• ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 20

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 20 (จบ)
    เรื่องญี่ปุ่น ตั้งแต่การปฏิรูปประเทศ การเข้าสู่สงคราม การแพ้สงคราม เหมือนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ของประเทศที่ถูกรุกราน ก็ต้องลุกขึ้นมาปฏิรูป ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อเขา การเข้าไปทำสงคราม ก็เหมือนเป็นไปโดยธรรมชาติอีกนั่นแหละ ก็เมื่อใหญ่โตขึ้นมา จะให้อยู่เฉยไงไหว พลเมืองก็เพิ่ม ทรัพยากรก็ขาด ก็ต้องไปบุก ไปรบ ไปปล้นหาเอามาจากบ้านเมืองอื่น ใครๆก็ทำกันอย่างนี้ทั้งนั้น ทำไมญี่ปุ่นจะทำมั่งไม่ได้ ถ้าเรามองแบบนี้ ก็ไม่มีอะไรต้องวิเคราะห์ วิตกวิจารณ์ โลกก็คงยังสวยเหมือนเดิม ไม่ต้องเขียนนืทานกันให้เมื่อยมือ จริงๆ เมื่อยทั้งตัวเลยครับ
    แต่มันเป็นไปโดยธรรมชาติ อย่างนั้นจริงหรือ หรือมันเป็น “ธรรมชาติ” ที่ถูกจัดสร้าง ให้เหมือนจริงจนดูไม่ออกว่าเป็นการสร้าง เหมือนเกือบหลายๆเรื่อง ที่ดำเนินอยู่ในโลกใบนี้เป็นเวลานาน ไม่น้อยกว่าร้อยปีมานี้
    บางเรื่อง ถ้าเราดู ณ จุดใดจุดหนึ่ง หรือเหตุการณ์ใด เหตุการณ์หนึ่ง มันอาจจะมองไม่เห็น หรือเห็นไม่ชัด อาจจะต้องดูทางตรงบ้าง ทางขวางบ้าง มองหลายเหตุการณ์ เอามาประกอบการพิจารณา ดูย้อนขึ้นบ้าง ดูย้อนลงมาบ้าง จึงอาจจะพอทำให้เห็น และเข้าใจมากขึ้น
    เมื่อญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงคราม ภาพญี่ปุ่น ที่(ถูกทำให้) เห็นคือ ญี่ปุ่น ฉิบหายยับเยินจากสงคราม ทั้งด้านชีวิตผู้คน ที่โดนกินดอกเห็ดยักษ์เข้าไป และเศรษฐกิจของประเทศ จริงอยู่การทำสงครามก็ทำให้ทั้งทรัพยากร และ กระเป๋าญี่ปุ่นแห้งลงไป แต่ปรากฏว่า นักธุรกิจใหญ่ นายธนาคารของญี่ปุ่น ส่วนใหญ่ยังมีขนหน้าแข้งเต็ม กระเป๋าตุงกันทั้งนั้น แต่แอบซุกซ่อนกันอย่างมิดชิด เพราะพวกเขาร่วมเป็นนายทุน และร่วมปล้น ประเทศที่ญี่ปุ่นเข้าไปบุกทั้งนั้น
    ประมาณว่า แค่รายได้จากการค้าเฮโรอีนอย่างเดียว ภายใต้การอำนวยการผลิตของกองทัพที่แมนจูเรีย และการตลาดโดยนักธุรกิจใหญ่เหล่านั้น ก็มีมูลค่าเกินกว่า 3 พันล้านเหรียญ (ในสมัยนั้น) แล้ว นี่เป็นรายได้เฉพาะที่ขายกันเอเซีย ที่อื่นยังไม่ได้รวมบัญชี หักบัญชีกัน
    ก่อนที่ญี่ปุ่นจะประกาศยอมแพ้ไม่กี่วัน บรรดาบริษัทการค้าธุรกิจ ธนาคาร ต่างๆเหล่านั้น ก็พากันเผาเอกสาร ทำลายหลักฐาน ตัดเชือก ตัดใย ที่จะโยงพวกเขากับกองทัพอย่างเร่งรีบ ทางการเองก็ให้ความร่วมมืออย่างดี รัฐมนตรีคลัง รีบสั่งจ่ายเงินให้กับใบเรียกเก็บเงินที่เร่งออก เพื่อให้รีบจ่ายกันก่อนอเมริกันมาถึง ร่วมมือกันน่ารักดีมาก
    แต่คนที่รวยมหาศาลที่สุดจากสงครามญี่ปุ่น เขาว่า คือ เจ้าพ่อยากูซ่า โคดามะ Kodama Yoshio ซึ่งตลอดเวลาที่ญี่ปุ่นเข้ายึด เข้าตี ที่ไหน เจ้าพ่อจะเป็นคนไปสำรวจเส้นทาง วางแผน ไม่ต่างกับเป็นผู้บัญชาการรบคนหนึ่ง ในที่สุดเจ้าพ่อ ก็ได้รับตำแหน่งจริงๆ โดยแม่ทัพเรือ Admiral Yonai ตั้งเจ้าพ่อให้เป็นนายพลเรือ เพื่อให้เจ้าพ่อใช้เรือรบญี่ปุ่นเดินทางไปมา ในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ของเรา ขนของที่ยึดมาได้ ใส่เรือรบจนเพียบกลับญี่ปุ่น เขาว่า นอกเหนือจากทอง และเพชรแล้ว เจ้าพ่อได้แร่ทองคำขาวไปแยะ และแยกเก็บไว้เป็นส่วนของตัว
    ส่วนนายพลแมค เมื่อเข้ามาทำหน้าที่ SCAP ในปี ค.ศ.1945 และได้รับใบสั่ง ให้จับหัวกะทินักธุรกิจ ที่วุ่นกับการทำสงคราม ใบสั่งบอก ให้เอามาตั้งแต่ชุดที่ไปบุกจีน ค.ศ.1937 นั่นเลยนะ เพราะมันควรจะเป็นของเรา เขาว่า ครั้งแรกเลย จับปลาใหญ่มาได้ 3 ตัว ตัวแรกคือ องค์ชาย Nashimoto อาของจักรพรรดิ แต่ดูเหมือน เป็นการ จับผิดตัว อามีหลายคน องค์ชายมีหลายคน ชื่อก็ กิกะอะไรไม่รู้ จำยากจะตาย ปลาตัวแรก เลยถูกจับฟรี หรือเป็นการขู่ ไม่แน่ใจ แต่อีก 2 ตัวที่จับได้ คนหนึ่งเป็นประธาน มิตซุบิชิ ซึ่งผลิตอาวุธให้กองทัพ อีกคนเป็นผู้จัดการใหญ่ของมิตซุย ที่ไม่ใช่ธรรมดา รากเหง้ายาวพอๆกับเกาะญี่ปุ่นเอง
    หลังจากการนั้นก็มีการคายความออกมา ว่า มีทองแท่งมูลค่าประมาณ 2 พันล้านเหรียญ (ในขณะนั้น) อยู่ในเรือ ที่ตั้งใจจมไว้ที่อ่าวหน้าเมืองโตเกียว เป็นทองที่ขนมาจากเกาหลีโดยเครื่องบินของกองทัพอากาศญี่ปุ่น ภายใต้การบัญชาการของผู้ที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ บรรจุไว้ในหีบทองแดง และทิ้งไว้ก้นทะเล เมื่อรู้ว่ารบไม่ชนะ
    ฝ่ายประสานงานของ SCAP บอกว่า จะขอกู้เอาทองขึ้นเอามาเก็บไว้ที่ธนาคารกลางของญี่ปุ่น เพื่อเอาไว้ช่วยพัฒนาประเทศญี่ปุ่น นายพลแมคบอกไม่มีปัญหา เป็นความตั้งใจของเขาอยู่แล้ว ที่จะดูแลชาวญี่ปุ่น พูดได้หล่อ …. เมื่อนายพลแมคแจ้งไปทางวอชืงตัน มีฝรั่งออกงิ้วว่า ควรส่งทองมาเก็บไว้ที่วอชิงตัน เพื่อเป็นประกันหนี้ให้กลุ่มมอร์แกน ซึ่งญี่ปุ่นยังใช้หนี้ให้ ไม่หมดมากกว่า แต่นายพลแมคไม่เปลี่ยนใจ สรุปว่า จริงๆแล้ว ทองแท่งมีทั้งหมดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ และในที่สุดเก็บไว้ที่ไหนบ้างก็ไม่รู้ แต่น่าจะมีคนอมยิ้มพอใจ ทุกอย่างเป็นไปตามแผน
    ไม่นานหลังจากนั้น ก็มีการปล่อยตัวท่านอา ประธานมิตซุบิชิ และผู้จัดการใหญ่มิตซุย ออกจากคุก พ้นข้อหาทั้งปวง
    แค่ จับปลา 3 ตัว ยังได้ผลขนาดนี้ คำสั่ง FEC-230 ก็ต้องรีบออกมาบีบจนหน้าเขียว ตามแผน
    แล้วเดือนธันวาคม ค.ศ.1948 SCAP ก็สั่งปล่อย นักโทษ A Class (โทษสูงสุด) 17 คน ใน 17 คน มี นาย คิชิ Kishi Nobusuke คงยังจำกัน ไอ้คนหัวแหลม ช่างคิดวิธีให้กองทัพญี่ปุ่น ที่แมนจูเรียหากินร่ำรวย และต่อมา เขาได้เป็นนายกรัฐมนตรี ของญี่ปุ่น คนต่อมาคือ โคดามะ Kodama Yoshio เจ้าพ่อยากูซ่า และซาซากาวา Sasagawa Ryochi เจ้าพ่อ ยากูซ่าอีกราย
    ทั้ง 3 คนนี้ ต่อมา ร่วมกันตั้งพรรค รวมพรรค ซื้อนักการเมืองจากคอกอื่น มารวมอยู่ในพรรคที่พวกเขาร่วมกันสร้างคือ พรรค Liberal Democrat Party หรือ LDP และทั้ง 3 คนนี้ ก็เป็นมือที่ชักใย LDP ถึง 50 ปี หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาถึงปัจจุบัน เกือบทุกคน (90%) คือผู้ที่กลุ่ม 3 คนนี้ หรือผู้ที่สืบทอดอำนาจเขา เป็นผู้เลือก หรือ ให้ความเห็นชอบทั้งนั้น และคงไม่เกินไป ที่จะบอกว่า ด้วยวิธีการนี้ อเมริกาก็คือผู้ปกครองญี่ปุ่น ตั้งแต่วันปล่อยผีขึ้นมาจากนรกนั่นแหละ
    และคงพอจะทำให้เราเข้าใจว่า ทำไม นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น คนปัจจุบัน นาย ชินโซะ อาเบะ Shinzo Abe ถึงพร้อมใจรับหน้าที่แบกถาด ถ้ารู้ว่าเขาเป็นหลานตาแท้ๆ ของ นาย คิชิ คนเปิดประตูเมืองญี่ปุ่นให้อเมริกาเข้า และเขาไม่ใช่หลานธรรมดา แต่เป็นหลานรัก ที่ตาเลี้ยงอย่างใกล้ชิด และตั้งใจให้สืบทอดมรดก…
    ยังมีอีก 3 ใน 17 คนที่ออกมาด้วย คือ Sankichi Takahashi, Shumi Okawa และ Yoshihisa Kuzu
    Kuzu เป็นอดีตหัวหน้าใหญ่ของสมาคมมังกรดำ Black Dragon Society รุ่นใหญ่กว่าโคดามะ
    สมาคมมังกรดำ เป็นสมาคมขวาจัด ทำหน้าที่พิทักษ์จักรพรรดิ ที่มีสาขาอยู่ทั่วญี่ปุ่น เน้นสร้างคนรุ่นหนุ่ม ให้มีความรักชาติและ จงรักภักดีต่อจักรพรรดิ เลือดลูกพระอาทิตย์เข้มข้น นาย Toyama Mitsuru ที่ลึกลับ และเป็นคนสนิทของราชวงศ์ และมีเครือข่ายสายลับทั่วญี่ปุ่น เป็นผู้ก่อตั้งสมาคมมังกรดำนี้ขึ้น เมื่อปี ค.ศ.1901 โตยาม่า เป็นหนึ่งในคนธรรมดาไม่กี่คน ที่เป็น แขกรับเชิญที่มีแต่พระราชวงศ์ และบุคคลชั้นสูง ในวันแต่งงานของจักรพรรดิฮิโฮิโตกับจักรพรรดินีนากาโน
    นายพล Takahashi ก็เป็นนายทหารใหญ่ ที่สังกัดมังกรดำ
    ส่วนนาย Shumi Okawa นั้น เป็นหัวหน้าสายลับ ที่ข่าวว่า สังกัดราชวงศ์เช่นกัน
    นายโคดามะ ภายหลัง ทำงานให้กับ CIA ของอเมริกา อย่างใกล้ชิด ผลงาน เข้าตา เมื่ออเมริกาคิดทำสงครามเกาหลี นายโคโดมะ เป็นผู้จัดกองกำลังพิเศษ ให้นายพลแมคไปรบที่เกาหลี แถมไปคุมกองกำลังด้วยตัวเอง ในฐานะผู้ชำนาญพื้นที่
    หลังจากความดีความชอบเรื่องสงครามเกาหลี CIA เปลี่ยนเป็นใช้บริการของโคดามะ แบบพนักงานประจำ ไม่ใช่พนักงานชั่วคราว ในเรื่องของการปราบปรามคอมมิวนิสต์ รวมถึงในปี ค.ศ.1949 CIA ให้เขานำกำลังไปช่วย นายพลเจียง ไคเช็ค ปราบชาวฟอร์โมซา ที่เกาะไต้หวัน จนตายเกลื่อน เมื่อออกมาประท้วงการยึดเกาะของกองทัพนายพลเจียง เขาว่า การปราบคราวนั้น มันก็โหดร้ายทารุณ ไม่แพ้เหตุการณ์ที่นานกิง แต่ CIA เก็บหลักฐานจนเกลี้ยงเกลา
    ส่วนในการไปรบเกาหลี ในปี ค.ศ.1950 นายพลแมค หอบเอา นาย Shiro Ishii อดีตหัวหน้าหน่วย 731 อันลือชื่อ พร้อมด้วยคณะทำงานไปเกาหลีด้วย ในช่วงสงครามเกาหลี ซึ่งจนถึงขณะนี้ สงครามยังไม่จบ แค่สงบศึกกันชั่วคราว นายพลแมค ให้ทดลองปล่อย แมงมุม ตัวหมัด แมลงสาระพัด ซึ่ง ใส่เชื้อโรคไว้ ส่งให้พลเมืองฝ่ายเกาหลีเหนือ ผลปรากฎว่า เกิดโรคระบาด ไข้เหลือง ไทฟอยด์ อหิวาต์ มีชาวบ้านเจ็บป่วยล้มตายเป็นอันมาก ทำให้หลายฝ่ายชื่นชมในผลงานในที่สุด นายชิโร นี่ นอกจากไม่ถูกลงโทษ เขาว่ายังได้เงินรางวัล แลกกับสูตรลับที่อเมริกา หรือร้อกกี้ the great เอาไปเล่นต่อ
    ส่วนนายซาซากาวา ได้บทใหม่เป็นเจ้าพ่อ ที่ด้านหนึ่ง คุมบ่อนการพนันทั้งเกาะญี่ปุ่น รวมทั้งการแข่งเรือยนตร์ ที่ทำรายได้มหาศาลให้เขา อีกด้าน เขาเดินงานของ MRA ต่อให้กับ CIA เกี่ยวกับเกาหลีใต้ และทำไปจนถึงเรื่อง ตะวันออกกลาง และกลายเป็นเพื่อนรักของอดีตประธานาธิบดี Jimmy Carter และตัวแสบ Henry Kissinger อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของอเมริกา ซึ่งเป็นคนรับใช้ตัวจริงถาวรของร้อกกี้ the great
    Dean Atchson ที่ปรึกษากระทรวงต่างประเทศ ที่พรรค Republican ส่งมาดูการทำงานของ SCAP ตั้งแต่ต้น เห็นการทำงานของ SCAP และการ กลับตาลปัตร ของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เขารวบรวมเอกสารหลายลัง และตัดสินใจเดินทางกลับวอชิงตัน เพื่อรายงานรัฐบาลด้วยตนเอง เขาเดินทางพร้อมกับคณะทำงาน ด้วยเครื่องบินที่รัฐบาลอเมริกันจัดมาให้ เครื่องบิน เติมน้ำมันไว้เต็มถัง แต่ขณะที่เครื่องบิน บินอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิก ระหว่างทางไปฮอนโนลูลู ผ่านเกาะ Johnston เครื่องบินเกิดน้ำมันหมดอย่างไม่น่าเชื่อ ระหว่างที่เครื่องบินดิ่งหัวลงทะเล คณะทำงานคนหนึ่งที่รอดตาย เห็น Atcheson ส่ายหน้า แล้วบอกว่า… มันคงช่วยอะไรไม่ได้แล้ว….
    (ยังมีบทส่งท้าย นะครับ รออ่านหน่อย กำลังเร่งเครื่องเขียนอยู่ พบกัน พรุ่งนี้ 8 โมงเช้าเหมือนเดิม)

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    31 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 20 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 20 (จบ) เรื่องญี่ปุ่น ตั้งแต่การปฏิรูปประเทศ การเข้าสู่สงคราม การแพ้สงคราม เหมือนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ของประเทศที่ถูกรุกราน ก็ต้องลุกขึ้นมาปฏิรูป ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อเขา การเข้าไปทำสงคราม ก็เหมือนเป็นไปโดยธรรมชาติอีกนั่นแหละ ก็เมื่อใหญ่โตขึ้นมา จะให้อยู่เฉยไงไหว พลเมืองก็เพิ่ม ทรัพยากรก็ขาด ก็ต้องไปบุก ไปรบ ไปปล้นหาเอามาจากบ้านเมืองอื่น ใครๆก็ทำกันอย่างนี้ทั้งนั้น ทำไมญี่ปุ่นจะทำมั่งไม่ได้ ถ้าเรามองแบบนี้ ก็ไม่มีอะไรต้องวิเคราะห์ วิตกวิจารณ์ โลกก็คงยังสวยเหมือนเดิม ไม่ต้องเขียนนืทานกันให้เมื่อยมือ จริงๆ เมื่อยทั้งตัวเลยครับ แต่มันเป็นไปโดยธรรมชาติ อย่างนั้นจริงหรือ หรือมันเป็น “ธรรมชาติ” ที่ถูกจัดสร้าง ให้เหมือนจริงจนดูไม่ออกว่าเป็นการสร้าง เหมือนเกือบหลายๆเรื่อง ที่ดำเนินอยู่ในโลกใบนี้เป็นเวลานาน ไม่น้อยกว่าร้อยปีมานี้ บางเรื่อง ถ้าเราดู ณ จุดใดจุดหนึ่ง หรือเหตุการณ์ใด เหตุการณ์หนึ่ง มันอาจจะมองไม่เห็น หรือเห็นไม่ชัด อาจจะต้องดูทางตรงบ้าง ทางขวางบ้าง มองหลายเหตุการณ์ เอามาประกอบการพิจารณา ดูย้อนขึ้นบ้าง ดูย้อนลงมาบ้าง จึงอาจจะพอทำให้เห็น และเข้าใจมากขึ้น เมื่อญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงคราม ภาพญี่ปุ่น ที่(ถูกทำให้) เห็นคือ ญี่ปุ่น ฉิบหายยับเยินจากสงคราม ทั้งด้านชีวิตผู้คน ที่โดนกินดอกเห็ดยักษ์เข้าไป และเศรษฐกิจของประเทศ จริงอยู่การทำสงครามก็ทำให้ทั้งทรัพยากร และ กระเป๋าญี่ปุ่นแห้งลงไป แต่ปรากฏว่า นักธุรกิจใหญ่ นายธนาคารของญี่ปุ่น ส่วนใหญ่ยังมีขนหน้าแข้งเต็ม กระเป๋าตุงกันทั้งนั้น แต่แอบซุกซ่อนกันอย่างมิดชิด เพราะพวกเขาร่วมเป็นนายทุน และร่วมปล้น ประเทศที่ญี่ปุ่นเข้าไปบุกทั้งนั้น ประมาณว่า แค่รายได้จากการค้าเฮโรอีนอย่างเดียว ภายใต้การอำนวยการผลิตของกองทัพที่แมนจูเรีย และการตลาดโดยนักธุรกิจใหญ่เหล่านั้น ก็มีมูลค่าเกินกว่า 3 พันล้านเหรียญ (ในสมัยนั้น) แล้ว นี่เป็นรายได้เฉพาะที่ขายกันเอเซีย ที่อื่นยังไม่ได้รวมบัญชี หักบัญชีกัน ก่อนที่ญี่ปุ่นจะประกาศยอมแพ้ไม่กี่วัน บรรดาบริษัทการค้าธุรกิจ ธนาคาร ต่างๆเหล่านั้น ก็พากันเผาเอกสาร ทำลายหลักฐาน ตัดเชือก ตัดใย ที่จะโยงพวกเขากับกองทัพอย่างเร่งรีบ ทางการเองก็ให้ความร่วมมืออย่างดี รัฐมนตรีคลัง รีบสั่งจ่ายเงินให้กับใบเรียกเก็บเงินที่เร่งออก เพื่อให้รีบจ่ายกันก่อนอเมริกันมาถึง ร่วมมือกันน่ารักดีมาก แต่คนที่รวยมหาศาลที่สุดจากสงครามญี่ปุ่น เขาว่า คือ เจ้าพ่อยากูซ่า โคดามะ Kodama Yoshio ซึ่งตลอดเวลาที่ญี่ปุ่นเข้ายึด เข้าตี ที่ไหน เจ้าพ่อจะเป็นคนไปสำรวจเส้นทาง วางแผน ไม่ต่างกับเป็นผู้บัญชาการรบคนหนึ่ง ในที่สุดเจ้าพ่อ ก็ได้รับตำแหน่งจริงๆ โดยแม่ทัพเรือ Admiral Yonai ตั้งเจ้าพ่อให้เป็นนายพลเรือ เพื่อให้เจ้าพ่อใช้เรือรบญี่ปุ่นเดินทางไปมา ในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ของเรา ขนของที่ยึดมาได้ ใส่เรือรบจนเพียบกลับญี่ปุ่น เขาว่า นอกเหนือจากทอง และเพชรแล้ว เจ้าพ่อได้แร่ทองคำขาวไปแยะ และแยกเก็บไว้เป็นส่วนของตัว ส่วนนายพลแมค เมื่อเข้ามาทำหน้าที่ SCAP ในปี ค.ศ.1945 และได้รับใบสั่ง ให้จับหัวกะทินักธุรกิจ ที่วุ่นกับการทำสงคราม ใบสั่งบอก ให้เอามาตั้งแต่ชุดที่ไปบุกจีน ค.ศ.1937 นั่นเลยนะ เพราะมันควรจะเป็นของเรา เขาว่า ครั้งแรกเลย จับปลาใหญ่มาได้ 3 ตัว ตัวแรกคือ องค์ชาย Nashimoto อาของจักรพรรดิ แต่ดูเหมือน เป็นการ จับผิดตัว อามีหลายคน องค์ชายมีหลายคน ชื่อก็ กิกะอะไรไม่รู้ จำยากจะตาย ปลาตัวแรก เลยถูกจับฟรี หรือเป็นการขู่ ไม่แน่ใจ แต่อีก 2 ตัวที่จับได้ คนหนึ่งเป็นประธาน มิตซุบิชิ ซึ่งผลิตอาวุธให้กองทัพ อีกคนเป็นผู้จัดการใหญ่ของมิตซุย ที่ไม่ใช่ธรรมดา รากเหง้ายาวพอๆกับเกาะญี่ปุ่นเอง หลังจากการนั้นก็มีการคายความออกมา ว่า มีทองแท่งมูลค่าประมาณ 2 พันล้านเหรียญ (ในขณะนั้น) อยู่ในเรือ ที่ตั้งใจจมไว้ที่อ่าวหน้าเมืองโตเกียว เป็นทองที่ขนมาจากเกาหลีโดยเครื่องบินของกองทัพอากาศญี่ปุ่น ภายใต้การบัญชาการของผู้ที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ บรรจุไว้ในหีบทองแดง และทิ้งไว้ก้นทะเล เมื่อรู้ว่ารบไม่ชนะ ฝ่ายประสานงานของ SCAP บอกว่า จะขอกู้เอาทองขึ้นเอามาเก็บไว้ที่ธนาคารกลางของญี่ปุ่น เพื่อเอาไว้ช่วยพัฒนาประเทศญี่ปุ่น นายพลแมคบอกไม่มีปัญหา เป็นความตั้งใจของเขาอยู่แล้ว ที่จะดูแลชาวญี่ปุ่น พูดได้หล่อ …. เมื่อนายพลแมคแจ้งไปทางวอชืงตัน มีฝรั่งออกงิ้วว่า ควรส่งทองมาเก็บไว้ที่วอชิงตัน เพื่อเป็นประกันหนี้ให้กลุ่มมอร์แกน ซึ่งญี่ปุ่นยังใช้หนี้ให้ ไม่หมดมากกว่า แต่นายพลแมคไม่เปลี่ยนใจ สรุปว่า จริงๆแล้ว ทองแท่งมีทั้งหมดเท่าไหร่ก็ไม่รู้ และในที่สุดเก็บไว้ที่ไหนบ้างก็ไม่รู้ แต่น่าจะมีคนอมยิ้มพอใจ ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ไม่นานหลังจากนั้น ก็มีการปล่อยตัวท่านอา ประธานมิตซุบิชิ และผู้จัดการใหญ่มิตซุย ออกจากคุก พ้นข้อหาทั้งปวง แค่ จับปลา 3 ตัว ยังได้ผลขนาดนี้ คำสั่ง FEC-230 ก็ต้องรีบออกมาบีบจนหน้าเขียว ตามแผน แล้วเดือนธันวาคม ค.ศ.1948 SCAP ก็สั่งปล่อย นักโทษ A Class (โทษสูงสุด) 17 คน ใน 17 คน มี นาย คิชิ Kishi Nobusuke คงยังจำกัน ไอ้คนหัวแหลม ช่างคิดวิธีให้กองทัพญี่ปุ่น ที่แมนจูเรียหากินร่ำรวย และต่อมา เขาได้เป็นนายกรัฐมนตรี ของญี่ปุ่น คนต่อมาคือ โคดามะ Kodama Yoshio เจ้าพ่อยากูซ่า และซาซากาวา Sasagawa Ryochi เจ้าพ่อ ยากูซ่าอีกราย ทั้ง 3 คนนี้ ต่อมา ร่วมกันตั้งพรรค รวมพรรค ซื้อนักการเมืองจากคอกอื่น มารวมอยู่ในพรรคที่พวกเขาร่วมกันสร้างคือ พรรค Liberal Democrat Party หรือ LDP และทั้ง 3 คนนี้ ก็เป็นมือที่ชักใย LDP ถึง 50 ปี หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาถึงปัจจุบัน เกือบทุกคน (90%) คือผู้ที่กลุ่ม 3 คนนี้ หรือผู้ที่สืบทอดอำนาจเขา เป็นผู้เลือก หรือ ให้ความเห็นชอบทั้งนั้น และคงไม่เกินไป ที่จะบอกว่า ด้วยวิธีการนี้ อเมริกาก็คือผู้ปกครองญี่ปุ่น ตั้งแต่วันปล่อยผีขึ้นมาจากนรกนั่นแหละ และคงพอจะทำให้เราเข้าใจว่า ทำไม นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น คนปัจจุบัน นาย ชินโซะ อาเบะ Shinzo Abe ถึงพร้อมใจรับหน้าที่แบกถาด ถ้ารู้ว่าเขาเป็นหลานตาแท้ๆ ของ นาย คิชิ คนเปิดประตูเมืองญี่ปุ่นให้อเมริกาเข้า และเขาไม่ใช่หลานธรรมดา แต่เป็นหลานรัก ที่ตาเลี้ยงอย่างใกล้ชิด และตั้งใจให้สืบทอดมรดก… ยังมีอีก 3 ใน 17 คนที่ออกมาด้วย คือ Sankichi Takahashi, Shumi Okawa และ Yoshihisa Kuzu Kuzu เป็นอดีตหัวหน้าใหญ่ของสมาคมมังกรดำ Black Dragon Society รุ่นใหญ่กว่าโคดามะ สมาคมมังกรดำ เป็นสมาคมขวาจัด ทำหน้าที่พิทักษ์จักรพรรดิ ที่มีสาขาอยู่ทั่วญี่ปุ่น เน้นสร้างคนรุ่นหนุ่ม ให้มีความรักชาติและ จงรักภักดีต่อจักรพรรดิ เลือดลูกพระอาทิตย์เข้มข้น นาย Toyama Mitsuru ที่ลึกลับ และเป็นคนสนิทของราชวงศ์ และมีเครือข่ายสายลับทั่วญี่ปุ่น เป็นผู้ก่อตั้งสมาคมมังกรดำนี้ขึ้น เมื่อปี ค.ศ.1901 โตยาม่า เป็นหนึ่งในคนธรรมดาไม่กี่คน ที่เป็น แขกรับเชิญที่มีแต่พระราชวงศ์ และบุคคลชั้นสูง ในวันแต่งงานของจักรพรรดิฮิโฮิโตกับจักรพรรดินีนากาโน นายพล Takahashi ก็เป็นนายทหารใหญ่ ที่สังกัดมังกรดำ ส่วนนาย Shumi Okawa นั้น เป็นหัวหน้าสายลับ ที่ข่าวว่า สังกัดราชวงศ์เช่นกัน นายโคดามะ ภายหลัง ทำงานให้กับ CIA ของอเมริกา อย่างใกล้ชิด ผลงาน เข้าตา เมื่ออเมริกาคิดทำสงครามเกาหลี นายโคโดมะ เป็นผู้จัดกองกำลังพิเศษ ให้นายพลแมคไปรบที่เกาหลี แถมไปคุมกองกำลังด้วยตัวเอง ในฐานะผู้ชำนาญพื้นที่ หลังจากความดีความชอบเรื่องสงครามเกาหลี CIA เปลี่ยนเป็นใช้บริการของโคดามะ แบบพนักงานประจำ ไม่ใช่พนักงานชั่วคราว ในเรื่องของการปราบปรามคอมมิวนิสต์ รวมถึงในปี ค.ศ.1949 CIA ให้เขานำกำลังไปช่วย นายพลเจียง ไคเช็ค ปราบชาวฟอร์โมซา ที่เกาะไต้หวัน จนตายเกลื่อน เมื่อออกมาประท้วงการยึดเกาะของกองทัพนายพลเจียง เขาว่า การปราบคราวนั้น มันก็โหดร้ายทารุณ ไม่แพ้เหตุการณ์ที่นานกิง แต่ CIA เก็บหลักฐานจนเกลี้ยงเกลา ส่วนในการไปรบเกาหลี ในปี ค.ศ.1950 นายพลแมค หอบเอา นาย Shiro Ishii อดีตหัวหน้าหน่วย 731 อันลือชื่อ พร้อมด้วยคณะทำงานไปเกาหลีด้วย ในช่วงสงครามเกาหลี ซึ่งจนถึงขณะนี้ สงครามยังไม่จบ แค่สงบศึกกันชั่วคราว นายพลแมค ให้ทดลองปล่อย แมงมุม ตัวหมัด แมลงสาระพัด ซึ่ง ใส่เชื้อโรคไว้ ส่งให้พลเมืองฝ่ายเกาหลีเหนือ ผลปรากฎว่า เกิดโรคระบาด ไข้เหลือง ไทฟอยด์ อหิวาต์ มีชาวบ้านเจ็บป่วยล้มตายเป็นอันมาก ทำให้หลายฝ่ายชื่นชมในผลงานในที่สุด นายชิโร นี่ นอกจากไม่ถูกลงโทษ เขาว่ายังได้เงินรางวัล แลกกับสูตรลับที่อเมริกา หรือร้อกกี้ the great เอาไปเล่นต่อ ส่วนนายซาซากาวา ได้บทใหม่เป็นเจ้าพ่อ ที่ด้านหนึ่ง คุมบ่อนการพนันทั้งเกาะญี่ปุ่น รวมทั้งการแข่งเรือยนตร์ ที่ทำรายได้มหาศาลให้เขา อีกด้าน เขาเดินงานของ MRA ต่อให้กับ CIA เกี่ยวกับเกาหลีใต้ และทำไปจนถึงเรื่อง ตะวันออกกลาง และกลายเป็นเพื่อนรักของอดีตประธานาธิบดี Jimmy Carter และตัวแสบ Henry Kissinger อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของอเมริกา ซึ่งเป็นคนรับใช้ตัวจริงถาวรของร้อกกี้ the great Dean Atchson ที่ปรึกษากระทรวงต่างประเทศ ที่พรรค Republican ส่งมาดูการทำงานของ SCAP ตั้งแต่ต้น เห็นการทำงานของ SCAP และการ กลับตาลปัตร ของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เขารวบรวมเอกสารหลายลัง และตัดสินใจเดินทางกลับวอชิงตัน เพื่อรายงานรัฐบาลด้วยตนเอง เขาเดินทางพร้อมกับคณะทำงาน ด้วยเครื่องบินที่รัฐบาลอเมริกันจัดมาให้ เครื่องบิน เติมน้ำมันไว้เต็มถัง แต่ขณะที่เครื่องบิน บินอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิก ระหว่างทางไปฮอนโนลูลู ผ่านเกาะ Johnston เครื่องบินเกิดน้ำมันหมดอย่างไม่น่าเชื่อ ระหว่างที่เครื่องบินดิ่งหัวลงทะเล คณะทำงานคนหนึ่งที่รอดตาย เห็น Atcheson ส่ายหน้า แล้วบอกว่า… มันคงช่วยอะไรไม่ได้แล้ว…. (ยังมีบทส่งท้าย นะครับ รออ่านหน่อย กำลังเร่งเครื่องเขียนอยู่ พบกัน พรุ่งนี้ 8 โมงเช้าเหมือนเดิม) สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 31 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 316 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 14

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”
    ตอน 14
    ทั้งอังกฤษและอเมริกา ต่างอยากได้จีนมาครอง โดยไม่แบ่งกับใคร และต่างก็มีแผน และวิธีการในการใช้ญี่ปุ่นและเคี้ยวจีน ที่เหมือนร่วมมือกัน แต่ขณะเดียวกัน ก็ดัดหลังกันเอง
    สำหรับอังกฤษ ที่เป็นเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย มีกองเรือใหญ่ก็จริง แต่จีนอยู่ห่างกับอังกฤษคนละซีกโลก แถม อังกฤษต้องเตรียมเก็บกองทัพเอาไว้ทำสงครามในยุโรป อังกฤษจึงเลือกใช้ อาวุธ soft power การมอมเมาจีนด้วยฝิ่นก่อน แล้วตามมาด้วย proxy war รุ่นแรก ทันสมัยมากนะ ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ อังกฤษ หลอกปั่นหัวญี่ปุ่นให้ไปตีตั๋วรวนจีนหลายรอบ รวมทั้งไปรบรัสเซียตามแผนอังกฤษ ทำให้ญี่ปุ่นหลงคิดว่าตนเองรบเก่ง เข้าขั้นเป็นชาติมหาอำนาจ
    แต่จะปั่นหัวซามูไร เหมือนปั่นจิ้งหรีด อังกฤษก็ต้องรู้วิธีปั่น
    เมื่อญี่ปุ่นคิดปฏิรูปประเทศ Meiji Restoration บรรดาหัวกะทิญี่ปุ่น ที่ต้องการปฏิรูปประเทศ พากันยกโขยงกันเกือบร้อยคน ไปประเทศต่างๆ ทั้งในยุโรปและอเมริกา ใช้เวลาอยู่ในประเทศต่างๆ ประมาณ 2 ปี เพื่อศึกษาด้านการปกครอง การค้า การเมือง และการทหารจากประเทศต่างๆ
    เมื่อกลับมาถึงญี่ปุ่น บารอนอีโต้ Baron Ito ซึ่งเป็นหัวกะทิหมายเลขหนึ่ง ในการเดินทางไปศึกษาระบบต่างๆ ก็สรุปว่า ในด้านการปกครอง และการเมือง ระบบของอังกฤษที่มีระบบรัฐสภา และมีกษัตริย์ หรือจักรพรรดิ เป็นศูนย์รวมของประเทศ เหมาะกับญี่ปุ่นที่สุด และเพื่อไม่ให้จักรพรรดิต้องเดือดร้อนในการตัดสินใจ (พูดเสียเพราะ จริงๆ ก็คือ ไม่ให้มายุ่งกับการเมืองโดยตรงนั่นแหล่ะ) ญี่ปุ่นจึงนำระบบ Council of State ของอังกฤษ มาแปลงเป็น คณะองคมนตรี หรือที่ปรึกษาของจักรพรรดิ ให้เป็นผู้เชื่อมระหว่าง การเมืองกับจักรพรรดิแทน
    ส่วนด้านการทหาร ในสายตาของญี่ปุ่น ไม่มีที่ไหนสู้เยอรมันได้ ส่วนระบบการเงิน ญี่ปุ่นเห็นว่าอังกฤษคือต้นแบบ ญี่ปุ่นก็เลยถอดแบบระบบธนาคารกลาง และการเงินการคลังมาจากอังกฤษ ทั้งหมดง่ายดี
    ดังนั้น ตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ.1870 จนถึง 1930 บรรดาหัวกะทิ หรืออีลิตญี่ปุ่น จึงอยู่ในความเชื่อว่า อังกฤษ นั้น ศิวิไลซ์ที่สุด ยิ่งอังกฤษสร้างภาพความเป็นมิตรกับญี่ปุ่น ญี่ปุ่นจึงเห็นแต่น้ำตาลที่อังกฤษฉาบไว้ ชาวญี่ปุ่น ตั้งแต่ราชวงศ์ชั้นสูง ลงมาถึงพวกเศรษฐีมีเงิน พวกที่อยากก้าวหน้าอย่างฝรั่ง จึงต่างพากันส่งลูกหลานไปศึกษาที่อังกฤษ เมื่อจบกลับมาก็สร้างระบบ และคิดตามที่อังกฤษฝังหัวไว้ จึงไม่ยาก ที่เหล่าซามูไรจะกลายเป็นจิ้งหรีด ให้อังกฤษปั่นหัว หลอกใช้ให้ไปรบรัสเซีย ป่วนจีน และกันท่าไม่ให้ชาติอื่น เข้ามาในจีนง่ายๆ ญี่ปุ่นมองไม่เห็นถึงไส้ในของแท้ของอังกฤษ ที่ ไม่มีวันจะเห็นชาติที่อยู่นอกเชื้อพันธ์แองโกลแซกซอน (ชนชาติที่ใช้ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาประจำชาติ) มาเท่าเทียมกับตน
    และในเมื่อ Meiji Restoration ยกให้จักรพรรดิ เป็นสิ่งสูงสุดที่สวรรค์ส่งมาให้ แม้จะไม่มีอำนาจเต็มที่ในการปกครอง แต่ผู้คนก็พากันอ้างเอาจักรพรรดิเป็นยันต์ศักดิ์สิทธิ ทั้งอังกฤษ และอเมริกา จึงพยายามแทรกเข้าไปในวัง เพื่อสร้างเครือข่าย และหวังจะชักนำราชวงศ์ไปในทิศทางที่ตนเองต้องการ
    น่าสนใจว่า อิทธิพลของฝรั่ง อีกรูปแบบหนึ่ง ที่เข้าไปในญี่ปุ่นสมัยนั้น ทั้งในระดับในวัง และระดับชนชั้นสูงนอกวัง คือ ศาสนาคริสเตียน ในแวดวงของจักรพรรดินี หรือตัวจักรพรรดินีเอง ส่วนใหญ่นับถือคริสเตียน ทำให้ชาวญี่ปุ่นที่นับถือคริสเตียน เปิดทางให้พวกต่างชาติคริสเตียนเคร่งศาสนา ที่เรียกว่า Quaker ซึ่งมีอยู่ไม่น้อยทั้งในอังกฤษและอเมริกา รายล้อมในและนอกวัง กลายเป็นเครือข่ายที่มีอิทธิพลยิ่ง
    พวกเคว้กเกอร์ เมื่อเข้ามาในญี่ปุ่น เปิดโรงเรียนสอนภาษา และหญิงผู้ดีญี่ปุ่นก็มักจะไปเรียนหนังสือ กับพวกเคว้กเกอร์ และพวกนี้ ก็จะแนะนำเพื่อนฝูง เครือญาติ ให้เข้ามารับใช้ราชวงศ์ ขณะเดียวกัน เมื่อแต่งงานกับฝ่ายชายในสังคมชั้นสูงที่มีอำนาจในการเมืองและธุรกิจ ก็ทำให้เครือข่ายของคริสเตียนเคว้กเกอร์นี้ ยิ่งแผ่ไปในสังคมชั้นสูงของญี่ปุ่นด้วย
    ทูตอเมรืกัน ประจำญี่ปุน ปี ค.ศ.1932 Joseph Grew ซึ่งเมีย ชื่อ Alice นั้น เป็นพวกเค้วกเกอร์ ที่มีเพื่อนสนิท ที่เป็นทั้งแม่ยาย ขององค์ชายชิชิบุ และเป็นคนสนิทของจักรพรรดินี ซาดาโกะ Sadako (แม่ของจักรพรรดิฮิโรฮิโต และชิชิบุ) ที่ก็มีข่าวว่าเป็นคริสเตียนจากอิทธิพลของสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกัน Alice ก็เป็นญาติกับเมียของ Jack Morgan แห่ง J P Morgan ที่ดัง ว่อน และวุ่นไปทั่วโลก
    ด้วยเส้นสายเช่นนี้ J P Morgan จึงได้มาเปิดบริษัทการเงืนใหญ่ อยู่ในญี่ปุ่น Morgan Zaibutsu พร้อมทั้งส่ง Thomas Lamont จำชื่อเขาได้ไหมครับ เขาเป็นหุ้นส่วนใหญ่อีกคนของ JP Morgan มาเป็นที่ปรึกษาการเงินให้จักรพรรดืฮิโรฮิโต และเจ้านายคนอื่นๆ ด้วย ไอ้หมอนี่ มีบทบาททั้งในอเมริกาเอง เป็นกรรมการธนาคารกลางของอเมริกา ต่อมาไปวุ่นเรื่องการปฏิวัติในรัสเซีย หลังจากนั้น มาญี่ปุ่น และก็ไปวุ่นที่อิตาลี เรื่องมุสโสลินีด้วย มันเป็นม้าใช้พันธุ์โปรด ของนักล่าจริงๆ
    ธุรกิจการเงินในญี่ปุ่นในช่วงต้น ค.ศ.1900 จึงอยู่ในมือ Morgan แต่ที่ผู้คนมักจะสงสัยเสมอ คือ ความจงรักภักดีของ Morgan ที่แม้จะเป็นบริษัทอยู่ในวอลสตรีท แต่ไม่แน่ว่าในส่วนลึก Morgan นั้น ผูกพันกับอเมริกา หรือ อังกฤษกันแน่ และเพราะเหตุนี้ ร้อกกี้เฟลเลอร์ คู่แข่ง จึงไม่ปล่อยให้ Morgan กวาดธุรกิจการเงินในญี่ปุ่นไปรายเดียว
    อเมริกา แม้จะมาที่หลังอังกฤษในจีน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า อเมริกามาสายจนเกินแกง อังกฤษใช้บริษัทบริติชอีสท์อินเดีย เป็นตัวอำนวยการแสดงในจีน แทนรัฐบาล และใช้ฝิ่นเป็นอาวุธ อเมริกาก็มีมูลนิธิร๊อกกี้เฟลเลอร์ ที่เข้าไปอย่างเงียบๆ ในจีน ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1863 เมื่อ Standard Oil ของร้อกกี้เฟลเลอร์ ขายน้ำมันก๊าดเติมตะเกียงให้แก่จีน เมื่อค้าขายไปซักพัก เขาก็เห็นตลาดอันกว้างใหญ่ของจีน และอาวุธที่ร้อกกี้ใช้จี้จุดจีน แม้จะไม่ทรงอานุภาพเช่นฝิ่นของอังกฤษ แต่ขบวนการมิชชั่นนารี ภายใต้การอุดหนุนของมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ ที่เข้าไปในจีนนานแล้ว แต่มาเปิดตัว เปิดหน้าในจีน อย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.1913 ก็ทำงานได้ตามเป้าหมายไม่น้อย ไม่เช่นนั้น อเมริกาคงไม่ได้เลี้ยงหนอนชื่อ ชาลี ซ่ง และ ซื้อไพ่ ชื่อ ซุนยัดเซ็น และเจียงไคเซ็ค
    ส่วนในญี่ปุ่นนั้น อเมริกามีวิธีแทรกเข้าไปในสังคม และการเมืองญี่ปุ่น ที่ได้ผล อย่างเหลือเชื่อมาจนถึงปัจจุบัน

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    25 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 14 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” ตอน 14 ทั้งอังกฤษและอเมริกา ต่างอยากได้จีนมาครอง โดยไม่แบ่งกับใคร และต่างก็มีแผน และวิธีการในการใช้ญี่ปุ่นและเคี้ยวจีน ที่เหมือนร่วมมือกัน แต่ขณะเดียวกัน ก็ดัดหลังกันเอง สำหรับอังกฤษ ที่เป็นเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของเท้าซ้าย มีกองเรือใหญ่ก็จริง แต่จีนอยู่ห่างกับอังกฤษคนละซีกโลก แถม อังกฤษต้องเตรียมเก็บกองทัพเอาไว้ทำสงครามในยุโรป อังกฤษจึงเลือกใช้ อาวุธ soft power การมอมเมาจีนด้วยฝิ่นก่อน แล้วตามมาด้วย proxy war รุ่นแรก ทันสมัยมากนะ ชาวเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยฯ อังกฤษ หลอกปั่นหัวญี่ปุ่นให้ไปตีตั๋วรวนจีนหลายรอบ รวมทั้งไปรบรัสเซียตามแผนอังกฤษ ทำให้ญี่ปุ่นหลงคิดว่าตนเองรบเก่ง เข้าขั้นเป็นชาติมหาอำนาจ แต่จะปั่นหัวซามูไร เหมือนปั่นจิ้งหรีด อังกฤษก็ต้องรู้วิธีปั่น เมื่อญี่ปุ่นคิดปฏิรูปประเทศ Meiji Restoration บรรดาหัวกะทิญี่ปุ่น ที่ต้องการปฏิรูปประเทศ พากันยกโขยงกันเกือบร้อยคน ไปประเทศต่างๆ ทั้งในยุโรปและอเมริกา ใช้เวลาอยู่ในประเทศต่างๆ ประมาณ 2 ปี เพื่อศึกษาด้านการปกครอง การค้า การเมือง และการทหารจากประเทศต่างๆ เมื่อกลับมาถึงญี่ปุ่น บารอนอีโต้ Baron Ito ซึ่งเป็นหัวกะทิหมายเลขหนึ่ง ในการเดินทางไปศึกษาระบบต่างๆ ก็สรุปว่า ในด้านการปกครอง และการเมือง ระบบของอังกฤษที่มีระบบรัฐสภา และมีกษัตริย์ หรือจักรพรรดิ เป็นศูนย์รวมของประเทศ เหมาะกับญี่ปุ่นที่สุด และเพื่อไม่ให้จักรพรรดิต้องเดือดร้อนในการตัดสินใจ (พูดเสียเพราะ จริงๆ ก็คือ ไม่ให้มายุ่งกับการเมืองโดยตรงนั่นแหล่ะ) ญี่ปุ่นจึงนำระบบ Council of State ของอังกฤษ มาแปลงเป็น คณะองคมนตรี หรือที่ปรึกษาของจักรพรรดิ ให้เป็นผู้เชื่อมระหว่าง การเมืองกับจักรพรรดิแทน ส่วนด้านการทหาร ในสายตาของญี่ปุ่น ไม่มีที่ไหนสู้เยอรมันได้ ส่วนระบบการเงิน ญี่ปุ่นเห็นว่าอังกฤษคือต้นแบบ ญี่ปุ่นก็เลยถอดแบบระบบธนาคารกลาง และการเงินการคลังมาจากอังกฤษ ทั้งหมดง่ายดี ดังนั้น ตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ.1870 จนถึง 1930 บรรดาหัวกะทิ หรืออีลิตญี่ปุ่น จึงอยู่ในความเชื่อว่า อังกฤษ นั้น ศิวิไลซ์ที่สุด ยิ่งอังกฤษสร้างภาพความเป็นมิตรกับญี่ปุ่น ญี่ปุ่นจึงเห็นแต่น้ำตาลที่อังกฤษฉาบไว้ ชาวญี่ปุ่น ตั้งแต่ราชวงศ์ชั้นสูง ลงมาถึงพวกเศรษฐีมีเงิน พวกที่อยากก้าวหน้าอย่างฝรั่ง จึงต่างพากันส่งลูกหลานไปศึกษาที่อังกฤษ เมื่อจบกลับมาก็สร้างระบบ และคิดตามที่อังกฤษฝังหัวไว้ จึงไม่ยาก ที่เหล่าซามูไรจะกลายเป็นจิ้งหรีด ให้อังกฤษปั่นหัว หลอกใช้ให้ไปรบรัสเซีย ป่วนจีน และกันท่าไม่ให้ชาติอื่น เข้ามาในจีนง่ายๆ ญี่ปุ่นมองไม่เห็นถึงไส้ในของแท้ของอังกฤษ ที่ ไม่มีวันจะเห็นชาติที่อยู่นอกเชื้อพันธ์แองโกลแซกซอน (ชนชาติที่ใช้ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาประจำชาติ) มาเท่าเทียมกับตน และในเมื่อ Meiji Restoration ยกให้จักรพรรดิ เป็นสิ่งสูงสุดที่สวรรค์ส่งมาให้ แม้จะไม่มีอำนาจเต็มที่ในการปกครอง แต่ผู้คนก็พากันอ้างเอาจักรพรรดิเป็นยันต์ศักดิ์สิทธิ ทั้งอังกฤษ และอเมริกา จึงพยายามแทรกเข้าไปในวัง เพื่อสร้างเครือข่าย และหวังจะชักนำราชวงศ์ไปในทิศทางที่ตนเองต้องการ น่าสนใจว่า อิทธิพลของฝรั่ง อีกรูปแบบหนึ่ง ที่เข้าไปในญี่ปุ่นสมัยนั้น ทั้งในระดับในวัง และระดับชนชั้นสูงนอกวัง คือ ศาสนาคริสเตียน ในแวดวงของจักรพรรดินี หรือตัวจักรพรรดินีเอง ส่วนใหญ่นับถือคริสเตียน ทำให้ชาวญี่ปุ่นที่นับถือคริสเตียน เปิดทางให้พวกต่างชาติคริสเตียนเคร่งศาสนา ที่เรียกว่า Quaker ซึ่งมีอยู่ไม่น้อยทั้งในอังกฤษและอเมริกา รายล้อมในและนอกวัง กลายเป็นเครือข่ายที่มีอิทธิพลยิ่ง พวกเคว้กเกอร์ เมื่อเข้ามาในญี่ปุ่น เปิดโรงเรียนสอนภาษา และหญิงผู้ดีญี่ปุ่นก็มักจะไปเรียนหนังสือ กับพวกเคว้กเกอร์ และพวกนี้ ก็จะแนะนำเพื่อนฝูง เครือญาติ ให้เข้ามารับใช้ราชวงศ์ ขณะเดียวกัน เมื่อแต่งงานกับฝ่ายชายในสังคมชั้นสูงที่มีอำนาจในการเมืองและธุรกิจ ก็ทำให้เครือข่ายของคริสเตียนเคว้กเกอร์นี้ ยิ่งแผ่ไปในสังคมชั้นสูงของญี่ปุ่นด้วย ทูตอเมรืกัน ประจำญี่ปุน ปี ค.ศ.1932 Joseph Grew ซึ่งเมีย ชื่อ Alice นั้น เป็นพวกเค้วกเกอร์ ที่มีเพื่อนสนิท ที่เป็นทั้งแม่ยาย ขององค์ชายชิชิบุ และเป็นคนสนิทของจักรพรรดินี ซาดาโกะ Sadako (แม่ของจักรพรรดิฮิโรฮิโต และชิชิบุ) ที่ก็มีข่าวว่าเป็นคริสเตียนจากอิทธิพลของสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกัน Alice ก็เป็นญาติกับเมียของ Jack Morgan แห่ง J P Morgan ที่ดัง ว่อน และวุ่นไปทั่วโลก ด้วยเส้นสายเช่นนี้ J P Morgan จึงได้มาเปิดบริษัทการเงืนใหญ่ อยู่ในญี่ปุ่น Morgan Zaibutsu พร้อมทั้งส่ง Thomas Lamont จำชื่อเขาได้ไหมครับ เขาเป็นหุ้นส่วนใหญ่อีกคนของ JP Morgan มาเป็นที่ปรึกษาการเงินให้จักรพรรดืฮิโรฮิโต และเจ้านายคนอื่นๆ ด้วย ไอ้หมอนี่ มีบทบาททั้งในอเมริกาเอง เป็นกรรมการธนาคารกลางของอเมริกา ต่อมาไปวุ่นเรื่องการปฏิวัติในรัสเซีย หลังจากนั้น มาญี่ปุ่น และก็ไปวุ่นที่อิตาลี เรื่องมุสโสลินีด้วย มันเป็นม้าใช้พันธุ์โปรด ของนักล่าจริงๆ ธุรกิจการเงินในญี่ปุ่นในช่วงต้น ค.ศ.1900 จึงอยู่ในมือ Morgan แต่ที่ผู้คนมักจะสงสัยเสมอ คือ ความจงรักภักดีของ Morgan ที่แม้จะเป็นบริษัทอยู่ในวอลสตรีท แต่ไม่แน่ว่าในส่วนลึก Morgan นั้น ผูกพันกับอเมริกา หรือ อังกฤษกันแน่ และเพราะเหตุนี้ ร้อกกี้เฟลเลอร์ คู่แข่ง จึงไม่ปล่อยให้ Morgan กวาดธุรกิจการเงินในญี่ปุ่นไปรายเดียว อเมริกา แม้จะมาที่หลังอังกฤษในจีน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า อเมริกามาสายจนเกินแกง อังกฤษใช้บริษัทบริติชอีสท์อินเดีย เป็นตัวอำนวยการแสดงในจีน แทนรัฐบาล และใช้ฝิ่นเป็นอาวุธ อเมริกาก็มีมูลนิธิร๊อกกี้เฟลเลอร์ ที่เข้าไปอย่างเงียบๆ ในจีน ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1863 เมื่อ Standard Oil ของร้อกกี้เฟลเลอร์ ขายน้ำมันก๊าดเติมตะเกียงให้แก่จีน เมื่อค้าขายไปซักพัก เขาก็เห็นตลาดอันกว้างใหญ่ของจีน และอาวุธที่ร้อกกี้ใช้จี้จุดจีน แม้จะไม่ทรงอานุภาพเช่นฝิ่นของอังกฤษ แต่ขบวนการมิชชั่นนารี ภายใต้การอุดหนุนของมูลนิธิร้อกกี้เฟลเลอร์ ที่เข้าไปในจีนนานแล้ว แต่มาเปิดตัว เปิดหน้าในจีน อย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.1913 ก็ทำงานได้ตามเป้าหมายไม่น้อย ไม่เช่นนั้น อเมริกาคงไม่ได้เลี้ยงหนอนชื่อ ชาลี ซ่ง และ ซื้อไพ่ ชื่อ ซุนยัดเซ็น และเจียงไคเซ็ค ส่วนในญี่ปุ่นนั้น อเมริกามีวิธีแทรกเข้าไปในสังคม และการเมืองญี่ปุ่น ที่ได้ผล อย่างเหลือเชื่อมาจนถึงปัจจุบัน สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 25 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 302 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 13
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด” 

    ตอน 13
    หลังจากซุนยัดเซ็นตาย เจียงไคเช็คก็ขึ้นมาหัวหน้าใหญ่ของพรรคจีนก๊กมินตั๋ง เจียงเริ่มพองตัวใหญ่ขึ้น เขาเริ่มปราบพวกเจ้าพ่อก๊กต่างๆ แม้ ในตอนแรก เขาจะยังร่วมงานกับพรรคคอมมิวนิสต์ แต่พอถึงปี ค.ศ.1927 ทั้ง 2 ฝ่ายก็ออกอาการ มีการขบเขี้ยวใส่กันอยู่ตลอดเวลา ทำท่าว่าจะไปกันไม่รอด แล้วเจียงก็ไล่ที่ปรึกษาโซเวียตกลับบ้าน หลังจากนั้นก็เริ่มใช้กำลังและความรุนแรงคุยกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ไม่นานจีนก๊กมินตั๋งกับจีนคอมมิวนิสต์ก็แยกทางกันเดิน
    อะไร ทำให้เจียงเปลี่ยนแนวทางจนเดินทางเดียวกับจีนคอมมิวนิสต์ไม่ได้
    มาดูประวัติ และเส้นทางชีวิตของเขาหน่อย
    เจียงไคเช็ค เกิดเมื่อ ปี ค.ศ.1887 ในหมู่บ้านทางตะวันออกของจีน พ่อตายก่อน แม่เป็นคนเลี้ยงเขามา พออายุ 14 หนุ่มเจียง ก็มีเมียคนแรก พออายุ 18 ก็เดินทางไปเข้าโรงเรียนทหารที่โตเกียว เขาบอกว่า เขาชอบความมีวินัยของกองทัพญี่ปุ่น ถึงปี ค.ศ.1911 เจียง ก็กลับมาจีน และเข้าร่วมกับก๊กมินตั๋ง ได้เป็นทหารติดตามซุนยัดเซ็น แต่พอซุนยัดเซ็นลี้ภัยไปอยู่ญี่ปุ่น เขาก็ไม่ได้ตามไปด้วย
    เมื่อซุนยัดเซ็น กลับมาฟื้นก๊กมินตั๋ง เจียงก็กลับมาติดตามซุนยัดเซ็นต่อ ระหว่าง นั้นเจียงก็สร้างเครือข่ายอิทธิพลของต้วเองไปด้วย เมื่อซุนยัดเซ็นเสียชีวิต ในปี ค.ศ.1925 เจียงขึ้นมาเป็นหัวหน้าก๊กมินตั๋งแทน และในปี ค.ศ.1926 เขาก็แต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ต่อมาภายหลังโด่งดัง มีอำนาจคับโลก หล่อนคือ เมย์-หลิง ซ่ง May-ling Soong ลูกสาวอีกคนหนึ่งของเศรษฐีใหญ่ ชาลี ซ่ง ที่คุ้นเคยกับซุนยัดเซ็น นั่นเอง เจียงลงทุนเข้ารีต เปลี่ยนไปนับถือคริสเตียนตามเมียไฮโซ
    ชาลี ซ่ง Charlie Soong เป็นชาวจีนที่โตมากับพวกมิชชันนารีในจีนที่ไหหลำ ทางใต้ของจีน พวกมิชชั่นนารีส่งเขาไปเรียนหนังสือที่อเมริกา หลังจากนั้น ชาลี ก็เข้ารีตเป็นคริสเตียน และเปลี่ยนชื่อเป็นฝรั่ง เมื่อชาลีเรียนมหาวิทยาลัยจบ ก็กลับมาจีน และปักหลักทำธุรกิจอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ แดนฝรั่งในจีน
    เขาเรื่มธุรกิจด้วยการพิมพ์คัมภีร์ไบเบิลขาย จนมีฐานะ และต่อมาก็ถือว่า เป็นเศรษฐีคนหนึ่ง เขามีลูกสาว 3 คน ลูกชาย 3 คน ลูกชายลูกสาว ทุกคนถูกส่งไปเรียนหนังสือที่อเมริกา ตั้งแต่อายุสิบกว่าขวบ ทุกคนจบมหาวิทยาลัยชั้นดีในอเมริกา ใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารได้ดีกว่าภาษาจีน ลูกสาวคนหนึ่ง ชิง-หลิง ไปช่วยทำงานให้ซุนยัดเซ็น ในที่สุดก็รักกัน และไปอยู่กินกับซุนยัดเซ็น เมื่อซุนยัดเซ็นลี้ภัยไปอยู่ญี่ปุ่น ชิง-หลิง ก็ตามไปด้วย ซึ่งทำให้ชาลีไม่พอใจอย่างยิ่ง ถึงขนาดตัดขาดกับทั้ง 2 คน
    แต่เมื่อได้ลูกเขยชื่อเจียงไคเช็ค ชาลี ซ่ง กลับปลาบปลื้ม และทำธุรกิจร่วมกัน ไม่ใช่เฉพาะที่เซี่ยงไฮ้ แต่ขยายไปทั่ว เมื่อเจียงไคเช็คพาพรรคพวกหนีพรรคคอมมิวนิสต์ ไปอยู่ไต้หวัน และตั้งตัวเป็นประธานาธิบดี ลูกชายของ ชาลีคนหนึ่ง ชื่อ เซ-เวน Tse-ven แต่เจ้าตัวและพวกฝรั่งเรียกว่า T V ทีวี ก็ไปทำหน้าที่เป็นรัฐมนตรีคลังให้แก่น้องเขย และเป็นอยู่หลายสมัย เลยยิ่งรวยกันใหญ่
    จริงๆ T V ทำหน้าที่เป็นเลขาส่วนตัวให้แก่ซุนยัดเซ็นมาก่อน ตั้งแต่สมัยที่ซุนยัดเซ็นปักหลักเริ่มวางแผนอยู่แถวเซี่ยงไฮ้ ในปี ค.ศ.1917 นาย ทีวี นี่จบจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาด และนิยมทุกอย่างที่เกี่ยวกับอเมริกา เมื่อย้ายมาทำงานให้เขยอีกคนคือ เจียง นอกจากได้เป็นรัฐมนตรีคลังแล้ว นายทีวี ยังเป็นผู้ว่าการธนาคารกลางไต้หวัน และเป็นผู้ก่อตั้งสภาเศรษฐกิจแห่งชาติของไต้หวัน เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 นายทีวี ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานระหว่างไต้หวันกับอเมริกาโดยเป็นผู้ติดต่อโดยตรงกับประธานาธิบดี Roosevelt ของอเมริกา รูปแบบคุ้นๆ จัง
    ตัวแปรสำคัญที่ทำให้เส้นทางเดินของ เจียงไคเช็ค เปลี่ยนจุดหมาย เลี้ยวออกจากที่เคยเดินไปทางเดียวกับซุนยัดเซ็น น่าจะเป็น ตระกูลซ่ง ตั้งแต่ ตัวพ่อ ลูกสาว และลูกชาย
    จากประวัติของ ชาลี ซ่ง ที่เป็นเด็กเลี้ยงของมิชชั่นนารีคริสเตียน และภายหลัง เห็นชัดว่าเป็นเด็กสร้างของอเมริกา อเมริกาจึงน่าจะเป็นผู้จัดการให้ ชาลี ซ่ง และครอบครัว มาทำหน้าที่ ทำงานคัดท้าย จนถึงครอบงำผู้ที่จะมาทำการปกครองจีน หลังจากราชวงศ์ชิงล่ม ตามแผนครอบครองจีนของอเมริกา และเพื่อให้เป็นไปตามแผน ที่ผลสรุป ของตัวแสดงยังออกมาไม่ชัด อเมริกาจึงต้องซื้อไพ่ชื่อ ซุนยัดเซน และเจียงไคเช็ค ทั้ง 2ใบ และให้มีการประกบใกล้ชิด ทั้ง 2 ใบ มันเป็นงานใหญ่ ที่ต้องใช้กันทั้งครอบครัว และอาจจะทั้งตระกูล และใช้เวลาหลายชั่วชีวิตคน อย่างที่เราจะนึกไม่ถึง นี่คือต้นแบบของหนอนใน ที่ฝรั่งใช้เอามาฝังไว้ในประเทศต่างๆ แม้ในแดนสยามก็ยังมี และยังใช้อยู่
    มันเป็นการมองการณ์ไกลของผู้สร้าง ชาลี ซ่ง และครอบครัว บวกความทะเยอทะยานของครอบครัว ชาลี ซ่ง ผสมกัน ตบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอก ยอมเป็นขี้ข้าให้ฝรั่งใช้ในประเทศตนเอง นี่มันต้องใช้หลายอย่าง แต่ที่ไม่ใช้คือ ความรัก ความกตัญญูต่อแผ่นดินเกิดของตนเอง และความมีศักดิ์ศรีในชนชาติของตน
    ส่วนเรื่องของซุนยัดเซ็น น่าเชื่อว่า ซุนยัดเซ็นมีอุดมการณ์จริงตั้งแต่เริ่มแรก ที่ต้องการไล่ราชวงศ์ชิงที่เหลวเละและยอมฝรั่ง และไล่พวกฝรั่งให้พ้นไปจากจีน และอังกฤษเอง ก็น่าจะรู้เป้าหมายของซุนยัดเซ็นอยู่แล้ว แต่อังกฤษคงปล่อยให้ซุนยัดเซ็นเล่นไประดับหนึ่ง เพื่อไล่ราชวงศ์ชิง เพราะ ถ้าราชวงศ์ชิงร่วงไป ก็เป็นประโยชน์กับอังกฤษเช่นกัน
    ส่วนการปล่อยให้ ซุนยัดเซ็น มาอยู่ญี่ปุ่น ที่อังกฤษ รวมทั้งอเมริกา เอาตาข่ายคลุมไว้หมดแล้ว เพื่อให้เส้นสายของตน ทั้งตามดูและควบคุม ก็เป็นเรื่องเข้าใจได้ แต่เมื่อมีการปฏิวัติสำเร็จ และซุนยัดเซ็นได้รับการสนับสนุนจากประชาชนให้เป็นประธานาธิบดี และตั้งสาธารณรัฐ ฝ่ายอังกฤษจึงเห็นว่า ผิดท่า ชาวจีนสนับสนุนมากไป และน่าจะมีอเมริกามาเกี่ยวข้อง การที่อังกฤษจะไปคาบจีนกลับมา จึงอาจจะไม่ง่ายอย่างที่คิด มันก็เป็นแนวคิดเดียวกันกับการใช้ญี่ปุ่นรวนจีน แต่ไม่ได้ยกจีนให้ญี่ปุ่น อังกฤษปล่อย หรือ อาจจะสนับสนุนทางอ้อม ให้ซุนยัดเซ็นไล่ราชวงศ์ชิง แต่ไม่ได้หมายความว่ายกจีนให้ ซุนยัดเซ็น
    นี่คือสันดานที่แท้จริงของอังกฤษ “แค่ใช้ ไม่ใช่ ยกให้” ยวนชีไข่ จึงได้ใบสั่งให้มาเข้าฉากชั่วคราว เพราะอังกฤษยังไม่ว่างมาจัดการเอง เพราะช่วงนั้นกำลังวุ่นอยู่กับการแบ่งเค้กตะวันออกกลาง ที่ได้มาจากการทำสงครามโลก ครั้งที่ 1
    ขณะเดียวกัน ซุนยัดเซ็นจะเป็นเด็กสร้าง หรือรับใบสั่งของอเมริกา หรือไม่ ก็น่าคิด แต่ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น อเมริกาน่าจะเกาะติด และประกบซุนยัดเซ็น ไม่ต่างกับอังกฤษ หรือยิ่งกว่า อเมริกามีแต่ได้ ไม่มีเสีย ถ้าซุนยัดเซ็นโค่นราชวงศ์ชิงไปได้ ไล่อังกฤษออกจากจีน มันเป็นการเปิดทางเข้าให้อเมริกาทั้งนั้น ชาลี ซ่ง และครอบครัว จึงถูกส่งมาประกบ ไม่ให้ซุนยัดเซ็นหลุดเส้นทาง และหลุดมือ
    แต่การที่ ซุนยัดเซ็น เอง ที่เดินหมากเหมือนไม่ตามแผน เช่น การไปตกปากสัญญาจะยกสัมปทานในจีน ให้คนจีนโพ้นทะเล เป็นการชักจูงให้กลับมาอยู่ในประเทศ มาช่วยกันสร้างประเทศดีกว่าให้ฝรั่งมาเอาไป น่าจะบอกความในใจของซุนยัดเซ็นได้พอสมควร ดูๆไป ก็เหมือน ซุนยัดเซ็น เล่นละครหลอกฝรั่ง ทั้งอังกฤษ อเมริกา และอาจจะญี่ปุ่นด้วย เขาแสดงตัวว่า คบทั้ง อเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น เยอรมัน ทั้งคนดี คนชั่ว แต่ที่สำคัญ การมาคบกับโซเวียต นี่น่าจะเป็นเหตุใหญ่ ให้อเมริกา ที่เล่นไพ่ไว้ทั้ง 2 ใบ จึงทิ้งไพ่ เหลือเพียงใบเดียว หันมาสนับสนุน เจียงไคเช็ค ที่ชัดเจนว่าอยู่ในมืออเมริกา อย่างเต็มที่ มันเป็นรูปแบบที่อเมริกา ถนัดเล่น เล่นอย่างนี้ ทุกที่ ทุกสมัย
     
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    24 ส.ค. 2558
    ไม่ตกสะเก็ด ตอนที่ 13 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ไม่ตกสะเก็ด”  ตอน 13 หลังจากซุนยัดเซ็นตาย เจียงไคเช็คก็ขึ้นมาหัวหน้าใหญ่ของพรรคจีนก๊กมินตั๋ง เจียงเริ่มพองตัวใหญ่ขึ้น เขาเริ่มปราบพวกเจ้าพ่อก๊กต่างๆ แม้ ในตอนแรก เขาจะยังร่วมงานกับพรรคคอมมิวนิสต์ แต่พอถึงปี ค.ศ.1927 ทั้ง 2 ฝ่ายก็ออกอาการ มีการขบเขี้ยวใส่กันอยู่ตลอดเวลา ทำท่าว่าจะไปกันไม่รอด แล้วเจียงก็ไล่ที่ปรึกษาโซเวียตกลับบ้าน หลังจากนั้นก็เริ่มใช้กำลังและความรุนแรงคุยกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ไม่นานจีนก๊กมินตั๋งกับจีนคอมมิวนิสต์ก็แยกทางกันเดิน อะไร ทำให้เจียงเปลี่ยนแนวทางจนเดินทางเดียวกับจีนคอมมิวนิสต์ไม่ได้ มาดูประวัติ และเส้นทางชีวิตของเขาหน่อย เจียงไคเช็ค เกิดเมื่อ ปี ค.ศ.1887 ในหมู่บ้านทางตะวันออกของจีน พ่อตายก่อน แม่เป็นคนเลี้ยงเขามา พออายุ 14 หนุ่มเจียง ก็มีเมียคนแรก พออายุ 18 ก็เดินทางไปเข้าโรงเรียนทหารที่โตเกียว เขาบอกว่า เขาชอบความมีวินัยของกองทัพญี่ปุ่น ถึงปี ค.ศ.1911 เจียง ก็กลับมาจีน และเข้าร่วมกับก๊กมินตั๋ง ได้เป็นทหารติดตามซุนยัดเซ็น แต่พอซุนยัดเซ็นลี้ภัยไปอยู่ญี่ปุ่น เขาก็ไม่ได้ตามไปด้วย เมื่อซุนยัดเซ็น กลับมาฟื้นก๊กมินตั๋ง เจียงก็กลับมาติดตามซุนยัดเซ็นต่อ ระหว่าง นั้นเจียงก็สร้างเครือข่ายอิทธิพลของต้วเองไปด้วย เมื่อซุนยัดเซ็นเสียชีวิต ในปี ค.ศ.1925 เจียงขึ้นมาเป็นหัวหน้าก๊กมินตั๋งแทน และในปี ค.ศ.1926 เขาก็แต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ต่อมาภายหลังโด่งดัง มีอำนาจคับโลก หล่อนคือ เมย์-หลิง ซ่ง May-ling Soong ลูกสาวอีกคนหนึ่งของเศรษฐีใหญ่ ชาลี ซ่ง ที่คุ้นเคยกับซุนยัดเซ็น นั่นเอง เจียงลงทุนเข้ารีต เปลี่ยนไปนับถือคริสเตียนตามเมียไฮโซ ชาลี ซ่ง Charlie Soong เป็นชาวจีนที่โตมากับพวกมิชชันนารีในจีนที่ไหหลำ ทางใต้ของจีน พวกมิชชั่นนารีส่งเขาไปเรียนหนังสือที่อเมริกา หลังจากนั้น ชาลี ก็เข้ารีตเป็นคริสเตียน และเปลี่ยนชื่อเป็นฝรั่ง เมื่อชาลีเรียนมหาวิทยาลัยจบ ก็กลับมาจีน และปักหลักทำธุรกิจอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ แดนฝรั่งในจีน เขาเรื่มธุรกิจด้วยการพิมพ์คัมภีร์ไบเบิลขาย จนมีฐานะ และต่อมาก็ถือว่า เป็นเศรษฐีคนหนึ่ง เขามีลูกสาว 3 คน ลูกชาย 3 คน ลูกชายลูกสาว ทุกคนถูกส่งไปเรียนหนังสือที่อเมริกา ตั้งแต่อายุสิบกว่าขวบ ทุกคนจบมหาวิทยาลัยชั้นดีในอเมริกา ใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารได้ดีกว่าภาษาจีน ลูกสาวคนหนึ่ง ชิง-หลิง ไปช่วยทำงานให้ซุนยัดเซ็น ในที่สุดก็รักกัน และไปอยู่กินกับซุนยัดเซ็น เมื่อซุนยัดเซ็นลี้ภัยไปอยู่ญี่ปุ่น ชิง-หลิง ก็ตามไปด้วย ซึ่งทำให้ชาลีไม่พอใจอย่างยิ่ง ถึงขนาดตัดขาดกับทั้ง 2 คน แต่เมื่อได้ลูกเขยชื่อเจียงไคเช็ค ชาลี ซ่ง กลับปลาบปลื้ม และทำธุรกิจร่วมกัน ไม่ใช่เฉพาะที่เซี่ยงไฮ้ แต่ขยายไปทั่ว เมื่อเจียงไคเช็คพาพรรคพวกหนีพรรคคอมมิวนิสต์ ไปอยู่ไต้หวัน และตั้งตัวเป็นประธานาธิบดี ลูกชายของ ชาลีคนหนึ่ง ชื่อ เซ-เวน Tse-ven แต่เจ้าตัวและพวกฝรั่งเรียกว่า T V ทีวี ก็ไปทำหน้าที่เป็นรัฐมนตรีคลังให้แก่น้องเขย และเป็นอยู่หลายสมัย เลยยิ่งรวยกันใหญ่ จริงๆ T V ทำหน้าที่เป็นเลขาส่วนตัวให้แก่ซุนยัดเซ็นมาก่อน ตั้งแต่สมัยที่ซุนยัดเซ็นปักหลักเริ่มวางแผนอยู่แถวเซี่ยงไฮ้ ในปี ค.ศ.1917 นาย ทีวี นี่จบจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาด และนิยมทุกอย่างที่เกี่ยวกับอเมริกา เมื่อย้ายมาทำงานให้เขยอีกคนคือ เจียง นอกจากได้เป็นรัฐมนตรีคลังแล้ว นายทีวี ยังเป็นผู้ว่าการธนาคารกลางไต้หวัน และเป็นผู้ก่อตั้งสภาเศรษฐกิจแห่งชาติของไต้หวัน เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 นายทีวี ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานระหว่างไต้หวันกับอเมริกาโดยเป็นผู้ติดต่อโดยตรงกับประธานาธิบดี Roosevelt ของอเมริกา รูปแบบคุ้นๆ จัง ตัวแปรสำคัญที่ทำให้เส้นทางเดินของ เจียงไคเช็ค เปลี่ยนจุดหมาย เลี้ยวออกจากที่เคยเดินไปทางเดียวกับซุนยัดเซ็น น่าจะเป็น ตระกูลซ่ง ตั้งแต่ ตัวพ่อ ลูกสาว และลูกชาย จากประวัติของ ชาลี ซ่ง ที่เป็นเด็กเลี้ยงของมิชชั่นนารีคริสเตียน และภายหลัง เห็นชัดว่าเป็นเด็กสร้างของอเมริกา อเมริกาจึงน่าจะเป็นผู้จัดการให้ ชาลี ซ่ง และครอบครัว มาทำหน้าที่ ทำงานคัดท้าย จนถึงครอบงำผู้ที่จะมาทำการปกครองจีน หลังจากราชวงศ์ชิงล่ม ตามแผนครอบครองจีนของอเมริกา และเพื่อให้เป็นไปตามแผน ที่ผลสรุป ของตัวแสดงยังออกมาไม่ชัด อเมริกาจึงต้องซื้อไพ่ชื่อ ซุนยัดเซน และเจียงไคเช็ค ทั้ง 2ใบ และให้มีการประกบใกล้ชิด ทั้ง 2 ใบ มันเป็นงานใหญ่ ที่ต้องใช้กันทั้งครอบครัว และอาจจะทั้งตระกูล และใช้เวลาหลายชั่วชีวิตคน อย่างที่เราจะนึกไม่ถึง นี่คือต้นแบบของหนอนใน ที่ฝรั่งใช้เอามาฝังไว้ในประเทศต่างๆ แม้ในแดนสยามก็ยังมี และยังใช้อยู่ มันเป็นการมองการณ์ไกลของผู้สร้าง ชาลี ซ่ง และครอบครัว บวกความทะเยอทะยานของครอบครัว ชาลี ซ่ง ผสมกัน ตบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอก ยอมเป็นขี้ข้าให้ฝรั่งใช้ในประเทศตนเอง นี่มันต้องใช้หลายอย่าง แต่ที่ไม่ใช้คือ ความรัก ความกตัญญูต่อแผ่นดินเกิดของตนเอง และความมีศักดิ์ศรีในชนชาติของตน ส่วนเรื่องของซุนยัดเซ็น น่าเชื่อว่า ซุนยัดเซ็นมีอุดมการณ์จริงตั้งแต่เริ่มแรก ที่ต้องการไล่ราชวงศ์ชิงที่เหลวเละและยอมฝรั่ง และไล่พวกฝรั่งให้พ้นไปจากจีน และอังกฤษเอง ก็น่าจะรู้เป้าหมายของซุนยัดเซ็นอยู่แล้ว แต่อังกฤษคงปล่อยให้ซุนยัดเซ็นเล่นไประดับหนึ่ง เพื่อไล่ราชวงศ์ชิง เพราะ ถ้าราชวงศ์ชิงร่วงไป ก็เป็นประโยชน์กับอังกฤษเช่นกัน ส่วนการปล่อยให้ ซุนยัดเซ็น มาอยู่ญี่ปุ่น ที่อังกฤษ รวมทั้งอเมริกา เอาตาข่ายคลุมไว้หมดแล้ว เพื่อให้เส้นสายของตน ทั้งตามดูและควบคุม ก็เป็นเรื่องเข้าใจได้ แต่เมื่อมีการปฏิวัติสำเร็จ และซุนยัดเซ็นได้รับการสนับสนุนจากประชาชนให้เป็นประธานาธิบดี และตั้งสาธารณรัฐ ฝ่ายอังกฤษจึงเห็นว่า ผิดท่า ชาวจีนสนับสนุนมากไป และน่าจะมีอเมริกามาเกี่ยวข้อง การที่อังกฤษจะไปคาบจีนกลับมา จึงอาจจะไม่ง่ายอย่างที่คิด มันก็เป็นแนวคิดเดียวกันกับการใช้ญี่ปุ่นรวนจีน แต่ไม่ได้ยกจีนให้ญี่ปุ่น อังกฤษปล่อย หรือ อาจจะสนับสนุนทางอ้อม ให้ซุนยัดเซ็นไล่ราชวงศ์ชิง แต่ไม่ได้หมายความว่ายกจีนให้ ซุนยัดเซ็น นี่คือสันดานที่แท้จริงของอังกฤษ “แค่ใช้ ไม่ใช่ ยกให้” ยวนชีไข่ จึงได้ใบสั่งให้มาเข้าฉากชั่วคราว เพราะอังกฤษยังไม่ว่างมาจัดการเอง เพราะช่วงนั้นกำลังวุ่นอยู่กับการแบ่งเค้กตะวันออกกลาง ที่ได้มาจากการทำสงครามโลก ครั้งที่ 1 ขณะเดียวกัน ซุนยัดเซ็นจะเป็นเด็กสร้าง หรือรับใบสั่งของอเมริกา หรือไม่ ก็น่าคิด แต่ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น อเมริกาน่าจะเกาะติด และประกบซุนยัดเซ็น ไม่ต่างกับอังกฤษ หรือยิ่งกว่า อเมริกามีแต่ได้ ไม่มีเสีย ถ้าซุนยัดเซ็นโค่นราชวงศ์ชิงไปได้ ไล่อังกฤษออกจากจีน มันเป็นการเปิดทางเข้าให้อเมริกาทั้งนั้น ชาลี ซ่ง และครอบครัว จึงถูกส่งมาประกบ ไม่ให้ซุนยัดเซ็นหลุดเส้นทาง และหลุดมือ แต่การที่ ซุนยัดเซ็น เอง ที่เดินหมากเหมือนไม่ตามแผน เช่น การไปตกปากสัญญาจะยกสัมปทานในจีน ให้คนจีนโพ้นทะเล เป็นการชักจูงให้กลับมาอยู่ในประเทศ มาช่วยกันสร้างประเทศดีกว่าให้ฝรั่งมาเอาไป น่าจะบอกความในใจของซุนยัดเซ็นได้พอสมควร ดูๆไป ก็เหมือน ซุนยัดเซ็น เล่นละครหลอกฝรั่ง ทั้งอังกฤษ อเมริกา และอาจจะญี่ปุ่นด้วย เขาแสดงตัวว่า คบทั้ง อเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น เยอรมัน ทั้งคนดี คนชั่ว แต่ที่สำคัญ การมาคบกับโซเวียต นี่น่าจะเป็นเหตุใหญ่ ให้อเมริกา ที่เล่นไพ่ไว้ทั้ง 2 ใบ จึงทิ้งไพ่ เหลือเพียงใบเดียว หันมาสนับสนุน เจียงไคเช็ค ที่ชัดเจนว่าอยู่ในมืออเมริกา อย่างเต็มที่ มันเป็นรูปแบบที่อเมริกา ถนัดเล่น เล่นอย่างนี้ ทุกที่ ทุกสมัย   สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 24 ส.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 333 มุมมอง 0 รีวิว
  • AI กำลังเปลี่ยนแปลงโลกงานอย่างไม่คาดคิด

    รายงานจาก World Economic Forum ระบุว่า AI จะมีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงงานทั่วโลก โดยคาดว่าจะมีการสร้างงานใหม่กว่า 170 ล้านตำแหน่ง แต่ก็จะสูญเสียไปกว่า 92 ล้านตำแหน่งในเวลาเดียวกัน งานที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ เจ้าหน้าที่ธุรการ เลขานุการ และงานที่มีลักษณะซ้ำๆ ซึ่งกำลังถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติและ AI-powered agents

    บริษัทใหญ่เช่น IBM และ Meta ได้เริ่มลดจำนวนพนักงานในตำแหน่งที่ไม่ใช่สายเทคนิค โดย IBM ถึงขั้นใช้ AI แทนพนักงาน HR ในบางส่วน ขณะที่ Walmart ก็ยืนยันว่า “ทุกงานจะเปลี่ยนไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า แม้แต่งานที่ยังคงอยู่ก็จะถูกปรับเปลี่ยนด้วย AI

    งานใหม่ที่เกิดขึ้นจากการเติบโตของ AI
    แม้จะมีการลดตำแหน่งงาน แต่ AI ก็สร้างโอกาสใหม่เช่นกัน โดยเฉพาะ Prompt Engineer, Automation Specialist และงานที่เน้น Critical Thinking ซึ่งเป็นทักษะที่ AI ยังไม่สามารถแทนที่ได้เต็มที่ นอกจากนี้ยังมีความต้องการแรงงานฝีมือ เช่น ช่างไฟฟ้า ช่างไม้ และช่างประปา เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านดาต้าเซ็นเตอร์ที่รองรับ AI

    นอกเหนือจากงานสายเทคนิคแล้ว หุ่นยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI กำลังเข้ามาแทนแรงงานมนุษย์ในหลายภาคส่วน ตั้งแต่การเก็บผลไม้ ทำกาแฟ ไปจนถึงการทำงานในพื้นที่เสี่ยงอันตราย ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อชีวิตมนุษย์ แต่ก็ทำให้แรงงานที่มีการศึกษาน้อยถูกแทนที่มากขึ้น

    ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนของตลาดแรงงาน
    แม้ AI จะสร้างงานใหม่ แต่การเปลี่ยนแปลงนี้มีลักษณะ ไม่สมดุล โดยงานที่ต้องใช้การตัดสินใจและการคิดเชิงวิพากษ์ยังคงมีความต้องการสูง ขณะที่งานที่ซ้ำๆ และใช้แรงงานพื้นฐานกำลังหายไปอย่างรวดเร็ว ธนาคารกลาง St. Louis ชี้ว่า หุ่นยนต์มักแทนที่แรงงานที่มีการศึกษาต่ำ และแนวโน้มนี้จะขยายไปยังสายการผลิต เช่น การใช้แขนกลในการเคลื่อนย้ายวัสดุในโรงงาน

    สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามว่า AI จะเป็นผลบวกสุทธิหรือไม่ต่อการจ้างงาน เพราะแม้จะมีการสร้างงานใหม่ แต่จำนวนงานที่หายไปและความเหลื่อมล้ำทางทักษะอาจทำให้แรงงานจำนวนมากถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง

    สรุปสาระสำคัญ
    AI สร้างและทำลายงานพร้อมกัน
    170 ล้านงานใหม่ แต่ 92 ล้านงานหายไป

    งานที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด
    เจ้าหน้าที่ธุรการ เลขานุการ และงานซ้ำๆ

    บริษัทใหญ่เริ่มใช้ AI แทนคน
    IBM ใช้ AI แทน HR, Walmart ยืนยันทุกงานจะเปลี่ยน

    งานใหม่ที่เกิดขึ้น
    Prompt Engineer, Automation Specialist, ช่างไฟฟ้า และงานที่ใช้ Critical Thinking

    ความเสี่ยงต่อแรงงานการศึกษาต่ำ
    หุ่นยนต์แทนที่งานซ้ำๆ เช่น การผลิตและงานบริการ

    ความไม่แน่นอนของตลาดแรงงาน
    แม้มีงานใหม่ แต่ความเหลื่อมล้ำทางทักษะอาจเพิ่มขึ้น

    https://www.slashgear.com/2034261/artificial-intelligence-middle-management-job-layoffs/
    🤖 AI กำลังเปลี่ยนแปลงโลกงานอย่างไม่คาดคิด รายงานจาก World Economic Forum ระบุว่า AI จะมีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงงานทั่วโลก โดยคาดว่าจะมีการสร้างงานใหม่กว่า 170 ล้านตำแหน่ง แต่ก็จะสูญเสียไปกว่า 92 ล้านตำแหน่งในเวลาเดียวกัน งานที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ เจ้าหน้าที่ธุรการ เลขานุการ และงานที่มีลักษณะซ้ำๆ ซึ่งกำลังถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติและ AI-powered agents บริษัทใหญ่เช่น IBM และ Meta ได้เริ่มลดจำนวนพนักงานในตำแหน่งที่ไม่ใช่สายเทคนิค โดย IBM ถึงขั้นใช้ AI แทนพนักงาน HR ในบางส่วน ขณะที่ Walmart ก็ยืนยันว่า “ทุกงานจะเปลี่ยนไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า แม้แต่งานที่ยังคงอยู่ก็จะถูกปรับเปลี่ยนด้วย AI 🛠️ งานใหม่ที่เกิดขึ้นจากการเติบโตของ AI แม้จะมีการลดตำแหน่งงาน แต่ AI ก็สร้างโอกาสใหม่เช่นกัน โดยเฉพาะ Prompt Engineer, Automation Specialist และงานที่เน้น Critical Thinking ซึ่งเป็นทักษะที่ AI ยังไม่สามารถแทนที่ได้เต็มที่ นอกจากนี้ยังมีความต้องการแรงงานฝีมือ เช่น ช่างไฟฟ้า ช่างไม้ และช่างประปา เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านดาต้าเซ็นเตอร์ที่รองรับ AI นอกเหนือจากงานสายเทคนิคแล้ว หุ่นยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI กำลังเข้ามาแทนแรงงานมนุษย์ในหลายภาคส่วน ตั้งแต่การเก็บผลไม้ ทำกาแฟ ไปจนถึงการทำงานในพื้นที่เสี่ยงอันตราย ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อชีวิตมนุษย์ แต่ก็ทำให้แรงงานที่มีการศึกษาน้อยถูกแทนที่มากขึ้น ⚠️ ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนของตลาดแรงงาน แม้ AI จะสร้างงานใหม่ แต่การเปลี่ยนแปลงนี้มีลักษณะ ไม่สมดุล โดยงานที่ต้องใช้การตัดสินใจและการคิดเชิงวิพากษ์ยังคงมีความต้องการสูง ขณะที่งานที่ซ้ำๆ และใช้แรงงานพื้นฐานกำลังหายไปอย่างรวดเร็ว ธนาคารกลาง St. Louis ชี้ว่า หุ่นยนต์มักแทนที่แรงงานที่มีการศึกษาต่ำ และแนวโน้มนี้จะขยายไปยังสายการผลิต เช่น การใช้แขนกลในการเคลื่อนย้ายวัสดุในโรงงาน สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามว่า AI จะเป็นผลบวกสุทธิหรือไม่ต่อการจ้างงาน เพราะแม้จะมีการสร้างงานใหม่ แต่จำนวนงานที่หายไปและความเหลื่อมล้ำทางทักษะอาจทำให้แรงงานจำนวนมากถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ AI สร้างและทำลายงานพร้อมกัน ➡️ 170 ล้านงานใหม่ แต่ 92 ล้านงานหายไป ✅ งานที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ➡️ เจ้าหน้าที่ธุรการ เลขานุการ และงานซ้ำๆ ✅ บริษัทใหญ่เริ่มใช้ AI แทนคน ➡️ IBM ใช้ AI แทน HR, Walmart ยืนยันทุกงานจะเปลี่ยน ✅ งานใหม่ที่เกิดขึ้น ➡️ Prompt Engineer, Automation Specialist, ช่างไฟฟ้า และงานที่ใช้ Critical Thinking ‼️ ความเสี่ยงต่อแรงงานการศึกษาต่ำ ⛔ หุ่นยนต์แทนที่งานซ้ำๆ เช่น การผลิตและงานบริการ ‼️ ความไม่แน่นอนของตลาดแรงงาน ⛔ แม้มีงานใหม่ แต่ความเหลื่อมล้ำทางทักษะอาจเพิ่มขึ้น https://www.slashgear.com/2034261/artificial-intelligence-middle-management-job-layoffs/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    The Jobs AI Is Taking First Aren't The Ones You Might Expect - SlashGear
    Artificial intelligence has many worried about its impact on the job market, but you may be surprised how things are going.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 168 มุมมอง 0 รีวิว
  • Bitcoin ร่วงหนัก สะเทือนตลาดคริปโต

    ราคาบิทคอยน์ร่วงลงแตะ $80,553 ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือน ขณะที่ Ethereum ก็ลดลงกว่า 19% ในปีนี้ การร่วงครั้งนี้เกิดจากแรงกดดันหลายด้าน ทั้งการขายทำกำไรของนักลงทุนรายใหญ่ การถอนเงินจากกองทุน ETF และความไม่แน่นอนเรื่องการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

    มูลค่าตลาดหายไปกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์
    การร่วงของบิทคอยน์ทำให้มูลค่าตลาดคริปโตทั้งหมดหายไปกว่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ภายในเวลาเพียง 6 สัปดาห์ นักลงทุนสถาบันและบริษัทที่ถือครองบิทคอยน์ในงบดุลต้องเผชิญกับความเสี่ยงสูง หลายบริษัทอาจถูกบังคับให้ขายสินทรัพย์เพื่อป้องกันการขาดทุน ซึ่งยิ่งกดดันราคาลงไปอีก

    ปฏิกิริยาของนักลงทุนสถาบัน
    ข้อมูลล่าสุดเผยว่าการซื้อบิทคอยน์โดยบริษัทใหญ่ลดลงถึง 76% เมื่อเทียบกับช่วงกลางปี ขณะเดียวกันกองทุน ETF บิทคอยน์ก็มีการไหลออกมหาศาล นักลงทุนสถาบันเลือกที่จะถอยออกจากตลาดคริปโตชั่วคราว และหันไปหาสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำและพันธบัตรรัฐบาล

    สัญญาณ “Crypto Winter” รอบใหม่
    นักวิเคราะห์หลายรายเตือนว่าหากราคาบิทคอยน์หลุดต่ำกว่า $80,000 อาจนำไปสู่การร่วงต่อถึง $50,000 หรือแม้แต่ $10,000 หากซ้ำรอยปี 2018 ความเชื่อมั่นของตลาดที่สั่นคลอนอาจทำให้เกิด “Crypto Winter” รอบใหม่ ซึ่งหมายถึงช่วงเวลายาวนานที่ตลาดคริปโตซบเซาและราคาต่ำต่อเนื่อง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ราคาบิทคอยน์ร่วงแตะ $80,553
    ลดลงกว่า 12% ในสัปดาห์เดียว และลบกำไรทั้งปี 2025

    มูลค่าตลาดคริปโตหายไปกว่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์
    บริษัทที่ถือครองบิทคอยน์ในงบดุลเสี่ยงขาดทุนหนัก

    นักลงทุนสถาบันลดการซื้อบิทคอยน์ลง 76%
    กองทุน ETF บิทคอยน์มีการไหลออกหลายร้อยล้านดอลลาร์

    นักวิเคราะห์เตือนระดับ $80,000 เป็นจุดวิกฤติ
    หากหลุดต่ำกว่านี้อาจร่วงต่อถึง $69,000 หรือ $50,000

    ความเสี่ยง “Crypto Winter” รอบใหม่
    ตลาดอาจเข้าสู่ภาวะซบเซายาวนานเหมือนปี 2018

    นักลงทุนรายย่อยเสี่ยงถูกล้างพอร์ต
    การใช้ Leverage สูงอาจทำให้สูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/22/bitcoin-on-thin-ice-after-sinking-in-flight-from-risk
    🪙 Bitcoin ร่วงหนัก สะเทือนตลาดคริปโต ราคาบิทคอยน์ร่วงลงแตะ $80,553 ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือน ขณะที่ Ethereum ก็ลดลงกว่า 19% ในปีนี้ การร่วงครั้งนี้เกิดจากแรงกดดันหลายด้าน ทั้งการขายทำกำไรของนักลงทุนรายใหญ่ การถอนเงินจากกองทุน ETF และความไม่แน่นอนเรื่องการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว 📉 มูลค่าตลาดหายไปกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ การร่วงของบิทคอยน์ทำให้มูลค่าตลาดคริปโตทั้งหมดหายไปกว่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ภายในเวลาเพียง 6 สัปดาห์ นักลงทุนสถาบันและบริษัทที่ถือครองบิทคอยน์ในงบดุลต้องเผชิญกับความเสี่ยงสูง หลายบริษัทอาจถูกบังคับให้ขายสินทรัพย์เพื่อป้องกันการขาดทุน ซึ่งยิ่งกดดันราคาลงไปอีก 🏦 ปฏิกิริยาของนักลงทุนสถาบัน ข้อมูลล่าสุดเผยว่าการซื้อบิทคอยน์โดยบริษัทใหญ่ลดลงถึง 76% เมื่อเทียบกับช่วงกลางปี ขณะเดียวกันกองทุน ETF บิทคอยน์ก็มีการไหลออกมหาศาล นักลงทุนสถาบันเลือกที่จะถอยออกจากตลาดคริปโตชั่วคราว และหันไปหาสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำและพันธบัตรรัฐบาล ❄️ สัญญาณ “Crypto Winter” รอบใหม่ นักวิเคราะห์หลายรายเตือนว่าหากราคาบิทคอยน์หลุดต่ำกว่า $80,000 อาจนำไปสู่การร่วงต่อถึง $50,000 หรือแม้แต่ $10,000 หากซ้ำรอยปี 2018 ความเชื่อมั่นของตลาดที่สั่นคลอนอาจทำให้เกิด “Crypto Winter” รอบใหม่ ซึ่งหมายถึงช่วงเวลายาวนานที่ตลาดคริปโตซบเซาและราคาต่ำต่อเนื่อง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ราคาบิทคอยน์ร่วงแตะ $80,553 ➡️ ลดลงกว่า 12% ในสัปดาห์เดียว และลบกำไรทั้งปี 2025 ✅ มูลค่าตลาดคริปโตหายไปกว่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ ➡️ บริษัทที่ถือครองบิทคอยน์ในงบดุลเสี่ยงขาดทุนหนัก ✅ นักลงทุนสถาบันลดการซื้อบิทคอยน์ลง 76% ➡️ กองทุน ETF บิทคอยน์มีการไหลออกหลายร้อยล้านดอลลาร์ ✅ นักวิเคราะห์เตือนระดับ $80,000 เป็นจุดวิกฤติ ➡️ หากหลุดต่ำกว่านี้อาจร่วงต่อถึง $69,000 หรือ $50,000 ‼️ ความเสี่ยง “Crypto Winter” รอบใหม่ ⛔ ตลาดอาจเข้าสู่ภาวะซบเซายาวนานเหมือนปี 2018 ‼️ นักลงทุนรายย่อยเสี่ยงถูกล้างพอร์ต ⛔ การใช้ Leverage สูงอาจทำให้สูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/22/bitcoin-on-thin-ice-after-sinking-in-flight-from-risk
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Bitcoin on thin ice after sinking in flight from risk
    SINGAPORE/LONDON (Reuters) -Bitcoin dropped to a seven-month low on Friday, closing in on the $80,000 level below which some analysts say much heavier losses are likely for the world's largest cryptocurrency.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 243 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่อง สู่ทางน้ำเชี่ยว 1 – 2

    “สู่ทางน้ำเชี่ยว”
    (1)
    วันนี้ขอคุยกับท่านผู้อ่าน แบบตรงไปตรงมา จากความรู้สึกในใจของผมหน่อยเถิด ไม่ชอบใจ ก็ปิดเครื่อง หรือเปลี่ยนไปอ่านเพจอื่น ไม่พอใจ อยากจะด่า ก็เชิญตามสบาย
    แต่อย่าแรงนักแล้วกัน คนแก่ตกใจง่าย
    ผมเขียนนิทานเรื่องจริงให้อ่านกันมาเกือบ 2 ปีแล้ว เอาข้อมูลเรื่องราวที่มองมาจากอีกมุมหนึ่ง รวมทั้งที่มองจากมุมเดิม ที่เห็นๆกันอยู่ซ้ำซาก แต่ผมมองลึกไปอีกแบบ มาเล่าสู่กันฟัง เป็นเรื่องราวที่สื่อฟอกย้อม ทั้งในบ้านและนอกบ้าน แทบไม่เคยพูดถึง หรือพูดแบบใส่สีเข้มตามใบสั่งของ เจ้าของสื่อ จนไม่รู้ว่า มีความจริงน้อยมากแค่ไหน หรือพูดแบบ มั่ว คลุมเคลือ ไม่รู้ที่มาและที่จะไปต่อ หรือพูดแบบครึ่งใบ ที่เหลือให้เดาเอา หรือแต่งกันเองสนุกดี
    จากการอ่านและการวิเคราะห์ของผมเอง ผมเชื่อว่า อีกไม่เกิน 2 ถึง 3 ปี จากที่ผมเริ่มเขียนนิทานเรื่อง แรก เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.2556 ก็แปลว่า จากนี้ไป ไม่เกิน 1 ปี โลกเราจะเริ่มเข้าสู่อาการ ถ้าเปรียบกันคน ก็เป็นคนต้องเกณท์เปลี่ยนชะตานั่นแหละ มันจะค่อยๆเปลี่ยนแปลงจากสิ่งเล็ก สิ่งน้อย ซึ่งถ้าเราไม่ทันสังเกต หรือไม่สนใจติดตาม เราก็จะไม่รู้ว่า มันมีการเปลี่ยนไปแล้ว และการเปลี่ยนนั้น จะเปลี่ยนมากขึ้น ด้วยอัตราที่เร็วขึ้น จนเราเริ่มรู้สึก แต่ก็อาจจะยังไม่รู้เรื่อง รู้เหตุ รู้ผล อยู่ดี กว่าจะรู้เรื่อง ก็อาจจะทำอะไรไม่ทันแล้ว
    เราเคยชินกับการมีอเมริกา ที่ทำตัวเหมือนเป็นจิ๊กโก๋ปากซอยตัวแสบ เบ่งกล้าม คุมทั้งซอยอยู่คนเดียว มาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นานถึง 70 ปี เชียวนะครับ ที่ไอ้จิ๊กโก๋มันคุมโลก จนตัวมันก็ “ชิน” กับการที่ไม่ใครมากล้าหือกับมัน และเราๆ ก็ดัน “ชิน” กับการคุมของมัน แถมบางพวก ก็ชอบที่จะอยู่ใต้อุ้งมืออุ้งตีนของไอ้จิ๊กโก๋ ก็ของมันเคย มันชิน แต่สำหรับพวกที่ไม่ชอบ ก็ต้องทนยอมมันไป (ก่อน) ก็มันวางกฏเกณท์ของทั้งโลกทั้ง ใบ หันไปทางไหน จะทำอะไร ก็เจอกฏ เจอระบบ ที่มันวางไว้ทั้งนั้น ขนาดจะแต่งตัว ตัดผม ดูหนัง ฟังเพลง บันเทิงใจ ชอบ ไม่ชอบอะไร ยังต้องเป็นแบบที่มันจัดยัดใส่หัวมาให้เลย ใครที่ไม่อยู่ในระบบ ในรูปแบบที่มันเห็นชอบ มันก็จัดการเก็บกวาดจนเหี้ยน ในที่สุด ชาวโลกส่วนใหญ่ ก็เลยจำยอมอยู่ในกำมือ ในกฏ กติกา ความเห็น ที่ไอ้จิ๊กโก๋มันสร้าง มันวางเอาไว้ น่าสมเพชไหมครับ ที่ต้องมีใครมาจูงเราทุกเรื่อง หรือชอบใจกัน ที่ไม่ต้องคิดมาก จูงไปทางไหน ก็ไปทางนั้น…
    แต่ประมาณ 15 ปี มานี้ เริ่มมีพวกที่อยากดำเนินชีวิต ตามระบบ ตามแบบของตัวเอง อยากกำหนดชะตาชีวิตของตัวเองบ้าง ไม่ใช่ทุกอย่างต้องขึ้นกับจิ๊กโก๋ปากซอยสั่ง กูจะหิว กูจะกิน กูจะนอน ฯลฯ ให้มันเป็นไปตามใจกูบ้างได้มั้ย กูเบื่อที่จะถูกจูงแล้ว….
    จิ๊กโก๋ บอก ไม่ได้ กูไม่เชื่อว่าพวกมึงตัดสินใจเป็น และตัดสินใจถูก ขอโทษนะครับ ต้องเขียนด้วยสรรพนาม เช่นนี้ เพราะลักษณะที่เขาออกอาการกัน มันดูจะไม่ใช่เป็นการพูดแบบคุณครับขอรับกระผมกัน ที่นี้ เรื่องมันก็เลยเริ่มวุ่น และบานไปเรื่อยๆ
    มาถึงวันนี้ โลกแบ่งชัดเจนแล้ว อำนาจของโลก ที่เคยมีขั้วอำนาจขั้วเดียว ที่คุมโดย ไอ้จิ๊กโก๋ปากซอย อเมริกาและพวกลูกกระเป๋ง กำลังเปลี่ยนไป ขั้วอำนาจอีกขั้ว ที่นำโดยรัสเซียและจีน กำลังรวมตัว และปรากฏตัวชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แม้จะมีจำนวนประเทศน้อยกว่า แต่ถ้านับเนื้อที่ของประเทศ กับจำนวนรวมของพลเมือง คงไม่ต่างกันมาก และขณะนี้ ทั้งสองขั้ว ต่างกำลังจ้องตาใส่กันอย่างไม่กระพริบ เพื่อค้นหา รวมไปถึงทดสอบ ศักยภาพทางเศรษฐกิจ และศักยภาพทางอาวุธ ของขั้วที่ต่างกัน ว่าใครจะเหนือกว่าใคร
    เศรษฐกิจเป็นเกมที่ทางขั้วอำนา จอเมริกาถนัดนัก เล่นกลอยู่เสมอ เล่นมา 100 ปีแล้วนี่ ปั่นขึ้น ปั่นลง ได้ทุกอย่าง ก็เป็นคนคุมระบบทั้งหมด มันก็เหมือนเป็นเจ้ามือคุมบ่อน นั่นแหล่ะ แจกไพ่เอง ทำเครื่องหมายไพ่ ให้ยืมเงินมาเล่น ใครทำอะไรไม่ถูกใจ ก็ไล่ออกจากวง คว่ำบาตรเสีย แบบนี้ เจ้ามือก็ไม่มีทางแพ้อยู่แล้ว (มีแต่ถูกเผาบ่อน หรือถูกยิง) เรื่องเศรษฐกิจ จึงเป็นเหมือนตัววัดตัวหนึ่ง เมื่อไหร่ที่เจ้ามือออกอาการ มีการใกล้จะล้มโต๊ะ เพราะเจ้ามือเล่นกลไม่ออก จะเพราะลูกมือเกิดดวงดี ดวงแข็ง หรือถูกลูกมือจับกลโกงของเจ้ามือได้ นั่นก็เป็นอาการที่เราๆ จะต้องระวัง แปลว่า เรื่องใหญ่ใกล้จะมา ดวงชะตาของโลกใกล้จะมีการเปลี่ยน
    เหตุการณ์ตลาดหุ้นจีน ที่เริ่มถูกปั่นลงดิ่ง ตั้งแต่เดือนมิถุนา กรกฏาคม จนแมงเม่าตาตี่ปีกหัก ร่วงผล่อยหล่นลงพื้นเต็มไปหมด แต่จีนก็ปล่อยให้เจ้ามือตาน้ำข้าวเล่นให้เพลิน ด้วยการปล่อยให้หล่นถึงพื้น และจีนก็ซื้อกลับ ส่วนเงินกองทุนของเจ้ามือตาน้ำข้าว รวมทั้งกำไรที่รวยมาจากเด็ดปีกแมงเม่าตาตี่ เจ้ามือตาน้ำข้าวเตรียมโอนกลับ บ้าน แต่จีนบอกรอแป๊บนึง อย่าเพิ่งใจร้อน รีบโอนกลับ ขอเราตรวจสอบก่อนว่า ทำผิดกฏอะไรบ้างหรือเปล่า ทำได้ไม่ไม่ใช่หรือ ก็ดันไปเปิดบ่อนเต๋าถ่วงที่บ้านคนอื่น โง่หรือฉลาด(วะ) ทุนก้อนใหญ่ เอาออกมาไม่ได้ ตลาดอื่นๆ ก็ค่อยๆร่วง ชาวบ้านนึกว่าร่วงเรื่องกรีซ ก็เพราะสื่อย้อมสีกับกองทุนตาน้ำข้าว มันบอกอย่างนั้น ก็เลยเชื่อกันอย่างนั้น…นี่การตรวจสอบจะนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้…. สื่อฟอกย้อม เรื่องนี้ ไม่ออกข่าวเลยนะ
    อเมริกาบอก โลกนี้หมุนด้วยน้ำมัน และมันต้องเป็นน้ำมัน ที่ค้าขายกันด้วยดอลล่าร์ (เปโตรดอลล่าร์) เท่านั้น โลกถึงจะหมุน วันนี้ จีนกับรัสเซียบอก ไม่จำเป็นนะ เปโตรหยวน หรือเปโตรรูเบิล ก็หมุนโลกได้เหมือนกัน
    อเมริกาบอก ระบบการเงินในโลก ต้องคุมด้วยระบบธนาคารกลางของอเมริกา จีนกับรัสเซียบอก ไม่จำเป็นนะ ถ้าเราสร้างระบบที่พวกเราเห็นพ้องกันว่ามันยุติธรรมได้ และตอนนี้ จีนกับรัสเซีย ก็กำลังค้าขายกันด้วยการแลกเปลี่ยนเงินสกุลของพวกเขา ตามค่าของเงินที่พวกเขาตกลงกันเอง อ้าว พวกเอ็งตกลงกันเองได้ พวกผมก็ตกลงกันได้เหมือนกัน มีปัญหาไหม
    อเมริกากับพวกสร้าง World Bank, IMF มาเป็นกลไกด้านการเงิน คุมโลกจนกระดิกแทบไม่ออก วันนี้ จีนกับรัสเซียและพวกสร้าง AIIB ขึ้นมาเป็นทางเลือก
    อเมริกาสร้างใอ้ 3 หมาไน เป็นตัววัดเครดิตเรตติ้งของธุรกิจ ของประเทศต่างๆ ตามหลักเกณท์ที่มีผู้ค้านมากมาย ว่าไม่เป็นธรรม วันนี้ จีนกับรัสเซีย ก็กำลังสร้างบริษัทวัดเครดิตเช่นนั้นเหมือนกัน และบอกว่าเป็นธรรมกว่า
    เราจะได้ยินเรื่องทำนองนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อันที่จริง มันควรจะเป็นเรื่องน่ายินดี ที่มีการเพิ่มทางเลือกให้แก่มนุษยชาติ แต่ดูเหมือนอเมริกาไม่ยินดี นอกจากไม่ยินดีแล้ว อเมริกายังแสดงอาการ ทั้งทางตรงและทางอ้อมอีกด้วยว่า อเมริกาไม่พอใจอย่างยิ่ง อเมริกามองว่า การที่อีกฝ่าย และมนุษยชาติ มีทางเลือก มันเป็นการคุกคาม การเป็นผู้ครอบครองโลกใบนี้แต่ผู้เดียวของอเมริกา( America World Dominence) และ อเมริกาเท่านั้นนะ ที่จะเป็นผู้กำหนดชะตาของโลก มันต้องเป็นไปตามเส้นทาง วิธีการ ระบบ ที่อเมริกาเลือก และเห็นชอบสิ เข้าใจไหม
    และเพราะอเมริกา มีแนวคิด และแนวปฏิบัติเข่นนี้ โลกนี้ถึงได้ยุ่งเหยิงอย่างไม่ควรจะเป็น เมื่อใดที่เรื่องอะไร ที่ไหน ที่ไม่เป็นไปตามแนวที่อเมริกาเห็นชอบ หรือเมื่ออเมริกาอยากได้สมบัติของเขา ประเทศเหล่านั้นก็ถูกสื่อที่เป็นมือตีนของอเมริกา ฟอกย้อมให้เป็นคนเลว เป็นเผด็จการ เป็นผู้ร้าย เป็นโจร เมื่อสื่อย้อมจนได้ที่ อเมริกาก็ยาตราใช้อำนาจของอาวุธของตัวเองเข้าไปตัดสิน และประเทศเหล่านั้น ก็ถึงแก่การกาลวิบัติ ฉิบหาย จนถึงสิ้นชาติ โลกนี้จึงอยู่ในกำมือของอเมริกา ที่ใช้มาตรฐานของตน ที่มีหลายระดับ หลายแบบ ตามสันดานจิ๊กโก๋เป็นเครื่องตัดสิน

    (2)
    แดนสยามของสมันน้อย กำลังถูกอเมริกาจับตามองอย่างไม่พอใจอย่างยิ่ง ตั้งแต่สมันน้อยเริ่มไม่ว่าง่าย เมื่อสมันน้อยทนมีรัฐบาลโคตรโกง ไม่ไหว ออกมาขับไล่ อเมริกายื่นหน้ามาถาม ไล่เขาทำไม เขามาจากการเลือกตั้ง เสือกไหม เสือกสิ ในความเห็นของผม ทำไมเอ็งต้องมาออกความเห็นเรื่องบ้านผมทุกเรื่อง วันนี้แดนสยาม มีทหารเป็นผู้ใช้อำนาจในการบริหาร โดยยังไม่มีการลือกตั้ง อเมริกาจะลงแดงตายเสียให้ได้ เมื่อไหร่ ไทยแลนด์จะมีการเลือกตั้ง อเมริการับไม่ได้กับการปฏิวัติ รับไม่ได้กับการไม่เลือกตั้ง รับไม่ได้กับการไม่เป็นประชาธิปไตย อเมริกาไม่ชอบ ไม่ชอบ และไม่ชอบ ทำไมไม่ลงไปดื้นเร่าๆกลิ้งกับพื้น ตอนด่าไทยแลนด์เลยละ (วะ) จะได้สมกับเป็นชาติมหาอำนาจใหญ่ยิ่งที่สุดในโลก
    Wall Street Journal ลงบทความ เมื่อวันที่ 23 กรกฏาคมนี้ เขียนโดย นาย Desmond Dalton ซึ่งเป็นนายทหารอเมริกัน ที่เกษียณแล้ว และเคยเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของอเมริกาในประเทศไทย บทความนั้นชื่อว่า ” Saving America’s Ties With Thailand” หลายท่านคงเห็นแล้ว และเข้าใจว่าสื่อไทยก็น่าจะลงแล้ว แต่ผมมีมุมมองของผม ที่อาจจะต่างไปบ้าง
    บทความดังกล่าว สรุปว่า อเมริกาไม่พอใจไทย ตั้งแต่มีการปฏิวัติเมื่อปี ค.ศ.2014 (ก็ปฏิวัติของลุงตู่นั่นแหละ) และความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับไทย ก็เสื่อมลงมากมายอย่างน่าใจหาย อเมริกาหันหลังให้กับรัฐบาลทหาร อย่างไม่ไว้หน้า แถมขู่ให้ไทยรีบมีการเลือกตั้งอย่างรวดเร็ว มิฉะนั้น สัมพันธ์อเมริกาไทยก็จะยิ่งเสื่อมลงไปอีกเรื่อยๆ (จะให้เสื่อมลงถึงไหน นี่ยังไม่ถึงดินหรือไง สงสัยอยากได้สัมพันธ์แบบใต้ดิน แบบนั้น ต้องไปแถวประเทศที่ถนัดแบกถาด ฮา)
    คุณทหารอดีตที่ปรึกษา บอกว่า การที่อเมริกาปฏิบัติต่อไทยเช่นนี้ ทำให้อเมริกาเสียโอกาสในไทยอย่างยิ่ง และทำให้นโยบายของรัฐบาลโอบามา ที่คิดจะมาถ่วงดุลอำนาจ ในเอเซียแปซิฟิกจะกลายเป็นแค่ราคาคุย ไม่ใช่ว่า อเมริกาควรจะหลับหู หลับตา กับสิ่งที่ไทยทำ แต่เพื่อรักษาโอกาสของอเมริกา อเมริกาก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีที่สร้างศัตรูกับไทย ด้วยการด่าว่าทหารไทยอย่างเอิกเกริก ไปพูด (ด่า) กันเงียบๆก็ได้นะ แถมการที่อเมริกาตัดงบอาวุธ ตัดงบการอบรม สาระพัดกับไทย กลายเป็นการผลักให้ไทยหันไปสร้างสัมพันธ์กับชาติอื่น เช่นจีนแทน…
    ….และไทย ก็เลยปิดประตูทางเข้า ที่อเมริกาเคยเข้ามาใช้ไทยอย่างอิสระ สะดวกสบายไปเรียบร้อย และจากการตัดสินใจซื้ออาวุธล่าสุดของไทย แสดงให้เห็นว่า ไทยไม่คิดจะพึ่งพาอเมริกาด้านอาวุธเพียงรายเดียว นี่เป็นก้าวที่พลาดอย่างยิ่งของอเมริกา แม้ไทยจะเป็นเพียงประเทศขนาดกลาง มีพลเมือง ประมาณ 70 ล้านคน มีเศรษฐกิจเพียงอันดับที่ 22 ของโลก … แต่ไทย มีความหมายในเชิงยุทธศาสตร์อย่างยิ่งกับอเมริกา ……
    ….เส้นทางจากไทย เป็นเส้นทางเดียว ที่กองทัพอเมริกันเชื่อถือ ที่จะใช้เป็นจุดผ่านเข้าไปสู่แผ่นดินใหญ่ของเอเซีย…
    …It offers U.S forces the only reliable access point to mainland Asia…
    นอกจากนี้ อุตสาหกรรมด้านการผลิตอาวุธของอเมริกา ได้รับการอุดหนุนจากงบประมาณด้านความมั่นคงก้อนใหญ่ ของไทยทุกปี
    บทความที่เหลือ ก็เป็นการสรรเสริญ ถึงความเก่งกล้าสามารถด้านการทหารของไทย รวมทั้งด้านการเป็นผู้นำในภูมิภาคของไทย พร้อมทั้งข้อเสนอแนะ ให้อเมริกากลับมาเจรจาโดยใช้คำหวานกับไทยเสียใหม่ ให้ไทยกลับสู่ความเป็นประชาธิปไตย และเพื่อที่อเมริกาจะได้ใช้ประโยชน์จากการมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกันให้มากที่สุด…โดยทำผ่านการพูดคุยกับผู้นำทหาร นักวิชาการ และราษฎรที่มีชื่อเสียง….อืม..
    พอเห็นไหมครับ ว่าบทความนี้มันสื่ออะไรกับเราบ้าง
    มันไม่มีส่วนไหนเลย ที่แสดงถึงความเข้าใจ และเห็นใจประเทศไทย มันมีแต่ว่า เขาจะใช้ประโยชน์จากเราได้อย่างไรบ้าง และจะ “ทำอย่างไร” ที่จะกลับมาจิกหัวเรา ได้อย่างเดิม
    บทความนี้ เป็นการโยนหินถามทางที่น่าสนใจมาก โดยเฉพาะ คำแนะนำ ว่า อเมริกาควร “ทำอย่างไร” เพื่อจะกลับมา
    อเมริกา น่าจะรู้ตัวแล้วว่า อเมริกากำลังเดินหมากผิดจนน่าโขกหัวตัวเอง ในยามที่โลกแบ่งชัดเป็น 2 ขั้ว เมื่อจีนและรัสเซียอยู่คนละขั้วกับอเมริกา แต่อเมริกาดันถีบหมากชื่อไทยแลนด์ กระเด็นออกไปนอกกระดานของอเมริกา และก็เป็นการถีบทิ้งอย่างเอิกเกริก เล่นงานกันทุกทาง ไม่ว่าจะโดยแสดงด้วยกริยา อาการ หรือการแสดงด้วยวาจา การด่า การเขียน ทั้งทางตรง ทางอ้อม แม้กระทั่งในบทความของถังขยะความคิด ไม่ว่าถังไหน เมื่อพูดถึงอเมริกาและพวก จะไม่ปรากฏชื่อไทยแลนด์ แดนสยามของสมันน้อยแม้แต่ครั้งเดียว คบกันมา กว่า 70 ปี บทจะถีบทิ้ง ก็ไม่เหลือใย เหลือหน้ากันไว้ อย่างนี้จะกลับมาเป็นเพื่อนกันใหม่ จะให้มองกันติดสนิทใจ จะใช้กาวยี่ห้อไหนดี(วะ)
    อเมริกา กำลังทดสอบไทย ตามสันดานจิ๊กโก๋ปากซอย ด้วยการบีบคั้นทุกรูปแบบ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาใช้ hard power (อาวุธ) อเมริกาจึงใช้ soft power (อำนาจที่ไม่ต้องใช้อาวุธ เช่น การคว่ำบาตร การกีดกัน การระงับ โดยอ้างว่าไม่ได้มาตรฐานการ และใช้มากที่สุดคือ ใช้สื่อโจมตี) เราจึงได้เห็นตั้งแต่ การโจมตีเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญ การเลื่อนการเลือกตั้ง เรื่องการไม่มีมนุษยธรรม ตั้งแต่โรฮิงญา มาจนถึงอุยกูร์ การที่บริษักการบินไทยไม่ได้มาตรฐาน เรื่องส่งออกอาหารไม่ผ่านมาตรฐาน ใช้แรงงานผิดมาตรฐาน ข่าวเรื่องอียู คว่ำบาตรไทย การจ่าหน้าซองผิด ฯลฯ ยังจะมีสาระพัด ตะหวักตะบวยเลวไปกว่านี้อีกมากมาย ที่มันจะสรรหา ยกขึ้นตามมาอีก การก่อกวนในรูปแบบต่างๆ ก็ยังจะเกิดขึ้นอีก และอาจจะรุนแรงขึ้น เป้าหมายก็เพื่อสั่นคลอนเรา พยายามทุกอย่างให้สมันน้อยปอดแหก จะได้ไม่กล้า แหกคอก
    มาถึงวันนี้ วันที่ต่างก็เริ่มเห็นชัดแล้ว ว่าอะไรคอยอยู่ข้างหน้า อเมริกา คิดตกหรือยัง ว่า จะตบหน้าเพื่อนเก่า 70 ปีต่อไปอีก โทษฐานคิดแหกคอก หรือ อเมริกาจะทำไม่รู้ไม่ชี้ เดินกลับมา เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะชักสำนึกได้ว่า ถ้าจะใช้ไอ้พวกลูกกระเป๋ง มาแบกถาดถือปืน อาจจะไม่ได้ผลอย่างที่คิด
    จิ๊กโก๋ทำได้ไหม ทำได้สบายมาก ถ้าจำเป็นจริงๆ อเมริกาก็หาวิธีกลับเข้ามาตบหลังลูบหัวไทยได้ ถ้าเดินเข้ามาตรงๆไม่ได้ หนอนในบ้าน ที่ยังเห็นอเมริกาเป็นพ่อ ยังมีอีกแยะ คงหาทางให้ สมันน้อยเดินจ๋อยๆกลับเข้าคอกเอง โดยนึกว่าอเมริกาไม่เกี่ยว แล้วเราจะว่ายังไงครับ….
    ตอนนี้ ลุงตู่กำลังทำหน้าที่เป็นกัปตัน พาเรือใหญ่ขนาดกลาง ขนคนประมาณ 70 ล้านคน มุ่งหน้าไปตามลำน้ำใหญ่ สายน้ำเริ่มเชี่ยวขึ้นทุกที แถมข้างหน้า มีวังน้ำวนเห็นอยู่ชัดๆ เรือจะผ่านวังน้ำวน ไปได้หรือเปล่ายังไม่รู้ ลุงตู่จะคัดท้าย นำเรือขนาดกลางนี้ ไปรอดไหม ส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับฝีมือคัด ท้ายของลุงตู่เอง แต่อีกส่วน ก็ขึ้นอยู่กับผู้โดยสาร 70 ล้านคนนั่นด้วย จะเอาอย่างไรล่ะ จะให้กัปตันพาเรือเดินหน้า หรือเปลี่ยนใจ ไม่ไปต่อแล้ว กลัวน้ำวน กลัวโจรปล้น กลัวจิ๊กโก๋ขู่ ให้กัปตันทิ้งสมอ จอดมันริมฝั่งนั่นแหละ ใครจะมาเอาเรือก็เอาไป แล้วจะจอดฝั่งไหนล่ะ ฝั่งที่คุ้นๆกันมา 70 ปี เดี๋ยวดี เดียวด่า ทำเหมือนสมันน้อยเป็นขี้ข้า หรือจะจอดอีกฝั่ง จะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ แต่เท่าที่ดู เขาว่าเป็นประเภทไม่ชอบเป็นขี้ข้าใคร แต่จะทิ้งสมอจอดเรือ ยามน้ำเชี่ยว ก็ใช่ว่าจะทำง่าย เผลอๆ ล่มตอนจอดนี่แหละ สมันน้อย ได้เป็นสมันน้ำ ลอยคอกันเป็นแถว
    เออ..แล้ว อยู่ๆ จะจอดเรือ ยกประเทศให้เขาเลยงั้นหรือ จะมีคนไม่ยอม หรือ จะมีคนอยากให้เขาจูงกลับเข้าคอก ผมตอบไม่ได้ รู้แต่ว่า หนอนในที่ชอบอยู่คอก และชอบถูกจูงยังมีอยู่
    แต่ถ้าเราจะเลือกเดินหน้า ผู้โดยสารก็ต้องทำความเข้าใจ และปรับชีวิตตัวเองบ้าง ต้องรับรู้ว่า กำลังนั่งเรือไปในทางน้ำเชี่ยว ก็ต้องนั่งให้มีสติ เตรียมอุปกรณ์ทั้งด้านส่วนตัวและ ด้านสติปัญญาให้พร้อม เริ่มฝึกตัวเองให้มีวินัย ช่วยเหลือตัวเองได้ นั่งเรือไป ไม่ใช่วีดว้าย กระตู้วู้ ไปตลอดทาง อะไรนิดก็โวย อะไรหน่อยก็ด่า ฟังอะไรมาไม่ได้ยังไม่ทันกรอง ก็แชร์กัน ไลน์กัน เหมือนคนมีแต่นิ้ว แต่ไม่มีสมอง เป็นมนุษย์พันธ์ใหม่ และอย่าเป็นประเภทชอบเอามือราน้ำ แบบนี้ ต่อให้กัปตันเก่งยังไง เรือก็อาจล่ม…
    บ้านเมืองมาถึงจุดสำคัญ ตื่นกันได้แล้วครับ ลดเรื่องไร้สาระลงเสียบ้าง เอาใจใส่บ้านเมืองกันหน่อย อย่างที่ผมเคยบอก ความเข้าใจและเห็นพ้องกัน ระหว่างผู้บริหารบ้านเมืองกับพลเมือง เป็นความมั่นคงของชาติอย่างหนึ่ง ปิดทางไม่ให้ศัตรูทั้งภายนอกและภายในเข้ามาทำร้าย และทำลายบ้านเมืองเราได้ เราจะได้ช่วยกัน พาเรือผ่านน้ำเชี่ยวไปได้ เป็นสิ่งที่เราทำให้บ้านเมืองของเราได้นะครับ
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    29 ก.ค. 2558
    เรื่อง สู่ทางน้ำเชี่ยว 1 – 2 “สู่ทางน้ำเชี่ยว” (1) วันนี้ขอคุยกับท่านผู้อ่าน แบบตรงไปตรงมา จากความรู้สึกในใจของผมหน่อยเถิด ไม่ชอบใจ ก็ปิดเครื่อง หรือเปลี่ยนไปอ่านเพจอื่น ไม่พอใจ อยากจะด่า ก็เชิญตามสบาย แต่อย่าแรงนักแล้วกัน คนแก่ตกใจง่าย ผมเขียนนิทานเรื่องจริงให้อ่านกันมาเกือบ 2 ปีแล้ว เอาข้อมูลเรื่องราวที่มองมาจากอีกมุมหนึ่ง รวมทั้งที่มองจากมุมเดิม ที่เห็นๆกันอยู่ซ้ำซาก แต่ผมมองลึกไปอีกแบบ มาเล่าสู่กันฟัง เป็นเรื่องราวที่สื่อฟอกย้อม ทั้งในบ้านและนอกบ้าน แทบไม่เคยพูดถึง หรือพูดแบบใส่สีเข้มตามใบสั่งของ เจ้าของสื่อ จนไม่รู้ว่า มีความจริงน้อยมากแค่ไหน หรือพูดแบบ มั่ว คลุมเคลือ ไม่รู้ที่มาและที่จะไปต่อ หรือพูดแบบครึ่งใบ ที่เหลือให้เดาเอา หรือแต่งกันเองสนุกดี จากการอ่านและการวิเคราะห์ของผมเอง ผมเชื่อว่า อีกไม่เกิน 2 ถึง 3 ปี จากที่ผมเริ่มเขียนนิทานเรื่อง แรก เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.2556 ก็แปลว่า จากนี้ไป ไม่เกิน 1 ปี โลกเราจะเริ่มเข้าสู่อาการ ถ้าเปรียบกันคน ก็เป็นคนต้องเกณท์เปลี่ยนชะตานั่นแหละ มันจะค่อยๆเปลี่ยนแปลงจากสิ่งเล็ก สิ่งน้อย ซึ่งถ้าเราไม่ทันสังเกต หรือไม่สนใจติดตาม เราก็จะไม่รู้ว่า มันมีการเปลี่ยนไปแล้ว และการเปลี่ยนนั้น จะเปลี่ยนมากขึ้น ด้วยอัตราที่เร็วขึ้น จนเราเริ่มรู้สึก แต่ก็อาจจะยังไม่รู้เรื่อง รู้เหตุ รู้ผล อยู่ดี กว่าจะรู้เรื่อง ก็อาจจะทำอะไรไม่ทันแล้ว เราเคยชินกับการมีอเมริกา ที่ทำตัวเหมือนเป็นจิ๊กโก๋ปากซอยตัวแสบ เบ่งกล้าม คุมทั้งซอยอยู่คนเดียว มาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นานถึง 70 ปี เชียวนะครับ ที่ไอ้จิ๊กโก๋มันคุมโลก จนตัวมันก็ “ชิน” กับการที่ไม่ใครมากล้าหือกับมัน และเราๆ ก็ดัน “ชิน” กับการคุมของมัน แถมบางพวก ก็ชอบที่จะอยู่ใต้อุ้งมืออุ้งตีนของไอ้จิ๊กโก๋ ก็ของมันเคย มันชิน แต่สำหรับพวกที่ไม่ชอบ ก็ต้องทนยอมมันไป (ก่อน) ก็มันวางกฏเกณท์ของทั้งโลกทั้ง ใบ หันไปทางไหน จะทำอะไร ก็เจอกฏ เจอระบบ ที่มันวางไว้ทั้งนั้น ขนาดจะแต่งตัว ตัดผม ดูหนัง ฟังเพลง บันเทิงใจ ชอบ ไม่ชอบอะไร ยังต้องเป็นแบบที่มันจัดยัดใส่หัวมาให้เลย ใครที่ไม่อยู่ในระบบ ในรูปแบบที่มันเห็นชอบ มันก็จัดการเก็บกวาดจนเหี้ยน ในที่สุด ชาวโลกส่วนใหญ่ ก็เลยจำยอมอยู่ในกำมือ ในกฏ กติกา ความเห็น ที่ไอ้จิ๊กโก๋มันสร้าง มันวางเอาไว้ น่าสมเพชไหมครับ ที่ต้องมีใครมาจูงเราทุกเรื่อง หรือชอบใจกัน ที่ไม่ต้องคิดมาก จูงไปทางไหน ก็ไปทางนั้น… แต่ประมาณ 15 ปี มานี้ เริ่มมีพวกที่อยากดำเนินชีวิต ตามระบบ ตามแบบของตัวเอง อยากกำหนดชะตาชีวิตของตัวเองบ้าง ไม่ใช่ทุกอย่างต้องขึ้นกับจิ๊กโก๋ปากซอยสั่ง กูจะหิว กูจะกิน กูจะนอน ฯลฯ ให้มันเป็นไปตามใจกูบ้างได้มั้ย กูเบื่อที่จะถูกจูงแล้ว…. จิ๊กโก๋ บอก ไม่ได้ กูไม่เชื่อว่าพวกมึงตัดสินใจเป็น และตัดสินใจถูก ขอโทษนะครับ ต้องเขียนด้วยสรรพนาม เช่นนี้ เพราะลักษณะที่เขาออกอาการกัน มันดูจะไม่ใช่เป็นการพูดแบบคุณครับขอรับกระผมกัน ที่นี้ เรื่องมันก็เลยเริ่มวุ่น และบานไปเรื่อยๆ มาถึงวันนี้ โลกแบ่งชัดเจนแล้ว อำนาจของโลก ที่เคยมีขั้วอำนาจขั้วเดียว ที่คุมโดย ไอ้จิ๊กโก๋ปากซอย อเมริกาและพวกลูกกระเป๋ง กำลังเปลี่ยนไป ขั้วอำนาจอีกขั้ว ที่นำโดยรัสเซียและจีน กำลังรวมตัว และปรากฏตัวชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แม้จะมีจำนวนประเทศน้อยกว่า แต่ถ้านับเนื้อที่ของประเทศ กับจำนวนรวมของพลเมือง คงไม่ต่างกันมาก และขณะนี้ ทั้งสองขั้ว ต่างกำลังจ้องตาใส่กันอย่างไม่กระพริบ เพื่อค้นหา รวมไปถึงทดสอบ ศักยภาพทางเศรษฐกิจ และศักยภาพทางอาวุธ ของขั้วที่ต่างกัน ว่าใครจะเหนือกว่าใคร เศรษฐกิจเป็นเกมที่ทางขั้วอำนา จอเมริกาถนัดนัก เล่นกลอยู่เสมอ เล่นมา 100 ปีแล้วนี่ ปั่นขึ้น ปั่นลง ได้ทุกอย่าง ก็เป็นคนคุมระบบทั้งหมด มันก็เหมือนเป็นเจ้ามือคุมบ่อน นั่นแหล่ะ แจกไพ่เอง ทำเครื่องหมายไพ่ ให้ยืมเงินมาเล่น ใครทำอะไรไม่ถูกใจ ก็ไล่ออกจากวง คว่ำบาตรเสีย แบบนี้ เจ้ามือก็ไม่มีทางแพ้อยู่แล้ว (มีแต่ถูกเผาบ่อน หรือถูกยิง) เรื่องเศรษฐกิจ จึงเป็นเหมือนตัววัดตัวหนึ่ง เมื่อไหร่ที่เจ้ามือออกอาการ มีการใกล้จะล้มโต๊ะ เพราะเจ้ามือเล่นกลไม่ออก จะเพราะลูกมือเกิดดวงดี ดวงแข็ง หรือถูกลูกมือจับกลโกงของเจ้ามือได้ นั่นก็เป็นอาการที่เราๆ จะต้องระวัง แปลว่า เรื่องใหญ่ใกล้จะมา ดวงชะตาของโลกใกล้จะมีการเปลี่ยน เหตุการณ์ตลาดหุ้นจีน ที่เริ่มถูกปั่นลงดิ่ง ตั้งแต่เดือนมิถุนา กรกฏาคม จนแมงเม่าตาตี่ปีกหัก ร่วงผล่อยหล่นลงพื้นเต็มไปหมด แต่จีนก็ปล่อยให้เจ้ามือตาน้ำข้าวเล่นให้เพลิน ด้วยการปล่อยให้หล่นถึงพื้น และจีนก็ซื้อกลับ ส่วนเงินกองทุนของเจ้ามือตาน้ำข้าว รวมทั้งกำไรที่รวยมาจากเด็ดปีกแมงเม่าตาตี่ เจ้ามือตาน้ำข้าวเตรียมโอนกลับ บ้าน แต่จีนบอกรอแป๊บนึง อย่าเพิ่งใจร้อน รีบโอนกลับ ขอเราตรวจสอบก่อนว่า ทำผิดกฏอะไรบ้างหรือเปล่า ทำได้ไม่ไม่ใช่หรือ ก็ดันไปเปิดบ่อนเต๋าถ่วงที่บ้านคนอื่น โง่หรือฉลาด(วะ) ทุนก้อนใหญ่ เอาออกมาไม่ได้ ตลาดอื่นๆ ก็ค่อยๆร่วง ชาวบ้านนึกว่าร่วงเรื่องกรีซ ก็เพราะสื่อย้อมสีกับกองทุนตาน้ำข้าว มันบอกอย่างนั้น ก็เลยเชื่อกันอย่างนั้น…นี่การตรวจสอบจะนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้…. สื่อฟอกย้อม เรื่องนี้ ไม่ออกข่าวเลยนะ อเมริกาบอก โลกนี้หมุนด้วยน้ำมัน และมันต้องเป็นน้ำมัน ที่ค้าขายกันด้วยดอลล่าร์ (เปโตรดอลล่าร์) เท่านั้น โลกถึงจะหมุน วันนี้ จีนกับรัสเซียบอก ไม่จำเป็นนะ เปโตรหยวน หรือเปโตรรูเบิล ก็หมุนโลกได้เหมือนกัน อเมริกาบอก ระบบการเงินในโลก ต้องคุมด้วยระบบธนาคารกลางของอเมริกา จีนกับรัสเซียบอก ไม่จำเป็นนะ ถ้าเราสร้างระบบที่พวกเราเห็นพ้องกันว่ามันยุติธรรมได้ และตอนนี้ จีนกับรัสเซีย ก็กำลังค้าขายกันด้วยการแลกเปลี่ยนเงินสกุลของพวกเขา ตามค่าของเงินที่พวกเขาตกลงกันเอง อ้าว พวกเอ็งตกลงกันเองได้ พวกผมก็ตกลงกันได้เหมือนกัน มีปัญหาไหม อเมริกากับพวกสร้าง World Bank, IMF มาเป็นกลไกด้านการเงิน คุมโลกจนกระดิกแทบไม่ออก วันนี้ จีนกับรัสเซียและพวกสร้าง AIIB ขึ้นมาเป็นทางเลือก อเมริกาสร้างใอ้ 3 หมาไน เป็นตัววัดเครดิตเรตติ้งของธุรกิจ ของประเทศต่างๆ ตามหลักเกณท์ที่มีผู้ค้านมากมาย ว่าไม่เป็นธรรม วันนี้ จีนกับรัสเซีย ก็กำลังสร้างบริษัทวัดเครดิตเช่นนั้นเหมือนกัน และบอกว่าเป็นธรรมกว่า เราจะได้ยินเรื่องทำนองนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อันที่จริง มันควรจะเป็นเรื่องน่ายินดี ที่มีการเพิ่มทางเลือกให้แก่มนุษยชาติ แต่ดูเหมือนอเมริกาไม่ยินดี นอกจากไม่ยินดีแล้ว อเมริกายังแสดงอาการ ทั้งทางตรงและทางอ้อมอีกด้วยว่า อเมริกาไม่พอใจอย่างยิ่ง อเมริกามองว่า การที่อีกฝ่าย และมนุษยชาติ มีทางเลือก มันเป็นการคุกคาม การเป็นผู้ครอบครองโลกใบนี้แต่ผู้เดียวของอเมริกา( America World Dominence) และ อเมริกาเท่านั้นนะ ที่จะเป็นผู้กำหนดชะตาของโลก มันต้องเป็นไปตามเส้นทาง วิธีการ ระบบ ที่อเมริกาเลือก และเห็นชอบสิ เข้าใจไหม และเพราะอเมริกา มีแนวคิด และแนวปฏิบัติเข่นนี้ โลกนี้ถึงได้ยุ่งเหยิงอย่างไม่ควรจะเป็น เมื่อใดที่เรื่องอะไร ที่ไหน ที่ไม่เป็นไปตามแนวที่อเมริกาเห็นชอบ หรือเมื่ออเมริกาอยากได้สมบัติของเขา ประเทศเหล่านั้นก็ถูกสื่อที่เป็นมือตีนของอเมริกา ฟอกย้อมให้เป็นคนเลว เป็นเผด็จการ เป็นผู้ร้าย เป็นโจร เมื่อสื่อย้อมจนได้ที่ อเมริกาก็ยาตราใช้อำนาจของอาวุธของตัวเองเข้าไปตัดสิน และประเทศเหล่านั้น ก็ถึงแก่การกาลวิบัติ ฉิบหาย จนถึงสิ้นชาติ โลกนี้จึงอยู่ในกำมือของอเมริกา ที่ใช้มาตรฐานของตน ที่มีหลายระดับ หลายแบบ ตามสันดานจิ๊กโก๋เป็นเครื่องตัดสิน (2) แดนสยามของสมันน้อย กำลังถูกอเมริกาจับตามองอย่างไม่พอใจอย่างยิ่ง ตั้งแต่สมันน้อยเริ่มไม่ว่าง่าย เมื่อสมันน้อยทนมีรัฐบาลโคตรโกง ไม่ไหว ออกมาขับไล่ อเมริกายื่นหน้ามาถาม ไล่เขาทำไม เขามาจากการเลือกตั้ง เสือกไหม เสือกสิ ในความเห็นของผม ทำไมเอ็งต้องมาออกความเห็นเรื่องบ้านผมทุกเรื่อง วันนี้แดนสยาม มีทหารเป็นผู้ใช้อำนาจในการบริหาร โดยยังไม่มีการลือกตั้ง อเมริกาจะลงแดงตายเสียให้ได้ เมื่อไหร่ ไทยแลนด์จะมีการเลือกตั้ง อเมริการับไม่ได้กับการปฏิวัติ รับไม่ได้กับการไม่เลือกตั้ง รับไม่ได้กับการไม่เป็นประชาธิปไตย อเมริกาไม่ชอบ ไม่ชอบ และไม่ชอบ ทำไมไม่ลงไปดื้นเร่าๆกลิ้งกับพื้น ตอนด่าไทยแลนด์เลยละ (วะ) จะได้สมกับเป็นชาติมหาอำนาจใหญ่ยิ่งที่สุดในโลก Wall Street Journal ลงบทความ เมื่อวันที่ 23 กรกฏาคมนี้ เขียนโดย นาย Desmond Dalton ซึ่งเป็นนายทหารอเมริกัน ที่เกษียณแล้ว และเคยเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของอเมริกาในประเทศไทย บทความนั้นชื่อว่า ” Saving America’s Ties With Thailand” หลายท่านคงเห็นแล้ว และเข้าใจว่าสื่อไทยก็น่าจะลงแล้ว แต่ผมมีมุมมองของผม ที่อาจจะต่างไปบ้าง บทความดังกล่าว สรุปว่า อเมริกาไม่พอใจไทย ตั้งแต่มีการปฏิวัติเมื่อปี ค.ศ.2014 (ก็ปฏิวัติของลุงตู่นั่นแหละ) และความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับไทย ก็เสื่อมลงมากมายอย่างน่าใจหาย อเมริกาหันหลังให้กับรัฐบาลทหาร อย่างไม่ไว้หน้า แถมขู่ให้ไทยรีบมีการเลือกตั้งอย่างรวดเร็ว มิฉะนั้น สัมพันธ์อเมริกาไทยก็จะยิ่งเสื่อมลงไปอีกเรื่อยๆ (จะให้เสื่อมลงถึงไหน นี่ยังไม่ถึงดินหรือไง สงสัยอยากได้สัมพันธ์แบบใต้ดิน แบบนั้น ต้องไปแถวประเทศที่ถนัดแบกถาด ฮา) คุณทหารอดีตที่ปรึกษา บอกว่า การที่อเมริกาปฏิบัติต่อไทยเช่นนี้ ทำให้อเมริกาเสียโอกาสในไทยอย่างยิ่ง และทำให้นโยบายของรัฐบาลโอบามา ที่คิดจะมาถ่วงดุลอำนาจ ในเอเซียแปซิฟิกจะกลายเป็นแค่ราคาคุย ไม่ใช่ว่า อเมริกาควรจะหลับหู หลับตา กับสิ่งที่ไทยทำ แต่เพื่อรักษาโอกาสของอเมริกา อเมริกาก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีที่สร้างศัตรูกับไทย ด้วยการด่าว่าทหารไทยอย่างเอิกเกริก ไปพูด (ด่า) กันเงียบๆก็ได้นะ แถมการที่อเมริกาตัดงบอาวุธ ตัดงบการอบรม สาระพัดกับไทย กลายเป็นการผลักให้ไทยหันไปสร้างสัมพันธ์กับชาติอื่น เช่นจีนแทน… ….และไทย ก็เลยปิดประตูทางเข้า ที่อเมริกาเคยเข้ามาใช้ไทยอย่างอิสระ สะดวกสบายไปเรียบร้อย และจากการตัดสินใจซื้ออาวุธล่าสุดของไทย แสดงให้เห็นว่า ไทยไม่คิดจะพึ่งพาอเมริกาด้านอาวุธเพียงรายเดียว นี่เป็นก้าวที่พลาดอย่างยิ่งของอเมริกา แม้ไทยจะเป็นเพียงประเทศขนาดกลาง มีพลเมือง ประมาณ 70 ล้านคน มีเศรษฐกิจเพียงอันดับที่ 22 ของโลก … แต่ไทย มีความหมายในเชิงยุทธศาสตร์อย่างยิ่งกับอเมริกา …… ….เส้นทางจากไทย เป็นเส้นทางเดียว ที่กองทัพอเมริกันเชื่อถือ ที่จะใช้เป็นจุดผ่านเข้าไปสู่แผ่นดินใหญ่ของเอเซีย… …It offers U.S forces the only reliable access point to mainland Asia… นอกจากนี้ อุตสาหกรรมด้านการผลิตอาวุธของอเมริกา ได้รับการอุดหนุนจากงบประมาณด้านความมั่นคงก้อนใหญ่ ของไทยทุกปี บทความที่เหลือ ก็เป็นการสรรเสริญ ถึงความเก่งกล้าสามารถด้านการทหารของไทย รวมทั้งด้านการเป็นผู้นำในภูมิภาคของไทย พร้อมทั้งข้อเสนอแนะ ให้อเมริกากลับมาเจรจาโดยใช้คำหวานกับไทยเสียใหม่ ให้ไทยกลับสู่ความเป็นประชาธิปไตย และเพื่อที่อเมริกาจะได้ใช้ประโยชน์จากการมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกันให้มากที่สุด…โดยทำผ่านการพูดคุยกับผู้นำทหาร นักวิชาการ และราษฎรที่มีชื่อเสียง….อืม.. พอเห็นไหมครับ ว่าบทความนี้มันสื่ออะไรกับเราบ้าง มันไม่มีส่วนไหนเลย ที่แสดงถึงความเข้าใจ และเห็นใจประเทศไทย มันมีแต่ว่า เขาจะใช้ประโยชน์จากเราได้อย่างไรบ้าง และจะ “ทำอย่างไร” ที่จะกลับมาจิกหัวเรา ได้อย่างเดิม บทความนี้ เป็นการโยนหินถามทางที่น่าสนใจมาก โดยเฉพาะ คำแนะนำ ว่า อเมริกาควร “ทำอย่างไร” เพื่อจะกลับมา อเมริกา น่าจะรู้ตัวแล้วว่า อเมริกากำลังเดินหมากผิดจนน่าโขกหัวตัวเอง ในยามที่โลกแบ่งชัดเป็น 2 ขั้ว เมื่อจีนและรัสเซียอยู่คนละขั้วกับอเมริกา แต่อเมริกาดันถีบหมากชื่อไทยแลนด์ กระเด็นออกไปนอกกระดานของอเมริกา และก็เป็นการถีบทิ้งอย่างเอิกเกริก เล่นงานกันทุกทาง ไม่ว่าจะโดยแสดงด้วยกริยา อาการ หรือการแสดงด้วยวาจา การด่า การเขียน ทั้งทางตรง ทางอ้อม แม้กระทั่งในบทความของถังขยะความคิด ไม่ว่าถังไหน เมื่อพูดถึงอเมริกาและพวก จะไม่ปรากฏชื่อไทยแลนด์ แดนสยามของสมันน้อยแม้แต่ครั้งเดียว คบกันมา กว่า 70 ปี บทจะถีบทิ้ง ก็ไม่เหลือใย เหลือหน้ากันไว้ อย่างนี้จะกลับมาเป็นเพื่อนกันใหม่ จะให้มองกันติดสนิทใจ จะใช้กาวยี่ห้อไหนดี(วะ) อเมริกา กำลังทดสอบไทย ตามสันดานจิ๊กโก๋ปากซอย ด้วยการบีบคั้นทุกรูปแบบ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาใช้ hard power (อาวุธ) อเมริกาจึงใช้ soft power (อำนาจที่ไม่ต้องใช้อาวุธ เช่น การคว่ำบาตร การกีดกัน การระงับ โดยอ้างว่าไม่ได้มาตรฐานการ และใช้มากที่สุดคือ ใช้สื่อโจมตี) เราจึงได้เห็นตั้งแต่ การโจมตีเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญ การเลื่อนการเลือกตั้ง เรื่องการไม่มีมนุษยธรรม ตั้งแต่โรฮิงญา มาจนถึงอุยกูร์ การที่บริษักการบินไทยไม่ได้มาตรฐาน เรื่องส่งออกอาหารไม่ผ่านมาตรฐาน ใช้แรงงานผิดมาตรฐาน ข่าวเรื่องอียู คว่ำบาตรไทย การจ่าหน้าซองผิด ฯลฯ ยังจะมีสาระพัด ตะหวักตะบวยเลวไปกว่านี้อีกมากมาย ที่มันจะสรรหา ยกขึ้นตามมาอีก การก่อกวนในรูปแบบต่างๆ ก็ยังจะเกิดขึ้นอีก และอาจจะรุนแรงขึ้น เป้าหมายก็เพื่อสั่นคลอนเรา พยายามทุกอย่างให้สมันน้อยปอดแหก จะได้ไม่กล้า แหกคอก มาถึงวันนี้ วันที่ต่างก็เริ่มเห็นชัดแล้ว ว่าอะไรคอยอยู่ข้างหน้า อเมริกา คิดตกหรือยัง ว่า จะตบหน้าเพื่อนเก่า 70 ปีต่อไปอีก โทษฐานคิดแหกคอก หรือ อเมริกาจะทำไม่รู้ไม่ชี้ เดินกลับมา เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะชักสำนึกได้ว่า ถ้าจะใช้ไอ้พวกลูกกระเป๋ง มาแบกถาดถือปืน อาจจะไม่ได้ผลอย่างที่คิด จิ๊กโก๋ทำได้ไหม ทำได้สบายมาก ถ้าจำเป็นจริงๆ อเมริกาก็หาวิธีกลับเข้ามาตบหลังลูบหัวไทยได้ ถ้าเดินเข้ามาตรงๆไม่ได้ หนอนในบ้าน ที่ยังเห็นอเมริกาเป็นพ่อ ยังมีอีกแยะ คงหาทางให้ สมันน้อยเดินจ๋อยๆกลับเข้าคอกเอง โดยนึกว่าอเมริกาไม่เกี่ยว แล้วเราจะว่ายังไงครับ…. ตอนนี้ ลุงตู่กำลังทำหน้าที่เป็นกัปตัน พาเรือใหญ่ขนาดกลาง ขนคนประมาณ 70 ล้านคน มุ่งหน้าไปตามลำน้ำใหญ่ สายน้ำเริ่มเชี่ยวขึ้นทุกที แถมข้างหน้า มีวังน้ำวนเห็นอยู่ชัดๆ เรือจะผ่านวังน้ำวน ไปได้หรือเปล่ายังไม่รู้ ลุงตู่จะคัดท้าย นำเรือขนาดกลางนี้ ไปรอดไหม ส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับฝีมือคัด ท้ายของลุงตู่เอง แต่อีกส่วน ก็ขึ้นอยู่กับผู้โดยสาร 70 ล้านคนนั่นด้วย จะเอาอย่างไรล่ะ จะให้กัปตันพาเรือเดินหน้า หรือเปลี่ยนใจ ไม่ไปต่อแล้ว กลัวน้ำวน กลัวโจรปล้น กลัวจิ๊กโก๋ขู่ ให้กัปตันทิ้งสมอ จอดมันริมฝั่งนั่นแหละ ใครจะมาเอาเรือก็เอาไป แล้วจะจอดฝั่งไหนล่ะ ฝั่งที่คุ้นๆกันมา 70 ปี เดี๋ยวดี เดียวด่า ทำเหมือนสมันน้อยเป็นขี้ข้า หรือจะจอดอีกฝั่ง จะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ แต่เท่าที่ดู เขาว่าเป็นประเภทไม่ชอบเป็นขี้ข้าใคร แต่จะทิ้งสมอจอดเรือ ยามน้ำเชี่ยว ก็ใช่ว่าจะทำง่าย เผลอๆ ล่มตอนจอดนี่แหละ สมันน้อย ได้เป็นสมันน้ำ ลอยคอกันเป็นแถว เออ..แล้ว อยู่ๆ จะจอดเรือ ยกประเทศให้เขาเลยงั้นหรือ จะมีคนไม่ยอม หรือ จะมีคนอยากให้เขาจูงกลับเข้าคอก ผมตอบไม่ได้ รู้แต่ว่า หนอนในที่ชอบอยู่คอก และชอบถูกจูงยังมีอยู่ แต่ถ้าเราจะเลือกเดินหน้า ผู้โดยสารก็ต้องทำความเข้าใจ และปรับชีวิตตัวเองบ้าง ต้องรับรู้ว่า กำลังนั่งเรือไปในทางน้ำเชี่ยว ก็ต้องนั่งให้มีสติ เตรียมอุปกรณ์ทั้งด้านส่วนตัวและ ด้านสติปัญญาให้พร้อม เริ่มฝึกตัวเองให้มีวินัย ช่วยเหลือตัวเองได้ นั่งเรือไป ไม่ใช่วีดว้าย กระตู้วู้ ไปตลอดทาง อะไรนิดก็โวย อะไรหน่อยก็ด่า ฟังอะไรมาไม่ได้ยังไม่ทันกรอง ก็แชร์กัน ไลน์กัน เหมือนคนมีแต่นิ้ว แต่ไม่มีสมอง เป็นมนุษย์พันธ์ใหม่ และอย่าเป็นประเภทชอบเอามือราน้ำ แบบนี้ ต่อให้กัปตันเก่งยังไง เรือก็อาจล่ม… บ้านเมืองมาถึงจุดสำคัญ ตื่นกันได้แล้วครับ ลดเรื่องไร้สาระลงเสียบ้าง เอาใจใส่บ้านเมืองกันหน่อย อย่างที่ผมเคยบอก ความเข้าใจและเห็นพ้องกัน ระหว่างผู้บริหารบ้านเมืองกับพลเมือง เป็นความมั่นคงของชาติอย่างหนึ่ง ปิดทางไม่ให้ศัตรูทั้งภายนอกและภายในเข้ามาทำร้าย และทำลายบ้านเมืองเราได้ เราจะได้ช่วยกัน พาเรือผ่านน้ำเชี่ยวไปได้ เป็นสิ่งที่เราทำให้บ้านเมืองของเราได้นะครับ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 29 ก.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 827 มุมมอง 0 รีวิว
  • บิตคอยน์ร่วงหนัก สูญมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์

    บิตคอยน์เพิ่งทำสถิติสูงสุดที่กว่า 125,000 ดอลลาร์ เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2025 แต่เพียงไม่กี่สัปดาห์ต่อมา ราคากลับร่วงลงเหลือประมาณ 90,000 ดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดของปีนี้ การร่วงลงครั้งนี้ทำให้มูลค่าตลาดหายไปกว่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ และสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อวงการคริปโตทั่วโลก

    ปัจจัยการเมืองและเศรษฐกิจ
    การร่วงลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นหลังจาก ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ขู่จะเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากจีน เพื่อตอบโต้การควบคุมการส่งออกแร่หายากของจีน เหตุการณ์นี้ทำให้ตลาดการเงินทั่วโลกผันผวน นักลงทุนจำนวนมากเลือกที่จะขายสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึงคริปโต ขณะเดียวกัน อัตราดอกเบี้ยที่สูงจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ก็ทำให้การลงทุนในพันธบัตรและบัญชีออมทรัพย์ดูน่าสนใจกว่าการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัล

    ผลกระทบจากการใช้เลเวอเรจ
    นักวิเคราะห์ชี้ว่า การลงทุนที่ใช้เลเวอเรจสูงเป็นตัวเร่งให้ราคาบิตคอยน์ร่วงแรงขึ้น เมื่อราคาตกต่ำ นักลงทุนที่กู้เงินมาเก็งกำไรต้องถูกบังคับขาย (forced liquidation) ส่งผลให้มีการล้างพอร์ตทั้งฝั่ง long และ short รวมมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในวันเดียว

    มุมมองระยะยาว
    แม้ราคาจะร่วงแรง แต่ผู้เชี่ยวชาญบางรายมองว่า นี่ไม่ใช่การล่มสลายของตลาดคริปโต หากแต่เป็น “aftershock” จากการล้างพอร์ตครั้งใหญ่ในเดือนตุลาคม พวกเขาเชื่อว่าผู้ถือครองระยะยาว (HODLers) ยังมีความมั่นใจในพื้นฐานของบิตคอยน์ และตลาดอาจฟื้นตัวได้เมื่อแรงกดดันทางเศรษฐกิจคลี่คลาย

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ราคาบิตคอยน์ร่วงลงเหลือ ~90,000 ดอลลาร์
    สูญมูลค่าตลาดกว่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์

    ปัจจัยการเมืองและเศรษฐกิจ
    การขู่เพิ่มภาษีสินค้าจีน และอัตราดอกเบี้ยสูงจาก Fed

    แรงกดดันจากการใช้เลเวอเรจ
    การล้างพอร์ตกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในวันเดียว

    ความเสี่ยงจากการลงทุนคริปโต
    การใช้เลเวอเรจสูงอาจทำให้ขาดทุนหนักเมื่อราคาผันผวน

    ผลกระทบต่อเศรษฐกิจดิจิทัล
    ความผันผวนอาจทำให้นักลงทุนรายใหม่ลังเลที่จะเข้ามาในตลาด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/bitcoin-price-plunges-wipes-usd1-trillion-from-value-weeks-after-it-hit-all-time-high-prices-now-near-lowest-level-for-the-year-erasing-2025-gains
    💰 บิตคอยน์ร่วงหนัก สูญมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ บิตคอยน์เพิ่งทำสถิติสูงสุดที่กว่า 125,000 ดอลลาร์ เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2025 แต่เพียงไม่กี่สัปดาห์ต่อมา ราคากลับร่วงลงเหลือประมาณ 90,000 ดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดของปีนี้ การร่วงลงครั้งนี้ทำให้มูลค่าตลาดหายไปกว่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ และสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อวงการคริปโตทั่วโลก 🌍 ปัจจัยการเมืองและเศรษฐกิจ การร่วงลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นหลังจาก ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ขู่จะเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากจีน เพื่อตอบโต้การควบคุมการส่งออกแร่หายากของจีน เหตุการณ์นี้ทำให้ตลาดการเงินทั่วโลกผันผวน นักลงทุนจำนวนมากเลือกที่จะขายสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึงคริปโต ขณะเดียวกัน อัตราดอกเบี้ยที่สูงจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ก็ทำให้การลงทุนในพันธบัตรและบัญชีออมทรัพย์ดูน่าสนใจกว่าการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัล ⚠️ ผลกระทบจากการใช้เลเวอเรจ นักวิเคราะห์ชี้ว่า การลงทุนที่ใช้เลเวอเรจสูงเป็นตัวเร่งให้ราคาบิตคอยน์ร่วงแรงขึ้น เมื่อราคาตกต่ำ นักลงทุนที่กู้เงินมาเก็งกำไรต้องถูกบังคับขาย (forced liquidation) ส่งผลให้มีการล้างพอร์ตทั้งฝั่ง long และ short รวมมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในวันเดียว 🔮 มุมมองระยะยาว แม้ราคาจะร่วงแรง แต่ผู้เชี่ยวชาญบางรายมองว่า นี่ไม่ใช่การล่มสลายของตลาดคริปโต หากแต่เป็น “aftershock” จากการล้างพอร์ตครั้งใหญ่ในเดือนตุลาคม พวกเขาเชื่อว่าผู้ถือครองระยะยาว (HODLers) ยังมีความมั่นใจในพื้นฐานของบิตคอยน์ และตลาดอาจฟื้นตัวได้เมื่อแรงกดดันทางเศรษฐกิจคลี่คลาย 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ราคาบิตคอยน์ร่วงลงเหลือ ~90,000 ดอลลาร์ ➡️ สูญมูลค่าตลาดกว่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ ✅ ปัจจัยการเมืองและเศรษฐกิจ ➡️ การขู่เพิ่มภาษีสินค้าจีน และอัตราดอกเบี้ยสูงจาก Fed ✅ แรงกดดันจากการใช้เลเวอเรจ ➡️ การล้างพอร์ตกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในวันเดียว ‼️ ความเสี่ยงจากการลงทุนคริปโต ⛔ การใช้เลเวอเรจสูงอาจทำให้ขาดทุนหนักเมื่อราคาผันผวน ‼️ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจดิจิทัล ⛔ ความผันผวนอาจทำให้นักลงทุนรายใหม่ลังเลที่จะเข้ามาในตลาด https://www.tomshardware.com/tech-industry/cryptocurrency/bitcoin-price-plunges-wipes-usd1-trillion-from-value-weeks-after-it-hit-all-time-high-prices-now-near-lowest-level-for-the-year-erasing-2025-gains
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 342 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตัดโซ่หรือตายซาก ตอนที่ 3 – 4

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ตัดโซ่ หรือ ตายซาก”
    ตอน 3
    แล้วโซ่คล้องคอชาวกรีซล่ะ หน้าตาเป็นอย่างไร สมันน้อยน่าจะรู้จักนะ เพราะเคยต้องใช้อยู่ช่วงนึง แต่อาจจะขนาดเล็กกว่า สั้นกว่า บางคนอาจโตไม่ทัน หรือโตแล้ว แต่ไม่รู้เรื่อง ก็ทำความรู้จักไว้หน่อยก็ดี เผื่อเหตุการณ์เก่า มันจะกลับมาเยี่ยม จะได้รู้จัก รู้ขนาดโซ่ว่า รับไหวไหม ยิ่งมีข่าวกระฉ่อนว่า หนุ่มหน้าใส อดีตผู้เชี่ยวชาญของธนาคารโลก พวกเสือหิวด้วยกัน กำลังเป็นตัวเต็ง จะมาเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย คนใหม่ แทนคนปัจจุบัน ที่กำลังจะหมดวาระในเดือนสิงหาคมนี้ เผื่อแกยังรสนิยมเดิมๆ
    ปี ค.ศ.2010 เสือหิว Troika บอกเราจัดหาเงินให้กรีซได้จำนวน ประมาณบรรทุกรถสิบล้อ 340 คัน ตีว่า บรรทุกได้ คันละ 1 พันล้านยูโร ใครไม่ตกเลข ก็คำนวณเองนะครับ ว่าเป็นเงินเท่าไหร่ ดอกแค่ร้อยละ 5 ถูกจะตาย เงื่อนไขไม่มีอะไรมากมาย ใช้แบบเงื่อนตายเหมือนผูกตราสังข์ ตามแบบฟอร์มของ IMF ที่เรียกว่า SAP หรือ Structural Adjustment Policy ส่วนคนกู้ เรียกสัญญาแบบนี้ว่า แบบ DOA หรือ Dead on Arrival เป็นศพตั้งแต่มาถึงแล้ว คือ ตาย(ห่า) ตั้งแต่กู้ สัญญาแบบนี้ใช้มากว่า 35 ปีแล้วในประเทศแถบละติน อาฟริกา ยุโรปตะวันออกที่เคยเป็นสมาชิกของสหภาพโซเวียต และเอเซีย ตัวอย่างของผู้ที่ใช้สัญญานี้ และเป็นที่รู้จักกันดี ถูกนำมายกเป็นกรณีศึกษาจนแทบจะท่องกันได้คือ ประเทศอาร์เจนตินา
    สัญญาแบบ DOA เป็นอย่างไร ก็แค่ตัดงบใช้จ่ายในบ้านเมืองจนเหี้ยน ซึ่งรวมไปถึงการลดสวัสดิการทาง สังคม การรักษาพยาบาล เบี้ยบำนาญ ลดการจ่ายค่าแรงค่าจ้าง แต่เน้นให้เพิ่มงาน เพิ่มการลงทุน เพิ่มการส่งออก เพิ่มการแข่งขันทางการค้า เพิ่มภาษี และต้องแปรรูปรัฐวิสาหกิจ คือให้รัฐนำออกมาขายเพื่อเอามาใช้หนี้ และลดค่าเงินของประเทศผู้กู้ แต่เนื่องจากกรีซใช้ยูโร ขืนบังคับใช้ข้อนี้ก็ฉิบหายกันหมด เพราะฉนั้น ข้อนี้ เลยกลายเป็นไปเพิ่มการลดค่าใช้จ่ายในประเทศลงแยะๆ แทน
    ผมก็งงนะ ไม่รู้มันเอาส่วนไหนคิด ลดค่าแรง ลดการจ้างงาน แต่ให้เพิ่มงาน เพิ่มการลงทุน แปลว่า ชาวกรีซ นอนผึ่งพุงอยู่กับบ้าน เพราะไม่มีงานทำ ทำไปก็ไม่มีได้ค่าจ้าง เพราะเขาสั่งให้ลด แล้ว”ใคร” มาเพิ่มงาน “ใคร” มาลงทุน ” ใคร” มาซื้อรัฐวิสาหกิจ ที่ไอ้เสือหิวสั่งให้ขาย พอนึกออกนะครับว่า ในที่สุดแล้ว “ใคร” จะเป็นเจ้าของเกาะกรีซอันสวยงาม
    เสือหิว Troika บอกว่า มาตรการนี้ คงใช้ไม่นาน ไม่เกิน 2 ปี กรีซก็คงฟื้นตัว แต่มันตรงกันข้าม นอกจากไม่ฟื้นแล้ว กรีซยิ่งทรุดหนัก ชาวกรีซออกมาประท้วง สื่อกรีซเริ่มออกข่าวด่าไอ้เสือหิว อียู และ IMF บอกว่า ที่ไม่ดีขึ้น เพราะกรีซไม่ยอมปฏิบัติตามเงื่อนไข ไม่ยอมลำบาก ยังอยากสบายด้วยเงินของคนอื่น อันนี้เจ็บมาก ชาวกรีซบอกว่า นี่เป็นการบิดเบือนความจริงที่เลวร้าย รัฐบาลกรีซเดินตามเงื่อนไข DOA อย่างเคร่งครัด งบค่าจ้างตัดทิ้งเป็นพันๆล้านยู โร การรักษาพยาบาลของกรีซ ลดไปถึง 50% ไม่ใช่ชาวกรีซ แข็งแรง ไม่เจ็บ ไม่ป่วย แต่พวกเขาไม่มีเงิน ไปหาหมอ ไปโรงพยาบาลต่างหาก การศึกษาก็เช่นกัน ลดลงไปมากมาย ธุรกิจขนาดเล็กปิดตัวเกือบหมด และอัตราคนว่างงานในปี 2011 ก็ขึ้นพรวด และรายรับของภาษี ก็ลดลงอย่างมากเช่นเดียวกัน มัน DOA จริงๆ
    เสือหิว Troika ยังปากแข็ง ไม่ยอมรับความผิดพลาดในการจ่ายยาของตัวให้แก่คนป่วยชื่อก รีซ จะไปรับได้อย่างไร เขาให้ยาถูกแล้ว เขาตั้งใจให้ยา DOA นี้กับกรีซ กรีซต่างหากเล่า ที่ทำผิดพลาดซ้ำซาก ยอมกินยานี้ (ซ้ำซาก) เอง
    กรีซนึกว่า กินยานี้ครั้งเดียวแล้วทุกอย่าง จะดีขึ้นตามที่ IMF บอก แต่ในที่สุด กรีซก็ต้องขอรับยางวดสอง ในปี 2012 เอะ งวดแรก กินเข้าไปก็ตายแล้ว งวดสองกินแล้วจะเป็นอย่างไร ก็ตายซากละสิครับ
    เงื่อนไขงวดสอง เพิ่มชัดเจนว่า ต้องลดการจ้างงานภาครัฐลงไป 150,000 คน ภายในสิ้นปี 2015 และขายรัฐวิสาหกิจแบบเทกระจาด เรื่องนี้ทำให้มีป้ายขึ้นกลางเมืองใหญ่ของกรีซว่า “A Nation for Sale” มีประเทศขาย ไม่ใช่ขายแค่บ้าน ขายประเทศ ภาวนาอย่าให้มีป้ายแบบนี้ขึ้นในแดนสยามของเราก็แล้วกัน
    ทรัพย์สินที่กรีซขายไป ที่สำคัญ เช่น ท่าเรือ Piraeus ท่าเรือ Thessaloniki ซึ่งเป็นท่าเรือใหญ่ และมีคุณค่า ทั้งทางประวัติศาสตร์ และ เศรษฐกิจ (บางข้อมูลบอกท่าเรือ ทั้ง 2 ยังเจรจากันอยู่ ยังไม่ได้ขายออกไป) บริษัทเทเลคอม OTE สลากกินแบ่งกรีซ ที่ดินหลายแปลง ที่อยู่ในถิ่นดีที่สุดของประเทศ prime area และ postal bank การขายทรัพย์สินของประเทศครั้งใหญ่นี้ ทำให้พรรค Syriza ซึ่งประกาศคัดค้านขายรัฐวิสาหกิจ และการขายทรัพย์สิน ซึ่งได้คะแนนเสียงเพียง 4.6 % ในปี 2009 กระโดดมาเป็น 26.89% ในปี 2012 และได้เป็นรัฐบาลในปี 2015
    ระหว่าง ที่เสือหิว Troika ให้กรีซกินยา DOA งวดสอง อัตราคนว่างงานก็เพิ่มเป็น 22% และกำลังจะเป็น 25% ในไม่ช้า ชาวกรีซที่มีการศึกษาดี และยังอายุน้อย ต่างพากัน ทิ้งประเทศของตน ไปหางานทำที่เยอรมัน ที่เศรษฐกิจกำลังรุ่ง มันเป็นการประชดชีวิตชาวกรีซอย่างน่าเศร้า โลกนี้มันไม่สวยทั้งหมดอย่างที่เราคิด และที่กรีซ ก็คงจะเหลือแต่คนแก่ คนรายได้ต่ำ คนการศึกษาไม่สูง และชาวต่างชาติที่หนีระเบิดรายวันมาแย่งกันกิน
    ##############
    “ตัดโซ่ หรือ ตายซาก”

    ตอน 4
    นักวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์การเมือง บอกว่า กรีซมาถึงจุดวิกฤตินี้ จากการที่มีนักการเมือง หรือรัฐบาลสายตาสั้น มองไม่ได้ไกล ขี้โกง เห็นแก่ประโยชน์พรรคและพวก ทำให้กรีซตกเป็นเหยื่อของระบบ ที่สร้างขี้นมา เพื่อทำให้ประเทศที่อ่อนแอจากปัจจัย ต่างๆ อย่างกรีซ ไม่คิดพึ่งตัวเอง ไม่คิดเปลี่ยนแปลง ไม่คิดปฏิรูป ไม่รู้จักเรียนรู้ เพื่อแก้ไข มักง่าย และในที่สุดก็จะหมดตัว หมดประเทศ หรือ เหลือแต่ซาก
    ส่วนนักวิเคราะห์การเงินบอกว่า อย่าเอะอะไป เรื่องหนี้กรีซ ไม่ใช่เรื่องของหนี้กรีซ เอะ พูดยังไง เราพูดเรื่องเดียวกันหรือเปล่า ครับ นักการเงินบอก ไม่มีใครเขาสนใจประเทศกรีซ ที่เล็กกระจิดริด ถึงจะสวยงามก็เถอะ กรีซจะมีเงินใช้หนี้ไหม กรีซจะอยู่ หรือจะไปจากอียู เขาไม่ได้สนใจ แต่ที่เป็นข่าวกันถี่ ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก พวกเขากลัวมันกระทบกับระบบธนาคาร กลัวนายทุนจะเจ๊ง ไม่ได้กลัวชาวกรีซจะอดตาย ไม่ได้กลัวรัฐบาลกรีซ จะล่ม เข้าใจไหมครับ
    แต่สื่อใหญ่รุ่นเก๋า Dennis Gartman บอกว่า…. กรีซยังอยู่ในอียู เพราะเยอรมันต้องการอย่างนั้น เยอรมันยังไม่อยากเฉดกรีซออกไป เยอรมันต้องการให้ค่าเงินยูโรอ่อน ยูโรอ่อนดีสำหรับการส่งออก คนซื้อจะได้นึกว่าตัวซื้อของได้ถูก เยอรมันเป็นประเทศขายของ ที่ ยามนี้กำลังต้องการขายอย่างยิ่ง ใครขายได้ ต้องรีบขาย Bayer, Thyssenkrupp, Daimler เจ้าพ่อธุรกิจการค้าเยอรมัน ต้องการให้กรีซ ยังอยู่ในอียูทั้งนั้น …
    …..ถ้า ผมเป็นนายกรัฐมนตรีกรีซ ผมคงไม่วิ่งเจรจาให้เหนื่อย ผมคงปล่อยให้กรีซผิดนัดหนี้นานมาแล้ว และกลับไปใช้เงินสกุลของกรีซ และผมก็ลดค่าของกรีซ อุตสาหกรรมทอผ้าของกรีซก็จะกลายเป็นสินค้า ที่ใครๆต้องการเพราะราคาถูกลง กิจการท่องเที่ยวของกรีซ ก็กลับมาฟื้น เพราะใครๆ ก็อยากกลับมาอยู่เกาะสวย ในราคาไม่แพง กิจการเดินเรือของกรีซก็กลับมารุ่งใหม่ ทำไมผมต้องง้อเยอรมันอยู่ข้างเดียว ผมจะบอกกับพวกเจ้าหนี้โหดๆ ว่าเชิญเลย เชิญเอาตูดผมไปเลย อยากทำอะไรก็ทำ แล้วผมก็ออกจากอียู ก็แค่นั้น…
    ความคิดอย่างนาย Gartman ชาวกรีซเกือบทุกคน คงอยากทำอย่างนั้น คิดได้ แต่ไม่รู้ทำได้จริงไหม กรีซมีหนี้ก้อนใหญ่หมึมา เบี้ยวหนี้ก้อนหนี้ ก็กลายเป็นประเทศล้มละลาย คนล้มละลาย จะไปค้าขายกับใครได้ ขายของได้เงินมา เจ้าหนี้ก็คอยมาคว้าไป แต่ไม่ใช่ว่า เรื่องแบบนี้ เล่นไม่ได้เอาเลย อาร์เจนตินา เคยตัดโซ่ แหกคอกออกมา ยอมอด แต่ก็หืดขึ้นคอ กว่าจะยืนตรงได้เหมือนเดิม
    พรรค Syriza คงไม่คิดให้ชาวกรีซอยู่ในเหว และมีโซ่คล้องคอตลอดไป แต่จะเลือกทำด้วยวิธีไหน และเมื่อไหร่ เท่านั้น การตัดสินใจของ Syriza ในช่วงไม่กี่วันนี้ คงต้องตามดูกันทุกยก เพราะมันสามารถ สร้างระดับความสะเทือน เหมือนแผ่นดินไหวในยุโรปได้ ตั้งแต่ 4 ริกเตอร์ ไปจนถึงระดับ 9 ริกเตอร์ และอาจจะตามมา ด้วยอาฟเตอร์ขนาดไหน ถึงไหน และนานเท่าไหร่ และจะต่อด้วยซึนามิหรือไม่ พวกแมงเม่า อย่ามัวแต่เหม่อดูแต่จอบ้านตัวเอง เดี๋ยวปีกจะไหม้ร่วงหลุดเป็นแถวๆ
    ล่าสุดขณะที่ผมกำลังเขียนนิทาน ( 25 มิย.) ข่าวว่า คุณน้องยานิส รัฐมนตรีคลัง ยืนกรานว่า ต้องมีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ใหม่ ฝ่ายเจ้าหนี้บอก เราไม่มีความคิดเช่นนั้น ถ้ากรีซไม่มีอะไรใหม่มาเสนอ เช่นจะรัดคอหอยเข้าไปอีกกี่นิ้ว หรือจะมีวิธีชำระหนี้อย่างไร เราก็ไม่มีอะไรพูด แล้วการประชุมระหว่าง รัฐมนตรีคลังของกรีซกับฝ่ายอี ยู 18 คน ที่ สนง อียู กรุงบรัสเซล เมื่อเย็นวันที่ 24 มิย. ก็จบลงอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาประชุมไม่ถึง 1 ชั่วโมง แล้วต่างก็ทำหน้าไร้อารมณ์ เก็บของกลับบ้าน
    ร้อนถึงนายกรัฐมนตรีอเล็กซิส ซึ่งข่าวว่า บินด่วนมาบรัสเซล มาคุยต่อกับพวก บิกกี้ของ อียู และคุณนายหน้าเค็มของไอเอมเอฟ ต่ออีก 7 ชั่วโมง แล้วก็กลับไปตอนดึก โดยไม่ให้ข่าว ทั้งหมดนี้ ผมอ่านจากทวิต ของนักข่าวต่างประเทศ ที่ไปเกาะติดสถานการณ์
    แปลว่าอะไรครับ แปลว่า ทั้ง 2 ฝ่ายยังกำไต๋ ไม่แผลมให้อีกฝ่ายรู้ ดูผ่านๆ เหมือนกรีซ กำลังเป็นฝ่ายอาการหนัก แต่สำหรับผม ผมว่า อียูหนักกว่า สำหรับกรีซ เหมือนคนใกล้ตาย หรือตายไปแล้ว จะมีอะไรแย่ไปกว่านี้ได้อีกมาก ถึงมีชิวิตที่เป็นอยู่ก็เลวสุดอยู่แล้ว แต่สำหรับ อียู ยังไม่เคยใกล้ตาย เจียนตาย คราวนี้อาจจะได้รู้จัก
    สมมุติว่า ถ้ากรีซตัดสินใจไม่รับเงินกู้อีกต่อไป หนี้ที่ค้างกันอยู่ ก็ค่อยว่ากัน นี่ไม่ใช่การเบี้ยวหนี้ แต่เป็นการแสดงความไม่ต้องการเป็นหนี้เพิ่ม เอาแค่นี้ จะเรียกเป็นประเทศล้มละลาย หรืออะไรก็แล้วแต่ ความสะเทือนในระบบการเงินในยุโรป ก็น่าจะเกิน 6 ริกเตอร์แล้ว เพราะมันหมายถึง deposits run เงินฝากไหลออกจะเกิดขึ้นแบบของจริง ระบบแบงค์ในกรีซ ไปก่อน หลังจากนั้นก็ลามไปนอกกรีซ ก็ขึ้นกับธนาคารกลางของอียู จะเอาอยู่ไหม สมาชิกอียู ใครจะเป็นผู้กล้าหาญ ถมเงินมาให้ธนาคารกลาง คงเกี่ยงกันอยู่นาน เพราะทั้งเค็ม ทั้งคม กันทั้งนั้น คมเฉือนคม กว่าจะตกลงกันได้ ระหว่างนั้น เลือดยุโรปก็ไหลโกรก
    สมมุติไปอีกทางหนึ่ง ถึงคุณน้องยานิส จะทำหน้าขรึมว่า เจ้าหนี้ต้องตกลงเรื่องปรับโครงสร้างหนี้ก่อน แต่ นายกรัฐมนตรีอเล็กซิส ประกาศว่า เรายอมให้โซ่รัดคอเราแน่นอีกหน่อย เกี่ยวกับเรื่องเงินบำนาญ ยืดอายุคนรับบำนาญไป อีก 2 ปี ทนไหวน่าลุงและจำนวนที่ต้องจ่ายบำนาญก็จะลดลง
    มี ข่าวว่า เจ้าหนี้ ต้องการรัดคออีกหลายเปลาะ เช่นเรื่อง ขยายฐานเก็บภาษี ไปถึง เรื่อง การซื้อยาและขึ้นอัตรา vat ร้านอาหารและที่พักโรงแรม สำหรับกรีซ ที่เป็นเมืองขายการท่องเที่ยว ขึ้นภาษี 2 รายการนี่ ก็ เปลี่ยนร้านอาหาร เป็นป่าช้า อาจได้ลูกค้ามากกว่า
    ข่าวนี้ทำให้เกิดเสียงแตกในพรรค Syriza เอง พวกเข้มบอกไม่ได้นะ นายกฯ ไปตกลงเองไม่ได้ ต้องเอามาเข้าสภาก่อน และรับรองเลย มติแบบนี้ ไม่ผ่านสภาแน่
    ถ้าเป็นข้อสมมุติตามนี้ ความสะเทือน อาจจะไม่เกิน 4 ริกเตอร์ ในตอนแรก ระหว่างรอเข้าสภา และไม่ว่าสภาจะลงมติอะไร การถอนเงินฝาก ก็จะเกิดขึ้น เหมือนกรณีแรก และความสะเทือนก็จะค่อยๆเพิ่มริกเตอร์ขึ้น ไม่ต่างกว่ากรณีแรก เพียงแต่ใช้เวลานานกว่า
    เห็นไหมครับ ไม่ว่ากรีซจะเล่นบทไหน ก็เกิดผลกระทบกับอียูทั้งสิ้น เพราะมันเป็นการจัดการที่ผิดของอียูเองตั้งแต่ต้น ผลมาจากเหตุ เมื่อมีการเอาเงินก้อนใหญ่ที่ควรใส่ไปที่กรีซ แต่ไปไม่ถึงกรีซ ไปถึงเจ้าหนี้อื่นแทน ถึงเวลากรีซจะเอาเงินที่ไหนมาใช้ ก็ต้องเบิกเงินกู้ต่อไปเรื่อยๆ อาการของกรีซก็หนักไปเรื่อยๆ จากเงื่อนไข ที่รัดคอ ผูกมือผูกตีน ไม่ให้กระดิก ไม่ต้องจบปริญญาเอกทางเศรษฐศาสตร์จากอังกฤษ ก็พอรู้ว่า ไปต่อสภาพนี้จะเป็นอย่างไร ยิ่งจบมาอย่างคุณน้องยานิส ถึงได้พูดเหมือนท่องมนตร์ว่า ต้องปรับปรุงโครงสร้างหนี้ คือ ลดหนี้ ผ่อนผันเงื่อนไข เพื่อให้กรีซมีโอกาสต้ังหลัก และยืดอายุการชำระออกไปอีก หรือ มีเงินใหม่จากที่อื่น มาล้างหนี้ DOA และเริ่มต้นกระบวนการฟื้นชีวิตชาวกรีซกันใหม่
    จะมีไหมครับ เงินใหม่ จะมาจากไหน
    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    27 มิ.ย. 2558
    ตัดโซ่หรือตายซาก ตอนที่ 3 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” ตัดโซ่ หรือ ตายซาก” ตอน 3 แล้วโซ่คล้องคอชาวกรีซล่ะ หน้าตาเป็นอย่างไร สมันน้อยน่าจะรู้จักนะ เพราะเคยต้องใช้อยู่ช่วงนึง แต่อาจจะขนาดเล็กกว่า สั้นกว่า บางคนอาจโตไม่ทัน หรือโตแล้ว แต่ไม่รู้เรื่อง ก็ทำความรู้จักไว้หน่อยก็ดี เผื่อเหตุการณ์เก่า มันจะกลับมาเยี่ยม จะได้รู้จัก รู้ขนาดโซ่ว่า รับไหวไหม ยิ่งมีข่าวกระฉ่อนว่า หนุ่มหน้าใส อดีตผู้เชี่ยวชาญของธนาคารโลก พวกเสือหิวด้วยกัน กำลังเป็นตัวเต็ง จะมาเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย คนใหม่ แทนคนปัจจุบัน ที่กำลังจะหมดวาระในเดือนสิงหาคมนี้ เผื่อแกยังรสนิยมเดิมๆ ปี ค.ศ.2010 เสือหิว Troika บอกเราจัดหาเงินให้กรีซได้จำนวน ประมาณบรรทุกรถสิบล้อ 340 คัน ตีว่า บรรทุกได้ คันละ 1 พันล้านยูโร ใครไม่ตกเลข ก็คำนวณเองนะครับ ว่าเป็นเงินเท่าไหร่ ดอกแค่ร้อยละ 5 ถูกจะตาย เงื่อนไขไม่มีอะไรมากมาย ใช้แบบเงื่อนตายเหมือนผูกตราสังข์ ตามแบบฟอร์มของ IMF ที่เรียกว่า SAP หรือ Structural Adjustment Policy ส่วนคนกู้ เรียกสัญญาแบบนี้ว่า แบบ DOA หรือ Dead on Arrival เป็นศพตั้งแต่มาถึงแล้ว คือ ตาย(ห่า) ตั้งแต่กู้ สัญญาแบบนี้ใช้มากว่า 35 ปีแล้วในประเทศแถบละติน อาฟริกา ยุโรปตะวันออกที่เคยเป็นสมาชิกของสหภาพโซเวียต และเอเซีย ตัวอย่างของผู้ที่ใช้สัญญานี้ และเป็นที่รู้จักกันดี ถูกนำมายกเป็นกรณีศึกษาจนแทบจะท่องกันได้คือ ประเทศอาร์เจนตินา สัญญาแบบ DOA เป็นอย่างไร ก็แค่ตัดงบใช้จ่ายในบ้านเมืองจนเหี้ยน ซึ่งรวมไปถึงการลดสวัสดิการทาง สังคม การรักษาพยาบาล เบี้ยบำนาญ ลดการจ่ายค่าแรงค่าจ้าง แต่เน้นให้เพิ่มงาน เพิ่มการลงทุน เพิ่มการส่งออก เพิ่มการแข่งขันทางการค้า เพิ่มภาษี และต้องแปรรูปรัฐวิสาหกิจ คือให้รัฐนำออกมาขายเพื่อเอามาใช้หนี้ และลดค่าเงินของประเทศผู้กู้ แต่เนื่องจากกรีซใช้ยูโร ขืนบังคับใช้ข้อนี้ก็ฉิบหายกันหมด เพราะฉนั้น ข้อนี้ เลยกลายเป็นไปเพิ่มการลดค่าใช้จ่ายในประเทศลงแยะๆ แทน ผมก็งงนะ ไม่รู้มันเอาส่วนไหนคิด ลดค่าแรง ลดการจ้างงาน แต่ให้เพิ่มงาน เพิ่มการลงทุน แปลว่า ชาวกรีซ นอนผึ่งพุงอยู่กับบ้าน เพราะไม่มีงานทำ ทำไปก็ไม่มีได้ค่าจ้าง เพราะเขาสั่งให้ลด แล้ว”ใคร” มาเพิ่มงาน “ใคร” มาลงทุน ” ใคร” มาซื้อรัฐวิสาหกิจ ที่ไอ้เสือหิวสั่งให้ขาย พอนึกออกนะครับว่า ในที่สุดแล้ว “ใคร” จะเป็นเจ้าของเกาะกรีซอันสวยงาม เสือหิว Troika บอกว่า มาตรการนี้ คงใช้ไม่นาน ไม่เกิน 2 ปี กรีซก็คงฟื้นตัว แต่มันตรงกันข้าม นอกจากไม่ฟื้นแล้ว กรีซยิ่งทรุดหนัก ชาวกรีซออกมาประท้วง สื่อกรีซเริ่มออกข่าวด่าไอ้เสือหิว อียู และ IMF บอกว่า ที่ไม่ดีขึ้น เพราะกรีซไม่ยอมปฏิบัติตามเงื่อนไข ไม่ยอมลำบาก ยังอยากสบายด้วยเงินของคนอื่น อันนี้เจ็บมาก ชาวกรีซบอกว่า นี่เป็นการบิดเบือนความจริงที่เลวร้าย รัฐบาลกรีซเดินตามเงื่อนไข DOA อย่างเคร่งครัด งบค่าจ้างตัดทิ้งเป็นพันๆล้านยู โร การรักษาพยาบาลของกรีซ ลดไปถึง 50% ไม่ใช่ชาวกรีซ แข็งแรง ไม่เจ็บ ไม่ป่วย แต่พวกเขาไม่มีเงิน ไปหาหมอ ไปโรงพยาบาลต่างหาก การศึกษาก็เช่นกัน ลดลงไปมากมาย ธุรกิจขนาดเล็กปิดตัวเกือบหมด และอัตราคนว่างงานในปี 2011 ก็ขึ้นพรวด และรายรับของภาษี ก็ลดลงอย่างมากเช่นเดียวกัน มัน DOA จริงๆ เสือหิว Troika ยังปากแข็ง ไม่ยอมรับความผิดพลาดในการจ่ายยาของตัวให้แก่คนป่วยชื่อก รีซ จะไปรับได้อย่างไร เขาให้ยาถูกแล้ว เขาตั้งใจให้ยา DOA นี้กับกรีซ กรีซต่างหากเล่า ที่ทำผิดพลาดซ้ำซาก ยอมกินยานี้ (ซ้ำซาก) เอง กรีซนึกว่า กินยานี้ครั้งเดียวแล้วทุกอย่าง จะดีขึ้นตามที่ IMF บอก แต่ในที่สุด กรีซก็ต้องขอรับยางวดสอง ในปี 2012 เอะ งวดแรก กินเข้าไปก็ตายแล้ว งวดสองกินแล้วจะเป็นอย่างไร ก็ตายซากละสิครับ เงื่อนไขงวดสอง เพิ่มชัดเจนว่า ต้องลดการจ้างงานภาครัฐลงไป 150,000 คน ภายในสิ้นปี 2015 และขายรัฐวิสาหกิจแบบเทกระจาด เรื่องนี้ทำให้มีป้ายขึ้นกลางเมืองใหญ่ของกรีซว่า “A Nation for Sale” มีประเทศขาย ไม่ใช่ขายแค่บ้าน ขายประเทศ ภาวนาอย่าให้มีป้ายแบบนี้ขึ้นในแดนสยามของเราก็แล้วกัน ทรัพย์สินที่กรีซขายไป ที่สำคัญ เช่น ท่าเรือ Piraeus ท่าเรือ Thessaloniki ซึ่งเป็นท่าเรือใหญ่ และมีคุณค่า ทั้งทางประวัติศาสตร์ และ เศรษฐกิจ (บางข้อมูลบอกท่าเรือ ทั้ง 2 ยังเจรจากันอยู่ ยังไม่ได้ขายออกไป) บริษัทเทเลคอม OTE สลากกินแบ่งกรีซ ที่ดินหลายแปลง ที่อยู่ในถิ่นดีที่สุดของประเทศ prime area และ postal bank การขายทรัพย์สินของประเทศครั้งใหญ่นี้ ทำให้พรรค Syriza ซึ่งประกาศคัดค้านขายรัฐวิสาหกิจ และการขายทรัพย์สิน ซึ่งได้คะแนนเสียงเพียง 4.6 % ในปี 2009 กระโดดมาเป็น 26.89% ในปี 2012 และได้เป็นรัฐบาลในปี 2015 ระหว่าง ที่เสือหิว Troika ให้กรีซกินยา DOA งวดสอง อัตราคนว่างงานก็เพิ่มเป็น 22% และกำลังจะเป็น 25% ในไม่ช้า ชาวกรีซที่มีการศึกษาดี และยังอายุน้อย ต่างพากัน ทิ้งประเทศของตน ไปหางานทำที่เยอรมัน ที่เศรษฐกิจกำลังรุ่ง มันเป็นการประชดชีวิตชาวกรีซอย่างน่าเศร้า โลกนี้มันไม่สวยทั้งหมดอย่างที่เราคิด และที่กรีซ ก็คงจะเหลือแต่คนแก่ คนรายได้ต่ำ คนการศึกษาไม่สูง และชาวต่างชาติที่หนีระเบิดรายวันมาแย่งกันกิน ############## “ตัดโซ่ หรือ ตายซาก” ตอน 4 นักวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์การเมือง บอกว่า กรีซมาถึงจุดวิกฤตินี้ จากการที่มีนักการเมือง หรือรัฐบาลสายตาสั้น มองไม่ได้ไกล ขี้โกง เห็นแก่ประโยชน์พรรคและพวก ทำให้กรีซตกเป็นเหยื่อของระบบ ที่สร้างขี้นมา เพื่อทำให้ประเทศที่อ่อนแอจากปัจจัย ต่างๆ อย่างกรีซ ไม่คิดพึ่งตัวเอง ไม่คิดเปลี่ยนแปลง ไม่คิดปฏิรูป ไม่รู้จักเรียนรู้ เพื่อแก้ไข มักง่าย และในที่สุดก็จะหมดตัว หมดประเทศ หรือ เหลือแต่ซาก ส่วนนักวิเคราะห์การเงินบอกว่า อย่าเอะอะไป เรื่องหนี้กรีซ ไม่ใช่เรื่องของหนี้กรีซ เอะ พูดยังไง เราพูดเรื่องเดียวกันหรือเปล่า ครับ นักการเงินบอก ไม่มีใครเขาสนใจประเทศกรีซ ที่เล็กกระจิดริด ถึงจะสวยงามก็เถอะ กรีซจะมีเงินใช้หนี้ไหม กรีซจะอยู่ หรือจะไปจากอียู เขาไม่ได้สนใจ แต่ที่เป็นข่าวกันถี่ ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก พวกเขากลัวมันกระทบกับระบบธนาคาร กลัวนายทุนจะเจ๊ง ไม่ได้กลัวชาวกรีซจะอดตาย ไม่ได้กลัวรัฐบาลกรีซ จะล่ม เข้าใจไหมครับ แต่สื่อใหญ่รุ่นเก๋า Dennis Gartman บอกว่า…. กรีซยังอยู่ในอียู เพราะเยอรมันต้องการอย่างนั้น เยอรมันยังไม่อยากเฉดกรีซออกไป เยอรมันต้องการให้ค่าเงินยูโรอ่อน ยูโรอ่อนดีสำหรับการส่งออก คนซื้อจะได้นึกว่าตัวซื้อของได้ถูก เยอรมันเป็นประเทศขายของ ที่ ยามนี้กำลังต้องการขายอย่างยิ่ง ใครขายได้ ต้องรีบขาย Bayer, Thyssenkrupp, Daimler เจ้าพ่อธุรกิจการค้าเยอรมัน ต้องการให้กรีซ ยังอยู่ในอียูทั้งนั้น … …..ถ้า ผมเป็นนายกรัฐมนตรีกรีซ ผมคงไม่วิ่งเจรจาให้เหนื่อย ผมคงปล่อยให้กรีซผิดนัดหนี้นานมาแล้ว และกลับไปใช้เงินสกุลของกรีซ และผมก็ลดค่าของกรีซ อุตสาหกรรมทอผ้าของกรีซก็จะกลายเป็นสินค้า ที่ใครๆต้องการเพราะราคาถูกลง กิจการท่องเที่ยวของกรีซ ก็กลับมาฟื้น เพราะใครๆ ก็อยากกลับมาอยู่เกาะสวย ในราคาไม่แพง กิจการเดินเรือของกรีซก็กลับมารุ่งใหม่ ทำไมผมต้องง้อเยอรมันอยู่ข้างเดียว ผมจะบอกกับพวกเจ้าหนี้โหดๆ ว่าเชิญเลย เชิญเอาตูดผมไปเลย อยากทำอะไรก็ทำ แล้วผมก็ออกจากอียู ก็แค่นั้น… ความคิดอย่างนาย Gartman ชาวกรีซเกือบทุกคน คงอยากทำอย่างนั้น คิดได้ แต่ไม่รู้ทำได้จริงไหม กรีซมีหนี้ก้อนใหญ่หมึมา เบี้ยวหนี้ก้อนหนี้ ก็กลายเป็นประเทศล้มละลาย คนล้มละลาย จะไปค้าขายกับใครได้ ขายของได้เงินมา เจ้าหนี้ก็คอยมาคว้าไป แต่ไม่ใช่ว่า เรื่องแบบนี้ เล่นไม่ได้เอาเลย อาร์เจนตินา เคยตัดโซ่ แหกคอกออกมา ยอมอด แต่ก็หืดขึ้นคอ กว่าจะยืนตรงได้เหมือนเดิม พรรค Syriza คงไม่คิดให้ชาวกรีซอยู่ในเหว และมีโซ่คล้องคอตลอดไป แต่จะเลือกทำด้วยวิธีไหน และเมื่อไหร่ เท่านั้น การตัดสินใจของ Syriza ในช่วงไม่กี่วันนี้ คงต้องตามดูกันทุกยก เพราะมันสามารถ สร้างระดับความสะเทือน เหมือนแผ่นดินไหวในยุโรปได้ ตั้งแต่ 4 ริกเตอร์ ไปจนถึงระดับ 9 ริกเตอร์ และอาจจะตามมา ด้วยอาฟเตอร์ขนาดไหน ถึงไหน และนานเท่าไหร่ และจะต่อด้วยซึนามิหรือไม่ พวกแมงเม่า อย่ามัวแต่เหม่อดูแต่จอบ้านตัวเอง เดี๋ยวปีกจะไหม้ร่วงหลุดเป็นแถวๆ ล่าสุดขณะที่ผมกำลังเขียนนิทาน ( 25 มิย.) ข่าวว่า คุณน้องยานิส รัฐมนตรีคลัง ยืนกรานว่า ต้องมีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ใหม่ ฝ่ายเจ้าหนี้บอก เราไม่มีความคิดเช่นนั้น ถ้ากรีซไม่มีอะไรใหม่มาเสนอ เช่นจะรัดคอหอยเข้าไปอีกกี่นิ้ว หรือจะมีวิธีชำระหนี้อย่างไร เราก็ไม่มีอะไรพูด แล้วการประชุมระหว่าง รัฐมนตรีคลังของกรีซกับฝ่ายอี ยู 18 คน ที่ สนง อียู กรุงบรัสเซล เมื่อเย็นวันที่ 24 มิย. ก็จบลงอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาประชุมไม่ถึง 1 ชั่วโมง แล้วต่างก็ทำหน้าไร้อารมณ์ เก็บของกลับบ้าน ร้อนถึงนายกรัฐมนตรีอเล็กซิส ซึ่งข่าวว่า บินด่วนมาบรัสเซล มาคุยต่อกับพวก บิกกี้ของ อียู และคุณนายหน้าเค็มของไอเอมเอฟ ต่ออีก 7 ชั่วโมง แล้วก็กลับไปตอนดึก โดยไม่ให้ข่าว ทั้งหมดนี้ ผมอ่านจากทวิต ของนักข่าวต่างประเทศ ที่ไปเกาะติดสถานการณ์ แปลว่าอะไรครับ แปลว่า ทั้ง 2 ฝ่ายยังกำไต๋ ไม่แผลมให้อีกฝ่ายรู้ ดูผ่านๆ เหมือนกรีซ กำลังเป็นฝ่ายอาการหนัก แต่สำหรับผม ผมว่า อียูหนักกว่า สำหรับกรีซ เหมือนคนใกล้ตาย หรือตายไปแล้ว จะมีอะไรแย่ไปกว่านี้ได้อีกมาก ถึงมีชิวิตที่เป็นอยู่ก็เลวสุดอยู่แล้ว แต่สำหรับ อียู ยังไม่เคยใกล้ตาย เจียนตาย คราวนี้อาจจะได้รู้จัก สมมุติว่า ถ้ากรีซตัดสินใจไม่รับเงินกู้อีกต่อไป หนี้ที่ค้างกันอยู่ ก็ค่อยว่ากัน นี่ไม่ใช่การเบี้ยวหนี้ แต่เป็นการแสดงความไม่ต้องการเป็นหนี้เพิ่ม เอาแค่นี้ จะเรียกเป็นประเทศล้มละลาย หรืออะไรก็แล้วแต่ ความสะเทือนในระบบการเงินในยุโรป ก็น่าจะเกิน 6 ริกเตอร์แล้ว เพราะมันหมายถึง deposits run เงินฝากไหลออกจะเกิดขึ้นแบบของจริง ระบบแบงค์ในกรีซ ไปก่อน หลังจากนั้นก็ลามไปนอกกรีซ ก็ขึ้นกับธนาคารกลางของอียู จะเอาอยู่ไหม สมาชิกอียู ใครจะเป็นผู้กล้าหาญ ถมเงินมาให้ธนาคารกลาง คงเกี่ยงกันอยู่นาน เพราะทั้งเค็ม ทั้งคม กันทั้งนั้น คมเฉือนคม กว่าจะตกลงกันได้ ระหว่างนั้น เลือดยุโรปก็ไหลโกรก สมมุติไปอีกทางหนึ่ง ถึงคุณน้องยานิส จะทำหน้าขรึมว่า เจ้าหนี้ต้องตกลงเรื่องปรับโครงสร้างหนี้ก่อน แต่ นายกรัฐมนตรีอเล็กซิส ประกาศว่า เรายอมให้โซ่รัดคอเราแน่นอีกหน่อย เกี่ยวกับเรื่องเงินบำนาญ ยืดอายุคนรับบำนาญไป อีก 2 ปี ทนไหวน่าลุงและจำนวนที่ต้องจ่ายบำนาญก็จะลดลง มี ข่าวว่า เจ้าหนี้ ต้องการรัดคออีกหลายเปลาะ เช่นเรื่อง ขยายฐานเก็บภาษี ไปถึง เรื่อง การซื้อยาและขึ้นอัตรา vat ร้านอาหารและที่พักโรงแรม สำหรับกรีซ ที่เป็นเมืองขายการท่องเที่ยว ขึ้นภาษี 2 รายการนี่ ก็ เปลี่ยนร้านอาหาร เป็นป่าช้า อาจได้ลูกค้ามากกว่า ข่าวนี้ทำให้เกิดเสียงแตกในพรรค Syriza เอง พวกเข้มบอกไม่ได้นะ นายกฯ ไปตกลงเองไม่ได้ ต้องเอามาเข้าสภาก่อน และรับรองเลย มติแบบนี้ ไม่ผ่านสภาแน่ ถ้าเป็นข้อสมมุติตามนี้ ความสะเทือน อาจจะไม่เกิน 4 ริกเตอร์ ในตอนแรก ระหว่างรอเข้าสภา และไม่ว่าสภาจะลงมติอะไร การถอนเงินฝาก ก็จะเกิดขึ้น เหมือนกรณีแรก และความสะเทือนก็จะค่อยๆเพิ่มริกเตอร์ขึ้น ไม่ต่างกว่ากรณีแรก เพียงแต่ใช้เวลานานกว่า เห็นไหมครับ ไม่ว่ากรีซจะเล่นบทไหน ก็เกิดผลกระทบกับอียูทั้งสิ้น เพราะมันเป็นการจัดการที่ผิดของอียูเองตั้งแต่ต้น ผลมาจากเหตุ เมื่อมีการเอาเงินก้อนใหญ่ที่ควรใส่ไปที่กรีซ แต่ไปไม่ถึงกรีซ ไปถึงเจ้าหนี้อื่นแทน ถึงเวลากรีซจะเอาเงินที่ไหนมาใช้ ก็ต้องเบิกเงินกู้ต่อไปเรื่อยๆ อาการของกรีซก็หนักไปเรื่อยๆ จากเงื่อนไข ที่รัดคอ ผูกมือผูกตีน ไม่ให้กระดิก ไม่ต้องจบปริญญาเอกทางเศรษฐศาสตร์จากอังกฤษ ก็พอรู้ว่า ไปต่อสภาพนี้จะเป็นอย่างไร ยิ่งจบมาอย่างคุณน้องยานิส ถึงได้พูดเหมือนท่องมนตร์ว่า ต้องปรับปรุงโครงสร้างหนี้ คือ ลดหนี้ ผ่อนผันเงื่อนไข เพื่อให้กรีซมีโอกาสต้ังหลัก และยืดอายุการชำระออกไปอีก หรือ มีเงินใหม่จากที่อื่น มาล้างหนี้ DOA และเริ่มต้นกระบวนการฟื้นชีวิตชาวกรีซกันใหม่ จะมีไหมครับ เงินใหม่ จะมาจากไหน สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 27 มิ.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 779 มุมมอง 0 รีวิว
  • เป้าหมายเทดอลลาร์! แฉจีนซุ่มกว้านซื้อทอง “เงียบ ๆ” สูงกว่าตัวเลขทางการกว่า 10 เท่า

    นักวิเคราะห์ชี้จีนอาจซื้อทองสูงสุดถึง 250 ตันในปีนี้ เพื่อกระจายความเสี่ยง - ลดพึ่งพาดอลลาร์ ตัวเลขจริงอาจดันคลังทองจีนแตะใกล้ 5,000 ตัน มากกว่าที่รายงานต่อสาธารณะถึงสองเท่า

    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000109370

    #News1live #News1 #จีน #ทองคำ #ราคาทอง #ธนาคารกลางจีน #DeDollarization #เศรษฐกิจโลก #การเงินโลก #ข่าวต่างประเทศ #newsupdate
    เป้าหมายเทดอลลาร์! แฉจีนซุ่มกว้านซื้อทอง “เงียบ ๆ” สูงกว่าตัวเลขทางการกว่า 10 เท่า • นักวิเคราะห์ชี้จีนอาจซื้อทองสูงสุดถึง 250 ตันในปีนี้ เพื่อกระจายความเสี่ยง - ลดพึ่งพาดอลลาร์ ตัวเลขจริงอาจดันคลังทองจีนแตะใกล้ 5,000 ตัน มากกว่าที่รายงานต่อสาธารณะถึงสองเท่า • อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000109370 • #News1live #News1 #จีน #ทองคำ #ราคาทอง #ธนาคารกลางจีน #DeDollarization #เศรษฐกิจโลก #การเงินโลก #ข่าวต่างประเทศ #newsupdate
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 227 มุมมอง 0 รีวิว
  • สิงคโปร์ทดลองบิลแบบ Tokenised และกฎหมาย Stablecoin

    สิงคโปร์กำลังเดินหน้าสู่การเป็นศูนย์กลางการเงินดิจิทัล โดยธนาคารกลางประกาศทดลองใช้ "tokenised bills" และเตรียมออกกฎหมายควบคุม stablecoin เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบการเงินใหม่ แนวคิดนี้คือการนำเทคโนโลยี blockchain มาช่วยให้ธุรกรรมการเงินมีความโปร่งใสและปลอดภัยมากขึ้น

    สิ่งที่น่าสนใจคือ สิงคโปร์ไม่ได้มองแค่การใช้เทคโนโลยี แต่ยังพยายามสร้างกรอบกฎหมายที่ชัดเจน เพื่อให้ทั้งนักลงทุนและประชาชนมั่นใจว่าการใช้ stablecoin จะไม่เสี่ยงต่อการสูญเสียเงินทุนเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในบางประเทศ การเคลื่อนไหวนี้อาจทำให้สิงคโปร์กลายเป็นผู้นำในภูมิภาคด้านการเงินดิจิทัล

    อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการนำ stablecoin มาใช้ในระบบเศรษฐกิจจริงยังมีความเสี่ยง เช่นความผันผวนของค่าเงินดิจิทัล และการโจมตีทางไซเบอร์ที่อาจเกิดขึ้นได้ หากไม่มีมาตรการป้องกันที่เข้มแข็ง

    สิงคโปร์ทดลองใช้ tokenised bills และเตรียมออกกฎหมาย stablecoin
    เพื่อสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นในระบบการเงินดิจิทัล

    สิงคโปร์ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการเงินดิจิทัลในภูมิภาค
    การสร้างกรอบกฎหมายชัดเจนช่วยดึงดูดนักลงทุน

    ความเสี่ยงจากการใช้ stablecoin ในระบบเศรษฐกิจจริง
    อาจเกิดความผันผวนและการโจมตีทางไซเบอร์

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/13/singapore-to-trial-tokenised-bills-bring-in-stablecoin-laws-central-bank-chief-says
    💰 สิงคโปร์ทดลองบิลแบบ Tokenised และกฎหมาย Stablecoin สิงคโปร์กำลังเดินหน้าสู่การเป็นศูนย์กลางการเงินดิจิทัล โดยธนาคารกลางประกาศทดลองใช้ "tokenised bills" และเตรียมออกกฎหมายควบคุม stablecoin เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบการเงินใหม่ แนวคิดนี้คือการนำเทคโนโลยี blockchain มาช่วยให้ธุรกรรมการเงินมีความโปร่งใสและปลอดภัยมากขึ้น สิ่งที่น่าสนใจคือ สิงคโปร์ไม่ได้มองแค่การใช้เทคโนโลยี แต่ยังพยายามสร้างกรอบกฎหมายที่ชัดเจน เพื่อให้ทั้งนักลงทุนและประชาชนมั่นใจว่าการใช้ stablecoin จะไม่เสี่ยงต่อการสูญเสียเงินทุนเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในบางประเทศ การเคลื่อนไหวนี้อาจทำให้สิงคโปร์กลายเป็นผู้นำในภูมิภาคด้านการเงินดิจิทัล อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการนำ stablecoin มาใช้ในระบบเศรษฐกิจจริงยังมีความเสี่ยง เช่นความผันผวนของค่าเงินดิจิทัล และการโจมตีทางไซเบอร์ที่อาจเกิดขึ้นได้ หากไม่มีมาตรการป้องกันที่เข้มแข็ง ✅ สิงคโปร์ทดลองใช้ tokenised bills และเตรียมออกกฎหมาย stablecoin ➡️ เพื่อสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นในระบบการเงินดิจิทัล ✅ สิงคโปร์ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการเงินดิจิทัลในภูมิภาค ➡️ การสร้างกรอบกฎหมายชัดเจนช่วยดึงดูดนักลงทุน ‼️ ความเสี่ยงจากการใช้ stablecoin ในระบบเศรษฐกิจจริง ⛔ อาจเกิดความผันผวนและการโจมตีทางไซเบอร์ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/13/singapore-to-trial-tokenised-bills-bring-in-stablecoin-laws-central-bank-chief-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Singapore to trial tokenised bills, bring in stablecoin laws, central bank chief says
    SINGAPORE (Reuters) -Singapore's central bank will hold trials to issue tokenised MAS bills next year and bring in laws to regulate stablecoins as it presses forward with plans to build a scalable and secure tokenised financial ecosystem, the bank's top official said on Thursday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 231 มุมมอง 0 รีวิว
  • หัวข้อข่าว: “Stablecoin เยนเตรียมบุกตลาดพันธบัตรญี่ปุ่น – ผู้เล่นใหม่ที่อาจเปลี่ยนเกมการเงิน”

    บริษัท JPYC เปิดตัว Stablecoin ที่ผูกกับเงินเยนเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2025 ถือเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่นที่มีการออก Stablecoin แบบเต็มรูปแบบในประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อใช้เป็นเครื่องมือการชำระเงินและการลงทุนที่สะดวกและปลอดภัย

    ผู้บริหารของ JPYC ระบุว่า Stablecoin อาจกลายเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ของพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นในอนาคต เพราะการถือครองพันธบัตรจะช่วยสร้างความมั่นคงและความน่าเชื่อถือให้กับเหรียญดิจิทัลที่ออกมา ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง อาจทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ต้องปรับวิธีการควบคุมตลาดการเงินใหม่ เนื่องจากผู้เล่นรายใหม่เข้ามามีบทบาทสำคัญ

    แม้ญี่ปุ่นยังเป็นสังคมที่นิยมใช้เงินสดและบัตรเครดิต แต่การเปิดตัว Stablecoin เยนถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของระบบการเงินสมัยใหม่

    สาระเพิ่มเติมจากภายนอก
    ญี่ปุ่นถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการกำกับดูแลคริปโตเข้มงวดที่สุด แต่ก็เปิดรับนวัตกรรมการเงินดิจิทัลมากขึ้น
    หาก Stablecoin เยนถูกนำไปใช้จริงในตลาดพันธบัตร อาจช่วยเพิ่มสภาพคล่องและดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ
    อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่า หาก Stablecoin มีบทบาทมากเกินไป อาจทำให้ BOJ สูญเสียความสามารถในการควบคุมอัตราดอกเบี้ยและนโยบายการเงิน

    JPYC เปิดตัว Stablecoin เยนครั้งแรกในญี่ปุ่น
    เปิดตัวเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2025
    มีเป้าหมายเพื่อใช้ในการชำระเงินและการลงทุน

    บทบาทในตลาดพันธบัตร
    Stablecoin อาจกลายเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ของพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น
    ส่งผลต่อการดำเนินนโยบายการเงินของ BOJ

    ความสำคัญต่อระบบการเงิน
    สะท้อนการเปลี่ยนแปลงจากสังคมที่นิยมเงินสดสู่การเงินดิจิทัล
    อาจช่วยเพิ่มสภาพคล่องและดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ

    คำเตือนด้านความเสี่ยง
    หาก Stablecoin มีบทบาทมากเกินไป อาจทำให้ BOJ ควบคุมนโยบายการเงินได้ยากขึ้น
    ความเสี่ยงจากการพึ่งพาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่อาจถูกโจมตีหรือหยุดทำงาน
    การยอมรับจากผู้ใช้ทั่วไปยังไม่แน่นอน เพราะญี่ปุ่นยังนิยมใช้เงินสดและบัตรเครดิต

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/12/yen-stablecoin-issuer-predicts-growing-presence-in-japan039s-bond-market
    💴 หัวข้อข่าว: “Stablecoin เยนเตรียมบุกตลาดพันธบัตรญี่ปุ่น – ผู้เล่นใหม่ที่อาจเปลี่ยนเกมการเงิน” บริษัท JPYC เปิดตัว Stablecoin ที่ผูกกับเงินเยนเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2025 ถือเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่นที่มีการออก Stablecoin แบบเต็มรูปแบบในประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อใช้เป็นเครื่องมือการชำระเงินและการลงทุนที่สะดวกและปลอดภัย ผู้บริหารของ JPYC ระบุว่า Stablecoin อาจกลายเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ของพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นในอนาคต เพราะการถือครองพันธบัตรจะช่วยสร้างความมั่นคงและความน่าเชื่อถือให้กับเหรียญดิจิทัลที่ออกมา ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง อาจทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ต้องปรับวิธีการควบคุมตลาดการเงินใหม่ เนื่องจากผู้เล่นรายใหม่เข้ามามีบทบาทสำคัญ แม้ญี่ปุ่นยังเป็นสังคมที่นิยมใช้เงินสดและบัตรเครดิต แต่การเปิดตัว Stablecoin เยนถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของระบบการเงินสมัยใหม่ 🧩 สาระเพิ่มเติมจากภายนอก 🔰 ญี่ปุ่นถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการกำกับดูแลคริปโตเข้มงวดที่สุด แต่ก็เปิดรับนวัตกรรมการเงินดิจิทัลมากขึ้น 🔰 หาก Stablecoin เยนถูกนำไปใช้จริงในตลาดพันธบัตร อาจช่วยเพิ่มสภาพคล่องและดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ 🔰 อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่า หาก Stablecoin มีบทบาทมากเกินไป อาจทำให้ BOJ สูญเสียความสามารถในการควบคุมอัตราดอกเบี้ยและนโยบายการเงิน ✅ JPYC เปิดตัว Stablecoin เยนครั้งแรกในญี่ปุ่น ➡️ เปิดตัวเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2025 ➡️ มีเป้าหมายเพื่อใช้ในการชำระเงินและการลงทุน ✅ บทบาทในตลาดพันธบัตร ➡️ Stablecoin อาจกลายเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ของพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น ➡️ ส่งผลต่อการดำเนินนโยบายการเงินของ BOJ ✅ ความสำคัญต่อระบบการเงิน ➡️ สะท้อนการเปลี่ยนแปลงจากสังคมที่นิยมเงินสดสู่การเงินดิจิทัล ➡️ อาจช่วยเพิ่มสภาพคล่องและดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ ‼️ คำเตือนด้านความเสี่ยง ⛔ หาก Stablecoin มีบทบาทมากเกินไป อาจทำให้ BOJ ควบคุมนโยบายการเงินได้ยากขึ้น ⛔ ความเสี่ยงจากการพึ่งพาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่อาจถูกโจมตีหรือหยุดทำงาน ⛔ การยอมรับจากผู้ใช้ทั่วไปยังไม่แน่นอน เพราะญี่ปุ่นยังนิยมใช้เงินสดและบัตรเครดิต https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/12/yen-stablecoin-issuer-predicts-growing-presence-in-japan039s-bond-market
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Yen stablecoin issuer predicts growing presence in Japan's bond market
    TOKYO (Reuters) -Stablecoin issuers could become major buyers of Japanese government bonds in several years and influence the central bank's control over monetary policy, the head of Japan's first domestic issuer of yen-pegged stablecoins told Reuters.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 276 มุมมอง 0 รีวิว
  • ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 5
    “ซามูไรแบกถาด”

    ตอน 5 (จบ)

    นายอาเบะ ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นสมัยที่ 2 ในเดือนธันวาคม 2012 เขามาจากครอบครัวนักการเมืองขนานแท้ดั้งเดิม ท้ังพ่อและปู่เป็นนักการเมืองท้องถิ่น ส่วนแม่ของอาเบะ เป็นลูกสาวของนักการเมืองชื่อดังระดับประเทศ นาย Nobusuke Kishi อดีตนายกรัฐมนตรี ในช่วง 1957-1960 ซึ่งเคยเป็นรัฐมนตรี ตั้งแต่สมัยนายพลโตโจที่นำการรบ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นาย Kishi เป็นผู้ต้ังพรรค Democratic Party ต่อมาพรรคนี้ไปรวมกับพรรค Liberty ของอดีตนายกรัฐมนตรี Shigaru Yoshida พรรคขวาจัด ชาตินิยม และเปลี่ยนชื่อเป็นพรรค LDP ซึ่งครองอำนาจในญี่ปุ่นอย่างยาวนาน

    นายอาเบะ นี่ เคยไปเรียนหนังสือที่ University of Southern California แต่ไม่จบ กลับมาทำงานการเมืองในญี่ปุ่นต่อ เขานับเป็นลูกหม้อของพรรค LDP ถูกวางตัวให้เป็นดาราดาวรุ่ง ในที่สุดก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีสมใจคนดันในช่วงปี 2005-2006 เขาดูเหมือนนิยมตะวันตก และมีจุดยืนที่แข็งกร้าวกับเกาหลีเหนือมาตลอด โดยพยายามหาทางคว่ำบาตรเกาหลีเหนือผ่านสหประชาติ และเมื่อตอนหาเสียงเลือกต้ังในปี ค.ศ.2012 เขาชูประเด็นเรื่องข้อพิพาทกับจีน และการขึ้นมาของจีนแทนที่ญี่ปุ่น ในเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจและการค้าในเอเซีย

    นับว่า สุดกร่าง CFR มีสายตายาวไกล และลึกซึ้ง การเลือกไพ่แต่ละใบของนักล่าใบตองแห้ง ดูเหมือนจะมีรูปแบบที่ชัดเจนพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบ่อน หรือสร้างรังโจรที่ประเทศใด ไม่ว่าจะหัวนอก หรือหัวใน ต้องพร้อมรับใช้จนสุดทาง และสุดตัว
    คงจำกันได้ว่า CFR นั้นเป็นผลผลิตของกลุ่มอิลิต นักการเงิน และนักธุรกิจ แองโกลอเมริกัน จาก 2 ฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ที่เป็นผู้อำนวยการสร้างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 ความใหญ่ของ CFR นั้น เกินจินตนาการของเราๆ ชาวโลกส่วนใหญ่ไม่รู้จักว่า CFR คืออะไร มีอิทธิพลแค่ไหน อิทธิพล และอำนาจของ CFR เริ่มเห็นเด่นชัดขึ้น เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีอิทธิพลครอบงำการเมือง และรัฐบาลของอเมริกา ต้ังแต่ประมาณปี 1950 เป็นต้นมา และเมื่ออำนาจของอเมริกาครอบงำโลก ก็คงไม่เกินไปที่จะบอกว่า CFR นั้นก็มีส่วนครอบงำโลกด้วย

    (เรื่อง ของ CFR นั้น ผมเขียนเล่าไว้ในนิทาน เรื่อง “มายากลยุทธ” และ “แกะรอยนักล่า” สำหรับท่านผู้อ่าน ที่เข้ามาอ่านตอนหลังๆ ถ้าอยากเข้าใจความเป็นไปของโลกนี้ อีกมุมมอง อีกชุดของข้อมูล ลองอ่านนิทาน 2 เรื่องนี้นะครับ)

    ข้อมูลคร่าวๆ เกี่ยวกับ CFR (เปิดดูจากกูเกิลได้ครับ) คือ ก่อตั้งในปี ค.ศ.1921 มีสมาชิก เริ่มแรกประมาณ 20 คน ซึ่งเป็นชาวอังกฤษและอเมริกัน ปัจจุบันมีสมาชิกทั่วโลกประมา ณ 5 พันคน สมาชิกส่วนใหญ่ เป็นพวกฝรั่งแองโกลแซกซอน และชาวยุโรป ใน 5 พันคนนี้ ส่วนใหญ่เป็นระดับผู้นำ หัวหน้า และผู้บริหารระดับสูงของประเทศ และบรรษัทข้ามชาติ มีหลายคน เป็นประธานาธิบดีของอเมริกา หลายคน เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เป็นรัฐมนตรีกลาโหม เป็นรัฐมนตรีการคลัง เป็นผู้ว่าการธนาคารกลาง เป็นหัวหน้าซีไอเอและหลายคนเป็นพระราชวงศ์ในยุโรปและอังกฤษ ฯลฯ

    สำหรับไทยแลนด์แดนสมันน้อย เรามีคนไทยที่ถูกลาก หรือ สมัครใจ เข้าไปเกี่ยวกับ CFR โดยเป็นสมาชิกขององค์กร ชื่อ Trilatteral Commission ซึ่งเป็นองค์กรลูกของ CFR ที่ต้ังขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1973 ขณะน้ัน นาย David Rockefeller ซึ่งเป็นประธาน CFR เห็นว่า ควรจะเอานักธุรกิจชาวญี่ปุ่น เข้ามาอยู่ในความดูแลของ CFR ด้วย เลยพ่วงเอาชาวเอเซีย ลาติน และอาฟริกา ที่เข้าข่ายน่าจะเป็นประโยชน์ และมีแนวความคิด เกี่ยวกับความเป็นไปในโลกแนวทางเดียวกันกับ CFR เข้ามาร่วมด้วย
    จากเอกสารของ Trilateral Commissionเอง ปี ค.ศ.2014 ปรากฏมีรายชื่อ คนไทย เป็นสมาชิก Trilatteral Commission 4 คน คือ

    1. นายณรงค์ชัย อัครเศรณี
    2. นายสมเกียรติ ต้ังกิจวานิชย์ (ผู้อำนวยการ สถาบัน TDRI ของไทย)
    3. นางธาริษา วัฒนเกศ (อดีต ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย)
    4. นายกานต์ ตระกูลฮุน (กรรมการผู้จัดการใหญ่ ปูนซิเมนต์ไทย)

    ปี ค.ศ.2015 รายชื่อ ซึ่งเปลี่ยนเมื่อเดือนเมษายน นี้เอง เหลือ 2 ชื่อ ดังนี้

    1. นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์
    2. นางธาริษา วัฒนเกศ

    ทำไมผมพูดเรื่องญี่ปุ่น นายอาเบะ และเครือข่ายของ CFR เพราะมันเกี่ยวกัน และมันเป็นตัวอย่าง ที่น่าจะทำให้เรามองเห็นภาพหลายภาพชัดเจนขึ้น

    CFR นั้น เริ่มมีคนพูดถึงกันในช่วงประมาณปี ค.ศ.1960 แต่ช่วงนั้น ข้อมูลส่วนใหญ่ของ CFR ยังไม่มีออกมาแพร่หลายมากนัก นักวิเคราะห์การเมือง และคนทั่วไป จึงมอง CFR ไปในแนวทฤษฏีสมคบคิด ซึ่งมักทำให้ที่ผู้ได้ยินเรื่อง CFR ไม่ให้น้ำหนัก ไม่ให้ความเชื่อถือ ถึงอำนาจและอิทธิพลจริงขององค์กรนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้การเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ง่ายขึ้น และลึกขึ้น มีเอกสารที่เหมือนเป็นใบเสร็จ ออกมาให้เราศึกษามากขึ้น อย่างเช่นรายงานการวิเคราะห์ของ CFR เอง ที่ออกมาให้เห็นแนวความคิดของ CFR และกลายมาเป็นนโยบายของรัฐบาลอเมริกา และการดำเนินงานของอเมริกาตามนโยบาย ที่เสนอแนะโดย CFR อย่างจริงจังในหลายส่วนของโลก จึงทำให้ผู้ที่ติดตามดูความเป็น ไปขององค์กร CFR เชื่อมากขึ้นว่า การครอบงำโลกโดย CFR ไม่ใช่เป็นเพียงทฤษฏี แต่มันเป็นของจริง อำนาจจริง อิทธิพลจริง ที่ครอบงำโลกนี้อยู่

    และถ้ามันเป็นของจริงเช่นนั้น เรื่อง Grand Stategy แผนสอยมังกร ของ CFR ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เราจะอ่านเล่น หรืออ่านแล้วก็แล้วกัน เราน่าจะต้อง อ่าน และวิเคราะห์เองต่อไปอีกด้วยว่า เมื่อญี่ปุ่น ซึ่งถูก Grand Strategy กำหนดให้มีบทบาทสำคัญ ในการสอยมังกรให้ร่วงนั้น ญี่ปุ่นเอาจริง เดินหน้าตามแผนที่ CFR กำหนดขนาดไหน และการเดินตามแผนนั้น เราคงจะพอมองเห็นได้ว่า อเมริกา กำลัง “ใช้” ญี่ปุ่น และไม่ได้ใช้ไปเดินเล่น จ่ายตลาด แต่ เป็นการ “ใช้” ให้ญี่ปุ่นไปรบแทน และอาจไปตายแทน ด้วยค่าใช้จ่ายที่อาจเป็นเงินภาษี หรือเงินกู้ของญี่ปุ่น แต่มันเป็น “ราคา” ที่ชาวญี่ปุ่นจะต้องจ่าย
    ขณะเดียวกัน ถ้าอเมริกลากเอาแดนสยาม เข้าไปร่วมขบวนการกับญี่ปุ่น ให้ช่วยกันสอยจีน เราจะถูก “ใช้” ไปรบแทน จนถึงตายแทน ร่วมกับญี่ปุ่นด้วยหรือไม่ นั่นเป็นประเด็นหนึ่ง ที่ต้องคิดกัน แต่ผมค่อนข้างเชื่อว่า ลุงตู่ของผมคงมองออก ไม่คิดเป็นคนรับใช้ต่างชาติ แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ผันแปร มีการบีบไข่กัน จนต้องมีการเปลี่ยนแปลง เราก็ช่วยกันมอง ช่วยกันคิดให้ดีๆ นะครับ รูปแบบที่ไอ้นักล่ามันชอบใช้ ไพ่ที่มันชอบเล่นมีอยู่ อย่าตกหลุมมันง่ายๆอีก นั่นก็เป็นเรื่องหนึ่ง

    แต่อีกเรื่องที่น่าห่วงไม่น้อย หรืออาจจะมากกว่าคือ กรณีที่ญี่ปุ่นเดินหน้า ตาม CFR อย่างไม่หยุดนั่นแหละครับ ถ้าเกิดถึงเวลาอัน “เหมาะสม” อเมริกาสั่งให้ญี่ปุ่นเคลื่อนพล ไปปะทะจีน หรือตอนนั้นสถานการณ์ในเอเซียมันตึงเครียดได้ที่ ตามความต้องการของอเมริกาแล้ว แม้เราจะฉีกตัวออกมาจากการไปช่วยเขาแบกถาดได้ แต่ถ้าบรรดาคุณยุ่น ที่ขณะนี้ กระจายกันอยู่ในแดนสยามของเราไม่น้อย ไม่ว่าในกรุงเทพ โดยเฉพาะแถบสุขุมวิท ซึ่งใกล้จะเปลี่ยนเป็นแดนปลาดิบ แล้ว ยังมีที่ต่างจังหวัด ทางภาคเหนือ เช่น เชียงราย เชียงใหม่ ภาคตะวันออก เช่น ชลบุรี ศรีราชา หรือภาคใต้ เช่น ชุมพร ถ้าคุณยุ่นเขาพากันเปลี่ยนชุด หยิบเครื่องแบบทหารมาใส่ เหมือนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2484 ที่กองทหารญี่ปุ่นบุกเข้าเมือง ไทย ยกพลมาจากทางภาคใต้ของไทย มาจาก สงขลา ปัตตานี นครศรีธรรมราช สุราษฏร์ธานี ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ พอถึงวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2484 ชาวญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ ก็แต่งชุดทหารเดินเต็มอยู่ในกรุงเทพฯกันหมด แม้แต่หมอฟันของแม่ผม ผมได้แต่หวังว่า เหตุการณ์เช่นนั้นคงไม่เกิดขึ้นอีก

    และแม้ว่า ข้อสังเกตที่ว่า นายอาเบะอาจจะเล่นบท 2 หน้า จะเป็นซามูไรแบกถาด หรือซามูไรทิ้งถาด สิ่งที่ผมเขียนเล่ามา ผลกระทบต่อบ้านเรา ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็คงยังน่าเป็นห่วงเช่นเดิม บางส่วน บางอย่างอาจจะมีการเปลี่ยน ถ้าเขาหักหลังกันเอง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบอะไรขึ้นมา เพราะไม่น่าไว้วางใจทั้งคนใช้ให้แบกถาด และคนแบกถาด หรือจะเป็นคนทิ้งถาด
    ในชีวิตคนเรา เห็นสงครามโลกครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว สงครามโลกครั้งที่ 2 ผมยังไม่โตพอที่จะไปรบ แต่โตพอที่จะรู้เรื่องว่า บ้านเมืองเราอยู่ในสภาพบ้านพัง สาแหร่กขาดอย่างไร ครอบครัวเราส่วนใหญ่ลำบากอย่างไร และมันทิ้งอะไรไว้กับบ้านเมืองเราครอบครัวเรา ผ่านไป 70 ปี ยังจำได้ไม่ลืม

    เราชาวสยาม จะต้องตื่นรู้เสียที ไม่ใช่เขียนให้แตกตื่น แต่ต้องตื่นมารับรู้ ทันเหตุการณ์นอกบ้าน ที่จะมีผลกระทบในบ้านเราเสียบ้าง ช่วยกันปลุก ช่วยกันให้ข้อมูล ไม่จำเป็นต้องเชื่อ แต่รู้แล้วเอาไปหาข้อมูลต่อ ว่า ที่อ่านกันมานี้ จริงเท็จอย่างไร แล้วคิดต่อ ดีกว่าไม่รู้จะคิดอะไร มันเป็นสมัยโลกาภิวัฒน์มิใช่หรือ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็ว เปลี่ยนแปลงเร็ว อย่ามัวเพลิดเพลินอยู่แต่กับการดูละครน้ำเน่า กับข่าวย้อมสี จนลืมสนใจภัยใหญ่ ที่อาจใกล้เราเข้ามาทุกทีแล้วนะครับ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    27 พ.ค. 2558
    ซามูไรแบกถาด ตอนที่ 5 “ซามูไรแบกถาด” ตอน 5 (จบ) นายอาเบะ ได้รับเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นสมัยที่ 2 ในเดือนธันวาคม 2012 เขามาจากครอบครัวนักการเมืองขนานแท้ดั้งเดิม ท้ังพ่อและปู่เป็นนักการเมืองท้องถิ่น ส่วนแม่ของอาเบะ เป็นลูกสาวของนักการเมืองชื่อดังระดับประเทศ นาย Nobusuke Kishi อดีตนายกรัฐมนตรี ในช่วง 1957-1960 ซึ่งเคยเป็นรัฐมนตรี ตั้งแต่สมัยนายพลโตโจที่นำการรบ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นาย Kishi เป็นผู้ต้ังพรรค Democratic Party ต่อมาพรรคนี้ไปรวมกับพรรค Liberty ของอดีตนายกรัฐมนตรี Shigaru Yoshida พรรคขวาจัด ชาตินิยม และเปลี่ยนชื่อเป็นพรรค LDP ซึ่งครองอำนาจในญี่ปุ่นอย่างยาวนาน นายอาเบะ นี่ เคยไปเรียนหนังสือที่ University of Southern California แต่ไม่จบ กลับมาทำงานการเมืองในญี่ปุ่นต่อ เขานับเป็นลูกหม้อของพรรค LDP ถูกวางตัวให้เป็นดาราดาวรุ่ง ในที่สุดก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีสมใจคนดันในช่วงปี 2005-2006 เขาดูเหมือนนิยมตะวันตก และมีจุดยืนที่แข็งกร้าวกับเกาหลีเหนือมาตลอด โดยพยายามหาทางคว่ำบาตรเกาหลีเหนือผ่านสหประชาติ และเมื่อตอนหาเสียงเลือกต้ังในปี ค.ศ.2012 เขาชูประเด็นเรื่องข้อพิพาทกับจีน และการขึ้นมาของจีนแทนที่ญี่ปุ่น ในเรื่องการเติบโตของเศรษฐกิจและการค้าในเอเซีย นับว่า สุดกร่าง CFR มีสายตายาวไกล และลึกซึ้ง การเลือกไพ่แต่ละใบของนักล่าใบตองแห้ง ดูเหมือนจะมีรูปแบบที่ชัดเจนพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบ่อน หรือสร้างรังโจรที่ประเทศใด ไม่ว่าจะหัวนอก หรือหัวใน ต้องพร้อมรับใช้จนสุดทาง และสุดตัว คงจำกันได้ว่า CFR นั้นเป็นผลผลิตของกลุ่มอิลิต นักการเงิน และนักธุรกิจ แองโกลอเมริกัน จาก 2 ฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ที่เป็นผู้อำนวยการสร้างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2 ความใหญ่ของ CFR นั้น เกินจินตนาการของเราๆ ชาวโลกส่วนใหญ่ไม่รู้จักว่า CFR คืออะไร มีอิทธิพลแค่ไหน อิทธิพล และอำนาจของ CFR เริ่มเห็นเด่นชัดขึ้น เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีอิทธิพลครอบงำการเมือง และรัฐบาลของอเมริกา ต้ังแต่ประมาณปี 1950 เป็นต้นมา และเมื่ออำนาจของอเมริกาครอบงำโลก ก็คงไม่เกินไปที่จะบอกว่า CFR นั้นก็มีส่วนครอบงำโลกด้วย (เรื่อง ของ CFR นั้น ผมเขียนเล่าไว้ในนิทาน เรื่อง “มายากลยุทธ” และ “แกะรอยนักล่า” สำหรับท่านผู้อ่าน ที่เข้ามาอ่านตอนหลังๆ ถ้าอยากเข้าใจความเป็นไปของโลกนี้ อีกมุมมอง อีกชุดของข้อมูล ลองอ่านนิทาน 2 เรื่องนี้นะครับ) ข้อมูลคร่าวๆ เกี่ยวกับ CFR (เปิดดูจากกูเกิลได้ครับ) คือ ก่อตั้งในปี ค.ศ.1921 มีสมาชิก เริ่มแรกประมาณ 20 คน ซึ่งเป็นชาวอังกฤษและอเมริกัน ปัจจุบันมีสมาชิกทั่วโลกประมา ณ 5 พันคน สมาชิกส่วนใหญ่ เป็นพวกฝรั่งแองโกลแซกซอน และชาวยุโรป ใน 5 พันคนนี้ ส่วนใหญ่เป็นระดับผู้นำ หัวหน้า และผู้บริหารระดับสูงของประเทศ และบรรษัทข้ามชาติ มีหลายคน เป็นประธานาธิบดีของอเมริกา หลายคน เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เป็นรัฐมนตรีกลาโหม เป็นรัฐมนตรีการคลัง เป็นผู้ว่าการธนาคารกลาง เป็นหัวหน้าซีไอเอและหลายคนเป็นพระราชวงศ์ในยุโรปและอังกฤษ ฯลฯ สำหรับไทยแลนด์แดนสมันน้อย เรามีคนไทยที่ถูกลาก หรือ สมัครใจ เข้าไปเกี่ยวกับ CFR โดยเป็นสมาชิกขององค์กร ชื่อ Trilatteral Commission ซึ่งเป็นองค์กรลูกของ CFR ที่ต้ังขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1973 ขณะน้ัน นาย David Rockefeller ซึ่งเป็นประธาน CFR เห็นว่า ควรจะเอานักธุรกิจชาวญี่ปุ่น เข้ามาอยู่ในความดูแลของ CFR ด้วย เลยพ่วงเอาชาวเอเซีย ลาติน และอาฟริกา ที่เข้าข่ายน่าจะเป็นประโยชน์ และมีแนวความคิด เกี่ยวกับความเป็นไปในโลกแนวทางเดียวกันกับ CFR เข้ามาร่วมด้วย จากเอกสารของ Trilateral Commissionเอง ปี ค.ศ.2014 ปรากฏมีรายชื่อ คนไทย เป็นสมาชิก Trilatteral Commission 4 คน คือ 1. นายณรงค์ชัย อัครเศรณี 2. นายสมเกียรติ ต้ังกิจวานิชย์ (ผู้อำนวยการ สถาบัน TDRI ของไทย) 3. นางธาริษา วัฒนเกศ (อดีต ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย) 4. นายกานต์ ตระกูลฮุน (กรรมการผู้จัดการใหญ่ ปูนซิเมนต์ไทย) ปี ค.ศ.2015 รายชื่อ ซึ่งเปลี่ยนเมื่อเดือนเมษายน นี้เอง เหลือ 2 ชื่อ ดังนี้ 1. นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ 2. นางธาริษา วัฒนเกศ ทำไมผมพูดเรื่องญี่ปุ่น นายอาเบะ และเครือข่ายของ CFR เพราะมันเกี่ยวกัน และมันเป็นตัวอย่าง ที่น่าจะทำให้เรามองเห็นภาพหลายภาพชัดเจนขึ้น CFR นั้น เริ่มมีคนพูดถึงกันในช่วงประมาณปี ค.ศ.1960 แต่ช่วงนั้น ข้อมูลส่วนใหญ่ของ CFR ยังไม่มีออกมาแพร่หลายมากนัก นักวิเคราะห์การเมือง และคนทั่วไป จึงมอง CFR ไปในแนวทฤษฏีสมคบคิด ซึ่งมักทำให้ที่ผู้ได้ยินเรื่อง CFR ไม่ให้น้ำหนัก ไม่ให้ความเชื่อถือ ถึงอำนาจและอิทธิพลจริงขององค์กรนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้การเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ง่ายขึ้น และลึกขึ้น มีเอกสารที่เหมือนเป็นใบเสร็จ ออกมาให้เราศึกษามากขึ้น อย่างเช่นรายงานการวิเคราะห์ของ CFR เอง ที่ออกมาให้เห็นแนวความคิดของ CFR และกลายมาเป็นนโยบายของรัฐบาลอเมริกา และการดำเนินงานของอเมริกาตามนโยบาย ที่เสนอแนะโดย CFR อย่างจริงจังในหลายส่วนของโลก จึงทำให้ผู้ที่ติดตามดูความเป็น ไปขององค์กร CFR เชื่อมากขึ้นว่า การครอบงำโลกโดย CFR ไม่ใช่เป็นเพียงทฤษฏี แต่มันเป็นของจริง อำนาจจริง อิทธิพลจริง ที่ครอบงำโลกนี้อยู่ และถ้ามันเป็นของจริงเช่นนั้น เรื่อง Grand Stategy แผนสอยมังกร ของ CFR ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เราจะอ่านเล่น หรืออ่านแล้วก็แล้วกัน เราน่าจะต้อง อ่าน และวิเคราะห์เองต่อไปอีกด้วยว่า เมื่อญี่ปุ่น ซึ่งถูก Grand Strategy กำหนดให้มีบทบาทสำคัญ ในการสอยมังกรให้ร่วงนั้น ญี่ปุ่นเอาจริง เดินหน้าตามแผนที่ CFR กำหนดขนาดไหน และการเดินตามแผนนั้น เราคงจะพอมองเห็นได้ว่า อเมริกา กำลัง “ใช้” ญี่ปุ่น และไม่ได้ใช้ไปเดินเล่น จ่ายตลาด แต่ เป็นการ “ใช้” ให้ญี่ปุ่นไปรบแทน และอาจไปตายแทน ด้วยค่าใช้จ่ายที่อาจเป็นเงินภาษี หรือเงินกู้ของญี่ปุ่น แต่มันเป็น “ราคา” ที่ชาวญี่ปุ่นจะต้องจ่าย ขณะเดียวกัน ถ้าอเมริกลากเอาแดนสยาม เข้าไปร่วมขบวนการกับญี่ปุ่น ให้ช่วยกันสอยจีน เราจะถูก “ใช้” ไปรบแทน จนถึงตายแทน ร่วมกับญี่ปุ่นด้วยหรือไม่ นั่นเป็นประเด็นหนึ่ง ที่ต้องคิดกัน แต่ผมค่อนข้างเชื่อว่า ลุงตู่ของผมคงมองออก ไม่คิดเป็นคนรับใช้ต่างชาติ แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์ผันแปร มีการบีบไข่กัน จนต้องมีการเปลี่ยนแปลง เราก็ช่วยกันมอง ช่วยกันคิดให้ดีๆ นะครับ รูปแบบที่ไอ้นักล่ามันชอบใช้ ไพ่ที่มันชอบเล่นมีอยู่ อย่าตกหลุมมันง่ายๆอีก นั่นก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่อีกเรื่องที่น่าห่วงไม่น้อย หรืออาจจะมากกว่าคือ กรณีที่ญี่ปุ่นเดินหน้า ตาม CFR อย่างไม่หยุดนั่นแหละครับ ถ้าเกิดถึงเวลาอัน “เหมาะสม” อเมริกาสั่งให้ญี่ปุ่นเคลื่อนพล ไปปะทะจีน หรือตอนนั้นสถานการณ์ในเอเซียมันตึงเครียดได้ที่ ตามความต้องการของอเมริกาแล้ว แม้เราจะฉีกตัวออกมาจากการไปช่วยเขาแบกถาดได้ แต่ถ้าบรรดาคุณยุ่น ที่ขณะนี้ กระจายกันอยู่ในแดนสยามของเราไม่น้อย ไม่ว่าในกรุงเทพ โดยเฉพาะแถบสุขุมวิท ซึ่งใกล้จะเปลี่ยนเป็นแดนปลาดิบ แล้ว ยังมีที่ต่างจังหวัด ทางภาคเหนือ เช่น เชียงราย เชียงใหม่ ภาคตะวันออก เช่น ชลบุรี ศรีราชา หรือภาคใต้ เช่น ชุมพร ถ้าคุณยุ่นเขาพากันเปลี่ยนชุด หยิบเครื่องแบบทหารมาใส่ เหมือนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2484 ที่กองทหารญี่ปุ่นบุกเข้าเมือง ไทย ยกพลมาจากทางภาคใต้ของไทย มาจาก สงขลา ปัตตานี นครศรีธรรมราช สุราษฏร์ธานี ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ พอถึงวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2484 ชาวญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ ก็แต่งชุดทหารเดินเต็มอยู่ในกรุงเทพฯกันหมด แม้แต่หมอฟันของแม่ผม ผมได้แต่หวังว่า เหตุการณ์เช่นนั้นคงไม่เกิดขึ้นอีก และแม้ว่า ข้อสังเกตที่ว่า นายอาเบะอาจจะเล่นบท 2 หน้า จะเป็นซามูไรแบกถาด หรือซามูไรทิ้งถาด สิ่งที่ผมเขียนเล่ามา ผลกระทบต่อบ้านเรา ก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็คงยังน่าเป็นห่วงเช่นเดิม บางส่วน บางอย่างอาจจะมีการเปลี่ยน ถ้าเขาหักหลังกันเอง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบอะไรขึ้นมา เพราะไม่น่าไว้วางใจทั้งคนใช้ให้แบกถาด และคนแบกถาด หรือจะเป็นคนทิ้งถาด ในชีวิตคนเรา เห็นสงครามโลกครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว สงครามโลกครั้งที่ 2 ผมยังไม่โตพอที่จะไปรบ แต่โตพอที่จะรู้เรื่องว่า บ้านเมืองเราอยู่ในสภาพบ้านพัง สาแหร่กขาดอย่างไร ครอบครัวเราส่วนใหญ่ลำบากอย่างไร และมันทิ้งอะไรไว้กับบ้านเมืองเราครอบครัวเรา ผ่านไป 70 ปี ยังจำได้ไม่ลืม เราชาวสยาม จะต้องตื่นรู้เสียที ไม่ใช่เขียนให้แตกตื่น แต่ต้องตื่นมารับรู้ ทันเหตุการณ์นอกบ้าน ที่จะมีผลกระทบในบ้านเราเสียบ้าง ช่วยกันปลุก ช่วยกันให้ข้อมูล ไม่จำเป็นต้องเชื่อ แต่รู้แล้วเอาไปหาข้อมูลต่อ ว่า ที่อ่านกันมานี้ จริงเท็จอย่างไร แล้วคิดต่อ ดีกว่าไม่รู้จะคิดอะไร มันเป็นสมัยโลกาภิวัฒน์มิใช่หรือ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็ว เปลี่ยนแปลงเร็ว อย่ามัวเพลิดเพลินอยู่แต่กับการดูละครน้ำเน่า กับข่าวย้อมสี จนลืมสนใจภัยใหญ่ ที่อาจใกล้เราเข้ามาทุกทีแล้วนะครับ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 27 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 892 มุมมอง 0 รีวิว
  • ใครเกี่ยวข้องกับแก๊งสแกมเมอร์แก๊งคอลเซ็นเตอร์แก๊งฟอกทองคำฟอกเงินค้ามนุษย์ของเถื่อนค้ายาค้าอาวุธตลอดจนอาชญากรรมใดๆ,ดูกระแสเงินสด การไหลเวียนของเงินเชื่อมโยงใครบ้างก็รู้หมดจากแบงค์ชาตินั้นล่ะ,เพราะเบื้องต้นมันทำเพื่อเงินเพื่อตังทั้งหมด,กระแสเงินไหลเข้าไหลออกบัญชีใครผิดปกติ แบงค์ชาติไทยเห็นหมดล่ะ ไหลออกประเทศเข้าประเทศก็เห็นหมด, ต่างชาติทำธุรกรรมผิดปกติใดๆในไทยก็รับระบบตรวจสอบได้หมด,จบที่แบงค์ชาติหมด,แต่แบงค์ชาติเป็นของอีลิทdeep stateตระกูลชั่วสากลโลก ทั่วโลกธนาคารในแต่ละประเทศทุกๆประเทศที่มีธนาคารกลางล้วนมันคือเจ้าของ รัฐประเทศไหนๆนั้นๆจึงถูกพวกมันกั้นออกไป ไม่สามารถเข้าไปปกครองหรือสั่งงานสั่งการ ออกคำสั่งใดๆเด็ดขาดให้ทำตามรัฐบาลประเทศนั้นๆได้ ควบคุมเด็ดขาดไม่ได้ มุกสวยหรูคือ ให้ธนาคารชาตินั้นๆขึ้นเป็นอิสระจากคำสั่งปกครองของรัฐบาลในประเทศนั้นๆ ย่อมาไทยคือแบงค์ชาติเป็นอิสระจากการบริหารจากการปกครองจากคำสั่งให้บังคับใช้ได้ทันทีแก่แบงค์ชาติไทยไม่ได้ มุกอีลิทซาตาน ยึดธนาคารกลางแบงค์ชาติประเทศใดได้บนทั่วโลกเสมือนยึดปกครองเศรษฐกิจภายในการปกครองทางเมืองประเทศนั้นๆทั้งทางตรงและทางอ้อมได้เด็ดขาดเกือบ100%ได้แล้ว,จึงไม่แปลกใจทำไม กลุ่มธนาคารในตลาดsetจึงมีผลประการเป็นเขียวเป็นบวกในขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมอื่นทั้งตลาดในยามวิกฤติโลกแดงเต็มไปหมดในตลาดsetไทย,แต่กลุ่มแบงค์กลับมีกำไรเป็นว่าเล่นเพราะอีลิทมารซาตานโลกสั่งนั้นเองในไทยเรา.
    ..เงินดิจิดัลมันก็สั่งปูพรมในไทยปูทางให้เกิดให้ได้จึงเร่งรีบให้ถือกำเนิดตัวละครเงินดิจิดัลขึ้น,การอ้างเงินแก๊งคอลเซ็นเตอร์เงินฟอกเงินปั่นเงินเทามาซื้อเสียงเลือกตังก็ให้คนไทยหันเหว่าการใช้ตังกระดาษไม่ดีมันใช้ซื้อเสียงได้ง่าย มาเปลี่ยนใช้เงินดิจิดัลเถอะ ทำให้เห็นว่าคนขายเสียงซื้อเสียงได้จับกุม ตรวจสอบใดๆย้อนหลังหรือเรียลไทม์ได้หมด,มันต้อนผู้คนชาวไทยไปอีกคอกหนึ่งคอกควายคอกวัวคอกแพะคอกแกะสู่การควบคุมตรวจสอบได้เด็ดขาดขึ้นในอนาคต,ทั้งหมดมากมายมันบีบให้เข้าไปในกรอบในกระดานในแผนในวาระแผนการมันทั้งหมด,กฎหมายคาร์บอนเครดิตการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศก็เขียนเข้าสภาเรียบร้อยแล้ว ,ใช้pm2.5คือข้ออ้างควบคุมมนุษย์คนไทย.
    ..เงินๆๆๆและเงิน มันจะทำลายระบบเงินเก่า ทาสเงินกระดาษเก่า เปลี่ยนไปสู่ยุคทาสเงินที่จับต้องไม่ได้ ทาสเงินอากาศอิเล็กทรอนิกส์เงินลมๆเงินแล้งๆจริง คือเงินดิจิดัลที่กำหนดเงื่อนไขการดำเนินชีวิตของทุกๆคนบนโลกนี้ได้,คอกควบคุมอิสระภาพ คอกควบคุมเจตนำนงเสรีคุณทั้งโลก.
    ..สงครามไทยเขมร สงครามดินแดนคือหมากล่อปลอม,แหกตาคนไทย ของจริงคือลดประชากรไทย1 ควบคุมคนไทย1ให้เด็ดขาดให้ได้,ยึดประเทศไทยได้ยิ่งดี1อย่างเปิดเผยและออกหน้าออกตากว่าในอดีตที่เคยผ่านมานั้น,อดีตที่เคยผ่านมาจากผลงานการยึดบ่อน้ำมันทั่วไทยและบ่อทองคำทั่วแผ่นดินเป็นของต่างชาติของพวกมันทางลับผ่านทางรัฐบาลขี้ข้าส้นตีนมันสั่งซ้ายสั่งขวาได้หมดในอดีตถึงปัจจุบันนี้ล่ะ ล่าสุดแร่เอิร์ธเต็มๆ.,ตลอดแร่มีค่ามหาศาลมากมายอื่นอีกเพรียบ,มันปกครอง มันยึดควบคุมหลังฉากเบื้องหลังเราคนไทยตลอด,ทหารไทยมากมายจึงทำชั่วเลวสนองฝ่ายมันอยู่ฝ่ายมันเป็นอันมากยึดอำนาจมาได้ มันจึงเขียนกฎหมายมากมายเต็มประเทศไทยมาบังคับกดขี่ข่มเหงคนไทยมากมายมาโดยตลอด กฎหมายไม่สมควรออก ปัญญาอ่อนมันก็เขียนออกมาตลอดอย่างง่ายดาย mouห่าเหวใดๆก็ตกลงกันตามอำเภอใจในอดีต กฎหมายอะไรคนดีเราเขียนกั้นไว้มันก็ฉีกทิ้งเขียนใหม่เพื่อปกป้องเดอะแก๊งเดอะก๊กเดอะคนของฝ่ายมัน อำนวยคนฝ่ายมันมานั่งปกครองในตำแหน่งใหญ่โตเต็มบ้านเต็มเมืองกระจายตัวทั่วประเทศไปหมด,ยุคศิวิไลซ์ฝ่ายชั่วเลวประจำโลกในประเทศไทยก็ได้.
    ..จริงๆคนไทยไม่สมควรอยู่ในสถานะยากจนเลย แต่เพราะมันยึดหัวปกครองหัวเราได้ ทั้งตัวจึงเสียหาย ผีบ้าไม่เต็มส่วนไปหมด,ส่วนดีหน่อยคุ้มดีก็หยิบนั้นนี้ใส่ปากพออยู่ได้ เส้นเสียเป็นหงิกเป็นหงอย ส่วนไม่ดีทั่วร่างกายเว้นไว้ส่วนดีเช่นคนดีในบ้านในเมืองเรายังมีอยู่ก็พอกินยาแก้หงิกหงอยทันกาลบ้างจังหวะได้,อดีตตัังแต่เราเสียดินแดนให้นักล่าอาณานิคมนั้นล่ะ จนเหลือแค่แผ่นดินไทยในปัจจุบันนี้ได้มันเริ่มกระบวนการเอาประเทศไทยมาแล้วจนถึงปัจจุบันมันก็จะเอาให้ได้นั่นเอง,ปรับวิธีการกลยุทธมาโดยตลอด,จนสุดท้ายสำเร็จบังคับคนไทยฉีดตายได้ในยุคลุงกว่าร้อยๆโดส คนละ1-2เข็ม กว่า60ล้านคนถูกฉีดตาย,ยุคลุงจึงเป็นการยึดอำนาจอย่างมีการวางแผนการไว้ดีแล้วเพื่อเตรียมฉีดตายนี้ล่ะของจริง,รวมทั้งผีบ้าแบบเขมรที่เปิดยิงระเบิดใส่ไทยก่อน มันก็สร้างเหตุสร้างแผนการปัจจัยวางหมากรอแล้ว เช่นนั้นเขมรผีบ้าไม่กล้าหรอก.,ให้ร้อยความกล้าก็ไม่ทำ,จนรีบให้มาเลย์อเมริกามาช่วยหยุดไทยฆ่าฝ่ายมันก่อนถึงพนมเปญ.เสียแผนด้วย จีนคอมมิวนิสต์ก็ด้วย เสียแผนจีนเช่นกัน,โลกนี้จริงๆทุกๆประเทศยืนหนึ่งไม่สู้ไทย อีลิทฝ่ายมืดทั่วโลกกลัวประเทศไทยที่สุด ตลอดต่างดาวใต้ทะเลมหาสมุทรก็ด้วย,ทั้งเกรงใจ ทั้งกลัวคนไทยสายพุทธ เพราะพวกนี้บรรลุธรรมได้ของจริง มีพลังสนามแม่เหล็กขั้นหลุดพ้นเหนือพลังมันได้หมดด้วย,ถ้าปล่อยคนไทยเจริญทางจิตวิญญาณ สุขกายสุขใจ มันจะเจริญสุขทางใจได้สะดวก บรรลุธรรมได้ไวได้ดีได้ง่าย ซวยคือฝ่ายมืดมารมันจะลำบากเพราะคนไทยจะเห็นแจ้งต่อหมดไปหมดไร้ที่ซ่อนใดๆนั้นเอง ยิ่งสามัคคีกันทั่วไทยอีก บรรลัยทั้งอาณาจักรฝ่ายมืดมันนี้,ประเทศนี้จึงห้ามสงบสุขทุกๆกรณี วุ่นวาย โกลาหลให้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาให้ได้ ทำลายสถาบันกษัตริย์มันคือสิ่งแรกทันที จึงเกิดพวกชูสามนิ้วเปิดหน้าชกอย่างชัดเจนกว่าในอดีตที่ผ่านๆมา.,เพราะยุคสุดท้ายเวลานี้ คือยกจบ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องจบ รู้ผลแพ้ชนะ,มืดปกครองโลกก็เวลานี้เลย,แสงขาวฝ่ายดีปกครองโลกก็ช่วงจังหวะเวลานี้เลย,ไทม์ไลน์เวลาเราคือช่วงนี้ก็ช่วงนี้ มิติอื่นก็มิติอื่น ปัจจุบันคือช่วงเวลาเราบนสมมุติโลกในขณะนี้,
    ..ไทยจะเป็นไทยหรือเมืองหลวงของอีลิทซาตานโลกก็เวลานี้ล่ะ.

    ..สถานะใดๆเราคนไทยสามัคคีกันจะร่วมกันเป็นได้ในยุคเราในรุ่นเรา,นรกหรือสวรรค์คนไทย เรา..คนไทยช่วยกันเลือกได้,เพราะเราคือสังคมใหญ่ระดับชาติประเทศมิอาจอยู่คนเดียวหรือข้าคือตำนานหนึ่งเดียวไม่ได้,ไปไหน..เราคนไทยอยู่ร่วมกันไปด้วยกันหมด,เพราะเราอยู่บ้านเดียวกัน นี้คือบ้านเรา คือแผ่นดินเรา ที่เราอาศัยเกิด อาศัยแก่ อาศัยตาย.,ไม่มีชาติใดๆจะรักคนไทยได้ดีกว่าคนไทยรักกันเองหรอก.,คนอเมริกาทั้งประเทศมารักคนไทยดีกว่าคนไทยมั้ย,คนฝรั่งยุโรปจะมีรักคนไทยรักแผ่นดินไทยดีกว่าคนไทยจริงเหรอ อดีตเห็นแต่มาปล้นมาชิงสมบัติทรัพยากรมีค่ามากมายขนกลับไปเสวยสุขในชาติประเทศมัน,เรา..คนไทยต้องสามัคคี มารักกัน ไม่ก้าวล่วงทำร้ายทำลายกันภายในกันเอง จะนับถือศาสนาความเชื่อใดๆ เราต้องรักและสามัคคีกันปกป้องแผ่นดินไทยเรา,เรา..คนไทยไปอาศัยแผ่นดินคนอื่นอยู่ บ้านคนอื่นตายคนอื่นนอนมีความสุขจริงๆเหรอ.,แผ่นดินไทยเท่านั้นที่เติมเต็มสมบูรณ์ทุกๆคำตอบในจิตในใจเราอย่างลงใจ.

    ..ทหารไทยต้องยึดอำนาจเท่านั้นคือหนทางออกเดียว.,จะแก้ทั้งกระดานหมากพวกชั่วเลวนี้ทั้งผูกทั้งวางได้หมด,ทำลายเพื่อสร้างใหม่ให้ดีๆก็ได้.มันเน่ามันพังไปหมดแล้ว.

    https://youtu.be/0uY1iVWLMec?si=SipLS_hw1f3kgQA2
    ใครเกี่ยวข้องกับแก๊งสแกมเมอร์แก๊งคอลเซ็นเตอร์แก๊งฟอกทองคำฟอกเงินค้ามนุษย์ของเถื่อนค้ายาค้าอาวุธตลอดจนอาชญากรรมใดๆ,ดูกระแสเงินสด การไหลเวียนของเงินเชื่อมโยงใครบ้างก็รู้หมดจากแบงค์ชาตินั้นล่ะ,เพราะเบื้องต้นมันทำเพื่อเงินเพื่อตังทั้งหมด,กระแสเงินไหลเข้าไหลออกบัญชีใครผิดปกติ แบงค์ชาติไทยเห็นหมดล่ะ ไหลออกประเทศเข้าประเทศก็เห็นหมด, ต่างชาติทำธุรกรรมผิดปกติใดๆในไทยก็รับระบบตรวจสอบได้หมด,จบที่แบงค์ชาติหมด,แต่แบงค์ชาติเป็นของอีลิทdeep stateตระกูลชั่วสากลโลก ทั่วโลกธนาคารในแต่ละประเทศทุกๆประเทศที่มีธนาคารกลางล้วนมันคือเจ้าของ รัฐประเทศไหนๆนั้นๆจึงถูกพวกมันกั้นออกไป ไม่สามารถเข้าไปปกครองหรือสั่งงานสั่งการ ออกคำสั่งใดๆเด็ดขาดให้ทำตามรัฐบาลประเทศนั้นๆได้ ควบคุมเด็ดขาดไม่ได้ มุกสวยหรูคือ ให้ธนาคารชาตินั้นๆขึ้นเป็นอิสระจากคำสั่งปกครองของรัฐบาลในประเทศนั้นๆ ย่อมาไทยคือแบงค์ชาติเป็นอิสระจากการบริหารจากการปกครองจากคำสั่งให้บังคับใช้ได้ทันทีแก่แบงค์ชาติไทยไม่ได้ มุกอีลิทซาตาน ยึดธนาคารกลางแบงค์ชาติประเทศใดได้บนทั่วโลกเสมือนยึดปกครองเศรษฐกิจภายในการปกครองทางเมืองประเทศนั้นๆทั้งทางตรงและทางอ้อมได้เด็ดขาดเกือบ100%ได้แล้ว,จึงไม่แปลกใจทำไม กลุ่มธนาคารในตลาดsetจึงมีผลประการเป็นเขียวเป็นบวกในขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมอื่นทั้งตลาดในยามวิกฤติโลกแดงเต็มไปหมดในตลาดsetไทย,แต่กลุ่มแบงค์กลับมีกำไรเป็นว่าเล่นเพราะอีลิทมารซาตานโลกสั่งนั้นเองในไทยเรา. ..เงินดิจิดัลมันก็สั่งปูพรมในไทยปูทางให้เกิดให้ได้จึงเร่งรีบให้ถือกำเนิดตัวละครเงินดิจิดัลขึ้น,การอ้างเงินแก๊งคอลเซ็นเตอร์เงินฟอกเงินปั่นเงินเทามาซื้อเสียงเลือกตังก็ให้คนไทยหันเหว่าการใช้ตังกระดาษไม่ดีมันใช้ซื้อเสียงได้ง่าย มาเปลี่ยนใช้เงินดิจิดัลเถอะ ทำให้เห็นว่าคนขายเสียงซื้อเสียงได้จับกุม ตรวจสอบใดๆย้อนหลังหรือเรียลไทม์ได้หมด,มันต้อนผู้คนชาวไทยไปอีกคอกหนึ่งคอกควายคอกวัวคอกแพะคอกแกะสู่การควบคุมตรวจสอบได้เด็ดขาดขึ้นในอนาคต,ทั้งหมดมากมายมันบีบให้เข้าไปในกรอบในกระดานในแผนในวาระแผนการมันทั้งหมด,กฎหมายคาร์บอนเครดิตการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศก็เขียนเข้าสภาเรียบร้อยแล้ว ,ใช้pm2.5คือข้ออ้างควบคุมมนุษย์คนไทย. ..เงินๆๆๆและเงิน มันจะทำลายระบบเงินเก่า ทาสเงินกระดาษเก่า เปลี่ยนไปสู่ยุคทาสเงินที่จับต้องไม่ได้ ทาสเงินอากาศอิเล็กทรอนิกส์เงินลมๆเงินแล้งๆจริง คือเงินดิจิดัลที่กำหนดเงื่อนไขการดำเนินชีวิตของทุกๆคนบนโลกนี้ได้,คอกควบคุมอิสระภาพ คอกควบคุมเจตนำนงเสรีคุณทั้งโลก. ..สงครามไทยเขมร สงครามดินแดนคือหมากล่อปลอม,แหกตาคนไทย ของจริงคือลดประชากรไทย1 ควบคุมคนไทย1ให้เด็ดขาดให้ได้,ยึดประเทศไทยได้ยิ่งดี1อย่างเปิดเผยและออกหน้าออกตากว่าในอดีตที่เคยผ่านมานั้น,อดีตที่เคยผ่านมาจากผลงานการยึดบ่อน้ำมันทั่วไทยและบ่อทองคำทั่วแผ่นดินเป็นของต่างชาติของพวกมันทางลับผ่านทางรัฐบาลขี้ข้าส้นตีนมันสั่งซ้ายสั่งขวาได้หมดในอดีตถึงปัจจุบันนี้ล่ะ ล่าสุดแร่เอิร์ธเต็มๆ.,ตลอดแร่มีค่ามหาศาลมากมายอื่นอีกเพรียบ,มันปกครอง มันยึดควบคุมหลังฉากเบื้องหลังเราคนไทยตลอด,ทหารไทยมากมายจึงทำชั่วเลวสนองฝ่ายมันอยู่ฝ่ายมันเป็นอันมากยึดอำนาจมาได้ มันจึงเขียนกฎหมายมากมายเต็มประเทศไทยมาบังคับกดขี่ข่มเหงคนไทยมากมายมาโดยตลอด กฎหมายไม่สมควรออก ปัญญาอ่อนมันก็เขียนออกมาตลอดอย่างง่ายดาย mouห่าเหวใดๆก็ตกลงกันตามอำเภอใจในอดีต กฎหมายอะไรคนดีเราเขียนกั้นไว้มันก็ฉีกทิ้งเขียนใหม่เพื่อปกป้องเดอะแก๊งเดอะก๊กเดอะคนของฝ่ายมัน อำนวยคนฝ่ายมันมานั่งปกครองในตำแหน่งใหญ่โตเต็มบ้านเต็มเมืองกระจายตัวทั่วประเทศไปหมด,ยุคศิวิไลซ์ฝ่ายชั่วเลวประจำโลกในประเทศไทยก็ได้. ..จริงๆคนไทยไม่สมควรอยู่ในสถานะยากจนเลย แต่เพราะมันยึดหัวปกครองหัวเราได้ ทั้งตัวจึงเสียหาย ผีบ้าไม่เต็มส่วนไปหมด,ส่วนดีหน่อยคุ้มดีก็หยิบนั้นนี้ใส่ปากพออยู่ได้ เส้นเสียเป็นหงิกเป็นหงอย ส่วนไม่ดีทั่วร่างกายเว้นไว้ส่วนดีเช่นคนดีในบ้านในเมืองเรายังมีอยู่ก็พอกินยาแก้หงิกหงอยทันกาลบ้างจังหวะได้,อดีตตัังแต่เราเสียดินแดนให้นักล่าอาณานิคมนั้นล่ะ จนเหลือแค่แผ่นดินไทยในปัจจุบันนี้ได้มันเริ่มกระบวนการเอาประเทศไทยมาแล้วจนถึงปัจจุบันมันก็จะเอาให้ได้นั่นเอง,ปรับวิธีการกลยุทธมาโดยตลอด,จนสุดท้ายสำเร็จบังคับคนไทยฉีดตายได้ในยุคลุงกว่าร้อยๆโดส คนละ1-2เข็ม กว่า60ล้านคนถูกฉีดตาย,ยุคลุงจึงเป็นการยึดอำนาจอย่างมีการวางแผนการไว้ดีแล้วเพื่อเตรียมฉีดตายนี้ล่ะของจริง,รวมทั้งผีบ้าแบบเขมรที่เปิดยิงระเบิดใส่ไทยก่อน มันก็สร้างเหตุสร้างแผนการปัจจัยวางหมากรอแล้ว เช่นนั้นเขมรผีบ้าไม่กล้าหรอก.,ให้ร้อยความกล้าก็ไม่ทำ,จนรีบให้มาเลย์อเมริกามาช่วยหยุดไทยฆ่าฝ่ายมันก่อนถึงพนมเปญ.เสียแผนด้วย จีนคอมมิวนิสต์ก็ด้วย เสียแผนจีนเช่นกัน,โลกนี้จริงๆทุกๆประเทศยืนหนึ่งไม่สู้ไทย อีลิทฝ่ายมืดทั่วโลกกลัวประเทศไทยที่สุด ตลอดต่างดาวใต้ทะเลมหาสมุทรก็ด้วย,ทั้งเกรงใจ ทั้งกลัวคนไทยสายพุทธ เพราะพวกนี้บรรลุธรรมได้ของจริง มีพลังสนามแม่เหล็กขั้นหลุดพ้นเหนือพลังมันได้หมดด้วย,ถ้าปล่อยคนไทยเจริญทางจิตวิญญาณ สุขกายสุขใจ มันจะเจริญสุขทางใจได้สะดวก บรรลุธรรมได้ไวได้ดีได้ง่าย ซวยคือฝ่ายมืดมารมันจะลำบากเพราะคนไทยจะเห็นแจ้งต่อหมดไปหมดไร้ที่ซ่อนใดๆนั้นเอง ยิ่งสามัคคีกันทั่วไทยอีก บรรลัยทั้งอาณาจักรฝ่ายมืดมันนี้,ประเทศนี้จึงห้ามสงบสุขทุกๆกรณี วุ่นวาย โกลาหลให้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาให้ได้ ทำลายสถาบันกษัตริย์มันคือสิ่งแรกทันที จึงเกิดพวกชูสามนิ้วเปิดหน้าชกอย่างชัดเจนกว่าในอดีตที่ผ่านๆมา.,เพราะยุคสุดท้ายเวลานี้ คือยกจบ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องจบ รู้ผลแพ้ชนะ,มืดปกครองโลกก็เวลานี้เลย,แสงขาวฝ่ายดีปกครองโลกก็ช่วงจังหวะเวลานี้เลย,ไทม์ไลน์เวลาเราคือช่วงนี้ก็ช่วงนี้ มิติอื่นก็มิติอื่น ปัจจุบันคือช่วงเวลาเราบนสมมุติโลกในขณะนี้, ..ไทยจะเป็นไทยหรือเมืองหลวงของอีลิทซาตานโลกก็เวลานี้ล่ะ. ..สถานะใดๆเราคนไทยสามัคคีกันจะร่วมกันเป็นได้ในยุคเราในรุ่นเรา,นรกหรือสวรรค์คนไทย เรา..คนไทยช่วยกันเลือกได้,เพราะเราคือสังคมใหญ่ระดับชาติประเทศมิอาจอยู่คนเดียวหรือข้าคือตำนานหนึ่งเดียวไม่ได้,ไปไหน..เราคนไทยอยู่ร่วมกันไปด้วยกันหมด,เพราะเราอยู่บ้านเดียวกัน นี้คือบ้านเรา คือแผ่นดินเรา ที่เราอาศัยเกิด อาศัยแก่ อาศัยตาย.,ไม่มีชาติใดๆจะรักคนไทยได้ดีกว่าคนไทยรักกันเองหรอก.,คนอเมริกาทั้งประเทศมารักคนไทยดีกว่าคนไทยมั้ย,คนฝรั่งยุโรปจะมีรักคนไทยรักแผ่นดินไทยดีกว่าคนไทยจริงเหรอ อดีตเห็นแต่มาปล้นมาชิงสมบัติทรัพยากรมีค่ามากมายขนกลับไปเสวยสุขในชาติประเทศมัน,เรา..คนไทยต้องสามัคคี มารักกัน ไม่ก้าวล่วงทำร้ายทำลายกันภายในกันเอง จะนับถือศาสนาความเชื่อใดๆ เราต้องรักและสามัคคีกันปกป้องแผ่นดินไทยเรา,เรา..คนไทยไปอาศัยแผ่นดินคนอื่นอยู่ บ้านคนอื่นตายคนอื่นนอนมีความสุขจริงๆเหรอ.,แผ่นดินไทยเท่านั้นที่เติมเต็มสมบูรณ์ทุกๆคำตอบในจิตในใจเราอย่างลงใจ. ..ทหารไทยต้องยึดอำนาจเท่านั้นคือหนทางออกเดียว.,จะแก้ทั้งกระดานหมากพวกชั่วเลวนี้ทั้งผูกทั้งวางได้หมด,ทำลายเพื่อสร้างใหม่ให้ดีๆก็ได้.มันเน่ามันพังไปหมดแล้ว. https://youtu.be/0uY1iVWLMec?si=SipLS_hw1f3kgQA2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 696 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขอวิเคราะห์ทิศทางของ Bitcoin ในอนาคตจากมุมมองผู้เชี่ยวชาญด้านสินทรัพย์ดิจิทัล พร้อมข้อดีและข้อเสียอย่างเป็นกลาง:

    ข้อมองในแง่บวก (Bull Case)

    1. การยอมรับในระดับสถาบัน

    · กองทุนขนาดใหญ่ (BlackRock, Fidelity) เปิดกองทุน Bitcoin ETF
    · บริษัทมหาชนเพิ่ม Bitcoin ในงบดุล (เช่น MicroStrategy, Tesla)
    · ธนาคารกลางหลายประเทศศึกษาสกุลเงินดิจิทัศ (CBDC)

    2. อุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น

    · กลไก Halving ลดอุปทานใหม่ทุก 4 ปี
    · มีผู้ใช้งานและนักลงทุนรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
    · การใช้เป็นเครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อ (Digital Gold)

    3. นวัตกรรมทางเทคโนโลยี

    · การพัฒนาระบบ Layer 2 (เช่น Lightning Network)
    · การบูรณาการกับ DeFi และ Smart Contract
    · การปรับปรุงความสามารถในการขยายขนาด (Scalability)

    ข้อกังวลในแง่ลบ (Bear Case)

    1. ความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ

    · การควบคุมที่เข้มงวดจากรัฐบาลต่างๆ
    · นโยบายการเก็บภาษีที่ยังไม่ชัดเจนในหลายประเทศ
    · ความเสี่ยงจากการแบนในบางเขตอำนาจศาล

    2. ความผันผวนสูง

    · ราคายังคงมีความผันผวนในระดับที่เสี่ยง
    · การเก็งกำไรระยะสั้นมีอิทธิพลต่อราคา
    · ความเชื่อมั่นที่อ่อนไหวต่อข่าวลือและทวีต

    3. ความท้าทายทางเทคนิค

    · ปัญหาการใช้พลังงานและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
    · ความเร็วในการทำธุรกรรมที่จำกัด
    · ค่า Fee ที่อาจสูงในช่วงความนิยม

    มุมมองโดยรวม

    ผู้มองในแง่บวก เห็นว่า Bitcoin จะเติบโตเป็น:

    · สินทรัพย์ปลอดภัยรูปแบบดิจิทัล
    · ระบบการชำระเงินข้ามพรมแดน
    · พื้นฐานของระบบการเงินใหม่

    ผู้มองในแง่ลบ กังวลเกี่ยวกับ:

    · ฟองสบู่ทางราคาที่อาจแตก
    · การแข่งขันจากสกุลเงินดิจิทัลอื่น
    · ความไม่แน่นอนในระยะยาว

    คำแนะนำการลงทุน

    · ลงทุนเพียงส่วนที่ยอมเสียได้
    · ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด
    · กระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน

    ตลาดคริปโตยังคงมีความไม่แน่นอนสูง การตัดสินใจลงทุนควรอยู่บนพื้นฐานการศึกษาข้อมูลและความเสี่ยงที่ยอมรับได้
    ขอวิเคราะห์ทิศทางของ Bitcoin ในอนาคตจากมุมมองผู้เชี่ยวชาญด้านสินทรัพย์ดิจิทัล พร้อมข้อดีและข้อเสียอย่างเป็นกลาง: ข้อมองในแง่บวก (Bull Case) 1. การยอมรับในระดับสถาบัน · กองทุนขนาดใหญ่ (BlackRock, Fidelity) เปิดกองทุน Bitcoin ETF · บริษัทมหาชนเพิ่ม Bitcoin ในงบดุล (เช่น MicroStrategy, Tesla) · ธนาคารกลางหลายประเทศศึกษาสกุลเงินดิจิทัศ (CBDC) 2. อุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น · กลไก Halving ลดอุปทานใหม่ทุก 4 ปี · มีผู้ใช้งานและนักลงทุนรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง · การใช้เป็นเครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อ (Digital Gold) 3. นวัตกรรมทางเทคโนโลยี · การพัฒนาระบบ Layer 2 (เช่น Lightning Network) · การบูรณาการกับ DeFi และ Smart Contract · การปรับปรุงความสามารถในการขยายขนาด (Scalability) ข้อกังวลในแง่ลบ (Bear Case) 1. ความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ · การควบคุมที่เข้มงวดจากรัฐบาลต่างๆ · นโยบายการเก็บภาษีที่ยังไม่ชัดเจนในหลายประเทศ · ความเสี่ยงจากการแบนในบางเขตอำนาจศาล 2. ความผันผวนสูง · ราคายังคงมีความผันผวนในระดับที่เสี่ยง · การเก็งกำไรระยะสั้นมีอิทธิพลต่อราคา · ความเชื่อมั่นที่อ่อนไหวต่อข่าวลือและทวีต 3. ความท้าทายทางเทคนิค · ปัญหาการใช้พลังงานและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม · ความเร็วในการทำธุรกรรมที่จำกัด · ค่า Fee ที่อาจสูงในช่วงความนิยม มุมมองโดยรวม ผู้มองในแง่บวก เห็นว่า Bitcoin จะเติบโตเป็น: · สินทรัพย์ปลอดภัยรูปแบบดิจิทัล · ระบบการชำระเงินข้ามพรมแดน · พื้นฐานของระบบการเงินใหม่ ผู้มองในแง่ลบ กังวลเกี่ยวกับ: · ฟองสบู่ทางราคาที่อาจแตก · การแข่งขันจากสกุลเงินดิจิทัลอื่น · ความไม่แน่นอนในระยะยาว คำแนะนำการลงทุน · ลงทุนเพียงส่วนที่ยอมเสียได้ · ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด · กระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน ตลาดคริปโตยังคงมีความไม่แน่นอนสูง การตัดสินใจลงทุนควรอยู่บนพื้นฐานการศึกษาข้อมูลและความเสี่ยงที่ยอมรับได้
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 357 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – ที่แท้ก็โจร 1 – 3
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร”

    ตอน 1

    ขณะตัดสินใจเข้าทำสงครามโลก ในเดือนสิงหาคม 1914 อังกฤษ กระเป๋าแบน เศรษฐกิจร่องแร่ง และทองสำรองใน Bank of England ใกล้จะแห้งขอดอย่างน่าตกใจ อังกฤษไม่อยู่ในสภาพที่จะทำสงครามได้เลย อังกฤษรู้ตัวดี แต่อังกฤษก็เดินหน้าประกาศสงครามกับเยอรมันอย่างท่าดี ถ้าไม่ใช่เป็นนักพนันระดับเซียน ที่ลักไก่ เกจนหมดหน้าตัก ก็ต้องเป็นนักวางแผนที่เลือดเย็นและล้ำลึกอย่างน่ากลัว

    เดือนตุลาคม 1914 อังกฤษส่งคณะทำงานพิเศษ จากฝ่ายกิจกรรมสงครามของตนไปวอชิงตัน เพื่อเจรจาให้ทางวอชิงตันจัดการให้ภาคเอกชนของอเมริกา เป็นผู้ส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ สัมภาระและกำลังบำรุงให้ เพราะอเมริกาในฐานะประเทศเป็นกลางอย่างเป็นทางการ จะทำในฐานะประเทศไม่ได้ เลยเลี่ยงให้เอกชนออกหน้า

    อังกฤษเลือก J P Morgan & Co เป็นตัวแทนแต่ผู้เดียวในการจัดซื้อ Sole Purchasing Agent ดูเผินๆ เหมือนกับเป็นเรื่องเสี่ยงมาก ที่เลือกตัวแทนรายเดียว แต่เนื่องจากเป็นบทหนึ่งของละครลวงโลก เราจะเห็นว่า มันมีการเตรียมการอย่างแยบยลมา แล้ว ที่ให้อเมริกามี Federal Reserve System ที่สามารถทำให้ J P Morgan และพวก ซึ่งก็เป็นผู้บริหาร และเจ้าของ Federal Reseve Bank สามารถบริหารความเสี่ยงของตน ผ่านการควบคุมหนี้ของรัฐบาล พร้อมกับการควบคุมการพิมพ์ธนบัตรของประเทศในขณะเดียวกัน

    ด้วยวิธีการนี้ อังกฤษจึงสามารถเดินหน้า ทำสงครามได้อย่างสบายใจ อเมริกา โดยนักธุรกิจ เช่น Rockefeller, Morgan, Carnegie ฯลฯ ก็สบายใจ พวกเขาผลิต และขายสินค้า ส่งให้อังกฤษ ทำให้พากันรวยหนักกันขึ้นไปอีก และโดยไม่ต้องห่วงเรื่องจะต้องเสียภาษีเงินได้ก้อนใหญ่ให้ รัฐบาล เพราะบทในละครลวงโลก เรื่องภาษีนี้ ก็ได้มีจัดการหาทางออก เตรียมใว้เรียบร้อยแล้ว โดยนาย Wilson ได้ยอมให้แก้กฏหมายของอเมริกา ในปี 1913 ให้มูลนิธิเพื่อการกุศล ได้รับยกเว้น ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ และบรรดานายทุนเศรษฐีโตครรวยต่างๆของอเมริกา ก็พากันจดทะเบียนตั้งมูลนิธิ และโอนทรัพย์สินของตนไปไว้ในมูลนิธิ เพื่อเลี่ยงภาษี เช่น มูลนิธิ Rockefeller มูลนิธิ Carnegie มูลนิธิ Ford เรียบร้อยก่อนที่จะได้อังกฤษ มาเป็นลูกหนี้
    นี่คือ ประชาธิปไตยแบบ ตะหวักตะบวยของอเมริกา ที่ยังมีสมันน้อยหลงชื่นชม

    Morgan ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้รัฐบาลอังกฤษ ในการจัดซื้อ อาวุธ กระสุน เครื่องแบบ เคมี ฯลฯ สาระพัด ที่จำเป็นสำหรับการทำสงครามในสมัย ค.ศ. 1914 และในฐานะเป็นตัวแทนดูแลด้านการ เงินด้วย Morgan ไม่ใช่แค่เลือกว่า “จะซื้ออะไร ” เขาเป็นผู้เลือกด้วยว่า “จะซื้อจากใคร” ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ที่กลุ่มธุรกิจในเครือข่ายของ Morgan และ Rockefeller คือกลุ่มที่ได้รับเลือกไปก่อน และรวยไปก่อน

    เมื่อ British War Office ถามประธาน J P Morgan คนใหม่คือ J P Morgan Jr. หรือที่เพื่อนเรียกว่า Jack ซึ่งขึ้นมารับตำแหน่งแทนพ่อที่ตายไปเมื่อ ปี 1913 ว่า รัฐบาลของ Wilson มีปัญหาหรือไม่ ที่สถาบันการเงินใหญ่ของอเมริกา เข้ามาช่วยเหลืออังกฤษอย่างเปิดเผย เกี่ยวกับการสงคราม

    Jack ตอบว่า ไม่มีปัญหาครับเจ้านาย ไม่กระทบกับความเป็นกลางของรัฐบาลอเมริกัน อย่างแน่นอนที่สุด เพราะว่า Morgan ทำธุรกิจกับ British War Office และรัฐบาลของฝรั่งเศส เป็นการทำธุรกิจตามปรกติธรรมดา เพื่อเพิ่มปริมาณการค้าขายต่อกัน ไม่ใช่เป็นข้อตกลงทางการเมือง หรือการฑูตแต่อย่างใด กลิ้งได้พริ้วจริงๆไอ้หนู

    เดือนมกราคม 1915 Jack ไปพบกับประธานาธิบดี Wilson ที่ทำเนียบ White House เพื่อหารือเรื่องดังกล่าว Wilson ยืนยันว่า เขาไม่มีข้อขัดข้อง ในการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม Morgan หรือผู้อื่น ในเรื่องที่หารือนั้น

    ก็คงทำให้เข้าใจได้ว่า ไม่มีใครต้มใคร หลอกใครมาเข้าฉาก เป็นการสมัครใจมาร่วมเล่นละครกันทั้งนั้น

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร”

    ตอน 2

    ในปี ค.ศ. 1915 เมื่อสงครามเริ่มใหม่ๆ E.I. Dupont de Nemours & Co แห่ง Delaware ได้รับเงิน 100 ล้านเหรียญ จากอังกฤษ ผ่าน J P Morgan เพื่อขยายแผนกวัตถุระเบิด ภายในไม่กี่เดือน Dupont ขยายตัวจากบริษัทเล็กๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก เป็นบริษัทอยู่แถวหน้าทางอุตสา หกรรม Hercules Powder และ Monsanto Chemical โตตามไปด้วย บริษัทเหล็กกล้า และเหล็กดิบ ก็งอกงาม เหล็กดิบราคาขึ้น จากตันละ 13 เหรียญ เป็น ตันละ 42 เหรียญ
    Bethlehem Steel, US Steel, Westinghouse Electric, Remington Arms, Colt Firearms ได้รับใบสั่งซื้อสินค้ามาเป็นกอง ตั้งสูง จนผลิตไม่ทัน อุตสาหกรรมเหล็กอย่างเดียว กำไรเพิ่มจาก 23 ล้านเหรียญ ในปี 1914 เป็น 224 ล้านเหรียญ ในปี 1917 และระหว่างปี 1914-1917 Anaconda Copper ของ William Rockefeller ได้กำไรโดดจาก 9 ล้านเหรียญ เป็น 25 ล้านเหรียญ ส่วนทรัพย์สินของ บริษัท Phelps Dodge ซึ่งเป็นนายทุนใหญ่ในการส่งให้ Wilson ไปนั่งที่ White House ขี้นไป 400 %

    เฉพาะปี 1916 ขณะที่เศรษฐกิจทั่วไป ของอเมริกากำลังขาลาก แค่การส่งสินค้าออกเกี่ยวกับอาวุธ ให้แก่อังกฤษ และฝรั่งเศส อย่างเดียว มูลค่าสูงถึง 1,290 พันล้านเหรียญแล้ว มันเป็นโอกาสทองคำ ของคนบางกลุ่มในอเมริกา ก่อนที่อเมริกาจะเข้าสู่สงครามโลก

    J P Morgan ได้จัดหาอาวุธยุทธปัจจัยให้รัฐบาล อังกฤษ ฝรั่งเศส และอิตาลี เป็นมูลค่าทั้งหมด ประมาณ 5 พันล้านเหรียญ ทั้งหมด ซื้อโดยเครดิต ที่ J P Morgan เป็นผู้จัดการให้ เงินจำนวนดังกล่าวคิดเป็นมูลค่าในปัจจุบัน เท่ากับประมาณ 9 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งยังไม่เคยมีสถาบันการเงินส่วนบุคคลใด เคยทำมาก่อน

    มันเป็นจำนวนมโหฬาร พอที่จะทำให้เกิดซึนามิทางการเงินได้ ถ้ามีการผิดนัดไม่ชำระเงิน

    เดือนเมษายน 1915 ประมาณ 2 ปี ก่อนอเมริกาจะเข้าสูสงครามโลก ครั้งที่ 1 อย่างเป็นทางการ Thomas W Lamont หุ้นส่วนคนหนึ่งของ J P Morgan ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่มีความหมายมาก แต่มีน้อยคน ที่ให้ความสนใจอย่างจริงจังที่ American Academy of Political Science ในเมือง Philadelphia

    ” เรา (อเมริกา) ได้เปลี่ยนสภาพ จากเป็นลูกหนี้ กลายมาเป็นเจ้าหนี้ ใบสั่งซื้อสินค้าที่เราได้รับ กองสูงเป็นตั้ง ผู้ผลิตหลายรายของเรา รวมทั้งผู้ขาย ได้ธุรกิจอย่างมหัศจรรย์จากสงครามนี้ ใบสั่งซื้อสินค้าสงคราม มียอดสูงเป็นล้านๆเหรียญ และมันกำลังส่งผลไปถึงธุรกิจอื่นๆ ทั่วไปด้วย แต่จุดสำคัญอยู่ที่การปรับตัวดีขึ้นของธุรกิจของเรา ทำให้อเมริกากลายเป็นปัจจัยใหญ่ในตลาดเงินกู้ระหว่างประเทศ
    จะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต หลายคนเชื่อว่า ต่อไปนิวยอร์ค อาจจะเหนือกว่าลอนดอนในการเป็นศูนย์กลางตลาดเงินของโลก เราอาจกลายเป็นศูนย์กลางการค้าของโลก… มันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้สูง….

    แต่ทั้งหมดนี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญสองสามอย่าง อย่างหนึ่งคือ ระยะเวลาของการทำสงคราม…. ถ้าสงครามจบเร็ว เยอรมัน ซึ่งขณะนี้การส่งสินค้าออกถูกตัดขาดเกือบหมด จะกลับมาเป็นคู่แข่งสำคัญทันที

    ฉะนั้น เราจะเป็นเจ้าหนี้จำนวนมหาศาลหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับ “ระยะเวลา” ของการทำสงคราม ถ้ามันนานพอ เราอาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลง ที่ดอลล่าร์จะกลายเป็นตัวเทียบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ แทนปอนด์สเตอริงก์”

    สุนทรพจน์นี้ ทำให้เห็นเป้าหมาย และการพัฒนา ให้เงินกู้ระหว่างประเทศ กลายเป็นอาวุธทางยุทธศาสตร์ของ J P Morgan ในระหว่างการทำสงครามโลกครั้งที่ 1 และหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ไปจนถึงการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างน่ากลัว และชั่วยิ่ง

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร”

    ตอน 3

    นโยบายของ J P Morgan ตามแนวที่เราเข้าใจจากสุนทรพจน์ของ Lamont ดูเหมือนจะราบรื่น เป็นไปตามแผน แต่พอถึงปลายปี 1916 จนเริ่มเข้าเดือนแรกของปี 1917 ข่าวลือเกี่ยวกับรัสเซียชักมาแปลก และ ในเดือนกุมภาพันธ์ ก็เป็นจริงตามข่าว ซาร์นิโคลัสที่ 2 ของรัสเซีย ประกาศสละ
    บัลลังค์ หลังจากมีการปฏิวัติ โดยคนชื่อไม่ดัง Alexandre Kerensky กองทัพรัสเซียระส่ำ เยอรมันดีใจ ไม่ต้องรบทั้ง 2 แนว จึงทุ่มกำลังมาทางด้านตะวันตกเต็มที่ และอังกฤษอาจกลายเป็นฝ่ายแพ้สงคราม !

    Morgan และพวก เริ่มออกอาการ ไอ้ที่กลัวว่าจะเกิด ทำท่าจะเกิดจริงๆ สงครามอาจจะจบเร็วกว่าที่คิด โดยเยอรมันเป็นฝ่ายชนะ และนั่นคือหายนะ ของ Morgan อังกฤษและพวก ซึ่งรวมถึงอเมริกาด้วย
    นาย Walter Hines Page ซึ่งเคยเป็นผู้ดูแล General Education Board ของ Rockefeller ก่อนได้รับเลือกให้ไปเป็นฑูตอเมริกา ประจำลอนดอน ขณะนั้น ได้ทำหนังสือลงวันที่ 5 มีนาคม 1917 ถึง ประธานาธิบดี Wilson

    ” ผมคิดว่า สถานการณ์ปัจจุบัน มีความกดดันสูงเกินกว่าที่ Morgan ในสถานะตัวแทนทางการเงินของรัฐบาลอังกฤษ และฝรั่งเศสจะรับได้ จำเป็นที่จะต้องมีการหารือกันเป็นการด่วน ….หากเราจะเข้าไปทำสงครามกับเยอรมัน คงเป็นการช่วยฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างยิ่งยวด และในกรณีดังกล่าว รัฐบาลเราน่าจะทำ ถ้าสามารถทำได้คือ ช่วยลงทุนให้เงินกู้กับอังกฤษ ฝรั่งเศส หรือค้ำประกันเงินกู้ให้เขา ….แต่เราจะต้องเข้าร่วมทำสงครามกับเยอรมันด้วย เราถึงจะให้เงินกู้โดยตรง หรือให้การค้ำประกันได้…”

    4 อาทิตย์หลังจากได้รับจดหมายของฑูต Page ประธานาธิบดี Wilson ซึ่งตอนหาเสียงลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี สมัยที่ 2 ในปี 1916 ประกาศไว้ว่า เราเป็นฝ่ายไม่ทำสงคราม ก็พาอเมริกาเข้าสู่สงคราม ตามบทละครลวงโลก

    Wilson แถลงต่อสภาสูง เพื่อขอทำสงครามกับเยอรมัน ด้วยเหตุผลว่า เยอรมันละเมิดกฏการเดินเรือในน่านน้ำที่เป็นกลาง โดยใช้เรือดำน้ำโจมตีเรือของอเมริกาเรือขนส่งสินค้าของอังกฤษ และฝรั่งเศส สภาสูงลงมติอย่างท่วมท้น ให้อำนาจเขาประกาศสงครามกับเยอรมัน

    กระทรวงการคลังของอเมริกา ให้การสนับสนุน ที่อเมริกาจะออกพันธบัตร Liberty Bond เพื่อระดมเงินจากชาวอเมริกัน สนับสนุนให้อังกฤษทำสงครามต่อ โดยนาย Benjamin Strong ประธานธนาคารกลางของอเมริกา Federal Reserve Bank ซึ่งมาจาก กลุ่ม Morgan บอกว่า ตามกฎหมาย Federal Reserve Act ที่เพิ่งออกในปี 1913 ทำได้สบายมาก และเงินงวดแรก ที่ได้จากการขายพันธบัตร Liberty War ให้ชาวบ้าน ถูกนำมาใช้หนี้ ที่อังกฤษมีกับ Morgan จำนวน 400 ล้านเหรียญก่อนรายการอื่น

    สรุปง่ายๆว่า Wilson เอาเงินชาวบ้านมาใช้หนี้ให้เศรษฐี Morgan หรืออาจจะเป็น Rothschild ไม่แนใจ
    จากวันที่อเมริกาประกาศสงครามกับ เยอรมันอย่างเป็นทางการ ในเดือนเมษายน 1917 จนถึงวันที่มีการลงนามสัญญาสงบ ศึกกับเยอรมัน ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 1918 อเมริกาให้เงินกู้กับ สัมพันมิตร ยุโรป เป็นจำนวนประมาณ 9 พันล้านเหรียญ เงินดังกล่าว ไม่ได้ไปถึงมือผู้กู้ ส่วนใหญ่กลับไปอยู่ที่กลุ่ม Morgan, Kuhn Loeb และ Rockefeller เพื่อจ่ายเป็นค่าสินค้าสงครามที่ส่งให้กับฝ่ายสัมพันธมิตร เงินกู้ดังกล่าวนี้ เป็นจำนวนต่างหาก นอกเหนือจากที่อังกฤษให้ J P Morgan เป็นตัวแทนระดมเงินกู้ต้ังแต่เริ่มทำสงคราม จนถึงสงครามเลิก อีกจำนวนมหาศาล

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    8 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – ที่แท้ก็โจร 1 – 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร” ตอน 1 ขณะตัดสินใจเข้าทำสงครามโลก ในเดือนสิงหาคม 1914 อังกฤษ กระเป๋าแบน เศรษฐกิจร่องแร่ง และทองสำรองใน Bank of England ใกล้จะแห้งขอดอย่างน่าตกใจ อังกฤษไม่อยู่ในสภาพที่จะทำสงครามได้เลย อังกฤษรู้ตัวดี แต่อังกฤษก็เดินหน้าประกาศสงครามกับเยอรมันอย่างท่าดี ถ้าไม่ใช่เป็นนักพนันระดับเซียน ที่ลักไก่ เกจนหมดหน้าตัก ก็ต้องเป็นนักวางแผนที่เลือดเย็นและล้ำลึกอย่างน่ากลัว เดือนตุลาคม 1914 อังกฤษส่งคณะทำงานพิเศษ จากฝ่ายกิจกรรมสงครามของตนไปวอชิงตัน เพื่อเจรจาให้ทางวอชิงตันจัดการให้ภาคเอกชนของอเมริกา เป็นผู้ส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ สัมภาระและกำลังบำรุงให้ เพราะอเมริกาในฐานะประเทศเป็นกลางอย่างเป็นทางการ จะทำในฐานะประเทศไม่ได้ เลยเลี่ยงให้เอกชนออกหน้า อังกฤษเลือก J P Morgan & Co เป็นตัวแทนแต่ผู้เดียวในการจัดซื้อ Sole Purchasing Agent ดูเผินๆ เหมือนกับเป็นเรื่องเสี่ยงมาก ที่เลือกตัวแทนรายเดียว แต่เนื่องจากเป็นบทหนึ่งของละครลวงโลก เราจะเห็นว่า มันมีการเตรียมการอย่างแยบยลมา แล้ว ที่ให้อเมริกามี Federal Reserve System ที่สามารถทำให้ J P Morgan และพวก ซึ่งก็เป็นผู้บริหาร และเจ้าของ Federal Reseve Bank สามารถบริหารความเสี่ยงของตน ผ่านการควบคุมหนี้ของรัฐบาล พร้อมกับการควบคุมการพิมพ์ธนบัตรของประเทศในขณะเดียวกัน ด้วยวิธีการนี้ อังกฤษจึงสามารถเดินหน้า ทำสงครามได้อย่างสบายใจ อเมริกา โดยนักธุรกิจ เช่น Rockefeller, Morgan, Carnegie ฯลฯ ก็สบายใจ พวกเขาผลิต และขายสินค้า ส่งให้อังกฤษ ทำให้พากันรวยหนักกันขึ้นไปอีก และโดยไม่ต้องห่วงเรื่องจะต้องเสียภาษีเงินได้ก้อนใหญ่ให้ รัฐบาล เพราะบทในละครลวงโลก เรื่องภาษีนี้ ก็ได้มีจัดการหาทางออก เตรียมใว้เรียบร้อยแล้ว โดยนาย Wilson ได้ยอมให้แก้กฏหมายของอเมริกา ในปี 1913 ให้มูลนิธิเพื่อการกุศล ได้รับยกเว้น ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ และบรรดานายทุนเศรษฐีโตครรวยต่างๆของอเมริกา ก็พากันจดทะเบียนตั้งมูลนิธิ และโอนทรัพย์สินของตนไปไว้ในมูลนิธิ เพื่อเลี่ยงภาษี เช่น มูลนิธิ Rockefeller มูลนิธิ Carnegie มูลนิธิ Ford เรียบร้อยก่อนที่จะได้อังกฤษ มาเป็นลูกหนี้ นี่คือ ประชาธิปไตยแบบ ตะหวักตะบวยของอเมริกา ที่ยังมีสมันน้อยหลงชื่นชม Morgan ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้รัฐบาลอังกฤษ ในการจัดซื้อ อาวุธ กระสุน เครื่องแบบ เคมี ฯลฯ สาระพัด ที่จำเป็นสำหรับการทำสงครามในสมัย ค.ศ. 1914 และในฐานะเป็นตัวแทนดูแลด้านการ เงินด้วย Morgan ไม่ใช่แค่เลือกว่า “จะซื้ออะไร ” เขาเป็นผู้เลือกด้วยว่า “จะซื้อจากใคร” ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ที่กลุ่มธุรกิจในเครือข่ายของ Morgan และ Rockefeller คือกลุ่มที่ได้รับเลือกไปก่อน และรวยไปก่อน เมื่อ British War Office ถามประธาน J P Morgan คนใหม่คือ J P Morgan Jr. หรือที่เพื่อนเรียกว่า Jack ซึ่งขึ้นมารับตำแหน่งแทนพ่อที่ตายไปเมื่อ ปี 1913 ว่า รัฐบาลของ Wilson มีปัญหาหรือไม่ ที่สถาบันการเงินใหญ่ของอเมริกา เข้ามาช่วยเหลืออังกฤษอย่างเปิดเผย เกี่ยวกับการสงคราม Jack ตอบว่า ไม่มีปัญหาครับเจ้านาย ไม่กระทบกับความเป็นกลางของรัฐบาลอเมริกัน อย่างแน่นอนที่สุด เพราะว่า Morgan ทำธุรกิจกับ British War Office และรัฐบาลของฝรั่งเศส เป็นการทำธุรกิจตามปรกติธรรมดา เพื่อเพิ่มปริมาณการค้าขายต่อกัน ไม่ใช่เป็นข้อตกลงทางการเมือง หรือการฑูตแต่อย่างใด กลิ้งได้พริ้วจริงๆไอ้หนู เดือนมกราคม 1915 Jack ไปพบกับประธานาธิบดี Wilson ที่ทำเนียบ White House เพื่อหารือเรื่องดังกล่าว Wilson ยืนยันว่า เขาไม่มีข้อขัดข้อง ในการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม Morgan หรือผู้อื่น ในเรื่องที่หารือนั้น ก็คงทำให้เข้าใจได้ว่า ไม่มีใครต้มใคร หลอกใครมาเข้าฉาก เป็นการสมัครใจมาร่วมเล่นละครกันทั้งนั้น นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร” ตอน 2 ในปี ค.ศ. 1915 เมื่อสงครามเริ่มใหม่ๆ E.I. Dupont de Nemours & Co แห่ง Delaware ได้รับเงิน 100 ล้านเหรียญ จากอังกฤษ ผ่าน J P Morgan เพื่อขยายแผนกวัตถุระเบิด ภายในไม่กี่เดือน Dupont ขยายตัวจากบริษัทเล็กๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก เป็นบริษัทอยู่แถวหน้าทางอุตสา หกรรม Hercules Powder และ Monsanto Chemical โตตามไปด้วย บริษัทเหล็กกล้า และเหล็กดิบ ก็งอกงาม เหล็กดิบราคาขึ้น จากตันละ 13 เหรียญ เป็น ตันละ 42 เหรียญ Bethlehem Steel, US Steel, Westinghouse Electric, Remington Arms, Colt Firearms ได้รับใบสั่งซื้อสินค้ามาเป็นกอง ตั้งสูง จนผลิตไม่ทัน อุตสาหกรรมเหล็กอย่างเดียว กำไรเพิ่มจาก 23 ล้านเหรียญ ในปี 1914 เป็น 224 ล้านเหรียญ ในปี 1917 และระหว่างปี 1914-1917 Anaconda Copper ของ William Rockefeller ได้กำไรโดดจาก 9 ล้านเหรียญ เป็น 25 ล้านเหรียญ ส่วนทรัพย์สินของ บริษัท Phelps Dodge ซึ่งเป็นนายทุนใหญ่ในการส่งให้ Wilson ไปนั่งที่ White House ขี้นไป 400 % เฉพาะปี 1916 ขณะที่เศรษฐกิจทั่วไป ของอเมริกากำลังขาลาก แค่การส่งสินค้าออกเกี่ยวกับอาวุธ ให้แก่อังกฤษ และฝรั่งเศส อย่างเดียว มูลค่าสูงถึง 1,290 พันล้านเหรียญแล้ว มันเป็นโอกาสทองคำ ของคนบางกลุ่มในอเมริกา ก่อนที่อเมริกาจะเข้าสู่สงครามโลก J P Morgan ได้จัดหาอาวุธยุทธปัจจัยให้รัฐบาล อังกฤษ ฝรั่งเศส และอิตาลี เป็นมูลค่าทั้งหมด ประมาณ 5 พันล้านเหรียญ ทั้งหมด ซื้อโดยเครดิต ที่ J P Morgan เป็นผู้จัดการให้ เงินจำนวนดังกล่าวคิดเป็นมูลค่าในปัจจุบัน เท่ากับประมาณ 9 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งยังไม่เคยมีสถาบันการเงินส่วนบุคคลใด เคยทำมาก่อน มันเป็นจำนวนมโหฬาร พอที่จะทำให้เกิดซึนามิทางการเงินได้ ถ้ามีการผิดนัดไม่ชำระเงิน เดือนเมษายน 1915 ประมาณ 2 ปี ก่อนอเมริกาจะเข้าสูสงครามโลก ครั้งที่ 1 อย่างเป็นทางการ Thomas W Lamont หุ้นส่วนคนหนึ่งของ J P Morgan ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่มีความหมายมาก แต่มีน้อยคน ที่ให้ความสนใจอย่างจริงจังที่ American Academy of Political Science ในเมือง Philadelphia ” เรา (อเมริกา) ได้เปลี่ยนสภาพ จากเป็นลูกหนี้ กลายมาเป็นเจ้าหนี้ ใบสั่งซื้อสินค้าที่เราได้รับ กองสูงเป็นตั้ง ผู้ผลิตหลายรายของเรา รวมทั้งผู้ขาย ได้ธุรกิจอย่างมหัศจรรย์จากสงครามนี้ ใบสั่งซื้อสินค้าสงคราม มียอดสูงเป็นล้านๆเหรียญ และมันกำลังส่งผลไปถึงธุรกิจอื่นๆ ทั่วไปด้วย แต่จุดสำคัญอยู่ที่การปรับตัวดีขึ้นของธุรกิจของเรา ทำให้อเมริกากลายเป็นปัจจัยใหญ่ในตลาดเงินกู้ระหว่างประเทศ จะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต หลายคนเชื่อว่า ต่อไปนิวยอร์ค อาจจะเหนือกว่าลอนดอนในการเป็นศูนย์กลางตลาดเงินของโลก เราอาจกลายเป็นศูนย์กลางการค้าของโลก… มันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้สูง…. แต่ทั้งหมดนี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญสองสามอย่าง อย่างหนึ่งคือ ระยะเวลาของการทำสงคราม…. ถ้าสงครามจบเร็ว เยอรมัน ซึ่งขณะนี้การส่งสินค้าออกถูกตัดขาดเกือบหมด จะกลับมาเป็นคู่แข่งสำคัญทันที ฉะนั้น เราจะเป็นเจ้าหนี้จำนวนมหาศาลหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับ “ระยะเวลา” ของการทำสงคราม ถ้ามันนานพอ เราอาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลง ที่ดอลล่าร์จะกลายเป็นตัวเทียบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ แทนปอนด์สเตอริงก์” สุนทรพจน์นี้ ทำให้เห็นเป้าหมาย และการพัฒนา ให้เงินกู้ระหว่างประเทศ กลายเป็นอาวุธทางยุทธศาสตร์ของ J P Morgan ในระหว่างการทำสงครามโลกครั้งที่ 1 และหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ไปจนถึงการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างน่ากลัว และชั่วยิ่ง นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 10 “ที่แท้ก็โจร” ตอน 3 นโยบายของ J P Morgan ตามแนวที่เราเข้าใจจากสุนทรพจน์ของ Lamont ดูเหมือนจะราบรื่น เป็นไปตามแผน แต่พอถึงปลายปี 1916 จนเริ่มเข้าเดือนแรกของปี 1917 ข่าวลือเกี่ยวกับรัสเซียชักมาแปลก และ ในเดือนกุมภาพันธ์ ก็เป็นจริงตามข่าว ซาร์นิโคลัสที่ 2 ของรัสเซีย ประกาศสละ บัลลังค์ หลังจากมีการปฏิวัติ โดยคนชื่อไม่ดัง Alexandre Kerensky กองทัพรัสเซียระส่ำ เยอรมันดีใจ ไม่ต้องรบทั้ง 2 แนว จึงทุ่มกำลังมาทางด้านตะวันตกเต็มที่ และอังกฤษอาจกลายเป็นฝ่ายแพ้สงคราม ! Morgan และพวก เริ่มออกอาการ ไอ้ที่กลัวว่าจะเกิด ทำท่าจะเกิดจริงๆ สงครามอาจจะจบเร็วกว่าที่คิด โดยเยอรมันเป็นฝ่ายชนะ และนั่นคือหายนะ ของ Morgan อังกฤษและพวก ซึ่งรวมถึงอเมริกาด้วย นาย Walter Hines Page ซึ่งเคยเป็นผู้ดูแล General Education Board ของ Rockefeller ก่อนได้รับเลือกให้ไปเป็นฑูตอเมริกา ประจำลอนดอน ขณะนั้น ได้ทำหนังสือลงวันที่ 5 มีนาคม 1917 ถึง ประธานาธิบดี Wilson ” ผมคิดว่า สถานการณ์ปัจจุบัน มีความกดดันสูงเกินกว่าที่ Morgan ในสถานะตัวแทนทางการเงินของรัฐบาลอังกฤษ และฝรั่งเศสจะรับได้ จำเป็นที่จะต้องมีการหารือกันเป็นการด่วน ….หากเราจะเข้าไปทำสงครามกับเยอรมัน คงเป็นการช่วยฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างยิ่งยวด และในกรณีดังกล่าว รัฐบาลเราน่าจะทำ ถ้าสามารถทำได้คือ ช่วยลงทุนให้เงินกู้กับอังกฤษ ฝรั่งเศส หรือค้ำประกันเงินกู้ให้เขา ….แต่เราจะต้องเข้าร่วมทำสงครามกับเยอรมันด้วย เราถึงจะให้เงินกู้โดยตรง หรือให้การค้ำประกันได้…” 4 อาทิตย์หลังจากได้รับจดหมายของฑูต Page ประธานาธิบดี Wilson ซึ่งตอนหาเสียงลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี สมัยที่ 2 ในปี 1916 ประกาศไว้ว่า เราเป็นฝ่ายไม่ทำสงคราม ก็พาอเมริกาเข้าสู่สงคราม ตามบทละครลวงโลก Wilson แถลงต่อสภาสูง เพื่อขอทำสงครามกับเยอรมัน ด้วยเหตุผลว่า เยอรมันละเมิดกฏการเดินเรือในน่านน้ำที่เป็นกลาง โดยใช้เรือดำน้ำโจมตีเรือของอเมริกาเรือขนส่งสินค้าของอังกฤษ และฝรั่งเศส สภาสูงลงมติอย่างท่วมท้น ให้อำนาจเขาประกาศสงครามกับเยอรมัน กระทรวงการคลังของอเมริกา ให้การสนับสนุน ที่อเมริกาจะออกพันธบัตร Liberty Bond เพื่อระดมเงินจากชาวอเมริกัน สนับสนุนให้อังกฤษทำสงครามต่อ โดยนาย Benjamin Strong ประธานธนาคารกลางของอเมริกา Federal Reserve Bank ซึ่งมาจาก กลุ่ม Morgan บอกว่า ตามกฎหมาย Federal Reserve Act ที่เพิ่งออกในปี 1913 ทำได้สบายมาก และเงินงวดแรก ที่ได้จากการขายพันธบัตร Liberty War ให้ชาวบ้าน ถูกนำมาใช้หนี้ ที่อังกฤษมีกับ Morgan จำนวน 400 ล้านเหรียญก่อนรายการอื่น สรุปง่ายๆว่า Wilson เอาเงินชาวบ้านมาใช้หนี้ให้เศรษฐี Morgan หรืออาจจะเป็น Rothschild ไม่แนใจ จากวันที่อเมริกาประกาศสงครามกับ เยอรมันอย่างเป็นทางการ ในเดือนเมษายน 1917 จนถึงวันที่มีการลงนามสัญญาสงบ ศึกกับเยอรมัน ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 1918 อเมริกาให้เงินกู้กับ สัมพันมิตร ยุโรป เป็นจำนวนประมาณ 9 พันล้านเหรียญ เงินดังกล่าว ไม่ได้ไปถึงมือผู้กู้ ส่วนใหญ่กลับไปอยู่ที่กลุ่ม Morgan, Kuhn Loeb และ Rockefeller เพื่อจ่ายเป็นค่าสินค้าสงครามที่ส่งให้กับฝ่ายสัมพันธมิตร เงินกู้ดังกล่าวนี้ เป็นจำนวนต่างหาก นอกเหนือจากที่อังกฤษให้ J P Morgan เป็นตัวแทนระดมเงินกู้ต้ังแต่เริ่มทำสงคราม จนถึงสงครามเลิก อีกจำนวนมหาศาล สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 8 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 740 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – บทไอ้โหดเขียน 5 – 6
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน”

    ตอน 5

    J P Morgan ไม่ใช่เป็นบริษัทการเงินเล็กๆ เขาใหญ่ และดังคับโลก เขาสนใจ และรับงาน เฉพาะรายใหญ่ระดับชาติเท่านั้น และแม้ J P Morgan จะเป็นเจ้าพ่อ Wall Street แต่เขาก็สนิทสนม จนเกือบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ Rothschild เจ้าพ่อตัวจริงของฝั่งอังกฤษ ทำให้ผู้คนต่างพากันเดาถึงที่มาของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของ 2 กลุ่มการเงิน ที่ไม่แน่ว่าจะมีใครรู้จริง

    นาย George Peabody เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกัน จาก Massachusetts เดินทางไปอังกฤษในปี ค.ศ. 1837 เพื่อขายพันธบัตร กิจการสร้างคลอง Chesapeake Ohio ของอเมริกา ซึ่งขายได้ฝืดมากในอเมริกา เนื่องจากอยู่ในช่วงเศรษฐกิจถอยหลัง เขาหวังว่าคนอังกฤษจะกระเป๋าหนักกว่าคนอเมริกัน แต่ประตูของตลาดลอนดอน ก็เปิดยากเอาการ แต่ Peabody มีความเพียร เขาพยายามเคาะประตูนักการเงินใหญ่ของลอนดอนไปทุกบาน ในที่สุดก็ขายพันธบัตรคลอง Ohio ได้หมด และได้กำไรไม่น้อย

    นาย Peabody ไม่เอาเงินกำไรกลับอเมริกา เขาเอาเงินนั้นไปลงทุน ตั้งบริษัททำธุรกิจตัวแทนเกี่ยวกับการนำเข้าส่งออก อยู่ที่ถนน Bond Street ในลอนดอน ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้นักธุรกิจ ทั้ง 2 ฝั่ง ของมหาสมุทรแอตแลนติก ใครต้องการส่งสินค้า เขาส่งให้ ใครต้องการขาย เขาหาคนซื้อให้ ใครไม่มีเงิน เขาให้เงินกู้ มันคงเป็นจังหวะดี หรือนาย Peabody มีฝีมือจริง ธุรกิจในลอนดอนของเขา จึงก้าวหน้าไปลิ่ว

    คงมัวแต่ทำงานหนัก เลยไม่มีเวลาหาเมีย กว่าจะนึกออกก็คงดึกไปแล้ว แทนที่จะไปมองหาสาว เขาเลยมองหาคนที่จะมารับช่วงกิจการต่อไป ซึ่งต้องมีคุณสมบัติตามที่เขา ตั้งไว้ คือ ข้อที่ 1. ต้องเป็นคนเกิดที่อเมริกา ถึงยังไง นาย Peabody ก็ยังรักบ้านเกิด และที่สำคัญ เขาถือว่าบริษัทของเขา เป็นบริษัทอเมริกัน ข้อที่ 2 ต้องเป็นคนที่มีสัญชาตญาณ หรือวิญญาณอังกฤษสิงอยู่หน่อยๆ จะได้ต้อนรับลูกค้า ที่เป็นคนใหญ่คนโตของอังกฤษ ได้อย่างไม่เก้งก้าง ข้อที่ 3 คือต้องรู้จักธุรกิจการเงินของอังกฤษ อเมริกา (Anglo-American finance) เป็นอย่างดี และข้อที่ 4 Peabody จะต้องชอบคนนั้นด้วย
    เมื่อนาย Junius Morgan พ่อค้าชาว Boston เจอกับ Peabody ที่ London ในงานเลี้ยงแห่งหนึ่งในปี 1850 Junius Morgan ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูก Peabody เอากล้องส่องสำรวจอย่างละเอียด Peabody รู้สึกถูกชะตากับ Junius Morgan อย่างยิ่ง หลังจากไปสืบถามถึงภูมิหลังและชื่อเสียงจนเป็นที่พอใจ ปี 1854 Junius Morgan ก็อพยพครอบครัว ย้ายมาอยู่ที่ London และมีตำแหน่งเป็นหุ้นส่วนกิจการ ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Peabody, Morgan & Company

    นอกเหนือจากขายพันธบัตร ของธุรกิจของฝั่งอเมริกา และของรัฐบาลอเมริกันแล้ว บริษัทยังทำหน้าที่เป็นตัวแทนของรัฐบาลฝ่ายเหนือ ในตอนสงครามระหว่างเหนือใต้ ของอเมริกาอีกด้วย งานนี้ทำกำไรให้กับบริษัทมากมาย จน Peabody ได้ขึ้นอันดับไปยืนอยู่แถวหน้าของตลาดเงิน London

    ปี 1864 Peabody ก็ขอเกษียณตัวเอง และยกธุรกิจทั้งหมดให้กับ Junius ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น J. S Morgan and Company

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน”

    ตอน 6

    ลูกชายของ Junius คือ นาย John Pierpont ที่โด่งดัง เริ่มเข้าเรียนโรงเรียนมัธยมของอังกฤษที่ Boston แต่ต่อมา การเรียน และการใช้ชีวิตส่วนใหญ่ของเขาอยู่แถวยุโรป เขาจึงมีลักษณะท่าทาง เป็นคนอังกฤษมากกว่าคนอเมริกัน ดูเหมือนเขาจะถูกสร้างให้เป็นตามแบบพิมพ์ที่ Peabody ตั้งใจ
    John Pierpont ถูกส่งไปฝึกงานกับบริษัทการเงินอื่น ก่อนจะมารับตำแหน่งหุ้นส่วนในกิจการ Dabney, Morgan & Company ซึ่งเป็นสาขา New York ของบริษัทที่ London
    ในปี 1871 บริษัทได้หุ้นส่วนใหม่อีกคนจาก Philadelphia คือ Anthony Drexel บริษัทจึงเปลี่ยนชื่อเป็น Drexel, Morgan & Company และในปี 1895 เมื่อ Drexel ตาย บริษัทจึงเปลี่ยนชื่อกลับมาเป็น J P Morgan & Company และมีสาขาที่ปารีส ชื่อ Morgan, Haries & Company

    หลังจาก Junius ตาย ไม่กี่ปีต่อมา Pierpont ก็ตัดสินใจปรับปรุงรูปโฉมของบริษัทที่ London ให้กลายเป็นบริษัทอังกฤษแท้ และแบ่งธุรกิจให้สาขาที่อเมริกา ก็รับแต่งานของฝั่งอเมริกาไป และก็เป็นโอกาสให้ J P Morgan Jr. ซึ่งเพื่อนฝูงเรียกว่า Jack ลูกชายของ Pierpont ได้รับตำแหน่งเป็นผู้จัดการธุรกิจที่อเมริกา และกลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการทำให้โลกนี้กลายเป็นแดนอธรรม หรือ ดงโจร

    ตามชีวประวัติของ Jack ซึ่งนาย John Forbes เขียนไว้ดังนี้ :

    J P Morgan, Jr. ได้เป็นหุ้นส่วนของ London House ของ J. P Morgan & Co เมื่อเดือนมกราคม 1898 และหลังจากนั้นไม่กี่วัน ตัวเขาพร้อมครอบครัว เมีย 1 ลูก 3 ก็ย้ายจาก New York มาใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษนานถึง 8 ปี เขาถูกส่งให้มาอยู่อังกฤษ เพื่อมาทำภาระกิจสำคัญ 2 รายการ

    ภาระกิจแรก เพื่อเรียนรู้ภาคปฎิบัติว่า คนอังกฤษทำธุรกิจการธนาคารอย่างไร ภายใต้ระบบธนาคารกลาง ซึ่งกำหนดโดย Bank of England ซึ่ง Morgan คนพ่อ มีความหวังอยากจะตั้งระบบธนาคารกลางในอเมริกา และหวังจะให้คนของ Morgan รู้ไว้ก่อนว่าระบบนี้ทำงานอย่างไร

    ภาระกิจที่สอง เพื่อทำความรู้จักกับนักธุรกิจการเงินของ London อย่างจริงจัง และเลือกหุ้นส่วนที่เป็นอังกฤษ ของแท้ ภาระที่สองนี้ ประสพผลสำเร็จชัดเจน เมื่อ Edward Grenfell ซึ่งเป็นกรรมการของ Bank of England มาเป็นเวลานาน ตกลงมาร่วมเป็นหุ้นส่วนอาวุโส และบริษัทก็เปลี่ยนชื่อใหม่อีกครั้ง เป็น Morgan Grenfell & Company นับว่า Jack ตกได้ปลาตัวใหญ่จริง และสงสัยว่าเขาจะใช้เหยื่อตกปลาชนิดพิเศษ
    ผู้คนพากันสงสัยว่า เมื่อนักการเงินอเมริกา อาจหาญมาซ่าอยู่แถวตลาด London ซึ่งมีเขี้ยวลากกันทั้งนั้น จะไปรอดหรือ มันคงเอาเขี้ยวงัดกัดกันน่าดู นั่นแสดงว่าไม่รู้จัก ว่าคนเป็นเจ้าพ่อตัวจริง เขาคิดอย่างไร

    เมื่อ George Peabody มาถึง London ใหม่ๆ เขาแปลกใจมาก เรียกว่า ตกใจจะตรงกว่า เขาตกใจ ที่อยู่ดีๆ ได้รับคำสั่งให้ไปพบเจ้าพ่อ Baron Nathan Mayer Rothschild ใครจะกล้าเบี้ยวใบสั่งเจ้าพ่อ โดยเฉพาะกำลังมาหากิน อยู่กลางดงของเจ้าพ่อ

    แต่เรื่องกลับโอละพ่อ เจ้าพ่อก็มีวันต้องการมีสมุนนอกบัญชี

    Rothschild บอกกับนาย Peabody ว่า เขาไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบนัก ของพวกผู้ดีหัวสูงของสังคมอังกฤษ ในสายตาของพวกผู้ดีหลายคน เขาก็เป็นเพียงพวกกา หาใช่พันธุ์หงส์ เพราะฉะนั้น พวกสังคมชั้นสูง ก็ไม่ปลื้ม ไม่จริงใจ ในการคบค้าเขา สนใจแต่จะคบกับเงินของเขาเท่านั้น

    แล้วนาย Peabody ก็จัดงานฉลองวันชาติของอเมริกาที่ London โดยเชิญบรรดา ขุนนาง ผู้ดีอังกฤษ หัวสูง ยะโสทั้งหลายมาร่วมงาน แขกรับเชิญต่างชอบใจเจ้าภาพ และพอใจที่จะคบค้าด้วย เพราะยังไง ก็เป็น Anglo Saxon เผ่าพันธ์เดียวกัน คงไม่มีใครรู้ว่า ค่าอาหาร ค่าเหล้าในงานเลี้ยงคืน และอีกหลายๆครั้งต่อมา นาย Peabody ไม่ได้เป็นคนจ่ายเงิน

    ปี 1857 เมื่อตลาด Wall Street เกือบล่ม นักเล่นหุ้นใช้สูตร ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย เหมือนพวกเซียนใหญ่บ้านเรา Peabody และ Morgan คนพ่อ ถลาเข้าไปรับประกันชำระหนี้แทน นักเล่นหุ้น รวม ๆ แล้ว ประมาณ 2 ล้านปอนด์ หวังค่าคอมก้อนใหญ่ แต่ก็มีคนไม่แน่ใจว่า ถึงเวลา ถ้าลูกหนี้เบี้ยวหมด Peabody และ Morgan จะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย

    ในประวัติของ The House of Morgan เขียนโดย Ron Chernow บอกว่า ขณะที่ข่าวลือชิ้นแรกว่อนไปทั่วว่า George Peabody น่าจะร่วงตามลูกหนี้ ข่าวลือชิ้นต่อมา ก็บอกว่า จะมีเจ้ามือใหญ่ของตลาดมาช่วยนาย Peabody โดยมีเงื่อนไข เขาจะต้องปิดกิจการบริษัทที่อังกฤษ และกลับอเมริกาไปภายใน 1 ปี
    ไม่นานหลังจากมีข่าวลือ ก็มีข่าวจริงออกมา ว่า Bank of England ประกาศให้เงินกู้ 8 แสนปอนด์ ด้วยดอกเบี้ยอัตราต่ำติดพื้นให้แก่ Peabody รวมทั้งให้ credit line อีก 1 ล้านปอนด์ ถ้าจำเป็นและต้องการ มันเป็นเรื่องผิดคาดของตลาดการเงินลอนดอน ที่ Thomas Hanley ผู้ว่าการธนาคาร Bank of England ซึ่งปฎิเสธ ที่จะช่วยเหลือบริษัทการเงินอเมริกันมาหลายรายแล้ว จะมาอุ้ม Peabody & Company ในขณะที่จมน้ำไปเกือบมิดหัวแล้ว

    แต่ถ้าลองไล่เรียง ความก้าวหน้าของ Peabody ใน London ตั้งแต่เริ่ม ปี 1837 มาจนถึงวันที่ J P Morgan & Co กลายเป็น Morgan Grenfell & Company หลัง ปี 1894 ก็น่าจะพอต่อเรื่องกันได้ว่า ฝีมือเขาดีจริง หรือน่าจะเพราะมีเจ้าพ่อหนุนหลัง หรือทั้ง 2 อย่าง แต่ฝีมือดีอย่างเดียว คงไม่น่ามาได้ไกลขนาดนี้

    Guaranty Trust ของ J P Morgan จึงรับบทสำคัญไม่น้อย หรืออาจจะมากกว่า Jacob Schiff เสียด้วยซ้ำ ในละครลวงโลกปฏิวัติ Bolsheviks ปล้นรัสเซีย

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    5 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – บทไอ้โหดเขียน 5 – 6 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน” ตอน 5 J P Morgan ไม่ใช่เป็นบริษัทการเงินเล็กๆ เขาใหญ่ และดังคับโลก เขาสนใจ และรับงาน เฉพาะรายใหญ่ระดับชาติเท่านั้น และแม้ J P Morgan จะเป็นเจ้าพ่อ Wall Street แต่เขาก็สนิทสนม จนเกือบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ Rothschild เจ้าพ่อตัวจริงของฝั่งอังกฤษ ทำให้ผู้คนต่างพากันเดาถึงที่มาของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของ 2 กลุ่มการเงิน ที่ไม่แน่ว่าจะมีใครรู้จริง นาย George Peabody เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกัน จาก Massachusetts เดินทางไปอังกฤษในปี ค.ศ. 1837 เพื่อขายพันธบัตร กิจการสร้างคลอง Chesapeake Ohio ของอเมริกา ซึ่งขายได้ฝืดมากในอเมริกา เนื่องจากอยู่ในช่วงเศรษฐกิจถอยหลัง เขาหวังว่าคนอังกฤษจะกระเป๋าหนักกว่าคนอเมริกัน แต่ประตูของตลาดลอนดอน ก็เปิดยากเอาการ แต่ Peabody มีความเพียร เขาพยายามเคาะประตูนักการเงินใหญ่ของลอนดอนไปทุกบาน ในที่สุดก็ขายพันธบัตรคลอง Ohio ได้หมด และได้กำไรไม่น้อย นาย Peabody ไม่เอาเงินกำไรกลับอเมริกา เขาเอาเงินนั้นไปลงทุน ตั้งบริษัททำธุรกิจตัวแทนเกี่ยวกับการนำเข้าส่งออก อยู่ที่ถนน Bond Street ในลอนดอน ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้นักธุรกิจ ทั้ง 2 ฝั่ง ของมหาสมุทรแอตแลนติก ใครต้องการส่งสินค้า เขาส่งให้ ใครต้องการขาย เขาหาคนซื้อให้ ใครไม่มีเงิน เขาให้เงินกู้ มันคงเป็นจังหวะดี หรือนาย Peabody มีฝีมือจริง ธุรกิจในลอนดอนของเขา จึงก้าวหน้าไปลิ่ว คงมัวแต่ทำงานหนัก เลยไม่มีเวลาหาเมีย กว่าจะนึกออกก็คงดึกไปแล้ว แทนที่จะไปมองหาสาว เขาเลยมองหาคนที่จะมารับช่วงกิจการต่อไป ซึ่งต้องมีคุณสมบัติตามที่เขา ตั้งไว้ คือ ข้อที่ 1. ต้องเป็นคนเกิดที่อเมริกา ถึงยังไง นาย Peabody ก็ยังรักบ้านเกิด และที่สำคัญ เขาถือว่าบริษัทของเขา เป็นบริษัทอเมริกัน ข้อที่ 2 ต้องเป็นคนที่มีสัญชาตญาณ หรือวิญญาณอังกฤษสิงอยู่หน่อยๆ จะได้ต้อนรับลูกค้า ที่เป็นคนใหญ่คนโตของอังกฤษ ได้อย่างไม่เก้งก้าง ข้อที่ 3 คือต้องรู้จักธุรกิจการเงินของอังกฤษ อเมริกา (Anglo-American finance) เป็นอย่างดี และข้อที่ 4 Peabody จะต้องชอบคนนั้นด้วย เมื่อนาย Junius Morgan พ่อค้าชาว Boston เจอกับ Peabody ที่ London ในงานเลี้ยงแห่งหนึ่งในปี 1850 Junius Morgan ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูก Peabody เอากล้องส่องสำรวจอย่างละเอียด Peabody รู้สึกถูกชะตากับ Junius Morgan อย่างยิ่ง หลังจากไปสืบถามถึงภูมิหลังและชื่อเสียงจนเป็นที่พอใจ ปี 1854 Junius Morgan ก็อพยพครอบครัว ย้ายมาอยู่ที่ London และมีตำแหน่งเป็นหุ้นส่วนกิจการ ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Peabody, Morgan & Company นอกเหนือจากขายพันธบัตร ของธุรกิจของฝั่งอเมริกา และของรัฐบาลอเมริกันแล้ว บริษัทยังทำหน้าที่เป็นตัวแทนของรัฐบาลฝ่ายเหนือ ในตอนสงครามระหว่างเหนือใต้ ของอเมริกาอีกด้วย งานนี้ทำกำไรให้กับบริษัทมากมาย จน Peabody ได้ขึ้นอันดับไปยืนอยู่แถวหน้าของตลาดเงิน London ปี 1864 Peabody ก็ขอเกษียณตัวเอง และยกธุรกิจทั้งหมดให้กับ Junius ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น J. S Morgan and Company นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน” ตอน 6 ลูกชายของ Junius คือ นาย John Pierpont ที่โด่งดัง เริ่มเข้าเรียนโรงเรียนมัธยมของอังกฤษที่ Boston แต่ต่อมา การเรียน และการใช้ชีวิตส่วนใหญ่ของเขาอยู่แถวยุโรป เขาจึงมีลักษณะท่าทาง เป็นคนอังกฤษมากกว่าคนอเมริกัน ดูเหมือนเขาจะถูกสร้างให้เป็นตามแบบพิมพ์ที่ Peabody ตั้งใจ John Pierpont ถูกส่งไปฝึกงานกับบริษัทการเงินอื่น ก่อนจะมารับตำแหน่งหุ้นส่วนในกิจการ Dabney, Morgan & Company ซึ่งเป็นสาขา New York ของบริษัทที่ London ในปี 1871 บริษัทได้หุ้นส่วนใหม่อีกคนจาก Philadelphia คือ Anthony Drexel บริษัทจึงเปลี่ยนชื่อเป็น Drexel, Morgan & Company และในปี 1895 เมื่อ Drexel ตาย บริษัทจึงเปลี่ยนชื่อกลับมาเป็น J P Morgan & Company และมีสาขาที่ปารีส ชื่อ Morgan, Haries & Company หลังจาก Junius ตาย ไม่กี่ปีต่อมา Pierpont ก็ตัดสินใจปรับปรุงรูปโฉมของบริษัทที่ London ให้กลายเป็นบริษัทอังกฤษแท้ และแบ่งธุรกิจให้สาขาที่อเมริกา ก็รับแต่งานของฝั่งอเมริกาไป และก็เป็นโอกาสให้ J P Morgan Jr. ซึ่งเพื่อนฝูงเรียกว่า Jack ลูกชายของ Pierpont ได้รับตำแหน่งเป็นผู้จัดการธุรกิจที่อเมริกา และกลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการทำให้โลกนี้กลายเป็นแดนอธรรม หรือ ดงโจร ตามชีวประวัติของ Jack ซึ่งนาย John Forbes เขียนไว้ดังนี้ : J P Morgan, Jr. ได้เป็นหุ้นส่วนของ London House ของ J. P Morgan & Co เมื่อเดือนมกราคม 1898 และหลังจากนั้นไม่กี่วัน ตัวเขาพร้อมครอบครัว เมีย 1 ลูก 3 ก็ย้ายจาก New York มาใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษนานถึง 8 ปี เขาถูกส่งให้มาอยู่อังกฤษ เพื่อมาทำภาระกิจสำคัญ 2 รายการ ภาระกิจแรก เพื่อเรียนรู้ภาคปฎิบัติว่า คนอังกฤษทำธุรกิจการธนาคารอย่างไร ภายใต้ระบบธนาคารกลาง ซึ่งกำหนดโดย Bank of England ซึ่ง Morgan คนพ่อ มีความหวังอยากจะตั้งระบบธนาคารกลางในอเมริกา และหวังจะให้คนของ Morgan รู้ไว้ก่อนว่าระบบนี้ทำงานอย่างไร ภาระกิจที่สอง เพื่อทำความรู้จักกับนักธุรกิจการเงินของ London อย่างจริงจัง และเลือกหุ้นส่วนที่เป็นอังกฤษ ของแท้ ภาระที่สองนี้ ประสพผลสำเร็จชัดเจน เมื่อ Edward Grenfell ซึ่งเป็นกรรมการของ Bank of England มาเป็นเวลานาน ตกลงมาร่วมเป็นหุ้นส่วนอาวุโส และบริษัทก็เปลี่ยนชื่อใหม่อีกครั้ง เป็น Morgan Grenfell & Company นับว่า Jack ตกได้ปลาตัวใหญ่จริง และสงสัยว่าเขาจะใช้เหยื่อตกปลาชนิดพิเศษ ผู้คนพากันสงสัยว่า เมื่อนักการเงินอเมริกา อาจหาญมาซ่าอยู่แถวตลาด London ซึ่งมีเขี้ยวลากกันทั้งนั้น จะไปรอดหรือ มันคงเอาเขี้ยวงัดกัดกันน่าดู นั่นแสดงว่าไม่รู้จัก ว่าคนเป็นเจ้าพ่อตัวจริง เขาคิดอย่างไร เมื่อ George Peabody มาถึง London ใหม่ๆ เขาแปลกใจมาก เรียกว่า ตกใจจะตรงกว่า เขาตกใจ ที่อยู่ดีๆ ได้รับคำสั่งให้ไปพบเจ้าพ่อ Baron Nathan Mayer Rothschild ใครจะกล้าเบี้ยวใบสั่งเจ้าพ่อ โดยเฉพาะกำลังมาหากิน อยู่กลางดงของเจ้าพ่อ แต่เรื่องกลับโอละพ่อ เจ้าพ่อก็มีวันต้องการมีสมุนนอกบัญชี Rothschild บอกกับนาย Peabody ว่า เขาไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบนัก ของพวกผู้ดีหัวสูงของสังคมอังกฤษ ในสายตาของพวกผู้ดีหลายคน เขาก็เป็นเพียงพวกกา หาใช่พันธุ์หงส์ เพราะฉะนั้น พวกสังคมชั้นสูง ก็ไม่ปลื้ม ไม่จริงใจ ในการคบค้าเขา สนใจแต่จะคบกับเงินของเขาเท่านั้น แล้วนาย Peabody ก็จัดงานฉลองวันชาติของอเมริกาที่ London โดยเชิญบรรดา ขุนนาง ผู้ดีอังกฤษ หัวสูง ยะโสทั้งหลายมาร่วมงาน แขกรับเชิญต่างชอบใจเจ้าภาพ และพอใจที่จะคบค้าด้วย เพราะยังไง ก็เป็น Anglo Saxon เผ่าพันธ์เดียวกัน คงไม่มีใครรู้ว่า ค่าอาหาร ค่าเหล้าในงานเลี้ยงคืน และอีกหลายๆครั้งต่อมา นาย Peabody ไม่ได้เป็นคนจ่ายเงิน ปี 1857 เมื่อตลาด Wall Street เกือบล่ม นักเล่นหุ้นใช้สูตร ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย เหมือนพวกเซียนใหญ่บ้านเรา Peabody และ Morgan คนพ่อ ถลาเข้าไปรับประกันชำระหนี้แทน นักเล่นหุ้น รวม ๆ แล้ว ประมาณ 2 ล้านปอนด์ หวังค่าคอมก้อนใหญ่ แต่ก็มีคนไม่แน่ใจว่า ถึงเวลา ถ้าลูกหนี้เบี้ยวหมด Peabody และ Morgan จะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย ในประวัติของ The House of Morgan เขียนโดย Ron Chernow บอกว่า ขณะที่ข่าวลือชิ้นแรกว่อนไปทั่วว่า George Peabody น่าจะร่วงตามลูกหนี้ ข่าวลือชิ้นต่อมา ก็บอกว่า จะมีเจ้ามือใหญ่ของตลาดมาช่วยนาย Peabody โดยมีเงื่อนไข เขาจะต้องปิดกิจการบริษัทที่อังกฤษ และกลับอเมริกาไปภายใน 1 ปี ไม่นานหลังจากมีข่าวลือ ก็มีข่าวจริงออกมา ว่า Bank of England ประกาศให้เงินกู้ 8 แสนปอนด์ ด้วยดอกเบี้ยอัตราต่ำติดพื้นให้แก่ Peabody รวมทั้งให้ credit line อีก 1 ล้านปอนด์ ถ้าจำเป็นและต้องการ มันเป็นเรื่องผิดคาดของตลาดการเงินลอนดอน ที่ Thomas Hanley ผู้ว่าการธนาคาร Bank of England ซึ่งปฎิเสธ ที่จะช่วยเหลือบริษัทการเงินอเมริกันมาหลายรายแล้ว จะมาอุ้ม Peabody & Company ในขณะที่จมน้ำไปเกือบมิดหัวแล้ว แต่ถ้าลองไล่เรียง ความก้าวหน้าของ Peabody ใน London ตั้งแต่เริ่ม ปี 1837 มาจนถึงวันที่ J P Morgan & Co กลายเป็น Morgan Grenfell & Company หลัง ปี 1894 ก็น่าจะพอต่อเรื่องกันได้ว่า ฝีมือเขาดีจริง หรือน่าจะเพราะมีเจ้าพ่อหนุนหลัง หรือทั้ง 2 อย่าง แต่ฝีมือดีอย่างเดียว คงไม่น่ามาได้ไกลขนาดนี้ Guaranty Trust ของ J P Morgan จึงรับบทสำคัญไม่น้อย หรืออาจจะมากกว่า Jacob Schiff เสียด้วยซ้ำ ในละครลวงโลกปฏิวัติ Bolsheviks ปล้นรัสเซีย สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 5 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 573 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – บทไอ้โหดเขียน 1 – 4
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน”

    ตอน 1

    เล่าเรื่องมาถึงตอนนี้ คงจะพอเห็นกันรางๆแล้วว่า การปฏิวัติรัสเซีย โดยพวก Bolsheviks น่าจะเป็นละครลวงโลก ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษ ที่สามารถต้มคนได้ทั้งโลก เป็นเวลานานร่วมร้อยปีแล้ว โดยแทบจะยังไม่มีใครรู้เรื่อง เอะใจ หรือ สงสัย เพราะเอกสารที่เกี่ยวข้อง ได้ถูกทำลายไปเกือบหมด เกือบหมด แต่ไม่หมด มีนักวิชาการ นักประวัติศาสตร์ ผู้ที่สนใจความจริง และรักความเป็นธรรม และที่สำคัญ ผู้ที่ได้รับผลกระทบต่อชีวิต และประเทศชาติของเขา เริ่มทะยอยค้นคว้า หาข้อเท็จจริง จากเอกสารที่ถูกกระจายซุกซ่อน บิดเบือน และพรางตัวในรูปแบบต่างๆ

    แต่ความจริงไม่เคยถูกซ่อนได้มิดหมด ไม่เคยถูกเก็บ จนไร้ร่องรอยโดยสิ้นเชิง ความจริง รอให้เราตามรอย ขุดค้นขึ้นมาใหม่

    มันไม่ใช่การปฏิวัติอันยิ่งใหญ่ อย่างที่เราเข้าใจกันแม้แต่น้อย แต่มันเป็นการสมคบกันของโจร ในเสื้อคลุมต่างๆ ที่จะปล้นรัสเซีย อย่างไม่ให้เหลือซาก อย่างโหดเหี้ยม และเลือดเย็น ทำลายสถาบัน ทำลายประเทศ ผ่านการสร้างฉากปฏิวัติ ซึ่งเป็นรูปแบบการปล้นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง และมันได้ถูกนำมาพัฒนา เป็นการปล้นประเทศอื่นๆต่อไปอีกมากมาย

    (และก็น่าคิดว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครอง หรือการปฏิวัติของไทยเรา ในปี พ.ศ.2475 (ค.ศ.1932) ที่มีผู้สรรเสริญกันหนักหนา ก็อาจจะเป็นละครลวงโลก โดยการจัดฉากเช่นเดียวกันนี
    ผมมาฉุกใจคิด ตอนกำลังเขียนนิทานเรื่องนี้ เลยแวะไปหาเอกสารเก่าๆอ่าน เจอเรื่อง พระยากัลยาณไมตรี (ฟรานซิส บี แซร์ Francis Bowes Sayre) นักกฏหมายจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ที่เข้ามายังสยามประเทศ เป็นที่ปรึกษาด้านการต่างประเทศของไทย ในสมัยพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ตั้งแต่ปี พ.ศ.2466 (ค.ศ.1923) ในปี พ.ศ.2468 (ค.ศ.1925) มีตำแหน่งเป็น เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย มาถึงสมัยพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 นาย Sayre ถวายคำปรึกษาด้านสนธิสัญญา และร่วมร่างเค้าโครงรัฐธรรมนูญ ฉบับพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย ในชื่อ “Outline of Preliminary Draft” และเป็นผู้แทนรัฐบาลไทย ในการเจรจาเรื่องสนธิสัญญาไทย- สหรัฐอเมริกา

    จะรู้สึกสะกิดใจกันไหมครับ ถ้าผมบอกว่า Francis B Sayre เป็นลูกเขยของประธานาธิบดี Woodrow Wilson และช่วงปี ค.ศ.1917 เขาทำงานกับ YMCA จำได้ไหมครับว่า ผมเคยเล่าว่าหน่วยงานนี้ จริงๆ ทำหน้าที่อะไร และ YMCA ไปทำอะไรที่รัสเซีย ในปี 1917 สงสัยผมคงจะต้องไปค้นหาข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่อง คุณลูกเขยนี่เพิ่มเติมสักหน่อย)

    กลับมาที่เรื่องปล้นรัสเซียต่อ ตัวละครสำคัญคือ American International Corperation (AIC) ซึ่งตามบทละครลวงโลกครั้งยิ่งใหญ่นี้ น่าจะถูกตั้งขึ้นมา เพื่อรับบทเป็นผู้นำการปล้น โดยเป็นผู้จัดการระดมทุน ที่ต้องลงทุนค่าใช้จ่ายในการเตรียมการจัดหาพรรคพวก อาวุธยุทธภัณท์ เครื่องไม้เครื่องมือ รวมทั้งการซ้อมปล้นที่อื่นมาหลายแห่ง ตั้งแต่ เม็กซิโก อเมริกาใต้ ยันไปถึงเมืองจีน ก่อนที่จะเป็นการลงมือในฉากใหญ่ ปล้นรัสเซีย จักรวรรดิที่มีอาณาบริเวณกว้างขวาง มีทรัพยากรมากมายซ่อนอยู่

    แต่ก็ยังไม่ชัดเจน ว่าใครกันแน่ ที่เป็นคนสั่งให้มีการ “ปล้น” และใครเป็นคนวางแผนปล้น และทำไมถึงเลือกรัสเซีย มันจะมาจากสาเหตุอะไรก็ตาม มันต้องทำเป็นขบวนการ เตรียมการล่วงหน้าเป็นปีๆ (AIC ตั้งขึ้น ค.ศ.1915 การปฏิวัติรัสเซียทั้ง 2 ครั้ง เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1917)

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน”

    ตอน 2

    หนังสือพิมพ์ New York Times วันที่ 17 มีนาคม 1917 เขียนรายงานถึงนักข่าวชื่อดัง นาย George Kennan ซึ่งได้พูดในวันที่กลุ่มสังคมนิยมชาวอเมริกัน ได้จัดงานชุมนุม เพื่อฉลองการปฏิวัติรัสเซีย ว่า

    “นาย Kennan เล่าให้ฟัง ถึงผลงานของกลุ่ม Friends of Russian Freedom ที่เข้าไปเกี่ยว กับการปฏิวัติรัสเซีย เขาบอกว่า เรื่องมันเริ่มมาตั้งแต่ สงครามระหว่างรัสเซียกับญี่ปุ่นที่รบกันตั้งแต่ ค.ศ. 1904 นู่น เมื่อรบกันไปปีกว่า ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายได้เปรียบ และจับทหารรัสเซียได้ประมาณ 12,000 เอามาขังไว้ที่ญี่ปุ่น ตอนนั้นเขาอยู่ที่โตเกียว และได้รับอนุญาตให้เข้าไปเยี่ยมนักโทษ ที่เป็นทหารรัสเซีย

    เขาได้รับหน้าที่ ให้เป็นคนหว่านความคิด สร้างความเกลียดชัง และต้องการปฏิวัติไล่ซาร์ของรัสเซีย เอาไว้ในหัวของพวกทหารรัสเซีย ที่ถูกจับนั้น โดยพวกญี่ปุ่นให้ความสนับสนุน เอกสารการโฆษณาชวนเชื่อ และชวนให้ปฏิวัติ ถูกจัดส่งไปที่ญี่ปุ่นจากอเมริกา หลังจากปฏิบัติภาระกิจ หว่านเมล็ดพันธ์ปฏิวัติเสร็จ เขาก็เดินทางกลับอเมริกา

    เขาบอกว่า ขบวนการหว่านความคิดให้ปฏิวัติซาร์ของรัสเซียนี้ นี้ได้รับการอุปถัมภ์ และสนับสนุนด้านเงินทุน จากนักการเงินใหญ่แห่งนิวยอร์ค ที่ทุกคนรู้จักดีและชื่นชม คือนาย Jacob H Schiff นั่นแหละ!

    เมื่อสงครามโลกเกิดขึ้น มีทหารรัสเซีย ถูกควบคุมอยู่ที่ญี่ปุ่น ประมาณ 50,000 คน ทำให้ Friends of Russian Freedom ได้หว่านเมล็ดพันธุ์ปฏิวัติ เพิ่มขึ้นอีกมากมาย
    “…แต่ผมไม่รู้จำนวนที่แน่นอน ของพวกเมล็ดพันธุ์ที่เราหว่านไว้ และได้มาเข้าร่วมการปฏิวัติครั้งนี้… “นาย Kennan บอก

    หลังจากนั้น เขาก็อ่านโทรเลขจากนาย Jacob H Schiff บางส่วน ให้พวกที่มาชุมนุมฟัง

    “ …คุณช่วยบอกพวกเรา ที่มาฉลองกันคืนนี้ว่า ผมเสียใจอย่างยิ่ง ที่ไม่สามารถมาร่วมฉลองการได้รางวัลของ Friends of Russian Freedom ที่เราได้คาดหวัง และพยายามอยู่หลายปี เพื่อจะทำให้มันเกิดผลสำเร็จ..”
    นอกจากนี้ Schiff ยังแสดงความเห็นของเขาต่อการปฏิวัติรัสเซีย อย่างไม่ปิดบัง ผ่านบทความของเขาที่เขียนลงใน นสพ.ต่าง ๆ

    สำหรับ หนังสือพิมพ์ The Evening Post นั้น Schiff เขียนว่า

    “เพื่อตอบคำถามพวกคุณ ถึงความเห็นของผม เกี่ยวกับสถานะการเงินของรัสเซีย ผมเชื่ออย่างยิ่งว่า ด้วยการพัฒนาทรัพยากรอันมหาศาล ของรัสเซียอย่างถูกต้อง หลังจากกำจัดคนใหญ่คนโตไปแล้วนั้น(หมายถึงซาร์) รัสเซียก็สามารถจะพัฒนาสถานะการเงินของตน ให้ขึ้นมาอยู่ในกลุ่ม ที่จะสร้างประโยชน์แก่ตลาดเงินของโลกได้”

    คำตอบของ Schiff สะท้อนถึงความเห็น ของแวดวงการเงินในลอนดอนและนิวยอร์ค เกี่ยวกับการปฏิวัติรัสเซียได้ดีพอสมควร

    นาย John B. Young แห่งธนาคาร National City Bank ซึ่ง บังเอิญอยู่ที่รัสเซีย ในปี 1916 เพื่อทำหน้าที่จัดการเงินกู้ ของพวกนายทุนอเมริกันให้แก่ซาร์ว่า ได้มีการพูดถึงการปฏิวัติกันทั่วไปหมดในรัสเซียในปีนั้น เขาคิดว่า พวกที่จะทำการปฏิวัติ เป็นพวกที่เอาจริง

    หนังสือพิมพ์ The New York Times รายงาน ว่า ตลาดแลกเปลี่ยนเงินที่ลอนดอน คึกคักล่วงหน้า 24 ชั่วโมงก่อนการปฏิวัติ เหมือนกับทางลอนดอนรู้ว่า จะมีการปฏิวัติก่อนนิวยอร์ค และนักการเงินรุ่นใหญ่ ทั้งในตลาดเงินลอนดอนและนิวยอร์ค ต่างมีความเห็นไปในทางบวกกับการปฏิวัติของรัสเซีย พวกกลุ่มนักการเงินและกลุ่มอุตสาหกรรม มองว่าการปฏิวัตินี้ เป็นการกำจัดอิทธิพล ของกลุ่มที่ฝักฝ่ายเยอรมันในรัฐบาลรัสเซียออกไป และจะทำให้การทำสงครามกับเยอรมัน ของรัสเซียเข้มแข็งขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อฝ่ายอังกฤษ

    นาย Jacob H Schiff เป็นใคร และอะไรทำให้เขาลงทุนให้ นาย George Kennan ถือตะกร้า ไปหว่านเมล็ดพันธุ์ปฏิวัติถึงในโตเกียว

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน”

    ตอน 3

    Jacob H Schiff เป็นลูกของนักบวชชาวยิว (Jewish Rabbi) เกิดที่เมือง Frankfurt เยอรมัน เขาถูกส่งให้มาอยู่ที่อเมริกา ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 ตามคำสั่งและโดยเงินทุนของตระกูลโคตรรวย เจ้าพ่อ Rothschild

    ภาระกิจของ Schiff คือ เข้าไปคลุกอยู่กับนักการเงินชาวอเมริกัน และรอฟังคำสั่งจากเจ้านายต่อไป

    เมื่ออยู่อเมริกานานพอ จนศึกษาลู่ทางเกี่ยวกับธุรกิจการเงินได้พอสมควร ด้วยทุนของ Rothschild Schiff ก็ซื้อกิจการธนาคารที่อินเดียนนา ชื่อ Kuhn and Loeb ซึ่งเป็นของ Abraham Kuhn และ Solomon Loeb พร้อมกันนั้น เพื่อให้แน่ใจว่าคุมกิจการได้หมดจด Schiff ก็แต่งงานกับ Therese ลูกสาวของ Solomon หลังจากนั้นก็ซื้อหุ้นส่วนของ Kuhn มาทั้งหมด ทำให้เขาเป็นเจ้าของ Kuhn and Loeb แต่ผู้เดียว และย้ายมาทำธุรกิจที่นิวยอร์ค เป็นสูตรการซื้อกิจการที่น่าสนใจ แต่งงานกับลูกสาว แล้วได้เป็นเจ้าของกิจการของพ่อตา

    เมื่อมาเปิดตัวที่นิวยอร์ค ในช่วงแรกๆ เขาไม่ค่อยได้รับการต้อนรับจากเจ้าถิ่นใหญ่คือ House of Morgan ซึ่งเป็นเจ้าพ่อคุมวอลสตรีทอยู่ แต่ Schiff ในฐานะตัวแทนของเจ้าพ่อ Rothschild ก็คงไม่มีใครกล้ารังเกียจที่จะ คบค้า แล้ว Schiff กับ Morgan ก็จับมือกัน เงินมันกลิ่นเดียวกัน ข่าวบอกว่า Schiff เป็นตัวกลาง เชื่อม Rothschild กับ House of Morgan เข้าด้วยกัน

    นิตยสาร Truth ฉบับวันที่ 16 ธันวาคม 1912 ลงบทความ ที่เขียนโดย George R Conroy ดังนี้:

    ” Schiff นายใหญ่ของธุรกิจการเงิน Kuhn, Loeb & Co ซึ่งเป็นตัวแทนของ Rothschild ทางฝั่งนี้ของแอตแลนติก ได้รับการยกย่องว่า เป็นนักยุทธศาสตร์การเงินตัวฉกาจ เขาเป็นผู้ให้คำแนะนำด้านการเงิน กับกิจการของ Standard Oil ที่ยิ่งใหญ่ เขามีความสนิทสนม และทำงานใกล้ชิดกับพวก Harrimans และ Rockefellers ในธุรกิจเกี่ยวกับกิจการทางรถไฟทั้งหมดของพวกนั้น จนทำให้พวกนั้น มีอำนาจควบคุมธุรกิจเกี่ยวกับทางรถไฟและการเงินของอเมริกา”
    Kuhn, Loeb & Co มีหุ้นส่วนอีกคน คือ น้องเขยของ Schiff ชื่อ Paul Warburg ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญยิ่งในการวางแผน และดำเนินการให้กลุ่มวอลสตรีท สร้างระบบธนาคารกลาง
    ( Federal Reserve System ) ที่มีเอกชนเป็นเจ้าของ ในอเมริกาได้สำเร็จ และยังเป็นอยู่จนถึงทุกวันนี้

    นอกจากนี้ Paul มีน้องชาย ชื่อ Max Warburg ซึ่งดูแลกิจการ Kuhn, Loeb & Co อยู่ในเยอรมันและ Max ยังทำงานให้รัฐบาลเยอรมัน โดยเป็นหัวหน้าหน่วยจารกรรม ของรัฐบาลเยอรมันในช่วงสงครามโลกอีกด้วย นอกจากนี้ Paul ยังมีน้องชายอีกหนึ่งคน ชื่อ Felix ที่ทำหน้าที่เป็นผู้แทนการค้าของรัฐบาลเยอรมัน ประจำที่กรุงสตอกโฮม หน้าที่นี้ในยามสงคราม ไม่ต่างอะไรกับหน้าที่สืบราชการลับนั่นเอง

    จึงไม่ใช่เป็นเรื่องแปลก ที่แม้จะอยู่อเมริกา แต่ Schiff ก็รู้ความเป็นไป ของอีกฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นอย่างดี ผ่านเครือข่ายธุรกิจของเขา และของกลุ่ม Rothschild

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน”

    ตอน 4

    Schiff ได้ข่าวว่า ซาร์นิโคลัส ที่ 1 ของรัสเซีย รังเกียจชาวยิวอย่างยิ่ง ทำการบีบคั้นชาวยิวสาระพัด และท้ายสุด เริ่มขบวนการที่จะส่งยิวออกนอกรัสเซีย ชาวยิวชื่อ Schiff จึงหาโอกาสที่จะแก้แค้น แทนพวกพ้องชาวยิวในรัสเซีย

    เมื่อได้ยินข่าวว่า รัสเซียกำลังจะต้องทำสงครามกับญี่ปุ่น และต้องการเงินทุนจำนวนมาก Schiff เรียก ประชุมชาวยิวที่บ้านเขา และกล่อมไม่ให้เศรษฐีเงินกู้ชาวยิว ให้เงินกู้แก่ฝั่งรัสเซีย Schiff อ้างว่ารัสเซียร้ายกาจกับชาวยิวอย่างมาก เป็นการเสี้ยมที่ได้ผล รัสเซียหาเงินกู้ไม่สำเร็จ

    ขณะเดียวกัน Baron Korekiyo Takahashi ตัวแทนของทางการญี่ปุ่น ก็กำลังหน้ามืด ในการหาเงินกู้ในนิวยอร์ค เพื่อจะใช้เป็นทุนในการไปรบกับรัสเซีย เขาไม่ได้รับความสนใจแม้แต่น้อย Takahashi จึงติดต่อไปทาง Rothschild ซึ่งก็ตอบปฎิเสธมา โดยให้เหตุผลว่า ไม่อยากผิดใจกับซาร์เพิ่มขึ้น เนื่องจากกลุ่ม Rothschild ไปทำข้อตกลงกับกลุ่ม Rockefeller เกี่ยวกับการขุดหาน้ำมันของรัสเซีย โดยไม่ขออนุญาตซาร์ ทำให้ซาร์ไม่พอใจ Rothschild หาข้ออ้างให้พ้นตัว
    แต่แล้วโอกาสทองของทั้ง 2 ฝ่ายก็มาถึง เมื่อ Takahashi ได้รับเชิญไปงานเลี้ยงรายหนึ่ง ที่ลอนดอน เขาบังเอิญได้นั่งติดกับ Jacob Schiff เขาบอกกับ Schiff ว่าญี่ปุ่นต้องการเงินกู้ 30 ล้านเหรียญ เอามาเป็นทุนสู้กับรัสเซีย Jacob Schiff มองเห็นโอกาสได้รางวัลหลายต่อ ให้เงินกู้กับญี่ปุ่น เป็นการเปิดตลาดใหม่ ให้ญี่ปุ่นไปรบรัสเซีย ได้ล้างแค้นรัสเซียแทนยิว และได้หน้ารับใช้ Rothschild เจ้านาย มันมีแต่ได้กับได้ ใครจะไม่ฉวยโอกาสทองนี้ Schiff จึงตกลงรับคำ จะมาปั่นตลาดเงินในอเมริกา หาเงินทุนให้ญี่ปุ่นไปรบรัสเซีย

    วันที่ 12 พฤษภาคม 1904 พันธบัตรเงินกู้เพื่อญี่ปุ่น ขายคล่องยิ่งกว่าขนมปัง

    New York
    ต้มข้ามศตวรรษ – บทไอ้โหดเขียน 1 – 4 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน” ตอน 1 เล่าเรื่องมาถึงตอนนี้ คงจะพอเห็นกันรางๆแล้วว่า การปฏิวัติรัสเซีย โดยพวก Bolsheviks น่าจะเป็นละครลวงโลก ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษ ที่สามารถต้มคนได้ทั้งโลก เป็นเวลานานร่วมร้อยปีแล้ว โดยแทบจะยังไม่มีใครรู้เรื่อง เอะใจ หรือ สงสัย เพราะเอกสารที่เกี่ยวข้อง ได้ถูกทำลายไปเกือบหมด เกือบหมด แต่ไม่หมด มีนักวิชาการ นักประวัติศาสตร์ ผู้ที่สนใจความจริง และรักความเป็นธรรม และที่สำคัญ ผู้ที่ได้รับผลกระทบต่อชีวิต และประเทศชาติของเขา เริ่มทะยอยค้นคว้า หาข้อเท็จจริง จากเอกสารที่ถูกกระจายซุกซ่อน บิดเบือน และพรางตัวในรูปแบบต่างๆ แต่ความจริงไม่เคยถูกซ่อนได้มิดหมด ไม่เคยถูกเก็บ จนไร้ร่องรอยโดยสิ้นเชิง ความจริง รอให้เราตามรอย ขุดค้นขึ้นมาใหม่ มันไม่ใช่การปฏิวัติอันยิ่งใหญ่ อย่างที่เราเข้าใจกันแม้แต่น้อย แต่มันเป็นการสมคบกันของโจร ในเสื้อคลุมต่างๆ ที่จะปล้นรัสเซีย อย่างไม่ให้เหลือซาก อย่างโหดเหี้ยม และเลือดเย็น ทำลายสถาบัน ทำลายประเทศ ผ่านการสร้างฉากปฏิวัติ ซึ่งเป็นรูปแบบการปล้นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง และมันได้ถูกนำมาพัฒนา เป็นการปล้นประเทศอื่นๆต่อไปอีกมากมาย (และก็น่าคิดว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครอง หรือการปฏิวัติของไทยเรา ในปี พ.ศ.2475 (ค.ศ.1932) ที่มีผู้สรรเสริญกันหนักหนา ก็อาจจะเป็นละครลวงโลก โดยการจัดฉากเช่นเดียวกันนี ผมมาฉุกใจคิด ตอนกำลังเขียนนิทานเรื่องนี้ เลยแวะไปหาเอกสารเก่าๆอ่าน เจอเรื่อง พระยากัลยาณไมตรี (ฟรานซิส บี แซร์ Francis Bowes Sayre) นักกฏหมายจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ที่เข้ามายังสยามประเทศ เป็นที่ปรึกษาด้านการต่างประเทศของไทย ในสมัยพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ตั้งแต่ปี พ.ศ.2466 (ค.ศ.1923) ในปี พ.ศ.2468 (ค.ศ.1925) มีตำแหน่งเป็น เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย มาถึงสมัยพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 นาย Sayre ถวายคำปรึกษาด้านสนธิสัญญา และร่วมร่างเค้าโครงรัฐธรรมนูญ ฉบับพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย ในชื่อ “Outline of Preliminary Draft” และเป็นผู้แทนรัฐบาลไทย ในการเจรจาเรื่องสนธิสัญญาไทย- สหรัฐอเมริกา จะรู้สึกสะกิดใจกันไหมครับ ถ้าผมบอกว่า Francis B Sayre เป็นลูกเขยของประธานาธิบดี Woodrow Wilson และช่วงปี ค.ศ.1917 เขาทำงานกับ YMCA จำได้ไหมครับว่า ผมเคยเล่าว่าหน่วยงานนี้ จริงๆ ทำหน้าที่อะไร และ YMCA ไปทำอะไรที่รัสเซีย ในปี 1917 สงสัยผมคงจะต้องไปค้นหาข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่อง คุณลูกเขยนี่เพิ่มเติมสักหน่อย) กลับมาที่เรื่องปล้นรัสเซียต่อ ตัวละครสำคัญคือ American International Corperation (AIC) ซึ่งตามบทละครลวงโลกครั้งยิ่งใหญ่นี้ น่าจะถูกตั้งขึ้นมา เพื่อรับบทเป็นผู้นำการปล้น โดยเป็นผู้จัดการระดมทุน ที่ต้องลงทุนค่าใช้จ่ายในการเตรียมการจัดหาพรรคพวก อาวุธยุทธภัณท์ เครื่องไม้เครื่องมือ รวมทั้งการซ้อมปล้นที่อื่นมาหลายแห่ง ตั้งแต่ เม็กซิโก อเมริกาใต้ ยันไปถึงเมืองจีน ก่อนที่จะเป็นการลงมือในฉากใหญ่ ปล้นรัสเซีย จักรวรรดิที่มีอาณาบริเวณกว้างขวาง มีทรัพยากรมากมายซ่อนอยู่ แต่ก็ยังไม่ชัดเจน ว่าใครกันแน่ ที่เป็นคนสั่งให้มีการ “ปล้น” และใครเป็นคนวางแผนปล้น และทำไมถึงเลือกรัสเซีย มันจะมาจากสาเหตุอะไรก็ตาม มันต้องทำเป็นขบวนการ เตรียมการล่วงหน้าเป็นปีๆ (AIC ตั้งขึ้น ค.ศ.1915 การปฏิวัติรัสเซียทั้ง 2 ครั้ง เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1917) นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน” ตอน 2 หนังสือพิมพ์ New York Times วันที่ 17 มีนาคม 1917 เขียนรายงานถึงนักข่าวชื่อดัง นาย George Kennan ซึ่งได้พูดในวันที่กลุ่มสังคมนิยมชาวอเมริกัน ได้จัดงานชุมนุม เพื่อฉลองการปฏิวัติรัสเซีย ว่า “นาย Kennan เล่าให้ฟัง ถึงผลงานของกลุ่ม Friends of Russian Freedom ที่เข้าไปเกี่ยว กับการปฏิวัติรัสเซีย เขาบอกว่า เรื่องมันเริ่มมาตั้งแต่ สงครามระหว่างรัสเซียกับญี่ปุ่นที่รบกันตั้งแต่ ค.ศ. 1904 นู่น เมื่อรบกันไปปีกว่า ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายได้เปรียบ และจับทหารรัสเซียได้ประมาณ 12,000 เอามาขังไว้ที่ญี่ปุ่น ตอนนั้นเขาอยู่ที่โตเกียว และได้รับอนุญาตให้เข้าไปเยี่ยมนักโทษ ที่เป็นทหารรัสเซีย เขาได้รับหน้าที่ ให้เป็นคนหว่านความคิด สร้างความเกลียดชัง และต้องการปฏิวัติไล่ซาร์ของรัสเซีย เอาไว้ในหัวของพวกทหารรัสเซีย ที่ถูกจับนั้น โดยพวกญี่ปุ่นให้ความสนับสนุน เอกสารการโฆษณาชวนเชื่อ และชวนให้ปฏิวัติ ถูกจัดส่งไปที่ญี่ปุ่นจากอเมริกา หลังจากปฏิบัติภาระกิจ หว่านเมล็ดพันธ์ปฏิวัติเสร็จ เขาก็เดินทางกลับอเมริกา เขาบอกว่า ขบวนการหว่านความคิดให้ปฏิวัติซาร์ของรัสเซียนี้ นี้ได้รับการอุปถัมภ์ และสนับสนุนด้านเงินทุน จากนักการเงินใหญ่แห่งนิวยอร์ค ที่ทุกคนรู้จักดีและชื่นชม คือนาย Jacob H Schiff นั่นแหละ! เมื่อสงครามโลกเกิดขึ้น มีทหารรัสเซีย ถูกควบคุมอยู่ที่ญี่ปุ่น ประมาณ 50,000 คน ทำให้ Friends of Russian Freedom ได้หว่านเมล็ดพันธุ์ปฏิวัติ เพิ่มขึ้นอีกมากมาย “…แต่ผมไม่รู้จำนวนที่แน่นอน ของพวกเมล็ดพันธุ์ที่เราหว่านไว้ และได้มาเข้าร่วมการปฏิวัติครั้งนี้… “นาย Kennan บอก หลังจากนั้น เขาก็อ่านโทรเลขจากนาย Jacob H Schiff บางส่วน ให้พวกที่มาชุมนุมฟัง “ …คุณช่วยบอกพวกเรา ที่มาฉลองกันคืนนี้ว่า ผมเสียใจอย่างยิ่ง ที่ไม่สามารถมาร่วมฉลองการได้รางวัลของ Friends of Russian Freedom ที่เราได้คาดหวัง และพยายามอยู่หลายปี เพื่อจะทำให้มันเกิดผลสำเร็จ..” นอกจากนี้ Schiff ยังแสดงความเห็นของเขาต่อการปฏิวัติรัสเซีย อย่างไม่ปิดบัง ผ่านบทความของเขาที่เขียนลงใน นสพ.ต่าง ๆ สำหรับ หนังสือพิมพ์ The Evening Post นั้น Schiff เขียนว่า “เพื่อตอบคำถามพวกคุณ ถึงความเห็นของผม เกี่ยวกับสถานะการเงินของรัสเซีย ผมเชื่ออย่างยิ่งว่า ด้วยการพัฒนาทรัพยากรอันมหาศาล ของรัสเซียอย่างถูกต้อง หลังจากกำจัดคนใหญ่คนโตไปแล้วนั้น(หมายถึงซาร์) รัสเซียก็สามารถจะพัฒนาสถานะการเงินของตน ให้ขึ้นมาอยู่ในกลุ่ม ที่จะสร้างประโยชน์แก่ตลาดเงินของโลกได้” คำตอบของ Schiff สะท้อนถึงความเห็น ของแวดวงการเงินในลอนดอนและนิวยอร์ค เกี่ยวกับการปฏิวัติรัสเซียได้ดีพอสมควร นาย John B. Young แห่งธนาคาร National City Bank ซึ่ง บังเอิญอยู่ที่รัสเซีย ในปี 1916 เพื่อทำหน้าที่จัดการเงินกู้ ของพวกนายทุนอเมริกันให้แก่ซาร์ว่า ได้มีการพูดถึงการปฏิวัติกันทั่วไปหมดในรัสเซียในปีนั้น เขาคิดว่า พวกที่จะทำการปฏิวัติ เป็นพวกที่เอาจริง หนังสือพิมพ์ The New York Times รายงาน ว่า ตลาดแลกเปลี่ยนเงินที่ลอนดอน คึกคักล่วงหน้า 24 ชั่วโมงก่อนการปฏิวัติ เหมือนกับทางลอนดอนรู้ว่า จะมีการปฏิวัติก่อนนิวยอร์ค และนักการเงินรุ่นใหญ่ ทั้งในตลาดเงินลอนดอนและนิวยอร์ค ต่างมีความเห็นไปในทางบวกกับการปฏิวัติของรัสเซีย พวกกลุ่มนักการเงินและกลุ่มอุตสาหกรรม มองว่าการปฏิวัตินี้ เป็นการกำจัดอิทธิพล ของกลุ่มที่ฝักฝ่ายเยอรมันในรัฐบาลรัสเซียออกไป และจะทำให้การทำสงครามกับเยอรมัน ของรัสเซียเข้มแข็งขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อฝ่ายอังกฤษ นาย Jacob H Schiff เป็นใคร และอะไรทำให้เขาลงทุนให้ นาย George Kennan ถือตะกร้า ไปหว่านเมล็ดพันธุ์ปฏิวัติถึงในโตเกียว นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน” ตอน 3 Jacob H Schiff เป็นลูกของนักบวชชาวยิว (Jewish Rabbi) เกิดที่เมือง Frankfurt เยอรมัน เขาถูกส่งให้มาอยู่ที่อเมริกา ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 ตามคำสั่งและโดยเงินทุนของตระกูลโคตรรวย เจ้าพ่อ Rothschild ภาระกิจของ Schiff คือ เข้าไปคลุกอยู่กับนักการเงินชาวอเมริกัน และรอฟังคำสั่งจากเจ้านายต่อไป เมื่ออยู่อเมริกานานพอ จนศึกษาลู่ทางเกี่ยวกับธุรกิจการเงินได้พอสมควร ด้วยทุนของ Rothschild Schiff ก็ซื้อกิจการธนาคารที่อินเดียนนา ชื่อ Kuhn and Loeb ซึ่งเป็นของ Abraham Kuhn และ Solomon Loeb พร้อมกันนั้น เพื่อให้แน่ใจว่าคุมกิจการได้หมดจด Schiff ก็แต่งงานกับ Therese ลูกสาวของ Solomon หลังจากนั้นก็ซื้อหุ้นส่วนของ Kuhn มาทั้งหมด ทำให้เขาเป็นเจ้าของ Kuhn and Loeb แต่ผู้เดียว และย้ายมาทำธุรกิจที่นิวยอร์ค เป็นสูตรการซื้อกิจการที่น่าสนใจ แต่งงานกับลูกสาว แล้วได้เป็นเจ้าของกิจการของพ่อตา เมื่อมาเปิดตัวที่นิวยอร์ค ในช่วงแรกๆ เขาไม่ค่อยได้รับการต้อนรับจากเจ้าถิ่นใหญ่คือ House of Morgan ซึ่งเป็นเจ้าพ่อคุมวอลสตรีทอยู่ แต่ Schiff ในฐานะตัวแทนของเจ้าพ่อ Rothschild ก็คงไม่มีใครกล้ารังเกียจที่จะ คบค้า แล้ว Schiff กับ Morgan ก็จับมือกัน เงินมันกลิ่นเดียวกัน ข่าวบอกว่า Schiff เป็นตัวกลาง เชื่อม Rothschild กับ House of Morgan เข้าด้วยกัน นิตยสาร Truth ฉบับวันที่ 16 ธันวาคม 1912 ลงบทความ ที่เขียนโดย George R Conroy ดังนี้: ” Schiff นายใหญ่ของธุรกิจการเงิน Kuhn, Loeb & Co ซึ่งเป็นตัวแทนของ Rothschild ทางฝั่งนี้ของแอตแลนติก ได้รับการยกย่องว่า เป็นนักยุทธศาสตร์การเงินตัวฉกาจ เขาเป็นผู้ให้คำแนะนำด้านการเงิน กับกิจการของ Standard Oil ที่ยิ่งใหญ่ เขามีความสนิทสนม และทำงานใกล้ชิดกับพวก Harrimans และ Rockefellers ในธุรกิจเกี่ยวกับกิจการทางรถไฟทั้งหมดของพวกนั้น จนทำให้พวกนั้น มีอำนาจควบคุมธุรกิจเกี่ยวกับทางรถไฟและการเงินของอเมริกา” Kuhn, Loeb & Co มีหุ้นส่วนอีกคน คือ น้องเขยของ Schiff ชื่อ Paul Warburg ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญยิ่งในการวางแผน และดำเนินการให้กลุ่มวอลสตรีท สร้างระบบธนาคารกลาง ( Federal Reserve System ) ที่มีเอกชนเป็นเจ้าของ ในอเมริกาได้สำเร็จ และยังเป็นอยู่จนถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้ Paul มีน้องชาย ชื่อ Max Warburg ซึ่งดูแลกิจการ Kuhn, Loeb & Co อยู่ในเยอรมันและ Max ยังทำงานให้รัฐบาลเยอรมัน โดยเป็นหัวหน้าหน่วยจารกรรม ของรัฐบาลเยอรมันในช่วงสงครามโลกอีกด้วย นอกจากนี้ Paul ยังมีน้องชายอีกหนึ่งคน ชื่อ Felix ที่ทำหน้าที่เป็นผู้แทนการค้าของรัฐบาลเยอรมัน ประจำที่กรุงสตอกโฮม หน้าที่นี้ในยามสงคราม ไม่ต่างอะไรกับหน้าที่สืบราชการลับนั่นเอง จึงไม่ใช่เป็นเรื่องแปลก ที่แม้จะอยู่อเมริกา แต่ Schiff ก็รู้ความเป็นไป ของอีกฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นอย่างดี ผ่านเครือข่ายธุรกิจของเขา และของกลุ่ม Rothschild นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 7 “บทไอ้โหดเขียน” ตอน 4 Schiff ได้ข่าวว่า ซาร์นิโคลัส ที่ 1 ของรัสเซีย รังเกียจชาวยิวอย่างยิ่ง ทำการบีบคั้นชาวยิวสาระพัด และท้ายสุด เริ่มขบวนการที่จะส่งยิวออกนอกรัสเซีย ชาวยิวชื่อ Schiff จึงหาโอกาสที่จะแก้แค้น แทนพวกพ้องชาวยิวในรัสเซีย เมื่อได้ยินข่าวว่า รัสเซียกำลังจะต้องทำสงครามกับญี่ปุ่น และต้องการเงินทุนจำนวนมาก Schiff เรียก ประชุมชาวยิวที่บ้านเขา และกล่อมไม่ให้เศรษฐีเงินกู้ชาวยิว ให้เงินกู้แก่ฝั่งรัสเซีย Schiff อ้างว่ารัสเซียร้ายกาจกับชาวยิวอย่างมาก เป็นการเสี้ยมที่ได้ผล รัสเซียหาเงินกู้ไม่สำเร็จ ขณะเดียวกัน Baron Korekiyo Takahashi ตัวแทนของทางการญี่ปุ่น ก็กำลังหน้ามืด ในการหาเงินกู้ในนิวยอร์ค เพื่อจะใช้เป็นทุนในการไปรบกับรัสเซีย เขาไม่ได้รับความสนใจแม้แต่น้อย Takahashi จึงติดต่อไปทาง Rothschild ซึ่งก็ตอบปฎิเสธมา โดยให้เหตุผลว่า ไม่อยากผิดใจกับซาร์เพิ่มขึ้น เนื่องจากกลุ่ม Rothschild ไปทำข้อตกลงกับกลุ่ม Rockefeller เกี่ยวกับการขุดหาน้ำมันของรัสเซีย โดยไม่ขออนุญาตซาร์ ทำให้ซาร์ไม่พอใจ Rothschild หาข้ออ้างให้พ้นตัว แต่แล้วโอกาสทองของทั้ง 2 ฝ่ายก็มาถึง เมื่อ Takahashi ได้รับเชิญไปงานเลี้ยงรายหนึ่ง ที่ลอนดอน เขาบังเอิญได้นั่งติดกับ Jacob Schiff เขาบอกกับ Schiff ว่าญี่ปุ่นต้องการเงินกู้ 30 ล้านเหรียญ เอามาเป็นทุนสู้กับรัสเซีย Jacob Schiff มองเห็นโอกาสได้รางวัลหลายต่อ ให้เงินกู้กับญี่ปุ่น เป็นการเปิดตลาดใหม่ ให้ญี่ปุ่นไปรบรัสเซีย ได้ล้างแค้นรัสเซียแทนยิว และได้หน้ารับใช้ Rothschild เจ้านาย มันมีแต่ได้กับได้ ใครจะไม่ฉวยโอกาสทองนี้ Schiff จึงตกลงรับคำ จะมาปั่นตลาดเงินในอเมริกา หาเงินทุนให้ญี่ปุ่นไปรบรัสเซีย วันที่ 12 พฤษภาคม 1904 พันธบัตรเงินกู้เพื่อญี่ปุ่น ขายคล่องยิ่งกว่าขนมปัง New York
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 870 มุมมอง 0 รีวิว
  • ## ทองคำ และ แรงซื้อหลัก จากทั่วโลก ##
    ..
    ..
    ธนาคารกลางทั่วโลกกลับมาซื้อทอง! Q3 ซื้อรวม 220 ตัน หลังจากชะลอการซื้อตลอดครึ่งปีแรกของ 2025
    .
    ตามรายงานจาก World Gold Council (WGC) มีการซื้อทองคำรวม 220 ตัน ในช่วงเดือนกรกฎาคม–กันยายน เพิ่มขึ้น 28% จากไตรมาสก่อนหน้า
    .
    โดยผู้ซื้อรายใหญ่ที่สุดคือ ธนาคารกลางคาซัคสถาน ขณะที่ บราซิล กลับมาซื้อทองคำอีกครั้งในรอบกว่า 4 ปี
    .
    นั่นแปลว่า ธนาคารกลางทั่วโลกยังมองทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย โดยเฉพาะในภาวะที่ เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่า และ เศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนสูง
    .
    นอกจากนี้ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์, เงินเฟ้อที่ยังสูง และนโยบายการค้าระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลง ล้วนกระตุ้นให้หลายประเทศ “กระจายความเสี่ยงออกจากดอลลาร์”
    .
    ตัวเลขสำคัญจากรายงาน WGC
    .
    การซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (ถึง ก.ย. 2025): 634 ตัน ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของ 3 ปีก่อนหน้า แต่ยัง สูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนปี 2022 (ก่อนรัสเซียบุกยูเครน) โดยคาดการณ์ทั้งปี 2025: 750–900 ตัน
    .
    ทั้งนี้ ราว 66% ของดีมานด์ทองคำในไตรมาสล่าสุดยังไม่ได้รายงานอย่างเป็นทางการ — แปลว่าอาจมี “ผู้ซื้อรายใหญ่ที่ไม่เปิดเผยชื่อ”
    .
    แนวโน้มในตลาดทองคำ:
    ราคาทองคำพุ่งขึ้นกว่า 50% ในปีนี้ไปแล้ว
    .
    การซื้อขายทองคำผ่านกองทุน ETF ที่อ้างอิงทอง (Gold ETFs) ทำสถิติใหม่ มีกระแสเงินไหลเข้ากว่า $26 พันล้านดอลลาร์ทั่วโลกใน Q3
    .
    ความต้องการทองคำจากนักลงทุนทั่วไปเพิ่มขึ้น 13% QoQ เพราะกลัวตกขบวนในรอบขาขึ้น
    .
    แต่ด้านหนึ่ง
    .
    ความต้องการทองรูปพรรณลดลง ในแง่ “ปริมาณ” เหลือต่ำสุดตั้งแต่ปี 2020 เพราะราคาสูงเกินเอื้อม แม้ “มูลค่าการใช้จ่าย” จะเพิ่มขึ้น 13% YoY เป็น $41 พันล้านดอลลาร์
    ....
    ....
    สรุปสั้น ๆ
    .
    ธนาคารกลางกลับมาซื้อทองคำอย่างแข็งแกร่งอีกครั้งใน Q3 แม้ราคาทองจะสูงเป็นประวัติการณ์ แต่พวกเขายังมองทองคำเป็น “เกราะป้องกันความเสี่ยง”
    .
    ปี 2025 อาจเห็นการซื้อมากถึง 900 ตันทั่วโลก — เป็นสัญญาณชัดว่าโลกกำลัง “ถือทองมากกว่าดอลลาร์”
    ## ทองคำ และ แรงซื้อหลัก จากทั่วโลก ## .. .. ธนาคารกลางทั่วโลกกลับมาซื้อทอง! Q3 ซื้อรวม 220 ตัน หลังจากชะลอการซื้อตลอดครึ่งปีแรกของ 2025 . ตามรายงานจาก World Gold Council (WGC) มีการซื้อทองคำรวม 220 ตัน ในช่วงเดือนกรกฎาคม–กันยายน เพิ่มขึ้น 28% จากไตรมาสก่อนหน้า . โดยผู้ซื้อรายใหญ่ที่สุดคือ ธนาคารกลางคาซัคสถาน ขณะที่ บราซิล กลับมาซื้อทองคำอีกครั้งในรอบกว่า 4 ปี . นั่นแปลว่า ธนาคารกลางทั่วโลกยังมองทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย โดยเฉพาะในภาวะที่ เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่า และ เศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนสูง . นอกจากนี้ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์, เงินเฟ้อที่ยังสูง และนโยบายการค้าระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลง ล้วนกระตุ้นให้หลายประเทศ “กระจายความเสี่ยงออกจากดอลลาร์” . ตัวเลขสำคัญจากรายงาน WGC . การซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (ถึง ก.ย. 2025): 634 ตัน ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของ 3 ปีก่อนหน้า แต่ยัง สูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนปี 2022 (ก่อนรัสเซียบุกยูเครน) โดยคาดการณ์ทั้งปี 2025: 750–900 ตัน . ทั้งนี้ ราว 66% ของดีมานด์ทองคำในไตรมาสล่าสุดยังไม่ได้รายงานอย่างเป็นทางการ — แปลว่าอาจมี “ผู้ซื้อรายใหญ่ที่ไม่เปิดเผยชื่อ” . แนวโน้มในตลาดทองคำ: ราคาทองคำพุ่งขึ้นกว่า 50% ในปีนี้ไปแล้ว . การซื้อขายทองคำผ่านกองทุน ETF ที่อ้างอิงทอง (Gold ETFs) ทำสถิติใหม่ มีกระแสเงินไหลเข้ากว่า $26 พันล้านดอลลาร์ทั่วโลกใน Q3 . ความต้องการทองคำจากนักลงทุนทั่วไปเพิ่มขึ้น 13% QoQ เพราะกลัวตกขบวนในรอบขาขึ้น . แต่ด้านหนึ่ง . ความต้องการทองรูปพรรณลดลง ในแง่ “ปริมาณ” เหลือต่ำสุดตั้งแต่ปี 2020 เพราะราคาสูงเกินเอื้อม แม้ “มูลค่าการใช้จ่าย” จะเพิ่มขึ้น 13% YoY เป็น $41 พันล้านดอลลาร์ .... .... สรุปสั้น ๆ . ธนาคารกลางกลับมาซื้อทองคำอย่างแข็งแกร่งอีกครั้งใน Q3 แม้ราคาทองจะสูงเป็นประวัติการณ์ แต่พวกเขายังมองทองคำเป็น “เกราะป้องกันความเสี่ยง” . ปี 2025 อาจเห็นการซื้อมากถึง 900 ตันทั่วโลก — เป็นสัญญาณชัดว่าโลกกำลัง “ถือทองมากกว่าดอลลาร์”
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 361 มุมมอง 0 รีวิว
  • ## ทองคำ จะลงเพราะ จีน ยกเลิกสิทธิพิเศษ ภาษีทองคำ...??? ##
    ..
    ..
    นโยบายนี้ อาจทำให้เพิ่มต้นทุน ราคาทองคำใน จีน ขึ้นได้ประมาณ 4-13% สำหรับผู้ซื้อในจีน (หากต้นทุนถูกส่งผ่านเต็มที่)
    .
    และ ผลต่อ อุปสงค์โลก อาจลดลงประมาณ 3% ในระยะกลาง
    .
    ซึ่งถ้าผลลัพธ์นี้เกิดขึ้น ราคาทองโลกอาจถูกกดดันหรือขึ้นช้าลง แต่ไม่ถึงกับทำให้เทรนด์ขาขึ้นหาย เพราะแรงซื้ออื่นยังอยู่
    .
    เหตุผลที่ นโยบายนี้ มีผลกระทบไม่มากจนเกินไป
    .
    เพราะตลาดทองคำโลก ไม่ได้ขึ้นหรือลงจาก จีน เพียงลำพังประเทศเดียว
    .
    ยังมีแรงซื้อจากธนาคารกลางทั่วโลก นักลงทุนสถาบัน นักลงทุนรายย่อยทั่วโลก ปัจจัยทางเฝด้านภูมิรัฐศาสตร์ อัตราดอกเบี้ย และ เงินเฟ้อ อีกด้วย
    .
    แม้จีนเป็นผู้บริโภคทองคำที่ใหญ่มาก แต่การบริโภคทองแตกต่างกัน (เครื่องประดับ vs แท่ง/เหรียญ) และ การซื้อเพื่อเก็บรักษามูลค่า (investment) มีความยืดหยุ่นกว่า
    .
    ผู้ผลิต/ผู้ค้าทองอาจปรับกลยุทธ์ เช่น ลดกำไรเล็กน้อยเพื่อรักษายอดขาย ลดต้นทุนอื่น หรือ ชะลอการส่งออก เข้าไทย ฮ่องกง สิงคโปร์แทน เพื่อรักษา margin
    ....
    ....
    สรุป อย่างสั้นที่สุด คือ มีผลกระทบอยู่ แต่ไม่มากมายอะไรนัก...
    ## ทองคำ จะลงเพราะ จีน ยกเลิกสิทธิพิเศษ ภาษีทองคำ...??? ## .. .. นโยบายนี้ อาจทำให้เพิ่มต้นทุน ราคาทองคำใน จีน ขึ้นได้ประมาณ 4-13% สำหรับผู้ซื้อในจีน (หากต้นทุนถูกส่งผ่านเต็มที่) . และ ผลต่อ อุปสงค์โลก อาจลดลงประมาณ 3% ในระยะกลาง . ซึ่งถ้าผลลัพธ์นี้เกิดขึ้น ราคาทองโลกอาจถูกกดดันหรือขึ้นช้าลง แต่ไม่ถึงกับทำให้เทรนด์ขาขึ้นหาย เพราะแรงซื้ออื่นยังอยู่ . เหตุผลที่ นโยบายนี้ มีผลกระทบไม่มากจนเกินไป . เพราะตลาดทองคำโลก ไม่ได้ขึ้นหรือลงจาก จีน เพียงลำพังประเทศเดียว . ยังมีแรงซื้อจากธนาคารกลางทั่วโลก นักลงทุนสถาบัน นักลงทุนรายย่อยทั่วโลก ปัจจัยทางเฝด้านภูมิรัฐศาสตร์ อัตราดอกเบี้ย และ เงินเฟ้อ อีกด้วย . แม้จีนเป็นผู้บริโภคทองคำที่ใหญ่มาก แต่การบริโภคทองแตกต่างกัน (เครื่องประดับ vs แท่ง/เหรียญ) และ การซื้อเพื่อเก็บรักษามูลค่า (investment) มีความยืดหยุ่นกว่า . ผู้ผลิต/ผู้ค้าทองอาจปรับกลยุทธ์ เช่น ลดกำไรเล็กน้อยเพื่อรักษายอดขาย ลดต้นทุนอื่น หรือ ชะลอการส่งออก เข้าไทย ฮ่องกง สิงคโปร์แทน เพื่อรักษา margin .... .... สรุป อย่างสั้นที่สุด คือ มีผลกระทบอยู่ แต่ไม่มากมายอะไรนัก...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 377 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – ปั่นหุ้น 1 – 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 5 “ปั่นหุ้น”

    ตอน 1

    William Boyce Thompson คงเป็นชื่อที่ยังไม่มีใครรู้จักในประวัติศาสตร์ ก่อนศตวรรษที่ 20 แต่ Thompson เป็นผู้ที่รับบทสำคัญยิ่ง เกี่ยวกับการปฏิวัติพวก Bolsheviks
    แน่นอน ที่สุดถ้า Thompson ไม่ไปอยู่ที่รัสเซียในปี 1917 ประวัติศาสตร์หลังจากนั้นอาจจะเปลี่ยนไปคนละเรื่อง และถ้าไม่มีเรื่องสนับสนุนทางการเงิน โดยเฉพาะเรื่องการเมือง และการโฆษณาชวนเชื่อที่ทำให้กับ Trotsky และ Lenin โดย Thompson และ Robins กับพรรคพวกในนิวยอร์คแล้ว พวก Bolsheviks อาจจะเหี่ยวแห้งเฉาตายไป และรัสเซียจะออกหัวหรือก้อยไม่รู้ได้ แต่การเมืองโลก อาจจะเป็นฉากอื่น ต่างจากที่เราเห็นกันอยู่นี้อย่างสิ้นเชิง

    ใครคือ William Boyce Thompson

    Thompson คือ นักปั้นหุ้น หรือ ปั่นหุ้นเหมืองแร่ มือดีอันดับหนึ่งในธุรกิจสาขานี้ ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 เขาเป็นคนดูแลหุ้นให้กับมหาเศรษฐีตระกูล Guggenheim เจ้าของเหมืองทองแดง ด้วยความสามารถระดับเซียน ในการระดมทุนในตลาดหุ้นประเภทความเสี่ยงสูง ทำให้ Thompson ร่ำรวยขึ้นมา และได้เป็นกรรมการในหลายบริษัทที่เกี่ยวกับธุรกิจเหมืองแร่ต่างๆ โดยเฉพาะแร่ทองแดง ที่เป็นแร่สำคัญในการนำมาใช้ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ นอกจากนี้ เขาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของธนาคาร Chase National Bank

    และ เป็น Albert H. Wiggin ประธาน Chase Bank ที่เป็นคนดันให้ Thompson เข้าไปมีส่วนในการจัดตั้งระบบธนาคารกลาง Federal Reserve System ของอเมริกา และในปี 1913 Thompson เป็นกรรมการที่ทำงานเต็มเวลา (full time) คนแรกของ Federal Reserve Bank of New York ธนาคารกลางที่สำคัญที่สุดในระบบFederal Reserve System
    เขาไม่ใช่กระจอกไม่มีชื่ออีกต่อไป!
    ปี 1917 William Boyce Thompson เปลี่ยนเป็นอินทรีย์และเริ่มสยายปีกไปทางด้านการเงินและการเมือง เขาแสดงให้เห็นถึงสายตายาวไกล และความคล่องตัวจัดของเขา ด้วยการสนับสนุน Karensky ในการปฎิวัติครั้งแรกของรัสเซีย ในต้นปี 1917 และเปลี่ยนเข็มทิศ หมุนกลับมาสนับสนุน Bolsheviks ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าเส้นทางของ Bolsheviks น่าจะดีกว่า หรือว่า มันเป็นการวางแผนไว้เป็น 2 ขั้นตอน ตั้งแต่แรก

    ก่อนจะออกเดินทางกลับจากรัสเซียในต้นเดือนธันวาคม 1917 Thompson ส่งมอบภาระกิจกาชาดเพื่อรัสเซียให้ผู้ช่วยเขา Raymond Robins ให้เป็นคนดูแลต่อ

    Thompson ได้เตรียมการตั้งแต่ปลายปี 1917 ที่จะเดินทางออกจากPetrograd เพื่อปั่นหุ้นตัวสำคัญ “Bolsheviks Revolution” ไปเสนอขายกับรัฐบาลแถบยุโรป และอเมริกาเอง

    ก่อนเดินทาง เขาโทรเลขไปหา Thomas W. Lamont ซึ่งเป็นหุ้นส่วนของ Morgan และกำลังอยู่ที่ปารีส กับ Colonel E.M. House ที่ปรึกษาสุดใหญ่ ของประธานาธิบดี Woodlow Wilson

    Lamont ได้บันทึกข้อความเกี่ยวกับโทรเลขของ Thompson ไว้ในชีวประวัติของเขา

    “ขณะ ที่คณะของ House กำลังจะเสร็จสิ้นการเจรจาตามภาระกิจของเขาที่ Paris ในเดือนธันวาคมปี 1917 ผมได้รับโทรเลขที่น่าสนใจอย่างยิ่ง จากเพื่อนนักเรียนเก่า และเป็นเพื่อนร่วมธุรกิจกัน William Boyce Thompson ซึ่งขณะนั้นอยู่ที่ Petrograd กำลังดูแลเรื่องภาระกิจกาชาดอเมริกันอยู่ที่นั่น”

    Lamont รีบเดินทางไปลอนดอน เพื่อพบกับ Thompson ซึ่งเดินทางมาจาก Petrograd เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม โดยผ่าน Norway และมาถึงลอนดอนในวันที่ 10 ธันวาคม Thompson และ Lamont กำลังต้องทำเรื่องที่สำคัญที่สุดในลอนดอน คือ กล่อมกลุ่มรัฐมนตรีกิจการสงคราม ของอังกฤษ British War Cabinet ซึ่งขณะนั้น ลงความเห็นกันไปแล้วว่า ไม่เอาพวก Bolsheviks ให้เปลี่ยนใจมาเชื่อว่า พวก Bolsheviksนั้น ได้ควบคุมรัสเซียสำเร็จแล้ว และเป็นพวกที่อังกฤษต้องเลิกต่อต้าน และเปลี่ยนมาให้การสนับสนุนแก่ Lenin และ Trotsky แทน จะเป็นการดีที่สุด
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทที่ 5 “ปั่นหุ้น”

    ตอน 2

    ใน ช่วงปลายปี 1917 ขณะที่ Lamont และ Thompson เดินทางมาถึงลอนดอน เพื่อพบนายกรัฐมนตรี Lloyd George ของอังกฤษ ชึ่งดูเหมือนกำลังอ่อนปวกเปียกอยู่ในมือของนักค้าอาวุธผู้ทรงอิทธิพล Sir Basil Zaharoff เป็นข่าวลือทั่วไปในยุโรปว่า ที่ Zaharroff กุม Lloyd George อยู่หมัด เพราะ Zaharoff เป็นคนหาสาวมาบำเรอให้ และ บังเอิญสาวที่ Lloyd Geroge ติดกับ ก็คือ เมียของ Zaharoff นั่นเอง อืม…เกมแบบนี้ เล่นกันมาตลอด แล้วก็มีคนติดกับตลอด

    Zaharoff ที่ผู้คนเรียกเขาว่า “the Merchant of Death” เป็นนักค้าอาวุธที่รอบจัด เขาค้าขายกับทุกคนที่อยากซื้ออาวุธ จะเป็นประเทศใด ฝ่ายไหน เขาก็ขายให้ทั้งนั้น และก็ร่ำรวยจากการทำธุรกิจเช่นนี้ และจากการที่ค้าขายแบบนี้ และน่าจะรวมทั้ง การส่งสินค้าที่ไม่ใช่อาวุธด้วย ทำให้ Zaharoff มีหูตาที่กว้างขวาง ทำให้ลูกค้าของเขาต่างอยากได้ข ่าววงใน ลับสุดยอดจาก Zaharoff ทั้งสิ้น มีหลายครั้ง ที่ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ของอเมริกา Lloyd George นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ และ Georges Clemenceau นายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศส ต้องไปล้อมวงประชุมกัน อยู่ที่บ้านของZaharoff ที่กรุงปารีส ถึงขนาดมีข่าวเล่ากันว่า ก่อนจะมีการเคลื่อนพลไปบุกที่ไหน ส่วนใหญ่ Zaharoff ก็จะถูกเชิญมาหารืออยู่เสมอ

    หน่วย ข่าวกรองของอังกฤษ บันทึกไว้ว่า “ภายหลัง มีการพบเอกสารที่ระบุว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลเอง เอาความลับไปบอก Sir Basil Zaharoff ซึ่งนายกรัฐมนตรี Lloyd George ก็รู้เรื่องนี้ด้วย”
    นอกจากอ่อนอยู่ในมือของ Zaharoff แล้ว นายกรัฐมนตรี Lloyd George ยังมีคนดันหลังชื่อ Lord Milner อีกด้วย เป็น Lord Milner แห่งสมาคม Round Table ที่แม้ลึกลับ แต่อำนาจสูงเทียมฟ้า เป็นต้นกำเนิดของ think tank ถังความคิดคู่แฝดที่ทรงอิทธิพล Royal Institute of International Affairs (RIIA) ของอังกฤษ และ Council on Foreign Relations (CFR) ของอเมริกา คงพอจำกันได้

    นายก รัฐมนตรี Lloyd George ได้ทำรายงานต่อ War Cabinet ว่า ได้สนทนากับนาย Thompson มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากรัสเซีย และได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับรัสเซีย แตกต่างไปจากที่เราได้ยินกัน นาย Thompson เชื่อว่า พวกปฏิวัติ Bolsheviks ทำงานสำเร็จได้ผลดี และคงจะปกครองรัสเซียไปอีกนาน แต่พวกเราฝ่ายสัมพันธมิตร ไม่ได้แสดงความชื่นชม หรือเห็นพ้องกับฝ่ายปฏิวัติเลย และผู้นำการปฏิวัติ Trotsky และ Lenin ไม่ได้ถูกจ้างโดยฝ่ายเยอรมัน และ Lenin ค่อนข้างจะมีลักษณะไปในทางเป็นครูบาอาจารย์ที่น่าเคารพเสียด้วยซ้ำ

    นาย Thompson ยังแนะนำอีกว่า ฝ่ายสัมพันธมิตร ควรจะมีการออกความเห็น ให้การสนับสนุนแก่พวกปฏิวัติบ้าง และควรมีการแสดงความเห็นนี้ ที่ Petrograd เองด้วย ขณะเดียวกัน ก็ควรมีการพิจารณาเปลี่ยนตัวเจ้าหน้าที่ ของฝ่ายสัมพันธมิตรที่อยู่ที่ Petrograd ที่ไม่เหมาะสมเสียด้วย และฝ่ายสัมพันธมิตรควรจะเข้าใจว่า ขณะนี้รัสเซียไม่ได้มาร่วมอยู่ ในสงครามแล้ว ไม่ว่าจะโดยกองทัพ หรือประชาชน และพวกเราฝ่ายสัมพันธมิตร ควรจะเลือกให้ดีว่า เราต้องการรัสเซีย ที่เป็นเพื่อน หรือรัสเซีย ที่เป็นกลาง แบบไม่เป็นมิตร

    หลังจากรับทราบรายงานการสนทนาดังกล่าว ของนายกรัฐมนตรี Lloyd George พร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้องแล้ว War Cabinet คณะรัฐมนตรีกิจการสงคราม ก็เห็นพ้องที่จะเดินตามคำแนะนำของ Thompson และสนับสนุนพวก Bolsheviks

    นาย William Boyce Thompson สมกับเป็นเซียนปั่นหุ้นความเสี่ยงสูงจริงๆ

    Lord Milner ซึ่งสั่งให้ นาย Bruce Lockhart อดีตกงสุลอังกฤษ ที่เคยทำงานอยู่ในรัสเซีย ยืนคอยฟังข่าวอยู่หน้าห้องประชุม เพื่อเตรียมพร้อม ที่จะรายงานและสรุปการประชุมส่งไปให้ พรรคพวกทางรัสเซียดำเนินการอย่างไม่เป็นทางการ กับพวกโซเวียตต่อไป
    ต้องถือว่าการเสนอขายหุ้น Bolsheviks ของ นายThompson ประสบความสำเร็จอย่างสูง สมกับการเป็นนักปั่นมือเซียน แมงเม่าระดับนายกรัฐมนตรีอังกฤษ และคณะรัฐมนตรีกิจการสงคราม อ้าปากหวอ ซื้อ “หุ้น Bolsheviks” กันหมดหน้าตัก

    หลัง จาก Thompson เดินทางกลับไปแล้ว คณะรัฐมนตรีกิจการสงครามของอังกฤษ ก็ได้รับรายงานจากอีกสายข่าว ซึ่งก็อ้างว่า น่าเชื่อถือมากกว่า รายงานนั้นได้บรรยายถึงสรรพคุณ Bolsheviks ตรงกันข้ามกับที่นาย Thompson มาออกหนังสือชี้ชวนไว้ แต่ดูเหมือนมันจะมาสายไป ลงทุนกันจนหมดหน้าตักไปแล้ว รายงานดังกล่าวจึงถูกวางไว้บนโต๊ะ ให้ฝุ่นจับไปแค่นั้นเอง

    รายงาน นั้น มาถึงโต๊ะรัฐมนตรีกิจการสงคราม ในเดือนเมษายน 1918 จาก General Jan Smuts ว่าเขาได้สนทนากับ General Nieffel หัวหน้ากิจการกองทัพฝรั่งเศส ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากรัสเซีย ได้ความว่า :

    “Trotsky…. เป็นคนเลวอย่างสมบูรณ์ แม้จะไม่ใช่พวกชอบเยอรมัน แต่เป็นคนขี้โอ่และหลงตัวเอง และการปฏิวัติของตน เขาไม่น่าไว้วางใจ ไม่ว่าในทางได เขามีอำนาจโดยการมีอิทธิพลครอบงำ เหนือ Lockhart, Robins และตัวแทนของฝรั่งเศส…….”

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    01 พ.ค. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – ปั่นหุ้น 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 5 “ปั่นหุ้น” ตอน 1 William Boyce Thompson คงเป็นชื่อที่ยังไม่มีใครรู้จักในประวัติศาสตร์ ก่อนศตวรรษที่ 20 แต่ Thompson เป็นผู้ที่รับบทสำคัญยิ่ง เกี่ยวกับการปฏิวัติพวก Bolsheviks แน่นอน ที่สุดถ้า Thompson ไม่ไปอยู่ที่รัสเซียในปี 1917 ประวัติศาสตร์หลังจากนั้นอาจจะเปลี่ยนไปคนละเรื่อง และถ้าไม่มีเรื่องสนับสนุนทางการเงิน โดยเฉพาะเรื่องการเมือง และการโฆษณาชวนเชื่อที่ทำให้กับ Trotsky และ Lenin โดย Thompson และ Robins กับพรรคพวกในนิวยอร์คแล้ว พวก Bolsheviks อาจจะเหี่ยวแห้งเฉาตายไป และรัสเซียจะออกหัวหรือก้อยไม่รู้ได้ แต่การเมืองโลก อาจจะเป็นฉากอื่น ต่างจากที่เราเห็นกันอยู่นี้อย่างสิ้นเชิง ใครคือ William Boyce Thompson Thompson คือ นักปั้นหุ้น หรือ ปั่นหุ้นเหมืองแร่ มือดีอันดับหนึ่งในธุรกิจสาขานี้ ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 เขาเป็นคนดูแลหุ้นให้กับมหาเศรษฐีตระกูล Guggenheim เจ้าของเหมืองทองแดง ด้วยความสามารถระดับเซียน ในการระดมทุนในตลาดหุ้นประเภทความเสี่ยงสูง ทำให้ Thompson ร่ำรวยขึ้นมา และได้เป็นกรรมการในหลายบริษัทที่เกี่ยวกับธุรกิจเหมืองแร่ต่างๆ โดยเฉพาะแร่ทองแดง ที่เป็นแร่สำคัญในการนำมาใช้ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ นอกจากนี้ เขาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของธนาคาร Chase National Bank และ เป็น Albert H. Wiggin ประธาน Chase Bank ที่เป็นคนดันให้ Thompson เข้าไปมีส่วนในการจัดตั้งระบบธนาคารกลาง Federal Reserve System ของอเมริกา และในปี 1913 Thompson เป็นกรรมการที่ทำงานเต็มเวลา (full time) คนแรกของ Federal Reserve Bank of New York ธนาคารกลางที่สำคัญที่สุดในระบบFederal Reserve System เขาไม่ใช่กระจอกไม่มีชื่ออีกต่อไป! ปี 1917 William Boyce Thompson เปลี่ยนเป็นอินทรีย์และเริ่มสยายปีกไปทางด้านการเงินและการเมือง เขาแสดงให้เห็นถึงสายตายาวไกล และความคล่องตัวจัดของเขา ด้วยการสนับสนุน Karensky ในการปฎิวัติครั้งแรกของรัสเซีย ในต้นปี 1917 และเปลี่ยนเข็มทิศ หมุนกลับมาสนับสนุน Bolsheviks ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าเส้นทางของ Bolsheviks น่าจะดีกว่า หรือว่า มันเป็นการวางแผนไว้เป็น 2 ขั้นตอน ตั้งแต่แรก ก่อนจะออกเดินทางกลับจากรัสเซียในต้นเดือนธันวาคม 1917 Thompson ส่งมอบภาระกิจกาชาดเพื่อรัสเซียให้ผู้ช่วยเขา Raymond Robins ให้เป็นคนดูแลต่อ Thompson ได้เตรียมการตั้งแต่ปลายปี 1917 ที่จะเดินทางออกจากPetrograd เพื่อปั่นหุ้นตัวสำคัญ “Bolsheviks Revolution” ไปเสนอขายกับรัฐบาลแถบยุโรป และอเมริกาเอง ก่อนเดินทาง เขาโทรเลขไปหา Thomas W. Lamont ซึ่งเป็นหุ้นส่วนของ Morgan และกำลังอยู่ที่ปารีส กับ Colonel E.M. House ที่ปรึกษาสุดใหญ่ ของประธานาธิบดี Woodlow Wilson Lamont ได้บันทึกข้อความเกี่ยวกับโทรเลขของ Thompson ไว้ในชีวประวัติของเขา “ขณะ ที่คณะของ House กำลังจะเสร็จสิ้นการเจรจาตามภาระกิจของเขาที่ Paris ในเดือนธันวาคมปี 1917 ผมได้รับโทรเลขที่น่าสนใจอย่างยิ่ง จากเพื่อนนักเรียนเก่า และเป็นเพื่อนร่วมธุรกิจกัน William Boyce Thompson ซึ่งขณะนั้นอยู่ที่ Petrograd กำลังดูแลเรื่องภาระกิจกาชาดอเมริกันอยู่ที่นั่น” Lamont รีบเดินทางไปลอนดอน เพื่อพบกับ Thompson ซึ่งเดินทางมาจาก Petrograd เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม โดยผ่าน Norway และมาถึงลอนดอนในวันที่ 10 ธันวาคม Thompson และ Lamont กำลังต้องทำเรื่องที่สำคัญที่สุดในลอนดอน คือ กล่อมกลุ่มรัฐมนตรีกิจการสงคราม ของอังกฤษ British War Cabinet ซึ่งขณะนั้น ลงความเห็นกันไปแล้วว่า ไม่เอาพวก Bolsheviks ให้เปลี่ยนใจมาเชื่อว่า พวก Bolsheviksนั้น ได้ควบคุมรัสเซียสำเร็จแล้ว และเป็นพวกที่อังกฤษต้องเลิกต่อต้าน และเปลี่ยนมาให้การสนับสนุนแก่ Lenin และ Trotsky แทน จะเป็นการดีที่สุด นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทที่ 5 “ปั่นหุ้น” ตอน 2 ใน ช่วงปลายปี 1917 ขณะที่ Lamont และ Thompson เดินทางมาถึงลอนดอน เพื่อพบนายกรัฐมนตรี Lloyd George ของอังกฤษ ชึ่งดูเหมือนกำลังอ่อนปวกเปียกอยู่ในมือของนักค้าอาวุธผู้ทรงอิทธิพล Sir Basil Zaharoff เป็นข่าวลือทั่วไปในยุโรปว่า ที่ Zaharroff กุม Lloyd George อยู่หมัด เพราะ Zaharoff เป็นคนหาสาวมาบำเรอให้ และ บังเอิญสาวที่ Lloyd Geroge ติดกับ ก็คือ เมียของ Zaharoff นั่นเอง อืม…เกมแบบนี้ เล่นกันมาตลอด แล้วก็มีคนติดกับตลอด Zaharoff ที่ผู้คนเรียกเขาว่า “the Merchant of Death” เป็นนักค้าอาวุธที่รอบจัด เขาค้าขายกับทุกคนที่อยากซื้ออาวุธ จะเป็นประเทศใด ฝ่ายไหน เขาก็ขายให้ทั้งนั้น และก็ร่ำรวยจากการทำธุรกิจเช่นนี้ และจากการที่ค้าขายแบบนี้ และน่าจะรวมทั้ง การส่งสินค้าที่ไม่ใช่อาวุธด้วย ทำให้ Zaharoff มีหูตาที่กว้างขวาง ทำให้ลูกค้าของเขาต่างอยากได้ข ่าววงใน ลับสุดยอดจาก Zaharoff ทั้งสิ้น มีหลายครั้ง ที่ประธานาธิบดี Woodlow Wilson ของอเมริกา Lloyd George นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ และ Georges Clemenceau นายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศส ต้องไปล้อมวงประชุมกัน อยู่ที่บ้านของZaharoff ที่กรุงปารีส ถึงขนาดมีข่าวเล่ากันว่า ก่อนจะมีการเคลื่อนพลไปบุกที่ไหน ส่วนใหญ่ Zaharoff ก็จะถูกเชิญมาหารืออยู่เสมอ หน่วย ข่าวกรองของอังกฤษ บันทึกไว้ว่า “ภายหลัง มีการพบเอกสารที่ระบุว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลเอง เอาความลับไปบอก Sir Basil Zaharoff ซึ่งนายกรัฐมนตรี Lloyd George ก็รู้เรื่องนี้ด้วย” นอกจากอ่อนอยู่ในมือของ Zaharoff แล้ว นายกรัฐมนตรี Lloyd George ยังมีคนดันหลังชื่อ Lord Milner อีกด้วย เป็น Lord Milner แห่งสมาคม Round Table ที่แม้ลึกลับ แต่อำนาจสูงเทียมฟ้า เป็นต้นกำเนิดของ think tank ถังความคิดคู่แฝดที่ทรงอิทธิพล Royal Institute of International Affairs (RIIA) ของอังกฤษ และ Council on Foreign Relations (CFR) ของอเมริกา คงพอจำกันได้ นายก รัฐมนตรี Lloyd George ได้ทำรายงานต่อ War Cabinet ว่า ได้สนทนากับนาย Thompson มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากรัสเซีย และได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับรัสเซีย แตกต่างไปจากที่เราได้ยินกัน นาย Thompson เชื่อว่า พวกปฏิวัติ Bolsheviks ทำงานสำเร็จได้ผลดี และคงจะปกครองรัสเซียไปอีกนาน แต่พวกเราฝ่ายสัมพันธมิตร ไม่ได้แสดงความชื่นชม หรือเห็นพ้องกับฝ่ายปฏิวัติเลย และผู้นำการปฏิวัติ Trotsky และ Lenin ไม่ได้ถูกจ้างโดยฝ่ายเยอรมัน และ Lenin ค่อนข้างจะมีลักษณะไปในทางเป็นครูบาอาจารย์ที่น่าเคารพเสียด้วยซ้ำ นาย Thompson ยังแนะนำอีกว่า ฝ่ายสัมพันธมิตร ควรจะมีการออกความเห็น ให้การสนับสนุนแก่พวกปฏิวัติบ้าง และควรมีการแสดงความเห็นนี้ ที่ Petrograd เองด้วย ขณะเดียวกัน ก็ควรมีการพิจารณาเปลี่ยนตัวเจ้าหน้าที่ ของฝ่ายสัมพันธมิตรที่อยู่ที่ Petrograd ที่ไม่เหมาะสมเสียด้วย และฝ่ายสัมพันธมิตรควรจะเข้าใจว่า ขณะนี้รัสเซียไม่ได้มาร่วมอยู่ ในสงครามแล้ว ไม่ว่าจะโดยกองทัพ หรือประชาชน และพวกเราฝ่ายสัมพันธมิตร ควรจะเลือกให้ดีว่า เราต้องการรัสเซีย ที่เป็นเพื่อน หรือรัสเซีย ที่เป็นกลาง แบบไม่เป็นมิตร หลังจากรับทราบรายงานการสนทนาดังกล่าว ของนายกรัฐมนตรี Lloyd George พร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้องแล้ว War Cabinet คณะรัฐมนตรีกิจการสงคราม ก็เห็นพ้องที่จะเดินตามคำแนะนำของ Thompson และสนับสนุนพวก Bolsheviks นาย William Boyce Thompson สมกับเป็นเซียนปั่นหุ้นความเสี่ยงสูงจริงๆ Lord Milner ซึ่งสั่งให้ นาย Bruce Lockhart อดีตกงสุลอังกฤษ ที่เคยทำงานอยู่ในรัสเซีย ยืนคอยฟังข่าวอยู่หน้าห้องประชุม เพื่อเตรียมพร้อม ที่จะรายงานและสรุปการประชุมส่งไปให้ พรรคพวกทางรัสเซียดำเนินการอย่างไม่เป็นทางการ กับพวกโซเวียตต่อไป ต้องถือว่าการเสนอขายหุ้น Bolsheviks ของ นายThompson ประสบความสำเร็จอย่างสูง สมกับการเป็นนักปั่นมือเซียน แมงเม่าระดับนายกรัฐมนตรีอังกฤษ และคณะรัฐมนตรีกิจการสงคราม อ้าปากหวอ ซื้อ “หุ้น Bolsheviks” กันหมดหน้าตัก หลัง จาก Thompson เดินทางกลับไปแล้ว คณะรัฐมนตรีกิจการสงครามของอังกฤษ ก็ได้รับรายงานจากอีกสายข่าว ซึ่งก็อ้างว่า น่าเชื่อถือมากกว่า รายงานนั้นได้บรรยายถึงสรรพคุณ Bolsheviks ตรงกันข้ามกับที่นาย Thompson มาออกหนังสือชี้ชวนไว้ แต่ดูเหมือนมันจะมาสายไป ลงทุนกันจนหมดหน้าตักไปแล้ว รายงานดังกล่าวจึงถูกวางไว้บนโต๊ะ ให้ฝุ่นจับไปแค่นั้นเอง รายงาน นั้น มาถึงโต๊ะรัฐมนตรีกิจการสงคราม ในเดือนเมษายน 1918 จาก General Jan Smuts ว่าเขาได้สนทนากับ General Nieffel หัวหน้ากิจการกองทัพฝรั่งเศส ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากรัสเซีย ได้ความว่า : “Trotsky…. เป็นคนเลวอย่างสมบูรณ์ แม้จะไม่ใช่พวกชอบเยอรมัน แต่เป็นคนขี้โอ่และหลงตัวเอง และการปฏิวัติของตน เขาไม่น่าไว้วางใจ ไม่ว่าในทางได เขามีอำนาจโดยการมีอิทธิพลครอบงำ เหนือ Lockhart, Robins และตัวแทนของฝรั่งเศส…….” สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 01 พ.ค. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 770 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ตอนนี้ทำไปทำมา เรา..ประชาชนเริ่มสงสัยในกองทัพไทยเราแล้ว สรุปกองทัพไทยเราถูกdeep stateอีลิทสากลควบคุมใช่หรือไม่นะ,การตัดสินอะไรใดๆไม่เด็ดขาดเลย,เมื่อไม่ฟังสายการเมืองแล้ว ก็ประกาศกฎอัยการศึกอย่างจริงจังเถอะ,แล้วประกาศภาวะสงครามทางการเงินทางเศรษฐกิจไทยให้ชัดเจนเลย,มันควบคลุมสายการเมืองการปกครองจริงทั้งหมดเพราะทั้งหมดมันใช้กลไกเงินกลไกตังขับเคลื่อนประเทศ deep stateมันก็ใช้ระบบทาสเงินครองทุกๆประเทศ สงครามการเงินจึงต้องประกาศให้ชัดเจน จากนั้นกองทัพไทยเราต้องเข้ายึดธนาคารกลางคือแบงค์ชาติไทยเราจริงจังทันที ควบคุมแบงค์ชาติไทยจริงอย่างเป็นทางการเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศ ประกาศห้ามมีการทำกิจการใดๆด้านการเงินลักษณะโอนออกจากประเทศไทยทุกๆกรณี และอายัดทุกๆบัญชีเพื่อตรวจสอบทั้งหมดก่อนที่มีกระแสเงินสดไหลเข้าประเทศไทย,ตัดตอนบ่อนหมายทำลายไทยจ้างงานนักทำลายไทยทั้งหมดได้เพราะไม่มีเสบียงคือเงินให้มันเป็นอาหารมีแรงทำงานเต็มพลังหรือสั่งอะไรมาเสริมๆได้เพราะไม่มีตังไปซื้อไปสั่งมาเสริมด้วยถูกกองทัพไทยเราตัดตอนไว้ก่อนนั้นเอง,กองทัพไทยเลิกโง่เสียทีได้แล้ว โง่จากวัคซีนโควิดยังไม่อยากให้อภัยเลย องค์ภาเราก็ถูกวัคซีนจนวูบชัดเจนแน่นอน การสายข่าวทหารกากมากในเครื่องมือมากมายเต็มกองทัพไทยเรา,จน อ.สุจริตมาร่วมประชุมหัวโต๊ะให้สายทางวังรับรู้เรื่องราว.

    ..นี้คือสงครามชัดเจน ไทยเราโดยกองทัพไทยทหารไทยพระราชาเราต้องตัดสินใจเด็ดขาดได้แล้ว ลีลาน่าลำคาญมาก ยึดอำนาจรัฐบาลเสียเพราะมันใช้สภาทำงานออกกฎหมายให้ฝ่ายมืดอีลิทdeep stateชัดเจน พรบ.มากมายล้วนโยนปูทางสู่agenda2030มันชัดเจน,คลิปนี้คุณอดิเทพอธิบายไว้ชัดเจนมาก กองทัพไทยเรามารับรู้เรื่องนี้กันบ้างมั้ย มันของแท้เลยนะ มิใช่ของกากๆ ไบโอเมทริกซ์ บัตรประชาชนดิจิดัล เงินดิจิดัล เมืองอัจฉริยะ คาร์บอนเครดิต พรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ กฎหมายมากมายมันเชื่อมโยงในการจะทำคนไทยประเทศไทยให้ตกเป็นทาสมันชัดเจน ผ่านกลไกกระบวนทางการเมืองของนักการเมือง ทหารทรยศเป็นกบฎเป็นภัยของแผ่นดินไทยเราก็รู้แจ้งเห็นชัดจากกรณีบิ๊กกุ้งยึดคืนพื้นที่11จุดได้ แต่คณะทีมงานฝ่ายพี่ท่านทีมเดอะแก๊งเดอะก๊กบูรพาพยัคฆ์ไม่ทำห่าเหวอะไรถีบเขมรออกจากแผ่นดินไทยจริงสักจุดทั่วภาค.1ตะวันออกทั้งหมด,นี้คือความทรยศชัดเจนขนาดไหน กองทัพไทยไม่เห็นมันเลยเหรอว่าจะตำตาตำใจท่านแล้วขนาดนั้น จะไปเล่นอะไรห่าเหวพิธีการกับมันอีก ไม่ยอมร่วมกันกำจัดกวาดล้างคนทรยศประจำภายในกองทัพด้วย ,พวกมันไม่สู้ชนะเรา..คนไทยประชาชนคนไทยหรอก เรา..ประชาชนยืนเคียงข้างทหารพระราชาแน่นอน พวกมันจะทำลายสถาบันกษัตริย์ชัดเจน โดยใช้หนังหน้าสายทางภาคการเมืองกำลังปาหี่แสดงละครอยู่ขณะนี้พร้อมสุมหัวจะกำจัดกองทัพไทยเราด้วย ลดเครดิตกองทัพไทยชัดเจนผ่านรัฐบาลชั่วเลวสาระพัดเลวที่แก๊งขูสามนิ้วชูนอมินีมาเป็นนายกฯแทนมันเสียข้างน้อย,การเมืองเรามันจบแล้ว กองทัพไทยต้องยึดอำนาจ ท่านรอห่าเหวอะไร เราเปลี่ยนเส้นทางเดินบนทางเรา..ประเทศไทยได้ ร่วมกันปกป้องประเทศเราและประชาชนคนไทยเราถึงที่สุดด้วยมือชาวไทยเราได้,บริบทและบทบาทภาคนักการเมืองมีแต่ทำลายทำร้ายชาติ ทำร้ายทำลายแผ่นดินไทย ท่านจะพากันนิ่งเฉยให้ชาติไทยพินาศแบบนี้จริงๆเหรอ.

    ..จากคลิปคุณอดิเทพ เราสามารถแก้ทางมันได้หมด,ยกเลิกเงินดิจิดัล พรบ.ใดๆที่สนับสนุนเงินดิจิดัลที่อีลิทเขียนฉีกทิ้งหมด,ให้กลับคืนมาใช้เงินบาทกระดาษ,รณรงค์คนไทยเราให้ซื่อสัตย์เพื่อดำรงรักษาคุณค่ามนุษย์บนแผ่นดินไทยให้ได้ ,ยกเลิกสนับสนุนAIมาทดแทนมนุษย์ โรงงานไทยใครจะมาตั้งฐานการผลิตให้ใช้จักรกลเพียง1%ของโรงงาน เพื่อสนันสนุนการจ้างแรงงานคนไทย99%,ยกเลิกแรงงานต่างด้าวทุกๆกรณีไปก่อน,ยึดคืนทรัพยากรที่ผูกขาดจากทุกๆสัญญาใดสัมปทานใดๆทั้งหมด ให้คืนสู่สามัญกลับไปพิจารณาให้เป็นเอกประโยชน์สูงสุดแก่เจ้าของทรัพยากรบนแผ่นดินไทยตนดั่งเดิมชัดเจนก่อน,ยกเลิกการสแกนใบหน้าซื้อสินค้า ยกเลิกบัตรคนจน ยกเลิกกระเป๋าตังดิจิดัล,ให้ประชาชนคนไทยใช้จ่ายจริงด้วยเงินสดภายในประเทศ,แอปใดที่ให้บริการซื้อขายออนไลน์ต้องชำระปลายทางด้วยเงินสดเท่านั้นในประเทศไทย,หากไม่สามารถทำได้ ให้ห้ามมีแอปนี้ให้บริการบนแผ่นดินไทย,ระบบสาธารณะใดๆทั่วไทยเราสามารถใช้เงินสดทั้งหมด,เต็มเงินเข้าบัตรปกติ,มิให้ใช้ตังดิจิดัล.เราจะสามารถต่อยอดและปกป้อง ป้องกันเราเองสาระพัดวิธี ,เมื่อกองทัพไทยเรายึดอำนาจจริง เรา..ประเทศไทยจะรอดพ้นภัยหายนะแน่นอน เพราะพระเจ้าให้เราเลือกเส้นทางเดินเองได้ ถ้าต่างดาวเลวอีลิทชั่ว บังคับเจตจำนงเรา..ประเทศไทย มันจะถูกลงโทษทันทีจากผู้ควบคุมกฎนี้ของจักรวาล ,วัคซีนมันจึงต้องให้เรายินยอมก่อนเป็นต้น มันจะตอบพระเจ้าไม่ได้ ซวยก็จะดับอนาถทั้งหมดแน่นอน,รัฐบาลไทยในอดีตมันรู้สิ่งนี้จึงเชิญชวนแทน แถบีบบังคับทางอ้อมกับคนไม่รู้เรื่องได้,

    ..ตอนนี้ รัฐบาลประเทศไทยยุคอดีตถึงปัจจุบัน มิใช่รัฐบาลประเทศไทย แต่เป็นCEOของอีลิทdeep stateสากลโลกมาปกครองแทนประเทศไทยผ่านปาหี่มุกเลือกตั้งทางประชาชนบังหน้า ,แต่ความจริงรัฐบาลไทยมิใช่รัฐบาลไทยเลย มันคือนอมินีหาแดกร่วมกันบนแผ่นดินไทยบนชื่อประเทศไทย ปกครองทาสประเทศไทยนี้ล่ะ,การพัฒนาก่อสร้างทั้งหมดเพื่ออำนวยการเข้าแดกบนทุกๆตารางนิ้วทั่วไทยได้ดียิ่งขึ้น ขนส่งสมบัติทรัพยากรมีค่าบนแผ่นดินไทยนี้ได้สะดวกยิ่งขึ้น มนุษย์คนไทยแค่เศษทาสแรงงานรับใช้สร้างงานวร้างเนื้องานสร้างประโยชน์สร้างผลกำไรให้มันแค่นั้น จึงมิให้คนไทยทั่วประเทศร่ำรวยได้ จงยากจนดักดานมั่นคงทั่วประเทศไทยต่อไป ทุกข์ยากลำบากวุ่นวายโกลาหลในบ้านในเมืองนี้ด้วยมิให้มรึงคนไทยประเทศไทยสงบได้ เช่นสั่งให้เขมรยิงระเบิดใส่คนไทยสร้างความวุ่นวายโกลาหล พม่า อินโดฯ ใดๆในภูมิภาคนี้คือสถานที่เก็บเกี่ยวผลประโยชน์บนความวุ่นวายไม่สงบสุขบนความโกลาหล ขายอาวุธขายสาระพัดให้พวกมรึงสู้กันกำไรรายได้เห็น บ้านมรึงต่อยอดวิบัติเป็นภัยใส่กันและกันมิให้สงบสุขรายวันนั้นเอง,จากภายในก็นักการเมืองที่กูสั่งได้หมด.

    ..นี้คือเหตุผลคราวๆทำไม กองทัพไทยพระราชาเรา ทหารพระราชาเรา ทหารไทยเราต้องยึดอำนาจ ต้องเด็ดขาดตัดตอนมันจริงๆ อย่าโง่อีกเลย เก็บกวาดกวาดล้างทำความสะอาดทั่วประเทศเลย..เรา..ประชาชนคนไทยทั้งประเทศยืนอยู่เคียงข้างเพื่อสร้างบ้านสร้างเมืองสร้างชาติเราใหม่ให้ดีงามอีกครั้งจากพวกชั่วเลวนี้ทำร้ายทำลายมายาวนานเสียที.

    #กองทัพไทยต้องประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศไทยอย่างจริงจังเดี๋ยวนี้.

    #ทหารไทยต้องยึดอำนาจตัดตอนพวกมันจากทั้งภายในและที่ข้ามทวีปโลกมาด้วย.

    #การยึดอำนาจคือหนทางเดียวและคือทางออก

    #นักการเมืองไทยล้มเหลวในการปกป้องอธิปไตยชาติไทยทุกๆมิติแถมเป็นพวกมันด้วย.

    https://vm.tiktok.com/ZSHcFnF4NYfax-zGJpe/
    ..ตอนนี้ทำไปทำมา เรา..ประชาชนเริ่มสงสัยในกองทัพไทยเราแล้ว สรุปกองทัพไทยเราถูกdeep stateอีลิทสากลควบคุมใช่หรือไม่นะ,การตัดสินอะไรใดๆไม่เด็ดขาดเลย,เมื่อไม่ฟังสายการเมืองแล้ว ก็ประกาศกฎอัยการศึกอย่างจริงจังเถอะ,แล้วประกาศภาวะสงครามทางการเงินทางเศรษฐกิจไทยให้ชัดเจนเลย,มันควบคลุมสายการเมืองการปกครองจริงทั้งหมดเพราะทั้งหมดมันใช้กลไกเงินกลไกตังขับเคลื่อนประเทศ deep stateมันก็ใช้ระบบทาสเงินครองทุกๆประเทศ สงครามการเงินจึงต้องประกาศให้ชัดเจน จากนั้นกองทัพไทยเราต้องเข้ายึดธนาคารกลางคือแบงค์ชาติไทยเราจริงจังทันที ควบคุมแบงค์ชาติไทยจริงอย่างเป็นทางการเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศ ประกาศห้ามมีการทำกิจการใดๆด้านการเงินลักษณะโอนออกจากประเทศไทยทุกๆกรณี และอายัดทุกๆบัญชีเพื่อตรวจสอบทั้งหมดก่อนที่มีกระแสเงินสดไหลเข้าประเทศไทย,ตัดตอนบ่อนหมายทำลายไทยจ้างงานนักทำลายไทยทั้งหมดได้เพราะไม่มีเสบียงคือเงินให้มันเป็นอาหารมีแรงทำงานเต็มพลังหรือสั่งอะไรมาเสริมๆได้เพราะไม่มีตังไปซื้อไปสั่งมาเสริมด้วยถูกกองทัพไทยเราตัดตอนไว้ก่อนนั้นเอง,กองทัพไทยเลิกโง่เสียทีได้แล้ว โง่จากวัคซีนโควิดยังไม่อยากให้อภัยเลย องค์ภาเราก็ถูกวัคซีนจนวูบชัดเจนแน่นอน การสายข่าวทหารกากมากในเครื่องมือมากมายเต็มกองทัพไทยเรา,จน อ.สุจริตมาร่วมประชุมหัวโต๊ะให้สายทางวังรับรู้เรื่องราว. ..นี้คือสงครามชัดเจน ไทยเราโดยกองทัพไทยทหารไทยพระราชาเราต้องตัดสินใจเด็ดขาดได้แล้ว ลีลาน่าลำคาญมาก ยึดอำนาจรัฐบาลเสียเพราะมันใช้สภาทำงานออกกฎหมายให้ฝ่ายมืดอีลิทdeep stateชัดเจน พรบ.มากมายล้วนโยนปูทางสู่agenda2030มันชัดเจน,คลิปนี้คุณอดิเทพอธิบายไว้ชัดเจนมาก กองทัพไทยเรามารับรู้เรื่องนี้กันบ้างมั้ย มันของแท้เลยนะ มิใช่ของกากๆ ไบโอเมทริกซ์ บัตรประชาชนดิจิดัล เงินดิจิดัล เมืองอัจฉริยะ คาร์บอนเครดิต พรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ กฎหมายมากมายมันเชื่อมโยงในการจะทำคนไทยประเทศไทยให้ตกเป็นทาสมันชัดเจน ผ่านกลไกกระบวนทางการเมืองของนักการเมือง ทหารทรยศเป็นกบฎเป็นภัยของแผ่นดินไทยเราก็รู้แจ้งเห็นชัดจากกรณีบิ๊กกุ้งยึดคืนพื้นที่11จุดได้ แต่คณะทีมงานฝ่ายพี่ท่านทีมเดอะแก๊งเดอะก๊กบูรพาพยัคฆ์ไม่ทำห่าเหวอะไรถีบเขมรออกจากแผ่นดินไทยจริงสักจุดทั่วภาค.1ตะวันออกทั้งหมด,นี้คือความทรยศชัดเจนขนาดไหน กองทัพไทยไม่เห็นมันเลยเหรอว่าจะตำตาตำใจท่านแล้วขนาดนั้น จะไปเล่นอะไรห่าเหวพิธีการกับมันอีก ไม่ยอมร่วมกันกำจัดกวาดล้างคนทรยศประจำภายในกองทัพด้วย ,พวกมันไม่สู้ชนะเรา..คนไทยประชาชนคนไทยหรอก เรา..ประชาชนยืนเคียงข้างทหารพระราชาแน่นอน พวกมันจะทำลายสถาบันกษัตริย์ชัดเจน โดยใช้หนังหน้าสายทางภาคการเมืองกำลังปาหี่แสดงละครอยู่ขณะนี้พร้อมสุมหัวจะกำจัดกองทัพไทยเราด้วย ลดเครดิตกองทัพไทยชัดเจนผ่านรัฐบาลชั่วเลวสาระพัดเลวที่แก๊งขูสามนิ้วชูนอมินีมาเป็นนายกฯแทนมันเสียข้างน้อย,การเมืองเรามันจบแล้ว กองทัพไทยต้องยึดอำนาจ ท่านรอห่าเหวอะไร เราเปลี่ยนเส้นทางเดินบนทางเรา..ประเทศไทยได้ ร่วมกันปกป้องประเทศเราและประชาชนคนไทยเราถึงที่สุดด้วยมือชาวไทยเราได้,บริบทและบทบาทภาคนักการเมืองมีแต่ทำลายทำร้ายชาติ ทำร้ายทำลายแผ่นดินไทย ท่านจะพากันนิ่งเฉยให้ชาติไทยพินาศแบบนี้จริงๆเหรอ. ..จากคลิปคุณอดิเทพ เราสามารถแก้ทางมันได้หมด,ยกเลิกเงินดิจิดัล พรบ.ใดๆที่สนับสนุนเงินดิจิดัลที่อีลิทเขียนฉีกทิ้งหมด,ให้กลับคืนมาใช้เงินบาทกระดาษ,รณรงค์คนไทยเราให้ซื่อสัตย์เพื่อดำรงรักษาคุณค่ามนุษย์บนแผ่นดินไทยให้ได้ ,ยกเลิกสนับสนุนAIมาทดแทนมนุษย์ โรงงานไทยใครจะมาตั้งฐานการผลิตให้ใช้จักรกลเพียง1%ของโรงงาน เพื่อสนันสนุนการจ้างแรงงานคนไทย99%,ยกเลิกแรงงานต่างด้าวทุกๆกรณีไปก่อน,ยึดคืนทรัพยากรที่ผูกขาดจากทุกๆสัญญาใดสัมปทานใดๆทั้งหมด ให้คืนสู่สามัญกลับไปพิจารณาให้เป็นเอกประโยชน์สูงสุดแก่เจ้าของทรัพยากรบนแผ่นดินไทยตนดั่งเดิมชัดเจนก่อน,ยกเลิกการสแกนใบหน้าซื้อสินค้า ยกเลิกบัตรคนจน ยกเลิกกระเป๋าตังดิจิดัล,ให้ประชาชนคนไทยใช้จ่ายจริงด้วยเงินสดภายในประเทศ,แอปใดที่ให้บริการซื้อขายออนไลน์ต้องชำระปลายทางด้วยเงินสดเท่านั้นในประเทศไทย,หากไม่สามารถทำได้ ให้ห้ามมีแอปนี้ให้บริการบนแผ่นดินไทย,ระบบสาธารณะใดๆทั่วไทยเราสามารถใช้เงินสดทั้งหมด,เต็มเงินเข้าบัตรปกติ,มิให้ใช้ตังดิจิดัล.เราจะสามารถต่อยอดและปกป้อง ป้องกันเราเองสาระพัดวิธี ,เมื่อกองทัพไทยเรายึดอำนาจจริง เรา..ประเทศไทยจะรอดพ้นภัยหายนะแน่นอน เพราะพระเจ้าให้เราเลือกเส้นทางเดินเองได้ ถ้าต่างดาวเลวอีลิทชั่ว บังคับเจตจำนงเรา..ประเทศไทย มันจะถูกลงโทษทันทีจากผู้ควบคุมกฎนี้ของจักรวาล ,วัคซีนมันจึงต้องให้เรายินยอมก่อนเป็นต้น มันจะตอบพระเจ้าไม่ได้ ซวยก็จะดับอนาถทั้งหมดแน่นอน,รัฐบาลไทยในอดีตมันรู้สิ่งนี้จึงเชิญชวนแทน แถบีบบังคับทางอ้อมกับคนไม่รู้เรื่องได้, ..ตอนนี้ รัฐบาลประเทศไทยยุคอดีตถึงปัจจุบัน มิใช่รัฐบาลประเทศไทย แต่เป็นCEOของอีลิทdeep stateสากลโลกมาปกครองแทนประเทศไทยผ่านปาหี่มุกเลือกตั้งทางประชาชนบังหน้า ,แต่ความจริงรัฐบาลไทยมิใช่รัฐบาลไทยเลย มันคือนอมินีหาแดกร่วมกันบนแผ่นดินไทยบนชื่อประเทศไทย ปกครองทาสประเทศไทยนี้ล่ะ,การพัฒนาก่อสร้างทั้งหมดเพื่ออำนวยการเข้าแดกบนทุกๆตารางนิ้วทั่วไทยได้ดียิ่งขึ้น ขนส่งสมบัติทรัพยากรมีค่าบนแผ่นดินไทยนี้ได้สะดวกยิ่งขึ้น มนุษย์คนไทยแค่เศษทาสแรงงานรับใช้สร้างงานวร้างเนื้องานสร้างประโยชน์สร้างผลกำไรให้มันแค่นั้น จึงมิให้คนไทยทั่วประเทศร่ำรวยได้ จงยากจนดักดานมั่นคงทั่วประเทศไทยต่อไป ทุกข์ยากลำบากวุ่นวายโกลาหลในบ้านในเมืองนี้ด้วยมิให้มรึงคนไทยประเทศไทยสงบได้ เช่นสั่งให้เขมรยิงระเบิดใส่คนไทยสร้างความวุ่นวายโกลาหล พม่า อินโดฯ ใดๆในภูมิภาคนี้คือสถานที่เก็บเกี่ยวผลประโยชน์บนความวุ่นวายไม่สงบสุขบนความโกลาหล ขายอาวุธขายสาระพัดให้พวกมรึงสู้กันกำไรรายได้เห็น บ้านมรึงต่อยอดวิบัติเป็นภัยใส่กันและกันมิให้สงบสุขรายวันนั้นเอง,จากภายในก็นักการเมืองที่กูสั่งได้หมด. ..นี้คือเหตุผลคราวๆทำไม กองทัพไทยพระราชาเรา ทหารพระราชาเรา ทหารไทยเราต้องยึดอำนาจ ต้องเด็ดขาดตัดตอนมันจริงๆ อย่าโง่อีกเลย เก็บกวาดกวาดล้างทำความสะอาดทั่วประเทศเลย..เรา..ประชาชนคนไทยทั้งประเทศยืนอยู่เคียงข้างเพื่อสร้างบ้านสร้างเมืองสร้างชาติเราใหม่ให้ดีงามอีกครั้งจากพวกชั่วเลวนี้ทำร้ายทำลายมายาวนานเสียที. #กองทัพไทยต้องประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศไทยอย่างจริงจังเดี๋ยวนี้. #ทหารไทยต้องยึดอำนาจตัดตอนพวกมันจากทั้งภายในและที่ข้ามทวีปโลกมาด้วย. #การยึดอำนาจคือหนทางเดียวและคือทางออก #นักการเมืองไทยล้มเหลวในการปกป้องอธิปไตยชาติไทยทุกๆมิติแถมเป็นพวกมันด้วย. https://vm.tiktok.com/ZSHcFnF4NYfax-zGJpe/
    @adithepchawla01

    Biometric Clip 1 of 3 สแกนหน้า ความปลอดภัย หรือการควบคุม?

    ♬ original sound - อดิเทพ จาวลาห์ - อดิเทพ จาวลาห์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 931 มุมมอง 0 รีวิว
  • Scameter เวอร์ชันใหม่ในฮ่องกง ใช้ AI ปราบมิจฉาชีพออนไลน์ได้ทันใจ

    ในยุคที่มิจฉาชีพออนไลน์แพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ฮ่องกงได้อัปเกรดแอป “Scameter” ให้กลายเป็นเครื่องมือปราบกลโกงยุคดิจิทัลที่ทรงพลังยิ่งขึ้น ด้วยการเสริมเทคโนโลยี AI เข้าไปในระบบ

    Scameter เดิมทีใช้ตรวจสอบเบอร์โทรและลิงก์ต้องสงสัย แต่เวอร์ชันใหม่สามารถวิเคราะห์ภาพหน้าจอจากแอปแชต เช่น WhatsApp, Facebook, Instagram และ Telegram ได้ทันที โดยใช้เทคโนโลยีอย่าง agentic AI, computer vision และ NLP เพื่อแยกแยะข้อความหลอกลวงจากของจริง

    ตำรวจฮ่องกงเผยว่า แม้จำนวนคดีหลอกลวงจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยในปี 2025 แต่ยอดความเสียหายยังสูงถึง 726 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยกลโกงที่พบบ่อยคือการขายบัตรคอนเสิร์ตปลอม, งานคลิกฟาร์มหลอกเงิน และการลงทุนปลอมในหุ้น

    นอกจากนี้ แอปยังสามารถอัปเดตฐานข้อมูลอัตโนมัติจากรายงานของผู้ใช้ และจัดอันดับกลโกงยอดฮิตแบบเรียลไทม์ ทำให้ประชาชนรู้ทันและหลีกเลี่ยงได้ง่ายขึ้น

    ที่น่าสนใจคือ ธนาคารกลางฮ่องกง (HKMA) ก็ร่วมมือกับตำรวจในการพัฒนาแพลตฟอร์มแชร์ข้อมูลระหว่างธนาคาร เพื่อป้องกันการฟอกเงินและการโอนเงินไปยังบัญชีต้องสงสัย โดยมีแผนให้ธนาคาร 28 แห่งเข้าร่วมครอบคลุมกว่า 90% ของบัญชีในประเทศ

    แอป Scameter เวอร์ชันใหม่ใช้ AI วิเคราะห์กลโกงบนโซเชียลมีเดีย
    รองรับการรายงานภาพหน้าจอจาก WhatsApp, Facebook, Instagram และ Telegram
    ใช้ agentic AI, computer vision และ NLP ในการตรวจจับข้อความหลอกลวง
    อัปเดตฐานข้อมูลอัตโนมัติจากรายงานของผู้ใช้

    ตำรวจฮ่องกงเผยสถิติการหลอกลวงในปี 2025
    จำนวนคดีเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 32,142 คดี
    ความเสียหายรวมกว่า 726 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
    กลโกงยอดฮิต: บัตรคอนเสิร์ตปลอม, คลิกฟาร์ม, หุ้นปลอม

    ธนาคารกลางฮ่องกงร่วมพัฒนาแพลตฟอร์มแชร์ข้อมูล
    ใช้ตรวจจับบัญชีต้องสงสัยและป้องกันการฟอกเงิน
    มีแผนให้ธนาคาร 28 แห่งเข้าร่วม ครอบคลุมกว่า 90% ของบัญชี

    กลโกงออนไลน์เปลี่ยนรูปแบบตามเทรนด์และเหตุการณ์
    มิจฉาชีพใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางหลักในการเข้าถึงเหยื่อ
    กลโกงใหม่ๆ เช่น งานคลิกฟาร์มและการลงทุนปลอมกำลังระบาด

    ผู้ใช้ที่ไม่รู้เท่าทันอาจตกเป็นเหยื่อได้ง่าย
    ขาดการตรวจสอบข้อมูลก่อนโอนเงินหรือซื้อสินค้า
    การไม่รายงานเหตุการณ์ทำให้กลโกงแพร่กระจายต่อไป

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/31/hong-kongs-scameter-app-gets-upgrade-ai-tools-to-tackle-social-media-scams
    👮‍♀️ Scameter เวอร์ชันใหม่ในฮ่องกง ใช้ AI ปราบมิจฉาชีพออนไลน์ได้ทันใจ ในยุคที่มิจฉาชีพออนไลน์แพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ฮ่องกงได้อัปเกรดแอป “Scameter” ให้กลายเป็นเครื่องมือปราบกลโกงยุคดิจิทัลที่ทรงพลังยิ่งขึ้น ด้วยการเสริมเทคโนโลยี AI เข้าไปในระบบ Scameter เดิมทีใช้ตรวจสอบเบอร์โทรและลิงก์ต้องสงสัย แต่เวอร์ชันใหม่สามารถวิเคราะห์ภาพหน้าจอจากแอปแชต เช่น WhatsApp, Facebook, Instagram และ Telegram ได้ทันที โดยใช้เทคโนโลยีอย่าง agentic AI, computer vision และ NLP เพื่อแยกแยะข้อความหลอกลวงจากของจริง ตำรวจฮ่องกงเผยว่า แม้จำนวนคดีหลอกลวงจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยในปี 2025 แต่ยอดความเสียหายยังสูงถึง 726 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยกลโกงที่พบบ่อยคือการขายบัตรคอนเสิร์ตปลอม, งานคลิกฟาร์มหลอกเงิน และการลงทุนปลอมในหุ้น นอกจากนี้ แอปยังสามารถอัปเดตฐานข้อมูลอัตโนมัติจากรายงานของผู้ใช้ และจัดอันดับกลโกงยอดฮิตแบบเรียลไทม์ ทำให้ประชาชนรู้ทันและหลีกเลี่ยงได้ง่ายขึ้น ที่น่าสนใจคือ ธนาคารกลางฮ่องกง (HKMA) ก็ร่วมมือกับตำรวจในการพัฒนาแพลตฟอร์มแชร์ข้อมูลระหว่างธนาคาร เพื่อป้องกันการฟอกเงินและการโอนเงินไปยังบัญชีต้องสงสัย โดยมีแผนให้ธนาคาร 28 แห่งเข้าร่วมครอบคลุมกว่า 90% ของบัญชีในประเทศ ✅ แอป Scameter เวอร์ชันใหม่ใช้ AI วิเคราะห์กลโกงบนโซเชียลมีเดีย ➡️ รองรับการรายงานภาพหน้าจอจาก WhatsApp, Facebook, Instagram และ Telegram ➡️ ใช้ agentic AI, computer vision และ NLP ในการตรวจจับข้อความหลอกลวง ➡️ อัปเดตฐานข้อมูลอัตโนมัติจากรายงานของผู้ใช้ ✅ ตำรวจฮ่องกงเผยสถิติการหลอกลวงในปี 2025 ➡️ จำนวนคดีเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 32,142 คดี ➡️ ความเสียหายรวมกว่า 726 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ➡️ กลโกงยอดฮิต: บัตรคอนเสิร์ตปลอม, คลิกฟาร์ม, หุ้นปลอม ✅ ธนาคารกลางฮ่องกงร่วมพัฒนาแพลตฟอร์มแชร์ข้อมูล ➡️ ใช้ตรวจจับบัญชีต้องสงสัยและป้องกันการฟอกเงิน ➡️ มีแผนให้ธนาคาร 28 แห่งเข้าร่วม ครอบคลุมกว่า 90% ของบัญชี ‼️ กลโกงออนไลน์เปลี่ยนรูปแบบตามเทรนด์และเหตุการณ์ ⛔ มิจฉาชีพใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางหลักในการเข้าถึงเหยื่อ ⛔ กลโกงใหม่ๆ เช่น งานคลิกฟาร์มและการลงทุนปลอมกำลังระบาด ‼️ ผู้ใช้ที่ไม่รู้เท่าทันอาจตกเป็นเหยื่อได้ง่าย ⛔ ขาดการตรวจสอบข้อมูลก่อนโอนเงินหรือซื้อสินค้า ⛔ การไม่รายงานเหตุการณ์ทำให้กลโกงแพร่กระจายต่อไป https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/31/hong-kongs-scameter-app-gets-upgrade-ai-tools-to-tackle-social-media-scams
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Hong Kong’s Scameter app gets upgrade, AI tools to tackle social media scams
    Online employment and investment scams are on the rise, despite police recording a marginal increase in swindling cases.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 322 มุมมอง 0 รีวิว
  • ต้มข้ามศตวรรษ – บทนำ 1 – 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”

    บทนำ

    (1)

    จากประวัติศาสตร์ ที่ฝรั่งทั้งเขียนทั้งแต่ง และคนไทยเอามาแปล เป็นทั้งหนังสืออ่าน และบทเรียนประวัติศาสตร์สากล ทำให้เราเข้าใจ และเชื่อว่า สงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้นจาก เหตุการณ์ลอบฆ่าอาชดยุก ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ รัชทายาทของออสเตรีย-ฮังการี โดยชาวเซอรเบีย ที่เซราเจโว เมืองหลวงของเซอร์เบีย เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน คศ 1914

    มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง และเป็นสายชนวนเส้นหนึ่ง ของสงครามโลกครั้งที่ 1 จริง แต่มันไม่ใช่ “สาเหตุ ” แท้จริงที่ทำให้เกิดสงครามโลก แม้เหตุการณ์นั้น จะทำให้ออสเตรียโกรธจัด ควันออกหูก็ตาม ออสเตรียกับเซอร์เบียขบเขี้ยวกันมานานแล้ว เนื่องจากออสเตรียซึ่งตอนนั้นคิดว่าตนเองกล้ามใหญ่ ไปผนวกเอาบอสเนียและเฮอเซโกวีนา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน มาเป็นของตน ตั้งแต่ประมาณปี คศ 1878 ทำให้เซอร์เบียซี่งถือว่าบอสเนียเป็นพวกเดียวกันตัว เป็นเดือดเป็นแค้นแทน และเอาความแค้นไปฝากใส่หูรัสเซีย ในฐานะลูกพี่ใหญ่ของพวกสลาฟ และกลุ่มนิกายออโธดอกซ์

    หลังจากมีการเจรจา ที่มีเค้าว่าจะล้มเหลวตั้งแต่เริ่มต้นอยู่ประมาณ 1 เดือน ในวันที่ 28 กรกฏาคม คศ 1914 ออสเตรียก็ประกาศสงครามกับเซอร์เบียรัฐเล็กกระจ้อย เพื่อให้รับผิดชอบการฆาตกรรมดังกล่าว ออสเตรียเชื่อว่า จะได้รับการช่วยเหลือจากเยอรมัน หากรัสเซียออกมาหนุนหลังให้เซอร์เบีย ออสเตรียคงต้องลุ้นหนักว่า เยอรมันจะมาช่วยทันไหม เพราะวันรุ่งขึ้น 29 กรกฏาคม รัสเซียก็ประกาศระดมพล เตรียมตัวรบแล้ว

    ในวันเดียวกันนั้น ไกเซอร์ของเยอรมัน ก็ส่งโทรเลขไปหาซาร์นิโคลัสของรัสเซีย ขอร้องไม่ให้เรียกระดมพล และคงเพราะมีไมตรีต่อกันฉันท์ญาติ ซาร์จึงระงับคำสั่งระดมพลไว้ชั่วคราว แต่ฝ่ายกองทัพของรัสเซียไม่ชอบใจ ที่ซาร์ออกอาการลังเล วันรุ่งขึ้น 30 กรกฏาคม จึงพากันเดินตบเท้า เข้าไปกล่อม แกมบีบให้ซาร์มีคำสั่งระดมพลต่อ

    คงมีใครอยากรบเต็มที วันที่ 31 กรกฏาคม ทูตเยอรมันประจำเมือง St Petersburg ก็เข้าไปพบซาร์ และยื่นหนังสือของเยอรมัน ที่ประกาศสงครามต่อรัสเซีย หลังจากนั้นก็เอามือปิดหน้าและเดินออกไปจากห้อง ไม่ใช่คนเยอรมันทุกคนอยากทำสงคราม โดยเฉพาะกับรัสเซีย ซึ่งแท้จริงแล้ว ไม่ได้เป็นศัตรูกับเยอรมัน
    เนื่องจากรู้ว่า ฝรั่งเศสและรัสเซียมีสัญญาให้การร่วมมือกันทางกองทัพ เยอรมันจึงตัดสินใจว่า จะต้องจัดการอย่างรวดเร็ว ให้ฝรั่งเศสหมอบราบเสียก่อนที่รัสเซียจะขยับมาช่วยทัน เพราะเยอรมันคาดว่า รัสเซียน่าจะใช้เวลานานในการระดมพล ขณะนั้นกองทัพของรัสเซียมีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรป วันที่ 3 สิงหาคม คศ 1914 เยอรมันจึงรีบประกาศสงครามกับฝรั่งเศส หลังจากนั้นเยอรมันก็เคลื่อนพลเข้าไปในเบลเยี่ยม เพื่อใช้เป็นทางข้ามไปโจมตีฝรั่งเศส

    อังกฤษคงกลัวน้อยหน้า เดี๋ยวเขาจะว่าเก่งแต่ปาก วันที่ 4 สิงหาคม คศ 1914 อังกฤษจึงรีบประกาศสงครามกับเยอรมันบ้าง โดยอ้างเหตุผลว่า เพื่อปกป้องความเป็นกลางของเบลเยี่ยม เป็นการอ้างเหตุผลการเข้าสงครามที่ตอแหลอย่างน่าทุเรศ เหตุผลจริงของอังกฤษในการทำสงคราม ชั่วร้ายเกินกว่าที่เราจะนึก แต่ที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ สถานะการเงินของอังกฤษ ขณะตัดสินใจประกาศทำสงครามกับเยอรมันนั้น อังกฤษอยู่ในสภาพล้มละลาย

    ถังแตกขนาดนั้น ทำไมอังกฤษยังคิดทำสงคราม และทำได้อย่างไร

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ”
    บทนำ

    (2)

    ประมาณปี คศ 1890 อังกฤษ แม้จะอยู่บนเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้ว ก้อยของเท้าซ้าย แต่ก็สร้างเสริมตนเอง ด้วยความฉลาด เล่ห์เหลี่ยม และความชั่วร้าย จนโดดเด่น มีอำนาจทั้งในด้านการเมือง การทหาร และ การค้า และคิดเอาเองว่า ไม่มีใครจะกล้ามาทาบรัศมี จักรภพอังกฤษอันกว้างใหญ่ แผ่ไพศาลไปเกือบทั่วโลก จนดวงอาทิตย์หาที่ตกในจักรภพไม่ได้ เมื่อคิดอย่างนั้น อังกฤษก็พยายามทำทุกอย่าง ที่จะรักษาความเป็นที่หนึ่ง และเอาโลกใบนี้ให้อยู่ในกำมือของตนเองตลอดกาล หรือให้นานที่สุดเท่าที่จะยืดคอทำได้

    จะเอาโลกไว้ในกำมือ อังกฤษต้องทำให้ตนเองมีเสาหลัก หรืออำนาจควบคุมใน 3 เรื่อง

    – ควบคุมเส้นทางเดินเรือ

    – ควบคุมระบบการเงินการธนาคาร

    – ควบคุม หรือครอบครองทรัพยากรที่เป็นผลต่อยุทธศาสตร์ของตน
    เสาหลักแรก: การควบคุมเส้นทางเดินเรือ อังกฤษ ทำได้สำเร็จ โดยใช้บริษัทประกันภัยใหญ่หมายเลขหนึ่งของอังกฤษ Lloyd ซึ่งมีเครือข่ายทั่วโลก บวกกับการใช้เครือข่ายของธนาคารอังกฤษ เป็นผู้วางกฏ เกี่ยวกับการการขนส่งทางเรือ รวมทั้งใช้กองทัพเรือของตน ที่อังกฤษภูมิใจหนักหนาว่า ไม่มีใครเก่งเทียบ และไม่กล้าท้าทาย ทำหน้าที่เป็นเรือคุ้มกันภัย ให้กับเรือขนส่งสินค้าสัญชาติอังกฤษ โดยไม่ต้องทำประกันภัย ขณะที่คู่แข่ง ถูกบังคับให้ทำประกันภัยกับ Lloyd หรือคิดจะเสี่ยง กับการเจอภัยพิบัติกลางทะเล มันดูไม่ต่างกับการขู่กรรโชกของโจรสลัด

    สินเชื่อ และตั๋วแลกเงิน ที่จำเป็นต้องออกให้แก่กันในการค้าขาย และขนส่งสินค้าทางเรือ อังกฤษบีบให้ทำผ่านธนาคารของอังกฤษ ซึ่งเป็นธนาคารส่วนบุคคล ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Bank of England ซึ่งก็เป็นผลผลิต ของกลุ่มนักการเงินใน City of London ที่นำโดย เจ้าพ่อใหญ่ ตระกูล Rothschild และพวก เช่น Barings, Hambros เป็นต้น

    ประมาณ ปี 1900 อังกฤษ ยืนยืด อกแอ่น จนแทบหงายหลัง ประกาศว่า เรามีเสาหลักนี้ ตั้งตระหง่านเรียบร้อยแล้ว

    เสาหลักที่สอง: การควบคุบระบบการเงิน และระบบการธนาคาร อังกฤษวางแผนอย่างคร่ำเคร่ง แต่เงียบสนิท และผลของมัน ทำให้เกิดระบบธนาคารกลางในอังกฤษ และที่สำคัญ อังกฤษเป็นตัวการสำคัญ ในการวางแผนอีกต่อหนึ่ง ทำให้เกิด Federal Reserve System ในอเมริกา ในปี คศ 1913 ที่เรารู้จักกันในนาม Federal Reserve Bank หรือ ที่เรียกกันสั้นๆว่า Fed ซึ่งเป็นของเอกชน ไม่ใช่เป็นของรัฐ และเป็นเอกชนไม่กี่ตระกูล ที่ส่วนใหญ่เป็นเครือข่าย ของตระกูล Rothschild ของฝั่งอังกฤษ และ ตระกูล Rockefeller และ Morgan ของฝั่งอเมริกา

    Fed มีอำนาจมากมาย และมีอิสระหลายเรื่อง ที่ไม่ต้องอยู่ในความควบคุมของรัฐบาลอเมริกัน โดยเฉพาะ ในการพิมพ์ธนบัตร การกำหนดอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่างสถาบัน ฯลฯ การตัดสินใจของ Fed มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจการเงิน ตลาดทุน ตลาดหุ้น ของอเมริกา และของโลก แม้แต่สมันน้อย ยังต้องคอยฟังว่า เฟด เขาว่าอะไร ฟังแล้ว รู้เรื่องจริงไหม เข้าใจไหม เป็นอีกเรื่อง แต่ต้องคอยฟัง ต้องพูดถึง เพราะมันเข้าสมัย และผู้บริหารบ้านเราก็แสนฉลาด เดินทุกก้าวตาม ที่เฟด บอก

    Fed จึงกลายเป็นตัวสำคัญในการชักใยการเงินโลกจนถึงทุกวันนี้ เป็นไปตามเป้าหมายของเสาหลักที่สอง ที่มีอานุภาพรุนแรงและยาวนานอย่างไม่น่าเชื่อ

    เสาหลักที่สาม: ควบคุม หรือครอบครอง ทรัพยากรที่มีผลสำคัญต่อยุทธศาสตร์ ในความหมายของอังกฤษ ขณะนั้น และยังมีผลจนถึงขณะนี้ก็คือ น้ำมัน! ซึ่งไม่ใช่มีความหมายเฉพาะกับอังกฤษเท่านั้น แต่มันมีความหมาย และมีผลกับโลกนี้ทั้งใบ

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    20 เม.ย. 2558
    ต้มข้ามศตวรรษ – บทนำ 1 – 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทนำ (1) จากประวัติศาสตร์ ที่ฝรั่งทั้งเขียนทั้งแต่ง และคนไทยเอามาแปล เป็นทั้งหนังสืออ่าน และบทเรียนประวัติศาสตร์สากล ทำให้เราเข้าใจ และเชื่อว่า สงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้นจาก เหตุการณ์ลอบฆ่าอาชดยุก ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ รัชทายาทของออสเตรีย-ฮังการี โดยชาวเซอรเบีย ที่เซราเจโว เมืองหลวงของเซอร์เบีย เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน คศ 1914 มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง และเป็นสายชนวนเส้นหนึ่ง ของสงครามโลกครั้งที่ 1 จริง แต่มันไม่ใช่ “สาเหตุ ” แท้จริงที่ทำให้เกิดสงครามโลก แม้เหตุการณ์นั้น จะทำให้ออสเตรียโกรธจัด ควันออกหูก็ตาม ออสเตรียกับเซอร์เบียขบเขี้ยวกันมานานแล้ว เนื่องจากออสเตรียซึ่งตอนนั้นคิดว่าตนเองกล้ามใหญ่ ไปผนวกเอาบอสเนียและเฮอเซโกวีนา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมาน มาเป็นของตน ตั้งแต่ประมาณปี คศ 1878 ทำให้เซอร์เบียซี่งถือว่าบอสเนียเป็นพวกเดียวกันตัว เป็นเดือดเป็นแค้นแทน และเอาความแค้นไปฝากใส่หูรัสเซีย ในฐานะลูกพี่ใหญ่ของพวกสลาฟ และกลุ่มนิกายออโธดอกซ์ หลังจากมีการเจรจา ที่มีเค้าว่าจะล้มเหลวตั้งแต่เริ่มต้นอยู่ประมาณ 1 เดือน ในวันที่ 28 กรกฏาคม คศ 1914 ออสเตรียก็ประกาศสงครามกับเซอร์เบียรัฐเล็กกระจ้อย เพื่อให้รับผิดชอบการฆาตกรรมดังกล่าว ออสเตรียเชื่อว่า จะได้รับการช่วยเหลือจากเยอรมัน หากรัสเซียออกมาหนุนหลังให้เซอร์เบีย ออสเตรียคงต้องลุ้นหนักว่า เยอรมันจะมาช่วยทันไหม เพราะวันรุ่งขึ้น 29 กรกฏาคม รัสเซียก็ประกาศระดมพล เตรียมตัวรบแล้ว ในวันเดียวกันนั้น ไกเซอร์ของเยอรมัน ก็ส่งโทรเลขไปหาซาร์นิโคลัสของรัสเซีย ขอร้องไม่ให้เรียกระดมพล และคงเพราะมีไมตรีต่อกันฉันท์ญาติ ซาร์จึงระงับคำสั่งระดมพลไว้ชั่วคราว แต่ฝ่ายกองทัพของรัสเซียไม่ชอบใจ ที่ซาร์ออกอาการลังเล วันรุ่งขึ้น 30 กรกฏาคม จึงพากันเดินตบเท้า เข้าไปกล่อม แกมบีบให้ซาร์มีคำสั่งระดมพลต่อ คงมีใครอยากรบเต็มที วันที่ 31 กรกฏาคม ทูตเยอรมันประจำเมือง St Petersburg ก็เข้าไปพบซาร์ และยื่นหนังสือของเยอรมัน ที่ประกาศสงครามต่อรัสเซีย หลังจากนั้นก็เอามือปิดหน้าและเดินออกไปจากห้อง ไม่ใช่คนเยอรมันทุกคนอยากทำสงคราม โดยเฉพาะกับรัสเซีย ซึ่งแท้จริงแล้ว ไม่ได้เป็นศัตรูกับเยอรมัน เนื่องจากรู้ว่า ฝรั่งเศสและรัสเซียมีสัญญาให้การร่วมมือกันทางกองทัพ เยอรมันจึงตัดสินใจว่า จะต้องจัดการอย่างรวดเร็ว ให้ฝรั่งเศสหมอบราบเสียก่อนที่รัสเซียจะขยับมาช่วยทัน เพราะเยอรมันคาดว่า รัสเซียน่าจะใช้เวลานานในการระดมพล ขณะนั้นกองทัพของรัสเซียมีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรป วันที่ 3 สิงหาคม คศ 1914 เยอรมันจึงรีบประกาศสงครามกับฝรั่งเศส หลังจากนั้นเยอรมันก็เคลื่อนพลเข้าไปในเบลเยี่ยม เพื่อใช้เป็นทางข้ามไปโจมตีฝรั่งเศส อังกฤษคงกลัวน้อยหน้า เดี๋ยวเขาจะว่าเก่งแต่ปาก วันที่ 4 สิงหาคม คศ 1914 อังกฤษจึงรีบประกาศสงครามกับเยอรมันบ้าง โดยอ้างเหตุผลว่า เพื่อปกป้องความเป็นกลางของเบลเยี่ยม เป็นการอ้างเหตุผลการเข้าสงครามที่ตอแหลอย่างน่าทุเรศ เหตุผลจริงของอังกฤษในการทำสงคราม ชั่วร้ายเกินกว่าที่เราจะนึก แต่ที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ สถานะการเงินของอังกฤษ ขณะตัดสินใจประกาศทำสงครามกับเยอรมันนั้น อังกฤษอยู่ในสภาพล้มละลาย ถังแตกขนาดนั้น ทำไมอังกฤษยังคิดทำสงคราม และทำได้อย่างไร นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ต้มข้ามศตวรรษ” บทนำ (2) ประมาณปี คศ 1890 อังกฤษ แม้จะอยู่บนเกาะใหญ่เท่าปลายนิ้ว ก้อยของเท้าซ้าย แต่ก็สร้างเสริมตนเอง ด้วยความฉลาด เล่ห์เหลี่ยม และความชั่วร้าย จนโดดเด่น มีอำนาจทั้งในด้านการเมือง การทหาร และ การค้า และคิดเอาเองว่า ไม่มีใครจะกล้ามาทาบรัศมี จักรภพอังกฤษอันกว้างใหญ่ แผ่ไพศาลไปเกือบทั่วโลก จนดวงอาทิตย์หาที่ตกในจักรภพไม่ได้ เมื่อคิดอย่างนั้น อังกฤษก็พยายามทำทุกอย่าง ที่จะรักษาความเป็นที่หนึ่ง และเอาโลกใบนี้ให้อยู่ในกำมือของตนเองตลอดกาล หรือให้นานที่สุดเท่าที่จะยืดคอทำได้ จะเอาโลกไว้ในกำมือ อังกฤษต้องทำให้ตนเองมีเสาหลัก หรืออำนาจควบคุมใน 3 เรื่อง – ควบคุมเส้นทางเดินเรือ – ควบคุมระบบการเงินการธนาคาร – ควบคุม หรือครอบครองทรัพยากรที่เป็นผลต่อยุทธศาสตร์ของตน เสาหลักแรก: การควบคุมเส้นทางเดินเรือ อังกฤษ ทำได้สำเร็จ โดยใช้บริษัทประกันภัยใหญ่หมายเลขหนึ่งของอังกฤษ Lloyd ซึ่งมีเครือข่ายทั่วโลก บวกกับการใช้เครือข่ายของธนาคารอังกฤษ เป็นผู้วางกฏ เกี่ยวกับการการขนส่งทางเรือ รวมทั้งใช้กองทัพเรือของตน ที่อังกฤษภูมิใจหนักหนาว่า ไม่มีใครเก่งเทียบ และไม่กล้าท้าทาย ทำหน้าที่เป็นเรือคุ้มกันภัย ให้กับเรือขนส่งสินค้าสัญชาติอังกฤษ โดยไม่ต้องทำประกันภัย ขณะที่คู่แข่ง ถูกบังคับให้ทำประกันภัยกับ Lloyd หรือคิดจะเสี่ยง กับการเจอภัยพิบัติกลางทะเล มันดูไม่ต่างกับการขู่กรรโชกของโจรสลัด สินเชื่อ และตั๋วแลกเงิน ที่จำเป็นต้องออกให้แก่กันในการค้าขาย และขนส่งสินค้าทางเรือ อังกฤษบีบให้ทำผ่านธนาคารของอังกฤษ ซึ่งเป็นธนาคารส่วนบุคคล ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Bank of England ซึ่งก็เป็นผลผลิต ของกลุ่มนักการเงินใน City of London ที่นำโดย เจ้าพ่อใหญ่ ตระกูล Rothschild และพวก เช่น Barings, Hambros เป็นต้น ประมาณ ปี 1900 อังกฤษ ยืนยืด อกแอ่น จนแทบหงายหลัง ประกาศว่า เรามีเสาหลักนี้ ตั้งตระหง่านเรียบร้อยแล้ว เสาหลักที่สอง: การควบคุบระบบการเงิน และระบบการธนาคาร อังกฤษวางแผนอย่างคร่ำเคร่ง แต่เงียบสนิท และผลของมัน ทำให้เกิดระบบธนาคารกลางในอังกฤษ และที่สำคัญ อังกฤษเป็นตัวการสำคัญ ในการวางแผนอีกต่อหนึ่ง ทำให้เกิด Federal Reserve System ในอเมริกา ในปี คศ 1913 ที่เรารู้จักกันในนาม Federal Reserve Bank หรือ ที่เรียกกันสั้นๆว่า Fed ซึ่งเป็นของเอกชน ไม่ใช่เป็นของรัฐ และเป็นเอกชนไม่กี่ตระกูล ที่ส่วนใหญ่เป็นเครือข่าย ของตระกูล Rothschild ของฝั่งอังกฤษ และ ตระกูล Rockefeller และ Morgan ของฝั่งอเมริกา Fed มีอำนาจมากมาย และมีอิสระหลายเรื่อง ที่ไม่ต้องอยู่ในความควบคุมของรัฐบาลอเมริกัน โดยเฉพาะ ในการพิมพ์ธนบัตร การกำหนดอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่างสถาบัน ฯลฯ การตัดสินใจของ Fed มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจการเงิน ตลาดทุน ตลาดหุ้น ของอเมริกา และของโลก แม้แต่สมันน้อย ยังต้องคอยฟังว่า เฟด เขาว่าอะไร ฟังแล้ว รู้เรื่องจริงไหม เข้าใจไหม เป็นอีกเรื่อง แต่ต้องคอยฟัง ต้องพูดถึง เพราะมันเข้าสมัย และผู้บริหารบ้านเราก็แสนฉลาด เดินทุกก้าวตาม ที่เฟด บอก Fed จึงกลายเป็นตัวสำคัญในการชักใยการเงินโลกจนถึงทุกวันนี้ เป็นไปตามเป้าหมายของเสาหลักที่สอง ที่มีอานุภาพรุนแรงและยาวนานอย่างไม่น่าเชื่อ เสาหลักที่สาม: ควบคุม หรือครอบครอง ทรัพยากรที่มีผลสำคัญต่อยุทธศาสตร์ ในความหมายของอังกฤษ ขณะนั้น และยังมีผลจนถึงขณะนี้ก็คือ น้ำมัน! ซึ่งไม่ใช่มีความหมายเฉพาะกับอังกฤษเท่านั้น แต่มันมีความหมาย และมีผลกับโลกนี้ทั้งใบ สวัสดีครับ คนเล่านิทาน 20 เม.ย. 2558
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 638 มุมมอง 0 รีวิว
  • “จากปฏิเสธสู่การยอมรับ – ทำไมธนาคารใหญ่หันมาใช้ Blockchain จริงจังในปี 2025?”

    เมื่อก่อนธนาคารมอง Blockchain ว่าเป็นเทคโนโลยีเสี่ยงที่เชื่อมโยงกับคริปโตและความผันผวน แต่ในปี 2025 ทุกอย่างเปลี่ยนไป ธนาคารยักษ์ใหญ่อย่าง JPMorgan, HSBC และ Citi ไม่ได้แค่ทดลองใช้ Blockchain อีกต่อไป พวกเขากำลัง “สร้างระบบใหม่” บนเทคโนโลยีนี้จริงจัง

    เหตุผลหลักคือ Blockchain ช่วยแก้ปัญหาเก่า ๆ ที่ธนาคารเจอมานาน เช่น การโอนเงินข้ามประเทศที่ใช้เวลาหลายวัน, ค่าธรรมเนียมสูง, และระบบหลังบ้านที่ซับซ้อนและเปลืองทรัพยากร

    ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ JPMorgan ใช้แพลตฟอร์ม Kinexys (ชื่อเดิม Onyx) ที่ประมวลผลธุรกรรมกว่า $1.5 ล้านล้านดอลลาร์ และมีการใช้งานเฉลี่ยวันละ $2 พันล้าน โดยใช้ JPM Coin เพื่อให้ลูกค้าธุรกิจโอนเงินแบบ real-time

    นอกจากเรื่องความเร็ว ยังมีเรื่องต้นทุนและความร่วมมือระหว่างธนาคาร เช่น SWIFT กำลังทดลองระบบ settlement ด้วย Blockchain ร่วมกับกว่า 30 สถาบัน และเครือข่าย Canton Network ที่มี Deutsche Bank และ Goldman Sachs ก็เปิดให้ธนาคารแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ tokenized ได้โดยตรง

    ธนาคารยังหันมาใช้ Blockchain ในการจัดการข้อมูลลูกค้า เช่น KYC และการตรวจสอบการฉ้อโกง เพราะระบบนี้มีความโปร่งใสสูง ทุกธุรกรรมมี timestamp และสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ง่าย

    แม้จะยังไม่ใช่ทุกธนาคารที่ใช้ Blockchain เต็มรูปแบบ แต่แนวโน้มชัดเจนว่าเทคโนโลยีนี้กำลังกลายเป็น “โครงสร้างพื้นฐานใหม่” ของโลกการเงิน

    เหตุผลที่ธนาคารหันมาใช้ Blockchain
    ลดเวลาในการโอนเงินข้ามประเทศ
    ลดค่าธรรมเนียมและความผิดพลาด
    เพิ่มความโปร่งใสในการตรวจสอบธุรกรรม
    ใช้กับการจัดการข้อมูลลูกค้า เช่น KYC และ fraud detection
    รองรับการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ tokenized แบบ real-time

    ตัวอย่างการใช้งานจริง
    JPMorgan ใช้ Kinexys และ JPM Coin โอนเงินแบบทันที
    SWIFT ทดลองระบบ settlement ด้วย Blockchain
    Deutsche Bank และ BNP Paribas ใช้ Partior และ Canton Network
    HSBC เปิดบริการ tokenized deposit ในฮ่องกง
    Citi ใช้ smart contract เพื่อเร่งการโอนเงินและ trade finance

    ปัจจัยที่ทำให้ Blockchain น่าใช้มากขึ้น
    ระบบ permissioned ที่ใช้พลังงานต่ำ
    กฎระเบียบที่ชัดเจนขึ้นใน EU และสิงคโปร์
    Stablecoin และ digital token ที่มีเงินสดหนุนหลัง
    ธนาคารกลางกว่า 90% กำลังทดลอง CBDC
    เครื่องมือตรวจสอบ smart contract เพื่อความปลอดภัย

    https://hackread.com/why-banks-embrace-blockchain-once-rejected/
    🏦 “จากปฏิเสธสู่การยอมรับ – ทำไมธนาคารใหญ่หันมาใช้ Blockchain จริงจังในปี 2025?” เมื่อก่อนธนาคารมอง Blockchain ว่าเป็นเทคโนโลยีเสี่ยงที่เชื่อมโยงกับคริปโตและความผันผวน แต่ในปี 2025 ทุกอย่างเปลี่ยนไป ธนาคารยักษ์ใหญ่อย่าง JPMorgan, HSBC และ Citi ไม่ได้แค่ทดลองใช้ Blockchain อีกต่อไป พวกเขากำลัง “สร้างระบบใหม่” บนเทคโนโลยีนี้จริงจัง เหตุผลหลักคือ Blockchain ช่วยแก้ปัญหาเก่า ๆ ที่ธนาคารเจอมานาน เช่น การโอนเงินข้ามประเทศที่ใช้เวลาหลายวัน, ค่าธรรมเนียมสูง, และระบบหลังบ้านที่ซับซ้อนและเปลืองทรัพยากร ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ JPMorgan ใช้แพลตฟอร์ม Kinexys (ชื่อเดิม Onyx) ที่ประมวลผลธุรกรรมกว่า $1.5 ล้านล้านดอลลาร์ และมีการใช้งานเฉลี่ยวันละ $2 พันล้าน โดยใช้ JPM Coin เพื่อให้ลูกค้าธุรกิจโอนเงินแบบ real-time นอกจากเรื่องความเร็ว ยังมีเรื่องต้นทุนและความร่วมมือระหว่างธนาคาร เช่น SWIFT กำลังทดลองระบบ settlement ด้วย Blockchain ร่วมกับกว่า 30 สถาบัน และเครือข่าย Canton Network ที่มี Deutsche Bank และ Goldman Sachs ก็เปิดให้ธนาคารแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ tokenized ได้โดยตรง ธนาคารยังหันมาใช้ Blockchain ในการจัดการข้อมูลลูกค้า เช่น KYC และการตรวจสอบการฉ้อโกง เพราะระบบนี้มีความโปร่งใสสูง ทุกธุรกรรมมี timestamp และสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ง่าย แม้จะยังไม่ใช่ทุกธนาคารที่ใช้ Blockchain เต็มรูปแบบ แต่แนวโน้มชัดเจนว่าเทคโนโลยีนี้กำลังกลายเป็น “โครงสร้างพื้นฐานใหม่” ของโลกการเงิน ✅ เหตุผลที่ธนาคารหันมาใช้ Blockchain ➡️ ลดเวลาในการโอนเงินข้ามประเทศ ➡️ ลดค่าธรรมเนียมและความผิดพลาด ➡️ เพิ่มความโปร่งใสในการตรวจสอบธุรกรรม ➡️ ใช้กับการจัดการข้อมูลลูกค้า เช่น KYC และ fraud detection ➡️ รองรับการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ tokenized แบบ real-time ✅ ตัวอย่างการใช้งานจริง ➡️ JPMorgan ใช้ Kinexys และ JPM Coin โอนเงินแบบทันที ➡️ SWIFT ทดลองระบบ settlement ด้วย Blockchain ➡️ Deutsche Bank และ BNP Paribas ใช้ Partior และ Canton Network ➡️ HSBC เปิดบริการ tokenized deposit ในฮ่องกง ➡️ Citi ใช้ smart contract เพื่อเร่งการโอนเงินและ trade finance ✅ ปัจจัยที่ทำให้ Blockchain น่าใช้มากขึ้น ➡️ ระบบ permissioned ที่ใช้พลังงานต่ำ ➡️ กฎระเบียบที่ชัดเจนขึ้นใน EU และสิงคโปร์ ➡️ Stablecoin และ digital token ที่มีเงินสดหนุนหลัง ➡️ ธนาคารกลางกว่า 90% กำลังทดลอง CBDC ➡️ เครื่องมือตรวจสอบ smart contract เพื่อความปลอดภัย https://hackread.com/why-banks-embrace-blockchain-once-rejected/
    HACKREAD.COM
    Why Banks Are Embracing Blockchain They Once Rejected
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 451 มุมมอง 0 รีวิว
  • #สงครามและความวุ่นวายโกลาหลล้วนมีเบื้องหน้าและเบื้องหลังและมีวัตถุประสงค์จึงก่อเหตุสร้างสงครามนั้นขึ้นมา รวมถึงประเทศไทยด้วยในปัจจุบัน.

    ..ทหารไทยภาคประชาชนคือหนทางออก ทางเดียว ต้องยึดอำนาจแล้วกวาดล้างทำความสะอาดสิ่งสกปกรกภายในประเทศไทยเราก่อนจริงๆก่อนสิ้นเดือนนี้ยิ่งดี.
    ..ไทยมีธนาคารกลางคือแบงค์ชาติไทยนะ ธนาคารกลางทั่วโลกเป็นตระกูลRothschildสั่งการและปกครอง,ธนาคารพานิชย์ทั้งหมดคือสาขาย่อยบ๋อยรับใช้มัน.,จงไม่แปลกใจว่าทำไมคนไทยยากจนลงทุกๆวัน ถูกขูดรีดตลอดเวลา ไร้กองทุนเงินทุนจริงใจช่วยเหลือประชาชนจริงๆ,อำนาจรัฐ อำนาจนายกฯไม่สามารถสั่งการ เข้าปกครองควบคุมได้.,กำหนดดอกเบี้ยในอัตราต่ำให้เป็นคุณประโยชน์จริงแก่คนไทยได้,กำหนดนโยบายทางการเงินที่มิให้ต้นทุนทางการเงินคนไทยลำบาก,ประชาชนเข้าถึงและช่วยเหลือจริงทางการเงินได้,มิใช่ธนาคารประกาศผลกำไรดำเนินงานกว่าแสนล้านบาทมากมายหลายแบงค์เช่นที่ผ่านมา ในขณะที่หลายภาคส่วนอุตสาหกรรมดิ่งขาดทุนเป็นว่าเล่น.,ประชาชนเดือดร้อนทั่วประเทศจากตังขาดสภาพคล่อง,เพราะตระกูลนี้ปกครองครบคุมตังทั้งประเทศไทยไง"Rothschild"
    ..................................................

    #ในปี 2000 มี 9 ประเทศที่ไม่มีธนาคารกลางของ Rothschild

    สี่คนถูกล้มล้างไปแล้วด้วยการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองโดยอิงจากการโกหกเช่น WMD

    ขณะนี้เรากำลังอยู่ในสงครามตัวแทนของอิสราเอลกับอิหร่านและซีเรีย และกำลังจะโค่นล้มมาดูโรในเวเนซุเอลา

    ปลุกนรกให้ตื่น


    @RealLandDownUnder

    ..................................................
    #สงครามและความวุ่นวายโกลาหลล้วนมีเบื้องหน้าและเบื้องหลังและมีวัตถุประสงค์จึงก่อเหตุสร้างสงครามนั้นขึ้นมา รวมถึงประเทศไทยด้วยในปัจจุบัน. ..ทหารไทยภาคประชาชนคือหนทางออก ทางเดียว ต้องยึดอำนาจแล้วกวาดล้างทำความสะอาดสิ่งสกปกรกภายในประเทศไทยเราก่อนจริงๆก่อนสิ้นเดือนนี้ยิ่งดี. ..ไทยมีธนาคารกลางคือแบงค์ชาติไทยนะ ธนาคารกลางทั่วโลกเป็นตระกูลRothschildสั่งการและปกครอง,ธนาคารพานิชย์ทั้งหมดคือสาขาย่อยบ๋อยรับใช้มัน.,จงไม่แปลกใจว่าทำไมคนไทยยากจนลงทุกๆวัน ถูกขูดรีดตลอดเวลา ไร้กองทุนเงินทุนจริงใจช่วยเหลือประชาชนจริงๆ,อำนาจรัฐ อำนาจนายกฯไม่สามารถสั่งการ เข้าปกครองควบคุมได้.,กำหนดดอกเบี้ยในอัตราต่ำให้เป็นคุณประโยชน์จริงแก่คนไทยได้,กำหนดนโยบายทางการเงินที่มิให้ต้นทุนทางการเงินคนไทยลำบาก,ประชาชนเข้าถึงและช่วยเหลือจริงทางการเงินได้,มิใช่ธนาคารประกาศผลกำไรดำเนินงานกว่าแสนล้านบาทมากมายหลายแบงค์เช่นที่ผ่านมา ในขณะที่หลายภาคส่วนอุตสาหกรรมดิ่งขาดทุนเป็นว่าเล่น.,ประชาชนเดือดร้อนทั่วประเทศจากตังขาดสภาพคล่อง,เพราะตระกูลนี้ปกครองครบคุมตังทั้งประเทศไทยไง"Rothschild" .................................................. #ในปี 2000 มี 9 ประเทศที่ไม่มีธนาคารกลางของ Rothschild สี่คนถูกล้มล้างไปแล้วด้วยการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองโดยอิงจากการโกหกเช่น WMD ขณะนี้เรากำลังอยู่ในสงครามตัวแทนของอิสราเอลกับอิหร่านและซีเรีย และกำลังจะโค่นล้มมาดูโรในเวเนซุเอลา ปลุกนรกให้ตื่น 🇮🇹@RealLandDownUnder ..................................................
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 499 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts