• “รองนายกฯ สุชาติ” เปิดประเพณีวิ่งควาย ชลบุรี ครั้งที่ 154 “หนึ่งเดียวในไทย หนึ่งเดียวในโลก”
    https://www.thai-tai.tv/news/21784/
    .
    #ประเพณีวิ่งควาย #สุชาติชมกลิ่น #ชลบุรี #มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม #วิ่งควายชลบุรี #ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม #วิถีชีวิตชาวนา #กระตุ้นเศรษฐกิจ
    “รองนายกฯ สุชาติ” เปิดประเพณีวิ่งควาย ชลบุรี ครั้งที่ 154 “หนึ่งเดียวในไทย หนึ่งเดียวในโลก” https://www.thai-tai.tv/news/21784/ . #ประเพณีวิ่งควาย #สุชาติชมกลิ่น #ชลบุรี #มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม #วิ่งควายชลบุรี #ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม #วิถีชีวิตชาวนา #กระตุ้นเศรษฐกิจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 233 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองทัพภาคที่ 1 ยันไม่ร่วมประชุม RBC ชายแดน หากกัมพูชาไม่ทำแผนอพยพประชาชนในเขตอธิปไตยไทย
    https://www.thai-tai.tv/news/21785/
    .
    #ชายแดนไทยกัมพูชา #กองทัพภาคที่1 #อธิปไตยไทย #RBC #แผนอพยพ #สระแก้ว #ภูมิภาคทหารที่5 #ปัญหาชายแดน
    กองทัพภาคที่ 1 ยันไม่ร่วมประชุม RBC ชายแดน หากกัมพูชาไม่ทำแผนอพยพประชาชนในเขตอธิปไตยไทย https://www.thai-tai.tv/news/21785/ . #ชายแดนไทยกัมพูชา #กองทัพภาคที่1 #อธิปไตยไทย #RBC #แผนอพยพ #สระแก้ว #ภูมิภาคทหารที่5 #ปัญหาชายแดน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 149 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตามที่มีคลิปแก่ลงออกมา,แก่มีความรู้ดีมากเหมือนรู้ไส้รู้พุงเขมรอย่างดี,มีบอกว่า อย่าเกลียดประชาชนผู้บริสุทธิ์ของเขมรเลย,คือให้คนไทยยอมรับให้พากันรักคนเขมรแน่ๆ ทหารเขมรก็คนเขมรนั้นล่ะที่ฮุนเซนฮุนมาเนตมันเกณฑ์มาเป็นทหารทั้งฝังหัวใส่สมองชาวเขมรตั้งแต่โรงเรียนประถมเขมรแล้วให้เกลียดคนไทย ไทยคือโจรมันว่า ผลงานคนเขมรที่แสดงความรักต่อคนไทย แสดงความรักต่อประเทศไทยคือเหยียบธงชาติไทยเต็มๆเผารูป ร.10ด้วย น่ารักน่าเอ็นดูมั้ยประชาชนคนเขมร เชียร์ทำสงครามฆ่าไทยด้วย จึงยิวระเบิดใส่เด็กๆเรา ครอบครัวคนไทยผู้บริสุทธิ์เรานอกเขตสงครามปะทะตายเกือบหมดครอบครัว,นี้คือคนเขมรที่ ชี้นำให้รักคนเขมรนะ,เจรจาเปิดด่านมาค้าขายสร้างสัมพันธ์เปิดบ่อนคาสิโนกันเถอะ.

    ..อาสนธิและพันธมิตรหลายๆท่านสู้กันมานาน mou43,44ก็แฉมานานว่าผลงานมาจากชวนล่ะ,มันเป็นขบวนการเป็นแผนการของciaไซออนิสต์ก็ด้วย.,แก่บิดเบือนจริงๆ กลัวเสียเปรียบอะไรของแก่มิรู้ พื้นที่โบราณสถานว่าไปโน้น,แก่นแท้คือเราเสียแผ่นดินไทยทันทีที่1:150,000หากยังกอดmou43ที่ใช้1:200,000นี้ ขณะที่ในหลวง ร.9เราใช้1:50,000หรือ1:1เสาเขตแดนปักหมุดตกลงชัดเจนกับฝรั่งเศสทั้งสันปันน้ำด้วยแล้วประกอบกันหมด,ดาวเทียมไทยเราปัจจุบันอีก ชัดเจนโคตรๆขนาดไหน บวกลบ0.01มิลลิเมตรด้วยซ้ำ.
    ..สรุปมากันเป็นแก๊ง ประเทศไทยเราต้องกวาดล้างไส้ศึกคนทรยศชาติ มองศัตรูของไทยตนว่าดีกว่าแผ่นดินอธิปไตยไทยตนเองจริงๆ,เรามีคนลักษณะนี้มากไป เป็นภัยของชาติมาก ชี้นำสังคมประชาชนในทางที่ผิด,เจตนาไม่บริสุทธิ์ต่อแผ่นดินไทยตนเอง.,นี้คือแผ่นดินไทย มีสิ่งศักดิ์สิทธิดูแลปกป้องรักษา,มันผู้ใดทรยศชาติทรยศแผ่นดิน วิญญาณบรรพบุรุษเราไม่เก็บพวกมันไว้นานหรอก.

    https://youtube.com/shorts/-BXNsyfT2e0?si=xOlggvutsany6RWP
    ตามที่มีคลิปแก่ลงออกมา,แก่มีความรู้ดีมากเหมือนรู้ไส้รู้พุงเขมรอย่างดี,มีบอกว่า อย่าเกลียดประชาชนผู้บริสุทธิ์ของเขมรเลย,คือให้คนไทยยอมรับให้พากันรักคนเขมรแน่ๆ ทหารเขมรก็คนเขมรนั้นล่ะที่ฮุนเซนฮุนมาเนตมันเกณฑ์มาเป็นทหารทั้งฝังหัวใส่สมองชาวเขมรตั้งแต่โรงเรียนประถมเขมรแล้วให้เกลียดคนไทย ไทยคือโจรมันว่า ผลงานคนเขมรที่แสดงความรักต่อคนไทย แสดงความรักต่อประเทศไทยคือเหยียบธงชาติไทยเต็มๆเผารูป ร.10ด้วย น่ารักน่าเอ็นดูมั้ยประชาชนคนเขมร เชียร์ทำสงครามฆ่าไทยด้วย จึงยิวระเบิดใส่เด็กๆเรา ครอบครัวคนไทยผู้บริสุทธิ์เรานอกเขตสงครามปะทะตายเกือบหมดครอบครัว,นี้คือคนเขมรที่ ชี้นำให้รักคนเขมรนะ,เจรจาเปิดด่านมาค้าขายสร้างสัมพันธ์เปิดบ่อนคาสิโนกันเถอะ. ..อาสนธิและพันธมิตรหลายๆท่านสู้กันมานาน mou43,44ก็แฉมานานว่าผลงานมาจากชวนล่ะ,มันเป็นขบวนการเป็นแผนการของciaไซออนิสต์ก็ด้วย.,แก่บิดเบือนจริงๆ กลัวเสียเปรียบอะไรของแก่มิรู้ พื้นที่โบราณสถานว่าไปโน้น,แก่นแท้คือเราเสียแผ่นดินไทยทันทีที่1:150,000หากยังกอดmou43ที่ใช้1:200,000นี้ ขณะที่ในหลวง ร.9เราใช้1:50,000หรือ1:1เสาเขตแดนปักหมุดตกลงชัดเจนกับฝรั่งเศสทั้งสันปันน้ำด้วยแล้วประกอบกันหมด,ดาวเทียมไทยเราปัจจุบันอีก ชัดเจนโคตรๆขนาดไหน บวกลบ0.01มิลลิเมตรด้วยซ้ำ. ..สรุปมากันเป็นแก๊ง ประเทศไทยเราต้องกวาดล้างไส้ศึกคนทรยศชาติ มองศัตรูของไทยตนว่าดีกว่าแผ่นดินอธิปไตยไทยตนเองจริงๆ,เรามีคนลักษณะนี้มากไป เป็นภัยของชาติมาก ชี้นำสังคมประชาชนในทางที่ผิด,เจตนาไม่บริสุทธิ์ต่อแผ่นดินไทยตนเอง.,นี้คือแผ่นดินไทย มีสิ่งศักดิ์สิทธิดูแลปกป้องรักษา,มันผู้ใดทรยศชาติทรยศแผ่นดิน วิญญาณบรรพบุรุษเราไม่เก็บพวกมันไว้นานหรอก. https://youtube.com/shorts/-BXNsyfT2e0?si=xOlggvutsany6RWP
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 345 มุมมอง 0 รีวิว
  • สิ้นเสียงคำพิพากษา “ปารีณา ไกรคุปต์” อดีต ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ต้องโทษจำคุก 4 ปี 1 เดือน ปรับ 6 หมื่นบาท คดีรุกป่าสงวนกว่า 1,700 ไร่ ศาลไม่รอลงอาญา ก่อนยื่นหลักทรัพย์ 1 ล้านบาทประกันตัวระหว่างอุทธรณ์ คดีสะเทือนวงการการเมือง ถูกมองเป็นบทพิสูจน์ “กฎหมายไม่เลือกชนชั้น”

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000095574

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    สิ้นเสียงคำพิพากษา “ปารีณา ไกรคุปต์” อดีต ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ต้องโทษจำคุก 4 ปี 1 เดือน ปรับ 6 หมื่นบาท คดีรุกป่าสงวนกว่า 1,700 ไร่ ศาลไม่รอลงอาญา ก่อนยื่นหลักทรัพย์ 1 ล้านบาทประกันตัวระหว่างอุทธรณ์ คดีสะเทือนวงการการเมือง ถูกมองเป็นบทพิสูจน์ “กฎหมายไม่เลือกชนชั้น” อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000095574 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 373 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.youtube.com/live/xP8x1MA4Vnc?si=bGZlynW6YGrPq_Xm
    https://www.youtube.com/live/xP8x1MA4Vnc?si=bGZlynW6YGrPq_Xm
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 66 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/-zlu_9H7jdQ?si=G3upRbQmCbn7HADf
    https://youtu.be/-zlu_9H7jdQ?si=G3upRbQmCbn7HADf
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 33 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/c1UrOvrGerg?si=sOeaRPwr6LCVvhSk
    https://youtu.be/c1UrOvrGerg?si=sOeaRPwr6LCVvhSk
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 71 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 49 มุมมอง 0 รีวิว
  • สภาคองเกรสทำให้ทองคำยิ่งใหญ่อีกครั้ง : คนเคาะข่าว 06-10-68

    : ทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ

    ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์

    คลิก https://m.youtube.com/watch?v=yZc4tZicLtg
    สภาคองเกรสทำให้ทองคำยิ่งใหญ่อีกครั้ง : คนเคาะข่าว 06-10-68 • : ทนง ขันทอง ผู้เชี่ยวชาญข่าวต่างประเทศ • ดำเนินรายการโดย นงวดี ถนิมมาลย์ • คลิก https://m.youtube.com/watch?v=yZc4tZicLtg
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 150 มุมมอง 0 รีวิว
  • “OpenAI ผนึกกำลัง AMD สร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 6 กิกะวัตต์ แลกหุ้นสูงสุด 10% — ดีลประวัติศาสตร์ที่เขย่าอุตสาหกรรมชิป”

    OpenAI และ AMD ประกาศความร่วมมือครั้งใหญ่ในเดือนตุลาคม 2025 เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ขนาดมหึมา โดย OpenAI จะซื้อชิปจาก AMD รวมกำลังประมวลผลสูงถึง 6 กิกะวัตต์ เริ่มต้นด้วยชิป MI450 รุ่นใหม่ในปี 2026 ซึ่งจะใช้ทั้งการซื้อโดยตรงและผ่านผู้ให้บริการคลาวด์

    ดีลนี้ไม่ใช่แค่การซื้อขายชิป แต่เป็นการแลกเปลี่ยนเชิงกลยุทธ์ โดย AMD จะมอบสิทธิ์ซื้อหุ้น (warrant) ให้ OpenAI สูงสุดถึง 160 ล้านหุ้น หรือประมาณ 10% ของบริษัท ในราคาหุ้นละ $0.01 โดยจะทยอยมอบตาม milestone ที่ OpenAI ทำสำเร็จ เช่น การติดตั้งระบบ 1 กิกะวัตต์แรก และการขยายไปถึง 6 กิกะวัตต์

    Lisa Su ซีอีโอของ AMD ระบุว่าดีลนี้จะสร้างรายได้หลายหมื่นล้านดอลลาร์ในช่วง 5 ปีข้างหน้า และถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของ AMD ในการแข่งขันกับ Nvidia ซึ่งเพิ่งประกาศดีลมูลค่า $100 พันล้านกับ OpenAI เช่นกัน

    Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI กล่าวว่าการสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่เช่นนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายในอุตสาหกรรม ตั้งแต่ผู้ผลิตชิปไปจนถึงซัพพลายเชน และ AMD คือพันธมิตรที่เหมาะสมที่สุดในเวลานี้

    การติดตั้งชุดแรกของ MI450 จะเริ่มในครึ่งหลังของปี 2026 โดย OpenAI จะใช้ชิปเหล่านี้สำหรับงาน inference เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากผู้ใช้ทั่วโลก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    OpenAI และ AMD ร่วมมือสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 6 กิกะวัตต์
    เริ่มต้นด้วยการติดตั้ง MI450 จำนวน 1 กิกะวัตต์ในปี 2026
    AMD จะมอบสิทธิ์ซื้อหุ้นให้ OpenAI สูงสุด 160 ล้านหุ้น หรือ 10% ของบริษัท
    หุ้นจะทยอยมอบตาม milestone เช่น การติดตั้งระบบและเป้าหมายราคาหุ้น
    ดีลนี้คาดว่าจะสร้างรายได้หลายหมื่นล้านดอลลาร์ให้ AMD ภายใน 5 ปี
    OpenAI จะใช้ชิป AMD สำหรับงาน inference เพื่อรองรับความต้องการ AI
    ดีลนี้ถือเป็น “definitive agreement” ต่างจากดีลกับ Nvidia ที่ยังไม่ยื่นต่อหน่วยงานกำกับดูแล
    AMD และ OpenAI จะร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีในหลายรุ่นต่อเนื่อง เช่น MI300X, MI350X

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    MI450 เป็นชิปสถาปัตยกรรมใหม่ของ AMD ที่แข่งกับ Blackwell ของ Nvidia
    การสร้างศูนย์ข้อมูลขนาด 1 กิกะวัตต์มีต้นทุนราว $50 พันล้าน โดยสองในสามเป็นค่าชิปและโครงสร้างพื้นฐาน
    OpenAI ยังมีดีลกับ Oracle มูลค่า $300 พันล้าน และ CoreWeave มูลค่า $22.4 พันล้าน
    การถือหุ้นของ OpenAI ใน AMD จะเกิดขึ้นเมื่อบรรลุเป้าหมายทั้งด้านเทคนิคและการตลาด
    หุ้น AMD ขึ้น 25% หลังประกาศดีลนี้ในตลาดก่อนเปิด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/openai-and-amd-announce-multibillion-dollar-partnership-amd-to-supply-6-gigawatts-in-chips-openai-could-get-up-to-10-percent-of-amd-shares-in-return
    🚀 “OpenAI ผนึกกำลัง AMD สร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 6 กิกะวัตต์ แลกหุ้นสูงสุด 10% — ดีลประวัติศาสตร์ที่เขย่าอุตสาหกรรมชิป” OpenAI และ AMD ประกาศความร่วมมือครั้งใหญ่ในเดือนตุลาคม 2025 เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ขนาดมหึมา โดย OpenAI จะซื้อชิปจาก AMD รวมกำลังประมวลผลสูงถึง 6 กิกะวัตต์ เริ่มต้นด้วยชิป MI450 รุ่นใหม่ในปี 2026 ซึ่งจะใช้ทั้งการซื้อโดยตรงและผ่านผู้ให้บริการคลาวด์ ดีลนี้ไม่ใช่แค่การซื้อขายชิป แต่เป็นการแลกเปลี่ยนเชิงกลยุทธ์ โดย AMD จะมอบสิทธิ์ซื้อหุ้น (warrant) ให้ OpenAI สูงสุดถึง 160 ล้านหุ้น หรือประมาณ 10% ของบริษัท ในราคาหุ้นละ $0.01 โดยจะทยอยมอบตาม milestone ที่ OpenAI ทำสำเร็จ เช่น การติดตั้งระบบ 1 กิกะวัตต์แรก และการขยายไปถึง 6 กิกะวัตต์ Lisa Su ซีอีโอของ AMD ระบุว่าดีลนี้จะสร้างรายได้หลายหมื่นล้านดอลลาร์ในช่วง 5 ปีข้างหน้า และถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่ของ AMD ในการแข่งขันกับ Nvidia ซึ่งเพิ่งประกาศดีลมูลค่า $100 พันล้านกับ OpenAI เช่นกัน Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI กล่าวว่าการสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาดใหญ่เช่นนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายในอุตสาหกรรม ตั้งแต่ผู้ผลิตชิปไปจนถึงซัพพลายเชน และ AMD คือพันธมิตรที่เหมาะสมที่สุดในเวลานี้ การติดตั้งชุดแรกของ MI450 จะเริ่มในครึ่งหลังของปี 2026 โดย OpenAI จะใช้ชิปเหล่านี้สำหรับงาน inference เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากผู้ใช้ทั่วโลก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ OpenAI และ AMD ร่วมมือสร้างศูนย์ข้อมูล AI ขนาด 6 กิกะวัตต์ ➡️ เริ่มต้นด้วยการติดตั้ง MI450 จำนวน 1 กิกะวัตต์ในปี 2026 ➡️ AMD จะมอบสิทธิ์ซื้อหุ้นให้ OpenAI สูงสุด 160 ล้านหุ้น หรือ 10% ของบริษัท ➡️ หุ้นจะทยอยมอบตาม milestone เช่น การติดตั้งระบบและเป้าหมายราคาหุ้น ➡️ ดีลนี้คาดว่าจะสร้างรายได้หลายหมื่นล้านดอลลาร์ให้ AMD ภายใน 5 ปี ➡️ OpenAI จะใช้ชิป AMD สำหรับงาน inference เพื่อรองรับความต้องการ AI ➡️ ดีลนี้ถือเป็น “definitive agreement” ต่างจากดีลกับ Nvidia ที่ยังไม่ยื่นต่อหน่วยงานกำกับดูแล ➡️ AMD และ OpenAI จะร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีในหลายรุ่นต่อเนื่อง เช่น MI300X, MI350X ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ MI450 เป็นชิปสถาปัตยกรรมใหม่ของ AMD ที่แข่งกับ Blackwell ของ Nvidia ➡️ การสร้างศูนย์ข้อมูลขนาด 1 กิกะวัตต์มีต้นทุนราว $50 พันล้าน โดยสองในสามเป็นค่าชิปและโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ OpenAI ยังมีดีลกับ Oracle มูลค่า $300 พันล้าน และ CoreWeave มูลค่า $22.4 พันล้าน ➡️ การถือหุ้นของ OpenAI ใน AMD จะเกิดขึ้นเมื่อบรรลุเป้าหมายทั้งด้านเทคนิคและการตลาด ➡️ หุ้น AMD ขึ้น 25% หลังประกาศดีลนี้ในตลาดก่อนเปิด https://www.tomshardware.com/tech-industry/openai-and-amd-announce-multibillion-dollar-partnership-amd-to-supply-6-gigawatts-in-chips-openai-could-get-up-to-10-percent-of-amd-shares-in-return
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 213 มุมมอง 0 รีวิว
  • “FinalSpark เปิดห้องแล็บในสวิตเซอร์แลนด์ พัฒนาคอมพิวเตอร์จากสมองมนุษย์จิ๋ว — เมื่อชีววิทยากลายเป็นฮาร์ดแวร์แห่งอนาคต”

    BBC ได้เปิดเผยรายงานพิเศษจากห้องแล็บของ FinalSpark บริษัทสตาร์ทอัพในสวิตเซอร์แลนด์ที่กำลังพัฒนา “biocomputer” หรือคอมพิวเตอร์ที่ใช้สมองมนุษย์ขนาดจิ๋วเป็นหน่วยประมวลผล โดยใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า “wetware” ซึ่งต่างจากฮาร์ดแวร์ทั่วไปตรงที่ใช้เซลล์ประสาทจริง ๆ ในการทำงาน

    นักวิจัยของ FinalSpark ได้สร้าง “organoids” หรือสมองจิ๋วจากเซลล์ผิวหนังที่ถูกเปลี่ยนเป็นเซลล์ต้นกำเนิด (stem cells) แล้วนำไปเพาะเลี้ยงให้กลายเป็นกลุ่มเซลล์ประสาทที่มีโครงสร้างคล้ายสมองมนุษย์ โดยวางไว้บนแผงอิเล็กโทรดที่สามารถส่งสัญญาณไฟฟ้าเข้าไป และตรวจจับการตอบสนองของเซลล์ได้แบบ EEG

    แม้จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ระบบนี้สามารถตอบสนองต่อคำสั่งง่าย ๆ เช่นการกดปุ่มบนคีย์บอร์ด แล้วดูการตอบสนองของสมองจิ๋วผ่านกราฟไฟฟ้า ซึ่งบางครั้งมีการตอบสนองแบบ “ระเบิดพลัง” ก่อนที่เซลล์จะตายลงในเวลาไม่กี่วินาที

    นักวิจัยยืนยันว่า organoids เหล่านี้ไม่ใช่สมองที่มีจิตสำนึก แต่เป็นเพียงโครงสร้างเซลล์ที่ใช้ในการทดลอง โดยมีอายุการใช้งานประมาณ 4 เดือน และยังไม่สามารถเลียนแบบระบบหล่อเลี้ยงด้วยเลือดแบบสมองจริงได้

    FinalSpark เปิดให้เข้าถึงระบบ bioprocessor แบบออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง โดยคิดค่าบริการเริ่มต้นที่ $500 ต่อเดือน เพื่อให้นักวิจัยทั่วโลกสามารถทดลองและพัฒนาเทคโนโลยี biocomputing ได้จากระยะไกล

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    FinalSpark พัฒนาคอมพิวเตอร์จากสมองมนุษย์จิ๋วในห้องแล็บสวิตเซอร์แลนด์
    ใช้ organoids ที่สร้างจากเซลล์ผิวหนังเปลี่ยนเป็น stem cells แล้วเพาะเลี้ยงเป็นเซลล์ประสาท
    วาง organoids บนแผงอิเล็กโทรดเพื่อส่งสัญญาณและตรวจจับการตอบสนอง
    ระบบสามารถตอบสนองต่อคำสั่งง่าย ๆ เช่นการกดปุ่มบนคีย์บอร์ด
    อายุการใช้งานของ organoids อยู่ที่ประมาณ 4 เดือน
    FinalSpark เปิดให้เข้าถึง bioprocessor แบบออนไลน์ในราคาเริ่มต้น $500/เดือน
    นักวิจัยสามารถทดลองผ่านระบบระยะไกลได้ตลอด 24 ชั่วโมง
    นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า organoids ไม่มีจิตสำนึกหรือความรู้สึก

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Biocomputing เป็นแนวคิดที่ใช้ระบบชีวภาพแทนชิปซิลิคอนในการประมวลผล
    สมองมนุษย์ใช้พลังงานเพียง 20 วัตต์ในการควบคุมเซลล์ประสาทกว่า 86 พันล้านเซลล์
    Bioprocessor ของ FinalSpark ใช้พลังงานน้อยกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไปถึงล้านเท่า
    นักวิจัยจาก Johns Hopkins และ Imperial College ก็พัฒนา organoids เพื่อศึกษาการเรียนรู้
    ระบบ wetware อาจช่วยลดการใช้พลังงานของอุตสาหกรรม AI ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/swiss-lab-where-researchers-are-working-to-create-computers-powered-by-mini-human-brains-revealed-in-new-report-mini-brain-organoids-revealed-developers-say-we-shouldnt-be-scared-of-them
    🧠 “FinalSpark เปิดห้องแล็บในสวิตเซอร์แลนด์ พัฒนาคอมพิวเตอร์จากสมองมนุษย์จิ๋ว — เมื่อชีววิทยากลายเป็นฮาร์ดแวร์แห่งอนาคต” BBC ได้เปิดเผยรายงานพิเศษจากห้องแล็บของ FinalSpark บริษัทสตาร์ทอัพในสวิตเซอร์แลนด์ที่กำลังพัฒนา “biocomputer” หรือคอมพิวเตอร์ที่ใช้สมองมนุษย์ขนาดจิ๋วเป็นหน่วยประมวลผล โดยใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า “wetware” ซึ่งต่างจากฮาร์ดแวร์ทั่วไปตรงที่ใช้เซลล์ประสาทจริง ๆ ในการทำงาน นักวิจัยของ FinalSpark ได้สร้าง “organoids” หรือสมองจิ๋วจากเซลล์ผิวหนังที่ถูกเปลี่ยนเป็นเซลล์ต้นกำเนิด (stem cells) แล้วนำไปเพาะเลี้ยงให้กลายเป็นกลุ่มเซลล์ประสาทที่มีโครงสร้างคล้ายสมองมนุษย์ โดยวางไว้บนแผงอิเล็กโทรดที่สามารถส่งสัญญาณไฟฟ้าเข้าไป และตรวจจับการตอบสนองของเซลล์ได้แบบ EEG แม้จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ระบบนี้สามารถตอบสนองต่อคำสั่งง่าย ๆ เช่นการกดปุ่มบนคีย์บอร์ด แล้วดูการตอบสนองของสมองจิ๋วผ่านกราฟไฟฟ้า ซึ่งบางครั้งมีการตอบสนองแบบ “ระเบิดพลัง” ก่อนที่เซลล์จะตายลงในเวลาไม่กี่วินาที นักวิจัยยืนยันว่า organoids เหล่านี้ไม่ใช่สมองที่มีจิตสำนึก แต่เป็นเพียงโครงสร้างเซลล์ที่ใช้ในการทดลอง โดยมีอายุการใช้งานประมาณ 4 เดือน และยังไม่สามารถเลียนแบบระบบหล่อเลี้ยงด้วยเลือดแบบสมองจริงได้ FinalSpark เปิดให้เข้าถึงระบบ bioprocessor แบบออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง โดยคิดค่าบริการเริ่มต้นที่ $500 ต่อเดือน เพื่อให้นักวิจัยทั่วโลกสามารถทดลองและพัฒนาเทคโนโลยี biocomputing ได้จากระยะไกล ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ FinalSpark พัฒนาคอมพิวเตอร์จากสมองมนุษย์จิ๋วในห้องแล็บสวิตเซอร์แลนด์ ➡️ ใช้ organoids ที่สร้างจากเซลล์ผิวหนังเปลี่ยนเป็น stem cells แล้วเพาะเลี้ยงเป็นเซลล์ประสาท ➡️ วาง organoids บนแผงอิเล็กโทรดเพื่อส่งสัญญาณและตรวจจับการตอบสนอง ➡️ ระบบสามารถตอบสนองต่อคำสั่งง่าย ๆ เช่นการกดปุ่มบนคีย์บอร์ด ➡️ อายุการใช้งานของ organoids อยู่ที่ประมาณ 4 เดือน ➡️ FinalSpark เปิดให้เข้าถึง bioprocessor แบบออนไลน์ในราคาเริ่มต้น $500/เดือน ➡️ นักวิจัยสามารถทดลองผ่านระบบระยะไกลได้ตลอด 24 ชั่วโมง ➡️ นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า organoids ไม่มีจิตสำนึกหรือความรู้สึก ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Biocomputing เป็นแนวคิดที่ใช้ระบบชีวภาพแทนชิปซิลิคอนในการประมวลผล ➡️ สมองมนุษย์ใช้พลังงานเพียง 20 วัตต์ในการควบคุมเซลล์ประสาทกว่า 86 พันล้านเซลล์ ➡️ Bioprocessor ของ FinalSpark ใช้พลังงานน้อยกว่าคอมพิวเตอร์ทั่วไปถึงล้านเท่า ➡️ นักวิจัยจาก Johns Hopkins และ Imperial College ก็พัฒนา organoids เพื่อศึกษาการเรียนรู้ ➡️ ระบบ wetware อาจช่วยลดการใช้พลังงานของอุตสาหกรรม AI ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/swiss-lab-where-researchers-are-working-to-create-computers-powered-by-mini-human-brains-revealed-in-new-report-mini-brain-organoids-revealed-developers-say-we-shouldnt-be-scared-of-them
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 208 มุมมอง 0 รีวิว
  • “มหาวิทยาลัยอังกฤษโดนแฮก 91% ธุรกิจ 43% — ภัยไซเบอร์ระบาดหนักทั่วสหราชอาณาจักรในปี 2025”

    ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา สหราชอาณาจักรเผชิญกับการโจมตีทางไซเบอร์อย่างรุนแรง โดยผลสำรวจจากรัฐบาลเผยว่า 91% ของมหาวิทยาลัย และ 43% ของธุรกิจที่ถูกสำรวจ ได้รับผลกระทบจากการโจมตีอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเจาะระบบ การเรียกค่าไถ่ หรือการขโมยข้อมูล

    กรณีที่โดดเด่นคือการโจมตี Jaguar Land Rover (JLR) ที่ทำให้บริษัทต้องหยุดดำเนินงานหลายสัปดาห์ และขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลเพื่อหลีกเลี่ยงการปลดพนักงาน ซึ่งส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อซัพพลายเออร์หลายพันรายที่พึ่งพา JLR เป็นลูกค้าหลัก

    แม้ธุรกิจจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก แต่สถาบันการศึกษากลับเป็นเป้าหมายหลักของแฮกเกอร์ โดย 85% ของวิทยาลัย, 60% ของโรงเรียนมัธยม และ 44% ของโรงเรียนประถมก็ถูกโจมตีเช่นกัน รวมถึงกรณีล่าสุดที่เครือโรงเรียนอนุบาลถูกแฮกและนำภาพเด็กไปใช้เป็นเครื่องมือแบล็กเมล์

    ที่น่าตกใจคือการโจมตีจำนวนมากไม่ได้มาจากต่างประเทศ แต่เกิดจากแฮกเกอร์วัยรุ่นในอังกฤษเอง ซึ่งเช่าระบบ ransomware จากกลุ่มรัสเซีย แล้วใช้โจมตีเป้าหมายที่มีชื่อเสียงเพื่อสร้างชื่อเสียงในวงการใต้ดิน

    ผู้เชี่ยวชาญจาก Royal United Services Institute ระบุว่า แฮกเกอร์กลุ่มนี้ไม่ได้หวังผลทางการเงินเพียงอย่างเดียว แต่ต้องการ “แสดงฝีมือ” และได้รับการยอมรับในชุมชนแฮกเกอร์ ซึ่งทำให้เป้าหมายกลายเป็นองค์กรที่มีชื่อเสียงมากกว่าระบบที่อ่อนแอ

    รัฐบาลอังกฤษหวังว่าการเผยแพร่ผลสำรวจนี้จะกระตุ้นให้หน่วยงานต่าง ๆ ปรับปรุงมาตรการความปลอดภัยทางไซเบอร์ เพราะหลายแห่งยังไม่มีระบบป้องกันที่ทันสมัย และกลายเป็น “ผลไม้ที่ห้อยต่ำ” ที่แฮกเกอร์เลือกโจมตีก่อน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    91% ของมหาวิทยาลัยในอังกฤษถูกโจมตีทางไซเบอร์ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา
    43% ของธุรกิจที่ถูกสำรวจได้รับผลกระทบจากการโจมตี
    JLR ถูกโจมตีจนต้องหยุดดำเนินงานและขอความช่วยเหลือจากรัฐบาล
    85% ของวิทยาลัย, 60% ของโรงเรียนมัธยม, 44% ของโรงเรียนประถมถูกโจมตี
    มีกรณีโรงเรียนอนุบาลถูกแฮกและนำภาพเด็กไปใช้แบล็กเมล์
    แฮกเกอร์วัยรุ่นในอังกฤษเช่าระบบ ransomware จากกลุ่มรัสเซีย
    เป้าหมายหลักคือองค์กรที่มีชื่อเสียงเพื่อสร้างชื่อในวงการแฮกเกอร์
    รัฐบาลหวังผลสำรวจจะกระตุ้นให้ปรับปรุงระบบความปลอดภัย
    หลายองค์กรยังไม่มีมาตรการป้องกันที่ทันสมัย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การโจมตีทางไซเบอร์ในปี 2025 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในภาคการศึกษา
    Ransomware เป็นภัยที่ทำให้ระบบหยุดชะงักและเรียกค่าไถ่สูง
    การโจมตีแบบ supply chain ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง
    การใช้ AI ในการสร้าง phishing email ทำให้การหลอกลวงมีความสมจริงมากขึ้น
    การขาดบุคลากรด้าน cybersecurity เป็นปัญหาใหญ่ในองค์กรขนาดเล็ก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/cyberattacks-hit-91-percent-of-universities-and-43-percent-of-businesses-in-last-12-months-in-the-uk-survey-suggests-more-than-600-000-businesses-61-000-charities-affected
    🛡️ “มหาวิทยาลัยอังกฤษโดนแฮก 91% ธุรกิจ 43% — ภัยไซเบอร์ระบาดหนักทั่วสหราชอาณาจักรในปี 2025” ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา สหราชอาณาจักรเผชิญกับการโจมตีทางไซเบอร์อย่างรุนแรง โดยผลสำรวจจากรัฐบาลเผยว่า 91% ของมหาวิทยาลัย และ 43% ของธุรกิจที่ถูกสำรวจ ได้รับผลกระทบจากการโจมตีอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเจาะระบบ การเรียกค่าไถ่ หรือการขโมยข้อมูล กรณีที่โดดเด่นคือการโจมตี Jaguar Land Rover (JLR) ที่ทำให้บริษัทต้องหยุดดำเนินงานหลายสัปดาห์ และขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลเพื่อหลีกเลี่ยงการปลดพนักงาน ซึ่งส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อซัพพลายเออร์หลายพันรายที่พึ่งพา JLR เป็นลูกค้าหลัก แม้ธุรกิจจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก แต่สถาบันการศึกษากลับเป็นเป้าหมายหลักของแฮกเกอร์ โดย 85% ของวิทยาลัย, 60% ของโรงเรียนมัธยม และ 44% ของโรงเรียนประถมก็ถูกโจมตีเช่นกัน รวมถึงกรณีล่าสุดที่เครือโรงเรียนอนุบาลถูกแฮกและนำภาพเด็กไปใช้เป็นเครื่องมือแบล็กเมล์ ที่น่าตกใจคือการโจมตีจำนวนมากไม่ได้มาจากต่างประเทศ แต่เกิดจากแฮกเกอร์วัยรุ่นในอังกฤษเอง ซึ่งเช่าระบบ ransomware จากกลุ่มรัสเซีย แล้วใช้โจมตีเป้าหมายที่มีชื่อเสียงเพื่อสร้างชื่อเสียงในวงการใต้ดิน ผู้เชี่ยวชาญจาก Royal United Services Institute ระบุว่า แฮกเกอร์กลุ่มนี้ไม่ได้หวังผลทางการเงินเพียงอย่างเดียว แต่ต้องการ “แสดงฝีมือ” และได้รับการยอมรับในชุมชนแฮกเกอร์ ซึ่งทำให้เป้าหมายกลายเป็นองค์กรที่มีชื่อเสียงมากกว่าระบบที่อ่อนแอ รัฐบาลอังกฤษหวังว่าการเผยแพร่ผลสำรวจนี้จะกระตุ้นให้หน่วยงานต่าง ๆ ปรับปรุงมาตรการความปลอดภัยทางไซเบอร์ เพราะหลายแห่งยังไม่มีระบบป้องกันที่ทันสมัย และกลายเป็น “ผลไม้ที่ห้อยต่ำ” ที่แฮกเกอร์เลือกโจมตีก่อน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ 91% ของมหาวิทยาลัยในอังกฤษถูกโจมตีทางไซเบอร์ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ➡️ 43% ของธุรกิจที่ถูกสำรวจได้รับผลกระทบจากการโจมตี ➡️ JLR ถูกโจมตีจนต้องหยุดดำเนินงานและขอความช่วยเหลือจากรัฐบาล ➡️ 85% ของวิทยาลัย, 60% ของโรงเรียนมัธยม, 44% ของโรงเรียนประถมถูกโจมตี ➡️ มีกรณีโรงเรียนอนุบาลถูกแฮกและนำภาพเด็กไปใช้แบล็กเมล์ ➡️ แฮกเกอร์วัยรุ่นในอังกฤษเช่าระบบ ransomware จากกลุ่มรัสเซีย ➡️ เป้าหมายหลักคือองค์กรที่มีชื่อเสียงเพื่อสร้างชื่อในวงการแฮกเกอร์ ➡️ รัฐบาลหวังผลสำรวจจะกระตุ้นให้ปรับปรุงระบบความปลอดภัย ➡️ หลายองค์กรยังไม่มีมาตรการป้องกันที่ทันสมัย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การโจมตีทางไซเบอร์ในปี 2025 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในภาคการศึกษา ➡️ Ransomware เป็นภัยที่ทำให้ระบบหยุดชะงักและเรียกค่าไถ่สูง ➡️ การโจมตีแบบ supply chain ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง ➡️ การใช้ AI ในการสร้าง phishing email ทำให้การหลอกลวงมีความสมจริงมากขึ้น ➡️ การขาดบุคลากรด้าน cybersecurity เป็นปัญหาใหญ่ในองค์กรขนาดเล็ก https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/cyberattacks-hit-91-percent-of-universities-and-43-percent-of-businesses-in-last-12-months-in-the-uk-survey-suggests-more-than-600-000-businesses-61-000-charities-affected
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 257 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Zaxxon กลับมาอีกครั้งในรูปแบบสุดล้ำ — เล่นเกมอาร์เคดผ่าน BIOS โดยไม่ต้องใช้ระบบปฏิบัติการ”

    Inkbox Software ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการเกมและการเขียนโปรแกรม ด้วยการนำเกมอาร์เคดคลาสสิก “Zaxxon” จากปี 1982 กลับมาในรูปแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน — เกมที่สามารถบูตได้โดยตรงจากระบบ UEFI firmware โดยไม่ต้องใช้ระบบปฏิบัติการใด ๆ ทั้งสิ้น

    เกมนี้ถูกเขียนขึ้นใหม่ทั้งหมดด้วยภาษา Assembly สำหรับสถาปัตยกรรม x86-64 และเปิดให้ใช้งานแบบโอเพ่นซอร์สภายใต้สัญญาอนุญาต GPLv3 ซึ่งหมายความว่าใครก็สามารถดาวน์โหลด แก้ไข และทดลองได้ฟรี

    ต่างจากเกม UEFI ที่เคยมีมาก่อนซึ่งมักเป็นเดโมหรือ payload ที่ต้องเรียกผ่านระบบอื่น เกม Zaxxon เวอร์ชันนี้สามารถบูตตรงจาก BIOS ได้ทันที โดยผู้พัฒนาอธิบายว่า “นี่คืออิสรภาพจาก Big Tech อย่างแท้จริง” เพราะไม่ต้องพึ่งพาระบบปฏิบัติการใด ๆ เลย

    แน่นอนว่าการเขียนเกมในระดับ low-level แบบนี้ไม่ง่ายเลย Inkbox ต้องแก้ปัญหาหลายอย่าง เช่น การจัดการ input จากคีย์บอร์ดที่มีดีเลย์สูงใน UEFI, การสร้างระบบกราฟิกที่จำลอง Picture Processing Unit (PPU) แบบเครื่องเกมยุคเก่า และการทำให้เกมรันได้ลื่นไหลถึง 128FPS

    แม้จะไม่มีเสียงในเกม แต่ภาพกราฟิกแบบ isometric และการควบคุมผ่านเมาส์หรือจอยสติ๊กทำให้ประสบการณ์การเล่นยังคงน่าประทับใจ และสามารถรันได้บนเครื่อง x86_64 ทุกเครื่องที่รองรับ UEFI โดยต้องปิด secure boot และตั้งค่าให้บูตจากไฟล์ BOOTX64.EFI

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Inkbox Software สร้างเกม Zaxxon เวอร์ชันใหม่ที่รันจาก UEFI โดยตรง
    เขียนด้วยภาษา Assembly สำหรับ x86-64 โดยไม่ใช้ระบบปฏิบัติการ
    เปิดให้ใช้งานแบบโอเพ่นซอร์สภายใต้ GPLv3
    เกมสามารถบูตตรงจาก BIOS โดยใช้ไฟล์ BOOTX64.EFI
    ต้องปิด secure boot และตั้งค่าบูตจาก EFI partition
    เกมรันได้ลื่นไหลถึง 128FPS แม้ไม่มีระบบเสียง
    ใช้เมาส์หรือจอยสติ๊กแทนคีย์บอร์ดที่มีดีเลย์สูงใน UEFI
    สร้างระบบกราฟิกจำลอง PPU แบบเครื่องเกมยุคเก่า
    รองรับการแสดงผลแบบ 256x256 หรือ upscale เป็น 1024x1024
    เปิดให้ดาวน์โหลดและทดลองผ่าน GitHub: spacegamex64

    https://www.tomshardware.com/software/programming/developer-recreates-classic-shoot-em-up-zaxxon-as-a-uefi-firmware-isometric-arcade-game-coded-in-x86-assembly-for-no-os-represents-total-freedom-from-big-tech
    🕹️ “Zaxxon กลับมาอีกครั้งในรูปแบบสุดล้ำ — เล่นเกมอาร์เคดผ่าน BIOS โดยไม่ต้องใช้ระบบปฏิบัติการ” Inkbox Software ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการเกมและการเขียนโปรแกรม ด้วยการนำเกมอาร์เคดคลาสสิก “Zaxxon” จากปี 1982 กลับมาในรูปแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน — เกมที่สามารถบูตได้โดยตรงจากระบบ UEFI firmware โดยไม่ต้องใช้ระบบปฏิบัติการใด ๆ ทั้งสิ้น เกมนี้ถูกเขียนขึ้นใหม่ทั้งหมดด้วยภาษา Assembly สำหรับสถาปัตยกรรม x86-64 และเปิดให้ใช้งานแบบโอเพ่นซอร์สภายใต้สัญญาอนุญาต GPLv3 ซึ่งหมายความว่าใครก็สามารถดาวน์โหลด แก้ไข และทดลองได้ฟรี ต่างจากเกม UEFI ที่เคยมีมาก่อนซึ่งมักเป็นเดโมหรือ payload ที่ต้องเรียกผ่านระบบอื่น เกม Zaxxon เวอร์ชันนี้สามารถบูตตรงจาก BIOS ได้ทันที โดยผู้พัฒนาอธิบายว่า “นี่คืออิสรภาพจาก Big Tech อย่างแท้จริง” เพราะไม่ต้องพึ่งพาระบบปฏิบัติการใด ๆ เลย แน่นอนว่าการเขียนเกมในระดับ low-level แบบนี้ไม่ง่ายเลย Inkbox ต้องแก้ปัญหาหลายอย่าง เช่น การจัดการ input จากคีย์บอร์ดที่มีดีเลย์สูงใน UEFI, การสร้างระบบกราฟิกที่จำลอง Picture Processing Unit (PPU) แบบเครื่องเกมยุคเก่า และการทำให้เกมรันได้ลื่นไหลถึง 128FPS แม้จะไม่มีเสียงในเกม แต่ภาพกราฟิกแบบ isometric และการควบคุมผ่านเมาส์หรือจอยสติ๊กทำให้ประสบการณ์การเล่นยังคงน่าประทับใจ และสามารถรันได้บนเครื่อง x86_64 ทุกเครื่องที่รองรับ UEFI โดยต้องปิด secure boot และตั้งค่าให้บูตจากไฟล์ BOOTX64.EFI ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Inkbox Software สร้างเกม Zaxxon เวอร์ชันใหม่ที่รันจาก UEFI โดยตรง ➡️ เขียนด้วยภาษา Assembly สำหรับ x86-64 โดยไม่ใช้ระบบปฏิบัติการ ➡️ เปิดให้ใช้งานแบบโอเพ่นซอร์สภายใต้ GPLv3 ➡️ เกมสามารถบูตตรงจาก BIOS โดยใช้ไฟล์ BOOTX64.EFI ➡️ ต้องปิด secure boot และตั้งค่าบูตจาก EFI partition ➡️ เกมรันได้ลื่นไหลถึง 128FPS แม้ไม่มีระบบเสียง ➡️ ใช้เมาส์หรือจอยสติ๊กแทนคีย์บอร์ดที่มีดีเลย์สูงใน UEFI ➡️ สร้างระบบกราฟิกจำลอง PPU แบบเครื่องเกมยุคเก่า ➡️ รองรับการแสดงผลแบบ 256x256 หรือ upscale เป็น 1024x1024 ➡️ เปิดให้ดาวน์โหลดและทดลองผ่าน GitHub: spacegamex64 https://www.tomshardware.com/software/programming/developer-recreates-classic-shoot-em-up-zaxxon-as-a-uefi-firmware-isometric-arcade-game-coded-in-x86-assembly-for-no-os-represents-total-freedom-from-big-tech
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Acer เตือนดีล Nvidia–Intel อาจทำให้ซัพพลายเชน PC ยุ่งยากขึ้น — ขณะที่แผนผลิตชิป 50/50 ระหว่างสหรัฐฯ–ไต้หวันอาจใช้เวลาถึง 50 ปี”

    ในงาน Long Time Smile Awards ของ Acer ที่จัดขึ้นในเดือนตุลาคม 2025 Jason Chen ซีอีโอของ Acer ได้แสดงความกังวลต่อดีลระหว่าง Nvidia และ Intel ที่ร่วมกันพัฒนาชิป x86 รุ่นใหม่ โดยระบุว่าการมีผู้ผลิตชิปเพิ่มขึ้นจากสองรายหลัก (Intel และ AMD) เป็นสามราย จะทำให้ซัพพลายเชนของอุตสาหกรรม PC ยุ่งยากขึ้นอย่างมาก

    Chen ชี้ว่าในปัจจุบัน ผู้ผลิตต้องจัดการกับหลายเจเนอเรชันของชิปจาก Intel และ AMD ที่มีความแตกต่างทั้งด้านราคา ประสิทธิภาพ และการใช้พลังงาน การเพิ่ม Nvidia เข้ามาในฐานะผู้ผลิต CPU จะทำให้การเลือกจับคู่ CPU, GPU, RAM และ PSU ยิ่งซับซ้อนขึ้น และอาจทำให้ผู้บริโภคเกิด “decision fatigue” จนเลือกซื้อจากแบรนด์ที่คุ้นเคยแทน

    ในงานเดียวกัน Stan Shih ผู้ก่อตั้ง Acer ยังได้แสดงความเห็นต่อข้อเสนอของ Howard Lutnick รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ที่เสนอให้แบ่งการผลิตชิปสำหรับตลาดสหรัฐฯ ระหว่างไต้หวันและสหรัฐฯ แบบ 50/50 โดย Shih มองว่าแนวคิดนี้เป็นไปได้ในระยะยาว แต่ต้องใช้เวลาถึง 50 ปีในการปรับโครงสร้างซัพพลายเชนให้รองรับ

    Acer ได้เริ่มปรับกระบวนการผลิตสำหรับสินค้าที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายของทำเนียบขาว และอาจต้องปรับเพิ่มอีก หากผลการสอบสวนตามมาตรา 232 นำไปสู่การเก็บภาษีชิปสูงถึง 200–300%

    สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนจากดีลพันธมิตรใหม่ ภาษี การขาดแคลน และแรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งทุกบริษัทต้องปรับตัวอย่างต่อเนื่อง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Acer เตือนว่าดีล Nvidia–Intel จะทำให้ซัพพลายเชน PC ซับซ้อนขึ้น
    ผู้ผลิตต้องจัดการกับหลายเจเนอเรชันของชิปจาก Intel และ AMD
    การเพิ่ม Nvidia เป็นผู้ผลิต CPU จะทำให้การเลือกอุปกรณ์ยิ่งยุ่งยาก
    ผู้บริโภคอาจเกิด decision fatigue และเลือกแบรนด์ที่คุ้นเคย
    Stan Shih มองว่าแผนผลิตชิป 50/50 ระหว่างไต้หวัน–สหรัฐฯ อาจใช้เวลาถึง 50 ปี
    Acer ปรับกระบวนการผลิตเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีจากนโยบายของสหรัฐฯ
    อาจต้องปรับเพิ่มอีก หากผลสอบสวนตามมาตรา 232 นำไปสู่ภาษีชิป 200–300%
    อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์กำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Nvidia และ Intel ร่วมพัฒนาชิป x86 เพื่อแข่งขันกับ AMD
    Intel เพิ่งขึ้นราคาชิป Raptor Lake แม้จะเป็นเจเนอเรชันเก่า
    AMD เปิดตัว Ryzen 3 5100 บนแพลตฟอร์ม AM4 ที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 3
    Lutnick เสนอแผน 50/50 เพื่อให้สหรัฐฯ ลดการพึ่งพาไต้หวันด้านชิป
    การผลิตชิปในไต้หวันคิดเป็นกว่า 90% ของชิปขั้นสูงทั่วโลก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/acer-chief-says-nvidias-intel-investment-will-complicate-pc-supply-chains-says-lutnicks-50-50-proposal-could-take-50-years-to-realize
    🔧 “Acer เตือนดีล Nvidia–Intel อาจทำให้ซัพพลายเชน PC ยุ่งยากขึ้น — ขณะที่แผนผลิตชิป 50/50 ระหว่างสหรัฐฯ–ไต้หวันอาจใช้เวลาถึง 50 ปี” ในงาน Long Time Smile Awards ของ Acer ที่จัดขึ้นในเดือนตุลาคม 2025 Jason Chen ซีอีโอของ Acer ได้แสดงความกังวลต่อดีลระหว่าง Nvidia และ Intel ที่ร่วมกันพัฒนาชิป x86 รุ่นใหม่ โดยระบุว่าการมีผู้ผลิตชิปเพิ่มขึ้นจากสองรายหลัก (Intel และ AMD) เป็นสามราย จะทำให้ซัพพลายเชนของอุตสาหกรรม PC ยุ่งยากขึ้นอย่างมาก Chen ชี้ว่าในปัจจุบัน ผู้ผลิตต้องจัดการกับหลายเจเนอเรชันของชิปจาก Intel และ AMD ที่มีความแตกต่างทั้งด้านราคา ประสิทธิภาพ และการใช้พลังงาน การเพิ่ม Nvidia เข้ามาในฐานะผู้ผลิต CPU จะทำให้การเลือกจับคู่ CPU, GPU, RAM และ PSU ยิ่งซับซ้อนขึ้น และอาจทำให้ผู้บริโภคเกิด “decision fatigue” จนเลือกซื้อจากแบรนด์ที่คุ้นเคยแทน ในงานเดียวกัน Stan Shih ผู้ก่อตั้ง Acer ยังได้แสดงความเห็นต่อข้อเสนอของ Howard Lutnick รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ ที่เสนอให้แบ่งการผลิตชิปสำหรับตลาดสหรัฐฯ ระหว่างไต้หวันและสหรัฐฯ แบบ 50/50 โดย Shih มองว่าแนวคิดนี้เป็นไปได้ในระยะยาว แต่ต้องใช้เวลาถึง 50 ปีในการปรับโครงสร้างซัพพลายเชนให้รองรับ Acer ได้เริ่มปรับกระบวนการผลิตสำหรับสินค้าที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายของทำเนียบขาว และอาจต้องปรับเพิ่มอีก หากผลการสอบสวนตามมาตรา 232 นำไปสู่การเก็บภาษีชิปสูงถึง 200–300% สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนจากดีลพันธมิตรใหม่ ภาษี การขาดแคลน และแรงกดดันทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งทุกบริษัทต้องปรับตัวอย่างต่อเนื่อง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Acer เตือนว่าดีล Nvidia–Intel จะทำให้ซัพพลายเชน PC ซับซ้อนขึ้น ➡️ ผู้ผลิตต้องจัดการกับหลายเจเนอเรชันของชิปจาก Intel และ AMD ➡️ การเพิ่ม Nvidia เป็นผู้ผลิต CPU จะทำให้การเลือกอุปกรณ์ยิ่งยุ่งยาก ➡️ ผู้บริโภคอาจเกิด decision fatigue และเลือกแบรนด์ที่คุ้นเคย ➡️ Stan Shih มองว่าแผนผลิตชิป 50/50 ระหว่างไต้หวัน–สหรัฐฯ อาจใช้เวลาถึง 50 ปี ➡️ Acer ปรับกระบวนการผลิตเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีจากนโยบายของสหรัฐฯ ➡️ อาจต้องปรับเพิ่มอีก หากผลสอบสวนตามมาตรา 232 นำไปสู่ภาษีชิป 200–300% ➡️ อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์กำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Nvidia และ Intel ร่วมพัฒนาชิป x86 เพื่อแข่งขันกับ AMD ➡️ Intel เพิ่งขึ้นราคาชิป Raptor Lake แม้จะเป็นเจเนอเรชันเก่า ➡️ AMD เปิดตัว Ryzen 3 5100 บนแพลตฟอร์ม AM4 ที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 3 ➡️ Lutnick เสนอแผน 50/50 เพื่อให้สหรัฐฯ ลดการพึ่งพาไต้หวันด้านชิป ➡️ การผลิตชิปในไต้หวันคิดเป็นกว่า 90% ของชิปขั้นสูงทั่วโลก https://www.tomshardware.com/tech-industry/acer-chief-says-nvidias-intel-investment-will-complicate-pc-supply-chains-says-lutnicks-50-50-proposal-could-take-50-years-to-realize
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 243 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Ultrahuman เปิดตัว Blood Vision Cloud — วิเคราะห์ผลเลือดด้วย AI ฟรี พร้อมแนะนำสุขภาพแบบเจาะลึก”

    Ultrahuman บริษัทเทคโนโลยีสุขภาพจากอินเดียเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ “Blood Vision Cloud” ที่เปลี่ยนวิธีการดูแลสุขภาพส่วนบุคคลไปอย่างสิ้นเชิง โดยผู้ใช้สามารถอัปโหลดผลตรวจเลือดเก่า ๆ เข้าแอป Ultrahuman แล้วให้ระบบ AI วิเคราะห์ข้อมูล พร้อมสรุปแนวโน้มสุขภาพระยะยาว แนะนำอาหารและอาหารเสริมที่เหมาะสม รวมถึงให้คะแนน “Blood Age” เพื่อดูว่าร่างกายของคุณแก่เร็วแค่ไหนจากภายใน

    ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้งานฟรีทั่วโลกผ่านแอป Ultrahuman โดยไม่จำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์อื่นของบริษัท เช่น Ring Air หรือ M1 Glucose Tracker แม้จะสามารถเชื่อมโยงข้อมูลจากอุปกรณ์เหล่านั้นเพื่อให้ได้ภาพรวมสุขภาพที่แม่นยำยิ่งขึ้น

    Blood Vision Cloud ยังสามารถแสดงผลแบบแดชบอร์ดที่เข้าใจง่าย โดยดึงข้อมูลจากไฟล์ PDF ผลเลือดของผู้ใช้ แล้วแสดงว่าค่าต่าง ๆ อยู่ในช่วงปกติหรือไม่ พร้อมคำแนะนำจาก “AI Clinician” ที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจผลตรวจได้โดยไม่ต้องรอพบแพทย์

    นอกจากนี้ Ultrahuman ยังมีแผนขยายการวิเคราะห์ไปยัง CT scan, MRI และรายงานวินิจฉัยอื่น ๆ ในอนาคต และเปิดบริการ Blood Vision Essentials ในราคา $99 สำหรับผู้ที่ต้องการตรวจเลือดใหม่ รวมถึงแผน Blood Vision Annual Plan ราคา $499 ที่ขยายบริการไปยัง UK, ออสเตรเลีย, ซาอุดิอาระเบีย และ UAE

    แม้จะมีคู่แข่งอย่าง Oura และ Whoop ที่มีฟีเจอร์คล้ายกัน แต่ Ultrahuman หวังว่า Blood Vision Cloud จะเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้การดูแลสุขภาพเชิงป้องกันเข้าถึงได้ง่ายขึ้น และเป็น “การแพทย์ก่อนป่วย” ที่ทุกคนควรได้รับ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Blood Vision Cloud เป็นฟีเจอร์ใหม่ของ Ultrahuman ที่วิเคราะห์ผลเลือดด้วย AI
    ผู้ใช้สามารถอัปโหลดผลตรวจเลือดเก่าในรูปแบบ PDF เพื่อรับคำแนะนำสุขภาพ
    ระบบให้ข้อมูลเชิงลึก เช่น แนวโน้มสุขภาพ, คำแนะนำอาหารเสริม, และคะแนน Blood Age
    ใช้งานได้ฟรีทั่วโลกผ่านแอป Ultrahuman โดยไม่ต้องมีอุปกรณ์เสริม
    สามารถเชื่อมโยงข้อมูลจาก Ring Air และ UltraTrace เพื่อวิเคราะห์เชิงลึก
    มีแผนขยายการวิเคราะห์ไปยัง CT scan, MRI และรายงานวินิจฉัยอื่น ๆ
    เปิดบริการ Blood Vision Essentials ราคา $99 และ Annual Plan ราคา $499
    ขยายบริการไปยัง UK, ออสเตรเลีย, ซาอุดิอาระเบีย และ UAE

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Blood Age เป็นแนวคิดที่ใช้วัดอายุทางชีวภาพจากค่าบ่งชี้ในเลือด
    AI Clinician เป็นระบบที่ช่วยแปลผลตรวจสุขภาพให้เข้าใจง่ายขึ้น
    การวิเคราะห์ผลเลือดด้วย AI ช่วยลดภาระของแพทย์และเพิ่มการเข้าถึงข้อมูล
    Oura และ Whoop มีฟีเจอร์คล้ายกัน เช่น Health Panels และ Advanced Labs
    การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (preventive care) กำลังเป็นเทรนด์สำคัญในวงการแพทย์

    https://www.techradar.com/health-fitness/this-wearable-now-offers-free-blood-analysis-to-help-you-understand-your-health
    🩸 “Ultrahuman เปิดตัว Blood Vision Cloud — วิเคราะห์ผลเลือดด้วย AI ฟรี พร้อมแนะนำสุขภาพแบบเจาะลึก” Ultrahuman บริษัทเทคโนโลยีสุขภาพจากอินเดียเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ “Blood Vision Cloud” ที่เปลี่ยนวิธีการดูแลสุขภาพส่วนบุคคลไปอย่างสิ้นเชิง โดยผู้ใช้สามารถอัปโหลดผลตรวจเลือดเก่า ๆ เข้าแอป Ultrahuman แล้วให้ระบบ AI วิเคราะห์ข้อมูล พร้อมสรุปแนวโน้มสุขภาพระยะยาว แนะนำอาหารและอาหารเสริมที่เหมาะสม รวมถึงให้คะแนน “Blood Age” เพื่อดูว่าร่างกายของคุณแก่เร็วแค่ไหนจากภายใน ฟีเจอร์นี้เปิดให้ใช้งานฟรีทั่วโลกผ่านแอป Ultrahuman โดยไม่จำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์อื่นของบริษัท เช่น Ring Air หรือ M1 Glucose Tracker แม้จะสามารถเชื่อมโยงข้อมูลจากอุปกรณ์เหล่านั้นเพื่อให้ได้ภาพรวมสุขภาพที่แม่นยำยิ่งขึ้น Blood Vision Cloud ยังสามารถแสดงผลแบบแดชบอร์ดที่เข้าใจง่าย โดยดึงข้อมูลจากไฟล์ PDF ผลเลือดของผู้ใช้ แล้วแสดงว่าค่าต่าง ๆ อยู่ในช่วงปกติหรือไม่ พร้อมคำแนะนำจาก “AI Clinician” ที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจผลตรวจได้โดยไม่ต้องรอพบแพทย์ นอกจากนี้ Ultrahuman ยังมีแผนขยายการวิเคราะห์ไปยัง CT scan, MRI และรายงานวินิจฉัยอื่น ๆ ในอนาคต และเปิดบริการ Blood Vision Essentials ในราคา $99 สำหรับผู้ที่ต้องการตรวจเลือดใหม่ รวมถึงแผน Blood Vision Annual Plan ราคา $499 ที่ขยายบริการไปยัง UK, ออสเตรเลีย, ซาอุดิอาระเบีย และ UAE แม้จะมีคู่แข่งอย่าง Oura และ Whoop ที่มีฟีเจอร์คล้ายกัน แต่ Ultrahuman หวังว่า Blood Vision Cloud จะเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้การดูแลสุขภาพเชิงป้องกันเข้าถึงได้ง่ายขึ้น และเป็น “การแพทย์ก่อนป่วย” ที่ทุกคนควรได้รับ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Blood Vision Cloud เป็นฟีเจอร์ใหม่ของ Ultrahuman ที่วิเคราะห์ผลเลือดด้วย AI ➡️ ผู้ใช้สามารถอัปโหลดผลตรวจเลือดเก่าในรูปแบบ PDF เพื่อรับคำแนะนำสุขภาพ ➡️ ระบบให้ข้อมูลเชิงลึก เช่น แนวโน้มสุขภาพ, คำแนะนำอาหารเสริม, และคะแนน Blood Age ➡️ ใช้งานได้ฟรีทั่วโลกผ่านแอป Ultrahuman โดยไม่ต้องมีอุปกรณ์เสริม ➡️ สามารถเชื่อมโยงข้อมูลจาก Ring Air และ UltraTrace เพื่อวิเคราะห์เชิงลึก ➡️ มีแผนขยายการวิเคราะห์ไปยัง CT scan, MRI และรายงานวินิจฉัยอื่น ๆ ➡️ เปิดบริการ Blood Vision Essentials ราคา $99 และ Annual Plan ราคา $499 ➡️ ขยายบริการไปยัง UK, ออสเตรเลีย, ซาอุดิอาระเบีย และ UAE ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Blood Age เป็นแนวคิดที่ใช้วัดอายุทางชีวภาพจากค่าบ่งชี้ในเลือด ➡️ AI Clinician เป็นระบบที่ช่วยแปลผลตรวจสุขภาพให้เข้าใจง่ายขึ้น ➡️ การวิเคราะห์ผลเลือดด้วย AI ช่วยลดภาระของแพทย์และเพิ่มการเข้าถึงข้อมูล ➡️ Oura และ Whoop มีฟีเจอร์คล้ายกัน เช่น Health Panels และ Advanced Labs ➡️ การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (preventive care) กำลังเป็นเทรนด์สำคัญในวงการแพทย์ https://www.techradar.com/health-fitness/this-wearable-now-offers-free-blood-analysis-to-help-you-understand-your-health
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 262 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Oracle รีบออกแพตช์อุดช่องโหว่ Zero-Day หลังถูกโจมตีจริง — แฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่ RCE ยึดระบบองค์กร”

    Oracle ต้องออกแพตช์ฉุกเฉินในต้นเดือนตุลาคม 2025 เพื่ออุดช่องโหว่ร้ายแรงในระบบ E-Business Suite หลังพบว่าถูกโจมตีจริงโดยกลุ่มแรนซัมแวร์ชื่อดังอย่าง Cl0p และ FIN11 ซึ่งใช้ช่องโหว่แบบ Zero-Day ที่ยังไม่มีใครรู้มาก่อนในการเจาะระบบขององค์กรต่าง ๆ ในสหรัฐฯ

    ช่องโหว่นี้ถูกระบุว่าเป็น CVE-2025-61882 โดยมีคะแนนความรุนแรงสูงถึง 9.8/10 และสามารถถูกโจมตีจากระยะไกลโดยไม่ต้องมีการยืนยันตัวตนใด ๆ แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงระบบผ่าน HTTP และยึดการควบคุม Oracle Concurrent Processing ได้ทันที

    การโจมตีเริ่มต้นจากการส่งอีเมลข่มขู่ไปยังผู้บริหารองค์กร โดยอ้างว่าขโมยข้อมูลสำคัญจากระบบ Oracle EBS ไปแล้ว ซึ่งตอนแรกยังไม่แน่ชัดว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่เมื่อ Oracle ออกแพตช์ฉุกเฉินและยืนยันว่ามีการโจมตีเกิดขึ้นจริง ก็ทำให้สถานการณ์ชัดเจนขึ้น

    กลุ่มแฮกเกอร์ใช้บัญชีอีเมลที่ถูกแฮกจำนวนมากในการส่งอีเมลข่มขู่ และมีหลักฐานเชื่อมโยงกับบัญชีที่เคยใช้โดย FIN11 รวมถึงมีการพบข้อมูลติดต่อที่เคยปรากฏบนเว็บไซต์ของ Cl0p ทำให้เชื่อได้ว่าทั้งสองกลุ่มอาจร่วมมือกันหรือแชร์ทรัพยากรในการโจมตีครั้งนี้

    Oracle ได้เผยแพร่ Indicators of Compromise (IoCs) เพื่อให้ลูกค้าตรวจสอบว่าระบบของตนถูกเจาะหรือไม่ และเตือนว่าแม้จะติดตั้งแพตช์แล้ว ก็ยังควรตรวจสอบย้อนหลัง เพราะการโจมตีอาจเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นแล้ว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ช่องโหว่ CVE-2025-61882 เป็น Zero-Day ที่ถูกใช้โจมตี Oracle E-Business Suite
    ช่องโหว่นี้มีคะแนนความรุนแรง 9.8/10 และไม่ต้องยืนยันตัวตนในการโจมตี
    แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงระบบผ่าน HTTP และยึด Oracle Concurrent Processing ได้
    กลุ่ม Cl0p และ FIN11 ถูกระบุว่าอยู่เบื้องหลังการโจมตี
    เริ่มจากการส่งอีเมลข่มขู่ผู้บริหารองค์กรในสหรัฐฯ
    Oracle ออกแพตช์ฉุกเฉินและเผยแพร่ IoCs ให้ลูกค้าตรวจสอบระบบ
    มีการใช้บัญชีอีเมลที่ถูกแฮกจำนวนมากในการส่งอีเมลข่มขู่
    พบข้อมูลติดต่อที่เคยอยู่บนเว็บไซต์ของ Cl0p ในอีเมลที่ส่งถึงเหยื่อ
    Oracle แนะนำให้ตรวจสอบย้อนหลังแม้จะติดตั้งแพตช์แล้ว

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Cl0p เคยใช้ช่องโหว่ Zero-Day ในการโจมตี MOVEit และ Fortra มาก่อน
    FIN11 เป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่มีแรงจูงใจทางการเงินและมีประวัติการใช้แรนซัมแวร์
    ช่องโหว่ใน Oracle EBS เคยถูกใช้โจมตีในปี 2022 โดยกลุ่มไม่ทราบชื่อ
    การโจมตีแบบ Zero-Day มักเกิดก่อนที่ผู้ผลิตจะรู้และออกแพตช์
    การใช้ XSLT ร่วมกับ JavaScript และ ScriptEngine เป็นเทคนิคที่ใช้ใน exploit ล่าสุด

    https://www.techradar.com/pro/security/oracle-forced-to-rush-out-patch-for-zero-day-exploited-in-attacks
    🛡️ “Oracle รีบออกแพตช์อุดช่องโหว่ Zero-Day หลังถูกโจมตีจริง — แฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่ RCE ยึดระบบองค์กร” Oracle ต้องออกแพตช์ฉุกเฉินในต้นเดือนตุลาคม 2025 เพื่ออุดช่องโหว่ร้ายแรงในระบบ E-Business Suite หลังพบว่าถูกโจมตีจริงโดยกลุ่มแรนซัมแวร์ชื่อดังอย่าง Cl0p และ FIN11 ซึ่งใช้ช่องโหว่แบบ Zero-Day ที่ยังไม่มีใครรู้มาก่อนในการเจาะระบบขององค์กรต่าง ๆ ในสหรัฐฯ ช่องโหว่นี้ถูกระบุว่าเป็น CVE-2025-61882 โดยมีคะแนนความรุนแรงสูงถึง 9.8/10 และสามารถถูกโจมตีจากระยะไกลโดยไม่ต้องมีการยืนยันตัวตนใด ๆ แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงระบบผ่าน HTTP และยึดการควบคุม Oracle Concurrent Processing ได้ทันที การโจมตีเริ่มต้นจากการส่งอีเมลข่มขู่ไปยังผู้บริหารองค์กร โดยอ้างว่าขโมยข้อมูลสำคัญจากระบบ Oracle EBS ไปแล้ว ซึ่งตอนแรกยังไม่แน่ชัดว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่เมื่อ Oracle ออกแพตช์ฉุกเฉินและยืนยันว่ามีการโจมตีเกิดขึ้นจริง ก็ทำให้สถานการณ์ชัดเจนขึ้น กลุ่มแฮกเกอร์ใช้บัญชีอีเมลที่ถูกแฮกจำนวนมากในการส่งอีเมลข่มขู่ และมีหลักฐานเชื่อมโยงกับบัญชีที่เคยใช้โดย FIN11 รวมถึงมีการพบข้อมูลติดต่อที่เคยปรากฏบนเว็บไซต์ของ Cl0p ทำให้เชื่อได้ว่าทั้งสองกลุ่มอาจร่วมมือกันหรือแชร์ทรัพยากรในการโจมตีครั้งนี้ Oracle ได้เผยแพร่ Indicators of Compromise (IoCs) เพื่อให้ลูกค้าตรวจสอบว่าระบบของตนถูกเจาะหรือไม่ และเตือนว่าแม้จะติดตั้งแพตช์แล้ว ก็ยังควรตรวจสอบย้อนหลัง เพราะการโจมตีอาจเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นแล้ว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-61882 เป็น Zero-Day ที่ถูกใช้โจมตี Oracle E-Business Suite ➡️ ช่องโหว่นี้มีคะแนนความรุนแรง 9.8/10 และไม่ต้องยืนยันตัวตนในการโจมตี ➡️ แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงระบบผ่าน HTTP และยึด Oracle Concurrent Processing ได้ ➡️ กลุ่ม Cl0p และ FIN11 ถูกระบุว่าอยู่เบื้องหลังการโจมตี ➡️ เริ่มจากการส่งอีเมลข่มขู่ผู้บริหารองค์กรในสหรัฐฯ ➡️ Oracle ออกแพตช์ฉุกเฉินและเผยแพร่ IoCs ให้ลูกค้าตรวจสอบระบบ ➡️ มีการใช้บัญชีอีเมลที่ถูกแฮกจำนวนมากในการส่งอีเมลข่มขู่ ➡️ พบข้อมูลติดต่อที่เคยอยู่บนเว็บไซต์ของ Cl0p ในอีเมลที่ส่งถึงเหยื่อ ➡️ Oracle แนะนำให้ตรวจสอบย้อนหลังแม้จะติดตั้งแพตช์แล้ว ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Cl0p เคยใช้ช่องโหว่ Zero-Day ในการโจมตี MOVEit และ Fortra มาก่อน ➡️ FIN11 เป็นกลุ่มแฮกเกอร์ที่มีแรงจูงใจทางการเงินและมีประวัติการใช้แรนซัมแวร์ ➡️ ช่องโหว่ใน Oracle EBS เคยถูกใช้โจมตีในปี 2022 โดยกลุ่มไม่ทราบชื่อ ➡️ การโจมตีแบบ Zero-Day มักเกิดก่อนที่ผู้ผลิตจะรู้และออกแพตช์ ➡️ การใช้ XSLT ร่วมกับ JavaScript และ ScriptEngine เป็นเทคนิคที่ใช้ใน exploit ล่าสุด https://www.techradar.com/pro/security/oracle-forced-to-rush-out-patch-for-zero-day-exploited-in-attacks
    WWW.TECHRADAR.COM
    Oracle forced to rush out patch for zero-day exploited in attacks
    Zero-day in Oracle E-Business Suite is being exploited in the wild
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 210 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Microsoft Teams เพิ่มฟีเจอร์แยกหน้าต่างช่องสนทนา — ยกระดับการทำงานหลายอย่างพร้อมกันแบบมืออาชีพ”

    หลังจากที่ผู้ใช้เรียกร้องกันมานาน Microsoft Teams กำลังจะเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้การทำงานหลายอย่างพร้อมกัน (multitasking) มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการเพิ่มความสามารถในการ “แยกหน้าต่างช่องสนทนา” หรือ pop-out channels ซึ่งก่อนหน้านี้สามารถทำได้เฉพาะกับแชตส่วนตัวเท่านั้น

    ฟีเจอร์นี้จะเริ่มทยอยเปิดใช้งานทั่วโลกตั้งแต่ปลายตุลาคมถึงพฤศจิกายน 2025 โดยผู้ใช้ Teams บนเดสก์ท็อปทั้ง Windows และ macOS จะสามารถคลิกขวาที่ช่องสนทนา แล้วเลือก “Pop out” เพื่อเปิดหน้าต่างแยกออกมา ทำให้สามารถติดตามหลายช่องทางพร้อมกันได้ เช่น ช่องประกาศของทีม ช่องโครงการ และแชตส่วนตัว โดยไม่ต้องสลับหน้าจอไปมา

    การอัปเดตนี้จะช่วยลดปัญหา “context switching” หรือการเสียสมาธิจากการเปลี่ยนหน้าต่างบ่อย ๆ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อประสิทธิภาพการทำงาน โดยเฉพาะในยุคที่การประชุมออนไลน์และการทำงานแบบไฮบริดกลายเป็นเรื่องปกติ

    Microsoft ยังระบุว่า ฟีเจอร์นี้จะเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องตั้งค่าหรือดำเนินการใด ๆ จากผู้ดูแลระบบ และไม่มีผลกระทบต่อฟังก์ชันเดิมของ Teams แต่อย่างใด

    นอกจากนี้ Microsoft ยังมีแผนเพิ่มฟีเจอร์อื่น ๆ เช่น การอัปเดตตำแหน่งที่ทำงานอัตโนมัติผ่าน Wi-Fi และการสนับสนุนการสนทนาแบบ threaded ในช่อง เพื่อให้การติดตามบทสนทนาหลายสายง่ายขึ้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Microsoft Teams เพิ่มฟีเจอร์แยกหน้าต่างช่องสนทนา (pop-out channels)
    ฟีเจอร์นี้จะเริ่มเปิดใช้งานทั่วโลกตั้งแต่ปลายตุลาคมถึงพฤศจิกายน 2025
    รองรับผู้ใช้บนเดสก์ท็อปทั้ง Windows และ macOS
    ผู้ใช้สามารถเปิดช่องสนทนาในหน้าต่างแยกเพื่อดูหลายช่องพร้อมกัน
    ลดปัญหา context switching และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
    ฟีเจอร์เปิดใช้งานโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องตั้งค่าหรือดำเนินการใด ๆ
    ไม่มีผลกระทบต่อฟังก์ชันเดิมของ Teams
    Microsoft มีแผนเพิ่มฟีเจอร์อื่น เช่น การอัปเดตตำแหน่งผ่าน Wi-Fi และ threaded conversations

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ฟีเจอร์ pop-out chats มีอยู่แล้วใน Teams แต่ช่องสนทนายังไม่เคยรองรับมาก่อน
    การทำงานหลายอย่างพร้อมกันเป็นพฤติกรรมที่พบได้บ่อยในประชุมออนไลน์
    การเปิดหลายหน้าต่างช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัด workspace ตามความต้องการ
    การสนทนาแบบ threaded ช่วยให้ติดตามบทสนทนาได้ง่ายขึ้นโดยไม่รบกวนช่องหลัก
    Microsoft Research พบว่า 30% ของการประชุมมีการทำงานอื่นร่วมด้วย

    https://www.techradar.com/pro/microsoft-teams-is-finally-adding-this-much-demanded-feature-and-it-could-massively-boost-your-productivity
    🖥️ “Microsoft Teams เพิ่มฟีเจอร์แยกหน้าต่างช่องสนทนา — ยกระดับการทำงานหลายอย่างพร้อมกันแบบมืออาชีพ” หลังจากที่ผู้ใช้เรียกร้องกันมานาน Microsoft Teams กำลังจะเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้การทำงานหลายอย่างพร้อมกัน (multitasking) มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการเพิ่มความสามารถในการ “แยกหน้าต่างช่องสนทนา” หรือ pop-out channels ซึ่งก่อนหน้านี้สามารถทำได้เฉพาะกับแชตส่วนตัวเท่านั้น ฟีเจอร์นี้จะเริ่มทยอยเปิดใช้งานทั่วโลกตั้งแต่ปลายตุลาคมถึงพฤศจิกายน 2025 โดยผู้ใช้ Teams บนเดสก์ท็อปทั้ง Windows และ macOS จะสามารถคลิกขวาที่ช่องสนทนา แล้วเลือก “Pop out” เพื่อเปิดหน้าต่างแยกออกมา ทำให้สามารถติดตามหลายช่องทางพร้อมกันได้ เช่น ช่องประกาศของทีม ช่องโครงการ และแชตส่วนตัว โดยไม่ต้องสลับหน้าจอไปมา การอัปเดตนี้จะช่วยลดปัญหา “context switching” หรือการเสียสมาธิจากการเปลี่ยนหน้าต่างบ่อย ๆ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อประสิทธิภาพการทำงาน โดยเฉพาะในยุคที่การประชุมออนไลน์และการทำงานแบบไฮบริดกลายเป็นเรื่องปกติ Microsoft ยังระบุว่า ฟีเจอร์นี้จะเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องตั้งค่าหรือดำเนินการใด ๆ จากผู้ดูแลระบบ และไม่มีผลกระทบต่อฟังก์ชันเดิมของ Teams แต่อย่างใด นอกจากนี้ Microsoft ยังมีแผนเพิ่มฟีเจอร์อื่น ๆ เช่น การอัปเดตตำแหน่งที่ทำงานอัตโนมัติผ่าน Wi-Fi และการสนับสนุนการสนทนาแบบ threaded ในช่อง เพื่อให้การติดตามบทสนทนาหลายสายง่ายขึ้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Microsoft Teams เพิ่มฟีเจอร์แยกหน้าต่างช่องสนทนา (pop-out channels) ➡️ ฟีเจอร์นี้จะเริ่มเปิดใช้งานทั่วโลกตั้งแต่ปลายตุลาคมถึงพฤศจิกายน 2025 ➡️ รองรับผู้ใช้บนเดสก์ท็อปทั้ง Windows และ macOS ➡️ ผู้ใช้สามารถเปิดช่องสนทนาในหน้าต่างแยกเพื่อดูหลายช่องพร้อมกัน ➡️ ลดปัญหา context switching และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ➡️ ฟีเจอร์เปิดใช้งานโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องตั้งค่าหรือดำเนินการใด ๆ ➡️ ไม่มีผลกระทบต่อฟังก์ชันเดิมของ Teams ➡️ Microsoft มีแผนเพิ่มฟีเจอร์อื่น เช่น การอัปเดตตำแหน่งผ่าน Wi-Fi และ threaded conversations ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ฟีเจอร์ pop-out chats มีอยู่แล้วใน Teams แต่ช่องสนทนายังไม่เคยรองรับมาก่อน ➡️ การทำงานหลายอย่างพร้อมกันเป็นพฤติกรรมที่พบได้บ่อยในประชุมออนไลน์ ➡️ การเปิดหลายหน้าต่างช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัด workspace ตามความต้องการ ➡️ การสนทนาแบบ threaded ช่วยให้ติดตามบทสนทนาได้ง่ายขึ้นโดยไม่รบกวนช่องหลัก ➡️ Microsoft Research พบว่า 30% ของการประชุมมีการทำงานอื่นร่วมด้วย https://www.techradar.com/pro/microsoft-teams-is-finally-adding-this-much-demanded-feature-and-it-could-massively-boost-your-productivity
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 280 มุมมอง 0 รีวิว
  • “OpenAI จับมือ Samsung สร้างศูนย์ข้อมูลลอยน้ำและโรงไฟฟ้า — ยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน AI สู่ระดับโลก”

    OpenAI และ Samsung ได้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent) สำหรับความร่วมมือครั้งใหญ่ที่ครอบคลุมหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่เซมิคอนดักเตอร์ ศูนย์ข้อมูล การต่อเรือ บริการคลาวด์ ไปจนถึงเทคโนโลยีทางทะเล โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันโครงการ Project Stargate ซึ่งเป็นแผนการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดมหึมาทั่วโลก

    Samsung Electronics จะเป็นพันธมิตรด้านหน่วยความจำหลักของ OpenAI โดยจะจัดส่ง DRAM wafers สูงถึง 900,000 แผ่นต่อเดือน เพื่อรองรับความต้องการของศูนย์ข้อมูล Stargate ที่ใช้ GPU ระดับสูงอย่าง Nvidia Blackwell ในการประมวลผลโมเดล AI ขนาดใหญ่

    Samsung SDS จะร่วมออกแบบและบริหารศูนย์ข้อมูล AI พร้อมให้บริการ AI สำหรับองค์กร และเป็นตัวแทนจำหน่าย ChatGPT Enterprise ในเกาหลีใต้ เพื่อสนับสนุนการนำ AI ไปใช้ในธุรกิจท้องถิ่น

    ที่น่าตื่นเต้นคือ Samsung Heavy Industries และ Samsung C&T จะร่วมมือกับ OpenAI ในการพัฒนา “ศูนย์ข้อมูลลอยน้ำ” และอาจขยายไปสู่ “โรงไฟฟ้าลอยน้ำ” และ “ศูนย์ควบคุมลอยน้ำ” โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมทางทะเลของ Samsung เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนพื้นที่บนบก ลดต้นทุนการทำความเย็น และลดการปล่อยคาร์บอน

    แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่เสียทีเดียว — โครงการ Stockton ในแคลิฟอร์เนียเริ่มใช้ศูนย์ข้อมูลลอยน้ำตั้งแต่ปี 2021 และในญี่ปุ่นก็มีแผนสร้างศูนย์ข้อมูลพลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำ ส่วนในเดือนมิถุนายน 2025 มีการเสนอแนวคิดศูนย์ข้อมูลลอยน้ำพลังงานนิวเคลียร์โดยองค์กรวิศวกรรมในสหรัฐฯ

    การประกาศความร่วมมือครั้งนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจาก Nvidia ลงทุน $100 พันล้านใน OpenAI เพื่อจัดซื้อชิปของตัวเอง ซึ่งสะท้อนว่า OpenAI ต้องการลดการพึ่งพาพันธมิตร hyperscaler อย่าง Microsoft และสร้างโครงสร้างพื้นฐานของตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    OpenAI และ Samsung ลงนามความร่วมมือเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ระดับโลก
    Samsung Electronics จะจัดส่ง DRAM wafers สูงถึง 900,000 แผ่นต่อเดือน
    Samsung SDS จะร่วมออกแบบศูนย์ข้อมูล AI และเป็นตัวแทนจำหน่าย ChatGPT Enterprise
    Samsung Heavy Industries และ Samsung C&T จะพัฒนาศูนย์ข้อมูลลอยน้ำร่วมกับ OpenAI
    แนวคิดศูนย์ข้อมูลลอยน้ำช่วยแก้ปัญหาพื้นที่จำกัด ลดต้นทุนความเย็น และลดคาร์บอน
    มีแผนขยายไปสู่โรงไฟฟ้าลอยน้ำและศูนย์ควบคุมลอยน้ำในอนาคต
    ความร่วมมือครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Project Stargate ของ OpenAI
    Nvidia ลงทุน $100 พันล้านใน OpenAI เพื่อจัดซื้อ GPU สำหรับศูนย์ข้อมูล Stargate
    OpenAI ต้องการลดการพึ่งพา Microsoft และสร้างโครงสร้างพื้นฐานของตัวเอง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Project Stargate มีเป้าหมายลงทุน $500 พันล้านในโครงสร้างพื้นฐาน AI ภายใน 4 ปี
    DRAM wafers ที่ใช้ใน Stargate อาจกินสัดส่วนถึง 40% ของกำลังผลิต DRAM ทั่วโลก
    Floating data centers เริ่มมีการใช้งานจริงในหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ และญี่ปุ่น
    Samsung SDS ยังมีบทบาทในการให้คำปรึกษาและบริการ AI สำหรับองค์กร
    ความร่วมมือครั้งนี้ช่วยผลักดันเกาหลีใต้สู่การเป็นประเทศผู้นำด้าน AI ระดับโลก

    https://www.techradar.com/pro/samsung-will-collaborate-with-openai-to-develop-floating-data-centers-and-power-plants-as-sam-altman-rushes-to-compete-with-his-firms-own-partners
    🌊 “OpenAI จับมือ Samsung สร้างศูนย์ข้อมูลลอยน้ำและโรงไฟฟ้า — ยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน AI สู่ระดับโลก” OpenAI และ Samsung ได้ลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent) สำหรับความร่วมมือครั้งใหญ่ที่ครอบคลุมหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่เซมิคอนดักเตอร์ ศูนย์ข้อมูล การต่อเรือ บริการคลาวด์ ไปจนถึงเทคโนโลยีทางทะเล โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันโครงการ Project Stargate ซึ่งเป็นแผนการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดมหึมาทั่วโลก Samsung Electronics จะเป็นพันธมิตรด้านหน่วยความจำหลักของ OpenAI โดยจะจัดส่ง DRAM wafers สูงถึง 900,000 แผ่นต่อเดือน เพื่อรองรับความต้องการของศูนย์ข้อมูล Stargate ที่ใช้ GPU ระดับสูงอย่าง Nvidia Blackwell ในการประมวลผลโมเดล AI ขนาดใหญ่ Samsung SDS จะร่วมออกแบบและบริหารศูนย์ข้อมูล AI พร้อมให้บริการ AI สำหรับองค์กร และเป็นตัวแทนจำหน่าย ChatGPT Enterprise ในเกาหลีใต้ เพื่อสนับสนุนการนำ AI ไปใช้ในธุรกิจท้องถิ่น ที่น่าตื่นเต้นคือ Samsung Heavy Industries และ Samsung C&T จะร่วมมือกับ OpenAI ในการพัฒนา “ศูนย์ข้อมูลลอยน้ำ” และอาจขยายไปสู่ “โรงไฟฟ้าลอยน้ำ” และ “ศูนย์ควบคุมลอยน้ำ” โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมทางทะเลของ Samsung เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนพื้นที่บนบก ลดต้นทุนการทำความเย็น และลดการปล่อยคาร์บอน แนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่เสียทีเดียว — โครงการ Stockton ในแคลิฟอร์เนียเริ่มใช้ศูนย์ข้อมูลลอยน้ำตั้งแต่ปี 2021 และในญี่ปุ่นก็มีแผนสร้างศูนย์ข้อมูลพลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำ ส่วนในเดือนมิถุนายน 2025 มีการเสนอแนวคิดศูนย์ข้อมูลลอยน้ำพลังงานนิวเคลียร์โดยองค์กรวิศวกรรมในสหรัฐฯ การประกาศความร่วมมือครั้งนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจาก Nvidia ลงทุน $100 พันล้านใน OpenAI เพื่อจัดซื้อชิปของตัวเอง ซึ่งสะท้อนว่า OpenAI ต้องการลดการพึ่งพาพันธมิตร hyperscaler อย่าง Microsoft และสร้างโครงสร้างพื้นฐานของตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ OpenAI และ Samsung ลงนามความร่วมมือเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ระดับโลก ➡️ Samsung Electronics จะจัดส่ง DRAM wafers สูงถึง 900,000 แผ่นต่อเดือน ➡️ Samsung SDS จะร่วมออกแบบศูนย์ข้อมูล AI และเป็นตัวแทนจำหน่าย ChatGPT Enterprise ➡️ Samsung Heavy Industries และ Samsung C&T จะพัฒนาศูนย์ข้อมูลลอยน้ำร่วมกับ OpenAI ➡️ แนวคิดศูนย์ข้อมูลลอยน้ำช่วยแก้ปัญหาพื้นที่จำกัด ลดต้นทุนความเย็น และลดคาร์บอน ➡️ มีแผนขยายไปสู่โรงไฟฟ้าลอยน้ำและศูนย์ควบคุมลอยน้ำในอนาคต ➡️ ความร่วมมือครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Project Stargate ของ OpenAI ➡️ Nvidia ลงทุน $100 พันล้านใน OpenAI เพื่อจัดซื้อ GPU สำหรับศูนย์ข้อมูล Stargate ➡️ OpenAI ต้องการลดการพึ่งพา Microsoft และสร้างโครงสร้างพื้นฐานของตัวเอง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Project Stargate มีเป้าหมายลงทุน $500 พันล้านในโครงสร้างพื้นฐาน AI ภายใน 4 ปี ➡️ DRAM wafers ที่ใช้ใน Stargate อาจกินสัดส่วนถึง 40% ของกำลังผลิต DRAM ทั่วโลก ➡️ Floating data centers เริ่มมีการใช้งานจริงในหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ➡️ Samsung SDS ยังมีบทบาทในการให้คำปรึกษาและบริการ AI สำหรับองค์กร ➡️ ความร่วมมือครั้งนี้ช่วยผลักดันเกาหลีใต้สู่การเป็นประเทศผู้นำด้าน AI ระดับโลก https://www.techradar.com/pro/samsung-will-collaborate-with-openai-to-develop-floating-data-centers-and-power-plants-as-sam-altman-rushes-to-compete-with-his-firms-own-partners
    WWW.TECHRADAR.COM
    OpenAI and Samsung plan floating data centers and power plants
    Going to sea could solve the issue of land scarcity for infrastructure
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 264 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Photos App เวอร์ชันใหม่จาก Microsoft ใช้ AI จัดระเบียบภาพและเพิ่มความคมชัด — แต่ต้องใช้ Copilot+ PC เท่านั้น”

    Microsoft เปิดตัวอัปเดตใหม่ของแอป Photos บน Windows 11 ที่มาพร้อมฟีเจอร์อัจฉริยะจาก AI ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดระเบียบภาพถ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเพิ่มความคมชัดให้กับภาพเก่าหรือภาพที่มีความละเอียดต่ำ โดยทั้งหมดนี้ทำงานแบบ local บนเครื่อง ไม่ต้องเชื่อมต่อเซิร์ฟเวอร์ภายนอก

    ฟีเจอร์เด่นคือระบบ “Auto-Categorization” ที่ใช้ Neural Processing Unit (NPU) บน Copilot+ PC เพื่อสแกนภาพในเครื่องและจัดหมวดหมู่อัตโนมัติ เช่น ภาพใบเสร็จ, ภาพหน้าจอ, เอกสาร, และโน้ตที่เขียนด้วยลายมือ โดยระบบสามารถจำแนกภาพได้แม้จะเป็นภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาฮังการีหรืออาหรับ

    นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ “Super Resolution” ที่ช่วยเพิ่มความละเอียดของภาพโดยใช้ AI วิเคราะห์และเติมรายละเอียดที่ขาดหายไป เช่น เปลี่ยนภาพขนาด 256x256 พิกเซลให้กลายเป็นภาพ 1012x1012 พิกเซล พร้อมแสดงภาพเปรียบเทียบก่อนและหลังให้ผู้ใช้เลือกได้ว่าจะใช้หรือยกเลิก

    การค้นหาภาพก็ง่ายขึ้นด้วยระบบ keyword search ที่สามารถกรองภาพตามประเภทหรือเนื้อหาได้ทันที เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาพจำนวนมากและต้องการค้นหาภาพเฉพาะอย่างรวดเร็ว

    อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์ทั้งหมดนี้จะใช้ได้เฉพาะบน Copilot+ PC ที่มีชิปจาก Intel, AMD หรือ Qualcomm ที่รองรับ NPU เท่านั้น ซึ่งทำให้ผู้ใช้ทั่วไปที่ยังไม่ได้อัปเกรดเครื่องอาจไม่สามารถใช้งานฟีเจอร์ใหม่เหล่านี้ได้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Microsoft Photos อัปเดตใหม่ใช้ AI จัดระเบียบภาพและเพิ่มความคมชัด
    ฟีเจอร์ Auto-Categorization จัดภาพเป็นหมวดหมู่ เช่น ใบเสร็จ, เอกสาร, โน้ต
    ระบบสามารถจำแนกภาพจากภาษาต่างประเทศได้
    ฟีเจอร์ Super Resolution เพิ่มความละเอียดภาพโดยใช้ AI แบบ local
    ผู้ใช้สามารถเลือกระดับการเพิ่มความละเอียด เช่น 1x, 2x, 4x, 8x
    มีระบบ keyword search เพื่อค้นหาภาพตามเนื้อหา
    การทำงานทั้งหมดเกิดขึ้นบนเครื่อง ไม่ต้องเชื่อมต่อเซิร์ฟเวอร์
    รองรับเฉพาะ Copilot+ PC ที่มี NPU จาก Intel, AMD หรือ Qualcomm

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    NPU คือหน่วยประมวลผลเฉพาะสำหรับงาน AI ที่ช่วยให้ทำงานเร็วและประหยัดพลังงาน
    การจัดหมวดหมู่ภาพด้วย AI ช่วยลดเวลาในการค้นหาและจัดการไฟล์
    Super Resolution เป็นเทคนิคที่ใช้ในงานภาพถ่ายระดับมืออาชีพ เช่น การพิมพ์ภาพขนาดใหญ่
    การประมวลผลแบบ local ช่วยเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว
    Copilot+ PC เป็นกลุ่มอุปกรณ์ใหม่ที่ Microsoft ผลักดันให้รองรับฟีเจอร์ AI เต็มรูปแบบ

    https://www.techradar.com/pro/microsofts-new-photos-app-update-is-so-good-that-it-could-well-become-my-favorite-photo-organizing-tool-but-you-will-need-a-copilot-pc-to-experience-it
    🖼️ “Photos App เวอร์ชันใหม่จาก Microsoft ใช้ AI จัดระเบียบภาพและเพิ่มความคมชัด — แต่ต้องใช้ Copilot+ PC เท่านั้น” Microsoft เปิดตัวอัปเดตใหม่ของแอป Photos บน Windows 11 ที่มาพร้อมฟีเจอร์อัจฉริยะจาก AI ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดระเบียบภาพถ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเพิ่มความคมชัดให้กับภาพเก่าหรือภาพที่มีความละเอียดต่ำ โดยทั้งหมดนี้ทำงานแบบ local บนเครื่อง ไม่ต้องเชื่อมต่อเซิร์ฟเวอร์ภายนอก ฟีเจอร์เด่นคือระบบ “Auto-Categorization” ที่ใช้ Neural Processing Unit (NPU) บน Copilot+ PC เพื่อสแกนภาพในเครื่องและจัดหมวดหมู่อัตโนมัติ เช่น ภาพใบเสร็จ, ภาพหน้าจอ, เอกสาร, และโน้ตที่เขียนด้วยลายมือ โดยระบบสามารถจำแนกภาพได้แม้จะเป็นภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาฮังการีหรืออาหรับ นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ “Super Resolution” ที่ช่วยเพิ่มความละเอียดของภาพโดยใช้ AI วิเคราะห์และเติมรายละเอียดที่ขาดหายไป เช่น เปลี่ยนภาพขนาด 256x256 พิกเซลให้กลายเป็นภาพ 1012x1012 พิกเซล พร้อมแสดงภาพเปรียบเทียบก่อนและหลังให้ผู้ใช้เลือกได้ว่าจะใช้หรือยกเลิก การค้นหาภาพก็ง่ายขึ้นด้วยระบบ keyword search ที่สามารถกรองภาพตามประเภทหรือเนื้อหาได้ทันที เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาพจำนวนมากและต้องการค้นหาภาพเฉพาะอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์ทั้งหมดนี้จะใช้ได้เฉพาะบน Copilot+ PC ที่มีชิปจาก Intel, AMD หรือ Qualcomm ที่รองรับ NPU เท่านั้น ซึ่งทำให้ผู้ใช้ทั่วไปที่ยังไม่ได้อัปเกรดเครื่องอาจไม่สามารถใช้งานฟีเจอร์ใหม่เหล่านี้ได้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Microsoft Photos อัปเดตใหม่ใช้ AI จัดระเบียบภาพและเพิ่มความคมชัด ➡️ ฟีเจอร์ Auto-Categorization จัดภาพเป็นหมวดหมู่ เช่น ใบเสร็จ, เอกสาร, โน้ต ➡️ ระบบสามารถจำแนกภาพจากภาษาต่างประเทศได้ ➡️ ฟีเจอร์ Super Resolution เพิ่มความละเอียดภาพโดยใช้ AI แบบ local ➡️ ผู้ใช้สามารถเลือกระดับการเพิ่มความละเอียด เช่น 1x, 2x, 4x, 8x ➡️ มีระบบ keyword search เพื่อค้นหาภาพตามเนื้อหา ➡️ การทำงานทั้งหมดเกิดขึ้นบนเครื่อง ไม่ต้องเชื่อมต่อเซิร์ฟเวอร์ ➡️ รองรับเฉพาะ Copilot+ PC ที่มี NPU จาก Intel, AMD หรือ Qualcomm ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ NPU คือหน่วยประมวลผลเฉพาะสำหรับงาน AI ที่ช่วยให้ทำงานเร็วและประหยัดพลังงาน ➡️ การจัดหมวดหมู่ภาพด้วย AI ช่วยลดเวลาในการค้นหาและจัดการไฟล์ ➡️ Super Resolution เป็นเทคนิคที่ใช้ในงานภาพถ่ายระดับมืออาชีพ เช่น การพิมพ์ภาพขนาดใหญ่ ➡️ การประมวลผลแบบ local ช่วยเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว ➡️ Copilot+ PC เป็นกลุ่มอุปกรณ์ใหม่ที่ Microsoft ผลักดันให้รองรับฟีเจอร์ AI เต็มรูปแบบ https://www.techradar.com/pro/microsofts-new-photos-app-update-is-so-good-that-it-could-well-become-my-favorite-photo-organizing-tool-but-you-will-need-a-copilot-pc-to-experience-it
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 226 มุมมอง 0 รีวิว
  • “แข่งกับเวลาเพื่อรักษาเสียงแห่งปัญญา — โปรเจกต์ดิจิไทซ์ 100,000 ชั่วโมงบรรยายวิชาการจากยุคเทปอนาล็อก”

    ในมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ มีคลังบันทึกเสียงวิชาการกว่า 100,000 ชั่วโมงที่บรรจุไว้ในเทปอนาล็อกตั้งแต่ยุค 1970s ซึ่งรวมถึงการบรรยาย การประชุม และการอภิปรายจากนักคิดระดับโลก เช่น Stephen Hawking, Roger Penrose, Alexandre Grothendieck, Karl Popper และอีกหลายร้อยคนที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาวิทยาศาสตร์และปรัชญา

    ปัญหาคือเทปเหล่านี้กำลังเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว ทั้งจากการใช้งานที่ยาวนาน สภาพแวดล้อม และการขาดเครื่องเล่นที่สามารถอ่านได้อย่างปลอดภัย หากไม่รีบดำเนินการดิจิไทซ์ ข้อมูลอันล้ำค่าเหล่านี้อาจสูญหายไปตลอดกาล

    ด้วยเหตุนี้ Roger Penrose นักฟิสิกส์รางวัลโนเบลจึงร่วมกับทีมงานในเคมบริดจ์เปิดแคมเปญระดมทุนเพื่อแปลงเทปเหล่านี้เป็นไฟล์ดิจิทัล พร้อมฟื้นฟูคุณภาพเสียงด้วยซอฟต์แวร์ขั้นสูงอย่าง CEDAR และจัดเก็บในระบบคลาวด์ที่ปลอดภัย โดยมีเป้าหมายสร้างฐานข้อมูลที่ค้นหาได้ง่ายและเปิดให้สาธารณชนเข้าถึงฟรี

    แม้จะมีข้อจำกัดด้านลิขสิทธิ์ แต่ก็มีบันทึกหลายพันชั่วโมงที่สามารถเผยแพร่ได้ทันที และจะมีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าของเนื้อหา หรือเมื่อสิทธิ์หมดอายุ

    โครงการนี้ไม่ใช่แค่การเก็บรักษาเสียง — แต่คือการรักษาประวัติศาสตร์ของความคิดมนุษย์ และเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้จากต้นฉบับของการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่เปลี่ยนโลก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    มีคลังบันทึกเสียงวิชาการกว่า 100,000 ชั่วโมงในรูปแบบเทปอนาล็อก
    รวมการบรรยายจากนักคิดระดับโลก เช่น Hawking, Penrose, Grothendieck, Popper
    เทปเสื่อมสภาพและเครื่องเล่นหายาก ทำให้เสี่ยงสูญหาย
    Roger Penrose เปิดแคมเปญระดมทุนเพื่อดิจิไทซ์และฟื้นฟูเสียง
    ใช้ซอฟต์แวร์ CEDAR เพื่อปรับปรุงคุณภาพเสียง
    สร้างฐานข้อมูลที่ค้นหาได้ง่ายและเปิดให้เข้าถึงฟรี
    มีบันทึกหลายพันชั่วโมงที่สามารถเผยแพร่ได้ทันที
    เป้าหมายคือการรักษาความรู้และเปิดให้คนรุ่นใหม่เข้าถึง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การดิจิไทซ์เทปต้องใช้เครื่องเล่นเฉพาะและการตรวจสอบคุณภาพเสียงอย่างละเอียด
    การฟื้นฟูเสียงต้องกรองคลื่นรบกวน เช่น เสียงฮัม คลิก และความผิดเพี้ยน
    การจัดเก็บในคลาวด์ช่วยให้ข้อมูลปลอดภัยและเข้าถึงได้ทั่วโลก
    การเปิดให้เข้าถึงฟรีช่วยส่งเสริมการเรียนรู้และการวิจัย
    โครงการนี้อาจเป็นต้นแบบให้กับการอนุรักษ์ข้อมูลวิชาการในสถาบันอื่นทั่วโลก

    https://www.techradar.com/pro/security/nobel-laureate-backs-cambridge-based-crowdfunding-effort-to-digitize-100-000-hours-of-recordings-from-some-of-the-brightest-minds-humanity-has-ever-conceived
    📼 “แข่งกับเวลาเพื่อรักษาเสียงแห่งปัญญา — โปรเจกต์ดิจิไทซ์ 100,000 ชั่วโมงบรรยายวิชาการจากยุคเทปอนาล็อก” ในมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ มีคลังบันทึกเสียงวิชาการกว่า 100,000 ชั่วโมงที่บรรจุไว้ในเทปอนาล็อกตั้งแต่ยุค 1970s ซึ่งรวมถึงการบรรยาย การประชุม และการอภิปรายจากนักคิดระดับโลก เช่น Stephen Hawking, Roger Penrose, Alexandre Grothendieck, Karl Popper และอีกหลายร้อยคนที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาวิทยาศาสตร์และปรัชญา ปัญหาคือเทปเหล่านี้กำลังเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว ทั้งจากการใช้งานที่ยาวนาน สภาพแวดล้อม และการขาดเครื่องเล่นที่สามารถอ่านได้อย่างปลอดภัย หากไม่รีบดำเนินการดิจิไทซ์ ข้อมูลอันล้ำค่าเหล่านี้อาจสูญหายไปตลอดกาล ด้วยเหตุนี้ Roger Penrose นักฟิสิกส์รางวัลโนเบลจึงร่วมกับทีมงานในเคมบริดจ์เปิดแคมเปญระดมทุนเพื่อแปลงเทปเหล่านี้เป็นไฟล์ดิจิทัล พร้อมฟื้นฟูคุณภาพเสียงด้วยซอฟต์แวร์ขั้นสูงอย่าง CEDAR และจัดเก็บในระบบคลาวด์ที่ปลอดภัย โดยมีเป้าหมายสร้างฐานข้อมูลที่ค้นหาได้ง่ายและเปิดให้สาธารณชนเข้าถึงฟรี แม้จะมีข้อจำกัดด้านลิขสิทธิ์ แต่ก็มีบันทึกหลายพันชั่วโมงที่สามารถเผยแพร่ได้ทันที และจะมีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าของเนื้อหา หรือเมื่อสิทธิ์หมดอายุ โครงการนี้ไม่ใช่แค่การเก็บรักษาเสียง — แต่คือการรักษาประวัติศาสตร์ของความคิดมนุษย์ และเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้จากต้นฉบับของการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ที่เปลี่ยนโลก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ มีคลังบันทึกเสียงวิชาการกว่า 100,000 ชั่วโมงในรูปแบบเทปอนาล็อก ➡️ รวมการบรรยายจากนักคิดระดับโลก เช่น Hawking, Penrose, Grothendieck, Popper ➡️ เทปเสื่อมสภาพและเครื่องเล่นหายาก ทำให้เสี่ยงสูญหาย ➡️ Roger Penrose เปิดแคมเปญระดมทุนเพื่อดิจิไทซ์และฟื้นฟูเสียง ➡️ ใช้ซอฟต์แวร์ CEDAR เพื่อปรับปรุงคุณภาพเสียง ➡️ สร้างฐานข้อมูลที่ค้นหาได้ง่ายและเปิดให้เข้าถึงฟรี ➡️ มีบันทึกหลายพันชั่วโมงที่สามารถเผยแพร่ได้ทันที ➡️ เป้าหมายคือการรักษาความรู้และเปิดให้คนรุ่นใหม่เข้าถึง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การดิจิไทซ์เทปต้องใช้เครื่องเล่นเฉพาะและการตรวจสอบคุณภาพเสียงอย่างละเอียด ➡️ การฟื้นฟูเสียงต้องกรองคลื่นรบกวน เช่น เสียงฮัม คลิก และความผิดเพี้ยน ➡️ การจัดเก็บในคลาวด์ช่วยให้ข้อมูลปลอดภัยและเข้าถึงได้ทั่วโลก ➡️ การเปิดให้เข้าถึงฟรีช่วยส่งเสริมการเรียนรู้และการวิจัย ➡️ โครงการนี้อาจเป็นต้นแบบให้กับการอนุรักษ์ข้อมูลวิชาการในสถาบันอื่นทั่วโลก https://www.techradar.com/pro/security/nobel-laureate-backs-cambridge-based-crowdfunding-effort-to-digitize-100-000-hours-of-recordings-from-some-of-the-brightest-minds-humanity-has-ever-conceived
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 281 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AI เขียนรีวิวพนักงานและอีเมลเลิกจ้างแทนผู้จัดการ — เมื่อความเห็นอกเห็นใจถูกแทนที่ด้วยความแม่นยำเชิงกล”

    ผลสำรวจล่าสุดจาก ZeroBounce เผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวัฒนธรรมองค์กรของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการสื่อสารภายในที่เริ่มพึ่งพา AI อย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่ช่วยเขียนอีเมลทั่วไป แต่รวมถึงการร่างรีวิวประเมินผลพนักงาน และแม้แต่ข้อความเลิกจ้าง

    กว่า 41% ของผู้จัดการยอมรับว่าเคยใช้ AI ในการเขียนหรือปรับแต่งรีวิวพนักงาน และ 17% ยอมรับว่าเคยใช้ AI ในการร่างอีเมลเลิกจ้าง ซึ่งทำให้เกิดคำถามด้านจริยธรรมและความเห็นอกเห็นใจในที่ทำงาน เพราะพนักงานจำนวนมากรู้สึกว่าเนื้อหาที่ได้รับนั้น “เย็นชา” และ “ไม่มีความเป็นมนุษย์”

    ในฝั่งพนักงานเอง 24% ใช้ AI เป็นประจำในการเขียนหรือแก้ไขอีเมล โดยเฉพาะในสายงานเทคโนโลยี และ 35% เคยใช้ AI ในการร่างข้อความที่มีความอ่อนไหว เช่น การขอเลื่อนงาน การแจ้งปัญหา หรือการตอบกลับหัวหน้า บางคนถึงขั้นรู้สึกว่า “เขียนเองไม่เป็นแล้ว” หากไม่มี AI ช่วย

    ที่น่าตกใจคือ 26% ของพนักงานสงสัยว่ารีวิวประเมินผลที่ได้รับนั้นเขียนโดย AI และ 16% ของผู้ที่ถูกเลิกจ้างเชื่อว่าอีเมลแจ้งเลิกจ้างนั้นไม่ได้เขียนโดยมนุษย์ โดย 20% ยอมรับว่า “ร้องไห้” เมื่ออ่านข้อความที่ไร้ความรู้สึกนั้น

    แม้ผู้จัดการบางคนจะมองว่า AI ช่วยให้การสื่อสารชัดเจนขึ้น แต่พนักงานจำนวนมากกลับรู้สึกว่า “ความจริงใจหายไป” และการใช้ภาษาที่เหมือนกันทุกข้อความทำให้รู้สึกว่าองค์กรไม่เห็นคุณค่าของแต่ละคน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    41% ของผู้จัดการใช้ AI เขียนหรือปรับแต่งรีวิวประเมินผลพนักงาน
    17% ของผู้จัดการใช้ AI เขียนอีเมลเลิกจ้าง
    24% ของพนักงานใช้ AI เป็นประจำในการเขียนหรือแก้ไขอีเมล
    35% เคยใช้ AI ในการร่างข้อความที่มีความอ่อนไหว
    26% สงสัยว่ารีวิวที่ได้รับเขียนโดย AI
    16% ของผู้ถูกเลิกจ้างเชื่อว่าอีเมลแจ้งเลิกจ้างเขียนโดย AI
    20% ของผู้ถูกเลิกจ้างร้องไห้เมื่ออ่านข้อความที่ไร้ความรู้สึก
    พนักงานบางคนรู้สึกว่าไม่สามารถเขียนข้อความเองได้หากไม่มี AI
    ผู้จัดการส่วนใหญ่มั่นใจว่าใช้ AI ได้ดีกว่าพนักงาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    AI ช่วยลดแรงกดดันในการเขียนข้อความในที่ทำงาน โดยเฉพาะในบริบทที่เป็นทางการ
    การใช้ AI ในการสื่อสารภายในองค์กรเริ่มกลายเป็นเรื่องปกติในหลายอุตสาหกรรม
    การเขียนข้อความเลิกจ้างด้วย AI อาจลดความเครียดของผู้จัดการ แต่เพิ่มความเจ็บปวดให้พนักงาน
    การใช้ภาษาที่เหมือนกันทุกข้อความทำให้พนักงานรู้สึกว่าองค์กรไม่ใส่ใจ
    หลายองค์กรเริ่มตั้งนโยบายให้มีการตรวจสอบและปรับแต่งข้อความจาก AI ก่อนส่งจริง

    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/huge-numbers-of-managers-admit-to-using-ai-to-convincingly-draft-or-revise-performance-reviews-and-i-fear-it-will-only-accelerate-the-death-of-traditional-hr
    🤖 “AI เขียนรีวิวพนักงานและอีเมลเลิกจ้างแทนผู้จัดการ — เมื่อความเห็นอกเห็นใจถูกแทนที่ด้วยความแม่นยำเชิงกล” ผลสำรวจล่าสุดจาก ZeroBounce เผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวัฒนธรรมองค์กรของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการสื่อสารภายในที่เริ่มพึ่งพา AI อย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่ช่วยเขียนอีเมลทั่วไป แต่รวมถึงการร่างรีวิวประเมินผลพนักงาน และแม้แต่ข้อความเลิกจ้าง กว่า 41% ของผู้จัดการยอมรับว่าเคยใช้ AI ในการเขียนหรือปรับแต่งรีวิวพนักงาน และ 17% ยอมรับว่าเคยใช้ AI ในการร่างอีเมลเลิกจ้าง ซึ่งทำให้เกิดคำถามด้านจริยธรรมและความเห็นอกเห็นใจในที่ทำงาน เพราะพนักงานจำนวนมากรู้สึกว่าเนื้อหาที่ได้รับนั้น “เย็นชา” และ “ไม่มีความเป็นมนุษย์” ในฝั่งพนักงานเอง 24% ใช้ AI เป็นประจำในการเขียนหรือแก้ไขอีเมล โดยเฉพาะในสายงานเทคโนโลยี และ 35% เคยใช้ AI ในการร่างข้อความที่มีความอ่อนไหว เช่น การขอเลื่อนงาน การแจ้งปัญหา หรือการตอบกลับหัวหน้า บางคนถึงขั้นรู้สึกว่า “เขียนเองไม่เป็นแล้ว” หากไม่มี AI ช่วย ที่น่าตกใจคือ 26% ของพนักงานสงสัยว่ารีวิวประเมินผลที่ได้รับนั้นเขียนโดย AI และ 16% ของผู้ที่ถูกเลิกจ้างเชื่อว่าอีเมลแจ้งเลิกจ้างนั้นไม่ได้เขียนโดยมนุษย์ โดย 20% ยอมรับว่า “ร้องไห้” เมื่ออ่านข้อความที่ไร้ความรู้สึกนั้น แม้ผู้จัดการบางคนจะมองว่า AI ช่วยให้การสื่อสารชัดเจนขึ้น แต่พนักงานจำนวนมากกลับรู้สึกว่า “ความจริงใจหายไป” และการใช้ภาษาที่เหมือนกันทุกข้อความทำให้รู้สึกว่าองค์กรไม่เห็นคุณค่าของแต่ละคน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ 41% ของผู้จัดการใช้ AI เขียนหรือปรับแต่งรีวิวประเมินผลพนักงาน ➡️ 17% ของผู้จัดการใช้ AI เขียนอีเมลเลิกจ้าง ➡️ 24% ของพนักงานใช้ AI เป็นประจำในการเขียนหรือแก้ไขอีเมล ➡️ 35% เคยใช้ AI ในการร่างข้อความที่มีความอ่อนไหว ➡️ 26% สงสัยว่ารีวิวที่ได้รับเขียนโดย AI ➡️ 16% ของผู้ถูกเลิกจ้างเชื่อว่าอีเมลแจ้งเลิกจ้างเขียนโดย AI ➡️ 20% ของผู้ถูกเลิกจ้างร้องไห้เมื่ออ่านข้อความที่ไร้ความรู้สึก ➡️ พนักงานบางคนรู้สึกว่าไม่สามารถเขียนข้อความเองได้หากไม่มี AI ➡️ ผู้จัดการส่วนใหญ่มั่นใจว่าใช้ AI ได้ดีกว่าพนักงาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ AI ช่วยลดแรงกดดันในการเขียนข้อความในที่ทำงาน โดยเฉพาะในบริบทที่เป็นทางการ ➡️ การใช้ AI ในการสื่อสารภายในองค์กรเริ่มกลายเป็นเรื่องปกติในหลายอุตสาหกรรม ➡️ การเขียนข้อความเลิกจ้างด้วย AI อาจลดความเครียดของผู้จัดการ แต่เพิ่มความเจ็บปวดให้พนักงาน ➡️ การใช้ภาษาที่เหมือนกันทุกข้อความทำให้พนักงานรู้สึกว่าองค์กรไม่ใส่ใจ ➡️ หลายองค์กรเริ่มตั้งนโยบายให้มีการตรวจสอบและปรับแต่งข้อความจาก AI ก่อนส่งจริง https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/huge-numbers-of-managers-admit-to-using-ai-to-convincingly-draft-or-revise-performance-reviews-and-i-fear-it-will-only-accelerate-the-death-of-traditional-hr
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 257 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลงทางที่เวสต์เกต ทุกขลาภคนบางใหญ่

    ปัญหาการจราจรบริเวณทางแยกต่างระดับบางใหญ่ จ.นนทบุรี หลังเปิดทดลองใช้ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 81 สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ตั้งแต่วันที่ 26 ธ.ค. 2567 เป็นต้นมา เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ข้อความระบุว่า "สิ่งที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้นแล้ว Central Westgate ต้องเลี้ยวซ้าย กูเกิลแมปบอกขวา แล้วพากูขึ้น M81 ไปกาญจน์แบบไม่มีทางลง ขับไปร้องไห้ไป"

    เหตุเพราะ Google Maps แนะนำเส้นทางจากถนนรัตนาธิเบศร์ ให้ขึ้นสะพานมอเตอร์เวย์มุ่งหน้ากาญจนบุรี ทั้งที่บริษัท บีจีเอสอาร์ 81 จำกัด ผู้ให้บริการระบบจัดเก็บค่าผ่านทางและบำรุงรักษา (O&M) ปิดทางออกชั่วคราวฝั่งซอยแก้วอินทร์ บริเวณด่านบางใหญ่เป็นการถาวร ตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย.เป็นต้นมา ทำให้ผู้ที่มาตาม GPS ไม่สามารถออกทางดังกล่าวได้ ต้องไปกลับรถไกลถึงด่านนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม อีกทั้ง Google Maps ยังไม่มีการอัปเดตเส้นทางดังกล่าว

    จากไวรัลสนั่นโซเชียลฯ ร้อนถึงกรมทางหลวงต้องเร่งปรับปรุงป้ายและสัญลักษณ์จราจร บริเวณทางแยกต่างระดับบางใหญ่ เพื่อแยกเส้นทางให้ชัดเจนสูงสุด เพื่อแก้ไขปัญหาความสับสน และเพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถตัดสินใจเลือกเส้นทางได้อย่างถูกต้องระหว่างผู้ที่ต้องการใช้มอเตอร์เวย์ไปกาญจนบุรี กับผู้ที่เดินทางไปยังจุดหมายปลายทางอื่น พร้อมประสานงานผู้ให้บริการแอปพลิเคชั่นนำทางออนไลน์โดยตรง

    ขณะที่กูเกิล ประเทศไทย ระบุว่า ทีมงานของ Google Maps ตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว พร้อมเร่งแก้ปัญหา โดยพร้อมทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ยังคงแนะนำให้ผู้ขับขี่มองหาป้ายสัญลักษณ์ทางการที่ชัดเจน ควบคู่กับแผนที่นำทาง เนื่องจากเมื่อมีการจัดการเส้นทางจราจรใหม่และมีการรายงานปัญหาเข้าไป ระบบต้องใช้เวลาตรวจสอบและปรับเปลี่ยนเส้นทาง

    อย่างไรก็ตาม ปัญหาความวุ่นวายบริเวณทางแยกต่างระดับบางใหญ่ยังคงไม่หมดไป เนื่องจากทางเข้า-ออกมอเตอร์เวย์กินผิวจราจรพอสมควร และย่านบางใหญ่เป็นย่านการค้าและที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง ทำให้เส้นทางสัญจรปกติมีลักษณะเป็นคอขวดหลายจุด อีกทั้งมีลูกค้าเข้าไปใช้บริการศูนย์การค้าเซ็นทรัล เวสต์เกตจำนวนมาก โดยเฉพาะวันหยุดเสาร์-อาทิตย์

    ไม่นับรวมกรมทางหลวงมีแผนก่อสร้างทางยกระดับสายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร หมายเลข 9 ช่วงบางขุนเทียน-บางบัวทอง ระยะทาง 38 กิโลเมตร ต่อเนื่องกับโครงการมอเตอร์เวย์ช่วงบางบัวทอง-บางปะอิน ระยะทาง 35 กิโลเมตร เพื่อเชื่อมกับมอเตอร์เวย์บางปะอิน-นครราชสีมาในอนาคตอันใกล้ คาดว่าระหว่างการก่อสร้าง การจราจรบนถนนกาญจนาภิเษกจะติดขัดมากขึ้น ไม่ต่างจากถนนพระรามที่ 2 ในปัจจุบัน

    #Newskit
    หลงทางที่เวสต์เกต ทุกขลาภคนบางใหญ่ ปัญหาการจราจรบริเวณทางแยกต่างระดับบางใหญ่ จ.นนทบุรี หลังเปิดทดลองใช้ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 81 สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ตั้งแต่วันที่ 26 ธ.ค. 2567 เป็นต้นมา เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ข้อความระบุว่า "สิ่งที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้นแล้ว Central Westgate ต้องเลี้ยวซ้าย กูเกิลแมปบอกขวา แล้วพากูขึ้น M81 ไปกาญจน์แบบไม่มีทางลง ขับไปร้องไห้ไป" เหตุเพราะ Google Maps แนะนำเส้นทางจากถนนรัตนาธิเบศร์ ให้ขึ้นสะพานมอเตอร์เวย์มุ่งหน้ากาญจนบุรี ทั้งที่บริษัท บีจีเอสอาร์ 81 จำกัด ผู้ให้บริการระบบจัดเก็บค่าผ่านทางและบำรุงรักษา (O&M) ปิดทางออกชั่วคราวฝั่งซอยแก้วอินทร์ บริเวณด่านบางใหญ่เป็นการถาวร ตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย.เป็นต้นมา ทำให้ผู้ที่มาตาม GPS ไม่สามารถออกทางดังกล่าวได้ ต้องไปกลับรถไกลถึงด่านนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม อีกทั้ง Google Maps ยังไม่มีการอัปเดตเส้นทางดังกล่าว จากไวรัลสนั่นโซเชียลฯ ร้อนถึงกรมทางหลวงต้องเร่งปรับปรุงป้ายและสัญลักษณ์จราจร บริเวณทางแยกต่างระดับบางใหญ่ เพื่อแยกเส้นทางให้ชัดเจนสูงสุด เพื่อแก้ไขปัญหาความสับสน และเพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถตัดสินใจเลือกเส้นทางได้อย่างถูกต้องระหว่างผู้ที่ต้องการใช้มอเตอร์เวย์ไปกาญจนบุรี กับผู้ที่เดินทางไปยังจุดหมายปลายทางอื่น พร้อมประสานงานผู้ให้บริการแอปพลิเคชั่นนำทางออนไลน์โดยตรง ขณะที่กูเกิล ประเทศไทย ระบุว่า ทีมงานของ Google Maps ตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว พร้อมเร่งแก้ปัญหา โดยพร้อมทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ยังคงแนะนำให้ผู้ขับขี่มองหาป้ายสัญลักษณ์ทางการที่ชัดเจน ควบคู่กับแผนที่นำทาง เนื่องจากเมื่อมีการจัดการเส้นทางจราจรใหม่และมีการรายงานปัญหาเข้าไป ระบบต้องใช้เวลาตรวจสอบและปรับเปลี่ยนเส้นทาง อย่างไรก็ตาม ปัญหาความวุ่นวายบริเวณทางแยกต่างระดับบางใหญ่ยังคงไม่หมดไป เนื่องจากทางเข้า-ออกมอเตอร์เวย์กินผิวจราจรพอสมควร และย่านบางใหญ่เป็นย่านการค้าและที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง ทำให้เส้นทางสัญจรปกติมีลักษณะเป็นคอขวดหลายจุด อีกทั้งมีลูกค้าเข้าไปใช้บริการศูนย์การค้าเซ็นทรัล เวสต์เกตจำนวนมาก โดยเฉพาะวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ไม่นับรวมกรมทางหลวงมีแผนก่อสร้างทางยกระดับสายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร หมายเลข 9 ช่วงบางขุนเทียน-บางบัวทอง ระยะทาง 38 กิโลเมตร ต่อเนื่องกับโครงการมอเตอร์เวย์ช่วงบางบัวทอง-บางปะอิน ระยะทาง 35 กิโลเมตร เพื่อเชื่อมกับมอเตอร์เวย์บางปะอิน-นครราชสีมาในอนาคตอันใกล้ คาดว่าระหว่างการก่อสร้าง การจราจรบนถนนกาญจนาภิเษกจะติดขัดมากขึ้น ไม่ต่างจากถนนพระรามที่ 2 ในปัจจุบัน #Newskit
    Like
    Haha
    2
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 322 มุมมอง 0 รีวิว
  • "โลกการสื่อสารทำให้ โลกแคบลง"
    ทำให้รู้ปัจจุบัน ทันด่วน
    แต่ ทำให้เกิดการ สะสม ซึม สิ่งที่ จ้องจะหาองค์ประกอบ มา
    สร้าง แนวคิดและความปั่นป่วนรูปแบบใหม่
    เพราะ ในทุกพื้นที่ มีจุดด้อย ทางความคิดที่แตกต่างกัน
    นำไปสู่การ สร้างสิ่งที่เห็น แต่ไม่ใช่สิ่งที่เป็น

    ปล.สู่บทสรุป "จริงๆ เท็จๆ เท็จๆ จริงๆ" ยักใยเราจนเราคิดว่า "ชั่งหัวมันปะไร ไม่ใช่หัวตูแล้ว"
    "โลกการสื่อสารทำให้ โลกแคบลง" ทำให้รู้ปัจจุบัน ทันด่วน แต่ ทำให้เกิดการ สะสม ซึม สิ่งที่ จ้องจะหาองค์ประกอบ มา สร้าง แนวคิดและความปั่นป่วนรูปแบบใหม่ เพราะ ในทุกพื้นที่ มีจุดด้อย ทางความคิดที่แตกต่างกัน นำไปสู่การ สร้างสิ่งที่เห็น แต่ไม่ใช่สิ่งที่เป็น ปล.สู่บทสรุป "จริงๆ เท็จๆ เท็จๆ จริงๆ" ยักใยเราจนเราคิดว่า "ชั่งหัวมันปะไร ไม่ใช่หัวตูแล้ว"
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtube.com/shorts/yJqzQ9os1oA?si=3TKcVO9QNb-NussS
    https://youtube.com/shorts/yJqzQ9os1oA?si=3TKcVO9QNb-NussS
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 63 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/IYJGXJmBw00?si=X9r9wDACe0JQYINd
    https://youtu.be/IYJGXJmBw00?si=X9r9wDACe0JQYINd
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 47 มุมมอง 0 รีวิว