• ((( ตกผลึกกันได้รึยัง? )))

    ปริศนาคำไบ้ ของเกมส์ศรีธนญชัย 2025 คำตอบที่ว่า ทำไมถึงกล้าปล่อยให้เหี้ยไอ้อีขายชาติทั้งหลาย ยังคงบริหารประเทศต่อไป โปรดฟัง..

    อีแดง ตายเพราะ "ขายชาติ"
    อีน้ำเงิน ตายเพราะ "ขายชาติ"
    อีส้มเน่า ตายเพราะ "ขายชาติ"

    แล้วยังไงต่อ..

    ถึงเวลาของ "พ่อปกครองลูก" รึยังล่ะ?

    ผลัดใบคือการเปลี่ยนแปลง จะเปลี่ยนได้จริง มันต้อง..

    จบน่ะ พูดไปทำไมมี ดูกันต่อไป เดี๋ยวรู้เอง

    หมีศรีปราชญ์แห่งอโยธยาศรีรามเทพนคร
    11 กันยายน 68
    ((( ตกผลึกกันได้รึยัง? ))) ปริศนาคำไบ้ ของเกมส์ศรีธนญชัย 2025 คำตอบที่ว่า ทำไมถึงกล้าปล่อยให้เหี้ยไอ้อีขายชาติทั้งหลาย ยังคงบริหารประเทศต่อไป โปรดฟัง.. อีแดง ตายเพราะ "ขายชาติ" อีน้ำเงิน ตายเพราะ "ขายชาติ" อีส้มเน่า ตายเพราะ "ขายชาติ" แล้วยังไงต่อ.. ถึงเวลาของ "พ่อปกครองลูก" รึยังล่ะ? ผลัดใบคือการเปลี่ยนแปลง จะเปลี่ยนได้จริง มันต้อง.. จบน่ะ พูดไปทำไมมี ดูกันต่อไป เดี๋ยวรู้เอง หมีศรีปราชญ์แห่งอโยธยาศรีรามเทพนคร 11 กันยายน 68
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 30 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Intel ปรับโครงสร้างผู้บริหารครั้งใหญ่! Michelle Holthaus อำลาหลังรับใช้บริษัทกว่า 30 ปี”

    ลองจินตนาการว่าคุณเป็นหนึ่งในผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเทคโนโลยีที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกอย่าง Intel แล้ววันหนึ่งคุณต้องตัดสินใจอำลาตำแหน่ง หลังจากร่วมสร้างและขับเคลื่อนองค์กรมากว่า 30 ปี — นั่นคือเรื่องราวของ Michelle Johnston Holthaus ผู้บริหารฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Intel ที่เพิ่งประกาศลาออกท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโครงสร้างผู้บริหารของบริษัท

    การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan พยายามพลิกฟื้น Intel จากภาวะตกต่ำ โดยมีเป้าหมายชัดเจนคือ “ลดชั้นการบริหาร” และ “เร่งการตัดสินใจ” เพื่อให้ทีมพัฒนาชิปสามารถรายงานตรงถึงตัวเขาได้ทันที

    Michelle Holthaus เคยดำรงตำแหน่ง interim co-CEO หลังจาก Pat Gelsinger ถูกปลด และยังเคยเป็นหัวหน้าฝ่าย Client Computing Group และ Chief Revenue Officer มาก่อน เธอจะยังคงอยู่ในบทบาทที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้

    นอกจากการอำลาของ Holthaus ยังมีการแต่งตั้งผู้บริหารใหม่หลายตำแหน่ง เช่น Kevork Kechichian จาก Arm มารับตำแหน่งหัวหน้ากลุ่ม Data Center, Srinivasan Iyengar รับหน้าที่สร้างกลุ่ม Central Engineering ใหม่ และ Jim Johnson ขึ้นเป็นหัวหน้ากลุ่ม Client Computing อย่างเป็นทางการ

    การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดี Donald Trump ประกาศแผนเข้าถือหุ้น 10% ใน Intel และเรียกร้องให้ Tan ลาออกจากตำแหน่งเนื่องจากข้อขัดแย้งทางผลประโยชน์ — ทำให้สถานการณ์ของ Intel ยิ่งตึงเครียดมากขึ้น

    การเปลี่ยนแปลงผู้บริหารระดับสูงของ Intel
    Michelle Holthaus อำลาหลังทำงานกับ Intel มากกว่า 30 ปี
    เคยดำรงตำแหน่ง interim co-CEO และหัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์
    จะยังคงอยู่ในบทบาทที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ในช่วงเปลี่ยนผ่าน
    CEO Lip-Bu Tan ปรับโครงสร้างให้ทีมชิปรายงานตรงถึงตัวเอง

    การแต่งตั้งผู้บริหารใหม่
    Kevork Kechichian จาก Arm รับตำแหน่งหัวหน้ากลุ่ม Data Center
    Srinivasan Iyengar นำทีม Central Engineering และธุรกิจ custom silicon
    Jim Johnson ขึ้นเป็นหัวหน้ากลุ่ม Client Computing อย่างเป็นทางการ
    Naga Chandrasekaran ขยายบทบาทใน Intel Foundry ให้ครอบคลุม Foundry Services

    บริบททางการเมืองและเศรษฐกิจ
    รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศถือหุ้น 10% ใน Intel เพื่อควบคุมเชิงยุทธศาสตร์
    ประธานาธิบดี Trump เรียกร้องให้ CEO Tan ลาออกจากตำแหน่ง
    การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากตลาดและภาครัฐ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/09/intel-product-chief-michelle-holthaus-to-leave-company
    🔄 “Intel ปรับโครงสร้างผู้บริหารครั้งใหญ่! Michelle Holthaus อำลาหลังรับใช้บริษัทกว่า 30 ปี” ลองจินตนาการว่าคุณเป็นหนึ่งในผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเทคโนโลยีที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกอย่าง Intel แล้ววันหนึ่งคุณต้องตัดสินใจอำลาตำแหน่ง หลังจากร่วมสร้างและขับเคลื่อนองค์กรมากว่า 30 ปี — นั่นคือเรื่องราวของ Michelle Johnston Holthaus ผู้บริหารฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Intel ที่เพิ่งประกาศลาออกท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโครงสร้างผู้บริหารของบริษัท การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ CEO คนใหม่ Lip-Bu Tan พยายามพลิกฟื้น Intel จากภาวะตกต่ำ โดยมีเป้าหมายชัดเจนคือ “ลดชั้นการบริหาร” และ “เร่งการตัดสินใจ” เพื่อให้ทีมพัฒนาชิปสามารถรายงานตรงถึงตัวเขาได้ทันที Michelle Holthaus เคยดำรงตำแหน่ง interim co-CEO หลังจาก Pat Gelsinger ถูกปลด และยังเคยเป็นหัวหน้าฝ่าย Client Computing Group และ Chief Revenue Officer มาก่อน เธอจะยังคงอยู่ในบทบาทที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ นอกจากการอำลาของ Holthaus ยังมีการแต่งตั้งผู้บริหารใหม่หลายตำแหน่ง เช่น Kevork Kechichian จาก Arm มารับตำแหน่งหัวหน้ากลุ่ม Data Center, Srinivasan Iyengar รับหน้าที่สร้างกลุ่ม Central Engineering ใหม่ และ Jim Johnson ขึ้นเป็นหัวหน้ากลุ่ม Client Computing อย่างเป็นทางการ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดี Donald Trump ประกาศแผนเข้าถือหุ้น 10% ใน Intel และเรียกร้องให้ Tan ลาออกจากตำแหน่งเนื่องจากข้อขัดแย้งทางผลประโยชน์ — ทำให้สถานการณ์ของ Intel ยิ่งตึงเครียดมากขึ้น ✅ การเปลี่ยนแปลงผู้บริหารระดับสูงของ Intel ➡️ Michelle Holthaus อำลาหลังทำงานกับ Intel มากกว่า 30 ปี ➡️ เคยดำรงตำแหน่ง interim co-CEO และหัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์ ➡️ จะยังคงอยู่ในบทบาทที่ปรึกษาเชิงกลยุทธ์ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ➡️ CEO Lip-Bu Tan ปรับโครงสร้างให้ทีมชิปรายงานตรงถึงตัวเอง ✅ การแต่งตั้งผู้บริหารใหม่ ➡️ Kevork Kechichian จาก Arm รับตำแหน่งหัวหน้ากลุ่ม Data Center ➡️ Srinivasan Iyengar นำทีม Central Engineering และธุรกิจ custom silicon ➡️ Jim Johnson ขึ้นเป็นหัวหน้ากลุ่ม Client Computing อย่างเป็นทางการ ➡️ Naga Chandrasekaran ขยายบทบาทใน Intel Foundry ให้ครอบคลุม Foundry Services ✅ บริบททางการเมืองและเศรษฐกิจ ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศถือหุ้น 10% ใน Intel เพื่อควบคุมเชิงยุทธศาสตร์ ➡️ ประธานาธิบดี Trump เรียกร้องให้ CEO Tan ลาออกจากตำแหน่ง ➡️ การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นท่ามกลางแรงกดดันจากตลาดและภาครัฐ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/09/intel-product-chief-michelle-holthaus-to-leave-company
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Intel announces key executive shake-up, says products chief Holthaus will exit
    (Reuters) - Intel announced a series of top executive changes on Monday, including the departure of products chief Michelle Johnston Holthaus, at a time when CEO Lip-Bu Tan intensifies efforts to turn around the struggling U.S. chipmaker.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 109 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Hynix ร้อนแรงถึง Samsung เย็นจัด: เมื่อการเลือกผู้ผลิต VRAM กลายเป็นจุดเปลี่ยนของ GPU

    XFX ผู้ผลิตการ์ดจอชื่อดังได้เปิดเผยผลการทดสอบของ Radeon RX 9060 XT V3 ซึ่งเปลี่ยนจากการใช้หน่วยความจำ GDDR6 ของ SK Hynix มาเป็นของ Samsung โดยพบว่าอุณหภูมิของ VRAM ลดลงถึง 10°C จากเดิม 87°C เหลือเพียง 77°C แม้จะใช้พัดลมที่หมุนช้าลงถึง 353 RPM

    การเปลี่ยนมาใช้ Samsung ยังช่วยลดการใช้พลังงานของบอร์ดจาก 207W เหลือ 183W ซึ่งหมายถึงความร้อนที่ลดลงถึง 24W และส่งผลให้ระบบระบายความร้อนทำงานเบาลง เสียงรบกวนน้อยลง และความเสถียรของระบบเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการป้องกันการ downclock ของ VRAM ที่มักเกิดเมื่อร้อนเกินไป

    อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่า GPU die กลับร้อนขึ้น 3°C ซึ่งอาจเกิดจากการทำงานหนักขึ้นของ memory controller หรือการลดรอบพัดลมที่ทำให้การระบายความร้อนโดยรวมลดลง

    แม้จะยังไม่มีการทดสอบอิสระมายืนยัน แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้หลายคนในชุมชนเริ่มตั้งคำถามว่า “การเลือกผู้ผลิต VRAM” อาจมีผลมากกว่าที่เคยคิดไว้ โดยเฉพาะในยุคที่ GPU ต้องทำงานหนักกับ AI, ray tracing และการเล่นเกมระดับ 4K

    ผลการเปลี่ยนมาใช้ Samsung GDDR6
    อุณหภูมิ VRAM ลดลงจาก 87°C เหลือ 77°C
    พัดลมหมุนช้าลงจาก 1814 RPM เหลือ 1461 RPM
    การใช้พลังงานของบอร์ดลดลงจาก 207W เหลือ 183W

    ผลกระทบต่อระบบโดยรวม
    ลดเสียงรบกวนจากพัดลม
    เพิ่มความเสถียรของระบบ ป้องกัน VRAM downclock
    GPU die ร้อนขึ้น 3°C อาจเกิดจาก memory controller ทำงานหนักขึ้น

    ความเปรียบเทียบกับ SK Hynix
    SK Hynix มีอุณหภูมิสูงกว่า 10°C
    บางรุ่นสามารถโอเวอร์คล็อกได้สูงกว่าเล็กน้อย
    Hynix อาจมี timing ที่แน่นกว่า แต่แลกกับความร้อนที่สูงขึ้น

    ความเคลื่อนไหวของตลาด
    XFX RX 9060 XT V3 วางขายแล้วในจีน
    ผู้ผลิตเริ่มหันมาเลือก Samsung มากขึ้นในรุ่นใหม่
    ยังไม่มีข้อมูลว่า AMD หรือ NVIDIA จะเปลี่ยน supplier ในระดับ reference card

    https://www.techpowerup.com/340751/samsungs-gddr6-modules-run-10-c-cooler-than-sk-hynix-claims-gpu-aib
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Hynix ร้อนแรงถึง Samsung เย็นจัด: เมื่อการเลือกผู้ผลิต VRAM กลายเป็นจุดเปลี่ยนของ GPU XFX ผู้ผลิตการ์ดจอชื่อดังได้เปิดเผยผลการทดสอบของ Radeon RX 9060 XT V3 ซึ่งเปลี่ยนจากการใช้หน่วยความจำ GDDR6 ของ SK Hynix มาเป็นของ Samsung โดยพบว่าอุณหภูมิของ VRAM ลดลงถึง 10°C จากเดิม 87°C เหลือเพียง 77°C แม้จะใช้พัดลมที่หมุนช้าลงถึง 353 RPM การเปลี่ยนมาใช้ Samsung ยังช่วยลดการใช้พลังงานของบอร์ดจาก 207W เหลือ 183W ซึ่งหมายถึงความร้อนที่ลดลงถึง 24W และส่งผลให้ระบบระบายความร้อนทำงานเบาลง เสียงรบกวนน้อยลง และความเสถียรของระบบเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการป้องกันการ downclock ของ VRAM ที่มักเกิดเมื่อร้อนเกินไป อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่า GPU die กลับร้อนขึ้น 3°C ซึ่งอาจเกิดจากการทำงานหนักขึ้นของ memory controller หรือการลดรอบพัดลมที่ทำให้การระบายความร้อนโดยรวมลดลง แม้จะยังไม่มีการทดสอบอิสระมายืนยัน แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้หลายคนในชุมชนเริ่มตั้งคำถามว่า “การเลือกผู้ผลิต VRAM” อาจมีผลมากกว่าที่เคยคิดไว้ โดยเฉพาะในยุคที่ GPU ต้องทำงานหนักกับ AI, ray tracing และการเล่นเกมระดับ 4K ✅ ผลการเปลี่ยนมาใช้ Samsung GDDR6 ➡️ อุณหภูมิ VRAM ลดลงจาก 87°C เหลือ 77°C ➡️ พัดลมหมุนช้าลงจาก 1814 RPM เหลือ 1461 RPM ➡️ การใช้พลังงานของบอร์ดลดลงจาก 207W เหลือ 183W ✅ ผลกระทบต่อระบบโดยรวม ➡️ ลดเสียงรบกวนจากพัดลม ➡️ เพิ่มความเสถียรของระบบ ป้องกัน VRAM downclock ➡️ GPU die ร้อนขึ้น 3°C อาจเกิดจาก memory controller ทำงานหนักขึ้น ✅ ความเปรียบเทียบกับ SK Hynix ➡️ SK Hynix มีอุณหภูมิสูงกว่า 10°C ➡️ บางรุ่นสามารถโอเวอร์คล็อกได้สูงกว่าเล็กน้อย ➡️ Hynix อาจมี timing ที่แน่นกว่า แต่แลกกับความร้อนที่สูงขึ้น ✅ ความเคลื่อนไหวของตลาด ➡️ XFX RX 9060 XT V3 วางขายแล้วในจีน ➡️ ผู้ผลิตเริ่มหันมาเลือก Samsung มากขึ้นในรุ่นใหม่ ➡️ ยังไม่มีข้อมูลว่า AMD หรือ NVIDIA จะเปลี่ยน supplier ในระดับ reference card https://www.techpowerup.com/340751/samsungs-gddr6-modules-run-10-c-cooler-than-sk-hynix-claims-gpu-aib
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Samsung's GDDR6 Modules Run 10°C Cooler Than SK Hynix, Claims GPU AIB
    XFX has officially published various performance figures claiming that its custom GPUs run better with Samsung GDDR6 memory, rather than SK Hynix modules. Usually, add-in-board (AIB) partners receive the GPU die sold as a kit with memory. However, AMD, NVIDIA, and Intel typically source their memory...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 104 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Navi 44 ถึง XL: เมื่อชื่อที่ไม่ควรมีอยู่ กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการคาดเดา

    ในเอกสาร ROCm 6.4.2 ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สสำหรับการประมวลผล GPU ของ AMD มีการระบุชื่อ Radeon RX 9060 XL ว่าเป็นหนึ่งในรุ่นที่รองรับ แม้ว่า AMD จะยังไม่เคยประกาศ GPU รุ่นนี้อย่างเป็นทางการ และไม่มีข้อมูลใด ๆ ปรากฏในเว็บไซต์หรือข่าวเปิดตัว

    สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้น่าสนใจคือ ROCm ระบุชื่อรุ่น RX 9070 XT, RX 9070, RX 9070 GRE, RX 9060 XT และ RX 9060 XL แต่กลับไม่มี RX 9060 รุ่นธรรมดา ซึ่งทำให้หลายคนสงสัยว่า “XL” อาจเป็นชื่อที่ใช้แทน RX 9060 ธรรมดา หรือเป็นการพิมพ์ผิดที่เกิดจากการสับสนระหว่างชื่อรุ่นกับชื่อชิป

    AMD เคยใช้คำว่า “XL” ในอดีต เช่น Radeon X1800XL หรือในชิป OEM-only แต่ได้เลิกใช้คำนี้ในชื่อผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ยุค HD 3000 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม ชิป Navi 31 XL ก็ยังใช้คำนี้เพื่อระบุรุ่นที่ถูกลดสเปก ซึ่งทำให้เกิดความเป็นไปได้ว่า RX 9060 XL อาจหมายถึงรุ่นที่ใช้ชิป Navi 44 XL

    นอกจากนี้ ยังมีข้อผิดพลาดในเอกสาร ROCm ที่ระบุว่า GPU ตระกูล RX 9000 ใช้สถาปัตยกรรม RDNA 3 ทั้งที่จริงแล้วเป็น RDNA 4 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ เช่น matrix accelerator ที่รองรับ FP8, ระบบ cache ใหม่, และ ray tracing engine ที่ปรับปรุงใหม่ทั้งหมด

    แม้จะมีความเป็นไปได้ว่า RX 9060 XL คือชื่อจริงของ GPU ที่ยังไม่เปิดตัว แต่หลายฝ่าย—including VideoCardz และ Wccftech—มองว่าอาจเป็นแค่การพิมพ์ผิดจาก RX 9060 ธรรมดา ซึ่งใช้ชิป Navi 44 แบบลดสเปก และไม่มีความจำเป็นที่ AMD จะเปิดตัว SKU ใหม่ในช่วงที่ยอดขาย GPU ยังไม่สูงมาก

    การปรากฏของชื่อ Radeon RX 9060 XL
    พบในเอกสาร ROCm 6.4.2 ของ AMD
    ไม่มีการประกาศหรือเปิดตัวอย่างเป็นทางการ
    อาจเป็นการพิมพ์ผิดจาก RX 9060 ธรรมดา

    ความเป็นไปได้ของชื่อ “XL”
    เคยใช้ในอดีตกับรุ่น OEM หรือรุ่นลดสเปก
    ปัจจุบันยังใช้ในชื่อชิป เช่น Navi 31 XL
    RX 9060 XL อาจหมายถึงรุ่นที่ใช้ Navi 44 XL

    ข้อผิดพลาดในเอกสาร ROCm
    ระบุว่า RX 9000 ใช้ RDNA 3 ทั้งที่จริงเป็น RDNA 4
    RDNA 4 มีฟีเจอร์ใหม่ เช่น matrix accelerator FP8 และ ray tracing engine ใหม่
    เป็นการเปลี่ยนแปลงระดับ instruction set architecture

    สถานการณ์ตลาด GPU ของ AMD
    AMD ขาย GPU desktop ได้ประมาณ 700,000–750,000 ตัวในครึ่งปีแรก
    อาจไม่มีซิลิคอนเหลือพอสำหรับการผลิตรุ่นลดสเปกเพิ่ม
    ไม่มีข่าวว่าจะเปิดตัว RX 9000 รุ่นใหม่ในเร็ว ๆ นี้

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amd-lists-mystery-radeon-9060-xl-model-in-rocm-documents-but-it-is-more-likely-to-be-a-typo-than-a-new-sku
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Navi 44 ถึง XL: เมื่อชื่อที่ไม่ควรมีอยู่ กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการคาดเดา ในเอกสาร ROCm 6.4.2 ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สสำหรับการประมวลผล GPU ของ AMD มีการระบุชื่อ Radeon RX 9060 XL ว่าเป็นหนึ่งในรุ่นที่รองรับ แม้ว่า AMD จะยังไม่เคยประกาศ GPU รุ่นนี้อย่างเป็นทางการ และไม่มีข้อมูลใด ๆ ปรากฏในเว็บไซต์หรือข่าวเปิดตัว สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้น่าสนใจคือ ROCm ระบุชื่อรุ่น RX 9070 XT, RX 9070, RX 9070 GRE, RX 9060 XT และ RX 9060 XL แต่กลับไม่มี RX 9060 รุ่นธรรมดา ซึ่งทำให้หลายคนสงสัยว่า “XL” อาจเป็นชื่อที่ใช้แทน RX 9060 ธรรมดา หรือเป็นการพิมพ์ผิดที่เกิดจากการสับสนระหว่างชื่อรุ่นกับชื่อชิป AMD เคยใช้คำว่า “XL” ในอดีต เช่น Radeon X1800XL หรือในชิป OEM-only แต่ได้เลิกใช้คำนี้ในชื่อผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ยุค HD 3000 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม ชิป Navi 31 XL ก็ยังใช้คำนี้เพื่อระบุรุ่นที่ถูกลดสเปก ซึ่งทำให้เกิดความเป็นไปได้ว่า RX 9060 XL อาจหมายถึงรุ่นที่ใช้ชิป Navi 44 XL นอกจากนี้ ยังมีข้อผิดพลาดในเอกสาร ROCm ที่ระบุว่า GPU ตระกูล RX 9000 ใช้สถาปัตยกรรม RDNA 3 ทั้งที่จริงแล้วเป็น RDNA 4 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ เช่น matrix accelerator ที่รองรับ FP8, ระบบ cache ใหม่, และ ray tracing engine ที่ปรับปรุงใหม่ทั้งหมด แม้จะมีความเป็นไปได้ว่า RX 9060 XL คือชื่อจริงของ GPU ที่ยังไม่เปิดตัว แต่หลายฝ่าย—including VideoCardz และ Wccftech—มองว่าอาจเป็นแค่การพิมพ์ผิดจาก RX 9060 ธรรมดา ซึ่งใช้ชิป Navi 44 แบบลดสเปก และไม่มีความจำเป็นที่ AMD จะเปิดตัว SKU ใหม่ในช่วงที่ยอดขาย GPU ยังไม่สูงมาก ✅ การปรากฏของชื่อ Radeon RX 9060 XL ➡️ พบในเอกสาร ROCm 6.4.2 ของ AMD ➡️ ไม่มีการประกาศหรือเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ➡️ อาจเป็นการพิมพ์ผิดจาก RX 9060 ธรรมดา ✅ ความเป็นไปได้ของชื่อ “XL” ➡️ เคยใช้ในอดีตกับรุ่น OEM หรือรุ่นลดสเปก ➡️ ปัจจุบันยังใช้ในชื่อชิป เช่น Navi 31 XL ➡️ RX 9060 XL อาจหมายถึงรุ่นที่ใช้ Navi 44 XL ✅ ข้อผิดพลาดในเอกสาร ROCm ➡️ ระบุว่า RX 9000 ใช้ RDNA 3 ทั้งที่จริงเป็น RDNA 4 ➡️ RDNA 4 มีฟีเจอร์ใหม่ เช่น matrix accelerator FP8 และ ray tracing engine ใหม่ ➡️ เป็นการเปลี่ยนแปลงระดับ instruction set architecture ✅ สถานการณ์ตลาด GPU ของ AMD ➡️ AMD ขาย GPU desktop ได้ประมาณ 700,000–750,000 ตัวในครึ่งปีแรก ➡️ อาจไม่มีซิลิคอนเหลือพอสำหรับการผลิตรุ่นลดสเปกเพิ่ม ➡️ ไม่มีข่าวว่าจะเปิดตัว RX 9000 รุ่นใหม่ในเร็ว ๆ นี้ https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amd-lists-mystery-radeon-9060-xl-model-in-rocm-documents-but-it-is-more-likely-to-be-a-typo-than-a-new-sku
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    AMD lists mystery Radeon 9060 XL model in ROCm documents, but it is more likely to be a typo than a new SKU
    This non-existent Radeon RX 9060 XL GPU is listed in AMD's ROCm 6.4.2 software stack.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 118 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเฟิร์มแวร์ทดลองถึงการล่มของ SSD: เมื่อการทดสอบภายในกลายเป็นปัญหาสาธารณะ

    ช่วงเดือนสิงหาคม 2025 มีรายงานจากผู้ใช้จำนวนมากว่า SSD ของตนหายไปจากระบบหลังจากอัปเดต Windows 11 โดยเฉพาะเมื่อมีการถ่ายโอนไฟล์ขนาดใหญ่ บางเครื่องถึงขั้นไม่สามารถบูตกลับมาได้ แม้จะรีสตาร์ทหลายครั้ง

    ตอนแรกหลายคนสงสัยว่าเป็นปัญหาจาก Microsoft แต่หลังจาก Phison ผู้ผลิตคอนโทรลเลอร์ SSD ทำการทดสอบกว่า 4,500 ชั่วโมง ก็ไม่พบปัญหาใด ๆ ในเฟิร์มแวร์เวอร์ชันผลิตจริง และ Microsoft ก็ออกมายืนยันว่าอัปเดตของตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการล่มของ SSD

    ล่าสุด กลุ่มผู้ใช้งานในจีนชื่อ PCDIY! ได้เปิดเผยว่า SSD ที่ล่มนั้นใช้ “เฟิร์มแวร์เวอร์ชันทดสอบ” หรือ engineering firmware ซึ่งมักใช้ในช่วงก่อนผลิตจริง และอาจมีพฤติกรรมไม่เสถียร โดยเฉพาะเมื่อเจอกับการเปลี่ยนแปลงจากระบบปฏิบัติการ เช่น Windows Update

    Phison ยืนยันผลการทดสอบของกลุ่มนี้ โดยระบุว่าเฟิร์มแวร์ที่ใช้ในสินค้าขายจริงผ่านการตรวจสอบแล้ว และไม่มีปัญหาแบบที่พบในเวอร์ชันทดลอง ซึ่งอธิบายได้ว่าทำไมการทดสอบของ Phison และ Microsoft จึงไม่พบปัญหา—เพราะพวกเขาใช้เฟิร์มแวร์เวอร์ชันผลิตจริง

    นอกจากนี้ Phison ยังแนะนำให้ผู้ใช้ที่พบปัญหาอัปเดตเฟิร์มแวร์ของ SSD และติดตั้งฮีตซิงก์เพื่อป้องกันความร้อนสะสมระหว่างการใช้งานหนัก ซึ่งอาจเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ SSD ล่มในบางกรณี

    สาเหตุของการล่มของ SSD
    เกิดจากการใช้เฟิร์มแวร์เวอร์ชันทดสอบ (engineering firmware)
    เฟิร์มแวร์นี้อาจถูกกระตุ้นให้ล้มเหลวโดยอัปเดต Windows 11
    เฉพาะ SSD ที่ไม่ได้ใช้เฟิร์มแวร์ผลิตจริงเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ

    การตรวจสอบจาก Phison และ Microsoft
    Phison ทดสอบกว่า 4,500 ชั่วโมง ไม่พบปัญหาในเฟิร์มแวร์ผลิตจริง
    Microsoft ยืนยันว่าอัปเดตของตนไม่เกี่ยวข้องกับการล่มของ SSD
    การทดสอบของทั้งสองฝ่ายใช้เฟิร์มแวร์ที่ผ่านการผลิตและตรวจสอบแล้ว

    ข้อมูลจากกลุ่ม PCDIY!
    พบว่า SSD ที่ล่มใช้เฟิร์มแวร์เวอร์ชันทดลอง
    Phison ยืนยันผลการทดสอบของกลุ่มนี้
    อธิบายได้ว่าทำไมผู้ใช้บางกลุ่มจึงได้รับผลกระทบ

    คำแนะนำสำหรับผู้ใช้
    ควรอัปเดตเฟิร์มแวร์ของ SSD ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด
    ควรติดตั้งฮีตซิงก์เพื่อป้องกันความร้อนสะสม
    สำรองข้อมูลก่อนอัปเดตเฟิร์มแวร์ทุกครั้งเพื่อความปลอดภัย

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/new-report-blames-phisons-pre-release-firmware-for-ssd-failures-not-microsofts-august-patch-for-windows
    🎙️ เรื่องเล่าจากเฟิร์มแวร์ทดลองถึงการล่มของ SSD: เมื่อการทดสอบภายในกลายเป็นปัญหาสาธารณะ ช่วงเดือนสิงหาคม 2025 มีรายงานจากผู้ใช้จำนวนมากว่า SSD ของตนหายไปจากระบบหลังจากอัปเดต Windows 11 โดยเฉพาะเมื่อมีการถ่ายโอนไฟล์ขนาดใหญ่ บางเครื่องถึงขั้นไม่สามารถบูตกลับมาได้ แม้จะรีสตาร์ทหลายครั้ง ตอนแรกหลายคนสงสัยว่าเป็นปัญหาจาก Microsoft แต่หลังจาก Phison ผู้ผลิตคอนโทรลเลอร์ SSD ทำการทดสอบกว่า 4,500 ชั่วโมง ก็ไม่พบปัญหาใด ๆ ในเฟิร์มแวร์เวอร์ชันผลิตจริง และ Microsoft ก็ออกมายืนยันว่าอัปเดตของตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการล่มของ SSD ล่าสุด กลุ่มผู้ใช้งานในจีนชื่อ PCDIY! ได้เปิดเผยว่า SSD ที่ล่มนั้นใช้ “เฟิร์มแวร์เวอร์ชันทดสอบ” หรือ engineering firmware ซึ่งมักใช้ในช่วงก่อนผลิตจริง และอาจมีพฤติกรรมไม่เสถียร โดยเฉพาะเมื่อเจอกับการเปลี่ยนแปลงจากระบบปฏิบัติการ เช่น Windows Update Phison ยืนยันผลการทดสอบของกลุ่มนี้ โดยระบุว่าเฟิร์มแวร์ที่ใช้ในสินค้าขายจริงผ่านการตรวจสอบแล้ว และไม่มีปัญหาแบบที่พบในเวอร์ชันทดลอง ซึ่งอธิบายได้ว่าทำไมการทดสอบของ Phison และ Microsoft จึงไม่พบปัญหา—เพราะพวกเขาใช้เฟิร์มแวร์เวอร์ชันผลิตจริง นอกจากนี้ Phison ยังแนะนำให้ผู้ใช้ที่พบปัญหาอัปเดตเฟิร์มแวร์ของ SSD และติดตั้งฮีตซิงก์เพื่อป้องกันความร้อนสะสมระหว่างการใช้งานหนัก ซึ่งอาจเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ SSD ล่มในบางกรณี ✅ สาเหตุของการล่มของ SSD ➡️ เกิดจากการใช้เฟิร์มแวร์เวอร์ชันทดสอบ (engineering firmware) ➡️ เฟิร์มแวร์นี้อาจถูกกระตุ้นให้ล้มเหลวโดยอัปเดต Windows 11 ➡️ เฉพาะ SSD ที่ไม่ได้ใช้เฟิร์มแวร์ผลิตจริงเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ ✅ การตรวจสอบจาก Phison และ Microsoft ➡️ Phison ทดสอบกว่า 4,500 ชั่วโมง ไม่พบปัญหาในเฟิร์มแวร์ผลิตจริง ➡️ Microsoft ยืนยันว่าอัปเดตของตนไม่เกี่ยวข้องกับการล่มของ SSD ➡️ การทดสอบของทั้งสองฝ่ายใช้เฟิร์มแวร์ที่ผ่านการผลิตและตรวจสอบแล้ว ✅ ข้อมูลจากกลุ่ม PCDIY! ➡️ พบว่า SSD ที่ล่มใช้เฟิร์มแวร์เวอร์ชันทดลอง ➡️ Phison ยืนยันผลการทดสอบของกลุ่มนี้ ➡️ อธิบายได้ว่าทำไมผู้ใช้บางกลุ่มจึงได้รับผลกระทบ ✅ คำแนะนำสำหรับผู้ใช้ ➡️ ควรอัปเดตเฟิร์มแวร์ของ SSD ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด ➡️ ควรติดตั้งฮีตซิงก์เพื่อป้องกันความร้อนสะสม ➡️ สำรองข้อมูลก่อนอัปเดตเฟิร์มแวร์ทุกครั้งเพื่อความปลอดภัย https://www.tomshardware.com/pc-components/ssds/new-report-blames-phisons-pre-release-firmware-for-ssd-failures-not-microsofts-august-patch-for-windows
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 103 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก NPU ถึง Perfect PC: เมื่อ AMD บอกว่า AI ยังไม่ถึงจุดเปลี่ยน และ PC ที่ดีคือรากฐานของทุกอย่าง

    ในงาน IFA 2025 AMD ไม่ได้เปิดตัวชิปใหม่ แต่กลับใช้เวทีนี้เพื่ออธิบายแนวคิดเบื้องหลังกลยุทธ์ AI ของบริษัท โดย Jack Huynh รองประธานอาวุโสของ AMD กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “AI ยัง underhyped” เพราะสิ่งที่เราเห็นในวันนี้ เช่น generative AI หรือแชตบอท ยังเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น

    Huynh เปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของ AI กับยุคแรกของอินเทอร์เน็ต—เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ต้องใช้เวลาหลายปี และ AMD เชื่อว่าเมื่อการเปลี่ยนแปลงนั้นมาถึง สถาปัตยกรรมแบบ edge-first ที่เน้นการประมวลผลในเครื่องจะเป็นคำตอบที่พร้อมที่สุด

    AMD ย้ำว่า NPU (Neural Processing Unit) ไม่ได้มาแทน CPU หรือ GPU แต่เป็นส่วนเสริมที่ช่วยให้ระบบสามารถรันแอป AI ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องพึ่งพาคลาวด์ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของ AMD ที่เน้น performance-per-watt และการออกแบบที่ปรับขนาดได้

    Huynh กล่าวอย่างชัดเจนว่า “คุณจะไม่มี AI PC ถ้าไม่ได้เริ่มจากการสร้าง PC ที่ดีเสียก่อน” ซึ่งสะท้อนถึงแนวคิดที่ว่า AI ไม่ใช่ฟีเจอร์ที่แปะเข้าไปทีหลัง แต่ต้องฝังอยู่ในโครงสร้างของเครื่องตั้งแต่ต้น

    AMD ยังปฏิเสธแนวคิดการสร้างบริการสตรีมเกมแบบ GeForce Now โดยบอกว่า “จะไม่มี Radeon Now” และยืนยันว่าจะยังคงเป็นผู้ผลิตชิปให้กับพันธมิตรต่อไป—แม้แต่ Nvidia ก็ใช้ Threadripper ของ AMD ในโครงสร้างพื้นฐานของ GeForce Now

    อย่างไรก็ตาม AMD ยังเผชิญกับคำถามเรื่องส่วนแบ่งตลาด GPU ที่ลดลงเหลือเพียง 6% ในไตรมาสล่าสุด ซึ่งบริษัทเลือกที่จะอ้างอิงข้อมูลจาก Mercury Research แทนที่จะตอบตรง ๆ พร้อมยืนยันว่า Radeon ยังมีดีมานด์สูง และการผลิตยังตามไม่ทันหลังเปิดตัว RDNA 4

    วิสัยทัศน์ AI ของ AMD
    AI ยัง underhyped เพราะการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงยังมาไม่ถึง
    เปรียบเทียบกับยุคแรกของอินเทอร์เน็ต—ต้องใช้เวลาหลายปี
    AMD เน้นสถาปัตยกรรม edge-first ที่ไม่พึ่งคลาวด์

    บทบาทของ NPU
    ไม่ได้มาแทน CPU หรือ GPU แต่เป็นส่วนเสริม
    ช่วยให้ระบบรันแอป AI ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
    สอดคล้องกับแนวทาง performance-per-watt และ scalable design

    จุดยืนของ AMD ต่อ AI PC
    “คุณจะไม่มี AI PC ถ้าไม่ได้เริ่มจากการสร้าง PC ที่ดีเสียก่อน”
    เน้นการออกแบบเครื่องให้รองรับ AI ตั้งแต่โครงสร้าง
    ไม่เน้นการเปิดตัวสเปกแรงเพื่อเรียกกระแส แต่เน้นความสมดุล

    การปฏิเสธบริการสตรีมเกม
    AMD จะไม่เปิดตัว “Radeon Now”
    ยืนยันบทบาทเป็นผู้ผลิตชิปให้พันธมิตร
    Nvidia ใช้ Threadripper ของ AMD ใน GeForce Now

    สถานการณ์ตลาด GPU
    ส่วนแบ่งตลาด GPU ลดลงเหลือ 6% ใน Q2 2025
    AMD อ้างอิงข้อมูลจาก Mercury Research แทน Jon Peddie
    ยืนยันว่า Radeon ยังมีดีมานด์ และการผลิตยังตามไม่ทัน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/amd-calls-ai-underhyped-says-perfect-pc-comes-first
    🎙️ เรื่องเล่าจาก NPU ถึง Perfect PC: เมื่อ AMD บอกว่า AI ยังไม่ถึงจุดเปลี่ยน และ PC ที่ดีคือรากฐานของทุกอย่าง ในงาน IFA 2025 AMD ไม่ได้เปิดตัวชิปใหม่ แต่กลับใช้เวทีนี้เพื่ออธิบายแนวคิดเบื้องหลังกลยุทธ์ AI ของบริษัท โดย Jack Huynh รองประธานอาวุโสของ AMD กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “AI ยัง underhyped” เพราะสิ่งที่เราเห็นในวันนี้ เช่น generative AI หรือแชตบอท ยังเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น Huynh เปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของ AI กับยุคแรกของอินเทอร์เน็ต—เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ต้องใช้เวลาหลายปี และ AMD เชื่อว่าเมื่อการเปลี่ยนแปลงนั้นมาถึง สถาปัตยกรรมแบบ edge-first ที่เน้นการประมวลผลในเครื่องจะเป็นคำตอบที่พร้อมที่สุด AMD ย้ำว่า NPU (Neural Processing Unit) ไม่ได้มาแทน CPU หรือ GPU แต่เป็นส่วนเสริมที่ช่วยให้ระบบสามารถรันแอป AI ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องพึ่งพาคลาวด์ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของ AMD ที่เน้น performance-per-watt และการออกแบบที่ปรับขนาดได้ Huynh กล่าวอย่างชัดเจนว่า “คุณจะไม่มี AI PC ถ้าไม่ได้เริ่มจากการสร้าง PC ที่ดีเสียก่อน” ซึ่งสะท้อนถึงแนวคิดที่ว่า AI ไม่ใช่ฟีเจอร์ที่แปะเข้าไปทีหลัง แต่ต้องฝังอยู่ในโครงสร้างของเครื่องตั้งแต่ต้น AMD ยังปฏิเสธแนวคิดการสร้างบริการสตรีมเกมแบบ GeForce Now โดยบอกว่า “จะไม่มี Radeon Now” และยืนยันว่าจะยังคงเป็นผู้ผลิตชิปให้กับพันธมิตรต่อไป—แม้แต่ Nvidia ก็ใช้ Threadripper ของ AMD ในโครงสร้างพื้นฐานของ GeForce Now อย่างไรก็ตาม AMD ยังเผชิญกับคำถามเรื่องส่วนแบ่งตลาด GPU ที่ลดลงเหลือเพียง 6% ในไตรมาสล่าสุด ซึ่งบริษัทเลือกที่จะอ้างอิงข้อมูลจาก Mercury Research แทนที่จะตอบตรง ๆ พร้อมยืนยันว่า Radeon ยังมีดีมานด์สูง และการผลิตยังตามไม่ทันหลังเปิดตัว RDNA 4 ✅ วิสัยทัศน์ AI ของ AMD ➡️ AI ยัง underhyped เพราะการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงยังมาไม่ถึง ➡️ เปรียบเทียบกับยุคแรกของอินเทอร์เน็ต—ต้องใช้เวลาหลายปี ➡️ AMD เน้นสถาปัตยกรรม edge-first ที่ไม่พึ่งคลาวด์ ✅ บทบาทของ NPU ➡️ ไม่ได้มาแทน CPU หรือ GPU แต่เป็นส่วนเสริม ➡️ ช่วยให้ระบบรันแอป AI ได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ➡️ สอดคล้องกับแนวทาง performance-per-watt และ scalable design ✅ จุดยืนของ AMD ต่อ AI PC ➡️ “คุณจะไม่มี AI PC ถ้าไม่ได้เริ่มจากการสร้าง PC ที่ดีเสียก่อน” ➡️ เน้นการออกแบบเครื่องให้รองรับ AI ตั้งแต่โครงสร้าง ➡️ ไม่เน้นการเปิดตัวสเปกแรงเพื่อเรียกกระแส แต่เน้นความสมดุล ✅ การปฏิเสธบริการสตรีมเกม ➡️ AMD จะไม่เปิดตัว “Radeon Now” ➡️ ยืนยันบทบาทเป็นผู้ผลิตชิปให้พันธมิตร ➡️ Nvidia ใช้ Threadripper ของ AMD ใน GeForce Now ✅ สถานการณ์ตลาด GPU ➡️ ส่วนแบ่งตลาด GPU ลดลงเหลือ 6% ใน Q2 2025 ➡️ AMD อ้างอิงข้อมูลจาก Mercury Research แทน Jon Peddie ➡️ ยืนยันว่า Radeon ยังมีดีมานด์ และการผลิตยังตามไม่ทัน https://www.tomshardware.com/tech-industry/amd-calls-ai-underhyped-says-perfect-pc-comes-first
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    AMD calls AI ‘underhyped’ at IFA Berlin — chipmaker says the ‘perfect PC’ comes first
    AMD outlines its AI roadmap at IFA 2025, prioritizing local performance and a PC-first approach over cloud-based promises.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 149 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากฝุ่นถึงฟันเฟืองสมอง: เมื่ออากาศสกปรกกลายเป็นตัวเร่งโรคที่เราไม่เคยคาดคิด

    งานวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science วิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ป่วยกว่า 56.5 ล้านคนในสหรัฐฯ และพบว่าการสัมผัสฝุ่น PM2.5 ในระยะยาวมีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในการเกิดภาวะสมองเสื่อมแบบ Lewy body และพาร์กินสันที่มีภาวะสมองเสื่อมร่วมด้วย โดยเฉพาะในผู้ที่มีพันธุกรรมที่โน้มเอียงต่อโรคเหล่านี้

    PM2.5 คือฝุ่นขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน ซึ่งสามารถแทรกซึมเข้าสู่ปอดและกระแสเลือดได้ง่าย และในงานวิจัยนี้ นักวิทยาศาสตร์พบว่าในหนูทดลองที่ได้รับ PM2.5 ผ่านทางจมูกเป็นเวลา 10 เดือน มีการสะสมของโปรตีน α-synuclein (αSyn) ในสมอง ซึ่งเป็นตัวการสำคัญของโรค Lewy body dementia

    ที่น่าตกใจคือ หนูที่ได้รับ PM2.5 มีพฤติกรรมคล้ายภาวะสมองเสื่อม เช่น ความจำเสื่อมในการทดสอบเขาวงกต และการจำวัตถุใหม่ไม่ได้ นอกจากนี้ยังพบว่าเนื้อสมองบริเวณ medial temporal lobe ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้างและเรียกคืนความทรงจำ มีการหดตัวอย่างชัดเจน

    ทีมวิจัยยังพบว่า αSyn ไม่ได้สะสมแค่ในสมอง แต่ยังพบในลำไส้และปอดของหนูที่ได้รับ PM2.5 ซึ่งชี้ว่าอาจมีการแพร่กระจายของโปรตีนผ่าน “gut–brain axis” หรือเส้นทางลำไส้สู่สมอง ซึ่งเป็นกลไกที่เชื่อมโยงกับการเกิดโรคอัลไซเมอร์และ Lewy body dementia

    เมื่อเปรียบเทียบกับหนูที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมให้ไม่มีโปรตีน αSyn พบว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงในสมองเลย ซึ่งยืนยันว่าโปรตีนนี้เป็นตัวกลางสำคัญในการเกิดโรคจากฝุ่น PM2.5

    ความเชื่อมโยงระหว่าง PM2.5 กับภาวะสมองเสื่อม
    การสัมผัส PM2.5 ระยะยาวเพิ่มความเสี่ยงต่อ Lewy body dementia และพาร์กินสันที่มีภาวะสมองเสื่อม
    ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 12% สำหรับผู้ที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
    ผู้ที่มีพันธุกรรมโน้มเอียงจะได้รับผลกระทบชัดเจนมากกว่า

    กลไกของโรคที่พบในหนูทดลอง
    พบการสะสมของโปรตีน αSyn ในสมอง ลำไส้ และปอด
    หนูมีพฤติกรรมคล้ายภาวะสมองเสื่อม เช่น ความจำเสื่อม
    สมองบริเวณ medial temporal lobe หดตัวอย่างมีนัยสำคัญ

    การเปรียบเทียบกับหนูที่ไม่มีโปรตีน αSyn
    ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในสมองหรือพฤติกรรม
    ยืนยันว่า αSyn เป็นตัวกลางสำคัญในการเกิดโรคจาก PM2.5

    การเปลี่ยนแปลงระดับยีนในสมอง
    พบการเปลี่ยนแปลงของการแสดงออกของยีนใน anterior cingulate cortex
    การเปลี่ยนแปลงนี้คล้ายกับที่พบในผู้ป่วย Lewy body dementia
    ไม่พบความคล้ายกันในผู้ป่วยพาร์กินสันที่ไม่มีภาวะสมองเสื่อม

    https://www.nature.com/articles/d41586-025-02844-9
    🎙️ เรื่องเล่าจากฝุ่นถึงฟันเฟืองสมอง: เมื่ออากาศสกปรกกลายเป็นตัวเร่งโรคที่เราไม่เคยคาดคิด งานวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science วิเคราะห์ข้อมูลจากผู้ป่วยกว่า 56.5 ล้านคนในสหรัฐฯ และพบว่าการสัมผัสฝุ่น PM2.5 ในระยะยาวมีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในการเกิดภาวะสมองเสื่อมแบบ Lewy body และพาร์กินสันที่มีภาวะสมองเสื่อมร่วมด้วย โดยเฉพาะในผู้ที่มีพันธุกรรมที่โน้มเอียงต่อโรคเหล่านี้ PM2.5 คือฝุ่นขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน ซึ่งสามารถแทรกซึมเข้าสู่ปอดและกระแสเลือดได้ง่าย และในงานวิจัยนี้ นักวิทยาศาสตร์พบว่าในหนูทดลองที่ได้รับ PM2.5 ผ่านทางจมูกเป็นเวลา 10 เดือน มีการสะสมของโปรตีน α-synuclein (αSyn) ในสมอง ซึ่งเป็นตัวการสำคัญของโรค Lewy body dementia ที่น่าตกใจคือ หนูที่ได้รับ PM2.5 มีพฤติกรรมคล้ายภาวะสมองเสื่อม เช่น ความจำเสื่อมในการทดสอบเขาวงกต และการจำวัตถุใหม่ไม่ได้ นอกจากนี้ยังพบว่าเนื้อสมองบริเวณ medial temporal lobe ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้างและเรียกคืนความทรงจำ มีการหดตัวอย่างชัดเจน ทีมวิจัยยังพบว่า αSyn ไม่ได้สะสมแค่ในสมอง แต่ยังพบในลำไส้และปอดของหนูที่ได้รับ PM2.5 ซึ่งชี้ว่าอาจมีการแพร่กระจายของโปรตีนผ่าน “gut–brain axis” หรือเส้นทางลำไส้สู่สมอง ซึ่งเป็นกลไกที่เชื่อมโยงกับการเกิดโรคอัลไซเมอร์และ Lewy body dementia เมื่อเปรียบเทียบกับหนูที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมให้ไม่มีโปรตีน αSyn พบว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงในสมองเลย ซึ่งยืนยันว่าโปรตีนนี้เป็นตัวกลางสำคัญในการเกิดโรคจากฝุ่น PM2.5 ✅ ความเชื่อมโยงระหว่าง PM2.5 กับภาวะสมองเสื่อม ➡️ การสัมผัส PM2.5 ระยะยาวเพิ่มความเสี่ยงต่อ Lewy body dementia และพาร์กินสันที่มีภาวะสมองเสื่อม ➡️ ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 12% สำหรับผู้ที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ➡️ ผู้ที่มีพันธุกรรมโน้มเอียงจะได้รับผลกระทบชัดเจนมากกว่า ✅ กลไกของโรคที่พบในหนูทดลอง ➡️ พบการสะสมของโปรตีน αSyn ในสมอง ลำไส้ และปอด ➡️ หนูมีพฤติกรรมคล้ายภาวะสมองเสื่อม เช่น ความจำเสื่อม ➡️ สมองบริเวณ medial temporal lobe หดตัวอย่างมีนัยสำคัญ ✅ การเปรียบเทียบกับหนูที่ไม่มีโปรตีน αSyn ➡️ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในสมองหรือพฤติกรรม ➡️ ยืนยันว่า αSyn เป็นตัวกลางสำคัญในการเกิดโรคจาก PM2.5 ✅ การเปลี่ยนแปลงระดับยีนในสมอง ➡️ พบการเปลี่ยนแปลงของการแสดงออกของยีนใน anterior cingulate cortex ➡️ การเปลี่ยนแปลงนี้คล้ายกับที่พบในผู้ป่วย Lewy body dementia ➡️ ไม่พบความคล้ายกันในผู้ป่วยพาร์กินสันที่ไม่มีภาวะสมองเสื่อม https://www.nature.com/articles/d41586-025-02844-9
    WWW.NATURE.COM
    Air pollution directly linked to increased dementia risk
    Long-term exposure accelerates the development of Lewy body dementia and Parkinson’s disease with dementia in people who are predisposed to the conditions.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Shark Tank ถึง ChatGPT: เมื่อการไม่เรียนรู้ AI กลายเป็นการเดินออกจากอนาคตด้วยตัวเอง

    Emma Grede ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ Skims และนักลงทุนใน Shark Tank เคยใช้ AI แบบเบา ๆ แค่แทน Google Search ด้วย ChatGPT จนกระทั่งเธอเชิญ Mark Cuban มาคุยในพอดแคสต์ของเธอ และได้คำตอบสั้น ๆ แต่แรงมากจากเขาเมื่อถามว่า “ถ้าไม่อยากใช้ AI จะเป็นยังไง?” คำตอบของ Cuban คือ “You’re (expletive)” หรือแปลตรง ๆ ว่า “คุณจบแล้ว”

    Cuban เปรียบเทียบสถานการณ์ตอนนี้กับยุคที่คนปฏิเสธการใช้ PC, อินเทอร์เน็ต หรือ Wi-Fi แล้วธุรกิจเหล่านั้นก็ตายไปจริง ๆ เขาย้ำว่า “การเริ่มต้นธุรกิจวันนี้ไม่มีทางแยกจากการใช้ AI ได้อีกแล้ว” และแนะนำให้ทุกคน “ใช้เวลาเยอะมาก ๆ กับการเรียนรู้วิธีถาม AI ให้ถูก”

    หลังจากบทสนทนานั้น Grede เปลี่ยนพฤติกรรมทันที เธอเริ่มค้นหาคอร์สเรียน AI ดาวน์โหลดแอปใหม่ และบอกว่า “เขาเตะฉันให้ลุกขึ้นมาเรียน” ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ฟังหลายคนเริ่มต้นตาม

    Harvard ก็ออกมาสนับสนุนแนวคิดนี้ โดยระบุว่า “อัตราการใช้งาน AI สูงกว่าการใช้งานอินเทอร์เน็ตและ PC ในช่วงเริ่มต้น” และเสริมว่า “คนที่เข้าใจและใช้ AI ได้ก่อน จะได้ผลตอบแทนมหาศาลในอนาคต”

    แม้จะมีคำเตือนว่า AI อาจเข้าสู่ช่วง “ความผิดหวัง” หรือเกิดฟองสบู่ แต่ข้อมูลเชิงสถิติก็ชี้ว่า AI กำลังกลายเป็นเทคโนโลยีฐานรากของทุกอุตสาหกรรม และการไม่เรียนรู้มันคือการเดินออกจากโอกาสโดยไม่รู้ตัว

    คำแนะนำจาก Mark Cuban
    “The first thing you have to do is learn AI”
    ต้องใช้เวลาเยอะมากในการเรียนรู้วิธีถาม AI ให้ถูก
    เปรียบเทียบกับยุคที่คนปฏิเสธการใช้ PC และอินเทอร์เน็ต

    การเปลี่ยนแปลงของ Emma Grede
    เคยใช้ AI แค่แทน Google Search
    หลังคุยกับ Cuban เริ่มค้นหาคอร์สและดาวน์โหลดแอปทันที
    บอกว่า “เขาเตะฉันให้ลุกขึ้นมาเรียน”

    ข้อมูลจาก Harvard
    อัตราการใช้งาน AI สูงกว่าการใช้งานอินเทอร์เน็ตในยุคเริ่มต้น
    คนที่เข้าใจและใช้ AI ได้ก่อนจะได้ผลตอบแทนมหาศาล
    เปรียบเทียบว่า AI จะกลายเป็นเทคโนโลยีฐานรากเหมือน PC

    วิธีเริ่มต้นเรียนรู้ AI
    ทดลองใช้เครื่องมืออย่าง ChatGPT, Gemini, Claude, Perplexity
    ฝึกการตั้งคำถามและการ prompt ให้มีประสิทธิภาพ
    ใช้ AI เป็นเหมือน “ทีมที่ปรึกษา” ในการทำงาน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/06/billionaire-entrepreneur-has-some-words-for-people-who-dont-want-to-learn-ai
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Shark Tank ถึง ChatGPT: เมื่อการไม่เรียนรู้ AI กลายเป็นการเดินออกจากอนาคตด้วยตัวเอง Emma Grede ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ Skims และนักลงทุนใน Shark Tank เคยใช้ AI แบบเบา ๆ แค่แทน Google Search ด้วย ChatGPT จนกระทั่งเธอเชิญ Mark Cuban มาคุยในพอดแคสต์ของเธอ และได้คำตอบสั้น ๆ แต่แรงมากจากเขาเมื่อถามว่า “ถ้าไม่อยากใช้ AI จะเป็นยังไง?” คำตอบของ Cuban คือ “You’re (expletive)” หรือแปลตรง ๆ ว่า “คุณจบแล้ว” Cuban เปรียบเทียบสถานการณ์ตอนนี้กับยุคที่คนปฏิเสธการใช้ PC, อินเทอร์เน็ต หรือ Wi-Fi แล้วธุรกิจเหล่านั้นก็ตายไปจริง ๆ เขาย้ำว่า “การเริ่มต้นธุรกิจวันนี้ไม่มีทางแยกจากการใช้ AI ได้อีกแล้ว” และแนะนำให้ทุกคน “ใช้เวลาเยอะมาก ๆ กับการเรียนรู้วิธีถาม AI ให้ถูก” หลังจากบทสนทนานั้น Grede เปลี่ยนพฤติกรรมทันที เธอเริ่มค้นหาคอร์สเรียน AI ดาวน์โหลดแอปใหม่ และบอกว่า “เขาเตะฉันให้ลุกขึ้นมาเรียน” ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ฟังหลายคนเริ่มต้นตาม Harvard ก็ออกมาสนับสนุนแนวคิดนี้ โดยระบุว่า “อัตราการใช้งาน AI สูงกว่าการใช้งานอินเทอร์เน็ตและ PC ในช่วงเริ่มต้น” และเสริมว่า “คนที่เข้าใจและใช้ AI ได้ก่อน จะได้ผลตอบแทนมหาศาลในอนาคต” แม้จะมีคำเตือนว่า AI อาจเข้าสู่ช่วง “ความผิดหวัง” หรือเกิดฟองสบู่ แต่ข้อมูลเชิงสถิติก็ชี้ว่า AI กำลังกลายเป็นเทคโนโลยีฐานรากของทุกอุตสาหกรรม และการไม่เรียนรู้มันคือการเดินออกจากโอกาสโดยไม่รู้ตัว ✅ คำแนะนำจาก Mark Cuban ➡️ “The first thing you have to do is learn AI” ➡️ ต้องใช้เวลาเยอะมากในการเรียนรู้วิธีถาม AI ให้ถูก ➡️ เปรียบเทียบกับยุคที่คนปฏิเสธการใช้ PC และอินเทอร์เน็ต ✅ การเปลี่ยนแปลงของ Emma Grede ➡️ เคยใช้ AI แค่แทน Google Search ➡️ หลังคุยกับ Cuban เริ่มค้นหาคอร์สและดาวน์โหลดแอปทันที ➡️ บอกว่า “เขาเตะฉันให้ลุกขึ้นมาเรียน” ✅ ข้อมูลจาก Harvard ➡️ อัตราการใช้งาน AI สูงกว่าการใช้งานอินเทอร์เน็ตในยุคเริ่มต้น ➡️ คนที่เข้าใจและใช้ AI ได้ก่อนจะได้ผลตอบแทนมหาศาล ➡️ เปรียบเทียบว่า AI จะกลายเป็นเทคโนโลยีฐานรากเหมือน PC ✅ วิธีเริ่มต้นเรียนรู้ AI ➡️ ทดลองใช้เครื่องมืออย่าง ChatGPT, Gemini, Claude, Perplexity ➡️ ฝึกการตั้งคำถามและการ prompt ให้มีประสิทธิภาพ ➡️ ใช้ AI เป็นเหมือน “ทีมที่ปรึกษา” ในการทำงาน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/06/billionaire-entrepreneur-has-some-words-for-people-who-dont-want-to-learn-ai
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Billionaire entrepreneur has some words for people who don’t want to learn AI
    Mark Cuban has a salty warning for people who are avoiding getting started on learning to use AI.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากคำสัญญาสู่คำจำกัดความใหม่: เมื่อ Tesla เปลี่ยนความหมายของ FSD และยอมรับว่า “ขับเองจริง” ยังมาไม่ถึง

