• “AI Coding Trap: เมื่อโค้ดเร็วไม่ใช่คำตอบ — นักพัฒนาต้องกลายเป็นหัวหน้าทีมให้กับ LLM ที่ไม่รู้จักโต”

    บทความโดย Chris Loy ได้สะท้อนปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นจริงในวงการพัฒนาซอฟต์แวร์ยุค AI โดยเฉพาะเมื่อเครื่องมืออย่าง LLM (Large Language Models) เช่น Claude Code หรือ Copilot สามารถเขียนโค้ดได้เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ แต่กลับสร้างภาระให้กับนักพัฒนาในระยะยาว เพราะโค้ดที่ถูกสร้างขึ้นนั้นขาดบริบท ขาดความเข้าใจระบบ และมักต้องใช้เวลามากในการแก้ไขภายหลัง

    Chris เปรียบเทียบการเขียนโค้ดกับการเล่นปริศนา crossword — การพิมพ์โค้ดเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของกระบวนการคิดที่ซับซ้อน ซึ่ง AI มักข้ามขั้นตอนเหล่านี้ไป ทำให้เกิดสิ่งที่เขาเรียกว่า “AI Coding Trap” หรือกับดักแห่งความเร็ว ที่ทำให้ทีมต้องเสียเวลาไปกับการแก้โค้ดที่ไม่เข้าใจ มากกว่าการสร้างสิ่งใหม่

    เขายังชี้ให้เห็นว่า LLM เปรียบเสมือน “นักพัฒนารุ่นใหม่ที่เร็วแต่ไม่เรียนรู้” ซึ่งต่างจากมนุษย์ที่พัฒนาทักษะทั้งด้านคุณภาพและความเร็วไปพร้อมกัน ในขณะที่ LLM พัฒนาได้แค่ผ่านการปรับ context หรือเปลี่ยนโมเดลเท่านั้น

    บทความยังเชื่อมโยงกับปัญหาเก่าในวงการ คือ “Tech Lead’s Dilemma” ที่หัวหน้าทีมต้องเลือกระหว่างการกระจายงานเพื่อให้ทีมเติบโต กับการรับงานยากไว้เองเพื่อเร่งการส่งมอบ ซึ่งหากเลือกทางหลังมากเกินไปจะนำไปสู่การพึ่งพาคนเดียวและเสี่ยงต่อการล่มของทีมเมื่อคนนั้นลาออก

    ทางออกที่ Chris เสนอคือการสร้าง “playbook ใหม่” สำหรับการทำงานร่วมกับ AI โดยนำแนวทางคลาสสิกของการพัฒนาซอฟต์แวร์มาใช้ เช่น modular design, test-driven development, code review และการวางโครงสร้างที่ชัดเจน เพื่อให้ AI กลายเป็นผู้ช่วยที่มีประสิทธิภาพ ไม่ใช่ภาระที่ต้องตามแก้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AI coding agents เขียนโค้ดได้เร็วแต่ขาดบริบท ทำให้ต้องใช้เวลามากในการแก้ไขภายหลัง
    ความเร็วของ LLM ทำให้เกิด “AI Coding Trap” ที่ลดประสิทธิภาพโดยรวมของทีม
    นักพัฒนาต้องกลายเป็น “Tech Lead” ให้กับ AI โดยกำหนดโครงสร้างและมาตรฐาน
    LLM ไม่สามารถเรียนรู้ได้เอง ต้องพึ่ง context engineering หรือการเปลี่ยนโมเดล
    การเปรียบเทียบกับ Tech Lead’s Dilemma ชี้ให้เห็นว่าการเร่งส่งมอบโดยไม่กระจายงานทำให้ทีมเปราะบาง
    ทางออกคือการสร้าง playbook ใหม่ที่รวมแนวทางคลาสสิก เช่น modular design และ TDD
    การใช้ AI อย่างมีโครงสร้างสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้มากกว่าการใช้แบบ “vibe coding”
    AI เหมาะกับงาน prototype หรือโค้ดง่าย ๆ แต่ไม่สามารถจัดการกับความซับซ้อนได้ดี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    LLM เช่น GPT, Claude, หรือ Copilot สามารถเขียนโค้ดได้เร็วแต่ยังมีปัญหาเรื่อง hallucination
    Test-driven development (TDD) ช่วยลดการแก้โค้ดภายหลังและเพิ่มความมั่นใจในการ deploy
    Modular design ทำให้โค้ดเข้าใจง่ายและสามารถใช้ AI เขียนแต่ละส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    การใช้ AI ใน software lifecycle ต้องครอบคลุมตั้งแต่การวางสเปกไปจนถึงการ deploy
    การทำงานร่วมกับ AI ต้องมี “guardrails” เพื่อป้องกันการสร้างโค้ดที่ไม่ maintainable

    https://chrisloy.dev/post/2025/09/28/the-ai-coding-trap
    🧠 “AI Coding Trap: เมื่อโค้ดเร็วไม่ใช่คำตอบ — นักพัฒนาต้องกลายเป็นหัวหน้าทีมให้กับ LLM ที่ไม่รู้จักโต” บทความโดย Chris Loy ได้สะท้อนปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นจริงในวงการพัฒนาซอฟต์แวร์ยุค AI โดยเฉพาะเมื่อเครื่องมืออย่าง LLM (Large Language Models) เช่น Claude Code หรือ Copilot สามารถเขียนโค้ดได้เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ แต่กลับสร้างภาระให้กับนักพัฒนาในระยะยาว เพราะโค้ดที่ถูกสร้างขึ้นนั้นขาดบริบท ขาดความเข้าใจระบบ และมักต้องใช้เวลามากในการแก้ไขภายหลัง Chris เปรียบเทียบการเขียนโค้ดกับการเล่นปริศนา crossword — การพิมพ์โค้ดเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของกระบวนการคิดที่ซับซ้อน ซึ่ง AI มักข้ามขั้นตอนเหล่านี้ไป ทำให้เกิดสิ่งที่เขาเรียกว่า “AI Coding Trap” หรือกับดักแห่งความเร็ว ที่ทำให้ทีมต้องเสียเวลาไปกับการแก้โค้ดที่ไม่เข้าใจ มากกว่าการสร้างสิ่งใหม่ เขายังชี้ให้เห็นว่า LLM เปรียบเสมือน “นักพัฒนารุ่นใหม่ที่เร็วแต่ไม่เรียนรู้” ซึ่งต่างจากมนุษย์ที่พัฒนาทักษะทั้งด้านคุณภาพและความเร็วไปพร้อมกัน ในขณะที่ LLM พัฒนาได้แค่ผ่านการปรับ context หรือเปลี่ยนโมเดลเท่านั้น บทความยังเชื่อมโยงกับปัญหาเก่าในวงการ คือ “Tech Lead’s Dilemma” ที่หัวหน้าทีมต้องเลือกระหว่างการกระจายงานเพื่อให้ทีมเติบโต กับการรับงานยากไว้เองเพื่อเร่งการส่งมอบ ซึ่งหากเลือกทางหลังมากเกินไปจะนำไปสู่การพึ่งพาคนเดียวและเสี่ยงต่อการล่มของทีมเมื่อคนนั้นลาออก ทางออกที่ Chris เสนอคือการสร้าง “playbook ใหม่” สำหรับการทำงานร่วมกับ AI โดยนำแนวทางคลาสสิกของการพัฒนาซอฟต์แวร์มาใช้ เช่น modular design, test-driven development, code review และการวางโครงสร้างที่ชัดเจน เพื่อให้ AI กลายเป็นผู้ช่วยที่มีประสิทธิภาพ ไม่ใช่ภาระที่ต้องตามแก้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AI coding agents เขียนโค้ดได้เร็วแต่ขาดบริบท ทำให้ต้องใช้เวลามากในการแก้ไขภายหลัง ➡️ ความเร็วของ LLM ทำให้เกิด “AI Coding Trap” ที่ลดประสิทธิภาพโดยรวมของทีม ➡️ นักพัฒนาต้องกลายเป็น “Tech Lead” ให้กับ AI โดยกำหนดโครงสร้างและมาตรฐาน ➡️ LLM ไม่สามารถเรียนรู้ได้เอง ต้องพึ่ง context engineering หรือการเปลี่ยนโมเดล ➡️ การเปรียบเทียบกับ Tech Lead’s Dilemma ชี้ให้เห็นว่าการเร่งส่งมอบโดยไม่กระจายงานทำให้ทีมเปราะบาง ➡️ ทางออกคือการสร้าง playbook ใหม่ที่รวมแนวทางคลาสสิก เช่น modular design และ TDD ➡️ การใช้ AI อย่างมีโครงสร้างสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้มากกว่าการใช้แบบ “vibe coding” ➡️ AI เหมาะกับงาน prototype หรือโค้ดง่าย ๆ แต่ไม่สามารถจัดการกับความซับซ้อนได้ดี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ LLM เช่น GPT, Claude, หรือ Copilot สามารถเขียนโค้ดได้เร็วแต่ยังมีปัญหาเรื่อง hallucination ➡️ Test-driven development (TDD) ช่วยลดการแก้โค้ดภายหลังและเพิ่มความมั่นใจในการ deploy ➡️ Modular design ทำให้โค้ดเข้าใจง่ายและสามารถใช้ AI เขียนแต่ละส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ การใช้ AI ใน software lifecycle ต้องครอบคลุมตั้งแต่การวางสเปกไปจนถึงการ deploy ➡️ การทำงานร่วมกับ AI ต้องมี “guardrails” เพื่อป้องกันการสร้างโค้ดที่ไม่ maintainable https://chrisloy.dev/post/2025/09/28/the-ai-coding-trap
    CHRISLOY.DEV
    The AI coding trap | Chris Loy
    If you ever watch someone “coding”, you might see them spending far more time staring into space than typing on their keyboard.
    0 Comments 0 Shares 229 Views 0 Reviews
  • 'ไตรศุลี' ชี้แจง รมต.ต่างประเทศ ทำหน้าที่เร่งด่วนที่ UNGA ไม่ขัด รธน.
    https://www.thai-tai.tv/news/21659/
    .
    #สีหศักดิ์พวงเกตุแก้ว #รัฐมนตรีต่างประเทศ #UNGA80 #รัฐธรรมนูญ #กฤษฎีกา #มาตรา162 #ไตรศุลีไตรสรณกุล #การเมืองไทย #ผลประโยชน์ของประเทศ
    'ไตรศุลี' ชี้แจง รมต.ต่างประเทศ ทำหน้าที่เร่งด่วนที่ UNGA ไม่ขัด รธน. https://www.thai-tai.tv/news/21659/ . #สีหศักดิ์พวงเกตุแก้ว #รัฐมนตรีต่างประเทศ #UNGA80 #รัฐธรรมนูญ #กฤษฎีกา #มาตรา162 #ไตรศุลีไตรสรณกุล #การเมืองไทย #ผลประโยชน์ของประเทศ
    0 Comments 0 Shares 255 Views 0 Reviews
  • “Privacy Badger: ตัวช่วยบล็อกการติดตามที่เรียนรู้เองได้ — เมื่อการปกป้องความเป็นส่วนตัวไม่ต้องพึ่งรายการบล็อกแบบเดิม”

    Privacy Badger คือส่วนขยายเบราว์เซอร์ฟรีจาก Electronic Frontier Foundation (EFF) ที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องผู้ใช้งานจากการถูกติดตามโดยบริษัทโฆษณาและ third-party trackers บนเว็บไซต์ต่าง ๆ โดยไม่ต้องพึ่งรายการบล็อกที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่ใช้การเรียนรู้เชิงพฤติกรรมแบบอัตโนมัติแทน

    เมื่อผู้ใช้เข้าเว็บไซต์ Privacy Badger จะตรวจสอบว่าเนื้อหาบางส่วนมาจากโดเมนอื่นหรือไม่ เช่น โฆษณา, ปุ่มแชร์, หรือวิดเจ็ตคอมเมนต์ หากพบว่าโดเมนนั้นติดตามผู้ใช้ข้ามเว็บไซต์หลายแห่งโดยไม่ได้รับความยินยอม Privacy Badger จะบล็อกเนื้อหาจากโดเมนนั้นทันที

    Privacy Badger ยังส่งสัญญาณ “Do Not Track” และ “Global Privacy Control” ไปยังทุกเว็บไซต์ที่ผู้ใช้เข้าชม เพื่อแจ้งว่าผู้ใช้ไม่ต้องการให้ข้อมูลถูกแชร์หรือขาย หากเว็บไซต์ไม่เคารพสัญญาณเหล่านี้ Privacy Badger จะเรียนรู้และบล็อกโดยอัตโนมัติ

    นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์เสริม เช่น การบล็อกคุกกี้แบบเลือกได้, การแทนวิดเจ็ตด้วยปุ่ม “คลิกเพื่อเปิดใช้งาน”, และการลบการติดตามลิงก์ออกจาก Facebook และ Google โดยไม่ต้องตั้งค่าใด ๆ เพิ่มเติม

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Privacy Badger เป็นส่วนขยายเบราว์เซอร์ที่บล็อก third-party trackers โดยอัตโนมัติ
    ใช้การเรียนรู้พฤติกรรมของโดเมน ไม่พึ่งรายการบล็อกที่มนุษย์สร้าง
    ส่งสัญญาณ Do Not Track และ Global Privacy Control ไปยังทุกเว็บไซต์
    หากโดเมนไม่เคารพสัญญาณเหล่านี้ จะถูกบล็อกโดยอัตโนมัติ
    มีระบบบล็อกคุกกี้แบบเลือกได้ผ่าน “yellowlist”
    แสดงวิดเจ็ตแบบ “คลิกเพื่อเปิดใช้งาน” เพื่อป้องกันการติดตาม
    ลบการติดตามลิงก์ออกจาก Facebook และ Google
    ไม่บล็อกโฆษณาทั้งหมด แต่บล็อกเฉพาะที่มีพฤติกรรมติดตาม
    พัฒนาโดย EFF องค์กรไม่แสวงหากำไรด้านสิทธิ์ดิจิทัล

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Global Privacy Control (GPC) เป็นสัญญาณที่มีผลทางกฎหมายในบางประเทศ เช่น สหรัฐฯ
    การบล็อกแบบพฤติกรรมช่วยป้องกัน trackers ใหม่ที่ยังไม่อยู่ในรายการบล็อก
    Canvas fingerprinting เป็นเทคนิคติดตามที่ Privacy Badger สามารถตรวจจับและบล็อกได้
    ส่วนขยายนี้ทำงานร่วมกับ Firefox’s Enhanced Tracking Protection ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    ผู้ใช้สามารถรายงานเว็บไซต์ที่บล็อกผิดพลาดผ่าน GitHub หรืออีเมลทีมพัฒนา

    https://privacybadger.org/
    🦡 “Privacy Badger: ตัวช่วยบล็อกการติดตามที่เรียนรู้เองได้ — เมื่อการปกป้องความเป็นส่วนตัวไม่ต้องพึ่งรายการบล็อกแบบเดิม” Privacy Badger คือส่วนขยายเบราว์เซอร์ฟรีจาก Electronic Frontier Foundation (EFF) ที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องผู้ใช้งานจากการถูกติดตามโดยบริษัทโฆษณาและ third-party trackers บนเว็บไซต์ต่าง ๆ โดยไม่ต้องพึ่งรายการบล็อกที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่ใช้การเรียนรู้เชิงพฤติกรรมแบบอัตโนมัติแทน เมื่อผู้ใช้เข้าเว็บไซต์ Privacy Badger จะตรวจสอบว่าเนื้อหาบางส่วนมาจากโดเมนอื่นหรือไม่ เช่น โฆษณา, ปุ่มแชร์, หรือวิดเจ็ตคอมเมนต์ หากพบว่าโดเมนนั้นติดตามผู้ใช้ข้ามเว็บไซต์หลายแห่งโดยไม่ได้รับความยินยอม Privacy Badger จะบล็อกเนื้อหาจากโดเมนนั้นทันที Privacy Badger ยังส่งสัญญาณ “Do Not Track” และ “Global Privacy Control” ไปยังทุกเว็บไซต์ที่ผู้ใช้เข้าชม เพื่อแจ้งว่าผู้ใช้ไม่ต้องการให้ข้อมูลถูกแชร์หรือขาย หากเว็บไซต์ไม่เคารพสัญญาณเหล่านี้ Privacy Badger จะเรียนรู้และบล็อกโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์เสริม เช่น การบล็อกคุกกี้แบบเลือกได้, การแทนวิดเจ็ตด้วยปุ่ม “คลิกเพื่อเปิดใช้งาน”, และการลบการติดตามลิงก์ออกจาก Facebook และ Google โดยไม่ต้องตั้งค่าใด ๆ เพิ่มเติม ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Privacy Badger เป็นส่วนขยายเบราว์เซอร์ที่บล็อก third-party trackers โดยอัตโนมัติ ➡️ ใช้การเรียนรู้พฤติกรรมของโดเมน ไม่พึ่งรายการบล็อกที่มนุษย์สร้าง ➡️ ส่งสัญญาณ Do Not Track และ Global Privacy Control ไปยังทุกเว็บไซต์ ➡️ หากโดเมนไม่เคารพสัญญาณเหล่านี้ จะถูกบล็อกโดยอัตโนมัติ ➡️ มีระบบบล็อกคุกกี้แบบเลือกได้ผ่าน “yellowlist” ➡️ แสดงวิดเจ็ตแบบ “คลิกเพื่อเปิดใช้งาน” เพื่อป้องกันการติดตาม ➡️ ลบการติดตามลิงก์ออกจาก Facebook และ Google ➡️ ไม่บล็อกโฆษณาทั้งหมด แต่บล็อกเฉพาะที่มีพฤติกรรมติดตาม ➡️ พัฒนาโดย EFF องค์กรไม่แสวงหากำไรด้านสิทธิ์ดิจิทัล ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Global Privacy Control (GPC) เป็นสัญญาณที่มีผลทางกฎหมายในบางประเทศ เช่น สหรัฐฯ ➡️ การบล็อกแบบพฤติกรรมช่วยป้องกัน trackers ใหม่ที่ยังไม่อยู่ในรายการบล็อก ➡️ Canvas fingerprinting เป็นเทคนิคติดตามที่ Privacy Badger สามารถตรวจจับและบล็อกได้ ➡️ ส่วนขยายนี้ทำงานร่วมกับ Firefox’s Enhanced Tracking Protection ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ ผู้ใช้สามารถรายงานเว็บไซต์ที่บล็อกผิดพลาดผ่าน GitHub หรืออีเมลทีมพัฒนา https://privacybadger.org/
    0 Comments 0 Shares 151 Views 0 Reviews
  • “Postmark-MCP: มัลแวร์สายลับใน npm ที่ขโมยอีเมลผ่าน AI โดยที่คุณไม่รู้ตัว — เมื่อความไว้ใจกลายเป็นช่องโหว่”

    ในเดือนกันยายน 2025 นักวิจัยจาก Koi Security ได้ค้นพบมัลแวร์ตัวแรกในโลกที่แฝงอยู่ใน MCP server (Model-Context-Prompt) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ร่วมกับ AI assistant เพื่อจัดการงานอัตโนมัติ เช่น การส่งอีเมลผ่าน Postmark โดยแพ็กเกจที่ชื่อว่า postmark-mcp ถูกดาวน์โหลดกว่า 1,500 ครั้งต่อสัปดาห์ และถูกใช้งานในองค์กรกว่า 300 แห่งทั่วโลก

    สิ่งที่น่าตกใจคือ ตั้งแต่เวอร์ชัน 1.0.16 เป็นต้นไป มีการฝังโค้ดเพียงบรรทัดเดียวที่แอบเพิ่ม BCC ไปยังอีเมลทุกฉบับ ส่งสำเนาไปยังเซิร์ฟเวอร์ giftshop.club โดยไม่มีใครรู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นอีเมลรีเซ็ตรหัสผ่าน ใบแจ้งหนี้ หรือข้อมูลลูกค้า ล้วนถูกส่งออกไปอย่างเงียบ ๆ

    นักพัฒนาที่อยู่เบื้องหลังแพ็กเกจนี้เป็นบุคคลจริงจากปารีส มี GitHub โปรไฟล์ที่ดูน่าเชื่อถือ และเคยสร้างโปรเจกต์จริงมาก่อน ทำให้แพ็กเกจนี้ได้รับความไว้วางใจจากนักพัฒนาในวงกว้าง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเครื่องมือขโมยข้อมูลในเวอร์ชันล่าสุด

    ที่น่ากลัวกว่านั้นคือ AI assistant ที่ใช้ MCP server นี้จะทำงานโดยอัตโนมัติ โดยไม่มีการตรวจสอบหรือแจ้งเตือนใด ๆ เมื่อมีการส่งอีเมลพร้อม BCC ไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี เพราะระบบไม่มี sandbox หรือ containment ใด ๆ เลย

    แม้แพ็กเกจจะถูกลบออกจาก npm แล้ว แต่เครื่องที่ติดตั้งไปก่อนหน้านั้นยังคงทำงานและส่งข้อมูลออกไปอยู่ทุกวัน โดยไม่มีใครรู้ตัว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    postmark-mcp เป็น MCP server ที่ใช้ร่วมกับ AI assistant เพื่อส่งอีเมลผ่าน Postmark
    เวอร์ชัน 1.0.16 ฝังโค้ดเพิ่ม BCC ไปยัง giftshop.club โดยอัตโนมัติ
    ถูกดาวน์โหลดกว่า 1,500 ครั้งต่อสัปดาห์ และใช้งานในองค์กรกว่า 300 แห่ง
    ข้อมูลที่ถูกขโมยรวมถึงรหัสผ่าน, ใบแจ้งหนี้, ข้อมูลลูกค้า และเอกสารภายใน
    นักพัฒนาเบื้องหลังเป็นบุคคลจริงจากปารีส มีโปรไฟล์ GitHub ที่น่าเชื่อถือ
    โค้ดที่ใช้เป็นการลอกจาก repo จริงของ Postmark แล้วเพิ่ม backdoor ก่อนเผยแพร่
    AI assistant ที่ใช้ MCP server นี้จะทำงานโดยอัตโนมัติ โดยไม่มีการตรวจสอบความปลอดภัย
    แพ็กเกจถูกลบจาก npm แล้ว แต่เครื่องที่ติดตั้งไว้ก่อนหน้านั้นยังคงทำงานอยู่
    giftshop.club เป็นเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้รับข้อมูลจาก backdoor และอาจเป็นโปรเจกต์อื่นของผู้โจมตี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    MCP server คือเครื่องมือที่ AI ใช้เพื่อจัดการงาน เช่น ส่งอีเมล, เรียก API, เข้าถึงฐานข้อมูล
    การโจมตี supply chain แบบนี้คล้ายกับกรณี SolarWinds และ Codecov ที่เคยเกิดขึ้น
    npm ไม่มีระบบ sandbox สำหรับ MCP server ทำให้โค้ดรันโดยไม่มีการตรวจสอบ
    AI assistant ไม่สามารถตรวจจับ BCC หรือพฤติกรรมผิดปกติได้
    การใช้แพ็กเกจจากนักพัฒนาที่ไม่รู้จักเป็นความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในยุค AI

    https://www.koi.security/blog/postmark-mcp-npm-malicious-backdoor-email-theft
    📨 “Postmark-MCP: มัลแวร์สายลับใน npm ที่ขโมยอีเมลผ่าน AI โดยที่คุณไม่รู้ตัว — เมื่อความไว้ใจกลายเป็นช่องโหว่” ในเดือนกันยายน 2025 นักวิจัยจาก Koi Security ได้ค้นพบมัลแวร์ตัวแรกในโลกที่แฝงอยู่ใน MCP server (Model-Context-Prompt) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ร่วมกับ AI assistant เพื่อจัดการงานอัตโนมัติ เช่น การส่งอีเมลผ่าน Postmark โดยแพ็กเกจที่ชื่อว่า postmark-mcp ถูกดาวน์โหลดกว่า 1,500 ครั้งต่อสัปดาห์ และถูกใช้งานในองค์กรกว่า 300 แห่งทั่วโลก สิ่งที่น่าตกใจคือ ตั้งแต่เวอร์ชัน 1.0.16 เป็นต้นไป มีการฝังโค้ดเพียงบรรทัดเดียวที่แอบเพิ่ม BCC ไปยังอีเมลทุกฉบับ ส่งสำเนาไปยังเซิร์ฟเวอร์ giftshop.club โดยไม่มีใครรู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นอีเมลรีเซ็ตรหัสผ่าน ใบแจ้งหนี้ หรือข้อมูลลูกค้า ล้วนถูกส่งออกไปอย่างเงียบ ๆ นักพัฒนาที่อยู่เบื้องหลังแพ็กเกจนี้เป็นบุคคลจริงจากปารีส มี GitHub โปรไฟล์ที่ดูน่าเชื่อถือ และเคยสร้างโปรเจกต์จริงมาก่อน ทำให้แพ็กเกจนี้ได้รับความไว้วางใจจากนักพัฒนาในวงกว้าง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเครื่องมือขโมยข้อมูลในเวอร์ชันล่าสุด ที่น่ากลัวกว่านั้นคือ AI assistant ที่ใช้ MCP server นี้จะทำงานโดยอัตโนมัติ โดยไม่มีการตรวจสอบหรือแจ้งเตือนใด ๆ เมื่อมีการส่งอีเมลพร้อม BCC ไปยังเซิร์ฟเวอร์ของผู้โจมตี เพราะระบบไม่มี sandbox หรือ containment ใด ๆ เลย แม้แพ็กเกจจะถูกลบออกจาก npm แล้ว แต่เครื่องที่ติดตั้งไปก่อนหน้านั้นยังคงทำงานและส่งข้อมูลออกไปอยู่ทุกวัน โดยไม่มีใครรู้ตัว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ postmark-mcp เป็น MCP server ที่ใช้ร่วมกับ AI assistant เพื่อส่งอีเมลผ่าน Postmark ➡️ เวอร์ชัน 1.0.16 ฝังโค้ดเพิ่ม BCC ไปยัง giftshop.club โดยอัตโนมัติ ➡️ ถูกดาวน์โหลดกว่า 1,500 ครั้งต่อสัปดาห์ และใช้งานในองค์กรกว่า 300 แห่ง ➡️ ข้อมูลที่ถูกขโมยรวมถึงรหัสผ่าน, ใบแจ้งหนี้, ข้อมูลลูกค้า และเอกสารภายใน ➡️ นักพัฒนาเบื้องหลังเป็นบุคคลจริงจากปารีส มีโปรไฟล์ GitHub ที่น่าเชื่อถือ ➡️ โค้ดที่ใช้เป็นการลอกจาก repo จริงของ Postmark แล้วเพิ่ม backdoor ก่อนเผยแพร่ ➡️ AI assistant ที่ใช้ MCP server นี้จะทำงานโดยอัตโนมัติ โดยไม่มีการตรวจสอบความปลอดภัย ➡️ แพ็กเกจถูกลบจาก npm แล้ว แต่เครื่องที่ติดตั้งไว้ก่อนหน้านั้นยังคงทำงานอยู่ ➡️ giftshop.club เป็นเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้รับข้อมูลจาก backdoor และอาจเป็นโปรเจกต์อื่นของผู้โจมตี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ MCP server คือเครื่องมือที่ AI ใช้เพื่อจัดการงาน เช่น ส่งอีเมล, เรียก API, เข้าถึงฐานข้อมูล ➡️ การโจมตี supply chain แบบนี้คล้ายกับกรณี SolarWinds และ Codecov ที่เคยเกิดขึ้น ➡️ npm ไม่มีระบบ sandbox สำหรับ MCP server ทำให้โค้ดรันโดยไม่มีการตรวจสอบ ➡️ AI assistant ไม่สามารถตรวจจับ BCC หรือพฤติกรรมผิดปกติได้ ➡️ การใช้แพ็กเกจจากนักพัฒนาที่ไม่รู้จักเป็นความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในยุค AI https://www.koi.security/blog/postmark-mcp-npm-malicious-backdoor-email-theft
    0 Comments 0 Shares 235 Views 0 Reviews
  • “ปาฏิหาริย์แห่งการปลูกถ่าย: ชายอเมริกันมีชีวิตอยู่ครบ 6 เดือนหลังรับไตจากหมูดัดแปลงพันธุกรรม — จุดเปลี่ยนของการแพทย์ข้ามสายพันธุ์”

    Tim Andrews ชายวัย 67 ปีจากสหรัฐฯ กลายเป็นบุคคลแรกในโลกที่มีชีวิตอยู่ครบ 6 เดือนหลังได้รับการปลูกถ่ายไตจากหมูที่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรม ซึ่งถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญในวงการแพทย์ด้าน xenotransplantation — การปลูกถ่ายอวัยวะจากสัตว์สู่มนุษย์

    ก่อนหน้านี้ Andrews ป่วยเป็นโรคไตระยะสุดท้ายและต้องฟอกไตมานานกว่า 2 ปี โดยมีโอกาสรอรับไตจากมนุษย์นานถึง 7 ปี เนื่องจากกรุ๊ปเลือดหายาก การปลูกถ่ายไตจากหมูจึงเป็นทางเลือกสุดท้ายภายใต้ระบบ “Compassionate Use” ซึ่งอนุญาตให้ใช้เทคโนโลยีที่ยังไม่ผ่านการอนุมัติในกรณีฉุกเฉิน

    ไตที่ใช้ปลูกถ่ายมาจากหมูที่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรมถึง 3 ขั้นตอน ได้แก่:

    ลบแอนติเจน 3 ชนิดที่ทำให้ร่างกายมนุษย์ต่อต้านอวัยวะ
    เพิ่มยีนมนุษย์ 7 ตัวเพื่อลดการอักเสบและภาวะแทรกซ้อน
    ปิดการทำงานของไวรัสในจีโนมของหมู

    หลังการผ่าตัด Andrews ไม่ต้องฟอกไตอีกเลย และไม่มีอาการปฏิเสธอวัยวะหรือภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่เสี่ยงที่สุดในผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ หากเขาอยู่รอดครบ 12 เดือน จะถือเป็นความสำเร็จระยะยาวที่น่าทึ่ง

    ก่อนหน้านี้ ผู้ป่วยที่มีอวัยวะจากหมูอยู่ได้นานที่สุดคือ Towana Looney ซึ่งอยู่ได้ 4 เดือน 9 วัน ก่อนที่ร่างกายจะเริ่มต่อต้านอวัยวะและต้องนำออก

    ความสำเร็จของ Andrews ทำให้องค์กรด้านชีวเวชศาสตร์ เช่น eGenesis และ United Therapeutics ได้รับอนุมัติให้เริ่มทดลองปลูกถ่ายไตหมูในมนุษย์มากขึ้น โดยมีแผนทดลองกับผู้ป่วยกว่า 80 คนในสหรัฐฯ ภายในปีนี้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Tim Andrews มีชีวิตอยู่ครบ 6 เดือนหลังรับไตจากหมูดัดแปลงพันธุกรรม
    ถือเป็นสถิติใหม่ของการปลูกถ่ายอวัยวะจากสัตว์สู่มนุษย์ (xenotransplantation)
    ไตหมูผ่านการดัดแปลงพันธุกรรม 3 ขั้นตอนเพื่อป้องกันการปฏิเสธอวัยวะ
    Andrews ไม่ต้องฟอกไตอีกเลยหลังการปลูกถ่าย
    การปลูกถ่ายเกิดขึ้นภายใต้ระบบ Compassionate Use สำหรับผู้ป่วยที่ไม่มีทางเลือก
    บริษัท eGenesis และ United Therapeutics ได้รับอนุมัติให้ทดลองปลูกถ่ายกับผู้ป่วยเพิ่ม
    หากอยู่รอดครบ 12 เดือน จะถือเป็นความสำเร็จระยะยาวของเทคโนโลยีนี้
    การทดลองนี้อาจนำไปสู่การปลูกถ่ายอวัยวะอื่นจากหมู เช่น หัวใจและปอด
    การใช้ CRISPR ช่วยให้สามารถดัดแปลงพันธุกรรมหมูได้หลายจุดพร้อมกัน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ในสหรัฐฯ มีผู้รอปลูกถ่ายไตมากกว่า 89,000 คน
    การปลูกถ่ายอวัยวะจากสัตว์ช่วยลดภาระการรออวัยวะจากมนุษย์
    หมูเป็นสัตว์ที่มีขนาดอวัยวะใกล้เคียงกับมนุษย์ และสามารถดัดแปลงพันธุกรรมได้ง่าย
    การปิดไวรัสในจีโนมหมูช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อข้ามสายพันธุ์
    การปลูกถ่ายแบบ xenotransplantation เคยถูกทดลองตั้งแต่ศตวรรษที่ 17

    https://www.nature.com/articles/d41586-025-02851-w
    🧬 “ปาฏิหาริย์แห่งการปลูกถ่าย: ชายอเมริกันมีชีวิตอยู่ครบ 6 เดือนหลังรับไตจากหมูดัดแปลงพันธุกรรม — จุดเปลี่ยนของการแพทย์ข้ามสายพันธุ์” Tim Andrews ชายวัย 67 ปีจากสหรัฐฯ กลายเป็นบุคคลแรกในโลกที่มีชีวิตอยู่ครบ 6 เดือนหลังได้รับการปลูกถ่ายไตจากหมูที่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรม ซึ่งถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญในวงการแพทย์ด้าน xenotransplantation — การปลูกถ่ายอวัยวะจากสัตว์สู่มนุษย์ ก่อนหน้านี้ Andrews ป่วยเป็นโรคไตระยะสุดท้ายและต้องฟอกไตมานานกว่า 2 ปี โดยมีโอกาสรอรับไตจากมนุษย์นานถึง 7 ปี เนื่องจากกรุ๊ปเลือดหายาก การปลูกถ่ายไตจากหมูจึงเป็นทางเลือกสุดท้ายภายใต้ระบบ “Compassionate Use” ซึ่งอนุญาตให้ใช้เทคโนโลยีที่ยังไม่ผ่านการอนุมัติในกรณีฉุกเฉิน ไตที่ใช้ปลูกถ่ายมาจากหมูที่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรมถึง 3 ขั้นตอน ได้แก่: 🗝️ ลบแอนติเจน 3 ชนิดที่ทำให้ร่างกายมนุษย์ต่อต้านอวัยวะ 🗝️ เพิ่มยีนมนุษย์ 7 ตัวเพื่อลดการอักเสบและภาวะแทรกซ้อน 🗝️ ปิดการทำงานของไวรัสในจีโนมของหมู หลังการผ่าตัด Andrews ไม่ต้องฟอกไตอีกเลย และไม่มีอาการปฏิเสธอวัยวะหรือภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่เสี่ยงที่สุดในผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ หากเขาอยู่รอดครบ 12 เดือน จะถือเป็นความสำเร็จระยะยาวที่น่าทึ่ง ก่อนหน้านี้ ผู้ป่วยที่มีอวัยวะจากหมูอยู่ได้นานที่สุดคือ Towana Looney ซึ่งอยู่ได้ 4 เดือน 9 วัน ก่อนที่ร่างกายจะเริ่มต่อต้านอวัยวะและต้องนำออก ความสำเร็จของ Andrews ทำให้องค์กรด้านชีวเวชศาสตร์ เช่น eGenesis และ United Therapeutics ได้รับอนุมัติให้เริ่มทดลองปลูกถ่ายไตหมูในมนุษย์มากขึ้น โดยมีแผนทดลองกับผู้ป่วยกว่า 80 คนในสหรัฐฯ ภายในปีนี้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Tim Andrews มีชีวิตอยู่ครบ 6 เดือนหลังรับไตจากหมูดัดแปลงพันธุกรรม ➡️ ถือเป็นสถิติใหม่ของการปลูกถ่ายอวัยวะจากสัตว์สู่มนุษย์ (xenotransplantation) ➡️ ไตหมูผ่านการดัดแปลงพันธุกรรม 3 ขั้นตอนเพื่อป้องกันการปฏิเสธอวัยวะ ➡️ Andrews ไม่ต้องฟอกไตอีกเลยหลังการปลูกถ่าย ➡️ การปลูกถ่ายเกิดขึ้นภายใต้ระบบ Compassionate Use สำหรับผู้ป่วยที่ไม่มีทางเลือก ➡️ บริษัท eGenesis และ United Therapeutics ได้รับอนุมัติให้ทดลองปลูกถ่ายกับผู้ป่วยเพิ่ม ➡️ หากอยู่รอดครบ 12 เดือน จะถือเป็นความสำเร็จระยะยาวของเทคโนโลยีนี้ ➡️ การทดลองนี้อาจนำไปสู่การปลูกถ่ายอวัยวะอื่นจากหมู เช่น หัวใจและปอด ➡️ การใช้ CRISPR ช่วยให้สามารถดัดแปลงพันธุกรรมหมูได้หลายจุดพร้อมกัน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ในสหรัฐฯ มีผู้รอปลูกถ่ายไตมากกว่า 89,000 คน ➡️ การปลูกถ่ายอวัยวะจากสัตว์ช่วยลดภาระการรออวัยวะจากมนุษย์ ➡️ หมูเป็นสัตว์ที่มีขนาดอวัยวะใกล้เคียงกับมนุษย์ และสามารถดัดแปลงพันธุกรรมได้ง่าย ➡️ การปิดไวรัสในจีโนมหมูช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อข้ามสายพันธุ์ ➡️ การปลูกถ่ายแบบ xenotransplantation เคยถูกทดลองตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 https://www.nature.com/articles/d41586-025-02851-w
    WWW.NATURE.COM
    ‘Amazing feat’: US man still alive six months after pig kidney transplant
    The first six months after an organ transplant are the riskiest for recipients.
    0 Comments 0 Shares 261 Views 0 Reviews
  • 'ภูมิใจไทย' คว้าชัยเลือกตั้งซ่อม สส.ศรีสะเกษ เขต 5 'จินณ์ตวรรณ' ชนะ 'ภูริกา' พท.
    https://www.thai-tai.tv/news/21660/
    .
    #เลือกตั้งซ่อมศรีสะเกษ #ศรีสะเกษเขต5 #ภูมิใจไทย #เพื่อไทย #จินณ์ตวรรณไตรสรณกุล #ภูริกาสมหมาย #ผลเลือกตั้งไม่เป็นทางการ #การเมืองไทย

    'ภูมิใจไทย' คว้าชัยเลือกตั้งซ่อม สส.ศรีสะเกษ เขต 5 'จินณ์ตวรรณ' ชนะ 'ภูริกา' พท. https://www.thai-tai.tv/news/21660/ . #เลือกตั้งซ่อมศรีสะเกษ #ศรีสะเกษเขต5 #ภูมิใจไทย #เพื่อไทย #จินณ์ตวรรณไตรสรณกุล #ภูริกาสมหมาย #ผลเลือกตั้งไม่เป็นทางการ #การเมืองไทย
    0 Comments 0 Shares 179 Views 0 Reviews
  • “Python ยุคใหม่ต้องมี Type Hint — จากภาษาทดลองสู่ระบบที่ต้องการความแม่นยำระดับโปรดักชัน”

    Python เคยเป็นภาษาที่นักวิจัยและนักพัฒนารัก เพราะมันยืดหยุ่น ไม่ต้องประกาศชนิดข้อมูล และเหมาะกับการทดลองรวดเร็วในงาน AI, data science และวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ แต่เมื่อโค้ดเหล่านั้นเริ่มถูกนำไปใช้ในระบบจริง ความยืดหยุ่นกลับกลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้เกิดบั๊กยากตรวจจับ และทำให้การดูแลโค้ดยากขึ้นเรื่อย ๆ

    นั่นคือเหตุผลที่นักพัฒนา Python ยุคใหม่หันมาใช้ “Type Hint” หรือการประกาศชนิดข้อมูลในโค้ดอย่างจริงจัง โดยเริ่มต้นจาก PEP 484 ที่เปิดตัวในปี 2014 และถูกนำมาใช้ใน Python 3.5 เป็นต้นมา ซึ่งอนุญาตให้ประกาศชนิดข้อมูลของพารามิเตอร์และค่าที่ return ได้อย่างชัดเจน โดยไม่บังคับให้ใช้กับทุกฟังก์ชัน

    Type Hint ไม่ได้เปลี่ยนพฤติกรรมของ Python ที่ยังคงเป็นภาษาที่รันแบบ dynamic แต่ช่วยให้เครื่องมืออย่าง Pyrefly หรือ MyPy สามารถตรวจสอบโค้ดล่วงหน้าได้ก่อนรันจริง ทำให้จับบั๊กได้เร็วขึ้น ลดเวลา debug และทำให้โค้ดอ่านง่ายขึ้น

    ตัวอย่างเช่น ฟังก์ชันที่เคยรับค่าทุกชนิดโดยไม่รู้ว่าควรส่งอะไรกลับ ตอนนี้สามารถเขียนแบบมี type ได้ว่า:

    def calculate_stats(data: listFloat Correctness, weights: listFloat Correctness) -> tuple[float, int]:

    ซึ่งช่วยให้ทีมงานใหม่เข้าใจโค้ดได้เร็วขึ้น และทำให้การ refactor ปลอดภัยมากขึ้น

    นอกจากนี้ Type Hint ยังช่วยให้โค้ดที่เริ่มต้นจากการทดลองสามารถขยายไปสู่ระบบโปรดักชันได้ง่ายขึ้น โดย acting เป็น “สัญญา” ระหว่างทีมวิจัยและทีมวิศวกรรมว่าโค้ดนี้รับอะไร ส่งอะไร และทำงานอย่างไร

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Python เป็นภาษาที่ได้รับความนิยมสูงสุดบน GitHub โดยเฉพาะในสาย AI และ data science
    ความยืดหยุ่นของ Python ทำให้เหมาะกับการทดลอง แต่เสี่ยงต่อบั๊กในระบบโปรดักชัน
    PEP 484 เปิดตัวระบบ Type Hint ในปี 2014 และเริ่มใช้ใน Python 3.5
    Type Hint ช่วยให้เครื่องมือ static analysis ตรวจจับบั๊กได้ก่อนรันจริง
    Pyrefly เป็น type checker ใหม่ที่พัฒนาโดย Meta ใช้ Rust เพื่อความเร็วและแม่นยำ
    Type Hint ทำให้โค้ดอ่านง่ายขึ้น และช่วยให้ทีมใหม่เข้าใจโค้ดได้เร็ว
    Type Hint ทำให้การ refactor ปลอดภัย และลดความเสี่ยงในการเปลี่ยนโค้ด
    การใช้ Type Hint ตั้งแต่ต้นโปรเจกต์ช่วยลดภาระในการแก้โค้ดภายหลัง
    Pyrefly รองรับการทำงานร่วมกับ IDE เช่น VS Code, PyCharm และ Vim

