• รายงานการลักลอบนำเข้า Blackwell ขแง DeepSeek

    แหล่งข่าวนิรนามหลายรายอ้างว่า DeepSeek ใช้บริษัทเชลล์สร้างศูนย์ข้อมูลปลอมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อให้ผ่านการตรวจสอบจาก Nvidia และพันธมิตร OEM หลังจากนั้นจึงรื้อเครื่องเซิร์ฟเวอร์ออกเป็นชิ้น ๆ และลักลอบนำเข้าไปยังจีน ซึ่งถูกห้ามนำเข้า GPU รุ่นใหม่ตามข้อจำกัดของสหรัฐ

    ความต้องการ GPU ของ DeepSeek
    DeepSeek เคยสร้างชื่อจากโมเดล R1 ที่ใช้เพียง 2,048 Nvidia H800s แต่สามารถฝึกได้ภายในสองเดือน ทำให้บริษัทถูกจับตามองว่ามีความสามารถในการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบัน DeepSeek ยังคงพยายามหาทางเข้าถึง GPU รุ่นใหม่เพื่อพัฒนาโมเดล AI ต่อไป แม้รัฐบาลจีนจะผลักดันให้ใช้ชิปในประเทศ เช่น Huawei Ascend

    ปฏิกิริยาของ Nvidia
    Nvidia ออกแถลงการณ์ว่า “ยังไม่พบหลักฐานหรือได้รับข้อมูลยืนยัน” เกี่ยวกับการสร้างศูนย์ข้อมูลปลอมและการลักลอบนำเข้า พร้อมย้ำว่าบริษัทจะตรวจสอบทุกเบาะแสที่ได้รับ แม้จะมองว่าข่าวนี้เป็นเรื่อง “far-fetched” แต่ก็ไม่ปฏิเสธที่จะติดตามอย่างจริงจัง

    ความหมายต่อสงครามชิป
    เหตุการณ์นี้สะท้อนการแข่งขันที่ดุเดือดในสงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐและจีน การที่ DeepSeek ถูกกล่าวหาว่าลักลอบนำเข้า Blackwell แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของ GPU ในการพัฒนา AI ขั้นสูง และความพยายามของจีนที่จะหาทางเข้าถึงเทคโนโลยีแม้จะมีข้อจำกัดทางการค้า

    สรุปเป็นหัวข้อ
    รายงานการลักลอบนำเข้า
    DeepSeek ถูกกล่าวหาว่าสร้างศูนย์ข้อมูลปลอม
    รื้อเซิร์ฟเวอร์แล้วลักลอบนำ GPU เข้าจีน

    ความต้องการของ DeepSeek
    โมเดล R1 ใช้เพียง 2,048 H800s
    พยายามเข้าถึง GPU รุ่นใหม่เพื่อพัฒนาโมเดลต่อ

    ปฏิกิริยาของ Nvidia
    ปฏิเสธข่าวว่าเป็น “far-fetched”
    ยืนยันว่าจะตรวจสอบทุกเบาะแส

    ความหมายต่อสงครามชิป
    GPU เป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนา AI
    จีนพยายามหาทางเข้าถึงเทคโนโลยีแม้ถูกจำกัด

    ข้อจำกัดและคำเตือน
    ยังไม่มีหลักฐานยืนยันการลักลอบนำเข้า
    ข่าวอาจสร้างความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างสหรัฐและจีน
    ความเสี่ยงต่อซัพพลายเชนและการควบคุมการส่งออก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidia-decries-far-fetched-reports-of-smuggling-in-face-of-deepseek-training-reports-unnamed-sources-claim-chinese-company-is-involved-in-blackwell-smuggling-ring
    🛰️ รายงานการลักลอบนำเข้า Blackwell ขแง DeepSeek แหล่งข่าวนิรนามหลายรายอ้างว่า DeepSeek ใช้บริษัทเชลล์สร้างศูนย์ข้อมูลปลอมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อให้ผ่านการตรวจสอบจาก Nvidia และพันธมิตร OEM หลังจากนั้นจึงรื้อเครื่องเซิร์ฟเวอร์ออกเป็นชิ้น ๆ และลักลอบนำเข้าไปยังจีน ซึ่งถูกห้ามนำเข้า GPU รุ่นใหม่ตามข้อจำกัดของสหรัฐ ⚡ ความต้องการ GPU ของ DeepSeek DeepSeek เคยสร้างชื่อจากโมเดล R1 ที่ใช้เพียง 2,048 Nvidia H800s แต่สามารถฝึกได้ภายในสองเดือน ทำให้บริษัทถูกจับตามองว่ามีความสามารถในการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบัน DeepSeek ยังคงพยายามหาทางเข้าถึง GPU รุ่นใหม่เพื่อพัฒนาโมเดล AI ต่อไป แม้รัฐบาลจีนจะผลักดันให้ใช้ชิปในประเทศ เช่น Huawei Ascend 🖥️ ปฏิกิริยาของ Nvidia Nvidia ออกแถลงการณ์ว่า “ยังไม่พบหลักฐานหรือได้รับข้อมูลยืนยัน” เกี่ยวกับการสร้างศูนย์ข้อมูลปลอมและการลักลอบนำเข้า พร้อมย้ำว่าบริษัทจะตรวจสอบทุกเบาะแสที่ได้รับ แม้จะมองว่าข่าวนี้เป็นเรื่อง “far-fetched” แต่ก็ไม่ปฏิเสธที่จะติดตามอย่างจริงจัง 🔍 ความหมายต่อสงครามชิป เหตุการณ์นี้สะท้อนการแข่งขันที่ดุเดือดในสงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐและจีน การที่ DeepSeek ถูกกล่าวหาว่าลักลอบนำเข้า Blackwell แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของ GPU ในการพัฒนา AI ขั้นสูง และความพยายามของจีนที่จะหาทางเข้าถึงเทคโนโลยีแม้จะมีข้อจำกัดทางการค้า 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ รายงานการลักลอบนำเข้า ➡️ DeepSeek ถูกกล่าวหาว่าสร้างศูนย์ข้อมูลปลอม ➡️ รื้อเซิร์ฟเวอร์แล้วลักลอบนำ GPU เข้าจีน ✅ ความต้องการของ DeepSeek ➡️ โมเดล R1 ใช้เพียง 2,048 H800s ➡️ พยายามเข้าถึง GPU รุ่นใหม่เพื่อพัฒนาโมเดลต่อ ✅ ปฏิกิริยาของ Nvidia ➡️ ปฏิเสธข่าวว่าเป็น “far-fetched” ➡️ ยืนยันว่าจะตรวจสอบทุกเบาะแส ✅ ความหมายต่อสงครามชิป ➡️ GPU เป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนา AI ➡️ จีนพยายามหาทางเข้าถึงเทคโนโลยีแม้ถูกจำกัด ‼️ ข้อจำกัดและคำเตือน ⛔ ยังไม่มีหลักฐานยืนยันการลักลอบนำเข้า ⛔ ข่าวอาจสร้างความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างสหรัฐและจีน ⛔ ความเสี่ยงต่อซัพพลายเชนและการควบคุมการส่งออก https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidia-decries-far-fetched-reports-of-smuggling-in-face-of-deepseek-training-reports-unnamed-sources-claim-chinese-company-is-involved-in-blackwell-smuggling-ring
    0 Comments 0 Shares 133 Views 0 Reviews
  • Nvidia พัฒนาระบบติดตาม GPU แบบซอฟต์แวร์เพื่อแก้ปัญหาการลักลอบนำเข้าชิป AI

    Nvidia เปิดเผยว่ากำลังพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ที่สามารถติดตามตำแหน่งและสถานะของ GPU ได้ โดยใช้ข้อมูล telemetry และการวัดเวลา (latency) ระหว่างเซิร์ฟเวอร์ของลูกค้ากับเซิร์ฟเวอร์ของ Nvidia เพื่อประมาณตำแหน่งของ GPU คล้ายกับการทำงานของระบบ geolocation บนอินเทอร์เน็ต

    จุดประสงค์และการใช้งาน
    แม้จะถูกพัฒนาเพื่อตอบสนองต่อแรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐ แต่ Nvidia ระบุว่าซอฟต์แวร์นี้ออกแบบมาเพื่อช่วยผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูล (CSPs) ในการ ตรวจสอบสุขภาพ, ความสมบูรณ์ และการจัดการสินทรัพย์ GPU โดยผู้ใช้ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์เอง ไม่ใช่ฟังก์ชันที่ซ่อนอยู่ในฮาร์ดแวร์

    ความกังวลด้านความมั่นคง
    จีนได้เรียก Nvidia เข้าพบเพื่อสอบถามเกี่ยวกับฟังก์ชันการตรวจสอบนี้ เนื่องจากกังวลว่าอาจเป็น “backdoor” ที่เปิดทางให้รัฐบาลสหรัฐเข้าถึงข้อมูล แต่ Nvidia ยืนยันว่าไม่มีการละเมิดความปลอดภัย และระบบนี้ใช้เพียงข้อมูล telemetry ที่ถูกต้องตามมาตรฐานเท่านั้น

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    ฟีเจอร์นี้จะเริ่มใช้กับ GPU รุ่นใหม่ตระกูล Blackwell ซึ่งมีระบบตรวจสอบขั้นสูงกว่า Hopper และ Ampere การพัฒนานี้สะท้อนถึงความพยายามของสหรัฐในการควบคุมการกระจายชิป AI ไปยังประเทศที่ถูกจำกัด เช่น จีน, รัสเซีย และเกาหลีเหนือ

    สรุปเป็นหัวข้อ
    ระบบติดตาม GPU ของ Nvidia
    ใช้ข้อมูล telemetry และ latency เพื่อระบุตำแหน่ง
    ตรวจสอบสุขภาพและความสมบูรณ์ของ GPU

    จุดประสงค์การใช้งาน
    ช่วยผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลจัดการสินทรัพย์
    ผู้ใช้ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์เอง

    ความกังวลจากจีน
    หวั่นว่าเป็น backdoor ให้สหรัฐ
    Nvidia ยืนยันว่าไม่มีการละเมิดความปลอดภัย

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    เริ่มใช้กับ GPU รุ่น Blackwell
    สหรัฐพยายามควบคุมการส่งออกชิป AI

    ข้อจำกัดและคำเตือน
    ยังไม่ชัดเจนว่าซอฟต์แวร์สามารถปิดการทำงาน GPU ได้จริงหรือไม่
    อาจสร้างความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างสหรัฐและจีน
    ความเสี่ยงด้านความเชื่อมั่นจากผู้ใช้งานที่กังวลเรื่องข้อมูลส่วนตัว

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-develops-software-based-tracking-for-ai-gpus-to-quash-smuggling-concerns-solution-devised-to-prevent-shipments-to-nations-with-export-controls-in-place
    🛰️ Nvidia พัฒนาระบบติดตาม GPU แบบซอฟต์แวร์เพื่อแก้ปัญหาการลักลอบนำเข้าชิป AI Nvidia เปิดเผยว่ากำลังพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ที่สามารถติดตามตำแหน่งและสถานะของ GPU ได้ โดยใช้ข้อมูล telemetry และการวัดเวลา (latency) ระหว่างเซิร์ฟเวอร์ของลูกค้ากับเซิร์ฟเวอร์ของ Nvidia เพื่อประมาณตำแหน่งของ GPU คล้ายกับการทำงานของระบบ geolocation บนอินเทอร์เน็ต 🔧 จุดประสงค์และการใช้งาน แม้จะถูกพัฒนาเพื่อตอบสนองต่อแรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐ แต่ Nvidia ระบุว่าซอฟต์แวร์นี้ออกแบบมาเพื่อช่วยผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูล (CSPs) ในการ ตรวจสอบสุขภาพ, ความสมบูรณ์ และการจัดการสินทรัพย์ GPU โดยผู้ใช้ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์เอง ไม่ใช่ฟังก์ชันที่ซ่อนอยู่ในฮาร์ดแวร์ ⚡ ความกังวลด้านความมั่นคง จีนได้เรียก Nvidia เข้าพบเพื่อสอบถามเกี่ยวกับฟังก์ชันการตรวจสอบนี้ เนื่องจากกังวลว่าอาจเป็น “backdoor” ที่เปิดทางให้รัฐบาลสหรัฐเข้าถึงข้อมูล แต่ Nvidia ยืนยันว่าไม่มีการละเมิดความปลอดภัย และระบบนี้ใช้เพียงข้อมูล telemetry ที่ถูกต้องตามมาตรฐานเท่านั้น 🔍 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ฟีเจอร์นี้จะเริ่มใช้กับ GPU รุ่นใหม่ตระกูล Blackwell ซึ่งมีระบบตรวจสอบขั้นสูงกว่า Hopper และ Ampere การพัฒนานี้สะท้อนถึงความพยายามของสหรัฐในการควบคุมการกระจายชิป AI ไปยังประเทศที่ถูกจำกัด เช่น จีน, รัสเซีย และเกาหลีเหนือ 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ ระบบติดตาม GPU ของ Nvidia ➡️ ใช้ข้อมูล telemetry และ latency เพื่อระบุตำแหน่ง ➡️ ตรวจสอบสุขภาพและความสมบูรณ์ของ GPU ✅ จุดประสงค์การใช้งาน ➡️ ช่วยผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลจัดการสินทรัพย์ ➡️ ผู้ใช้ต้องติดตั้งซอฟต์แวร์เอง ✅ ความกังวลจากจีน ➡️ หวั่นว่าเป็น backdoor ให้สหรัฐ ➡️ Nvidia ยืนยันว่าไม่มีการละเมิดความปลอดภัย ✅ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ➡️ เริ่มใช้กับ GPU รุ่น Blackwell ➡️ สหรัฐพยายามควบคุมการส่งออกชิป AI ‼️ ข้อจำกัดและคำเตือน ⛔ ยังไม่ชัดเจนว่าซอฟต์แวร์สามารถปิดการทำงาน GPU ได้จริงหรือไม่ ⛔ อาจสร้างความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างสหรัฐและจีน ⛔ ความเสี่ยงด้านความเชื่อมั่นจากผู้ใช้งานที่กังวลเรื่องข้อมูลส่วนตัว https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidia-develops-software-based-tracking-for-ai-gpus-to-quash-smuggling-concerns-solution-devised-to-prevent-shipments-to-nations-with-export-controls-in-place
    0 Comments 0 Shares 128 Views 0 Reviews
  • "Nvidia ไม่มั่นใจจีนจะซื้อ H200 แม้สหรัฐฯ ผ่อนคลายข้อจำกัด"

    Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia เปิดเผยหลังการพบปะกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่า แม้จะมีการพูดคุยถึงการอนุญาตให้ส่งออกชิป H200 ไปยังจีน แต่บริษัทก็ “ไม่รู้ ไม่แน่ใจเลย” ว่าจีนจะยอมซื้อจริงหรือไม่ เนื่องจากรัฐบาลจีนได้สั่งห้ามบริษัทเทคโนโลยีในประเทศซื้อชิป H20 และ RTX Pro 6000D ไปแล้ว พร้อมประกาศว่าชิป AI ที่ผลิตเองสามารถทดแทนได้.

    ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ได้สั่งห้ามส่งออกชิป AI รุ่นใหม่ไปจีน ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง โดย H200 ถือเป็นรุ่นที่ยังคงมีประสิทธิภาพสูง แต่ถูกมองว่า “ล้าสมัย” เมื่อเทียบกับรุ่นใหม่อย่าง B200 ที่เพิ่งเปิดตัว ข้อจำกัดนี้ทำให้ Nvidia สูญเสียตลาดจีนซึ่งเคยครองส่วนแบ่งกว่า 95% จนเหลือแทบเป็นศูนย์.

    แม้จะมีการพูดถึงการอนุญาตให้ขาย H200 อีกครั้ง แต่ Huang ย้ำว่า จีนไม่ยอมรับชิปที่ถูกลดสเปก และนโยบายของรัฐบาลจีนชัดเจนว่าต้องการพึ่งพาชิปภายในประเทศมากขึ้น การตัดสินใจครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องการค้า แต่เป็นการเมืองและยุทธศาสตร์ชาติ.

    สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของ Nvidia ที่ต้องพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และประเทศพันธมิตรเป็นหลัก ขณะที่จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองเพื่อปิดช่องว่าง และอาจทำให้การแข่งขันด้าน AI ระหว่างสองมหาอำนาจยิ่งทวีความเข้มข้นในอนาคต.

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ข้อมูลจากข่าว
    Jensen Huang ไม่มั่นใจว่าจีนจะซื้อ H200 แม้สหรัฐฯ ผ่อนคลายข้อจำกัด
    จีนสั่งห้ามซื้อ H20 และ RTX Pro 6000D พร้อมผลักดันชิป AI ภายในประเทศ
    Nvidia สูญเสียส่วนแบ่งตลาดจีนจาก 95% เหลือเกือบศูนย์
    H200 ถูกมองว่าล้าสมัยเมื่อเทียบกับ B200

    ข้อมูลเสริมจาก Internet
    จีนกำลังลงทุนมหาศาลในบริษัทชิป AI เช่น Huawei และ Cambricon
    ตลาดชิป AI คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 25% ต่อปีในช่วง 2025–2030
    การแข่งขันด้าน AI ระหว่างสหรัฐฯ–จีนถูกมองว่าเป็น “สงครามเทคโนโลยี” ยุคใหม่

    คำเตือนจากข่าว
    Nvidia ไม่สามารถลดสเปกชิปเพื่อขายในจีนได้ เพราะจีนไม่ยอมรับ
    การพึ่งพาตลาดจีนอาจไม่มั่นคงอีกต่อไป
    ความตึงเครียดทางการเมืองอาจทำให้การค้าชิป AI ถูกใช้เป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/nvidia-ceo-jensen-huang-unsure-if-china-would-buy-its-h200-chips-if-restrictions-are-relaxed-as-beijing-prioritizes-homegrown-ai-solutions-we-dont-know-we-have-no-clue
    💡 "Nvidia ไม่มั่นใจจีนจะซื้อ H200 แม้สหรัฐฯ ผ่อนคลายข้อจำกัด" Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia เปิดเผยหลังการพบปะกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่า แม้จะมีการพูดคุยถึงการอนุญาตให้ส่งออกชิป H200 ไปยังจีน แต่บริษัทก็ “ไม่รู้ ไม่แน่ใจเลย” ว่าจีนจะยอมซื้อจริงหรือไม่ เนื่องจากรัฐบาลจีนได้สั่งห้ามบริษัทเทคโนโลยีในประเทศซื้อชิป H20 และ RTX Pro 6000D ไปแล้ว พร้อมประกาศว่าชิป AI ที่ผลิตเองสามารถทดแทนได้. ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ได้สั่งห้ามส่งออกชิป AI รุ่นใหม่ไปจีน ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง โดย H200 ถือเป็นรุ่นที่ยังคงมีประสิทธิภาพสูง แต่ถูกมองว่า “ล้าสมัย” เมื่อเทียบกับรุ่นใหม่อย่าง B200 ที่เพิ่งเปิดตัว ข้อจำกัดนี้ทำให้ Nvidia สูญเสียตลาดจีนซึ่งเคยครองส่วนแบ่งกว่า 95% จนเหลือแทบเป็นศูนย์. แม้จะมีการพูดถึงการอนุญาตให้ขาย H200 อีกครั้ง แต่ Huang ย้ำว่า จีนไม่ยอมรับชิปที่ถูกลดสเปก และนโยบายของรัฐบาลจีนชัดเจนว่าต้องการพึ่งพาชิปภายในประเทศมากขึ้น การตัดสินใจครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องการค้า แต่เป็นการเมืองและยุทธศาสตร์ชาติ. สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของ Nvidia ที่ต้องพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และประเทศพันธมิตรเป็นหลัก ขณะที่จีนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองเพื่อปิดช่องว่าง และอาจทำให้การแข่งขันด้าน AI ระหว่างสองมหาอำนาจยิ่งทวีความเข้มข้นในอนาคต. 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ข้อมูลจากข่าว ➡️ Jensen Huang ไม่มั่นใจว่าจีนจะซื้อ H200 แม้สหรัฐฯ ผ่อนคลายข้อจำกัด ➡️ จีนสั่งห้ามซื้อ H20 และ RTX Pro 6000D พร้อมผลักดันชิป AI ภายในประเทศ ➡️ Nvidia สูญเสียส่วนแบ่งตลาดจีนจาก 95% เหลือเกือบศูนย์ ➡️ H200 ถูกมองว่าล้าสมัยเมื่อเทียบกับ B200 ✅ ข้อมูลเสริมจาก Internet ➡️ จีนกำลังลงทุนมหาศาลในบริษัทชิป AI เช่น Huawei และ Cambricon ➡️ ตลาดชิป AI คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 25% ต่อปีในช่วง 2025–2030 ➡️ การแข่งขันด้าน AI ระหว่างสหรัฐฯ–จีนถูกมองว่าเป็น “สงครามเทคโนโลยี” ยุคใหม่ ‼️ คำเตือนจากข่าว ⛔ Nvidia ไม่สามารถลดสเปกชิปเพื่อขายในจีนได้ เพราะจีนไม่ยอมรับ ⛔ การพึ่งพาตลาดจีนอาจไม่มั่นคงอีกต่อไป ⛔ ความตึงเครียดทางการเมืองอาจทำให้การค้าชิป AI ถูกใช้เป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/nvidia-ceo-jensen-huang-unsure-if-china-would-buy-its-h200-chips-if-restrictions-are-relaxed-as-beijing-prioritizes-homegrown-ai-solutions-we-dont-know-we-have-no-clue
    0 Comments 0 Shares 267 Views 0 Reviews
  • เครื่องมือที่สามารถลดความขัดแย้งบน X

    นักวิจัยจาก Stanford University พัฒนาเครื่องมือที่สามารถลดความเป็นปฏิปักษ์ทางการเมืองบนแพลตฟอร์ม X (เดิม Twitter) โดยการปรับลำดับโพสต์ในฟีด แทนที่จะบล็อกเนื้อหาออกไป

    วิธีการลดความขัดแย้ง
    งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science ชี้ว่า การปรับลำดับโพสต์ในฟีดให้สมดุลมากขึ้น สามารถลดการเห็นเนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์รุนแรงได้ โดยไม่จำเป็นต้องลบหรือบล็อกโพสต์ออกไป วิธีนี้ช่วยให้ผู้ใช้ยังคงเข้าถึงข้อมูลที่หลากหลาย แต่ในรูปแบบที่ไม่ทำให้เกิดการแบ่งขั้วรุนแรง

    ความหมายต่อสังคมประชาธิปไตย
    นักวิจัยเชื่อว่าการออกแบบอัลกอริทึมใหม่สามารถช่วยสร้าง “ความไว้วางใจทางสังคม” และส่งเสริมการสนทนาที่มีสุขภาพดีขึ้นในโลกออนไลน์ หากนำไปใช้จริง อาจช่วยลดความตึงเครียดทางการเมืองและสร้างพื้นที่ที่ผู้ใช้ต่างฝ่ายสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นโดยไม่รู้สึกถูกโจมตี

    การควบคุมโดยผู้ใช้
    แนวคิดสำคัญคือการให้ผู้ใช้สามารถควบคุมอัลกอริทึมของตนเองได้ ไม่ใช่ปล่อยให้แพลตฟอร์มกำหนดเพียงฝ่ายเดียว หากผู้ใช้สามารถเลือกว่าจะให้ฟีดของตนเน้นความหลากหลายหรือความสมดุลมากขึ้น ก็จะช่วยสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นต่อแพลตฟอร์ม

    อนาคตของแพลตฟอร์มโซเชียล
    แม้ยังอยู่ในขั้นทดลอง แต่หากแพลตฟอร์มใหญ่ ๆ นำแนวคิดนี้ไปใช้ อาจเปลี่ยนวิธีที่ผู้คนเสพข่าวและข้อมูลบนโลกออนไลน์อย่างสิ้นเชิง จากการเสริมแรงความเชื่อเดิม ไปสู่การเปิดพื้นที่สนทนาที่กว้างและลดการแบ่งขั้ว

    สรุปเป็นหัวข้อ
    วิธีการที่นักวิจัยใช้
    ปรับลำดับโพสต์แทนการบล็อกเนื้อหา
    ลดการเห็นเนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์รุนแรง

    ผลต่อสังคมประชาธิปไตย
    สร้างความไว้วางใจทางสังคม
    ส่งเสริมการสนทนาที่มีสุขภาพดีขึ้น

    การควบคุมโดยผู้ใช้
    ผู้ใช้สามารถเลือกปรับอัลกอริทึมเอง
    เพิ่มความโปร่งใสและความเชื่อมั่นต่อแพลตฟอร์ม

    อนาคตของแพลตฟอร์มโซเชียล
    อาจเปลี่ยนวิธีการเสพข่าวและข้อมูล
    ลดการแบ่งขั้วและเปิดพื้นที่สนทนา

    คำเตือนที่ควรระวัง
    หากปรับอัลกอริทึมผิดพลาด อาจทำให้ข้อมูลสำคัญถูกลดทอน
    การให้ผู้ใช้ควบคุมเองอาจสร้างความซับซ้อนและความไม่เข้าใจ
    หากแพลตฟอร์มไม่โปร่งใสจริง อาจทำให้ผู้ใช้สูญเสียความเชื่อมั่น

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/01/researchers-tone-down-polarisation-on-x-with-tweaks-to-algorithm
    🤝 เครื่องมือที่สามารถลดความขัดแย้งบน X นักวิจัยจาก Stanford University พัฒนาเครื่องมือที่สามารถลดความเป็นปฏิปักษ์ทางการเมืองบนแพลตฟอร์ม X (เดิม Twitter) โดยการปรับลำดับโพสต์ในฟีด แทนที่จะบล็อกเนื้อหาออกไป 🧩 วิธีการลดความขัดแย้ง งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science ชี้ว่า การปรับลำดับโพสต์ในฟีดให้สมดุลมากขึ้น สามารถลดการเห็นเนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์รุนแรงได้ โดยไม่จำเป็นต้องลบหรือบล็อกโพสต์ออกไป วิธีนี้ช่วยให้ผู้ใช้ยังคงเข้าถึงข้อมูลที่หลากหลาย แต่ในรูปแบบที่ไม่ทำให้เกิดการแบ่งขั้วรุนแรง 🌍 ความหมายต่อสังคมประชาธิปไตย นักวิจัยเชื่อว่าการออกแบบอัลกอริทึมใหม่สามารถช่วยสร้าง “ความไว้วางใจทางสังคม” และส่งเสริมการสนทนาที่มีสุขภาพดีขึ้นในโลกออนไลน์ หากนำไปใช้จริง อาจช่วยลดความตึงเครียดทางการเมืองและสร้างพื้นที่ที่ผู้ใช้ต่างฝ่ายสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นโดยไม่รู้สึกถูกโจมตี 🔧 การควบคุมโดยผู้ใช้ แนวคิดสำคัญคือการให้ผู้ใช้สามารถควบคุมอัลกอริทึมของตนเองได้ ไม่ใช่ปล่อยให้แพลตฟอร์มกำหนดเพียงฝ่ายเดียว หากผู้ใช้สามารถเลือกว่าจะให้ฟีดของตนเน้นความหลากหลายหรือความสมดุลมากขึ้น ก็จะช่วยสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นต่อแพลตฟอร์ม 🔮 อนาคตของแพลตฟอร์มโซเชียล แม้ยังอยู่ในขั้นทดลอง แต่หากแพลตฟอร์มใหญ่ ๆ นำแนวคิดนี้ไปใช้ อาจเปลี่ยนวิธีที่ผู้คนเสพข่าวและข้อมูลบนโลกออนไลน์อย่างสิ้นเชิง จากการเสริมแรงความเชื่อเดิม ไปสู่การเปิดพื้นที่สนทนาที่กว้างและลดการแบ่งขั้ว 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ วิธีการที่นักวิจัยใช้ ➡️ ปรับลำดับโพสต์แทนการบล็อกเนื้อหา ➡️ ลดการเห็นเนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์รุนแรง ✅ ผลต่อสังคมประชาธิปไตย ➡️ สร้างความไว้วางใจทางสังคม ➡️ ส่งเสริมการสนทนาที่มีสุขภาพดีขึ้น ✅ การควบคุมโดยผู้ใช้ ➡️ ผู้ใช้สามารถเลือกปรับอัลกอริทึมเอง ➡️ เพิ่มความโปร่งใสและความเชื่อมั่นต่อแพลตฟอร์ม ✅ อนาคตของแพลตฟอร์มโซเชียล ➡️ อาจเปลี่ยนวิธีการเสพข่าวและข้อมูล ➡️ ลดการแบ่งขั้วและเปิดพื้นที่สนทนา ‼️ คำเตือนที่ควรระวัง ⛔ หากปรับอัลกอริทึมผิดพลาด อาจทำให้ข้อมูลสำคัญถูกลดทอน ⛔ การให้ผู้ใช้ควบคุมเองอาจสร้างความซับซ้อนและความไม่เข้าใจ ⛔ หากแพลตฟอร์มไม่โปร่งใสจริง อาจทำให้ผู้ใช้สูญเสียความเชื่อมั่น https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/12/01/researchers-tone-down-polarisation-on-x-with-tweaks-to-algorithm
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Researchers tone down polarisation on X with tweaks to algorithm
    The study, published in the journal Science, suggests it may one day be possible to let users control their own social media algorithms, not only on X, formerly Twitter, but on other platforms.
    0 Comments 0 Shares 226 Views 0 Reviews
  • ความตึงเครียดระหว่างจีน-ญี่ปุ่น กระทบธุรกิจเกมของญี่ปุ่นอย่างหนัก