    ย้อนกลับไปปี 2016 Tesla เคยประกาศว่า รถทุกคันที่ผลิตจะสามารถอัปเดตซอฟต์แวร์เพื่อให้ขับเองได้โดยไม่ต้องมีคนควบคุม และตั้งแต่ปี 2018 Elon Musk ก็พูดซ้ำทุกปีว่า “ภายในสิ้นปีนี้” ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติจะพร้อมใช้งานจริง

    Tesla ยังขายแพ็กเกจ “Full Self-Driving Capability” (FSD) ให้ลูกค้าราคา $15,000 พร้อมคำสัญญาว่าจะอัปเดตให้รถขับเองได้ในอนาคต แต่ในปี 2025 Tesla ยอมรับแล้วว่า รถที่ผลิตระหว่างปี 2016–2023 ไม่มีฮาร์ดแวร์ที่รองรับการขับเองโดยสมบูรณ์ และไม่มีแผนชัดเจนในการอัปเกรด

    ล่าสุด Tesla ได้เปลี่ยนชื่อแพ็กเกจเป็น “Full Self-Driving (Supervised)” พร้อมระบุในเงื่อนไขว่า “ไม่ใช่ระบบอัตโนมัติ” และ “ไม่รับประกันว่าจะเป็นฟีเจอร์ในอนาคต” ซึ่งหมายความว่าผู้ซื้อ FSD วันนี้ไม่ได้ซื้อความสามารถขับเองแบบที่เคยสัญญาไว้

    ที่น่าจับตามองคือ Tesla ยังใช้คำว่า FSD ในแผนการจ่ายค่าตอบแทนให้ Elon Musk ซึ่งอาจมีมูลค่าสูงถึง $1 ล้านล้านดอลลาร์ หากบรรลุเป้าหมาย เช่น มีผู้สมัครใช้งาน FSD ถึง 10 ล้านราย แต่ในเอกสารนั้น Tesla ได้เปลี่ยนคำจำกัดความของ FSD ให้คลุมเครือว่า “เป็นระบบช่วยขับที่สามารถทำงานคล้ายอัตโนมัติในบางสถานการณ์”

    นั่นหมายความว่า แม้ระบบจะยังต้องมีคนจับพวงมาลัยตลอดเวลา ก็ยังถือว่า “บรรลุเป้าหมาย” ได้ตามนิยามใหม่ และ Musk ก็อาจได้รับหุ้นมูลค่ามหาศาลจากการเปลี่ยนคำจำกัดความนี้

    การเปลี่ยนแปลงของคำว่า FSD
    เดิมหมายถึงระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบโดยไม่ต้องมีคนควบคุม
    ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น “Full Self-Driving (Supervised)” ที่ยังต้องมีคนจับพวงมาลัย
    Tesla ระบุชัดว่าไม่ใช่ระบบอัตโนมัติ และไม่รับประกันว่าจะเป็นฟีเจอร์ในอนาคต

    ผลกระทบต่อผู้ซื้อ FSD
    รถที่ผลิตระหว่างปี 2016–2023 ไม่มีฮาร์ดแวร์ที่รองรับการขับเอง
    ไม่มีแผนชัดเจนในการอัปเกรดฮาร์ดแวร์ให้กับรถรุ่นเก่า
    ผู้ซื้อ FSD วันนี้ไม่ได้รับคำสัญญาแบบเดียวกับผู้ซื้อในอดีต

    แผนค่าตอบแทนของ Elon Musk
    Tesla เสนอแพ็กเกจค่าตอบแทนสูงสุด $1 ล้านล้านดอลลาร์
    หนึ่งในเป้าหมายคือมีผู้ใช้งาน FSD ถึง 10 ล้านราย
    คำจำกัดความของ FSD ในเอกสารถูกเปลี่ยนให้คลุมเครือ

    ความแตกต่างระหว่างการตลาดกับเอกสารทางกฎหมาย
    Tesla ใช้คำว่า “ขับเองได้” ในการขาย แต่ใช้คำว่า “ช่วยขับ” ในเอกสาร
    ระบบที่ยังต้องมีคนควบคุมก็ถือว่า “บรรลุเป้าหมาย” ได้ตามนิยามใหม่
    อาจนำไปสู่การจ่ายหุ้นให้ Musk แม้ระบบยังไม่ขับเองจริง

    https://electrek.co/2025/09/05/tesla-changes-meaning-full-self-driving-give-up-promise-autonomy/
    🎙️ เรื่องเล่าจากคำสัญญาสู่คำจำกัดความใหม่: เมื่อ Tesla เปลี่ยนความหมายของ FSD และยอมรับว่า “ขับเองจริง” ยังมาไม่ถึง ย้อนกลับไปปี 2016 Tesla เคยประกาศว่า รถทุกคันที่ผลิตจะสามารถอัปเดตซอฟต์แวร์เพื่อให้ขับเองได้โดยไม่ต้องมีคนควบคุม และตั้งแต่ปี 2018 Elon Musk ก็พูดซ้ำทุกปีว่า “ภายในสิ้นปีนี้” ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติจะพร้อมใช้งานจริง Tesla ยังขายแพ็กเกจ “Full Self-Driving Capability” (FSD) ให้ลูกค้าราคา $15,000 พร้อมคำสัญญาว่าจะอัปเดตให้รถขับเองได้ในอนาคต แต่ในปี 2025 Tesla ยอมรับแล้วว่า รถที่ผลิตระหว่างปี 2016–2023 ไม่มีฮาร์ดแวร์ที่รองรับการขับเองโดยสมบูรณ์ และไม่มีแผนชัดเจนในการอัปเกรด ล่าสุด Tesla ได้เปลี่ยนชื่อแพ็กเกจเป็น “Full Self-Driving (Supervised)” พร้อมระบุในเงื่อนไขว่า “ไม่ใช่ระบบอัตโนมัติ” และ “ไม่รับประกันว่าจะเป็นฟีเจอร์ในอนาคต” ซึ่งหมายความว่าผู้ซื้อ FSD วันนี้ไม่ได้ซื้อความสามารถขับเองแบบที่เคยสัญญาไว้ ที่น่าจับตามองคือ Tesla ยังใช้คำว่า FSD ในแผนการจ่ายค่าตอบแทนให้ Elon Musk ซึ่งอาจมีมูลค่าสูงถึง $1 ล้านล้านดอลลาร์ หากบรรลุเป้าหมาย เช่น มีผู้สมัครใช้งาน FSD ถึง 10 ล้านราย แต่ในเอกสารนั้น Tesla ได้เปลี่ยนคำจำกัดความของ FSD ให้คลุมเครือว่า “เป็นระบบช่วยขับที่สามารถทำงานคล้ายอัตโนมัติในบางสถานการณ์” นั่นหมายความว่า แม้ระบบจะยังต้องมีคนจับพวงมาลัยตลอดเวลา ก็ยังถือว่า “บรรลุเป้าหมาย” ได้ตามนิยามใหม่ และ Musk ก็อาจได้รับหุ้นมูลค่ามหาศาลจากการเปลี่ยนคำจำกัดความนี้ ✅ การเปลี่ยนแปลงของคำว่า FSD ➡️ เดิมหมายถึงระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติเต็มรูปแบบโดยไม่ต้องมีคนควบคุม ➡️ ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น “Full Self-Driving (Supervised)” ที่ยังต้องมีคนจับพวงมาลัย ➡️ Tesla ระบุชัดว่าไม่ใช่ระบบอัตโนมัติ และไม่รับประกันว่าจะเป็นฟีเจอร์ในอนาคต ✅ ผลกระทบต่อผู้ซื้อ FSD ➡️ รถที่ผลิตระหว่างปี 2016–2023 ไม่มีฮาร์ดแวร์ที่รองรับการขับเอง ➡️ ไม่มีแผนชัดเจนในการอัปเกรดฮาร์ดแวร์ให้กับรถรุ่นเก่า ➡️ ผู้ซื้อ FSD วันนี้ไม่ได้รับคำสัญญาแบบเดียวกับผู้ซื้อในอดีต ✅ แผนค่าตอบแทนของ Elon Musk ➡️ Tesla เสนอแพ็กเกจค่าตอบแทนสูงสุด $1 ล้านล้านดอลลาร์ ➡️ หนึ่งในเป้าหมายคือมีผู้ใช้งาน FSD ถึง 10 ล้านราย ➡️ คำจำกัดความของ FSD ในเอกสารถูกเปลี่ยนให้คลุมเครือ ✅ ความแตกต่างระหว่างการตลาดกับเอกสารทางกฎหมาย ➡️ Tesla ใช้คำว่า “ขับเองได้” ในการขาย แต่ใช้คำว่า “ช่วยขับ” ในเอกสาร ➡️ ระบบที่ยังต้องมีคนควบคุมก็ถือว่า “บรรลุเป้าหมาย” ได้ตามนิยามใหม่ ➡️ อาจนำไปสู่การจ่ายหุ้นให้ Musk แม้ระบบยังไม่ขับเองจริง https://electrek.co/2025/09/05/tesla-changes-meaning-full-self-driving-give-up-promise-autonomy/
    ELECTREK.CO
    Tesla changes meaning of 'Full Self-Driving', gives up on promise of autonomy
    Tesla has changed the meaning of “Full Self-Driving”, also known as “FSD”, to give up on its original promise of...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 105 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยเก่า ตอนที่ 3

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
    ตอนที่ 3
    หลังจากอยู่กรุงเทพฯได้ 1 ปี นาย Kenneth และครอบครัว ก็ถูกให้ย้ายไปประจำที่นครศรีธรรมราช เขาอยู่ที่นั่น 1 ปี จากนั้นก็ย้ายมาประจำที่ตรัง รวมๆ แล้ว เขาอยู่แถวภาคใต้ของไทย ประมาณเกือบ 10 ปี ตอนที่อยู่ที่นครศรีธรรมราช เขาอาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกับโรงเรียนสตรี ซึ่งเป็นของพวกมิชชั่นนารี ซึ่งเขาอ้างว่าเป็นที่พระราชทานจากกรมพระยาดำรงราชานุภาพ แต่เมื่อมาอยู่ตรัง เขามีบ้านแยกต่างหากจากโรงเรียน ระหว่างที่เขาอยู่ตรังเขาเดินทาง ไปทั่ว ขึ้นมาจนทับสะแก (คือหัวหินในปัจจุบัน) และลงใต้ไปถึงแหลมมาลายู เขาบอกว่าในภาคใต้ของไทย มีคนจีนอาศัยอยู่มาก และส่วนมากเป็นพวกใช้แรงงาน หรือขายของชำ บ้างก็เปิดร้านค้าเล็กๆ ในตลาด ครอบครัวเขามีคนรับใช้และคนทำอาหารเป็นชาวจีน เขาจึงหัดพูดภาษาจีนกับคนรับใช้ทุกวัน
    จากการที่เขาคุยกับคนรับใช้ชาวจีน เขารู้ว่าคนจีนเหล่านั้นไม่มีโอกาสเรียนหนังสือ ไม่มีโรงเรียนของคนจีน เขาจึงพยายามให้ทางคณะมิชชั่นนารีช่วยจัดตั้งโรงเรียนให้คนจีน โดยเอาครูมาจากกรุงเทพฯ สิงคโปร์ ปีนัง ส่วนค่าก่อสร้างเขาก็ขอรับบริจาคบ้างจากคนในจังหวัด เขาสามารถสร้างใด้ถึง 4 โรงเรียน การคลุกคลีกับคนจีน ทำให้เขาพูดภาษาจีนแต้จิ๋วได้และเทศน์เป็นภาษาจีนได้อีกด้วย การสอนภาษาของ นาย Kenneth ขยายไปตั้งแต่คอขอดกระจนถึงชายแดนมาลายู และทำให้เขาต้องเดินทางแถบนั้นบ่อยมาก โดยรถไฟ เกวียน ช้าง เรือข้ามฝั่ง เรือเล็กตามคลอง รวมทั้งที่จักรยาน และการเดินเท้าของตนเอง และเพื่อให้มีการติดต่อระหว่างสังคมไทยและจีน ซึ่งอยู่ห่างไกลกัน นาย Kenneth ลงทุนพิมพ์จดหมายเหตุรายเดือน เป็นภาษาไทยและจีน เพื่อให้คนเหล่านั้นได้ข้อมูลและข่าว (ตามที่เขาเขียน !) ต้องนับถือผู้ที่เลือกถิ่นที่ทำงานให้นาย Kenneth จริงๆ ภาคใต้น่าสนใจหลายอย่าง รวมทั้งภูมิศาสตร์ที่มีพื้นที่ยาวตลอดไป ตามอ่าวไทยของไทยจนไปถึงเขตแดนมลายู
    นาย Kenneth และครอบครัว ย้ายกลับไปอเมริกาใน ค.ศ. 1937 โดยอ้างว่า เบื่อที่จะเป็น มิชชั่นนารีแล้ว เพราะรายได้ไม่พอ (หรือภาระกิจสำเร็จได้ตามเป้า เลยเก็บฉากขนของกลับบ้านซะเฉยๆ งั้นแหละ !?) เมื่อเขากลับ เขาหอบหนังสือพิมพ์และนิตยสารที่ออกเป็นงวด ที่เกี่ยวกับเมืองไทยที่เขาเก็บสะสมไว้ ตลอด 10 ปีที่อยู่เมืองกลับไปด้วย รวมทั้งแผนที่ของเมืองไทยแสดงอาณาบริเวณต่างๆ ทั่วประเทศอย่างละเอียด ยังไม่หมดยังหอบเอาหนังสือจากห้องสมุดของไทย ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ เท่าที่ตัวเองจะหาได้กลับไปด้วย ที่สำคัญ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย เมื่อปี ค.ศ. 1932 (พ.ศ. 2475) นาย Kenneth บอกว่าเป็นช่วงเหตุการณ์สำคัญของประวัติศาสตร์ไทย เขาเก็บเอกสารในช่วง 5 ปี ระหว่างนั้นไว้หมด โดยตั้งใจจะเขียนหนังสือ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย (นับว่าเป็นมิชชั่นนารี “ตัวอย่าง” จริงๆ ตกลงจะมาเผยแพร่ศาสนาหรือมาทำอะไรกันแน่)
    วันหนึ่งหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ.2475 ขณะที่เขาเริ่มเขียนหนังสือ เรื่อง Siam in Transition เขายังอยู่ที่ตรังกับครอบครัว มีผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นคนสนิทของนายปรีดี พนมยงค์ ตอนเป็นผู้สำเร็จราชการ เกิดอยากจะแต่งงานในโบสถ์คริสเตียน กับสาวตรังซึ่งเป็นคริสเตียน นายคนสนิทนี้ก็มาหา นาย Kenneth เพื่อขออนุญาตนาย Kenneth ให้คู่บ่าวสาวได้แต่งงานและทำพิธีในโบสถ์ นาย Kenneth ดีใจจนบอกไม่ถูก เห็นโอกาสทองลอยอยู่ข้างหน้า เขาบอกกับนายคนสนิทว่า ได้สิ ถ้าคุณหาเอกสารมาให้ผมชิ้นหนึ่ง เอกสารนั้นคือบทความเค้าโครงเศรษฐกิจ ฉบับที่นายปรีดีเขียน เพื่อจะนำมาใช้กับประเทศไทย หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ทรงไม่เห็นด้วย ทรงเห็นว่านายปรีดีมีแนวความคิดเช่นลัทธิคอมมิวนิสม์ ต่อมาเอกสารนั้นก็ถูกเก็บ เป็นเอกสารต้องห้าม ไม่มีใครได้เห็นอีก (นาย Kenneth นี่ต้องนับว่าเป็นนักฉวยโอกาสตัวยงจริงๆ) คงจะเป็นเพราะกำลังหน้ามืดอยากแต่งงานเต็มแก่ นายคนสนิทลงทุนไปเอาเอกสารมาให้นาย Kenneth รวมทั้งแถมรายงานการประชุมคณะอภิรัฐมนตรี ซึ่งระบุว่านายปรีดี เป็นคอมมิวนิสต์และที่ประชุมเห็นว่านายปรีดี ควรลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ
    ภายหลังเมื่อนาย Kenneth ได้เขียนหนังสือ Siam in Transition เขาได้นำเอกสารทั้ง 2 ชิ้นมาแนบท้ายหนังสือไว้ด้วย แต่หนังสือนี้ถูกห้ามขายในประเทศไทย
    หลังจากเขาได้เอกสารนี้มาไม่นาน พระองค์เจ้าธานีฯ (นาย Kenneth เขียนชื่อไว้เช่นนั้น) ทรงทราบข่าวที่นาย Kenneth ได้เอกสารนี้มา ท่านสนใจมากถึงขนาดลงทุนเดินทางจากกรุงเทพมาหานาย Kenneth ที่ตรัง เพื่อขออ่านเอกสารทั้ง 2 ชิ้น (แสดงว่าเอกสาร 2 ชิ้นนี้ต้องมีความสำคัญมากสำหรับ การเมืองของไทย แล้วมิชชั่นนารี ซึ่งไม่น่าจะยุ่งเกี่ยวกับการเมืองบ้านเรา ทำไมถึงให้ความสนใจจนลืมมรรยาท ถึงกับใช้วิธีการฉวยโอกาสอย่างคนไม่มีระดับถึงขนาดนี้!?) นาย Kenneth รู้ว่าเอกสารนี้ต้องห้าม เขาเลยเอาไปซ่อนไว้ในกองหนังสือพิมพ์ในห้องส้วมของเขาและ พระองค์เจ้าธานีฯ ก็ต้องไปนั่งอ่านเอกสาร โดยล็อคตัวเองอยู่ในส้วมของนาย Kenneth !
    หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เจ้านายหลายพระองค์ รวมทั้งกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ต้องเสด็จลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ กรมพระยาดำรงฯเสด็จไปอยู่ปีนัง เมื่อนาย Kenneth และครอบครัวจะกลับอเมริกา เขาเดินทางไปเยี่ยมท่านที่ปีนัง เขาอ้างว่าเป็นการเยี่ยมในฐานะเพื่อนเก่า ระหว่างคุยกัน เขาถามกรมพระยาดำรงฯ ว่าท่านจะยินยอมให้เขานำหนังสือที่ท่านทรงสะสมไว้ มอบให้แก่มหาวิทยาลัยในอเมริกาหรือไม่ เพราะกรมพระยาดำรงฯ ท่านเป็นเสนาบดีกระทรวงศึกษาฯ อยู่ช่วงหนึ่ง และท่านได้รับมอบหมายจากพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ให้ทรงจัดตั้งหอสมุดแห่งชาติ ซึ่งกรมพระยาดำรงฯก็จัดตั้งเรียบร้อย โดยหนังสือทุกเล่มที่อยู่ในหอสมุด ท่านก็จะมีอีกชุดหนึ่งเก็บไว้ที่ท่านเอง รวมทั้งหนังสือที่ท่านทรงสะสม เอง ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม วรรณคดี ศาสนา ฯลฯ ของไทยและเอเซียตะวันออก มีทั้งเป็นภาษาไทย ภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส กรมพระยาดำรงฯ ตอบว่าท่านเสียดายที่หนังสือนั้นจะไม่มีใครสนใจอีกต่อไป แต่ถ้ามีมหาวิทยาลัยที่สนใจ มีคนได้ศึกษาและมีคนอย่างนาย Kenneth ดูแลท่านก็ยินดีที่จะยกให้
    แล้วนาย Kenneth ก็นำรายชื่อหนังสือประมาณ 600 เล่ม ของกรมพระยาดำรงกลับอเมริกาไปด้วย โดยเขาอ้างว่า เขาจะนำไปจัดทำห้องสมุดไทยหรือเอเซียตะวันออก ที่มหาวิทยาลัยดังๆ ในอเมริกา ค่าเดินทางไปปีนังนี่มันคงไม่ใช่ราคาถูกๆ แต่คงจะเป็นการลงทุนที่เกินคุ้มหลายร้อยเท่า เมื่อเทียบกับรายชื่อหนังสือ 600 เล่ม ที่นาย Kenneth จะเอาไป อ้างว่าเป็นของกรมพระยาดำรงราชานุภาพ อดีตเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยของเมืองไทยที่จะมอบให้นาย Kenneth ที่จะได้มาโดยการ “กล่อม” ซึ่งต่อมาเขาได้นำไปใช้ประโยชน์ให้แก่ตัวเองและสร้างประโยชน์ให้แก่อเมริกาอย่างมหาศาล ในการใช้เป็นต้นแบบเครื่องมือการล่าชนิดหนึ่ง!
    (หมายเหตุคนเล่านิทาน : เข้าใจว่า กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ท่านคงกำลังเศร้าพระทัย จากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และจากการที่คณะราษฎร์แสดงความไม่ประสงค์ดีต่อท่าน จนท่านถึงกับต้องเสด็จไปประทับอยู่ปีนัง ท่านเป็นนักประวัติศาสตร์ สนใจศึกษาหาความรู้ ทรงเก็บสะสมหนังสือเกี่ยวกับเมืองไทยไว้แยะ เมื่อคณะราษฎร์ทำการปฏิวัติ เปลี่ยนการปกครอง ซึ่งอาจจะกระทบถึงวัฒนธรรมประเพณี รวมทั้งหลักสูตรการศึกษา ฯลฯ หนังสือต่างๆ เหล่านั้น คณะราษฎร์อาจไม่เห็นประโยชน์อีกต่อไป เมื่อนาย Kenneth เข้าไปขอในจังหวะนั้น ก็ไม่น่าแปลกใจที่ท่านจะคล้อยตาม !)

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยเก่า ตอนที่ 3 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า” ตอนที่ 3 หลังจากอยู่กรุงเทพฯได้ 1 ปี นาย Kenneth และครอบครัว ก็ถูกให้ย้ายไปประจำที่นครศรีธรรมราช เขาอยู่ที่นั่น 1 ปี จากนั้นก็ย้ายมาประจำที่ตรัง รวมๆ แล้ว เขาอยู่แถวภาคใต้ของไทย ประมาณเกือบ 10 ปี ตอนที่อยู่ที่นครศรีธรรมราช เขาอาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกับโรงเรียนสตรี ซึ่งเป็นของพวกมิชชั่นนารี ซึ่งเขาอ้างว่าเป็นที่พระราชทานจากกรมพระยาดำรงราชานุภาพ แต่เมื่อมาอยู่ตรัง เขามีบ้านแยกต่างหากจากโรงเรียน ระหว่างที่เขาอยู่ตรังเขาเดินทาง ไปทั่ว ขึ้นมาจนทับสะแก (คือหัวหินในปัจจุบัน) และลงใต้ไปถึงแหลมมาลายู เขาบอกว่าในภาคใต้ของไทย มีคนจีนอาศัยอยู่มาก และส่วนมากเป็นพวกใช้แรงงาน หรือขายของชำ บ้างก็เปิดร้านค้าเล็กๆ ในตลาด ครอบครัวเขามีคนรับใช้และคนทำอาหารเป็นชาวจีน เขาจึงหัดพูดภาษาจีนกับคนรับใช้ทุกวัน จากการที่เขาคุยกับคนรับใช้ชาวจีน เขารู้ว่าคนจีนเหล่านั้นไม่มีโอกาสเรียนหนังสือ ไม่มีโรงเรียนของคนจีน เขาจึงพยายามให้ทางคณะมิชชั่นนารีช่วยจัดตั้งโรงเรียนให้คนจีน โดยเอาครูมาจากกรุงเทพฯ สิงคโปร์ ปีนัง ส่วนค่าก่อสร้างเขาก็ขอรับบริจาคบ้างจากคนในจังหวัด เขาสามารถสร้างใด้ถึง 4 โรงเรียน การคลุกคลีกับคนจีน ทำให้เขาพูดภาษาจีนแต้จิ๋วได้และเทศน์เป็นภาษาจีนได้อีกด้วย การสอนภาษาของ นาย Kenneth ขยายไปตั้งแต่คอขอดกระจนถึงชายแดนมาลายู และทำให้เขาต้องเดินทางแถบนั้นบ่อยมาก โดยรถไฟ เกวียน ช้าง เรือข้ามฝั่ง เรือเล็กตามคลอง รวมทั้งที่จักรยาน และการเดินเท้าของตนเอง และเพื่อให้มีการติดต่อระหว่างสังคมไทยและจีน ซึ่งอยู่ห่างไกลกัน นาย Kenneth ลงทุนพิมพ์จดหมายเหตุรายเดือน เป็นภาษาไทยและจีน เพื่อให้คนเหล่านั้นได้ข้อมูลและข่าว (ตามที่เขาเขียน !) ต้องนับถือผู้ที่เลือกถิ่นที่ทำงานให้นาย Kenneth จริงๆ ภาคใต้น่าสนใจหลายอย่าง รวมทั้งภูมิศาสตร์ที่มีพื้นที่ยาวตลอดไป ตามอ่าวไทยของไทยจนไปถึงเขตแดนมลายู นาย Kenneth และครอบครัว ย้ายกลับไปอเมริกาใน ค.ศ. 1937 โดยอ้างว่า เบื่อที่จะเป็น มิชชั่นนารีแล้ว เพราะรายได้ไม่พอ (หรือภาระกิจสำเร็จได้ตามเป้า เลยเก็บฉากขนของกลับบ้านซะเฉยๆ งั้นแหละ !?) เมื่อเขากลับ เขาหอบหนังสือพิมพ์และนิตยสารที่ออกเป็นงวด ที่เกี่ยวกับเมืองไทยที่เขาเก็บสะสมไว้ ตลอด 10 ปีที่อยู่เมืองกลับไปด้วย รวมทั้งแผนที่ของเมืองไทยแสดงอาณาบริเวณต่างๆ ทั่วประเทศอย่างละเอียด ยังไม่หมดยังหอบเอาหนังสือจากห้องสมุดของไทย ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ เท่าที่ตัวเองจะหาได้กลับไปด้วย ที่สำคัญ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย เมื่อปี ค.ศ. 1932 (พ.ศ. 2475) นาย Kenneth บอกว่าเป็นช่วงเหตุการณ์สำคัญของประวัติศาสตร์ไทย เขาเก็บเอกสารในช่วง 5 ปี ระหว่างนั้นไว้หมด โดยตั้งใจจะเขียนหนังสือ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย (นับว่าเป็นมิชชั่นนารี “ตัวอย่าง” จริงๆ ตกลงจะมาเผยแพร่ศาสนาหรือมาทำอะไรกันแน่) วันหนึ่งหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ.2475 ขณะที่เขาเริ่มเขียนหนังสือ เรื่อง Siam in Transition เขายังอยู่ที่ตรังกับครอบครัว มีผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นคนสนิทของนายปรีดี พนมยงค์ ตอนเป็นผู้สำเร็จราชการ เกิดอยากจะแต่งงานในโบสถ์คริสเตียน กับสาวตรังซึ่งเป็นคริสเตียน นายคนสนิทนี้ก็มาหา นาย Kenneth เพื่อขออนุญาตนาย Kenneth ให้คู่บ่าวสาวได้แต่งงานและทำพิธีในโบสถ์ นาย Kenneth ดีใจจนบอกไม่ถูก เห็นโอกาสทองลอยอยู่ข้างหน้า เขาบอกกับนายคนสนิทว่า ได้สิ ถ้าคุณหาเอกสารมาให้ผมชิ้นหนึ่ง เอกสารนั้นคือบทความเค้าโครงเศรษฐกิจ ฉบับที่นายปรีดีเขียน เพื่อจะนำมาใช้กับประเทศไทย หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ทรงไม่เห็นด้วย ทรงเห็นว่านายปรีดีมีแนวความคิดเช่นลัทธิคอมมิวนิสม์ ต่อมาเอกสารนั้นก็ถูกเก็บ เป็นเอกสารต้องห้าม ไม่มีใครได้เห็นอีก (นาย Kenneth นี่ต้องนับว่าเป็นนักฉวยโอกาสตัวยงจริงๆ) คงจะเป็นเพราะกำลังหน้ามืดอยากแต่งงานเต็มแก่ นายคนสนิทลงทุนไปเอาเอกสารมาให้นาย Kenneth รวมทั้งแถมรายงานการประชุมคณะอภิรัฐมนตรี ซึ่งระบุว่านายปรีดี เป็นคอมมิวนิสต์และที่ประชุมเห็นว่านายปรีดี ควรลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ ภายหลังเมื่อนาย Kenneth ได้เขียนหนังสือ Siam in Transition เขาได้นำเอกสารทั้ง 2 ชิ้นมาแนบท้ายหนังสือไว้ด้วย แต่หนังสือนี้ถูกห้ามขายในประเทศไทย หลังจากเขาได้เอกสารนี้มาไม่นาน พระองค์เจ้าธานีฯ (นาย Kenneth เขียนชื่อไว้เช่นนั้น) ทรงทราบข่าวที่นาย Kenneth ได้เอกสารนี้มา ท่านสนใจมากถึงขนาดลงทุนเดินทางจากกรุงเทพมาหานาย Kenneth ที่ตรัง เพื่อขออ่านเอกสารทั้ง 2 ชิ้น (แสดงว่าเอกสาร 2 ชิ้นนี้ต้องมีความสำคัญมากสำหรับ การเมืองของไทย แล้วมิชชั่นนารี ซึ่งไม่น่าจะยุ่งเกี่ยวกับการเมืองบ้านเรา ทำไมถึงให้ความสนใจจนลืมมรรยาท ถึงกับใช้วิธีการฉวยโอกาสอย่างคนไม่มีระดับถึงขนาดนี้!?) นาย Kenneth รู้ว่าเอกสารนี้ต้องห้าม เขาเลยเอาไปซ่อนไว้ในกองหนังสือพิมพ์ในห้องส้วมของเขาและ พระองค์เจ้าธานีฯ ก็ต้องไปนั่งอ่านเอกสาร โดยล็อคตัวเองอยู่ในส้วมของนาย Kenneth ! หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เจ้านายหลายพระองค์ รวมทั้งกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ต้องเสด็จลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ กรมพระยาดำรงฯเสด็จไปอยู่ปีนัง เมื่อนาย Kenneth และครอบครัวจะกลับอเมริกา เขาเดินทางไปเยี่ยมท่านที่ปีนัง เขาอ้างว่าเป็นการเยี่ยมในฐานะเพื่อนเก่า ระหว่างคุยกัน เขาถามกรมพระยาดำรงฯ ว่าท่านจะยินยอมให้เขานำหนังสือที่ท่านทรงสะสมไว้ มอบให้แก่มหาวิทยาลัยในอเมริกาหรือไม่ เพราะกรมพระยาดำรงฯ ท่านเป็นเสนาบดีกระทรวงศึกษาฯ อยู่ช่วงหนึ่ง และท่านได้รับมอบหมายจากพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ให้ทรงจัดตั้งหอสมุดแห่งชาติ ซึ่งกรมพระยาดำรงฯก็จัดตั้งเรียบร้อย โดยหนังสือทุกเล่มที่อยู่ในหอสมุด ท่านก็จะมีอีกชุดหนึ่งเก็บไว้ที่ท่านเอง รวมทั้งหนังสือที่ท่านทรงสะสม เอง ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม วรรณคดี ศาสนา ฯลฯ ของไทยและเอเซียตะวันออก มีทั้งเป็นภาษาไทย ภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส กรมพระยาดำรงฯ ตอบว่าท่านเสียดายที่หนังสือนั้นจะไม่มีใครสนใจอีกต่อไป แต่ถ้ามีมหาวิทยาลัยที่สนใจ มีคนได้ศึกษาและมีคนอย่างนาย Kenneth ดูแลท่านก็ยินดีที่จะยกให้ แล้วนาย Kenneth ก็นำรายชื่อหนังสือประมาณ 600 เล่ม ของกรมพระยาดำรงกลับอเมริกาไปด้วย โดยเขาอ้างว่า เขาจะนำไปจัดทำห้องสมุดไทยหรือเอเซียตะวันออก ที่มหาวิทยาลัยดังๆ ในอเมริกา ค่าเดินทางไปปีนังนี่มันคงไม่ใช่ราคาถูกๆ แต่คงจะเป็นการลงทุนที่เกินคุ้มหลายร้อยเท่า เมื่อเทียบกับรายชื่อหนังสือ 600 เล่ม ที่นาย Kenneth จะเอาไป อ้างว่าเป็นของกรมพระยาดำรงราชานุภาพ อดีตเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยของเมืองไทยที่จะมอบให้นาย Kenneth ที่จะได้มาโดยการ “กล่อม” ซึ่งต่อมาเขาได้นำไปใช้ประโยชน์ให้แก่ตัวเองและสร้างประโยชน์ให้แก่อเมริกาอย่างมหาศาล ในการใช้เป็นต้นแบบเครื่องมือการล่าชนิดหนึ่ง! (หมายเหตุคนเล่านิทาน : เข้าใจว่า กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ท่านคงกำลังเศร้าพระทัย จากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และจากการที่คณะราษฎร์แสดงความไม่ประสงค์ดีต่อท่าน จนท่านถึงกับต้องเสด็จไปประทับอยู่ปีนัง ท่านเป็นนักประวัติศาสตร์ สนใจศึกษาหาความรู้ ทรงเก็บสะสมหนังสือเกี่ยวกับเมืองไทยไว้แยะ เมื่อคณะราษฎร์ทำการปฏิวัติ เปลี่ยนการปกครอง ซึ่งอาจจะกระทบถึงวัฒนธรรมประเพณี รวมทั้งหลักสูตรการศึกษา ฯลฯ หนังสือต่างๆ เหล่านั้น คณะราษฎร์อาจไม่เห็นประโยชน์อีกต่อไป เมื่อนาย Kenneth เข้าไปขอในจังหวะนั้น ก็ไม่น่าแปลกใจที่ท่านจะคล้อยตาม !) คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 218 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Nova Lake-S ถึง Zen 6: เมื่อ HWiNFO กลายเป็นผู้เปิดประตูสู่ยุคใหม่ของ CPU สายเดสก์ท็อป

