรับอัลบั้มนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาอันสั้นที่ Eagles สามารถกลับมาร่วมงานกันได้อย่างสร้างสรรค์ ก่อนที่ความขัดแย้งภายในจะกลับมาอีกครั้งและนำไปสู่การยุบวงในที่สุด เพลงนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงเพลงฮิต แต่เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความสามารถอันน่าทึ่งของวงในการสร้างสรรค์งานศิลปะที่สวยงามและลงตัวจากสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะพังทลาย 👤 เรื่องราวเริ่มขึ้นพร้อมกับการเข้ามาของ Timothy B. Schmit มือเบสคนใหม่ที่แทน Randy Meisner ในปี 1977 Schmit ได้นำไอเดียเพลงจากประสบการณ์ส่วนตัวมาเสนอ และร่วมแต่งกับ Frey และ Henley ภายในไม่กี่คืนที่ทำงานกันยันเช้า 🎤 เรื่องราวของเพลงนี้เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับการเข้ามาของ Timothy B. Schmit มือเบสคนใหม่ผู้มากประสบการณ์จากวง Poco ที่เข้ามาแทน Randy Meisner ซึ่งลาออกไปในปี 1977 Schmit เข้ามาในฐานะคนวงนอก ผู้ที่ตั้งใจ “ทำทุกอย่างเพื่อรักษาสันติภาพ” และช่วยให้สถานการณ์ภายในวงดีขึ้น เขาได้นำไอเดียตั้งต้นของเพลงที่เขาบอกว่า “อิงจากประสบการณ์ส่วนตัว” มาเสนอต่อ Frey และ Henley เพื่อเป็นเพลงเดี่ยวเพลงแรกของเขาใน Eagles ทั้งสามคนได้ร่วมกันแต่งเพลงนี้อย่างรวดเร็วในช่วง “ไม่กี่คืนที่ทำงานกันยันเช้า” จนได้ผลงานที่สมบูรณ์ Don Henley และ Glenn Frey ต้องการนำเสนอ Timothy B. Schmit ด้วยเสียงที่แตกต่างจากดนตรีคันทรี่ร็อกที่เขาเคยทำ โดย Frey ที่มี “รากฐานลึกซึ้งในดนตรีโซล” ได้แนะนำ Schmit อย่างชัดเจนว่า “คุณสามารถร้องเพลงแบบ Smokey Robinson ได้” และให้เปลี่ยนมาทำ “เพลงแนว R&B” แทน ขณะที่ Henley ก็กล่าวเสริมว่าเพลงนี้มีสไตล์แบบ “Al Green ชัดๆ” 🎸 ในด้านองค์ประกอบทางดนตรี Frey ยังมีบทบาทสำคัญในการเรียบเรียง โดย Timothy B. Schmit ถึงกับเรียกเขาว่า "The Lone Arranger" (ผู้เรียบเรียงเพียงหนึ่งเดียว) เนื่องจากความสามารถในการจัดการพาร์ทดนตรีต่างๆ ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะท่อนโซโล่กีตาร์ที่ไพเราะและโดดเด่นในเพลงนี้ที่ Frey เป็นผู้บรรเลงเอง นอกจากนี้ Joe Walsh ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างบรรยากาศของเพลงด้วยการเล่นคีย์บอร์ดทั้งหมด ทั้ง Hammond organ, Fender Rhodes electric piano และ ARP String Synthesizer ทั้งหมดนี้ได้หลอมรวมกันเป็นงานบัลลาดที่แตกต่างจากเพลงร็อกและคันทรี่-ร็อกที่แข็งกร้าวของวง 7 และได้รับการยกย่องว่าเป็นเพลงที่ “มีจิตวิญญาณมากที่สุด” ของ Eagles 💔 เนื้อเพลงของ “I Can't Tell You Why” สะท้อนถึงความรู้สึกที่สับสนและเจ็บปวดในความสัมพันธ์ได้อย่างลึกซึ้ง มันเล่าเรื่องราวของคนที่ต้องการจะเดินจากไปแต่กลับถูกดึงดูดให้กลับมาเสมอ และไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น แม้จะอิงจากประสบการณ์ส่วนตัวของ Schmit แต่เขาก็ยืนยันว่ามันถ่ายทอด “แก่นสากลของความรัก, ความไม่แน่นอน และการสื่อสารที่ล้มเหลว” ได้อย่างครอบคลุม ด้านเสียงร้องนำโดย Timothy B. Schmit ซึ่งถูกบรรยายว่าเป็นเสียง “ใสกังวาน” และ “เสียงสูงแบบเจ็บปวด” ได้เพิ่มมิติที่ลึกซึ้งและคุณภาพที่น่าจดจำให้กับเพลง เพลงนี้ถือเป็นเพลงแรกที่ Eagles ให้ Schmit ร้องนำอย่างเต็มตัว ซึ่งทำให้เขาได้สร้างเอกลักษณ์ทางเสียงของตนเองได้อย่างชัดเจนและเป็นที่จดจำในฐานะนักร้องนำอีกคนหนึ่งของวง 📀 หลังจากที่ถูกปล่อยออกมาในฐานะซิงเกิลที่สามในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 1980 เพลง “I Can't Tell You Why” ก็ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว โดยขึ้นไปถึงอันดับ 8 บนชาร์ต Billboard Hot 100 ในเดือนเมษายน 1980 และขึ้นไปถึงอันดับ 3 บนชาร์ต Adult Contemporary ความสำเร็จนี้ทำให้เป็นเพลงท็อป 10 เพลงที่สามติดต่อกันจากอัลบั้ม The Long Run และที่สำคัญที่สุด มันยังกลายเป็นเพลงท็อป 10 เพลงสุดท้ายของ Eagles บนชาร์ต Billboard Hot 100 ก่อนที่พวกเขาจะประกาศยุบวงในเวลาต่อมา แม้จะไม่ได้เป็นเพลงที่ทำยอดขายสูงสุดเท่ากับเพลงยอดนิยมอื่นๆ แต่ “I Can't Tell You Why” ได้กลายเป็นเพลงโปรดของแฟนๆ และเป็น “ช่วงเวลาไฮไลต์” สำหรับ Timothy B. Schmit ในการแสดงสด เพลงนี้อยู่ในอันดับที่ 9 ของเพลงที่ถูกเล่นมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของวง นอกจากนี้ เพลงยังได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์ โดย 🏆 Billboard จัดให้เพลงนี้อยู่ในอันดับ 6 ของผลงาน Eagles ที่ดีที่สุด (2017) และ Rolling Stone ให้อันดับ 11 (2019) 🎵 ความสำคัญของเพลงนี้ยังคงดำเนินต่อไปผ่านเพลงคัฟเวอร์จำนวนมากที่สะท้อนถึงความหลากหลายทางดนตรี ตัวอย่างที่โดดเด่น ได้แก่ 🎤 วง R&B อย่าง Brownstone ที่นำเพลงนี้มาทำใหม่ในรูปแบบอาร์แอนด์บีร่วมสมัยในปี 1995 ซึ่งเวอร์ชันของพวกเขาขึ้นถึงอันดับ 54 บน Billboard Hot 100 และอันดับ 22 บนชาร์ต Hot R&B ศิลปินเพลงคันทรี่ 🎧 🎤 ศิลปินเพลงคันทรี่ Vince Gill ก็เคยนำเพลงนี้ไปคัฟเวอร์ในปี 1993 โดยมี Timothy B. Schmit มาร่วมร้องประสานให้ด้วย ซึ่งเวอร์ชันนี้สามารถไต่ขึ้นไปถึงอันดับ 42 บนชาร์ต Hot Country Songs 🤠 🎤 นอกจากนี้ ศิลปินแจ๊สอย่าง Diana Krall ก็ได้นำเพลงนี้ไปตีความใหม่ในแนวแจ๊สอันนุ่มนวลสำหรับอัลบั้ม Wallflower ของเธอในปี 2015 ซึ่งเวอร์ชันนี้ขึ้นไปถึงอันดับ 10 บนชาร์ต Billboard Smooth Jazz การที่เพลงสามารถถูกนำไปคัฟเวอร์ในหลากหลายแนวเพลง แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเนื้อหาและโครงสร้างทางดนตรีของเพลงต้นฉบับ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ “I Can't Tell You Why” ยังคงเป็นเพลงที่โดดเด่นและมีอิทธิพลเหนือกาลเวลา 🎹 ⌛ 🌟 “I Can't Tell You Why” จึงเป็นตัวอย่างที่หาได้ยากของบทเพลงที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งอย่างรุนแรงแต่กลับกลายเป็นสัญลักษณ์ของความสมานฉันท์และการสร้างสรรค์อันยอดเยี่ยม เพลงนี้ไม่เพียงแต่เป็นเพลงฮิตที่ประสบความสำเร็จทางพาณิชย์เท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นเพลงที่เชื่อมโยง Eagles เข้ากับยุคใหม่ ด้วยการแนะนำสมาชิกใหม่และสำรวจแนวเพลงที่ไม่เคยทำมาก่อน และในขณะเดียวกัน ก็เป็นเพลงท็อป 10 เพลงสุดท้ายของวงในยุคนั้น ท้ายที่สุด “I Can't Tell You Why” ยังคงเป็นหนึ่งในบัลลาดที่สำคัญและได้รับความนิยมสูงสุดของ Eagles เพราะเรื่องราวที่ซับซ้อนและย้อนแย้งที่อยู่เบื้องหลังการกำเนิดของมัน เพลงนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า แม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด Eagles ก็ยังสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่ไร้กาลเวลาซึ่งยังคงดึงดูดและสะท้อนความรู้สึกของผู้ฟังมาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ 🌈 #ลุงเล่าหลานฟัง https://youtu.be/Odcn6qk94bs
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 239 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AI สร้างอดีตที่เราไม่เคยมี — เมื่อความคิดถึงยุค 90 กลายเป็นภาพจำปลอมที่คนรุ่นใหม่หลงรัก”

    ในยุคที่โลกจริงเต็มไปด้วยความวุ่นวายและความไม่แน่นอน ผู้คนจำนวนมากหันกลับไปหาความทรงจำในอดีตเพื่อปลอบใจตนเอง และตอนนี้ AI ได้กลายเป็นเครื่องมือหลักในการสร้าง “อดีตจำลอง” ที่ทั้งสวยงามและน่าหลงใหล แม้จะไม่เคยเกิดขึ้นจริงก็ตาม

    บน TikTok และ Instagram มีคลิปวิดีโอจำนวนมากที่จำลองบรรยากาศยุค 80 และ 90 ด้วยภาพที่ดูเหมือนหลุดมาจากเทป VHS หรือโฆษณาเก่า — แต่ทั้งหมดถูกสร้างขึ้นด้วย AI เช่น Midjourney, DaVinci Resolve และ Photoshop โดยผู้สร้างเนื้อหาชื่อดังอย่าง Nostalgia Cat, Purest Nostalgia และ Maximal Nostalgia

    คลิปเหล่านี้มักมีตัวละครวัยรุ่นที่พูดประโยคชวนฝัน เช่น “ไม่มีแชต ไม่มี DM มีแต่เรื่องราวรอบกองไฟจนเช้า” ทั้งที่ยุค 2000 ก็มีมือถือแล้วก็ตาม ความย้อนแยงนี้ไม่ได้ทำให้ผู้ชมรู้สึกแปลก — กลับยิ่งเพิ่มความรู้สึก “คิดถึง” ที่ไม่ต้องอิงความจริง

    ผู้สร้างเนื้อหาอย่าง Josh Crowe และ Tavaius Dawson ยอมรับว่าไม่ได้ตั้งใจให้เนื้อหาถูกต้องทางประวัติศาสตร์ แต่เน้น “ความรู้สึกดี” และ “พื้นที่ปลอดภัย” สำหรับผู้ชม โดยมีผู้ติดตามเพิ่มขึ้นหลักแสนต่อเดือน และบางคลิปมียอดวิวถึง 27 ล้านครั้ง

    นักวิจารณ์วัฒนธรรมบางคน เช่น Christine Rosen เตือนว่า การจมอยู่กับภาพจำปลอมอาจทำให้เรายิ่งห่างจากความจริง และความรู้สึกคิดถึงนั้นอาจไม่ได้ช่วยเยียวยา แต่กลับทำให้รู้สึกแย่ลงเมื่อกลับสู่โลกจริง

    การสร้างเนื้อหาแนวย้อนยุคด้วย AI
    ใช้เครื่องมืออย่าง Midjourney, DaVinci Resolve และ Photoshop
    สร้างภาพจำยุค 80–90 ด้วยเทคนิค VHS, Polaroid และ 35mm film
    ตัวละครในคลิปเป็น AI ทั้งหมด รวมถึงบทพูดและฉาก
    เน้นความรู้สึก “คิดถึง” มากกว่าความถูกต้องทางประวัติศาสตร์

    ผู้สร้างเนื้อหาและกระแสตอบรับ
    Nostalgia Cat, Purest Nostalgia และ Maximal Nostalgia มีผู้ติดตามหลักแสน
    Josh Crowe ใช้ภาพจริงผสมกับ prompt engineering เพื่อสร้างฉาก
    Tavaius Dawson เขียนสคริปต์และ storyboard สำหรับแต่ละคลิป
    ผู้ชมจากทั่วโลก เช่น ยูเครนและอิสราเอล ส่งข้อความขอบคุณที่ช่วยเยียวยาจิตใจ

    ความรู้สึกคิดถึงในยุคดิจิทัล
    คนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยอยู่ในยุคนั้นกลับรู้สึกผูกพันกับภาพจำที่สร้างขึ้น
    นักวิจัยเช่น Clay Routledge พบว่าเยาวชนมีแนวโน้ม “คิดถึงอดีต” มากขึ้น
    AI กลายเป็นเครื่องมือสร้าง “ความทรงจำจำลอง” ที่มีพลังทางอารมณ์
    ความนิยมของเนื้อหาแนวย้อนยุคเพิ่มขึ้นในช่วงที่โลกจริงเต็มไปด้วยความเครียด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Vanilla Ice แสดงความคิดเห็นว่า “คอมพิวเตอร์ทำลายโลก” ในคลิป AI ย้อนยุค
    นักพัฒนาเว็บอย่าง Scott Anderson พบว่าตนเองดูคลิป AI โดยไม่รู้ตัว
    Christine Rosen เตือนว่า “ความคิดถึงที่สร้างด้วย AI อาจทำให้เรารู้สึกแย่ลง”
    ความนิยมของคลิปแนวย้อนยุคสะท้อนความต้องการ “ความมั่นคงทางอารมณ์”

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/11/remember-when-things-were-better-in-the-90s-ai-does-too
    📼 “AI สร้างอดีตที่เราไม่เคยมี — เมื่อความคิดถึงยุค 90 กลายเป็นภาพจำปลอมที่คนรุ่นใหม่หลงรัก” ในยุคที่โลกจริงเต็มไปด้วยความวุ่นวายและความไม่แน่นอน ผู้คนจำนวนมากหันกลับไปหาความทรงจำในอดีตเพื่อปลอบใจตนเอง และตอนนี้ AI ได้กลายเป็นเครื่องมือหลักในการสร้าง “อดีตจำลอง” ที่ทั้งสวยงามและน่าหลงใหล แม้จะไม่เคยเกิดขึ้นจริงก็ตาม บน TikTok และ Instagram มีคลิปวิดีโอจำนวนมากที่จำลองบรรยากาศยุค 80 และ 90 ด้วยภาพที่ดูเหมือนหลุดมาจากเทป VHS หรือโฆษณาเก่า — แต่ทั้งหมดถูกสร้างขึ้นด้วย AI เช่น Midjourney, DaVinci Resolve และ Photoshop โดยผู้สร้างเนื้อหาชื่อดังอย่าง Nostalgia Cat, Purest Nostalgia และ Maximal Nostalgia คลิปเหล่านี้มักมีตัวละครวัยรุ่นที่พูดประโยคชวนฝัน เช่น “ไม่มีแชต ไม่มี DM มีแต่เรื่องราวรอบกองไฟจนเช้า” ทั้งที่ยุค 2000 ก็มีมือถือแล้วก็ตาม ความย้อนแยงนี้ไม่ได้ทำให้ผู้ชมรู้สึกแปลก — กลับยิ่งเพิ่มความรู้สึก “คิดถึง” ที่ไม่ต้องอิงความจริง ผู้สร้างเนื้อหาอย่าง Josh Crowe และ Tavaius Dawson ยอมรับว่าไม่ได้ตั้งใจให้เนื้อหาถูกต้องทางประวัติศาสตร์ แต่เน้น “ความรู้สึกดี” และ “พื้นที่ปลอดภัย” สำหรับผู้ชม โดยมีผู้ติดตามเพิ่มขึ้นหลักแสนต่อเดือน และบางคลิปมียอดวิวถึง 27 ล้านครั้ง นักวิจารณ์วัฒนธรรมบางคน เช่น Christine Rosen เตือนว่า การจมอยู่กับภาพจำปลอมอาจทำให้เรายิ่งห่างจากความจริง และความรู้สึกคิดถึงนั้นอาจไม่ได้ช่วยเยียวยา แต่กลับทำให้รู้สึกแย่ลงเมื่อกลับสู่โลกจริง ✅ การสร้างเนื้อหาแนวย้อนยุคด้วย AI ➡️ ใช้เครื่องมืออย่าง Midjourney, DaVinci Resolve และ Photoshop ➡️ สร้างภาพจำยุค 80–90 ด้วยเทคนิค VHS, Polaroid และ 35mm film ➡️ ตัวละครในคลิปเป็น AI ทั้งหมด รวมถึงบทพูดและฉาก ➡️ เน้นความรู้สึก “คิดถึง” มากกว่าความถูกต้องทางประวัติศาสตร์ ✅ ผู้สร้างเนื้อหาและกระแสตอบรับ ➡️ Nostalgia Cat, Purest Nostalgia และ Maximal Nostalgia มีผู้ติดตามหลักแสน ➡️ Josh Crowe ใช้ภาพจริงผสมกับ prompt engineering เพื่อสร้างฉาก ➡️ Tavaius Dawson เขียนสคริปต์และ storyboard สำหรับแต่ละคลิป ➡️ ผู้ชมจากทั่วโลก เช่น ยูเครนและอิสราเอล ส่งข้อความขอบคุณที่ช่วยเยียวยาจิตใจ ✅ ความรู้สึกคิดถึงในยุคดิจิทัล ➡️ คนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยอยู่ในยุคนั้นกลับรู้สึกผูกพันกับภาพจำที่สร้างขึ้น ➡️ นักวิจัยเช่น Clay Routledge พบว่าเยาวชนมีแนวโน้ม “คิดถึงอดีต” มากขึ้น ➡️ AI กลายเป็นเครื่องมือสร้าง “ความทรงจำจำลอง” ที่มีพลังทางอารมณ์ ➡️ ความนิยมของเนื้อหาแนวย้อนยุคเพิ่มขึ้นในช่วงที่โลกจริงเต็มไปด้วยความเครียด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Vanilla Ice แสดงความคิดเห็นว่า “คอมพิวเตอร์ทำลายโลก” ในคลิป AI ย้อนยุค ➡️ นักพัฒนาเว็บอย่าง Scott Anderson พบว่าตนเองดูคลิป AI โดยไม่รู้ตัว ➡️ Christine Rosen เตือนว่า “ความคิดถึงที่สร้างด้วย AI อาจทำให้เรารู้สึกแย่ลง” ➡️ ความนิยมของคลิปแนวย้อนยุคสะท้อนความต้องการ “ความมั่นคงทางอารมณ์” https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/11/remember-when-things-were-better-in-the-90s-ai-does-too
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Remember when things were better in the '90s? AI does, too
    Dubious videos about the glory of bygone eras are creating nostalgia for those too young to fact check them.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 271 มุมมอง 0 รีวิว