    บทวิเคราะห์จาก Niko Partners ชี้ว่า ความตึงเครียดระหว่างจีนและญี่ปุ่นอาจส่งผลกระทบต่อการอนุมัติวิดีโอเกมญี่ปุ่นในตลาดจีน ซึ่งญี่ปุ่นถือเป็นแหล่งนำเข้าเกมรายใหญ่ที่สุด คิดเป็นกว่า 30% ของเกมต่างชาติที่ได้รับอนุญาตในจีน หากถูกระงับจริงจะกระทบต่อผู้พัฒนาและผู้จัดจำหน่ายญี่ปุ่นอย่างหนัก

    ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศทวีความรุนแรงขึ้นหลังจากนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น Sanae Takaichi แสดงท่าทีว่าจะเข้าไปแทรกแซงหากจีนพยายามรวมชาติไต้หวัน จีนตอบโต้ด้วยการเรียกร้องให้ญี่ปุ่นถอนคำพูด พร้อมออกมาตรการ เช่น ระงับการนำเข้าผลิตภัณฑ์อาหารทะเลจากญี่ปุ่น และ หยุดอนุมัติภาพยนตร์ญี่ปุ่น

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเกม
    จีนเป็นตลาดเกมที่ใหญ่ที่สุดในโลก และญี่ปุ่นคือผู้ส่งออกเกมรายใหญ่ที่สุดไปยังจีน คิดเป็น 30% ของเกมต่างชาติที่ได้รับอนุญาตในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หากจีนเลือกที่จะระงับการอนุมัติเกมญี่ปุ่นเหมือนที่ทำกับภาพยนตร์ จะส่งผลกระทบมหาศาลต่อบริษัทเกมญี่ปุ่นที่พึ่งพาผู้เล่นจีน เช่น Nintendo, Capcom และ Square Enix

    มุมมองนักวิเคราะห์
    แม้ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าจีนจะหยุดอนุมัติเกมญี่ปุ่น แต่ Niko Partners เตือนว่าความเสี่ยงนี้มีอยู่จริง และจะเป็น “แรงกระแทกครั้งใหญ่” ต่อผู้พัฒนาเกมญี่ปุ่นที่มีรายได้จำนวนมากจากตลาดจีน โดยเฉพาะในช่วงที่อุตสาหกรรมเกมทั่วโลกกำลังแข่งขันสูงและต้นทุนพัฒนาเกมเพิ่มขึ้น

    แนวโน้มในอนาคต
    หากความสัมพันธ์ยังคงเสื่อมลง การเปิดตัวเกมญี่ปุ่นในจีนอาจล่าช้า หรือถูกปฏิเสธโดยตรง ซึ่งจะทำให้การเปิดตัวคอนโซลใหม่อย่าง Nintendo Switch 2 ในจีนต้องรอไปอีกนาน และอาจเปลี่ยนทิศทางการลงทุนของบริษัทเกมญี่ปุ่นในตลาดเอเชีย

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ญี่ปุ่นเป็นผู้ส่งออกเกมรายใหญ่ที่สุดไปจีน
    คิดเป็น 30% ของเกมต่างชาติที่ได้รับอนุญาต

    ความตึงเครียดทางการเมือง
    เกิดจากท่าทีของญี่ปุ่นต่อประเด็นไต้หวัน

    มาตรการตอบโต้ของจีน
    ระงับการนำเข้าผลิตภัณฑ์อาหารทะเล และหยุดอนุมัติภาพยนตร์ญี่ปุ่น

    ความเสี่ยงต่ออุตสาหกรรมเกม
    อาจกระทบต่อบริษัทญี่ปุ่นที่พึ่งพาผู้เล่นจีน เช่น Nintendo และ Capcom

    ความเสี่ยงหากจีนหยุดอนุมัติเกมญี่ปุ่น
    จะกระทบต่อรายได้มหาศาลและการเปิดตัวคอนโซลใหม่ในจีน

    ความท้าทายต่อผู้พัฒนาเกมญี่ปุ่น
    ต้องหาตลาดใหม่รองรับหากสูญเสียผู้เล่นจีนจำนวนมาก

    https://wccftech.com/china-japan-tensions-could-impact-japanese-game-market-says-analyst/
    ⚔️ ความตึงเครียดระหว่างจีน-ญี่ปุ่น กระทบธุรกิจเกมของญี่ปุ่นอย่างหนัก บทวิเคราะห์จาก Niko Partners ชี้ว่า ความตึงเครียดระหว่างจีนและญี่ปุ่นอาจส่งผลกระทบต่อการอนุมัติวิดีโอเกมญี่ปุ่นในตลาดจีน ซึ่งญี่ปุ่นถือเป็นแหล่งนำเข้าเกมรายใหญ่ที่สุด คิดเป็นกว่า 30% ของเกมต่างชาติที่ได้รับอนุญาตในจีน หากถูกระงับจริงจะกระทบต่อผู้พัฒนาและผู้จัดจำหน่ายญี่ปุ่นอย่างหนัก ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศทวีความรุนแรงขึ้นหลังจากนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น Sanae Takaichi แสดงท่าทีว่าจะเข้าไปแทรกแซงหากจีนพยายามรวมชาติไต้หวัน จีนตอบโต้ด้วยการเรียกร้องให้ญี่ปุ่นถอนคำพูด พร้อมออกมาตรการ เช่น ระงับการนำเข้าผลิตภัณฑ์อาหารทะเลจากญี่ปุ่น และ หยุดอนุมัติภาพยนตร์ญี่ปุ่น 🎮 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเกม จีนเป็นตลาดเกมที่ใหญ่ที่สุดในโลก และญี่ปุ่นคือผู้ส่งออกเกมรายใหญ่ที่สุดไปยังจีน คิดเป็น 30% ของเกมต่างชาติที่ได้รับอนุญาตในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หากจีนเลือกที่จะระงับการอนุมัติเกมญี่ปุ่นเหมือนที่ทำกับภาพยนตร์ จะส่งผลกระทบมหาศาลต่อบริษัทเกมญี่ปุ่นที่พึ่งพาผู้เล่นจีน เช่น Nintendo, Capcom และ Square Enix 🌐 มุมมองนักวิเคราะห์ แม้ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าจีนจะหยุดอนุมัติเกมญี่ปุ่น แต่ Niko Partners เตือนว่าความเสี่ยงนี้มีอยู่จริง และจะเป็น “แรงกระแทกครั้งใหญ่” ต่อผู้พัฒนาเกมญี่ปุ่นที่มีรายได้จำนวนมากจากตลาดจีน โดยเฉพาะในช่วงที่อุตสาหกรรมเกมทั่วโลกกำลังแข่งขันสูงและต้นทุนพัฒนาเกมเพิ่มขึ้น 🔮 แนวโน้มในอนาคต หากความสัมพันธ์ยังคงเสื่อมลง การเปิดตัวเกมญี่ปุ่นในจีนอาจล่าช้า หรือถูกปฏิเสธโดยตรง ซึ่งจะทำให้การเปิดตัวคอนโซลใหม่อย่าง Nintendo Switch 2 ในจีนต้องรอไปอีกนาน และอาจเปลี่ยนทิศทางการลงทุนของบริษัทเกมญี่ปุ่นในตลาดเอเชีย 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ญี่ปุ่นเป็นผู้ส่งออกเกมรายใหญ่ที่สุดไปจีน ➡️ คิดเป็น 30% ของเกมต่างชาติที่ได้รับอนุญาต ✅ ความตึงเครียดทางการเมือง ➡️ เกิดจากท่าทีของญี่ปุ่นต่อประเด็นไต้หวัน ✅ มาตรการตอบโต้ของจีน ➡️ ระงับการนำเข้าผลิตภัณฑ์อาหารทะเล และหยุดอนุมัติภาพยนตร์ญี่ปุ่น ✅ ความเสี่ยงต่ออุตสาหกรรมเกม ➡️ อาจกระทบต่อบริษัทญี่ปุ่นที่พึ่งพาผู้เล่นจีน เช่น Nintendo และ Capcom ‼️ ความเสี่ยงหากจีนหยุดอนุมัติเกมญี่ปุ่น ⛔ จะกระทบต่อรายได้มหาศาลและการเปิดตัวคอนโซลใหม่ในจีน ‼️ ความท้าทายต่อผู้พัฒนาเกมญี่ปุ่น ⛔ ต้องหาตลาดใหม่รองรับหากสูญเสียผู้เล่นจีนจำนวนมาก https://wccftech.com/china-japan-tensions-could-impact-japanese-game-market-says-analyst/
    WCCFTECH.COM
    China Could Deal A Huge Blow to Japanese Video Game Market Amidst Rising Tensions Between the Nations
    Rising tensions between Japan and China could end up impacting the Japanese video game market, if China takes retaliatory actions.
    0 Comments 0 Shares 309 Views 0 Reviews
  • ดาเนียล โนโบอา ประธานาธิบดีเอวาดอร์ รอดจากการได้รับบาดเจ็บ หลังขบวนรถของเขาถูกโจมตีโดยพวกผู้ประท้วงในเมืองชนบทแห่งหนึ่ง ในสิ่งที่ทางรัฐบาลประณามว่าเป็นความพยายามลอบสังหาร ตอกย้ำถึงความตึงเครียดทางการเมืองที่หนักหน่วงขึ้นในประเทศแห่งนี้
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000096491

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    ดาเนียล โนโบอา ประธานาธิบดีเอวาดอร์ รอดจากการได้รับบาดเจ็บ หลังขบวนรถของเขาถูกโจมตีโดยพวกผู้ประท้วงในเมืองชนบทแห่งหนึ่ง ในสิ่งที่ทางรัฐบาลประณามว่าเป็นความพยายามลอบสังหาร ตอกย้ำถึงความตึงเครียดทางการเมืองที่หนักหน่วงขึ้นในประเทศแห่งนี้ . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000096491 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 642 Views 0 Reviews
  • “ตุรกีปิดโซเชียลมีเดียทั่วประเทศ! X, YouTube, WhatsApp ดับกลางดึก — VPN พุ่ง 500% ท่ามกลางความตึงเครียดทางการเมือง”

    ลองนึกภาพว่าคุณอยู่ในอิสตันบูล คืนวันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน 2025 แล้วจู่ๆ โซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์มที่คุณใช้ — X (Twitter), YouTube, Instagram, Facebook, TikTok และ WhatsApp — หายไปจากหน้าจอแบบไม่มีคำอธิบาย นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในตุรกี เมื่อรัฐบาลเริ่มบล็อกการเข้าถึงแพลตฟอร์มหลักทั้งหมด ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่ร้อนระอุ

    เหตุการณ์เริ่มต้นหลังพรรคฝ่ายค้าน CHP เรียกร้องให้ประชาชนออกมาชุมนุม หลังตำรวจปิดล้อมสำนักงานใหญ่ในอิสตันบูล โดย NetBlocks รายงานว่าการบล็อกเกิดขึ้นเฉพาะในเครือข่ายของเมืองนี้เป็นหลัก และยังคงดำเนินอยู่ในช่วงเวลาที่รายงาน

    ประชาชนไม่รอช้า รีบหาทางเข้าถึงโซเชียลมีเดียผ่าน VPN โดย Proton VPN รายงานว่ามีการสมัครใช้งานเพิ่มขึ้นกว่า 500% ภายในหนึ่งชั่วโมงในคืนวันอาทิตย์ และแนะนำให้ใช้โหมด Stealth พร้อมการตั้งค่า alternative routing เพื่อหลบเลี่ยงการบล็อก

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตุรกีใช้มาตรการแบบนี้ — ก่อนหน้านี้เคยมีการบล็อกโซเชียลมีเดียหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว การเลือกตั้ง และการจับกุมผู้นำฝ่ายค้าน โดยมีการใช้ VPN เพิ่มขึ้นถึง 15,000% ในบางช่วงเวลา

    แม้ VPN จะเป็นทางออกที่ประชาชนใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่เว็บไซต์ของผู้ให้บริการ VPN หลายราย เช่น Proton, NordVPN, Surfshark และ ExpressVPN ก็ถูกบล็อกเช่นกัน ทำให้ต้องดาวน์โหลดแอปผ่านช่องทางสำรอง เช่น GitHub หรือ App Store เท่านั้น

    เหตุการณ์บล็อกโซเชียลมีเดียในตุรกี
    เริ่มต้นคืนวันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน 2025
    แพลตฟอร์มที่ถูกบล็อก: X, YouTube, Instagram, Facebook, TikTok, WhatsApp
    เกิดขึ้นหลังพรรค CHP เรียกร้องให้ประชาชนชุมนุม
    เครือข่ายในอิสตันบูลถูกบล็อกเป็นหลัก

    การตอบสนองของประชาชน
    Proton VPN รายงานการสมัครใช้งานเพิ่มขึ้น 500% ภายในหนึ่งชั่วโมง
    แนะนำให้ใช้โหมด Stealth และ alternative routing เพื่อหลบเลี่ยงการบล็อก
    ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดแอปผ่าน App Store หรือ GitHub หากเว็บไซต์ถูกบล็อก