    ใน release notes ของ HWiNFO เวอร์ชัน 8.31 มีการระบุว่าซอฟต์แวร์จะรองรับแพลตฟอร์มใหม่จากทั้ง Intel และ AMD โดยฝั่ง Intel คือ Nova Lake-S ซึ่งเป็นซีพียูเดสก์ท็อปที่ใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA 1954 และมีรุ่นสูงสุดถึง 52 คอร์ ส่วนฝั่ง AMD คือ “Next-Gen Platform” ที่คาดว่าจะเป็นซีรีส์ 900 สำหรับ Zen 6 บนซ็อกเก็ต AM5 เช่นเดิม

    Nova Lake-S ถูกออกแบบมาให้เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดของ Intel ในรอบหลายปี โดยใช้สถาปัตยกรรมแบบ multi-tile ที่ประกอบด้วย 16 P-cores, 32 E-cores และ 4 LP-E cores รวมเป็น 52 คอร์ในรุ่นสูงสุด โดยไม่มี SMT บน P-core และใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบผสมระหว่าง Intel 14A และ TSMC N2 สำหรับบางส่วนของ SoC

    ซ็อกเก็ต LGA 1954 มีขนาดเท่ากับ LGA 1700 เดิม (45 × 37.5 มม.) แต่เพิ่มจำนวนขาเพื่อรองรับพลังงานและแบนด์วิดธ์ที่สูงขึ้น พร้อมเปิดตัวคู่กับชิปเซ็ต 900-series เช่น Z990 และ H970 ที่รองรับ DDR5-6400+, Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4 และ Thunderbolt 5

    ฝั่ง AMD ก็ไม่น้อยหน้า โดย Zen 6 จะใช้ CCD บน TSMC N2P และ IOD บน N3P ซึ่งเป็นเทคโนโลยีระดับ 2nm และ 3nm ตามลำดับ โดยยังคงใช้ซ็อกเก็ต AM5 และคาดว่าจะเปิดตัวพร้อมกับเมนบอร์ดซีรีส์ 900 เช่น X970, B950 และ B940 ในช่วงครึ่งหลังของปี 2026

    การที่ HWiNFO เพิ่มการรองรับล่วงหน้า แสดงให้เห็นว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้ใกล้เข้าสู่ช่วง Pre-QS หรือการทดสอบก่อนผลิตจริง และจะเป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขันรอบใหม่ระหว่าง Intel และ AMD ในตลาดเดสก์ท็อประดับสูง

    การอัปเดตของ HWiNFO
    เวอร์ชัน 8.31 จะรองรับ Intel Nova Lake-S และ AMD Next-Gen Platform
    เป็นครั้งแรกที่ Nova Lake-S ถูกระบุใน release notes ของซอฟต์แวร์

    Intel Nova Lake-S และซ็อกเก็ต LGA 1954
    ใช้สถาปัตยกรรม multi-tile: 16 P-cores + 32 E-cores + 4 LP-E cores
    ไม่มี SMT บน P-core และใช้ Intel 14A + TSMC N2
    ซ็อกเก็ต LGA 1954 มีขนาดเท่าเดิมแต่เพิ่มจำนวนขา
    เปิดตัวพร้อมชิปเซ็ต Z990, H970 รองรับ DDR5-6400+, Wi-Fi 7, Thunderbolt 5

    AMD Zen 6 และแพลตฟอร์ม 900-series
    ใช้ CCD บน TSMC N2P และ IOD บน N3P
    ยังคงใช้ซ็อกเก็ต AM5 และเปิดตัวพร้อม X970, B950, B940
    คาดว่าจะเปิดตัวในครึ่งหลังของปี 2026

    ความหมายต่อวงการเดสก์ท็อป
    เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งด้านสถาปัตยกรรมและ I/O
    HWiNFO เตรียมพร้อมสำหรับการตรวจสอบสเปกและการทดสอบเบื้องต้น
    จุดเริ่มต้นของการแข่งขันรอบใหม่ระหว่าง Intel และ AMD

    https://wccftech.com/hwinfo-to-add-support-for-nova-lake-s-and-next-gen-amd-platform-likely-hinting-towards-amd-900-series-for-zen-6/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Nova Lake-S ถึง Zen 6: เมื่อ HWiNFO กลายเป็นผู้เปิดประตูสู่ยุคใหม่ของ CPU สายเดสก์ท็อป ใน release notes ของ HWiNFO เวอร์ชัน 8.31 มีการระบุว่าซอฟต์แวร์จะรองรับแพลตฟอร์มใหม่จากทั้ง Intel และ AMD โดยฝั่ง Intel คือ Nova Lake-S ซึ่งเป็นซีพียูเดสก์ท็อปที่ใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA 1954 และมีรุ่นสูงสุดถึง 52 คอร์ ส่วนฝั่ง AMD คือ “Next-Gen Platform” ที่คาดว่าจะเป็นซีรีส์ 900 สำหรับ Zen 6 บนซ็อกเก็ต AM5 เช่นเดิม Nova Lake-S ถูกออกแบบมาให้เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดของ Intel ในรอบหลายปี โดยใช้สถาปัตยกรรมแบบ multi-tile ที่ประกอบด้วย 16 P-cores, 32 E-cores และ 4 LP-E cores รวมเป็น 52 คอร์ในรุ่นสูงสุด โดยไม่มี SMT บน P-core และใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบผสมระหว่าง Intel 14A และ TSMC N2 สำหรับบางส่วนของ SoC ซ็อกเก็ต LGA 1954 มีขนาดเท่ากับ LGA 1700 เดิม (45 × 37.5 มม.) แต่เพิ่มจำนวนขาเพื่อรองรับพลังงานและแบนด์วิดธ์ที่สูงขึ้น พร้อมเปิดตัวคู่กับชิปเซ็ต 900-series เช่น Z990 และ H970 ที่รองรับ DDR5-6400+, Wi-Fi 7, Bluetooth 5.4 และ Thunderbolt 5 ฝั่ง AMD ก็ไม่น้อยหน้า โดย Zen 6 จะใช้ CCD บน TSMC N2P และ IOD บน N3P ซึ่งเป็นเทคโนโลยีระดับ 2nm และ 3nm ตามลำดับ โดยยังคงใช้ซ็อกเก็ต AM5 และคาดว่าจะเปิดตัวพร้อมกับเมนบอร์ดซีรีส์ 900 เช่น X970, B950 และ B940 ในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 การที่ HWiNFO เพิ่มการรองรับล่วงหน้า แสดงให้เห็นว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้ใกล้เข้าสู่ช่วง Pre-QS หรือการทดสอบก่อนผลิตจริง และจะเป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขันรอบใหม่ระหว่าง Intel และ AMD ในตลาดเดสก์ท็อประดับสูง ✅ การอัปเดตของ HWiNFO ➡️ เวอร์ชัน 8.31 จะรองรับ Intel Nova Lake-S และ AMD Next-Gen Platform ➡️ เป็นครั้งแรกที่ Nova Lake-S ถูกระบุใน release notes ของซอฟต์แวร์ ✅ Intel Nova Lake-S และซ็อกเก็ต LGA 1954 ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม multi-tile: 16 P-cores + 32 E-cores + 4 LP-E cores ➡️ ไม่มี SMT บน P-core และใช้ Intel 14A + TSMC N2 ➡️ ซ็อกเก็ต LGA 1954 มีขนาดเท่าเดิมแต่เพิ่มจำนวนขา ➡️ เปิดตัวพร้อมชิปเซ็ต Z990, H970 รองรับ DDR5-6400+, Wi-Fi 7, Thunderbolt 5 ✅ AMD Zen 6 และแพลตฟอร์ม 900-series ➡️ ใช้ CCD บน TSMC N2P และ IOD บน N3P ➡️ ยังคงใช้ซ็อกเก็ต AM5 และเปิดตัวพร้อม X970, B950, B940 ➡️ คาดว่าจะเปิดตัวในครึ่งหลังของปี 2026 ✅ ความหมายต่อวงการเดสก์ท็อป ➡️ เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งด้านสถาปัตยกรรมและ I/O ➡️ HWiNFO เตรียมพร้อมสำหรับการตรวจสอบสเปกและการทดสอบเบื้องต้น ➡️ จุดเริ่มต้นของการแข่งขันรอบใหม่ระหว่าง Intel และ AMD https://wccftech.com/hwinfo-to-add-support-for-nova-lake-s-and-next-gen-amd-platform-likely-hinting-towards-amd-900-series-for-zen-6/
    WCCFTECH.COM
    HWiNFO To Add Support For Nova Lake-S And "Next-Gen" AMD Platform, Likely Hinting Towards AMD 900-Series For Zen 6
    The upcoming HWiNFO version 8.31 will add support for the next-gen Intel Nova Lake-S and AMD's next-gen platform support.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากชิปที่ถูกทิ้งถึงการปฏิวัติวงการขุดบิตคอยน์

    ย้อนกลับไปปี 2022 Intel เคยเปิดตัวชิป Blockscale BZM2 ซึ่งเป็น ASIC รุ่นที่สองสำหรับการขุดบิตคอยน์โดยเฉพาะ ด้วยประสิทธิภาพสูงถึง 580 GH/s และใช้พลังงานเพียง 23 J/TH แต่หลังจากเปิดตัวได้ไม่นาน Intel ก็ถอนตัวจากตลาดนี้อย่างเงียบ ๆ ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงจาก Bitmain และการเปลี่ยนแปลงในตลาดคริปโต

    สองปีผ่านไป ชิปเหล่านี้กลับมาอีกครั้ง—ไม่ใช่เพื่อขาย แต่เพื่อแจกฟรี โดย Jack Dorsey ผ่านบริษัท Block (เดิมคือ Square) ได้บริจาคชิป BZM2 จำนวน 256,000 ตัวให้กับมูลนิธิ 256 Foundation ซึ่งเป็นกลุ่มนักพัฒนาโอเพ่นซอร์สด้านฮาร์ดแวร์ขุดบิตคอยน์ในสหรัฐฯ

    ชิปเหล่านี้จะถูกแจกจ่ายให้กับ 4 โครงการโอเพ่นซอร์สในสหรัฐฯ โครงการละ 54,000 ตัว โดยไม่มีเอกสารทางเทคนิคจาก Intel แต่มีการสร้าง schematic และ reference design ใหม่จากชุมชน เพื่อให้สามารถนำไปใช้งานได้จริง

    แม้ชิป BZM2 จะถูกออกแบบมาเพื่อขุดบิตคอยน์โดยใช้ SHA-256 แต่ผู้พัฒนาบางรายเริ่มทดลองใช้ความร้อนจากชิปในการทำงานอื่น เช่น อุ่นน้ำ อุ่นห้อง หรือแม้แต่ทำให้เตียงเครื่องพิมพ์ 3D ร้อนขึ้น—สะท้อนถึงแนวคิด “heat reuse” ที่กำลังได้รับความสนใจในวงการพลังงานหมุนเวียน

    การแจกชิปครั้งนี้ถือเป็นการปลดล็อก ecosystem ที่เคยถูกควบคุมโดยผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น Bitmain ซึ่งมักล็อก firmware และไม่เปิดให้ผู้ใช้ปรับแต่งได้ การมีชิปในมือของนักพัฒนาโอเพ่นซอร์สจึงเป็นก้าวสำคัญสู่การกระจายอำนาจของระบบขุดบิตคอยน์

    การกลับมาของชิป Blockscale BZM2
    Intel เคยเปิดตัวในปี 2022 แล้วถอนตัวจากตลาดในปีถัดมา
    ชิปมีประสิทธิภาพ 580 GH/s และใช้พลังงาน 23 J/TH
    ถูกบริจาคจำนวน 256,000 ตัวโดย Block (Jack Dorsey) ให้ 256 Foundation

    การแจกจ่ายและการใช้งาน
    แจกให้ 4 โครงการโอเพ่นซอร์สในสหรัฐฯ โครงการละ 54,000 ตัว
    ไม่มีเอกสารจาก Intel แต่มีการสร้าง schematic และ reference design ใหม่
    ใช้สำหรับการขุดบิตคอยน์และการทดลองด้าน heat reuse

    ความหมายต่อวงการขุดบิตคอยน์
    เป็นการปลดล็อก ecosystem ที่เคยถูกควบคุมโดยผู้ผลิตรายใหญ่
    เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ปรับแต่งและตรวจสอบฮาร์ดแวร์ได้เอง
    สร้างแนวทางใหม่ในการพัฒนาอุปกรณ์ขุดแบบเปิดและยั่งยืน

    การใช้งานนอกเหนือจากการขุด
    ใช้ความร้อนจากชิปในการอุ่นห้อง อุ่นน้ำ หรือทำงานในระบบพลังงานหมุนเวียน
    มีศักยภาพในการใช้งานในบ้านหรือพื้นที่ห่างไกล
    สะท้อนแนวคิด circular computing และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/intel-bzm2-block-sale-chips-return-from-dead
    🎙️ เรื่องเล่าจากชิปที่ถูกทิ้งถึงการปฏิวัติวงการขุดบิตคอยน์ ย้อนกลับไปปี 2022 Intel เคยเปิดตัวชิป Blockscale BZM2 ซึ่งเป็น ASIC รุ่นที่สองสำหรับการขุดบิตคอยน์โดยเฉพาะ ด้วยประสิทธิภาพสูงถึง 580 GH/s และใช้พลังงานเพียง 23 J/TH แต่หลังจากเปิดตัวได้ไม่นาน Intel ก็ถอนตัวจากตลาดนี้อย่างเงียบ ๆ ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงจาก Bitmain และการเปลี่ยนแปลงในตลาดคริปโต สองปีผ่านไป ชิปเหล่านี้กลับมาอีกครั้ง—ไม่ใช่เพื่อขาย แต่เพื่อแจกฟรี โดย Jack Dorsey ผ่านบริษัท Block (เดิมคือ Square) ได้บริจาคชิป BZM2 จำนวน 256,000 ตัวให้กับมูลนิธิ 256 Foundation ซึ่งเป็นกลุ่มนักพัฒนาโอเพ่นซอร์สด้านฮาร์ดแวร์ขุดบิตคอยน์ในสหรัฐฯ ชิปเหล่านี้จะถูกแจกจ่ายให้กับ 4 โครงการโอเพ่นซอร์สในสหรัฐฯ โครงการละ 54,000 ตัว โดยไม่มีเอกสารทางเทคนิคจาก Intel แต่มีการสร้าง schematic และ reference design ใหม่จากชุมชน เพื่อให้สามารถนำไปใช้งานได้จริง แม้ชิป BZM2 จะถูกออกแบบมาเพื่อขุดบิตคอยน์โดยใช้ SHA-256 แต่ผู้พัฒนาบางรายเริ่มทดลองใช้ความร้อนจากชิปในการทำงานอื่น เช่น อุ่นน้ำ อุ่นห้อง หรือแม้แต่ทำให้เตียงเครื่องพิมพ์ 3D ร้อนขึ้น—สะท้อนถึงแนวคิด “heat reuse” ที่กำลังได้รับความสนใจในวงการพลังงานหมุนเวียน การแจกชิปครั้งนี้ถือเป็นการปลดล็อก ecosystem ที่เคยถูกควบคุมโดยผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น Bitmain ซึ่งมักล็อก firmware และไม่เปิดให้ผู้ใช้ปรับแต่งได้ การมีชิปในมือของนักพัฒนาโอเพ่นซอร์สจึงเป็นก้าวสำคัญสู่การกระจายอำนาจของระบบขุดบิตคอยน์ ✅ การกลับมาของชิป Blockscale BZM2 ➡️ Intel เคยเปิดตัวในปี 2022 แล้วถอนตัวจากตลาดในปีถัดมา ➡️ ชิปมีประสิทธิภาพ 580 GH/s และใช้พลังงาน 23 J/TH ➡️ ถูกบริจาคจำนวน 256,000 ตัวโดย Block (Jack Dorsey) ให้ 256 Foundation ✅ การแจกจ่ายและการใช้งาน ➡️ แจกให้ 4 โครงการโอเพ่นซอร์สในสหรัฐฯ โครงการละ 54,000 ตัว ➡️ ไม่มีเอกสารจาก Intel แต่มีการสร้าง schematic และ reference design ใหม่ ➡️ ใช้สำหรับการขุดบิตคอยน์และการทดลองด้าน heat reuse ✅ ความหมายต่อวงการขุดบิตคอยน์ ➡️ เป็นการปลดล็อก ecosystem ที่เคยถูกควบคุมโดยผู้ผลิตรายใหญ่ ➡️ เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ปรับแต่งและตรวจสอบฮาร์ดแวร์ได้เอง ➡️ สร้างแนวทางใหม่ในการพัฒนาอุปกรณ์ขุดแบบเปิดและยั่งยืน ✅ การใช้งานนอกเหนือจากการขุด ➡️ ใช้ความร้อนจากชิปในการอุ่นห้อง อุ่นน้ำ หรือทำงานในระบบพลังงานหมุนเวียน ➡️ มีศักยภาพในการใช้งานในบ้านหรือพื้นที่ห่างไกล ➡️ สะท้อนแนวคิด circular computing และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/intel-bzm2-block-sale-chips-return-from-dead
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 169 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากคลื่นวิทยุถึงการวัดหัวใจ: เมื่อ Wi-Fi กลายเป็นหมอเงียบในบ้านคุณ

    ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย UC Santa Cruz นำโดยศาสตราจารย์ Katia Obraczka และนักศึกษาปริญญาเอก Nayan Bhatia ได้พัฒนาเทคโนโลยีชื่อ “Pulse-Fi” ซึ่งใช้คลื่น Wi-Fi ร่วมกับอัลกอริธึม machine learning เพื่อวัดอัตราการเต้นของหัวใจจากระยะไกล โดยไม่ต้องใช้เซ็นเซอร์แบบสัมผัส เช่น สมาร์ทวอทช์หรืออุปกรณ์คีบปลายนิ้ว

    หลักการทำงานคือ Wi-Fi transmitter จะปล่อยคลื่นวิทยุออกไปในพื้นที่ และเมื่อคลื่นเหล่านั้นสะท้อนหรือผ่านร่างกายมนุษย์ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในสัญญาณ ซึ่งอัลกอริธึมของ Pulse-Fi สามารถแยกแยะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการเต้นของหัวใจออกจากสัญญาณรบกวนอื่น ๆ ได้อย่างแม่นยำ

    ระบบนี้สามารถวัดอัตราการเต้นของหัวใจได้แม่นยำถึง ±0.5 BPM ภายในเวลาเพียง 5 วินาที และสามารถทำงานได้แม้ผู้ใช้อยู่ห่างจากอุปกรณ์ถึง 10 ฟุต โดยไม่ต้องคำนึงถึงท่าทาง เช่น นั่ง ยืน หรือเดิน

    Pulse-Fi ใช้ฮาร์ดแวร์ราคาถูกอย่าง ESP32 (ประมาณ $5–10) หรือ Raspberry Pi ($30) ซึ่งทำให้สามารถนำไปใช้ในพื้นที่ที่มีทรัพยากรจำกัดได้ และยังมีแผนพัฒนาให้สามารถวัดอัตราการหายใจเพื่อช่วยตรวจจับภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (sleep apnea) ได้ในอนาคต

    เทคโนโลยี Pulse-Fi และหลักการทำงาน
    ใช้คลื่น Wi-Fi ร่วมกับ machine learning เพื่อวัดอัตราการเต้นของหัวใจ
    แยกสัญญาณชีพจรจากสัญญาณรบกวนในสิ่งแวดล้อม
    ทำงานได้แม่นยำถึง ±0.5 BPM ภายใน 5 วินาที

    ความสามารถในการใช้งานจริง
    วัดได้จากระยะไกลถึง 10 ฟุต โดยไม่ต้องสัมผัสร่างกาย
    ไม่ขึ้นกับท่าทางของผู้ใช้งาน เช่น นั่ง ยืน หรือเดิน
    ใช้ฮาร์ดแวร์ราคาถูก เช่น ESP32 หรือ Raspberry Pi

    การเปรียบเทียบกับอุปกรณ์แบบสัมผัส
    Pulse-Fi ไม่ต้องสัมผัสผิวหนังเหมือน pulse oximeter หรือสมาร์ทวอทช์
    เหมาะสำหรับการติดตามสุขภาพแบบไม่รบกวนชีวิตประจำวัน
    มีศักยภาพในการใช้งานในบ้าน โรงพยาบาล หรือพื้นที่ห่างไกล

    แผนพัฒนาในอนาคต
    กำลังพัฒนาให้สามารถวัดอัตราการหายใจเพื่อช่วยตรวจจับ sleep apnea
    หากสำเร็จ จะช่วยให้การวินิจฉัยโรคทำได้ง่ายขึ้นและสะดวกขึ้น
    อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการตรวจสุขภาพแบบไร้สัมผัส

    https://www.tomshardware.com/maker-stem/research-team-uses-wi-fi-to-monitor-heart-rate-accurately-relies-on-signal-variations-caused-by-beating-heart-to-determine-bpm
    🎙️ เรื่องเล่าจากคลื่นวิทยุถึงการวัดหัวใจ: เมื่อ Wi-Fi กลายเป็นหมอเงียบในบ้านคุณ ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย UC Santa Cruz นำโดยศาสตราจารย์ Katia Obraczka และนักศึกษาปริญญาเอก Nayan Bhatia ได้พัฒนาเทคโนโลยีชื่อ “Pulse-Fi” ซึ่งใช้คลื่น Wi-Fi ร่วมกับอัลกอริธึม machine learning เพื่อวัดอัตราการเต้นของหัวใจจากระยะไกล โดยไม่ต้องใช้เซ็นเซอร์แบบสัมผัส เช่น สมาร์ทวอทช์หรืออุปกรณ์คีบปลายนิ้ว หลักการทำงานคือ Wi-Fi transmitter จะปล่อยคลื่นวิทยุออกไปในพื้นที่ และเมื่อคลื่นเหล่านั้นสะท้อนหรือผ่านร่างกายมนุษย์ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในสัญญาณ ซึ่งอัลกอริธึมของ Pulse-Fi สามารถแยกแยะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการเต้นของหัวใจออกจากสัญญาณรบกวนอื่น ๆ ได้อย่างแม่นยำ ระบบนี้สามารถวัดอัตราการเต้นของหัวใจได้แม่นยำถึง ±0.5 BPM ภายในเวลาเพียง 5 วินาที และสามารถทำงานได้แม้ผู้ใช้อยู่ห่างจากอุปกรณ์ถึง 10 ฟุต โดยไม่ต้องคำนึงถึงท่าทาง เช่น นั่ง ยืน หรือเดิน Pulse-Fi ใช้ฮาร์ดแวร์ราคาถูกอย่าง ESP32 (ประมาณ $5–10) หรือ Raspberry Pi ($30) ซึ่งทำให้สามารถนำไปใช้ในพื้นที่ที่มีทรัพยากรจำกัดได้ และยังมีแผนพัฒนาให้สามารถวัดอัตราการหายใจเพื่อช่วยตรวจจับภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (sleep apnea) ได้ในอนาคต ✅ เทคโนโลยี Pulse-Fi และหลักการทำงาน ➡️ ใช้คลื่น Wi-Fi ร่วมกับ machine learning เพื่อวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ➡️ แยกสัญญาณชีพจรจากสัญญาณรบกวนในสิ่งแวดล้อม ➡️ ทำงานได้แม่นยำถึง ±0.5 BPM ภายใน 5 วินาที ✅ ความสามารถในการใช้งานจริง ➡️ วัดได้จากระยะไกลถึง 10 ฟุต โดยไม่ต้องสัมผัสร่างกาย ➡️ ไม่ขึ้นกับท่าทางของผู้ใช้งาน เช่น นั่ง ยืน หรือเดิน ➡️ ใช้ฮาร์ดแวร์ราคาถูก เช่น ESP32 หรือ Raspberry Pi ✅ การเปรียบเทียบกับอุปกรณ์แบบสัมผัส ➡️ Pulse-Fi ไม่ต้องสัมผัสผิวหนังเหมือน pulse oximeter หรือสมาร์ทวอทช์ ➡️ เหมาะสำหรับการติดตามสุขภาพแบบไม่รบกวนชีวิตประจำวัน ➡️ มีศักยภาพในการใช้งานในบ้าน โรงพยาบาล หรือพื้นที่ห่างไกล ✅ แผนพัฒนาในอนาคต ➡️ กำลังพัฒนาให้สามารถวัดอัตราการหายใจเพื่อช่วยตรวจจับ sleep apnea ➡️ หากสำเร็จ จะช่วยให้การวินิจฉัยโรคทำได้ง่ายขึ้นและสะดวกขึ้น ➡️ อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการตรวจสุขภาพแบบไร้สัมผัส https://www.tomshardware.com/maker-stem/research-team-uses-wi-fi-to-monitor-heart-rate-accurately-relies-on-signal-variations-caused-by-beating-heart-to-determine-bpm
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 166 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเบื้องหลังความไม่พอใจของ CISO: เมื่อคนที่ต้องรับผิดชอบมากที่สุด กลับไม่มีที่นั่งในห้องที่สำคัญที่สุด

    จากรายงานปี 2025 โดย IANS และ Artico Search พบว่าเกือบ 40% ของ CISO ในองค์กรขนาดกลางและเล็กไม่มีสิทธิ์เข้าถึงบอร์ดบริหารเลย และในกลุ่มนี้ ครึ่งหนึ่งรายงานว่ารู้สึกไม่พอใจในงานที่ทำอยู่

    CISO หลายคนถูกจ้างในระดับ “ผู้จัดการอาวุโส” หรือ “ผู้อำนวยการ” แต่ถูกเรียกว่า CISO โดยไม่มีอำนาจหรือขอบเขตงานที่แท้จริง พวกเขามักต้องรายงานต่อ CIO หรือ CTO ซึ่งมีเป้าหมายด้านเทคโนโลยี ไม่ใช่ความปลอดภัย—และเมื่อมีความเสี่ยงที่ไม่ถูกจัดการ ก็กลายเป็นว่า CISO ต้องรับผิดชอบโดยไม่มีโอกาสสื่อสารกับบอร์ดเลย

    George Gerchow จาก Bedrock Security เล่าว่าเขาเคยอยู่ในตำแหน่งที่ไม่สามารถพูดคุยกับหัวหน้าหรือบอร์ดได้โดยตรง จนทีมของเขาเริ่มลาออก และสุดท้ายเขาต้องออกจากตำแหน่งนั้นเอง เขาจึงระบุในสัญญางานใหม่ว่า “ต้องรายงานตรงต่อ CEO หรือบอร์ดเท่านั้น”

    แม้บางองค์กรจะให้ CISO เข้าถึงบอร์ดได้ แต่คำถามคือ “ใช้โอกาสนั้นได้ดีแค่ไหน” เพราะการพูดถึง CVE หรือ ransomware gang อาจทำให้บอร์ดเบื่อและมองว่า CISO ไม่เข้าใจธุรกิจ การสื่อสารที่ดีต้องเชื่อมโยงความเสี่ยงกับผลกระทบทางธุรกิจ เช่น รายได้ที่หายไป หรือความเชื่อมั่นของลูกค้าที่ลดลง

    Andy Land จาก CISO Executive Network แนะนำว่า CISO ต้องสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริหารระดับ C ก่อน เพื่อเข้าใจเป้าหมายของแต่ละฝ่าย และใช้สิ่งนั้นเป็นสะพานไปสู่การสื่อสารกับบอร์ดอย่างมีประสิทธิภาพ

    สถานการณ์การเข้าถึงบอร์ดของ CISO
    40% ของ CISO ในองค์กรขนาดกลางและเล็กไม่มีสิทธิ์เข้าถึงบอร์ด
    50% ของกลุ่มนี้รายงานว่ารู้สึกไม่พอใจในงาน
    CISO ที่มีสิทธิ์เข้าบอร์ดรายไตรมาส มีความพึงพอใจเพียง 8%

    ปัญหาโครงสร้างการรายงาน
    CISO มักรายงานต่อ CIO หรือ CTO ซึ่งมีเป้าหมายต่างกัน
    ความเสี่ยงที่ไม่ถูกจัดการอาจถูกกดไว้ ไม่ถูกนำเสนอถึงบอร์ด
    CISO กลายเป็นผู้รับผิดชอบเมื่อเกิดเหตุการณ์ แม้ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ

    ผลกระทบต่อความมั่นคงและความผูกพันในงาน
    CISO หลายคนลาออกหรือเปลี่ยนสายงานเพราะรู้สึกไม่มีอำนาจ
    อายุเฉลี่ยของตำแหน่ง CISO อยู่ที่ 18–26 เดือน
    การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กรอาจทำให้ช่องทางสื่อสารถูกตัดขาด

    แนวทางการสร้างความสัมพันธ์กับบอร์ด
    ต้องเริ่มจากการเข้าใจเป้าหมายของผู้บริหารระดับ C
    สื่อสารความเสี่ยงในรูปแบบที่เชื่อมโยงกับรายได้, pipeline, และ churn
    หลีกเลี่ยงการพูดเชิงเทคนิคที่ไม่เชื่อมโยงกับผลกระทบทางธุรกิจ

    https://www.csoonline.com/article/4049347/lack-of-board-access-the-no-1-ciso-dissatisfaction.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากเบื้องหลังความไม่พอใจของ CISO: เมื่อคนที่ต้องรับผิดชอบมากที่สุด กลับไม่มีที่นั่งในห้องที่สำคัญที่สุด จากรายงานปี 2025 โดย IANS และ Artico Search พบว่าเกือบ 40% ของ CISO ในองค์กรขนาดกลางและเล็กไม่มีสิทธิ์เข้าถึงบอร์ดบริหารเลย และในกลุ่มนี้ ครึ่งหนึ่งรายงานว่ารู้สึกไม่พอใจในงานที่ทำอยู่ CISO หลายคนถูกจ้างในระดับ “ผู้จัดการอาวุโส” หรือ “ผู้อำนวยการ” แต่ถูกเรียกว่า CISO โดยไม่มีอำนาจหรือขอบเขตงานที่แท้จริง พวกเขามักต้องรายงานต่อ CIO หรือ CTO ซึ่งมีเป้าหมายด้านเทคโนโลยี ไม่ใช่ความปลอดภัย—และเมื่อมีความเสี่ยงที่ไม่ถูกจัดการ ก็กลายเป็นว่า CISO ต้องรับผิดชอบโดยไม่มีโอกาสสื่อสารกับบอร์ดเลย George Gerchow จาก Bedrock Security เล่าว่าเขาเคยอยู่ในตำแหน่งที่ไม่สามารถพูดคุยกับหัวหน้าหรือบอร์ดได้โดยตรง จนทีมของเขาเริ่มลาออก และสุดท้ายเขาต้องออกจากตำแหน่งนั้นเอง เขาจึงระบุในสัญญางานใหม่ว่า “ต้องรายงานตรงต่อ CEO หรือบอร์ดเท่านั้น” แม้บางองค์กรจะให้ CISO เข้าถึงบอร์ดได้ แต่คำถามคือ “ใช้โอกาสนั้นได้ดีแค่ไหน” เพราะการพูดถึง CVE หรือ ransomware gang อาจทำให้บอร์ดเบื่อและมองว่า CISO ไม่เข้าใจธุรกิจ การสื่อสารที่ดีต้องเชื่อมโยงความเสี่ยงกับผลกระทบทางธุรกิจ เช่น รายได้ที่หายไป หรือความเชื่อมั่นของลูกค้าที่ลดลง Andy Land จาก CISO Executive Network แนะนำว่า CISO ต้องสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริหารระดับ C ก่อน เพื่อเข้าใจเป้าหมายของแต่ละฝ่าย และใช้สิ่งนั้นเป็นสะพานไปสู่การสื่อสารกับบอร์ดอย่างมีประสิทธิภาพ ✅ สถานการณ์การเข้าถึงบอร์ดของ CISO ➡️ 40% ของ CISO ในองค์กรขนาดกลางและเล็กไม่มีสิทธิ์เข้าถึงบอร์ด ➡️ 50% ของกลุ่มนี้รายงานว่ารู้สึกไม่พอใจในงาน ➡️ CISO ที่มีสิทธิ์เข้าบอร์ดรายไตรมาส มีความพึงพอใจเพียง 8% ✅ ปัญหาโครงสร้างการรายงาน ➡️ CISO มักรายงานต่อ CIO หรือ CTO ซึ่งมีเป้าหมายต่างกัน ➡️ ความเสี่ยงที่ไม่ถูกจัดการอาจถูกกดไว้ ไม่ถูกนำเสนอถึงบอร์ด ➡️ CISO กลายเป็นผู้รับผิดชอบเมื่อเกิดเหตุการณ์ แม้ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ ✅ ผลกระทบต่อความมั่นคงและความผูกพันในงาน ➡️ CISO หลายคนลาออกหรือเปลี่ยนสายงานเพราะรู้สึกไม่มีอำนาจ ➡️ อายุเฉลี่ยของตำแหน่ง CISO อยู่ที่ 18–26 เดือน ➡️ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กรอาจทำให้ช่องทางสื่อสารถูกตัดขาด ✅ แนวทางการสร้างความสัมพันธ์กับบอร์ด ➡️ ต้องเริ่มจากการเข้าใจเป้าหมายของผู้บริหารระดับ C ➡️ สื่อสารความเสี่ยงในรูปแบบที่เชื่อมโยงกับรายได้, pipeline, และ churn ➡️ หลีกเลี่ยงการพูดเชิงเทคนิคที่ไม่เชื่อมโยงกับผลกระทบทางธุรกิจ https://www.csoonline.com/article/4049347/lack-of-board-access-the-no-1-ciso-dissatisfaction.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Lack of board access: The No. 1 factor for CISO dissatisfaction
    As C-level executives, CISOs are accountable for anything that goes wrong but are not given the same C-level treatment and access that would help them execute their functions with authority.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 168 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Inbound 2025: เมื่อ AI ไม่ได้มาแทนคน แต่มาเป็นทีมร่วมงานที่ขับเคลื่อนธุรกิจ

    ในงาน HubSpot Inbound 2025 ที่จัดขึ้นที่ซานฟรานซิสโก มีการเปิดตัวเครื่องมือใหม่กว่า 200 รายการที่เน้นการสร้าง “ทีมลูกผสม” ระหว่างมนุษย์กับ AI โดยมีแนวคิดหลักคือ “The Loop”—กรอบการทำงานที่ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน: เชื่อมโยงข้อมูลทั้งหมด, สร้างทีม AI, และเปิดโอกาสให้คนทำงานได้เต็มศักยภาพ

    CEO Yamini Rangan ย้ำว่า organic traffic กำลังตายลง และการตลาดต้องเปลี่ยนจากการไล่ตามคลิก ไปสู่การสร้างความไว้วางใจผ่านช่องทางใหม่ เช่น podcast, newsletter และ social ที่มีความจริงใจมากกว่า

    HubSpot เปิดตัว Data Hub, Smart CRM ที่มี “project object” สำหรับติดตามงานแบบละเอียด และ Breeze agents ที่สามารถสร้างข้อความแบบเฉพาะบุคคลในทุกช่องทางแบบ real-time

    SmartBug, Wistia, AdRoll, Cvent และ Docket ต่างก็โชว์การใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในงานของตน เช่น SmartBug สร้าง AI agent สำหรับการ onboarding และ migration, Wistia ใช้ AI ในการวิเคราะห์วิดีโอ B2B, ส่วน Docket เสนอ AI concierge ที่ช่วยตอบคำถามและเปลี่ยน traffic เป็น lead

    Anthropic ก็เข้าร่วมงาน โดย CEO Dario Amodei พูดถึง Claude ที่เคยถูกใช้ใน ransomware โดยรัฐ แต่ตอนนี้ถูกปรับให้ปลอดภัยขึ้น พร้อมเปิดตัว Claude Code ที่หวังจะเป็น “AWS ของยุค AI”

    แนวคิดหลักจาก HubSpot
    “The Loop” คือกรอบการทำงานใหม่: เชื่อมข้อมูล, สร้างทีม AI, เปิดศักยภาพคน
    เน้น “human authenticity with AI efficiency”
    เปิดตัว Data Hub, Smart CRM, Breeze agents และ NIM microservices

    การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการตลาด
    Organic traffic ลดลงอย่างต่อเนื่อง
    HubSpot หันไปลงทุนใน podcast, newsletter และ social เพื่อสร้าง trust
    ผู้บริโภคต้องการเนื้อหาที่จริงใจมากกว่าปริมาณ

    ตัวอย่างการใช้งาน AI จากพันธมิตร
    SmartBug สร้าง AI agent สำหรับการใช้งาน HubSpot แบบครบวงจร
    Wistia ใช้ AI วิเคราะห์วิดีโอและเชื่อมต่อกับ Adobe, Salesforce, Mailchimp
    AdRoll ใช้ machine learning สร้างแคมเปญโฆษณาแบบ multi-channel
    Docket เสนอ AI concierge สำหรับตอบคำถามและเปลี่ยน traffic เป็น lead
    Cvent ใช้ AI ค้นหาโรงแรมและจัดการอีเวนต์แบบครบวงจร

    มุมมองจาก Anthropic
    Claude ยังไม่ฉลาดเกินมนุษย์ แต่ใกล้เคียงระดับปริญญาตรี
    Claude Code ถูกวางเป็น “platform” สำหรับสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่
    มีการป้องกันการใช้โมเดลในทางที่ผิด เช่น ransomware

    https://www.techradar.com/pro/live/hubspot-inbound-2025-all-the-news-and-announcements-as-it-happens
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Inbound 2025: เมื่อ AI ไม่ได้มาแทนคน แต่มาเป็นทีมร่วมงานที่ขับเคลื่อนธุรกิจ ในงาน HubSpot Inbound 2025 ที่จัดขึ้นที่ซานฟรานซิสโก มีการเปิดตัวเครื่องมือใหม่กว่า 200 รายการที่เน้นการสร้าง “ทีมลูกผสม” ระหว่างมนุษย์กับ AI โดยมีแนวคิดหลักคือ “The Loop”—กรอบการทำงานที่ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน: เชื่อมโยงข้อมูลทั้งหมด, สร้างทีม AI, และเปิดโอกาสให้คนทำงานได้เต็มศักยภาพ CEO Yamini Rangan ย้ำว่า organic traffic กำลังตายลง และการตลาดต้องเปลี่ยนจากการไล่ตามคลิก ไปสู่การสร้างความไว้วางใจผ่านช่องทางใหม่ เช่น podcast, newsletter และ social ที่มีความจริงใจมากกว่า HubSpot เปิดตัว Data Hub, Smart CRM ที่มี “project object” สำหรับติดตามงานแบบละเอียด และ Breeze agents ที่สามารถสร้างข้อความแบบเฉพาะบุคคลในทุกช่องทางแบบ real-time SmartBug, Wistia, AdRoll, Cvent และ Docket ต่างก็โชว์การใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในงานของตน เช่น SmartBug สร้าง AI agent สำหรับการ onboarding และ migration, Wistia ใช้ AI ในการวิเคราะห์วิดีโอ B2B, ส่วน Docket เสนอ AI concierge ที่ช่วยตอบคำถามและเปลี่ยน traffic เป็น lead Anthropic ก็เข้าร่วมงาน โดย CEO Dario Amodei พูดถึง Claude ที่เคยถูกใช้ใน ransomware โดยรัฐ แต่ตอนนี้ถูกปรับให้ปลอดภัยขึ้น พร้อมเปิดตัว Claude Code ที่หวังจะเป็น “AWS ของยุค AI” ✅ แนวคิดหลักจาก HubSpot ➡️ “The Loop” คือกรอบการทำงานใหม่: เชื่อมข้อมูล, สร้างทีม AI, เปิดศักยภาพคน ➡️ เน้น “human authenticity with AI efficiency” ➡️ เปิดตัว Data Hub, Smart CRM, Breeze agents และ NIM microservices ✅ การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมการตลาด ➡️ Organic traffic ลดลงอย่างต่อเนื่อง ➡️ HubSpot หันไปลงทุนใน podcast, newsletter และ social เพื่อสร้าง trust ➡️ ผู้บริโภคต้องการเนื้อหาที่จริงใจมากกว่าปริมาณ ✅ ตัวอย่างการใช้งาน AI จากพันธมิตร ➡️ SmartBug สร้าง AI agent สำหรับการใช้งาน HubSpot แบบครบวงจร ➡️ Wistia ใช้ AI วิเคราะห์วิดีโอและเชื่อมต่อกับ Adobe, Salesforce, Mailchimp ➡️ AdRoll ใช้ machine learning สร้างแคมเปญโฆษณาแบบ multi-channel ➡️ Docket เสนอ AI concierge สำหรับตอบคำถามและเปลี่ยน traffic เป็น lead ➡️ Cvent ใช้ AI ค้นหาโรงแรมและจัดการอีเวนต์แบบครบวงจร ✅ มุมมองจาก Anthropic ➡️ Claude ยังไม่ฉลาดเกินมนุษย์ แต่ใกล้เคียงระดับปริญญาตรี ➡️ Claude Code ถูกวางเป็น “platform” สำหรับสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ➡️ มีการป้องกันการใช้โมเดลในทางที่ผิด เช่น ransomware https://www.techradar.com/pro/live/hubspot-inbound-2025-all-the-news-and-announcements-as-it-happens
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 192 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก AI Search: เมื่อ Hostinger แซง AWS และ GoDaddy ส่วน Wix ครองใจคนสร้างเว็บแบบง่ายที่สุด

    ข้อมูลล่าสุดจาก Similarweb และ Google Trends เผยว่า Hostinger มีการปรากฏใน AI-driven search มากกว่า 1.6 ล้านครั้งในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งมากกว่า AWS ถึง 3 เท่า และแซง GoDaddy อย่างชัดเจน แม้จะเป็นแบรนด์เล็กกว่าในแง่โครงสร้างพื้นฐาน แต่ Hostinger กลับกลายเป็น “ชื่อที่ AI แนะนำ” บ่อยที่สุดเมื่อผู้ใช้ถามหาเว็บโฮสติ้ง

    สิ่งที่ผลักดัน Hostinger คือการผสานบริการโฮสติ้งเข้ากับเครื่องมือสร้างเว็บไซต์แบบ AI ที่พัฒนาอย่างรวดเร็วหลังจากเข้าซื้อ Zyro โดยเน้นความง่าย ราคาถูก และการใช้งานที่ไม่ต้องมีความรู้ด้านเทคนิคมากนัก

    ในขณะเดียวกัน Wix ยังคงครองตำแหน่งสูงสุดในกลุ่มผู้สร้างเว็บไซต์ โดยมีการโต้ตอบมากกว่า 450,000 ครั้งใน AI search ซึ่งมากกว่า Squarespace ถึง 5 เท่า และเหนือกว่า Weebly อย่างชัดเจน จุดแข็งของ Wix คือระบบ drag-and-drop, เทมเพลตมากกว่า 900 แบบ, และระบบ design automation ที่ช่วยให้ผู้ใช้ทั่วไปสร้างเว็บไซต์ได้ในไม่กี่นาที

    แม้ตัวเลขการปรากฏใน AI search จะไม่เท่ากับยอดขายหรือรายได้โดยตรง แต่ก็สะท้อนถึง “mindshare” หรือการรับรู้แบรนด์ในยุคที่ผู้ใช้พึ่งพา AI ในการค้นหามากขึ้นเรื่อย ๆ

    Hostinger ครองอันดับสูงสุดใน AI search
    มีการปรากฏใน AI-driven search มากกว่า 1.6 ล้านครั้ง
    แซง AWS (ต่ำกว่า 500,000 ครั้ง) และ GoDaddy อย่างชัดเจน
    ได้รับการเชื่อมโยงกับบริการ AI website builder อย่างต่อเนื่อง

    Wix ยังคงเป็นผู้นำด้านการสร้างเว็บไซต์
    มีการโต้ตอบใน AI search มากกว่า 450,000 ครั้ง
    ใช้ระบบ drag-and-drop, automation, และ e-commerce tools
    เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปและธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการความง่าย

    การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมผู้ใช้
    AI search กลายเป็นช่องทางหลักในการค้นหาบริการดิจิทัล
    ความถี่ในการปรากฏใน AI search เริ่มกลายเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ
    ผู้ใช้ให้ความสำคัญกับความง่ายและความเร็วมากกว่าความลึกทางเทคนิค

    การแข่งขันในตลาดสร้างเว็บไซต์
    Squarespace และ Weebly ยังอยู่ในอันดับรอง แต่มีการโต้ตอบน้อยกว่า Wix
    Hostinger เริ่มแย่งพื้นที่จากผู้เล่นเก่าในกลุ่ม website builder
    การรวม hosting + AI builder กลายเป็นแนวโน้มใหม่ของตลาด

    https://www.techradar.com/pro/hostinger-is-the-top-performing-web-hosting-firm-in-ai-search-while-wix-takes-top-trumps-for-website-builders
    🎙️ เรื่องเล่าจาก AI Search: เมื่อ Hostinger แซง AWS และ GoDaddy ส่วน Wix ครองใจคนสร้างเว็บแบบง่ายที่สุด ข้อมูลล่าสุดจาก Similarweb และ Google Trends เผยว่า Hostinger มีการปรากฏใน AI-driven search มากกว่า 1.6 ล้านครั้งในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งมากกว่า AWS ถึง 3 เท่า และแซง GoDaddy อย่างชัดเจน แม้จะเป็นแบรนด์เล็กกว่าในแง่โครงสร้างพื้นฐาน แต่ Hostinger กลับกลายเป็น “ชื่อที่ AI แนะนำ” บ่อยที่สุดเมื่อผู้ใช้ถามหาเว็บโฮสติ้ง สิ่งที่ผลักดัน Hostinger คือการผสานบริการโฮสติ้งเข้ากับเครื่องมือสร้างเว็บไซต์แบบ AI ที่พัฒนาอย่างรวดเร็วหลังจากเข้าซื้อ Zyro โดยเน้นความง่าย ราคาถูก และการใช้งานที่ไม่ต้องมีความรู้ด้านเทคนิคมากนัก ในขณะเดียวกัน Wix ยังคงครองตำแหน่งสูงสุดในกลุ่มผู้สร้างเว็บไซต์ โดยมีการโต้ตอบมากกว่า 450,000 ครั้งใน AI search ซึ่งมากกว่า Squarespace ถึง 5 เท่า และเหนือกว่า Weebly อย่างชัดเจน จุดแข็งของ Wix คือระบบ drag-and-drop, เทมเพลตมากกว่า 900 แบบ, และระบบ design automation ที่ช่วยให้ผู้ใช้ทั่วไปสร้างเว็บไซต์ได้ในไม่กี่นาที แม้ตัวเลขการปรากฏใน AI search จะไม่เท่ากับยอดขายหรือรายได้โดยตรง แต่ก็สะท้อนถึง “mindshare” หรือการรับรู้แบรนด์ในยุคที่ผู้ใช้พึ่งพา AI ในการค้นหามากขึ้นเรื่อย ๆ ✅ Hostinger ครองอันดับสูงสุดใน AI search ➡️ มีการปรากฏใน AI-driven search มากกว่า 1.6 ล้านครั้ง ➡️ แซง AWS (ต่ำกว่า 500,000 ครั้ง) และ GoDaddy อย่างชัดเจน ➡️ ได้รับการเชื่อมโยงกับบริการ AI website builder อย่างต่อเนื่อง ✅ Wix ยังคงเป็นผู้นำด้านการสร้างเว็บไซต์ ➡️ มีการโต้ตอบใน AI search มากกว่า 450,000 ครั้ง ➡️ ใช้ระบบ drag-and-drop, automation, และ e-commerce tools ➡️ เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไปและธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการความง่าย ✅ การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมผู้ใช้ ➡️ AI search กลายเป็นช่องทางหลักในการค้นหาบริการดิจิทัล ➡️ ความถี่ในการปรากฏใน AI search เริ่มกลายเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ ➡️ ผู้ใช้ให้ความสำคัญกับความง่ายและความเร็วมากกว่าความลึกทางเทคนิค ✅ การแข่งขันในตลาดสร้างเว็บไซต์ ➡️ Squarespace และ Weebly ยังอยู่ในอันดับรอง แต่มีการโต้ตอบน้อยกว่า Wix ➡️ Hostinger เริ่มแย่งพื้นที่จากผู้เล่นเก่าในกลุ่ม website builder ➡️ การรวม hosting + AI builder กลายเป็นแนวโน้มใหม่ของตลาด https://www.techradar.com/pro/hostinger-is-the-top-performing-web-hosting-firm-in-ai-search-while-wix-takes-top-trumps-for-website-builders
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 168 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก CVE-2025-50173: เมื่อการป้องกันการยกระดับสิทธิ์กลายเป็นกับดักสำหรับผู้ใช้ทั่วไป

    Microsoft ได้ปล่อยอัปเดตความปลอดภัย KB5063878 สำหรับ Windows 10, 11 และ Server ทุกรุ่นในเดือนสิงหาคม 2025 เพื่อแก้ไขช่องโหว่ CVE-2025-50173 ซึ่งเป็นช่องโหว่ด้านการยกระดับสิทธิ์ผ่าน Windows Installer โดยผู้โจมตีสามารถใช้ MSI repair flow เพื่อยกระดับสิทธิ์เป็น SYSTEM ได้

    เพื่อปิดช่องโหว่นี้ Microsoft ได้เพิ่มความเข้มงวดของระบบ UAC (User Account Control) โดยบังคับให้มีการขอสิทธิ์แอดมินเมื่อมีการเรียกใช้ MSI repair หรือการติดตั้งบางประเภท แม้จะเป็นผู้ใช้ทั่วไปที่เคยใช้งานได้ตามปกติก็ตาม

    ผลที่ตามมาคือ ผู้ใช้ที่ไม่ใช่แอดมินจะเจอหน้าต่าง UAC เด้งขึ้นมาโดยไม่คาดคิด หรือบางครั้งแอปจะล้มเหลวทันทีโดยไม่มีการแจ้งเตือน เช่น การติดตั้ง Office 2010 จะล้มเหลวด้วย error code 1730 หรือ Autodesk AutoCAD จะไม่สามารถเปิดได้หากมีการเรียก MSI repair แบบเบื้องหลัง

    Microsoft แนะนำให้ผู้ใช้ทั่วไป “คลิกขวาแล้วเลือก Run as administrator” เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา และสำหรับองค์กรสามารถใช้ Group Policy ที่ชื่อ Known Issue Rollback (KIR) เพื่อย้อนการเปลี่ยนแปลงนี้ชั่วคราว

    ในอนาคต Microsoft วางแผนจะให้แอดมินสามารถอนุญาตให้แอปบางตัวทำ MSI repair ได้โดยไม่ต้องขอสิทธิ์ทุกครั้ง แต่ตอนนี้ยังไม่มีแพตช์แก้ไขถาวร

    ช่องโหว่ CVE-2025-50173 และการแก้ไข
    เป็นช่องโหว่ด้านการยกระดับสิทธิ์ผ่าน Windows Installer
    Microsoft แก้ไขด้วยการเพิ่มความเข้มงวดของ UAC
    ส่งผลให้ผู้ใช้ทั่วไปเจอ UAC prompt หรือแอปล้มเหลว

    ผลกระทบต่อผู้ใช้ทั่วไป
    แอปที่ใช้ MSI repair เช่น Office 2010, Autodesk, SAP อาจล้มเหลว
    การติดตั้งแบบ per-user หรือ Active Setup จะเจอ UAC prompt
    การ deploy ผ่าน ConfigMgr ที่ใช้ “advertising” จะล้มเหลว

    วิธีแก้ไขชั่วคราว
    ผู้ใช้ทั่วไปควรใช้ “Run as administrator” เพื่อเปิดแอป
    องค์กรสามารถใช้ Group Policy แบบ KIR เพื่อย้อนการเปลี่ยนแปลง
    Microsoft กำลังพัฒนาให้แอดมินอนุญาตแอปเฉพาะได้ในอนาคต

    แพลตฟอร์มที่ได้รับผลกระทบ
    Windows 11 ทุกรุ่น (22H2, 23H2, 24H2)
    Windows 10 (21H2, 22H2) และ Windows Server ตั้งแต่ 2012
    Enterprise และ Server editions ได้รับผลกระทบเช่นกัน

    https://www.tomshardware.com/software/windows/windows-11-august-2025-security-update-is-causing-unintended-uac-prompts-to-appear-for-non-admin-users-some-apps-are-crashing
    🎙️ เรื่องเล่าจาก CVE-2025-50173: เมื่อการป้องกันการยกระดับสิทธิ์กลายเป็นกับดักสำหรับผู้ใช้ทั่วไป Microsoft ได้ปล่อยอัปเดตความปลอดภัย KB5063878 สำหรับ Windows 10, 11 และ Server ทุกรุ่นในเดือนสิงหาคม 2025 เพื่อแก้ไขช่องโหว่ CVE-2025-50173 ซึ่งเป็นช่องโหว่ด้านการยกระดับสิทธิ์ผ่าน Windows Installer โดยผู้โจมตีสามารถใช้ MSI repair flow เพื่อยกระดับสิทธิ์เป็น SYSTEM ได้ เพื่อปิดช่องโหว่นี้ Microsoft ได้เพิ่มความเข้มงวดของระบบ UAC (User Account Control) โดยบังคับให้มีการขอสิทธิ์แอดมินเมื่อมีการเรียกใช้ MSI repair หรือการติดตั้งบางประเภท แม้จะเป็นผู้ใช้ทั่วไปที่เคยใช้งานได้ตามปกติก็ตาม ผลที่ตามมาคือ ผู้ใช้ที่ไม่ใช่แอดมินจะเจอหน้าต่าง UAC เด้งขึ้นมาโดยไม่คาดคิด หรือบางครั้งแอปจะล้มเหลวทันทีโดยไม่มีการแจ้งเตือน เช่น การติดตั้ง Office 2010 จะล้มเหลวด้วย error code 1730 หรือ Autodesk AutoCAD จะไม่สามารถเปิดได้หากมีการเรียก MSI repair แบบเบื้องหลัง Microsoft แนะนำให้ผู้ใช้ทั่วไป “คลิกขวาแล้วเลือก Run as administrator” เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา และสำหรับองค์กรสามารถใช้ Group Policy ที่ชื่อ Known Issue Rollback (KIR) เพื่อย้อนการเปลี่ยนแปลงนี้ชั่วคราว ในอนาคต Microsoft วางแผนจะให้แอดมินสามารถอนุญาตให้แอปบางตัวทำ MSI repair ได้โดยไม่ต้องขอสิทธิ์ทุกครั้ง แต่ตอนนี้ยังไม่มีแพตช์แก้ไขถาวร ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-50173 และการแก้ไข ➡️ เป็นช่องโหว่ด้านการยกระดับสิทธิ์ผ่าน Windows Installer ➡️ Microsoft แก้ไขด้วยการเพิ่มความเข้มงวดของ UAC ➡️ ส่งผลให้ผู้ใช้ทั่วไปเจอ UAC prompt หรือแอปล้มเหลว ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้ทั่วไป ➡️ แอปที่ใช้ MSI repair เช่น Office 2010, Autodesk, SAP อาจล้มเหลว ➡️ การติดตั้งแบบ per-user หรือ Active Setup จะเจอ UAC prompt ➡️ การ deploy ผ่าน ConfigMgr ที่ใช้ “advertising” จะล้มเหลว ✅ วิธีแก้ไขชั่วคราว ➡️ ผู้ใช้ทั่วไปควรใช้ “Run as administrator” เพื่อเปิดแอป ➡️ องค์กรสามารถใช้ Group Policy แบบ KIR เพื่อย้อนการเปลี่ยนแปลง ➡️ Microsoft กำลังพัฒนาให้แอดมินอนุญาตแอปเฉพาะได้ในอนาคต ✅ แพลตฟอร์มที่ได้รับผลกระทบ ➡️ Windows 11 ทุกรุ่น (22H2, 23H2, 24H2) ➡️ Windows 10 (21H2, 22H2) และ Windows Server ตั้งแต่ 2012 ➡️ Enterprise และ Server editions ได้รับผลกระทบเช่นกัน https://www.tomshardware.com/software/windows/windows-11-august-2025-security-update-is-causing-unintended-uac-prompts-to-appear-for-non-admin-users-some-apps-are-crashing
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 163 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากข้อมูลจริง: เมื่อ AI เริ่มกัดกินโอกาสทำงานของคนอายุน้อย โดยเฉพาะในสายงานที่มันแทนที่ได้ง่าย

    Derek Thompson เปิดประเด็นในบทความล่าสุดว่า คำถาม “AI กำลังทำลายงานของคนรุ่นใหม่หรือไม่” กำลังเปลี่ยนจากข้อสงสัยเป็นหลักฐานที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะหลังจากงานวิจัยใหม่จาก Stanford ที่ใช้ข้อมูลจาก ADP ซึ่งครอบคลุมการจ้างงานของคนหลายล้านคน พบว่า คนอายุ 22–25 ปีในสายงานที่ “มีความเสี่ยงสูงต่อ AI” เช่น software developer และ customer service agent มีอัตราการจ้างงานลดลงถึง 13% ตั้งแต่ ChatGPT เปิดตัว

    ที่น่าสนใจคือ คนอายุมากกว่าในสายงานเดียวกันกลับไม่ได้รับผลกระทบเท่า และบางสายงานที่ไม่สามารถถูกแทนที่ด้วย AI เช่น home health aide กลับมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นในกลุ่มคนอายุน้อย

    นักวิจัยยังแยกแยะว่า AI มีผลกระทบแตกต่างกันตามลักษณะงาน—งานที่ AI สามารถ “ทำแทน” ได้ เช่น การแปลเอกสารหรือจัดรูปแบบข้อมูล จะมีการจ้างงานลดลงอย่างชัดเจน ขณะที่งานที่ AI “ช่วยเสริม” เช่น การวางกลยุทธ์หรือการตัดสินใจร่วมกับมนุษย์ กลับไม่มีผลกระทบด้านลบต่อการจ้างงาน

    แม้ก่อนหน้านี้จะมีรายงานจาก Economic Innovation Group และนักเศรษฐศาสตร์หลายคนที่ชี้ว่า AI ยังไม่มีผลกระทบต่อการจ้างงานโดยรวม แต่ข้อมูลใหม่จาก Stanford กลับชี้ว่า หากมองเฉพาะกลุ่มคนอายุน้อยในสายงานที่ AI เข้าไปแทนที่ได้ง่าย ผลกระทบเริ่มปรากฏชัดเจนแล้ว

    ผลการศึกษาจาก Stanford และ ADP
    คนอายุ 22–25 ปีในสายงานที่ AI เข้าไปแทนที่ได้ มีการจ้างงานลดลง 13%
    สายงานที่ไม่เสี่ยงต่อ AI เช่น home health aide มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น
    ข้อมูลครอบคลุมหลายล้านคน ทำให้ผลการวิเคราะห์มีความแม่นยำสูง

    ความแตกต่างระหว่างงานที่ AI “แทนที่” กับ “เสริม”
    งานที่ AI ทำแทนได้ เช่น การจัดการเอกสาร, การค้นข้อมูล, การเขียนรายงาน
    งานที่ AI เสริมได้ เช่น การวางกลยุทธ์, การตัดสินใจ, การสื่อสารกับทีม
    งานแบบแรกมีการจ้างงานลดลง ส่วนงานแบบหลังไม่มีผลกระทบ

    ความเปลี่ยนแปลงภายในองค์กร
    ในบริษัทเดียวกัน งานที่เสี่ยงต่อ AI มีการจ้างงานลดลงมากกว่างานที่ไม่เสี่ยง
    การเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดจากเศรษฐกิจโดยรวม แต่เกิดจากลักษณะงานเฉพาะ
    งานที่มีผลลัพธ์ชัดเจนและวัดผลได้ง่าย มักถูกแทนที่ด้วย AI ก่อน

    ข้อเสนอแนะต่อมหาวิทยาลัยและผู้เรียน
    หลักสูตรควรสอนการใช้ AI ควบคู่กับทักษะพื้นฐาน
    งานที่มีองค์ประกอบทางกายภาพหรือการตัดสินใจระยะยาวยังคงมีความสำคัญ
    การเข้าใจว่า AI ทำอะไรได้และไม่ได้ จะช่วยให้ผู้เรียนปรับตัวได้ดีขึ้น

    https://www.derekthompson.org/p/the-evidence-that-ai-is-destroying
    🎙️ เรื่องเล่าจากข้อมูลจริง: เมื่อ AI เริ่มกัดกินโอกาสทำงานของคนอายุน้อย โดยเฉพาะในสายงานที่มันแทนที่ได้ง่าย Derek Thompson เปิดประเด็นในบทความล่าสุดว่า คำถาม “AI กำลังทำลายงานของคนรุ่นใหม่หรือไม่” กำลังเปลี่ยนจากข้อสงสัยเป็นหลักฐานที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะหลังจากงานวิจัยใหม่จาก Stanford ที่ใช้ข้อมูลจาก ADP ซึ่งครอบคลุมการจ้างงานของคนหลายล้านคน พบว่า คนอายุ 22–25 ปีในสายงานที่ “มีความเสี่ยงสูงต่อ AI” เช่น software developer และ customer service agent มีอัตราการจ้างงานลดลงถึง 13% ตั้งแต่ ChatGPT เปิดตัว ที่น่าสนใจคือ คนอายุมากกว่าในสายงานเดียวกันกลับไม่ได้รับผลกระทบเท่า และบางสายงานที่ไม่สามารถถูกแทนที่ด้วย AI เช่น home health aide กลับมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นในกลุ่มคนอายุน้อย นักวิจัยยังแยกแยะว่า AI มีผลกระทบแตกต่างกันตามลักษณะงาน—งานที่ AI สามารถ “ทำแทน” ได้ เช่น การแปลเอกสารหรือจัดรูปแบบข้อมูล จะมีการจ้างงานลดลงอย่างชัดเจน ขณะที่งานที่ AI “ช่วยเสริม” เช่น การวางกลยุทธ์หรือการตัดสินใจร่วมกับมนุษย์ กลับไม่มีผลกระทบด้านลบต่อการจ้างงาน แม้ก่อนหน้านี้จะมีรายงานจาก Economic Innovation Group และนักเศรษฐศาสตร์หลายคนที่ชี้ว่า AI ยังไม่มีผลกระทบต่อการจ้างงานโดยรวม แต่ข้อมูลใหม่จาก Stanford กลับชี้ว่า หากมองเฉพาะกลุ่มคนอายุน้อยในสายงานที่ AI เข้าไปแทนที่ได้ง่าย ผลกระทบเริ่มปรากฏชัดเจนแล้ว ✅ ผลการศึกษาจาก Stanford และ ADP ➡️ คนอายุ 22–25 ปีในสายงานที่ AI เข้าไปแทนที่ได้ มีการจ้างงานลดลง 13% ➡️ สายงานที่ไม่เสี่ยงต่อ AI เช่น home health aide มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ➡️ ข้อมูลครอบคลุมหลายล้านคน ทำให้ผลการวิเคราะห์มีความแม่นยำสูง ✅ ความแตกต่างระหว่างงานที่ AI “แทนที่” กับ “เสริม” ➡️ งานที่ AI ทำแทนได้ เช่น การจัดการเอกสาร, การค้นข้อมูล, การเขียนรายงาน ➡️ งานที่ AI เสริมได้ เช่น การวางกลยุทธ์, การตัดสินใจ, การสื่อสารกับทีม ➡️ งานแบบแรกมีการจ้างงานลดลง ส่วนงานแบบหลังไม่มีผลกระทบ ✅ ความเปลี่ยนแปลงภายในองค์กร ➡️ ในบริษัทเดียวกัน งานที่เสี่ยงต่อ AI มีการจ้างงานลดลงมากกว่างานที่ไม่เสี่ยง ➡️ การเปลี่ยนแปลงไม่ได้เกิดจากเศรษฐกิจโดยรวม แต่เกิดจากลักษณะงานเฉพาะ ➡️ งานที่มีผลลัพธ์ชัดเจนและวัดผลได้ง่าย มักถูกแทนที่ด้วย AI ก่อน ✅ ข้อเสนอแนะต่อมหาวิทยาลัยและผู้เรียน ➡️ หลักสูตรควรสอนการใช้ AI ควบคู่กับทักษะพื้นฐาน ➡️ งานที่มีองค์ประกอบทางกายภาพหรือการตัดสินใจระยะยาวยังคงมีความสำคัญ ➡️ การเข้าใจว่า AI ทำอะไรได้และไม่ได้ จะช่วยให้ผู้เรียนปรับตัวได้ดีขึ้น https://www.derekthompson.org/p/the-evidence-that-ai-is-destroying
    WWW.DEREKTHOMPSON.ORG
    The Evidence That AI Is Destroying Jobs For Young People Just Got Stronger
    A big nerd debate with bigger implications for the future of work, technology, and the economy
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากการจดจ่อ: เมื่อความสนใจที่ยาวนานทำให้โลกภายใน “บานสะพรั่ง”

    Henrik Karlsson เริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามว่า ทำไมเราถึงมอง “การจดจ่อ” เป็นเรื่องเคร่งขรึม ทั้งที่จริงแล้วมันคือประสบการณ์ที่เข้มข้นและน่าหลงใหลที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิต—โดยเฉพาะเมื่อเรายอมให้ความสนใจนั้น “วนซ้ำ” และ “เบ่งบาน” ในตัวมันเอง

    เขายกตัวอย่างจากประสบการณ์ทางเพศ ที่การยืดเวลาความพึงพอใจทำให้ระบบโดพามีนในสมองถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง จนเกิดการรับรู้ที่ลึกขึ้นในร่างกาย ความรู้สึกบนผิวหนัง กลายเป็นวงจรป้อนกลับที่ทำให้เราหลุดเข้าไปในภาวะที่เหนือกว่าความคิดปกติ

    แต่ไม่ใช่แค่เรื่องเซ็กซ์—Henrik ขยายแนวคิดนี้ไปยังความวิตก ความสุข ความเหงา และแม้แต่การฟังดนตรีหรือดูงานศิลปะ โดยชี้ว่าเมื่อเราจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานพอ ระบบต่าง ๆ ในร่างกายจะเริ่ม “ประสานกัน” และสร้างประสบการณ์ที่ลึกขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นภาวะเปลี่ยนแปลงของจิตใจ เช่น “jhana” หรือภาวะสมาธิขั้นสูงที่นักวิจัยพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงของการเชื่อมต่อสมองในระดับลึก2

    เขาเล่าถึงการฟังซิมโฟนีของ Sibelius ที่ทำให้เกิดภาพยนตร์ในหัวถึงสามเรื่องในเวลาเพียง 30 นาที—เพราะดนตรีมีโครงสร้างที่พอเหมาะระหว่างความคาดเดาได้และความแปลกใหม่ ทำให้สมองสามารถ “จดจ่อ” ได้อย่างลึกและต่อเนื่อง

    Henrik สรุปว่า ความสนใจที่ยาวนานไม่ใช่แค่เครื่องมือในการทำงานหรือการเรียนรู้ แต่คือประตูสู่ภาวะจิตที่ลึกกว่า ซึ่งอาจช่วยให้เราทำความเข้าใจตัวเอง ความรู้สึก และโลกได้ในระดับที่ไม่เคยเข้าถึงมาก่อน

    ความหมายของการจดจ่ออย่างต่อเนื่อง
    เป็นภาวะที่ระบบต่าง ๆ ในร่างกายเริ่มประสานกัน
    ทำให้เกิดวงจรป้อนกลับที่เพิ่มความเข้มข้นของประสบการณ์
    สามารถนำไปสู่ภาวะเปลี่ยนแปลงของจิต เช่น jhana หรือ flow

    ตัวอย่างจากประสบการณ์จริง
    การยืดเวลาความพึงพอใจทางเพศทำให้ระบบโดพามีนถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง
    การฟังดนตรีอย่างลึกสามารถสร้างภาพและเรื่องราวในจิตใจ
    การจดจ่อกับความสุขหรือความเหงาอาจนำไปสู่ภาวะหลุดพ้นหรือการเข้าใจตัวเอง

    ข้อมูลเสริมจากงานวิจัย
    การเข้าสู่ jhana มีการเปลี่ยนแปลงของการเชื่อมต่อสมองแบบไม่เป็นคลื่น (non-oscillatory)
    การจดจ่อกับคณิตศาสตร์หรือโมเดล AI อย่างลึกสามารถสร้าง “ความใกล้ชิดทางวิจัย” ที่นำไปสู่ความเข้าใจใหม่
    ความสนใจที่ยาวนานช่วยให้ระบบภายใน “ปรับจูน” และสร้างความรู้สึกที่ลึกขึ้น

    ความเสี่ยงจากการจดจ่อกับสิ่งที่เป็นลบ
    การจดจ่อกับความวิตกอาจนำไปสู่ภาวะตื่นตระหนกหรือ panic attack
    ความคิดลบอาจวนซ้ำและขยายตัวจนควบคุมไม่ได้

    ความเปราะบางของระบบประสาท
    การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและระบบสมองต้องใช้เวลาในการปรับตัว
    หากเปลี่ยนสิ่งที่สนใจบ่อยเกินไป ระบบภายในจะไม่สามารถประสานกันได้

    ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “การจดจ่อ”
    ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถเข้าสู่ภาวะลึกได้ทันที ต้องอาศัยการฝึกฝน
    การจดจ่ออย่างลึกอาจทำให้หลุดจากบริบทปัจจุบัน หากไม่มีการควบคุม

    https://www.henrikkarlsson.xyz/p/attention
    🎙️ เรื่องเล่าจากการจดจ่อ: เมื่อความสนใจที่ยาวนานทำให้โลกภายใน “บานสะพรั่ง” Henrik Karlsson เริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามว่า ทำไมเราถึงมอง “การจดจ่อ” เป็นเรื่องเคร่งขรึม ทั้งที่จริงแล้วมันคือประสบการณ์ที่เข้มข้นและน่าหลงใหลที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิต—โดยเฉพาะเมื่อเรายอมให้ความสนใจนั้น “วนซ้ำ” และ “เบ่งบาน” ในตัวมันเอง เขายกตัวอย่างจากประสบการณ์ทางเพศ ที่การยืดเวลาความพึงพอใจทำให้ระบบโดพามีนในสมองถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง จนเกิดการรับรู้ที่ลึกขึ้นในร่างกาย ความรู้สึกบนผิวหนัง กลายเป็นวงจรป้อนกลับที่ทำให้เราหลุดเข้าไปในภาวะที่เหนือกว่าความคิดปกติ แต่ไม่ใช่แค่เรื่องเซ็กซ์—Henrik ขยายแนวคิดนี้ไปยังความวิตก ความสุข ความเหงา และแม้แต่การฟังดนตรีหรือดูงานศิลปะ โดยชี้ว่าเมื่อเราจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานพอ ระบบต่าง ๆ ในร่างกายจะเริ่ม “ประสานกัน” และสร้างประสบการณ์ที่ลึกขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นภาวะเปลี่ยนแปลงของจิตใจ เช่น “jhana” หรือภาวะสมาธิขั้นสูงที่นักวิจัยพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงของการเชื่อมต่อสมองในระดับลึก2 เขาเล่าถึงการฟังซิมโฟนีของ Sibelius ที่ทำให้เกิดภาพยนตร์ในหัวถึงสามเรื่องในเวลาเพียง 30 นาที—เพราะดนตรีมีโครงสร้างที่พอเหมาะระหว่างความคาดเดาได้และความแปลกใหม่ ทำให้สมองสามารถ “จดจ่อ” ได้อย่างลึกและต่อเนื่อง Henrik สรุปว่า ความสนใจที่ยาวนานไม่ใช่แค่เครื่องมือในการทำงานหรือการเรียนรู้ แต่คือประตูสู่ภาวะจิตที่ลึกกว่า ซึ่งอาจช่วยให้เราทำความเข้าใจตัวเอง ความรู้สึก และโลกได้ในระดับที่ไม่เคยเข้าถึงมาก่อน ✅ ความหมายของการจดจ่ออย่างต่อเนื่อง ➡️ เป็นภาวะที่ระบบต่าง ๆ ในร่างกายเริ่มประสานกัน ➡️ ทำให้เกิดวงจรป้อนกลับที่เพิ่มความเข้มข้นของประสบการณ์ ➡️ สามารถนำไปสู่ภาวะเปลี่ยนแปลงของจิต เช่น jhana หรือ flow ✅ ตัวอย่างจากประสบการณ์จริง ➡️ การยืดเวลาความพึงพอใจทางเพศทำให้ระบบโดพามีนถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง ➡️ การฟังดนตรีอย่างลึกสามารถสร้างภาพและเรื่องราวในจิตใจ ➡️ การจดจ่อกับความสุขหรือความเหงาอาจนำไปสู่ภาวะหลุดพ้นหรือการเข้าใจตัวเอง ✅ ข้อมูลเสริมจากงานวิจัย ➡️ การเข้าสู่ jhana มีการเปลี่ยนแปลงของการเชื่อมต่อสมองแบบไม่เป็นคลื่น (non-oscillatory) ➡️ การจดจ่อกับคณิตศาสตร์หรือโมเดล AI อย่างลึกสามารถสร้าง “ความใกล้ชิดทางวิจัย” ที่นำไปสู่ความเข้าใจใหม่ ➡️ ความสนใจที่ยาวนานช่วยให้ระบบภายใน “ปรับจูน” และสร้างความรู้สึกที่ลึกขึ้น ‼️ ความเสี่ยงจากการจดจ่อกับสิ่งที่เป็นลบ ⛔ การจดจ่อกับความวิตกอาจนำไปสู่ภาวะตื่นตระหนกหรือ panic attack ⛔ ความคิดลบอาจวนซ้ำและขยายตัวจนควบคุมไม่ได้ ‼️ ความเปราะบางของระบบประสาท ⛔ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและระบบสมองต้องใช้เวลาในการปรับตัว ⛔ หากเปลี่ยนสิ่งที่สนใจบ่อยเกินไป ระบบภายในจะไม่สามารถประสานกันได้ ‼️ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “การจดจ่อ” ⛔ ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถเข้าสู่ภาวะลึกได้ทันที ต้องอาศัยการฝึกฝน ⛔ การจดจ่ออย่างลึกอาจทำให้หลุดจากบริบทปัจจุบัน หากไม่มีการควบคุม https://www.henrikkarlsson.xyz/p/attention
    WWW.HENRIKKARLSSON.XYZ
    Almost anything you give sustained attention to will begin to loop on itself and bloom
    When people talk about the value of paying attention and slowing down, they often make it sound prudish and monk-like. But we shouldn’t forget how interesting and overpoweringly pleasurable sustained attention can be.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 159 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากการสำรวจภาคธุรกิจ: เมื่อ AI ยังไม่ทำให้คนตกงาน แต่เริ่มเปลี่ยนวิธีจ้างงานและฝึกอบรม

    ในบล็อกของ New York Fed ที่เผยแพร่เมื่อ 4 กันยายน 2025 นักเศรษฐศาสตร์ระบุว่า แม้การใช้งาน AI ในภาคธุรกิจจะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงปีที่ผ่านมา แต่ผลกระทบต่อการจ้างงานยังถือว่า “น้อยมาก” โดยเฉพาะในแง่ของการเลิกจ้างพนักงาน

    จากการสำรวจในเขตนิวยอร์กและนิวเจอร์ซีย์ พบว่า 40% ของบริษัทด้านบริการ และ 26% ของผู้ผลิต ใช้ AI ในกระบวนการทำงานแล้ว เพิ่มขึ้นจาก 25% และ 16% ตามลำดับเมื่อปีที่แล้ว และเกือบครึ่งของบริษัทเหล่านี้มีแผนจะใช้ AI เพิ่มในอีก 6 เดือนข้างหน้า

    แต่แทนที่จะปลดพนักงาน บริษัทกลับเลือกที่จะ “ฝึกอบรมใหม่” เพื่อให้พนักงานสามารถทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในตำแหน่งที่ต้องใช้ทักษะเฉพาะ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล, การตลาด, และการบริการลูกค้า

    อย่างไรก็ตาม นักวิจัยเตือนว่าแนวโน้มนี้อาจเปลี่ยนไปในอนาคต เมื่อ AI ถูกนำไปใช้ในระดับลึกมากขึ้น โดยเฉพาะในตำแหน่งที่มีค่าตอบแทนสูง เช่น ผู้จัดการ, นักวิเคราะห์, หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน ซึ่งอาจถูกแทนที่บางส่วนด้วยระบบอัตโนมัติ

    การใช้งาน AI ในภาคธุรกิจนิวยอร์ก
    40% ของบริษัทบริการ และ 26% ของผู้ผลิตใช้ AI แล้ว
    เพิ่มขึ้นจาก 25% และ 16% เมื่อปีที่แล้ว
    เกือบครึ่งของบริษัทมีแผนจะใช้ AI เพิ่มในอีก 6 เดือนข้างหน้า

    ผลกระทบต่อการจ้างงาน
    บริษัทส่วนใหญ่ยังไม่ปลดพนักงานเพราะ AI
    เลือกฝึกอบรมพนักงานใหม่เพื่อทำงานร่วมกับ AI
    การเลิกจ้างที่เกิดจาก AI ยังอยู่ในระดับต่ำมาก

    แนวโน้มในอนาคต
    บริษัทเริ่มคาดการณ์ว่าจะมีการลดการจ้างงานในบางตำแหน่ง
    โดยเฉพาะงานที่ใช้ทักษะสูงและมีค่าตอบแทนสูง
    การจ้างงานใหม่อาจเน้นคนที่มีทักษะด้าน AI มากขึ้น

    การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง
    AI เริ่มมีบทบาทในการคัดเลือกพนักงานและวิเคราะห์ประสิทธิภาพ
    บางบริษัทลดการจ้างงานใหม่ แต่เพิ่มการจ้างคนที่ใช้ AI ได้
    ตลาดแรงงานอาจเปลี่ยนจาก “จำนวนคน” เป็น “คุณภาพทักษะ”

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/04/ai-not-affecting-job-market-much-so-far-new-york-fed-says
    🎙️ เรื่องเล่าจากการสำรวจภาคธุรกิจ: เมื่อ AI ยังไม่ทำให้คนตกงาน แต่เริ่มเปลี่ยนวิธีจ้างงานและฝึกอบรม ในบล็อกของ New York Fed ที่เผยแพร่เมื่อ 4 กันยายน 2025 นักเศรษฐศาสตร์ระบุว่า แม้การใช้งาน AI ในภาคธุรกิจจะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงปีที่ผ่านมา แต่ผลกระทบต่อการจ้างงานยังถือว่า “น้อยมาก” โดยเฉพาะในแง่ของการเลิกจ้างพนักงาน จากการสำรวจในเขตนิวยอร์กและนิวเจอร์ซีย์ พบว่า 40% ของบริษัทด้านบริการ และ 26% ของผู้ผลิต ใช้ AI ในกระบวนการทำงานแล้ว เพิ่มขึ้นจาก 25% และ 16% ตามลำดับเมื่อปีที่แล้ว และเกือบครึ่งของบริษัทเหล่านี้มีแผนจะใช้ AI เพิ่มในอีก 6 เดือนข้างหน้า แต่แทนที่จะปลดพนักงาน บริษัทกลับเลือกที่จะ “ฝึกอบรมใหม่” เพื่อให้พนักงานสามารถทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในตำแหน่งที่ต้องใช้ทักษะเฉพาะ เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล, การตลาด, และการบริการลูกค้า อย่างไรก็ตาม นักวิจัยเตือนว่าแนวโน้มนี้อาจเปลี่ยนไปในอนาคต เมื่อ AI ถูกนำไปใช้ในระดับลึกมากขึ้น โดยเฉพาะในตำแหน่งที่มีค่าตอบแทนสูง เช่น ผู้จัดการ, นักวิเคราะห์, หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน ซึ่งอาจถูกแทนที่บางส่วนด้วยระบบอัตโนมัติ ✅ การใช้งาน AI ในภาคธุรกิจนิวยอร์ก ➡️ 40% ของบริษัทบริการ และ 26% ของผู้ผลิตใช้ AI แล้ว ➡️ เพิ่มขึ้นจาก 25% และ 16% เมื่อปีที่แล้ว ➡️ เกือบครึ่งของบริษัทมีแผนจะใช้ AI เพิ่มในอีก 6 เดือนข้างหน้า ✅ ผลกระทบต่อการจ้างงาน ➡️ บริษัทส่วนใหญ่ยังไม่ปลดพนักงานเพราะ AI ➡️ เลือกฝึกอบรมพนักงานใหม่เพื่อทำงานร่วมกับ AI ➡️ การเลิกจ้างที่เกิดจาก AI ยังอยู่ในระดับต่ำมาก ✅ แนวโน้มในอนาคต ➡️ บริษัทเริ่มคาดการณ์ว่าจะมีการลดการจ้างงานในบางตำแหน่ง ➡️ โดยเฉพาะงานที่ใช้ทักษะสูงและมีค่าตอบแทนสูง ➡️ การจ้างงานใหม่อาจเน้นคนที่มีทักษะด้าน AI มากขึ้น ✅ การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ➡️ AI เริ่มมีบทบาทในการคัดเลือกพนักงานและวิเคราะห์ประสิทธิภาพ ➡️ บางบริษัทลดการจ้างงานใหม่ แต่เพิ่มการจ้างคนที่ใช้ AI ได้ ➡️ ตลาดแรงงานอาจเปลี่ยนจาก “จำนวนคน” เป็น “คุณภาพทักษะ” https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/04/ai-not-affecting-job-market-much-so-far-new-york-fed-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AI not affecting job market much so far, New York Fed says
    NEW YORK (Reuters) -Rising adoption of artificial intelligence technology by firms in the Federal Reserve's New York district has not been much of a job-killer so far, the regional Fed bank said in a blog on Thursday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 140 มุมมอง 0 รีวิว
  • แกะรอยนักล่า ตอนที่ 2
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยนักล่า” (2)
    ขณะที่เขียนนิทานนี้ การขับไล่รัฐบาลนังมารร้าย ของมวลมหาประชาชนยังไม่สำเร็จ มะม่วงแม้จะขั้วเน่า จุดดำขึ้นเต็มลูก ก็ยังไม่ร่วงหล่น ลุงกำนันใช้ลมปากเท่าใดก็ไม่เป็นผล และแม้จะมีนักวิชาการดาหน้ากันมาบอกว่า การเป็นรัฐบาลรักษาการของรัฐบาลนังมารร้ายได้สิ้นสุดไปแล้ว ก็เหมือนพูดกับคนหูหนวก ไม่รู้เรื่อง แถมนังมารร้ายออกมาพูดจาเลอะเทอะ ทำน้ำตาคลอ ดูอาการเหมือนคนใกล้จะวิปลาส และแม้จะมีศาลจะออกมาชี้มูลความผิด หรือแม้ว่าจะมีคุณหมอคนใดจริงใจและใจถึงออกมาบอกว่า นังมารร้ายวิปลาสไปแล้ว หล่อนก็ยังคงไม่รู้ร้อนรู้หนาวเกาะเก้าอี้ห้อยต่องแต่งต่อไป จำเป็นจะต้องรอให้มีปัจจัยอื่น ที่จะมาปลิดมะม่วงให้หล่น
    ปัจจัยภายในคือคุณพี่ทหาร ซึ่งขณะนี้ได้แสดงท่าทีว่าจวนจะหาจุดยืนถูก “ที่” แล้ว รออีกสักหน่อย ตอนนี้ยังยุ่งกับการแต่งบังเกอร์ให้หวานแหววอยู่ ส่วนปัจจัยภายนอกคือนักล่า ซึ่งได้ปล่อยข่าวผ่านสำนักหมอ ดู CSIS (Centre for Strategic and International Studies) เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 ไปแล้วว่า มันควรต้องมีการประนีประนอมด้วยการเจรจา และตกลงตั้งนายกรัฐมนตรีคนกลาง เลือกเอาจากที่ผู้คนยอมรับนับถือแบบนายอานันท์ ปันยารชุน
    แหม ! ข่าวแบบนี้เล่นเอาร้านตัดเสื้องานเข้า เขาว่ามีคนแอบไปตัดชุดขาวหลายคน (แอบลุ้นกันทั้งนั้น) บางคนก็เอาชุดเดิมไปแก้ เพราะว่าคอมันคับไป แก่แล้ว น้ำหนักมันขึ้น (ฮา)
    แม้เราจะยังไม่แน่ใจว่า นักล่าจะเล่นไพ่ใบไหน มันกะล่อนจะตาย จะเชื่อกันง่าย ๆ ก็ ฉ.ห. กันหมด แต่เมื่อลองไปแกะรอย ตามดูว่านักล่าเดินไปทางไหน มันก็พอจะบอกอะไรเพิ่มเติมได้บ้าง
    อเมริกามีหน่วยงานหนึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบ ทำรายงานเกี่ยวกับความเป็นไปของแต่ละประเทศแต่ละเหตุการณ์ในโลก เพื่อส่งให้สภาสูง เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอเมริกา เหมือนคุณครูประจำชั้นเขียนสมุดพก ประจำตัวนักเรียนแต่ละคน รายงานผู้ปกครอง สมัยเราเรียนหนังสือนั่นละ หน่วยงานที่ออกสมุดพกพวกนี้เรียกว่า Congressional Research Services (CRS) คุณครูจะออกสมุดพกของแต่ละประเทศ เป็นรายปีในกรณีปกติ หรือมากกว่านั้น ขึ้นกับเหตุการณ์และความสำคัญ เช่นถ้าอเมริกากำลังวิ่งเล่นโยนระเบิดอยู่แถวอิรัค สมุดพกของอิรัคอาจออกเป็นรายชั่วโมง (ฮา) หรือของยูเครนตอนนี้คงออกเป็นรายครึ่งวัน เพราะลงทุนส่งสมุนไปปลุกเศกการปฏิวัติประชาชนซะจนประเทศเขากำลังจะแตกเป็นเสี่ยง
    สำหรับประเทศไทย ที่เปิดเผยคือสมุดพกออกเป็นราย ปี แต่ที่ปกปิด ตามรายงานของคุณนายฑูต อาจออกเป็นรายวัน ดูสมัยเสื้อแดงเผาเมือง ฑูตสมัยนั้นรายงานทุกวัน 3 เวลาหลังอาหาร (อ่านจาก Wikileaks ที่ได้อภินันทนาการแจกกันทั่วโลกครับ) สมุดพกที่ว่านี้ปรกติของนักเรียนไทยแต่ละปี จะออกช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน แต่สำหรับปีค.ศ. 2013 ที่ผ่านมา ผ่านไปครึ่งปีคุณครูคงยังไม่สามารถสรุป ความประพฤติของนักเรียนไทยได้ เพราะเริ่มมีอาการปวดหัว ตัวร้อน มีการโดดเรียน หรือเริ่มมั่วสุมนอกห้องเรียน เพราะหงุดหงิดจากพวกแก๊งขี้โกงเสนอร่างพรบ.นิรโทษกรรมเข้าไปพิจารณาในสภา คุณครู CRS เลยถ่วงเวลามาออกเอาเดือนสุดท้ายของปี คือออกรายงานเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 2013
    รายงานคราวนี้ยาวกว่าปรกติ โดยเฉพาะเรื่องสถานการณ์ด้านการเมือง คุณครูรายงานถี่ยิบ ใส่ทุกเรื่องทุกฝ่าย
    รายงานส่วนที่สำคัญบอกว่า ไทยแลนด์เป็นพันธมิตรเก่าแก่ของอเมริกา ตั้งแต่ ค.ศ. 1954 (นานจัง) และได้รับการชื่นชมมาโดยตลอดว่าเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จ ทั้งด้านเศรษฐกิจและการดำรงความเป็นประเทศในระบอบประชาธิปไตย (อ้าว ! ไหนประนามกันเรื่อยว่าไทยไม่เป็นประชาธิปไตย เดี๋ยวฟ้องคุณครูเลย ! ) สัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศแน่นแฟ้นในช่วงสงครามเย็น และได้ขยายไปทั้งด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความมั่นคง ไทยเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของอเมริกา และการที่อเมริกาสามารถเข้าไปใช้บริการ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ของกองทัพไทย (เช่น สนามบิน ! ) ทำให้ประเทศไทยเป็นส่วนสำคัญทางยุทธศาสตร์ของอเมริกาในการจะดำรงคงอยู่ในภูมิภาค Asia Pacific นี้ได้ (แหม ! จะหลอกใช้สนามบินของเค้าอีกแล้ว)
    คุณครูบอกว่าความมั่นคงและความเจริญเติบโตของประเทศไทย เริ่มสั่นคลอนหลังจากรัฐประหารในไทย เมื่อ ค.ศ. 2006 สร้างความแตกแยกในสังคมไทยอย่างร้าวลึกและยาวนาน และขณะนี้ได้ลุกลามไปจนกลายเป็น การประท้วงเรียกร้องให้รัฐบาลลาออก และให้มีการปกครอง ที่มีบางส่วนอาจมองได้ว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองของประเทศ อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจของไทย ก็ยังเติบโตแม้จะมีวิกฤติการเมือง และยังเป็นประเทศที่รายได้ของชนชั้นกลาง ยังมีการขยายต่อได้อีก และยังเป็นพันธมิตรที่มั่นคงของอเมริกา (แปลว่าเรื่องกระเป๋าตังค์นี่ เป็นประเด็นที่นักล่าสนใจนะ)
    ประเทศไทยที่สงบและมีความมั่นคง มีนัยอย่างสำคัญทางยุทธศาสตร์ของอเมริกา เพราะประเทศไทยซึ่งมีสถานะเป็นพันธมิตรของอเมริกา ตั้งอยู่บนพื้นแผ่นดินในบริเวณที่เหมาะสมของภูมิภาคอาเซียอาคเณย์นี้ (จุดได้เปรียบของไทย จำกันไว้ให้ดี !)
    คุณครูรายงานต่อไปว่า สภาสูงของอเมริกากำลังลำบากใจที่ต้องเผชิญกับภาวะที่ดูไม่ประชาธิปไตยของไทย และจะมีปฏิกิริยาตอบรับอย่างไร กับประเด็นการดุลอำนาจระหว่างพลเรือนและทหารที่เป็นอยู่ในสังคมไทย (พูดง่าย ๆ ว่ายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอาพลเรือนนำทหาร หรือจะเอาทหารนำพลเรือนใช่ไหมคุณครู) นอกจากนี้ยังมีนักวิเคราะห์หลายรายบอกว่า การที่ไทยมัววุ่นอยู่กับปัญหาภายในประเทศของตนนานเกินไป ทำให้อิทธิพลของตนเองที่เคยมีอยู่ในภูมิภาคนี้ด้อยลงด้วย อย่างไรก็ตามแม้ในระดับการปฏิบัติการร่วมกัน ยังคงราบรื่นอยู่ แต่การริเริ่มใหม่ ๆ ดูเหมือนจะเฉื่อยชาไป (แหม ! นายท่านพวกกระผม กำลังวุ่นกับการไล่รัฐบาลโจร จะให้มัวไปเช็ดรองเท้าพวกท่านก็กรุณารอก่อนนะขอรับ ขอโทษครับ ขอเขียนแดกพวกขี้ข้าฝรั่งหน่อย อดไม่ได้)
    เมื่อรัฐบาล Obama ประกาศเปลี่ยนแปลงดุลยภาพของอเมริกา (Rebalancing) โดยให้ความสำคัญกับ Asia Pacific เป็นอันดับสำคัญ ซึ่งจำเป็นต้องมีการขับเคลื่อนร่วมมือจากประเทศที่เรียกว่าเป็นพันธมิตรในภูมิภาคนี้ด้วยนั้น เห็นชัดว่าอเมริกากับไทย ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ และประเทศไทยก็ไม่ได้ เข้าเป็นคู่สัญญาในการริเริ่มขบวนการตาม Trans Pacific Partnership (TPP) (ไทยตกรถไฟขบวน TPP น่าจะแปลว่าดีกับไทยนะ เพราะยังไม่เห็นประโยชน์อะไรกับไทยเลย !)
    แต่ประเด็นที่เป็นปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการเมืองไทย ที่อเมริกาเป็นห่วง คือโอกาสที่ทักษิณจะกลับมาอยู่ในประเทศไทย มีมากน้อยเพียงใด (แปลว่าไม่อยากได้ทักษิณใช่ไหม ทักษิณเป็นตัวปัญหาใช่ไหม คุณครู) เพราะทักษิณยังเป็นที่ยอมรับในต่างประเทศ และตัวทักษิณเองได้พูดไปทั่วว่า ตนเองยังได้รับการสนับสนุนจากคนไทยอยู่มาก และจะกลับบ้านในเร็ว ๆ นี้ ร่างกฎหมาย นิรโทษกรรมที่จะล้างผิดให้ทักษิณเป็นต้นเหตุ ให้เกิดการประท้วงใหญ่ ตั้งแต่ตุลาคม ค.ศ. 2013 เป็นต้นมา
    อีกประเด็นที่สำคัญคือคำถามเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระชนมายุ 86 แล้ว และมีรายงานว่าไม่ทรงแข็งแรง พระองค์ทรงเป็นที่เคารพอย่างสูงสุด ของประชาชนมาตลอด 60 ปี ที่ผ่านมา และสถาบันกษัตริย์เป็นที่ยอมรับว่า เป็นสถาบันที่มั่นคงที่สุดในไทย แต่ขณะนี้คำถามเกี่ยวกับการสืบสันตติวงศ์เริ่มใกล้เข้ามา ซึ่งทำให้ความมั่นคงของไทยในส่วนนี้ เป็นเรื่องที่ห่วงกันอยู่
    สาเหตุหลักที่อเมริกาจะต้องพยายามรักษาสัมพันธ์กับประเทศไทยไว้ คือ การแข่งขันในการมีอิทธิพลในอาเซียอาคเณย์ระหว่างอเมริกากับจีน (ฮั่นแน่ ! เรื่องสำคัญ มาแอบอยู่ตรงนี้เองแหละ) ไทยมีชื่อเสียงมานานในความสามารถรักษาสัมพันธ์กับทุกฝ่าย ไม่ว่าด้านธุรกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ไทยสามารถจัดการได้ดีทั้งกับจีนและอเมริกา
    ประเทศไทยที่แข็งแรง และมองออกไปนอกตัวเองมากขึ้น จะช่วยให้ได้รับการสนับสนุน ในการเข้าร่วมกระบวนการ “Rebalancing” ของอเมริกา วิกฤตการเมืองของไทย ทำให้ไทยเสียโอกาสอย่างมาก เพราะเมื่อรัฐบาล Obama ประกาศนโยบายต่างประเทศ Rebalancing ของอเมริกามาทางเอเซีย ไทยไม่ได้รับบทบาทสำคัญ (ไม่ได้เป็นพระเอก) และวอชิงตันได้มองไปที่ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และคบหุ้นส่วนใหม่ เช่น อินโดนีเซีย และเวียตนาม (พวกตัวประกอบผักชีโรยหน้า)
    อย่างไรก็ตามฝ่ายกองทัพของสหรัฐ ยังอยากที่จะคบค้าสานสัมพันธ์กับกองทัพไทยต่อไป (Mil to Mil relationship) โดยเฉพาะการสามารถเข้าไปใช้เครื่องมือเครื่องใช้อำนวยความสะดวก รวมทั้งฐานทัพของไทย ในกรณีที่เกิดปัญหาความตึงเครียดในภูมิภาคนี้
    นักวิเคราะห์ระดับภูมิภาคประโลมใจว่า แม้ประเทศไทยจะไม่วิเศษสมบูรณ์ แต่พันธมิตรที่เป็นประชาธิปไตยในภูมิภาค มีความสำคัญยิ่งในการแสดงให้เห็นถึงความผูกพันธ์ของอเมริกาในภูมิภาคนี้ (คุณนายฑูตคริสตี้ ช่วยอ่านรายงานคุณครู CRS ตอนนี้ให้เข้าไปในหัวหน่อย และถ้าคุณนายซึ่งเป็นฑูตตัวแทนประเทศตัวเอง แล้วยังตั้งหน้าตอแหลบิดเบือนต่อไปอีก ครูใหญ่ Obama ช่วยเรียกตัวกลับไปกวาดพื้นโรงเรียนประถมในอเมริกา จะเหมาะสมกับคุณนายมากกว่า และอาจจะทำให้อเมริกาถูกรังเกียจน้อยลงไปบ้าง)
    ขณะเดียวกัน มีผู้ท้วงติงว่า การที่อเมริกาพยายามจะให้ไทยใช้วิธีการบริหารประเทศ โดยให้พลเรือนควบคุมกองทัพ ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผล ดูจากเหตุการณ์ไม่กี่ปีที่ผ่านมา (แปลว่าอยากได้ทหารเป็นผู้บริหารประเทศ มากกว่าพลเรือนหรือไง ?) และแม้ว่าการจะใช้สนามบินของไทยเป็นเรื่องสำคัญสำหรับกองทัพอเมริกา ก็มีผู้สงสัยเช่นกันว่า ไทยจะยอมให้ใช้หรือไม่ หากมีความขัดแย้งกันเกิดขึ้น (เริ่มจะรู้ตัวแล้วหรือนักล่า ว่าสมันน้อยก็มีเขี้ยวเล็บเหมือนกัน)

    คนเล่านิทาน
    แกะรอยนักล่า ตอนที่ 2 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยนักล่า” (2) ขณะที่เขียนนิทานนี้ การขับไล่รัฐบาลนังมารร้าย ของมวลมหาประชาชนยังไม่สำเร็จ มะม่วงแม้จะขั้วเน่า จุดดำขึ้นเต็มลูก ก็ยังไม่ร่วงหล่น ลุงกำนันใช้ลมปากเท่าใดก็ไม่เป็นผล และแม้จะมีนักวิชาการดาหน้ากันมาบอกว่า การเป็นรัฐบาลรักษาการของรัฐบาลนังมารร้ายได้สิ้นสุดไปแล้ว ก็เหมือนพูดกับคนหูหนวก ไม่รู้เรื่อง แถมนังมารร้ายออกมาพูดจาเลอะเทอะ ทำน้ำตาคลอ ดูอาการเหมือนคนใกล้จะวิปลาส และแม้จะมีศาลจะออกมาชี้มูลความผิด หรือแม้ว่าจะมีคุณหมอคนใดจริงใจและใจถึงออกมาบอกว่า นังมารร้ายวิปลาสไปแล้ว หล่อนก็ยังคงไม่รู้ร้อนรู้หนาวเกาะเก้าอี้ห้อยต่องแต่งต่อไป จำเป็นจะต้องรอให้มีปัจจัยอื่น ที่จะมาปลิดมะม่วงให้หล่น ปัจจัยภายในคือคุณพี่ทหาร ซึ่งขณะนี้ได้แสดงท่าทีว่าจวนจะหาจุดยืนถูก “ที่” แล้ว รออีกสักหน่อย ตอนนี้ยังยุ่งกับการแต่งบังเกอร์ให้หวานแหววอยู่ ส่วนปัจจัยภายนอกคือนักล่า ซึ่งได้ปล่อยข่าวผ่านสำนักหมอ ดู CSIS (Centre for Strategic and International Studies) เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 ไปแล้วว่า มันควรต้องมีการประนีประนอมด้วยการเจรจา และตกลงตั้งนายกรัฐมนตรีคนกลาง เลือกเอาจากที่ผู้คนยอมรับนับถือแบบนายอานันท์ ปันยารชุน แหม ! ข่าวแบบนี้เล่นเอาร้านตัดเสื้องานเข้า เขาว่ามีคนแอบไปตัดชุดขาวหลายคน (แอบลุ้นกันทั้งนั้น) บางคนก็เอาชุดเดิมไปแก้ เพราะว่าคอมันคับไป แก่แล้ว น้ำหนักมันขึ้น (ฮา) แม้เราจะยังไม่แน่ใจว่า นักล่าจะเล่นไพ่ใบไหน มันกะล่อนจะตาย จะเชื่อกันง่าย ๆ ก็ ฉ.ห. กันหมด แต่เมื่อลองไปแกะรอย ตามดูว่านักล่าเดินไปทางไหน มันก็พอจะบอกอะไรเพิ่มเติมได้บ้าง อเมริกามีหน่วยงานหนึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบ ทำรายงานเกี่ยวกับความเป็นไปของแต่ละประเทศแต่ละเหตุการณ์ในโลก เพื่อส่งให้สภาสูง เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอเมริกา เหมือนคุณครูประจำชั้นเขียนสมุดพก ประจำตัวนักเรียนแต่ละคน รายงานผู้ปกครอง สมัยเราเรียนหนังสือนั่นละ หน่วยงานที่ออกสมุดพกพวกนี้เรียกว่า Congressional Research Services (CRS) คุณครูจะออกสมุดพกของแต่ละประเทศ เป็นรายปีในกรณีปกติ หรือมากกว่านั้น ขึ้นกับเหตุการณ์และความสำคัญ เช่นถ้าอเมริกากำลังวิ่งเล่นโยนระเบิดอยู่แถวอิรัค สมุดพกของอิรัคอาจออกเป็นรายชั่วโมง (ฮา) หรือของยูเครนตอนนี้คงออกเป็นรายครึ่งวัน เพราะลงทุนส่งสมุนไปปลุกเศกการปฏิวัติประชาชนซะจนประเทศเขากำลังจะแตกเป็นเสี่ยง สำหรับประเทศไทย ที่เปิดเผยคือสมุดพกออกเป็นราย ปี แต่ที่ปกปิด ตามรายงานของคุณนายฑูต อาจออกเป็นรายวัน ดูสมัยเสื้อแดงเผาเมือง ฑูตสมัยนั้นรายงานทุกวัน 3 เวลาหลังอาหาร (อ่านจาก Wikileaks ที่ได้อภินันทนาการแจกกันทั่วโลกครับ) สมุดพกที่ว่านี้ปรกติของนักเรียนไทยแต่ละปี จะออกช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน แต่สำหรับปีค.ศ. 2013 ที่ผ่านมา ผ่านไปครึ่งปีคุณครูคงยังไม่สามารถสรุป ความประพฤติของนักเรียนไทยได้ เพราะเริ่มมีอาการปวดหัว ตัวร้อน มีการโดดเรียน หรือเริ่มมั่วสุมนอกห้องเรียน เพราะหงุดหงิดจากพวกแก๊งขี้โกงเสนอร่างพรบ.นิรโทษกรรมเข้าไปพิจารณาในสภา คุณครู CRS เลยถ่วงเวลามาออกเอาเดือนสุดท้ายของปี คือออกรายงานเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 2013 รายงานคราวนี้ยาวกว่าปรกติ โดยเฉพาะเรื่องสถานการณ์ด้านการเมือง คุณครูรายงานถี่ยิบ ใส่ทุกเรื่องทุกฝ่าย รายงานส่วนที่สำคัญบอกว่า ไทยแลนด์เป็นพันธมิตรเก่าแก่ของอเมริกา ตั้งแต่ ค.ศ. 1954 (นานจัง) และได้รับการชื่นชมมาโดยตลอดว่าเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จ ทั้งด้านเศรษฐกิจและการดำรงความเป็นประเทศในระบอบประชาธิปไตย (อ้าว ! ไหนประนามกันเรื่อยว่าไทยไม่เป็นประชาธิปไตย เดี๋ยวฟ้องคุณครูเลย ! ) สัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศแน่นแฟ้นในช่วงสงครามเย็น และได้ขยายไปทั้งด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความมั่นคง ไทยเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของอเมริกา และการที่อเมริกาสามารถเข้าไปใช้บริการ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ของกองทัพไทย (เช่น สนามบิน ! ) ทำให้ประเทศไทยเป็นส่วนสำคัญทางยุทธศาสตร์ของอเมริกาในการจะดำรงคงอยู่ในภูมิภาค Asia Pacific นี้ได้ (แหม ! จะหลอกใช้สนามบินของเค้าอีกแล้ว) คุณครูบอกว่าความมั่นคงและความเจริญเติบโตของประเทศไทย เริ่มสั่นคลอนหลังจากรัฐประหารในไทย เมื่อ ค.ศ. 2006 สร้างความแตกแยกในสังคมไทยอย่างร้าวลึกและยาวนาน และขณะนี้ได้ลุกลามไปจนกลายเป็น การประท้วงเรียกร้องให้รัฐบาลลาออก และให้มีการปกครอง ที่มีบางส่วนอาจมองได้ว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองของประเทศ อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจของไทย ก็ยังเติบโตแม้จะมีวิกฤติการเมือง และยังเป็นประเทศที่รายได้ของชนชั้นกลาง ยังมีการขยายต่อได้อีก และยังเป็นพันธมิตรที่มั่นคงของอเมริกา (แปลว่าเรื่องกระเป๋าตังค์นี่ เป็นประเด็นที่นักล่าสนใจนะ) ประเทศไทยที่สงบและมีความมั่นคง มีนัยอย่างสำคัญทางยุทธศาสตร์ของอเมริกา เพราะประเทศไทยซึ่งมีสถานะเป็นพันธมิตรของอเมริกา ตั้งอยู่บนพื้นแผ่นดินในบริเวณที่เหมาะสมของภูมิภาคอาเซียอาคเณย์นี้ (จุดได้เปรียบของไทย จำกันไว้ให้ดี !) คุณครูรายงานต่อไปว่า สภาสูงของอเมริกากำลังลำบากใจที่ต้องเผชิญกับภาวะที่ดูไม่ประชาธิปไตยของไทย และจะมีปฏิกิริยาตอบรับอย่างไร กับประเด็นการดุลอำนาจระหว่างพลเรือนและทหารที่เป็นอยู่ในสังคมไทย (พูดง่าย ๆ ว่ายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอาพลเรือนนำทหาร หรือจะเอาทหารนำพลเรือนใช่ไหมคุณครู) นอกจากนี้ยังมีนักวิเคราะห์หลายรายบอกว่า การที่ไทยมัววุ่นอยู่กับปัญหาภายในประเทศของตนนานเกินไป ทำให้อิทธิพลของตนเองที่เคยมีอยู่ในภูมิภาคนี้ด้อยลงด้วย อย่างไรก็ตามแม้ในระดับการปฏิบัติการร่วมกัน ยังคงราบรื่นอยู่ แต่การริเริ่มใหม่ ๆ ดูเหมือนจะเฉื่อยชาไป (แหม ! นายท่านพวกกระผม กำลังวุ่นกับการไล่รัฐบาลโจร จะให้มัวไปเช็ดรองเท้าพวกท่านก็กรุณารอก่อนนะขอรับ ขอโทษครับ ขอเขียนแดกพวกขี้ข้าฝรั่งหน่อย อดไม่ได้) เมื่อรัฐบาล Obama ประกาศเปลี่ยนแปลงดุลยภาพของอเมริกา (Rebalancing) โดยให้ความสำคัญกับ Asia Pacific เป็นอันดับสำคัญ ซึ่งจำเป็นต้องมีการขับเคลื่อนร่วมมือจากประเทศที่เรียกว่าเป็นพันธมิตรในภูมิภาคนี้ด้วยนั้น เห็นชัดว่าอเมริกากับไทย ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ และประเทศไทยก็ไม่ได้ เข้าเป็นคู่สัญญาในการริเริ่มขบวนการตาม Trans Pacific Partnership (TPP) (ไทยตกรถไฟขบวน TPP น่าจะแปลว่าดีกับไทยนะ เพราะยังไม่เห็นประโยชน์อะไรกับไทยเลย !) แต่ประเด็นที่เป็นปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการเมืองไทย ที่อเมริกาเป็นห่วง คือโอกาสที่ทักษิณจะกลับมาอยู่ในประเทศไทย มีมากน้อยเพียงใด (แปลว่าไม่อยากได้ทักษิณใช่ไหม ทักษิณเป็นตัวปัญหาใช่ไหม คุณครู) เพราะทักษิณยังเป็นที่ยอมรับในต่างประเทศ และตัวทักษิณเองได้พูดไปทั่วว่า ตนเองยังได้รับการสนับสนุนจากคนไทยอยู่มาก และจะกลับบ้านในเร็ว ๆ นี้ ร่างกฎหมาย นิรโทษกรรมที่จะล้างผิดให้ทักษิณเป็นต้นเหตุ ให้เกิดการประท้วงใหญ่ ตั้งแต่ตุลาคม ค.ศ. 2013 เป็นต้นมา อีกประเด็นที่สำคัญคือคำถามเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระชนมายุ 86 แล้ว และมีรายงานว่าไม่ทรงแข็งแรง พระองค์ทรงเป็นที่เคารพอย่างสูงสุด ของประชาชนมาตลอด 60 ปี ที่ผ่านมา และสถาบันกษัตริย์เป็นที่ยอมรับว่า เป็นสถาบันที่มั่นคงที่สุดในไทย แต่ขณะนี้คำถามเกี่ยวกับการสืบสันตติวงศ์เริ่มใกล้เข้ามา ซึ่งทำให้ความมั่นคงของไทยในส่วนนี้ เป็นเรื่องที่ห่วงกันอยู่ สาเหตุหลักที่อเมริกาจะต้องพยายามรักษาสัมพันธ์กับประเทศไทยไว้ คือ การแข่งขันในการมีอิทธิพลในอาเซียอาคเณย์ระหว่างอเมริกากับจีน (ฮั่นแน่ ! เรื่องสำคัญ มาแอบอยู่ตรงนี้เองแหละ) ไทยมีชื่อเสียงมานานในความสามารถรักษาสัมพันธ์กับทุกฝ่าย ไม่ว่าด้านธุรกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ไทยสามารถจัดการได้ดีทั้งกับจีนและอเมริกา ประเทศไทยที่แข็งแรง และมองออกไปนอกตัวเองมากขึ้น จะช่วยให้ได้รับการสนับสนุน ในการเข้าร่วมกระบวนการ “Rebalancing” ของอเมริกา วิกฤตการเมืองของไทย ทำให้ไทยเสียโอกาสอย่างมาก เพราะเมื่อรัฐบาล Obama ประกาศนโยบายต่างประเทศ Rebalancing ของอเมริกามาทางเอเซีย ไทยไม่ได้รับบทบาทสำคัญ (ไม่ได้เป็นพระเอก) และวอชิงตันได้มองไปที่ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และคบหุ้นส่วนใหม่ เช่น อินโดนีเซีย และเวียตนาม (พวกตัวประกอบผักชีโรยหน้า) อย่างไรก็ตามฝ่ายกองทัพของสหรัฐ ยังอยากที่จะคบค้าสานสัมพันธ์กับกองทัพไทยต่อไป (Mil to Mil relationship) โดยเฉพาะการสามารถเข้าไปใช้เครื่องมือเครื่องใช้อำนวยความสะดวก รวมทั้งฐานทัพของไทย ในกรณีที่เกิดปัญหาความตึงเครียดในภูมิภาคนี้ นักวิเคราะห์ระดับภูมิภาคประโลมใจว่า แม้ประเทศไทยจะไม่วิเศษสมบูรณ์ แต่พันธมิตรที่เป็นประชาธิปไตยในภูมิภาค มีความสำคัญยิ่งในการแสดงให้เห็นถึงความผูกพันธ์ของอเมริกาในภูมิภาคนี้ (คุณนายฑูตคริสตี้ ช่วยอ่านรายงานคุณครู CRS ตอนนี้ให้เข้าไปในหัวหน่อย และถ้าคุณนายซึ่งเป็นฑูตตัวแทนประเทศตัวเอง แล้วยังตั้งหน้าตอแหลบิดเบือนต่อไปอีก ครูใหญ่ Obama ช่วยเรียกตัวกลับไปกวาดพื้นโรงเรียนประถมในอเมริกา จะเหมาะสมกับคุณนายมากกว่า และอาจจะทำให้อเมริกาถูกรังเกียจน้อยลงไปบ้าง) ขณะเดียวกัน มีผู้ท้วงติงว่า การที่อเมริกาพยายามจะให้ไทยใช้วิธีการบริหารประเทศ โดยให้พลเรือนควบคุมกองทัพ ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผล ดูจากเหตุการณ์ไม่กี่ปีที่ผ่านมา (แปลว่าอยากได้ทหารเป็นผู้บริหารประเทศ มากกว่าพลเรือนหรือไง ?) และแม้ว่าการจะใช้สนามบินของไทยเป็นเรื่องสำคัญสำหรับกองทัพอเมริกา ก็มีผู้สงสัยเช่นกันว่า ไทยจะยอมให้ใช้หรือไม่ หากมีความขัดแย้งกันเกิดขึ้น (เริ่มจะรู้ตัวแล้วหรือนักล่า ว่าสมันน้อยก็มีเขี้ยวเล็บเหมือนกัน) คนเล่านิทาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 268 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก Citigroup Conference: เมื่อ AMD มองว่า AI คือโอกาสครั้งเดียวในชีวิต ไม่ใช่แค่กระแสชั่วคราว

    ในการประชุมกับนักลงทุนที่จัดโดย Citigroup เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2025 Jean Hu (CFO ของ AMD) และ Matthew Ramsay (VP ฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์) ได้ตอบคำถามเกี่ยวกับสถานการณ์ตลาด AI, ความสัมพันธ์กับจีน, และราคาชิปที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    Hu ยืนยันว่า AMD ไม่ได้เริ่มผลิตชิปใหม่สำหรับตลาดจีน แม้จะได้รับใบอนุญาตจากรัฐบาลสหรัฐฯ โดยระบุว่าบริษัทกำลังพิจารณาว่าลูกค้าจีนจะสามารถซื้อจากสหรัฐฯ ได้หรือไม่ และยังไม่เริ่มผลิต wafer สำหรับ MI308 ซึ่งเป็น GPU รุ่นเฉพาะสำหรับจีน

