• “Unity เจอช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-59489 — เกมมือถือหลายล้านแอปเสี่ยงถูกโจมตีผ่านไฟล์ .so”

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก GMO Flatt Security ชื่อ RyotaK ได้ค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงใน Unity Runtime ซึ่งถูกระบุเป็น CVE-2025-59489 โดยมีคะแนนความรุนแรง CVSS สูงถึง 8.4 ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดในเครื่องได้ (Local Code Execution) ผ่านการแทรกไฟล์ .so โดยไม่ต้องใช้สิทธิ์ระดับสูง

    ช่องโหว่นี้เกิดจากการจัดการ intent ใน UnityPlayerActivity บน Android ซึ่งเป็น entry point หลักของแอป Unity โดย Unity จะเพิ่ม handler สำหรับ “unity extra” เพื่อใช้ในการดีบักผ่าน ADB แต่กลับเปิดช่องให้แอปอื่นส่ง intent พร้อมพารามิเตอร์ที่เป็นอันตราย เช่น -xrsdk-pre-init-library เพื่อบังคับให้โหลดไฟล์ .so ที่ผู้โจมตีเตรียมไว้

    RyotaK สาธิตการโจมตีโดยใช้แอป Android ที่มีสิทธิ์ต่ำ ส่ง intent ไปยังแอป Unity พร้อมพารามิเตอร์ที่ชี้ไปยังไฟล์ .so ที่ฝังอยู่ใน APK หรือในโฟลเดอร์ /data/local/tmp/ ซึ่งทำให้แอป Unity โหลดและรันโค้ดอันตรายภายใต้สิทธิ์ของตัวเอง ส่งผลให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญ เช่น GPS, กล้อง, หรือข้อมูลผู้ใช้ในเกม

    ในบางกรณี ช่องโหว่นี้สามารถถูกโจมตีจากระยะไกลผ่านเบราว์เซอร์ Android หากแอป Unity เปิดให้เรียก UnityPlayerActivity ด้วย intent URL ที่มีพารามิเตอร์อันตราย อย่างไรก็ตาม Android SELinux ยังช่วยป้องกันการโหลดไฟล์จากโฟลเดอร์ดาวน์โหลดได้บางส่วน

    ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อทุกแพลตฟอร์มที่ใช้ Unity ได้แก่ Android, Windows, macOS และ Linux โดยเฉพาะแอปที่สร้างจาก Unity Editor เวอร์ชันตั้งแต่ 2017.1 เป็นต้นมา Unity ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้วในหลายเวอร์ชัน เช่น 2022.3.67f2, 2021.3.56f2 และ 2019.4.41f1 พร้อมเครื่องมือ Binary Patch สำหรับโปรเจกต์เก่าที่ไม่สามารถ rebuild ได้ง่าย

    Microsoft และ Steam ได้ออกคำเตือนแก่ผู้ใช้และนักพัฒนา โดยแนะนำให้ถอนการติดตั้งเกมที่ยังไม่ได้อัปเดต และให้ผู้พัฒนารีบ rebuild เกมด้วย Unity เวอร์ชันที่ปลอดภัยทันที

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ช่องโหว่ CVE-2025-59489 เกิดจากการจัดการ intent ใน UnityPlayerActivity บน Android
    ผู้โจมตีสามารถส่งพารามิเตอร์ -xrsdk-pre-init-library เพื่อโหลดไฟล์ .so อันตราย
    แอปที่สร้างจาก Unity ตั้งแต่เวอร์ชัน 2017.1 เสี่ยงต่อการถูกโจมตี
    RyotaK สาธิตการโจมตีผ่านแอป Android ที่มีสิทธิ์ต่ำ
    ช่องโหว่สามารถถูกใช้เพื่อเข้าถึงข้อมูล GPS, กล้อง, และข้อมูลผู้ใช้
    Unity ได้ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 2022.3.67f2, 2021.3.56f2, 2019.4.41f1 และอื่น ๆ
    มีเครื่องมือ Binary Patch สำหรับโปรเจกต์เก่าที่ไม่สามารถ rebuild ได้
    Microsoft และ Steam แนะนำให้ถอนการติดตั้งเกมที่ยังไม่ได้อัปเดต
    Unity ระบุว่าไม่มีหลักฐานการโจมตีในโลกจริง ณ วันที่ประกาศ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Unity เป็นเอนจินเกมที่ใช้สร้างกว่า 70% ของเกมมือถือยอดนิยม เช่น Pokémon GO, Among Us
    Android Intent เป็นกลไกที่ใช้สื่อสารระหว่างแอป ซึ่งหากจัดการไม่ดีอาจเปิดช่องโหว่
    SELinux บน Android ช่วยป้องกันการโหลดไฟล์จากโฟลเดอร์ดาวน์โหลด
    บน Windows ช่องโหว่นี้สามารถถูกกระตุ้นผ่าน custom URI scheme
    การโหลดไฟล์ .so โดยไม่มีการตรวจสอบเป็นพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการโจมตี

    https://securityonline.info/unity-flaw-cve-2025-59489-allows-local-code-execution-in-millions-of-games/
    🎮 “Unity เจอช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-59489 — เกมมือถือหลายล้านแอปเสี่ยงถูกโจมตีผ่านไฟล์ .so” นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก GMO Flatt Security ชื่อ RyotaK ได้ค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงใน Unity Runtime ซึ่งถูกระบุเป็น CVE-2025-59489 โดยมีคะแนนความรุนแรง CVSS สูงถึง 8.4 ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดในเครื่องได้ (Local Code Execution) ผ่านการแทรกไฟล์ .so โดยไม่ต้องใช้สิทธิ์ระดับสูง ช่องโหว่นี้เกิดจากการจัดการ intent ใน UnityPlayerActivity บน Android ซึ่งเป็น entry point หลักของแอป Unity โดย Unity จะเพิ่ม handler สำหรับ “unity extra” เพื่อใช้ในการดีบักผ่าน ADB แต่กลับเปิดช่องให้แอปอื่นส่ง intent พร้อมพารามิเตอร์ที่เป็นอันตราย เช่น -xrsdk-pre-init-library เพื่อบังคับให้โหลดไฟล์ .so ที่ผู้โจมตีเตรียมไว้ RyotaK สาธิตการโจมตีโดยใช้แอป Android ที่มีสิทธิ์ต่ำ ส่ง intent ไปยังแอป Unity พร้อมพารามิเตอร์ที่ชี้ไปยังไฟล์ .so ที่ฝังอยู่ใน APK หรือในโฟลเดอร์ /data/local/tmp/ ซึ่งทำให้แอป Unity โหลดและรันโค้ดอันตรายภายใต้สิทธิ์ของตัวเอง ส่งผลให้ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญ เช่น GPS, กล้อง, หรือข้อมูลผู้ใช้ในเกม ในบางกรณี ช่องโหว่นี้สามารถถูกโจมตีจากระยะไกลผ่านเบราว์เซอร์ Android หากแอป Unity เปิดให้เรียก UnityPlayerActivity ด้วย intent URL ที่มีพารามิเตอร์อันตราย อย่างไรก็ตาม Android SELinux ยังช่วยป้องกันการโหลดไฟล์จากโฟลเดอร์ดาวน์โหลดได้บางส่วน ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อทุกแพลตฟอร์มที่ใช้ Unity ได้แก่ Android, Windows, macOS และ Linux โดยเฉพาะแอปที่สร้างจาก Unity Editor เวอร์ชันตั้งแต่ 2017.1 เป็นต้นมา Unity ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้วในหลายเวอร์ชัน เช่น 2022.3.67f2, 2021.3.56f2 และ 2019.4.41f1 พร้อมเครื่องมือ Binary Patch สำหรับโปรเจกต์เก่าที่ไม่สามารถ rebuild ได้ง่าย Microsoft และ Steam ได้ออกคำเตือนแก่ผู้ใช้และนักพัฒนา โดยแนะนำให้ถอนการติดตั้งเกมที่ยังไม่ได้อัปเดต และให้ผู้พัฒนารีบ rebuild เกมด้วย Unity เวอร์ชันที่ปลอดภัยทันที ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-59489 เกิดจากการจัดการ intent ใน UnityPlayerActivity บน Android ➡️ ผู้โจมตีสามารถส่งพารามิเตอร์ -xrsdk-pre-init-library เพื่อโหลดไฟล์ .so อันตราย ➡️ แอปที่สร้างจาก Unity ตั้งแต่เวอร์ชัน 2017.1 เสี่ยงต่อการถูกโจมตี ➡️ RyotaK สาธิตการโจมตีผ่านแอป Android ที่มีสิทธิ์ต่ำ ➡️ ช่องโหว่สามารถถูกใช้เพื่อเข้าถึงข้อมูล GPS, กล้อง, และข้อมูลผู้ใช้ ➡️ Unity ได้ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 2022.3.67f2, 2021.3.56f2, 2019.4.41f1 และอื่น ๆ ➡️ มีเครื่องมือ Binary Patch สำหรับโปรเจกต์เก่าที่ไม่สามารถ rebuild ได้ ➡️ Microsoft และ Steam แนะนำให้ถอนการติดตั้งเกมที่ยังไม่ได้อัปเดต ➡️ Unity ระบุว่าไม่มีหลักฐานการโจมตีในโลกจริง ณ วันที่ประกาศ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Unity เป็นเอนจินเกมที่ใช้สร้างกว่า 70% ของเกมมือถือยอดนิยม เช่น Pokémon GO, Among Us ➡️ Android Intent เป็นกลไกที่ใช้สื่อสารระหว่างแอป ซึ่งหากจัดการไม่ดีอาจเปิดช่องโหว่ ➡️ SELinux บน Android ช่วยป้องกันการโหลดไฟล์จากโฟลเดอร์ดาวน์โหลด ➡️ บน Windows ช่องโหว่นี้สามารถถูกกระตุ้นผ่าน custom URI scheme ➡️ การโหลดไฟล์ .so โดยไม่มีการตรวจสอบเป็นพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการโจมตี https://securityonline.info/unity-flaw-cve-2025-59489-allows-local-code-execution-in-millions-of-games/
    SECURITYONLINE.INFO
    Unity Flaw CVE-2025-59489 Allows Local Code Execution in Millions of Games
    A flaw in the Unity Runtime (CVE-2025-59489) allows local code execution in games via DLL injection through the Android intent handler. Developers must rebuild their apps.
    0 Comments 0 Shares 196 Views 0 Reviews
  • “ช่องโหว่ CVE-2025-10035 ใน GoAnywhere MFT ถูกใช้โจมตีจริง — Medusa Ransomware ลุยองค์กรทั่วโลก”

    Microsoft และนักวิจัยด้านความปลอดภัยออกคำเตือนด่วนหลังพบการโจมตีจริงจากช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-10035 ในซอฟต์แวร์ GoAnywhere Managed File Transfer (MFT) ของบริษัท Fortra โดยช่องโหว่นี้มีคะแนน CVSS เต็ม 10.0 และเปิดทางให้แฮกเกอร์สามารถรันโค้ดจากระยะไกลได้ทันที โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน หากสามารถปลอมลายเซ็นตอบกลับของ license ได้สำเร็จ

    ช่องโหว่นี้เกิดจากการจัดการข้อมูลแบบ deserialization ที่ไม่ปลอดภัยใน License Servlet ของ GoAnywhere MFT ซึ่งเปิดให้ผู้โจมตีส่งข้อมูลที่ควบคุมเองเข้าไปในระบบ และนำไปสู่การรันคำสั่งอันตรายบนเซิร์ฟเวอร์ที่ยังไม่ได้อัปเดต

    กลุ่มแฮกเกอร์ Storm-1175 ซึ่งเป็นพันธมิตรของ Medusa ransomware ได้เริ่มใช้ช่องโหว่นี้ตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน 2025 ก่อนที่ Fortra จะออกประกาศอย่างเป็นทางการในวันที่ 18 กันยายน โดยการโจมตีมีลักษณะเป็นขั้นตอน ได้แก่:

    Initial Access: เจาะระบบผ่านช่องโหว่ CVE-2025-10035
    Persistence: ติดตั้งเครื่องมือ RMM เช่น SimpleHelp และ MeshAgent
    Post-Exploitation: สร้าง web shell (.jsp), สแกนระบบด้วย netscan
    Lateral Movement: ใช้ mstsc.exe เพื่อเคลื่อนย้ายภายในเครือข่าย
    Command & Control: ตั้งค่า Cloudflare tunnel เพื่อสื่อสารแบบเข้ารหัส
    Exfiltration & Impact: ใช้ Rclone ขโมยข้อมูล และปล่อย Medusa ransomware

    Microsoft ระบุว่าการโจมตีเกิดขึ้นในหลายองค์กร และแนะนำให้ผู้ดูแลระบบอัปเดต GoAnywhere MFT เป็นเวอร์ชันล่าสุดทันที พร้อมตรวจสอบ log ว่ามีการเรียกใช้ SignedObject.getObject หรือไม่ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการเจาะระบบ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ช่องโหว่ CVE-2025-10035 เป็นช่องโหว่ deserialization ใน GoAnywhere MFT
    คะแนน CVSS เต็ม 10.0 ถือเป็นระดับวิกฤต
    เปิดทางให้รันโค้ดจากระยะไกลโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน
    เกิดจากการปลอม license response signature เพื่อหลอกระบบ
    ส่งผลกระทบต่อเวอร์ชัน Admin Console สูงสุดถึง 7.8.3
    กลุ่ม Storm-1175 ใช้ช่องโหว่นี้ในการโจมตีจริง
    ขั้นตอนการโจมตีมีทั้งการติดตั้ง RMM, สร้าง web shell, และขโมยข้อมูล
    Microsoft แนะนำให้อัปเดตและตรวจสอบ log สำหรับ SignedObject.getObject
    Fortra ออกแพตช์แก้ไขแล้ว และแนะนำให้ล็อกการเข้าถึง Admin Console จากอินเทอร์เน็ต

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Medusa ransomware เคยโจมตีองค์กรโครงสร้างพื้นฐานกว่า 300 แห่งในสหรัฐฯ
    Deserialization flaws เป็นช่องโหว่ที่พบได้บ่อยใน Java-based applications
    RMM tools เช่น MeshAgent มักถูกใช้ในเทคนิค “living off the land” เพื่อหลบการตรวจจับ
    Rclone เป็นเครื่องมือยอดนิยมในการขโมยข้อมูลจากระบบที่ถูกเจาะ
    การใช้ Cloudflare tunnel ทำให้การสื่อสารของแฮกเกอร์ไม่สามารถตรวจสอบได้ง่าย

    https://securityonline.info/critical-rce-cve-2025-10035-in-goanywhere-mft-used-by-medusa-ransomware-group/
    🚨 “ช่องโหว่ CVE-2025-10035 ใน GoAnywhere MFT ถูกใช้โจมตีจริง — Medusa Ransomware ลุยองค์กรทั่วโลก” Microsoft และนักวิจัยด้านความปลอดภัยออกคำเตือนด่วนหลังพบการโจมตีจริงจากช่องโหว่ร้ายแรง CVE-2025-10035 ในซอฟต์แวร์ GoAnywhere Managed File Transfer (MFT) ของบริษัท Fortra โดยช่องโหว่นี้มีคะแนน CVSS เต็ม 10.0 และเปิดทางให้แฮกเกอร์สามารถรันโค้ดจากระยะไกลได้ทันที โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน หากสามารถปลอมลายเซ็นตอบกลับของ license ได้สำเร็จ ช่องโหว่นี้เกิดจากการจัดการข้อมูลแบบ deserialization ที่ไม่ปลอดภัยใน License Servlet ของ GoAnywhere MFT ซึ่งเปิดให้ผู้โจมตีส่งข้อมูลที่ควบคุมเองเข้าไปในระบบ และนำไปสู่การรันคำสั่งอันตรายบนเซิร์ฟเวอร์ที่ยังไม่ได้อัปเดต กลุ่มแฮกเกอร์ Storm-1175 ซึ่งเป็นพันธมิตรของ Medusa ransomware ได้เริ่มใช้ช่องโหว่นี้ตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน 2025 ก่อนที่ Fortra จะออกประกาศอย่างเป็นทางการในวันที่ 18 กันยายน โดยการโจมตีมีลักษณะเป็นขั้นตอน ได้แก่: 🔰 Initial Access: เจาะระบบผ่านช่องโหว่ CVE-2025-10035 🔰 Persistence: ติดตั้งเครื่องมือ RMM เช่น SimpleHelp และ MeshAgent 🔰 Post-Exploitation: สร้าง web shell (.jsp), สแกนระบบด้วย netscan 🔰 Lateral Movement: ใช้ mstsc.exe เพื่อเคลื่อนย้ายภายในเครือข่าย 🔰 Command & Control: ตั้งค่า Cloudflare tunnel เพื่อสื่อสารแบบเข้ารหัส 🔰 Exfiltration & Impact: ใช้ Rclone ขโมยข้อมูล และปล่อย Medusa ransomware Microsoft ระบุว่าการโจมตีเกิดขึ้นในหลายองค์กร และแนะนำให้ผู้ดูแลระบบอัปเดต GoAnywhere MFT เป็นเวอร์ชันล่าสุดทันที พร้อมตรวจสอบ log ว่ามีการเรียกใช้ SignedObject.getObject หรือไม่ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการเจาะระบบ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-10035 เป็นช่องโหว่ deserialization ใน GoAnywhere MFT ➡️ คะแนน CVSS เต็ม 10.0 ถือเป็นระดับวิกฤต ➡️ เปิดทางให้รันโค้ดจากระยะไกลโดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ➡️ เกิดจากการปลอม license response signature เพื่อหลอกระบบ ➡️ ส่งผลกระทบต่อเวอร์ชัน Admin Console สูงสุดถึง 7.8.3 ➡️ กลุ่ม Storm-1175 ใช้ช่องโหว่นี้ในการโจมตีจริง ➡️ ขั้นตอนการโจมตีมีทั้งการติดตั้ง RMM, สร้าง web shell, และขโมยข้อมูล ➡️ Microsoft แนะนำให้อัปเดตและตรวจสอบ log สำหรับ SignedObject.getObject ➡️ Fortra ออกแพตช์แก้ไขแล้ว และแนะนำให้ล็อกการเข้าถึง Admin Console จากอินเทอร์เน็ต ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Medusa ransomware เคยโจมตีองค์กรโครงสร้างพื้นฐานกว่า 300 แห่งในสหรัฐฯ ➡️ Deserialization flaws เป็นช่องโหว่ที่พบได้บ่อยใน Java-based applications ➡️ RMM tools เช่น MeshAgent มักถูกใช้ในเทคนิค “living off the land” เพื่อหลบการตรวจจับ ➡️ Rclone เป็นเครื่องมือยอดนิยมในการขโมยข้อมูลจากระบบที่ถูกเจาะ ➡️ การใช้ Cloudflare tunnel ทำให้การสื่อสารของแฮกเกอร์ไม่สามารถตรวจสอบได้ง่าย https://securityonline.info/critical-rce-cve-2025-10035-in-goanywhere-mft-used-by-medusa-ransomware-group/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical RCE (CVE-2025-10035) in GoAnywhere MFT Used by Medusa Ransomware Group
    A Critical (CVSS 10.0) zero-day RCE flaw (CVE-2025-10035) in GoAnywhere MFT is being actively exploited by the Medusa ransomware group, Storm-1175. Patch immediately.
    0 Comments 0 Shares 215 Views 0 Reviews
  • “Linus Torvalds วิจารณ์ระบบจัดรูปแบบโค้ด Rust ว่า ‘ไร้เหตุผล’ — เมื่อความเรียบร้อยกลายเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา Kernel”

    Linus Torvalds ผู้สร้าง Linux ออกมาแสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจนต่อระบบจัดรูปแบบโค้ดของภาษา Rust โดยเฉพาะเครื่องมือ rustfmt ที่ใช้ในการตรวจสอบและจัดรูปแบบโค้ดอัตโนมัติ ซึ่งเขาเรียกว่า “bass-ackwards garbage” หรือ “ไร้สาระกลับด้าน” ในการสนทนาใน Linux Kernel Mailing List เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2025

    เหตุการณ์เริ่มจากการรวมโค้ดของระบบ Direct Rendering Manager (DRM) สำหรับ Linux Kernel เวอร์ชัน 6.18 ซึ่งมีการเพิ่มโค้ด Rust เข้าไป โดย Dave Airlie ผู้ดูแล DRM ส่ง pull request ที่มี changelog ซึ่ง Linus มองว่า “เสียรูปแบบ” เพราะการจัดย่อหน้าและลำดับหัวข้อถูก flatten จนอ่านยาก

    แต่สิ่งที่ทำให้ Linus หงุดหงิดจริง ๆ คือการที่เขาแก้ไขโค้ด import ของ Rust ให้แยกเป็นหลายบรรทัดเพื่อให้ง่ายต่อการ merge ในอนาคต แต่เมื่อรัน rustfmt กลับถูกบังคับให้รวมเป็นบรรทัดเดียว ซึ่งเขามองว่าเป็นการตัดสินใจที่ขัดกับหลักการ maintainability และทำให้การรวมโค้ดยากขึ้น

    Miguel Ojeda ผู้ดูแล Rust-for-Linux ตอบกลับอย่างสุภาพว่า rustfmt มีตัวเลือกการตั้งค่าที่สามารถควบคุมได้ แต่ยังอยู่ในสถานะ unstable และใช้ได้เฉพาะใน nightly build เท่านั้น พร้อมเสนอว่าจะหารือกับทีม Rust upstream เพื่อหาทางออกที่เหมาะสม

    ในด้านการจัดรูปแบบข้อความของ pull request Dave อธิบายว่าเขาตั้งใจ flatten เพื่อให้จัดการง่าย เพราะต้องรวม pull request จากหลายแหล่ง แต่ Linus โต้กลับว่าเขา merge มากกว่า 400 ครั้งระหว่างเวอร์ชัน 6.16 ถึง 6.17 ซึ่งมากกว่าที่ Dave ทำถึงสิบเท่า และยังพยายามจัดรูปแบบให้ถูกต้องทุกครั้ง

    แม้จะมีความเห็นต่างกัน แต่ทั้งสองฝ่ายดูเหมือนจะเปิดใจในการหาทางออกร่วมกัน โดย Linus ยืนยันว่าเขาไม่ต่อต้าน Rust แต่ต้องการให้เครื่องมือช่วยเหลือไม่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Linus Torvalds วิจารณ์ระบบจัดรูปแบบโค้ด Rust โดยเฉพาะ rustfmt ว่า “ไร้เหตุผล”
    เกิดจากการรวมโค้ด DRM ที่มี Rust เข้ามาใน Linux Kernel 6.18
    Linus แก้ไข import ให้แยกบรรทัดเพื่อความง่ายในการ merge แต่ rustfmt บังคับรวม
    เขามองว่าเครื่องมืออัตโนมัติทำให้โค้ดดูดีแต่ยากต่อการดูแลในระยะยาว
    Miguel Ojeda ชี้แจงว่า rustfmt มีตัวเลือกแต่ยังไม่เสถียร และเสนอหารือกับทีม upstream
    Dave Airlie flatten changelog เพื่อความสะดวกในการรวม pull request
    Linus โต้กลับว่าเขา merge มากกว่าหลายเท่าแต่ยังใส่ใจเรื่องรูปแบบ
    ทั้งสองฝ่ายเปิดใจหาทางแก้ไขร่วมกัน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Rust ถูกนำมาใช้ใน Linux Kernel เพื่อเพิ่มความปลอดภัยด้านหน่วยความจำ
    rustfmt เป็นเครื่องมือจัดรูปแบบโค้ดที่ใช้ในระบบ CI เพื่อให้โค้ดมีรูปแบบเดียวกัน
    การจัดรูปแบบโค้ดที่เข้มงวดอาจทำให้ผู้พัฒนาใหม่รู้สึกท้อและเลิกส่งโค้ด
    การจัด import แบบหลายบรรทัดช่วยลดความขัดแย้งในการ merge
    การ flatten changelog อาจทำให้โครงสร้างข้อมูลหายไปและอ่านยาก

    https://news.itsfoss.com/linus-torvalds-criticizes-drm-merge/
    🧠 “Linus Torvalds วิจารณ์ระบบจัดรูปแบบโค้ด Rust ว่า ‘ไร้เหตุผล’ — เมื่อความเรียบร้อยกลายเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา Kernel” Linus Torvalds ผู้สร้าง Linux ออกมาแสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจนต่อระบบจัดรูปแบบโค้ดของภาษา Rust โดยเฉพาะเครื่องมือ rustfmt ที่ใช้ในการตรวจสอบและจัดรูปแบบโค้ดอัตโนมัติ ซึ่งเขาเรียกว่า “bass-ackwards garbage” หรือ “ไร้สาระกลับด้าน” ในการสนทนาใน Linux Kernel Mailing List เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2025 เหตุการณ์เริ่มจากการรวมโค้ดของระบบ Direct Rendering Manager (DRM) สำหรับ Linux Kernel เวอร์ชัน 6.18 ซึ่งมีการเพิ่มโค้ด Rust เข้าไป โดย Dave Airlie ผู้ดูแล DRM ส่ง pull request ที่มี changelog ซึ่ง Linus มองว่า “เสียรูปแบบ” เพราะการจัดย่อหน้าและลำดับหัวข้อถูก flatten จนอ่านยาก แต่สิ่งที่ทำให้ Linus หงุดหงิดจริง ๆ คือการที่เขาแก้ไขโค้ด import ของ Rust ให้แยกเป็นหลายบรรทัดเพื่อให้ง่ายต่อการ merge ในอนาคต แต่เมื่อรัน rustfmt กลับถูกบังคับให้รวมเป็นบรรทัดเดียว ซึ่งเขามองว่าเป็นการตัดสินใจที่ขัดกับหลักการ maintainability และทำให้การรวมโค้ดยากขึ้น Miguel Ojeda ผู้ดูแล Rust-for-Linux ตอบกลับอย่างสุภาพว่า rustfmt มีตัวเลือกการตั้งค่าที่สามารถควบคุมได้ แต่ยังอยู่ในสถานะ unstable และใช้ได้เฉพาะใน nightly build เท่านั้น พร้อมเสนอว่าจะหารือกับทีม Rust upstream เพื่อหาทางออกที่เหมาะสม ในด้านการจัดรูปแบบข้อความของ pull request Dave อธิบายว่าเขาตั้งใจ flatten เพื่อให้จัดการง่าย เพราะต้องรวม pull request จากหลายแหล่ง แต่ Linus โต้กลับว่าเขา merge มากกว่า 400 ครั้งระหว่างเวอร์ชัน 6.16 ถึง 6.17 ซึ่งมากกว่าที่ Dave ทำถึงสิบเท่า และยังพยายามจัดรูปแบบให้ถูกต้องทุกครั้ง แม้จะมีความเห็นต่างกัน แต่ทั้งสองฝ่ายดูเหมือนจะเปิดใจในการหาทางออกร่วมกัน โดย Linus ยืนยันว่าเขาไม่ต่อต้าน Rust แต่ต้องการให้เครื่องมือช่วยเหลือไม่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Linus Torvalds วิจารณ์ระบบจัดรูปแบบโค้ด Rust โดยเฉพาะ rustfmt ว่า “ไร้เหตุผล” ➡️ เกิดจากการรวมโค้ด DRM ที่มี Rust เข้ามาใน Linux Kernel 6.18 ➡️ Linus แก้ไข import ให้แยกบรรทัดเพื่อความง่ายในการ merge แต่ rustfmt บังคับรวม ➡️ เขามองว่าเครื่องมืออัตโนมัติทำให้โค้ดดูดีแต่ยากต่อการดูแลในระยะยาว ➡️ Miguel Ojeda ชี้แจงว่า rustfmt มีตัวเลือกแต่ยังไม่เสถียร และเสนอหารือกับทีม upstream ➡️ Dave Airlie flatten changelog เพื่อความสะดวกในการรวม pull request ➡️ Linus โต้กลับว่าเขา merge มากกว่าหลายเท่าแต่ยังใส่ใจเรื่องรูปแบบ ➡️ ทั้งสองฝ่ายเปิดใจหาทางแก้ไขร่วมกัน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Rust ถูกนำมาใช้ใน Linux Kernel เพื่อเพิ่มความปลอดภัยด้านหน่วยความจำ ➡️ rustfmt เป็นเครื่องมือจัดรูปแบบโค้ดที่ใช้ในระบบ CI เพื่อให้โค้ดมีรูปแบบเดียวกัน ➡️ การจัดรูปแบบโค้ดที่เข้มงวดอาจทำให้ผู้พัฒนาใหม่รู้สึกท้อและเลิกส่งโค้ด ➡️ การจัด import แบบหลายบรรทัดช่วยลดความขัดแย้งในการ merge ➡️ การ flatten changelog อาจทำให้โครงสร้างข้อมูลหายไปและอ่านยาก https://news.itsfoss.com/linus-torvalds-criticizes-drm-merge/
    0 Comments 0 Shares 136 Views 0 Reviews
  • “openSUSE Leap 16 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ — ปรับโฉมใหม่หมด พร้อมซัพพอร์ตฟรี 24 เดือน และระบบติดตั้งแบบเว็บ”

    หลังจากการพัฒนาอย่างเข้มข้นและการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ openSUSE Leap 16 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2025 โดยมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน ทั้งในระดับสถาปัตยกรรม ระบบติดตั้ง และแนวทางการสนับสนุนที่ยาวนานถึง 24 เดือน ซึ่งถือว่าเป็นการยกระดับครั้งสำคัญของดิสโทรสายเสถียรที่ได้รับความนิยมในองค์กรและผู้ใช้ทั่วไป

    Leap 16 ถูกสร้างขึ้นบนฐานของ SUSE Linux Enterprise 16 (SLES) และแพลตฟอร์มใหม่ SUSE Linux Framework One (SLFO) ซึ่งเคยรู้จักกันในชื่อ ALP ทำให้ Leap 16 ใช้ซอร์สโค้ดและไบนารีเดียวกันกับ SLES และสามารถย้ายไปใช้เวอร์ชันเชิงพาณิชย์ได้อย่างราบรื่น

    หนึ่งในไฮไลต์ของเวอร์ชันนี้คือการเปลี่ยนระบบติดตั้งจาก YaST ที่ใช้มานานกว่า 30 ปี ไปเป็น Agama ซึ่งเป็นระบบติดตั้งแบบเว็บที่สามารถเข้าถึงจากอุปกรณ์อื่นในเครือข่ายได้ ช่วยให้การติดตั้งสะดวกและทันสมัยมากขึ้น

    Leap 16 ยังเปลี่ยนมาใช้ Wayland เป็นระบบแสดงผลหลักแทน X11 โดยมีเดสก์ท็อปให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ GNOME 48, KDE Plasma 6.4 และ Xfce 4.20 (แบบทดลอง) พร้อมรองรับ XWayland สำหรับแอปเก่า

    ด้านความปลอดภัย Leap 16 เปลี่ยนมาใช้ SELinux เป็นโมดูลหลักแทน AppArmor เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานของ SLES และเพิ่มการควบคุมสิทธิ์แบบบังคับที่แข็งแกร่งขึ้น

    Leap 16 ยังรองรับเฉพาะระบบ 64-bit โดยต้องใช้ CPU ที่รองรับ x86-64-v2 (ตั้งแต่ปี 2008 ขึ้นไป) และปิดการรองรับ 32-bit โดยค่าเริ่มต้น แต่สามารถเปิดใช้งานได้ด้วย grub2-compat-ia32 และพารามิเตอร์ ia32_emulation=1 สำหรับผู้ที่ต้องการเล่นเกมผ่าน Steam

    การปรับปรุงอื่น ๆ ได้แก่ การเพิ่ม Cockpit สำหรับจัดการระบบผ่านเว็บ, การเปลี่ยน GUI สำหรับจัดการแพ็กเกจจาก YaST ไปเป็น Myrlyn, การเพิ่ม parallel downloads ใน Zypper และการรวม repository ระหว่าง community กับ enterprise ให้เป็น repo-oss เดียว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    openSUSE Leap 16 เปิดตัวพร้อมซัพพอร์ตฟรี 24 เดือน
    สร้างบนฐาน SUSE Linux Enterprise 16 และ SUSE Linux Framework One
    ใช้ซอร์สโค้ดและไบนารีเดียวกันกับ SLES สามารถย้ายไปใช้เชิงพาณิชย์ได้
    เปลี่ยนระบบติดตั้งจาก YaST ไปเป็น Agama แบบเว็บ
    รองรับการติดตั้งจากอุปกรณ์อื่นในเครือข่าย
    ใช้ Wayland เป็นระบบแสดงผลหลัก พร้อม GNOME 48, KDE Plasma 6.4 และ Xfce 4.20
    รองรับ XWayland สำหรับแอปที่ยังใช้ X11
    เปลี่ยนมาใช้ SELinux เป็นโมดูลความปลอดภัยหลัก
    รองรับเฉพาะ CPU ที่มี x86-64-v2 (ปี 2008 ขึ้นไป)
    ปิดการรองรับ 32-bit โดยค่าเริ่มต้น แต่สามารถเปิดใช้งานได้
    เพิ่ม Cockpit สำหรับจัดการระบบผ่านเว็บ
    เปลี่ยน GUI จัดการแพ็กเกจเป็น Myrlyn
    เพิ่ม parallel downloads ใน Zypper
    รวม repository เป็น repo-oss เดียว

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Agama เป็นระบบติดตั้งที่สามารถควบคุมผ่านเว็บและมี CLI สำหรับผู้ดูแลระบบ
    Wayland ให้ประสิทธิภาพและความปลอดภัยดีกว่า X11 โดยเฉพาะในระบบสมัยใหม่
    SELinux เป็นระบบควบคุมสิทธิ์แบบ MAC ที่ใช้ใน Red Hat และระบบองค์กรหลายแห่ง
    การรวม repository ช่วยลดความซับซ้อนในการจัดการแพ็กเกจ
    Leap 16 เป็นดิสโทรแรกที่ประกาศรองรับ Y2038 โดยไม่มีปัญหา timestamp overflow

    https://news.itsfoss.com/opensuse-leap-16-release/
    🐧 “openSUSE Leap 16 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ — ปรับโฉมใหม่หมด พร้อมซัพพอร์ตฟรี 24 เดือน และระบบติดตั้งแบบเว็บ” หลังจากการพัฒนาอย่างเข้มข้นและการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ openSUSE Leap 16 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2025 โดยมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน ทั้งในระดับสถาปัตยกรรม ระบบติดตั้ง และแนวทางการสนับสนุนที่ยาวนานถึง 24 เดือน ซึ่งถือว่าเป็นการยกระดับครั้งสำคัญของดิสโทรสายเสถียรที่ได้รับความนิยมในองค์กรและผู้ใช้ทั่วไป Leap 16 ถูกสร้างขึ้นบนฐานของ SUSE Linux Enterprise 16 (SLES) และแพลตฟอร์มใหม่ SUSE Linux Framework One (SLFO) ซึ่งเคยรู้จักกันในชื่อ ALP ทำให้ Leap 16 ใช้ซอร์สโค้ดและไบนารีเดียวกันกับ SLES และสามารถย้ายไปใช้เวอร์ชันเชิงพาณิชย์ได้อย่างราบรื่น หนึ่งในไฮไลต์ของเวอร์ชันนี้คือการเปลี่ยนระบบติดตั้งจาก YaST ที่ใช้มานานกว่า 30 ปี ไปเป็น Agama ซึ่งเป็นระบบติดตั้งแบบเว็บที่สามารถเข้าถึงจากอุปกรณ์อื่นในเครือข่ายได้ ช่วยให้การติดตั้งสะดวกและทันสมัยมากขึ้น Leap 16 ยังเปลี่ยนมาใช้ Wayland เป็นระบบแสดงผลหลักแทน X11 โดยมีเดสก์ท็อปให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ GNOME 48, KDE Plasma 6.4 และ Xfce 4.20 (แบบทดลอง) พร้อมรองรับ XWayland สำหรับแอปเก่า ด้านความปลอดภัย Leap 16 เปลี่ยนมาใช้ SELinux เป็นโมดูลหลักแทน AppArmor เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานของ SLES และเพิ่มการควบคุมสิทธิ์แบบบังคับที่แข็งแกร่งขึ้น Leap 16 ยังรองรับเฉพาะระบบ 64-bit โดยต้องใช้ CPU ที่รองรับ x86-64-v2 (ตั้งแต่ปี 2008 ขึ้นไป) และปิดการรองรับ 32-bit โดยค่าเริ่มต้น แต่สามารถเปิดใช้งานได้ด้วย grub2-compat-ia32 และพารามิเตอร์ ia32_emulation=1 สำหรับผู้ที่ต้องการเล่นเกมผ่าน Steam การปรับปรุงอื่น ๆ ได้แก่ การเพิ่ม Cockpit สำหรับจัดการระบบผ่านเว็บ, การเปลี่ยน GUI สำหรับจัดการแพ็กเกจจาก YaST ไปเป็น Myrlyn, การเพิ่ม parallel downloads ใน Zypper และการรวม repository ระหว่าง community กับ enterprise ให้เป็น repo-oss เดียว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ openSUSE Leap 16 เปิดตัวพร้อมซัพพอร์ตฟรี 24 เดือน ➡️ สร้างบนฐาน SUSE Linux Enterprise 16 และ SUSE Linux Framework One ➡️ ใช้ซอร์สโค้ดและไบนารีเดียวกันกับ SLES สามารถย้ายไปใช้เชิงพาณิชย์ได้ ➡️ เปลี่ยนระบบติดตั้งจาก YaST ไปเป็น Agama แบบเว็บ ➡️ รองรับการติดตั้งจากอุปกรณ์อื่นในเครือข่าย ➡️ ใช้ Wayland เป็นระบบแสดงผลหลัก พร้อม GNOME 48, KDE Plasma 6.4 และ Xfce 4.20 ➡️ รองรับ XWayland สำหรับแอปที่ยังใช้ X11 ➡️ เปลี่ยนมาใช้ SELinux เป็นโมดูลความปลอดภัยหลัก ➡️ รองรับเฉพาะ CPU ที่มี x86-64-v2 (ปี 2008 ขึ้นไป) ➡️ ปิดการรองรับ 32-bit โดยค่าเริ่มต้น แต่สามารถเปิดใช้งานได้ ➡️ เพิ่ม Cockpit สำหรับจัดการระบบผ่านเว็บ ➡️ เปลี่ยน GUI จัดการแพ็กเกจเป็น Myrlyn ➡️ เพิ่ม parallel downloads ใน Zypper ➡️ รวม repository เป็น repo-oss เดียว ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Agama เป็นระบบติดตั้งที่สามารถควบคุมผ่านเว็บและมี CLI สำหรับผู้ดูแลระบบ ➡️ Wayland ให้ประสิทธิภาพและความปลอดภัยดีกว่า X11 โดยเฉพาะในระบบสมัยใหม่ ➡️ SELinux เป็นระบบควบคุมสิทธิ์แบบ MAC ที่ใช้ใน Red Hat และระบบองค์กรหลายแห่ง ➡️ การรวม repository ช่วยลดความซับซ้อนในการจัดการแพ็กเกจ ➡️ Leap 16 เป็นดิสโทรแรกที่ประกาศรองรับ Y2038 โดยไม่มีปัญหา timestamp overflow https://news.itsfoss.com/opensuse-leap-16-release/
    0 Comments 0 Shares 186 Views 0 Reviews
  • “Wikidata เปิดตัวฐานข้อมูลเวกเตอร์ฟรี — ทางเลือกใหม่ของ AI ที่โปร่งใสและตรวจสอบได้”

    ในยุคที่ AI กลายเป็นเครื่องมือหลักในการสื่อสารและวิเคราะห์ข้อมูล Wikidata ซึ่งเป็นฐานข้อมูลเปิดขนาดใหญ่ในเครือ Wikimedia ได้เปิดตัวโครงการใหม่ชื่อว่า “Wikidata Embedding Project” โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้ข้อมูลเชิงโครงสร้างกว่า 119 ล้านรายการสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับระบบ AI โดยเฉพาะโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs)

    โครงการนี้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2025 โดย Wikimedia Deutschland ร่วมมือกับ Jina.AI และ DataStax เพื่อสร้างฐานข้อมูลเวกเตอร์ที่สามารถค้นหาข้อมูลตาม “ความหมาย” ไม่ใช่แค่คำสำคัญแบบเดิม ซึ่งช่วยให้ AI เข้าใจบริบทและความสัมพันธ์ของข้อมูลได้ดีขึ้น

    ระบบนี้ใช้โมเดล embedding จาก Jina ที่รองรับมากกว่า 100 ภาษา และสามารถประมวลผลข้อความได้ถึง 8,192 โทเคน โดยจัดเก็บเวกเตอร์ใน Astra DB ของ DataStax ซึ่งเป็นฐานข้อมูลที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI โดยเฉพาะ

    ฐานข้อมูลเวกเตอร์นี้เปิดให้ใช้งานฟรีและเป็นโอเพ่นซอร์ส นักพัฒนาสามารถนำไปใช้ในงานหลากหลาย เช่น การตรวจสอบข้อเท็จจริง การจำแนกข้อมูลแบบ zero-shot การแยกชื่อบุคคลที่คล้ายกัน และการสร้างภาพเชิงความหมายของกราฟความรู้ นอกจากนี้ยังรองรับ GraphRAG ซึ่งเป็นเทคนิคใหม่ที่ผสานการค้นหาแบบเวกเตอร์กับกราฟเพื่อการดึงข้อมูลที่แม่นยำยิ่งขึ้น

    Lydia Pintscher หัวหน้าโครงการ Wikidata กล่าวว่าการเปิดตัวครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการสร้าง AI ที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ โดยใช้ข้อมูลที่ได้รับการยืนยันแล้วจากชุมชนทั่วโลก แทนที่จะพึ่งพาข้อมูลปิดจากบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่

    ผู้ใช้สามารถทดลองใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องลงทะเบียน และ Wikimedia Deutschland ยังจัดสัมมนาออนไลน์ในวันที่ 9 ตุลาคม เพื่อแนะนำการใช้งานและแนวทางการนำไปใช้ในระบบ AI

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Wikidata เปิดตัว Wikidata Embedding Project ฐานข้อมูลเวกเตอร์แบบโอเพ่นซอร์ส
    รองรับการค้นหาข้อมูลตามความหมาย (semantic search) ไม่ใช่แค่คำสำคัญ
    ใช้โมเดล embedding จาก Jina ที่รองรับมากกว่า 100 ภาษา
    เวกเตอร์ถูกจัดเก็บใน Astra DB ของ DataStax
    รองรับการใช้งานฟรีโดยไม่ต้องลงทะเบียนหรือ API key
    เปิดให้ใช้งานตั้งแต่ตุลาคม 2025 โดยร่วมมือกับ Jina.AI และ DataStax
    รองรับภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และอาหรับในช่วงแรก
    ใช้ได้กับงาน AI เช่น fact-checking, zero-shot classification, named entity disambiguation
    รองรับ GraphRAG เพื่อการค้นหาข้อมูลแบบผสมระหว่างเวกเตอร์และกราฟ
    Wikimedia Deutschland จัดสัมมนาออนไลน์วันที่ 9 ตุลาคม เพื่อแนะนำการใช้งาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Wikidata เป็นฐานข้อมูลเปิดที่มีมากกว่า 119 ล้านรายการ และดูแลโดยอาสาสมัครกว่า 24,000 คน
    Vector database ช่วยให้ AI เข้าใจบริบทของข้อมูลได้ดีกว่าการค้นหาแบบ keyword
    GraphRAG เป็นเทคนิคใหม่ที่ใช้ในระบบ retrieval-augmented generation เพื่อเพิ่มความแม่นยำ
    การใช้ข้อมูลที่ตรวจสอบได้ช่วยลดปัญหา “hallucination” ในการสร้างเนื้อหาโดย AI
    การเปิดให้ใช้งานฟรีช่วยส่งเสริมการพัฒนา AI ในภาคการศึกษาและองค์กรไม่แสวงหากำไร

    https://news.itsfoss.com/wikidata-launches-vector-database/
    🧠 “Wikidata เปิดตัวฐานข้อมูลเวกเตอร์ฟรี — ทางเลือกใหม่ของ AI ที่โปร่งใสและตรวจสอบได้” ในยุคที่ AI กลายเป็นเครื่องมือหลักในการสื่อสารและวิเคราะห์ข้อมูล Wikidata ซึ่งเป็นฐานข้อมูลเปิดขนาดใหญ่ในเครือ Wikimedia ได้เปิดตัวโครงการใหม่ชื่อว่า “Wikidata Embedding Project” โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้ข้อมูลเชิงโครงสร้างกว่า 119 ล้านรายการสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับระบบ AI โดยเฉพาะโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) โครงการนี้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม 2025 โดย Wikimedia Deutschland ร่วมมือกับ Jina.AI และ DataStax เพื่อสร้างฐานข้อมูลเวกเตอร์ที่สามารถค้นหาข้อมูลตาม “ความหมาย” ไม่ใช่แค่คำสำคัญแบบเดิม ซึ่งช่วยให้ AI เข้าใจบริบทและความสัมพันธ์ของข้อมูลได้ดีขึ้น ระบบนี้ใช้โมเดล embedding จาก Jina ที่รองรับมากกว่า 100 ภาษา และสามารถประมวลผลข้อความได้ถึง 8,192 โทเคน โดยจัดเก็บเวกเตอร์ใน Astra DB ของ DataStax ซึ่งเป็นฐานข้อมูลที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI โดยเฉพาะ ฐานข้อมูลเวกเตอร์นี้เปิดให้ใช้งานฟรีและเป็นโอเพ่นซอร์ส นักพัฒนาสามารถนำไปใช้ในงานหลากหลาย เช่น การตรวจสอบข้อเท็จจริง การจำแนกข้อมูลแบบ zero-shot การแยกชื่อบุคคลที่คล้ายกัน และการสร้างภาพเชิงความหมายของกราฟความรู้ นอกจากนี้ยังรองรับ GraphRAG ซึ่งเป็นเทคนิคใหม่ที่ผสานการค้นหาแบบเวกเตอร์กับกราฟเพื่อการดึงข้อมูลที่แม่นยำยิ่งขึ้น Lydia Pintscher หัวหน้าโครงการ Wikidata กล่าวว่าการเปิดตัวครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการสร้าง AI ที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ โดยใช้ข้อมูลที่ได้รับการยืนยันแล้วจากชุมชนทั่วโลก แทนที่จะพึ่งพาข้อมูลปิดจากบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ผู้ใช้สามารถทดลองใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องลงทะเบียน และ Wikimedia Deutschland ยังจัดสัมมนาออนไลน์ในวันที่ 9 ตุลาคม เพื่อแนะนำการใช้งานและแนวทางการนำไปใช้ในระบบ AI ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Wikidata เปิดตัว Wikidata Embedding Project ฐานข้อมูลเวกเตอร์แบบโอเพ่นซอร์ส ➡️ รองรับการค้นหาข้อมูลตามความหมาย (semantic search) ไม่ใช่แค่คำสำคัญ ➡️ ใช้โมเดล embedding จาก Jina ที่รองรับมากกว่า 100 ภาษา ➡️ เวกเตอร์ถูกจัดเก็บใน Astra DB ของ DataStax ➡️ รองรับการใช้งานฟรีโดยไม่ต้องลงทะเบียนหรือ API key ➡️ เปิดให้ใช้งานตั้งแต่ตุลาคม 2025 โดยร่วมมือกับ Jina.AI และ DataStax ➡️ รองรับภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และอาหรับในช่วงแรก ➡️ ใช้ได้กับงาน AI เช่น fact-checking, zero-shot classification, named entity disambiguation ➡️ รองรับ GraphRAG เพื่อการค้นหาข้อมูลแบบผสมระหว่างเวกเตอร์และกราฟ ➡️ Wikimedia Deutschland จัดสัมมนาออนไลน์วันที่ 9 ตุลาคม เพื่อแนะนำการใช้งาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Wikidata เป็นฐานข้อมูลเปิดที่มีมากกว่า 119 ล้านรายการ และดูแลโดยอาสาสมัครกว่า 24,000 คน ➡️ Vector database ช่วยให้ AI เข้าใจบริบทของข้อมูลได้ดีกว่าการค้นหาแบบ keyword ➡️ GraphRAG เป็นเทคนิคใหม่ที่ใช้ในระบบ retrieval-augmented generation เพื่อเพิ่มความแม่นยำ ➡️ การใช้ข้อมูลที่ตรวจสอบได้ช่วยลดปัญหา “hallucination” ในการสร้างเนื้อหาโดย AI ➡️ การเปิดให้ใช้งานฟรีช่วยส่งเสริมการพัฒนา AI ในภาคการศึกษาและองค์กรไม่แสวงหากำไร https://news.itsfoss.com/wikidata-launches-vector-database/
    0 Comments 0 Shares 217 Views 0 Reviews
  • “เยอรมนีติดตั้งโซลาร์เซลล์บนระเบียงกว่า 500,000 จุด — พลังงานสะอาดที่ใครก็เข้าถึงได้”

    ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เยอรมนีได้พลิกโฉมการใช้พลังงานสะอาดด้วยการผลักดัน “Balkonkraftwerk” หรือระบบโซลาร์เซลล์ขนาดเล็กที่ติดตั้งบนระเบียง ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับปลั๊กไฟภายในบ้านได้โดยตรง โดยไม่ต้องมีการติดตั้งซับซ้อนหรือเป็นเจ้าของบ้านเอง

    ระบบนี้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2023 เพียงปีเดียวมีการติดตั้งมากกว่า 275,000 จุด และในปี 2024 ตัวเลขรวมทะลุ 550,000 จุดทั่วประเทศ โดยแต่ละชุดมีขนาดไม่เกิน 800 วัตต์ ซึ่งเพียงพอสำหรับการชาร์จแล็ปท็อปหรือใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก

    ความสำเร็จนี้เกิดจากการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีที่เรียบง่าย ราคาที่เข้าถึงได้ (ประมาณ 500–700 ยูโรต่อชุด) และนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนอย่างจริงจัง เช่น การลดขั้นตอนการขออนุญาต การอนุญาตให้ใช้ปลั๊ก Schuko มาตรฐาน และการออกกฎหมายคุ้มครองผู้เช่าไม่ให้ถูกเจ้าของบ้านขัดขวางการติดตั้ง

    แม้ระบบจะผลิตไฟฟ้าได้ไม่มากนัก — เฉลี่ยประมาณ 500–600 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี — แต่ผู้ใช้งานจำนวนมากมองว่าเป็น “การกระทำเล็ก ๆ ที่มีความหมาย” ทั้งในแง่ของการลดค่าไฟ และการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ

    ผู้ใช้งานหลายคนยังกล่าวว่า การติดตั้งโซลาร์ระเบียงทำให้พวกเขาเริ่มตระหนักถึงการใช้พลังงานมากขึ้น เช่น การเลือกเวลาซักผ้าให้ตรงกับช่วงแดดจัด หรือการติดตามปริมาณพลังงานที่ผลิตผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งกลายเป็นกิจกรรมที่สร้างความภูมิใจและแรงบันดาลใจให้กับคนรอบข้าง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    เยอรมนีติดตั้งโซลาร์เซลล์บนระเบียงมากกว่า 550,000 จุดทั่วประเทศ
    ระบบ Balkonkraftwerk มีขนาดไม่เกิน 800 วัตต์ และเชื่อมต่อผ่านปลั๊กไฟบ้าน
    ราคาต่อชุดประมาณ 500–700 ยูโร และติดตั้งได้เองโดยไม่ต้องเป็นเจ้าของบ้าน
    รัฐบาลออกกฎหมายคุ้มครองผู้เช่าไม่ให้ถูกขัดขวางการติดตั้ง
    มีการลดขั้นตอนการขออนุญาตและอนุญาตให้ใช้ปลั๊ก Schuko มาตรฐาน
    ระบบผลิตไฟฟ้าเฉลี่ย 500–600 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี
    ผู้ใช้งานสามารถติดตามการผลิตพลังงานผ่านแอปพลิเคชัน
    การติดตั้งช่วยให้ผู้คนตระหนักถึงการใช้พลังงานและวางแผนการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ
    เป็นการมีส่วนร่วมเล็ก ๆ ที่ช่วยลดการพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิล

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ในปี 2024 เยอรมนีผ่าน “Solarpaket 1” เพื่อสนับสนุนโซลาร์ระเบียงอย่างเป็นระบบ
    ระบบโซลาร์ระเบียงสามารถคืนทุนได้ภายใน 3–5 ปี ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและทิศทางของแสง
    ประเทศอื่นในยุโรป เช่น เนเธอร์แลนด์ ออสเตรีย และเบลเยียม กำลังนำแนวทางนี้ไปใช้
    ระบบแบบ plug-and-play ช่วยลดความซับซ้อนในการติดตั้งและเพิ่มการเข้าถึง
    การผลิตพลังงานในระดับครัวเรือนช่วยลดภาระของโครงข่ายไฟฟ้ากลาง

    https://grist.org/buildings/how-germany-outfitted-half-a-million-balconies-with-solar-panels/
    ☀️ “เยอรมนีติดตั้งโซลาร์เซลล์บนระเบียงกว่า 500,000 จุด — พลังงานสะอาดที่ใครก็เข้าถึงได้” ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เยอรมนีได้พลิกโฉมการใช้พลังงานสะอาดด้วยการผลักดัน “Balkonkraftwerk” หรือระบบโซลาร์เซลล์ขนาดเล็กที่ติดตั้งบนระเบียง ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับปลั๊กไฟภายในบ้านได้โดยตรง โดยไม่ต้องมีการติดตั้งซับซ้อนหรือเป็นเจ้าของบ้านเอง ระบบนี้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2023 เพียงปีเดียวมีการติดตั้งมากกว่า 275,000 จุด และในปี 2024 ตัวเลขรวมทะลุ 550,000 จุดทั่วประเทศ โดยแต่ละชุดมีขนาดไม่เกิน 800 วัตต์ ซึ่งเพียงพอสำหรับการชาร์จแล็ปท็อปหรือใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก ความสำเร็จนี้เกิดจากการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีที่เรียบง่าย ราคาที่เข้าถึงได้ (ประมาณ 500–700 ยูโรต่อชุด) และนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนอย่างจริงจัง เช่น การลดขั้นตอนการขออนุญาต การอนุญาตให้ใช้ปลั๊ก Schuko มาตรฐาน และการออกกฎหมายคุ้มครองผู้เช่าไม่ให้ถูกเจ้าของบ้านขัดขวางการติดตั้ง แม้ระบบจะผลิตไฟฟ้าได้ไม่มากนัก — เฉลี่ยประมาณ 500–600 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี — แต่ผู้ใช้งานจำนวนมากมองว่าเป็น “การกระทำเล็ก ๆ ที่มีความหมาย” ทั้งในแง่ของการลดค่าไฟ และการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ ผู้ใช้งานหลายคนยังกล่าวว่า การติดตั้งโซลาร์ระเบียงทำให้พวกเขาเริ่มตระหนักถึงการใช้พลังงานมากขึ้น เช่น การเลือกเวลาซักผ้าให้ตรงกับช่วงแดดจัด หรือการติดตามปริมาณพลังงานที่ผลิตผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งกลายเป็นกิจกรรมที่สร้างความภูมิใจและแรงบันดาลใจให้กับคนรอบข้าง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ เยอรมนีติดตั้งโซลาร์เซลล์บนระเบียงมากกว่า 550,000 จุดทั่วประเทศ ➡️ ระบบ Balkonkraftwerk มีขนาดไม่เกิน 800 วัตต์ และเชื่อมต่อผ่านปลั๊กไฟบ้าน ➡️ ราคาต่อชุดประมาณ 500–700 ยูโร และติดตั้งได้เองโดยไม่ต้องเป็นเจ้าของบ้าน ➡️ รัฐบาลออกกฎหมายคุ้มครองผู้เช่าไม่ให้ถูกขัดขวางการติดตั้ง ➡️ มีการลดขั้นตอนการขออนุญาตและอนุญาตให้ใช้ปลั๊ก Schuko มาตรฐาน ➡️ ระบบผลิตไฟฟ้าเฉลี่ย 500–600 กิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี ➡️ ผู้ใช้งานสามารถติดตามการผลิตพลังงานผ่านแอปพลิเคชัน ➡️ การติดตั้งช่วยให้ผู้คนตระหนักถึงการใช้พลังงานและวางแผนการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ เป็นการมีส่วนร่วมเล็ก ๆ ที่ช่วยลดการพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิล ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ในปี 2024 เยอรมนีผ่าน “Solarpaket 1” เพื่อสนับสนุนโซลาร์ระเบียงอย่างเป็นระบบ ➡️ ระบบโซลาร์ระเบียงสามารถคืนทุนได้ภายใน 3–5 ปี ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและทิศทางของแสง ➡️ ประเทศอื่นในยุโรป เช่น เนเธอร์แลนด์ ออสเตรีย และเบลเยียม กำลังนำแนวทางนี้ไปใช้ ➡️ ระบบแบบ plug-and-play ช่วยลดความซับซ้อนในการติดตั้งและเพิ่มการเข้าถึง ➡️ การผลิตพลังงานในระดับครัวเรือนช่วยลดภาระของโครงข่ายไฟฟ้ากลาง https://grist.org/buildings/how-germany-outfitted-half-a-million-balconies-with-solar-panels/
    GRIST.ORG
    How Germany outfitted half a million balconies with solar panels
    Meet balkonkraftwerk, the simple technology putting solar power in the hands of renters and nudging Germany toward its clean energy goals.
    0 Comments 0 Shares 245 Views 0 Reviews
  • “QNX ระบบปฏิบัติการที่ไม่เคยล้ม — จากไมโครเคอร์เนลสู่หัวใจของรถยนต์อัจฉริยะและหุ่นยนต์ผ่าตัด”

    QNX คือระบบปฏิบัติการแบบเรียลไทม์ (RTOS) ที่ถูกพัฒนาขึ้นตั้งแต่ปี 1980 โดยสองนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยวอเตอร์ลู ประเทศแคนาดา ซึ่งมองเห็นช่องว่างในตลาดสำหรับระบบที่มีความแม่นยำสูงและไม่ล้มง่าย โดยเริ่มต้นจากชื่อ QUNIX ก่อนจะเปลี่ยนเป็น QNX เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางเครื่องหมายการค้า

    จุดเด่นของ QNX คือการออกแบบแบบ “ไมโครเคอร์เนล” ซึ่งหมายถึงการแยกบริการต่าง ๆ เช่น ไดรเวอร์ ระบบไฟล์ และโปรโตคอลเครือข่ายออกจากเคอร์เนลหลัก ทำให้ระบบมีความเสถียรสูง หากส่วนใดส่วนหนึ่งล้ม ก็ไม่กระทบกับระบบทั้งหมด

    ในช่วงปี 2000 QNX ได้พัฒนาเวอร์ชันใหม่ชื่อ “Neutrino” ที่รองรับการทำงานแบบ symmetric multiprocessing (SMP) และเข้ากับมาตรฐาน POSIX ได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้สามารถนำไปใช้ในงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น ระบบควบคุมรถยนต์ หุ่นยนต์ผ่าตัด และระบบอุตสาหกรรม

    ล่าสุดในงาน CES 2025 QNX ได้เปิดตัวโฉมใหม่ภายใต้การรีแบรนด์จาก BlackBerry โดยเน้น 3 แนวทางหลัก:

    การสร้างชุมชนนักพัฒนา (QNX Everywhere)
    การออกแบบเพื่อระบบคลาวด์
    การลดความซับซ้อนของระบบที่มีความสำคัญระดับชีวิต

    QNX ยังประกาศเปิดให้ใช้งานซอฟต์แวร์พื้นฐานฟรีสำหรับการเรียนรู้และการทดลองแบบไม่เชิงพาณิชย์ พร้อมส่งทีมผู้เชี่ยวชาญเข้าไปมีส่วนร่วมใน GitHub, GitLab, Reddit และ Stack Overflow เพื่อสนับสนุนนักพัฒนาโดยตรง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    QNX เป็นระบบปฏิบัติการแบบเรียลไทม์ที่พัฒนาโดย Quantum Software Systems ในปี 1980
    ใช้สถาปัตยกรรมไมโครเคอร์เนลเพื่อเพิ่มความเสถียรและความปลอดภัย
    เวอร์ชัน Neutrino รองรับ SMP และ POSIX API อย่างสมบูรณ์
    ใช้ในระบบที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น รถยนต์อัจฉริยะและหุ่นยนต์ผ่าตัด
    CES 2025 เปิดตัวรีแบรนด์ QNX ภายใต้ BlackBerry
    เน้นการสร้างชุมชน QNX Everywhere และการสนับสนุนระบบคลาวด์
    เปิดให้ใช้งานซอฟต์แวร์พื้นฐานฟรีสำหรับการเรียนรู้แบบไม่เชิงพาณิชย์
    ส่งทีมผู้เชี่ยวชาญเข้าไปสนับสนุนใน GitHub, GitLab, Reddit และ Stack Overflow

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    QNX เคยออกเดโมที่รัน GUI, TCP/IP, และเว็บเบราว์เซอร์บนแผ่นฟลอปปี้ขนาด 1.44MB
    ใช้ในระบบควบคุมรถไฟ, เครื่องมือแพทย์, และระบบอัตโนมัติในโรงงาน
    เป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งของ Eclipse IDE Consortium
    มี GUI ชื่อ Photon microGUI ที่ออกแบบมาให้ฝังในระบบได้ง่าย
    QNX ได้รับการยอมรับในวงการอุตสาหกรรมว่า “ไม่ล้ม” แม้ในสภาพแวดล้อมที่โหดที่สุด

    https://www.abortretry.fail/p/the-qnx-operating-system
    🧩 “QNX ระบบปฏิบัติการที่ไม่เคยล้ม — จากไมโครเคอร์เนลสู่หัวใจของรถยนต์อัจฉริยะและหุ่นยนต์ผ่าตัด” QNX คือระบบปฏิบัติการแบบเรียลไทม์ (RTOS) ที่ถูกพัฒนาขึ้นตั้งแต่ปี 1980 โดยสองนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยวอเตอร์ลู ประเทศแคนาดา ซึ่งมองเห็นช่องว่างในตลาดสำหรับระบบที่มีความแม่นยำสูงและไม่ล้มง่าย โดยเริ่มต้นจากชื่อ QUNIX ก่อนจะเปลี่ยนเป็น QNX เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางเครื่องหมายการค้า จุดเด่นของ QNX คือการออกแบบแบบ “ไมโครเคอร์เนล” ซึ่งหมายถึงการแยกบริการต่าง ๆ เช่น ไดรเวอร์ ระบบไฟล์ และโปรโตคอลเครือข่ายออกจากเคอร์เนลหลัก ทำให้ระบบมีความเสถียรสูง หากส่วนใดส่วนหนึ่งล้ม ก็ไม่กระทบกับระบบทั้งหมด ในช่วงปี 2000 QNX ได้พัฒนาเวอร์ชันใหม่ชื่อ “Neutrino” ที่รองรับการทำงานแบบ symmetric multiprocessing (SMP) และเข้ากับมาตรฐาน POSIX ได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้สามารถนำไปใช้ในงานที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น ระบบควบคุมรถยนต์ หุ่นยนต์ผ่าตัด และระบบอุตสาหกรรม ล่าสุดในงาน CES 2025 QNX ได้เปิดตัวโฉมใหม่ภายใต้การรีแบรนด์จาก BlackBerry โดยเน้น 3 แนวทางหลัก: 🔰 การสร้างชุมชนนักพัฒนา (QNX Everywhere) 🔰 การออกแบบเพื่อระบบคลาวด์ 🔰 การลดความซับซ้อนของระบบที่มีความสำคัญระดับชีวิต QNX ยังประกาศเปิดให้ใช้งานซอฟต์แวร์พื้นฐานฟรีสำหรับการเรียนรู้และการทดลองแบบไม่เชิงพาณิชย์ พร้อมส่งทีมผู้เชี่ยวชาญเข้าไปมีส่วนร่วมใน GitHub, GitLab, Reddit และ Stack Overflow เพื่อสนับสนุนนักพัฒนาโดยตรง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ QNX เป็นระบบปฏิบัติการแบบเรียลไทม์ที่พัฒนาโดย Quantum Software Systems ในปี 1980 ➡️ ใช้สถาปัตยกรรมไมโครเคอร์เนลเพื่อเพิ่มความเสถียรและความปลอดภัย ➡️ เวอร์ชัน Neutrino รองรับ SMP และ POSIX API อย่างสมบูรณ์ ➡️ ใช้ในระบบที่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น รถยนต์อัจฉริยะและหุ่นยนต์ผ่าตัด ➡️ CES 2025 เปิดตัวรีแบรนด์ QNX ภายใต้ BlackBerry ➡️ เน้นการสร้างชุมชน QNX Everywhere และการสนับสนุนระบบคลาวด์ ➡️ เปิดให้ใช้งานซอฟต์แวร์พื้นฐานฟรีสำหรับการเรียนรู้แบบไม่เชิงพาณิชย์ ➡️ ส่งทีมผู้เชี่ยวชาญเข้าไปสนับสนุนใน GitHub, GitLab, Reddit และ Stack Overflow ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ QNX เคยออกเดโมที่รัน GUI, TCP/IP, และเว็บเบราว์เซอร์บนแผ่นฟลอปปี้ขนาด 1.44MB ➡️ ใช้ในระบบควบคุมรถไฟ, เครื่องมือแพทย์, และระบบอัตโนมัติในโรงงาน ➡️ เป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งของ Eclipse IDE Consortium ➡️ มี GUI ชื่อ Photon microGUI ที่ออกแบบมาให้ฝังในระบบได้ง่าย ➡️ QNX ได้รับการยอมรับในวงการอุตสาหกรรมว่า “ไม่ล้ม” แม้ในสภาพแวดล้อมที่โหดที่สุด https://www.abortretry.fail/p/the-qnx-operating-system
    WWW.ABORTRETRY.FAIL
    The QNX Operating System
    Quantum Software and the microkernel UNIX
    0 Comments 0 Shares 209 Views 0 Reviews
  • “เครื่องกระตุ้นหัวใจที่ช่วยชีวิตคนนับล้าน — เกิดจากความผิดพลาดที่เปลี่ยนโลกการแพทย์ไปตลอดกาล”

    ทุกวันนี้ เครื่องกระตุ้นหัวใจ (pacemaker) มีขนาดเล็กเท่ากล่องไม้ขีด และบางรุ่นในอนาคตอาจเล็กกว่าข้าวเม็ดเดียว โดยสามารถใช้งานได้นานถึง 10–15 ปี ปรับจังหวะการเต้นของหัวใจตามกิจกรรมของผู้ป่วย และส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์ผ่านอินเทอร์เน็ตไปยังแพทย์โดยไม่ต้องเข้ารพ. ซึ่งในอนาคตอันใกล้ อุปกรณ์เหล่านี้อาจใช้ AI เพื่อคาดการณ์ภาวะแทรกซ้อนล่วงหน้า หรือปรับอัลกอริธึมการกระตุ้นให้เหมาะกับหัวใจแต่ละคน

    แต่จุดเริ่มต้นของเทคโนโลยีนี้กลับไม่ได้เกิดจากการวางแผนอย่างเป็นระบบ หากแต่เป็น “ความผิดพลาดที่โชคดี” ของวิศวกรไฟฟ้าชื่อ Wilson Greatbatch ในปี 1958 ขณะกำลังสร้างอุปกรณ์บันทึกคลื่นหัวใจ เขาหยิบตัวต้านทานผิดค่า ทำให้วงจรปล่อยสัญญาณไฟฟ้าเป็นจังหวะคล้ายการเต้นของหัวใจ เมื่อทดลองกับหัวใจสุนัข มันทำงานได้อย่างสมบูรณ์ และในปี 1960 ก็มีการปลูกถ่ายเครื่องรุ่นแรกให้กับผู้ป่วยวัย 77 ปี ซึ่งมีชีวิตต่ออีก 2 ปี

    ก่อนหน้านั้น เครื่องกระตุ้นหัวใจมีขนาดเท่าตู้ข้างเตียง ต้องเสียบปลั๊กไฟบ้าน และหากไฟดับก็หยุดทำงานทันที ต่อมา Earl Bakken ได้พัฒนาเครื่องรุ่นพกพาใช้แบตเตอรี่ ซึ่งผู้ป่วยต้องคล้องคอไว้และมีสายไฟเชื่อมผ่านหน้าอกจากการผ่าตัดหัวใจ แม้จะเป็นก้าวสำคัญ แต่ก็ยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากสายภายนอก

    การค้นพบของ Greatbatch จึงเป็นจุดเปลี่ยนที่แท้จริง เพราะเป็นครั้งแรกที่เครื่องกระตุ้นหัวใจสามารถฝังในร่างกายได้ แม้จะยังมีปัญหาเรื่องแบตเตอรี่และวัสดุห่อหุ้ม แต่ก็เปิดทางให้วิศวกรและแพทย์ทั่วโลกพัฒนาต่อเนื่องจนกลายเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยชีวิตผู้คนกว่า 3 ล้านรายทั่วโลก และมีการปลูกถ่ายใหม่ราว 600,000 เครื่องต่อปี

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    เครื่องกระตุ้นหัวใจรุ่นใหม่มีขนาดเล็ก ใช้งานได้นาน 10–15 ปี
    สามารถปรับจังหวะตามกิจกรรม และส่งข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตแบบเรียลไทม์
    อนาคตอาจใช้ AI เพื่อคาดการณ์ภาวะแทรกซ้อนและปรับอัลกอริธึมเฉพาะบุคคล
    เครื่องรุ่นแรกเกิดจากความผิดพลาดของ Wilson Greatbatch ในปี 1958
    ใช้ตัวต้านทานผิดค่า ทำให้วงจรปล่อยสัญญาณคล้ายหัวใจเต้น
    ทดลองกับหัวใจสุนัขแล้วได้ผลดี และปลูกถ่ายให้ผู้ป่วยในปี 1960
    ก่อนหน้านั้น เครื่องรุ่นเก่ามีขนาดใหญ่ ต้องเสียบปลั๊ก และไม่เสถียร
    Earl Bakken พัฒนาเครื่องพกพาใช้แบตเตอรี่ แต่ยังมีสายภายนอก
    ปัจจุบันมีผู้ใช้งานกว่า 3 ล้านรายทั่วโลก และปลูกถ่ายใหม่ปีละ 600,000 เครื่อง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Wilson Greatbatch ได้รับสิทธิบัตรเครื่องกระตุ้นหัวใจในปี 1960 และมีสิทธิบัตรรวมกว่า 325 รายการ
    เขายังพัฒนาแบตเตอรี่ลิเธียมชนิดพิเศษที่ทนต่อการกัดกร่อนเพื่อใช้ใน pacemaker
    ในปี 1985 อุปกรณ์นี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ทางวิศวกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบ 50 ปี
    ระบบไฟฟ้าของหัวใจมาจาก “ไซนัสโนด” ซึ่งทำหน้าที่เป็น pacemaker ธรรมชาติ
    ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (arrhythmia) ส่งผลต่อผู้ใหญ่ 1 ใน 18 คนในสหรัฐฯ

    https://www.slashgear.com/1984002/how-important-medical-technology-invented-by-accident-pacemaker/
    ❤️ “เครื่องกระตุ้นหัวใจที่ช่วยชีวิตคนนับล้าน — เกิดจากความผิดพลาดที่เปลี่ยนโลกการแพทย์ไปตลอดกาล” ทุกวันนี้ เครื่องกระตุ้นหัวใจ (pacemaker) มีขนาดเล็กเท่ากล่องไม้ขีด และบางรุ่นในอนาคตอาจเล็กกว่าข้าวเม็ดเดียว โดยสามารถใช้งานได้นานถึง 10–15 ปี ปรับจังหวะการเต้นของหัวใจตามกิจกรรมของผู้ป่วย และส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์ผ่านอินเทอร์เน็ตไปยังแพทย์โดยไม่ต้องเข้ารพ. ซึ่งในอนาคตอันใกล้ อุปกรณ์เหล่านี้อาจใช้ AI เพื่อคาดการณ์ภาวะแทรกซ้อนล่วงหน้า หรือปรับอัลกอริธึมการกระตุ้นให้เหมาะกับหัวใจแต่ละคน แต่จุดเริ่มต้นของเทคโนโลยีนี้กลับไม่ได้เกิดจากการวางแผนอย่างเป็นระบบ หากแต่เป็น “ความผิดพลาดที่โชคดี” ของวิศวกรไฟฟ้าชื่อ Wilson Greatbatch ในปี 1958 ขณะกำลังสร้างอุปกรณ์บันทึกคลื่นหัวใจ เขาหยิบตัวต้านทานผิดค่า ทำให้วงจรปล่อยสัญญาณไฟฟ้าเป็นจังหวะคล้ายการเต้นของหัวใจ เมื่อทดลองกับหัวใจสุนัข มันทำงานได้อย่างสมบูรณ์ และในปี 1960 ก็มีการปลูกถ่ายเครื่องรุ่นแรกให้กับผู้ป่วยวัย 77 ปี ซึ่งมีชีวิตต่ออีก 2 ปี ก่อนหน้านั้น เครื่องกระตุ้นหัวใจมีขนาดเท่าตู้ข้างเตียง ต้องเสียบปลั๊กไฟบ้าน และหากไฟดับก็หยุดทำงานทันที ต่อมา Earl Bakken ได้พัฒนาเครื่องรุ่นพกพาใช้แบตเตอรี่ ซึ่งผู้ป่วยต้องคล้องคอไว้และมีสายไฟเชื่อมผ่านหน้าอกจากการผ่าตัดหัวใจ แม้จะเป็นก้าวสำคัญ แต่ก็ยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากสายภายนอก การค้นพบของ Greatbatch จึงเป็นจุดเปลี่ยนที่แท้จริง เพราะเป็นครั้งแรกที่เครื่องกระตุ้นหัวใจสามารถฝังในร่างกายได้ แม้จะยังมีปัญหาเรื่องแบตเตอรี่และวัสดุห่อหุ้ม แต่ก็เปิดทางให้วิศวกรและแพทย์ทั่วโลกพัฒนาต่อเนื่องจนกลายเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยชีวิตผู้คนกว่า 3 ล้านรายทั่วโลก และมีการปลูกถ่ายใหม่ราว 600,000 เครื่องต่อปี ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ เครื่องกระตุ้นหัวใจรุ่นใหม่มีขนาดเล็ก ใช้งานได้นาน 10–15 ปี ➡️ สามารถปรับจังหวะตามกิจกรรม และส่งข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตแบบเรียลไทม์ ➡️ อนาคตอาจใช้ AI เพื่อคาดการณ์ภาวะแทรกซ้อนและปรับอัลกอริธึมเฉพาะบุคคล ➡️ เครื่องรุ่นแรกเกิดจากความผิดพลาดของ Wilson Greatbatch ในปี 1958 ➡️ ใช้ตัวต้านทานผิดค่า ทำให้วงจรปล่อยสัญญาณคล้ายหัวใจเต้น ➡️ ทดลองกับหัวใจสุนัขแล้วได้ผลดี และปลูกถ่ายให้ผู้ป่วยในปี 1960 ➡️ ก่อนหน้านั้น เครื่องรุ่นเก่ามีขนาดใหญ่ ต้องเสียบปลั๊ก และไม่เสถียร ➡️ Earl Bakken พัฒนาเครื่องพกพาใช้แบตเตอรี่ แต่ยังมีสายภายนอก ➡️ ปัจจุบันมีผู้ใช้งานกว่า 3 ล้านรายทั่วโลก และปลูกถ่ายใหม่ปีละ 600,000 เครื่อง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Wilson Greatbatch ได้รับสิทธิบัตรเครื่องกระตุ้นหัวใจในปี 1960 และมีสิทธิบัตรรวมกว่า 325 รายการ ➡️ เขายังพัฒนาแบตเตอรี่ลิเธียมชนิดพิเศษที่ทนต่อการกัดกร่อนเพื่อใช้ใน pacemaker ➡️ ในปี 1985 อุปกรณ์นี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ทางวิศวกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบ 50 ปี ➡️ ระบบไฟฟ้าของหัวใจมาจาก “ไซนัสโนด” ซึ่งทำหน้าที่เป็น pacemaker ธรรมชาติ ➡️ ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (arrhythmia) ส่งผลต่อผู้ใหญ่ 1 ใน 18 คนในสหรัฐฯ https://www.slashgear.com/1984002/how-important-medical-technology-invented-by-accident-pacemaker/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This Medical Device Can Extend People's Lives (And Was Invented Entirely By Accident) - SlashGear
    A total accident led to the discovery of a medical device that's helped extend people's lives and get a vital organ back on track. Here's how it happened.
    0 Comments 0 Shares 164 Views 0 Reviews
  • “Jensen Huang ชี้ช่างไฟและช่างประปาจะเป็นฮีโร่แห่งยุค AI — เมื่อการสร้างศูนย์ข้อมูลกลายเป็นภารกิจระดับชาติ”

    ในขณะที่หลายคนกังวลว่า AI จะเข้ามาแทนที่งานมนุษย์ Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia กลับมองต่างออกไป เขาเชื่อว่า “งานช่างฝีมือ” อย่างช่างไฟฟ้าและช่างประปาจะกลายเป็นกลุ่มอาชีพที่มีความต้องการสูงที่สุดในยุค AI โดยเฉพาะในช่วงที่โลกกำลังเร่งสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดมหึมาเพื่อรองรับการประมวลผลของโมเดลอัจฉริยะ

    Huang กล่าวในบทสัมภาษณ์กับ Channel 4 News ว่า “เราจะต้องการช่างไฟฟ้า ช่างประปา และช่างไม้เป็นจำนวนหลายแสนคน เพื่อสร้างโรงงานและศูนย์ข้อมูลเหล่านี้” พร้อมย้ำว่าเศรษฐกิจทุกประเทศจะเห็นการเติบโตของภาคแรงงานฝีมืออย่างชัดเจน

    การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ไม่ใช่เรื่องเล็ก — Huang ระบุว่าการลงทุนจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวทุกปี และจะดำเนินต่อเนื่องไปอีกเป็นทศวรรษ โดยเฉพาะในสหราชอาณาจักรที่เขาเชื่อว่าจะกลายเป็นศูนย์กลางของการขยายโครงสร้าง AI

    ไม่ใช่แค่ Huang ที่มองเห็นปัญหานี้ Larry Fink ซีอีโอของ BlackRock ก็เคยเตือนว่า “เรากำลังจะขาดช่างไฟฟ้าอย่างรุนแรง” และ Brad Smith จาก Microsoft ก็ชี้ว่าการขยายศูนย์ข้อมูลในสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับวิกฤตแรงงานฝีมืออย่างหนัก

    เพื่อแก้ปัญหา Google ได้ลงทุนหลายล้านดอลลาร์ในโครงการฝึกอบรมช่างไฟฟ้า โดยมีเป้าหมายผลิตแรงงานใหม่กว่า 130,000 คนภายในไม่กี่ปีข้างหน้า ขณะที่การวิเคราะห์จาก CSIS ระบุว่า สหรัฐฯ ต้องการแรงงานฝีมือเพิ่มอีกกว่า 140,000 คนภายในปี 2030 ซึ่งไม่สามารถบรรลุได้หากไม่ปรับปรุงระบบการฝึกอบรมและการออกใบอนุญาต

    แม้จะมีคำเตือนจากหลายฝ่ายว่า AI จะทำให้พนักงานออฟฟิศจำนวนมากตกงาน แต่ Huang กลับมองว่า “คนจะไม่ถูกแทนที่ด้วย AI แต่จะถูกแทนที่ด้วยคนที่ใช้ AI ได้” และหากเขาอายุ 20 ปีอีกครั้ง เขาจะเลือกเรียนสายวิทยาศาสตร์กายภาพมากกว่าวิทยาการคอมพิวเตอร์

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Jensen Huang เชื่อว่าช่างไฟฟ้าและช่างประปาจะเป็นอาชีพที่เติบโตมากที่สุดในยุค AI
    การสร้างศูนย์ข้อมูลต้องใช้แรงงานฝีมือหลายแสนคนทั่วโลก
    การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวทุกปี
    สหราชอาณาจักรจะเป็นศูนย์กลางการขยายโครงสร้าง AI ในทศวรรษหน้า
    Larry Fink และ Brad Smith เตือนถึงวิกฤตแรงงานฝีมือในสหรัฐฯ
    Google ลงทุนฝึกอบรมช่างไฟฟ้า 130,000 คนเพื่อรองรับความต้องการ
    CSIS ระบุว่าต้องเพิ่มแรงงานฝีมืออีก 140,000 คนภายในปี 2030
    Huang มองว่า AI จะเปลี่ยนทุกงาน แต่คนที่ใช้ AI ได้จะเป็นผู้ได้เปรียบ
    เขาแนะนำให้คนรุ่นใหม่หันไปเรียนสายวิทยาศาสตร์กายภาพ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การสร้างศูนย์ข้อมูลขนาด 250,000 ตารางฟุตต้องใช้แรงงานก่อสร้างถึง 1,500 คน
    งานช่างฝีมือในศูนย์ข้อมูลมีรายได้เฉลี่ยมากกว่า $100,000 ต่อปี
    การขาดแรงงานฝีมือเกิดจากการลดการฝึกอบรมและนโยบายตรวจคนเข้าเมืองที่เข้มงวด
    การขยายศูนย์ข้อมูลทั่วโลกอาจใช้เงินลงทุนรวมกว่า $7 ล้านล้านภายในปี 2030
    การสร้างงานในศูนย์ข้อมูลหนึ่งแห่งสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรอบได้ถึง 3.5 เท่า

    https://www.slashgear.com/1987555/nvidia-ceo-ai-trade-jobs-electrians-plumbers/
    🔧 “Jensen Huang ชี้ช่างไฟและช่างประปาจะเป็นฮีโร่แห่งยุค AI — เมื่อการสร้างศูนย์ข้อมูลกลายเป็นภารกิจระดับชาติ” ในขณะที่หลายคนกังวลว่า AI จะเข้ามาแทนที่งานมนุษย์ Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia กลับมองต่างออกไป เขาเชื่อว่า “งานช่างฝีมือ” อย่างช่างไฟฟ้าและช่างประปาจะกลายเป็นกลุ่มอาชีพที่มีความต้องการสูงที่สุดในยุค AI โดยเฉพาะในช่วงที่โลกกำลังเร่งสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดมหึมาเพื่อรองรับการประมวลผลของโมเดลอัจฉริยะ Huang กล่าวในบทสัมภาษณ์กับ Channel 4 News ว่า “เราจะต้องการช่างไฟฟ้า ช่างประปา และช่างไม้เป็นจำนวนหลายแสนคน เพื่อสร้างโรงงานและศูนย์ข้อมูลเหล่านี้” พร้อมย้ำว่าเศรษฐกิจทุกประเทศจะเห็นการเติบโตของภาคแรงงานฝีมืออย่างชัดเจน การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ไม่ใช่เรื่องเล็ก — Huang ระบุว่าการลงทุนจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวทุกปี และจะดำเนินต่อเนื่องไปอีกเป็นทศวรรษ โดยเฉพาะในสหราชอาณาจักรที่เขาเชื่อว่าจะกลายเป็นศูนย์กลางของการขยายโครงสร้าง AI ไม่ใช่แค่ Huang ที่มองเห็นปัญหานี้ Larry Fink ซีอีโอของ BlackRock ก็เคยเตือนว่า “เรากำลังจะขาดช่างไฟฟ้าอย่างรุนแรง” และ Brad Smith จาก Microsoft ก็ชี้ว่าการขยายศูนย์ข้อมูลในสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับวิกฤตแรงงานฝีมืออย่างหนัก เพื่อแก้ปัญหา Google ได้ลงทุนหลายล้านดอลลาร์ในโครงการฝึกอบรมช่างไฟฟ้า โดยมีเป้าหมายผลิตแรงงานใหม่กว่า 130,000 คนภายในไม่กี่ปีข้างหน้า ขณะที่การวิเคราะห์จาก CSIS ระบุว่า สหรัฐฯ ต้องการแรงงานฝีมือเพิ่มอีกกว่า 140,000 คนภายในปี 2030 ซึ่งไม่สามารถบรรลุได้หากไม่ปรับปรุงระบบการฝึกอบรมและการออกใบอนุญาต แม้จะมีคำเตือนจากหลายฝ่ายว่า AI จะทำให้พนักงานออฟฟิศจำนวนมากตกงาน แต่ Huang กลับมองว่า “คนจะไม่ถูกแทนที่ด้วย AI แต่จะถูกแทนที่ด้วยคนที่ใช้ AI ได้” และหากเขาอายุ 20 ปีอีกครั้ง เขาจะเลือกเรียนสายวิทยาศาสตร์กายภาพมากกว่าวิทยาการคอมพิวเตอร์ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Jensen Huang เชื่อว่าช่างไฟฟ้าและช่างประปาจะเป็นอาชีพที่เติบโตมากที่สุดในยุค AI ➡️ การสร้างศูนย์ข้อมูลต้องใช้แรงงานฝีมือหลายแสนคนทั่วโลก ➡️ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวทุกปี ➡️ สหราชอาณาจักรจะเป็นศูนย์กลางการขยายโครงสร้าง AI ในทศวรรษหน้า ➡️ Larry Fink และ Brad Smith เตือนถึงวิกฤตแรงงานฝีมือในสหรัฐฯ ➡️ Google ลงทุนฝึกอบรมช่างไฟฟ้า 130,000 คนเพื่อรองรับความต้องการ ➡️ CSIS ระบุว่าต้องเพิ่มแรงงานฝีมืออีก 140,000 คนภายในปี 2030 ➡️ Huang มองว่า AI จะเปลี่ยนทุกงาน แต่คนที่ใช้ AI ได้จะเป็นผู้ได้เปรียบ ➡️ เขาแนะนำให้คนรุ่นใหม่หันไปเรียนสายวิทยาศาสตร์กายภาพ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การสร้างศูนย์ข้อมูลขนาด 250,000 ตารางฟุตต้องใช้แรงงานก่อสร้างถึง 1,500 คน ➡️ งานช่างฝีมือในศูนย์ข้อมูลมีรายได้เฉลี่ยมากกว่า $100,000 ต่อปี ➡️ การขาดแรงงานฝีมือเกิดจากการลดการฝึกอบรมและนโยบายตรวจคนเข้าเมืองที่เข้มงวด ➡️ การขยายศูนย์ข้อมูลทั่วโลกอาจใช้เงินลงทุนรวมกว่า $7 ล้านล้านภายในปี 2030 ➡️ การสร้างงานในศูนย์ข้อมูลหนึ่งแห่งสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรอบได้ถึง 3.5 เท่า https://www.slashgear.com/1987555/nvidia-ceo-ai-trade-jobs-electrians-plumbers/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Nvidia CEO Says These Two Trade Jobs Will Be Crucial To The AI Boom - SlashGear
    Nvidia CEO Jensen Huang says trades like electricians and plumbers will be crucial in building the data center infrastructure behind the AI boom.
    0 Comments 0 Shares 221 Views 0 Reviews
  • “CEO ใหญ่ชี้ AI จะนำไปสู่การทำงานแค่ 3 วันต่อสัปดาห์ — แต่คำถามคือ ใครจะได้ประโยชน์จริง?”

    ในยุคที่ AI กำลังเปลี่ยนโฉมโลกการทำงานอย่างรวดเร็ว บรรดาผู้นำเทคโนโลยีระดับโลกต่างออกมาแสดงความเห็นว่า “การทำงาน 3 วันต่อสัปดาห์” อาจกลายเป็นความจริงในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะเมื่อ AI เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดงานซ้ำซ้อน และปลดล็อกเวลาส่วนตัวให้กับมนุษย์

    Eric Yuan ซีอีโอของ Zoom กล่าวกับ New York Times ว่า “ทุกบริษัทจะสนับสนุนการทำงาน 3 หรือ 4 วันต่อสัปดาห์” เพราะ AI จะช่วยให้ทุกคนมีเวลามากขึ้น ขณะที่ Bill Gates ก็เคยพูดในหลายเวทีว่า AI อาจทำให้มนุษย์ไม่ต้องทำงานเต็มสัปดาห์อีกต่อไป แม้จะเตือนว่าอาชีพที่เคยคิดว่า AI ทำแทนไม่ได้ เช่น แพทย์หรือครู ก็อาจถูกแทนที่ได้

    Jensen Huang จาก Nvidia เปรียบ AI กับการปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยเชื่อว่ามันจะเปลี่ยนพฤติกรรมทางสังคม และอาจนำไปสู่การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ ส่วน Jamie Dimon จาก JPMorgan และ Bernie Sanders ก็เคยพูดถึงแนวโน้มนี้เช่นกัน

    แต่ในอีกด้านหนึ่ง หลายงานวิจัยกลับตั้งคำถามว่า AI จะเพิ่มประสิทธิภาพจริงหรือไม่ เช่น รายงานจาก McKinsey พบว่า 80% ของบริษัทที่ใช้ AI ยังไม่สามารถเพิ่มกำไรได้ และ MIT ระบุว่า 95% ของโครงการ AI ในองค์กรล้มเหลว ขณะที่พนักงานจำนวนมากรู้สึกเบื่อหน่ายและหมดแรงจากการต้องแก้ “งานที่ AI ทำผิด” หรือที่เรียกว่า “AI Workslop”

    แม้จะมีความหวังเรื่องการลดวันทำงาน แต่ก็มีคำถามว่า AI จะลดชั่วโมงทำงาน หรือจะลดจำนวนพนักงานกันแน่ เพราะมีบริษัทอย่าง Klarna ที่ปลดพนักงานจำนวนมากเพื่อใช้ AI แทน ก่อนจะพบปัญหาคุณภาพและต้องถอยกลับ ขณะที่ IBM เลิกจ้างฝ่าย HR แต่จ้างเพิ่มในสายงานโปรแกรมเมอร์และฝ่ายขาย

    สุดท้ายแล้ว คำถามสำคัญคือ: AI จะช่วยให้เราทำงานน้อยลง หรือแค่ทำให้เราทำงานหนักขึ้นในเวลาที่สั้นลง?

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Eric Yuan (Zoom) เชื่อว่าทุกบริษัทจะสนับสนุนการทำงาน 3–4 วันต่อสัปดาห์
    Bill Gates เคยพูดว่า AI อาจทำให้มนุษย์ทำงานแค่ 3 วันต่อสัปดาห์
    Jensen Huang (Nvidia) เปรียบ AI กับการปฏิวัติอุตสาหกรรม และเชื่อว่าจะเปลี่ยนพฤติกรรมสังคม
    Jamie Dimon และ Bernie Sanders ก็เคยพูดถึงแนวโน้มการลดวันทำงาน
    รายงานจาก McKinsey พบว่า 80% ของบริษัทที่ใช้ AI ยังไม่เพิ่มกำไร
    MIT ระบุว่า 95% ของโครงการ AI ในองค์กรล้มเหลว
    พนักงานบางส่วนรู้สึกเบื่อและหมดแรงจากการแก้งานที่ AI ทำผิด
    Klarna ปลดพนักงานจำนวนมากเพื่อใช้ AI ก่อนจะพบปัญหาคุณภาพ
    IBM เลิกจ้างฝ่าย HR แต่จ้างเพิ่มในสายงานเทคโนโลยี
    รายงานจาก Tech.co ระบุว่า 93% ของบริษัทที่ใช้ AI เปิดรับแนวคิดการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การทดลองทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ในหลายประเทศพบว่าพนักงานมีความสุขและประสิทธิภาพดีขึ้น
    AI สามารถช่วยลดงานซ้ำซ้อน เช่น การจัดการเอกสาร การตอบอีเมล หรือการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น
    แนวคิด “digital twin” อาจช่วยให้พนักงานมีตัวแทน AI ทำงานแทนในบางส่วน
    การลดวันทำงานอาจช่วยลดภาวะหมดไฟ (burnout) และเพิ่มคุณภาพชีวิต
    การใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยการฝึกอบรมและการปรับโครงสร้างองค์กร

    https://www.slashgear.com/1984496/eric-yuan-bill-gates-ceo-three-day-work-week-thanks-to-ai/
    🧠 “CEO ใหญ่ชี้ AI จะนำไปสู่การทำงานแค่ 3 วันต่อสัปดาห์ — แต่คำถามคือ ใครจะได้ประโยชน์จริง?” ในยุคที่ AI กำลังเปลี่ยนโฉมโลกการทำงานอย่างรวดเร็ว บรรดาผู้นำเทคโนโลยีระดับโลกต่างออกมาแสดงความเห็นว่า “การทำงาน 3 วันต่อสัปดาห์” อาจกลายเป็นความจริงในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะเมื่อ AI เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดงานซ้ำซ้อน และปลดล็อกเวลาส่วนตัวให้กับมนุษย์ Eric Yuan ซีอีโอของ Zoom กล่าวกับ New York Times ว่า “ทุกบริษัทจะสนับสนุนการทำงาน 3 หรือ 4 วันต่อสัปดาห์” เพราะ AI จะช่วยให้ทุกคนมีเวลามากขึ้น ขณะที่ Bill Gates ก็เคยพูดในหลายเวทีว่า AI อาจทำให้มนุษย์ไม่ต้องทำงานเต็มสัปดาห์อีกต่อไป แม้จะเตือนว่าอาชีพที่เคยคิดว่า AI ทำแทนไม่ได้ เช่น แพทย์หรือครู ก็อาจถูกแทนที่ได้ Jensen Huang จาก Nvidia เปรียบ AI กับการปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยเชื่อว่ามันจะเปลี่ยนพฤติกรรมทางสังคม และอาจนำไปสู่การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ ส่วน Jamie Dimon จาก JPMorgan และ Bernie Sanders ก็เคยพูดถึงแนวโน้มนี้เช่นกัน แต่ในอีกด้านหนึ่ง หลายงานวิจัยกลับตั้งคำถามว่า AI จะเพิ่มประสิทธิภาพจริงหรือไม่ เช่น รายงานจาก McKinsey พบว่า 80% ของบริษัทที่ใช้ AI ยังไม่สามารถเพิ่มกำไรได้ และ MIT ระบุว่า 95% ของโครงการ AI ในองค์กรล้มเหลว ขณะที่พนักงานจำนวนมากรู้สึกเบื่อหน่ายและหมดแรงจากการต้องแก้ “งานที่ AI ทำผิด” หรือที่เรียกว่า “AI Workslop” แม้จะมีความหวังเรื่องการลดวันทำงาน แต่ก็มีคำถามว่า AI จะลดชั่วโมงทำงาน หรือจะลดจำนวนพนักงานกันแน่ เพราะมีบริษัทอย่าง Klarna ที่ปลดพนักงานจำนวนมากเพื่อใช้ AI แทน ก่อนจะพบปัญหาคุณภาพและต้องถอยกลับ ขณะที่ IBM เลิกจ้างฝ่าย HR แต่จ้างเพิ่มในสายงานโปรแกรมเมอร์และฝ่ายขาย สุดท้ายแล้ว คำถามสำคัญคือ: AI จะช่วยให้เราทำงานน้อยลง หรือแค่ทำให้เราทำงานหนักขึ้นในเวลาที่สั้นลง? ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Eric Yuan (Zoom) เชื่อว่าทุกบริษัทจะสนับสนุนการทำงาน 3–4 วันต่อสัปดาห์ ➡️ Bill Gates เคยพูดว่า AI อาจทำให้มนุษย์ทำงานแค่ 3 วันต่อสัปดาห์ ➡️ Jensen Huang (Nvidia) เปรียบ AI กับการปฏิวัติอุตสาหกรรม และเชื่อว่าจะเปลี่ยนพฤติกรรมสังคม ➡️ Jamie Dimon และ Bernie Sanders ก็เคยพูดถึงแนวโน้มการลดวันทำงาน ➡️ รายงานจาก McKinsey พบว่า 80% ของบริษัทที่ใช้ AI ยังไม่เพิ่มกำไร ➡️ MIT ระบุว่า 95% ของโครงการ AI ในองค์กรล้มเหลว ➡️ พนักงานบางส่วนรู้สึกเบื่อและหมดแรงจากการแก้งานที่ AI ทำผิด ➡️ Klarna ปลดพนักงานจำนวนมากเพื่อใช้ AI ก่อนจะพบปัญหาคุณภาพ ➡️ IBM เลิกจ้างฝ่าย HR แต่จ้างเพิ่มในสายงานเทคโนโลยี ➡️ รายงานจาก Tech.co ระบุว่า 93% ของบริษัทที่ใช้ AI เปิดรับแนวคิดการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การทดลองทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ในหลายประเทศพบว่าพนักงานมีความสุขและประสิทธิภาพดีขึ้น ➡️ AI สามารถช่วยลดงานซ้ำซ้อน เช่น การจัดการเอกสาร การตอบอีเมล หรือการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น ➡️ แนวคิด “digital twin” อาจช่วยให้พนักงานมีตัวแทน AI ทำงานแทนในบางส่วน ➡️ การลดวันทำงานอาจช่วยลดภาวะหมดไฟ (burnout) และเพิ่มคุณภาพชีวิต ➡️ การใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยการฝึกอบรมและการปรับโครงสร้างองค์กร https://www.slashgear.com/1984496/eric-yuan-bill-gates-ceo-three-day-work-week-thanks-to-ai/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    These Big Tech CEOs Think A 3-Day Work Week Is Coming, Thanks To AI - SlashGear
    AI promises productivity gains, and one way that could manifest is by shortening the work week. These tech CEOs think it'll happen, but others are skeptical.
    0 Comments 0 Shares 190 Views 0 Reviews
  • “Smart TV ไม่ได้ฉลาดตลอดไป ถ้าไม่อัปเดต — ช่องโหว่ความปลอดภัยที่คุณอาจมองข้าม”