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ตุรกีเคยบล็อกโซเชียลมีเดียในปี 2023–2024 หลังเหตุการณ์ทางการเมืองและภัยพิบัติ
    มีการใช้ VPN เพิ่มขึ้นถึง 15,000% ในบางช่วงเวลา
    ประเทศมีประวัติการเซ็นเซอร์อินเทอร์เน็ตอย่างต่อเนื่อง โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคง
    VPN เช่น Octohide ใช้เทคนิค VLESS และ REALITY เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับจากระบบ DPI

    https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/x-whatsapp-youtube-and-other-social-media-platforms-go-dark-in-turkey-and-vpn-usage-spikes
    📵 “ตุรกีปิดโซเชียลมีเดียทั่วประเทศ! X, YouTube, WhatsApp ดับกลางดึก — VPN พุ่ง 500% ท่ามกลางความตึงเครียดทางการเมือง” ลองนึกภาพว่าคุณอยู่ในอิสตันบูล คืนวันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน 2025 แล้วจู่ๆ โซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์มที่คุณใช้ — X (Twitter), YouTube, Instagram, Facebook, TikTok และ WhatsApp — หายไปจากหน้าจอแบบไม่มีคำอธิบาย นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในตุรกี เมื่อรัฐบาลเริ่มบล็อกการเข้าถึงแพลตฟอร์มหลักทั้งหมด ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่ร้อนระอุ เหตุการณ์เริ่มต้นหลังพรรคฝ่ายค้าน CHP เรียกร้องให้ประชาชนออกมาชุมนุม หลังตำรวจปิดล้อมสำนักงานใหญ่ในอิสตันบูล โดย NetBlocks รายงานว่าการบล็อกเกิดขึ้นเฉพาะในเครือข่ายของเมืองนี้เป็นหลัก และยังคงดำเนินอยู่ในช่วงเวลาที่รายงาน ประชาชนไม่รอช้า รีบหาทางเข้าถึงโซเชียลมีเดียผ่าน VPN โดย Proton VPN รายงานว่ามีการสมัครใช้งานเพิ่มขึ้นกว่า 500% ภายในหนึ่งชั่วโมงในคืนวันอาทิตย์ และแนะนำให้ใช้โหมด Stealth พร้อมการตั้งค่า alternative routing เพื่อหลบเลี่ยงการบล็อก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตุรกีใช้มาตรการแบบนี้ — ก่อนหน้านี้เคยมีการบล็อกโซเชียลมีเดียหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว การเลือกตั้ง และการจับกุมผู้นำฝ่ายค้าน โดยมีการใช้ VPN เพิ่มขึ้นถึง 15,000% ในบางช่วงเวลา แม้ VPN จะเป็นทางออกที่ประชาชนใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่เว็บไซต์ของผู้ให้บริการ VPN หลายราย เช่น Proton, NordVPN, Surfshark และ ExpressVPN ก็ถูกบล็อกเช่นกัน ทำให้ต้องดาวน์โหลดแอปผ่านช่องทางสำรอง เช่น GitHub หรือ App Store เท่านั้น ✅ เหตุการณ์บล็อกโซเชียลมีเดียในตุรกี ➡️ เริ่มต้นคืนวันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน 2025 ➡️ แพลตฟอร์มที่ถูกบล็อก: X, YouTube, Instagram, Facebook, TikTok, WhatsApp ➡️ เกิดขึ้นหลังพรรค CHP เรียกร้องให้ประชาชนชุมนุม ➡️ เครือข่ายในอิสตันบูลถูกบล็อกเป็นหลัก ✅ การตอบสนองของประชาชน ➡️ Proton VPN รายงานการสมัครใช้งานเพิ่มขึ้น 500% ภายในหนึ่งชั่วโมง ➡️ แนะนำให้ใช้โหมด Stealth และ alternative routing เพื่อหลบเลี่ยงการบล็อก ➡️ ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดแอปผ่าน App Store หรือ GitHub หากเว็บไซต์ถูกบล็อก ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ตุรกีเคยบล็อกโซเชียลมีเดียในปี 2023–2024 หลังเหตุการณ์ทางการเมืองและภัยพิบัติ ➡️ มีการใช้ VPN เพิ่มขึ้นถึง 15,000% ในบางช่วงเวลา ➡️ ประเทศมีประวัติการเซ็นเซอร์อินเทอร์เน็ตอย่างต่อเนื่อง โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคง ➡️ VPN เช่น Octohide ใช้เทคนิค VLESS และ REALITY เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับจากระบบ DPI https://www.techradar.com/vpn/vpn-privacy-security/x-whatsapp-youtube-and-other-social-media-platforms-go-dark-in-turkey-and-vpn-usage-spikes
    0 Comments 0 Shares 547 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากห้องพิจารณา: เมื่อบริษัทน้ำมันอินเดียต้องฟ้อง Microsoft เพราะการตีความคว่ำบาตรแบบ “ข้ามเขต”

    Nayara Energy ซึ่งมี Rosneft บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของรัสเซียถือหุ้น 49.13% ถูกสหภาพยุโรปคว่ำบาตรในชุดมาตรการที่ 18 เพื่อลดรายได้ของรัสเซียจากการส่งออกน้ำมัน หลังจากนั้น Microsoft ได้ระงับการให้บริการ Outlook, Teams และเครื่องมือสำคัญอื่น ๆ โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า

    Nayara ยืนยันว่าการกระทำของ Microsoft เป็นการ “ตีความคว่ำบาตรแบบฝ่ายเดียว” และไม่มีข้อบังคับตามกฎหมายของสหรัฐหรืออินเดีย บริษัทจึงยื่นฟ้องต่อศาลสูงเดลลีเพื่อขอคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวและให้ Microsoft คืนการเข้าถึงระบบดิจิทัลที่จำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจ

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างรัสเซียกับตะวันตก และสะท้อนถึงความเสี่ยงที่บริษัทในประเทศที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงอาจได้รับผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรที่ขยายขอบเขตเกินกว่าที่ควร

    Nayara Energy ฟ้อง Microsoft ต่อศาลสูงเดลลี กรณีระงับบริการโดยอ้างอิง EU sanctions
    Microsoft ระงับการเข้าถึง Outlook, Teams และเครื่องมือสำคัญอื่น ๆ
    การระงับเกิดขึ้นโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า หรือหารือกับ Nayara

    Microsoft อ้างอิงมาตรการคว่ำบาตรของ EU แม้ไม่มีข้อบังคับตามกฎหมายสหรัฐหรืออินเดีย
    Nayara ถือว่าการกระทำนี้เป็น “corporate overreach”
    บริษัทเรียกร้องให้คืนสิทธิ์การเข้าถึงระบบดิจิทัลทันที

    Nayara เป็นบริษัทกลั่นน้ำมันรายใหญ่ของอินเดีย มีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงด้านพลังงาน
    มีโรงกลั่นขนาด 20 ล้านตันต่อปี และสถานีบริการกว่า 6,750 แห่ง
    คิดเป็น 8% ของกำลังการกลั่นทั้งหมดในอินเดีย

    หลังถูกคว่ำบาตร มีเรือบรรทุกน้ำมัน 3 ลำหลีกเลี่ยงการขนส่งจากโรงกลั่นของ Nayara
    รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในแผนการขนส่งน้ำมันดิบจากรัสเซีย
    CEO คนก่อนของ Nayara ลาออก และ Sergey Denisov เข้ารับตำแหน่งแทน

    รัฐบาลอินเดียไม่ยอมรับมาตรการคว่ำบาตรฝ่ายเดียวจาก EU
    กระทรวงต่างประเทศยืนยันว่าอินเดียยึดมั่นในกฎหมายระหว่างประเทศ
    เน้นว่าความมั่นคงด้านพลังงานเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/28/russia-backed-indian-refiner-nayara-takes-microsoft-to-court-over-outage
    ⚖️ เรื่องเล่าจากห้องพิจารณา: เมื่อบริษัทน้ำมันอินเดียต้องฟ้อง Microsoft เพราะการตีความคว่ำบาตรแบบ “ข้ามเขต” Nayara Energy ซึ่งมี Rosneft บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของรัสเซียถือหุ้น 49.13% ถูกสหภาพยุโรปคว่ำบาตรในชุดมาตรการที่ 18 เพื่อลดรายได้ของรัสเซียจากการส่งออกน้ำมัน หลังจากนั้น Microsoft ได้ระงับการให้บริการ Outlook, Teams และเครื่องมือสำคัญอื่น ๆ โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า Nayara ยืนยันว่าการกระทำของ Microsoft เป็นการ “ตีความคว่ำบาตรแบบฝ่ายเดียว” และไม่มีข้อบังคับตามกฎหมายของสหรัฐหรืออินเดีย บริษัทจึงยื่นฟ้องต่อศาลสูงเดลลีเพื่อขอคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวและให้ Microsoft คืนการเข้าถึงระบบดิจิทัลที่จำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างรัสเซียกับตะวันตก และสะท้อนถึงความเสี่ยงที่บริษัทในประเทศที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงอาจได้รับผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรที่ขยายขอบเขตเกินกว่าที่ควร ✅ Nayara Energy ฟ้อง Microsoft ต่อศาลสูงเดลลี กรณีระงับบริการโดยอ้างอิง EU sanctions ➡️ Microsoft ระงับการเข้าถึง Outlook, Teams และเครื่องมือสำคัญอื่น ๆ ➡️ การระงับเกิดขึ้นโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า หรือหารือกับ Nayara ✅ Microsoft อ้างอิงมาตรการคว่ำบาตรของ EU แม้ไม่มีข้อบังคับตามกฎหมายสหรัฐหรืออินเดีย ➡️ Nayara ถือว่าการกระทำนี้เป็น “corporate overreach” ➡️ บริษัทเรียกร้องให้คืนสิทธิ์การเข้าถึงระบบดิจิทัลทันที ✅ Nayara เป็นบริษัทกลั่นน้ำมันรายใหญ่ของอินเดีย มีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงด้านพลังงาน ➡️ มีโรงกลั่นขนาด 20 ล้านตันต่อปี และสถานีบริการกว่า 6,750 แห่ง ➡️ คิดเป็น 8% ของกำลังการกลั่นทั้งหมดในอินเดีย ✅ หลังถูกคว่ำบาตร มีเรือบรรทุกน้ำมัน 3 ลำหลีกเลี่ยงการขนส่งจากโรงกลั่นของ Nayara ➡️ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในแผนการขนส่งน้ำมันดิบจากรัสเซีย ➡️ CEO คนก่อนของ Nayara ลาออก และ Sergey Denisov เข้ารับตำแหน่งแทน ✅ รัฐบาลอินเดียไม่ยอมรับมาตรการคว่ำบาตรฝ่ายเดียวจาก EU ➡️ กระทรวงต่างประเทศยืนยันว่าอินเดียยึดมั่นในกฎหมายระหว่างประเทศ ➡️ เน้นว่าความมั่นคงด้านพลังงานเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/28/russia-backed-indian-refiner-nayara-takes-microsoft-to-court-over-outage
    WWW.THESTAR.COM.MY
    EU-sanctioned Indian refiner Nayara takes Microsoft to court over outage
    NEW DELHI (Reuters) -Russia-backed Indian refiner Nayara Energy Monday said it has started legal proceedings against Microsoft following the abrupt and unilateral suspension of critical services by the U.S.-headquartered software giant.
    0 Comments 0 Shares 481 Views 0 Reviews
  • การเปรียบเทียบเหตุการณ์ในอดีตกับปัจจุบันเพื่อดูว่าเหตุการณ์อาจซ้ำรอยหรือไม่ โดยเฉพาะในบริบทของโรคระบาด อาวุธชีวภาพ และการปฏิวัติอุตสาหกรรม เป็นหัวข้อที่ซับซ้อนและต้องพิจารณาหลายมิติ ทั้งบริบททางประวัติศาสตร์ สังคม เทคโนโลยี และการเมือง เพื่อตอบคำถามนี้ ผมจะวิเคราะห์โดยเชื่อมโยงช่วงเวลาก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 (ทศวรรษ 1930) กับยุคปัจจุบัน (2020s) พร้อมทั้งพิจารณานิยามของอาวุธชีวภาพในอดีตและปัจจุบัน รวมถึงบทบาทของการปฏิวัติอุตสาหกรรม

    ---

    ### **1. เปรียบเทียบอดีต (ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2) กับปัจจุบัน**

    #### **บริบทอดีต (ทศวรรษ 1930)**:
    - **โรคระบาด**: ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่มีการระบาดใหญ่ระดับโลกที่เทียบเท่าโควิด-19 แต่มีโรคติดเชื้อ เช่น วัณโรคและกาฬโรค ที่ยังเป็นปัญหาในบางพื้นที่ การระบาดของกาฬโรคในจีน (จากการโจมตีด้วยอาวุธชีวภาพของญี่ปุ่น เช่น หน่วย 731) ถูกมองว่าเป็น "โรคระบาด" ในท้องถิ่น โดยประชาชนทั่วไปมักไม่ทราบว่าเป็นผลจากอาวุธชีวภาพ เนื่องจากข้อมูลถูกปกปิดโดยรัฐบาลญี่ปุ่น
    - **นิยามอาวุธชีวภาพ**: ในยุคนั้น อาวุธชีวภาพถูกพัฒนาและใช้งานในลักษณะลับ ๆ โดยรัฐบาลหรือกองทัพ (เช่น ญี่ปุ่น) และมักถูกมองว่าเป็น "โรคระบาด" โดยสาธารณชน เนื่องจากขาดการสื่อสารที่โปร่งใส การรับรู้ของประชาชนจึงจำกัดอยู่ที่ผลกระทบ (การเจ็บป่วยและเสียชีวิต) มากกว่าที่จะเข้าใจว่าเป็นการโจมตีโดยเจตนา
    - **บริบททางสังคมและการเมือง**: ช่วงทศวรรษ 1930 เป็นยุคที่ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศสูงมาก มีการเตรียมพร้อมเพื่อสงคราม (เช่น เยอรมนี ญี่ปุ่น อิตาลี) ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจหลังวิกฤตเศรษฐกิจโลก (1929) ทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจในรัฐบาลและข้อมูลที่ถูกปกปิด
    - **การปฏิวัติอุตสาหกรรม**: อยู่ในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 (ปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20) ซึ่งเน้นการผลิตจำนวนมาก (mass production) และการพัฒนาเทคโนโลยี เช่น ไฟฟ้าและเครื่องจักรกล ส่งผลให้เกิดความก้าวหน้าทางการทหารและการแพทย์ แต่การเข้าถึงข้อมูลและยารักษายังจำกัดในหลายพื้นที่

    #### **บริบทปัจจุบัน (2020s)**:
    - **โรคระบาด**: โควิด-19 เป็นตัวอย่างชัดเจนของโรคอุบัติใหม่ที่มีผลกระทบระดับโลก เริ่มระบาดในปี 2019 และยังคงมีผลกระทบในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง มีทฤษฎีสมคบคิดมากมายเกี่ยวกับต้นกำเนิดของไวรัส (เช่น การรั่วไหลจากห้องปฏิบัติการหรืออาวุธชีวภาพ) แต่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่าเป็นอาวุธชีวภาพ
    - **นิยามอาวุธชีวภาพ**: ในยุคปัจจุบัน อาวุธชีวภาพถูกนิยามว่าเป็นการใช้เชื้อโรคหรือสารพิษทางชีวภาพโดยเจตนาเพื่อทำลายมนุษย์ สัตว์ หรือพืช ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชีวภาพ (เช่น CRISPR และการดัดแปลงพันธุกรรม) ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่ซับซ้อนขึ้น อย่างไรก็ตาม การระบาดเช่นโควิด-19 ถูกมองว่าเป็น "โรคระบาดจากธรรมชาติ" โดยหน่วยงานสาธารณสุข เช่น WHO แม้ว่าจะมีข้อสงสัยในหมู่ประชาชนบางกลุ่ม
    - **บริบททางสังคมและการเมือง**: ปัจจุบันมีความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-จีน รัสเซีย-ยูเครน และประเด็นในตะวันออกกลาง การเข้าถึงข้อมูลที่รวดเร็วผ่านอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียทำให้เกิดการเผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิดและข้อมูลที่อาจถูกบิดเบือน ซึ่งคล้ายกับการปกปิดข้อมูลในอดีต แต่ในรูปแบบที่แตกต่างออกไป
    - **การปฏิวัติอุตสาหกรรม**: ปัจจุบันอยู่ในยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ซึ่งเน้นเทคโนโลยีดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) และเทคโนโลยีชีวภาพ ความก้าวหน้าเหล่านี้ทำให้เกิดทั้งโอกาส (เช่น การพัฒนาวัคซีน mRNA) และความเสี่ยง (เช่น การใช้เทคโนโลยีชีวภาพในทางที่ผิด)

