• หึหึหึ...
    .
    https://youtu.be/MhKRDQxPrHM?si=UUqavIKQc5WIEJVJ
    หึหึหึ... . https://youtu.be/MhKRDQxPrHM?si=UUqavIKQc5WIEJVJ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 5 มุมมอง 0 รีวิว
  • QNAP เร่งอุดช่องโหว่ 7 จุด หลังถูกเจาะในงาน Pwn2Own 2025

    สวัสดีครับทุกคน วันนี้มีข่าวใหญ่ในวงการไซเบอร์ที่ต้องจับตามอง! บริษัท QNAP ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ NAS (Network-Attached Storage) ได้ออกประกาศเตือนภัยและปล่อยแพตช์อัปเดตด่วน หลังจากมีการเจาะระบบสำเร็จถึง 7 ช่องโหว่ในงานแข่งขันแฮกเกอร์ระดับโลก Pwn2Own Ireland 2025

    เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การโชว์ฝีมือของแฮกเกอร์ แต่เป็นการเปิดเผยช่องโหว่ที่อาจถูกนำไปใช้โจมตีจริงในโลกไซเบอร์ โดยช่องโหว่เหล่านี้กระทบทั้งระบบปฏิบัติการหลักของ QNAP และแอปสำคัญอย่างเครื่องมือสำรองข้อมูลและตัวกำจัดมัลแวร์ ซึ่งเป็นหัวใจของการปกป้องข้อมูลผู้ใช้

    ทีมที่สามารถเจาะระบบได้มีทั้ง Summoning Team, DEVCORE, Team DDOS และแม้แต่เด็กฝึกงานจาก CyCraft! นี่แสดงให้เห็นว่าช่องโหว่เหล่านี้มีความร้ายแรงและเข้าถึงได้ง่ายเพียงใด

    นอกจากการรายงานข่าว ผมขอเสริมข้อมูลจากภายนอกว่า Pwn2Own เป็นงานแข่งขันที่มีชื่อเสียงมากในวงการความปลอดภัยไซเบอร์ โดยผู้เข้าแข่งขันจะได้รับเงินรางวัลและชื่อเสียงจากการค้นพบช่องโหว่ใหม่ ซึ่งหลายครั้งนำไปสู่การปรับปรุงระบบทั่วโลก

    ช่องโหว่ในระบบปฏิบัติการ QNAP
    พบใน QTS และ QuTS hero หลายเวอร์ชัน
    ช่องโหว่ CVE-2025-62847 ถึง CVE-2025-62849
    เสี่ยงต่อการถูกเจาะระบบจากระยะไกลและข้อมูลรั่วไหล

    ช่องโหว่ในแอปสำรองข้อมูล
    HBS 3 Hybrid Backup Sync มีช่องโหว่ CVE-2025-62840 และ CVE-2025-62842
    ต้องอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 26.2.0.938 ขึ้นไป

    ช่องโหว่ในแอปป้องกันมัลแวร์
    Malware Remover มีช่องโหว่ CVE-2025-11837
    ต้องอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 6.6.8.20251023 ขึ้นไป

    ทีมที่เจาะระบบสำเร็จในงาน Pwn2Own
    Summoning Team, DEVCORE, Team DDOS และ CyCraft intern

    ความสำคัญของงาน Pwn2Own
    เป็นเวทีแข่งขันระดับโลกด้านความปลอดภัยไซเบอร์
    ส่งผลให้บริษัทต่างๆ เร่งอุดช่องโหว่เพื่อป้องกันการโจมตีจริง

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ QNAP
    หากยังไม่ได้อัปเดต อุปกรณ์ NAS อาจถูกเจาะและข้อมูลรั่วไหล
    ช่องโหว่เหล่านี้ถูกพิสูจน์แล้วว่าใช้งานได้จริง
    ควรอัปเดตเฟิร์มแวร์และแอปทันทีเพื่อความปลอดภัย

    ความเสี่ยงจากการละเลยการอัปเดต
    อาจถูกโจมตีจากแฮกเกอร์ที่นำเทคนิคจากงาน Pwn2Own ไปใช้
    ข้อมูลสำคัญใน NAS เช่นไฟล์งานหรือภาพถ่ายส่วนตัวอาจถูกขโมย

    หากคุณใช้ QNAP อย่ารอช้า รีบตรวจสอบเวอร์ชันและอัปเดตทันทีนะครับ เพื่อความปลอดภัยของข้อมูลและระบบของคุณเอง

    https://securityonline.info/critical-warning-qnap-patches-seven-zero-days-exploited-at-pwn2own-2025/
    🛡️ QNAP เร่งอุดช่องโหว่ 7 จุด หลังถูกเจาะในงาน Pwn2Own 2025 สวัสดีครับทุกคน วันนี้มีข่าวใหญ่ในวงการไซเบอร์ที่ต้องจับตามอง! บริษัท QNAP ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ NAS (Network-Attached Storage) ได้ออกประกาศเตือนภัยและปล่อยแพตช์อัปเดตด่วน หลังจากมีการเจาะระบบสำเร็จถึง 7 ช่องโหว่ในงานแข่งขันแฮกเกอร์ระดับโลก Pwn2Own Ireland 2025 เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การโชว์ฝีมือของแฮกเกอร์ แต่เป็นการเปิดเผยช่องโหว่ที่อาจถูกนำไปใช้โจมตีจริงในโลกไซเบอร์ โดยช่องโหว่เหล่านี้กระทบทั้งระบบปฏิบัติการหลักของ QNAP และแอปสำคัญอย่างเครื่องมือสำรองข้อมูลและตัวกำจัดมัลแวร์ ซึ่งเป็นหัวใจของการปกป้องข้อมูลผู้ใช้ ทีมที่สามารถเจาะระบบได้มีทั้ง Summoning Team, DEVCORE, Team DDOS และแม้แต่เด็กฝึกงานจาก CyCraft! นี่แสดงให้เห็นว่าช่องโหว่เหล่านี้มีความร้ายแรงและเข้าถึงได้ง่ายเพียงใด นอกจากการรายงานข่าว ผมขอเสริมข้อมูลจากภายนอกว่า Pwn2Own เป็นงานแข่งขันที่มีชื่อเสียงมากในวงการความปลอดภัยไซเบอร์ โดยผู้เข้าแข่งขันจะได้รับเงินรางวัลและชื่อเสียงจากการค้นพบช่องโหว่ใหม่ ซึ่งหลายครั้งนำไปสู่การปรับปรุงระบบทั่วโลก ✅ ช่องโหว่ในระบบปฏิบัติการ QNAP ➡️ พบใน QTS และ QuTS hero หลายเวอร์ชัน ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-62847 ถึง CVE-2025-62849 ➡️ เสี่ยงต่อการถูกเจาะระบบจากระยะไกลและข้อมูลรั่วไหล ✅ ช่องโหว่ในแอปสำรองข้อมูล ➡️ HBS 3 Hybrid Backup Sync มีช่องโหว่ CVE-2025-62840 และ CVE-2025-62842 ➡️ ต้องอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 26.2.0.938 ขึ้นไป ✅ ช่องโหว่ในแอปป้องกันมัลแวร์ ➡️ Malware Remover มีช่องโหว่ CVE-2025-11837 ➡️ ต้องอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 6.6.8.20251023 ขึ้นไป ✅ ทีมที่เจาะระบบสำเร็จในงาน Pwn2Own ➡️ Summoning Team, DEVCORE, Team DDOS และ CyCraft intern ✅ ความสำคัญของงาน Pwn2Own ➡️ เป็นเวทีแข่งขันระดับโลกด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ➡️ ส่งผลให้บริษัทต่างๆ เร่งอุดช่องโหว่เพื่อป้องกันการโจมตีจริง ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ QNAP ⛔ หากยังไม่ได้อัปเดต อุปกรณ์ NAS อาจถูกเจาะและข้อมูลรั่วไหล ⛔ ช่องโหว่เหล่านี้ถูกพิสูจน์แล้วว่าใช้งานได้จริง ⛔ ควรอัปเดตเฟิร์มแวร์และแอปทันทีเพื่อความปลอดภัย ‼️ ความเสี่ยงจากการละเลยการอัปเดต ⛔ อาจถูกโจมตีจากแฮกเกอร์ที่นำเทคนิคจากงาน Pwn2Own ไปใช้ ⛔ ข้อมูลสำคัญใน NAS เช่นไฟล์งานหรือภาพถ่ายส่วนตัวอาจถูกขโมย หากคุณใช้ QNAP อย่ารอช้า รีบตรวจสอบเวอร์ชันและอัปเดตทันทีนะครับ เพื่อความปลอดภัยของข้อมูลและระบบของคุณเอง 💻🔐 https://securityonline.info/critical-warning-qnap-patches-seven-zero-days-exploited-at-pwn2own-2025/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical Warning: QNAP Patches Seven Zero-Days Exploited at Pwn2Own 2025
    QNAP patched 7 zero-day flaws in QTS/QuTS hero and apps (HBS 3, Malware Remover) after being hacked by researchers at Pwn2Own Ireland 2025. Update urgently.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฟังก์ชันคอลใน LLMs: ก้าวกระโดดจากผู้ช่วยพูดคุย สู่เอเจนต์อัจฉริยะที่ลงมือทำได้จริง

    ลองจินตนาการว่า AI ไม่ได้แค่ตอบคำถาม แต่สามารถ “เรียกใช้ฟังก์ชัน” เพื่อดึงข้อมูลจริง ทำงานแทนคุณ หรือจัดการกระบวนการซับซ้อนได้เอง นี่คือพลังของ “Function Calling” ใน LLMs ที่กำลังเปลี่ยนเกมของวงการ AI อย่างแท้จริง!

    ก่อนหน้านี้ LLMs อย่าง GPT หรือ LLaMA ทำได้แค่ “พูดคุย” หรือ “เขียนข้อความ” แต่ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลจริงหรือทำงานจริงได้ เช่น ถ้าคุณถามว่า “ตอนนี้อากาศที่โตเกียวเป็นยังไง” มันก็จะเดา หรือบอกว่าไม่รู้

    แต่ด้วย “Function Calling” โมเดลสามารถเข้าใจว่า “อ๋อ! ต้องเรียกฟังก์ชัน get_weather(“Tokyo”)” แล้วให้โค้ดของคุณไปดึงข้อมูลจริงมาให้มันตอบกลับอย่างชาญฉลาด

    นี่คือการเปลี่ยน LLM จาก “นักพูด” เป็น “นักปฏิบัติ” ที่สามารถ:
    ดึงข้อมูลเรียลไทม์
    เรียก API ภายนอก
    สั่งงาน เช่น ส่งอีเมล จองร้านอาหาร
    ควบคุมอุปกรณ์ IoT
    ประมวลผลข้อมูลหรือคำนวณอย่างแม่นยำ
    วางแผนและจัดการเวิร์กโฟลว์หลายขั้นตอน

    ความสามารถใหม่ของ LLMs
    Function Calling ช่วยให้โมเดลเรียกใช้ฟังก์ชันภายนอกได้
    โมเดลไม่รันฟังก์ชันเอง แต่สร้างคำสั่งให้โค้ดของคุณรันแทน

    ขั้นตอนการทำงานของ Function Calling
    นิยามฟังก์ชันที่โมเดลสามารถเรียกใช้ (ชื่อ, พารามิเตอร์, คำอธิบาย)
    ส่งข้อความผู้ใช้ + รายการฟังก์ชันให้โมเดล
    โมเดลตัดสินใจว่าจะเรียกฟังก์ชันหรือไม่
    โค้ดของคุณรันฟังก์ชันและส่งผลลัพธ์กลับ
    โมเดลตอบกลับด้วยข้อมูลที่ได้

    ตัวอย่างการใช้งานจริง
    ดึงข้อมูลเรียลไทม์ เช่น สภาพอากาศ, ราคาหุ้น, ข่าว
    สอบถามฐานข้อมูล เช่น สถานะคำสั่งซื้อ
    สั่งงาน เช่น สร้างนัดหมาย, ส่งอีเมล
    จัดการเวิร์กโฟลว์หลายขั้นตอน เช่น จองร้านอาหาร
    คำนวณทางการเงิน เช่น ดอกเบี้ย, ภาษี
    เชื่อมต่อ API ภายนอก เช่น ระบบแปลภาษา, ระบบชำระเงิน

    แนวทางการใช้งาน
    ใช้ JSON Schema เพื่อกำหนดฟังก์ชัน
    ตรวจสอบความถูกต้องของพารามิเตอร์ก่อนรัน
    แยกฟังก์ชันให้เล็กและเฉพาะเจาะจง
    ใช้ enum เพื่อจำกัดค่าที่รับได้
    ใส่ระบบยืนยันสิทธิ์ก่อนรันคำสั่งสำคัญ

    โมเดลที่รองรับ Function Calling
    GPT-3.5, GPT-4 จาก OpenAI
    LLaMA 3.1 (โดยเฉพาะรุ่น 70B)
    Mistral, Qwen และโมเดลโอเพ่นซอร์สอื่นที่รองรับ tools

    https://securityonline.info/unlocking-function-calling-in-llms-and-why-its-a-big-deal/
    🧠 ฟังก์ชันคอลใน LLMs: ก้าวกระโดดจากผู้ช่วยพูดคุย สู่เอเจนต์อัจฉริยะที่ลงมือทำได้จริง ลองจินตนาการว่า AI ไม่ได้แค่ตอบคำถาม แต่สามารถ “เรียกใช้ฟังก์ชัน” เพื่อดึงข้อมูลจริง ทำงานแทนคุณ หรือจัดการกระบวนการซับซ้อนได้เอง นี่คือพลังของ “Function Calling” ใน LLMs ที่กำลังเปลี่ยนเกมของวงการ AI อย่างแท้จริง! ก่อนหน้านี้ LLMs อย่าง GPT หรือ LLaMA ทำได้แค่ “พูดคุย” หรือ “เขียนข้อความ” แต่ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลจริงหรือทำงานจริงได้ เช่น ถ้าคุณถามว่า “ตอนนี้อากาศที่โตเกียวเป็นยังไง” มันก็จะเดา หรือบอกว่าไม่รู้ แต่ด้วย “Function Calling” โมเดลสามารถเข้าใจว่า “อ๋อ! ต้องเรียกฟังก์ชัน get_weather(“Tokyo”)” แล้วให้โค้ดของคุณไปดึงข้อมูลจริงมาให้มันตอบกลับอย่างชาญฉลาด นี่คือการเปลี่ยน LLM จาก “นักพูด” เป็น “นักปฏิบัติ” ที่สามารถ: 💠 ดึงข้อมูลเรียลไทม์ 💠 เรียก API ภายนอก 💠 สั่งงาน เช่น ส่งอีเมล จองร้านอาหาร 💠 ควบคุมอุปกรณ์ IoT 💠 ประมวลผลข้อมูลหรือคำนวณอย่างแม่นยำ 💠 วางแผนและจัดการเวิร์กโฟลว์หลายขั้นตอน ✅ ความสามารถใหม่ของ LLMs ➡️ Function Calling ช่วยให้โมเดลเรียกใช้ฟังก์ชันภายนอกได้ ➡️ โมเดลไม่รันฟังก์ชันเอง แต่สร้างคำสั่งให้โค้ดของคุณรันแทน ✅ ขั้นตอนการทำงานของ Function Calling ➡️ นิยามฟังก์ชันที่โมเดลสามารถเรียกใช้ (ชื่อ, พารามิเตอร์, คำอธิบาย) ➡️ ส่งข้อความผู้ใช้ + รายการฟังก์ชันให้โมเดล ➡️ โมเดลตัดสินใจว่าจะเรียกฟังก์ชันหรือไม่ ➡️ โค้ดของคุณรันฟังก์ชันและส่งผลลัพธ์กลับ ➡️ โมเดลตอบกลับด้วยข้อมูลที่ได้ ✅ ตัวอย่างการใช้งานจริง ➡️ ดึงข้อมูลเรียลไทม์ เช่น สภาพอากาศ, ราคาหุ้น, ข่าว ➡️ สอบถามฐานข้อมูล เช่น สถานะคำสั่งซื้อ ➡️ สั่งงาน เช่น สร้างนัดหมาย, ส่งอีเมล ➡️ จัดการเวิร์กโฟลว์หลายขั้นตอน เช่น จองร้านอาหาร ➡️ คำนวณทางการเงิน เช่น ดอกเบี้ย, ภาษี ➡️ เชื่อมต่อ API ภายนอก เช่น ระบบแปลภาษา, ระบบชำระเงิน ✅ แนวทางการใช้งาน ➡️ ใช้ JSON Schema เพื่อกำหนดฟังก์ชัน ➡️ ตรวจสอบความถูกต้องของพารามิเตอร์ก่อนรัน ➡️ แยกฟังก์ชันให้เล็กและเฉพาะเจาะจง ➡️ ใช้ enum เพื่อจำกัดค่าที่รับได้ ➡️ ใส่ระบบยืนยันสิทธิ์ก่อนรันคำสั่งสำคัญ ✅ โมเดลที่รองรับ Function Calling ➡️ GPT-3.5, GPT-4 จาก OpenAI ➡️ LLaMA 3.1 (โดยเฉพาะรุ่น 70B) ➡️ Mistral, Qwen และโมเดลโอเพ่นซอร์สอื่นที่รองรับ tools https://securityonline.info/unlocking-function-calling-in-llms-and-why-its-a-big-deal/
    SECURITYONLINE.INFO
    Unlocking Function Calling in LLMs (And Why It's a Big Deal)
    Large language models can generate impressive text, answer questions, and engage in conversation. But until recently, they existed
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
  • Ironwood TPU: ขุมพลังใหม่จาก Google ที่จะพลิกโฉมยุค Agentic AI

    Google เปิดตัว “Ironwood” TPU รุ่นที่ 7 ที่งาน Next ’25 พร้อมสเปคสุดโหด 42.5 ExaFLOPS เพื่อรองรับยุคใหม่ของ Agentic AI ที่ต้องการความเร็วและความฉลาดระดับเหนือมนุษย์!

    ในยุคที่ AI ไม่ใช่แค่โมเดลตอบคำถาม แต่กลายเป็น “เอเจนต์อัจฉริยะ” ที่คิด วิเคราะห์ และตัดสินใจได้เอง Google จึงเปิดตัว Ironwood TPU ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการฝึกและใช้งานโมเดลขนาดมหึมาอย่าง Gemini, Claude, Veo และ Imagen

    Ironwood ไม่ใช่แค่แรง แต่ฉลาดและประหยัดพลังงานกว่ารุ่นก่อนถึง 4 เท่า! ด้วยการออกแบบระบบร่วมระหว่างฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และงานวิจัยโมเดล ทำให้ TPU รุ่นนี้กลายเป็นหัวใจของ “AI Hypercomputer” ที่ Google วางรากฐานไว้

    Ironwood TPU คืออะไร
    ชิปประมวลผล AI รุ่นที่ 7 จาก Google
    ออกแบบเพื่อรองรับ Agentic AI ที่ต้องการ reasoning และ insight ขั้นสูง

    ประสิทธิภาพที่เหนือชั้น
    42.5 ExaFLOPS ต่อ pod (มากกว่า El Capitan 24 เท่า)
    ชิปเดี่ยวให้พลังสูงสุด 4,614 TFLOPS
    ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว

    สถาปัตยกรรมใหม่
    ใช้ Inter-Chip Interconnect (ICI) ความเร็ว 9.6 Tb/s
    หน่วยความจำร่วม HBM สูงสุด 1.77 PB
    รองรับการทำงานร่วมกันของหลายพันชิปแบบ “สมองรวม”

    ความร่วมมือกับ Anthropic
    Anthropic เซ็นสัญญาหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อใช้ Ironwood
    เตรียมใช้ TPU สูงสุด 1 ล้านตัวสำหรับ Claude รุ่นใหม่

    เทคโนโลยีเสริม
    Optical Circuit Switching (OCS) เพื่อความเสถียรระดับองค์กร
    CPU Axion รุ่นใหม่ใน VM N4A และ C4A Metal
    ประสิทธิภาพต่อวัตต์ดีขึ้น 80% เมื่อเทียบกับ x86

    วิสัยทัศน์ของ Google
    “System-level co-design” รวมฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และโมเดลไว้ในหลังคาเดียว
    Ironwood คือผลลัพธ์จากการพัฒนา TPU ต่อเนื่องกว่า 10 ปี

    Ironwood ไม่ใช่แค่ชิปใหม่ แต่คือการประกาศศักดาเข้าสู่ยุคที่ AI ไม่ใช่แค่ “ฉลาด” แต่ “ลงมือทำ” ได้จริง และเร็วระดับ ExaFLOPS!

    https://securityonline.info/42-5-exaflops-google-launches-ironwood-tpu-to-power-next-gen-agentic-ai/
    🚀 Ironwood TPU: ขุมพลังใหม่จาก Google ที่จะพลิกโฉมยุค Agentic AI Google เปิดตัว “Ironwood” TPU รุ่นที่ 7 ที่งาน Next ’25 พร้อมสเปคสุดโหด 42.5 ExaFLOPS เพื่อรองรับยุคใหม่ของ Agentic AI ที่ต้องการความเร็วและความฉลาดระดับเหนือมนุษย์! ในยุคที่ AI ไม่ใช่แค่โมเดลตอบคำถาม แต่กลายเป็น “เอเจนต์อัจฉริยะ” ที่คิด วิเคราะห์ และตัดสินใจได้เอง Google จึงเปิดตัว Ironwood TPU ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการฝึกและใช้งานโมเดลขนาดมหึมาอย่าง Gemini, Claude, Veo และ Imagen Ironwood ไม่ใช่แค่แรง แต่ฉลาดและประหยัดพลังงานกว่ารุ่นก่อนถึง 4 เท่า! ด้วยการออกแบบระบบร่วมระหว่างฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และงานวิจัยโมเดล ทำให้ TPU รุ่นนี้กลายเป็นหัวใจของ “AI Hypercomputer” ที่ Google วางรากฐานไว้ ✅ Ironwood TPU คืออะไร ➡️ ชิปประมวลผล AI รุ่นที่ 7 จาก Google ➡️ ออกแบบเพื่อรองรับ Agentic AI ที่ต้องการ reasoning และ insight ขั้นสูง ✅ ประสิทธิภาพที่เหนือชั้น ➡️ 42.5 ExaFLOPS ต่อ pod (มากกว่า El Capitan 24 เท่า) ➡️ ชิปเดี่ยวให้พลังสูงสุด 4,614 TFLOPS ➡️ ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว ✅ สถาปัตยกรรมใหม่ ➡️ ใช้ Inter-Chip Interconnect (ICI) ความเร็ว 9.6 Tb/s ➡️ หน่วยความจำร่วม HBM สูงสุด 1.77 PB ➡️ รองรับการทำงานร่วมกันของหลายพันชิปแบบ “สมองรวม” ✅ ความร่วมมือกับ Anthropic ➡️ Anthropic เซ็นสัญญาหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อใช้ Ironwood ➡️ เตรียมใช้ TPU สูงสุด 1 ล้านตัวสำหรับ Claude รุ่นใหม่ ✅ เทคโนโลยีเสริม ➡️ Optical Circuit Switching (OCS) เพื่อความเสถียรระดับองค์กร ➡️ CPU Axion รุ่นใหม่ใน VM N4A และ C4A Metal ➡️ ประสิทธิภาพต่อวัตต์ดีขึ้น 80% เมื่อเทียบกับ x86 ✅ วิสัยทัศน์ของ Google ➡️ “System-level co-design” รวมฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และโมเดลไว้ในหลังคาเดียว ➡️ Ironwood คือผลลัพธ์จากการพัฒนา TPU ต่อเนื่องกว่า 10 ปี Ironwood ไม่ใช่แค่ชิปใหม่ แต่คือการประกาศศักดาเข้าสู่ยุคที่ AI ไม่ใช่แค่ “ฉลาด” แต่ “ลงมือทำ” ได้จริง และเร็วระดับ ExaFLOPS! 🌐💡 https://securityonline.info/42-5-exaflops-google-launches-ironwood-tpu-to-power-next-gen-agentic-ai/
    SECURITYONLINE.INFO
    42.5 ExaFLOPS: Google Launches Ironwood TPU to Power Next-Gen Agentic AI
    Google launches Ironwood, its 7th-gen TPU, promising 4x Trillium performance, 42.5 EFLOPS per pod, and 1.77 PB shared HBM to power Agentic AI models like Claude.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว
  • Gemini Deep Research: AI ส่วนตัวของ Google ที่เจาะลึกถึง Gmail และ Drive ของคุณ

    Google ประกาศอัปเดตครั้งใหญ่ให้กับฟีเจอร์ “Deep Research” ใน Gemini AI ที่ไม่ใช่แค่ค้นหาข้อมูลจากเว็บอีกต่อไป แต่สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของคุณใน Gmail, Google Drive, Docs, Sheets, Slides และแม้แต่ Google Chat เพื่อสร้างรายงานที่ “รู้ใจ” และ “ตรงจุด” มากขึ้น!

    ก่อนหน้านี้ Gemini Deep Research ใช้ข้อมูลจากเว็บเพื่อสร้างรายงานวิเคราะห์ แต่ตอนนี้มันสามารถดึงข้อมูลจาก Workspace ของคุณได้โดยตรง เช่น:
    ถ้าคุณขอรายงานการตลาด มันจะค้นหาโน้ตใน Drive
    ดึงอีเมลที่เกี่ยวข้องจาก Gmail
    รวมข้อมูลจาก Sheets และ Docs
    แล้วสร้างรายงานที่อิงทั้งข้อมูลภายในและภายนอก

    ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยที่คุณยังคงควบคุมได้ว่าจะให้ Gemini เข้าถึงอะไรบ้าง ผ่านเมนูตั้งค่าที่เลือกเปิด/ปิดการเข้าถึง Search, Gmail, Drive และ Chat ได้ตามต้องการ

    ฟีเจอร์ใหม่ของ Gemini Deep Research
    เข้าถึงข้อมูลจาก Gmail, Google Drive, Docs, Sheets, Slides และ Chat
    ใช้ข้อมูลภายในร่วมกับข้อมูลจากเว็บเพื่อสร้างรายงานที่แม่นยำ

    ตัวอย่างการใช้งาน
    สร้างรายงานการตลาดจากโน้ตใน Drive + อีเมลใน Gmail
    สร้างสเปรดชีตวิเคราะห์คู่แข่งโดยอิงจากข้อมูลภายในและภายนอก

    การควบคุมความเป็นส่วนตัว
    ผู้ใช้สามารถเลือกเปิด/ปิดการเข้าถึงแต่ละบริการได้
    มีเมนู dropdown ให้เลือกแหล่งข้อมูลที่อนุญาต

    การเปิดใช้งาน
    พร้อมใช้งานแล้วบน Gemini เวอร์ชันเดสก์ท็อป
    รองรับมือถือทั้ง iOS และ Android ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
    ใช้ได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

    Gemini Deep Research กำลังเปลี่ยน AI จาก “ผู้ช่วยทั่วไป” เป็น “นักวิเคราะห์ส่วนตัว” ที่เข้าใจบริบทของคุณอย่างลึกซึ้ง พร้อมสร้างข้อมูลที่มีคุณภาพสูงและตรงจุดมากขึ้นกว่าเดิม

    https://securityonline.info/personalized-ai-geminis-deep-research-now-accesses-your-gmail-google-drive-data/
    🔍 Gemini Deep Research: AI ส่วนตัวของ Google ที่เจาะลึกถึง Gmail และ Drive ของคุณ Google ประกาศอัปเดตครั้งใหญ่ให้กับฟีเจอร์ “Deep Research” ใน Gemini AI ที่ไม่ใช่แค่ค้นหาข้อมูลจากเว็บอีกต่อไป แต่สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของคุณใน Gmail, Google Drive, Docs, Sheets, Slides และแม้แต่ Google Chat เพื่อสร้างรายงานที่ “รู้ใจ” และ “ตรงจุด” มากขึ้น! ก่อนหน้านี้ Gemini Deep Research ใช้ข้อมูลจากเว็บเพื่อสร้างรายงานวิเคราะห์ แต่ตอนนี้มันสามารถดึงข้อมูลจาก Workspace ของคุณได้โดยตรง เช่น: 🔖 ถ้าคุณขอรายงานการตลาด มันจะค้นหาโน้ตใน Drive 🔖 ดึงอีเมลที่เกี่ยวข้องจาก Gmail 🔖 รวมข้อมูลจาก Sheets และ Docs 🔖 แล้วสร้างรายงานที่อิงทั้งข้อมูลภายในและภายนอก ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยที่คุณยังคงควบคุมได้ว่าจะให้ Gemini เข้าถึงอะไรบ้าง ผ่านเมนูตั้งค่าที่เลือกเปิด/ปิดการเข้าถึง Search, Gmail, Drive และ Chat ได้ตามต้องการ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ของ Gemini Deep Research ➡️ เข้าถึงข้อมูลจาก Gmail, Google Drive, Docs, Sheets, Slides และ Chat ➡️ ใช้ข้อมูลภายในร่วมกับข้อมูลจากเว็บเพื่อสร้างรายงานที่แม่นยำ ✅ ตัวอย่างการใช้งาน ➡️ สร้างรายงานการตลาดจากโน้ตใน Drive + อีเมลใน Gmail ➡️ สร้างสเปรดชีตวิเคราะห์คู่แข่งโดยอิงจากข้อมูลภายในและภายนอก ✅ การควบคุมความเป็นส่วนตัว ➡️ ผู้ใช้สามารถเลือกเปิด/ปิดการเข้าถึงแต่ละบริการได้ ➡️ มีเมนู dropdown ให้เลือกแหล่งข้อมูลที่อนุญาต ✅ การเปิดใช้งาน ➡️ พร้อมใช้งานแล้วบน Gemini เวอร์ชันเดสก์ท็อป ➡️ รองรับมือถือทั้ง iOS และ Android ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ➡️ ใช้ได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย Gemini Deep Research กำลังเปลี่ยน AI จาก “ผู้ช่วยทั่วไป” เป็น “นักวิเคราะห์ส่วนตัว” ที่เข้าใจบริบทของคุณอย่างลึกซึ้ง พร้อมสร้างข้อมูลที่มีคุณภาพสูงและตรงจุดมากขึ้นกว่าเดิม 🧠📂 https://securityonline.info/personalized-ai-geminis-deep-research-now-accesses-your-gmail-google-drive-data/
    SECURITYONLINE.INFO
    Personalized AI: Gemini's Deep Research Now Accesses Your Gmail & Google Drive Data
    Google Gemini's Deep Research now integrates Gmail, Drive, & Docs content to create personalized reports. Users maintain full control over which data the AI accesses.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1 มุมมอง 0 รีวิว
  • Linux Mint เปิดตัวเครื่องมือ System Administration และ System Information ใหม่ เพิ่มพลังให้ผู้ใช้ควบคุมระบบได้ง่ายขึ้น

    ทีมพัฒนา Linux Mint ได้เปิดตัวเครื่องมือใหม่ 2 ตัวในเดือนตุลาคม 2025 ได้แก่ “System Administration” และ “System Information” เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดการและตรวจสอบระบบได้สะดวกและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะใน Linux Mint และ LMDE (Linux Mint Debian Edition)

    ก่อนหน้านี้ Linux Mint มีเครื่องมือชื่อ System Reports สำหรับช่วยแก้ปัญหาฮาร์ดแวร์และติดตั้งโค้ดเสริม แต่ตอนนี้มันถูกรีแบรนด์ใหม่เป็น “System Information” พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ 4 ส่วน ได้แก่:

    USB: แสดงอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อแบบกลุ่มตาม USB controller
    GPU: แสดงการ์ดจอหลักและความสามารถด้าน hardware acceleration
    PCI: แสดงข้อมูลอุปกรณ์ภายใน เช่น การ์ดเสียง การ์ดเครือข่าย
    BIOS: แสดงข้อมูลเมนบอร์ด เวอร์ชัน BIOS โหมดบูต และ Secure Boot

    ในขณะเดียวกัน “System Administration” เป็นเครื่องมือใหม่ที่ให้ผู้ใช้ปรับแต่งเมนูบูต เช่น ซ่อน/แสดงเมนู ตั้งเวลา และเพิ่ม/ลบพารามิเตอร์การบูต ซึ่งในอนาคตจะมีฟีเจอร์เพิ่มขึ้นอีก

    นอกจากนี้ ทีมพัฒนายังเปิดตัวโครงการใหม่ชื่อ XSI (XApp Symbolic Icons) เพื่อแทนที่ไอคอน Adwaita เดิมในแอปของ XApp, Cinnamon และ Linux Mint ทั้งหมด

    การรีแบรนด์ System Reports เป็น System Information
    เพิ่ม 4 หมวดใหม่: USB, GPU, PCI, BIOS
    ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจฮาร์ดแวร์ของตนได้ดีขึ้น

    เครื่องมือใหม่ System Administration
    ปรับแต่งเมนูบูตได้ง่าย เช่น ซ่อน/แสดง, ตั้ง timeout, เพิ่มพารามิเตอร์
    เตรียมเพิ่มฟีเจอร์ด้านการจัดการระบบในอนาคต

    โครงการ XSI (XApp Symbolic Icons)
    แทนที่ไอคอน Adwaita ด้วยชุดไอคอนใหม่ที่ออกแบบเฉพาะ
    ใช้ในแอปของ XApp, Cinnamon และ Linux Mint

    การพัฒนาเมนูแอปใหม่ใน Cinnamon
    จะมาพร้อม Linux Mint 22.3
    ย้ายแถบค้นหาลงล่าง และจัดวางปุ่มระบบในแถบด้านข้าง

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Linux Mint
    หากยังใช้เวอร์ชันเก่า อาจไม่ได้รับฟีเจอร์ใหม่เหล่านี้
    ควรตรวจสอบและอัปเดตระบบเพื่อใช้งานเครื่องมือใหม่อย่างเต็มประสิทธิภาพ

    เครื่องมือใหม่เหล่านี้สะท้อนถึงความตั้งใจของทีม Linux Mint ที่ต้องการให้ผู้ใช้ควบคุมระบบได้ง่ายขึ้น พร้อมประสบการณ์ที่เป็นมิตรและทันสมัยมากขึ้น

    https://9to5linux.com/linux-mint-devs-introduce-new-system-administration-system-information-tools
    🛠️ Linux Mint เปิดตัวเครื่องมือ System Administration และ System Information ใหม่ เพิ่มพลังให้ผู้ใช้ควบคุมระบบได้ง่ายขึ้น ทีมพัฒนา Linux Mint ได้เปิดตัวเครื่องมือใหม่ 2 ตัวในเดือนตุลาคม 2025 ได้แก่ “System Administration” และ “System Information” เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดการและตรวจสอบระบบได้สะดวกและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะใน Linux Mint และ LMDE (Linux Mint Debian Edition) ก่อนหน้านี้ Linux Mint มีเครื่องมือชื่อ System Reports สำหรับช่วยแก้ปัญหาฮาร์ดแวร์และติดตั้งโค้ดเสริม แต่ตอนนี้มันถูกรีแบรนด์ใหม่เป็น “System Information” พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ 4 ส่วน ได้แก่: 🎗️ USB: แสดงอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อแบบกลุ่มตาม USB controller 🎗️ GPU: แสดงการ์ดจอหลักและความสามารถด้าน hardware acceleration 🎗️ PCI: แสดงข้อมูลอุปกรณ์ภายใน เช่น การ์ดเสียง การ์ดเครือข่าย 🎗️ BIOS: แสดงข้อมูลเมนบอร์ด เวอร์ชัน BIOS โหมดบูต และ Secure Boot ในขณะเดียวกัน “System Administration” เป็นเครื่องมือใหม่ที่ให้ผู้ใช้ปรับแต่งเมนูบูต เช่น ซ่อน/แสดงเมนู ตั้งเวลา และเพิ่ม/ลบพารามิเตอร์การบูต ซึ่งในอนาคตจะมีฟีเจอร์เพิ่มขึ้นอีก นอกจากนี้ ทีมพัฒนายังเปิดตัวโครงการใหม่ชื่อ XSI (XApp Symbolic Icons) เพื่อแทนที่ไอคอน Adwaita เดิมในแอปของ XApp, Cinnamon และ Linux Mint ทั้งหมด ✅ การรีแบรนด์ System Reports เป็น System Information ➡️ เพิ่ม 4 หมวดใหม่: USB, GPU, PCI, BIOS ➡️ ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจฮาร์ดแวร์ของตนได้ดีขึ้น ✅ เครื่องมือใหม่ System Administration ➡️ ปรับแต่งเมนูบูตได้ง่าย เช่น ซ่อน/แสดง, ตั้ง timeout, เพิ่มพารามิเตอร์ ➡️ เตรียมเพิ่มฟีเจอร์ด้านการจัดการระบบในอนาคต ✅ โครงการ XSI (XApp Symbolic Icons) ➡️ แทนที่ไอคอน Adwaita ด้วยชุดไอคอนใหม่ที่ออกแบบเฉพาะ ➡️ ใช้ในแอปของ XApp, Cinnamon และ Linux Mint ✅ การพัฒนาเมนูแอปใหม่ใน Cinnamon ➡️ จะมาพร้อม Linux Mint 22.3 ➡️ ย้ายแถบค้นหาลงล่าง และจัดวางปุ่มระบบในแถบด้านข้าง ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Linux Mint ⛔ หากยังใช้เวอร์ชันเก่า อาจไม่ได้รับฟีเจอร์ใหม่เหล่านี้ ⛔ ควรตรวจสอบและอัปเดตระบบเพื่อใช้งานเครื่องมือใหม่อย่างเต็มประสิทธิภาพ เครื่องมือใหม่เหล่านี้สะท้อนถึงความตั้งใจของทีม Linux Mint ที่ต้องการให้ผู้ใช้ควบคุมระบบได้ง่ายขึ้น พร้อมประสบการณ์ที่เป็นมิตรและทันสมัยมากขึ้น 🧑‍💻🌿 https://9to5linux.com/linux-mint-devs-introduce-new-system-administration-system-information-tools
    9TO5LINUX.COM
    Linux Mint Devs Introduce New System Administration & System Information Tools - 9to5Linux
    Linux Mint devs introduce new System Information and System Administration tools to make it easier to troubleshoot hardware-related issues.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • TUXEDO InfinityBook Max 15 Gen10: โน้ตบุ๊ก Linux สเปคแรงจัด พร้อม Ryzen AI และ RTX 5000 Series

    TUXEDO Computers เปิดตัวโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ “InfinityBook Max 15 Gen10” ที่มาพร้อมขุมพลัง AMD Ryzen AI 300 และการ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 5060/5070 รุ่นล่าสุด พร้อมรองรับการใช้งาน Linux เต็มรูปแบบ เหมาะสำหรับทั้งสายงานหนักและเกมเมอร์ที่ต้องการความเสถียรและพลังประมวลผลสูง

    TUXEDO InfinityBook Max 15 Gen10 คือโน้ตบุ๊กระดับเรือธงที่ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ Linux โดยเฉพาะ ตัวเครื่องทำจากอะลูมิเนียมทั้งตัว แข็งแรงแต่บางเบา ภายในอัดแน่นด้วยสเปคระดับสูงที่พร้อมรองรับงาน AI, การตัดต่อวิดีโอ, การเล่นเกม และการใช้งานระดับองค์กร

    จุดเด่นคือการใช้ซีพียู AMD Ryzen AI 300 รุ่นใหม่ล่าสุด ที่มีหน่วยประมวลผล AI ในตัว (NPU) พร้อมการ์ดจอแยก NVIDIA RTX 5000 ซีรีส์ และหน้าจอ 15.3 นิ้ว ความละเอียด WQXGA รีเฟรชเรตสูงถึง 300Hz

    สรุปจุดเด่นของ TUXEDO InfinityBook Max 15 Gen10
    สเปคภายในระดับไฮเอนด์
    ซีพียู AMD Ryzen AI 7 350 (8 คอร์), Ryzen AI 9 365 (10 คอร์), หรือ Ryzen AI 9 HX 370 (12 คอร์)
    การ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 5060 หรือ 5070 พร้อม VRAM 8GB GDDR7
    รองรับ RAM สูงสุด 128GB และ SSD PCIe 4.0 สูงสุด 8TB

    หน้าจอคุณภาพสูง
    ขนาด 15.3 นิ้ว WQXGA (2560×1600), อัตราส่วน 16:10
    รีเฟรชเรตสูงสุด 300Hz, ความสว่าง 500 nits, คอนทราสต์ 1200:1, ครอบคลุมสี sRGB 100%

    การเชื่อมต่อครบครัน
    Wi-Fi 6 (Intel AX210 หรือ AMD RZ616), Bluetooth 5.3, LAN Gigabit
    USB-A 3.2 Gen1 x3, USB-C 3.2 Gen2 (DP 1.4a), HDMI 2.0 และ 2.1, USB4, SD card reader

    ฟีเจอร์เสริมเพื่อความปลอดภัยและความสะดวก
    TPM 2.0, ปุ่ม killswitch สำหรับ webcam, Wi-Fi, Bluetooth
    คีย์บอร์ด RGB แบบ rubberdome เงียบ, touchpad กระจก, ลำโพงสเตอริโอ 2W

    ระบบปฏิบัติการ
    มาพร้อม TUXEDO OS (พื้นฐานจาก Ubuntu + KDE Plasma) หรือ Ubuntu 24.04 LTS

    ราคาและการวางจำหน่าย
    เริ่มต้นที่ 1,689 ยูโร (~1,644 ดอลลาร์สหรัฐฯ ไม่รวมภาษี)
    เปิดพรีออเดอร์แล้ววันนี้ จัดส่งต้นเดือนธันวาคม

    คำเตือนสำหรับผู้สนใจ
    ราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊กทั่วไปที่มีสเปคใกล้เคียงกัน
    เหมาะกับผู้ใช้ Linux ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและการรองรับฮาร์ดแวร์แบบเนทีฟ

    TUXEDO InfinityBook Max 15 Gen10 คือคำตอบของผู้ใช้ Linux ที่ต้องการโน้ตบุ๊กทรงพลัง พร้อมรองรับงาน AI และมั่นใจในความเสถียรของระบบปฏิบัติการโอเพ่นซอร์ส

    https://9to5linux.com/tuxedo-infinitybook-max-15-gen10-linux-laptop-announced-with-amd-ryzen-ai-300
    💻 TUXEDO InfinityBook Max 15 Gen10: โน้ตบุ๊ก Linux สเปคแรงจัด พร้อม Ryzen AI และ RTX 5000 Series TUXEDO Computers เปิดตัวโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ “InfinityBook Max 15 Gen10” ที่มาพร้อมขุมพลัง AMD Ryzen AI 300 และการ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 5060/5070 รุ่นล่าสุด พร้อมรองรับการใช้งาน Linux เต็มรูปแบบ เหมาะสำหรับทั้งสายงานหนักและเกมเมอร์ที่ต้องการความเสถียรและพลังประมวลผลสูง TUXEDO InfinityBook Max 15 Gen10 คือโน้ตบุ๊กระดับเรือธงที่ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ Linux โดยเฉพาะ ตัวเครื่องทำจากอะลูมิเนียมทั้งตัว แข็งแรงแต่บางเบา ภายในอัดแน่นด้วยสเปคระดับสูงที่พร้อมรองรับงาน AI, การตัดต่อวิดีโอ, การเล่นเกม และการใช้งานระดับองค์กร จุดเด่นคือการใช้ซีพียู AMD Ryzen AI 300 รุ่นใหม่ล่าสุด ที่มีหน่วยประมวลผล AI ในตัว (NPU) พร้อมการ์ดจอแยก NVIDIA RTX 5000 ซีรีส์ และหน้าจอ 15.3 นิ้ว ความละเอียด WQXGA รีเฟรชเรตสูงถึง 300Hz 💻 สรุปจุดเด่นของ TUXEDO InfinityBook Max 15 Gen10 ✅ สเปคภายในระดับไฮเอนด์ ➡️ ซีพียู AMD Ryzen AI 7 350 (8 คอร์), Ryzen AI 9 365 (10 คอร์), หรือ Ryzen AI 9 HX 370 (12 คอร์) ➡️ การ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 5060 หรือ 5070 พร้อม VRAM 8GB GDDR7 ➡️ รองรับ RAM สูงสุด 128GB และ SSD PCIe 4.0 สูงสุด 8TB ✅ หน้าจอคุณภาพสูง ➡️ ขนาด 15.3 นิ้ว WQXGA (2560×1600), อัตราส่วน 16:10 ➡️ รีเฟรชเรตสูงสุด 300Hz, ความสว่าง 500 nits, คอนทราสต์ 1200:1, ครอบคลุมสี sRGB 100% ✅ การเชื่อมต่อครบครัน ➡️ Wi-Fi 6 (Intel AX210 หรือ AMD RZ616), Bluetooth 5.3, LAN Gigabit ➡️ USB-A 3.2 Gen1 x3, USB-C 3.2 Gen2 (DP 1.4a), HDMI 2.0 และ 2.1, USB4, SD card reader ✅ ฟีเจอร์เสริมเพื่อความปลอดภัยและความสะดวก ➡️ TPM 2.0, ปุ่ม killswitch สำหรับ webcam, Wi-Fi, Bluetooth ➡️ คีย์บอร์ด RGB แบบ rubberdome เงียบ, touchpad กระจก, ลำโพงสเตอริโอ 2W ✅ ระบบปฏิบัติการ ➡️ มาพร้อม TUXEDO OS (พื้นฐานจาก Ubuntu + KDE Plasma) หรือ Ubuntu 24.04 LTS ✅ ราคาและการวางจำหน่าย ➡️ เริ่มต้นที่ 1,689 ยูโร (~1,644 ดอลลาร์สหรัฐฯ ไม่รวมภาษี) ➡️ เปิดพรีออเดอร์แล้ววันนี้ จัดส่งต้นเดือนธันวาคม ‼️ คำเตือนสำหรับผู้สนใจ ⛔ ราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊กทั่วไปที่มีสเปคใกล้เคียงกัน ⛔ เหมาะกับผู้ใช้ Linux ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและการรองรับฮาร์ดแวร์แบบเนทีฟ TUXEDO InfinityBook Max 15 Gen10 คือคำตอบของผู้ใช้ Linux ที่ต้องการโน้ตบุ๊กทรงพลัง พร้อมรองรับงาน AI และมั่นใจในความเสถียรของระบบปฏิบัติการโอเพ่นซอร์ส https://9to5linux.com/tuxedo-infinitybook-max-15-gen10-linux-laptop-announced-with-amd-ryzen-ai-300
    9TO5LINUX.COM
    TUXEDO InfinityBook Max 15 Gen10 Linux Laptop Announced with AMD Ryzen AI 300 - 9to5Linux
    TUXEDO InfinityBook Max 15 Gen10 Linux laptop announced with AMD Ryzen AI 300 CPUs, up to 128GB RAM, up to 8TB SDD, and NVIDIA RTX GPUs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1 มุมมอง 0 รีวิว
  • "Vodafone Germany ปิดประตูอินเทอร์เน็ตเสรี – ลูกค้าเตรียมรับมือกับยุคมืดของการเชื่อมต่อ"

    ลองจินตนาการว่าอินเทอร์เน็ตที่คุณจ่ายเงินเพื่อใช้งานทุกเดือน ไม่ได้เชื่อมต่อกับโลกภายนอกอย่างที่คุณคิด… นี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในเยอรมนี เมื่อ Vodafone Germany ตัดสินใจถอนตัวจากจุดแลกเปลี่ยนข้อมูลสาธารณะ (Internet Exchange Points) และหันไปใช้บริการของบริษัทกลางชื่อ Inter.link แทน

    การเปลี่ยนแปลงนี้อาจดูเหมือนเป็นเรื่องเทคนิค แต่ผลกระทบกลับรุนแรงต่อผู้ใช้งานทั่วไปอย่างเราๆ เพราะมันหมายถึงว่า การเข้าถึงเว็บไซต์ยอดนิยมอย่าง YouTube, Netflix, GitHub หรือแม้แต่เกมออนไลน์ อาจช้าลง กระตุก หรือเข้าไม่ได้เลยในช่วงเวลาสำคัญ

    Vodafone อ้างว่า การเปลี่ยนมาใช้ Inter.link จะช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพ แต่หลักฐานจาก Deutsche Telekom ซึ่งเคยทำแบบเดียวกันมาก่อน กลับชี้ว่าผู้ใช้งานจะเจอกับ "นรกแห่งการเชื่อมต่อ" ที่เต็มไปด้วยความล่าช้าและการตัดขาดจากบริการสำคัญ

    สิ่งที่น่ากังวลคือ โมเดลใหม่นี้เปลี่ยนอินเทอร์เน็ตจากระบบที่ทุกฝ่ายร่วมมือกัน เป็นระบบที่บริษัทกลางเรียกเก็บเงินจากผู้ให้บริการเนื้อหา หากไม่จ่าย…ลูกค้าก็จะไม่ได้รับบริการที่ดี

    Vodafone Germany เปลี่ยนโครงสร้างการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
    ถอนตัวจากจุดแลกเปลี่ยนข้อมูลสาธารณะ เช่น DE-CIX Frankfurt
    หันไปใช้บริการ Inter.link ซึ่งเป็นบริษัทกลางที่จัดการการเชื่อมต่อ
    อ้างว่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มความเสถียร

    Inter.link มีนโยบาย "ไม่เชื่อมต่อกับลูกค้าโดยตรง"
    ผู้ให้บริการเนื้อหา เช่น YouTube หรือ Netflix ต้องจ่ายเงินเพื่อเชื่อมต่อกับเครือข่าย Vodafone
    หากไม่จ่าย อาจเกิดการเชื่อมต่อที่ช้า หรือไม่เสถียร

    Deutsche Telekom เคยใช้โมเดลนี้มาก่อน
    ลูกค้าประสบปัญหา GitHub ดาวน์โหลดช้า เกมออนไลน์กระตุก
    VPN กลายเป็นทางออกเดียวที่ช่วยให้ใช้งานได้ตามปกติ

    ทางเลือกใหม่: อินเทอร์เน็ตดาวเทียม
    Starlink ให้บริการที่ไม่ขึ้นกับโครงสร้าง ISP แบบเดิม
    ความเร็วและความเสถียรสูงกว่าในช่วงเวลาที่ Vodafone มีปัญหา

    https://coffee.link/vodafone-germany-is-killing-the-open-internet-one-peering-connection-at-a-time/
    👿 "Vodafone Germany ปิดประตูอินเทอร์เน็ตเสรี – ลูกค้าเตรียมรับมือกับยุคมืดของการเชื่อมต่อ" ลองจินตนาการว่าอินเทอร์เน็ตที่คุณจ่ายเงินเพื่อใช้งานทุกเดือน ไม่ได้เชื่อมต่อกับโลกภายนอกอย่างที่คุณคิด… นี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในเยอรมนี เมื่อ Vodafone Germany ตัดสินใจถอนตัวจากจุดแลกเปลี่ยนข้อมูลสาธารณะ (Internet Exchange Points) และหันไปใช้บริการของบริษัทกลางชื่อ Inter.link แทน การเปลี่ยนแปลงนี้อาจดูเหมือนเป็นเรื่องเทคนิค แต่ผลกระทบกลับรุนแรงต่อผู้ใช้งานทั่วไปอย่างเราๆ เพราะมันหมายถึงว่า การเข้าถึงเว็บไซต์ยอดนิยมอย่าง YouTube, Netflix, GitHub หรือแม้แต่เกมออนไลน์ อาจช้าลง กระตุก หรือเข้าไม่ได้เลยในช่วงเวลาสำคัญ Vodafone อ้างว่า การเปลี่ยนมาใช้ Inter.link จะช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพ แต่หลักฐานจาก Deutsche Telekom ซึ่งเคยทำแบบเดียวกันมาก่อน กลับชี้ว่าผู้ใช้งานจะเจอกับ "นรกแห่งการเชื่อมต่อ" ที่เต็มไปด้วยความล่าช้าและการตัดขาดจากบริการสำคัญ สิ่งที่น่ากังวลคือ โมเดลใหม่นี้เปลี่ยนอินเทอร์เน็ตจากระบบที่ทุกฝ่ายร่วมมือกัน เป็นระบบที่บริษัทกลางเรียกเก็บเงินจากผู้ให้บริการเนื้อหา หากไม่จ่าย…ลูกค้าก็จะไม่ได้รับบริการที่ดี ✅ Vodafone Germany เปลี่ยนโครงสร้างการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ➡️ ถอนตัวจากจุดแลกเปลี่ยนข้อมูลสาธารณะ เช่น DE-CIX Frankfurt ➡️ หันไปใช้บริการ Inter.link ซึ่งเป็นบริษัทกลางที่จัดการการเชื่อมต่อ ➡️ อ้างว่าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มความเสถียร ✅ Inter.link มีนโยบาย "ไม่เชื่อมต่อกับลูกค้าโดยตรง" ➡️ ผู้ให้บริการเนื้อหา เช่น YouTube หรือ Netflix ต้องจ่ายเงินเพื่อเชื่อมต่อกับเครือข่าย Vodafone ➡️ หากไม่จ่าย อาจเกิดการเชื่อมต่อที่ช้า หรือไม่เสถียร ✅ Deutsche Telekom เคยใช้โมเดลนี้มาก่อน ➡️ ลูกค้าประสบปัญหา GitHub ดาวน์โหลดช้า เกมออนไลน์กระตุก ➡️ VPN กลายเป็นทางออกเดียวที่ช่วยให้ใช้งานได้ตามปกติ ✅ ทางเลือกใหม่: อินเทอร์เน็ตดาวเทียม ➡️ Starlink ให้บริการที่ไม่ขึ้นกับโครงสร้าง ISP แบบเดิม ➡️ ความเร็วและความเสถียรสูงกว่าในช่วงเวลาที่ Vodafone มีปัญหา https://coffee.link/vodafone-germany-is-killing-the-open-internet-one-peering-connection-at-a-time/
    COFFEE.LINK
    Vodafone Germany is changing the open internet — one peering connection at a time
    The telecom giant claims its exit from public internet exchanges will give customers "lower latencies." The evidence suggests they're in for a nightmare.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว
  • Meta กับรายได้สีเทา: เมื่อโฆษณาหลอกลวงกลายเป็นแหล่งเงินหลัก

    ในรายงานพิเศษจาก Reuters ที่อ้างอิงเอกสารภายในของ Meta (บริษัทแม่ของ Facebook และ Instagram) พบว่า มากถึง 10% ของรายได้โฆษณาทั้งหมดในปี 2024 มาจากโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับ “การหลอกลวง” และ “สินค้าต้องห้าม” เช่น ยาลดน้ำหนักผิดกฎหมาย สินค้าลอกเลียนแบบ และบริการที่เข้าข่ายหลอกลวงผู้บริโภค

    แม้ Meta จะมีนโยบายห้ามโฆษณาประเภทนี้อย่างชัดเจน แต่เอกสารภายในกลับเผยว่า บริษัทลังเลที่จะปราบปรามอย่างจริงจัง เพราะโฆษณาเหล่านี้สร้างรายได้มหาศาล โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และอินเดีย

    ที่น่าตกใจคือ ทีมงานภายในของ Meta เองก็รู้ถึงปัญหานี้ดี และเคยเสนอให้เพิ่มมาตรการควบคุม แต่กลับถูกปฏิเสธหรือเพิกเฉย โดยอ้างว่าอาจกระทบรายได้หลักของบริษัท

    รายได้จากโฆษณาหลอกลวงและสินค้าต้องห้าม
    คิดเป็น 10% ของรายได้โฆษณาทั้งหมดในปี 2024
    ครอบคลุมโฆษณายาลดน้ำหนักผิดกฎหมาย สินค้าลอกเลียนแบบ และบริการหลอกลวง

    ตลาดหลักที่ได้รับผลกระทบ
    เวียดนาม อินโดนีเซีย อินเดีย และประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ
    ผู้ใช้งานในประเทศเหล่านี้มักตกเป็นเหยื่อของโฆษณาหลอกลวง

    ท่าทีของ Meta ต่อปัญหา
    รับรู้ปัญหาภายใน แต่ลังเลที่จะลงมือจัดการ
    กังวลว่าการปราบปรามจะกระทบรายได้

    เอกสารภายในเผยความพยายามของทีมงาน
    มีการเสนอให้เพิ่มระบบตรวจจับและควบคุม
    แต่ถูกปฏิเสธหรือเพิกเฉยจากฝ่ายบริหาร

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน Facebook และ Instagram
    ระวังโฆษณาที่ดูน่าสนใจเกินจริง เช่น “ลดน้ำหนักทันใจ” หรือ “ของแบรนด์เนมราคาถูกผิดปกติ”
    อย่าคลิกลิงก์หรือกรอกข้อมูลส่วนตัวในโฆษณาที่ไม่น่าเชื่อถือ
    ใช้เครื่องมือรายงานโฆษณาหลอกลวงเพื่อช่วยลดการแพร่กระจาย

    ความเสี่ยงต่อความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์ม
    หาก Meta ไม่จัดการปัญหานี้อย่างจริงจัง อาจถูกหน่วยงานกำกับดูแลลงโทษ
    ความเชื่อมั่นของผู้ใช้งานและนักลงทุนอาจลดลงอย่างรุนแรง
    อาจเปิดช่องให้คู่แข่งที่มีจริยธรรมดีกว่าเข้ามาแทนที่

    เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ปัญหาของ Meta แต่สะท้อนถึงความท้าทายของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทั่วโลก ที่ต้องเลือกระหว่าง “รายได้” กับ “ความปลอดภัยของผู้ใช้งาน” — และคำถามคือ: เราจะยอมให้ใครควบคุมสิ่งที่เราเห็นบนหน้าจอของเรากันแน่?

    https://sherwood.news/tech/meta-projected-10-of-2024-revenue-came-from-scams-and-banned-goods-reuters/
    💸 Meta กับรายได้สีเทา: เมื่อโฆษณาหลอกลวงกลายเป็นแหล่งเงินหลัก ในรายงานพิเศษจาก Reuters ที่อ้างอิงเอกสารภายในของ Meta (บริษัทแม่ของ Facebook และ Instagram) พบว่า มากถึง 10% ของรายได้โฆษณาทั้งหมดในปี 2024 มาจากโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับ “การหลอกลวง” และ “สินค้าต้องห้าม” เช่น ยาลดน้ำหนักผิดกฎหมาย สินค้าลอกเลียนแบบ และบริการที่เข้าข่ายหลอกลวงผู้บริโภค แม้ Meta จะมีนโยบายห้ามโฆษณาประเภทนี้อย่างชัดเจน แต่เอกสารภายในกลับเผยว่า บริษัทลังเลที่จะปราบปรามอย่างจริงจัง เพราะโฆษณาเหล่านี้สร้างรายได้มหาศาล โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และอินเดีย ที่น่าตกใจคือ ทีมงานภายในของ Meta เองก็รู้ถึงปัญหานี้ดี และเคยเสนอให้เพิ่มมาตรการควบคุม แต่กลับถูกปฏิเสธหรือเพิกเฉย โดยอ้างว่าอาจกระทบรายได้หลักของบริษัท ✅ รายได้จากโฆษณาหลอกลวงและสินค้าต้องห้าม ➡️ คิดเป็น 10% ของรายได้โฆษณาทั้งหมดในปี 2024 ➡️ ครอบคลุมโฆษณายาลดน้ำหนักผิดกฎหมาย สินค้าลอกเลียนแบบ และบริการหลอกลวง ✅ ตลาดหลักที่ได้รับผลกระทบ ➡️ เวียดนาม อินโดนีเซีย อินเดีย และประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ➡️ ผู้ใช้งานในประเทศเหล่านี้มักตกเป็นเหยื่อของโฆษณาหลอกลวง ✅ ท่าทีของ Meta ต่อปัญหา ➡️ รับรู้ปัญหาภายใน แต่ลังเลที่จะลงมือจัดการ ➡️ กังวลว่าการปราบปรามจะกระทบรายได้ ✅ เอกสารภายในเผยความพยายามของทีมงาน ➡️ มีการเสนอให้เพิ่มระบบตรวจจับและควบคุม ➡️ แต่ถูกปฏิเสธหรือเพิกเฉยจากฝ่ายบริหาร ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน Facebook และ Instagram ⛔ ระวังโฆษณาที่ดูน่าสนใจเกินจริง เช่น “ลดน้ำหนักทันใจ” หรือ “ของแบรนด์เนมราคาถูกผิดปกติ” ⛔ อย่าคลิกลิงก์หรือกรอกข้อมูลส่วนตัวในโฆษณาที่ไม่น่าเชื่อถือ ⛔ ใช้เครื่องมือรายงานโฆษณาหลอกลวงเพื่อช่วยลดการแพร่กระจาย ‼️ ความเสี่ยงต่อความน่าเชื่อถือของแพลตฟอร์ม ⛔ หาก Meta ไม่จัดการปัญหานี้อย่างจริงจัง อาจถูกหน่วยงานกำกับดูแลลงโทษ ⛔ ความเชื่อมั่นของผู้ใช้งานและนักลงทุนอาจลดลงอย่างรุนแรง ⛔ อาจเปิดช่องให้คู่แข่งที่มีจริยธรรมดีกว่าเข้ามาแทนที่ เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ปัญหาของ Meta แต่สะท้อนถึงความท้าทายของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทั่วโลก ที่ต้องเลือกระหว่าง “รายได้” กับ “ความปลอดภัยของผู้ใช้งาน” — และคำถามคือ: เราจะยอมให้ใครควบคุมสิ่งที่เราเห็นบนหน้าจอของเรากันแน่? https://sherwood.news/tech/meta-projected-10-of-2024-revenue-came-from-scams-and-banned-goods-reuters/
    SHERWOOD.NEWS
    Meta projected 10% of 2024 revenue came from scams and banned goods, Reuters reports
    The report shows that the company was hesitant to crack down harder on scams, due to the billions in revenue that they were generating for Meta....
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 23 มุมมอง 0 รีวิว
  • การออกแบบเกมคือการแก้ปัญหา ไม่ใช่แค่สร้างความสนุก

    Raph Koster นักออกแบบเกมระดับตำนาน ผู้เขียน “Theory of Fun” กลับมาอีกครั้งพร้อมบทความใหม่ที่สรุป “แก่นแท้ของการออกแบบเกม” ใน 12 ขั้นตอน โดยเน้นว่า การออกแบบเกมไม่ใช่เรื่องซับซ้อน แต่ต้องเข้าใจลึกถึงระบบปัญหา ที่ผู้เล่นต้องเผชิญ

    เขาเริ่มจากนิยาม “ความสนุก” ว่าไม่ใช่แค่เสียงหัวเราะหรือความบันเทิง แต่คือ การฝึกฝนและเอาชนะปัญหา เช่นเดียวกับการปีนหน้าผา หรือเล่นหมากรุก ซึ่งอาจไม่สนุกในขณะทำ แต่ให้ความรู้สึกสำเร็จหลังจากนั้น

    จากนั้น Koster พาผู้อ่านไล่เรียงตั้งแต่การสร้าง “ปัญหา” และ “ของเล่น” ไปจนถึงการออกแบบ “วงจรการเรียนรู้” ผ่านกลไกเกม การให้ “ฟีดแบ็ก” ที่ชัดเจน การเพิ่ม “ความหลากหลาย” และ “ความยาก” อย่างมีจังหวะ ไปจนถึงการเชื่อมโยงปัญหาเล็กๆ เข้าด้วยกันเป็นระบบใหญ่

    เขาย้ำว่า เกมที่ดีคือเกมที่มีความไม่แน่นอน ให้ผู้เล่นได้ทดลอง ท้าทาย และเรียนรู้ไปเรื่อยๆ โดยมี “แรงจูงใจ” ที่แตกต่างกันตามบุคลิกของผู้เล่น เช่น บางคนชอบแข่งขัน บางคนชอบสำรวจ หรือบางคนชอบร่วมมือ

    สุดท้าย Koster สรุปว่า การออกแบบเกมคือการผสมผสานศาสตร์หลายแขนง ตั้งแต่จิตวิทยา การศึกษา ไปจนถึงศิลปะการเล่าเรื่อง และไม่มีทางลัดใดๆ นอกจากการเรียนรู้จากความล้มเหลวและลงมือทำซ้ำๆ

    ความสนุกคือการแก้ปัญหา
    ไม่ใช่แค่ความบันเทิง แต่คือการฝึกฝนและเอาชนะ
    ปัญหาที่ดีต้องมีความลึกและไม่แน่นอน

    ปัญหาและของเล่นคือจุดเริ่มต้น
    ของเล่นคือระบบที่ยังไม่มีเป้าหมาย
    เกมคือของเล่นที่มีเป้าหมายให้ท้าทาย

    ความไม่แน่นอนคือหัวใจของเกม
    เกมต้องมีผลลัพธ์ที่ไม่สามารถคาดเดาได้
    ยิ่งไม่แน่นอน ยิ่งมีความลึกและน่าสนใจ

    วงจรการเรียนรู้ (Loops)
    Operational loop: การทดลองและปรับกลยุทธ์
    Progression loop: การพัฒนาและท้าทายที่เพิ่มขึ้น

    ฟีดแบ็กคือเครื่องมือเรียนรู้
    ต้องบอกผู้เล่นว่าเขาทำอะไร ผลลัพธ์คืออะไร
    ฟีดแบ็กที่ดีช่วยให้ผู้เล่นเข้าใจระบบเกม

    ความหลากหลายและการไต่ระดับ
    ปัญหาเดียวกันในสถานการณ์ต่างๆ
    การเพิ่มความยากต้องมีจังหวะที่เหมาะสม

    เกมคือระบบของเกมย่อย
    เกมประกอบด้วยหลายวงจรที่เชื่อมโยงกัน
    การออกแบบระบบต้องเข้าใจการไหลของข้อมูลและผลลัพธ์

    การออกแบบระบบคือการเลือกปัญหา
    ปัญหามีหลายประเภท เช่น คณิตศาสตร์ สังคม ร่างกาย
    นักออกแบบต้องมีคลังปัญหาเพื่อสร้างเกมใหม่ๆ

    การตกแต่งคือการสร้างประสบการณ์
    การนำเสนอเปลี่ยนวิธีที่ผู้เล่นรับรู้ปัญหา
    ต้องสอดคล้องกับระบบเกม ไม่ขัดแย้งกัน

    แรงจูงใจของผู้เล่นแตกต่างกัน
    ขึ้นอยู่กับบุคลิก ประสบการณ์ และวัฒนธรรม
    ต้องเลือกปัญหาให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย

    การออกแบบเกมคือการเรียนรู้หลายศาสตร์
    ต้องเข้าใจทั้งระบบ กลไก และประสบการณ์
    ไม่มีทางลัด ต้องเรียนรู้จากความล้มเหลว

    คำเตือนสำหรับนักออกแบบเกม
    หากไม่เข้าใจทั้ง 12 ขั้นตอน เกมอาจล้มเหลว
    การออกแบบที่ซ้ำซากอาจทำให้ผู้เล่นเบื่อและละทิ้งเกม
    การเพิ่มปัญหาโดยไม่เข้าใจระบบ อาจทำให้เกมซับซ้อนเกินไปจนไม่มีใครเล่น

    https://www.raphkoster.com/2025/11/03/game-design-is-simple-actually/
    🧠 การออกแบบเกมคือการแก้ปัญหา ไม่ใช่แค่สร้างความสนุก Raph Koster นักออกแบบเกมระดับตำนาน ผู้เขียน “Theory of Fun” กลับมาอีกครั้งพร้อมบทความใหม่ที่สรุป “แก่นแท้ของการออกแบบเกม” ใน 12 ขั้นตอน โดยเน้นว่า การออกแบบเกมไม่ใช่เรื่องซับซ้อน แต่ต้องเข้าใจลึกถึงระบบปัญหา ที่ผู้เล่นต้องเผชิญ เขาเริ่มจากนิยาม “ความสนุก” ว่าไม่ใช่แค่เสียงหัวเราะหรือความบันเทิง แต่คือ การฝึกฝนและเอาชนะปัญหา เช่นเดียวกับการปีนหน้าผา หรือเล่นหมากรุก ซึ่งอาจไม่สนุกในขณะทำ แต่ให้ความรู้สึกสำเร็จหลังจากนั้น จากนั้น Koster พาผู้อ่านไล่เรียงตั้งแต่การสร้าง “ปัญหา” และ “ของเล่น” ไปจนถึงการออกแบบ “วงจรการเรียนรู้” ผ่านกลไกเกม การให้ “ฟีดแบ็ก” ที่ชัดเจน การเพิ่ม “ความหลากหลาย” และ “ความยาก” อย่างมีจังหวะ ไปจนถึงการเชื่อมโยงปัญหาเล็กๆ เข้าด้วยกันเป็นระบบใหญ่ เขาย้ำว่า เกมที่ดีคือเกมที่มีความไม่แน่นอน ให้ผู้เล่นได้ทดลอง ท้าทาย และเรียนรู้ไปเรื่อยๆ โดยมี “แรงจูงใจ” ที่แตกต่างกันตามบุคลิกของผู้เล่น เช่น บางคนชอบแข่งขัน บางคนชอบสำรวจ หรือบางคนชอบร่วมมือ สุดท้าย Koster สรุปว่า การออกแบบเกมคือการผสมผสานศาสตร์หลายแขนง ตั้งแต่จิตวิทยา การศึกษา ไปจนถึงศิลปะการเล่าเรื่อง และไม่มีทางลัดใดๆ นอกจากการเรียนรู้จากความล้มเหลวและลงมือทำซ้ำๆ ✅ ความสนุกคือการแก้ปัญหา ➡️ ไม่ใช่แค่ความบันเทิง แต่คือการฝึกฝนและเอาชนะ ➡️ ปัญหาที่ดีต้องมีความลึกและไม่แน่นอน ✅ ปัญหาและของเล่นคือจุดเริ่มต้น ➡️ ของเล่นคือระบบที่ยังไม่มีเป้าหมาย ➡️ เกมคือของเล่นที่มีเป้าหมายให้ท้าทาย ✅ ความไม่แน่นอนคือหัวใจของเกม ➡️ เกมต้องมีผลลัพธ์ที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ➡️ ยิ่งไม่แน่นอน ยิ่งมีความลึกและน่าสนใจ ✅ วงจรการเรียนรู้ (Loops) ➡️ Operational loop: การทดลองและปรับกลยุทธ์ ➡️ Progression loop: การพัฒนาและท้าทายที่เพิ่มขึ้น ✅ ฟีดแบ็กคือเครื่องมือเรียนรู้ ➡️ ต้องบอกผู้เล่นว่าเขาทำอะไร ผลลัพธ์คืออะไร ➡️ ฟีดแบ็กที่ดีช่วยให้ผู้เล่นเข้าใจระบบเกม ✅ ความหลากหลายและการไต่ระดับ ➡️ ปัญหาเดียวกันในสถานการณ์ต่างๆ ➡️ การเพิ่มความยากต้องมีจังหวะที่เหมาะสม ✅ เกมคือระบบของเกมย่อย ➡️ เกมประกอบด้วยหลายวงจรที่เชื่อมโยงกัน ➡️ การออกแบบระบบต้องเข้าใจการไหลของข้อมูลและผลลัพธ์ ✅ การออกแบบระบบคือการเลือกปัญหา ➡️ ปัญหามีหลายประเภท เช่น คณิตศาสตร์ สังคม ร่างกาย ➡️ นักออกแบบต้องมีคลังปัญหาเพื่อสร้างเกมใหม่ๆ ✅ การตกแต่งคือการสร้างประสบการณ์ ➡️ การนำเสนอเปลี่ยนวิธีที่ผู้เล่นรับรู้ปัญหา ➡️ ต้องสอดคล้องกับระบบเกม ไม่ขัดแย้งกัน ✅ แรงจูงใจของผู้เล่นแตกต่างกัน ➡️ ขึ้นอยู่กับบุคลิก ประสบการณ์ และวัฒนธรรม ➡️ ต้องเลือกปัญหาให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย ✅ การออกแบบเกมคือการเรียนรู้หลายศาสตร์ ➡️ ต้องเข้าใจทั้งระบบ กลไก และประสบการณ์ ➡️ ไม่มีทางลัด ต้องเรียนรู้จากความล้มเหลว ‼️ คำเตือนสำหรับนักออกแบบเกม ⛔ หากไม่เข้าใจทั้ง 12 ขั้นตอน เกมอาจล้มเหลว ⛔ การออกแบบที่ซ้ำซากอาจทำให้ผู้เล่นเบื่อและละทิ้งเกม ⛔ การเพิ่มปัญหาโดยไม่เข้าใจระบบ อาจทำให้เกมซับซ้อนเกินไปจนไม่มีใครเล่น https://www.raphkoster.com/2025/11/03/game-design-is-simple-actually/
    WWW.RAPHKOSTER.COM
    Game design is simple, actually
    So, let’s just walk through the whole thing, end to end. Here’s a twelve-step program for understanding game design. One: Fun There are a lot of things people call “fun.” But most of them are not u…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
  • LLM Agent ไม่ใช่เรื่องลึกลับ แค่ต้องลองเขียนเอง

    บทความจาก Fly.io โดย Thomas Ptacek ชวนให้ทุกคน “เขียน Agent ด้วยตัวเอง” เพราะมันง่ายกว่าที่คิด และเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเข้าใจเทคโนโลยี LLM agents อย่างแท้จริง

    เขาเปรียบเทียบว่า LLM agents เหมือนการขี่จักรยาน – ฟังดูง่าย แต่จะเข้าใจจริงต้องลองขี่เอง โดยเริ่มจากโค้ด Python ง่ายๆ ที่ใช้ OpenAI API สร้าง loop การสนทนา และค่อยๆ เพิ่มความสามารถ เช่น การเรียกใช้ tools, การจัดการ context, และการสร้าง sub-agent

    สิ่งที่น่าทึ่งคือ แม้จะเป็นโค้ดไม่กี่บรรทัด แต่สามารถสร้าง agent ที่มีพฤติกรรมซับซ้อนได้ เช่น ตอบคำถามแบบมีบุคลิกหลายแบบ หรือเรียกใช้คำสั่ง ping เพื่อวิเคราะห์การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยอัตโนมัติ

    บทความยังชี้ให้เห็นว่า “Context Engineering” คือหัวใจของการออกแบบ agent ที่ดี เพราะทุก token ใน context window มีค่า และการจัดการ context อย่างชาญฉลาดจะช่วยให้ agent ทำงานได้แม่นยำขึ้น

    สุดท้าย Ptacek ท้าทายให้ทุกคนลองเขียน agent ด้วยตัวเอง เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่คือการเข้าใจวิธีคิดใหม่ในการเขียนโปรแกรม และการออกแบบระบบที่มีความไม่แน่นอนอย่างมีศิลปะ

    Agent คืออะไรในมุมมองของผู้เขียน
    เป็น LLM ที่รันใน loop และสามารถเรียกใช้ tools ได้
    ไม่จำเป็นต้องซับซ้อน – เริ่มจากโค้ดง่ายๆ ก็ได้

    การสร้าง Agent ด้วย OpenAI API
    ใช้ context เป็น list ของข้อความสนทนา
    สร้าง loop ที่จำลองการสนทนาแบบ ChatGPT
    เพิ่ม tools เช่น ping เพื่อให้ agent ทำงานจริง

    ความง่ายที่น่าตกใจ
    Agent ที่ตอบคำถามและเรียก tools ได้ ใช้โค้ดไม่ถึง 30 บรรทัด
    LLM สามารถเลือกใช้ tools ได้เองจาก context

    Context Engineering คือหัวใจ
    ทุก token ใน context window มีผลต่อคุณภาพการตอบ
    การจัดการ context อย่างมีระบบช่วยลดความผิดพลาด

    Sub-agent และการออกแบบระบบซับซ้อน
    สามารถสร้าง sub-agent ด้วย context แยกต่างหาก
    ให้ sub-agent สื่อสารกัน สรุปข้อมูล และทำงานร่วมกันได้

    ความท้าทายในการออกแบบ Agent
    ต้องบาลานซ์ระหว่างความไม่แน่นอนกับโครงสร้างที่ชัดเจน
    ต้องเชื่อมต่อกับ “ความจริง” เพื่อป้องกันการตอบมั่ว
    ต้องเลือกวิธีแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่าง agent อย่างเหมาะสม

    คำเตือนสำหรับนักพัฒนา
    อย่าหลงเชื่อว่า Agent ต้องใช้เทคโนโลยีซับซ้อนหรือแพลตฟอร์มเฉพาะ
    MCP (plugin interface) อาจทำให้คุณเสียอิสระในการออกแบบ agent
    การใช้ context window แบบไม่ระวัง อาจทำให้ agent “โง่ลง” โดยไม่รู้ตัว

    https://fly.io/blog/everyone-write-an-agent/
    🤖 LLM Agent ไม่ใช่เรื่องลึกลับ แค่ต้องลองเขียนเอง บทความจาก Fly.io โดย Thomas Ptacek ชวนให้ทุกคน “เขียน Agent ด้วยตัวเอง” เพราะมันง่ายกว่าที่คิด และเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเข้าใจเทคโนโลยี LLM agents อย่างแท้จริง เขาเปรียบเทียบว่า LLM agents เหมือนการขี่จักรยาน – ฟังดูง่าย แต่จะเข้าใจจริงต้องลองขี่เอง โดยเริ่มจากโค้ด Python ง่ายๆ ที่ใช้ OpenAI API สร้าง loop การสนทนา และค่อยๆ เพิ่มความสามารถ เช่น การเรียกใช้ tools, การจัดการ context, และการสร้าง sub-agent สิ่งที่น่าทึ่งคือ แม้จะเป็นโค้ดไม่กี่บรรทัด แต่สามารถสร้าง agent ที่มีพฤติกรรมซับซ้อนได้ เช่น ตอบคำถามแบบมีบุคลิกหลายแบบ หรือเรียกใช้คำสั่ง ping เพื่อวิเคราะห์การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยอัตโนมัติ บทความยังชี้ให้เห็นว่า “Context Engineering” คือหัวใจของการออกแบบ agent ที่ดี เพราะทุก token ใน context window มีค่า และการจัดการ context อย่างชาญฉลาดจะช่วยให้ agent ทำงานได้แม่นยำขึ้น สุดท้าย Ptacek ท้าทายให้ทุกคนลองเขียน agent ด้วยตัวเอง เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่คือการเข้าใจวิธีคิดใหม่ในการเขียนโปรแกรม และการออกแบบระบบที่มีความไม่แน่นอนอย่างมีศิลปะ ✅ Agent คืออะไรในมุมมองของผู้เขียน ➡️ เป็น LLM ที่รันใน loop และสามารถเรียกใช้ tools ได้ ➡️ ไม่จำเป็นต้องซับซ้อน – เริ่มจากโค้ดง่ายๆ ก็ได้ ✅ การสร้าง Agent ด้วย OpenAI API ➡️ ใช้ context เป็น list ของข้อความสนทนา ➡️ สร้าง loop ที่จำลองการสนทนาแบบ ChatGPT ➡️ เพิ่ม tools เช่น ping เพื่อให้ agent ทำงานจริง ✅ ความง่ายที่น่าตกใจ ➡️ Agent ที่ตอบคำถามและเรียก tools ได้ ใช้โค้ดไม่ถึง 30 บรรทัด ➡️ LLM สามารถเลือกใช้ tools ได้เองจาก context ✅ Context Engineering คือหัวใจ ➡️ ทุก token ใน context window มีผลต่อคุณภาพการตอบ ➡️ การจัดการ context อย่างมีระบบช่วยลดความผิดพลาด ✅ Sub-agent และการออกแบบระบบซับซ้อน ➡️ สามารถสร้าง sub-agent ด้วย context แยกต่างหาก ➡️ ให้ sub-agent สื่อสารกัน สรุปข้อมูล และทำงานร่วมกันได้ ✅ ความท้าทายในการออกแบบ Agent ➡️ ต้องบาลานซ์ระหว่างความไม่แน่นอนกับโครงสร้างที่ชัดเจน ➡️ ต้องเชื่อมต่อกับ “ความจริง” เพื่อป้องกันการตอบมั่ว ➡️ ต้องเลือกวิธีแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่าง agent อย่างเหมาะสม ‼️ คำเตือนสำหรับนักพัฒนา ⛔ อย่าหลงเชื่อว่า Agent ต้องใช้เทคโนโลยีซับซ้อนหรือแพลตฟอร์มเฉพาะ ⛔ MCP (plugin interface) อาจทำให้คุณเสียอิสระในการออกแบบ agent ⛔ การใช้ context window แบบไม่ระวัง อาจทำให้ agent “โง่ลง” โดยไม่รู้ตัว https://fly.io/blog/everyone-write-an-agent/
    FLY.IO
    You Should Write An Agent
    They're like riding a bike: easy, and you don't get it until you try.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว
  • โลกออนไลน์สะเทือน! ฐานข้อมูลอีเมลหลุดกว่า 2 พันล้านรายการถูกนำมาเผยแพร่

    Troy Hunt ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Have I Been Pwned (HIBP) ได้ประกาศเพิ่มข้อมูลอีเมลที่หลุดกว่า 2 พันล้านรายการ จากแหล่งข้อมูลที่ไม่เปิดเผย ซึ่งถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของแพลตฟอร์มนี้

    ข้อมูลที่หลุดออกมานั้น ไม่มีรหัสผ่านหรือข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ แต่เป็นเพียงรายการอีเมลที่อาจถูกใช้ในแคมเปญฟิชชิ่งหรือสแปม ซึ่ง Hunt ยืนยันว่าแม้จะไม่มีรหัสผ่าน แต่ก็ยังเป็นภัยต่อความปลอดภัยของผู้ใช้งาน เพราะสามารถใช้ในการโจมตีแบบ targeted หรือ social engineering ได้

    สิ่งที่น่าสนใจคือ Hunt ได้ใช้เครื่องมือใหม่ที่เขาสร้างขึ้นชื่อว่า “Email Address Intelligence” เพื่อวิเคราะห์และจัดการข้อมูลจำนวนมหาศาลนี้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถตรวจสอบว่าอีเมลใดเคยปรากฏในเหตุการณ์หลุดข้อมูลก่อนหน้านี้หรือไม่ และเชื่อมโยงกับ breach อื่นๆ ได้

    Have I Been Pwned เพิ่มข้อมูลอีเมลหลุดกว่า 2 พันล้านรายการ
    เป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ HIBP
    ข้อมูลไม่มีรหัสผ่าน แต่ยังมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย

    แหล่งข้อมูลไม่เปิดเผย
    ได้รับจากบุคคลที่เชื่อถือได้ในวงการความปลอดภัยไซเบอร์
    เป็นข้อมูลที่เคยถูกใช้ในแคมเปญฟิชชิ่งหรือสแปม

    เครื่องมือใหม่ “Email Address Intelligence”
    วิเคราะห์ว่าอีเมลเคยหลุดในเหตุการณ์ใดบ้าง
    ช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าใจความเสี่ยงของอีเมลตนเอง

    ความสำคัญของการตรวจสอบอีเมล
    ผู้ใช้งานสามารถเข้าไปตรวจสอบอีเมลของตนใน HIBP ได้ฟรี
    หากพบว่าอีเมลเคยหลุด ควรเปลี่ยนรหัสผ่านและเปิดใช้ 2FA

    https://www.troyhunt.com/2-billion-email-addresses-were-exposed-and-we-indexed-them-all-in-have-i-been-pwned/
    🔓 โลกออนไลน์สะเทือน! ฐานข้อมูลอีเมลหลุดกว่า 2 พันล้านรายการถูกนำมาเผยแพร่ Troy Hunt ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Have I Been Pwned (HIBP) ได้ประกาศเพิ่มข้อมูลอีเมลที่หลุดกว่า 2 พันล้านรายการ จากแหล่งข้อมูลที่ไม่เปิดเผย ซึ่งถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของแพลตฟอร์มนี้ ข้อมูลที่หลุดออกมานั้น ไม่มีรหัสผ่านหรือข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ แต่เป็นเพียงรายการอีเมลที่อาจถูกใช้ในแคมเปญฟิชชิ่งหรือสแปม ซึ่ง Hunt ยืนยันว่าแม้จะไม่มีรหัสผ่าน แต่ก็ยังเป็นภัยต่อความปลอดภัยของผู้ใช้งาน เพราะสามารถใช้ในการโจมตีแบบ targeted หรือ social engineering ได้ สิ่งที่น่าสนใจคือ Hunt ได้ใช้เครื่องมือใหม่ที่เขาสร้างขึ้นชื่อว่า “Email Address Intelligence” เพื่อวิเคราะห์และจัดการข้อมูลจำนวนมหาศาลนี้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถตรวจสอบว่าอีเมลใดเคยปรากฏในเหตุการณ์หลุดข้อมูลก่อนหน้านี้หรือไม่ และเชื่อมโยงกับ breach อื่นๆ ได้ ✅ Have I Been Pwned เพิ่มข้อมูลอีเมลหลุดกว่า 2 พันล้านรายการ ➡️ เป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ HIBP ➡️ ข้อมูลไม่มีรหัสผ่าน แต่ยังมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ✅ แหล่งข้อมูลไม่เปิดเผย ➡️ ได้รับจากบุคคลที่เชื่อถือได้ในวงการความปลอดภัยไซเบอร์ ➡️ เป็นข้อมูลที่เคยถูกใช้ในแคมเปญฟิชชิ่งหรือสแปม ✅ เครื่องมือใหม่ “Email Address Intelligence” ➡️ วิเคราะห์ว่าอีเมลเคยหลุดในเหตุการณ์ใดบ้าง ➡️ ช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าใจความเสี่ยงของอีเมลตนเอง ✅ ความสำคัญของการตรวจสอบอีเมล ➡️ ผู้ใช้งานสามารถเข้าไปตรวจสอบอีเมลของตนใน HIBP ได้ฟรี ➡️ หากพบว่าอีเมลเคยหลุด ควรเปลี่ยนรหัสผ่านและเปิดใช้ 2FA https://www.troyhunt.com/2-billion-email-addresses-were-exposed-and-we-indexed-them-all-in-have-i-been-pwned/
    WWW.TROYHUNT.COM
    2 Billion Email Addresses Were Exposed, and We Indexed Them All in Have I Been Pwned
    I hate hyperbolic news headlines about data breaches, but for the "2 Billion Email Addresses" headline to be hyperbolic, it'd need to be exaggerated or overstated - and it isn't. It's rounded up from the more precise number of 1,957,476,021 unique email addresses, but other than that,
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อดีไซน์สวยไม่พอ – ผู้ใช้หันหลังให้ Magic Mouse เพราะปวดข้อมือ

    Apple Magic Mouse อาจดูดีและล้ำด้วยระบบ multi-touch แต่ผู้ใช้จำนวนมากกลับบ่นว่า ดีไซน์แบนเกินไป จนทำให้ปวดข้อมือเมื่อใช้งานนานๆ และการควบคุมแบบสัมผัสก็อาจทำให้เกิดการสั่งงานผิดพลาดได้ง่าย

    บทความจาก SlashGear ได้รวบรวม 5 เมาส์ทางเลือกที่ผู้ใช้จริงแนะนำว่า “ดีกว่า Magic Mouse” ทั้งในแง่ของความสบาย ฟีเจอร์ และความแม่นยำในการใช้งาน โดยเฉพาะสำหรับคนทำงานหนักหรือเล่นเกม

    Logitech MX Master 4
    ดีไซน์จับถนัดมือ พร้อมปุ่มตั้งค่าได้ถึง 8 ปุ่ม
    มีรุ่นเฉพาะสำหรับ macOS พร้อมปุ่ม “ring” บนที่พักนิ้วหัวแม่มือ
    เพิ่ม haptic feedback และปรับปรุงการเชื่อมต่อจากรุ่นก่อน

    Razer Pro Click V2
    เมาส์กึ่งเกมกึ่งทำงาน รองรับ DPI สูงถึง 30,000
    มีที่พักนิ้วหัวแม่มือและสวิตช์ปรับ DPI ได้ทันที
    แม่นยำสูงและลดอาการเมื่อยมือจากการใช้งานนานๆ

    Logitech MX Vertical
    เมาส์แนวตั้งที่ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์
    ลดแรงกดที่ข้อมือได้ถึง 10% ด้วยมุม 57 องศา
    เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดข้อมือจาก Magic Mouse

    Keychron M3
    เมาส์ราคาประหยัดเริ่มต้นที่ $39.99
    รองรับ polling rate สูงถึง 8,000Hz ในรุ่นท็อป
    ดีไซน์เรียบง่าย ไม่มีที่พักนิ้ว แต่ได้รับคำชมเรื่องความสบาย

    Logitech MX Ergo S
    เมาส์แบบ trackball ที่ไม่ต้องขยับมือ
    ปรับมุมเอียงได้ 20 องศา ลดแรงกดที่แขนถึง 27%
    มีปุ่มปรับความเร็วเคอร์เซอร์และรองรับนิ้วทั้งสามด้าน

    https://www.slashgear.com/2014242/best-apple-magic-mouse-alternatives-according-to-users/
    💡 เมื่อดีไซน์สวยไม่พอ – ผู้ใช้หันหลังให้ Magic Mouse เพราะปวดข้อมือ Apple Magic Mouse อาจดูดีและล้ำด้วยระบบ multi-touch แต่ผู้ใช้จำนวนมากกลับบ่นว่า ดีไซน์แบนเกินไป จนทำให้ปวดข้อมือเมื่อใช้งานนานๆ และการควบคุมแบบสัมผัสก็อาจทำให้เกิดการสั่งงานผิดพลาดได้ง่าย บทความจาก SlashGear ได้รวบรวม 5 เมาส์ทางเลือกที่ผู้ใช้จริงแนะนำว่า “ดีกว่า Magic Mouse” ทั้งในแง่ของความสบาย ฟีเจอร์ และความแม่นยำในการใช้งาน โดยเฉพาะสำหรับคนทำงานหนักหรือเล่นเกม ✅ Logitech MX Master 4 ➡️ ดีไซน์จับถนัดมือ พร้อมปุ่มตั้งค่าได้ถึง 8 ปุ่ม ➡️ มีรุ่นเฉพาะสำหรับ macOS พร้อมปุ่ม “ring” บนที่พักนิ้วหัวแม่มือ ➡️ เพิ่ม haptic feedback และปรับปรุงการเชื่อมต่อจากรุ่นก่อน ✅ Razer Pro Click V2 ➡️ เมาส์กึ่งเกมกึ่งทำงาน รองรับ DPI สูงถึง 30,000 ➡️ มีที่พักนิ้วหัวแม่มือและสวิตช์ปรับ DPI ได้ทันที ➡️ แม่นยำสูงและลดอาการเมื่อยมือจากการใช้งานนานๆ ✅ Logitech MX Vertical ➡️ เมาส์แนวตั้งที่ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ ➡️ ลดแรงกดที่ข้อมือได้ถึง 10% ด้วยมุม 57 องศา ➡️ เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดข้อมือจาก Magic Mouse ✅ Keychron M3 ➡️ เมาส์ราคาประหยัดเริ่มต้นที่ $39.99 ➡️ รองรับ polling rate สูงถึง 8,000Hz ในรุ่นท็อป ➡️ ดีไซน์เรียบง่าย ไม่มีที่พักนิ้ว แต่ได้รับคำชมเรื่องความสบาย ✅ Logitech MX Ergo S ➡️ เมาส์แบบ trackball ที่ไม่ต้องขยับมือ ➡️ ปรับมุมเอียงได้ 20 องศา ลดแรงกดที่แขนถึง 27% ➡️ มีปุ่มปรับความเร็วเคอร์เซอร์และรองรับนิ้วทั้งสามด้าน https://www.slashgear.com/2014242/best-apple-magic-mouse-alternatives-according-to-users/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Sick Of Apple's Magic Mouse? Here Are 5 Alternatives With Great User Reviews - SlashGear
    These are great alternatives to the Apple Magic Mouse, all with unique designs and settings.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อ Android ต้องอยู่ร่วมกับ macOS – นี่คือวิธีที่ทำให้มันเวิร์ก

    Jowi Morales นักเขียนสายเทคโนโลยีจาก SlashGear แชร์ประสบการณ์การใช้ Samsung S24 Ultra กับ MacBook Air M2 เพื่อทำงานแบบมืออาชีพ โดยไม่ต้องพึ่ง iPhone หรือ iCloud แม้จะต้องใช้แรงเพิ่มขึ้น แต่เขายืนยันว่า “มันเวิร์ก” ถ้ารู้จักเลือกเครื่องมือให้เหมาะสม

    เขาเลือกใช้บริการจาก Google และ Microsoft เป็นหลัก เช่น Google Calendar, Keep, Tasks และ OneDrive เพื่อให้ข้อมูลซิงค์ข้ามอุปกรณ์ได้อย่างราบรื่น พร้อมใช้แอปเสริมอย่าง Duet Display และ AirDroid เพื่อเชื่อมต่อ Android กับ macOS ให้ทำงานร่วมกันได้ใกล้เคียงกับระบบของ Apple

    Google Calendar, Keep, Tasks
    ใช้จัดการตารางงานและบันทึกบนทุกอุปกรณ์
    แม้ไม่มีแอปบน macOS แต่สามารถใช้ผ่านเบราว์เซอร์และรับการแจ้งเตือน

    Microsoft OneDrive
    ใช้แทน iCloud สำหรับการสำรองภาพและไฟล์
    ซิงค์อัตโนมัติทั้งบน Android และ MacBook
    มาพร้อม Microsoft 365 ใช้งาน Word, Excel แบบออฟไลน์ได้

    Microsoft 365
    ทำงานต่อเนื่องข้ามอุปกรณ์ได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต
    เหมาะกับการเขียนบทความหรือเอกสารระหว่างเดินทาง

    Android Hotspot
    แม้ไม่มี Instant Hotspot แบบ iPhone แต่เชื่อมต่ออัตโนมัติหลังตั้งค่าครั้งแรก
    Samsung S24 Ultra สามารถแชร์เน็ตผ่าน Wi-Fi พร้อมเปิด hotspot ได้
    ใช้ร่วมกับ VPN เพื่อความปลอดภัยบน Wi-Fi สาธารณะ

    Duet Display
    ใช้ Android เป็นจอเสริมให้ MacBook ได้
    เชื่อมต่อผ่าน USB-C หรือไร้สาย
    ใช้งานฟรีแบบดูโฆษณา หรือจ่ายเงินเพื่อปลดล็อก

    AirDroid
    ควบคุม Android จาก MacBook ได้เกือบครบ
    ส่งข้อความ โทรศัพท์ และดูไฟล์ผ่านแอปบน macOS
    มีฟีเจอร์คล้าย AirPlay และ Continuity Camera

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Android กับ MacBook
    ต้องตั้งค่าหลายขั้นตอนกว่าจะใช้งานได้ราบรื่น
    บางฟีเจอร์ยังไม่ลื่นไหลเท่าการใช้ iPhone กับ macOS
    แอปบางตัวอาจมีข้อจำกัดในการใช้งานฟรี

    หากคุณเป็นคนที่ไม่อยากผูกติดกับระบบปิดของ Apple แต่ยังอยากใช้ MacBook กับ Android ให้เต็มประสิทธิภาพ บทความนี้คือคู่มือที่ใช้งานได้จริงจากคนที่ลองมาแล้วทุกทาง

    https://www.slashgear.com/2019314/android-user-macbook-how-make-it-work-busy-writer/
    🧩 เมื่อ Android ต้องอยู่ร่วมกับ macOS – นี่คือวิธีที่ทำให้มันเวิร์ก Jowi Morales นักเขียนสายเทคโนโลยีจาก SlashGear แชร์ประสบการณ์การใช้ Samsung S24 Ultra กับ MacBook Air M2 เพื่อทำงานแบบมืออาชีพ โดยไม่ต้องพึ่ง iPhone หรือ iCloud แม้จะต้องใช้แรงเพิ่มขึ้น แต่เขายืนยันว่า “มันเวิร์ก” ถ้ารู้จักเลือกเครื่องมือให้เหมาะสม เขาเลือกใช้บริการจาก Google และ Microsoft เป็นหลัก เช่น Google Calendar, Keep, Tasks และ OneDrive เพื่อให้ข้อมูลซิงค์ข้ามอุปกรณ์ได้อย่างราบรื่น พร้อมใช้แอปเสริมอย่าง Duet Display และ AirDroid เพื่อเชื่อมต่อ Android กับ macOS ให้ทำงานร่วมกันได้ใกล้เคียงกับระบบของ Apple ✅ Google Calendar, Keep, Tasks ➡️ ใช้จัดการตารางงานและบันทึกบนทุกอุปกรณ์ ➡️ แม้ไม่มีแอปบน macOS แต่สามารถใช้ผ่านเบราว์เซอร์และรับการแจ้งเตือน ✅ Microsoft OneDrive ➡️ ใช้แทน iCloud สำหรับการสำรองภาพและไฟล์ ➡️ ซิงค์อัตโนมัติทั้งบน Android และ MacBook ➡️ มาพร้อม Microsoft 365 ใช้งาน Word, Excel แบบออฟไลน์ได้ ✅ Microsoft 365 ➡️ ทำงานต่อเนื่องข้ามอุปกรณ์ได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต ➡️ เหมาะกับการเขียนบทความหรือเอกสารระหว่างเดินทาง ✅ Android Hotspot ➡️ แม้ไม่มี Instant Hotspot แบบ iPhone แต่เชื่อมต่ออัตโนมัติหลังตั้งค่าครั้งแรก ➡️ Samsung S24 Ultra สามารถแชร์เน็ตผ่าน Wi-Fi พร้อมเปิด hotspot ได้ ➡️ ใช้ร่วมกับ VPN เพื่อความปลอดภัยบน Wi-Fi สาธารณะ ✅ Duet Display ➡️ ใช้ Android เป็นจอเสริมให้ MacBook ได้ ➡️ เชื่อมต่อผ่าน USB-C หรือไร้สาย ➡️ ใช้งานฟรีแบบดูโฆษณา หรือจ่ายเงินเพื่อปลดล็อก ✅ AirDroid ➡️ ควบคุม Android จาก MacBook ได้เกือบครบ ➡️ ส่งข้อความ โทรศัพท์ และดูไฟล์ผ่านแอปบน macOS ➡️ มีฟีเจอร์คล้าย AirPlay และ Continuity Camera ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ Android กับ MacBook ⛔ ต้องตั้งค่าหลายขั้นตอนกว่าจะใช้งานได้ราบรื่น ⛔ บางฟีเจอร์ยังไม่ลื่นไหลเท่าการใช้ iPhone กับ macOS ⛔ แอปบางตัวอาจมีข้อจำกัดในการใช้งานฟรี หากคุณเป็นคนที่ไม่อยากผูกติดกับระบบปิดของ Apple แต่ยังอยากใช้ MacBook กับ Android ให้เต็มประสิทธิภาพ บทความนี้คือคู่มือที่ใช้งานได้จริงจากคนที่ลองมาแล้วทุกทาง https://www.slashgear.com/2019314/android-user-macbook-how-make-it-work-busy-writer/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Android User With A MacBook? Here's How I Made It Work As A Busy Tech Writer - SlashGear
    Mac and Android can get along if you're willing to put in a little bit of prep work. Here's how one of our writers manages the relationship.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่ออัลกอริธึมเก่าแก่ถูกท้าทาย – นักวิจัยสร้างทางลัดใหม่ที่ฉลาดกว่า

    Dijkstra’s Algorithm ถูกใช้มาตั้งแต่ปี 1959 เพื่อหาทางที่สั้นที่สุดในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และยังคงเป็นหัวใจของโปรโตคอล OSPF ที่ใช้ในระบบอินเทอร์เน็ตทั่วโลก แต่ปัญหาคือมันมี “ขีดจำกัดความเร็ว” ที่เรียกว่า sorting barrier ซึ่งเกิดจากการต้องจัดเรียงจุดที่ใกล้ที่สุดซ้ำๆ ในทุกขั้นตอน

    ล่าสุด ทีมนักวิจัยจาก Stanford และ Tsinghua University ได้พัฒนาอัลกอริธึมใหม่ที่ รวมจุดแข็งของ Dijkstra กับ Bellman-Ford เพื่อข้ามขีดจำกัดนี้ โดยใช้เทคนิค “การจัดกลุ่ม node” และ “การขยายแบบชาญฉลาด” ที่ช่วยลดจำนวน node ที่ต้องประมวลผลลงอย่างมหาศาล

    Dijkstra’s Algorithm มีข้อจำกัดด้านความเร็ว
    ต้องจัดเรียง node ที่ใกล้ที่สุดในทุกขั้นตอน
    เกิด bottleneck ที่เรียกว่า “sorting barrier”

    อัลกอริธึมใหม่จาก Stanford และ Tsinghua
    ผสมผสาน Dijkstra กับ Bellman-Ford
    ใช้การจัดกลุ่ม node แทนการประมวลผลทีละ node
    ข้ามการคำนวณที่ไม่จำเป็นด้วยการเลือก node สำคัญ

    เทคนิคที่ใช้ในการเร่งความเร็ว
    เลือก node ที่มีผลกระทบสูงต่อเส้นทาง
    ลบการสุ่มออกจากกระบวนการ
    เพิ่มระบบ layering เพื่อจัดลำดับการค้นหาอย่างมีประสิทธิภาพ

    ความสำคัญของอัลกอริธึมในยุคปัจจุบัน
    อัลกอริธึมคือ “ฮีโร่ที่ถูกลืม” ในโลกดิจิทัล
    งานวิจัย MIT พบว่า 40% ของอัลกอริธึมพัฒนาเร็วกว่า Moore’s Law
    การปรับปรุงอัลกอริธึมมีผลมากกว่าการอัปเกรดฮาร์ดแวร์ในหลายกรณี

    คำเตือนสำหรับนักพัฒนาเครือข่าย
    การใช้ Dijkstra แบบเดิมอาจไม่ทันต่อความซับซ้อนของเครือข่ายยุคใหม่
    การพึ่งพาการจัดเรียง node อาจทำให้ระบบช้าลงในเครือข่ายขนาดใหญ่
    หากไม่ปรับปรุงอัลกอริธึม อาจเสียโอกาสในการเพิ่มประสิทธิภาพระบบ

    การค้นพบนี้ไม่ใช่แค่การเร่งความเร็ว แต่คือการพิสูจน์ว่า “แม้สิ่งที่ดีที่สุดก็ยังมีที่ให้พัฒนา” และในโลกที่ข้อมูลเคลื่อนที่เร็วขึ้นทุกวัน อัลกอริธึมที่ฉลาดขึ้นอาจเป็นกุญแจสำคัญของอนาคตเครือข่าย.

    https://www.slashgear.com/2014867/new-algorithm-beats-dijkstra-time-shortest-path-to-network/
    🧠 เมื่ออัลกอริธึมเก่าแก่ถูกท้าทาย – นักวิจัยสร้างทางลัดใหม่ที่ฉลาดกว่า Dijkstra’s Algorithm ถูกใช้มาตั้งแต่ปี 1959 เพื่อหาทางที่สั้นที่สุดในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และยังคงเป็นหัวใจของโปรโตคอล OSPF ที่ใช้ในระบบอินเทอร์เน็ตทั่วโลก แต่ปัญหาคือมันมี “ขีดจำกัดความเร็ว” ที่เรียกว่า sorting barrier ซึ่งเกิดจากการต้องจัดเรียงจุดที่ใกล้ที่สุดซ้ำๆ ในทุกขั้นตอน ล่าสุด ทีมนักวิจัยจาก Stanford และ Tsinghua University ได้พัฒนาอัลกอริธึมใหม่ที่ รวมจุดแข็งของ Dijkstra กับ Bellman-Ford เพื่อข้ามขีดจำกัดนี้ โดยใช้เทคนิค “การจัดกลุ่ม node” และ “การขยายแบบชาญฉลาด” ที่ช่วยลดจำนวน node ที่ต้องประมวลผลลงอย่างมหาศาล ✅ Dijkstra’s Algorithm มีข้อจำกัดด้านความเร็ว ➡️ ต้องจัดเรียง node ที่ใกล้ที่สุดในทุกขั้นตอน ➡️ เกิด bottleneck ที่เรียกว่า “sorting barrier” ✅ อัลกอริธึมใหม่จาก Stanford และ Tsinghua ➡️ ผสมผสาน Dijkstra กับ Bellman-Ford ➡️ ใช้การจัดกลุ่ม node แทนการประมวลผลทีละ node ➡️ ข้ามการคำนวณที่ไม่จำเป็นด้วยการเลือก node สำคัญ ✅ เทคนิคที่ใช้ในการเร่งความเร็ว ➡️ เลือก node ที่มีผลกระทบสูงต่อเส้นทาง ➡️ ลบการสุ่มออกจากกระบวนการ ➡️ เพิ่มระบบ layering เพื่อจัดลำดับการค้นหาอย่างมีประสิทธิภาพ ✅ ความสำคัญของอัลกอริธึมในยุคปัจจุบัน ➡️ อัลกอริธึมคือ “ฮีโร่ที่ถูกลืม” ในโลกดิจิทัล ➡️ งานวิจัย MIT พบว่า 40% ของอัลกอริธึมพัฒนาเร็วกว่า Moore’s Law ➡️ การปรับปรุงอัลกอริธึมมีผลมากกว่าการอัปเกรดฮาร์ดแวร์ในหลายกรณี ‼️ คำเตือนสำหรับนักพัฒนาเครือข่าย ⛔ การใช้ Dijkstra แบบเดิมอาจไม่ทันต่อความซับซ้อนของเครือข่ายยุคใหม่ ⛔ การพึ่งพาการจัดเรียง node อาจทำให้ระบบช้าลงในเครือข่ายขนาดใหญ่ ⛔ หากไม่ปรับปรุงอัลกอริธึม อาจเสียโอกาสในการเพิ่มประสิทธิภาพระบบ การค้นพบนี้ไม่ใช่แค่การเร่งความเร็ว แต่คือการพิสูจน์ว่า “แม้สิ่งที่ดีที่สุดก็ยังมีที่ให้พัฒนา” และในโลกที่ข้อมูลเคลื่อนที่เร็วขึ้นทุกวัน อัลกอริธึมที่ฉลาดขึ้นอาจเป็นกุญแจสำคัญของอนาคตเครือข่าย. https://www.slashgear.com/2014867/new-algorithm-beats-dijkstra-time-shortest-path-to-network/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    A New Algorithm Beats Dijkstra's Time For The Shortest Path To Any Point In A Network - SlashGear
    Researchers have combined the Dijkstra and Bellman-Ford algorithms to develop an even faster way to find the shortest paths in a network.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 11 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำไม Xbox ยังไม่เปลี่ยนไปใช้แบตเตอรี่ชาร์จเหมือนคู่แข่ง?

    ในยุคที่อุปกรณ์ส่วนใหญ่เปลี่ยนไปใช้แบตเตอรี่ลิเธียมแบบชาร์จได้ เช่น PlayStation DualSense หรือ Nintendo Switch Pro Controller แต่ Xbox ยังคงเลือกใช้ ถ่าน AA เป็นค่าเริ่มต้นสำหรับคอนโทรลเลอร์ของตนเอง

    เหตุผลหลักมาจากการสำรวจความคิดเห็นของผู้เล่น โดย Jason Ronald ผู้บริหารฝ่ายโปรแกรมของ Xbox เผยว่า “มีผู้เล่นจำนวนมากที่ยังต้องการใช้ถ่าน AA” เพราะมันให้ความยืดหยุ่นในการเลือกว่าจะใช้ถ่านแบบชาร์จหรือแบบใช้แล้วทิ้ง

    แม้จะมีเสียงวิจารณ์ว่า AA ไม่สะดวก แต่ Xbox ก็มีทางเลือกเสริม เช่น Play & Charge Kit หรือ แบตเตอรี่เสริมจากผู้ผลิตภายนอก ที่สามารถชาร์จผ่าน USB-C ได้เหมือนกับ Elite Controller Series 2

    นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือกับ Duracell ในการจัดหาถ่าน OEM สำหรับ Xbox แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้ใช้ต้องใช้เฉพาะแบรนด์นี้

    Xbox ยังคงใช้ถ่าน AA เป็นค่าเริ่มต้น
    ให้ความยืดหยุ่นแก่ผู้เล่นในการเลือกวิธีใช้งาน
    เป็นผลจากการสำรวจความต้องการของผู้เล่นโดยตรง

    มีทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการใช้ AA
    Xbox Elite Controller Series 2 ใช้แบตเตอรี่ชาร์จผ่าน USB-C
    มี Play & Charge Kit สำหรับ Xbox One และ Series X/S
    รองรับแบตเตอรี่จากผู้ผลิตภายนอก

    ความร่วมมือกับ Duracell
    Duracell เป็นผู้จัดหาถ่าน OEM สำหรับ Xbox
    ไม่ได้บังคับให้ใช้เฉพาะแบรนด์นี้

    https://www.slashgear.com/2014244/why-xbox-controllers-still-use-batteries/
    🎮 ทำไม Xbox ยังไม่เปลี่ยนไปใช้แบตเตอรี่ชาร์จเหมือนคู่แข่ง? ในยุคที่อุปกรณ์ส่วนใหญ่เปลี่ยนไปใช้แบตเตอรี่ลิเธียมแบบชาร์จได้ เช่น PlayStation DualSense หรือ Nintendo Switch Pro Controller แต่ Xbox ยังคงเลือกใช้ ถ่าน AA เป็นค่าเริ่มต้นสำหรับคอนโทรลเลอร์ของตนเอง เหตุผลหลักมาจากการสำรวจความคิดเห็นของผู้เล่น โดย Jason Ronald ผู้บริหารฝ่ายโปรแกรมของ Xbox เผยว่า “มีผู้เล่นจำนวนมากที่ยังต้องการใช้ถ่าน AA” เพราะมันให้ความยืดหยุ่นในการเลือกว่าจะใช้ถ่านแบบชาร์จหรือแบบใช้แล้วทิ้ง แม้จะมีเสียงวิจารณ์ว่า AA ไม่สะดวก แต่ Xbox ก็มีทางเลือกเสริม เช่น Play & Charge Kit หรือ แบตเตอรี่เสริมจากผู้ผลิตภายนอก ที่สามารถชาร์จผ่าน USB-C ได้เหมือนกับ Elite Controller Series 2 นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือกับ Duracell ในการจัดหาถ่าน OEM สำหรับ Xbox แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้ใช้ต้องใช้เฉพาะแบรนด์นี้ ✅ Xbox ยังคงใช้ถ่าน AA เป็นค่าเริ่มต้น ➡️ ให้ความยืดหยุ่นแก่ผู้เล่นในการเลือกวิธีใช้งาน ➡️ เป็นผลจากการสำรวจความต้องการของผู้เล่นโดยตรง ✅ มีทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการใช้ AA ➡️ Xbox Elite Controller Series 2 ใช้แบตเตอรี่ชาร์จผ่าน USB-C ➡️ มี Play & Charge Kit สำหรับ Xbox One และ Series X/S ➡️ รองรับแบตเตอรี่จากผู้ผลิตภายนอก ✅ ความร่วมมือกับ Duracell ➡️ Duracell เป็นผู้จัดหาถ่าน OEM สำหรับ Xbox ➡️ ไม่ได้บังคับให้ใช้เฉพาะแบรนด์นี้ https://www.slashgear.com/2014244/why-xbox-controllers-still-use-batteries/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Why Xbox Controllers Still Use Batteries (But PlayStation And Nintendo Switch Don't) - SlashGear
    Gamers have myriad ways to power their controllers, with options for different systems and personal preferences.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 11 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักเขียนสายเทคเผยสเปกแท็บเล็ตในฝัน หลังใช้มาแล้ว 8 รุ่น

    Max Miller จาก SlashGear แชร์ประสบการณ์การใช้แท็บเล็ตหลากหลายรุ่น ตั้งแต่ Nexus 7, Microsoft Surface ไปจนถึง Samsung Galaxy Tab และ iPad Pro พร้อมสรุปว่า แท็บเล็ตที่ดีที่สุดยังไม่มีใครสร้าง เพราะไม่มีรุ่นใดที่ “ฮาร์ดแวร์แรง” และ “ซอฟต์แวร์ฉลาด” ไปพร้อมกัน

    เขาชื่นชม iPad Pro ที่ใช้ชิป M5 และจอ OLED ระดับพรีเมียม แต่ผิดหวังกับ iPadOS ที่ยังเน้นการสัมผัสมากเกินไป ทำให้ workflow ไม่ลื่นไหล ส่วนฝั่ง Android แม้ One UI 8 จะออกแบบมาดีสำหรับงาน productivity แต่กลับติดข้อจำกัดด้านชิปที่ไม่แรงพอ

    ปัญหาของแท็บเล็ตปัจจุบัน
    iPad Pro: ฮาร์ดแวร์แรงแต่ iPadOS ยังไม่ตอบโจทย์งานจริง
    Android: ซอฟต์แวร์ดีแต่ชิปไม่แรงพอ เช่น MediaTek บน Tab S11
    Windows: มีพลังแต่ยังไม่เหมาะกับการใช้งานแบบแท็บเล็ต

    สเปกแท็บเล็ตในฝัน “mePad”
    จอ OLED ขนาด 14 นิ้ว 165Hz
    ชิป Snapdragon X รุ่นล่าสุด
    RAM 32GB แบบถอดเปลี่ยนได้ + microSD
    พอร์ต USB-C x2 รองรับ USB4 และชาร์จ 140W
    ตัวเครื่องบาง ใช้ไทเทเนียม มีน็อตให้ซ่อมเองได้
    ระบบ One UI 8 ปรับแต่งเฉพาะ พร้อม S Pen Bluetooth

    ความหวังใหม่: ChromeOS รวมกับ Android
    Google เตรียมรวม ChromeOS เข้ากับ Android
    อาจเกิดแท็บเล็ตแบบ Chromebook ที่ใช้ Desktop Mode ได้จริง
    Samsung และ Google เคยร่วมมือกันใน One UI 8 และ WearOS

    แท็บเล็ตในฝันของ Max Miller อาจยังไม่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้ แต่บทความนี้ชี้ให้เห็นว่า การออกแบบที่ดีไม่ใช่แค่เรื่องสเปก แต่คือการเข้าใจผู้ใช้และกล้าผสมสิ่งที่ดีที่สุดเข้าด้วยกัน แม้จะขัดกับแนวทางของแบรนด์ใหญ่ก็ตาม

    https://www.slashgear.com/2018581/tablet-owner-design-perfect-device-essential-specs-features/
    🧩 นักเขียนสายเทคเผยสเปกแท็บเล็ตในฝัน หลังใช้มาแล้ว 8 รุ่น Max Miller จาก SlashGear แชร์ประสบการณ์การใช้แท็บเล็ตหลากหลายรุ่น ตั้งแต่ Nexus 7, Microsoft Surface ไปจนถึง Samsung Galaxy Tab และ iPad Pro พร้อมสรุปว่า แท็บเล็ตที่ดีที่สุดยังไม่มีใครสร้าง เพราะไม่มีรุ่นใดที่ “ฮาร์ดแวร์แรง” และ “ซอฟต์แวร์ฉลาด” ไปพร้อมกัน เขาชื่นชม iPad Pro ที่ใช้ชิป M5 และจอ OLED ระดับพรีเมียม แต่ผิดหวังกับ iPadOS ที่ยังเน้นการสัมผัสมากเกินไป ทำให้ workflow ไม่ลื่นไหล ส่วนฝั่ง Android แม้ One UI 8 จะออกแบบมาดีสำหรับงาน productivity แต่กลับติดข้อจำกัดด้านชิปที่ไม่แรงพอ ✅ ปัญหาของแท็บเล็ตปัจจุบัน ➡️ iPad Pro: ฮาร์ดแวร์แรงแต่ iPadOS ยังไม่ตอบโจทย์งานจริง ➡️ Android: ซอฟต์แวร์ดีแต่ชิปไม่แรงพอ เช่น MediaTek บน Tab S11 ➡️ Windows: มีพลังแต่ยังไม่เหมาะกับการใช้งานแบบแท็บเล็ต ✅ สเปกแท็บเล็ตในฝัน “mePad” ➡️ จอ OLED ขนาด 14 นิ้ว 165Hz ➡️ ชิป Snapdragon X รุ่นล่าสุด ➡️ RAM 32GB แบบถอดเปลี่ยนได้ + microSD ➡️ พอร์ต USB-C x2 รองรับ USB4 และชาร์จ 140W ➡️ ตัวเครื่องบาง ใช้ไทเทเนียม มีน็อตให้ซ่อมเองได้ ➡️ ระบบ One UI 8 ปรับแต่งเฉพาะ พร้อม S Pen Bluetooth ✅ ความหวังใหม่: ChromeOS รวมกับ Android ➡️ Google เตรียมรวม ChromeOS เข้ากับ Android ➡️ อาจเกิดแท็บเล็ตแบบ Chromebook ที่ใช้ Desktop Mode ได้จริง ➡️ Samsung และ Google เคยร่วมมือกันใน One UI 8 และ WearOS แท็บเล็ตในฝันของ Max Miller อาจยังไม่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้ แต่บทความนี้ชี้ให้เห็นว่า การออกแบบที่ดีไม่ใช่แค่เรื่องสเปก แต่คือการเข้าใจผู้ใช้และกล้าผสมสิ่งที่ดีที่สุดเข้าด้วยกัน แม้จะขัดกับแนวทางของแบรนด์ใหญ่ก็ตาม https://www.slashgear.com/2018581/tablet-owner-design-perfect-device-essential-specs-features/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    I Have Owned 8 Tablets: Here's What The Perfect One Would Look Like - SlashGear
    The perfect tablet would combine the hardware of the iPad Pro with the productivity-focused OS features of Samsung One UI 8, offering the best of both worlds.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำไมองค์กรยังพลาดเรื่องความปลอดภัยบนคลาวด์? เปิดเบื้องหลังความผิดพลาดที่ไม่ควรเกิดขึ้น

    ลองนึกภาพว่าองค์กรของคุณเก็บข้อมูลลูกค้าหลายล้านรายไว้บนคลาวด์ แต่กลับมีการตั้งค่าที่ผิดพลาด ทำให้ข้อมูลเหล่านั้นถูกเปิดเผยต่อสาธารณะโดยไม่ตั้งใจ... เรื่องนี้ไม่ใช่แค่จินตนาการ แต่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในหลายองค์กรทั่วโลก

    แม้เวลาจะผ่านไปหลายปีตั้งแต่คลาวด์กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการจัดเก็บข้อมูล แต่ปัญหาเดิมๆ อย่างการตั้งค่าผิดพลาด (misconfiguration) ก็ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เพราะองค์กรใช้เครื่องมือ SaaS มากขึ้น ข้อมูลกระจายอยู่หลายแพลตฟอร์ม และระบบความปลอดภัยที่ควรจะมี “ตั้งแต่แรก” กลับต้องให้ผู้ใช้เป็นคนเปิดใช้งานเอง

    องค์กรจำนวนมากยังคงเผชิญกับความเสี่ยงจากการตั้งค่าคลาวด์ผิดพลาด เช่น เปิดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ตั้งใจ ไม่เปิดใช้การเข้ารหัส หรือไม่เปิดใช้ระบบยืนยันตัวตนแบบหลายขั้นตอน (MFA) ซึ่งเป็นช่องโหว่ที่แฮกเกอร์สามารถใช้เจาะระบบได้ง่ายดาย

    รายงานจาก Qualys พบว่า VM บน AWS มีการตั้งค่าผิดพลาดถึง 45% ในขณะที่ GCP สูงถึง 63% และ Azure สูงถึง 70% ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจมาก นอกจากนี้ยังมีกรณีของ Blue Shield California ที่ข้อมูลสมาชิกกว่า 4.7 ล้านรายถูกเปิดเผยเพราะตั้งค่า Google Analytics ผิด

    ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ปัญหานี้เกิดจากการที่ผู้ให้บริการคลาวด์อย่าง Microsoft, Google และ Amazon ไม่ได้ตั้งค่าความปลอดภัยมาให้ตั้งแต่แรก ผู้ใช้ต้องเป็นคนเปิดใช้งานเอง ซึ่งเหมือนกับการซื้อรถที่ไม่มีล็อกประตูมาให้ ต้องไปติดตั้งเองทีหลัง

    องค์กรขนาดเล็กและกลางมักไม่มีทีมความปลอดภัยเฉพาะทาง ทำให้พลาดเรื่องสำคัญ เช่น การตั้งค่าการสื่อสารของฐานข้อมูลให้วิ่งผ่านเครือข่ายส่วนตัวแทนที่จะเป็นอินเทอร์เน็ตสาธารณะ หรือการให้สิทธิ์ผู้ใช้มากเกินไปในช่วงพัฒนาแล้วลืมลดสิทธิ์เมื่อเข้าสู่ระบบจริง

    ความเสี่ยงจากการตั้งค่าคลาวด์ผิดพลาด
    VM บนคลาวด์มีการตั้งค่าผิดพลาดสูงถึง 70% บน Azure
    ข้อมูลสมาชิก Blue Shield ถูกเปิดเผยเพราะตั้งค่า Google Analytics ผิด
    ผู้ให้บริการคลาวด์ไม่ได้ตั้งค่าความปลอดภัยมาให้โดยอัตโนมัติ
    องค์กรต้องเปิดใช้ MFA, การเข้ารหัส และระบบตรวจสอบเอง

    แนวทางลดความเสี่ยง
    ใช้ MFA ทุกระดับการเข้าถึง
    ตั้งค่าการสื่อสารผ่านเครือข่ายส่วนตัวเท่านั้น
    เข้ารหัสข้อมูลทั้งขณะพักและขณะส่ง
    ใช้หลัก least privilege ลดสิทธิ์ผู้ใช้ให้เหลือเท่าที่จำเป็น
    ใช้ Infrastructure as Code เพื่อควบคุมการเปลี่ยนแปลง
    สแกนการตั้งค่าอย่างต่อเนื่อง
    ปิดการเข้าถึงสาธารณะของ storage buckets
    เปิดระบบ logging และ monitoring ทุก deployment
    วางแผนความปลอดภัยตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ใช่ค่อยมาแก้ทีหลัง

    คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ
    องค์กรมักไม่รวมทีม cybersecurity ในการตัดสินใจด้านเทคโนโลยี
    Shadow IT ทำให้เกิดการใช้งานระบบที่ไม่มีการตั้งค่าความปลอดภัย
    การควบรวมกิจการโดยไม่ตรวจสอบระบบคลาวด์ของอีกฝ่ายอาจสร้างช่องโหว่
    การให้สิทธิ์มากเกินไปในช่วงพัฒนาแล้วลืมลดสิทธิ์ใน production
    การไม่ใช้เครือข่ายส่วนตัวในการสื่อสารของฐานข้อมูล

    ถ้าองค์กรของคุณกำลังใช้คลาวด์อยู่ อย่ารอให้เกิดเหตุการณ์ก่อนค่อยแก้ไข เพราะความเสียหายอาจใหญ่หลวงกว่าที่คิด

    https://www.csoonline.com/article/4083736/why-cant-enterprises-get-a-handle-on-the-cloud-misconfiguration-problem.html
    🏤 ทำไมองค์กรยังพลาดเรื่องความปลอดภัยบนคลาวด์? เปิดเบื้องหลังความผิดพลาดที่ไม่ควรเกิดขึ้น ลองนึกภาพว่าองค์กรของคุณเก็บข้อมูลลูกค้าหลายล้านรายไว้บนคลาวด์ แต่กลับมีการตั้งค่าที่ผิดพลาด ทำให้ข้อมูลเหล่านั้นถูกเปิดเผยต่อสาธารณะโดยไม่ตั้งใจ... เรื่องนี้ไม่ใช่แค่จินตนาการ แต่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในหลายองค์กรทั่วโลก แม้เวลาจะผ่านไปหลายปีตั้งแต่คลาวด์กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการจัดเก็บข้อมูล แต่ปัญหาเดิมๆ อย่างการตั้งค่าผิดพลาด (misconfiguration) ก็ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เพราะองค์กรใช้เครื่องมือ SaaS มากขึ้น ข้อมูลกระจายอยู่หลายแพลตฟอร์ม และระบบความปลอดภัยที่ควรจะมี “ตั้งแต่แรก” กลับต้องให้ผู้ใช้เป็นคนเปิดใช้งานเอง องค์กรจำนวนมากยังคงเผชิญกับความเสี่ยงจากการตั้งค่าคลาวด์ผิดพลาด เช่น เปิดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ตั้งใจ ไม่เปิดใช้การเข้ารหัส หรือไม่เปิดใช้ระบบยืนยันตัวตนแบบหลายขั้นตอน (MFA) ซึ่งเป็นช่องโหว่ที่แฮกเกอร์สามารถใช้เจาะระบบได้ง่ายดาย รายงานจาก Qualys พบว่า VM บน AWS มีการตั้งค่าผิดพลาดถึง 45% ในขณะที่ GCP สูงถึง 63% และ Azure สูงถึง 70% ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจมาก นอกจากนี้ยังมีกรณีของ Blue Shield California ที่ข้อมูลสมาชิกกว่า 4.7 ล้านรายถูกเปิดเผยเพราะตั้งค่า Google Analytics ผิด ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ปัญหานี้เกิดจากการที่ผู้ให้บริการคลาวด์อย่าง Microsoft, Google และ Amazon ไม่ได้ตั้งค่าความปลอดภัยมาให้ตั้งแต่แรก ผู้ใช้ต้องเป็นคนเปิดใช้งานเอง ซึ่งเหมือนกับการซื้อรถที่ไม่มีล็อกประตูมาให้ ต้องไปติดตั้งเองทีหลัง องค์กรขนาดเล็กและกลางมักไม่มีทีมความปลอดภัยเฉพาะทาง ทำให้พลาดเรื่องสำคัญ เช่น การตั้งค่าการสื่อสารของฐานข้อมูลให้วิ่งผ่านเครือข่ายส่วนตัวแทนที่จะเป็นอินเทอร์เน็ตสาธารณะ หรือการให้สิทธิ์ผู้ใช้มากเกินไปในช่วงพัฒนาแล้วลืมลดสิทธิ์เมื่อเข้าสู่ระบบจริง ✅ ความเสี่ยงจากการตั้งค่าคลาวด์ผิดพลาด ➡️ VM บนคลาวด์มีการตั้งค่าผิดพลาดสูงถึง 70% บน Azure ➡️ ข้อมูลสมาชิก Blue Shield ถูกเปิดเผยเพราะตั้งค่า Google Analytics ผิด ➡️ ผู้ให้บริการคลาวด์ไม่ได้ตั้งค่าความปลอดภัยมาให้โดยอัตโนมัติ ➡️ องค์กรต้องเปิดใช้ MFA, การเข้ารหัส และระบบตรวจสอบเอง ✅ แนวทางลดความเสี่ยง ➡️ ใช้ MFA ทุกระดับการเข้าถึง ➡️ ตั้งค่าการสื่อสารผ่านเครือข่ายส่วนตัวเท่านั้น ➡️ เข้ารหัสข้อมูลทั้งขณะพักและขณะส่ง ➡️ ใช้หลัก least privilege ลดสิทธิ์ผู้ใช้ให้เหลือเท่าที่จำเป็น ➡️ ใช้ Infrastructure as Code เพื่อควบคุมการเปลี่ยนแปลง ➡️ สแกนการตั้งค่าอย่างต่อเนื่อง ➡️ ปิดการเข้าถึงสาธารณะของ storage buckets ➡️ เปิดระบบ logging และ monitoring ทุก deployment ➡️ วางแผนความปลอดภัยตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ใช่ค่อยมาแก้ทีหลัง ‼️ คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ ⛔ องค์กรมักไม่รวมทีม cybersecurity ในการตัดสินใจด้านเทคโนโลยี ⛔ Shadow IT ทำให้เกิดการใช้งานระบบที่ไม่มีการตั้งค่าความปลอดภัย ⛔ การควบรวมกิจการโดยไม่ตรวจสอบระบบคลาวด์ของอีกฝ่ายอาจสร้างช่องโหว่ ⛔ การให้สิทธิ์มากเกินไปในช่วงพัฒนาแล้วลืมลดสิทธิ์ใน production ⛔ การไม่ใช้เครือข่ายส่วนตัวในการสื่อสารของฐานข้อมูล ถ้าองค์กรของคุณกำลังใช้คลาวด์อยู่ อย่ารอให้เกิดเหตุการณ์ก่อนค่อยแก้ไข เพราะความเสียหายอาจใหญ่หลวงกว่าที่คิด 💥 https://www.csoonline.com/article/4083736/why-cant-enterprises-get-a-handle-on-the-cloud-misconfiguration-problem.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Why can't enterprises get a handle on the cloud misconfiguration problem?
    Cloud configuration errors still plague enterprises. More SaaS tools connected across different cloud environments and a lack of out-of-the-box security controls are some of the issues.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 20 มุมมอง 0 รีวิว
  • Amadeus มอง AI เป็นโอกาส ไม่ใช่ภัยคุกคาม พร้อมก้าวขึ้นเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีหลักของแพลตฟอร์ม AI

    Luis Maroto ซีอีโอของ Amadeus กล่าวกับนักวิเคราะห์ว่า บริษัทไม่ได้มองว่าแพลตฟอร์ม AI จะเข้ามาแทนที่ผู้ให้บริการด้านการจองหรือกลายเป็นผู้ขายโดยตรง แต่จะเป็นตัวกลางที่ต้องพึ่งพาข้อมูลและระบบที่ซับซ้อน ซึ่ง Amadeusมีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว

    เขายังเน้นว่า “การจัดการเรื่องราคาและบริการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไม่ใช่เรื่องง่าย” และ Amadeus มีเป้าหมายที่จะเป็นผู้สนับสนุนเทคโนโลยีให้กับ AI แพลตฟอร์มเหล่านี้ เหมือนที่เคยทำมาในช่วงเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีอื่นๆ

    นอกจากนี้ Amadeus ยังรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ที่ดีกว่าคาดการณ์ โดยมีการเติบโตในทุกแผนก และยอดการจองที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัทในตลาดโลก

    มุมมองของ Amadeus ต่อ AI
    AI ไม่ใช่ภัยคุกคาม แต่เป็นโอกาสในการขยายธุรกิจ
    Amadeus ตั้งเป้าเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีแก่แพลตฟอร์ม AI
    การจัดการข้อมูลราคาและบริการต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง
    AI ยังไม่สามารถเป็นผู้ขายหรือรวบรวมเนื้อหาได้โดยตรง

    ผลประกอบการและความแข็งแกร่งของบริษัท
    รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ดีกว่าคาด
    ยอดการจองเพิ่มขึ้นในทุกแผนก
    สะท้อนความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี

    คำเตือนเกี่ยวกับการใช้ AI ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
    การพึ่งพา AI โดยไม่มีระบบสนับสนุนที่แข็งแกร่งอาจทำให้เกิดข้อผิดพลาด
    แพลตฟอร์ม AI ต้องการข้อมูลที่แม่นยำและเรียลไทม์ ซึ่งไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้
    การเข้าใจผิดว่า AI จะมาแทนที่ระบบจองทั้งหมดอาจนำไปสู่การลงทุนที่ผิดทิศทาง

    Amadeus กำลังพิสูจน์ว่าในโลกที่ AI กำลังเปลี่ยนทุกอย่าง ผู้เล่นที่เข้าใจระบบและมีข้อมูลเชิงลึกจะกลายเป็นผู้สนับสนุนที่ขาดไม่ได้ในระบบใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นนี้

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/ai-platforms-not-danger-but-opportunity-for-amadeus-ceo-says
    🏤 Amadeus มอง AI เป็นโอกาส ไม่ใช่ภัยคุกคาม พร้อมก้าวขึ้นเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีหลักของแพลตฟอร์ม AI Luis Maroto ซีอีโอของ Amadeus กล่าวกับนักวิเคราะห์ว่า บริษัทไม่ได้มองว่าแพลตฟอร์ม AI จะเข้ามาแทนที่ผู้ให้บริการด้านการจองหรือกลายเป็นผู้ขายโดยตรง แต่จะเป็นตัวกลางที่ต้องพึ่งพาข้อมูลและระบบที่ซับซ้อน ซึ่ง Amadeusมีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว เขายังเน้นว่า “การจัดการเรื่องราคาและบริการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไม่ใช่เรื่องง่าย” และ Amadeus มีเป้าหมายที่จะเป็นผู้สนับสนุนเทคโนโลยีให้กับ AI แพลตฟอร์มเหล่านี้ เหมือนที่เคยทำมาในช่วงเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีอื่นๆ นอกจากนี้ Amadeus ยังรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ที่ดีกว่าคาดการณ์ โดยมีการเติบโตในทุกแผนก และยอดการจองที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัทในตลาดโลก ✅ มุมมองของ Amadeus ต่อ AI ➡️ AI ไม่ใช่ภัยคุกคาม แต่เป็นโอกาสในการขยายธุรกิจ ➡️ Amadeus ตั้งเป้าเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีแก่แพลตฟอร์ม AI ➡️ การจัดการข้อมูลราคาและบริการต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ➡️ AI ยังไม่สามารถเป็นผู้ขายหรือรวบรวมเนื้อหาได้โดยตรง ✅ ผลประกอบการและความแข็งแกร่งของบริษัท ➡️ รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ดีกว่าคาด ➡️ ยอดการจองเพิ่มขึ้นในทุกแผนก ➡️ สะท้อนความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการใช้ AI ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ⛔ การพึ่งพา AI โดยไม่มีระบบสนับสนุนที่แข็งแกร่งอาจทำให้เกิดข้อผิดพลาด ⛔ แพลตฟอร์ม AI ต้องการข้อมูลที่แม่นยำและเรียลไทม์ ซึ่งไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ ⛔ การเข้าใจผิดว่า AI จะมาแทนที่ระบบจองทั้งหมดอาจนำไปสู่การลงทุนที่ผิดทิศทาง Amadeus กำลังพิสูจน์ว่าในโลกที่ AI กำลังเปลี่ยนทุกอย่าง ผู้เล่นที่เข้าใจระบบและมีข้อมูลเชิงลึกจะกลายเป็นผู้สนับสนุนที่ขาดไม่ได้ในระบบใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/07/ai-platforms-not-danger-but-opportunity-for-amadeus-ceo-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AI platforms not danger but opportunity for Amadeus, CEO says
    (Reuters) -Spanish travel technology company Amadeus is "extremely well positioned" to deal with possible expansion into its industry by large-language-models and AI platforms like ChatGPT, the company's chief executive said on Friday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 18 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องอื้อฉาว Shein กับตุ๊กตาเด็ก: จุดไฟปัญหามืดของตลาดออนไลน์

    เรื่องราวล่าสุดจากฝรั่งเศสได้เปิดโปงด้านมืดของตลาดออนไลน์ เมื่อมีการประท้วงต่อต้าน Shein ที่ขายตุ๊กตาเซ็กซ์ลักษณะคล้ายเด็ก พร้อมอาวุธต้องห้ามผ่านแพลตฟอร์มของตน ทำให้รัฐบาลฝรั่งเศสต้องออกมาตรการจัดการอย่างเร่งด่วน

    Shein ซึ่งเป็นแบรนด์แฟชั่นจีนชื่อดัง ถูกวิจารณ์อย่างหนักหลังมีการพบว่าบนแพลตฟอร์มของตนมีการขายตุ๊กตาเซ็กซ์ที่มีลักษณะคล้ายเด็ก รวมถึงอาวุธต้องห้ามบางประเภท โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนการเปิดร้านถาวรแห่งแรกของ Shein ในกรุงปารีส ทำให้เกิดการประท้วงจากประชาชนและองค์กรสิทธิมนุษยชน

    ป้ายประท้วงมีข้อความรุนแรง เช่น “Shein สมรู้ร่วมคิดกับสื่อลามกเด็ก” และ “ร้าน BHV ไม่ควรซ่อนความอับอายนี้ไว้หลังหน้าต่าง” สะท้อนความโกรธของสังคมต่อการปล่อยให้สินค้าลักษณะนี้หลุดรอดเข้าสู่ตลาดได้

    เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาเรื้อรังของตลาดออนไลน์ที่เปิดให้ผู้ขายหลายรายเข้ามาโดยไม่มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ทำให้สินค้าผิดกฎหมาย อันตราย หรือไม่เหมาะสมสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายดาย

    จุดอ่อนของตลาดออนไลน์แบบหลายผู้ขาย
    แพลตฟอร์มอย่าง Shein, Amazon, Temu และ Alibaba เปิดให้ผู้ขายทั่วโลกเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง
    การตรวจสอบสินค้าบนแพลตฟอร์มยังไม่เข้มงวดพอ
    สินค้าผิดกฎหมาย เช่น อาวุธต้องห้าม และสินค้าลามกสามารถหลุดรอดได้
    ผู้บริโภคอาจไม่รู้ว่าสินค้าที่ซื้อผิดกฎหมายหรือไม่เหมาะสม

    ปฏิกิริยาจากสังคมและรัฐบาล
    ฝรั่งเศสออกมาตรการจัดการกับสินค้าผิดกฎหมายบนแพลตฟอร์ม
    การประท้วงหน้าร้าน BHV Marais สะท้อนความไม่พอใจของประชาชน
    สื่อมวลชนและองค์กรสิทธิมนุษยชนเรียกร้องให้มีการควบคุมที่เข้มงวดขึ้น

    คำเตือนต่อผู้บริโภคและแพลตฟอร์ม
    การซื้อสินค้าจากแพลตฟอร์มที่ไม่มีการตรวจสอบอาจนำไปสู่การสนับสนุนกิจกรรมผิดกฎหมาย
    แพลตฟอร์มที่ไม่ควบคุมผู้ขายอาจกลายเป็นช่องทางของการค้ามนุษย์หรือการละเมิดสิทธิเด็ก
    การเปิดร้านถาวรโดยไม่จัดการกับปัญหาในระบบออนไลน์อาจสร้างภาพลักษณ์เชิงลบต่อแบรนด์
    ผู้บริโภคควรตรวจสอบแหล่งที่มาของสินค้าและหลีกเลี่ยงสินค้าที่มีลักษณะไม่เหมาะสม

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/08/shein-sex-doll-scandal-shines-light-on-marketplaces039-dark-corners
    🛑 เรื่องอื้อฉาว Shein กับตุ๊กตาเด็ก: จุดไฟปัญหามืดของตลาดออนไลน์ เรื่องราวล่าสุดจากฝรั่งเศสได้เปิดโปงด้านมืดของตลาดออนไลน์ เมื่อมีการประท้วงต่อต้าน Shein ที่ขายตุ๊กตาเซ็กซ์ลักษณะคล้ายเด็ก พร้อมอาวุธต้องห้ามผ่านแพลตฟอร์มของตน ทำให้รัฐบาลฝรั่งเศสต้องออกมาตรการจัดการอย่างเร่งด่วน Shein ซึ่งเป็นแบรนด์แฟชั่นจีนชื่อดัง ถูกวิจารณ์อย่างหนักหลังมีการพบว่าบนแพลตฟอร์มของตนมีการขายตุ๊กตาเซ็กซ์ที่มีลักษณะคล้ายเด็ก รวมถึงอาวุธต้องห้ามบางประเภท โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนการเปิดร้านถาวรแห่งแรกของ Shein ในกรุงปารีส ทำให้เกิดการประท้วงจากประชาชนและองค์กรสิทธิมนุษยชน ป้ายประท้วงมีข้อความรุนแรง เช่น “Shein สมรู้ร่วมคิดกับสื่อลามกเด็ก” และ “ร้าน BHV ไม่ควรซ่อนความอับอายนี้ไว้หลังหน้าต่าง” สะท้อนความโกรธของสังคมต่อการปล่อยให้สินค้าลักษณะนี้หลุดรอดเข้าสู่ตลาดได้ เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาเรื้อรังของตลาดออนไลน์ที่เปิดให้ผู้ขายหลายรายเข้ามาโดยไม่มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ทำให้สินค้าผิดกฎหมาย อันตราย หรือไม่เหมาะสมสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายดาย ✅ จุดอ่อนของตลาดออนไลน์แบบหลายผู้ขาย ➡️ แพลตฟอร์มอย่าง Shein, Amazon, Temu และ Alibaba เปิดให้ผู้ขายทั่วโลกเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง ➡️ การตรวจสอบสินค้าบนแพลตฟอร์มยังไม่เข้มงวดพอ ➡️ สินค้าผิดกฎหมาย เช่น อาวุธต้องห้าม และสินค้าลามกสามารถหลุดรอดได้ ➡️ ผู้บริโภคอาจไม่รู้ว่าสินค้าที่ซื้อผิดกฎหมายหรือไม่เหมาะสม ✅ ปฏิกิริยาจากสังคมและรัฐบาล ➡️ ฝรั่งเศสออกมาตรการจัดการกับสินค้าผิดกฎหมายบนแพลตฟอร์ม ➡️ การประท้วงหน้าร้าน BHV Marais สะท้อนความไม่พอใจของประชาชน ➡️ สื่อมวลชนและองค์กรสิทธิมนุษยชนเรียกร้องให้มีการควบคุมที่เข้มงวดขึ้น ‼️ คำเตือนต่อผู้บริโภคและแพลตฟอร์ม ⛔ การซื้อสินค้าจากแพลตฟอร์มที่ไม่มีการตรวจสอบอาจนำไปสู่การสนับสนุนกิจกรรมผิดกฎหมาย ⛔ แพลตฟอร์มที่ไม่ควบคุมผู้ขายอาจกลายเป็นช่องทางของการค้ามนุษย์หรือการละเมิดสิทธิเด็ก ⛔ การเปิดร้านถาวรโดยไม่จัดการกับปัญหาในระบบออนไลน์อาจสร้างภาพลักษณ์เชิงลบต่อแบรนด์ ⛔ ผู้บริโภคควรตรวจสอบแหล่งที่มาของสินค้าและหลีกเลี่ยงสินค้าที่มีลักษณะไม่เหมาะสม https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/08/shein-sex-doll-scandal-shines-light-on-marketplaces039-dark-corners
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Shein sex doll scandal shines light on marketplaces' dark corners
    LONDON (Reuters) -France's crackdown on Shein over childlike sex dolls and banned weapons is exposing a perennial problem of online marketplaces: failing to properly police third-party sellers and block sales of counterfeit, illegal, dangerous or simply offensive products.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
  • Rivian มอบแพ็คเกจค่าตอบแทนสุดอลังการให้ CEO สไตล์ Elon Musk มูลค่าสูงสุดถึง 4.6 พันล้านดอลลาร์

    Rivian ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติอเมริกัน ประกาศมอบแพ็คเกจค่าตอบแทนใหม่ให้กับ CEO RJ Scaringe ซึ่งอาจมีมูลค่าสูงถึง 4.6 พันล้านดอลลาร์ภายใน 10 ปี หากบรรลุเป้าหมายด้านผลประกอบการและราคาหุ้นที่กำหนดไว้ โดยรูปแบบของแพ็คเกจนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากดีลระดับประวัติศาสตร์ของ Elon Musk กับ Tesla

    Rivian กำลังเดินตามรอย Tesla ด้วยการเสนอค่าตอบแทนแบบ “ผลลัพธ์นำหน้า” ให้กับ CEO RJ Scaringe ซึ่งจะได้รับหุ้นตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น รายได้สุทธิที่เพิ่มขึ้น และราคาหุ้นที่ต้องแตะระดับเป้าหมาย โดยดีลนี้มีเงื่อนไขที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าของ Musk เพื่อกระตุ้นการเติบโตของบริษัทในระยะยาว

    การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของคณะกรรมการ Rivian ว่า Scaringe คือผู้นำที่สามารถพาบริษัทไปสู่ความสำเร็จระดับโลกได้ โดยเฉพาะในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด

    แพ็คเกจนี้ยังเป็นสัญญาณว่าโมเดลค่าตอบแทนแบบ Musk อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับบริษัทเทคโนโลยีที่ต้องการผลักดันผู้บริหารให้สร้างมูลค่าอย่างแท้จริง

    รายละเอียดแพ็คเกจค่าตอบแทนของ Rivian
    มูลค่าสูงสุดถึง 4.6 พันล้านดอลลาร์ภายใน 10 ปี
    ขึ้นอยู่กับการบรรลุเป้าหมายด้านกำไรและราคาหุ้น
    เงื่อนไขเข้าถึงง่ายกว่าดีลของ Elon Musk
    สะท้อนความเชื่อมั่นในตัว CEO RJ Scaringe

    แนวโน้มในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
    โมเดลค่าตอบแทนแบบ Musk อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่
    บริษัทเทคโนโลยีเริ่มใช้ค่าตอบแทนที่ผูกกับผลลัพธ์ระยะยาว
    กระตุ้นให้ผู้บริหารสร้างมูลค่าแท้จริงให้กับผู้ถือหุ้น

    คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงของแพ็คเกจลักษณะนี้
    หากเป้าหมายไม่บรรลุ ผู้บริหารอาจไม่ได้รับค่าตอบแทนเลย
    อาจสร้างแรงกดดันให้ผู้บริหารเน้นผลระยะสั้นมากเกินไป
    นักลงทุนควรติดตามเงื่อนไขอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินความคุ้มค่า
    การเปรียบเทียบกับดีลของ Musk อาจไม่เหมาะสมในทุกบริบท

    ดีลนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่เป็นกลยุทธ์ที่สะท้อนถึงวิธีคิดใหม่ในการบริหารองค์กรเทคโนโลยีในยุคที่ผลลัพธ์คือทุกสิ่ง.

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/08/ev-maker-rivian-gives-ceo-a-musk-style-pay-package-worth-up-to-46-billion
    💰 Rivian มอบแพ็คเกจค่าตอบแทนสุดอลังการให้ CEO สไตล์ Elon Musk มูลค่าสูงสุดถึง 4.6 พันล้านดอลลาร์ Rivian ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติอเมริกัน ประกาศมอบแพ็คเกจค่าตอบแทนใหม่ให้กับ CEO RJ Scaringe ซึ่งอาจมีมูลค่าสูงถึง 4.6 พันล้านดอลลาร์ภายใน 10 ปี หากบรรลุเป้าหมายด้านผลประกอบการและราคาหุ้นที่กำหนดไว้ โดยรูปแบบของแพ็คเกจนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากดีลระดับประวัติศาสตร์ของ Elon Musk กับ Tesla Rivian กำลังเดินตามรอย Tesla ด้วยการเสนอค่าตอบแทนแบบ “ผลลัพธ์นำหน้า” ให้กับ CEO RJ Scaringe ซึ่งจะได้รับหุ้นตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น รายได้สุทธิที่เพิ่มขึ้น และราคาหุ้นที่ต้องแตะระดับเป้าหมาย โดยดีลนี้มีเงื่อนไขที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าของ Musk เพื่อกระตุ้นการเติบโตของบริษัทในระยะยาว การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของคณะกรรมการ Rivian ว่า Scaringe คือผู้นำที่สามารถพาบริษัทไปสู่ความสำเร็จระดับโลกได้ โดยเฉพาะในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด แพ็คเกจนี้ยังเป็นสัญญาณว่าโมเดลค่าตอบแทนแบบ Musk อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับบริษัทเทคโนโลยีที่ต้องการผลักดันผู้บริหารให้สร้างมูลค่าอย่างแท้จริง ✅ รายละเอียดแพ็คเกจค่าตอบแทนของ Rivian ➡️ มูลค่าสูงสุดถึง 4.6 พันล้านดอลลาร์ภายใน 10 ปี ➡️ ขึ้นอยู่กับการบรรลุเป้าหมายด้านกำไรและราคาหุ้น ➡️ เงื่อนไขเข้าถึงง่ายกว่าดีลของ Elon Musk ➡️ สะท้อนความเชื่อมั่นในตัว CEO RJ Scaringe ✅ แนวโน้มในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ➡️ โมเดลค่าตอบแทนแบบ Musk อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ ➡️ บริษัทเทคโนโลยีเริ่มใช้ค่าตอบแทนที่ผูกกับผลลัพธ์ระยะยาว ➡️ กระตุ้นให้ผู้บริหารสร้างมูลค่าแท้จริงให้กับผู้ถือหุ้น ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับความเสี่ยงของแพ็คเกจลักษณะนี้ ⛔ หากเป้าหมายไม่บรรลุ ผู้บริหารอาจไม่ได้รับค่าตอบแทนเลย ⛔ อาจสร้างแรงกดดันให้ผู้บริหารเน้นผลระยะสั้นมากเกินไป ⛔ นักลงทุนควรติดตามเงื่อนไขอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินความคุ้มค่า ⛔ การเปรียบเทียบกับดีลของ Musk อาจไม่เหมาะสมในทุกบริบท ดีลนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่เป็นกลยุทธ์ที่สะท้อนถึงวิธีคิดใหม่ในการบริหารองค์กรเทคโนโลยีในยุคที่ผลลัพธ์คือทุกสิ่ง. https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/08/ev-maker-rivian-gives-ceo-a-musk-style-pay-package-worth-up-to-46-billion
    WWW.THESTAR.COM.MY
    EV maker Rivian gives CEO a Musk-style pay package worth up to $4.6 billion
    (Reuters) -Electric pickup and SUV maker Rivian said on Friday it was giving its CEO a pay plan worth as much as $4.6 billion over the next decade, a deal similar to Tesla's record package for CEO Elon Musk, and linked to new profit targets and lower share price milestones than a previous deal.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 18 มุมมอง 0 รีวิว
  • คดีฉ้อโกงคริปโต 25 ล้านดอลลาร์ของสองพี่น้อง MIT จบลงด้วยการพิจารณาคดีเป็นโมฆะ หลังคณะลูกขุนไม่สามารถตัดสินได้

    คดีที่ถูกจับตามองอย่างมากในวงการคริปโตและเทคโนโลยีสิ้นสุดลงด้วยความไม่แน่นอน เมื่อศาลสหรัฐฯ ประกาศให้การพิจารณาคดีของสองพี่น้องจาก MIT ที่ถูกกล่าวหาว่าฉ้อโกงเงินคริปโตมูลค่า 25 ล้านดอลลาร์ เป็น “โมฆะ” หลังคณะลูกขุนไม่สามารถลงความเห็นร่วมกันได้

    Anton และ James Peraire-Bueno สองพี่น้องที่จบจาก MIT ถูกตั้งข้อหาฉ้อโกงและฟอกเงินจากการใช้เทคนิค “bait-and-switch” ความเร็วสูง เพื่อหลอกล่อบอตเทรดคริปโตให้ติดกับดัก และดูดเงินจากบัญชีของนักเทรดรายอื่นภายในเวลาเพียง 12 วินาที

    อัยการกล่าวว่าทั้งคู่ใช้ช่องโหว่ในซอฟต์แวร์ MEV-boost ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ validator บนเครือข่าย Ethereum ใช้ในการตรวจสอบธุรกรรม โดยพวกเขา “ปลูก” ธุรกรรมที่ดูเหมือนปกติ แต่แฝงกลไกที่ทำให้เหยื่อติดกับดัก

    ฝ่ายจำเลยโต้แย้งว่า กลยุทธ์นี้เป็นเพียงการใช้เทคนิคที่ชาญฉลาดในตลาดที่แข่งขันสูง และไม่ใช่การฉ้อโกงตามกฎหมาย

    แม้รัฐบาลภายใต้ประธานาธิบดี Donald Trump จะมีแนวทางสนับสนุนคริปโตมากขึ้น แต่คดีนี้ยังคงถูกดำเนินการต่อเนื่องจนถึงการพิจารณาคดี ซึ่งจบลงด้วยการประกาศ “mistrial” โดยผู้พิพากษา Jessica Clarke

    รายละเอียดของคดี
    สองพี่น้อง MIT ถูกกล่าวหาว่าฉ้อโกงคริปโตมูลค่า 25 ล้านดอลลาร์
    ใช้ช่องโหว่ใน MEV-boost บน Ethereum blockchain
    กลยุทธ์ “bait-and-switch” หลอกบอตเทรดให้ติดกับดัก
    การดำเนินคดีเกิดขึ้นแม้รัฐบาลมีแนวทางสนับสนุนคริปโต

    ผลการพิจารณาคดี
    คณะลูกขุนไม่สามารถลงความเห็นร่วมกันได้
    ผู้พิพากษาประกาศให้คดีเป็นโมฆะ (mistrial)
    อาจมีการพิจารณาคดีใหม่ในอนาคต

    คำเตือนเกี่ยวกับความปลอดภัยของระบบบล็อกเชน
    ช่องโหว่ในซอฟต์แวร์ validator อาจถูกใช้ในการโจมตี
    การเทรดคริปโตผ่านบอตอาจมีความเสี่ยงจากกลยุทธ์ซับซ้อน
    ผู้ใช้ควรตรวจสอบความปลอดภัยของระบบก่อนทำธุรกรรม
    การใช้เทคนิคที่ดูเหมือนถูกกฎหมาย อาจเข้าข่ายฉ้อโกงได้หากมีเจตนาแฝง

    คดีนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของระบบคริปโตที่แม้จะใช้เทคโนโลยีขั้นสูง แต่ก็ยังมีช่องโหว่ที่สามารถถูกใช้ในการโจมตีได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังท้าทายขอบเขตของกฎหมายในยุคดิจิทัล.

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/08/mistrial-declared-for-mit-educated-brothers-accused-of-25-million-cryptocurrency-heist
    ⚖️ คดีฉ้อโกงคริปโต 25 ล้านดอลลาร์ของสองพี่น้อง MIT จบลงด้วยการพิจารณาคดีเป็นโมฆะ หลังคณะลูกขุนไม่สามารถตัดสินได้ คดีที่ถูกจับตามองอย่างมากในวงการคริปโตและเทคโนโลยีสิ้นสุดลงด้วยความไม่แน่นอน เมื่อศาลสหรัฐฯ ประกาศให้การพิจารณาคดีของสองพี่น้องจาก MIT ที่ถูกกล่าวหาว่าฉ้อโกงเงินคริปโตมูลค่า 25 ล้านดอลลาร์ เป็น “โมฆะ” หลังคณะลูกขุนไม่สามารถลงความเห็นร่วมกันได้ Anton และ James Peraire-Bueno สองพี่น้องที่จบจาก MIT ถูกตั้งข้อหาฉ้อโกงและฟอกเงินจากการใช้เทคนิค “bait-and-switch” ความเร็วสูง เพื่อหลอกล่อบอตเทรดคริปโตให้ติดกับดัก และดูดเงินจากบัญชีของนักเทรดรายอื่นภายในเวลาเพียง 12 วินาที อัยการกล่าวว่าทั้งคู่ใช้ช่องโหว่ในซอฟต์แวร์ MEV-boost ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ validator บนเครือข่าย Ethereum ใช้ในการตรวจสอบธุรกรรม โดยพวกเขา “ปลูก” ธุรกรรมที่ดูเหมือนปกติ แต่แฝงกลไกที่ทำให้เหยื่อติดกับดัก ฝ่ายจำเลยโต้แย้งว่า กลยุทธ์นี้เป็นเพียงการใช้เทคนิคที่ชาญฉลาดในตลาดที่แข่งขันสูง และไม่ใช่การฉ้อโกงตามกฎหมาย แม้รัฐบาลภายใต้ประธานาธิบดี Donald Trump จะมีแนวทางสนับสนุนคริปโตมากขึ้น แต่คดีนี้ยังคงถูกดำเนินการต่อเนื่องจนถึงการพิจารณาคดี ซึ่งจบลงด้วยการประกาศ “mistrial” โดยผู้พิพากษา Jessica Clarke ✅ รายละเอียดของคดี ➡️ สองพี่น้อง MIT ถูกกล่าวหาว่าฉ้อโกงคริปโตมูลค่า 25 ล้านดอลลาร์ ➡️ ใช้ช่องโหว่ใน MEV-boost บน Ethereum blockchain ➡️ กลยุทธ์ “bait-and-switch” หลอกบอตเทรดให้ติดกับดัก ➡️ การดำเนินคดีเกิดขึ้นแม้รัฐบาลมีแนวทางสนับสนุนคริปโต ✅ ผลการพิจารณาคดี ➡️ คณะลูกขุนไม่สามารถลงความเห็นร่วมกันได้ ➡️ ผู้พิพากษาประกาศให้คดีเป็นโมฆะ (mistrial) ➡️ อาจมีการพิจารณาคดีใหม่ในอนาคต ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับความปลอดภัยของระบบบล็อกเชน ⛔ ช่องโหว่ในซอฟต์แวร์ validator อาจถูกใช้ในการโจมตี ⛔ การเทรดคริปโตผ่านบอตอาจมีความเสี่ยงจากกลยุทธ์ซับซ้อน ⛔ ผู้ใช้ควรตรวจสอบความปลอดภัยของระบบก่อนทำธุรกรรม ⛔ การใช้เทคนิคที่ดูเหมือนถูกกฎหมาย อาจเข้าข่ายฉ้อโกงได้หากมีเจตนาแฝง คดีนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของระบบคริปโตที่แม้จะใช้เทคโนโลยีขั้นสูง แต่ก็ยังมีช่องโหว่ที่สามารถถูกใช้ในการโจมตีได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังท้าทายขอบเขตของกฎหมายในยุคดิจิทัล. https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/08/mistrial-declared-for-mit-educated-brothers-accused-of-25-million-cryptocurrency-heist
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Mistrial declared for MIT-educated brothers accused of $25 million cryptocurrency heist
    (Reuters) -A federal judge on Friday declared a mistrial in the case of two Massachusetts Institute of Technology-educated brothers charged with carrying out a novel scheme to steal $25 million worth of cryptocurrency in 12 seconds that prosecutors said exploited the Ethereum blockchain's integrity.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 24 มุมมอง 0 รีวิว
  • “KitKat” แมวผู้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความโกรธต่อเทคโนโลยีในซานฟรานซิสโก

    แมวตัวหนึ่งชื่อ “KitKat” ไม่เพียงแต่เป็นขวัญใจชาวย่าน Mission District ในซานฟรานซิสโก แต่ยังกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวต่อต้านรถยนต์ไร้คนขับ หลังจากเขาถูก Waymo ชนเสียชีวิต เหตุการณ์นี้จุดประกายความโกรธของชุมชนต่อเทคโนโลยีที่พวกเขาไม่ได้ร้องขอ

    KitKat เป็นแมวอายุ 9 ปีที่อาศัยอยู่หน้าร้าน Randa’s Market ใกล้โรงภาพยนตร์ Roxie Theater เขาเป็นที่รักของชาวบ้านจนได้รับฉายาว่า “นายกเทศมนตรีแห่งถนน 16” แต่เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม เขาถูกรถ Waymo ชนเสียชีวิตขณะวิ่งออกจากหน้าร้าน

    เหตุการณ์นี้นำไปสู่การจัดชุมนุมเรียกร้องความยุติธรรมให้ KitKat โดยกลุ่ม Small Business Forward และสมาชิกสภา Jackie Fielder ซึ่งเสนอร่างมติให้ประชาชนมีสิทธิ์แบนรถยนต์ไร้คนขับในเขตของตนเอง

    ผู้ประท้วงวิจารณ์ว่า Waymo เป็น “องค์กรไร้หน้า” ที่บ่อนทำลายความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของชุมชน โดยติดตั้งกล้องและเซ็นเซอร์ไว้ทั่วรถยนต์ ขณะที่คนขับรถแท็กซี่และผู้ใช้ขนส่งสาธารณะก็ร่วมแสดงความไม่พอใจ เพราะมองว่ารถไร้คนขับกำลังแย่งงานและสร้างความแออัดบนท้องถนน

    แม้จะมีเสียงโต้แย้งจากผู้สนับสนุนเทคโนโลยีที่มองว่ารถไร้คนขับปลอดภัยกว่าคนขับ แต่การเสียชีวิตของ KitKat กลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนทางอารมณ์ที่ทำให้ชุมชนลุกขึ้นต่อต้านอย่างจริงจัง

    เหตุการณ์การเสียชีวิตของ KitKat
    ถูก Waymo ชนเสียชีวิตหน้าร้าน Randa’s Market
    เป็นแมวขวัญใจชุมชน มีฉายาว่า “นายกเทศมนตรีแห่งถนน 16”
    จุดกระแสความโกรธต่อเทคโนโลยีที่ไม่ได้รับการยอมรับจากชุมชน

    การเคลื่อนไหวของชุมชน
    จัดชุมนุมเรียกร้องความยุติธรรมให้ KitKat
    เสนอร่างมติให้ประชาชนมีสิทธิ์แบนรถไร้คนขับในพื้นที่
    คนขับรถแท็กซี่และผู้ใช้ขนส่งสาธารณะร่วมประท้วง
    ชี้ว่ารถไร้คนขับสร้างความแออัดและแย่งงานมนุษย์

    ปฏิกิริยาจาก Waymo
    แสดงความเสียใจและบริจาคเงินให้ศูนย์พักพิงสัตว์
    ยืนยันความมุ่งมั่นด้านความปลอดภัยและความไว้วางใจ

    คำเตือนเกี่ยวกับผลกระทบของเทคโนโลยี
    รถไร้คนขับอาจสร้างความไม่ปลอดภัยในพื้นที่ชุมชน
    การติดตั้งกล้องและเซ็นเซอร์ทั่วรถอาจละเมิดความเป็นส่วนตัว
    การพัฒนาเทคโนโลยีโดยไม่ฟังเสียงชุมชนอาจนำไปสู่ความขัดแย้ง
    การไม่ควบคุมการใช้งาน AV อาจส่งผลต่อระบบขนส่งสาธารณะและแรงงานมนุษย์

    เรื่องของ KitKat ไม่ใช่แค่การสูญเสียสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่ง แต่เป็นสัญลักษณ์ของการตั้งคำถามต่อเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนโดยไม่ได้รับความยินยอมจากพวกเขา.

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/08/how-a-cat-named-kitkat-became-san-francisco039s-latest-symbol-of-anti-tech-rage
    🐾 “KitKat” แมวผู้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความโกรธต่อเทคโนโลยีในซานฟรานซิสโก แมวตัวหนึ่งชื่อ “KitKat” ไม่เพียงแต่เป็นขวัญใจชาวย่าน Mission District ในซานฟรานซิสโก แต่ยังกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวต่อต้านรถยนต์ไร้คนขับ หลังจากเขาถูก Waymo ชนเสียชีวิต เหตุการณ์นี้จุดประกายความโกรธของชุมชนต่อเทคโนโลยีที่พวกเขาไม่ได้ร้องขอ KitKat เป็นแมวอายุ 9 ปีที่อาศัยอยู่หน้าร้าน Randa’s Market ใกล้โรงภาพยนตร์ Roxie Theater เขาเป็นที่รักของชาวบ้านจนได้รับฉายาว่า “นายกเทศมนตรีแห่งถนน 16” แต่เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม เขาถูกรถ Waymo ชนเสียชีวิตขณะวิ่งออกจากหน้าร้าน เหตุการณ์นี้นำไปสู่การจัดชุมนุมเรียกร้องความยุติธรรมให้ KitKat โดยกลุ่ม Small Business Forward และสมาชิกสภา Jackie Fielder ซึ่งเสนอร่างมติให้ประชาชนมีสิทธิ์แบนรถยนต์ไร้คนขับในเขตของตนเอง ผู้ประท้วงวิจารณ์ว่า Waymo เป็น “องค์กรไร้หน้า” ที่บ่อนทำลายความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของชุมชน โดยติดตั้งกล้องและเซ็นเซอร์ไว้ทั่วรถยนต์ ขณะที่คนขับรถแท็กซี่และผู้ใช้ขนส่งสาธารณะก็ร่วมแสดงความไม่พอใจ เพราะมองว่ารถไร้คนขับกำลังแย่งงานและสร้างความแออัดบนท้องถนน แม้จะมีเสียงโต้แย้งจากผู้สนับสนุนเทคโนโลยีที่มองว่ารถไร้คนขับปลอดภัยกว่าคนขับ แต่การเสียชีวิตของ KitKat กลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนทางอารมณ์ที่ทำให้ชุมชนลุกขึ้นต่อต้านอย่างจริงจัง ✅ เหตุการณ์การเสียชีวิตของ KitKat ➡️ ถูก Waymo ชนเสียชีวิตหน้าร้าน Randa’s Market ➡️ เป็นแมวขวัญใจชุมชน มีฉายาว่า “นายกเทศมนตรีแห่งถนน 16” ➡️ จุดกระแสความโกรธต่อเทคโนโลยีที่ไม่ได้รับการยอมรับจากชุมชน ✅ การเคลื่อนไหวของชุมชน ➡️ จัดชุมนุมเรียกร้องความยุติธรรมให้ KitKat ➡️ เสนอร่างมติให้ประชาชนมีสิทธิ์แบนรถไร้คนขับในพื้นที่ ➡️ คนขับรถแท็กซี่และผู้ใช้ขนส่งสาธารณะร่วมประท้วง ➡️ ชี้ว่ารถไร้คนขับสร้างความแออัดและแย่งงานมนุษย์ ✅ ปฏิกิริยาจาก Waymo ➡️ แสดงความเสียใจและบริจาคเงินให้ศูนย์พักพิงสัตว์ ➡️ ยืนยันความมุ่งมั่นด้านความปลอดภัยและความไว้วางใจ ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับผลกระทบของเทคโนโลยี ⛔ รถไร้คนขับอาจสร้างความไม่ปลอดภัยในพื้นที่ชุมชน ⛔ การติดตั้งกล้องและเซ็นเซอร์ทั่วรถอาจละเมิดความเป็นส่วนตัว ⛔ การพัฒนาเทคโนโลยีโดยไม่ฟังเสียงชุมชนอาจนำไปสู่ความขัดแย้ง ⛔ การไม่ควบคุมการใช้งาน AV อาจส่งผลต่อระบบขนส่งสาธารณะและแรงงานมนุษย์ เรื่องของ KitKat ไม่ใช่แค่การสูญเสียสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่ง แต่เป็นสัญลักษณ์ของการตั้งคำถามต่อเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนโดยไม่ได้รับความยินยอมจากพวกเขา. https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/08/how-a-cat-named-kitkat-became-san-francisco039s-latest-symbol-of-anti-tech-rage
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 28 มุมมอง 0 รีวิว