• “เมื่อไมโครซอฟท์เคยขายฮาร์ดแวร์ชิ้นแรกเพื่อให้ Apple II ใช้ซอฟต์แวร์ CP/M ได้!”

    ย้อนกลับไปเมื่อ 45 ปีก่อน ไมโครซอฟท์ไม่ได้เป็นแค่บริษัทซอฟต์แวร์อย่างที่เรารู้จักกันในวันนี้ แต่เคยเปิดตัวฮาร์ดแวร์ชิ้นแรกที่ชื่อว่า Z-80 SoftCard สำหรับเครื่อง Apple II ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ยอดนิยมในยุคนั้น โดยเป้าหมายคือให้ผู้ใช้ Apple II สามารถใช้งานซอฟต์แวร์บนระบบปฏิบัติการ CP/M ได้ ซึ่งเป็นระบบที่มีซอฟต์แวร์ธุรกิจมากมายในยุคนั้น เช่น WordStar และ dBase

    Raymond Chen นักพัฒนาระดับตำนานของ Windows ได้เล่าเบื้องหลังการพัฒนา SoftCard ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะต้องทำให้ สองหน่วยประมวลผล คือ 6502 ของ Apple II และ Zilog Z80 ทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น โดยไม่เกิดปัญหาด้านการสื่อสารและการจัดการหน่วยความจำ

    ที่น่าทึ่งคือ SoftCard กลายเป็น สินค้าทำเงินสูงสุดของไมโครซอฟท์ในปี 1980 แม้จะมีราคาสูงถึง $350 ซึ่งถ้าคิดเป็นเงินปัจจุบันก็ประมาณ $1,350 เลยทีเดียว!

    สาระเพิ่มเติม
    ระบบ CP/M (Control Program for Microcomputers) เคยเป็นระบบปฏิบัติการยอดนิยมก่อนที่ MS-DOS จะครองตลาด
    Zilog Z80 เป็นซีพียูที่ได้รับความนิยมสูงในยุค 70s–80s และถูกใช้ในหลายเครื่อง เช่น ZX Spectrum และ Game Boy
    Apple II เป็นหนึ่งในคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ประสบความสำเร็จที่สุดในยุคแรกของวงการ

    จุดเริ่มต้นของฮาร์ดแวร์จากไมโครซอฟท์
    Z-80 SoftCard เป็นฮาร์ดแวร์ตัวแรกของบริษัท
    เปิดตัวในปี 1980 เพื่อให้ Apple II ใช้งานซอฟต์แวร์ CP/M ได้
    ใช้ซีพียู Zilog Z80 บนการ์ดเสริม

    ความสำเร็จทางธุรกิจ
    SoftCard กลายเป็นสินค้าทำเงินสูงสุดของไมโครซอฟท์ในปีเปิดตัว
    ราคาขาย $350 ในปี 1980 คิดเป็นเงินปัจจุบันประมาณ $1,350
    ได้รับความนิยมจากผู้ใช้ Apple II ที่ต้องการใช้งานซอฟต์แวร์ธุรกิจ

    ความท้าทายทางเทคนิค
    ต้องทำให้ 6502 และ Z80 ทำงานร่วมกันโดยไม่ชนกัน
    ใช้เทคนิคจำลอง DMA เพื่อควบคุมการทำงานของ 6502
    มีการออกแบบวงจรแปลที่อยู่เพื่อป้องกันการชนกันของหน่วยความจำ

    วิวัฒนาการของไมโครซอฟท์ด้านฮาร์ดแวร์
    1983: Microsoft Mouse
    2001: Xbox
    2012: Surface
    2016: HoloLens
    2013: เริ่มนิยามตัวเองว่าเป็นบริษัท “ซอฟต์แวร์และอุปกรณ์”

    คำเตือนด้านเทคโนโลยีร่วมสมัย
    การทำงานร่วมกันของซีพียูต่างสถาปัตยกรรมยังคงเป็นเรื่องท้าทาย
    การจัดการหน่วยความจำระหว่างโปรเซสเซอร์ต้องระวังการชนกัน
    การจำลอง DMA อาจทำให้เกิดปัญหาด้านประสิทธิภาพหากไม่ออกแบบดี

    https://www.tomshardware.com/software/storied-windows-dev-reminisces-about-microsofts-first-hardware-product-45-years-ago-the-z-80-softcard-was-an-apple-ii-add-in-card
    🧠💾 “เมื่อไมโครซอฟท์เคยขายฮาร์ดแวร์ชิ้นแรกเพื่อให้ Apple II ใช้ซอฟต์แวร์ CP/M ได้!” ย้อนกลับไปเมื่อ 45 ปีก่อน ไมโครซอฟท์ไม่ได้เป็นแค่บริษัทซอฟต์แวร์อย่างที่เรารู้จักกันในวันนี้ แต่เคยเปิดตัวฮาร์ดแวร์ชิ้นแรกที่ชื่อว่า Z-80 SoftCard สำหรับเครื่อง Apple II ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ยอดนิยมในยุคนั้น โดยเป้าหมายคือให้ผู้ใช้ Apple II สามารถใช้งานซอฟต์แวร์บนระบบปฏิบัติการ CP/M ได้ ซึ่งเป็นระบบที่มีซอฟต์แวร์ธุรกิจมากมายในยุคนั้น เช่น WordStar และ dBase Raymond Chen นักพัฒนาระดับตำนานของ Windows ได้เล่าเบื้องหลังการพัฒนา SoftCard ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะต้องทำให้ สองหน่วยประมวลผล คือ 6502 ของ Apple II และ Zilog Z80 ทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น โดยไม่เกิดปัญหาด้านการสื่อสารและการจัดการหน่วยความจำ ที่น่าทึ่งคือ SoftCard กลายเป็น สินค้าทำเงินสูงสุดของไมโครซอฟท์ในปี 1980 แม้จะมีราคาสูงถึง $350 ซึ่งถ้าคิดเป็นเงินปัจจุบันก็ประมาณ $1,350 เลยทีเดียว! 🔍 สาระเพิ่มเติม 🎗️ ระบบ CP/M (Control Program for Microcomputers) เคยเป็นระบบปฏิบัติการยอดนิยมก่อนที่ MS-DOS จะครองตลาด 🎗️ Zilog Z80 เป็นซีพียูที่ได้รับความนิยมสูงในยุค 70s–80s และถูกใช้ในหลายเครื่อง เช่น ZX Spectrum และ Game Boy 🎗️ Apple II เป็นหนึ่งในคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ประสบความสำเร็จที่สุดในยุคแรกของวงการ ✅ จุดเริ่มต้นของฮาร์ดแวร์จากไมโครซอฟท์ ➡️ Z-80 SoftCard เป็นฮาร์ดแวร์ตัวแรกของบริษัท ➡️ เปิดตัวในปี 1980 เพื่อให้ Apple II ใช้งานซอฟต์แวร์ CP/M ได้ ➡️ ใช้ซีพียู Zilog Z80 บนการ์ดเสริม ✅ ความสำเร็จทางธุรกิจ ➡️ SoftCard กลายเป็นสินค้าทำเงินสูงสุดของไมโครซอฟท์ในปีเปิดตัว ➡️ ราคาขาย $350 ในปี 1980 คิดเป็นเงินปัจจุบันประมาณ $1,350 ➡️ ได้รับความนิยมจากผู้ใช้ Apple II ที่ต้องการใช้งานซอฟต์แวร์ธุรกิจ ✅ ความท้าทายทางเทคนิค ➡️ ต้องทำให้ 6502 และ Z80 ทำงานร่วมกันโดยไม่ชนกัน ➡️ ใช้เทคนิคจำลอง DMA เพื่อควบคุมการทำงานของ 6502 ➡️ มีการออกแบบวงจรแปลที่อยู่เพื่อป้องกันการชนกันของหน่วยความจำ ✅ วิวัฒนาการของไมโครซอฟท์ด้านฮาร์ดแวร์ ➡️ 1983: Microsoft Mouse ➡️ 2001: Xbox ➡️ 2012: Surface ➡️ 2016: HoloLens ➡️ 2013: เริ่มนิยามตัวเองว่าเป็นบริษัท “ซอฟต์แวร์และอุปกรณ์” ‼️ คำเตือนด้านเทคโนโลยีร่วมสมัย ⛔ การทำงานร่วมกันของซีพียูต่างสถาปัตยกรรมยังคงเป็นเรื่องท้าทาย ⛔ การจัดการหน่วยความจำระหว่างโปรเซสเซอร์ต้องระวังการชนกัน ⛔ การจำลอง DMA อาจทำให้เกิดปัญหาด้านประสิทธิภาพหากไม่ออกแบบดี https://www.tomshardware.com/software/storied-windows-dev-reminisces-about-microsofts-first-hardware-product-45-years-ago-the-z-80-softcard-was-an-apple-ii-add-in-card
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Storied Windows dev reminisces about Microsoft's first hardware product 45 years ago — the Z-80 SoftCard was an Apple II add-in card
    This Apple II add-in card which enabled CP/M software compatibility would cost $1,350 today, but was Microsoft's biggest moneymaker in 1980.
    0 Comments 0 Shares 29 Views 0 Reviews
  • การทดลองสุดทึ่ง: เมื่อฮาร์ดแวร์เก่าไม่ใช่อุปสรรค

    Fully Buffered ทดลองรันเกมบนซีพียูเก่าถึงสองตัว ได้แก่ Intel i7-2600K และ AMD FX-9590 โดยพบว่า i7-2600K ไม่สามารถรันเกมได้เพราะไม่มี Secure Boot แต่ FX-9590 ที่ใช้เมนบอร์ด Asus รุ่น MFA99FX Pro R2.0 ซึ่งรองรับ Secure Boot กลับสามารถรันเกมได้อย่างน่าทึ่ง

    แม้จะมีอาการหน่วงและ CPU วิ่งเต็ม 100% ตลอดเวลา แต่ก็สามารถเล่นได้จริง โดยเฉพาะเมื่อปรับความละเอียดลงเหลือ 1024x786 และเล่นในแผนที่เล็กลง

    Battlefield 6 เล่นได้บนฮาร์ดแวร์เก่า
    ใช้ AMD FX-9590 (เปิดตัวปี 2013) ร่วมกับ RX 5700 และแรม DDR3 16GB
    ได้เฟรมเรตเฉลี่ย 30–40 FPS ที่ความละเอียด 786p
    แสดงให้เห็นถึงการ Optimize ที่ยอดเยี่ยมของ Frost Engine

    ระบบป้องกันโกง Javelin Anti-Cheat
    เดิมเชื่อว่าต้องใช้ TPM และ Secure Boot
    การทดลองพบว่า แค่เปิด Secure Boot ก็เพียงพอ
    Intel i7-2600K ที่ไม่มี Secure Boot ไม่สามารถรันเกมได้

    ประสิทธิภาพของระบบ
    CPU วิ่งเต็ม 100% ตลอดเวลา
    GPU ใช้งานเพียง 25% แสดงถึงอาการคอขวดจาก CPU
    การลดความละเอียดและขนาดแผนที่ช่วยเพิ่ม FPS ได้

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ที่อยากลองทำตาม
    แม้จะเล่นได้ แต่ประสบการณ์อาจไม่ลื่นไหลในแผนที่ใหญ่
    การใช้งาน CPU เต็ม 100% อาจทำให้เครื่องร้อนจัดและเสี่ยงต่ออายุการใช้งาน
    ไม่แนะนำสำหรับการเล่นระยะยาวหรือแข่งขันจริง

    https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/youtuber-gets-battlefield-6-running-on-12-year-old-amd-fx-9590-cpu-playable-at-40-fps-in-786p-with-an-rx-5700-gpu-experiment-reveals-only-secureboot-not-tpm-is-necessary-for-javelin-anti-cheat
    🧪 การทดลองสุดทึ่ง: เมื่อฮาร์ดแวร์เก่าไม่ใช่อุปสรรค Fully Buffered ทดลองรันเกมบนซีพียูเก่าถึงสองตัว ได้แก่ Intel i7-2600K และ AMD FX-9590 โดยพบว่า i7-2600K ไม่สามารถรันเกมได้เพราะไม่มี Secure Boot แต่ FX-9590 ที่ใช้เมนบอร์ด Asus รุ่น MFA99FX Pro R2.0 ซึ่งรองรับ Secure Boot กลับสามารถรันเกมได้อย่างน่าทึ่ง แม้จะมีอาการหน่วงและ CPU วิ่งเต็ม 100% ตลอดเวลา แต่ก็สามารถเล่นได้จริง โดยเฉพาะเมื่อปรับความละเอียดลงเหลือ 1024x786 และเล่นในแผนที่เล็กลง ✅ Battlefield 6 เล่นได้บนฮาร์ดแวร์เก่า ➡️ ใช้ AMD FX-9590 (เปิดตัวปี 2013) ร่วมกับ RX 5700 และแรม DDR3 16GB ➡️ ได้เฟรมเรตเฉลี่ย 30–40 FPS ที่ความละเอียด 786p ➡️ แสดงให้เห็นถึงการ Optimize ที่ยอดเยี่ยมของ Frost Engine ✅ ระบบป้องกันโกง Javelin Anti-Cheat ➡️ เดิมเชื่อว่าต้องใช้ TPM และ Secure Boot ➡️ การทดลองพบว่า แค่เปิด Secure Boot ก็เพียงพอ ➡️ Intel i7-2600K ที่ไม่มี Secure Boot ไม่สามารถรันเกมได้ ✅ ประสิทธิภาพของระบบ ➡️ CPU วิ่งเต็ม 100% ตลอดเวลา ➡️ GPU ใช้งานเพียง 25% แสดงถึงอาการคอขวดจาก CPU ➡️ การลดความละเอียดและขนาดแผนที่ช่วยเพิ่ม FPS ได้ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ที่อยากลองทำตาม ⛔ แม้จะเล่นได้ แต่ประสบการณ์อาจไม่ลื่นไหลในแผนที่ใหญ่ ⛔ การใช้งาน CPU เต็ม 100% อาจทำให้เครื่องร้อนจัดและเสี่ยงต่ออายุการใช้งาน ⛔ ไม่แนะนำสำหรับการเล่นระยะยาวหรือแข่งขันจริง https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/youtuber-gets-battlefield-6-running-on-12-year-old-amd-fx-9590-cpu-playable-at-40-fps-in-786p-with-an-rx-5700-gpu-experiment-reveals-only-secureboot-not-tpm-is-necessary-for-javelin-anti-cheat
    0 Comments 0 Shares 26 Views 0 Reviews
  • “Asus เปิดตัว ROG Matrix RTX 5090 พร้อมระบบตรวจจับการแอ่นการ์ดจอแม่นยำระดับ 0.10°!”

    ในยุคที่การ์ดจอแรงขึ้น ใหญ่ขึ้น และหนักขึ้นจนทำให้เกิดปัญหา “การ์ดจอแอ่น” หรือ GPU Sag — Asus ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่สุดล้ำใน ROG Matrix RTX 5090 ที่ชื่อว่า Level Sense ซึ่งสามารถตรวจจับการเอียงของการ์ดจอได้แม้เพียง 0.10 องศา! ฟีเจอร์นี้จะมาพร้อมกับซอฟต์แวร์ GPU Tweak รุ่นใหม่ และถือเป็นการยกระดับการดูแลรักษาฮาร์ดแวร์ของผู้ใช้อย่างแท้จริง

    Asus ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดเชิงลึกของระบบตรวจจับนี้ แต่คาดว่าจะใช้ accelerometer และ gyroscope ขนาดเล็กฝังอยู่บนตัวการ์ดจอ เพื่อวัดการเปลี่ยนแปลงของมุมการติดตั้งแบบเรียลไทม์ ซึ่งเป็นแนวคิดที่คล้ายกับเซ็นเซอร์ในสมาร์ตโฟน

    นอกจาก Level Sense แล้ว Asus ยังเพิ่มฟีเจอร์อื่นๆ ที่น่าสนใจใน GPU Tweak:
    Power Detector+: ตรวจสอบความผิดปกติของสายไฟ 12V-2x6 ที่มีประวัติละลายบ่อย
    Thermal Map: แสดงแผนที่อุณหภูมิจากหลายจุดบนการ์ดจอ
    Mileage: บันทึกข้อมูลการใช้งานของการ์ดจอ เช่น ชั่วโมงการทำงาน

    ฟีเจอร์ Level Sense ตรวจจับการแอ่นของการ์ดจอ
    ตรวจจับการเอียงได้แม่นยำถึง 0.10 องศา
    ใช้ร่วมกับซอฟต์แวร์ GPU Tweak รุ่นใหม่
    คาดว่าใช้ accelerometer และ gyroscope ฝังในตัวการ์ด

    การ์ดจอ ROG Matrix RTX 5090
    รุ่นเรือธงต่อจาก ROG Astral RTX 5090
    น้ำหนักคาดว่าใกล้เคียงกับ Astral ที่หนักถึง 3 กิโลกรัม
    มาพร้อมฟีเจอร์ระดับมืออาชีพสำหรับสายโอเวอร์คล็อก

    ฟีเจอร์เสริมใน GPU Tweak
    Power Detector+ ตรวจจับปัญหาสายไฟ 12V-2x6
    Thermal Map แสดงอุณหภูมิแบบละเอียด
    Mileage บันทึกชั่วโมงการใช้งานของการ์ด

    คำเตือนเกี่ยวกับการใช้งานการ์ดจอขนาดใหญ่
    แม้เมนบอร์ดรุ่นใหม่จะมีสล็อต PCIe เสริมความแข็งแรง แต่ไม่สามารถป้องกันการแอ่นได้ทั้งหมด
    การแอ่นของการ์ดอาจทำให้ขั้วต่อ PCIe เสื่อมสภาพหรือเสียหายระยะยาว
    ควรใช้ขาตั้งหรืออุปกรณ์พยุงการ์ดร่วมด้วย แม้จะมีระบบตรวจจับ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/asus-to-include-sag-detection-for-monstrous-new-rog-matrix-rtx-5090-gpu-level-sense-can-warn-users-of-a-mere-0-10-degree-shift
    🧲💡 “Asus เปิดตัว ROG Matrix RTX 5090 พร้อมระบบตรวจจับการแอ่นการ์ดจอแม่นยำระดับ 0.10°!” ในยุคที่การ์ดจอแรงขึ้น ใหญ่ขึ้น และหนักขึ้นจนทำให้เกิดปัญหา “การ์ดจอแอ่น” หรือ GPU Sag — Asus ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่สุดล้ำใน ROG Matrix RTX 5090 ที่ชื่อว่า Level Sense ซึ่งสามารถตรวจจับการเอียงของการ์ดจอได้แม้เพียง 0.10 องศา! ฟีเจอร์นี้จะมาพร้อมกับซอฟต์แวร์ GPU Tweak รุ่นใหม่ และถือเป็นการยกระดับการดูแลรักษาฮาร์ดแวร์ของผู้ใช้อย่างแท้จริง Asus ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดเชิงลึกของระบบตรวจจับนี้ แต่คาดว่าจะใช้ accelerometer และ gyroscope ขนาดเล็กฝังอยู่บนตัวการ์ดจอ เพื่อวัดการเปลี่ยนแปลงของมุมการติดตั้งแบบเรียลไทม์ ซึ่งเป็นแนวคิดที่คล้ายกับเซ็นเซอร์ในสมาร์ตโฟน นอกจาก Level Sense แล้ว Asus ยังเพิ่มฟีเจอร์อื่นๆ ที่น่าสนใจใน GPU Tweak: 💠 Power Detector+: ตรวจสอบความผิดปกติของสายไฟ 12V-2x6 ที่มีประวัติละลายบ่อย 💠 Thermal Map: แสดงแผนที่อุณหภูมิจากหลายจุดบนการ์ดจอ 💠 Mileage: บันทึกข้อมูลการใช้งานของการ์ดจอ เช่น ชั่วโมงการทำงาน ✅ ฟีเจอร์ Level Sense ตรวจจับการแอ่นของการ์ดจอ ➡️ ตรวจจับการเอียงได้แม่นยำถึง 0.10 องศา ➡️ ใช้ร่วมกับซอฟต์แวร์ GPU Tweak รุ่นใหม่ ➡️ คาดว่าใช้ accelerometer และ gyroscope ฝังในตัวการ์ด ✅ การ์ดจอ ROG Matrix RTX 5090 ➡️ รุ่นเรือธงต่อจาก ROG Astral RTX 5090 ➡️ น้ำหนักคาดว่าใกล้เคียงกับ Astral ที่หนักถึง 3 กิโลกรัม ➡️ มาพร้อมฟีเจอร์ระดับมืออาชีพสำหรับสายโอเวอร์คล็อก ✅ ฟีเจอร์เสริมใน GPU Tweak ➡️ Power Detector+ ตรวจจับปัญหาสายไฟ 12V-2x6 ➡️ Thermal Map แสดงอุณหภูมิแบบละเอียด ➡️ Mileage บันทึกชั่วโมงการใช้งานของการ์ด ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการใช้งานการ์ดจอขนาดใหญ่ ⛔ แม้เมนบอร์ดรุ่นใหม่จะมีสล็อต PCIe เสริมความแข็งแรง แต่ไม่สามารถป้องกันการแอ่นได้ทั้งหมด ⛔ การแอ่นของการ์ดอาจทำให้ขั้วต่อ PCIe เสื่อมสภาพหรือเสียหายระยะยาว ⛔ ควรใช้ขาตั้งหรืออุปกรณ์พยุงการ์ดร่วมด้วย แม้จะมีระบบตรวจจับ https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/asus-to-include-sag-detection-for-monstrous-new-rog-matrix-rtx-5090-gpu-level-sense-can-warn-users-of-a-mere-0-10-degree-shift
    0 Comments 0 Shares 29 Views 0 Reviews
  • 🛞 Substrate กับคำกล่าวอ้างปฏิวัติวงการชิป: นวัตกรรมหรือแค่ภาพลวงตา?

    สตาร์ทอัพชื่อ Substrate กำลังเป็นที่จับตามองในวงการเซมิคอนดักเตอร์ ด้วยคำกล่าวอ้างว่าจะใช้เทคโนโลยีใหม่ที่อาศัย “เครื่องเร่งอนุภาคและรังสีเอกซ์” แทนการใช้ EUV lithography แบบเดิมของ ASML เพื่อผลิตชิประดับแองสตรอมในราคาถูกเพียง $10,000 ต่อแผ่นเวเฟอร์ในโรงงานสหรัฐฯ แต่บทวิเคราะห์จาก Fox Chapel Research (FCR) ได้ตั้งคำถามอย่างหนักว่าแนวคิดนี้มีความเป็นไปได้จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียง “vaporware” ที่ขายฝัน

    เบื้องหลังที่น่าสงสัย
    ผู้ก่อตั้ง James และ Oliver Proud ไม่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    โครงการก่อนหน้าของ James คือ Sense sleep tracker ที่ถูกวิจารณ์ว่าไร้ประโยชน์และคล้ายกับการหลอกลวง
    ที่อยู่บริษัท Substrate ตรงกับบริษัท DC Fusion LLC ที่ไม่มีข้อมูลชัดเจน และดูเหมือนเป็นแค่ตู้ไปรษณีย์

    หลักฐานและภาพที่ไม่สอดคล้อง
    ภาพตัวอย่างจาก Substrate ถูกเปรียบเทียบกับของ ASML แล้วพบว่าเป็นเพียงลวดลายพื้นฐาน ไม่ใช่เทคโนโลยีขั้นสูง
    ห้องแล็บของ Substrate ไม่มีเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับการผลิตชิปหรือการเร่งอนุภาค
    ข้อมูลบนเว็บไซต์ของ Substrate ถูกวิจารณ์ว่า “คลุมเครือ” และ “ไม่มีเนื้อหา”

    คำกล่าวอ้างของ Substrate
    ใช้เครื่องเร่งอนุภาคและรังสีเอกซ์แทน EUV lithography
    อ้างว่าสามารถผลิตชิประดับแองสตรอมในราคาถูก
    ตั้งเป้าสร้างโรงงานผลิตชิปในสหรัฐฯ

    การตั้งคำถามจากนักวิเคราะห์
    FCR ชี้ว่าเทคโนโลยีของ Substrate ยังไม่มีหลักฐานรองรับ
    ผู้ก่อตั้งไม่มีประสบการณ์ในวงการ
    ภาพและข้อมูลที่เผยแพร่ไม่สอดคล้องกับคำกล่าวอ้าง

    ความเป็นไปได้ทางเทคนิค
    การใช้รังสีเอกซ์ในการผลิตชิปไม่ใช่แนวคิดใหม่
    มีการทดลองในห้องแล็บหลายแห่ง แต่ยังไม่สามารถผลิตระดับอุตสาหกรรม
    เทคโนโลยีนี้ต้องการความแม่นยำสูงและการลงทุนมหาศาล

    คำเตือนสำหรับนักลงทุนและผู้ติดตามเทคโนโลยี
    คำกล่าวอ้างที่ไม่มีหลักฐานรองรับอาจเป็นการหลอกลวง
    การลงทุนในเทคโนโลยีที่ยังไม่ผ่านการพิสูจน์มีความเสี่ยงสูง
    ควรตรวจสอบประวัติผู้ก่อตั้งและความโปร่งใสของบริษัทก่อนตัดสินใจ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/substrates-claims-about-revolutionary-asml-beating-chipmaking-technology-scrutinized-analyst-likens-the-venture-to-a-fraud-report-pokes-holes-in-the-startups-technology-messaging-and-leaders
    🛞 Substrate กับคำกล่าวอ้างปฏิวัติวงการชิป: นวัตกรรมหรือแค่ภาพลวงตา? ⚠️🔬 สตาร์ทอัพชื่อ Substrate กำลังเป็นที่จับตามองในวงการเซมิคอนดักเตอร์ ด้วยคำกล่าวอ้างว่าจะใช้เทคโนโลยีใหม่ที่อาศัย “เครื่องเร่งอนุภาคและรังสีเอกซ์” แทนการใช้ EUV lithography แบบเดิมของ ASML เพื่อผลิตชิประดับแองสตรอมในราคาถูกเพียง $10,000 ต่อแผ่นเวเฟอร์ในโรงงานสหรัฐฯ แต่บทวิเคราะห์จาก Fox Chapel Research (FCR) ได้ตั้งคำถามอย่างหนักว่าแนวคิดนี้มีความเป็นไปได้จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียง “vaporware” ที่ขายฝัน 🧨 เบื้องหลังที่น่าสงสัย 💠 ผู้ก่อตั้ง James และ Oliver Proud ไม่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ 💠 โครงการก่อนหน้าของ James คือ Sense sleep tracker ที่ถูกวิจารณ์ว่าไร้ประโยชน์และคล้ายกับการหลอกลวง 💠 ที่อยู่บริษัท Substrate ตรงกับบริษัท DC Fusion LLC ที่ไม่มีข้อมูลชัดเจน และดูเหมือนเป็นแค่ตู้ไปรษณีย์ 📷 หลักฐานและภาพที่ไม่สอดคล้อง ❓ ภาพตัวอย่างจาก Substrate ถูกเปรียบเทียบกับของ ASML แล้วพบว่าเป็นเพียงลวดลายพื้นฐาน ไม่ใช่เทคโนโลยีขั้นสูง ❓ ห้องแล็บของ Substrate ไม่มีเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับการผลิตชิปหรือการเร่งอนุภาค ❓ ข้อมูลบนเว็บไซต์ของ Substrate ถูกวิจารณ์ว่า “คลุมเครือ” และ “ไม่มีเนื้อหา” ✅ คำกล่าวอ้างของ Substrate ➡️ ใช้เครื่องเร่งอนุภาคและรังสีเอกซ์แทน EUV lithography ➡️ อ้างว่าสามารถผลิตชิประดับแองสตรอมในราคาถูก ➡️ ตั้งเป้าสร้างโรงงานผลิตชิปในสหรัฐฯ ✅ การตั้งคำถามจากนักวิเคราะห์ ➡️ FCR ชี้ว่าเทคโนโลยีของ Substrate ยังไม่มีหลักฐานรองรับ ➡️ ผู้ก่อตั้งไม่มีประสบการณ์ในวงการ ➡️ ภาพและข้อมูลที่เผยแพร่ไม่สอดคล้องกับคำกล่าวอ้าง ✅ ความเป็นไปได้ทางเทคนิค ➡️ การใช้รังสีเอกซ์ในการผลิตชิปไม่ใช่แนวคิดใหม่ ➡️ มีการทดลองในห้องแล็บหลายแห่ง แต่ยังไม่สามารถผลิตระดับอุตสาหกรรม ➡️ เทคโนโลยีนี้ต้องการความแม่นยำสูงและการลงทุนมหาศาล ‼️ คำเตือนสำหรับนักลงทุนและผู้ติดตามเทคโนโลยี ⛔ คำกล่าวอ้างที่ไม่มีหลักฐานรองรับอาจเป็นการหลอกลวง ⛔ การลงทุนในเทคโนโลยีที่ยังไม่ผ่านการพิสูจน์มีความเสี่ยงสูง ⛔ ควรตรวจสอบประวัติผู้ก่อตั้งและความโปร่งใสของบริษัทก่อนตัดสินใจ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/substrates-claims-about-revolutionary-asml-beating-chipmaking-technology-scrutinized-analyst-likens-the-venture-to-a-fraud-report-pokes-holes-in-the-startups-technology-messaging-and-leaders
    0 Comments 0 Shares 28 Views 0 Reviews
  • “จีนทุ่ม 14 ล้านดอลลาร์ผลิตควอตซ์สังเคราะห์ หวังหลุดพึ่งเหมืองเดียวในสหรัฐฯ ที่โลกต้องพึ่งพา”

    รู้หรือไม่ว่าโลกทั้งใบกำลังพึ่งพาเหมืองควอตซ์บริสุทธิ์เพียงแห่งเดียวในสหรัฐฯ สำหรับการผลิตชิป? เหมืองแห่งนี้ในรัฐนอร์ทแคโรไลนาเป็นแหล่งเดียวที่สามารถผลิตควอตซ์บริสุทธิ์ระดับสูงที่จำเป็นต่อการสร้าง “crucible” หรือเบ้าหลอมซิลิคอน และ “photomask” ที่ใช้ในกระบวนการลิโธกราฟีของการผลิตเซมิคอนดักเตอร์

    จีนมองเห็นจุดอ่อนนี้ และได้ตัดสินใจลงทุนกว่า 100 ล้านหยวน (ประมาณ 14 ล้านดอลลาร์) ผ่านกองทุน Big Fund III โดยตรงเข้าสู่บริษัท Nantong Crystal Co., Ltd. เพื่อเร่งการผลิตควอตซ์สังเคราะห์คุณภาพสูงในประเทศ หวังลดการพึ่งพาสหรัฐฯ และเสริมแกร่งอธิปไตยด้านเทคโนโลยี

    ควอตซ์: วัตถุดิบเล็กๆ ที่สำคัญยิ่งใหญ่
    ควอตซ์บริสุทธิ์ไม่ใช่แค่หินธรรมดา แต่เป็นหัวใจของการผลิตชิประดับสูง:
    ใช้ทำเบ้าหลอมซิลิคอนที่ต้องทนความร้อนสูงและไม่มีสิ่งเจือปน
    ใช้ทำ photomask ที่ต้องมีความใสและเสถียรสูงในการพิมพ์ลวดลายบนเวเฟอร์
    หากไม่มีควอตซ์บริสุทธิ์เหล่านี้ การผลิตชิปขั้นสูงจะเป็นไปไม่ได้เลย

    ความเคลื่อนไหวของจีน
    ลงทุน 100 ล้านหยวน (~14 ล้านดอลลาร์) ใน Nantong Crystal
    เงินทุนมาจาก SDIC Jixin ภายใต้ Big Fund III
    รัฐบาลจีนถือหุ้น 25% ในบริษัทนี้โดยตรง

    ความสำคัญของควอตซ์บริสุทธิ์
    ใช้ทำ crucible สำหรับหลอมซิลิคอน
    ใช้ทำ photomask สำหรับลิโธกราฟี
    ต้องมีความใสและทนความร้อนสูงมาก

    ความเสี่ยงของการพึ่งพาเหมืองเดียว
    เหมืองใน North Carolina เป็นแหล่งเดียวของควอตซ์บริสุทธิ์ระดับนี้
    หากสหรัฐฯ จำกัดการส่งออก อาจกระทบการผลิตชิปของจีน
    จีนจึงเร่งพัฒนาแหล่งผลิตในประเทศเพื่อความมั่นคง

    ความคืบหน้าของ Nantong Crystal
    เริ่มผลิตควอตซ์สังเคราะห์ได้บางส่วนแล้ว
    ยังต้องพึ่งพาการนำเข้าจากสหรัฐฯ อยู่มาก
    ต้องใช้เวลาอีกพอสมควรจึงจะพึ่งพาตนเองได้เต็มที่

    คำเตือนด้านความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน
    การพึ่งพาแหล่งวัตถุดิบเดียวเป็นความเสี่ยงระดับโลก
    ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ อาจกระทบอุตสาหกรรมชิปทั้งโลก
    การควบคุมการส่งออกวัตถุดิบสำคัญอาจกลายเป็นอาวุธทางเศรษฐกิจ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/the-world-is-overly-reliant-on-one-us-located-mine-for-critical-chipmaking-material-but-china-is-working-to-break-the-stranglehold-china-investing-over-usd14-million-in-synthetic-quartz-manufacturing-to-diversify-away-from-us-dependency
    🪨🔧 “จีนทุ่ม 14 ล้านดอลลาร์ผลิตควอตซ์สังเคราะห์ หวังหลุดพึ่งเหมืองเดียวในสหรัฐฯ ที่โลกต้องพึ่งพา” รู้หรือไม่ว่าโลกทั้งใบกำลังพึ่งพาเหมืองควอตซ์บริสุทธิ์เพียงแห่งเดียวในสหรัฐฯ สำหรับการผลิตชิป? เหมืองแห่งนี้ในรัฐนอร์ทแคโรไลนาเป็นแหล่งเดียวที่สามารถผลิตควอตซ์บริสุทธิ์ระดับสูงที่จำเป็นต่อการสร้าง “crucible” หรือเบ้าหลอมซิลิคอน และ “photomask” ที่ใช้ในกระบวนการลิโธกราฟีของการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ จีนมองเห็นจุดอ่อนนี้ และได้ตัดสินใจลงทุนกว่า 100 ล้านหยวน (ประมาณ 14 ล้านดอลลาร์) ผ่านกองทุน Big Fund III โดยตรงเข้าสู่บริษัท Nantong Crystal Co., Ltd. เพื่อเร่งการผลิตควอตซ์สังเคราะห์คุณภาพสูงในประเทศ หวังลดการพึ่งพาสหรัฐฯ และเสริมแกร่งอธิปไตยด้านเทคโนโลยี 🧪 ควอตซ์: วัตถุดิบเล็กๆ ที่สำคัญยิ่งใหญ่ ควอตซ์บริสุทธิ์ไม่ใช่แค่หินธรรมดา แต่เป็นหัวใจของการผลิตชิประดับสูง: 🎗️ ใช้ทำเบ้าหลอมซิลิคอนที่ต้องทนความร้อนสูงและไม่มีสิ่งเจือปน 🎗️ ใช้ทำ photomask ที่ต้องมีความใสและเสถียรสูงในการพิมพ์ลวดลายบนเวเฟอร์ 🎗️ หากไม่มีควอตซ์บริสุทธิ์เหล่านี้ การผลิตชิปขั้นสูงจะเป็นไปไม่ได้เลย ✅ ความเคลื่อนไหวของจีน ➡️ ลงทุน 100 ล้านหยวน (~14 ล้านดอลลาร์) ใน Nantong Crystal ➡️ เงินทุนมาจาก SDIC Jixin ภายใต้ Big Fund III ➡️ รัฐบาลจีนถือหุ้น 25% ในบริษัทนี้โดยตรง ✅ ความสำคัญของควอตซ์บริสุทธิ์ ➡️ ใช้ทำ crucible สำหรับหลอมซิลิคอน ➡️ ใช้ทำ photomask สำหรับลิโธกราฟี ➡️ ต้องมีความใสและทนความร้อนสูงมาก ✅ ความเสี่ยงของการพึ่งพาเหมืองเดียว ➡️ เหมืองใน North Carolina เป็นแหล่งเดียวของควอตซ์บริสุทธิ์ระดับนี้ ➡️ หากสหรัฐฯ จำกัดการส่งออก อาจกระทบการผลิตชิปของจีน ➡️ จีนจึงเร่งพัฒนาแหล่งผลิตในประเทศเพื่อความมั่นคง ✅ ความคืบหน้าของ Nantong Crystal ➡️ เริ่มผลิตควอตซ์สังเคราะห์ได้บางส่วนแล้ว ➡️ ยังต้องพึ่งพาการนำเข้าจากสหรัฐฯ อยู่มาก ➡️ ต้องใช้เวลาอีกพอสมควรจึงจะพึ่งพาตนเองได้เต็มที่ ‼️ คำเตือนด้านความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน ⛔ การพึ่งพาแหล่งวัตถุดิบเดียวเป็นความเสี่ยงระดับโลก ⛔ ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ อาจกระทบอุตสาหกรรมชิปทั้งโลก ⛔ การควบคุมการส่งออกวัตถุดิบสำคัญอาจกลายเป็นอาวุธทางเศรษฐกิจ https://www.tomshardware.com/tech-industry/the-world-is-overly-reliant-on-one-us-located-mine-for-critical-chipmaking-material-but-china-is-working-to-break-the-stranglehold-china-investing-over-usd14-million-in-synthetic-quartz-manufacturing-to-diversify-away-from-us-dependency
    0 Comments 0 Shares 32 Views 0 Reviews
  • “Nvidia ยังไม่ส่ง Blackwell GPU ไปจีน – ขึ้นอยู่กับการอนุมัติจากปักกิ่ง”

    Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ได้ออกมายืนยันว่า ไม่มีแผนจะส่งชิป Blackwell GPU ไปยังประเทศจีนในตอนนี้ โดยระบุว่า “ไม่มีการพูดคุยใดๆ เกิดขึ้น” และการตัดสินใจทั้งหมดขึ้นอยู่กับทางการจีนว่าจะอนุญาตให้ Nvidia กลับมาทำตลาดได้หรือไม่

    คำพูดนี้สอดคล้องกับท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ต้องการสงวนเทคโนโลยี AI ขั้นสูงไว้ใช้ภายในประเทศก่อน โดยอดีตประธานาธิบดี Trump และรัฐมนตรีการคลัง Scott Bessent ได้กล่าวว่า จีนจะสามารถเข้าถึงชิป Blackwell ได้ก็ต่อเมื่อมันล้าสมัยแล้ว 1–2 ปี

    ความซับซ้อนของเกมการค้า AI
    แม้จะไม่มีการส่งออกอย่างเป็นทางการ แต่มีรายงานว่า ชิป Blackwell ยังคงหลุดเข้าไปในจีนผ่านช่องทางลับ ขณะเดียวกัน Nvidia ก็พยายามพัฒนาเวอร์ชันเฉพาะสำหรับจีน เช่น รุ่น B30A ที่มีประสิทธิภาพลดลงจากรุ่นมาตรฐาน และต้องแบ่งรายได้ 15% ให้รัฐบาลสหรัฐฯ หากได้รับอนุญาตให้ขาย

    จีนเดินหน้าพึ่งพาตนเองด้าน AI
    Beijing ได้สั่งห้ามบริษัทในประเทศทำธุรกิจกับ Nvidia เพื่อผลักดันการใช้ชิปภายในประเทศ และสนับสนุนการพัฒนาโมเดล AI แบบโอเพ่นซอร์สของจีน ซึ่ง Huang ยอมรับว่า จีนมีนักวิจัย AI มากถึง 50% ของโลก และกำลังไล่ตามสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด

    Nvidia ยังไม่ส่ง Blackwell GPU ไปจีน
    Jensen Huang ยืนยันว่า “ไม่มีการพูดคุย” กับจีน
    การตัดสินใจขึ้นอยู่กับทางการจีนว่าจะอนุญาตหรือไม่
    สหรัฐฯ ต้องการสงวนเทคโนโลยีไว้ใช้ภายในก่อน

    ความพยายามของ Nvidia
    พัฒนา Blackwell รุ่นลดสเปกสำหรับจีน เช่น B30A
    หากขายได้ ต้องแบ่งรายได้ 15% ให้รัฐบาลสหรัฐฯ
    ต้องขอใบอนุญาตส่งออกก่อนทุกครั้ง

    ท่าทีของจีน
    สั่งห้ามบริษัทในประเทศทำธุรกิจกับ Nvidia
    ผลักดันการใช้ชิปและโมเดล AI ภายในประเทศ
    มีนักวิจัย AI มากถึง 50% ของโลก

    คำเตือนด้านความมั่นคงของเทคโนโลยี
    การควบคุมการส่งออกอาจกระทบห่วงโซ่ AI ทั่วโลก
    การพึ่งพาชิปจากต่างประเทศทำให้จีนเสี่ยงต่อการถูกจำกัด
    ช่องทางลับในการนำเข้าอาจละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/jensen-huang-confirms-there-are-no-plans-to-ship-blackwell-gpus-to-china-right-now-chipmaker-at-beijings-mercy-nvidia-ceo-says-shipments-havent-been-approved-by-chinese-authorities
    🧠🚫 “Nvidia ยังไม่ส่ง Blackwell GPU ไปจีน – ขึ้นอยู่กับการอนุมัติจากปักกิ่ง” Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ได้ออกมายืนยันว่า ไม่มีแผนจะส่งชิป Blackwell GPU ไปยังประเทศจีนในตอนนี้ โดยระบุว่า “ไม่มีการพูดคุยใดๆ เกิดขึ้น” และการตัดสินใจทั้งหมดขึ้นอยู่กับทางการจีนว่าจะอนุญาตให้ Nvidia กลับมาทำตลาดได้หรือไม่ คำพูดนี้สอดคล้องกับท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ต้องการสงวนเทคโนโลยี AI ขั้นสูงไว้ใช้ภายในประเทศก่อน โดยอดีตประธานาธิบดี Trump และรัฐมนตรีการคลัง Scott Bessent ได้กล่าวว่า จีนจะสามารถเข้าถึงชิป Blackwell ได้ก็ต่อเมื่อมันล้าสมัยแล้ว 1–2 ปี 🧩 ความซับซ้อนของเกมการค้า AI แม้จะไม่มีการส่งออกอย่างเป็นทางการ แต่มีรายงานว่า ชิป Blackwell ยังคงหลุดเข้าไปในจีนผ่านช่องทางลับ ขณะเดียวกัน Nvidia ก็พยายามพัฒนาเวอร์ชันเฉพาะสำหรับจีน เช่น รุ่น B30A ที่มีประสิทธิภาพลดลงจากรุ่นมาตรฐาน และต้องแบ่งรายได้ 15% ให้รัฐบาลสหรัฐฯ หากได้รับอนุญาตให้ขาย 🌏 จีนเดินหน้าพึ่งพาตนเองด้าน AI Beijing ได้สั่งห้ามบริษัทในประเทศทำธุรกิจกับ Nvidia เพื่อผลักดันการใช้ชิปภายในประเทศ และสนับสนุนการพัฒนาโมเดล AI แบบโอเพ่นซอร์สของจีน ซึ่ง Huang ยอมรับว่า จีนมีนักวิจัย AI มากถึง 50% ของโลก และกำลังไล่ตามสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด ✅ Nvidia ยังไม่ส่ง Blackwell GPU ไปจีน ➡️ Jensen Huang ยืนยันว่า “ไม่มีการพูดคุย” กับจีน ➡️ การตัดสินใจขึ้นอยู่กับทางการจีนว่าจะอนุญาตหรือไม่ ➡️ สหรัฐฯ ต้องการสงวนเทคโนโลยีไว้ใช้ภายในก่อน ✅ ความพยายามของ Nvidia ➡️ พัฒนา Blackwell รุ่นลดสเปกสำหรับจีน เช่น B30A ➡️ หากขายได้ ต้องแบ่งรายได้ 15% ให้รัฐบาลสหรัฐฯ ➡️ ต้องขอใบอนุญาตส่งออกก่อนทุกครั้ง ✅ ท่าทีของจีน ➡️ สั่งห้ามบริษัทในประเทศทำธุรกิจกับ Nvidia ➡️ ผลักดันการใช้ชิปและโมเดล AI ภายในประเทศ ➡️ มีนักวิจัย AI มากถึง 50% ของโลก ‼️ คำเตือนด้านความมั่นคงของเทคโนโลยี ⛔ การควบคุมการส่งออกอาจกระทบห่วงโซ่ AI ทั่วโลก ⛔ การพึ่งพาชิปจากต่างประเทศทำให้จีนเสี่ยงต่อการถูกจำกัด ⛔ ช่องทางลับในการนำเข้าอาจละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/jensen-huang-confirms-there-are-no-plans-to-ship-blackwell-gpus-to-china-right-now-chipmaker-at-beijings-mercy-nvidia-ceo-says-shipments-havent-been-approved-by-chinese-authorities
    0 Comments 0 Shares 39 Views 0 Reviews
  • Elon Musk เผยแผนสร้าง “TeraFab” โรงงานผลิตชิปขนาดยักษ์ของ Tesla – Jensen Huang เตือน “มันยากกว่าที่คิด”

    Elon Musk ประกาศว่า Tesla อาจต้องสร้างโรงงานผลิตชิปของตัวเองชื่อว่า TeraFab เพื่อรองรับความต้องการชิป AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล หลังจากโครงการ Dojo ถูกยกเลิก และ Tesla หันมาใช้ชิป AI5 ของตัวเองแทน GPU จาก Nvidia โดยตั้งเป้าให้ TeraFab มีขนาดใหญ่กว่า “Gigafab” ของ TSMC ซึ่งผลิตได้มากกว่า 100,000 wafer ต่อเดือน

    อย่างไรก็ตาม Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia เตือนว่า “การสร้างโรงงานผลิตชิปขั้นสูงนั้นยากมาก” ไม่ใช่แค่เรื่องการก่อสร้าง แต่รวมถึง วิศวกรรม วิทยาศาสตร์ และศิลปะของการผลิต ที่ต้องใช้ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญระดับสูง

    แผนการของ Tesla
    Elon Musk เผยว่าอาจต้องสร้าง “TeraFab” เพื่อผลิตชิป AI เอง
    เปรียบเทียบว่าใหญ่กว่า Gigafab ของ TSMC
    ต้องการรองรับความต้องการชิป AI5 สำหรับรถยนต์และหุ่นยนต์
    ปัจจุบันใช้ชิปจาก TSMC และ Samsung แต่ยังไม่พอ

    ความท้าทายในการสร้างโรงงานผลิตชิป
    Jensen Huang เตือนว่า “มันยากมาก”
    ไม่ใช่แค่การสร้างโรงงาน แต่รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต
    ต้องใช้เวลาหลายปีและทีมวิศวกรที่มีประสบการณ์สูง
    ตัวอย่างเช่น Rapidus ในญี่ปุ่นต้องใช้เงินกว่า $32 พันล้านเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี 2nm

    ความต้องการชิปของ Tesla
    Tesla มีซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ขนาดใหญ่
    ต้องการชิป AI5 สำหรับศูนย์ข้อมูล รถยนต์ และหุ่นยนต์
    แม้จะใช้ GPU ของ Nvidia อยู่ แต่ยังไม่เพียงพอในระยะยาว

    คำเตือนเกี่ยวกับการเข้าสู่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปต้องใช้เวลา 5 ปีขึ้นไป
    ต้องมีการวิจัยวัสดุ ทรานซิสเตอร์ และกระบวนการผลิตที่ซับซ้อน
    การรวมกระบวนการหลายร้อยขั้นตอนต้องการความแม่นยำระดับอะตอม
    การบรรลุผลผลิตสูงในระดับอุตสาหกรรมเป็นเรื่องยากมาก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/elon-musk-says-terafab-chip-fab-may-be-the-only-answer-to-teslas-colossal-ai-semiconductor-demand-nvidia-ceo-jensen-huang-warns-against-extremely-hard-challenge
    🏭⚠️ Elon Musk เผยแผนสร้าง “TeraFab” โรงงานผลิตชิปขนาดยักษ์ของ Tesla – Jensen Huang เตือน “มันยากกว่าที่คิด” Elon Musk ประกาศว่า Tesla อาจต้องสร้างโรงงานผลิตชิปของตัวเองชื่อว่า TeraFab เพื่อรองรับความต้องการชิป AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล หลังจากโครงการ Dojo ถูกยกเลิก และ Tesla หันมาใช้ชิป AI5 ของตัวเองแทน GPU จาก Nvidia โดยตั้งเป้าให้ TeraFab มีขนาดใหญ่กว่า “Gigafab” ของ TSMC ซึ่งผลิตได้มากกว่า 100,000 wafer ต่อเดือน อย่างไรก็ตาม Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia เตือนว่า “การสร้างโรงงานผลิตชิปขั้นสูงนั้นยากมาก” ไม่ใช่แค่เรื่องการก่อสร้าง แต่รวมถึง วิศวกรรม วิทยาศาสตร์ และศิลปะของการผลิต ที่ต้องใช้ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญระดับสูง ✅ แผนการของ Tesla ➡️ Elon Musk เผยว่าอาจต้องสร้าง “TeraFab” เพื่อผลิตชิป AI เอง ➡️ เปรียบเทียบว่าใหญ่กว่า Gigafab ของ TSMC ➡️ ต้องการรองรับความต้องการชิป AI5 สำหรับรถยนต์และหุ่นยนต์ ➡️ ปัจจุบันใช้ชิปจาก TSMC และ Samsung แต่ยังไม่พอ ✅ ความท้าทายในการสร้างโรงงานผลิตชิป ➡️ Jensen Huang เตือนว่า “มันยากมาก” ➡️ ไม่ใช่แค่การสร้างโรงงาน แต่รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต ➡️ ต้องใช้เวลาหลายปีและทีมวิศวกรที่มีประสบการณ์สูง ➡️ ตัวอย่างเช่น Rapidus ในญี่ปุ่นต้องใช้เงินกว่า $32 พันล้านเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี 2nm ✅ ความต้องการชิปของ Tesla ➡️ Tesla มีซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ขนาดใหญ่ ➡️ ต้องการชิป AI5 สำหรับศูนย์ข้อมูล รถยนต์ และหุ่นยนต์ ➡️ แม้จะใช้ GPU ของ Nvidia อยู่ แต่ยังไม่เพียงพอในระยะยาว ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการเข้าสู่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ⛔ การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปต้องใช้เวลา 5 ปีขึ้นไป ⛔ ต้องมีการวิจัยวัสดุ ทรานซิสเตอร์ และกระบวนการผลิตที่ซับซ้อน ⛔ การรวมกระบวนการหลายร้อยขั้นตอนต้องการความแม่นยำระดับอะตอม ⛔ การบรรลุผลผลิตสูงในระดับอุตสาหกรรมเป็นเรื่องยากมาก https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/elon-musk-says-terafab-chip-fab-may-be-the-only-answer-to-teslas-colossal-ai-semiconductor-demand-nvidia-ceo-jensen-huang-warns-against-extremely-hard-challenge
    0 Comments 0 Shares 36 Views 0 Reviews
  • “จีนระงับมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก 1 ปี – เปิดทางเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ”

    รัฐบาลจีนประกาศระงับการบังคับใช้มาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากที่เคยประกาศไว้เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยให้เวลาผ่อนผัน 1 ปี เพื่อเปิดโอกาสให้การเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น

    มาตรการเดิมครอบคลุมทั้งแร่หายากที่ผลิตในจีน และเทคโนโลยีที่มีส่วนประกอบของแร่เหล่านี้เกิน 0.1% ของมูลค่ารวม ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่พึ่งพาแร่หายากจากจีนในหลายกระบวนการผลิต

    เบื้องหลังการตัดสินใจ
    การระงับมาตรการนี้เกิดขึ้นหลังจากการประชุมลับระหว่างประธานาธิบดี Donald Trump และประธานาธิบดี Xi Jinping ที่เมืองปูซาน ระหว่างการประชุม APEC 2025 ซึ่งทั้งสองฝ่ายตกลงกันในเรื่องการพักรบทางภาษี และเปิดทางให้การเจรจาเชิงเทคนิคดำเนินต่อไปโดยไม่ถูกกดดันจากระดับผู้นำ

    ความสำคัญของแร่หายากในอุตสาหกรรมชิป
    ใช้ในการผลิตแม่เหล็กถาวรสำหรับมอเตอร์ไฟฟ้าและฮาร์ดดิสก์
    เป็นส่วนประกอบสำคัญในเลเซอร์และอุปกรณ์ออปติก
    จำเป็นต่อการผลิตชิป AI และอุปกรณ์สื่อสารขั้นสูง

    จีนระงับมาตรการควบคุมแร่หายาก
    ระงับการบังคับใช้เป็นเวลา 1 ปี
    ครอบคลุมแร่หายากและเทคโนโลยีที่มีส่วนประกอบเกิน 0.1%
    ช่วยให้บริษัทต่างๆ มีเวลาสำรองวัตถุดิบและหาทางเลือกใหม่

    การเจรจาการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ
    เกิดขึ้นหลังการประชุม APEC 2025 ที่ปูซาน
    Trump ขู่ขึ้นภาษีนำเข้า 100% และแบนซอฟต์แวร์สำคัญ
    การระงับช่วยลดแรงกดดันในการเจรจา

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี
    Nvidia ยังไม่สามารถส่งชิป Blackwell ไปจีนได้
    จีนแบนบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ไม่ให้ซื้อ GPU จาก Nvidia
    ตลาดจีนของ Nvidia ลดลงจาก 95% เหลือเกือบ 0%

    คำเตือนด้านความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน
    การพึ่งพาแร่หายากจากจีนเป็นจุดอ่อนของสหรัฐฯ
    หากจีนกลับมาใช้มาตรการควบคุมอีกครั้ง อุตสาหกรรมชิปทั่วโลกจะได้รับผลกระทบ
    การแบนซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์อาจนำไปสู่การแบ่งขั้วเทคโนโลยีระหว่างประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/china-suspends-rare-earth-export-control-measures-easing-key-flashpoint-in-us-china-trade-war-one-year-reprieve-allows-for-trade-talks-with-the-u-s-to-continue
    🌏🧲 “จีนระงับมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายาก 1 ปี – เปิดทางเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ” รัฐบาลจีนประกาศระงับการบังคับใช้มาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากที่เคยประกาศไว้เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยให้เวลาผ่อนผัน 1 ปี เพื่อเปิดโอกาสให้การเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น มาตรการเดิมครอบคลุมทั้งแร่หายากที่ผลิตในจีน และเทคโนโลยีที่มีส่วนประกอบของแร่เหล่านี้เกิน 0.1% ของมูลค่ารวม ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่พึ่งพาแร่หายากจากจีนในหลายกระบวนการผลิต 🤝 เบื้องหลังการตัดสินใจ การระงับมาตรการนี้เกิดขึ้นหลังจากการประชุมลับระหว่างประธานาธิบดี Donald Trump และประธานาธิบดี Xi Jinping ที่เมืองปูซาน ระหว่างการประชุม APEC 2025 ซึ่งทั้งสองฝ่ายตกลงกันในเรื่องการพักรบทางภาษี และเปิดทางให้การเจรจาเชิงเทคนิคดำเนินต่อไปโดยไม่ถูกกดดันจากระดับผู้นำ 🧠 ความสำคัญของแร่หายากในอุตสาหกรรมชิป 🔖 ใช้ในการผลิตแม่เหล็กถาวรสำหรับมอเตอร์ไฟฟ้าและฮาร์ดดิสก์ 🔖 เป็นส่วนประกอบสำคัญในเลเซอร์และอุปกรณ์ออปติก 🔖 จำเป็นต่อการผลิตชิป AI และอุปกรณ์สื่อสารขั้นสูง ✅ จีนระงับมาตรการควบคุมแร่หายาก ➡️ ระงับการบังคับใช้เป็นเวลา 1 ปี ➡️ ครอบคลุมแร่หายากและเทคโนโลยีที่มีส่วนประกอบเกิน 0.1% ➡️ ช่วยให้บริษัทต่างๆ มีเวลาสำรองวัตถุดิบและหาทางเลือกใหม่ ✅ การเจรจาการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ➡️ เกิดขึ้นหลังการประชุม APEC 2025 ที่ปูซาน ➡️ Trump ขู่ขึ้นภาษีนำเข้า 100% และแบนซอฟต์แวร์สำคัญ ➡️ การระงับช่วยลดแรงกดดันในการเจรจา ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี ➡️ Nvidia ยังไม่สามารถส่งชิป Blackwell ไปจีนได้ ➡️ จีนแบนบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ไม่ให้ซื้อ GPU จาก Nvidia ➡️ ตลาดจีนของ Nvidia ลดลงจาก 95% เหลือเกือบ 0% ‼️ คำเตือนด้านความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน ⛔ การพึ่งพาแร่หายากจากจีนเป็นจุดอ่อนของสหรัฐฯ ⛔ หากจีนกลับมาใช้มาตรการควบคุมอีกครั้ง อุตสาหกรรมชิปทั่วโลกจะได้รับผลกระทบ ⛔ การแบนซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์อาจนำไปสู่การแบ่งขั้วเทคโนโลยีระหว่างประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/china-suspends-rare-earth-export-control-measures-easing-key-flashpoint-in-us-china-trade-war-one-year-reprieve-allows-for-trade-talks-with-the-u-s-to-continue
    0 Comments 0 Shares 40 Views 0 Reviews
  • Nvidia อาจยกเลิก RTX 5000 Super เพราะชิป GDDR7 ขาดแคลน – AI แย่งทรัพยากรไปหมด

    ข่าวลือจาก Uniko's Hardware เผยว่า Nvidia อาจต้องยกเลิกการเปิดตัวการ์ดจอ RTX 5000 Super เนื่องจากชิปหน่วยความจำ GDDR7 ขนาด 3GB ที่จำเป็นสำหรับรุ่นนี้กำลังขาดแคลนอย่างหนัก เพราะถูกแย่งใช้ไปกับการผลิตฮาร์ดแวร์ AI ที่ให้ผลกำไรมากกว่า เช่น RTX Pro 6000 และ Blackwell GPU ทำให้ Nvidia อาจเลือกเก็บชิปไว้ใช้กับรุ่นระดับมืออาชีพแทน

    เบื้องหลังปัญหาชิป GDDR7
    การ์ดจอ RTX 50-series ปัจจุบันใช้ชิป GDDR7 ขนาด 2GB แต่รุ่น Super ต้องใช้ 3GB
    โรงงานผลิตของ Samsung และ Micron ถูกแย่งกำลังการผลิตไปใช้กับชิป AI
    แม้ GDDR7 จะยังอยู่ในช่วงเพิ่มกำลังผลิต แต่ความต้องการจากฝั่ง AI ทำให้ไม่มีเหลือสำหรับตลาดผู้บริโภค

    สถานการณ์ของ RTX 5000 Super
    อาจถูกยกเลิกหรือเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด
    เหตุผลหลักคือขาดแคลนชิป GDDR7 ขนาด 3GB
    Nvidia อาจเลือกใช้ชิปที่มีอยู่กับรุ่นที่ทำกำไรสูงกว่า

    ผลกระทบจากตลาด AI
    ฮาร์ดแวร์ AI เช่น RTX Pro 6000 และ Blackwell GPU แย่งชิปไปใช้
    โรงงานผลิตชิปเน้นผลิต HBM มากกว่า GDDR7 เพราะกำไรสูง
    การ์ดจอสำหรับเกมเมอร์จึงถูกลดความสำคัญลง

    ความเคลื่อนไหวของ Nvidia
    ยังไม่มีการประกาศ RTX 5000 Super อย่างเป็นทางการ
    รุ่น Super เดิมถูกคาดว่าจะมาแทน 5070, 5070 Ti และ 5080
    หากเปิดตัวจริง อาจมีราคาสูงและสินค้าหมดเร็ว

    คำเตือนสำหรับผู้ที่รอซื้อการ์ดจอใหม่
    ราคาของ RTX 50-series ปัจจุบันอาจเพิ่มขึ้นเร็วๆ นี้
    สต็อกของรุ่นสูงกำลังลดลงในยุโรปและอเมริกา
    หากรอรุ่น Super อาจต้องเผื่อใจว่าอาจไม่มา หรือมาในราคาสูงมาก

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidias-rtx-5000-super-could-be-cancelled-or-get-pricier-due-to-ai-induced-gddr7-woes-rumor-claims-3-gb-memory-chips-are-now-too-valuable-for-consumer-gpus
    💥📉 Nvidia อาจยกเลิก RTX 5000 Super เพราะชิป GDDR7 ขาดแคลน – AI แย่งทรัพยากรไปหมด ข่าวลือจาก Uniko's Hardware เผยว่า Nvidia อาจต้องยกเลิกการเปิดตัวการ์ดจอ RTX 5000 Super เนื่องจากชิปหน่วยความจำ GDDR7 ขนาด 3GB ที่จำเป็นสำหรับรุ่นนี้กำลังขาดแคลนอย่างหนัก เพราะถูกแย่งใช้ไปกับการผลิตฮาร์ดแวร์ AI ที่ให้ผลกำไรมากกว่า เช่น RTX Pro 6000 และ Blackwell GPU ทำให้ Nvidia อาจเลือกเก็บชิปไว้ใช้กับรุ่นระดับมืออาชีพแทน 🧠 เบื้องหลังปัญหาชิป GDDR7 💠 การ์ดจอ RTX 50-series ปัจจุบันใช้ชิป GDDR7 ขนาด 2GB แต่รุ่น Super ต้องใช้ 3GB 💠 โรงงานผลิตของ Samsung และ Micron ถูกแย่งกำลังการผลิตไปใช้กับชิป AI 💠 แม้ GDDR7 จะยังอยู่ในช่วงเพิ่มกำลังผลิต แต่ความต้องการจากฝั่ง AI ทำให้ไม่มีเหลือสำหรับตลาดผู้บริโภค ✅ สถานการณ์ของ RTX 5000 Super ➡️ อาจถูกยกเลิกหรือเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด ➡️ เหตุผลหลักคือขาดแคลนชิป GDDR7 ขนาด 3GB ➡️ Nvidia อาจเลือกใช้ชิปที่มีอยู่กับรุ่นที่ทำกำไรสูงกว่า ✅ ผลกระทบจากตลาด AI ➡️ ฮาร์ดแวร์ AI เช่น RTX Pro 6000 และ Blackwell GPU แย่งชิปไปใช้ ➡️ โรงงานผลิตชิปเน้นผลิต HBM มากกว่า GDDR7 เพราะกำไรสูง ➡️ การ์ดจอสำหรับเกมเมอร์จึงถูกลดความสำคัญลง ✅ ความเคลื่อนไหวของ Nvidia ➡️ ยังไม่มีการประกาศ RTX 5000 Super อย่างเป็นทางการ ➡️ รุ่น Super เดิมถูกคาดว่าจะมาแทน 5070, 5070 Ti และ 5080 ➡️ หากเปิดตัวจริง อาจมีราคาสูงและสินค้าหมดเร็ว ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ที่รอซื้อการ์ดจอใหม่ ⛔ ราคาของ RTX 50-series ปัจจุบันอาจเพิ่มขึ้นเร็วๆ นี้ ⛔ สต็อกของรุ่นสูงกำลังลดลงในยุโรปและอเมริกา ⛔ หากรอรุ่น Super อาจต้องเผื่อใจว่าอาจไม่มา หรือมาในราคาสูงมาก https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidias-rtx-5000-super-could-be-cancelled-or-get-pricier-due-to-ai-induced-gddr7-woes-rumor-claims-3-gb-memory-chips-are-now-too-valuable-for-consumer-gpus
    0 Comments 0 Shares 30 Views 0 Reviews
  • “ผู้บริหาร AI ฝ่ายดาต้าเซ็นเตอร์ของ Intel ย้ายไป AMD – สะท้อนการเปลี่ยนขั้วในสงครามชิปสมองกล”

    Saurabh Kulkarni รองประธานฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์ AI ดาต้าเซ็นเตอร์ของ Intel เตรียมย้ายไปทำงานกับ AMD โดยมีรายงานว่า วันสุดท้ายของเขาที่ Intel คือวันศุกร์นี้ และจะถูกแทนที่โดย Anil Nanduri รองประธานฝ่าย Go-To-Market ด้าน AI ซึ่งจะเข้ามาดูแลการจัดการผลิตภัณฑ์ AI แทน

    Kulkarni เคยมีบทบาทสำคัญในการวางกลยุทธ์ระบบ AI ของ Intel ภายใต้ CTO และ Chief AI Officer Sachin Katti โดยเน้นการพัฒนา GPU และระบบ interconnect แบบ silicon photonics เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขยายระบบ AI ขนาดใหญ่ในดาต้าเซ็นเตอร์

    การย้ายครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ AMD กำลังเร่งขยายตลาด AI ด้วย Instinct GPU และดีลใหญ่กับ OpenAI โดยตั้งเป้ารายได้จาก AI accelerator สูงถึง หลายหมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี 2027

    การเปลี่ยนแปลงในทีม AI ของ Intel
    Saurabh Kulkarni ลาออกจากตำแหน่ง VP ด้าน AI Product Management
    Anil Nanduri จะเข้ามารับหน้าที่แทน
    Kulkarni เคยดูแล GPU, ระบบ AI และ silicon design

    ประวัติของ Kulkarni
    เคยทำงานที่ Graphcore และ Lucata
    เคยเป็นหัวหน้าวิศวกรด้านคลาวด์และ AI ที่ Microsoft Azure
    มีบทบาทสำคัญในการวางกลยุทธ์ AI ของ Intel

    ความเคลื่อนไหวของ AMD
    กำลังเร่งขยายตลาด AI ด้วย Instinct GPU
    ได้ดีลใหญ่กับ OpenAI
    ตั้งเป้ารายได้จาก AI accelerator หลายหมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี 2027

    สถานการณ์ภายใน Intel
    รายได้จาก Gaudi accelerator ต่ำกว่าคาด
    มีการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่
    วิศวกรระดับสูงหลายคนลาออก เช่น Ronak Singhal และ Rob Bruckner

    คำเตือนด้านการเปลี่ยนขั้วในอุตสาหกรรม
    การสูญเสียบุคลากรระดับสูงอาจกระทบต่อความต่อเนื่องของกลยุทธ์
    การปรับโครงสร้างองค์กรอาจทำให้เกิดความไม่แน่นอนภายใน
    การแข่งขันด้าน AI ระหว่าง Intel และ AMD กำลังทวีความรุนแรง

    https://www.techpowerup.com/342719/intel-data-center-ai-executive-reportedly-departs-for-amd
    🔄🧠 “ผู้บริหาร AI ฝ่ายดาต้าเซ็นเตอร์ของ Intel ย้ายไป AMD – สะท้อนการเปลี่ยนขั้วในสงครามชิปสมองกล” Saurabh Kulkarni รองประธานฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์ AI ดาต้าเซ็นเตอร์ของ Intel เตรียมย้ายไปทำงานกับ AMD โดยมีรายงานว่า วันสุดท้ายของเขาที่ Intel คือวันศุกร์นี้ และจะถูกแทนที่โดย Anil Nanduri รองประธานฝ่าย Go-To-Market ด้าน AI ซึ่งจะเข้ามาดูแลการจัดการผลิตภัณฑ์ AI แทน Kulkarni เคยมีบทบาทสำคัญในการวางกลยุทธ์ระบบ AI ของ Intel ภายใต้ CTO และ Chief AI Officer Sachin Katti โดยเน้นการพัฒนา GPU และระบบ interconnect แบบ silicon photonics เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขยายระบบ AI ขนาดใหญ่ในดาต้าเซ็นเตอร์ การย้ายครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ AMD กำลังเร่งขยายตลาด AI ด้วย Instinct GPU และดีลใหญ่กับ OpenAI โดยตั้งเป้ารายได้จาก AI accelerator สูงถึง หลายหมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี 2027 ✅ การเปลี่ยนแปลงในทีม AI ของ Intel ➡️ Saurabh Kulkarni ลาออกจากตำแหน่ง VP ด้าน AI Product Management ➡️ Anil Nanduri จะเข้ามารับหน้าที่แทน ➡️ Kulkarni เคยดูแล GPU, ระบบ AI และ silicon design ✅ ประวัติของ Kulkarni ➡️ เคยทำงานที่ Graphcore และ Lucata ➡️ เคยเป็นหัวหน้าวิศวกรด้านคลาวด์และ AI ที่ Microsoft Azure ➡️ มีบทบาทสำคัญในการวางกลยุทธ์ AI ของ Intel ✅ ความเคลื่อนไหวของ AMD ➡️ กำลังเร่งขยายตลาด AI ด้วย Instinct GPU ➡️ ได้ดีลใหญ่กับ OpenAI ➡️ ตั้งเป้ารายได้จาก AI accelerator หลายหมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี 2027 ✅ สถานการณ์ภายใน Intel ➡️ รายได้จาก Gaudi accelerator ต่ำกว่าคาด ➡️ มีการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ ➡️ วิศวกรระดับสูงหลายคนลาออก เช่น Ronak Singhal และ Rob Bruckner ‼️ คำเตือนด้านการเปลี่ยนขั้วในอุตสาหกรรม ⛔ การสูญเสียบุคลากรระดับสูงอาจกระทบต่อความต่อเนื่องของกลยุทธ์ ⛔ การปรับโครงสร้างองค์กรอาจทำให้เกิดความไม่แน่นอนภายใน ⛔ การแข่งขันด้าน AI ระหว่าง Intel และ AMD กำลังทวีความรุนแรง https://www.techpowerup.com/342719/intel-data-center-ai-executive-reportedly-departs-for-amd
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Intel Data Center AI Executive Reportedly Departs for AMD
    Intel is losing another senior figure from its data center and AI business, with Saurabh Kulkarni, Vice President of Data Center AI Product Management, set to depart for AMD. Kulkarni's last day at Intel is reportedly Friday, with Anil Nanduri, VP of AI Go-To-Market, stepping in to lead the AI produ...
    0 Comments 0 Shares 41 Views 0 Reviews
  • Samsung Galaxy S27 Ultra อาจใช้ระบบสแกนใบหน้าแบบใหม่ “Polar ID” ไม่ต้องพึ่งกล้องอินฟราเรดอีกต่อไป

    Samsung กำลังพัฒนาเทคโนโลยีสแกนใบหน้าใหม่สำหรับ Galaxy S27 Ultra ที่เรียกว่า Polar ID v1.0 ซึ่งใช้แสงโพลาไรซ์แทนกล้องอินฟราเรดแบบเดิม โดยมีการอ้างอิงจากเฟิร์มแวร์ทดสอบและล็อกภายในที่หลุดออกมา ระบุว่าโมดูลใหม่นี้เชื่อมโยงกับเซ็นเซอร์หน้า ISOCELL Vizion และระบบความปลอดภัย BIO-Fusion Core ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความแม่นยำและความปลอดภัยในการปลดล็อก

    เทคโนโลยี Polar ID คืออะไร?
    ใช้แสงโพลาไรซ์ในการตรวจจับลักษณะเฉพาะของใบหน้า
    ไม่ต้องใช้ฮาร์ดแวร์อินฟราเรดขนาดใหญ่เหมือน Face ID ของ Apple
    มีความเร็วในการปลดล็อกประมาณ 180 มิลลิวินาที
    ป้องกันการปลอมแปลงได้ดีกว่าการสแกนใบหน้าแบบ 2D ทั่วไป

    เทคโนโลยีใหม่ใน Galaxy S27 Ultra
    Polar ID v1.0 ใช้แสงโพลาไรซ์แทนกล้อง IR
    เชื่อมโยงกับเซ็นเซอร์ ISOCELL Vizion และ BIO-Fusion Core
    ปลดล็อกได้เร็ว 180ms และปลอดภัยกว่าการสแกนแบบเดิม

    ข้อดีของการไม่ใช้กล้องอินฟราเรด
    ลดต้นทุนและขนาดฮาร์ดแวร์
    เพิ่มพื้นที่ให้กับฟีเจอร์อื่นบนหน้าจอ
    ลดการใช้พลังงานและความร้อนจากโมดูล IR

    ความคืบหน้าของ Galaxy S27 Ultra
    ยังอยู่ในช่วงต้นของการพัฒนาเฟิร์มแวร์
    คาดว่าจะเปิดตัวต้นปี 2027
    เป็นครั้งแรกที่ Samsung พัฒนาเทคโนโลยีสแกนใบหน้าแบบใหม่โดยไม่พึ่ง IR

    คำเตือนด้านความแม่นยำและความปลอดภัย
    เทคโนโลยีใหม่ยังไม่ผ่านการทดสอบในสถานการณ์จริง
    อาจมีข้อจำกัดในการใช้งานในที่แสงน้อยหรือแสงจ้า
    ต้องรอการยืนยันจาก Samsung ว่าจะใช้จริงในรุ่นวางจำหน่าย

    https://wccftech.com/samsung-galaxy-s27-ultra-might-adopt-a-new-face-authentication-mechanism/
    🔐📱 Samsung Galaxy S27 Ultra อาจใช้ระบบสแกนใบหน้าแบบใหม่ “Polar ID” ไม่ต้องพึ่งกล้องอินฟราเรดอีกต่อไป Samsung กำลังพัฒนาเทคโนโลยีสแกนใบหน้าใหม่สำหรับ Galaxy S27 Ultra ที่เรียกว่า Polar ID v1.0 ซึ่งใช้แสงโพลาไรซ์แทนกล้องอินฟราเรดแบบเดิม โดยมีการอ้างอิงจากเฟิร์มแวร์ทดสอบและล็อกภายในที่หลุดออกมา ระบุว่าโมดูลใหม่นี้เชื่อมโยงกับเซ็นเซอร์หน้า ISOCELL Vizion และระบบความปลอดภัย BIO-Fusion Core ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความแม่นยำและความปลอดภัยในการปลดล็อก 🧠 เทคโนโลยี Polar ID คืออะไร? 🎗️ ใช้แสงโพลาไรซ์ในการตรวจจับลักษณะเฉพาะของใบหน้า 🎗️ ไม่ต้องใช้ฮาร์ดแวร์อินฟราเรดขนาดใหญ่เหมือน Face ID ของ Apple 🎗️ มีความเร็วในการปลดล็อกประมาณ 180 มิลลิวินาที 🎗️ ป้องกันการปลอมแปลงได้ดีกว่าการสแกนใบหน้าแบบ 2D ทั่วไป ✅ เทคโนโลยีใหม่ใน Galaxy S27 Ultra ➡️ Polar ID v1.0 ใช้แสงโพลาไรซ์แทนกล้อง IR ➡️ เชื่อมโยงกับเซ็นเซอร์ ISOCELL Vizion และ BIO-Fusion Core ➡️ ปลดล็อกได้เร็ว 180ms และปลอดภัยกว่าการสแกนแบบเดิม ✅ ข้อดีของการไม่ใช้กล้องอินฟราเรด ➡️ ลดต้นทุนและขนาดฮาร์ดแวร์ ➡️ เพิ่มพื้นที่ให้กับฟีเจอร์อื่นบนหน้าจอ ➡️ ลดการใช้พลังงานและความร้อนจากโมดูล IR ✅ ความคืบหน้าของ Galaxy S27 Ultra ➡️ ยังอยู่ในช่วงต้นของการพัฒนาเฟิร์มแวร์ ➡️ คาดว่าจะเปิดตัวต้นปี 2027 ➡️ เป็นครั้งแรกที่ Samsung พัฒนาเทคโนโลยีสแกนใบหน้าแบบใหม่โดยไม่พึ่ง IR ‼️ คำเตือนด้านความแม่นยำและความปลอดภัย ⛔ เทคโนโลยีใหม่ยังไม่ผ่านการทดสอบในสถานการณ์จริง ⛔ อาจมีข้อจำกัดในการใช้งานในที่แสงน้อยหรือแสงจ้า ⛔ ต้องรอการยืนยันจาก Samsung ว่าจะใช้จริงในรุ่นวางจำหน่าย https://wccftech.com/samsung-galaxy-s27-ultra-might-adopt-a-new-face-authentication-mechanism/
    WCCFTECH.COM
    Samsung Galaxy S27 Ultra Might Adopt A New Face Authentication Mechanism
    The Samsung Galaxy S27 Ultra might sport a serious face authentication mechanism without having to resort to 3D scan-enabling IR hardware.
    0 Comments 0 Shares 39 Views 0 Reviews
  • กรีฑาอาวุโสชิงแชมป์เอเชีย 08/11/68 #กรีฑาอาวุโส #ชิงแชมป์เอเชีย #นักกีฬาไทย #ตาสว่าง
    กรีฑาอาวุโสชิงแชมป์เอเชีย 08/11/68 #กรีฑาอาวุโส #ชิงแชมป์เอเชีย #นักกีฬาไทย #ตาสว่าง
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 77 Views 0 0 Reviews
  • AYANEO NEXT 2 เปิดตัวแล้ว! เครื่องเกมพกพา Windows สเปกแรงระดับพีซี พร้อม Ryzen AI Max+ 395

    AYANEO เปิดตัวเครื่องเกมพกพารุ่นใหม่ล่าสุด NEXT 2 ที่มาพร้อมขุมพลัง Ryzen AI Max+ 395 ซึ่งเป็น APU ระดับสูงจาก AMD ที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 และกราฟิก RDNA 3.5 รุ่น Radeon 8060S ให้ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ RTX 4060 ในเครื่องพีซี! นี่คือเครื่องที่สามในตลาดที่ใช้ชิปนี้ ต่อจาก GPD และ OneXPlayer

    จุดเด่นของ AYANEO NEXT 2
    ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows เต็มรูปแบบ
    รองรับ TMR Joysticks ขนาดใหญ่ และ Dual-Mode Triggers ที่ปรับได้ระหว่าง hair trigger และ Hall Effect
    ดีไซน์คล้าย Xbox controller พร้อมปุ่ม ABXY, D-Pad แบบวงกลม และปุ่มเสริม
    ระบบระบายความร้อนแบบ พัดลมคู่
    แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ (built-in) ไม่สามารถถอดเปลี่ยนได้
    หน้าจอ “Top-tier” แต่ยังไม่เปิดเผยขนาด, ความละเอียด, รีเฟรชเรต หรือชนิดพาเนล

    สเปกหลักของ AYANEO NEXT 2
    ใช้ Ryzen AI Max+ 395 (16-core/32-thread)
    กราฟิก Radeon 8060S iGPU (RDNA 3.5)
    ประสิทธิภาพใกล้เคียง RTX 4060
    คาดว่าเริ่มต้นที่ 32GB RAM / 1TB SSD

    ระบบควบคุมและดีไซน์
    TMR Joysticks ขนาดใหญ่
    Dual-Mode Triggers ปรับได้
    Layout คล้าย Xbox controller

    ระบบระบายความร้อนและแบตเตอรี่
    ใช้พัดลมคู่เพื่อจัดการความร้อน
    แบตเตอรี่ built-in ขนาดใหญ่
    ไม่สามารถถอดเปลี่ยนได้เหมือน GPD Win 5

    สถานะการเปิดตัว
    ยังไม่เปิดเผยราคาและวันวางจำหน่าย
    คาดว่าจะอยู่ในช่วง $1500+
    เป็นรุ่นที่สามในตลาดที่ใช้ Ryzen AI Max+ 395

    คำเตือนสำหรับผู้สนใจ
    ยังไม่มีข้อมูลเรื่องหน้าจอ เช่น ขนาด, รีเฟรชเรต, ความละเอียด
    ไม่สามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ อาจกระทบการใช้งานระยะยาว
    ราคาอาจสูงเกิน $1500 ซึ่งต้องพิจารณาคุ้มค่าต่อการใช้งาน

    https://wccftech.com/ayaneo-launches-next-2-a-powerful-windows-handheld-featuring-ryzen-ai-max-395/
    🎮⚡ AYANEO NEXT 2 เปิดตัวแล้ว! เครื่องเกมพกพา Windows สเปกแรงระดับพีซี พร้อม Ryzen AI Max+ 395 AYANEO เปิดตัวเครื่องเกมพกพารุ่นใหม่ล่าสุด NEXT 2 ที่มาพร้อมขุมพลัง Ryzen AI Max+ 395 ซึ่งเป็น APU ระดับสูงจาก AMD ที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 และกราฟิก RDNA 3.5 รุ่น Radeon 8060S ให้ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ RTX 4060 ในเครื่องพีซี! นี่คือเครื่องที่สามในตลาดที่ใช้ชิปนี้ ต่อจาก GPD และ OneXPlayer 🎮 จุดเด่นของ AYANEO NEXT 2 💠 ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows เต็มรูปแบบ 💠 รองรับ TMR Joysticks ขนาดใหญ่ และ Dual-Mode Triggers ที่ปรับได้ระหว่าง hair trigger และ Hall Effect 💠 ดีไซน์คล้าย Xbox controller พร้อมปุ่ม ABXY, D-Pad แบบวงกลม และปุ่มเสริม 💠 ระบบระบายความร้อนแบบ พัดลมคู่ 💠 แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ (built-in) ไม่สามารถถอดเปลี่ยนได้ 💠 หน้าจอ “Top-tier” แต่ยังไม่เปิดเผยขนาด, ความละเอียด, รีเฟรชเรต หรือชนิดพาเนล ✅ สเปกหลักของ AYANEO NEXT 2 ➡️ ใช้ Ryzen AI Max+ 395 (16-core/32-thread) ➡️ กราฟิก Radeon 8060S iGPU (RDNA 3.5) ➡️ ประสิทธิภาพใกล้เคียง RTX 4060 ➡️ คาดว่าเริ่มต้นที่ 32GB RAM / 1TB SSD ✅ ระบบควบคุมและดีไซน์ ➡️ TMR Joysticks ขนาดใหญ่ ➡️ Dual-Mode Triggers ปรับได้ ➡️ Layout คล้าย Xbox controller ✅ ระบบระบายความร้อนและแบตเตอรี่ ➡️ ใช้พัดลมคู่เพื่อจัดการความร้อน ➡️ แบตเตอรี่ built-in ขนาดใหญ่ ➡️ ไม่สามารถถอดเปลี่ยนได้เหมือน GPD Win 5 ✅ สถานะการเปิดตัว ➡️ ยังไม่เปิดเผยราคาและวันวางจำหน่าย ➡️ คาดว่าจะอยู่ในช่วง $1500+ ➡️ เป็นรุ่นที่สามในตลาดที่ใช้ Ryzen AI Max+ 395 ‼️ คำเตือนสำหรับผู้สนใจ ⛔ ยังไม่มีข้อมูลเรื่องหน้าจอ เช่น ขนาด, รีเฟรชเรต, ความละเอียด ⛔ ไม่สามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ อาจกระทบการใช้งานระยะยาว ⛔ ราคาอาจสูงเกิน $1500 ซึ่งต้องพิจารณาคุ้มค่าต่อการใช้งาน https://wccftech.com/ayaneo-launches-next-2-a-powerful-windows-handheld-featuring-ryzen-ai-max-395/
    WCCFTECH.COM
    The First "Strix Halo" Handheld is Here: AYANEO NEXT 2 Uses AMD's Most Powerful APU Yet
    AYANEO has officially announced its NEXT 2 gaming handheld, featuring the most powerful AMD Strix Halo chip for terrific gaming performance.
    0 Comments 0 Shares 39 Views 0 Reviews
  • เล่าเรื่องฟังเพลินๆ
    #podcast
    #ข่าว
    #รัฐบาล
    #ชายแดนไทย
    #กอล์ฟเบญจพล
    #ว่างว่างก็แวะมา
    https://youtu.be/N1N3i-wkY6Y?si=Zkf_qPDlPfQtj4bJ
    เล่าเรื่องฟังเพลินๆ #podcast #ข่าว #รัฐบาล #ชายแดนไทย #กอล์ฟเบญจพล #ว่างว่างก็แวะมา https://youtu.be/N1N3i-wkY6Y?si=Zkf_qPDlPfQtj4bJ
    0 Comments 0 Shares 27 Views 0 Reviews
  • iPhone รอดน้ำท่วมใหญ่! ติดโคลน 3 วันยังใช้งานได้ – MacBook รุ่นเก่ากลายเป็นฮีโร่ในวิกฤต

    ผู้ใช้ Reddit นามว่า bricksandcanvas แชร์ประสบการณ์สุดเหลือเชื่อหลังเผชิญกับพายุไต้ฝุ่น Kalmaegi ที่ถล่มเมืองเซบู ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อปลายเดือนตุลาคม 2025 บ้านของเขาถูกน้ำพัดพังยับ แต่ iPhone รุ่นใหม่ของเขา (คาดว่าเป็น iPhone 17 Pro หรือ Pro Max) กลับรอดมาได้แม้จะจมอยู่ในโคลนถึง 3 วันเต็ม และยังใช้งานได้ตามปกติ!

    เบื้องหลังความอึดของ iPhone
    iPhone รุ่นนี้มีมาตรฐานกันน้ำระดับ IP68 ซึ่งสามารถทนการจมในน้ำลึก 1.5 เมตรได้นาน 30 นาที
    แม้จะจมอยู่ใน “โคลนเหนียว” ที่มีทั้งน้ำและสิ่งสกปรก แต่ไม่มีรอยขีดข่วนหรือความเสียหายภายนอก
    แบตเตอรี่ยังคงมีพลังงานเหลือพอให้ใช้งานได้หลังจากถูกฝังอยู่ในโคลน

    MacBook รุ่นเก่ากลายเป็นเครื่องมือสื่อสาร
    MacBook Pro รุ่นใหม่ของเขาเสียหายจากน้ำท่วม เพราะไม่กันน้ำ
    แต่โชคดีที่เขายังมี MacBook รุ่น Intel เก่า ที่ยังใช้งานได้
    เขาใช้เครื่องนี้เดินเท้า 3 กิโลเมตรไปโรงพยาบาลเพื่อรักษาแผล และขอ Wi-Fi จากร้าน Dunkin เพื่อส่งข้อความขอความช่วยเหลือจากแม่

    iPhone รอดจากน้ำท่วมและโคลน
    จมอยู่ในโคลน 3 วันเต็ม
    ไม่มีรอยขีดข่วนหรือความเสียหาย
    ยังคงเปิดใช้งานได้ตามปกติ

    มาตรฐาน IP68 ของ iPhone
    กันน้ำลึก 1.5 เมตรได้นาน 30 นาที
    ป้องกันฝุ่นและสิ่งสกปรกได้ดี
    ไม่รับประกันในกรณีโคลนหรือสารเคมี แต่ยังรอดมาได้

    MacBook รุ่นเก่าช่วยชีวิต
    MacBook Pro รุ่นใหม่เสียหายจากน้ำ
    MacBook Intel รุ่นเก่ายังใช้งานได้
    ใช้ติดต่อขอความช่วยเหลือผ่าน Wi-Fi จากร้านกาแฟ

    คำเตือนเกี่ยวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในภัยพิบัติ
    แม้จะกันน้ำ แต่ไม่ควรนำอุปกรณ์ไปจุ่มน้ำหรือโคลนโดยตั้งใจ
    MacBook ทุกรุ่นไม่กันน้ำ – ควรเก็บให้พ้นจากความชื้น
    ควรสำรองข้อมูลไว้เสมอในกรณีฉุกเฉิน

    https://wccftech.com/iphone-survived-flash-flood-and-worked-fine-after-stuck-in-mud-for-three-days/
    🌊📱 iPhone รอดน้ำท่วมใหญ่! ติดโคลน 3 วันยังใช้งานได้ – MacBook รุ่นเก่ากลายเป็นฮีโร่ในวิกฤต ผู้ใช้ Reddit นามว่า bricksandcanvas แชร์ประสบการณ์สุดเหลือเชื่อหลังเผชิญกับพายุไต้ฝุ่น Kalmaegi ที่ถล่มเมืองเซบู ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อปลายเดือนตุลาคม 2025 บ้านของเขาถูกน้ำพัดพังยับ แต่ iPhone รุ่นใหม่ของเขา (คาดว่าเป็น iPhone 17 Pro หรือ Pro Max) กลับรอดมาได้แม้จะจมอยู่ในโคลนถึง 3 วันเต็ม และยังใช้งานได้ตามปกติ! 🧠 เบื้องหลังความอึดของ iPhone 🎗️ iPhone รุ่นนี้มีมาตรฐานกันน้ำระดับ IP68 ซึ่งสามารถทนการจมในน้ำลึก 1.5 เมตรได้นาน 30 นาที 🎗️ แม้จะจมอยู่ใน “โคลนเหนียว” ที่มีทั้งน้ำและสิ่งสกปรก แต่ไม่มีรอยขีดข่วนหรือความเสียหายภายนอก 🎗️ แบตเตอรี่ยังคงมีพลังงานเหลือพอให้ใช้งานได้หลังจากถูกฝังอยู่ในโคลน 💻 MacBook รุ่นเก่ากลายเป็นเครื่องมือสื่อสาร 💠 MacBook Pro รุ่นใหม่ของเขาเสียหายจากน้ำท่วม เพราะไม่กันน้ำ 💠 แต่โชคดีที่เขายังมี MacBook รุ่น Intel เก่า ที่ยังใช้งานได้ 💠 เขาใช้เครื่องนี้เดินเท้า 3 กิโลเมตรไปโรงพยาบาลเพื่อรักษาแผล และขอ Wi-Fi จากร้าน Dunkin เพื่อส่งข้อความขอความช่วยเหลือจากแม่ ✅ iPhone รอดจากน้ำท่วมและโคลน ➡️ จมอยู่ในโคลน 3 วันเต็ม ➡️ ไม่มีรอยขีดข่วนหรือความเสียหาย ➡️ ยังคงเปิดใช้งานได้ตามปกติ ✅ มาตรฐาน IP68 ของ iPhone ➡️ กันน้ำลึก 1.5 เมตรได้นาน 30 นาที ➡️ ป้องกันฝุ่นและสิ่งสกปรกได้ดี ➡️ ไม่รับประกันในกรณีโคลนหรือสารเคมี แต่ยังรอดมาได้ ✅ MacBook รุ่นเก่าช่วยชีวิต ➡️ MacBook Pro รุ่นใหม่เสียหายจากน้ำ ➡️ MacBook Intel รุ่นเก่ายังใช้งานได้ ➡️ ใช้ติดต่อขอความช่วยเหลือผ่าน Wi-Fi จากร้านกาแฟ ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในภัยพิบัติ ⛔ แม้จะกันน้ำ แต่ไม่ควรนำอุปกรณ์ไปจุ่มน้ำหรือโคลนโดยตั้งใจ ⛔ MacBook ทุกรุ่นไม่กันน้ำ – ควรเก็บให้พ้นจากความชื้น ⛔ ควรสำรองข้อมูลไว้เสมอในกรณีฉุกเฉิน https://wccftech.com/iphone-survived-flash-flood-and-worked-fine-after-stuck-in-mud-for-three-days/
    WCCFTECH.COM
    A Man's New M4 Mac Died in a Flood. His 'Obsolete' Intel MacBook Saved His Life.
    An iPhone owner says that a flash flood destroyed his home, forcing him to lose his device into the flowing waters, but it miraculously worked
    0 Comments 0 Shares 50 Views 0 Reviews
  • “ProtonVPN อัปเดตใหม่บน Android TV – บล็อกโฆษณาและตัวติดตามได้อัตโนมัติ!”

    ProtonVPN ได้ปล่อยอัปเดตล่าสุดสำหรับแอปบน Android TV โดยเพิ่มฟีเจอร์ NetShield Ad-Blocker ซึ่งเป็นระบบบล็อกโฆษณาและตัวติดตามที่ทำงานผ่าน DNS โดยตรง ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถรับชมคอนเทนต์ได้อย่างปลอดภัยและไร้สิ่งรบกวนมากขึ้น โดยฟีเจอร์นี้เปิดใช้งานโดยอัตโนมัติสำหรับผู้ใช้แบบเสียเงิน และสามารถปิดได้ในเมนูตั้งค่า

    NetShield ทำงานอย่างไร?
    ใช้ DNS server ของ ProtonVPN ที่ตรวจสอบโดเมนกับฐานข้อมูลมัลแวร์และตัวติดตาม
    บล็อกการเชื่อมต่อกับโดเมนที่มีโฆษณา, สปายแวร์, หรือมัลแวร์
    แสดงแดชบอร์ดให้ผู้ใช้เห็นจำนวนโฆษณาและตัวติดตามที่ถูกบล็อก พร้อมข้อมูลปริมาณดาต้าที่ประหยัดได้

    ฟีเจอร์เสริมที่เพิ่มเข้ามา
    ตั้งค่าให้แอป ProtonVPN เปิดอัตโนมัติเมื่อเปิด Android TV
    ลดขั้นตอนการตั้งค่าด้วยระบบเชื่อมต่ออัตโนมัติ
    รองรับการเข้าถึงคอนเทนต์จากกว่า 130 ประเทศผ่านการเชื่อมต่อ VPN

    ProtonVPN อัปเดตใหม่บน Android TV
    เพิ่มฟีเจอร์ NetShield Ad-Blocker แบบเปิดอัตโนมัติ
    ใช้ DNS server ตรวจสอบและบล็อกโดเมนไม่ปลอดภัย
    แสดงแดชบอร์ดสถิติการบล็อกและดาต้าที่ประหยัดได้

    ความสะดวกในการใช้งาน
    ตั้งค่าให้แอปเปิดอัตโนมัติเมื่อเปิด Android TV
    ลดขั้นตอนการเชื่อมต่อ VPN
    รองรับการเข้าถึงคอนเทนต์จากกว่า 130 ประเทศ

    ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว
    ป้องกันการเชื่อมต่อกับโดเมนมัลแวร์และตัวติดตาม
    เพิ่มความเป็นส่วนตัวในการรับชมคอนเทนต์
    เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความปลอดภัยขณะสตรีม

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Android TV
    ฟีเจอร์ NetShield ใช้ได้เฉพาะผู้ใช้ ProtonVPN แบบเสียเงิน
    หากปิดฟีเจอร์นี้ อาจกลับมาพบโฆษณาและตัวติดตามอีก
    การใช้ VPN อาจลดความเร็วอินเทอร์เน็ตในบางกรณี

    https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/protonvpn-crushes-ads-and-trackers-on-android-tv-app-with-latest-update
    📺🛡️ “ProtonVPN อัปเดตใหม่บน Android TV – บล็อกโฆษณาและตัวติดตามได้อัตโนมัติ!” ProtonVPN ได้ปล่อยอัปเดตล่าสุดสำหรับแอปบน Android TV โดยเพิ่มฟีเจอร์ NetShield Ad-Blocker ซึ่งเป็นระบบบล็อกโฆษณาและตัวติดตามที่ทำงานผ่าน DNS โดยตรง ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถรับชมคอนเทนต์ได้อย่างปลอดภัยและไร้สิ่งรบกวนมากขึ้น โดยฟีเจอร์นี้เปิดใช้งานโดยอัตโนมัติสำหรับผู้ใช้แบบเสียเงิน และสามารถปิดได้ในเมนูตั้งค่า 🧠 NetShield ทำงานอย่างไร? 🎗️ ใช้ DNS server ของ ProtonVPN ที่ตรวจสอบโดเมนกับฐานข้อมูลมัลแวร์และตัวติดตาม 🎗️ บล็อกการเชื่อมต่อกับโดเมนที่มีโฆษณา, สปายแวร์, หรือมัลแวร์ 🎗️ แสดงแดชบอร์ดให้ผู้ใช้เห็นจำนวนโฆษณาและตัวติดตามที่ถูกบล็อก พร้อมข้อมูลปริมาณดาต้าที่ประหยัดได้ ⚙️ ฟีเจอร์เสริมที่เพิ่มเข้ามา 🎗️ ตั้งค่าให้แอป ProtonVPN เปิดอัตโนมัติเมื่อเปิด Android TV 🎗️ ลดขั้นตอนการตั้งค่าด้วยระบบเชื่อมต่ออัตโนมัติ 🎗️ รองรับการเข้าถึงคอนเทนต์จากกว่า 130 ประเทศผ่านการเชื่อมต่อ VPN ✅ ProtonVPN อัปเดตใหม่บน Android TV ➡️ เพิ่มฟีเจอร์ NetShield Ad-Blocker แบบเปิดอัตโนมัติ ➡️ ใช้ DNS server ตรวจสอบและบล็อกโดเมนไม่ปลอดภัย ➡️ แสดงแดชบอร์ดสถิติการบล็อกและดาต้าที่ประหยัดได้ ✅ ความสะดวกในการใช้งาน ➡️ ตั้งค่าให้แอปเปิดอัตโนมัติเมื่อเปิด Android TV ➡️ ลดขั้นตอนการเชื่อมต่อ VPN ➡️ รองรับการเข้าถึงคอนเทนต์จากกว่า 130 ประเทศ ✅ ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว ➡️ ป้องกันการเชื่อมต่อกับโดเมนมัลแวร์และตัวติดตาม ➡️ เพิ่มความเป็นส่วนตัวในการรับชมคอนเทนต์ ➡️ เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความปลอดภัยขณะสตรีม ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Android TV ⛔ ฟีเจอร์ NetShield ใช้ได้เฉพาะผู้ใช้ ProtonVPN แบบเสียเงิน ⛔ หากปิดฟีเจอร์นี้ อาจกลับมาพบโฆษณาและตัวติดตามอีก ⛔ การใช้ VPN อาจลดความเร็วอินเทอร์เน็ตในบางกรณี https://www.techradar.com/vpn/vpn-services/protonvpn-crushes-ads-and-trackers-on-android-tv-app-with-latest-update
    WWW.TECHRADAR.COM
    ProtonVPN crushes ads and trackers on Android TV app with latest update
    Proton VPN boosts its Android TV app for more privacy with NetShield integration
    0 Comments 0 Shares 42 Views 0 Reviews
  • “Cisco Firewall ถูกโจมตีระลอกใหม่ – แฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่ Zero-Day ฝังตัวแบบล่องหน”

    Cisco ออกคำเตือนด่วนถึงผู้ใช้งานอุปกรณ์ ASA 5500-X Series และ Secure Firewall หลังพบการโจมตีระลอกใหม่ที่ใช้ช่องโหว่ Zero-Day สองรายการ ได้แก่ CVE-2025-20333 และ CVE-2025-20362 ซึ่งเปิดทางให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบจากระยะไกล ติดตั้งมัลแวร์ และแม้แต่ทำให้เครื่องรีบูตโดยไม่ตั้งใจ

    การโจมตีครั้งนี้ไม่ใช่มัลแวร์ใหม่ แต่เป็นการพัฒนาเทคนิคจากกลุ่ม ArcaneDoor ที่เคยโจมตีในปี 2024 โดยใช้วิธีล่องหน เช่น ปิดระบบบันทึก log, ดัดแปลง firmware ROMMON และแทรกคำสั่ง CLI เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ

    เทคนิคการโจมตีที่ซับซ้อน
    ใช้ช่องโหว่ใน VPN web services บนอุปกรณ์รุ่นเก่า
    ปิดระบบบันทึก log เพื่อไม่ให้มีหลักฐาน
    ดัดแปลง ROMMON firmware เพื่อฝังตัวแม้หลังรีบูต
    แทรกคำสั่ง CLI และทำให้เครื่อง crash เพื่อขัดขวางการวิเคราะห์

    รายละเอียดการโจมตี
    ใช้ช่องโหว่ CVE-2025-20333 และ CVE-2025-20362
    ส่งผลให้สามารถเข้าถึงระบบจากระยะไกลและฝังมัลแวร์
    อุปกรณ์ที่ไม่มี Secure Boot และ Trust Anchor เสี่ยงสูง

    เทคนิคการล่องหนของแฮกเกอร์
    ปิดระบบบันทึก log เพื่อไม่ให้มีหลักฐาน
    ดัดแปลง ROMMON firmware เพื่อคงการเข้าถึง
    แทรกคำสั่ง CLI และทำให้เครื่อง crash เพื่อขัดขวางการวิเคราะห์

    คำแนะนำจาก Cisco
    ตรวจสอบรุ่นและ firmware ที่ใช้งานอยู่
    ปิด VPN web services ชั่วคราวหากยังไม่ได้อัปเดต
    รีเซ็ตอุปกรณ์เป็นค่าโรงงาน และเปลี่ยนรหัสผ่าน, ใบรับรอง, คีย์
    อัปเกรดเป็นรุ่นที่รองรับ Secure Boot เพื่อความปลอดภัย

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน Cisco Firewall
    ASA 5500-X รุ่นเก่าไม่มี Secure Boot เสี่ยงต่อการถูกโจมตี
    หากไม่รีเซ็ตอุปกรณ์ อาจมีมัลแวร์ฝังตัวอยู่แม้หลังรีบูต
    การไม่อัปเดต firmware อาจเปิดช่องให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบได้ง่าย

    https://www.techradar.com/pro/security/cisco-firewalls-are-facing-another-huge-surge-of-attacks
    🔥🛡️ “Cisco Firewall ถูกโจมตีระลอกใหม่ – แฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่ Zero-Day ฝังตัวแบบล่องหน” Cisco ออกคำเตือนด่วนถึงผู้ใช้งานอุปกรณ์ ASA 5500-X Series และ Secure Firewall หลังพบการโจมตีระลอกใหม่ที่ใช้ช่องโหว่ Zero-Day สองรายการ ได้แก่ CVE-2025-20333 และ CVE-2025-20362 ซึ่งเปิดทางให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบจากระยะไกล ติดตั้งมัลแวร์ และแม้แต่ทำให้เครื่องรีบูตโดยไม่ตั้งใจ การโจมตีครั้งนี้ไม่ใช่มัลแวร์ใหม่ แต่เป็นการพัฒนาเทคนิคจากกลุ่ม ArcaneDoor ที่เคยโจมตีในปี 2024 โดยใช้วิธีล่องหน เช่น ปิดระบบบันทึก log, ดัดแปลง firmware ROMMON และแทรกคำสั่ง CLI เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ 🧠 เทคนิคการโจมตีที่ซับซ้อน 🎗️ ใช้ช่องโหว่ใน VPN web services บนอุปกรณ์รุ่นเก่า 🎗️ ปิดระบบบันทึก log เพื่อไม่ให้มีหลักฐาน 🎗️ ดัดแปลง ROMMON firmware เพื่อฝังตัวแม้หลังรีบูต 🎗️ แทรกคำสั่ง CLI และทำให้เครื่อง crash เพื่อขัดขวางการวิเคราะห์ ✅ รายละเอียดการโจมตี ➡️ ใช้ช่องโหว่ CVE-2025-20333 และ CVE-2025-20362 ➡️ ส่งผลให้สามารถเข้าถึงระบบจากระยะไกลและฝังมัลแวร์ ➡️ อุปกรณ์ที่ไม่มี Secure Boot และ Trust Anchor เสี่ยงสูง ✅ เทคนิคการล่องหนของแฮกเกอร์ ➡️ ปิดระบบบันทึก log เพื่อไม่ให้มีหลักฐาน ➡️ ดัดแปลง ROMMON firmware เพื่อคงการเข้าถึง ➡️ แทรกคำสั่ง CLI และทำให้เครื่อง crash เพื่อขัดขวางการวิเคราะห์ ✅ คำแนะนำจาก Cisco ➡️ ตรวจสอบรุ่นและ firmware ที่ใช้งานอยู่ ➡️ ปิด VPN web services ชั่วคราวหากยังไม่ได้อัปเดต ➡️ รีเซ็ตอุปกรณ์เป็นค่าโรงงาน และเปลี่ยนรหัสผ่าน, ใบรับรอง, คีย์ ➡️ อัปเกรดเป็นรุ่นที่รองรับ Secure Boot เพื่อความปลอดภัย ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน Cisco Firewall ⛔ ASA 5500-X รุ่นเก่าไม่มี Secure Boot เสี่ยงต่อการถูกโจมตี ⛔ หากไม่รีเซ็ตอุปกรณ์ อาจมีมัลแวร์ฝังตัวอยู่แม้หลังรีบูต ⛔ การไม่อัปเดต firmware อาจเปิดช่องให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบได้ง่าย https://www.techradar.com/pro/security/cisco-firewalls-are-facing-another-huge-surge-of-attacks
    0 Comments 0 Shares 41 Views 0 Reviews
  • ข้อมูลลูกค้า Hyundai และ Kia เสี่ยงหลุด 2.7 ล้านราย หลังบริษัทไอทีในอเมริกาโดนแฮก

    Hyundai AutoEver America (HAEA) บริษัทลูกด้านไอทีของ Hyundai ที่ดูแลระบบในอเมริกาเหนือ ถูกแฮกเกอร์เจาะระบบในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นมีนาคม 2025 ส่งผลให้ข้อมูลส่วนตัวของลูกค้ากว่า 2.7 ล้านรายอาจรั่วไหล รวมถึงชื่อ, หมายเลขประกันสังคม (SSN) และใบขับขี่

    เหตุการณ์และผลกระทบ
    การโจมตีเริ่มขึ้นเมื่อ 22 กุมภาพันธ์ 2025 และถูกหยุดได้ในวันที่ 2 มีนาคม
    แม้จดหมายแจ้งเตือนจาก HAEA จะไม่ระบุจำนวนผู้ได้รับผลกระทบ แต่เอกสารที่ยื่นต่อรัฐแมสซาชูเซตส์ระบุว่าข้อมูลที่หลุดมีทั้ง ชื่อ, SSN และใบขับขี่
    มีการคาดการณ์ว่าผู้ใช้รถ Hyundai และ Kia ในอเมริกากว่า 2.7 ล้านราย อาจได้รับผลกระทบ

    การตอบสนองของบริษัท
    HAEA ได้ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์ไซเบอร์เข้ามาตรวจสอบ
    แจ้งหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย และเสนอ บริการตรวจสอบเครดิตและป้องกันการขโมยตัวตนฟรี 2 ปี ผ่านบริษัท Epiq
    มีการ “เสริมความแข็งแกร่ง” ให้ระบบความปลอดภัยหลังเหตุการณ์

    รายละเอียดการโจมตี
    เกิดขึ้นระหว่าง 22 ก.พ. – 2 มี.ค. 2025
    ข้อมูลที่รั่วไหล: ชื่อ, หมายเลขประกันสังคม, ใบขับขี่
    คาดว่าผู้ใช้รถ 2.7 ล้านรายอาจได้รับผลกระทบ

    การตอบสนองของ HAEA
    ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์
    แจ้งหน่วยงานรัฐและผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบ
    เสนอบริการป้องกันตัวตนฟรี 2 ปีผ่าน Epiq

    ความเสี่ยงจากข้อมูลที่รั่ว
    แฮกเกอร์สามารถใช้ข้อมูลสร้างโปรไฟล์เหยื่อ
    เสี่ยงต่อการถูกฟิชชิง, ขโมยบัญชี, หรือหลอกให้โอนเงิน
    ข้อมูลที่หลุดอาจถูกขายต่อในตลาดมืด

    https://www.techradar.com/pro/security/hyundai-it-services-breach-could-put-2-7-million-hyundai-kia-owners-at-risk
    🕵️‍♂️🔓 ข้อมูลลูกค้า Hyundai และ Kia เสี่ยงหลุด 2.7 ล้านราย หลังบริษัทไอทีในอเมริกาโดนแฮก Hyundai AutoEver America (HAEA) บริษัทลูกด้านไอทีของ Hyundai ที่ดูแลระบบในอเมริกาเหนือ ถูกแฮกเกอร์เจาะระบบในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นมีนาคม 2025 ส่งผลให้ข้อมูลส่วนตัวของลูกค้ากว่า 2.7 ล้านรายอาจรั่วไหล รวมถึงชื่อ, หมายเลขประกันสังคม (SSN) และใบขับขี่ 🧠 เหตุการณ์และผลกระทบ 💠 การโจมตีเริ่มขึ้นเมื่อ 22 กุมภาพันธ์ 2025 และถูกหยุดได้ในวันที่ 2 มีนาคม 💠 แม้จดหมายแจ้งเตือนจาก HAEA จะไม่ระบุจำนวนผู้ได้รับผลกระทบ แต่เอกสารที่ยื่นต่อรัฐแมสซาชูเซตส์ระบุว่าข้อมูลที่หลุดมีทั้ง ชื่อ, SSN และใบขับขี่ 💠 มีการคาดการณ์ว่าผู้ใช้รถ Hyundai และ Kia ในอเมริกากว่า 2.7 ล้านราย อาจได้รับผลกระทบ 🛡️ การตอบสนองของบริษัท 🎗️ HAEA ได้ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านนิติวิทยาศาสตร์ไซเบอร์เข้ามาตรวจสอบ 🎗️ แจ้งหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย และเสนอ บริการตรวจสอบเครดิตและป้องกันการขโมยตัวตนฟรี 2 ปี ผ่านบริษัท Epiq 🎗️ มีการ “เสริมความแข็งแกร่ง” ให้ระบบความปลอดภัยหลังเหตุการณ์ ✅ รายละเอียดการโจมตี ➡️ เกิดขึ้นระหว่าง 22 ก.พ. – 2 มี.ค. 2025 ➡️ ข้อมูลที่รั่วไหล: ชื่อ, หมายเลขประกันสังคม, ใบขับขี่ ➡️ คาดว่าผู้ใช้รถ 2.7 ล้านรายอาจได้รับผลกระทบ ✅ การตอบสนองของ HAEA ➡️ ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ➡️ แจ้งหน่วยงานรัฐและผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบ ➡️ เสนอบริการป้องกันตัวตนฟรี 2 ปีผ่าน Epiq ✅ ความเสี่ยงจากข้อมูลที่รั่ว ➡️ แฮกเกอร์สามารถใช้ข้อมูลสร้างโปรไฟล์เหยื่อ ➡️ เสี่ยงต่อการถูกฟิชชิง, ขโมยบัญชี, หรือหลอกให้โอนเงิน ➡️ ข้อมูลที่หลุดอาจถูกขายต่อในตลาดมืด https://www.techradar.com/pro/security/hyundai-it-services-breach-could-put-2-7-million-hyundai-kia-owners-at-risk
    0 Comments 0 Shares 40 Views 0 Reviews
  • “ClickFix กลับมาอีกครั้ง – มัลแวร์หลอกให้คลิก พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่อันตรายกว่าเดิม!”

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก Push Security เตือนว่าเทคนิคการโจมตีแบบ “ClickFix” ซึ่งเคยเป็นที่รู้จักในวงการมัลแวร์ ได้กลับมาอีกครั้งในรูปแบบใหม่ที่อันตรายกว่าเดิม โดยใช้ วิดีโอแนะนำ, ตัวจับเวลา, และ การตรวจจับระบบปฏิบัติการอัตโนมัติ เพื่อหลอกให้เหยื่อรันคำสั่งอันตรายผ่านหน้าต่าง Run หรือ Terminal

    วิธีการโจมตีแบบ ClickFix
    เริ่มจาก popup ที่แสดง “ปัญหา” เช่น “เครื่องติดไวรัส” หรือ “ต้องแก้ CAPTCHA”
    เสนอ “วิธีแก้” โดยให้เหยื่อคัดลอกคำสั่งไปวางใน Run (Windows) หรือ Terminal (macOS/Linux)
    คำสั่งนั้นจะดาวน์โหลดมัลแวร์ เช่น infostealer หรือ dropper ที่เปิดทางให้แฮกเกอร์เข้าควบคุมเครื่อง

    ฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มความน่าเชื่อถือ
    วิดีโอแนะนำวิธีการรันคำสั่ง ทำให้ดูเหมือนเป็นขั้นตอนจริง
    ตัวจับเวลา 1 นาที สร้างแรงกดดันให้เหยื่อรีบทำตาม
    แสดงจำนวน “ผู้ยืนยัน” ปลอมในชั่วโมงล่าสุด เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
    ตรวจจับระบบปฏิบัติการเพื่อแสดงคำสั่งที่เหมาะสมกับแต่ละ OS

    วิธีแพร่กระจาย
    โฮสต์ popup บนเว็บไซต์ที่ถูกแฮก
    ใช้แคมเปญโฆษณา (malvertising) บน Google Search เพื่อดึงเหยื่อเข้าเว็บ
    ใช้ชื่อแบรนด์ดัง เช่น Microsoft เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ

    ลักษณะของ ClickFix
    หลอกให้เหยื่อรันคำสั่งผ่าน Run/Terminal
    ใช้ popup ที่แสดงปัญหาและวิธีแก้
    คำสั่งนำไปสู่การติดตั้งมัลแวร์

    ฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มความอันตราย
    วิดีโอแนะนำขั้นตอนแบบมืออาชีพ
    ตัวจับเวลาเร่งให้เหยื่อรีบทำ
    ตรวจจับ OS เพื่อแสดงคำสั่งเฉพาะ
    แสดงจำนวนผู้ยืนยันปลอมเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ

    วิธีแพร่กระจาย
    โฮสต์บนเว็บไซต์ที่ถูกแฮก
    ใช้ malvertising บน Google
    แอบอ้างแบรนด์ดังเพื่อหลอกเหยื่อ

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต
    อย่าคัดลอกคำสั่งจาก popup หรือเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ
    อย่าหลงเชื่อวิดีโอแนะนำที่ไม่ได้มาจากแหล่งทางการ
    หลีกเลี่ยงการคลิกโฆษณาที่ดูเร่งรีบหรือมีข้อความขู่
    ควรใช้โปรแกรมป้องกันมัลแวร์ที่เชื่อถือได้ และอัปเดตระบบสม่ำเสมอ

    https://www.techradar.com/pro/security/experts-warn-clickfix-malware-attacks-are-back-and-more-dangerous-than-ever-before
    🖱️⚠️ “ClickFix กลับมาอีกครั้ง – มัลแวร์หลอกให้คลิก พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่อันตรายกว่าเดิม!” นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก Push Security เตือนว่าเทคนิคการโจมตีแบบ “ClickFix” ซึ่งเคยเป็นที่รู้จักในวงการมัลแวร์ ได้กลับมาอีกครั้งในรูปแบบใหม่ที่อันตรายกว่าเดิม โดยใช้ วิดีโอแนะนำ, ตัวจับเวลา, และ การตรวจจับระบบปฏิบัติการอัตโนมัติ เพื่อหลอกให้เหยื่อรันคำสั่งอันตรายผ่านหน้าต่าง Run หรือ Terminal 🧠 วิธีการโจมตีแบบ ClickFix 💠 เริ่มจาก popup ที่แสดง “ปัญหา” เช่น “เครื่องติดไวรัส” หรือ “ต้องแก้ CAPTCHA” 💠 เสนอ “วิธีแก้” โดยให้เหยื่อคัดลอกคำสั่งไปวางใน Run (Windows) หรือ Terminal (macOS/Linux) 💠 คำสั่งนั้นจะดาวน์โหลดมัลแวร์ เช่น infostealer หรือ dropper ที่เปิดทางให้แฮกเกอร์เข้าควบคุมเครื่อง 🎬 ฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มความน่าเชื่อถือ 💠 วิดีโอแนะนำวิธีการรันคำสั่ง ทำให้ดูเหมือนเป็นขั้นตอนจริง 💠 ตัวจับเวลา 1 นาที สร้างแรงกดดันให้เหยื่อรีบทำตาม 💠 แสดงจำนวน “ผู้ยืนยัน” ปลอมในชั่วโมงล่าสุด เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ 💠 ตรวจจับระบบปฏิบัติการเพื่อแสดงคำสั่งที่เหมาะสมกับแต่ละ OS 🌐 วิธีแพร่กระจาย 💠 โฮสต์ popup บนเว็บไซต์ที่ถูกแฮก 💠 ใช้แคมเปญโฆษณา (malvertising) บน Google Search เพื่อดึงเหยื่อเข้าเว็บ 💠 ใช้ชื่อแบรนด์ดัง เช่น Microsoft เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ ✅ ลักษณะของ ClickFix ➡️ หลอกให้เหยื่อรันคำสั่งผ่าน Run/Terminal ➡️ ใช้ popup ที่แสดงปัญหาและวิธีแก้ ➡️ คำสั่งนำไปสู่การติดตั้งมัลแวร์ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มความอันตราย ➡️ วิดีโอแนะนำขั้นตอนแบบมืออาชีพ ➡️ ตัวจับเวลาเร่งให้เหยื่อรีบทำ ➡️ ตรวจจับ OS เพื่อแสดงคำสั่งเฉพาะ ➡️ แสดงจำนวนผู้ยืนยันปลอมเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ ✅ วิธีแพร่กระจาย ➡️ โฮสต์บนเว็บไซต์ที่ถูกแฮก ➡️ ใช้ malvertising บน Google ➡️ แอบอ้างแบรนด์ดังเพื่อหลอกเหยื่อ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต ⛔ อย่าคัดลอกคำสั่งจาก popup หรือเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ ⛔ อย่าหลงเชื่อวิดีโอแนะนำที่ไม่ได้มาจากแหล่งทางการ ⛔ หลีกเลี่ยงการคลิกโฆษณาที่ดูเร่งรีบหรือมีข้อความขู่ ⛔ ควรใช้โปรแกรมป้องกันมัลแวร์ที่เชื่อถือได้ และอัปเดตระบบสม่ำเสมอ https://www.techradar.com/pro/security/experts-warn-clickfix-malware-attacks-are-back-and-more-dangerous-than-ever-before
    0 Comments 0 Shares 43 Views 0 Reviews
  • “AI เขียนโค้ดมัลแวร์! ส่วนขยาย VS Code ปลอมแฝงแรนซัมแวร์ โผล่บน Marketplace ของ Microsoft”

    นักวิจัยด้านความปลอดภัย John Tuckner จาก Secure Annex พบส่วนขยายชื่อว่า “susvsex” บน VS Code Marketplace ของ Microsoft ซึ่งทำหน้าที่เป็น แรนซัมแวร์ โดยตรง! ที่น่าตกใจคือมันระบุชัดเจนในคำอธิบายว่า “จะ zip, upload และเข้ารหัสไฟล์จาก C:\Users\Public\testing” และยังใช้ GitHub เป็นช่องทางควบคุมคำสั่ง (command-and-control)

    ที่สำคัญคือโค้ดของส่วนขยายนี้มีลักษณะ “vibe-coded” หรือเขียนโดยใช้ AI ผ่าน prompt ภาษาอังกฤษ ไม่ใช่โค้ดที่เขียนด้วยมือแบบปกติ และยังฝัง เครื่องมือถอดรหัสและคีย์ ไว้ในแพ็กเกจด้วย!

    จุดอ่อนของระบบ Marketplace
    Microsoft ไม่ได้ลบส่วนขยายทันทีหลังได้รับรายงาน
    ใช้เวลาเกือบ 8 ชั่วโมงหลังจากโพสต์บล็อกก่อนจะลบออก
    นักวิจัยตั้งข้อสงสัยว่าอาจเป็นการ “ทดสอบระบบรีวิว” ก่อนการโจมตีจริงที่ซับซ้อนกว่า

    รายละเอียดของส่วนขยาย susvsex
    ระบุชัดเจนว่า zip, upload และเข้ารหัสไฟล์
    ใช้ GitHub เป็นช่องทางควบคุมคำสั่ง
    เขียนด้วย AI ผ่าน prompt ไม่ใช่โค้ดมือ
    ฝังเครื่องมือถอดรหัสและคีย์ไว้ในแพ็กเกจ

    การตอบสนองของ Microsoft
    ไม่ลบส่วนขยายทันทีหลังได้รับรายงาน
    ใช้เวลา 8 ชั่วโมงหลังโพสต์บล็อกจึงลบออก
    URL ของส่วนขยายตอนนี้กลายเป็น “404 – Page not found”

    ข้อสังเกตจากนักวิจัย
    อาจเป็นการทดสอบระบบรีวิวของ Microsoft
    เมตาดาต้าชี้ไปยังผู้ใช้ GitHub ในเมือง Baku ประเทศอาเซอร์ไบจาน
    โค้ดมีคอมเมนต์ที่บ่งชี้ว่าไม่ได้เขียนโดยมนุษย์

    คำเตือนสำหรับนักพัฒนาและผู้ใช้ VS Code
    อย่าติดตั้งส่วนขยายจากผู้พัฒนาไม่รู้จักโดยไม่ตรวจสอบโค้ด
    ส่วนขยายที่มีคำอธิบายแปลกหรือชัดเจนเกินไปอาจเป็นกับดัก
    ควรใช้ VS Code ใน sandbox หรือ VM หากต้องทดลองส่วนขยายใหม่
    Microsoft ควรปรับปรุงระบบรีวิวให้ตรวจจับภัยคุกคามได้เร็วขึ้น

    https://www.techradar.com/pro/security/malicious-ai-made-extension-with-ransomware-capabilities-sneaks-on-to-microsofts-official-vs-code-marketplace
    🧨🧠 “AI เขียนโค้ดมัลแวร์! ส่วนขยาย VS Code ปลอมแฝงแรนซัมแวร์ โผล่บน Marketplace ของ Microsoft” นักวิจัยด้านความปลอดภัย John Tuckner จาก Secure Annex พบส่วนขยายชื่อว่า “susvsex” บน VS Code Marketplace ของ Microsoft ซึ่งทำหน้าที่เป็น แรนซัมแวร์ โดยตรง! ที่น่าตกใจคือมันระบุชัดเจนในคำอธิบายว่า “จะ zip, upload และเข้ารหัสไฟล์จาก C:\Users\Public\testing” และยังใช้ GitHub เป็นช่องทางควบคุมคำสั่ง (command-and-control) ที่สำคัญคือโค้ดของส่วนขยายนี้มีลักษณะ “vibe-coded” หรือเขียนโดยใช้ AI ผ่าน prompt ภาษาอังกฤษ ไม่ใช่โค้ดที่เขียนด้วยมือแบบปกติ และยังฝัง เครื่องมือถอดรหัสและคีย์ ไว้ในแพ็กเกจด้วย! 🧠 จุดอ่อนของระบบ Marketplace 🔖 Microsoft ไม่ได้ลบส่วนขยายทันทีหลังได้รับรายงาน 🔖 ใช้เวลาเกือบ 8 ชั่วโมงหลังจากโพสต์บล็อกก่อนจะลบออก 🔖 นักวิจัยตั้งข้อสงสัยว่าอาจเป็นการ “ทดสอบระบบรีวิว” ก่อนการโจมตีจริงที่ซับซ้อนกว่า ✅ รายละเอียดของส่วนขยาย susvsex ➡️ ระบุชัดเจนว่า zip, upload และเข้ารหัสไฟล์ ➡️ ใช้ GitHub เป็นช่องทางควบคุมคำสั่ง ➡️ เขียนด้วย AI ผ่าน prompt ไม่ใช่โค้ดมือ ➡️ ฝังเครื่องมือถอดรหัสและคีย์ไว้ในแพ็กเกจ ✅ การตอบสนองของ Microsoft ➡️ ไม่ลบส่วนขยายทันทีหลังได้รับรายงาน ➡️ ใช้เวลา 8 ชั่วโมงหลังโพสต์บล็อกจึงลบออก ➡️ URL ของส่วนขยายตอนนี้กลายเป็น “404 – Page not found” ✅ ข้อสังเกตจากนักวิจัย ➡️ อาจเป็นการทดสอบระบบรีวิวของ Microsoft ➡️ เมตาดาต้าชี้ไปยังผู้ใช้ GitHub ในเมือง Baku ประเทศอาเซอร์ไบจาน ➡️ โค้ดมีคอมเมนต์ที่บ่งชี้ว่าไม่ได้เขียนโดยมนุษย์ ‼️ คำเตือนสำหรับนักพัฒนาและผู้ใช้ VS Code ⛔ อย่าติดตั้งส่วนขยายจากผู้พัฒนาไม่รู้จักโดยไม่ตรวจสอบโค้ด ⛔ ส่วนขยายที่มีคำอธิบายแปลกหรือชัดเจนเกินไปอาจเป็นกับดัก ⛔ ควรใช้ VS Code ใน sandbox หรือ VM หากต้องทดลองส่วนขยายใหม่ ⛔ Microsoft ควรปรับปรุงระบบรีวิวให้ตรวจจับภัยคุกคามได้เร็วขึ้น https://www.techradar.com/pro/security/malicious-ai-made-extension-with-ransomware-capabilities-sneaks-on-to-microsofts-official-vs-code-marketplace
    0 Comments 0 Shares 38 Views 0 Reviews
  • “แอป Android อันตราย 239 ตัวถูกดาวน์โหลดกว่า 42 ล้านครั้ง – เสี่ยงสูญเงินจากมือถือ!”

    รายงานล่าสุดจาก Zscaler เผยว่าแฮกเกอร์กำลังใช้แอป Android ปลอมที่ดูเหมือนเครื่องมือทำงานทั่วไป เช่น productivity หรือ workflow apps เพื่อเจาะระบบผู้ใช้ผ่านช่องทาง mobile payment โดยไม่เน้นขโมยข้อมูลบัตรเครดิตแบบเดิม แต่ใช้เทคนิคใหม่ เช่น phishing, smishing, และ SIM-swapping เพื่อหลอกให้โอนเงินหรือเข้าถึงบัญชีสำคัญ

    แอปเหล่านี้ถูกดาวน์โหลดรวมกันกว่า 42 ล้านครั้ง บน Google Play โดยมีเป้าหมายหลักคือผู้ใช้ในอินเดีย, สหรัฐฯ และแคนาดา ซึ่งเป็นประเทศที่มีอัตราการโจมตีสูงที่สุด

    ภัยคุกคามที่เปลี่ยนรูปแบบ
    การโจมตีผ่านมือถือเพิ่มขึ้น 67% จากปีที่แล้ว
    Adware กลายเป็นมัลแวร์หลัก คิดเป็น 69% ของการตรวจพบทั้งหมด
    กลุ่ม “Joker” ลดลงเหลือ 23% แต่กลุ่มใหม่อย่าง Anatsa และ Xnotice กำลังเติบโต
    อุปกรณ์ IoT เช่น router และ Android TV box ก็ถูกโจมตีมากขึ้น โดยเฉพาะในอินเดียและบราซิล

    รายงานจาก Zscaler
    พบแอป Android อันตราย 239 ตัวบน Google Play
    ถูกดาวน์โหลดรวมกว่า 42 ล้านครั้ง
    แอปปลอมเป็นเครื่องมือทำงานทั่วไปเพื่อหลอกผู้ใช้

    รูปแบบการโจมตีใหม่
    เน้น mobile payment fraud แทนการขโมยบัตรเครดิต
    ใช้ phishing, smishing, SIM-swapping และ social engineering
    กลุ่มมัลแวร์ใหม่กำลังเติบโต เช่น Anatsa และ Xnotice

    สถานการณ์ในอุตสาหกรรม
    Adware คิดเป็น 69% ของมัลแวร์ทั้งหมด
    กลุ่ม “Joker” ลดลงเหลือ 23%
    อุปกรณ์ IoT เช่น router และ Android TV box ถูกโจมตีมากขึ้น

    ประเทศเป้าหมายหลัก
    อินเดีย: 26% ของการโจมตีมือถือ
    สหรัฐฯ: 15%
    แคนาดา: 14%
    สหรัฐฯ ยังเป็นเป้าหมายหลักใน IoT คิดเป็น 54.1% ของทราฟฟิกมัลแวร์

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Android
    อย่าดาวน์โหลดแอปจากลิงก์ในข้อความ, โซเชียลมีเดีย หรือ job portal
    ตรวจสอบสิทธิ์การเข้าถึงของแอปก่อนติดตั้ง
    เปิด Google Play Protect และสแกนด้วยตนเองเป็นระยะ
    หลีกเลี่ยงการติดตั้งแอปที่ไม่จำเป็น แม้จะดูน่าเชื่อถือ

    https://www.techradar.com/pro/security/watch-out-these-malicious-android-apps-have-been-downloaded-42-million-times-and-could-leave-you-seriously-out-of-pocket
    📱💸 “แอป Android อันตราย 239 ตัวถูกดาวน์โหลดกว่า 42 ล้านครั้ง – เสี่ยงสูญเงินจากมือถือ!” รายงานล่าสุดจาก Zscaler เผยว่าแฮกเกอร์กำลังใช้แอป Android ปลอมที่ดูเหมือนเครื่องมือทำงานทั่วไป เช่น productivity หรือ workflow apps เพื่อเจาะระบบผู้ใช้ผ่านช่องทาง mobile payment โดยไม่เน้นขโมยข้อมูลบัตรเครดิตแบบเดิม แต่ใช้เทคนิคใหม่ เช่น phishing, smishing, และ SIM-swapping เพื่อหลอกให้โอนเงินหรือเข้าถึงบัญชีสำคัญ แอปเหล่านี้ถูกดาวน์โหลดรวมกันกว่า 42 ล้านครั้ง บน Google Play โดยมีเป้าหมายหลักคือผู้ใช้ในอินเดีย, สหรัฐฯ และแคนาดา ซึ่งเป็นประเทศที่มีอัตราการโจมตีสูงที่สุด 🧠 ภัยคุกคามที่เปลี่ยนรูปแบบ 🎗️ การโจมตีผ่านมือถือเพิ่มขึ้น 67% จากปีที่แล้ว 🎗️ Adware กลายเป็นมัลแวร์หลัก คิดเป็น 69% ของการตรวจพบทั้งหมด 🎗️ กลุ่ม “Joker” ลดลงเหลือ 23% แต่กลุ่มใหม่อย่าง Anatsa และ Xnotice กำลังเติบโต 🎗️ อุปกรณ์ IoT เช่น router และ Android TV box ก็ถูกโจมตีมากขึ้น โดยเฉพาะในอินเดียและบราซิล ✅ รายงานจาก Zscaler ➡️ พบแอป Android อันตราย 239 ตัวบน Google Play ➡️ ถูกดาวน์โหลดรวมกว่า 42 ล้านครั้ง ➡️ แอปปลอมเป็นเครื่องมือทำงานทั่วไปเพื่อหลอกผู้ใช้ ✅ รูปแบบการโจมตีใหม่ ➡️ เน้น mobile payment fraud แทนการขโมยบัตรเครดิต ➡️ ใช้ phishing, smishing, SIM-swapping และ social engineering ➡️ กลุ่มมัลแวร์ใหม่กำลังเติบโต เช่น Anatsa และ Xnotice ✅ สถานการณ์ในอุตสาหกรรม ➡️ Adware คิดเป็น 69% ของมัลแวร์ทั้งหมด ➡️ กลุ่ม “Joker” ลดลงเหลือ 23% ➡️ อุปกรณ์ IoT เช่น router และ Android TV box ถูกโจมตีมากขึ้น ✅ ประเทศเป้าหมายหลัก ➡️ อินเดีย: 26% ของการโจมตีมือถือ ➡️ สหรัฐฯ: 15% ➡️ แคนาดา: 14% ➡️ สหรัฐฯ ยังเป็นเป้าหมายหลักใน IoT คิดเป็น 54.1% ของทราฟฟิกมัลแวร์ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Android ⛔ อย่าดาวน์โหลดแอปจากลิงก์ในข้อความ, โซเชียลมีเดีย หรือ job portal ⛔ ตรวจสอบสิทธิ์การเข้าถึงของแอปก่อนติดตั้ง ⛔ เปิด Google Play Protect และสแกนด้วยตนเองเป็นระยะ ⛔ หลีกเลี่ยงการติดตั้งแอปที่ไม่จำเป็น แม้จะดูน่าเชื่อถือ https://www.techradar.com/pro/security/watch-out-these-malicious-android-apps-have-been-downloaded-42-million-times-and-could-leave-you-seriously-out-of-pocket
    WWW.TECHRADAR.COM
    A dangerous rise in Android malware hits critical industries
    Hidden Android threats sweep through millions of devices
    0 Comments 0 Shares 49 Views 0 Reviews
  • ปลดล็อก คนมีหนี้ต่ำแสน!? : [Biz Talk]

    คลัง,ธปท.,สมาคมแบงก์ ออกมาตรการเฉพาะกิจช่วยลูกหนี้รายย่อย ที่มีหนี้ไม่เกินรายละ 100,000 บาท ผ่านการซื้อและโอนหนี้เสีย ออกจากผู้ให้บริการทางการเงิน มายัง บริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) และปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรน เพื่อให้ลูกหนี้ หลุดพ้นสถานะ NPL เตรียมคิกออฟ เฟสแรก 2 ล้านบัญชี 11 พ.ย.68
    ปลดล็อก คนมีหนี้ต่ำแสน!? : [Biz Talk] คลัง,ธปท.,สมาคมแบงก์ ออกมาตรการเฉพาะกิจช่วยลูกหนี้รายย่อย ที่มีหนี้ไม่เกินรายละ 100,000 บาท ผ่านการซื้อและโอนหนี้เสีย ออกจากผู้ให้บริการทางการเงิน มายัง บริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) และปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรน เพื่อให้ลูกหนี้ หลุดพ้นสถานะ NPL เตรียมคิกออฟ เฟสแรก 2 ล้านบัญชี 11 พ.ย.68
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 98 Views 0 0 Reviews
  • “Google ยอมถอย! ข้อตกลงกับ Epic เปลี่ยนโฉม Android ครั้งใหญ่ – ผู้ใช้ได้ประโยชน์เต็มๆ”

    หลังจากการต่อสู้ทางกฎหมายยาวนานหลายปีระหว่าง Google และ Epic Games ล่าสุดทั้งสองบริษัทได้บรรลุข้อตกลงที่อาจเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศของ Android อย่างสิ้นเชิง โดย Google ยอมปรับนโยบาย Play Store หลายด้าน ซึ่งจะเปิดทางให้ผู้ใช้และนักพัฒนาได้รับอิสระมากขึ้นในการเลือกวิธีชำระเงินและติดตั้งแอป

    ข้อตกลงระหว่าง Google และ Epic
    Google ยอมให้ใช้ระบบชำระเงินอื่นนอกเหนือจาก Play Billing
    นักพัฒนาสามารถใช้ลิงก์ภายนอกเพื่อรับชำระเงิน
    เปิดทางให้ติดตั้ง App Store ทางเลือกที่เข้าถึงแอปจาก Play Store ได้

    การเปลี่ยนแปลงค่าธรรมเนียม
    ค่าธรรมเนียมใหม่อยู่ที่ 9% สำหรับ subscription และแอปทั่วไป
    20% สำหรับ in-app purchase ที่ให้ข้อได้เปรียบในเกม
    หากยังใช้ Play Billing จะถูกคิดเพิ่มอีก 5%

    ผลกระทบต่อผู้ใช้ Android
    มีโอกาสจ่ายเงินน้อยลงเมื่อซื้อแอปหรือไอเทมในเกม
    ได้รับทางเลือกมากขึ้นในการติดตั้งแอปจากแหล่งอื่น
    ระบบนิเวศของ Android จะเปิดกว้างขึ้นและแข่งขันมากขึ้น

    เงื่อนไขการใช้งาน
    โมเดลค่าธรรมเนียมใหม่ใช้กับแอปที่ติดตั้งหลังเดือนตุลาคม 2025
    ข้อตกลงมีผลทั่วโลก ไม่จำกัดเฉพาะสหรัฐฯ
    รอการอนุมัติจากศาล ซึ่งคาดว่าจะผ่านในเร็วๆ นี้

    คำเตือนสำหรับนักพัฒนาและผู้ใช้
    การใช้ระบบชำระเงินภายนอกต้องผ่านการลงทะเบียนกับ Google
    App Store ทางเลือกต้องเป็น “Registered” จึงจะเข้าถึงแอปจาก Play Store ได้
    หากไม่เข้าใจเงื่อนไข อาจถูกปฏิเสธการเข้าถึงหรือถูกลบแอป

    https://www.techradar.com/phones/android/android-could-soon-change-in-a-big-way-thanks-to-the-google-and-epic-settlement-heres-what-it-means-for-you
    🤝📱 “Google ยอมถอย! ข้อตกลงกับ Epic เปลี่ยนโฉม Android ครั้งใหญ่ – ผู้ใช้ได้ประโยชน์เต็มๆ” หลังจากการต่อสู้ทางกฎหมายยาวนานหลายปีระหว่าง Google และ Epic Games ล่าสุดทั้งสองบริษัทได้บรรลุข้อตกลงที่อาจเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศของ Android อย่างสิ้นเชิง โดย Google ยอมปรับนโยบาย Play Store หลายด้าน ซึ่งจะเปิดทางให้ผู้ใช้และนักพัฒนาได้รับอิสระมากขึ้นในการเลือกวิธีชำระเงินและติดตั้งแอป ✅ ข้อตกลงระหว่าง Google และ Epic ➡️ Google ยอมให้ใช้ระบบชำระเงินอื่นนอกเหนือจาก Play Billing ➡️ นักพัฒนาสามารถใช้ลิงก์ภายนอกเพื่อรับชำระเงิน ➡️ เปิดทางให้ติดตั้ง App Store ทางเลือกที่เข้าถึงแอปจาก Play Store ได้ ✅ การเปลี่ยนแปลงค่าธรรมเนียม ➡️ ค่าธรรมเนียมใหม่อยู่ที่ 9% สำหรับ subscription และแอปทั่วไป ➡️ 20% สำหรับ in-app purchase ที่ให้ข้อได้เปรียบในเกม ➡️ หากยังใช้ Play Billing จะถูกคิดเพิ่มอีก 5% ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้ Android ➡️ มีโอกาสจ่ายเงินน้อยลงเมื่อซื้อแอปหรือไอเทมในเกม ➡️ ได้รับทางเลือกมากขึ้นในการติดตั้งแอปจากแหล่งอื่น ➡️ ระบบนิเวศของ Android จะเปิดกว้างขึ้นและแข่งขันมากขึ้น ✅ เงื่อนไขการใช้งาน ➡️ โมเดลค่าธรรมเนียมใหม่ใช้กับแอปที่ติดตั้งหลังเดือนตุลาคม 2025 ➡️ ข้อตกลงมีผลทั่วโลก ไม่จำกัดเฉพาะสหรัฐฯ ➡️ รอการอนุมัติจากศาล ซึ่งคาดว่าจะผ่านในเร็วๆ นี้ ‼️ คำเตือนสำหรับนักพัฒนาและผู้ใช้ ⛔ การใช้ระบบชำระเงินภายนอกต้องผ่านการลงทะเบียนกับ Google ⛔ App Store ทางเลือกต้องเป็น “Registered” จึงจะเข้าถึงแอปจาก Play Store ได้ ⛔ หากไม่เข้าใจเงื่อนไข อาจถูกปฏิเสธการเข้าถึงหรือถูกลบแอป https://www.techradar.com/phones/android/android-could-soon-change-in-a-big-way-thanks-to-the-google-and-epic-settlement-heres-what-it-means-for-you
    0 Comments 0 Shares 48 Views 0 Reviews
  • “ChatGPT ปรับคำตอบได้ทันที – ผู้ใช้สามารถแทรกข้อมูลใหม่ระหว่างที่ AI กำลังคิด!”

    OpenAI ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ให้กับ ChatGPT ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ แทรกข้อมูลหรือแก้ไขคำสั่งระหว่างที่ AI กำลังตอบอยู่ โดยไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญจากระบบเดิมที่ต้องรอให้ AI ตอบจบก่อนจึงจะส่งคำสั่งใหม่ได้

    ฟีเจอร์ “Update” ทำงานอย่างไร?
    เมื่อ AI กำลังคิดหรือเขียนคำตอบ ผู้ใช้สามารถกดปุ่ม “Update” ที่แถบด้านข้าง
    เพิ่มข้อมูลใหม่ เช่น “เปลี่ยนปีจาก 2022 เป็น 2024” หรือ “เพิ่มข้อมูลจากแหล่งนี้ด้วย”
    AI จะปรับคำตอบทันทีโดยไม่ต้องเริ่มต้นใหม่หรือเสีย prompt เดิม

    เหมาะกับใคร?
    ผู้ใช้ GPT-5 Pro และฟีเจอร์ Deep Research ที่ใช้เวลาตอบนาน
    นักวิเคราะห์, นักวิจัย, นักเขียน ที่ต้องการปรับคำสั่งระหว่างรอผล
    ผู้ใช้ที่เผลอส่งคำสั่งผิด หรืออยากเพิ่มบริบทใหม่ระหว่างที่ AI กำลังตอบ

    ฟีเจอร์ใหม่ของ ChatGPT
    ผู้ใช้สามารถแทรกข้อมูลใหม่ระหว่างที่ AI กำลังตอบ
    ใช้ปุ่ม “Update” เพื่อปรับคำสั่งทันที
    ไม่ต้องเริ่มต้นใหม่หรือเสีย prompt เดิม

    ประโยชน์ที่ได้รับ
    ประหยัดเวลาในการแก้ไขคำสั่ง
    ลดความผิดพลาดจากการส่ง prompt ไม่ครบ
    เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน AI แบบมืออาชีพ

    ตัวอย่างการใช้งาน
    นักวิเคราะห์เปลี่ยนแหล่งข้อมูลระหว่างที่ AI กำลังเขียนรายงาน
    นักเขียนเพิ่มบริบทใหม่ให้ AI ปรับเนื้อหาให้ตรงใจ
    นักเรียนแก้โจทย์ระหว่างที่ AI กำลังอธิบาย

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    ฟีเจอร์นี้ใช้ได้เฉพาะ GPT-5 Pro และ Deep Research
    หากใช้ GPT รุ่นอื่น อาจยังไม่รองรับการแทรกข้อมูลระหว่างตอบ
    การเปลี่ยนคำสั่งมากเกินไปอาจทำให้ AI สับสนหรือตอบไม่ตรง

    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt/you-can-now-interrupt-chatgpt-as-it-learns-to-take-feedback-on-the-fly
    🧠💬 “ChatGPT ปรับคำตอบได้ทันที – ผู้ใช้สามารถแทรกข้อมูลใหม่ระหว่างที่ AI กำลังคิด!” OpenAI ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ให้กับ ChatGPT ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ แทรกข้อมูลหรือแก้ไขคำสั่งระหว่างที่ AI กำลังตอบอยู่ โดยไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญจากระบบเดิมที่ต้องรอให้ AI ตอบจบก่อนจึงจะส่งคำสั่งใหม่ได้ 🧠 ฟีเจอร์ “Update” ทำงานอย่างไร? 🎗️ เมื่อ AI กำลังคิดหรือเขียนคำตอบ ผู้ใช้สามารถกดปุ่ม “Update” ที่แถบด้านข้าง 🎗️ เพิ่มข้อมูลใหม่ เช่น “เปลี่ยนปีจาก 2022 เป็น 2024” หรือ “เพิ่มข้อมูลจากแหล่งนี้ด้วย” 🎗️ AI จะปรับคำตอบทันทีโดยไม่ต้องเริ่มต้นใหม่หรือเสีย prompt เดิม ⚙️ เหมาะกับใคร? 🎯 ผู้ใช้ GPT-5 Pro และฟีเจอร์ Deep Research ที่ใช้เวลาตอบนาน 🎯 นักวิเคราะห์, นักวิจัย, นักเขียน ที่ต้องการปรับคำสั่งระหว่างรอผล 🎯 ผู้ใช้ที่เผลอส่งคำสั่งผิด หรืออยากเพิ่มบริบทใหม่ระหว่างที่ AI กำลังตอบ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ของ ChatGPT ➡️ ผู้ใช้สามารถแทรกข้อมูลใหม่ระหว่างที่ AI กำลังตอบ ➡️ ใช้ปุ่ม “Update” เพื่อปรับคำสั่งทันที ➡️ ไม่ต้องเริ่มต้นใหม่หรือเสีย prompt เดิม ✅ ประโยชน์ที่ได้รับ ➡️ ประหยัดเวลาในการแก้ไขคำสั่ง ➡️ ลดความผิดพลาดจากการส่ง prompt ไม่ครบ ➡️ เพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน AI แบบมืออาชีพ ✅ ตัวอย่างการใช้งาน ➡️ นักวิเคราะห์เปลี่ยนแหล่งข้อมูลระหว่างที่ AI กำลังเขียนรายงาน ➡️ นักเขียนเพิ่มบริบทใหม่ให้ AI ปรับเนื้อหาให้ตรงใจ ➡️ นักเรียนแก้โจทย์ระหว่างที่ AI กำลังอธิบาย ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ ฟีเจอร์นี้ใช้ได้เฉพาะ GPT-5 Pro และ Deep Research ⛔ หากใช้ GPT รุ่นอื่น อาจยังไม่รองรับการแทรกข้อมูลระหว่างตอบ ⛔ การเปลี่ยนคำสั่งมากเกินไปอาจทำให้ AI สับสนหรือตอบไม่ตรง https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/chatgpt/you-can-now-interrupt-chatgpt-as-it-learns-to-take-feedback-on-the-fly
    WWW.TECHRADAR.COM
    ChatGPT now allows for real-time edits to steer the response before it derails
    You can interrupt the AI while it's thinking and change up your prompt without starting over
    0 Comments 0 Shares 41 Views 0 Reviews
  • ตำรวจกัมพูชาจับกุมชาวต่างชาติ รวม 658 คน จากศูนย์สแกมเมอร์ 2 แห่ง ในเมืองบาเวต จังหวัดสวายเรียง รองโฆษก มท.เขมรอ้าง สะท้อนการเอาจริงของรัฐบาลในการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ปัญหาสำคัญระดับโลก

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000106718

    #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    ตำรวจกัมพูชาจับกุมชาวต่างชาติ รวม 658 คน จากศูนย์สแกมเมอร์ 2 แห่ง ในเมืองบาเวต จังหวัดสวายเรียง รองโฆษก มท.เขมรอ้าง สะท้อนการเอาจริงของรัฐบาลในการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ปัญหาสำคัญระดับโลก อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000106718 #News1Feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    0 Comments 0 Shares 97 Views 0 Reviews