    ---

    ### **2. ความเหมือนและความต่าง: จะซ้ำรอยหรือไม่?**

    #### **ความเหมือน**:
    1. **ความไม่แน่นอนและการปกปิดข้อมูล**:
    - ในอดีต ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้อาวุธชีวภาพ (เช่น หน่วย 731) ถูกปกปิด ทำให้ประชาชนมองว่าเป็นโรคระบาดธรรมชาติ ในปัจจุบัน ทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับโควิด-19 (เช่น ต้นกำเนิดในห้องปฏิบัติการ) ได้รับความสนใจจากสาธารณชน เนื่องจากความไม่โปร่งใสในช่วงแรกของการระบาด
    - ทั้งสองยุคมี "ความไม่ไว้วางใจ" ในรัฐบาลและหน่วยงานระหว่างประเทศ ซึ่งอาจนำไปสู่การตีความว่าโรคระบาดคือ "อาวุธ" หรือการสมคบคิด

    2. **บริบทความตึงเครียดทางการเมือง**:
    - ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ความขัดแย้งระหว่างชาตินำไปสู่การเตรียมพร้อมเพื่อสงคราม ปัจจุบัน ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีน และรัสเซีย-ตะวันตก ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งครั้งใหญ่ (สงครามโลกครั้งที่ 3 ในสมมติฐาน) ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับการใช้หรือการกล่าวหาเรื่องอาวุธชีวภาพ

    3. **ผลกระทบจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม**:
    - การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 นำมาซึ่งความก้าวหน้าทางการทหารและการแพทย์ ซึ่งถูกใช้ทั้งในทางสร้างสรรค์และทำลายล้าง ในยุคที่ 4 เทคโนโลยีชีวภาพและ AI ทำให้เกิดความสามารถในการสร้างทั้งยารักษา (เช่น วัคซีน) และความเสี่ยงจากการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่ซับซ้อนขึ้น

    #### **ความต่าง**:
    1. **ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี**:
    - ในอดีต การพัฒนาอาวุธชีวภาพ เช่น การใช้กาฬโรค ยังอยู่ในระดับพื้นฐานและจำกัดขอบเขต ปัจจุบัน เทคโนโลยีชีวภาพที่ทันสมัย เช่น การตัดต่อยีน ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับอาวุธชีวภาพที่อาจกำหนดเป้าหมายเฉพาะกลุ่มหรือมีผลกระทบที่รุนแรงกว่า
    - การสื่อสารในปัจจุบันรวดเร็วและแพร่หลายผ่านโซเชียลมีเดีย ทำให้ข้อมูล (หรือข้อมูลเท็จ) แพร่กระจายได้ง่าย ซึ่งต่างจากอดีตที่ข้อมูลถูกควบคุมโดยรัฐหรือสื่อกระแสหลัก

    2. **การรับรู้ของสาธารณชน**:
    - ในทศวรรษ 1930 ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ทราบถึงการใช้อาวุธชีวภาพและมองว่าเป็นโรคระบาดตามธรรมชาติ ปัจจุบัน การเข้าถึงข้อมูลทำให้สาธารณชนตั้งคำถามเกี่ยวกับต้นกำเนิดของโรคระบาดมากขึ้น แต่ก็มีความสับสนจากข้อมูลที่ขัดแย้งกัน

    3. **ความพร้อมด้านสาธารณสุข**:
    - ในอดีต การตอบสนองต่อโรคระบาดมีจำกัด เนื่องจากขาดความรู้และเทคโนโลยี ปัจจุบัน ระบบสาธารณสุขทั่วโลกมีความพร้อมมากขึ้น (เช่น การพัฒนาวัคซีนในเวลาอันสั้น) แต่ก็เผชิญความท้าทายจากความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงยาและวัคซีน

    #### **การคาดการณ์**:
    - **ความเป็นไปได้ที่จะซ้ำรอย**: เหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันมีลักษณะคล้ายกันในแง่ของความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และความไม่ไว้วางใจในข้อมูล หากเกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ในอนาคต (เช่น สงครามโลกครั้งที่ 3) อาจมีการกล่าวหาว่าโรคระบาดเป็นผลจากอาวุธชีวภาพ แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานชัดเจน เหมือนที่เกิดขึ้นกับโควิด-19
    - **ความแตกต่างที่สำคัญ**: ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในยุคที่ 4 ทำให้ผลกระทบของอาวุธชีวภาพ (หากมีการใช้) อาจรุนแรงและซับซ้อนกว่าอดีต แต่ในขณะเดียวกัน ความสามารถในการตรวจจับและตอบสนองต่อโรคระบาดก็สูงขึ้น ซึ่งอาจลดผลกระทบได้

    ---

    ### **3. การปฏิวัติอุตสาหกรรมและบทบาทต่อเหตุการณ์**

    - **การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 (ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2)**:
    - นำไปสู่การพัฒนาการผลิตอาวุธและยานพาหนะสำหรับสงคราม รวมถึงความก้าวหน้าทางการแพทย์ เช่น การผลิตยาปฏิชีวนะในช่วงต้น
    - อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีในยุคนั้นยังจำกัด ทำให้การพัฒนาอาวุธชีวภาพอยู่ในระดับพื้นฐาน เช่น การใช้เชื้อกาฬโรคหรือแอนแทรกซ์

    - **การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (ปัจจุบัน)**:
    - เทคโนโลยีชีวภาพและ AI ทำให้เกิดความก้าวหน้าในการแพทย์ เช่น การพัฒนาวัคซีน mRNA ในเวลาไม่ถึงหนึ่งปีสำหรับโควิด-19
    - ความเสี่ยง: เทคโนโลยีเดียวกันนี้สามารถถูกใช้ในการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่แม่นยำและรุนแรงกว่าเดิม เช่น การดัดแปลงพันธุกรรมของเชื้อโรค
    - การสื่อสารและข้อมูล: อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียทำให้เกิดการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จหรือทฤษฎีสมคบคิด ซึ่งอาจกระตุ้นความตื่นตระหนกหรือความไม่ไว้วางใจในระบบสาธารณสุข

    - **บทบาทของการปฏิวัติอุตสาหกรรม**: ในทั้งสองยุค การปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นตัวกำหนดความสามารถในการพัฒนาทั้งอาวุธและยารักษา ในอดีต เทคโนโลยีจำกัดทำให้ผลกระทบของอาวุธชีวภาพอยู่ในวงจำกัด ปัจจุบัน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้เกิดทั้งโอกาสและความเสี่ยงที่มากขึ้น

    ---

    ### **4. ข้อสรุปและการคาดการณ์**

    - **ความซ้ำรอย**: เหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันมีความคล้ายคลึงกันในแง่ของความตึงเครียดทางการเมืองและการรับรู้ของสาธารณชนที่มองว่าโรคระบาดอาจเกี่ยวข้องกับ "การสมคบคิด" หรืออาวุธชีวภาพ อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างในด้านเทคโนโลยีและการสื่อสารทำให้ผลกระทบและการตอบสนองในปัจจุบันซับซ้อนกว่า
    - **นิยามอาวุธชีวภาพ**: ในอดีต ประชาชนมักมองอาวุธชีวภาพเป็น "โรคระบาด" เนื่องจากขาดข้อมูล ปัจจุบัน การรับรู้ถึงความเป็นไปได้ของอาวุธชีวภาพเพิ่มขึ้น แต่ก็ถูกบดบังด้วยทฤษฎีสมคบคิดและข้อมูลที่ขัดแย้งกัน
    - **การปฏิวัติอุตสาหกรรม**: เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดความสามารถในการพัฒนาทั้งยารักษาและอาวุธ ในยุคที่ 4 ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชีวภาพและ AI ทำให้เกิดความท้าทายใหม่ ๆ ที่อาจนำไปสู่ความเสี่ยงที่มากขึ้นหากไม่มีการควบคุม

    - **การคาดการณ์ในอนาคต**: หากเกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ (เช่น สงครามโลกครั้งที่ 3) ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอาจทำให้เกิดการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่ซับซ้อนขึ้น อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการตรวจจับและตอบสนองของระบบสาธารณสุขทั่วโลกก็สูงขึ้น ซึ่งอาจช่วยลดผลกระทบได้ การควบคุมข้อมูลและการสร้างความไว้วางใจในสาธารณชนจะเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันความตื่นตระหนกหรือการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จ

