0 ความคิดเห็น
               0 การแบ่งปัน
               1 มุมมอง
                0 รีวิว
                
 รายการ
ค้นพบผู้คนใหม่ๆ สร้างการเชื่อมต่อใหม่ๆ และรู้จักเพื่อนใหม่
-  กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อกดถูกใจ แชร์ และแสดงความคิดเห็น!
-  Sora บุกตลาดเอเชีย! แอปสร้างวิดีโอจาก OpenAI พร้อมฟีเจอร์ Cameo สุดฮิตและกฎความปลอดภัยใหม่
 
 OpenAI เปิดตัว Sora App ในเอเชียอย่างเป็นทางการ พร้อมฟีเจอร์ Cameo ที่ให้ผู้ใช้ใส่ตัวเองลงในวิดีโอ AI และระบบความปลอดภัยหลายชั้นเพื่อป้องกันเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม
 
 Sora App คือแอปสร้างวิดีโอด้วย AI จาก OpenAI ที่เปิดตัวครั้งแรกในสหรัฐฯ และแคนาดาเมื่อเดือนกันยายน และตอนนี้ได้ขยายสู่เอเชีย โดยเริ่มที่ไต้หวัน ไทย และเวียดนาม ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีชุมชนครีเอเตอร์ที่แข็งแกร่ง
 
 ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดแอปได้ทันทีจาก Apple App Store โดยไม่ต้องใช้โค้ดเชิญ ฟีเจอร์เด่นของ Sora ได้แก่การสร้างวิดีโอจากข้อความ (text-to-video), การรีมิกซ์วิดีโอของผู้ใช้อื่น, ฟีดวิดีโอที่ปรับแต่งได้ และ Cameo — ฟีเจอร์ที่ให้ผู้ใช้บันทึกคลิปและเสียงของตัวเองเพื่อให้ AI สร้างวิดีโอที่มีใบหน้าและเสียงของผู้ใช้ในฉากต่างๆ
 
 OpenAI เน้นย้ำเรื่องความปลอดภัย โดยใช้ระบบกรองหลายชั้น เช่น การตรวจสอบเฟรมวิดีโอ, คำสั่งข้อความ และเสียง เพื่อป้องกันเนื้อหาลามก, ส่งเสริมการทำร้ายตัวเอง หรือเนื้อหาก่อการร้าย นอกจากนี้ยังมีระบบ watermark แบบ C2PA ที่ฝังในวิดีโอเพื่อระบุว่าเป็นเนื้อหา AI
 
 ฟีเจอร์ Cameo ยังให้ผู้ใช้ควบคุมสิทธิ์ของตัวเองได้เต็มที่ เช่น ถอนการอนุญาต หรือขอลบวิดีโอที่มีใบหน้าตนเอง แม้จะยังอยู่ในร่างต้นฉบับก็ตาม
 
 สำหรับผู้ใช้วัยรุ่น Sora มีการจำกัดเวลาการใช้งานรายวัน และเพิ่มการตรวจสอบจากมนุษย์เพื่อป้องกันการกลั่นแกล้ง พร้อมระบบควบคุมโดยผู้ปกครองผ่าน ChatGPT
 
 สรุปเนื้อหาสำคัญและคำเตือน
 
 Sora App เปิดตัวในเอเชีย
 เริ่มใช้งานในไต้หวัน ไทย และเวียดนาม
 ดาวน์โหลดได้ทันทีจาก Apple App Store โดยไม่ต้องใช้โค้ดเชิญ
 
 ฟีเจอร์เด่นของ Sora
 สร้างวิดีโอจากข้อความ (text-to-video)
 รีมิกซ์วิดีโอของผู้ใช้อื่น
 ฟีดวิดีโอที่ปรับแต่งได้
 Cameo: ใส่ใบหน้าและเสียงของผู้ใช้ลงในวิดีโอ AI
 
 ระบบความปลอดภัยของ Sora
 กรองเนื้อหาด้วยการตรวจสอบเฟรม, ข้อความ และเสียง
 ป้องกันเนื้อหาลามก, ส่งเสริมการทำร้ายตัวเอง และก่อการร้าย
 ใช้ watermark แบบ C2PA เพื่อระบุว่าเป็นวิดีโอจาก AI
 
 การควบคุมสิทธิ์ของผู้ใช้
 ผู้ใช้สามารถถอนการอนุญาต Cameo ได้ทุกเมื่อ
 ขอให้ลบวิดีโอที่มีใบหน้าตนเองได้ แม้ยังไม่เผยแพร่
 
 การป้องกันสำหรับผู้ใช้วัยรุ่น
 จำกัดเวลาการใช้งานรายวัน
 เพิ่มการตรวจสอบจากมนุษย์
 ผู้ปกครองสามารถควบคุมผ่าน ChatGPT
 
 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม
 เทคโนโลยี C2PA (Coalition for Content Provenance and Authenticity) เป็นมาตรฐานใหม่ที่ใช้ระบุแหล่งที่มาของเนื้อหาดิจิทัล
 ฟีเจอร์ Cameo คล้ายกับเทคโนโลยี deepfake แต่มีการควบคุมสิทธิ์และความปลอดภัยมากกว่า
 การเปิดตัวในเอเชียสะท้อนถึงการเติบโตของตลาดครีเอเตอร์ในภูมิภาคนี้อย่างชัดเจน
 
 https://securityonline.info/openai-launches-sora-app-in-asia-featuring-viral-cameos-and-new-safety-rules/📹 Sora บุกตลาดเอเชีย! แอปสร้างวิดีโอจาก OpenAI พร้อมฟีเจอร์ Cameo สุดฮิตและกฎความปลอดภัยใหม่ OpenAI เปิดตัว Sora App ในเอเชียอย่างเป็นทางการ พร้อมฟีเจอร์ Cameo ที่ให้ผู้ใช้ใส่ตัวเองลงในวิดีโอ AI และระบบความปลอดภัยหลายชั้นเพื่อป้องกันเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม Sora App คือแอปสร้างวิดีโอด้วย AI จาก OpenAI ที่เปิดตัวครั้งแรกในสหรัฐฯ และแคนาดาเมื่อเดือนกันยายน และตอนนี้ได้ขยายสู่เอเชีย โดยเริ่มที่ไต้หวัน ไทย และเวียดนาม ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีชุมชนครีเอเตอร์ที่แข็งแกร่ง ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดแอปได้ทันทีจาก Apple App Store โดยไม่ต้องใช้โค้ดเชิญ ฟีเจอร์เด่นของ Sora ได้แก่การสร้างวิดีโอจากข้อความ (text-to-video), การรีมิกซ์วิดีโอของผู้ใช้อื่น, ฟีดวิดีโอที่ปรับแต่งได้ และ Cameo — ฟีเจอร์ที่ให้ผู้ใช้บันทึกคลิปและเสียงของตัวเองเพื่อให้ AI สร้างวิดีโอที่มีใบหน้าและเสียงของผู้ใช้ในฉากต่างๆ OpenAI เน้นย้ำเรื่องความปลอดภัย โดยใช้ระบบกรองหลายชั้น เช่น การตรวจสอบเฟรมวิดีโอ, คำสั่งข้อความ และเสียง เพื่อป้องกันเนื้อหาลามก, ส่งเสริมการทำร้ายตัวเอง หรือเนื้อหาก่อการร้าย นอกจากนี้ยังมีระบบ watermark แบบ C2PA ที่ฝังในวิดีโอเพื่อระบุว่าเป็นเนื้อหา AI ฟีเจอร์ Cameo ยังให้ผู้ใช้ควบคุมสิทธิ์ของตัวเองได้เต็มที่ เช่น ถอนการอนุญาต หรือขอลบวิดีโอที่มีใบหน้าตนเอง แม้จะยังอยู่ในร่างต้นฉบับก็ตาม สำหรับผู้ใช้วัยรุ่น Sora มีการจำกัดเวลาการใช้งานรายวัน และเพิ่มการตรวจสอบจากมนุษย์เพื่อป้องกันการกลั่นแกล้ง พร้อมระบบควบคุมโดยผู้ปกครองผ่าน ChatGPT 📌 สรุปเนื้อหาสำคัญและคำเตือน ✅ Sora App เปิดตัวในเอเชีย ➡️ เริ่มใช้งานในไต้หวัน ไทย และเวียดนาม ➡️ ดาวน์โหลดได้ทันทีจาก Apple App Store โดยไม่ต้องใช้โค้ดเชิญ ✅ ฟีเจอร์เด่นของ Sora ➡️ สร้างวิดีโอจากข้อความ (text-to-video) ➡️ รีมิกซ์วิดีโอของผู้ใช้อื่น ➡️ ฟีดวิดีโอที่ปรับแต่งได้ ➡️ Cameo: ใส่ใบหน้าและเสียงของผู้ใช้ลงในวิดีโอ AI ✅ ระบบความปลอดภัยของ Sora ➡️ กรองเนื้อหาด้วยการตรวจสอบเฟรม, ข้อความ และเสียง ➡️ ป้องกันเนื้อหาลามก, ส่งเสริมการทำร้ายตัวเอง และก่อการร้าย ➡️ ใช้ watermark แบบ C2PA เพื่อระบุว่าเป็นวิดีโอจาก AI ✅ การควบคุมสิทธิ์ของผู้ใช้ ➡️ ผู้ใช้สามารถถอนการอนุญาต Cameo ได้ทุกเมื่อ ➡️ ขอให้ลบวิดีโอที่มีใบหน้าตนเองได้ แม้ยังไม่เผยแพร่ ✅ การป้องกันสำหรับผู้ใช้วัยรุ่น ➡️ จำกัดเวลาการใช้งานรายวัน ➡️ เพิ่มการตรวจสอบจากมนุษย์ ➡️ ผู้ปกครองสามารถควบคุมผ่าน ChatGPT 🌐 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม 💠 เทคโนโลยี C2PA (Coalition for Content Provenance and Authenticity) เป็นมาตรฐานใหม่ที่ใช้ระบุแหล่งที่มาของเนื้อหาดิจิทัล 💠 ฟีเจอร์ Cameo คล้ายกับเทคโนโลยี deepfake แต่มีการควบคุมสิทธิ์และความปลอดภัยมากกว่า 💠 การเปิดตัวในเอเชียสะท้อนถึงการเติบโตของตลาดครีเอเตอร์ในภูมิภาคนี้อย่างชัดเจน https://securityonline.info/openai-launches-sora-app-in-asia-featuring-viral-cameos-and-new-safety-rules/SECURITYONLINE.INFOOpenAI Launches Sora App in Asia, Featuring Viral ‘Cameos’ and New Safety RulesOpenAI expanded the Sora App to Asia, featuring the popular 'Cameos' tool and strict copyright safeguards after calls from the Japanese government.0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 18 มุมมอง 0 รีวิว
-  PhantomRaven: มัลแวร์ npm สุดแสบที่ขโมยข้อมูลนักพัฒนาแบบแนบเนียน
 
 แคมเปญมัลแวร์ PhantomRaven แอบแฝงใน npm ด้วยแพ็กเกจปลอมกว่า 126 รายการ ใช้เทคนิคลับ Remote Dynamic Dependency เพื่อขโมยโทเคนและข้อมูลลับของนักพัฒนาโดยไม่ถูกตรวจจับ
 
 ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2025 แคมเปญมัลแวร์ชื่อ PhantomRaven ได้แอบปล่อยแพ็กเกจ npm ปลอมกว่า 126 รายการ ซึ่งถูกดาวน์โหลดไปแล้วกว่า 86,000 ครั้ง จุดประสงค์หลักคือขโมยข้อมูลลับของนักพัฒนา เช่น GitHub credentials, CI/CD tokens และ npm authentication tokens
 
 สิ่งที่ทำให้ PhantomRaven อันตรายคือการใช้ฟีเจอร์ Remote Dynamic Dependency (RDD) ซึ่งอนุญาตให้แพ็กเกจ npm ดึง dependencies จาก URL ภายนอก แทนที่จะใช้ registry ปกติ ทำให้เครื่องมือสแกนความปลอดภัยมองว่าแพ็กเกจเหล่านี้ “ไม่มี dependencies” และปลอดภัย ทั้งที่จริงแล้วโค้ดอันตรายจะถูกดึงมาและรันทันทีเมื่อผู้ใช้ติดตั้ง
 
 แพ็กเกจปลอมเหล่านี้มักมีชื่อคล้ายของจริง เช่น eslint-comments (จริงคือ eslint-plugin-eslint-comments) หรือ unused-imports (จริงคือ eslint-plugin-unused-imports) ซึ่งถูกออกแบบมาให้ AI แนะนำโดยผิดพลาดเมื่อผู้ใช้ถามหาแพ็กเกจในแชตบอตหรือ Copilot
 
 เมื่อโค้ดรัน มัลแวร์จะเริ่มเก็บข้อมูลจากไฟล์ .gitconfig, .npmrc, package.json รวมถึงสแกนหาโทเคนจาก GitHub Actions, GitLab, Jenkins และ CircleCI จากนั้นจะส่งข้อมูลออกผ่าน HTTP GET, POST และ WebSocket เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลจะหลุดออกไปแม้ในเครือข่ายที่มีไฟร์วอลล์
 
 PhantomRaven คือแคมเปญมัลแวร์ใน npm
 ปล่อยแพ็กเกจปลอมกว่า 126 รายการ
 ถูกดาวน์โหลดไปแล้วกว่า 86,000 ครั้ง
 เริ่มต้นในเดือนสิงหาคม 2025 และยังมีแพ็กเกจที่ยังไม่ถูกลบ
 
 เทคนิค Remote Dynamic Dependency (RDD)
 ดึงโค้ดจาก URL ภายนอกแทน registry
 ทำให้เครื่องมือสแกนมองว่าไม่มี dependencies
 โค้ดอันตรายจะรันทันทีเมื่อติดตั้งผ่าน preinstall script
 
 ข้อมูลที่มัลแวร์พยายามขโมย
 อีเมลและข้อมูลจากไฟล์ config
 โทเคนจาก GitHub, GitLab, Jenkins, CircleCI
 ข้อมูลระบบ เช่น IP, hostname, OS, username
 
 ช่องทางการส่งข้อมูลออก
 HTTP GET (ฝังข้อมูลใน URL)
 HTTP POST (ส่ง JSON payload)
 WebSocket (ใช้ในเครือข่ายที่มีข้อจำกัด)
 
 ความเสี่ยงจากแพ็กเกจปลอม
 ชื่อคล้ายของจริง ทำให้ AI แนะนำผิด
 ผู้ใช้ติดตั้งโดยไม่รู้ว่าเป็นมัลแวร์
 โค้ดดูเหมือน harmless เช่น console.log('Hello, world!') แต่แฝง payload จริงไว้ภายนอก
 
 ความเสี่ยงต่อระบบ CI/CD และข้อมูลลับ
 โทเคนและ credentials ถูกขโมยโดยไม่รู้ตัว
 ส่งผลกระทบต่อระบบอัตโนมัติและการ deploy
 อาจถูกใช้เพื่อเจาะระบบองค์กรหรือ cloud infrastructure
 
 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม
 Remote Dynamic Dependency เป็นฟีเจอร์ที่แทบไม่มีใครใช้ เพราะเสี่ยงต่อความปลอดภัยสูง
 Slopsquatting คือเทคนิคใหม่ที่ใช้ AI สร้างชื่อแพ็กเกจปลอมที่ “ดูเหมือนจริง” เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ติดตั้ง
 นักพัฒนาควรใช้เครื่องมือเช่น npm audit, Snyk, หรือ Socket.dev เพื่อตรวจสอบความปลอดภัยของแพ็กเกจ
 
 https://securityonline.info/phantomraven-126-malicious-npm-packages-steal-developer-tokens-and-secrets-using-hidden-dependencies/🚨 PhantomRaven: มัลแวร์ npm สุดแสบที่ขโมยข้อมูลนักพัฒนาแบบแนบเนียน แคมเปญมัลแวร์ PhantomRaven แอบแฝงใน npm ด้วยแพ็กเกจปลอมกว่า 126 รายการ ใช้เทคนิคลับ Remote Dynamic Dependency เพื่อขโมยโทเคนและข้อมูลลับของนักพัฒนาโดยไม่ถูกตรวจจับ ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2025 แคมเปญมัลแวร์ชื่อ PhantomRaven ได้แอบปล่อยแพ็กเกจ npm ปลอมกว่า 126 รายการ ซึ่งถูกดาวน์โหลดไปแล้วกว่า 86,000 ครั้ง จุดประสงค์หลักคือขโมยข้อมูลลับของนักพัฒนา เช่น GitHub credentials, CI/CD tokens และ npm authentication tokens สิ่งที่ทำให้ PhantomRaven อันตรายคือการใช้ฟีเจอร์ Remote Dynamic Dependency (RDD) ซึ่งอนุญาตให้แพ็กเกจ npm ดึง dependencies จาก URL ภายนอก แทนที่จะใช้ registry ปกติ ทำให้เครื่องมือสแกนความปลอดภัยมองว่าแพ็กเกจเหล่านี้ “ไม่มี dependencies” และปลอดภัย ทั้งที่จริงแล้วโค้ดอันตรายจะถูกดึงมาและรันทันทีเมื่อผู้ใช้ติดตั้ง แพ็กเกจปลอมเหล่านี้มักมีชื่อคล้ายของจริง เช่น eslint-comments (จริงคือ eslint-plugin-eslint-comments) หรือ unused-imports (จริงคือ eslint-plugin-unused-imports) ซึ่งถูกออกแบบมาให้ AI แนะนำโดยผิดพลาดเมื่อผู้ใช้ถามหาแพ็กเกจในแชตบอตหรือ Copilot เมื่อโค้ดรัน มัลแวร์จะเริ่มเก็บข้อมูลจากไฟล์ .gitconfig, .npmrc, package.json รวมถึงสแกนหาโทเคนจาก GitHub Actions, GitLab, Jenkins และ CircleCI จากนั้นจะส่งข้อมูลออกผ่าน HTTP GET, POST และ WebSocket เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลจะหลุดออกไปแม้ในเครือข่ายที่มีไฟร์วอลล์ ✅ PhantomRaven คือแคมเปญมัลแวร์ใน npm ➡️ ปล่อยแพ็กเกจปลอมกว่า 126 รายการ ➡️ ถูกดาวน์โหลดไปแล้วกว่า 86,000 ครั้ง ➡️ เริ่มต้นในเดือนสิงหาคม 2025 และยังมีแพ็กเกจที่ยังไม่ถูกลบ ✅ เทคนิค Remote Dynamic Dependency (RDD) ➡️ ดึงโค้ดจาก URL ภายนอกแทน registry ➡️ ทำให้เครื่องมือสแกนมองว่าไม่มี dependencies ➡️ โค้ดอันตรายจะรันทันทีเมื่อติดตั้งผ่าน preinstall script ✅ ข้อมูลที่มัลแวร์พยายามขโมย ➡️ อีเมลและข้อมูลจากไฟล์ config ➡️ โทเคนจาก GitHub, GitLab, Jenkins, CircleCI ➡️ ข้อมูลระบบ เช่น IP, hostname, OS, username ✅ ช่องทางการส่งข้อมูลออก ➡️ HTTP GET (ฝังข้อมูลใน URL) ➡️ HTTP POST (ส่ง JSON payload) ➡️ WebSocket (ใช้ในเครือข่ายที่มีข้อจำกัด) ‼️ ความเสี่ยงจากแพ็กเกจปลอม ⛔ ชื่อคล้ายของจริง ทำให้ AI แนะนำผิด ⛔ ผู้ใช้ติดตั้งโดยไม่รู้ว่าเป็นมัลแวร์ ⛔ โค้ดดูเหมือน harmless เช่น console.log('Hello, world!') แต่แฝง payload จริงไว้ภายนอก ‼️ ความเสี่ยงต่อระบบ CI/CD และข้อมูลลับ ⛔ โทเคนและ credentials ถูกขโมยโดยไม่รู้ตัว ⛔ ส่งผลกระทบต่อระบบอัตโนมัติและการ deploy ⛔ อาจถูกใช้เพื่อเจาะระบบองค์กรหรือ cloud infrastructure 🧠 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม 🎗️ Remote Dynamic Dependency เป็นฟีเจอร์ที่แทบไม่มีใครใช้ เพราะเสี่ยงต่อความปลอดภัยสูง 🎗️ Slopsquatting คือเทคนิคใหม่ที่ใช้ AI สร้างชื่อแพ็กเกจปลอมที่ “ดูเหมือนจริง” เพื่อหลอกให้ผู้ใช้ติดตั้ง 🎗️ นักพัฒนาควรใช้เครื่องมือเช่น npm audit, Snyk, หรือ Socket.dev เพื่อตรวจสอบความปลอดภัยของแพ็กเกจ https://securityonline.info/phantomraven-126-malicious-npm-packages-steal-developer-tokens-and-secrets-using-hidden-dependencies/SECURITYONLINE.INFOPhantomRaven: 126 Malicious npm Packages Steal Developer Tokens and Secrets Using Hidden DependenciesKoi Security exposed PhantomRaven, an npm supply chain attack using 126 packages. It leverages Remote Dynamic Dependencies (RDD) and AI slopsquatting to steal GitHub/CI/CD secrets from 86,000+ downloads.0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
-  Airstalk: มัลแวร์สายลับระดับชาติ แฝงตัวผ่านระบบ MDM ของ VMware เพื่อขโมยข้อมูลแบบไร้ร่องรอย
 
 นักวิจัยจาก Unit 42 แห่ง Palo Alto Networks พบมัลแวร์ใหม่ชื่อ Airstalk ที่ใช้ API ของ VMware AirWatch (Workspace ONE) เป็นช่องทางสื่อสารลับ (C2) เพื่อขโมยข้อมูลจากองค์กรผ่านการโจมตีแบบ supply chain
 
 Airstalk ไม่ใช่มัลแวร์ธรรมดา แต่มันคือเครื่องมือจารกรรมที่ถูกออกแบบมาอย่างชาญฉลาด โดยมีทั้งเวอร์ชัน PowerShell และ .NET ซึ่งสามารถขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์ เช่น cookies, bookmarks, ประวัติการใช้งาน และภาพหน้าจอ
 
 สิ่งที่ทำให้ Airstalk น่ากลัวคือมันใช้ API ของ AirWatch ซึ่งเป็นระบบจัดการอุปกรณ์พกพา (MDM) ที่องค์กรจำนวนมากใช้ในการควบคุมมือถือและแท็บเล็ตของพนักงาน โดย Airstalk แอบใช้ฟีเจอร์ “custom device attributes” และ “file uploads” เพื่อส่งคำสั่งและรับข้อมูลกลับจากเครื่องเหยื่อ — เหมือนกับการใช้ “ตู้ฝากของลับ” แบบสายลับ
 
 มัลแวร์นี้ยังใช้เทคนิคขั้นสูง เช่น การเซ็นชื่อดิจิทัลด้วยใบรับรองที่ถูกขโมย การเปลี่ยนแปลง timestamp ของไฟล์ และการลบตัวเองหลังจากทำงานเสร็จ เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ
 
 Unit 42 เชื่อว่ามัลแวร์นี้ถูกใช้โดยกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ (nation-state actor) และมีเป้าหมายคือการจารกรรมระยะยาว ไม่ใช่การโจมตีแบบทำลายล้าง โดยเฉพาะการเจาะผ่านบริษัท BPO (outsourcing) ที่ให้บริการกับหลายองค์กร ทำให้สามารถเข้าถึงเหยื่อจำนวนมากได้ในคราวเดียว
 
 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม
 “Dead drop” เป็นเทคนิคที่สายลับใช้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลโดยไม่พบกันโดยตรง
 AirWatch (Workspace ONE) เป็นระบบ MDM ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในองค์กรขนาดใหญ่
 การโจมตีแบบ supply chain เคยเกิดขึ้นแล้วในกรณี SolarWinds และ 3CX ซึ่งสร้างความเสียหายมหาศาล
 
 Airstalk คือมัลแวร์จารกรรมระดับสูง
 มีทั้งเวอร์ชัน PowerShell และ .NET
 ขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์ เช่น cookies, bookmarks, screenshots
 ใช้ API ของ VMware AirWatch เป็นช่องทางสื่อสารลับ
 
 เทคนิคการโจมตี
 ใช้ “custom device attributes” และ “file uploads” เพื่อส่งคำสั่ง
 ใช้ endpoint /api/mdm/devices/ และ /api/mam/blobs/uploadblob
 สื่อสารแบบ “dead drop” โดยไม่ต้องเชื่อมต่อโดยตรง
 
 ความสามารถของเวอร์ชัน .NET
 รองรับ multi-threaded communication
 มีระบบ debug, beaconing ทุก 10 นาที
 รองรับเบราว์เซอร์หลายตัว เช่น Chrome, Edge, Island
 
 เทคนิคหลบเลี่ยงการตรวจจับ
 ใช้ใบรับรองดิจิทัลที่ถูกขโมย
 เปลี่ยน timestamp ของไฟล์
 ลบตัวเองหลังจากทำงานเสร็จ
 
 ความเสี่ยงจากการใช้ MDM เป็นช่องทางโจมตี
 ทำให้มัลแวร์แฝงตัวในระบบที่องค์กรไว้วางใจ
 ยากต่อการตรวจจับโดยระบบป้องกันทั่วไป
 อาจเข้าถึงข้อมูลของหลายองค์กรผ่านผู้ให้บริการ BPO
 
 ความเสี่ยงต่อความมั่นคงขององค์กร
 ข้อมูลสำคัญอาจถูกขโมยโดยไม่รู้ตัว
 การโจมตีแบบ supply chain ทำให้ยากต่อการควบคุม
 อาจนำไปสู่การจารกรรมระดับชาติหรืออุตสาหกรรม
 
 https://securityonline.info/nation-state-espionage-airstalk-malware-hijacks-vmware-airwatch-mdm-api-for-covert-c2-channel/🕵️♂️ Airstalk: มัลแวร์สายลับระดับชาติ แฝงตัวผ่านระบบ MDM ของ VMware เพื่อขโมยข้อมูลแบบไร้ร่องรอย นักวิจัยจาก Unit 42 แห่ง Palo Alto Networks พบมัลแวร์ใหม่ชื่อ Airstalk ที่ใช้ API ของ VMware AirWatch (Workspace ONE) เป็นช่องทางสื่อสารลับ (C2) เพื่อขโมยข้อมูลจากองค์กรผ่านการโจมตีแบบ supply chain Airstalk ไม่ใช่มัลแวร์ธรรมดา แต่มันคือเครื่องมือจารกรรมที่ถูกออกแบบมาอย่างชาญฉลาด โดยมีทั้งเวอร์ชัน PowerShell และ .NET ซึ่งสามารถขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์ เช่น cookies, bookmarks, ประวัติการใช้งาน และภาพหน้าจอ สิ่งที่ทำให้ Airstalk น่ากลัวคือมันใช้ API ของ AirWatch ซึ่งเป็นระบบจัดการอุปกรณ์พกพา (MDM) ที่องค์กรจำนวนมากใช้ในการควบคุมมือถือและแท็บเล็ตของพนักงาน โดย Airstalk แอบใช้ฟีเจอร์ “custom device attributes” และ “file uploads” เพื่อส่งคำสั่งและรับข้อมูลกลับจากเครื่องเหยื่อ — เหมือนกับการใช้ “ตู้ฝากของลับ” แบบสายลับ มัลแวร์นี้ยังใช้เทคนิคขั้นสูง เช่น การเซ็นชื่อดิจิทัลด้วยใบรับรองที่ถูกขโมย การเปลี่ยนแปลง timestamp ของไฟล์ และการลบตัวเองหลังจากทำงานเสร็จ เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ Unit 42 เชื่อว่ามัลแวร์นี้ถูกใช้โดยกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ (nation-state actor) และมีเป้าหมายคือการจารกรรมระยะยาว ไม่ใช่การโจมตีแบบทำลายล้าง โดยเฉพาะการเจาะผ่านบริษัท BPO (outsourcing) ที่ให้บริการกับหลายองค์กร ทำให้สามารถเข้าถึงเหยื่อจำนวนมากได้ในคราวเดียว 🧠 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม 💠 “Dead drop” เป็นเทคนิคที่สายลับใช้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลโดยไม่พบกันโดยตรง 💠 AirWatch (Workspace ONE) เป็นระบบ MDM ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในองค์กรขนาดใหญ่ 💠 การโจมตีแบบ supply chain เคยเกิดขึ้นแล้วในกรณี SolarWinds และ 3CX ซึ่งสร้างความเสียหายมหาศาล ✅ Airstalk คือมัลแวร์จารกรรมระดับสูง ➡️ มีทั้งเวอร์ชัน PowerShell และ .NET ➡️ ขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์ เช่น cookies, bookmarks, screenshots ➡️ ใช้ API ของ VMware AirWatch เป็นช่องทางสื่อสารลับ ✅ เทคนิคการโจมตี ➡️ ใช้ “custom device attributes” และ “file uploads” เพื่อส่งคำสั่ง ➡️ ใช้ endpoint /api/mdm/devices/ และ /api/mam/blobs/uploadblob ➡️ สื่อสารแบบ “dead drop” โดยไม่ต้องเชื่อมต่อโดยตรง ✅ ความสามารถของเวอร์ชัน .NET ➡️ รองรับ multi-threaded communication ➡️ มีระบบ debug, beaconing ทุก 10 นาที ➡️ รองรับเบราว์เซอร์หลายตัว เช่น Chrome, Edge, Island ✅ เทคนิคหลบเลี่ยงการตรวจจับ ➡️ ใช้ใบรับรองดิจิทัลที่ถูกขโมย ➡️ เปลี่ยน timestamp ของไฟล์ ➡️ ลบตัวเองหลังจากทำงานเสร็จ ‼️ ความเสี่ยงจากการใช้ MDM เป็นช่องทางโจมตี ⛔ ทำให้มัลแวร์แฝงตัวในระบบที่องค์กรไว้วางใจ ⛔ ยากต่อการตรวจจับโดยระบบป้องกันทั่วไป ⛔ อาจเข้าถึงข้อมูลของหลายองค์กรผ่านผู้ให้บริการ BPO ‼️ ความเสี่ยงต่อความมั่นคงขององค์กร ⛔ ข้อมูลสำคัญอาจถูกขโมยโดยไม่รู้ตัว ⛔ การโจมตีแบบ supply chain ทำให้ยากต่อการควบคุม ⛔ อาจนำไปสู่การจารกรรมระดับชาติหรืออุตสาหกรรม https://securityonline.info/nation-state-espionage-airstalk-malware-hijacks-vmware-airwatch-mdm-api-for-covert-c2-channel/SECURITYONLINE.INFONation-State Espionage: Airstalk Malware Hijacks VMware AirWatch (MDM) API for Covert C2 ChannelUnit 42 exposed Airstalk, a suspected nation-state malware that abuses VMware AirWatch (MDM) APIs for a covert C2 dead drop. The tool is used to steal credentials and browser data in supply chain attacks.0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 22 มุมมอง 0 รีวิว
-  Examples Of Every Letter Being Silent, With The Exception Of…
 
 You probably already know that English features many, many words with silent letters—letters that appear in the word but aren’t pronounced and often make us wonder what they are even doing there. For example, the letter B in the words debt and thumb. Or whatever the heck is going on in the words colonel, queue, and bourgeoisie.
 
 Even though you’re probably already familiar with silent letters, you might not realize just how many words in English actually use them. To demonstrate just how common these silent letters actually are, we quietly gathered up a list of as many examples of silent letters as we could find.
 
 It should be noted that silent letters often depend on pronunciation and regional accents, which we have noted at points in our list.
 
 Silent A words
 
 The letter A is silent in a bunch of words that include -ea, such as bread, dread, head, thread, and spread. The letter A also remains quiet in a bunch of adverbs that end in -ically, such as basically, stoically, logically, frantically, fanatically, magically, and tragically. A few words also have a silent A at the beginning that doesn’t seem to do much of anything, such as aisle and aesthetic.
 
 Silent B words
 
 The letter B likes to silently follow the letter M at the end of many words, such as in dumb, plumb, crumb, thumb, numb, succumb, lamb, limb, climb, tomb, comb, bomb, and womb. The letter B also seems to also slip in silently before the letter T in words like debt, doubt, and subtle.
 
 Silent C words
 
 When it comes to the letter C, it seems to remain silent when it follows the letter S. There are many examples of this, such as science, scissors, scent, ascent, crescent, descent, descend, disciple, scene, obscene, fluorescent, abscess, fascinate, and muscle.
 
 The silent C also shows up in a few other weird words such as czar, acquire, indict, and yacht. Yacht is so fancy that it even slips a silent H in there too.
 
 Silent D words
 
 The letter D is silent in some words that pair it up with the letter G, as in bridge, ridge, edge, ledge, and hedge. It also doesn’t have much to say in some pronunciations of the words handsome and handkerchief. Lastly, the first D in the word Wednesday seems to have taken the day off.
 
 Silent E words
 
 The letter E quietly resides in the middle of the word vegetable. However, there are tons and tons more silent E‘s out there. The letter E often goes unpronounced at the end of many, many words that include but are certainly not limited to the words imagine, plaque, brute, debate, excite, make, due, true, crime, grace, goose, axe, die, dye, bike, eke, pie, use, toe, cage, dude, mute, candle, and adore.
 
 Silent F words
 
 This one will depend on how you pronounce the word fifth, which has two common pronunciations: one in which both F‘s are pronounced and one in which the second F is not (as if it were spelled “fith”). As far as we know, this silent F pronunciation of fifth is the only example in English of a word with a silent F.
 
 Silent G words
 
 For whatever reason, the letter G likes to stay quiet when it is paired up with the letter N. Examples include gnaw, gnarly, gnostic, gnat, gnash, gnome, champagne, cologne, align, assign, benign, sign, feign, foreign, and reign. The letter G also often keeps quiet when it sees the letter H, as in sigh, high, sight, light, bright, night, fight, though, and thorough.
 
 Silent H words
 
 We have already listed quite a few words with silent Hs but there are plenty more to find. The letter H is sometimes silent when placed at the beginning of words such as hour, heir, honor, herb, homage, and honest. The letter H is silent in many words where it follows the letter C, such as anchor, archive, chaos, character, Christmas, charisma, chemical, choreography, chorus, choir, and echo. The letter H is also silent in words where it follows the letter W, as in when, where, which, why, whine, whistle, and white. Finally, the letter H doesn’t seem to be doing much at all in the words ghost and rhyme.
 
 Silent I words
 
 Compared to the other vowels, the letter I seems to love to be heard. We could only find a few words that feature a silent I, such as business, suit, and fruit.
 
 Silent J words
 
 Based on our, ahem, totally professional research, the only English word to have a silent J is … marijuana. And interestingly, it’s tough to find a language with a silent J. J just loves to be heard.
 
 Silent K words
 
 The letter K is silent at the beginning of lots of words where it is followed by the letter N. Some examples of this include knife, knight, knob, knock, knit, knuckle, knee, kneel, knick-knack, knowledge, know, knot, and knoll.
 
 Silent L words
 
 The letter L is silent in the words including should, could, would, half, calf, chalk, talk, walk, folk, and yolk. The silent L in the word salmon is also pretty fishy.
 
 Silent M words
 
 After looking high and low, the only words we could find with a silent M are ones that begin with mn, such as mnemonic and similarly derived terms, but maybe we just need something to help us remember others.
 
 Silent N words
 
 The letter N seems to be shy around the letter M as it doesn’t speak up in words like autumn, column, condemn, solemn, and hymn.
 
 Silent O words
 
 The letter O is silent in some words that pair it with fellow vowels E and U, such as people, jeopardy, leopard, rough, tough, enough, trouble, and double.
 
 Silent P words
 
 The letter P is often silent in words that pair it with the letter S, as in psalm, psyche, psychology, pseudoscience, pseudonym, and corps. It is also silent in many technical words that include the prefixes pneumato-, pneumano-, and pneumo-, such as pneumonia and pneumatic. The letter P is also silent in a few other oddball words such as raspberry, receipt, and pterodactyl.
 
 Silent Q words
 
 The letter Q mostly makes its presence felt whenever it appears. The word lacquer seems to be the sole example of a word with a silent Q that we could manage to find.
 
 Silent R words
 
 Besides the common pronunciation of the word February that leaves out the first R, the existence (or nonexistence) of silent R’s largely depends on whether you have a rhotic or non-rhotic accent. For example, a person with a non-rhotic Boston accent will likely employ several silent R’s following vowels in the sentence My sister parked her car near Harvard Yard.
 
 Silent S words
 
 The Silent S appears in several different words, including island, isle, aisle, apropos, debris, bourgeois, and viscount.
 
 Silent T words
 
 One pattern we could find for the Silent T occurs when it is paired with the letter L in words like whistle, bristle, thistle, bustle, hustle, and castle. The letter T is also silent in a lot of French loanwords such as ballet, gourmet, rapport, ricochet, buffet, crochet, valet, debut, and beret. Besides that, the silent T appears in a random assortment of other words, such as asthma, mortgage, tsunami, soften, listen, fasten, glisten, and moisten.
 
 Silent U words
 
 U must get nervous around G‘s because it can’t seem to say anything when it comes after them in words like guard, guide, guilt, guitar, guess, disguise, guest, guilt, guise, baguette, dialogue, monologue, league, colleague, rogue, vague, and tongue. You can also find a silent U in words like build, biscuit, circuit, and laugh.
 
 Silent V words
 
 We looked as hard as we could for words with a silent V, but we sadly came up empty. Some sources claim that V is the only letter in English that is never silent, and we couldn’t find any examples to prove that claim wrong. Poetic contractions like e’er and ne’er do cut it right out, though.
 
 Silent W words
 
 The letter W gets tongue-tied around the letter R and is often silent when placed before it in words like wrack, wrench, wreath, wrestle, wrangle, wrist, wrong, wring, wrought, write, writ, wrinkle, wraith, wrap, wrath, wretch, wreck, writhe, wry, wrapper, and playwright. A handful of other words also feature a silent W, such as answer, sword, two, and who.
 
 Silent X words
 
 Unless we made an embarrassing mistake, we are pretty sure the letter X is silent in the words faux and faux pas. As it is in other French-derived words, such as roux and doux and some plurals, like choux and reseaux (the plurals of chou and reseau, respectively).
 
 Silent Y words
 
 The letter Y is another one that depends on pronunciation to be silent. For example, one pronunciation of the word beyond [ bee-ond ] could be considered to contain a silent Y.
 
 Silent Z Words
 
 A handful of French loanwords have that special je ne sais quoi of a silent Z, including rendezvous and laissez-faire.
 
 สงวนลิขสิทธิ์ © 2025 AAKKHRA & Co.Examples Of Every Letter Being Silent, With The Exception Of… You probably already know that English features many, many words with silent letters—letters that appear in the word but aren’t pronounced and often make us wonder what they are even doing there. For example, the letter B in the words debt and thumb. Or whatever the heck is going on in the words colonel, queue, and bourgeoisie. Even though you’re probably already familiar with silent letters, you might not realize just how many words in English actually use them. To demonstrate just how common these silent letters actually are, we quietly gathered up a list of as many examples of silent letters as we could find. It should be noted that silent letters often depend on pronunciation and regional accents, which we have noted at points in our list. Silent A words The letter A is silent in a bunch of words that include -ea, such as bread, dread, head, thread, and spread. The letter A also remains quiet in a bunch of adverbs that end in -ically, such as basically, stoically, logically, frantically, fanatically, magically, and tragically. A few words also have a silent A at the beginning that doesn’t seem to do much of anything, such as aisle and aesthetic. Silent B words The letter B likes to silently follow the letter M at the end of many words, such as in dumb, plumb, crumb, thumb, numb, succumb, lamb, limb, climb, tomb, comb, bomb, and womb. The letter B also seems to also slip in silently before the letter T in words like debt, doubt, and subtle. Silent C words When it comes to the letter C, it seems to remain silent when it follows the letter S. There are many examples of this, such as science, scissors, scent, ascent, crescent, descent, descend, disciple, scene, obscene, fluorescent, abscess, fascinate, and muscle. The silent C also shows up in a few other weird words such as czar, acquire, indict, and yacht. Yacht is so fancy that it even slips a silent H in there too. Silent D words The letter D is silent in some words that pair it up with the letter G, as in bridge, ridge, edge, ledge, and hedge. It also doesn’t have much to say in some pronunciations of the words handsome and handkerchief. Lastly, the first D in the word Wednesday seems to have taken the day off. Silent E words The letter E quietly resides in the middle of the word vegetable. However, there are tons and tons more silent E‘s out there. The letter E often goes unpronounced at the end of many, many words that include but are certainly not limited to the words imagine, plaque, brute, debate, excite, make, due, true, crime, grace, goose, axe, die, dye, bike, eke, pie, use, toe, cage, dude, mute, candle, and adore. Silent F words This one will depend on how you pronounce the word fifth, which has two common pronunciations: one in which both F‘s are pronounced and one in which the second F is not (as if it were spelled “fith”). As far as we know, this silent F pronunciation of fifth is the only example in English of a word with a silent F. Silent G words For whatever reason, the letter G likes to stay quiet when it is paired up with the letter N. Examples include gnaw, gnarly, gnostic, gnat, gnash, gnome, champagne, cologne, align, assign, benign, sign, feign, foreign, and reign. The letter G also often keeps quiet when it sees the letter H, as in sigh, high, sight, light, bright, night, fight, though, and thorough. Silent H words We have already listed quite a few words with silent Hs but there are plenty more to find. The letter H is sometimes silent when placed at the beginning of words such as hour, heir, honor, herb, homage, and honest. The letter H is silent in many words where it follows the letter C, such as anchor, archive, chaos, character, Christmas, charisma, chemical, choreography, chorus, choir, and echo. The letter H is also silent in words where it follows the letter W, as in when, where, which, why, whine, whistle, and white. Finally, the letter H doesn’t seem to be doing much at all in the words ghost and rhyme. Silent I words Compared to the other vowels, the letter I seems to love to be heard. We could only find a few words that feature a silent I, such as business, suit, and fruit. Silent J words Based on our, ahem, totally professional research, the only English word to have a silent J is … marijuana. And interestingly, it’s tough to find a language with a silent J. J just loves to be heard. Silent K words The letter K is silent at the beginning of lots of words where it is followed by the letter N. Some examples of this include knife, knight, knob, knock, knit, knuckle, knee, kneel, knick-knack, knowledge, know, knot, and knoll. Silent L words The letter L is silent in the words including should, could, would, half, calf, chalk, talk, walk, folk, and yolk. The silent L in the word salmon is also pretty fishy. Silent M words After looking high and low, the only words we could find with a silent M are ones that begin with mn, such as mnemonic and similarly derived terms, but maybe we just need something to help us remember others. Silent N words The letter N seems to be shy around the letter M as it doesn’t speak up in words like autumn, column, condemn, solemn, and hymn. Silent O words The letter O is silent in some words that pair it with fellow vowels E and U, such as people, jeopardy, leopard, rough, tough, enough, trouble, and double. Silent P words The letter P is often silent in words that pair it with the letter S, as in psalm, psyche, psychology, pseudoscience, pseudonym, and corps. It is also silent in many technical words that include the prefixes pneumato-, pneumano-, and pneumo-, such as pneumonia and pneumatic. The letter P is also silent in a few other oddball words such as raspberry, receipt, and pterodactyl. Silent Q words The letter Q mostly makes its presence felt whenever it appears. The word lacquer seems to be the sole example of a word with a silent Q that we could manage to find. Silent R words Besides the common pronunciation of the word February that leaves out the first R, the existence (or nonexistence) of silent R’s largely depends on whether you have a rhotic or non-rhotic accent. For example, a person with a non-rhotic Boston accent will likely employ several silent R’s following vowels in the sentence My sister parked her car near Harvard Yard. Silent S words The Silent S appears in several different words, including island, isle, aisle, apropos, debris, bourgeois, and viscount. Silent T words One pattern we could find for the Silent T occurs when it is paired with the letter L in words like whistle, bristle, thistle, bustle, hustle, and castle. The letter T is also silent in a lot of French loanwords such as ballet, gourmet, rapport, ricochet, buffet, crochet, valet, debut, and beret. Besides that, the silent T appears in a random assortment of other words, such as asthma, mortgage, tsunami, soften, listen, fasten, glisten, and moisten. Silent U words U must get nervous around G‘s because it can’t seem to say anything when it comes after them in words like guard, guide, guilt, guitar, guess, disguise, guest, guilt, guise, baguette, dialogue, monologue, league, colleague, rogue, vague, and tongue. You can also find a silent U in words like build, biscuit, circuit, and laugh. Silent V words We looked as hard as we could for words with a silent V, but we sadly came up empty. Some sources claim that V is the only letter in English that is never silent, and we couldn’t find any examples to prove that claim wrong. Poetic contractions like e’er and ne’er do cut it right out, though. Silent W words The letter W gets tongue-tied around the letter R and is often silent when placed before it in words like wrack, wrench, wreath, wrestle, wrangle, wrist, wrong, wring, wrought, write, writ, wrinkle, wraith, wrap, wrath, wretch, wreck, writhe, wry, wrapper, and playwright. A handful of other words also feature a silent W, such as answer, sword, two, and who. Silent X words Unless we made an embarrassing mistake, we are pretty sure the letter X is silent in the words faux and faux pas. As it is in other French-derived words, such as roux and doux and some plurals, like choux and reseaux (the plurals of chou and reseau, respectively). Silent Y words The letter Y is another one that depends on pronunciation to be silent. For example, one pronunciation of the word beyond [ bee-ond ] could be considered to contain a silent Y. Silent Z Words A handful of French loanwords have that special je ne sais quoi of a silent Z, including rendezvous and laissez-faire. สงวนลิขสิทธิ์ © 2025 AAKKHRA & Co.0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 28 มุมมอง 0 รีวิว
-  ศาลสหรัฐฯ บังคับ Google เปิด Google Play ให้ใช้ระบบจ่ายเงินภายนอกได้แล้ว — แต่เฉพาะในอเมริกาเท่านั้น!
 
 Google ถูกศาลสหรัฐฯ สั่งให้เปิดทางให้แอปบน Google Play ใช้ระบบชำระเงินภายนอกได้ โดยนักพัฒนาสามารถหลีกเลี่ยงค่าคอมมิชชันของ Google และเสนอราคาที่ถูกลงให้ผู้ใช้ได้ — แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ยังเป็นเพียงมาตรการชั่วคราว
 
 ก่อนหน้านี้ทั้ง Apple และ Google ต่างก็ไม่อนุญาตให้นักพัฒนาแอปใช้ระบบจ่ายเงินภายนอก เพราะต้องการเก็บค่าคอมมิชชันจากทุกธุรกรรมในแอป แต่เมื่อ Epic Games ฟ้องร้องทั้งสองบริษัทในข้อหาผูกขาด ศาลสหรัฐฯ จึงมีคำตัดสินให้ทั้งสองบริษัทต้องเปิดระบบมากขึ้น
 
 แม้ทั้ง Apple และ Google จะแพ้คดี แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่างกัน — Apple ได้รับผลกระทบน้อยกว่าเพราะระบบปิดของ iOS แต่ Google ซึ่งใช้ระบบ Android ที่เปิดกว้างกว่า กลับต้องปรับนโยบายมากกว่า
 
 ผลลัพธ์คือ Google ต้องเปิดให้แอปใน Google Play สามารถใช้ระบบจ่ายเงินภายนอกได้ในสหรัฐฯ นักพัฒนาจึงไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าคอมมิชชันให้ Google อีกต่อไป และสามารถเสนอราคาที่ถูกลงให้ผู้ใช้ได้
 
 นอกจากนี้ Google ยังอนุญาตให้นักพัฒนาชี้ทางให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดแอปจากแหล่งอื่นนอก Google Play ได้ด้วย แต่ทั้งหมดนี้มีผลเฉพาะในสหรัฐฯ เท่านั้น และจะมีผลถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2027 เท่านั้น เพราะ Google ยังอยู่ระหว่างการอุทธรณ์คำตัดสิน
 
 แม้จะเปิดให้ใช้ระบบจ่ายเงินภายนอกได้ แต่ Google ก็ยังมีแผนจะเรียกเก็บ “ค่าบริการเสริม” เช่น ค่าตรวจสอบตัวตนหรือค่าความปลอดภัย เพื่อชดเชยรายได้ที่หายไปจากค่าคอมมิชชัน
 
 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติมจากภายนอก
 ค่าคอมมิชชันของ Google Play อยู่ที่ประมาณ 15–30% ต่อธุรกรรม
 Apple เคยถูกศาลสั่งให้อนุญาตลิงก์ไปยังระบบจ่ายเงินภายนอกเช่นกัน แต่ยังมีข้อจำกัดมาก
 การเปิดให้ใช้ระบบจ่ายเงินภายนอกอาจส่งผลให้เกิดการแข่งขันด้านราคามากขึ้นในตลาดแอป
 
 นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกของแอปมือถือ — แต่จะยั่งยืนหรือไม่ ยังต้องจับตาดูผลของการอุทธรณ์จาก Google ต่อไป
 
 คำสั่งศาลสหรัฐฯ ต่อ Google
 บังคับให้ Google เปิดให้ใช้ระบบจ่ายเงินภายนอกในแอป
 มีผลเฉพาะในสหรัฐฯ เท่านั้น
 มีผลจนถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2027
 
 ผลกระทบต่อนักพัฒนา
 ไม่ต้องจ่ายค่าคอมมิชชันให้ Google
 สามารถเสนอราคาที่ถูกลงให้ผู้ใช้
 ชี้ทางให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดแอปจากแหล่งอื่นได้
 
 ท่าทีของ Google
 ปรับนโยบายตามคำสั่งศาลแบบชั่วคราว
 อยู่ระหว่างการอุทธรณ์เพื่อยกเลิกคำสั่ง
 เตรียมเก็บค่าบริการเสริมแม้ใช้ระบบจ่ายเงินภายนอก
 
 https://securityonline.info/court-mandate-google-play-opens-to-external-payments-in-the-us/🏛️ ศาลสหรัฐฯ บังคับ Google เปิด Google Play ให้ใช้ระบบจ่ายเงินภายนอกได้แล้ว — แต่เฉพาะในอเมริกาเท่านั้น! Google ถูกศาลสหรัฐฯ สั่งให้เปิดทางให้แอปบน Google Play ใช้ระบบชำระเงินภายนอกได้ โดยนักพัฒนาสามารถหลีกเลี่ยงค่าคอมมิชชันของ Google และเสนอราคาที่ถูกลงให้ผู้ใช้ได้ — แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ยังเป็นเพียงมาตรการชั่วคราว ก่อนหน้านี้ทั้ง Apple และ Google ต่างก็ไม่อนุญาตให้นักพัฒนาแอปใช้ระบบจ่ายเงินภายนอก เพราะต้องการเก็บค่าคอมมิชชันจากทุกธุรกรรมในแอป แต่เมื่อ Epic Games ฟ้องร้องทั้งสองบริษัทในข้อหาผูกขาด ศาลสหรัฐฯ จึงมีคำตัดสินให้ทั้งสองบริษัทต้องเปิดระบบมากขึ้น แม้ทั้ง Apple และ Google จะแพ้คดี แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่างกัน — Apple ได้รับผลกระทบน้อยกว่าเพราะระบบปิดของ iOS แต่ Google ซึ่งใช้ระบบ Android ที่เปิดกว้างกว่า กลับต้องปรับนโยบายมากกว่า ผลลัพธ์คือ Google ต้องเปิดให้แอปใน Google Play สามารถใช้ระบบจ่ายเงินภายนอกได้ในสหรัฐฯ นักพัฒนาจึงไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าคอมมิชชันให้ Google อีกต่อไป และสามารถเสนอราคาที่ถูกลงให้ผู้ใช้ได้ นอกจากนี้ Google ยังอนุญาตให้นักพัฒนาชี้ทางให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดแอปจากแหล่งอื่นนอก Google Play ได้ด้วย แต่ทั้งหมดนี้มีผลเฉพาะในสหรัฐฯ เท่านั้น และจะมีผลถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2027 เท่านั้น เพราะ Google ยังอยู่ระหว่างการอุทธรณ์คำตัดสิน แม้จะเปิดให้ใช้ระบบจ่ายเงินภายนอกได้ แต่ Google ก็ยังมีแผนจะเรียกเก็บ “ค่าบริการเสริม” เช่น ค่าตรวจสอบตัวตนหรือค่าความปลอดภัย เพื่อชดเชยรายได้ที่หายไปจากค่าคอมมิชชัน 🧠 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติมจากภายนอก 💠 ค่าคอมมิชชันของ Google Play อยู่ที่ประมาณ 15–30% ต่อธุรกรรม 💠 Apple เคยถูกศาลสั่งให้อนุญาตลิงก์ไปยังระบบจ่ายเงินภายนอกเช่นกัน แต่ยังมีข้อจำกัดมาก 💠 การเปิดให้ใช้ระบบจ่ายเงินภายนอกอาจส่งผลให้เกิดการแข่งขันด้านราคามากขึ้นในตลาดแอป นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกของแอปมือถือ — แต่จะยั่งยืนหรือไม่ ยังต้องจับตาดูผลของการอุทธรณ์จาก Google ต่อไป ✅ คำสั่งศาลสหรัฐฯ ต่อ Google ➡️ บังคับให้ Google เปิดให้ใช้ระบบจ่ายเงินภายนอกในแอป ➡️ มีผลเฉพาะในสหรัฐฯ เท่านั้น ➡️ มีผลจนถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2027 ✅ ผลกระทบต่อนักพัฒนา ➡️ ไม่ต้องจ่ายค่าคอมมิชชันให้ Google ➡️ สามารถเสนอราคาที่ถูกลงให้ผู้ใช้ ➡️ ชี้ทางให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดแอปจากแหล่งอื่นได้ ✅ ท่าทีของ Google ➡️ ปรับนโยบายตามคำสั่งศาลแบบชั่วคราว ➡️ อยู่ระหว่างการอุทธรณ์เพื่อยกเลิกคำสั่ง ➡️ เตรียมเก็บค่าบริการเสริมแม้ใช้ระบบจ่ายเงินภายนอก https://securityonline.info/court-mandate-google-play-opens-to-external-payments-in-the-us/SECURITYONLINE.INFOCourt Mandate: Google Play Opens to External Payments in the USGoogle opened the US Play Store to external payment methods and alternative app downloads, a temporary measure following a US court mandate in the Epic Games antitrust case.0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
-  Samsung Internet บุก Windows! พร้อมวิสัยทัศน์ “Ambient AI” ที่จะเปลี่ยนประสบการณ์ท่องเว็บ
 
 Samsung เปิดตัวเบราว์เซอร์ “Samsung Internet” สำหรับ Windows อย่างเป็นทางการ พร้อมฟีเจอร์ซิงก์ข้ามอุปกรณ์ และแนวคิดใหม่ “Ambient AI” ที่จะทำให้เบราว์เซอร์กลายเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะในชีวิตประจำวัน
 
 Samsung เคยทดลองปล่อยเบราว์เซอร์ของตัวเองบน Microsoft Store ในปี 2024 แต่ก็ถอดออกไปอย่างเงียบๆ จนกระทั่งล่าสุดในเดือนตุลาคม 2025 บริษัทกลับมาอีกครั้งด้วยการเปิดตัว “Samsung Internet” สำหรับ Windows 10 และ 11 อย่างเป็นทางการ
 
 สิ่งที่น่าสนใจคือเบราว์เซอร์นี้ไม่ได้มาแค่เพื่อให้ใช้งานเว็บทั่วไป แต่เป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์ใหญ่ที่ Samsung เรียกว่า “Ambient AI” — ระบบอัจฉริยะที่สามารถเข้าใจบริบทและคาดการณ์ความต้องการของผู้ใช้ได้ล่วงหน้า
 
 เบราว์เซอร์นี้รองรับการซิงก์ข้อมูลข้ามอุปกรณ์ เช่น บุ๊กมาร์ก ประวัติการท่องเว็บ และข้อมูลการกรอกฟอร์มอัตโนมัติ ทำให้ผู้ใช้สามารถเริ่มต้นจากมือถือแล้วมาต่อบนคอมพิวเตอร์ได้อย่างไร้รอยต่อ
 
 Samsung ยังเน้นเรื่องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย โดยมีฟีเจอร์บล็อกตัวติดตาม (tracker blocking), แดชบอร์ดความเป็นส่วนตัว และเครื่องมือป้องกันอื่นๆ ติดตั้งมาให้ตั้งแต่แรก
 
 การเปิดตัวครั้งนี้ยังเป็นการประกาศศักดาในสนามแข่งขันเบราว์เซอร์ AI ที่กำลังร้อนแรง โดยมีคู่แข่งอย่าง ChatGPT Atlas จาก OpenAI, Microsoft Edge ที่มี Copilot และ Comet จาก Perplexity
 
 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติมจากภายนอก
 Ambient AI คือแนวคิดที่อุปกรณ์และซอฟต์แวร์สามารถ “เข้าใจบริบท” และ “ตอบสนองอัตโนมัติ” โดยไม่ต้องสั่งงานโดยตรง
 Samsung Internet มีฐานผู้ใช้บนมือถือ Android หลายร้อยล้านคน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ Galaxy
 การขยายสู่ Windows อาจเป็นก้าวสำคัญในการสร้าง ecosystem ที่แข่งขันกับ Apple และ Google ได้ในระยะยาว
 
 Samsung Internet เปิดตัวบน Windows
 รองรับ Windows 10 (เวอร์ชัน 1809 ขึ้นไป) และ Windows 11
 เปิดให้ทดลองใช้งานผ่านโปรแกรมเบต้า
 
 ฟีเจอร์เด่นของเบราว์เซอร์
 ซิงก์ข้อมูลข้ามอุปกรณ์ เช่น บุ๊กมาร์กและประวัติการใช้งาน
 บล็อกตัวติดตามและมีแดชบอร์ดความเป็นส่วนตัว
 รองรับการกรอกฟอร์มอัตโนมัติ
 
 วิสัยทัศน์ Ambient AI
 เปลี่ยนเบราว์เซอร์จากเครื่องมือรับคำสั่ง เป็นผู้ช่วยอัจฉริยะ
 คาดการณ์ความต้องการของผู้ใช้และให้ข้อมูลเชิงบริบท
 เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ Galaxy AI ที่ขยายจากมือถือสู่เดสก์ท็อป
 
 การแข่งขันในตลาดเบราว์เซอร์ AI
 คู่แข่งหลัก ได้แก่ ChatGPT Atlas, Microsoft Edge Copilot, Perplexity Comet
 Samsung ต้องการสร้างระบบนิเวศซอฟต์แวร์ของตัวเองให้แข็งแกร่ง
 
 ข้อควรระวัง
 ยังอยู่ในช่วงเบต้า อาจมีบั๊กหรือฟีเจอร์ไม่สมบูรณ์
 ผู้ใช้ต้องสมัครเข้าร่วมโปรแกรมทดสอบก่อนใช้งาน
 ความสามารถด้าน AI ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา อาจยังไม่ตอบโจทย์ทุกสถานการณ์
 
 https://securityonline.info/samsung-internet-arrives-on-windows-pushing-forward-ambient-ai-vision/🌐 Samsung Internet บุก Windows! พร้อมวิสัยทัศน์ “Ambient AI” ที่จะเปลี่ยนประสบการณ์ท่องเว็บ Samsung เปิดตัวเบราว์เซอร์ “Samsung Internet” สำหรับ Windows อย่างเป็นทางการ พร้อมฟีเจอร์ซิงก์ข้ามอุปกรณ์ และแนวคิดใหม่ “Ambient AI” ที่จะทำให้เบราว์เซอร์กลายเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะในชีวิตประจำวัน Samsung เคยทดลองปล่อยเบราว์เซอร์ของตัวเองบน Microsoft Store ในปี 2024 แต่ก็ถอดออกไปอย่างเงียบๆ จนกระทั่งล่าสุดในเดือนตุลาคม 2025 บริษัทกลับมาอีกครั้งด้วยการเปิดตัว “Samsung Internet” สำหรับ Windows 10 และ 11 อย่างเป็นทางการ สิ่งที่น่าสนใจคือเบราว์เซอร์นี้ไม่ได้มาแค่เพื่อให้ใช้งานเว็บทั่วไป แต่เป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์ใหญ่ที่ Samsung เรียกว่า “Ambient AI” — ระบบอัจฉริยะที่สามารถเข้าใจบริบทและคาดการณ์ความต้องการของผู้ใช้ได้ล่วงหน้า เบราว์เซอร์นี้รองรับการซิงก์ข้อมูลข้ามอุปกรณ์ เช่น บุ๊กมาร์ก ประวัติการท่องเว็บ และข้อมูลการกรอกฟอร์มอัตโนมัติ ทำให้ผู้ใช้สามารถเริ่มต้นจากมือถือแล้วมาต่อบนคอมพิวเตอร์ได้อย่างไร้รอยต่อ Samsung ยังเน้นเรื่องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย โดยมีฟีเจอร์บล็อกตัวติดตาม (tracker blocking), แดชบอร์ดความเป็นส่วนตัว และเครื่องมือป้องกันอื่นๆ ติดตั้งมาให้ตั้งแต่แรก การเปิดตัวครั้งนี้ยังเป็นการประกาศศักดาในสนามแข่งขันเบราว์เซอร์ AI ที่กำลังร้อนแรง โดยมีคู่แข่งอย่าง ChatGPT Atlas จาก OpenAI, Microsoft Edge ที่มี Copilot และ Comet จาก Perplexity 🧠 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติมจากภายนอก 💠 Ambient AI คือแนวคิดที่อุปกรณ์และซอฟต์แวร์สามารถ “เข้าใจบริบท” และ “ตอบสนองอัตโนมัติ” โดยไม่ต้องสั่งงานโดยตรง 💠 Samsung Internet มีฐานผู้ใช้บนมือถือ Android หลายร้อยล้านคน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ Galaxy 💠 การขยายสู่ Windows อาจเป็นก้าวสำคัญในการสร้าง ecosystem ที่แข่งขันกับ Apple และ Google ได้ในระยะยาว ✅ Samsung Internet เปิดตัวบน Windows ➡️ รองรับ Windows 10 (เวอร์ชัน 1809 ขึ้นไป) และ Windows 11 ➡️ เปิดให้ทดลองใช้งานผ่านโปรแกรมเบต้า ✅ ฟีเจอร์เด่นของเบราว์เซอร์ ➡️ ซิงก์ข้อมูลข้ามอุปกรณ์ เช่น บุ๊กมาร์กและประวัติการใช้งาน ➡️ บล็อกตัวติดตามและมีแดชบอร์ดความเป็นส่วนตัว ➡️ รองรับการกรอกฟอร์มอัตโนมัติ ✅ วิสัยทัศน์ Ambient AI ➡️ เปลี่ยนเบราว์เซอร์จากเครื่องมือรับคำสั่ง เป็นผู้ช่วยอัจฉริยะ ➡️ คาดการณ์ความต้องการของผู้ใช้และให้ข้อมูลเชิงบริบท ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ Galaxy AI ที่ขยายจากมือถือสู่เดสก์ท็อป ✅ การแข่งขันในตลาดเบราว์เซอร์ AI ➡️ คู่แข่งหลัก ได้แก่ ChatGPT Atlas, Microsoft Edge Copilot, Perplexity Comet ➡️ Samsung ต้องการสร้างระบบนิเวศซอฟต์แวร์ของตัวเองให้แข็งแกร่ง ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ยังอยู่ในช่วงเบต้า อาจมีบั๊กหรือฟีเจอร์ไม่สมบูรณ์ ⛔ ผู้ใช้ต้องสมัครเข้าร่วมโปรแกรมทดสอบก่อนใช้งาน ⛔ ความสามารถด้าน AI ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา อาจยังไม่ตอบโจทย์ทุกสถานการณ์ https://securityonline.info/samsung-internet-arrives-on-windows-pushing-forward-ambient-ai-vision/SECURITYONLINE.INFOSamsung Internet Arrives on Windows, Pushing Forward Ambient AI VisionSamsung launched the Samsung Internet browser beta for Windows 10/11, featuring cross-device sync and Galaxy AI capabilities to advance its ambient AI ecosystem vision.0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 18 มุมมอง 0 รีวิว
-  Netflix ปรับเกม! ทดลองวิดีโอแนวตั้งและพอดแคสต์ หวังครองใจผู้ใช้มือถือ
 
 Netflix กำลังทดลองฟอร์แมตใหม่อย่างวิดีโอแนวตั้งและพอดแคสต์ เพื่อขยายประสบการณ์ความบันเทิงบนมือถือ หวังเจาะกลุ่มผู้ใช้ที่ชอบดูคอนเทนต์สั้นและฟังเสียงระหว่างเดินทาง
 
 Netflix ไม่หยุดแค่ซีรีส์หรือหนังอีกต่อไป ล่าสุดบริษัทกำลังทดลอง “วิดีโอแนวตั้ง” และ “พอดแคสต์” บนแอปมือถือ เพื่อให้ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้ใช้ยุคใหม่ที่นิยมคอนเทนต์สั้น ดูง่าย ฟังสะดวก และเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา
 
 วิดีโอแนวตั้งที่ Netflix กำลังทดลองมีลักษณะคล้ายกับ TikTok หรือ Instagram Reels โดยเน้นคลิปสั้นที่ดูได้ในแนวตั้งเต็มจอ ไม่ต้องหมุนมือถือ จุดประสงค์คือเพื่อให้ผู้ใช้สามารถ “เสพความบันเทิงแบบเร็วๆ” ระหว่างพักเบรกหรือเดินทาง
 
 ในขณะเดียวกัน Netflix ยังเริ่มทดลอง “พอดแคสต์” ซึ่งเป็นทั้งเสียงจากรายการที่มีอยู่แล้ว และเนื้อหาพิเศษที่ผลิตขึ้นใหม่โดยเฉพาะ เช่น เบื้องหลังซีรีส์, บทสัมภาษณ์นักแสดง หรือการเล่าเรื่องในรูปแบบเสียงล้วน
 
 การทดลองนี้ยังอยู่ในวงจำกัด โดยเปิดให้ผู้ใช้บางกลุ่มในบางประเทศได้ลองใช้ก่อน หากผลตอบรับดี Netflix อาจเปิดให้ใช้งานทั่วโลกในอนาคต
 
 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติมจากภายนอก
 วิดีโอแนวตั้งกลายเป็นเทรนด์หลักของคอนเทนต์มือถือ โดย TikTok มีผู้ใช้งานกว่า 1 พันล้านคนต่อเดือน
 พอดแคสต์เป็นตลาดที่เติบโตเร็ว โดย Spotify และ Apple Podcasts ครองส่วนแบ่งหลัก
 การเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ช่วยให้ Netflix สร้าง “ecosystem” ความบันเทิงที่ครอบคลุมทั้งภาพ เสียง และเกม
 
 Netflix กำลังพิสูจน์ว่าแพลตฟอร์มสตรีมมิงไม่จำเป็นต้องจำกัดแค่ “การดู” อีกต่อไป — แต่สามารถเป็นเพื่อนร่วมทางของคุณได้ทุกที่ ทุกเวลา ทั้งภาพและเสียง!
 
 Netflix ทดลองวิดีโอแนวตั้ง
 คลิปสั้นแบบเต็มจอในแนวตั้ง
 คล้าย TikTok, Reels, Shorts
 เหมาะกับการดูบนมือถือระหว่างเดินทาง
 
 ทดลองฟีเจอร์พอดแคสต์
 มีทั้งเสียงจากรายการเดิมและเนื้อหาใหม่
 เช่น เบื้องหลังซีรีส์, สัมภาษณ์, เรื่องเล่า
 ตอบโจทย์ผู้ใช้ที่ชอบฟังระหว่างทำกิจกรรม
 
 กลยุทธ์ของ Netflix
 ขยายรูปแบบความบันเทิงให้หลากหลาย
 เจาะกลุ่มผู้ใช้มือถือที่ชอบคอนเทนต์สั้น
 แข่งขันกับแพลตฟอร์มอย่าง TikTok, Spotify
 
 ข้อควรระวังและข้อจำกัด
 ฟีเจอร์ยังอยู่ในช่วงทดลอง ใช้ได้เฉพาะบางประเทศ
 อาจยังไม่รองรับทุกอุปกรณ์หรือบัญชีผู้ใช้
 ความหลากหลายของคอนเทนต์อาจยังจำกัดในช่วงแรก
 
 https://securityonline.info/netflix-experiments-with-vertical-video-and-podcasts-redefining-mobile-entertainment/📱 Netflix ปรับเกม! ทดลองวิดีโอแนวตั้งและพอดแคสต์ หวังครองใจผู้ใช้มือถือ Netflix กำลังทดลองฟอร์แมตใหม่อย่างวิดีโอแนวตั้งและพอดแคสต์ เพื่อขยายประสบการณ์ความบันเทิงบนมือถือ หวังเจาะกลุ่มผู้ใช้ที่ชอบดูคอนเทนต์สั้นและฟังเสียงระหว่างเดินทาง Netflix ไม่หยุดแค่ซีรีส์หรือหนังอีกต่อไป ล่าสุดบริษัทกำลังทดลอง “วิดีโอแนวตั้ง” และ “พอดแคสต์” บนแอปมือถือ เพื่อให้ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้ใช้ยุคใหม่ที่นิยมคอนเทนต์สั้น ดูง่าย ฟังสะดวก และเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา วิดีโอแนวตั้งที่ Netflix กำลังทดลองมีลักษณะคล้ายกับ TikTok หรือ Instagram Reels โดยเน้นคลิปสั้นที่ดูได้ในแนวตั้งเต็มจอ ไม่ต้องหมุนมือถือ จุดประสงค์คือเพื่อให้ผู้ใช้สามารถ “เสพความบันเทิงแบบเร็วๆ” ระหว่างพักเบรกหรือเดินทาง ในขณะเดียวกัน Netflix ยังเริ่มทดลอง “พอดแคสต์” ซึ่งเป็นทั้งเสียงจากรายการที่มีอยู่แล้ว และเนื้อหาพิเศษที่ผลิตขึ้นใหม่โดยเฉพาะ เช่น เบื้องหลังซีรีส์, บทสัมภาษณ์นักแสดง หรือการเล่าเรื่องในรูปแบบเสียงล้วน การทดลองนี้ยังอยู่ในวงจำกัด โดยเปิดให้ผู้ใช้บางกลุ่มในบางประเทศได้ลองใช้ก่อน หากผลตอบรับดี Netflix อาจเปิดให้ใช้งานทั่วโลกในอนาคต 🧠 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติมจากภายนอก 💠 วิดีโอแนวตั้งกลายเป็นเทรนด์หลักของคอนเทนต์มือถือ โดย TikTok มีผู้ใช้งานกว่า 1 พันล้านคนต่อเดือน 💠 พอดแคสต์เป็นตลาดที่เติบโตเร็ว โดย Spotify และ Apple Podcasts ครองส่วนแบ่งหลัก 💠 การเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ช่วยให้ Netflix สร้าง “ecosystem” ความบันเทิงที่ครอบคลุมทั้งภาพ เสียง และเกม Netflix กำลังพิสูจน์ว่าแพลตฟอร์มสตรีมมิงไม่จำเป็นต้องจำกัดแค่ “การดู” อีกต่อไป — แต่สามารถเป็นเพื่อนร่วมทางของคุณได้ทุกที่ ทุกเวลา ทั้งภาพและเสียง! ✅ Netflix ทดลองวิดีโอแนวตั้ง ➡️ คลิปสั้นแบบเต็มจอในแนวตั้ง ➡️ คล้าย TikTok, Reels, Shorts ➡️ เหมาะกับการดูบนมือถือระหว่างเดินทาง ✅ ทดลองฟีเจอร์พอดแคสต์ ➡️ มีทั้งเสียงจากรายการเดิมและเนื้อหาใหม่ ➡️ เช่น เบื้องหลังซีรีส์, สัมภาษณ์, เรื่องเล่า ➡️ ตอบโจทย์ผู้ใช้ที่ชอบฟังระหว่างทำกิจกรรม ✅ กลยุทธ์ของ Netflix ➡️ ขยายรูปแบบความบันเทิงให้หลากหลาย ➡️ เจาะกลุ่มผู้ใช้มือถือที่ชอบคอนเทนต์สั้น ➡️ แข่งขันกับแพลตฟอร์มอย่าง TikTok, Spotify ‼️ ข้อควรระวังและข้อจำกัด ⛔ ฟีเจอร์ยังอยู่ในช่วงทดลอง ใช้ได้เฉพาะบางประเทศ ⛔ อาจยังไม่รองรับทุกอุปกรณ์หรือบัญชีผู้ใช้ ⛔ ความหลากหลายของคอนเทนต์อาจยังจำกัดในช่วงแรก https://securityonline.info/netflix-experiments-with-vertical-video-and-podcasts-redefining-mobile-entertainment/SECURITYONLINE.INFONetflix Experiments with Vertical Video and Podcasts, Redefining Mobile EntertainmentNetflix explores vertical video and podcast integration, signaling a new era of mobile entertainment without mimicking TikTok’s model.0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 18 มุมมอง 0 รีวิว
-  MOVEit โดนอีกแล้ว! ช่องโหว่ CVE-2025-10932 ในโมดูล AS2 เสี่ยงทำระบบล่ม — Progress เร่งออกแพตช์อุดช่องโหว่
 
 Progress Software ออกแพตช์ด่วนเพื่อแก้ไขช่องโหว่ระดับสูงใน MOVEit Transfer ที่อาจถูกใช้โจมตีแบบ DoS ผ่านโมดูล AS2 ซึ่งเป็นหัวใจของการแลกเปลี่ยนไฟล์แบบปลอดภัยในองค์กร
 
 MOVEit Transfer คือระบบจัดการไฟล์ที่องค์กรทั่วโลกใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น การส่งข้อมูลระหว่างหน่วยงานหรือคู่ค้า ล่าสุดพบช่องโหว่ใหม่ CVE-2025-10932 ซึ่งเป็นช่องโหว่ “Uncontrolled Resource Consumption” หรือการใช้ทรัพยากรโดยไม่จำกัด
 
 ช่องโหว่นี้อยู่ในโมดูล AS2 (Applicability Statement 2) ซึ่งใช้สำหรับการแลกเปลี่ยนไฟล์แบบเข้ารหัสและลงลายเซ็นดิจิทัล หากถูกโจมตีด้วยคำขอ AS2 ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างเจาะจง อาจทำให้ระบบล่มหรือประสิทธิภาพลดลงอย่างรุนแรง
 
 Progress ได้ออกแพตช์สำหรับ MOVEit Transfer ทุกเวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ และเพิ่มฟีเจอร์ whitelist IP เพื่อจำกัดการเข้าถึงโมดูล AS2 โดยเฉพาะ สำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้ AS2 แนะนำให้ลบไฟล์ endpoint ที่เกี่ยวข้องออกชั่วคราวเพื่อปิดช่องทางโจมตี
 
 ช่องโหว่นี้ยังไม่มีรายงานการโจมตีจริงในขณะนี้ แต่เนื่องจาก MOVEit เคยถูกใช้เป็นช่องทางโจมตีในกรณี Clop ransomware มาก่อน จึงถือเป็นเป้าหมายสำคัญที่ควรเฝ้าระวัง
 
 ช่องโหว่ CVE-2025-10932 ใน MOVEit Transfer
 เป็นช่องโหว่ Uncontrolled Resource Consumption
 อยู่ในโมดูล AS2 ที่ใช้แลกเปลี่ยนไฟล์แบบปลอดภัย
 เสี่ยงต่อการโจมตีแบบ DoS หากถูกใช้โดยผู้ไม่หวังดี
 
 เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ
 2025.0.0 ก่อน 2025.0.3
 2024.1.0 ก่อน 2024.1.7
 2023.1.0 ก่อน 2023.1.16
 
 วิธีแก้ไขและป้องกัน
 อัปเดตเป็นเวอร์ชันที่มีแพตช์ล่าสุด
 เพิ่ม whitelist IP สำหรับโมดูล AS2
 สำหรับผู้ไม่ใช้ AS2 ให้ลบไฟล์ AS2Rec2.ashx และ AS2Receiver.aspx ชั่วคราว
 
 https://securityonline.info/progress-patches-high-severity-vulnerability-in-moveit-transfer-as2-module-cve-2025-10932/🛡️ MOVEit โดนอีกแล้ว! ช่องโหว่ CVE-2025-10932 ในโมดูล AS2 เสี่ยงทำระบบล่ม — Progress เร่งออกแพตช์อุดช่องโหว่ Progress Software ออกแพตช์ด่วนเพื่อแก้ไขช่องโหว่ระดับสูงใน MOVEit Transfer ที่อาจถูกใช้โจมตีแบบ DoS ผ่านโมดูล AS2 ซึ่งเป็นหัวใจของการแลกเปลี่ยนไฟล์แบบปลอดภัยในองค์กร MOVEit Transfer คือระบบจัดการไฟล์ที่องค์กรทั่วโลกใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในงานที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น การส่งข้อมูลระหว่างหน่วยงานหรือคู่ค้า ล่าสุดพบช่องโหว่ใหม่ CVE-2025-10932 ซึ่งเป็นช่องโหว่ “Uncontrolled Resource Consumption” หรือการใช้ทรัพยากรโดยไม่จำกัด ช่องโหว่นี้อยู่ในโมดูล AS2 (Applicability Statement 2) ซึ่งใช้สำหรับการแลกเปลี่ยนไฟล์แบบเข้ารหัสและลงลายเซ็นดิจิทัล หากถูกโจมตีด้วยคำขอ AS2 ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างเจาะจง อาจทำให้ระบบล่มหรือประสิทธิภาพลดลงอย่างรุนแรง Progress ได้ออกแพตช์สำหรับ MOVEit Transfer ทุกเวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ และเพิ่มฟีเจอร์ whitelist IP เพื่อจำกัดการเข้าถึงโมดูล AS2 โดยเฉพาะ สำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้ AS2 แนะนำให้ลบไฟล์ endpoint ที่เกี่ยวข้องออกชั่วคราวเพื่อปิดช่องทางโจมตี ช่องโหว่นี้ยังไม่มีรายงานการโจมตีจริงในขณะนี้ แต่เนื่องจาก MOVEit เคยถูกใช้เป็นช่องทางโจมตีในกรณี Clop ransomware มาก่อน จึงถือเป็นเป้าหมายสำคัญที่ควรเฝ้าระวัง ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-10932 ใน MOVEit Transfer ➡️ เป็นช่องโหว่ Uncontrolled Resource Consumption ➡️ อยู่ในโมดูล AS2 ที่ใช้แลกเปลี่ยนไฟล์แบบปลอดภัย ➡️ เสี่ยงต่อการโจมตีแบบ DoS หากถูกใช้โดยผู้ไม่หวังดี ✅ เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ ➡️ 2025.0.0 ก่อน 2025.0.3 ➡️ 2024.1.0 ก่อน 2024.1.7 ➡️ 2023.1.0 ก่อน 2023.1.16 ✅ วิธีแก้ไขและป้องกัน ➡️ อัปเดตเป็นเวอร์ชันที่มีแพตช์ล่าสุด ➡️ เพิ่ม whitelist IP สำหรับโมดูล AS2 ➡️ สำหรับผู้ไม่ใช้ AS2 ให้ลบไฟล์ AS2Rec2.ashx และ AS2Receiver.aspx ชั่วคราว https://securityonline.info/progress-patches-high-severity-vulnerability-in-moveit-transfer-as2-module-cve-2025-10932/SECURITYONLINE.INFOProgress Patches High-Severity Vulnerability in MOVEit Transfer AS2 Module (CVE-2025-10932)Progress patched a High-severity DoS flaw (CVE-2025-10932) in MOVEit Transfer’s AS2 module. The vulnerability allows unauthenticated attackers to exhaust server resources. Patch to v2025.0.3 immediately.0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
-  Brash Attack: ช่องโหว่ร้ายแรงในเบราว์เซอร์ Chromium แค่เปลี่ยนชื่อแท็บก็ทำให้ระบบล่มได้!
 
 นักวิจัยด้านความปลอดภัยเปิดเผยช่องโหว่ใหม่ใน Blink engine ของ Chromium ที่สามารถทำให้เบราว์เซอร์ล่มภายในไม่กี่วินาที ด้วยการเปลี่ยนค่า document.title อย่างต่อเนื่อง — ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้กว่า 3 พันล้านคนทั่วโลก
 
 Brash คือชื่อของช่องโหว่ใหม่ที่ถูกค้นพบใน Blink rendering engine ซึ่งเป็นหัวใจของเบราว์เซอร์ยอดนิยมอย่าง Google Chrome, Microsoft Edge, Brave, Opera, Vivaldi และแม้แต่ ChatGPT Atlas หรือ Perplexity Comet ก็ไม่รอด
 
 ช่องโหว่นี้เกิดจากการที่ API document.title ไม่มีการจำกัดความถี่ในการอัปเดต ทำให้แฮกเกอร์สามารถ inject โค้ดที่เปลี่ยนชื่อแท็บได้หลายล้านครั้งต่อวินาที ส่งผลให้ thread หลักของเบราว์เซอร์ทำงานหนักจนล่มในเวลาเพียง 15–60 วินาที
 
 นักวิจัย Jose Pino ผู้ค้นพบช่องโหว่นี้ ได้เผยแพร่ proof-of-concept (PoC) ที่ชื่อว่า “Brash” ซึ่งสามารถทำให้เบราว์เซอร์ล่มได้จริง โดยไม่ต้องใช้สิทธิ์พิเศษหรือมัลแวร์ เพียงแค่เปิดหน้าเว็บที่ฝังโค้ดไว้เท่านั้น
 
 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติมจากภายนอก
 ช่องโหว่นี้มีผลกับ Chromium เวอร์ชัน ≤ 143.0.7483.0
 นักวิจัยแนะนำให้ผู้ใช้และองค์กรอัปเดตเบราว์เซอร์ทันทีเมื่อมีแพตช์
 การใช้เบราว์เซอร์ใน sandbox หรือ virtual environment ช่วยลดความเสี่ยง
 
 ช่องโหว่ Brash ใน Blink engine
 ใช้ document.title อัปเดตชื่อแท็บหลายล้านครั้งต่อวินาที
 ทำให้เบราว์เซอร์ล่มภายใน 15–60 วินาที
 ไม่ต้องใช้สิทธิ์พิเศษหรือมัลแวร์
 
 เบราว์เซอร์ที่ได้รับผลกระทบ
 Chrome, Edge, Brave, Opera, Vivaldi, Arc, Dia, ChatGPT Atlas, Perplexity Comet
 ทุกแพลตฟอร์ม: Windows, macOS, Linux, Android
 Firefox และ Safari ไม่ได้รับผลกระทบ (ใช้ engine คนละตัว)
 
 วิธีการโจมตี
 แฮกเกอร์ preload สตริงยาว 512 ตัวอักษร 100 ชุด
 ยิงคำสั่งเปลี่ยนชื่อแท็บแบบ burst (เช่น 8,000 ครั้งต่อ 1 มิลลิวินาที)
 ทำให้ thread หลักของเบราว์เซอร์ล่ม
 
 ความเสี่ยงต่อผู้ใช้ทั่วไป
 แค่เปิดหน้าเว็บที่ฝังโค้ดก็ทำให้เบราว์เซอร์ล่ม
 อาจสูญเสียงานที่ยังไม่ได้บันทึก
 ส่งผลกระทบต่อระบบโดยรวม เช่น CPU พุ่งสูง, เครื่องค้าง
 
 ความเสี่ยงต่อองค์กร
 ระบบที่ใช้เบราว์เซอร์เป็นเครื่องมือหลักอาจหยุดชะงัก
 การโจมตีสามารถใช้เป็น logic bomb หรือโจมตีแบบเจาะจงเวลา
 ระบบป้องกันทั่วไปอาจไม่สามารถตรวจจับได้
 
 https://securityonline.info/brash-attack-critical-chromium-flaw-allows-dos-via-simple-code-injection/⚠️ Brash Attack: ช่องโหว่ร้ายแรงในเบราว์เซอร์ Chromium แค่เปลี่ยนชื่อแท็บก็ทำให้ระบบล่มได้! นักวิจัยด้านความปลอดภัยเปิดเผยช่องโหว่ใหม่ใน Blink engine ของ Chromium ที่สามารถทำให้เบราว์เซอร์ล่มภายในไม่กี่วินาที ด้วยการเปลี่ยนค่า document.title อย่างต่อเนื่อง — ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้กว่า 3 พันล้านคนทั่วโลก Brash คือชื่อของช่องโหว่ใหม่ที่ถูกค้นพบใน Blink rendering engine ซึ่งเป็นหัวใจของเบราว์เซอร์ยอดนิยมอย่าง Google Chrome, Microsoft Edge, Brave, Opera, Vivaldi และแม้แต่ ChatGPT Atlas หรือ Perplexity Comet ก็ไม่รอด ช่องโหว่นี้เกิดจากการที่ API document.title ไม่มีการจำกัดความถี่ในการอัปเดต ทำให้แฮกเกอร์สามารถ inject โค้ดที่เปลี่ยนชื่อแท็บได้หลายล้านครั้งต่อวินาที ส่งผลให้ thread หลักของเบราว์เซอร์ทำงานหนักจนล่มในเวลาเพียง 15–60 วินาที นักวิจัย Jose Pino ผู้ค้นพบช่องโหว่นี้ ได้เผยแพร่ proof-of-concept (PoC) ที่ชื่อว่า “Brash” ซึ่งสามารถทำให้เบราว์เซอร์ล่มได้จริง โดยไม่ต้องใช้สิทธิ์พิเศษหรือมัลแวร์ เพียงแค่เปิดหน้าเว็บที่ฝังโค้ดไว้เท่านั้น 🧠 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติมจากภายนอก 💠 ช่องโหว่นี้มีผลกับ Chromium เวอร์ชัน ≤ 143.0.7483.0 💠 นักวิจัยแนะนำให้ผู้ใช้และองค์กรอัปเดตเบราว์เซอร์ทันทีเมื่อมีแพตช์ 💠 การใช้เบราว์เซอร์ใน sandbox หรือ virtual environment ช่วยลดความเสี่ยง ✅ ช่องโหว่ Brash ใน Blink engine ➡️ ใช้ document.title อัปเดตชื่อแท็บหลายล้านครั้งต่อวินาที ➡️ ทำให้เบราว์เซอร์ล่มภายใน 15–60 วินาที ➡️ ไม่ต้องใช้สิทธิ์พิเศษหรือมัลแวร์ ✅ เบราว์เซอร์ที่ได้รับผลกระทบ ➡️ Chrome, Edge, Brave, Opera, Vivaldi, Arc, Dia, ChatGPT Atlas, Perplexity Comet ➡️ ทุกแพลตฟอร์ม: Windows, macOS, Linux, Android ➡️ Firefox และ Safari ไม่ได้รับผลกระทบ (ใช้ engine คนละตัว) ✅ วิธีการโจมตี ➡️ แฮกเกอร์ preload สตริงยาว 512 ตัวอักษร 100 ชุด ➡️ ยิงคำสั่งเปลี่ยนชื่อแท็บแบบ burst (เช่น 8,000 ครั้งต่อ 1 มิลลิวินาที) ➡️ ทำให้ thread หลักของเบราว์เซอร์ล่ม ‼️ ความเสี่ยงต่อผู้ใช้ทั่วไป ⛔ แค่เปิดหน้าเว็บที่ฝังโค้ดก็ทำให้เบราว์เซอร์ล่ม ⛔ อาจสูญเสียงานที่ยังไม่ได้บันทึก ⛔ ส่งผลกระทบต่อระบบโดยรวม เช่น CPU พุ่งสูง, เครื่องค้าง ‼️ ความเสี่ยงต่อองค์กร ⛔ ระบบที่ใช้เบราว์เซอร์เป็นเครื่องมือหลักอาจหยุดชะงัก ⛔ การโจมตีสามารถใช้เป็น logic bomb หรือโจมตีแบบเจาะจงเวลา ⛔ ระบบป้องกันทั่วไปอาจไม่สามารถตรวจจับได้ https://securityonline.info/brash-attack-critical-chromium-flaw-allows-dos-via-simple-code-injection/SECURITYONLINE.INFOBrash Attack: Critical Chromium Flaw Allows DoS via Simple Code InjectionThe Brash exploit leverages a missing rate limit on Chromium's document.title API to trigger a Denial-of-Service attack, crashing browsers in seconds.0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 20 มุมมอง 0 รีวิว
-  CISA เตือนภัย! ช่องโหว่ XWiki และ VMware ถูกโจมตีจริงแล้ว — องค์กรต้องเร่งอุดช่องโหว่ทันที
 
 หน่วยงาน CISA ของสหรัฐฯ ออกประกาศเตือนว่าช่องโหว่ใน XWiki และ VMware กำลังถูกใช้โจมตีอย่างต่อเนื่องในโลกจริง พร้อมแนะนำให้องค์กรรีบอัปเดตแพตช์และตรวจสอบระบบโดยด่วน
 
 CISA (Cybersecurity and Infrastructure Security Agency) ได้เพิ่มช่องโหว่สองรายการลงใน Known Exploited Vulnerabilities (KEV) ซึ่งหมายความว่า “มีการโจมตีจริงแล้ว” ไม่ใช่แค่ทฤษฎี
 
 ช่องโหว่แรกคือ CVE-2023-41327 ใน XWiki ซึ่งเป็นระบบจัดการเอกสารแบบโอเพ่นซอร์สที่หลายองค์กรใช้สำหรับวิกิภายใน ช่องโหว่นี้เปิดช่องให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดจากระยะไกลได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน — แปลว่าแค่เปิดหน้าเว็บก็อาจโดนเจาะได้
 
 ช่องโหว่ที่สองคือ CVE-2024-22267 ใน VMware Aria Automation ซึ่งเป็นระบบจัดการการทำงานอัตโนมัติในคลาวด์ ช่องโหว่นี้เปิดให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญหรือควบคุมระบบได้จากระยะไกลเช่นกัน
 
 CISA ระบุว่าองค์กรที่ใช้ซอฟต์แวร์เหล่านี้ควรอัปเดตแพตช์ทันที และตรวจสอบระบบย้อนหลังเพื่อดูว่ามีการเข้าถึงที่ผิดปกติหรือไม่ โดยเฉพาะในระบบที่เปิดให้เข้าจากอินเทอร์เน็ต
 
 การที่ช่องโหว่เหล่านี้ถูกเพิ่มลงใน KEV หมายความว่าเป็นภัยระดับสูง และอาจถูกใช้โดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ หรือกลุ่ม ransomware ที่มุ่งเป้าโจมตีองค์กรขนาดใหญ่
 
 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม
 Known Exploited Vulnerabilities (KEV) คือรายการช่องโหว่ที่ “มีการโจมตีจริงแล้ว” ไม่ใช่แค่เสี่ยง
 VMware Aria Automation เคยเป็นส่วนหนึ่งของ vRealize Automation ซึ่งใช้ในระบบคลาวด์ระดับองค์กร
 XWiki เป็นระบบที่นิยมในองค์กรด้านวิจัย การศึกษา และเทคโนโลยี เพราะมีความยืดหยุ่นสูง
 
 ช่องโหว่ที่ถูกใช้งานจริง
 CVE-2023-41327 ใน XWiki (Remote Code Execution)
 CVE-2024-22267 ใน VMware Aria Automation (Remote Access)
 ถูกเพิ่มลงในรายการ Known Exploited Vulnerabilities ของ CISA
 
 ผลกระทบต่อองค์กร
 เสี่ยงต่อการถูกเจาะระบบจากระยะไกล
 อาจถูกขโมยข้อมูลหรือควบคุมระบบ
 มีความเสี่ยงสูงหากเปิดระบบให้เข้าจากอินเทอร์เน็ต
 
 คำแนะนำจาก CISA
 อัปเดตแพตช์ล่าสุดทันที
 ตรวจสอบระบบย้อนหลังเพื่อหาการเข้าถึงผิดปกติ
 ปิดการเข้าถึงจากภายนอกหากไม่จำเป็น
 
 https://securityonline.info/cisa-warns-of-active-exploitation-in-xwiki-and-vmware-vulnerabilities/🚨 CISA เตือนภัย! ช่องโหว่ XWiki และ VMware ถูกโจมตีจริงแล้ว — องค์กรต้องเร่งอุดช่องโหว่ทันที หน่วยงาน CISA ของสหรัฐฯ ออกประกาศเตือนว่าช่องโหว่ใน XWiki และ VMware กำลังถูกใช้โจมตีอย่างต่อเนื่องในโลกจริง พร้อมแนะนำให้องค์กรรีบอัปเดตแพตช์และตรวจสอบระบบโดยด่วน CISA (Cybersecurity and Infrastructure Security Agency) ได้เพิ่มช่องโหว่สองรายการลงใน Known Exploited Vulnerabilities (KEV) ซึ่งหมายความว่า “มีการโจมตีจริงแล้ว” ไม่ใช่แค่ทฤษฎี ช่องโหว่แรกคือ CVE-2023-41327 ใน XWiki ซึ่งเป็นระบบจัดการเอกสารแบบโอเพ่นซอร์สที่หลายองค์กรใช้สำหรับวิกิภายใน ช่องโหว่นี้เปิดช่องให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดจากระยะไกลได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน — แปลว่าแค่เปิดหน้าเว็บก็อาจโดนเจาะได้ ช่องโหว่ที่สองคือ CVE-2024-22267 ใน VMware Aria Automation ซึ่งเป็นระบบจัดการการทำงานอัตโนมัติในคลาวด์ ช่องโหว่นี้เปิดให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญหรือควบคุมระบบได้จากระยะไกลเช่นกัน CISA ระบุว่าองค์กรที่ใช้ซอฟต์แวร์เหล่านี้ควรอัปเดตแพตช์ทันที และตรวจสอบระบบย้อนหลังเพื่อดูว่ามีการเข้าถึงที่ผิดปกติหรือไม่ โดยเฉพาะในระบบที่เปิดให้เข้าจากอินเทอร์เน็ต การที่ช่องโหว่เหล่านี้ถูกเพิ่มลงใน KEV หมายความว่าเป็นภัยระดับสูง และอาจถูกใช้โดยกลุ่มแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ หรือกลุ่ม ransomware ที่มุ่งเป้าโจมตีองค์กรขนาดใหญ่ 🧠 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม 💠 Known Exploited Vulnerabilities (KEV) คือรายการช่องโหว่ที่ “มีการโจมตีจริงแล้ว” ไม่ใช่แค่เสี่ยง 💠 VMware Aria Automation เคยเป็นส่วนหนึ่งของ vRealize Automation ซึ่งใช้ในระบบคลาวด์ระดับองค์กร 💠 XWiki เป็นระบบที่นิยมในองค์กรด้านวิจัย การศึกษา และเทคโนโลยี เพราะมีความยืดหยุ่นสูง ✅ ช่องโหว่ที่ถูกใช้งานจริง ➡️ CVE-2023-41327 ใน XWiki (Remote Code Execution) ➡️ CVE-2024-22267 ใน VMware Aria Automation (Remote Access) ➡️ ถูกเพิ่มลงในรายการ Known Exploited Vulnerabilities ของ CISA ✅ ผลกระทบต่อองค์กร ➡️ เสี่ยงต่อการถูกเจาะระบบจากระยะไกล ➡️ อาจถูกขโมยข้อมูลหรือควบคุมระบบ ➡️ มีความเสี่ยงสูงหากเปิดระบบให้เข้าจากอินเทอร์เน็ต ✅ คำแนะนำจาก CISA ➡️ อัปเดตแพตช์ล่าสุดทันที ➡️ ตรวจสอบระบบย้อนหลังเพื่อหาการเข้าถึงผิดปกติ ➡️ ปิดการเข้าถึงจากภายนอกหากไม่จำเป็น https://securityonline.info/cisa-warns-of-active-exploitation-in-xwiki-and-vmware-vulnerabilities/SECURITYONLINE.INFOCISA Warns of Active Exploitation in XWiki and VMware VulnerabilitiesCISA adds XWiki (CVE-2025-24893) and VMware (CVE-2025-41244) to its KEV Catalog after confirming active exploitation in the wild.0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว
-  Bronze Butler โจมตีองค์กรผ่านช่องโหว่ Zero-Day ใน Lanscope — แฮกเกอร์จีนใช้ช่องทางควบคุมระบบแบบลับๆ
 
 กลุ่ม APT จากจีนชื่อ Bronze Butler ถูกพบว่าใช้ช่องโหว่ Zero-Day ในซอฟต์แวร์ Lanscope เพื่อลอบควบคุมระบบขององค์กรในญี่ปุ่น โดยไม่ต้องใช้มัลแวร์หรือไฟล์ใดๆ — เป็นการโจมตีแบบ “fileless” ที่ยากต่อการตรวจจับ
 
 Lanscope เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้ในองค์กรเพื่อควบคุมและตรวจสอบอุปกรณ์ภายในเครือข่าย เช่น การล็อกการใช้งาน USB หรือการตรวจสอบการเข้าเว็บไซต์ ล่าสุดพบว่ามีช่องโหว่ Zero-Day ที่เปิดให้ผู้โจมตีสามารถใช้ API ภายในเพื่อควบคุมระบบได้โดยไม่ต้องติดตั้งมัลแวร์ใดๆ
 
 กลุ่ม Bronze Butler ซึ่งเป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่เชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกับรัฐบาลจีน ได้ใช้ช่องโหว่นี้ในการโจมตีองค์กรในญี่ปุ่น โดยใช้เทคนิค “living off the land” คือการใช้เครื่องมือที่มีอยู่ในระบบ เช่น PowerShell หรือ WMI เพื่อควบคุมเครื่องเป้าหมายโดยไม่ทิ้งร่องรอย
 
 การโจมตีนี้ไม่ต้องใช้ไฟล์หรือ payload แบบเดิมๆ ทำให้ระบบป้องกันไวรัสหรือ EDR ตรวจจับได้ยากมาก และสามารถแฝงตัวในระบบได้นานโดยไม่ถูกพบ
 
 นักวิจัยด้านความปลอดภัยแนะนำให้องค์กรที่ใช้ Lanscope ตรวจสอบการเรียกใช้งาน API ภายใน และอัปเดตแพตช์ทันทีเมื่อมีการเปิดเผยช่องโหว่ พร้อมทั้งเสริมระบบตรวจสอบพฤติกรรมที่ผิดปกติในเครือข่าย
 
 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม
 “Living off the land” คือเทคนิคที่แฮกเกอร์ใช้เครื่องมือในระบบเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ
 Fileless attack เป็นรูปแบบการโจมตีที่ไม่ใช้ไฟล์ ทำให้ระบบป้องกันแบบ signature-based ไม่สามารถตรวจจับได้
 Bronze Butler เคยถูกจับตาในกรณีโจมตีหน่วยงานรัฐบาลและบริษัทเทคโนโลยีในญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 2016
 
 ช่องโหว่ Zero-Day ใน Lanscope
 เปิดให้ควบคุมระบบผ่าน API ภายใน
 ไม่ต้องใช้ไฟล์หรือมัลแวร์ในการโจมตี
 เป็นการโจมตีแบบ fileless ที่ยากต่อการตรวจจับ
 
 กลุ่มผู้โจมตี: Bronze Butler
 เป็นกลุ่ม APT ที่เชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกับรัฐบาลจีน
 มีประวัติการโจมตีองค์กรในญี่ปุ่นและเอเชียตะวันออก
 ใช้เทคนิค “living off the land” เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ
 
 วิธีการโจมตี
 ใช้ PowerShell, WMI และ API ภายในของ Lanscope
 ไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมเพิ่ม
 ควบคุมระบบจากระยะไกลโดยไม่ทิ้งร่องรอย
 
 ความเสี่ยงต่อองค์กร
 ระบบตรวจสอบทั่วไปอาจไม่สามารถตรวจจับได้
 อาจถูกควบคุมโดยไม่รู้ตัวเป็นเวลานาน
 ข้อมูลสำคัญอาจถูกขโมยหรือเปลี่ยนแปลง
 
 ข้อควรระวังสำหรับผู้ใช้ Lanscope
 ควรตรวจสอบการเรียกใช้งาน API ที่ผิดปกติ
 อัปเดตแพตช์ทันทีเมื่อมีการเปิดเผยช่องโหว่
 เสริมระบบตรวจสอบพฤติกรรมในเครือข่าย เช่น UEBA หรือ XDR
 
 https://securityonline.info/chinese-apt-bronze-butler-exploits-lanscope-zero-day-for-system-control/🕵️♂️ Bronze Butler โจมตีองค์กรผ่านช่องโหว่ Zero-Day ใน Lanscope — แฮกเกอร์จีนใช้ช่องทางควบคุมระบบแบบลับๆ กลุ่ม APT จากจีนชื่อ Bronze Butler ถูกพบว่าใช้ช่องโหว่ Zero-Day ในซอฟต์แวร์ Lanscope เพื่อลอบควบคุมระบบขององค์กรในญี่ปุ่น โดยไม่ต้องใช้มัลแวร์หรือไฟล์ใดๆ — เป็นการโจมตีแบบ “fileless” ที่ยากต่อการตรวจจับ Lanscope เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้ในองค์กรเพื่อควบคุมและตรวจสอบอุปกรณ์ภายในเครือข่าย เช่น การล็อกการใช้งาน USB หรือการตรวจสอบการเข้าเว็บไซต์ ล่าสุดพบว่ามีช่องโหว่ Zero-Day ที่เปิดให้ผู้โจมตีสามารถใช้ API ภายในเพื่อควบคุมระบบได้โดยไม่ต้องติดตั้งมัลแวร์ใดๆ กลุ่ม Bronze Butler ซึ่งเป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่เชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกับรัฐบาลจีน ได้ใช้ช่องโหว่นี้ในการโจมตีองค์กรในญี่ปุ่น โดยใช้เทคนิค “living off the land” คือการใช้เครื่องมือที่มีอยู่ในระบบ เช่น PowerShell หรือ WMI เพื่อควบคุมเครื่องเป้าหมายโดยไม่ทิ้งร่องรอย การโจมตีนี้ไม่ต้องใช้ไฟล์หรือ payload แบบเดิมๆ ทำให้ระบบป้องกันไวรัสหรือ EDR ตรวจจับได้ยากมาก และสามารถแฝงตัวในระบบได้นานโดยไม่ถูกพบ นักวิจัยด้านความปลอดภัยแนะนำให้องค์กรที่ใช้ Lanscope ตรวจสอบการเรียกใช้งาน API ภายใน และอัปเดตแพตช์ทันทีเมื่อมีการเปิดเผยช่องโหว่ พร้อมทั้งเสริมระบบตรวจสอบพฤติกรรมที่ผิดปกติในเครือข่าย 🧠 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม 💠 “Living off the land” คือเทคนิคที่แฮกเกอร์ใช้เครื่องมือในระบบเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ 💠 Fileless attack เป็นรูปแบบการโจมตีที่ไม่ใช้ไฟล์ ทำให้ระบบป้องกันแบบ signature-based ไม่สามารถตรวจจับได้ 💠 Bronze Butler เคยถูกจับตาในกรณีโจมตีหน่วยงานรัฐบาลและบริษัทเทคโนโลยีในญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 2016 ✅ ช่องโหว่ Zero-Day ใน Lanscope ➡️ เปิดให้ควบคุมระบบผ่าน API ภายใน ➡️ ไม่ต้องใช้ไฟล์หรือมัลแวร์ในการโจมตี ➡️ เป็นการโจมตีแบบ fileless ที่ยากต่อการตรวจจับ ✅ กลุ่มผู้โจมตี: Bronze Butler ➡️ เป็นกลุ่ม APT ที่เชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกับรัฐบาลจีน ➡️ มีประวัติการโจมตีองค์กรในญี่ปุ่นและเอเชียตะวันออก ➡️ ใช้เทคนิค “living off the land” เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ ✅ วิธีการโจมตี ➡️ ใช้ PowerShell, WMI และ API ภายในของ Lanscope ➡️ ไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมเพิ่ม ➡️ ควบคุมระบบจากระยะไกลโดยไม่ทิ้งร่องรอย ‼️ ความเสี่ยงต่อองค์กร ⛔ ระบบตรวจสอบทั่วไปอาจไม่สามารถตรวจจับได้ ⛔ อาจถูกควบคุมโดยไม่รู้ตัวเป็นเวลานาน ⛔ ข้อมูลสำคัญอาจถูกขโมยหรือเปลี่ยนแปลง ‼️ ข้อควรระวังสำหรับผู้ใช้ Lanscope ⛔ ควรตรวจสอบการเรียกใช้งาน API ที่ผิดปกติ ⛔ อัปเดตแพตช์ทันทีเมื่อมีการเปิดเผยช่องโหว่ ⛔ เสริมระบบตรวจสอบพฤติกรรมในเครือข่าย เช่น UEBA หรือ XDR https://securityonline.info/chinese-apt-bronze-butler-exploits-lanscope-zero-day-for-system-control/SECURITYONLINE.INFOChinese APT BRONZE BUTLER Exploits LANSCOPE Zero-Day for SYSTEM ControlChinese APT BRONZE BUTLER exploited CVE-2025-61932 in Motex LANSCOPE Endpoint Manager to gain SYSTEM access. CISA added the actively exploited zero-day to KEV.0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
-  FFmpeg ได้รับเงินสนับสนุน $100,000 จากโครงการ FLOSS/fund ของอินเดีย — ก้าวสำคัญสู่อนาคตที่ยั่งยืนของโอเพ่นซอร์ส
 
 โครงการ FLOSS/fund ที่ริเริ่มโดย Zerodha มอบเงินสนับสนุนให้ FFmpeg ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องมือมัลติมีเดียโอเพ่นซอร์สที่สำคัญที่สุดในโลก โดยเงินทุนนี้ถือเป็นก้าวแรกในการแก้ปัญหาการขาดแคลนงบประมาณของโครงการโอเพ่นซอร์สทั่วโลก
 
 ถ้าคุณเคยดูวิดีโอออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น YouTube, Netflix หรือแม้แต่ใช้แอปตัดต่อวิดีโอ มีโอกาสสูงมากที่เบื้องหลังจะมี FFmpeg ทำงานอยู่ — มันคือเฟรมเวิร์กโอเพ่นซอร์สที่ช่วยแปลงไฟล์ สตรีม และประมวลผลเสียงกับภาพแบบอัตโนมัติ
 
 แม้จะมีบทบาทสำคัญในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของโลก แต่ FFmpeg กลับขาดแคลนงบประมาณมาโดยตลอด ล่าสุดโครงการ FLOSS/fund ที่ริเริ่มโดย Zerodha บริษัทโบรกเกอร์หุ้นจากอินเดีย ได้มอบเงินสนับสนุนจำนวน $100,000 ให้กับ FFmpeg ในรอบการจัดสรรครั้งที่สองของปี 2025
 
 ทีมงาน FFmpeg ขอบคุณ Nithin Kamath ซีอีโอของ Zerodha ผ่านโพสต์บน X (Twitter) พร้อมระบุว่า “เงินทุนนี้ไม่ใช่คำตอบทั้งหมดของปัญหา แต่เป็นก้าวสำคัญสู่อนาคตที่ยั่งยืนของซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส”
 
 เงินทุนนี้ยังอยู่ในสถานะ “รอดำเนินการ” เนื่องจากต้องจัดการเอกสารและการติดต่อกับผู้รับทั้งหมด โดย FLOSS/fund กำลังร่วมมือกับ GitHub Sponsors เพื่อทำให้การโอนเงินข้ามประเทศง่ายขึ้นในอนาคต
 
 ในรอบนี้มีโครงการโอเพ่นซอร์สอีก 29 โครงการที่ได้รับเงินสนับสนุน รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น $675,000 ซึ่งเมื่อรวมกับรอบก่อนหน้าในเดือนพฤษภาคม จะทำให้ยอดรวมของปีนี้แตะ $1 ล้านเต็ม
 
 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติมจากภายนอก
 FLOSS/fund ก่อตั้งขึ้นในปี 2024 โดยมีเป้าหมายสนับสนุนซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่มีผู้ใช้งานจำนวนมากแต่ขาดงบประมาณ
 FFmpeg ถูกใช้ในระบบ backend ของหลายแพลตฟอร์มโดยที่ผู้ใช้ทั่วไปไม่รู้ตัว
 การสนับสนุนแบบนี้อาจเป็นต้นแบบให้บริษัทอื่นๆ ร่วมลงทุนในโครงการโอเพ่นซอร์สที่ตนเองพึ่งพาอยู่
 
 นี่คือก้าวสำคัญของโลกโอเพ่นซอร์ส ที่แสดงให้เห็นว่าความยั่งยืนไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี — แต่คือเรื่องของความรับผิดชอบร่วมกันจากทุกภาคส่วน
 
 FFmpeg ได้รับเงินสนับสนุนจาก FLOSS/fund
 จำนวน $100,000 จาก Zerodha ประเทศอินเดีย
 เป็นส่วนหนึ่งของรอบจัดสรร Tranche 2 ประจำปี 2025
 ยังอยู่ในขั้นตอนดำเนินการเอกสารและการติดต่อ
 
 ความสำคัญของ FFmpeg
 ใช้ในแพลตฟอร์มใหญ่ เช่น YouTube, Netflix, แอปตัดต่อวิดีโอ
 เป็นเฟรมเวิร์กโอเพ่นซอร์สสำหรับแปลงและสตรีมไฟล์มัลติมีเดีย
 มีบทบาทสำคัญในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทั่วโลก
 
 เป้าหมายของ FLOSS/fund
 สนับสนุนโครงการโอเพ่นซอร์สที่โลกพึ่งพา
 เรียกร้องให้บริษัทที่ได้ประโยชน์จาก FOSS สนับสนุนมากกว่าแค่คำขอบคุณ
 ร่วมมือกับ GitHub Sponsors เพื่อแก้ปัญหาโอนเงินข้ามประเทศ
 
 ความท้าทายในการสนับสนุนโอเพ่นซอร์ส
 เงินทุนยังไม่เพียงพอต่อความต้องการระยะยาว
 การโอนเงินระหว่างประเทศยังมีอุปสรรคด้านกฎหมายและระบบธนาคาร
 โครงการโอเพ่นซอร์สจำนวนมากยังไม่มีช่องทางรับเงินที่ปลอดภัย
 
 https://news.itsfoss.com/ffmpeg-receives-100k-funding/💰 FFmpeg ได้รับเงินสนับสนุน $100,000 จากโครงการ FLOSS/fund ของอินเดีย — ก้าวสำคัญสู่อนาคตที่ยั่งยืนของโอเพ่นซอร์ส โครงการ FLOSS/fund ที่ริเริ่มโดย Zerodha มอบเงินสนับสนุนให้ FFmpeg ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องมือมัลติมีเดียโอเพ่นซอร์สที่สำคัญที่สุดในโลก โดยเงินทุนนี้ถือเป็นก้าวแรกในการแก้ปัญหาการขาดแคลนงบประมาณของโครงการโอเพ่นซอร์สทั่วโลก ถ้าคุณเคยดูวิดีโอออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น YouTube, Netflix หรือแม้แต่ใช้แอปตัดต่อวิดีโอ มีโอกาสสูงมากที่เบื้องหลังจะมี FFmpeg ทำงานอยู่ — มันคือเฟรมเวิร์กโอเพ่นซอร์สที่ช่วยแปลงไฟล์ สตรีม และประมวลผลเสียงกับภาพแบบอัตโนมัติ แม้จะมีบทบาทสำคัญในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของโลก แต่ FFmpeg กลับขาดแคลนงบประมาณมาโดยตลอด ล่าสุดโครงการ FLOSS/fund ที่ริเริ่มโดย Zerodha บริษัทโบรกเกอร์หุ้นจากอินเดีย ได้มอบเงินสนับสนุนจำนวน $100,000 ให้กับ FFmpeg ในรอบการจัดสรรครั้งที่สองของปี 2025 ทีมงาน FFmpeg ขอบคุณ Nithin Kamath ซีอีโอของ Zerodha ผ่านโพสต์บน X (Twitter) พร้อมระบุว่า “เงินทุนนี้ไม่ใช่คำตอบทั้งหมดของปัญหา แต่เป็นก้าวสำคัญสู่อนาคตที่ยั่งยืนของซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส” เงินทุนนี้ยังอยู่ในสถานะ “รอดำเนินการ” เนื่องจากต้องจัดการเอกสารและการติดต่อกับผู้รับทั้งหมด โดย FLOSS/fund กำลังร่วมมือกับ GitHub Sponsors เพื่อทำให้การโอนเงินข้ามประเทศง่ายขึ้นในอนาคต ในรอบนี้มีโครงการโอเพ่นซอร์สอีก 29 โครงการที่ได้รับเงินสนับสนุน รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น $675,000 ซึ่งเมื่อรวมกับรอบก่อนหน้าในเดือนพฤษภาคม จะทำให้ยอดรวมของปีนี้แตะ $1 ล้านเต็ม 🧠 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติมจากภายนอก 💠 FLOSS/fund ก่อตั้งขึ้นในปี 2024 โดยมีเป้าหมายสนับสนุนซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่มีผู้ใช้งานจำนวนมากแต่ขาดงบประมาณ 💠 FFmpeg ถูกใช้ในระบบ backend ของหลายแพลตฟอร์มโดยที่ผู้ใช้ทั่วไปไม่รู้ตัว 💠 การสนับสนุนแบบนี้อาจเป็นต้นแบบให้บริษัทอื่นๆ ร่วมลงทุนในโครงการโอเพ่นซอร์สที่ตนเองพึ่งพาอยู่ นี่คือก้าวสำคัญของโลกโอเพ่นซอร์ส ที่แสดงให้เห็นว่าความยั่งยืนไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี — แต่คือเรื่องของความรับผิดชอบร่วมกันจากทุกภาคส่วน ✅ FFmpeg ได้รับเงินสนับสนุนจาก FLOSS/fund ➡️ จำนวน $100,000 จาก Zerodha ประเทศอินเดีย ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของรอบจัดสรร Tranche 2 ประจำปี 2025 ➡️ ยังอยู่ในขั้นตอนดำเนินการเอกสารและการติดต่อ ✅ ความสำคัญของ FFmpeg ➡️ ใช้ในแพลตฟอร์มใหญ่ เช่น YouTube, Netflix, แอปตัดต่อวิดีโอ ➡️ เป็นเฟรมเวิร์กโอเพ่นซอร์สสำหรับแปลงและสตรีมไฟล์มัลติมีเดีย ➡️ มีบทบาทสำคัญในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทั่วโลก ✅ เป้าหมายของ FLOSS/fund ➡️ สนับสนุนโครงการโอเพ่นซอร์สที่โลกพึ่งพา ➡️ เรียกร้องให้บริษัทที่ได้ประโยชน์จาก FOSS สนับสนุนมากกว่าแค่คำขอบคุณ ➡️ ร่วมมือกับ GitHub Sponsors เพื่อแก้ปัญหาโอนเงินข้ามประเทศ ‼️ ความท้าทายในการสนับสนุนโอเพ่นซอร์ส ⛔ เงินทุนยังไม่เพียงพอต่อความต้องการระยะยาว ⛔ การโอนเงินระหว่างประเทศยังมีอุปสรรคด้านกฎหมายและระบบธนาคาร ⛔ โครงการโอเพ่นซอร์สจำนวนมากยังไม่มีช่องทางรับเงินที่ปลอดภัย https://news.itsfoss.com/ffmpeg-receives-100k-funding/NEWS.ITSFOSS.COMFFmpeg Receives $100K in Funding from India's FLOSS/fund InitiativeIt is one of the world's most widely used multimedia frameworks today.0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 23 มุมมอง 0 รีวิว
-  Proton เปิดตัว Data Breach Observatory — เครื่องมือตรวจจับข้อมูลรั่วไหลจาก Dark Web แบบเรียลไทม์
 
 Proton เปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ชื่อว่า “Data Breach Observatory” ที่ช่วยติดตามการรั่วไหลของข้อมูลจากตลาดมืดบน Dark Web โดยสามารถตรวจสอบได้ว่าองค์กรใดถูกเจาะ ข้อมูลใดถูกขโมย และจำนวนที่รั่วไหล — ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างความโปร่งใสในโลกไซเบอร์ที่มักถูกปิดบัง
 
 Proton เป็นบริษัทที่ขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว เช่น ProtonMail, ProtonVPN และ Proton Drive ล่าสุดพวกเขาเปิดตัว “Data Breach Observatory” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสาธารณะที่ช่วยติดตามการรั่วไหลของข้อมูลจาก Dark Web แบบเรียลไทม์
 
 แพลตฟอร์มนี้จะดึงข้อมูลจากฟอรั่มและตลาดมืดที่แฮกเกอร์ใช้ซื้อขายข้อมูลที่ถูกขโมย แล้วนำมาวิเคราะห์และเผยแพร่ให้สาธารณชนเข้าถึงได้ฟรี ผู้ใช้สามารถตรวจสอบได้ว่าองค์กรใดถูกเจาะ ข้อมูลประเภทใดที่รั่วไหล และจำนวนเรคคอร์ดที่ถูกขโมย
 
 Proton ร่วมมือกับ Constella Intelligence ในการตรวจสอบข้อมูลจาก Dark Web และในปี 2025 เพียงปีเดียว พบเหตุการณ์รั่วไหล 794 ครั้งที่เชื่อมโยงกับองค์กรโดยตรง และอีก 1,571 เหตุการณ์ที่เป็นชุดข้อมูลรวม ซึ่งรวมแล้วมีข้อมูลหลายร้อยพันล้านเรคคอร์ดที่ถูกเปิดเผย
 
 ข้อมูลที่รั่วไหลส่วนใหญ่ประกอบด้วย:
 อีเมล (100%)
 ชื่อ (90%)
 ข้อมูลติดต่อ (72%)
 รหัสผ่าน (49%)
 
 แพลตฟอร์มนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้องค์กรรู้ตัวก่อนจะถูกเปิดเผย แต่ยังช่วยให้บุคคลทั่วไปสามารถตรวจสอบได้ว่าข้อมูลของตนเองเคยปรากฏในตลาดมืดหรือไม่
 
 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม
 Proton ใช้หลัก “your data, your rules” ในการออกแบบทุกบริการ
 Constella Intelligence เป็นบริษัทด้านความปลอดภัยที่เชี่ยวชาญการตรวจสอบข้อมูลจาก Dark Web
 การเปิดเผยข้อมูลรั่วไหลแบบเรียลไทม์ช่วยให้องค์กรสามารถตอบสนองได้เร็วขึ้น และลดผลกระทบจากการโจมตีทางไซเบอร์
 
 Data Breach Observatory ไม่ใช่แค่เครื่องมือ — แต่มันคือ “ไฟฉาย” ที่ส่องให้เห็นสิ่งที่เคยถูกซ่อนไว้ในเงามืดของโลกไซเบอร์
 
 https://news.itsfoss.com/proton-data-breach-observatory/🔍 Proton เปิดตัว Data Breach Observatory — เครื่องมือตรวจจับข้อมูลรั่วไหลจาก Dark Web แบบเรียลไทม์ Proton เปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ชื่อว่า “Data Breach Observatory” ที่ช่วยติดตามการรั่วไหลของข้อมูลจากตลาดมืดบน Dark Web โดยสามารถตรวจสอบได้ว่าองค์กรใดถูกเจาะ ข้อมูลใดถูกขโมย และจำนวนที่รั่วไหล — ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างความโปร่งใสในโลกไซเบอร์ที่มักถูกปิดบัง Proton เป็นบริษัทที่ขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว เช่น ProtonMail, ProtonVPN และ Proton Drive ล่าสุดพวกเขาเปิดตัว “Data Breach Observatory” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสาธารณะที่ช่วยติดตามการรั่วไหลของข้อมูลจาก Dark Web แบบเรียลไทม์ แพลตฟอร์มนี้จะดึงข้อมูลจากฟอรั่มและตลาดมืดที่แฮกเกอร์ใช้ซื้อขายข้อมูลที่ถูกขโมย แล้วนำมาวิเคราะห์และเผยแพร่ให้สาธารณชนเข้าถึงได้ฟรี ผู้ใช้สามารถตรวจสอบได้ว่าองค์กรใดถูกเจาะ ข้อมูลประเภทใดที่รั่วไหล และจำนวนเรคคอร์ดที่ถูกขโมย Proton ร่วมมือกับ Constella Intelligence ในการตรวจสอบข้อมูลจาก Dark Web และในปี 2025 เพียงปีเดียว พบเหตุการณ์รั่วไหล 794 ครั้งที่เชื่อมโยงกับองค์กรโดยตรง และอีก 1,571 เหตุการณ์ที่เป็นชุดข้อมูลรวม ซึ่งรวมแล้วมีข้อมูลหลายร้อยพันล้านเรคคอร์ดที่ถูกเปิดเผย ข้อมูลที่รั่วไหลส่วนใหญ่ประกอบด้วย: 🎗️ อีเมล (100%) 🎗️ ชื่อ (90%) 🎗️ ข้อมูลติดต่อ (72%) 🎗️ รหัสผ่าน (49%) แพลตฟอร์มนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้องค์กรรู้ตัวก่อนจะถูกเปิดเผย แต่ยังช่วยให้บุคคลทั่วไปสามารถตรวจสอบได้ว่าข้อมูลของตนเองเคยปรากฏในตลาดมืดหรือไม่ 🧠 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม 💠 Proton ใช้หลัก “your data, your rules” ในการออกแบบทุกบริการ 💠 Constella Intelligence เป็นบริษัทด้านความปลอดภัยที่เชี่ยวชาญการตรวจสอบข้อมูลจาก Dark Web 💠 การเปิดเผยข้อมูลรั่วไหลแบบเรียลไทม์ช่วยให้องค์กรสามารถตอบสนองได้เร็วขึ้น และลดผลกระทบจากการโจมตีทางไซเบอร์ Data Breach Observatory ไม่ใช่แค่เครื่องมือ — แต่มันคือ “ไฟฉาย” ที่ส่องให้เห็นสิ่งที่เคยถูกซ่อนไว้ในเงามืดของโลกไซเบอร์ https://news.itsfoss.com/proton-data-breach-observatory/NEWS.ITSFOSS.COMProton Launches Data Breach Observatory to Track Dark Web Activity in Real-TimeA constantly updated dark web monitoring tool.0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 20 มุมมอง 0 รีวิว
-  Qt Creator 18 เปิดตัว! IDE สุดล้ำพร้อมรองรับ Container และ GitHub Enterprise
 
 วันนี้มีข่าวดีสำหรับนักพัฒนา! Qt Project ได้ปล่อย Qt Creator 18 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดของ IDE แบบโอเพ่นซอร์สที่รองรับหลายแพลตฟอร์ม ทั้ง Linux, macOS และ Windows โดยเวอร์ชันนี้มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่น่าตื่นเต้น โดยเฉพาะการรองรับ container สำหรับการพัฒนาแบบแยกส่วน และการเชื่อมต่อกับ GitHub Enterprise ผ่าน Copilot
 
 ลองนึกภาพว่า...คุณเปิดโปรเจกต์ที่มีไฟล์ devcontainer.json อยู่ แล้ว Qt Creator ก็จัดการสร้าง Docker container ให้คุณอัตโนมัติ พร้อมปรับแต่ง environment ให้เหมาะกับการพัฒนาโดยไม่ต้องตั้งค่าเองให้ยุ่งยากเลย! นี่คือก้าวสำคัญของการพัฒนาแบบ container-native ที่กำลังมาแรงในยุค DevOps และ Cloud-native
 
 นอกจากนี้ Qt Creator 18 ยังปรับปรุงหลายจุดเพื่อให้ใช้งานได้ลื่นไหลขึ้น เช่น:
 เพิ่มแท็บ Overview ในหน้า Welcome
 ปรับปรุงระบบแจ้งเตือนให้รวมอยู่ใน popup เดียว
 รองรับการใช้ editor แบบ tabbed
 ปรับปรุงระบบ Git ให้แสดงสถานะไฟล์ในมุมมอง File System
 เพิ่มการรองรับ CMake Test Presets และการเชื่อมต่ออุปกรณ์ Linux แบบอัตโนมัติ
 
 และที่สำคัญคือการอัปเดต Clangd/LLVM เป็นเวอร์ชัน 21.1 เพื่อรองรับฟีเจอร์ใหม่ของภาษา C++ ได้ดีขึ้น
 
 สาระเพิ่มเติม
 การใช้ container ในการพัฒนาเริ่มเป็นมาตรฐานในองค์กรขนาดใหญ่ เพราะช่วยให้การตั้งค่า environment เป็นเรื่องง่ายและลดปัญหา “มันทำงานบนเครื่องฉันนะ!”
 GitHub Copilot Enterprise ช่วยให้ทีมสามารถใช้ AI เขียนโค้ดได้อย่างปลอดภัยในระบบภายในองค์กร โดยไม่ต้องเปิดเผยโค้ดสู่สาธารณะ
 
 ฟีเจอร์ใหม่ที่โดดเด่น
 รองรับการสร้าง development container ผ่านไฟล์ devcontainer.json
 เพิ่มแท็บ Overview ในหน้า Welcome
 รองรับ editor แบบ tabbed เพื่อการจัดการโค้ดที่ง่ายขึ้น
 ปรับปรุงระบบแจ้งเตือนให้รวมอยู่ใน popup เดียว
 รองรับ GitHub Enterprise ผ่าน Copilot
 
 การปรับปรุงด้าน Git และการจัดการโปรเจกต์
 เพิ่มการแสดงสถานะ version control ในมุมมอง File System
 รองรับ CMake Test Presets
 เพิ่มตัวเลือก auto-connect สำหรับอุปกรณ์ Linux
 ปรับปรุงการจัดการไฟล์ .user ให้แยกเก็บในโฟลเดอร์ .qtcreator/
 
 การอัปเดตด้านเทคโนโลยี
 อัปเดต Clangd/LLVM เป็นเวอร์ชัน 21.1
 ปรับปรุง code model ให้รองรับฟีเจอร์ใหม่ของ C++
 
 https://9to5linux.com/qt-creator-18-open-source-ide-released-with-experimental-container-support🛠️ Qt Creator 18 เปิดตัว! IDE สุดล้ำพร้อมรองรับ Container และ GitHub Enterprise วันนี้มีข่าวดีสำหรับนักพัฒนา! Qt Project ได้ปล่อย Qt Creator 18 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดของ IDE แบบโอเพ่นซอร์สที่รองรับหลายแพลตฟอร์ม ทั้ง Linux, macOS และ Windows โดยเวอร์ชันนี้มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่น่าตื่นเต้น โดยเฉพาะการรองรับ container สำหรับการพัฒนาแบบแยกส่วน และการเชื่อมต่อกับ GitHub Enterprise ผ่าน Copilot ลองนึกภาพว่า...คุณเปิดโปรเจกต์ที่มีไฟล์ devcontainer.json อยู่ แล้ว Qt Creator ก็จัดการสร้าง Docker container ให้คุณอัตโนมัติ พร้อมปรับแต่ง environment ให้เหมาะกับการพัฒนาโดยไม่ต้องตั้งค่าเองให้ยุ่งยากเลย! นี่คือก้าวสำคัญของการพัฒนาแบบ container-native ที่กำลังมาแรงในยุค DevOps และ Cloud-native นอกจากนี้ Qt Creator 18 ยังปรับปรุงหลายจุดเพื่อให้ใช้งานได้ลื่นไหลขึ้น เช่น: 🎗️ เพิ่มแท็บ Overview ในหน้า Welcome 🎗️ ปรับปรุงระบบแจ้งเตือนให้รวมอยู่ใน popup เดียว 🎗️ รองรับการใช้ editor แบบ tabbed 🎗️ ปรับปรุงระบบ Git ให้แสดงสถานะไฟล์ในมุมมอง File System 🎗️ เพิ่มการรองรับ CMake Test Presets และการเชื่อมต่ออุปกรณ์ Linux แบบอัตโนมัติ และที่สำคัญคือการอัปเดต Clangd/LLVM เป็นเวอร์ชัน 21.1 เพื่อรองรับฟีเจอร์ใหม่ของภาษา C++ ได้ดีขึ้น 💡 สาระเพิ่มเติม 💠 การใช้ container ในการพัฒนาเริ่มเป็นมาตรฐานในองค์กรขนาดใหญ่ เพราะช่วยให้การตั้งค่า environment เป็นเรื่องง่ายและลดปัญหา “มันทำงานบนเครื่องฉันนะ!” 💠 GitHub Copilot Enterprise ช่วยให้ทีมสามารถใช้ AI เขียนโค้ดได้อย่างปลอดภัยในระบบภายในองค์กร โดยไม่ต้องเปิดเผยโค้ดสู่สาธารณะ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ที่โดดเด่น ➡️ รองรับการสร้าง development container ผ่านไฟล์ devcontainer.json ➡️ เพิ่มแท็บ Overview ในหน้า Welcome ➡️ รองรับ editor แบบ tabbed เพื่อการจัดการโค้ดที่ง่ายขึ้น ➡️ ปรับปรุงระบบแจ้งเตือนให้รวมอยู่ใน popup เดียว ➡️ รองรับ GitHub Enterprise ผ่าน Copilot ✅ การปรับปรุงด้าน Git และการจัดการโปรเจกต์ ➡️ เพิ่มการแสดงสถานะ version control ในมุมมอง File System ➡️ รองรับ CMake Test Presets ➡️ เพิ่มตัวเลือก auto-connect สำหรับอุปกรณ์ Linux ➡️ ปรับปรุงการจัดการไฟล์ .user ให้แยกเก็บในโฟลเดอร์ .qtcreator/ ✅ การอัปเดตด้านเทคโนโลยี ➡️ อัปเดต Clangd/LLVM เป็นเวอร์ชัน 21.1 ➡️ ปรับปรุง code model ให้รองรับฟีเจอร์ใหม่ของ C++ https://9to5linux.com/qt-creator-18-open-source-ide-released-with-experimental-container-support9TO5LINUX.COMQt Creator 18 Open-Source IDE Released with Experimental Container Support - 9to5LinuxQt Creator 18 open-source IDE (Integrated Development Environment) is now available for download with various improvements. Here’s what’s new!0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 18 มุมมอง 0 รีวิว
-  LibreOffice 25.2.7 ปิดฉากซีรีส์ พร้อมแนะนำอัปเกรดสู่เวอร์ชัน 25.8 ที่เร็วและล้ำกว่าเดิม!
 
 LibreOffice 25.2.7 ได้รับการปล่อยออกมาแล้วในฐานะเวอร์ชันสุดท้ายของซีรีส์ 25.2 ก่อนจะสิ้นสุดการสนับสนุนในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2025 โดย The Document Foundation แนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเกรดไปยัง LibreOffice 25.8 ซึ่งมีฟีเจอร์ใหม่มากมายที่ตอบโจทย์การใช้งานยุคใหม่
 
 เล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่าย ลองนึกภาพว่าคุณเปิดไฟล์ขนาดใหญ่ใน Writer หรือ Calc แล้วมันโหลดเร็วขึ้นถึง 30%! นั่นคือหนึ่งในความสามารถใหม่ของ LibreOffice 25.8 ที่เปิดตัวเมื่อเดือนสิงหาคม 2025 พร้อมกับการปรับปรุงการจัดการหน่วยความจำให้เหมาะกับการใช้งานบน virtual desktop และ thin client รวมถึงการเลื่อนหน้าที่ลื่นไหลขึ้น และระบบจัดการการเว้นวรรคกับการตัดคำที่แม่นยำกว่าเดิม
 
 ในขณะที่ LibreOffice 25.2.7 แก้ไขบั๊กกว่า 43 จุดเพื่อปิดท้ายซีรีส์อย่างสมบูรณ์แบบ ผู้ใช้ที่ยังไม่อัปเกรดสามารถใช้งานได้ต่อถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้ แต่หลังจากนั้นควรเปลี่ยนไปใช้เวอร์ชัน 25.8 ที่จะได้รับการดูแลต่อเนื่องถึงกลางปี 2026
 
 ทั้งสองเวอร์ชันสามารถดาวน์โหลดได้ในรูปแบบ RPM, DEB, source tarball หรือ Flatpak ผ่าน Flathub และ repository ของแต่ละ distro
 
 LibreOffice 25.2.7 คือเวอร์ชันสุดท้ายของซีรีส์ 25.2
 แก้ไขบั๊กทั้งหมด 43 จุดจาก changelog RC1 และ RC2
 จะสิ้นสุดการสนับสนุนในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2025
 
 LibreOffice 25.8 คือเวอร์ชันที่แนะนำให้ใช้งานต่อ
 เปิดตัวเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2025
 รองรับการ export PDF 2.0
 เปิดไฟล์ใน Writer และ Calc ได้เร็วขึ้นถึง 30%
 ปรับปรุงการจัดการหน่วยความจำให้เหมาะกับ virtual desktop และ thin client
 เลื่อนหน้าผ่านเอกสารขนาดใหญ่ได้ลื่นขึ้น
 ระบบตัดคำและเว้นวรรคถูกปรับปรุงใหม่ทั้งหมด
 จะได้รับการอัปเดตต่อเนื่องถึงวันที่ 12 มิถุนายน 2026
 
 ช่องทางการดาวน์โหลด
 มีให้เลือกทั้ง RPM, DEB, source tarball
 รองรับ Flatpak ผ่าน Flathub และ repository ของ distro
 
 https://9to5linux.com/libreoffice-25-2-7-is-out-as-the-last-update-in-the-series-upgrade-to-libreoffice-25-8📢 LibreOffice 25.2.7 ปิดฉากซีรีส์ พร้อมแนะนำอัปเกรดสู่เวอร์ชัน 25.8 ที่เร็วและล้ำกว่าเดิม! LibreOffice 25.2.7 ได้รับการปล่อยออกมาแล้วในฐานะเวอร์ชันสุดท้ายของซีรีส์ 25.2 ก่อนจะสิ้นสุดการสนับสนุนในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2025 โดย The Document Foundation แนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเกรดไปยัง LibreOffice 25.8 ซึ่งมีฟีเจอร์ใหม่มากมายที่ตอบโจทย์การใช้งานยุคใหม่ 🎯 เล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่าย ลองนึกภาพว่าคุณเปิดไฟล์ขนาดใหญ่ใน Writer หรือ Calc แล้วมันโหลดเร็วขึ้นถึง 30%! นั่นคือหนึ่งในความสามารถใหม่ของ LibreOffice 25.8 ที่เปิดตัวเมื่อเดือนสิงหาคม 2025 พร้อมกับการปรับปรุงการจัดการหน่วยความจำให้เหมาะกับการใช้งานบน virtual desktop และ thin client รวมถึงการเลื่อนหน้าที่ลื่นไหลขึ้น และระบบจัดการการเว้นวรรคกับการตัดคำที่แม่นยำกว่าเดิม ในขณะที่ LibreOffice 25.2.7 แก้ไขบั๊กกว่า 43 จุดเพื่อปิดท้ายซีรีส์อย่างสมบูรณ์แบบ ผู้ใช้ที่ยังไม่อัปเกรดสามารถใช้งานได้ต่อถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้ แต่หลังจากนั้นควรเปลี่ยนไปใช้เวอร์ชัน 25.8 ที่จะได้รับการดูแลต่อเนื่องถึงกลางปี 2026 📦 ทั้งสองเวอร์ชันสามารถดาวน์โหลดได้ในรูปแบบ RPM, DEB, source tarball หรือ Flatpak ผ่าน Flathub และ repository ของแต่ละ distro ✅ LibreOffice 25.2.7 คือเวอร์ชันสุดท้ายของซีรีส์ 25.2 ➡️ แก้ไขบั๊กทั้งหมด 43 จุดจาก changelog RC1 และ RC2 ➡️ จะสิ้นสุดการสนับสนุนในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2025 ✅ LibreOffice 25.8 คือเวอร์ชันที่แนะนำให้ใช้งานต่อ ➡️ เปิดตัวเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2025 ➡️ รองรับการ export PDF 2.0 ➡️ เปิดไฟล์ใน Writer และ Calc ได้เร็วขึ้นถึง 30% ➡️ ปรับปรุงการจัดการหน่วยความจำให้เหมาะกับ virtual desktop และ thin client ➡️ เลื่อนหน้าผ่านเอกสารขนาดใหญ่ได้ลื่นขึ้น ➡️ ระบบตัดคำและเว้นวรรคถูกปรับปรุงใหม่ทั้งหมด ➡️ จะได้รับการอัปเดตต่อเนื่องถึงวันที่ 12 มิถุนายน 2026 ✅ ช่องทางการดาวน์โหลด ➡️ มีให้เลือกทั้ง RPM, DEB, source tarball ➡️ รองรับ Flatpak ผ่าน Flathub และ repository ของ distro https://9to5linux.com/libreoffice-25-2-7-is-out-as-the-last-update-in-the-series-upgrade-to-libreoffice-25-89TO5LINUX.COMLibreOffice 25.2.7 Is Out as the Last Update in the Series, Upgrade to LibreOffice 25.8 - 9to5LinuxLibreOffice 25.2.7 is now available for download as the last update in the LibreOffice 25.2 office suite series with 43 bug fixes.0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
-  Crunchyroll ทำลายคุณภาพซับไตเติลอย่างไม่มีเหตุผล — เมื่อศิลปะการแปลถูกลดทอนเพื่อความสะดวกของแพลตฟอร์มใหญ่
 
 Crunchyroll เคยเป็นผู้นำด้านคุณภาพซับไตเติลในวงการอนิเมะ ด้วยการใช้เทคนิค typesetting ที่ซับซ้อน เช่น การจัดตำแหน่งข้อความ การใช้ฟอนต์และสีที่หลากหลาย รวมถึงการแปลข้อความบนหน้าจออย่างครบถ้วน แต่ตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงปี 2025 เป็นต้นมา คุณภาพซับไตเติลกลับตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่ในผลงานที่ผลิตโดยทีมงานของ Crunchyroll เอง
 
 เกิดอะไรขึ้น? Crunchyroll เริ่มลดการใช้ typesetting เพื่อให้ซับไตเติลสามารถใช้งานร่วมกับแพลตฟอร์มใหญ่อย่าง Netflix และ Amazon Prime Video ได้ง่ายขึ้น เนื่องจากแพลตฟอร์มเหล่านี้มีข้อจำกัดด้านการแสดงผลซับไตเติล เช่น ห้ามใช้ตำแหน่งซับหลายจุด หรือแสดงข้อความซ้อนกัน แม้ว่าเทคโนโลยี TTML ที่ใช้จะรองรับฟีเจอร์เหล่านี้ก็ตาม
 
 เบื้องหลังการตัดสินใจ จากข้อมูลภายในที่ไม่เปิดเผยชื่อ พบว่า Crunchyroll เคยมีทีมงานแปลงซับไตเติลคุณภาพสูงให้เข้ากับมาตรฐานต่ำของแพลตฟอร์มอื่น แต่ในที่สุดผู้บริหารตัดสินใจผลิตซับไตเติลแบบต่ำคุณภาพเพียงอย่างเดียว เพื่อความสะดวกในการ sublicensing และลดต้นทุน แม้จะแลกกับประสบการณ์การรับชมที่ด้อยลง
 
 ประวัติการพัฒนาซับไตเติลของ Crunchyroll
 เริ่มจากการใช้ซับแฟนซับในยุคแรก
 พัฒนา renderer สำหรับ ASS ซับใน Flash และต่อมาใน HTML5 ด้วย WebAssembly
 เคยใช้ libass เพื่อรองรับการ typeset อย่างเต็มรูปแบบ
 แต่ไม่เคยพัฒนาให้รองรับฟอนต์แบบกำหนดเองอย่างจริงจัง
 
 ผลกระทบต่อผู้ชม
 ข้อความบนหน้าจอไม่ได้รับการแปล
 ซับไตเติลรวมกันที่ด้านบนหรือด้านล่าง ทำให้ดูยาก
 เพลงเปิด/ปิดยังคงไม่แปล แม้จะมีสิทธิ์ในการผลิต
 
 Crunchyroll เคยเป็นผู้นำด้านคุณภาพซับไตเติล
 ใช้เทคนิค typesetting เช่น การจัดตำแหน่ง ฟอนต์ สี และการแปลข้อความบนหน้าจอ
 พัฒนา renderer สำหรับ ASS ซับใน Flash และ HTML5 ด้วย libass
 
 การเปลี่ยนแปลงในปี 2025
 ลดการใช้ typesetting เพื่อให้ซับไตเติลใช้งานร่วมกับ Netflix และ Amazon ได้
 ผลิตซับไตเติลแบบ TTML ที่มีคุณภาพต่ำเป็นหลัก
 ทีมงานภายในต้องแปลงซับคุณภาพสูงให้เข้ากับมาตรฐานต่ำ
 
 ผลกระทบต่อผู้ชม
 ข้อความบนหน้าจอไม่ได้รับการแปลหรือแสดงผลอย่างเหมาะสม
 ซับไตเติลรวมกันที่ด้านบนหรือด้านล่าง ทำให้ดูยาก
 เพลงเปิด/ปิดยังคงไม่แปล แม้จะมีสิทธิ์ในการผลิต
 
 คำเตือนต่ออนาคตของการแปลอนิเมะ
 หากแพลตฟอร์มใหญ่ยังคงใช้มาตรฐานต่ำ อนิเมะอาจสูญเสียความละเอียดในการเล่าเรื่อง
 การลดคุณภาพซับไตเติลอาจทำให้ผู้ชมรู้สึกห่างเหินจากเนื้อหาต้นฉบับ
 
 นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของ “ซับแปลผิด” แต่คือการลดทอนศิลปะการแปลที่เคยเป็นหัวใจของการรับชมอนิเมะอย่างแท้จริง
 
 https://daiz.moe/crunchyroll-is-destroying-its-subtitles-for-no-good-reason/🎬 Crunchyroll ทำลายคุณภาพซับไตเติลอย่างไม่มีเหตุผล — เมื่อศิลปะการแปลถูกลดทอนเพื่อความสะดวกของแพลตฟอร์มใหญ่ Crunchyroll เคยเป็นผู้นำด้านคุณภาพซับไตเติลในวงการอนิเมะ ด้วยการใช้เทคนิค typesetting ที่ซับซ้อน เช่น การจัดตำแหน่งข้อความ การใช้ฟอนต์และสีที่หลากหลาย รวมถึงการแปลข้อความบนหน้าจออย่างครบถ้วน แต่ตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงปี 2025 เป็นต้นมา คุณภาพซับไตเติลกลับตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่ในผลงานที่ผลิตโดยทีมงานของ Crunchyroll เอง 📉 เกิดอะไรขึ้น? Crunchyroll เริ่มลดการใช้ typesetting เพื่อให้ซับไตเติลสามารถใช้งานร่วมกับแพลตฟอร์มใหญ่อย่าง Netflix และ Amazon Prime Video ได้ง่ายขึ้น เนื่องจากแพลตฟอร์มเหล่านี้มีข้อจำกัดด้านการแสดงผลซับไตเติล เช่น ห้ามใช้ตำแหน่งซับหลายจุด หรือแสดงข้อความซ้อนกัน แม้ว่าเทคโนโลยี TTML ที่ใช้จะรองรับฟีเจอร์เหล่านี้ก็ตาม 👥 เบื้องหลังการตัดสินใจ จากข้อมูลภายในที่ไม่เปิดเผยชื่อ พบว่า Crunchyroll เคยมีทีมงานแปลงซับไตเติลคุณภาพสูงให้เข้ากับมาตรฐานต่ำของแพลตฟอร์มอื่น แต่ในที่สุดผู้บริหารตัดสินใจผลิตซับไตเติลแบบต่ำคุณภาพเพียงอย่างเดียว เพื่อความสะดวกในการ sublicensing และลดต้นทุน แม้จะแลกกับประสบการณ์การรับชมที่ด้อยลง 📜 ประวัติการพัฒนาซับไตเติลของ Crunchyroll 📍 เริ่มจากการใช้ซับแฟนซับในยุคแรก 📍 พัฒนา renderer สำหรับ ASS ซับใน Flash และต่อมาใน HTML5 ด้วย WebAssembly 📍 เคยใช้ libass เพื่อรองรับการ typeset อย่างเต็มรูปแบบ 📍 แต่ไม่เคยพัฒนาให้รองรับฟอนต์แบบกำหนดเองอย่างจริงจัง 📺 ผลกระทบต่อผู้ชม 📍 ข้อความบนหน้าจอไม่ได้รับการแปล 📍 ซับไตเติลรวมกันที่ด้านบนหรือด้านล่าง ทำให้ดูยาก 📍 เพลงเปิด/ปิดยังคงไม่แปล แม้จะมีสิทธิ์ในการผลิต ✅ Crunchyroll เคยเป็นผู้นำด้านคุณภาพซับไตเติล ➡️ ใช้เทคนิค typesetting เช่น การจัดตำแหน่ง ฟอนต์ สี และการแปลข้อความบนหน้าจอ ➡️ พัฒนา renderer สำหรับ ASS ซับใน Flash และ HTML5 ด้วย libass ✅ การเปลี่ยนแปลงในปี 2025 ➡️ ลดการใช้ typesetting เพื่อให้ซับไตเติลใช้งานร่วมกับ Netflix และ Amazon ได้ ➡️ ผลิตซับไตเติลแบบ TTML ที่มีคุณภาพต่ำเป็นหลัก ➡️ ทีมงานภายในต้องแปลงซับคุณภาพสูงให้เข้ากับมาตรฐานต่ำ ‼️ ผลกระทบต่อผู้ชม ⛔ ข้อความบนหน้าจอไม่ได้รับการแปลหรือแสดงผลอย่างเหมาะสม ⛔ ซับไตเติลรวมกันที่ด้านบนหรือด้านล่าง ทำให้ดูยาก ⛔ เพลงเปิด/ปิดยังคงไม่แปล แม้จะมีสิทธิ์ในการผลิต ‼️ คำเตือนต่ออนาคตของการแปลอนิเมะ ⛔ หากแพลตฟอร์มใหญ่ยังคงใช้มาตรฐานต่ำ อนิเมะอาจสูญเสียความละเอียดในการเล่าเรื่อง ⛔ การลดคุณภาพซับไตเติลอาจทำให้ผู้ชมรู้สึกห่างเหินจากเนื้อหาต้นฉบับ นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของ “ซับแปลผิด” แต่คือการลดทอนศิลปะการแปลที่เคยเป็นหัวใจของการรับชมอนิเมะอย่างแท้จริง https://daiz.moe/crunchyroll-is-destroying-its-subtitles-for-no-good-reason/DAIZ.MOECrunchyroll is destroying its subtitles for no good reasonWith the Fall 2025 anime season, Crunchyroll demonstrates zero respect for anime as a medium as the presentation quality of its subtitles reach an all-time low.0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 19 มุมมอง 0 รีวิว
-  Tailscale เปิดตัว Peer Relays — เชื่อมต่อเครือข่ายแบบเร็วทะลุนรก แม้เจอ NAT หรือไฟร์วอลล์สุดโหด
 
 Tailscale ประกาศเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ “Peer Relays” ที่ให้ผู้ใช้งานสามารถตั้งค่า node ใดก็ได้ในเครือข่าย tailnet ให้กลายเป็นตัวกลางรับส่งข้อมูลแทน DERP server แบบเดิม โดยไม่ต้องพึ่งโครงสร้างพื้นฐานของ Tailscale อีกต่อไป
 
 เล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่าย ลองนึกภาพว่าคุณมีเซิร์ฟเวอร์อยู่หลัง NAT หรือไฟร์วอลล์ที่เข้มงวดมาก และไม่สามารถเชื่อมต่อโดยตรงได้ — Peer Relays จะช่วยให้ node อื่นในเครือข่ายสามารถรับส่งข้อมูลแทนได้ โดยใช้แค่พอร์ต UDP เดียวที่เปิดไว้ ทั้งหมดนี้ยังคงปลอดภัยด้วยการเข้ารหัสแบบ end-to-end ผ่าน WireGuard®
 
 ฟีเจอร์นี้ถูกฝังอยู่ใน Tailscale client โดยตรง และสามารถเปิดใช้งานได้ง่ายผ่านคำสั่ง CLI เช่น tailscale set --relay-server-port โดยไม่ต้องตั้งค่า DERP server แยกต่างหากอีกต่อไป
 
 ประสิทธิภาพที่เหนือกว่า จากการทดสอบกับลูกค้ากลุ่มแรก Peer Relays ให้ความเร็วใกล้เคียงกับการเชื่อมต่อโดยตรง และเร็วกว่าการใช้ DERP หลายเท่าตัว เหมาะสำหรับการเชื่อมต่อในระบบคลาวด์, เครือข่ายที่ถูกล็อกไว้, หรือโครงสร้างพื้นฐานที่ต้องการ throughput สูง
 
 ฟีเจอร์ใหม่: Peer Relays
 node ใดก็ได้ใน tailnet สามารถเป็นตัวกลางรับส่งข้อมูล
 ใช้แค่พอร์ต UDP เดียวในการเชื่อมต่อ
 เปิดใช้งานผ่าน CLI โดยไม่ต้องตั้งค่า DERP server แยก
 
 ประสิทธิภาพและความปลอดภัย
 throughput ใกล้เคียงกับการเชื่อมต่อโดยตรง
 เร็วกว่าการใช้ DERP หลายเท่าตัว
 เข้ารหัสแบบ end-to-end ด้วย WireGuard®
 
 การใช้งานในสถานการณ์จริง
 เชื่อมต่อผ่าน NAT ที่เข้มงวด เช่น AWS Managed NAT Gateway
 ใช้งานในเครือข่ายที่มีไฟร์วอลล์จำกัด
 ลดภาระการดูแล DERP server แบบ custom
 เปิดช่องทางเชื่อมต่อที่ควบคุมได้ในเครือข่ายลูกค้า
 
 https://tailscale.com/blog/peer-relays-beta🚀 Tailscale เปิดตัว Peer Relays — เชื่อมต่อเครือข่ายแบบเร็วทะลุนรก แม้เจอ NAT หรือไฟร์วอลล์สุดโหด Tailscale ประกาศเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ “Peer Relays” ที่ให้ผู้ใช้งานสามารถตั้งค่า node ใดก็ได้ในเครือข่าย tailnet ให้กลายเป็นตัวกลางรับส่งข้อมูลแทน DERP server แบบเดิม โดยไม่ต้องพึ่งโครงสร้างพื้นฐานของ Tailscale อีกต่อไป 🎯 เล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่าย ลองนึกภาพว่าคุณมีเซิร์ฟเวอร์อยู่หลัง NAT หรือไฟร์วอลล์ที่เข้มงวดมาก และไม่สามารถเชื่อมต่อโดยตรงได้ — Peer Relays จะช่วยให้ node อื่นในเครือข่ายสามารถรับส่งข้อมูลแทนได้ โดยใช้แค่พอร์ต UDP เดียวที่เปิดไว้ ทั้งหมดนี้ยังคงปลอดภัยด้วยการเข้ารหัสแบบ end-to-end ผ่าน WireGuard® ฟีเจอร์นี้ถูกฝังอยู่ใน Tailscale client โดยตรง และสามารถเปิดใช้งานได้ง่ายผ่านคำสั่ง CLI เช่น tailscale set --relay-server-port โดยไม่ต้องตั้งค่า DERP server แยกต่างหากอีกต่อไป 📈 ประสิทธิภาพที่เหนือกว่า จากการทดสอบกับลูกค้ากลุ่มแรก Peer Relays ให้ความเร็วใกล้เคียงกับการเชื่อมต่อโดยตรง และเร็วกว่าการใช้ DERP หลายเท่าตัว เหมาะสำหรับการเชื่อมต่อในระบบคลาวด์, เครือข่ายที่ถูกล็อกไว้, หรือโครงสร้างพื้นฐานที่ต้องการ throughput สูง ✅ ฟีเจอร์ใหม่: Peer Relays ➡️ node ใดก็ได้ใน tailnet สามารถเป็นตัวกลางรับส่งข้อมูล ➡️ ใช้แค่พอร์ต UDP เดียวในการเชื่อมต่อ ➡️ เปิดใช้งานผ่าน CLI โดยไม่ต้องตั้งค่า DERP server แยก ✅ ประสิทธิภาพและความปลอดภัย ➡️ throughput ใกล้เคียงกับการเชื่อมต่อโดยตรง ➡️ เร็วกว่าการใช้ DERP หลายเท่าตัว ➡️ เข้ารหัสแบบ end-to-end ด้วย WireGuard® ✅ การใช้งานในสถานการณ์จริง ➡️ เชื่อมต่อผ่าน NAT ที่เข้มงวด เช่น AWS Managed NAT Gateway ➡️ ใช้งานในเครือข่ายที่มีไฟร์วอลล์จำกัด ➡️ ลดภาระการดูแล DERP server แบบ custom ➡️ เปิดช่องทางเชื่อมต่อที่ควบคุมได้ในเครือข่ายลูกค้า https://tailscale.com/blog/peer-relays-betaTAILSCALE.COMTailscale Peer Relays: High-throughput relays for secure, flexible networksTailscale Peer Relays provide predictable, performative access, entirely within your own tailnet.0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 0 รีวิว
-  “Kafka เร็วก็จริง…แต่ Postgres ก็พอแล้ว” — เมื่อระบบ Pub/Sub และ Queue ไม่จำเป็นต้องซับซ้อนเสมอไป
 
 บทความนี้ตั้งคำถามกับแนวโน้มในวงการเทคโนโลยีที่มักเลือกใช้เครื่องมือที่ “ล้ำ” เกินความจำเป็น เช่น Kafka สำหรับระบบ pub/sub หรือ queue ทั้งที่ในหลายกรณี PostgreSQL ก็สามารถตอบโจทย์ได้ดีพอ โดยเฉพาะในยุคที่ฮาร์ดแวร์มีประสิทธิภาพสูงขึ้นมาก
 
 ผู้เขียนได้ทำการ benchmark เปรียบเทียบประสิทธิภาพของ PostgreSQL ในการทำงานเป็นระบบ pub/sub และ queue โดยใช้แนวทางที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Kafka เช่น การใช้ตาราง log partition, offset, และ consumer group เพื่อจำลองพฤติกรรมของ Kafka
 
 ผลการทดสอบชี้ว่า PostgreSQL สามารถรองรับโหลดระดับหลายแสนข้อความต่อวินาทีได้ โดยเฉพาะในระบบ pub/sub ที่มีการอ่านแบบ fanout สูงถึง 5 เท่า และ latency ที่ยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้
 
 แนวคิดหลัก
 ไม่จำเป็นต้องใช้ Kafka เสมอไป โดยเฉพาะในระบบที่ไม่ได้มีโหลดระดับ “web-scale”
 PostgreSQL เพียงตัวเดียวสามารถรองรับ use case ได้ถึง 80% ด้วย effort แค่ 20%
 
 ผลการทดสอบ Pub/Sub
 บนเครื่อง 96 vCPU: เขียนได้ 243,000 msg/s, อ่านได้ 1.2 ล้าน msg/s
 latency p99 อยู่ที่ 853ms, p95 ที่ 242ms
 ใช้ CPU เพียง ~10% แสดงถึงศักยภาพที่ยังเหลืออีกมาก
 
 ผลการทดสอบ Queue
 บนเครื่อง 96 vCPU: throughput 20,144 msg/s
 latency p99 อยู่ที่ 930ms
 bottleneck อยู่ที่ single-table design ไม่ใช่ที่ฮาร์ดแวร์
 
 ข้อดีของการใช้ PostgreSQL
 ใช้ SQL ธรรมดาในการ debug, แก้ไข, ลบ หรือ join ข้อมูล
 ลดความซับซ้อนของระบบและค่าใช้จ่ายในการดูแล
 เหมาะกับองค์กรที่ยังไม่ถึงระดับ scale ใหญ่
 
 บทความนี้ไม่ได้บอกว่า PostgreSQL ดีกว่า Kafka เสมอไป — แต่ชี้ให้เห็นว่า “ความเรียบง่าย” อาจเป็นคำตอบที่ดีกว่าในหลายกรณี โดยเฉพาะเมื่อคุณยังไม่ได้มีปัญหาระดับ “Google-scale”
 
 https://topicpartition.io/blog/postgres-pubsub-queue-benchmarks🗃️ “Kafka เร็วก็จริง…แต่ Postgres ก็พอแล้ว” — เมื่อระบบ Pub/Sub และ Queue ไม่จำเป็นต้องซับซ้อนเสมอไป บทความนี้ตั้งคำถามกับแนวโน้มในวงการเทคโนโลยีที่มักเลือกใช้เครื่องมือที่ “ล้ำ” เกินความจำเป็น เช่น Kafka สำหรับระบบ pub/sub หรือ queue ทั้งที่ในหลายกรณี PostgreSQL ก็สามารถตอบโจทย์ได้ดีพอ โดยเฉพาะในยุคที่ฮาร์ดแวร์มีประสิทธิภาพสูงขึ้นมาก ผู้เขียนได้ทำการ benchmark เปรียบเทียบประสิทธิภาพของ PostgreSQL ในการทำงานเป็นระบบ pub/sub และ queue โดยใช้แนวทางที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Kafka เช่น การใช้ตาราง log partition, offset, และ consumer group เพื่อจำลองพฤติกรรมของ Kafka 📊 ผลการทดสอบชี้ว่า PostgreSQL สามารถรองรับโหลดระดับหลายแสนข้อความต่อวินาทีได้ โดยเฉพาะในระบบ pub/sub ที่มีการอ่านแบบ fanout สูงถึง 5 เท่า และ latency ที่ยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ✅ แนวคิดหลัก ➡️ ไม่จำเป็นต้องใช้ Kafka เสมอไป โดยเฉพาะในระบบที่ไม่ได้มีโหลดระดับ “web-scale” ➡️ PostgreSQL เพียงตัวเดียวสามารถรองรับ use case ได้ถึง 80% ด้วย effort แค่ 20% ✅ ผลการทดสอบ Pub/Sub ➡️ บนเครื่อง 96 vCPU: เขียนได้ 243,000 msg/s, อ่านได้ 1.2 ล้าน msg/s ➡️ latency p99 อยู่ที่ 853ms, p95 ที่ 242ms ➡️ ใช้ CPU เพียง ~10% แสดงถึงศักยภาพที่ยังเหลืออีกมาก ✅ ผลการทดสอบ Queue ➡️ บนเครื่อง 96 vCPU: throughput 20,144 msg/s ➡️ latency p99 อยู่ที่ 930ms ➡️ bottleneck อยู่ที่ single-table design ไม่ใช่ที่ฮาร์ดแวร์ ✅ ข้อดีของการใช้ PostgreSQL ➡️ ใช้ SQL ธรรมดาในการ debug, แก้ไข, ลบ หรือ join ข้อมูล ➡️ ลดความซับซ้อนของระบบและค่าใช้จ่ายในการดูแล ➡️ เหมาะกับองค์กรที่ยังไม่ถึงระดับ scale ใหญ่ บทความนี้ไม่ได้บอกว่า PostgreSQL ดีกว่า Kafka เสมอไป — แต่ชี้ให้เห็นว่า “ความเรียบง่าย” อาจเป็นคำตอบที่ดีกว่าในหลายกรณี โดยเฉพาะเมื่อคุณยังไม่ได้มีปัญหาระดับ “Google-scale” https://topicpartition.io/blog/postgres-pubsub-queue-benchmarksTOPICPARTITION.IOKafka is fast -- I'll use PostgresWhy you should just use Postgres instead of Kafka for small-scale message queuing and pub-sub patterns. Benchmarks and practical tests included.0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
-  สร้างกราฟ compiler เองดีกว่าใช้ Graphviz — เมื่อ SpiderMonkey ปรับโฉมการวิเคราะห์โค้ดด้วย iongraph แบบ interactive
 
 SpiderMonkey ทีมพัฒนา JavaScript/WebAssembly engine ของ Firefox ได้เปิดตัวระบบ visualization ใหม่สำหรับ compiler ที่ชื่อว่า iongraph ซึ่งช่วยให้สามารถดูกราฟการ optimize โค้ดได้แบบ interactive โดยไม่ต้องพึ่ง Graphviz หรือ Mermaid อีกต่อไป
 
 เล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่าย เมื่อคุณเขียนโค้ด JavaScript แล้วมันถูกส่งเข้าไปใน compiler ขั้นสูงของ SpiderMonkey ที่ชื่อว่า Ion — ระบบจะสร้างกราฟ SSA (Static Single Assignment) เพื่อวิเคราะห์และ optimize โค้ดให้เร็วขึ้น แต่การดูกราฟเหล่านี้ผ่าน Graphviz กลับยุ่งยากและไม่ตรงกับโครงสร้างโค้ดจริง
 
 ทีมงานจึงสร้างระบบ layout algorithm ใหม่ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง โดยใช้ความรู้เฉพาะของ control flow ใน JavaScript และ WebAssembly เช่น:
 Loop มี entry เดียว
 ไม่มีการ jump เข้าไปกลาง loop
 โครงสร้าง reducible control flow
 
 ผลลัพธ์คือกราฟที่อ่านง่าย เสถียร และสามารถแสดงผลแบบ interactive ได้บนเว็บ — คุณสามารถลาก ซูม และดูการเปลี่ยนแปลงของกราฟในแต่ละ pass ได้ทันที
 
 ปัญหาของ Graphviz
 layout ไม่ตรงกับโครงสร้างโค้ด
 node กระโดดไปมาเมื่อ input เปลี่ยนเล็กน้อย
 PDF แบบ static ทำให้ debug ยาก
 
 จุดเด่นของ iongraph
 interactive บนเว็บ: ลาก ซูม เลือก instruction ได้
 layout เสถียรแม้กราฟเปลี่ยน
 ใช้ algorithm ที่เข้าใจโครงสร้าง loop และ control flow
 
 ขั้นตอนของ layout algorithm
 Layering: จัด block เป็นชั้นตามลำดับ control flow
 Dummy nodes: สร้าง node สำหรับ edge ที่ข้ามชั้น
 Straighten edges: ปรับตำแหน่งให้กราฟดูเรียบร้อย
 Track horizontal edges: จัด edge ให้ไม่ทับกัน
 Verticalize: กำหนดตำแหน่ง Y ให้ node
 Render: ใช้เส้นตรงแบบ railroad diagram แทน Bézier curve
 
 ประสิทธิภาพ
 เร็วกว่าการใช้ Graphviz หลายพันเท่า
 Layout กราฟขนาดใหญ่ได้ในเวลาไม่กี่มิลลิวินาที
 
 https://spidermonkey.dev/blog/2025/10/28/iongraph-web.html🧠 สร้างกราฟ compiler เองดีกว่าใช้ Graphviz — เมื่อ SpiderMonkey ปรับโฉมการวิเคราะห์โค้ดด้วย iongraph แบบ interactive SpiderMonkey ทีมพัฒนา JavaScript/WebAssembly engine ของ Firefox ได้เปิดตัวระบบ visualization ใหม่สำหรับ compiler ที่ชื่อว่า iongraph ซึ่งช่วยให้สามารถดูกราฟการ optimize โค้ดได้แบบ interactive โดยไม่ต้องพึ่ง Graphviz หรือ Mermaid อีกต่อไป 🎯 เล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่าย เมื่อคุณเขียนโค้ด JavaScript แล้วมันถูกส่งเข้าไปใน compiler ขั้นสูงของ SpiderMonkey ที่ชื่อว่า Ion — ระบบจะสร้างกราฟ SSA (Static Single Assignment) เพื่อวิเคราะห์และ optimize โค้ดให้เร็วขึ้น แต่การดูกราฟเหล่านี้ผ่าน Graphviz กลับยุ่งยากและไม่ตรงกับโครงสร้างโค้ดจริง ทีมงานจึงสร้างระบบ layout algorithm ใหม่ที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง โดยใช้ความรู้เฉพาะของ control flow ใน JavaScript และ WebAssembly เช่น: 📍 Loop มี entry เดียว 📍 ไม่มีการ jump เข้าไปกลาง loop 📍 โครงสร้าง reducible control flow ผลลัพธ์คือกราฟที่อ่านง่าย เสถียร และสามารถแสดงผลแบบ interactive ได้บนเว็บ — คุณสามารถลาก ซูม และดูการเปลี่ยนแปลงของกราฟในแต่ละ pass ได้ทันที ✅ ปัญหาของ Graphviz ➡️ layout ไม่ตรงกับโครงสร้างโค้ด ➡️ node กระโดดไปมาเมื่อ input เปลี่ยนเล็กน้อย ➡️ PDF แบบ static ทำให้ debug ยาก ✅ จุดเด่นของ iongraph ➡️ interactive บนเว็บ: ลาก ซูม เลือก instruction ได้ ➡️ layout เสถียรแม้กราฟเปลี่ยน ➡️ ใช้ algorithm ที่เข้าใจโครงสร้าง loop และ control flow ✅ ขั้นตอนของ layout algorithm ➡️ Layering: จัด block เป็นชั้นตามลำดับ control flow ➡️ Dummy nodes: สร้าง node สำหรับ edge ที่ข้ามชั้น ➡️ Straighten edges: ปรับตำแหน่งให้กราฟดูเรียบร้อย ➡️ Track horizontal edges: จัด edge ให้ไม่ทับกัน ➡️ Verticalize: กำหนดตำแหน่ง Y ให้ node ➡️ Render: ใช้เส้นตรงแบบ railroad diagram แทน Bézier curve ✅ ประสิทธิภาพ ➡️ เร็วกว่าการใช้ Graphviz หลายพันเท่า ➡️ Layout กราฟขนาดใหญ่ได้ในเวลาไม่กี่มิลลิวินาที https://spidermonkey.dev/blog/2025/10/28/iongraph-web.htmlSPIDERMONKEY.DEVWho needs Graphviz when you can build it yourself?Exploring a new layout algorithm for control flow graphs.0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 25 มุมมอง 0 รีวิว
-  จีนเพิ่มพื้นที่ป่าเท่ารัฐเท็กซัส! ความหวังใหม่ท่ามกลางวิกฤตการสูญเสียป่าทั่วโลก
 
 ในขณะที่โลกยังคงสูญเสียพื้นที่ป่าราว 20 ล้านเอเคอร์ต่อปี โดยเฉพาะในเขตร้อนอย่างบราซิล อินโดนีเซีย และคองโก จีนกลับกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่สวนกระแส ด้วยการเพิ่มพื้นที่ป่ากว่า 173 ล้านเอเคอร์ ตั้งแต่ปี 1990 — เทียบเท่าขนาดของรัฐเท็กซัสเลยทีเดียว!
 
 เล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่าย จีนใช้กลยุทธ์ปลูกป่าอย่างเข้มข้นเพื่อรับมือกับการขยายตัวของทะเลทราย เช่น ทะเลทรายทาคลามากันและโกบี โดยโครงการปลูกต้นไม้รอบทะเลทรายเหล่านี้เริ่มตั้งแต่ปี 1978 และยังคงดำเนินต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
 
 แม้จะมีไฟป่าและภัยแล้งที่ทำลายป่าในบางพื้นที่ แต่โดยรวมแล้ว จีน อินเดีย รัสเซีย และประเทศร่ำรวยอื่น ๆ กลับมีแนวโน้มเพิ่มพื้นที่ป่า เนื่องจากการทำเกษตรมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ไม่ต้องขยายพื้นที่เพาะปลูกเหมือนในอดีต
 
 จีนเพิ่มพื้นที่ป่ามากที่สุดในโลกตั้งแต่ปี 1990
 เพิ่มขึ้นกว่า 173 ล้านเอเคอร์
 ปลูกต้นไม้กว่า 120 ล้านเอเคอร์เพื่อสกัดการขยายตัวของทะเลทราย
 โครงการปลูกป่ารอบทะเลทรายทาคลามากันเสร็จสิ้นในปี 2024
 โครงการรอบทะเลทรายโกบียังดำเนินอยู่
 
 ประเทศอื่นที่มีแนวโน้มเพิ่มพื้นที่ป่า
 รัสเซียเพิ่มขึ้น 52 ล้านเอเคอร์
 อินเดียเพิ่มขึ้น 22 ล้านเอเคอร์
 แคนาดาเพิ่มขึ้น 20 ล้านเอเคอร์
 สหรัฐฯ และยุโรปมีการฟื้นตัวของป่าเช่นกัน
 
 สาเหตุหลักของการสูญเสียป่าในโลก
 การแผ้วถางเพื่อเกษตรและปศุสัตว์
 ไฟป่าและภัยแล้งที่รุนแรงขึ้นจากภาวะโลกร้อน
 
 https://e360.yale.edu/digest/china-new-forest-report🌳 จีนเพิ่มพื้นที่ป่าเท่ารัฐเท็กซัส! ความหวังใหม่ท่ามกลางวิกฤตการสูญเสียป่าทั่วโลก ในขณะที่โลกยังคงสูญเสียพื้นที่ป่าราว 20 ล้านเอเคอร์ต่อปี โดยเฉพาะในเขตร้อนอย่างบราซิล อินโดนีเซีย และคองโก จีนกลับกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่สวนกระแส ด้วยการเพิ่มพื้นที่ป่ากว่า 173 ล้านเอเคอร์ ตั้งแต่ปี 1990 — เทียบเท่าขนาดของรัฐเท็กซัสเลยทีเดียว! 🎯 เล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่าย จีนใช้กลยุทธ์ปลูกป่าอย่างเข้มข้นเพื่อรับมือกับการขยายตัวของทะเลทราย เช่น ทะเลทรายทาคลามากันและโกบี โดยโครงการปลูกต้นไม้รอบทะเลทรายเหล่านี้เริ่มตั้งแต่ปี 1978 และยังคงดำเนินต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน แม้จะมีไฟป่าและภัยแล้งที่ทำลายป่าในบางพื้นที่ แต่โดยรวมแล้ว จีน อินเดีย รัสเซีย และประเทศร่ำรวยอื่น ๆ กลับมีแนวโน้มเพิ่มพื้นที่ป่า เนื่องจากการทำเกษตรมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ไม่ต้องขยายพื้นที่เพาะปลูกเหมือนในอดีต ✅ จีนเพิ่มพื้นที่ป่ามากที่สุดในโลกตั้งแต่ปี 1990 ➡️ เพิ่มขึ้นกว่า 173 ล้านเอเคอร์ ➡️ ปลูกต้นไม้กว่า 120 ล้านเอเคอร์เพื่อสกัดการขยายตัวของทะเลทราย ➡️ โครงการปลูกป่ารอบทะเลทรายทาคลามากันเสร็จสิ้นในปี 2024 ➡️ โครงการรอบทะเลทรายโกบียังดำเนินอยู่ ✅ ประเทศอื่นที่มีแนวโน้มเพิ่มพื้นที่ป่า ➡️ รัสเซียเพิ่มขึ้น 52 ล้านเอเคอร์ ➡️ อินเดียเพิ่มขึ้น 22 ล้านเอเคอร์ ➡️ แคนาดาเพิ่มขึ้น 20 ล้านเอเคอร์ ➡️ สหรัฐฯ และยุโรปมีการฟื้นตัวของป่าเช่นกัน ✅ สาเหตุหลักของการสูญเสียป่าในโลก ➡️ การแผ้วถางเพื่อเกษตรและปศุสัตว์ ➡️ ไฟป่าและภัยแล้งที่รุนแรงขึ้นจากภาวะโลกร้อน https://e360.yale.edu/digest/china-new-forest-report0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 19 มุมมอง 0 รีวิว
-  เพื่อไทยตกต่ำดำดิ่ง นายใหญ่ไปคลองเปรม ลูกสาวชิ่งหนี ลูกพรรคย้ายค่าย ล่าสุดไม่มีคลังแสงซะอีก
 #คิงส์โพธิ์แดง
 #คลังแสงเพื่อไทยตกต่ำดำดิ่ง นายใหญ่ไปคลองเปรม ลูกสาวชิ่งหนี ลูกพรรคย้ายค่าย ล่าสุดไม่มีคลังแสงซะอีก #คิงส์โพธิ์แดง #คลังแสง0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 11 มุมมอง 0 รีวิว
-  ฮุนเซน มีฮา
 กัมพูชามีเฮ
 ทหารไทยเจอศึกใน
 โดนพรรคเชี้ยถล่มโจมตี
 กมธ.มันมีแต่ io BRN คนหนีทหาร
 #คิงส์โพธิ์แดงฮุนเซน มีฮา กัมพูชามีเฮ ทหารไทยเจอศึกใน โดนพรรคเชี้ยถล่มโจมตี กมธ.มันมีแต่ io BRN คนหนีทหาร #คิงส์โพธิ์แดง0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว
-  “987654321 / 123456789 ≈ 8” — เมื่อเลขเรียงกลายเป็นเวทมนตร์ทางคณิตศาสตร์
 
 John D. Cook ได้หยิบยกตัวเลขที่ดูธรรมดาอย่าง 987654321 และ 123456789 มาหารกัน แล้วพบว่าได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับเลข 8 อย่างน่าทึ่ง — คือ 8.0000000729 ซึ่งนำไปสู่การตั้งคำถามว่า “มีอะไรพิเศษในเลขฐาน 10 หรือไม่?”
 
 ลองจินตนาการว่าคุณเอาตัวเลขที่เรียงจากมากไปน้อย (9 ถึง 1) มาหารด้วยตัวเลขที่เรียงจากน้อยไปมาก (1 ถึง 9) แล้วได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับจำนวนเต็ม — นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลจากโครงสร้างของเลขในแต่ละฐาน
 
 Cook ทดลองกับเลขในฐานอื่น เช่น:
 ฐาน 6: 54321₆ / 12345₆ ≈ 4.00268
 ฐาน 16: 0xFEDCBA987654321 / 0x123456789ABCDEF ≈ 14
 
 จากนั้นเขาสร้างสูตรทั่วไปโดยนิยาม:
 num(b): ตัวเลขที่เรียงจากมากไปน้อยในฐาน b
 denom(b): ตัวเลขที่เรียงจากน้อยไปมากในฐาน b
 
 ผลลัพธ์คือ:
 num(b) / denom(b) ≈ b − 2 + (b − 1)³ / bᵇ
 
 ซึ่งหมายความว่าในทุกฐาน b > 2 การหารตัวเลขเรียงกลับกับเรียงตรงจะให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับ b − 2 เสมอ และเศษส่วนที่เหลือจะเล็กมาก — เล็กจน floating point ในคอมพิวเตอร์อาจมองไม่เห็น!
 
 การทดลองตัวเลขเรียงในฐาน 10
 987654321 / 123456789 ≈ 8.0000000729
 ใกล้เคียงกับ 8 + 9³ / 10¹⁰
 
 การทดลองในฐานอื่น
 ฐาน 6: ผลลัพธ์ ≈ 4.00268
 ฐาน 16: ผลลัพธ์ ≈ 14
 
 นิยามทั่วไปของตัวเลขเรียง
 num(b): ตัวเลขเรียงจากมากไปน้อยในฐาน b
 denom(b): ตัวเลขเรียงจากน้อยไปมากในฐาน b
 
 สูตรประมาณค่า
 num(b) / denom(b) ≈ b − 2 + (b − 1)³ / bᵇ
 เศษส่วนที่เหลือ ≈ 1 / bᵇ⁻²
 
 การพิสูจน์ด้วย Python
 ใช้การคำนวณเชิงโปรแกรมแทนการพิสูจน์ทางคณิตศาสตร์
 ตรวจสอบความถูกต้องของสูตรในฐานตั้งแต่ 3 ถึง 1000
 
 คำเตือนสำหรับการใช้ floating point
 floating point มีความแม่นยำจำกัด (53 bits)
 อาจมองไม่เห็นเศษส่วนเล็กมากในผลลัพธ์
 
 https://www.johndcook.com/blog/2025/10/26/987654321/🔢 “987654321 / 123456789 ≈ 8” — เมื่อเลขเรียงกลายเป็นเวทมนตร์ทางคณิตศาสตร์ John D. Cook ได้หยิบยกตัวเลขที่ดูธรรมดาอย่าง 987654321 และ 123456789 มาหารกัน แล้วพบว่าได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับเลข 8 อย่างน่าทึ่ง — คือ 8.0000000729 ซึ่งนำไปสู่การตั้งคำถามว่า “มีอะไรพิเศษในเลขฐาน 10 หรือไม่?” ลองจินตนาการว่าคุณเอาตัวเลขที่เรียงจากมากไปน้อย (9 ถึง 1) มาหารด้วยตัวเลขที่เรียงจากน้อยไปมาก (1 ถึง 9) แล้วได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับจำนวนเต็ม — นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลจากโครงสร้างของเลขในแต่ละฐาน Cook ทดลองกับเลขในฐานอื่น เช่น: 📍 ฐาน 6: 54321₆ / 12345₆ ≈ 4.00268 📍 ฐาน 16: 0xFEDCBA987654321 / 0x123456789ABCDEF ≈ 14 จากนั้นเขาสร้างสูตรทั่วไปโดยนิยาม: 📍 num(b): ตัวเลขที่เรียงจากมากไปน้อยในฐาน b 📍 denom(b): ตัวเลขที่เรียงจากน้อยไปมากในฐาน b ผลลัพธ์คือ: 📍 num(b) / denom(b) ≈ b − 2 + (b − 1)³ / bᵇ ซึ่งหมายความว่าในทุกฐาน b > 2 การหารตัวเลขเรียงกลับกับเรียงตรงจะให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับ b − 2 เสมอ และเศษส่วนที่เหลือจะเล็กมาก — เล็กจน floating point ในคอมพิวเตอร์อาจมองไม่เห็น! ✅ การทดลองตัวเลขเรียงในฐาน 10 ➡️ 987654321 / 123456789 ≈ 8.0000000729 ➡️ ใกล้เคียงกับ 8 + 9³ / 10¹⁰ ✅ การทดลองในฐานอื่น ➡️ ฐาน 6: ผลลัพธ์ ≈ 4.00268 ➡️ ฐาน 16: ผลลัพธ์ ≈ 14 ✅ นิยามทั่วไปของตัวเลขเรียง ➡️ num(b): ตัวเลขเรียงจากมากไปน้อยในฐาน b ➡️ denom(b): ตัวเลขเรียงจากน้อยไปมากในฐาน b ✅ สูตรประมาณค่า ➡️ num(b) / denom(b) ≈ b − 2 + (b − 1)³ / bᵇ ➡️ เศษส่วนที่เหลือ ≈ 1 / bᵇ⁻² ✅ การพิสูจน์ด้วย Python ➡️ ใช้การคำนวณเชิงโปรแกรมแทนการพิสูจน์ทางคณิตศาสตร์ ➡️ ตรวจสอบความถูกต้องของสูตรในฐานตั้งแต่ 3 ถึง 1000 ‼️ คำเตือนสำหรับการใช้ floating point ⛔ floating point มีความแม่นยำจำกัด (53 bits) ⛔ อาจมองไม่เห็นเศษส่วนเล็กมากในผลลัพธ์ https://www.johndcook.com/blog/2025/10/26/987654321/0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
-  ความจริงมีหนึ่งเดียว คืนนั้นไม่มีความจริงมีหนึ่งเดียว คืนนั้นไม่มีเสด็จสู่สวรรคาลัย Ep317 (live)
 •
 SONDHITALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep317 (live)
 น้อมส่งสู่สวรรคาลัย สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง‘พระแม่แห่งแผ่นดิน‘
 •
 สมัครสมาชิก membership ความจริงมีหนึ่งเดียว ช่อง SONDHITALK บน YouTube ติดต่อสอบถามได้ที่ Line : @sondhitalk
 •
 คลิก https://www.youtube.com/watch?v=fViUjNEe4gQ 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1 มุมมอง 0 รีวิว 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1 มุมมอง 0 รีวิว
 
  
  
  
  
  
  
  English
English