เรื่องเล่าจากโลกคริปโต: เมื่อการกู้เงินด้วยเหรียญดิจิทัลต้องเผชิญภัยไซเบอร์
ในยุคที่คริปโตไม่ใช่แค่การลงทุน แต่กลายเป็นสินทรัพย์ที่ใช้ค้ำประกันเงินกู้ได้ “Crypto-backed lending” จึงกลายเป็นเทรนด์ที่ทั้งนักลงทุนรายย่อยและสถาบันต่างหันมาใช้กันมากขึ้น เพราะมันเปิดโอกาสให้ผู้ถือเหรียญสามารถกู้เงินโดยไม่ต้องขายเหรียญออกไป
แต่ในความสะดวกนั้น ก็มีเงามืดของภัยไซเบอร์ที่ซ่อนอยู่ เพราะเมื่อมีสินทรัพย์ดิจิทัลมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์ถูกล็อกไว้ในแพลตฟอร์มเหล่านี้ แฮกเกอร์ก็ยิ่งพัฒนาเทคนิคใหม่ ๆ เพื่อเจาะระบบให้ได้
ภัยที่พบได้บ่อยคือการเจาะ smart contract ที่มีช่องโหว่ เช่นกรณี Inverse Finance ที่ถูกแฮกผ่านการบิดเบือนข้อมูลจาก oracle จนสูญเงินกว่า 15 ล้านดอลลาร์ หรือกรณี Atomic Wallet ที่สูญเงินกว่า 35 ล้านดอลลาร์เพราะการจัดการ private key ที่หละหลวม
นอกจากนี้ยังมีการปลอมเว็บกู้เงินบน Telegram และ Discord เพื่อหลอกให้ผู้ใช้กรอก seed phrase หรือ key รวมถึงมัลแวร์ที่แอบเปลี่ยน address ใน clipboard เพื่อขโมยเหรียญแบบเนียน ๆ
บทเรียนจากอดีต เช่นการล่มของ Celsius Network และการถูกเจาะซ้ำของ Cream Finance แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่แค่โค้ดที่ต้องแข็งแรง แต่กระบวนการภายในและการตรวจสอบความเสี่ยงก็ต้องเข้มงวดด้วย
แนวทางป้องกันที่ดีคือการใช้ multi-signature wallet เช่น Gnosis Safe, การตรวจสอบ smart contract ด้วย formal verification, การตั้งระบบตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติแบบ real-time และการให้ผู้ใช้ใช้ hardware wallet ร่วมกับ 2FA เป็นมาตรฐาน
Crypto-backed lending เติบโตอย่างรวดเร็วในปี 2024
มีสินทรัพย์กว่า $80B ถูกล็อกใน DeFi lending pools
ผู้ใช้สามารถกู้ stablecoin โดยใช้ BTC หรือ ETH เป็นหลักประกัน
ไม่ต้องขายเหรียญเพื่อแลกเป็นเงินสด
ช่องโหว่ใน smart contract เป็นจุดเสี่ยงหลัก
เช่นกรณี Inverse Finance สูญเงิน $15M จาก oracle manipulation
การจัดการ private key ที่ไม่ปลอดภัยนำไปสู่การสูญเงินมหาศาล
Atomic Wallet สูญเงิน $35M จาก vendor ที่เก็บ key ไม่ดี
การปลอมเว็บกู้เงินและมัลแวร์ clipboard เป็นภัยที่พุ่งเป้าผู้ใช้ทั่วไป
พบมากใน Telegram, Discord และ browser extensions
Celsius Network และ Cream Finance เคยถูกแฮกจากการควบคุมภายในที่อ่อนแอ
เช่นการไม่อัปเดตระบบและการละเลย audit findings
แนวทางป้องกันที่แนะนำคือ multi-sig wallet, formal verification และ anomaly detection
Gnosis Safe เป็นเครื่องมือยอดนิยมใน DeFi
ตลาด crypto lending มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
คาดว่าจะกลายเป็นเครื่องมือการเงินหลักในอนาคต
Blockchain ช่วยเพิ่มความโปร่งใสและลดการพึ่งพาตัวกลาง
แต่ก็ยังต้องพึ่งระบบรักษาความปลอดภัยที่แข็งแรง
End-to-end encryption และ biometric login เป็นแนวทางเสริมความปลอดภัย
ช่วยลดความเสี่ยงจาก phishing และ social engineering
การใช้ระบบ real-time monitoring และ kill switch ช่วยหยุดการโจมตีทันที
ลดความเสียหายจากการเจาะระบบแบบ flash attack
https://hackread.com/navigating-cybersecurity-risks-crypto-backed-lending/
ในยุคที่คริปโตไม่ใช่แค่การลงทุน แต่กลายเป็นสินทรัพย์ที่ใช้ค้ำประกันเงินกู้ได้ “Crypto-backed lending” จึงกลายเป็นเทรนด์ที่ทั้งนักลงทุนรายย่อยและสถาบันต่างหันมาใช้กันมากขึ้น เพราะมันเปิดโอกาสให้ผู้ถือเหรียญสามารถกู้เงินโดยไม่ต้องขายเหรียญออกไป
แต่ในความสะดวกนั้น ก็มีเงามืดของภัยไซเบอร์ที่ซ่อนอยู่ เพราะเมื่อมีสินทรัพย์ดิจิทัลมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์ถูกล็อกไว้ในแพลตฟอร์มเหล่านี้ แฮกเกอร์ก็ยิ่งพัฒนาเทคนิคใหม่ ๆ เพื่อเจาะระบบให้ได้
ภัยที่พบได้บ่อยคือการเจาะ smart contract ที่มีช่องโหว่ เช่นกรณี Inverse Finance ที่ถูกแฮกผ่านการบิดเบือนข้อมูลจาก oracle จนสูญเงินกว่า 15 ล้านดอลลาร์ หรือกรณี Atomic Wallet ที่สูญเงินกว่า 35 ล้านดอลลาร์เพราะการจัดการ private key ที่หละหลวม
นอกจากนี้ยังมีการปลอมเว็บกู้เงินบน Telegram และ Discord เพื่อหลอกให้ผู้ใช้กรอก seed phrase หรือ key รวมถึงมัลแวร์ที่แอบเปลี่ยน address ใน clipboard เพื่อขโมยเหรียญแบบเนียน ๆ
บทเรียนจากอดีต เช่นการล่มของ Celsius Network และการถูกเจาะซ้ำของ Cream Finance แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่แค่โค้ดที่ต้องแข็งแรง แต่กระบวนการภายในและการตรวจสอบความเสี่ยงก็ต้องเข้มงวดด้วย
แนวทางป้องกันที่ดีคือการใช้ multi-signature wallet เช่น Gnosis Safe, การตรวจสอบ smart contract ด้วย formal verification, การตั้งระบบตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติแบบ real-time และการให้ผู้ใช้ใช้ hardware wallet ร่วมกับ 2FA เป็นมาตรฐาน
Crypto-backed lending เติบโตอย่างรวดเร็วในปี 2024
มีสินทรัพย์กว่า $80B ถูกล็อกใน DeFi lending pools
ผู้ใช้สามารถกู้ stablecoin โดยใช้ BTC หรือ ETH เป็นหลักประกัน
ไม่ต้องขายเหรียญเพื่อแลกเป็นเงินสด
ช่องโหว่ใน smart contract เป็นจุดเสี่ยงหลัก
เช่นกรณี Inverse Finance สูญเงิน $15M จาก oracle manipulation
การจัดการ private key ที่ไม่ปลอดภัยนำไปสู่การสูญเงินมหาศาล
Atomic Wallet สูญเงิน $35M จาก vendor ที่เก็บ key ไม่ดี
การปลอมเว็บกู้เงินและมัลแวร์ clipboard เป็นภัยที่พุ่งเป้าผู้ใช้ทั่วไป
พบมากใน Telegram, Discord และ browser extensions
Celsius Network และ Cream Finance เคยถูกแฮกจากการควบคุมภายในที่อ่อนแอ
เช่นการไม่อัปเดตระบบและการละเลย audit findings
แนวทางป้องกันที่แนะนำคือ multi-sig wallet, formal verification และ anomaly detection
Gnosis Safe เป็นเครื่องมือยอดนิยมใน DeFi
ตลาด crypto lending มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
คาดว่าจะกลายเป็นเครื่องมือการเงินหลักในอนาคต
Blockchain ช่วยเพิ่มความโปร่งใสและลดการพึ่งพาตัวกลาง
แต่ก็ยังต้องพึ่งระบบรักษาความปลอดภัยที่แข็งแรง
End-to-end encryption และ biometric login เป็นแนวทางเสริมความปลอดภัย
ช่วยลดความเสี่ยงจาก phishing และ social engineering
การใช้ระบบ real-time monitoring และ kill switch ช่วยหยุดการโจมตีทันที
ลดความเสียหายจากการเจาะระบบแบบ flash attack
https://hackread.com/navigating-cybersecurity-risks-crypto-backed-lending/
🛡️💸 เรื่องเล่าจากโลกคริปโต: เมื่อการกู้เงินด้วยเหรียญดิจิทัลต้องเผชิญภัยไซเบอร์
ในยุคที่คริปโตไม่ใช่แค่การลงทุน แต่กลายเป็นสินทรัพย์ที่ใช้ค้ำประกันเงินกู้ได้ “Crypto-backed lending” จึงกลายเป็นเทรนด์ที่ทั้งนักลงทุนรายย่อยและสถาบันต่างหันมาใช้กันมากขึ้น เพราะมันเปิดโอกาสให้ผู้ถือเหรียญสามารถกู้เงินโดยไม่ต้องขายเหรียญออกไป
แต่ในความสะดวกนั้น ก็มีเงามืดของภัยไซเบอร์ที่ซ่อนอยู่ เพราะเมื่อมีสินทรัพย์ดิจิทัลมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์ถูกล็อกไว้ในแพลตฟอร์มเหล่านี้ แฮกเกอร์ก็ยิ่งพัฒนาเทคนิคใหม่ ๆ เพื่อเจาะระบบให้ได้
ภัยที่พบได้บ่อยคือการเจาะ smart contract ที่มีช่องโหว่ เช่นกรณี Inverse Finance ที่ถูกแฮกผ่านการบิดเบือนข้อมูลจาก oracle จนสูญเงินกว่า 15 ล้านดอลลาร์ หรือกรณี Atomic Wallet ที่สูญเงินกว่า 35 ล้านดอลลาร์เพราะการจัดการ private key ที่หละหลวม
นอกจากนี้ยังมีการปลอมเว็บกู้เงินบน Telegram และ Discord เพื่อหลอกให้ผู้ใช้กรอก seed phrase หรือ key รวมถึงมัลแวร์ที่แอบเปลี่ยน address ใน clipboard เพื่อขโมยเหรียญแบบเนียน ๆ
บทเรียนจากอดีต เช่นการล่มของ Celsius Network และการถูกเจาะซ้ำของ Cream Finance แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่แค่โค้ดที่ต้องแข็งแรง แต่กระบวนการภายในและการตรวจสอบความเสี่ยงก็ต้องเข้มงวดด้วย
แนวทางป้องกันที่ดีคือการใช้ multi-signature wallet เช่น Gnosis Safe, การตรวจสอบ smart contract ด้วย formal verification, การตั้งระบบตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติแบบ real-time และการให้ผู้ใช้ใช้ hardware wallet ร่วมกับ 2FA เป็นมาตรฐาน
✅ Crypto-backed lending เติบโตอย่างรวดเร็วในปี 2024
➡️ มีสินทรัพย์กว่า $80B ถูกล็อกใน DeFi lending pools
✅ ผู้ใช้สามารถกู้ stablecoin โดยใช้ BTC หรือ ETH เป็นหลักประกัน
➡️ ไม่ต้องขายเหรียญเพื่อแลกเป็นเงินสด
✅ ช่องโหว่ใน smart contract เป็นจุดเสี่ยงหลัก
➡️ เช่นกรณี Inverse Finance สูญเงิน $15M จาก oracle manipulation
✅ การจัดการ private key ที่ไม่ปลอดภัยนำไปสู่การสูญเงินมหาศาล
➡️ Atomic Wallet สูญเงิน $35M จาก vendor ที่เก็บ key ไม่ดี
✅ การปลอมเว็บกู้เงินและมัลแวร์ clipboard เป็นภัยที่พุ่งเป้าผู้ใช้ทั่วไป
➡️ พบมากใน Telegram, Discord และ browser extensions
✅ Celsius Network และ Cream Finance เคยถูกแฮกจากการควบคุมภายในที่อ่อนแอ
➡️ เช่นการไม่อัปเดตระบบและการละเลย audit findings
✅ แนวทางป้องกันที่แนะนำคือ multi-sig wallet, formal verification และ anomaly detection
➡️ Gnosis Safe เป็นเครื่องมือยอดนิยมใน DeFi
✅ ตลาด crypto lending มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
➡️ คาดว่าจะกลายเป็นเครื่องมือการเงินหลักในอนาคต
✅ Blockchain ช่วยเพิ่มความโปร่งใสและลดการพึ่งพาตัวกลาง
➡️ แต่ก็ยังต้องพึ่งระบบรักษาความปลอดภัยที่แข็งแรง
✅ End-to-end encryption และ biometric login เป็นแนวทางเสริมความปลอดภัย
➡️ ช่วยลดความเสี่ยงจาก phishing และ social engineering
✅ การใช้ระบบ real-time monitoring และ kill switch ช่วยหยุดการโจมตีทันที
➡️ ลดความเสียหายจากการเจาะระบบแบบ flash attack
https://hackread.com/navigating-cybersecurity-risks-crypto-backed-lending/
0 Comments
0 Shares
3 Views
0 Reviews