    หากต้องการให้ผมวิเคราะห์เพิ่มเติม เช่น การค้นหาข้อมูลจาก X posts หรือเว็บเกี่ยวกับความกังวลเรื่องอาวุธชีวภาพในปัจจุบัน หรือการเปรียบเทียบในมิติอื่น ๆ สามารถแจ้งได้เลยครับ!
    https://x.com/i/grok/share/PU2mYZMg5PYJrBY3mYl03H3QL
    การเปรียบเทียบเหตุการณ์ในอดีตกับปัจจุบันเพื่อดูว่าเหตุการณ์อาจซ้ำรอยหรือไม่ โดยเฉพาะในบริบทของโรคระบาด อาวุธชีวภาพ และการปฏิวัติอุตสาหกรรม เป็นหัวข้อที่ซับซ้อนและต้องพิจารณาหลายมิติ ทั้งบริบททางประวัติศาสตร์ สังคม เทคโนโลยี และการเมือง เพื่อตอบคำถามนี้ ผมจะวิเคราะห์โดยเชื่อมโยงช่วงเวลาก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 (ทศวรรษ 1930) กับยุคปัจจุบัน (2020s) พร้อมทั้งพิจารณานิยามของอาวุธชีวภาพในอดีตและปัจจุบัน รวมถึงบทบาทของการปฏิวัติอุตสาหกรรม --- ### **1. เปรียบเทียบอดีต (ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2) กับปัจจุบัน** #### **บริบทอดีต (ทศวรรษ 1930)**: - **โรคระบาด**: ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่มีการระบาดใหญ่ระดับโลกที่เทียบเท่าโควิด-19 แต่มีโรคติดเชื้อ เช่น วัณโรคและกาฬโรค ที่ยังเป็นปัญหาในบางพื้นที่ การระบาดของกาฬโรคในจีน (จากการโจมตีด้วยอาวุธชีวภาพของญี่ปุ่น เช่น หน่วย 731) ถูกมองว่าเป็น "โรคระบาด" ในท้องถิ่น โดยประชาชนทั่วไปมักไม่ทราบว่าเป็นผลจากอาวุธชีวภาพ เนื่องจากข้อมูลถูกปกปิดโดยรัฐบาลญี่ปุ่น - **นิยามอาวุธชีวภาพ**: ในยุคนั้น อาวุธชีวภาพถูกพัฒนาและใช้งานในลักษณะลับ ๆ โดยรัฐบาลหรือกองทัพ (เช่น ญี่ปุ่น) และมักถูกมองว่าเป็น "โรคระบาด" โดยสาธารณชน เนื่องจากขาดการสื่อสารที่โปร่งใส การรับรู้ของประชาชนจึงจำกัดอยู่ที่ผลกระทบ (การเจ็บป่วยและเสียชีวิต) มากกว่าที่จะเข้าใจว่าเป็นการโจมตีโดยเจตนา - **บริบททางสังคมและการเมือง**: ช่วงทศวรรษ 1930 เป็นยุคที่ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศสูงมาก มีการเตรียมพร้อมเพื่อสงคราม (เช่น เยอรมนี ญี่ปุ่น อิตาลี) ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจหลังวิกฤตเศรษฐกิจโลก (1929) ทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจในรัฐบาลและข้อมูลที่ถูกปกปิด - **การปฏิวัติอุตสาหกรรม**: อยู่ในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 (ปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20) ซึ่งเน้นการผลิตจำนวนมาก (mass production) และการพัฒนาเทคโนโลยี เช่น ไฟฟ้าและเครื่องจักรกล ส่งผลให้เกิดความก้าวหน้าทางการทหารและการแพทย์ แต่การเข้าถึงข้อมูลและยารักษายังจำกัดในหลายพื้นที่ #### **บริบทปัจจุบัน (2020s)**: - **โรคระบาด**: โควิด-19 เป็นตัวอย่างชัดเจนของโรคอุบัติใหม่ที่มีผลกระทบระดับโลก เริ่มระบาดในปี 2019 และยังคงมีผลกระทบในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง มีทฤษฎีสมคบคิดมากมายเกี่ยวกับต้นกำเนิดของไวรัส (เช่น การรั่วไหลจากห้องปฏิบัติการหรืออาวุธชีวภาพ) แต่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่าเป็นอาวุธชีวภาพ - **นิยามอาวุธชีวภาพ**: ในยุคปัจจุบัน อาวุธชีวภาพถูกนิยามว่าเป็นการใช้เชื้อโรคหรือสารพิษทางชีวภาพโดยเจตนาเพื่อทำลายมนุษย์ สัตว์ หรือพืช ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชีวภาพ (เช่น CRISPR และการดัดแปลงพันธุกรรม) ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่ซับซ้อนขึ้น อย่างไรก็ตาม การระบาดเช่นโควิด-19 ถูกมองว่าเป็น "โรคระบาดจากธรรมชาติ" โดยหน่วยงานสาธารณสุข เช่น WHO แม้ว่าจะมีข้อสงสัยในหมู่ประชาชนบางกลุ่ม - **บริบททางสังคมและการเมือง**: ปัจจุบันมีความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-จีน รัสเซีย-ยูเครน และประเด็นในตะวันออกกลาง การเข้าถึงข้อมูลที่รวดเร็วผ่านอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียทำให้เกิดการเผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิดและข้อมูลที่อาจถูกบิดเบือน ซึ่งคล้ายกับการปกปิดข้อมูลในอดีต แต่ในรูปแบบที่แตกต่างออกไป - **การปฏิวัติอุตสาหกรรม**: ปัจจุบันอยู่ในยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ซึ่งเน้นเทคโนโลยีดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) และเทคโนโลยีชีวภาพ ความก้าวหน้าเหล่านี้ทำให้เกิดทั้งโอกาส (เช่น การพัฒนาวัคซีน mRNA) และความเสี่ยง (เช่น การใช้เทคโนโลยีชีวภาพในทางที่ผิด) --- ### **2. ความเหมือนและความต่าง: จะซ้ำรอยหรือไม่?** #### **ความเหมือน**: 1. **ความไม่แน่นอนและการปกปิดข้อมูล**: - ในอดีต ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้อาวุธชีวภาพ (เช่น หน่วย 731) ถูกปกปิด ทำให้ประชาชนมองว่าเป็นโรคระบาดธรรมชาติ ในปัจจุบัน ทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับโควิด-19 (เช่น ต้นกำเนิดในห้องปฏิบัติการ) ได้รับความสนใจจากสาธารณชน เนื่องจากความไม่โปร่งใสในช่วงแรกของการระบาด - ทั้งสองยุคมี "ความไม่ไว้วางใจ" ในรัฐบาลและหน่วยงานระหว่างประเทศ ซึ่งอาจนำไปสู่การตีความว่าโรคระบาดคือ "อาวุธ" หรือการสมคบคิด 2. **บริบทความตึงเครียดทางการเมือง**: - ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ความขัดแย้งระหว่างชาตินำไปสู่การเตรียมพร้อมเพื่อสงคราม ปัจจุบัน ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีน และรัสเซีย-ตะวันตก ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งครั้งใหญ่ (สงครามโลกครั้งที่ 3 ในสมมติฐาน) ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับการใช้หรือการกล่าวหาเรื่องอาวุธชีวภาพ 3. **ผลกระทบจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม**: - การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 นำมาซึ่งความก้าวหน้าทางการทหารและการแพทย์ ซึ่งถูกใช้ทั้งในทางสร้างสรรค์และทำลายล้าง ในยุคที่ 4 เทคโนโลยีชีวภาพและ AI ทำให้เกิดความสามารถในการสร้างทั้งยารักษา (เช่น วัคซีน) และความเสี่ยงจากการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่ซับซ้อนขึ้น #### **ความต่าง**: 1. **ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี**: - ในอดีต การพัฒนาอาวุธชีวภาพ เช่น การใช้กาฬโรค ยังอยู่ในระดับพื้นฐานและจำกัดขอบเขต ปัจจุบัน เทคโนโลยีชีวภาพที่ทันสมัย เช่น การตัดต่อยีน ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับอาวุธชีวภาพที่อาจกำหนดเป้าหมายเฉพาะกลุ่มหรือมีผลกระทบที่รุนแรงกว่า - การสื่อสารในปัจจุบันรวดเร็วและแพร่หลายผ่านโซเชียลมีเดีย ทำให้ข้อมูล (หรือข้อมูลเท็จ) แพร่กระจายได้ง่าย ซึ่งต่างจากอดีตที่ข้อมูลถูกควบคุมโดยรัฐหรือสื่อกระแสหลัก 2. **การรับรู้ของสาธารณชน**: - ในทศวรรษ 1930 ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ทราบถึงการใช้อาวุธชีวภาพและมองว่าเป็นโรคระบาดตามธรรมชาติ ปัจจุบัน การเข้าถึงข้อมูลทำให้สาธารณชนตั้งคำถามเกี่ยวกับต้นกำเนิดของโรคระบาดมากขึ้น แต่ก็มีความสับสนจากข้อมูลที่ขัดแย้งกัน 3. **ความพร้อมด้านสาธารณสุข**: - ในอดีต การตอบสนองต่อโรคระบาดมีจำกัด เนื่องจากขาดความรู้และเทคโนโลยี ปัจจุบัน ระบบสาธารณสุขทั่วโลกมีความพร้อมมากขึ้น (เช่น การพัฒนาวัคซีนในเวลาอันสั้น) แต่ก็เผชิญความท้าทายจากความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงยาและวัคซีน #### **การคาดการณ์**: - **ความเป็นไปได้ที่จะซ้ำรอย**: เหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันมีลักษณะคล้ายกันในแง่ของความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และความไม่ไว้วางใจในข้อมูล หากเกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ในอนาคต (เช่น สงครามโลกครั้งที่ 3) อาจมีการกล่าวหาว่าโรคระบาดเป็นผลจากอาวุธชีวภาพ แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานชัดเจน เหมือนที่เกิดขึ้นกับโควิด-19 - **ความแตกต่างที่สำคัญ**: ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในยุคที่ 4 ทำให้ผลกระทบของอาวุธชีวภาพ (หากมีการใช้) อาจรุนแรงและซับซ้อนกว่าอดีต แต่ในขณะเดียวกัน ความสามารถในการตรวจจับและตอบสนองต่อโรคระบาดก็สูงขึ้น ซึ่งอาจลดผลกระทบได้ --- ### **3. การปฏิวัติอุตสาหกรรมและบทบาทต่อเหตุการณ์** - **การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 (ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2)**: - นำไปสู่การพัฒนาการผลิตอาวุธและยานพาหนะสำหรับสงคราม รวมถึงความก้าวหน้าทางการแพทย์ เช่น การผลิตยาปฏิชีวนะในช่วงต้น - อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีในยุคนั้นยังจำกัด ทำให้การพัฒนาอาวุธชีวภาพอยู่ในระดับพื้นฐาน เช่น การใช้เชื้อกาฬโรคหรือแอนแทรกซ์ - **การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (ปัจจุบัน)**: - เทคโนโลยีชีวภาพและ AI ทำให้เกิดความก้าวหน้าในการแพทย์ เช่น การพัฒนาวัคซีน mRNA ในเวลาไม่ถึงหนึ่งปีสำหรับโควิด-19 - ความเสี่ยง: เทคโนโลยีเดียวกันนี้สามารถถูกใช้ในการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่แม่นยำและรุนแรงกว่าเดิม เช่น การดัดแปลงพันธุกรรมของเชื้อโรค - การสื่อสารและข้อมูล: อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียทำให้เกิดการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จหรือทฤษฎีสมคบคิด ซึ่งอาจกระตุ้นความตื่นตระหนกหรือความไม่ไว้วางใจในระบบสาธารณสุข - **บทบาทของการปฏิวัติอุตสาหกรรม**: ในทั้งสองยุค การปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นตัวกำหนดความสามารถในการพัฒนาทั้งอาวุธและยารักษา ในอดีต เทคโนโลยีจำกัดทำให้ผลกระทบของอาวุธชีวภาพอยู่ในวงจำกัด ปัจจุบัน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้เกิดทั้งโอกาสและความเสี่ยงที่มากขึ้น --- ### **4. ข้อสรุปและการคาดการณ์** - **ความซ้ำรอย**: เหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันมีความคล้ายคลึงกันในแง่ของความตึงเครียดทางการเมืองและการรับรู้ของสาธารณชนที่มองว่าโรคระบาดอาจเกี่ยวข้องกับ "การสมคบคิด" หรืออาวุธชีวภาพ อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างในด้านเทคโนโลยีและการสื่อสารทำให้ผลกระทบและการตอบสนองในปัจจุบันซับซ้อนกว่า - **นิยามอาวุธชีวภาพ**: ในอดีต ประชาชนมักมองอาวุธชีวภาพเป็น "โรคระบาด" เนื่องจากขาดข้อมูล ปัจจุบัน การรับรู้ถึงความเป็นไปได้ของอาวุธชีวภาพเพิ่มขึ้น แต่ก็ถูกบดบังด้วยทฤษฎีสมคบคิดและข้อมูลที่ขัดแย้งกัน - **การปฏิวัติอุตสาหกรรม**: เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดความสามารถในการพัฒนาทั้งยารักษาและอาวุธ ในยุคที่ 4 ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีชีวภาพและ AI ทำให้เกิดความท้าทายใหม่ ๆ ที่อาจนำไปสู่ความเสี่ยงที่มากขึ้นหากไม่มีการควบคุม - **การคาดการณ์ในอนาคต**: หากเกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ (เช่น สงครามโลกครั้งที่ 3) ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอาจทำให้เกิดการพัฒนาอาวุธชีวภาพที่ซับซ้อนขึ้น อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการตรวจจับและตอบสนองของระบบสาธารณสุขทั่วโลกก็สูงขึ้น ซึ่งอาจช่วยลดผลกระทบได้ การควบคุมข้อมูลและการสร้างความไว้วางใจในสาธารณชนจะเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันความตื่นตระหนกหรือการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จ หากต้องการให้ผมวิเคราะห์เพิ่มเติม เช่น การค้นหาข้อมูลจาก X posts หรือเว็บเกี่ยวกับความกังวลเรื่องอาวุธชีวภาพในปัจจุบัน หรือการเปรียบเทียบในมิติอื่น ๆ สามารถแจ้งได้เลยครับ! https://x.com/i/grok/share/PU2mYZMg5PYJrBY3mYl03H3QL
    0 Comments 0 Shares 913 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกใต้น้ำ: สหรัฐฯ เตรียมห้ามเทคโนโลยีจีนในสายเคเบิลสื่อสารระหว่างประเทศ

    สายเคเบิลใต้น้ำเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่รับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศถึง 99% แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีรายงานว่าจีนมีบทบาทในเหตุการณ์ที่สายเคเบิลถูกตัดหรือถูกแทรกแซง เช่น:

    - ปี 2023: ไต้หวันกล่าวหาจีนว่าตัดสายเคเบิลอินเทอร์เน็ตของเกาะ Matsu
    - ปี 2024: สายเคเบิลระหว่างฟินแลนด์และเอสโตเนียถูกตัดโดยเรือบรรทุกน้ำมันที่เชื่อว่าเป็น “เรือเงา” ของจีน
    - ปี 2025: มีรายงานว่าจีนพัฒนาอุปกรณ์ตัดสายเคเบิลใต้น้ำที่ลึกถึง 4,000 เมตร

    เพื่อรับมือกับภัยคุกคามเหล่านี้ FCC เตรียมออกกฎใหม่ที่ห้ามบริษัทใด ๆ เชื่อมต่อสายเคเบิลใต้น้ำกับสหรัฐฯ หากใช้เทคโนโลยีจากบริษัทจีน เช่น Huawei และ ZTE ซึ่งอยู่ใน “entity list” ของ FCC

    กฎใหม่ยังรวมถึงการจำกัดการออกใบอนุญาตให้บริษัทจีนสร้างหรือดำเนินการสายเคเบิล, การจำกัดข้อตกลงเช่าความจุ, และการส่งเสริมการใช้เรือซ่อมสายเคเบิลของสหรัฐฯ รวมถึงเทคโนโลยีที่ “เชื่อถือได้” จากพันธมิตรต่างประเทศ

    FCC เตรียมออกกฎห้ามใช้เทคโนโลยีจีนในสายเคเบิลใต้น้ำที่เชื่อมต่อกับสหรัฐฯ
    เพื่อป้องกันภัยคุกคามด้านความมั่นคงจากต่างชาติ โดยเฉพาะจีน

    กฎใหม่จะใช้กับบริษัทใน “entity list” เช่น Huawei และ ZTE
    ซึ่งเคยถูกสั่งให้ถอนจากโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมในสหรัฐฯ

    จะมีการจำกัดการออกใบอนุญาตให้บริษัทจีนสร้างหรือดำเนินการสายเคเบิล
    รวมถึงจำกัดข้อตกลงเช่าความจุและการเข้าถึงระบบ

    FCC ต้องการส่งเสริมการใช้เรือซ่อมสายเคเบิลของสหรัฐฯ
    และเทคโนโลยีที่เชื่อถือได้จากพันธมิตรต่างประเทศ

    สายเคเบิลใต้น้ำรับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศถึง 99%
    เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคง

    การห้ามเทคโนโลยีจีนอาจกระทบต่อความร่วมมือระหว่างประเทศ
    โดยเฉพาะในโครงการสายเคเบิลที่มีหลายประเทศร่วมลงทุน

    การจำกัดใบอนุญาตอาจทำให้การขยายโครงสร้างพื้นฐานล่าช้า
    ส่งผลต่อการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศในบางภูมิภาค

    การกล่าวหาจีนว่าเป็นภัยคุกคามอาจเพิ่มความตึงเครียดทางการเมือง
    โดยเฉพาะเมื่อยังไม่มีหลักฐานทางเทคนิคที่เปิดเผยต่อสาธารณะ

    การพัฒนาอุปกรณ์ตัดสายเคเบิลใต้น้ำอาจนำไปสู่การแข่งขันด้านอาวุธไซเบอร์
    เพิ่มความเสี่ยงต่อโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทั่วโลก

    https://www.techspot.com/news/108705-fcc-moves-ban-chinese-tech-undersea-cables.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกใต้น้ำ: สหรัฐฯ เตรียมห้ามเทคโนโลยีจีนในสายเคเบิลสื่อสารระหว่างประเทศ สายเคเบิลใต้น้ำเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่รับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศถึง 99% แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีรายงานว่าจีนมีบทบาทในเหตุการณ์ที่สายเคเบิลถูกตัดหรือถูกแทรกแซง เช่น: - ปี 2023: ไต้หวันกล่าวหาจีนว่าตัดสายเคเบิลอินเทอร์เน็ตของเกาะ Matsu - ปี 2024: สายเคเบิลระหว่างฟินแลนด์และเอสโตเนียถูกตัดโดยเรือบรรทุกน้ำมันที่เชื่อว่าเป็น “เรือเงา” ของจีน - ปี 2025: มีรายงานว่าจีนพัฒนาอุปกรณ์ตัดสายเคเบิลใต้น้ำที่ลึกถึง 4,000 เมตร เพื่อรับมือกับภัยคุกคามเหล่านี้ FCC เตรียมออกกฎใหม่ที่ห้ามบริษัทใด ๆ เชื่อมต่อสายเคเบิลใต้น้ำกับสหรัฐฯ หากใช้เทคโนโลยีจากบริษัทจีน เช่น Huawei และ ZTE ซึ่งอยู่ใน “entity list” ของ FCC กฎใหม่ยังรวมถึงการจำกัดการออกใบอนุญาตให้บริษัทจีนสร้างหรือดำเนินการสายเคเบิล, การจำกัดข้อตกลงเช่าความจุ, และการส่งเสริมการใช้เรือซ่อมสายเคเบิลของสหรัฐฯ รวมถึงเทคโนโลยีที่ “เชื่อถือได้” จากพันธมิตรต่างประเทศ ✅ FCC เตรียมออกกฎห้ามใช้เทคโนโลยีจีนในสายเคเบิลใต้น้ำที่เชื่อมต่อกับสหรัฐฯ ➡️ เพื่อป้องกันภัยคุกคามด้านความมั่นคงจากต่างชาติ โดยเฉพาะจีน ✅ กฎใหม่จะใช้กับบริษัทใน “entity list” เช่น Huawei และ ZTE ➡️ ซึ่งเคยถูกสั่งให้ถอนจากโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมในสหรัฐฯ ✅ จะมีการจำกัดการออกใบอนุญาตให้บริษัทจีนสร้างหรือดำเนินการสายเคเบิล ➡️ รวมถึงจำกัดข้อตกลงเช่าความจุและการเข้าถึงระบบ ✅ FCC ต้องการส่งเสริมการใช้เรือซ่อมสายเคเบิลของสหรัฐฯ ➡️ และเทคโนโลยีที่เชื่อถือได้จากพันธมิตรต่างประเทศ ✅ สายเคเบิลใต้น้ำรับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศถึง 99% ➡️ เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคง ‼️ การห้ามเทคโนโลยีจีนอาจกระทบต่อความร่วมมือระหว่างประเทศ ⛔ โดยเฉพาะในโครงการสายเคเบิลที่มีหลายประเทศร่วมลงทุน ‼️ การจำกัดใบอนุญาตอาจทำให้การขยายโครงสร้างพื้นฐานล่าช้า ⛔ ส่งผลต่อการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศในบางภูมิภาค ‼️ การกล่าวหาจีนว่าเป็นภัยคุกคามอาจเพิ่มความตึงเครียดทางการเมือง ⛔ โดยเฉพาะเมื่อยังไม่มีหลักฐานทางเทคนิคที่เปิดเผยต่อสาธารณะ ‼️ การพัฒนาอุปกรณ์ตัดสายเคเบิลใต้น้ำอาจนำไปสู่การแข่งขันด้านอาวุธไซเบอร์ ⛔ เพิ่มความเสี่ยงต่อโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทั่วโลก https://www.techspot.com/news/108705-fcc-moves-ban-chinese-tech-undersea-cables.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    FCC moves to ban Chinese tech from undersea cables
    According to a statement from FCC Chairman Brendan Carr, the FCC will vote on rules to "unleash submarine cable investment to accelerate the buildout of AI infrastructure,...
    0 Comments 0 Shares 604 Views 0 Reviews
  • เดือด! "คนโคราชไม่เอานายกฯ ขายชาติ" ปะทะ "กลุ่มหนุน" กลางเมืองโคราช ต้อนรับ "แพทองธาร" เปิดงานแห่เทียนพรรษา
    https://www.thai-tai.tv/news/20216/
    .
    #แพทองธารชินวัตร #นครราชสีมา #โคราช #แห่เทียนพรรษา #การเมืองไทย #ชุมนุมขับไล่ #ให้กำลังใจนายก #ความตึงเครียดทางการเมือง #นายกขายชาติ #คลิปเสียงหลุด
    เดือด! "คนโคราชไม่เอานายกฯ ขายชาติ" ปะทะ "กลุ่มหนุน" กลางเมืองโคราช ต้อนรับ "แพทองธาร" เปิดงานแห่เทียนพรรษา https://www.thai-tai.tv/news/20216/ . #แพทองธารชินวัตร #นครราชสีมา #โคราช #แห่เทียนพรรษา #การเมืองไทย #ชุมนุมขับไล่ #ให้กำลังใจนายก #ความตึงเครียดทางการเมือง #นายกขายชาติ #คลิปเสียงหลุด
    0 Comments 0 Shares 588 Views 0 Reviews
  • EU กำลังเตรียมประกาศคำตัดสินเกี่ยวกับการละเมิดกฎหมาย Digital Markets Act (DMA) โดย Apple และ Meta ซึ่งเป็นประเด็นที่ได้รับการจับตามองอย่างมากในวงการเทคโนโลยี โดยคำตัดสินนี้อาจเป็นการบังคับใช้กฎหมาย DMA ครั้งแรกที่เข้มงวดที่สุด

    == ประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้อง ==
    การละเมิดกฎหมาย DMA:
    - Apple และ Meta ถูกกล่าวหาว่ามีการดำเนินการที่ส่งเสริมการผูกขาดและลดการแข่งขันในตลาดดิจิทัล
    - การสอบสวนเริ่มต้นตั้งแต่เดือนมีนาคมปีที่แล้ว โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างทางเลือกที่หลากหลายให้กับผู้ใช้งาน

    การเลื่อนคำตัดสิน:
    - เดิมทีคำตัดสินมีกำหนดในเดือนมีนาคม แต่ถูกเลื่อนออกไปเนื่องจากความตึงเครียดทางการเมืองและการเจรจาภาษีระหว่างประเทศ

    == ผลกระทบและความคาดหวัง ==
    การบังคับใช้กฎหมาย DMA:
    - หากมีการลงโทษ Apple และ Meta อาจเป็นการบังคับใช้กฎหมาย DMA ครั้งแรกที่เข้มงวดที่สุด ซึ่งจะเป็นตัวอย่างสำคัญสำหรับการตัดสินในอนาคต

    การตอบสนองจาก Meta:
    - Meta แสดงความไม่พอใจต่อข้อกล่าวหา โดยระบุว่ากฎหมาย DMA มีเป้าหมายเพื่อทำให้แพลตฟอร์มเทคโนโลยีใหญ่ดูไม่ดี และยืนยันว่าบริษัทได้ให้ความร่วมมือกับหน่วยงานกำกับดูแล

    https://wccftech.com/eu-rulings-on-apple-and-metas-potential-violations-of-the-digital-markets-act-expected-in-the-coming-weeks/
    EU กำลังเตรียมประกาศคำตัดสินเกี่ยวกับการละเมิดกฎหมาย Digital Markets Act (DMA) โดย Apple และ Meta ซึ่งเป็นประเด็นที่ได้รับการจับตามองอย่างมากในวงการเทคโนโลยี โดยคำตัดสินนี้อาจเป็นการบังคับใช้กฎหมาย DMA ครั้งแรกที่เข้มงวดที่สุด == ประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้อง == ✅ การละเมิดกฎหมาย DMA: - Apple และ Meta ถูกกล่าวหาว่ามีการดำเนินการที่ส่งเสริมการผูกขาดและลดการแข่งขันในตลาดดิจิทัล - การสอบสวนเริ่มต้นตั้งแต่เดือนมีนาคมปีที่แล้ว โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างทางเลือกที่หลากหลายให้กับผู้ใช้งาน ✅ การเลื่อนคำตัดสิน: - เดิมทีคำตัดสินมีกำหนดในเดือนมีนาคม แต่ถูกเลื่อนออกไปเนื่องจากความตึงเครียดทางการเมืองและการเจรจาภาษีระหว่างประเทศ == ผลกระทบและความคาดหวัง == ✅ การบังคับใช้กฎหมาย DMA: - หากมีการลงโทษ Apple และ Meta อาจเป็นการบังคับใช้กฎหมาย DMA ครั้งแรกที่เข้มงวดที่สุด ซึ่งจะเป็นตัวอย่างสำคัญสำหรับการตัดสินในอนาคต ✅ การตอบสนองจาก Meta: - Meta แสดงความไม่พอใจต่อข้อกล่าวหา โดยระบุว่ากฎหมาย DMA มีเป้าหมายเพื่อทำให้แพลตฟอร์มเทคโนโลยีใหญ่ดูไม่ดี และยืนยันว่าบริษัทได้ให้ความร่วมมือกับหน่วยงานกำกับดูแล https://wccftech.com/eu-rulings-on-apple-and-metas-potential-violations-of-the-digital-markets-act-expected-in-the-coming-weeks/
    WCCFTECH.COM
    EU Rulings On Apple And Meta's Potential Violations Of The Digital Markets Act Expected In The Coming Weeks
    EU has pushed back its decision on Meta and Apple's violation of the Digital Markets Act and announced it will come in the next few weeks
    0 Comments 0 Shares 384 Views 0 Reviews
  • ทองคำมีบทบาทสำคัญในระบบการเงินโลกมาอย่างยาวนาน และยังคงมีความสำคัญในปัจจุบัน ต่อไปนี้เป็นประเด็นสำคัญเกี่ยวกับทองคำกับการเงินโลก:

    ### 1. **ประวัติศาสตร์ของทองคำ**
    - **มาตรฐานทองคำ (Gold Standard)**: ในอดีต หลายประเทศใช้มาตรฐานทองคำ ซึ่งหมายความว่าค่าเงินของประเทศนั้นๆ ผูกติดกับปริมาณทองคำที่ประเทศนั้นถือครอง ระบบนี้ช่วยรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนและควบคุมอัตราเงินเฟ้อ
    - **การยกเลิกมาตรฐานทองคำ**: ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 หลายประเทศเริ่มยกเลิกมาตรฐานทองคำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 สหรัฐอเมริกายกเลิกมาตรฐานทองคำอย่างสมบูรณ์ในปี 1971 ภายใต้การนำของประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน

    ### 2. **บทบาทของทองคำในระบบการเงินสมัยใหม่**
    - **ทุนสำรองระหว่างประเทศ**: ทองคำยังคงเป็นส่วนหนึ่งของทุนสำรองระหว่างประเทศของหลายประเทศ ทองคำช่วยเพิ่มความมั่นใจในเสถียรภาพทางการเงินของประเทศและสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ
    - **การลงทุน**: ทองคำถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe-Haven Asset) ที่นักลงทุนมักจะหันไปลงทุนในช่วงเวลาที่ตลาดการเงินมีความไม่แน่นอน เช่น ภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์
    - **เครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อ**: ทองคำมักถูกมองว่าเป็นเครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อ เนื่องจากมูลค่าของทองคำมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อค่าของเงินกระดาษลดลง

    ### 3. **ตลาดทองคำ**
    - **ตลาดฟิสิคัล**: ตลาดทองคำฟิสิคัลมีการซื้อขายทองคำในรูปแบบของแท่งทองคำ เหรียญทองคำ และเครื่องประดับ ตลาดสำคัญได้แก่ อินเดีย จีน และตะวันออกกลาง
    - **ตลาดอนุพันธ์**: ตลาดอนุพันธ์เช่น สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures) และตัวเลือก (Options) ช่วยให้นักลงทุนสามารถเก็งกำไรหรือป้องกันความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของราคาทองคำ

    ### 4. **ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทองคำ**
    - **ภาวะเศรษฐกิจโลก**: ภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจมักจะส่งผลให้ราคาทองคำเพิ่มขึ้น
    - **อัตราดอกเบี้ย**: อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมักจะส่งผลให้ราคาทองคำเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้นทุนการถือครองทองคำลดลง
    - **ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ**: ราคาทองคำมักจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากทองคำถูกซื้อขายในสกุลเงินดอลลาร์
    - **ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์**: ความขัดแย้งหรือความตึงเครียดทางการเมืองมักจะส่งผลให้ราคาทองคำเพิ่มขึ้น เนื่องจากนักลงทุนมองหาสินทรัพย์ปลอดภัย

    ### 5. **อนาคตของทองคำในระบบการเงินโลก**
    - **การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี**: การเกิดขึ้นของสกุลเงินดิจิทัลและเทคโนโลยีบล็อกเชนอาจส่งผลต่อบทบาทของทองคำในระบบการเงินโลก
    - **ความยั่งยืน**: การทำเหมืองทองคำและการผลิตทองคำมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจส่งผลต่อความต้องการทองคำในอนาคต

    ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่มีความสำคัญในระบบการเงินโลก ทั้งในแง่ของการลงทุน การป้องกันความเสี่ยง และการเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ การเข้าใจบทบาทและปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทองคำจะช่วยให้นักลงทุนและผู้กำหนดนโยบายสามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    ทองคำมีบทบาทสำคัญในระบบการเงินโลกมาอย่างยาวนาน และยังคงมีความสำคัญในปัจจุบัน ต่อไปนี้เป็นประเด็นสำคัญเกี่ยวกับทองคำกับการเงินโลก: ### 1. **ประวัติศาสตร์ของทองคำ** - **มาตรฐานทองคำ (Gold Standard)**: ในอดีต หลายประเทศใช้มาตรฐานทองคำ ซึ่งหมายความว่าค่าเงินของประเทศนั้นๆ ผูกติดกับปริมาณทองคำที่ประเทศนั้นถือครอง ระบบนี้ช่วยรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนและควบคุมอัตราเงินเฟ้อ - **การยกเลิกมาตรฐานทองคำ**: ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 หลายประเทศเริ่มยกเลิกมาตรฐานทองคำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 สหรัฐอเมริกายกเลิกมาตรฐานทองคำอย่างสมบูรณ์ในปี 1971 ภายใต้การนำของประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ### 2. **บทบาทของทองคำในระบบการเงินสมัยใหม่** - **ทุนสำรองระหว่างประเทศ**: ทองคำยังคงเป็นส่วนหนึ่งของทุนสำรองระหว่างประเทศของหลายประเทศ ทองคำช่วยเพิ่มความมั่นใจในเสถียรภาพทางการเงินของประเทศและสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ - **การลงทุน**: ทองคำถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe-Haven Asset) ที่นักลงทุนมักจะหันไปลงทุนในช่วงเวลาที่ตลาดการเงินมีความไม่แน่นอน เช่น ภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ - **เครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อ**: ทองคำมักถูกมองว่าเป็นเครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อ เนื่องจากมูลค่าของทองคำมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อค่าของเงินกระดาษลดลง ### 3. **ตลาดทองคำ** - **ตลาดฟิสิคัล**: ตลาดทองคำฟิสิคัลมีการซื้อขายทองคำในรูปแบบของแท่งทองคำ เหรียญทองคำ และเครื่องประดับ ตลาดสำคัญได้แก่ อินเดีย จีน และตะวันออกกลาง - **ตลาดอนุพันธ์**: ตลาดอนุพันธ์เช่น สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures) และตัวเลือก (Options) ช่วยให้นักลงทุนสามารถเก็งกำไรหรือป้องกันความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของราคาทองคำ ### 4. **ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทองคำ** - **ภาวะเศรษฐกิจโลก**: ภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจมักจะส่งผลให้ราคาทองคำเพิ่มขึ้น - **อัตราดอกเบี้ย**: อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมักจะส่งผลให้ราคาทองคำเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้นทุนการถือครองทองคำลดลง - **ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ**: ราคาทองคำมักจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากทองคำถูกซื้อขายในสกุลเงินดอลลาร์ - **ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์**: ความขัดแย้งหรือความตึงเครียดทางการเมืองมักจะส่งผลให้ราคาทองคำเพิ่มขึ้น เนื่องจากนักลงทุนมองหาสินทรัพย์ปลอดภัย ### 5. **อนาคตของทองคำในระบบการเงินโลก** - **การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี**: การเกิดขึ้นของสกุลเงินดิจิทัลและเทคโนโลยีบล็อกเชนอาจส่งผลต่อบทบาทของทองคำในระบบการเงินโลก - **ความยั่งยืน**: การทำเหมืองทองคำและการผลิตทองคำมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจส่งผลต่อความต้องการทองคำในอนาคต ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่มีความสำคัญในระบบการเงินโลก ทั้งในแง่ของการลงทุน การป้องกันความเสี่ยง และการเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ การเข้าใจบทบาทและปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทองคำจะช่วยให้นักลงทุนและผู้กำหนดนโยบายสามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    0 Comments 0 Shares 1690 Views 0 Reviews
  • ดันเศรษฐกิจโลกสู่ปากเหว

    นับตั้งแต่ทรัมป์หาเสียงเลือกตั้ง โดยขายนโยบายตั้งกำแพงภาษี ต่อคู่ค้าของสหรัฐฯ

    เศรษฐกิจทั่วโลกก็ต้องเตรียมใจอยู่แล้ว

    แต่ข้อมูลล่าสุด แนวคิดของทรัมป์ จะดันเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ใกล้ริมปากเหวมากขึ้น

    รูป 1 ทรัมป์เพิ่งประกาศนโยบายเพิ่มเติม จะขึ้นกำแพงภาษี กับประเทศที่ค้าขายกับสหรัฐทั่วโลก

    โดยไม่ใช่คำนึงแต่เฉพาะว่า ประเทศนั้นกำหนดภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าสหรัฐเท่าใด

    แต่จะขยายไปถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT ด้วย

    ทรัมป์ทึกทักเอาว่า กรณีประเทศใดนำเข้าสินค้าสหรัฐ ถ้าราคาที่นำไปขายภายในประเทศนั้นมี VAT

    เขาถือเป็นการกีดกันอย่างหนึ่ง

    ตรงนี้แหวกกฎเศรษฐศาสตร์ เพราะ VAT เป็นภาษีที่เก็บจากการบริโภคภายในประเทศ

    และปกติ จะเก็บ VAT ในอัตราเดียวสำหรับสินค้าชนิดเดียวกัน ไม่ว่าผลิตในประเทศนั้น หรือนำเข้า

    VAT จึงเป็นนโยบายภาษีเฉพาะ domestic เน้นเก็บจากยอดบริโภค (ขารายจ่าย) แตกต่างจากภาษีเงินได้ ที่เก็บจากขารายได้

    กรณี VAT คือ ใครจ่ายบริโภคมาก ก็ต้องจ่ายมาก ยังไม่คำนึงว่ามีรายได้หรือไม่

    กรณีภาษีเงินได้ คือ ใครรับรายได้มาก ก็ต้องจ่ายมาก ยังไม่คำนึงว่าเอารายได้ไปใช้จ่ายหรือไม่

    ภาษีทั้งสองชนิด ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่การนำเข้า ไม่ใช่เพื่อปกป้องการผลิตภายในประเทศ

    การที่ทรัมป์จะขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐ โดยเอา VAT ไปรวมด้วย จึงผิดหลักเศรษฐศาสตร์

    แต่ดูเหมือนไม่มีใครทัดทานทรัมป์

    รูป 2 แสดงอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐ ที่กำลังศึกษา และมีกำหนดจะประกาศต้นเดือน เม.ย.