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    PEP 484 ไม่บังคับให้ใช้ Type Hint กับทุกฟังก์ชัน แต่แนะนำให้ใช้กับฟังก์ชันที่สำคัญ
    Type Hint ไม่เปลี่ยนพฤติกรรมของ Python แต่ช่วยให้เครื่องมือภายนอกทำงานได้ดีขึ้น
    IDE ที่รองรับ Type Hint สามารถแสดง autocomplete และตรวจจับ error ได้แม่นยำขึ้น
    Type Hint คล้ายกับแนวคิดของ TypeScript ที่เพิ่มความแม่นยำให้กับ JavaScript
    การใช้ Type Hint ช่วยลดการพึ่งพา docstring และทำให้โค้ด “self-documenting”

    https://pyrefly.org/blog/why-typed-python/
    🐍 “Python ยุคใหม่ต้องมี Type Hint — จากภาษาทดลองสู่ระบบที่ต้องการความแม่นยำระดับโปรดักชัน” Python เคยเป็นภาษาที่นักวิจัยและนักพัฒนารัก เพราะมันยืดหยุ่น ไม่ต้องประกาศชนิดข้อมูล และเหมาะกับการทดลองรวดเร็วในงาน AI, data science และวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ แต่เมื่อโค้ดเหล่านั้นเริ่มถูกนำไปใช้ในระบบจริง ความยืดหยุ่นกลับกลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้เกิดบั๊กยากตรวจจับ และทำให้การดูแลโค้ดยากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นคือเหตุผลที่นักพัฒนา Python ยุคใหม่หันมาใช้ “Type Hint” หรือการประกาศชนิดข้อมูลในโค้ดอย่างจริงจัง โดยเริ่มต้นจาก PEP 484 ที่เปิดตัวในปี 2014 และถูกนำมาใช้ใน Python 3.5 เป็นต้นมา ซึ่งอนุญาตให้ประกาศชนิดข้อมูลของพารามิเตอร์และค่าที่ return ได้อย่างชัดเจน โดยไม่บังคับให้ใช้กับทุกฟังก์ชัน Type Hint ไม่ได้เปลี่ยนพฤติกรรมของ Python ที่ยังคงเป็นภาษาที่รันแบบ dynamic แต่ช่วยให้เครื่องมืออย่าง Pyrefly หรือ MyPy สามารถตรวจสอบโค้ดล่วงหน้าได้ก่อนรันจริง ทำให้จับบั๊กได้เร็วขึ้น ลดเวลา debug และทำให้โค้ดอ่านง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น ฟังก์ชันที่เคยรับค่าทุกชนิดโดยไม่รู้ว่าควรส่งอะไรกลับ ตอนนี้สามารถเขียนแบบมี type ได้ว่า: 🔖 def calculate_stats(data: list[float], weights: list[float]) -> tuple[float, int]: ซึ่งช่วยให้ทีมงานใหม่เข้าใจโค้ดได้เร็วขึ้น และทำให้การ refactor ปลอดภัยมากขึ้น นอกจากนี้ Type Hint ยังช่วยให้โค้ดที่เริ่มต้นจากการทดลองสามารถขยายไปสู่ระบบโปรดักชันได้ง่ายขึ้น โดย acting เป็น “สัญญา” ระหว่างทีมวิจัยและทีมวิศวกรรมว่าโค้ดนี้รับอะไร ส่งอะไร และทำงานอย่างไร ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Python เป็นภาษาที่ได้รับความนิยมสูงสุดบน GitHub โดยเฉพาะในสาย AI และ data science ➡️ ความยืดหยุ่นของ Python ทำให้เหมาะกับการทดลอง แต่เสี่ยงต่อบั๊กในระบบโปรดักชัน ➡️ PEP 484 เปิดตัวระบบ Type Hint ในปี 2014 และเริ่มใช้ใน Python 3.5 ➡️ Type Hint ช่วยให้เครื่องมือ static analysis ตรวจจับบั๊กได้ก่อนรันจริง ➡️ Pyrefly เป็น type checker ใหม่ที่พัฒนาโดย Meta ใช้ Rust เพื่อความเร็วและแม่นยำ ➡️ Type Hint ทำให้โค้ดอ่านง่ายขึ้น และช่วยให้ทีมใหม่เข้าใจโค้ดได้เร็ว ➡️ Type Hint ทำให้การ refactor ปลอดภัย และลดความเสี่ยงในการเปลี่ยนโค้ด ➡️ การใช้ Type Hint ตั้งแต่ต้นโปรเจกต์ช่วยลดภาระในการแก้โค้ดภายหลัง ➡️ Pyrefly รองรับการทำงานร่วมกับ IDE เช่น VS Code, PyCharm และ Vim ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ PEP 484 ไม่บังคับให้ใช้ Type Hint กับทุกฟังก์ชัน แต่แนะนำให้ใช้กับฟังก์ชันที่สำคัญ ➡️ Type Hint ไม่เปลี่ยนพฤติกรรมของ Python แต่ช่วยให้เครื่องมือภายนอกทำงานได้ดีขึ้น ➡️ IDE ที่รองรับ Type Hint สามารถแสดง autocomplete และตรวจจับ error ได้แม่นยำขึ้น ➡️ Type Hint คล้ายกับแนวคิดของ TypeScript ที่เพิ่มความแม่นยำให้กับ JavaScript ➡️ การใช้ Type Hint ช่วยลดการพึ่งพา docstring และทำให้โค้ด “self-documenting” https://pyrefly.org/blog/why-typed-python/
    PYREFLY.ORG
    Why Today’s Python Developers Are Embracing Type Hints | Pyrefly
    What is Typed Python? Why is it important for Python developers today? How to can you get started?
    0 Comments 0 Shares 154 Views 0 Reviews
  • “KaOS Linux 2025.09 มาแล้ว! อัปเกรดสู่ Linux 6.16 พร้อม KDE Plasma 6.4.5 และแอปใหม่สุดล้ำ”

    KaOS Linux เวอร์ชัน 2025.09 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายนนี้ โดยเป็นดิสโทรอิสระที่เน้นการใช้งาน KDE และ Qt แบบเต็มรูปแบบ ซึ่งในเวอร์ชันล่าสุดนี้มาพร้อมกับ Linux Kernel 6.16 และ KDE Plasma 6.4.5 ที่เสถียรและลื่นไหลยิ่งขึ้น

    KaOS ยังคงใช้ระบบ rolling release แบบเดียวกับ Arch Linux ซึ่งหมายความว่า ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องติดตั้งใหม่ทุกเวอร์ชัน เพียงแค่รันคำสั่ง sudo pacman -Syu ก็สามารถอัปเดตระบบได้ทันที

    ในเวอร์ชันนี้ยังมีการอัปเดตชุดซอฟต์แวร์ KDE Gear 25.08.1 และ KDE Frameworks 6.18 พร้อมกับ Qt 6.9.2 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดของเฟรมเวิร์กที่ใช้สร้างแอปพลิเคชันแบบกราฟิก

    นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มแอปใหม่ที่น่าสนใจ เช่น:

    Typst: ระบบ typesetting แบบ markup ที่ทันสมัย
    Plasma Bigscreen: อินเทอร์เฟซสำหรับทีวีแบบโอเพ่นซอร์ส
    Hydrogen: โปรแกรมสร้างจังหวะกลองและซินธ์แบบ pattern-based

    KaOS ยังได้ย้ายซอร์สโค้ดของ KCP (KaOS Community Packages) ไปยัง Codeberg เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ Git แบบปิด และปรับปรุง Calamares installer โดยเลิกใช้เบราว์เซอร์ในหน้า Welcome เพื่อความปลอดภัย โดยเปลี่ยนมาใช้ QML Drawer แทน

    ภายใต้ระบบยังมีการอัปเดตคอมโพเนนต์หลักหลายตัว เช่น Mesa 25.2.3, PipeWire 1.4.8, systemd 254.27, GStreamer 1.26.6, Bash 5.3, OpenSSL 3.5.3, Git 2.51 และอื่น ๆ อีกมากมาย

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    KaOS Linux 2025.09 ใช้ Linux Kernel 6.16 และ KDE Plasma 6.4.5
    อัปเดต KDE Gear 25.08.1 และ KDE Frameworks 6.18 พร้อม Qt 6.9.2
    เพิ่มแอปใหม่ เช่น Typst, Plasma Bigscreen และ Hydrogen
    ย้ายซอร์สโค้ดของ KCP ไปยัง Codeberg เพื่อเปิดเผยมากขึ้น
    ปรับปรุง Calamares installer โดยเลิกใช้เบราว์เซอร์ในหน้า Welcome
    ใช้ QML Drawer แสดงข้อมูลแทนการเปิดเบราว์เซอร์ด้วยสิทธิ์ root
    อัปเดตคอมโพเนนต์หลัก เช่น Mesa, PipeWire, systemd, Bash, Git ฯลฯ
    ใช้ระบบ rolling release ผู้ใช้สามารถอัปเดตด้วยคำสั่ง sudo pacman -Syu
    ไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลด ISO ใหม่ หากติดตั้ง KaOS อยู่แล้ว

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    KaOS เป็นดิสโทรที่เน้น KDE และ Qt โดยเฉพาะ ไม่มี DE อื่นให้เลือก
    ใช้ pacman เป็น package manager แบบเดียวกับ Arch Linux
    Plasma Bigscreen เหมาะสำหรับอุปกรณ์ TV และ media center
    Typst เป็นคู่แข่งของ LaTeX ที่เน้นความง่ายและทันสมัย
    Hydrogen เป็นเครื่องมือยอดนิยมในสายดนตรีอิเล็กทรอนิกส์

    https://9to5linux.com/independent-distro-kaos-linux-2025-09-arrives-with-linux-6-16-kde-gear-25-08
    🖥️ “KaOS Linux 2025.09 มาแล้ว! อัปเกรดสู่ Linux 6.16 พร้อม KDE Plasma 6.4.5 และแอปใหม่สุดล้ำ” KaOS Linux เวอร์ชัน 2025.09 ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายนนี้ โดยเป็นดิสโทรอิสระที่เน้นการใช้งาน KDE และ Qt แบบเต็มรูปแบบ ซึ่งในเวอร์ชันล่าสุดนี้มาพร้อมกับ Linux Kernel 6.16 และ KDE Plasma 6.4.5 ที่เสถียรและลื่นไหลยิ่งขึ้น KaOS ยังคงใช้ระบบ rolling release แบบเดียวกับ Arch Linux ซึ่งหมายความว่า ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องติดตั้งใหม่ทุกเวอร์ชัน เพียงแค่รันคำสั่ง sudo pacman -Syu ก็สามารถอัปเดตระบบได้ทันที ในเวอร์ชันนี้ยังมีการอัปเดตชุดซอฟต์แวร์ KDE Gear 25.08.1 และ KDE Frameworks 6.18 พร้อมกับ Qt 6.9.2 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดของเฟรมเวิร์กที่ใช้สร้างแอปพลิเคชันแบบกราฟิก นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มแอปใหม่ที่น่าสนใจ เช่น: 🗝️ Typst: ระบบ typesetting แบบ markup ที่ทันสมัย 🗝️ Plasma Bigscreen: อินเทอร์เฟซสำหรับทีวีแบบโอเพ่นซอร์ส 🗝️ Hydrogen: โปรแกรมสร้างจังหวะกลองและซินธ์แบบ pattern-based KaOS ยังได้ย้ายซอร์สโค้ดของ KCP (KaOS Community Packages) ไปยัง Codeberg เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ Git แบบปิด และปรับปรุง Calamares installer โดยเลิกใช้เบราว์เซอร์ในหน้า Welcome เพื่อความปลอดภัย โดยเปลี่ยนมาใช้ QML Drawer แทน ภายใต้ระบบยังมีการอัปเดตคอมโพเนนต์หลักหลายตัว เช่น Mesa 25.2.3, PipeWire 1.4.8, systemd 254.27, GStreamer 1.26.6, Bash 5.3, OpenSSL 3.5.3, Git 2.51 และอื่น ๆ อีกมากมาย ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ KaOS Linux 2025.09 ใช้ Linux Kernel 6.16 และ KDE Plasma 6.4.5 ➡️ อัปเดต KDE Gear 25.08.1 และ KDE Frameworks 6.18 พร้อม Qt 6.9.2 ➡️ เพิ่มแอปใหม่ เช่น Typst, Plasma Bigscreen และ Hydrogen ➡️ ย้ายซอร์สโค้ดของ KCP ไปยัง Codeberg เพื่อเปิดเผยมากขึ้น ➡️ ปรับปรุง Calamares installer โดยเลิกใช้เบราว์เซอร์ในหน้า Welcome ➡️ ใช้ QML Drawer แสดงข้อมูลแทนการเปิดเบราว์เซอร์ด้วยสิทธิ์ root ➡️ อัปเดตคอมโพเนนต์หลัก เช่น Mesa, PipeWire, systemd, Bash, Git ฯลฯ ➡️ ใช้ระบบ rolling release ผู้ใช้สามารถอัปเดตด้วยคำสั่ง sudo pacman -Syu ➡️ ไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลด ISO ใหม่ หากติดตั้ง KaOS อยู่แล้ว ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ KaOS เป็นดิสโทรที่เน้น KDE และ Qt โดยเฉพาะ ไม่มี DE อื่นให้เลือก ➡️ ใช้ pacman เป็น package manager แบบเดียวกับ Arch Linux ➡️ Plasma Bigscreen เหมาะสำหรับอุปกรณ์ TV และ media center ➡️ Typst เป็นคู่แข่งของ LaTeX ที่เน้นความง่ายและทันสมัย ➡️ Hydrogen เป็นเครื่องมือยอดนิยมในสายดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ https://9to5linux.com/independent-distro-kaos-linux-2025-09-arrives-with-linux-6-16-kde-gear-25-08
    9TO5LINUX.COM
    Independent Distro KaOS Linux 2025.09 Arrives with Linux 6.16, KDE Gear 25.08 - 9to5Linux
    KaOS Linux 2025.09 independent distribution is now available for download with the latest KDE Plasma 6.4 desktop environment.
    0 Comments 0 Shares 145 Views 0 Reviews
  • แกนนำเชี้ยไรว่ะ หลอกใช้คนไปทำผิดติดคุกแทน แล้วมาวิ่งหาแสงเรียกร้องปล่อยตัว ตรรกะส้มตีนแท้
    #คิงส์โพธิ์แดง
    แกนนำเชี้ยไรว่ะ หลอกใช้คนไปทำผิดติดคุกแทน แล้วมาวิ่งหาแสงเรียกร้องปล่อยตัว ตรรกะส้มตีนแท้ #คิงส์โพธิ์แดง
    0 Comments 0 Shares 244 Views 0 Reviews
  • “Linux Kernel 6.17 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ — ยกระดับความปลอดภัย รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ พร้อมฟีเจอร์ล้ำยุคสำหรับยุค AI และ Cloud”

    Linus Torvalds ประกาศเปิดตัว Linux Kernel 6.17 อย่างเป็นทางการเมื่อปลายเดือนกันยายน 2025 โดยเวอร์ชันนี้มาพร้อมกับการปรับปรุงครั้งใหญ่ทั้งด้านความปลอดภัย การรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ และฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์การใช้งานในยุคที่ระบบปฏิบัติการต้องรองรับงานหนักระดับเซิร์ฟเวอร์และคลาวด์

    หนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือการเพิ่มฟีเจอร์ “Attack Vector Controls” ซึ่งช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถจัดการการป้องกันช่องโหว่ CPU ได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องตั้งค่าทีละรายการ แต่สามารถเลือกปิดหรือเปิดการป้องกันตามประเภทของการโจมตี เช่น user-to-kernel หรือ guest-to-host ได้ในบรรทัดเดียว

    ด้านฮาร์ดแวร์ Linux 6.17 รองรับเทคโนโลยีใหม่จากหลายค่าย เช่น:

    ARM: Branch Record Buffer Extension (BRBE) และ GICv5 สำหรับ KVM
    AMD: Hardware Feedback Interface (HFI) และ ACP 7.2 SoundWire
    Intel: Wildcat Lake, Bartlett Lake-S, Panther Lake Xe3 graphics, IPU7 driver
    Apple: SMC driver สำหรับรีบูต Mac M1/M2 ด้วย mainline kernel

    ยังมีการรองรับอุปกรณ์ใหม่อีกมาก เช่น Raspberry Pi 5 RP1 chip, Argon40 Fan HAT, Touch Bar บน MacBook Pro, และ OneXPlayer X1 Pro

    ในด้านระบบไฟล์และเน็ตเวิร์ก มีการเพิ่ม:
    Large-folio support สำหรับ Btrfs
    Metadata compression สำหรับ EROFS
    Scalability ที่ดีขึ้นสำหรับ EXT4
    รองรับ DualPI2 congestion control และ TCP_MAXSEG สำหรับ multipath TCP

    นอกจากนี้ยังมีการเพิ่ม live patching สำหรับ AArch64, proxy execution, และระบบ tracepoint สำหรับ User-Mode Linux รวมถึงการปรับปรุงระบบจัดการหน่วยความจำด้วยโมดูล DAMON_STAT

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Linux Kernel 6.17 เปิดตัวอย่างเป็นทางการโดย Linus Torvalds
    เพิ่มฟีเจอร์ Attack Vector Controls สำหรับจัดการการป้องกันช่องโหว่ CPU
    รองรับ ARM BRBE, GICv5, AMD HFI, Intel Wildcat Lake และ Apple SMC driver
    รองรับอุปกรณ์ใหม่ เช่น Raspberry Pi 5 RP1, Argon40 Fan HAT, Touch Bar บน MacBook Pro
    รองรับ codec HEVC และ VP9 ผ่าน Qualcomm Iris decoder บน V4L2
    เพิ่ม live patching สำหรับ AArch64 และ proxy execution
    รองรับระบบไฟล์ใหม่ เช่น Btrfs, EXT4, EROFS ด้วยฟีเจอร์ใหม่
    ปรับปรุงระบบเน็ตเวิร์ก เช่น DualPI2, TCP_MAXSEG, IPv6 force_forwarding
    เพิ่ม driver สำหรับ Framework Laptop 13, ASUS Commercial, HP EliteBook

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Attack Vector Controls แบ่งการป้องกันออกเป็น 5 ประเภท เช่น user-to-user, guest-to-guest
    สามารถตั้งค่าการป้องกันผ่าน GRUB ด้วยพารามิเตอร์เดียว เช่น mitigations=auto,no_user_kernel
    การรองรับ Intel Xe3 graphics บ่งบอกถึงความพร้อมของ Core Ultra Series 3
    DAMON_STAT ช่วยให้การตรวจสอบการใช้หน่วยความจำง่ายขึ้นและแม่นยำขึ้น
    การรองรับ SoundWire บน AMD ACP 7.2 ช่วยให้เสียงบนโน้ตบุ๊ค AMD ดีขึ้น

    https://9to5linux.com/linux-kernel-6-17-officially-released-this-is-whats-new
    🐧 “Linux Kernel 6.17 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ — ยกระดับความปลอดภัย รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ พร้อมฟีเจอร์ล้ำยุคสำหรับยุค AI และ Cloud” Linus Torvalds ประกาศเปิดตัว Linux Kernel 6.17 อย่างเป็นทางการเมื่อปลายเดือนกันยายน 2025 โดยเวอร์ชันนี้มาพร้อมกับการปรับปรุงครั้งใหญ่ทั้งด้านความปลอดภัย การรองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ และฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์การใช้งานในยุคที่ระบบปฏิบัติการต้องรองรับงานหนักระดับเซิร์ฟเวอร์และคลาวด์ หนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือการเพิ่มฟีเจอร์ “Attack Vector Controls” ซึ่งช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถจัดการการป้องกันช่องโหว่ CPU ได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องตั้งค่าทีละรายการ แต่สามารถเลือกปิดหรือเปิดการป้องกันตามประเภทของการโจมตี เช่น user-to-kernel หรือ guest-to-host ได้ในบรรทัดเดียว ด้านฮาร์ดแวร์ Linux 6.17 รองรับเทคโนโลยีใหม่จากหลายค่าย เช่น: 🗝️ ARM: Branch Record Buffer Extension (BRBE) และ GICv5 สำหรับ KVM 🗝️ AMD: Hardware Feedback Interface (HFI) และ ACP 7.2 SoundWire 🗝️ Intel: Wildcat Lake, Bartlett Lake-S, Panther Lake Xe3 graphics, IPU7 driver 🗝️ Apple: SMC driver สำหรับรีบูต Mac M1/M2 ด้วย mainline kernel ยังมีการรองรับอุปกรณ์ใหม่อีกมาก เช่น Raspberry Pi 5 RP1 chip, Argon40 Fan HAT, Touch Bar บน MacBook Pro, และ OneXPlayer X1 Pro ในด้านระบบไฟล์และเน็ตเวิร์ก มีการเพิ่ม: 🗝️ Large-folio support สำหรับ Btrfs 🗝️ Metadata compression สำหรับ EROFS 🗝️ Scalability ที่ดีขึ้นสำหรับ EXT4 🗝️ รองรับ DualPI2 congestion control และ TCP_MAXSEG สำหรับ multipath TCP นอกจากนี้ยังมีการเพิ่ม live patching สำหรับ AArch64, proxy execution, และระบบ tracepoint สำหรับ User-Mode Linux รวมถึงการปรับปรุงระบบจัดการหน่วยความจำด้วยโมดูล DAMON_STAT ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Linux Kernel 6.17 เปิดตัวอย่างเป็นทางการโดย Linus Torvalds ➡️ เพิ่มฟีเจอร์ Attack Vector Controls สำหรับจัดการการป้องกันช่องโหว่ CPU ➡️ รองรับ ARM BRBE, GICv5, AMD HFI, Intel Wildcat Lake และ Apple SMC driver ➡️ รองรับอุปกรณ์ใหม่ เช่น Raspberry Pi 5 RP1, Argon40 Fan HAT, Touch Bar บน MacBook Pro ➡️ รองรับ codec HEVC และ VP9 ผ่าน Qualcomm Iris decoder บน V4L2 ➡️ เพิ่ม live patching สำหรับ AArch64 และ proxy execution ➡️ รองรับระบบไฟล์ใหม่ เช่น Btrfs, EXT4, EROFS ด้วยฟีเจอร์ใหม่ ➡️ ปรับปรุงระบบเน็ตเวิร์ก เช่น DualPI2, TCP_MAXSEG, IPv6 force_forwarding ➡️ เพิ่ม driver สำหรับ Framework Laptop 13, ASUS Commercial, HP EliteBook ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Attack Vector Controls แบ่งการป้องกันออกเป็น 5 ประเภท เช่น user-to-user, guest-to-guest ➡️ สามารถตั้งค่าการป้องกันผ่าน GRUB ด้วยพารามิเตอร์เดียว เช่น mitigations=auto,no_user_kernel ➡️ การรองรับ Intel Xe3 graphics บ่งบอกถึงความพร้อมของ Core Ultra Series 3 ➡️ DAMON_STAT ช่วยให้การตรวจสอบการใช้หน่วยความจำง่ายขึ้นและแม่นยำขึ้น ➡️ การรองรับ SoundWire บน AMD ACP 7.2 ช่วยให้เสียงบนโน้ตบุ๊ค AMD ดีขึ้น https://9to5linux.com/linux-kernel-6-17-officially-released-this-is-whats-new
    9TO5LINUX.COM
    Linux Kernel 6.17 Officially Released, This Is What’s New - 9to5Linux
    Linux kernel 6.17 is now available for download with new features, enhanced hardware support, networking improvements, and other changes.
    0 Comments 0 Shares 290 Views 0 Reviews
  • อานนท์ไม่ได้อ่านไลน์กลุ่ม พวกจึงวิ่งหนีรอดไปหมด เหลือมันที่โดนดำเนิน 30 กว่าคดี
    #คิงส์โพธิ์แดง
    อานนท์ไม่ได้อ่านไลน์กลุ่ม พวกจึงวิ่งหนีรอดไปหมด เหลือมันที่โดนดำเนิน 30 กว่าคดี #คิงส์โพธิ์แดง
    0 Comments 0 Shares 130 Views 0 Reviews
  • ชวนเปิดกล่องค่าาาาา หมึกกะตอยเรือไดร์ … สะอาด อร่อย ถูกหลักอนามัย…ทานง่าย ทอดแล้วได้ทานเลย ไวมาก… จะทานข้าว จะทานข้าวเหนียว ข้าวสวย ข้าวต้มได้หมดเลยค่ะ …ราคาดีอย่าบอกใคร ซื้อแล้วไม่มีผิดหวังค่ะ …เค็มน้อยอร่อยมาก …มาก กอไก่ 1,000,000 ตัว… ลองดูสักครั้งแล้วจะติดใจกดสั่งเลยจ้า