    ในยุคที่โทรทัศน์กลายเป็นมากกว่าแค่จอภาพ Smart TV ได้กลายเป็นอุปกรณ์ที่มีระบบปฏิบัติการ หน่วยประมวลผล หน่วยความจำ และแอปพลิเคชันมากมาย ซึ่งหมายความว่า มันคือ “คอมพิวเตอร์ที่ดูหนังได้” และเช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง มันต้องการการอัปเดตซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอ

    หลายคนอาจคิดว่า Smart TV ไม่จำเป็นต้องอัปเดตบ่อย แต่ความจริงคือ การไม่อัปเดตอาจทำให้เกิดปัญหาตั้งแต่การทำงานช้า แอปค้าง ไปจนถึงการถูกโจมตีทางไซเบอร์ โดยเฉพาะเมื่อผู้ผลิตหยุดสนับสนุนซอฟต์แวร์ แม้ฮาร์ดแวร์ยังใช้งานได้ดีอยู่ก็ตาม

    รายงานจาก NETGEAR และ Bitdefender ในปี 2024 พบว่า Smart TV เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ IoT ที่ถูกโจมตีมากที่สุด โดยคิดเป็นเกือบหนึ่งในสามของอุปกรณ์ที่มีช่องโหว่ทั้งหมด สาเหตุหลักคือการใช้งานยาวนานและการหยุดอัปเดตจากผู้ผลิต

    Smart TV ที่ไม่ได้อัปเดตอาจถูกแฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัว เช่น อีเมล บัตรเครดิต หรือบัญชีสตรีมมิ่ง โดยเฉพาะหากมีการติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่เป็นทางการ หรือเชื่อมต่อกับเครือข่ายที่ไม่ปลอดภัย

    แม้การอัปเดตจะไม่เกิดขึ้นบ่อยเท่ากับสมาร์ทโฟน แต่ผู้ผลิตมักปล่อยแพตช์เล็ก ๆ ทุกไตรมาส และอัปเดตใหญ่ปีละครั้ง เช่น Android TV 14 ที่เปิดตัวในปี 2024 และเวอร์ชันถัดไปคาดว่าจะมาในปลายปี 2025 หรือต้นปี 2026

    ผู้ใช้สามารถตรวจสอบสถานะการอัปเดตได้จากเมนูตั้งค่าของทีวี และควรเปิดใช้งานการอัปเดตอัตโนมัติไว้เสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ยังปลอดภัยและทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Smart TV มีระบบปฏิบัติการและฟีเจอร์คล้ายคอมพิวเตอร์
    ต้องการการอัปเดตเพื่อแก้บั๊ก เพิ่มฟีเจอร์ และเสริมความปลอดภัย
    Android TV 14 เปิดตัวในปี 2024 และเวอร์ชันถัดไปคาดว่าจะมาในปี 2025–2026
    ผู้ผลิตปล่อยแพตช์เล็ก ๆ ทุกไตรมาส
    Smart TV มีอายุเฉลี่ยประมาณ 10 ปี แต่การสนับสนุนซอฟต์แวร์อาจสิ้นสุดก่อน
    ผู้ใช้สามารถเปิดหรือปิดการอัปเดตอัตโนมัติได้จากเมนูตั้งค่า
    การอัปเดตช่วยให้แอปทำงานได้ดีขึ้นและลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Smart TV บางรุ่นมีไมโครโฟนและกล้องในตัว ซึ่งอาจถูกใช้โจมตีได้
    ผู้ผลิตบางรายให้การสนับสนุนซอฟต์แวร์เพียง 2–3 ปีหลังเปิดตัว
    มีกรณีจริงที่แฮกเกอร์สามารถควบคุมทีวีจากระยะไกล เช่น เปลี่ยนช่องหรือเพิ่มเสียง
    FTC เคยปรับบริษัท Vizio ฐานเก็บข้อมูลผู้ใช้โดยไม่แจ้งล่วงหน้า
    การใช้รหัสผ่าน Wi-Fi ที่แข็งแรงและการตั้งค่าความปลอดภัยของเครือข่ายช่วยลดความเสี่ยง

    https://www.slashgear.com/1984686/smart-tvs-need-software-updates-reason-why-how-often/
    📺 “Smart TV ไม่ได้ฉลาดตลอดไป ถ้าไม่อัปเดต — ช่องโหว่ความปลอดภัยที่คุณอาจมองข้าม” ในยุคที่โทรทัศน์กลายเป็นมากกว่าแค่จอภาพ Smart TV ได้กลายเป็นอุปกรณ์ที่มีระบบปฏิบัติการ หน่วยประมวลผล หน่วยความจำ และแอปพลิเคชันมากมาย ซึ่งหมายความว่า มันคือ “คอมพิวเตอร์ที่ดูหนังได้” และเช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง มันต้องการการอัปเดตซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอ หลายคนอาจคิดว่า Smart TV ไม่จำเป็นต้องอัปเดตบ่อย แต่ความจริงคือ การไม่อัปเดตอาจทำให้เกิดปัญหาตั้งแต่การทำงานช้า แอปค้าง ไปจนถึงการถูกโจมตีทางไซเบอร์ โดยเฉพาะเมื่อผู้ผลิตหยุดสนับสนุนซอฟต์แวร์ แม้ฮาร์ดแวร์ยังใช้งานได้ดีอยู่ก็ตาม รายงานจาก NETGEAR และ Bitdefender ในปี 2024 พบว่า Smart TV เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ IoT ที่ถูกโจมตีมากที่สุด โดยคิดเป็นเกือบหนึ่งในสามของอุปกรณ์ที่มีช่องโหว่ทั้งหมด สาเหตุหลักคือการใช้งานยาวนานและการหยุดอัปเดตจากผู้ผลิต Smart TV ที่ไม่ได้อัปเดตอาจถูกแฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัว เช่น อีเมล บัตรเครดิต หรือบัญชีสตรีมมิ่ง โดยเฉพาะหากมีการติดตั้งแอปจากแหล่งที่ไม่เป็นทางการ หรือเชื่อมต่อกับเครือข่ายที่ไม่ปลอดภัย แม้การอัปเดตจะไม่เกิดขึ้นบ่อยเท่ากับสมาร์ทโฟน แต่ผู้ผลิตมักปล่อยแพตช์เล็ก ๆ ทุกไตรมาส และอัปเดตใหญ่ปีละครั้ง เช่น Android TV 14 ที่เปิดตัวในปี 2024 และเวอร์ชันถัดไปคาดว่าจะมาในปลายปี 2025 หรือต้นปี 2026 ผู้ใช้สามารถตรวจสอบสถานะการอัปเดตได้จากเมนูตั้งค่าของทีวี และควรเปิดใช้งานการอัปเดตอัตโนมัติไว้เสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ยังปลอดภัยและทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Smart TV มีระบบปฏิบัติการและฟีเจอร์คล้ายคอมพิวเตอร์ ➡️ ต้องการการอัปเดตเพื่อแก้บั๊ก เพิ่มฟีเจอร์ และเสริมความปลอดภัย ➡️ Android TV 14 เปิดตัวในปี 2024 และเวอร์ชันถัดไปคาดว่าจะมาในปี 2025–2026 ➡️ ผู้ผลิตปล่อยแพตช์เล็ก ๆ ทุกไตรมาส ➡️ Smart TV มีอายุเฉลี่ยประมาณ 10 ปี แต่การสนับสนุนซอฟต์แวร์อาจสิ้นสุดก่อน ➡️ ผู้ใช้สามารถเปิดหรือปิดการอัปเดตอัตโนมัติได้จากเมนูตั้งค่า ➡️ การอัปเดตช่วยให้แอปทำงานได้ดีขึ้นและลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Smart TV บางรุ่นมีไมโครโฟนและกล้องในตัว ซึ่งอาจถูกใช้โจมตีได้ ➡️ ผู้ผลิตบางรายให้การสนับสนุนซอฟต์แวร์เพียง 2–3 ปีหลังเปิดตัว ➡️ มีกรณีจริงที่แฮกเกอร์สามารถควบคุมทีวีจากระยะไกล เช่น เปลี่ยนช่องหรือเพิ่มเสียง ➡️ FTC เคยปรับบริษัท Vizio ฐานเก็บข้อมูลผู้ใช้โดยไม่แจ้งล่วงหน้า ➡️ การใช้รหัสผ่าน Wi-Fi ที่แข็งแรงและการตั้งค่าความปลอดภัยของเครือข่ายช่วยลดความเสี่ยง https://www.slashgear.com/1984686/smart-tvs-need-software-updates-reason-why-how-often/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Yes, Smart TVs Need Software Updates - Here's Why & How Often - SlashGear
    Smart TVs require regular software updates to patch security flaws, improve app compatibility, fix bugs, and add new features over time.
    0 Comments 0 Shares 185 Views 0 Reviews
  • “อัปเดต iOS ใหม่ทำ iPhone ช้าลงจริงหรือ? — คำตอบที่ไม่ง่าย และไม่ใช่แค่เรื่องสมมุติ”

    ทุกครั้งที่ Apple ปล่อยอัปเดต iOS ใหม่ คำถามที่วนกลับมาเสมอคือ “เครื่องจะช้าลงไหม?” โดยเฉพาะผู้ใช้ iPhone รุ่นเก่าที่รู้สึกว่าเครื่องอืดลงหลังอัปเดต ล่าสุด iOS 26 ก็ไม่พ้นข้อสงสัยนี้ และ Apple เองก็ออกเอกสารสนับสนุนเพื่ออธิบายอย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น

    Apple ยืนยันว่าไม่ได้ตั้งใจทำให้ iPhone ช้าลงเพื่อบังคับให้ผู้ใช้เปลี่ยนเครื่องใหม่ แต่ก็ยอมรับว่าการอัปเดตอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพและแบตเตอรี่ โดยเฉพาะในช่วงแรกหลังติดตั้ง เพราะระบบต้องทำงานเบื้องหลังจำนวนมาก เช่น การจัดทำดัชนีข้อมูล การอัปเดตแอป และการดาวน์โหลดไฟล์ใหม่ ซึ่งอาจทำให้เครื่องร้อนขึ้นและแบตเตอรี่หมดเร็วขึ้นชั่วคราว

    นอกจากนี้ ฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่เพิ่มเข้ามาใน iOS 26 เช่น Apple Intelligence หรือ Live Translation ก็ใช้ทรัพยากรเครื่องมากขึ้น โดยเฉพาะในรุ่นเก่าที่ฮาร์ดแวร์ไม่ทันสมัย ทำให้เกิดความรู้สึกว่าเครื่องช้าลง แม้ประสิทธิภาพของ CPU และ GPU จะยังคงเดิมก็ตาม

    Apple ยังเปิดให้ผู้ใช้ตรวจสอบสุขภาพแบตเตอรี่ และเลือกปิดระบบจัดการประสิทธิภาพได้เอง แต่ก็เตือนว่าอาจทำให้เครื่องดับโดยไม่คาดคิดหากแบตเตอรี่เสื่อมมาก

    สำหรับผู้ใช้ที่ไม่ต้องการฟีเจอร์ใหม่แต่ยังต้องการความปลอดภัย Apple ก็มีทางเลือกให้อัปเดตเวอร์ชันย่อย เช่น iOS 18.7 ที่ยังได้รับแพตช์ความปลอดภัยโดยไม่ต้องแบกรับฟีเจอร์หนัก ๆ ของเวอร์ชันล่าสุด

    สุดท้ายแล้ว การอัปเดตหรือไม่อัปเดตขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้ — ถ้าเน้นฟีเจอร์ใหม่ก็ต้องยอมรับความเสี่ยงเรื่องประสิทธิภาพ แต่ถ้าเน้นความเสถียร ก็อาจเลือกเวอร์ชันที่เบากว่า หรือเปลี่ยนแบตเตอรี่เพื่อยืดอายุเครื่อง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Apple ยืนยันว่าไม่ได้ตั้งใจทำให้ iPhone ช้าลงเพื่อบังคับให้เปลี่ยนเครื่อง
    การอัปเดต iOS อาจทำให้เครื่องช้าลงและแบตหมดเร็วในช่วงแรก
    ระบบต้องทำงานเบื้องหลัง เช่น indexing, อัปเดตแอป, ดาวน์โหลดไฟล์
    ฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 26 ใช้ทรัพยากรเครื่องมากขึ้น โดยเฉพาะในรุ่นเก่า
    Apple เปิดให้ผู้ใช้ตรวจสอบสุขภาพแบตเตอรี่และปิดระบบจัดการประสิทธิภาพได้
    มีทางเลือกให้อัปเดตเวอร์ชันย่อย เช่น iOS 18.7 เพื่อความเสถียร
    การเปลี่ยนแบตเตอรี่ช่วยยืดอายุเครื่องและคืนประสิทธิภาพ
    Benchmark พบว่า CPU และ GPU ยังทำงานใกล้เคียงเดิมในหลายรุ่น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Apple ระบุว่าอาการเครื่องช้าหลังอัปเดตเป็นเรื่องปกติและจะดีขึ้นภายใน 2–3 วัน
    iOS 26.1 อยู่ระหว่างการทดสอบ และจะเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใน AirPods และ Safari
    แอปโซเชียลในปี 2025 ใช้ทรัพยากรมากกว่าเดิม แม้เครื่องจะมีประสิทธิภาพเท่าเดิม
    การอัปเดตช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความเข้ากันได้กับแอปใหม่
    การไม่อัปเดตอาจทำให้เครื่องเสี่ยงต่อช่องโหว่ความปลอดภัย

    https://www.slashgear.com/1985799/do-apple-updates-make-your-iphone-slower/
    📱 “อัปเดต iOS ใหม่ทำ iPhone ช้าลงจริงหรือ? — คำตอบที่ไม่ง่าย และไม่ใช่แค่เรื่องสมมุติ” ทุกครั้งที่ Apple ปล่อยอัปเดต iOS ใหม่ คำถามที่วนกลับมาเสมอคือ “เครื่องจะช้าลงไหม?” โดยเฉพาะผู้ใช้ iPhone รุ่นเก่าที่รู้สึกว่าเครื่องอืดลงหลังอัปเดต ล่าสุด iOS 26 ก็ไม่พ้นข้อสงสัยนี้ และ Apple เองก็ออกเอกสารสนับสนุนเพื่ออธิบายอย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น Apple ยืนยันว่าไม่ได้ตั้งใจทำให้ iPhone ช้าลงเพื่อบังคับให้ผู้ใช้เปลี่ยนเครื่องใหม่ แต่ก็ยอมรับว่าการอัปเดตอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพและแบตเตอรี่ โดยเฉพาะในช่วงแรกหลังติดตั้ง เพราะระบบต้องทำงานเบื้องหลังจำนวนมาก เช่น การจัดทำดัชนีข้อมูล การอัปเดตแอป และการดาวน์โหลดไฟล์ใหม่ ซึ่งอาจทำให้เครื่องร้อนขึ้นและแบตเตอรี่หมดเร็วขึ้นชั่วคราว นอกจากนี้ ฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่เพิ่มเข้ามาใน iOS 26 เช่น Apple Intelligence หรือ Live Translation ก็ใช้ทรัพยากรเครื่องมากขึ้น โดยเฉพาะในรุ่นเก่าที่ฮาร์ดแวร์ไม่ทันสมัย ทำให้เกิดความรู้สึกว่าเครื่องช้าลง แม้ประสิทธิภาพของ CPU และ GPU จะยังคงเดิมก็ตาม Apple ยังเปิดให้ผู้ใช้ตรวจสอบสุขภาพแบตเตอรี่ และเลือกปิดระบบจัดการประสิทธิภาพได้เอง แต่ก็เตือนว่าอาจทำให้เครื่องดับโดยไม่คาดคิดหากแบตเตอรี่เสื่อมมาก สำหรับผู้ใช้ที่ไม่ต้องการฟีเจอร์ใหม่แต่ยังต้องการความปลอดภัย Apple ก็มีทางเลือกให้อัปเดตเวอร์ชันย่อย เช่น iOS 18.7 ที่ยังได้รับแพตช์ความปลอดภัยโดยไม่ต้องแบกรับฟีเจอร์หนัก ๆ ของเวอร์ชันล่าสุด สุดท้ายแล้ว การอัปเดตหรือไม่อัปเดตขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้ — ถ้าเน้นฟีเจอร์ใหม่ก็ต้องยอมรับความเสี่ยงเรื่องประสิทธิภาพ แต่ถ้าเน้นความเสถียร ก็อาจเลือกเวอร์ชันที่เบากว่า หรือเปลี่ยนแบตเตอรี่เพื่อยืดอายุเครื่อง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Apple ยืนยันว่าไม่ได้ตั้งใจทำให้ iPhone ช้าลงเพื่อบังคับให้เปลี่ยนเครื่อง ➡️ การอัปเดต iOS อาจทำให้เครื่องช้าลงและแบตหมดเร็วในช่วงแรก ➡️ ระบบต้องทำงานเบื้องหลัง เช่น indexing, อัปเดตแอป, ดาวน์โหลดไฟล์ ➡️ ฟีเจอร์ใหม่ใน iOS 26 ใช้ทรัพยากรเครื่องมากขึ้น โดยเฉพาะในรุ่นเก่า ➡️ Apple เปิดให้ผู้ใช้ตรวจสอบสุขภาพแบตเตอรี่และปิดระบบจัดการประสิทธิภาพได้ ➡️ มีทางเลือกให้อัปเดตเวอร์ชันย่อย เช่น iOS 18.7 เพื่อความเสถียร ➡️ การเปลี่ยนแบตเตอรี่ช่วยยืดอายุเครื่องและคืนประสิทธิภาพ ➡️ Benchmark พบว่า CPU และ GPU ยังทำงานใกล้เคียงเดิมในหลายรุ่น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Apple ระบุว่าอาการเครื่องช้าหลังอัปเดตเป็นเรื่องปกติและจะดีขึ้นภายใน 2–3 วัน ➡️ iOS 26.1 อยู่ระหว่างการทดสอบ และจะเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใน AirPods และ Safari ➡️ แอปโซเชียลในปี 2025 ใช้ทรัพยากรมากกว่าเดิม แม้เครื่องจะมีประสิทธิภาพเท่าเดิม ➡️ การอัปเดตช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความเข้ากันได้กับแอปใหม่ ➡️ การไม่อัปเดตอาจทำให้เครื่องเสี่ยงต่อช่องโหว่ความปลอดภัย https://www.slashgear.com/1985799/do-apple-updates-make-your-iphone-slower/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Do Apple Updates Really Make Your iPhone Slower? - SlashGear
    It's a recurring myth that the latest Apple update will make your iPhone slower, but does that turn out to be the case? Here's what the data says.
    0 Comments 0 Shares 238 Views 0 Reviews
  • “Voyager 1 เตรียมสร้างประวัติศาสตร์ — เป็นวัตถุจากมนุษย์ชิ้นแรกที่อยู่ห่างจากโลกหนึ่งวันแสงในพฤศจิกายน 2026”

    ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 5 กันยายน 1977 NASA ได้ส่งยาน Voyager 1 ขึ้นสู่อวกาศเพื่อศึกษาดาวเคราะห์รอบนอกของระบบสุริยะ โดยใช้เทคนิค “gravity assist” หรือการเหวี่ยงแรงโน้มถ่วงจากดาวเคราะห์เพื่อเพิ่มความเร็ว ซึ่งทำให้ยานสามารถเดินทางออกไปไกลกว่าที่เคยมีมา ปัจจุบัน Voyager 1 เคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 38,000 ไมล์ต่อชั่วโมง และอยู่ห่างจากโลกประมาณ 15.67 พันล้านไมล์

    ในเดือนพฤศจิกายน 2026 ยาน Voyager 1 จะกลายเป็นวัตถุที่มนุษย์สร้างขึ้นชิ้นแรกที่อยู่ห่างจากโลก “หนึ่งวันแสง” หรือระยะทางที่แสงเดินทางในสุญญากาศเป็นเวลา 24 ชั่วโมง คิดเป็นประมาณ 16.09 พันล้านไมล์ ซึ่งหมายความว่า สัญญาณวิทยุจากโลกจะใช้เวลาทั้งวันในการเดินทางไปถึงยาน และอีกวันในการตอบกลับกลับมายังโลก

    แม้จะอยู่ไกลขนาดนั้น ยานยังคงส่งข้อมูลกลับมาได้ เช่น ข้อมูลสนามแม่เหล็ก รังสีคอสมิก และคลื่นพลาสมา ซึ่งช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจสภาพแวดล้อมในอวกาศระหว่างดาวได้ดีขึ้น โดยใช้เครือข่ายเสาอากาศ Deep Space Network ที่ตั้งอยู่ในสหรัฐฯ สเปน และออสเตรเลีย

    Voyager 1 เคยผ่านขอบเขตของระบบสุริยะที่เรียกว่า “heliopause” ในปี 2012 และเข้าสู่อวกาศระหว่างดาวอย่างเป็นทางการ โดยในอีก 300 ปีข้างหน้า มันจะเข้าสู่บริเวณใกล้ของ Oort Cloud และอาจใช้เวลาอีก 30,000 ปีในการผ่านออกไปทั้งหมด

    แม้พลังงานของยานจะลดลงเรื่อย ๆ และคาดว่าจะหยุดทำงานในปี 2030–2036 แต่ Voyager 1 จะยังคงล่องลอยต่อไปในอวกาศอย่างเงียบ ๆ โดยไม่มีใครควบคุม มุ่งหน้าไปยังกลุ่มดาว Ophiuchus และจะเข้าใกล้ดาวในกลุ่ม Ursa Minor ในปี ค.ศ. 40,272

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Voyager 1 จะอยู่ห่างจากโลกหนึ่งวันแสงในเดือนพฤศจิกายน 2026
    หนึ่งวันแสงเท่ากับประมาณ 16.09 พันล้านไมล์
    สัญญาณวิทยุใช้เวลา 24 ชั่วโมงในการเดินทางไปยังยาน และอีก 24 ชั่วโมงในการตอบกลับ
    ยานเคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 38,000 ไมล์ต่อชั่วโมง
    เคยผ่าน heliopause และเข้าสู่อวกาศระหว่างดาวในปี 2012
    ปัจจุบันยังส่งข้อมูลวิทยาศาสตร์กลับมายังโลกได้
    ใช้เครือข่าย Deep Space Network ใน 3 ประเทศเพื่อรับสัญญาณ
    จะเข้าสู่ Oort Cloud ในอีก 300 ปี และใช้เวลาอีก 30,000 ปีในการผ่านออกไป
    คาดว่าจะหยุดทำงานในปี 2030–2036 เนื่องจากพลังงานหมด
    จะเข้าใกล้ดาวในกลุ่ม Ursa Minor ในปี 40,272

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Voyager 1 ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ RTG ที่แปลงความร้อนจากพลูโตเนียมเป็นไฟฟ้า
    ข้อมูลที่ส่งกลับมาช่วยปรับปรุงโมเดลของสภาพแวดล้อมระหว่างดาว
    Apollo 10 เคยทำความเร็วสูงสุดที่มนุษย์สร้างได้คือ 25,000 ไมล์ต่อชั่วโมง
    แสงจากดวงอาทิตย์ใช้เวลาเพียง 8 นาทีในการเดินทางมายังโลก
    Voyager 1 ยังบรรจุแผ่นทองคำ “Golden Record” ที่บันทึกเสียงและภาพจากโลกเพื่อสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตต่างดาว

    https://www.slashgear.com/1984279/nasa-voyager-1-light-day-from-earth-november-2026/
    🚀 “Voyager 1 เตรียมสร้างประวัติศาสตร์ — เป็นวัตถุจากมนุษย์ชิ้นแรกที่อยู่ห่างจากโลกหนึ่งวันแสงในพฤศจิกายน 2026” ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 5 กันยายน 1977 NASA ได้ส่งยาน Voyager 1 ขึ้นสู่อวกาศเพื่อศึกษาดาวเคราะห์รอบนอกของระบบสุริยะ โดยใช้เทคนิค “gravity assist” หรือการเหวี่ยงแรงโน้มถ่วงจากดาวเคราะห์เพื่อเพิ่มความเร็ว ซึ่งทำให้ยานสามารถเดินทางออกไปไกลกว่าที่เคยมีมา ปัจจุบัน Voyager 1 เคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 38,000 ไมล์ต่อชั่วโมง และอยู่ห่างจากโลกประมาณ 15.67 พันล้านไมล์ ในเดือนพฤศจิกายน 2026 ยาน Voyager 1 จะกลายเป็นวัตถุที่มนุษย์สร้างขึ้นชิ้นแรกที่อยู่ห่างจากโลก “หนึ่งวันแสง” หรือระยะทางที่แสงเดินทางในสุญญากาศเป็นเวลา 24 ชั่วโมง คิดเป็นประมาณ 16.09 พันล้านไมล์ ซึ่งหมายความว่า สัญญาณวิทยุจากโลกจะใช้เวลาทั้งวันในการเดินทางไปถึงยาน และอีกวันในการตอบกลับกลับมายังโลก แม้จะอยู่ไกลขนาดนั้น ยานยังคงส่งข้อมูลกลับมาได้ เช่น ข้อมูลสนามแม่เหล็ก รังสีคอสมิก และคลื่นพลาสมา ซึ่งช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจสภาพแวดล้อมในอวกาศระหว่างดาวได้ดีขึ้น โดยใช้เครือข่ายเสาอากาศ Deep Space Network ที่ตั้งอยู่ในสหรัฐฯ สเปน และออสเตรเลีย Voyager 1 เคยผ่านขอบเขตของระบบสุริยะที่เรียกว่า “heliopause” ในปี 2012 และเข้าสู่อวกาศระหว่างดาวอย่างเป็นทางการ โดยในอีก 300 ปีข้างหน้า มันจะเข้าสู่บริเวณใกล้ของ Oort Cloud และอาจใช้เวลาอีก 30,000 ปีในการผ่านออกไปทั้งหมด แม้พลังงานของยานจะลดลงเรื่อย ๆ และคาดว่าจะหยุดทำงานในปี 2030–2036 แต่ Voyager 1 จะยังคงล่องลอยต่อไปในอวกาศอย่างเงียบ ๆ โดยไม่มีใครควบคุม มุ่งหน้าไปยังกลุ่มดาว Ophiuchus และจะเข้าใกล้ดาวในกลุ่ม Ursa Minor ในปี ค.ศ. 40,272 ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Voyager 1 จะอยู่ห่างจากโลกหนึ่งวันแสงในเดือนพฤศจิกายน 2026 ➡️ หนึ่งวันแสงเท่ากับประมาณ 16.09 พันล้านไมล์ ➡️ สัญญาณวิทยุใช้เวลา 24 ชั่วโมงในการเดินทางไปยังยาน และอีก 24 ชั่วโมงในการตอบกลับ ➡️ ยานเคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 38,000 ไมล์ต่อชั่วโมง ➡️ เคยผ่าน heliopause และเข้าสู่อวกาศระหว่างดาวในปี 2012 ➡️ ปัจจุบันยังส่งข้อมูลวิทยาศาสตร์กลับมายังโลกได้ ➡️ ใช้เครือข่าย Deep Space Network ใน 3 ประเทศเพื่อรับสัญญาณ ➡️ จะเข้าสู่ Oort Cloud ในอีก 300 ปี และใช้เวลาอีก 30,000 ปีในการผ่านออกไป ➡️ คาดว่าจะหยุดทำงานในปี 2030–2036 เนื่องจากพลังงานหมด ➡️ จะเข้าใกล้ดาวในกลุ่ม Ursa Minor ในปี 40,272 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Voyager 1 ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ RTG ที่แปลงความร้อนจากพลูโตเนียมเป็นไฟฟ้า ➡️ ข้อมูลที่ส่งกลับมาช่วยปรับปรุงโมเดลของสภาพแวดล้อมระหว่างดาว ➡️ Apollo 10 เคยทำความเร็วสูงสุดที่มนุษย์สร้างได้คือ 25,000 ไมล์ต่อชั่วโมง ➡️ แสงจากดวงอาทิตย์ใช้เวลาเพียง 8 นาทีในการเดินทางมายังโลก ➡️ Voyager 1 ยังบรรจุแผ่นทองคำ “Golden Record” ที่บันทึกเสียงและภาพจากโลกเพื่อสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตต่างดาว https://www.slashgear.com/1984279/nasa-voyager-1-light-day-from-earth-november-2026/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    NASA's Voyager 1 Is Set To Hit A Historic Landmark In November 2026 - SlashGear
    In November 2026, Voyager 1 will hit yet another milestone when it becomes the first manmade object to reach a distance of one light day from Earth.
    0 Comments 0 Shares 218 Views 0 Reviews
  • “ระวัง! แอปปลอม Signal และ ToTok แฝงสปายแวร์โจมตีผู้ใช้ Android ใน UAE — ขโมยข้อมูลส่วนตัวแบบเงียบ ๆ”

    นักวิจัยจาก ESET ได้เปิดเผยแคมเปญสปายแวร์ใหม่ที่กำลังระบาดในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) โดยใช้เทคนิคหลอกลวงผ่านแอปปลอมของ Signal และ ToTok ซึ่งเป็นแอปส่งข้อความที่ผู้ใช้ไว้วางใจ โดยแอปปลอมเหล่านี้ไม่ได้อยู่ใน Google Play หรือ App Store แต่ถูกเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ปลอมที่เลียนแบบหน้าตาแอปจริงอย่างแนบเนียน

    แคมเปญนี้ประกอบด้วยมัลแวร์สองสายพันธุ์ ได้แก่

    ProSpy (Android/Spy.ProSpy): ปลอมเป็น Signal Encryption Plugin และ ToTok Pro
    ToSpy (Android/Spy.ToSpy): ปลอมเป็นแอป ToTok โดยตรง

    เมื่อผู้ใช้ติดตั้ง APK จากเว็บไซต์ปลอม แอปจะขอสิทธิ์เข้าถึงข้อมูล เช่น รายชื่อผู้ติดต่อ ข้อความ ไฟล์ และข้อมูลสำรองการแชท โดยเฉพาะ ToSpy จะมุ่งเป้าไปที่ไฟล์ .ttkmbackup ซึ่งเป็นไฟล์สำรองของ ToTok โดยข้อมูลทั้งหมดจะถูกเข้ารหัสด้วย AES และส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุมที่ยังคงทำงานอยู่ในปี 2025

    ProSpy ยังมีเทคนิคซ่อนตัวขั้นสูง เช่น เปลี่ยนไอคอนเป็น Google Play Services และเปิดหน้าข้อมูลของแอปจริงเมื่อแตะไอคอน ทำให้ผู้ใช้ไม่สงสัยว่าเป็นมัลแวร์

    ESET พบว่าแคมเปญนี้เริ่มต้นตั้งแต่กลางปี 2022 และยังคงดำเนินอยู่ โดยมีการใช้เว็บไซต์ปลอมที่ลงท้ายด้วย .ae.net ซึ่งบ่งชี้ว่าเน้นโจมตีผู้ใช้ใน UAE โดยเฉพาะ

    เพื่อป้องกันตัวเอง ผู้ใช้ควรติดตั้งแอปจากแหล่งทางการเท่านั้น ปิดการติดตั้งจากแหล่งไม่รู้จัก และเปิดใช้งาน Google Play Protect ซึ่งจะบล็อกมัลแวร์ที่รู้จักโดยอัตโนมัติ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    พบมัลแวร์สองสายพันธุ์คือ ProSpy และ ToSpy ที่ปลอมเป็นแอป Signal และ ToTok
    แอปปลอมไม่ได้อยู่ใน Store ทางการ ต้องติดตั้ง APK จากเว็บไซต์ปลอม
    ProSpy ปลอมเป็น Signal Encryption Plugin และ ToTok Pro
    ToSpy ปลอมเป็นแอป ToTok โดยตรง และมุ่งเป้าไปที่ไฟล์สำรอง .ttkmbackup
    แอปขอสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัว เช่น รายชื่อ ข้อความ ไฟล์ และข้อมูลแชท
    ข้อมูลถูกเข้ารหัสด้วย AES และส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุม
    ProSpy ใช้เทคนิคซ่อนตัวโดยเปลี่ยนไอคอนเป็น Google Play Services
    แคมเปญเริ่มตั้งแต่ปี 2022 และยังคงดำเนินอยู่ในปี 2025
    ESET แจ้ง Google แล้ว และ Play Protect บล็อกมัลแวร์โดยอัตโนมัติ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ToTok เคยถูกถอดออกจาก Google Play และ App Store ในปี 2019 จากข้อกล่าวหาเรื่องการสอดแนม
    Signal เป็นแอปเข้ารหัสที่มีผู้ใช้มากกว่า 100 ล้านคนทั่วโลก
    การโจมตีแบบนี้เรียกว่า “social engineering” โดยใช้ความไว้วางใจในแบรนด์เพื่อหลอกลวง
    การติดตั้ง APK จากแหล่งภายนอกเป็นช่องทางหลักของมัลแวร์ Android
    การใช้ไอคอนและชื่อแอปที่เหมือนของจริงช่วยให้มัลแวร์หลบเลี่ยงการตรวจจับได้

    https://hackread.com/spyware-fake-signal-totok-apps-uae-android-users/
    📱 “ระวัง! แอปปลอม Signal และ ToTok แฝงสปายแวร์โจมตีผู้ใช้ Android ใน UAE — ขโมยข้อมูลส่วนตัวแบบเงียบ ๆ” นักวิจัยจาก ESET ได้เปิดเผยแคมเปญสปายแวร์ใหม่ที่กำลังระบาดในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) โดยใช้เทคนิคหลอกลวงผ่านแอปปลอมของ Signal และ ToTok ซึ่งเป็นแอปส่งข้อความที่ผู้ใช้ไว้วางใจ โดยแอปปลอมเหล่านี้ไม่ได้อยู่ใน Google Play หรือ App Store แต่ถูกเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ปลอมที่เลียนแบบหน้าตาแอปจริงอย่างแนบเนียน แคมเปญนี้ประกอบด้วยมัลแวร์สองสายพันธุ์ ได้แก่ 🐛 ProSpy (Android/Spy.ProSpy): ปลอมเป็น Signal Encryption Plugin และ ToTok Pro 🐛 ToSpy (Android/Spy.ToSpy): ปลอมเป็นแอป ToTok โดยตรง เมื่อผู้ใช้ติดตั้ง APK จากเว็บไซต์ปลอม แอปจะขอสิทธิ์เข้าถึงข้อมูล เช่น รายชื่อผู้ติดต่อ ข้อความ ไฟล์ และข้อมูลสำรองการแชท โดยเฉพาะ ToSpy จะมุ่งเป้าไปที่ไฟล์ .ttkmbackup ซึ่งเป็นไฟล์สำรองของ ToTok โดยข้อมูลทั้งหมดจะถูกเข้ารหัสด้วย AES และส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุมที่ยังคงทำงานอยู่ในปี 2025 ProSpy ยังมีเทคนิคซ่อนตัวขั้นสูง เช่น เปลี่ยนไอคอนเป็น Google Play Services และเปิดหน้าข้อมูลของแอปจริงเมื่อแตะไอคอน ทำให้ผู้ใช้ไม่สงสัยว่าเป็นมัลแวร์ ESET พบว่าแคมเปญนี้เริ่มต้นตั้งแต่กลางปี 2022 และยังคงดำเนินอยู่ โดยมีการใช้เว็บไซต์ปลอมที่ลงท้ายด้วย .ae.net ซึ่งบ่งชี้ว่าเน้นโจมตีผู้ใช้ใน UAE โดยเฉพาะ เพื่อป้องกันตัวเอง ผู้ใช้ควรติดตั้งแอปจากแหล่งทางการเท่านั้น ปิดการติดตั้งจากแหล่งไม่รู้จัก และเปิดใช้งาน Google Play Protect ซึ่งจะบล็อกมัลแวร์ที่รู้จักโดยอัตโนมัติ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ พบมัลแวร์สองสายพันธุ์คือ ProSpy และ ToSpy ที่ปลอมเป็นแอป Signal และ ToTok ➡️ แอปปลอมไม่ได้อยู่ใน Store ทางการ ต้องติดตั้ง APK จากเว็บไซต์ปลอม ➡️ ProSpy ปลอมเป็น Signal Encryption Plugin และ ToTok Pro ➡️ ToSpy ปลอมเป็นแอป ToTok โดยตรง และมุ่งเป้าไปที่ไฟล์สำรอง .ttkmbackup ➡️ แอปขอสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัว เช่น รายชื่อ ข้อความ ไฟล์ และข้อมูลแชท ➡️ ข้อมูลถูกเข้ารหัสด้วย AES และส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุม ➡️ ProSpy ใช้เทคนิคซ่อนตัวโดยเปลี่ยนไอคอนเป็น Google Play Services ➡️ แคมเปญเริ่มตั้งแต่ปี 2022 และยังคงดำเนินอยู่ในปี 2025 ➡️ ESET แจ้ง Google แล้ว และ Play Protect บล็อกมัลแวร์โดยอัตโนมัติ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ToTok เคยถูกถอดออกจาก Google Play และ App Store ในปี 2019 จากข้อกล่าวหาเรื่องการสอดแนม ➡️ Signal เป็นแอปเข้ารหัสที่มีผู้ใช้มากกว่า 100 ล้านคนทั่วโลก ➡️ การโจมตีแบบนี้เรียกว่า “social engineering” โดยใช้ความไว้วางใจในแบรนด์เพื่อหลอกลวง ➡️ การติดตั้ง APK จากแหล่งภายนอกเป็นช่องทางหลักของมัลแวร์ Android ➡️ การใช้ไอคอนและชื่อแอปที่เหมือนของจริงช่วยให้มัลแวร์หลบเลี่ยงการตรวจจับได้ https://hackread.com/spyware-fake-signal-totok-apps-uae-android-users/
    HACKREAD.COM
    Spyware Disguised as Signal and ToTok Apps Targets UAE Android Users
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 172 Views 0 Reviews
  • “อุตสาหกรรมสิ่งทอในบังกลาเทศพลิกวิกฤตขยะด้วยเทคโนโลยี — เมื่อเศษผ้ากลายเป็นโอกาสระดับพันล้าน”

    บังกลาเทศ ซึ่งเป็นผู้ส่งออกเสื้อผ้าอันดับสองของโลก กำลังเผชิญกับปัญหาขยะสิ่งทอจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะเศษผ้าจากการผลิตที่ยังไม่ได้ถูกนำกลับมาใช้ใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันประเทศสามารถรีไซเคิลเศษผ้าก่อนการบริโภคได้เพียง 5–7% เท่านั้น และมีเพียงไม่ถึง 5% ที่ถูกนำไปอัปไซเคิลเป็นสินค้าต่าง ๆ เช่น พรมตุ๊กตาและผ้าห่ม

    เพื่อแก้ปัญหานี้ บริษัท Reverse Resources ได้พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ช่วยติดตามและจัดการขยะสิ่งทอแบบเรียลไทม์ โดยระบบจะช่วยให้โรงงานสามารถแยกประเภทเศษผ้า ติดป้ายกำกับ และลงทะเบียนข้อมูลบนคลาวด์ พร้อมติดตามการเคลื่อนย้ายระหว่างโรงงาน ผู้จัดการขยะ และผู้รีไซเคิล

    ระบบนี้ช่วยให้โรงงานได้รับราคาที่ดีขึ้นสำหรับเศษผ้า และแบรนด์สามารถตรวจสอบเส้นทางของขยะที่เกิดจากซัพพลายเออร์ได้อย่างโปร่งใส ปัจจุบันมีโรงงานกว่า 410 แห่งและแบรนด์ระดับโลกกว่า 60 รายเข้าร่วมแพลตฟอร์มนี้ แม้จะยังครอบคลุมเพียง 1% ของตลาด แต่ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างมาตรฐานใหม่

    รายงานจาก GIZ และ H&M ระบุว่า ขยะสิ่งทอมากกว่า 55% ถูกส่งออกไปยังประเทศที่มีศูนย์รีไซเคิลพัฒนาแล้ว เช่น เวียดนาม ฟินแลนด์ สวีเดน อินเดีย และจีน ส่วนที่เหลือถูกนำไปใช้เป็นวัสดุยัดไส้ เผาเพื่อผลิตไฟฟ้า หรือฝังกลบ

    การติดตามขยะด้วยข้อมูลดิจิทัลไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ยังเปิดโอกาสให้ผู้จัดการขยะรายเล็กในบังกลาเทศสามารถเข้าถึงตลาดรีไซเคิลระดับโลกได้โดยตรง ลดการพึ่งพาผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นที่เคยควบคุมการจัดการขยะแบบไม่เป็นทางการ

    นอกจากนี้ กฎหมายใหม่ของสหภาพยุโรปที่บังคับให้ผู้ผลิตต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเก็บและรีไซเคิลสิ่งทอ จะยิ่งผลักดันให้แบรนด์แฟชั่นใช้วัสดุรีไซเคิลมากขึ้น ซึ่งหมายความว่าโรงงานในบังกลาเทศต้องปรับตัวให้สามารถจัดการขยะได้อย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    บังกลาเทศสามารถรีไซเคิลขยะสิ่งทอได้เพียง 5–7% และอัปไซเคิลไม่ถึง 5%
    ขยะมากกว่า 55% ถูกส่งออกไปยังประเทศที่มีศูนย์รีไซเคิลพัฒนาแล้ว
    Reverse Resources พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อจัดการขยะสิ่งทอ
    ระบบช่วยแยกประเภทเศษผ้า ติดป้าย และติดตามการเคลื่อนย้าย
    โรงงานได้รับราคาที่ดีขึ้นเมื่อแยกและติดตามเศษผ้า
    แบรนด์สามารถตรวจสอบเส้นทางของขยะจากซัพพลายเออร์ได้
    ปัจจุบันมีโรงงานกว่า 410 แห่งและแบรนด์กว่า 60 รายเข้าร่วม
    การจัดการขยะแบบดิจิทัลช่วยลดการพึ่งพาผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น
    กฎหมายใหม่ของ EU บังคับให้ผู้ผลิตรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรีไซเคิล
    การรีไซเคิลในประเทศอาจเพิ่มมูลค่าการส่งออกได้ถึง 5 พันล้านดอลลาร์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Reverse Resources ตั้งเป้าติดตามขยะสิ่งทอทั่วโลก 2.5 ล้านตันต่อปีภายในปี 2030
    การรีไซเคิลแบบ textile-to-textile ช่วยลดการใช้วัสดุใหม่และลดการปล่อย CO₂
    การใช้แพลตฟอร์ม SaaS ช่วยสร้างห่วงโซ่อุปทานที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ
    การแยกขยะตามชนิดเส้นใยตั้งแต่ต้นทางช่วยเพิ่มมูลค่าและลดขั้นตอน
    การจัดการขยะอย่างมีข้อมูลช่วยให้โรงงานเข้าถึงตลาดรีไซเคิลระดับโลกได้ง่ายขึ้น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/07/bangladesh039s-textile-firms-turn-to-technology-to-sort-waste-crisis
    🧵 “อุตสาหกรรมสิ่งทอในบังกลาเทศพลิกวิกฤตขยะด้วยเทคโนโลยี — เมื่อเศษผ้ากลายเป็นโอกาสระดับพันล้าน” บังกลาเทศ ซึ่งเป็นผู้ส่งออกเสื้อผ้าอันดับสองของโลก กำลังเผชิญกับปัญหาขยะสิ่งทอจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะเศษผ้าจากการผลิตที่ยังไม่ได้ถูกนำกลับมาใช้ใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบันประเทศสามารถรีไซเคิลเศษผ้าก่อนการบริโภคได้เพียง 5–7% เท่านั้น และมีเพียงไม่ถึง 5% ที่ถูกนำไปอัปไซเคิลเป็นสินค้าต่าง ๆ เช่น พรมตุ๊กตาและผ้าห่ม เพื่อแก้ปัญหานี้ บริษัท Reverse Resources ได้พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ช่วยติดตามและจัดการขยะสิ่งทอแบบเรียลไทม์ โดยระบบจะช่วยให้โรงงานสามารถแยกประเภทเศษผ้า ติดป้ายกำกับ และลงทะเบียนข้อมูลบนคลาวด์ พร้อมติดตามการเคลื่อนย้ายระหว่างโรงงาน ผู้จัดการขยะ และผู้รีไซเคิล ระบบนี้ช่วยให้โรงงานได้รับราคาที่ดีขึ้นสำหรับเศษผ้า และแบรนด์สามารถตรวจสอบเส้นทางของขยะที่เกิดจากซัพพลายเออร์ได้อย่างโปร่งใส ปัจจุบันมีโรงงานกว่า 410 แห่งและแบรนด์ระดับโลกกว่า 60 รายเข้าร่วมแพลตฟอร์มนี้ แม้จะยังครอบคลุมเพียง 1% ของตลาด แต่ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างมาตรฐานใหม่ รายงานจาก GIZ และ H&M ระบุว่า ขยะสิ่งทอมากกว่า 55% ถูกส่งออกไปยังประเทศที่มีศูนย์รีไซเคิลพัฒนาแล้ว เช่น เวียดนาม ฟินแลนด์ สวีเดน อินเดีย และจีน ส่วนที่เหลือถูกนำไปใช้เป็นวัสดุยัดไส้ เผาเพื่อผลิตไฟฟ้า หรือฝังกลบ การติดตามขยะด้วยข้อมูลดิจิทัลไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ยังเปิดโอกาสให้ผู้จัดการขยะรายเล็กในบังกลาเทศสามารถเข้าถึงตลาดรีไซเคิลระดับโลกได้โดยตรง ลดการพึ่งพาผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นที่เคยควบคุมการจัดการขยะแบบไม่เป็นทางการ นอกจากนี้ กฎหมายใหม่ของสหภาพยุโรปที่บังคับให้ผู้ผลิตต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเก็บและรีไซเคิลสิ่งทอ จะยิ่งผลักดันให้แบรนด์แฟชั่นใช้วัสดุรีไซเคิลมากขึ้น ซึ่งหมายความว่าโรงงานในบังกลาเทศต้องปรับตัวให้สามารถจัดการขยะได้อย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ บังกลาเทศสามารถรีไซเคิลขยะสิ่งทอได้เพียง 5–7% และอัปไซเคิลไม่ถึง 5% ➡️ ขยะมากกว่า 55% ถูกส่งออกไปยังประเทศที่มีศูนย์รีไซเคิลพัฒนาแล้ว ➡️ Reverse Resources พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อจัดการขยะสิ่งทอ ➡️ ระบบช่วยแยกประเภทเศษผ้า ติดป้าย และติดตามการเคลื่อนย้าย ➡️ โรงงานได้รับราคาที่ดีขึ้นเมื่อแยกและติดตามเศษผ้า ➡️ แบรนด์สามารถตรวจสอบเส้นทางของขยะจากซัพพลายเออร์ได้ ➡️ ปัจจุบันมีโรงงานกว่า 410 แห่งและแบรนด์กว่า 60 รายเข้าร่วม ➡️ การจัดการขยะแบบดิจิทัลช่วยลดการพึ่งพาผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น ➡️ กฎหมายใหม่ของ EU บังคับให้ผู้ผลิตรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรีไซเคิล ➡️ การรีไซเคิลในประเทศอาจเพิ่มมูลค่าการส่งออกได้ถึง 5 พันล้านดอลลาร์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Reverse Resources ตั้งเป้าติดตามขยะสิ่งทอทั่วโลก 2.5 ล้านตันต่อปีภายในปี 2030 ➡️ การรีไซเคิลแบบ textile-to-textile ช่วยลดการใช้วัสดุใหม่และลดการปล่อย CO₂ ➡️ การใช้แพลตฟอร์ม SaaS ช่วยสร้างห่วงโซ่อุปทานที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ ➡️ การแยกขยะตามชนิดเส้นใยตั้งแต่ต้นทางช่วยเพิ่มมูลค่าและลดขั้นตอน ➡️ การจัดการขยะอย่างมีข้อมูลช่วยให้โรงงานเข้าถึงตลาดรีไซเคิลระดับโลกได้ง่ายขึ้น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/07/bangladesh039s-textile-firms-turn-to-technology-to-sort-waste-crisis
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Bangladesh's textile firms turn to technology to sort waste crisis
    Digital tracing helps Bangladesh sort management of textile waste and could boost exports.
    0 Comments 0 Shares 211 Views 0 Reviews
  • 'เทพไท' สงสัยอะไรทำ 'ทักษิณ' กล้าเสี่ยงขอพระราชทานอภัยโทษครั้งที่ 2 ทั้งที่มีโทษเหลือ 1 ปี
    https://www.thai-tai.tv/news/21786/
    .
    #ทักษิณชินวัตร #ขอพระราชทานอภัยโทษ #เทพไทเสนพงศ์ #มาตรา264 #กรมราชทัณฑ์ #กระทรวงยุติธรรม #การเมืองไทย #อภัยโทษรอบสอง
    'เทพไท' สงสัยอะไรทำ 'ทักษิณ' กล้าเสี่ยงขอพระราชทานอภัยโทษครั้งที่ 2 ทั้งที่มีโทษเหลือ 1 ปี https://www.thai-tai.tv/news/21786/ . #ทักษิณชินวัตร #ขอพระราชทานอภัยโทษ #เทพไทเสนพงศ์ #มาตรา264 #กรมราชทัณฑ์ #กระทรวงยุติธรรม #การเมืองไทย #อภัยโทษรอบสอง
    0 Comments 0 Shares 187 Views 0 Reviews
  • “Bruno Le Maire ยุติบทบาทที่ ASML หลังรัฐบาลฝรั่งเศสล่ม — สะเทือนวงการชิปยุโรป”

    Bruno Le Maire อดีตรัฐมนตรีคลังของฝรั่งเศส ได้ยุติบทบาทที่ปรึกษาพิเศษของบริษัท ASML ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์สำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดในโลก โดยการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังจาก Le Maire ถูกเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมในรัฐบาลใหม่ของฝรั่งเศส แต่รัฐบาลดังกล่าวกลับล่มภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังการแต่งตั้ง

    Le Maire ได้รับตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษของคณะกรรมการบริหาร ASML ตั้งแต่ปี 2024 โดยมีบทบาทสำคัญในการให้คำแนะนำด้านการลงทุนเพื่อเสริมสร้างระบบนิเวศของอุตสาหกรรมชิปในยุโรป ซึ่งถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของสหภาพยุโรปในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ และจีน

    ASML เพิ่งลงทุนกว่า 1.3 พันล้านยูโรในบริษัทสตาร์ทอัพด้าน AI ของฝรั่งเศสชื่อ Mistral AI ซึ่งเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ในรอบปี และสะท้อนถึงความพยายามของยุโรปในการผลักดันเทคโนโลยีล้ำหน้าให้เติบโตภายในภูมิภาค

    แม้ ASML จะปฏิเสธให้ความเห็นว่า Le Maire จะกลับมารับตำแหน่งอีกหรือไม่หลังจากการล่มของรัฐบาล แต่การถอนตัวครั้งนี้ก็สร้างคำถามถึงเสถียรภาพของการผลักดันนโยบายเทคโนโลยีในยุโรป และบทบาทของนักการเมืองระดับสูงในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูงระดับโลก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Bruno Le Maire ยุติบทบาทที่ปรึกษาพิเศษของ ASML
    เขาเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังของฝรั่งเศส และถูกเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรีกลาโหม
    รัฐบาลฝรั่งเศสชุดใหม่ล่มภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังการแต่งตั้ง
    Le Maire ได้รับตำแหน่งที่ ASML ตั้งแต่ปี 2024 เพื่อให้คำแนะนำด้านการลงทุน
    ASML เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์สำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดในโลก
    ASML ลงทุน 1.3 พันล้านยูโรในบริษัท Mistral AI ของฝรั่งเศส
    การลงทุนนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์เสริมสร้างระบบชิปในยุโรป
    ASML ปฏิเสธให้ความเห็นว่า Le Maire จะกลับมารับตำแหน่งอีกหรือไม่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ASML เป็นบริษัทเดียวในโลกที่ผลิตเครื่อง EUV lithography ซึ่งจำเป็นต่อการผลิตชิประดับ 3 นาโนเมตร
    Mistral AI เป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลฝรั่งเศสเพื่อแข่งขันกับ OpenAI และ Anthropic
    การพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศทำให้ยุโรปต้องเร่งสร้างความมั่นคงด้านชิป
    Le Maire เคยผลักดันโครงการ European Chips Act เพื่อสนับสนุนการผลิตชิปภายในภูมิภาค
    การล่มของรัฐบาลฝรั่งเศสอาจส่งผลต่อความต่อเนื่องของนโยบายเทคโนโลยีระดับชาติ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/06/bruno-le-maire-no-longer-advising-asml-company-says
    🇪🇺 “Bruno Le Maire ยุติบทบาทที่ ASML หลังรัฐบาลฝรั่งเศสล่ม — สะเทือนวงการชิปยุโรป” Bruno Le Maire อดีตรัฐมนตรีคลังของฝรั่งเศส ได้ยุติบทบาทที่ปรึกษาพิเศษของบริษัท ASML ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์สำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดในโลก โดยการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังจาก Le Maire ถูกเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมในรัฐบาลใหม่ของฝรั่งเศส แต่รัฐบาลดังกล่าวกลับล่มภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังการแต่งตั้ง Le Maire ได้รับตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษของคณะกรรมการบริหาร ASML ตั้งแต่ปี 2024 โดยมีบทบาทสำคัญในการให้คำแนะนำด้านการลงทุนเพื่อเสริมสร้างระบบนิเวศของอุตสาหกรรมชิปในยุโรป ซึ่งถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของสหภาพยุโรปในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ และจีน ASML เพิ่งลงทุนกว่า 1.3 พันล้านยูโรในบริษัทสตาร์ทอัพด้าน AI ของฝรั่งเศสชื่อ Mistral AI ซึ่งเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ในรอบปี และสะท้อนถึงความพยายามของยุโรปในการผลักดันเทคโนโลยีล้ำหน้าให้เติบโตภายในภูมิภาค แม้ ASML จะปฏิเสธให้ความเห็นว่า Le Maire จะกลับมารับตำแหน่งอีกหรือไม่หลังจากการล่มของรัฐบาล แต่การถอนตัวครั้งนี้ก็สร้างคำถามถึงเสถียรภาพของการผลักดันนโยบายเทคโนโลยีในยุโรป และบทบาทของนักการเมืองระดับสูงในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูงระดับโลก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Bruno Le Maire ยุติบทบาทที่ปรึกษาพิเศษของ ASML ➡️ เขาเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังของฝรั่งเศส และถูกเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรีกลาโหม ➡️ รัฐบาลฝรั่งเศสชุดใหม่ล่มภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังการแต่งตั้ง ➡️ Le Maire ได้รับตำแหน่งที่ ASML ตั้งแต่ปี 2024 เพื่อให้คำแนะนำด้านการลงทุน ➡️ ASML เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์สำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดในโลก ➡️ ASML ลงทุน 1.3 พันล้านยูโรในบริษัท Mistral AI ของฝรั่งเศส ➡️ การลงทุนนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์เสริมสร้างระบบชิปในยุโรป ➡️ ASML ปฏิเสธให้ความเห็นว่า Le Maire จะกลับมารับตำแหน่งอีกหรือไม่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ASML เป็นบริษัทเดียวในโลกที่ผลิตเครื่อง EUV lithography ซึ่งจำเป็นต่อการผลิตชิประดับ 3 นาโนเมตร ➡️ Mistral AI เป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลฝรั่งเศสเพื่อแข่งขันกับ OpenAI และ Anthropic ➡️ การพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศทำให้ยุโรปต้องเร่งสร้างความมั่นคงด้านชิป ➡️ Le Maire เคยผลักดันโครงการ European Chips Act เพื่อสนับสนุนการผลิตชิปภายในภูมิภาค ➡️ การล่มของรัฐบาลฝรั่งเศสอาจส่งผลต่อความต่อเนื่องของนโยบายเทคโนโลยีระดับชาติ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/06/bruno-le-maire-no-longer-advising-asml-company-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Bruno Le Maire no longer advising ASML, company says
    (Reuters) -France's former finance minister Bruno Le Maire is no longer an advisor at ASML, a spokesperson for the Dutch chip equipment maker told Reuters on Monday.
    0 Comments 0 Shares 240 Views 0 Reviews
  • “AstraZeneca ทุ่ม 555 ล้านดอลลาร์ จับมือ Algen พัฒนาเทคโนโลยีตัดต่อยีนด้วย AI — เป้าหมายใหม่ของการรักษาโรคภูมิคุ้มกัน”

    AstraZeneca บริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่จากอังกฤษ-สวีเดน ได้ลงนามข้อตกลงมูลค่า 555 ล้านดอลลาร์กับ Algen Biotechnologies บริษัทไบโอเทคจากซานฟรานซิสโก เพื่อร่วมพัฒนาเทคโนโลยีการรักษาโรคด้วยการตัดต่อยีนแบบ CRISPR โดยใช้แพลตฟอร์ม AI ที่ชื่อว่า “AlgenBrain” ซึ่งสามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างยีนกับโรคได้อย่างแม่นยำ

    ข้อตกลงนี้ให้ AstraZeneca สิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการพัฒนาและจำหน่ายยาที่ได้จากเทคโนโลยีนี้ โดยเน้นไปที่โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โรคอักเสบเรื้อรัง หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง โดย Algen จะได้รับเงินล่วงหน้าและเงินตามเป้าหมายการพัฒนาและการอนุมัติ ซึ่งรวมกันแล้วอาจสูงถึง 555 ล้านดอลลาร์

    Algen เป็นบริษัทที่แยกตัวออกมาจากห้องวิจัยของมหาวิทยาลัย UC Berkeley ซึ่งเป็นที่ที่ Jennifer Doudna ผู้ได้รับรางวัลโนเบลได้พัฒนาเทคโนโลยี CRISPR ขึ้นมา โดยแพลตฟอร์ม AlgenBrain ใช้การวิเคราะห์ RNA แบบไดนามิกในเซลล์มนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับโรค เพื่อหาจุดแทรกแซงที่สามารถย้อนกลับกระบวนการของโรคได้

    แม้ AstraZeneca จะไม่ซื้อหุ้นของ Algen ในข้อตกลงนี้ แต่ก็ถือเป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับเป้าหมายของบริษัทในการเพิ่มยอดขายเป็น 80 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 โดยเฉพาะในกลุ่มโรคระบบภูมิคุ้มกันที่สร้างรายได้กว่า 4.2 พันล้านดอลลาร์ในครึ่งแรกของปี 2025

    ข้อตกลงนี้ยังสะท้อนแนวโน้มของอุตสาหกรรมยา ที่หันมาใช้ AI และการตัดต่อยีนเพื่อเร่งการค้นพบยาใหม่ ๆ โดยมีบริษัทใหญ่อื่น ๆ เช่น Roche, BMS และ J&J ที่ร่วมมือกันพัฒนาโมเดล AI แบบ federated เพื่อค้นหายาโดยไม่ต้องแชร์ข้อมูลดิบ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AstraZeneca ลงนามข้อตกลงมูลค่า 555 ล้านดอลลาร์กับ Algen Biotechnologies
    ข้อตกลงให้สิทธิ์พัฒนาและจำหน่ายยาจากเทคโนโลยี CRISPR โดยใช้ AI
    เน้นการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน
    Algen ใช้แพลตฟอร์ม AlgenBrain วิเคราะห์ RNA ในเซลล์มนุษย์
    ข้อมูล RNA ถูกเชื่อมโยงกับผลลัพธ์ทางชีวภาพเพื่อหาจุดแทรกแซงของโรค
    AstraZeneca ไม่ซื้อหุ้นของ Algen แต่ให้เงินล่วงหน้าและตาม milestone
    เป้าหมายของ AstraZeneca คือยอดขาย 80 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030
    กลุ่มโรคภูมิคุ้มกันสร้างรายได้กว่า 4.2 พันล้านดอลลาร์ในครึ่งปีแรกของ 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Algen แยกตัวจากห้องวิจัยของ Jennifer Doudna ผู้พัฒนา CRISPR
    แพลตฟอร์ม AlgenBrain ใช้การตัดต่อยีนแบบ single-cell และการเรียนรู้เชิงลึก
    AstraZeneca เคยร่วมมือกับ BenevolentAI และ Tempus AI ในการพัฒนายา
    อุตสาหกรรมยาเริ่มใช้โมเดล federated learning เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูล
    การใช้ AI ช่วยลดเวลาและต้นทุนในการค้นคว้ายาใหม่ แต่ยังต้องพิสูจน์ผลลัพธ์ในระยะยาว

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/06/astrazeneca-inks-555-million-gene-editing-technology-deal-with-algen-ft-reports
    🧬 “AstraZeneca ทุ่ม 555 ล้านดอลลาร์ จับมือ Algen พัฒนาเทคโนโลยีตัดต่อยีนด้วย AI — เป้าหมายใหม่ของการรักษาโรคภูมิคุ้มกัน” AstraZeneca บริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่จากอังกฤษ-สวีเดน ได้ลงนามข้อตกลงมูลค่า 555 ล้านดอลลาร์กับ Algen Biotechnologies บริษัทไบโอเทคจากซานฟรานซิสโก เพื่อร่วมพัฒนาเทคโนโลยีการรักษาโรคด้วยการตัดต่อยีนแบบ CRISPR โดยใช้แพลตฟอร์ม AI ที่ชื่อว่า “AlgenBrain” ซึ่งสามารถวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างยีนกับโรคได้อย่างแม่นยำ ข้อตกลงนี้ให้ AstraZeneca สิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการพัฒนาและจำหน่ายยาที่ได้จากเทคโนโลยีนี้ โดยเน้นไปที่โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โรคอักเสบเรื้อรัง หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง โดย Algen จะได้รับเงินล่วงหน้าและเงินตามเป้าหมายการพัฒนาและการอนุมัติ ซึ่งรวมกันแล้วอาจสูงถึง 555 ล้านดอลลาร์ Algen เป็นบริษัทที่แยกตัวออกมาจากห้องวิจัยของมหาวิทยาลัย UC Berkeley ซึ่งเป็นที่ที่ Jennifer Doudna ผู้ได้รับรางวัลโนเบลได้พัฒนาเทคโนโลยี CRISPR ขึ้นมา โดยแพลตฟอร์ม AlgenBrain ใช้การวิเคราะห์ RNA แบบไดนามิกในเซลล์มนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับโรค เพื่อหาจุดแทรกแซงที่สามารถย้อนกลับกระบวนการของโรคได้ แม้ AstraZeneca จะไม่ซื้อหุ้นของ Algen ในข้อตกลงนี้ แต่ก็ถือเป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับเป้าหมายของบริษัทในการเพิ่มยอดขายเป็น 80 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 โดยเฉพาะในกลุ่มโรคระบบภูมิคุ้มกันที่สร้างรายได้กว่า 4.2 พันล้านดอลลาร์ในครึ่งแรกของปี 2025 ข้อตกลงนี้ยังสะท้อนแนวโน้มของอุตสาหกรรมยา ที่หันมาใช้ AI และการตัดต่อยีนเพื่อเร่งการค้นพบยาใหม่ ๆ โดยมีบริษัทใหญ่อื่น ๆ เช่น Roche, BMS และ J&J ที่ร่วมมือกันพัฒนาโมเดล AI แบบ federated เพื่อค้นหายาโดยไม่ต้องแชร์ข้อมูลดิบ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AstraZeneca ลงนามข้อตกลงมูลค่า 555 ล้านดอลลาร์กับ Algen Biotechnologies ➡️ ข้อตกลงให้สิทธิ์พัฒนาและจำหน่ายยาจากเทคโนโลยี CRISPR โดยใช้ AI ➡️ เน้นการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน ➡️ Algen ใช้แพลตฟอร์ม AlgenBrain วิเคราะห์ RNA ในเซลล์มนุษย์ ➡️ ข้อมูล RNA ถูกเชื่อมโยงกับผลลัพธ์ทางชีวภาพเพื่อหาจุดแทรกแซงของโรค ➡️ AstraZeneca ไม่ซื้อหุ้นของ Algen แต่ให้เงินล่วงหน้าและตาม milestone ➡️ เป้าหมายของ AstraZeneca คือยอดขาย 80 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 ➡️ กลุ่มโรคภูมิคุ้มกันสร้างรายได้กว่า 4.2 พันล้านดอลลาร์ในครึ่งปีแรกของ 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Algen แยกตัวจากห้องวิจัยของ Jennifer Doudna ผู้พัฒนา CRISPR ➡️ แพลตฟอร์ม AlgenBrain ใช้การตัดต่อยีนแบบ single-cell และการเรียนรู้เชิงลึก ➡️ AstraZeneca เคยร่วมมือกับ BenevolentAI และ Tempus AI ในการพัฒนายา ➡️ อุตสาหกรรมยาเริ่มใช้โมเดล federated learning เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ➡️ การใช้ AI ช่วยลดเวลาและต้นทุนในการค้นคว้ายาใหม่ แต่ยังต้องพิสูจน์ผลลัพธ์ในระยะยาว https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/06/astrazeneca-inks-555-million-gene-editing-technology-deal-with-algen-ft-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AstraZeneca inks $555 million gene-editing technology deal with Algen, FT reports
    (Reuters) -AstraZeneca has signed a $555 million deal with a San Francisco-based biotech business Algen Biotechnologies, The Financial Times reported on Monday.
    0 Comments 0 Shares 221 Views 0 Reviews
  • “YouTuber วัย 17 ปีในสหรัฐฯ ไลฟ์สดพูดถึง ‘การล้างแค้น’ ก่อนขับรถชนเด็กหญิงสองคนเสียชีวิต — คดีสะเทือนสังคมที่เริ่มจากโลกออนไลน์”

    เหตุการณ์สะเทือนขวัญในรัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา กลายเป็นข่าวใหญ่เมื่อ Vincent Battiloro วัย 17 ปี ถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมสองกระทง หลังจากขับรถด้วยความเร็วกว่า 112 กม./ชม. พุ่งชนเด็กหญิงสองคนที่กำลังขี่จักรยานไฟฟ้าในเมือง Cranford เมื่อปลายเดือนกันยายน 2025

    ก่อนเกิดเหตุไม่กี่วัน Battiloro ได้เผยแพร่ไลฟ์สตรีมบน YouTube ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 40,000 คน โดยพูดถึงความแค้นที่มีต่อหนึ่งในเหยื่อคือ Maria Niotis พร้อมกล่าวหาว่าเธอและแม่เป็นต้นเหตุให้เขาถูกพักการเรียนจากข้อกล่าวหาเรื่องสื่อลามกเด็ก ซึ่งเขาปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่าเป็นเรื่อง “ไร้สาระ” และ “จะปฏิเสธไปจนตาย”

    ในไลฟ์สตรีมเมื่อวันที่ 23 กันยายน เขาใช้โทรศัพท์เบอร์เผา (burner phone) สั่งพิซซ่าไปส่งที่บ้านของเหยื่อ พร้อมพูดเย้ยว่า “ขอให้สนุกกับพิซซ่าของแกนะ ไอ้…” ก่อนจะกลับไปเล่นเกม MLB ต่อหน้าผู้ชม

    หลังเกิดเหตุ เขายังไลฟ์อีกครั้งในวันที่ 30 กันยายน โดยกล่าวว่า “มีเรื่องมากกว่าที่คุณรู้” และอ้างว่าเขาไม่สามารถพูดถึงรายละเอียดได้ในตอนนั้น แม้จะถูกผู้ชมถล่มด้วยคำถามและคำด่าทอ เช่น “ฆาตกร” และ “เมื่อไหร่จะไลฟ์จากคุก”

    ครอบครัวของเหยื่อทั้งสอง — Maria Niotis และ Isabella Salas — ระบุว่า Battiloro เคยสะกดรอยตาม Maria มาหลายเดือน และวางแผนโจมตีเธออย่างชัดเจน โดยมีการยื่นคำร้องขอคำสั่งห้ามเข้าใกล้ก่อนเกิดเหตุ

    แม้ Battiloro จะยังไม่ถูกตัดสินว่าเป็นผู้ใหญ่ในทางกฎหมาย แต่เขาถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมระดับแรก (first-degree murder) และได้รับใบสั่งกว่า 15 ฉบับจากการขับรถโดยไม่มีใบขับขี่ ขับเร็วเกินกำหนด และขับรถโดยประมาท

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Vincent Battiloro อายุ 17 ปี ถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมสองกระทง
    เหยื่อคือ Maria Niotis และ Isabella Salas อายุ 17 ปี ทั้งคู่
    Battiloro ขับรถด้วยความเร็ว 112 กม./ชม. ในเขตจำกัด 40 กม./ชม.
    เขาเคยไลฟ์สตรีมพูดถึง “การล้างแค้น” และกล่าวหาว่าเหยื่อทำให้เขาถูกพักการเรียน
    ไลฟ์สตรีมหลังเกิดเหตุยังพูดถึง “มีเรื่องมากกว่าที่คุณรู้”
    ครอบครัวเหยื่อระบุว่าเขาสะกดรอยตาม Maria มาหลายเดือน
    มีการยื่นคำร้องขอคำสั่งห้ามเข้าใกล้ก่อนเกิดเหตุ
    Battiloro ถูกออกใบสั่งกว่า 15 ฉบับจากการขับรถผิดกฎหมาย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    YouTube ลบช่องของ Battiloro หลังเกิดเหตุ
    คดีนี้สะท้อนปัญหาการใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือคุกคาม
    การไลฟ์สตรีมหลังเกิดเหตุอาจถูกใช้เป็นหลักฐานในชั้นศาล
    กฎหมายในหลายรัฐของสหรัฐฯ อนุญาตให้พิจารณาเยาวชนเป็นผู้ใหญ่ในคดีร้ายแรง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/06/youtuber-in-us-harassed-teen-girl-ranted-about-039vengeance039-in-livestreams-before-deadly-crash
    📹 “YouTuber วัย 17 ปีในสหรัฐฯ ไลฟ์สดพูดถึง ‘การล้างแค้น’ ก่อนขับรถชนเด็กหญิงสองคนเสียชีวิต — คดีสะเทือนสังคมที่เริ่มจากโลกออนไลน์” เหตุการณ์สะเทือนขวัญในรัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา กลายเป็นข่าวใหญ่เมื่อ Vincent Battiloro วัย 17 ปี ถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมสองกระทง หลังจากขับรถด้วยความเร็วกว่า 112 กม./ชม. พุ่งชนเด็กหญิงสองคนที่กำลังขี่จักรยานไฟฟ้าในเมือง Cranford เมื่อปลายเดือนกันยายน 2025 ก่อนเกิดเหตุไม่กี่วัน Battiloro ได้เผยแพร่ไลฟ์สตรีมบน YouTube ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 40,000 คน โดยพูดถึงความแค้นที่มีต่อหนึ่งในเหยื่อคือ Maria Niotis พร้อมกล่าวหาว่าเธอและแม่เป็นต้นเหตุให้เขาถูกพักการเรียนจากข้อกล่าวหาเรื่องสื่อลามกเด็ก ซึ่งเขาปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่าเป็นเรื่อง “ไร้สาระ” และ “จะปฏิเสธไปจนตาย” ในไลฟ์สตรีมเมื่อวันที่ 23 กันยายน เขาใช้โทรศัพท์เบอร์เผา (burner phone) สั่งพิซซ่าไปส่งที่บ้านของเหยื่อ พร้อมพูดเย้ยว่า “ขอให้สนุกกับพิซซ่าของแกนะ ไอ้…” ก่อนจะกลับไปเล่นเกม MLB ต่อหน้าผู้ชม หลังเกิดเหตุ เขายังไลฟ์อีกครั้งในวันที่ 30 กันยายน โดยกล่าวว่า “มีเรื่องมากกว่าที่คุณรู้” และอ้างว่าเขาไม่สามารถพูดถึงรายละเอียดได้ในตอนนั้น แม้จะถูกผู้ชมถล่มด้วยคำถามและคำด่าทอ เช่น “ฆาตกร” และ “เมื่อไหร่จะไลฟ์จากคุก” ครอบครัวของเหยื่อทั้งสอง — Maria Niotis และ Isabella Salas — ระบุว่า Battiloro เคยสะกดรอยตาม Maria มาหลายเดือน และวางแผนโจมตีเธออย่างชัดเจน โดยมีการยื่นคำร้องขอคำสั่งห้ามเข้าใกล้ก่อนเกิดเหตุ แม้ Battiloro จะยังไม่ถูกตัดสินว่าเป็นผู้ใหญ่ในทางกฎหมาย แต่เขาถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมระดับแรก (first-degree murder) และได้รับใบสั่งกว่า 15 ฉบับจากการขับรถโดยไม่มีใบขับขี่ ขับเร็วเกินกำหนด และขับรถโดยประมาท ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Vincent Battiloro อายุ 17 ปี ถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมสองกระทง ➡️ เหยื่อคือ Maria Niotis และ Isabella Salas อายุ 17 ปี ทั้งคู่ ➡️ Battiloro ขับรถด้วยความเร็ว 112 กม./ชม. ในเขตจำกัด 40 กม./ชม. ➡️ เขาเคยไลฟ์สตรีมพูดถึง “การล้างแค้น” และกล่าวหาว่าเหยื่อทำให้เขาถูกพักการเรียน ➡️ ไลฟ์สตรีมหลังเกิดเหตุยังพูดถึง “มีเรื่องมากกว่าที่คุณรู้” ➡️ ครอบครัวเหยื่อระบุว่าเขาสะกดรอยตาม Maria มาหลายเดือน ➡️ มีการยื่นคำร้องขอคำสั่งห้ามเข้าใกล้ก่อนเกิดเหตุ ➡️ Battiloro ถูกออกใบสั่งกว่า 15 ฉบับจากการขับรถผิดกฎหมาย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ YouTube ลบช่องของ Battiloro หลังเกิดเหตุ ➡️ คดีนี้สะท้อนปัญหาการใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือคุกคาม ➡️ การไลฟ์สตรีมหลังเกิดเหตุอาจถูกใช้เป็นหลักฐานในชั้นศาล ➡️ กฎหมายในหลายรัฐของสหรัฐฯ อนุญาตให้พิจารณาเยาวชนเป็นผู้ใหญ่ในคดีร้ายแรง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/06/youtuber-in-us-harassed-teen-girl-ranted-about-039vengeance039-in-livestreams-before-deadly-crash
    WWW.THESTAR.COM.MY
    YouTuber in US harassed teen girl, ranted about 'vengeance' in livestreams before deadly crash
    For hours at a clip, the 17-year-old from Garwood played MLB games, ranted about sports and politics and occasionally veered into darker topics to his more than 40,000 followers.
    0 Comments 0 Shares 251 Views 0 Reviews
  • “CISO ยุคใหม่ต้องคิดใหม่ — เมื่อ AI เปลี่ยนเกมความปลอดภัยจากพื้นฐานสู่กลยุทธ์”

    ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจของการดำเนินธุรกิจทั่วโลก ผู้บริหารด้านความปลอดภัยข้อมูล (CISO) กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ไม่ใช่แค่ในด้านเทคโนโลยี แต่รวมถึงบทบาทในองค์กรและวิธีคิดเชิงกลยุทธ์ โดยรายงานจาก CSO Online ระบุว่า AI ไม่ได้เข้ามาแทนที่ระบบความปลอดภัยเดิม แต่กลับขยายช่องว่างระหว่างองค์กรที่เตรียมพร้อมกับองค์กรที่ยังล้าหลัง

    Joe Oleksak จาก Plante Moran ชี้ว่า AI เร่งทั้งการโจมตีและการป้องกัน ทำให้ “ความเร็ว” กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่สุด และย้ำว่า “AI ไม่ใช่กระสุนวิเศษ” เพราะมันขยายผลของทุกข้อผิดพลาด เช่น การตั้งสิทธิ์ผิด การแบ่งเครือข่ายไม่ดี หรือการเก็บข้อมูลในโฟลเดอร์ที่ไม่ปลอดภัย

    ในองค์กรที่มีการลงทุนด้านความปลอดภัยมาอย่างต่อเนื่อง AI กลายเป็นเครื่องมือเสริมประสิทธิภาพ แต่ในองค์กรที่ละเลยเรื่องนี้ AI กลับทำให้ช่องโหว่เดิมรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะเมื่อแฮกเกอร์ใช้ AI สร้าง phishing, deepfake และการสแกนระบบได้เร็วและถูกลง

    Deneen DeFiore จาก United Airlines ระบุว่า AI ทำให้ CISO มีบทบาทในระดับกลยุทธ์มากขึ้น โดยต้องร่วมมือกับผู้บริหารทุกฝ่ายตั้งแต่ต้น เพื่อให้การใช้ AI เป็นไปอย่างโปร่งใส ยุติธรรม และปลอดภัย

    Jason Lander จาก Aya Healthcare เสริมว่า AI เปลี่ยนวิธีทำงานของทีม IT และทีมความปลอดภัยให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น โดยเน้นการทำงานเชิงรุกและการวางระบบที่ยืดหยุ่น พร้อมทั้งใช้ AI เพื่อจัดการงานซ้ำซ้อนและเพิ่มความเร็วในการตัดสินใจ

    Jill Knesek จาก BlackLine มองว่า AI ช่วยลดภาระของทีม SOC (Security Operations Center) โดยสามารถใช้ AI แทนการจ้างคนเพิ่มในบางช่วงเวลา เช่น กลางคืนหรือวันหยุด พร้อมเน้นว่าการฝึกอบรมและวัฒนธรรมองค์กรยังคงเป็นหัวใจของความปลอดภัย

    สุดท้าย Oleksak เตือนว่า AI ไม่ใช่กลยุทธ์ แต่เป็นเครื่องมือที่ต้องใช้ด้วยความเข้าใจ โดยแนะนำให้เริ่มจากการประเมินความเสี่ยง แล้วค่อยเลือกใช้ AI ในจุดที่เหมาะสม เช่น การวิเคราะห์ log หรือการตรวจจับ phishing พร้อมเน้นว่า “การตัดสินใจของมนุษย์” ยังเป็นสิ่งที่ AI ไม่สามารถแทนที่ได้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AI เร่งทั้งการโจมตีและการป้องกัน ทำให้ความเร็วกลายเป็นปัจจัยสำคัญ
    AI ขยายผลของข้อผิดพลาด เช่น การตั้งสิทธิ์ผิดหรือการจัดการข้อมูลไม่ดี
    องค์กรที่ลงทุนด้านความปลอดภัยมาแล้วจะได้ประโยชน์จาก AI มากกว่า
    แฮกเกอร์ใช้ AI สร้าง phishing และ deepfake ได้เร็วและถูกลง
    CISO มีบทบาทเชิงกลยุทธ์มากขึ้นในองค์กรยุค AI
    United Airlines ใช้ AI อย่างโปร่งใสและเน้นความรับผิดชอบร่วมกัน
    Aya Healthcare ใช้ AI เพื่อจัดการงานซ้ำซ้อนและเพิ่มความเร็วในการตัดสินใจ
    BlackLine ใช้ AI ลดภาระทีม SOC และวางแผนจ้างงานแบบกระจาย
    การฝึกอบรมและวัฒนธรรมองค์กรยังคงเป็นหัวใจของความปลอดภัย
    Oleksak แนะนำให้ใช้ AI แบบมีเป้าหมาย เช่น การวิเคราะห์ log หรือ phishing

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Deloitte พบว่า 43% ขององค์กรในสหรัฐฯ ใช้ AI ในโปรแกรมความปลอดภัย
    โมเดล federated learning ถูกใช้เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูลในการพัฒนา AI
    การใช้ AI ใน SOC ช่วยลด false positives และเพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับภัยคุกคาม
    หลายองค์กรเริ่มจัดทีมแบบ agile ที่รวม threat analyst, engineer และ data scientist
    การใช้ AI อย่างมีจริยธรรมกลายเป็นหัวข้อสำคัญในระดับผู้บริหารทั่วโลก

    https://www.csoonline.com/article/4066733/cisos-rethink-the-security-organization-for-the-ai-era.html
    🛡️ “CISO ยุคใหม่ต้องคิดใหม่ — เมื่อ AI เปลี่ยนเกมความปลอดภัยจากพื้นฐานสู่กลยุทธ์” ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจของการดำเนินธุรกิจทั่วโลก ผู้บริหารด้านความปลอดภัยข้อมูล (CISO) กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ไม่ใช่แค่ในด้านเทคโนโลยี แต่รวมถึงบทบาทในองค์กรและวิธีคิดเชิงกลยุทธ์ โดยรายงานจาก CSO Online ระบุว่า AI ไม่ได้เข้ามาแทนที่ระบบความปลอดภัยเดิม แต่กลับขยายช่องว่างระหว่างองค์กรที่เตรียมพร้อมกับองค์กรที่ยังล้าหลัง Joe Oleksak จาก Plante Moran ชี้ว่า AI เร่งทั้งการโจมตีและการป้องกัน ทำให้ “ความเร็ว” กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่สุด และย้ำว่า “AI ไม่ใช่กระสุนวิเศษ” เพราะมันขยายผลของทุกข้อผิดพลาด เช่น การตั้งสิทธิ์ผิด การแบ่งเครือข่ายไม่ดี หรือการเก็บข้อมูลในโฟลเดอร์ที่ไม่ปลอดภัย ในองค์กรที่มีการลงทุนด้านความปลอดภัยมาอย่างต่อเนื่อง AI กลายเป็นเครื่องมือเสริมประสิทธิภาพ แต่ในองค์กรที่ละเลยเรื่องนี้ AI กลับทำให้ช่องโหว่เดิมรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะเมื่อแฮกเกอร์ใช้ AI สร้าง phishing, deepfake และการสแกนระบบได้เร็วและถูกลง Deneen DeFiore จาก United Airlines ระบุว่า AI ทำให้ CISO มีบทบาทในระดับกลยุทธ์มากขึ้น โดยต้องร่วมมือกับผู้บริหารทุกฝ่ายตั้งแต่ต้น เพื่อให้การใช้ AI เป็นไปอย่างโปร่งใส ยุติธรรม และปลอดภัย Jason Lander จาก Aya Healthcare เสริมว่า AI เปลี่ยนวิธีทำงานของทีม IT และทีมความปลอดภัยให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น โดยเน้นการทำงานเชิงรุกและการวางระบบที่ยืดหยุ่น พร้อมทั้งใช้ AI เพื่อจัดการงานซ้ำซ้อนและเพิ่มความเร็วในการตัดสินใจ Jill Knesek จาก BlackLine มองว่า AI ช่วยลดภาระของทีม SOC (Security Operations Center) โดยสามารถใช้ AI แทนการจ้างคนเพิ่มในบางช่วงเวลา เช่น กลางคืนหรือวันหยุด พร้อมเน้นว่าการฝึกอบรมและวัฒนธรรมองค์กรยังคงเป็นหัวใจของความปลอดภัย สุดท้าย Oleksak เตือนว่า AI ไม่ใช่กลยุทธ์ แต่เป็นเครื่องมือที่ต้องใช้ด้วยความเข้าใจ โดยแนะนำให้เริ่มจากการประเมินความเสี่ยง แล้วค่อยเลือกใช้ AI ในจุดที่เหมาะสม เช่น การวิเคราะห์ log หรือการตรวจจับ phishing พร้อมเน้นว่า “การตัดสินใจของมนุษย์” ยังเป็นสิ่งที่ AI ไม่สามารถแทนที่ได้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AI เร่งทั้งการโจมตีและการป้องกัน ทำให้ความเร็วกลายเป็นปัจจัยสำคัญ ➡️ AI ขยายผลของข้อผิดพลาด เช่น การตั้งสิทธิ์ผิดหรือการจัดการข้อมูลไม่ดี ➡️ องค์กรที่ลงทุนด้านความปลอดภัยมาแล้วจะได้ประโยชน์จาก AI มากกว่า ➡️ แฮกเกอร์ใช้ AI สร้าง phishing และ deepfake ได้เร็วและถูกลง ➡️ CISO มีบทบาทเชิงกลยุทธ์มากขึ้นในองค์กรยุค AI ➡️ United Airlines ใช้ AI อย่างโปร่งใสและเน้นความรับผิดชอบร่วมกัน ➡️ Aya Healthcare ใช้ AI เพื่อจัดการงานซ้ำซ้อนและเพิ่มความเร็วในการตัดสินใจ ➡️ BlackLine ใช้ AI ลดภาระทีม SOC และวางแผนจ้างงานแบบกระจาย ➡️ การฝึกอบรมและวัฒนธรรมองค์กรยังคงเป็นหัวใจของความปลอดภัย ➡️ Oleksak แนะนำให้ใช้ AI แบบมีเป้าหมาย เช่น การวิเคราะห์ log หรือ phishing ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Deloitte พบว่า 43% ขององค์กรในสหรัฐฯ ใช้ AI ในโปรแกรมความปลอดภัย ➡️ โมเดล federated learning ถูกใช้เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูลในการพัฒนา AI ➡️ การใช้ AI ใน SOC ช่วยลด false positives และเพิ่มความแม่นยำในการตรวจจับภัยคุกคาม ➡️ หลายองค์กรเริ่มจัดทีมแบบ agile ที่รวม threat analyst, engineer และ data scientist ➡️ การใช้ AI อย่างมีจริยธรรมกลายเป็นหัวข้อสำคัญในระดับผู้บริหารทั่วโลก https://www.csoonline.com/article/4066733/cisos-rethink-the-security-organization-for-the-ai-era.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    CISOs rethink the security organization for the AI era
    As AI becomes more ingrained in business strategies, CISOs are re-examining their security organizations to keep up with the pace and potential of the technology.
    0 Comments 0 Shares 283 Views 0 Reviews
  • ล่องเรือแม่น้ำแซน ฝรั่งเศส เส้นทางสุดโรแมนติก จากปารีสสู่นอร์ม็องดี พักผ่อนบนเรือล่องแม่น้ำบริการระดับโรงแรม 6 ดาว อาหารฝรั่งเศสระดับกูร์เมต์ พร้อมไวน์ท้องถิ่นเสิร์ฟทุกมื้อ

    แพ็คเกจเรือล่องเรือ Paris & Normandy พัก S.S. Joie de Vivre By Uniworld River Cruise

    เดินทาง มี.ค. - พ.ย. 2569

    เส้นทางปารีส - ลา โรช - กียง, แวร์นง, ชีแวร์นี่ - รูอ็อง - โกดด์เบค - ออง โก (องเฟลอ แอเทรอตา) - รูอ็อง - มองต์ - ลา - ฌอลี (แวร์ซาย) - ปารีส

    Early Booking ลดสูงสุด 10% (บางช่วงวันเดินทาง)
    ปกติเริ่มต้น 4,299 USD ลดเหลือ เริ่มต้น 3,869 USD

    ค่าที่พักบนเรือตลอดการเดินทาง
    WIFI บนเรือ และ เครื่องดื่มบนเรือ
    รถรับ-ส่ง สนามบิน-ท่าเรือ (กรณีเดินทางมาถึงในวันที่เรือออกเดินทาง)
    กิจกรรมบนเรือ และความบันเทิง
    ค่าภาษีท่าเรือและค่าทิปพนักงานบนเรือ

    รหัสโปรแกรม : UNIP-8D7N-PAR-PAR-2611021
    คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/e79677

    สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที!
    https://cruisedomain.com/
    LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029
    Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121
    Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620
    : 0 2116 9696

    #UniworldRiverCruise #Paris #Normandy #LaRoche #France #Rouen #แพ็คเกจเรือล่องแม่น้ำ #CruiseDomain
    🎼 ล่องเรือแม่น้ำแซน ฝรั่งเศส เส้นทางสุดโรแมนติก จากปารีสสู่นอร์ม็องดี พักผ่อนบนเรือล่องแม่น้ำบริการระดับโรงแรม 6 ดาว อาหารฝรั่งเศสระดับกูร์เมต์ พร้อมไวน์ท้องถิ่นเสิร์ฟทุกมื้อ 🍷🍴 ✨ แพ็คเกจเรือล่องเรือ Paris & Normandy พัก S.S. Joie de Vivre By Uniworld River Cruise 📅 เดินทาง มี.ค. - พ.ย. 2569 📍 เส้นทางปารีส - ลา โรช - กียง, แวร์นง, ชีแวร์นี่ - รูอ็อง - โกดด์เบค - ออง โก (องเฟลอ แอเทรอตา) - รูอ็อง - มองต์ - ลา - ฌอลี (แวร์ซาย) - ปารีส 🎇 Early Booking ลดสูงสุด 10% (บางช่วงวันเดินทาง) 💸 ปกติเริ่มต้น 4,299 USD ลดเหลือ เริ่มต้น 3,869 USD ✅ ค่าที่พักบนเรือตลอดการเดินทาง ✅ WIFI บนเรือ และ เครื่องดื่มบนเรือ ✅ รถรับ-ส่ง สนามบิน-ท่าเรือ (กรณีเดินทางมาถึงในวันที่เรือออกเดินทาง) ✅ กิจกรรมบนเรือ และความบันเทิง ✅ ค่าภาษีท่าเรือและค่าทิปพนักงานบนเรือ 📌 รหัสโปรแกรม : UNIP-8D7N-PAR-PAR-2611021 คลิกดูรายละเอียดโปรแกรม : 78s.me/e79677 📩 สอบถามเพิ่มเติมหรือจองแพ็คเกจได้ทันที! https://cruisedomain.com/ LINE ID: @CruiseDomain 78s.me/c54029 Facebook: CruiseDomain 78s.me/b8a121 Youtube : CruiseDomain 78s.me/8af620 ☎️: 0 2116 9696 #UniworldRiverCruise #Paris #Normandy #LaRoche #France #Rouen #แพ็คเกจเรือล่องแม่น้ำ #CruiseDomain
    0 Comments 0 Shares 243 Views 0 Reviews
  • ‘สุชัชวีร์’ นำทีม ‘ไทยก้าวใหม่’ ร่วมแสดงความยินดี ‘กรุงเทพธุรกิจ’ เนื่องในโอกาสครบรอบ 38 ปี
    https://www.thai-tai.tv/news/21787/
    .
    #พรรคไทยก้าวใหม่ #สุชัชวีร์สุวรรณสวัสดิ์ #กรุงเทพธุรกิจ #ครบรอบ38ปี #เนชั่นกรุ๊ป #การเมืองไทย #หญิงกัลยาโสภณพนิช #ไทยก้าวใหม่
    ‘สุชัชวีร์’ นำทีม ‘ไทยก้าวใหม่’ ร่วมแสดงความยินดี ‘กรุงเทพธุรกิจ’ เนื่องในโอกาสครบรอบ 38 ปี https://www.thai-tai.tv/news/21787/ . #พรรคไทยก้าวใหม่ #สุชัชวีร์สุวรรณสวัสดิ์ #กรุงเทพธุรกิจ #ครบรอบ38ปี #เนชั่นกรุ๊ป #การเมืองไทย #หญิงกัลยาโสภณพนิช #ไทยก้าวใหม่
    0 Comments 0 Shares 103 Views 0 Reviews
  • FENGSHUI DAILY
    อัพเดตทุกวัน ที่นี่ที่เดียว
    สีเสริมดวง เสริมความเฮง
    ทิศมงคล เวลามงคล
    อย่าลืมดูกัน เมื่อเริ่มวันใหม่
    วันพุธที่ 8 เดือนตุลาคม พ.ศ.2568
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    FENGSHUI DAILY อัพเดตทุกวัน ที่นี่ที่เดียว สีเสริมดวง เสริมความเฮง ทิศมงคล เวลามงคล อย่าลืมดูกัน เมื่อเริ่มวันใหม่ วันพุธที่ 8 เดือนตุลาคม พ.ศ.2568 ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    0 Comments 0 Shares 73 Views 0 Reviews
  • LIVE ทำบุญครบรอบ ๑๗ ปี ตุลาฯรำลึก วันอังคาร ที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๖๘ ณ บ้านพระอาทิตย์

    คลิก https://m.youtube.com/watch?v=tu_urIoytaA
    LIVE ทำบุญครบรอบ ๑๗ ปี ตุลาฯรำลึก วันอังคาร ที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๖๘ ณ บ้านพระอาทิตย์ • คลิก https://m.youtube.com/watch?v=tu_urIoytaA
    Like
    Love
    7
    0 Comments 1 Shares 598 Views 0 Reviews
  • สทนช.กางเส้นทางพายุ มั่นใจน้ำปีนี้ไม่ซ้ำรอยมหาอุทกภัยปี 54 – นายกฯ เคาะเยียวยาผู้ประสบภัย ครัวเรือนละ 9,000 บาท สั่งเร่งระบายน้ำ-ตั้งศูนย์ช่วยเหลือประชาชนทั่วประเทศ
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000095728

    #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes #SondhiX #สนธิเล่าเรื่อง #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    สทนช.กางเส้นทางพายุ มั่นใจน้ำปีนี้ไม่ซ้ำรอยมหาอุทกภัยปี 54 – นายกฯ เคาะเยียวยาผู้ประสบภัย ครัวเรือนละ 9,000 บาท สั่งเร่งระบายน้ำ-ตั้งศูนย์ช่วยเหลือประชาชนทั่วประเทศ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000095728 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes #SondhiX #สนธิเล่าเรื่อง #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
    Like
    2
    0 Comments 1 Shares 372 Views 0 Reviews