    ซ้ายมือ ไม่คำนึงถึง VAT ขวามือ คำนึง

    น่าตกใจ ไทยอาจจะโดนถึงระดับ 5% อันดับที่ 23

    รูป 3 นักวิเคราะห์ลองหักตัวเลขภาษีการค้าภายในสหรัฐออก อัตราลดลงบ้าง

    ที่น่ากลัวมากคือ กลุ่มยุโรป เพราะอัตรา VAT สูงมหาศาล หลายประเทศทะลุระดับ 20%

    ปริมาณการค้าโลก จะถูกกระทบอย่างกว้างขวางไม่น่าเชื่อ

    รูป 4 นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังสั่งให้ทีมงานศึกษาเพื่อเก็บภาษีตอบโต้

    จากการที่ฝรั่งเศสและอิตาลี เก็บภาษีจากบริษัทโซเชียลมีเดีย

    เขาอ้างแนวคิดวิตถารว่า รัฐบาลสหรัฐเท่านั้น ที่จะมีสิทธิ์เก็บภาษีจากบริษัทสหรัฐ

    ทั้งที่ ถ้าหากบริษัทโซเชียลมีเดียสหรัฐ ได้รายได้จากการทำธุรกิจในประเทศหนึ่ง เช่น Facebook ได้ค่าโฆษณา

    ด้วยหลักการปกติ ประเทศที่เป็นผู้จ่ายค่าโฆษณา ย่อมมีสิทธิ์ที่จะเก็บภาษีจากบริษัทโซเชียลมีเดีย

    รูป5 กำแพงภาษีสหรัฐ จะกระทบส่งออกของไทยอย่างมาก เนื่องจากสหรัฐเป็นตลาด 17% ของส่งออกทั้งหมด

    รูป 6-7 ไทยส่งออกไปสหรัฐ สูงสุดเป็นอันดับที่ 1 แต่ละปี 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์ เกินดุลอยู่ 3.5 หมื่นล้านดอลล่าร์

    แนวคิดของทรัมป์ นอกจากจะดันเศรษฐกิจโลกสู่ปากเหวแล้ว ยังก่อความเสี่ยงต่อการเมืองโลกอีกด้วย

    รูป 8 แสดงแนวโน้มการค้าของโลกย้อนหลัง 200 ปี จะเห็นได้ว่า มีช่วงที่การค้าลดต่ำกว่า trend

    เส้นสีแดงสองเส้น แสดงห้วงเวลาสงครามโลกทั้งสองครั้ง

    นักประวัติศาสตร์หลายคนลงความเห็นว่า ปัจจัยหลักที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่สองอย่างชัดเจน

    คือประเทศสหรัฐขึ้นกำแพงภาษีสองครั้ง เส้นสีดำ

    ซึ่งนำไปสู่เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก และก่อความตึงเครียดทางการเมือง

    รูป 9-10 ปัจจัยสำคัญหนึ่ง ที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ก็เกิดจากสหรัฐขึ้นกำแพงภาษีเช่นเดียวกัน

    ที่สำคัญก็คือ มีการผสมโรงด้วย วิกฤติในตลาดการเงิน ปี 1907 ไปถึงปี 1913 เริ่มต้น WW1 พอดี

    ขณะนี้ สภาวะตลาดทุนตลาดเงิน ทั้งในสหรัฐ ยุโรป มีความเสี่ยงฟองสบู่ใกล้แตกเต็มที

    ถ้าเกิดวิกฤตในปีนี้ ดังที่ผมคาดไว้

    ก็จะต้องจับตาให้ดี เงื่อนไขที่นำไปสู่สงครามโลกในอดีต จะกลับมาอีกหรือไม่

    วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568

    นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ
    ประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ
    ดันเศรษฐกิจโลกสู่ปากเหว 🗣️ นับตั้งแต่ทรัมป์หาเสียงเลือกตั้ง โดยขายนโยบายตั้งกำแพงภาษี ต่อคู่ค้าของสหรัฐฯ เศรษฐกิจทั่วโลกก็ต้องเตรียมใจอยู่แล้ว แต่ข้อมูลล่าสุด แนวคิดของทรัมป์ จะดันเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ใกล้ริมปากเหวมากขึ้น รูป 1 ทรัมป์เพิ่งประกาศนโยบายเพิ่มเติม จะขึ้นกำแพงภาษี กับประเทศที่ค้าขายกับสหรัฐทั่วโลก โดยไม่ใช่คำนึงแต่เฉพาะว่า ประเทศนั้นกำหนดภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าสหรัฐเท่าใด 🧶 แต่จะขยายไปถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT ด้วย ทรัมป์ทึกทักเอาว่า กรณีประเทศใดนำเข้าสินค้าสหรัฐ ถ้าราคาที่นำไปขายภายในประเทศนั้นมี VAT เขาถือเป็นการกีดกันอย่างหนึ่ง ตรงนี้แหวกกฎเศรษฐศาสตร์ เพราะ VAT เป็นภาษีที่เก็บจากการบริโภคภายในประเทศ และปกติ จะเก็บ VAT ในอัตราเดียวสำหรับสินค้าชนิดเดียวกัน ไม่ว่าผลิตในประเทศนั้น หรือนำเข้า 🪢 VAT จึงเป็นนโยบายภาษีเฉพาะ domestic เน้นเก็บจากยอดบริโภค (ขารายจ่าย) แตกต่างจากภาษีเงินได้ ที่เก็บจากขารายได้ กรณี VAT คือ ใครจ่ายบริโภคมาก ก็ต้องจ่ายมาก ยังไม่คำนึงว่ามีรายได้หรือไม่ กรณีภาษีเงินได้ คือ ใครรับรายได้มาก ก็ต้องจ่ายมาก ยังไม่คำนึงว่าเอารายได้ไปใช้จ่ายหรือไม่ ภาษีทั้งสองชนิด ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่การนำเข้า ไม่ใช่เพื่อปกป้องการผลิตภายในประเทศ 👗 การที่ทรัมป์จะขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐ โดยเอา VAT ไปรวมด้วย จึงผิดหลักเศรษฐศาสตร์ แต่ดูเหมือนไม่มีใครทัดทานทรัมป์ รูป 2 แสดงอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐ ที่กำลังศึกษา และมีกำหนดจะประกาศต้นเดือน เม.ย. ซ้ายมือ ไม่คำนึงถึง VAT ขวามือ คำนึง น่าตกใจ ไทยอาจจะโดนถึงระดับ 5% อันดับที่ 23 👙 รูป 3 นักวิเคราะห์ลองหักตัวเลขภาษีการค้าภายในสหรัฐออก อัตราลดลงบ้าง ที่น่ากลัวมากคือ กลุ่มยุโรป เพราะอัตรา VAT สูงมหาศาล หลายประเทศทะลุระดับ 20% ปริมาณการค้าโลก จะถูกกระทบอย่างกว้างขวางไม่น่าเชื่อ รูป 4 นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังสั่งให้ทีมงานศึกษาเพื่อเก็บภาษีตอบโต้ จากการที่ฝรั่งเศสและอิตาลี เก็บภาษีจากบริษัทโซเชียลมีเดีย 👘 เขาอ้างแนวคิดวิตถารว่า รัฐบาลสหรัฐเท่านั้น ที่จะมีสิทธิ์เก็บภาษีจากบริษัทสหรัฐ ทั้งที่ ถ้าหากบริษัทโซเชียลมีเดียสหรัฐ ได้รายได้จากการทำธุรกิจในประเทศหนึ่ง เช่น Facebook ได้ค่าโฆษณา ด้วยหลักการปกติ ประเทศที่เป็นผู้จ่ายค่าโฆษณา ย่อมมีสิทธิ์ที่จะเก็บภาษีจากบริษัทโซเชียลมีเดีย รูป5 กำแพงภาษีสหรัฐ จะกระทบส่งออกของไทยอย่างมาก เนื่องจากสหรัฐเป็นตลาด 17% ของส่งออกทั้งหมด 🩲 รูป 6-7 ไทยส่งออกไปสหรัฐ สูงสุดเป็นอันดับที่ 1 แต่ละปี 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์ เกินดุลอยู่ 3.5 หมื่นล้านดอลล่าร์ แนวคิดของทรัมป์ นอกจากจะดันเศรษฐกิจโลกสู่ปากเหวแล้ว ยังก่อความเสี่ยงต่อการเมืองโลกอีกด้วย รูป 8 แสดงแนวโน้มการค้าของโลกย้อนหลัง 200 ปี จะเห็นได้ว่า มีช่วงที่การค้าลดต่ำกว่า trend เส้นสีแดงสองเส้น แสดงห้วงเวลาสงครามโลกทั้งสองครั้ง 🩴 นักประวัติศาสตร์หลายคนลงความเห็นว่า ปัจจัยหลักที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่สองอย่างชัดเจน คือประเทศสหรัฐขึ้นกำแพงภาษีสองครั้ง เส้นสีดำ ซึ่งนำไปสู่เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก และก่อความตึงเครียดทางการเมือง รูป 9-10 ปัจจัยสำคัญหนึ่ง ที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ก็เกิดจากสหรัฐขึ้นกำแพงภาษีเช่นเดียวกัน ที่สำคัญก็คือ มีการผสมโรงด้วย วิกฤติในตลาดการเงิน ปี 1907 ไปถึงปี 1913 เริ่มต้น WW1 พอดี 🧐 ขณะนี้ สภาวะตลาดทุนตลาดเงิน ทั้งในสหรัฐ ยุโรป มีความเสี่ยงฟองสบู่ใกล้แตกเต็มที ถ้าเกิดวิกฤตในปีนี้ ดังที่ผมคาดไว้ ก็จะต้องจับตาให้ดี เงื่อนไขที่นำไปสู่สงครามโลกในอดีต จะกลับมาอีกหรือไม่ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ ประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 1414 Views 0 Reviews
  • นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูของเอลไม่เห็นด้วยกับแผนการที่กองทัพประกาศให้ระงับยุทธวิธีรายวันในการโจมตีตามถนนสายหลักสายหนึ่งที่มุ่งสู่กาซาที่ถูกปิดล้อมและถูกวัตถุอันตรายเพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดส่งความช่วยเหลือไปยังดินแดนปาเลส
    ทหารได้ประกาศหยุดรายวันตั้งแต่เวลา 05.00 น. GMT ถึง 16.00 น. GMT ในพื้นที่ตั้งแต่ทางข้าม Karem Abu Salem (Kerem Shalom) ไปยังถนน Salah al-Din และไปทางเหนือ
    การคัดค้านการหยุดยุทธวิธีของเนทันยาฮูเน้นย้ำความตึงเครียดทางการเมืองเกี่ยวกับประเด็นความช่วยเหลือที่เข้ามาในกาซา ซึ่งองค์กรระหว่างประเทศได้เตือนถึงวิกฤตด้านมนุษยธรรมที่กำลังเพิ่มมากขึ้นและความอดอยากที่กำลังจะเกิดขึ้น
    .
    #WAYTNEWS #WayTNews #waytnews
    #ข่าวสารอัพเดท #ติดตามข่าว #สถานการณ์ปัจจุบัน #ข่าวสารความจริง
    -------------------------------
    สนใจโปรไวต้า คลิก▶ https://www.facebook.com/TPIPolene?locale=t
    นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูของเอลไม่เห็นด้วยกับแผนการที่กองทัพประกาศให้ระงับยุทธวิธีรายวันในการโจมตีตามถนนสายหลักสายหนึ่งที่มุ่งสู่กาซาที่ถูกปิดล้อมและถูกวัตถุอันตรายเพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดส่งความช่วยเหลือไปยังดินแดนปาเลส ทหารได้ประกาศหยุดรายวันตั้งแต่เวลา 05.00 น. GMT ถึง 16.00 น. GMT ในพื้นที่ตั้งแต่ทางข้าม Karem Abu Salem (Kerem Shalom) ไปยังถนน Salah al-Din และไปทางเหนือ การคัดค้านการหยุดยุทธวิธีของเนทันยาฮูเน้นย้ำความตึงเครียดทางการเมืองเกี่ยวกับประเด็นความช่วยเหลือที่เข้ามาในกาซา ซึ่งองค์กรระหว่างประเทศได้เตือนถึงวิกฤตด้านมนุษยธรรมที่กำลังเพิ่มมากขึ้นและความอดอยากที่กำลังจะเกิดขึ้น . #WAYTNEWS #WayTNews #waytnews #ข่าวสารอัพเดท #ติดตามข่าว #สถานการณ์ปัจจุบัน #ข่าวสารความจริง ------------------------------- สนใจโปรไวต้า คลิก▶ https://www.facebook.com/TPIPolene?locale=t
    0 Comments 0 Shares 442 Views 0 Reviews