    เราใช้น้องหมึกสด 5-6 กิโล กว่าจะได้น้องหมึกกะตอยแห้ง 1 กิโลค่ะ

    เราตากให้น้องหมึกแห้งสนิท เพื่อการเก็บรักษาไว้ได้นาน … น้ำหนักตัวเบาๆ ทำให้ลูกค้าได้จำนวนตัวเยอะ คุ้มค่า คุ้มราคาค่ะ

    ⭕️🫶🏻🩷

    น้องหมึกเรา เป็นออแกนิค ไม่มีสารเคมี ไม่ฉีดยา ฟอร์มาลีน ใดๆเลยค่ะ
    ลูกค้ามั่นใจในความสะอาดได้เลย… ความเค็มของน้องหมึก เป็นความเค็มโดยธรรมชาติของอาหารทะเล… ลูกค้าจะสัมผัสลิ้มรสความหนึบๆ ความนัวๆ แซ่บๆ จากเนื้อน้องปลาหมึกล้วนๆเลยค่ะ

    อ่านมาถึงตรงนี้… ลูกค้ากดสั่งไปลองชิมก่อนค่อยเชื่อเรานะคะ

    ทุกถุงบรรจุซีลแน่นไปอย่างดีค่ะ เก็บไว้ในตู้เย็นอุณหภูมิปกติได้นาน
    หยิบน้องหมึกแห้งออกมาทานเมื่อไหร่ก็อร่อยเหาะ

    #ร้านกินจุ๊บจิ๊บ #kinjubjibshop #นึกถึงอาหารทะเลแห้งนึกถึงเราร้านกินจุ๊บจิ๊บ #อร่อยดีบอกต่อ

    ⭕️ น่าทานมากกกกกกค่าาา

    หมึกกะตอยแห้ง 1 แถม 1 ใน TikTok
    https://vt.tiktok.com/ZSMBnKhbd/

    หมึกกะตอยแห้ง 1 แถม 1 ใน Shopee
    https://th.shp.ee/o2Uw2jX

    หมึกกะตอยแห้ง 1 แถม 2 ใน TikTok
    https://vt.tiktok.com/ZSMjD54vQ/

    หมึกกะตอยแห้ง 1 แถม 2 ใน Shopee
    https://th.shp.ee/pckadhH

    หมึกกะตอยแห้ง 1 กิโล ใน TikTok
    https://vt.tiktok.com/ZSMYV5Nsx/

    หมึกกะตอยแห้ง 1 กิโล ใน Shopee
    https://th.shp.ee/2Xf6uxx

    ลูกค้าสามารถเข้าไปเลือกชมสินค้าอื่นๆของเราได้ทั้งสองช่องทาง
    1. Shopee : shopee.co.th/kinjubjibshop
    2. TikTok : https://www.tiktok.com/@kinjubjibshop?_t=ZS-8txYHQWejyM&_r=1

    เลือกช้อปได้ตามความชอบ และคูปองความคุ้มของแต่ละช่องทางได้เลยค่ะ

    #ร้านกินจุ๊บจิ๊บ #kinjubjibshop #หมึกกะตอย #หมึกกะตอยแห้ง #หมึกฉาบสามรส
    ชวนเปิดกล่องค่าาาาา หมึกกะตอยเรือไดร์ … สะอาด อร่อย ถูกหลักอนามัย…ทานง่าย ทอดแล้วได้ทานเลย ไวมาก… จะทานข้าว จะทานข้าวเหนียว ข้าวสวย ข้าวต้มได้หมดเลยค่ะ …ราคาดีอย่าบอกใคร ซื้อแล้วไม่มีผิดหวังค่ะ …เค็มน้อยอร่อยมาก …มาก กอไก่ 1,000,000 ตัว… ลองดูสักครั้งแล้วจะติดใจกดสั่งเลยจ้า เราใช้น้องหมึกสด 5-6 กิโล กว่าจะได้น้องหมึกกะตอยแห้ง 1 กิโลค่ะ เราตากให้น้องหมึกแห้งสนิท เพื่อการเก็บรักษาไว้ได้นาน … น้ำหนักตัวเบาๆ ทำให้ลูกค้าได้จำนวนตัวเยอะ คุ้มค่า คุ้มราคาค่ะ 🐠🐟🤭😍♨️🌶️⭕️✅🐠🐟🫶🏻💋🩷 น้องหมึกเรา เป็นออแกนิค ไม่มีสารเคมี ไม่ฉีดยา ฟอร์มาลีน ใดๆเลยค่ะ ลูกค้ามั่นใจในความสะอาดได้เลย… ความเค็มของน้องหมึก เป็นความเค็มโดยธรรมชาติของอาหารทะเล… ลูกค้าจะสัมผัสลิ้มรสความหนึบๆ ความนัวๆ แซ่บๆ จากเนื้อน้องปลาหมึกล้วนๆเลยค่ะ อ่านมาถึงตรงนี้… ลูกค้ากดสั่งไปลองชิมก่อนค่อยเชื่อเรานะคะ ทุกถุงบรรจุซีลแน่นไปอย่างดีค่ะ เก็บไว้ในตู้เย็นอุณหภูมิปกติได้นาน หยิบน้องหมึกแห้งออกมาทานเมื่อไหร่ก็อร่อยเหาะ #ร้านกินจุ๊บจิ๊บ #kinjubjibshop #นึกถึงอาหารทะเลแห้งนึกถึงเราร้านกินจุ๊บจิ๊บ #อร่อยดีบอกต่อ 🌶️♨️⭕️ น่าทานมากกกกกกค่าาา หมึกกะตอยแห้ง 1 แถม 1 🙂 ใน TikTok https://vt.tiktok.com/ZSMBnKhbd/ หมึกกะตอยแห้ง 1 แถม 1 🙂 ใน Shopee https://th.shp.ee/o2Uw2jX หมึกกะตอยแห้ง 1 แถม 2 🙂 ใน TikTok https://vt.tiktok.com/ZSMjD54vQ/ หมึกกะตอยแห้ง 1 แถม 2 🙂 ใน Shopee https://th.shp.ee/pckadhH หมึกกะตอยแห้ง 1 กิโล 🙂 ใน TikTok https://vt.tiktok.com/ZSMYV5Nsx/ หมึกกะตอยแห้ง 1 กิโล 🙂 ใน Shopee https://th.shp.ee/2Xf6uxx ❤️ ลูกค้าสามารถเข้าไปเลือกชมสินค้าอื่นๆของเราได้ทั้งสองช่องทาง 1. Shopee : shopee.co.th/kinjubjibshop 2. TikTok : https://www.tiktok.com/@kinjubjibshop?_t=ZS-8txYHQWejyM&_r=1 เลือกช้อปได้ตามความชอบ และคูปองความคุ้มของแต่ละช่องทางได้เลยค่ะ #ร้านกินจุ๊บจิ๊บ #kinjubjibshop #หมึกกะตอย #หมึกกะตอยแห้ง #หมึกฉาบสามรส
    0 Comments 0 Shares 379 Views 0 0 Reviews
  • “Project Nexus: แผงโซลาร์เหนือคลองชลประทานในแคลิฟอร์เนีย — พลังงานสะอาดที่ช่วยรักษาน้ำและลดต้นทุนทั่วโลก”

    ในขณะที่รัฐบาลกลางสหรัฐฯลดงบประมาณด้านพลังงานแสงอาทิตย์อย่างหนัก โครงการ “Project Nexus” ของรัฐแคลิฟอร์เนียกลับกลายเป็นความหวังใหม่ที่กำลังแสดงผลลัพธ์เชิงบวกอย่างชัดเจน โครงการนี้ใช้งบประมาณ 20 ล้านดอลลาร์ในการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เหนือคลองชลประทานใน Central Valley ซึ่งเป็นพื้นที่เกษตรกรรมสำคัญของรัฐ โดยคาดว่าจะผลิตพลังงานสะอาดได้ถึง 1.6 เมกะวัตต์

    Project Nexus เป็นความร่วมมือระหว่าง Turlock Irrigation District, กรมทรัพยากรน้ำแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย, มหาวิทยาลัย UC Merced และบริษัท Solar AquaGrid โดยมีเป้าหมายเพื่อพิสูจน์แนวคิดว่าการใช้โครงสร้างพื้นฐานเดิมอย่างคลองชลประทานสามารถสร้างพลังงานหมุนเวียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมลดการระเหยของน้ำและการเติบโตของพืชน้ำที่ทำให้ต้องบำรุงรักษาบ่อย

    นอกจากการผลิตไฟฟ้าแล้ว การติดตั้งแผงโซลาร์เหนือคลองยังช่วยให้แผงเย็นขึ้นจากการอยู่เหนือแหล่งน้ำ ส่งผลให้ประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าสูงขึ้น และลดต้นทุนการดูแลระบบในระยะยาว

    แม้การติดตั้งจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อยหนึ่งปีในการวิเคราะห์ผลตอบแทน แต่ผลเบื้องต้นจาก Turlock Irrigation District พบว่าคุณภาพน้ำดีขึ้น และพืชน้ำลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ประเทศต่าง ๆ เช่น โรมาเนีย ยูเครน เวียดนาม และสเปน ต่างแสดงความสนใจในการนำโมเดลนี้ไปใช้

    โครงการนี้ยังสอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐแคลิฟอร์เนียที่ต้องการให้ไฟฟ้า 60% มาจากพลังงานหมุนเวียนภายในปี 2030 และลดคาร์บอนให้เป็นศูนย์ภายในปี 2045

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Project Nexus ใช้งบประมาณ 20 ล้านดอลลาร์ในการติดตั้งแผงโซลาร์เหนือคลองชลประทาน
    คาดว่าจะผลิตพลังงานได้ 1.6 เมกะวัตต์
    เป็นความร่วมมือระหว่าง Turlock Irrigation District, UC Merced, Solar AquaGrid และกรมทรัพยากรน้ำ
    ช่วยลดการระเหยของน้ำและการเติบโตของพืชน้ำ
    แผงโซลาร์เย็นขึ้นจากการอยู่เหนือคลอง ทำให้ผลิตไฟฟ้าได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    มีการทดลองติดตั้งทั้งในคลองแคบและกว้าง เพื่อศึกษาผลกระทบจากสภาพแวดล้อม
    แผงบางส่วนจะใช้ระบบพับเก็บได้ในเดือนพฤศจิกายน 2025
    สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐแคลิฟอร์เนียในการใช้พลังงานหมุนเวียน 60% ภายในปี 2030
    ประเทศอื่น ๆ เช่น เวียดนามและสเปน สนใจนำโมเดลนี้ไปใช้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    การติดตั้งแผงโซลาร์เหนือคลองช่วยประหยัดน้ำได้ถึง 63 พันล้านแกลลอนต่อปี
    ประสิทธิภาพโดยรวมของแผงเหนือคลองสูงกว่าการติดตั้งบนพื้นดินหรือหลังคาถึง 20–50%
    การใช้โครงสร้างพื้นฐานเดิมช่วยลดการใช้พื้นที่เกษตรกรรม
    การลดพืชน้ำช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาคลอง
    การติดตั้งแผงโซลาร์ในลักษณะนี้สามารถใช้ได้กับประเทศที่มีระบบชลประทานขนาดใหญ่

    https://www.slashgear.com/1977609/california-solar-energy-canal-experiment-impact/
    ☀️ “Project Nexus: แผงโซลาร์เหนือคลองชลประทานในแคลิฟอร์เนีย — พลังงานสะอาดที่ช่วยรักษาน้ำและลดต้นทุนทั่วโลก” ในขณะที่รัฐบาลกลางสหรัฐฯลดงบประมาณด้านพลังงานแสงอาทิตย์อย่างหนัก โครงการ “Project Nexus” ของรัฐแคลิฟอร์เนียกลับกลายเป็นความหวังใหม่ที่กำลังแสดงผลลัพธ์เชิงบวกอย่างชัดเจน โครงการนี้ใช้งบประมาณ 20 ล้านดอลลาร์ในการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เหนือคลองชลประทานใน Central Valley ซึ่งเป็นพื้นที่เกษตรกรรมสำคัญของรัฐ โดยคาดว่าจะผลิตพลังงานสะอาดได้ถึง 1.6 เมกะวัตต์ Project Nexus เป็นความร่วมมือระหว่าง Turlock Irrigation District, กรมทรัพยากรน้ำแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย, มหาวิทยาลัย UC Merced และบริษัท Solar AquaGrid โดยมีเป้าหมายเพื่อพิสูจน์แนวคิดว่าการใช้โครงสร้างพื้นฐานเดิมอย่างคลองชลประทานสามารถสร้างพลังงานหมุนเวียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมลดการระเหยของน้ำและการเติบโตของพืชน้ำที่ทำให้ต้องบำรุงรักษาบ่อย นอกจากการผลิตไฟฟ้าแล้ว การติดตั้งแผงโซลาร์เหนือคลองยังช่วยให้แผงเย็นขึ้นจากการอยู่เหนือแหล่งน้ำ ส่งผลให้ประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าสูงขึ้น และลดต้นทุนการดูแลระบบในระยะยาว แม้การติดตั้งจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อยหนึ่งปีในการวิเคราะห์ผลตอบแทน แต่ผลเบื้องต้นจาก Turlock Irrigation District พบว่าคุณภาพน้ำดีขึ้น และพืชน้ำลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ประเทศต่าง ๆ เช่น โรมาเนีย ยูเครน เวียดนาม และสเปน ต่างแสดงความสนใจในการนำโมเดลนี้ไปใช้ โครงการนี้ยังสอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐแคลิฟอร์เนียที่ต้องการให้ไฟฟ้า 60% มาจากพลังงานหมุนเวียนภายในปี 2030 และลดคาร์บอนให้เป็นศูนย์ภายในปี 2045 ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Project Nexus ใช้งบประมาณ 20 ล้านดอลลาร์ในการติดตั้งแผงโซลาร์เหนือคลองชลประทาน ➡️ คาดว่าจะผลิตพลังงานได้ 1.6 เมกะวัตต์ ➡️ เป็นความร่วมมือระหว่าง Turlock Irrigation District, UC Merced, Solar AquaGrid และกรมทรัพยากรน้ำ ➡️ ช่วยลดการระเหยของน้ำและการเติบโตของพืชน้ำ ➡️ แผงโซลาร์เย็นขึ้นจากการอยู่เหนือคลอง ทำให้ผลิตไฟฟ้าได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ➡️ มีการทดลองติดตั้งทั้งในคลองแคบและกว้าง เพื่อศึกษาผลกระทบจากสภาพแวดล้อม ➡️ แผงบางส่วนจะใช้ระบบพับเก็บได้ในเดือนพฤศจิกายน 2025 ➡️ สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐแคลิฟอร์เนียในการใช้พลังงานหมุนเวียน 60% ภายในปี 2030 ➡️ ประเทศอื่น ๆ เช่น เวียดนามและสเปน สนใจนำโมเดลนี้ไปใช้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ การติดตั้งแผงโซลาร์เหนือคลองช่วยประหยัดน้ำได้ถึง 63 พันล้านแกลลอนต่อปี ➡️ ประสิทธิภาพโดยรวมของแผงเหนือคลองสูงกว่าการติดตั้งบนพื้นดินหรือหลังคาถึง 20–50% ➡️ การใช้โครงสร้างพื้นฐานเดิมช่วยลดการใช้พื้นที่เกษตรกรรม ➡️ การลดพืชน้ำช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาคลอง ➡️ การติดตั้งแผงโซลาร์ในลักษณะนี้สามารถใช้ได้กับประเทศที่มีระบบชลประทานขนาดใหญ่ https://www.slashgear.com/1977609/california-solar-energy-canal-experiment-impact/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    California's Solar Experiment Is Working – Here's What That Could Mean For Everyone Else - SlashGear
    California is doing something unique with its investment in renewable energy, and seems to be proving beneficial not just for increasing solar power generation.
    0 Comments 0 Shares 353 Views 0 Reviews
  • เขมรจัดฉากกล่าวหาไทยยิงระเบิดจนเป็นหลุม มันคงเป็นอาวุธรุ่นใหม่ รักษ์โลก เลือกทำลายเฉพาะพื้นดิน ไม่ทำลายต้นไม้ใบหญ้าข้างๆ เขียวสดเขียวมึง
    #คิงส์โพธิ์แดง
    เขมรจัดฉากกล่าวหาไทยยิงระเบิดจนเป็นหลุม มันคงเป็นอาวุธรุ่นใหม่ รักษ์โลก เลือกทำลายเฉพาะพื้นดิน ไม่ทำลายต้นไม้ใบหญ้าข้างๆ เขียวสดเขียวมึง #คิงส์โพธิ์แดง
    0 Comments 0 Shares 160 Views 0 Reviews
  • “Google Gemini vs ChatGPT: ศึก AI ระดับพรีเมียม ใครคุ้มค่ากว่ากันในปี 2025?”

    ในยุคที่ AI กลายเป็นผู้ช่วยประจำวันของผู้คนทั่วโลก Google Gemini และ ChatGPT คือสองแพลตฟอร์มที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด ทั้งในด้านความสามารถและราคาค่าบริการ โดยแต่ละเจ้ามีจุดแข็งที่แตกต่างกัน — ChatGPT เด่นด้านตรรกะและการให้เหตุผล ส่วน Gemini เหนือกว่าด้านการจัดการข้อมูลที่ซับซ้อนและการค้นหาข้อมูลแบบเรียลไทม์

    หากมองในแง่ของราคาสำหรับผู้ใช้ทั่วไป Gemini Pro เริ่มต้นที่ $19.99/เดือน ส่วน ChatGPT Plus อยู่ที่ $20/เดือน ซึ่งแทบไม่ต่างกันเลย แต่เมื่อขยับไปยังระดับสูง Gemini Ultra อยู่ที่ $249.99/เดือน ขณะที่ ChatGPT Pro อยู่ที่ $200/เดือน ทำให้ Gemini แพงกว่าถึง $49.99

    Gemini Ultra มาพร้อมฟีเจอร์พิเศษ เช่น Gemini 2.5 Deep Think สำหรับงาน reasoning ขั้นสูง และ Project Mariner ที่สามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้ นอกจากนี้ยังรวม YouTube Premium และพื้นที่เก็บข้อมูล 30TB บน Google Drive, Photos และ Gmail

    ด้าน ChatGPT Pro แม้ราคาถูกกว่า แต่ก็ให้สิทธิ์เข้าถึง GPT-5 Pro ซึ่งเป็นโมเดลที่แม่นยำและลดข้อผิดพลาดได้มากกว่า GPT-5 รุ่นฟรี พร้อมใช้งานได้ไม่จำกัด และสามารถแชร์ GPTs กับทีมงานได้ ซึ่ง Plus ไม่สามารถทำได้

    สำหรับผู้ใช้เชิงธุรกิจ ChatGPT ยังมีแผน Business ($30/ผู้ใช้) และ Enterprise (ราคาตามตกลง) ที่ให้สิทธิ์ใช้งานโมเดลพิเศษ OpenAI o3 Pro และฟีเจอร์เชิงลึก เช่น deep research, voice agent และ Codex preview

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Gemini Pro ราคา $19.99/เดือน ส่วน ChatGPT Plus ราคา $20/เดือน
    Gemini Ultra ราคา $249.99/เดือน ขณะที่ ChatGPT Pro อยู่ที่ $200/เดือน
    Gemini Ultra มีฟีเจอร์พิเศษ เช่น Deep Think, Project Mariner และ YouTube Premium
    Gemini Ultra ให้พื้นที่เก็บข้อมูล 30TB ส่วน Pro ให้ 2TB
    ChatGPT Pro เข้าถึง GPT-5 Pro ได้แบบไม่จำกัด
    ChatGPT Pro สามารถแชร์ GPTs กับ workspace ได้
    ChatGPT Business และ Enterprise มีฟีเจอร์เพิ่มเติม เช่น deep research และ voice agent
    Gemini ใช้ AI credits สำหรับบริการเสริม เช่น Flow และ Whisk
    Gemini มีข้อจำกัดในการใช้งานใน Google Workspace บางส่วน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Gemini พัฒนาโดย Google DeepMind และมีการรีแบรนด์จาก Bard
    Gemini สามารถค้นหาข้อมูลแบบเรียลไทม์ผ่าน Google Search ได้
    ChatGPT มีระบบปลั๊กอินและ GPTs ที่สามารถปรับแต่งได้ตามผู้ใช้
    GPT-5 Pro มีความแม่นยำสูงกว่า GPT-5 รุ่นฟรี และลดข้อผิดพลาดได้ดี
    Gemini Ultra เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลขนาดใหญ่และฟีเจอร์หลายด้านในระบบ Google

    https://www.slashgear.com/1980135/google-gemini-vs-chatgpt-price-difference/
    🤖 “Google Gemini vs ChatGPT: ศึก AI ระดับพรีเมียม ใครคุ้มค่ากว่ากันในปี 2025?” ในยุคที่ AI กลายเป็นผู้ช่วยประจำวันของผู้คนทั่วโลก Google Gemini และ ChatGPT คือสองแพลตฟอร์มที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด ทั้งในด้านความสามารถและราคาค่าบริการ โดยแต่ละเจ้ามีจุดแข็งที่แตกต่างกัน — ChatGPT เด่นด้านตรรกะและการให้เหตุผล ส่วน Gemini เหนือกว่าด้านการจัดการข้อมูลที่ซับซ้อนและการค้นหาข้อมูลแบบเรียลไทม์ หากมองในแง่ของราคาสำหรับผู้ใช้ทั่วไป Gemini Pro เริ่มต้นที่ $19.99/เดือน ส่วน ChatGPT Plus อยู่ที่ $20/เดือน ซึ่งแทบไม่ต่างกันเลย แต่เมื่อขยับไปยังระดับสูง Gemini Ultra อยู่ที่ $249.99/เดือน ขณะที่ ChatGPT Pro อยู่ที่ $200/เดือน ทำให้ Gemini แพงกว่าถึง $49.99 Gemini Ultra มาพร้อมฟีเจอร์พิเศษ เช่น Gemini 2.5 Deep Think สำหรับงาน reasoning ขั้นสูง และ Project Mariner ที่สามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้ นอกจากนี้ยังรวม YouTube Premium และพื้นที่เก็บข้อมูล 30TB บน Google Drive, Photos และ Gmail ด้าน ChatGPT Pro แม้ราคาถูกกว่า แต่ก็ให้สิทธิ์เข้าถึง GPT-5 Pro ซึ่งเป็นโมเดลที่แม่นยำและลดข้อผิดพลาดได้มากกว่า GPT-5 รุ่นฟรี พร้อมใช้งานได้ไม่จำกัด และสามารถแชร์ GPTs กับทีมงานได้ ซึ่ง Plus ไม่สามารถทำได้ สำหรับผู้ใช้เชิงธุรกิจ ChatGPT ยังมีแผน Business ($30/ผู้ใช้) และ Enterprise (ราคาตามตกลง) ที่ให้สิทธิ์ใช้งานโมเดลพิเศษ OpenAI o3 Pro และฟีเจอร์เชิงลึก เช่น deep research, voice agent และ Codex preview ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Gemini Pro ราคา $19.99/เดือน ส่วน ChatGPT Plus ราคา $20/เดือน ➡️ Gemini Ultra ราคา $249.99/เดือน ขณะที่ ChatGPT Pro อยู่ที่ $200/เดือน ➡️ Gemini Ultra มีฟีเจอร์พิเศษ เช่น Deep Think, Project Mariner และ YouTube Premium ➡️ Gemini Ultra ให้พื้นที่เก็บข้อมูล 30TB ส่วน Pro ให้ 2TB ➡️ ChatGPT Pro เข้าถึง GPT-5 Pro ได้แบบไม่จำกัด ➡️ ChatGPT Pro สามารถแชร์ GPTs กับ workspace ได้ ➡️ ChatGPT Business และ Enterprise มีฟีเจอร์เพิ่มเติม เช่น deep research และ voice agent ➡️ Gemini ใช้ AI credits สำหรับบริการเสริม เช่น Flow และ Whisk ➡️ Gemini มีข้อจำกัดในการใช้งานใน Google Workspace บางส่วน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Gemini พัฒนาโดย Google DeepMind และมีการรีแบรนด์จาก Bard ➡️ Gemini สามารถค้นหาข้อมูลแบบเรียลไทม์ผ่าน Google Search ได้ ➡️ ChatGPT มีระบบปลั๊กอินและ GPTs ที่สามารถปรับแต่งได้ตามผู้ใช้ ➡️ GPT-5 Pro มีความแม่นยำสูงกว่า GPT-5 รุ่นฟรี และลดข้อผิดพลาดได้ดี ➡️ Gemini Ultra เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลขนาดใหญ่และฟีเจอร์หลายด้านในระบบ Google https://www.slashgear.com/1980135/google-gemini-vs-chatgpt-price-difference/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Google Gemini And ChatGPT Price Differences - Here's How Much They Cost - SlashGear
    Gemini costs $19.99/month for the AI Pro plan, while ChatGPT Plus runs $20/month. There are more tiers and plans available for both depending on the usage.
    0 Comments 0 Shares 282 Views 0 Reviews
  • “Ghost Shark: เรือดำน้ำไร้คนขับแห่งอนาคตของออสเตรเลีย — เมื่อ AI ใต้น้ำกลายเป็นอาวุธยุทธศาสตร์ระดับชาติ”

    กองทัพเรือออสเตรเลียได้เปิดตัวโครงการ Ghost Shark อย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 โดยเป็นการลงทุนครั้งใหญ่กว่า 1.7 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 1.12 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อจัดซื้อเรือดำน้ำไร้คนขับแบบ XL-AUV (Extra-Large Autonomous Undersea Vehicle) จากบริษัท Anduril Industries ซึ่งจะผลิตภายในประเทศโดย Anduril Australia ร่วมกับบริษัทในเครือกว่า 40 แห่ง

    Ghost Shark ถูกออกแบบมาเพื่อภารกิจด้านข่าวกรอง การลาดตระเวน และการโจมตีแบบลับ โดยมีความสามารถในการปฏิบัติการระยะไกลโดยไม่ต้องใช้ลูกเรือ และสามารถปล่อยจากชายฝั่งหรือเรือรบได้โดยตรง ตัวเรือยังสามารถขนส่งผ่านเครื่องบิน C-17A Globemaster III ได้ในตู้คอนเทนเนอร์มาตรฐาน ทำให้สามารถนำไปใช้งานได้ทั่วโลก

    แม้รายละเอียดทางเทคนิคจะยังถูกเก็บเป็นความลับ แต่มีการคาดการณ์ว่า Ghost Shark อาจสามารถติดตั้งตอร์ปิโด Mark 48 ซึ่งเป็นอาวุธหนักที่กองทัพเรือออสเตรเลียใช้อยู่ และอาจมีระบบ AI “Lattice” ที่ช่วยให้เรือสามารถควบคุมโดรนอื่น ๆ ได้เอง

    โครงการนี้เริ่มต้นจากการลงทุนพัฒนาเบื้องต้นราว 140 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย และใช้เวลาเพียง 3 ปีจากแนวคิดสู่การผลิตจริง โดยมีการส่งมอบต้นแบบแล้ว 3 ลำ และเตรียมเข้าสู่การผลิตเต็มรูปแบบในปีหน้า

    Ghost Shark ไม่เพียงแต่จะเสริมกำลังเรือดำน้ำแบบมีลูกเรือเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศที่เน้นการใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติ เพื่อสร้างความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก และอาจกลายเป็นสินค้าส่งออกด้านความมั่นคงในอนาคต

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    รัฐบาลออสเตรเลียลงทุน 1.7 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลียในโครงการ Ghost Shark
    Ghost Shark เป็นเรือดำน้ำไร้คนขับแบบ XL-AUV ที่พัฒนาโดย Anduril Industries
    ผลิตภายในประเทศโดย Anduril Australia ร่วมกับบริษัทในเครือกว่า 40 แห่ง
    เรือสามารถปล่อยจากชายฝั่งหรือเรือรบ และขนส่งผ่านเครื่องบิน C-17A ได้
    มีความสามารถด้านข่าวกรอง การลาดตระเวน และการโจมตีแบบลับ
    อาจติดตั้งตอร์ปิโด Mark 48 และใช้ระบบ AI “Lattice”
    ส่งมอบต้นแบบแล้ว 3 ลำ และเตรียมผลิตเต็มรูปแบบในปี 2026
    โครงการนี้สร้างงานใหม่กว่า 150 ตำแหน่ง และสนับสนุนงานเดิมอีก 120 ตำแหน่ง
    เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศตามแผน National Defence Strategy 2024

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    XL-AUV เป็นเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความสนใจจากหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ และญี่ปุ่น
    ระบบ AI ใต้น้ำช่วยให้เรือสามารถตัดสินใจได้เองในภารกิจที่ซับซ้อน
    การใช้เรือไร้คนขับช่วยลดความเสี่ยงต่อชีวิตทหารในภารกิจอันตราย
    Ghost Shark อาจกลายเป็นต้นแบบของการพัฒนาเรือดำน้ำอัตโนมัติในอนาคต
    การขนส่งผ่าน C-17A ทำให้สามารถ deploy ได้รวดเร็วในสถานการณ์ฉุกเฉิน

    https://www.slashgear.com/1975958/royal-australian-navy-ghost-shark-autonomous-submarine/
    🦈 “Ghost Shark: เรือดำน้ำไร้คนขับแห่งอนาคตของออสเตรเลีย — เมื่อ AI ใต้น้ำกลายเป็นอาวุธยุทธศาสตร์ระดับชาติ” กองทัพเรือออสเตรเลียได้เปิดตัวโครงการ Ghost Shark อย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 โดยเป็นการลงทุนครั้งใหญ่กว่า 1.7 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 1.12 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อจัดซื้อเรือดำน้ำไร้คนขับแบบ XL-AUV (Extra-Large Autonomous Undersea Vehicle) จากบริษัท Anduril Industries ซึ่งจะผลิตภายในประเทศโดย Anduril Australia ร่วมกับบริษัทในเครือกว่า 40 แห่ง Ghost Shark ถูกออกแบบมาเพื่อภารกิจด้านข่าวกรอง การลาดตระเวน และการโจมตีแบบลับ โดยมีความสามารถในการปฏิบัติการระยะไกลโดยไม่ต้องใช้ลูกเรือ และสามารถปล่อยจากชายฝั่งหรือเรือรบได้โดยตรง ตัวเรือยังสามารถขนส่งผ่านเครื่องบิน C-17A Globemaster III ได้ในตู้คอนเทนเนอร์มาตรฐาน ทำให้สามารถนำไปใช้งานได้ทั่วโลก แม้รายละเอียดทางเทคนิคจะยังถูกเก็บเป็นความลับ แต่มีการคาดการณ์ว่า Ghost Shark อาจสามารถติดตั้งตอร์ปิโด Mark 48 ซึ่งเป็นอาวุธหนักที่กองทัพเรือออสเตรเลียใช้อยู่ และอาจมีระบบ AI “Lattice” ที่ช่วยให้เรือสามารถควบคุมโดรนอื่น ๆ ได้เอง โครงการนี้เริ่มต้นจากการลงทุนพัฒนาเบื้องต้นราว 140 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย และใช้เวลาเพียง 3 ปีจากแนวคิดสู่การผลิตจริง โดยมีการส่งมอบต้นแบบแล้ว 3 ลำ และเตรียมเข้าสู่การผลิตเต็มรูปแบบในปีหน้า Ghost Shark ไม่เพียงแต่จะเสริมกำลังเรือดำน้ำแบบมีลูกเรือเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศที่เน้นการใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติ เพื่อสร้างความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก และอาจกลายเป็นสินค้าส่งออกด้านความมั่นคงในอนาคต ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ รัฐบาลออสเตรเลียลงทุน 1.7 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลียในโครงการ Ghost Shark ➡️ Ghost Shark เป็นเรือดำน้ำไร้คนขับแบบ XL-AUV ที่พัฒนาโดย Anduril Industries ➡️ ผลิตภายในประเทศโดย Anduril Australia ร่วมกับบริษัทในเครือกว่า 40 แห่ง ➡️ เรือสามารถปล่อยจากชายฝั่งหรือเรือรบ และขนส่งผ่านเครื่องบิน C-17A ได้ ➡️ มีความสามารถด้านข่าวกรอง การลาดตระเวน และการโจมตีแบบลับ ➡️ อาจติดตั้งตอร์ปิโด Mark 48 และใช้ระบบ AI “Lattice” ➡️ ส่งมอบต้นแบบแล้ว 3 ลำ และเตรียมผลิตเต็มรูปแบบในปี 2026 ➡️ โครงการนี้สร้างงานใหม่กว่า 150 ตำแหน่ง และสนับสนุนงานเดิมอีก 120 ตำแหน่ง ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศตามแผน National Defence Strategy 2024 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ XL-AUV เป็นเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความสนใจจากหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ➡️ ระบบ AI ใต้น้ำช่วยให้เรือสามารถตัดสินใจได้เองในภารกิจที่ซับซ้อน ➡️ การใช้เรือไร้คนขับช่วยลดความเสี่ยงต่อชีวิตทหารในภารกิจอันตราย ➡️ Ghost Shark อาจกลายเป็นต้นแบบของการพัฒนาเรือดำน้ำอัตโนมัติในอนาคต ➡️ การขนส่งผ่าน C-17A ทำให้สามารถ deploy ได้รวดเร็วในสถานการณ์ฉุกเฉิน https://www.slashgear.com/1975958/royal-australian-navy-ghost-shark-autonomous-submarine/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    The Royal Australian Navy Has A Billion-Dollar Ghost Shark Submarine Fleet On The Way - SlashGear
    The Australian government has signed a five-year contract with Anduril Industries worth $1.12 billion to build an undisclosed number of Ghost Shark XL-AUVs.
    0 Comments 0 Shares 309 Views 0 Reviews
  • “ถ้ายิงปืนในอวกาศจะเกิดอะไรขึ้น? — เมื่อแรงปะทะกลายเป็นแรงผลัก และกระสุนไม่มีวันหยุด”

    หลายคนอาจคิดว่าปืนไม่สามารถยิงในอวกาศได้เพราะไม่มีออกซิเจน แต่ความจริงคือ “ยิงได้” เพราะกระสุนมีสารออกซิไดซ์ในตัวเอง ทำให้สามารถจุดระเบิดได้แม้ในสุญญากาศ เช่นเดียวกับการยิงใต้น้ำ

    แม้จะไม่มีการทดลองจริงในอวกาศ แต่กฎฟิสิกส์โดยเฉพาะกฎข้อที่สามของนิวตัน (แรงปฏิกิริยา) สามารถอธิบายผลลัพธ์ได้อย่างแม่นยำ เมื่อยิงปืนในอวกาศ กระสุนจะพุ่งไปข้างหน้า และผู้ยิงจะถูกผลักไปในทิศทางตรงกันข้าม — โดยไม่มีแรงต้านจากอากาศหรือแรงโน้มถ่วงมาหยุด

    กระสุนในอวกาศจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงกว่าบนโลกเล็กน้อย เพราะไม่มีแรงต้านจากอากาศ และจะไม่หยุดเคลื่อนที่เลย เว้นแต่จะไปเจอแรงโน้มถ่วงจากดาวเคราะห์หรือวัตถุอื่น ๆ ที่เปลี่ยนทิศทางหรือชะลอความเร็ว

    แม้อวกาศจะเป็นสุญญากาศ แต่ก็ไม่ว่างเปล่าเสียทีเดียว เพราะยังมีลมสุริยะและอะตอมลอยอยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางของกระสุนในระยะยาว อย่างไรก็ตาม โอกาสที่กระสุนจะชนดาวเทียมหรือวัตถุอื่นนั้นน้อยมาก เพราะอวกาศกว้างใหญ่เกินกว่าจะเล็งโดนอะไรโดยบังเอิญ

    เสียงจากการยิงจะไม่ดังในอวกาศ แต่ผู้ยิงอาจ “ได้ยิน” การสั่นสะเทือนผ่านชุดอวกาศ และหากไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยว เช่นผนังยานหรือพื้น ผู้ยิงจะลอยไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับกระสุน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ปืนสามารถยิงในอวกาศได้ เพราะกระสุนมีสารออกซิไดซ์ในตัว
    การยิงปืนในอวกาศทำให้ผู้ยิงถูกผลักไปในทิศทางตรงข้ามกับกระสุน
    กระสุนจะเคลื่อนที่เร็วขึ้นเล็กน้อยเพราะไม่มีแรงต้านจากอากาศ
    กระสุนจะไม่หยุดเคลื่อนที่ เว้นแต่เจอแรงโน้มถ่วงหรือวัตถุอื่น
    ลมสุริยะและอะตอมในอวกาศอาจเปลี่ยนทิศทางของกระสุน
    โอกาสที่กระสุนจะชนดาวเทียมหรือวัตถุอื่นมีน้อยมาก
    ผู้ยิงจะไม่ได้ยินเสียง แต่จะรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนผ่านชุดอวกาศ
    หากไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยว ผู้ยิงจะลอยไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับกระสุน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    กระสุนที่ยิงในวงโคจรอาจกลับมาชนผู้ยิงได้ หากอยู่ในวงโคจรเดียวกัน
    รัสเซียเคยทดลองอาวุธในอวกาศช่วงสงครามเย็น เช่นปืนบนยาน Soyuz
    ปืนแม่เหล็ก (railgun) เป็นเทคโนโลยีที่เหมาะกับการใช้งานในอวกาศมากกว่า
    การยิงปืนในอวกาศอาจใช้เป็นวิธีเคลื่อนที่ในกรณีฉุกเฉิน หากไม่มีแรงขับอื่น
    การออกแบบอาวุธสำหรับอวกาศต้องคำนึงถึงแรงสะท้อนและความปลอดภัยของผู้ใช้งาน

    https://www.slashgear.com/1978143/what-would-happen-if-shot-gun-in-space/
    🔫 “ถ้ายิงปืนในอวกาศจะเกิดอะไรขึ้น? — เมื่อแรงปะทะกลายเป็นแรงผลัก และกระสุนไม่มีวันหยุด” หลายคนอาจคิดว่าปืนไม่สามารถยิงในอวกาศได้เพราะไม่มีออกซิเจน แต่ความจริงคือ “ยิงได้” เพราะกระสุนมีสารออกซิไดซ์ในตัวเอง ทำให้สามารถจุดระเบิดได้แม้ในสุญญากาศ เช่นเดียวกับการยิงใต้น้ำ แม้จะไม่มีการทดลองจริงในอวกาศ แต่กฎฟิสิกส์โดยเฉพาะกฎข้อที่สามของนิวตัน (แรงปฏิกิริยา) สามารถอธิบายผลลัพธ์ได้อย่างแม่นยำ เมื่อยิงปืนในอวกาศ กระสุนจะพุ่งไปข้างหน้า และผู้ยิงจะถูกผลักไปในทิศทางตรงกันข้าม — โดยไม่มีแรงต้านจากอากาศหรือแรงโน้มถ่วงมาหยุด กระสุนในอวกาศจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงกว่าบนโลกเล็กน้อย เพราะไม่มีแรงต้านจากอากาศ และจะไม่หยุดเคลื่อนที่เลย เว้นแต่จะไปเจอแรงโน้มถ่วงจากดาวเคราะห์หรือวัตถุอื่น ๆ ที่เปลี่ยนทิศทางหรือชะลอความเร็ว แม้อวกาศจะเป็นสุญญากาศ แต่ก็ไม่ว่างเปล่าเสียทีเดียว เพราะยังมีลมสุริยะและอะตอมลอยอยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางของกระสุนในระยะยาว อย่างไรก็ตาม โอกาสที่กระสุนจะชนดาวเทียมหรือวัตถุอื่นนั้นน้อยมาก เพราะอวกาศกว้างใหญ่เกินกว่าจะเล็งโดนอะไรโดยบังเอิญ เสียงจากการยิงจะไม่ดังในอวกาศ แต่ผู้ยิงอาจ “ได้ยิน” การสั่นสะเทือนผ่านชุดอวกาศ และหากไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยว เช่นผนังยานหรือพื้น ผู้ยิงจะลอยไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับกระสุน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ปืนสามารถยิงในอวกาศได้ เพราะกระสุนมีสารออกซิไดซ์ในตัว ➡️ การยิงปืนในอวกาศทำให้ผู้ยิงถูกผลักไปในทิศทางตรงข้ามกับกระสุน ➡️ กระสุนจะเคลื่อนที่เร็วขึ้นเล็กน้อยเพราะไม่มีแรงต้านจากอากาศ ➡️ กระสุนจะไม่หยุดเคลื่อนที่ เว้นแต่เจอแรงโน้มถ่วงหรือวัตถุอื่น ➡️ ลมสุริยะและอะตอมในอวกาศอาจเปลี่ยนทิศทางของกระสุน ➡️ โอกาสที่กระสุนจะชนดาวเทียมหรือวัตถุอื่นมีน้อยมาก ➡️ ผู้ยิงจะไม่ได้ยินเสียง แต่จะรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนผ่านชุดอวกาศ ➡️ หากไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยว ผู้ยิงจะลอยไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับกระสุน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ กระสุนที่ยิงในวงโคจรอาจกลับมาชนผู้ยิงได้ หากอยู่ในวงโคจรเดียวกัน ➡️ รัสเซียเคยทดลองอาวุธในอวกาศช่วงสงครามเย็น เช่นปืนบนยาน Soyuz ➡️ ปืนแม่เหล็ก (railgun) เป็นเทคโนโลยีที่เหมาะกับการใช้งานในอวกาศมากกว่า ➡️ การยิงปืนในอวกาศอาจใช้เป็นวิธีเคลื่อนที่ในกรณีฉุกเฉิน หากไม่มีแรงขับอื่น ➡️ การออกแบบอาวุธสำหรับอวกาศต้องคำนึงถึงแรงสะท้อนและความปลอดภัยของผู้ใช้งาน https://www.slashgear.com/1978143/what-would-happen-if-shot-gun-in-space/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    What Would Happen If You Shot A Gun In Space? Here's What You Need To Know - SlashGear
    Firing a gun in space, free from Earth's atmosphere and gravity, would result in the bullet and firer traveling indefinitely in opposite directions.
    0 Comments 0 Shares 277 Views 0 Reviews
  • น้ำหอมมีประวัติยาวนานกว่าที่หลายท่านคาดคิด เชื่อว่ามีต้นกำเนิดจากอารยธรรมโบราณอันรุ่งเรืองอย่างเมโสโปเตเมีย อียิปต์ กรีก และโรมัน จุดเริ่มต้นนั้นไม่ได้เป็นการสร้างเพื่อความหรูหราหรือความงามส่วนตัว แต่เกี่ยวพันกับความเชื่อ ศาสนา และการเชื่อมโยงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างแนบแน่น คนโบราณใช้พืชสมุนไพร ดอกไม้ เรซิน และเครื่องเทศ นำมาเผาหรือสกัดเพื่อให้ได้กลิ่นหอม เชื่อว่ากลิ่นเหล่านี้สามารถส่งสารหรือคำภาวนาไปถึงเทพเจ้าได้
    .
    นอกจากนี้ กลิ่นหอมยังถูกใช้เพื่อสร้างบรรยากาศในพิธีกรรมทางศาสนา เช่น การเผากำยานในวิหาร การชำระล้างร่างกายก่อนประกอบพิธี หรือการใช้กลิ่นหอมในการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต้นกำเนิดของน้ำหอมจึงเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์และความลี้ลับ ก่อนจะค่อย ๆ พัฒนาไปสู่การใช้ในชีวิตประจำวันและกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความงดงาม
    .
    อียิปต์ถือเป็นแหล่งกำเนิดสำคัญของศาสตร์น้ำหอม ที่มีระบบระเบียบชัดเจนที่สุดในยุคโบราณ ชาวอียิปต์มีความเชื่อว่า กลิ่นหอมคือสะพานที่เชื่อมมนุษย์เข้าหาเทพเจ้า ดังนั้นน้ำหอมจึงถูกใช้ในแทบทุกพิธีกรรม ไม่ว่าจะเป็นการบูชาภายในวิหารหรือการจัดพิธีศพสำหรับกษัตริย์และชนชั้นสูง ยางไม้หอมอย่างมดยอบและกำยานถูกนำมาเผาเพื่อสื่อถึงความศักดิ์สิทธิ์
    .
    หนึ่งในสูตรน้ำหอมที่มีชื่อเสียงที่สุดของอียิปต์คือ Kyphi ซึ่งประกอบด้วยสมุนไพรกว่า 16 ชนิด ผสมกับไวน์ น้ำผึ้ง และยางไม้หอม สูตรนี้ไม่เพียงใช้เพื่อบูชา แต่ยังใช้เป็นยารักษาโรคและสร้างความผ่อนคลายในการนอนหลับ นอกจากนั้น น้ำมันหอมยังถูกใช้ในการทำมัมมี่ เพื่อรักษาสภาพศพให้คงอยู่ได้นานและถือเป็นการเคารพต่อวิญญาณผู้ตาย
    .
    เมื่อเวลาผ่านเข้าสู่ยุคกลาง น้ำหอมแพร่หลายมากขึ้นในยุโรป โดยเฉพาะในอิตาลีและฝรั่งเศส เทคโนโลยีการกลั่น (distillation) ถูกพัฒนา ทำให้ได้กลิ่นที่เข้มข้นและบริสุทธิ์กว่าเดิม น้ำหอมในยุคนี้ไม่ได้ใช้เพียงเพื่อบูชา แต่กลายเป็นเครื่องมือในการดับกลิ่นและรักษาสุขภาพ โดยเฉพาะในช่วงที่ยุโรปเผชิญโรคระบาด ผู้คนเชื่อว่ากลิ่นหอมช่วยป้องกันโรคร้ายได้
    .
    ฝรั่งเศสกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตน้ำหอมที่สำคัญตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 เมืองกราซ (Grasse) เป็นแหล่งปลูกดอกไม้หอม เช่น กุหลาบและมะลิ จนกลายเป็นต้นทางของอุตสาหกรรมน้ำหอมที่เฟื่องฟู ความหอมไม่ได้จำกัดอยู่ที่พิธีกรรมอีกต่อไป แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของแฟชั่นและวัฒนธรรมระดับโลก
    .
    จนถึงปัจจุบัน น้ำหอมยังคงสืบทอดความหมายหลากหลายมิติ ทั้งความงาม ความศักดิ์สิทธิ์ การบ่งบอกตัวตน และศิลปะการผสมผสานกลิ่นที่สะท้อนอารมณ์และบุคลิกของผู้ใช้
    .
    อ่านฉบับเว็บไซต์ได้ที่
    https://www.keangun.com/article/13242
    #บทความ
    #ความรู้
    #น้ำหอม
    #วัฒนธรรม
    #ประวัติศาสตร์
    #เขียนกันดอทคอม
    #Keangun
    น้ำหอมมีประวัติยาวนานกว่าที่หลายท่านคาดคิด เชื่อว่ามีต้นกำเนิดจากอารยธรรมโบราณอันรุ่งเรืองอย่างเมโสโปเตเมีย อียิปต์ กรีก และโรมัน จุดเริ่มต้นนั้นไม่ได้เป็นการสร้างเพื่อความหรูหราหรือความงามส่วนตัว แต่เกี่ยวพันกับความเชื่อ ศาสนา และการเชื่อมโยงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างแนบแน่น คนโบราณใช้พืชสมุนไพร ดอกไม้ เรซิน และเครื่องเทศ นำมาเผาหรือสกัดเพื่อให้ได้กลิ่นหอม เชื่อว่ากลิ่นเหล่านี้สามารถส่งสารหรือคำภาวนาไปถึงเทพเจ้าได้ . นอกจากนี้ กลิ่นหอมยังถูกใช้เพื่อสร้างบรรยากาศในพิธีกรรมทางศาสนา เช่น การเผากำยานในวิหาร การชำระล้างร่างกายก่อนประกอบพิธี หรือการใช้กลิ่นหอมในการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต้นกำเนิดของน้ำหอมจึงเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์และความลี้ลับ ก่อนจะค่อย ๆ พัฒนาไปสู่การใช้ในชีวิตประจำวันและกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความงดงาม . อียิปต์ถือเป็นแหล่งกำเนิดสำคัญของศาสตร์น้ำหอม ที่มีระบบระเบียบชัดเจนที่สุดในยุคโบราณ ชาวอียิปต์มีความเชื่อว่า กลิ่นหอมคือสะพานที่เชื่อมมนุษย์เข้าหาเทพเจ้า ดังนั้นน้ำหอมจึงถูกใช้ในแทบทุกพิธีกรรม ไม่ว่าจะเป็นการบูชาภายในวิหารหรือการจัดพิธีศพสำหรับกษัตริย์และชนชั้นสูง ยางไม้หอมอย่างมดยอบและกำยานถูกนำมาเผาเพื่อสื่อถึงความศักดิ์สิทธิ์ . หนึ่งในสูตรน้ำหอมที่มีชื่อเสียงที่สุดของอียิปต์คือ Kyphi ซึ่งประกอบด้วยสมุนไพรกว่า 16 ชนิด ผสมกับไวน์ น้ำผึ้ง และยางไม้หอม สูตรนี้ไม่เพียงใช้เพื่อบูชา แต่ยังใช้เป็นยารักษาโรคและสร้างความผ่อนคลายในการนอนหลับ นอกจากนั้น น้ำมันหอมยังถูกใช้ในการทำมัมมี่ เพื่อรักษาสภาพศพให้คงอยู่ได้นานและถือเป็นการเคารพต่อวิญญาณผู้ตาย . เมื่อเวลาผ่านเข้าสู่ยุคกลาง น้ำหอมแพร่หลายมากขึ้นในยุโรป โดยเฉพาะในอิตาลีและฝรั่งเศส เทคโนโลยีการกลั่น (distillation) ถูกพัฒนา ทำให้ได้กลิ่นที่เข้มข้นและบริสุทธิ์กว่าเดิม น้ำหอมในยุคนี้ไม่ได้ใช้เพียงเพื่อบูชา แต่กลายเป็นเครื่องมือในการดับกลิ่นและรักษาสุขภาพ โดยเฉพาะในช่วงที่ยุโรปเผชิญโรคระบาด ผู้คนเชื่อว่ากลิ่นหอมช่วยป้องกันโรคร้ายได้ . ฝรั่งเศสกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตน้ำหอมที่สำคัญตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 เมืองกราซ (Grasse) เป็นแหล่งปลูกดอกไม้หอม เช่น กุหลาบและมะลิ จนกลายเป็นต้นทางของอุตสาหกรรมน้ำหอมที่เฟื่องฟู ความหอมไม่ได้จำกัดอยู่ที่พิธีกรรมอีกต่อไป แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของแฟชั่นและวัฒนธรรมระดับโลก . จนถึงปัจจุบัน น้ำหอมยังคงสืบทอดความหมายหลากหลายมิติ ทั้งความงาม ความศักดิ์สิทธิ์ การบ่งบอกตัวตน และศิลปะการผสมผสานกลิ่นที่สะท้อนอารมณ์และบุคลิกของผู้ใช้ . อ่านฉบับเว็บไซต์ได้ที่ https://www.keangun.com/article/13242 #บทความ #ความรู้ #น้ำหอม #วัฒนธรรม #ประวัติศาสตร์ #เขียนกันดอทคอม #Keangun
    WWW.KEANGUN.COM
    ประวัติความเป็นมาของน้ำหอม: พิธีกรรม เครื่องมือดับกลิ่นกาย สู่แฟชั่นระดับโลก
    น้ำหอมมีประวัติยาวนานกว่าที่หลายท่านคาดคิด เชื่อว่ามีต้นกำเนิดจากอารยธรรมโบราณอันรุ่งเรืองอย่างเมโสโปเตเมีย อียิปต์ กรีก และโรมัน จุดเริ่มต้นนั้นไม่ได้เป็นการสร้างเพื่อความหรูหราหรือความงามส่วนตัว แต่เกี่ยวพันกับความเชื่อ ศาสนา และการเชื่อมโยงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างแนบแน่น คนโบราณใช้พืชสมุนไพร ดอกไ
    0 Comments 0 Shares 417 Views 0 Reviews
  • 'ภูมิใจไทย' คว้าชัยเลือกตั้งซ่อม สส.ศรีสะเกษ เขต 5 'จินณ์ตวรรณ' ชนะ 'ภูริกา' พท.
    https://www.thai-tai.tv/news/21660/
    .
    #เลือกตั้งซ่อมศรีสะเกษ #ศรีสะเกษเขต5 #ภูมิใจไทย #เพื่อไทย #จินณ์ตวรรณไตรสรณกุล #ภูริกาสมหมาย #ผลเลือกตั้งไม่เป็นทางการ #การเมืองไทย

    'ภูมิใจไทย' คว้าชัยเลือกตั้งซ่อม สส.ศรีสะเกษ เขต 5 'จินณ์ตวรรณ' ชนะ 'ภูริกา' พท. https://www.thai-tai.tv/news/21660/ . #เลือกตั้งซ่อมศรีสะเกษ #ศรีสะเกษเขต5 #ภูมิใจไทย #เพื่อไทย #จินณ์ตวรรณไตรสรณกุล #ภูริกาสมหมาย #ผลเลือกตั้งไม่เป็นทางการ #การเมืองไทย
    0 Comments 0 Shares 183 Views 0 Reviews
  • “RidePods: เกมแข่งมอเตอร์ไซค์ที่ควบคุมด้วย AirPods — เมื่อศีรษะกลายเป็นจอยสติ๊กแห่งอนาคต”

    โลกของเกมมือถือกำลังเปลี่ยนไป เมื่อ RidePods – Race with Head กลายเป็นเกมแรกที่ใช้ AirPods เป็นอุปกรณ์ควบคุมการเล่นผ่านการเคลื่อนไหวของศีรษะ โดยผู้เล่นสามารถบังคับมอเตอร์ไซค์ในเกมด้วยการเอียงหัวซ้ายขวาเพื่อเลี้ยว และก้มเงยเพื่อเร่งหรือเบรก เรียกได้ว่า “หัวของคุณคือ Wiimote” ที่แท้จริง

    เกมนี้พัฒนาโดย Ali Tanis ซึ่งค้นพบว่าเซ็นเซอร์ที่ใช้ในฟีเจอร์ spatial audio ของ AirPods สามารถนำมาใช้เป็น motion controller ได้ หลังจาก reverse-engineer ระบบดังกล่าว เขาก็สร้างเกมแข่งรถที่ควบคุมด้วยศีรษะขึ้นมา และ Apple ก็อนุมัติให้ลง App Store อย่างเป็นทางการ

    RidePods รองรับเฉพาะ AirPods Pro และ AirPods รุ่นที่ 3 ซึ่งมีเซ็นเซอร์ spatial audio ที่จำเป็นต่อการควบคุมเกม หากใช้หูฟังรุ่นอื่น เกมอาจไม่ทำงานตามที่ตั้งใจไว้ โดยตัวเกมมีระบบการเล่นแบบ arcade ที่เน้นความเร็ว การหลบหลีก และการทำคะแนนสูงสุดในแต่ละรอบ

    นอกจากความแปลกใหม่ในการควบคุมแล้ว RidePods ยังเปิดประตูให้กับนักพัฒนาในการใช้ API ที่ไม่เปิดเผยของ Apple เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ เช่นเดียวกับกรณีที่นักพัฒนาเคยใช้เซ็นเซอร์ LidAngleSensor ใน MacBook เพื่อสร้างแอปจำลองเสียงประตูเปิด

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    RidePods เป็นเกมแรกที่ใช้ AirPods เป็น motion controller ผ่านการเคลื่อนไหวของศีรษะ
    พัฒนาโดย Ali Tanis ด้วยการ reverse-engineer ระบบ spatial audio ของ Apple
    ผู้เล่นควบคุมมอเตอร์ไซค์ด้วยการเอียงหัวเพื่อเลี้ยว และก้มเงยเพื่อเร่งหรือเบรก
    รองรับเฉพาะ AirPods Pro และ AirPods รุ่นที่ 3 ที่มีเซ็นเซอร์ spatial audio
    เกมได้รับการอนุมัติให้ลง App Store อย่างเป็นทางการ
    ระบบการเล่นเน้นความเร็ว การหลบหลีก และการทำคะแนนสูงสุด
    เปิดโอกาสให้นักพัฒนาใช้ API ที่ไม่เปิดเผยของ Apple เพื่อสร้างแอปใหม่
    RidePods มีการออกแบบให้เล่นได้รวดเร็ว เหมาะกับการเล่นแบบ casual หรือแข่งขัน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Apple เตรียมเพิ่ม gesture control และ sleep detection ให้กับ AirPods รุ่นใหม่ใน iOS 26
    การควบคุมด้วยศีรษะเริ่มถูกนำมาใช้ในฟีเจอร์อื่น เช่น การรับ/ปฏิเสธสายโทรศัพท์
    Motion control ผ่านหูฟังอาจนำไปใช้ในแอปอื่น เช่น เกม VR หรือแอปออกกำลังกาย
    การใช้เซ็นเซอร์ spatial audio ช่วยให้การควบคุมแม่นยำและตอบสนองเร็ว
    RidePods อาจเป็นต้นแบบของเกมที่ใช้ wearable เป็นอุปกรณ์ควบคุมหลักในอนาคต

    https://www.tomshardware.com/video-games/handheld-gaming/worlds-first-airpods-controlled-game-uses-reverse-engineered-spatial-audio-hardware-for-motion-control-undocumented-apple-sensor-enables-ridepods-race-with-head-motorbike-racing-game
    🎮 “RidePods: เกมแข่งมอเตอร์ไซค์ที่ควบคุมด้วย AirPods — เมื่อศีรษะกลายเป็นจอยสติ๊กแห่งอนาคต” โลกของเกมมือถือกำลังเปลี่ยนไป เมื่อ RidePods – Race with Head กลายเป็นเกมแรกที่ใช้ AirPods เป็นอุปกรณ์ควบคุมการเล่นผ่านการเคลื่อนไหวของศีรษะ โดยผู้เล่นสามารถบังคับมอเตอร์ไซค์ในเกมด้วยการเอียงหัวซ้ายขวาเพื่อเลี้ยว และก้มเงยเพื่อเร่งหรือเบรก เรียกได้ว่า “หัวของคุณคือ Wiimote” ที่แท้จริง เกมนี้พัฒนาโดย Ali Tanis ซึ่งค้นพบว่าเซ็นเซอร์ที่ใช้ในฟีเจอร์ spatial audio ของ AirPods สามารถนำมาใช้เป็น motion controller ได้ หลังจาก reverse-engineer ระบบดังกล่าว เขาก็สร้างเกมแข่งรถที่ควบคุมด้วยศีรษะขึ้นมา และ Apple ก็อนุมัติให้ลง App Store อย่างเป็นทางการ RidePods รองรับเฉพาะ AirPods Pro และ AirPods รุ่นที่ 3 ซึ่งมีเซ็นเซอร์ spatial audio ที่จำเป็นต่อการควบคุมเกม หากใช้หูฟังรุ่นอื่น เกมอาจไม่ทำงานตามที่ตั้งใจไว้ โดยตัวเกมมีระบบการเล่นแบบ arcade ที่เน้นความเร็ว การหลบหลีก และการทำคะแนนสูงสุดในแต่ละรอบ นอกจากความแปลกใหม่ในการควบคุมแล้ว RidePods ยังเปิดประตูให้กับนักพัฒนาในการใช้ API ที่ไม่เปิดเผยของ Apple เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ เช่นเดียวกับกรณีที่นักพัฒนาเคยใช้เซ็นเซอร์ LidAngleSensor ใน MacBook เพื่อสร้างแอปจำลองเสียงประตูเปิด ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ RidePods เป็นเกมแรกที่ใช้ AirPods เป็น motion controller ผ่านการเคลื่อนไหวของศีรษะ ➡️ พัฒนาโดย Ali Tanis ด้วยการ reverse-engineer ระบบ spatial audio ของ Apple ➡️ ผู้เล่นควบคุมมอเตอร์ไซค์ด้วยการเอียงหัวเพื่อเลี้ยว และก้มเงยเพื่อเร่งหรือเบรก ➡️ รองรับเฉพาะ AirPods Pro และ AirPods รุ่นที่ 3 ที่มีเซ็นเซอร์ spatial audio ➡️ เกมได้รับการอนุมัติให้ลง App Store อย่างเป็นทางการ ➡️ ระบบการเล่นเน้นความเร็ว การหลบหลีก และการทำคะแนนสูงสุด ➡️ เปิดโอกาสให้นักพัฒนาใช้ API ที่ไม่เปิดเผยของ Apple เพื่อสร้างแอปใหม่ ➡️ RidePods มีการออกแบบให้เล่นได้รวดเร็ว เหมาะกับการเล่นแบบ casual หรือแข่งขัน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Apple เตรียมเพิ่ม gesture control และ sleep detection ให้กับ AirPods รุ่นใหม่ใน iOS 26 ➡️ การควบคุมด้วยศีรษะเริ่มถูกนำมาใช้ในฟีเจอร์อื่น เช่น การรับ/ปฏิเสธสายโทรศัพท์ ➡️ Motion control ผ่านหูฟังอาจนำไปใช้ในแอปอื่น เช่น เกม VR หรือแอปออกกำลังกาย ➡️ การใช้เซ็นเซอร์ spatial audio ช่วยให้การควบคุมแม่นยำและตอบสนองเร็ว ➡️ RidePods อาจเป็นต้นแบบของเกมที่ใช้ wearable เป็นอุปกรณ์ควบคุมหลักในอนาคต https://www.tomshardware.com/video-games/handheld-gaming/worlds-first-airpods-controlled-game-uses-reverse-engineered-spatial-audio-hardware-for-motion-control-undocumented-apple-sensor-enables-ridepods-race-with-head-motorbike-racing-game
    0 Comments 0 Shares 229 Views 0 Reviews
  • “DJI ถูกตัดสินว่าเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมกลาโหมจีน — ศาลสหรัฐฯ ยืนยันรายชื่อในบัญชีบริษัททหาร แม้หลักฐานส่วนใหญ่ไม่ชัดเจน”

    DJI ผู้ผลิตโดรนรายใหญ่ที่สุดในโลกเพิ่งแพ้คดีต่อรัฐบาลกลางสหรัฐฯ หลังจากศาลแขวงในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. โดยผู้พิพากษา Paul Friedman มีคำตัดสินให้ DJI ยังคงอยู่ในบัญชี “Chinese Military Companies” ตามมาตรา 1260H ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ2 แม้ศาลจะปฏิเสธเหตุผลส่วนใหญ่ที่กระทรวงกลาโหมเสนอ แต่กลับยอมรับเพียงเหตุผลเดียวที่เกี่ยวข้องกับการได้รับการสนับสนุนจากรัฐจีน ซึ่งเพียงพอให้คงสถานะบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับกองทัพจีนไว้ได้

    DJI ยืนยันว่าไม่ได้ถูกควบคุมหรือเป็นเจ้าของโดยกองทัพจีน และการถูกจัดอยู่ในบัญชีนี้ส่งผลให้สูญเสียโอกาสทางธุรกิจ ถูกมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง และถูกห้ามทำสัญญากับหน่วยงานรัฐบาลกลางหลายแห่งในสหรัฐฯ

    แม้การอยู่ในบัญชีนี้จะไม่ใช่การแบนโดยตรง แต่ก็ทำให้การดำเนินธุรกิจในสหรัฐฯ ยากขึ้น และอาจนำไปสู่การแบนเต็มรูปแบบในอนาคต โดย DJI ยังต้องผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยแห่งชาติภายในเดือนธันวาคม 2025 เพื่อพิสูจน์ว่าไม่มีความเสี่ยงต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ

    คำตัดสินนี้ยังสะท้อนถึงอำนาจของกระทรวงกลาโหมในการกำหนดรายชื่อบริษัทที่เกี่ยวข้องกับกองทัพจีน แม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจนในหลายข้อกล่าวหา โดยศาลให้เหตุผลว่า “ต้องให้ความเคารพต่อหน่วยงานด้านความมั่นคง”

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ศาลสหรัฐฯ ตัดสินให้ DJI ยังคงอยู่ในบัญชี “Chinese Military Companies” ตามมาตรา 1260H
    กระทรวงกลาโหมเสนอหลายเหตุผล แต่ศาลยอมรับเพียงข้อเดียวคือการได้รับการสนับสนุนจากรัฐจีน
    DJI ยืนยันว่าไม่ได้ถูกควบคุมหรือเป็นเจ้าของโดยกองทัพจีน
    การอยู่ในบัญชีนี้ทำให้ DJI สูญเสียสัญญากับหน่วยงานรัฐบาลกลางและถูกมองว่าเป็นภัยความมั่นคง
    DJI ยังต้องผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยแห่งชาติภายในเดือนธันวาคม 2025
    คำตัดสินนี้อาจนำไปสู่การแบนผลิตภัณฑ์ DJI ในสหรัฐฯ ในอนาคต
    DJI ยังคงดำเนินธุรกิจในสหรัฐฯ และกำลังพิจารณาทางเลือกทางกฎหมายเพิ่มเติม
    บริษัท Hesai Group ซึ่งผลิตเซ็นเซอร์ Lidar ก็แพ้คดีคล้ายกันในเดือนกรกฎาคม 2025

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    DJI ครองตลาดโดรนเชิงพาณิชย์ในสหรัฐฯ มากกว่า 50%
    กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ มีอำนาจกว้างในการกำหนดรายชื่อบริษัทที่เกี่ยวข้องกับกองทัพต่างชาติ
    การได้รับการสนับสนุนจากรัฐจีน เช่น เงินทุนหรือสิทธิพิเศษ อาจเพียงพอให้ถูกจัดเป็น “military-civil fusion contributor”
    การใช้โดรน DJI ในหน่วยงานพลเรือนของสหรัฐฯ ทำให้เกิดความกังวลเรื่อง backdoor และการเข้าถึงข้อมูลโดยจีน
    การตรวจสอบความปลอดภัยแห่งชาติในเดือนธันวาคมจะเป็นจุดชี้ขาดอนาคตของ DJI ในตลาดสหรัฐฯ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/judge-rules-that-drone-maker-dji-is-affiliated-with-chinas-defense-industry-company-to-stay-on-pentagons-list-of-chinese-military-companies
    🚁 “DJI ถูกตัดสินว่าเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมกลาโหมจีน — ศาลสหรัฐฯ ยืนยันรายชื่อในบัญชีบริษัททหาร แม้หลักฐานส่วนใหญ่ไม่ชัดเจน” DJI ผู้ผลิตโดรนรายใหญ่ที่สุดในโลกเพิ่งแพ้คดีต่อรัฐบาลกลางสหรัฐฯ หลังจากศาลแขวงในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. โดยผู้พิพากษา Paul Friedman มีคำตัดสินให้ DJI ยังคงอยู่ในบัญชี “Chinese Military Companies” ตามมาตรา 1260H ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ2 แม้ศาลจะปฏิเสธเหตุผลส่วนใหญ่ที่กระทรวงกลาโหมเสนอ แต่กลับยอมรับเพียงเหตุผลเดียวที่เกี่ยวข้องกับการได้รับการสนับสนุนจากรัฐจีน ซึ่งเพียงพอให้คงสถานะบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับกองทัพจีนไว้ได้ DJI ยืนยันว่าไม่ได้ถูกควบคุมหรือเป็นเจ้าของโดยกองทัพจีน และการถูกจัดอยู่ในบัญชีนี้ส่งผลให้สูญเสียโอกาสทางธุรกิจ ถูกมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง และถูกห้ามทำสัญญากับหน่วยงานรัฐบาลกลางหลายแห่งในสหรัฐฯ แม้การอยู่ในบัญชีนี้จะไม่ใช่การแบนโดยตรง แต่ก็ทำให้การดำเนินธุรกิจในสหรัฐฯ ยากขึ้น และอาจนำไปสู่การแบนเต็มรูปแบบในอนาคต โดย DJI ยังต้องผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยแห่งชาติภายในเดือนธันวาคม 2025 เพื่อพิสูจน์ว่าไม่มีความเสี่ยงต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ คำตัดสินนี้ยังสะท้อนถึงอำนาจของกระทรวงกลาโหมในการกำหนดรายชื่อบริษัทที่เกี่ยวข้องกับกองทัพจีน แม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจนในหลายข้อกล่าวหา โดยศาลให้เหตุผลว่า “ต้องให้ความเคารพต่อหน่วยงานด้านความมั่นคง” ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ศาลสหรัฐฯ ตัดสินให้ DJI ยังคงอยู่ในบัญชี “Chinese Military Companies” ตามมาตรา 1260H ➡️ กระทรวงกลาโหมเสนอหลายเหตุผล แต่ศาลยอมรับเพียงข้อเดียวคือการได้รับการสนับสนุนจากรัฐจีน ➡️ DJI ยืนยันว่าไม่ได้ถูกควบคุมหรือเป็นเจ้าของโดยกองทัพจีน ➡️ การอยู่ในบัญชีนี้ทำให้ DJI สูญเสียสัญญากับหน่วยงานรัฐบาลกลางและถูกมองว่าเป็นภัยความมั่นคง ➡️ DJI ยังต้องผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยแห่งชาติภายในเดือนธันวาคม 2025 ➡️ คำตัดสินนี้อาจนำไปสู่การแบนผลิตภัณฑ์ DJI ในสหรัฐฯ ในอนาคต ➡️ DJI ยังคงดำเนินธุรกิจในสหรัฐฯ และกำลังพิจารณาทางเลือกทางกฎหมายเพิ่มเติม ➡️ บริษัท Hesai Group ซึ่งผลิตเซ็นเซอร์ Lidar ก็แพ้คดีคล้ายกันในเดือนกรกฎาคม 2025 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ DJI ครองตลาดโดรนเชิงพาณิชย์ในสหรัฐฯ มากกว่า 50% ➡️ กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ มีอำนาจกว้างในการกำหนดรายชื่อบริษัทที่เกี่ยวข้องกับกองทัพต่างชาติ ➡️ การได้รับการสนับสนุนจากรัฐจีน เช่น เงินทุนหรือสิทธิพิเศษ อาจเพียงพอให้ถูกจัดเป็น “military-civil fusion contributor” ➡️ การใช้โดรน DJI ในหน่วยงานพลเรือนของสหรัฐฯ ทำให้เกิดความกังวลเรื่อง backdoor และการเข้าถึงข้อมูลโดยจีน ➡️ การตรวจสอบความปลอดภัยแห่งชาติในเดือนธันวาคมจะเป็นจุดชี้ขาดอนาคตของ DJI ในตลาดสหรัฐฯ https://www.tomshardware.com/tech-industry/judge-rules-that-drone-maker-dji-is-affiliated-with-chinas-defense-industry-company-to-stay-on-pentagons-list-of-chinese-military-companies
    0 Comments 0 Shares 354 Views 0 Reviews
  • “Leonidas: อาวุธไมโครเวฟพลังสูงที่ล้มโดรน 49 ลำในครั้งเดียว — จุดเปลี่ยนของสงครามยุคฝูงบินอัตโนมัติ”

    ในยุคที่โดรนกลายเป็นอาวุธหลักของสงครามแบบอสมมาตร ระบบป้องกันที่สามารถรับมือกับฝูงบินจำนวนมากได้ในทันทีจึงเป็นสิ่งจำเป็น และนั่นคือสิ่งที่ “Leonidas” จากบริษัท Epirus ได้แสดงให้เห็นในการสาธิตยิงจริงที่ Camp Atterbury รัฐอินดีแอนา สหรัฐอเมริกา เมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2025

    Leonidas เป็นอาวุธไมโครเวฟพลังสูง (High-Power Microwave: HPM) ที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการรบกวนระบบอิเล็กทรอนิกส์ของโดรน ทำให้หยุดทำงานทันที โดยในการสาธิตครั้งล่าสุด Leonidas สามารถล้มโดรนได้ถึง 61 ลำจาก 61 ลำที่ปล่อยขึ้นฟ้า และที่น่าทึ่งที่สุดคือสามารถล้มโดรน 49 ลำได้ใน “การยิงเพียงครั้งเดียว” ด้วยคลื่นไมโครเวฟที่ออกแบบมาเฉพาะ

    ระบบนี้สามารถเลือกเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ เช่น ยิงโดรนที่ถูกเลือกโดยผู้ชมโดยไม่กระทบโดรนที่อยู่ใกล้เคียง หรือแม้แต่ยิงให้โดรนตกลงใน “โซนปลอดภัย” ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นด้วยการควบคุมผ่านซอฟต์แวร์ที่กำหนด waveform ได้ตามสถานการณ์

    Leonidas รุ่นล่าสุดมีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นแรกถึงสองเท่า ทั้งในด้านระยะยิงและความรุนแรง โดยใช้เทคโนโลยี Gallium Nitride (GaN) แทนหลอดแม่เหล็กแบบเดิม ทำให้ระบบมีขนาดเล็กลง ทนทานขึ้น และใช้พลังงานน้อยลง

    การสาธิตครั้งนี้มีผู้แทนจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หน่วยงานรัฐบาล และพันธมิตรจาก 9 ประเทศเข้าร่วมชม และถือเป็น “จุดเปลี่ยน” ที่ Epirus มองว่า Leonidas คือระบบเดียวที่พร้อมใช้งานจริงในการรับมือกับฝูงโดรนจำนวนมากในสนามรบ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Leonidas เป็นอาวุธไมโครเวฟพลังสูงที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการหยุดโดรน
    ในการสาธิตล่าสุด Leonidas ล้มโดรนได้ 61 ลำจาก 61 ลำ และ 49 ลำในครั้งเดียว
    ระบบสามารถเลือกเป้าหมายได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย
    ใช้เทคโนโลยี Gallium Nitride (GaN) แทนหลอดแม่เหล็กแบบเดิม
    รุ่นล่าสุดมีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นแรกถึงสองเท่า
    สามารถยิงต่อเนื่องโดยไม่ร้อนเกิน และไม่กระทบต่อมนุษย์ในพื้นที่ยิง
    การสาธิตมีผู้แทนจากรัฐบาลสหรัฐฯ และพันธมิตร 9 ประเทศเข้าร่วม
    Epirus มองว่า Leonidas คือระบบเดียวที่พร้อมใช้งานจริงในการรับมือกับฝูงโดรน
    ระบบสามารถกำหนด “โซนปลอดภัย” ให้โดรนตกลงอย่างมีการควบคุม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    อาวุธไมโครเวฟถูกใช้ในการรบตั้งแต่ยุคสงครามเย็น แต่เพิ่งมีความแม่นยำสูงในยุคปัจจุบัน
    Gallium Nitride เป็นวัสดุที่ใช้ในอุปกรณ์พลังงานสูง เช่น เรดาร์และอาวุธพลังงานตรง
    การโจมตีแบบฝูงโดรนเป็นภัยคุกคามใหม่ที่เกิดขึ้นในสงครามยูเครนและตะวันออกกลาง
    Leonidas สามารถใช้ในยุทธศาสตร์ “no-fly zone” โดยไม่ต้องยิงกระสุนจริง
    ระบบสามารถติดตั้งบนรถบรรทุกหรือฐานยิงเคลื่อนที่ได้

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/high-power-microwave-system-downs-49-drones-in-one-shot-weaponized-electromagnetic-interference-erases-drone-swarms-en-masse
    ⚡ “Leonidas: อาวุธไมโครเวฟพลังสูงที่ล้มโดรน 49 ลำในครั้งเดียว — จุดเปลี่ยนของสงครามยุคฝูงบินอัตโนมัติ” ในยุคที่โดรนกลายเป็นอาวุธหลักของสงครามแบบอสมมาตร ระบบป้องกันที่สามารถรับมือกับฝูงบินจำนวนมากได้ในทันทีจึงเป็นสิ่งจำเป็น และนั่นคือสิ่งที่ “Leonidas” จากบริษัท Epirus ได้แสดงให้เห็นในการสาธิตยิงจริงที่ Camp Atterbury รัฐอินดีแอนา สหรัฐอเมริกา เมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2025 Leonidas เป็นอาวุธไมโครเวฟพลังสูง (High-Power Microwave: HPM) ที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการรบกวนระบบอิเล็กทรอนิกส์ของโดรน ทำให้หยุดทำงานทันที โดยในการสาธิตครั้งล่าสุด Leonidas สามารถล้มโดรนได้ถึง 61 ลำจาก 61 ลำที่ปล่อยขึ้นฟ้า และที่น่าทึ่งที่สุดคือสามารถล้มโดรน 49 ลำได้ใน “การยิงเพียงครั้งเดียว” ด้วยคลื่นไมโครเวฟที่ออกแบบมาเฉพาะ ระบบนี้สามารถเลือกเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ เช่น ยิงโดรนที่ถูกเลือกโดยผู้ชมโดยไม่กระทบโดรนที่อยู่ใกล้เคียง หรือแม้แต่ยิงให้โดรนตกลงใน “โซนปลอดภัย” ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นด้วยการควบคุมผ่านซอฟต์แวร์ที่กำหนด waveform ได้ตามสถานการณ์ Leonidas รุ่นล่าสุดมีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นแรกถึงสองเท่า ทั้งในด้านระยะยิงและความรุนแรง โดยใช้เทคโนโลยี Gallium Nitride (GaN) แทนหลอดแม่เหล็กแบบเดิม ทำให้ระบบมีขนาดเล็กลง ทนทานขึ้น และใช้พลังงานน้อยลง การสาธิตครั้งนี้มีผู้แทนจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หน่วยงานรัฐบาล และพันธมิตรจาก 9 ประเทศเข้าร่วมชม และถือเป็น “จุดเปลี่ยน” ที่ Epirus มองว่า Leonidas คือระบบเดียวที่พร้อมใช้งานจริงในการรับมือกับฝูงโดรนจำนวนมากในสนามรบ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Leonidas เป็นอาวุธไมโครเวฟพลังสูงที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการหยุดโดรน ➡️ ในการสาธิตล่าสุด Leonidas ล้มโดรนได้ 61 ลำจาก 61 ลำ และ 49 ลำในครั้งเดียว ➡️ ระบบสามารถเลือกเป้าหมายได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย ➡️ ใช้เทคโนโลยี Gallium Nitride (GaN) แทนหลอดแม่เหล็กแบบเดิม ➡️ รุ่นล่าสุดมีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นแรกถึงสองเท่า ➡️ สามารถยิงต่อเนื่องโดยไม่ร้อนเกิน และไม่กระทบต่อมนุษย์ในพื้นที่ยิง ➡️ การสาธิตมีผู้แทนจากรัฐบาลสหรัฐฯ และพันธมิตร 9 ประเทศเข้าร่วม ➡️ Epirus มองว่า Leonidas คือระบบเดียวที่พร้อมใช้งานจริงในการรับมือกับฝูงโดรน ➡️ ระบบสามารถกำหนด “โซนปลอดภัย” ให้โดรนตกลงอย่างมีการควบคุม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ อาวุธไมโครเวฟถูกใช้ในการรบตั้งแต่ยุคสงครามเย็น แต่เพิ่งมีความแม่นยำสูงในยุคปัจจุบัน ➡️ Gallium Nitride เป็นวัสดุที่ใช้ในอุปกรณ์พลังงานสูง เช่น เรดาร์และอาวุธพลังงานตรง ➡️ การโจมตีแบบฝูงโดรนเป็นภัยคุกคามใหม่ที่เกิดขึ้นในสงครามยูเครนและตะวันออกกลาง ➡️ Leonidas สามารถใช้ในยุทธศาสตร์ “no-fly zone” โดยไม่ต้องยิงกระสุนจริง ➡️ ระบบสามารถติดตั้งบนรถบรรทุกหรือฐานยิงเคลื่อนที่ได้ https://www.tomshardware.com/tech-industry/high-power-microwave-system-downs-49-drones-in-one-shot-weaponized-electromagnetic-interference-erases-drone-swarms-en-masse
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    High-power microwave system downs 49 drones in one shot – weaponized electromagnetic interference erases drone swarms en masse
    The Epirus Leonidas weapon ‘neutralized 61-of-61 drones’ during a recent live fire trial in Indiana.
    0 Comments 0 Shares 331 Views 0 Reviews
  • “สหรัฐฯ เร่งดีลเซมิคอนดักเตอร์กับไต้หวัน — ตั้งเป้าผลิตชิปในประเทศให้ได้ 40% รับมือภัยคุกคามจากจีน”

    รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ Howard Lutnick เปิดเผยว่า ข้อตกลงด้านเซมิคอนดักเตอร์กับไต้หวันกำลังจะเกิดขึ้น “ในเร็ว ๆ นี้” โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการผลิตชิปภายในประเทศให้ได้ถึง 40% ของความต้องการทั้งหมดก่อนเขาจะออกจากตำแหน่ง การประกาศนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลเรื่องความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน เนื่องจากไต้หวันผลิตชิปขั้นสูงกว่า 90% ของโลก และอยู่ห่างจากจีนแค่ 80 ไมล์

    Lutnick กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “จีนไม่แม้แต่จะปิดบังเป้าหมายในการยึดไต้หวัน” ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมสหรัฐฯ จึงไม่สามารถพึ่งพาการผลิตชิปจากเกาะเดียวได้อีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อ TSMC คือผู้ผลิตชิประดับ 2nm ชั้นนำของโลก

    แม้ TSMC จะลงทุนสร้างโรงงานในรัฐแอริโซนาและประกาศลงทุนเพิ่มอีก $100 พันล้านในสหรัฐฯ ภายใน 5 ปี แต่รัฐบาลไต้หวันยังคงยืนยันว่าจะไม่ย้ายเทคโนโลยีขั้นสูงที่สุดออกนอกประเทศ ตามนโยบาย “N-1” ที่จะเก็บเทคโนโลยีล่าสุดไว้ในไต้หวันเท่านั้น

    ขณะเดียวกัน ฝ่ายบริหารของทรัมป์กำลังผลักดันนโยบายใหม่ที่เรียกว่า “1:1 chip rule” ซึ่งกำหนดให้บริษัทต้องผลิตชิปในสหรัฐฯ หนึ่งตัวต่อชิปนำเข้า หากไม่ทำตามจะถูกเก็บภาษีสูงถึง 100% ถือเป็นการเปลี่ยนจากนโยบายสนับสนุน (subsidy) ไปสู่การบังคับด้วย leverage

    หากดีลกับไต้หวันสำเร็จ และ TSMC ยอมย้ายการผลิตระดับ 2nm มายังสหรัฐฯ จะถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์โลก และลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาไต้หวันในระยะยาว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Lutnick เผยดีลเซมิคอนดักเตอร์กับไต้หวันกำลังจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้
    สหรัฐฯ ตั้งเป้าผลิตชิปในประเทศให้ได้ 40% ของความต้องการ
    TSMC ลงทุน $100 พันล้านในสหรัฐฯ ภายใน 5 ปี รวมถึงโรงงานในแอริโซนา
    รัฐบาลไต้หวันยืนยันจะเก็บเทคโนโลยีขั้นสูงไว้ในประเทศตามนโยบาย N-1
    ฝ่ายบริหารทรัมป์เสนอ “1:1 chip rule” บังคับให้ผลิตชิปในประเทศเท่ากับจำนวนที่นำเข้า
    หากไม่ทำตาม จะถูกเก็บภาษีสูงสุดถึง 100%
    TSMC เริ่มผลิตชิป N4 ในสหรัฐฯ และมีแผนรองรับ N3 และ N2 ภายในปี 2028–2029
    ความเคลื่อนไหวนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ลดการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานจากจีน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    TSMC ผลิตชิประดับต่ำกว่า 10nm มากกว่า 90% ของโลก
    ไต้หวันผลิตชิป logic ที่เข้าสหรัฐฯ ประมาณ 44% และ memory chips 24%
    CHIPS Act ที่ผ่านในยุค Biden ถูกตีความใหม่ในยุค Trump เพื่อเพิ่ม leverage
    การย้ายเทคโนโลยีระดับ 2nm ต้องใช้การเจรจาทางการเมืองและความมั่นคงระดับสูง
    โรงงาน Fab 21 ของ TSMC ในแอริโซนาเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของการผลิตในสหรัฐฯ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/lutnick-says-taiwan-deal-coming-pretty-soon
    🇺🇸💻 “สหรัฐฯ เร่งดีลเซมิคอนดักเตอร์กับไต้หวัน — ตั้งเป้าผลิตชิปในประเทศให้ได้ 40% รับมือภัยคุกคามจากจีน” รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ Howard Lutnick เปิดเผยว่า ข้อตกลงด้านเซมิคอนดักเตอร์กับไต้หวันกำลังจะเกิดขึ้น “ในเร็ว ๆ นี้” โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการผลิตชิปภายในประเทศให้ได้ถึง 40% ของความต้องการทั้งหมดก่อนเขาจะออกจากตำแหน่ง การประกาศนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลเรื่องความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน เนื่องจากไต้หวันผลิตชิปขั้นสูงกว่า 90% ของโลก และอยู่ห่างจากจีนแค่ 80 ไมล์ Lutnick กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “จีนไม่แม้แต่จะปิดบังเป้าหมายในการยึดไต้หวัน” ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมสหรัฐฯ จึงไม่สามารถพึ่งพาการผลิตชิปจากเกาะเดียวได้อีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อ TSMC คือผู้ผลิตชิประดับ 2nm ชั้นนำของโลก แม้ TSMC จะลงทุนสร้างโรงงานในรัฐแอริโซนาและประกาศลงทุนเพิ่มอีก $100 พันล้านในสหรัฐฯ ภายใน 5 ปี แต่รัฐบาลไต้หวันยังคงยืนยันว่าจะไม่ย้ายเทคโนโลยีขั้นสูงที่สุดออกนอกประเทศ ตามนโยบาย “N-1” ที่จะเก็บเทคโนโลยีล่าสุดไว้ในไต้หวันเท่านั้น ขณะเดียวกัน ฝ่ายบริหารของทรัมป์กำลังผลักดันนโยบายใหม่ที่เรียกว่า “1:1 chip rule” ซึ่งกำหนดให้บริษัทต้องผลิตชิปในสหรัฐฯ หนึ่งตัวต่อชิปนำเข้า หากไม่ทำตามจะถูกเก็บภาษีสูงถึง 100% ถือเป็นการเปลี่ยนจากนโยบายสนับสนุน (subsidy) ไปสู่การบังคับด้วย leverage หากดีลกับไต้หวันสำเร็จ และ TSMC ยอมย้ายการผลิตระดับ 2nm มายังสหรัฐฯ จะถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์โลก และลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาไต้หวันในระยะยาว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Lutnick เผยดีลเซมิคอนดักเตอร์กับไต้หวันกำลังจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ ➡️ สหรัฐฯ ตั้งเป้าผลิตชิปในประเทศให้ได้ 40% ของความต้องการ ➡️ TSMC ลงทุน $100 พันล้านในสหรัฐฯ ภายใน 5 ปี รวมถึงโรงงานในแอริโซนา ➡️ รัฐบาลไต้หวันยืนยันจะเก็บเทคโนโลยีขั้นสูงไว้ในประเทศตามนโยบาย N-1 ➡️ ฝ่ายบริหารทรัมป์เสนอ “1:1 chip rule” บังคับให้ผลิตชิปในประเทศเท่ากับจำนวนที่นำเข้า ➡️ หากไม่ทำตาม จะถูกเก็บภาษีสูงสุดถึง 100% ➡️ TSMC เริ่มผลิตชิป N4 ในสหรัฐฯ และมีแผนรองรับ N3 และ N2 ภายในปี 2028–2029 ➡️ ความเคลื่อนไหวนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ลดการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานจากจีน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ TSMC ผลิตชิประดับต่ำกว่า 10nm มากกว่า 90% ของโลก ➡️ ไต้หวันผลิตชิป logic ที่เข้าสหรัฐฯ ประมาณ 44% และ memory chips 24% ➡️ CHIPS Act ที่ผ่านในยุค Biden ถูกตีความใหม่ในยุค Trump เพื่อเพิ่ม leverage ➡️ การย้ายเทคโนโลยีระดับ 2nm ต้องใช้การเจรจาทางการเมืองและความมั่นคงระดับสูง ➡️ โรงงาน Fab 21 ของ TSMC ในแอริโซนาเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของการผลิตในสหรัฐฯ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/lutnick-says-taiwan-deal-coming-pretty-soon
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    US Commerce head notes China 'isn't even shy' about its goal to 'take' Taiwan, says US-Taiwan tariff deal coming soon — goal is to have 40% of chips made in America
    Lutnick claims deal talks with Taiwan are advancing as the Trump administration turns up pressure on chipmakers to onshore advanced fabs.
    0 Comments 0 Shares 268 Views 0 Reviews
  • “Jensen Huang ชี้จีนตามหลังแค่ ‘นาโนวินาที’ — เรียกร้องให้สหรัฐฯ ผ่อนคลายข้อจำกัดการส่งออกชิป AI”

    Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ออกมาแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาในรายการ BG2 Podcast ว่า “จีนตามหลังสหรัฐฯ ในด้านการผลิตชิปแค่ไม่กี่นาโนวินาที” พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ ลดข้อจำกัดการส่งออกชิป AI ไปยังจีน โดยให้เหตุผลว่าการเปิดตลาดจะช่วยขยายอิทธิพลเทคโนโลยีของสหรัฐฯ และรักษาความเป็นผู้นำในระดับโลก

    คำพูดของ Huang เกิดขึ้นในช่วงที่ Nvidia กำลังพยายามกลับมาขายชิป H20 ให้กับลูกค้าในจีน หลังจากถูกระงับการส่งออกหลายเดือนจากข้อจำกัดของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ซึ่งเพิ่งเริ่มออกใบอนุญาตให้ส่งออกอีกครั้งในเดือนสิงหาคม 2025

    อย่างไรก็ตาม จีนเองก็ไม่ได้รอให้ Nvidia กลับมา เพราะ Huawei ได้เปิดตัวระบบ Atlas 900 A3 SuperPoD ที่ใช้ชิป Ascend 910B ซึ่งไม่พึ่งพา CUDA และออกแบบมาเพื่อซอฟต์แวร์จีนโดยเฉพาะ พร้อมวางแผนพัฒนาชิปรุ่นใหม่ให้เทียบเท่าหรือเหนือกว่าชิปของ Nvidia ภายในปี 2027

    Huang ยอมรับว่าจีนเป็นคู่แข่งที่ “หิวโหย เคลื่อนไหวเร็ว และมีวัฒนธรรมการทำงานแบบ 9-9-6” ซึ่งทำให้การพัฒนาเทคโนโลยีในจีนก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อบริษัทใหญ่อย่าง Baidu, Alibaba, Tencent และ ByteDance ต่างลงทุนในทีมพัฒนาชิปของตัวเองและสนับสนุนสตาร์ทอัพด้านเซมิคอนดักเตอร์

    แม้ Nvidia จะพยายามรักษาตลาดจีนด้วยการออกแบบชิปเฉพาะ เช่น H20 และ RTX Pro 6000D แต่ก็ยังถูกจีนสั่งห้ามซื้อในเดือนกันยายน 2025 โดยหน่วยงาน CAC ของจีนให้เหตุผลว่า “ชิปจีนตอนนี้เทียบเท่าหรือดีกว่าชิปที่ Nvidia อนุญาตให้ขายในจีนแล้ว” และเรียกร้องให้บริษัทในประเทศหันไปใช้ชิปภายในประเทศแทน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Jensen Huang ระบุว่าจีนตามหลังสหรัฐฯ ในการผลิตชิปแค่ “นาโนวินาที”
    เรียกร้องให้สหรัฐฯ ลดข้อจำกัดการส่งออกชิป AI เพื่อรักษาอิทธิพลทางเทคโนโลยี
    Nvidia หวังกลับมาขายชิป H20 ให้จีนหลังถูกระงับหลายเดือน
    กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เริ่มออกใบอนุญาตส่งออก H20 ในเดือนสิงหาคม 2025
    Huawei เปิดตัว Atlas 900 A3 SuperPoD ที่ใช้ชิป Ascend 910B ไม่พึ่ง CUDA
    จีนวางแผนพัฒนาชิป Ascend รุ่นใหม่ให้เทียบเท่าหรือเหนือกว่า Nvidia ภายในปี 2027
    บริษัทจีนใหญ่ลงทุนในชิปภายในประเทศ เช่น Baidu, Alibaba, Tencent และ ByteDance
    Nvidia เคยครองตลาดจีนถึง 95% แต่ลดลงอย่างรวดเร็วจากข้อจำกัดการส่งออก
    CAC ของจีนสั่งห้ามบริษัทในประเทศซื้อชิป H20 และ RTX Pro 6000D

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ชิป H20 และ RTX Pro 6000D ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผ่านข้อจำกัดของสหรัฐฯ โดยเฉพาะ
    จีนกำลังสร้างระบบ AI ที่ไม่พึ่งพาเทคโนโลยีสหรัฐฯ เช่น CUDA หรือ TensorRT
    การพัฒนา AI ในจีนเติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ เช่น เซินเจิ้นและปักกิ่ง
    DeepSeek เป็นโมเดล AI จากจีนที่เทียบเคียงกับ OpenAI และ Anthropic
    การแข่งขันด้านชิปส่งผลต่ออุตสาหกรรมอื่น เช่น บล็อกเชนและอินเทอร์เน็ตดาวเทียม

    https://www.tomshardware.com/jensen-huang-says-china-is-nanoseconds-behind-in-chips
    🇨🇳⚙️ “Jensen Huang ชี้จีนตามหลังแค่ ‘นาโนวินาที’ — เรียกร้องให้สหรัฐฯ ผ่อนคลายข้อจำกัดการส่งออกชิป AI” Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ออกมาแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาในรายการ BG2 Podcast ว่า “จีนตามหลังสหรัฐฯ ในด้านการผลิตชิปแค่ไม่กี่นาโนวินาที” พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ ลดข้อจำกัดการส่งออกชิป AI ไปยังจีน โดยให้เหตุผลว่าการเปิดตลาดจะช่วยขยายอิทธิพลเทคโนโลยีของสหรัฐฯ และรักษาความเป็นผู้นำในระดับโลก คำพูดของ Huang เกิดขึ้นในช่วงที่ Nvidia กำลังพยายามกลับมาขายชิป H20 ให้กับลูกค้าในจีน หลังจากถูกระงับการส่งออกหลายเดือนจากข้อจำกัดของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ซึ่งเพิ่งเริ่มออกใบอนุญาตให้ส่งออกอีกครั้งในเดือนสิงหาคม 2025 อย่างไรก็ตาม จีนเองก็ไม่ได้รอให้ Nvidia กลับมา เพราะ Huawei ได้เปิดตัวระบบ Atlas 900 A3 SuperPoD ที่ใช้ชิป Ascend 910B ซึ่งไม่พึ่งพา CUDA และออกแบบมาเพื่อซอฟต์แวร์จีนโดยเฉพาะ พร้อมวางแผนพัฒนาชิปรุ่นใหม่ให้เทียบเท่าหรือเหนือกว่าชิปของ Nvidia ภายในปี 2027 Huang ยอมรับว่าจีนเป็นคู่แข่งที่ “หิวโหย เคลื่อนไหวเร็ว และมีวัฒนธรรมการทำงานแบบ 9-9-6” ซึ่งทำให้การพัฒนาเทคโนโลยีในจีนก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่อบริษัทใหญ่อย่าง Baidu, Alibaba, Tencent และ ByteDance ต่างลงทุนในทีมพัฒนาชิปของตัวเองและสนับสนุนสตาร์ทอัพด้านเซมิคอนดักเตอร์ แม้ Nvidia จะพยายามรักษาตลาดจีนด้วยการออกแบบชิปเฉพาะ เช่น H20 และ RTX Pro 6000D แต่ก็ยังถูกจีนสั่งห้ามซื้อในเดือนกันยายน 2025 โดยหน่วยงาน CAC ของจีนให้เหตุผลว่า “ชิปจีนตอนนี้เทียบเท่าหรือดีกว่าชิปที่ Nvidia อนุญาตให้ขายในจีนแล้ว” และเรียกร้องให้บริษัทในประเทศหันไปใช้ชิปภายในประเทศแทน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Jensen Huang ระบุว่าจีนตามหลังสหรัฐฯ ในการผลิตชิปแค่ “นาโนวินาที” ➡️ เรียกร้องให้สหรัฐฯ ลดข้อจำกัดการส่งออกชิป AI เพื่อรักษาอิทธิพลทางเทคโนโลยี ➡️ Nvidia หวังกลับมาขายชิป H20 ให้จีนหลังถูกระงับหลายเดือน ➡️ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เริ่มออกใบอนุญาตส่งออก H20 ในเดือนสิงหาคม 2025 ➡️ Huawei เปิดตัว Atlas 900 A3 SuperPoD ที่ใช้ชิป Ascend 910B ไม่พึ่ง CUDA ➡️ จีนวางแผนพัฒนาชิป Ascend รุ่นใหม่ให้เทียบเท่าหรือเหนือกว่า Nvidia ภายในปี 2027 ➡️ บริษัทจีนใหญ่ลงทุนในชิปภายในประเทศ เช่น Baidu, Alibaba, Tencent และ ByteDance ➡️ Nvidia เคยครองตลาดจีนถึง 95% แต่ลดลงอย่างรวดเร็วจากข้อจำกัดการส่งออก ➡️ CAC ของจีนสั่งห้ามบริษัทในประเทศซื้อชิป H20 และ RTX Pro 6000D ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ชิป H20 และ RTX Pro 6000D ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผ่านข้อจำกัดของสหรัฐฯ โดยเฉพาะ ➡️ จีนกำลังสร้างระบบ AI ที่ไม่พึ่งพาเทคโนโลยีสหรัฐฯ เช่น CUDA หรือ TensorRT ➡️ การพัฒนา AI ในจีนเติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ เช่น เซินเจิ้นและปักกิ่ง ➡️ DeepSeek เป็นโมเดล AI จากจีนที่เทียบเคียงกับ OpenAI และ Anthropic ➡️ การแข่งขันด้านชิปส่งผลต่ออุตสาหกรรมอื่น เช่น บล็อกเชนและอินเทอร์เน็ตดาวเทียม https://www.tomshardware.com/jensen-huang-says-china-is-nanoseconds-behind-in-chips
    0 Comments 0 Shares 340 Views 0 Reviews
  • “Snapdragon X2 Elite Extreme: ชิปโน้ตบุ๊กที่แรงที่สุดของ Qualcomm — ซูเปอร์คอร์ 18 ตัว, RAM 128GB, AI 80 TOPS พร้อมชน AMD และ Intel”

    Qualcomm เปิดตัวชิปสำหรับโน้ตบุ๊ก Windows รุ่นใหม่ล่าสุดในชื่อ Snapdragon X2 Elite และ X2 Elite Extreme ซึ่งถือเป็นการยกระดับครั้งใหญ่ในตลาด PC โดยเฉพาะรุ่น Extreme ที่มาพร้อมกับสเปกสุดโหด: ซีพียู 18 คอร์, ความเร็วบูสต์สูงสุด 5.0GHz, รองรับ RAM LPDDR5X สูงสุดถึง 128GB และหน่วยประมวลผล AI (NPU) ที่แรงถึง 80 TOPS — มากกว่าคู่แข่งอย่าง AMD Ryzen AI+ 395 และ Intel Core Ultra แบบไม่เกรงใจ

    ชิปทั้งสองรุ่นใช้สถาปัตยกรรม Oryon รุ่นที่ 3 บนกระบวนการผลิต 3nm ของ TSMC โดยรุ่น Extreme มี 12 คอร์หลักและ 6 คอร์ประสิทธิภาพ พร้อมแคชรวม 53MB และสามารถเชื่อมต่อ PCIe 5.0 ได้ถึง 12 เลน รองรับการแสดงผลสูงสุด 3 จอ 4K ที่ 144Hz หรือ 2 จอ 5K ที่ 60Hz

    ด้านกราฟิกก็ไม่น้อยหน้า เพราะมาพร้อม GPU Adreno X2-90 ที่รองรับ ray tracing แบบฮาร์ดแวร์ และ API ล่าสุดอย่าง DirectX 12.2 Ultimate, Vulkan และ OpenCL 3.0 ส่วนรุ่น Elite ธรรมดาจะลดคอร์ลงเหลือ 12 คอร์ และใช้ GPU Adreno X2-85 ที่แรงน้อยกว่าเล็กน้อย

    ทั้งสองรุ่นรองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4 และสามารถติดตั้งโมเด็ม Snapdragon X75 สำหรับ 5G ได้ โดยออกแบบมาเพื่อใช้งานกับ Copilot+ PC ที่เน้นการประมวลผล AI หลายงานพร้อมกันบนเครื่องโดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์

    Qualcomm ระบุว่าโน้ตบุ๊กรุ่นแรกที่ใช้ชิปเหล่านี้จะเปิดตัวในช่วงครึ่งแรกของปี 2026 และจะเป็นการเปิดศักราชใหม่ของโน้ตบุ๊กที่บางเบาแต่ทรงพลังระดับเวิร์กสเตชัน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Snapdragon X2 Elite Extreme มี 18 คอร์ (12P + 6E) ความเร็วบูสต์สูงสุด 5.0GHz
    รองรับ RAM LPDDR5X สูงสุด 128GB บนแบนด์วิดธ์ 228GB/s
    NPU แรงถึง 80 TOPS เหมาะกับงาน AI หลายงานพร้อมกัน
    GPU Adreno X2-90 รองรับ ray tracing และ API ล่าสุด
    รองรับ PCIe 5.0, NVMe SSD, UFS 4.0 และ USB4 หลายพอร์ต
    แสดงผลได้สูงสุด 3 จอ 4K 144Hz หรือ 2 จอ 5K 60Hz
    รองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4 และโมเด็ม 5G Snapdragon X75
    ใช้สถาปัตยกรรม Oryon รุ่นที่ 3 บนกระบวนการผลิต 3nm
    โน้ตบุ๊กรุ่นแรกจะเปิดตัวในครึ่งแรกของปี 2026

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Snapdragon X2 Elite Extreme แรงกว่า Snapdragon X Elite รุ่นแรกถึง 31% ที่พลังงานเท่ากัน
    ใช้พลังงานน้อยลงถึง 43% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า
    Adreno X2-90 มีประสิทธิภาพต่อวัตต์สูงขึ้น 2.3 เท่า
    ชิปนี้ออกแบบมาเพื่อใช้งานกับ Copilot+ PC โดยเฉพาะ
    Qualcomm ตั้งเป้าแข่งกับ Apple M4, AMD Ryzen AI+ และ Intel Core Ultra

    https://www.techradar.com/pro/qualcomms-most-powerful-cpu-ever-will-target-amds-ryzen-ai-395-with-128gb-onboard-lpddr5x-memory-while-intel-has-only-32gb-integrated-memory-to-contend-with
    ⚙️ “Snapdragon X2 Elite Extreme: ชิปโน้ตบุ๊กที่แรงที่สุดของ Qualcomm — ซูเปอร์คอร์ 18 ตัว, RAM 128GB, AI 80 TOPS พร้อมชน AMD และ Intel” Qualcomm เปิดตัวชิปสำหรับโน้ตบุ๊ก Windows รุ่นใหม่ล่าสุดในชื่อ Snapdragon X2 Elite และ X2 Elite Extreme ซึ่งถือเป็นการยกระดับครั้งใหญ่ในตลาด PC โดยเฉพาะรุ่น Extreme ที่มาพร้อมกับสเปกสุดโหด: ซีพียู 18 คอร์, ความเร็วบูสต์สูงสุด 5.0GHz, รองรับ RAM LPDDR5X สูงสุดถึง 128GB และหน่วยประมวลผล AI (NPU) ที่แรงถึง 80 TOPS — มากกว่าคู่แข่งอย่าง AMD Ryzen AI+ 395 และ Intel Core Ultra แบบไม่เกรงใจ ชิปทั้งสองรุ่นใช้สถาปัตยกรรม Oryon รุ่นที่ 3 บนกระบวนการผลิต 3nm ของ TSMC โดยรุ่น Extreme มี 12 คอร์หลักและ 6 คอร์ประสิทธิภาพ พร้อมแคชรวม 53MB และสามารถเชื่อมต่อ PCIe 5.0 ได้ถึง 12 เลน รองรับการแสดงผลสูงสุด 3 จอ 4K ที่ 144Hz หรือ 2 จอ 5K ที่ 60Hz ด้านกราฟิกก็ไม่น้อยหน้า เพราะมาพร้อม GPU Adreno X2-90 ที่รองรับ ray tracing แบบฮาร์ดแวร์ และ API ล่าสุดอย่าง DirectX 12.2 Ultimate, Vulkan และ OpenCL 3.0 ส่วนรุ่น Elite ธรรมดาจะลดคอร์ลงเหลือ 12 คอร์ และใช้ GPU Adreno X2-85 ที่แรงน้อยกว่าเล็กน้อย ทั้งสองรุ่นรองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4 และสามารถติดตั้งโมเด็ม Snapdragon X75 สำหรับ 5G ได้ โดยออกแบบมาเพื่อใช้งานกับ Copilot+ PC ที่เน้นการประมวลผล AI หลายงานพร้อมกันบนเครื่องโดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์ Qualcomm ระบุว่าโน้ตบุ๊กรุ่นแรกที่ใช้ชิปเหล่านี้จะเปิดตัวในช่วงครึ่งแรกของปี 2026 และจะเป็นการเปิดศักราชใหม่ของโน้ตบุ๊กที่บางเบาแต่ทรงพลังระดับเวิร์กสเตชัน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Snapdragon X2 Elite Extreme มี 18 คอร์ (12P + 6E) ความเร็วบูสต์สูงสุด 5.0GHz ➡️ รองรับ RAM LPDDR5X สูงสุด 128GB บนแบนด์วิดธ์ 228GB/s ➡️ NPU แรงถึง 80 TOPS เหมาะกับงาน AI หลายงานพร้อมกัน ➡️ GPU Adreno X2-90 รองรับ ray tracing และ API ล่าสุด ➡️ รองรับ PCIe 5.0, NVMe SSD, UFS 4.0 และ USB4 หลายพอร์ต ➡️ แสดงผลได้สูงสุด 3 จอ 4K 144Hz หรือ 2 จอ 5K 60Hz ➡️ รองรับ Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4 และโมเด็ม 5G Snapdragon X75 ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม Oryon รุ่นที่ 3 บนกระบวนการผลิต 3nm ➡️ โน้ตบุ๊กรุ่นแรกจะเปิดตัวในครึ่งแรกของปี 2026 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Snapdragon X2 Elite Extreme แรงกว่า Snapdragon X Elite รุ่นแรกถึง 31% ที่พลังงานเท่ากัน ➡️ ใช้พลังงานน้อยลงถึง 43% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ➡️ Adreno X2-90 มีประสิทธิภาพต่อวัตต์สูงขึ้น 2.3 เท่า ➡️ ชิปนี้ออกแบบมาเพื่อใช้งานกับ Copilot+ PC โดยเฉพาะ ➡️ Qualcomm ตั้งเป้าแข่งกับ Apple M4, AMD Ryzen AI+ และ Intel Core Ultra https://www.techradar.com/pro/qualcomms-most-powerful-cpu-ever-will-target-amds-ryzen-ai-395-with-128gb-onboard-lpddr5x-memory-while-intel-has-only-32gb-integrated-memory-to-contend-with
    0 Comments 0 Shares 223 Views 0 Reviews