    Ramsay เสริมว่า “ความต้องการชิป AI ในจีนมีมากกว่าความสามารถในการผลิต” เนื่องจากผู้ผลิตชิปในจีนถูกจำกัดจากมาตรการคว่ำบาตร และ Huawei ไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีระดับสูงจากสหรัฐฯ ได้

    เมื่อถูกถามว่า AI เป็นฟองสบู่หรือไม่ Hu ตอบว่า “เรายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการนำ AI ไปใช้” และชี้ไปที่การลงทุนของ hyperscaler รายใหญ่ในไตรมาสที่ผ่านมา รวมถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพขององค์กรผ่าน AI ซึ่งสะท้อนว่า AI ไม่ใช่แค่ hype แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง

    AMD ประเมินว่า TAM (Total Addressable Market) ของ AI จะสูงถึง 500,000 ล้านดอลลาร์ โดย Ramsay ระบุว่า inference workload, ขนาดของ dataset และการขยายไปยังอุตสาหกรรมต่าง ๆ คือปัจจัยหลักที่ผลักดันตลาดนี้ พร้อมเสริมว่า “AI คือจุดเปลี่ยนที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่การเกิดอินเทอร์เน็ต”

    สำหรับราคาชิปที่เพิ่มขึ้น Hu อธิบายว่าเป็นผลจากการเพิ่มฟีเจอร์ในแต่ละรุ่น ทำให้ต้นทุนวัสดุสูงขึ้น แต่ AMD พยายามรักษาสมดุลระหว่างราคาขายกับต้นทุนรวมของการเป็นเจ้าของ (TCO) เพื่อให้ลูกค้าได้รับความคุ้มค่าในระยะยาว

    AMD ปฏิเสธว่า AI เป็นฟองสบู่
    Hu ระบุว่า AI ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการนำไปใช้
    การลงทุนของ hyperscaler และ productivity gains เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์
    AI ถูกมองว่าเป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิตสำหรับอุตสาหกรรม

    การประเมินตลาด AI มูลค่า 500,000 ล้านดอลลาร์
    TAM ของ AI ถูกประเมินโดย AMD ว่าจะสูงถึง $500B
    ปัจจัยหลักคือ inference workload, dataset ขนาดใหญ่ และการขยายสู่อุตสาหกรรม
    Ramsay ระบุว่า AI คือจุดเปลี่ยนใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่การเกิดอินเทอร์เน็ต

    สถานการณ์ในจีนและการจำกัดการผลิต
    AMD ยังไม่เริ่มผลิต MI308 GPU สำหรับจีน แม้ได้รับใบอนุญาต
    ความต้องการในจีนสูงกว่าความสามารถในการผลิตเนื่องจากข้อจำกัดจากสหรัฐฯ
    Huawei ไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีระดับสูงจากสหรัฐฯ ได้

    เหตุผลของราคาชิปที่เพิ่มขึ้น
    AMD เพิ่มฟีเจอร์ในแต่ละรุ่น ทำให้ต้นทุนวัสดุสูงขึ้น
    บริษัทเน้นการปรับปรุง TCO เพื่อให้ลูกค้าได้รับความคุ้มค่า
    ราคาขายสูงขึ้นเพื่อรักษา margin และความสามารถในการแข่งขัน

    https://wccftech.com/amd-rejects-ai-bubble-defends-500-billion-ai-market-says-chip-price-hikes-are-due-to-high-costs/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Citigroup Conference: เมื่อ AMD มองว่า AI คือโอกาสครั้งเดียวในชีวิต ไม่ใช่แค่กระแสชั่วคราว ในการประชุมกับนักลงทุนที่จัดโดย Citigroup เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2025 Jean Hu (CFO ของ AMD) และ Matthew Ramsay (VP ฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์) ได้ตอบคำถามเกี่ยวกับสถานการณ์ตลาด AI, ความสัมพันธ์กับจีน, และราคาชิปที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง Hu ยืนยันว่า AMD ไม่ได้เริ่มผลิตชิปใหม่สำหรับตลาดจีน แม้จะได้รับใบอนุญาตจากรัฐบาลสหรัฐฯ โดยระบุว่าบริษัทกำลังพิจารณาว่าลูกค้าจีนจะสามารถซื้อจากสหรัฐฯ ได้หรือไม่ และยังไม่เริ่มผลิต wafer สำหรับ MI308 ซึ่งเป็น GPU รุ่นเฉพาะสำหรับจีน Ramsay เสริมว่า “ความต้องการชิป AI ในจีนมีมากกว่าความสามารถในการผลิต” เนื่องจากผู้ผลิตชิปในจีนถูกจำกัดจากมาตรการคว่ำบาตร และ Huawei ไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีระดับสูงจากสหรัฐฯ ได้ เมื่อถูกถามว่า AI เป็นฟองสบู่หรือไม่ Hu ตอบว่า “เรายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการนำ AI ไปใช้” และชี้ไปที่การลงทุนของ hyperscaler รายใหญ่ในไตรมาสที่ผ่านมา รวมถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพขององค์กรผ่าน AI ซึ่งสะท้อนว่า AI ไม่ใช่แค่ hype แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง AMD ประเมินว่า TAM (Total Addressable Market) ของ AI จะสูงถึง 500,000 ล้านดอลลาร์ โดย Ramsay ระบุว่า inference workload, ขนาดของ dataset และการขยายไปยังอุตสาหกรรมต่าง ๆ คือปัจจัยหลักที่ผลักดันตลาดนี้ พร้อมเสริมว่า “AI คือจุดเปลี่ยนที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่การเกิดอินเทอร์เน็ต” สำหรับราคาชิปที่เพิ่มขึ้น Hu อธิบายว่าเป็นผลจากการเพิ่มฟีเจอร์ในแต่ละรุ่น ทำให้ต้นทุนวัสดุสูงขึ้น แต่ AMD พยายามรักษาสมดุลระหว่างราคาขายกับต้นทุนรวมของการเป็นเจ้าของ (TCO) เพื่อให้ลูกค้าได้รับความคุ้มค่าในระยะยาว ✅ AMD ปฏิเสธว่า AI เป็นฟองสบู่ ➡️ Hu ระบุว่า AI ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการนำไปใช้ ➡️ การลงทุนของ hyperscaler และ productivity gains เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ ➡️ AI ถูกมองว่าเป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิตสำหรับอุตสาหกรรม ✅ การประเมินตลาด AI มูลค่า 500,000 ล้านดอลลาร์ ➡️ TAM ของ AI ถูกประเมินโดย AMD ว่าจะสูงถึง $500B ➡️ ปัจจัยหลักคือ inference workload, dataset ขนาดใหญ่ และการขยายสู่อุตสาหกรรม ➡️ Ramsay ระบุว่า AI คือจุดเปลี่ยนใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่การเกิดอินเทอร์เน็ต ✅ สถานการณ์ในจีนและการจำกัดการผลิต ➡️ AMD ยังไม่เริ่มผลิต MI308 GPU สำหรับจีน แม้ได้รับใบอนุญาต ➡️ ความต้องการในจีนสูงกว่าความสามารถในการผลิตเนื่องจากข้อจำกัดจากสหรัฐฯ ➡️ Huawei ไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีระดับสูงจากสหรัฐฯ ได้ ✅ เหตุผลของราคาชิปที่เพิ่มขึ้น ➡️ AMD เพิ่มฟีเจอร์ในแต่ละรุ่น ทำให้ต้นทุนวัสดุสูงขึ้น ➡️ บริษัทเน้นการปรับปรุง TCO เพื่อให้ลูกค้าได้รับความคุ้มค่า ➡️ ราคาขายสูงขึ้นเพื่อรักษา margin และความสามารถในการแข่งขัน https://wccftech.com/amd-rejects-ai-bubble-defends-500-billion-ai-market-says-chip-price-hikes-are-due-to-high-costs/
    WCCFTECH.COM
    AMD Rejects 'AI Bubble,' Defends $500 Billion AI Market & Says Chip Price Hikes Are Due To High Costs
    AMD CFO Jean Hu confirms no new China chip production despite licenses and denies an AI bubble exists while discussing $500 billion TAM.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 138 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก WeTransfer ถึง ChatGPT: เมื่อ AI ไม่ได้แค่ฉลาด แต่เริ่ม “รู้มากเกินไป”

    กลางปี 2025 WeTransfer จุดชนวนความกังวลทั่วโลก เมื่อมีการเปลี่ยนเงื่อนไขการใช้งานให้สามารถนำไฟล์ของผู้ใช้ไปใช้ในการ “พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ รวมถึงการปรับปรุงโมเดล AI” แม้ภายหลังจะออกมาชี้แจงว่าเป็นการใช้ AI เพื่อจัดการเนื้อหา ไม่ใช่การฝึกโมเดล แต่ความไม่ชัดเจนนี้ก็สะท้อนถึงแนวโน้มที่น่ากังวล: ข้อมูลของผู้ใช้กำลังกลายเป็นเชื้อเพลิงของ AI โดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัว

    Slack ก็เป็นอีกตัวอย่างที่ใช้ข้อมูลของลูกค้าในการฝึกโมเดล machine learning โดยค่าเริ่มต้น ซึ่งหมายความว่แม้จะเป็นบริการที่ใช้ในองค์กร ก็ยังมีความเสี่ยงด้านข้อมูลหากไม่มีการตั้งค่าความปลอดภัยอย่างรัดกุม

    นอกจากนี้ยังมีกรณีที่ผู้ใช้ ChatGPT เปิดใช้งาน “make this chat discoverable” โดยไม่รู้ว่าเนื้อหาจะถูกจัดทำดัชนีโดย Google และปรากฏในผลการค้นหา ซึ่งอาจมีข้อมูลส่วนตัวหรือกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ไม่ควรเปิดเผย

    สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือการใช้ AI ในองค์กรโดยไม่มีการควบคุม เช่น พนักงานนำข้อมูลภายในไปใส่ใน ChatGPT เพื่อแปลเอกสารหรือเขียนอีเมล โดยไม่รู้ว่าข้อมูลนั้นอาจถูกนำไปใช้ในการฝึกโมเดลในอนาคต

    CISOs (Chief Information Security Officers) ทั่วโลกกำลังเผชิญกับภาระสองด้าน: ต้องใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัย แต่ก็ต้องป้องกันไม่ให้ AI กลายเป็นช่องโหว่ใหม่ขององค์กร ซึ่งเป็นความท้าทายที่ซับซ้อนและกำลังสร้างความเหนื่อยล้าให้กับผู้บริหารด้านความปลอดภัยทั่วโลก

    การเปลี่ยนแปลงนโยบายของบริการออนไลน์
    WeTransfer เพิ่มเงื่อนไขให้สามารถใช้ไฟล์ผู้ใช้ในการพัฒนา AI
    Slack ใช้ข้อมูลลูกค้าในการฝึกโมเดล machine learning โดยค่าเริ่มต้น
    Meta และบริการอื่น ๆ เริ่มปรับนโยบายเพื่อใช้ข้อมูลผู้ใช้ในการฝึกโมเดล

    ความเสี่ยงจากการใช้งาน AI โดยผู้ใช้ทั่วไป
    พนักงานอาจนำข้อมูลภายในองค์กรไปใส่ใน ChatGPT โดยไม่รู้ผลกระทบ
    การเปิดใช้งาน “make this chat discoverable” ทำให้ข้อมูลปรากฏใน Google
    ข้อมูลส่วนตัวหรือกลยุทธ์ทางธุรกิจอาจถูกเปิดเผยโดยไม่ตั้งใจ

    ความท้าทายของผู้บริหารด้านความปลอดภัย
    CISOs ต้องใช้ AI เพื่อเพิ่มความปลอดภัย แต่ก็ต้องควบคุมความเสี่ยงจาก AI
    64% ของผู้บริหารด้านความปลอดภัยมองว่า AI เป็นเป้าหมายเชิงกลยุทธ์
    48% ระบุว่าการใช้งาน AI อย่างปลอดภัยเป็นเรื่องเร่งด่วน

    แนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงในองค์กร
    บริษัทต่าง ๆ เริ่มปรับนโยบายเพื่อให้สามารถใช้ข้อมูลในการฝึก AI ได้
    ต้องมีการปรับปรุงเงื่อนไขการใช้งานให้โปร่งใสและสอดคล้องกับกฎหมาย
    การใช้ AI ต้องมีการกำกับดูแลร่วมกัน ไม่ใช่แค่หน้าที่ของ CISO

    https://www.csoonline.com/article/4049373/how-the-generative-ai-boom-opens-up-new-privacy-and-cybersecurity-risks.html
    🎙️ เรื่องเล่าจาก WeTransfer ถึง ChatGPT: เมื่อ AI ไม่ได้แค่ฉลาด แต่เริ่ม “รู้มากเกินไป” กลางปี 2025 WeTransfer จุดชนวนความกังวลทั่วโลก เมื่อมีการเปลี่ยนเงื่อนไขการใช้งานให้สามารถนำไฟล์ของผู้ใช้ไปใช้ในการ “พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ รวมถึงการปรับปรุงโมเดล AI” แม้ภายหลังจะออกมาชี้แจงว่าเป็นการใช้ AI เพื่อจัดการเนื้อหา ไม่ใช่การฝึกโมเดล แต่ความไม่ชัดเจนนี้ก็สะท้อนถึงแนวโน้มที่น่ากังวล: ข้อมูลของผู้ใช้กำลังกลายเป็นเชื้อเพลิงของ AI โดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัว Slack ก็เป็นอีกตัวอย่างที่ใช้ข้อมูลของลูกค้าในการฝึกโมเดล machine learning โดยค่าเริ่มต้น ซึ่งหมายความว่แม้จะเป็นบริการที่ใช้ในองค์กร ก็ยังมีความเสี่ยงด้านข้อมูลหากไม่มีการตั้งค่าความปลอดภัยอย่างรัดกุม นอกจากนี้ยังมีกรณีที่ผู้ใช้ ChatGPT เปิดใช้งาน “make this chat discoverable” โดยไม่รู้ว่าเนื้อหาจะถูกจัดทำดัชนีโดย Google และปรากฏในผลการค้นหา ซึ่งอาจมีข้อมูลส่วนตัวหรือกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ไม่ควรเปิดเผย สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือการใช้ AI ในองค์กรโดยไม่มีการควบคุม เช่น พนักงานนำข้อมูลภายในไปใส่ใน ChatGPT เพื่อแปลเอกสารหรือเขียนอีเมล โดยไม่รู้ว่าข้อมูลนั้นอาจถูกนำไปใช้ในการฝึกโมเดลในอนาคต CISOs (Chief Information Security Officers) ทั่วโลกกำลังเผชิญกับภาระสองด้าน: ต้องใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัย แต่ก็ต้องป้องกันไม่ให้ AI กลายเป็นช่องโหว่ใหม่ขององค์กร ซึ่งเป็นความท้าทายที่ซับซ้อนและกำลังสร้างความเหนื่อยล้าให้กับผู้บริหารด้านความปลอดภัยทั่วโลก ✅ การเปลี่ยนแปลงนโยบายของบริการออนไลน์ ➡️ WeTransfer เพิ่มเงื่อนไขให้สามารถใช้ไฟล์ผู้ใช้ในการพัฒนา AI ➡️ Slack ใช้ข้อมูลลูกค้าในการฝึกโมเดล machine learning โดยค่าเริ่มต้น ➡️ Meta และบริการอื่น ๆ เริ่มปรับนโยบายเพื่อใช้ข้อมูลผู้ใช้ในการฝึกโมเดล ✅ ความเสี่ยงจากการใช้งาน AI โดยผู้ใช้ทั่วไป ➡️ พนักงานอาจนำข้อมูลภายในองค์กรไปใส่ใน ChatGPT โดยไม่รู้ผลกระทบ ➡️ การเปิดใช้งาน “make this chat discoverable” ทำให้ข้อมูลปรากฏใน Google ➡️ ข้อมูลส่วนตัวหรือกลยุทธ์ทางธุรกิจอาจถูกเปิดเผยโดยไม่ตั้งใจ ✅ ความท้าทายของผู้บริหารด้านความปลอดภัย ➡️ CISOs ต้องใช้ AI เพื่อเพิ่มความปลอดภัย แต่ก็ต้องควบคุมความเสี่ยงจาก AI ➡️ 64% ของผู้บริหารด้านความปลอดภัยมองว่า AI เป็นเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ ➡️ 48% ระบุว่าการใช้งาน AI อย่างปลอดภัยเป็นเรื่องเร่งด่วน ✅ แนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงในองค์กร ➡️ บริษัทต่าง ๆ เริ่มปรับนโยบายเพื่อให้สามารถใช้ข้อมูลในการฝึก AI ได้ ➡️ ต้องมีการปรับปรุงเงื่อนไขการใช้งานให้โปร่งใสและสอดคล้องกับกฎหมาย ➡️ การใช้ AI ต้องมีการกำกับดูแลร่วมกัน ไม่ใช่แค่หน้าที่ของ CISO https://www.csoonline.com/article/4049373/how-the-generative-ai-boom-opens-up-new-privacy-and-cybersecurity-risks.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    How the generative AI boom opens up new privacy and cybersecurity risks
    Corporate strategy will need to take these potential issues into account, both by shielding who owns the data and by preventing AI from becoming a security breach.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 162 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก ACP: เมื่อ Claude Code หลุดจากเทอร์มินัลและกลายเป็นเพื่อนร่วมงานใน Zed

    หลังจากเสียงเรียกร้องจากนักพัฒนาทั่วโลก ทีมงาน Zed ได้เปิดตัวการเชื่อมต่อ Claude Code แบบ native ผ่าน Agent Client Protocol (ACP) ซึ่งเป็นมาตรฐานเปิดใหม่ที่ช่วยให้ AI agent ทำงานร่วมกับ editor ได้อย่างลื่นไหล โดยไม่ต้องพึ่งการผูกติดแบบเฉพาะเจาะจง

    Claude Code ซึ่งเคยเป็นเครื่องมือที่ต้องรันผ่าน CLI ตอนนี้สามารถทำงานใน Zed ได้แบบเต็มรูปแบบ: แก้โค้ดหลายไฟล์พร้อมกัน, แสดง syntax highlight, ใช้ language server, และให้ผู้ใช้ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงแบบ granular ผ่าน multibuffer—เลือกได้ว่าจะรับหรือปฏิเสธแต่ละ hunk

    ผู้ใช้ยังสามารถสร้าง workflow ของตัวเองผ่าน slash command และดู task list ของ Claude Code ได้จาก sidebar แบบ real-time ซึ่งช่วยให้การทำงานร่วมกับ agent เป็นไปอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ

    การเชื่อมต่อนี้ไม่ได้เกิดจากการ hardcode แต่ใช้ ACP ซึ่งเป็นมาตรฐาน JSON-RPC ที่ Zed พัฒนาและเปิดซอร์สไว้ ทำให้ Claude Code สามารถทำงานใน Zed ได้แบบ process อิสระ และสามารถนำไปใช้ใน editor อื่นที่รองรับ ACP เช่น Neovim ผ่าน community adapter

    แม้ตอนนี้ยังอยู่ในช่วง beta และบางฟีเจอร์ของ Claude Code ยังไม่รองรับผ่าน SDK เช่น Plan mode หรือ slash command บางตัว แต่ทีมงาน Zed ยืนยันว่าจะเพิ่มความสามารถต่อเนื่องตามการอัปเดตจาก Anthropic

    https://zed.dev/blog/claude-code-via-acp
    🎙️ เรื่องเล่าจาก ACP: เมื่อ Claude Code หลุดจากเทอร์มินัลและกลายเป็นเพื่อนร่วมงานใน Zed หลังจากเสียงเรียกร้องจากนักพัฒนาทั่วโลก ทีมงาน Zed ได้เปิดตัวการเชื่อมต่อ Claude Code แบบ native ผ่าน Agent Client Protocol (ACP) ซึ่งเป็นมาตรฐานเปิดใหม่ที่ช่วยให้ AI agent ทำงานร่วมกับ editor ได้อย่างลื่นไหล โดยไม่ต้องพึ่งการผูกติดแบบเฉพาะเจาะจง Claude Code ซึ่งเคยเป็นเครื่องมือที่ต้องรันผ่าน CLI ตอนนี้สามารถทำงานใน Zed ได้แบบเต็มรูปแบบ: แก้โค้ดหลายไฟล์พร้อมกัน, แสดง syntax highlight, ใช้ language server, และให้ผู้ใช้ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงแบบ granular ผ่าน multibuffer—เลือกได้ว่าจะรับหรือปฏิเสธแต่ละ hunk ผู้ใช้ยังสามารถสร้าง workflow ของตัวเองผ่าน slash command และดู task list ของ Claude Code ได้จาก sidebar แบบ real-time ซึ่งช่วยให้การทำงานร่วมกับ agent เป็นไปอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ การเชื่อมต่อนี้ไม่ได้เกิดจากการ hardcode แต่ใช้ ACP ซึ่งเป็นมาตรฐาน JSON-RPC ที่ Zed พัฒนาและเปิดซอร์สไว้ ทำให้ Claude Code สามารถทำงานใน Zed ได้แบบ process อิสระ และสามารถนำไปใช้ใน editor อื่นที่รองรับ ACP เช่น Neovim ผ่าน community adapter แม้ตอนนี้ยังอยู่ในช่วง beta และบางฟีเจอร์ของ Claude Code ยังไม่รองรับผ่าน SDK เช่น Plan mode หรือ slash command บางตัว แต่ทีมงาน Zed ยืนยันว่าจะเพิ่มความสามารถต่อเนื่องตามการอัปเดตจาก Anthropic https://zed.dev/blog/claude-code-via-acp
    ZED.DEV
    Claude Code: Now in Beta in Zed - Zed Blog
    From the Zed Blog: You asked, and here it is. Use Claude Code in public beta directly in Zed, built on the new Agent Client Protocol.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 72 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากจุดสีน้ำเงิน: เมื่อข้อความธรรมดากลายเป็นการสื่อสารแบบ iMessage บน Android

    ถ้าคุณใช้แอป Google Messages หรือ Samsung Messages บนมือถือ Android แล้วเห็นจุดสีน้ำเงินหรือไอคอนแชทเล็ก ๆ ข้างชื่อผู้ติดต่อ—นั่นไม่ใช่แค่ข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน แต่คือการบอกว่า “ข้อความนี้ใช้ RCS” หรือ Rich Communication Services ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่มาแทน SMS แบบเดิม

    RCS คือการยกระดับข้อความธรรมดาให้กลายเป็นระบบแชทแบบอินเทอร์เน็ต เช่นเดียวกับ iMessage หรือ WhatsApp โดยรองรับฟีเจอร์อย่าง read receipts, typing indicators, การส่งภาพและวิดีโอคุณภาพสูง รวมถึงการเข้ารหัสแบบ end-to-end ในบางกรณี

    จุดสีน้ำเงินมักปรากฏใน Samsung Messages ส่วนไอคอนแชทจะเห็นใน Google Messages ซึ่งเป็นแอปข้อความหลักในมือถือ Samsung รุ่นใหม่ เช่น Galaxy S25 Ultra ที่ไม่มี Samsung Messages ติดตั้งมาแล้ว

    นอกจากนี้ สีของจุดหรือไอคอนอาจเปลี่ยนไปตามธีมของระบบ Android ที่คุณใช้ เช่นถ้าใช้ธีมสีเขียว จุดก็อาจเป็นสีเขียวแทนที่จะเป็นน้ำเงิน

    หลังจาก Apple ยอมรับ RCS ในปี 2024 ภายใต้แรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐฯ และยุโรป การส่งข้อความระหว่าง iPhone และ Android ก็ไม่ถูกลดระดับเป็น SMS อีกต่อไป ทำให้ผู้ใช้ Android เห็นจุดสีน้ำเงินมากขึ้นเรื่อย ๆ

    จุดสีน้ำเงินและไอคอนแชทคืออะไร
    เป็นสัญลักษณ์ว่าแชทนั้นใช้ RCS แทน SMS
    ปรากฏใน Samsung Messages (จุดสีน้ำเงิน) และ Google Messages (ไอคอนแชท)
    สีของจุดอาจเปลี่ยนตามธีมของระบบ Android

    ความสามารถของ RCS
    รองรับ read receipts, typing indicators และการส่งไฟล์คุณภาพสูง
    ใช้การเชื่อมต่อผ่านอินเทอร์เน็ต ไม่พึ่งเครือข่ายมือถือแบบ SMS
    มีการเข้ารหัสแบบ end-to-end ในบางกรณี

    การเปลี่ยนแปลงหลัง Apple ยอมรับ RCS
    เกิดขึ้นในปี 2024 หลังแรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแล
    ข้อความระหว่าง iPhone และ Android ไม่ถูกลดระดับเป็น SMS อีกต่อไป
    ทำให้ผู้ใช้ Android เห็นจุดสีน้ำเงินและไอคอนแชทมากขึ้น

    วิธีสังเกตว่าแชทใช้ RCS หรือไม่
    ดูจากฟีเจอร์ในแชท เช่น read receipts และ typing indicators
    ใน Google Messages จะมีคำว่า “RCS message” ในช่องพิมพ์ข้อความ
    มีไอคอนเช็กสถานะการส่งข้อความใต้ข้อความที่ส่งไป

    https://www.slashgear.com/1955443/android-text-message-what-blue-dot-means/
    🎙️ เรื่องเล่าจากจุดสีน้ำเงิน: เมื่อข้อความธรรมดากลายเป็นการสื่อสารแบบ iMessage บน Android ถ้าคุณใช้แอป Google Messages หรือ Samsung Messages บนมือถือ Android แล้วเห็นจุดสีน้ำเงินหรือไอคอนแชทเล็ก ๆ ข้างชื่อผู้ติดต่อ—นั่นไม่ใช่แค่ข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน แต่คือการบอกว่า “ข้อความนี้ใช้ RCS” หรือ Rich Communication Services ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่มาแทน SMS แบบเดิม RCS คือการยกระดับข้อความธรรมดาให้กลายเป็นระบบแชทแบบอินเทอร์เน็ต เช่นเดียวกับ iMessage หรือ WhatsApp โดยรองรับฟีเจอร์อย่าง read receipts, typing indicators, การส่งภาพและวิดีโอคุณภาพสูง รวมถึงการเข้ารหัสแบบ end-to-end ในบางกรณี จุดสีน้ำเงินมักปรากฏใน Samsung Messages ส่วนไอคอนแชทจะเห็นใน Google Messages ซึ่งเป็นแอปข้อความหลักในมือถือ Samsung รุ่นใหม่ เช่น Galaxy S25 Ultra ที่ไม่มี Samsung Messages ติดตั้งมาแล้ว นอกจากนี้ สีของจุดหรือไอคอนอาจเปลี่ยนไปตามธีมของระบบ Android ที่คุณใช้ เช่นถ้าใช้ธีมสีเขียว จุดก็อาจเป็นสีเขียวแทนที่จะเป็นน้ำเงิน หลังจาก Apple ยอมรับ RCS ในปี 2024 ภายใต้แรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐฯ และยุโรป การส่งข้อความระหว่าง iPhone และ Android ก็ไม่ถูกลดระดับเป็น SMS อีกต่อไป ทำให้ผู้ใช้ Android เห็นจุดสีน้ำเงินมากขึ้นเรื่อย ๆ ✅ จุดสีน้ำเงินและไอคอนแชทคืออะไร ➡️ เป็นสัญลักษณ์ว่าแชทนั้นใช้ RCS แทน SMS ➡️ ปรากฏใน Samsung Messages (จุดสีน้ำเงิน) และ Google Messages (ไอคอนแชท) ➡️ สีของจุดอาจเปลี่ยนตามธีมของระบบ Android ✅ ความสามารถของ RCS ➡️ รองรับ read receipts, typing indicators และการส่งไฟล์คุณภาพสูง ➡️ ใช้การเชื่อมต่อผ่านอินเทอร์เน็ต ไม่พึ่งเครือข่ายมือถือแบบ SMS ➡️ มีการเข้ารหัสแบบ end-to-end ในบางกรณี ✅ การเปลี่ยนแปลงหลัง Apple ยอมรับ RCS ➡️ เกิดขึ้นในปี 2024 หลังแรงกดดันจากหน่วยงานกำกับดูแล ➡️ ข้อความระหว่าง iPhone และ Android ไม่ถูกลดระดับเป็น SMS อีกต่อไป ➡️ ทำให้ผู้ใช้ Android เห็นจุดสีน้ำเงินและไอคอนแชทมากขึ้น ✅ วิธีสังเกตว่าแชทใช้ RCS หรือไม่ ➡️ ดูจากฟีเจอร์ในแชท เช่น read receipts และ typing indicators ➡️ ใน Google Messages จะมีคำว่า “RCS message” ในช่องพิมพ์ข้อความ ➡️ มีไอคอนเช็กสถานะการส่งข้อความใต้ข้อความที่ส่งไป https://www.slashgear.com/1955443/android-text-message-what-blue-dot-means/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    What Does The Blue Dot On Android Text Messages Mean? - SlashGear
    On Android, blue dots or chat icons show that RCS is enabled, giving you advanced texting features missing from traditional SMS messages.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 149 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts