• Credit: @พระมหาอุเทน ปัญญาปริทัตต์
    คนมีมลทินราคีติดหนี้ล้มละลายอย่าหมายบรรพชา
    มาบวชอุปสมบทเป็นพระภิกษุในบวรพุทธศาสนา
    คนมั่วธรรม มนุษย์บางพวก (กเฬวราก จำนวนมาก)
    ยังนิยมชื่นชมเอาไว้ ก็หมายถึงว่า “รอด” อยู่ในช่วงหนึ่ง
    แต่เทวดาสัมมาทิฐิไม่นิยมเอาไว้ก็หมายถึงว่า “จอด” ทันที
    ทองเทียม แม้ไม่ถูกไฟลน นานไปมันก็กลายเป็นตะกั่ว
    เพราะความชั่วมันชอบโชว์เปิดเผยตัวของมันเสียเอง

    ก่อนข้าพเจ้าจะเขียนอธิบายขยายความที่จั่วหัวข้อแรกไว้ ปรารถนาให้ท่านสาธุชนทั้งหลายได้อ่านความอัศจรรย์ของพระพุทธศาสนาเปรียบเป็นมหาสมุทรข้อที่ ๓ สักหน่อย ดังนี้ : -

    “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนมหาสมุทรไม่ร่วมกับซากศพที่ตายแล้ว ซากศพที่ตายแล้วใดมีอยู่ในมหาสมุทร มหาสมุทรย่อมนำซากศพที่ตาย แล้วนั้นไปสู่ฝั่ง ซัดขึ้นบกโดยพลัน
    บุคคลนั้นใดเป็นผู้ทุศีล มีธรรมหยาบช้าลามก (ชอบออกกูออกมึง กูๆ มึงๆ) มีความประพฤติไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปิดบังการกระทำ มิใช่สมณะปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่พรหมจารีปฏิญาณว่าเป็นพรหมจารี เน่าภายในโชกชุ่มด้วยกิเลส ผู้เศร้าหมองก็เหมือนกัน สงฆ์ย่อมไม่ร่วมกับบุคคลนั้น ย่อมประชุมกันยกเธอเสียโดยพลัน
    ถึงแม้เธอนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงอย่างนั้น เธอชื่อว่าไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ไกลจากเธอ ข้อที่บุคคลนั้นใดเป็นผู้ทุศีล มีธรรมหยาบช้าลามก (ชอบออกกูออกมึง กูๆ มึงๆ) มีความประพฤติไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปิดบังการกระทำ มิใช่สมณะ ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่พรหมจารีปฏิญาณ ว่าเป็นพรหมจารี เน่าภายใน โชกชุ่มด้วยกิเลส ผู้เศร้าหมอง สงฆ์ย่อมไม่ร่วมกับบุคคลนั้น ย่อมประชุมกันยกเธอเสียโดยพลัน ถึงแม้เธอนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงอย่างนั้น เธอชื่อว่าไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ไกลจากเธอ
    แม้นี้ก็เป็นความอัศจรรย์ไม่เคยมีในธรรมวินัยนี้ เป็นข้อที่ ๓ ที่ภิกษุทั้งหลายพบเห็นแล้วพากันชื่นชมในธรรมวินัยนี้ ฯ”
    วิ.จุ. ๒/๑๘๔/๔๕๙-๔๖๑

    คนมีมลทินราคีติดหนี้ล้มละลายในข้อกฎหมายคดีความทางโลกก็มีนัย (อ่านว่า “นัย (ะ) ไม่ควรเขียนเป็น “นัยยะ” คำนี้จะแปลว่า “ผู้ที่แนะนำพร่ำสอนได้คือ เนยยบุคคล”) อันเดียวกันกับกฎหมายพระวินัยบัญญัติคดีความทางธรรม ถูกต้องทุกประการด้วย

    ข้าพเจ้าขอพิมพ์ข้อความที่ปรากฏในราชกิจจานุเบกษา ประกาศอย่างเป็นทางการให้สาธารณชนทราบโดยทั่วกัน เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันในข้อเท็จจริงนี้

    ประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
    เรื่อง คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด
    คดีหมายเลขแดงที่.... กองบังคับคดีล้มละลาย ๑
    กรมบังคับคดี
    กระทรวงยุติธรรม

    ด้วย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โจทก์ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลล้มละลายกลางขอให้จำเลยล้มละลาย และศาลได้มีคำสั่งลงวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ให้พิทักษ์ทรัพย์ของนาย....จำเลย เด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๕๘๓ แล้ว

    จำเลย เลขประจำตัวประชาชน........มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่.....

    ดังนั้น นับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่ง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียว มีอำนาจจัดการเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้ ตามมาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ และบุคคลผู้เป็นหนี้ลูกหนี้หรือมีทรัพย์สินของลูกหนี้อยู่ในครอบครอง มีหน้าที่ต้องแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับหนี้หรือทรัพย์สินของลูกหนี้ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบ ภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้ทราบคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ตามมาตรา ๒๔/๑ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ ซึ่งผู้ใดมีหน้าที่ตามมาตรา ๒๔/๑ แล้วไม่ปฏิบัติตาม มีความผิดต้องระวังโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท ตามมาตรา ๑๗๓/๑ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓

    อนึ่ง เจ้าหนี้ซึ่งจะขอรับชำระหนี้ในคดีนี้....และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้กำหนดวันลงโฆษณาในราชกิจจานุเบกษา ในวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๔

    ประกาศ ณ วันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๔
    เบญจา สุภานนท์
    เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์

    ประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
    เรื่อง คำพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย

    คดีหมายเลขแดงที่.... กองบังคับคดีล้มละลาย ๑
    ศาลล้มละลายกลาง กรมบังคับคดี
    กระทรวงยุติธรรม

    ด้วยคดีเรื่องนี้ ศาลล้มละลายกลางได้พิพากษาให้นาย....ลูกหนี้เป็นบุคคลล้มละลายแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๕
    ผู้ล้มละลาย เลขประจำตัวประชาชน....มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่....

    ประกาศ ณ วันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๕
    อุโรวษา เพชรวารี
    เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์

    จากข้อความที่ทางการประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษาว่า

    “บุคคลผู้เป็นหนี้ลูกหนี้หรือมีทรัพย์สินของลูกหนี้อยู่ในครอบครอง มีหน้าที่ต้องแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับหนี้หรือทรัพย์สินของลูกหนี้ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบ....ซึ่งผู้ใดมีหน้าที่ตามมาตรา ๒๔/๑ แล้วไม่ปฏิบัติตาม มีความผิดต้องระวังโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท...”

    คำเตือนที่ข้าพเจ้าเขียนบอกไว้ในบทความหนึ่งว่า
    “ระวังไว้ด้วยนะครับ จะพลอยฟ้าพลอยฝนโดนหางเลขกับเขาไปด้วย”
    และในเวลาต่อมาไม่นาน ข้าพเจ้าก็เขียนโพสต์ไว้ในหน้าวอลล์ว่า
    “ไม่มาเข้าคอร์สก็น่าจะได้ไปเข้าคุก”
    ส่อเค้าว่าจะเป็นจริง เห็นแสงรำไรๆ อยู่ในคุกที่จองจำนั้นเสียแล้ว

    เมื่อเย็นวานนี้ทนายความท่านหนึ่งได้โทรมาคุยสนทนากับข้าพเจ้าในเรื่องนี้ พร้อมกับส่งหลักฐานในราชกิจจานุเบกษามาให้ และเมื่อเช้าของวันนี้ในเวลา 10:00 น. ทนายความอีกท่านหนึ่งก็โทรมาคุยกับข้าพเจ้า และยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ไว้ตรงกับทนายความท่านแรก ทนายความสองท่านนี้ได้ตรวจสอบฐานข้อมูลมาเป็นอย่างดีแล้ว
    ข้าพเจ้าแสดงหลักฐานคดีความทางโลกให้เห็นปรากฏชัดเรียบร้อยแล้ว ก็จะเขียนเข้าสู่คดีความทางธรรม กฎหมายทางธรรม พระวินัยบัญญัติ ว่า มีข้อกำหนดอย่างไรกับผู้ติดคดีทางโลกมีหนี้สินท่วมหัว จนกระทั่งทางการต้องประกาศให้เป็นผู้ล้มละลาย ต่อจากนี้เขาก็ไม่สามารถทำธุรกิจ ธุรกรรม (เปิดรับบริจาค) ได้อีกแล้ว คนที่ไปบริจาคทรัพย์ให้แก่นายผู้ล้มละลายคนนี้ก็ดี คนที่ไปรับทรัพย์จากนายผู้ล้มละลายคนนี้ก็ดี ก็จะตกอยู่ในข่ายความผิดต้องโทษลักษณะเดียวกันไปโดยปริยาย
    กล่าวคือมีคติเป็น ๒ ไม่ถูกปรับก็ถูกจำ หรือทั้งปรับทั้งจำ

    พระวินัยบัญญัติกำหนดให้กุลบุตรผู้เป็นอุปสัมปทาเปกขะ (ต้องการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ) หากต้องโทษข้อใดข้อหนึ่ง ใน ๑๓ ข้อเหล่านี้ มิให้มาอยู่ในเพศของพระภิกษุในร่มเงาของพระพุทธศาสนา
    ถ้าหากว่าแอบเข้ามาบรรพชาอุปสมบททรงเพศเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ทราบในภายหลัง สงฆ์ก็ต้องสั่งให้สิกขาลาพรต ว่า “สิกฺขํ ปจฺจกฺขาหิ เธอจงบอกคืนสิกขาบทเสียเถิด”
    กรณีตัวอย่างคือ นาคจำแลงแปลงกายเป็นมาณพมาขอบวชเป็นพระภิกษุกับพระสงฆ์กลุ่มหนึ่งอยู่ในป่า พอคืนร่างเป็นนาคตามเดิม ความทราบไปถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ก็รับสั่งให้ภิกษุผู้เป็นนาคจำแลงแปลงกายนั้นบอกคืนสิกขาบท คือให้ลาสิกขาทันที

    ในทุกกรณีของผู้ที่ต้องอันตรายิกธรรมข้อใดข้อหนึ่ง เช่น ทราบในภายหลังว่าเป็นบัณเฑาะก์ คือ ไม่ใช่บุรุษเพศชาย (ผู้ชายเต็มตัว) ก็สั่งให้ลาสิกขาเช่นเดียวกัน ให้อยู่ในเพศของพระภิกษุในพระพุทธศาสนานี้ไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นบุคคลอันตราย จะสร้างความเสียหายให้แก่พระพุทธศาสนาแก่พระสงฆ์องค์สามเณร (ข้าพเจ้าเขียนอธิบายในโพสต์ก่อนแล้ว ร่างเป็นผู้ชายแต่ใจเป็นผู้หญิงก็จะกวนพระกวนเณรไม่ให้อยู่เป็นสุข)

    ถ้าผู้นั้นเป็นบัณเฑาะก์และรู้ว่าตนก็เป็นบัณเฑาะก์แท้ๆ แต่ปกปิดความเป็นบัณเฑาะก์ทรงเพศของพระภิกษุผู้ประพฤติพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนานี้ไว้ ถือว่าอยู่ในฐานะผู้หลอกลวง ลักขโมยเคี้ยวกลืนกินบิณฑะก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้น ท่านเรียกเป็นภาษาพระวินัยว่า “ลักเพศ” คือ ลักขโมยเพศของพระภิกษุ ลักขโมยอุดมเพศที่ครองผ้ากาสาวพัสตร์ธงชัยของพระอรหันต์

    เขาจะสั่งสมบาปอกุศลเอาไว้อยู่เรื่อยๆ สุดท้ายเห็นได้ชัดใช่ไหมว่า บัณเฑาะก์ผู้นั้นที่ลักขโมยเพศพระภิกษุแอบอาศัยอยู่ในร่มเงาของพระพุทธศาสนานี้มาเป็นเวลายาวนาน ก็แพ้ภัยตัวเอง กระเด็นออกไปจากพระพุทธศาสนา เปรียบเหมือนกเฬวราก ซากศพเน่า ต้องถูกคลื่นของมหาสมุทรซัดออกมาเกยตื้นติดอยู่กับฝั่งทะเล ฉะนั้น

    อันตรายิกธรรมเหล่านี้ คือ
    “โรคเรื้อน ฝี โรคกลาก โรคมองคร่อ ลมบ้าหมู เจ้าเป็นมนุษย์หรือ เป็นชายหรือ เป็นไทหรือ ไม่มีหนี้สินหรือ มิใช่ราชภัฏหรือ มารดาบิดาอนุญาตแล้วหรือ มีปีครบ ๒๐ แล้วหรือ บาตรจีวรของเจ้ามีครบแล้วหรือ เจ้าชื่ออะไร อุปัชฌาย์ของเจ้าชื่ออะไร”
    วิ.ม. ๑/๑๕๔/๑๔๒

    ปรากฏอยู่ในอุปสัมปทาวิธีว่า

    พระคู่สวดถาม สามเณรตอบ
    กุฏฐัง นัตถิ ภันเต
    คัณโฑ นัตถิ ภันเต
    กิลาโส นัตถิ ภันเต
    โสโส นัตถิ ภันเต
    อะปะมาโร นัตถิ ภันเต
    มะนุสโสสิ๊ อามะ ภันเต
    ปุริโสสิ๊ อามะ ภันเต
    ภุชิสโสสิ๊ อามะ ภันเต
    อะนะโณสิ๊ อามะ ภันเต
    นะสิ๊ราชะภะโฏ อามะ ภันเต
    อะนุญญาโตสิ๊ มาตาปิตูหิ อามะ ภันเต
    ปะริปุณณะวีสะติวัสโสสิ๊ อามะ ภันเต
    ปะริปุณณันเต ปัตตะจีวะรัง อามะ ภันเต
    กินนาโมสิ อะหัง ภันเต...(๑)....นามะ
    โก นามะ เต อุปัชฌาโย อุปัชฌาโย เมภันเต อายัสมา.... (๒).นามะ

    (๑) บอกฉายาของตนเอง
    (๒) บอกฉายาของพระอุปัชฌาย์

    ในคำตอบของสามเณร (นาค) หากผิดไปจาก อามะ ภันเต จาก นัตถิ ภันเต แม้ข้อเดียว เช่น “ปุริโสสิ๊ เจ้าเป็นบุรุษเพศชายจริงหรือเปล่า” นาคตอบว่า “นัตถิ ภันเต ไม่ใช่ครับ” “อะนะโณสิ๊ เธอไม่มีหนี้สินใช่ไหม” นาคตอบว่า “นัตถิ ภันเต ไม่ใช่ครับ” พระคู่สวดอาจจะต้องถามย้ำอีกสัก ๒ - ๓ ครั้ง นาคก็ยังตอบอยู่ในคำเดิม คือ นัตถิ ภันเต อุปสัมปทาวิธีก็ต้องล้มไป ยุติพิธีอุปสมบท ทันที อาจถึงกับขับไล่ผู้ต้องอันตรายิกธรรมข้อใดข้อหนึ่งนี้ออกจากสีมา (เขตแดน) ของพระอุโบสถหลังนั้นไปเลย
    “อย่าแหลมหน้ามาขอบวชอีกเชียวนะ”.
    Credit: @พระมหาอุเทน ปัญญาปริทัตต์ คนมีมลทินราคีติดหนี้ล้มละลายอย่าหมายบรรพชา มาบวชอุปสมบทเป็นพระภิกษุในบวรพุทธศาสนา คนมั่วธรรม มนุษย์บางพวก (กเฬวราก จำนวนมาก) ยังนิยมชื่นชมเอาไว้ ก็หมายถึงว่า “รอด” อยู่ในช่วงหนึ่ง แต่เทวดาสัมมาทิฐิไม่นิยมเอาไว้ก็หมายถึงว่า “จอด” ทันที ทองเทียม แม้ไม่ถูกไฟลน นานไปมันก็กลายเป็นตะกั่ว เพราะความชั่วมันชอบโชว์เปิดเผยตัวของมันเสียเอง ก่อนข้าพเจ้าจะเขียนอธิบายขยายความที่จั่วหัวข้อแรกไว้ ปรารถนาให้ท่านสาธุชนทั้งหลายได้อ่านความอัศจรรย์ของพระพุทธศาสนาเปรียบเป็นมหาสมุทรข้อที่ ๓ สักหน่อย ดังนี้ : - “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนมหาสมุทรไม่ร่วมกับซากศพที่ตายแล้ว ซากศพที่ตายแล้วใดมีอยู่ในมหาสมุทร มหาสมุทรย่อมนำซากศพที่ตาย แล้วนั้นไปสู่ฝั่ง ซัดขึ้นบกโดยพลัน บุคคลนั้นใดเป็นผู้ทุศีล มีธรรมหยาบช้าลามก (ชอบออกกูออกมึง กูๆ มึงๆ) มีความประพฤติไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปิดบังการกระทำ มิใช่สมณะปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่พรหมจารีปฏิญาณว่าเป็นพรหมจารี เน่าภายในโชกชุ่มด้วยกิเลส ผู้เศร้าหมองก็เหมือนกัน สงฆ์ย่อมไม่ร่วมกับบุคคลนั้น ย่อมประชุมกันยกเธอเสียโดยพลัน ถึงแม้เธอนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงอย่างนั้น เธอชื่อว่าไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ไกลจากเธอ ข้อที่บุคคลนั้นใดเป็นผู้ทุศีล มีธรรมหยาบช้าลามก (ชอบออกกูออกมึง กูๆ มึงๆ) มีความประพฤติไม่สะอาด น่ารังเกียจ ปิดบังการกระทำ มิใช่สมณะ ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ มิใช่พรหมจารีปฏิญาณ ว่าเป็นพรหมจารี เน่าภายใน โชกชุ่มด้วยกิเลส ผู้เศร้าหมอง สงฆ์ย่อมไม่ร่วมกับบุคคลนั้น ย่อมประชุมกันยกเธอเสียโดยพลัน ถึงแม้เธอนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงอย่างนั้น เธอชื่อว่าไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ไกลจากเธอ แม้นี้ก็เป็นความอัศจรรย์ไม่เคยมีในธรรมวินัยนี้ เป็นข้อที่ ๓ ที่ภิกษุทั้งหลายพบเห็นแล้วพากันชื่นชมในธรรมวินัยนี้ ฯ” วิ.จุ. ๒/๑๘๔/๔๕๙-๔๖๑ คนมีมลทินราคีติดหนี้ล้มละลายในข้อกฎหมายคดีความทางโลกก็มีนัย (อ่านว่า “นัย (ะ) ไม่ควรเขียนเป็น “นัยยะ” คำนี้จะแปลว่า “ผู้ที่แนะนำพร่ำสอนได้คือ เนยยบุคคล”) อันเดียวกันกับกฎหมายพระวินัยบัญญัติคดีความทางธรรม ถูกต้องทุกประการด้วย ข้าพเจ้าขอพิมพ์ข้อความที่ปรากฏในราชกิจจานุเบกษา ประกาศอย่างเป็นทางการให้สาธารณชนทราบโดยทั่วกัน เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันในข้อเท็จจริงนี้ ประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เรื่อง คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด คดีหมายเลขแดงที่.... กองบังคับคดีล้มละลาย ๑ กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ด้วย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โจทก์ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลล้มละลายกลางขอให้จำเลยล้มละลาย และศาลได้มีคำสั่งลงวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ ให้พิทักษ์ทรัพย์ของนาย....จำเลย เด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๕๘๓ แล้ว จำเลย เลขประจำตัวประชาชน........มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่..... ดังนั้น นับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่ง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียว มีอำนาจจัดการเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้ ตามมาตรา ๒๒ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ และบุคคลผู้เป็นหนี้ลูกหนี้หรือมีทรัพย์สินของลูกหนี้อยู่ในครอบครอง มีหน้าที่ต้องแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับหนี้หรือทรัพย์สินของลูกหนี้ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบ ภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้ทราบคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ตามมาตรา ๒๔/๑ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ ซึ่งผู้ใดมีหน้าที่ตามมาตรา ๒๔/๑ แล้วไม่ปฏิบัติตาม มีความผิดต้องระวังโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท ตามมาตรา ๑๗๓/๑ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ อนึ่ง เจ้าหนี้ซึ่งจะขอรับชำระหนี้ในคดีนี้....และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้กำหนดวันลงโฆษณาในราชกิจจานุเบกษา ในวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๔ ประกาศ ณ วันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๔ เบญจา สุภานนท์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เรื่อง คำพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย คดีหมายเลขแดงที่.... กองบังคับคดีล้มละลาย ๑ ศาลล้มละลายกลาง กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม ด้วยคดีเรื่องนี้ ศาลล้มละลายกลางได้พิพากษาให้นาย....ลูกหนี้เป็นบุคคลล้มละลายแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๕ ผู้ล้มละลาย เลขประจำตัวประชาชน....มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่.... ประกาศ ณ วันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๕ อุโรวษา เพชรวารี เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ จากข้อความที่ทางการประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษาว่า “บุคคลผู้เป็นหนี้ลูกหนี้หรือมีทรัพย์สินของลูกหนี้อยู่ในครอบครอง มีหน้าที่ต้องแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับหนี้หรือทรัพย์สินของลูกหนี้ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบ....ซึ่งผู้ใดมีหน้าที่ตามมาตรา ๒๔/๑ แล้วไม่ปฏิบัติตาม มีความผิดต้องระวังโทษปรับไม่เกินสองแสนบาท...” คำเตือนที่ข้าพเจ้าเขียนบอกไว้ในบทความหนึ่งว่า “ระวังไว้ด้วยนะครับ จะพลอยฟ้าพลอยฝนโดนหางเลขกับเขาไปด้วย” และในเวลาต่อมาไม่นาน ข้าพเจ้าก็เขียนโพสต์ไว้ในหน้าวอลล์ว่า “ไม่มาเข้าคอร์สก็น่าจะได้ไปเข้าคุก” ส่อเค้าว่าจะเป็นจริง เห็นแสงรำไรๆ อยู่ในคุกที่จองจำนั้นเสียแล้ว เมื่อเย็นวานนี้ทนายความท่านหนึ่งได้โทรมาคุยสนทนากับข้าพเจ้าในเรื่องนี้ พร้อมกับส่งหลักฐานในราชกิจจานุเบกษามาให้ และเมื่อเช้าของวันนี้ในเวลา 10:00 น. ทนายความอีกท่านหนึ่งก็โทรมาคุยกับข้าพเจ้า และยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ไว้ตรงกับทนายความท่านแรก ทนายความสองท่านนี้ได้ตรวจสอบฐานข้อมูลมาเป็นอย่างดีแล้ว ข้าพเจ้าแสดงหลักฐานคดีความทางโลกให้เห็นปรากฏชัดเรียบร้อยแล้ว ก็จะเขียนเข้าสู่คดีความทางธรรม กฎหมายทางธรรม พระวินัยบัญญัติ ว่า มีข้อกำหนดอย่างไรกับผู้ติดคดีทางโลกมีหนี้สินท่วมหัว จนกระทั่งทางการต้องประกาศให้เป็นผู้ล้มละลาย ต่อจากนี้เขาก็ไม่สามารถทำธุรกิจ ธุรกรรม (เปิดรับบริจาค) ได้อีกแล้ว คนที่ไปบริจาคทรัพย์ให้แก่นายผู้ล้มละลายคนนี้ก็ดี คนที่ไปรับทรัพย์จากนายผู้ล้มละลายคนนี้ก็ดี ก็จะตกอยู่ในข่ายความผิดต้องโทษลักษณะเดียวกันไปโดยปริยาย กล่าวคือมีคติเป็น ๒ ไม่ถูกปรับก็ถูกจำ หรือทั้งปรับทั้งจำ พระวินัยบัญญัติกำหนดให้กุลบุตรผู้เป็นอุปสัมปทาเปกขะ (ต้องการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ) หากต้องโทษข้อใดข้อหนึ่ง ใน ๑๓ ข้อเหล่านี้ มิให้มาอยู่ในเพศของพระภิกษุในร่มเงาของพระพุทธศาสนา ถ้าหากว่าแอบเข้ามาบรรพชาอุปสมบททรงเพศเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ทราบในภายหลัง สงฆ์ก็ต้องสั่งให้สิกขาลาพรต ว่า “สิกฺขํ ปจฺจกฺขาหิ เธอจงบอกคืนสิกขาบทเสียเถิด” กรณีตัวอย่างคือ นาคจำแลงแปลงกายเป็นมาณพมาขอบวชเป็นพระภิกษุกับพระสงฆ์กลุ่มหนึ่งอยู่ในป่า พอคืนร่างเป็นนาคตามเดิม ความทราบไปถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ก็รับสั่งให้ภิกษุผู้เป็นนาคจำแลงแปลงกายนั้นบอกคืนสิกขาบท คือให้ลาสิกขาทันที ในทุกกรณีของผู้ที่ต้องอันตรายิกธรรมข้อใดข้อหนึ่ง เช่น ทราบในภายหลังว่าเป็นบัณเฑาะก์ คือ ไม่ใช่บุรุษเพศชาย (ผู้ชายเต็มตัว) ก็สั่งให้ลาสิกขาเช่นเดียวกัน ให้อยู่ในเพศของพระภิกษุในพระพุทธศาสนานี้ไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นบุคคลอันตราย จะสร้างความเสียหายให้แก่พระพุทธศาสนาแก่พระสงฆ์องค์สามเณร (ข้าพเจ้าเขียนอธิบายในโพสต์ก่อนแล้ว ร่างเป็นผู้ชายแต่ใจเป็นผู้หญิงก็จะกวนพระกวนเณรไม่ให้อยู่เป็นสุข) ถ้าผู้นั้นเป็นบัณเฑาะก์และรู้ว่าตนก็เป็นบัณเฑาะก์แท้ๆ แต่ปกปิดความเป็นบัณเฑาะก์ทรงเพศของพระภิกษุผู้ประพฤติพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนานี้ไว้ ถือว่าอยู่ในฐานะผู้หลอกลวง ลักขโมยเคี้ยวกลืนกินบิณฑะก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้น ท่านเรียกเป็นภาษาพระวินัยว่า “ลักเพศ” คือ ลักขโมยเพศของพระภิกษุ ลักขโมยอุดมเพศที่ครองผ้ากาสาวพัสตร์ธงชัยของพระอรหันต์ เขาจะสั่งสมบาปอกุศลเอาไว้อยู่เรื่อยๆ สุดท้ายเห็นได้ชัดใช่ไหมว่า บัณเฑาะก์ผู้นั้นที่ลักขโมยเพศพระภิกษุแอบอาศัยอยู่ในร่มเงาของพระพุทธศาสนานี้มาเป็นเวลายาวนาน ก็แพ้ภัยตัวเอง กระเด็นออกไปจากพระพุทธศาสนา เปรียบเหมือนกเฬวราก ซากศพเน่า ต้องถูกคลื่นของมหาสมุทรซัดออกมาเกยตื้นติดอยู่กับฝั่งทะเล ฉะนั้น อันตรายิกธรรมเหล่านี้ คือ “โรคเรื้อน ฝี โรคกลาก โรคมองคร่อ ลมบ้าหมู เจ้าเป็นมนุษย์หรือ เป็นชายหรือ เป็นไทหรือ ไม่มีหนี้สินหรือ มิใช่ราชภัฏหรือ มารดาบิดาอนุญาตแล้วหรือ มีปีครบ ๒๐ แล้วหรือ บาตรจีวรของเจ้ามีครบแล้วหรือ เจ้าชื่ออะไร อุปัชฌาย์ของเจ้าชื่ออะไร” วิ.ม. ๑/๑๕๔/๑๔๒ ปรากฏอยู่ในอุปสัมปทาวิธีว่า พระคู่สวดถาม สามเณรตอบ กุฏฐัง นัตถิ ภันเต คัณโฑ นัตถิ ภันเต กิลาโส นัตถิ ภันเต โสโส นัตถิ ภันเต อะปะมาโร นัตถิ ภันเต มะนุสโสสิ๊ อามะ ภันเต ปุริโสสิ๊ อามะ ภันเต ภุชิสโสสิ๊ อามะ ภันเต อะนะโณสิ๊ อามะ ภันเต นะสิ๊ราชะภะโฏ อามะ ภันเต อะนุญญาโตสิ๊ มาตาปิตูหิ อามะ ภันเต ปะริปุณณะวีสะติวัสโสสิ๊ อามะ ภันเต ปะริปุณณันเต ปัตตะจีวะรัง อามะ ภันเต กินนาโมสิ อะหัง ภันเต...(๑)....นามะ โก นามะ เต อุปัชฌาโย อุปัชฌาโย เมภันเต อายัสมา.... (๒).นามะ (๑) บอกฉายาของตนเอง (๒) บอกฉายาของพระอุปัชฌาย์ ในคำตอบของสามเณร (นาค) หากผิดไปจาก อามะ ภันเต จาก นัตถิ ภันเต แม้ข้อเดียว เช่น “ปุริโสสิ๊ เจ้าเป็นบุรุษเพศชายจริงหรือเปล่า” นาคตอบว่า “นัตถิ ภันเต ไม่ใช่ครับ” “อะนะโณสิ๊ เธอไม่มีหนี้สินใช่ไหม” นาคตอบว่า “นัตถิ ภันเต ไม่ใช่ครับ” พระคู่สวดอาจจะต้องถามย้ำอีกสัก ๒ - ๓ ครั้ง นาคก็ยังตอบอยู่ในคำเดิม คือ นัตถิ ภันเต อุปสัมปทาวิธีก็ต้องล้มไป ยุติพิธีอุปสมบท ทันที อาจถึงกับขับไล่ผู้ต้องอันตรายิกธรรมข้อใดข้อหนึ่งนี้ออกจากสีมา (เขตแดน) ของพระอุโบสถหลังนั้นไปเลย “อย่าแหลมหน้ามาขอบวชอีกเชียวนะ”.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 453 มุมมอง 0 รีวิว
  • การไฟฟ้าฯ จะตัดไฟ อำลาตั้งฮั่วเส็ง ธนบุรี

    จากกระแสไวรัลบนโซเชียลฯ ถึงความเงียบเหงาของศูนย์การค้าฝั่งธนบุรี ท่ามกลางคำถามที่ว่าอนาคตจะไปทางไหน ในที่้สุดห้างสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง ธนบุรี ถนนสิรินธร ย่านบางพลัด แจ้งกับร้านค้าเป็นการภายในเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (6 ก.ย.) ว่าจำเป็นต้องปิดทำการห้างฯ อาคาร 12 ชั้น ซึ่งมีผลกระทบในพื้นที่ขายทั้งหมด เพราะได้รับหนังสือแจ้งจากการไฟฟ้านครหลวง ขอยุติการจ่ายกระแสไฟฟ้าในวันอังคารที่ 10 ก.ย. 2567 เวลา 08.00 น. เป็นต้นไป

    "ทางบริษัทฯ อยู่ในระหว่างดำเนินการแก้ไขและเจรจากับผู้ร่วมทุนใหม่ยังไม่แล้วเสร็จ ซึ่งหากดำเนินการแล้วเสร็จ ทางห้างฯ จะเร่งกลับมาเปิดบริการในเร็วๆ นี้ และขออภัยในความไม่สะดวกกับเหตุการณ์ครั้งนี้" ประกาศฉบับดังกล่าว ระบุ

    บรรดาร้านค้าที่ทราบข่าวเตรียมทยอยขนของออกจากห้างฯ โดยเฉพาะร้านขายโทรศัพท์มือถือ ที่ไม่ทราบเรื่องดังกล่าวมาก่อน กระทั่งได้รับจดหมายแจ้งว่าจะตัดไฟในวันอังคาร ต้องเก็บของย้ายออกจากห้างฯ มีผลกระทบมาก ส่วนร้านหมาล่าสายพาน "ฟุ่ยโหยว หมาล่า" ที่เปิดไม่ถึงครึ่งปี ต้องปรับเป็นบุฟเฟ่ต์แบบขาดทุน ก่อนปิดแบบไม่มีกำหนด กระแสโซเชียลฯ ต่างให้กำลังใจทางร้านและอุดหนุน ทำบางเมนูหมดลงไปแล้ว

    ปริศนาคลี่คลายเมื่อมีชาวเน็ตต่างเผยแพร่ข้อมูลว่า บริษัท สรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง จำกัด ถูกธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ฟ้องต่อศาลแพ่งตลิ่งชัน คดีหมายเลขแดงที่ ผบ.7325/2562 แล้วกรมบังคับคดีได้ประกาศขายทรัพย์รวม 27 แปลง ราคาประเมิน 1,365,690,450 บาท โดยพบว่ามีบุคคลภายนอก (คาดว่ามาจากกลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์) ประมูลมาได้ แต่ต่ำกว่าราคาประเมิน ส่วนห้างตั้งฮั่วเส็ง สาขาบางลำภู ก็ขายทอดตลาดไปแล้วเช่นกัน

    ห้างสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง ก่อตั้งขึ้นในปี 2505 ที่ย่านบางลำพู เดิมเป็นร้านจำหน่ายสินค้าอุปกรณ์เย็บปักถักร้อย เครื่องสำอาง ผ้าแฟชั่น และอุปกรณ์ตัดเย็บต่างๆ ก่อนจะเปิดห้างสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง บางลำพู ภายใต้การบริหารของนายวิโรจน์ จุนประทีปทอง กระทั่งปี 2534 เปิดห้างสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง ธนบุรี อาคารสูง 10 ชั้น ที่จอดรถมากกว่า 800 คัน ต่อมาในปี 2554 รีโนเวตโดยเปลี่ยนชื่อเป็น T-SQUARE

    ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่าบริษัทฯ ขาดทุนทุกปี ส่งงบการเงินปีสุดท้าย 2564 มีรายได้รวม 409,744,106.37 บาท ขาดทุนสุทธิ 43,784,884.68 บาท ขณะที่ นายวิโรจน์ จุนประทีปทอง กรรมการผู้จัดการใหญ่ เสียชีวิตไปนานแล้ว เหลือแต่นายมนัส รณกรกิจอนันต์ ลูกพี่ลูกน้องบริหารร่วมกับครอบครัวจุนประทีปทอง

    #Newskit #ตั้งฮั่วเส็ง #ปิดกิจการ
    การไฟฟ้าฯ จะตัดไฟ อำลาตั้งฮั่วเส็ง ธนบุรี จากกระแสไวรัลบนโซเชียลฯ ถึงความเงียบเหงาของศูนย์การค้าฝั่งธนบุรี ท่ามกลางคำถามที่ว่าอนาคตจะไปทางไหน ในที่้สุดห้างสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง ธนบุรี ถนนสิรินธร ย่านบางพลัด แจ้งกับร้านค้าเป็นการภายในเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (6 ก.ย.) ว่าจำเป็นต้องปิดทำการห้างฯ อาคาร 12 ชั้น ซึ่งมีผลกระทบในพื้นที่ขายทั้งหมด เพราะได้รับหนังสือแจ้งจากการไฟฟ้านครหลวง ขอยุติการจ่ายกระแสไฟฟ้าในวันอังคารที่ 10 ก.ย. 2567 เวลา 08.00 น. เป็นต้นไป "ทางบริษัทฯ อยู่ในระหว่างดำเนินการแก้ไขและเจรจากับผู้ร่วมทุนใหม่ยังไม่แล้วเสร็จ ซึ่งหากดำเนินการแล้วเสร็จ ทางห้างฯ จะเร่งกลับมาเปิดบริการในเร็วๆ นี้ และขออภัยในความไม่สะดวกกับเหตุการณ์ครั้งนี้" ประกาศฉบับดังกล่าว ระบุ บรรดาร้านค้าที่ทราบข่าวเตรียมทยอยขนของออกจากห้างฯ โดยเฉพาะร้านขายโทรศัพท์มือถือ ที่ไม่ทราบเรื่องดังกล่าวมาก่อน กระทั่งได้รับจดหมายแจ้งว่าจะตัดไฟในวันอังคาร ต้องเก็บของย้ายออกจากห้างฯ มีผลกระทบมาก ส่วนร้านหมาล่าสายพาน "ฟุ่ยโหยว หมาล่า" ที่เปิดไม่ถึงครึ่งปี ต้องปรับเป็นบุฟเฟ่ต์แบบขาดทุน ก่อนปิดแบบไม่มีกำหนด กระแสโซเชียลฯ ต่างให้กำลังใจทางร้านและอุดหนุน ทำบางเมนูหมดลงไปแล้ว ปริศนาคลี่คลายเมื่อมีชาวเน็ตต่างเผยแพร่ข้อมูลว่า บริษัท สรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง จำกัด ถูกธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ฟ้องต่อศาลแพ่งตลิ่งชัน คดีหมายเลขแดงที่ ผบ.7325/2562 แล้วกรมบังคับคดีได้ประกาศขายทรัพย์รวม 27 แปลง ราคาประเมิน 1,365,690,450 บาท โดยพบว่ามีบุคคลภายนอก (คาดว่ามาจากกลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์) ประมูลมาได้ แต่ต่ำกว่าราคาประเมิน ส่วนห้างตั้งฮั่วเส็ง สาขาบางลำภู ก็ขายทอดตลาดไปแล้วเช่นกัน ห้างสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง ก่อตั้งขึ้นในปี 2505 ที่ย่านบางลำพู เดิมเป็นร้านจำหน่ายสินค้าอุปกรณ์เย็บปักถักร้อย เครื่องสำอาง ผ้าแฟชั่น และอุปกรณ์ตัดเย็บต่างๆ ก่อนจะเปิดห้างสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง บางลำพู ภายใต้การบริหารของนายวิโรจน์ จุนประทีปทอง กระทั่งปี 2534 เปิดห้างสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง ธนบุรี อาคารสูง 10 ชั้น ที่จอดรถมากกว่า 800 คัน ต่อมาในปี 2554 รีโนเวตโดยเปลี่ยนชื่อเป็น T-SQUARE ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่าบริษัทฯ ขาดทุนทุกปี ส่งงบการเงินปีสุดท้าย 2564 มีรายได้รวม 409,744,106.37 บาท ขาดทุนสุทธิ 43,784,884.68 บาท ขณะที่ นายวิโรจน์ จุนประทีปทอง กรรมการผู้จัดการใหญ่ เสียชีวิตไปนานแล้ว เหลือแต่นายมนัส รณกรกิจอนันต์ ลูกพี่ลูกน้องบริหารร่วมกับครอบครัวจุนประทีปทอง #Newskit #ตั้งฮั่วเส็ง #ปิดกิจการ
    Sad
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 2 การแบ่งปัน 1339 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลาก่อนกาดสวนแก้ว ประกาศขาย 3 พันล้าน

    ทำเอาชาวเชียงใหม่ใจหายซ้ำสอง หลังธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ประกาศขายอุทยานการค้ากาดสวนแก้ว อดีตศูนย์การค้าเก่าแก่สูง 10 ชั้น บนเนื้อที่ 27 ไร่ 2 งาน 98 ตารางวา ริมถนนห้วยแก้ว เขตเทศบาลนครเชียงใหม่ ในราคา 3,000 ล้านบาท หลังศูนย์การค้าฯ ปิดให้บริการชั่วคราวเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2565 ที่ผ่านมา แต่ที่สุดแล้วกลายเป็นการปิดถาวร เป็นที่น่าเสียดายแก่ชาวเชียงใหม่ยุค 80 และ 90 ที่เคยมีประสบการณ์กับสถานที่แห่งนี้

    อุทยานการค้ากาดสวนแก้ว เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 29 ก.พ. 2535 ก่อตั้งโดย ร.ต.ท.สุชัย เก่งการค้า อดีตสถาปนิกกรมตำรวจ ที่ผันตัวมาเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยด้านข้างยังมีโรงแรมโลตัสปางสวนแก้ว สูง 13 ชั้น ขนาด 420 ห้อง โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบล้านนา ตัวอาคารก่อด้วยอิฐสีน้ำตาลเข้ม บุผนังด้านนอกอาคารทั้งหลัง จุดเด่นคือห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาแรกในต่างจังหวัด โรงภาพยนตร์วิสต้า ขนาด 7 โรง และโรงละครกาดเธียเตอร์ ชั้น 5 ความจุ 1,500 ที่นั่ง

    แม้จะเป็นศูนย์การค้ายอดนิยมของคนเชียงใหม่ยุคนั้น แต่ด้วยการแข่งขันธุรกิจค้าปลีกที่สูงขึ้น กลุ่มทุนจากส่วนกลาง อาทิ เซ็นทรัลพัฒนา เปิดศูนย์การค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล เชียงใหม่ บริเวณสี่แยกศาลเด็ก เพิ่มเติมจากศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เชียงใหม่ แอร์พอร์ต รวมทั้งกลุ่มเอสเอฟ คอร์ปอเรชั่น เปิดศูนย์การค้าเม-ญ่า ไลฟ์สไตล์ ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ บริเวณสี่แยกรินคำ ไม่นับรวมห้างค้าปลีก คอมมูนิตีมอลล์จำนวนมาก แม้กาดสวนแก้วพยายามรีโนเวตให้ทันสมัย แต่ไม่อาจต้านทานได้

    อีกทั้งสถานการณ์โควิด 19 ตั้งแต่ปลายปี 2562 ไม่มีนักท่องเที่ยว แม้จะช่วยลดค่าเช่า ค่าบริการ ผ่อนผันร้านค้าทุกวิถีทาง พร้อมกับปรับลดค่าใช้จ่ายต่างๆ แต่เนื่องจากการระบาดยังคงยืดเยื้อต่อเนื่อง อีกทั้งภาครัฐไม่มีนโยบายผ่อนปรนหรือช่วยเหลืออีกต่อไป จึงจำเป็นต้องปิดศูนย์การค้าฯ ชั่วคราว แต่ในที่สุดก็กลายเป็นการปิดถาวร

    อนึ่ง ก่อนหน้านี้กรมบังคับคดีเพิ่งประกาศจำหน่ายทรัพย์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ศูนย์การค้าพรอมเมนาดา เชียงใหม่ รีสอร์ตมอลล์ 24 แปลง เนื้อที่ประมาณ 54 ไร่ บริเวณแยกต่างระดับดอนจั่น ถนนวงแหวนรอบสอง ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ 10 กิโลเมตร กำหนดราคาประเมิน 2,058 ล้านบาท จำหน่ายครั้งแรก 21 ต.ค. 2567 หลังศูนย์การค้าฯ ประกาศปิดให้บริการไปเมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2565 และศาลล้มละลายกลาง พิพากษาให้ บริษัท อีซีซี เชียงใหม่ โครงการ 1 จำกัด ล้มละลายเมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2566

    #Newskit #กาดสวนแก้ว #เชียงใหม่
    ลาก่อนกาดสวนแก้ว ประกาศขาย 3 พันล้าน ทำเอาชาวเชียงใหม่ใจหายซ้ำสอง หลังธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ประกาศขายอุทยานการค้ากาดสวนแก้ว อดีตศูนย์การค้าเก่าแก่สูง 10 ชั้น บนเนื้อที่ 27 ไร่ 2 งาน 98 ตารางวา ริมถนนห้วยแก้ว เขตเทศบาลนครเชียงใหม่ ในราคา 3,000 ล้านบาท หลังศูนย์การค้าฯ ปิดให้บริการชั่วคราวเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2565 ที่ผ่านมา แต่ที่สุดแล้วกลายเป็นการปิดถาวร เป็นที่น่าเสียดายแก่ชาวเชียงใหม่ยุค 80 และ 90 ที่เคยมีประสบการณ์กับสถานที่แห่งนี้ อุทยานการค้ากาดสวนแก้ว เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 29 ก.พ. 2535 ก่อตั้งโดย ร.ต.ท.สุชัย เก่งการค้า อดีตสถาปนิกกรมตำรวจ ที่ผันตัวมาเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยด้านข้างยังมีโรงแรมโลตัสปางสวนแก้ว สูง 13 ชั้น ขนาด 420 ห้อง โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบล้านนา ตัวอาคารก่อด้วยอิฐสีน้ำตาลเข้ม บุผนังด้านนอกอาคารทั้งหลัง จุดเด่นคือห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาแรกในต่างจังหวัด โรงภาพยนตร์วิสต้า ขนาด 7 โรง และโรงละครกาดเธียเตอร์ ชั้น 5 ความจุ 1,500 ที่นั่ง แม้จะเป็นศูนย์การค้ายอดนิยมของคนเชียงใหม่ยุคนั้น แต่ด้วยการแข่งขันธุรกิจค้าปลีกที่สูงขึ้น กลุ่มทุนจากส่วนกลาง อาทิ เซ็นทรัลพัฒนา เปิดศูนย์การค้าเซ็นทรัล เฟสติวัล เชียงใหม่ บริเวณสี่แยกศาลเด็ก เพิ่มเติมจากศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เชียงใหม่ แอร์พอร์ต รวมทั้งกลุ่มเอสเอฟ คอร์ปอเรชั่น เปิดศูนย์การค้าเม-ญ่า ไลฟ์สไตล์ ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ บริเวณสี่แยกรินคำ ไม่นับรวมห้างค้าปลีก คอมมูนิตีมอลล์จำนวนมาก แม้กาดสวนแก้วพยายามรีโนเวตให้ทันสมัย แต่ไม่อาจต้านทานได้ อีกทั้งสถานการณ์โควิด 19 ตั้งแต่ปลายปี 2562 ไม่มีนักท่องเที่ยว แม้จะช่วยลดค่าเช่า ค่าบริการ ผ่อนผันร้านค้าทุกวิถีทาง พร้อมกับปรับลดค่าใช้จ่ายต่างๆ แต่เนื่องจากการระบาดยังคงยืดเยื้อต่อเนื่อง อีกทั้งภาครัฐไม่มีนโยบายผ่อนปรนหรือช่วยเหลืออีกต่อไป จึงจำเป็นต้องปิดศูนย์การค้าฯ ชั่วคราว แต่ในที่สุดก็กลายเป็นการปิดถาวร อนึ่ง ก่อนหน้านี้กรมบังคับคดีเพิ่งประกาศจำหน่ายทรัพย์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ศูนย์การค้าพรอมเมนาดา เชียงใหม่ รีสอร์ตมอลล์ 24 แปลง เนื้อที่ประมาณ 54 ไร่ บริเวณแยกต่างระดับดอนจั่น ถนนวงแหวนรอบสอง ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ 10 กิโลเมตร กำหนดราคาประเมิน 2,058 ล้านบาท จำหน่ายครั้งแรก 21 ต.ค. 2567 หลังศูนย์การค้าฯ ประกาศปิดให้บริการไปเมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2565 และศาลล้มละลายกลาง พิพากษาให้ บริษัท อีซีซี เชียงใหม่ โครงการ 1 จำกัด ล้มละลายเมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2566 #Newskit #กาดสวนแก้ว #เชียงใหม่
    Like
    9
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1134 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขาย'พรอมเมนาดา' ตำนานห้างเชียงใหม่

    นับเป็นการปิดฉากตำนานรีสอร์ตมอลล์ในเมืองเชียงใหม่ เมื่อกรมบังคับคดีเตรียมขายทรัพย์สินที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โครงการพรอมเมนาดา รีสอร์ต มอลล์ บริเวณแยกดอนจั่น ถนนวงแหวนรอบ 2 ต.ท่าศาลา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ จากคดีหมายเลขแดงที่ ล.2966/2562 ที่ บริษัท ฟลอยด์ จำกัด (มหาชน) ยื่นฟ้อง บริษัท อีซีซี เชียงใหม่ โครงการ 1 จำกัด และศาลได้พิพากษาให้จำเลยล้มละลายเมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2566 โดยจะทำการขายรวม 24 แปลง กำหนดราคาประเมินรวม 2,058,375,055 บาท

    ทั้งนี้ กรมบังคับคดีจะทำการขายโดยปลอดการจำนอง โดยได้กำหนดจำหน่ายทรัพย์ครั้งแรกวันที่ 21 ต.ค. 2567 ที่กรมบังคับคดี ถนนบางขุนนนท์ กรุงเทพฯ ผู้ประสงค์จะเข้าเสนอราคาต้องวางหลักประกันเป็นจำนวน 105,000,000.00 บาท จึงเป็นที่จับตามองว่า ผู้พัฒนาศูนย์การค้าหรืออสังหาริมทรัพย์รายใดจะคว้าศูนย์การค้านี้ไปครอง หลังจากถูกปล่อยทิ้งร้างมานานกว่า 2 ปี แม้ว่าทำเลจะอยู่ห่างออกไปจากใจกลางเมืองเชียงใหม่ ไปทางถนนซูเปอร์ไฮเวย์ประมาณ 10 กิโลเมตรก็ตาม

    สำหรับพรอมเมนาดา เชียงใหม่ เป็นศูนย์การค้าสไตล์รีสอร์ต มอลล์ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 58 ไร่ ลงทุนและบริหารโครงการโดยอีซีซี อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลเอสเตท ซึ่งเป็นกลุ่มทุนจากประเทศเนเธอร์แลนด์ ใช้เงินลงทุนกว่า 2,900 ล้านบาท ก่อสร้างเสร็จและเริ่มเปิดให้บริการเฟสแรกเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 2556 แบ่งออกเป็น 2 อาคาร ได้แก่ อาคาร A และอาคาร B มีผู้เช่าหลักหลักประกอบด้วย ริมปิง ซูเปอร์มาร์เก็ต, ร้านชิชาง ดิ เอ็กซ์พีเรียน สโตร์, โรงภาพยนตร์เอสเอฟ ซีเนม่า จำนวน 8 โรง เป็นต้น

    ในช่วงเปิดตัวได้รับความนิยม เนื่องจากสถาปัตยกรรมแปลกใหม่และความหรูหรา แต่ด้วยการแข่งขันด้านชอปปิ้งมอลล์ที่รุนแรงขึ้น อีกทั้งทำเลที่ตั้งอยู่ไกลจากเมือง ทำให้ความนิยมค่อยๆ ลดลง มีผู้ใช้บริการค่อนข้างน้อย ส่วนร้านดังต่างทยอยปิดตัวลง

    ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2565 ศูนย์การค้าฯ แจ้งร้านค้าปิดให้บริการชั่วคราวอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ตั้งแต่เดือน มี.ค. 2563 เป็นต้นมา แม้พยายามประคับประคองและต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายตลอด 3 ปี พยายามให้ส่วนลดค่าเช่ารวมถึงงดเก็บค่าเช่าในบางเดือน แต่ไม่อาจแบกรับภาระได้ ภายหลังยอมรับว่าค้างชำระค่าไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอยู่จำนวนหนึ่ง แม้ผ่อนชำระตามเงื่อนไข แต่กลับแจ้งให้ชำระเต็มจำนวน ซึ่งไม่สามารถหาเงินมาได้ทัน

    #Newskit #กรมบังคับคดี #Promenada
    ขาย'พรอมเมนาดา' ตำนานห้างเชียงใหม่ นับเป็นการปิดฉากตำนานรีสอร์ตมอลล์ในเมืองเชียงใหม่ เมื่อกรมบังคับคดีเตรียมขายทรัพย์สินที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โครงการพรอมเมนาดา รีสอร์ต มอลล์ บริเวณแยกดอนจั่น ถนนวงแหวนรอบ 2 ต.ท่าศาลา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ จากคดีหมายเลขแดงที่ ล.2966/2562 ที่ บริษัท ฟลอยด์ จำกัด (มหาชน) ยื่นฟ้อง บริษัท อีซีซี เชียงใหม่ โครงการ 1 จำกัด และศาลได้พิพากษาให้จำเลยล้มละลายเมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2566 โดยจะทำการขายรวม 24 แปลง กำหนดราคาประเมินรวม 2,058,375,055 บาท ทั้งนี้ กรมบังคับคดีจะทำการขายโดยปลอดการจำนอง โดยได้กำหนดจำหน่ายทรัพย์ครั้งแรกวันที่ 21 ต.ค. 2567 ที่กรมบังคับคดี ถนนบางขุนนนท์ กรุงเทพฯ ผู้ประสงค์จะเข้าเสนอราคาต้องวางหลักประกันเป็นจำนวน 105,000,000.00 บาท จึงเป็นที่จับตามองว่า ผู้พัฒนาศูนย์การค้าหรืออสังหาริมทรัพย์รายใดจะคว้าศูนย์การค้านี้ไปครอง หลังจากถูกปล่อยทิ้งร้างมานานกว่า 2 ปี แม้ว่าทำเลจะอยู่ห่างออกไปจากใจกลางเมืองเชียงใหม่ ไปทางถนนซูเปอร์ไฮเวย์ประมาณ 10 กิโลเมตรก็ตาม สำหรับพรอมเมนาดา เชียงใหม่ เป็นศูนย์การค้าสไตล์รีสอร์ต มอลล์ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 58 ไร่ ลงทุนและบริหารโครงการโดยอีซีซี อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลเอสเตท ซึ่งเป็นกลุ่มทุนจากประเทศเนเธอร์แลนด์ ใช้เงินลงทุนกว่า 2,900 ล้านบาท ก่อสร้างเสร็จและเริ่มเปิดให้บริการเฟสแรกเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 2556 แบ่งออกเป็น 2 อาคาร ได้แก่ อาคาร A และอาคาร B มีผู้เช่าหลักหลักประกอบด้วย ริมปิง ซูเปอร์มาร์เก็ต, ร้านชิชาง ดิ เอ็กซ์พีเรียน สโตร์, โรงภาพยนตร์เอสเอฟ ซีเนม่า จำนวน 8 โรง เป็นต้น ในช่วงเปิดตัวได้รับความนิยม เนื่องจากสถาปัตยกรรมแปลกใหม่และความหรูหรา แต่ด้วยการแข่งขันด้านชอปปิ้งมอลล์ที่รุนแรงขึ้น อีกทั้งทำเลที่ตั้งอยู่ไกลจากเมือง ทำให้ความนิยมค่อยๆ ลดลง มีผู้ใช้บริการค่อนข้างน้อย ส่วนร้านดังต่างทยอยปิดตัวลง ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2565 ศูนย์การค้าฯ แจ้งร้านค้าปิดให้บริการชั่วคราวอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ตั้งแต่เดือน มี.ค. 2563 เป็นต้นมา แม้พยายามประคับประคองและต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายตลอด 3 ปี พยายามให้ส่วนลดค่าเช่ารวมถึงงดเก็บค่าเช่าในบางเดือน แต่ไม่อาจแบกรับภาระได้ ภายหลังยอมรับว่าค้างชำระค่าไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอยู่จำนวนหนึ่ง แม้ผ่อนชำระตามเงื่อนไข แต่กลับแจ้งให้ชำระเต็มจำนวน ซึ่งไม่สามารถหาเงินมาได้ทัน #Newskit #กรมบังคับคดี #Promenada
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 1044 มุมมอง 0 รีวิว