• การเขียนข้อความยาว 1,000 คำถือเป็นวิธีที่ดีในการพัฒนาความคิดและการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ การเขียนไม่เพียงแต่ช่วยให้เราแสดงออกถึงความคิดของเราเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจในเรื่องราวหรือประเด็นที่เราต้องการสื่อสารด้วย

    ในบทความนี้ เราจะพูดถึงหัวข้อการเขียนที่น่าสนใจ โดยเราจะเลือกหัวข้อที่หลากหลายเพื่อให้คุณสามารถใช้เป็นแนวทางในการเขียนข้อความขนาดยาว

    ## การเขียนบทความเกี่ยวกับการพัฒนาตนเอง

    การพัฒนาตนเองเป็นหัวข้อที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคปัจจุบัน เราอยู่ในสังคมที่ต้องการพัฒนาและปรับปรุงตนเองอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการงาน การศึกษา หรือแม้แต่ในเรื่องส่วนตัว หากเราสามารถสร้างนิสัยที่ดีและมีวินัยในการดำเนินชีวิต เราก็จะสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน

    หนึ่งในวิธีการพัฒนาตนเองคือการตั้งเป้าหมายในชีวิตและพยายามทำตามเป้าหมายนั้นอย่างต่อเนื่อง การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้เรามีแรงจูงใจในการทำงานและมีทิศทางในการดำเนินชีวิต ซึ่งจะทำให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายได้เร็วขึ้น

    นอกจากนี้ การฝึกฝนความคิดเชิงบวกและการจัดการกับความเครียดก็เป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาตนเอง เราควรพยายามมองโลกในแง่ดีและเรียนรู้ที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาโดยไม่ท้อแท้ การคิดในแง่บวกจะช่วยให้เรามีสุขภาพจิตที่ดี และสามารถจัดการกับความเครียดในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ## การเขียนบทความเกี่ยวกับเทคโนโลยีและนวัตกรรม

    ในยุคที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมมีบทบาทสำคัญต่อชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น เราสามารถเลือกเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจถึงความสำคัญของเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน

    ตัวอย่างเช่น การพัฒนา AI (ปัญญาประดิษฐ์) ที่มีผลกระทบต่อการทำงานในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น การแพทย์ การศึกษา การผลิต และการบริการ AI สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์ และทำให้การทำงานรวดเร็วขึ้น

    อีกหัวข้อหนึ่งที่น่าสนใจคือเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ที่มีบทบาทสำคัญในวงการการเงิน เทคโนโลยีนี้มีความโปร่งใส ปลอดภัย และสามารถใช้ในกระบวนการทำธุรกรรมต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้องมีตัวกลาง เช่น ธนาคาร ทำให้บล็อกเชนได้รับความสนใจอย่างมากในวงการการเงินและการค้าทั่วโลก

    นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาของอินเทอร์เน็ตแห่งสรรพสิ่ง (Internet of Things หรือ IoT) ที่ทำให้สิ่งของต่างๆ สามารถเชื่อมต่อกันผ่านอินเทอร์เน็ตได้ เช่น สมาร์ทโฮม (Smart Home) ที่สามารถควบคุมอุปกรณ์ในบ้านผ่านสมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์เชื่อมต่ออื่นๆ การเชื่อมต่อที่ง่ายและสะดวกนี้ทำให้เราสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ## การเขียนบทความเกี่ยวกับสุขภาพและการออกกำลังกาย

    สุขภาพเป็นหัวข้อที่สำคัญไม่แพ้กันในยุคปัจจุบัน เราควรให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพทั้งกายและใจ การออกกำลังกายเป็นหนึ่งในวิธีการที่ดีที่สุดในการรักษาสุขภาพ การออกกำลังกายสม่ำเสมอไม่เพียงแต่ทำให้ร่างกายแข็งแรง แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน และโรคอ้วน

    การออกกำลังกายไม่จำเป็นต้องซับซ้อน เราสามารถเริ่มต้นด้วยการเดินหรือวิ่งเบาๆ ทุกวันเพียง 30 นาที นอกจากนี้ การทำโยคะหรือพิลาทิสก็เป็นทางเลือกที่ดีในการสร้างความยืดหยุ่นและเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ

    อาหารก็เป็นปัจจัยสำคัญในการดูแลสุขภาพ เราควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และสมดุล เช่น ผักผลไม้ โปรตีน และไขมันดี การลดการบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูงจะช่วยให้เรามีสุขภาพดีขึ้นในระยะยาว

    ## การเขียนบทความเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกลายเป็นเรื่องที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เป็นปัญหาที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และส่งผลกระทบต่อธรรมชาติและสภาพแวดล้อมทั่วโลก

    หนึ่งในวิธีการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งสามารถทำได้โดยการใช้พลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม หรือพลังงานจากน้ำ นอกจากนี้ การลดการใช้พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้งก็เป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการลดปริมาณขยะและรักษาทรัพยากรธรรมชาติ

    การปลูกต้นไม้และการอนุรักษ์ป่าไม้ก็เป็นวิธีหนึ่งในการช่วยฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ต้นไม้สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และปล่อยออกซิเจน ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในการรักษาสมดุลของระบบนิเวศ

    ## การเขียนบทความเกี่ยวกับการศึกษาและการเรียนรู้

    การศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญมากในชีวิตของคนทุกคน การเรียนรู้ไม่จำกัดเพียงในห้องเรียนเท่านั้น แต่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดชีวิต เราสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ การอ่านหนังสือ หรือการฟังจากผู้รู้

    หนึ่งในหัวข้อที่น่าสนใจเกี่ยวกับการศึกษาคือการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ในยุคปัจจุบัน เช่น การเรียนออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังจากการระบาดของ COVID-19 การเรียนออนไลน์ทำให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้จากที่บ้าน และสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้จากทั่วโลกได้ง่ายขึ้น

    อีกหัวข้อหนึ่งที่ควรกล่าวถึงคือการศึกษาด้านทักษะใหม่ๆ ในยุคดิจิทัล เช่น การเขียนโปรแกรม การวิเคราะห์ข้อมูล หรือการออกแบบกราฟิก ทักษะเหล่านี้เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานในยุคปัจจุบัน การเรียนรู้และพัฒนาทักษะเหล่านี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำงานและการพัฒนาตนเองในระยะยาว

    ## สรุป

    การเขียนข้อความ 1,000 คำอาจดูเหมือนเป็นงานที่ยาก แต่ถ้าเราแบ่งหัวข้อและวางแผนการเขียนอย่างดี ก็จะทำให้เราสามารถเขียนได้อย่างมีประสิทธิภาพและน่าสนใจ

    thaittimes
    #thaitimes #thai
    "thaitimes"
    การเขียนข้อความยาว 1,000 คำถือเป็นวิธีที่ดีในการพัฒนาความคิดและการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ การเขียนไม่เพียงแต่ช่วยให้เราแสดงออกถึงความคิดของเราเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจในเรื่องราวหรือประเด็นที่เราต้องการสื่อสารด้วย ในบทความนี้ เราจะพูดถึงหัวข้อการเขียนที่น่าสนใจ โดยเราจะเลือกหัวข้อที่หลากหลายเพื่อให้คุณสามารถใช้เป็นแนวทางในการเขียนข้อความขนาดยาว ## การเขียนบทความเกี่ยวกับการพัฒนาตนเอง การพัฒนาตนเองเป็นหัวข้อที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคปัจจุบัน เราอยู่ในสังคมที่ต้องการพัฒนาและปรับปรุงตนเองอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการงาน การศึกษา หรือแม้แต่ในเรื่องส่วนตัว หากเราสามารถสร้างนิสัยที่ดีและมีวินัยในการดำเนินชีวิต เราก็จะสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน หนึ่งในวิธีการพัฒนาตนเองคือการตั้งเป้าหมายในชีวิตและพยายามทำตามเป้าหมายนั้นอย่างต่อเนื่อง การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้เรามีแรงจูงใจในการทำงานและมีทิศทางในการดำเนินชีวิต ซึ่งจะทำให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ การฝึกฝนความคิดเชิงบวกและการจัดการกับความเครียดก็เป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาตนเอง เราควรพยายามมองโลกในแง่ดีและเรียนรู้ที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาโดยไม่ท้อแท้ การคิดในแง่บวกจะช่วยให้เรามีสุขภาพจิตที่ดี และสามารถจัดการกับความเครียดในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ## การเขียนบทความเกี่ยวกับเทคโนโลยีและนวัตกรรม ในยุคที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมมีบทบาทสำคัญต่อชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น เราสามารถเลือกเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจถึงความสำคัญของเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น การพัฒนา AI (ปัญญาประดิษฐ์) ที่มีผลกระทบต่อการทำงานในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น การแพทย์ การศึกษา การผลิต และการบริการ AI สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ลดข้อผิดพลาดจากมนุษย์ และทำให้การทำงานรวดเร็วขึ้น อีกหัวข้อหนึ่งที่น่าสนใจคือเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ที่มีบทบาทสำคัญในวงการการเงิน เทคโนโลยีนี้มีความโปร่งใส ปลอดภัย และสามารถใช้ในกระบวนการทำธุรกรรมต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้องมีตัวกลาง เช่น ธนาคาร ทำให้บล็อกเชนได้รับความสนใจอย่างมากในวงการการเงินและการค้าทั่วโลก นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาของอินเทอร์เน็ตแห่งสรรพสิ่ง (Internet of Things หรือ IoT) ที่ทำให้สิ่งของต่างๆ สามารถเชื่อมต่อกันผ่านอินเทอร์เน็ตได้ เช่น สมาร์ทโฮม (Smart Home) ที่สามารถควบคุมอุปกรณ์ในบ้านผ่านสมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์เชื่อมต่ออื่นๆ การเชื่อมต่อที่ง่ายและสะดวกนี้ทำให้เราสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ## การเขียนบทความเกี่ยวกับสุขภาพและการออกกำลังกาย สุขภาพเป็นหัวข้อที่สำคัญไม่แพ้กันในยุคปัจจุบัน เราควรให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพทั้งกายและใจ การออกกำลังกายเป็นหนึ่งในวิธีการที่ดีที่สุดในการรักษาสุขภาพ การออกกำลังกายสม่ำเสมอไม่เพียงแต่ทำให้ร่างกายแข็งแรง แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน และโรคอ้วน การออกกำลังกายไม่จำเป็นต้องซับซ้อน เราสามารถเริ่มต้นด้วยการเดินหรือวิ่งเบาๆ ทุกวันเพียง 30 นาที นอกจากนี้ การทำโยคะหรือพิลาทิสก็เป็นทางเลือกที่ดีในการสร้างความยืดหยุ่นและเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ อาหารก็เป็นปัจจัยสำคัญในการดูแลสุขภาพ เราควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และสมดุล เช่น ผักผลไม้ โปรตีน และไขมันดี การลดการบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูงจะช่วยให้เรามีสุขภาพดีขึ้นในระยะยาว ## การเขียนบทความเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกลายเป็นเรื่องที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เป็นปัญหาที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และส่งผลกระทบต่อธรรมชาติและสภาพแวดล้อมทั่วโลก หนึ่งในวิธีการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งสามารถทำได้โดยการใช้พลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม หรือพลังงานจากน้ำ นอกจากนี้ การลดการใช้พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้งก็เป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการลดปริมาณขยะและรักษาทรัพยากรธรรมชาติ การปลูกต้นไม้และการอนุรักษ์ป่าไม้ก็เป็นวิธีหนึ่งในการช่วยฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ต้นไม้สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และปล่อยออกซิเจน ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในการรักษาสมดุลของระบบนิเวศ ## การเขียนบทความเกี่ยวกับการศึกษาและการเรียนรู้ การศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญมากในชีวิตของคนทุกคน การเรียนรู้ไม่จำกัดเพียงในห้องเรียนเท่านั้น แต่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดชีวิต เราสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ การอ่านหนังสือ หรือการฟังจากผู้รู้ หนึ่งในหัวข้อที่น่าสนใจเกี่ยวกับการศึกษาคือการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ในยุคปัจจุบัน เช่น การเรียนออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังจากการระบาดของ COVID-19 การเรียนออนไลน์ทำให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้จากที่บ้าน และสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้จากทั่วโลกได้ง่ายขึ้น อีกหัวข้อหนึ่งที่ควรกล่าวถึงคือการศึกษาด้านทักษะใหม่ๆ ในยุคดิจิทัล เช่น การเขียนโปรแกรม การวิเคราะห์ข้อมูล หรือการออกแบบกราฟิก ทักษะเหล่านี้เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานในยุคปัจจุบัน การเรียนรู้และพัฒนาทักษะเหล่านี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำงานและการพัฒนาตนเองในระยะยาว ## สรุป การเขียนข้อความ 1,000 คำอาจดูเหมือนเป็นงานที่ยาก แต่ถ้าเราแบ่งหัวข้อและวางแผนการเขียนอย่างดี ก็จะทำให้เราสามารถเขียนได้อย่างมีประสิทธิภาพและน่าสนใจ thaittimes #thaitimes #thai "thaitimes"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 925 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ถังขยะ #spn #rotozon
    สอบถามได้นะคะ
    #ถังขยะ #spn #rotozon สอบถามได้นะคะ
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 11 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาเลเซียเอาบ้าง งดแจกถุงพลาสติก

    ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2567 เป็นต้นไป ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านค้าปลีก ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายยา และร้านเพื่อสุขภาพและความงามในประเทศมาเลเซียกว่า 8,000 แห่งทั่วประเทศ จะงดแจกถุงพลาสติดแบบใช้ครั้งเดียว (Single-use plastic bags) อย่างเป็นทางการ หากลูกค้าไม่ได้นำถุงพลาสติกมาเอง สามารถหาซื้อถุงรีไซเคิลได้ที่ร้านค้า ตามแคมเปญ "Say No to Single-Use Plastics" ของกระทรวงการเคหะและการปกครองส่วนท้องถิ่น

    นายหงา กอร์ มิง รมว.การเคหะและการปกครองส่วนท้องถิ่น กล่าวว่า เครือข่ายร้านค้าปลีกชั้นนำบางแห่งได้เริ่มงดแจกถุงพลาสติกแล้ว แต่บัดนี้พวกเขาได้ลงนามความร่วมมือครั้งใหญ่ โดยจะเริ่มในสัปดาห์หน้า คาดว่าจะช่วยลดการใช้ถุงพลาสติกได้ปีละ 200 ล้านใบ ลดปริมาณขยะที่ต้องกำจัด และยืดอายุการใช้งานหลุมฝังกลบขยะที่มีอยู่

    ที่ผ่านมารัฐบาลมาเลเซียต้องแบกรับต้นทุนการจัดการขยะมูลฝอยและการทำความสะอาดพื้นที่สาธารณะ สูงกว่า 2,000 ล้านริงกิตต่อปี และกำลังดำเนินการเพื่อลดการพึ่งพาหลุมฝังกลบ ซึ่งปัจจุบันประเทศมาเลเซียมีหลุมฝังกลบขยะที่ไม่ถูกสุขอนามัย 114 แห่ง มีเพียง 22 แห่งที่ถูกสุขอนามัย ซึ่งการเปิดหลุมฝังกลบขยะและการปรับปรุงหลุมฝังกลบขยะเดิมต้องใช้ต้นทุนสูงมาก

    นอกจากนี้ ทางกระทรวงฯ กำลังจัดทำร่างกฎหมายจัดการผู้ที่ทิ้งขยะโดยขาดความรับผิดชอบ และจะนำเสนอต่อรัฐสภาในปี 2568 เพื่อแก้ปัญหาขยะล้นเมืองอย่างจริงจัง และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ประเทศ เนื่องจากยุคนี้เป็นยุคของโซเชียลมีเดีย หากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาเที่ยวที่นี่ แล้วถ่ายคลิปลงติ๊กต็อก ชื่อเสียงของประเทศจะได้รับผลกระทบ ที่ผ่านมามีการบังคับใช้กฎหมายและประสบความสำเร็จในประเทศที่พัฒนาแล้วหลายแห่ง การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด

    ร้านค้าปลีกในมาเลเซียที่เข้าร่วมโครงการ ประกอบด้วย 99 Speedmart 2,533 สาขา 7-Eleven 2,400 สาขา KK Mart 808 สาขา Watsons 733 สาขา Guardian 602 สาขา emart24 65 สาขา ส่วนห้างสรรพสินค้า อาทิ กลุ่ม GCH Retail (Giant / Cold Storage / Mercato) 93 สาขา AEON 35 สาขา AEON Big 21 สาขา Mydin 78 สาขา Lotus's 68 สาขา The Store 50 สาขา TF Value Mart 45 สาขา Econsave 33 สาขา NSK Trade City 32 สาขา Lulu 5 สาขา เป็นต้น

    สำหรับประเทศไทย ภาครัฐได้ผลักดันนโยบายงดแจกถุงพลาสติกตามห้างสรรพสินค้า ร้านค้าปลีก และร้านสะดวกซื้อ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2563 เป็นต้นมา แต่ก็เป็นที่วิจารณ์ว่าการจำหน่ายถุงพลาสติกแทนการแจก เป็นการผลักภาระให้ผู้บริโภค

    #Newskit #งดแจกถุงพลาสติก #มาเลเซีย
    มาเลเซียเอาบ้าง งดแจกถุงพลาสติก ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2567 เป็นต้นไป ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านค้าปลีก ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายยา และร้านเพื่อสุขภาพและความงามในประเทศมาเลเซียกว่า 8,000 แห่งทั่วประเทศ จะงดแจกถุงพลาสติดแบบใช้ครั้งเดียว (Single-use plastic bags) อย่างเป็นทางการ หากลูกค้าไม่ได้นำถุงพลาสติกมาเอง สามารถหาซื้อถุงรีไซเคิลได้ที่ร้านค้า ตามแคมเปญ "Say No to Single-Use Plastics" ของกระทรวงการเคหะและการปกครองส่วนท้องถิ่น นายหงา กอร์ มิง รมว.การเคหะและการปกครองส่วนท้องถิ่น กล่าวว่า เครือข่ายร้านค้าปลีกชั้นนำบางแห่งได้เริ่มงดแจกถุงพลาสติกแล้ว แต่บัดนี้พวกเขาได้ลงนามความร่วมมือครั้งใหญ่ โดยจะเริ่มในสัปดาห์หน้า คาดว่าจะช่วยลดการใช้ถุงพลาสติกได้ปีละ 200 ล้านใบ ลดปริมาณขยะที่ต้องกำจัด และยืดอายุการใช้งานหลุมฝังกลบขยะที่มีอยู่ ที่ผ่านมารัฐบาลมาเลเซียต้องแบกรับต้นทุนการจัดการขยะมูลฝอยและการทำความสะอาดพื้นที่สาธารณะ สูงกว่า 2,000 ล้านริงกิตต่อปี และกำลังดำเนินการเพื่อลดการพึ่งพาหลุมฝังกลบ ซึ่งปัจจุบันประเทศมาเลเซียมีหลุมฝังกลบขยะที่ไม่ถูกสุขอนามัย 114 แห่ง มีเพียง 22 แห่งที่ถูกสุขอนามัย ซึ่งการเปิดหลุมฝังกลบขยะและการปรับปรุงหลุมฝังกลบขยะเดิมต้องใช้ต้นทุนสูงมาก นอกจากนี้ ทางกระทรวงฯ กำลังจัดทำร่างกฎหมายจัดการผู้ที่ทิ้งขยะโดยขาดความรับผิดชอบ และจะนำเสนอต่อรัฐสภาในปี 2568 เพื่อแก้ปัญหาขยะล้นเมืองอย่างจริงจัง และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ประเทศ เนื่องจากยุคนี้เป็นยุคของโซเชียลมีเดีย หากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาเที่ยวที่นี่ แล้วถ่ายคลิปลงติ๊กต็อก ชื่อเสียงของประเทศจะได้รับผลกระทบ ที่ผ่านมามีการบังคับใช้กฎหมายและประสบความสำเร็จในประเทศที่พัฒนาแล้วหลายแห่ง การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ร้านค้าปลีกในมาเลเซียที่เข้าร่วมโครงการ ประกอบด้วย 99 Speedmart 2,533 สาขา 7-Eleven 2,400 สาขา KK Mart 808 สาขา Watsons 733 สาขา Guardian 602 สาขา emart24 65 สาขา ส่วนห้างสรรพสินค้า อาทิ กลุ่ม GCH Retail (Giant / Cold Storage / Mercato) 93 สาขา AEON 35 สาขา AEON Big 21 สาขา Mydin 78 สาขา Lotus's 68 สาขา The Store 50 สาขา TF Value Mart 45 สาขา Econsave 33 สาขา NSK Trade City 32 สาขา Lulu 5 สาขา เป็นต้น สำหรับประเทศไทย ภาครัฐได้ผลักดันนโยบายงดแจกถุงพลาสติกตามห้างสรรพสินค้า ร้านค้าปลีก และร้านสะดวกซื้อ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2563 เป็นต้นมา แต่ก็เป็นที่วิจารณ์ว่าการจำหน่ายถุงพลาสติกแทนการแจก เป็นการผลักภาระให้ผู้บริโภค #Newskit #งดแจกถุงพลาสติก #มาเลเซีย
    Like
    8
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 472 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชาวเน็ตเซ็ง Facebook มีแต่ Feed ขยะ 90% เป็นโพสต์ที่ไม่อยากดู
    .
    แทนที่จะได้เห็นเรื่องราวของเพื่อนหรือครอบครัว ผู้ใช้ Quora.com ชื่อ Leandro Mattos ตั้งกระทู้ถามหาวิธีลบเนื้อหาที่ไม่ได้สนใจและไม่ได้อยากชม โดยบอกว่าจากที่ใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์กนี้มาตั้งแต่ปี 2013 และไม่เคยใช้งานค่ายอื่นเลยมาตลอด 11 ปี แต่ตอนนี้เริ่มคิดจริงจังแล้วว่าจะเลิกใช้งาน
    .
    ผู้ใช้รายนี้ระบุว่าครั้งหนึ่ง facebook เคยเป็นเครือข่ายสังคมที่ดี มีเนื้อหาเฉพาะของแต่ละคน และสำหรับเขาก็เคยเป็นพื้นที่สนุกสนานที่ได้สังสรรค์กับเพื่อนบนเนื้อหาที่เกี่ยวกับเกมในดวงใจ แต่วันนี้ทุกอย่างยิ่งแย่ลง เนื้อหาที่เคยกดติดตามหรือถูกใจไว้นั้นไม่ปรากฏให้เห็นเลย ตรงกันข้ามหน้าฟีดกลับเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่ได้สนใจ และไม่ได้อยากอ่าน
    .
    ปรากฏว่ามีผู้คนมากมายเข้ามาตอบคำถามในทำนองว่า น่าเสียใจที่ขณะนี้ยังไม่มีวิธีแก้ปัญหานี้ได้แบบ 100% ซึ่งหลายคนบอกว่า Facebook เวอร์ชั่นดั้งเดิมนั้นตายไปแล้ว และจะไม่มีทางกลับมา
    .
    บางคนบอกว่าไม่มีคำตอบที่ดีให้กับคำถามนี้เลย เพราะว่าแทบทุกคนต้องพบปัญหาเดียวกัน ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความข้องใจของผู้ใช้ ซึ่งมีความรู้สึกว่าเมื่อใดที่กดไลค์ หรือกดติดตามเพจที่ชื่นชอบ เนื้อหาจากเพจนั้นจะหายวับไป จนอดคิดไม่ได้ว่า Facebook ตั้งใจปิดกั้น ไม่ให้เห็นเนื้อหาเพจนั้น แต่จะเลือกจากเพจอื่น ที่มี "ผู้แชร์เยอะๆ โต้ตอบเยอะๆ" แทน
    .
    ไม่แน่ นี่อาจเป็นกับดักของ Facebook ที่หวังจะเพิ่มรายได้โฆษณามากขึ้น เพราะในมุมของเพจ ผู้สร้างเนื้อหามักต้องการยอดแชร์และโต้ตอบที่คึกคัก ซึ่งการจะทำให้เกิดการแชร์และโต้ตอบได้นั้นก็จะต้องเริ่มจากการทำให้คนเห็นโพสต์ จึงต้องมีการซื้อโฆษณา และเมื่อระบบปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ของ Facebook ได้เห็น ยอดชมจึงจะเพิ่มขึ้น กดดันให้เพจต้องทุ่มงบซื้อโฆษณากับ Facebook ในที่สุด
    .
    สิ่งที่เกิดขึ้นจึงกลายเป็นว่า เนื้อหาจากเพจที่มีเงินซื้อโฆษณา ได้ถูกกระจายไปเต็มหน้าฟีด Facebook จนทำให้เกิดการแชร์มากกว่าเพจที่ไม่ได้ซื้อโฆษณาซึ่งผู้ใช้กดติดตามไว้ สะท้อนให้เห็นเป็นวงจรอุบาทว์ที่ทำให้ 90% ของหน้าฟีด Facebook แนะนำเนื้อหาจากเพจหรือคนที่ผู้ใช้ไม่รู้จัก ไม่ได้สนใจ และไม่ได้อยากจะดู แบบไม่รู้จบ
    .
    Cr : FB CyberBiz Online
    ชาวเน็ตเซ็ง Facebook มีแต่ Feed ขยะ 90% เป็นโพสต์ที่ไม่อยากดู . แทนที่จะได้เห็นเรื่องราวของเพื่อนหรือครอบครัว ผู้ใช้ Quora.com ชื่อ Leandro Mattos ตั้งกระทู้ถามหาวิธีลบเนื้อหาที่ไม่ได้สนใจและไม่ได้อยากชม โดยบอกว่าจากที่ใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์กนี้มาตั้งแต่ปี 2013 และไม่เคยใช้งานค่ายอื่นเลยมาตลอด 11 ปี แต่ตอนนี้เริ่มคิดจริงจังแล้วว่าจะเลิกใช้งาน . ผู้ใช้รายนี้ระบุว่าครั้งหนึ่ง facebook เคยเป็นเครือข่ายสังคมที่ดี มีเนื้อหาเฉพาะของแต่ละคน และสำหรับเขาก็เคยเป็นพื้นที่สนุกสนานที่ได้สังสรรค์กับเพื่อนบนเนื้อหาที่เกี่ยวกับเกมในดวงใจ แต่วันนี้ทุกอย่างยิ่งแย่ลง เนื้อหาที่เคยกดติดตามหรือถูกใจไว้นั้นไม่ปรากฏให้เห็นเลย ตรงกันข้ามหน้าฟีดกลับเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่ได้สนใจ และไม่ได้อยากอ่าน . ปรากฏว่ามีผู้คนมากมายเข้ามาตอบคำถามในทำนองว่า น่าเสียใจที่ขณะนี้ยังไม่มีวิธีแก้ปัญหานี้ได้แบบ 100% ซึ่งหลายคนบอกว่า Facebook เวอร์ชั่นดั้งเดิมนั้นตายไปแล้ว และจะไม่มีทางกลับมา . บางคนบอกว่าไม่มีคำตอบที่ดีให้กับคำถามนี้เลย เพราะว่าแทบทุกคนต้องพบปัญหาเดียวกัน ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความข้องใจของผู้ใช้ ซึ่งมีความรู้สึกว่าเมื่อใดที่กดไลค์ หรือกดติดตามเพจที่ชื่นชอบ เนื้อหาจากเพจนั้นจะหายวับไป จนอดคิดไม่ได้ว่า Facebook ตั้งใจปิดกั้น ไม่ให้เห็นเนื้อหาเพจนั้น แต่จะเลือกจากเพจอื่น ที่มี "ผู้แชร์เยอะๆ โต้ตอบเยอะๆ" แทน . ไม่แน่ นี่อาจเป็นกับดักของ Facebook ที่หวังจะเพิ่มรายได้โฆษณามากขึ้น เพราะในมุมของเพจ ผู้สร้างเนื้อหามักต้องการยอดแชร์และโต้ตอบที่คึกคัก ซึ่งการจะทำให้เกิดการแชร์และโต้ตอบได้นั้นก็จะต้องเริ่มจากการทำให้คนเห็นโพสต์ จึงต้องมีการซื้อโฆษณา และเมื่อระบบปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ของ Facebook ได้เห็น ยอดชมจึงจะเพิ่มขึ้น กดดันให้เพจต้องทุ่มงบซื้อโฆษณากับ Facebook ในที่สุด . สิ่งที่เกิดขึ้นจึงกลายเป็นว่า เนื้อหาจากเพจที่มีเงินซื้อโฆษณา ได้ถูกกระจายไปเต็มหน้าฟีด Facebook จนทำให้เกิดการแชร์มากกว่าเพจที่ไม่ได้ซื้อโฆษณาซึ่งผู้ใช้กดติดตามไว้ สะท้อนให้เห็นเป็นวงจรอุบาทว์ที่ทำให้ 90% ของหน้าฟีด Facebook แนะนำเนื้อหาจากเพจหรือคนที่ผู้ใช้ไม่รู้จัก ไม่ได้สนใจ และไม่ได้อยากจะดู แบบไม่รู้จบ . Cr : FB CyberBiz Online
    Like
    Haha
    Sad
    15
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 283 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดรามา Car Free Day กทม.ออกมาแถลงผลทดลองละเลงกิจกรรมที่บรรทัดทอง ประชุมสรุปแล้วนำผลลัพธ์ไปต่อยอดพัฒนาย่านอื่นต่อไป ท่ามกลางเสียงสะท้อนปัญหาผลกระทบต่อชุมชนหลังจบงาน

    26 กันยายน 2567 -นายเอกวรัญญู อัมระปาล ผู้ช่วยเลขาฯ ผู้ว่าฯ กทม. และโฆษก กทม. ได้เปิดเผยถึงการจัดการจราจร Car Free Day บรรทัดทองที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 22 กันยายนนี้ว่า ตามที่สังคมตั้งข้อสังเกตหลายประเด็น หนึ่งในนั้นคือเรื่องงบประมาณว่า กิจกรรมดังกล่าวสำเร็จได้ เพราะความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งรัฐ เอกชน ประชาชน เป็นต้น โดย กทม. เป็นเพียงแกนกลางประสานสนับสนุนเจ้าหน้าที่และอุปกรณ์ โดยไม่ได้ใช้งบจัดกิจกรรมแม้แต่บาทเดียว รวมถึงสีก็ได้รับการสนับสนุนจากเอกชน ไม่ใช่สีทาถนน เพราะตั้งใจให้ล้างออกง่าย เพื่อคืนสภาพถนนที่สมบูรณ์ให้ประชาชนใช้งานตามปกติ ย้ำไม่ได้ลาดยางมะตอยทับ แต่จุดใดที่ควรซ่อมแซมก็จะดำเนินการซ่อมแซมต่อไป

    โฆษก กทม. กล่าวต่อว่า การทาสีถนนเป็นการทดลองลดขนาดถนน (Street Diet) และการเดินข้ามถนนทแยงมุม เป็นการทดลองโดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้าร่วมการดำเนินนโยบายเพื่อเมืองอย่างยั่งยืน เป้าหมายระยะสั้นคือ การทดลองทำถนนคนเดิน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม Bangkok Car Free 2024 ทั้งยังกระตุ้นเศรษฐกิจ จัดระเบียบทางเท้าและร้านค้า สร้างกิจกรรมนันทนาการ

    ขณะที่เพจ หวังสร้างเมืองก็ได้ลงสรุปปัญหาไว้ว่า

    “การทดลอง Car Free ที่บรรทัดทองจบแล้วครับ แต่ผลลัพธ์จะถูกนำไปพัฒนาย่านอย่างถาวรกันต่อ ทีมกำลังสรุปผลทั้งแบบสอบถาม พูดคุยกับร้านค้า ผู้อยู่อาศัย และจะมีการประชุมสรุปผลสัปดาห์นี้เพื่อต่อยอดการพัฒนาย่านต่อไปครับ นอกจากเสียงตอบรับที่มีผู้มาร่วมงานมากมายแล้ว ผมอยากทดปัญหาเบื้องต้นเอาไว้ด้วยในนี้ครับ ว่าเราเห็นปัญหาอะไรบ้างหากต้องทำต่อเนื่องที่นี่ และขยายผลไปเขตอื่นๆ

    1. ผลกระทบกับคนอยู่อาศัย
    ถึงแม้การปิดถนนจะทำให้เดินอย่างปลอดภัยมากขึ้นก็จริง แต่ผู้อยู่อาศัยในละแวกที่มีผู้สูงอายุอยู่ที่บ้านและจำเป็นต้องใช้รถยนต์ก็ได้รับผลกระทบมากไม่แพ้กัน การปิดถนนแบบร้อยเปอร์เซ็นต์เลย สร้างความลำบากให้ผู้อยู่อาศัยไม่น้อย และเสียงจากดนตรีและความสนุกเกินไปของย่าน ที่อาจรบกวนผู้อยู่อาศัย หากมีการทำต่อเนื่องน่าจะต้องคิดให้ละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้น

    2. ปริมาณคนมาด้วยปริมาณขยะที่เพิ่มขึ้น
    การจัดการขยะของร้านค้าทุกร้าน เช่น ให้แยกขยะเศษอาหาร การเข้าร่วมโครงการไม่เทรวม การคัดแยกขยะต้นทางร่วมกับทางจุฬาฯ

    3. การจัดระเบียบร้านค้า การปรับปรุงทางเท้า และการนำสายไฟลงดิน ฯลฯ

    นอกจากนี้ยังมีเสียงเรื่องการทาสี มีความกังวลเรื่องสีผิดประเภทที่อาจทำให้รถยนต์ลื่น สร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เราได้ข้อมูลแนะนำจากช่างเชี่ยวชาญของบริษัทผู้สนับสนุน เลยอยากขอใช้พื้นที่นี้ชี้แจงด้วยครับ

    1. สีที่ทาไม่เหมาะกับการเป็นสีทาผิวถนน และเป็นสีทนทาน 10 ปี ล้างไม่ออก

    เป็นข้อมูลที่ถูกต้องครับ เพราะจุดประสงค์ของการทาสีคือการทดลองลดเลนถนน (Street Diet) และการเดินข้ามถนนแทยงมุมในเวลากลางวัน พอหมดงานทีมก็ตั้งใจจะล้างออกทั้งหมด สีที่ใช้จึงเป็นสีที่จะไม่อยู่คงทนตลอด เราได้ขอคำปรึกษากับช่างเทคนิคของบริษัทผู้บริจาค และเลือกสีชนิดนี้ก่อนมาใช้ ด้วยเป็นสีทาอาคารไม่ใช่สีทาถนน สีฯ ดังกล่าว มีลักษณะการปกป้องพื้นผิว ประเภทอาคาร มีฟิล์มที่บางกว่า สีจราจร อย่างมาก ไม่ทนต่อแรงเสียดทาน ในการบดอัดของล้อยานพาหนะ ที่จะเสื่อมสภาพ ผิวฟิล์มหลุดล่อนได้ง่าย และ ไม่ทนต่อความชื้นของพื้นผิวถนน ที่จะเสื่อมสภาพในเวลาอันรวดเร็ว และทางทีมได้ล้างออกทั้งหมดในวันจันทร์แล้วครับ

    2. กรณีสีมีพิษ จากข้อมูลของบริษัทผู้บริจาค สีชนิดนี้เมื่อแห้งจะเป็นแผ่นฟิล์มและจะถูกกรองได้ ไม่ละลายลงแหล่งน้ำ และสีได้รับมาตรฐานที่ได้รับฉลากเขียวจาก สมอ. แต่อย่างไรจะขอนำความคิดเห็นนี้ไปพัฒนาต่อ และจะระวังไม่ให้กระทบกับสิ่งแวดล้อมมากกว่านี้ครับ

    3. เป็นการผลาญงบประมาณ
    งานนี้เกิดจากความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ไม่ได้ใช้เงินจากภาครัฐเลยครับ สีที่ทา เราได้รับสีบริจาคจากบริษัทเอกชน และทั้งงานเป็นความร่วมมือภาคประชาสังคมหลายภาคมาก กทม.เป็นเพียงส่วนหนึ่ง รับหน้าที่ดูแลหลังงาน ใช้อุปกรณ์ที่มี เจ้าหน้าที่รักษาฯ และได้ทำการล้างถนนไปเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาแล้วครับ ต้องขอบคุณพี่ๆข้าราชการที่ช่วยกันด้วยครับ

    อย่างไรก็ตาม ผมต้องขอน้อมรับทุกความเห็นไปปรับปรุง อยากย้ำวัตถุประสงค์หลักของงานที่เลือกที่นี่ คือ “การพัฒนาย่านบรรทัดทองระยะยาว” ไม่ใช่เพียงการจัดงานนี้ครั้งเดียวแล้วผ่านไปครับ เราจะมีการประชุมสรุปผลสัปดาห์นี้ร่วมกับจุฬาฯ และจะนำมาเล่าสู่กันฟังอีกครั้ง จะทาสีทางข้ามถาวรเลยหรือไม่ จะทำการลดเลนถนน (Street Diet) บ้างไหม หรือจะเป็นการปิดถนนบางเวลาเพื่อทำถนนคนเดิน

    ขอน้อมรับทุกความผิดพลาดและทุกอย่างไปปรับปรุงครับ หากใครมีความเห็นอย่างไรก็พิมพ์แจ้งไว้ได้เลยครับ

    ปล. รูปนี้คือภาพเมื่อเช้าหลังจากทีมงานล้างออกตั้งแต่เมื่อวานครับ
    ปล2. เพิ่มเติมที่มีคนถามเรื่องทายางมะตอยทับ เราเพียงล้างออกเท่านั้นครับ ไม่มีการเทยางมะตอยทับแต่อย่างใด พื้นถนนหลายจุดมีความชำรุดอยู่เดิมก็จะใช้โอกาสหลังจากนี้ซ่อมแซมด้วยครับ”

    ที่มา https://www.facebook.com/100086260703100/posts/pfbid02bHbrNVyqnsKQtz6bf2aStu9eR5MmkCGd3XcxMo4gtc4LZ4NR4G8TtshXa2XyMS7Ql/?
    #Thaitimes
    ดรามา Car Free Day กทม.ออกมาแถลงผลทดลองละเลงกิจกรรมที่บรรทัดทอง ประชุมสรุปแล้วนำผลลัพธ์ไปต่อยอดพัฒนาย่านอื่นต่อไป ท่ามกลางเสียงสะท้อนปัญหาผลกระทบต่อชุมชนหลังจบงาน 26 กันยายน 2567 -นายเอกวรัญญู อัมระปาล ผู้ช่วยเลขาฯ ผู้ว่าฯ กทม. และโฆษก กทม. ได้เปิดเผยถึงการจัดการจราจร Car Free Day บรรทัดทองที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 22 กันยายนนี้ว่า ตามที่สังคมตั้งข้อสังเกตหลายประเด็น หนึ่งในนั้นคือเรื่องงบประมาณว่า กิจกรรมดังกล่าวสำเร็จได้ เพราะความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งรัฐ เอกชน ประชาชน เป็นต้น โดย กทม. เป็นเพียงแกนกลางประสานสนับสนุนเจ้าหน้าที่และอุปกรณ์ โดยไม่ได้ใช้งบจัดกิจกรรมแม้แต่บาทเดียว รวมถึงสีก็ได้รับการสนับสนุนจากเอกชน ไม่ใช่สีทาถนน เพราะตั้งใจให้ล้างออกง่าย เพื่อคืนสภาพถนนที่สมบูรณ์ให้ประชาชนใช้งานตามปกติ ย้ำไม่ได้ลาดยางมะตอยทับ แต่จุดใดที่ควรซ่อมแซมก็จะดำเนินการซ่อมแซมต่อไป โฆษก กทม. กล่าวต่อว่า การทาสีถนนเป็นการทดลองลดขนาดถนน (Street Diet) และการเดินข้ามถนนทแยงมุม เป็นการทดลองโดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้าร่วมการดำเนินนโยบายเพื่อเมืองอย่างยั่งยืน เป้าหมายระยะสั้นคือ การทดลองทำถนนคนเดิน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม Bangkok Car Free 2024 ทั้งยังกระตุ้นเศรษฐกิจ จัดระเบียบทางเท้าและร้านค้า สร้างกิจกรรมนันทนาการ ขณะที่เพจ หวังสร้างเมืองก็ได้ลงสรุปปัญหาไว้ว่า “การทดลอง Car Free ที่บรรทัดทองจบแล้วครับ แต่ผลลัพธ์จะถูกนำไปพัฒนาย่านอย่างถาวรกันต่อ ทีมกำลังสรุปผลทั้งแบบสอบถาม พูดคุยกับร้านค้า ผู้อยู่อาศัย และจะมีการประชุมสรุปผลสัปดาห์นี้เพื่อต่อยอดการพัฒนาย่านต่อไปครับ นอกจากเสียงตอบรับที่มีผู้มาร่วมงานมากมายแล้ว ผมอยากทดปัญหาเบื้องต้นเอาไว้ด้วยในนี้ครับ ว่าเราเห็นปัญหาอะไรบ้างหากต้องทำต่อเนื่องที่นี่ และขยายผลไปเขตอื่นๆ 1. ผลกระทบกับคนอยู่อาศัย ถึงแม้การปิดถนนจะทำให้เดินอย่างปลอดภัยมากขึ้นก็จริง แต่ผู้อยู่อาศัยในละแวกที่มีผู้สูงอายุอยู่ที่บ้านและจำเป็นต้องใช้รถยนต์ก็ได้รับผลกระทบมากไม่แพ้กัน การปิดถนนแบบร้อยเปอร์เซ็นต์เลย สร้างความลำบากให้ผู้อยู่อาศัยไม่น้อย และเสียงจากดนตรีและความสนุกเกินไปของย่าน ที่อาจรบกวนผู้อยู่อาศัย หากมีการทำต่อเนื่องน่าจะต้องคิดให้ละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้น 2. ปริมาณคนมาด้วยปริมาณขยะที่เพิ่มขึ้น การจัดการขยะของร้านค้าทุกร้าน เช่น ให้แยกขยะเศษอาหาร การเข้าร่วมโครงการไม่เทรวม การคัดแยกขยะต้นทางร่วมกับทางจุฬาฯ 3. การจัดระเบียบร้านค้า การปรับปรุงทางเท้า และการนำสายไฟลงดิน ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีเสียงเรื่องการทาสี มีความกังวลเรื่องสีผิดประเภทที่อาจทำให้รถยนต์ลื่น สร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เราได้ข้อมูลแนะนำจากช่างเชี่ยวชาญของบริษัทผู้สนับสนุน เลยอยากขอใช้พื้นที่นี้ชี้แจงด้วยครับ 1. สีที่ทาไม่เหมาะกับการเป็นสีทาผิวถนน และเป็นสีทนทาน 10 ปี ล้างไม่ออก เป็นข้อมูลที่ถูกต้องครับ เพราะจุดประสงค์ของการทาสีคือการทดลองลดเลนถนน (Street Diet) และการเดินข้ามถนนแทยงมุมในเวลากลางวัน พอหมดงานทีมก็ตั้งใจจะล้างออกทั้งหมด สีที่ใช้จึงเป็นสีที่จะไม่อยู่คงทนตลอด เราได้ขอคำปรึกษากับช่างเทคนิคของบริษัทผู้บริจาค และเลือกสีชนิดนี้ก่อนมาใช้ ด้วยเป็นสีทาอาคารไม่ใช่สีทาถนน สีฯ ดังกล่าว มีลักษณะการปกป้องพื้นผิว ประเภทอาคาร มีฟิล์มที่บางกว่า สีจราจร อย่างมาก ไม่ทนต่อแรงเสียดทาน ในการบดอัดของล้อยานพาหนะ ที่จะเสื่อมสภาพ ผิวฟิล์มหลุดล่อนได้ง่าย และ ไม่ทนต่อความชื้นของพื้นผิวถนน ที่จะเสื่อมสภาพในเวลาอันรวดเร็ว และทางทีมได้ล้างออกทั้งหมดในวันจันทร์แล้วครับ 2. กรณีสีมีพิษ จากข้อมูลของบริษัทผู้บริจาค สีชนิดนี้เมื่อแห้งจะเป็นแผ่นฟิล์มและจะถูกกรองได้ ไม่ละลายลงแหล่งน้ำ และสีได้รับมาตรฐานที่ได้รับฉลากเขียวจาก สมอ. แต่อย่างไรจะขอนำความคิดเห็นนี้ไปพัฒนาต่อ และจะระวังไม่ให้กระทบกับสิ่งแวดล้อมมากกว่านี้ครับ 3. เป็นการผลาญงบประมาณ งานนี้เกิดจากความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ไม่ได้ใช้เงินจากภาครัฐเลยครับ สีที่ทา เราได้รับสีบริจาคจากบริษัทเอกชน และทั้งงานเป็นความร่วมมือภาคประชาสังคมหลายภาคมาก กทม.เป็นเพียงส่วนหนึ่ง รับหน้าที่ดูแลหลังงาน ใช้อุปกรณ์ที่มี เจ้าหน้าที่รักษาฯ และได้ทำการล้างถนนไปเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาแล้วครับ ต้องขอบคุณพี่ๆข้าราชการที่ช่วยกันด้วยครับ อย่างไรก็ตาม ผมต้องขอน้อมรับทุกความเห็นไปปรับปรุง อยากย้ำวัตถุประสงค์หลักของงานที่เลือกที่นี่ คือ “การพัฒนาย่านบรรทัดทองระยะยาว” ไม่ใช่เพียงการจัดงานนี้ครั้งเดียวแล้วผ่านไปครับ เราจะมีการประชุมสรุปผลสัปดาห์นี้ร่วมกับจุฬาฯ และจะนำมาเล่าสู่กันฟังอีกครั้ง จะทาสีทางข้ามถาวรเลยหรือไม่ จะทำการลดเลนถนน (Street Diet) บ้างไหม หรือจะเป็นการปิดถนนบางเวลาเพื่อทำถนนคนเดิน ขอน้อมรับทุกความผิดพลาดและทุกอย่างไปปรับปรุงครับ หากใครมีความเห็นอย่างไรก็พิมพ์แจ้งไว้ได้เลยครับ ปล. รูปนี้คือภาพเมื่อเช้าหลังจากทีมงานล้างออกตั้งแต่เมื่อวานครับ ปล2. เพิ่มเติมที่มีคนถามเรื่องทายางมะตอยทับ เราเพียงล้างออกเท่านั้นครับ ไม่มีการเทยางมะตอยทับแต่อย่างใด พื้นถนนหลายจุดมีความชำรุดอยู่เดิมก็จะใช้โอกาสหลังจากนี้ซ่อมแซมด้วยครับ” ที่มา https://www.facebook.com/100086260703100/posts/pfbid02bHbrNVyqnsKQtz6bf2aStu9eR5MmkCGd3XcxMo4gtc4LZ4NR4G8TtshXa2XyMS7Ql/? #Thaitimes
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 923 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ต้มสื่อไทยได้แค่รอบเดียวแหล่ะทุย
    รอบที่แล้ว ทุยร้องเฮ ลั่นๆ
    ต้มสื่อไทยด้วยเทรนทิพย์ ปั่นยูซผีไว้บิดเบือน
    มันส์มืออะดิ กะว่าเดี๋ยวสื่อจะถูกต้มอีกรอบ
    ไอ่ทุย เค้าไม่แลตาแล้ว
    เพราะมันคือการหยาม ศักดิ์ศรีสื่อเค้า
    คอมเม้นเฉลยกันฉ่ำๆ
    ว่าสื่อเอาเทรนทิพย์มาลงได้ไง
    แล้วกะว่าเอาอีก บอกเลย
    ที่ลงทุนปั้มยูซไปอะนะ
    ตอนนี้ หมดราคา
    ยิ่งมีหลักฐานเชิงประจักษ์ จริงมั๊ยโจ
    ว่ายอดวิวครึ่งล้าน มันสวนกับเทรนทิพย์ที่พวกเมิงสร้าง
    ฉมน้ำหน้า ยูซผีอันไร้ค่า เทรนทิพย์ขยะโซเชียล
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #ต้มสื่อไทยได้แค่รอบเดียวแหล่ะทุย รอบที่แล้ว ทุยร้องเฮ ลั่นๆ ต้มสื่อไทยด้วยเทรนทิพย์ ปั่นยูซผีไว้บิดเบือน มันส์มืออะดิ กะว่าเดี๋ยวสื่อจะถูกต้มอีกรอบ ไอ่ทุย เค้าไม่แลตาแล้ว เพราะมันคือการหยาม ศักดิ์ศรีสื่อเค้า คอมเม้นเฉลยกันฉ่ำๆ ว่าสื่อเอาเทรนทิพย์มาลงได้ไง แล้วกะว่าเอาอีก บอกเลย ที่ลงทุนปั้มยูซไปอะนะ ตอนนี้ หมดราคา ยิ่งมีหลักฐานเชิงประจักษ์ จริงมั๊ยโจ ว่ายอดวิวครึ่งล้าน มันสวนกับเทรนทิพย์ที่พวกเมิงสร้าง ฉมน้ำหน้า ยูซผีอันไร้ค่า เทรนทิพย์ขยะโซเชียล #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    Haha
    Love
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 532 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไทยเป็นปลายทางขยะโลก!? (ตอน 2: ข้อมูลชี้...การนำเข้าขยะพุ่งและมีมากมายหลายชนิด)
    .
    จากกรณีพบขยะเทศบาลในตู้คอนเทนเนอร์สินค้าที่บริษัท เอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนล คอร์ปอเรชั่น จำกัด เป็นผู้นำเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกา โดยที่มีการสำแดงว่าเป็นเศษกระดาษ เรื่องดังกล่าว กรมศุลกากรไม่ได้เปิดเผยสู่สาธารณะ แต่ด้วยข้อมูลที่เล็ดลอดออกมา ทำให้มีสื่อมวลชนบางสำนักหยิบมานำเสนอ เหตุการณ์ที่มีลักษณะเป็นการลักลอบนี้จึงได้เผยตัวสู่สาธารณะ
    .
    ในทางลึกมีข้อมูลว่า เฉพาะในรอบปีนี้ ซึ่งนับตามจำนวนเวลาก็คือประมาณ 7 เดือน มีการตรวจพบปัญหาลักษณะเดียวกันของผู้นำเข้ารายนี้มาแล้วถึง 3 ครั้ง
    .
    สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นมิติของการลักลอบ ซึ่งมักไม่มีการเปิดเผยข้อมูลออกมาอย่างชัดเจน ส่วนในมิติที่มีข้อมูลสถิติเป็นทางการ เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ ได้นำเสนอผ่านการแถลงข่าวร่วมกับกรรณิการ์ กิจติเวชกุล รองประธานกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) ในหัวข้อ “เมื่อขยะโลกหลั่งไหลเข้าไทย เราจะรอดพ้นจากสถานการณ์ดังกล่าวได้อย่างไร” เมื่อวันที่ 13 กันยายน ที่ผ่านมา ระบุว่า
    .
    “จากการติดตามปัญหาการส่งออกขยะในหมู่ประเทศสมาชิกของอียู (สหภาพยุโรป) ตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา ได้มีการส่งขยะกลุ่มนี้เข้ามายังประเทศไทยสูงทีเดียว ประเทศไทยกลายเป็นปลายทางของการส่งออกขยะกระดาษและกระดาษแข็ง เป็นอันดับ 3 ในภูมิภาคนี้ รองจากอินโดนีเซียและเวียดนาม นอกจากนี้ไทยยังเป็นปลายทางอันดับ 4 ของขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่นำเข้าจากสหภาพยุโรป รองมาจากอินโดนีเซีย เวียดนาม และมาเลเซีย”
    .
    ตามสถิติของกรมศุลกากรที่เพ็ญโฉมค้นมานำเสนอ ไม่มีการแสดงปริมาณการนำเข้าของเสียเหล่านั้น แต่ได้แสดงเป็นมูลค่า ซึ่งในส่วนของเศษกระดาษมีมูลค่าสูงถึงระดับมากกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี ในขณะที่ประเภทส่วนประกอบทางไฟฟ้าของเครื่องจักรและอุปกรณ์ ที่เพ็ญโฉมบอกว่าเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์นั้น มูลค่าในแต่ละปีสูงประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท
    .
    “เราจะเห็นว่าการนำเข้าขยะกระดาษและขยะอิล็กทรอนิกส์ ซึ่งแม้ว่าประเทศไทยจะมีกฎหมายห้ามนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์แล้ว แต่ยังมีพิกัดหนึ่งที่เป็นตัวรวมของขยะอิเล็กทรอนิกส์หลายประเภทและเศษโลหะที่นำเข้ามา เศษพลาสติกบางอย่างที่ปนเข้ามาในพิกัด 8548 จะเห็นว่า ถ้าดูจากกราฟ สหรัฐอเมริกาคือประเทศที่ส่งออกขยะกลุ่มนี้มายังประเทศไทยสูงที่สุด ถ้าเทียบกับประเทศอื่นๆ”
    .
    ไม่เพียงพิกัด 8548 แต่พิกัด 4704 ที่เป็นรายการเศษกระดาษ คิดจากมูลค่าการนำเข้าสูงสุดก็มีต้นทางมาจากประเทศสหรัฐฯ เช่นเดียวกัน ส่วนลำดับรองลงมาได้แก่สหราชอาณาจักรและญี่ปุ่น ในขณะที่ประเทศลำดับรองที่ส่งออกขยะพิกัด 8548 มาไทยในมูลค่าที่สูงรองจากสหรัฐฯ ได้แก่จีนและญี่ปุ่น
    .
    นอกจากนั้น เพ็ญโฉมยังเปิดเผยข้อมูลในส่วนของขยะหรือกากของเสียอุตสาหกรรม โดยยกสถิติเกี่ยวกับเศษอะลูมิเนียมมานำเสนอด้วย
    .
    “อะลูมิเนียมดรอส ยกตัวอย่างปี 2560 - 2567 ประเทศไทยมีการนำเข้าอะลูมิเนียม ซึ่งตัวที่เป็นปัญหา ไม่ว่าจะกรณีที่พบที่วินโพรเสส นครปฐม และอีกหลายที่ เราจะเรียกว่า อะลูมิเนียมดรอส ซึ่งคือกากอะลูมิเนียม แต่เวลาแสดงพิกัดการนำเข้า จะเรียกว่าเป็นผงอะลูมีเนียม หรือเป็นเศษชิ้นส่วนอะลูมิเนียม พวกนี้สามารถนำเข้ามาได้ และมีการนำเข้าเยอะทีเดียว จากปี 2560 – 2567 เป็นปริมาณหลายล้านตัน
    .
    “อย่างการนำเข้ากาก/เศษอะลูมิเนียม ปี 67 จากมกราคม - มิถุนายน ครึ่งปี มีการนำเข้ามาถึง 335 ล้านกิโลกรัม หรืออย่างตัวผงและเกล็ดอะลูมิเนียม เพียงครึ่งปีนี้ก็นำเข้ามากว่า 580,000 กิโลกรัม แต่บางปีก็มีการนำเข้ามากกว่านั้น ซึ่งเราคิดว่า การนำเข้าผงอะลูมิเนียมจากปี 60-67 แนวโน้มมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คำถามว่า นำเข้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะอะไร อันนี้เราคิดว่าต้องย้อนมาดูนโยบายเรื่องการส่งเสริมกิจการรีไซเคิลและเศรษฐกิจหมุนเวียน”
    .
    อย่างไรก็ตาม สำหรับประเด็นมิตินโยบาย เราจะนำเสนอในตอนต่อๆ ไป
    ...
    ...
    เรียบเรียงโดย ปานรักษ์ วัฒกะวงศ์ มูลนิธิบูรณะนิเวศ

    อ่านตอนที่ 1 ไทยเป็นปลายทางขยะโลก!? (ตอน 1: ทวงถามความรับผิดชอบ กรณีนำเข้าเศษกระดาษ แต่มี “ขยะเทศบาล” ปนมาด้วย)
    https://shorturl.asia/k2SJG

    #Thaitimes
    ไทยเป็นปลายทางขยะโลก!? (ตอน 2: ข้อมูลชี้...การนำเข้าขยะพุ่งและมีมากมายหลายชนิด) . จากกรณีพบขยะเทศบาลในตู้คอนเทนเนอร์สินค้าที่บริษัท เอสซีจี อินเตอร์เนชั่นแนล คอร์ปอเรชั่น จำกัด เป็นผู้นำเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกา โดยที่มีการสำแดงว่าเป็นเศษกระดาษ เรื่องดังกล่าว กรมศุลกากรไม่ได้เปิดเผยสู่สาธารณะ แต่ด้วยข้อมูลที่เล็ดลอดออกมา ทำให้มีสื่อมวลชนบางสำนักหยิบมานำเสนอ เหตุการณ์ที่มีลักษณะเป็นการลักลอบนี้จึงได้เผยตัวสู่สาธารณะ . ในทางลึกมีข้อมูลว่า เฉพาะในรอบปีนี้ ซึ่งนับตามจำนวนเวลาก็คือประมาณ 7 เดือน มีการตรวจพบปัญหาลักษณะเดียวกันของผู้นำเข้ารายนี้มาแล้วถึง 3 ครั้ง . สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นมิติของการลักลอบ ซึ่งมักไม่มีการเปิดเผยข้อมูลออกมาอย่างชัดเจน ส่วนในมิติที่มีข้อมูลสถิติเป็นทางการ เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ ได้นำเสนอผ่านการแถลงข่าวร่วมกับกรรณิการ์ กิจติเวชกุล รองประธานกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) ในหัวข้อ “เมื่อขยะโลกหลั่งไหลเข้าไทย เราจะรอดพ้นจากสถานการณ์ดังกล่าวได้อย่างไร” เมื่อวันที่ 13 กันยายน ที่ผ่านมา ระบุว่า . “จากการติดตามปัญหาการส่งออกขยะในหมู่ประเทศสมาชิกของอียู (สหภาพยุโรป) ตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา ได้มีการส่งขยะกลุ่มนี้เข้ามายังประเทศไทยสูงทีเดียว ประเทศไทยกลายเป็นปลายทางของการส่งออกขยะกระดาษและกระดาษแข็ง เป็นอันดับ 3 ในภูมิภาคนี้ รองจากอินโดนีเซียและเวียดนาม นอกจากนี้ไทยยังเป็นปลายทางอันดับ 4 ของขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่นำเข้าจากสหภาพยุโรป รองมาจากอินโดนีเซีย เวียดนาม และมาเลเซีย” . ตามสถิติของกรมศุลกากรที่เพ็ญโฉมค้นมานำเสนอ ไม่มีการแสดงปริมาณการนำเข้าของเสียเหล่านั้น แต่ได้แสดงเป็นมูลค่า ซึ่งในส่วนของเศษกระดาษมีมูลค่าสูงถึงระดับมากกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี ในขณะที่ประเภทส่วนประกอบทางไฟฟ้าของเครื่องจักรและอุปกรณ์ ที่เพ็ญโฉมบอกว่าเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์นั้น มูลค่าในแต่ละปีสูงประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท . “เราจะเห็นว่าการนำเข้าขยะกระดาษและขยะอิล็กทรอนิกส์ ซึ่งแม้ว่าประเทศไทยจะมีกฎหมายห้ามนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์แล้ว แต่ยังมีพิกัดหนึ่งที่เป็นตัวรวมของขยะอิเล็กทรอนิกส์หลายประเภทและเศษโลหะที่นำเข้ามา เศษพลาสติกบางอย่างที่ปนเข้ามาในพิกัด 8548 จะเห็นว่า ถ้าดูจากกราฟ สหรัฐอเมริกาคือประเทศที่ส่งออกขยะกลุ่มนี้มายังประเทศไทยสูงที่สุด ถ้าเทียบกับประเทศอื่นๆ” . ไม่เพียงพิกัด 8548 แต่พิกัด 4704 ที่เป็นรายการเศษกระดาษ คิดจากมูลค่าการนำเข้าสูงสุดก็มีต้นทางมาจากประเทศสหรัฐฯ เช่นเดียวกัน ส่วนลำดับรองลงมาได้แก่สหราชอาณาจักรและญี่ปุ่น ในขณะที่ประเทศลำดับรองที่ส่งออกขยะพิกัด 8548 มาไทยในมูลค่าที่สูงรองจากสหรัฐฯ ได้แก่จีนและญี่ปุ่น . นอกจากนั้น เพ็ญโฉมยังเปิดเผยข้อมูลในส่วนของขยะหรือกากของเสียอุตสาหกรรม โดยยกสถิติเกี่ยวกับเศษอะลูมิเนียมมานำเสนอด้วย . “อะลูมิเนียมดรอส ยกตัวอย่างปี 2560 - 2567 ประเทศไทยมีการนำเข้าอะลูมิเนียม ซึ่งตัวที่เป็นปัญหา ไม่ว่าจะกรณีที่พบที่วินโพรเสส นครปฐม และอีกหลายที่ เราจะเรียกว่า อะลูมิเนียมดรอส ซึ่งคือกากอะลูมิเนียม แต่เวลาแสดงพิกัดการนำเข้า จะเรียกว่าเป็นผงอะลูมีเนียม หรือเป็นเศษชิ้นส่วนอะลูมิเนียม พวกนี้สามารถนำเข้ามาได้ และมีการนำเข้าเยอะทีเดียว จากปี 2560 – 2567 เป็นปริมาณหลายล้านตัน . “อย่างการนำเข้ากาก/เศษอะลูมิเนียม ปี 67 จากมกราคม - มิถุนายน ครึ่งปี มีการนำเข้ามาถึง 335 ล้านกิโลกรัม หรืออย่างตัวผงและเกล็ดอะลูมิเนียม เพียงครึ่งปีนี้ก็นำเข้ามากว่า 580,000 กิโลกรัม แต่บางปีก็มีการนำเข้ามากกว่านั้น ซึ่งเราคิดว่า การนำเข้าผงอะลูมิเนียมจากปี 60-67 แนวโน้มมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คำถามว่า นำเข้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะอะไร อันนี้เราคิดว่าต้องย้อนมาดูนโยบายเรื่องการส่งเสริมกิจการรีไซเคิลและเศรษฐกิจหมุนเวียน” . อย่างไรก็ตาม สำหรับประเด็นมิตินโยบาย เราจะนำเสนอในตอนต่อๆ ไป ... ... เรียบเรียงโดย ปานรักษ์ วัฒกะวงศ์ มูลนิธิบูรณะนิเวศ อ่านตอนที่ 1 ไทยเป็นปลายทางขยะโลก!? (ตอน 1: ทวงถามความรับผิดชอบ กรณีนำเข้าเศษกระดาษ แต่มี “ขยะเทศบาล” ปนมาด้วย) https://shorturl.asia/k2SJG #Thaitimes
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 661 มุมมอง 0 รีวิว
  • มีแฟนเพจให้ขึ้นคนชื่อ ป. แจ้งก่อนว่า เพจนี้ไม่โพสถึงบุคคลที่เป็นขยะ ขุดคนซั่ว กับขุดขยะ
    มันต่างกันครับ
    #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    มีแฟนเพจให้ขึ้นคนชื่อ ป. แจ้งก่อนว่า เพจนี้ไม่โพสถึงบุคคลที่เป็นขยะ ขุดคนซั่ว กับขุดขยะ มันต่างกันครับ #คิงส์โพธิ์แดง-สำรอง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    Like
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 600 มุมมอง 0 รีวิว
  • บันทึกไว้เมื่อ 22 ก.ย. 2018 วันนี้เมื่อหกปีก่อน

    เมื่อวานไปธุระบางกะปิ หิวข้าวแต่ยังต้องไปที่อื่นต่อ เลยหาซื้อไวตามิลค์เจแบบขวดวันทูโกกินรองท้อง ขณะยืนดื่มอยู่หน้าถังขยะ ชายอาการเหมือนคนเป็นโรคประสาทอย่างแรง มีผ้าปิดคาดปากเดินหิ้วถุงพลาสติกขนาดใหญ่หลายถุง ตรงรี่มาเปิดฝาถัง นัยว่าจะหาขยะที่รีไซเคิลได้ไปขาย ปากเขาก็พูดเพ้อพร่ำอะไรอยู่คนเดียวไม่หยุด เหมือนกำลังทะเลาะกับใครเรื่องการเมือง

    ความจริงข้าพเจ้าคุ้นหน้าเขามาก เหมือนเคยเห็นแถวละแวกใกล้เคียงสันติอโศกบ่อยๆ แต่คนนั้นเขาไม่มีอาการเหมือนคนนี้ที่พูดเสียงดังคนเดียว หรือคือคนหน้าคล้าย

    ก่อนหน้าเขาจะมาหาขยะในถังตรงจุดที่ข้าพเจ้ายืนอยู่ เราก็เจอกันแล้วรอบหนึ่ง ที่ฝั่งตรงข้ามถนน แสดงว่ามีวาสนาต่อกัน พอดีข้าพเจ้าดื่มหมดขวด แรกทีเดียวตั้งใจใส่ลงถัง เพราะจะแบกไปด้วยก็หนัก แต่ก็รู้สึกไม่ดีนัก เพราะไปปะปนกับขยะอื่นทั้งที่ควรแยกขายได้

    พอดีอะไรเช่นนี้ ชายผู้มีความไม่ปกติทางจิต มาช่วยได้อย่างเหมาะเจาะ เหมาะใจยิ่งนัก ข้าพเจ้าจึงยื่นขวดเปล่าให้เขาด้วยไมตรี ซึ่งเขาก็เข้าใจ รับหมับทันที ขณะที่ปากยังคงพูดเพ้อไม่หยุดเสียงลั่นจนคนที่รอรถและเดินผ่านไปมาแถวนั้นพากันมองมาด้วยอาการอันหลากหลาย คงคละเคล้าปะปนกันระหว่างปลงสังเวช กับกริ่งเกรงไม่ไว้ใจ

    แต่ข้าพเจ้าสบายตัว สบายใจแล้ว ขยะในมือได้อยู่ถูกที่กับคนที่ต้องการและจะนำไปแลกเป็นรายได้เลี้ยงตัว ไม่ได้ทำให้เกิดขยะส่วนรวมเพิ่ม นับเป็นเรื่องน่ายินดี จึงจากกันด้วยประการฉะนี้เอง

    #บันทึก
    #thaitimes
    #รีไซเคิล
    #ขยะ
    #ขวดแก้ว
    #อาการทางจิต
    #ข้อคิด
    #ความทรงจำ
    บันทึกไว้เมื่อ 22 ก.ย. 2018 วันนี้เมื่อหกปีก่อน เมื่อวานไปธุระบางกะปิ หิวข้าวแต่ยังต้องไปที่อื่นต่อ เลยหาซื้อไวตามิลค์เจแบบขวดวันทูโกกินรองท้อง ขณะยืนดื่มอยู่หน้าถังขยะ ชายอาการเหมือนคนเป็นโรคประสาทอย่างแรง มีผ้าปิดคาดปากเดินหิ้วถุงพลาสติกขนาดใหญ่หลายถุง ตรงรี่มาเปิดฝาถัง นัยว่าจะหาขยะที่รีไซเคิลได้ไปขาย ปากเขาก็พูดเพ้อพร่ำอะไรอยู่คนเดียวไม่หยุด เหมือนกำลังทะเลาะกับใครเรื่องการเมือง ความจริงข้าพเจ้าคุ้นหน้าเขามาก เหมือนเคยเห็นแถวละแวกใกล้เคียงสันติอโศกบ่อยๆ แต่คนนั้นเขาไม่มีอาการเหมือนคนนี้ที่พูดเสียงดังคนเดียว หรือคือคนหน้าคล้าย ก่อนหน้าเขาจะมาหาขยะในถังตรงจุดที่ข้าพเจ้ายืนอยู่ เราก็เจอกันแล้วรอบหนึ่ง ที่ฝั่งตรงข้ามถนน แสดงว่ามีวาสนาต่อกัน พอดีข้าพเจ้าดื่มหมดขวด แรกทีเดียวตั้งใจใส่ลงถัง เพราะจะแบกไปด้วยก็หนัก แต่ก็รู้สึกไม่ดีนัก เพราะไปปะปนกับขยะอื่นทั้งที่ควรแยกขายได้ พอดีอะไรเช่นนี้ ชายผู้มีความไม่ปกติทางจิต มาช่วยได้อย่างเหมาะเจาะ เหมาะใจยิ่งนัก ข้าพเจ้าจึงยื่นขวดเปล่าให้เขาด้วยไมตรี ซึ่งเขาก็เข้าใจ รับหมับทันที ขณะที่ปากยังคงพูดเพ้อไม่หยุดเสียงลั่นจนคนที่รอรถและเดินผ่านไปมาแถวนั้นพากันมองมาด้วยอาการอันหลากหลาย คงคละเคล้าปะปนกันระหว่างปลงสังเวช กับกริ่งเกรงไม่ไว้ใจ แต่ข้าพเจ้าสบายตัว สบายใจแล้ว ขยะในมือได้อยู่ถูกที่กับคนที่ต้องการและจะนำไปแลกเป็นรายได้เลี้ยงตัว ไม่ได้ทำให้เกิดขยะส่วนรวมเพิ่ม นับเป็นเรื่องน่ายินดี จึงจากกันด้วยประการฉะนี้เอง #บันทึก #thaitimes #รีไซเคิล #ขยะ #ขวดแก้ว #อาการทางจิต #ข้อคิด #ความทรงจำ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 941 มุมมอง 0 รีวิว
  • ธนาธรสั่งเชือด สส.เชตวัน เจ้าของวลี "เอาค่ายเอกาทศรถเป็นที่ทิ้งขยะ" อย่าลืมลงโทษอีแก้วตาพม่ารามัญอีกคน
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #คิงส์โพธิ์แดง
    ธนาธรสั่งเชือด สส.เชตวัน เจ้าของวลี "เอาค่ายเอกาทศรถเป็นที่ทิ้งขยะ" อย่าลืมลงโทษอีแก้วตาพม่ารามัญอีกคน #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    Haha
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1653 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข้าวเหนียวห่อใบตอง จากใจฅนดอยคำ

    เมื่อวันก่อนมีภาพข้าวเหนียวไก่ย่างห่อใบตองติดป้ายดอยคำ ที่นำไปแจกจ่ายแก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมจังหวัดเชียงราย ถูกนำไปโจมตี ผลก็คือมีชาวเน็ตจำนวนมากตอบโต้ ถึงข้อดีของการนำอาหารห่อใบตอง เมื่อเทียบกับกล่องพลาสติกหรือโฟม เพราะเมื่อทิ้งเป็นขยะ ใบตองสามารถย่อยสลายตามธรรมชาติได้ นอกจากนี้ เมนูข้าวเหนียวสามารถเก็บไว้ได้นานโดยไม่เน่าเสียง่าย

    ต่อมาเฟซบุ๊กเพจ ดอยคำ - Doi Kham ของบริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด เผยแพร่ภาพที่บริษัทฯ มอบหมายให้โรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปที่ 2 (แม่จัน) พร้อมด้วยฅนดอยคำ ร่วมแรงร่วมใจกัน จัดทำข้าวเหนียวไก่ทอดห่อใบตองเพิ่มจำนวน 500 ชุด สำหรับนำไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย และน้ำป่าไหลหลากในพื้นที่อำเภอแม่สาย และ อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย โดยได้รับสนับสนุนเงินบริจาคจากเจ้าหน้าที่ พนักงานฅนดอยคำ ประจำสำนักงานใหญ่และโรงงานหลวงฯ ทั้ง 3 แห่ง นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์น้ำดื่ม น้ำผลไม้พร้อมดื่ม ข้าวสารและอาหารแห้งอีกด้วย

    หนึ่งในภาพที่นำมาเผยแพร่ เป็นกระบวนการผลิตข้าวเหนียวไก่ทอดห่อใบตอง ที่พบว่าพนักงานพิถีพัถัน โดยเฉพาะการสวมหมวกคุมศีรษะ การใช้ถุงมือในการปรุงอาหาร และหยิบจับอาหารมาบรรจุลงในใบตอง แสดงให้เห็นถึงการปฎิบัติตามหลักความปลอดภัยทางอาหาร (Food Safety) อย่างสม่ำเสมอ แม้จะเป็นกิจกรรมทำอาหารเพื่อแจกจ่ายก็ตาม

    สำหรับดอยคำก่อตั้งเมื่อปี 2537 ดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมผลไม้แปรรูป ในรูปแบบธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) ส่งเสริมการเพาะปลูกและรับซื้อผลผลิตทางการเกษตรจากเกษตรกรในราคาที่เป็นธรรม โดยมีกำไรพอเพียงเลี้ยงตัวเองได้ ใช้ในการดูแลพนักงาน นำกลับมารับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรในราคาที่สูงกว่าท้องตลาด และวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ปัจจุบันมีโรงงานอาหารสำเร็จรูป 3 แห่ง ในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และสกลนคร

    ข้อมูลจากสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 30 กล่าวถึงการใช้ประโยชน์จากใบตองว่า ใช้ในการห่อผักสดและอาหาร เนื่องจากใบตองสดมีความชื้น ช่วยรักษาผักหรืออาหารให้สดอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังทนทานต่อความเย็นและความร้อน เมื่อนำใบตองห่ออาหารแล้วเอาไปปิ้ง นึ่ง ต้ม จะไม่สลายหรือละลายเหมือนพลาสติก จึงมีอาหารหลายอย่างที่ห่อใบตองแล้วนำไปนึ่ง เช่น ห่อหมก ข้าวต้มผัด ขนมกล้วย ขนมตาล ขนมใส่ไส้ หรือเอาไปปิ้ง เช่น ข้าวเหนียวปิ้ง หรือนำไปต้ม เช่น ข้าวต้มมัด หรือข้าวต้มจิ้ม อาหารเหล่านี้ยังทำให้เกิดความหอมของใบตองอีกด้วย สำหรับใบตองแห้ง นำมาใช้ทำกระทงเพื่อใส่อาหาร ห่อกะละแม มวนบุหรี่ โดยใบตองแห้งก็จะมีกลิ่นหอมเช่นกัน

    #Newskit #น้ำท่วมเชียงราย #ดอยคำ
    ข้าวเหนียวห่อใบตอง จากใจฅนดอยคำ เมื่อวันก่อนมีภาพข้าวเหนียวไก่ย่างห่อใบตองติดป้ายดอยคำ ที่นำไปแจกจ่ายแก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมจังหวัดเชียงราย ถูกนำไปโจมตี ผลก็คือมีชาวเน็ตจำนวนมากตอบโต้ ถึงข้อดีของการนำอาหารห่อใบตอง เมื่อเทียบกับกล่องพลาสติกหรือโฟม เพราะเมื่อทิ้งเป็นขยะ ใบตองสามารถย่อยสลายตามธรรมชาติได้ นอกจากนี้ เมนูข้าวเหนียวสามารถเก็บไว้ได้นานโดยไม่เน่าเสียง่าย ต่อมาเฟซบุ๊กเพจ ดอยคำ - Doi Kham ของบริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด เผยแพร่ภาพที่บริษัทฯ มอบหมายให้โรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปที่ 2 (แม่จัน) พร้อมด้วยฅนดอยคำ ร่วมแรงร่วมใจกัน จัดทำข้าวเหนียวไก่ทอดห่อใบตองเพิ่มจำนวน 500 ชุด สำหรับนำไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย และน้ำป่าไหลหลากในพื้นที่อำเภอแม่สาย และ อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย โดยได้รับสนับสนุนเงินบริจาคจากเจ้าหน้าที่ พนักงานฅนดอยคำ ประจำสำนักงานใหญ่และโรงงานหลวงฯ ทั้ง 3 แห่ง นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์น้ำดื่ม น้ำผลไม้พร้อมดื่ม ข้าวสารและอาหารแห้งอีกด้วย หนึ่งในภาพที่นำมาเผยแพร่ เป็นกระบวนการผลิตข้าวเหนียวไก่ทอดห่อใบตอง ที่พบว่าพนักงานพิถีพัถัน โดยเฉพาะการสวมหมวกคุมศีรษะ การใช้ถุงมือในการปรุงอาหาร และหยิบจับอาหารมาบรรจุลงในใบตอง แสดงให้เห็นถึงการปฎิบัติตามหลักความปลอดภัยทางอาหาร (Food Safety) อย่างสม่ำเสมอ แม้จะเป็นกิจกรรมทำอาหารเพื่อแจกจ่ายก็ตาม สำหรับดอยคำก่อตั้งเมื่อปี 2537 ดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมผลไม้แปรรูป ในรูปแบบธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) ส่งเสริมการเพาะปลูกและรับซื้อผลผลิตทางการเกษตรจากเกษตรกรในราคาที่เป็นธรรม โดยมีกำไรพอเพียงเลี้ยงตัวเองได้ ใช้ในการดูแลพนักงาน นำกลับมารับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรในราคาที่สูงกว่าท้องตลาด และวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ปัจจุบันมีโรงงานอาหารสำเร็จรูป 3 แห่ง ในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และสกลนคร ข้อมูลจากสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 30 กล่าวถึงการใช้ประโยชน์จากใบตองว่า ใช้ในการห่อผักสดและอาหาร เนื่องจากใบตองสดมีความชื้น ช่วยรักษาผักหรืออาหารให้สดอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังทนทานต่อความเย็นและความร้อน เมื่อนำใบตองห่ออาหารแล้วเอาไปปิ้ง นึ่ง ต้ม จะไม่สลายหรือละลายเหมือนพลาสติก จึงมีอาหารหลายอย่างที่ห่อใบตองแล้วนำไปนึ่ง เช่น ห่อหมก ข้าวต้มผัด ขนมกล้วย ขนมตาล ขนมใส่ไส้ หรือเอาไปปิ้ง เช่น ข้าวเหนียวปิ้ง หรือนำไปต้ม เช่น ข้าวต้มมัด หรือข้าวต้มจิ้ม อาหารเหล่านี้ยังทำให้เกิดความหอมของใบตองอีกด้วย สำหรับใบตองแห้ง นำมาใช้ทำกระทงเพื่อใส่อาหาร ห่อกะละแม มวนบุหรี่ โดยใบตองแห้งก็จะมีกลิ่นหอมเช่นกัน #Newskit #น้ำท่วมเชียงราย #ดอยคำ
    Like
    Love
    10
    3 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 816 มุมมอง 0 รีวิว
  • กรมการค้าต่างประเทศเตรียมยกระดับสกัดกั้นการนำเข้าเศษกระดาษ หลังตรวจสอบพบ 400 ตัน จากประเทศสหรัฐอเมริกา นำเข้าโดยบริษัทเอสซีจี อินเตอร์เนชันแนล คอร์ปอเรชัน จำกัด โดยใช้วิธีการสำแดงเป็นเศษกระดาษลูกฟูก เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ที่ผ่านมา มีขยะเจือปนอยู่เป็นจำนวนมากเข้าข่ายเป็น "ขยะเทศบาล"
    .
    จากข้อมูลของกรมการค้าต่างประเทศ ตั้งแต่ต้นปี 2567 ได้รับการรายงานมาเป็นระยะว่ามีผู้ประกอบการสำแดงการนำเข้าเศษกระดาษ แต่เมื่อตรวจสอบกลับพบว่ามีวัสดุอื่นเจือปนอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น ของใช้แล้วจำพวกขวดพลาสติก โฟม ถุงพลาสติก กระป๋องน้ำอัดลม ผ้าอ้อมสำเร็จรูป หน้ากากอนามัย ถุงน้ำยาทางการแพทย์และสายยาง
    .
    อย่างกรณีล่าสุดที่ปรากฏเป็นข่าวว่า กรมศุลกากรตรวจพบเศษพลาสติกและขยะติดเชื้อที่เข้าข่ายเป็น "ขยะเทศบาล" นำเข้าโดยบริษัทเอสซีจี อินเตอร์เนชันแนล คอร์ปอเรชัน จำกัด โดยใช้วิธีการสำแดงเป็นเศษกระดาษลูกฟูก น้ำหนักรวมกว่า 400 ตัน จากประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ที่ผ่านมา
    .
    “การตรวจสอบพบการนำเข้าเศษกระดาษที่เจือปนของเสียหรือวัสดุอื่น ๆ ซึ่งมีวัสดุที่เข้าข่ายเป็นขยะอันตราย และของเสียทางการแพทย์ เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและได้สร้างความเสียหายต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก รวมทั้งส่งผลเสียต่อสุขภาพของประชาชนโดยตรง หากยังพบว่ามีการนำเข้าเศษกระดาษโดยมีของเสียและวัสดุอื่น ๆ ที่เป็นอันตรายเจือปน กระทรวงพาณิชย์จำเป็นต้องกำหนดมาตรการที่เข้มงวด เช่น การห้ามนำเข้าเศษกระดาษหรือการกำหนดมาตรการใบอนุญาตนำเข้าเศษกระดาษที่ต้องกลั่นกรองอย่างเข้มงวดเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวต่อไป” อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเน้นย้ำ

    ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/4REeUyGFUExELep6/?mibextid=CTbP7E

    #Thaitimes
    กรมการค้าต่างประเทศเตรียมยกระดับสกัดกั้นการนำเข้าเศษกระดาษ หลังตรวจสอบพบ 400 ตัน จากประเทศสหรัฐอเมริกา นำเข้าโดยบริษัทเอสซีจี อินเตอร์เนชันแนล คอร์ปอเรชัน จำกัด โดยใช้วิธีการสำแดงเป็นเศษกระดาษลูกฟูก เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ที่ผ่านมา มีขยะเจือปนอยู่เป็นจำนวนมากเข้าข่ายเป็น "ขยะเทศบาล" . จากข้อมูลของกรมการค้าต่างประเทศ ตั้งแต่ต้นปี 2567 ได้รับการรายงานมาเป็นระยะว่ามีผู้ประกอบการสำแดงการนำเข้าเศษกระดาษ แต่เมื่อตรวจสอบกลับพบว่ามีวัสดุอื่นเจือปนอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น ของใช้แล้วจำพวกขวดพลาสติก โฟม ถุงพลาสติก กระป๋องน้ำอัดลม ผ้าอ้อมสำเร็จรูป หน้ากากอนามัย ถุงน้ำยาทางการแพทย์และสายยาง . อย่างกรณีล่าสุดที่ปรากฏเป็นข่าวว่า กรมศุลกากรตรวจพบเศษพลาสติกและขยะติดเชื้อที่เข้าข่ายเป็น "ขยะเทศบาล" นำเข้าโดยบริษัทเอสซีจี อินเตอร์เนชันแนล คอร์ปอเรชัน จำกัด โดยใช้วิธีการสำแดงเป็นเศษกระดาษลูกฟูก น้ำหนักรวมกว่า 400 ตัน จากประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ที่ผ่านมา . “การตรวจสอบพบการนำเข้าเศษกระดาษที่เจือปนของเสียหรือวัสดุอื่น ๆ ซึ่งมีวัสดุที่เข้าข่ายเป็นขยะอันตราย และของเสียทางการแพทย์ เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและได้สร้างความเสียหายต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก รวมทั้งส่งผลเสียต่อสุขภาพของประชาชนโดยตรง หากยังพบว่ามีการนำเข้าเศษกระดาษโดยมีของเสียและวัสดุอื่น ๆ ที่เป็นอันตรายเจือปน กระทรวงพาณิชย์จำเป็นต้องกำหนดมาตรการที่เข้มงวด เช่น การห้ามนำเข้าเศษกระดาษหรือการกำหนดมาตรการใบอนุญาตนำเข้าเศษกระดาษที่ต้องกลั่นกรองอย่างเข้มงวดเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวต่อไป” อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเน้นย้ำ ที่มา : https://www.facebook.com/share/p/4REeUyGFUExELep6/?mibextid=CTbP7E #Thaitimes
    Like
    Sad
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 921 มุมมอง 0 รีวิว
  • กิจกรรม DIY รักษ์โลก โดย ครูศรีพิมล
    เพื่อช่วยกัน​ลดขยะ​ ลดโลกร้อน​ พิทักษ์โลกให้กรีนได้ง่ายๆ​ ด้วยการนำขยะ​มา​ reuse เป็นข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน​ เช่น​ กระบุง​ กระเป๋า​ กล่องกระดาษ​ทิชชู่​ ด้วยซองกาแฟสำเร็จรูป​

    เรียนทุกวันพุธ เว้นพุธ เวลา 13.00 - 14.30 น.
    ที่ สมาคมบ้านปันรัก อารีย์ ซ.1 (ใกล้ BTS อารีย์)

    ------------------------------------------------
    🔹 กิจกรรมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย🔹
    ------------------------------------------------

    #สมาคมบ้านปันรัก #เรียนฟรี #เรียนออนไลน์ #คอร์สเรียน #คลาสเรียน #เสริมทักษะ #อัพสกิล #ผู้สูงวัย #thaitimes
    กิจกรรม DIY รักษ์โลก โดย ครูศรีพิมล เพื่อช่วยกัน​ลดขยะ​ ลดโลกร้อน​ พิทักษ์โลกให้กรีนได้ง่ายๆ​ ด้วยการนำขยะ​มา​ reuse เป็นข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน​ เช่น​ กระบุง​ กระเป๋า​ กล่องกระดาษ​ทิชชู่​ ด้วยซองกาแฟสำเร็จรูป​ เรียนทุกวันพุธ เว้นพุธ เวลา 13.00 - 14.30 น. ที่ สมาคมบ้านปันรัก อารีย์ ซ.1 (ใกล้ BTS อารีย์) ------------------------------------------------ 🔹 กิจกรรมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย🔹 ------------------------------------------------ #สมาคมบ้านปันรัก #เรียนฟรี #เรียนออนไลน์ #คอร์สเรียน #คลาสเรียน #เสริมทักษะ #อัพสกิล #ผู้สูงวัย #thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 881 มุมมอง 226 0 รีวิว
  • ไม่ต้องฟูมฟายไปนะคะ ติ่งขา………พี่ปูคมทั้งในฝักและนอกฝักเชียว……!!!

    ตอนเจ็ด………ตำแหน่งที่ได้รับ……ไม่ได้มาจากโชคหรือการจับฉลาก……แต่ด้วยความสามารถและความอุตสาหะล้วนๆ

    ที่ปูตินลังเลนั้น……เขาเพียงแต่ห่วงว่าครอบครัวจะปรับชีวิตและความเป็นอยู่ได้มากน้อยแค่ไหน เพราะสังคมที่มอสโคว์กับกรุงเซนต์ต่างกันมากมาย
    แต่เมื่อได้คุยกับลุดมิลา เธอและลูกๆไม่มีปัญหาอะไร ไปไหนก็ได้เพราะอำนาจในการตัดสินก็อยู่ที่ช้างเท้าหน้าคือปูตินอยู่แล้ว และตัวเธอเองก็จะได้มีอิสระกับสายตาของแม่สามีไปเสียบ้าง

    สาเหตุก็เพราะรัฐบาลของเยลซินต้องการ”น้ำใหม่”มาแทนที่น้ำเสียที่รวมกันกันเป็นกระจุกอยู่ในเครมลิน เพราะความผิดพลาดในเรื่องการทำสงครามปราบปรามที่ Chechen ในปี 1994 ที่ทุกคนคิดว่า
    วันสองวันก็คงจบ……แต่ที่ไหนได้ มาลากถ่วงยาวมาจนตอนนี้
    รวมทั้งสุขภาพที่ลดถอยของเยลซินเอง ที่เป็นโรคหัวใจกำเริบในตอนต้นปี 1995 ที่ทำให้เขาไม่ได้ปรากฏตัวออกสู่สายตาของประชาชน

    นี่คือเหตุผลที่ปูตินได้เข้ามาเป็นน้ำใหม่ในมอสโคว์ ในเดือนกันยายน 1996 และได้รับบ้านประจำตำแหน่งที่ค่อนข้างหรูหราอยู่ใกล้ๆกับเครมลิน
    เขาได้นำเพื่อนคู่ใจมาช่วยงานด้วยสองคน จากเซนต์ ปีเตอร์เบอร์ก คือ Sergei Chemezov**และ Igor Sechin***

    เจ้านายของเขา ปาเวล ได้มอบหมายงานให้เป็นฝ่ายดูแลอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด จะต้องมีการคัดกรอง บริหารที่ดิน ตึกอาคารกันใหม่ เพราะในยุคของโซเวียต ทุกอย่างเป็นของรัฐบาล แต่ตอนนี้ก่อนที่จะมีการจำหน่าย หรือ จัดสรร ออกโฉนดจะต้องทำการประเมิน
    ซึ่งมันหมายถึงงานที่มากมายมหาศาล เพราะพื้นที่ที่จะต้องดูแลทั้งหมด คือ 78 เขตจังหวัด และ ต่างประเทศ(ในความควบคุมของโซเวียต) อื่นๆ เช่น อาคารที่ตั้งสถานทูต โรงเรียน
    รวมทั้งที่ยูเครน

    เรียกได้ว่า งานนี้ ทำให้ปูตินได้รู้หมดถึงทรัพย์สินของรัสเซียว่าอยู่ที่ไหน และ มีค่าเท่าใด
    และยิ่งค้นไป……เขาได้เห็นความไม่ชอบมาพากลหลายๆอย่าง เช่นพื้นที่สำคัญหลายแห่งถูกปล่อยให้เช่า แม้แต่ทรัพย์สินที่มีในสวิสเซอร์แลนด์ก็เช่นกัน ที่ขายไปในราคาที่เหมือนจะให้ฟรี จากชื่อบริษัท หรือ องค์กรประหลาดๆ
    ยิ่งค้นไปก็เจอว่าเป็นการ”ลักไก่” จากในหมู่ข้าราชการด้วยกัน

    เขาได้ทำรายงานให้กับทางต้นสังกัดให้ทราบเป็นเอกสารอย่างครบถ้วน เพื่อที่จะจัดการกันต่อไป เพราะเขาถือว่า
    หน้าที่ของเขา คือ การรวบรวมเอกสารและข้อมูล
    ส่วนการพิจารณาโทษ……เป็นหน้าที่ของหน่วยที่เกี่ยวข้อง

    แต่การดำเนินการล่าช้าจนเกินเหตุเพราะในช่วงนั้น มีสงครามที่เชเชน ที่มีแม่ทัพผู้อำนวยการ คือ นายพล Alexandr Lebed จอมยะโสคนนั้น
    ที่ได้สร้างผลงานให้อับอายไปทั่ว คือ แทนที่จะสยบเชเชน ดินแดนชายแดนขนาดเล็กแค่นั้น แต่ทำไม่สำเร็จ (สิงหาคม 1996)
    แถมจะยอมเจรจาสงบศึกทำสนธิสัญญาที่เสียเปรียบเข้าไปอีก
    งานนี้ทำให้เกิดกระแสที่เสียหายกับรัฐบาลของเยลซิน
    เหล่าคณะมนตรีเริ่มลุกขึ้นมาทะเลาะกันลั่นสภา
    หลายคนเรียก นายพล Alexandr Lebed ว่าเป็น “Little Napoleon” (คือ ปากดี ทีเหลว) หรือ “ไอ้กองทัพไม่มีน้ำยา”
    กระแสโกรธแค้นของประชาชนเริ่มทวีขึ้น
    จนไม่กี่วันต่อมา เยลซินต้องทำการปลดท่านนายพลออกจากตำแหน่ง

    การปรับเปลี่ยนตำแน่งได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง ปูตินได้ขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการแห่งองค์กรรวม ( Chief of Staff) ที่เทียบเท่ากับ
    อธิบดี ที่ไม่กี่วันต่อมาหลังจากที่ได้รับตำแหน่ง สภาได้ออกกฏหมายใหม่ เพิ่มอำนาจให้กับเขาอีก ในการขยายวงสอบสวนการทุจริต ยักยอก รวมไปถึงการคอร์รัปชั่นที่ทำให้ประเทศสูญเสียรายได้ ไม่ว่าจะเป็น ข้าราชการ, พนักงานลูกจ้าง และการสัมปทานต่างๆ
    งานนี้ ปูตินได้เจอะเจองานช้างเข้าหลายงาน เช่น อดีตนายพล Paval Grachev คนสนิทของเยลซิน ที่ควบคุมกองทัพในคอร์เคซัส ตั้งแต่ปี 1993-1996 ได้นำรถถังและอาวุธต่างๆที่มีมูลค่ากว่า หนึ่งพันล้านดอลล่าร์ ไปให้กับกองทัพของอาร์เมเนี่ยน ในสงครามกับ อาร์เซอร์ไบจาน
    ซึ่งเป็นการกระทำที่ถือว่าขายชาติ เพราะ รัสเซียอยู่ฝ่ายสนับสนุนอาเซอร์ไบจาน

    แต่…ทุกอย่างได้ผ่านไปก่อนที่ปูตินจะก้าวเข้ามา เขาจะไปทำอะไรได้ นอกจากจะต้องเลี้ยงนายพลคนนี้ต่อไป เนื่องจากว่าเป็นนายพลระดับวงในของเยลซที่เปรียบเหมือนตัวอันตราย ถ้าบีบคั้น……
    ก็อาจจะตกไปอยู่ในมือของชาติอื่นที่ต้องการล้วงความลับ
    ดังนั้น จึงต้องใช้วิธีเลี้ยงเอาไว้ แล้วใส่ปลอกคอล่ามโซ่ให้สั้น
    โดยที่เขาใช้วิธีให้สัมภาษณ์กับนักข่าว
    ในเวลาที่ถูกถามถึงเรื่อง
    “นายพล เมอร์ซิเดส” เพราะนายพลคนนี้ชอบใช้รถหรูเกินฐานะ
    ว่า เรื่องการตรวจสอบคอร์รัปชั่นค้าอาวุธกับฝ่ายตรงข้ามนั้นไปถึงไหนแล้ว
    ปูตินตอบเรียบๆว่า “เราได้เอกสารพร้อมทุกอย่างแล้ว ข้อมูลครบ จะส่งขึ้นไปให้ฝ่ายกฎหมายต่อไป”
    นักข่าวถามต่อว่า
    “นายพลเมอร์ซิเดสได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่..??”
    “ก็ไม่มีนะ ไม่มีชื่อของ Gen. Pavel Grachev มาเกี่ยวข้องด้วย “

    นี่คือการทำงานของปูตินที่ต้องรักษาภาพลักษณ์ให้กับเยลซิน
    แต่มืออีกข้างหนึ่งเขาได้จัดการไปตามกฏหมายเอาผิด ใช้เวลาถึงสิบปี ที่ได้เอานายพลและคณะออกจากตำแหน่งได้สำเร็จ (2007)
    หรืองานคอร์รัปชั่นในหน่วยสร้างทางที่เป็นเงินมหาศาลที่มีข้าราชการเกี่ยวข้องทำผิดถึง 260 คน (ในเมษายน ปี 1997)
    หรือใน Stavropol เชือดไปอีก 450 คน (ในกันยายน 1997)

    เรื่องนายพลที่ต้องล่าช้านานขนาดนั้น เพราะปูตินไม่มีอำนาจในบทลงโทษที่เป็นงานส่วนตุลาการ
    เขาทำได้แค่ชี้มูลความผิดพร้อมหลักฐานที่หนาแน่น

    เพราะการทำงานไล่บี้การยักยอกนั้น ทำให้ปูตินต้องเข้าติดต่อกับงานเดิมอีก คือ KGB ที่ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น FSB (แต่อาคารที่ทำงานยังอยู่ที่เดิม) อยู่บ่อยๆ เท่ากับว่าเขาได้กลับไปเยือนบรรยากาศเก่าๆอีกครั้ง

    และจากงานที่ต้องมาดูพื้นที่และทรัพยากรของชาติ ที่เขาได้ทำงานอย่างไหลลื่นนั้น ก็ไม่ใช่ว่าเขาเหนือมนุษย์……
    หากแต่มันเป็นเรื่องบังเอิญอย่างที่สุด ที่เขาเกิดความสนใจในเรื่องเศรษฐศาสตร์ เพราะจากงานที่ทำอยู่ในสภาเทศบาลที่กรุงเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในช่วงที่อนาโตลีได้แพ้เลือกตั้ง
    ปูตินเริ่มมีเวลาว่าง เพราะมีหน้าที่เพียงแต่อำนวยความสะดวกให้กับทีมใหม่
    เขาใช้เวลานั้น ไปลงเรียนวิชาบริหารเหมืองแร่และทรัพยากรน้ำมัน ที่ Georgi Plekhanov Mining Institute
    แทนที่จะไปเรียนต่อทางด้านกฎหมาย
    และไม่ได้ไปเรียนคนเดียว เขาเอาเพื่อนรักทั้งสอง Viktor Zubkov กับ Igor Sechin ไปนั่งเรียนกันด้วย

    ปลายปี 1996 (เข้าเรียนกลางปี 1995) ที่ปูตินสามารถส่งแฟ้ม Thesis ที่หนากว่า 250 หน้า ในเรื่องทรัพยากรแร่ธาตุที่เปรียบเสมือนทองคำของประเทศ
    ได้สำเร็จสวยงาม เพราะเขาได้ติวเตอร์คนสำคัญมาช่วย
    นั่นคือ Vladimir Litvenenko ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญเหมืองแร่ ที่ไปค้นคว้าหาตำราจากยุโรปมาแปลให้เป็นภาษารัสเซีย
    เรื่องนี้ ปูตินและเพื่อนๆที่พากันไปเรียนก็ไม่ได้ไปโอ้อวดที่ไหน ตอนนั้นที่ไปลงเรียน ก็เพราะมีเวลาว่าง
    เขาเพียงแต่คิดว่า……ในสายงานทางกฎหมายของเขาควรจะต้องรู้เรื่องทรัพยาการที่เป็นธุรกิจหลักของประเทศให้ดีขึ้น

    และเขาก็ได้ใช้มันจริงๆที่มอสโคว์ เพราะเขาได้รู้ทันเจ้ากรมพลังงานที่มีการเล่นตลกกับใบสัมปทาน……แต่ก็พูดมากไปไม่ได้ เพราะนั่นคือกลุ่มคนในวงในของเยลซิน

    แต่ทีนี้ความไม่เป็นธรรมได้เกิดขึ้นกับคดีของอนาโตลี เจ้านายเก่า
    เพราะหลังจากที่อะนาโตลี ถูกกลุ่มวงในมอสโคว์”เท”จนไม่ได้รับการสนับสนุนเลือกตั้งนั้น เขาได้” โวย” กับเยลซิน
    ที่ได้รับการตอบสนอง คือ เยลซินเอาพวกนั้นออกไปเป็นแผงก็จริง ………แต่คนกลุ่มนั้นก็ไม่ได้ไปไหน หรือ รับโทษอะไร
    ยังวนเวียนเป็นที่ปรึกษาอยู่รอบตัวเยลซินเหมือนเดิม
    แถมอนาโตลี ได้มีศัตรูเพิ่มอย่างออกหน้าออกตาอีกต่างหาก
    การกลั่นแกล้งจึงได้เกิดขึ้น แบบชนิดให้ได้อาย
    เช่นอนาโตลีมีการประชุมกับคณะมนตรีจาก UNESCO
    จู่ๆก็มีตำรวจบุกไปกลางงาน ขอควบคุมตัวไปสอบสวนในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เขากลายเป็นผู้ต้องหาที่มีหมายจับ
    จนเขาเครียดถึงกับล้มป่วย เข้าโรงพยาบาล
    ครอบครัวต้องการให้แพทย์จากมอสโคว์มารักษา

    ปูตินบินด่วนไปเยี่ยมทันที และจัดการส่งเขาเข้าโรงพยาบาลทหาร จัดการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาพร้อม
    และที่เขาทำมากกว่านั้น มากเกินอำนาจเขาไปอีก คือ จัดเช่าเครื่องบินส่วนตัวจากฟินแลนด์นำตัวเขาออกนอกประเทศไปยังกรุงปารีส
    โดยให้เหล่า KGB นำขบวนรถฉุกเฉินไปยังสนามบิน
    หมายจับอะไรก็ไม่สำคัญทั้งนั้น ทุกอย่างผ่านตลอด พาสปอร์ต
    ประทับตรา ผ่านศุลกากร

    การกล้าทำแบบนี้ ถือว่าเป็นการฉีกกฎหมายทิ้ง และเสี่ยงต่อการเสียอนาคตของปูตินที่กำลังจะไปได้สวย
    แต่……สำหรับอนาโตลีแล้ว ปูตินพร้อมแลกเพื่อที่จะช่วยเหลือตอบแทนผู้ที่เคยมีพระคุณ
    เพราะเขาได้เห็นมาตลอดว่า เรื่องราวนั้นเป็นอย่างไร ในประเทศที่กฎหมายไม่สามารถบังคับใช้อะไรได้ ความผิดของอนาโตลีนั้นเทียบเท่ากับเมล็ดทรายของคนหลายๆคนในเครมลิน

    คนที่ชื่นชมกับความกตัญญูและการกล้าตัดสินใจของปูติน ในครั้งนี้ คือ ท่านประธานธิบดี Boris Yentsin เพราะท่านว่า
    ถ้าเกิดขึ้นกับเรา…จะมีใครที่ไหนที่จะกล้ามาช่วยเราขนาดนี้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย……?!!!

    ปูตินเริ่มเป็นที่จับตามองจากคณะท่านผู้นำ ในวันที่ 21 มีนาคม 1998 เยลซินได้เรียกให้นายกรัฐมนตรี Viktor Chernomydrin
    เข้ามาพบที่บ้านพักส่วนตัว เพื่อที่จะบอกว่า วิคเตอร์ทำหน้าที่นี้มานานถึงห้าปีแล้ว แต่ไม่มีอะไรดีขึ้น ทุกอย่างยังกวาดเข้าไปซุกอยู่ใต้พรม……เขาต้องการคนที่จะมา”ยกพรมขึ้น” แล้ว “กวาดขยะออกให้หมด” เพื่อบ้านจะได้น่าอยู่
    ฉะนั้น……ที่ให้มาพบในครั้งนี้ คือการไล่ออก……

    เยลซินได้เสนอชื่อ Sergei Kiriyenko อดีตนายธนาคารที่เป็นนักการเมืองหนุ่มวัย 35 ปี ต่อสภา……สภาไม่ผ่านทั้งสองครั้ง
    แต่ต่อมา……ด้วยแรงผลักดันของเยลซิน……ก็ผ่านฉลุย
    ส่วนอดีตนายกฯที่ถูกไล่ออกไป ก็ฮึ่มๆ ประกาศว่าเขาจะลงเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยหน้า จะได้รู้หมู่รู้จ่ากันไป.…

    นายทุนกระเป๋าหนัก Boris Berezovsky ที่สนับสนุนเยลซิน
    เพราะมีผลประโยชน์มหาศาลนั้น เริ่มเข้ามามีบทบาทช่วยเลือก
    เพราะกลุ่มคนวงในเก่าๆเท่าที่เห็น ต่างก็จะเข้ามาขวางทางการค้าของเขาทั้งสิ้น เพราะทุกคนต่างมีเส้นสายในกิจการสารพัดอยู่แล้ว

    ไม่ทันที่ใครจะคิดอ่านทำอะไร กระดานหุ้นรัสเซียตกฮวบ
    หุ้นบริษัทพลังงาน Rosneft ที่รัฐบาลถือหุ้นใหญ่ ตกดิ่ง
    บริษัทลงทุนจากต่างชาติได้พากันถอนหุ้น เงินรูเบิ้ลสูญเสียมูลค่าที่รัฐบาลก็เอาไม่อยู่
    การแทรกแซงจากต่างชาติเริ่มเข้ามา ทั้งจากภาคการเมือง
    และเศรษฐกิจ
    เยลซินเริ่มเห็นแล้วว่า สาเหตุที่เกิดเช่นนั้น เพราะฝีมือของกลุ่มพ่อมดทางการเงิน จากคนรอบตัว (Oligarchs) ของเขาเองที่ส่วนใหญ่แล้ว คือยิว ที่มาปั่นกระแสขาขึ้นให้ แล้วก็ถีบหัว ตบคว่ำ……

    เยลซินเริ่มโดดเดี่ยว เขาต้องหาคนที่จะคอยพิทักษ์ปกป้อง และจะเข้ามาช่วยขจัดเหลือบไรพวกนี้ให้ออกไปให้พ้นจากชาติบ้านเมืองได้ ก็มีอยู่องค์กรเดียว คือ FSB (KGB) ที่เขาไม่ได้สนใจ ใส่ใจดูแลมานานแสนนาน
    ซึ่งเข้าทาง Boris Berezovsky (ยิวหนึ่งใน Oligarchs) ได้เสนอชื่อ ปูติน เพราะเขาเล่าว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดที่จะเปิดบริษัทขายรถยนตร์ในเลนินกราด ได้ไปติดต่อกับปูตินเพื่อขอใบอนุญาตการค้า และได้ยื่นซองใต้โต๊ะให้
    แต่ถูกปฏิเสธ……ไม่รับ……!!!
    เยลซินเห็นด้วย (จากเรื่องของอนาโตลี) เขาบอกว่า……”ตอนแรกเราเห็นว่าปูตินเขาเป็นคนเฉยๆ เพราะเห็นเขาเงียบๆ ไม่ค่อยพูดอะไร แต่เพิ่งรู้เหมือนกัน ว่า เป็นคนที่คมในฝัก”

    นายกรัฐมนตรีคนใหม่หมาดๆ Sergei Kiriyenko ได้รับคำสั่งให้ที่มอสโคว์ เพื่อแจ้งข่าวกับปูติน
    ปูตินจึงไปรอรับท่านนายกฯ ที่สนามบิน ที่เขาคิดว่า เรื่องด่วนแบบนี้ ไม่น่าที่จะเป็นข่าวมงคล
    ทันทีที่ได้พบหน้ากัน ท่านนายกฯ ได้ปรี่เข้ามาจับมือขอแสดงความยินดี พร้อมกับบอกว่า “ดีใจด้วยนะ”
    “ดีใจอะไรหรือครับ..?”
    “ท่านประธานาธิบดีได้ทำการแต่งตั้งและลงนามให้นายเป็นผู้อำนวยการ FSB (KGB) น่ะซิ”

    ปูตินงงนิดหน่อย แต่เขาพอรู้มาบ้างแล้วว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงงานของเขาให้กลับไปอยู่ในสายงานเดิม แต่ไม่คิดว่า จะก้าวขึ้นไปเป็นผู้อำนวยการเลย…
    สิ่งแรกที่เขาทำ นั้นคือ ติดต่อไปยังลุดมิลาที่พาลูกๆไปพักผ่อน
    ที่ชายฝั่งทะเลบอลติด
    ด้วยข้อความที่ส่งแบบสายลับ คือ……
    “ฟังให้ดีนะ……ผมกำลังจะกลับไปในที่ที่ผมจากมา..”
    ลุดมิลาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ……
    เขาจึงย้ำประโยคเดิมถึงสามครั้ง…ก่อนที่จะวางสายไป

    ลุดมิลาทำท่าเหนื่อยใจ……เธอบอกกับตัวเองว่า
    “ชั้นจะไปรู้เรื่องกับเธอไหม……ก็เปลี่ยนงานมานับสิบครั้งแล้วเนี่ยยย……?!!!

    ~~~ขยายความ

    Sergei Chemezov** เพื่อนรักของปูติน จากสถาบัน KGB
    ต่อมาคือ CEO ของบริษัท Rostec ที่สร้างอาวุธ และยุทโธปกรณ์ให้กับกองทัพของรัสเซีย

    Igor Sechin*** อีกหนึ่งศิษย์ร่วมสถาบัน KGB ปัจจุบัน คือ CEO ของ บริษัทน้ำมันและพลังงาน Rosneft

    ทั้งสองคนได้ถูกทางตะวันตกยึดเรือหรูมูลค่าพันล้านไปในทะเลเมติเตอเรเนียน พร้อมทั้งเป็นบุคคลที่โดนแซงชั่นในธนาคาร
    เมื่อถูกถามถึงความเห็น เขาสองคนหัวเราะ บอกว่า จิ๊บๆ
    แต่รอเขาจะฟ้องกลับเรียกค่าเสียหาย เพราะนั่นคือทรัพย์สินส่วนตัว และไม่ได้ล่วงล้ำในน่านน้ำเพราะมีเอกสารสิทธิ์ และมีการจ่ายค่าการท่าและภาษีอย่างถูกต้อง

    Viktor Zubkov**** เคยเป็นรองนายกรัฐมนตรีเมื่อปูตินเป็นนายกฯ ปัจจุบันนี้เป็นประธานบอร์ดของ บริษัท Gazprom
    คนนี้ก็โดนยึดเรือหรูไป ก็จิ๊บๆอีกเหมือนกัน

    ปูตินมีระบบดูแลคนใกล้ตัวที่ดียิ่ง เขาเลือกคนที่มีความสามารถเข้าไปนั่งในตำแหน่งบริหาร บอกว่า ไม่ต้องคอร์รัปชั่น
    เพราะแค่โบนัสหนึ่งเปอร์เซ็นต์ต่อปี ชาตินี้ก็ใช้ไม่หมด………

    แหม……………ก้อ…แต่ละบริษัทที่เอ่ยมากำไรปีละเป็นแสนล้าน ต่อให้ชาติหน้าชาติโน้นก็ใช้ไม่หมด………!!

    Wiwanda W. Vichit
    ไม่ต้องฟูมฟายไปนะคะ ติ่งขา………พี่ปูคมทั้งในฝักและนอกฝักเชียว……!!! ตอนเจ็ด………ตำแหน่งที่ได้รับ……ไม่ได้มาจากโชคหรือการจับฉลาก……แต่ด้วยความสามารถและความอุตสาหะล้วนๆ ที่ปูตินลังเลนั้น……เขาเพียงแต่ห่วงว่าครอบครัวจะปรับชีวิตและความเป็นอยู่ได้มากน้อยแค่ไหน เพราะสังคมที่มอสโคว์กับกรุงเซนต์ต่างกันมากมาย แต่เมื่อได้คุยกับลุดมิลา เธอและลูกๆไม่มีปัญหาอะไร ไปไหนก็ได้เพราะอำนาจในการตัดสินก็อยู่ที่ช้างเท้าหน้าคือปูตินอยู่แล้ว และตัวเธอเองก็จะได้มีอิสระกับสายตาของแม่สามีไปเสียบ้าง สาเหตุก็เพราะรัฐบาลของเยลซินต้องการ”น้ำใหม่”มาแทนที่น้ำเสียที่รวมกันกันเป็นกระจุกอยู่ในเครมลิน เพราะความผิดพลาดในเรื่องการทำสงครามปราบปรามที่ Chechen ในปี 1994 ที่ทุกคนคิดว่า วันสองวันก็คงจบ……แต่ที่ไหนได้ มาลากถ่วงยาวมาจนตอนนี้ รวมทั้งสุขภาพที่ลดถอยของเยลซินเอง ที่เป็นโรคหัวใจกำเริบในตอนต้นปี 1995 ที่ทำให้เขาไม่ได้ปรากฏตัวออกสู่สายตาของประชาชน นี่คือเหตุผลที่ปูตินได้เข้ามาเป็นน้ำใหม่ในมอสโคว์ ในเดือนกันยายน 1996 และได้รับบ้านประจำตำแหน่งที่ค่อนข้างหรูหราอยู่ใกล้ๆกับเครมลิน เขาได้นำเพื่อนคู่ใจมาช่วยงานด้วยสองคน จากเซนต์ ปีเตอร์เบอร์ก คือ Sergei Chemezov**และ Igor Sechin*** เจ้านายของเขา ปาเวล ได้มอบหมายงานให้เป็นฝ่ายดูแลอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด จะต้องมีการคัดกรอง บริหารที่ดิน ตึกอาคารกันใหม่ เพราะในยุคของโซเวียต ทุกอย่างเป็นของรัฐบาล แต่ตอนนี้ก่อนที่จะมีการจำหน่าย หรือ จัดสรร ออกโฉนดจะต้องทำการประเมิน ซึ่งมันหมายถึงงานที่มากมายมหาศาล เพราะพื้นที่ที่จะต้องดูแลทั้งหมด คือ 78 เขตจังหวัด และ ต่างประเทศ(ในความควบคุมของโซเวียต) อื่นๆ เช่น อาคารที่ตั้งสถานทูต โรงเรียน รวมทั้งที่ยูเครน เรียกได้ว่า งานนี้ ทำให้ปูตินได้รู้หมดถึงทรัพย์สินของรัสเซียว่าอยู่ที่ไหน และ มีค่าเท่าใด และยิ่งค้นไป……เขาได้เห็นความไม่ชอบมาพากลหลายๆอย่าง เช่นพื้นที่สำคัญหลายแห่งถูกปล่อยให้เช่า แม้แต่ทรัพย์สินที่มีในสวิสเซอร์แลนด์ก็เช่นกัน ที่ขายไปในราคาที่เหมือนจะให้ฟรี จากชื่อบริษัท หรือ องค์กรประหลาดๆ ยิ่งค้นไปก็เจอว่าเป็นการ”ลักไก่” จากในหมู่ข้าราชการด้วยกัน เขาได้ทำรายงานให้กับทางต้นสังกัดให้ทราบเป็นเอกสารอย่างครบถ้วน เพื่อที่จะจัดการกันต่อไป เพราะเขาถือว่า หน้าที่ของเขา คือ การรวบรวมเอกสารและข้อมูล ส่วนการพิจารณาโทษ……เป็นหน้าที่ของหน่วยที่เกี่ยวข้อง แต่การดำเนินการล่าช้าจนเกินเหตุเพราะในช่วงนั้น มีสงครามที่เชเชน ที่มีแม่ทัพผู้อำนวยการ คือ นายพล Alexandr Lebed จอมยะโสคนนั้น ที่ได้สร้างผลงานให้อับอายไปทั่ว คือ แทนที่จะสยบเชเชน ดินแดนชายแดนขนาดเล็กแค่นั้น แต่ทำไม่สำเร็จ (สิงหาคม 1996) แถมจะยอมเจรจาสงบศึกทำสนธิสัญญาที่เสียเปรียบเข้าไปอีก งานนี้ทำให้เกิดกระแสที่เสียหายกับรัฐบาลของเยลซิน เหล่าคณะมนตรีเริ่มลุกขึ้นมาทะเลาะกันลั่นสภา หลายคนเรียก นายพล Alexandr Lebed ว่าเป็น “Little Napoleon” (คือ ปากดี ทีเหลว) หรือ “ไอ้กองทัพไม่มีน้ำยา” กระแสโกรธแค้นของประชาชนเริ่มทวีขึ้น จนไม่กี่วันต่อมา เยลซินต้องทำการปลดท่านนายพลออกจากตำแหน่ง การปรับเปลี่ยนตำแน่งได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง ปูตินได้ขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการแห่งองค์กรรวม ( Chief of Staff) ที่เทียบเท่ากับ อธิบดี ที่ไม่กี่วันต่อมาหลังจากที่ได้รับตำแหน่ง สภาได้ออกกฏหมายใหม่ เพิ่มอำนาจให้กับเขาอีก ในการขยายวงสอบสวนการทุจริต ยักยอก รวมไปถึงการคอร์รัปชั่นที่ทำให้ประเทศสูญเสียรายได้ ไม่ว่าจะเป็น ข้าราชการ, พนักงานลูกจ้าง และการสัมปทานต่างๆ งานนี้ ปูตินได้เจอะเจองานช้างเข้าหลายงาน เช่น อดีตนายพล Paval Grachev คนสนิทของเยลซิน ที่ควบคุมกองทัพในคอร์เคซัส ตั้งแต่ปี 1993-1996 ได้นำรถถังและอาวุธต่างๆที่มีมูลค่ากว่า หนึ่งพันล้านดอลล่าร์ ไปให้กับกองทัพของอาร์เมเนี่ยน ในสงครามกับ อาร์เซอร์ไบจาน ซึ่งเป็นการกระทำที่ถือว่าขายชาติ เพราะ รัสเซียอยู่ฝ่ายสนับสนุนอาเซอร์ไบจาน แต่…ทุกอย่างได้ผ่านไปก่อนที่ปูตินจะก้าวเข้ามา เขาจะไปทำอะไรได้ นอกจากจะต้องเลี้ยงนายพลคนนี้ต่อไป เนื่องจากว่าเป็นนายพลระดับวงในของเยลซที่เปรียบเหมือนตัวอันตราย ถ้าบีบคั้น…… ก็อาจจะตกไปอยู่ในมือของชาติอื่นที่ต้องการล้วงความลับ ดังนั้น จึงต้องใช้วิธีเลี้ยงเอาไว้ แล้วใส่ปลอกคอล่ามโซ่ให้สั้น โดยที่เขาใช้วิธีให้สัมภาษณ์กับนักข่าว ในเวลาที่ถูกถามถึงเรื่อง “นายพล เมอร์ซิเดส” เพราะนายพลคนนี้ชอบใช้รถหรูเกินฐานะ ว่า เรื่องการตรวจสอบคอร์รัปชั่นค้าอาวุธกับฝ่ายตรงข้ามนั้นไปถึงไหนแล้ว ปูตินตอบเรียบๆว่า “เราได้เอกสารพร้อมทุกอย่างแล้ว ข้อมูลครบ จะส่งขึ้นไปให้ฝ่ายกฎหมายต่อไป” นักข่าวถามต่อว่า “นายพลเมอร์ซิเดสได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่..??” “ก็ไม่มีนะ ไม่มีชื่อของ Gen. Pavel Grachev มาเกี่ยวข้องด้วย “ นี่คือการทำงานของปูตินที่ต้องรักษาภาพลักษณ์ให้กับเยลซิน แต่มืออีกข้างหนึ่งเขาได้จัดการไปตามกฏหมายเอาผิด ใช้เวลาถึงสิบปี ที่ได้เอานายพลและคณะออกจากตำแหน่งได้สำเร็จ (2007) หรืองานคอร์รัปชั่นในหน่วยสร้างทางที่เป็นเงินมหาศาลที่มีข้าราชการเกี่ยวข้องทำผิดถึง 260 คน (ในเมษายน ปี 1997) หรือใน Stavropol เชือดไปอีก 450 คน (ในกันยายน 1997) เรื่องนายพลที่ต้องล่าช้านานขนาดนั้น เพราะปูตินไม่มีอำนาจในบทลงโทษที่เป็นงานส่วนตุลาการ เขาทำได้แค่ชี้มูลความผิดพร้อมหลักฐานที่หนาแน่น เพราะการทำงานไล่บี้การยักยอกนั้น ทำให้ปูตินต้องเข้าติดต่อกับงานเดิมอีก คือ KGB ที่ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น FSB (แต่อาคารที่ทำงานยังอยู่ที่เดิม) อยู่บ่อยๆ เท่ากับว่าเขาได้กลับไปเยือนบรรยากาศเก่าๆอีกครั้ง และจากงานที่ต้องมาดูพื้นที่และทรัพยากรของชาติ ที่เขาได้ทำงานอย่างไหลลื่นนั้น ก็ไม่ใช่ว่าเขาเหนือมนุษย์…… หากแต่มันเป็นเรื่องบังเอิญอย่างที่สุด ที่เขาเกิดความสนใจในเรื่องเศรษฐศาสตร์ เพราะจากงานที่ทำอยู่ในสภาเทศบาลที่กรุงเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในช่วงที่อนาโตลีได้แพ้เลือกตั้ง ปูตินเริ่มมีเวลาว่าง เพราะมีหน้าที่เพียงแต่อำนวยความสะดวกให้กับทีมใหม่ เขาใช้เวลานั้น ไปลงเรียนวิชาบริหารเหมืองแร่และทรัพยากรน้ำมัน ที่ Georgi Plekhanov Mining Institute แทนที่จะไปเรียนต่อทางด้านกฎหมาย และไม่ได้ไปเรียนคนเดียว เขาเอาเพื่อนรักทั้งสอง Viktor Zubkov กับ Igor Sechin ไปนั่งเรียนกันด้วย ปลายปี 1996 (เข้าเรียนกลางปี 1995) ที่ปูตินสามารถส่งแฟ้ม Thesis ที่หนากว่า 250 หน้า ในเรื่องทรัพยากรแร่ธาตุที่เปรียบเสมือนทองคำของประเทศ ได้สำเร็จสวยงาม เพราะเขาได้ติวเตอร์คนสำคัญมาช่วย นั่นคือ Vladimir Litvenenko ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญเหมืองแร่ ที่ไปค้นคว้าหาตำราจากยุโรปมาแปลให้เป็นภาษารัสเซีย เรื่องนี้ ปูตินและเพื่อนๆที่พากันไปเรียนก็ไม่ได้ไปโอ้อวดที่ไหน ตอนนั้นที่ไปลงเรียน ก็เพราะมีเวลาว่าง เขาเพียงแต่คิดว่า……ในสายงานทางกฎหมายของเขาควรจะต้องรู้เรื่องทรัพยาการที่เป็นธุรกิจหลักของประเทศให้ดีขึ้น และเขาก็ได้ใช้มันจริงๆที่มอสโคว์ เพราะเขาได้รู้ทันเจ้ากรมพลังงานที่มีการเล่นตลกกับใบสัมปทาน……แต่ก็พูดมากไปไม่ได้ เพราะนั่นคือกลุ่มคนในวงในของเยลซิน แต่ทีนี้ความไม่เป็นธรรมได้เกิดขึ้นกับคดีของอนาโตลี เจ้านายเก่า เพราะหลังจากที่อะนาโตลี ถูกกลุ่มวงในมอสโคว์”เท”จนไม่ได้รับการสนับสนุนเลือกตั้งนั้น เขาได้” โวย” กับเยลซิน ที่ได้รับการตอบสนอง คือ เยลซินเอาพวกนั้นออกไปเป็นแผงก็จริง ………แต่คนกลุ่มนั้นก็ไม่ได้ไปไหน หรือ รับโทษอะไร ยังวนเวียนเป็นที่ปรึกษาอยู่รอบตัวเยลซินเหมือนเดิม แถมอนาโตลี ได้มีศัตรูเพิ่มอย่างออกหน้าออกตาอีกต่างหาก การกลั่นแกล้งจึงได้เกิดขึ้น แบบชนิดให้ได้อาย เช่นอนาโตลีมีการประชุมกับคณะมนตรีจาก UNESCO จู่ๆก็มีตำรวจบุกไปกลางงาน ขอควบคุมตัวไปสอบสวนในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เขากลายเป็นผู้ต้องหาที่มีหมายจับ จนเขาเครียดถึงกับล้มป่วย เข้าโรงพยาบาล ครอบครัวต้องการให้แพทย์จากมอสโคว์มารักษา ปูตินบินด่วนไปเยี่ยมทันที และจัดการส่งเขาเข้าโรงพยาบาลทหาร จัดการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมาพร้อม และที่เขาทำมากกว่านั้น มากเกินอำนาจเขาไปอีก คือ จัดเช่าเครื่องบินส่วนตัวจากฟินแลนด์นำตัวเขาออกนอกประเทศไปยังกรุงปารีส โดยให้เหล่า KGB นำขบวนรถฉุกเฉินไปยังสนามบิน หมายจับอะไรก็ไม่สำคัญทั้งนั้น ทุกอย่างผ่านตลอด พาสปอร์ต ประทับตรา ผ่านศุลกากร การกล้าทำแบบนี้ ถือว่าเป็นการฉีกกฎหมายทิ้ง และเสี่ยงต่อการเสียอนาคตของปูตินที่กำลังจะไปได้สวย แต่……สำหรับอนาโตลีแล้ว ปูตินพร้อมแลกเพื่อที่จะช่วยเหลือตอบแทนผู้ที่เคยมีพระคุณ เพราะเขาได้เห็นมาตลอดว่า เรื่องราวนั้นเป็นอย่างไร ในประเทศที่กฎหมายไม่สามารถบังคับใช้อะไรได้ ความผิดของอนาโตลีนั้นเทียบเท่ากับเมล็ดทรายของคนหลายๆคนในเครมลิน คนที่ชื่นชมกับความกตัญญูและการกล้าตัดสินใจของปูติน ในครั้งนี้ คือ ท่านประธานธิบดี Boris Yentsin เพราะท่านว่า ถ้าเกิดขึ้นกับเรา…จะมีใครที่ไหนที่จะกล้ามาช่วยเราขนาดนี้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย……?!!! ปูตินเริ่มเป็นที่จับตามองจากคณะท่านผู้นำ ในวันที่ 21 มีนาคม 1998 เยลซินได้เรียกให้นายกรัฐมนตรี Viktor Chernomydrin เข้ามาพบที่บ้านพักส่วนตัว เพื่อที่จะบอกว่า วิคเตอร์ทำหน้าที่นี้มานานถึงห้าปีแล้ว แต่ไม่มีอะไรดีขึ้น ทุกอย่างยังกวาดเข้าไปซุกอยู่ใต้พรม……เขาต้องการคนที่จะมา”ยกพรมขึ้น” แล้ว “กวาดขยะออกให้หมด” เพื่อบ้านจะได้น่าอยู่ ฉะนั้น……ที่ให้มาพบในครั้งนี้ คือการไล่ออก…… เยลซินได้เสนอชื่อ Sergei Kiriyenko อดีตนายธนาคารที่เป็นนักการเมืองหนุ่มวัย 35 ปี ต่อสภา……สภาไม่ผ่านทั้งสองครั้ง แต่ต่อมา……ด้วยแรงผลักดันของเยลซิน……ก็ผ่านฉลุย ส่วนอดีตนายกฯที่ถูกไล่ออกไป ก็ฮึ่มๆ ประกาศว่าเขาจะลงเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยหน้า จะได้รู้หมู่รู้จ่ากันไป.… นายทุนกระเป๋าหนัก Boris Berezovsky ที่สนับสนุนเยลซิน เพราะมีผลประโยชน์มหาศาลนั้น เริ่มเข้ามามีบทบาทช่วยเลือก เพราะกลุ่มคนวงในเก่าๆเท่าที่เห็น ต่างก็จะเข้ามาขวางทางการค้าของเขาทั้งสิ้น เพราะทุกคนต่างมีเส้นสายในกิจการสารพัดอยู่แล้ว ไม่ทันที่ใครจะคิดอ่านทำอะไร กระดานหุ้นรัสเซียตกฮวบ หุ้นบริษัทพลังงาน Rosneft ที่รัฐบาลถือหุ้นใหญ่ ตกดิ่ง บริษัทลงทุนจากต่างชาติได้พากันถอนหุ้น เงินรูเบิ้ลสูญเสียมูลค่าที่รัฐบาลก็เอาไม่อยู่ การแทรกแซงจากต่างชาติเริ่มเข้ามา ทั้งจากภาคการเมือง และเศรษฐกิจ เยลซินเริ่มเห็นแล้วว่า สาเหตุที่เกิดเช่นนั้น เพราะฝีมือของกลุ่มพ่อมดทางการเงิน จากคนรอบตัว (Oligarchs) ของเขาเองที่ส่วนใหญ่แล้ว คือยิว ที่มาปั่นกระแสขาขึ้นให้ แล้วก็ถีบหัว ตบคว่ำ…… เยลซินเริ่มโดดเดี่ยว เขาต้องหาคนที่จะคอยพิทักษ์ปกป้อง และจะเข้ามาช่วยขจัดเหลือบไรพวกนี้ให้ออกไปให้พ้นจากชาติบ้านเมืองได้ ก็มีอยู่องค์กรเดียว คือ FSB (KGB) ที่เขาไม่ได้สนใจ ใส่ใจดูแลมานานแสนนาน ซึ่งเข้าทาง Boris Berezovsky (ยิวหนึ่งใน Oligarchs) ได้เสนอชื่อ ปูติน เพราะเขาเล่าว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดที่จะเปิดบริษัทขายรถยนตร์ในเลนินกราด ได้ไปติดต่อกับปูตินเพื่อขอใบอนุญาตการค้า และได้ยื่นซองใต้โต๊ะให้ แต่ถูกปฏิเสธ……ไม่รับ……!!! เยลซินเห็นด้วย (จากเรื่องของอนาโตลี) เขาบอกว่า……”ตอนแรกเราเห็นว่าปูตินเขาเป็นคนเฉยๆ เพราะเห็นเขาเงียบๆ ไม่ค่อยพูดอะไร แต่เพิ่งรู้เหมือนกัน ว่า เป็นคนที่คมในฝัก” นายกรัฐมนตรีคนใหม่หมาดๆ Sergei Kiriyenko ได้รับคำสั่งให้ที่มอสโคว์ เพื่อแจ้งข่าวกับปูติน ปูตินจึงไปรอรับท่านนายกฯ ที่สนามบิน ที่เขาคิดว่า เรื่องด่วนแบบนี้ ไม่น่าที่จะเป็นข่าวมงคล ทันทีที่ได้พบหน้ากัน ท่านนายกฯ ได้ปรี่เข้ามาจับมือขอแสดงความยินดี พร้อมกับบอกว่า “ดีใจด้วยนะ” “ดีใจอะไรหรือครับ..?” “ท่านประธานาธิบดีได้ทำการแต่งตั้งและลงนามให้นายเป็นผู้อำนวยการ FSB (KGB) น่ะซิ” ปูตินงงนิดหน่อย แต่เขาพอรู้มาบ้างแล้วว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงงานของเขาให้กลับไปอยู่ในสายงานเดิม แต่ไม่คิดว่า จะก้าวขึ้นไปเป็นผู้อำนวยการเลย… สิ่งแรกที่เขาทำ นั้นคือ ติดต่อไปยังลุดมิลาที่พาลูกๆไปพักผ่อน ที่ชายฝั่งทะเลบอลติด ด้วยข้อความที่ส่งแบบสายลับ คือ…… “ฟังให้ดีนะ……ผมกำลังจะกลับไปในที่ที่ผมจากมา..” ลุดมิลาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ…… เขาจึงย้ำประโยคเดิมถึงสามครั้ง…ก่อนที่จะวางสายไป ลุดมิลาทำท่าเหนื่อยใจ……เธอบอกกับตัวเองว่า “ชั้นจะไปรู้เรื่องกับเธอไหม……ก็เปลี่ยนงานมานับสิบครั้งแล้วเนี่ยยย……?!!! ~~~ขยายความ Sergei Chemezov** เพื่อนรักของปูติน จากสถาบัน KGB ต่อมาคือ CEO ของบริษัท Rostec ที่สร้างอาวุธ และยุทโธปกรณ์ให้กับกองทัพของรัสเซีย Igor Sechin*** อีกหนึ่งศิษย์ร่วมสถาบัน KGB ปัจจุบัน คือ CEO ของ บริษัทน้ำมันและพลังงาน Rosneft ทั้งสองคนได้ถูกทางตะวันตกยึดเรือหรูมูลค่าพันล้านไปในทะเลเมติเตอเรเนียน พร้อมทั้งเป็นบุคคลที่โดนแซงชั่นในธนาคาร เมื่อถูกถามถึงความเห็น เขาสองคนหัวเราะ บอกว่า จิ๊บๆ แต่รอเขาจะฟ้องกลับเรียกค่าเสียหาย เพราะนั่นคือทรัพย์สินส่วนตัว และไม่ได้ล่วงล้ำในน่านน้ำเพราะมีเอกสารสิทธิ์ และมีการจ่ายค่าการท่าและภาษีอย่างถูกต้อง Viktor Zubkov**** เคยเป็นรองนายกรัฐมนตรีเมื่อปูตินเป็นนายกฯ ปัจจุบันนี้เป็นประธานบอร์ดของ บริษัท Gazprom คนนี้ก็โดนยึดเรือหรูไป ก็จิ๊บๆอีกเหมือนกัน ปูตินมีระบบดูแลคนใกล้ตัวที่ดียิ่ง เขาเลือกคนที่มีความสามารถเข้าไปนั่งในตำแหน่งบริหาร บอกว่า ไม่ต้องคอร์รัปชั่น เพราะแค่โบนัสหนึ่งเปอร์เซ็นต์ต่อปี ชาตินี้ก็ใช้ไม่หมด……… แหม……………ก้อ…แต่ละบริษัทที่เอ่ยมากำไรปีละเป็นแสนล้าน ต่อให้ชาติหน้าชาติโน้นก็ใช้ไม่หมด………!! Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2735 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ปริศนาแมวดำทั้ง7

    เรื่องสั้นนักสืบ จากผลงานเขียนโดย เอลเลอรี ควีน แปลโดย กันยรัตน์

    หนึ่งในเรื่องจากหนังสือ ปรัศนี รวมนิยายนักสืบเรื่องสั้นที่สรรแล้ว จากยอดนักเขียนชื่อก้องหลายคน

    เลือกเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟังเป็นเรื่องแรกก่อน นับเป็นเรื่องสั้นขนาดกลางที่อ่านสนุก มีแทรกอารมณ์ขันบางช่วง

    ตัวเอกของเรื่องก็ชื่อเดียวกับคนเขียนนั่นแหละ

    เปิดเรื่องด้วยการที่ ยอดชายของเรื่องต้องการหาซื้อหมาสักตัว จึงเข้าไปคุยกับเจ้าของร้านซึ่งเป็นสาวสวยคนหนึ่ง หญิงสาวมีอัธยาศัยดี ช่างจ้อ บอกว่าพันธุ์ที่ควีนต้องการนั้นไม่มี ถ้าอีกพันธุ์ได้ไหม คุยไปคุยมาเกิดกรี๊ดกร๊าดเมื่อทราบว่าชายตรงหน้าคือคนดัง เอลเลอรี ควีน ทีนี้จ้อไม่หยุด เปรยถามว่าคุณควีนพักอยู่แถวใกล้ๆนี้ คงรู้จักหญิงคนหนึ่งที่ชื่อ..กระมัง เพราะเธอก็เป็นลูกค้าของร้านเช่นกัน ควีนบอกไม่รู้จักแต่สนใจชื่อที่แปลกของหญิงคนนั้น เจ้าของร้านจึงเล่าว่าเป็นสตรีชราเดินเหินไม่ได้ เมื่อสักหกเดือนก่อน น้องสาวที่หน้าคล้ายกัน อายุห่างกันไม่มากมาอยู่ด้วยที่ห้องของเธอเพื่อดูแล แต่เข้ากันไม่ได้ เพราะคนน้องรักแมวมาก เคยมาซื้อแมวดำตัวผู้ตาเขียวจากที่ร้าน แล้วอีกสองวันต่อมาโทรศัพท์บอกขอนำมาคืน เพราะพี่สาวเกลียดแมว แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มาคืน

    เธอเล่าต่อไปว่า ที่น่าแปลกคือ จากนั้นไม่นานคนพี่ที่เดินไม่ได้ก็โทรมาที่ร้าน ขอให้หาแมวสีเดียวกันตัวผู้ ที่เหมือนตัวที่น้องสาวเคยซื้อไปในราคาไม่แพง แล้วให้นำไปส่งที่แฟลตในช่วงบ่าย ซึ่งเป็นเวลาที่น้องสาวจะไม่อยู่เพราะออกไปเดินเล่นข้างนอก ด้วยความที่ไม่อยากให้น้องสาวทราบจึงห้ามคนขายไม่ให้บอก ทุกครั้งที่นำแมวไปส่งจึงไม่เคยพบหญิงชราคนน้อง น่าแปลกกว่านั้นคือคนพี่จะโทรมาสั่งแมวสัปดาห์ละครั้ง รวมกว่า5สัปดาห์เข้าแล้ว ทั้งที่เป็นคนเกลียดแมว เรื่องนี้สะดุดใจนักสืบควีนมาก จึงอยากลองไปเจอกับหญิงชราคนพี่ที่ป่วยเดินไม่ได้ โดยขอให้เจ้าของร้านสาวพาไป โดยจะอ้างว่าควีนสั่งแมวไว้ก่อน พอแมวถูกขายให้หญิงชราไปจึงไม่ยอม ต้องการมาคุยทำความตกลง สาวเจ้าของร้านตกลงช่วย เพราะดูเธอชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเป็นกิจวัตร และวันนี้ได้เวลาที่ต้องไปตามนัดพอดี

    เมื่อไปถึงแฟลตที่หญิงชราอาศัย ทั้งสองกดกริ่งหลายหน ส่งเสียงดังเรียก แต่กลับไม่ได้รับการเปิดประตู ขวดนมสดวางตั้งไว้ที่หน้าประตูสองขวด ควีนรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล ประตูก็ล็อก ซึ่งต่างจากที่สาวขายแมวบอกว่าทุกครั้งที่มาส่งแมวช่วงเวลานี้ ประตูจะเปิดเพราะคนน้องจะออกไปข้างนอกแล้วไม่ล็อก ทั้งสองจึงลองไปสอบถามกับทางสำนักงานของคนดูแลตึกนามสกุล พอตเตอร์ แต่ปรากฏสามีที่ดูแลตึกไม่อยู่ ภรรยาออกมารับหน้าถามมีธุระอะไร พอทราบว่าทั้งสองมาหาหญิงชราแต่เข้าไม่ได้เพราะประตูล็อก และมีขวดนมวางไว้สองขวดจึงแปลกใจ ควีนสอบถามว่าเห็นหรือคุยกับหญิงชราครั้งสุดท้ายเมื่อไร ภรรยาคนดูแลบอกว่าน่าจะสองวันก่อน พอถูกถามถึงสามี ก็ตอบว่าไปทำงานพิเศษช่วงครึ่งวันที่โรงงานเคมี คงจะกลับช่วงเย็น เธอบอกอีกว่าหญิงชราเรียกสามีไปช่วยทาสีซ่อมแซมในห้องช่วงบ่ายหรือเย็นมาเกือบเดือนแล้ว โดยจะให้ค่าจ้างด้วย

    ควีนกับสาวขายแมวจึงขอมาสเตอร์คีย์ แล้วย้อนจะไปไขประตูห้องหญิงชรา ทว่าควีนได้ยินเสียง มีคนอยู่ในห้อง และคนคนนั้นได้หาอะไรมาขัดไม่ให้เขาผลักประตูเข้าไปได้ สุดท้ายจึงต้องออกแรงพุ่งชนจนประตูเปิด แต่คนที่อยู่ในห้องรีบหนีหลบออกทางหน้าต่างแล้วปีนบันไดวนขึ้นบนดาดฟ้าหนีไปแล้ว เขาจึงตรวจสภาพในห้อง ขณะนั้นมีชายคนหนึ่งมายืนหน้าประตูอย่างงุนงง บอกเป็นหลานมาพบหญิงชรา ตามที่เธอได้เขียนจดหมายส่งหาเขา เขาติดธุระจึงมาช้า พอทราบว่าอาจเกิดเหตุไม่ดีขึ้นกับหญิงชราทั้งสองก็ตกใจ ควีนสอบถามเขาและขอดูจดหมาย เนื้อความในนั้นหญิงชรากำลังกลัวเพราะคาดว่าตนกำลังตกอยู่ในอันตรายอะไรสักอย่าง ขอให้หลานช่วยมาหาโดยเร็วที่สุด ควีนถามข้อมูลเพิ่มเติมจากเขา ได้ทราบว่าป้าทั้งสองไม่ค่อยลงรอยกัน ป้าคนโตพอมีเงินเก็บก้อนหนึ่ง แต่ไม่ไว้ใจธนาคาร และไม่ไว้ใจน้องสาว จึงแอบเก็บเงินไว้สักแห่งในห้อง เธอกลัวว่าน้องสาวจะขโมยเงินนี้ไป ควีนแนะให้เขาเข้าพักโรงแรมแถวใกล้ ๆ เพื่อรอฟังข่าวต่อไป

    ปรากฏว่าหญิงชราหายตัวไป มีแต่เตียงว่างเปล่ายับยู่ยี่ เธอเดินไม่ได้ แต่กลับไม่อยู่ในห้อง คนน้องก็น่าจะไม่ได้อยู่ที่นี่มาอย่างน้อยสองวันเช่นกัน ถึงมีขวดนมวางหน้าประตู ที่น่าแปลกคือไม่เห็นแมวเลยสักตัว ทั้งที่ควรจะมีอยู่ 7 ตัว ควีนตรวจจานอาหารที่มีอาหารเหลืออยู่ เขาตรวจหาลายนิ้วมือบนช้อน ส้อมและมีด แต่ไม่พบลายนิ้วมือใครเลย เขาวานเจ้าของร้านขายแมวให้นำเอาอาหารที่เหลือนี้ไปส่งตรวจกับ ดอกเตอร์คนหนึ่ง จากนั้นตัวเองก็จะสำรวจต่อให้ทั่ว ก่อนสาวสวยร้านแมวจะออกจากห้อง ควีนส่งเสียงด้วยความตกใจ ให้รีบมาดูที่อ่างอาบน้ำ ที่สุดทั้งสองจึงเห็นว่ามีซากแมวดำตัวหนึ่งนอนตายจมกองเลือดในสภาพน่าอนาถ ที่หัวถูกทุบแหลกเละด้วยแปรงถูตัวที่ถูกทิ้งไว้ใกล้ ๆ

    ควีนได้ไปพบภรรยาคนดูแลตึกอีกครั้ง คราวนี้นายพอตเตอร์ผู้ดูแลกลับมาจากทำงานแล้ว จึงสอบถามเพิ่มเติมว่าเคยเห็นแมวตายในช่วงที่ผ่านมาบ้างไหม ภรรยานายพอตเตอร์ตกใจ บอกว่าใช่ ทำไมถึงรู้ ส่วนสามีบอกว่าใช่พบกระโหลกแมวในเตาเผาขยะหกตัว สัปดาห์ละตัว ไม่คิดว่าเจ้าของจะโหดเหี้ยมขนาดนี้ ควีนเดินไปสำรวจรอบ ๆ เตาเผาขยะ รวบรวมหลักฐานเพิ่ม เมื่อสาวร้านขายแมวกลับมาพร้อมแจ้งว่าตรวจไม่พบอะไรในอาหารที่เหลือ ควีนสรุปว่าควรเป็นเช่นนั้น ที่สุดเขาพออนุมานได้แล้วว่าหญิงชราทั้งสองน่าจะตายไปแล้ว

    คนพี่คงระแวงว่าน้องสาวจะวางยาพิษตนเพื่อหวังเงินที่เก็บซ่อนไว้ จึงสั่งซื้อแมวมาทั้งที่เกลียด เพื่อใช้ทดสอบกินอาหารก่อน ถ้าแมวปลอดภัยตนจึงจะกินอาหาร แต่เนื่องจากคนร้ายวางยาทุกสัปดาห์ แมวจึงตายทำให้ต้องสั่งแมวตัวใหม่ และต้องการไม่ให้น้องสาวสงสัยจึงเลือกที่สีและขนาดรวมถึงเพศเดียวกับแมวของน้องสาว เมื่อแมวตายเพราะพิษ ก็คงจะห่อศพแล้วฝากเมียคนดูแลให้ไปทิ้งในเตาเผารวมกับขยะอื่น แต่ครั้งสุดท้าย คนร้ายคงเปลี่ยนแผน ไม่ใส่ยาพิษในอาหารเพราะทำมาหกครั้งไม่สำเร็จ จึงทายาพิษที่ช้อน ส้อม มีดแทน แมวกินไม่เป็นไร หญิงชราจึงกินอาหารจานนั้นและตายจากพิษที่ติดกับสิ่งที่เธอไม่ทันระวัง คนร้ายจึงเช็ดทำลายหลักฐาน และฆ่าแมวตัวที่เหลือด้วยวิธีอำมหิต และคนร้ายต้องไม่ใช่น้องสาวแน่ เพราะเธอรักแมว คงไม่กล้าพอที่จะลงมือฆ่าแมว น่าจะมาเห็นเหตุการณ์เข้าจึงถูกฆ่าปิดปาก ส่วนศพของทั้งสองคงถูกเอาไปใส่เตาเผาขยะ แล้วเช่นนั้นคนร้ายคือใครล่ะ

    ขณะสาวร้านขายแมวถามควีน ทั้งสองได้ยินเสียงไขกุญแจห้อง ที่แท้คนร้ายนึกว่าคงไม่มีคนอยู่ในห้องแล้ว และย้อนกลับมาเพื่อต้องการหาเงินที่หญิงชราซ่อนไว้ ควีนรีบพาตัวหญิงสาวไปแอบในตู้เสื้อผ้า ส่วนเขาออกไปตะลุมบอนกับคนร้าย ขณะจะพลาดท่าถูกคนร้ายเอามีดเสียบ หญิงสาวถลันออกจากตู้เตะไปที่ข้อมือชายคนนั้นที่เธอยังไม่เห็นหน้า ควีนร้องบอกให้ไปเปิดประตู ทันใดนั้นตำรวจหลายคนกรูเข้ามา จากนั้นเธอก็สลบไป

    ฟื้นอีกที เธอรีบถามใครคือคนร้าย ควีนบอกจะเป็นใครได้อีก นอกจากคนที่เข้ามาทาสีในห้องอยู่เกือบเดือน และทำงานโรงงานเคมีสามารถหายาพิษได้ง่าย อีกทั้งมีกุญแจห้องอีกดอก และคอยจัดการทิ้งขยะในเตาเผา ดีที่ควีนแอบโทรแจ้งตำรวจไว้ให้มาช่วยก่อนหน้านั้น และก็มาทันเวลาพอดี

    📌ส่วนเงินที่หญิงชราแอบไว้ พบซ่อนในหนังสือเล่มหนึ่ง! ใต้เตียงนอน

    📌 ที่น่าสนใจที่สุดคือ คนร้ายรายนี้ชื่อว่า แฮรี่ พอตเตอร์!

    #เรื่องสั้น
    #เรื่องสั้นแปล
    #กันยรัตน์
    #แมวดำ
    #สืบสวน
    #คดีปริศนา
    #เอลเลอรีควีน
    #นักสืบ
    #thaitimes
    #ปริศนาแมวดำทั้ง7 เรื่องสั้นนักสืบ จากผลงานเขียนโดย เอลเลอรี ควีน แปลโดย กันยรัตน์ หนึ่งในเรื่องจากหนังสือ ปรัศนี รวมนิยายนักสืบเรื่องสั้นที่สรรแล้ว จากยอดนักเขียนชื่อก้องหลายคน เลือกเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟังเป็นเรื่องแรกก่อน นับเป็นเรื่องสั้นขนาดกลางที่อ่านสนุก มีแทรกอารมณ์ขันบางช่วง ตัวเอกของเรื่องก็ชื่อเดียวกับคนเขียนนั่นแหละ เปิดเรื่องด้วยการที่ ยอดชายของเรื่องต้องการหาซื้อหมาสักตัว จึงเข้าไปคุยกับเจ้าของร้านซึ่งเป็นสาวสวยคนหนึ่ง หญิงสาวมีอัธยาศัยดี ช่างจ้อ บอกว่าพันธุ์ที่ควีนต้องการนั้นไม่มี ถ้าอีกพันธุ์ได้ไหม คุยไปคุยมาเกิดกรี๊ดกร๊าดเมื่อทราบว่าชายตรงหน้าคือคนดัง เอลเลอรี ควีน ทีนี้จ้อไม่หยุด เปรยถามว่าคุณควีนพักอยู่แถวใกล้ๆนี้ คงรู้จักหญิงคนหนึ่งที่ชื่อ..กระมัง เพราะเธอก็เป็นลูกค้าของร้านเช่นกัน ควีนบอกไม่รู้จักแต่สนใจชื่อที่แปลกของหญิงคนนั้น เจ้าของร้านจึงเล่าว่าเป็นสตรีชราเดินเหินไม่ได้ เมื่อสักหกเดือนก่อน น้องสาวที่หน้าคล้ายกัน อายุห่างกันไม่มากมาอยู่ด้วยที่ห้องของเธอเพื่อดูแล แต่เข้ากันไม่ได้ เพราะคนน้องรักแมวมาก เคยมาซื้อแมวดำตัวผู้ตาเขียวจากที่ร้าน แล้วอีกสองวันต่อมาโทรศัพท์บอกขอนำมาคืน เพราะพี่สาวเกลียดแมว แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มาคืน เธอเล่าต่อไปว่า ที่น่าแปลกคือ จากนั้นไม่นานคนพี่ที่เดินไม่ได้ก็โทรมาที่ร้าน ขอให้หาแมวสีเดียวกันตัวผู้ ที่เหมือนตัวที่น้องสาวเคยซื้อไปในราคาไม่แพง แล้วให้นำไปส่งที่แฟลตในช่วงบ่าย ซึ่งเป็นเวลาที่น้องสาวจะไม่อยู่เพราะออกไปเดินเล่นข้างนอก ด้วยความที่ไม่อยากให้น้องสาวทราบจึงห้ามคนขายไม่ให้บอก ทุกครั้งที่นำแมวไปส่งจึงไม่เคยพบหญิงชราคนน้อง น่าแปลกกว่านั้นคือคนพี่จะโทรมาสั่งแมวสัปดาห์ละครั้ง รวมกว่า5สัปดาห์เข้าแล้ว ทั้งที่เป็นคนเกลียดแมว เรื่องนี้สะดุดใจนักสืบควีนมาก จึงอยากลองไปเจอกับหญิงชราคนพี่ที่ป่วยเดินไม่ได้ โดยขอให้เจ้าของร้านสาวพาไป โดยจะอ้างว่าควีนสั่งแมวไว้ก่อน พอแมวถูกขายให้หญิงชราไปจึงไม่ยอม ต้องการมาคุยทำความตกลง สาวเจ้าของร้านตกลงช่วย เพราะดูเธอชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านเป็นกิจวัตร และวันนี้ได้เวลาที่ต้องไปตามนัดพอดี เมื่อไปถึงแฟลตที่หญิงชราอาศัย ทั้งสองกดกริ่งหลายหน ส่งเสียงดังเรียก แต่กลับไม่ได้รับการเปิดประตู ขวดนมสดวางตั้งไว้ที่หน้าประตูสองขวด ควีนรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล ประตูก็ล็อก ซึ่งต่างจากที่สาวขายแมวบอกว่าทุกครั้งที่มาส่งแมวช่วงเวลานี้ ประตูจะเปิดเพราะคนน้องจะออกไปข้างนอกแล้วไม่ล็อก ทั้งสองจึงลองไปสอบถามกับทางสำนักงานของคนดูแลตึกนามสกุล พอตเตอร์ แต่ปรากฏสามีที่ดูแลตึกไม่อยู่ ภรรยาออกมารับหน้าถามมีธุระอะไร พอทราบว่าทั้งสองมาหาหญิงชราแต่เข้าไม่ได้เพราะประตูล็อก และมีขวดนมวางไว้สองขวดจึงแปลกใจ ควีนสอบถามว่าเห็นหรือคุยกับหญิงชราครั้งสุดท้ายเมื่อไร ภรรยาคนดูแลบอกว่าน่าจะสองวันก่อน พอถูกถามถึงสามี ก็ตอบว่าไปทำงานพิเศษช่วงครึ่งวันที่โรงงานเคมี คงจะกลับช่วงเย็น เธอบอกอีกว่าหญิงชราเรียกสามีไปช่วยทาสีซ่อมแซมในห้องช่วงบ่ายหรือเย็นมาเกือบเดือนแล้ว โดยจะให้ค่าจ้างด้วย ควีนกับสาวขายแมวจึงขอมาสเตอร์คีย์ แล้วย้อนจะไปไขประตูห้องหญิงชรา ทว่าควีนได้ยินเสียง มีคนอยู่ในห้อง และคนคนนั้นได้หาอะไรมาขัดไม่ให้เขาผลักประตูเข้าไปได้ สุดท้ายจึงต้องออกแรงพุ่งชนจนประตูเปิด แต่คนที่อยู่ในห้องรีบหนีหลบออกทางหน้าต่างแล้วปีนบันไดวนขึ้นบนดาดฟ้าหนีไปแล้ว เขาจึงตรวจสภาพในห้อง ขณะนั้นมีชายคนหนึ่งมายืนหน้าประตูอย่างงุนงง บอกเป็นหลานมาพบหญิงชรา ตามที่เธอได้เขียนจดหมายส่งหาเขา เขาติดธุระจึงมาช้า พอทราบว่าอาจเกิดเหตุไม่ดีขึ้นกับหญิงชราทั้งสองก็ตกใจ ควีนสอบถามเขาและขอดูจดหมาย เนื้อความในนั้นหญิงชรากำลังกลัวเพราะคาดว่าตนกำลังตกอยู่ในอันตรายอะไรสักอย่าง ขอให้หลานช่วยมาหาโดยเร็วที่สุด ควีนถามข้อมูลเพิ่มเติมจากเขา ได้ทราบว่าป้าทั้งสองไม่ค่อยลงรอยกัน ป้าคนโตพอมีเงินเก็บก้อนหนึ่ง แต่ไม่ไว้ใจธนาคาร และไม่ไว้ใจน้องสาว จึงแอบเก็บเงินไว้สักแห่งในห้อง เธอกลัวว่าน้องสาวจะขโมยเงินนี้ไป ควีนแนะให้เขาเข้าพักโรงแรมแถวใกล้ ๆ เพื่อรอฟังข่าวต่อไป ปรากฏว่าหญิงชราหายตัวไป มีแต่เตียงว่างเปล่ายับยู่ยี่ เธอเดินไม่ได้ แต่กลับไม่อยู่ในห้อง คนน้องก็น่าจะไม่ได้อยู่ที่นี่มาอย่างน้อยสองวันเช่นกัน ถึงมีขวดนมวางหน้าประตู ที่น่าแปลกคือไม่เห็นแมวเลยสักตัว ทั้งที่ควรจะมีอยู่ 7 ตัว ควีนตรวจจานอาหารที่มีอาหารเหลืออยู่ เขาตรวจหาลายนิ้วมือบนช้อน ส้อมและมีด แต่ไม่พบลายนิ้วมือใครเลย เขาวานเจ้าของร้านขายแมวให้นำเอาอาหารที่เหลือนี้ไปส่งตรวจกับ ดอกเตอร์คนหนึ่ง จากนั้นตัวเองก็จะสำรวจต่อให้ทั่ว ก่อนสาวสวยร้านแมวจะออกจากห้อง ควีนส่งเสียงด้วยความตกใจ ให้รีบมาดูที่อ่างอาบน้ำ ที่สุดทั้งสองจึงเห็นว่ามีซากแมวดำตัวหนึ่งนอนตายจมกองเลือดในสภาพน่าอนาถ ที่หัวถูกทุบแหลกเละด้วยแปรงถูตัวที่ถูกทิ้งไว้ใกล้ ๆ ควีนได้ไปพบภรรยาคนดูแลตึกอีกครั้ง คราวนี้นายพอตเตอร์ผู้ดูแลกลับมาจากทำงานแล้ว จึงสอบถามเพิ่มเติมว่าเคยเห็นแมวตายในช่วงที่ผ่านมาบ้างไหม ภรรยานายพอตเตอร์ตกใจ บอกว่าใช่ ทำไมถึงรู้ ส่วนสามีบอกว่าใช่พบกระโหลกแมวในเตาเผาขยะหกตัว สัปดาห์ละตัว ไม่คิดว่าเจ้าของจะโหดเหี้ยมขนาดนี้ ควีนเดินไปสำรวจรอบ ๆ เตาเผาขยะ รวบรวมหลักฐานเพิ่ม เมื่อสาวร้านขายแมวกลับมาพร้อมแจ้งว่าตรวจไม่พบอะไรในอาหารที่เหลือ ควีนสรุปว่าควรเป็นเช่นนั้น ที่สุดเขาพออนุมานได้แล้วว่าหญิงชราทั้งสองน่าจะตายไปแล้ว คนพี่คงระแวงว่าน้องสาวจะวางยาพิษตนเพื่อหวังเงินที่เก็บซ่อนไว้ จึงสั่งซื้อแมวมาทั้งที่เกลียด เพื่อใช้ทดสอบกินอาหารก่อน ถ้าแมวปลอดภัยตนจึงจะกินอาหาร แต่เนื่องจากคนร้ายวางยาทุกสัปดาห์ แมวจึงตายทำให้ต้องสั่งแมวตัวใหม่ และต้องการไม่ให้น้องสาวสงสัยจึงเลือกที่สีและขนาดรวมถึงเพศเดียวกับแมวของน้องสาว เมื่อแมวตายเพราะพิษ ก็คงจะห่อศพแล้วฝากเมียคนดูแลให้ไปทิ้งในเตาเผารวมกับขยะอื่น แต่ครั้งสุดท้าย คนร้ายคงเปลี่ยนแผน ไม่ใส่ยาพิษในอาหารเพราะทำมาหกครั้งไม่สำเร็จ จึงทายาพิษที่ช้อน ส้อม มีดแทน แมวกินไม่เป็นไร หญิงชราจึงกินอาหารจานนั้นและตายจากพิษที่ติดกับสิ่งที่เธอไม่ทันระวัง คนร้ายจึงเช็ดทำลายหลักฐาน และฆ่าแมวตัวที่เหลือด้วยวิธีอำมหิต และคนร้ายต้องไม่ใช่น้องสาวแน่ เพราะเธอรักแมว คงไม่กล้าพอที่จะลงมือฆ่าแมว น่าจะมาเห็นเหตุการณ์เข้าจึงถูกฆ่าปิดปาก ส่วนศพของทั้งสองคงถูกเอาไปใส่เตาเผาขยะ แล้วเช่นนั้นคนร้ายคือใครล่ะ ขณะสาวร้านขายแมวถามควีน ทั้งสองได้ยินเสียงไขกุญแจห้อง ที่แท้คนร้ายนึกว่าคงไม่มีคนอยู่ในห้องแล้ว และย้อนกลับมาเพื่อต้องการหาเงินที่หญิงชราซ่อนไว้ ควีนรีบพาตัวหญิงสาวไปแอบในตู้เสื้อผ้า ส่วนเขาออกไปตะลุมบอนกับคนร้าย ขณะจะพลาดท่าถูกคนร้ายเอามีดเสียบ หญิงสาวถลันออกจากตู้เตะไปที่ข้อมือชายคนนั้นที่เธอยังไม่เห็นหน้า ควีนร้องบอกให้ไปเปิดประตู ทันใดนั้นตำรวจหลายคนกรูเข้ามา จากนั้นเธอก็สลบไป ฟื้นอีกที เธอรีบถามใครคือคนร้าย ควีนบอกจะเป็นใครได้อีก นอกจากคนที่เข้ามาทาสีในห้องอยู่เกือบเดือน และทำงานโรงงานเคมีสามารถหายาพิษได้ง่าย อีกทั้งมีกุญแจห้องอีกดอก และคอยจัดการทิ้งขยะในเตาเผา ดีที่ควีนแอบโทรแจ้งตำรวจไว้ให้มาช่วยก่อนหน้านั้น และก็มาทันเวลาพอดี 📌ส่วนเงินที่หญิงชราแอบไว้ พบซ่อนในหนังสือเล่มหนึ่ง! ใต้เตียงนอน 📌 ที่น่าสนใจที่สุดคือ คนร้ายรายนี้ชื่อว่า แฮรี่ พอตเตอร์! #เรื่องสั้น #เรื่องสั้นแปล #กันยรัตน์ #แมวดำ #สืบสวน #คดีปริศนา #เอลเลอรีควีน #นักสืบ #thaitimes
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 977 มุมมอง 0 รีวิว
  • #นิยายไทย
    #คู่กรรม2
    #ทมยันตี
    #หนังสือน่าอ่าน
    #thaitimes
    #14ตุลา



    อ่านจบเดือนครึ่งเกือบสองเดือนแล้วสำหรับคู่กรรม2 ของทมยันตี สองเล่ม 702 หน้า สนพ. ณ บ้านวรรณกรรม พิมพ์ที่อ่านนี้เป็นครั้งที่ 9 ปี 2552 (ยืมจากห้องสมุด) ในอดีตเคยอ่านแค่ตอนเดียวสมัยเรื่องนี้พิมพ์ลงในนิตยสาร โลกวลี ช่วงสมัยอยู่มัธยม

    เมื่อดูจากปกในที่ระบุว่ามีการรวมเล่มครั้งแรกปี 2534 เท่ากับว่าเรื่องนี้ปรากฏโฉมสู่สายตานักอ่านมาถึงปัจจุบันรวมเวลา 33 ปีล่วงแล้ว

    เคยชมภาพยนตร์ที่นำแสดงโดย คุณพล ตัณฑเสถียร และคุณศิริลักษณ์ ผ่องโชค เมื่อปี 2539 รู้สึกตอนจบรันทดหดหู่เนื่องจากลูกชายของอังศุมาลินตายเพราะช่วยลูกศิษย์ เลยไม่อยากอ่านหนังสือ แต่เพิ่งจะรู้ข้อมูลเมื่อไม่นานมานี้เองว่าบทสรุปในหนังสือนั้นต่างไปจากที่ถูกสร้างเป็นหนัง ดังนั้นจึงเกิดแรงใจในการหามาอ่านให้จบสมบูรณ์ หลังจากที่เคยอ่านภาคแรกจบตั้งแต่สามสิบกว่าปีก่อน

    พบคำผิดประปรายในการพิมพ์ครั้งที่ 9 บางคำก็ได้ความรู้เพิ่มเติมว่าสามารถเขียนได้สองแบบ เช่นคำว่า กระแหนะกระแหน ซึ่งเขียนว่า กระแนะกระแหน ก็ได้ ที่ผ่านมาตัวเองคุ้นชินกับการเขียนแบบมี ห นำหน้ามาตลอด พอเห็นว่าในหนังสือใช้เป็นแบบไม่มี ห นำ ยังคิดว่าน่าจะพิมพ์ผิด เมื่อลองค้นจึงค่อยทราบว่าไม่ผิด ซึ่งในเล่มช่วงแรก ก็ไม่มี ห แต่พอช่วงหลังมี ห โผล่มาซะงั้น อดคิดไม่ได้ว่าตกลงจะเลือกใช้แบบไหนก็น่าจะเอาสักทาง ให้เหมือนกันตลอดทั้งเรื่อง

    จากนี้ไปจะยาวมากครับ คงมีคนอ่านไม่มาก ถ้าใครอ่านต่อจนจบได้ขอโปรดรับคำขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย

    ในส่วนเนื้อเรื่องของภาคนี้ ดำเนินต่อจากความตายของโกโบริ คืออังศุมาลินท้องแก่และคลอดลูกชาย ให้ชื่อว่ากลินท์ที่หมายถึงพระอาทิตย์ ชื่อญี่ปุ่น โยอิจิ โยหมายถึงดวงอาทิตย์ อิจิคือลูกคนแรก พ่อของอังศุมาลินยังคงห่วงใยคนรักเก่าและลูกสาวที่บ้านสวน จึงมาบอกข่าวว่าอีกไม่นานญี่ปุ่นคงจะแพ้สงคราม ซึ่งจะส่งผลกระทบมาสู่แม่อร อังศุมาลินและลูกโดยตรง จึงอยากจะช่วยเหลือ แต่แม่อรปฏิเสธ ไม่ใช่แค่คนเป็นพ่อที่ห่วงใย แม้ตาผลตาบัวสองคู่หูคู่หอย ก็หมั่นนำข่าวมาบอกว่าอีกไม่นานพลพรรคจะนัดกันลุกฮือต่อสู้ญี่ปุ่น รวมถึงวนัสที่ได้รับอิสระจากความช่วยเหลือของโกโบริก่อนตาย จึงกลับมาหาอังศุมาลินเพื่อบอกข่าวและถามเธอว่าจะยอมแต่งงานกับเขาไหม เพื่อจะได้แก้ไขปัญหาที่กำลังจะเกิด แต่อังศุมาลินปฏิเสธ เธอยินดีที่จะอยู่ดูแลลูกต่อไปในบ้านสวน ไม่ย้ายหนีไปไหนทั้งนั้น แล้วคุณยายแม่ของแม่อร และยายของอังศุมาลิน ก็จากไปเป็นคนแรกของภาคนี้ แต่เป็นการจากอย่างสงบ เตรียมตัวตายอย่างดี ไปถือศีลอยู่วัดไม่ต้องลำบากลูกหลาน

    เวลาผ่านไป ในที่สุดญี่ปุ่นแพ้สงครามพ่อของอังศุมาลินมาบอกทุกคนที่บ้านสวนว่าจะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ช่วงบั้นปลายชีวิต ทุกคนร่วมอนุโมทนา หลังบวชท่านต่างจากพระอื่นในวัด ไปอยู่กุฏิเล็กโทรมเพียงรูปเดียว ฉันวันละมื้อ และปฏิบัติเคร่งครัดจนชาวบ้านพากันโจษจันไปทั่วคุ้งน้ำ ด้านเด็กชายกลินท์เจริญวัยขึ้น ได้รับความเอาใจใส่จากแม่ และปู่คือตาผลตาบัวที่อุปโลกน์ตนเอง โดยเล่าเรื่องราวต่างๆของแม่และโกโบริให้กับเด็กชายฟัง ก่อนที่ทั้งคู่จะทยอยตายจากไปเช่นกัน จึงเหลือเพียงแม่อร ที่มักไปอยู่วัดบ่อยเหมือนเช่นทวดของกลินท์ นาน ๆ ครั้งกลินท์จึงได้ติดตามยายกับแม่ไปกราบท่าน กาลล่วงเลยจนเด็กชายเติบใหญ่เป็นหนุ่มวัย 27 ปี ดีกรีอาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์ที่ ม.ธรรมศาสตร์ เป็นที่ชื่นชอบในบรรดาเหล่าลูกศิษย์โดยเฉพาะนักศึกษาหญิง

    ขณะที่เมืองไทยเข้าสู่ช่วงปีที่ในกรุงเทพกำลังเกิดกระแสตื่นตัวต่อต้านสินค้าและอื่นใดที่มาจากญี่ปุ่น ซึ่งสร้างชาติอย่างรวดเร็วภายหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง โดยเน้นทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้โยอิจิที่มีปมเป็นลูกที่มีเลือดญี่ปุ่นครึ่งหนึ่ง นึกรังเกียจไม่พอใจชาติกำเนิดตนเอง ต่อต้านพ่อที่ตายไปแล้ว และไม่เข้าใจแม่ จึงกลายเป็นคนที่ให้คำแนะนำแก่บรรดาศิษย์หัวรุนแรง ก้าวหน้า ฝักใฝ่ปลดแอกประชาชนจากการเป็นทาสทุนนิยมบริโภคและทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น โดยไม่มีใครรู้ความจริงของพ่ออาจารย์

    ทางบ้านสวน แม้โยอิจิจะรักแม่มาก แต่ขณะเดียวกันใจก็ยังไม่ยอมรับพ่อ กลายเป็นเหมือนเด็กน้อยที่เอาแต่ใจ รั้น และดื้อเงียบ แต่เขาเข้ากันได้อย่างดีกับลุงวนัสที่สนิทสนมมาแต่เด็ก เข้าออกบ้านลุงบ่อย ตั้งแต่กำนันพ่อของวนัสยังมีชีวิตอยู่จนตายไปในเวลาต่อมา วนัสทำธุรกิจหลายอย่าง รวมถึงการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบ้านเรือนไทยของตนให้เป็นที่ทำงานด้วย วนัสไม่ยอมแต่งงานสักทีตั้งแต่อกหักจากอังศุมาลิน แม้โยอิจิจะรู้ว่าวนัสมีการคบหาทำธุรกิจกับพวกคนญี่ปุ่น เขาไม่เห็นด้วยแต่ก็ยังรักชอบในฐานะลุงเช่นเดิม

    ส่วนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งเขาเป็นอาจารย์สอนอยู่นั้น เขาคอยเป็นที่ปรึกษาให้กับกลุ่มนิสิตนักศึกษาระดับผู้นำหลายคนที่เรียกร้องรัฐบาลให้บอยคอตคนญี่ปุ่นรวมถึงธุรกิจ สินค้าทุกชนิด โดยที่ไม่มีใครรู้ความจริงว่าเขามีพ่อเป็นใคร ขณะที่มีอาจารย์สาวคนหนึ่งชื่อ ชิตาภา หน้าตาดี ครอบครัวเป็นชาวจีนมีอันจะกินที่มาตั้งรกรากสร้างตัวจนกลายเป็นมีกิจการค้ารุ่งเรือง มักชอบเข้าหามาชวนเขาสนทนาอยู่บ่อยครั้ง ดูเหมือนเธอจะพึงใจในตัวโยอิจิอยู่บ้าง และน่าจะมีอะไรที่มากกว่านั้น แต่เขาไม่สนใจ มักคุยด้วยไม่นาน และสร้างขอบเขตส่วนตัวที่กันคนอื่นออกไปอยู่วงนอกเสมอ ไม่ยอมให้ใครเข้าถึงความในใจตนได้

    แล้ววันหนึ่งนักศึกษาสาวปีสามรัฐศาสตร์นามว่า ศราวณี ผู้เป็นแกนนำหัวรุนแรงที่ต่อต้านคนญี่ปุ่นและสินค้าญี่ปุ่น รวมถึงต่อต้านรัฐบาลทหารในช่วงนั้น ซึ่งรู้ความจริงเรื่องของพ่อโยอิจิ และมีความคับแค้นจากปมในครอบครัวตนซึ่งแม่ตายตั้งแต่เด็ก ถูกเลี้ยงดูมาจากยายและป้าที่เป็นพี่สาวของแม่ และเข้าใจผิดฝังหัวมาตลอดเกี่ยวกับครอบครัวบ้านสวนของอังศุมาลิน ที่มาแย่งชิงความรักไปจากคุณตาของเธอ เพราะทั้งยายและป้ามักเล่าความหลังโดยบิดความจริงแล้วใส่สีตีไข่ บริภาษแม่อรว่าคือผู้เป็นเมียน้อยที่แย่งความรักไป ทำให้ครอบครัวฝั่งยายลำบาก และโดนแย่งสมบัติไปหมด แม่และป้าจึงโตมาอย่างยากแค้นจนแม่ตายไปและป้าต้องรับเลี้ยงศราวณีต่อมาอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ ทำให้ป้ามักอารมณ์เสียใส่เธอเสมอตั้งแต่เด็กจนโต เพาะเป็นความเกลียดชังต่อครอบครัวฝั่งบ้านสวน ทั้งที่ตัวเองไม่เคยพบหน้าอีกฝ่าย จนเมื่อเข้ามาเป็นนักศึกษาและพบว่าโยอิจิสอนหนังสืออยู่ที่ธรรมศาสตร์ จึงพุ่งความโกรธเกลียดที่ตนเคยได้รับจากป้ามารวมอยู่ที่อาจารย์ทั้งหมด จนกระทั่งบอกความลับเรื่องพ่อของโยอิจิออกไปให้พวกเพื่อนกลุ่มหัวรุนแรงด้วยกันรับรู้

    วันที่พวกเธอและเพื่อนตามตัวให้โยอิจิมาที่ห้องซึ่งเป็นที่รวมพลเพื่อพูดคุยเรื่องจะทำอะไรต่อไป แล้วใครคนหนึ่งได้กล่าวเปิดโปงเรื่องโกโบริ และพูดจาดูถูกเหยียดหยามเชื้อชาติของพ่อ วินาทีนั้นเองโยอิจิกลับเพิ่งเข้าใจหัวใจตนเองเป็นครั้งแรกในชีวิต 27 ปีที่ผ่านมา ว่าแท้จริงเขารักพ่อและเทิดทูนในเกียรติยศของทหารหาญมากแค่ไหน เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาด้วยท่าทีแสดงออกถึงความภูมิใจในสายเลือดแห่งตนด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมพลัง ที่สามารถสยบเสียงโห่ฮาขับไล่ของเหล่านักศึกษาให้สงบลงได้ นั่นคือครั้งแรกเช่นกันที่สร้างความประหลาดใจแกมรู้สึกผิดอยู่เบื้องลึกให้เกิดขึ้นในหัวใจของศราวณี ที่ไม่นึกฝันว่าโยอิจิจะกล้ายอมรับอย่างไม่สะทกสะท้าน

    นับตั้งแต่วันนั้น โยอิจิเหมือนได้รับการปลดล็อกออกจากห้องขังที่ตนเองสร้างขึ้นเพื่อหนีความจริงสุดลึกที่เก็บกดไว้ เขาเข้าใจถึงความรักของแม่อันเป็นที่รักที่มีต่อพ่อชาวญี่ปุ่นอย่างท่วมท้นหัวใจแล้ว พ่อไม่เคยทำสิ่งไม่ดี มีแต่ทำตามหน้าที่ของชายชาติทหารที่ได้รับมอบหมาย ไม่ได้ทำไปด้วยความจงเกลียดจงชัง โยอิจิกลับไปที่บ้านสวนในเย็นวันนั้นอย่างคนที่บาดเจ็บสาหัส ไม่ใช่ทางกาย แต่ได้รับความกระทบกระเทือนทางใจอย่างรุนแรง อังศุมาลินรับรู้ได้ด้วยสายตาและหัวใจของคนเป็นแม่ แม้ไม่รู้ว่าลูกชายพบเจอเรื่องใดมาทำได้แค่ยกสองมือขึ้นโอบกอดถ่ายเทความรักความอบอุ่นที่มีให้กับลูกชายด้วยความเข้าใจอย่างสงบ

    โยอิจิไม่รู้ความจริงว่าศราวณีคือน้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง เกิดจากน้องสาวต่างมารดาของอังศุมาลิน มีเพียงอาจารย์ชิตาภาที่ทราบ เพราะเธอเป็นญาติที่มีศักดิ์เป็นคุณน้าของศราวณี แต่ยังไม่อาจเล่าให้เขาฟัง โยอิจิยังคงสงสัยและเคลือบแคลงว่าชิตาภาประสงค์สิ่งใดแน่จึงมักหาเหตุมาใกล้ชิดชวนสนทนากับตน

    ด้วยความรู้สึกผิดเกาะกินจากภายใน รวมถึงปัญหาต่าง ๆ รุมเร้า แม้ใจจะต่อต้านพี่ชายอย่างอาจารย์กลินท์ แต่เบื้องลึกเธอกลับมีความรู้สึกที่ดี รักเคารพในชายคนนี้อย่างไม่รู้ตัว วันหนึ่งโยอิจิพบเธอนั่งซึมอยู่ที่ท่าเรือ เหมือนรอคอยจะพบเขาและตามลงเรือมาที่บ้านสวนด้วย ศราวณีจึงได้พบกับสรวงสวรรค์บ้านเรือนไทยหลังเดียวในย่านนั้นที่ยังคงสภาพเหมือนเดิมกับช่วงเกิดสงคราม ในขณะที่บ้านหลังอื่นเปลี่ยนแปลงไปสร้างตามอย่างต่างชาติหมด เธอพบบรรยากาศที่ร่มรื่นชื่นเย็น สงบสุขอย่างไม่เคยได้รับยามเมื่อกลับถึงบ้านที่อยู่กับป้า ยิ่งเมื่อได้พบเจออังศุมาลิน ภาพที่เคยคิดไว้กลับตรงข้ามกับสิ่งที่เห็นและได้ยินทุกอย่างต่างจากที่ยายและป้าได้พูดใส่หูเธอมาตลอด เธอรู้สึกได้รับความสุข สงบ สบายใจและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเกิด และเริ่มเปลี่ยนความคิดที่มีต่อครอบครัวของโยอิจิ

    ทางด้านหลวงพ่อ หลังจากบวชเพื่อปฏิบัติอย่างเอาจริงอยู่จนล่วงเข้าสู่ปัจฉิมวัย ที่สุดก็มรณภาพอย่างสงบในท่านั่งสมาธิอยู่ในกุฏิ ทำให้ชาวบ้านโจษจันต่างศรัทธานับถือ จนเจ้าอาวาสและทางกรรมการวัดเห็นเป็นโอกาสในการสร้างเรื่องเรียกคนเข้ามาทำบุญเพิ่ม ด้วยการยกให้หลวงพ่อเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาทันที ทั้งที่ตอนมีชีวิต ไม่ใคร่สนใจ

    ที่บ้านสวนส่วนใหญ่อังศุมาลินอยู่บ้านคนเดียว ทำงานบ้านดูแลอาหารการกินเตรียมไว้ให้ลูกชาย ทว่าเริ่มมีอาการป่วยที่ค่อย ๆ รุนแรงมากขึ้นจนต้องแอบไปที่ศิริราช โดยมีเจ้าโก๊ะเด็กชายตัวน้อย ลูกของคนจรจัดหญิงชายที่มาขออาศัยอยู่ในสวนด้านหลังบ้านตามไปเป็นเพื่อน พ่อแม่ของโก๊ะนั้นเป็นประเภทไม่ชอบทำมาหากิน ขี้เหล้าเมายา เล่นพนันไปตามเรื่อง อังศุมาลินเคยหวังดีเอ่ยปากแนะนำให้ตั้งตัวขยันทำกินหลายครั้ง แต่ทั้งสองไม่สนใจ เอาแต่เก็บผักผลไม้จากในสวนของแม่อรและอังศุมาลิน มากินและขายด้วยถือวิสาสะว่าเหมือนของตน และมักใช้ให้โก๊ะมาขอเงินจากอังศุมาลินบ่อย ๆ

    ส่วนเหตุการณ์ทางด้านการบ้านการเมืองกลับทวีความรุนแรง คุกรุ่นขึ้นเรื่อย ๆ บรรดานักศึกษาต่างรวมตัวกันในสถาบันหลายแห่ง รวมถึงขึ้นเวทีพูดปลุกระดมให้ชาวบ้านฟังและเข้าร่วมสนับสนุนฝ่ายตนมากขึ้น ขณะที่ยื่นคำขาดต่อรัฐบาลให้ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องที่ร่างขึ้น เหตุการณ์ช่วงปี พ.ศ. 2516 เริ่มขมวดปมความขัดแย้งระหว่างฝ่ายผู้บริหารกับฝ่ายนักศึกษา ผ่านสายตาของโยอิจิและชิตาภาที่คอยเฝ้ามองอย่างห่าง ๆ ด้วยความเป็นห่วงในตัวศิษย์ แม้เคยกล่าวเตือนในหลายครั้งให้ศราวณีระมัดระวัง อย่าทำอะไรที่ผลีผลาม หุนหันพลันแล่น แต่อย่างไรเด็กก็คือเด็ก เมื่อเขามีความเชื่อฝังหัวไปทางด้านหนึ่ง ก็ขาดความใคร่ครวญพิจารณาอย่างรอบถ้วน และมองไม่เห็นถึงภัยร้ายที่จะบังเกิดขึ้นในเมื่อทุกสิ่งถูกปลุกเร้าเข้าสู่ห้วงวิกฤต

    สุดท้ายถึงวันแตกหักอันเป็นเหตุการณ์วิปโยคของคนไทยทุกคน จะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับโยอิจิ ชิตาภา และศราวณี ในขณะที่อังศุมาลินนั้นก็มีอาการเจ็บป่วยที่มักเหนื่อยง่าย หน้าซีดจะเป็นลมบ่อย แต่ปิดไว้ไม่ให้ลูกชายรู้ ดูเหมือนเวลาชีวิตของเธอจะเหลืออีกไม่มากก่อนจะได้ตามไปอยู่กับโกโบริ สรุปสุดท้ายของนิยายจะลงเอยอย่างไรไปอ่านต่อได้ในคู่กรรม 2 ครับ

    🖋วิเคราะห์หลังอ่านจบ

    มีทั้งส่วนที่ชอบและไม่ชอบ ภาคนี้ต่างไปจากภาคแรกอย่างชนิดเหมือนเป็นนิยายคนละเรื่อง คนละแนวทาง คือภาคแรกมีความเป็นนิยายรักระหว่างรบ ที่มีทั้งปมความรัก ความขัดแย้งในตัวตนกับคนที่คิดว่าคือศัตรูเป็นแกนหลัก เน้นไปทางอารมณ์ความรู้สึกของอังศุมาลินและโกโบริ โดยมีเหตุการณ์น้อยใหญ่ที่เข้ามาสร้างให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างกันของทั้งสองเพิ่มขึ้นทีละน้อยจนถึงขั้นรัก แต่ไม่อาจเปิดใจเพราะติดที่กรอบซึ่งถูกสร้างขึ้นจากทั้งอังศุมาลินเอง และสังคมสร้างให้กลายเป็นขื่อคาที่ตรึงรั้งใจไว้ให้มิอาจแสดงออกถึงความรักได้ดังเช่นคู่สามีภรรยาปกติ จนนำไปสู่บทสรุปอันเจ็บปวดและขมขื่นในตอนท้ายเรื่องที่สร้างความจดจำและสะเทือนใจให้กับคนอ่านอย่างยิ่ง กลายเป็นอมตะนิยายรักแห่งโศกนาฏกรรมที่คนไทยรู้จักมากที่สุดเรื่องหนึ่ง

    มาในภาคนี้ เนื้อหาโครงสร้างหลักกลับเน้นไปที่ความมองโลกของคนเป็นแม่อย่างคนที่ผ่านประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตมาแล้ว และจะเลือกเดินหน้าต่อไปอย่างไรในสถานการณ์ที่คนไทยส่วนใหญ่เกลียดชังญี่ปุ่น ในขณะที่เธอคือภรรยาหม้ายและมีลูกชายสายเลือดที่เกิดจากทหารญี่ปุ่น ตลอดทั้งเล่มนี้ในความรู้สึกส่วนตัว ผมมองว่านี่คือนิยายธรรมะเล่มหนึ่งทีเดียว เพียงแต่ไม่ใช่ธรรมะที่เป็นคำบรรยายเทศน์ของพระผู้เป็นองค์ธรรมกถึก หากแต่เป็นหนังสือธรรมะที่นำพล็อตของนิยายมาสวม จึงพบได้ในหลายย่อหน้า แทบทุกตอนที่ผู้เขียนสอดแทรกแนวคิดหลักธรรมทางพุทธตามแนวที่ท่านเชื่อเป็นทางที่ถูกตรงลอยอบอวลอยู่ในการบรรยาย เหมือนตัวละครและฉากเหล่านั้นคือตัวแทนหรือเครื่องมือที่ต้องการสื่อสอนธรรมะไปสู่ผู้อ่านอยู่ตลอด โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องราวของความตาย ดังจะเห็นได้จากมีการจากไปของตัวละครเดิมที่มีบทบาทจากภาคแรก คนแล้วคนเล่า เริ่มตั้งแต่คุณยาย ตาผลตาบัว หลวงพ่อ และกำลังใกล้ตายอย่างอังศุมาลิน ทำนองแสดงสัจธรรมชีวิต

    หลายช่วงตอนที่มีการหยิบยกบทกลอนร้อยกรองจากในวรรณคดีไทย หรือที่ผู้เขียนแต่งขึ้น รวมถึงวลี ประโยคภาษาอังกฤษจากบทเพลง บทกวีต่าง ๆ ของทางตะวันตกมาใช้เพื่อสื่อแสดงถึงความรู้สึกของผู้เขียนที่ต้องการสะท้อนผ่านเรื่องราวของเหตุการณ์แวดล้อมรอบตัวโยอิจิ และตัวละครสำคัญ จนบางทีก็ดูมากไป อ่านไปเรื่อย ๆ อดที่จะคิดไม่ได้ว่าเล่มนี้ มีความคล้ายกันกับอีกเล่มของทมยันตีที่มีชื่อว่า จดหมายถึงลูก(ผู้)ชาย ที่เน้นสอนลูกของผู้เขียนเองและคนเป็นลูกชายทุกคน ด้วยการแทรกแนวคิดคำสุภาษิตไว้ในเนื้อหาตลอดเล่ม

    แล้วการเขียนลักษณะนี้ดีหรือไม่อย่างไร?

    คงขึ้นกับความชื่นชอบส่วนบุคคลของผู้อ่านที่มีรสนิยมแตกต่าง ส่วนผมเองนั้นไม่ถึงกับเรียกได้ว่าชอบทว่าก็ไม่ขัดใจมากมาย แต่ยอมรับว่าทมยันตีเป็นหนึ่งในนักเขียนที่มีความไม่ธรรมดาในด้านศึกษาธรรมะในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งหาตัวจับยาก แล้วนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการเขียนได้เก่งมากคนหนึ่งในเหล่านักเขียนรุ่นเก่า หากจะติบ้างก็คงเป็นความเข้าใจในทางหลักธรรมที่นำมาสอดแทรกไว้ในคู่กรรม2 นั้น ยังเป็นความเข้าใจที่เหมือนเช่นคนปฏิบัติธรรมทั่วไปในไทยเข้าใจกันว่าถูกต้อง คือเน้นการนั่งสมาธิเดินจงกรมว่าคือวิธีที่จะนำไปสู่การลดละกิเลสจนนำไปสู่ความหลุดพ้นได้ ดังที่ตัวละครหลวงพ่อในเรื่องได้ปฏิบัติและพูดคุยสอนธรรมกับโยอิจิ หรือแม่อร อังศุมาลิน ซึ่งโดยแท้จริงการปฏิบัติควรเน้นไปที่การมีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกที่จะจับอาการกิเลสแล้วกำจัดทิ้ง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน หรืออิริยาบถย่อยอื่น ไม่ใช่เพียงแค่ตอนนั่งสมาธิเดินจงกรมเพียงเท่านั้น เพราะในชีวิตจริงมนุษย์ไม่อาจจะบังคับตนให้อยู่เพียงแค่ท่านั่งสมาธิต่อเนื่องยาวนานไปจนชั่วชีวิต

    นอกจากประเด็นที่กล่าวถึงนี้แล้วที่มีความเห็นไม่ตรงกับผู้เขียน ทางด้านอื่นถือว่าผมชอบนิยายเรื่องนี้ไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะการมองโลกที่มองทะลุถึงความเป็นจริงของสังคมไทย ลักษณะนิสัย ที่เจาะลึกให้เห็นว่าแม้นในอดีตสมัยสงครามคนไทยเป็นอย่างไร ปัจจุบันในยุคนี้ก็ยังคงพบเห็นได้ว่าไม่แตกต่างกันนัก จึงถือว่านิยายเล่มนี้ไม่ล้าสมัย โดยเฉพาะด้านการบ้านการเมืองที่ผู้มีอำนาจในฝ่ายรัฐ มักเลือกใช้วิถีทางแห่งความรุนแรงในการสยบปัญหาอยู่เสมอ โดยมีมือที่สามที่คอยฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ ยั่วยุ ปลุกปั่น และล่อลวงให้คู่กรณีระหว่างรัฐกับนักศึกษาและประชาชนปะทะแตกหัก จนเกิดความสูญเสีย อันมีแต่หายนะต่อประเทศชาติ

    ศราวณี คือตัวแทนที่เปรียบให้เห็นเด่นชัด ไม่ว่ายุคใด เหล่าเด็กหนุ่มสาวอนาคตชาติ มักถูกกระตุ้น ให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน และปลุกเร้าจุดไฟติดได้โดยง่าย ด้วยพวกเขามีพลังงานล้นเหลือ เมื่อเลือกเชื่อไปทางใดทางหนึ่งแล้ว บางทีก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลังโดยไม่ทันได้ใคร่ครวญ ยั้งคิด หรือพิจารณาทัศนียภาพรอบข้างระหว่างทางที่มุ่งไปให้ถี่ถ้วนรอบคอบ จึงมักตกเป็นฝ่ายที่ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือให้ไปตายแทนคนบงการแท้จริงเบื้องหลังเสมอ

    และเมื่อเกิดความสูญเสียแล้วก็เป็นเช่นดังอะไหล่เลวที่โดนใช้แล้วทิ้งโดยไร้ความเสียดาย หรือจำเป็นต้องดูแลอย่างใดต่อไป กว่าพวกเขาจะรู้ตัว ความผิดพลาดพลั้งเผลอก็เกิดขึ้นและไปไกลเกินกว่าตนเองจะหยุดยั้ง ควบคุมและแก้ไขสถานการณ์ได้เสียแล้ว ดังจุดจบของตัวละครในเรื่องนี้หลังเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ความเก่งกล้า ไม่ยอมใคร ไม่ฟังอาจารย์ ความร้อนเร่าเอาแต่ใจ รั้นจะทำในสิ่งที่ตนคิดให้จงได้ ทว่าสุดท้ายกลับกลายพาเพื่อน คนที่ไม่รู้อะไรแต่ก็ตามกันไป ไปพบกับการบาดเจ็บล้มตายต่อหน้าต่อตา ถึงกับกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง หลบหนีตายจ้าละหวั่น กระทบกระเทือนถึงสภาพจิตใจอย่างรุนแรงจนแทบจะกลายเป็นบ้าไป เธอจึงได้รับบาดแผลลึกที่เสียใจก็ไม่ทันแล้ว กับไฟที่ตอนแรกเพียงแค่เหมือนไฟจากปลายก้านไม้ขีดในมือที่ขยับนิดเดียวก็ดับ สุดท้ายมันกลับกลายเป็นไฟกองใหญ่ที่โหมไหม้รวดเร็ว ลามเลียทำลายทุกสิ่งอย่างไม่อาจดับได้ด้วยแค่กำลังตนเอง

    นอกจากนี้ที่ชอบก็มีในส่วนของการใช้ภาพตัวละครในเรื่องอย่างครอบครัวของเจ้าโก๊ะ ที่สะท้อนภาพตัวแทนของชนชั้นล่างได้ชัดเจน ความเหลื่อมล้ำที่เหล่านักศึกษามักนำมาเป็นคำขวัญ ชูประเด็นเพื่อเรียกร้อง และรังเกียจเคียดแค้นเหล่าชนชั้นศักดินา ดังเช่นอาจารย์ชิตาภาที่ครอบครัวเป็นชาวจีนโพ้นทะเลที่มาไทยอย่างเสื่อผืนหมอนใบ แต่ขยันขันแข็งและสร้างตัวจนมีทรัพย์ ร่ำรวยมีอันจะกินและสร้างธุรกิจด้วยการค้าขายขยับขยายฐานะ จนเลื่อนจากชนชั้นแรงงานต่างด้าวมาเป็นพ่อค้าวาณิชย์ที่มีกิจการมากมายและถูกแปะป้ายให้กลายเป็นศักดินาไป จนถูกมองว่าเป็นความผิดความเลวที่เข้ามากอบโกยนั้น หรือแม้แต่วนัสที่เป็นคนไทยแต่มีหัวในทางธุรกิจการค้า จึงติดต่อซื้อขายกับคนต่างชาติอย่างญี่ปุ่นหรือชาวตะวันตกจนมีฐานะเข้าขั้นเศรษฐี ทั้งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นพวกเสรีไทย แต่ในภาคนี้เรียกได้ว่าแปะป้ายศักดินาตามความหมายของเหล่านักศึกษาได้เช่นกัน

    หากมองความจริงในอีกแง่มุม ย่อมเห็นได้ว่าคนไทยเองที่เป็นชนชั้นกรรมาชีพจำนวนมากนั้นมีสันดานเป็นอย่างพ่อและแม่ของเจ้าโก๊ะ ที่เอาแต่ชื่นชอบอยู่อย่างสบายไม่ต้องทำการทำงาน วันทั้งวันเอาแต่เมาหัวราน้ำ แม้นมีคนหยิบยื่นความช่วยเหลือหวังให้สร้างตัวเพื่อตั้งตนได้ แต่ก็ไม่กระตือรือร้นสนใจ หนักไม่เอาเบาไม่สู้ อยากแต่จะขอเขากินไปเรื่อย ๆ อาศัยความเมตตาและมีน้ำใจของครอบครัวแม่อรและอังศุมาลินเป็นเครื่องมือ เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างคนขี้เกียจ รักสบายได้ต่อไป มีเงินก็หมดไปกับเหล้ายาและการพนัน เงินหมดก็ใช้ให้โก๊ะไปไถขอเอาใหม่ ด้วยรู้จุดว่าถ้าให้เด็กมาขออย่างไรก็ได้ นี่ไม่อาจยอมรับว่าไม่ว่าจะในนิยายซึ่งอยู่ในยุคหลังสงคราม หรือปัจจุบันที่ล่วงเลยมาอีกหลายสิบปี ก็ยังมีคนไทยที่เป็นเช่นนี้อีกเป็นจำนวนมาก แล้วจะไปโทษว่าแต่ความเหลื่อมล้ำเพราะชนชั้นได้เช่นไร ในเมื่อตนเองยินดีทำตนให้เป็นไปเช่นนั้น

    อังศุมาลินและโยอิชิคือตัวแทนของชนชั้นกลางที่น่าสนใจ ทั้งสองมีความรู้ตามทันยุคสมัยของความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่หลงใหลปล่อยให้กระแสเชี่ยวแห่งคลื่นทุนนิยมเข้าครอบงำ ยังคงดำเนินชีวิตทั้งรูปแบบ และวิถีตามอย่างวัฒนธรรมอันดีงามในอดีตที่บรรพบุรุษสร้างไว้ ไม่ว่าจะเรือนพักอาศัยที่ไม่รื้อทิ้งหลังเก่าแล้วสร้างใหม่ และพยายามสงวนที่ดินสวนหลังบ้านไว้ปลูกผักปลูกไม้ผลให้พอเก็บกินไม่เดือดร้อน ในขณะครอบครัวอื่นขายที่ให้นายทุน และสร้างบ้านปูนกันไปเกือบหมด

    ภาพความขัดแย้งที่เห็นได้ชัดเจนนี้เองที่เป็นความงดงาม แม้นลำคลองจะไม่เหมือนเดิม คนไทยทิ้งขยะสิ่งปฏิกูลลงน้ำ ทำลายต้นกำเนิดรากเหง้าสายธารแห่งชีวิตของตนเอง ทำให้ปลา กุ้ง หอย สัตว์น้ำที่เคยมีลดน้อยจนกระทั่งหายไปไม่เหมือนก่อน เมื่อมาถึงยุคสมัยที่เรามีชีวิตอยู่นี้ เราจึงต้องแบกรับผลพวงที่ตามมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เราไม่ชอบ เราบ่นหรืออาจถึงขั้นก่นด่าคนรุ่นก่อน แต่เราเองก็ละเลยไม่ได้มองกลับเข้ามาในตน ว่าในแต่ละวันได้ทำอะไรที่เป็นไปในทางที่ทำร้าย ทำลายวิถีไทย สิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรมและประเพณีอันดีมากน้อยขนาดไหนอย่างไรบ้าง
    #นิยายไทย #คู่กรรม2 #ทมยันตี #หนังสือน่าอ่าน #thaitimes #14ตุลา อ่านจบเดือนครึ่งเกือบสองเดือนแล้วสำหรับคู่กรรม2 ของทมยันตี สองเล่ม 702 หน้า สนพ. ณ บ้านวรรณกรรม พิมพ์ที่อ่านนี้เป็นครั้งที่ 9 ปี 2552 (ยืมจากห้องสมุด) ในอดีตเคยอ่านแค่ตอนเดียวสมัยเรื่องนี้พิมพ์ลงในนิตยสาร โลกวลี ช่วงสมัยอยู่มัธยม เมื่อดูจากปกในที่ระบุว่ามีการรวมเล่มครั้งแรกปี 2534 เท่ากับว่าเรื่องนี้ปรากฏโฉมสู่สายตานักอ่านมาถึงปัจจุบันรวมเวลา 33 ปีล่วงแล้ว เคยชมภาพยนตร์ที่นำแสดงโดย คุณพล ตัณฑเสถียร และคุณศิริลักษณ์ ผ่องโชค เมื่อปี 2539 รู้สึกตอนจบรันทดหดหู่เนื่องจากลูกชายของอังศุมาลินตายเพราะช่วยลูกศิษย์ เลยไม่อยากอ่านหนังสือ แต่เพิ่งจะรู้ข้อมูลเมื่อไม่นานมานี้เองว่าบทสรุปในหนังสือนั้นต่างไปจากที่ถูกสร้างเป็นหนัง ดังนั้นจึงเกิดแรงใจในการหามาอ่านให้จบสมบูรณ์ หลังจากที่เคยอ่านภาคแรกจบตั้งแต่สามสิบกว่าปีก่อน พบคำผิดประปรายในการพิมพ์ครั้งที่ 9 บางคำก็ได้ความรู้เพิ่มเติมว่าสามารถเขียนได้สองแบบ เช่นคำว่า กระแหนะกระแหน ซึ่งเขียนว่า กระแนะกระแหน ก็ได้ ที่ผ่านมาตัวเองคุ้นชินกับการเขียนแบบมี ห นำหน้ามาตลอด พอเห็นว่าในหนังสือใช้เป็นแบบไม่มี ห นำ ยังคิดว่าน่าจะพิมพ์ผิด เมื่อลองค้นจึงค่อยทราบว่าไม่ผิด ซึ่งในเล่มช่วงแรก ก็ไม่มี ห แต่พอช่วงหลังมี ห โผล่มาซะงั้น อดคิดไม่ได้ว่าตกลงจะเลือกใช้แบบไหนก็น่าจะเอาสักทาง ให้เหมือนกันตลอดทั้งเรื่อง จากนี้ไปจะยาวมากครับ คงมีคนอ่านไม่มาก ถ้าใครอ่านต่อจนจบได้ขอโปรดรับคำขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วย ในส่วนเนื้อเรื่องของภาคนี้ ดำเนินต่อจากความตายของโกโบริ คืออังศุมาลินท้องแก่และคลอดลูกชาย ให้ชื่อว่ากลินท์ที่หมายถึงพระอาทิตย์ ชื่อญี่ปุ่น โยอิจิ โยหมายถึงดวงอาทิตย์ อิจิคือลูกคนแรก พ่อของอังศุมาลินยังคงห่วงใยคนรักเก่าและลูกสาวที่บ้านสวน จึงมาบอกข่าวว่าอีกไม่นานญี่ปุ่นคงจะแพ้สงคราม ซึ่งจะส่งผลกระทบมาสู่แม่อร อังศุมาลินและลูกโดยตรง จึงอยากจะช่วยเหลือ แต่แม่อรปฏิเสธ ไม่ใช่แค่คนเป็นพ่อที่ห่วงใย แม้ตาผลตาบัวสองคู่หูคู่หอย ก็หมั่นนำข่าวมาบอกว่าอีกไม่นานพลพรรคจะนัดกันลุกฮือต่อสู้ญี่ปุ่น รวมถึงวนัสที่ได้รับอิสระจากความช่วยเหลือของโกโบริก่อนตาย จึงกลับมาหาอังศุมาลินเพื่อบอกข่าวและถามเธอว่าจะยอมแต่งงานกับเขาไหม เพื่อจะได้แก้ไขปัญหาที่กำลังจะเกิด แต่อังศุมาลินปฏิเสธ เธอยินดีที่จะอยู่ดูแลลูกต่อไปในบ้านสวน ไม่ย้ายหนีไปไหนทั้งนั้น แล้วคุณยายแม่ของแม่อร และยายของอังศุมาลิน ก็จากไปเป็นคนแรกของภาคนี้ แต่เป็นการจากอย่างสงบ เตรียมตัวตายอย่างดี ไปถือศีลอยู่วัดไม่ต้องลำบากลูกหลาน เวลาผ่านไป ในที่สุดญี่ปุ่นแพ้สงครามพ่อของอังศุมาลินมาบอกทุกคนที่บ้านสวนว่าจะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ช่วงบั้นปลายชีวิต ทุกคนร่วมอนุโมทนา หลังบวชท่านต่างจากพระอื่นในวัด ไปอยู่กุฏิเล็กโทรมเพียงรูปเดียว ฉันวันละมื้อ และปฏิบัติเคร่งครัดจนชาวบ้านพากันโจษจันไปทั่วคุ้งน้ำ ด้านเด็กชายกลินท์เจริญวัยขึ้น ได้รับความเอาใจใส่จากแม่ และปู่คือตาผลตาบัวที่อุปโลกน์ตนเอง โดยเล่าเรื่องราวต่างๆของแม่และโกโบริให้กับเด็กชายฟัง ก่อนที่ทั้งคู่จะทยอยตายจากไปเช่นกัน จึงเหลือเพียงแม่อร ที่มักไปอยู่วัดบ่อยเหมือนเช่นทวดของกลินท์ นาน ๆ ครั้งกลินท์จึงได้ติดตามยายกับแม่ไปกราบท่าน กาลล่วงเลยจนเด็กชายเติบใหญ่เป็นหนุ่มวัย 27 ปี ดีกรีอาจารย์สอนเศรษฐศาสตร์ที่ ม.ธรรมศาสตร์ เป็นที่ชื่นชอบในบรรดาเหล่าลูกศิษย์โดยเฉพาะนักศึกษาหญิง ขณะที่เมืองไทยเข้าสู่ช่วงปีที่ในกรุงเทพกำลังเกิดกระแสตื่นตัวต่อต้านสินค้าและอื่นใดที่มาจากญี่ปุ่น ซึ่งสร้างชาติอย่างรวดเร็วภายหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง โดยเน้นทางด้านเศรษฐกิจ ทำให้โยอิจิที่มีปมเป็นลูกที่มีเลือดญี่ปุ่นครึ่งหนึ่ง นึกรังเกียจไม่พอใจชาติกำเนิดตนเอง ต่อต้านพ่อที่ตายไปแล้ว และไม่เข้าใจแม่ จึงกลายเป็นคนที่ให้คำแนะนำแก่บรรดาศิษย์หัวรุนแรง ก้าวหน้า ฝักใฝ่ปลดแอกประชาชนจากการเป็นทาสทุนนิยมบริโภคและทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น โดยไม่มีใครรู้ความจริงของพ่ออาจารย์ ทางบ้านสวน แม้โยอิจิจะรักแม่มาก แต่ขณะเดียวกันใจก็ยังไม่ยอมรับพ่อ กลายเป็นเหมือนเด็กน้อยที่เอาแต่ใจ รั้น และดื้อเงียบ แต่เขาเข้ากันได้อย่างดีกับลุงวนัสที่สนิทสนมมาแต่เด็ก เข้าออกบ้านลุงบ่อย ตั้งแต่กำนันพ่อของวนัสยังมีชีวิตอยู่จนตายไปในเวลาต่อมา วนัสทำธุรกิจหลายอย่าง รวมถึงการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบ้านเรือนไทยของตนให้เป็นที่ทำงานด้วย วนัสไม่ยอมแต่งงานสักทีตั้งแต่อกหักจากอังศุมาลิน แม้โยอิจิจะรู้ว่าวนัสมีการคบหาทำธุรกิจกับพวกคนญี่ปุ่น เขาไม่เห็นด้วยแต่ก็ยังรักชอบในฐานะลุงเช่นเดิม ส่วนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งเขาเป็นอาจารย์สอนอยู่นั้น เขาคอยเป็นที่ปรึกษาให้กับกลุ่มนิสิตนักศึกษาระดับผู้นำหลายคนที่เรียกร้องรัฐบาลให้บอยคอตคนญี่ปุ่นรวมถึงธุรกิจ สินค้าทุกชนิด โดยที่ไม่มีใครรู้ความจริงว่าเขามีพ่อเป็นใคร ขณะที่มีอาจารย์สาวคนหนึ่งชื่อ ชิตาภา หน้าตาดี ครอบครัวเป็นชาวจีนมีอันจะกินที่มาตั้งรกรากสร้างตัวจนกลายเป็นมีกิจการค้ารุ่งเรือง มักชอบเข้าหามาชวนเขาสนทนาอยู่บ่อยครั้ง ดูเหมือนเธอจะพึงใจในตัวโยอิจิอยู่บ้าง และน่าจะมีอะไรที่มากกว่านั้น แต่เขาไม่สนใจ มักคุยด้วยไม่นาน และสร้างขอบเขตส่วนตัวที่กันคนอื่นออกไปอยู่วงนอกเสมอ ไม่ยอมให้ใครเข้าถึงความในใจตนได้ แล้ววันหนึ่งนักศึกษาสาวปีสามรัฐศาสตร์นามว่า ศราวณี ผู้เป็นแกนนำหัวรุนแรงที่ต่อต้านคนญี่ปุ่นและสินค้าญี่ปุ่น รวมถึงต่อต้านรัฐบาลทหารในช่วงนั้น ซึ่งรู้ความจริงเรื่องของพ่อโยอิจิ และมีความคับแค้นจากปมในครอบครัวตนซึ่งแม่ตายตั้งแต่เด็ก ถูกเลี้ยงดูมาจากยายและป้าที่เป็นพี่สาวของแม่ และเข้าใจผิดฝังหัวมาตลอดเกี่ยวกับครอบครัวบ้านสวนของอังศุมาลิน ที่มาแย่งชิงความรักไปจากคุณตาของเธอ เพราะทั้งยายและป้ามักเล่าความหลังโดยบิดความจริงแล้วใส่สีตีไข่ บริภาษแม่อรว่าคือผู้เป็นเมียน้อยที่แย่งความรักไป ทำให้ครอบครัวฝั่งยายลำบาก และโดนแย่งสมบัติไปหมด แม่และป้าจึงโตมาอย่างยากแค้นจนแม่ตายไปและป้าต้องรับเลี้ยงศราวณีต่อมาอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ ทำให้ป้ามักอารมณ์เสียใส่เธอเสมอตั้งแต่เด็กจนโต เพาะเป็นความเกลียดชังต่อครอบครัวฝั่งบ้านสวน ทั้งที่ตัวเองไม่เคยพบหน้าอีกฝ่าย จนเมื่อเข้ามาเป็นนักศึกษาและพบว่าโยอิจิสอนหนังสืออยู่ที่ธรรมศาสตร์ จึงพุ่งความโกรธเกลียดที่ตนเคยได้รับจากป้ามารวมอยู่ที่อาจารย์ทั้งหมด จนกระทั่งบอกความลับเรื่องพ่อของโยอิจิออกไปให้พวกเพื่อนกลุ่มหัวรุนแรงด้วยกันรับรู้ วันที่พวกเธอและเพื่อนตามตัวให้โยอิจิมาที่ห้องซึ่งเป็นที่รวมพลเพื่อพูดคุยเรื่องจะทำอะไรต่อไป แล้วใครคนหนึ่งได้กล่าวเปิดโปงเรื่องโกโบริ และพูดจาดูถูกเหยียดหยามเชื้อชาติของพ่อ วินาทีนั้นเองโยอิจิกลับเพิ่งเข้าใจหัวใจตนเองเป็นครั้งแรกในชีวิต 27 ปีที่ผ่านมา ว่าแท้จริงเขารักพ่อและเทิดทูนในเกียรติยศของทหารหาญมากแค่ไหน เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาด้วยท่าทีแสดงออกถึงความภูมิใจในสายเลือดแห่งตนด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมพลัง ที่สามารถสยบเสียงโห่ฮาขับไล่ของเหล่านักศึกษาให้สงบลงได้ นั่นคือครั้งแรกเช่นกันที่สร้างความประหลาดใจแกมรู้สึกผิดอยู่เบื้องลึกให้เกิดขึ้นในหัวใจของศราวณี ที่ไม่นึกฝันว่าโยอิจิจะกล้ายอมรับอย่างไม่สะทกสะท้าน นับตั้งแต่วันนั้น โยอิจิเหมือนได้รับการปลดล็อกออกจากห้องขังที่ตนเองสร้างขึ้นเพื่อหนีความจริงสุดลึกที่เก็บกดไว้ เขาเข้าใจถึงความรักของแม่อันเป็นที่รักที่มีต่อพ่อชาวญี่ปุ่นอย่างท่วมท้นหัวใจแล้ว พ่อไม่เคยทำสิ่งไม่ดี มีแต่ทำตามหน้าที่ของชายชาติทหารที่ได้รับมอบหมาย ไม่ได้ทำไปด้วยความจงเกลียดจงชัง โยอิจิกลับไปที่บ้านสวนในเย็นวันนั้นอย่างคนที่บาดเจ็บสาหัส ไม่ใช่ทางกาย แต่ได้รับความกระทบกระเทือนทางใจอย่างรุนแรง อังศุมาลินรับรู้ได้ด้วยสายตาและหัวใจของคนเป็นแม่ แม้ไม่รู้ว่าลูกชายพบเจอเรื่องใดมาทำได้แค่ยกสองมือขึ้นโอบกอดถ่ายเทความรักความอบอุ่นที่มีให้กับลูกชายด้วยความเข้าใจอย่างสงบ โยอิจิไม่รู้ความจริงว่าศราวณีคือน้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง เกิดจากน้องสาวต่างมารดาของอังศุมาลิน มีเพียงอาจารย์ชิตาภาที่ทราบ เพราะเธอเป็นญาติที่มีศักดิ์เป็นคุณน้าของศราวณี แต่ยังไม่อาจเล่าให้เขาฟัง โยอิจิยังคงสงสัยและเคลือบแคลงว่าชิตาภาประสงค์สิ่งใดแน่จึงมักหาเหตุมาใกล้ชิดชวนสนทนากับตน ด้วยความรู้สึกผิดเกาะกินจากภายใน รวมถึงปัญหาต่าง ๆ รุมเร้า แม้ใจจะต่อต้านพี่ชายอย่างอาจารย์กลินท์ แต่เบื้องลึกเธอกลับมีความรู้สึกที่ดี รักเคารพในชายคนนี้อย่างไม่รู้ตัว วันหนึ่งโยอิจิพบเธอนั่งซึมอยู่ที่ท่าเรือ เหมือนรอคอยจะพบเขาและตามลงเรือมาที่บ้านสวนด้วย ศราวณีจึงได้พบกับสรวงสวรรค์บ้านเรือนไทยหลังเดียวในย่านนั้นที่ยังคงสภาพเหมือนเดิมกับช่วงเกิดสงคราม ในขณะที่บ้านหลังอื่นเปลี่ยนแปลงไปสร้างตามอย่างต่างชาติหมด เธอพบบรรยากาศที่ร่มรื่นชื่นเย็น สงบสุขอย่างไม่เคยได้รับยามเมื่อกลับถึงบ้านที่อยู่กับป้า ยิ่งเมื่อได้พบเจออังศุมาลิน ภาพที่เคยคิดไว้กลับตรงข้ามกับสิ่งที่เห็นและได้ยินทุกอย่างต่างจากที่ยายและป้าได้พูดใส่หูเธอมาตลอด เธอรู้สึกได้รับความสุข สงบ สบายใจและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเกิด และเริ่มเปลี่ยนความคิดที่มีต่อครอบครัวของโยอิจิ ทางด้านหลวงพ่อ หลังจากบวชเพื่อปฏิบัติอย่างเอาจริงอยู่จนล่วงเข้าสู่ปัจฉิมวัย ที่สุดก็มรณภาพอย่างสงบในท่านั่งสมาธิอยู่ในกุฏิ ทำให้ชาวบ้านโจษจันต่างศรัทธานับถือ จนเจ้าอาวาสและทางกรรมการวัดเห็นเป็นโอกาสในการสร้างเรื่องเรียกคนเข้ามาทำบุญเพิ่ม ด้วยการยกให้หลวงพ่อเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาทันที ทั้งที่ตอนมีชีวิต ไม่ใคร่สนใจ ที่บ้านสวนส่วนใหญ่อังศุมาลินอยู่บ้านคนเดียว ทำงานบ้านดูแลอาหารการกินเตรียมไว้ให้ลูกชาย ทว่าเริ่มมีอาการป่วยที่ค่อย ๆ รุนแรงมากขึ้นจนต้องแอบไปที่ศิริราช โดยมีเจ้าโก๊ะเด็กชายตัวน้อย ลูกของคนจรจัดหญิงชายที่มาขออาศัยอยู่ในสวนด้านหลังบ้านตามไปเป็นเพื่อน พ่อแม่ของโก๊ะนั้นเป็นประเภทไม่ชอบทำมาหากิน ขี้เหล้าเมายา เล่นพนันไปตามเรื่อง อังศุมาลินเคยหวังดีเอ่ยปากแนะนำให้ตั้งตัวขยันทำกินหลายครั้ง แต่ทั้งสองไม่สนใจ เอาแต่เก็บผักผลไม้จากในสวนของแม่อรและอังศุมาลิน มากินและขายด้วยถือวิสาสะว่าเหมือนของตน และมักใช้ให้โก๊ะมาขอเงินจากอังศุมาลินบ่อย ๆ ส่วนเหตุการณ์ทางด้านการบ้านการเมืองกลับทวีความรุนแรง คุกรุ่นขึ้นเรื่อย ๆ บรรดานักศึกษาต่างรวมตัวกันในสถาบันหลายแห่ง รวมถึงขึ้นเวทีพูดปลุกระดมให้ชาวบ้านฟังและเข้าร่วมสนับสนุนฝ่ายตนมากขึ้น ขณะที่ยื่นคำขาดต่อรัฐบาลให้ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องที่ร่างขึ้น เหตุการณ์ช่วงปี พ.ศ. 2516 เริ่มขมวดปมความขัดแย้งระหว่างฝ่ายผู้บริหารกับฝ่ายนักศึกษา ผ่านสายตาของโยอิจิและชิตาภาที่คอยเฝ้ามองอย่างห่าง ๆ ด้วยความเป็นห่วงในตัวศิษย์ แม้เคยกล่าวเตือนในหลายครั้งให้ศราวณีระมัดระวัง อย่าทำอะไรที่ผลีผลาม หุนหันพลันแล่น แต่อย่างไรเด็กก็คือเด็ก เมื่อเขามีความเชื่อฝังหัวไปทางด้านหนึ่ง ก็ขาดความใคร่ครวญพิจารณาอย่างรอบถ้วน และมองไม่เห็นถึงภัยร้ายที่จะบังเกิดขึ้นในเมื่อทุกสิ่งถูกปลุกเร้าเข้าสู่ห้วงวิกฤต สุดท้ายถึงวันแตกหักอันเป็นเหตุการณ์วิปโยคของคนไทยทุกคน จะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับโยอิจิ ชิตาภา และศราวณี ในขณะที่อังศุมาลินนั้นก็มีอาการเจ็บป่วยที่มักเหนื่อยง่าย หน้าซีดจะเป็นลมบ่อย แต่ปิดไว้ไม่ให้ลูกชายรู้ ดูเหมือนเวลาชีวิตของเธอจะเหลืออีกไม่มากก่อนจะได้ตามไปอยู่กับโกโบริ สรุปสุดท้ายของนิยายจะลงเอยอย่างไรไปอ่านต่อได้ในคู่กรรม 2 ครับ 🖋วิเคราะห์หลังอ่านจบ มีทั้งส่วนที่ชอบและไม่ชอบ ภาคนี้ต่างไปจากภาคแรกอย่างชนิดเหมือนเป็นนิยายคนละเรื่อง คนละแนวทาง คือภาคแรกมีความเป็นนิยายรักระหว่างรบ ที่มีทั้งปมความรัก ความขัดแย้งในตัวตนกับคนที่คิดว่าคือศัตรูเป็นแกนหลัก เน้นไปทางอารมณ์ความรู้สึกของอังศุมาลินและโกโบริ โดยมีเหตุการณ์น้อยใหญ่ที่เข้ามาสร้างให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างกันของทั้งสองเพิ่มขึ้นทีละน้อยจนถึงขั้นรัก แต่ไม่อาจเปิดใจเพราะติดที่กรอบซึ่งถูกสร้างขึ้นจากทั้งอังศุมาลินเอง และสังคมสร้างให้กลายเป็นขื่อคาที่ตรึงรั้งใจไว้ให้มิอาจแสดงออกถึงความรักได้ดังเช่นคู่สามีภรรยาปกติ จนนำไปสู่บทสรุปอันเจ็บปวดและขมขื่นในตอนท้ายเรื่องที่สร้างความจดจำและสะเทือนใจให้กับคนอ่านอย่างยิ่ง กลายเป็นอมตะนิยายรักแห่งโศกนาฏกรรมที่คนไทยรู้จักมากที่สุดเรื่องหนึ่ง มาในภาคนี้ เนื้อหาโครงสร้างหลักกลับเน้นไปที่ความมองโลกของคนเป็นแม่อย่างคนที่ผ่านประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตมาแล้ว และจะเลือกเดินหน้าต่อไปอย่างไรในสถานการณ์ที่คนไทยส่วนใหญ่เกลียดชังญี่ปุ่น ในขณะที่เธอคือภรรยาหม้ายและมีลูกชายสายเลือดที่เกิดจากทหารญี่ปุ่น ตลอดทั้งเล่มนี้ในความรู้สึกส่วนตัว ผมมองว่านี่คือนิยายธรรมะเล่มหนึ่งทีเดียว เพียงแต่ไม่ใช่ธรรมะที่เป็นคำบรรยายเทศน์ของพระผู้เป็นองค์ธรรมกถึก หากแต่เป็นหนังสือธรรมะที่นำพล็อตของนิยายมาสวม จึงพบได้ในหลายย่อหน้า แทบทุกตอนที่ผู้เขียนสอดแทรกแนวคิดหลักธรรมทางพุทธตามแนวที่ท่านเชื่อเป็นทางที่ถูกตรงลอยอบอวลอยู่ในการบรรยาย เหมือนตัวละครและฉากเหล่านั้นคือตัวแทนหรือเครื่องมือที่ต้องการสื่อสอนธรรมะไปสู่ผู้อ่านอยู่ตลอด โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องราวของความตาย ดังจะเห็นได้จากมีการจากไปของตัวละครเดิมที่มีบทบาทจากภาคแรก คนแล้วคนเล่า เริ่มตั้งแต่คุณยาย ตาผลตาบัว หลวงพ่อ และกำลังใกล้ตายอย่างอังศุมาลิน ทำนองแสดงสัจธรรมชีวิต หลายช่วงตอนที่มีการหยิบยกบทกลอนร้อยกรองจากในวรรณคดีไทย หรือที่ผู้เขียนแต่งขึ้น รวมถึงวลี ประโยคภาษาอังกฤษจากบทเพลง บทกวีต่าง ๆ ของทางตะวันตกมาใช้เพื่อสื่อแสดงถึงความรู้สึกของผู้เขียนที่ต้องการสะท้อนผ่านเรื่องราวของเหตุการณ์แวดล้อมรอบตัวโยอิจิ และตัวละครสำคัญ จนบางทีก็ดูมากไป อ่านไปเรื่อย ๆ อดที่จะคิดไม่ได้ว่าเล่มนี้ มีความคล้ายกันกับอีกเล่มของทมยันตีที่มีชื่อว่า จดหมายถึงลูก(ผู้)ชาย ที่เน้นสอนลูกของผู้เขียนเองและคนเป็นลูกชายทุกคน ด้วยการแทรกแนวคิดคำสุภาษิตไว้ในเนื้อหาตลอดเล่ม แล้วการเขียนลักษณะนี้ดีหรือไม่อย่างไร? คงขึ้นกับความชื่นชอบส่วนบุคคลของผู้อ่านที่มีรสนิยมแตกต่าง ส่วนผมเองนั้นไม่ถึงกับเรียกได้ว่าชอบทว่าก็ไม่ขัดใจมากมาย แต่ยอมรับว่าทมยันตีเป็นหนึ่งในนักเขียนที่มีความไม่ธรรมดาในด้านศึกษาธรรมะในพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งหาตัวจับยาก แล้วนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการเขียนได้เก่งมากคนหนึ่งในเหล่านักเขียนรุ่นเก่า หากจะติบ้างก็คงเป็นความเข้าใจในทางหลักธรรมที่นำมาสอดแทรกไว้ในคู่กรรม2 นั้น ยังเป็นความเข้าใจที่เหมือนเช่นคนปฏิบัติธรรมทั่วไปในไทยเข้าใจกันว่าถูกต้อง คือเน้นการนั่งสมาธิเดินจงกรมว่าคือวิธีที่จะนำไปสู่การลดละกิเลสจนนำไปสู่ความหลุดพ้นได้ ดังที่ตัวละครหลวงพ่อในเรื่องได้ปฏิบัติและพูดคุยสอนธรรมกับโยอิจิ หรือแม่อร อังศุมาลิน ซึ่งโดยแท้จริงการปฏิบัติควรเน้นไปที่การมีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกที่จะจับอาการกิเลสแล้วกำจัดทิ้ง ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน หรืออิริยาบถย่อยอื่น ไม่ใช่เพียงแค่ตอนนั่งสมาธิเดินจงกรมเพียงเท่านั้น เพราะในชีวิตจริงมนุษย์ไม่อาจจะบังคับตนให้อยู่เพียงแค่ท่านั่งสมาธิต่อเนื่องยาวนานไปจนชั่วชีวิต นอกจากประเด็นที่กล่าวถึงนี้แล้วที่มีความเห็นไม่ตรงกับผู้เขียน ทางด้านอื่นถือว่าผมชอบนิยายเรื่องนี้ไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะการมองโลกที่มองทะลุถึงความเป็นจริงของสังคมไทย ลักษณะนิสัย ที่เจาะลึกให้เห็นว่าแม้นในอดีตสมัยสงครามคนไทยเป็นอย่างไร ปัจจุบันในยุคนี้ก็ยังคงพบเห็นได้ว่าไม่แตกต่างกันนัก จึงถือว่านิยายเล่มนี้ไม่ล้าสมัย โดยเฉพาะด้านการบ้านการเมืองที่ผู้มีอำนาจในฝ่ายรัฐ มักเลือกใช้วิถีทางแห่งความรุนแรงในการสยบปัญหาอยู่เสมอ โดยมีมือที่สามที่คอยฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ ยั่วยุ ปลุกปั่น และล่อลวงให้คู่กรณีระหว่างรัฐกับนักศึกษาและประชาชนปะทะแตกหัก จนเกิดความสูญเสีย อันมีแต่หายนะต่อประเทศชาติ ศราวณี คือตัวแทนที่เปรียบให้เห็นเด่นชัด ไม่ว่ายุคใด เหล่าเด็กหนุ่มสาวอนาคตชาติ มักถูกกระตุ้น ให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน และปลุกเร้าจุดไฟติดได้โดยง่าย ด้วยพวกเขามีพลังงานล้นเหลือ เมื่อเลือกเชื่อไปทางใดทางหนึ่งแล้ว บางทีก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลังโดยไม่ทันได้ใคร่ครวญ ยั้งคิด หรือพิจารณาทัศนียภาพรอบข้างระหว่างทางที่มุ่งไปให้ถี่ถ้วนรอบคอบ จึงมักตกเป็นฝ่ายที่ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือให้ไปตายแทนคนบงการแท้จริงเบื้องหลังเสมอ และเมื่อเกิดความสูญเสียแล้วก็เป็นเช่นดังอะไหล่เลวที่โดนใช้แล้วทิ้งโดยไร้ความเสียดาย หรือจำเป็นต้องดูแลอย่างใดต่อไป กว่าพวกเขาจะรู้ตัว ความผิดพลาดพลั้งเผลอก็เกิดขึ้นและไปไกลเกินกว่าตนเองจะหยุดยั้ง ควบคุมและแก้ไขสถานการณ์ได้เสียแล้ว ดังจุดจบของตัวละครในเรื่องนี้หลังเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ความเก่งกล้า ไม่ยอมใคร ไม่ฟังอาจารย์ ความร้อนเร่าเอาแต่ใจ รั้นจะทำในสิ่งที่ตนคิดให้จงได้ ทว่าสุดท้ายกลับกลายพาเพื่อน คนที่ไม่รู้อะไรแต่ก็ตามกันไป ไปพบกับการบาดเจ็บล้มตายต่อหน้าต่อตา ถึงกับกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง หลบหนีตายจ้าละหวั่น กระทบกระเทือนถึงสภาพจิตใจอย่างรุนแรงจนแทบจะกลายเป็นบ้าไป เธอจึงได้รับบาดแผลลึกที่เสียใจก็ไม่ทันแล้ว กับไฟที่ตอนแรกเพียงแค่เหมือนไฟจากปลายก้านไม้ขีดในมือที่ขยับนิดเดียวก็ดับ สุดท้ายมันกลับกลายเป็นไฟกองใหญ่ที่โหมไหม้รวดเร็ว ลามเลียทำลายทุกสิ่งอย่างไม่อาจดับได้ด้วยแค่กำลังตนเอง นอกจากนี้ที่ชอบก็มีในส่วนของการใช้ภาพตัวละครในเรื่องอย่างครอบครัวของเจ้าโก๊ะ ที่สะท้อนภาพตัวแทนของชนชั้นล่างได้ชัดเจน ความเหลื่อมล้ำที่เหล่านักศึกษามักนำมาเป็นคำขวัญ ชูประเด็นเพื่อเรียกร้อง และรังเกียจเคียดแค้นเหล่าชนชั้นศักดินา ดังเช่นอาจารย์ชิตาภาที่ครอบครัวเป็นชาวจีนโพ้นทะเลที่มาไทยอย่างเสื่อผืนหมอนใบ แต่ขยันขันแข็งและสร้างตัวจนมีทรัพย์ ร่ำรวยมีอันจะกินและสร้างธุรกิจด้วยการค้าขายขยับขยายฐานะ จนเลื่อนจากชนชั้นแรงงานต่างด้าวมาเป็นพ่อค้าวาณิชย์ที่มีกิจการมากมายและถูกแปะป้ายให้กลายเป็นศักดินาไป จนถูกมองว่าเป็นความผิดความเลวที่เข้ามากอบโกยนั้น หรือแม้แต่วนัสที่เป็นคนไทยแต่มีหัวในทางธุรกิจการค้า จึงติดต่อซื้อขายกับคนต่างชาติอย่างญี่ปุ่นหรือชาวตะวันตกจนมีฐานะเข้าขั้นเศรษฐี ทั้งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นพวกเสรีไทย แต่ในภาคนี้เรียกได้ว่าแปะป้ายศักดินาตามความหมายของเหล่านักศึกษาได้เช่นกัน หากมองความจริงในอีกแง่มุม ย่อมเห็นได้ว่าคนไทยเองที่เป็นชนชั้นกรรมาชีพจำนวนมากนั้นมีสันดานเป็นอย่างพ่อและแม่ของเจ้าโก๊ะ ที่เอาแต่ชื่นชอบอยู่อย่างสบายไม่ต้องทำการทำงาน วันทั้งวันเอาแต่เมาหัวราน้ำ แม้นมีคนหยิบยื่นความช่วยเหลือหวังให้สร้างตัวเพื่อตั้งตนได้ แต่ก็ไม่กระตือรือร้นสนใจ หนักไม่เอาเบาไม่สู้ อยากแต่จะขอเขากินไปเรื่อย ๆ อาศัยความเมตตาและมีน้ำใจของครอบครัวแม่อรและอังศุมาลินเป็นเครื่องมือ เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างคนขี้เกียจ รักสบายได้ต่อไป มีเงินก็หมดไปกับเหล้ายาและการพนัน เงินหมดก็ใช้ให้โก๊ะไปไถขอเอาใหม่ ด้วยรู้จุดว่าถ้าให้เด็กมาขออย่างไรก็ได้ นี่ไม่อาจยอมรับว่าไม่ว่าจะในนิยายซึ่งอยู่ในยุคหลังสงคราม หรือปัจจุบันที่ล่วงเลยมาอีกหลายสิบปี ก็ยังมีคนไทยที่เป็นเช่นนี้อีกเป็นจำนวนมาก แล้วจะไปโทษว่าแต่ความเหลื่อมล้ำเพราะชนชั้นได้เช่นไร ในเมื่อตนเองยินดีทำตนให้เป็นไปเช่นนั้น อังศุมาลินและโยอิชิคือตัวแทนของชนชั้นกลางที่น่าสนใจ ทั้งสองมีความรู้ตามทันยุคสมัยของความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่หลงใหลปล่อยให้กระแสเชี่ยวแห่งคลื่นทุนนิยมเข้าครอบงำ ยังคงดำเนินชีวิตทั้งรูปแบบ และวิถีตามอย่างวัฒนธรรมอันดีงามในอดีตที่บรรพบุรุษสร้างไว้ ไม่ว่าจะเรือนพักอาศัยที่ไม่รื้อทิ้งหลังเก่าแล้วสร้างใหม่ และพยายามสงวนที่ดินสวนหลังบ้านไว้ปลูกผักปลูกไม้ผลให้พอเก็บกินไม่เดือดร้อน ในขณะครอบครัวอื่นขายที่ให้นายทุน และสร้างบ้านปูนกันไปเกือบหมด ภาพความขัดแย้งที่เห็นได้ชัดเจนนี้เองที่เป็นความงดงาม แม้นลำคลองจะไม่เหมือนเดิม คนไทยทิ้งขยะสิ่งปฏิกูลลงน้ำ ทำลายต้นกำเนิดรากเหง้าสายธารแห่งชีวิตของตนเอง ทำให้ปลา กุ้ง หอย สัตว์น้ำที่เคยมีลดน้อยจนกระทั่งหายไปไม่เหมือนก่อน เมื่อมาถึงยุคสมัยที่เรามีชีวิตอยู่นี้ เราจึงต้องแบกรับผลพวงที่ตามมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง เราไม่ชอบ เราบ่นหรืออาจถึงขั้นก่นด่าคนรุ่นก่อน แต่เราเองก็ละเลยไม่ได้มองกลับเข้ามาในตน ว่าในแต่ละวันได้ทำอะไรที่เป็นไปในทางที่ทำร้าย ทำลายวิถีไทย สิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรมและประเพณีอันดีมากน้อยขนาดไหนอย่างไรบ้าง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1176 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เห็นจะเป็นเพราะรัก
    #มนันยา
    #เรื่องสั้น
    #ของขวัญ
    #ของขวัญวันคริสต์มาส
    #thaitimes
    #หนังสือน่าอ่าน

    วันก่อนอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเป็นรวมเรื่องสั้นแนวความรัก ในเล่มมี 27 เรื่องแปลจากฝั่งตะวันตกโดยสำนวนของมนันยา มีภาพประกอบสีสวยการ์ตูนแฟชั่นทุกเรื่อง เกือบทุกเรื่องเป็นรักของชายหญิงหลากหลายอาชีพ หลายวัย ที่มีรูปแบบการแสดงออกอย่างชาวตะวันตก ซึ่งส่วนตัวไม่ได้อินมากด้วยความที่แต่ละเรื่องไม่ยาวเท่าไร จึงไม่มีรายละเอียดมากพอจะทำให้รู้สึกเอาใจช่วยไปกับตัวละครในเรื่องนัก มีที่ชอบอยู่บ้าง แต่มีเรื่องหนึ่งประทับใจมากเป็นพิเศษ ทั้งที่ในเนื้อหานั้นไม่มีความรักแบบชายหนุ่มหญิงสาวที่ดิ้นรนแสวงหาคนเพื่อมาอยู่ข้างกายเลย แต่ความรักที่ปรากฏในเรื่องนี้ช่างงดงามและสร้างพลัง ช่วยชุบชูจิตใจให้รู้สึกอบอุ่น และมีหวังต่อโลกใบนี้ขึ้นมาไม่น้อย

    ตอนดังกล่าวนี้คือเรื่องแรกของเล่มที่มีชื่อว่า ของขวัญ

    เรื่องมีว่า ชายสูงวัยที่สูญเสียเมียที่อยู่ด้วยกันมาหลายสิบปีไป ทำให้เขาทนอยู่บ้านเดิมหลังใหญ่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำกับเธอไม่ได้ จึงขายแล้วย้ายมาซื้อบ้านหลังเล็กสำหรับคนเดียว ในตำบลอันห่างไกลริมชายฝั่งซึ่งไร้คนรู้จัก ชอบอยู่เงียบ ๆ ไม่สุงสิงกับใคร ไม่ชอบร่วมกิจกรรมเข้าสังคมโดยเฉพาะในวันคริสต์มาสและช่วงเทศกาลที่เขาไม่ชอบอย่างยิ่ง เห็นเป็นความสิ้นเปลือง มีแต่กินแล้วก็มอบของขวัญให้กัน ทำให้ห่างไกลใจความสำคัญและความหมายแท้จริง เขาไม่เห็นด้วยกับการให้ของตามใจที่เด็กอยากได้ เพราะสร้างนิสัยให้เด็กคิดว่าต้องได้ของขวัญเสมอในวันคริสต์มาส เขาบอกตัวเองว่าไม่ได้เกลียดวันคริสต์มาสอย่างตาเฒ่าสครูจใน A Christmas Carol จนวิญญาณเพื่อนเก่าที่ตายไปชื่อ เจค็อบ มาร์เลย์ ต้องมาเตือน

    วันคริสต์มาสที่จะมาถึงในคืนนั้น ช่วงกลางวันเขาออกไปซื้อของที่สโตร์ห่างไปไม่ไกล ซึ่งคุ้นเคยกับหญิงเจ้าของร้านอยู่บ้างเพราะต้องมาซื้อข้าวของบ่อย ตอนเดินเข้าไปหญิงเจ้าของร้านยิ้มแย้มต้อนรับ ชวนคุยเกี่ยวกับหุ่นจำลองนกแก้วขนาดยักษ์ที่แขวนห้อยอยู่บนเพดานกลางร้านซึ่งมีสีสันสดสวยและปีกยาวใหญ่ เธอบอกว่าจะให้เป็นของขวัญคริสต์มาส สำหรับผู้ที่ซื้อของปอนด์หนึ่งจะได้รับการเขียนชื่อไว้จับสลาก1 ใบ แล้วเธอจะเขียนชื่อลงในบัตรให้เขาด้วย ชายชราที่นึกรังเกียจเจ้านกยักษ์จำต้องเออออไปกับเธอ บอกว่าเขาเป็นคนไร้โชคมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยถูกรางวัลใด ๆ คงไม่มีหวังหรอก

    หลังเขากลับมาบ้านและกำลังพักผ่อนตามสบายนั้น โทรศัพท์จากหญิงเจ้าของร้านดังขึ้น เมื่อเขารับ เธอบอกด้วยความดีใจว่าเขาต้องไม่เชื่อแน่เลยว่าชื่อที่จับสลากได้นกแก้วตัวนั้นก็คือเขา เธอขอให้เขาขับรถมานำของขวัญกลับบ้าน นี่เป็นเหมือนทุกขลาภที่ตนไม่อยากได้แต่ไม่อาจปฏิเสธน้ำใจ ด้วยเธอคือบุคคลหนึ่งในจำนวนน้อยนิดเพียงไม่กี่คนที่เขารู้จัก ต้องรักษาความเป็นเพื่อนที่ดีไว้ จึงจำใจขับรถกลับไปรับนกแก้วยักษ์ขนาด 6 ฟุตตัวนั้น เมื่อเอาเข้าไปไว้ในรถก็เต็มที่ว่างจนชนกระจก เขาใช้ความคิดอย่างหนักว่าจะกำจัดมันได้อย่างไร จะเอาทิ้งทันทีไม่ได้แน่ของใหญ่อย่างนี้ ไม่นานจะรู้ถึงหูเจ้าของร้าน

    ในที่สุดเขานึกออก ตัดสินใจขับรถมุ่งหน้าไปสถานเลี้ยงเด็กซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยร่วมอยู่ในที่ประชุม และมีคนเสนอให้ขายที่ดินว่างเปล่า แต่เขาคัดค้านเพราะจะทำให้เด็ก ๆ ไม่มีพื้นที่วิ่งเล่น เมื่อไปถึงสถานเลี้ยงเด็ก ผู้ดูแลหญิงเอ่ยทักทาย เธอจำได้ว่าชายชราคือบุคคลหนึ่งซึ่งช่วยให้เด็ก ๆ ยังมีพื้นที่กลางแจ้งไว้สันทนาการ เขารีบบอกว่านำนกแก้วยักษ์มามอบให้เป็นของขวัญคริสต์มาสแก่เด็ก ๆ (ทั้งที่ไม่เคยมีความคิดนี้อยู่ในหัวมาก่อน) แต่ผู้ดูแลสาวจำต้องกล่าวปฏิเสธ แม้จะซาบซึ้งในความมีน้ำใจของเขามากเพราะนกนั้นตัวใหญ่เกินไป

    เธอเล่าว่าถ้าเป็นไก่งวงตัวใหญ่ที่กินได้จะรีบรับไว้เลย ด้วยเหตุว่าทางสถานเลี้ยงเด็กไม่มีเงินมากพอจะจัดอาหารเลี้ยงในคืนวันคริสต์มาส ชายชราจึงควักธนบัตรหลายใบที่มีมูลค่ามากพอสมควรยื่นให้ผู้ดูแล พร้อมบอกว่าขอเป็นเจ้าภาพอุปการะการกินเลี้ยงของเด็ก แม้นเธอจะไม่กล้ารับแต่เขายืนยันบอกว่าตนเองมีพอไม่เดือดร้อน และกำชับว่าช่วยจัดอาหารดี ๆ ให้พวกเขาด้วย สุขสันต์วันคริสต์มาสนะ แล้วแบกนกแก้วยักษ์กลับขึ้นรถ ขับต่อไปพลางคิดว่าจะกำจัดมันไปที่ไหนดี

    เขานึกถึงโรงเรียนอนุบาล เด็กเล็กต้องชอบแน่เขามั่นใจ จึงมุ่งหน้าไปถึงโรงเรียน จอดรถและแบกนกยักษ์เข้าไป เขามองเห็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ตรงระเบียงจึงตรงเข้าไปถามว่าเธอคือครูใช่ไหม หญิงสาวบอกชื่อและทักทายชายชรา เธอจำได้ว่าเขาคือคนบริจาคเงินให้โรงเรียนตอนที่จัดซื้อรถมินิบัส เขาแปลกใจที่มีคนจำเรื่องนั้นได้ ความจริงเขาทราบจากหญิงเจ้าของร้านขายของว่าโรงเรียนลำบากในการเดินทางพาเด็กไปว่ายน้ำในสระที่อยู่อีกตำบลซึ่งห่างไกล เขาจำได้ว่าตอนเมียยังมีชีวิตมักพูดว่าถ้าชาวบ้านช่วยโรงเรียนได้ก็ควรช่วย เขาจึงบริจาคช่วยไปโดยไม่คิดอะไร

    ครูสาวจำต้องปฏิเสธนกแก้วยักษ์เช่นกัน เธอบอกว่าโรงเรียนคับแคบไม่มีที่พอจะแขวน ลำพังเด็ก35คนวิ่งไปมาก็แทบแย่แล้ว แต่ยังไม่ทันที่ชายชราจะขนนกกลับ เด็กหลายคนมองมาเห็นเข้าจึงพากันเข้ามารุมล้อมชื่นชมนกแก้วตัวใหญ่ด้วยแววตาเป็นประกาย พลางแข่งกันถามมากมายเช่นว่า

    มันกัดไหมค่ะ

    มันบินได้หรือเปล่าฮะ

    ขอผมดูหน่อย

    ขอหนูจับหน่อยนะคะ

    นุ่มไหมฮะ

    ที่สุดครูก็ไม่สามารถจะห้ามเด็กได้ จึงยอมให้เขานำนกเข้าไปในห้องเรียนครู่หนึ่งเพื่อให้เด็กทุกคนได้ชื่นชม จับต้อง เด็กกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่

    " ซ้วยสวย.. ตัวมันใหญ่นะ.."

    ครูสาวถือโอกาสสอนเรื่องสีโดยถามเด็ก ๆ ว่าส่วนต่าง ๆ ของนกแก้วสีอะไรบ้าง เด็กแต่ละคนพยายามหน่วงเหนี่ยวเวลาให้เขาอยู่นานที่สุด โดยเรียกไปชมต้นไม้ที่เขาทำ งานประดิษฐ์ที่อยากอวด ชายชราชมของทุกชิ้นของเด็ก ๆ ก่อนจะนำนกแก้วยักษ์กลับขึ้นรถและนึกหาสถานที่ใหม่ จะมีที่ไหนอีกหนอ

    เขานึกได้ถึงหญิงที่รับจ้างซักรีดให้ตนที่ยากจนและมีลูก 2 คน เมื่อไปถึงบ้านของเธอก็ได้พบว่าเล็กยังกับรูหนู ไม่มีทางเลยที่จะมีที่ให้แขวนนกได้ แม่ของเด็กพูดว่า จะเป็นของอะไรก็ดีทั้งนั้นถ้าวางใต้ต้นคริสต์มาส แต่สามีเธอตกงานมา 3 สัปดาหืแล้ว เธอพยายามหาเงินจนพอซื้อไก่งวงตัวหนึ่ง และวัตถุดิบทำพายได้สัก 2-3 ชิ้น นั่นคือทั้งหมดที่พอจะมีในคืนคริสต์มาสนี้ สามีไม่ยอมให้กู้ยืมใคร ลูกทั้งสองอยากได้จักรยานมานาน แต่เธอต้องสอนให้เขารู้ว่าการอยากได้ กับการได้รับนั้นต่างกัน

    ชายชราบอกว่าเด้กสองคนนิสัยดี สภาพ มักวิ่งมาเปิดประตูรถให้เขาเสมอ ให้เขาเป็นซานต้าให้เด็ก ๆ แล้วกัน พลางหยิบสมุดเช็กออกมาเขียน บอกกับคนเป็นแม่ว่า ซื้อจักรยานดี ๆ ที่เขาอยากได้ให้พวกเด็กคนละคันนะ หญิงสาวไม่กล้ารับ บอกว่าสามีเธอไม่ชอบให้รับบริจาค เขาเกลียดการขอ ชายชราตัดบทว่าเหลวไหล ให้บอกสามีว่าเขาเป็นคนเคี่ยวเข็ยเองให้รับ เพราะเขาไม่มีลูกเลย จากนั้นก็แบกนกแก้วยักษ์ยัดกลับเข้ารถตรงกลับบ้าน บัดนี้เขาไม่รู้จะเอามันไปให้ใคร ไม่สนใจแล้วว่าเจ้าของร้านที่ให้นกมาจะคิดอย่างไร เขาจะเอามันไปโยนลงถังขยะ แต่ถังก้เล้กเกิน เขาจึงจำใจเอานกตัวนั้นกลับบ้านวางกองไว้ในห้องรับแขก พรุ่งนี้ค่อยหาทาง

    เขาพักผ่อนกินของว่าง ชงกาแฟดื่ม ขระที่ดวงตานกยักษืมองจ้องมาตลอดเวลา สุดท้ายเขาจึงคิดว่าปล่อยมันบนพื้นอย่างนี้คงไม่ดี เพราะไม่อยากถูกจ้อง จึงทำห่วงแล้วเอามันห้อยแขวนไว้ชั่วคราว แล้วเขาก้ได้ยินเสียงบางอย่างนอกบ้าน มองออกไปเห็นรถสถานเลี้ยงเด็กมาจอด เด็ก ๆ กรูลงมายืนร้องเพลง โอ ลิตเติลทาวน์ ออฟ เบธเลเฮม ทำเอาหัวใจเขาแปลบ จึงเปิดประตูให้เด็ก ๆ เข้ามา เด็ก ๆ ร้องไซเลนไนท์ ต่อด้วย วี วิช ยู เอ เมอร์รี คริสต์มาส ชายชราสั่งน้ำมูก ผู้ดูแลบอกว่าเด็ก ๆ อยากมาร้องเพลงเพื่อขอบคุณ ทุกคนเข้าไปจับนกที่ห้อยอยู่ก่อนจะกลับ

    ครู่เดียวต่อมา เด็กชายสองคนมาเคาะประตุด้วยความตื่นเต้น เขาเอาพายมาให้ชายชราพร้อมบอกว่า สวัสดีวันคริสต์มาส แม่เด็กยืนโบกมืออยู่ตรงรั้วและกล่าวประโยคเดียวกับลูกของเธอ ชายชราก้มลงบอกว่า หวังว่าวานต้าจะนำของที่หนุอยากได้มาให้นะ แล้วก็ฉงนใจตัวเองนี่เขากำลังทำให้เด็กเกิดความโลภหรือไม่

    เขากลับเข้าบ้านพร้อมจานพานในมือ คุยกับนกแก้วยักษืว่าเสียใจด้วยนะที่แกกินไม่ได้ ต่อจากนั้นก็มีเสียงเคาะประตูอีก คุรครูจากโรงเรียนอนุบาลและเด็ก 4 คน เธอบอกว่าเด็ก ๆ อยากทำอะไรเพื่อให้เขารู้ว่านกแก้วตัวนั้นวิเศษเพียงใดก้เลยวาดรูปมาให้ แล้วก็สวัสดีวันคริสต์มาส ชายชราซาบซึ้งบอกว่าเข้ามาก่อนสิ เขาจะเอาภาพติดฝาผนัง

    เด็กหญิงคนหนึ่งเข้าไปยืนหน้านก ชื่นชมว่านกสวยอย่างไร และแกใช้ทุกสีในการวาด ถึงตอนครูจะพากลับ เด็กหญิงหันมาเปรยบอกหูคิดว่ามันอยากเป็นเพื่อนกับหนู ชายชราเห็นด้วย เด็กหญิงพูดต่อว่า ถ้าจะเป็นเพื่อนกันก็ต้องรู้จักชื่อด้วย ชายชรานิ่งอึ้ง หันไปมองเจ้านกแก้วยักษ์ เหมือนมันจะมองตอบแล้วส่งกระแสอะไรบางอย่าง เขาคิดว่ารู้แล้วว่านกชื่ออะไรจึงยิ้มให้เด็กน้อย พลางตอบว่า

    มันชื่อเจค็อบจ้ะ ..เจค็อบ มาร์เลย์
    #เห็นจะเป็นเพราะรัก #มนันยา #เรื่องสั้น #ของขวัญ #ของขวัญวันคริสต์มาส #thaitimes #หนังสือน่าอ่าน วันก่อนอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเป็นรวมเรื่องสั้นแนวความรัก ในเล่มมี 27 เรื่องแปลจากฝั่งตะวันตกโดยสำนวนของมนันยา มีภาพประกอบสีสวยการ์ตูนแฟชั่นทุกเรื่อง เกือบทุกเรื่องเป็นรักของชายหญิงหลากหลายอาชีพ หลายวัย ที่มีรูปแบบการแสดงออกอย่างชาวตะวันตก ซึ่งส่วนตัวไม่ได้อินมากด้วยความที่แต่ละเรื่องไม่ยาวเท่าไร จึงไม่มีรายละเอียดมากพอจะทำให้รู้สึกเอาใจช่วยไปกับตัวละครในเรื่องนัก มีที่ชอบอยู่บ้าง แต่มีเรื่องหนึ่งประทับใจมากเป็นพิเศษ ทั้งที่ในเนื้อหานั้นไม่มีความรักแบบชายหนุ่มหญิงสาวที่ดิ้นรนแสวงหาคนเพื่อมาอยู่ข้างกายเลย แต่ความรักที่ปรากฏในเรื่องนี้ช่างงดงามและสร้างพลัง ช่วยชุบชูจิตใจให้รู้สึกอบอุ่น และมีหวังต่อโลกใบนี้ขึ้นมาไม่น้อย ตอนดังกล่าวนี้คือเรื่องแรกของเล่มที่มีชื่อว่า ของขวัญ เรื่องมีว่า ชายสูงวัยที่สูญเสียเมียที่อยู่ด้วยกันมาหลายสิบปีไป ทำให้เขาทนอยู่บ้านเดิมหลังใหญ่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำกับเธอไม่ได้ จึงขายแล้วย้ายมาซื้อบ้านหลังเล็กสำหรับคนเดียว ในตำบลอันห่างไกลริมชายฝั่งซึ่งไร้คนรู้จัก ชอบอยู่เงียบ ๆ ไม่สุงสิงกับใคร ไม่ชอบร่วมกิจกรรมเข้าสังคมโดยเฉพาะในวันคริสต์มาสและช่วงเทศกาลที่เขาไม่ชอบอย่างยิ่ง เห็นเป็นความสิ้นเปลือง มีแต่กินแล้วก็มอบของขวัญให้กัน ทำให้ห่างไกลใจความสำคัญและความหมายแท้จริง เขาไม่เห็นด้วยกับการให้ของตามใจที่เด็กอยากได้ เพราะสร้างนิสัยให้เด็กคิดว่าต้องได้ของขวัญเสมอในวันคริสต์มาส เขาบอกตัวเองว่าไม่ได้เกลียดวันคริสต์มาสอย่างตาเฒ่าสครูจใน A Christmas Carol จนวิญญาณเพื่อนเก่าที่ตายไปชื่อ เจค็อบ มาร์เลย์ ต้องมาเตือน วันคริสต์มาสที่จะมาถึงในคืนนั้น ช่วงกลางวันเขาออกไปซื้อของที่สโตร์ห่างไปไม่ไกล ซึ่งคุ้นเคยกับหญิงเจ้าของร้านอยู่บ้างเพราะต้องมาซื้อข้าวของบ่อย ตอนเดินเข้าไปหญิงเจ้าของร้านยิ้มแย้มต้อนรับ ชวนคุยเกี่ยวกับหุ่นจำลองนกแก้วขนาดยักษ์ที่แขวนห้อยอยู่บนเพดานกลางร้านซึ่งมีสีสันสดสวยและปีกยาวใหญ่ เธอบอกว่าจะให้เป็นของขวัญคริสต์มาส สำหรับผู้ที่ซื้อของปอนด์หนึ่งจะได้รับการเขียนชื่อไว้จับสลาก1 ใบ แล้วเธอจะเขียนชื่อลงในบัตรให้เขาด้วย ชายชราที่นึกรังเกียจเจ้านกยักษ์จำต้องเออออไปกับเธอ บอกว่าเขาเป็นคนไร้โชคมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยถูกรางวัลใด ๆ คงไม่มีหวังหรอก หลังเขากลับมาบ้านและกำลังพักผ่อนตามสบายนั้น โทรศัพท์จากหญิงเจ้าของร้านดังขึ้น เมื่อเขารับ เธอบอกด้วยความดีใจว่าเขาต้องไม่เชื่อแน่เลยว่าชื่อที่จับสลากได้นกแก้วตัวนั้นก็คือเขา เธอขอให้เขาขับรถมานำของขวัญกลับบ้าน นี่เป็นเหมือนทุกขลาภที่ตนไม่อยากได้แต่ไม่อาจปฏิเสธน้ำใจ ด้วยเธอคือบุคคลหนึ่งในจำนวนน้อยนิดเพียงไม่กี่คนที่เขารู้จัก ต้องรักษาความเป็นเพื่อนที่ดีไว้ จึงจำใจขับรถกลับไปรับนกแก้วยักษ์ขนาด 6 ฟุตตัวนั้น เมื่อเอาเข้าไปไว้ในรถก็เต็มที่ว่างจนชนกระจก เขาใช้ความคิดอย่างหนักว่าจะกำจัดมันได้อย่างไร จะเอาทิ้งทันทีไม่ได้แน่ของใหญ่อย่างนี้ ไม่นานจะรู้ถึงหูเจ้าของร้าน ในที่สุดเขานึกออก ตัดสินใจขับรถมุ่งหน้าไปสถานเลี้ยงเด็กซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยร่วมอยู่ในที่ประชุม และมีคนเสนอให้ขายที่ดินว่างเปล่า แต่เขาคัดค้านเพราะจะทำให้เด็ก ๆ ไม่มีพื้นที่วิ่งเล่น เมื่อไปถึงสถานเลี้ยงเด็ก ผู้ดูแลหญิงเอ่ยทักทาย เธอจำได้ว่าชายชราคือบุคคลหนึ่งซึ่งช่วยให้เด็ก ๆ ยังมีพื้นที่กลางแจ้งไว้สันทนาการ เขารีบบอกว่านำนกแก้วยักษ์มามอบให้เป็นของขวัญคริสต์มาสแก่เด็ก ๆ (ทั้งที่ไม่เคยมีความคิดนี้อยู่ในหัวมาก่อน) แต่ผู้ดูแลสาวจำต้องกล่าวปฏิเสธ แม้จะซาบซึ้งในความมีน้ำใจของเขามากเพราะนกนั้นตัวใหญ่เกินไป เธอเล่าว่าถ้าเป็นไก่งวงตัวใหญ่ที่กินได้จะรีบรับไว้เลย ด้วยเหตุว่าทางสถานเลี้ยงเด็กไม่มีเงินมากพอจะจัดอาหารเลี้ยงในคืนวันคริสต์มาส ชายชราจึงควักธนบัตรหลายใบที่มีมูลค่ามากพอสมควรยื่นให้ผู้ดูแล พร้อมบอกว่าขอเป็นเจ้าภาพอุปการะการกินเลี้ยงของเด็ก แม้นเธอจะไม่กล้ารับแต่เขายืนยันบอกว่าตนเองมีพอไม่เดือดร้อน และกำชับว่าช่วยจัดอาหารดี ๆ ให้พวกเขาด้วย สุขสันต์วันคริสต์มาสนะ แล้วแบกนกแก้วยักษ์กลับขึ้นรถ ขับต่อไปพลางคิดว่าจะกำจัดมันไปที่ไหนดี เขานึกถึงโรงเรียนอนุบาล เด็กเล็กต้องชอบแน่เขามั่นใจ จึงมุ่งหน้าไปถึงโรงเรียน จอดรถและแบกนกยักษ์เข้าไป เขามองเห็นหญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ตรงระเบียงจึงตรงเข้าไปถามว่าเธอคือครูใช่ไหม หญิงสาวบอกชื่อและทักทายชายชรา เธอจำได้ว่าเขาคือคนบริจาคเงินให้โรงเรียนตอนที่จัดซื้อรถมินิบัส เขาแปลกใจที่มีคนจำเรื่องนั้นได้ ความจริงเขาทราบจากหญิงเจ้าของร้านขายของว่าโรงเรียนลำบากในการเดินทางพาเด็กไปว่ายน้ำในสระที่อยู่อีกตำบลซึ่งห่างไกล เขาจำได้ว่าตอนเมียยังมีชีวิตมักพูดว่าถ้าชาวบ้านช่วยโรงเรียนได้ก็ควรช่วย เขาจึงบริจาคช่วยไปโดยไม่คิดอะไร ครูสาวจำต้องปฏิเสธนกแก้วยักษ์เช่นกัน เธอบอกว่าโรงเรียนคับแคบไม่มีที่พอจะแขวน ลำพังเด็ก35คนวิ่งไปมาก็แทบแย่แล้ว แต่ยังไม่ทันที่ชายชราจะขนนกกลับ เด็กหลายคนมองมาเห็นเข้าจึงพากันเข้ามารุมล้อมชื่นชมนกแก้วตัวใหญ่ด้วยแววตาเป็นประกาย พลางแข่งกันถามมากมายเช่นว่า มันกัดไหมค่ะ มันบินได้หรือเปล่าฮะ ขอผมดูหน่อย ขอหนูจับหน่อยนะคะ นุ่มไหมฮะ ที่สุดครูก็ไม่สามารถจะห้ามเด็กได้ จึงยอมให้เขานำนกเข้าไปในห้องเรียนครู่หนึ่งเพื่อให้เด็กทุกคนได้ชื่นชม จับต้อง เด็กกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ " ซ้วยสวย.. ตัวมันใหญ่นะ.." ครูสาวถือโอกาสสอนเรื่องสีโดยถามเด็ก ๆ ว่าส่วนต่าง ๆ ของนกแก้วสีอะไรบ้าง เด็กแต่ละคนพยายามหน่วงเหนี่ยวเวลาให้เขาอยู่นานที่สุด โดยเรียกไปชมต้นไม้ที่เขาทำ งานประดิษฐ์ที่อยากอวด ชายชราชมของทุกชิ้นของเด็ก ๆ ก่อนจะนำนกแก้วยักษ์กลับขึ้นรถและนึกหาสถานที่ใหม่ จะมีที่ไหนอีกหนอ เขานึกได้ถึงหญิงที่รับจ้างซักรีดให้ตนที่ยากจนและมีลูก 2 คน เมื่อไปถึงบ้านของเธอก็ได้พบว่าเล็กยังกับรูหนู ไม่มีทางเลยที่จะมีที่ให้แขวนนกได้ แม่ของเด็กพูดว่า จะเป็นของอะไรก็ดีทั้งนั้นถ้าวางใต้ต้นคริสต์มาส แต่สามีเธอตกงานมา 3 สัปดาหืแล้ว เธอพยายามหาเงินจนพอซื้อไก่งวงตัวหนึ่ง และวัตถุดิบทำพายได้สัก 2-3 ชิ้น นั่นคือทั้งหมดที่พอจะมีในคืนคริสต์มาสนี้ สามีไม่ยอมให้กู้ยืมใคร ลูกทั้งสองอยากได้จักรยานมานาน แต่เธอต้องสอนให้เขารู้ว่าการอยากได้ กับการได้รับนั้นต่างกัน ชายชราบอกว่าเด้กสองคนนิสัยดี สภาพ มักวิ่งมาเปิดประตูรถให้เขาเสมอ ให้เขาเป็นซานต้าให้เด็ก ๆ แล้วกัน พลางหยิบสมุดเช็กออกมาเขียน บอกกับคนเป็นแม่ว่า ซื้อจักรยานดี ๆ ที่เขาอยากได้ให้พวกเด็กคนละคันนะ หญิงสาวไม่กล้ารับ บอกว่าสามีเธอไม่ชอบให้รับบริจาค เขาเกลียดการขอ ชายชราตัดบทว่าเหลวไหล ให้บอกสามีว่าเขาเป็นคนเคี่ยวเข็ยเองให้รับ เพราะเขาไม่มีลูกเลย จากนั้นก็แบกนกแก้วยักษ์ยัดกลับเข้ารถตรงกลับบ้าน บัดนี้เขาไม่รู้จะเอามันไปให้ใคร ไม่สนใจแล้วว่าเจ้าของร้านที่ให้นกมาจะคิดอย่างไร เขาจะเอามันไปโยนลงถังขยะ แต่ถังก้เล้กเกิน เขาจึงจำใจเอานกตัวนั้นกลับบ้านวางกองไว้ในห้องรับแขก พรุ่งนี้ค่อยหาทาง เขาพักผ่อนกินของว่าง ชงกาแฟดื่ม ขระที่ดวงตานกยักษืมองจ้องมาตลอดเวลา สุดท้ายเขาจึงคิดว่าปล่อยมันบนพื้นอย่างนี้คงไม่ดี เพราะไม่อยากถูกจ้อง จึงทำห่วงแล้วเอามันห้อยแขวนไว้ชั่วคราว แล้วเขาก้ได้ยินเสียงบางอย่างนอกบ้าน มองออกไปเห็นรถสถานเลี้ยงเด็กมาจอด เด็ก ๆ กรูลงมายืนร้องเพลง โอ ลิตเติลทาวน์ ออฟ เบธเลเฮม ทำเอาหัวใจเขาแปลบ จึงเปิดประตูให้เด็ก ๆ เข้ามา เด็ก ๆ ร้องไซเลนไนท์ ต่อด้วย วี วิช ยู เอ เมอร์รี คริสต์มาส ชายชราสั่งน้ำมูก ผู้ดูแลบอกว่าเด็ก ๆ อยากมาร้องเพลงเพื่อขอบคุณ ทุกคนเข้าไปจับนกที่ห้อยอยู่ก่อนจะกลับ ครู่เดียวต่อมา เด็กชายสองคนมาเคาะประตุด้วยความตื่นเต้น เขาเอาพายมาให้ชายชราพร้อมบอกว่า สวัสดีวันคริสต์มาส แม่เด็กยืนโบกมืออยู่ตรงรั้วและกล่าวประโยคเดียวกับลูกของเธอ ชายชราก้มลงบอกว่า หวังว่าวานต้าจะนำของที่หนุอยากได้มาให้นะ แล้วก็ฉงนใจตัวเองนี่เขากำลังทำให้เด็กเกิดความโลภหรือไม่ เขากลับเข้าบ้านพร้อมจานพานในมือ คุยกับนกแก้วยักษืว่าเสียใจด้วยนะที่แกกินไม่ได้ ต่อจากนั้นก็มีเสียงเคาะประตูอีก คุรครูจากโรงเรียนอนุบาลและเด็ก 4 คน เธอบอกว่าเด็ก ๆ อยากทำอะไรเพื่อให้เขารู้ว่านกแก้วตัวนั้นวิเศษเพียงใดก้เลยวาดรูปมาให้ แล้วก็สวัสดีวันคริสต์มาส ชายชราซาบซึ้งบอกว่าเข้ามาก่อนสิ เขาจะเอาภาพติดฝาผนัง เด็กหญิงคนหนึ่งเข้าไปยืนหน้านก ชื่นชมว่านกสวยอย่างไร และแกใช้ทุกสีในการวาด ถึงตอนครูจะพากลับ เด็กหญิงหันมาเปรยบอกหูคิดว่ามันอยากเป็นเพื่อนกับหนู ชายชราเห็นด้วย เด็กหญิงพูดต่อว่า ถ้าจะเป็นเพื่อนกันก็ต้องรู้จักชื่อด้วย ชายชรานิ่งอึ้ง หันไปมองเจ้านกแก้วยักษ์ เหมือนมันจะมองตอบแล้วส่งกระแสอะไรบางอย่าง เขาคิดว่ารู้แล้วว่านกชื่ออะไรจึงยิ้มให้เด็กน้อย พลางตอบว่า มันชื่อเจค็อบจ้ะ ..เจค็อบ มาร์เลย์
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 780 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้มาช่วยพ่อกับแม่ เก็บกวาดบริเวณเถียงนา เศษไม้เศษขยะ
    #ไทยปนลาว
    #ไทยปนลาวสาวแว่น
    วันนี้มาช่วยพ่อกับแม่ เก็บกวาดบริเวณเถียงนา เศษไม้เศษขยะ #ไทยปนลาว #ไทยปนลาวสาวแว่น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 185 มุมมอง 59 0 รีวิว
  • #สิ่งที่คุณจะเจอ.
    _ เงียบสนิทเหมือนคุยกับวิญญาณ
    _ ถามกลับมา พระเล่น 1000 จะซื้อ 300
    _ จะเจอให้ถ่ายรูปอีก 18 มุม แล้วก็เงียบหาย ไม่มีแม้คำขอบคุณ
    _ โทรมาเช็คมามีตัวตนไหม?
    _ จองไว้ก่อน เอารูปไปเช็ค หรือไปขาย ถ้าผ่านก็รับ ไม่ผ่านก็หาย
    _อ้างว่า ไม่มีเครดิต ขอส่งก่อน ของถึงโอนเงิน และอาจจะมีหน้าหมา มาการันตีด้วย (ก็มันเองนั่นละ) เสียของฟรีมามากแล้ว.
    _ ปิด นัดรับ ถึงเวลา หาย...
    _ หลายคนไม่ได้อยากซื้อ แต่อยากมีชื่อประดับไว้ในสายนั้นๆ
    _ บางคนตั้งรับไปงั้น เพื่อปั่นพระ หรือประคองกระแส พระรุ่นที่ตัวเองมีอยู่ ไม่ได้อยากซื้อ.
    👉 ขอนิยามโพสแบบนี้ว่า ขยะ มักง่าย คงจะตรงที่สุด
    _____
    #สิ่งที่คุณจะเจอ. _ เงียบสนิทเหมือนคุยกับวิญญาณ _ ถามกลับมา พระเล่น 1000 จะซื้อ 300 _ จะเจอให้ถ่ายรูปอีก 18 มุม แล้วก็เงียบหาย ไม่มีแม้คำขอบคุณ _ โทรมาเช็คมามีตัวตนไหม? _ จองไว้ก่อน เอารูปไปเช็ค หรือไปขาย ถ้าผ่านก็รับ ไม่ผ่านก็หาย _อ้างว่า ไม่มีเครดิต ขอส่งก่อน ของถึงโอนเงิน และอาจจะมีหน้าหมา มาการันตีด้วย (ก็มันเองนั่นละ) เสียของฟรีมามากแล้ว. _ ปิด นัดรับ ถึงเวลา หาย... _ หลายคนไม่ได้อยากซื้อ แต่อยากมีชื่อประดับไว้ในสายนั้นๆ _ บางคนตั้งรับไปงั้น เพื่อปั่นพระ หรือประคองกระแส พระรุ่นที่ตัวเองมีอยู่ ไม่ได้อยากซื้อ. 👉 ขอนิยามโพสแบบนี้ว่า ขยะ มักง่าย คงจะตรงที่สุด _____
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 157 มุมมอง 0 รีวิว
  • 🔻สส.ฉัตร สุภัทรวณิชย์ อภิปรายหารือประธานสภา 11 กย. 67

    1. บ่อขยะ - รถเครื่องจักรไถกลบขยะ เมืองโคราช :
    เร่งแก้ไขปัญหารถเครื่องจักร รถแทรคเตอร์, แทคโคร, รถน้ำ ทั้ง 3 คันที่ใช้ในบ่อขยะ ซึ่งเทศบาลนคร นครราชสีมา ดูแลรับผิดชอบอยู่ ใช้งานมานานกว่า 20 ปีและชำรุดพังหมดแล้ว ปัจจุบันใช้รถนอก 2 คัน แต่ตกบ่อขยะไปแล้ว 1 ยังกู้ขึ้นมาจากบ่อไม่ได้ เหลือเพียงคันเดียวที่เจ้าของขับเองโดยไม่มีประสบการณ์ ไม่ชำนาญการปรับเกลี่ยขยะ ขอให้ ทน.นม. เร่งพิจารณาจัดซื้อจัดจ้างอย่างเหมาะสมเพื่อแก้ไขปัญหาโดยด่วน

    2. การก่อสร้างปรับปรุงภูมิทัศน์ ลำตะคอง : ภูมิทัศน์ที่ต้องการ "คลองชองเกยซอน" ปัจจุบันแปรเป็น คลองชอง "เก๊" ซอน การก่อสร้างคลุมเครือตั้งแต่ต้น ชาวบ้านถามหาการทำประชาพิจารณ์, การขออนุญาตกรมเจ้าท่า / กรมชลประทาน จวบจนปัจจุบันการก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จ ยืดเยื้อเรื้อรังเกินจากระยะเวลาที่ติดป้ายเอาไว้ คนโคราชกังวลช่วงนี้ฝนตกหนักเรื่อยๆ เกรงกีดขวางทางระบายน้ำ โครงการนี้ทำให้ลำน้ำแแคบ ตื้นเขิน สร้างเสร็จแล้วหน่วยงานใดจะรับผิดชอบดูแลในอนาคต

    3. ฟุตบาท : การก่อสร้างซ่อมแซมฟุตบาท ทุบของเก่าแล้วสร้างของใหม่ทับ เป็นเหตุให้การระบายน้ำในเมืองติดขัดหรือไม่ ? มีการเปิดฝาท่อ - หลุม ขนาดใหญ่โดยมีเพียงเชือกมากั้นล้อมเอาไว้ กลัวว่าจะทำให้เด็กนักเรียน ชาวบ้าน เดินตกท่อได้

    4. ร้านค้า ตึกแถว อาคารในเมืองที่ปิด - หยุดกิจการ ในตัวเมืองโคราชจำนวนมาก หลายแห่งปิดประตูทางเข้าไว้ เมื่อฝนตกเกิดน้ำท่วมขัง เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง และทำให้ภูมิทัศน์เมืองไม่สวยงาม ไม่มีระเบียบ ขอให้ทางเทศบาลประสานเจ้าของอาคารแก้ไขปัญหาโดยด่วน

    5. เมื่อคืนมีฝนตกหนักในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เกิดน้ำท่วมหนักฉับพลันในหลายพื้นที่ หลายอำเภอ ขอหารือให้ทุกหน่วยงานของจังหวัดที่เกี่ยวข้องได้เร่งให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนชาวเชียงรายโดยด่วน
    🔻สส.ฉัตร สุภัทรวณิชย์ อภิปรายหารือประธานสภา 11 กย. 67 1. บ่อขยะ - รถเครื่องจักรไถกลบขยะ เมืองโคราช : เร่งแก้ไขปัญหารถเครื่องจักร รถแทรคเตอร์, แทคโคร, รถน้ำ ทั้ง 3 คันที่ใช้ในบ่อขยะ ซึ่งเทศบาลนคร นครราชสีมา ดูแลรับผิดชอบอยู่ ใช้งานมานานกว่า 20 ปีและชำรุดพังหมดแล้ว ปัจจุบันใช้รถนอก 2 คัน แต่ตกบ่อขยะไปแล้ว 1 ยังกู้ขึ้นมาจากบ่อไม่ได้ เหลือเพียงคันเดียวที่เจ้าของขับเองโดยไม่มีประสบการณ์ ไม่ชำนาญการปรับเกลี่ยขยะ ขอให้ ทน.นม. เร่งพิจารณาจัดซื้อจัดจ้างอย่างเหมาะสมเพื่อแก้ไขปัญหาโดยด่วน 2. การก่อสร้างปรับปรุงภูมิทัศน์ ลำตะคอง : ภูมิทัศน์ที่ต้องการ "คลองชองเกยซอน" ปัจจุบันแปรเป็น คลองชอง "เก๊" ซอน การก่อสร้างคลุมเครือตั้งแต่ต้น ชาวบ้านถามหาการทำประชาพิจารณ์, การขออนุญาตกรมเจ้าท่า / กรมชลประทาน จวบจนปัจจุบันการก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จ ยืดเยื้อเรื้อรังเกินจากระยะเวลาที่ติดป้ายเอาไว้ คนโคราชกังวลช่วงนี้ฝนตกหนักเรื่อยๆ เกรงกีดขวางทางระบายน้ำ โครงการนี้ทำให้ลำน้ำแแคบ ตื้นเขิน สร้างเสร็จแล้วหน่วยงานใดจะรับผิดชอบดูแลในอนาคต 3. ฟุตบาท : การก่อสร้างซ่อมแซมฟุตบาท ทุบของเก่าแล้วสร้างของใหม่ทับ เป็นเหตุให้การระบายน้ำในเมืองติดขัดหรือไม่ ? มีการเปิดฝาท่อ - หลุม ขนาดใหญ่โดยมีเพียงเชือกมากั้นล้อมเอาไว้ กลัวว่าจะทำให้เด็กนักเรียน ชาวบ้าน เดินตกท่อได้ 4. ร้านค้า ตึกแถว อาคารในเมืองที่ปิด - หยุดกิจการ ในตัวเมืองโคราชจำนวนมาก หลายแห่งปิดประตูทางเข้าไว้ เมื่อฝนตกเกิดน้ำท่วมขัง เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง และทำให้ภูมิทัศน์เมืองไม่สวยงาม ไม่มีระเบียบ ขอให้ทางเทศบาลประสานเจ้าของอาคารแก้ไขปัญหาโดยด่วน 5. เมื่อคืนมีฝนตกหนักในพื้นที่จังหวัดเชียงราย เกิดน้ำท่วมหนักฉับพลันในหลายพื้นที่ หลายอำเภอ ขอหารือให้ทุกหน่วยงานของจังหวัดที่เกี่ยวข้องได้เร่งให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนชาวเชียงรายโดยด่วน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 314 มุมมอง 19 0 รีวิว
  • #ประชุมสภาเทศบาลนครนครราชสีมา📝
    .
    🗓️วันที่ 11 ก.ย. 67 เวลา 10.00 น.
    นายศุภรัศมิ์ ตัณฑเศรณีวัฒน์ ประธานสภาเทศบาลนครนครราชสีมา เปิดประชุมสภาเทศบาลนครนครราชสีมา สมัยสามัญ สมัยที่หนึ่งประจำปี 2567 ครั้งที่ 1 ตามที่ เทศบาลนครนครราชสีมาได้ประกาศใช้เทศบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เทศบาลนครนครราชสีมามีความจำเป็นต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม เนื่องจากมีรายรับบางประเภทเพิ่มขึ้น ทำให้มีรายรับเกินยอดรวมทั้งสิ้นของประมาณการรายรับ ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2567 จำนวน 124,551,000 บาท โดยแบ่งเป็น รายได้จัดเก็บเอง จำนวน 35,839,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 28.77 และรายได้ที่รัฐบาลอุดหนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 88,712,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 71.23 จึงมีความจำเป็นต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เป็นเงินทั้งสิ้น 124,551,000 บาท โดยงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมนี้จะถูกนำไปใช้พัฒนาท้องถิ่นในหลายด้าน เพื่อยกระดับการเป็นมหานครที่น่าอยู่ในระดับสากลด้วยพลังสังคม เพื่อความสุขของประชาชนอย่างยั่งยืน ที่มีประสิทธิภาพและ
    ยั่งยืน ดังนี้
    1. ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ: การเป็นเมืองอัจฉริยะ ( Smart city) ด้วยการพัฒนาระบบศูนย์ข้อมูลกลางเพื่อบริหารจัดการสาธารณูปโภคและสาธารณูปการอย่างมีประสิทธิภาพ พัฒนาระบบ
    เทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับการสำรวจและวิเคราะห์ข้อมูลการใช้ประโยชน์ที่ดิน และติดตั้งระบบกล้องวงจรปิด (CCTV) เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับประชาชน
    2. ด้านการศึกษา: ก่อสร้างและปรับปรุงอาคารเรียนในโรงเรียนสังกัดเทศบาล รวมถึงการสนับสนุนเทคโนโลยีการศึกษาด้วยการจัดหาคอมพิวเตอร์ เพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนการสอน
    3. ด้านการพัฒนาชุมชน: ก่อสร้างและปรับปรุงศาลาประชาคมให้เป็นศูนย์กลางกิจกรรมของชุมชน และการจัดหาเครื่องออกกำลังกายเพื่อส่งเสริมสุขภาพอนามัยของประชาชน
    4. ด้านการบริหารจัดการขยะมูลฝอย: จัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการขยะมูลฝอยอย่างยั่งยืน ณ ห้องประชุมกาญจนาภิเษก ชั้น 5 เทศบาลนครนครราชสีมา

    #เทศบาลนครนครราชสีมา
    #งานประชาสัมพันธ์เทศบาลนครนครราชสีมา
    #Appkoratcity #สายด่วน1132
    📲 ไลน์OAเทศบาลฯแอดเลย 👉🏻 https://lin.ee/tEoZH6e
    #ประชุมสภาเทศบาลนครนครราชสีมา📝 . 🗓️วันที่ 11 ก.ย. 67 เวลา 10.00 น. นายศุภรัศมิ์ ตัณฑเศรณีวัฒน์ ประธานสภาเทศบาลนครนครราชสีมา เปิดประชุมสภาเทศบาลนครนครราชสีมา สมัยสามัญ สมัยที่หนึ่งประจำปี 2567 ครั้งที่ 1 ตามที่ เทศบาลนครนครราชสีมาได้ประกาศใช้เทศบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เทศบาลนครนครราชสีมามีความจำเป็นต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม เนื่องจากมีรายรับบางประเภทเพิ่มขึ้น ทำให้มีรายรับเกินยอดรวมทั้งสิ้นของประมาณการรายรับ ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2567 จำนวน 124,551,000 บาท โดยแบ่งเป็น รายได้จัดเก็บเอง จำนวน 35,839,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 28.77 และรายได้ที่รัฐบาลอุดหนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 88,712,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 71.23 จึงมีความจำเป็นต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เป็นเงินทั้งสิ้น 124,551,000 บาท โดยงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมนี้จะถูกนำไปใช้พัฒนาท้องถิ่นในหลายด้าน เพื่อยกระดับการเป็นมหานครที่น่าอยู่ในระดับสากลด้วยพลังสังคม เพื่อความสุขของประชาชนอย่างยั่งยืน ที่มีประสิทธิภาพและ ยั่งยืน ดังนี้ 1. ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ: การเป็นเมืองอัจฉริยะ ( Smart city) ด้วยการพัฒนาระบบศูนย์ข้อมูลกลางเพื่อบริหารจัดการสาธารณูปโภคและสาธารณูปการอย่างมีประสิทธิภาพ พัฒนาระบบ เทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับการสำรวจและวิเคราะห์ข้อมูลการใช้ประโยชน์ที่ดิน และติดตั้งระบบกล้องวงจรปิด (CCTV) เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับประชาชน 2. ด้านการศึกษา: ก่อสร้างและปรับปรุงอาคารเรียนในโรงเรียนสังกัดเทศบาล รวมถึงการสนับสนุนเทคโนโลยีการศึกษาด้วยการจัดหาคอมพิวเตอร์ เพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนการสอน 3. ด้านการพัฒนาชุมชน: ก่อสร้างและปรับปรุงศาลาประชาคมให้เป็นศูนย์กลางกิจกรรมของชุมชน และการจัดหาเครื่องออกกำลังกายเพื่อส่งเสริมสุขภาพอนามัยของประชาชน 4. ด้านการบริหารจัดการขยะมูลฝอย: จัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการขยะมูลฝอยอย่างยั่งยืน ณ ห้องประชุมกาญจนาภิเษก ชั้น 5 เทศบาลนครนครราชสีมา #เทศบาลนครนครราชสีมา #งานประชาสัมพันธ์เทศบาลนครนครราชสีมา #Appkoratcity #สายด่วน1132 📲 ไลน์OAเทศบาลฯแอดเลย 👉🏻 https://lin.ee/tEoZH6e
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 412 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣ รมต.อุตสาหกรรมคนใหม่ ประกาศสู้อิทธิพล ขจัดขยะพิษ สารเคมีปนเปื้อน ทำให้ได้จริง อย่าดีแต่เป่านกหวีด
    #7ดอกจิก
    ♣ รมต.อุตสาหกรรมคนใหม่ ประกาศสู้อิทธิพล ขจัดขยะพิษ สารเคมีปนเปื้อน ทำให้ได้จริง อย่าดีแต่เป่านกหวีด #7ดอกจิก
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 308 มุมมอง 0 รีวิว
  • สมเด็จหลังก้างปลา เรื่องเล่า ท่านว่าคือก้างปลาที่เหลือ เอาเพื่อเป็นเครื่องเตือนสติ ลองคิดตาม พระเครื่องเป็นรูปเคารพของพระพุทธเจ้า ซึ่งนับว่าสูงสุด เอาก้างปลาซึ่งเป็นขยะ ไปรวม ท่านคิดว่า สมณศักดิ์ชั้นสมเด็จไม่ฉุกคิดเรื่องแบบนี้หรือ และก็เป็นที่ประจักษ์ ตลาดริมน้ำท่านพระจันทร์ 50 ปีก่อน มีแบบนี้เยอะแยะ
    สมเด็จหลังก้างปลา เรื่องเล่า ท่านว่าคือก้างปลาที่เหลือ เอาเพื่อเป็นเครื่องเตือนสติ ลองคิดตาม พระเครื่องเป็นรูปเคารพของพระพุทธเจ้า ซึ่งนับว่าสูงสุด เอาก้างปลาซึ่งเป็นขยะ ไปรวม ท่านคิดว่า สมณศักดิ์ชั้นสมเด็จไม่ฉุกคิดเรื่องแบบนี้หรือ และก็เป็นที่ประจักษ์ ตลาดริมน้ำท่านพระจันทร์ 50 ปีก่อน มีแบบนี้เยอะแยะ
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 116 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ผมเคยเป็นคนเก็บขยะ เกาะหลังรถคันใหญ่แล้วตามเก็บขยะไป 22 บล็อค งานยากนะ เรามักไปจอดรถขนขยะที่ลานกว้าง ตรงนั้นจะมีกองขยะสูงสัก 50 ฟุตได้มั้ง กับคนงานสักคนที่คอยเอาไม้กวาดเก็บขยะมารวมไว้เข้าด้วยกัน กลิ่นตัวเขาเหมือนงานที่เขาทำแหละ และผมรู้ว่าเรากำจัดกลิ่นนี้ออกไปยากเหลือเกิน

    "บางทีจะมีคนโทรมาเรียกให้เราไปขนขยะจากบ้านพวกเขา จำพวกเฟอร์นิเจอร์เก่าๆ หรืออะไรก็ตาม ซึ่งบางทีพวกเราก็พบว่ามันเป็นของที่ยังดีอยู่ เหมือนเป็นงานเสริมที่ถ้าเจ้าของบ้านใจดี เขาก็อาจให้ทิปคุณสักสิบเหรียญฯ หรือแถวๆ นั้น

    "และการเป็นคนเก็บขยะแปลว่าคุณต้องเข้ากะทำงานแปดชั่วโมง แต่คุณทำงานให้เสร็จภายในสามชั่วโมงได้ คุณก็กลับบ้านได้ หรือถ้าคุณทำงานเป็นพนักงานไปรษณีย์ คุณมีเวลาทำงานแค่สามชั่วโมง แต่คุณจะทำยาวไปจนถึงแปดชั่วโมงก็ได้

    "ผมทำมาแล้วทั้งสองอย่าง ผมชอบเป็นคนเก็บขยะมากกว่า แต่งานทั้งสองไม่ใช่งานที่เลวร้ายเลย แล้วคนก็ชอบพูดเหมือนว่าการทำงานในอุตสาหกรรมหนังมันยากเหลือเกิน ผมมักบอกพวกเขาว่า ส่งลูกชายคุณไปอิรักสิที่ยาก นี่เราแค่ทำหนังเองนะ ใจเย็นๆ อย่าฟูมฟายไปขนาดนั้น ลูกชายคุณถูกยิงเข้าที่หน้า อันนั้นสิยาก การทำหนังน่ะเป็นเรื่องที่แสนจะหรูหราและเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ด้วย แน่นอนว่าคนที่ทำหนังต่างก็มีพรสวรรค์ทั้งนั้น แต่ได้โปรด อย่าพูดเหมือนมันเป็นสิ่งใหญ่โตอะไร มันก็แค่หนัง"

    -เดนเซล วอชิงตัน
    "ผมเคยเป็นคนเก็บขยะ เกาะหลังรถคันใหญ่แล้วตามเก็บขยะไป 22 บล็อค งานยากนะ เรามักไปจอดรถขนขยะที่ลานกว้าง ตรงนั้นจะมีกองขยะสูงสัก 50 ฟุตได้มั้ง กับคนงานสักคนที่คอยเอาไม้กวาดเก็บขยะมารวมไว้เข้าด้วยกัน กลิ่นตัวเขาเหมือนงานที่เขาทำแหละ และผมรู้ว่าเรากำจัดกลิ่นนี้ออกไปยากเหลือเกิน "บางทีจะมีคนโทรมาเรียกให้เราไปขนขยะจากบ้านพวกเขา จำพวกเฟอร์นิเจอร์เก่าๆ หรืออะไรก็ตาม ซึ่งบางทีพวกเราก็พบว่ามันเป็นของที่ยังดีอยู่ เหมือนเป็นงานเสริมที่ถ้าเจ้าของบ้านใจดี เขาก็อาจให้ทิปคุณสักสิบเหรียญฯ หรือแถวๆ นั้น "และการเป็นคนเก็บขยะแปลว่าคุณต้องเข้ากะทำงานแปดชั่วโมง แต่คุณทำงานให้เสร็จภายในสามชั่วโมงได้ คุณก็กลับบ้านได้ หรือถ้าคุณทำงานเป็นพนักงานไปรษณีย์ คุณมีเวลาทำงานแค่สามชั่วโมง แต่คุณจะทำยาวไปจนถึงแปดชั่วโมงก็ได้ "ผมทำมาแล้วทั้งสองอย่าง ผมชอบเป็นคนเก็บขยะมากกว่า แต่งานทั้งสองไม่ใช่งานที่เลวร้ายเลย แล้วคนก็ชอบพูดเหมือนว่าการทำงานในอุตสาหกรรมหนังมันยากเหลือเกิน ผมมักบอกพวกเขาว่า ส่งลูกชายคุณไปอิรักสิที่ยาก นี่เราแค่ทำหนังเองนะ ใจเย็นๆ อย่าฟูมฟายไปขนาดนั้น ลูกชายคุณถูกยิงเข้าที่หน้า อันนั้นสิยาก การทำหนังน่ะเป็นเรื่องที่แสนจะหรูหราและเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ด้วย แน่นอนว่าคนที่ทำหนังต่างก็มีพรสวรรค์ทั้งนั้น แต่ได้โปรด อย่าพูดเหมือนมันเป็นสิ่งใหญ่โตอะไร มันก็แค่หนัง" -เดนเซล วอชิงตัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 107 มุมมอง 0 รีวิว
  • สุรเชษฐ์ยังเพ้อเจ้อไม่หยุด
    หลังจากแปลงทรัพย์ไปเป็นบิทคอยจนเกลี้ยง
    และงดจ่ายหมาแก่ ดนัย
    จนวันนี้หมาแก่น้อยใจ พ่นผ่านเพจเจาะลึกทั่วไทย
    ว่าทำไม สุรเชษฐ์ใครๆก็ไม่เอามาแล้ว
    แต่วันนี้ ยังทำเท่าฮึดกลับมา
    ในวันที่พ่อบุญธรรมอย่างเสรีพิสุทธิ์
    เป็นเฒ่าชราไร้ค่า ทุกอย่างไร้ทางเยียวยา
    ความผิดที่ตัวก่อ กระทบกับลูกน้องรอบเอว
    แต่ยังหวังลมๆแล้งๆว่าตัวเองจะรอด
    สุดท้าย จากสวะ ก็เป็นแค่ขยะข่าวสาร
    ที่คนมาอ่านก็เบือนหน้าหนี ไสลด์ผ่านตาเร็วๆ
    เพราะคนไทยฉลาด มองเกมส์ออก
    รู้หมดว่าเงินดำเงินเทาโจ๊กโกยมานาน
    เปย์นักข่าวเปย์ไปทั่ว หวังคะแนนนิยม
    แม้กระทั่งหุ้นส่วนอย่างไอ้ทนายตั้ม
    ตอนนี้ยังหายหัวเข้ากลีบเมฆ ไม่กล้าโผล่หัวออกมา
    เพราะท่าจะเอาตัวเองไม่รอดเหมือนกัน
    จบแล้ว โจ๊ก รอกรรมตามมาอย่างรัวๆ
    จะหนี ให้รีบหนี อย่ามาซู้หริ่ง เดี๋ยวจาดุ๊ยดุ่ย
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #บิ๊กโจ๊ก
    สุรเชษฐ์ยังเพ้อเจ้อไม่หยุด หลังจากแปลงทรัพย์ไปเป็นบิทคอยจนเกลี้ยง และงดจ่ายหมาแก่ ดนัย จนวันนี้หมาแก่น้อยใจ พ่นผ่านเพจเจาะลึกทั่วไทย ว่าทำไม สุรเชษฐ์ใครๆก็ไม่เอามาแล้ว แต่วันนี้ ยังทำเท่าฮึดกลับมา ในวันที่พ่อบุญธรรมอย่างเสรีพิสุทธิ์ เป็นเฒ่าชราไร้ค่า ทุกอย่างไร้ทางเยียวยา ความผิดที่ตัวก่อ กระทบกับลูกน้องรอบเอว แต่ยังหวังลมๆแล้งๆว่าตัวเองจะรอด สุดท้าย จากสวะ ก็เป็นแค่ขยะข่าวสาร ที่คนมาอ่านก็เบือนหน้าหนี ไสลด์ผ่านตาเร็วๆ เพราะคนไทยฉลาด มองเกมส์ออก รู้หมดว่าเงินดำเงินเทาโจ๊กโกยมานาน เปย์นักข่าวเปย์ไปทั่ว หวังคะแนนนิยม แม้กระทั่งหุ้นส่วนอย่างไอ้ทนายตั้ม ตอนนี้ยังหายหัวเข้ากลีบเมฆ ไม่กล้าโผล่หัวออกมา เพราะท่าจะเอาตัวเองไม่รอดเหมือนกัน จบแล้ว โจ๊ก รอกรรมตามมาอย่างรัวๆ จะหนี ให้รีบหนี อย่ามาซู้หริ่ง เดี๋ยวจาดุ๊ยดุ่ย #คิงส์โพธิ์แดง #บิ๊กโจ๊ก
    Like
    Haha
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 631 มุมมอง 0 รีวิว
  • แม้แต่อาขีพเก็บขยะที่มีไว้ให้คนที่ไม่ทีโอกาส แต่พยายามจะดูแลตัวเอง ยังถูกแย่ง ไหนจะอาชีพตามบริษัทต่างๆที่มีต่างด้าวที่ค่อนข้างชาตินิยม ที่นิยมทำงานกับพวกพ้องจนคนไทยถูกบีบจนทำงานไม่ได้
    แม้แต่อาขีพเก็บขยะที่มีไว้ให้คนที่ไม่ทีโอกาส แต่พยายามจะดูแลตัวเอง ยังถูกแย่ง ไหนจะอาชีพตามบริษัทต่างๆที่มีต่างด้าวที่ค่อนข้างชาตินิยม ที่นิยมทำงานกับพวกพ้องจนคนไทยถูกบีบจนทำงานไม่ได้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 103 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไมค์ ขยะระยอง หนีไปโผล่นิวซีแลนด์ ภายใต้การอุปการะของ ตั้ง อาชีวะ สงสัยอยากเดินตามรอยไอ้ว่าว เรียนที่นิวซีแลนด์
    #คิงส์โพธิ์แดง
    ไมค์ ขยะระยอง หนีไปโผล่นิวซีแลนด์ ภายใต้การอุปการะของ ตั้ง อาชีวะ สงสัยอยากเดินตามรอยไอ้ว่าว เรียนที่นิวซีแลนด์ #คิงส์โพธิ์แดง
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 497 มุมมอง 0 รีวิว
  • เค สามถุย โดนตอกย้ำความไร้ค่า
    สายข่าวรายงานว่า พบเค สามถุย
    นั่งอยู่ในศาลาอย่างเหงาๆ ท่ามกลาง
    งานสีดำของมารดาจักรภพ เพ็ญแข
    โดยเค รวบรวมความกล้าทั้งๆที่จักรภพไม่ได้เชิญ
    ไปร่วมงานหวังว่า โทนี่แม๊วต้องมาร่วมงาน
    หวังว่าจะได้ขอส่วนบุญบ้างวันที่นายมีอำนาจ
    เพราะตอนนี้ ตังค์แทบไม่มีติดตัว
    เพราะไม่เอาเวลาไปทำมาหากิน
    กลับเสียไปกับการเป็นนักเลงคีย์บอร์ด
    กลุ่มเสื้อแดงก็แสดงอาการหยะแหยงไม่รับเข้ากลุ่ม
    ด้วยนิสัยส่วนตัวที่พร้อมหักหลังเพื่อนพ้อง
    และผู้มีพระคุณ เคไม่รู้ว่าความลับมันไม่มีในโลก
    เรื่องที่เค สามถุยคอดำขยะเปียก เนรคุณผู้มีพระคุณ
    ได้รับรู้ถึงโทนี่แม๊ว ทำให้แม๊วเองก็ยังหยะแหย๋งตามไปอีก
    แต่เมื่อโทนี่มาถึงงานสีดำ และเค ก็พร้อมกระโจน
    ตั้งใจจะไปแสดงอาการเลียแข้งเลียขาอย่างเต็มที่
    หวังจะได้เกิด แต่โดนแม๊วสั่งเบรค ไม่ให้เข้าใกล้ ไม่ให้เข้าพบ
    เค สามถุยผู้มโนว่าตัวเองสำคัญ ต้องนั่งกลืนน้ำตา
    อยู่ในศาลาอย่างเดียวดาย
    ก็พี่คิงส์เคยเตือนแล้ว ว่าให้ไปทำมาหากินเป็นเรื่องเป็นราว
    เบาหวาน ไขมัน ความดันก็มาครบแล้ว
    ลูกก็ต้องกินต้องใช้ โพสขายปลาสลิดอ้อนวอนลูกเพจตัวเอง
    ให้ช่วยเหลือ ช่วยซื้อเพื่อเอาไปจ่ายค่าหอพักลูก
    มันไม่สง่างามเลยเค พอเหอะเชื่อกรู
    หรือที่กรูเล่ามาทั้งหมด ไม่จริง ไอ่ฉัด เค เสื้อแดง
    #คิงส์โพธิ์แดง
    เค สามถุย โดนตอกย้ำความไร้ค่า สายข่าวรายงานว่า พบเค สามถุย นั่งอยู่ในศาลาอย่างเหงาๆ ท่ามกลาง งานสีดำของมารดาจักรภพ เพ็ญแข โดยเค รวบรวมความกล้าทั้งๆที่จักรภพไม่ได้เชิญ ไปร่วมงานหวังว่า โทนี่แม๊วต้องมาร่วมงาน หวังว่าจะได้ขอส่วนบุญบ้างวันที่นายมีอำนาจ เพราะตอนนี้ ตังค์แทบไม่มีติดตัว เพราะไม่เอาเวลาไปทำมาหากิน กลับเสียไปกับการเป็นนักเลงคีย์บอร์ด กลุ่มเสื้อแดงก็แสดงอาการหยะแหยงไม่รับเข้ากลุ่ม ด้วยนิสัยส่วนตัวที่พร้อมหักหลังเพื่อนพ้อง และผู้มีพระคุณ เคไม่รู้ว่าความลับมันไม่มีในโลก เรื่องที่เค สามถุยคอดำขยะเปียก เนรคุณผู้มีพระคุณ ได้รับรู้ถึงโทนี่แม๊ว ทำให้แม๊วเองก็ยังหยะแหย๋งตามไปอีก แต่เมื่อโทนี่มาถึงงานสีดำ และเค ก็พร้อมกระโจน ตั้งใจจะไปแสดงอาการเลียแข้งเลียขาอย่างเต็มที่ หวังจะได้เกิด แต่โดนแม๊วสั่งเบรค ไม่ให้เข้าใกล้ ไม่ให้เข้าพบ เค สามถุยผู้มโนว่าตัวเองสำคัญ ต้องนั่งกลืนน้ำตา อยู่ในศาลาอย่างเดียวดาย ก็พี่คิงส์เคยเตือนแล้ว ว่าให้ไปทำมาหากินเป็นเรื่องเป็นราว เบาหวาน ไขมัน ความดันก็มาครบแล้ว ลูกก็ต้องกินต้องใช้ โพสขายปลาสลิดอ้อนวอนลูกเพจตัวเอง ให้ช่วยเหลือ ช่วยซื้อเพื่อเอาไปจ่ายค่าหอพักลูก มันไม่สง่างามเลยเค พอเหอะเชื่อกรู หรือที่กรูเล่ามาทั้งหมด ไม่จริง ไอ่ฉัด เค เสื้อแดง #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 234 มุมมอง 0 รีวิว
  • #จบแล้วเฒ่าวีระบุรุษนากีย์
    เสรีพิศุทธิ์ ทำเอาคิงส์โพธิ์แดงฮานาก้า
    เฒ่านี่ หน้าฉากผู้พิทักษ์สันติราษฎร์
    หลังฐาก อย่างเขร้
    โดนคนอื่นฟ้อง ใช้เทคนิคไม่รับหมายเรียก
    ไอ่สน.ก็ปล่อยเกียร์ว่าง อัยการของคนของตัวเอง
    ปล่อยจนหมดอายุความทุกค-ดี แล้วไปฝอยว่าข้าชนะ ถถถถ
    ไอ่เฒ่า พอรู้จักไอ่สุรเชษฐ์ ก็ทำตัวเป็นป๋าปกป้องลูก
    เอาจริงๆก็สุรเชษฐ์เปย์ไม่น้อย เลยสอนลูกเล่น
    ที่ตัวเองทำสำเร็จ แต่อัยการก็คนละคน ศาลก็คนละศาล
    ความบันเทิงจึงบังเกิด
    วันที่โทนี่แม๊ว นช.เรียกพรรคร่วมไปแก้เกมส์ลุงป้อมที่บ้านจันทร์ส่องฝ้า
    พบอดีตตร.เฒ่าเสรีย์ เสนอหน้า ป๊าด ทั้งพรรคมีตัวเดียวยังแสล๋นไป
    ไปขอตำแหน่งเฟร้ย อยากคุม ตร. อยากคุมความมั่นคง
    เฒ่าทุย เอาอะไรไปต่อรอง แล้วเป้าหมายคืออะไรรู้มั๊ย
    จะไปคุมตร.เพื่อช่วยไอ่โจ๊ก เฮือกสุดท้าย
    โทนี่แม๊วว่าไงรู้มั๊ย ไอ่เฒ่าเสรี ตัวนี้ชอบสร้างความวุ่นวาย
    ตัวปัญหา แช่ๆมันไว้นั่นแหละ ไม่ต้องไปตอบรับไม่ต้องไปปฏิเสธ
    เวลายิ่งนาน เห็นพรรคโน้นก็มา พรรคนี้ก็มา ตัวเองไม่โดนเรียกซักที
    เริ่มตั้งสติได้ รู้ตัว แต่ก็ยังหลงลืมตัวนะ ประกาศบอก พรรคข้าจะถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วม คำว่าจะ ไม่ถอนตัวทันทีนะ รอวันศุกร์หว่ะ 5555
    ก็สร้างค่า ดึงเช็ง หวังโทนี่แม๊วจะง้อ แต่รอไปเหอะ
    โทนี่แม๊วเห็นเสรีงอแง ยิ่งรู้สึกว่า ขยะเปียกชัดๆ
    รับไปอยู่พรรคร่วมก็เป็นภาระ ตัวถ่วง
    แฟนเพจคิงส์โพธิ์แดงก็รอตาเฒ่าแถลงวันศุกร์ละกันนะคับนะ
    ฝากเซย์ไฮเมียน้อย ที่ส่งเรียนป.โท ป.เอกด้วยนะ ตาเฒ่าเสรี
    จบแล้ว หมดสภาพ ไร้ซึ่งอนาคต
    เป็นฮีโร่ดีๆไม่ชอบ ชอบเงินสีดำ อร่อยมั๊ยล่ะเมิ๊ง
    จบทั้งสุรเชษฐ์ และบริวาร
    เลียขาแม๊วเสียน้ำลายฟรีเลย ฮ่าๆๆๆ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #จบแล้วเฒ่าวีระบุรุษนากีย์ เสรีพิศุทธิ์ ทำเอาคิงส์โพธิ์แดงฮานาก้า เฒ่านี่ หน้าฉากผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ หลังฐาก อย่างเขร้ โดนคนอื่นฟ้อง ใช้เทคนิคไม่รับหมายเรียก ไอ่สน.ก็ปล่อยเกียร์ว่าง อัยการของคนของตัวเอง ปล่อยจนหมดอายุความทุกค-ดี แล้วไปฝอยว่าข้าชนะ ถถถถ ไอ่เฒ่า พอรู้จักไอ่สุรเชษฐ์ ก็ทำตัวเป็นป๋าปกป้องลูก เอาจริงๆก็สุรเชษฐ์เปย์ไม่น้อย เลยสอนลูกเล่น ที่ตัวเองทำสำเร็จ แต่อัยการก็คนละคน ศาลก็คนละศาล ความบันเทิงจึงบังเกิด วันที่โทนี่แม๊ว นช.เรียกพรรคร่วมไปแก้เกมส์ลุงป้อมที่บ้านจันทร์ส่องฝ้า พบอดีตตร.เฒ่าเสรีย์ เสนอหน้า ป๊าด ทั้งพรรคมีตัวเดียวยังแสล๋นไป ไปขอตำแหน่งเฟร้ย อยากคุม ตร. อยากคุมความมั่นคง เฒ่าทุย เอาอะไรไปต่อรอง แล้วเป้าหมายคืออะไรรู้มั๊ย จะไปคุมตร.เพื่อช่วยไอ่โจ๊ก เฮือกสุดท้าย โทนี่แม๊วว่าไงรู้มั๊ย ไอ่เฒ่าเสรี ตัวนี้ชอบสร้างความวุ่นวาย ตัวปัญหา แช่ๆมันไว้นั่นแหละ ไม่ต้องไปตอบรับไม่ต้องไปปฏิเสธ เวลายิ่งนาน เห็นพรรคโน้นก็มา พรรคนี้ก็มา ตัวเองไม่โดนเรียกซักที เริ่มตั้งสติได้ รู้ตัว แต่ก็ยังหลงลืมตัวนะ ประกาศบอก พรรคข้าจะถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วม คำว่าจะ ไม่ถอนตัวทันทีนะ รอวันศุกร์หว่ะ 5555 ก็สร้างค่า ดึงเช็ง หวังโทนี่แม๊วจะง้อ แต่รอไปเหอะ โทนี่แม๊วเห็นเสรีงอแง ยิ่งรู้สึกว่า ขยะเปียกชัดๆ รับไปอยู่พรรคร่วมก็เป็นภาระ ตัวถ่วง แฟนเพจคิงส์โพธิ์แดงก็รอตาเฒ่าแถลงวันศุกร์ละกันนะคับนะ ฝากเซย์ไฮเมียน้อย ที่ส่งเรียนป.โท ป.เอกด้วยนะ ตาเฒ่าเสรี จบแล้ว หมดสภาพ ไร้ซึ่งอนาคต เป็นฮีโร่ดีๆไม่ชอบ ชอบเงินสีดำ อร่อยมั๊ยล่ะเมิ๊ง จบทั้งสุรเชษฐ์ และบริวาร เลียขาแม๊วเสียน้ำลายฟรีเลย ฮ่าๆๆๆ #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 421 มุมมอง 0 รีวิว
  • เสรี พิศุทธิ์ 555555555 เดี๋ยวมาเหลา แป๊บ อย่างฮา เฒ่าขยะเปียกในสายตาโทนี่
    #คิงส์โพธิ์แดง
    เสรี พิศุทธิ์ 555555555 เดี๋ยวมาเหลา แป๊บ อย่างฮา เฒ่าขยะเปียกในสายตาโทนี่ #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 176 มุมมอง 0 รีวิว
  • เคสามถุยแท็กให้คิงส์ฯเล่นเคต่อ คือแบบนี้นะเค "ถ้ารู้แล้วว่าเคเป็นขยะก็ขี้เกียจไปเหยียบเล่น มันสกปก"
    # เคเสื้อแดง #คิงส์โพธิ์แดง
    เคสามถุยแท็กให้คิงส์ฯเล่นเคต่อ คือแบบนี้นะเค "ถ้ารู้แล้วว่าเคเป็นขยะก็ขี้เกียจไปเหยียบเล่น มันสกปก" # เคเสื้อแดง #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 114 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขอเล่าต่อเรื่องธุรกิจของ lit nit
    ....
    แบรนด์ธุรกิจของ lit nit ไม่ได้ทำแค่เรื่องขยะจากพลาสติกเท่านั้นหรอกนะ ของเหลือทิ้งอีกประเภทหนึ่งที่ lit nit นำมาประกอบธุรกิจคือ "ไม้ผุ"
    ....
    ไม้ผุเหล่านี้บางบ้านนิยมที่จะเผาทิ้ง อาจด้วยเหตุผลความจำเป็นของแต่ละบ้านอันนี้เราเข้าใจได้ lit nit แค่คิดในมุมที่ว่าถ้าธุรกิจของตัวเองได้นำมาทำให้เกิดมูลค่า มันก็สามารถลดการเผาไหม้ไม้ชิ้นนั้นไปได้ 1 ชิ้น
    ....
    lit nit ก็เลยนำมาเป็นสินค้าสำหรับจัดสวนถาด สวนแก้ว หรือประดับตกแต่งนู่นนี่นั่นอะไรทำนองนั้น
    #ชุดนี้เตรียมสำหรับออกบูธเดือนตุลาคม^^
    ขอเล่าต่อเรื่องธุรกิจของ lit nit .... แบรนด์ธุรกิจของ lit nit ไม่ได้ทำแค่เรื่องขยะจากพลาสติกเท่านั้นหรอกนะ ของเหลือทิ้งอีกประเภทหนึ่งที่ lit nit นำมาประกอบธุรกิจคือ "ไม้ผุ" .... ไม้ผุเหล่านี้บางบ้านนิยมที่จะเผาทิ้ง อาจด้วยเหตุผลความจำเป็นของแต่ละบ้านอันนี้เราเข้าใจได้ lit nit แค่คิดในมุมที่ว่าถ้าธุรกิจของตัวเองได้นำมาทำให้เกิดมูลค่า มันก็สามารถลดการเผาไหม้ไม้ชิ้นนั้นไปได้ 1 ชิ้น .... lit nit ก็เลยนำมาเป็นสินค้าสำหรับจัดสวนถาด สวนแก้ว หรือประดับตกแต่งนู่นนี่นั่นอะไรทำนองนั้น #ชุดนี้เตรียมสำหรับออกบูธเดือนตุลาคม^^
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 212 มุมมอง 0 รีวิว
  • #ทั้งขำทั้งเคือง
    1. เมิงเอาเบ้าหน้าฟ้าประทานอย่างกรูไปเทียบกับไอ่หมูคอดำ ขยะเปียกไร้ค่า
    2. ถ้าไอ่เคมีข้อมูลแบบพี่คิงส์ป่านนี้เอาไปตบ ท-รั-พ-ย์ แล้ว ไม่มีเอามาเปิดโ-ป-ง ให้ประชาชนได้รับรู้หรอก
    ไอ่ฉัด
    จิตนาการเมิงนี้ ร-ะ-ย-ำ จริงๆ
    อันนี้ไม่ได้เปรียบเปรยนะ ตรงๆเลย มโนแบบนี้ใช้ส้งทรีนคิด เดาได้ว่าทุยแบบนี้ต้องเป็นกีบแน่นวล
    ตอนแรกว่าจะจบไม่อยากโพสนึงไอ่เบาหวานนี้แล้วนะ
    พอดีวันนี้เหมือนมันยังไม่จบสนิทดี ปล่อยสมุนกะโหลกกะลามาป่วน
    คือ อินี่>>> Jutiporn Nualsri
    เอาซักหน่อย ให้แฟนเพจพี่คิงส์ได้อมยิ้ม ฮ่าๆๆ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #ทั้งขำทั้งเคือง 1. เมิงเอาเบ้าหน้าฟ้าประทานอย่างกรูไปเทียบกับไอ่หมูคอดำ ขยะเปียกไร้ค่า 2. ถ้าไอ่เคมีข้อมูลแบบพี่คิงส์ป่านนี้เอาไปตบ ท-รั-พ-ย์ แล้ว ไม่มีเอามาเปิดโ-ป-ง ให้ประชาชนได้รับรู้หรอก ไอ่ฉัด จิตนาการเมิงนี้ ร-ะ-ย-ำ จริงๆ อันนี้ไม่ได้เปรียบเปรยนะ ตรงๆเลย มโนแบบนี้ใช้ส้งทรีนคิด เดาได้ว่าทุยแบบนี้ต้องเป็นกีบแน่นวล ตอนแรกว่าจะจบไม่อยากโพสนึงไอ่เบาหวานนี้แล้วนะ พอดีวันนี้เหมือนมันยังไม่จบสนิทดี ปล่อยสมุนกะโหลกกะลามาป่วน คือ อินี่>>> Jutiporn Nualsri เอาซักหน่อย ให้แฟนเพจพี่คิงส์ได้อมยิ้ม ฮ่าๆๆ #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 206 มุมมอง 0 รีวิว
  • #เคสามถุยจบแล้ว
    หลังเพจคิงส์โพธิ์แดงได้เผยถึงความสวะ
    และความเนรคุณ ซัพเพื่อไทยถึงกับตัดสินใจเลิกจ้าง 500 ก็ไม่คุ้ม
    เคสามถุยที่โทนี่มองเป็นแค่ขยะ
    ยืนถือป้ายโดดเดี่ยวแบบเหงาๆต้อนรับโทนี่กลับบ้าน
    แต่โทนี่เห็นเป็นแค่สวะหิวแสง ไม่แลแม้ปลายตา
    ก็ได้แต่ของานซัพที่รับงานโทนี่มาได้ทีละ 400-500
    เอามาประทังชีวิต แต่ก็ดันมาแสดงอาการกร่าง
    แค่เกาะคนมีแสงไปออกทีวีไม่กี่ที นึกว่าตัวเองยิ่งใหญ่
    ทำตัวเป็นนักเลงคีย์บอร์ด เกรียนทุกเพจของผู้จงรักษ์ภักดี
    พี่คิงส์เลยจัดหนักจัดเต็ม
    ตอนแรก ก็คิดว่าคงจะเปิดข้อมูลกันอีกยาวๆ
    แต่เพิ่งไปเช็คมา ว่าไม่มีใครจ้างแล้ว
    ไปดูในเฟสก็เห็นขายปลาสลิดเป็นค่าหอพักลูกแล้ว
    งั้นเคคอดำ เคเบาหวานต้องอ่านให้จบ เพราะนี่คือความเวทนาและเมตตาที่คิงส์ฯจะมอบให้
    1. หยุดทะลึ่งกับเพจใดๆเมิงเชียร์โทนี่หวังเศษกระดูกเค้าโยนให้เรื่องของเมิง ถ้าเห็นเมิงไปเกรียนคีย์บอร์ดที่เพจคนที่จงรักภักดี เมิงจะโดนเปิด แ-ผ-ลลึกกว่านี้ เมิงรู้ดีว่ากรูมีข้อมูลอีกเยอะ
    2. มึงไปทำมาหากินอย่างอื่น กรูแนะนำ ถึงเมิงโพสขายปลาสลิดอ้อนวอนลูกเพจเป็นค่าหอพักลูก กรูลองเอามาช่วยโพสในคอมเม้นแล้ว แต่ลูกค้าเค้าพอเห็นหน้าเมิงแล้ว มีคนคอมเม้นบอกว่าแดรกไม่ลง กรูว่าน่าจะไม่รอด
    3. ออกกำลังกายบ้าง แดรกอาหารที่มีประโยชน์ เบาหวานเมิงเยอะเกินไปแล้วไขมันก็เกิน เกินมันทุกอย่าง เดี๋ยวจะได้เลี้ยงลูกอีกไม่นาน
    4. จำไว้เป็นบทเรียนว่า เพจคนอื่นเค้าโพสอะไร อย่า เ-สื-อ-ก
    ถ้าเมิงทำ 4 ข้อนี้ได้ กรูจะโพสถึงเมิงโพสสุดท้ายละ
    แต่ถ้ายังทะลึ่ง ไปแขวนคนนั้นคนนี้ที่เค้าจงรักษ์ภักดี สิ่งที่เมิงไม่อยากให้ใครรู้ ได้รู้กันทั้งประเทศแน่นอน
    สรุป วันนี้เมิงได้รู้จักคิงส์โพธิ์แดงระดับนึงละ
    อย่ารู้จักให้มากกว่านี้เลย ตอนนี้ทั้งเสื้อแดงก็ชังเมิง
    โทนี่ก็ไม่ได้นับเมิงแม้เป็นลูกน้อง เห็นเป็นแค่ขยะเปียกหิวแสง
    ซัพงานก็ไม่จ้างแล้ว ได้สติ ทำชีวิตใหม่
    เอาเวลามาระรานคนที่เค้ารักสถาบันกษัตรย์ และวิพากษ์วิจารน์นายเมิงอะ
    ไปทำมาหากิน เชื่อกรู อาชีพรับจ้าง ด่-า เมิงไม่เกิดหรอก
    ถือว่า วันนี้เป็นบทเรียนนะ กรูจะได้ไปทำเรื่องอื่นต่อ
    ไอ่ฉัด ไอ่เคเบาหวาน
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #เคสามถุยจบแล้ว หลังเพจคิงส์โพธิ์แดงได้เผยถึงความสวะ และความเนรคุณ ซัพเพื่อไทยถึงกับตัดสินใจเลิกจ้าง 500 ก็ไม่คุ้ม เคสามถุยที่โทนี่มองเป็นแค่ขยะ ยืนถือป้ายโดดเดี่ยวแบบเหงาๆต้อนรับโทนี่กลับบ้าน แต่โทนี่เห็นเป็นแค่สวะหิวแสง ไม่แลแม้ปลายตา ก็ได้แต่ของานซัพที่รับงานโทนี่มาได้ทีละ 400-500 เอามาประทังชีวิต แต่ก็ดันมาแสดงอาการกร่าง แค่เกาะคนมีแสงไปออกทีวีไม่กี่ที นึกว่าตัวเองยิ่งใหญ่ ทำตัวเป็นนักเลงคีย์บอร์ด เกรียนทุกเพจของผู้จงรักษ์ภักดี พี่คิงส์เลยจัดหนักจัดเต็ม ตอนแรก ก็คิดว่าคงจะเปิดข้อมูลกันอีกยาวๆ แต่เพิ่งไปเช็คมา ว่าไม่มีใครจ้างแล้ว ไปดูในเฟสก็เห็นขายปลาสลิดเป็นค่าหอพักลูกแล้ว งั้นเคคอดำ เคเบาหวานต้องอ่านให้จบ เพราะนี่คือความเวทนาและเมตตาที่คิงส์ฯจะมอบให้ 1. หยุดทะลึ่งกับเพจใดๆเมิงเชียร์โทนี่หวังเศษกระดูกเค้าโยนให้เรื่องของเมิง ถ้าเห็นเมิงไปเกรียนคีย์บอร์ดที่เพจคนที่จงรักภักดี เมิงจะโดนเปิด แ-ผ-ลลึกกว่านี้ เมิงรู้ดีว่ากรูมีข้อมูลอีกเยอะ 2. มึงไปทำมาหากินอย่างอื่น กรูแนะนำ ถึงเมิงโพสขายปลาสลิดอ้อนวอนลูกเพจเป็นค่าหอพักลูก กรูลองเอามาช่วยโพสในคอมเม้นแล้ว แต่ลูกค้าเค้าพอเห็นหน้าเมิงแล้ว มีคนคอมเม้นบอกว่าแดรกไม่ลง กรูว่าน่าจะไม่รอด 3. ออกกำลังกายบ้าง แดรกอาหารที่มีประโยชน์ เบาหวานเมิงเยอะเกินไปแล้วไขมันก็เกิน เกินมันทุกอย่าง เดี๋ยวจะได้เลี้ยงลูกอีกไม่นาน 4. จำไว้เป็นบทเรียนว่า เพจคนอื่นเค้าโพสอะไร อย่า เ-สื-อ-ก ถ้าเมิงทำ 4 ข้อนี้ได้ กรูจะโพสถึงเมิงโพสสุดท้ายละ แต่ถ้ายังทะลึ่ง ไปแขวนคนนั้นคนนี้ที่เค้าจงรักษ์ภักดี สิ่งที่เมิงไม่อยากให้ใครรู้ ได้รู้กันทั้งประเทศแน่นอน สรุป วันนี้เมิงได้รู้จักคิงส์โพธิ์แดงระดับนึงละ อย่ารู้จักให้มากกว่านี้เลย ตอนนี้ทั้งเสื้อแดงก็ชังเมิง โทนี่ก็ไม่ได้นับเมิงแม้เป็นลูกน้อง เห็นเป็นแค่ขยะเปียกหิวแสง ซัพงานก็ไม่จ้างแล้ว ได้สติ ทำชีวิตใหม่ เอาเวลามาระรานคนที่เค้ารักสถาบันกษัตรย์ และวิพากษ์วิจารน์นายเมิงอะ ไปทำมาหากิน เชื่อกรู อาชีพรับจ้าง ด่-า เมิงไม่เกิดหรอก ถือว่า วันนี้เป็นบทเรียนนะ กรูจะได้ไปทำเรื่องอื่นต่อ ไอ่ฉัด ไอ่เคเบาหวาน #คิงส์โพธิ์แดง
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 442 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้ lit nit ไปคุยกับโรงเรียนมา 2 แห่ง
    เรื่องการบูรณาการจัดการขยะในโรงเรียน
    ....
    ท่านผอ.และคณะครูทั้ง 2 โรงเรียนสนใจที่จะร่วมกับแนวทางจัดการขยะพลาสติกร่วมกับแบรนด์สินค้าของ lit nit ขั้นตอนต่อไปก็ทำ MOU ระหว่างกัน
    ....
    ขอเล่าเล่น ๆ ให้ท่านเข้าใจว่า lit nit วางแผน 3 ปีร่วมกับโรงเรียนในการส่งเสริมการจัดการขยะในโรงเรียน
    -ปี 1 ส่งเสริมการคัดแยกขยะพลาสติกและส่งขยะพลาสติกเช่น หลอด ฝาขวด ถุงพลาสติก และฟิวเจอร์บอร์ดให้ lit nit นำไปแรรูปเป็นผลิตภัณฑ์
    -ปี 2 ให้ความรู้และฝึกแปรรูปขยะพลาสติกให้กับโรงเรียน
    -ปี 3 ส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์จากขยะที่โรงเรียนเป็นผู้ทำ และขยายผลสู่ชุมชน
    ....
    วางแผนไว้เพื่อเป็นทิศทางในการเดินทางและเป็นตัวชี้วัดหนึ่งของแผนธุรกิจของ lit nit
    #วันนี้เล่าแค่นี้ก่อน เดี๋ยวว่าง ๆ จะมาเล่าในมุมที่ lit nit ไปเจรจากับร้านค้าและเอกชนบางแห่งที่สนใจเรื่องนี้เหมือนกัน
    วันนี้ lit nit ไปคุยกับโรงเรียนมา 2 แห่ง เรื่องการบูรณาการจัดการขยะในโรงเรียน .... ท่านผอ.และคณะครูทั้ง 2 โรงเรียนสนใจที่จะร่วมกับแนวทางจัดการขยะพลาสติกร่วมกับแบรนด์สินค้าของ lit nit ขั้นตอนต่อไปก็ทำ MOU ระหว่างกัน .... ขอเล่าเล่น ๆ ให้ท่านเข้าใจว่า lit nit วางแผน 3 ปีร่วมกับโรงเรียนในการส่งเสริมการจัดการขยะในโรงเรียน -ปี 1 ส่งเสริมการคัดแยกขยะพลาสติกและส่งขยะพลาสติกเช่น หลอด ฝาขวด ถุงพลาสติก และฟิวเจอร์บอร์ดให้ lit nit นำไปแรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ -ปี 2 ให้ความรู้และฝึกแปรรูปขยะพลาสติกให้กับโรงเรียน -ปี 3 ส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์จากขยะที่โรงเรียนเป็นผู้ทำ และขยายผลสู่ชุมชน .... วางแผนไว้เพื่อเป็นทิศทางในการเดินทางและเป็นตัวชี้วัดหนึ่งของแผนธุรกิจของ lit nit #วันนี้เล่าแค่นี้ก่อน เดี๋ยวว่าง ๆ จะมาเล่าในมุมที่ lit nit ไปเจรจากับร้านค้าและเอกชนบางแห่งที่สนใจเรื่องนี้เหมือนกัน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 264 มุมมอง 0 รีวิว
  • #พี่คิงส์โพธิ์แดงลั่นไว้ตั้งแต่เมื่อคืนละ
    ไม่ใช่เรื่องไอ่เค สวะสามถุยนะ อันนั้นขยะไว้ทีหลัง
    แต่เรื่องข้อมูลเต็มเป้ วันนี้ก็ทะยอยขนมาฝากแฟนเพจรัวๆ
    แต่บางเรื่อง ก็บอกรายละเอียดได้
    บางเรื่อง แค่เปรยๆก็พอได้ แต่บอกลึกเดี๋ยวเกมส์เปลี่ยน
    เรื่องนี้ ดูจากภาพแล้วตีความไปก่อน
    เรื่องอื่นๆจะทะยอยเปิดเรื่อยๆ
    บอกแล้ว ข้อมูลเต็มเป้
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #พี่คิงส์โพธิ์แดงลั่นไว้ตั้งแต่เมื่อคืนละ ไม่ใช่เรื่องไอ่เค สวะสามถุยนะ อันนั้นขยะไว้ทีหลัง แต่เรื่องข้อมูลเต็มเป้ วันนี้ก็ทะยอยขนมาฝากแฟนเพจรัวๆ แต่บางเรื่อง ก็บอกรายละเอียดได้ บางเรื่อง แค่เปรยๆก็พอได้ แต่บอกลึกเดี๋ยวเกมส์เปลี่ยน เรื่องนี้ ดูจากภาพแล้วตีความไปก่อน เรื่องอื่นๆจะทะยอยเปิดเรื่อยๆ บอกแล้ว ข้อมูลเต็มเป้ #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 รีวิว
  • BAN เรียกร้อง MAERSK ชี้แจงแผนเดินเรือใหม่ของเรือ 2 ลำที่ขนขยะพิษฝุ่นแดง หลังพบเรือ “แคมป์ตัน” ผ่านสิงคโปร์ไปแล้วโดยไม่จอด ขณะที่ “แคนดอร์” เงียบหายไม่แสดงตัวมาแล้ว 6 วัน พร้อมทั้งขอคำรับรองจาก MAERSK ว่าจะไม่ฝ่าฝืนมาตรฐานเรื่องการเดินเรือขนส่งสินค้าและปฏิบัติตามกฎกติการที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด จนกว่าที่ตู้คอนเทนเนอร์ต้องสงสัยว่าบรรจุขยะพิษทั้ง 100 ตู้บนเรือ “เมอรส์กแคมป์ตัน” และ “เมอรส์ก แคนดอร์” จะถูกส่งถึงแอลเบเนีย
    .
    16 สิงหาคม 2567- เครือข่ายปฏิบัติการบาเซล หรือ Basel Action Network (BAN) ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนในประเทศสหรัฐอเมริกาที่ทำงานตรวจสอบเกี่ยวกับการปฏิบัติตามอนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและการกำจัด หรือที่เรียกกันโดยย่อว่า “อนุสัญญาบาเซล” (Basel Convention) ได้ส่งจดหมายผ่านทางอีเมล ลงวันที่ 15 สิงหาคม 2567 (เวลาช้ากว่าไทยประมาณ 12 ชั่วโมง) ถึงผู้บริหารของบริษัท เมอส์ก (MAERSK) ระบุว่า เป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องสอบถามถึงเจตนารมณ์ของ Maersk เกี่ยวกับตู้คอนเทนเนอร์ต้องสงสัยว่าบรรจุขยะอันตรายที่ขนส่งมาบนเรือของบริษัทที่ชื่อ “เมอรส์กแคมป์ตัน” และ “เมอรส์ก แคนดอร์”
    .
    BAN ได้กล่าวอ้างอิงถึงข่าวจากบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รวมทั้งเนื้อหาในจดหมายของบริษัท เมอส์ก ไลน์ (ไทยแลนด์) จำกัด ที่ส่งถึงผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง เรื่อง “การชี้แจงข้อมูลเส้นทางการเดินเรือ” ซึ่งแจ้งไว้ว่าจะส่งคืนตู้คอนเทนเนอร์ทั้งหมดจำนวน 100 ตู้บนเรือทั้งสองลำดังกล่าวกลับไปยังแอลเบเนีย ซึ่ง BAN ระบุว่า “เราปรบมือให้กับการตัดสินใจนั้น”
    .
    จดหมายของ BAN ที่ลงนามโดยจิม พักเก็ตต์ กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม เรือแคมป์ตันซึ่งควรที่จะจอดยังท่าเรือในสิงคโปร์ และมีขนถ่ายตู้คอนเทนเนอร์ต้องสงสัย ตามแผนการเดิม กลับเพิ่งมีรายงานข่าวว่าได้แล่นผ่านสิงคโปร์ไปแล้วเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา โดยไม่มีการหยุด ซึ่งในจดหมายได้มีการแนบแผนที่แสดงเส้นทางและตำแหน่งการเดินเรือของ “เมอรส์กแคมป์ตัน” ไว้ด้วย
    .
    จดหมายของ BAN แจ้งอีกว่า ในขณะที่ทางด้านเรือแคนดอร์ก็ได้เงียบหายไปตลอดช่วงหกวันที่ผ่านมา หลังจากที่พบว่ามีการปิดระบบสัญญาณ AIS (Automatic Identification System) หรือสัญญาณการระบุตัวตนอัตโนมัติครั้งสุดท้ายที่นอกชายฝั่งแอฟริกาใต้ ซึ่งปรากฏการณ์ล่าสุดเหล่านี้ได้ “สร้างความกังวลอย่างยิ่งยวด” ให้เกิดขึ้นตามหลังจากการแถลงของบริษัท
    .
    ดังนั้น BAN จึงเรียกร้องให้บริษัท MAERSK ชี้แจงและอธิบายให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและสื่อที่เกี่ยวข้องทั้งหลายโดยทันที ว่าเหตุใดจึงมีการปรับเปลี่ยนแผนการเดินเรือ และแผนใหม่คืออะไร ตลอดจนชี้แจงถึงตําแหน่งและจุดหมายปลายทางของเรือทั้งสองลําด้วย โดยที่ MAERSK จะต้องรับรองว่าจะไม่ฝ่าฝืนต่อกฎเกณฑ์สากลของการเดินเรือขนส่งสินค้า รวมถึงระเบียบกติกาทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง
    .
    และที่สำคัญคือ ต้องรักษาไว้ซึ่งความมุ่งมั่นที่จะส่งคอนเทนเนอร์บรรจุของเสียอันตรายต้องสงสัยกลับไปยังประเทศต้นทาง ให้ถึงมือรัฐบาลแอลเบเนีย เพื่อที่จะจัดการส่งกลับไปยังประเทศต้นทางได้ต่อ

    ดูเรื่องที่เกี่ยวข้องได้ที่
    - MAERSK ยอมส่งเรือกลับแอลเบเนีย!?! แต่ไม่ยอมรับว่ามีการขนส่งขยะอันตราย: https://shorturl.at/hivjM

    - "กรณีการขนย้ายฝุ่นแดงจากประเทศแอลเบเนีย ถือเป็นอาชญากรรมสิ่งแวดล้อมข้ามชาติ": https://shorturl.at/th5yX

    ที่มา : มูลนิธิบูรณะนิเวศ

    #Thaitimes
    BAN เรียกร้อง MAERSK ชี้แจงแผนเดินเรือใหม่ของเรือ 2 ลำที่ขนขยะพิษฝุ่นแดง หลังพบเรือ “แคมป์ตัน” ผ่านสิงคโปร์ไปแล้วโดยไม่จอด ขณะที่ “แคนดอร์” เงียบหายไม่แสดงตัวมาแล้ว 6 วัน พร้อมทั้งขอคำรับรองจาก MAERSK ว่าจะไม่ฝ่าฝืนมาตรฐานเรื่องการเดินเรือขนส่งสินค้าและปฏิบัติตามกฎกติการที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด จนกว่าที่ตู้คอนเทนเนอร์ต้องสงสัยว่าบรรจุขยะพิษทั้ง 100 ตู้บนเรือ “เมอรส์กแคมป์ตัน” และ “เมอรส์ก แคนดอร์” จะถูกส่งถึงแอลเบเนีย . 16 สิงหาคม 2567- เครือข่ายปฏิบัติการบาเซล หรือ Basel Action Network (BAN) ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนในประเทศสหรัฐอเมริกาที่ทำงานตรวจสอบเกี่ยวกับการปฏิบัติตามอนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและการกำจัด หรือที่เรียกกันโดยย่อว่า “อนุสัญญาบาเซล” (Basel Convention) ได้ส่งจดหมายผ่านทางอีเมล ลงวันที่ 15 สิงหาคม 2567 (เวลาช้ากว่าไทยประมาณ 12 ชั่วโมง) ถึงผู้บริหารของบริษัท เมอส์ก (MAERSK) ระบุว่า เป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องสอบถามถึงเจตนารมณ์ของ Maersk เกี่ยวกับตู้คอนเทนเนอร์ต้องสงสัยว่าบรรจุขยะอันตรายที่ขนส่งมาบนเรือของบริษัทที่ชื่อ “เมอรส์กแคมป์ตัน” และ “เมอรส์ก แคนดอร์” . BAN ได้กล่าวอ้างอิงถึงข่าวจากบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รวมทั้งเนื้อหาในจดหมายของบริษัท เมอส์ก ไลน์ (ไทยแลนด์) จำกัด ที่ส่งถึงผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง เรื่อง “การชี้แจงข้อมูลเส้นทางการเดินเรือ” ซึ่งแจ้งไว้ว่าจะส่งคืนตู้คอนเทนเนอร์ทั้งหมดจำนวน 100 ตู้บนเรือทั้งสองลำดังกล่าวกลับไปยังแอลเบเนีย ซึ่ง BAN ระบุว่า “เราปรบมือให้กับการตัดสินใจนั้น” . จดหมายของ BAN ที่ลงนามโดยจิม พักเก็ตต์ กล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม เรือแคมป์ตันซึ่งควรที่จะจอดยังท่าเรือในสิงคโปร์ และมีขนถ่ายตู้คอนเทนเนอร์ต้องสงสัย ตามแผนการเดิม กลับเพิ่งมีรายงานข่าวว่าได้แล่นผ่านสิงคโปร์ไปแล้วเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา โดยไม่มีการหยุด ซึ่งในจดหมายได้มีการแนบแผนที่แสดงเส้นทางและตำแหน่งการเดินเรือของ “เมอรส์กแคมป์ตัน” ไว้ด้วย . จดหมายของ BAN แจ้งอีกว่า ในขณะที่ทางด้านเรือแคนดอร์ก็ได้เงียบหายไปตลอดช่วงหกวันที่ผ่านมา หลังจากที่พบว่ามีการปิดระบบสัญญาณ AIS (Automatic Identification System) หรือสัญญาณการระบุตัวตนอัตโนมัติครั้งสุดท้ายที่นอกชายฝั่งแอฟริกาใต้ ซึ่งปรากฏการณ์ล่าสุดเหล่านี้ได้ “สร้างความกังวลอย่างยิ่งยวด” ให้เกิดขึ้นตามหลังจากการแถลงของบริษัท . ดังนั้น BAN จึงเรียกร้องให้บริษัท MAERSK ชี้แจงและอธิบายให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและสื่อที่เกี่ยวข้องทั้งหลายโดยทันที ว่าเหตุใดจึงมีการปรับเปลี่ยนแผนการเดินเรือ และแผนใหม่คืออะไร ตลอดจนชี้แจงถึงตําแหน่งและจุดหมายปลายทางของเรือทั้งสองลําด้วย โดยที่ MAERSK จะต้องรับรองว่าจะไม่ฝ่าฝืนต่อกฎเกณฑ์สากลของการเดินเรือขนส่งสินค้า รวมถึงระเบียบกติกาทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง . และที่สำคัญคือ ต้องรักษาไว้ซึ่งความมุ่งมั่นที่จะส่งคอนเทนเนอร์บรรจุของเสียอันตรายต้องสงสัยกลับไปยังประเทศต้นทาง ให้ถึงมือรัฐบาลแอลเบเนีย เพื่อที่จะจัดการส่งกลับไปยังประเทศต้นทางได้ต่อ ดูเรื่องที่เกี่ยวข้องได้ที่ - MAERSK ยอมส่งเรือกลับแอลเบเนีย!?! แต่ไม่ยอมรับว่ามีการขนส่งขยะอันตราย: https://shorturl.at/hivjM - "กรณีการขนย้ายฝุ่นแดงจากประเทศแอลเบเนีย ถือเป็นอาชญากรรมสิ่งแวดล้อมข้ามชาติ": https://shorturl.at/th5yX ที่มา : มูลนิธิบูรณะนิเวศ #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 407 มุมมอง 0 รีวิว
  • เอาล่ะ...ขอเริ่มเปิดตัวนิด ๆ
    ....
    ที่ lit nit เคยเล่าว่ากำลังซุ่มทำแบรนด์ของตัวเอง ตอนนี้ก็พอจะเริ่มเปิดเผยได้บ้างแล้วหลังจากลองผิดลองถูกมาได้หลายเดือน คิดทั้งแผนธุรกิจ ทดลองทำตามแผนแล้วกลับมาทบทวนบทเรียนที่เกิดขึ้น ทำให้ lit nit ได้รู้ว่า ผลิตภัณฑ์อะไรที่เหมาะกับแบรนด์นี้ (ขออุบชื่อแบรนด์ไว้ก่อน)
    ....
    ขยะพลาสติกที่นำกลับมาทำเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อการเกษตร เช่น ไม้ปักค้ำต้นไม้ กระถางต้นไม้ ถาดจัดสวน ฯลฯ เหล่านี้แหละที่แบรนด์นี้จะทำ ในรูปนี้เป็นเพียงตัวอย่างของถุงพลาสติก ฝาขวดน้ำ หลอดดูดนม ที่นำมาทำการหลอมเพื่อนำไปทำผลิตภัณฑ์ต่อไป (การหลอมไม่ใช่การเผาไหม้)
    ....
    lit nit วางแผนไว้ว่าจะร่วมกับโรงเรียนที่สนใจเรื่องนี้ เพื่อการฝึกให้นักเรียนสนใจในเรื่องรักษาสิ่งแวดล้อม โรงเรียนไหนสนใจก็แจ้งเข้ามาได้ เราจะได้วางแผนร่วมกันอย่างเหมาะสม^^
    #จะเปิดตัวแบรนด์เร็ว ๆ นี้แหละ^^
    เอาล่ะ...ขอเริ่มเปิดตัวนิด ๆ .... ที่ lit nit เคยเล่าว่ากำลังซุ่มทำแบรนด์ของตัวเอง ตอนนี้ก็พอจะเริ่มเปิดเผยได้บ้างแล้วหลังจากลองผิดลองถูกมาได้หลายเดือน คิดทั้งแผนธุรกิจ ทดลองทำตามแผนแล้วกลับมาทบทวนบทเรียนที่เกิดขึ้น ทำให้ lit nit ได้รู้ว่า ผลิตภัณฑ์อะไรที่เหมาะกับแบรนด์นี้ (ขออุบชื่อแบรนด์ไว้ก่อน) .... ขยะพลาสติกที่นำกลับมาทำเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อการเกษตร เช่น ไม้ปักค้ำต้นไม้ กระถางต้นไม้ ถาดจัดสวน ฯลฯ เหล่านี้แหละที่แบรนด์นี้จะทำ ในรูปนี้เป็นเพียงตัวอย่างของถุงพลาสติก ฝาขวดน้ำ หลอดดูดนม ที่นำมาทำการหลอมเพื่อนำไปทำผลิตภัณฑ์ต่อไป (การหลอมไม่ใช่การเผาไหม้) .... lit nit วางแผนไว้ว่าจะร่วมกับโรงเรียนที่สนใจเรื่องนี้ เพื่อการฝึกให้นักเรียนสนใจในเรื่องรักษาสิ่งแวดล้อม โรงเรียนไหนสนใจก็แจ้งเข้ามาได้ เราจะได้วางแผนร่วมกันอย่างเหมาะสม^^ #จะเปิดตัวแบรนด์เร็ว ๆ นี้แหละ^^
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 293 มุมมอง 0 รีวิว
  • สื่อขยะ ยอดขายตกเพราะผลิตแต่ข่าวชยะ แต่เลือกกำจัดคน มากกว่ากำจัดข่าวขยะ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    สื่อขยะ ยอดขายตกเพราะผลิตแต่ข่าวชยะ แต่เลือกกำจัดคน มากกว่ากำจัดข่าวขยะ #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    Haha
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 107 มุมมอง 0 รีวิว
  • อธิบดีกรมโรงงานสั่งเข้มติดตามร่วมกับกรมศุลกากรป้องกันขยะกากฝุ่นแดงพิษที่จะขนมาทางเรือจากแอลบาเนียมาทิ้งที่ไทยโดยไทยไม่อนุญาติ หลังจากปีที่แล้วไทยเคยทำหนังสือไม่ยินยอมให้เคลื่อนย้ายขยะกากพิษนี้มาไทย

    14 สิงหาคม 2567-อธิบดีกรมโรงงานฯ สั่งติดตามการขนย้ายฝุ่นแดง จากประเทศแอลบาเนีย อย่างใกล้ชิด

    นายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม มอบหมายกองบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม ดำเนินการร่วมกับหน่วยข่าวกรองและส่วนงานปราบปรามของกรมศุลกากร เพื่อเฝ้าระวังและยับยั้งการขนย้ายของเสียอันตรายแบบผิดกฎหมาย (illegal traffic) คาดว่าเป็น Electric Arc Furnace (EAF) dust หรือ ฝุ่นแดง จากอุตสาหกรรมถลุงเหล็ก จำนวน 816 ตัน (ประมาณ 100 ตู้คอนเทนเนอร์) จากประเทศแอลบาเนีย ซึ่งเป็นของเสียอันตรายตามอนุสัญญาบาเซล และเป็นของเสียเคมีวัตถุ ตาม พ.ร.บ. วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 อย่างใกล้ชิด

    สืบเนื่องจากกรมโรงงานฯ ในฐานะหน่วยงานผู้มีอำนาจ (Competent Authority : CA) ของประเทศไทย ภายใต้ “อนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและการกำจัด” ได้รับการประสานงานและแจ้งข่าวการขนส่งของเสียดังกล่าวจากองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรหรือ NGO ด้านสิ่งแวดล้อม 3 แห่ง ได้แก่ 1.เครือข่าย Basel Action Network (BAN) สหรัฐอเมริกา 2.องค์กร Friends of the Earth ประเทศแอฟริกาใต้ และ 3.มูลนิธิบูรณะนิเวศ หรือ EARTH ประเทศไทย เพื่อยับยั้งการเคลื่อนย้ายของเสียแบบผิดกฎหมายด้วยเรือขนส่งสินค้าจำนวน 2 ลำ ที่มีต้นทางจากประเทศแอลบาเนีย ปลายทางประเทศไทย โดย ประเทศไทย ไม่เคยได้รับการแจ้งขอความยินยอมการนำเข้าของเสียดังกล่าว รวมทั้งไม่เคยยินยอมหรืออนุญาตให้มีการนำเข้าของเสียดังกล่าวแต่อย่างใด จึงถือเป็นการเคลื่อนย้ายของของเสียอันตรายแบบผิดกฎหมายภายใต้อนุสัญญาบาเซล

    โดยเมื่อปี 2565 ประเทศไทยเคยมีหนังสือถึงรัฐบาลประเทศแอลบาเนียไม่ยินยอมให้นำเข้าของเสียดังกล่าวมายังราชอาณาจักรไทย

    ล่าสุดกรมโรงงานฯ ได้ประสานงานอย่างใกล้ชิด กับหน่วยงานผู้มีอำนาจ (CA) ของประเทศแอลบาเนีย (ประเทศต้นทาง) และหน่วยงาน National Environment Agency (CA ของประเทศสิงคโปร์) ซึ่งเป็นประเทศผู้นำผ่าน และคาดการณ์ว่า จะมีการถ่ายลำเรือของเสียดังกล่าว เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ จึงให้เฝ้าระวังบริเวณท่าเรือและยับยั้งการเคลื่อนย้ายของเสียดังกล่าว

    ทั้งนี้ กรมโรงงานฯ ได้ประสานงานกับกรมศุลกากร เพื่อติดตามตรวจสอบการนำ “ของเสียอันตรายที่ไม่ได้รับอนุญาต” เข้ามาในราชอาณาจักรไทยอย่างต่อเนื่อง

    ขณะที่มูลนิธิบูรณะนิเวศ (EARTH)เตือนภัยว่า““กรณีนี้ถือเป็นอาชญากรรมสิ่งแวดล้อมข้ามชาติ...เพราะว่าเป็นการขนส่ง/เคลื่อนย้ายกากของเสียอันตรายแบบเถื่อน ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายของประเทศที่เป็นเป้าหมายปลายทางอย่างประเทศไทยเองด้วย ดังนั้นการดำเนินการที่จะรับมือและจัดการจึงต้องระมัดระวังอย่างมาก เพราะคู่กรณีของเราในกรณีนี้คืออาชญากรระหว่างประเทศ” เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าวอธิบายถึงกรณีเรื่องการขนย้ายฝุ่นแดงจากประเทศแอลเบเนีย หรือชื่อทางการว่าสาธารณรัฐแอลเบเนีย (Albania) ภายหลังจากที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ได้ออกมาเปิดเผยว่า ขณะนี้ทาง กรอ. กำลังประสานงานกับกรมศุลกากร เพื่อติดตามตรวจสอบกรณีดังกล่าวอย่างใกล้ชิด
    .
    ทั้งนี้ มูลนิธิบูรณะนิเวศได้รับการประสานเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวจากเครือข่าย BAN หรือ Basel Action Network ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนในประเทศสหรัฐอเมริกาที่ทำงานตรวจสอบเกี่ยวกับการปฏิบัติตามอนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและการกำจัด หรือที่เรียกกันโดยย่อว่า “อนุสัญญาบาเซล” (Basel Convention) ตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา
    .
    ประเด็นสาระสำคัญที่ทางเครือข่าย BAN แจ้งมาในเบื้องต้นคือ ทราบว่าจะมีการขนส่งกากของเสียอันตรายที่ตามอนุสัญญาบาเซลและภาคแก้ไขของอนุสัญญาบาเซลถือเป็นของเสียอันตรายที่ห้ามเคลื่อนย้ายออกนอกประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิด มายังประเทศไทย โดยขนส่งมาทางเรือจำนวน 2 ลำ
    .
    ในช่วงที่ผ่านมา ทางมูลนิธิบูรณะนิเวศจึงได้พยายามหาทางสื่อสารและส่งผ่านข้อมูลให้กับหน่วยงานราชการที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้อง จากนั้นจึงมีกระบวนการประสานงานด้านข้อมูลในรายละเอียดกันทั้งภายในและภายนอกประเทศ กระทั่งทราบว่าเรือทั้งสองลำจะเข้าเทียบท่าที่ท่าเรือประเทศสิงคโปร์ ก่อนที่จะเข้าสู่ท่าเรือของประเทศไทย ซึ่งขณะนี้เรือใกล้จะถึงสิงคโปร์แล้ว
    .
    อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุที่กรณีนี้เป็นการดำเนินการที่ผิดกฎหมายอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่อาจต้องระมัดระวังในประเด็นการไหวตัวของคนร้าย ซึ่งคาดว่ามีลักษณะเป็นขบวนการใหญ่ และพวกเขาย่อมพยายามดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อหาช่องทางลอดหนีจากการสกัดกั้นและการจับกุมไปให้ได้ ดังที่พบว่า ก่อนหน้านี้ก็มีเรือ 1 ใน 2 ลำที่ขนส่งกากอันตรายกรณีนี้หายออกไปจากสารบบการติดตามระหว่างประเทศ

    ทั้งนี้คาดว่าเรือขนกากพิษฝุ่นแดงจากแอลบาเนียม800 ตันจะมาถึงท่าเรือแหลมฉบังในวันที่ 20 สิงหาคม 2567นี้

    #Thaitimes
    อธิบดีกรมโรงงานสั่งเข้มติดตามร่วมกับกรมศุลกากรป้องกันขยะกากฝุ่นแดงพิษที่จะขนมาทางเรือจากแอลบาเนียมาทิ้งที่ไทยโดยไทยไม่อนุญาติ หลังจากปีที่แล้วไทยเคยทำหนังสือไม่ยินยอมให้เคลื่อนย้ายขยะกากพิษนี้มาไทย 14 สิงหาคม 2567-อธิบดีกรมโรงงานฯ สั่งติดตามการขนย้ายฝุ่นแดง จากประเทศแอลบาเนีย อย่างใกล้ชิด นายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม มอบหมายกองบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม ดำเนินการร่วมกับหน่วยข่าวกรองและส่วนงานปราบปรามของกรมศุลกากร เพื่อเฝ้าระวังและยับยั้งการขนย้ายของเสียอันตรายแบบผิดกฎหมาย (illegal traffic) คาดว่าเป็น Electric Arc Furnace (EAF) dust หรือ ฝุ่นแดง จากอุตสาหกรรมถลุงเหล็ก จำนวน 816 ตัน (ประมาณ 100 ตู้คอนเทนเนอร์) จากประเทศแอลบาเนีย ซึ่งเป็นของเสียอันตรายตามอนุสัญญาบาเซล และเป็นของเสียเคมีวัตถุ ตาม พ.ร.บ. วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 อย่างใกล้ชิด สืบเนื่องจากกรมโรงงานฯ ในฐานะหน่วยงานผู้มีอำนาจ (Competent Authority : CA) ของประเทศไทย ภายใต้ “อนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและการกำจัด” ได้รับการประสานงานและแจ้งข่าวการขนส่งของเสียดังกล่าวจากองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรหรือ NGO ด้านสิ่งแวดล้อม 3 แห่ง ได้แก่ 1.เครือข่าย Basel Action Network (BAN) สหรัฐอเมริกา 2.องค์กร Friends of the Earth ประเทศแอฟริกาใต้ และ 3.มูลนิธิบูรณะนิเวศ หรือ EARTH ประเทศไทย เพื่อยับยั้งการเคลื่อนย้ายของเสียแบบผิดกฎหมายด้วยเรือขนส่งสินค้าจำนวน 2 ลำ ที่มีต้นทางจากประเทศแอลบาเนีย ปลายทางประเทศไทย โดย ประเทศไทย ไม่เคยได้รับการแจ้งขอความยินยอมการนำเข้าของเสียดังกล่าว รวมทั้งไม่เคยยินยอมหรืออนุญาตให้มีการนำเข้าของเสียดังกล่าวแต่อย่างใด จึงถือเป็นการเคลื่อนย้ายของของเสียอันตรายแบบผิดกฎหมายภายใต้อนุสัญญาบาเซล โดยเมื่อปี 2565 ประเทศไทยเคยมีหนังสือถึงรัฐบาลประเทศแอลบาเนียไม่ยินยอมให้นำเข้าของเสียดังกล่าวมายังราชอาณาจักรไทย ล่าสุดกรมโรงงานฯ ได้ประสานงานอย่างใกล้ชิด กับหน่วยงานผู้มีอำนาจ (CA) ของประเทศแอลบาเนีย (ประเทศต้นทาง) และหน่วยงาน National Environment Agency (CA ของประเทศสิงคโปร์) ซึ่งเป็นประเทศผู้นำผ่าน และคาดการณ์ว่า จะมีการถ่ายลำเรือของเสียดังกล่าว เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับ จึงให้เฝ้าระวังบริเวณท่าเรือและยับยั้งการเคลื่อนย้ายของเสียดังกล่าว ทั้งนี้ กรมโรงงานฯ ได้ประสานงานกับกรมศุลกากร เพื่อติดตามตรวจสอบการนำ “ของเสียอันตรายที่ไม่ได้รับอนุญาต” เข้ามาในราชอาณาจักรไทยอย่างต่อเนื่อง ขณะที่มูลนิธิบูรณะนิเวศ (EARTH)เตือนภัยว่า““กรณีนี้ถือเป็นอาชญากรรมสิ่งแวดล้อมข้ามชาติ...เพราะว่าเป็นการขนส่ง/เคลื่อนย้ายกากของเสียอันตรายแบบเถื่อน ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายของประเทศที่เป็นเป้าหมายปลายทางอย่างประเทศไทยเองด้วย ดังนั้นการดำเนินการที่จะรับมือและจัดการจึงต้องระมัดระวังอย่างมาก เพราะคู่กรณีของเราในกรณีนี้คืออาชญากรระหว่างประเทศ” เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าวอธิบายถึงกรณีเรื่องการขนย้ายฝุ่นแดงจากประเทศแอลเบเนีย หรือชื่อทางการว่าสาธารณรัฐแอลเบเนีย (Albania) ภายหลังจากที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ได้ออกมาเปิดเผยว่า ขณะนี้ทาง กรอ. กำลังประสานงานกับกรมศุลกากร เพื่อติดตามตรวจสอบกรณีดังกล่าวอย่างใกล้ชิด . ทั้งนี้ มูลนิธิบูรณะนิเวศได้รับการประสานเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวจากเครือข่าย BAN หรือ Basel Action Network ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนในประเทศสหรัฐอเมริกาที่ทำงานตรวจสอบเกี่ยวกับการปฏิบัติตามอนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและการกำจัด หรือที่เรียกกันโดยย่อว่า “อนุสัญญาบาเซล” (Basel Convention) ตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา . ประเด็นสาระสำคัญที่ทางเครือข่าย BAN แจ้งมาในเบื้องต้นคือ ทราบว่าจะมีการขนส่งกากของเสียอันตรายที่ตามอนุสัญญาบาเซลและภาคแก้ไขของอนุสัญญาบาเซลถือเป็นของเสียอันตรายที่ห้ามเคลื่อนย้ายออกนอกประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิด มายังประเทศไทย โดยขนส่งมาทางเรือจำนวน 2 ลำ . ในช่วงที่ผ่านมา ทางมูลนิธิบูรณะนิเวศจึงได้พยายามหาทางสื่อสารและส่งผ่านข้อมูลให้กับหน่วยงานราชการที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้อง จากนั้นจึงมีกระบวนการประสานงานด้านข้อมูลในรายละเอียดกันทั้งภายในและภายนอกประเทศ กระทั่งทราบว่าเรือทั้งสองลำจะเข้าเทียบท่าที่ท่าเรือประเทศสิงคโปร์ ก่อนที่จะเข้าสู่ท่าเรือของประเทศไทย ซึ่งขณะนี้เรือใกล้จะถึงสิงคโปร์แล้ว . อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุที่กรณีนี้เป็นการดำเนินการที่ผิดกฎหมายอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่อาจต้องระมัดระวังในประเด็นการไหวตัวของคนร้าย ซึ่งคาดว่ามีลักษณะเป็นขบวนการใหญ่ และพวกเขาย่อมพยายามดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อหาช่องทางลอดหนีจากการสกัดกั้นและการจับกุมไปให้ได้ ดังที่พบว่า ก่อนหน้านี้ก็มีเรือ 1 ใน 2 ลำที่ขนส่งกากอันตรายกรณีนี้หายออกไปจากสารบบการติดตามระหว่างประเทศ ทั้งนี้คาดว่าเรือขนกากพิษฝุ่นแดงจากแอลบาเนียม800 ตันจะมาถึงท่าเรือแหลมฉบังในวันที่ 20 สิงหาคม 2567นี้ #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 465 มุมมอง 0 รีวิว
  • Friendly Design – Sustainable Furniture

    เก้าอี้สุดล้ำ
    ทำจากกระดาษลัง กว่า 2000 ปอนด์ !

    ในยุคที่ใคร ๆ ก็ใช้การสั่งของออนไลน์ ทำให้เกิดขยะที่มาจากกล่องพัสดุเป็นจำนวนมากกก บางคนเลือกนำกลับไปใช้ใหม่หลาย ๆ ครั้ง แต่กับศิลปินอย่าง ‘Vadim Kibardin’ เลือกนำกระดาษลังเหล่านั้นมาทำเป็นเก้าอี้

    การทำเก้าอี้แต่ละตัวเขาจะคิดแบบเอง อย่างตัวที่เราเห็นจะมีการนำกระดาษลังมาซ้อนกันแล้วเล่นกับเลเยอร์ ให้ออกมามี Movement ทำให้ดูแฟชั่นและหรูหราขึ้น ที่สำคัญคือเขาทำมือเองทั้งหมด ! ซึ่งเขาใช้เวลาทำไปมากกว่า 5,110 ชั่วโมง ช่วยลดปริมาณการตัดไม้ไปได้มากกว่า 17 ต้น เริ่ดอ่ะ !

    ขอขอบคุณไอเดียดี ๆ จาก
    Klao Vee
    Brand : Vadim Kibardin
    Source: https://www.kibardinart.com/en/
    Friendly Design – Sustainable Furniture เก้าอี้สุดล้ำ ทำจากกระดาษลัง กว่า 2000 ปอนด์ ! ในยุคที่ใคร ๆ ก็ใช้การสั่งของออนไลน์ ทำให้เกิดขยะที่มาจากกล่องพัสดุเป็นจำนวนมากกก บางคนเลือกนำกลับไปใช้ใหม่หลาย ๆ ครั้ง แต่กับศิลปินอย่าง ‘Vadim Kibardin’ เลือกนำกระดาษลังเหล่านั้นมาทำเป็นเก้าอี้ การทำเก้าอี้แต่ละตัวเขาจะคิดแบบเอง อย่างตัวที่เราเห็นจะมีการนำกระดาษลังมาซ้อนกันแล้วเล่นกับเลเยอร์ ให้ออกมามี Movement ทำให้ดูแฟชั่นและหรูหราขึ้น ที่สำคัญคือเขาทำมือเองทั้งหมด ! ซึ่งเขาใช้เวลาทำไปมากกว่า 5,110 ชั่วโมง ช่วยลดปริมาณการตัดไม้ไปได้มากกว่า 17 ต้น เริ่ดอ่ะ ! ขอขอบคุณไอเดียดี ๆ จาก Klao Vee Brand : Vadim Kibardin Source: https://www.kibardinart.com/en/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 323 มุมมอง 0 รีวิว
  • Friendly Design – Sustainable Furniture

    เก้าอี้สุดล้ำ
    ทำจากกระดาษลัง กว่า 2000 ปอนด์ !

    ในยุคที่ใคร ๆ ก็ใช้การสั่งของออนไลน์ ทำให้เกิดขยะที่มาจากกล่องพัสดุเป็นจำนวนมากกก บางคนเลือกนำกลับไปใช้ใหม่หลาย ๆ ครั้ง แต่กับศิลปินอย่าง ‘Vadim Kibardin’ เลือกนำกระดาษลังเหล่านั้นมาทำเป็นเก้าอี้

    การทำเก้าอี้แต่ละตัวเขาจะคิดแบบเอง อย่างตัวที่เราเห็นจะมีการนำกระดาษลังมาซ้อนกันแล้วเล่นกับเลเยอร์ ให้ออกมามี Movement ทำให้ดูแฟชั่นและหรูหราขึ้น ที่สำคัญคือเขาทำมือเองทั้งหมด ! ซึ่งเขาใช้เวลาทำไปมากกว่า 5,110 ชั่วโมง ช่วยลดปริมาณการตัดไม้ไปได้มากกว่า 17 ต้น เริ่ดอ่ะ !

    ขอขอบคุณไอเดียดี ๆ จาก
    Klao Vee
    Brand : Vadim Kibardin
    Source: https://www.kibardinart.com/en/
    Friendly Design – Sustainable Furniture เก้าอี้สุดล้ำ ทำจากกระดาษลัง กว่า 2000 ปอนด์ ! ในยุคที่ใคร ๆ ก็ใช้การสั่งของออนไลน์ ทำให้เกิดขยะที่มาจากกล่องพัสดุเป็นจำนวนมากกก บางคนเลือกนำกลับไปใช้ใหม่หลาย ๆ ครั้ง แต่กับศิลปินอย่าง ‘Vadim Kibardin’ เลือกนำกระดาษลังเหล่านั้นมาทำเป็นเก้าอี้ การทำเก้าอี้แต่ละตัวเขาจะคิดแบบเอง อย่างตัวที่เราเห็นจะมีการนำกระดาษลังมาซ้อนกันแล้วเล่นกับเลเยอร์ ให้ออกมามี Movement ทำให้ดูแฟชั่นและหรูหราขึ้น ที่สำคัญคือเขาทำมือเองทั้งหมด ! ซึ่งเขาใช้เวลาทำไปมากกว่า 5,110 ชั่วโมง ช่วยลดปริมาณการตัดไม้ไปได้มากกว่า 17 ต้น เริ่ดอ่ะ ! ขอขอบคุณไอเดียดี ๆ จาก Klao Vee Brand : Vadim Kibardin Source: https://www.kibardinart.com/en/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 295 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผลการแข่งขันฟุตบอลในกีฬาโอลิมปิกที่ปารีส เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2567 ฝรั่งเศสเอาชนะสหรัฐอเมริกา 3-0 โดย อเล็กซานเดร ลากาแซ็ตต์ ยิงประตูจากระยะไกลใน นาที ที่ 61 ,มิชาเอล โอลิเซ่และ โลอิก บาเด้ ทำให้ฝรั่งเศสขึ้นเป็นจ่าฝูงของกลุ่มเอ นำหน้านิวซีแลนด์ที่เอาชนะกินีไป 2-1 โดยเบน เวน ยิงประตูขึ้นนำ และนิวซีแลนด์คว้าชัยชนะในนัดเปิดสนามกลุ่มเอเหนือกินีในเมืองนีซ

    ขณะที่เกมวันเปิดการแข่งขันฟุตบอลโอลิมปิกดุเดือด โมร็อกโกเอาชนะอาร์เจนตินาไป 2-1 โมร็อกโก 2, อาร์เจนตินา 1 แต่เกมต้องหยุดการแข่งขันไปประมาณ 2 ชั่วโมงเนื่องจากแฟนบอลบุกเข้าไปในสนามในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ โดย ราฮิมี่ยิงให้โมร็อกโกขึ้นนำในช่วงทดเวลาบาดเจ็บครึ่งแรก จากนั้นยิงจุดโทษเข้าประตูในนาทีที่ 49

    ส่วนกลุ่มซี สเปนชนะอุซเบกิสถาน 2-1 โดยเซร์คิโอ โกเมซ ยิงประตูชัยให้สเปนเอาชนะอุซเบกิสถาน ในเกมนัดเปิดสนามกลุ่มซี ที่ปาร์กเดส์แพร็งซ์ในปารีส

    ส่วน อียิปต์และสาธารณรัฐโดมินิกันเสมอกันแบบไร้สกอร์ในกลุ่ม C ที่เมืองน็องต์ อียิปต์เข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิก 13 ครั้ง ซึ่งมากที่สุด แต่ไม่เคยจบการแข่งขันได้สูงกว่าอันดับสี่ ทีมอียิปต์นี้ผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศในโอลิมปิกที่โตเกียว

    อย่างไรก็ตามวันแรกของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่ปารีส การแข่งขันฟุตบอลระหว่างอาร์เจนตินาและโมร็อกโกต้องถูกเลื่อนออกไป เนื่องจากเหตุการณ์ แฟนบอลโมร็อกโกไม่พอใจ ต่างวิ่งเข้าไปในสนาม ขณะที่บางคนขว้างขยะใส่ ทำให้เกมต้องหยุดชะงักลงอย่างเป็นทางการ สนามมาร์โรนีส์ และเกิดเหตุการณ์ กระเป๋าสตางค์ แหวน และนาฬิกาของนักกีฬาถูกขโมย รถของทีมจักรยานออสเตรเลียถูกทำลาย และข้าวของส่วนตัวของนักกีฬาถูกขโมยไป

    https://www.lemonde.fr/en/sports/article/2024/07/25/paris-2024-olympic-men-s-football-matchday-1-roundup_6697507_9.html
    ผลการแข่งขันฟุตบอลในกีฬาโอลิมปิกที่ปารีส เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2567 ฝรั่งเศสเอาชนะสหรัฐอเมริกา 3-0 โดย อเล็กซานเดร ลากาแซ็ตต์ ยิงประตูจากระยะไกลใน นาที ที่ 61 ,มิชาเอล โอลิเซ่และ โลอิก บาเด้ ทำให้ฝรั่งเศสขึ้นเป็นจ่าฝูงของกลุ่มเอ นำหน้านิวซีแลนด์ที่เอาชนะกินีไป 2-1 โดยเบน เวน ยิงประตูขึ้นนำ และนิวซีแลนด์คว้าชัยชนะในนัดเปิดสนามกลุ่มเอเหนือกินีในเมืองนีซ ขณะที่เกมวันเปิดการแข่งขันฟุตบอลโอลิมปิกดุเดือด โมร็อกโกเอาชนะอาร์เจนตินาไป 2-1 โมร็อกโก 2, อาร์เจนตินา 1 แต่เกมต้องหยุดการแข่งขันไปประมาณ 2 ชั่วโมงเนื่องจากแฟนบอลบุกเข้าไปในสนามในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ โดย ราฮิมี่ยิงให้โมร็อกโกขึ้นนำในช่วงทดเวลาบาดเจ็บครึ่งแรก จากนั้นยิงจุดโทษเข้าประตูในนาทีที่ 49 ส่วนกลุ่มซี สเปนชนะอุซเบกิสถาน 2-1 โดยเซร์คิโอ โกเมซ ยิงประตูชัยให้สเปนเอาชนะอุซเบกิสถาน ในเกมนัดเปิดสนามกลุ่มซี ที่ปาร์กเดส์แพร็งซ์ในปารีส ส่วน อียิปต์และสาธารณรัฐโดมินิกันเสมอกันแบบไร้สกอร์ในกลุ่ม C ที่เมืองน็องต์ อียิปต์เข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิก 13 ครั้ง ซึ่งมากที่สุด แต่ไม่เคยจบการแข่งขันได้สูงกว่าอันดับสี่ ทีมอียิปต์นี้ผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศในโอลิมปิกที่โตเกียว อย่างไรก็ตามวันแรกของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่ปารีส การแข่งขันฟุตบอลระหว่างอาร์เจนตินาและโมร็อกโกต้องถูกเลื่อนออกไป เนื่องจากเหตุการณ์ แฟนบอลโมร็อกโกไม่พอใจ ต่างวิ่งเข้าไปในสนาม ขณะที่บางคนขว้างขยะใส่ ทำให้เกมต้องหยุดชะงักลงอย่างเป็นทางการ สนามมาร์โรนีส์ และเกิดเหตุการณ์ กระเป๋าสตางค์ แหวน และนาฬิกาของนักกีฬาถูกขโมย รถของทีมจักรยานออสเตรเลียถูกทำลาย และข้าวของส่วนตัวของนักกีฬาถูกขโมยไป https://www.lemonde.fr/en/sports/article/2024/07/25/paris-2024-olympic-men-s-football-matchday-1-roundup_6697507_9.html
    WWW.LEMONDE.FR
    Paris 2024: Olympic men's football matchday 1 roundup
    Japan were the big winners on the opening night of men's football at the Olympic Games, as they dished out a battering to 10-man Paraguay. France beat the US 3-0, and Morocco got a win against Argentina in a wild start to Olympic soccer.
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 414 มุมมอง 0 รีวิว
  • เอลลดปริมาณน้ำในฉนวนกาซาลง 94 เปอร์เซ็นต์ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนและการระบาดของโรคร้าย
    รายงานฉบับใหม่ของ Oxfam ระบุว่าเอลลดปริมาณน้ำที่มีอยู่ในกาซาลงร้อยละ 94 "ก่อให้เกิดหายนะด้านสุขภาพที่ร้ายแรง"
    “การตัดแหล่งน้ำภายนอกของเอล การทำลายสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการจัดการน้ำ และการขัดขวางความช่วยเหลือโดยเจตนา ทำให้ปริมาณน้ำที่มีอยู่ในฉนวนกาซาลดลงร้อยละ 94 เหลือ 4.74 ลิตร ต่อวันต่อคน ซึ่งต่ำกว่าปริมาณขั้นต่ำที่แนะนำในกรณีฉุกเฉินเพียงหนึ่งในสาม และน้อยกว่าการกดชักโครกเพียงครั้งเดียว”
    สัปดาห์นี้ ทางการเมืองเดียร์เอลบาลาห์คาดการณ์ว่า “ถนนต่างๆ จะเต็มไปด้วยน้ำเสีย” และ “โรคภัยจะแพร่กระจาย” เนื่องจากทางการได้ปิดเครื่องสูบน้ำเสียและสถานีบำบัดน้ำเสียหลังจากน้ำมันหมด
    แพทย์ระบุว่าโรคเรื้อน ผื่นผิวหนัง และเหากำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว หน่วยงานของสหประชาชาติได้เตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าโรคอหิวาตกโรคและโรคร้ายแรงอื่นๆ อาจกลายเป็นโรคระบาด
    “พวกเราไม่สามารถนอนหลับได้ในเวลากลางคืนเพราะกลิ่นน้ำเสีย ลูกๆ ของฉันไม่สามารถนอนหลับได้เพราะพวกเขามักจะป่วยด้วยสิ่งที่แพร่กระจายมาจากขยะอยู่เสมอ”
    มูฮัมหมัด อัล-คาห์โลต จากสภากาชาดปาเลสกล่าวเสริมว่า “พวกเรากำลังหายใจไม่ออกเพราะกลิ่นขยะ ควัน และความร้อน”
    .
    #WAYTNEWS #WayTNews #waytnews
    #ข่าวสารอัพเดท #ติดตามข่าว #สถานการณ์ปัจจุบัน #ข่าวสารความจริง
    -------------------------------
    สนใจโปรไวต้า คลิก▶ https://www.facebook.com/TPIPolene?locale=t
    เอลลดปริมาณน้ำในฉนวนกาซาลง 94 เปอร์เซ็นต์ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนและการระบาดของโรคร้าย รายงานฉบับใหม่ของ Oxfam ระบุว่าเอลลดปริมาณน้ำที่มีอยู่ในกาซาลงร้อยละ 94 "ก่อให้เกิดหายนะด้านสุขภาพที่ร้ายแรง" “การตัดแหล่งน้ำภายนอกของเอล การทำลายสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการจัดการน้ำ และการขัดขวางความช่วยเหลือโดยเจตนา ทำให้ปริมาณน้ำที่มีอยู่ในฉนวนกาซาลดลงร้อยละ 94 เหลือ 4.74 ลิตร ต่อวันต่อคน ซึ่งต่ำกว่าปริมาณขั้นต่ำที่แนะนำในกรณีฉุกเฉินเพียงหนึ่งในสาม และน้อยกว่าการกดชักโครกเพียงครั้งเดียว” สัปดาห์นี้ ทางการเมืองเดียร์เอลบาลาห์คาดการณ์ว่า “ถนนต่างๆ จะเต็มไปด้วยน้ำเสีย” และ “โรคภัยจะแพร่กระจาย” เนื่องจากทางการได้ปิดเครื่องสูบน้ำเสียและสถานีบำบัดน้ำเสียหลังจากน้ำมันหมด แพทย์ระบุว่าโรคเรื้อน ผื่นผิวหนัง และเหากำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว หน่วยงานของสหประชาชาติได้เตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าโรคอหิวาตกโรคและโรคร้ายแรงอื่นๆ อาจกลายเป็นโรคระบาด “พวกเราไม่สามารถนอนหลับได้ในเวลากลางคืนเพราะกลิ่นน้ำเสีย ลูกๆ ของฉันไม่สามารถนอนหลับได้เพราะพวกเขามักจะป่วยด้วยสิ่งที่แพร่กระจายมาจากขยะอยู่เสมอ” มูฮัมหมัด อัล-คาห์โลต จากสภากาชาดปาเลสกล่าวเสริมว่า “พวกเรากำลังหายใจไม่ออกเพราะกลิ่นขยะ ควัน และความร้อน” . #WAYTNEWS #WayTNews #waytnews #ข่าวสารอัพเดท #ติดตามข่าว #สถานการณ์ปัจจุบัน #ข่าวสารความจริง ------------------------------- สนใจโปรไวต้า คลิก▶ https://www.facebook.com/TPIPolene?locale=t
    Sad
    Like
    Angry
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 442 มุมมอง 0 รีวิว
  • กลุ่มบรรเทาทุกข์เผย 'ชาวกาซาไม่อาจทนต่อความยากลำบากเหล่านี้ได้อีกต่อไป'
    รายงานของสหประชาชาติฉบับใหม่ได้เปิดเผยขอบเขตของการบังคับวิกฤตความหิวโหยที่เกิดขึ้นโดยเอลในสถานการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าชาวปาเลสประมาณ 495,000 คนกำลังประสบปัญหาการขาดแคลนอาหารเข้าขั้นหายนะแล้ว
    จากรายงานดังกล่าว เมอร์ซี คอร์ป ซึ่งมีฐานอยู่ในสหรัฐฯ กล่าวว่าสถานการณ์ในกาซา “ยังคงย่ำแย่” โดยเฉพาะทางตอนเหนือของกาซา และในเมืองราฟาห์ทางตอนใต้
    กลุ่มบรรเทาทุกข์ระบุในแถลงการณ์ว่า "ชาวกาซาที่สิ้นหวังกำลังนำเสื้อผ้าไปแลกกับเงิน และประชากรหนึ่งในสามต้องหันไปเก็บขยะเพื่อขาย"
    Kate Phillips-Barrasso รองประธานฝ่ายนโยบายระดับโลกและการสนับสนุนของ Mercy Corps กล่าวว่า “โลกกำลังเฝ้าดูวิกฤตด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซาที่เลวร้ายลงเป็นเวลาเก้าเดือนแล้ว” และเสริมว่า “การบุกโจมตีที่ราฟาห์ของเอลทำให้การตอบสนองต่อความช่วยเหลือหยุดชะงัก ส่งผลให้องค์กรด้านมนุษยธรรมไม่สามารถบรรเทาทุกข์ของผู้คน 2.15 ล้านคนที่ประสบปัญหาขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรงได้”
    ฟิลลิปส์-บาร์ราสโซเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศใช้ “แรงกดดันอย่างไม่ลดละ” เพื่อหยุดการโจมตี
    “ประชาชนไม่สามารถทนต่อความยากลำบากเหล่านี้ได้อีกต่อไป จำนวนปฏิบัติการทางทหารมีมากและรุนแรงเกินไป และเราเกรงว่าหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากต่อการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ยอดผู้เสียชีวิตจะเพิ่มสูงขึ้นอีกมาก
    .
    #WAYTNEWS #WayTNews #waytnews
    #ข่าวสารอัพเดท #ติดตามข่าว #สถานการณ์ปัจจุบัน #ข่าวสารความจริง
    -------------------------------
    สนใจโปรไวต้า คลิก▶ https://www.facebook.com/TPIPolene?locale=t
    กลุ่มบรรเทาทุกข์เผย 'ชาวกาซาไม่อาจทนต่อความยากลำบากเหล่านี้ได้อีกต่อไป' รายงานของสหประชาชาติฉบับใหม่ได้เปิดเผยขอบเขตของการบังคับวิกฤตความหิวโหยที่เกิดขึ้นโดยเอลในสถานการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าชาวปาเลสประมาณ 495,000 คนกำลังประสบปัญหาการขาดแคลนอาหารเข้าขั้นหายนะแล้ว จากรายงานดังกล่าว เมอร์ซี คอร์ป ซึ่งมีฐานอยู่ในสหรัฐฯ กล่าวว่าสถานการณ์ในกาซา “ยังคงย่ำแย่” โดยเฉพาะทางตอนเหนือของกาซา และในเมืองราฟาห์ทางตอนใต้ กลุ่มบรรเทาทุกข์ระบุในแถลงการณ์ว่า "ชาวกาซาที่สิ้นหวังกำลังนำเสื้อผ้าไปแลกกับเงิน และประชากรหนึ่งในสามต้องหันไปเก็บขยะเพื่อขาย" Kate Phillips-Barrasso รองประธานฝ่ายนโยบายระดับโลกและการสนับสนุนของ Mercy Corps กล่าวว่า “โลกกำลังเฝ้าดูวิกฤตด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซาที่เลวร้ายลงเป็นเวลาเก้าเดือนแล้ว” และเสริมว่า “การบุกโจมตีที่ราฟาห์ของเอลทำให้การตอบสนองต่อความช่วยเหลือหยุดชะงัก ส่งผลให้องค์กรด้านมนุษยธรรมไม่สามารถบรรเทาทุกข์ของผู้คน 2.15 ล้านคนที่ประสบปัญหาขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรงได้” ฟิลลิปส์-บาร์ราสโซเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศใช้ “แรงกดดันอย่างไม่ลดละ” เพื่อหยุดการโจมตี “ประชาชนไม่สามารถทนต่อความยากลำบากเหล่านี้ได้อีกต่อไป จำนวนปฏิบัติการทางทหารมีมากและรุนแรงเกินไป และเราเกรงว่าหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากต่อการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ยอดผู้เสียชีวิตจะเพิ่มสูงขึ้นอีกมาก . #WAYTNEWS #WayTNews #waytnews #ข่าวสารอัพเดท #ติดตามข่าว #สถานการณ์ปัจจุบัน #ข่าวสารความจริง ------------------------------- สนใจโปรไวต้า คลิก▶ https://www.facebook.com/TPIPolene?locale=t
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 264 มุมมอง 0 รีวิว
  • ระบายน้ำรอรับน้ำฝนสิ่งที่ปนมาด้วยคือขยะเต็มเจ้าพระยา​ตรงหน้ารัฐสภา​
    ระบายน้ำรอรับน้ำฝนสิ่งที่ปนมาด้วยคือขยะเต็มเจ้าพระยา​ตรงหน้ารัฐสภา​
    Like
    Yay
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 303 มุมมอง 0 รีวิว