  • เทคโนโลยีขนาดใหญ่วางแผนที่จะใช้ชิปสมองเพื่ออ่านผู้ใช้’ ความคิด: การศึกษา

    25 สิงหาคม 2568

    Big Tech กําลังวางแผนที่จะปรับใช้ชิปสมองที่สามารถอ่านความคิดของผู้ใช้’ ตามการศึกษาใหม่ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเกี่ยวกับการปลูกถ่ายระบบประสาทหรือที่เรียกว่าอินเทอร์เฟซคอมพิวเตอร์สมอง (BCI) ซึ่งอาจเปิดเผยความลับภายในสุดในขณะที่ปลอมตัวเป็นตัวช่วยสําหรับบุคคลที่เป็นอัมพาตในการ สื่อสาร

    ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ เซลล์การวิจัยแสดงให้เห็นว่าอุปกรณ์เหล่านี้ถอดรหัสสัญญาณสมองเพื่อสร้างคําพูดสังเคราะห์ด้วยความเร็วที่ไม่เคยมีมาก่อนและความพยายามเพียงเล็กน้อย ทําให้เกิดสัญญาณเตือนเกี่ยวกับการบุกรุกความเป็นส่วนตัวในขณะที่บริษัทอย่าง Neuralink ผลักดันให้มีการนําไปใช้อย่างกว้างขวาง ในขณะที่ผู้เสนอเสนอผลประโยชน์สําหรับผู้พิการ นักวิจารณ์เตือนว่าการบูรณาการที่ไม่ได้รับการตรวจสอบอาจทําให้ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีสามารถเก็บเกี่ยวข้อมูลประสาทเพื่อการเฝ้าระวัง การจัดการ หรือผลกําไร โดยเปลี่ยนการรับรู้ส่วนบุคคลให้เป็นทรัพยากรที่เป็นสินค้าโดยไม่ได้รับความยินยอม

    ความทันสมัย.ข่าวสาร รายงาน: BCI ทํางานโดยใช้อาร์เรย์อิเล็กโทรดขนาดเล็กเพื่อตรวจสอบกิจกรรมในเยื่อหุ้มสมองสั่งการของสมอง, ภูมิภาคที่ควบคุมกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการพูด จนถึงขณะนี้ เทคโนโลยีนี้อาศัยสัญญาณจากบุคคลที่เป็นอัมพาตที่พยายามพูดอย่างแข็งขัน อย่างไรก็ตาม ทีมงานสแตนฟอร์ดค้นพบว่าแม้แต่คําพูดในจินตนาการก็ยังสร้างสัญญาณที่คล้ายกันในเยื่อหุ้มสมองสั่งการ แม้ว่าจะอ่อนแอกว่าก็ตาม ด้วยความช่วยเหลือของปัญญาประดิษฐ์, พวกเขาแปลสัญญาณจาง ๆ เหล่านั้นเป็นคําที่มีความแม่นยําสูงสุด 74% จากคําศัพท์ 125,000 คํา

    “เรากําลังบันทึกสัญญาณขณะที่พวกเขากําลังพยายามพูดและแปลสัญญาณประสาทเหล่านั้นเป็นคําที่พวกเขาพยายามจะพูด ” erin Kunz นักวิจัยหลังปริญญาเอกจาก Neural Prosthetics Translational Laboratory ของ Stanford กล่าว

    แต่การก้าวกระโดดทางเทคโนโลยีนี้ทําให้เกิดธงแดงในหมู่นักวิจารณ์ที่เตือนถึงอนาคตดิสโทเปียที่ความคิดส่วนตัวของคุณอาจถูกเปิดเผย

    Nita Farahany ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายและปรัชญาของมหาวิทยาลัย Duke และผู้เขียน การต่อสู้เพื่อสมองของคุณ, ส่งเสียงสัญญาณเตือนภัยบอก เอ็นพีอาร์, “ยิ่งเราผลักดันงานวิจัยนี้ไปข้างหน้า สมองของเราก็จะโปร่งใสมากขึ้นเท่านั้น”

    ฟาราฮานีแสดงความกังวลว่า บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Apple, Google และ Meta สามารถใช้ประโยชน์จาก BCI เพื่อเข้าถึงจิตใจของผู้บริโภคโดยไม่ได้รับความยินยอม โดยเรียกร้องให้มีการป้องกัน เช่น รหัสผ่าน เพื่อปกป้องความคิดที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เป็นส่วนตัว

    “เราต้องตระหนักว่ายุคใหม่ของความโปร่งใสของสมองนี้เป็นขอบเขตใหม่สําหรับเราจริงๆ,” Farahany กล่าว

    ในขณะที่โลกจับจ้องไปที่ปัญญาประดิษฐ์ผู้หวดที่หนักที่สุดในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีบางคนกําลังทุ่มเงินหลายพันล้านให้กับ BCI Elon Musk ชายที่ร่ํารวยที่สุดในโลกได้ระดมทุน 1.2 พันล้านดอลลาร์สําหรับกิจการ Neuralink ของเขาซึ่งขณะนี้กําลังดําเนินการทดลองทางคลินิกร่วมกับสถาบันชั้นนําเช่น Barrow Neurological Institute, The Miami Project to Cure Paralysis และ Cleveland Clinic Abu Dhabi

    ตอนนี้ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอีกคนกําลังเข้าสู่การต่อสู้

    Sam Altman ผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI กําลังเปิดตัว Merge Labs เพื่อท้าทาย Neuralink ของ Musk Merge Labs ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทร่วมทุนของ OpenAI และมีมูลค่า 850 ล้านดอลลาร์ โดยกําลังมองหาเงินทุน 250 ล้านดอลลาร์ ไฟแนนเชียลไทมส์● แม้ว่าอัลท์แมนจะทําหน้าที่เป็นผู้ร่วมก่อตั้งร่วมกับอเล็กซ์ บลาเนียในโครงการสแกนม่านตาโลก แต่แหล่งข่าวระบุว่าเขาจะไม่รับบทบาทปฏิบัติการ



    เทคโนโลยีขนาดใหญ่วางแผนที่จะใช้ชิปสมองเพื่ออ่านผู้ใช้’ ความคิด: การศึกษา 25 สิงหาคม 2568 Big Tech กําลังวางแผนที่จะปรับใช้ชิปสมองที่สามารถอ่านความคิดของผู้ใช้’ ตามการศึกษาใหม่ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเกี่ยวกับการปลูกถ่ายระบบประสาทหรือที่เรียกว่าอินเทอร์เฟซคอมพิวเตอร์สมอง (BCI) ซึ่งอาจเปิดเผยความลับภายในสุดในขณะที่ปลอมตัวเป็นตัวช่วยสําหรับบุคคลที่เป็นอัมพาตในการ สื่อสาร ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ เซลล์การวิจัยแสดงให้เห็นว่าอุปกรณ์เหล่านี้ถอดรหัสสัญญาณสมองเพื่อสร้างคําพูดสังเคราะห์ด้วยความเร็วที่ไม่เคยมีมาก่อนและความพยายามเพียงเล็กน้อย ทําให้เกิดสัญญาณเตือนเกี่ยวกับการบุกรุกความเป็นส่วนตัวในขณะที่บริษัทอย่าง Neuralink ผลักดันให้มีการนําไปใช้อย่างกว้างขวาง ในขณะที่ผู้เสนอเสนอผลประโยชน์สําหรับผู้พิการ นักวิจารณ์เตือนว่าการบูรณาการที่ไม่ได้รับการตรวจสอบอาจทําให้ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีสามารถเก็บเกี่ยวข้อมูลประสาทเพื่อการเฝ้าระวัง การจัดการ หรือผลกําไร โดยเปลี่ยนการรับรู้ส่วนบุคคลให้เป็นทรัพยากรที่เป็นสินค้าโดยไม่ได้รับความยินยอม ความทันสมัย.ข่าวสาร รายงาน: BCI ทํางานโดยใช้อาร์เรย์อิเล็กโทรดขนาดเล็กเพื่อตรวจสอบกิจกรรมในเยื่อหุ้มสมองสั่งการของสมอง, ภูมิภาคที่ควบคุมกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการพูด จนถึงขณะนี้ เทคโนโลยีนี้อาศัยสัญญาณจากบุคคลที่เป็นอัมพาตที่พยายามพูดอย่างแข็งขัน อย่างไรก็ตาม ทีมงานสแตนฟอร์ดค้นพบว่าแม้แต่คําพูดในจินตนาการก็ยังสร้างสัญญาณที่คล้ายกันในเยื่อหุ้มสมองสั่งการ แม้ว่าจะอ่อนแอกว่าก็ตาม ด้วยความช่วยเหลือของปัญญาประดิษฐ์, พวกเขาแปลสัญญาณจาง ๆ เหล่านั้นเป็นคําที่มีความแม่นยําสูงสุด 74% จากคําศัพท์ 125,000 คํา “เรากําลังบันทึกสัญญาณขณะที่พวกเขากําลังพยายามพูดและแปลสัญญาณประสาทเหล่านั้นเป็นคําที่พวกเขาพยายามจะพูด ” erin Kunz นักวิจัยหลังปริญญาเอกจาก Neural Prosthetics Translational Laboratory ของ Stanford กล่าว แต่การก้าวกระโดดทางเทคโนโลยีนี้ทําให้เกิดธงแดงในหมู่นักวิจารณ์ที่เตือนถึงอนาคตดิสโทเปียที่ความคิดส่วนตัวของคุณอาจถูกเปิดเผย Nita Farahany ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายและปรัชญาของมหาวิทยาลัย Duke และผู้เขียน การต่อสู้เพื่อสมองของคุณ, ส่งเสียงสัญญาณเตือนภัยบอก เอ็นพีอาร์, “ยิ่งเราผลักดันงานวิจัยนี้ไปข้างหน้า สมองของเราก็จะโปร่งใสมากขึ้นเท่านั้น” ฟาราฮานีแสดงความกังวลว่า บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Apple, Google และ Meta สามารถใช้ประโยชน์จาก BCI เพื่อเข้าถึงจิตใจของผู้บริโภคโดยไม่ได้รับความยินยอม โดยเรียกร้องให้มีการป้องกัน เช่น รหัสผ่าน เพื่อปกป้องความคิดที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เป็นส่วนตัว “เราต้องตระหนักว่ายุคใหม่ของความโปร่งใสของสมองนี้เป็นขอบเขตใหม่สําหรับเราจริงๆ,” Farahany กล่าว ในขณะที่โลกจับจ้องไปที่ปัญญาประดิษฐ์ผู้หวดที่หนักที่สุดในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีบางคนกําลังทุ่มเงินหลายพันล้านให้กับ BCI Elon Musk ชายที่ร่ํารวยที่สุดในโลกได้ระดมทุน 1.2 พันล้านดอลลาร์สําหรับกิจการ Neuralink ของเขาซึ่งขณะนี้กําลังดําเนินการทดลองทางคลินิกร่วมกับสถาบันชั้นนําเช่น Barrow Neurological Institute, The Miami Project to Cure Paralysis และ Cleveland Clinic Abu Dhabi ตอนนี้ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอีกคนกําลังเข้าสู่การต่อสู้ Sam Altman ผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI กําลังเปิดตัว Merge Labs เพื่อท้าทาย Neuralink ของ Musk Merge Labs ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทร่วมทุนของ OpenAI และมีมูลค่า 850 ล้านดอลลาร์ โดยกําลังมองหาเงินทุน 250 ล้านดอลลาร์ ไฟแนนเชียลไทมส์● แม้ว่าอัลท์แมนจะทําหน้าที่เป็นผู้ร่วมก่อตั้งร่วมกับอเล็กซ์ บลาเนียในโครงการสแกนม่านตาโลก แต่แหล่งข่าวระบุว่าเขาจะไม่รับบทบาทปฏิบัติการ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 344 มุมมอง 0 รีวิว

  • ..ประเทศโยนหินถามทางด้วยภาษีปี70 จะใช้บังคับกับประชาชนที่ต้องยื่นแบบภาษีทุกๆคน มีเชื่อมโยงสุขภาพด้วยคือใช้ NIT บังหน้านั้นเอง กลัวประชาชนต่อต้านอย่างหนักเหมือน14ตุลาบ้าคลั่งได้ซึ่งต่างจากเม็กซิโกสิ้นเชิง ,ใจคนไทยเด็ดขาดกว่ามาก เช่นนั้นจะไม่ปรากฎการมีอยู่แบบทหารผีแห่งสยามเรา.,deep stateโลกกำลังบีบชาวโลกในแต่ละประเทศให้ทำตามระเบียบมัน รัฐสอดแนมสอดรู้สอดเห็นทุกๆคนในประเทศมัน,ส่องหมดหรือทั้งหมดต้องถูกมันส่องและส่องตลอดเวลาด้วย,อาจหนักกว่าสไตล์เกาหลีเหนือแคปหน้าจอมือถือประชาชนทุกๆ3-5นาทีโน้น,ไอ้นี้ควอนตัมอาจบันทึกทุกๆกิจกรรมธุรกรรมซึ่งสามารถตรวจสอบเรียลไทม์และตรวจสอบย้อนหลังทั้งหมดตั้งแต่ต้นก็ยังได้จนถึงปัจจุบัน.,มันจะกำจัดมนุษย์ลงเพื่อให้เหลือน้อยที่สุดนั้นเอง.,ยุคแห่งAIปกครองมนุษย์แทนคนก็ได้,มันจึงพยายามให้ขี้ข้าสมุนลูกน้องมันเอาaiเข้าไปใช้แทนคน ทดแทนคนจริงในบริษัทแล้ว ธนาคารบางเนมจ้างพนักงานออกแล้ว ถีบออกก่อนกำหนด เพื่อเอาAIมาใช้แทนคนจริงจังแล้วนั้นเองในการตอบสนองนายใหญ่deep stateมัน.,ผู้นำจึงสำคัญมากในยุคเปลี่ยนแปลงนี้ เลือกเล่นๆแบบนายกฯคลิปหลุดอีกไม่ได้ สงครามโลก สงครามใช้AIมาควบคุมทดแทนคนจริงอีก.

    ............................................................................

    เม็กซิโกออกคําสั่งให้ Bill Gates’ Biometric Digital ID พร้อมข้อมูล Iris และลายนิ้วมือสําหรับประชากรทั้งหมด

    5 สิงหาคม 2568

    เม็กซิโกได้บังคับใช้บัตรประจําตัวดิจิทัลไบโอเมตริกซ์อย่างเป็นทางการสําหรับพลเมืองทุกคน ซึ่งจะทําให้ระบบที่ Bill Gates และ World Economic Forum (WEF) ผลักดันมายาวนาน สิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นข้อเสนอเพิ่มเติมโดยชนชั้นสูงระดับโลกในปัจจุบันคือกฎหมายของรัฐบาลกลาง ขณะนี้ชาวเม็กซิกันทุกคนจําเป็นต้องส่งข้อมูลใบหน้า ลายนิ้วมือ และม่านตาของตนไปยังแพลตฟอร์มข้อมูลประจําตัวดิจิทัลแบบรวมศูนย์ ไม่ว่าพวกเขาจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม

    การเปลี่ยนแปลง ลงนามในกฎหมาย ตามพระราชกฤษฎีกาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ให้เปลี่ยน CURP ที่เป็นทางเลือกก่อนหน้านี้ (Clave Única de Registro de Población) ให้เป็นเอกสารไบโอเมตริกซ์ภาคบังคับที่เชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มข้อมูลประจําตัวดิจิทัลแบบรวมศูนย์

    CURP ใหม่จะรวมภาพถ่ายใบหน้า ลายนิ้วมือ และข้อมูลม่านตาที่ฝังอยู่ในรหัส QR และจําเป็นสําหรับการเข้าถึงทุกสิ่งตั้งแต่บริการสาธารณะและการศึกษา ไปจนถึงการธนาคารและการจ้างงาน กฎหมายกําหนดให้มีการบูรณาการทั่วทั้งระบบภาครัฐและเอกชนภายในปี 2569 และการเปิดตัวจะเริ่มต้นด้วยการรวบรวมข้อมูลไบโอเมตริกซ์จํานวนมาก—รวมถึง Children—เริ่มปีนี้

    การยกเครื่องใหม่สะท้อนให้เห็นถึงพิมพ์เขียวของ WEF สําหรับโครงสร้างพื้นฐาน ID ดิจิทัลทั่วโลก เป็นเวลาหลายปีที่ฟอรัมได้ส่งเสริมระบบข้อมูลประจําตัวดิจิทัลให้เป็นเครื่องมือสําคัญ สําหรับผู้ที่มีความประสงค์ที่จะมีส่วนร่วมในสังคมต่อไป, โต้แย้งพวกเขามีความจําเป็นสําหรับการเข้าถึงบริการทางการเงิน, การดูแลสุขภาพ, การเดินทาง, และสิทธิพลเมือง

    ในเอกสารและแผง WEF รหัสดิจิทัลมักถูกวางกรอบว่าเป็นวิธีแก้ปัญหาการรวมทางสังคม แต่ผู้สนับสนุนความเป็นส่วนตัวเตือนว่าระบบเหล่านี้ปูทางสําหรับการเฝ้าระวังประชากรและการควบคุมแบบรวมศูนย์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

    ประธานาธิบดีคลอเดีย ชีนบัม แห่งเม็กซิโกได้แสดงการสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในเวทีระหว่างประเทศก่อนหน้านี้ และเจ้าหน้าที่หลายคนที่เกี่ยวข้องกับภาคเทคโนโลยีและการกํากับดูแลของเม็กซิโกก็มีความเชื่อมโยงกับโครงการริเริ่มของ WEF Digital Transformation Agency—ตอนนี้ดูแลการดําเนินการยกเครื่อง CURP—ได้นําภาษาและลําดับความสําคัญที่คล้ายกันมาใช้กับโปรแกรมการกํากับดูแลดิจิทัลของ WEF

    บิล เกตส์เป็นผู้เสนอกฎหมายเม็กซิโกคนสําคัญ ผู้ให้ทุนหลักและผู้สนับสนุนระบบอัตลักษณ์ไบโอเมตริกซ์ ในประเทศกําลังพัฒนาผ่านทางมูลนิธิ Bill & Melinda Gates และ Gavi, Vaccine Alliance— ซึ่งเป็นพันธมิตรเก่าแก่ของ WEF มูลนิธิของเขายังสนับสนุน Modular Open Source Identity Platform (MOSIP) ซึ่งเป็นกรอบการทํางานโอเพ่นซอร์สสําหรับรหัสไบโอเมตริกซ์ที่กําลังถูกนํามาใช้ในบางส่วนของแอฟริกาและเอเชีย


    องค์กรความเป็นส่วนตัวในเม็กซิโกส่งเสียงเตือน กฎหมายใหม่ไม่ได้กําหนดให้เจ้าหน้าที่ต้องแจ้งให้ประชาชนทราบเมื่อมีการเข้าถึงข้อมูลไบโอเมตริกซ์ของตน และไม่ได้รวมบทลงโทษที่ชัดเจนสําหรับการใช้ในทางที่ผิดหรือการละเมิด กลุ่มสิทธิพลเมืองเตือนว่าระบบอาจถูกนําไปใช้ประโยชน์โดยหน่วยข่าวกรอง เจ้าหน้าที่ทุจริต หรือแม้แต่รัฐบาลต่างประเทศ เนื่องจากกฎหมายอนุญาตให้มีข้อตกลงการแบ่งปันข้อมูลที่อาจเกิดขึ้น— รวมถึงกับหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของสหรัฐอเมริกา

    ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า รัฐบาลจะสร้างแพลตฟอร์ม Unified Identity เพื่อรวมโปรไฟล์ไบโอเมตริกซ์ของ Citizens’ ไว้ในฐานข้อมูลต่างๆ รวมถึง National Registry of Missing and Unlocated Persons และ National Forensic Data Bank

    เจ้าหน้าที่กล่าวว่าระบบจะปรับปรุงความปลอดภัยสาธารณะและช่วยแก้ปัญหาการสูญหาย แต่นักวิจารณ์แย้งว่าโครงสร้างพื้นฐานกําลังถูกจัดเตรียมไว้สําหรับรัฐสอดแนมที่อาจกัดกร่อนเสรีภาพของพลเมืองภายใต้หน้ากากของความทันสมัย

    นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวิถีดิจิทัลของเม็กซิโก แม้ว่าเป้าหมายที่ระบุไว้คือประสิทธิภาพการบริหารและความมั่นคงของชาติ แต่ความกังวลที่ลึกซึ้งกว่านั้นก็คือ ประเทศกําลังกลายเป็นประเทศล่าสุดที่ยอมจํานนต่อกลไกการควบคุมดิจิทัลระดับโลกที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้มีบทบาทข้ามชาติชั้นยอด



    ..ประเทศโยนหินถามทางด้วยภาษีปี70 จะใช้บังคับกับประชาชนที่ต้องยื่นแบบภาษีทุกๆคน มีเชื่อมโยงสุขภาพด้วยคือใช้ NIT บังหน้านั้นเอง กลัวประชาชนต่อต้านอย่างหนักเหมือน14ตุลาบ้าคลั่งได้ซึ่งต่างจากเม็กซิโกสิ้นเชิง ,ใจคนไทยเด็ดขาดกว่ามาก เช่นนั้นจะไม่ปรากฎการมีอยู่แบบทหารผีแห่งสยามเรา.,deep stateโลกกำลังบีบชาวโลกในแต่ละประเทศให้ทำตามระเบียบมัน รัฐสอดแนมสอดรู้สอดเห็นทุกๆคนในประเทศมัน,ส่องหมดหรือทั้งหมดต้องถูกมันส่องและส่องตลอดเวลาด้วย,อาจหนักกว่าสไตล์เกาหลีเหนือแคปหน้าจอมือถือประชาชนทุกๆ3-5นาทีโน้น,ไอ้นี้ควอนตัมอาจบันทึกทุกๆกิจกรรมธุรกรรมซึ่งสามารถตรวจสอบเรียลไทม์และตรวจสอบย้อนหลังทั้งหมดตั้งแต่ต้นก็ยังได้จนถึงปัจจุบัน.,มันจะกำจัดมนุษย์ลงเพื่อให้เหลือน้อยที่สุดนั้นเอง.,ยุคแห่งAIปกครองมนุษย์แทนคนก็ได้,มันจึงพยายามให้ขี้ข้าสมุนลูกน้องมันเอาaiเข้าไปใช้แทนคน ทดแทนคนจริงในบริษัทแล้ว ธนาคารบางเนมจ้างพนักงานออกแล้ว ถีบออกก่อนกำหนด เพื่อเอาAIมาใช้แทนคนจริงจังแล้วนั้นเองในการตอบสนองนายใหญ่deep stateมัน.,ผู้นำจึงสำคัญมากในยุคเปลี่ยนแปลงนี้ เลือกเล่นๆแบบนายกฯคลิปหลุดอีกไม่ได้ สงครามโลก สงครามใช้AIมาควบคุมทดแทนคนจริงอีก. ............................................................................ เม็กซิโกออกคําสั่งให้ Bill Gates’ Biometric Digital ID พร้อมข้อมูล Iris และลายนิ้วมือสําหรับประชากรทั้งหมด 5 สิงหาคม 2568 เม็กซิโกได้บังคับใช้บัตรประจําตัวดิจิทัลไบโอเมตริกซ์อย่างเป็นทางการสําหรับพลเมืองทุกคน ซึ่งจะทําให้ระบบที่ Bill Gates และ World Economic Forum (WEF) ผลักดันมายาวนาน สิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นข้อเสนอเพิ่มเติมโดยชนชั้นสูงระดับโลกในปัจจุบันคือกฎหมายของรัฐบาลกลาง ขณะนี้ชาวเม็กซิกันทุกคนจําเป็นต้องส่งข้อมูลใบหน้า ลายนิ้วมือ และม่านตาของตนไปยังแพลตฟอร์มข้อมูลประจําตัวดิจิทัลแบบรวมศูนย์ ไม่ว่าพวกเขาจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม การเปลี่ยนแปลง ลงนามในกฎหมาย ตามพระราชกฤษฎีกาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ให้เปลี่ยน CURP ที่เป็นทางเลือกก่อนหน้านี้ (Clave Única de Registro de Población) ให้เป็นเอกสารไบโอเมตริกซ์ภาคบังคับที่เชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มข้อมูลประจําตัวดิจิทัลแบบรวมศูนย์ CURP ใหม่จะรวมภาพถ่ายใบหน้า ลายนิ้วมือ และข้อมูลม่านตาที่ฝังอยู่ในรหัส QR และจําเป็นสําหรับการเข้าถึงทุกสิ่งตั้งแต่บริการสาธารณะและการศึกษา ไปจนถึงการธนาคารและการจ้างงาน กฎหมายกําหนดให้มีการบูรณาการทั่วทั้งระบบภาครัฐและเอกชนภายในปี 2569 และการเปิดตัวจะเริ่มต้นด้วยการรวบรวมข้อมูลไบโอเมตริกซ์จํานวนมาก—รวมถึง Children—เริ่มปีนี้ การยกเครื่องใหม่สะท้อนให้เห็นถึงพิมพ์เขียวของ WEF สําหรับโครงสร้างพื้นฐาน ID ดิจิทัลทั่วโลก เป็นเวลาหลายปีที่ฟอรัมได้ส่งเสริมระบบข้อมูลประจําตัวดิจิทัลให้เป็นเครื่องมือสําคัญ สําหรับผู้ที่มีความประสงค์ที่จะมีส่วนร่วมในสังคมต่อไป, โต้แย้งพวกเขามีความจําเป็นสําหรับการเข้าถึงบริการทางการเงิน, การดูแลสุขภาพ, การเดินทาง, และสิทธิพลเมือง ในเอกสารและแผง WEF รหัสดิจิทัลมักถูกวางกรอบว่าเป็นวิธีแก้ปัญหาการรวมทางสังคม แต่ผู้สนับสนุนความเป็นส่วนตัวเตือนว่าระบบเหล่านี้ปูทางสําหรับการเฝ้าระวังประชากรและการควบคุมแบบรวมศูนย์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ประธานาธิบดีคลอเดีย ชีนบัม แห่งเม็กซิโกได้แสดงการสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในเวทีระหว่างประเทศก่อนหน้านี้ และเจ้าหน้าที่หลายคนที่เกี่ยวข้องกับภาคเทคโนโลยีและการกํากับดูแลของเม็กซิโกก็มีความเชื่อมโยงกับโครงการริเริ่มของ WEF Digital Transformation Agency—ตอนนี้ดูแลการดําเนินการยกเครื่อง CURP—ได้นําภาษาและลําดับความสําคัญที่คล้ายกันมาใช้กับโปรแกรมการกํากับดูแลดิจิทัลของ WEF บิล เกตส์เป็นผู้เสนอกฎหมายเม็กซิโกคนสําคัญ ผู้ให้ทุนหลักและผู้สนับสนุนระบบอัตลักษณ์ไบโอเมตริกซ์ ในประเทศกําลังพัฒนาผ่านทางมูลนิธิ Bill & Melinda Gates และ Gavi, Vaccine Alliance— ซึ่งเป็นพันธมิตรเก่าแก่ของ WEF มูลนิธิของเขายังสนับสนุน Modular Open Source Identity Platform (MOSIP) ซึ่งเป็นกรอบการทํางานโอเพ่นซอร์สสําหรับรหัสไบโอเมตริกซ์ที่กําลังถูกนํามาใช้ในบางส่วนของแอฟริกาและเอเชีย องค์กรความเป็นส่วนตัวในเม็กซิโกส่งเสียงเตือน กฎหมายใหม่ไม่ได้กําหนดให้เจ้าหน้าที่ต้องแจ้งให้ประชาชนทราบเมื่อมีการเข้าถึงข้อมูลไบโอเมตริกซ์ของตน และไม่ได้รวมบทลงโทษที่ชัดเจนสําหรับการใช้ในทางที่ผิดหรือการละเมิด กลุ่มสิทธิพลเมืองเตือนว่าระบบอาจถูกนําไปใช้ประโยชน์โดยหน่วยข่าวกรอง เจ้าหน้าที่ทุจริต หรือแม้แต่รัฐบาลต่างประเทศ เนื่องจากกฎหมายอนุญาตให้มีข้อตกลงการแบ่งปันข้อมูลที่อาจเกิดขึ้น— รวมถึงกับหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของสหรัฐอเมริกา ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า รัฐบาลจะสร้างแพลตฟอร์ม Unified Identity เพื่อรวมโปรไฟล์ไบโอเมตริกซ์ของ Citizens’ ไว้ในฐานข้อมูลต่างๆ รวมถึง National Registry of Missing and Unlocated Persons และ National Forensic Data Bank เจ้าหน้าที่กล่าวว่าระบบจะปรับปรุงความปลอดภัยสาธารณะและช่วยแก้ปัญหาการสูญหาย แต่นักวิจารณ์แย้งว่าโครงสร้างพื้นฐานกําลังถูกจัดเตรียมไว้สําหรับรัฐสอดแนมที่อาจกัดกร่อนเสรีภาพของพลเมืองภายใต้หน้ากากของความทันสมัย นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวิถีดิจิทัลของเม็กซิโก แม้ว่าเป้าหมายที่ระบุไว้คือประสิทธิภาพการบริหารและความมั่นคงของชาติ แต่ความกังวลที่ลึกซึ้งกว่านั้นก็คือ ประเทศกําลังกลายเป็นประเทศล่าสุดที่ยอมจํานนต่อกลไกการควบคุมดิจิทัลระดับโลกที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้มีบทบาทข้ามชาติชั้นยอด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 444 มุมมอง 0 รีวิว
  • ย้อนกลับไปในวัยเด็กของผม เมื่อปี พ.ศ. 2526 กรุงเทพมหานครกำลังเผชิญกับอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ น้ำท่วมสูงจนชีวิตประจำวันหยุดชะงัก โรงเรียนต้องปิดเพราะถนนหลายสายอย่างรามคำแหงและสุขุมวิทกลายเป็นคลองชั่วคราว เรือพายวิ่งพล่านแทนรถยนต์ที่จมน้ำ บ้านของผมในย่านชานเมืองก็ไม่รอด น้ำทะลักเข้ามาจนบ่ายวันนั้นไฟฟ้าดับสนิท ทิ้งให้ผมเด็กน้อยนั่งเหงาไม่มีอะไรทำ ท่ามกลางเสียงฝนเทกระหน่ำและความเบื่อหน่ายที่แผ่ซ่าน ผมเลยแอบหยิบวิทยุทรานซิสเตอร์เก่าของพ่อมาลองเปิดฟัง เพื่อคลายความเซ็งในบ่ายวันนั้น แล้วเสียงเพลงบัลลาดเศร้าสร้อยก็ดังขึ้น

    "What have I got to do to make you love me? ...
    Sorry seems to be the hardest word"

    มันคือเพลง "Sorry Seems To Be The Hardest Word" ของ Elton John ที่ผมได้ยินครั้งแรก และมันฝังใจผมตั้งแต่นั้นมา เพลงนี้ไม่เพียงสะท้อนความสิ้นหวังจากน้ำท่วมที่ทำให้ทุกอย่าง "จบสิ้น" แต่ยังสอนให้ผมเข้าใจว่าคำว่า "ขอโทษ" นั้นพูดยากเพียงใด แม้ในสถานการณ์ที่ดูเรียบง่ายที่สุด

    อุทกภัยปีนั้นกินเวลายาวนานตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายน สาเหตุจากพายุดีเปรสชันสองลูก เฮอร์เบิร์ตและคิม ที่ทำให้ฝนตกหนัก น้ำทะเลหนุนสูง และน้ำเหนือไหลบ่า ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาสูงกว่าปกติถึง 2 เมตร ส่งผลให้กรุงเทพฯ และปริมณฑลจมน้ำ โรงเรียนและมหาวิทยาลัยอย่างรามคำแหงต้องเลื่อนสอบและเปิดเทอม การคมนาคมหยุดชะงัก ผู้คนต้องใช้เรือแทนรถ และรัฐบาลจัดรายการทีวีพิเศษขอรับบริจาคช่วยเหลือ สำหรับผม เพลงนี้กลายเป็น "เพื่อนคลายเหงา" ในบ่ายไฟดับ มันทำให้ผมสงสัยว่าทำไมคำง่ายๆ อย่าง "ขอโทษ" ถึงพูดยากนัก เหมือนกับน้ำท่วมที่ไม่อาจควบคุมได้

    เพลงนี้เกิดขึ้นในปี 1975 ที่ลอสแอนเจลิส ซึ่งเป็นกระบวนการสร้างสรรค์ที่แตกต่างจากปกติของ Elton John และ Bernie Taupin คู่หูนักแต่งเพลง โดยปกติ Taupin จะเขียนเนื้อก่อน แล้ว John จึงประพันธ์ทำนอง แต่ครั้งนี้ John นั่งเล่นเปียโนแล้วทำนองเศร้าสร้อยผุดขึ้นมาก่อน พร้อมวลี

    "What have I got to do to make you love me?"

    Taupin ได้ยินแล้วเติมคำว่า

    "Sorry seems to be the hardest word"

    เข้าไปอย่างสมบูรณ์แบบ และเขียนเนื้อที่เหลือเสร็จในไม่กี่นาที มันสะท้อนความเจ็บปวดของความสัมพันธ์ที่กำลังล่มสลาย ซึ่งอารมณ์ลึกซึ้งเกินกว่าถ่ายทอดเป็นคำพูดได้ทันที

    เมื่อปล่อยในปี 1976 เป็นซิงเกิลจากอัลบั้ม Blue Moves ซึ่งได้รับคำวิจารณ์หลากหลายเพราะเนื้อหาเศร้าและยาวเกินไป แต่ตัวเพลงกลับประสบความสำเร็จอย่างมาก ขึ้นอันดับ 6 ใน Billboard Hot 100 ของสหรัฐฯ อันดับ 1 ในชาร์ต Adult Contemporary ของสหรัฐฯ และแคนาดา อันดับ 3 ในแคนาดาและไอร์แลนด์ อันดับ 11 ในสหราชอาณาจักรและออสเตรเลีย และได้รับการรับรอง Gold ในสหรัฐฯ (ยอดขายกว่า 1 ล้านชุด) และแคนาดา (75,000 ชุด) นักวิจารณ์จาก Billboard ชมว่าเสียงร้องของ John "จริงใจและน่าเชื่อถือจนเกือบเจ็บปวด" ขณะที่ Cash Box เรียกมันว่า "เพลงรักอ่อนโยนเกี่ยวกับการเลิกรา"

    เพลงนี้ไม่เคยจางหายจากวัฒนธรรมสมัยนิยม มันถูกนำไปใช้ในภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น Slap Shot (1977) ในฉากเศร้าโศก Rush Hour 3 (2007) และ Gnomeo & Juliet (2011) เพื่อตอกย้ำธีมความขัดแย้งและการแยกจาก นอกจากนี้ ยังมีเวอร์ชันคัฟเวอร์มากกว่า 50 เวอร์ชัน จากศิลปินหลากแนวอย่าง Ray Charles (แจ๊ส), Mary J. Blige (โซล), และ Joe Cocker

    การกลับมาอย่างยิ่งใหญ่เกิดขึ้นในปี 2002 เมื่อวงบอยแบนด์ Blue คัฟเวอร์เพลงนี้และเชิญ John มาร่วมร้อง ทำให้ขึ้นอันดับ 1 ใน UK Singles Chart (เพลงอันดับ 1 ลำดับที่ 3 ของ Blue และที่ 5 ของ John) อันดับ 1 ในฮังการีและเนเธอร์แลนด์ และท็อป 10 ในอีก 16 ประเทศ ได้รับ Gold ในหลายแห่งอย่างสหราชอาณาจักร (400,000 ชุด) และฝรั่งเศส (250,000 ชุด)

    แก่นแท้ของเพลงอยู่ที่จิตวิทยาของการขอโทษ ซึ่ง Taupin อธิบายว่าเป็นความพยายามช่วยชีวิตความสัมพันธ์ที่ตายไปแล้ว คำถามอย่าง "What do I say when it's all over?" แสดงความสิ้นหวังที่เป็นสากล ทำให้เพลงนี้ทรงพลังข้ามกาลเวลา

    สำหรับผม เพลงนี้ไม่ใช่แค่เพลงฮิต แต่เป็นเครื่องเตือนใจจากบ่ายน้ำท่วมปี 2526 ว่าความเจ็บปวดและการยอมรับจุดจบนั้นยากเพียงใด แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ที่ทำให้เราเติบโต มรดกของมันยังคงอยู่ เพราะศิลปะที่ซื่อสัตย์ต่ออารมณ์จะเชื่อมโยงผู้คนเสมอ

    #ลุงเล่าหลานฟัง

    https://youtu.be/c3nScN89Klo?
    ย้อนกลับไปในวัยเด็กของผม เมื่อปี พ.ศ. 2526 🌧️ กรุงเทพมหานครกำลังเผชิญกับอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ น้ำท่วมสูงจนชีวิตประจำวันหยุดชะงัก โรงเรียนต้องปิดเพราะถนนหลายสายอย่างรามคำแหงและสุขุมวิทกลายเป็นคลองชั่วคราว เรือพายวิ่งพล่านแทนรถยนต์ที่จมน้ำ บ้านของผมในย่านชานเมืองก็ไม่รอด น้ำทะลักเข้ามาจนบ่ายวันนั้นไฟฟ้าดับสนิท ทิ้งให้ผมเด็กน้อยนั่งเหงาไม่มีอะไรทำ ท่ามกลางเสียงฝนเทกระหน่ำและความเบื่อหน่ายที่แผ่ซ่าน ผมเลยแอบหยิบวิทยุทรานซิสเตอร์เก่าของพ่อมาลองเปิดฟัง เพื่อคลายความเซ็งในบ่ายวันนั้น แล้วเสียงเพลงบัลลาดเศร้าสร้อยก็ดังขึ้น 🎤 "What have I got to do to make you love me? ... Sorry seems to be the hardest word" 🎶 มันคือเพลง "Sorry Seems To Be The Hardest Word" ของ Elton John ที่ผมได้ยินครั้งแรก และมันฝังใจผมตั้งแต่นั้นมา เพลงนี้ไม่เพียงสะท้อนความสิ้นหวังจากน้ำท่วมที่ทำให้ทุกอย่าง "จบสิ้น" แต่ยังสอนให้ผมเข้าใจว่าคำว่า "ขอโทษ" นั้นพูดยากเพียงใด แม้ในสถานการณ์ที่ดูเรียบง่ายที่สุด อุทกภัยปีนั้นกินเวลายาวนานตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายน สาเหตุจากพายุดีเปรสชันสองลูก เฮอร์เบิร์ตและคิม ที่ทำให้ฝนตกหนัก น้ำทะเลหนุนสูง และน้ำเหนือไหลบ่า ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาสูงกว่าปกติถึง 2 เมตร ส่งผลให้กรุงเทพฯ และปริมณฑลจมน้ำ โรงเรียนและมหาวิทยาลัยอย่างรามคำแหงต้องเลื่อนสอบและเปิดเทอม การคมนาคมหยุดชะงัก ผู้คนต้องใช้เรือแทนรถ และรัฐบาลจัดรายการทีวีพิเศษขอรับบริจาคช่วยเหลือ สำหรับผม เพลงนี้กลายเป็น "เพื่อนคลายเหงา" ในบ่ายไฟดับ มันทำให้ผมสงสัยว่าทำไมคำง่ายๆ อย่าง "ขอโทษ" ถึงพูดยากนัก เหมือนกับน้ำท่วมที่ไม่อาจควบคุมได้ เพลงนี้เกิดขึ้นในปี 1975 ที่ลอสแอนเจลิส 🎹 ซึ่งเป็นกระบวนการสร้างสรรค์ที่แตกต่างจากปกติของ Elton John และ Bernie Taupin คู่หูนักแต่งเพลง โดยปกติ Taupin จะเขียนเนื้อก่อน แล้ว John จึงประพันธ์ทำนอง แต่ครั้งนี้ John นั่งเล่นเปียโนแล้วทำนองเศร้าสร้อยผุดขึ้นมาก่อน พร้อมวลี 🔖 "What have I got to do to make you love me?" Taupin ได้ยินแล้วเติมคำว่า 🔖 "Sorry seems to be the hardest word" เข้าไปอย่างสมบูรณ์แบบ และเขียนเนื้อที่เหลือเสร็จในไม่กี่นาที มันสะท้อนความเจ็บปวดของความสัมพันธ์ที่กำลังล่มสลาย ซึ่งอารมณ์ลึกซึ้งเกินกว่าถ่ายทอดเป็นคำพูดได้ทันที เมื่อปล่อยในปี 1976 เป็นซิงเกิลจากอัลบั้ม Blue Moves 📀 ซึ่งได้รับคำวิจารณ์หลากหลายเพราะเนื้อหาเศร้าและยาวเกินไป แต่ตัวเพลงกลับประสบความสำเร็จอย่างมาก ขึ้นอันดับ 6 ใน Billboard Hot 100 ของสหรัฐฯ อันดับ 1 ในชาร์ต Adult Contemporary ของสหรัฐฯ และแคนาดา อันดับ 3 ในแคนาดาและไอร์แลนด์ อันดับ 11 ในสหราชอาณาจักรและออสเตรเลีย และได้รับการรับรอง Gold ในสหรัฐฯ (ยอดขายกว่า 1 ล้านชุด) และแคนาดา (75,000 ชุด) 📈 นักวิจารณ์จาก Billboard ชมว่าเสียงร้องของ John "จริงใจและน่าเชื่อถือจนเกือบเจ็บปวด" ขณะที่ Cash Box เรียกมันว่า "เพลงรักอ่อนโยนเกี่ยวกับการเลิกรา" เพลงนี้ไม่เคยจางหายจากวัฒนธรรมสมัยนิยม มันถูกนำไปใช้ในภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น Slap Shot (1977) ในฉากเศร้าโศก Rush Hour 3 (2007) และ Gnomeo & Juliet (2011) เพื่อตอกย้ำธีมความขัดแย้งและการแยกจาก 🎥 นอกจากนี้ ยังมีเวอร์ชันคัฟเวอร์มากกว่า 50 เวอร์ชัน จากศิลปินหลากแนวอย่าง Ray Charles (แจ๊ส), Mary J. Blige (โซล), และ Joe Cocker การกลับมาอย่างยิ่งใหญ่เกิดขึ้นในปี 2002 เมื่อวงบอยแบนด์ Blue คัฟเวอร์เพลงนี้และเชิญ John มาร่วมร้อง ทำให้ขึ้นอันดับ 1 ใน UK Singles Chart (เพลงอันดับ 1 ลำดับที่ 3 ของ Blue และที่ 5 ของ John) อันดับ 1 ในฮังการีและเนเธอร์แลนด์ และท็อป 10 ในอีก 16 ประเทศ ได้รับ Gold ในหลายแห่งอย่างสหราชอาณาจักร (400,000 ชุด) และฝรั่งเศส (250,000 ชุด) 🌟 แก่นแท้ของเพลงอยู่ที่จิตวิทยาของการขอโทษ ซึ่ง Taupin อธิบายว่าเป็นความพยายามช่วยชีวิตความสัมพันธ์ที่ตายไปแล้ว คำถามอย่าง "What do I say when it's all over?" แสดงความสิ้นหวังที่เป็นสากล ทำให้เพลงนี้ทรงพลังข้ามกาลเวลา 💔 สำหรับผม เพลงนี้ไม่ใช่แค่เพลงฮิต แต่เป็นเครื่องเตือนใจจากบ่ายน้ำท่วมปี 2526 ว่าความเจ็บปวดและการยอมรับจุดจบนั้นยากเพียงใด แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ที่ทำให้เราเติบโต มรดกของมันยังคงอยู่ เพราะศิลปะที่ซื่อสัตย์ต่ออารมณ์จะเชื่อมโยงผู้คนเสมอ #ลุงเล่าหลานฟัง https://youtu.be/c3nScN89Klo?
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 457 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยัวะ!ฟ้องคนปากพล่อย วิจารณ์เข้าข้างเขมร : [THE MESSAGE]
    นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เผยกรณีทหารระบุหลังเกิดเหตุเหยียบกับระเบิดต้องปกป้องตนเอง ตามกฎหมายระหว่างประเทศสามารถทำได้ การใช้กับระเบิดผิดอนุสัญญาออตตาวา มีขั้นตอนต้องยื่นเรื่องฟ้องร้องกับยูเอ็น กระทรวงการต่างประเทศเตรียมยื่นแล้ว เห็นชัดว่ากัมพูชาไม่มีเจตนาให้เกิดสันติภาพ ขอประชาชนช่วยกันแก้ปัญหา ตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรมที่บอกว่าไปเข้าข้างเขมรไม่จริง มีนักวิจารณ์บางคนพูดว่าให้ตัดขาผมจะได้รู้ว่าหัวอกเป็นอย่างไร ผมจะฟ้องหมดเรื่องนี้ต้องทำให้ประจักษ์ อย่าพูดอะไรพล่อยๆ
    ยัวะ!ฟ้องคนปากพล่อย วิจารณ์เข้าข้างเขมร : [THE MESSAGE] นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เผยกรณีทหารระบุหลังเกิดเหตุเหยียบกับระเบิดต้องปกป้องตนเอง ตามกฎหมายระหว่างประเทศสามารถทำได้ การใช้กับระเบิดผิดอนุสัญญาออตตาวา มีขั้นตอนต้องยื่นเรื่องฟ้องร้องกับยูเอ็น กระทรวงการต่างประเทศเตรียมยื่นแล้ว เห็นชัดว่ากัมพูชาไม่มีเจตนาให้เกิดสันติภาพ ขอประชาชนช่วยกันแก้ปัญหา ตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรมที่บอกว่าไปเข้าข้างเขมรไม่จริง มีนักวิจารณ์บางคนพูดว่าให้ตัดขาผมจะได้รู้ว่าหัวอกเป็นอย่างไร ผมจะฟ้องหมดเรื่องนี้ต้องทำให้ประจักษ์ อย่าพูดอะไรพล่อยๆ
    Haha
    Sad
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 547 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • "อย่าบิดเบือน!" "ภูมิธรรม" โต้เดือด...ยันไม่เข้าข้างเขมร...ลั่นฟ้องแน่! นักวิจารณ์การเมืองเสนอให้ตัดขา
    https://www.thai-tai.tv/news/20884/
    .
    #ภูมิธรรมเวชยชัย #ชายแดนไทยกัมพูชา #ทหารเหยียบระเบิด #ฟ้องUN #ข่าวการเมือง #ไทยไท
    "อย่าบิดเบือน!" "ภูมิธรรม" โต้เดือด...ยันไม่เข้าข้างเขมร...ลั่นฟ้องแน่! นักวิจารณ์การเมืองเสนอให้ตัดขา https://www.thai-tai.tv/news/20884/ . #ภูมิธรรมเวชยชัย #ชายแดนไทยกัมพูชา #ทหารเหยียบระเบิด #ฟ้องUN #ข่าวการเมือง #ไทยไท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
  • "อย่าบิดเบือน!" "ภูมิธรรม" โต้เดือด...ยันไม่เข้าข้างเขมร...ลั่นฟ้องแน่! นักวิจารณ์การเมืองเสนอให้ตัดขา
    https://www.thai-tai.tv/news/20884/
    .
    #ภูมิธรรมเวชยชัย #ชายแดนไทยกัมพูชา #ทหารเหยียบระเบิด #ฟ้องUN #ข่าวการเมือง #ไทยไท
    "อย่าบิดเบือน!" "ภูมิธรรม" โต้เดือด...ยันไม่เข้าข้างเขมร...ลั่นฟ้องแน่! นักวิจารณ์การเมืองเสนอให้ตัดขา https://www.thai-tai.tv/news/20884/ . #ภูมิธรรมเวชยชัย #ชายแดนไทยกัมพูชา #ทหารเหยียบระเบิด #ฟ้องUN #ข่าวการเมือง #ไทยไท
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 164 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากบทความ: เมื่อ “Abundance” ปะทะ “Anti-Monopoly” ในสนามนโยบายที่อยู่อาศัย

    ในช่วงหลังการเลือกตั้งปี 2024 แนวคิด “Abundance” หรือ “ความมั่งคั่งเข้าถึงได้” กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง โดยเสนอให้ลดข้อจำกัดด้านกฎหมายและขั้นตอนราชการ เพื่อเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ที่อยู่อาศัย พลังงาน และการขนส่ง

    แต่ฝ่าย “Anti-Monopoly” หรือ “ต่อต้านการผูกขาด” กลับมองว่าแนวคิดนี้อาจเปิดช่องให้บริษัทขนาดใหญ่เข้ามาครอบครองตลาด โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีหลักฐานว่าบริษัทลงทุนขนาดใหญ่กำลังซื้อบ้านเดี่ยวจำนวนมาก ทำให้ราคาบ้านและค่าเช่าพุ่งสูงขึ้น

    บทความหลายชิ้นชี้ว่า การแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยไม่ควรเลือกข้างระหว่าง “สร้างเยอะ” กับ “ควบคุมตลาด” แต่ควรใช้ทั้งสองแนวทางร่วมกัน เพื่อให้เกิดทั้งปริมาณและความเป็นธรรม

    แนวคิด Abundance เน้นลดข้อจำกัดเพื่อเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐาน
    เช่น ลดขั้นตอนการขออนุญาตก่อสร้าง
    ส่งเสริมการลงทุนในที่อยู่อาศัย พลังงานสะอาด และระบบขนส่ง

    ฝ่าย Anti-Monopoly เตือนว่าการลดข้อจำกัดอาจเปิดช่องให้เกิดการผูกขาด
    โดยเฉพาะในตลาดที่อยู่อาศัยที่บริษัทใหญ่เริ่มครอบครอง
    ส่งผลให้ราคาบ้านและค่าเช่าสูงขึ้น

    นักวิจารณ์เสนอว่าไม่ควรเลือกข้าง แต่ควรใช้ทั้งสองแนวทางร่วมกัน
    สร้างที่อยู่อาศัยให้มากขึ้น
    พร้อมควบคุมไม่ให้ตลาดถูกครอบงำโดยกลุ่มทุน

    มีหลักฐานว่าบริษัทลงทุนขนาดใหญ่ถือครองบ้านเดี่ยวจำนวนมากในบางพื้นที่
    เกิดการรวมศูนย์ในตลาดอสังหาริมทรัพย์
    ทำให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงบ้านได้ยากขึ้น

    แนวคิด Abundance ยังเสนอให้ลดภาระต่อระบบนวัตกรรม เช่น R&D และการพัฒนาเทคโนโลยี
    เพื่อให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เข้าถึงได้ง่าย
    ลดต้นทุนการใช้ชีวิตในระยะยาว

    การลดข้อจำกัดโดยไม่ควบคุมอาจนำไปสู่การผูกขาดในตลาดที่อยู่อาศัย
    บริษัทใหญ่สามารถซื้อบ้านจำนวนมากและควบคุมราคา
    ทำให้ประชาชนทั่วไปเสียโอกาสในการเป็นเจ้าของบ้าน

    การเน้น “สร้างเยอะ” โดยไม่คำนึงถึงคุณภาพและการกระจายอาจสร้างปัญหาใหม่
    ที่อยู่อาศัยอาจไม่ตอบโจทย์ผู้มีรายได้น้อย
    เกิดการกระจุกตัวของโครงสร้างพื้นฐานในบางพื้นที่

    การพึ่งพาภาคเอกชนมากเกินไปอาจทำให้รัฐสูญเสียบทบาทในการกำกับดูแล
    รัฐอาจไม่สามารถควบคุมราคาหรือคุณภาพได้
    ประชาชนอาจกลายเป็นผู้บริโภคที่ไม่มีอำนาจต่อรอง

    การมองข้ามบทบาทของนโยบายต่อต้านการผูกขาดอาจทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำระยะยาว
    ตลาดที่ไม่มีการแข่งขันจะไม่เกิดนวัตกรรม
    ผู้บริโภคต้องจ่ายแพงขึ้นโดยไม่มีทางเลือก

    https://www.derekthompson.org/p/the-anti-abundance-critique-on-housing
    🎙️ เรื่องเล่าจากบทความ: เมื่อ “Abundance” ปะทะ “Anti-Monopoly” ในสนามนโยบายที่อยู่อาศัย ในช่วงหลังการเลือกตั้งปี 2024 แนวคิด “Abundance” หรือ “ความมั่งคั่งเข้าถึงได้” กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง โดยเสนอให้ลดข้อจำกัดด้านกฎหมายและขั้นตอนราชการ เพื่อเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ที่อยู่อาศัย พลังงาน และการขนส่ง แต่ฝ่าย “Anti-Monopoly” หรือ “ต่อต้านการผูกขาด” กลับมองว่าแนวคิดนี้อาจเปิดช่องให้บริษัทขนาดใหญ่เข้ามาครอบครองตลาด โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีหลักฐานว่าบริษัทลงทุนขนาดใหญ่กำลังซื้อบ้านเดี่ยวจำนวนมาก ทำให้ราคาบ้านและค่าเช่าพุ่งสูงขึ้น บทความหลายชิ้นชี้ว่า การแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยไม่ควรเลือกข้างระหว่าง “สร้างเยอะ” กับ “ควบคุมตลาด” แต่ควรใช้ทั้งสองแนวทางร่วมกัน เพื่อให้เกิดทั้งปริมาณและความเป็นธรรม ✅ แนวคิด Abundance เน้นลดข้อจำกัดเพื่อเร่งสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ เช่น ลดขั้นตอนการขออนุญาตก่อสร้าง ➡️ ส่งเสริมการลงทุนในที่อยู่อาศัย พลังงานสะอาด และระบบขนส่ง ✅ ฝ่าย Anti-Monopoly เตือนว่าการลดข้อจำกัดอาจเปิดช่องให้เกิดการผูกขาด ➡️ โดยเฉพาะในตลาดที่อยู่อาศัยที่บริษัทใหญ่เริ่มครอบครอง ➡️ ส่งผลให้ราคาบ้านและค่าเช่าสูงขึ้น ✅ นักวิจารณ์เสนอว่าไม่ควรเลือกข้าง แต่ควรใช้ทั้งสองแนวทางร่วมกัน ➡️ สร้างที่อยู่อาศัยให้มากขึ้น ➡️ พร้อมควบคุมไม่ให้ตลาดถูกครอบงำโดยกลุ่มทุน ✅ มีหลักฐานว่าบริษัทลงทุนขนาดใหญ่ถือครองบ้านเดี่ยวจำนวนมากในบางพื้นที่ ➡️ เกิดการรวมศูนย์ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ➡️ ทำให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงบ้านได้ยากขึ้น ✅ แนวคิด Abundance ยังเสนอให้ลดภาระต่อระบบนวัตกรรม เช่น R&D และการพัฒนาเทคโนโลยี ➡️ เพื่อให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เข้าถึงได้ง่าย ➡️ ลดต้นทุนการใช้ชีวิตในระยะยาว ‼️ การลดข้อจำกัดโดยไม่ควบคุมอาจนำไปสู่การผูกขาดในตลาดที่อยู่อาศัย ⛔ บริษัทใหญ่สามารถซื้อบ้านจำนวนมากและควบคุมราคา ⛔ ทำให้ประชาชนทั่วไปเสียโอกาสในการเป็นเจ้าของบ้าน ‼️ การเน้น “สร้างเยอะ” โดยไม่คำนึงถึงคุณภาพและการกระจายอาจสร้างปัญหาใหม่ ⛔ ที่อยู่อาศัยอาจไม่ตอบโจทย์ผู้มีรายได้น้อย ⛔ เกิดการกระจุกตัวของโครงสร้างพื้นฐานในบางพื้นที่ ‼️ การพึ่งพาภาคเอกชนมากเกินไปอาจทำให้รัฐสูญเสียบทบาทในการกำกับดูแล ⛔ รัฐอาจไม่สามารถควบคุมราคาหรือคุณภาพได้ ⛔ ประชาชนอาจกลายเป็นผู้บริโภคที่ไม่มีอำนาจต่อรอง ‼️ การมองข้ามบทบาทของนโยบายต่อต้านการผูกขาดอาจทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำระยะยาว ⛔ ตลาดที่ไม่มีการแข่งขันจะไม่เกิดนวัตกรรม ⛔ ผู้บริโภคต้องจ่ายแพงขึ้นโดยไม่มีทางเลือก https://www.derekthompson.org/p/the-anti-abundance-critique-on-housing
    WWW.DEREKTHOMPSON.ORG
    The Anti-Abundance Critique on Housing Is Dead Wrong
    Antitrust critics say that homebuilding monopolies are the real culprit of America’s housing woes. I looked into some of their claims. They don’t hold up.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 410 มุมมอง 0 รีวิว
  • ภาพชาวยูเครนหลายพันคนออกมาประท้วงบนถนนในกรุงเคียฟเพื่อต่อต้านเซเลนสกี หลังทำสงครามกับรัสเซียมากว่าสามปี และมีท่าทีจะพ่ายแพ้ รวมทั้งยังเบื่อหน่ายกับข่าวการทุจริตเงินช่วยเหลือจากต่างชาติ

    ล่าสุดถึงขั้นทนไม่ไหว เมื่อรัฐบาลเซเลนสกีพยายามออกกฎหมายที่นักวิจารณ์มองว่าเป็นการบ่อนทำลายหน่วยงานต่อต้านการทุจริตของยูเครน


    ประเด็นสำคัญของกฎหมายฉบับใหม่นี้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาและมีรายงานว่าลงนามโดยเซเลนสกีแล้ว ซึ่งจะทำให้อัยการสูงสุด (ได้รับการแต่งตั้งจากเซเลนสกี) มีอำนาจสั่งการเหนือสำนักงานป้องกันการทุจริตแห่งชาติยูเครน (NABU - National Anti-Corruption Bureau of Ukraine) และสำนักงานอัยการพิเศษเฉพาะกิจเพื่อต่อต้านการทุจริต (SAPO - Specialized Anti-Corruption Prosecutor's Office) ซึ่งจะทำให้ทั้งสององค์กรขาดความเป็นอิสระและความสามารถในการสืบสวนและดำเนินคดีการทุจริตอย่างมีประสิทธิภาพ เหมือนกับการตกอยู่ภายใต้อำนาจของฝ่ายการเมือง

    การประท้วงต่อต้านกฎหมายฉบับนี้ของเซเลนสกี นับเป็นการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลครั้งใหญ่ที่สุดครั้งตั้งแต่ปี 2022 ที่รัสเซียเริ่มบุกยูเครน

    มีประชาชน นักเคลื่อนไหว ทหารผ่านศึก และหน่วยงานเฝ้าระวังการทุจริต เข้าร่วมการชุมนุมประท้วงอย่างกว้างขวาง เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วย โดยเรียกร้องให้เซเลนสกีใช้อำนาจยับยั้งการประกาศใช้กฎหมายฉบับดังกล่าว เพื่อรักษาระบบการต่อต้านและตรวจสอบการทุจริตของยูเครนให้มีอิสระต่อไป

    การประท้วงสะท้อนให้เห็นถึงความคับข้องใจและความโกรธแค้นในหมู่ชาวยูเครนที่เหนื่อยล้าจากสงคราม โดยการนำของเซเลนสกีที่อ้างมาตลอดว่ากำลังสู้เพื่อประชาธิปไตยของยูเครน

    ทางด้านสหภาพยุโรปได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับกฎหมายฉบับดังกล่าวเช่นกัน โดยกรรมาธิการการขยายอำนาจของสหภาพยุโรปเรียกกฎหมายนี้ว่าเป็น "การก้าวถอยหลังครั้งใหญ่ของยูเครน" ซึ่งอาจส่งผลความปรารถนาของยูเครนที่จะเข้าร่วมสหภาพยุโรป รวมทั้งยังคงได้รับความช่วยเหลือทางการเงินและการทหารที่สำคัญจากชาติตะวันตกต่อไป

    สถานการณ์ขณะนี้มีความไม่แน่นอนและวุ่นวายอย่างมากในยูเครน หลายฝ่ายกำลังจับตาดูว่าเซเลนสกีจะจัดการกับการประท้วงและข้อกังวลของนานาชาติเกี่ยวกับกฎหมายใหม่นี้อย่างไร
    ภาพชาวยูเครนหลายพันคนออกมาประท้วงบนถนนในกรุงเคียฟเพื่อต่อต้านเซเลนสกี หลังทำสงครามกับรัสเซียมากว่าสามปี และมีท่าทีจะพ่ายแพ้ รวมทั้งยังเบื่อหน่ายกับข่าวการทุจริตเงินช่วยเหลือจากต่างชาติ ล่าสุดถึงขั้นทนไม่ไหว เมื่อรัฐบาลเซเลนสกีพยายามออกกฎหมายที่นักวิจารณ์มองว่าเป็นการบ่อนทำลายหน่วยงานต่อต้านการทุจริตของยูเครน 👉ประเด็นสำคัญของกฎหมายฉบับใหม่นี้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาและมีรายงานว่าลงนามโดยเซเลนสกีแล้ว ซึ่งจะทำให้อัยการสูงสุด (ได้รับการแต่งตั้งจากเซเลนสกี) มีอำนาจสั่งการเหนือสำนักงานป้องกันการทุจริตแห่งชาติยูเครน (NABU - National Anti-Corruption Bureau of Ukraine) และสำนักงานอัยการพิเศษเฉพาะกิจเพื่อต่อต้านการทุจริต (SAPO - Specialized Anti-Corruption Prosecutor's Office) ซึ่งจะทำให้ทั้งสององค์กรขาดความเป็นอิสระและความสามารถในการสืบสวนและดำเนินคดีการทุจริตอย่างมีประสิทธิภาพ เหมือนกับการตกอยู่ภายใต้อำนาจของฝ่ายการเมือง 👉การประท้วงต่อต้านกฎหมายฉบับนี้ของเซเลนสกี นับเป็นการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลครั้งใหญ่ที่สุดครั้งตั้งแต่ปี 2022 ที่รัสเซียเริ่มบุกยูเครน 👉มีประชาชน นักเคลื่อนไหว ทหารผ่านศึก และหน่วยงานเฝ้าระวังการทุจริต เข้าร่วมการชุมนุมประท้วงอย่างกว้างขวาง เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วย โดยเรียกร้องให้เซเลนสกีใช้อำนาจยับยั้งการประกาศใช้กฎหมายฉบับดังกล่าว เพื่อรักษาระบบการต่อต้านและตรวจสอบการทุจริตของยูเครนให้มีอิสระต่อไป 👉การประท้วงสะท้อนให้เห็นถึงความคับข้องใจและความโกรธแค้นในหมู่ชาวยูเครนที่เหนื่อยล้าจากสงคราม โดยการนำของเซเลนสกีที่อ้างมาตลอดว่ากำลังสู้เพื่อประชาธิปไตยของยูเครน 👉ทางด้านสหภาพยุโรปได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับกฎหมายฉบับดังกล่าวเช่นกัน โดยกรรมาธิการการขยายอำนาจของสหภาพยุโรปเรียกกฎหมายนี้ว่าเป็น "การก้าวถอยหลังครั้งใหญ่ของยูเครน" ซึ่งอาจส่งผลความปรารถนาของยูเครนที่จะเข้าร่วมสหภาพยุโรป รวมทั้งยังคงได้รับความช่วยเหลือทางการเงินและการทหารที่สำคัญจากชาติตะวันตกต่อไป 👉สถานการณ์ขณะนี้มีความไม่แน่นอนและวุ่นวายอย่างมากในยูเครน หลายฝ่ายกำลังจับตาดูว่าเซเลนสกีจะจัดการกับการประท้วงและข้อกังวลของนานาชาติเกี่ยวกับกฎหมายใหม่นี้อย่างไร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 478 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • TasteAtlas เจ้าเก่า จัดอันดับ 50 ไส้กรอกที่ดีที่สุดในโลก ปรากฏว่ามีไส้กรอกจากไทย 2 เมนูติดอันดับด้วย คือ "ไส้กรอกอีสาน" ในอันดับที่ 23 และ "ไส้อั่ว" ในอันดับที่ 49

    TasteAtlas เว็บไซต์รวบรวมสูตรอาหารและรีวิวจากนักวิจารณ์อาหารทั่วโลก ได้จัดอันดับ "50 Best Cooked Sausages" ซึ่งเพิ่งประกาศการจัดอันดับเมื่อวันที่ 19 ก.ค. ที่ผ่านมา

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/travel/detail/9680000068719

    #Thaitimes #MGROnline #TasteAtlas #ไส้กรอกอีสาน #ไส้อั่ว
    TasteAtlas เจ้าเก่า จัดอันดับ 50 ไส้กรอกที่ดีที่สุดในโลก ปรากฏว่ามีไส้กรอกจากไทย 2 เมนูติดอันดับด้วย คือ "ไส้กรอกอีสาน" ในอันดับที่ 23 และ "ไส้อั่ว" ในอันดับที่ 49 • TasteAtlas เว็บไซต์รวบรวมสูตรอาหารและรีวิวจากนักวิจารณ์อาหารทั่วโลก ได้จัดอันดับ "50 Best Cooked Sausages" ซึ่งเพิ่งประกาศการจัดอันดับเมื่อวันที่ 19 ก.ค. ที่ผ่านมา • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>https://mgronline.com/travel/detail/9680000068719 • #Thaitimes #MGROnline #TasteAtlas #ไส้กรอกอีสาน #ไส้อั่ว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 469 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากสนามการเมือง: Altman จากนักวิจารณ์ Trump กลายเป็นพันธมิตรด้าน AI

    ก่อนหน้านี้ Altman เคยเป็นผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตอย่างชัดเจน และวิจารณ์ Trump อย่างเผ็ดร้อนว่าเป็น “ภัยต่อประเทศ” แต่ในปี 2024–2025 เขาเริ่ม “ห่างจากฝั่งซ้าย” ด้วยเหตุผลหลายด้าน เช่น:
    - ไม่เห็นด้วยกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจยุคโควิด
    - ไม่พอใจกฎหมาย CHIPS และการควบคุมการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์
    - กังวลว่าสหรัฐอาจตามหลังจีนในด้าน AI

    เขาจึงประกาศเลิกเป็นเดโมแครตและเรียกตัวเองว่า “politically homeless” พร้อมเริ่มสร้างพันธมิตรกับฝ่ายขวาอย่างเงียบ ๆ โดยเฉพาะในเรื่องนโยบาย AI และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน — ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการแตกหักระหว่าง Musk และ Trump

    ในเดือนกรกฎาคม Altman ปรากฏตัวที่สนามกอล์ฟของ Trump พร้อมรับการแนะนำต่อกลุ่มผู้บริจาคของพรรครีพับลิกันว่าเป็น “ชายผู้ฉลาดมาก” และ “หวังว่าเขาจะพูดเรื่อง AI ถูกต้อง”

    เบื้องหลังคือ OpenAI กำลังผลักดันข้อเสนอใหญ่ ๆ เช่น:
    - การลงทุนรัฐบาลในโครงสร้างพื้นฐาน AI
    - การเปิดทางให้ใช้ไฟฟ้าจำนวนมหาศาลเพื่อรันโมเดล
    - การเร่งรัดการขออนุญาตสร้างศูนย์ข้อมูลระดับ gigawatt
    - การผลักดันโมเดลระดับ Sora, DALL-E, และ text-to-video ให้เป็น “ทรัพย์สินชาติ”

    ภายใน Oval Office Altman ประกาศ “Stargate Initiative” — ความร่วมมือมูลค่า $500B กับ Oracle และ SoftBank เพื่อสร้างโครงสร้างข้อมูล AI ทั่วโลก ซึ่งเป็นดีลที่ Musk เคยพยายามขัดขวางแต่ไม่สำเร็จ

    Sam Altman กลายเป็นที่ปรึกษา Trump ด้านนโยบาย AI หลังจาก Musk แยกตัว
    ปรากฏตัวที่สนามกอล์ฟของ Trump และประกาศความร่วมมือในระดับชาติ

    Altman ประกาศเลิกสนับสนุนพรรคเดโมแครต พร้อมบอกว่า “ไม่ฝักฝ่ายการเมือง”
    กล่าวว่าพรรคเดโมแครต “ขยับซ้ายจนเขาไม่มีที่ยืนทางการเมือง”

    OpenAI ผลักดันการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ผ่าน Stargate Initiative
    ความร่วมมือ $500B กับ SoftBank และ Oracle โดยมี Trump หนุนเต็มตัว

    Altman ขัดแย้งกับเดโมแครตเรื่อง CHIPS Act และข้อจำกัดการส่งออก
    มองว่านโยบายเหล่านั้นทำให้สหรัฐเสียเปรียบจีนในด้าน AI

    นโยบายของ Trump เริ่มสะท้อนคำพูดของ Altman เช่นเน้นการลดข้อจำกัดด้านไฟฟ้าและการสร้างศูนย์ข้อมูล
    เตรียมแปลงที่ดินของรัฐให้เหมาะกับการตั้งโครงสร้างพื้นฐาน AI

    Altman ยืนยันว่าเขายังเชื่อใน techno-capitalism แต่ควรมีระบบแบ่งปันผลประโยชน์
    แสดงว่าเป้าหมายไม่ใช่การสนับสนุนพรรคใด แต่เน้นผลลัพธ์และโอกาส

    https://www.techspot.com/news/108731-sam-altman-steps-political-power-vacuum-after-musk.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากสนามการเมือง: Altman จากนักวิจารณ์ Trump กลายเป็นพันธมิตรด้าน AI ก่อนหน้านี้ Altman เคยเป็นผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตอย่างชัดเจน และวิจารณ์ Trump อย่างเผ็ดร้อนว่าเป็น “ภัยต่อประเทศ” แต่ในปี 2024–2025 เขาเริ่ม “ห่างจากฝั่งซ้าย” ด้วยเหตุผลหลายด้าน เช่น: - ไม่เห็นด้วยกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจยุคโควิด - ไม่พอใจกฎหมาย CHIPS และการควบคุมการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ - กังวลว่าสหรัฐอาจตามหลังจีนในด้าน AI เขาจึงประกาศเลิกเป็นเดโมแครตและเรียกตัวเองว่า “politically homeless” พร้อมเริ่มสร้างพันธมิตรกับฝ่ายขวาอย่างเงียบ ๆ โดยเฉพาะในเรื่องนโยบาย AI และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน — ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการแตกหักระหว่าง Musk และ Trump ในเดือนกรกฎาคม Altman ปรากฏตัวที่สนามกอล์ฟของ Trump พร้อมรับการแนะนำต่อกลุ่มผู้บริจาคของพรรครีพับลิกันว่าเป็น “ชายผู้ฉลาดมาก” และ “หวังว่าเขาจะพูดเรื่อง AI ถูกต้อง” เบื้องหลังคือ OpenAI กำลังผลักดันข้อเสนอใหญ่ ๆ เช่น: - การลงทุนรัฐบาลในโครงสร้างพื้นฐาน AI - การเปิดทางให้ใช้ไฟฟ้าจำนวนมหาศาลเพื่อรันโมเดล - การเร่งรัดการขออนุญาตสร้างศูนย์ข้อมูลระดับ gigawatt - การผลักดันโมเดลระดับ Sora, DALL-E, และ text-to-video ให้เป็น “ทรัพย์สินชาติ” ภายใน Oval Office Altman ประกาศ “Stargate Initiative” — ความร่วมมือมูลค่า $500B กับ Oracle และ SoftBank เพื่อสร้างโครงสร้างข้อมูล AI ทั่วโลก ซึ่งเป็นดีลที่ Musk เคยพยายามขัดขวางแต่ไม่สำเร็จ ✅ Sam Altman กลายเป็นที่ปรึกษา Trump ด้านนโยบาย AI หลังจาก Musk แยกตัว ➡️ ปรากฏตัวที่สนามกอล์ฟของ Trump และประกาศความร่วมมือในระดับชาติ ✅ Altman ประกาศเลิกสนับสนุนพรรคเดโมแครต พร้อมบอกว่า “ไม่ฝักฝ่ายการเมือง” ➡️ กล่าวว่าพรรคเดโมแครต “ขยับซ้ายจนเขาไม่มีที่ยืนทางการเมือง” ✅ OpenAI ผลักดันการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ผ่าน Stargate Initiative ➡️ ความร่วมมือ $500B กับ SoftBank และ Oracle โดยมี Trump หนุนเต็มตัว ✅ Altman ขัดแย้งกับเดโมแครตเรื่อง CHIPS Act และข้อจำกัดการส่งออก ➡️ มองว่านโยบายเหล่านั้นทำให้สหรัฐเสียเปรียบจีนในด้าน AI ✅ นโยบายของ Trump เริ่มสะท้อนคำพูดของ Altman เช่นเน้นการลดข้อจำกัดด้านไฟฟ้าและการสร้างศูนย์ข้อมูล ➡️ เตรียมแปลงที่ดินของรัฐให้เหมาะกับการตั้งโครงสร้างพื้นฐาน AI ✅ Altman ยืนยันว่าเขายังเชื่อใน techno-capitalism แต่ควรมีระบบแบ่งปันผลประโยชน์ ➡️ แสดงว่าเป้าหมายไม่ใช่การสนับสนุนพรรคใด แต่เน้นผลลัพธ์และโอกาส https://www.techspot.com/news/108731-sam-altman-steps-political-power-vacuum-after-musk.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Sam Altman steps into political power vacuum after Musk breaks with Trump
    Less than a month after Musk – formerly a fixture in Trump's inner circle – dramatically split with the president, Altman appeared at Trump's New Jersey golf...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 394 มุมมอง 0 รีวิว
  • สุทธิชัย หยุ่น ซัดปาฐกถา "ทักษิณ" ไร้วิสัยทัศน์! ชี้ "เรื่องลอยๆ-ซ้ำซาก" หลงตัวเองกูเก่งที่สุดในประเทศนี้ ให้คนรุ่นต่อไปเขาได้ทำงานเถอะ
    https://www.thai-tai.tv/news/20373/
    .
    #สุทธิชัยหยุ่น #ทักษิณ #วิสัยทัศน์ประเทศไทย #การเมืองไทย #อดีตนายก #นักวิจารณ์ #ปลดล็อกประเทศไทย #เศรษฐกิจไทย
    สุทธิชัย หยุ่น ซัดปาฐกถา "ทักษิณ" ไร้วิสัยทัศน์! ชี้ "เรื่องลอยๆ-ซ้ำซาก" หลงตัวเองกูเก่งที่สุดในประเทศนี้ ให้คนรุ่นต่อไปเขาได้ทำงานเถอะ https://www.thai-tai.tv/news/20373/ . #สุทธิชัยหยุ่น #ทักษิณ #วิสัยทัศน์ประเทศไทย #การเมืองไทย #อดีตนายก #นักวิจารณ์ #ปลดล็อกประเทศไทย #เศรษฐกิจไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 228 มุมมอง 0 รีวิว
  • เราเคยได้ยินคำว่า AI ถูกฝึกจาก “อินเทอร์เน็ต” หรือ “ฐานข้อมูลสาธารณะ” ใช่ไหมครับ แต่ข่าวนี้แฉว่า Anthropic ซื้อ “หนังสือเล่มจริง” มาจำนวนมหาศาลแล้ว “ตัดสัน ฉีกสแกน” เพื่อใช้เป็นข้อมูลเทรน AI โดยที่ ไม่มีแผนเผยแพร่ digital copy นั้นต่อสาธารณะ ด้วยซ้ำ

    ที่พีคคือ ในคดีความล่าสุด ศาลบางส่วนกลับเห็นว่า “การทำลายหนังสือแล้วแปลงเป็นดิจิทัล” แบบนี้ถือเป็น “การเปลี่ยนรูปแบบที่เพียงพอ” (transformative) ตามหลัก fair use — คือใช้แล้วไม่ละเมิดลิขสิทธิ์

    ฝั่งนักวิจารณ์ไม่เห็นด้วย โดยระบุว่า AI อย่าง Claude แม้จะดูฉลาด แต่บางครั้งก็ “หลุดโควตจากหนังสือแบบคำต่อคำ” ซึ่งเสี่ยงต่อการละเมิด

    ที่สำคัญกว่านั้นคือ คดีนี้ไม่ใช่จบแค่นี้ — ศาลยังให้ Anthropic “ต้องไปขึ้นศาลอีกรอบ” ในเดือนธันวาคมนี้ ฐานนำ “ไฟล์หนังสือเถื่อน” (pirated eBook library) ไปฝึกโมเดล โดยอาจถูกปรับ สูงสุด $150,000 ต่อเล่ม

    https://www.techspot.com/news/108463-anthropic-destroyed-millions-physical-books-train-ai-court.html
    เราเคยได้ยินคำว่า AI ถูกฝึกจาก “อินเทอร์เน็ต” หรือ “ฐานข้อมูลสาธารณะ” ใช่ไหมครับ แต่ข่าวนี้แฉว่า Anthropic ซื้อ “หนังสือเล่มจริง” มาจำนวนมหาศาลแล้ว “ตัดสัน ฉีกสแกน” เพื่อใช้เป็นข้อมูลเทรน AI โดยที่ ไม่มีแผนเผยแพร่ digital copy นั้นต่อสาธารณะ ด้วยซ้ำ ที่พีคคือ ในคดีความล่าสุด ศาลบางส่วนกลับเห็นว่า “การทำลายหนังสือแล้วแปลงเป็นดิจิทัล” แบบนี้ถือเป็น “การเปลี่ยนรูปแบบที่เพียงพอ” (transformative) ตามหลัก fair use — คือใช้แล้วไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ ฝั่งนักวิจารณ์ไม่เห็นด้วย โดยระบุว่า AI อย่าง Claude แม้จะดูฉลาด แต่บางครั้งก็ “หลุดโควตจากหนังสือแบบคำต่อคำ” ซึ่งเสี่ยงต่อการละเมิด ที่สำคัญกว่านั้นคือ คดีนี้ไม่ใช่จบแค่นี้ — ศาลยังให้ Anthropic “ต้องไปขึ้นศาลอีกรอบ” ในเดือนธันวาคมนี้ ฐานนำ “ไฟล์หนังสือเถื่อน” (pirated eBook library) ไปฝึกโมเดล โดยอาจถูกปรับ สูงสุด $150,000 ต่อเล่ม https://www.techspot.com/news/108463-anthropic-destroyed-millions-physical-books-train-ai-court.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Anthropic destroyed millions of physical books to train its AI, court documents reveal
    Buried in the details of a recent split ruling against Anthropic is a surprising revelation: the generative AI company destroyed millions of physical books by cutting off...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 254 มุมมอง 0 รีวิว
  • สำนักข่าว Al Jazeera แฉคลิปเสียงหลุด!ฮุนเซน สั่ง “นายฮวด” ไล่ล่าคนเห็นต่างในไทย — ไม่สนว่าจับได้จะ “เป็นหรือตาย”!นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาภายในกัมพูชา —แต่คือคำสั่งจากผู้นำต่างชาติ ที่ล้ำเส้นเข้ามายัง “แผ่นดินไทย”!ในคลิปเสียงดังกล่าว ฮุนเซนได้สั่งตรงถึง “นายเคลียง ฮวด”ให้ดำเนินการ “ตามล่าคนที่วิพากษ์วิจารณ์ตน แม้จะอยู่ในประเทศไทย”พร้อมกำชับชัดเจนว่า“ไม่ต้องสนใจว่าจับมาได้จะ ‘เป็นหรือตาย’”การลอบสังหารนักการเมืองระดับสูงในกัมพูชา ในปี 2016 นายเขม ไลย์ นักวิจารณ์การเมืองซึ่งเป็นผู้วิพากษ์วิจารณ์ฮุน เซน ชื่อดัง ถูกยิงเสียชีวิตในกรุงพนมเปญ และในปี 2012 นายจุ๊ต วุตติ นักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมก็ถูกสังหารด้วยเช่นกันล่าสุดเมื่อเดือนมกราคมปีนี้ กรณีสังหารนายลิม กิมยา อดีตสมาชิกรัฐสภาวัย 73 ปี ของพรรคแกนนำฝ่ายค้านของกัมพูชาที่ชื่อว่าพรรคกู้ชาติกัมพูชา หรือ ซีเอ็นอาร์พี (Cambodia National Rescue Party - CNRP) ซึ่งพรรคนี้ถูกแบนไปเมื่อปี 2017 จากรายงานของตำรวจไทย เขาถูกยิงด้วยกระสุน 2 นัดบริเวณหน้าอก ทั้งที่เพิ่งเดินทางมาถึงกรุงเทพฯ ด้วยรถบัสจากกัมพูชา พร้อมกับภรรยาที่บริเวณหน้าวัดบวรนิเวศ บางลำพู เขตพระนคร กรุงเทพนายเอกลักษณ์ แพน้อย ผู้ต้องหาก่อเหตุยิงนายลิม กิมยา อดีต สส. ฝ่ายค้านกัมพูชา ถูกจับตัวได้ที่ จ.พระตะบอง ประเทศกัมพูชา หลังหลบหนีออกจากไทย และถูกส่งตัวกลับมาดำเนินคดีที่ไทยแล้วเมื่อวันที่ 11 ม.ค.2568ที่ผ่านมาแล้วเรื่องก็เงียบhttps://youtu.be/FR39vs42N9I
    สำนักข่าว Al Jazeera แฉคลิปเสียงหลุด!ฮุนเซน สั่ง “นายฮวด” ไล่ล่าคนเห็นต่างในไทย — ไม่สนว่าจับได้จะ “เป็นหรือตาย”!นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาภายในกัมพูชา —แต่คือคำสั่งจากผู้นำต่างชาติ ที่ล้ำเส้นเข้ามายัง “แผ่นดินไทย”!ในคลิปเสียงดังกล่าว ฮุนเซนได้สั่งตรงถึง “นายเคลียง ฮวด”ให้ดำเนินการ “ตามล่าคนที่วิพากษ์วิจารณ์ตน แม้จะอยู่ในประเทศไทย”พร้อมกำชับชัดเจนว่า“ไม่ต้องสนใจว่าจับมาได้จะ ‘เป็นหรือตาย’”การลอบสังหารนักการเมืองระดับสูงในกัมพูชา ในปี 2016 นายเขม ไลย์ นักวิจารณ์การเมืองซึ่งเป็นผู้วิพากษ์วิจารณ์ฮุน เซน ชื่อดัง ถูกยิงเสียชีวิตในกรุงพนมเปญ และในปี 2012 นายจุ๊ต วุตติ นักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมก็ถูกสังหารด้วยเช่นกันล่าสุดเมื่อเดือนมกราคมปีนี้ กรณีสังหารนายลิม กิมยา อดีตสมาชิกรัฐสภาวัย 73 ปี ของพรรคแกนนำฝ่ายค้านของกัมพูชาที่ชื่อว่าพรรคกู้ชาติกัมพูชา หรือ ซีเอ็นอาร์พี (Cambodia National Rescue Party - CNRP) ซึ่งพรรคนี้ถูกแบนไปเมื่อปี 2017 จากรายงานของตำรวจไทย เขาถูกยิงด้วยกระสุน 2 นัดบริเวณหน้าอก ทั้งที่เพิ่งเดินทางมาถึงกรุงเทพฯ ด้วยรถบัสจากกัมพูชา พร้อมกับภรรยาที่บริเวณหน้าวัดบวรนิเวศ บางลำพู เขตพระนคร กรุงเทพนายเอกลักษณ์ แพน้อย ผู้ต้องหาก่อเหตุยิงนายลิม กิมยา อดีต สส. ฝ่ายค้านกัมพูชา ถูกจับตัวได้ที่ จ.พระตะบอง ประเทศกัมพูชา หลังหลบหนีออกจากไทย และถูกส่งตัวกลับมาดำเนินคดีที่ไทยแล้วเมื่อวันที่ 11 ม.ค.2568ที่ผ่านมาแล้วเรื่องก็เงียบhttps://youtu.be/FR39vs42N9I
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 602 มุมมอง 0 รีวิว
  • "One Big Beautiful Bill": สภาผู้แทนฯ สหรัฐฯ สนับสนุนแผนของทรัมป์ในการระงับกฎหมาย AI ระดับรัฐเป็นเวลา 10 ปี

    สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ผ่านร่างกฎหมาย "One Big Beautiful Bill" ของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีเป้าหมาย ปรับโครงสร้างภาษีและนโยบายตรวจคนเข้าเมือง แต่ที่เป็นประเด็นร้อนแรงคือ ข้อกำหนดที่ห้ามรัฐออกกฎหมายควบคุม AI เป็นเวลา 10 ปี

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับร่างกฎหมาย "One Big Beautiful Bill"
    ร่างกฎหมายนี้ห้ามรัฐออกกฎหมายควบคุม AI เป็นเวลา 10 ปี
    - ครอบคลุม ทั้งโมเดล AI และผลิตภัณฑ์ที่ใช้ AI เช่น รถยนต์, IoT, โซเชียลมีเดีย และอุปกรณ์ทางการแพทย์

    นักวิจารณ์กังวลว่าการระงับกฎหมายระดับรัฐอาจเปิดช่องให้ AI ถูกใช้ในทางที่ผิด
    - อาจทำให้ นักพัฒนา AI สามารถสร้างระบบที่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยและความมั่นคง

    สมาชิกพรรครีพับลิกันบางส่วนเตือนว่าร่างกฎหมายนี้อาจกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
    - วุฒิสมาชิก Marsha Blackburn และ Josh Hawley ระบุว่าอาจทำให้ Deepfake และภัยคุกคาม AI เพิ่มขึ้น

    องค์กรด้านสิทธิและความเป็นส่วนตัว เช่น Electronic Frontier Foundation คัดค้านร่างกฎหมายนี้
    - มองว่า เป็นความพยายามของ Big Tech ในการลดข้อจำกัดด้าน AI

    ผู้สนับสนุนร่างกฎหมายมองว่าการระงับกฎหมายระดับรัฐช่วยให้บริษัทสหรัฐฯ แข่งขันกับจีนได้ดีขึ้น
    - เชื่อว่า กฎระเบียบที่เข้มงวดอาจขัดขวางนวัตกรรมและลดโอกาสของสหรัฐฯ ในการเป็นผู้นำด้าน AI

    ร่างกฎหมายยังต้องผ่านการพิจารณาของวุฒิสภาก่อนที่ทรัมป์จะลงนามเป็นกฎหมาย
    - นักวิเคราะห์มองว่า ทรัมป์อาจเผชิญแรงต้านจากวุฒิสมาชิกที่กังวลเรื่องอำนาจของรัฐ

    https://www.techspot.com/news/108036-one-big-beautiful-bill-house-backs-trump-plan.html
    "One Big Beautiful Bill": สภาผู้แทนฯ สหรัฐฯ สนับสนุนแผนของทรัมป์ในการระงับกฎหมาย AI ระดับรัฐเป็นเวลา 10 ปี สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ผ่านร่างกฎหมาย "One Big Beautiful Bill" ของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีเป้าหมาย ปรับโครงสร้างภาษีและนโยบายตรวจคนเข้าเมือง แต่ที่เป็นประเด็นร้อนแรงคือ ข้อกำหนดที่ห้ามรัฐออกกฎหมายควบคุม AI เป็นเวลา 10 ปี 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับร่างกฎหมาย "One Big Beautiful Bill" ✅ ร่างกฎหมายนี้ห้ามรัฐออกกฎหมายควบคุม AI เป็นเวลา 10 ปี - ครอบคลุม ทั้งโมเดล AI และผลิตภัณฑ์ที่ใช้ AI เช่น รถยนต์, IoT, โซเชียลมีเดีย และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ✅ นักวิจารณ์กังวลว่าการระงับกฎหมายระดับรัฐอาจเปิดช่องให้ AI ถูกใช้ในทางที่ผิด - อาจทำให้ นักพัฒนา AI สามารถสร้างระบบที่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยและความมั่นคง ✅ สมาชิกพรรครีพับลิกันบางส่วนเตือนว่าร่างกฎหมายนี้อาจกระทบต่อความมั่นคงของชาติ - วุฒิสมาชิก Marsha Blackburn และ Josh Hawley ระบุว่าอาจทำให้ Deepfake และภัยคุกคาม AI เพิ่มขึ้น ✅ องค์กรด้านสิทธิและความเป็นส่วนตัว เช่น Electronic Frontier Foundation คัดค้านร่างกฎหมายนี้ - มองว่า เป็นความพยายามของ Big Tech ในการลดข้อจำกัดด้าน AI ✅ ผู้สนับสนุนร่างกฎหมายมองว่าการระงับกฎหมายระดับรัฐช่วยให้บริษัทสหรัฐฯ แข่งขันกับจีนได้ดีขึ้น - เชื่อว่า กฎระเบียบที่เข้มงวดอาจขัดขวางนวัตกรรมและลดโอกาสของสหรัฐฯ ในการเป็นผู้นำด้าน AI ✅ ร่างกฎหมายยังต้องผ่านการพิจารณาของวุฒิสภาก่อนที่ทรัมป์จะลงนามเป็นกฎหมาย - นักวิเคราะห์มองว่า ทรัมป์อาจเผชิญแรงต้านจากวุฒิสมาชิกที่กังวลเรื่องอำนาจของรัฐ https://www.techspot.com/news/108036-one-big-beautiful-bill-house-backs-trump-plan.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    "One Big Beautiful Bill": House backs Trump plan to freeze state AI laws for a decade
    The moratorium applies not only to AI models but also to any products or services integrating AI, effectively banning and overriding state regulations in those areas. The...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 367 มุมมอง 0 รีวิว
  • อียูประกาศยกเลิกคว่ำบาตรซีเรีย หลังจากสหรัฐประกาศยกเลิกไปเมื่อหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา

    หัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรป "คาจา คัลลาส" ประกาศเมื่อวันอังคารว่า จะยกเลิกการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจทั้งหมดต่อซีเรีย โดยมุ่งหวังที่จะสนับสนุนประชาชนซีเรียและส่งเสริมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

    ทางด้านรัฐมนตรีต่างประเทศของซีเรีย "อาซาด อัล-ชาอิบานี" เรียกร้องให้ตะวันตกยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรที่ครอบคลุมด้านการเงินและธนาคาร ซึ่งจะทำให้ธนาคารซีเรียสามารถเข้าสู่ระบบทั่วโลกได้ และต้องการให้ยกเลิกอายัดทรัพย์สินของธนาคารกลางด้วย

    ตลอดเวลาที่ผ่านมาจากการรวมหัวกันใช้มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐและยุโรปอย่างรุนแรง ทำให้ประชากรซีเรียมากกว่า 90% ต้องเผชิญกับความยากจน และ 12 ล้านคนอยู่ในภาวะการขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง!!

    นักวิจารณ์เตือนถึง การยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐและยุโรป อย่างรวดเร็วเช่นนี้ อาจทำให้การปกครองแบบกลุ่มก่อการร้าย HTS กลับมาแข้มแข็ง และจะเกิดสงครามกลางเมืองจากชนกลุ่มน้อยภายในซีเรียที่หวั่นเกรงแนวนโยบายบริหารของอดีตผู้ก่อการร้าย

    เช่นเดียวกับมาร์โก รูบิโอ เพิ่งตอบคำถามในรัฐสภาสหรัฐว่า แนวโน้มของซีเรียกำลังย่างก้าวเข้าสู่สงครามกลางเมืองในเร็ววันนี้
    อียูประกาศยกเลิกคว่ำบาตรซีเรีย หลังจากสหรัฐประกาศยกเลิกไปเมื่อหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา หัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรป "คาจา คัลลาส" ประกาศเมื่อวันอังคารว่า จะยกเลิกการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจทั้งหมดต่อซีเรีย โดยมุ่งหวังที่จะสนับสนุนประชาชนซีเรียและส่งเสริมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ทางด้านรัฐมนตรีต่างประเทศของซีเรีย "อาซาด อัล-ชาอิบานี" เรียกร้องให้ตะวันตกยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรที่ครอบคลุมด้านการเงินและธนาคาร ซึ่งจะทำให้ธนาคารซีเรียสามารถเข้าสู่ระบบทั่วโลกได้ และต้องการให้ยกเลิกอายัดทรัพย์สินของธนาคารกลางด้วย 👉 ตลอดเวลาที่ผ่านมาจากการรวมหัวกันใช้มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐและยุโรปอย่างรุนแรง ทำให้ประชากรซีเรียมากกว่า 90% ต้องเผชิญกับความยากจน และ 12 ล้านคนอยู่ในภาวะการขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง!! นักวิจารณ์เตือนถึง การยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐและยุโรป อย่างรวดเร็วเช่นนี้ อาจทำให้การปกครองแบบกลุ่มก่อการร้าย HTS กลับมาแข้มแข็ง และจะเกิดสงครามกลางเมืองจากชนกลุ่มน้อยภายในซีเรียที่หวั่นเกรงแนวนโยบายบริหารของอดีตผู้ก่อการร้าย เช่นเดียวกับมาร์โก รูบิโอ เพิ่งตอบคำถามในรัฐสภาสหรัฐว่า แนวโน้มของซีเรียกำลังย่างก้าวเข้าสู่สงครามกลางเมืองในเร็ววันนี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 545 มุมมอง 0 รีวิว
  • มหาดไทยเหิมเกริม อ้าง PDPA ลบชื่อผู้ทิ้งงาน

    บัญชีรายชื่อผู้ทิ้งงาน เป็นมาตรการลงโทษสำหรับผู้รับจ้างหรือคู่สัญญาของหน่วยงานของรัฐที่ได้รับการคัดเลือกแล้วแต่ไม่ยอมทำสัญญา ไม่ปฎิบัติตามสัญญาโดยไม่มีเหตุอันควร มีลักษณะขัดขวางการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม ผลการปฎิบัติงานมีข้อบกพร่อง ผิดพลาด หรือก่อให้เกิดความเสียหายแก่หน่วยงานของรัฐอย่างร้ายแรง และไม่ปฎิบัติตามมาตรา 88 พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ปี 2560 โดยมีอายุความ 10 ปี

    มาบัดนี้กลายเป็นประเด็นความไม่ชอบมาพากล เมื่อนายมานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ออกมาเปิดประเด็นว่า เมื่อต้นเดือน เม.ย. ที่ผ่านมากระทรวงมหาดไทยได้มีหนังสือแจ้งไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ ให้ลบรายชื่อบริษัทที่ถูกขึ้นบัญชี “ผู้ทิ้งงาน” ออกจากเว็บไซต์ โดยอ้างการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA)

    "นี่่คือการกระทำที่ส่งสัญญาณชัดว่า ระบบราชการกำลังเอื้อประโยชน์ให้คนผิดและพยายามลบล้างร่องรอยของความล้มเหลวแทนที่จะเปิดเผยความจริงเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ" นายมานะ ระบุ

    เฟซบุ๊ก Sarinee Achavanuntakul ของ น.ส.สฤณี อาชวานันทกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและนักวิจารณ์สังคม มองว่าเป็นการอ้างมั่วมาก เพราะกฎหมาย PDPA เขียนข้อยกเว้นชัดอยู่แล้วในมาตรา 24 ว่ากรณีไหนบ้างที่ไม่ต้องขอความยินยอม ได้แก่

    (4) เป็นการจำเป็นเพื่อการปฏิบัติหน้าที่ในการดำเนินภารกิจเพื่อประโยชน์สาธารณะของผู้ควบคุม ข้อมูลส่วนบุคคล หรือปฏิบัติหน้าที่ในการใช้อำนาจรัฐที่ได้มอบให้แก่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล

    (5) เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล หรือของบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล เว้นแต่ประโยชน์ดังกล่าวมีความสำคัญน้อยกว่าสิทธิขั้นพื้นฐานในข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

    สำหรับหนังสือดังกล่าวเป็นของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ที่ มท.0808.2/ว.1558 ลงวันที่ 2 เม.ย. ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ขอความอนุเคราะห์ลบข้อมูลของผู้ประกอบการที่ถูกแจ้งเวียนชื่อให้เป็นผู้ทิ้งงานและเพิกถอนรายชื่อผู้ทิ้งงาน โดยอ้างว่าคณะอนุกรรมการกลั่นกรองการพิจารณาผู้ทิ้งงานแจ้งว่า มีผู้ประกอบการได้ขอให้กรมบัญชีกลางลบชื่อผู้ประกอบการ ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับนิติบุคคล เลขทะเบียนนิติบุคคล ชื่อกรรมการผู้จัดการ ชื่อหุ้นส่วนผู้จัดการ ที่อยู่ และเลขบัตรประชาชน ซึ่งอาจเป็นช่องทางให้มิจฉาชีพนำไปใช้ในทางผิดกฎหมายได้ ลงนามโดย นายสุรพล เจริญภูมิ รองอธิบดี ปฎิบัติราชการแทนอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น

    #Newskit
    มหาดไทยเหิมเกริม อ้าง PDPA ลบชื่อผู้ทิ้งงาน บัญชีรายชื่อผู้ทิ้งงาน เป็นมาตรการลงโทษสำหรับผู้รับจ้างหรือคู่สัญญาของหน่วยงานของรัฐที่ได้รับการคัดเลือกแล้วแต่ไม่ยอมทำสัญญา ไม่ปฎิบัติตามสัญญาโดยไม่มีเหตุอันควร มีลักษณะขัดขวางการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม ผลการปฎิบัติงานมีข้อบกพร่อง ผิดพลาด หรือก่อให้เกิดความเสียหายแก่หน่วยงานของรัฐอย่างร้ายแรง และไม่ปฎิบัติตามมาตรา 88 พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ปี 2560 โดยมีอายุความ 10 ปี มาบัดนี้กลายเป็นประเด็นความไม่ชอบมาพากล เมื่อนายมานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ออกมาเปิดประเด็นว่า เมื่อต้นเดือน เม.ย. ที่ผ่านมากระทรวงมหาดไทยได้มีหนังสือแจ้งไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ ให้ลบรายชื่อบริษัทที่ถูกขึ้นบัญชี “ผู้ทิ้งงาน” ออกจากเว็บไซต์ โดยอ้างการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) "นี่่คือการกระทำที่ส่งสัญญาณชัดว่า ระบบราชการกำลังเอื้อประโยชน์ให้คนผิดและพยายามลบล้างร่องรอยของความล้มเหลวแทนที่จะเปิดเผยความจริงเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ" นายมานะ ระบุ เฟซบุ๊ก Sarinee Achavanuntakul ของ น.ส.สฤณี อาชวานันทกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและนักวิจารณ์สังคม มองว่าเป็นการอ้างมั่วมาก เพราะกฎหมาย PDPA เขียนข้อยกเว้นชัดอยู่แล้วในมาตรา 24 ว่ากรณีไหนบ้างที่ไม่ต้องขอความยินยอม ได้แก่ (4) เป็นการจำเป็นเพื่อการปฏิบัติหน้าที่ในการดำเนินภารกิจเพื่อประโยชน์สาธารณะของผู้ควบคุม ข้อมูลส่วนบุคคล หรือปฏิบัติหน้าที่ในการใช้อำนาจรัฐที่ได้มอบให้แก่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล (5) เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล หรือของบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล เว้นแต่ประโยชน์ดังกล่าวมีความสำคัญน้อยกว่าสิทธิขั้นพื้นฐานในข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล สำหรับหนังสือดังกล่าวเป็นของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ที่ มท.0808.2/ว.1558 ลงวันที่ 2 เม.ย. ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ขอความอนุเคราะห์ลบข้อมูลของผู้ประกอบการที่ถูกแจ้งเวียนชื่อให้เป็นผู้ทิ้งงานและเพิกถอนรายชื่อผู้ทิ้งงาน โดยอ้างว่าคณะอนุกรรมการกลั่นกรองการพิจารณาผู้ทิ้งงานแจ้งว่า มีผู้ประกอบการได้ขอให้กรมบัญชีกลางลบชื่อผู้ประกอบการ ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับนิติบุคคล เลขทะเบียนนิติบุคคล ชื่อกรรมการผู้จัดการ ชื่อหุ้นส่วนผู้จัดการ ที่อยู่ และเลขบัตรประชาชน ซึ่งอาจเป็นช่องทางให้มิจฉาชีพนำไปใช้ในทางผิดกฎหมายได้ ลงนามโดย นายสุรพล เจริญภูมิ รองอธิบดี ปฎิบัติราชการแทนอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น #Newskit
    Angry
    2
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 688 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำพูดตลกของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียเกี่ยวกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม และ “ภรรยาคนที่สอง” ทำให้คนในประเทศเกิดปฏิกิริยาที่หลากหลาย โดยทำให้ผู้ใช้โซเชียลมีเดียรู้สึกขบขัน แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้คนอื่นๆรู้สึกไม่พอใจเพราะยังคงไว้อาลัยเที่ยวบิน MH17 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ หลังจากที่รัสเซียถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เครื่องบินตกเมื่อปี 2014 ระหว่างที่อันวาร์เยือนกรุงมอสโก

    อันวาร์อยู่ระหว่างการเยือนรัสเซียอย่างเป็นทางการ 4 วันตามคำเชิญของปูติน โดยทั้งสองฝ่ายต่างยกย่องความร่วมมือที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นในภาคส่วนต่างๆ เช่น อวกาศ ปัญญาประดิษฐ์ และเทคโนโลยีดิจิทัล

    แต่คำพูดที่หลุดจากปากของปูตินเองต่างหากที่ดึงดูดความสนใจ

    ในการแถลงข่าวร่วมกันที่กรุงมอสโกเมื่อวันพุธที่14 พ.ค. ผู้นำรัสเซียเล่าว่าพาอันวาร์ชมห้องโถงเซนต์แอนดรูว์อันโอ่อ่าในเครมลิน ซึ่งเป็นที่ตั้งของบัลลังก์พิธีการ 3 บัลลังก์ที่ราชวงศ์รัสเซียเคยใช้ ผู้นำรัสเซียอธิบายว่าบัลลังก์หนึ่งเป็นของซาร์ และอีกบัลลังก์หนึ่งเป็นของภรรยา จากนั้นจึงถามผู้นำมาเลเซียว่าบัลลังก์ที่สามเป็นของใคร

    “นายกรัฐมนตรีอันวาร์กล่าวโดยไม่คิดอะไรเลยว่า ‘เพื่อภรรยาคนที่สอง’” ปูตินกล่าว ทำให้ผู้ฟังหัวเราะ “ฉันหวังว่าเขาจะไม่โกรธฉันที่พูดแบบนั้น แต่นี่คือคำตอบของมุสลิมแท้ ตัวแทนที่แท้จริงของวัฒนธรรมอิสลาม”

    อันวาร์ซึ่งหัวเราะขณะที่ปูตินเล่าเรื่องนี้ตอบกลับว่า “ผมมีภรรยาคนเดียวเท่านั้น ท่านประธานาธิบดี” และเสริมว่าภายหลังเขาเพิ่งตระหนักว่าบัลลังก์ที่สามนั้นเป็นของพระมารดาของซาร์

    ชาวมาเลเซียรีบล้อเลียนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นนี้บนโซเชียลมีเดีย โดยบางคนเสนอว่าควรมีเพลง “Russia Sayang” เป็นเพลงประกอบการเยือนของอันวาร์ ซึ่งเป็นการเล่นคำกับเพลง “Rasa Sayang” ซึ่งเป็นเพลงพื้นบ้านยอดนิยมของชาวมาเลย์ที่แปลว่า “ความรู้สึกรัก”

    “จากรัสเซียด้วยความรัก” ผู้ใช้รายหนึ่งชื่ออัซลัน อับดุลลาห์ เขียน พร้อมเพิ่มอีโมจิหัวเราะในความคิดเห็นบนเฟซบุ๊กของเขา

    อย่างไรก็ตาม ชาวมาเลเซียบางคนก็ไม่ได้รู้สึกขบขัน นักวิจารณ์โต้แย้งว่าความตลกโปกฮานี้ขาดความจริงจัง เนื่องจากรัสเซียมีบทบาทในเหตุโศกนาฏกรรม MH17 ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไป 298 ราย รวมถึงชาวมาเลเซีย 43 ราย เมื่อเครื่องบินถูกขีปนาวุธพื้นสู่อากาศ Buk ที่ผลิตโดยรัสเซียโจมตีเหนือยูเครนตะวันออกในเดือนกรกฎาคม 2557 ระหว่างการสู้รบระหว่างกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่สนับสนุนมอสโกวและกองกำลังยูเครน

    ผู้ใช้รายหนึ่งแสดงความคิดเห็นว่า “เขาคิดว่าเขาไปมอสโกวเพื่อเรียกร้องคำตอบเกี่ยวกับ MH17 แต่กลับกลายเป็นว่าเขากำลังเล่าเรื่องตลกเกี่ยวกับภรรยาคนที่สองกับปูตินแทน” ผู้ใช้อีกรายเขียนว่า “หัวเราะและเล่าเรื่องตลกในขณะที่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตจาก MH17 ร้องไห้” ในโพสต์ที่แชร์คลิปการแถลงข่าวที่กลายเป็นไวรัล

    เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา คณะกรรมการองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ตัดสินว่ารัสเซียต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์เครื่องบิน MH17 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ถูกยิงตก

    คำตัดสินดังกล่าวระบุว่ารัสเซียละเมิดอนุสัญญาชิคาโก ซึ่งห้ามใช้อาวุธโจมตีเครื่องบินพลเรือนขณะบิน และเปิดโอกาสให้รัฐที่ได้รับผลกระทบเรียกร้องค่าชดเชยแทนครอบครัวของผู้เสียชีวิตผ่านกลไกทางกฎหมายระหว่างประเทศ

    เครมลินปฏิเสธคำตัดสินดังกล่าวโดยระบุว่า “ลำเอียง” โดยให้เหตุผลว่ามอสโกไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการสอบสวน

    ในการแถลงข่าวแยกกับสื่อมาเลเซียในกรุงมอสโก อันวาร์กล่าวว่าปูตินบอกกับเขาว่ารัสเซียเปิดกว้างที่จะให้ความร่วมมือในคดีนี้ แต่เฉพาะกับหน่วยงานสอบสวนที่ถือว่าเป็นกลางเท่านั้น

    “สิ่งที่ฉันยืนยันได้คือเขากล่าวว่าไม่เป็นความจริงที่จะบอกว่าพวกเขาไม่เต็มใจที่จะให้ความร่วมมือ แต่พวกเขาไม่สามารถให้ความร่วมมือกับใครก็ตามที่รัสเซียถือว่าไม่เป็นอิสระ” เขากล่าว

    มาเลเซียซึ่งสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัสเซียในช่วงยุคโซเวียตในทศวรรษ 1960 นำเข้าธัญพืช น้ำมันกลั่น และอาวุธจากรัสเซีย และล่าสุดหันไปหามอสโกเพื่อขอการสนับสนุนในการพยายามเข้าร่วมกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่บริกส์

    ที่มา Putin’s ‘second wife’ joke about Anwar draws laughs and backlash in Malaysia
    https://www.scmp.com/week-asia/politics/article/3310606/putins-second-wife-joke-about-malaysias-anwar-draws-laughs-and-anger-amid-mh17-ruling?share=mYixsqD3Gx74oC2WLCVGDbUSw3YQ5trX%2FyBWyU9E0%2F%2FQDIcV%2Ba96vAUpBw3v%2BoxVR4RAImnq9JxgzHKpT4WMZjU%2BOyv%2BvSxYeWul0pVvbj0%3D&utm_campaign=social_share
    คำพูดตลกของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียเกี่ยวกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม และ “ภรรยาคนที่สอง” ทำให้คนในประเทศเกิดปฏิกิริยาที่หลากหลาย โดยทำให้ผู้ใช้โซเชียลมีเดียรู้สึกขบขัน แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้คนอื่นๆรู้สึกไม่พอใจเพราะยังคงไว้อาลัยเที่ยวบิน MH17 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ หลังจากที่รัสเซียถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เครื่องบินตกเมื่อปี 2014 ระหว่างที่อันวาร์เยือนกรุงมอสโก อันวาร์อยู่ระหว่างการเยือนรัสเซียอย่างเป็นทางการ 4 วันตามคำเชิญของปูติน โดยทั้งสองฝ่ายต่างยกย่องความร่วมมือที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นในภาคส่วนต่างๆ เช่น อวกาศ ปัญญาประดิษฐ์ และเทคโนโลยีดิจิทัล แต่คำพูดที่หลุดจากปากของปูตินเองต่างหากที่ดึงดูดความสนใจ ในการแถลงข่าวร่วมกันที่กรุงมอสโกเมื่อวันพุธที่14 พ.ค. ผู้นำรัสเซียเล่าว่าพาอันวาร์ชมห้องโถงเซนต์แอนดรูว์อันโอ่อ่าในเครมลิน ซึ่งเป็นที่ตั้งของบัลลังก์พิธีการ 3 บัลลังก์ที่ราชวงศ์รัสเซียเคยใช้ ผู้นำรัสเซียอธิบายว่าบัลลังก์หนึ่งเป็นของซาร์ และอีกบัลลังก์หนึ่งเป็นของภรรยา จากนั้นจึงถามผู้นำมาเลเซียว่าบัลลังก์ที่สามเป็นของใคร “นายกรัฐมนตรีอันวาร์กล่าวโดยไม่คิดอะไรเลยว่า ‘เพื่อภรรยาคนที่สอง’” ปูตินกล่าว ทำให้ผู้ฟังหัวเราะ “ฉันหวังว่าเขาจะไม่โกรธฉันที่พูดแบบนั้น แต่นี่คือคำตอบของมุสลิมแท้ ตัวแทนที่แท้จริงของวัฒนธรรมอิสลาม” อันวาร์ซึ่งหัวเราะขณะที่ปูตินเล่าเรื่องนี้ตอบกลับว่า “ผมมีภรรยาคนเดียวเท่านั้น ท่านประธานาธิบดี” และเสริมว่าภายหลังเขาเพิ่งตระหนักว่าบัลลังก์ที่สามนั้นเป็นของพระมารดาของซาร์ ชาวมาเลเซียรีบล้อเลียนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นนี้บนโซเชียลมีเดีย โดยบางคนเสนอว่าควรมีเพลง “Russia Sayang” เป็นเพลงประกอบการเยือนของอันวาร์ ซึ่งเป็นการเล่นคำกับเพลง “Rasa Sayang” ซึ่งเป็นเพลงพื้นบ้านยอดนิยมของชาวมาเลย์ที่แปลว่า “ความรู้สึกรัก” “จากรัสเซียด้วยความรัก” ผู้ใช้รายหนึ่งชื่ออัซลัน อับดุลลาห์ เขียน พร้อมเพิ่มอีโมจิหัวเราะในความคิดเห็นบนเฟซบุ๊กของเขา อย่างไรก็ตาม ชาวมาเลเซียบางคนก็ไม่ได้รู้สึกขบขัน นักวิจารณ์โต้แย้งว่าความตลกโปกฮานี้ขาดความจริงจัง เนื่องจากรัสเซียมีบทบาทในเหตุโศกนาฏกรรม MH17 ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไป 298 ราย รวมถึงชาวมาเลเซีย 43 ราย เมื่อเครื่องบินถูกขีปนาวุธพื้นสู่อากาศ Buk ที่ผลิตโดยรัสเซียโจมตีเหนือยูเครนตะวันออกในเดือนกรกฎาคม 2557 ระหว่างการสู้รบระหว่างกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่สนับสนุนมอสโกวและกองกำลังยูเครน ผู้ใช้รายหนึ่งแสดงความคิดเห็นว่า “เขาคิดว่าเขาไปมอสโกวเพื่อเรียกร้องคำตอบเกี่ยวกับ MH17 แต่กลับกลายเป็นว่าเขากำลังเล่าเรื่องตลกเกี่ยวกับภรรยาคนที่สองกับปูตินแทน” ผู้ใช้อีกรายเขียนว่า “หัวเราะและเล่าเรื่องตลกในขณะที่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตจาก MH17 ร้องไห้” ในโพสต์ที่แชร์คลิปการแถลงข่าวที่กลายเป็นไวรัล เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา คณะกรรมการองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ตัดสินว่ารัสเซียต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์เครื่องบิน MH17 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ถูกยิงตก คำตัดสินดังกล่าวระบุว่ารัสเซียละเมิดอนุสัญญาชิคาโก ซึ่งห้ามใช้อาวุธโจมตีเครื่องบินพลเรือนขณะบิน และเปิดโอกาสให้รัฐที่ได้รับผลกระทบเรียกร้องค่าชดเชยแทนครอบครัวของผู้เสียชีวิตผ่านกลไกทางกฎหมายระหว่างประเทศ เครมลินปฏิเสธคำตัดสินดังกล่าวโดยระบุว่า “ลำเอียง” โดยให้เหตุผลว่ามอสโกไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการสอบสวน ในการแถลงข่าวแยกกับสื่อมาเลเซียในกรุงมอสโก อันวาร์กล่าวว่าปูตินบอกกับเขาว่ารัสเซียเปิดกว้างที่จะให้ความร่วมมือในคดีนี้ แต่เฉพาะกับหน่วยงานสอบสวนที่ถือว่าเป็นกลางเท่านั้น “สิ่งที่ฉันยืนยันได้คือเขากล่าวว่าไม่เป็นความจริงที่จะบอกว่าพวกเขาไม่เต็มใจที่จะให้ความร่วมมือ แต่พวกเขาไม่สามารถให้ความร่วมมือกับใครก็ตามที่รัสเซียถือว่าไม่เป็นอิสระ” เขากล่าว มาเลเซียซึ่งสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัสเซียในช่วงยุคโซเวียตในทศวรรษ 1960 นำเข้าธัญพืช น้ำมันกลั่น และอาวุธจากรัสเซีย และล่าสุดหันไปหามอสโกเพื่อขอการสนับสนุนในการพยายามเข้าร่วมกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่บริกส์ ที่มา Putin’s ‘second wife’ joke about Anwar draws laughs and backlash in Malaysia https://www.scmp.com/week-asia/politics/article/3310606/putins-second-wife-joke-about-malaysias-anwar-draws-laughs-and-anger-amid-mh17-ruling?share=mYixsqD3Gx74oC2WLCVGDbUSw3YQ5trX%2FyBWyU9E0%2F%2FQDIcV%2Ba96vAUpBw3v%2BoxVR4RAImnq9JxgzHKpT4WMZjU%2BOyv%2BvSxYeWul0pVvbj0%3D&utm_campaign=social_share
    WWW.SCMP.COM
    Putin’s ‘second wife’ joke about Anwar draws laughs and backlash in Malaysia
    While some social media users were amused by the leaders’ moment of levity, others felt it was inappropriate in light of the MH17 tragedy.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 759 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐมนตรีกลาโหม พีท เฮกเซธ ของสหรัฐฯ ออกคำสั่ง ให้ลดจำนวนนายทหารอาวุโสระดับพลเอก หรือที่นิยมเรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่า นายพล 4 ดาว เป็นจำนวน 20% ขณะที่คณะบริหารของทรัมป์เดินหน้าแผนปลดเจ้าหน้าที่มากขึ้นเรื่อยๆ โดยระบุว่า เพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพของกองทัพ อย่างไรก็ดี พวกนักวิจารณ์แสดงความกังวลว่าอาจส่งผลทำให้เกิดกำลังทหารที่ฝักใฝ่เลือกข้างทางการเมืองมากยิ่งขึ้น
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000042483

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    รัฐมนตรีกลาโหม พีท เฮกเซธ ของสหรัฐฯ ออกคำสั่ง ให้ลดจำนวนนายทหารอาวุโสระดับพลเอก หรือที่นิยมเรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่า นายพล 4 ดาว เป็นจำนวน 20% ขณะที่คณะบริหารของทรัมป์เดินหน้าแผนปลดเจ้าหน้าที่มากขึ้นเรื่อยๆ โดยระบุว่า เพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพของกองทัพ อย่างไรก็ดี พวกนักวิจารณ์แสดงความกังวลว่าอาจส่งผลทำให้เกิดกำลังทหารที่ฝักใฝ่เลือกข้างทางการเมืองมากยิ่งขึ้น . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000042483 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    Love
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1238 มุมมอง 0 รีวิว
  • รัฐบาลทรัมป์ได้เสนอร่างงบประมาณปี 2026 ที่มีการลดงบประมาณของ NASA ลงถึง 20% หรือประมาณ 5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อโครงการวิทยาศาสตร์และความเป็นผู้นำด้านอวกาศของสหรัฐฯ

    การลดงบประมาณของ NASA:
    - งบประมาณของ NASA จะลดลงจาก 25 พันล้านดอลลาร์เหลือ 20 พันล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะในส่วนของ Science Mission Directorate
    - การลดงบประมาณนี้จะส่งผลให้โครงการวิทยาศาสตร์ เช่น Astrophysics, Planetary Science และ Earth Science ถูกลดงบประมาณลงถึง 50%

    โครงการที่อาจถูกยกเลิก:
    - Nancy Grace Roman Space Telescope ซึ่งเป็นกล้องโทรทรรศน์ที่มีศักยภาพเทียบเท่ากับ Hubble และ James Webb อาจถูกยกเลิก
    - โครงการสำคัญอื่น ๆ เช่น Mars Sample Return และ DAVINCI Mission to Venus ก็อาจได้รับผลกระทบ

    ผลกระทบต่อศูนย์ NASA:
    - การลดงบประมาณอาจนำไปสู่การปิดศูนย์ Goddard Space Flight Center ในรัฐแมริแลนด์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อพนักงานกว่า 10,000 คน

    การตอบสนองของนักวิจารณ์:
    - นักวิจารณ์และผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายวิทยาศาสตร์เรียกการลดงบประมาณนี้ว่าเป็น "เหตุการณ์ระดับการสูญพันธุ์" สำหรับโครงการวิทยาศาสตร์ของ NASA

    == ข้อเสนอแนะและคำเตือน ==
    การรักษาความเป็นผู้นำด้านอวกาศ:
    - สหรัฐฯ ควรพิจารณาเพิ่มงบประมาณเพื่อรักษาความเป็นผู้นำด้านอวกาศและสนับสนุนการค้นพบทางวิทยาศาสตร์

    การสนับสนุนโครงการวิทยาศาสตร์:
    - ควรมีการสนับสนุนโครงการวิทยาศาสตร์ที่สำคัญเพื่อส่งเสริมการค้นพบใหม่ ๆ และการพัฒนาทางเทคโนโลยี

    การสื่อสารกับสาธารณะ:
    - NASA ควรสื่อสารกับสาธารณะเกี่ยวกับความสำคัญของโครงการวิทยาศาสตร์และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการลดงบประมาณ

    https://www.neowin.net/news/trump-white-houses-proposed-huge-nasa-budget-cut-could-decimate-american-space-leadership/
    รัฐบาลทรัมป์ได้เสนอร่างงบประมาณปี 2026 ที่มีการลดงบประมาณของ NASA ลงถึง 20% หรือประมาณ 5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อโครงการวิทยาศาสตร์และความเป็นผู้นำด้านอวกาศของสหรัฐฯ ✅ การลดงบประมาณของ NASA: - งบประมาณของ NASA จะลดลงจาก 25 พันล้านดอลลาร์เหลือ 20 พันล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะในส่วนของ Science Mission Directorate - การลดงบประมาณนี้จะส่งผลให้โครงการวิทยาศาสตร์ เช่น Astrophysics, Planetary Science และ Earth Science ถูกลดงบประมาณลงถึง 50% ✅ โครงการที่อาจถูกยกเลิก: - Nancy Grace Roman Space Telescope ซึ่งเป็นกล้องโทรทรรศน์ที่มีศักยภาพเทียบเท่ากับ Hubble และ James Webb อาจถูกยกเลิก - โครงการสำคัญอื่น ๆ เช่น Mars Sample Return และ DAVINCI Mission to Venus ก็อาจได้รับผลกระทบ ✅ ผลกระทบต่อศูนย์ NASA: - การลดงบประมาณอาจนำไปสู่การปิดศูนย์ Goddard Space Flight Center ในรัฐแมริแลนด์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อพนักงานกว่า 10,000 คน ✅ การตอบสนองของนักวิจารณ์: - นักวิจารณ์และผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายวิทยาศาสตร์เรียกการลดงบประมาณนี้ว่าเป็น "เหตุการณ์ระดับการสูญพันธุ์" สำหรับโครงการวิทยาศาสตร์ของ NASA == ข้อเสนอแนะและคำเตือน == ℹ️ การรักษาความเป็นผู้นำด้านอวกาศ: - สหรัฐฯ ควรพิจารณาเพิ่มงบประมาณเพื่อรักษาความเป็นผู้นำด้านอวกาศและสนับสนุนการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ ℹ️ การสนับสนุนโครงการวิทยาศาสตร์: - ควรมีการสนับสนุนโครงการวิทยาศาสตร์ที่สำคัญเพื่อส่งเสริมการค้นพบใหม่ ๆ และการพัฒนาทางเทคโนโลยี ℹ️ การสื่อสารกับสาธารณะ: - NASA ควรสื่อสารกับสาธารณะเกี่ยวกับความสำคัญของโครงการวิทยาศาสตร์และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการลดงบประมาณ https://www.neowin.net/news/trump-white-houses-proposed-huge-nasa-budget-cut-could-decimate-american-space-leadership/
    WWW.NEOWIN.NET
    Trump White House's proposed huge NASA budget cut could "decimate American space leadership"
    A massive cut to the budget spending for NASA science research has been proposed by The White House that "could decimate American leadership in space".
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 378 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประตูเปิดทางทิศตะวันตก

    เดือนนี้ นักวิจารณ์ นักวิชาการ จะมีชื่อเสียง ส่งผลดีต่อเรื่องของการเรียนการศึกษาและงานสร้างสรรค์ แต่ภายในครอบครัวกลับจะเกิดการขัดแย้งแตกแยกไม่เข้าใจต่อกัน หญิงต่างวัยจะเกิดการทะเลาะเบาะแว้ง หรือแม่ สามีกับลูกสะใภ้มีปัญหาต่อกัน หรือสะใภ้มีอำนาจ หรือลูกสาวดื้อไม่เชื่อฟังแม่ เพศหญิงจะมีปัญหาในความรัก เมียหลวงถูกเมียน้อยระราน มีโอกาสจะเป็นม่าย ที่โสดอยู่ก็ยังคงจะไม่ได้แต่ง มีเรื่องให้โศกเศร้าเสียใจ หากในบ้านมีคนป่วยจะทรุดหนัก เจ็บป่วยที่อวัยวะภายใน ท้อง ม้าม กระเพาะ ถุงน้ำดี เต้านม สะโพก ระบบประสาท ระบบทางเดินหายใจ ผมร่วง หญิงมีครรภ์คลอดบุตรในบ้านจะสูญเสีย เดินทางระวังภัยอุบัติเหตุจะได้ไม่รับบาดเจ็บให้ต้องรักษาพยาบาล

    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้

    เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก https://lin.ee/nyL0NuG
    ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง)
    .
    .
    #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร
    #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    ประตูเปิดทางทิศตะวันตก เดือนนี้ นักวิจารณ์ นักวิชาการ จะมีชื่อเสียง ส่งผลดีต่อเรื่องของการเรียนการศึกษาและงานสร้างสรรค์ แต่ภายในครอบครัวกลับจะเกิดการขัดแย้งแตกแยกไม่เข้าใจต่อกัน หญิงต่างวัยจะเกิดการทะเลาะเบาะแว้ง หรือแม่ สามีกับลูกสะใภ้มีปัญหาต่อกัน หรือสะใภ้มีอำนาจ หรือลูกสาวดื้อไม่เชื่อฟังแม่ เพศหญิงจะมีปัญหาในความรัก เมียหลวงถูกเมียน้อยระราน มีโอกาสจะเป็นม่าย ที่โสดอยู่ก็ยังคงจะไม่ได้แต่ง มีเรื่องให้โศกเศร้าเสียใจ หากในบ้านมีคนป่วยจะทรุดหนัก เจ็บป่วยที่อวัยวะภายใน ท้อง ม้าม กระเพาะ ถุงน้ำดี เต้านม สะโพก ระบบประสาท ระบบทางเดินหายใจ ผมร่วง หญิงมีครรภ์คลอดบุตรในบ้านจะสูญเสีย เดินทางระวังภัยอุบัติเหตุจะได้ไม่รับบาดเจ็บให้ต้องรักษาพยาบาล ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้ 🔮 เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ แอดเลย!! คลิก👉 https://lin.ee/nyL0NuG ติดต่อ : 066-095-4524 (จิม) , 081-625-2587(ด็อง) . . #ดูดวงธุรกิจ #โลโก้ดี #ออกแบบโลโก้ #เช็คฮวงจุ้ยให้ธุรกิจ #ฮวงจุ้ย #พี่อ๋า #สมศักดิ์ #ชาคริตฐากูร #FengshuiBiz #FengshuiBizDesigner
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 497 มุมมอง 0 รีวิว
  • Department of Government Efficiency (DOGE) ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มโดย Elon Musk ประกาศแผนจัด "Hackathon" เพื่อพัฒนาระบบ Mega API สำหรับการเข้าถึงข้อมูลของ IRS (Internal Revenue Service) การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่การ รวมศูนย์ข้อมูลของ IRS บนแพลตฟอร์มคลาวด์เดียว โดยจะช่วยให้การแชร์ข้อมูลข้ามหน่วยงานทำได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

    เป้าหมายของการพัฒนา Mega API:
    - ระบบ Mega API นี้จะเป็นศูนย์กลางการจัดเก็บข้อมูลที่สำคัญ เช่น ชื่อ-นามสกุล หมายเลขประกันสังคม (SSN) รายได้จากการเสียภาษี และข้อมูลการจ้างงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแชร์ข้อมูลระหว่างหน่วยงานรัฐ

    การสนับสนุนจากพันธมิตรที่มีศักยภาพ:
    - Palantir Technologies ถูกกล่าวถึงว่าอาจเป็นพันธมิตรรายสำคัญในการพัฒนาระบบนี้ โดยบริษัทนี้มีความเชี่ยวชาญในการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่และมีลูกค้ารัฐบาลจำนวนมาก

    การจัด Hackathon เพื่อผลักดันการพัฒนา:
    - DOGE ได้เชิญวิศวกร IRS หลายสิบคนร่วมกิจกรรม Hackathon ที่วอชิงตัน ดี.ซี. โดยตั้งเป้าหมายพัฒนาระบบ API นี้ภายในระยะเวลา 30 วัน แม้จะมีนักวิจารณ์หลายฝ่ายแสดงความกังวลว่าเป็นกรอบเวลาที่สั้นเกินไปและอาจเสี่ยงต่อปัญหาความปลอดภัย

    เสียงตอบรับและข้อกังวล:
    - นักวิจารณ์บางส่วนแสดงความกังวลว่า Mega API นี้อาจกลายเป็น ช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ที่เปิดทางให้เกิดการละเมิดข้อมูล เนื่องจากการรวมศูนย์ข้อมูลที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้ต้องใช้มาตรการป้องกันที่เข้มงวด

    สาระเพิ่มเติมที่น่าสนใจ:
    - โครงการนี้เกิดขึ้นหลังจาก Donald Trump ลงนามในคำสั่งบริหารเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2025 เพื่อแก้ปัญหาการสูญเสียทรัพยากรในระบบรัฐ เป้าหมายของคำสั่งนี้คือการ ขจัดความซ้ำซ้อน และเพิ่มความสามารถในการตรวจจับการฉ้อโกงและการใช้จ่ายเกินจำเป็น

    https://www.techradar.com/pro/doge-is-hosting-a-hackathon-to-build-a-mega-api-for-accessing-all-irs-and-taxpayer-data
    Department of Government Efficiency (DOGE) ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มโดย Elon Musk ประกาศแผนจัด "Hackathon" เพื่อพัฒนาระบบ Mega API สำหรับการเข้าถึงข้อมูลของ IRS (Internal Revenue Service) การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่การ รวมศูนย์ข้อมูลของ IRS บนแพลตฟอร์มคลาวด์เดียว โดยจะช่วยให้การแชร์ข้อมูลข้ามหน่วยงานทำได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ✅ เป้าหมายของการพัฒนา Mega API: - ระบบ Mega API นี้จะเป็นศูนย์กลางการจัดเก็บข้อมูลที่สำคัญ เช่น ชื่อ-นามสกุล หมายเลขประกันสังคม (SSN) รายได้จากการเสียภาษี และข้อมูลการจ้างงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแชร์ข้อมูลระหว่างหน่วยงานรัฐ ✅ การสนับสนุนจากพันธมิตรที่มีศักยภาพ: - Palantir Technologies ถูกกล่าวถึงว่าอาจเป็นพันธมิตรรายสำคัญในการพัฒนาระบบนี้ โดยบริษัทนี้มีความเชี่ยวชาญในการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่และมีลูกค้ารัฐบาลจำนวนมาก ✅ การจัด Hackathon เพื่อผลักดันการพัฒนา: - DOGE ได้เชิญวิศวกร IRS หลายสิบคนร่วมกิจกรรม Hackathon ที่วอชิงตัน ดี.ซี. โดยตั้งเป้าหมายพัฒนาระบบ API นี้ภายในระยะเวลา 30 วัน แม้จะมีนักวิจารณ์หลายฝ่ายแสดงความกังวลว่าเป็นกรอบเวลาที่สั้นเกินไปและอาจเสี่ยงต่อปัญหาความปลอดภัย ✅ เสียงตอบรับและข้อกังวล: - นักวิจารณ์บางส่วนแสดงความกังวลว่า Mega API นี้อาจกลายเป็น ช่องโหว่ด้านความปลอดภัย ที่เปิดทางให้เกิดการละเมิดข้อมูล เนื่องจากการรวมศูนย์ข้อมูลที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้ต้องใช้มาตรการป้องกันที่เข้มงวด ✅ สาระเพิ่มเติมที่น่าสนใจ: - โครงการนี้เกิดขึ้นหลังจาก Donald Trump ลงนามในคำสั่งบริหารเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2025 เพื่อแก้ปัญหาการสูญเสียทรัพยากรในระบบรัฐ เป้าหมายของคำสั่งนี้คือการ ขจัดความซ้ำซ้อน และเพิ่มความสามารถในการตรวจจับการฉ้อโกงและการใช้จ่ายเกินจำเป็น https://www.techradar.com/pro/doge-is-hosting-a-hackathon-to-build-a-mega-api-for-accessing-all-irs-and-taxpayer-data
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 461 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี Peter Diamandis นักวิทยาศาสตร์อนาคตผู้ก่อตั้ง XPRIZE Foundation ได้เผยถึงความเป็นไปได้ที่เทคโนโลยีจะช่วยชะลอ หยุด หรือแม้กระทั่งย้อนเวลากระบวนการชรา โดยอาศัยความก้าวหน้าที่ก่อเกิดจากการรวมตัวของ AI, เซ็นเซอร์, การคำนวณ, และชีววิทยาเซลล์เดียว ซึ่งเขาเรียกช่วงเวลานี้ว่า "การปฏิวัติสุขภาพช่วงชีวิต" (Healthspan Revolution)

    AI และการวิเคราะห์ข้อมูล
    - AI กำลังขับเคลื่อนความสามารถในการจัดการข้อมูลชีวภาพขนาดมหาศาล เพื่อเปิดเผยความลับของกระบวนการชราผ่านการวิเคราะห์ที่ลึกซึ้ง

    การปรับเปลี่ยน Epigenome
    - Diamandis เชื่อมั่นว่า การรีโปรแกรม Epigenome ซึ่งเป็นส่วนที่ควบคุมการทำงานของยีนในเซลล์ จะสามารถทำให้เซลล์กลับคืนสู่สภาพที่อ่อนเยาว์

    "ความเร็วหลบหนีของอายุยืน" (Longevity Escape Velocity)
    - เขาคาดการณ์ว่าในอีก 10 ปี เราอาจเข้าสู่จุดที่เทคโนโลยีสามารถยืดอายุคนได้มากกว่าหนึ่งปีสำหรับทุกปีที่เราอยู่ ซึ่งหมายความว่ากระบวนการชราจะถูกชะลอจนถึงขั้นหยุดนิ่ง

    มุมมองที่ต้องวิเคราะห์เพิ่ม:
    - แม้ว่าการทำนายของ Diamandis จะน่าตื่นเต้น แต่มีนักวิจารณ์ที่เตือนให้เราระมัดระวัง เนื่องจากคำพูดของนักวิทยาศาสตร์อนาคตบางคนมักมีแนวโน้มที่จะ มองโลกในแง่ดีเกินไป และเชื่อมโยงกับผลประโยชน์ทางธุรกิจ

    https://www.techspot.com/news/107440-futurist-key-living-longer-making-2030s-ndash-ai.html
    ในวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี Peter Diamandis นักวิทยาศาสตร์อนาคตผู้ก่อตั้ง XPRIZE Foundation ได้เผยถึงความเป็นไปได้ที่เทคโนโลยีจะช่วยชะลอ หยุด หรือแม้กระทั่งย้อนเวลากระบวนการชรา โดยอาศัยความก้าวหน้าที่ก่อเกิดจากการรวมตัวของ AI, เซ็นเซอร์, การคำนวณ, และชีววิทยาเซลล์เดียว ซึ่งเขาเรียกช่วงเวลานี้ว่า "การปฏิวัติสุขภาพช่วงชีวิต" (Healthspan Revolution) ✅ AI และการวิเคราะห์ข้อมูล - AI กำลังขับเคลื่อนความสามารถในการจัดการข้อมูลชีวภาพขนาดมหาศาล เพื่อเปิดเผยความลับของกระบวนการชราผ่านการวิเคราะห์ที่ลึกซึ้ง ✅ การปรับเปลี่ยน Epigenome - Diamandis เชื่อมั่นว่า การรีโปรแกรม Epigenome ซึ่งเป็นส่วนที่ควบคุมการทำงานของยีนในเซลล์ จะสามารถทำให้เซลล์กลับคืนสู่สภาพที่อ่อนเยาว์ ✅ "ความเร็วหลบหนีของอายุยืน" (Longevity Escape Velocity) - เขาคาดการณ์ว่าในอีก 10 ปี เราอาจเข้าสู่จุดที่เทคโนโลยีสามารถยืดอายุคนได้มากกว่าหนึ่งปีสำหรับทุกปีที่เราอยู่ ซึ่งหมายความว่ากระบวนการชราจะถูกชะลอจนถึงขั้นหยุดนิ่ง ✅ มุมมองที่ต้องวิเคราะห์เพิ่ม: - แม้ว่าการทำนายของ Diamandis จะน่าตื่นเต้น แต่มีนักวิจารณ์ที่เตือนให้เราระมัดระวัง เนื่องจากคำพูดของนักวิทยาศาสตร์อนาคตบางคนมักมีแนวโน้มที่จะ มองโลกในแง่ดีเกินไป และเชื่อมโยงกับผลประโยชน์ทางธุรกิจ https://www.techspot.com/news/107440-futurist-key-living-longer-making-2030s-ndash-ai.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Futurist says the key to living longer is making it to the 2030s – AI will take it from there
    On a recent Apple Podcast, Diamandis expanded upon a tweet in which he advised people to stay alive until the next decade and not die from "something...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 467 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts