• รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline

    #รวมข่าวIT #20251218 #securityonline


    Mozilla เปิดยุคใหม่: Firefox เตรียมกลายเป็นเบราว์เซอร์พลัง AI
    Mozilla ประกาศแผนการใหญ่ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Anthony Enzor-DeMeo ที่จะเปลี่ยน Firefox จากเบราว์เซอร์แบบดั้งเดิมให้กลายเป็นแพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนด้วย AI จุดมุ่งหมายคือการทำให้ Firefox ไม่ใช่แค่เครื่องมือท่องเว็บ แต่เป็นผู้ช่วยอัจฉริยะที่เข้าใจผู้ใช้และสามารถปรับแต่งประสบการณ์ออนไลน์ได้อย่างลึกซึ้ง การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงความพยายามของ Mozilla ที่จะกลับมาแข่งขันในตลาดเบราว์เซอร์ที่ถูกครอบงำโดย Chrome และ Edge
    https://securityonline.info/mozillas-new-chapter-ceo-anthony-enzor-demeo-to-transform-firefox-into-an-ai-powered-powerhouse

    Let’s Encrypt ปรับระบบ TLS ใหม่: ใบรับรองสั้นลงเหลือ 45 วัน
    Let’s Encrypt ประกาศการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบการออกใบรับรอง TLS โดยลดอายุการใช้งานจาก 90 วันเหลือเพียง 45 วัน พร้อมเปิดตัวโครงสร้างใหม่ที่เรียกว่า Generation Y Hierarchy และการรองรับ TLS แบบใช้ IP โดยตรง การเปลี่ยนแปลงนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความปลอดภัย ลดความเสี่ยงจากใบรับรองที่ถูกขโมยหรือไม่ได้อัปเดต และทำให้ระบบอินเทอร์เน็ตมีความยืดหยุ่นมากขึ้น แม้จะเพิ่มภาระให้ผู้ดูแลระบบ แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของเว็บทั่วโลก
    https://securityonline.info/the-45-day-era-begins-lets-encrypt-unveils-generation-y-hierarchy-and-ip-based-tls

    ช่องโหว่ร้ายแรงใน Apache Commons Text เสี่ยงถูกยึดเซิร์ฟเวอร์
    เรื่องนี้เป็นการค้นพบช่องโหว่ใหม่ในไลบรารี Java ที่ชื่อ Apache Commons Text ซึ่งถูกใช้อย่างแพร่หลายในการจัดการข้อความ ช่องโหว่นี้ถูกระบุว่า CVE-2025-46295 และมีคะแนนความรุนแรงสูงถึง 9.8 เต็ม 10 จุดอันตรายอยู่ที่ฟังก์ชัน string interpolation ที่เปิดช่องให้ผู้โจมตีสามารถส่งข้อมูลที่ไม่ปลอดภัยเข้ามาและทำให้เกิดการรันคำสั่งจากระยะไกลได้ ลักษณะนี้คล้ายกับเหตุการณ์ Log4Shell ที่เคยสร้างความเสียหายใหญ่ในอดีต ทีมพัฒนา FileMaker Server ได้รีบแก้ไขโดยอัปเดตเป็นเวอร์ชันใหม่ที่ปลอดภัยแล้ว และแนะนำให้ผู้ดูแลระบบรีบอัปเดตทันทีเพื่อปิดช่องโหว่
    https://securityonline.info/cve-2025-46295-cvss-9-8-critical-apache-commons-text-flaw-risks-total-server-takeover

    หลอกด้วยใบสั่งจราจรปลอม: แอป RTO Challan ดูดข้อมูลและเงิน
    ในอินเดียมีการโจมตีใหม่ที่ใช้ความกลัวการโดนใบสั่งจราจรมาเป็นเครื่องมือ หลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดแอป “RTO Challan” ผ่าน WhatsApp โดยอ้างว่าเป็นแอปทางการเพื่อดูหลักฐานการกระทำผิด แต่แท้จริงแล้วเป็นมัลแวร์ที่ซ่อนตัวและสร้าง VPN ปลอมเพื่อส่งข้อมูลออกไปโดยไม่ถูกตรวจจับ มันสามารถขโมยข้อมูลส่วนตัว ตั้งแต่บัตร Aadhaar, PAN ไปจนถึงข้อมูลธนาคาร และยังหลอกให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลบัตรเครดิตพร้อมรหัส PIN เพื่อทำธุรกรรมปลอมแบบเรียลไทม์ ถือเป็นการโจมตีที่ผสมผสานทั้งวิศวกรรมสังคมและเทคนิคขั้นสูง ผู้ใช้ถูกเตือนให้ระวังข้อความจากเบอร์แปลกและไม่ดาวน์โหลดแอปจากลิงก์ที่ไม่น่าเชื่อถือ
    https://securityonline.info/rto-challan-scam-how-a-fake-traffic-ticket-and-a-malicious-vpn-can-drain-your-bank-account

    Node.js systeminformation พบช่องโหว่เสี่ยง RCE บน Windows
    ไลบรารีชื่อดัง systeminformation ที่ถูกดาวน์โหลดกว่า 16 ล้านครั้งต่อเดือน ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-68154 โดยเฉพาะบน Windows ฟังก์ชัน fsSize() ที่ใช้ตรวจสอบขนาดดิสก์ไม่ได้กรองข้อมูลอินพุต ทำให้ผู้โจมตีสามารถใส่คำสั่ง PowerShell แทนตัวอักษรไดรฟ์ และรันคำสั่งอันตรายได้ทันที ผลกระทบคือการเข้าควบคุมระบบ อ่านข้อมูลลับ หรือแม้กระทั่งปล่อย ransomware นักพัฒนาถูกแนะนำให้อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 5.27.14 ที่แก้ไขแล้วโดยด่วน
    https://securityonline.info/node-js-alert-systeminformation-flaw-risks-windows-rce-for-16m-monthly-users

    OpenAI เจรจา Amazon ขอทุนเพิ่ม 10 พันล้าน พร้อมเงื่อนไขใช้ชิป AI ของ Amazon
    มีรายงานว่า OpenAI กำลังเจรจากับ Amazon เพื่อระดมทุนมหาศาลถึง 10 พันล้านดอลลาร์ โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือ OpenAI ต้องใช้ชิป AI ของ Amazon เช่น Trainium และ Inferentia แทนการพึ่งพา NVIDIA ที่ราคาแพงและขาดตลาด หากดีลนี้เกิดขึ้นจริงจะเป็นการพลิกเกมครั้งใหญ่ เพราะจะทำให้ Amazon ได้การยืนยันคุณภาพชิปจากผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในวงการ AI และยังช่วยให้ OpenAI ลดต้นทุนการประมวลผล ขณะเดียวกันก็สร้างสมดุลระหว่าง Microsoft และ Amazon ในการเป็นพันธมิตรด้านคลาวด์
    https://securityonline.info/the-10b-pivot-openai-in-talks-for-massive-amazon-funding-but-theres-a-silicon-catch

    Cloudflare เผยรายงานปี 2025: สงครามบอท AI และการจราจรอินเทอร์เน็ตพุ่ง 19%
    รายงานประจำปีของ Cloudflare ชี้ให้เห็นว่าปี 2025 อินเทอร์เน็ตกำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ปริมาณการใช้งานเพิ่มขึ้น 19% และเกิด “สงครามบอท AI” ที่แข่งขันกันเก็บข้อมูลออนไลน์ โดย Google ครองอันดับหนึ่งด้านการเก็บข้อมูลผ่าน crawler เพื่อใช้ฝึกโมเดล AI อย่าง Gemini ขณะเดียวกันองค์กรไม่แสวงหากำไรกลับกลายเป็นเป้าหมายโจมตีไซเบอร์มากที่สุด เนื่องจากมีข้อมูลอ่อนไหวแต่ขาดทรัพยากรป้องกัน รายงานยังระบุว่ามีการโจมตี DDoS ครั้งใหญ่กว่า 25 ครั้งในปีเดียว และครึ่งหนึ่งของการหยุดชะงักอินเทอร์เน็ตทั่วโลกเกิดจากการกระทำของรัฐบาล การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนทั้งความก้าวหน้าและความเปราะบางของโลกออนไลน์
    https://securityonline.info/the-internet-rewired-cloudflare-2025-review-unveils-the-ai-bot-war-and-a-19-traffic-surge

    Locked Out of the Cloud: เมื่อแฮกเกอร์ใช้ AWS Termination Protection ปล้นพลังประมวลผลไปขุดคริปโต
    เรื่องนี้เป็นการโจมตีที่ซับซ้อนมากในโลกคลาวด์ แฮกเกอร์เจาะเข้ามาในระบบ AWS โดยใช้บัญชีที่ถูกขโมย แล้วรีบ deploy เครื่องขุดคริปโตภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที จุดที่น่ากลัวคือพวกเขาใช้ฟีเจอร์ DryRun เพื่อตรวจสอบสิทธิ์โดยไม่ทิ้งร่องรอย และเมื่อเครื่องขุดถูกสร้างขึ้น พวกเขาเปิดการป้องกันการลบ (termination protection) ทำให้เจ้าของระบบไม่สามารถลบเครื่องได้ทันที ต้องปิดการป้องกันก่อนถึงจะจัดการได้ นั่นทำให้แฮกเกอร์มีเวลาขุดคริปโตเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีการสร้าง backdoor ผ่าน AWS Lambda และเตรียมใช้ Amazon SES เพื่อส่งอีเมลฟิชชิ่งต่อไป เหตุการณ์นี้ไม่ใช่การเจาะ AWS โดยตรง แต่เป็นการใช้ credential ที่ถูกขโมยไปอย่างชาญฉลาด
    https://securityonline.info/locked-out-of-the-cloud-hackers-use-aws-termination-protection-to-hijack-ecs-for-unstoppable-crypto-mining

    Blurred Deception: กลยุทธ์ฟิชชิ่งของกลุ่ม APT
    รัสเซียที่ใช้ “เอกสารเบลอ” กลุ่ม APT จากรัสเซียส่งอีเมลปลอมในชื่อคำสั่งจากประธานาธิบดี Transnistria โดยแนบไฟล์ที่ดูเหมือนเอกสารทางการ แต่เนื้อหาถูกทำให้เบลอด้วย CSS filter ผู้รับจึงต้องใส่อีเมลและรหัสผ่านเพื่อ “ปลดล็อก” เอกสาร ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นการหลอกขโมยข้อมูลเข้าสู่ระบบ ฟังก์ชัน JavaScript ที่ใช้ยังมีลูกเล่นคือไม่ว่ารหัสผ่านจะถูกหรือผิดก็ถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ของแฮกเกอร์อยู่ดี แคมเปญนี้ไม่ได้หยุดแค่ Transnistria แต่ยังขยายไปยังประเทศในยุโรปตะวันออกและหน่วยงาน NATO ด้วย ถือเป็นการโจมตีที่ใช้ความเร่งด่วนและความอยากรู้อยากเห็นของเหยื่อเป็นตัวล่อ
    https://securityonline.info/blurred-deception-russian-apt-targets-transnistria-and-nato-with-high-pressure-phishing-lures

    “Better Auth” Framework Alert: ช่องโหว่ Double-Slash ที่ทำให้ระบบป้องกันพัง
    มีการค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงใน Better Auth ซึ่งเป็น framework ยอดนิยมสำหรับ TypeScript ที่ใช้กันกว้างขวาง ปัญหาคือ router ภายในชื่อ rou3 มอง URL ที่มีหลาย slash เช่น //sign-in/email ว่าเหมือนกับ /sign-in/email แต่ระบบป้องกันบางอย่างไม่ได้ normalize URL แบบเดียวกัน ทำให้แฮกเกอร์สามารถเข้าถึง path ที่ถูกปิดไว้ หรือเลี่ยง rate limit ได้ง่าย ๆ ช่องโหว่นี้มีคะแนน CVSS สูงถึง 8.6 และกระทบผู้ใช้จำนวนมาก การแก้ไขคืออัปเดตเวอร์ชันใหม่ หรือปรับ proxy ให้ normalize URL ก่อนถึงระบบ หากไม่ทำก็เสี่ยงที่ระบบจะถูกเจาะผ่านช่องโหว่เล็ก ๆ แต่ร้ายแรงนี้
    https://securityonline.info/better-auth-framework-alert-the-double-slash-trick-that-bypasses-security-controls

    Ink Dragon’s Global Mesh: เมื่อเซิร์ฟเวอร์รัฐบาลถูกเปลี่ยนเป็นโหนดสอดแนม
    กลุ่มสอดแนมไซเบอร์จากจีนที่ชื่อ Ink Dragon ใช้เทคนิคใหม่ในการสร้างเครือข่ายสั่งการ โดยเปลี่ยนเซิร์ฟเวอร์รัฐบาลที่ถูกเจาะให้กลายเป็นโหนด relay ส่งต่อคำสั่งและข้อมูลไปยังเป้าหมายอื่น ๆ ผ่านโมดูล ShadowPad IIS Listener ทำให้การติดตามแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะคำสั่งอาจวิ่งผ่านหลายองค์กรก่อนถึงเป้าหมายจริง พวกเขายังใช้ช่องโหว่ IIS ที่รู้จักกันมานานและ misconfiguration ของ ASP.NET เพื่อเข้ามา จากนั้นติดตั้ง malware รุ่นใหม่ที่ซ่อนการสื่อสารผ่าน Microsoft Graph API การขยายเป้าหมายไปยังยุโรปทำให้ภัยนี้ไม่ใช่แค่ระดับภูมิภาค แต่เป็นโครงสร้างสอดแนมข้ามชาติที่ใช้โครงสร้างของเหยื่อเองเป็นเครื่องมือ
    https://securityonline.info/ink-dragons-global-mesh-how-chinese-spies-turn-compromised-government-servers-into-c2-relay-nodes

    Academic Ambush: เมื่อกลุ่ม APT ปลอมรายงาน “Plagiarism” เพื่อเจาะระบบนักวิชาการ
    นี่คือแคมเปญที่ใช้ความกังวลของนักวิชาการเป็นตัวล่อ แฮกเกอร์ส่งอีเมลปลอมในชื่อ “Forum Troll APT” โดยอ้างว่าผลงานของเหยื่อถูกตรวจพบการลอกเลียนแบบ พร้อมแนบไฟล์ Word ที่ดูเหมือนรายงานตรวจสอบ แต่จริง ๆ แล้วเป็นเอกสารที่ฝังโค้ดอันตราย เมื่อเหยื่อเปิดไฟล์ โค้ดจะถูกเรียกใช้เพื่อดาวน์โหลดมัลแวร์เข้ามาในเครื่องทันที การโจมตีนี้เล่นกับความกลัวเรื่องชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือในวงวิชาการ ทำให้ผู้รับมีแนวโน้มเปิดไฟล์โดยไม่ระวัง ถือเป็นการใช้ “แรงกดดันทางสังคม” เป็นอาวุธไซเบอร์
    https://securityonline.info/academic-ambush-how-the-forum-troll-apt-hijacks-scholars-systems-via-fake-plagiarism-reports

    GitHub ยอมถอย หลังนักพัฒนารวมพลังต้านค่าธรรมเนียม Self-Hosted Runner
    เรื่องนี้เริ่มจาก GitHub ประกาศว่าจะเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมสำหรับการใช้งาน self-hosted runner ใน GitHub Actions ตั้งแต่มีนาคม 2026 โดยคิดนาทีละ 0.002 ดอลลาร์ แม้ผู้ใช้จะลงทุนเครื่องเองแล้วก็ตาม ข่าวนี้ทำให้ชุมชนนักพัฒนาลุกฮือทันที เสียงวิจารณ์ดังไปทั่วว่าเป็นการตัดสินใจที่ไม่ฟังเสียงผู้ใช้ สุดท้าย GitHub ต้องออกมาประกาศเลื่อนการเก็บค่าธรรมเนียมออกไป พร้อมลดราคาสำหรับ runner ที่ GitHub โฮสต์เองลงถึง 39% ตั้งแต่ต้นปี 2026 และย้ำว่าจะกลับไปฟังเสียงนักพัฒนาให้มากขึ้นก่อนปรับแผนใหม่ เรื่องนี้สะท้อนว่าพลังของชุมชนสามารถกดดันให้แพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ต้องทบทวนการตัดสินใจได้
    https://securityonline.info/the-developer-win-github-postpones-self-hosted-runner-fee-after-massive-community-outcry

    ช่องโหว่ร้ายแรง HPE OneView เปิดทางให้ยึดศูนย์ข้อมูลได้ทันที
    Hewlett Packard Enterprise (HPE) แจ้งเตือนช่องโหว่ CVE-2025-37164 ที่มีคะแนนความรุนแรงสูงสุด 10.0 ในซอฟต์แวร์ OneView ซึ่งเป็นหัวใจในการจัดการเซิร์ฟเวอร์และระบบเครือข่าย ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีที่ไม่ต้องล็อกอินสามารถสั่งรันโค้ดจากระยะไกลได้ทันที เท่ากับว่าสามารถยึดศูนย์ข้อมูลทั้งระบบได้เลย HPE รีบออกแพตช์ v11.00 และแนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตโดยด่วน สำหรับผู้ที่ยังใช้เวอร์ชันเก่า มี hotfix ให้ แต่ต้องระวังว่าหลังอัปเกรดบางเวอร์ชันต้องติดตั้งซ้ำอีกครั้ง ไม่เช่นนั้นจะยังเสี่ยงอยู่
    https://securityonline.info/cve-2025-37164-cvss-10-0-unauthenticated-hpe-oneview-rce-grants-total-control-over-data-centers

    CISA เตือนด่วน แฮ็กเกอร์จีนใช้ช่องโหว่ Cisco และ SonicWall โจมตีจริงแล้ว
    หน่วยงาน CISA ของสหรัฐฯ ออกประกาศเพิ่มช่องโหว่ร้ายแรงเข้ารายการ KEV หลังพบว่ากลุ่มแฮ็กเกอร์จีน UAT-9686 กำลังใช้ช่องโหว่ Cisco Secure Email Gateway ที่มีคะแนน 10 เต็มในการเข้าถึงระบบโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน พร้อมติดตั้งมัลแวร์ AquaShell และ AquaPurge เพื่อซ่อนร่องรอย นอกจากนี้ยังพบการโจมตี SonicWall SMA1000 โดยใช้ช่องโหว่เดิมร่วมกับช่องโหว่ใหม่เพื่อยึดระบบได้ทั้งหมด และยังมีการนำช่องโหว่เก่าใน ASUS Live Update ที่หมดการสนับสนุนแล้วกลับมาใช้โจมตีในลักษณะ supply chain อีกด้วย ทำให้หน่วยงานรัฐต้องเร่งแพตช์ก่อนเส้นตาย 24 ธันวาคม 2025 https://securityonline.info/cisa-alert-chinese-hackers-weaponize-cvss-10-cisco-zero-day-sonicwall-exploit-chains

    แฮ็กเกอร์จีน UAT-9686 ใช้มัลแวร์ Aqua เจาะ Cisco Secure Email
    Cisco Talos เปิดเผยว่ากลุ่ม UAT-9686 กำลังใช้ช่องโหว่ CVE-2025-20393 ใน Cisco Secure Email Gateway และ Web Manager เพื่อเข้าถึงระบบในระดับ root โดยอาศัยการเปิดใช้งานฟีเจอร์ Spam Quarantine ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งหากเปิดไว้จะกลายเป็นช่องทางให้โจมตีได้ทันที เมื่อเข้ามาแล้วพวกเขาติดตั้งมัลแวร์ชุด “Aqua” ได้แก่ AquaShell ที่ฝังตัวในไฟล์เซิร์ฟเวอร์, AquaPurge ที่ลบหลักฐานใน log และ AquaTunnel ที่สร้างการเชื่อมต่อย้อนกลับเพื่อรักษาการเข้าถึง แม้แก้ช่องโหว่แล้วก็ยังไม่พ้นภัย เพราะมัลแวร์ฝังลึกจน Cisco แนะนำว่าหากถูกเจาะแล้วต้อง rebuild เครื่องใหม่เท่านั้น
    https://securityonline.info/cisco-zero-day-siege-chinese-group-uat-9686-deploys-aqua-malware-via-cvss-10-root-exploit

    SonicWall เตือนช่องโหว่ใหม่ถูกใช้ร่วมกับช่องโหว่เดิม ยึดระบบได้แบบ root
    SonicWall ออกประกาศด่วนเกี่ยวกับช่องโหว่ CVE-2025-40602 ในอุปกรณ์ SMA1000 แม้คะแนน CVSS เพียง 6.6 แต่เมื่อถูกใช้ร่วมกับช่องโหว่ CVE-2025-23006 ที่ร้ายแรงกว่า จะกลายเป็นการโจมตีแบบ chain ที่ทำให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงระบบโดยไม่ต้องล็อกอิน และยกระดับสิทธิ์เป็น root ได้ทันที เท่ากับยึดระบบทั้งองค์กรได้โดยไม่ต้องมีรหัสผ่าน SonicWall ได้ออกแพตช์ใหม่และแนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตทันที หากไม่สามารถทำได้ควรปิดการเข้าถึง AMC และ SSH จากอินเทอร์เน็ตเพื่อป้องกันการโจมตี
    ​​​​​​​ https://securityonline.info/zero-day-warning-hackers-chain-sonicwall-sma1000-flaws-for-unauthenticated-root-rce
    📌🔐🟠 รวมข่าวจากเวบ SecurityOnline 🟠🔐📌 #รวมข่าวIT #20251218 #securityonline 🦊 Mozilla เปิดยุคใหม่: Firefox เตรียมกลายเป็นเบราว์เซอร์พลัง AI Mozilla ประกาศแผนการใหญ่ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Anthony Enzor-DeMeo ที่จะเปลี่ยน Firefox จากเบราว์เซอร์แบบดั้งเดิมให้กลายเป็นแพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนด้วย AI จุดมุ่งหมายคือการทำให้ Firefox ไม่ใช่แค่เครื่องมือท่องเว็บ แต่เป็นผู้ช่วยอัจฉริยะที่เข้าใจผู้ใช้และสามารถปรับแต่งประสบการณ์ออนไลน์ได้อย่างลึกซึ้ง การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงความพยายามของ Mozilla ที่จะกลับมาแข่งขันในตลาดเบราว์เซอร์ที่ถูกครอบงำโดย Chrome และ Edge 🔗 https://securityonline.info/mozillas-new-chapter-ceo-anthony-enzor-demeo-to-transform-firefox-into-an-ai-powered-powerhouse 🔒 Let’s Encrypt ปรับระบบ TLS ใหม่: ใบรับรองสั้นลงเหลือ 45 วัน Let’s Encrypt ประกาศการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบการออกใบรับรอง TLS โดยลดอายุการใช้งานจาก 90 วันเหลือเพียง 45 วัน พร้อมเปิดตัวโครงสร้างใหม่ที่เรียกว่า Generation Y Hierarchy และการรองรับ TLS แบบใช้ IP โดยตรง การเปลี่ยนแปลงนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มความปลอดภัย ลดความเสี่ยงจากใบรับรองที่ถูกขโมยหรือไม่ได้อัปเดต และทำให้ระบบอินเทอร์เน็ตมีความยืดหยุ่นมากขึ้น แม้จะเพิ่มภาระให้ผู้ดูแลระบบ แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของเว็บทั่วโลก 🔗 https://securityonline.info/the-45-day-era-begins-lets-encrypt-unveils-generation-y-hierarchy-and-ip-based-tls 🛡️ ช่องโหว่ร้ายแรงใน Apache Commons Text เสี่ยงถูกยึดเซิร์ฟเวอร์ เรื่องนี้เป็นการค้นพบช่องโหว่ใหม่ในไลบรารี Java ที่ชื่อ Apache Commons Text ซึ่งถูกใช้อย่างแพร่หลายในการจัดการข้อความ ช่องโหว่นี้ถูกระบุว่า CVE-2025-46295 และมีคะแนนความรุนแรงสูงถึง 9.8 เต็ม 10 จุดอันตรายอยู่ที่ฟังก์ชัน string interpolation ที่เปิดช่องให้ผู้โจมตีสามารถส่งข้อมูลที่ไม่ปลอดภัยเข้ามาและทำให้เกิดการรันคำสั่งจากระยะไกลได้ ลักษณะนี้คล้ายกับเหตุการณ์ Log4Shell ที่เคยสร้างความเสียหายใหญ่ในอดีต ทีมพัฒนา FileMaker Server ได้รีบแก้ไขโดยอัปเดตเป็นเวอร์ชันใหม่ที่ปลอดภัยแล้ว และแนะนำให้ผู้ดูแลระบบรีบอัปเดตทันทีเพื่อปิดช่องโหว่ 🔗 https://securityonline.info/cve-2025-46295-cvss-9-8-critical-apache-commons-text-flaw-risks-total-server-takeover 🚦 หลอกด้วยใบสั่งจราจรปลอม: แอป RTO Challan ดูดข้อมูลและเงิน ในอินเดียมีการโจมตีใหม่ที่ใช้ความกลัวการโดนใบสั่งจราจรมาเป็นเครื่องมือ หลอกให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดแอป “RTO Challan” ผ่าน WhatsApp โดยอ้างว่าเป็นแอปทางการเพื่อดูหลักฐานการกระทำผิด แต่แท้จริงแล้วเป็นมัลแวร์ที่ซ่อนตัวและสร้าง VPN ปลอมเพื่อส่งข้อมูลออกไปโดยไม่ถูกตรวจจับ มันสามารถขโมยข้อมูลส่วนตัว ตั้งแต่บัตร Aadhaar, PAN ไปจนถึงข้อมูลธนาคาร และยังหลอกให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลบัตรเครดิตพร้อมรหัส PIN เพื่อทำธุรกรรมปลอมแบบเรียลไทม์ ถือเป็นการโจมตีที่ผสมผสานทั้งวิศวกรรมสังคมและเทคนิคขั้นสูง ผู้ใช้ถูกเตือนให้ระวังข้อความจากเบอร์แปลกและไม่ดาวน์โหลดแอปจากลิงก์ที่ไม่น่าเชื่อถือ 🔗 https://securityonline.info/rto-challan-scam-how-a-fake-traffic-ticket-and-a-malicious-vpn-can-drain-your-bank-account 💻 Node.js systeminformation พบช่องโหว่เสี่ยง RCE บน Windows ไลบรารีชื่อดัง systeminformation ที่ถูกดาวน์โหลดกว่า 16 ล้านครั้งต่อเดือน ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-68154 โดยเฉพาะบน Windows ฟังก์ชัน fsSize() ที่ใช้ตรวจสอบขนาดดิสก์ไม่ได้กรองข้อมูลอินพุต ทำให้ผู้โจมตีสามารถใส่คำสั่ง PowerShell แทนตัวอักษรไดรฟ์ และรันคำสั่งอันตรายได้ทันที ผลกระทบคือการเข้าควบคุมระบบ อ่านข้อมูลลับ หรือแม้กระทั่งปล่อย ransomware นักพัฒนาถูกแนะนำให้อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 5.27.14 ที่แก้ไขแล้วโดยด่วน 🔗 https://securityonline.info/node-js-alert-systeminformation-flaw-risks-windows-rce-for-16m-monthly-users 💰 OpenAI เจรจา Amazon ขอทุนเพิ่ม 10 พันล้าน พร้อมเงื่อนไขใช้ชิป AI ของ Amazon มีรายงานว่า OpenAI กำลังเจรจากับ Amazon เพื่อระดมทุนมหาศาลถึง 10 พันล้านดอลลาร์ โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือ OpenAI ต้องใช้ชิป AI ของ Amazon เช่น Trainium และ Inferentia แทนการพึ่งพา NVIDIA ที่ราคาแพงและขาดตลาด หากดีลนี้เกิดขึ้นจริงจะเป็นการพลิกเกมครั้งใหญ่ เพราะจะทำให้ Amazon ได้การยืนยันคุณภาพชิปจากผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในวงการ AI และยังช่วยให้ OpenAI ลดต้นทุนการประมวลผล ขณะเดียวกันก็สร้างสมดุลระหว่าง Microsoft และ Amazon ในการเป็นพันธมิตรด้านคลาวด์ 🔗 https://securityonline.info/the-10b-pivot-openai-in-talks-for-massive-amazon-funding-but-theres-a-silicon-catch 🌐 Cloudflare เผยรายงานปี 2025: สงครามบอท AI และการจราจรอินเทอร์เน็ตพุ่ง 19% รายงานประจำปีของ Cloudflare ชี้ให้เห็นว่าปี 2025 อินเทอร์เน็ตกำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ปริมาณการใช้งานเพิ่มขึ้น 19% และเกิด “สงครามบอท AI” ที่แข่งขันกันเก็บข้อมูลออนไลน์ โดย Google ครองอันดับหนึ่งด้านการเก็บข้อมูลผ่าน crawler เพื่อใช้ฝึกโมเดล AI อย่าง Gemini ขณะเดียวกันองค์กรไม่แสวงหากำไรกลับกลายเป็นเป้าหมายโจมตีไซเบอร์มากที่สุด เนื่องจากมีข้อมูลอ่อนไหวแต่ขาดทรัพยากรป้องกัน รายงานยังระบุว่ามีการโจมตี DDoS ครั้งใหญ่กว่า 25 ครั้งในปีเดียว และครึ่งหนึ่งของการหยุดชะงักอินเทอร์เน็ตทั่วโลกเกิดจากการกระทำของรัฐบาล การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนทั้งความก้าวหน้าและความเปราะบางของโลกออนไลน์ 🔗 https://securityonline.info/the-internet-rewired-cloudflare-2025-review-unveils-the-ai-bot-war-and-a-19-traffic-surge 🖥️ Locked Out of the Cloud: เมื่อแฮกเกอร์ใช้ AWS Termination Protection ปล้นพลังประมวลผลไปขุดคริปโต เรื่องนี้เป็นการโจมตีที่ซับซ้อนมากในโลกคลาวด์ แฮกเกอร์เจาะเข้ามาในระบบ AWS โดยใช้บัญชีที่ถูกขโมย แล้วรีบ deploy เครื่องขุดคริปโตภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที จุดที่น่ากลัวคือพวกเขาใช้ฟีเจอร์ DryRun เพื่อตรวจสอบสิทธิ์โดยไม่ทิ้งร่องรอย และเมื่อเครื่องขุดถูกสร้างขึ้น พวกเขาเปิดการป้องกันการลบ (termination protection) ทำให้เจ้าของระบบไม่สามารถลบเครื่องได้ทันที ต้องปิดการป้องกันก่อนถึงจะจัดการได้ นั่นทำให้แฮกเกอร์มีเวลาขุดคริปโตเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีการสร้าง backdoor ผ่าน AWS Lambda และเตรียมใช้ Amazon SES เพื่อส่งอีเมลฟิชชิ่งต่อไป เหตุการณ์นี้ไม่ใช่การเจาะ AWS โดยตรง แต่เป็นการใช้ credential ที่ถูกขโมยไปอย่างชาญฉลาด 🔗 https://securityonline.info/locked-out-of-the-cloud-hackers-use-aws-termination-protection-to-hijack-ecs-for-unstoppable-crypto-mining 📧 Blurred Deception: กลยุทธ์ฟิชชิ่งของกลุ่ม APT รัสเซียที่ใช้ “เอกสารเบลอ” กลุ่ม APT จากรัสเซียส่งอีเมลปลอมในชื่อคำสั่งจากประธานาธิบดี Transnistria โดยแนบไฟล์ที่ดูเหมือนเอกสารทางการ แต่เนื้อหาถูกทำให้เบลอด้วย CSS filter ผู้รับจึงต้องใส่อีเมลและรหัสผ่านเพื่อ “ปลดล็อก” เอกสาร ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นการหลอกขโมยข้อมูลเข้าสู่ระบบ ฟังก์ชัน JavaScript ที่ใช้ยังมีลูกเล่นคือไม่ว่ารหัสผ่านจะถูกหรือผิดก็ถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ของแฮกเกอร์อยู่ดี แคมเปญนี้ไม่ได้หยุดแค่ Transnistria แต่ยังขยายไปยังประเทศในยุโรปตะวันออกและหน่วยงาน NATO ด้วย ถือเป็นการโจมตีที่ใช้ความเร่งด่วนและความอยากรู้อยากเห็นของเหยื่อเป็นตัวล่อ 🔗 https://securityonline.info/blurred-deception-russian-apt-targets-transnistria-and-nato-with-high-pressure-phishing-lures 🔐 “Better Auth” Framework Alert: ช่องโหว่ Double-Slash ที่ทำให้ระบบป้องกันพัง มีการค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงใน Better Auth ซึ่งเป็น framework ยอดนิยมสำหรับ TypeScript ที่ใช้กันกว้างขวาง ปัญหาคือ router ภายในชื่อ rou3 มอง URL ที่มีหลาย slash เช่น //sign-in/email ว่าเหมือนกับ /sign-in/email แต่ระบบป้องกันบางอย่างไม่ได้ normalize URL แบบเดียวกัน ทำให้แฮกเกอร์สามารถเข้าถึง path ที่ถูกปิดไว้ หรือเลี่ยง rate limit ได้ง่าย ๆ ช่องโหว่นี้มีคะแนน CVSS สูงถึง 8.6 และกระทบผู้ใช้จำนวนมาก การแก้ไขคืออัปเดตเวอร์ชันใหม่ หรือปรับ proxy ให้ normalize URL ก่อนถึงระบบ หากไม่ทำก็เสี่ยงที่ระบบจะถูกเจาะผ่านช่องโหว่เล็ก ๆ แต่ร้ายแรงนี้ 🔗 https://securityonline.info/better-auth-framework-alert-the-double-slash-trick-that-bypasses-security-controls 🐉 Ink Dragon’s Global Mesh: เมื่อเซิร์ฟเวอร์รัฐบาลถูกเปลี่ยนเป็นโหนดสอดแนม กลุ่มสอดแนมไซเบอร์จากจีนที่ชื่อ Ink Dragon ใช้เทคนิคใหม่ในการสร้างเครือข่ายสั่งการ โดยเปลี่ยนเซิร์ฟเวอร์รัฐบาลที่ถูกเจาะให้กลายเป็นโหนด relay ส่งต่อคำสั่งและข้อมูลไปยังเป้าหมายอื่น ๆ ผ่านโมดูล ShadowPad IIS Listener ทำให้การติดตามแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะคำสั่งอาจวิ่งผ่านหลายองค์กรก่อนถึงเป้าหมายจริง พวกเขายังใช้ช่องโหว่ IIS ที่รู้จักกันมานานและ misconfiguration ของ ASP.NET เพื่อเข้ามา จากนั้นติดตั้ง malware รุ่นใหม่ที่ซ่อนการสื่อสารผ่าน Microsoft Graph API การขยายเป้าหมายไปยังยุโรปทำให้ภัยนี้ไม่ใช่แค่ระดับภูมิภาค แต่เป็นโครงสร้างสอดแนมข้ามชาติที่ใช้โครงสร้างของเหยื่อเองเป็นเครื่องมือ 🔗 https://securityonline.info/ink-dragons-global-mesh-how-chinese-spies-turn-compromised-government-servers-into-c2-relay-nodes 📚 Academic Ambush: เมื่อกลุ่ม APT ปลอมรายงาน “Plagiarism” เพื่อเจาะระบบนักวิชาการ นี่คือแคมเปญที่ใช้ความกังวลของนักวิชาการเป็นตัวล่อ แฮกเกอร์ส่งอีเมลปลอมในชื่อ “Forum Troll APT” โดยอ้างว่าผลงานของเหยื่อถูกตรวจพบการลอกเลียนแบบ พร้อมแนบไฟล์ Word ที่ดูเหมือนรายงานตรวจสอบ แต่จริง ๆ แล้วเป็นเอกสารที่ฝังโค้ดอันตราย เมื่อเหยื่อเปิดไฟล์ โค้ดจะถูกเรียกใช้เพื่อดาวน์โหลดมัลแวร์เข้ามาในเครื่องทันที การโจมตีนี้เล่นกับความกลัวเรื่องชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือในวงวิชาการ ทำให้ผู้รับมีแนวโน้มเปิดไฟล์โดยไม่ระวัง ถือเป็นการใช้ “แรงกดดันทางสังคม” เป็นอาวุธไซเบอร์ 🔗 https://securityonline.info/academic-ambush-how-the-forum-troll-apt-hijacks-scholars-systems-via-fake-plagiarism-reports 🛠️ GitHub ยอมถอย หลังนักพัฒนารวมพลังต้านค่าธรรมเนียม Self-Hosted Runner เรื่องนี้เริ่มจาก GitHub ประกาศว่าจะเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมสำหรับการใช้งาน self-hosted runner ใน GitHub Actions ตั้งแต่มีนาคม 2026 โดยคิดนาทีละ 0.002 ดอลลาร์ แม้ผู้ใช้จะลงทุนเครื่องเองแล้วก็ตาม ข่าวนี้ทำให้ชุมชนนักพัฒนาลุกฮือทันที เสียงวิจารณ์ดังไปทั่วว่าเป็นการตัดสินใจที่ไม่ฟังเสียงผู้ใช้ สุดท้าย GitHub ต้องออกมาประกาศเลื่อนการเก็บค่าธรรมเนียมออกไป พร้อมลดราคาสำหรับ runner ที่ GitHub โฮสต์เองลงถึง 39% ตั้งแต่ต้นปี 2026 และย้ำว่าจะกลับไปฟังเสียงนักพัฒนาให้มากขึ้นก่อนปรับแผนใหม่ เรื่องนี้สะท้อนว่าพลังของชุมชนสามารถกดดันให้แพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ต้องทบทวนการตัดสินใจได้ 🔗 https://securityonline.info/the-developer-win-github-postpones-self-hosted-runner-fee-after-massive-community-outcry ⚠️ ช่องโหว่ร้ายแรง HPE OneView เปิดทางให้ยึดศูนย์ข้อมูลได้ทันที Hewlett Packard Enterprise (HPE) แจ้งเตือนช่องโหว่ CVE-2025-37164 ที่มีคะแนนความรุนแรงสูงสุด 10.0 ในซอฟต์แวร์ OneView ซึ่งเป็นหัวใจในการจัดการเซิร์ฟเวอร์และระบบเครือข่าย ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีที่ไม่ต้องล็อกอินสามารถสั่งรันโค้ดจากระยะไกลได้ทันที เท่ากับว่าสามารถยึดศูนย์ข้อมูลทั้งระบบได้เลย HPE รีบออกแพตช์ v11.00 และแนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตโดยด่วน สำหรับผู้ที่ยังใช้เวอร์ชันเก่า มี hotfix ให้ แต่ต้องระวังว่าหลังอัปเกรดบางเวอร์ชันต้องติดตั้งซ้ำอีกครั้ง ไม่เช่นนั้นจะยังเสี่ยงอยู่ 🔗 https://securityonline.info/cve-2025-37164-cvss-10-0-unauthenticated-hpe-oneview-rce-grants-total-control-over-data-centers 🚨 CISA เตือนด่วน แฮ็กเกอร์จีนใช้ช่องโหว่ Cisco และ SonicWall โจมตีจริงแล้ว หน่วยงาน CISA ของสหรัฐฯ ออกประกาศเพิ่มช่องโหว่ร้ายแรงเข้ารายการ KEV หลังพบว่ากลุ่มแฮ็กเกอร์จีน UAT-9686 กำลังใช้ช่องโหว่ Cisco Secure Email Gateway ที่มีคะแนน 10 เต็มในการเข้าถึงระบบโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน พร้อมติดตั้งมัลแวร์ AquaShell และ AquaPurge เพื่อซ่อนร่องรอย นอกจากนี้ยังพบการโจมตี SonicWall SMA1000 โดยใช้ช่องโหว่เดิมร่วมกับช่องโหว่ใหม่เพื่อยึดระบบได้ทั้งหมด และยังมีการนำช่องโหว่เก่าใน ASUS Live Update ที่หมดการสนับสนุนแล้วกลับมาใช้โจมตีในลักษณะ supply chain อีกด้วย ทำให้หน่วยงานรัฐต้องเร่งแพตช์ก่อนเส้นตาย 24 ธันวาคม 2025 🔗 https://securityonline.info/cisa-alert-chinese-hackers-weaponize-cvss-10-cisco-zero-day-sonicwall-exploit-chains 🐚 แฮ็กเกอร์จีน UAT-9686 ใช้มัลแวร์ Aqua เจาะ Cisco Secure Email Cisco Talos เปิดเผยว่ากลุ่ม UAT-9686 กำลังใช้ช่องโหว่ CVE-2025-20393 ใน Cisco Secure Email Gateway และ Web Manager เพื่อเข้าถึงระบบในระดับ root โดยอาศัยการเปิดใช้งานฟีเจอร์ Spam Quarantine ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งหากเปิดไว้จะกลายเป็นช่องทางให้โจมตีได้ทันที เมื่อเข้ามาแล้วพวกเขาติดตั้งมัลแวร์ชุด “Aqua” ได้แก่ AquaShell ที่ฝังตัวในไฟล์เซิร์ฟเวอร์, AquaPurge ที่ลบหลักฐานใน log และ AquaTunnel ที่สร้างการเชื่อมต่อย้อนกลับเพื่อรักษาการเข้าถึง แม้แก้ช่องโหว่แล้วก็ยังไม่พ้นภัย เพราะมัลแวร์ฝังลึกจน Cisco แนะนำว่าหากถูกเจาะแล้วต้อง rebuild เครื่องใหม่เท่านั้น 🔗 https://securityonline.info/cisco-zero-day-siege-chinese-group-uat-9686-deploys-aqua-malware-via-cvss-10-root-exploit 🔒 SonicWall เตือนช่องโหว่ใหม่ถูกใช้ร่วมกับช่องโหว่เดิม ยึดระบบได้แบบ root SonicWall ออกประกาศด่วนเกี่ยวกับช่องโหว่ CVE-2025-40602 ในอุปกรณ์ SMA1000 แม้คะแนน CVSS เพียง 6.6 แต่เมื่อถูกใช้ร่วมกับช่องโหว่ CVE-2025-23006 ที่ร้ายแรงกว่า จะกลายเป็นการโจมตีแบบ chain ที่ทำให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงระบบโดยไม่ต้องล็อกอิน และยกระดับสิทธิ์เป็น root ได้ทันที เท่ากับยึดระบบทั้งองค์กรได้โดยไม่ต้องมีรหัสผ่าน SonicWall ได้ออกแพตช์ใหม่และแนะนำให้ผู้ใช้รีบอัปเดตทันที หากไม่สามารถทำได้ควรปิดการเข้าถึง AMC และ SSH จากอินเทอร์เน็ตเพื่อป้องกันการโจมตี ​​​​​​​🔗 https://securityonline.info/zero-day-warning-hackers-chain-sonicwall-sma1000-flaws-for-unauthenticated-root-rce
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • LibreOffice 25.8.4 – รุ่นบำรุงรักษาพร้อมแก้บั๊กกว่า 70 จุด

    The Document Foundation (TDF) ประกาศเปิดตัว LibreOffice 25.8.4 ซึ่งเป็นรุ่นบำรุงรักษาล่าสุดในซีรีส์ 25.8 โดยเน้นการแก้ไขบั๊กและปรับปรุงเสถียรภาพมากกว่าการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ รุ่นนี้แก้ไขปัญหามากกว่า 70 รายการ ที่ถูกรายงานจากผู้ใช้และนักพัฒนาในชุมชน ทำให้การใช้งานทั้ง Writer, Calc, Impress และ Draw มีความเสถียรมากขึ้น.

    การอัปเดตนี้ถือเป็นรุ่นที่สี่ในซีรีส์ 25.8 และยังคงยืนยันว่า LibreOffice เป็นหนึ่งในชุดโปรแกรมสำนักงานโอเพนซอร์สที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดย TDF แนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดตทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงบั๊กที่อาจกระทบต่อการทำงาน โดยเฉพาะผู้ใช้ในองค์กรที่ต้องการความมั่นคงของระบบ.

    นอกจากนี้ LibreOffice 25.8.4 ยังเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันให้ผู้ใช้ทั่วไปหันมาใช้ LibreOffice Community Edition ขณะที่องค์กรที่ต้องการการสนับสนุนระยะยาวและบริการเชิงพาณิชย์สามารถเลือกใช้ LibreOffice Enterprise จากพันธมิตรที่ได้รับการรับรอง ซึ่งเป็นโมเดลที่ช่วยให้โครงการมีความยั่งยืนและสามารถพัฒนาต่อไปได้.

    ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลด LibreOffice 25.8.4 ได้จากเว็บไซต์ทางการของ TDF ทั้งในรูปแบบ binary สำหรับ Windows, macOS และ Linux รวมถึง source code สำหรับนักพัฒนาที่ต้องการปรับแต่งเพิ่มเติม.

    สรุปสาระสำคัญ
    LibreOffice 25.8.4 เปิดตัวแล้ว
    เป็นรุ่นบำรุงรักษาในซีรีส์ 25.8
    แก้ไขบั๊กกว่า 70 รายการ

    การปรับปรุงหลัก
    เพิ่มเสถียรภาพใน Writer, Calc, Impress และ Draw
    เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไปและองค์กร

    โมเดลการใช้งาน
    LibreOffice Community Edition สำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    LibreOffice Enterprise สำหรับองค์กรที่ต้องการการสนับสนุน

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    หากยังใช้เวอร์ชันเก่า อาจเจอบั๊กที่กระทบต่อการทำงาน
    ควรอัปเดตเป็น 25.8.4 ทันทีเพื่อความปลอดภัยและเสถียรภาพ

    https://9to5linux.com/libreoffice-25-8-4-is-now-available-for-download-with-more-than-70-bug-fixes
    📝 LibreOffice 25.8.4 – รุ่นบำรุงรักษาพร้อมแก้บั๊กกว่า 70 จุด The Document Foundation (TDF) ประกาศเปิดตัว LibreOffice 25.8.4 ซึ่งเป็นรุ่นบำรุงรักษาล่าสุดในซีรีส์ 25.8 โดยเน้นการแก้ไขบั๊กและปรับปรุงเสถียรภาพมากกว่าการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ รุ่นนี้แก้ไขปัญหามากกว่า 70 รายการ ที่ถูกรายงานจากผู้ใช้และนักพัฒนาในชุมชน ทำให้การใช้งานทั้ง Writer, Calc, Impress และ Draw มีความเสถียรมากขึ้น. การอัปเดตนี้ถือเป็นรุ่นที่สี่ในซีรีส์ 25.8 และยังคงยืนยันว่า LibreOffice เป็นหนึ่งในชุดโปรแกรมสำนักงานโอเพนซอร์สที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดย TDF แนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดตทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงบั๊กที่อาจกระทบต่อการทำงาน โดยเฉพาะผู้ใช้ในองค์กรที่ต้องการความมั่นคงของระบบ. นอกจากนี้ LibreOffice 25.8.4 ยังเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันให้ผู้ใช้ทั่วไปหันมาใช้ LibreOffice Community Edition ขณะที่องค์กรที่ต้องการการสนับสนุนระยะยาวและบริการเชิงพาณิชย์สามารถเลือกใช้ LibreOffice Enterprise จากพันธมิตรที่ได้รับการรับรอง ซึ่งเป็นโมเดลที่ช่วยให้โครงการมีความยั่งยืนและสามารถพัฒนาต่อไปได้. ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลด LibreOffice 25.8.4 ได้จากเว็บไซต์ทางการของ TDF ทั้งในรูปแบบ binary สำหรับ Windows, macOS และ Linux รวมถึง source code สำหรับนักพัฒนาที่ต้องการปรับแต่งเพิ่มเติม. 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ LibreOffice 25.8.4 เปิดตัวแล้ว ➡️ เป็นรุ่นบำรุงรักษาในซีรีส์ 25.8 ➡️ แก้ไขบั๊กกว่า 70 รายการ ✅ การปรับปรุงหลัก ➡️ เพิ่มเสถียรภาพใน Writer, Calc, Impress และ Draw ➡️ เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไปและองค์กร ✅ โมเดลการใช้งาน ➡️ LibreOffice Community Edition สำหรับผู้ใช้ทั่วไป ➡️ LibreOffice Enterprise สำหรับองค์กรที่ต้องการการสนับสนุน ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ หากยังใช้เวอร์ชันเก่า อาจเจอบั๊กที่กระทบต่อการทำงาน ⛔ ควรอัปเดตเป็น 25.8.4 ทันทีเพื่อความปลอดภัยและเสถียรภาพ https://9to5linux.com/libreoffice-25-8-4-is-now-available-for-download-with-more-than-70-bug-fixes
    9TO5LINUX.COM
    LibreOffice 25.8.4 Is Now Available for Download with More Than 70 Bug Fixes - 9to5Linux
    LibreOffice 25.8.4 is now available for download as the fourth maintenance update to the latest LibreOffice 25.8 office suite series with more than 70 bug fixes.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 33 มุมมอง 0 รีวิว
  • มุมมองใหม่ต่อ “Fragmentation” ของ Linux – ความหลากหลายคือพลัง

    บทความจาก It’s FOSS ชี้ให้เห็นว่า การที่ Linux ถูกมองว่ามี “fragmentation” หรือแตกเป็นหลายส่วน ไม่ใช่จุดอ่อน แต่กลับเป็นจุดแข็งของระบบนิเวศโอเพนซอร์สนี้ เพราะ Linux ไม่ใช่แพลตฟอร์มเดียว แต่เป็น ecosystem ที่ประกอบด้วยหลายแพลตฟอร์มย่อย เช่น ดิสโทร (Ubuntu, Fedora, Arch), เดสก์ท็อปเอนจิน (GNOME, KDE, XFCE), และระบบแพ็กเกจ (Flatpak, Snap, AppImage) ซึ่งทั้งหมดร่วมกันสร้างความยืดหยุ่นและทางเลือกให้ผู้ใช้.

    ผู้เขียนอธิบายว่า ความหลากหลายนี้ทำให้ Linux สามารถทดลองสิ่งใหม่ ๆ ได้โดยไม่เสี่ยงต่อการล่มสลายของทั้ง ecosystem เช่น เมื่อ GNOME 3 และ KDE 4 เปิดตัว แม้จะมีเสียงวิจารณ์ แต่ก็เกิดเดสก์ท็อปใหม่ ๆ อย่าง Cinnamon, MATE และ Cosmic ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้กลุ่มต่าง ๆ นี่คือพลังของการกระจายตัวที่ไม่ทำลาย แต่กลับสร้างนวัตกรรมต่อเนื่อง.

    แน่นอนว่า fragmentation ก็มีข้อเสีย เช่น ความสับสนสำหรับผู้ใช้ใหม่, ปัญหาการสื่อสารแบรนด์ “Linux” ที่ไม่ชัดเจน, และความไม่สอดคล้องกันเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างเดสก์ท็อป (เช่น ธีมไม่ตรงกัน, ปัญหา tray icon, หรือ portal quirks) แต่ชุมชนกำลังแก้ไขด้วยมาตรฐานร่วม เช่น FreeDesktop.org specifications, การใช้ systemd และ PipeWire เป็นฐานกลาง รวมถึงการผลักดัน Wayland ให้เป็นมาตรฐานการแสดงผล.

    บทสรุปคือ Linux ไม่ได้ “แตกเป็นชิ้นส่วนที่เสียหาย” แต่เป็นระบบที่หลากหลายโดยตั้งใจ ความหลากหลายนี้ทำให้ Linux ยืดหยุ่น แข็งแรง และเปิดกว้างต่อผู้ใช้ทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะต้องการความเสถียร ความทันสมัย หรือการปรับแต่งขั้นสูง ก็มีดิสโทรและเดสก์ท็อปที่ตอบโจทย์.

    สรุปสาระสำคัญ
    Linux คือ ecosystem ไม่ใช่แพลตฟอร์มเดียว
    ประกอบด้วยดิสโทร, เดสก์ท็อปเอนจิน, ระบบแพ็กเกจ
    แต่ละส่วนพัฒนาไปตามแนวทางของตัวเอง

    Fragmentation สร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ
    GNOME 3 และ KDE 4 จุดประกาย Cinnamon, MATE, Cosmic
    ความหลากหลายทำให้ผู้ใช้เลือกสิ่งที่เหมาะกับตนเอง

    การแก้ปัญหาความไม่สอดคล้อง
    ใช้มาตรฐาน FreeDesktop.org
    รวมศูนย์ด้วย systemd, PipeWire และ Wayland

    คำเตือนและข้อท้าทาย
    ผู้ใช้ใหม่อาจสับสนกับดิสโทรและเดสก์ท็อปที่หลากหลาย
    การสื่อสารแบรนด์ “Linux” ยังไม่ชัดเจนและอาจลดการยอมรับในตลาดหลัก

    https://itsfoss.com/linux-fragmentation-as-positive/
    🐧 มุมมองใหม่ต่อ “Fragmentation” ของ Linux – ความหลากหลายคือพลัง บทความจาก It’s FOSS ชี้ให้เห็นว่า การที่ Linux ถูกมองว่ามี “fragmentation” หรือแตกเป็นหลายส่วน ไม่ใช่จุดอ่อน แต่กลับเป็นจุดแข็งของระบบนิเวศโอเพนซอร์สนี้ เพราะ Linux ไม่ใช่แพลตฟอร์มเดียว แต่เป็น ecosystem ที่ประกอบด้วยหลายแพลตฟอร์มย่อย เช่น ดิสโทร (Ubuntu, Fedora, Arch), เดสก์ท็อปเอนจิน (GNOME, KDE, XFCE), และระบบแพ็กเกจ (Flatpak, Snap, AppImage) ซึ่งทั้งหมดร่วมกันสร้างความยืดหยุ่นและทางเลือกให้ผู้ใช้. ผู้เขียนอธิบายว่า ความหลากหลายนี้ทำให้ Linux สามารถทดลองสิ่งใหม่ ๆ ได้โดยไม่เสี่ยงต่อการล่มสลายของทั้ง ecosystem เช่น เมื่อ GNOME 3 และ KDE 4 เปิดตัว แม้จะมีเสียงวิจารณ์ แต่ก็เกิดเดสก์ท็อปใหม่ ๆ อย่าง Cinnamon, MATE และ Cosmic ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้กลุ่มต่าง ๆ นี่คือพลังของการกระจายตัวที่ไม่ทำลาย แต่กลับสร้างนวัตกรรมต่อเนื่อง. แน่นอนว่า fragmentation ก็มีข้อเสีย เช่น ความสับสนสำหรับผู้ใช้ใหม่, ปัญหาการสื่อสารแบรนด์ “Linux” ที่ไม่ชัดเจน, และความไม่สอดคล้องกันเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างเดสก์ท็อป (เช่น ธีมไม่ตรงกัน, ปัญหา tray icon, หรือ portal quirks) แต่ชุมชนกำลังแก้ไขด้วยมาตรฐานร่วม เช่น FreeDesktop.org specifications, การใช้ systemd และ PipeWire เป็นฐานกลาง รวมถึงการผลักดัน Wayland ให้เป็นมาตรฐานการแสดงผล. บทสรุปคือ Linux ไม่ได้ “แตกเป็นชิ้นส่วนที่เสียหาย” แต่เป็นระบบที่หลากหลายโดยตั้งใจ ความหลากหลายนี้ทำให้ Linux ยืดหยุ่น แข็งแรง และเปิดกว้างต่อผู้ใช้ทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะต้องการความเสถียร ความทันสมัย หรือการปรับแต่งขั้นสูง ก็มีดิสโทรและเดสก์ท็อปที่ตอบโจทย์. 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Linux คือ ecosystem ไม่ใช่แพลตฟอร์มเดียว ➡️ ประกอบด้วยดิสโทร, เดสก์ท็อปเอนจิน, ระบบแพ็กเกจ ➡️ แต่ละส่วนพัฒนาไปตามแนวทางของตัวเอง ✅ Fragmentation สร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ➡️ GNOME 3 และ KDE 4 จุดประกาย Cinnamon, MATE, Cosmic ➡️ ความหลากหลายทำให้ผู้ใช้เลือกสิ่งที่เหมาะกับตนเอง ✅ การแก้ปัญหาความไม่สอดคล้อง ➡️ ใช้มาตรฐาน FreeDesktop.org ➡️ รวมศูนย์ด้วย systemd, PipeWire และ Wayland ‼️ คำเตือนและข้อท้าทาย ⛔ ผู้ใช้ใหม่อาจสับสนกับดิสโทรและเดสก์ท็อปที่หลากหลาย ⛔ การสื่อสารแบรนด์ “Linux” ยังไม่ชัดเจนและอาจลดการยอมรับในตลาดหลัก https://itsfoss.com/linux-fragmentation-as-positive/
    ITSFOSS.COM
    Linux Desktop is Fragmented (And That's NOT a Bad Thing)
    Linux desktop is often described as fragmented, but with the right perspective, it becomes clear that this description only makes sense if you see Linux as a single, unified product, and expect it act like one. It isn't, and so it doesn't.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 50 มุมมอง 0 รีวิว
  • Thin Desires กำลังกัดกินชีวิตเรา

    บทความ Thin Desires Are Eating Your Life ของ Joan Westenberg วิเคราะห์ว่าโลกยุคดิจิทัลกำลังทำให้เราติดอยู่กับ “thin desires” หรือความปรารถนาที่ไม่เปลี่ยนแปลงชีวิตจริง เช่น การเช็กแจ้งเตือนหรือเสพโซเชียลมีเดีย แทนที่จะลงทุนใน “thick desires” ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงและความหมาย เช่น การเรียนรู้ทักษะใหม่หรือการสร้างชุมชน.

    Westenberg อธิบายว่า thin desires คือความปรารถนาที่ให้ความพึงพอใจชั่วคราวแต่ไม่เปลี่ยนแปลงตัวตน เช่น การเช็กแจ้งเตือนหรือเสพคอนเทนต์ออนไลน์ ในทางตรงกันข้าม thick desires อย่างการเรียนรู้คณิตศาสตร์ การฝึกฝนงานฝีมือ หรือการสร้างความสัมพันธ์จริง จะเปลี่ยนแปลงผู้คนในระยะยาว ทำให้พวกเขามีความสามารถและมุมมองใหม่ ๆ.

    ธุรกิจเทคโนโลยีจำนวนมากใช้โมเดลที่ “แยกชิ้นส่วน” ความปรารถนาแบบหนา แล้วส่งมอบเฉพาะส่วนที่ให้รางวัลทางสมอง เช่น โซเชียลมีเดียให้ความรู้สึกเชื่อมต่อโดยไม่ต้องมีมิตรภาพจริง, สื่อลามกให้ความพึงพอใจทางเพศโดยไม่ต้องมีความสัมพันธ์, แอป productivity ให้ความรู้สึกสำเร็จโดยไม่ต้องทำงานจริง สิ่งเหล่านี้ง่ายต่อการทำซ้ำ ขยาย และทำเงิน แต่กลับทำให้ผู้ใช้ติดอยู่กับวงจรความว่างเปล่า.

    ผลลัพธ์คือสังคมที่เต็มไปด้วยความเหงา ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า แม้เราจะ “เชื่อมต่อ” กันมากกว่าที่เคย แต่กลับรู้สึกขาดความหมาย Westenberg ชี้ว่า thick desires ไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ทันที ต้องใช้เวลา ความพยายาม และการมีส่วนร่วมกับชุมชน แต่สิ่งเหล่านี้กลับถูกทำลายลงเรื่อย ๆ เช่น การหายไปของเวิร์กช็อป การลดลงของการฝึกงาน และการแทนที่พื้นที่สาธารณะด้วยการใช้ชีวิตคนเดียวกับอุปกรณ์.

    ผู้เขียนเสนอแนวทางเล็ก ๆ ในการต่อต้าน เช่น การอบขนมปังที่ไม่สามารถเร่งเวลาได้, การเขียนจดหมายด้วยมือที่ไม่สามารถแก้ไขหรือ unsend ได้, หรือการสร้างเครื่องมือเล็ก ๆ เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะของเพื่อนหนึ่งคน สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถ scale หรือ monetize ได้ แต่ช่วยให้เรากลับมาสัมผัสกับความอดทน ความหมาย และความสัมพันธ์ที่แท้จริง.

    สรุปเป็นหัวข้อ
    แนวคิด Thin vs Thick Desires
    Thin = ความพึงพอใจชั่วคราว ไม่เปลี่ยนแปลงชีวิต
    Thick = ความปรารถนาที่เปลี่ยนแปลงตัวตนและสร้างความหมาย

    ธุรกิจเทคโนโลยีใช้ Thin Desires
    โซเชียลมีเดียให้ความรู้สึกเชื่อมต่อโดยไม่ต้องมีมิตรภาพจริง
    Productivity apps ให้ความรู้สึกสำเร็จโดยไม่ต้องทำงานจริง

    ผลกระทบต่อสังคม
    ความเหงา วิตกกังวล และซึมเศร้าเพิ่มขึ้น
    โครงสร้างสนับสนุน Thick Desires ถูกทำลาย เช่น เวิร์กช็อปและชุมชน

    แนวทางต่อต้าน Thin Desires
    อบขนมปัง ใช้เวลาและความอดทน
    เขียนจดหมายด้วยมือ สื่อสารนอกระบบ metrics
    สร้างเครื่องมือเล็ก ๆ เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะของเพื่อน

    คำเตือน
    การเสพ Thin Desires อย่างต่อเนื่องทำให้ชีวิตว่างเปล่าและขาดความหมาย
    หากไม่สร้าง Thick Desires เราจะสูญเสียความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์และความอดทน

    https://www.joanwestenberg.com/thin-desires-are-eating-your-life/
    📱 Thin Desires กำลังกัดกินชีวิตเรา บทความ Thin Desires Are Eating Your Life ของ Joan Westenberg วิเคราะห์ว่าโลกยุคดิจิทัลกำลังทำให้เราติดอยู่กับ “thin desires” หรือความปรารถนาที่ไม่เปลี่ยนแปลงชีวิตจริง เช่น การเช็กแจ้งเตือนหรือเสพโซเชียลมีเดีย แทนที่จะลงทุนใน “thick desires” ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงและความหมาย เช่น การเรียนรู้ทักษะใหม่หรือการสร้างชุมชน. Westenberg อธิบายว่า thin desires คือความปรารถนาที่ให้ความพึงพอใจชั่วคราวแต่ไม่เปลี่ยนแปลงตัวตน เช่น การเช็กแจ้งเตือนหรือเสพคอนเทนต์ออนไลน์ ในทางตรงกันข้าม thick desires อย่างการเรียนรู้คณิตศาสตร์ การฝึกฝนงานฝีมือ หรือการสร้างความสัมพันธ์จริง จะเปลี่ยนแปลงผู้คนในระยะยาว ทำให้พวกเขามีความสามารถและมุมมองใหม่ ๆ. ธุรกิจเทคโนโลยีจำนวนมากใช้โมเดลที่ “แยกชิ้นส่วน” ความปรารถนาแบบหนา แล้วส่งมอบเฉพาะส่วนที่ให้รางวัลทางสมอง เช่น โซเชียลมีเดียให้ความรู้สึกเชื่อมต่อโดยไม่ต้องมีมิตรภาพจริง, สื่อลามกให้ความพึงพอใจทางเพศโดยไม่ต้องมีความสัมพันธ์, แอป productivity ให้ความรู้สึกสำเร็จโดยไม่ต้องทำงานจริง สิ่งเหล่านี้ง่ายต่อการทำซ้ำ ขยาย และทำเงิน แต่กลับทำให้ผู้ใช้ติดอยู่กับวงจรความว่างเปล่า. ผลลัพธ์คือสังคมที่เต็มไปด้วยความเหงา ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า แม้เราจะ “เชื่อมต่อ” กันมากกว่าที่เคย แต่กลับรู้สึกขาดความหมาย Westenberg ชี้ว่า thick desires ไม่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ทันที ต้องใช้เวลา ความพยายาม และการมีส่วนร่วมกับชุมชน แต่สิ่งเหล่านี้กลับถูกทำลายลงเรื่อย ๆ เช่น การหายไปของเวิร์กช็อป การลดลงของการฝึกงาน และการแทนที่พื้นที่สาธารณะด้วยการใช้ชีวิตคนเดียวกับอุปกรณ์. ผู้เขียนเสนอแนวทางเล็ก ๆ ในการต่อต้าน เช่น การอบขนมปังที่ไม่สามารถเร่งเวลาได้, การเขียนจดหมายด้วยมือที่ไม่สามารถแก้ไขหรือ unsend ได้, หรือการสร้างเครื่องมือเล็ก ๆ เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะของเพื่อนหนึ่งคน สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถ scale หรือ monetize ได้ แต่ช่วยให้เรากลับมาสัมผัสกับความอดทน ความหมาย และความสัมพันธ์ที่แท้จริง. 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ แนวคิด Thin vs Thick Desires ➡️ Thin = ความพึงพอใจชั่วคราว ไม่เปลี่ยนแปลงชีวิต ➡️ Thick = ความปรารถนาที่เปลี่ยนแปลงตัวตนและสร้างความหมาย ✅ ธุรกิจเทคโนโลยีใช้ Thin Desires ➡️ โซเชียลมีเดียให้ความรู้สึกเชื่อมต่อโดยไม่ต้องมีมิตรภาพจริง ➡️ Productivity apps ให้ความรู้สึกสำเร็จโดยไม่ต้องทำงานจริง ✅ ผลกระทบต่อสังคม ➡️ ความเหงา วิตกกังวล และซึมเศร้าเพิ่มขึ้น ➡️ โครงสร้างสนับสนุน Thick Desires ถูกทำลาย เช่น เวิร์กช็อปและชุมชน ✅ แนวทางต่อต้าน Thin Desires ➡️ อบขนมปัง ใช้เวลาและความอดทน ➡️ เขียนจดหมายด้วยมือ สื่อสารนอกระบบ metrics ➡️ สร้างเครื่องมือเล็ก ๆ เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะของเพื่อน ‼️ คำเตือน ⛔ การเสพ Thin Desires อย่างต่อเนื่องทำให้ชีวิตว่างเปล่าและขาดความหมาย ⛔ หากไม่สร้าง Thick Desires เราจะสูญเสียความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์และความอดทน https://www.joanwestenberg.com/thin-desires-are-eating-your-life/
    WWW.JOANWESTENBERG.COM
    Thin Desires Are Eating Your Life
    The defining experience of our age seems to be hunger. We're hungry for more, but we have more than we need. We're hungry for less, while more accumulates and multiplies. We're hungry and we don't have words to articulate why. We're hungry, and we're lacking and we're wanting. We are
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 41 มุมมอง 0 รีวิว
  • Waterfox โต้กลับทิศทางใหม่ของ Mozilla

    Alex Kontos ผู้สร้าง Waterfox เขียนบทความตอบโต้การประกาศของ CEO Mozilla ที่จะวาง AI เป็นหัวใจของเบราว์เซอร์ Firefox โดยชี้ว่า “AI-first browsing” ทำให้เกิดคำถามพื้นฐานว่าเบราว์เซอร์ควรทำหน้าที่อะไร เขามองว่าเบราว์เซอร์คือ user agent ที่ทำงานแทนผู้ใช้ ไม่ใช่ระบบที่คิดแทนหรือปรับเปลี่ยนประสบการณ์โดยที่ผู้ใช้ไม่เข้าใจ.

    Kontos ยอมรับว่าเทคโนโลยี Machine Learning เช่นโครงการ Bergamot (การแปลข้อความแบบ local) มีประโยชน์จริง เพราะมีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ แต่เขาแยกชัดเจนว่า Large Language Models (LLMs) เป็น “black box” ที่ไม่สามารถตรวจสอบหรือเข้าใจได้อย่างแท้จริง การนำ LLMs มาอยู่ใจกลางเบราว์เซอร์จึงเป็นการบั่นทอนความเชื่อมั่นและความโปร่งใสที่ Mozilla เคยยึดถือ.

    เขาเตือนว่าการให้ AI เป็นตัวกลางระหว่างผู้ใช้กับเว็บ อาจทำให้เกิด “user agent ของ user agent” ที่เข้ามาจัดการแท็บ เขียนใหม่ประวัติการใช้งาน และปรับสิ่งที่ผู้ใช้เห็นโดยที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ แม้ Mozilla จะสัญญาว่า AI จะเป็นตัวเลือกที่ปิดได้ แต่การมีฟีเจอร์ที่ลึกถึงขั้นต้องมี opt-out แสดงให้เห็นว่า AI ถูกฝังในระดับแกนกลางของ Firefox แล้ว.

    Waterfox ยืนยันว่าจะไม่รวม LLMs เข้ามา โดยเน้นการเป็นเบราว์เซอร์ที่โปร่งใสและควบคุมได้เต็มที่ พร้อมชี้ว่าจุดแข็งของ Mozilla เดิมคือชุมชนผู้ใช้ที่เป็นนักพัฒนาและผู้สนับสนุนความเป็นส่วนตัว แต่การไล่ตามตลาดผู้ใช้ทั่วไปแบบ Chrome กลับทำให้ Firefox สูญเสียฐานผู้ใช้หลักไปเรื่อย ๆ Waterfox จึงวางตัวเป็นทางเลือกสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความเรียบง่าย โปร่งใส และไม่ถูก AI ควบคุม.

    สรุปเป็นหัวข้อ
    Mozilla หันสู่ AI-first browsing
    CEO ประกาศวาง AI เป็นแกนกลางของ Firefox
    สัญญาว่าผู้ใช้สามารถปิดฟีเจอร์ได้ แต่ยังคงฝังลึกในระบบ

    Waterfox แยกแยะ ML กับ LLMs
    ML เช่น Bergamot มีประโยชน์และตรวจสอบได้
    LLMs เป็น black box ไม่โปร่งใสและไม่สามารถตรวจสอบได้

    ความเสี่ยงของ AI ในเบราว์เซอร์
    AI อาจจัดการแท็บ เขียนใหม่ประวัติ และปรับสิ่งที่ผู้ใช้เห็น
    ผู้ใช้ต้องแบกรับภาระในการตรวจสอบระบบที่ไม่โปร่งใส

    จุดยืนของ Waterfox
    ไม่รวม LLMs ในเบราว์เซอร์
    เน้นความโปร่งใส การควบคุม และการตอบสนองต่อชุมชนผู้ใช้

    คำเตือนต่อ Mozilla
    การไล่ตามตลาดผู้ใช้ทั่วไปอาจทำให้สูญเสียฐานผู้ใช้ที่เป็นนักพัฒนาและผู้สนับสนุนความเป็นส่วนตัว
    การฝัง AI ที่ไม่โปร่งใสอาจบั่นทอนความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์เรื่อง “trust” ที่ Mozilla เคยยึดถือ

    https://www.waterfox.com/blog/no-ai-here-response-to-mozilla/
    🌐 Waterfox โต้กลับทิศทางใหม่ของ Mozilla Alex Kontos ผู้สร้าง Waterfox เขียนบทความตอบโต้การประกาศของ CEO Mozilla ที่จะวาง AI เป็นหัวใจของเบราว์เซอร์ Firefox โดยชี้ว่า “AI-first browsing” ทำให้เกิดคำถามพื้นฐานว่าเบราว์เซอร์ควรทำหน้าที่อะไร เขามองว่าเบราว์เซอร์คือ user agent ที่ทำงานแทนผู้ใช้ ไม่ใช่ระบบที่คิดแทนหรือปรับเปลี่ยนประสบการณ์โดยที่ผู้ใช้ไม่เข้าใจ. Kontos ยอมรับว่าเทคโนโลยี Machine Learning เช่นโครงการ Bergamot (การแปลข้อความแบบ local) มีประโยชน์จริง เพราะมีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ แต่เขาแยกชัดเจนว่า Large Language Models (LLMs) เป็น “black box” ที่ไม่สามารถตรวจสอบหรือเข้าใจได้อย่างแท้จริง การนำ LLMs มาอยู่ใจกลางเบราว์เซอร์จึงเป็นการบั่นทอนความเชื่อมั่นและความโปร่งใสที่ Mozilla เคยยึดถือ. เขาเตือนว่าการให้ AI เป็นตัวกลางระหว่างผู้ใช้กับเว็บ อาจทำให้เกิด “user agent ของ user agent” ที่เข้ามาจัดการแท็บ เขียนใหม่ประวัติการใช้งาน และปรับสิ่งที่ผู้ใช้เห็นโดยที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ แม้ Mozilla จะสัญญาว่า AI จะเป็นตัวเลือกที่ปิดได้ แต่การมีฟีเจอร์ที่ลึกถึงขั้นต้องมี opt-out แสดงให้เห็นว่า AI ถูกฝังในระดับแกนกลางของ Firefox แล้ว. Waterfox ยืนยันว่าจะไม่รวม LLMs เข้ามา โดยเน้นการเป็นเบราว์เซอร์ที่โปร่งใสและควบคุมได้เต็มที่ พร้อมชี้ว่าจุดแข็งของ Mozilla เดิมคือชุมชนผู้ใช้ที่เป็นนักพัฒนาและผู้สนับสนุนความเป็นส่วนตัว แต่การไล่ตามตลาดผู้ใช้ทั่วไปแบบ Chrome กลับทำให้ Firefox สูญเสียฐานผู้ใช้หลักไปเรื่อย ๆ Waterfox จึงวางตัวเป็นทางเลือกสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความเรียบง่าย โปร่งใส และไม่ถูก AI ควบคุม. 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ Mozilla หันสู่ AI-first browsing ➡️ CEO ประกาศวาง AI เป็นแกนกลางของ Firefox ➡️ สัญญาว่าผู้ใช้สามารถปิดฟีเจอร์ได้ แต่ยังคงฝังลึกในระบบ ✅ Waterfox แยกแยะ ML กับ LLMs ➡️ ML เช่น Bergamot มีประโยชน์และตรวจสอบได้ ➡️ LLMs เป็น black box ไม่โปร่งใสและไม่สามารถตรวจสอบได้ ✅ ความเสี่ยงของ AI ในเบราว์เซอร์ ➡️ AI อาจจัดการแท็บ เขียนใหม่ประวัติ และปรับสิ่งที่ผู้ใช้เห็น ➡️ ผู้ใช้ต้องแบกรับภาระในการตรวจสอบระบบที่ไม่โปร่งใส ✅ จุดยืนของ Waterfox ➡️ ไม่รวม LLMs ในเบราว์เซอร์ ➡️ เน้นความโปร่งใส การควบคุม และการตอบสนองต่อชุมชนผู้ใช้ ‼️ คำเตือนต่อ Mozilla ⛔ การไล่ตามตลาดผู้ใช้ทั่วไปอาจทำให้สูญเสียฐานผู้ใช้ที่เป็นนักพัฒนาและผู้สนับสนุนความเป็นส่วนตัว ⛔ การฝัง AI ที่ไม่โปร่งใสอาจบั่นทอนความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์เรื่อง “trust” ที่ Mozilla เคยยึดถือ https://www.waterfox.com/blog/no-ai-here-response-to-mozilla/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 24 มุมมอง 0 รีวิว
  • Mozilla กับความเสี่ยงในการสูญเสียฐานผู้ใช้ที่ภักดี

    บทความจาก Bruno’s Ramblings ชี้ให้เห็นถึงความกังวลที่เกิดขึ้นหลังจาก Anthony Enzor-DeMeo CEO คนใหม่ของ Mozilla ให้สัมภาษณ์กับ The Verge โดยกล่าวว่าเขา “สามารถบล็อก AdBlockers ใน Firefox เพื่อสร้างรายได้เพิ่มอีก 150 ล้านดอลลาร์ แต่ไม่อยากทำเพราะมันขัดกับพันธกิจ”. แม้จะพูดว่าไม่อยากทำ แต่การกล่าวถึงตัวเลือกนี้ก็สร้างความไม่มั่นใจและกระแสวิจารณ์ว่า Mozilla อาจกำลังพิจารณาแนวทางที่ขัดกับจุดยืนเดิม.

    ผู้เขียนบทความเล่าว่าตนเองเป็นผู้ใช้ Firefox มาตั้งแต่ยุคแรก และสิ่งที่ทำให้ผู้ใช้ภักดีคือ การสนับสนุนมาตรฐานเปิด, ระบบเสริม (add-on) ที่ทรงพลัง และการปกป้องความเป็นส่วนตัว. การบล็อก AdBlocker จึงถูกมองว่าเป็นการทำลายข้อได้เปรียบสำคัญเหนือ Chromium และอาจทำให้ผู้ใช้กลุ่ม “geeks & nerds” ที่เป็นฐานหลักรู้สึกถูกทอดทิ้ง.

    นอกจากนี้ AdBlocker ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือป้องกันโฆษณาที่น่ารำคาญ แต่ยังเป็น ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย ที่ช่วยป้องกันภัยจาก malvertising (โฆษณาที่แฝงมัลแวร์). หาก Mozilla ตัดสินใจบล็อก AdBlocker อาจทำให้ผู้ใช้มองว่าองค์กรละเลยความปลอดภัยของพวกเขา และอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ในฐานะผู้พิทักษ์เว็บเสรี.

    แม้ผู้เขียนจะเข้าใจว่า Mozilla ต้องหารายได้เพื่อความอยู่รอด แต่การพูดถึงแนวทางที่ขัดกับพันธกิจโดยตรงก็สร้าง “PR Disaster” ขึ้นมาแล้วในชุมชนออนไลน์ เช่น Reddit. ความกังวลคือ หาก Mozilla เดินตามเส้นทางนี้จริง อาจสูญเสียความไว้วางใจจากผู้ใช้ที่เป็นกระบอกเสียงสำคัญในการแนะนำ Firefox ให้กับผู้ใช้ทั่วไป.

    สรุปเป็นหัวข้อ
    คำพูดของ CEO Mozilla จุดกระแสกังวล
    กล่าวถึงความเป็นไปได้ในการบล็อก AdBlocker เพื่อสร้างรายได้เพิ่ม
    แม้จะบอกว่าไม่อยากทำ แต่การพูดถึงก็สร้างความไม่มั่นใจ

    AdBlocker คือข้อได้เปรียบและฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย
    เป็นจุดแข็งเหนือ Chromium ที่ทำให้ผู้ใช้ภักดี
    ป้องกันภัยจาก malvertising ซึ่งเป็นภัยคุกคามจริง

    ผลกระทบต่อฐานผู้ใช้และภาพลักษณ์
    ผู้ใช้กลุ่มที่ใส่ใจความเป็นส่วนตัวอาจรู้สึกถูกทอดทิ้ง
    อาจทำให้ Firefox สูญเสียความเชื่อมั่นและการสนับสนุนจากชุมชน

    คำเตือนต่อ Mozilla
    การบล็อก AdBlocker อาจเป็น “อีกตะปูหนึ่งบนโลงศพ” ของ Firefox
    ความผิดพลาดด้าน PR อาจทำให้สูญเสียผู้ใช้ที่เป็นกระบอกเสียงสำคัญ

    https://infosec.press/brunomiguel/is-mozilla-trying-hard-to-kill-itself
    📰 Mozilla กับความเสี่ยงในการสูญเสียฐานผู้ใช้ที่ภักดี บทความจาก Bruno’s Ramblings ชี้ให้เห็นถึงความกังวลที่เกิดขึ้นหลังจาก Anthony Enzor-DeMeo CEO คนใหม่ของ Mozilla ให้สัมภาษณ์กับ The Verge โดยกล่าวว่าเขา “สามารถบล็อก AdBlockers ใน Firefox เพื่อสร้างรายได้เพิ่มอีก 150 ล้านดอลลาร์ แต่ไม่อยากทำเพราะมันขัดกับพันธกิจ”. แม้จะพูดว่าไม่อยากทำ แต่การกล่าวถึงตัวเลือกนี้ก็สร้างความไม่มั่นใจและกระแสวิจารณ์ว่า Mozilla อาจกำลังพิจารณาแนวทางที่ขัดกับจุดยืนเดิม. ผู้เขียนบทความเล่าว่าตนเองเป็นผู้ใช้ Firefox มาตั้งแต่ยุคแรก และสิ่งที่ทำให้ผู้ใช้ภักดีคือ การสนับสนุนมาตรฐานเปิด, ระบบเสริม (add-on) ที่ทรงพลัง และการปกป้องความเป็นส่วนตัว. การบล็อก AdBlocker จึงถูกมองว่าเป็นการทำลายข้อได้เปรียบสำคัญเหนือ Chromium และอาจทำให้ผู้ใช้กลุ่ม “geeks & nerds” ที่เป็นฐานหลักรู้สึกถูกทอดทิ้ง. นอกจากนี้ AdBlocker ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือป้องกันโฆษณาที่น่ารำคาญ แต่ยังเป็น ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย ที่ช่วยป้องกันภัยจาก malvertising (โฆษณาที่แฝงมัลแวร์). หาก Mozilla ตัดสินใจบล็อก AdBlocker อาจทำให้ผู้ใช้มองว่าองค์กรละเลยความปลอดภัยของพวกเขา และอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ในฐานะผู้พิทักษ์เว็บเสรี. แม้ผู้เขียนจะเข้าใจว่า Mozilla ต้องหารายได้เพื่อความอยู่รอด แต่การพูดถึงแนวทางที่ขัดกับพันธกิจโดยตรงก็สร้าง “PR Disaster” ขึ้นมาแล้วในชุมชนออนไลน์ เช่น Reddit. ความกังวลคือ หาก Mozilla เดินตามเส้นทางนี้จริง อาจสูญเสียความไว้วางใจจากผู้ใช้ที่เป็นกระบอกเสียงสำคัญในการแนะนำ Firefox ให้กับผู้ใช้ทั่วไป. 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ คำพูดของ CEO Mozilla จุดกระแสกังวล ➡️ กล่าวถึงความเป็นไปได้ในการบล็อก AdBlocker เพื่อสร้างรายได้เพิ่ม ➡️ แม้จะบอกว่าไม่อยากทำ แต่การพูดถึงก็สร้างความไม่มั่นใจ ✅ AdBlocker คือข้อได้เปรียบและฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย ➡️ เป็นจุดแข็งเหนือ Chromium ที่ทำให้ผู้ใช้ภักดี ➡️ ป้องกันภัยจาก malvertising ซึ่งเป็นภัยคุกคามจริง ✅ ผลกระทบต่อฐานผู้ใช้และภาพลักษณ์ ➡️ ผู้ใช้กลุ่มที่ใส่ใจความเป็นส่วนตัวอาจรู้สึกถูกทอดทิ้ง ➡️ อาจทำให้ Firefox สูญเสียความเชื่อมั่นและการสนับสนุนจากชุมชน ‼️ คำเตือนต่อ Mozilla ⛔ การบล็อก AdBlocker อาจเป็น “อีกตะปูหนึ่งบนโลงศพ” ของ Firefox ⛔ ความผิดพลาดด้าน PR อาจทำให้สูญเสียผู้ใช้ที่เป็นกระบอกเสียงสำคัญ https://infosec.press/brunomiguel/is-mozilla-trying-hard-to-kill-itself
    INFOSEC.PRESS
    📝 Is Mozilla trying hard to kill itself?
    In an interview with "The Verge", the new Mozilla CEO, Enzor-DeMeo, IMHO hints that axing adblockers is something that, at the very least...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 27 มุมมอง 0 รีวิว
  • เทศบาลนครหาดใหญ่ประกาศยกธงเหลือง หลังเกิดฝนตกหนักต่อเนื่องตลอดคืนที่ผ่านมา ส่งผลให้ปริมาณน้ำฝนสะสมเพิ่มสูง และระดับน้ำในคลองสายหลักหลายแห่งมีแนวโน้มสูงขึ้น
    .
    เพจเฟซบุ๊กเทศบาลนครหาดใหญ่ ระบุว่า วัดปริมาณน้ำฝนสะสมที่สถานีแก้มลิงคลองเรียนได้ 140 มิลลิเมตร ส่งผลให้ระดับน้ำในคลองแม่เรียนและคลองหวะเพิ่มขึ้น พร้อมคาดการณ์ว่าช่วงบ่ายถึงค่ำยังคงมีฝนตกอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำคลองสะเดาอยู่ที่ร้อยละ 94.86 ของความจุ
    .
    เทศบาลจึงแจ้งเตือนประชาชนในหลายพื้นที่ อาทิ ถนนสามสิบเมตร ถนนศุภสารรังสรรค์ ถนนธรรมนูญวิถี ถนนประชาธิปัตย์ รวมถึงชุมชนใกล้เคียง ให้เตรียมความพร้อมและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยสามารถสอบถามข้อมูลได้ตลอด 24 ชั่วโมง
    .
    อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000121865
    .
    #News1live #News1 #หาดใหญ่ #ฝนตกหนัก #ยกธงเหลือง #อุทกภัย #เตือนภัยน้ำหลาก
    เทศบาลนครหาดใหญ่ประกาศยกธงเหลือง หลังเกิดฝนตกหนักต่อเนื่องตลอดคืนที่ผ่านมา ส่งผลให้ปริมาณน้ำฝนสะสมเพิ่มสูง และระดับน้ำในคลองสายหลักหลายแห่งมีแนวโน้มสูงขึ้น . เพจเฟซบุ๊กเทศบาลนครหาดใหญ่ ระบุว่า วัดปริมาณน้ำฝนสะสมที่สถานีแก้มลิงคลองเรียนได้ 140 มิลลิเมตร ส่งผลให้ระดับน้ำในคลองแม่เรียนและคลองหวะเพิ่มขึ้น พร้อมคาดการณ์ว่าช่วงบ่ายถึงค่ำยังคงมีฝนตกอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำคลองสะเดาอยู่ที่ร้อยละ 94.86 ของความจุ . เทศบาลจึงแจ้งเตือนประชาชนในหลายพื้นที่ อาทิ ถนนสามสิบเมตร ถนนศุภสารรังสรรค์ ถนนธรรมนูญวิถี ถนนประชาธิปัตย์ รวมถึงชุมชนใกล้เคียง ให้เตรียมความพร้อมและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยสามารถสอบถามข้อมูลได้ตลอด 24 ชั่วโมง . อ่านต่อ >> https://news1live.com/detail/9680000121865 . #News1live #News1 #หาดใหญ่ #ฝนตกหนัก #ยกธงเหลือง #อุทกภัย #เตือนภัยน้ำหลาก
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 94 มุมมอง 0 รีวิว
  • สำนักงาน ป.ป.ส. ออกโรงเตือนภัย “น้ำกระท่อมผสมยา” ชี้เป็นพฤติกรรมผิดกฎหมายและอันตรายต่อชีวิต โดยเฉพาะการลักลอบผลิตในลักษณะโรงงานเถื่อน ที่มักผสมยาแก้ไอหรือสารเคมี ส่งผลกระทบต่อระบบประสาทและสมอง
    .
    ป.ป.ส. ระบุว่า การดื่มน้ำกระท่อมผสมยาไม่เพียงเสี่ยงช็อก หมดสติ หรือเสียชีวิต แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่อาจนำเยาวชนไปสู่การใช้ยาเสพติดที่รุนแรงกว่า พร้อมสั่งเข้มกวาดล้างแหล่งผลิตและแหล่งมั่วสุมในชุมชน
    .
    ย้ำการต้ม ผสม และจำหน่ายน้ำกระท่อมผสมยา มีโทษตามกฎหมายหลายฉบับ ขอประชาชนช่วยแจ้งเบาะแส เพื่อปกป้องเยาวชนและลดปัญหายาเสพติดในสังคม
    .
    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000121434
    .
    #News1live #News1 #ปปส #กระท่อมผสมยา #ยาเสพติด #เตือนภัยสังคม #เยาวชน #กฎหมาย
    สำนักงาน ป.ป.ส. ออกโรงเตือนภัย “น้ำกระท่อมผสมยา” ชี้เป็นพฤติกรรมผิดกฎหมายและอันตรายต่อชีวิต โดยเฉพาะการลักลอบผลิตในลักษณะโรงงานเถื่อน ที่มักผสมยาแก้ไอหรือสารเคมี ส่งผลกระทบต่อระบบประสาทและสมอง . ป.ป.ส. ระบุว่า การดื่มน้ำกระท่อมผสมยาไม่เพียงเสี่ยงช็อก หมดสติ หรือเสียชีวิต แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่อาจนำเยาวชนไปสู่การใช้ยาเสพติดที่รุนแรงกว่า พร้อมสั่งเข้มกวาดล้างแหล่งผลิตและแหล่งมั่วสุมในชุมชน . ย้ำการต้ม ผสม และจำหน่ายน้ำกระท่อมผสมยา มีโทษตามกฎหมายหลายฉบับ ขอประชาชนช่วยแจ้งเบาะแส เพื่อปกป้องเยาวชนและลดปัญหายาเสพติดในสังคม . อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000121434 . #News1live #News1 #ปปส #กระท่อมผสมยา #ยาเสพติด #เตือนภัยสังคม #เยาวชน #กฎหมาย
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 111 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชวนคุณผู้อ่าน ลองพิจารณาตาม ช่วงนี้ได้ยินเสียงรถประชาสัมพันธ์เลือกตั้ง อบต. แล้วมีข้อความที่ใช้ภาษาศาสตร์มาพิจารณาดังนี้
    "ส่งเสริม" เรื่องโน้นนี้ หลายๆ ส่งเสริม คำว่า "ส่งเสริม" ตามความเห็นผม มันน้ำหนักน้อยกว่าจะทำโน้นนี้ ในช่วงเวลาใด แสดงว่านโยบายกับวิสัยทัศน์ ผู้สมัครเขายังไม่เข้าใจ หรือพูดออกไปให้ดูมากๆ ไม่มีใครจำได้หรอก เมื่อไรหนอผู้สมัครจะบอกว่าตัวเองจะทำอะไรในเวลาปีที่ หนึ่ง สอง สาม และจะทำประมาณอย่างไร ไม่ใช่มีแต่รูปกับเบอร์

    เข้าเรื่อง "ส่งเสริม" หากผู้ปกครองเด็ก บอกส่งเสริม คือถ้าเด็กสนใจกีฬาและหวังแข่งขัน หากผู้ปกครองมีกำลังสนับสนุน ก็ส่งเสริมได้ แต่ถ้าบอกส่งเสริมให้เรียนสูงๆ แต่เด็ก ไม่เรียน ไม่ชอบกีฬา ไม่ชอบเล่นเครื่องดนตรี ปากบอกส่งเสริมไป ก็ไม่เกิดชิ้นงาน เห็นภาพใช่ไหมครับ ส่งเสริม แต่ไม่มีชาวบ้านเริ่มก่อน ไม่มีนโยบายส่งงบฉีดวัคซีนกันโรคระบาด ต่อให้ส่งเสริม มันก็เกิดไม่ได้

    นโยบายส่งเสริมสุขภาพชุมชน แต่รถแห่เปิดเสียงดังมากๆ เกินพอดี แล้วจะไม่เรียกว่าเห็นแก่ประโยชน์ตน ไม่คำนึงถึงระดับเสียงเดซิเบล เกินความปลอดภัยหรือ
    ชวนคุณผู้อ่าน ลองพิจารณาตาม ช่วงนี้ได้ยินเสียงรถประชาสัมพันธ์เลือกตั้ง อบต. แล้วมีข้อความที่ใช้ภาษาศาสตร์มาพิจารณาดังนี้ "ส่งเสริม" เรื่องโน้นนี้ หลายๆ ส่งเสริม คำว่า "ส่งเสริม" ตามความเห็นผม มันน้ำหนักน้อยกว่าจะทำโน้นนี้ ในช่วงเวลาใด แสดงว่านโยบายกับวิสัยทัศน์ ผู้สมัครเขายังไม่เข้าใจ หรือพูดออกไปให้ดูมากๆ ไม่มีใครจำได้หรอก เมื่อไรหนอผู้สมัครจะบอกว่าตัวเองจะทำอะไรในเวลาปีที่ หนึ่ง สอง สาม และจะทำประมาณอย่างไร ไม่ใช่มีแต่รูปกับเบอร์ เข้าเรื่อง "ส่งเสริม" หากผู้ปกครองเด็ก บอกส่งเสริม คือถ้าเด็กสนใจกีฬาและหวังแข่งขัน หากผู้ปกครองมีกำลังสนับสนุน ก็ส่งเสริมได้ แต่ถ้าบอกส่งเสริมให้เรียนสูงๆ แต่เด็ก ไม่เรียน ไม่ชอบกีฬา ไม่ชอบเล่นเครื่องดนตรี ปากบอกส่งเสริมไป ก็ไม่เกิดชิ้นงาน เห็นภาพใช่ไหมครับ ส่งเสริม แต่ไม่มีชาวบ้านเริ่มก่อน ไม่มีนโยบายส่งงบฉีดวัคซีนกันโรคระบาด ต่อให้ส่งเสริม มันก็เกิดไม่ได้ นโยบายส่งเสริมสุขภาพชุมชน แต่รถแห่เปิดเสียงดังมากๆ เกินพอดี แล้วจะไม่เรียกว่าเห็นแก่ประโยชน์ตน ไม่คำนึงถึงระดับเสียงเดซิเบล เกินความปลอดภัยหรือ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ด้านจังหวัดสระแก้วตึงเครียดอย่างหนัก หลังทหารกัมพูชาระดมยิงจรวดหลายลำกล้อง BM-21 และปืนใหญ่เข้ามาในเขตประเทศไทยรวมกว่า 100 นัด กระสุนตกกระจายในพื้นที่เกษตรหลายจุดจนเกิดเพลิงไหม้ สร้างความตื่นตระหนกแก่ประชาชน
    .
    รายงานระบุว่าการยิงถล่มเกิดขึ้นหลายพื้นที่ ทั้ง อ.ตาพระยา และ อ.โคกสูง ขณะที่ฝ่ายไทยได้ดำเนินการตอบโต้ตามสถานการณ์ เพื่อป้องกันการรุกล้ำอธิปไตยและคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชน
    ผู้นำชุมชนชายแดนประกาศแจ้งเตือนให้ประชาชนเตรียมพร้อมอพยพทันที หากสถานการณ์ทวีความรุนแรง พร้อมขอหลีกเลี่ยงการเดินทางผ่านเส้นทางเสี่ยงตามแนวชายแดนจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง
    .
    อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000121469
    .
    #News1live #News1 #ชายแดนไทยกัมพูชา #สระแก้ว #BM21 #ปืนใหญ่ #สถานการณ์ชายแดน #ความมั่นคง #ทำลายให้สิ้น #เพื่อชาติศาสนาพระมหากษัตริย์
    สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ด้านจังหวัดสระแก้วตึงเครียดอย่างหนัก หลังทหารกัมพูชาระดมยิงจรวดหลายลำกล้อง BM-21 และปืนใหญ่เข้ามาในเขตประเทศไทยรวมกว่า 100 นัด กระสุนตกกระจายในพื้นที่เกษตรหลายจุดจนเกิดเพลิงไหม้ สร้างความตื่นตระหนกแก่ประชาชน . รายงานระบุว่าการยิงถล่มเกิดขึ้นหลายพื้นที่ ทั้ง อ.ตาพระยา และ อ.โคกสูง ขณะที่ฝ่ายไทยได้ดำเนินการตอบโต้ตามสถานการณ์ เพื่อป้องกันการรุกล้ำอธิปไตยและคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชน ผู้นำชุมชนชายแดนประกาศแจ้งเตือนให้ประชาชนเตรียมพร้อมอพยพทันที หากสถานการณ์ทวีความรุนแรง พร้อมขอหลีกเลี่ยงการเดินทางผ่านเส้นทางเสี่ยงตามแนวชายแดนจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง . อ่านต่อ… https://news1live.com/detail/9680000121469 . #News1live #News1 #ชายแดนไทยกัมพูชา #สระแก้ว #BM21 #ปืนใหญ่ #สถานการณ์ชายแดน #ความมั่นคง #ทำลายให้สิ้น #เพื่อชาติศาสนาพระมหากษัตริย์
    Angry
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 0 รีวิว
  • ALPR Watch – เฝ้าระวังการใช้เทคโนโลยีสอดส่องในท้องถิ่น

    แพลตฟอร์ม ALPR Watch ทำหน้าที่สแกนวาระการประชุมของสภาท้องถิ่นทั่วสหรัฐฯ เพื่อค้นหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเฝ้าระวัง เช่น “license plate reader” หรือ “facial recognition” จากนั้นจะแสดงผลบนแผนที่ว่าพื้นที่ใดกำลังมีการหารือเรื่องนี้อยู่ จุดประสงค์คือเพื่อให้ประชาชนสามารถติดตามและเข้าไปมีส่วนร่วมได้ทันเวลา

    ปัจจุบันมีการติดตั้งกล้อง ALPR และระบบเฝ้าระวังมากกว่า 80,000 ตัวทั่วประเทศ ซึ่งสามารถบันทึกการเคลื่อนไหวของประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง สร้างฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่บันทึกการเดินทางในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การไปซื้อของ ไปพบแพทย์ ไปโบสถ์ หรือแม้แต่การเดินทางส่วนตัวอื่น ๆ

    หนึ่งในบริษัทที่โดดเด่นคือ Flock Safety ซึ่งผลิตและจำหน่ายกล้อง ALPR ให้กับชุมชนและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย กล้องเหล่านี้สามารถบันทึกข้อมูลละเอียด เช่น หมายเลขทะเบียนรถ รุ่น สี และลักษณะเฉพาะของรถ ก่อนจะส่งต่อข้อมูลเข้าสู่เครือข่ายขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงหลายหน่วยงาน ทำให้เกิด “เว็บสอดส่อง” ที่ครอบคลุมประชาชนจำนวนมหาศาล

    สิ่งที่น่ากังวลคือ “Slippery Slope” หรือการขยายขอบเขตการใช้งานเกินวัตถุประสงค์เดิม เช่น จากการใช้เพื่อแก้ไขอาชญากรรม กลายเป็นการใช้เพื่อบังคับกฎหมายคนเข้าเมือง หรือการแชร์ข้อมูลกับหน่วยงานอื่น ๆ โดยไม่มีการกำกับดูแลที่ชัดเจน ซึ่งอาจกระทบต่อสิทธิความเป็นส่วนตัวของประชาชนอย่างรุนแรง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ALPR Watch ติดตามการประชุมท้องถิ่น
    สแกนวาระการประชุมเพื่อหาคำที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเฝ้าระวัง
    แสดงผลบนแผนที่เพื่อให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม

    การแพร่หลายของกล้อง ALPR
    มีมากกว่า 80,000 ตัวทั่วสหรัฐฯ
    บันทึกการเคลื่อนไหวของประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง

    บทบาทของ Flock Safety
    ผลิตกล้อง ALPR ที่บันทึกข้อมูลละเอียดของรถ
    สร้างเครือข่ายข้อมูลที่แชร์ระหว่างหน่วยงาน

    ความเสี่ยงจากการขยายการใช้งาน (Slippery Slope)
    ใช้เกินวัตถุประสงค์ เช่น บังคับใช้กฎหมายคนเข้าเมือง
    ขาดการกำกับดูแลและการตรวจสอบที่โปร่งใส

    https://alpr.watch/
    🚨 ALPR Watch – เฝ้าระวังการใช้เทคโนโลยีสอดส่องในท้องถิ่น แพลตฟอร์ม ALPR Watch ทำหน้าที่สแกนวาระการประชุมของสภาท้องถิ่นทั่วสหรัฐฯ เพื่อค้นหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเฝ้าระวัง เช่น “license plate reader” หรือ “facial recognition” จากนั้นจะแสดงผลบนแผนที่ว่าพื้นที่ใดกำลังมีการหารือเรื่องนี้อยู่ จุดประสงค์คือเพื่อให้ประชาชนสามารถติดตามและเข้าไปมีส่วนร่วมได้ทันเวลา ปัจจุบันมีการติดตั้งกล้อง ALPR และระบบเฝ้าระวังมากกว่า 80,000 ตัวทั่วประเทศ ซึ่งสามารถบันทึกการเคลื่อนไหวของประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง สร้างฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่บันทึกการเดินทางในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การไปซื้อของ ไปพบแพทย์ ไปโบสถ์ หรือแม้แต่การเดินทางส่วนตัวอื่น ๆ หนึ่งในบริษัทที่โดดเด่นคือ Flock Safety ซึ่งผลิตและจำหน่ายกล้อง ALPR ให้กับชุมชนและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย กล้องเหล่านี้สามารถบันทึกข้อมูลละเอียด เช่น หมายเลขทะเบียนรถ รุ่น สี และลักษณะเฉพาะของรถ ก่อนจะส่งต่อข้อมูลเข้าสู่เครือข่ายขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงหลายหน่วยงาน ทำให้เกิด “เว็บสอดส่อง” ที่ครอบคลุมประชาชนจำนวนมหาศาล สิ่งที่น่ากังวลคือ “Slippery Slope” หรือการขยายขอบเขตการใช้งานเกินวัตถุประสงค์เดิม เช่น จากการใช้เพื่อแก้ไขอาชญากรรม กลายเป็นการใช้เพื่อบังคับกฎหมายคนเข้าเมือง หรือการแชร์ข้อมูลกับหน่วยงานอื่น ๆ โดยไม่มีการกำกับดูแลที่ชัดเจน ซึ่งอาจกระทบต่อสิทธิความเป็นส่วนตัวของประชาชนอย่างรุนแรง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ALPR Watch ติดตามการประชุมท้องถิ่น ➡️ สแกนวาระการประชุมเพื่อหาคำที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเฝ้าระวัง ➡️ แสดงผลบนแผนที่เพื่อให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ✅ การแพร่หลายของกล้อง ALPR ➡️ มีมากกว่า 80,000 ตัวทั่วสหรัฐฯ ➡️ บันทึกการเคลื่อนไหวของประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง ✅ บทบาทของ Flock Safety ➡️ ผลิตกล้อง ALPR ที่บันทึกข้อมูลละเอียดของรถ ➡️ สร้างเครือข่ายข้อมูลที่แชร์ระหว่างหน่วยงาน ‼️ ความเสี่ยงจากการขยายการใช้งาน (Slippery Slope) ⛔ ใช้เกินวัตถุประสงค์ เช่น บังคับใช้กฎหมายคนเข้าเมือง ⛔ ขาดการกำกับดูแลและการตรวจสอบที่โปร่งใส https://alpr.watch/
    ALPR.WATCH
    ALPR Watch – Track Surveillance Tech in Local Government
    Track ALPR, Flock Safety cameras, and surveillance tech discussions in your local government meetings. Get alerts and take action.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • Emmabuntüs Debian Edition 6 เปิดตัว

    Emmabuntüs Collective ประกาศเปิดตัว Emmabuntüs Debian Edition 6 (DE6) เวอร์ชัน 1.00 เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2025 โดยใช้ฐานจาก Debian 13.2 “Trixie” และ Linux Kernel 6.12 LTS จุดเด่นคือการออกแบบมาเพื่อช่วยรีเฟอร์บิชคอมพิวเตอร์เก่าให้กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง เหมาะสำหรับองค์กรการกุศล โรงเรียน หรือผู้ใช้ที่ต้องการระบบเบาแต่ครบเครื่อง

    ฟีเจอร์หลักและการปรับปรุง
    เดสก์ท็อป Xfce 4.20 และ LXQt 2.1 – เบาและใช้งานง่าย
    LibreOffice และ Geany IDE – ติดตั้งมาให้พร้อมใช้งานทั้งงานเอกสารและการเขียนโค้ด
    ระบบติดตั้งง่าย – มีสคริปต์ช่วยติดตั้งซอฟต์แวร์เสริมและการตั้งค่าที่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป
    การปรับปรุงเสถียรภาพ – อัปเดตจาก Debian รุ่นล่าสุด ทำให้มั่นใจได้ในความปลอดภัยและความเข้ากันได้กับฮาร์ดแวร์

    ความสำคัญต่อชุมชนโอเพนซอร์ส
    Emmabuntüs เป็นดิสโทรที่มีเป้าหมายทางสังคมชัดเจน คือการลดขยะอิเล็กทรอนิกส์และเพิ่มการเข้าถึงเทคโนโลยีให้กับผู้ที่มีทรัพยากรจำกัด การเปิดตัว DE6 จึงไม่ใช่แค่การอัปเดตซอฟต์แวร์ แต่ยังเป็นการสนับสนุนการใช้คอมพิวเตอร์อย่างยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Emmabuntüs DE6 เปิดตัว 16 ธันวาคม 2025
    อิงจาก Debian 13.2 “Trixie” และ Linux Kernel 6.12 LTS

    ฟีเจอร์หลัก
    เดสก์ท็อป Xfce 4.20 และ LXQt 2.1
    LibreOffice และ Geany IDE ติดตั้งมาให้พร้อมใช้งาน

    จุดเด่นของดิสโทร
    ออกแบบเพื่อรีเฟอร์บิชคอมพิวเตอร์เก่า
    ติดตั้งง่ายและเหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    ฟีเจอร์บางอย่างอาจยังไม่เสถียรบนฮาร์ดแวร์ใหม่ล่าสุด
    หากใช้กับงานที่ต้องการ performance สูง อาจไม่ตอบโจทย์เท่าดิสโทรหลักอย่าง Ubuntu หรือ Fedora

    https://9to5linux.com/emmabuntus-debian-edition-6-is-now-available-based-on-debian-13-trixie
    💻 Emmabuntüs Debian Edition 6 เปิดตัว Emmabuntüs Collective ประกาศเปิดตัว Emmabuntüs Debian Edition 6 (DE6) เวอร์ชัน 1.00 เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2025 โดยใช้ฐานจาก Debian 13.2 “Trixie” และ Linux Kernel 6.12 LTS จุดเด่นคือการออกแบบมาเพื่อช่วยรีเฟอร์บิชคอมพิวเตอร์เก่าให้กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง เหมาะสำหรับองค์กรการกุศล โรงเรียน หรือผู้ใช้ที่ต้องการระบบเบาแต่ครบเครื่อง ⚡ ฟีเจอร์หลักและการปรับปรุง 💠 เดสก์ท็อป Xfce 4.20 และ LXQt 2.1 – เบาและใช้งานง่าย 💠 LibreOffice และ Geany IDE – ติดตั้งมาให้พร้อมใช้งานทั้งงานเอกสารและการเขียนโค้ด 💠 ระบบติดตั้งง่าย – มีสคริปต์ช่วยติดตั้งซอฟต์แวร์เสริมและการตั้งค่าที่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป 💠 การปรับปรุงเสถียรภาพ – อัปเดตจาก Debian รุ่นล่าสุด ทำให้มั่นใจได้ในความปลอดภัยและความเข้ากันได้กับฮาร์ดแวร์ 🌱 ความสำคัญต่อชุมชนโอเพนซอร์ส Emmabuntüs เป็นดิสโทรที่มีเป้าหมายทางสังคมชัดเจน คือการลดขยะอิเล็กทรอนิกส์และเพิ่มการเข้าถึงเทคโนโลยีให้กับผู้ที่มีทรัพยากรจำกัด การเปิดตัว DE6 จึงไม่ใช่แค่การอัปเดตซอฟต์แวร์ แต่ยังเป็นการสนับสนุนการใช้คอมพิวเตอร์อย่างยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Emmabuntüs DE6 เปิดตัว 16 ธันวาคม 2025 ➡️ อิงจาก Debian 13.2 “Trixie” และ Linux Kernel 6.12 LTS ✅ ฟีเจอร์หลัก ➡️ เดสก์ท็อป Xfce 4.20 และ LXQt 2.1 ➡️ LibreOffice และ Geany IDE ติดตั้งมาให้พร้อมใช้งาน ✅ จุดเด่นของดิสโทร ➡️ ออกแบบเพื่อรีเฟอร์บิชคอมพิวเตอร์เก่า ➡️ ติดตั้งง่ายและเหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ ฟีเจอร์บางอย่างอาจยังไม่เสถียรบนฮาร์ดแวร์ใหม่ล่าสุด ⛔ หากใช้กับงานที่ต้องการ performance สูง อาจไม่ตอบโจทย์เท่าดิสโทรหลักอย่าง Ubuntu หรือ Fedora https://9to5linux.com/emmabuntus-debian-edition-6-is-now-available-based-on-debian-13-trixie
    9TO5LINUX.COM
    Emmabuntüs Debian Edition 6 Is Now Available Based on Debian 13 "Trixie" - 9to5Linux
    Emmabuntüs Debian Edition 6 distribution is now available for download based on the Debian GNU/Linux 13 “Trixie” operating system.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 70 มุมมอง 0 รีวิว
  • OpenShot 3.4 เปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่

    OpenShot 3.4 ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ตัดต่อวิดีโอแบบโอเพนซอร์ส ได้รับการอัปเดตครั้งสำคัญ โดย Jonathan Thomas ผู้สร้าง OpenShot ประกาศเปิดตัวเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2025 ฟีเจอร์ใหม่ที่โดดเด่นคือ experimental timeline ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดการคลิปได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น และ interactive cropping ที่ให้ผู้ใช้ครอบตัดวิดีโอได้โดยตรงในหน้าต่าง preview

    ประสิทธิภาพที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
    หนึ่งในจุดขายของเวอร์ชันนี้คือการปรับปรุงประสิทธิภาพทั้งระบบ ทำให้การเรนเดอร์และการทำงานกับโปรเจกต์ขนาดใหญ่เร็วขึ้นมาก การแก้ไขบั๊กจำนวนมากยังช่วยให้ OpenShot มีเสถียรภาพมากขึ้น ลดปัญหาการ crash ที่ผู้ใช้เคยเจอในเวอร์ชันก่อนหน้า ถือเป็นการยกระดับคุณภาพของซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สให้ทัดเทียมกับเครื่องมือเชิงพาณิชย์

    ฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจ
    Experimental Timeline: ปรับปรุงการจัดการคลิปและเลเยอร์
    Interactive Cropping: ครอบตัดวิดีโอได้โดยตรงใน preview window
    Performance Improvements: เรนเดอร์เร็วขึ้น, โหลดโปรเจกต์ใหญ่ได้ลื่นไหล
    Bug Fixes: แก้ไขปัญหาที่ผู้ใช้รายงานจำนวนมาก

    ความสำคัญต่อชุมชนโอเพนซอร์ส
    OpenShot 3.4 ยังคงเป็นซอฟต์แวร์ฟรีและโอเพนซอร์สที่รองรับทั้ง Linux, macOS และ Windows ทำให้ผู้ใช้ทุกแพลตฟอร์มสามารถเข้าถึงเครื่องมือที่ทรงพลังโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย การอัปเดตครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทีมพัฒนาในการผลักดันซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สให้แข่งขันได้กับโปรแกรมเชิงพาณิชย์อย่าง Adobe Premiere หรือ Final Cut Pro

    สรุปประเด็นสำคัญ
    OpenShot 3.4 เปิดตัว 16 ธันวาคม 2025
    รองรับ Linux, macOS และ Windows

    ฟีเจอร์ใหม่
    Experimental Timeline
    Interactive Cropping

    การปรับปรุงประสิทธิภาพ
    เรนเดอร์เร็วขึ้น
    โหลดโปรเจกต์ใหญ่ได้ดีขึ้น

    การแก้ไขบั๊ก
    ลดปัญหาการ crash
    เพิ่มเสถียรภาพโดยรวม

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    ฟีเจอร์ใหม่บางอย่างยังเป็น experimental อาจมีบั๊กที่ไม่เสถียร
    ควรสำรองโปรเจกต์ก่อนอัปเดตเพื่อป้องกันข้อมูลสูญหาย

    https://9to5linux.com/openshot-3-4-open-source-video-editor-released-with-new-effects-and-features
    🎬 OpenShot 3.4 เปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่ OpenShot 3.4 ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ตัดต่อวิดีโอแบบโอเพนซอร์ส ได้รับการอัปเดตครั้งสำคัญ โดย Jonathan Thomas ผู้สร้าง OpenShot ประกาศเปิดตัวเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2025 ฟีเจอร์ใหม่ที่โดดเด่นคือ experimental timeline ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดการคลิปได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น และ interactive cropping ที่ให้ผู้ใช้ครอบตัดวิดีโอได้โดยตรงในหน้าต่าง preview ⚡ ประสิทธิภาพที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หนึ่งในจุดขายของเวอร์ชันนี้คือการปรับปรุงประสิทธิภาพทั้งระบบ ทำให้การเรนเดอร์และการทำงานกับโปรเจกต์ขนาดใหญ่เร็วขึ้นมาก การแก้ไขบั๊กจำนวนมากยังช่วยให้ OpenShot มีเสถียรภาพมากขึ้น ลดปัญหาการ crash ที่ผู้ใช้เคยเจอในเวอร์ชันก่อนหน้า ถือเป็นการยกระดับคุณภาพของซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สให้ทัดเทียมกับเครื่องมือเชิงพาณิชย์ 🛠️ ฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจ 💠 Experimental Timeline: ปรับปรุงการจัดการคลิปและเลเยอร์ 💠 Interactive Cropping: ครอบตัดวิดีโอได้โดยตรงใน preview window 💠 Performance Improvements: เรนเดอร์เร็วขึ้น, โหลดโปรเจกต์ใหญ่ได้ลื่นไหล 💠 Bug Fixes: แก้ไขปัญหาที่ผู้ใช้รายงานจำนวนมาก 🌐 ความสำคัญต่อชุมชนโอเพนซอร์ส OpenShot 3.4 ยังคงเป็นซอฟต์แวร์ฟรีและโอเพนซอร์สที่รองรับทั้ง Linux, macOS และ Windows ทำให้ผู้ใช้ทุกแพลตฟอร์มสามารถเข้าถึงเครื่องมือที่ทรงพลังโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย การอัปเดตครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทีมพัฒนาในการผลักดันซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สให้แข่งขันได้กับโปรแกรมเชิงพาณิชย์อย่าง Adobe Premiere หรือ Final Cut Pro 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ OpenShot 3.4 เปิดตัว 16 ธันวาคม 2025 ➡️ รองรับ Linux, macOS และ Windows ✅ ฟีเจอร์ใหม่ ➡️ Experimental Timeline ➡️ Interactive Cropping ✅ การปรับปรุงประสิทธิภาพ ➡️ เรนเดอร์เร็วขึ้น ➡️ โหลดโปรเจกต์ใหญ่ได้ดีขึ้น ✅ การแก้ไขบั๊ก ➡️ ลดปัญหาการ crash ➡️ เพิ่มเสถียรภาพโดยรวม ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ ฟีเจอร์ใหม่บางอย่างยังเป็น experimental อาจมีบั๊กที่ไม่เสถียร ⛔ ควรสำรองโปรเจกต์ก่อนอัปเดตเพื่อป้องกันข้อมูลสูญหาย https://9to5linux.com/openshot-3-4-open-source-video-editor-released-with-new-effects-and-features
    9TO5LINUX.COM
    OpenShot 3.4 Open-Source Video Editor Released with New Effects and Features - 9to5Linux
    OpenShot 3.4 open-source video editing software is now available for download with new features, improved performance, and exchiting updates.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 57 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตำรวจออสเตรเลียเปิดเผยความคืบหน้าเหตุ กราดยิงงานฉลองเทศกาลฮานุกกะห์ของชาวยิว ที่หาดบอนได เมืองซิดนีย์ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2568 และถือเป็นเหตุกราดยิงรุนแรงที่สุดในรอบเกือบ 30 ปีของประเทศ
    .
    ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 2568 เวลา 21.55 น. ทางการออสเตรเลียระบุว่า คนร้ายเป็น พ่อ–ลูก โดยพบข้อมูลว่า ทั้งสองเพิ่งเดินทางไป ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา และเชื่อว่าอาจได้รับแรงบันดาลใจจากแนวคิดของ กลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส)
    .
    เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 16 ราย รวมถึงมือปืนผู้เป็นพ่อที่ถูกตำรวจวิสามัญ ขณะที่มือปืนผู้เป็นลูกได้รับบาดเจ็บสาหัสและอยู่ระหว่างการรักษา ทั้งนี้ตำรวจพบ อุปกรณ์ระเบิดแสวงเครื่องและสัญลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับไอเอส ภายในรถของคนร้าย
    .
    นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย แอนโทนี แอลเบนีส ระบุว่า เหตุโจมตีครั้งนี้มีลักษณะเป็นการก่อการร้ายที่พุ่งเป้าไปยัง ชุมชนชาวยิว พร้อมประกาศทบทวนมาตรการควบคุมอาวุธปืน หลังพบว่ามือปืนผู้พ่อมีใบอนุญาตครอบครองปืนถูกต้องและมีอาวุธจดทะเบียนหลายกระบอก
    .
    ทางการยังอยู่ระหว่างขยายผลสอบสวนเส้นทางการเดินทาง ความเชื่อมโยงกับกลุ่มหัวรุนแรง และกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางความคิดของผู้ก่อเหตุ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอยในอนาคต
    .
    อ่านต่อ >>> https://news1live.com/detail/9680000121193
    .
    #News1live #News1 #กราดยิงบอนได #Australia #ก่อการร้าย #กลุ่มรัฐอิสลาม #ความมั่นคงโลก
    ตำรวจออสเตรเลียเปิดเผยความคืบหน้าเหตุ กราดยิงงานฉลองเทศกาลฮานุกกะห์ของชาวยิว ที่หาดบอนได เมืองซิดนีย์ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2568 และถือเป็นเหตุกราดยิงรุนแรงที่สุดในรอบเกือบ 30 ปีของประเทศ . ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 2568 เวลา 21.55 น. ทางการออสเตรเลียระบุว่า คนร้ายเป็น พ่อ–ลูก โดยพบข้อมูลว่า ทั้งสองเพิ่งเดินทางไป ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา และเชื่อว่าอาจได้รับแรงบันดาลใจจากแนวคิดของ กลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) . เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 16 ราย รวมถึงมือปืนผู้เป็นพ่อที่ถูกตำรวจวิสามัญ ขณะที่มือปืนผู้เป็นลูกได้รับบาดเจ็บสาหัสและอยู่ระหว่างการรักษา ทั้งนี้ตำรวจพบ อุปกรณ์ระเบิดแสวงเครื่องและสัญลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับไอเอส ภายในรถของคนร้าย . นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย แอนโทนี แอลเบนีส ระบุว่า เหตุโจมตีครั้งนี้มีลักษณะเป็นการก่อการร้ายที่พุ่งเป้าไปยัง ชุมชนชาวยิว พร้อมประกาศทบทวนมาตรการควบคุมอาวุธปืน หลังพบว่ามือปืนผู้พ่อมีใบอนุญาตครอบครองปืนถูกต้องและมีอาวุธจดทะเบียนหลายกระบอก . ทางการยังอยู่ระหว่างขยายผลสอบสวนเส้นทางการเดินทาง ความเชื่อมโยงกับกลุ่มหัวรุนแรง และกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางความคิดของผู้ก่อเหตุ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอยในอนาคต . อ่านต่อ >>> https://news1live.com/detail/9680000121193 . #News1live #News1 #กราดยิงบอนได #Australia #ก่อการร้าย #กลุ่มรัฐอิสลาม #ความมั่นคงโลก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 150 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะโบราณกับร่องรอยโรคระบาด

    นักวิจัยค้นพบ DNA ของเชื้อกาฬโรค (Yersinia pestis) ในซากฟอสซิลแกะโบราณอายุ 4,000 ปี ที่รัสเซีย ซึ่งเป็นหลักฐานแรกว่ามีสัตว์เลี้ยงเป็นพาหะของโรคระบาดยุคสำริด ไม่ใช่เพียงมนุษย์อย่างที่เคยเชื่อ

    ทีมนักโบราณคดีตรวจสอบ DNA จากกระดูกและฟันของสัตว์เลี้ยงยุคสำริด เช่น วัว แพะ และแกะ ที่ถูกขุดพบในพื้นที่อาร์ไคม์ (Arkaim) บริเวณเทือกเขาอูราลตอนใต้ของรัสเซีย ผลการวิเคราะห์พบ DNA ของเชื้อ Yersinia pestis บนฟันแกะที่ถูกเลี้ยงโดยมนุษย์เมื่อราว 4,000 ปีก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่พบหลักฐานโรคระบาดในสัตว์เลี้ยง ไม่ใช่เฉพาะในมนุษย์

    เชื้อโรคที่ยังไม่วิวัฒน์เต็มรูปแบบ
    เชื้อ Y. pestis ในยุคนั้นยังไม่สามารถใช้หมัดเป็นพาหะเหมือนในยุคกลาง ทำให้เกิดคำถามว่าโรคแพร่กระจายได้อย่างไร หลักฐานใหม่นี้ชี้ว่าแกะอาจเป็นตัวกลางที่ช่วยแพร่เชื้อระหว่างฝูงสัตว์และมนุษย์ หรืออาจได้รับเชื้อจากสัตว์ป่าและส่งต่อไปยังคนเลี้ยง

    ความเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมซินทัชตา
    สถานที่พบแกะติดเชื้อคือชุมชนซินทัชตา (Sintashta culture) ซึ่งมีชื่อเสียงด้านการสร้างอาวุธสำริดและการขี่ม้า การขยายฝูงสัตว์และการเดินทางไกลด้วยม้าอาจเพิ่มโอกาสให้โรคแพร่กระจายไปทั่วทุ่งหญ้าสเตปป์ยูเรเชีย

    ความท้าทายในการศึกษาซากสัตว์
    การตรวจสอบ DNA ของสัตว์โบราณทำได้ยาก เพราะซากสัตว์มักถูกทิ้งเป็นเศษอาหารหรือถูกปรุงสุก ทำให้ DNA เสื่อมสลายเร็ว หลักฐานครั้งนี้จึงถือเป็นความก้าวหน้าสำคัญในการเข้าใจการแพร่โรคในอดีต

    สรุปสาระสำคัญ
    การค้นพบหลักฐานใหม่
    พบ DNA ของ Y. pestis ในฟันแกะโบราณที่รัสเซีย

    เชื้อโรคยุคสำริด
    ยังไม่สามารถใช้หมัดเป็นพาหะเหมือนยุคกลาง

    บทบาทของสัตว์เลี้ยง
    แกะอาจเป็นตัวกลางแพร่เชื้อระหว่างสัตว์และมนุษย์

    ความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรม
    ซินทัชตาเป็นสังคมที่ขยายฝูงสัตว์และเดินทางไกล

    ความท้าทายทางวิทยาศาสตร์
    ซากสัตว์มักถูกปรุงสุกหรือเสื่อมสลาย ทำให้ DNA ยากต่อการศึกษา

    ความเสี่ยงต่อการตีความผิดพลาด
    หลักฐานจากสัตว์เพียงตัวเดียวอาจไม่สะท้อนภาพรวมทั้งหมดของการแพร่โรค

    https://www.sciencealert.com/dna-study-reveals-carrier-of-worlds-earliest-known-plague
    🐑 แกะโบราณกับร่องรอยโรคระบาด นักวิจัยค้นพบ DNA ของเชื้อกาฬโรค (Yersinia pestis) ในซากฟอสซิลแกะโบราณอายุ 4,000 ปี ที่รัสเซีย ซึ่งเป็นหลักฐานแรกว่ามีสัตว์เลี้ยงเป็นพาหะของโรคระบาดยุคสำริด ไม่ใช่เพียงมนุษย์อย่างที่เคยเชื่อ ทีมนักโบราณคดีตรวจสอบ DNA จากกระดูกและฟันของสัตว์เลี้ยงยุคสำริด เช่น วัว แพะ และแกะ ที่ถูกขุดพบในพื้นที่อาร์ไคม์ (Arkaim) บริเวณเทือกเขาอูราลตอนใต้ของรัสเซีย ผลการวิเคราะห์พบ DNA ของเชื้อ Yersinia pestis บนฟันแกะที่ถูกเลี้ยงโดยมนุษย์เมื่อราว 4,000 ปีก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่พบหลักฐานโรคระบาดในสัตว์เลี้ยง ไม่ใช่เฉพาะในมนุษย์ 🔬 เชื้อโรคที่ยังไม่วิวัฒน์เต็มรูปแบบ เชื้อ Y. pestis ในยุคนั้นยังไม่สามารถใช้หมัดเป็นพาหะเหมือนในยุคกลาง ทำให้เกิดคำถามว่าโรคแพร่กระจายได้อย่างไร หลักฐานใหม่นี้ชี้ว่าแกะอาจเป็นตัวกลางที่ช่วยแพร่เชื้อระหว่างฝูงสัตว์และมนุษย์ หรืออาจได้รับเชื้อจากสัตว์ป่าและส่งต่อไปยังคนเลี้ยง 🏹 ความเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมซินทัชตา สถานที่พบแกะติดเชื้อคือชุมชนซินทัชตา (Sintashta culture) ซึ่งมีชื่อเสียงด้านการสร้างอาวุธสำริดและการขี่ม้า การขยายฝูงสัตว์และการเดินทางไกลด้วยม้าอาจเพิ่มโอกาสให้โรคแพร่กระจายไปทั่วทุ่งหญ้าสเตปป์ยูเรเชีย ⚠️ ความท้าทายในการศึกษาซากสัตว์ การตรวจสอบ DNA ของสัตว์โบราณทำได้ยาก เพราะซากสัตว์มักถูกทิ้งเป็นเศษอาหารหรือถูกปรุงสุก ทำให้ DNA เสื่อมสลายเร็ว หลักฐานครั้งนี้จึงถือเป็นความก้าวหน้าสำคัญในการเข้าใจการแพร่โรคในอดีต 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การค้นพบหลักฐานใหม่ ➡️ พบ DNA ของ Y. pestis ในฟันแกะโบราณที่รัสเซีย ✅ เชื้อโรคยุคสำริด ➡️ ยังไม่สามารถใช้หมัดเป็นพาหะเหมือนยุคกลาง ✅ บทบาทของสัตว์เลี้ยง ➡️ แกะอาจเป็นตัวกลางแพร่เชื้อระหว่างสัตว์และมนุษย์ ✅ ความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรม ➡️ ซินทัชตาเป็นสังคมที่ขยายฝูงสัตว์และเดินทางไกล ‼️ ความท้าทายทางวิทยาศาสตร์ ⛔ ซากสัตว์มักถูกปรุงสุกหรือเสื่อมสลาย ทำให้ DNA ยากต่อการศึกษา ‼️ ความเสี่ยงต่อการตีความผิดพลาด ⛔ หลักฐานจากสัตว์เพียงตัวเดียวอาจไม่สะท้อนภาพรวมทั้งหมดของการแพร่โรค https://www.sciencealert.com/dna-study-reveals-carrier-of-worlds-earliest-known-plague
    WWW.SCIENCEALERT.COM
    DNA Study Reveals Carrier of World's Earliest-Known Plague
    A plague that swept through Eurasia for 2,000 years – millennia before the Black Death of the Middle Ages – has only ever been detected in human remains, until now.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 109 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🩷 รวมข่าวจากเวบ TechRadar 🩷
    #รวมข่าวIT #20251216 #TechRadar

    LG เปิดตัวทีวี Micro RGB evo ที่ CES 2026
    LG กำลังสร้างความฮือฮาในงาน CES 2026 ด้วยการเปิดตัวทีวีรุ่นใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี Micro RGB evo ซึ่งเปลี่ยนหลอดไฟ LED แบบเดิมไปเป็นหลอดไฟสีแดง เขียว และน้ำเงินขนาดจิ๋ว เพื่อควบคุมแสงและสีได้ละเอียดขึ้น ผลลัพธ์คือภาพที่สว่างสดใสและสีสันจัดเต็มใกล้เคียง OLED แต่ยังคงความสว่างสูงของ LCD จุดเด่นคือการครอบคลุมสีครบทั้ง BT.2020, DCI-P3 และ Adobe RGB พร้อมระบบประมวลผล α11 AI Gen 3 ที่ช่วยอัปสเกลภาพให้คมชัดขึ้น ถือเป็นการพยายามปิดช่องว่างระหว่าง LCD และ OLED ที่น่าสนใจมากสำหรับคนรักภาพคมชัดและสีสดใส
    https://www.techradar.com/televisions/lg-reveals-micro-rgb-evo-tv-with-bold-claims-of-perfect-color

    Netflix เลิกใช้ Google Cast แต่ Apple TV บน Android นำกลับมาอีกครั้ง
    Netflix เคยยกเลิกฟีเจอร์ Google Cast ที่ให้ผู้ใช้ส่งภาพจากมือถือขึ้นจอทีวี แต่ล่าสุด Apple TV บน Android กลับนำฟีเจอร์นี้กลับมา ทำให้ผู้ใช้สามารถสตรีมคอนเทนต์จากมือถือไปยังทีวีได้อีกครั้ง การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงการแข่งขันในตลาดสตรีมมิ่งที่ยังคงดุเดือด และการที่ Apple พยายามทำให้บริการของตนเข้าถึงผู้ใช้ Android ได้สะดวกขึ้น
    https://www.techradar.com/streaming/apple-tv-plus/netflix-dropped-google-cast-now-apple-tv-for-android-just-brought-it-back

    NAS พกพาใส่ SSD 4 ตัว พร้อมพลัง Intel N150
    มีการเปิดตัวอุปกรณ์ NAS ขนาดเล็กที่ดูเหมือนวิทยุทรานซิสเตอร์เก่า แต่ภายในบรรจุ SSD ได้ถึง 4 ตัว ใช้พลังจาก Intel N150 และมีพอร์ต LAN 2.5Gb สองช่อง รวมถึง RAM 12GB จุดขายคือความสามารถในการพกพาและเก็บข้อมูลได้มาก แต่ก็มีค่าใช้จ่ายแฝงที่อาจเกินความคาดหมาย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการระบบจัดเก็บข้อมูลที่คล่องตัวและมีสไตล์ไม่เหมือนใคร
    https://www.techradar.com/pro/is-that-your-grandads-transistor-radio-no-its-a-4-ssd-nas-with-two-2-5gb-lan-ports-12gb-ram-and-a-cracking-name-the-orange-colored-youyeetoo-nestdisk

    นักพัฒนาสร้างกล่องสำรองข้อมูล iPhone แบบออฟไลน์
    นักพัฒนารายหนึ่งได้สร้างอุปกรณ์สำรองข้อมูล iPhone ที่ไม่ต้องพึ่งพาคลาวด์ แต่ใช้การเชื่อมต่อผ่าน USB และเข้ารหัสข้อมูลเพื่อเก็บไว้ในเครื่องโดยตรง ถือเป็นทางเลือกใหม่สำหรับคนที่ไม่อยากจ่ายค่าบริการ iCloud หรือกังวลเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลบนคลาวด์ แม้จะยังไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป แต่แนวคิดนี้สะท้อนถึงความต้องการควบคุมข้อมูลส่วนตัวมากขึ้น
    https://www.techradar.com/pro/want-to-back-up-your-iphone-securely-without-paying-the-apple-tax-theres-a-hack-for-that-but-it-isnt-for-everyone-yet

    วิกฤติ RAM อาจกระทบหนักต่อโน้ตบุ๊กเกมมิ่ง
    ตลาดโน้ตบุ๊กเกมมิ่งกำลังเผชิญปัญหาวิกฤติ RAM ที่อาจทำให้เครื่องเล่นเกมประสิทธิภาพสูงมีราคาสูงขึ้นและหายากขึ้น เหตุผลมาจากความต้องการหน่วยความจำที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ทั้งจาก AI และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ ส่งผลให้ผู้ผลิตโน้ตบุ๊กเกมมิ่งต้องปรับตัวและอาจทำให้ผู้เล่นเกมต้องจ่ายแพงกว่าเดิมเพื่อได้เครื่องที่แรงพอ
    https://www.techradar.com/computing/memory/the-ram-crisis-will-be-a-disaster-for-gaming-laptops-heres-why

    Slop: คำแห่งปีที่สะท้อนอินเทอร์เน็ตเต็มไปด้วยขยะดิจิทัล
    ปีนี้ Merriam-Webster เลือกคำว่า “Slop” เป็น Word of the Year 2025 เพื่ออธิบายเนื้อหาดิจิทัลคุณภาพต่ำที่ถูกผลิตขึ้นอย่างมหาศาลด้วย AI ไม่ว่าจะเป็นบทความ ภาพ วิดีโอ หรือพอดแคสต์ หลายอย่างดูเหมือนจะสร้างได้ง่ายแต่กลับทำให้โลกออนไลน์เต็มไปด้วยสิ่งที่คนเรียกว่า “AI slop” จนยากจะแยกออกว่าอะไรคือผลงานมนุษย์จริงๆ และอะไรคือสิ่งที่เครื่องจักรสร้างขึ้นมา เรื่องนี้สะท้อนว่าพลังของเครื่องมือ AI ถูกส่งถึงมือผู้ใช้เร็วเกินไปโดยที่ยังไม่ทันคิดถึงผลกระทบ ทำให้เราต้องเผชิญกับทะเลข้อมูลที่ปะปนทั้งคุณภาพและขยะไปพร้อมกัน
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/we-filled-the-internet-with-garbage-and-now-slop-is-the-word-of-the-year-nice-going-ai

    Super X: แท็บเล็ตลูกผสมที่แรงระดับเดสก์ท็อป
    OneXPlayer เปิดตัว Super X อุปกรณ์ลูกผสมที่รวมแท็บเล็ตกับพลังการประมวลผลระดับเดสก์ท็อป หน้าจอใหญ่ถึง 14 นิ้ว มาพร้อมซีพียู 16 คอร์ GPU ระดับ 5060-class และ RAM สูงสุด 128GB จุดเด่นคือการออกแบบระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ ทำให้เครื่องเล็กแต่ยังคงประสิทธิภาพสูง เหมาะกับคนที่อยากได้ความแรงแบบ PC แต่ยังพกพาได้สะดวก แม้ราคาคาดว่าจะไม่ต่ำกว่า 2000 ดอลลาร์ แต่ถือเป็นการยกระดับแท็บเล็ตให้ก้าวไปอีกขั้น
    https://www.techradar.com/pro/a-water-cooled-amd-ai-14-inch-tablet-with-16-cpu-cores-a-5060-class-gpu-and-128gb-ram-is-exactly-what-i-need-for-christmas-i-dont-think-it-will-cost-less-than-usd2000-though

    SSD จิ๋วแต่แรง: Samsung เปิดตัว PCIe Gen5 รุ่นใหม่
    Samsung เผยโฉม SSD รุ่น PM9E1 ที่มาในขนาดเล็กเพียง 22 x 42 มม. แต่รองรับมาตรฐาน PCIe Gen5 ทำให้ได้ความเร็วสูงและความจุที่จริงจัง แม้จะมาแบบเงียบๆ แต่ถือเป็นการขยายตลาดสู่กลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการอุปกรณ์เก็บข้อมูลขนาดเล็กแต่ไม่ลดทอนประสิทธิภาพ เหมาะกับโน้ตบุ๊กหรืออุปกรณ์พกพาที่ต้องการความเร็วระดับสูงสุดในพื้นที่จำกัด
    https://www.techradar.com/pro/samsungs-surprising-stealth-superfast-ssd-surfaces-silently-pm9e1-turns-out-to-be-a-mini-9100-pro-measuring-just-22-x-42mm-with-pcie-gen5-capabilities

    DoomScroll: เว็บไซต์ใหม่รวมแผนที่ Doom แบบไม่รู้จบ
    แฟนเกม Doom ได้เฮ เมื่อมีเว็บไซต์ใหม่ชื่อ DoomScroll ที่รวบรวมแผนที่เกม Doom ไว้ให้เลือกเล่นได้ไม่รู้จบผ่านเบราว์เซอร์ ผู้เล่นสามารถเข้าไปเลือกแผนที่ที่ชอบแล้วเล่นได้ทันที ถือเป็นการเปิดคลังเกมคลาสสิกให้เข้าถึงง่ายขึ้น และยังทำให้ชุมชนผู้เล่นสามารถแชร์ผลงานกันได้สะดวกขึ้นด้วย
    https://www.techradar.com/gaming/pc-gaming/new-doomscroll-website-is-an-endless-library-of-doom-maps-you-can-pick-from-and-play-in-your-browser

    หน่วยความจำแห่งอนาคต: Kioxia พัฒนา 3D DRAM
    Kioxia ประกาศความสำเร็จในการพัฒนาเทคโนโลยี 3D DRAM โดยใช้ stacked oxide-semiconductors ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มความหนาแน่นของหน่วยความจำ แม้จะยังไม่พร้อมสู่ตลาดผู้บริโภคในทันที แต่ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมหน่วยความจำในทศวรรษหน้า ทำให้คาดหวังได้ว่าอนาคตเราจะได้เห็น RAM ที่เร็วขึ้นและราคาถูกลง
    https://www.techradar.com/pro/crying-over-expensive-ram-kioxia-may-have-cracked-the-3d-ram-puzzle-paving-the-way-for-cheaper-faster-memory-but-it-probably-wont-reach-the-market-till-the-next-decade

    Apple อุดช่องโหว่ Zero-Day สุดอันตราย
    Apple ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงใน WebKit ที่ถูกใช้โจมตีแบบเจาะจงบุคคลระดับสูง โดยช่องโหว่นี้อาจเปิดทางให้แฮกเกอร์เข้าควบคุมเครื่องจากระยะไกลได้ ทีม Google TAG และ Apple ร่วมกันค้นพบและแก้ไข ซึ่งถือเป็นการทำงานร่วมกันที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก การอัปเดตครอบคลุมทั้ง iOS, iPadOS, macOS, watchOS, tvOS, visionOS และ Safari ผู้ใช้ทั่วไปแม้จะไม่ใช่เป้าหมายหลัก แต่ก็ถูกแนะนำให้รีบอัปเดตเพื่อความปลอดภัยทันที
    https://www.techradar.com/pro/security/apple-says-it-fixed-zero-day-flaws-used-for-sophisticated-attacks

    CEO Windscribe วิจารณ์การแบน VPN สำหรับเด็ก
    Windscribe ผู้ให้บริการ VPN ออกมาแสดงความเห็นว่าการห้ามเด็กใช้ VPN เป็น “วิธีแก้ที่แย่ที่สุด” เพราะ VPN ไม่ใช่เครื่องมืออันตราย แต่กลับเป็นสิ่งที่ช่วยปกป้องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย การแบนอาจทำให้เด็กขาดโอกาสในการเรียนรู้การใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัย และยังไม่แก้ปัญหาที่แท้จริงของการใช้งานออนไลน์
    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/banning-vpns-for-kids-is-the-dumbest-possible-fix-windscribe-ceo

    กล้องวงจรปิดแบตเตอรี่ไร้ขีดจำกัด
    มีการเปิดตัวกล้องวงจรปิดรุ่นใหม่ที่ชูจุดขายเรื่อง “แบตเตอรี่ไม่จำกัด” สามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการชาร์จบ่อย ๆ ราคาก็ไม่สูงอย่างที่คิด ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น กล้องนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความปลอดภัยต่อเนื่องโดยไม่ต้องยุ่งยากกับการบำรุงรักษาแบตเตอรี่
    https://www.techradar.com/home/smart-home/this-home-security-cam-monitors-your-property-24-7-with-unlimited-battery-life-and-it-costs-less-than-you-might-expect

    Garmin เผลอหลุดข้อมูล Vivosmart 6
    Garmin มีข่าวหลุดเกี่ยวกับสมาร์ทแทร็กเกอร์รุ่นใหม่ Vivosmart 6 ที่คาดว่าจะมาพร้อมการอัปเกรดสำคัญเหนือรุ่นก่อน แม้ยังไม่มีรายละเอียดเต็ม แต่คาดว่าจะมีฟีเจอร์ด้านสุขภาพและการติดตามการออกกำลังกายที่แม่นยำขึ้น การหลุดครั้งนี้สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ที่ติดตามอุปกรณ์สวมใส่ของ Garmin อยู่แล้ว
    https://www.techradar.com/health-fitness/fitness-trackers/garmin-just-leaked-its-vivosmart-6-tracker-and-it-might-come-with-one-major-upgrade-over-its-predecessor

    แอป Freedom Chat ทำข้อมูลผู้ใช้หลุด
    มีรายงานว่าแอปแชทชื่อ Freedom Chat เผยข้อมูลผู้ใช้โดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งหมายเลขโทรศัพท์และรายละเอียดอื่น ๆ ทำให้เกิดความกังวลเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ แอปนี้ถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าขาดมาตรการป้องกันที่รัดกุม และอาจทำให้ผู้ใช้เสี่ยงต่อการถูกโจมตีหรือการละเมิดข้อมูล
    https://www.techradar.com/pro/security/messaging-app-freedom-chat-exposes-user-phone-numbers-and-more-heres-what-we-know

    Google เปิดฟีเจอร์แปลสดผ่านหูฟัง
    Google กำลังยกระดับการสื่อสารข้ามภาษาให้ก้าวไปอีกขั้น ด้วยการเปิดตัวฟีเจอร์ “Live Translation” ที่สามารถใช้งานได้กับหูฟังทุกยี่ห้อ ไม่จำกัดเฉพาะ Pixel Buds อีกต่อไป โดยเริ่มทดสอบในสหรัฐฯ เม็กซิโก และอินเดีย ฟีเจอร์นี้ไม่เพียงแค่แปลคำต่อคำ แต่ยังรักษาน้ำเสียง จังหวะ และอารมณ์ของผู้พูด ทำให้การสนทนาเป็นธรรมชาติมากขึ้น นอกจากนี้ Google ยังปรับปรุงระบบ Gemini ให้เข้าใจสำนวนและภาษาพูด เช่น “stealing my thunder” ที่ไม่สามารถแปลตรงตัวได้ พร้อมทั้งเพิ่มเครื่องมือช่วยเรียนภาษา เช่น การให้คำแนะนำด้านการออกเสียง และระบบติดตามความก้าวหน้า ฟีเจอร์นี้รองรับกว่า 70 ภาษา และมีแผนจะขยายไปยัง iOS ในปี 2026
    https://www.techradar.com/computing/software/google-smashes-language-barriers-with-live-translation-for-any-earbuds-on-android-heres-how-it-works

    อีเมลไม่ใช่จุดอ่อน แต่การตั้งค่าคลาวด์ต่างหาก
    หลายครั้งที่เกิดเหตุข้อมูลรั่วไหล อีเมลมักถูกมองว่าเป็นตัวการ แต่จริง ๆ แล้วปัญหามาจากการตั้งค่าคลาวด์ที่ผิดพลาดมากกว่า กว่า 99% ของความล้มเหลวด้านความปลอดภัยเกิดจากผู้ใช้เอง เช่น คลิกลิงก์ฟิชชิ่ง ใช้รหัสผ่านซ้ำ หรือจัดการข้อมูลผิดพลาด การโทษอีเมลจึงเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจไปจากต้นเหตุที่แท้จริง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าการป้องกันควรเริ่มจากการเข้ารหัสข้อมูล การเสริมความปลอดภัยของระบบปฏิบัติการ และการฝึกอบรมผู้ใช้ให้รู้เท่าทันภัยไซเบอร์ เมื่อผู้ใช้มีความรู้และระบบถูกเข้ารหัสอย่างดี อีเมลก็จะกลายเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    https://www.techradar.com/pro/your-email-app-isnt-the-weak-link-but-your-cloud-configuration-probably-is

    Microsoft ขยายโครงการ Bug Bounty
    Microsoft ประกาศปรับโครงการ Bug Bounty ครั้งใหญ่ เปิดให้ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยสามารถส่งรายงานช่องโหว่ได้ครอบคลุมทุกผลิตภัณฑ์และบริการ แม้บางโปรแกรมจะไม่มีการตั้งค่ารางวัลอย่างเป็นทางการก็ตาม แนวทางใหม่นี้เรียกว่า “In Scope by Default” ซึ่งหมายความว่าหากช่องโหว่มีผลกระทบต่อบริการออนไลน์ของ Microsoft ก็จะได้รับเงินรางวัลตามระดับความรุนแรง โดยปีที่ผ่านมา Microsoft จ่ายเงินรางวัลไปกว่า 17 ล้านดอลลาร์ มากกว่า Google ที่จ่ายราว 11.8 ล้านดอลลาร์ การขยายนี้ครอบคลุมทั้งโค้ดของ Microsoft โค้ดจากบุคคลที่สาม และโอเพ่นซอร์ส ถือเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยตรวจสอบความปลอดภัยในวงกว้างยิ่งขึ้น
    https://www.techradar.com/pro/security/microsoft-will-expand-bug-bounties-even-on-programs-without-official-payouts

    Oracle ทุ่มมหาศาลกับดีลศูนย์ข้อมูล
    Oracle กำลังเดินเกมครั้งใหญ่ในโลกคลาวด์และศูนย์ข้อมูล ล่าสุดมีการเปิดเผยว่าได้ทำสัญญาเช่าศูนย์ข้อมูลและคลาวด์รวมมูลค่าถึง 248 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งจะทยอยเริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2026 ไปจนถึง 2028 และกินเวลายาวนานถึง 15–19 ปี การขยายตัวนี้เกิดจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากลูกค้าใหญ่ ๆ อย่าง Meta, Nvidia และ OpenAI ที่เพิ่งเซ็นสัญญาเพิ่มอีก 300 พันล้านดอลลาร์ ทำให้ Oracle ต้องเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าและลงทุนเพิ่มหนี้อีกหลายหมื่นล้าน แม้จะเป็นภาระ แต่ก็สะท้อนว่าบริษัทกำลังเดิมพันอนาคตไว้กับการเติบโตของตลาด AI และคลาวด์อย่างเต็มที่
    https://www.techradar.com/pro/oracle-reportedly-signs-major-huge-cloud-data-center-deals-in-the-last-quarter-nearly-usd250-billion-in-new-commitments-revealed

    ChatGPT 5.2 vs Gemini 3
    มีการทดสอบเปรียบเทียบสองแชตบอทที่โด่งดังที่สุดในโลกตอนนี้ คือ ChatGPT 5.2 และ Gemini 3 ผู้เขียนลองใช้งานจริงเพื่อดูว่าใครตอบโจทย์ได้ดีกว่า ผลลัพธ์ออกมาน่าสนใจเพราะแต่ละตัวมีจุดแข็งต่างกัน ChatGPT 5.2 โดดเด่นเรื่องการให้คำตอบที่ละเอียดและมีความคิดเชิงลึก ส่วน Gemini 3 เน้นความเร็วและความกระชับในการสื่อสาร การแข่งขันนี้สะท้อนว่าตลาด AI กำลังร้อนแรง และผู้ใช้ก็มีทางเลือกมากขึ้นตามสไตล์ที่ต้องการ
    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt/chatgpt-5-2-vs-gemini-3-i-tried-the-worlds-most-popular-chatbots-to-see-which-is-best-and-the-result-might-surprise-you

    โลกเสมือนที่มีหัวใจมนุษย์
    เรื่องราวของ Victoria Fard ศิลปินที่ใช้พลังของคอมพิวเตอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย Snapdragon สร้างโลกเสมือนที่เต็มไปด้วยความรู้สึกและความเป็นมนุษย์ เธอไม่ได้มองเทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือ แต่ใช้มันเพื่อถ่ายทอดความทรงจำ ความรู้สึก และเรื่องราวที่เชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน ผลงานของเธอจึงไม่ใช่แค่ภาพสวย ๆ แต่เป็นการสร้างพื้นที่ที่ผู้คนสามารถสัมผัสความเป็นมนุษย์ผ่านโลกดิจิทัลได้อย่างลึกซึ้ง
    https://www.techradar.com/tech/memories-in-pixel-how-victoria-fard-uses-a-pc-powered-by-snapdragon-to-build-worlds-that-are-deeply-human

    ซีอีโอยังเดินหน้าลงทุน AI แม้ผลลัพธ์ไม่ชัด
    แม้หลายบริษัทจะยังไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนจากการลงทุนใน AI แต่ซีอีโอจำนวนมากก็ยังคงเดินหน้าทุ่มงบต่อไป เหตุผลคือพวกเขามองว่า AI เป็นเทคโนโลยีที่ไม่สามารถมองข้ามได้ และหากหยุดลงทุนอาจเสียโอกาสในอนาคต ถึงแม้จะมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอน แต่การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นว่าการลงทุนใน AI จะเป็นกุญแจสำคัญในการแข่งขันระยะยาว
    https://www.techradar.com/pro/ceos-seem-determined-to-keep-spending-on-ai-despite-mixed-success

    ศาลรัสเซียสั่งอายัดทรัพย์ Google ในฝรั่งเศส
    มีข่าวใหญ่จากยุโรป เมื่อศาลรัสเซียมีคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินของ Google ในฝรั่งเศสมูลค่ากว่า 129 ล้านดอลลาร์ สาเหตุเกี่ยวข้องกับข้อพิพาททางกฎหมายและการดำเนินธุรกิจที่ซับซ้อนในหลายประเทศ เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงแรงกดดันที่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีต้องเผชิญในระดับโลก ทั้งจากกฎระเบียบและความขัดแย้งทางการเมืองที่ส่งผลต่อการดำเนินงาน
    https://www.techradar.com/pro/security/russian-court-ruling-could-see-usd129-million-freeze-on-some-of-googles-french-assets

    Microsoft เจอศึกใหญ่เรื่อง Cloud Licensing ในสหราชอาณาจักร
    เรื่องนี้เริ่มจากการที่ Microsoft ถูกกล่าวหาว่ากำหนดเงื่อนไขการใช้งาน Windows Server บน Cloud ของคู่แข่งอย่าง AWS และ Google Cloud ให้ยุ่งยากและมีค่าใช้จ่ายสูง จนทำให้หลายองค์กรในสหราชอาณาจักรเสียเงินไปเป็นจำนวนมาก คดีนี้ถูกยื่นต่อศาล Competition Appeal Tribunal โดยมีองค์กรกว่า 59,000 แห่งเข้าร่วมเป็นกลุ่มฟ้องร้อง หาก Microsoft ถูกตัดสินว่าผิดจริง อาจต้องจ่ายค่าชดเชยสูงถึง 2 พันล้านปอนด์ ขณะที่ Microsoft ยืนยันว่าเป็นเพียงการกล่าวหาเกินจริงจากกลุ่มทนายและผู้สนับสนุน แต่แรงกดดันก็ยังคงมีต่อเนื่อง เพราะ Google เองก็เคยร้องเรียนเรื่องนี้ต่อ EU มาก่อนแล้ว
    https://www.techradar.com/pro/microsoft-is-back-in-court-in-the-uk-over-unfair-cloud-licensing-claims

    UGreen เปิดตัว eGPU Dock ท้าชน Razer ในตลาด eGPU ที่กำลังร้อนแรง
    UGreen ได้เปิดตัว Linkstation eGPU Dock ที่มาพร้อมพลังงานในตัวถึง 850W และพอร์ตเชื่อมต่อใหม่อย่าง Oculink และ USB4 จุดเด่นคือราคาประมาณ 325 ดอลลาร์ ซึ่งใกล้เคียงกับ Razer Core X V2 แต่เหนือกว่าตรงที่มี PSU ในตัวและรองรับการ์ดจอขนาดใหญ่ถึง 370 มม. อย่างไรก็ตาม ดีไซน์ของ UGreen ยังเปิดโล่งมากกว่า Razer ที่มีโครงสร้างปิด ทำให้บางคนกังวลเรื่องความปลอดภัยของการ์ดจอ ถึงอย่างนั้น นี่ก็ถือเป็นการก้าวเข้าสู่ตลาดใหม่ที่น่าจับตามองของ UGreen ที่เดิมทำอุปกรณ์เสริมอย่าง Dock และ Charger
    https://www.techradar.com/computing/gpu/its-a-great-time-to-buy-an-egpu-and-ugreens-new-razer-rival-has-two-major-tricks-up-its-sleeve

    วิกฤติ RAM อาจทำให้สมาร์ทโฟนถอยหลังในปี 2026
    นักวิเคราะห์เตือนว่าความต้องการ RAM ที่สูงขึ้นจากศูนย์ข้อมูล AI กำลังทำให้ราคาพุ่งขึ้น ส่งผลให้ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนอาจต้องลดสเปกลง แทนที่จะเพิ่ม RAM เป็น 16GB ในรุ่นเรือธงใหม่ อาจยังคงอยู่ที่ 12GB หรือบางรุ่นอาจลดลงเหลือ 8GB สำหรับรุ่นกลาง และ 4GB สำหรับรุ่นล่าง ทั้งนี้แม้จะเป็นการคาดการณ์ แต่ก็มีความเป็นไปได้สูง เพราะตลาด AI กำลังดูดซับทรัพยากรไปอย่างมหาศาล ซึ่งอาจย้อนแย้งกับการพัฒนา AI บนมือถือที่ต้องใช้ RAM มากเช่นกัน
    https://www.techradar.com/phones/the-ram-crisis-will-see-smartphone-specs-go-backwards-in-2026-experts-warn-heres-why

    Apple ควรทำ Smart Ring เพื่อแก้ปัญหาความยุ่งยากของ Smartwatch
    ผู้เขียนเล่าประสบการณ์ตรงว่าแม้ Apple Watch จะมีฟีเจอร์ด้านสุขภาพและการออกกำลังกายที่ยอดเยี่ยม แต่ก็สร้างความลำบากใจเพราะเขาเป็นคนรักนาฬิกากลไกและไม่อยากละทิ้งการใส่นาฬิกาแบบดั้งเดิม จนต้องใส่นาฬิกาสองเรือนบนข้อมือเดียวกัน ซึ่งทั้งไม่สะดวกและน่าขัน เขาจึงเสนอว่า Apple ควรทำ Smart Ring ที่สามารถติดตามสุขภาพได้เหมือน Apple Watch แต่เล็กกะทัดรัดและไม่รบกวนการใส่นาฬิกาแบบดั้งเดิม หาก Apple ทำจริงก็อาจกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่พลิกเกมในปี 2026
    https://www.techradar.com/health-fitness/smartwatches/apple-needs-to-make-a-smart-ring-to-save-me-from-this-ridiculous-situation

    รีวิวซอฟต์แวร์ Idea Spectrum Realtime Landscaping Pro 2025
    นี่คือโปรแกรมออกแบบภูมิทัศน์ที่ให้คุณสร้างสวนเสมือนจริงได้จากคอมพิวเตอร์ Windows จุดเด่นคืออินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย มีคลังพืชกว่า 6,000 ชนิด และวัตถุสามมิติหลากหลาย ตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ไปจนถึงรถยนต์ พร้อมระบบแอนิเมชันที่ทำให้งานออกแบบดูมีชีวิตชีวา โปรแกรมยังมี Wizard ที่ช่วยให้การสร้างบ้าน สระน้ำ หรือสวนทำได้รวดเร็ว แม้จะมีข้อจำกัดว่าใช้ได้เฉพาะ Windows และอาจหน่วงเมื่อโปรเจ็กต์ซับซ้อน แต่ก็ถือเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับทั้งมือสมัครเล่นและมืออาชีพ
    https://www.techradar.com/pro/software-services/idea-spectrum-realtime-landscaping-pro-review

    📌📡🩷 รวมข่าวจากเวบ TechRadar 🩷📡📌 #รวมข่าวIT #20251216 #TechRadar 🖥️ LG เปิดตัวทีวี Micro RGB evo ที่ CES 2026 LG กำลังสร้างความฮือฮาในงาน CES 2026 ด้วยการเปิดตัวทีวีรุ่นใหม่ที่ใช้เทคโนโลยี Micro RGB evo ซึ่งเปลี่ยนหลอดไฟ LED แบบเดิมไปเป็นหลอดไฟสีแดง เขียว และน้ำเงินขนาดจิ๋ว เพื่อควบคุมแสงและสีได้ละเอียดขึ้น ผลลัพธ์คือภาพที่สว่างสดใสและสีสันจัดเต็มใกล้เคียง OLED แต่ยังคงความสว่างสูงของ LCD จุดเด่นคือการครอบคลุมสีครบทั้ง BT.2020, DCI-P3 และ Adobe RGB พร้อมระบบประมวลผล α11 AI Gen 3 ที่ช่วยอัปสเกลภาพให้คมชัดขึ้น ถือเป็นการพยายามปิดช่องว่างระหว่าง LCD และ OLED ที่น่าสนใจมากสำหรับคนรักภาพคมชัดและสีสดใส 🔗 https://www.techradar.com/televisions/lg-reveals-micro-rgb-evo-tv-with-bold-claims-of-perfect-color 📺 Netflix เลิกใช้ Google Cast แต่ Apple TV บน Android นำกลับมาอีกครั้ง Netflix เคยยกเลิกฟีเจอร์ Google Cast ที่ให้ผู้ใช้ส่งภาพจากมือถือขึ้นจอทีวี แต่ล่าสุด Apple TV บน Android กลับนำฟีเจอร์นี้กลับมา ทำให้ผู้ใช้สามารถสตรีมคอนเทนต์จากมือถือไปยังทีวีได้อีกครั้ง การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงการแข่งขันในตลาดสตรีมมิ่งที่ยังคงดุเดือด และการที่ Apple พยายามทำให้บริการของตนเข้าถึงผู้ใช้ Android ได้สะดวกขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/streaming/apple-tv-plus/netflix-dropped-google-cast-now-apple-tv-for-android-just-brought-it-back 💾 NAS พกพาใส่ SSD 4 ตัว พร้อมพลัง Intel N150 มีการเปิดตัวอุปกรณ์ NAS ขนาดเล็กที่ดูเหมือนวิทยุทรานซิสเตอร์เก่า แต่ภายในบรรจุ SSD ได้ถึง 4 ตัว ใช้พลังจาก Intel N150 และมีพอร์ต LAN 2.5Gb สองช่อง รวมถึง RAM 12GB จุดขายคือความสามารถในการพกพาและเก็บข้อมูลได้มาก แต่ก็มีค่าใช้จ่ายแฝงที่อาจเกินความคาดหมาย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการระบบจัดเก็บข้อมูลที่คล่องตัวและมีสไตล์ไม่เหมือนใคร 🔗 https://www.techradar.com/pro/is-that-your-grandads-transistor-radio-no-its-a-4-ssd-nas-with-two-2-5gb-lan-ports-12gb-ram-and-a-cracking-name-the-orange-colored-youyeetoo-nestdisk 🔐 นักพัฒนาสร้างกล่องสำรองข้อมูล iPhone แบบออฟไลน์ นักพัฒนารายหนึ่งได้สร้างอุปกรณ์สำรองข้อมูล iPhone ที่ไม่ต้องพึ่งพาคลาวด์ แต่ใช้การเชื่อมต่อผ่าน USB และเข้ารหัสข้อมูลเพื่อเก็บไว้ในเครื่องโดยตรง ถือเป็นทางเลือกใหม่สำหรับคนที่ไม่อยากจ่ายค่าบริการ iCloud หรือกังวลเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลบนคลาวด์ แม้จะยังไม่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป แต่แนวคิดนี้สะท้อนถึงความต้องการควบคุมข้อมูลส่วนตัวมากขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/pro/want-to-back-up-your-iphone-securely-without-paying-the-apple-tax-theres-a-hack-for-that-but-it-isnt-for-everyone-yet 🎮 วิกฤติ RAM อาจกระทบหนักต่อโน้ตบุ๊กเกมมิ่ง ตลาดโน้ตบุ๊กเกมมิ่งกำลังเผชิญปัญหาวิกฤติ RAM ที่อาจทำให้เครื่องเล่นเกมประสิทธิภาพสูงมีราคาสูงขึ้นและหายากขึ้น เหตุผลมาจากความต้องการหน่วยความจำที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ทั้งจาก AI และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ ส่งผลให้ผู้ผลิตโน้ตบุ๊กเกมมิ่งต้องปรับตัวและอาจทำให้ผู้เล่นเกมต้องจ่ายแพงกว่าเดิมเพื่อได้เครื่องที่แรงพอ 🔗 https://www.techradar.com/computing/memory/the-ram-crisis-will-be-a-disaster-for-gaming-laptops-heres-why 🗑️ Slop: คำแห่งปีที่สะท้อนอินเทอร์เน็ตเต็มไปด้วยขยะดิจิทัล ปีนี้ Merriam-Webster เลือกคำว่า “Slop” เป็น Word of the Year 2025 เพื่ออธิบายเนื้อหาดิจิทัลคุณภาพต่ำที่ถูกผลิตขึ้นอย่างมหาศาลด้วย AI ไม่ว่าจะเป็นบทความ ภาพ วิดีโอ หรือพอดแคสต์ หลายอย่างดูเหมือนจะสร้างได้ง่ายแต่กลับทำให้โลกออนไลน์เต็มไปด้วยสิ่งที่คนเรียกว่า “AI slop” จนยากจะแยกออกว่าอะไรคือผลงานมนุษย์จริงๆ และอะไรคือสิ่งที่เครื่องจักรสร้างขึ้นมา เรื่องนี้สะท้อนว่าพลังของเครื่องมือ AI ถูกส่งถึงมือผู้ใช้เร็วเกินไปโดยที่ยังไม่ทันคิดถึงผลกระทบ ทำให้เราต้องเผชิญกับทะเลข้อมูลที่ปะปนทั้งคุณภาพและขยะไปพร้อมกัน 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/we-filled-the-internet-with-garbage-and-now-slop-is-the-word-of-the-year-nice-going-ai 💻 Super X: แท็บเล็ตลูกผสมที่แรงระดับเดสก์ท็อป OneXPlayer เปิดตัว Super X อุปกรณ์ลูกผสมที่รวมแท็บเล็ตกับพลังการประมวลผลระดับเดสก์ท็อป หน้าจอใหญ่ถึง 14 นิ้ว มาพร้อมซีพียู 16 คอร์ GPU ระดับ 5060-class และ RAM สูงสุด 128GB จุดเด่นคือการออกแบบระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ ทำให้เครื่องเล็กแต่ยังคงประสิทธิภาพสูง เหมาะกับคนที่อยากได้ความแรงแบบ PC แต่ยังพกพาได้สะดวก แม้ราคาคาดว่าจะไม่ต่ำกว่า 2000 ดอลลาร์ แต่ถือเป็นการยกระดับแท็บเล็ตให้ก้าวไปอีกขั้น 🔗 https://www.techradar.com/pro/a-water-cooled-amd-ai-14-inch-tablet-with-16-cpu-cores-a-5060-class-gpu-and-128gb-ram-is-exactly-what-i-need-for-christmas-i-dont-think-it-will-cost-less-than-usd2000-though 💾 SSD จิ๋วแต่แรง: Samsung เปิดตัว PCIe Gen5 รุ่นใหม่ Samsung เผยโฉม SSD รุ่น PM9E1 ที่มาในขนาดเล็กเพียง 22 x 42 มม. แต่รองรับมาตรฐาน PCIe Gen5 ทำให้ได้ความเร็วสูงและความจุที่จริงจัง แม้จะมาแบบเงียบๆ แต่ถือเป็นการขยายตลาดสู่กลุ่มผู้ใช้ที่ต้องการอุปกรณ์เก็บข้อมูลขนาดเล็กแต่ไม่ลดทอนประสิทธิภาพ เหมาะกับโน้ตบุ๊กหรืออุปกรณ์พกพาที่ต้องการความเร็วระดับสูงสุดในพื้นที่จำกัด 🔗 https://www.techradar.com/pro/samsungs-surprising-stealth-superfast-ssd-surfaces-silently-pm9e1-turns-out-to-be-a-mini-9100-pro-measuring-just-22-x-42mm-with-pcie-gen5-capabilities 🎮 DoomScroll: เว็บไซต์ใหม่รวมแผนที่ Doom แบบไม่รู้จบ แฟนเกม Doom ได้เฮ เมื่อมีเว็บไซต์ใหม่ชื่อ DoomScroll ที่รวบรวมแผนที่เกม Doom ไว้ให้เลือกเล่นได้ไม่รู้จบผ่านเบราว์เซอร์ ผู้เล่นสามารถเข้าไปเลือกแผนที่ที่ชอบแล้วเล่นได้ทันที ถือเป็นการเปิดคลังเกมคลาสสิกให้เข้าถึงง่ายขึ้น และยังทำให้ชุมชนผู้เล่นสามารถแชร์ผลงานกันได้สะดวกขึ้นด้วย 🔗 https://www.techradar.com/gaming/pc-gaming/new-doomscroll-website-is-an-endless-library-of-doom-maps-you-can-pick-from-and-play-in-your-browser 🧠 หน่วยความจำแห่งอนาคต: Kioxia พัฒนา 3D DRAM Kioxia ประกาศความสำเร็จในการพัฒนาเทคโนโลยี 3D DRAM โดยใช้ stacked oxide-semiconductors ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มความหนาแน่นของหน่วยความจำ แม้จะยังไม่พร้อมสู่ตลาดผู้บริโภคในทันที แต่ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมหน่วยความจำในทศวรรษหน้า ทำให้คาดหวังได้ว่าอนาคตเราจะได้เห็น RAM ที่เร็วขึ้นและราคาถูกลง 🔗 https://www.techradar.com/pro/crying-over-expensive-ram-kioxia-may-have-cracked-the-3d-ram-puzzle-paving-the-way-for-cheaper-faster-memory-but-it-probably-wont-reach-the-market-till-the-next-decade 🛡️ Apple อุดช่องโหว่ Zero-Day สุดอันตราย Apple ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงใน WebKit ที่ถูกใช้โจมตีแบบเจาะจงบุคคลระดับสูง โดยช่องโหว่นี้อาจเปิดทางให้แฮกเกอร์เข้าควบคุมเครื่องจากระยะไกลได้ ทีม Google TAG และ Apple ร่วมกันค้นพบและแก้ไข ซึ่งถือเป็นการทำงานร่วมกันที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก การอัปเดตครอบคลุมทั้ง iOS, iPadOS, macOS, watchOS, tvOS, visionOS และ Safari ผู้ใช้ทั่วไปแม้จะไม่ใช่เป้าหมายหลัก แต่ก็ถูกแนะนำให้รีบอัปเดตเพื่อความปลอดภัยทันที 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/apple-says-it-fixed-zero-day-flaws-used-for-sophisticated-attacks 🌐 CEO Windscribe วิจารณ์การแบน VPN สำหรับเด็ก Windscribe ผู้ให้บริการ VPN ออกมาแสดงความเห็นว่าการห้ามเด็กใช้ VPN เป็น “วิธีแก้ที่แย่ที่สุด” เพราะ VPN ไม่ใช่เครื่องมืออันตราย แต่กลับเป็นสิ่งที่ช่วยปกป้องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย การแบนอาจทำให้เด็กขาดโอกาสในการเรียนรู้การใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัย และยังไม่แก้ปัญหาที่แท้จริงของการใช้งานออนไลน์ 🔗 https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/banning-vpns-for-kids-is-the-dumbest-possible-fix-windscribe-ceo 📷 กล้องวงจรปิดแบตเตอรี่ไร้ขีดจำกัด มีการเปิดตัวกล้องวงจรปิดรุ่นใหม่ที่ชูจุดขายเรื่อง “แบตเตอรี่ไม่จำกัด” สามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการชาร์จบ่อย ๆ ราคาก็ไม่สูงอย่างที่คิด ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น กล้องนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความปลอดภัยต่อเนื่องโดยไม่ต้องยุ่งยากกับการบำรุงรักษาแบตเตอรี่ 🔗 https://www.techradar.com/home/smart-home/this-home-security-cam-monitors-your-property-24-7-with-unlimited-battery-life-and-it-costs-less-than-you-might-expect ⌚ Garmin เผลอหลุดข้อมูล Vivosmart 6 Garmin มีข่าวหลุดเกี่ยวกับสมาร์ทแทร็กเกอร์รุ่นใหม่ Vivosmart 6 ที่คาดว่าจะมาพร้อมการอัปเกรดสำคัญเหนือรุ่นก่อน แม้ยังไม่มีรายละเอียดเต็ม แต่คาดว่าจะมีฟีเจอร์ด้านสุขภาพและการติดตามการออกกำลังกายที่แม่นยำขึ้น การหลุดครั้งนี้สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ที่ติดตามอุปกรณ์สวมใส่ของ Garmin อยู่แล้ว 🔗 https://www.techradar.com/health-fitness/fitness-trackers/garmin-just-leaked-its-vivosmart-6-tracker-and-it-might-come-with-one-major-upgrade-over-its-predecessor 🔒 แอป Freedom Chat ทำข้อมูลผู้ใช้หลุด มีรายงานว่าแอปแชทชื่อ Freedom Chat เผยข้อมูลผู้ใช้โดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งหมายเลขโทรศัพท์และรายละเอียดอื่น ๆ ทำให้เกิดความกังวลเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ แอปนี้ถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าขาดมาตรการป้องกันที่รัดกุม และอาจทำให้ผู้ใช้เสี่ยงต่อการถูกโจมตีหรือการละเมิดข้อมูล 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/messaging-app-freedom-chat-exposes-user-phone-numbers-and-more-heres-what-we-know 🎧 Google เปิดฟีเจอร์แปลสดผ่านหูฟัง Google กำลังยกระดับการสื่อสารข้ามภาษาให้ก้าวไปอีกขั้น ด้วยการเปิดตัวฟีเจอร์ “Live Translation” ที่สามารถใช้งานได้กับหูฟังทุกยี่ห้อ ไม่จำกัดเฉพาะ Pixel Buds อีกต่อไป โดยเริ่มทดสอบในสหรัฐฯ เม็กซิโก และอินเดีย ฟีเจอร์นี้ไม่เพียงแค่แปลคำต่อคำ แต่ยังรักษาน้ำเสียง จังหวะ และอารมณ์ของผู้พูด ทำให้การสนทนาเป็นธรรมชาติมากขึ้น นอกจากนี้ Google ยังปรับปรุงระบบ Gemini ให้เข้าใจสำนวนและภาษาพูด เช่น “stealing my thunder” ที่ไม่สามารถแปลตรงตัวได้ พร้อมทั้งเพิ่มเครื่องมือช่วยเรียนภาษา เช่น การให้คำแนะนำด้านการออกเสียง และระบบติดตามความก้าวหน้า ฟีเจอร์นี้รองรับกว่า 70 ภาษา และมีแผนจะขยายไปยัง iOS ในปี 2026 🔗 https://www.techradar.com/computing/software/google-smashes-language-barriers-with-live-translation-for-any-earbuds-on-android-heres-how-it-works 📧 อีเมลไม่ใช่จุดอ่อน แต่การตั้งค่าคลาวด์ต่างหาก หลายครั้งที่เกิดเหตุข้อมูลรั่วไหล อีเมลมักถูกมองว่าเป็นตัวการ แต่จริง ๆ แล้วปัญหามาจากการตั้งค่าคลาวด์ที่ผิดพลาดมากกว่า กว่า 99% ของความล้มเหลวด้านความปลอดภัยเกิดจากผู้ใช้เอง เช่น คลิกลิงก์ฟิชชิ่ง ใช้รหัสผ่านซ้ำ หรือจัดการข้อมูลผิดพลาด การโทษอีเมลจึงเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจไปจากต้นเหตุที่แท้จริง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าการป้องกันควรเริ่มจากการเข้ารหัสข้อมูล การเสริมความปลอดภัยของระบบปฏิบัติการ และการฝึกอบรมผู้ใช้ให้รู้เท่าทันภัยไซเบอร์ เมื่อผู้ใช้มีความรู้และระบบถูกเข้ารหัสอย่างดี อีเมลก็จะกลายเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/pro/your-email-app-isnt-the-weak-link-but-your-cloud-configuration-probably-is 🛡️ Microsoft ขยายโครงการ Bug Bounty Microsoft ประกาศปรับโครงการ Bug Bounty ครั้งใหญ่ เปิดให้ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยสามารถส่งรายงานช่องโหว่ได้ครอบคลุมทุกผลิตภัณฑ์และบริการ แม้บางโปรแกรมจะไม่มีการตั้งค่ารางวัลอย่างเป็นทางการก็ตาม แนวทางใหม่นี้เรียกว่า “In Scope by Default” ซึ่งหมายความว่าหากช่องโหว่มีผลกระทบต่อบริการออนไลน์ของ Microsoft ก็จะได้รับเงินรางวัลตามระดับความรุนแรง โดยปีที่ผ่านมา Microsoft จ่ายเงินรางวัลไปกว่า 17 ล้านดอลลาร์ มากกว่า Google ที่จ่ายราว 11.8 ล้านดอลลาร์ การขยายนี้ครอบคลุมทั้งโค้ดของ Microsoft โค้ดจากบุคคลที่สาม และโอเพ่นซอร์ส ถือเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยตรวจสอบความปลอดภัยในวงกว้างยิ่งขึ้น 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/microsoft-will-expand-bug-bounties-even-on-programs-without-official-payouts 🏢 Oracle ทุ่มมหาศาลกับดีลศูนย์ข้อมูล Oracle กำลังเดินเกมครั้งใหญ่ในโลกคลาวด์และศูนย์ข้อมูล ล่าสุดมีการเปิดเผยว่าได้ทำสัญญาเช่าศูนย์ข้อมูลและคลาวด์รวมมูลค่าถึง 248 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งจะทยอยเริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2026 ไปจนถึง 2028 และกินเวลายาวนานถึง 15–19 ปี การขยายตัวนี้เกิดจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากลูกค้าใหญ่ ๆ อย่าง Meta, Nvidia และ OpenAI ที่เพิ่งเซ็นสัญญาเพิ่มอีก 300 พันล้านดอลลาร์ ทำให้ Oracle ต้องเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าและลงทุนเพิ่มหนี้อีกหลายหมื่นล้าน แม้จะเป็นภาระ แต่ก็สะท้อนว่าบริษัทกำลังเดิมพันอนาคตไว้กับการเติบโตของตลาด AI และคลาวด์อย่างเต็มที่ 🔗 https://www.techradar.com/pro/oracle-reportedly-signs-major-huge-cloud-data-center-deals-in-the-last-quarter-nearly-usd250-billion-in-new-commitments-revealed 🤖 ChatGPT 5.2 vs Gemini 3 มีการทดสอบเปรียบเทียบสองแชตบอทที่โด่งดังที่สุดในโลกตอนนี้ คือ ChatGPT 5.2 และ Gemini 3 ผู้เขียนลองใช้งานจริงเพื่อดูว่าใครตอบโจทย์ได้ดีกว่า ผลลัพธ์ออกมาน่าสนใจเพราะแต่ละตัวมีจุดแข็งต่างกัน ChatGPT 5.2 โดดเด่นเรื่องการให้คำตอบที่ละเอียดและมีความคิดเชิงลึก ส่วน Gemini 3 เน้นความเร็วและความกระชับในการสื่อสาร การแข่งขันนี้สะท้อนว่าตลาด AI กำลังร้อนแรง และผู้ใช้ก็มีทางเลือกมากขึ้นตามสไตล์ที่ต้องการ 🔗 https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt/chatgpt-5-2-vs-gemini-3-i-tried-the-worlds-most-popular-chatbots-to-see-which-is-best-and-the-result-might-surprise-you 🎨 โลกเสมือนที่มีหัวใจมนุษย์ เรื่องราวของ Victoria Fard ศิลปินที่ใช้พลังของคอมพิวเตอร์ที่ขับเคลื่อนด้วย Snapdragon สร้างโลกเสมือนที่เต็มไปด้วยความรู้สึกและความเป็นมนุษย์ เธอไม่ได้มองเทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือ แต่ใช้มันเพื่อถ่ายทอดความทรงจำ ความรู้สึก และเรื่องราวที่เชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกัน ผลงานของเธอจึงไม่ใช่แค่ภาพสวย ๆ แต่เป็นการสร้างพื้นที่ที่ผู้คนสามารถสัมผัสความเป็นมนุษย์ผ่านโลกดิจิทัลได้อย่างลึกซึ้ง 🔗 https://www.techradar.com/tech/memories-in-pixel-how-victoria-fard-uses-a-pc-powered-by-snapdragon-to-build-worlds-that-are-deeply-human 💼 ซีอีโอยังเดินหน้าลงทุน AI แม้ผลลัพธ์ไม่ชัด แม้หลายบริษัทจะยังไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนจากการลงทุนใน AI แต่ซีอีโอจำนวนมากก็ยังคงเดินหน้าทุ่มงบต่อไป เหตุผลคือพวกเขามองว่า AI เป็นเทคโนโลยีที่ไม่สามารถมองข้ามได้ และหากหยุดลงทุนอาจเสียโอกาสในอนาคต ถึงแม้จะมีความเสี่ยงและความไม่แน่นอน แต่การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นว่าการลงทุนใน AI จะเป็นกุญแจสำคัญในการแข่งขันระยะยาว 🔗 https://www.techradar.com/pro/ceos-seem-determined-to-keep-spending-on-ai-despite-mixed-success ⚖️ ศาลรัสเซียสั่งอายัดทรัพย์ Google ในฝรั่งเศส มีข่าวใหญ่จากยุโรป เมื่อศาลรัสเซียมีคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินของ Google ในฝรั่งเศสมูลค่ากว่า 129 ล้านดอลลาร์ สาเหตุเกี่ยวข้องกับข้อพิพาททางกฎหมายและการดำเนินธุรกิจที่ซับซ้อนในหลายประเทศ เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงแรงกดดันที่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีต้องเผชิญในระดับโลก ทั้งจากกฎระเบียบและความขัดแย้งทางการเมืองที่ส่งผลต่อการดำเนินงาน 🔗 https://www.techradar.com/pro/security/russian-court-ruling-could-see-usd129-million-freeze-on-some-of-googles-french-assets 📰 Microsoft เจอศึกใหญ่เรื่อง Cloud Licensing ในสหราชอาณาจักร เรื่องนี้เริ่มจากการที่ Microsoft ถูกกล่าวหาว่ากำหนดเงื่อนไขการใช้งาน Windows Server บน Cloud ของคู่แข่งอย่าง AWS และ Google Cloud ให้ยุ่งยากและมีค่าใช้จ่ายสูง จนทำให้หลายองค์กรในสหราชอาณาจักรเสียเงินไปเป็นจำนวนมาก คดีนี้ถูกยื่นต่อศาล Competition Appeal Tribunal โดยมีองค์กรกว่า 59,000 แห่งเข้าร่วมเป็นกลุ่มฟ้องร้อง หาก Microsoft ถูกตัดสินว่าผิดจริง อาจต้องจ่ายค่าชดเชยสูงถึง 2 พันล้านปอนด์ ขณะที่ Microsoft ยืนยันว่าเป็นเพียงการกล่าวหาเกินจริงจากกลุ่มทนายและผู้สนับสนุน แต่แรงกดดันก็ยังคงมีต่อเนื่อง เพราะ Google เองก็เคยร้องเรียนเรื่องนี้ต่อ EU มาก่อนแล้ว 🔗 https://www.techradar.com/pro/microsoft-is-back-in-court-in-the-uk-over-unfair-cloud-licensing-claims 🎮 UGreen เปิดตัว eGPU Dock ท้าชน Razer ในตลาด eGPU ที่กำลังร้อนแรง UGreen ได้เปิดตัว Linkstation eGPU Dock ที่มาพร้อมพลังงานในตัวถึง 850W และพอร์ตเชื่อมต่อใหม่อย่าง Oculink และ USB4 จุดเด่นคือราคาประมาณ 325 ดอลลาร์ ซึ่งใกล้เคียงกับ Razer Core X V2 แต่เหนือกว่าตรงที่มี PSU ในตัวและรองรับการ์ดจอขนาดใหญ่ถึง 370 มม. อย่างไรก็ตาม ดีไซน์ของ UGreen ยังเปิดโล่งมากกว่า Razer ที่มีโครงสร้างปิด ทำให้บางคนกังวลเรื่องความปลอดภัยของการ์ดจอ ถึงอย่างนั้น นี่ก็ถือเป็นการก้าวเข้าสู่ตลาดใหม่ที่น่าจับตามองของ UGreen ที่เดิมทำอุปกรณ์เสริมอย่าง Dock และ Charger 🔗 https://www.techradar.com/computing/gpu/its-a-great-time-to-buy-an-egpu-and-ugreens-new-razer-rival-has-two-major-tricks-up-its-sleeve 📱 วิกฤติ RAM อาจทำให้สมาร์ทโฟนถอยหลังในปี 2026 นักวิเคราะห์เตือนว่าความต้องการ RAM ที่สูงขึ้นจากศูนย์ข้อมูล AI กำลังทำให้ราคาพุ่งขึ้น ส่งผลให้ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนอาจต้องลดสเปกลง แทนที่จะเพิ่ม RAM เป็น 16GB ในรุ่นเรือธงใหม่ อาจยังคงอยู่ที่ 12GB หรือบางรุ่นอาจลดลงเหลือ 8GB สำหรับรุ่นกลาง และ 4GB สำหรับรุ่นล่าง ทั้งนี้แม้จะเป็นการคาดการณ์ แต่ก็มีความเป็นไปได้สูง เพราะตลาด AI กำลังดูดซับทรัพยากรไปอย่างมหาศาล ซึ่งอาจย้อนแย้งกับการพัฒนา AI บนมือถือที่ต้องใช้ RAM มากเช่นกัน 🔗 https://www.techradar.com/phones/the-ram-crisis-will-see-smartphone-specs-go-backwards-in-2026-experts-warn-heres-why 💍 Apple ควรทำ Smart Ring เพื่อแก้ปัญหาความยุ่งยากของ Smartwatch ผู้เขียนเล่าประสบการณ์ตรงว่าแม้ Apple Watch จะมีฟีเจอร์ด้านสุขภาพและการออกกำลังกายที่ยอดเยี่ยม แต่ก็สร้างความลำบากใจเพราะเขาเป็นคนรักนาฬิกากลไกและไม่อยากละทิ้งการใส่นาฬิกาแบบดั้งเดิม จนต้องใส่นาฬิกาสองเรือนบนข้อมือเดียวกัน ซึ่งทั้งไม่สะดวกและน่าขัน เขาจึงเสนอว่า Apple ควรทำ Smart Ring ที่สามารถติดตามสุขภาพได้เหมือน Apple Watch แต่เล็กกะทัดรัดและไม่รบกวนการใส่นาฬิกาแบบดั้งเดิม หาก Apple ทำจริงก็อาจกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่พลิกเกมในปี 2026 🔗 https://www.techradar.com/health-fitness/smartwatches/apple-needs-to-make-a-smart-ring-to-save-me-from-this-ridiculous-situation 🌳 รีวิวซอฟต์แวร์ Idea Spectrum Realtime Landscaping Pro 2025 นี่คือโปรแกรมออกแบบภูมิทัศน์ที่ให้คุณสร้างสวนเสมือนจริงได้จากคอมพิวเตอร์ Windows จุดเด่นคืออินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย มีคลังพืชกว่า 6,000 ชนิด และวัตถุสามมิติหลากหลาย ตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ไปจนถึงรถยนต์ พร้อมระบบแอนิเมชันที่ทำให้งานออกแบบดูมีชีวิตชีวา โปรแกรมยังมี Wizard ที่ช่วยให้การสร้างบ้าน สระน้ำ หรือสวนทำได้รวดเร็ว แม้จะมีข้อจำกัดว่าใช้ได้เฉพาะ Windows และอาจหน่วงเมื่อโปรเจ็กต์ซับซ้อน แต่ก็ถือเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับทั้งมือสมัครเล่นและมืออาชีพ 🔗 https://www.techradar.com/pro/software-services/idea-spectrum-realtime-landscaping-pro-review
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 432 มุมมอง 0 รีวิว
  • LG บังคับติดตั้ง Copilot บน Smart TV

    ผู้ใช้ LG Smart TV รายงานว่า หลังการอัปเดต webOS รุ่นใหม่ มีการเพิ่มแอป Microsoft Copilot บนหน้าจอหลักโดยไม่ถามความเห็น และไม่สามารถถอนการติดตั้งได้เหมือนแอปทั่วไป เช่น Netflix หรือ YouTube การเปลี่ยนแปลงนี้ถูกแชร์บน Reddit และได้รับความสนใจอย่างมาก โดยโพสต์หนึ่งมีคนโหวตกว่า 35,000 ครั้ง.

    กลยุทธ์ “AI TV” ของ LG
    LG เคยประกาศที่งาน CES 2025 ว่าจะผนวก Copilot เข้ากับ webOS เพื่อเสริมประสบการณ์ AI Search และการแนะนำคอนเทนต์ ปัจจุบัน Copilot ที่ปรากฏบนทีวีทำงานเหมือน shortcut ไปยัง Copilot เวอร์ชันเว็บ มากกว่าจะเป็นแอปเนทีฟเต็มรูปแบบตามที่เคยโฆษณาไว้.

    ปัญหาที่ผู้ใช้กังวล
    สิ่งที่สร้างความไม่พอใจคือการที่ผู้ใช้ ไม่มีสิทธิ์เลือก LG ระบุว่าแอปบางตัวที่ติดตั้งมากับระบบไม่สามารถลบได้ แต่เพียงซ่อนเท่านั้น ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าถูกบังคับใช้ฟีเจอร์ที่ไม่ต้องการ และเพิ่มความกังวลเรื่อง การเก็บข้อมูลและโฆษณา บน Smart TV.

    แนวโน้มในตลาด Smart TV
    ไม่ใช่แค่ LG ที่ทำเช่นนี้ บางรุ่นของ Samsung ก็มีการติดตั้ง Gemini โดยไม่สามารถลบออกได้เช่นกัน สะท้อนถึงแนวโน้มที่ผู้ผลิตทีวีพยายามผลักดันบริการ AI และโฆษณาเข้าสู่บ้านผู้บริโภค แม้จะไม่ได้รับการร้องขอโดยตรง.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    สิ่งที่เกิดขึ้น
    LG อัปเดต webOS แล้วเพิ่ม Microsoft Copilot โดยอัตโนมัติ
    แอปถูกปักหมุดบนหน้าจอหลักและไม่สามารถถอนการติดตั้งได้

    กลยุทธ์ของ LG
    Copilot เป็นส่วนหนึ่งของแผน “AI TV”
    ใช้เป็น shortcut ไปยัง Copilot เวอร์ชันเว็บ

    ผลกระทบต่อผู้ใช้
    ผู้ใช้ไม่สามารถลบ Copilot ได้
    ทำให้เกิดความไม่พอใจและวิจารณ์ในชุมชนออนไลน์
    เพิ่มความกังวลเรื่องข้อมูลและโฆษณา

    แนวโน้มในตลาด
    Samsung บางรุ่นก็มีการติดตั้ง Gemini โดยไม่สามารถลบได้
    สะท้อนการผลักดันบริการ AI โดยผู้ผลิตทีวี

    ข้อควรระวัง
    ผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมการติดตั้งแอปได้เต็มที่
    การบังคับใช้ฟีเจอร์อาจกระทบความเป็นส่วนตัว
    ทางเลือกเดียวคือการตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อเลี่ยงการใช้งาน Copilot

    https://www.tomshardware.com/service-providers/tv-providers/lg-tv-update-adds-non-removable-microsoft-copilot-app-to-webos
    📺 LG บังคับติดตั้ง Copilot บน Smart TV ผู้ใช้ LG Smart TV รายงานว่า หลังการอัปเดต webOS รุ่นใหม่ มีการเพิ่มแอป Microsoft Copilot บนหน้าจอหลักโดยไม่ถามความเห็น และไม่สามารถถอนการติดตั้งได้เหมือนแอปทั่วไป เช่น Netflix หรือ YouTube การเปลี่ยนแปลงนี้ถูกแชร์บน Reddit และได้รับความสนใจอย่างมาก โดยโพสต์หนึ่งมีคนโหวตกว่า 35,000 ครั้ง. 🤖 กลยุทธ์ “AI TV” ของ LG LG เคยประกาศที่งาน CES 2025 ว่าจะผนวก Copilot เข้ากับ webOS เพื่อเสริมประสบการณ์ AI Search และการแนะนำคอนเทนต์ ปัจจุบัน Copilot ที่ปรากฏบนทีวีทำงานเหมือน shortcut ไปยัง Copilot เวอร์ชันเว็บ มากกว่าจะเป็นแอปเนทีฟเต็มรูปแบบตามที่เคยโฆษณาไว้. ⚠️ ปัญหาที่ผู้ใช้กังวล สิ่งที่สร้างความไม่พอใจคือการที่ผู้ใช้ ไม่มีสิทธิ์เลือก LG ระบุว่าแอปบางตัวที่ติดตั้งมากับระบบไม่สามารถลบได้ แต่เพียงซ่อนเท่านั้น ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าถูกบังคับใช้ฟีเจอร์ที่ไม่ต้องการ และเพิ่มความกังวลเรื่อง การเก็บข้อมูลและโฆษณา บน Smart TV. 🌐 แนวโน้มในตลาด Smart TV ไม่ใช่แค่ LG ที่ทำเช่นนี้ บางรุ่นของ Samsung ก็มีการติดตั้ง Gemini โดยไม่สามารถลบออกได้เช่นกัน สะท้อนถึงแนวโน้มที่ผู้ผลิตทีวีพยายามผลักดันบริการ AI และโฆษณาเข้าสู่บ้านผู้บริโภค แม้จะไม่ได้รับการร้องขอโดยตรง. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ สิ่งที่เกิดขึ้น ➡️ LG อัปเดต webOS แล้วเพิ่ม Microsoft Copilot โดยอัตโนมัติ ➡️ แอปถูกปักหมุดบนหน้าจอหลักและไม่สามารถถอนการติดตั้งได้ ✅ กลยุทธ์ของ LG ➡️ Copilot เป็นส่วนหนึ่งของแผน “AI TV” ➡️ ใช้เป็น shortcut ไปยัง Copilot เวอร์ชันเว็บ ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้ ➡️ ผู้ใช้ไม่สามารถลบ Copilot ได้ ➡️ ทำให้เกิดความไม่พอใจและวิจารณ์ในชุมชนออนไลน์ ➡️ เพิ่มความกังวลเรื่องข้อมูลและโฆษณา ✅ แนวโน้มในตลาด ➡️ Samsung บางรุ่นก็มีการติดตั้ง Gemini โดยไม่สามารถลบได้ ➡️ สะท้อนการผลักดันบริการ AI โดยผู้ผลิตทีวี ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ผู้ใช้ไม่สามารถควบคุมการติดตั้งแอปได้เต็มที่ ⛔ การบังคับใช้ฟีเจอร์อาจกระทบความเป็นส่วนตัว ⛔ ทางเลือกเดียวคือการตัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อเลี่ยงการใช้งาน Copilot https://www.tomshardware.com/service-providers/tv-providers/lg-tv-update-adds-non-removable-microsoft-copilot-app-to-webos
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nvidia ขยายอาณาจักรโอเพ่นซอร์ส

    เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2025 Nvidia ประกาศเข้าซื้อบริษัท SchedMD ซึ่งเป็นผู้พัฒนา Slurm ระบบจัดการงาน (job scheduler) ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในซูเปอร์คอมพิวเตอร์และศูนย์ข้อมูลทั่วโลก การเข้าซื้อครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า Nvidia ต้องการเสริมความแข็งแกร่งด้าน โครงสร้างพื้นฐานสำหรับการฝึกและใช้งานโมเดล AI โดยเฉพาะในยุคที่การแข่งขันกับบริษัทจีนและผู้เล่นรายใหม่ทวีความรุนแรงขึ้น

    บทบาทของ Slurm ในโลก AI
    Slurm เป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่ช่วยจัดการการทำงานของเซิร์ฟเวอร์จำนวนมหาศาลในศูนย์ข้อมูล เช่น การแบ่งทรัพยากร การจัดลำดับงาน และการตรวจสอบสถานะ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ Nvidia ระบุว่า Slurm จะยังคงเปิดให้ใช้งานแบบโอเพ่นซอร์สต่อไป แต่บริษัทจะเพิ่มการสนับสนุนด้านวิศวกรรมและการบำรุงรักษา เพื่อให้ผู้พัฒนาและองค์กรสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    กลยุทธ์การแข่งขันของ Nvidia
    นอกจากการซื้อ SchedMD แล้ว Nvidia ยังเปิดตัว ชุดโมเดล AI แบบโอเพ่นซอร์สใหม่ ที่เร็วและถูกกว่ารุ่นก่อนหน้า เพื่อรับมือกับการไหลบ่าเข้ามาของโมเดลโอเพ่นซอร์สจากจีน การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงความพยายามของ Nvidia ที่จะไม่เพียงขายฮาร์ดแวร์ GPU แต่ยังสร้างระบบนิเวศซอฟต์แวร์ที่ครบวงจร ตั้งแต่ CUDA ไปจนถึงเครื่องมือจัดการงานและโมเดล AI

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    การเข้าซื้อ SchedMD อาจทำให้ Nvidia กลายเป็นผู้เล่นที่มีอำนาจมากขึ้นในตลาด AI เพราะสามารถควบคุมทั้ง ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ที่จำเป็นต่อการพัฒนาโมเดลขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม นักวิจัยบางส่วนกังวลว่าการรวมศูนย์เช่นนี้อาจทำให้ชุมชนโอเพ่นซอร์สต้องพึ่งพา Nvidia มากเกินไป แม้บริษัทจะยืนยันว่าจะยังคงรักษาความเปิดกว้างของ Slurm ก็ตาม

    สรุปสาระสำคัญ
    Nvidia เข้าซื้อ SchedMD
    เสริมกลยุทธ์โอเพ่นซอร์ส AI และโครงสร้างพื้นฐานการฝึกโมเดล

    Slurm ยังคงเป็นโอเพ่นซอร์ส
    ใช้จัดการงานในซูเปอร์คอมพิวเตอร์และศูนย์ข้อมูลทั่วโลก
    Nvidia จะเพิ่มการสนับสนุนด้านวิศวกรรมและบำรุงรักษา

    กลยุทธ์ใหม่ของ Nvidia
    เปิดตัวโมเดล AI แบบโอเพ่นซอร์สรุ่นใหม่ที่เร็วและถูกกว่า
    แข่งขันกับโมเดลโอเพ่นซอร์สจากจีน

    ข้อกังวลจากชุมชน
    การรวมศูนย์อาจทำให้ผู้ใช้พึ่งพา Nvidia มากเกินไป
    เสี่ยงต่อการลดความหลากหลายของระบบนิเวศโอเพ่นซอร์ส

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/16/nvidia-buys-ai-software-provider-schedmd-to-expand-open-source-ai-push
    💻 Nvidia ขยายอาณาจักรโอเพ่นซอร์ส เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2025 Nvidia ประกาศเข้าซื้อบริษัท SchedMD ซึ่งเป็นผู้พัฒนา Slurm ระบบจัดการงาน (job scheduler) ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในซูเปอร์คอมพิวเตอร์และศูนย์ข้อมูลทั่วโลก การเข้าซื้อครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า Nvidia ต้องการเสริมความแข็งแกร่งด้าน โครงสร้างพื้นฐานสำหรับการฝึกและใช้งานโมเดล AI โดยเฉพาะในยุคที่การแข่งขันกับบริษัทจีนและผู้เล่นรายใหม่ทวีความรุนแรงขึ้น ⚙️ บทบาทของ Slurm ในโลก AI Slurm เป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่ช่วยจัดการการทำงานของเซิร์ฟเวอร์จำนวนมหาศาลในศูนย์ข้อมูล เช่น การแบ่งทรัพยากร การจัดลำดับงาน และการตรวจสอบสถานะ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการฝึกโมเดล AI ขนาดใหญ่ Nvidia ระบุว่า Slurm จะยังคงเปิดให้ใช้งานแบบโอเพ่นซอร์สต่อไป แต่บริษัทจะเพิ่มการสนับสนุนด้านวิศวกรรมและการบำรุงรักษา เพื่อให้ผู้พัฒนาและองค์กรสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 📈 กลยุทธ์การแข่งขันของ Nvidia นอกจากการซื้อ SchedMD แล้ว Nvidia ยังเปิดตัว ชุดโมเดล AI แบบโอเพ่นซอร์สใหม่ ที่เร็วและถูกกว่ารุ่นก่อนหน้า เพื่อรับมือกับการไหลบ่าเข้ามาของโมเดลโอเพ่นซอร์สจากจีน การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงความพยายามของ Nvidia ที่จะไม่เพียงขายฮาร์ดแวร์ GPU แต่ยังสร้างระบบนิเวศซอฟต์แวร์ที่ครบวงจร ตั้งแต่ CUDA ไปจนถึงเครื่องมือจัดการงานและโมเดล AI 🌍 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม การเข้าซื้อ SchedMD อาจทำให้ Nvidia กลายเป็นผู้เล่นที่มีอำนาจมากขึ้นในตลาด AI เพราะสามารถควบคุมทั้ง ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ที่จำเป็นต่อการพัฒนาโมเดลขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม นักวิจัยบางส่วนกังวลว่าการรวมศูนย์เช่นนี้อาจทำให้ชุมชนโอเพ่นซอร์สต้องพึ่งพา Nvidia มากเกินไป แม้บริษัทจะยืนยันว่าจะยังคงรักษาความเปิดกว้างของ Slurm ก็ตาม 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Nvidia เข้าซื้อ SchedMD ➡️ เสริมกลยุทธ์โอเพ่นซอร์ส AI และโครงสร้างพื้นฐานการฝึกโมเดล ✅ Slurm ยังคงเป็นโอเพ่นซอร์ส ➡️ ใช้จัดการงานในซูเปอร์คอมพิวเตอร์และศูนย์ข้อมูลทั่วโลก ➡️ Nvidia จะเพิ่มการสนับสนุนด้านวิศวกรรมและบำรุงรักษา ✅ กลยุทธ์ใหม่ของ Nvidia ➡️ เปิดตัวโมเดล AI แบบโอเพ่นซอร์สรุ่นใหม่ที่เร็วและถูกกว่า ➡️ แข่งขันกับโมเดลโอเพ่นซอร์สจากจีน ‼️ ข้อกังวลจากชุมชน ⛔ การรวมศูนย์อาจทำให้ผู้ใช้พึ่งพา Nvidia มากเกินไป ⛔ เสี่ยงต่อการลดความหลากหลายของระบบนิเวศโอเพ่นซอร์ส https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/16/nvidia-buys-ai-software-provider-schedmd-to-expand-open-source-ai-push
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Nvidia buys AI software provider SchedMD to expand open-source AI push
    Dec 15 (Reuters) - Nvidia said on Monday it acquired AI software firm SchedMD, as the chip designer doubles down on open-source technology and steps up investments in the artificial intelligence ecosystem to fend off rising competition.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • Hashcards: เครื่องมือทบทวนความรู้แบบเรียบง่าย

    บทความจาก borretti.me แนะนำ Hashcards ซึ่งเป็นระบบ Spaced Repetition ที่ใช้ไฟล์ Plain Text ในการจัดเก็บข้อมูลการ์ดคำถาม-คำตอบ ทำให้ผู้ใช้สามารถควบคุมและแก้ไขได้ง่ายโดยไม่ต้องพึ่งพาโปรแกรมซับซ้อนหรือฐานข้อมูลปิด การออกแบบนี้ช่วยให้ผู้เรียนสามารถใช้เครื่องมือใดก็ได้ที่รองรับข้อความธรรมดา เช่น Git หรือโปรแกรมแก้ไขข้อความทั่วไป

    จุดเด่นของ Hashcards
    Hashcards ถูกออกแบบมาเพื่อความโปร่งใสและความยืดหยุ่น ผู้ใช้สามารถดูและแก้ไขข้อมูลการ์ดได้โดยตรง ไม่ต้องกังวลเรื่องการล็อกอินหรือการผูกติดกับแพลตฟอร์มใดๆ อีกทั้งยังสามารถซิงก์ไฟล์กับระบบควบคุมเวอร์ชัน เช่น Git เพื่อเก็บประวัติการเรียนรู้และแชร์กับผู้อื่นได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีการใช้ อัลกอริทึม Spaced Repetition ที่ช่วยให้การทบทวนมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเน้นการทบทวนในช่วงเวลาที่เหมาะสม

    หลักการสำคัญของ Spaced Repetition
    Spacing Effect: งานวิจัยด้านจิตวิทยาพบว่า การทบทวนข้อมูลแบบเว้นระยะ (เช่น 1 วัน, 3 วัน, 1 สัปดาห์) จะช่วยให้สมองจดจำได้ดีกว่าการท่องจำติดกันในช่วงสั้นๆ
    Active Recall: การดึงข้อมูลออกมาใช้จริง เช่น การตอบคำถามหรือทำแฟลชการ์ด จะช่วยให้สมองสร้างการเชื่อมโยงที่แข็งแรงกว่าการอ่านซ้ำเฉยๆ
    Feedback: แอปมักให้ผลตอบกลับทันทีว่าคุณจำถูกหรือผิด ซึ่งช่วยปรับการเรียนรู้ให้แม่นยำขึ้น
    Prioritization: เน้นทบทวนสิ่งที่จำยากบ่อยกว่า ส่วนสิ่งที่จำได้แล้วจะถูกเลื่อนออกไปทบทวนห่างขึ้น

    ความแตกต่างจากระบบปิด
    ต่างจากแอป Spaced Repetition ที่นิยมอย่าง Anki หรือ Quizlet ซึ่งมักใช้ฐานข้อมูลเฉพาะและมีข้อจำกัดในการเข้าถึง Hashcards เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ควบคุมข้อมูลได้เต็มที่ ไม่ต้องกังวลเรื่องการสูญเสียข้อมูลหากแพลตฟอร์มปิดตัวลง อีกทั้งยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งรูปแบบการเรียนรู้ได้ตามความต้องการ โดยไม่ถูกจำกัดด้วย UI หรือฟีเจอร์ที่ตายตัว

    ผลกระทบต่อการเรียนรู้และชุมชน
    Hashcards เป็นตัวอย่างของการนำแนวคิดโอเพ่นซอร์สมาประยุกต์ใช้กับการศึกษา ทำให้ผู้เรียนสามารถสร้างระบบทบทวนที่เหมาะกับตนเองได้จริง และยังเปิดโอกาสให้ชุมชนร่วมกันพัฒนา ปรับปรุง หรือแชร์ชุดการ์ดความรู้ได้อย่างอิสระ ถือเป็นการคืนอำนาจการเรียนรู้ให้กับผู้ใช้โดยตรง

    สรุปสาระสำคัญ
    คุณสมบัติของ Hashcards
    ใช้ Plain Text ในการจัดเก็บข้อมูล
    รองรับการซิงก์กับ Git และเครื่องมือทั่วไป

    ข้อดีของระบบ
    โปร่งใสและยืดหยุ่น
    ไม่ผูกติดกับแพลตฟอร์มใดๆ
    ใช้อัลกอริทึม Spaced Repetition เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้

    ข้อควรระวัง
    ต้องการความเข้าใจพื้นฐานด้านการจัดการไฟล์และข้อความ
    อาจไม่เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการ UI สำเร็จรูปและใช้งานง่ายทันที

    https://borretti.me/article/hashcards-plain-text-spaced-repetition
    📝 Hashcards: เครื่องมือทบทวนความรู้แบบเรียบง่าย บทความจาก borretti.me แนะนำ Hashcards ซึ่งเป็นระบบ Spaced Repetition ที่ใช้ไฟล์ Plain Text ในการจัดเก็บข้อมูลการ์ดคำถาม-คำตอบ ทำให้ผู้ใช้สามารถควบคุมและแก้ไขได้ง่ายโดยไม่ต้องพึ่งพาโปรแกรมซับซ้อนหรือฐานข้อมูลปิด การออกแบบนี้ช่วยให้ผู้เรียนสามารถใช้เครื่องมือใดก็ได้ที่รองรับข้อความธรรมดา เช่น Git หรือโปรแกรมแก้ไขข้อความทั่วไป ⚡ จุดเด่นของ Hashcards Hashcards ถูกออกแบบมาเพื่อความโปร่งใสและความยืดหยุ่น ผู้ใช้สามารถดูและแก้ไขข้อมูลการ์ดได้โดยตรง ไม่ต้องกังวลเรื่องการล็อกอินหรือการผูกติดกับแพลตฟอร์มใดๆ อีกทั้งยังสามารถซิงก์ไฟล์กับระบบควบคุมเวอร์ชัน เช่น Git เพื่อเก็บประวัติการเรียนรู้และแชร์กับผู้อื่นได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีการใช้ อัลกอริทึม Spaced Repetition ที่ช่วยให้การทบทวนมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเน้นการทบทวนในช่วงเวลาที่เหมาะสม 🧠 หลักการสำคัญของ Spaced Repetition 💠 Spacing Effect: งานวิจัยด้านจิตวิทยาพบว่า การทบทวนข้อมูลแบบเว้นระยะ (เช่น 1 วัน, 3 วัน, 1 สัปดาห์) จะช่วยให้สมองจดจำได้ดีกว่าการท่องจำติดกันในช่วงสั้นๆ 💠 Active Recall: การดึงข้อมูลออกมาใช้จริง เช่น การตอบคำถามหรือทำแฟลชการ์ด จะช่วยให้สมองสร้างการเชื่อมโยงที่แข็งแรงกว่าการอ่านซ้ำเฉยๆ 💠 Feedback: แอปมักให้ผลตอบกลับทันทีว่าคุณจำถูกหรือผิด ซึ่งช่วยปรับการเรียนรู้ให้แม่นยำขึ้น 💠 Prioritization: เน้นทบทวนสิ่งที่จำยากบ่อยกว่า ส่วนสิ่งที่จำได้แล้วจะถูกเลื่อนออกไปทบทวนห่างขึ้น 🔒 ความแตกต่างจากระบบปิด ต่างจากแอป Spaced Repetition ที่นิยมอย่าง Anki หรือ Quizlet ซึ่งมักใช้ฐานข้อมูลเฉพาะและมีข้อจำกัดในการเข้าถึง Hashcards เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ควบคุมข้อมูลได้เต็มที่ ไม่ต้องกังวลเรื่องการสูญเสียข้อมูลหากแพลตฟอร์มปิดตัวลง อีกทั้งยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งรูปแบบการเรียนรู้ได้ตามความต้องการ โดยไม่ถูกจำกัดด้วย UI หรือฟีเจอร์ที่ตายตัว 🌍 ผลกระทบต่อการเรียนรู้และชุมชน Hashcards เป็นตัวอย่างของการนำแนวคิดโอเพ่นซอร์สมาประยุกต์ใช้กับการศึกษา ทำให้ผู้เรียนสามารถสร้างระบบทบทวนที่เหมาะกับตนเองได้จริง และยังเปิดโอกาสให้ชุมชนร่วมกันพัฒนา ปรับปรุง หรือแชร์ชุดการ์ดความรู้ได้อย่างอิสระ ถือเป็นการคืนอำนาจการเรียนรู้ให้กับผู้ใช้โดยตรง 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ คุณสมบัติของ Hashcards ➡️ ใช้ Plain Text ในการจัดเก็บข้อมูล ➡️ รองรับการซิงก์กับ Git และเครื่องมือทั่วไป ✅ ข้อดีของระบบ ➡️ โปร่งใสและยืดหยุ่น ➡️ ไม่ผูกติดกับแพลตฟอร์มใดๆ ➡️ ใช้อัลกอริทึม Spaced Repetition เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ต้องการความเข้าใจพื้นฐานด้านการจัดการไฟล์และข้อความ ⛔ อาจไม่เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการ UI สำเร็จรูปและใช้งานง่ายทันที https://borretti.me/article/hashcards-plain-text-spaced-repetition
    BORRETTI.ME
    Hashcards: A Plain-Text Spaced Repetition System
    Announcing my latest open-source project.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 122 มุมมอง 0 รีวิว
  • Adafruit โต้ Arduino หลังเปลี่ยนเงื่อนไขการใช้งานใหม่ที่ถูกมองว่า “ไม่สอดคล้องกับโอเพ่นซอร์ส”

    หลังจากที่ Arduino ถูก Qualcomm เข้าซื้อกิจการเมื่อเดือนตุลาคม 2025 บริษัทได้ปรับปรุง Terms and Conditions ใหม่ ซึ่งรวมถึงการห้ามผู้ใช้ทำการ Reverse Engineering บริการคลาวด์, การกำหนดสิทธิ์การใช้งานแบบถาวรเหนือเนื้อหาที่ผู้ใช้อัปโหลด และการเพิ่มระบบตรวจสอบการใช้งาน AI ภายในแพลตฟอร์ม ข้อกำหนดเหล่านี้สร้างความไม่พอใจในชุมชนโอเพ่นซอร์ส โดยเฉพาะคู่แข่งอย่าง Adafruit ที่มองว่ากฎใหม่เป็นการจำกัดเสรีภาพของผู้ใช้

    มุมมองจาก Arduino และ Adafruit
    Arduino ชี้แจงว่าการห้าม Reverse Engineering ใช้เฉพาะกับ บริการ SaaS บนคลาวด์ ไม่ได้กระทบกับบอร์ดหรือเฟิร์มแวร์ที่ยังคงเปิดซอร์สเหมือนเดิม ขณะที่ Adafruit โดยผู้ก่อตั้ง Limor “Ladyada” Fried โต้ว่า การบังคับให้ผู้ใช้พึ่งพาเครื่องมือบนคลาวด์เป็นการจำกัดทางเลือก และทำให้การอ้างว่า “ยังคงโอเพ่นซอร์ส” ไม่สมบูรณ์ เพราะผู้ใช้ใหม่จำนวนมากถูกบังคับให้ใช้เครื่องมือออนไลน์เป็นหลัก

    ประเด็นด้านสิทธิ์และข้อมูลผู้ใช้
    หนึ่งในข้อถกเถียงใหญ่คือการที่ Arduino กำหนดสิทธิ์การใช้งานแบบ Irrevocable License เหนือเนื้อหาที่ผู้ใช้อัปโหลด เช่น โค้ดหรือโปรเจกต์ แม้ Arduino ยืนยันว่าผู้ใช้ยังคงเป็นเจ้าของเนื้อหา แต่สิทธิ์ที่ให้บริษัทถือครองอย่างถาวรทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าจะถูกนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์โดยไม่สามารถเพิกถอนได้ นอกจากนี้ยังมีข้อกังวลเรื่องการเก็บข้อมูลผู้ใช้และการตรวจสอบการใช้งาน AI ที่อาจกลายเป็นการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง

    ผลกระทบต่อชุมชนโอเพ่นซอร์ส
    Adafruit และนักวิจัยจาก EFF เตือนว่าการเพิ่มข้อจำกัดเช่นนี้อาจทำให้ Arduino สูญเสียความเชื่อมั่นจากชุมชนผู้พัฒนาและนักเรียนที่เคยใช้บอร์ด Arduino เป็นสัญลักษณ์ของการเรียนรู้แบบเปิด หากบริษัทต้องการควบคุมการใช้งานมากขึ้น ควรซื่อสัตย์และประกาศว่าเป็น “Source-Available” ไม่ใช่โอเพ่นซอร์สอย่างแท้จริง

    สรุปสาระสำคัญ
    การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขของ Arduino
    ห้าม Reverse Engineering บริการคลาวด์
    กำหนดสิทธิ์การใช้งานถาวรเหนือเนื้อหาที่ผู้ใช้อัปโหลด
    เพิ่มระบบตรวจสอบการใช้งาน AI

    การชี้แจงจาก Arduino
    ยืนยันว่าบอร์ดและเฟิร์มแวร์ยังคงเปิดซอร์ส
    การห้าม Reverse Engineering ใช้เฉพาะบริการ SaaS

    ข้อกังวลจาก Adafruit และชุมชน
    ผู้ใช้ใหม่ถูกบังคับให้ใช้เครื่องมือคลาวด์เป็นหลัก
    สิทธิ์การใช้งานถาวรอาจนำไปสู่การใช้ข้อมูลเชิงพาณิชย์
    การตรวจสอบ AI อาจกลายเป็นการเฝ้าระวังต่อเนื่อง

    ผลกระทบต่ออนาคตโอเพ่นซอร์ส
    เสี่ยงต่อการสูญเสียความเชื่อมั่นจากผู้พัฒนาและนักเรียน
    อาจต้องเปลี่ยนการนิยามเป็น “Source-Available” แทนโอเพ่นซอร์ส

    https://thenewstack.io/adafruit-arduinos-rules-are-incompatible-with-open-source/
    ⚡ Adafruit โต้ Arduino หลังเปลี่ยนเงื่อนไขการใช้งานใหม่ที่ถูกมองว่า “ไม่สอดคล้องกับโอเพ่นซอร์ส” หลังจากที่ Arduino ถูก Qualcomm เข้าซื้อกิจการเมื่อเดือนตุลาคม 2025 บริษัทได้ปรับปรุง Terms and Conditions ใหม่ ซึ่งรวมถึงการห้ามผู้ใช้ทำการ Reverse Engineering บริการคลาวด์, การกำหนดสิทธิ์การใช้งานแบบถาวรเหนือเนื้อหาที่ผู้ใช้อัปโหลด และการเพิ่มระบบตรวจสอบการใช้งาน AI ภายในแพลตฟอร์ม ข้อกำหนดเหล่านี้สร้างความไม่พอใจในชุมชนโอเพ่นซอร์ส โดยเฉพาะคู่แข่งอย่าง Adafruit ที่มองว่ากฎใหม่เป็นการจำกัดเสรีภาพของผู้ใช้ 🧩 มุมมองจาก Arduino และ Adafruit Arduino ชี้แจงว่าการห้าม Reverse Engineering ใช้เฉพาะกับ บริการ SaaS บนคลาวด์ ไม่ได้กระทบกับบอร์ดหรือเฟิร์มแวร์ที่ยังคงเปิดซอร์สเหมือนเดิม ขณะที่ Adafruit โดยผู้ก่อตั้ง Limor “Ladyada” Fried โต้ว่า การบังคับให้ผู้ใช้พึ่งพาเครื่องมือบนคลาวด์เป็นการจำกัดทางเลือก และทำให้การอ้างว่า “ยังคงโอเพ่นซอร์ส” ไม่สมบูรณ์ เพราะผู้ใช้ใหม่จำนวนมากถูกบังคับให้ใช้เครื่องมือออนไลน์เป็นหลัก 🔒 ประเด็นด้านสิทธิ์และข้อมูลผู้ใช้ หนึ่งในข้อถกเถียงใหญ่คือการที่ Arduino กำหนดสิทธิ์การใช้งานแบบ Irrevocable License เหนือเนื้อหาที่ผู้ใช้อัปโหลด เช่น โค้ดหรือโปรเจกต์ แม้ Arduino ยืนยันว่าผู้ใช้ยังคงเป็นเจ้าของเนื้อหา แต่สิทธิ์ที่ให้บริษัทถือครองอย่างถาวรทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าจะถูกนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์โดยไม่สามารถเพิกถอนได้ นอกจากนี้ยังมีข้อกังวลเรื่องการเก็บข้อมูลผู้ใช้และการตรวจสอบการใช้งาน AI ที่อาจกลายเป็นการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง 🌍 ผลกระทบต่อชุมชนโอเพ่นซอร์ส Adafruit และนักวิจัยจาก EFF เตือนว่าการเพิ่มข้อจำกัดเช่นนี้อาจทำให้ Arduino สูญเสียความเชื่อมั่นจากชุมชนผู้พัฒนาและนักเรียนที่เคยใช้บอร์ด Arduino เป็นสัญลักษณ์ของการเรียนรู้แบบเปิด หากบริษัทต้องการควบคุมการใช้งานมากขึ้น ควรซื่อสัตย์และประกาศว่าเป็น “Source-Available” ไม่ใช่โอเพ่นซอร์สอย่างแท้จริง 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขของ Arduino ➡️ ห้าม Reverse Engineering บริการคลาวด์ ➡️ กำหนดสิทธิ์การใช้งานถาวรเหนือเนื้อหาที่ผู้ใช้อัปโหลด ➡️ เพิ่มระบบตรวจสอบการใช้งาน AI ✅ การชี้แจงจาก Arduino ➡️ ยืนยันว่าบอร์ดและเฟิร์มแวร์ยังคงเปิดซอร์ส ➡️ การห้าม Reverse Engineering ใช้เฉพาะบริการ SaaS ‼️ ข้อกังวลจาก Adafruit และชุมชน ⛔ ผู้ใช้ใหม่ถูกบังคับให้ใช้เครื่องมือคลาวด์เป็นหลัก ⛔ สิทธิ์การใช้งานถาวรอาจนำไปสู่การใช้ข้อมูลเชิงพาณิชย์ ⛔ การตรวจสอบ AI อาจกลายเป็นการเฝ้าระวังต่อเนื่อง ✅ ผลกระทบต่ออนาคตโอเพ่นซอร์ส ➡️ เสี่ยงต่อการสูญเสียความเชื่อมั่นจากผู้พัฒนาและนักเรียน ➡️ อาจต้องเปลี่ยนการนิยามเป็น “Source-Available” แทนโอเพ่นซอร์ส https://thenewstack.io/adafruit-arduinos-rules-are-incompatible-with-open-source/
    THENEWSTACK.IO
    Adafruit: Arduino's Rules Are 'Incompatible With Open Source'
    Arduino has defended the changes, claiming its commitment to open source hardware remains unchanged.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 106 มุมมอง 0 รีวิว
  • SparkyLinux 2025.12 “Tiamat” เปิดตัวแล้ว

    ทีมพัฒนา SparkyLinux ได้ปล่อยเวอร์ชันใหม่ในซีรีส์ semi-rolling คือ 2025.12 (codename Tiamat) โดยใช้ฐานจาก Debian Forky (Testing) และมาพร้อม Linux Kernel 6.17 เป็นค่าเริ่มต้น ผู้ใช้ยังสามารถติดตั้ง Kernel 6.18 ได้จาก repository เพื่อรองรับฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่

    อัปเดตเดสก์ท็อปและซอฟต์แวร์
    เวอร์ชันนี้มาพร้อมกับเดสก์ท็อปที่อัปเดต เช่น LXQt 2.2, KDE Plasma 6.5.3, และ Cinnamon 6.6 รวมถึง Firefox 146 และเครื่องมืออื่น ๆ ที่ปรับปรุงให้เข้ากับระบบใหม่ ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกสภาพแวดล้อมการทำงานที่เหมาะสมกับตนเองได้มากขึ้น

    จุดเด่นของการออกแบบ semi-rolling
    SparkyLinux ใช้โมเดล semi-rolling release ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้จะได้รับการอัปเดตซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องติดตั้งระบบใหม่ทุกครั้ง แต่ยังคงมี snapshot release เช่น 2025.12 เพื่อให้ผู้ใช้ใหม่สามารถติดตั้งได้ง่ายและมั่นใจว่าได้ระบบที่เสถียร

    ความสำคัญต่อชุมชน Linux
    การออกเวอร์ชันนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ SparkyLinux ในการเป็นทางเลือกที่เบาและยืดหยุ่นสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการระบบที่ทันสมัย แต่ไม่ซับซ้อนเกินไป เหมาะทั้งสำหรับผู้ใช้ทั่วไปและนักพัฒนาที่ต้องการทดสอบฟีเจอร์ใหม่ ๆ ของ Debian Testing

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ฐานระบบและ Kernel
    ใช้ Debian Forky (Testing)
    มาพร้อม Linux Kernel 6.17 และรองรับ Kernel 6.18

    เดสก์ท็อปและซอฟต์แวร์
    LXQt 2.2, KDE Plasma 6.5.3, Cinnamon 6.6
    Firefox 146 และเครื่องมือรุ่นใหม่

    โมเดล semi-rolling
    ได้รับอัปเดตต่อเนื่องโดยไม่ต้องติดตั้งใหม่
    มี snapshot release เพื่อความเสถียร

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    การใช้ Debian Testing อาจมีบั๊กหรือความไม่เข้ากันของแพ็กเกจ
    ควรตรวจสอบ compatibility ของฮาร์ดแวร์ก่อนอัปเดต Kernel

    https://9to5linux.com/sparkylinux-2025-12-tiamat-released-with-debian-forky-base-linux-kernel-6-17
    🐉 SparkyLinux 2025.12 “Tiamat” เปิดตัวแล้ว ทีมพัฒนา SparkyLinux ได้ปล่อยเวอร์ชันใหม่ในซีรีส์ semi-rolling คือ 2025.12 (codename Tiamat) โดยใช้ฐานจาก Debian Forky (Testing) และมาพร้อม Linux Kernel 6.17 เป็นค่าเริ่มต้น ผู้ใช้ยังสามารถติดตั้ง Kernel 6.18 ได้จาก repository เพื่อรองรับฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ ⚙️ อัปเดตเดสก์ท็อปและซอฟต์แวร์ เวอร์ชันนี้มาพร้อมกับเดสก์ท็อปที่อัปเดต เช่น LXQt 2.2, KDE Plasma 6.5.3, และ Cinnamon 6.6 รวมถึง Firefox 146 และเครื่องมืออื่น ๆ ที่ปรับปรุงให้เข้ากับระบบใหม่ ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกสภาพแวดล้อมการทำงานที่เหมาะสมกับตนเองได้มากขึ้น 📦 จุดเด่นของการออกแบบ semi-rolling SparkyLinux ใช้โมเดล semi-rolling release ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้จะได้รับการอัปเดตซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องติดตั้งระบบใหม่ทุกครั้ง แต่ยังคงมี snapshot release เช่น 2025.12 เพื่อให้ผู้ใช้ใหม่สามารถติดตั้งได้ง่ายและมั่นใจว่าได้ระบบที่เสถียร 🌍 ความสำคัญต่อชุมชน Linux การออกเวอร์ชันนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ SparkyLinux ในการเป็นทางเลือกที่เบาและยืดหยุ่นสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการระบบที่ทันสมัย แต่ไม่ซับซ้อนเกินไป เหมาะทั้งสำหรับผู้ใช้ทั่วไปและนักพัฒนาที่ต้องการทดสอบฟีเจอร์ใหม่ ๆ ของ Debian Testing 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ฐานระบบและ Kernel ➡️ ใช้ Debian Forky (Testing) ➡️ มาพร้อม Linux Kernel 6.17 และรองรับ Kernel 6.18 ✅ เดสก์ท็อปและซอฟต์แวร์ ➡️ LXQt 2.2, KDE Plasma 6.5.3, Cinnamon 6.6 ➡️ Firefox 146 และเครื่องมือรุ่นใหม่ ✅ โมเดล semi-rolling ➡️ ได้รับอัปเดตต่อเนื่องโดยไม่ต้องติดตั้งใหม่ ➡️ มี snapshot release เพื่อความเสถียร ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ การใช้ Debian Testing อาจมีบั๊กหรือความไม่เข้ากันของแพ็กเกจ ⛔ ควรตรวจสอบ compatibility ของฮาร์ดแวร์ก่อนอัปเดต Kernel https://9to5linux.com/sparkylinux-2025-12-tiamat-released-with-debian-forky-base-linux-kernel-6-17
    9TO5LINUX.COM
    SparkyLinux 2025.12 "Tiamat" Released with Debian Forky Base, Linux Kernel 6.17 - 9to5Linux
    SparkyLinux 2025.12 distribution is now available for download based on Debian Testing/Forky and powered by Linux kernel 6.17.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • Scribus 1.6.5: ก้าวใหม่ของซอฟต์แวร์ Desktop Publishing

    ทีมพัฒนา Scribus ได้ปล่อยเวอร์ชัน 1.6.5 ซึ่งเป็นการอัปเดตต่อเนื่องจากสาย 1.6 stable โดยมุ่งเน้นการแก้ไขและปรับปรุงฟีเจอร์ที่ผู้ใช้เรียกร้องมากที่สุด จุดเด่นคือการปรับปรุง PDF export ให้มีความเสถียรและยืดหยุ่นมากขึ้น ทำให้การสร้างเอกสารสำหรับงานพิมพ์หรือเผยแพร่ดิจิทัลมีคุณภาพสูงขึ้น

    ปรับปรุง Light/Dark Mode และ Eyedropper
    หนึ่งในฟีเจอร์ที่ผู้ใช้สมัยใหม่ให้ความสำคัญคือ การรองรับ light/dark mode ซึ่ง Scribus 1.6.5 ได้ปรับปรุงให้ทำงานได้ราบรื่นขึ้นบนหลายแพลตฟอร์ม นอกจากนี้เครื่องมือ color eyedropper ก็ได้รับการปรับปรุงให้แม่นยำและใช้งานง่ายขึ้น ช่วยให้นักออกแบบสามารถเลือกสีจากงานได้ตรงตามต้องการ

    พลังใหม่ของ Scripter Functions
    สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการทำงานอัตโนมัติ Scribus 1.6.5 ได้เพิ่มและปรับปรุง scripter functions ทำให้สามารถเขียนสคริปต์เพื่อควบคุมการทำงานได้หลากหลายขึ้น เช่น การจัดการเลย์เอาต์ การสร้างเอกสารจำนวนมาก หรือการปรับแต่งการส่งออกไฟล์ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานระดับมืออาชีพ

    ความสำคัญต่อชุมชนโอเพ่นซอร์ส
    การอัปเดตครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า Scribus ยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องมือ Desktop Publishing แบบโอเพ่นซอร์สที่แข็งแกร่งที่สุด และเป็นทางเลือกแทนซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์อย่าง Adobe InDesign สำหรับผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นและไม่ต้องพึ่งพา license ที่มีค่าใช้จ่ายสูง

    สรุปประเด็นสำคัญ

    ฟีเจอร์ใหม่ใน Scribus 1.6.5
    ปรับปรุง PDF export ให้เสถียรและยืดหยุ่น
    รองรับ light/dark mode ดีขึ้น
    Eyedropper เลือกสีได้แม่นยำขึ้น
    เพิ่มความสามารถใน scripter functions

    ผลต่อผู้ใช้
    นักออกแบบสามารถสร้างงานพิมพ์คุณภาพสูงได้ง่ายขึ้น
    ผู้ใช้ที่ทำงานอัตโนมัติสามารถใช้สคริปต์ได้หลากหลาย

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    หากยังใช้เวอร์ชันเก่า อาจพลาดฟีเจอร์ใหม่และการแก้ไขบั๊กสำคัญ
    การอัปเดตควรทดสอบกับไฟล์งานจริงเพื่อป้องกันความไม่เข้ากันของปลั๊กอินหรือสคริปต์เดิม

    https://9to5linux.com/scribus-1-6-5-open-source-desktop-publishing-app-released-with-various-changes
    📰 Scribus 1.6.5: ก้าวใหม่ของซอฟต์แวร์ Desktop Publishing ทีมพัฒนา Scribus ได้ปล่อยเวอร์ชัน 1.6.5 ซึ่งเป็นการอัปเดตต่อเนื่องจากสาย 1.6 stable โดยมุ่งเน้นการแก้ไขและปรับปรุงฟีเจอร์ที่ผู้ใช้เรียกร้องมากที่สุด จุดเด่นคือการปรับปรุง PDF export ให้มีความเสถียรและยืดหยุ่นมากขึ้น ทำให้การสร้างเอกสารสำหรับงานพิมพ์หรือเผยแพร่ดิจิทัลมีคุณภาพสูงขึ้น 🌗 ปรับปรุง Light/Dark Mode และ Eyedropper หนึ่งในฟีเจอร์ที่ผู้ใช้สมัยใหม่ให้ความสำคัญคือ การรองรับ light/dark mode ซึ่ง Scribus 1.6.5 ได้ปรับปรุงให้ทำงานได้ราบรื่นขึ้นบนหลายแพลตฟอร์ม นอกจากนี้เครื่องมือ color eyedropper ก็ได้รับการปรับปรุงให้แม่นยำและใช้งานง่ายขึ้น ช่วยให้นักออกแบบสามารถเลือกสีจากงานได้ตรงตามต้องการ ⚙️ พลังใหม่ของ Scripter Functions สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการทำงานอัตโนมัติ Scribus 1.6.5 ได้เพิ่มและปรับปรุง scripter functions ทำให้สามารถเขียนสคริปต์เพื่อควบคุมการทำงานได้หลากหลายขึ้น เช่น การจัดการเลย์เอาต์ การสร้างเอกสารจำนวนมาก หรือการปรับแต่งการส่งออกไฟล์ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานระดับมืออาชีพ 🌍 ความสำคัญต่อชุมชนโอเพ่นซอร์ส การอัปเดตครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า Scribus ยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องมือ Desktop Publishing แบบโอเพ่นซอร์สที่แข็งแกร่งที่สุด และเป็นทางเลือกแทนซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์อย่าง Adobe InDesign สำหรับผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นและไม่ต้องพึ่งพา license ที่มีค่าใช้จ่ายสูง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน Scribus 1.6.5 ➡️ ปรับปรุง PDF export ให้เสถียรและยืดหยุ่น ➡️ รองรับ light/dark mode ดีขึ้น ➡️ Eyedropper เลือกสีได้แม่นยำขึ้น ➡️ เพิ่มความสามารถใน scripter functions ✅ ผลต่อผู้ใช้ ➡️ นักออกแบบสามารถสร้างงานพิมพ์คุณภาพสูงได้ง่ายขึ้น ➡️ ผู้ใช้ที่ทำงานอัตโนมัติสามารถใช้สคริปต์ได้หลากหลาย ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ หากยังใช้เวอร์ชันเก่า อาจพลาดฟีเจอร์ใหม่และการแก้ไขบั๊กสำคัญ ⛔ การอัปเดตควรทดสอบกับไฟล์งานจริงเพื่อป้องกันความไม่เข้ากันของปลั๊กอินหรือสคริปต์เดิม https://9to5linux.com/scribus-1-6-5-open-source-desktop-publishing-app-released-with-various-changes
    9TO5LINUX.COM
    Scribus 1.6.5 Open-Source Desktop Publishing App Released with Various Changes - 9to5Linux
    Scribus 1.6.5 free and open-source desktop publishing software is now available for download with various updates and bug fixes.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • GNOME ปรับนโยบายใหม่ ปฏิเสธโค้ด AI Slop

    ทีมตรวจสอบ Extensions ของ GNOME ประกาศปรับแนวทางการรีวิว โดยจะ ไม่อนุมัติ Extensions ที่มีโค้ดจาก AI โดยตรง หลังพบว่ามีจำนวนมากที่เต็มไปด้วยโค้ดไม่จำเป็น เช่น try-catch block ที่ซ้ำซ้อน หรือการเรียกใช้ API ที่ไม่มีอยู่จริง ทำให้เสียเวลาในการตรวจสอบและเสี่ยงต่อคุณภาพของระบบ

    เหตุผลที่ต้องเข้มงวด
    ผู้ตรวจสอบบางรายเล่าว่า ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการอ่านโค้ดนับหมื่นบรรทัดที่มาจาก AI ซึ่งมักมีสไตล์ไม่สอดคล้องกัน และบางครั้งมีคอมเมนต์ที่ดูเหมือน prompt ของ LLM แทรกอยู่ในโค้ด สิ่งเหล่านี้ทำให้การดูแล ecosystem ของ GNOME ยากขึ้น และอาจเปิดช่องให้เกิดบั๊กหรือช่องโหว่ด้านความปลอดภัย

    อะไรที่ยังอนุญาตได้
    GNOME ยืนยันว่า การใช้ AI เป็นเครื่องมือช่วยเรียนรู้หรือทำ code completion ยังสามารถทำได้ แต่หากนักพัฒนาสร้าง Extensions ทั้งหมดด้วย AI โดยไม่เข้าใจโค้ด จะถูกปฏิเสธทันที แนวทางนี้จึงไม่ใช่การ “แบน AI” แต่เป็นการป้องกันไม่ให้ ecosystem ถูกท่วมด้วยโค้ดคุณภาพต่ำ

    มุมมองจากชุมชนโอเพ่นซอร์ส
    หลายโครงการโอเพ่นซอร์สเริ่มออกมาตรการคล้ายกัน เพื่อป้องกันไม่ให้โค้ดที่สร้างด้วย AI โดยไม่ตรวจสอบเข้ามาทำลายคุณภาพของระบบ GNOME ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การใช้ AI ต้องมีความรับผิดชอบและความเข้าใจจริง ไม่ใช่เพียงการกดปุ่ม generate แล้วส่งขึ้น repository

    สรุปประเด็นสำคัญ
    นโยบายใหม่ของ GNOME
    ปฏิเสธ Extensions ที่สร้างด้วย AI โดยตรง
    ตรวจพบโค้ดไม่จำเป็นและ API สมมติ

    เหตุผลที่ต้องเข้มงวด
    โค้ดจาก AI ใช้เวลาตรวจสอบมาก
    สไตล์ไม่สอดคล้องและเสี่ยงต่อความปลอดภัย

    สิ่งที่ยังอนุญาต
    ใช้ AI เป็นเครื่องมือช่วยเรียนรู้
    ใช้ AI ทำ code completion ได้

    คำเตือนสำหรับนักพัฒนา
    หากสร้าง Extensions ด้วย AI โดยไม่เข้าใจโค้ด จะถูกปฏิเสธ
    โค้ดคุณภาพต่ำอาจทำลาย ecosystem และเพิ่มภาระให้ทีมตรวจสอบ

    https://itsfoss.com/news/no-ai-extension-gnome/
    🖥️ GNOME ปรับนโยบายใหม่ ปฏิเสธโค้ด AI Slop ทีมตรวจสอบ Extensions ของ GNOME ประกาศปรับแนวทางการรีวิว โดยจะ ไม่อนุมัติ Extensions ที่มีโค้ดจาก AI โดยตรง หลังพบว่ามีจำนวนมากที่เต็มไปด้วยโค้ดไม่จำเป็น เช่น try-catch block ที่ซ้ำซ้อน หรือการเรียกใช้ API ที่ไม่มีอยู่จริง ทำให้เสียเวลาในการตรวจสอบและเสี่ยงต่อคุณภาพของระบบ ⚡ เหตุผลที่ต้องเข้มงวด ผู้ตรวจสอบบางรายเล่าว่า ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการอ่านโค้ดนับหมื่นบรรทัดที่มาจาก AI ซึ่งมักมีสไตล์ไม่สอดคล้องกัน และบางครั้งมีคอมเมนต์ที่ดูเหมือน prompt ของ LLM แทรกอยู่ในโค้ด สิ่งเหล่านี้ทำให้การดูแล ecosystem ของ GNOME ยากขึ้น และอาจเปิดช่องให้เกิดบั๊กหรือช่องโหว่ด้านความปลอดภัย 🔒 อะไรที่ยังอนุญาตได้ GNOME ยืนยันว่า การใช้ AI เป็นเครื่องมือช่วยเรียนรู้หรือทำ code completion ยังสามารถทำได้ แต่หากนักพัฒนาสร้าง Extensions ทั้งหมดด้วย AI โดยไม่เข้าใจโค้ด จะถูกปฏิเสธทันที แนวทางนี้จึงไม่ใช่การ “แบน AI” แต่เป็นการป้องกันไม่ให้ ecosystem ถูกท่วมด้วยโค้ดคุณภาพต่ำ 🌍 มุมมองจากชุมชนโอเพ่นซอร์ส หลายโครงการโอเพ่นซอร์สเริ่มออกมาตรการคล้ายกัน เพื่อป้องกันไม่ให้โค้ดที่สร้างด้วย AI โดยไม่ตรวจสอบเข้ามาทำลายคุณภาพของระบบ GNOME ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า การใช้ AI ต้องมีความรับผิดชอบและความเข้าใจจริง ไม่ใช่เพียงการกดปุ่ม generate แล้วส่งขึ้น repository 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ นโยบายใหม่ของ GNOME ➡️ ปฏิเสธ Extensions ที่สร้างด้วย AI โดยตรง ➡️ ตรวจพบโค้ดไม่จำเป็นและ API สมมติ ✅ เหตุผลที่ต้องเข้มงวด ➡️ โค้ดจาก AI ใช้เวลาตรวจสอบมาก ➡️ สไตล์ไม่สอดคล้องและเสี่ยงต่อความปลอดภัย ✅ สิ่งที่ยังอนุญาต ➡️ ใช้ AI เป็นเครื่องมือช่วยเรียนรู้ ➡️ ใช้ AI ทำ code completion ได้ ‼️ คำเตือนสำหรับนักพัฒนา ⛔ หากสร้าง Extensions ด้วย AI โดยไม่เข้าใจโค้ด จะถูกปฏิเสธ ⛔ โค้ดคุณภาพต่ำอาจทำลาย ecosystem และเพิ่มภาระให้ทีมตรวจสอบ https://itsfoss.com/news/no-ai-extension-gnome/
    ITSFOSS.COM
    No AI Slops! GNOME Now Forbids Vibe Coded Extensions
    New policy targets low-quality AI-generated code while still allowing AI as a learning tool.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • เครื่องมือใหม่ SnapScope ตรวจสอบ Snap Packages

    Snap packages เป็นหัวข้อที่ถกเถียงกันในชุมชน Linux มานาน ทั้งเรื่องการเปิดโปรแกรมช้า การพึ่งพา Snap Store ที่เป็น proprietary และการที่ dependency ไม่ได้รับการอัปเดตทันเวลา ล่าสุด Alan Pope นักพัฒนาในชุมชน Ubuntu ได้สร้างเครื่องมือชื่อ SnapScope เพื่อแก้ปัญหาด้านความปลอดภัย โดยสามารถสแกนแพ็กเกจ Snap เพื่อหาช่องโหว่ที่มีการบันทึกไว้ในฐานข้อมูล CVE

    วิธีการทำงานของ SnapScope
    ผู้ใช้เพียงแค่ใส่ชื่อแพ็กเกจหรือ publisher ลงในช่องค้นหา SnapScope จะสแกนและแสดงผลช่องโหว่ที่พบ พร้อมแบ่งระดับความรุนแรงเป็น KEV, CRITICAL, HIGH, MEDIUM และ LOW ข้อมูลเหล่านี้ดึงมาจาก Grype ซึ่งเป็น open-source scanner สำหรับ container และ filesystem โดยปัจจุบันรองรับเฉพาะแพ็กเกจ x86_64 แต่มีแผนจะขยายไปยังแพลตฟอร์มอื่นในอนาคต

    ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ
    หน้าแรกของ SnapScope ยังมีกราฟแสดงแพ็กเกจที่ถูกสแกนล่าสุด และแพ็กเกจที่มีจำนวนช่องโหว่มากที่สุด ทำให้ผู้ดูแลระบบสามารถติดตามแนวโน้มความเสี่ยงได้ง่ายขึ้น เครื่องมือนี้ถูกสร้างขึ้นในงาน Chainguard’s Vibelympics ซึ่งเป็นการแข่งขันที่นักพัฒนาสร้างโปรเจกต์สร้างสรรค์เพื่อการกุศล

    ใครควรใช้ SnapScope
    ผู้ดูแลระบบ (Sys Admins): ใช้ตรวจสอบ Snap ที่ติดตั้งในองค์กร
    นักพัฒนา: ตรวจสอบแพ็กเกจที่ดูแลว่ามี CVE ใดต้องแก้ไข
    ผู้ใช้ทั่วไปที่ใส่ใจความปลอดภัย: ตรวจสอบก่อนติดตั้ง Snap ใหม่ ๆ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    SnapScope คือเครื่องมือสแกน Snap
    ตรวจสอบช่องโหว่จากฐานข้อมูล CVE
    แสดงผลตามระดับความรุนแรง

    ฟีเจอร์หลัก
    รองรับ x86_64 packages
    ใช้ข้อมูลจาก Grype scanner
    มีกราฟแสดงแพ็กเกจที่เสี่ยงสูงสุด

    กลุ่มผู้ใช้เป้าหมาย
    Sys Admins ที่ต้อง audit ระบบ
    นักพัฒนาที่ดูแล Snap packages
    ผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการความมั่นใจ

    คำเตือนด้านความปลอดภัย
    Snap ที่มี dependency ไม่อัปเดตอาจเสี่ยงต่อการโจมตี
    หากไม่ตรวจสอบก่อนติดตั้ง อาจนำช่องโหว่เข้าสู่ระบบโดยไม่รู้ตัว

    https://itsfoss.com/news/check-snap-packages-vulnerabilities/
    🔍 เครื่องมือใหม่ SnapScope ตรวจสอบ Snap Packages Snap packages เป็นหัวข้อที่ถกเถียงกันในชุมชน Linux มานาน ทั้งเรื่องการเปิดโปรแกรมช้า การพึ่งพา Snap Store ที่เป็น proprietary และการที่ dependency ไม่ได้รับการอัปเดตทันเวลา ล่าสุด Alan Pope นักพัฒนาในชุมชน Ubuntu ได้สร้างเครื่องมือชื่อ SnapScope เพื่อแก้ปัญหาด้านความปลอดภัย โดยสามารถสแกนแพ็กเกจ Snap เพื่อหาช่องโหว่ที่มีการบันทึกไว้ในฐานข้อมูล CVE ⚙️ วิธีการทำงานของ SnapScope ผู้ใช้เพียงแค่ใส่ชื่อแพ็กเกจหรือ publisher ลงในช่องค้นหา SnapScope จะสแกนและแสดงผลช่องโหว่ที่พบ พร้อมแบ่งระดับความรุนแรงเป็น KEV, CRITICAL, HIGH, MEDIUM และ LOW ข้อมูลเหล่านี้ดึงมาจาก Grype ซึ่งเป็น open-source scanner สำหรับ container และ filesystem โดยปัจจุบันรองรับเฉพาะแพ็กเกจ x86_64 แต่มีแผนจะขยายไปยังแพลตฟอร์มอื่นในอนาคต 📊 ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ หน้าแรกของ SnapScope ยังมีกราฟแสดงแพ็กเกจที่ถูกสแกนล่าสุด และแพ็กเกจที่มีจำนวนช่องโหว่มากที่สุด ทำให้ผู้ดูแลระบบสามารถติดตามแนวโน้มความเสี่ยงได้ง่ายขึ้น เครื่องมือนี้ถูกสร้างขึ้นในงาน Chainguard’s Vibelympics ซึ่งเป็นการแข่งขันที่นักพัฒนาสร้างโปรเจกต์สร้างสรรค์เพื่อการกุศล 🌐 ใครควรใช้ SnapScope ผู้ดูแลระบบ (Sys Admins): ใช้ตรวจสอบ Snap ที่ติดตั้งในองค์กร นักพัฒนา: ตรวจสอบแพ็กเกจที่ดูแลว่ามี CVE ใดต้องแก้ไข ผู้ใช้ทั่วไปที่ใส่ใจความปลอดภัย: ตรวจสอบก่อนติดตั้ง Snap ใหม่ ๆ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ SnapScope คือเครื่องมือสแกน Snap ➡️ ตรวจสอบช่องโหว่จากฐานข้อมูล CVE ➡️ แสดงผลตามระดับความรุนแรง ✅ ฟีเจอร์หลัก ➡️ รองรับ x86_64 packages ➡️ ใช้ข้อมูลจาก Grype scanner ➡️ มีกราฟแสดงแพ็กเกจที่เสี่ยงสูงสุด ✅ กลุ่มผู้ใช้เป้าหมาย ➡️ Sys Admins ที่ต้อง audit ระบบ ➡️ นักพัฒนาที่ดูแล Snap packages ➡️ ผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการความมั่นใจ ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัย ⛔ Snap ที่มี dependency ไม่อัปเดตอาจเสี่ยงต่อการโจมตี ⛔ หากไม่ตรวจสอบก่อนติดตั้ง อาจนำช่องโหว่เข้าสู่ระบบโดยไม่รู้ตัว https://itsfoss.com/news/check-snap-packages-vulnerabilities/
    ITSFOSS.COM
    Check Your Snap Packages for Vulnerabilities With This Vibe-Coded Tool
    Snapscope makes it easy to scan any Snap package for security issues.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 71 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft Copilot AI ถูกติดตั้งบน LG TV โดยไม่สามารถลบออกได้

    รายงานจาก TechPowerUp ระบุว่า LG ได้ปล่อยอัปเดตระบบปฏิบัติการ webOS ที่ติดตั้งแอป Microsoft Copilot AI ลงบนทีวีของผู้ใช้โดยอัตโนมัติ และไม่มีตัวเลือกให้ลบออกได้ ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในชุมชนออนไลน์

    รายละเอียดของการอัปเดต
    ผู้ใช้ Reddit รายงานว่า Copilot ปรากฏขึ้นบน LG TV หลังการอัปเดต โดยไม่มีวิธีถอนการติดตั้ง
    แม้ผู้ใช้จะสามารถ “เพิกเฉย” ต่อแอปได้ แต่การผลักดัน AI เข้าสู่ผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจำวันกำลังกลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
    LG มีฟีเจอร์ชื่อ Live Plus ที่สามารถวิเคราะห์สิ่งที่แสดงบนหน้าจอเพื่อใช้ทำ personalized recommendations และโฆษณา ซึ่งสามารถปิดได้ในเมนู Settings > General > Additional Settings

    บริบทที่กว้างขึ้น
    Microsoft กำลังผลักดัน Copilot ให้เป็นแพลตฟอร์ม AI หลัก ไม่เพียงใน Windows 11 แต่ยังขยายไปสู่ทีวีและอุปกรณ์อื่น ๆ
    webOS เป็นระบบปฏิบัติการทีวีที่ใช้ Linux ซึ่งการติดตั้ง Copilot อาจเป็นการเตรียมขยายไปสู่ผู้ใช้ Linux ในวงกว้าง
    ผู้ใช้บางรายกังวลว่าการบังคับติดตั้งเช่นนี้อาจละเมิดสิทธิ์ผู้บริโภค โดยเฉพาะในสหภาพยุโรปที่มีกฎหมายเข้มงวดด้านการปกป้องข้อมูลและสิทธิ์การเลือกใช้ซอฟต์แวร์

    ปฏิกิริยาของผู้ใช้
    มีการเปรียบเทียบว่าแอปที่ติดตั้งโดยไม่สามารถลบออกได้คล้ายกับ “spyware”
    ผู้ใช้บางรายบอกว่าจะเลิกเชื่อมต่อทีวีเข้ากับอินเทอร์เน็ตเพื่อหลีกเลี่ยงการอัปเดตบังคับ
    ชุมชนออนไลน์คาดว่าอาจมีการร้องเรียนไปยังหน่วยงานกำกับดูแลในยุโรปเพื่อบังคับให้ LG เพิ่มตัวเลือกการถอนการติดตั้ง

    สรุปสาระสำคัญ
    LG ติดตั้ง Microsoft Copilot AI บนทีวี webOS โดยไม่มีตัวเลือกให้ลบ
    ฟีเจอร์ Live Plus สามารถเก็บข้อมูลการรับชมเพื่อทำโฆษณา แต่ผู้ใช้สามารถปิดได้
    Microsoft กำลังผลักดัน Copilot ไปสู่แพลตฟอร์มใหม่ ๆ นอกเหนือจาก Windows
    ผู้ใช้บางรายมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิ์ และอาจนำไปสู่การร้องเรียนใน EU

    https://www.techpowerup.com/344075/microsoft-copilot-ai-comes-to-lg-tvs-and-cant-be-deleted
    📺 Microsoft Copilot AI ถูกติดตั้งบน LG TV โดยไม่สามารถลบออกได้ รายงานจาก TechPowerUp ระบุว่า LG ได้ปล่อยอัปเดตระบบปฏิบัติการ webOS ที่ติดตั้งแอป Microsoft Copilot AI ลงบนทีวีของผู้ใช้โดยอัตโนมัติ และไม่มีตัวเลือกให้ลบออกได้ ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในชุมชนออนไลน์ 🔧 รายละเอียดของการอัปเดต 💠 ผู้ใช้ Reddit รายงานว่า Copilot ปรากฏขึ้นบน LG TV หลังการอัปเดต โดยไม่มีวิธีถอนการติดตั้ง 💠 แม้ผู้ใช้จะสามารถ “เพิกเฉย” ต่อแอปได้ แต่การผลักดัน AI เข้าสู่ผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจำวันกำลังกลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ 💠 LG มีฟีเจอร์ชื่อ Live Plus ที่สามารถวิเคราะห์สิ่งที่แสดงบนหน้าจอเพื่อใช้ทำ personalized recommendations และโฆษณา ซึ่งสามารถปิดได้ในเมนู Settings > General > Additional Settings 🌍 บริบทที่กว้างขึ้น 💠 Microsoft กำลังผลักดัน Copilot ให้เป็นแพลตฟอร์ม AI หลัก ไม่เพียงใน Windows 11 แต่ยังขยายไปสู่ทีวีและอุปกรณ์อื่น ๆ 💠 webOS เป็นระบบปฏิบัติการทีวีที่ใช้ Linux ซึ่งการติดตั้ง Copilot อาจเป็นการเตรียมขยายไปสู่ผู้ใช้ Linux ในวงกว้าง 💠 ผู้ใช้บางรายกังวลว่าการบังคับติดตั้งเช่นนี้อาจละเมิดสิทธิ์ผู้บริโภค โดยเฉพาะในสหภาพยุโรปที่มีกฎหมายเข้มงวดด้านการปกป้องข้อมูลและสิทธิ์การเลือกใช้ซอฟต์แวร์ ⚠️ ปฏิกิริยาของผู้ใช้ 💠 มีการเปรียบเทียบว่าแอปที่ติดตั้งโดยไม่สามารถลบออกได้คล้ายกับ “spyware” 💠 ผู้ใช้บางรายบอกว่าจะเลิกเชื่อมต่อทีวีเข้ากับอินเทอร์เน็ตเพื่อหลีกเลี่ยงการอัปเดตบังคับ 💠 ชุมชนออนไลน์คาดว่าอาจมีการร้องเรียนไปยังหน่วยงานกำกับดูแลในยุโรปเพื่อบังคับให้ LG เพิ่มตัวเลือกการถอนการติดตั้ง 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ LG ติดตั้ง Microsoft Copilot AI บนทีวี webOS โดยไม่มีตัวเลือกให้ลบ ✅ ฟีเจอร์ Live Plus สามารถเก็บข้อมูลการรับชมเพื่อทำโฆษณา แต่ผู้ใช้สามารถปิดได้ ✅ Microsoft กำลังผลักดัน Copilot ไปสู่แพลตฟอร์มใหม่ ๆ นอกเหนือจาก Windows ‼️ ผู้ใช้บางรายมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิ์ และอาจนำไปสู่การร้องเรียนใน EU https://www.techpowerup.com/344075/microsoft-copilot-ai-comes-to-lg-tvs-and-cant-be-deleted
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Microsoft Copilot AI Comes to LG TVs, and Can't Be Deleted
    Microsoft's Copilot AI chatbot is arguably one of the most controversial add-ons ever implemented in the Windows 11 operating system. However, the controversy doesn't stop at PC operating systems. It seems to extend to TVs as well. According to Reddit user u/defjam16, his LG TV webOS received an upd...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 163 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts