• ลองนึกภาพตาม
    หากถูกรุกราน เกิดการสู้รบ มัวจัดซื้อตามระเบียบ ผู้ผลิตไม่ลัดคิวให้ ดินแดนไทยไม่ได้คืน11จุด
    #7ดอกจิก
    ลองนึกภาพตาม หากถูกรุกราน เกิดการสู้รบ มัวจัดซื้อตามระเบียบ ผู้ผลิตไม่ลัดคิวให้ ดินแดนไทยไม่ได้คืน11จุด #7ดอกจิก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความกฎหมาย EP.16

    คดีคือเรื่องราวหรือข้อพิพาทที่ถูกนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ภายใต้การพิจารณาของศาล ในชีวิตประจำวันเรามักจะได้ยินคำนี้บ่อยครั้ง แต่แก่นแท้ของมันคือการแสวงหาความจริงและการยุติความขัดแย้งอย่างเป็นระบบและมีกฎหมายรองรับ ไม่ว่าจะเป็นข้อพิพาททางแพ่งที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน สัญญา หรือครอบครัว หรือเป็นข้อกล่าวหาทางอาญาที่เกี่ยวกับความผิดต่อรัฐและสังคม เมื่อเรื่องใดก็ตามถูกยกระดับเป็นคดี นั่นหมายความว่าหลักฐาน ข้อกฎหมาย และความชอบธรรมจะเข้ามามีบทบาทในการตัดสินชะตากรรม เป็นการเปลี่ยนจากความขัดแย้งส่วนตัวหรือสาธารณะไปสู่การตัดสินโดยผู้ทรงอำนาจตามกฎหมาย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและสันติสุขในสังคม กระบวนการนี้จึงเป็นกลไกสำคัญในการธำรงไว้ซึ่งระเบียบและสิทธิเสรีภาพของทุกคน

    บทบาทของคดีในสังคมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการตีความและบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นรูปธรรม คดีแต่ละคดีไม่เพียงแต่จะยุติข้อพิพาทเฉพาะหน้าระหว่างคู่กรณีเท่านั้น แต่ยังสร้างบรรทัดฐานทางกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของคนในสังคมในวงกว้างอีกด้วย ทุกขั้นตอนตั้งแต่การยื่นฟ้อง การสืบพยาน การพิจารณาข้อเท็จจริง ไปจนถึงการตัดสิน ล้วนแล้วแต่ต้องดำเนินการด้วยความโปร่งใสและเป็นไปตามหลักการแห่งกฎหมาย ความรู้ความเข้าใจในกระบวนการยุติธรรมและที่มาที่ไปของคดีต่างๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับประชาชนทุกคน เพื่อรักษาสิทธิของตนเองและตรวจสอบการทำงานของกระบวนการยุติธรรมให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

    ดังนั้น คดีจึงมิใช่เพียงแค่ชื่อเรียกของเรื่องราวความขัดแย้ง แต่คือหัวใจสำคัญของการสร้างความยุติธรรมในรัฐสมัยใหม่ เป็นจุดที่กฎหมายได้ลงมาสัมผัสกับชีวิตจริงของประชาชน เปลี่ยนแปลงความเป็นไปของสังคม และยืนยันหลักการที่ว่า ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย ทุกข้อพิพาท ทุกความขัดแย้ง มีที่มา มีการพิจารณา และมีบทสรุปที่ถูกกำหนดโดยหลักนิติธรรม นำไปสู่การจัดระเบียบและดำรงไว้ซึ่งความสงบสุขอย่างยั่งยืนในที่สุด
    บทความกฎหมาย EP.16 คดีคือเรื่องราวหรือข้อพิพาทที่ถูกนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ภายใต้การพิจารณาของศาล ในชีวิตประจำวันเรามักจะได้ยินคำนี้บ่อยครั้ง แต่แก่นแท้ของมันคือการแสวงหาความจริงและการยุติความขัดแย้งอย่างเป็นระบบและมีกฎหมายรองรับ ไม่ว่าจะเป็นข้อพิพาททางแพ่งที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน สัญญา หรือครอบครัว หรือเป็นข้อกล่าวหาทางอาญาที่เกี่ยวกับความผิดต่อรัฐและสังคม เมื่อเรื่องใดก็ตามถูกยกระดับเป็นคดี นั่นหมายความว่าหลักฐาน ข้อกฎหมาย และความชอบธรรมจะเข้ามามีบทบาทในการตัดสินชะตากรรม เป็นการเปลี่ยนจากความขัดแย้งส่วนตัวหรือสาธารณะไปสู่การตัดสินโดยผู้ทรงอำนาจตามกฎหมาย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและสันติสุขในสังคม กระบวนการนี้จึงเป็นกลไกสำคัญในการธำรงไว้ซึ่งระเบียบและสิทธิเสรีภาพของทุกคน บทบาทของคดีในสังคมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการตีความและบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นรูปธรรม คดีแต่ละคดีไม่เพียงแต่จะยุติข้อพิพาทเฉพาะหน้าระหว่างคู่กรณีเท่านั้น แต่ยังสร้างบรรทัดฐานทางกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของคนในสังคมในวงกว้างอีกด้วย ทุกขั้นตอนตั้งแต่การยื่นฟ้อง การสืบพยาน การพิจารณาข้อเท็จจริง ไปจนถึงการตัดสิน ล้วนแล้วแต่ต้องดำเนินการด้วยความโปร่งใสและเป็นไปตามหลักการแห่งกฎหมาย ความรู้ความเข้าใจในกระบวนการยุติธรรมและที่มาที่ไปของคดีต่างๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับประชาชนทุกคน เพื่อรักษาสิทธิของตนเองและตรวจสอบการทำงานของกระบวนการยุติธรรมให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น คดีจึงมิใช่เพียงแค่ชื่อเรียกของเรื่องราวความขัดแย้ง แต่คือหัวใจสำคัญของการสร้างความยุติธรรมในรัฐสมัยใหม่ เป็นจุดที่กฎหมายได้ลงมาสัมผัสกับชีวิตจริงของประชาชน เปลี่ยนแปลงความเป็นไปของสังคม และยืนยันหลักการที่ว่า ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย ทุกข้อพิพาท ทุกความขัดแย้ง มีที่มา มีการพิจารณา และมีบทสรุปที่ถูกกำหนดโดยหลักนิติธรรม นำไปสู่การจัดระเบียบและดำรงไว้ซึ่งความสงบสุขอย่างยั่งยืนในที่สุด
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 21 มุมมอง 0 รีวิว
  • "ดร.เอ้" ชี้ 3 ประเด็นหลัก พลิก "MOU แรร์เอิร์ธ" เป็นโอกาส ถ่ายทอดเทคโนโลยี-สร้างคน-ดึงบริษัทไฮเทคสหรัฐฯ ศูนย์กลางการออกแบบเทคโนโลยี
    https://www.thai-tai.tv/news/22090/
    .
    #ไทยไท #สุชัชวีร์ #แร่แรร์เอิร์ธ #อุตสาหกรรมไฮเทค #ศูนย์กลางการออกแบบ #MOUไทยสหรัฐฯ
    "ดร.เอ้" ชี้ 3 ประเด็นหลัก พลิก "MOU แรร์เอิร์ธ" เป็นโอกาส ถ่ายทอดเทคโนโลยี-สร้างคน-ดึงบริษัทไฮเทคสหรัฐฯ ศูนย์กลางการออกแบบเทคโนโลยี https://www.thai-tai.tv/news/22090/ . #ไทยไท #สุชัชวีร์ #แร่แรร์เอิร์ธ #อุตสาหกรรมไฮเทค #ศูนย์กลางการออกแบบ #MOUไทยสหรัฐฯ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • KBANK ประกาศซื้อหุ้นคืน 8.8 พันล้านบาท 31/10/68 #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #KBANK #โครงการซื้อหุ้นคืน
    KBANK ประกาศซื้อหุ้นคืน 8.8 พันล้านบาท 31/10/68 #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย #KBANK #โครงการซื้อหุ้นคืน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • “UFO ไม่ได้มาจากเทคโนโลยีล้ำยุค” — ทฤษฎีใหม่จากนักวิทยาศาสตร์ NASA ที่พลิกความเชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาว

    นักวิจัยจาก NASA ชื่อ Robin Corbet ได้เสนอทฤษฎีใหม่ที่อาจเปลี่ยนวิธีที่เรามองหามนุษย์ต่างดาวไปตลอดกาล โดยเขาอธิบายว่าเทคโนโลยีของสิ่งมีชีวิตนอกโลกอาจไม่ได้ล้ำหน้าอย่างที่เราคิด — พวกเขาอาจมีแค่ “iPhone 42” ในขณะที่เราใช้ “iPhone 17” เท่านั้น

    ทฤษฎีนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของ Fermi Paradox ซึ่งตั้งคำถามว่า “ถ้ามีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาในจักรวาล ทำไมเรายังไม่เจอ?” Corbet เสนอว่าอารยธรรมต่างดาวอาจถึงจุดอิ่มตัวทางเทคโนโลยีแล้ว — พวกเขาไม่สามารถพัฒนาไปไกลกว่านี้ได้เพราะข้อจำกัดทางฟิสิกส์ เช่น:

    ไม่สามารถเดินทางเร็วกว่าแสง
    ไม่สามารถสร้างเทคโนโลยี teleportation หรือ Dyson sphere ได้จริง

    นอกจากนี้ เขายังเสนอว่าอารยธรรมเหล่านี้อาจ “เบื่อ” กับการสำรวจอวกาศ เพราะหลังจากส่งยานไปหลายพันระบบดาวแล้วก็พบว่าไม่มีข้อมูลใหม่ที่น่าตื่นเต้นกลับมา จึงหยุดสำรวจไปเอง

    ดังนั้น Corbet แนะนำว่าเราควรเปลี่ยนเป้าหมายในการค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลก — จากการมองหาสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมา มาเป็นการฟัง “สัญญาณรั่ว” เช่นคลื่นวิทยุหรือทีวีที่หลุดออกจากดาวของพวกเขา เหมือนที่โลกเราก็ปล่อยสัญญาณเหล่านี้ออกไปโดยไม่ตั้งใจ

    ทฤษฎีใหม่: เทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาวอาจไม่ล้ำหน้า
    อาจมีแค่ “iPhone 42” เทียบกับ “iPhone 17” ของเรา
    มีข้อจำกัดทางฟิสิกส์ที่ทำให้ไม่สามารถพัฒนาได้ต่อ
    ไม่สามารถสร้าง Dyson sphere หรือเดินทางเร็วกว่าแสง

    พฤติกรรมของอารยธรรมต่างดาว
    อาจหยุดสำรวจอวกาศเพราะ “เบื่อ”
    หลังจากส่งยานไปหลายพันระบบแล้วไม่พบสิ่งใหม่
    ไม่สร้าง beacon หรือสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่เพราะเปลืองพลังงาน

    แนวทางใหม่ในการค้นหาสิ่งมีชีวิต
    ควรฟัง “leakage radiation” เช่นคลื่นวิทยุหรือทีวี
    ใช้เครื่องมืออย่าง Square Kilometre Array (SKA) เพื่อฟังสัญญาณจากดาวอื่น
    เปลี่ยนจากการมองหาสิ่งมหัศจรรย์ มาเป็นการฟังเพื่อนบ้านที่อาจ “ติดอยู่” เหมือนเรา

    https://www.slashgear.com/2007526/ufo-aliens-no-advanced-technology-theory/
    👽 “UFO ไม่ได้มาจากเทคโนโลยีล้ำยุค” — ทฤษฎีใหม่จากนักวิทยาศาสตร์ NASA ที่พลิกความเชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาว นักวิจัยจาก NASA ชื่อ Robin Corbet ได้เสนอทฤษฎีใหม่ที่อาจเปลี่ยนวิธีที่เรามองหามนุษย์ต่างดาวไปตลอดกาล โดยเขาอธิบายว่าเทคโนโลยีของสิ่งมีชีวิตนอกโลกอาจไม่ได้ล้ำหน้าอย่างที่เราคิด — พวกเขาอาจมีแค่ “iPhone 42” ในขณะที่เราใช้ “iPhone 17” เท่านั้น ทฤษฎีนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของ Fermi Paradox ซึ่งตั้งคำถามว่า “ถ้ามีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาในจักรวาล ทำไมเรายังไม่เจอ?” Corbet เสนอว่าอารยธรรมต่างดาวอาจถึงจุดอิ่มตัวทางเทคโนโลยีแล้ว — พวกเขาไม่สามารถพัฒนาไปไกลกว่านี้ได้เพราะข้อจำกัดทางฟิสิกส์ เช่น: 💠 ไม่สามารถเดินทางเร็วกว่าแสง 💠 ไม่สามารถสร้างเทคโนโลยี teleportation หรือ Dyson sphere ได้จริง นอกจากนี้ เขายังเสนอว่าอารยธรรมเหล่านี้อาจ “เบื่อ” กับการสำรวจอวกาศ เพราะหลังจากส่งยานไปหลายพันระบบดาวแล้วก็พบว่าไม่มีข้อมูลใหม่ที่น่าตื่นเต้นกลับมา จึงหยุดสำรวจไปเอง 📡 ดังนั้น Corbet แนะนำว่าเราควรเปลี่ยนเป้าหมายในการค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลก — จากการมองหาสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมา มาเป็นการฟัง “สัญญาณรั่ว” เช่นคลื่นวิทยุหรือทีวีที่หลุดออกจากดาวของพวกเขา เหมือนที่โลกเราก็ปล่อยสัญญาณเหล่านี้ออกไปโดยไม่ตั้งใจ ✅ ทฤษฎีใหม่: เทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาวอาจไม่ล้ำหน้า ➡️ อาจมีแค่ “iPhone 42” เทียบกับ “iPhone 17” ของเรา ➡️ มีข้อจำกัดทางฟิสิกส์ที่ทำให้ไม่สามารถพัฒนาได้ต่อ ➡️ ไม่สามารถสร้าง Dyson sphere หรือเดินทางเร็วกว่าแสง ✅ พฤติกรรมของอารยธรรมต่างดาว ➡️ อาจหยุดสำรวจอวกาศเพราะ “เบื่อ” ➡️ หลังจากส่งยานไปหลายพันระบบแล้วไม่พบสิ่งใหม่ ➡️ ไม่สร้าง beacon หรือสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่เพราะเปลืองพลังงาน ✅ แนวทางใหม่ในการค้นหาสิ่งมีชีวิต ➡️ ควรฟัง “leakage radiation” เช่นคลื่นวิทยุหรือทีวี ➡️ ใช้เครื่องมืออย่าง Square Kilometre Array (SKA) เพื่อฟังสัญญาณจากดาวอื่น ➡️ เปลี่ยนจากการมองหาสิ่งมหัศจรรย์ มาเป็นการฟังเพื่อนบ้านที่อาจ “ติดอยู่” เหมือนเรา https://www.slashgear.com/2007526/ufo-aliens-no-advanced-technology-theory/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Sorry, UFO Fans: New Theory Says Alien Tech Isn't That Advanced - SlashGear
    Unfortunately for those hoping to be abducted, a new theory posits that aliens probably aren't as smart or technologically advanced as we hope they are.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 25 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google Maps ผสาน Gemini AI — ผู้ช่วยอัจฉริยะใหม่สำหรับคนขับรถคนเดียว

    Google เตรียมอัปเกรดครั้งใหญ่ให้กับแอป Maps โดยนำ Gemini AI เข้ามาแทนที่ Google Assistant เพื่อเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะในรถของคุณ โดยเฉพาะสำหรับผู้ขับขี่ที่ไม่มีผู้โดยสารช่วยเหลือระหว่างเดินทาง

    ลองนึกภาพว่าคุณกำลังขับรถอยู่คนเดียว แล้วต้องการเปลี่ยนเส้นทาง หยุดแวะ หรือหลีกเลี่ยงทางด่วน — คุณสามารถพูดกับ Gemini ได้ทันที เช่น “พาไปเส้นที่ไม่มีค่าทางด่วน” หรือ “แวะร้านกาแฟก่อนถึงจุดหมาย” โดยไม่ต้องละสายตาจากถนน

    Gemini จะเข้ามาแทนที่ปุ่มไมโครโฟนเดิมใน Maps ซึ่งเคยเรียก Google Assistant โดยตรง ตอนนี้เมื่อกดปุ่มนั้นจะเรียก Gemini แทน พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่เข้าใจคำสั่งซับซ้อนมากขึ้น และสามารถโต้ตอบได้หลากหลายกว่าเดิม

    ฟีเจอร์นี้เริ่มปรากฏในเวอร์ชันเบต้าของแอป Maps บน Android และคาดว่าจะเปิดให้ใช้งานทั่วไปในเร็ว ๆ นี้

    การเปลี่ยนแปลงในแอป Maps
    Gemini เข้ามาแทนที่ Google Assistant ใน Maps
    ปุ่มไมโครโฟนในหน้าการนำทางเรียก Gemini โดยตรง
    รองรับคำสั่งเสียงที่ซับซ้อน เช่น เปลี่ยนเส้นทางหรือเพิ่มจุดแวะ

    ประโยชน์สำหรับผู้ขับขี่
    เหมาะสำหรับผู้ขับรถคนเดียวที่ต้องการผู้ช่วย
    ลดการละสายตาจากถนนขณะใช้งาน
    เพิ่มความสะดวกในการควบคุมการนำทางด้วยเสียง

    ความสามารถของ Gemini
    ตอบคำถามทั่วไประหว่างขับรถ
    แนะนำจุดแวะพักหรือร้านอาหารระหว่างทาง
    เข้าใจคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับเส้นทาง เช่น หลีกเลี่ยงทางด่วน

    https://www.slashgear.com/2011733/google-maps-gemini-ai-assistant-helpful-for-solo-drivers/
    🗺️ Google Maps ผสาน Gemini AI — ผู้ช่วยอัจฉริยะใหม่สำหรับคนขับรถคนเดียว Google เตรียมอัปเกรดครั้งใหญ่ให้กับแอป Maps โดยนำ Gemini AI เข้ามาแทนที่ Google Assistant เพื่อเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะในรถของคุณ โดยเฉพาะสำหรับผู้ขับขี่ที่ไม่มีผู้โดยสารช่วยเหลือระหว่างเดินทาง ลองนึกภาพว่าคุณกำลังขับรถอยู่คนเดียว แล้วต้องการเปลี่ยนเส้นทาง หยุดแวะ หรือหลีกเลี่ยงทางด่วน — คุณสามารถพูดกับ Gemini ได้ทันที เช่น “พาไปเส้นที่ไม่มีค่าทางด่วน” หรือ “แวะร้านกาแฟก่อนถึงจุดหมาย” โดยไม่ต้องละสายตาจากถนน Gemini จะเข้ามาแทนที่ปุ่มไมโครโฟนเดิมใน Maps ซึ่งเคยเรียก Google Assistant โดยตรง ตอนนี้เมื่อกดปุ่มนั้นจะเรียก Gemini แทน พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่เข้าใจคำสั่งซับซ้อนมากขึ้น และสามารถโต้ตอบได้หลากหลายกว่าเดิม 📱 ฟีเจอร์นี้เริ่มปรากฏในเวอร์ชันเบต้าของแอป Maps บน Android และคาดว่าจะเปิดให้ใช้งานทั่วไปในเร็ว ๆ นี้ ✅ การเปลี่ยนแปลงในแอป Maps ➡️ Gemini เข้ามาแทนที่ Google Assistant ใน Maps ➡️ ปุ่มไมโครโฟนในหน้าการนำทางเรียก Gemini โดยตรง ➡️ รองรับคำสั่งเสียงที่ซับซ้อน เช่น เปลี่ยนเส้นทางหรือเพิ่มจุดแวะ ✅ ประโยชน์สำหรับผู้ขับขี่ ➡️ เหมาะสำหรับผู้ขับรถคนเดียวที่ต้องการผู้ช่วย ➡️ ลดการละสายตาจากถนนขณะใช้งาน ➡️ เพิ่มความสะดวกในการควบคุมการนำทางด้วยเสียง ✅ ความสามารถของ Gemini ➡️ ตอบคำถามทั่วไประหว่างขับรถ ➡️ แนะนำจุดแวะพักหรือร้านอาหารระหว่างทาง ➡️ เข้าใจคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับเส้นทาง เช่น หลีกเลี่ยงทางด่วน https://www.slashgear.com/2011733/google-maps-gemini-ai-assistant-helpful-for-solo-drivers/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Google Maps' New AI Assistant May Change The Game For Solo Drivers (Once It's Out Of Beta) - SlashGear
    Google looks to be swapping Assistant for Gemini in an upcoming version of Maps, which will introduce new AI-powered voice commands.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 23 มุมมอง 0 รีวิว
  • แคลิฟอร์เนียออกกฎหมายใหม่! ห้ามใช้ “อุปกรณ์หลอกระบบขับขี่อัตโนมัติ” — ป้องกันอุบัติเหตุจากการแฮกเทคโนโลยีรถ

    รัฐแคลิฟอร์เนียประกาศใช้กฎหมาย Senate Bill 1313 อย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 เพื่อห้ามการใช้ “defeat devices” — อุปกรณ์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อหลอกระบบตรวจสอบผู้ขับขี่ในรถยนต์ที่มีระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 2 เช่น Tesla Autopilot และ Ford BlueCruise

    อุปกรณ์เหล่านี้ เช่น ถ่วงพวงมาลัยหรือบังกล้องตรวจจับใบหน้า ถูกใช้เพื่อหลอกให้รถคิดว่าผู้ขับขี่ยังมีส่วนร่วมอยู่ ทั้งที่จริงแล้วไม่มีใครจับพวงมาลัยหรือมองถนนเลย ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุอย่างมาก

    กฎหมายใหม่ไม่เพียงห้ามการใช้งาน แต่ยังครอบคลุมถึงการผลิต โฆษณา และจำหน่ายอุปกรณ์เหล่านี้ด้วย โดยมีบทลงโทษเป็น “infraction” หรือความผิดเล็กน้อย แต่ถือเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่าแคลิฟอร์เนียเอาจริงกับความปลอดภัยบนท้องถนน

    อย่างไรก็ตาม กฎหมายก็มีข้อยกเว้นบางกรณี เช่น:
    การใช้เพื่อการซ่อมแซมรถยนต์ตามมาตรฐานความปลอดภัยของผู้ผลิต
    การใช้งานที่จำเป็นตามกฎหมาย Americans with Disabilities Act เพื่อช่วยผู้ขับขี่ที่มีความพิการ

    กฎหมายใหม่ของรัฐแคลิฟอร์เนีย
    ห้ามใช้อุปกรณ์ที่หลอกระบบตรวจสอบผู้ขับขี่ (DMS)
    ครอบคลุมการผลิต จำหน่าย และโฆษณา defeat devices
    ใช้กับรถที่มีระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 2 เช่น Tesla และ Ford

    ตัวอย่างอุปกรณ์ที่ถูกห้าม
    ถ่วงพวงมาลัยเพื่อหลอกว่ามีมือจับ
    บังกล้องตรวจจับใบหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงการเตือน

    ข้อยกเว้นตามกฎหมาย
    ใช้เพื่อการซ่อมแซมตามมาตรฐานผู้ผลิต
    ใช้เพื่อช่วยเหลือผู้ขับขี่ที่มีความพิการตาม ADA

    https://www.slashgear.com/2011751/california-self-driving-car-defeat-device-ban/
    🚗 แคลิฟอร์เนียออกกฎหมายใหม่! ห้ามใช้ “อุปกรณ์หลอกระบบขับขี่อัตโนมัติ” — ป้องกันอุบัติเหตุจากการแฮกเทคโนโลยีรถ รัฐแคลิฟอร์เนียประกาศใช้กฎหมาย Senate Bill 1313 อย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 เพื่อห้ามการใช้ “defeat devices” — อุปกรณ์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อหลอกระบบตรวจสอบผู้ขับขี่ในรถยนต์ที่มีระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 2 เช่น Tesla Autopilot และ Ford BlueCruise อุปกรณ์เหล่านี้ เช่น ถ่วงพวงมาลัยหรือบังกล้องตรวจจับใบหน้า ถูกใช้เพื่อหลอกให้รถคิดว่าผู้ขับขี่ยังมีส่วนร่วมอยู่ ทั้งที่จริงแล้วไม่มีใครจับพวงมาลัยหรือมองถนนเลย ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุอย่างมาก กฎหมายใหม่ไม่เพียงห้ามการใช้งาน แต่ยังครอบคลุมถึงการผลิต โฆษณา และจำหน่ายอุปกรณ์เหล่านี้ด้วย โดยมีบทลงโทษเป็น “infraction” หรือความผิดเล็กน้อย แต่ถือเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่าแคลิฟอร์เนียเอาจริงกับความปลอดภัยบนท้องถนน 📜 อย่างไรก็ตาม กฎหมายก็มีข้อยกเว้นบางกรณี เช่น: 💠 การใช้เพื่อการซ่อมแซมรถยนต์ตามมาตรฐานความปลอดภัยของผู้ผลิต 💠 การใช้งานที่จำเป็นตามกฎหมาย Americans with Disabilities Act เพื่อช่วยผู้ขับขี่ที่มีความพิการ ✅ กฎหมายใหม่ของรัฐแคลิฟอร์เนีย ➡️ ห้ามใช้อุปกรณ์ที่หลอกระบบตรวจสอบผู้ขับขี่ (DMS) ➡️ ครอบคลุมการผลิต จำหน่าย และโฆษณา defeat devices ➡️ ใช้กับรถที่มีระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 2 เช่น Tesla และ Ford ✅ ตัวอย่างอุปกรณ์ที่ถูกห้าม ➡️ ถ่วงพวงมาลัยเพื่อหลอกว่ามีมือจับ ➡️ บังกล้องตรวจจับใบหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงการเตือน ✅ ข้อยกเว้นตามกฎหมาย ➡️ ใช้เพื่อการซ่อมแซมตามมาตรฐานผู้ผลิต ➡️ ใช้เพื่อช่วยเหลือผู้ขับขี่ที่มีความพิการตาม ADA https://www.slashgear.com/2011751/california-self-driving-car-defeat-device-ban/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    California Is Cracking Down On People Using Hacks To Create Their Own 'Self-Driving' Cars - SlashGear
    California passed Senate Bill 1313 in September 2025 to ban the use and sale of devices that disable or interfere with cars' driver monitoring systems.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 29 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความร่วมมือระดับโลก คณบดีแพทย์วชิระ นำคณะเยี่ยมชมศูนย์ฝึกอบรมสถานการณ์จำลองทางคลินิก (V-sim)
    https://www.thai-tai.tv/news/22135/
    .
    #ไทยไท #วชิรพยาบาล #USF #สาธารณสุข #ความร่วมมือระหว่างประเทศ #V-sim
    ความร่วมมือระดับโลก คณบดีแพทย์วชิระ นำคณะเยี่ยมชมศูนย์ฝึกอบรมสถานการณ์จำลองทางคลินิก (V-sim) https://www.thai-tai.tv/news/22135/ . #ไทยไท #วชิรพยาบาล #USF #สาธารณสุข #ความร่วมมือระหว่างประเทศ #V-sim
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • กรณี BANPU ควบรวม BPP (31/10/68) #news1 #คุยคุ้ยหุ้น #หุ้นไทย #ตลาดหุ้น
    กรณี BANPU ควบรวม BPP (31/10/68) #news1 #คุยคุ้ยหุ้น #หุ้นไทย #ตลาดหุ้น
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 114 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • Akira Ransomware อ้างขโมยข้อมูล 23GB จาก Apache OpenOffice — ยังไม่มีการยืนยันจากทาง Apache

    กลุ่มแฮกเกอร์ Akira Ransomware ได้ออกมาอ้างว่าได้เจาะระบบของ Apache OpenOffice และขโมยข้อมูลภายในองค์กรกว่า 23GB ซึ่งรวมถึงข้อมูลพนักงาน เช่น ที่อยู่ เบอร์โทร เลขบัตรประชาชน หมายเลขบัตรเครดิต และเอกสารการเงินภายในองค์กร

    Akira เป็นกลุ่ม ransomware-as-a-service (RaaS) ที่เริ่มปรากฏตัวในปี 2023 และมีชื่อเสียงจากการใช้กลยุทธ์ “double extortion” คือขโมยข้อมูลก่อน แล้วจึงเข้ารหัสระบบเพื่อเรียกค่าไถ่ โดยในกรณีนี้ พวกเขาโพสต์ข้อความบน dark web ว่าจะเผยแพร่เอกสารทั้งหมดในเร็ว ๆ นี้

    อย่างไรก็ตาม ทาง Apache Software Foundation ยังไม่ออกมายืนยันว่ามีการเจาะระบบจริงหรือไม่ และไม่มีหลักฐานว่าการแจกจ่ายซอฟต์แวร์ของ OpenOffice ถูกกระทบ

    Akira ยังมีพฤติกรรมที่น่าสนใจ เช่น:
    ใช้ ransomware ที่ตรวจสอบ layout ของคีย์บอร์ดเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีในประเทศที่ใช้ภาษารัสเซีย
    เคยถูกพบว่ามีการแฮกกล้องเว็บแคมของเหยื่อเพื่อเพิ่มแรงกดดันในการเรียกค่าไถ่

    ข้อมูลที่ถูกอ้างว่าถูกขโมย
    ข้อมูลพนักงาน: ที่อยู่ เบอร์โทร วันเกิด เลขบัตรประชาชน
    ข้อมูลการเงินและเอกสารภายในองค์กร
    รายงานปัญหาการใช้งานซอฟต์แวร์

    พฤติกรรมของ Akira Ransomware
    ใช้กลยุทธ์ double extortion
    มี ransomware สำหรับ Windows และ Linux/VMware ESXi
    ตรวจสอบ layout คีย์บอร์ดเพื่อหลีกเลี่ยงประเทศรัสเซีย
    เคยแฮกกล้องเว็บแคมของเหยื่อ

    สถานะปัจจุบัน
    Apache ยังไม่ยืนยันว่ามีการเจาะระบบ
    ไม่มีผลกระทบต่อระบบแจกจ่ายซอฟต์แวร์ของ OpenOffice
    ผู้ใช้ยังสามารถดาวน์โหลด OpenOffice ได้จากเว็บไซต์ทางการ

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน
    อย่าดาวน์โหลด OpenOffice จากลิงก์ที่แชร์ในโซเชียลหรือฟอรั่ม
    ควรติดตามประกาศจาก Apache Software Foundation อย่างใกล้ชิด
    หากใช้งานในองค์กร ควรตรวจสอบระบบภายในและอัปเดตมาตรการรักษาความปลอดภัย

    https://hackread.com/akira-ransomware-stole-apache-openoffice-data/
    🕵️ Akira Ransomware อ้างขโมยข้อมูล 23GB จาก Apache OpenOffice — ยังไม่มีการยืนยันจากทาง Apache กลุ่มแฮกเกอร์ Akira Ransomware ได้ออกมาอ้างว่าได้เจาะระบบของ Apache OpenOffice และขโมยข้อมูลภายในองค์กรกว่า 23GB ซึ่งรวมถึงข้อมูลพนักงาน เช่น ที่อยู่ เบอร์โทร เลขบัตรประชาชน หมายเลขบัตรเครดิต และเอกสารการเงินภายในองค์กร Akira เป็นกลุ่ม ransomware-as-a-service (RaaS) ที่เริ่มปรากฏตัวในปี 2023 และมีชื่อเสียงจากการใช้กลยุทธ์ “double extortion” คือขโมยข้อมูลก่อน แล้วจึงเข้ารหัสระบบเพื่อเรียกค่าไถ่ โดยในกรณีนี้ พวกเขาโพสต์ข้อความบน dark web ว่าจะเผยแพร่เอกสารทั้งหมดในเร็ว ๆ นี้ อย่างไรก็ตาม ทาง Apache Software Foundation ยังไม่ออกมายืนยันว่ามีการเจาะระบบจริงหรือไม่ และไม่มีหลักฐานว่าการแจกจ่ายซอฟต์แวร์ของ OpenOffice ถูกกระทบ 🔐 Akira ยังมีพฤติกรรมที่น่าสนใจ เช่น: 💠 ใช้ ransomware ที่ตรวจสอบ layout ของคีย์บอร์ดเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีในประเทศที่ใช้ภาษารัสเซีย 💠 เคยถูกพบว่ามีการแฮกกล้องเว็บแคมของเหยื่อเพื่อเพิ่มแรงกดดันในการเรียกค่าไถ่ ✅ ข้อมูลที่ถูกอ้างว่าถูกขโมย ➡️ ข้อมูลพนักงาน: ที่อยู่ เบอร์โทร วันเกิด เลขบัตรประชาชน ➡️ ข้อมูลการเงินและเอกสารภายในองค์กร ➡️ รายงานปัญหาการใช้งานซอฟต์แวร์ ✅ พฤติกรรมของ Akira Ransomware ➡️ ใช้กลยุทธ์ double extortion ➡️ มี ransomware สำหรับ Windows และ Linux/VMware ESXi ➡️ ตรวจสอบ layout คีย์บอร์ดเพื่อหลีกเลี่ยงประเทศรัสเซีย ➡️ เคยแฮกกล้องเว็บแคมของเหยื่อ ✅ สถานะปัจจุบัน ➡️ Apache ยังไม่ยืนยันว่ามีการเจาะระบบ ➡️ ไม่มีผลกระทบต่อระบบแจกจ่ายซอฟต์แวร์ของ OpenOffice ➡️ ผู้ใช้ยังสามารถดาวน์โหลด OpenOffice ได้จากเว็บไซต์ทางการ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้งาน ⛔ อย่าดาวน์โหลด OpenOffice จากลิงก์ที่แชร์ในโซเชียลหรือฟอรั่ม ⛔ ควรติดตามประกาศจาก Apache Software Foundation อย่างใกล้ชิด ⛔ หากใช้งานในองค์กร ควรตรวจสอบระบบภายในและอัปเดตมาตรการรักษาความปลอดภัย https://hackread.com/akira-ransomware-stole-apache-openoffice-data/
    HACKREAD.COM
    Akira Ransomware Claims It Stole 23GB from Apache OpenOffice
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 22 มุมมอง 0 รีวิว
  • “CISO ข้ามอุตสาหกรรมได้ไหม? ถอดรหัสทักษะที่ยืดหยุ่นและความเสี่ยงที่ต้องรู้”

    ลองจินตนาการว่าคุณเป็น CISO (Chief Information Security Officer) ที่มีประสบการณ์แน่นในสายงานไอทีขององค์กรขนาดใหญ่ วันหนึ่งคุณอยากเปลี่ยนไปทำงานในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น จากสายการเงินไปสายสุขภาพ หรือจากเทคโนโลยีไปค้าปลีก…ฟังดูง่ายใช่ไหม? แต่ในความเป็นจริง มันไม่ง่ายอย่างที่คิด

    หลายคนพบว่าการย้ายข้ามอุตสาหกรรมเป็นเรื่องยาก เพราะผู้บริหารและบริษัทมักมองว่าทักษะของ CISO นั้นเฉพาะเจาะจงกับอุตสาหกรรมเดิม เช่น ถ้าคุณเคยทำในสายธนาคาร ก็จะถูกมองว่าเหมาะกับงานในสายธนาคารเท่านั้น

    แต่ก็มีคนที่ทำได้สำเร็จ เช่น Marc Ashworth จาก First Bank ที่เคยผ่านงานในอุตสาหกรรมอวกาศ สุขภาพ และการเงิน เขาใช้ประสบการณ์จากการเป็นที่ปรึกษาในการสร้างทักษะที่ยืดหยุ่น และสามารถปรับตัวได้กับทุกบริบท

    Tim Youngblood อดีต CISO ของ Dell ก็เช่นกัน เขาเริ่มต้นจากการเป็นที่ปรึกษา KPMG ทำให้ได้สัมผัสกับหลายอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้น และเรียนรู้ว่า “หลักการด้านความปลอดภัยนั้นเหมือนกันทุกที่ ต่างกันแค่บริบท”

    นอกจากนี้ ยังมีคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการสรรหาบุคลากรว่า หากคุณไม่มีประสบการณ์ที่ปรึกษา ก็สามารถเริ่มจากการย้ายไปอุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างคล้ายกัน เช่น จากเภสัชกรรมไปสุขภาพ เพราะทั้งสองอยู่ในระบบที่มีการกำกับดูแลสูง

    สิ่งสำคัญคือ “การแสดงให้เห็นว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงในอุตสาหกรรมใหม่ และสามารถจัดการได้” เช่น Michael Meline ที่เคยเป็นตำรวจมาก่อน แล้วเปลี่ยนสายมาเป็นผู้บริหารด้านความปลอดภัยในธุรกิจการเงินและสุขภาพ โดยใช้หลักการบริหารความเสี่ยงเป็นแกนหลัก

    ทักษะที่ถ่ายโอนได้คือหัวใจของการเปลี่ยนอุตสาหกรรม
    การเป็นที่ปรึกษาให้หลายองค์กรช่วยสร้างความเข้าใจในหลายบริบท
    หลักการด้านความปลอดภัยมีความคล้ายกันในหลายอุตสาหกรรม
    การเข้าร่วมกลุ่ม ISACs (Information Sharing and Analysis Centers) ช่วยให้เข้าใจปัญหาเฉพาะของแต่ละอุตสาหกรรม
    การย้ายจากอุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างคล้ายกันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เช่น จากเภสัชกรรมไปสุขภาพ

    การแสดงผลลัพธ์ที่จับต้องได้ช่วยให้ผู้สรรหามองเห็นคุณค่า
    ต้องอธิบายให้ได้ว่าเคยทำอะไร มีผลกระทบอย่างไร และจะนำมาปรับใช้ในบริบทใหม่ได้อย่างไร
    การเข้าใจโครงสร้างองค์กรและภัยคุกคามเฉพาะของอุตสาหกรรมใหม่เป็นสิ่งจำเป็น

    ความเสี่ยงในการถูกมองว่า “เหมาะกับอุตสาหกรรมเดียว”
    อาจทำให้โอกาสในการเปลี่ยนสายงานลดลง
    ผู้บริหารบางคนยังยึดติดกับแนวคิด “อยู่ในสายไหนก็ต้องอยู่ในสายนั้น”

    การไม่เข้าใจความเสี่ยงเฉพาะของอุตสาหกรรมใหม่
    อาจทำให้ขาดความน่าเชื่อถือในการบริหารความปลอดภัย
    ส่งผลต่อการตัดสินใจรับเข้าทำงานในองค์กรใหม่

    ถ้าคุณกำลังคิดจะเปลี่ยนสายงานในระดับ CISO หรือผู้บริหารด้านความปลอดภัย ข้อคิดสำคัญคือ “อย่าขายแค่ตำแหน่งเดิม แต่ต้องขายผลลัพธ์และความเข้าใจในความเสี่ยง” แล้วคุณจะมีโอกาสข้ามอุตสาหกรรมได้อย่างมั่นใจ

    https://www.csoonline.com/article/4079956/tips-for-cisos-switching-between-industries.html
    🧭 “CISO ข้ามอุตสาหกรรมได้ไหม? ถอดรหัสทักษะที่ยืดหยุ่นและความเสี่ยงที่ต้องรู้” ลองจินตนาการว่าคุณเป็น CISO (Chief Information Security Officer) ที่มีประสบการณ์แน่นในสายงานไอทีขององค์กรขนาดใหญ่ วันหนึ่งคุณอยากเปลี่ยนไปทำงานในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น จากสายการเงินไปสายสุขภาพ หรือจากเทคโนโลยีไปค้าปลีก…ฟังดูง่ายใช่ไหม? แต่ในความเป็นจริง มันไม่ง่ายอย่างที่คิด หลายคนพบว่าการย้ายข้ามอุตสาหกรรมเป็นเรื่องยาก เพราะผู้บริหารและบริษัทมักมองว่าทักษะของ CISO นั้นเฉพาะเจาะจงกับอุตสาหกรรมเดิม เช่น ถ้าคุณเคยทำในสายธนาคาร ก็จะถูกมองว่าเหมาะกับงานในสายธนาคารเท่านั้น แต่ก็มีคนที่ทำได้สำเร็จ เช่น Marc Ashworth จาก First Bank ที่เคยผ่านงานในอุตสาหกรรมอวกาศ สุขภาพ และการเงิน เขาใช้ประสบการณ์จากการเป็นที่ปรึกษาในการสร้างทักษะที่ยืดหยุ่น และสามารถปรับตัวได้กับทุกบริบท Tim Youngblood อดีต CISO ของ Dell ก็เช่นกัน เขาเริ่มต้นจากการเป็นที่ปรึกษา KPMG ทำให้ได้สัมผัสกับหลายอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้น และเรียนรู้ว่า “หลักการด้านความปลอดภัยนั้นเหมือนกันทุกที่ ต่างกันแค่บริบท” นอกจากนี้ ยังมีคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการสรรหาบุคลากรว่า หากคุณไม่มีประสบการณ์ที่ปรึกษา ก็สามารถเริ่มจากการย้ายไปอุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างคล้ายกัน เช่น จากเภสัชกรรมไปสุขภาพ เพราะทั้งสองอยู่ในระบบที่มีการกำกับดูแลสูง สิ่งสำคัญคือ “การแสดงให้เห็นว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงในอุตสาหกรรมใหม่ และสามารถจัดการได้” เช่น Michael Meline ที่เคยเป็นตำรวจมาก่อน แล้วเปลี่ยนสายมาเป็นผู้บริหารด้านความปลอดภัยในธุรกิจการเงินและสุขภาพ โดยใช้หลักการบริหารความเสี่ยงเป็นแกนหลัก ✅ ทักษะที่ถ่ายโอนได้คือหัวใจของการเปลี่ยนอุตสาหกรรม ➡️ การเป็นที่ปรึกษาให้หลายองค์กรช่วยสร้างความเข้าใจในหลายบริบท ➡️ หลักการด้านความปลอดภัยมีความคล้ายกันในหลายอุตสาหกรรม ➡️ การเข้าร่วมกลุ่ม ISACs (Information Sharing and Analysis Centers) ช่วยให้เข้าใจปัญหาเฉพาะของแต่ละอุตสาหกรรม ➡️ การย้ายจากอุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างคล้ายกันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เช่น จากเภสัชกรรมไปสุขภาพ ✅ การแสดงผลลัพธ์ที่จับต้องได้ช่วยให้ผู้สรรหามองเห็นคุณค่า ➡️ ต้องอธิบายให้ได้ว่าเคยทำอะไร มีผลกระทบอย่างไร และจะนำมาปรับใช้ในบริบทใหม่ได้อย่างไร ➡️ การเข้าใจโครงสร้างองค์กรและภัยคุกคามเฉพาะของอุตสาหกรรมใหม่เป็นสิ่งจำเป็น ‼️ ความเสี่ยงในการถูกมองว่า “เหมาะกับอุตสาหกรรมเดียว” ⛔ อาจทำให้โอกาสในการเปลี่ยนสายงานลดลง ⛔ ผู้บริหารบางคนยังยึดติดกับแนวคิด “อยู่ในสายไหนก็ต้องอยู่ในสายนั้น” ‼️ การไม่เข้าใจความเสี่ยงเฉพาะของอุตสาหกรรมใหม่ ⛔ อาจทำให้ขาดความน่าเชื่อถือในการบริหารความปลอดภัย ⛔ ส่งผลต่อการตัดสินใจรับเข้าทำงานในองค์กรใหม่ ถ้าคุณกำลังคิดจะเปลี่ยนสายงานในระดับ CISO หรือผู้บริหารด้านความปลอดภัย ข้อคิดสำคัญคือ “อย่าขายแค่ตำแหน่งเดิม แต่ต้องขายผลลัพธ์และความเข้าใจในความเสี่ยง” แล้วคุณจะมีโอกาสข้ามอุตสาหกรรมได้อย่างมั่นใจ 💼✨ https://www.csoonline.com/article/4079956/tips-for-cisos-switching-between-industries.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Tips for CISOs switching between industries
    Moving between industries isn’t just about experience, it’s about transferring skills, understanding the business, and managing risk in new environments.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 30 มุมมอง 0 รีวิว
  • “มาเลเซียผลักดันอาเซียนขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงสู่ไซเบอร์สเปซ”

    ที่ประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2025 กลายเป็นเวทีสำคัญที่มาเลเซียใช้เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกอาเซียนขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงจากทะเลไปสู่โลกไซเบอร์

    รัฐมนตรีกลาโหมมาเลเซีย นายโมฮัมหมัด คาเลด นอร์ดิน กล่าวเปิดประชุมว่า “ภัยคุกคามในยุคนี้ไม่จำกัดแค่พรมแดนหรือภูมิประเทศอีกต่อไป” พร้อมเตือนว่า การโจมตีทางไซเบอร์สามารถทำลายโครงสร้างพื้นฐาน ล้มรัฐบาล และสร้างความปั่นป่วนในสังคมได้ไม่แพ้ภัยทางทะเล

    การประชุมครั้งนี้ยังมีการหารือร่วมกับประเทศคู่เจรจา เช่น สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย โดยมีรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ และจีนเข้าร่วมด้วย

    นอกจากนี้ มาเลเซียยังเสนอให้จัดตั้งทีมสังเกตการณ์อาเซียนเพื่อช่วยเหลือไทยและกัมพูชาในการแก้ไขปัญหาชายแดน และย้ำถึงความมุ่งมั่นของอาเซียนในการผลักดันสันติภาพในเมียนมา ซึ่งยังเผชิญกับวิกฤติหลังรัฐประหารในปี 2021

    ในมุมที่น่าสนใจเพิ่มเติม โลกไซเบอร์กลายเป็นสนามรบใหม่ที่ไม่มีเส้นแบ่งพรมแดน และการโจมตีไม่จำเป็นต้องใช้กำลังทหาร แต่ใช้ “ข้อมูล” และ “ช่องโหว่” เป็นอาวุธ การร่วมมือระดับภูมิภาคจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยี AI และ IoT ทำให้ระบบต่างๆ เชื่อมโยงกันมากขึ้น

    มาเลเซียเสนอขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงจากทะเลสู่ไซเบอร์
    ภัยไซเบอร์สามารถทำลายโครงสร้างพื้นฐานและเสถียรภาพของประเทศ
    การโจมตีทางไซเบอร์มีผลกระทบเทียบเท่าการรุกรานทางทหาร
    มาเลเซียชี้ว่า “ภัยคุกคามวันนี้ไร้พรมแดน”

    การประชุมมีประเทศคู่เจรจาเข้าร่วมหลายชาติ
    สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย
    รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ และจีนเข้าร่วมประชุมโดยตรง

    มาเลเซียเสนอจัดตั้งทีมสังเกตการณ์อาเซียนช่วยไทย-กัมพูชา
    เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาชายแดนระหว่างสองประเทศ
    ข้อตกลงหยุดยิงได้รับการรับรองโดยผู้นำสหรัฐฯ และมาเลเซีย

    อาเซียนยังคงผลักดันสันติภาพในเมียนมา
    เรียกร้องให้เมียนมากลับสู่แนวทางตามฉันทามติ 5 ข้อ
    ผู้นำทหารเมียนมายังถูกกีดกันจากการประชุมอาเซียน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/31/malaysia-urges-asean-to-expand-defense-cooperation-in-cyberspace
    🛡️ “มาเลเซียผลักดันอาเซียนขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงสู่ไซเบอร์สเปซ” ที่ประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2025 กลายเป็นเวทีสำคัญที่มาเลเซียใช้เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกอาเซียนขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงจากทะเลไปสู่โลกไซเบอร์ รัฐมนตรีกลาโหมมาเลเซีย นายโมฮัมหมัด คาเลด นอร์ดิน กล่าวเปิดประชุมว่า “ภัยคุกคามในยุคนี้ไม่จำกัดแค่พรมแดนหรือภูมิประเทศอีกต่อไป” พร้อมเตือนว่า การโจมตีทางไซเบอร์สามารถทำลายโครงสร้างพื้นฐาน ล้มรัฐบาล และสร้างความปั่นป่วนในสังคมได้ไม่แพ้ภัยทางทะเล การประชุมครั้งนี้ยังมีการหารือร่วมกับประเทศคู่เจรจา เช่น สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย โดยมีรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ และจีนเข้าร่วมด้วย นอกจากนี้ มาเลเซียยังเสนอให้จัดตั้งทีมสังเกตการณ์อาเซียนเพื่อช่วยเหลือไทยและกัมพูชาในการแก้ไขปัญหาชายแดน และย้ำถึงความมุ่งมั่นของอาเซียนในการผลักดันสันติภาพในเมียนมา ซึ่งยังเผชิญกับวิกฤติหลังรัฐประหารในปี 2021 ในมุมที่น่าสนใจเพิ่มเติม โลกไซเบอร์กลายเป็นสนามรบใหม่ที่ไม่มีเส้นแบ่งพรมแดน และการโจมตีไม่จำเป็นต้องใช้กำลังทหาร แต่ใช้ “ข้อมูล” และ “ช่องโหว่” เป็นอาวุธ การร่วมมือระดับภูมิภาคจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยี AI และ IoT ทำให้ระบบต่างๆ เชื่อมโยงกันมากขึ้น ✅ มาเลเซียเสนอขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงจากทะเลสู่ไซเบอร์ ➡️ ภัยไซเบอร์สามารถทำลายโครงสร้างพื้นฐานและเสถียรภาพของประเทศ ➡️ การโจมตีทางไซเบอร์มีผลกระทบเทียบเท่าการรุกรานทางทหาร ➡️ มาเลเซียชี้ว่า “ภัยคุกคามวันนี้ไร้พรมแดน” ✅ การประชุมมีประเทศคู่เจรจาเข้าร่วมหลายชาติ ➡️ สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย ➡️ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ และจีนเข้าร่วมประชุมโดยตรง ✅ มาเลเซียเสนอจัดตั้งทีมสังเกตการณ์อาเซียนช่วยไทย-กัมพูชา ➡️ เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาชายแดนระหว่างสองประเทศ ➡️ ข้อตกลงหยุดยิงได้รับการรับรองโดยผู้นำสหรัฐฯ และมาเลเซีย ✅ อาเซียนยังคงผลักดันสันติภาพในเมียนมา ➡️ เรียกร้องให้เมียนมากลับสู่แนวทางตามฉันทามติ 5 ข้อ ➡️ ผู้นำทหารเมียนมายังถูกกีดกันจากการประชุมอาเซียน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/31/malaysia-urges-asean-to-expand-defense-cooperation-in-cyberspace
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Malaysia urges Asean to expand defense cooperation in cyberspace
    Malaysia called on Oct 31 for fellow members of the Association of South-East Asian Nations to extend their security partnerships from the high seas to cyberspace at an annual meeting of the bloc's defense ministers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 0 รีวิว
  • Scameter เวอร์ชันใหม่ในฮ่องกง ใช้ AI ปราบมิจฉาชีพออนไลน์ได้ทันใจ

    ในยุคที่มิจฉาชีพออนไลน์แพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ฮ่องกงได้อัปเกรดแอป “Scameter” ให้กลายเป็นเครื่องมือปราบกลโกงยุคดิจิทัลที่ทรงพลังยิ่งขึ้น ด้วยการเสริมเทคโนโลยี AI เข้าไปในระบบ

    Scameter เดิมทีใช้ตรวจสอบเบอร์โทรและลิงก์ต้องสงสัย แต่เวอร์ชันใหม่สามารถวิเคราะห์ภาพหน้าจอจากแอปแชต เช่น WhatsApp, Facebook, Instagram และ Telegram ได้ทันที โดยใช้เทคโนโลยีอย่าง agentic AI, computer vision และ NLP เพื่อแยกแยะข้อความหลอกลวงจากของจริง

    ตำรวจฮ่องกงเผยว่า แม้จำนวนคดีหลอกลวงจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยในปี 2025 แต่ยอดความเสียหายยังสูงถึง 726 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยกลโกงที่พบบ่อยคือการขายบัตรคอนเสิร์ตปลอม, งานคลิกฟาร์มหลอกเงิน และการลงทุนปลอมในหุ้น

    นอกจากนี้ แอปยังสามารถอัปเดตฐานข้อมูลอัตโนมัติจากรายงานของผู้ใช้ และจัดอันดับกลโกงยอดฮิตแบบเรียลไทม์ ทำให้ประชาชนรู้ทันและหลีกเลี่ยงได้ง่ายขึ้น

    ที่น่าสนใจคือ ธนาคารกลางฮ่องกง (HKMA) ก็ร่วมมือกับตำรวจในการพัฒนาแพลตฟอร์มแชร์ข้อมูลระหว่างธนาคาร เพื่อป้องกันการฟอกเงินและการโอนเงินไปยังบัญชีต้องสงสัย โดยมีแผนให้ธนาคาร 28 แห่งเข้าร่วมครอบคลุมกว่า 90% ของบัญชีในประเทศ

    แอป Scameter เวอร์ชันใหม่ใช้ AI วิเคราะห์กลโกงบนโซเชียลมีเดีย
    รองรับการรายงานภาพหน้าจอจาก WhatsApp, Facebook, Instagram และ Telegram
    ใช้ agentic AI, computer vision และ NLP ในการตรวจจับข้อความหลอกลวง
    อัปเดตฐานข้อมูลอัตโนมัติจากรายงานของผู้ใช้

    ตำรวจฮ่องกงเผยสถิติการหลอกลวงในปี 2025
    จำนวนคดีเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 32,142 คดี
    ความเสียหายรวมกว่า 726 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
    กลโกงยอดฮิต: บัตรคอนเสิร์ตปลอม, คลิกฟาร์ม, หุ้นปลอม

    ธนาคารกลางฮ่องกงร่วมพัฒนาแพลตฟอร์มแชร์ข้อมูล
    ใช้ตรวจจับบัญชีต้องสงสัยและป้องกันการฟอกเงิน
    มีแผนให้ธนาคาร 28 แห่งเข้าร่วม ครอบคลุมกว่า 90% ของบัญชี

    กลโกงออนไลน์เปลี่ยนรูปแบบตามเทรนด์และเหตุการณ์
    มิจฉาชีพใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางหลักในการเข้าถึงเหยื่อ
    กลโกงใหม่ๆ เช่น งานคลิกฟาร์มและการลงทุนปลอมกำลังระบาด

    ผู้ใช้ที่ไม่รู้เท่าทันอาจตกเป็นเหยื่อได้ง่าย
    ขาดการตรวจสอบข้อมูลก่อนโอนเงินหรือซื้อสินค้า
    การไม่รายงานเหตุการณ์ทำให้กลโกงแพร่กระจายต่อไป

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/31/hong-kongs-scameter-app-gets-upgrade-ai-tools-to-tackle-social-media-scams
    👮‍♀️ Scameter เวอร์ชันใหม่ในฮ่องกง ใช้ AI ปราบมิจฉาชีพออนไลน์ได้ทันใจ ในยุคที่มิจฉาชีพออนไลน์แพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ฮ่องกงได้อัปเกรดแอป “Scameter” ให้กลายเป็นเครื่องมือปราบกลโกงยุคดิจิทัลที่ทรงพลังยิ่งขึ้น ด้วยการเสริมเทคโนโลยี AI เข้าไปในระบบ Scameter เดิมทีใช้ตรวจสอบเบอร์โทรและลิงก์ต้องสงสัย แต่เวอร์ชันใหม่สามารถวิเคราะห์ภาพหน้าจอจากแอปแชต เช่น WhatsApp, Facebook, Instagram และ Telegram ได้ทันที โดยใช้เทคโนโลยีอย่าง agentic AI, computer vision และ NLP เพื่อแยกแยะข้อความหลอกลวงจากของจริง ตำรวจฮ่องกงเผยว่า แม้จำนวนคดีหลอกลวงจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยในปี 2025 แต่ยอดความเสียหายยังสูงถึง 726 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยกลโกงที่พบบ่อยคือการขายบัตรคอนเสิร์ตปลอม, งานคลิกฟาร์มหลอกเงิน และการลงทุนปลอมในหุ้น นอกจากนี้ แอปยังสามารถอัปเดตฐานข้อมูลอัตโนมัติจากรายงานของผู้ใช้ และจัดอันดับกลโกงยอดฮิตแบบเรียลไทม์ ทำให้ประชาชนรู้ทันและหลีกเลี่ยงได้ง่ายขึ้น ที่น่าสนใจคือ ธนาคารกลางฮ่องกง (HKMA) ก็ร่วมมือกับตำรวจในการพัฒนาแพลตฟอร์มแชร์ข้อมูลระหว่างธนาคาร เพื่อป้องกันการฟอกเงินและการโอนเงินไปยังบัญชีต้องสงสัย โดยมีแผนให้ธนาคาร 28 แห่งเข้าร่วมครอบคลุมกว่า 90% ของบัญชีในประเทศ ✅ แอป Scameter เวอร์ชันใหม่ใช้ AI วิเคราะห์กลโกงบนโซเชียลมีเดีย ➡️ รองรับการรายงานภาพหน้าจอจาก WhatsApp, Facebook, Instagram และ Telegram ➡️ ใช้ agentic AI, computer vision และ NLP ในการตรวจจับข้อความหลอกลวง ➡️ อัปเดตฐานข้อมูลอัตโนมัติจากรายงานของผู้ใช้ ✅ ตำรวจฮ่องกงเผยสถิติการหลอกลวงในปี 2025 ➡️ จำนวนคดีเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 32,142 คดี ➡️ ความเสียหายรวมกว่า 726 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ➡️ กลโกงยอดฮิต: บัตรคอนเสิร์ตปลอม, คลิกฟาร์ม, หุ้นปลอม ✅ ธนาคารกลางฮ่องกงร่วมพัฒนาแพลตฟอร์มแชร์ข้อมูล ➡️ ใช้ตรวจจับบัญชีต้องสงสัยและป้องกันการฟอกเงิน ➡️ มีแผนให้ธนาคาร 28 แห่งเข้าร่วม ครอบคลุมกว่า 90% ของบัญชี ‼️ กลโกงออนไลน์เปลี่ยนรูปแบบตามเทรนด์และเหตุการณ์ ⛔ มิจฉาชีพใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางหลักในการเข้าถึงเหยื่อ ⛔ กลโกงใหม่ๆ เช่น งานคลิกฟาร์มและการลงทุนปลอมกำลังระบาด ‼️ ผู้ใช้ที่ไม่รู้เท่าทันอาจตกเป็นเหยื่อได้ง่าย ⛔ ขาดการตรวจสอบข้อมูลก่อนโอนเงินหรือซื้อสินค้า ⛔ การไม่รายงานเหตุการณ์ทำให้กลโกงแพร่กระจายต่อไป https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/31/hong-kongs-scameter-app-gets-upgrade-ai-tools-to-tackle-social-media-scams
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Hong Kong’s Scameter app gets upgrade, AI tools to tackle social media scams
    Online employment and investment scams are on the rise, despite police recording a marginal increase in swindling cases.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 37 มุมมอง 0 รีวิว
  • โดรนจิ๋วเลียนแบบค้างคาว อาจเป็นฮีโร่ในภารกิจช่วยชีวิตกลางพายุและความมืด

    ในห้องทดลองที่ดูเหมือนฉากฮาโลวีน—มีหมอก ไฟสลัว และค้างคาวปลอม—นักวิจัยจาก Worcester Polytechnic Institute (WPI) กำลังพัฒนาโดรนขนาดเล็กที่อาจเปลี่ยนโลกของการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยในสถานการณ์สุดขั้ว เช่น พายุกลางคืน ควันไฟ หรือหิมะตกหนัก

    แรงบันดาลใจของพวกเขาคือ “ค้างคาว” สัตว์ที่สามารถบินในความมืดโดยใช้การสะท้อนเสียงหรือ echolocation นักวิจัยนำหลักการนี้มาสร้างโดรนที่ใช้เซนเซอร์อัลตราโซนิกคล้ายกับที่ใช้ในก๊อกน้ำอัตโนมัติ เพื่อส่งคลื่นเสียงและวิเคราะห์เสียงสะท้อนในการหลบหลีกสิ่งกีดขวาง

    โดรนจิ๋วนี้มีขนาดเท่าฝ่ามือ ใช้วัสดุราคาถูก และสามารถบินในที่มืดได้โดยไม่ต้องพึ่งแสงหรือกล้อง ทำให้เหมาะกับภารกิจช่วยชีวิตในสถานการณ์ที่โดรนทั่วไปใช้งานไม่ได้ เช่น ไฟไหม้กลางคืน หรือพื้นที่ที่ไม่มีไฟฟ้า

    นอกจากนั้น นักวิจัยยังใช้ AI เพื่อช่วยให้โดรนสามารถกรองเสียงรบกวนจากใบพัด และเรียนรู้การตีความเสียงสะท้อนอย่างแม่นยำมากขึ้น แม้ยังไม่สามารถเทียบชั้นกับค้างคาวที่สามารถตรวจจับเส้นผมมนุษย์จากระยะหลายเมตรได้ แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญ

    ในอนาคต โดรนเหล่านี้อาจทำงานเป็น “ฝูงอัตโนมัติ” ที่สามารถตัดสินใจเองว่าจะค้นหาตรงไหน โดยใช้ข้อมูลจากกรณีผู้สูญหายในอดีตมาสร้างแบบจำลองพฤติกรรมของผู้ประสบภัย

    โดรนจิ๋วเลียนแบบค้างคาวใช้ echolocation เพื่อบินในความมืด
    ใช้เซนเซอร์อัลตราโซนิกในการตรวจจับสิ่งกีดขวาง
    ไม่ต้องพึ่งกล้องหรือแสงไฟในการทำงาน
    เหมาะกับภารกิจช่วยชีวิตในพื้นที่มืดหรือมีควัน

    โดรนมีขนาดเล็ก ราคาถูก และประหยัดพลังงาน
    ใช้วัสดุระดับงานอดิเรกในการประกอบ
    สามารถบินในห้องที่มีหมอกและแสงน้อยได้อย่างแม่นยำ

    ใช้ AI เพื่อปรับปรุงการรับเสียงและการตัดสินใจ
    ลดเสียงรบกวนจากใบพัดด้วยเปลือกพิมพ์ 3D
    สอนให้โดรนแยกแยะเสียงสะท้อนที่สำคัญ

    นักวิจัยพัฒนาโมเดลการค้นหาจากข้อมูลผู้สูญหาย
    ใช้ข้อมูลพฤติกรรมของผู้หลงทางในป่าเพื่อกำหนดเส้นทางค้นหา
    โดรนสามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ในการค้นหาแบบอัตโนมัติ

    โดรนทั่วไปยังมีข้อจำกัดในการใช้งานในสถานการณ์สุดขั้ว
    ขนาดใหญ่ เทอะทะ และไม่สามารถบินในที่มืดหรือมีควันได้
    ต้องพึ่งพาการควบคุมจากมนุษย์และแสงไฟในการนำทาง

    การพัฒนาโดรนให้เทียบเท่าค้างคาวยังต้องใช้เวลา
    ค้างคาวสามารถกรองเสียงสะท้อนเฉพาะที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ
    ความสามารถในการตรวจจับของโดรนยังห่างไกลจากธรรมชาติ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/31/how-tiny-drones-inspired-by-bats-could-save-lives-in-dark-and-stormy-conditions
    🦇 โดรนจิ๋วเลียนแบบค้างคาว อาจเป็นฮีโร่ในภารกิจช่วยชีวิตกลางพายุและความมืด ในห้องทดลองที่ดูเหมือนฉากฮาโลวีน—มีหมอก ไฟสลัว และค้างคาวปลอม—นักวิจัยจาก Worcester Polytechnic Institute (WPI) กำลังพัฒนาโดรนขนาดเล็กที่อาจเปลี่ยนโลกของการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยในสถานการณ์สุดขั้ว เช่น พายุกลางคืน ควันไฟ หรือหิมะตกหนัก แรงบันดาลใจของพวกเขาคือ “ค้างคาว” สัตว์ที่สามารถบินในความมืดโดยใช้การสะท้อนเสียงหรือ echolocation นักวิจัยนำหลักการนี้มาสร้างโดรนที่ใช้เซนเซอร์อัลตราโซนิกคล้ายกับที่ใช้ในก๊อกน้ำอัตโนมัติ เพื่อส่งคลื่นเสียงและวิเคราะห์เสียงสะท้อนในการหลบหลีกสิ่งกีดขวาง โดรนจิ๋วนี้มีขนาดเท่าฝ่ามือ ใช้วัสดุราคาถูก และสามารถบินในที่มืดได้โดยไม่ต้องพึ่งแสงหรือกล้อง ทำให้เหมาะกับภารกิจช่วยชีวิตในสถานการณ์ที่โดรนทั่วไปใช้งานไม่ได้ เช่น ไฟไหม้กลางคืน หรือพื้นที่ที่ไม่มีไฟฟ้า นอกจากนั้น นักวิจัยยังใช้ AI เพื่อช่วยให้โดรนสามารถกรองเสียงรบกวนจากใบพัด และเรียนรู้การตีความเสียงสะท้อนอย่างแม่นยำมากขึ้น แม้ยังไม่สามารถเทียบชั้นกับค้างคาวที่สามารถตรวจจับเส้นผมมนุษย์จากระยะหลายเมตรได้ แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญ ในอนาคต โดรนเหล่านี้อาจทำงานเป็น “ฝูงอัตโนมัติ” ที่สามารถตัดสินใจเองว่าจะค้นหาตรงไหน โดยใช้ข้อมูลจากกรณีผู้สูญหายในอดีตมาสร้างแบบจำลองพฤติกรรมของผู้ประสบภัย ✅ โดรนจิ๋วเลียนแบบค้างคาวใช้ echolocation เพื่อบินในความมืด ➡️ ใช้เซนเซอร์อัลตราโซนิกในการตรวจจับสิ่งกีดขวาง ➡️ ไม่ต้องพึ่งกล้องหรือแสงไฟในการทำงาน ➡️ เหมาะกับภารกิจช่วยชีวิตในพื้นที่มืดหรือมีควัน ✅ โดรนมีขนาดเล็ก ราคาถูก และประหยัดพลังงาน ➡️ ใช้วัสดุระดับงานอดิเรกในการประกอบ ➡️ สามารถบินในห้องที่มีหมอกและแสงน้อยได้อย่างแม่นยำ ✅ ใช้ AI เพื่อปรับปรุงการรับเสียงและการตัดสินใจ ➡️ ลดเสียงรบกวนจากใบพัดด้วยเปลือกพิมพ์ 3D ➡️ สอนให้โดรนแยกแยะเสียงสะท้อนที่สำคัญ ✅ นักวิจัยพัฒนาโมเดลการค้นหาจากข้อมูลผู้สูญหาย ➡️ ใช้ข้อมูลพฤติกรรมของผู้หลงทางในป่าเพื่อกำหนดเส้นทางค้นหา ➡️ โดรนสามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ในการค้นหาแบบอัตโนมัติ ‼️ โดรนทั่วไปยังมีข้อจำกัดในการใช้งานในสถานการณ์สุดขั้ว ⛔ ขนาดใหญ่ เทอะทะ และไม่สามารถบินในที่มืดหรือมีควันได้ ⛔ ต้องพึ่งพาการควบคุมจากมนุษย์และแสงไฟในการนำทาง ‼️ การพัฒนาโดรนให้เทียบเท่าค้างคาวยังต้องใช้เวลา ⛔ ค้างคาวสามารถกรองเสียงสะท้อนเฉพาะที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ ⛔ ความสามารถในการตรวจจับของโดรนยังห่างไกลจากธรรมชาติ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/31/how-tiny-drones-inspired-by-bats-could-save-lives-in-dark-and-stormy-conditions
    WWW.THESTAR.COM.MY
    How tiny drones inspired by bats could save lives in dark and stormy conditions
    Don't be fooled by the fog machine, spooky lights and fake bats: the robotics lab at Worcester Polytechnic Institute lab isn't hosting a Halloween party.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 28 มุมมอง 0 รีวิว
  • Windows 11 เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ตรวจสอบ RAM หลังเกิด BSOD เพื่อช่วยวิเคราะห์สาเหตุการล่มของระบบ

    Microsoft กำลังทดสอบฟีเจอร์ใหม่ใน Windows 11 ที่จะช่วยผู้ใช้ตรวจสอบปัญหาที่อาจเกิดจากหน่วยความจำ (RAM) หลังจากเกิด Blue Screen of Death (BSOD) หรือหน้าจอฟ้าอันโด่งดังที่บ่งบอกว่าระบบล่ม

    ฟีเจอร์นี้จะเริ่มทำงานหลังจากเครื่องรีบูตจาก BSOD โดยจะมีหน้าต่างป๊อปอัปแนะนำให้ผู้ใช้ “สแกนหน่วยความจำ” ในการรีบูตครั้งถัดไป ผู้ใช้สามารถเลือกข้ามหรือกำหนดให้สแกนได้ตามต้องการ

    Microsoft ระบุว่าเป้าหมายของฟีเจอร์นี้คือช่วยให้เข้าใจสาเหตุของการล่มที่เกี่ยวข้องกับการเสียหายของหน่วยความจำ และในอนาคตจะปรับปรุงให้ระบบเรียกใช้การสแกนเฉพาะเมื่อพบว่าการล่มอาจเกี่ยวข้องกับ RAM โดยตรง

    สิ่งที่น่าสนใจคือ ปัญหาหน่วยความจำไม่เสถียรอาจไม่แสดงอาการทันที และสามารถซ่อนอยู่ในระบบเป็นเวลานาน ทำให้เกิดการล่มแบบสุ่มหรือแม้แต่การเสียหายของข้อมูลโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะในกรณีที่ใช้ RAM แบบ XMP หรือ EXPO ซึ่งเป็นการโอเวอร์คล็อกจากโรงงาน อาจทำให้ตัวควบคุมหน่วยความจำของ CPU ทำงานหนักเกินไปและเกิดความไม่เสถียร

    การเพิ่มฟีเจอร์นี้จึงถือเป็นก้าวสำคัญในการช่วยผู้ใช้ตรวจสอบปัญหาที่ซับซ้อนและยากต่อการวินิจฉัย

    Microsoft เพิ่มฟีเจอร์ตรวจสอบ RAM หลังเกิด BSOD
    ฟีเจอร์จะทำงานหลังรีบูตจาก BSOD โดยมีป๊อปอัปแนะนำให้สแกน
    ผู้ใช้สามารถเลือกข้ามหรือกำหนดให้สแกนในการรีบูตครั้งถัดไป
    ฟีเจอร์นี้มีใน Windows 11 Insider Preview Build 26220.6982

    เป้าหมายคือช่วยวิเคราะห์สาเหตุการล่มที่เกี่ยวข้องกับ RAM
    จะปรับปรุงให้เรียกใช้เฉพาะเมื่อพบว่าการล่มอาจเกี่ยวข้องกับหน่วยความจำ
    ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจและแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดมากขึ้น

    ปัญหา RAM ไม่เสถียรอาจซ่อนอยู่ในระบบเป็นเวลานาน
    ทำให้เกิดการล่มแบบสุ่มหรือข้อมูลเสียหายโดยไม่รู้ตัว
    โดยเฉพาะในกรณีที่ใช้ RAM แบบ XMP หรือ EXPO ที่โอเวอร์คล็อกจากโรงงาน

    การใช้ RAM แบบโอเวอร์คล็อกอาจทำให้ระบบไม่เสถียร
    ตัวควบคุมหน่วยความจำของ CPU อาจไม่รองรับความเร็วที่สูงเกินไป
    อาจทำให้เกิดการล่มหรือข้อมูลเสียหายโดยไม่รู้ตัว

    การไม่ตรวจสอบ RAM อาจทำให้ปัญหายืดเยื้อ
    ผู้ใช้ไม่สามารถระบุสาเหตุของ BSOD ได้ชัดเจน
    อาจนำไปสู่การเปลี่ยนฮาร์ดแวร์โดยไม่จำเป็น

    https://www.tomshardware.com/software/windows/new-windows-11-feature-aims-to-diagnose-crashes-will-check-ram-after-bsods-to-look-for-problems
    🎯 Windows 11 เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ตรวจสอบ RAM หลังเกิด BSOD เพื่อช่วยวิเคราะห์สาเหตุการล่มของระบบ Microsoft กำลังทดสอบฟีเจอร์ใหม่ใน Windows 11 ที่จะช่วยผู้ใช้ตรวจสอบปัญหาที่อาจเกิดจากหน่วยความจำ (RAM) หลังจากเกิด Blue Screen of Death (BSOD) หรือหน้าจอฟ้าอันโด่งดังที่บ่งบอกว่าระบบล่ม ฟีเจอร์นี้จะเริ่มทำงานหลังจากเครื่องรีบูตจาก BSOD โดยจะมีหน้าต่างป๊อปอัปแนะนำให้ผู้ใช้ “สแกนหน่วยความจำ” ในการรีบูตครั้งถัดไป ผู้ใช้สามารถเลือกข้ามหรือกำหนดให้สแกนได้ตามต้องการ Microsoft ระบุว่าเป้าหมายของฟีเจอร์นี้คือช่วยให้เข้าใจสาเหตุของการล่มที่เกี่ยวข้องกับการเสียหายของหน่วยความจำ และในอนาคตจะปรับปรุงให้ระบบเรียกใช้การสแกนเฉพาะเมื่อพบว่าการล่มอาจเกี่ยวข้องกับ RAM โดยตรง สิ่งที่น่าสนใจคือ ปัญหาหน่วยความจำไม่เสถียรอาจไม่แสดงอาการทันที และสามารถซ่อนอยู่ในระบบเป็นเวลานาน ทำให้เกิดการล่มแบบสุ่มหรือแม้แต่การเสียหายของข้อมูลโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะในกรณีที่ใช้ RAM แบบ XMP หรือ EXPO ซึ่งเป็นการโอเวอร์คล็อกจากโรงงาน อาจทำให้ตัวควบคุมหน่วยความจำของ CPU ทำงานหนักเกินไปและเกิดความไม่เสถียร การเพิ่มฟีเจอร์นี้จึงถือเป็นก้าวสำคัญในการช่วยผู้ใช้ตรวจสอบปัญหาที่ซับซ้อนและยากต่อการวินิจฉัย ✅ Microsoft เพิ่มฟีเจอร์ตรวจสอบ RAM หลังเกิด BSOD ➡️ ฟีเจอร์จะทำงานหลังรีบูตจาก BSOD โดยมีป๊อปอัปแนะนำให้สแกน ➡️ ผู้ใช้สามารถเลือกข้ามหรือกำหนดให้สแกนในการรีบูตครั้งถัดไป ➡️ ฟีเจอร์นี้มีใน Windows 11 Insider Preview Build 26220.6982 ✅ เป้าหมายคือช่วยวิเคราะห์สาเหตุการล่มที่เกี่ยวข้องกับ RAM ➡️ จะปรับปรุงให้เรียกใช้เฉพาะเมื่อพบว่าการล่มอาจเกี่ยวข้องกับหน่วยความจำ ➡️ ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจและแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดมากขึ้น ✅ ปัญหา RAM ไม่เสถียรอาจซ่อนอยู่ในระบบเป็นเวลานาน ➡️ ทำให้เกิดการล่มแบบสุ่มหรือข้อมูลเสียหายโดยไม่รู้ตัว ➡️ โดยเฉพาะในกรณีที่ใช้ RAM แบบ XMP หรือ EXPO ที่โอเวอร์คล็อกจากโรงงาน ‼️ การใช้ RAM แบบโอเวอร์คล็อกอาจทำให้ระบบไม่เสถียร ⛔ ตัวควบคุมหน่วยความจำของ CPU อาจไม่รองรับความเร็วที่สูงเกินไป ⛔ อาจทำให้เกิดการล่มหรือข้อมูลเสียหายโดยไม่รู้ตัว ‼️ การไม่ตรวจสอบ RAM อาจทำให้ปัญหายืดเยื้อ ⛔ ผู้ใช้ไม่สามารถระบุสาเหตุของ BSOD ได้ชัดเจน ⛔ อาจนำไปสู่การเปลี่ยนฮาร์ดแวร์โดยไม่จำเป็น https://www.tomshardware.com/software/windows/new-windows-11-feature-aims-to-diagnose-crashes-will-check-ram-after-bsods-to-look-for-problems
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 27 มุมมอง 0 รีวิว
  • AI ช่วยชีวิตหลังความตาย: จากบิลโรงพยาบาล 195,000 เหลือ 33,000 ดอลลาร์

    ลองจินตนาการว่าคุณเพิ่งสูญเสียคนรักไป แล้วต้องเผชิญกับบิลค่ารักษาพยาบาลที่สูงถึง 195,000 ดอลลาร์สำหรับการดูแลเพียง 4 ชั่วโมงสุดท้ายใน ICU… นั่นคือสิ่งที่ครอบครัวหนึ่งในสหรัฐฯ ต้องเผชิญ แต่พวกเขาไม่ยอมแพ้ และหันไปหา Claude AI เพื่อช่วยตรวจสอบความถูกต้องของบิล และผลลัพธ์ก็พลิกชีวิต: ลดค่าใช้จ่ายลงเหลือเพียง 33,000 ดอลลาร์!

    Claude ไม่ได้แค่ช่วยคำนวณ แต่ยังกลายเป็น “นักสืบบัญชี” ที่ขุดเจอการคิดเงินซ้ำซ้อน การใช้รหัสผิดประเภท และการเรียกเก็บเงินที่ละเมิดข้อบังคับของ Medicare ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะโรงพยาบาลไม่แสดงรายละเอียดชัดเจนตั้งแต่แรก จนต้องใช้ AI เจาะลึกทีละบรรทัด

    เรื่องนี้สะท้อนถึงพลังของ AI ในการปกป้องสิทธิ์ของผู้บริโภค และเตือนให้เราระวังการเรียกเก็บเงินที่ไม่โปร่งใสจากสถานพยาบาล โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เปราะบางที่สุดของชีวิต

    Claude AI ช่วยครอบครัวลดบิลค่ารักษาพยาบาลจาก $195,000 เหลือ $33,000
    ใช้การวิเคราะห์รหัสการเรียกเก็บเงินทางการแพทย์อย่างละเอียด
    พบการคิดเงินซ้ำซ้อน เช่น คิดค่าหัตถการรวม และแยกรายการย่อยซ้ำอีก
    ตรวจพบการใช้รหัสผู้ป่วยในแทนรหัสฉุกเฉิน ซึ่งอาจละเมิดข้อบังคับ
    ช่วยเขียนจดหมายเจรจาและเตือนถึงการดำเนินคดีหรือผลกระทบทางสื่อ

    สาเหตุที่บิลสูงผิดปกติ
    ผู้ป่วยไม่มีประกันสุขภาพในช่วงเวลานั้น
    โรงพยาบาลไม่แสดงรายละเอียดรายการค่าใช้จ่ายอย่างโปร่งใส

    บทบาทของ AI ในการช่วยเหลือด้านการเงินและกฎหมาย
    Claude AI ทำหน้าที่คล้ายผู้ช่วยนักบัญชีและนักกฎหมาย
    ช่วยให้ผู้บริโภคเข้าใจระบบการเรียกเก็บเงินที่ซับซ้อน
    เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือวิกฤต

    คำเตือนเกี่ยวกับการเรียกเก็บเงินจากโรงพยาบาล
    บางโรงพยาบาลอาจใช้ช่องโหว่ทางระบบเพื่อเรียกเก็บเงินเกินจริง
    การไม่ตรวจสอบบิลอย่างละเอียดอาจทำให้เสียเงินจำนวนมากโดยไม่จำเป็น
    การไม่มีประกันสุขภาพอาจทำให้ต้องจ่ายเงินเต็มจำนวนโดยไม่มีการต่อรอง

    ความเสี่ยงจากการพึ่งพา AI โดยไม่ตรวจสอบ
    AI อาจให้คำแนะนำผิดพลาดหากข้อมูลไม่ครบถ้วน
    ควรใช้ AI เป็นเครื่องมือเสริม ไม่ใช่ตัวแทนการตัดสินใจทั้งหมด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/grieving-family-uses-ai-chatbot-to-cut-hospital-bill-from-usd195-000-to-usd33-000-family-says-claude-highlighted-duplicative-charges-improper-coding-and-other-violations
    🧠💸 AI ช่วยชีวิตหลังความตาย: จากบิลโรงพยาบาล 195,000 เหลือ 33,000 ดอลลาร์ ลองจินตนาการว่าคุณเพิ่งสูญเสียคนรักไป แล้วต้องเผชิญกับบิลค่ารักษาพยาบาลที่สูงถึง 195,000 ดอลลาร์สำหรับการดูแลเพียง 4 ชั่วโมงสุดท้ายใน ICU… นั่นคือสิ่งที่ครอบครัวหนึ่งในสหรัฐฯ ต้องเผชิญ แต่พวกเขาไม่ยอมแพ้ และหันไปหา Claude AI เพื่อช่วยตรวจสอบความถูกต้องของบิล และผลลัพธ์ก็พลิกชีวิต: ลดค่าใช้จ่ายลงเหลือเพียง 33,000 ดอลลาร์! Claude ไม่ได้แค่ช่วยคำนวณ แต่ยังกลายเป็น “นักสืบบัญชี” ที่ขุดเจอการคิดเงินซ้ำซ้อน การใช้รหัสผิดประเภท และการเรียกเก็บเงินที่ละเมิดข้อบังคับของ Medicare ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะโรงพยาบาลไม่แสดงรายละเอียดชัดเจนตั้งแต่แรก จนต้องใช้ AI เจาะลึกทีละบรรทัด เรื่องนี้สะท้อนถึงพลังของ AI ในการปกป้องสิทธิ์ของผู้บริโภค และเตือนให้เราระวังการเรียกเก็บเงินที่ไม่โปร่งใสจากสถานพยาบาล โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เปราะบางที่สุดของชีวิต ✅ Claude AI ช่วยครอบครัวลดบิลค่ารักษาพยาบาลจาก $195,000 เหลือ $33,000 ➡️ ใช้การวิเคราะห์รหัสการเรียกเก็บเงินทางการแพทย์อย่างละเอียด ➡️ พบการคิดเงินซ้ำซ้อน เช่น คิดค่าหัตถการรวม และแยกรายการย่อยซ้ำอีก ➡️ ตรวจพบการใช้รหัสผู้ป่วยในแทนรหัสฉุกเฉิน ซึ่งอาจละเมิดข้อบังคับ ➡️ ช่วยเขียนจดหมายเจรจาและเตือนถึงการดำเนินคดีหรือผลกระทบทางสื่อ ✅ สาเหตุที่บิลสูงผิดปกติ ➡️ ผู้ป่วยไม่มีประกันสุขภาพในช่วงเวลานั้น ➡️ โรงพยาบาลไม่แสดงรายละเอียดรายการค่าใช้จ่ายอย่างโปร่งใส ✅ บทบาทของ AI ในการช่วยเหลือด้านการเงินและกฎหมาย ➡️ Claude AI ทำหน้าที่คล้ายผู้ช่วยนักบัญชีและนักกฎหมาย ➡️ ช่วยให้ผู้บริโภคเข้าใจระบบการเรียกเก็บเงินที่ซับซ้อน ➡️ เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือวิกฤต ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการเรียกเก็บเงินจากโรงพยาบาล ⛔ บางโรงพยาบาลอาจใช้ช่องโหว่ทางระบบเพื่อเรียกเก็บเงินเกินจริง ⛔ การไม่ตรวจสอบบิลอย่างละเอียดอาจทำให้เสียเงินจำนวนมากโดยไม่จำเป็น ⛔ การไม่มีประกันสุขภาพอาจทำให้ต้องจ่ายเงินเต็มจำนวนโดยไม่มีการต่อรอง ‼️ ความเสี่ยงจากการพึ่งพา AI โดยไม่ตรวจสอบ ⛔ AI อาจให้คำแนะนำผิดพลาดหากข้อมูลไม่ครบถ้วน ⛔ ควรใช้ AI เป็นเครื่องมือเสริม ไม่ใช่ตัวแทนการตัดสินใจทั้งหมด https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/grieving-family-uses-ai-chatbot-to-cut-hospital-bill-from-usd195-000-to-usd33-000-family-says-claude-highlighted-duplicative-charges-improper-coding-and-other-violations
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 32 มุมมอง 0 รีวิว
  • จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำพลังงานลมแห่งแรกของโลก!

    จีนสร้างศูนย์ข้อมูลใต้ทะเลลึก 35 เมตรนอกชายฝั่งเซี่ยงไฮ้ ใช้พลังงานลมและน้ำทะเลในการระบายความร้อน ตั้งเป้าเป็นต้นแบบโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ที่ประหยัดพลังงานและลดการใช้พื้นที่บนบก

    ในยุคที่ข้อมูลคือทุกสิ่ง จีนได้เปิดตัวโครงการที่พลิกโฉมวงการไอที: ศูนย์ข้อมูลใต้น้ำพลังงานลมแห่งแรกของโลก ตั้งอยู่ในพื้นที่พิเศษ Lin-gang ทางตอนใต้ของเซี่ยงไฮ้ โครงการนี้มีมูลค่ากว่า 226 ล้านดอลลาร์ และมีเป้าหมายสร้างศูนย์ข้อมูลขนาด 24 เมกะวัตต์ โดยเริ่มต้นแล้วที่ 2.3 เมกะวัตต์

    แนวคิดเบื้องหลังนั้นเรียบง่ายแต่ทรงพลัง: นำเซิร์ฟเวอร์ใส่แคปซูลกันน้ำ วางไว้ใต้ทะเล แล้วปล่อยให้ธรรมชาติช่วยระบายความร้อน ด้วยการใช้พลังงานลมจากทะเลและน้ำทะเลแทนเครื่องทำความเย็นแบบเดิม ทำให้ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (PUE) ต่ำกว่า 1.15 ซึ่งดีกว่าค่าเฉลี่ยของศูนย์ข้อมูลบนบก

    โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มรัฐวิสาหกิจจีนหลายแห่ง และมีแผนขยายเป็นเวอร์ชัน 500 เมกะวัตต์ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่: การซ่อมแซมหรืออัปเกรดฮาร์ดแวร์ในแคปซูลที่มีแรงดันสูงนั้นทั้งแพงและใช้เวลานาน

    แม้ Microsoft เคยทดลองแนวคิดคล้ายกันในโครงการ Natick แต่ก็ยุติไปเพราะต้นทุนและการบำรุงรักษาไม่คุ้มค่า จีนจึงต้องพิสูจน์ว่าแนวทางนี้จะยั่งยืนได้จริงในเชิงพาณิชย์

    จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำพลังงานลมแห่งแรกของโลก
    ตั้งอยู่ในพื้นที่ Lin-gang ใกล้เซี่ยงไฮ้
    ลึก 35 เมตรใต้ทะเล ใช้แคปซูลเหล็กเคลือบกันสนิม
    ใช้พลังงานลม 95% และน้ำทะเลในการระบายความร้อน
    PUE ต่ำกว่า 1.15 ดีกว่าค่ามาตรฐานของจีนที่ 1.25

    เป้าหมายและการขยายในอนาคต
    เริ่มต้นที่ 2.3 เมกะวัตต์ ตั้งเป้า 24 เมกะวัตต์
    มีแผนขยายเป็น 500 เมกะวัตต์ในพื้นที่นอกชายฝั่ง

    เทียบกับโครงการ Natick ของ Microsoft
    Natick มีความน่าเชื่อถือสูงถึง 8 เท่า แต่ไม่คุ้มทุน
    ถูกยุติและนำข้อมูลไปใช้ใน Azure

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cnina-deploys-wind-powered-underwater-data-center
    🌊⚡ จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำพลังงานลมแห่งแรกของโลก! จีนสร้างศูนย์ข้อมูลใต้ทะเลลึก 35 เมตรนอกชายฝั่งเซี่ยงไฮ้ ใช้พลังงานลมและน้ำทะเลในการระบายความร้อน ตั้งเป้าเป็นต้นแบบโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ที่ประหยัดพลังงานและลดการใช้พื้นที่บนบก ในยุคที่ข้อมูลคือทุกสิ่ง จีนได้เปิดตัวโครงการที่พลิกโฉมวงการไอที: ศูนย์ข้อมูลใต้น้ำพลังงานลมแห่งแรกของโลก ตั้งอยู่ในพื้นที่พิเศษ Lin-gang ทางตอนใต้ของเซี่ยงไฮ้ โครงการนี้มีมูลค่ากว่า 226 ล้านดอลลาร์ และมีเป้าหมายสร้างศูนย์ข้อมูลขนาด 24 เมกะวัตต์ โดยเริ่มต้นแล้วที่ 2.3 เมกะวัตต์ แนวคิดเบื้องหลังนั้นเรียบง่ายแต่ทรงพลัง: นำเซิร์ฟเวอร์ใส่แคปซูลกันน้ำ วางไว้ใต้ทะเล แล้วปล่อยให้ธรรมชาติช่วยระบายความร้อน ด้วยการใช้พลังงานลมจากทะเลและน้ำทะเลแทนเครื่องทำความเย็นแบบเดิม ทำให้ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (PUE) ต่ำกว่า 1.15 ซึ่งดีกว่าค่าเฉลี่ยของศูนย์ข้อมูลบนบก โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มรัฐวิสาหกิจจีนหลายแห่ง และมีแผนขยายเป็นเวอร์ชัน 500 เมกะวัตต์ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่: การซ่อมแซมหรืออัปเกรดฮาร์ดแวร์ในแคปซูลที่มีแรงดันสูงนั้นทั้งแพงและใช้เวลานาน แม้ Microsoft เคยทดลองแนวคิดคล้ายกันในโครงการ Natick แต่ก็ยุติไปเพราะต้นทุนและการบำรุงรักษาไม่คุ้มค่า จีนจึงต้องพิสูจน์ว่าแนวทางนี้จะยั่งยืนได้จริงในเชิงพาณิชย์ ✅ จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำพลังงานลมแห่งแรกของโลก ➡️ ตั้งอยู่ในพื้นที่ Lin-gang ใกล้เซี่ยงไฮ้ ➡️ ลึก 35 เมตรใต้ทะเล ใช้แคปซูลเหล็กเคลือบกันสนิม ➡️ ใช้พลังงานลม 95% และน้ำทะเลในการระบายความร้อน ➡️ PUE ต่ำกว่า 1.15 ดีกว่าค่ามาตรฐานของจีนที่ 1.25 ✅ เป้าหมายและการขยายในอนาคต ➡️ เริ่มต้นที่ 2.3 เมกะวัตต์ ตั้งเป้า 24 เมกะวัตต์ ➡️ มีแผนขยายเป็น 500 เมกะวัตต์ในพื้นที่นอกชายฝั่ง ✅ เทียบกับโครงการ Natick ของ Microsoft ➡️ Natick มีความน่าเชื่อถือสูงถึง 8 เท่า แต่ไม่คุ้มทุน ➡️ ถูกยุติและนำข้อมูลไปใช้ใน Azure https://www.tomshardware.com/tech-industry/cnina-deploys-wind-powered-underwater-data-center
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 รีวิว
  • มติเอกฉันท์ 354 คะแนน พรรคเพื่อไทยเลือก "จุลพันธ์" นั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรคคนใหม่
    https://www.thai-tai.tv/news/22136/
    .
    #ไทยไท #จุลพันธ์อมรวิวัฒน์ #พรรคเพื่อไทย #หัวหน้าพรรคคนใหม่ #ประชุมใหญ่วิสามัญ

    มติเอกฉันท์ 354 คะแนน พรรคเพื่อไทยเลือก "จุลพันธ์" นั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรคคนใหม่ https://www.thai-tai.tv/news/22136/ . #ไทยไท #จุลพันธ์อมรวิวัฒน์ #พรรคเพื่อไทย #หัวหน้าพรรคคนใหม่ #ประชุมใหญ่วิสามัญ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 21 มุมมอง 0 รีวิว
  • YouTube ลบคลิปสอนข้ามข้อจำกัด Windows 11 อ้างเสี่ยงอันตรายต่อชีวิต!

    YouTube ลบวิดีโอจากช่อง CyberCPU Tech ที่สาธิตวิธีข้ามข้อกำหนดบัญชีและฮาร์ดแวร์ของ Windows 11 โดยอ้างว่าเนื้อหา “ส่งเสริมกิจกรรมอันตรายหรือผิดกฎหมายที่เสี่ยงต่ออันตรายทางร่างกายหรือเสียชีวิต”

    Rich เจ้าของช่อง CyberCPU Tech โพสต์วิดีโอสาธิตวิธีติดตั้ง Windows 11 โดยไม่ใช้บัญชี Microsoft และข้ามข้อกำหนดฮาร์ดแวร์อย่าง TPM 2.0 ซึ่งเป็นข้อจำกัดที่ผู้ใช้หลายคนไม่พอใจ โดยเฉพาะผู้ที่ยังใช้เครื่องรุ่นเก่า

    แต่ไม่กี่วันหลังจากโพสต์ วิดีโอเหล่านั้นถูก YouTube ลบออก พร้อมคำอธิบายว่าเนื้อหา “ละเมิดนโยบายเกี่ยวกับเนื้อหาที่เป็นอันตรายหรือเสี่ยงต่อชีวิต” Rich ยื่นอุทธรณ์ แต่คำตอบที่ได้ก็ยังคลุมเครือ และไม่มีการระบุชัดเจนว่าเนื้อหาใดผิดกฎ

    Rich ตั้งข้อสงสัยว่า Microsoft อาจอยู่เบื้องหลังการแจ้งลบ แม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจน และยอมรับว่า YouTube มีสิทธิ์ควบคุมเนื้อหาบนแพลตฟอร์มของตน แต่ก็วิจารณ์ว่า “การต้องเดาว่าทำผิดอะไร” เป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิด

    เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความตึงเครียดระหว่างผู้ใช้ที่ต้องการควบคุมเครื่องของตนเอง กับบริษัทเทคโนโลยีที่กำหนดข้อจำกัดมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในยุคที่ Windows 10 กำลังจะสิ้นสุดการสนับสนุน และ Microsoft ผลักดันให้ผู้ใช้เปลี่ยนไปใช้ Copilot+ PC

    ช่อง CyberCPU Tech โพสต์วิดีโอสอนข้ามข้อจำกัด Windows 11
    วิธีใช้บัญชี local แทน Microsoft account
    วิธีติดตั้งบนเครื่องที่ไม่มี TPM 2.0

    YouTube ลบวิดีโอโดยอ้างละเมิดนโยบายเนื้อหาอันตราย
    ระบุว่า “ส่งเสริมกิจกรรมที่เสี่ยงต่ออันตรายหรือเสียชีวิต”
    ไม่ให้เหตุผลเฉพาะเจาะจงว่าผิดตรงไหน

    เจ้าของช่องตั้งข้อสงสัยว่า Microsoft อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง
    ไม่มีหลักฐานชัดเจน แต่เกิดขึ้นในช่วงที่ Microsoft เร่งผลักดัน Windows 11
    ผู้ใช้บางส่วนหันไปใช้ Mac แทน Copilot+ PC

    ความไม่โปร่งใสในการลบเนื้อหา
    ผู้สร้างเนื้อหาไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรละเมิดกฎ
    ต้องเดาและปรับเนื้อหาเองเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลบ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/windows-11-videos-demonstrating-account-and-hardware-requirements-bypass-purged-from-youtube-platform-says-content-encourages-dangerous-or-illegal-activities-that-risk-serious-physical-harm-or-death
    📹⚠️ YouTube ลบคลิปสอนข้ามข้อจำกัด Windows 11 อ้างเสี่ยงอันตรายต่อชีวิต! YouTube ลบวิดีโอจากช่อง CyberCPU Tech ที่สาธิตวิธีข้ามข้อกำหนดบัญชีและฮาร์ดแวร์ของ Windows 11 โดยอ้างว่าเนื้อหา “ส่งเสริมกิจกรรมอันตรายหรือผิดกฎหมายที่เสี่ยงต่ออันตรายทางร่างกายหรือเสียชีวิต” Rich เจ้าของช่อง CyberCPU Tech โพสต์วิดีโอสาธิตวิธีติดตั้ง Windows 11 โดยไม่ใช้บัญชี Microsoft และข้ามข้อกำหนดฮาร์ดแวร์อย่าง TPM 2.0 ซึ่งเป็นข้อจำกัดที่ผู้ใช้หลายคนไม่พอใจ โดยเฉพาะผู้ที่ยังใช้เครื่องรุ่นเก่า แต่ไม่กี่วันหลังจากโพสต์ วิดีโอเหล่านั้นถูก YouTube ลบออก พร้อมคำอธิบายว่าเนื้อหา “ละเมิดนโยบายเกี่ยวกับเนื้อหาที่เป็นอันตรายหรือเสี่ยงต่อชีวิต” Rich ยื่นอุทธรณ์ แต่คำตอบที่ได้ก็ยังคลุมเครือ และไม่มีการระบุชัดเจนว่าเนื้อหาใดผิดกฎ Rich ตั้งข้อสงสัยว่า Microsoft อาจอยู่เบื้องหลังการแจ้งลบ แม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจน และยอมรับว่า YouTube มีสิทธิ์ควบคุมเนื้อหาบนแพลตฟอร์มของตน แต่ก็วิจารณ์ว่า “การต้องเดาว่าทำผิดอะไร” เป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิด เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความตึงเครียดระหว่างผู้ใช้ที่ต้องการควบคุมเครื่องของตนเอง กับบริษัทเทคโนโลยีที่กำหนดข้อจำกัดมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในยุคที่ Windows 10 กำลังจะสิ้นสุดการสนับสนุน และ Microsoft ผลักดันให้ผู้ใช้เปลี่ยนไปใช้ Copilot+ PC ✅ ช่อง CyberCPU Tech โพสต์วิดีโอสอนข้ามข้อจำกัด Windows 11 ➡️ วิธีใช้บัญชี local แทน Microsoft account ➡️ วิธีติดตั้งบนเครื่องที่ไม่มี TPM 2.0 ✅ YouTube ลบวิดีโอโดยอ้างละเมิดนโยบายเนื้อหาอันตราย ➡️ ระบุว่า “ส่งเสริมกิจกรรมที่เสี่ยงต่ออันตรายหรือเสียชีวิต” ➡️ ไม่ให้เหตุผลเฉพาะเจาะจงว่าผิดตรงไหน ✅ เจ้าของช่องตั้งข้อสงสัยว่า Microsoft อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง ➡️ ไม่มีหลักฐานชัดเจน แต่เกิดขึ้นในช่วงที่ Microsoft เร่งผลักดัน Windows 11 ➡️ ผู้ใช้บางส่วนหันไปใช้ Mac แทน Copilot+ PC ✅ ความไม่โปร่งใสในการลบเนื้อหา ➡️ ผู้สร้างเนื้อหาไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรละเมิดกฎ ➡️ ต้องเดาและปรับเนื้อหาเองเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลบ https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/windows-11-videos-demonstrating-account-and-hardware-requirements-bypass-purged-from-youtube-platform-says-content-encourages-dangerous-or-illegal-activities-that-risk-serious-physical-harm-or-death
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 32 มุมมอง 0 รีวิว
  • อาจารย์เจษชวา ข้องใจทำไมจัดหาเสื้อเกราะจากบริษัทเดียว ก็เพราะมีผู้ผลิตเสื้อเกราะเกรดดีเจ้าเดียว ไม่ได้มีขายตามแพลตฟอร์มออนไลน์ ไม่ได้ลอยมาตามน้ำเหมือนผักตบไง
    #คิงส์โพธิ์แดง
    อาจารย์เจษชวา ข้องใจทำไมจัดหาเสื้อเกราะจากบริษัทเดียว ก็เพราะมีผู้ผลิตเสื้อเกราะเกรดดีเจ้าเดียว ไม่ได้มีขายตามแพลตฟอร์มออนไลน์ ไม่ได้ลอยมาตามน้ำเหมือนผักตบไง #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 24 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣ แม้ว่าแบงก์ชาติจะมีเจตนาดีในการเพิ่มความคล่องตัวของธุรกรรมรายย่อย การค้าการท่องเที่ยว แต่ก็อาจเข้าทางแก๊งไทยเทาจีนเทา ใช้เป็นช่องทางฟอกเงินอย่างถูกกฎหมาย
    #7ดอกจิก
    ♣ แม้ว่าแบงก์ชาติจะมีเจตนาดีในการเพิ่มความคล่องตัวของธุรกรรมรายย่อย การค้าการท่องเที่ยว แต่ก็อาจเข้าทางแก๊งไทยเทาจีนเทา ใช้เป็นช่องทางฟอกเงินอย่างถูกกฎหมาย #7ดอกจิก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 22 มุมมอง 0 รีวิว
  • เผย 13 พื้นที่ ไทยเสนอเขมรร่วมเก็บกู้ทุ่นระเบิด ข้อ2 จาก 4 ข้อตกลงสันติภาพ ทั้งช่องบก -ช่องอ่านม้า -ปราสาทตาควาย-ช่องกร่าง - ช่องเหว-บ้านสายโท 10 ใต้-บ้านชำราก - หนองจาน-หนองหญ้าแก้ว วัดใจ “ปราสาทตาควาย”

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000103986

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    เผย 13 พื้นที่ ไทยเสนอเขมรร่วมเก็บกู้ทุ่นระเบิด ข้อ2 จาก 4 ข้อตกลงสันติภาพ ทั้งช่องบก -ช่องอ่านม้า -ปราสาทตาควาย-ช่องกร่าง - ช่องเหว-บ้านสายโท 10 ใต้-บ้านชำราก - หนองจาน-หนองหญ้าแก้ว วัดใจ “ปราสาทตาควาย” อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000103986 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 137 มุมมอง 0 รีวิว
  • “วีระ สมความคิด” นำมวลชนพร้อมรถแบ็กโฮ-รถไถ เตรียมเข้ารื้อบ้านของชาวบ้านกัมพูชาที่บุกรุกพื้นที่ 64 ไร่ศูนย์อพยพบ้านหนองจานเก่า บ่ายโมงวันนี้

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000104014

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    “วีระ สมความคิด” นำมวลชนพร้อมรถแบ็กโฮ-รถไถ เตรียมเข้ารื้อบ้านของชาวบ้านกัมพูชาที่บุกรุกพื้นที่ 64 ไร่ศูนย์อพยพบ้านหนองจานเก่า บ่ายโมงวันนี้ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000104014 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • อินเทอร์เน็ตล่มทั่วโลก! Microsoft Azure ป่วนหนัก กระทบบริการนับสิบ

    เหตุการณ์ที่หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็น AWS ล่ม กลับกลายเป็นความผิดพลาดจาก Microsoft Azure ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อบริการออนไลน์ทั่วโลก ตั้งแต่ Xbox, Outlook, Google Cloud ไปจนถึงสายการบินและธนาคาร

    วันที่ 29 ตุลาคม 2025 เวลา 16:00 UTC Microsoft Azure เริ่มมีปัญหาที่ระบบ Azure Front Door (AFD) ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการจัดการทราฟฟิก ส่งผลให้ผู้ใช้งานไม่สามารถเข้าถึง Azure Portal และบริการอื่น ๆ ได้ตามปกติ

    ในช่วงแรก หลายคนเข้าใจว่า AWS เป็นต้นเหตุ เพราะ Downdetector แสดงสัญญาณผิดปกติคล้ายกับเหตุการณ์ AWS ล่มเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ในที่สุด Microsoft ก็ออกมายืนยันว่า Azure คือผู้ก่อเหตุครั้งนี้

    ผลกระทบลุกลามไปทั่วโลก ทั้งในสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร บริการที่ได้รับผลกระทบมีทั้ง Microsoft 365, Xbox, Minecraft, Outlook, Google Cloud, Zoom, Starbucks, ธนาคาร และแม้แต่สายการบินอย่าง Alaska Airlines ที่ต้องให้ผู้โดยสารเช็กอินด้วยตนเองที่สนามบิน

    Microsoft ระบุว่า สาเหตุเกิดจากการเปลี่ยนแปลงค่าคอนฟิกโดยไม่ตั้งใจ และกำลังดำเนินการแก้ไขโดยการย้อนกลับไปใช้ค่าคอนฟิกเดิม พร้อมบล็อกการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดชั่วคราว

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันเดียวกับที่ Microsoft มีกำหนดจัดประชุมรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส ยิ่งทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นไปอีก

    นี่คือบทเรียนสำคัญว่า “อินเทอร์เน็ตไม่ได้แข็งแกร่งเท่าที่เราคิด” และในโลกที่ทุกอย่างเชื่อมโยงกัน ความผิดพลาดเล็ก ๆ อาจกลายเป็นหายนะระดับโลกได้ในพริบตา

    Microsoft Azure ล่มทั่วโลกจากปัญหา Azure Front Door
    เริ่มต้นเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2025 เวลา 16:00 UTC
    ส่งผลให้บริการหลายตัวไม่สามารถเข้าถึงได้
    Microsoft ยืนยันว่าเป็นการเปลี่ยนค่าคอนฟิกโดยไม่ตั้งใจ

    บริการที่ได้รับผลกระทบ
    Microsoft 365, Xbox, Minecraft, Outlook
    Google Cloud, Zoom, Starbucks, Capital One
    สายการบิน Alaska Airlines และ Hawaiian Airlines
    ธนาคารในสหราชอาณาจักร เช่น NatWest, Nationwide, RBS

    การแก้ไขของ Microsoft
    ย้อนกลับค่าคอนฟิกไปยังสถานะเดิม
    บล็อกการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดชั่วคราว
    แนะนำให้ใช้ Azure Traffic Manager เป็นทางเลือกในการ failover

    ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ
    ความล้มเหลวของ Azure ส่งผลกระทบถึง DNS และ CDN
    แสดงให้เห็นถึงช่องโหว่ด้านความยืดหยุ่นของโครงสร้างพื้นฐาน

    ความเสี่ยงจากการพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์เพียงเจ้าเดียว
    เมื่อระบบล่ม อาจกระทบบริการหลายล้านคนพร้อมกัน
    ธุรกิจที่ไม่มีแผนสำรองอาจสูญเสียรายได้มหาศาล

    การตั้งค่าระบบโดยไม่มีการตรวจสอบหลายชั้น
    การเปลี่ยนแปลงค่าคอนฟิกเพียงครั้งเดียวอาจสร้างผลกระทบระดับโลก
    ควรมีระบบตรวจสอบและจำลองผลก่อนใช้งานจริง

    https://www.tomshardware.com/news/live/aws-outage-strikes-again-colossal-internet-breakdown-strikes-again
    🌐💥 อินเทอร์เน็ตล่มทั่วโลก! Microsoft Azure ป่วนหนัก กระทบบริการนับสิบ เหตุการณ์ที่หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็น AWS ล่ม กลับกลายเป็นความผิดพลาดจาก Microsoft Azure ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อบริการออนไลน์ทั่วโลก ตั้งแต่ Xbox, Outlook, Google Cloud ไปจนถึงสายการบินและธนาคาร วันที่ 29 ตุลาคม 2025 เวลา 16:00 UTC Microsoft Azure เริ่มมีปัญหาที่ระบบ Azure Front Door (AFD) ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการจัดการทราฟฟิก ส่งผลให้ผู้ใช้งานไม่สามารถเข้าถึง Azure Portal และบริการอื่น ๆ ได้ตามปกติ ในช่วงแรก หลายคนเข้าใจว่า AWS เป็นต้นเหตุ เพราะ Downdetector แสดงสัญญาณผิดปกติคล้ายกับเหตุการณ์ AWS ล่มเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ในที่สุด Microsoft ก็ออกมายืนยันว่า Azure คือผู้ก่อเหตุครั้งนี้ ผลกระทบลุกลามไปทั่วโลก ทั้งในสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร บริการที่ได้รับผลกระทบมีทั้ง Microsoft 365, Xbox, Minecraft, Outlook, Google Cloud, Zoom, Starbucks, ธนาคาร และแม้แต่สายการบินอย่าง Alaska Airlines ที่ต้องให้ผู้โดยสารเช็กอินด้วยตนเองที่สนามบิน Microsoft ระบุว่า สาเหตุเกิดจากการเปลี่ยนแปลงค่าคอนฟิกโดยไม่ตั้งใจ และกำลังดำเนินการแก้ไขโดยการย้อนกลับไปใช้ค่าคอนฟิกเดิม พร้อมบล็อกการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดชั่วคราว เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันเดียวกับที่ Microsoft มีกำหนดจัดประชุมรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส ยิ่งทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นไปอีก นี่คือบทเรียนสำคัญว่า “อินเทอร์เน็ตไม่ได้แข็งแกร่งเท่าที่เราคิด” และในโลกที่ทุกอย่างเชื่อมโยงกัน ความผิดพลาดเล็ก ๆ อาจกลายเป็นหายนะระดับโลกได้ในพริบตา ✅ Microsoft Azure ล่มทั่วโลกจากปัญหา Azure Front Door ➡️ เริ่มต้นเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2025 เวลา 16:00 UTC ➡️ ส่งผลให้บริการหลายตัวไม่สามารถเข้าถึงได้ ➡️ Microsoft ยืนยันว่าเป็นการเปลี่ยนค่าคอนฟิกโดยไม่ตั้งใจ ✅ บริการที่ได้รับผลกระทบ ➡️ Microsoft 365, Xbox, Minecraft, Outlook ➡️ Google Cloud, Zoom, Starbucks, Capital One ➡️ สายการบิน Alaska Airlines และ Hawaiian Airlines ➡️ ธนาคารในสหราชอาณาจักร เช่น NatWest, Nationwide, RBS ✅ การแก้ไขของ Microsoft ➡️ ย้อนกลับค่าคอนฟิกไปยังสถานะเดิม ➡️ บล็อกการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดชั่วคราว ➡️ แนะนำให้ใช้ Azure Traffic Manager เป็นทางเลือกในการ failover ✅ ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ ความล้มเหลวของ Azure ส่งผลกระทบถึง DNS และ CDN ➡️ แสดงให้เห็นถึงช่องโหว่ด้านความยืดหยุ่นของโครงสร้างพื้นฐาน ‼️ ความเสี่ยงจากการพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์เพียงเจ้าเดียว ⛔ เมื่อระบบล่ม อาจกระทบบริการหลายล้านคนพร้อมกัน ⛔ ธุรกิจที่ไม่มีแผนสำรองอาจสูญเสียรายได้มหาศาล ‼️ การตั้งค่าระบบโดยไม่มีการตรวจสอบหลายชั้น ⛔ การเปลี่ยนแปลงค่าคอนฟิกเพียงครั้งเดียวอาจสร้างผลกระทบระดับโลก ⛔ ควรมีระบบตรวจสอบและจำลองผลก่อนใช้งานจริง https://www.tomshardware.com/news/live/aws-outage-strikes-again-colossal-internet-breakdown-strikes-again
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 42 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อฮาร์ดดิสก์ที่เคยถูกฟ้อง กลับมาสร้างปัญหาอีกครั้ง

    WD ออกมายืนยันว่ากำลังตรวจสอบฮาร์ดดิสก์รุ่นเก่าที่ใช้เทคโนโลยี SMR (Shingled Magnetic Recording) ซึ่งเคยเป็นประเด็นฟ้องร้องในปี 2021 จากการไม่เปิดเผยข้อมูลต่อผู้บริโภคว่าฮาร์ดดิสก์เหล่านี้ใช้เทคโนโลยี SMR ที่มีข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพและความเสี่ยงต่อข้อมูล

    ล่าสุด นักวิทยาศาสตร์จาก 030 Datenrettung Berlin GmbH และทีมอื่น ๆ พบว่าไดรฟ์รุ่น WD Blue และ Red ที่มีรหัส WD0EZAZ, WD0EDAZ และ WD*0EFAX มีอัตราการเสียหายสูงผิดปกติ โดยเฉพาะในระบบที่ใช้ RAID หรือ ZFS ซึ่งต้องการความเสถียรในการเขียนข้อมูล

    เทคโนโลยี SMR ใช้วิธีการเขียนข้อมูลแบบ “ซ้อนทับ” คล้ายแผ่นหลังคา ทำให้เพิ่มความจุได้ถึง 25% ต่อแผ่น แต่ก็เพิ่มความซับซ้อนในการเขียนซ้ำ ส่งผลให้เกิดความล่าช้าและความเสี่ยงต่อการเสียหายของข้อมูล

    WD เคยถูกฟ้องร้องในปี 2021 และต้องจ่ายเงินชดเชยรวม 2.7 ล้านดอลลาร์ให้กับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ โดยจ่ายรายละ $4–$7 แต่ปัญหานี้ยังไม่จบ เพราะตอนนี้มีรายงานว่าไดรฟ์เหล่านี้อาจเสียหายถึงขั้น “พังทางกายภาพ” และสูญเสียข้อมูลถาวร

    WD เริ่มสอบสวนฮาร์ดดิสก์ SMR รุ่น Blue และ Red ขนาด 2–6TB
    รุ่นที่ได้รับผลกระทบ: WD0EZAZ, WD0EDAZ, WD*0EFAX
    ปัญหาถูกค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ด้านการกู้ข้อมูล
    WD ยืนยันว่า Purple Drive ไม่ได้รับผลกระทบเพราะใช้เฟิร์มแวร์ต่างกัน

    ลักษณะของเทคโนโลยี SMR
    เขียนข้อมูลแบบซ้อนทับเหมือนแผ่นหลังคา
    เพิ่มความจุได้มากขึ้น แต่ลดประสิทธิภาพในการเขียนซ้ำ
    มีปัญหาในระบบ RAID และ ZFS ที่ต้องการความเสถียรสูง

    ประวัติการฟ้องร้อง WD ในปี 2021
    WD ไม่เปิดเผยว่าใช้ SMR ในไดรฟ์รุ่นนั้น
    ถูกฟ้องและต้องจ่ายเงินชดเชยรวม $2.7 ล้าน
    ลูกค้าได้รับเงินคืนรายละ $4–$7

    https://www.tomshardware.com/pc-components/hdds/wd-launches-investigation-into-problems-with-its-smr-hard-drives-the-same-drives-that-got-wd-sued-in-2021-now-reporting-failure-rates-due-to-fundamental-flaws
    🎙️ เมื่อฮาร์ดดิสก์ที่เคยถูกฟ้อง กลับมาสร้างปัญหาอีกครั้ง WD ออกมายืนยันว่ากำลังตรวจสอบฮาร์ดดิสก์รุ่นเก่าที่ใช้เทคโนโลยี SMR (Shingled Magnetic Recording) ซึ่งเคยเป็นประเด็นฟ้องร้องในปี 2021 จากการไม่เปิดเผยข้อมูลต่อผู้บริโภคว่าฮาร์ดดิสก์เหล่านี้ใช้เทคโนโลยี SMR ที่มีข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพและความเสี่ยงต่อข้อมูล ล่าสุด นักวิทยาศาสตร์จาก 030 Datenrettung Berlin GmbH และทีมอื่น ๆ พบว่าไดรฟ์รุ่น WD Blue และ Red ที่มีรหัส WD0EZAZ, WD0EDAZ และ WD*0EFAX มีอัตราการเสียหายสูงผิดปกติ โดยเฉพาะในระบบที่ใช้ RAID หรือ ZFS ซึ่งต้องการความเสถียรในการเขียนข้อมูล เทคโนโลยี SMR ใช้วิธีการเขียนข้อมูลแบบ “ซ้อนทับ” คล้ายแผ่นหลังคา ทำให้เพิ่มความจุได้ถึง 25% ต่อแผ่น แต่ก็เพิ่มความซับซ้อนในการเขียนซ้ำ ส่งผลให้เกิดความล่าช้าและความเสี่ยงต่อการเสียหายของข้อมูล WD เคยถูกฟ้องร้องในปี 2021 และต้องจ่ายเงินชดเชยรวม 2.7 ล้านดอลลาร์ให้กับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ โดยจ่ายรายละ $4–$7 แต่ปัญหานี้ยังไม่จบ เพราะตอนนี้มีรายงานว่าไดรฟ์เหล่านี้อาจเสียหายถึงขั้น “พังทางกายภาพ” และสูญเสียข้อมูลถาวร ✅ WD เริ่มสอบสวนฮาร์ดดิสก์ SMR รุ่น Blue และ Red ขนาด 2–6TB ➡️ รุ่นที่ได้รับผลกระทบ: WD0EZAZ, WD0EDAZ, WD*0EFAX ➡️ ปัญหาถูกค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ด้านการกู้ข้อมูล ➡️ WD ยืนยันว่า Purple Drive ไม่ได้รับผลกระทบเพราะใช้เฟิร์มแวร์ต่างกัน ✅ ลักษณะของเทคโนโลยี SMR ➡️ เขียนข้อมูลแบบซ้อนทับเหมือนแผ่นหลังคา ➡️ เพิ่มความจุได้มากขึ้น แต่ลดประสิทธิภาพในการเขียนซ้ำ ➡️ มีปัญหาในระบบ RAID และ ZFS ที่ต้องการความเสถียรสูง ✅ ประวัติการฟ้องร้อง WD ในปี 2021 ➡️ WD ไม่เปิดเผยว่าใช้ SMR ในไดรฟ์รุ่นนั้น ➡️ ถูกฟ้องและต้องจ่ายเงินชดเชยรวม $2.7 ล้าน ➡️ ลูกค้าได้รับเงินคืนรายละ $4–$7 https://www.tomshardware.com/pc-components/hdds/wd-launches-investigation-into-problems-with-its-smr-hard-drives-the-same-drives-that-got-wd-sued-in-2021-now-reporting-failure-rates-due-to-fundamental-flaws
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 35 มุมมอง 0 รีวิว