• กระทรวงพาณิชย์ของจีน (MOFCOM) ได้รับการร้องเรียนจากบริษัทในประเทศเกี่ยวกับการให้เงินอุดหนุนที่ไม่เป็นธรรมจากรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้กฎหมาย CHIPS and Science Act ซึ่งจัดสรรเงิน $52.7 พันล้านสำหรับการผลิต การวิจัย และการพัฒนากำลังคนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ

    จีนอ้างว่าเงินอุดหนุนเหล่านี้ทำให้บริษัทชิปของสหรัฐฯ สามารถส่งออกชิปที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ล้าสมัยไปยังจีนในราคาที่ถูกลง ทำให้บริษัทชิปของจีนเสียเปรียบในการแข่งขัน แม้ว่ากฎหมาย CHIPS and Science Act จะมีเป้าหมายเพื่อดึงการผลิตชิปที่ล้ำสมัยกลับมาสู่สหรัฐฯ แต่รัฐบาลสหรัฐฯ ได้มอบเงินอุดหนุนให้กับบริษัทที่ผลิตชิปด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ล้าสมัย เช่น GlobalFoundries และ SkyWater Technologies

    การตรวจสอบนี้เกิดขึ้นในขณะที่จีนกำลังขยายกำลังการผลิตชิปด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ล้าสมัย โดยคาดว่ากำลังการผลิตชิปของจีนจะเพิ่มขึ้นถึง 60% ในอีกสามปีข้างหน้า และส่วนใหญ่จะเป็นการผลิตชิปด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ล้าสมัย

    การตรวจสอบนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของจีนในการปกป้องอุตสาหกรรมชิปในประเทศและรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-investigates-whether-chips-and-science-act-harms-its-chip-companies
    กระทรวงพาณิชย์ของจีน (MOFCOM) ได้รับการร้องเรียนจากบริษัทในประเทศเกี่ยวกับการให้เงินอุดหนุนที่ไม่เป็นธรรมจากรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้กฎหมาย CHIPS and Science Act ซึ่งจัดสรรเงิน $52.7 พันล้านสำหรับการผลิต การวิจัย และการพัฒนากำลังคนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ จีนอ้างว่าเงินอุดหนุนเหล่านี้ทำให้บริษัทชิปของสหรัฐฯ สามารถส่งออกชิปที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ล้าสมัยไปยังจีนในราคาที่ถูกลง ทำให้บริษัทชิปของจีนเสียเปรียบในการแข่งขัน แม้ว่ากฎหมาย CHIPS and Science Act จะมีเป้าหมายเพื่อดึงการผลิตชิปที่ล้ำสมัยกลับมาสู่สหรัฐฯ แต่รัฐบาลสหรัฐฯ ได้มอบเงินอุดหนุนให้กับบริษัทที่ผลิตชิปด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ล้าสมัย เช่น GlobalFoundries และ SkyWater Technologies การตรวจสอบนี้เกิดขึ้นในขณะที่จีนกำลังขยายกำลังการผลิตชิปด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ล้าสมัย โดยคาดว่ากำลังการผลิตชิปของจีนจะเพิ่มขึ้นถึง 60% ในอีกสามปีข้างหน้า และส่วนใหญ่จะเป็นการผลิตชิปด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ล้าสมัย การตรวจสอบนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของจีนในการปกป้องอุตสาหกรรมชิปในประเทศและรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก https://www.tomshardware.com/tech-industry/china-investigates-whether-chips-and-science-act-harms-its-chip-companies
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 129 มุมมอง 0 รีวิว
  • JEJUDO Gentle Reborn Retinol Water Drop 15 ml.


    พิกัด📍
    Shopee
    https://s.shopee.co.th/5KvwoX1kAM
    LAZADA
    https://s.lazada.co.th/s.tY0E8
    TikTok
    https://vt.tiktok.com/ZS6DGRRhU/


    .
    JEJUDO Gentle Reborn Retinol Water Drop 15 ml. พิกัด📍 Shopee https://s.shopee.co.th/5KvwoX1kAM LAZADA https://s.lazada.co.th/s.tY0E8 TikTok https://vt.tiktok.com/ZS6DGRRhU/ .
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • "one-time payment"
    ไบเดนประกาศ 'เงินชดเชยครั้งเดียว 770 ดอลลาร์' แก่เหยื่อไฟป่าในแคลิฟอร์เนีย

    “ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุไฟไหม้ครั้งนี้จะได้รับเงินชดเชยแบบจ่ายครั้งเดียว 770 ดอลลาร์ (26,734 บาท)”

    คำกล่าวของไบเดน:

    “ผมต้องการชี้แจงให้ชัดเจนว่า เราจะไม่รอจนกว่าไฟจะดับลงแล้วค่อยช่วยเหลือผู้เดือนร้อน เรากำลังช่วยเหลือพวกเขาทั้งหมดในตอนนี้เลย ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากไฟไหม้ครั้งนี้จะได้รับเงินช่วยเหลือแบบครั้งเดียว 770 ดอลลาร์ ดังนั้นพวกเขาจะสามารถซื้อสิ่งของต่างๆ เช่น น้ำ นมผงสำหรับเด็ก และยาตามใบสั่งแพทย์ได้อย่างรวดเร็ว จนถึงขณะนี้ ผู้ได้รับผลกระทบเกือบ 6,000 คนลงทะเบียนเพื่อรอรับความช่วยเหลือแล้ว และเงินจำนวน 5.1 ล้านดอลลาร์ได้จ่ายออกไปแล้ว”

    “I want to be clear, we are not waiting until the fires are over to help victims. We are helping them all right now. People impacted by these fires are going to receive a one-time payment of $770. So, they can quickly purchase things like water, baby formula, and prescriptions. So far, nearly 6,000 survivors have registered to do just that, and $5.1 million has gone out.”
    "one-time payment" ไบเดนประกาศ 'เงินชดเชยครั้งเดียว 770 ดอลลาร์' แก่เหยื่อไฟป่าในแคลิฟอร์เนีย “ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุไฟไหม้ครั้งนี้จะได้รับเงินชดเชยแบบจ่ายครั้งเดียว 770 ดอลลาร์ (26,734 บาท)” คำกล่าวของไบเดน: “ผมต้องการชี้แจงให้ชัดเจนว่า เราจะไม่รอจนกว่าไฟจะดับลงแล้วค่อยช่วยเหลือผู้เดือนร้อน เรากำลังช่วยเหลือพวกเขาทั้งหมดในตอนนี้เลย ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากไฟไหม้ครั้งนี้จะได้รับเงินช่วยเหลือแบบครั้งเดียว 770 ดอลลาร์ ดังนั้นพวกเขาจะสามารถซื้อสิ่งของต่างๆ เช่น น้ำ นมผงสำหรับเด็ก และยาตามใบสั่งแพทย์ได้อย่างรวดเร็ว จนถึงขณะนี้ ผู้ได้รับผลกระทบเกือบ 6,000 คนลงทะเบียนเพื่อรอรับความช่วยเหลือแล้ว และเงินจำนวน 5.1 ล้านดอลลาร์ได้จ่ายออกไปแล้ว” “I want to be clear, we are not waiting until the fires are over to help victims. We are helping them all right now. People impacted by these fires are going to receive a one-time payment of $770. So, they can quickly purchase things like water, baby formula, and prescriptions. So far, nearly 6,000 survivors have registered to do just that, and $5.1 million has gone out.”
    Like
    Angry
    3
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 336 มุมมอง 40 0 รีวิว
  • Happiness is A tranquil winter sunset by the lake, with golden skies reflecting on calm waters, with the lulling gentle 23°C breeze.
    Happiness is A tranquil winter sunset by the lake, with golden skies reflecting on calm waters, with the lulling gentle 23°C breeze.
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • IceGiant ได้เปิดตัวชุดระบายความร้อนด้วยน้ำแบบ AIO รุ่นใหม่ที่ไม่ใช้ปั๊มในงาน CES 2025 โดยมีสองรุ่นคือ IceGiant Titan 360 และ ProSiphon Titan-TR 360

    ชุดระบายความร้อนนี้มีคุณสมบัติพิเศษที่ไม่ใช้ปั๊ม แต่ใช้ตัวระเหยทองแดงและคอนเดนเซอร์ขนาด 360 มม. ที่อัปเกรดแล้ว
    แทนที่จะใช้ปั๊มเพื่อหมุนเวียนน้ำ ระบบนี้ใช้หลักการที่เรียกว่า "การระเหยและการควบแน่น" สารหล่อเย็นในระบบจะถูกทำให้ร้อนขึ้นเมื่อสัมผัสกับซีพียูที่ร้อน แล้วสารหล่อเย็นจะระเหยกลายเป็นไอ ไอของสารหล่อเย็นนี้จะเคลื่อนที่ไปยังส่วนที่เรียกว่า "คอนเดนเซอร์" ซึ่งมีขนาด 360 มม. ที่อัปเกรดแล้ว ที่นี่ไอของสารหล่อเย็นจะเย็นลงและกลับกลายเป็นของเหลวอีกครั้ง สารหล่อเย็นที่เย็นลงนี้จะไหลกลับไปยังซีพียูเพื่อทำให้ซีพียูเย็นลงอีกครั้งหนึ่ง วนเวียนเช่นนี้ไปเรื่อยๆ

    IceGiant Titan 360 รองรับซ็อกเก็ต Intel หลายรุ่นและซ็อกเก็ต AMD AM4 และ AM5 ส่วน ProSiphon Titan-TR 360 รองรับเฉพาะซ็อกเก็ต AMD TR5

    ราคาของ IceGiant Titan 360 อยู่ที่ $419.99 และ ProSiphon Titan-TR 360 อยู่ที่ $599.99 ชุดระบายความร้อนนี้มีการรับประกันตลอดอายุการใช้งาน (รับประกันพัดลม 6 ปี) และไม่ต้องการการบำรุงรักษามากนัก หาก IceGiant สามารถรักษาความเงียบและประสิทธิภาพการระบายความร้อนได้ดี ชุดระบายความร้อนนี้อาจเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและการบำรุงรักษาต่ำ

    https://www.tomshardware.com/pc-components/liquid-cooling/pump-free-360mm-aio-liquid-cooler-goes-up-for-preorder-at-usd419-threadripper-variant-caries-an-eye-watering-usd599-price-tag
    IceGiant ได้เปิดตัวชุดระบายความร้อนด้วยน้ำแบบ AIO รุ่นใหม่ที่ไม่ใช้ปั๊มในงาน CES 2025 โดยมีสองรุ่นคือ IceGiant Titan 360 และ ProSiphon Titan-TR 360 ชุดระบายความร้อนนี้มีคุณสมบัติพิเศษที่ไม่ใช้ปั๊ม แต่ใช้ตัวระเหยทองแดงและคอนเดนเซอร์ขนาด 360 มม. ที่อัปเกรดแล้ว แทนที่จะใช้ปั๊มเพื่อหมุนเวียนน้ำ ระบบนี้ใช้หลักการที่เรียกว่า "การระเหยและการควบแน่น" สารหล่อเย็นในระบบจะถูกทำให้ร้อนขึ้นเมื่อสัมผัสกับซีพียูที่ร้อน แล้วสารหล่อเย็นจะระเหยกลายเป็นไอ ไอของสารหล่อเย็นนี้จะเคลื่อนที่ไปยังส่วนที่เรียกว่า "คอนเดนเซอร์" ซึ่งมีขนาด 360 มม. ที่อัปเกรดแล้ว ที่นี่ไอของสารหล่อเย็นจะเย็นลงและกลับกลายเป็นของเหลวอีกครั้ง สารหล่อเย็นที่เย็นลงนี้จะไหลกลับไปยังซีพียูเพื่อทำให้ซีพียูเย็นลงอีกครั้งหนึ่ง วนเวียนเช่นนี้ไปเรื่อยๆ IceGiant Titan 360 รองรับซ็อกเก็ต Intel หลายรุ่นและซ็อกเก็ต AMD AM4 และ AM5 ส่วน ProSiphon Titan-TR 360 รองรับเฉพาะซ็อกเก็ต AMD TR5 ราคาของ IceGiant Titan 360 อยู่ที่ $419.99 และ ProSiphon Titan-TR 360 อยู่ที่ $599.99 ชุดระบายความร้อนนี้มีการรับประกันตลอดอายุการใช้งาน (รับประกันพัดลม 6 ปี) และไม่ต้องการการบำรุงรักษามากนัก หาก IceGiant สามารถรักษาความเงียบและประสิทธิภาพการระบายความร้อนได้ดี ชุดระบายความร้อนนี้อาจเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและการบำรุงรักษาต่ำ https://www.tomshardware.com/pc-components/liquid-cooling/pump-free-360mm-aio-liquid-cooler-goes-up-for-preorder-at-usd419-threadripper-variant-caries-an-eye-watering-usd599-price-tag
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Pump-free 360mm AIO liquid cooler goes up for preorder at $419
    IceGiant Titan shows off the IceGiant Titan 360 and ProSiphon Titan-TR 360 at CES 2025.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 รีวิว
  • 12 มกราคม 2568-คุณหมอธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ได้เขียนบทความเรื่อง ระเบียบโลกใหม่ WEF WHO และDeep State โรคระบาดกับวัคซีน มีเนื้อหาดังนี้
    “ถึงเวลาเปิดโปงรับรู้และต่อต้าน ระเบียบโลกใหม่ ให้ มนุษย์อยู่ใต้อำนาจหนึ่งเดียว

    ระเบียบโลกใหม่ great reset โดยที่มนุษย์โลกจะไม่ได้ครอบครองอะไรเลย และสั่งให้ จงมีความสุข
    Own nothing and be happy

    รัฐบาลสหรัฐใหม่ ลุยตีโต้กลับ ระเบียบสร้างโลกหนึ่งเดียว ที่ ทุกประเทศ คนทั้งโลก ถือว่าเป็นสิ่งของ ที่ต้องทำตามคำสั่งทุกประการ ตาม world economic forum (WEF) deep state BlackRock State Street Vanguard ซึ่งก่อตั้งโดยกลุ่มอีลีท elite อภิสิทธิ์ชน ผู้ดี มหาเศรษฐี และมีเครือข่ายในบริษัทยาวัคซีนยักษ์ใหญ่ของโลก ไม่ว่าจะเป็น Pfizer Moderna GSK Sanofi และอื่นๆ

    และในการประชุมครั้งที่ 54 ที่ ดาวอส โดยมีหนังสือของการประชุมได้แจ้งรายชื่อของบริษัทที่พาร์ทเนอร์อย่างเป็นทางการกับ WEF ทั้งโลก (สามารถสืบค้นชื่อเหล่านี้และเป้าหมาย รายละเอียด ของ WEF ได้ ในหนังสือ) ซึ่งไม่ได้เป็นเกี่ยวกับยาเวชภัณฑ์เครื่องมือแพทย์เท่านั้นแต่ครอบคลุมความมั่นคงเศรษฐกิจสังคมและการศึกษา

    องค์การอนามัยโลก ถือเป็นหน่วยงานสำคัญส่วนหนึ่งของการจัดระเบียบโลกนี้ และผ่านเครือข่าย CDC FDA เป็นต้น ในการครอบคลุม global health care ทั้งนี้โดยยึดจุดอ่อนของประเทศต่างๆที่เคยชิน ทำตามคำสั่งของกลุ่มเหล่านี้มาตลอด รวมทั้งประเทศไทย

    WEF ได้ประกาศในวันที่ 9 มกราคม 2024 world health care initiative เปิดตัวในความริเริ่มที่จะใช้ ระบบดิจิตอล และปัญญาประดิษฐ์เพื่อหลอม ระบบดูแลสุขภาพทั้งโลก โดยที่ต้องทำ
    ตามอย่างเคร่งครัด และอีกหัวข้อที่สำคัญคือการจัดการประชากรล้นโลก โดยมีเป้าหมายให้ประชากรลดลง 10 ถึง 15% (depopulation agenda)

    WEF ได้รับการสนับสนุน และทำงานร่วมกับ Boston consulting group (BCG) ที่ทุนใหญ่ ทางการเงิน คือ จาก Bill & Melinda Gates foundation

    การต่อต้านสนธิสัญญา WHO treaty ต้องทำทันที มิฉะนั้น องค์การอนามัยโลก สามารถประกาศโรคระบาดลามโลก (อาจจะยังไม่อันตรายหรือระบาดจริง?) และสั่งให้สำรองวัคซีนสำหรับโรคใหม่และสั่งให้ฉีดทุกคนในโลกนี้ และสามารถสั่งการปิดประเทศ รวมทั้งจัดการให้มีบัตรประจำตัวดิจิตอลสุขภาพที่แสดงว่าได้รับวัคซีนหรือไม่ถ้าไม่ได้ตามที่กำหนดจะถูกจำกัดสิทธิ์รวมทั้งการเดินทางไปยังที่ต่างๆ

    ประเด็นที่กำลังพยายามให้เป็นเรื่องใหญ่ ก็คือ ฝีดาษลิง ซึ่ง องค์การอนามัยโลกและผ่านทางองค์กรในรัฐบาลสหรัฐเก่า ในระยะเวลาที่ผ่านมา พยายามให้มีการฉีดวัคซีนฝีดาษลิง ทั้งๆที่ การระบาดลุกลาม และการเสียชีวิตไม่ได้กว้างขวางนัก และให้อังกฤษและสหรัฐ และสหภาพยุโรป สำรองวัคซีนฝีดาษลิง
    ความพยายามในเรื่องไข้หวัดนก H5N1 จากการวิเคราะห์สายพันธุ์ที่มีการประกาศว่าระบาดและมีการสั่งให้พัฒนาวัคซีน mRNA ไข้หวัดนก และเป้าหมายจะฉีดทั่วโลก
    กลุ่มคนไทยและแพทย์พิทักษ์สิทธิ์ รวมทั้งสมาพันธ์ชาวนาแห่งประเทศไทยมากกว่า 60,000 คนได้ลงชื่อและยื่นต่อรัฐบาลไทยไม่ให้อยู่ในสนธิสัญญาขององค์การอนามัยโลกนี้แล้ว
    รายงาน ที่มาและกำเนิดของไวรัสไข้หวัดนก ในปัจจุบัน The Proximal Origin of Epidemic Highly Pathogenic Avian Influenza H5N1 Clade 2.3.4.4b and Spread by Migratory water fowl วารสาร Waterfowl Poultry, Fisheries & Wildlife Sciences 2024
    • มีความเป็นไปได้ ที่อาจมีที่มา ไม่ธรรมดา ของhighly pathogenic avian influenza HPAI H5N1 clade 2.3.4.4b genotype B3.13 ที่มีการติดเชื้อข้ามจากนก มาเป็ด ไก่ วัว หมู และอื่นๆ ได้อย่างรวดเร็วน่าแปลกใจ
    • การวิเคราะห์ดังในรายงานดังกล่าว ทางรหัสพันธุกรรมพบว่าอาจมีความเชื่อมโยงกับการสร้างไวรัสใหม่ ที่ USDA Southeast Poultry Research Laboratory (SEPRL) ใน Athens, Georgia, และ the Erasmus medical center in Rotterdam, the Netherlands

    • การตรวจพบเชื้อ HPAI H5N1 กลุ่ม 2.3.4.4b ครั้งแรกในเนเธอร์แลนด์ในปี 2020 ทำให้เกิดข้อกังวลทันที ว่าเกี่ยวกับการวิจัย สร้างไวรัสใหม่ gain of function ในช่วงก่อนหน้านี้ (Erasmus ประเทศเนเธอร์แลนด์) และสถาบันมีรายงานความสำเร็จในการสร้างไวรัสใหม่ในปี 2012 ถึงกับสร้าง ให้สามารถแพร่ทางอากาศได้
    • การวิเคราะห์ทางพันธุกรรมบ่งชี้ว่ามีจีโนไทป์B3.13 ซึ่งปรากฏในปี 2024 และเชื่อมโยงกับจีโนไทป์ B1.2 ซึ่งมีต้นกำเนิดในจอร์เจียในเดือนมกราคม 2022 หลังจากเริ่มการทดลองการ เพาะเชื้อผ่านแบบต่อเนื่อง (serial passage) กับเชื้อ H5Nx กลุ่ม 2.3.4.4 ในเป็ดแมลลาร์ดที่ SEPRL ในเอเธนส์ จอร์เจีย
    • ในเดือนเมษายน 2021 พบจีโนไทป์ B1.2 ในปลาโลมาหัวขวด
    • ในเดือนมีนาคม 2022 ในฟลอริดา ซึ่งบ่งชี้ถึงการปรับตัวใหม่ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
    • ยีน NP ของเชื้อ H5N1 กลุ่ม 2.3.4.4b (จีโนไทป์B3.13) มีแนวโน้มว่ามาจากไวรัสไข้หวัดนกชนิด A ในเป็ดแมลลาร์ด
    • การกลายพันธุ์ที่สำคัญที่พบในกรณีของมนุษย์เมื่อไม่นานนี้ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงที่เป็นไปได้กับการทดลองการผ่านไวรัสแบบต่อเนื่อง
    • อย่างไรก็ตามแม้ว่าไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์ใหม่นี้จะสามารถปรับตัวข้ามสปีชีส์ของสัตว์และมาคนได้ “แต่ไม่พบความรุนแรง” นั่นก็คือไม่มีการแสดงอาการของโรคและการตายเช่นไวรัส ไข้หวัด นกก่อนหน้านี้
    ดังนั้นประกาศขององค์การอนามัยโลกประสานกับ CDC FDA และหน่วยงานเกษตรของสหรัฐ ที่แจ้งว่าไข้หวัดนกมีการลุกลามอย่างมากและจำเป็นต้องมีการใช้วัคซีนด่วนและสำหรับทั่วโลกด้วย
    เป็นที่น่าสังเกตว่าหลักฐานของการระบาดลุกลามนั้นเป็นการตรวจพีซีอาร์ รวมทั้งการตรวจในน้ำเสียที่ปล่อยทิ้งและพบสารพันธุกรรมเยอะขึ้น แต่ทั้งนี้ไม่ได้สะท้อนถึงความรุนแรงที่ปรากฏไม่ว่าจะเป็นในสัตว์หรือในมนุษย์เอง
    • ตัวอย่างโรคระบาดเหล่านี้รวมถึงโควิดที่ผ่านมาทำให้รัฐบาลใหม่สหรัฐ ประกาศยุติความสัมพันธ์กับองค์การอนามัยโลกโดยประธานาธิบดีใหม่ได้กล่าวปราศรัยว่าเป็นองค์กรที่ทุจริตและมีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงกับบริษัทยาวัคซีนยักษ์ใหญ่ และถึงกับแทรกตัวเข้าไปในองค์กรที่ตั้งตรวจสอบยาและวัคซีนของสหรัฐ FDA CDC โดยจะมีการปลด และทำการรื้อองค์กรใหม่พร้อมกับประกาศสอบความเชื่อมโยงกับแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ ซึ่งได้รับผลประโยชน์ทางด้านการได้รับทุนวิจัยรวมทั้งสินบน เพื่อปกป้องผลิตภัณฑ์และส่งเสริมการขายโดยให้ใช้ในประชาชนทั่วโลกผ่านการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินโรคระบาด และรัฐบาลใหม่ประกาศจุดยืนต้าน deep state
    ในประเทศไทยมีคนในระดับผู้นำองค์กรเป็นสมาชิก WEF และเริ่มมีประกาศสนับสนุนแนวทางสร้างโลกหนึ่งเดียว โดยมนุษย์โลกต้องอยู่ให้ได้ภายใต้กรอบเข้มงวด อย่าง
    (ดูเหมือน)มีความสุข

    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข
    และ
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต

    (เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ คอลัมน์สุขภาพหรรษา วันที่ 5 และ 12 มกราคม 2025)
    12 มกราคม 2568-คุณหมอธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ได้เขียนบทความเรื่อง ระเบียบโลกใหม่ WEF WHO และDeep State โรคระบาดกับวัคซีน มีเนื้อหาดังนี้ “ถึงเวลาเปิดโปงรับรู้และต่อต้าน ระเบียบโลกใหม่ ให้ มนุษย์อยู่ใต้อำนาจหนึ่งเดียว ระเบียบโลกใหม่ great reset โดยที่มนุษย์โลกจะไม่ได้ครอบครองอะไรเลย และสั่งให้ จงมีความสุข Own nothing and be happy รัฐบาลสหรัฐใหม่ ลุยตีโต้กลับ ระเบียบสร้างโลกหนึ่งเดียว ที่ ทุกประเทศ คนทั้งโลก ถือว่าเป็นสิ่งของ ที่ต้องทำตามคำสั่งทุกประการ ตาม world economic forum (WEF) deep state BlackRock State Street Vanguard ซึ่งก่อตั้งโดยกลุ่มอีลีท elite อภิสิทธิ์ชน ผู้ดี มหาเศรษฐี และมีเครือข่ายในบริษัทยาวัคซีนยักษ์ใหญ่ของโลก ไม่ว่าจะเป็น Pfizer Moderna GSK Sanofi และอื่นๆ และในการประชุมครั้งที่ 54 ที่ ดาวอส โดยมีหนังสือของการประชุมได้แจ้งรายชื่อของบริษัทที่พาร์ทเนอร์อย่างเป็นทางการกับ WEF ทั้งโลก (สามารถสืบค้นชื่อเหล่านี้และเป้าหมาย รายละเอียด ของ WEF ได้ ในหนังสือ) ซึ่งไม่ได้เป็นเกี่ยวกับยาเวชภัณฑ์เครื่องมือแพทย์เท่านั้นแต่ครอบคลุมความมั่นคงเศรษฐกิจสังคมและการศึกษา องค์การอนามัยโลก ถือเป็นหน่วยงานสำคัญส่วนหนึ่งของการจัดระเบียบโลกนี้ และผ่านเครือข่าย CDC FDA เป็นต้น ในการครอบคลุม global health care ทั้งนี้โดยยึดจุดอ่อนของประเทศต่างๆที่เคยชิน ทำตามคำสั่งของกลุ่มเหล่านี้มาตลอด รวมทั้งประเทศไทย WEF ได้ประกาศในวันที่ 9 มกราคม 2024 world health care initiative เปิดตัวในความริเริ่มที่จะใช้ ระบบดิจิตอล และปัญญาประดิษฐ์เพื่อหลอม ระบบดูแลสุขภาพทั้งโลก โดยที่ต้องทำ ตามอย่างเคร่งครัด และอีกหัวข้อที่สำคัญคือการจัดการประชากรล้นโลก โดยมีเป้าหมายให้ประชากรลดลง 10 ถึง 15% (depopulation agenda) WEF ได้รับการสนับสนุน และทำงานร่วมกับ Boston consulting group (BCG) ที่ทุนใหญ่ ทางการเงิน คือ จาก Bill & Melinda Gates foundation การต่อต้านสนธิสัญญา WHO treaty ต้องทำทันที มิฉะนั้น องค์การอนามัยโลก สามารถประกาศโรคระบาดลามโลก (อาจจะยังไม่อันตรายหรือระบาดจริง?) และสั่งให้สำรองวัคซีนสำหรับโรคใหม่และสั่งให้ฉีดทุกคนในโลกนี้ และสามารถสั่งการปิดประเทศ รวมทั้งจัดการให้มีบัตรประจำตัวดิจิตอลสุขภาพที่แสดงว่าได้รับวัคซีนหรือไม่ถ้าไม่ได้ตามที่กำหนดจะถูกจำกัดสิทธิ์รวมทั้งการเดินทางไปยังที่ต่างๆ ประเด็นที่กำลังพยายามให้เป็นเรื่องใหญ่ ก็คือ ฝีดาษลิง ซึ่ง องค์การอนามัยโลกและผ่านทางองค์กรในรัฐบาลสหรัฐเก่า ในระยะเวลาที่ผ่านมา พยายามให้มีการฉีดวัคซีนฝีดาษลิง ทั้งๆที่ การระบาดลุกลาม และการเสียชีวิตไม่ได้กว้างขวางนัก และให้อังกฤษและสหรัฐ และสหภาพยุโรป สำรองวัคซีนฝีดาษลิง ความพยายามในเรื่องไข้หวัดนก H5N1 จากการวิเคราะห์สายพันธุ์ที่มีการประกาศว่าระบาดและมีการสั่งให้พัฒนาวัคซีน mRNA ไข้หวัดนก และเป้าหมายจะฉีดทั่วโลก กลุ่มคนไทยและแพทย์พิทักษ์สิทธิ์ รวมทั้งสมาพันธ์ชาวนาแห่งประเทศไทยมากกว่า 60,000 คนได้ลงชื่อและยื่นต่อรัฐบาลไทยไม่ให้อยู่ในสนธิสัญญาขององค์การอนามัยโลกนี้แล้ว รายงาน ที่มาและกำเนิดของไวรัสไข้หวัดนก ในปัจจุบัน The Proximal Origin of Epidemic Highly Pathogenic Avian Influenza H5N1 Clade 2.3.4.4b and Spread by Migratory water fowl วารสาร Waterfowl Poultry, Fisheries & Wildlife Sciences 2024 • มีความเป็นไปได้ ที่อาจมีที่มา ไม่ธรรมดา ของhighly pathogenic avian influenza HPAI H5N1 clade 2.3.4.4b genotype B3.13 ที่มีการติดเชื้อข้ามจากนก มาเป็ด ไก่ วัว หมู และอื่นๆ ได้อย่างรวดเร็วน่าแปลกใจ • การวิเคราะห์ดังในรายงานดังกล่าว ทางรหัสพันธุกรรมพบว่าอาจมีความเชื่อมโยงกับการสร้างไวรัสใหม่ ที่ USDA Southeast Poultry Research Laboratory (SEPRL) ใน Athens, Georgia, และ the Erasmus medical center in Rotterdam, the Netherlands • การตรวจพบเชื้อ HPAI H5N1 กลุ่ม 2.3.4.4b ครั้งแรกในเนเธอร์แลนด์ในปี 2020 ทำให้เกิดข้อกังวลทันที ว่าเกี่ยวกับการวิจัย สร้างไวรัสใหม่ gain of function ในช่วงก่อนหน้านี้ (Erasmus ประเทศเนเธอร์แลนด์) และสถาบันมีรายงานความสำเร็จในการสร้างไวรัสใหม่ในปี 2012 ถึงกับสร้าง ให้สามารถแพร่ทางอากาศได้ • การวิเคราะห์ทางพันธุกรรมบ่งชี้ว่ามีจีโนไทป์B3.13 ซึ่งปรากฏในปี 2024 และเชื่อมโยงกับจีโนไทป์ B1.2 ซึ่งมีต้นกำเนิดในจอร์เจียในเดือนมกราคม 2022 หลังจากเริ่มการทดลองการ เพาะเชื้อผ่านแบบต่อเนื่อง (serial passage) กับเชื้อ H5Nx กลุ่ม 2.3.4.4 ในเป็ดแมลลาร์ดที่ SEPRL ในเอเธนส์ จอร์เจีย • ในเดือนเมษายน 2021 พบจีโนไทป์ B1.2 ในปลาโลมาหัวขวด • ในเดือนมีนาคม 2022 ในฟลอริดา ซึ่งบ่งชี้ถึงการปรับตัวใหม่ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน • ยีน NP ของเชื้อ H5N1 กลุ่ม 2.3.4.4b (จีโนไทป์B3.13) มีแนวโน้มว่ามาจากไวรัสไข้หวัดนกชนิด A ในเป็ดแมลลาร์ด • การกลายพันธุ์ที่สำคัญที่พบในกรณีของมนุษย์เมื่อไม่นานนี้ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงที่เป็นไปได้กับการทดลองการผ่านไวรัสแบบต่อเนื่อง • อย่างไรก็ตามแม้ว่าไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์ใหม่นี้จะสามารถปรับตัวข้ามสปีชีส์ของสัตว์และมาคนได้ “แต่ไม่พบความรุนแรง” นั่นก็คือไม่มีการแสดงอาการของโรคและการตายเช่นไวรัส ไข้หวัด นกก่อนหน้านี้ ดังนั้นประกาศขององค์การอนามัยโลกประสานกับ CDC FDA และหน่วยงานเกษตรของสหรัฐ ที่แจ้งว่าไข้หวัดนกมีการลุกลามอย่างมากและจำเป็นต้องมีการใช้วัคซีนด่วนและสำหรับทั่วโลกด้วย เป็นที่น่าสังเกตว่าหลักฐานของการระบาดลุกลามนั้นเป็นการตรวจพีซีอาร์ รวมทั้งการตรวจในน้ำเสียที่ปล่อยทิ้งและพบสารพันธุกรรมเยอะขึ้น แต่ทั้งนี้ไม่ได้สะท้อนถึงความรุนแรงที่ปรากฏไม่ว่าจะเป็นในสัตว์หรือในมนุษย์เอง • ตัวอย่างโรคระบาดเหล่านี้รวมถึงโควิดที่ผ่านมาทำให้รัฐบาลใหม่สหรัฐ ประกาศยุติความสัมพันธ์กับองค์การอนามัยโลกโดยประธานาธิบดีใหม่ได้กล่าวปราศรัยว่าเป็นองค์กรที่ทุจริตและมีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงกับบริษัทยาวัคซีนยักษ์ใหญ่ และถึงกับแทรกตัวเข้าไปในองค์กรที่ตั้งตรวจสอบยาและวัคซีนของสหรัฐ FDA CDC โดยจะมีการปลด และทำการรื้อองค์กรใหม่พร้อมกับประกาศสอบความเชื่อมโยงกับแพทย์ นักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ ซึ่งได้รับผลประโยชน์ทางด้านการได้รับทุนวิจัยรวมทั้งสินบน เพื่อปกป้องผลิตภัณฑ์และส่งเสริมการขายโดยให้ใช้ในประชาชนทั่วโลกผ่านการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินโรคระบาด และรัฐบาลใหม่ประกาศจุดยืนต้าน deep state ในประเทศไทยมีคนในระดับผู้นำองค์กรเป็นสมาชิก WEF และเริ่มมีประกาศสนับสนุนแนวทางสร้างโลกหนึ่งเดียว โดยมนุษย์โลกต้องอยู่ให้ได้ภายใต้กรอบเข้มงวด อย่าง (ดูเหมือน)มีความสุข ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข และ ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต (เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ คอลัมน์สุขภาพหรรษา วันที่ 5 และ 12 มกราคม 2025)
    Like
    Love
    Haha
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 416 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Annual” vs.” Perennial”: What’s The Difference?

    Confused about annual vs. perennial plants? You’re not alone—it’s especially difficult to remember which is which because they sound like they might mean the same thing. To make matters worse, there’s also a third confusing term: biennial.

    Join us as we root out the differences and give examples of perennials, annuals, and biennials so you’ll always remember which is which.

    Quick summary

    Plants that live for only one growing season are called annuals. In contrast, plants that regrow on their own every season are called perennials. Plants that live for two growing seasons are called biennials.

    What are perennials?

    The word perennial is applied to a plant that lives for multiple growing seasons—at least more than two years. Perennials typically flower and bloom in the spring. Around autumn, the top part of the plant withers, but the root remains. The next spring, the root sends out a brand new shoot, and the cycle continues. In other words, planting perennials in a garden means that they don’t need to be replanted each year—they come back on their own (at least for three years).

    Perennials usually only bloom for a few weeks, and may take longer to fully mature. Popular perennials include daylilies, lilacs, and lavender, as well as most fruit trees, berry bushes, and herbs.

    What are annual plants?

    The word annual is applied to a plant that lives for only one growing season. Annuals typically flower and bloom in the spring and then wither and die around autumn. Unlike perennials, annuals do not regrow the next season—at least not from the same root. Instead, annuals must be replanted each year—or, in some cases, the seeds left behind may successfully sprout new plants.

    Annuals usually bloom the whole season, and their blooms are often more extravagant than perennials. Popular annuals include petunias, marigolds, zinnias, watermelons, corn, beans, and potatoes.

    What is a biennial plant?

    The term biennial is applied to a plant that lives for two growing seasons. The first season, the plant starts out small. The second season, it grows bigger and produces flowers. After this, the plant’s life cycle is complete, and it dies in the autumn just like an annual. Some well-known plants categorized as biennials include foxglove, pansies, poppies, forget-me-nots, and many vegetables, such as cabbage, beets, onions, and carrots.

    annual vs. perennial vs. biennial

    Here’s how you can remember the difference:

    - In general, the word perennial means “continuing” or “perpetual,” and perennials continue to regrow without being replanted.
    - The word annual means yearly, and annuals must be replanted every year.
    - The bi- in biennial means “two,” and biennials have a life cycle of two growing seasons.

    Although these terms could technically be applied to any plants, they’re especially used of flowering and culinary plants—the kind of plants commonly found in gardens and on farms.

    There is some overlap in what can be considered an annual versus a perennial. Some annuals can be perennials when planted in warmer climates, since there’s no frost to kill them, and some perennials are not capable of surviving the winter in colder climates. Certain flowers can also be annual in one variety and perennial in another.

    Examples of annual and perennial plants

    In this section, we’ll answer some of the most common questions about whether certain plants are annuals or perennials.

    Are mums perennials or annuals?

    Garden mums are typically treated as annuals, even though they can be perennials in the right climate. There are also hardier varieties of mums that are typically grown as perennials in many climates.

    Are dahlias perennials or annuals?

    Dahlias can be either, depending on the growing region. They are native to warm regions in Guatemala and Mexico. In colder climes, they are treated as annuals, but it’s possible to bring them back each year if the tubers are dug up and dried out in the winter.

    Are tulips perennials or annuals?

    Tulips are perennials. In certain climates, however, they may behave like annuals.

    Are hydrangeas perennials or annuals?

    Hydrangeas are perennials. Again, however, this is only true when grown in climates where they can survive the winter.

    Copyright 2025, AAKKHRA, All Rights Reserved.
    “Annual” vs.” Perennial”: What’s The Difference? Confused about annual vs. perennial plants? You’re not alone—it’s especially difficult to remember which is which because they sound like they might mean the same thing. To make matters worse, there’s also a third confusing term: biennial. Join us as we root out the differences and give examples of perennials, annuals, and biennials so you’ll always remember which is which. Quick summary Plants that live for only one growing season are called annuals. In contrast, plants that regrow on their own every season are called perennials. Plants that live for two growing seasons are called biennials. What are perennials? The word perennial is applied to a plant that lives for multiple growing seasons—at least more than two years. Perennials typically flower and bloom in the spring. Around autumn, the top part of the plant withers, but the root remains. The next spring, the root sends out a brand new shoot, and the cycle continues. In other words, planting perennials in a garden means that they don’t need to be replanted each year—they come back on their own (at least for three years). Perennials usually only bloom for a few weeks, and may take longer to fully mature. Popular perennials include daylilies, lilacs, and lavender, as well as most fruit trees, berry bushes, and herbs. What are annual plants? The word annual is applied to a plant that lives for only one growing season. Annuals typically flower and bloom in the spring and then wither and die around autumn. Unlike perennials, annuals do not regrow the next season—at least not from the same root. Instead, annuals must be replanted each year—or, in some cases, the seeds left behind may successfully sprout new plants. Annuals usually bloom the whole season, and their blooms are often more extravagant than perennials. Popular annuals include petunias, marigolds, zinnias, watermelons, corn, beans, and potatoes. What is a biennial plant? The term biennial is applied to a plant that lives for two growing seasons. The first season, the plant starts out small. The second season, it grows bigger and produces flowers. After this, the plant’s life cycle is complete, and it dies in the autumn just like an annual. Some well-known plants categorized as biennials include foxglove, pansies, poppies, forget-me-nots, and many vegetables, such as cabbage, beets, onions, and carrots. annual vs. perennial vs. biennial Here’s how you can remember the difference: - In general, the word perennial means “continuing” or “perpetual,” and perennials continue to regrow without being replanted. - The word annual means yearly, and annuals must be replanted every year. - The bi- in biennial means “two,” and biennials have a life cycle of two growing seasons. Although these terms could technically be applied to any plants, they’re especially used of flowering and culinary plants—the kind of plants commonly found in gardens and on farms. There is some overlap in what can be considered an annual versus a perennial. Some annuals can be perennials when planted in warmer climates, since there’s no frost to kill them, and some perennials are not capable of surviving the winter in colder climates. Certain flowers can also be annual in one variety and perennial in another. Examples of annual and perennial plants In this section, we’ll answer some of the most common questions about whether certain plants are annuals or perennials. Are mums perennials or annuals? Garden mums are typically treated as annuals, even though they can be perennials in the right climate. There are also hardier varieties of mums that are typically grown as perennials in many climates. Are dahlias perennials or annuals? Dahlias can be either, depending on the growing region. They are native to warm regions in Guatemala and Mexico. In colder climes, they are treated as annuals, but it’s possible to bring them back each year if the tubers are dug up and dried out in the winter. Are tulips perennials or annuals? Tulips are perennials. In certain climates, however, they may behave like annuals. Are hydrangeas perennials or annuals? Hydrangeas are perennials. Again, however, this is only true when grown in climates where they can survive the winter. Copyright 2025, AAKKHRA, All Rights Reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 369 มุมมอง 0 รีวิว
  • Words From The 2010s So Lit We Should Bring Them Back

    The 2010s were the era of Instagram, Beyonce’s Lemonade album, and arguing about whether a viral photo showed a blue dress or a white one. The decade may not seem like that long ago, but a lot has changed since then, including many parts of our language.

    Vocabulary evolves quickly, especially when you’re talking about the words associated with slang and pop culture. Take yeet, for example. One minute, everyone was saying it. The next? Well, it might be hard to recall the last time you’ve heard it.

    The good news is that the coolest things from previous decades almost always come back in style again. 2010s nostalgia is having a moment, and we’re taking that opportunity to look back at some of the defining words of the decade. Here are 16 2010s slang words that might be ready for a comeback.

    bae

    Remember bae? In the 2010s, this term of endearment was all over the place. The word, which is “an affectionate term used to address or refer to one’s girlfriend, boyfriend, spouse, etc.,” gained popularity in 2012, thanks to a viral tweet. The term originated in Black culture, most likely as a shortened form of babe or baby. It went on to achieve meme status before fading into the background at the start of the next decade.

    catfish

    Catfish isn’t just a type of fish. It’s also a verb that means “to deceive, swindle, etc., by assuming a false identity or personality online.” This slang meaning of catfish took over in 2010 with the release of Catfish by Henry Joost and Ariel Schulman. The documentary told the story of a man who was romantically duped by a stranger online. Catfish is still used to describe this kind of trickery, but the word is less common than it used to be, perhaps because knowledge of this type of dishonesty is more widespread.

    first world problem

    Oh, your favorite slang went out of style? Sounds like a first world problem. (Just kidding.) In the 2010s, first world problem emerged as a facetious way of pointing out a “fairly minor problem, frustration, or complaint associated with a relatively high standard of living, as opposed to serious problems associated with poverty.” The phrase dates back to the late ’70s, but it wasn’t seen online until around 2005. It got its start as a hashtag on Twitter and later became one of the go-to phrases of the 2010s.

    yeet

    Yeet began as the name of a popular dance in Black internet culture. By the mid-2010s, its use in viral videos had solidified its place as “an exclamation of excitement, approval, surprise, or all-around energy.” In 2018, yeet was voted the American Dialect Society’s 2018 Slang/Informal Word of the Year. Perhaps it’s because life during a pandemic hasn’t given us many reasons to say it, but yeet hasn’t held the same level of popularity in the years since its peak.

    stan

    These days, it’s popular for fans of musicians or actors to assume a group name related to their favorite celebrity, like Taylor Swift’s “swifties.” But in the 2010s, these groups were usually called stans. A stan is “an overly enthusiastic fan, especially of a celebrity.” The term originated in the early 2000s as a blend of stalker and fan, influenced by the rapper Eminem’s 2000 song “Stan.” Luckily, the term is mostly used in a lighthearted way.

    humblebrag

    We don’t mean to humblebrag, but we just have so many classic 2010s words to share with you. A humblebrag is “a statement intended as a boast or brag but disguised by a humble apology, complaint, etc.” The term is credited to writer and TV producer Harris Wittels, who created the Twitter account @Humblebrag in 2010 to showcase real-life examples of the act. It’s likely that many people still humblebrag online, so maybe it’s time to bring back the term.

    slaps

    If you say “this slaps” when you hear an awesome new song, you probably picked up your slang during the 2010s. Slaps is a slang verb meaning “to be excellent or amazing.” Believe it or not, slaps has been used to mean “first-rate” since at least the mid-1800s. It may not be as popular at the moment, but we have a feeling it will come back around again.

    on fleek

    For a brief moment in time, anything impressive or stylish was said to be on fleek. Now? Well, on fleek isn’t quite as on fleek as it used to be. Fleek means “flawlessly styled, groomed, etc.; looking great.” It’s typically used to describe someone’s clothing or appearance. The word was coined in its current sense by internet user Kayla Newman in 2014, and quickly became one of the most popular slang terms of the 2010s. Like a lot of popular slang, it may have existed in Black culture before it became widespread.

    lit

    Looking for a word that means “amazing, awesome, or cool.” How about lit? This 2010s word joined the ranks of cool, rad, and other terms to describe things people find great. Though its slang usage was most popular in the 2010s, lit has existed since at least 1895 as a way of saying “intoxicated.” It may not be new and trending, but this word isn’t likely to go away any time soon.

    milkshake duck

    Before canceled became everyone’s go-to word for internet controversies, there was milkshake duck. This phrase describes “a person (or thing) who becomes popular on the internet for a positive reason, but as their popularity takes off and people dig into their past, they become an object of outrage.” Milkshake duck is taken from a 2016 tweet by Australian cartoonist Ben Ward. The phrase may be less common than it once was, but the phenomenon it describes is still a major part of life online.

    slay

    Are we finally ready to slay some more? Slay means “to do something spectacularly well, especially when it comes to fashion, artistic performance, or self-confidence.” Slay being used as a way of saying “looking fashionable” can be traced back to the 1800s, but its usage in the 2010s is more closely linked to Black, Latinx, and queer ball culture. Whether it’s great clothes, hair, dancing, or something else, slay is a way of saying someone is killing it.

    fire

    In the 2010s, fire was frequently used as an adjective. Saying something was fire meant it was “cool, excellent, exciting, etc.” Fire can also be shortened to fya or fiyah, the origins of which can be traced to Black English. The term may have burned out towards the end of the decade, but we’re still holding a torch for this one. See what we did there?

    fam

    There’s nothing we love more than reminiscing about words with the fam. That’s you, of course. Fam means “a close friend or group of friends thought of as family.” Though the word is a shortened form of family, it generally describes chosen friends rather than actual family members. It became popular on Twitter and other social media platforms in the mid-2010s.

    thirst

    A glass of water won’t cure this type of thirst. Those who were teens and young adults in the 2010s might remember thirst as a slang term meaning “to have a strong desire.” In other words, thirsting for someone means you find them attractive. This usage also spawned other phrases, such as thirst trap, which is a social media post shared to elicit sexual attention. Mostly, we’re just thirsty for this word to make a comeback.

    TFW

    TFW stands for that feeling when. It was the basis of a popular 2010s meme that people used to express their emotions in relatable or unrelatable situations. For example, “TFW you just got cozy in bed but you need to use the bathroom.” The exact origins of the meme and corresponding phrase aren’t known, but it’s been in use on the internet since before 2018.

    yaass

    Can we get a yaaas for this final word? This interjection is an alternative form of yes, and it indicates ”a strong expression of excitement, approval, agreement, etc.” Most often, it’s accompanied by queen or kween, as in yaaas kween, but it can also be used on its own. This phrase originates in drag culture, where it’s commonly said in response to someone’s excellent style.

    Copyright 2025, AAKKHRA, All Rights Reserved.
    Words From The 2010s So Lit We Should Bring Them Back The 2010s were the era of Instagram, Beyonce’s Lemonade album, and arguing about whether a viral photo showed a blue dress or a white one. The decade may not seem like that long ago, but a lot has changed since then, including many parts of our language. Vocabulary evolves quickly, especially when you’re talking about the words associated with slang and pop culture. Take yeet, for example. One minute, everyone was saying it. The next? Well, it might be hard to recall the last time you’ve heard it. The good news is that the coolest things from previous decades almost always come back in style again. 2010s nostalgia is having a moment, and we’re taking that opportunity to look back at some of the defining words of the decade. Here are 16 2010s slang words that might be ready for a comeback. bae Remember bae? In the 2010s, this term of endearment was all over the place. The word, which is “an affectionate term used to address or refer to one’s girlfriend, boyfriend, spouse, etc.,” gained popularity in 2012, thanks to a viral tweet. The term originated in Black culture, most likely as a shortened form of babe or baby. It went on to achieve meme status before fading into the background at the start of the next decade. catfish Catfish isn’t just a type of fish. It’s also a verb that means “to deceive, swindle, etc., by assuming a false identity or personality online.” This slang meaning of catfish took over in 2010 with the release of Catfish by Henry Joost and Ariel Schulman. The documentary told the story of a man who was romantically duped by a stranger online. Catfish is still used to describe this kind of trickery, but the word is less common than it used to be, perhaps because knowledge of this type of dishonesty is more widespread. first world problem Oh, your favorite slang went out of style? Sounds like a first world problem. (Just kidding.) In the 2010s, first world problem emerged as a facetious way of pointing out a “fairly minor problem, frustration, or complaint associated with a relatively high standard of living, as opposed to serious problems associated with poverty.” The phrase dates back to the late ’70s, but it wasn’t seen online until around 2005. It got its start as a hashtag on Twitter and later became one of the go-to phrases of the 2010s. yeet Yeet began as the name of a popular dance in Black internet culture. By the mid-2010s, its use in viral videos had solidified its place as “an exclamation of excitement, approval, surprise, or all-around energy.” In 2018, yeet was voted the American Dialect Society’s 2018 Slang/Informal Word of the Year. Perhaps it’s because life during a pandemic hasn’t given us many reasons to say it, but yeet hasn’t held the same level of popularity in the years since its peak. stan These days, it’s popular for fans of musicians or actors to assume a group name related to their favorite celebrity, like Taylor Swift’s “swifties.” But in the 2010s, these groups were usually called stans. A stan is “an overly enthusiastic fan, especially of a celebrity.” The term originated in the early 2000s as a blend of stalker and fan, influenced by the rapper Eminem’s 2000 song “Stan.” Luckily, the term is mostly used in a lighthearted way. humblebrag We don’t mean to humblebrag, but we just have so many classic 2010s words to share with you. A humblebrag is “a statement intended as a boast or brag but disguised by a humble apology, complaint, etc.” The term is credited to writer and TV producer Harris Wittels, who created the Twitter account @Humblebrag in 2010 to showcase real-life examples of the act. It’s likely that many people still humblebrag online, so maybe it’s time to bring back the term. slaps If you say “this slaps” when you hear an awesome new song, you probably picked up your slang during the 2010s. Slaps is a slang verb meaning “to be excellent or amazing.” Believe it or not, slaps has been used to mean “first-rate” since at least the mid-1800s. It may not be as popular at the moment, but we have a feeling it will come back around again. on fleek For a brief moment in time, anything impressive or stylish was said to be on fleek. Now? Well, on fleek isn’t quite as on fleek as it used to be. Fleek means “flawlessly styled, groomed, etc.; looking great.” It’s typically used to describe someone’s clothing or appearance. The word was coined in its current sense by internet user Kayla Newman in 2014, and quickly became one of the most popular slang terms of the 2010s. Like a lot of popular slang, it may have existed in Black culture before it became widespread. lit Looking for a word that means “amazing, awesome, or cool.” How about lit? This 2010s word joined the ranks of cool, rad, and other terms to describe things people find great. Though its slang usage was most popular in the 2010s, lit has existed since at least 1895 as a way of saying “intoxicated.” It may not be new and trending, but this word isn’t likely to go away any time soon. milkshake duck Before canceled became everyone’s go-to word for internet controversies, there was milkshake duck. This phrase describes “a person (or thing) who becomes popular on the internet for a positive reason, but as their popularity takes off and people dig into their past, they become an object of outrage.” Milkshake duck is taken from a 2016 tweet by Australian cartoonist Ben Ward. The phrase may be less common than it once was, but the phenomenon it describes is still a major part of life online. slay Are we finally ready to slay some more? Slay means “to do something spectacularly well, especially when it comes to fashion, artistic performance, or self-confidence.” Slay being used as a way of saying “looking fashionable” can be traced back to the 1800s, but its usage in the 2010s is more closely linked to Black, Latinx, and queer ball culture. Whether it’s great clothes, hair, dancing, or something else, slay is a way of saying someone is killing it. fire In the 2010s, fire was frequently used as an adjective. Saying something was fire meant it was “cool, excellent, exciting, etc.” Fire can also be shortened to fya or fiyah, the origins of which can be traced to Black English. The term may have burned out towards the end of the decade, but we’re still holding a torch for this one. See what we did there? fam There’s nothing we love more than reminiscing about words with the fam. That’s you, of course. Fam means “a close friend or group of friends thought of as family.” Though the word is a shortened form of family, it generally describes chosen friends rather than actual family members. It became popular on Twitter and other social media platforms in the mid-2010s. thirst A glass of water won’t cure this type of thirst. Those who were teens and young adults in the 2010s might remember thirst as a slang term meaning “to have a strong desire.” In other words, thirsting for someone means you find them attractive. This usage also spawned other phrases, such as thirst trap, which is a social media post shared to elicit sexual attention. Mostly, we’re just thirsty for this word to make a comeback. TFW TFW stands for that feeling when. It was the basis of a popular 2010s meme that people used to express their emotions in relatable or unrelatable situations. For example, “TFW you just got cozy in bed but you need to use the bathroom.” The exact origins of the meme and corresponding phrase aren’t known, but it’s been in use on the internet since before 2018. yaass Can we get a yaaas for this final word? This interjection is an alternative form of yes, and it indicates ”a strong expression of excitement, approval, agreement, etc.” Most often, it’s accompanied by queen or kween, as in yaaas kween, but it can also be used on its own. This phrase originates in drag culture, where it’s commonly said in response to someone’s excellent style. Copyright 2025, AAKKHRA, All Rights Reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 443 มุมมอง 0 รีวิว
  • Oyster watercolor
    Oyster watercolor
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 119 มุมมอง 0 รีวิว
  • You Don’t Always Have To Use “But”

    The word but is a useful word that often ominously precedes a lot of bad news or tough criticism. But is a word that appears in many of our sentences and is one of the most commonly used words in the English language. But–and this is a big but–we might be overusing the word just a bit. It makes sense why we would overlay on but; after all, it is a short little word that can easily connect sentences together. However, there are so many other words and phrases that sadly aren’t getting to shine with but hogging all the spotlight. The word but may not like it, but it is time for but to butt out and let someone else slip into our sentences for a little while.

    What does but mean, and why do we use it so much?

    The word but is often used in two major ways: to express a contrast or to express an exception. The sentence Jenny is tall, but her parents are short is an example of but used to show contrast; Jenny’s height is totally different from her parents’. The sentence Everyone but Rahul was right-handed shows how but is used to express exception; Rahul is the only left-handed person, which makes him unique from everybody else.

    In addition to having these two very common uses, the word but is also one of the seven coordinating conjunctions. In short, coordinating conjunctions allow us to easily connect independent sentences by simply using a comma. For example, we can combine the two shorter sentences Rabbits are fast and Turtles are slow into the larger sentence Rabbits are fast, but turtles are slow. This is a fairly easy way of combining sentences, so we often rely on but to join sentences together.

    That isn’t all, though. Besides its big job as a conjunction, but can also be used as a preposition as in We tried everything but the kitchen sink or as an adverb as in There is but one road that leads to safety. With how versatile and useful the word but is, it is no wonder that we might overwork it sometimes!

    Examples of but in sentences

    The following examples show some of the different ways we often use but in sentences:

    - I thought the book was really boring, but everyone else liked it.
    - Nobody but Camila was able to last more than five minutes in the cold water.
    - We could do nothing but stare in horror as the sandcastle collapsed.
    - She knew of only but one way to calm the crowd: Karaoke!

    Alternatives of contrast

    The first major way we use but is to show contrast, contradiction, or opposition. Luckily for us, there are plenty of other words we can use to show relationships like these. In fact, we can find one among but’s coordinating conjunction friends in the word yet. Because yet is also a coordinating conjunction, we can swap it in for but without even needing to change the sentence. For example:

    • We need a new car, but we can’t afford one.
    • We need a new car, yet we can’t afford one.

    While yet is an easy substitution for but to mean contrast, it isn’t the only option. Some other useful words and phrases that can fill in this role include:

    • although, despite, however, nevertheless, nonetheless, notwithstanding, still, though, even though, on the other hand

    Typically, we can use one of the above words/phrases in place of but while only making small changes to our sentences and without changing the sentence’s meaning. For example:

    • The flight is on Saturday, but it might be delayed because of snow.
    • The flight is on Saturday. However, it might be delayed because of snow.

    Make the swap

    The following pairs of sentences show how we can express a contrast by first using but and then by swapping it out for a similar word. Notice that the new sentences still express the same meaning.

    • The painting looks great, but something is still missing.
    • The painting looks great, yet something is still missing.

    • The soldiers were heavily outnumbered, but they stood their ground anyway.
    • The soldiers were heavily outnumbered. Nevertheless, they stood their ground anyway.

    • Jessie and James act mean, but they are good people at heart.
    • Jessie and James act mean. Still, they are good people at heart.

    Alternatives of exception

    The second major way that we use but is to express an exception. Again, we have a variety of different words and phrases with the same meaning that we can use to give but a break. Some of these words include:

    • except, barring, save, without, excluding, minus, disregarding, omitting, aside from, not including, other than, apart from, leaving out

    Most of the time, we can even substitute one of these words/phrases into a sentence without needing to change anything else. For example:

    • Every student but Ryan enjoys basketball.
    • Every student except Ryan enjoys basketball.

    Make the swap

    The following pairs of sentences show how we can state exceptions by first using but and then swapping it out for a similar word or phrase. Take note that the meaning of the sentence doesn’t change.

    • All the animals but the tigers are sleeping.
    • All the animals apart from the tigers are sleeping.

    • I like all flavors of ice cream but mint.
    • I like all flavors of ice cream other than mint.

    • Every guard was loyal but one.
    • Every guard was loyal, save one.

    Change the sentence

    It might be the case that the word but is just not the word we were looking for. In that case, we may need to take more drastic action and really change up a sentence. We might exchange but for a different word that alters the meaning of the sentence or even rewrite our sentences entirely.

    Sometimes, we may want to frame our sentence in a way in which we don’t put two things in opposition or contrast, even if they are different. For example, we may just want to present two different options or state two different but equally important opinions.

    Whatever our reasons, we have several different ways we could get but out of the sentence. The simplest way, which often won’t involve changing a sentence too much, is to swap out but for one of the other coordinating conjunctions. For example:

    • I like dogs, but I don’t like cats. (Two opposing thoughts.)
    • I like dogs, and I don’t like cats. (Two equal, different thoughts.)

    • She might win big, but she might lose it all. (Two contrasting thoughts.)
    • She might win big, or she might lose it all. (Two alternative outcomes.)

    If we can’t use a different coordinating conjunction, we will often need to make more significant changes to our sentences in order to follow proper grammar. So, we might use a subordinating conjunction or split our clauses apart into separate sentences. For example:

    • We wanted to go to the beach, but it rained all day.
    • We didn’t go to the beach because it rained all day.

    • Keith needed new shoes, but he couldn’t afford them.
    • Keith needed new shoes. However, he couldn’t afford them.

    Examples

    Let’s look at different ways we can take but out of a sentence. You’ll notice that some of the sentences will change their grammar or even their meaning after but is replaced.

    • Jason lives at Camp Crystal Lake, but he doesn’t work there.
    • Jason lives at Camp Crystal Lake, and he doesn’t work there.

    • She wants a new pony, but only if she can name it Pinkie Pie.
    • She wants a new pony under the condition that she can name it Pinkie Pie.

    • I didn’t practice much, but I won the game anyway.
    • Despite the fact that I didn’t practice much, I won the game anyway.

    Copyright 2025, AAKKHRA, All Rights Reserved.
    You Don’t Always Have To Use “But” The word but is a useful word that often ominously precedes a lot of bad news or tough criticism. But is a word that appears in many of our sentences and is one of the most commonly used words in the English language. But–and this is a big but–we might be overusing the word just a bit. It makes sense why we would overlay on but; after all, it is a short little word that can easily connect sentences together. However, there are so many other words and phrases that sadly aren’t getting to shine with but hogging all the spotlight. The word but may not like it, but it is time for but to butt out and let someone else slip into our sentences for a little while. What does but mean, and why do we use it so much? The word but is often used in two major ways: to express a contrast or to express an exception. The sentence Jenny is tall, but her parents are short is an example of but used to show contrast; Jenny’s height is totally different from her parents’. The sentence Everyone but Rahul was right-handed shows how but is used to express exception; Rahul is the only left-handed person, which makes him unique from everybody else. In addition to having these two very common uses, the word but is also one of the seven coordinating conjunctions. In short, coordinating conjunctions allow us to easily connect independent sentences by simply using a comma. For example, we can combine the two shorter sentences Rabbits are fast and Turtles are slow into the larger sentence Rabbits are fast, but turtles are slow. This is a fairly easy way of combining sentences, so we often rely on but to join sentences together. That isn’t all, though. Besides its big job as a conjunction, but can also be used as a preposition as in We tried everything but the kitchen sink or as an adverb as in There is but one road that leads to safety. With how versatile and useful the word but is, it is no wonder that we might overwork it sometimes! Examples of but in sentences The following examples show some of the different ways we often use but in sentences: - I thought the book was really boring, but everyone else liked it. - Nobody but Camila was able to last more than five minutes in the cold water. - We could do nothing but stare in horror as the sandcastle collapsed. - She knew of only but one way to calm the crowd: Karaoke! Alternatives of contrast The first major way we use but is to show contrast, contradiction, or opposition. Luckily for us, there are plenty of other words we can use to show relationships like these. In fact, we can find one among but’s coordinating conjunction friends in the word yet. Because yet is also a coordinating conjunction, we can swap it in for but without even needing to change the sentence. For example: • We need a new car, but we can’t afford one. • We need a new car, yet we can’t afford one. While yet is an easy substitution for but to mean contrast, it isn’t the only option. Some other useful words and phrases that can fill in this role include: • although, despite, however, nevertheless, nonetheless, notwithstanding, still, though, even though, on the other hand Typically, we can use one of the above words/phrases in place of but while only making small changes to our sentences and without changing the sentence’s meaning. For example: • The flight is on Saturday, but it might be delayed because of snow. • The flight is on Saturday. However, it might be delayed because of snow. Make the swap The following pairs of sentences show how we can express a contrast by first using but and then by swapping it out for a similar word. Notice that the new sentences still express the same meaning. • The painting looks great, but something is still missing. • The painting looks great, yet something is still missing. • The soldiers were heavily outnumbered, but they stood their ground anyway. • The soldiers were heavily outnumbered. Nevertheless, they stood their ground anyway. • Jessie and James act mean, but they are good people at heart. • Jessie and James act mean. Still, they are good people at heart. Alternatives of exception The second major way that we use but is to express an exception. Again, we have a variety of different words and phrases with the same meaning that we can use to give but a break. Some of these words include: • except, barring, save, without, excluding, minus, disregarding, omitting, aside from, not including, other than, apart from, leaving out Most of the time, we can even substitute one of these words/phrases into a sentence without needing to change anything else. For example: • Every student but Ryan enjoys basketball. • Every student except Ryan enjoys basketball. Make the swap The following pairs of sentences show how we can state exceptions by first using but and then swapping it out for a similar word or phrase. Take note that the meaning of the sentence doesn’t change. • All the animals but the tigers are sleeping. • All the animals apart from the tigers are sleeping. • I like all flavors of ice cream but mint. • I like all flavors of ice cream other than mint. • Every guard was loyal but one. • Every guard was loyal, save one. Change the sentence It might be the case that the word but is just not the word we were looking for. In that case, we may need to take more drastic action and really change up a sentence. We might exchange but for a different word that alters the meaning of the sentence or even rewrite our sentences entirely. Sometimes, we may want to frame our sentence in a way in which we don’t put two things in opposition or contrast, even if they are different. For example, we may just want to present two different options or state two different but equally important opinions. Whatever our reasons, we have several different ways we could get but out of the sentence. The simplest way, which often won’t involve changing a sentence too much, is to swap out but for one of the other coordinating conjunctions. For example: • I like dogs, but I don’t like cats. (Two opposing thoughts.) • I like dogs, and I don’t like cats. (Two equal, different thoughts.) • She might win big, but she might lose it all. (Two contrasting thoughts.) • She might win big, or she might lose it all. (Two alternative outcomes.) If we can’t use a different coordinating conjunction, we will often need to make more significant changes to our sentences in order to follow proper grammar. So, we might use a subordinating conjunction or split our clauses apart into separate sentences. For example: • We wanted to go to the beach, but it rained all day. • We didn’t go to the beach because it rained all day. • Keith needed new shoes, but he couldn’t afford them. • Keith needed new shoes. However, he couldn’t afford them. Examples Let’s look at different ways we can take but out of a sentence. You’ll notice that some of the sentences will change their grammar or even their meaning after but is replaced. • Jason lives at Camp Crystal Lake, but he doesn’t work there. • Jason lives at Camp Crystal Lake, and he doesn’t work there. • She wants a new pony, but only if she can name it Pinkie Pie. • She wants a new pony under the condition that she can name it Pinkie Pie. • I didn’t practice much, but I won the game anyway. • Despite the fact that I didn’t practice much, I won the game anyway. Copyright 2025, AAKKHRA, All Rights Reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 391 มุมมอง 0 รีวิว
  • the python
    size : a4
    tecnique : coffee on paper

    #coffeepainting #coffee #watercolor #decoration #art #abstractart
    the python size : a4 tecnique : coffee on paper #coffeepainting #coffee #watercolor #decoration #art #abstractart
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 155 มุมมอง 0 รีวิว
  • eat weed work @ Chaehom
    off grid living community 2025
    water world foundation
    eat weed work @ Chaehom off grid living community 2025 water world foundation
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 65 มุมมอง 0 รีวิว
  • EP5 นี้ขอนำเสนอข้อมูลเพื่อแลกเปลี่ยนประเด็นด้านความปลอดภัยทางการบินที่ขอมุ่งเน้นไปทางด้านความปลอดภัยของเครื่องบินขณะทำการวิ่งขึ้นหรือกำลังวิ่งลงบนทางวิ่งที่สนามบินนะครับ

    จากข้อมูลรายงานด้านความปลอดภัย (Safety Report) ปี 2024 ขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization: ICAO) ได้จำแนกเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยที่มีโอกาสเกิดการบาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมากที่จำเป็นจะต้องจัดการอย่างเร่งด่วนอยู่ 5 เหตุการณ์ คือ 1 การควบคุมอากาศยานเข้าสู่สภาพภูมิประเทศ (Controlled Flight Into Terrain: CFIT) 2 การสูญเสียการควบคุมขณะทำการบิน (Loss Of Control In-Flight: LOC-I) 3 การชนกันกลางอากาศ (Mid-Air Collision: MAC) 4 การเกิดอากาศยานไถลออกนอกทางวิ่ง (Runway Excursion: RE) และ 5 การล่วงล้ำบนทางวิ่ง (Runway Incursion: RI)

    ที่จะขอพูดถึงในครั้งนี้ขอกล่าวถึงอากาศยานไถลออกนอกทางวิ่งเป็นหลักเพื่อที่จะนำเข้าสู่หัวข้อและเนื้อหาการประชุมของ ICAO ภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ( ICAO APAC) เมื่อต้นป 67 ที่ผ่านมา

    การไถลออกนอกทางวิ่ง ICAO ได้ให้นิยามไว้คือการที่เครื่องบินเบี่ยงเบนออกจากทางวิ่งหรือการวิ่งเลยออกปลายทางวิ่งในขณะที่ทำการบินลงหรือวิ่งขึ้นซึ่งในปัจจุบันเรามักจะได้ยินข่าวจากต่างประเทศตามสื่อต่างๆเกี่ยวกับเครื่องบินไถลออกนอกทางวิ่งอยู่บ่อยครั้งโดยเฉพาะในช่วงที่สนามบินมีสภาพอากาศแปรปรวนหรือมีฝนตกฟ้าคะนอง เมื่อไม่กี่ปีมานี้ประเทศไทยเราก็มีกรณีเครื่องบินไถลออกนอกทางวิ่งเช่นเดียวกันที่จังหวัดเชียงรายซึ่งในขณะนี้ยังไม่มีรายงานผลการสอบสวนอากาศยานอุบัติการณ์รุนแรงฉบับสุดท้าย (Final Aircraft Serious Incident Investigation Report) ที่จะแจ้งให้ทราบถึงสาเหตุหรือปัจจัยที่อาจเป็นสาเหตุของเหตุการณ์นั้นว่าคืออะไร (โดยตามมาตรฐาน ICAO นั้น รายงานฉบับสุดท้ายควรออกมาภายใน 12 เดือนหลังจากที่เกิดเหตุการณ์)

    การไถลออกนอกทางวิ่งบนพื้นที่ของสนามบินที่ออกแบบและสร้างได้ตามมาตรฐานหรือสูงกว่ามาตรฐานจะลดโอกาสการเกิดความเสียหายต่อตัวอากาศยานและการบาดเจ็บของผู้โดยสารที่อยู่บนเครื่องได้อย่างมีนัยสำคัญ ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพก็คล้ายๆกับการที่เราบังเอิญขับรถพุ่งออกจากถนนจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็แล้วแต่ แต่พอดีพื้นที่ด้านข้างหรือไหล่ถนนนั้นเป็นพื้นที่โล่งๆที่มีความยาวและความกว้างเพียงพอให้เราควบคุมรถยนต์ให้ค่อยๆหยุดลงได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ได้ปะทะหรือชนเข้ากับสิ่งใดเราก็ปลอดภัย แต่ถ้าหากพื้นที่ด้านข้างถนนแคบหรือมีน้อยแถมมีสิ่งกีดขวางต่าง ๆ เช่น ต้นไม้ เสาไฟฟ้า เกาะกลางถนนหรือเป็นคลองส่งน้ำชลประทานหรือสิ่งปลูกสร้างอื่นใด เราก็ยิ่งมีโอกาสได้รับอันตรายมากเท่านั้น แต่สำหรับสิ่งที่เราพูดถึงอยู่นี้เป็นอากาศยานหรือวัตถุที่มีขนาด มวล น้ำหนัก และความเร็วที่แตกต่างกันกับรถยนต์มาก ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจึงแตกต่างจากกรณีของรถยนต์อย่างสิ้นเชิง

    ในส่วนของพื้นที่ที่รองรับการออกนอกทางวิ่งของเครื่องบินเราเรียกว่าพื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่งหรือ Runway Strip ซึ่งจะมีขนาดที่แตกต่างกันตามประเภทของทางวิ่งที่รองรับอากาศยานรวมทั้งทางหยุด (Stop Way) (ถ้ามี) ทั้งนี้ยังรวมถึงอีกพื้นที่หนึ่งก็คือพื้นที่ปลอดภัยปลายทางวิ่ง (Runway End Safety Area: RESA) ที่เอาไว้สำหรับรองรับการวิ่งเลยปลายทางวิ่งออกไปและในกรณีที่เครื่องบินลงก่อนถึงจุดเริ่มต้นของหัวทางวิ่ง (Runway Threshold) ด้วยเช่นกัน (สามารถดาวน์โหลดข้อกำหนดสำนักงานการบินพลเรือน (กพท.) ฉบับที่ 37 ในเว็ปไซต์ กพท.หรือ ICAO Annex 14 Vol.1 ในเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเพื่อดูในรายละเอียดได้) พื้นที่เหล่านี้จะถูกออกแบบมาเพื่อให้เครื่องบินสามารถหยุดได้อย่างปลอดภัยในกรณีเกิด Runway excursion ขึ้น

    เราลองมาดูนิยามและมาตรฐานในข้อกำหนดของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ก่อนดีกว่า ความหมายของพื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่งตามข้อกำหนด กพท. ฉบับที่ 37 (อ้างอิงจากมาตรฐานของ ICAO Annex 14 Vol.1 - Aerodrome Design and Operations) กำหนดไว้ว่า “พื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่ง (Runway Strip) หมายความว่า พื้นที่ที่กําหนดไว้ซึ่งรวมถึงทางวิ่งและทางหยุด (ถ้ามี) ที่กําหนดไว้เพื่อ (1) ลดความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายแก่อากาศยานที่วิ่งออกนอกทางวิ่ง และ (2) ป้องกันอากาศยานที่บินอยู่เหนือพื้นที่ดังกล่าวระหว่างการปฏิบัติการวิ่งขึ้นหรือการบินลงของอากาศยาน
    2. ขนาดของพื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่ง
    ข้อ 145 พื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่งต้องขยายต่อออกไปจากหัวทางวิ่งและยาวเลยปลายทางวิ่งหรือทางหยุดไม่น้อยกว่าระยะทาง ดังต่อไปนี้
    (1) หกสิบ (60) เมตร สําหรับทางวิ่งที่มีรหัสตัวเลขเป็น 2, 3 หรือ 4
    (2) หกสิบ (60) เมตร สําหรับทางวิ่งที่มีรหัสตัวเลขเป็น 1 และเป็นทางวิ่งแบบบินลงด้วยเครื่องวัดประกอบการบิน
    (3) สามสิบ (30) เมตร สําหรับทางวิ่งที่มีรหัสตัวเลขเป็น 1 และเป็นทางวิ่งแบบบินลงโดยไม่ใช้เครื่องวัดประกอบการบิน
    ข้อ 146 พื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่งของทางวิ่งแบบพรีซิชั่น (Precision) และทางวิ่งแบบนอนพรีซิชั่น (Non-Precision) ต้องขยายไปทางด้านข้างแต่ละด้านของเส้นกึ่งกลางทางวิ่งและแนวเส้นกึ่งกลางทางวิ่งที่ต่อขยายออกไปตลอดความยาวของพื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่งนั้นเป็นระยะทางอย่างน้อย ดังต่อไปนี้
    (1) หนึ่งร้อยสี่สิบ (140) เมตร สําหรับทางวิ่งที่มีรหัสตัวเลขเป็น 3 หรือ 4
    (2) เจ็ดสิบ (70) เมตร สําหรับทางวิ่งที่มีรหัสตัวเลขเป็น 1 หรือ 2
    4. การปรับระดับพื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่ง
    ข้อ 152 เพื่อประโยชน์ในการรองรับเครื่องบินที่จะใช้ทางวิ่ง ในกรณีที่เครื่องบินวิ่งออกนอกทางวิ่ง สนามบินต้องปรับระดับ (Graded portion) ส่วนของพื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่งของทางวิ่งแบบบินลงด้วยเครื่องวัด

    ประกอบการบิน อย่างน้อยภายในระยะจากเส้นกึ่งกลางทางวิ่งและแนวเส้นกึ่งกลางทางวิ่งที่ขยายออกไปดังต่อไปนี้
    (1) หนึ่งร้อยห้า (105) เมตร สําหรับทางวิ่งแบบพรีซิชั่นที่มีรหัสตัวเลขเป็น 3 หรือ 4 ตามรูปที่ 9
    (2) เจ็ดสิบห้า (75) เมตร สําหรับทางวิ่งแบบนอนพรีซิชั่นที่มีรหัสตัวเลขเป็น 3 หรือ 4
    (3) สี่สิบ (40) เมตร สําหรับทางวิ่งแบบพรีซิชั่นและทางวิ่งแบบนอนพรีซิชั่นที่มีรหัสตัวเลขเป็น 1หรือ 2
    ข้อ 161 หากมีความจำเป็นต้องมีการระบายน้ำที่เหมาะสม สนามบินอาจจัดให้มีรางระบายน้ำแบบเปิดโล่งบริเวณพื้นที่ที่ไม่ต้องปรับระดับ (Non-Graded Portion) ที่อยู่ในพื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่งได้ แต่ต้องวางตําแหน่งของรางระบายน้ำให้อยู่ห่างจากทางวิ่งให้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้” อันนี้คือข้อมูลที่อยู่ในข้อกำหนด กพท.ฉบับ37

    สนามบินสุวรรณภูมิมีรหัสอ้างอิงของสนามบิน 4E (ตามข้อกำหนด กพท. ฉบับที่ 37 ส่วนที่ 4 รหัสอ้างอิงสนามบิน ข้อ 23, 24 และ25) คือมีความยาวของทางวิ่งเกิน 1800 เมตร และรองรับเครื่องบินที่มีระยะห่างระหว่างปลายปีก 65 เมตรขึ้นไปแต่ไม่ถึง 80 เมตร ดังนั้นพื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่งด้านข้างที่วัดออกจากจุดเส้นกึ่งกลางทางวิ่งจึงต้องมีขนาดอย่างน้อย 140 เมตรตลอดแนวความยาวของทางวิ่ง แต่ต้องไม่ลืมว่ามีการใช้คำว่า “อย่างน้อย” นั้น ถ้ามากกว่าก็จะยิ่งดี

    สำหรับสนามบินสุวรรณภูมิซึ่งเป็นสนามบินหลักของบ้านเราที่มีภาพประกอบวาระการประชุมของ ICAO Asia and Pacific (ICAO APAC) ที่จะได้กล่าวต่อไป ได้มีการติดตั้งรางระบายน้ำคอนกรีตแบบเปิดโล่งตามความยาวของทางวิ่งฝั่งตะวันออกห่างจากเส้นกึ่งกลางทางวิ่งที่ระยะ 120 เมตร (ข้อมูลจาก AIP Thailand) เพื่อวัตถุประสงค์ในการช่วยระบายน้ำสำหรับกรณีมีปริมาณน้ำฝนจำนวนมากอยู่บนทางวิ่งหรือพื้นที่โดยรอบ ตรงบริเวณที่เรียกว่าพื้นที่ที่ไม่ต้องปรับระดับ (Non-Graded Portion of Runway Strip) หรือตั้งแต่ 105 เมตรจากเส้นกึ่งกลางทางวิ่งเป็นต้นไป (ตามข้อกำหนด กพท. 4. การปรับระดับพื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่ง ข้อ 152 วงเล็บ 1)

    ขณะที่มาตรฐานของ ICAO Annex 14 Vol.1 - Aerodrome Design and Operations, 9 edition July 2022 หน้า 3-13 ข้อ 3.4.16 บันทึก (Note) 1 ได้ระบุว่า รางระบายน้ำแบบเปิดโล่งสามารถที่จะติดตั้งได้ในกรณีที่มีความจำเป็นต่อการระบายน้ำฝนจำนวนมากแต่จะต้องพิจารณาติดตั้งให้ไกลที่สุดเท่าที่จะปฏิบัติได้บนพื้นที่ที่ไม่ต้องปรับระดับหรือพื้นที่ “Non-graded portion” ของทางวิ่ง (Note 1. - Where deemed necessary for proper drainage, an open-air storm water conveyance may be allowed in the non-graded portion of a runway strip and would be placed as far as practicable from the runway.) ดังนั้นการมีรางระบายน้ำแบบเปิดโล่งของสนามบินนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการติดตั้งที่ไม่สอดคล้องหรือผิดจากมาตรฐานการก่อสร้างแต่อย่างใด

    อย่างไรก็ตาม จากรายงานการประชุมครั้งที่ 5 ของ ICAO APAC ของคณะทำงาน Aerodrome Design and Operations Task Force เมื่อวันที่ 30 ม.ค. – 2 ก.พ. 67 ที่จัดขึ้นที่จังหวัดเชียงรายโดยมีผู้เข้าร่วมประชุมจากประเทศภาคีสมาชิก 14 ประเทศและองค์กรทางการบินระหว่างประเทศอีก 3 หน่วยงานรวม 62 คน ( The Fifth Meeting of the Asia/Pacific Aerodrome Design and Operations Task Force: AP-ADO/TF/5: Chiang Rai) ในหัวข้อวาระประชุมที่ 4 เรื่อง “การวางแผน การออกแบบ และการก่อสร้างสนามบิน” (Planning, Design and Construction of Aerodromes) นั้น มีการหยิบยกประเด็นของรางระบายน้ำคอนกรีตแบบเปิดโล่งที่อยู่บนพื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่ง (OPEN-AIR STORM WATER CONVEYANCE IN RUNWAY STRIP) ขึ้นมาใหม่ซึ่งนำเสนอโดย ICAO-The Cooperative Development of Operational Safety and Continuing Airworthiness Programme – South East Asia (COSCAP-SEA) โดยระบุว่าการมีอยู่ของรางระบายน้ำคอนกรีตแบบเปิดโล่งบนพื้นที่ที่ไม่ต้องปรับระดับ (Non-Graded Portion) ของพื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่ง (Runway Strip) อาจนำมาซึ่งอันตรายต่างๆโดยเฉพาะกับเครื่องบินที่ไถลออกนอกทางวิ่ง ยิ่งในช่วงที่สนามบินมีสภาพอากาศแปรปรวน ฝนตกและทางวิ่งเปียกลื่น การมีอยู่ของรางระบายน้ำนั้นอาจจะทำให้เหตุการณ์ลื่นไถลออกนอกทางวิ่ง(ที่ไปถึงบริเวณที่ติดตั้งรางระบายน้ำฯ) รุนแรงยิ่งขึ้น อันนี้เองอาจจะถือได้ว่าเป็นการเริ่มทบทวนมาตรฐานด้านกายภาพสนามบินของ ICAO ก็เป็นได้ และจากการนำเสนอข้อมูลในวาระนี้ก่อนที่จะสรุปอยู่ในรายงานในภาพรวมนั้นได้มีการนำรูปภาพตัวอย่างของกรณีการไถลออกนอกทางวิ่งในประเทศต่างๆ รวมทั้งตัวอย่างภาพของสนามบินสุวรรณภูมิที่มีเครื่องบินไถลออกนอกทางวิ่งและหยุดอยู่ตรงหน้ารางระบายน้ำคอนกรีตเพียงไม่กี่เมตรมาแสดงด้วย

    มีข้อที่น่าสนใจและน่าสังเกตก็คือจากภาพที่มีการนำเสนอที่มีการไถลออกนอกทางวิ่งจากวาระการประชุมนี้รูปหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นที่สนามบินฮิโรชิมาประเทศญี่ปุ่นมีการไถลออกจากทางวิ่งไปจนเกือบถึงขอบของ Runway Strip ซึ่งไม่โครงสร้างหรือสิ่งปลูกสร้างใดหรือแม้แต่รางระบายน้ำคอนกรีตอยู่บนพื้นที่ที่ไม่ต้องปรับระดับ (Non-Graded Portion) นี้เลย จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากมีรางระบายน้ำอยู่บนพื้นที่ที่ไม่ต้องปรับระดับนี้ซึ่งตามมาตรฐานของ ICAO สามารถอยู่ได้เราคงพอจะนึกภาพออก และเมื่อไปดูข้อมูลด้านกายภาพของสนามบินฮิโรชิมานี้ใน AIP Japan (Aeronautical Information Publication, Japan) พบว่าพื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่งหรือ Runway Strip ของสนามบินนี้อยู่ที่ 150 เมตรจากกึ่งกลางทางวิ่งซึ่งสูงกว่ามาตรฐานปัจจุบันซึ่งมีการก่อสร้างมานานแล้วนั่นหมายความว่าถ้าหากมีรางระบายน้ำหรือสิ่งปลูกสร้างอื่นใดบนพื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่งนี้แม้มาตรฐานสากลจะยอมให้อยู่ได้ อากาศยานอุบัติการณ์รุนแรงก็สามารถจะคาดการณ์ว่าเกิดขึ้นได้ ยกตัวอย่างเช่นกรณีที่เคยเกิดขึ้นกับสนามบินสมุยที่มีอาคาร Tower เก่าอยู่บน Runway Strip แล้วเครื่องไถลออกไปก็ก่อให้เกิดอุบัติเหตุมาแล้วเมื่อ 4 สิงหาคม 2552 หรือกรณีของสายการบิน One to Go ที่สนามบินภูเก็ตที่ผ่านมาหลายปีมาแล้วเช่นกันที่พื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่งไม่สอดคล้องกับมาตรฐานการรองรับอากาศยาน

    ในที่ประชุมคณะทำงาน Aerodrome Design and Operations Task Force - ICAO APAC ยังได้มีการกล่าวถึงข้อมูลสถิติการศึกษาการออกนอกทางวิ่งของอากาศยานในช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ได้ทำไว้ โดยแสดงให้เห็นว่าในจำนวน 100 เปอร์เซ็นต์ของเหตุการณ์ออกนอกทางวิ่ง 90 เปอร์เซ็นต์เครื่องบินสามารถหยุดได้อย่างปลอดภัยบนพื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่ง (Runway strip) บนขอบเขตของพื้นที่ปรับระดับ (Graded portion) คืออยู่ในระยะ 105 เมตรจากเส้นกึ่งกลางทางวิ่ง ส่วนที่เหลืออีก 10 เปอร์เซ็นต์จะเลย 105 เมตรออกไปถึงพื้นที่ที่ไม่ปรับระดับ (Non-graded portion) คือตั้งแต่ 105 เมตรขึ้นไปจนถึงขอบของ Runway strip ซึ่งจากสถิติข้อมูลการศึกษาอันนี้ในจำนวน 10 เปอร์เซ็นต์นี้ในบางครั้งมีการไถลออกไปไกลถึง 152 เมตร และบางครั้งถึง 210 เมตรเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามมีตัวอย่างหนึ่งที่เครื่องบินไถลออกไปจากทางวิ่งไปถึง 219 เมตรที่ประเทศอินเดียเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2019 ก็มีมาแล้ว (มีภาพประกอบ)

    เนื้อหาข้อมูลใน Final Report ของที่ประชุมคณะทำงาน Aerodrome Design and Operations Task Force นี้ (ในหน้า 4-5) นี้ มีการระบุให้ข้อมูลว่ามีตัวอย่างของเอกสารคำแนะนำ (Advisory circular) AC150/5300-13B ของหน่วยงานการบินแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (FAA) ว่าตำแหน่งของร่องน้ำหรือรางระบายน้ำหรือกำแพงป้องกันนั้นขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่แต่ละพื้นที่บริเวณนั้นแต่ไม่ว่ากรณีใดๆก็ตามจะไม่มีการตั้งอยู่บนขอบเขตของพื้นที่ปลอดภัยของทางวิ่งเลย โดยความกว้างของพื้นที่ปลอดภัยทางวิ่งของเขาจะอยู่ที่ 500 ฟุต หรือ152 เมตร
    “4.28 The WP/20 provided an example of the FAA advisory circular: AC150/5300-13B where it reads, “location of ditch, swale, or headwall depends on the site condition but in no case within the limits of runway safety area (RSA).” The width of the RSA, as specified in Appendix G of the AC is 500 feet (152m).”
    นอกจากนี้ผู้แทนของหน่วยงานกำกับดูแลด้านการบินพลเรือนของสาธารณรัฐเกาหลีได้ออกมาให้การสนับสนุนประเด็นหัวข้อนี้และให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่ากฎระเบียบด้านการบินของเกาหลีใต้ในหัวข้อที่เกี่ยวกับมาตรฐานพื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่งของสนามบินนั้นออกข้อกำหนดไว้ว่าการก่อสร้างรางระบายน้ำแบบเปิดโล่งจะต้องก่อสร้างให้เลยจากพื้นที่ที่ไม่ต้องปรับระดับ (Non-graded portion) ของพื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่ง (Runway strip) ออกไปเท่านั้นและยังเรียกร้องให้รัฐต่าง ๆ พัฒนาคู่มือนโนบายและวิธีปฏิบัติในการที่จะยอมรับกายภาพที่ไม่สอดคล้องตามมาตรฐานของตนบนพื้นฐานจากการประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
    “4.31 The Republic of Korea supported the Working Paper and shared that their regulations required open air drains to be constructed beyond the non-graded portion of the runway strips and expressed the need for States to develop Policy and Procedures for accepting non-compliances based on safety risk assessment”.

    สำหรับสนามบินหลักของบ้านเราที่มีรางระบายน้ำคอนกรีตแบบเปิดโล่งบนพื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่ง (Runway strip) ในส่วนที่เรียกว่าพื้นที่ที่ไม่ต้องปรับระดับ (Non-graded portion) นี้นั้น ถ้าดูจากสถิติตามรายงานของที่ประชุมนี้แล้ว 90 เปอร์เซ็นของเครื่องบินที่ไถลออกนอกทางวิ่งจะออกไปไม่ถึงพื้นที่ที่ไม่ต้องปรับระดับ หรือบริเวณที่มีรางระบายน้ำคอนกรีตฯนี้ ยกเว้นเพียง 10 เปอร์เซ็นเท่านั้น อย่างไรก็ดีจะมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนที่รัฐหรือผู้ดำเนินการสนามบินจะนำเรื่องดังกล่าวมาทบทวนข้อมูลสถิติ จำนวนและชนิดของอากาศยานที่มาใช้บริการ โอกาสความเป็นไปได้ต่าง ๆ รวมทั้งทบทวนกฎระเบียบหรือทำการประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัยอีกครั้งตามที่หน่วยงานการบินแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (FAA) และหน่วยงานกำกับดูแลด้านการบินพลเรือนของสาธารณรัฐเกาหลีได้ได้นำเสนอมาในรายงาน เพื่อลดโอกาสความรุนแรงจากการเกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ขึ้น ถ้าตัวเลขในปัจจุบันจำนวนเที่ยวบินของทั่วโลกเพิ่มมากขึ้น จำนวนการไถลออกนอกทางวิ่งของทั้ง 90 เปอร์เซ็นและของ 10 เปอร์เซ็นก็น่าจะมากตาม คงไม่น่าจะมีใครอยากคิดว่าตนเองจะเป็นผู้ที่อยู่ใน 10 เปอร์เซ็นนั้นอย่างแน่นอน ทั้งนี้หากดูข้อมูลเหตุการณ์ของสายการบิน Asiana airlines ที่ออกนอกทางวิ่งสนามบินฮิโรชิมาของญี่ปุ่นที่มี Runway strip ที่ 150 เมตรจากกึ่งกลางทางวิ่งโดยไถลไปไกลจนเกือบถึงขอบ Runway strip โดยไม่มีรางระบายน้ำฯหรือสิ่งปลูกสร้างใดบนพื้นที่บริเวณนี้แม้แต่น้อยตามที่กล่าวไว้ข้างต้นกับในขณะที่เหตุการณ์ของสุวรรณภูมิที่เครื่องบินไถลออกนอกทางวิ่งจนไปเกือบถึงรางระบายน้ำแบบเปิดโล่ง แต่โชคดีที่คานยึดของฐานล้อเครื่องบินมีการครูดเป็นร่องลึกและเป็นทางยาวไปกับทางวิ่งประมาณเกือบ 400 เมตร (อ้างอิงข้อมูลจากรายงานฉบับสุดท้ายของสำนักงานคณะกรรมการสอบสวนอุบัติเหตุและอุบัติการณ์ของอากาศยาน) ก่อนหยุดลง จึงเป็นเหตุการณ์ที่ยังไม่ได้ก่อให้เกิดอากาศยานอุบัติเหตุแต่อย่างใด แต่เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่ามันจะเป็นแบบนี้ไปได้ทุกครั้ง หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงปรารถนาขึ้นเราต้องสูญเสียอะไรบ้างกับการไม่ได้ป้องกันกันแต่เนิ่น ๆ เป็นเรื่องที่ผู้ที่เกี่ยวข้องน่าจะนำไปพิจารณาทบทวนดูหรือไม่

    โดยรวมแล้วการที่สนามบินมีรางระบายน้ำคอนกรีตแบบเปิดโล่ง (Open-Air Storm Water Conveyance) อยู่บนพื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่ง (Runway Strip) ตรงบริเวณที่เรียกว่าพื้นที่ที่ไม่ต้องปรับระดับ(Non-Graded Portion) สามารถทำได้หรือจัดให้มีอยู่ได้โดยไม่ได้ถือว่าเป็นการดำเนินการที่ผิดจากมาตรฐานแต่อย่างใดเพราะ ICAO Annex 14 Vol. 1 เปิดไว้ให้ทำได้เพียงแต่ขอให้พิจารณาติดตั้งให้ไกลที่สุดจากทางวิ่งซึ่งไม่ได้กำหนดว่าระยะเท่าไร ดังนั้นจึงอยู่ในดุลยพินิจของหน่วยงานกำกับดูแลด้านการบินหรือการดำเนินการของสนามบินในแต่ละประเทศที่จะพิจารณากันในมิติต่าง ๆ อย่างรอบคอบ
    จากข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมานี้ซึ่งรวมถึงเนื้อหาในรายงานการประชุมของ ICAO ในครั้งนี้จะเห็นได้ว่า
    1. ประเทศบางประเทศอย่างเช่นกรณีของสหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐเกาหลีได้มีการพัฒนาให้มีกฎระเบียบหรือกฎหมายด้านความปลอดภัยทางการบินของตนเองที่สูงกว่ามาตรฐานของ ICAO โดยไม่ต้องมีข้อกำหนดด้านมาตรฐานที่ชัดเจนของ ICAO Annex ออกมาแต่อย่างใด
    2. มาตรฐานที่ ICAO ออกมาในรูปแบบ Annex ต่าง ๆ ที่ออกมาเพื่อให้แต่ละประเทศนำไปออกเป็นกฎหมายหรือกฎระเบียบข้อบังคับของตนเองนั้นยังมีช่องว่าง (Gap) ส่วนที่จะต้องมีการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงให้ดียิ่งขึ้นหรือปลอดภัยมากขึ้นอยู่เสมอ
    3. กรณีที่มีเครื่องบินไถลออกนอกทางวิ่งอีก โอกาสของ 10 เปอร์เซ็นต์ที่เครื่องบินจะวิ่งเลยไปถึงพื้นที่ที่ไม่ต้องปรับระดับ (Non-Graded Portion) ยังมีอยู่หากยังไม่ได้ทำการประเมินความเสี่ยงและมีการกำหนดมาตรการลดความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ โดยเฉพาะสนามบินที่รองรับแบบอากาศยาน (Aircraft Code) ชนิดใหญ่ ๆ ได้
    4. รายงานฉบับสุดท้ายการสอบสวนอากาศยานแบบ Airbus A330-321ที่ไถลออกนอกทางวิ่งที่สนามบินสุวรรณภูมิเมื่อ 8 กันยายน 2556 มีการระบุถึงการครูดของคานยึดฐานล้อหลักด้านขวาประมาณ 365 เมตร และวิ่งพ้นขอบทางวิ่งไปบนพื้นดินที่เป็นพื้นที่ปลอดภัยของทางวิ่งระยะทางประมาณ ๑๐๐ เมตรจึงหยุดนิ่ง กรณีเช่นนี้ถ้าหากไม่มีการครูดกับทางวิ่งด้วยระยะทางและความลึกตามรายงานดังกล่าว โอกาสที่อากาศยานอาจจะไปถึงรางระบายน้ำคอนกรีตแบบเปิดโล่งก็เป็นได้เมื่อลองเปรียบเทียบกับกรณีของสายการบิน Asiana Airlines ที่สนามบินฮิโรชิมา อย่างไรก็ตามรายงานผลการสอบสวนฯควรมีข้อแนะนำโดยตรงไปยัง ICAO (Safety recommendations to ICAO) ด้วยหรือไม่ถึงความเป็นไปได้ของสภาวะอันตรายนี้เพื่อให้ ICAO มีการพิจารณาหรืออาจจะทบทวนมาตรฐานกายภาพของทางวิ่งที่ยอมให้มีรางระบายน้ำแบบเปิดโล่งบนพื้นที่ที่ไม่ต้องปรับระดับนี้

    ทั้งนี้ ยังไม่มีข้อมูลที่จะนำสรุปได้ว่าแต่ละประเทศที่มีลักษณะทางกายภาพทางวิ่งของสนามบินแบบนี้โดยเฉพาะประเทศเรานั้นจะดำเนินการไปในในทิศทางใด หากมีข้อมูลเพิ่มเติมจะนำมาเสนออีกครั้งการจะทำให้สมดุลกันระหว่างการลงทุนรายจ่ายการป้องกันด้านความปลอดภัย (Protection) กับการสร้างรายได้การดำเนินงาน (Production) เมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้วผู้ที่เกี่ยวข้องจะเลือกวิธีแบบใด และแบบไหนจะยั่งยืนกว่ากัน ประชาชนผู้ใช้บริการสามารถมีส่วนร่วมได้หรือไม่

    ข้อมูลทั้งหมดเป็นทัศนคติส่วนบุคคลที่อ้างอิงจากเอกสารและรายงานที่เปิดเผยในเวปไซต์หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ สามารถค้นหาและสืบค้นได้โดยทั่วไป อาจมีข้อมูลบางอย่างที่ไม่ได้กล่าวถึงและข้อมูลบางอย่างปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปแล้วตามช่วงเวลาที่เปลี่ยนไป ผู้อ่านโปรดใช้ดุลยพินิจและพิจารณาอีกครั้ง

    เอกสารอ้างอิง(สามารสืบค้นได้บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต):
    1. ICAO Safety Report 2024Edition
    2. ICAO Annex 14 - Aerodrome Design and Operations, 9 edition, July 2022
    3. ข้อกำหนดสำนักงานการบินพลเรือนฉบับที่ 37
    4. Aircraft Accident Investigation Report, Asiana Airlines INC. HL-7762, November 24,2016 - JTSB
    5. www.telegraph.co.uk/travel/news/asiana-plane-skids-off-runway-in-japan-leaving-20-injured/
    6. รายงานฉบับสุดท้ายการสอบสวนอากาศยานแบบ Airbus A330-321 เครื่องหมายสัญชาติและทะเบียน HS-TEFฯ โดยคณะกรรมการสอบสวนอุบัติเหตุของอากาศยานในราชอาณาจักรปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการสอบสวนอุบัติเหตุและอุบัติการณ์ของอากาศยานประเทศไทย
    7. Agenda Item 4: Planning, Design and Construction of Aerodromes/ “Open-Air Strom Water Conveyance in Runway Strip” - The Fifth Meeting of the Asia/Pacific Aerodrome Design and Operations Task Force (AP-ADO/TF/5) Chaing Rai, Thailand 30 January – 2 February 2024
    8. Final Report: The Fifth Meeting of the Asia/Pacific Aerodrome Design and Operations Task Force (AP-ADO/TF/5) Chaing Rai, Thailand 30 January – 2 February 2024
    9. AIP Japan HIROSHIMA, RJOA AD2-6 (13/9/18)
    10. AIP Thailand, AD 2-VTBS-1-16, 28 NOV 24, VTBS AD2.12 RUNWAY PHYSICAL CHARACTERISTICS
    11. https://en.wikipedia.org/wiki/Bangkok_Airways_Flight_266
    12. https://www.theguardian.com/world/2009/aug/04/thailand-plane-crash
    13. https://en.wikipedia.org/wiki/One-Two-Go_Airlines_Flight_269
    14. https://www.aviation-accidents.net/jet-airways-boeing-b737-800-vt-jbg-flight-9w2374/



    EP5 นี้ขอนำเสนอข้อมูลเพื่อแลกเปลี่ยนประเด็นด้านความปลอดภัยทางการบินที่ขอมุ่งเน้นไปทางด้านความปลอดภัยของเครื่องบินขณะทำการวิ่งขึ้นหรือกำลังวิ่งลงบนทางวิ่งที่สนามบินนะครับ จากข้อมูลรายงานด้านความปลอดภัย (Safety Report) ปี 2024 ขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization: ICAO) ได้จำแนกเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยที่มีโอกาสเกิดการบาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมากที่จำเป็นจะต้องจัดการอย่างเร่งด่วนอยู่ 5 เหตุการณ์ คือ 1 การควบคุมอากาศยานเข้าสู่สภาพภูมิประเทศ (Controlled Flight Into Terrain: CFIT) 2 การสูญเสียการควบคุมขณะทำการบิน (Loss Of Control In-Flight: LOC-I) 3 การชนกันกลางอากาศ (Mid-Air Collision: MAC) 4 การเกิดอากาศยานไถลออกนอกทางวิ่ง (Runway Excursion: RE) และ 5 การล่วงล้ำบนทางวิ่ง (Runway Incursion: RI) ที่จะขอพูดถึงในครั้งนี้ขอกล่าวถึงอากาศยานไถลออกนอกทางวิ่งเป็นหลักเพื่อที่จะนำเข้าสู่หัวข้อและเนื้อหาการประชุมของ ICAO ภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ( ICAO APAC) เมื่อต้นป 67 ที่ผ่านมา การไถลออกนอกทางวิ่ง ICAO ได้ให้นิยามไว้คือการที่เครื่องบินเบี่ยงเบนออกจากทางวิ่งหรือการวิ่งเลยออกปลายทางวิ่งในขณะที่ทำการบินลงหรือวิ่งขึ้นซึ่งในปัจจุบันเรามักจะได้ยินข่าวจากต่างประเทศตามสื่อต่างๆเกี่ยวกับเครื่องบินไถลออกนอกทางวิ่งอยู่บ่อยครั้งโดยเฉพาะในช่วงที่สนามบินมีสภาพอากาศแปรปรวนหรือมีฝนตกฟ้าคะนอง เมื่อไม่กี่ปีมานี้ประเทศไทยเราก็มีกรณีเครื่องบินไถลออกนอกทางวิ่งเช่นเดียวกันที่จังหวัดเชียงรายซึ่งในขณะนี้ยังไม่มีรายงานผลการสอบสวนอากาศยานอุบัติการณ์รุนแรงฉบับสุดท้าย (Final Aircraft Serious Incident Investigation Report) ที่จะแจ้งให้ทราบถึงสาเหตุหรือปัจจัยที่อาจเป็นสาเหตุของเหตุการณ์นั้นว่าคืออะไร (โดยตามมาตรฐาน ICAO นั้น รายงานฉบับสุดท้ายควรออกมาภายใน 12 เดือนหลังจากที่เกิดเหตุการณ์) การไถลออกนอกทางวิ่งบนพื้นที่ของสนามบินที่ออกแบบและสร้างได้ตามมาตรฐานหรือสูงกว่ามาตรฐานจะลดโอกาสการเกิดความเสียหายต่อตัวอากาศยานและการบาดเจ็บของผู้โดยสารที่อยู่บนเครื่องได้อย่างมีนัยสำคัญ ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพก็คล้ายๆกับการที่เราบังเอิญขับรถพุ่งออกจากถนนจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็แล้วแต่ แต่พอดีพื้นที่ด้านข้างหรือไหล่ถนนนั้นเป็นพื้นที่โล่งๆที่มีความยาวและความกว้างเพียงพอให้เราควบคุมรถยนต์ให้ค่อยๆหยุดลงได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ได้ปะทะหรือชนเข้ากับสิ่งใดเราก็ปลอดภัย แต่ถ้าหากพื้นที่ด้านข้างถนนแคบหรือมีน้อยแถมมีสิ่งกีดขวางต่าง ๆ เช่น ต้นไม้ เสาไฟฟ้า เกาะกลางถนนหรือเป็นคลองส่งน้ำชลประทานหรือสิ่งปลูกสร้างอื่นใด เราก็ยิ่งมีโอกาสได้รับอันตรายมากเท่านั้น แต่สำหรับสิ่งที่เราพูดถึงอยู่นี้เป็นอากาศยานหรือวัตถุที่มีขนาด มวล น้ำหนัก และความเร็วที่แตกต่างกันกับรถยนต์มาก ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจึงแตกต่างจากกรณีของรถยนต์อย่างสิ้นเชิง ในส่วนของพื้นที่ที่รองรับการออกนอกทางวิ่งของเครื่องบินเราเรียกว่าพื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่งหรือ Runway Strip ซึ่งจะมีขนาดที่แตกต่างกันตามประเภทของทางวิ่งที่รองรับอากาศยานรวมทั้งทางหยุด (Stop Way) (ถ้ามี) ทั้งนี้ยังรวมถึงอีกพื้นที่หนึ่งก็คือพื้นที่ปลอดภัยปลายทางวิ่ง (Runway End Safety Area: RESA) ที่เอาไว้สำหรับรองรับการวิ่งเลยปลายทางวิ่งออกไปและในกรณีที่เครื่องบินลงก่อนถึงจุดเริ่มต้นของหัวทางวิ่ง (Runway Threshold) ด้วยเช่นกัน (สามารถดาวน์โหลดข้อกำหนดสำนักงานการบินพลเรือน (กพท.) ฉบับที่ 37 ในเว็ปไซต์ กพท.หรือ ICAO Annex 14 Vol.1 ในเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเพื่อดูในรายละเอียดได้) พื้นที่เหล่านี้จะถูกออกแบบมาเพื่อให้เครื่องบินสามารถหยุดได้อย่างปลอดภัยในกรณีเกิด Runway excursion ขึ้น เราลองมาดูนิยามและมาตรฐานในข้อกำหนดของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ก่อนดีกว่า ความหมายของพื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่งตามข้อกำหนด กพท. ฉบับที่ 37 (อ้างอิงจากมาตรฐานของ ICAO Annex 14 Vol.1 - Aerodrome Design and Operations) กำหนดไว้ว่า “พื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่ง (Runway Strip) หมายความว่า พื้นที่ที่กําหนดไว้ซึ่งรวมถึงทางวิ่งและทางหยุด (ถ้ามี) ที่กําหนดไว้เพื่อ (1) ลดความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายแก่อากาศยานที่วิ่งออกนอกทางวิ่ง และ (2) ป้องกันอากาศยานที่บินอยู่เหนือพื้นที่ดังกล่าวระหว่างการปฏิบัติการวิ่งขึ้นหรือการบินลงของอากาศยาน 2. ขนาดของพื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่ง ข้อ 145 พื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่งต้องขยายต่อออกไปจากหัวทางวิ่งและยาวเลยปลายทางวิ่งหรือทางหยุดไม่น้อยกว่าระยะทาง ดังต่อไปนี้ (1) หกสิบ (60) เมตร สําหรับทางวิ่งที่มีรหัสตัวเลขเป็น 2, 3 หรือ 4 (2) หกสิบ (60) เมตร สําหรับทางวิ่งที่มีรหัสตัวเลขเป็น 1 และเป็นทางวิ่งแบบบินลงด้วยเครื่องวัดประกอบการบิน (3) สามสิบ (30) เมตร สําหรับทางวิ่งที่มีรหัสตัวเลขเป็น 1 และเป็นทางวิ่งแบบบินลงโดยไม่ใช้เครื่องวัดประกอบการบิน ข้อ 146 พื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่งของทางวิ่งแบบพรีซิชั่น (Precision) และทางวิ่งแบบนอนพรีซิชั่น (Non-Precision) ต้องขยายไปทางด้านข้างแต่ละด้านของเส้นกึ่งกลางทางวิ่งและแนวเส้นกึ่งกลางทางวิ่งที่ต่อขยายออกไปตลอดความยาวของพื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่งนั้นเป็นระยะทางอย่างน้อย ดังต่อไปนี้ (1) หนึ่งร้อยสี่สิบ (140) เมตร สําหรับทางวิ่งที่มีรหัสตัวเลขเป็น 3 หรือ 4 (2) เจ็ดสิบ (70) เมตร สําหรับทางวิ่งที่มีรหัสตัวเลขเป็น 1 หรือ 2 4. การปรับระดับพื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่ง ข้อ 152 เพื่อประโยชน์ในการรองรับเครื่องบินที่จะใช้ทางวิ่ง ในกรณีที่เครื่องบินวิ่งออกนอกทางวิ่ง สนามบินต้องปรับระดับ (Graded portion) ส่วนของพื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่งของทางวิ่งแบบบินลงด้วยเครื่องวัด ประกอบการบิน อย่างน้อยภายในระยะจากเส้นกึ่งกลางทางวิ่งและแนวเส้นกึ่งกลางทางวิ่งที่ขยายออกไปดังต่อไปนี้ (1) หนึ่งร้อยห้า (105) เมตร สําหรับทางวิ่งแบบพรีซิชั่นที่มีรหัสตัวเลขเป็น 3 หรือ 4 ตามรูปที่ 9 (2) เจ็ดสิบห้า (75) เมตร สําหรับทางวิ่งแบบนอนพรีซิชั่นที่มีรหัสตัวเลขเป็น 3 หรือ 4 (3) สี่สิบ (40) เมตร สําหรับทางวิ่งแบบพรีซิชั่นและทางวิ่งแบบนอนพรีซิชั่นที่มีรหัสตัวเลขเป็น 1หรือ 2 ข้อ 161 หากมีความจำเป็นต้องมีการระบายน้ำที่เหมาะสม สนามบินอาจจัดให้มีรางระบายน้ำแบบเปิดโล่งบริเวณพื้นที่ที่ไม่ต้องปรับระดับ (Non-Graded Portion) ที่อยู่ในพื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่งได้ แต่ต้องวางตําแหน่งของรางระบายน้ำให้อยู่ห่างจากทางวิ่งให้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้” อันนี้คือข้อมูลที่อยู่ในข้อกำหนด กพท.ฉบับ37 สนามบินสุวรรณภูมิมีรหัสอ้างอิงของสนามบิน 4E (ตามข้อกำหนด กพท. ฉบับที่ 37 ส่วนที่ 4 รหัสอ้างอิงสนามบิน ข้อ 23, 24 และ25) คือมีความยาวของทางวิ่งเกิน 1800 เมตร และรองรับเครื่องบินที่มีระยะห่างระหว่างปลายปีก 65 เมตรขึ้นไปแต่ไม่ถึง 80 เมตร ดังนั้นพื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่งด้านข้างที่วัดออกจากจุดเส้นกึ่งกลางทางวิ่งจึงต้องมีขนาดอย่างน้อย 140 เมตรตลอดแนวความยาวของทางวิ่ง แต่ต้องไม่ลืมว่ามีการใช้คำว่า “อย่างน้อย” นั้น ถ้ามากกว่าก็จะยิ่งดี สำหรับสนามบินสุวรรณภูมิซึ่งเป็นสนามบินหลักของบ้านเราที่มีภาพประกอบวาระการประชุมของ ICAO Asia and Pacific (ICAO APAC) ที่จะได้กล่าวต่อไป ได้มีการติดตั้งรางระบายน้ำคอนกรีตแบบเปิดโล่งตามความยาวของทางวิ่งฝั่งตะวันออกห่างจากเส้นกึ่งกลางทางวิ่งที่ระยะ 120 เมตร (ข้อมูลจาก AIP Thailand) เพื่อวัตถุประสงค์ในการช่วยระบายน้ำสำหรับกรณีมีปริมาณน้ำฝนจำนวนมากอยู่บนทางวิ่งหรือพื้นที่โดยรอบ ตรงบริเวณที่เรียกว่าพื้นที่ที่ไม่ต้องปรับระดับ (Non-Graded Portion of Runway Strip) หรือตั้งแต่ 105 เมตรจากเส้นกึ่งกลางทางวิ่งเป็นต้นไป (ตามข้อกำหนด กพท. 4. การปรับระดับพื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่ง ข้อ 152 วงเล็บ 1) ขณะที่มาตรฐานของ ICAO Annex 14 Vol.1 - Aerodrome Design and Operations, 9 edition July 2022 หน้า 3-13 ข้อ 3.4.16 บันทึก (Note) 1 ได้ระบุว่า รางระบายน้ำแบบเปิดโล่งสามารถที่จะติดตั้งได้ในกรณีที่มีความจำเป็นต่อการระบายน้ำฝนจำนวนมากแต่จะต้องพิจารณาติดตั้งให้ไกลที่สุดเท่าที่จะปฏิบัติได้บนพื้นที่ที่ไม่ต้องปรับระดับหรือพื้นที่ “Non-graded portion” ของทางวิ่ง (Note 1. - Where deemed necessary for proper drainage, an open-air storm water conveyance may be allowed in the non-graded portion of a runway strip and would be placed as far as practicable from the runway.) ดังนั้นการมีรางระบายน้ำแบบเปิดโล่งของสนามบินนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการติดตั้งที่ไม่สอดคล้องหรือผิดจากมาตรฐานการก่อสร้างแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม จากรายงานการประชุมครั้งที่ 5 ของ ICAO APAC ของคณะทำงาน Aerodrome Design and Operations Task Force เมื่อวันที่ 30 ม.ค. – 2 ก.พ. 67 ที่จัดขึ้นที่จังหวัดเชียงรายโดยมีผู้เข้าร่วมประชุมจากประเทศภาคีสมาชิก 14 ประเทศและองค์กรทางการบินระหว่างประเทศอีก 3 หน่วยงานรวม 62 คน ( The Fifth Meeting of the Asia/Pacific Aerodrome Design and Operations Task Force: AP-ADO/TF/5: Chiang Rai) ในหัวข้อวาระประชุมที่ 4 เรื่อง “การวางแผน การออกแบบ และการก่อสร้างสนามบิน” (Planning, Design and Construction of Aerodromes) นั้น มีการหยิบยกประเด็นของรางระบายน้ำคอนกรีตแบบเปิดโล่งที่อยู่บนพื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่ง (OPEN-AIR STORM WATER CONVEYANCE IN RUNWAY STRIP) ขึ้นมาใหม่ซึ่งนำเสนอโดย ICAO-The Cooperative Development of Operational Safety and Continuing Airworthiness Programme – South East Asia (COSCAP-SEA) โดยระบุว่าการมีอยู่ของรางระบายน้ำคอนกรีตแบบเปิดโล่งบนพื้นที่ที่ไม่ต้องปรับระดับ (Non-Graded Portion) ของพื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่ง (Runway Strip) อาจนำมาซึ่งอันตรายต่างๆโดยเฉพาะกับเครื่องบินที่ไถลออกนอกทางวิ่ง ยิ่งในช่วงที่สนามบินมีสภาพอากาศแปรปรวน ฝนตกและทางวิ่งเปียกลื่น การมีอยู่ของรางระบายน้ำนั้นอาจจะทำให้เหตุการณ์ลื่นไถลออกนอกทางวิ่ง(ที่ไปถึงบริเวณที่ติดตั้งรางระบายน้ำฯ) รุนแรงยิ่งขึ้น อันนี้เองอาจจะถือได้ว่าเป็นการเริ่มทบทวนมาตรฐานด้านกายภาพสนามบินของ ICAO ก็เป็นได้ และจากการนำเสนอข้อมูลในวาระนี้ก่อนที่จะสรุปอยู่ในรายงานในภาพรวมนั้นได้มีการนำรูปภาพตัวอย่างของกรณีการไถลออกนอกทางวิ่งในประเทศต่างๆ รวมทั้งตัวอย่างภาพของสนามบินสุวรรณภูมิที่มีเครื่องบินไถลออกนอกทางวิ่งและหยุดอยู่ตรงหน้ารางระบายน้ำคอนกรีตเพียงไม่กี่เมตรมาแสดงด้วย มีข้อที่น่าสนใจและน่าสังเกตก็คือจากภาพที่มีการนำเสนอที่มีการไถลออกนอกทางวิ่งจากวาระการประชุมนี้รูปหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นที่สนามบินฮิโรชิมาประเทศญี่ปุ่นมีการไถลออกจากทางวิ่งไปจนเกือบถึงขอบของ Runway Strip ซึ่งไม่โครงสร้างหรือสิ่งปลูกสร้างใดหรือแม้แต่รางระบายน้ำคอนกรีตอยู่บนพื้นที่ที่ไม่ต้องปรับระดับ (Non-Graded Portion) นี้เลย จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากมีรางระบายน้ำอยู่บนพื้นที่ที่ไม่ต้องปรับระดับนี้ซึ่งตามมาตรฐานของ ICAO สามารถอยู่ได้เราคงพอจะนึกภาพออก และเมื่อไปดูข้อมูลด้านกายภาพของสนามบินฮิโรชิมานี้ใน AIP Japan (Aeronautical Information Publication, Japan) พบว่าพื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่งหรือ Runway Strip ของสนามบินนี้อยู่ที่ 150 เมตรจากกึ่งกลางทางวิ่งซึ่งสูงกว่ามาตรฐานปัจจุบันซึ่งมีการก่อสร้างมานานแล้วนั่นหมายความว่าถ้าหากมีรางระบายน้ำหรือสิ่งปลูกสร้างอื่นใดบนพื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่งนี้แม้มาตรฐานสากลจะยอมให้อยู่ได้ อากาศยานอุบัติการณ์รุนแรงก็สามารถจะคาดการณ์ว่าเกิดขึ้นได้ ยกตัวอย่างเช่นกรณีที่เคยเกิดขึ้นกับสนามบินสมุยที่มีอาคาร Tower เก่าอยู่บน Runway Strip แล้วเครื่องไถลออกไปก็ก่อให้เกิดอุบัติเหตุมาแล้วเมื่อ 4 สิงหาคม 2552 หรือกรณีของสายการบิน One to Go ที่สนามบินภูเก็ตที่ผ่านมาหลายปีมาแล้วเช่นกันที่พื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่งไม่สอดคล้องกับมาตรฐานการรองรับอากาศยาน ในที่ประชุมคณะทำงาน Aerodrome Design and Operations Task Force - ICAO APAC ยังได้มีการกล่าวถึงข้อมูลสถิติการศึกษาการออกนอกทางวิ่งของอากาศยานในช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ได้ทำไว้ โดยแสดงให้เห็นว่าในจำนวน 100 เปอร์เซ็นต์ของเหตุการณ์ออกนอกทางวิ่ง 90 เปอร์เซ็นต์เครื่องบินสามารถหยุดได้อย่างปลอดภัยบนพื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่ง (Runway strip) บนขอบเขตของพื้นที่ปรับระดับ (Graded portion) คืออยู่ในระยะ 105 เมตรจากเส้นกึ่งกลางทางวิ่ง ส่วนที่เหลืออีก 10 เปอร์เซ็นต์จะเลย 105 เมตรออกไปถึงพื้นที่ที่ไม่ปรับระดับ (Non-graded portion) คือตั้งแต่ 105 เมตรขึ้นไปจนถึงขอบของ Runway strip ซึ่งจากสถิติข้อมูลการศึกษาอันนี้ในจำนวน 10 เปอร์เซ็นต์นี้ในบางครั้งมีการไถลออกไปไกลถึง 152 เมตร และบางครั้งถึง 210 เมตรเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามมีตัวอย่างหนึ่งที่เครื่องบินไถลออกไปจากทางวิ่งไปถึง 219 เมตรที่ประเทศอินเดียเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2019 ก็มีมาแล้ว (มีภาพประกอบ) เนื้อหาข้อมูลใน Final Report ของที่ประชุมคณะทำงาน Aerodrome Design and Operations Task Force นี้ (ในหน้า 4-5) นี้ มีการระบุให้ข้อมูลว่ามีตัวอย่างของเอกสารคำแนะนำ (Advisory circular) AC150/5300-13B ของหน่วยงานการบินแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (FAA) ว่าตำแหน่งของร่องน้ำหรือรางระบายน้ำหรือกำแพงป้องกันนั้นขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่แต่ละพื้นที่บริเวณนั้นแต่ไม่ว่ากรณีใดๆก็ตามจะไม่มีการตั้งอยู่บนขอบเขตของพื้นที่ปลอดภัยของทางวิ่งเลย โดยความกว้างของพื้นที่ปลอดภัยทางวิ่งของเขาจะอยู่ที่ 500 ฟุต หรือ152 เมตร “4.28 The WP/20 provided an example of the FAA advisory circular: AC150/5300-13B where it reads, “location of ditch, swale, or headwall depends on the site condition but in no case within the limits of runway safety area (RSA).” The width of the RSA, as specified in Appendix G of the AC is 500 feet (152m).” นอกจากนี้ผู้แทนของหน่วยงานกำกับดูแลด้านการบินพลเรือนของสาธารณรัฐเกาหลีได้ออกมาให้การสนับสนุนประเด็นหัวข้อนี้และให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่ากฎระเบียบด้านการบินของเกาหลีใต้ในหัวข้อที่เกี่ยวกับมาตรฐานพื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่งของสนามบินนั้นออกข้อกำหนดไว้ว่าการก่อสร้างรางระบายน้ำแบบเปิดโล่งจะต้องก่อสร้างให้เลยจากพื้นที่ที่ไม่ต้องปรับระดับ (Non-graded portion) ของพื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่ง (Runway strip) ออกไปเท่านั้นและยังเรียกร้องให้รัฐต่าง ๆ พัฒนาคู่มือนโนบายและวิธีปฏิบัติในการที่จะยอมรับกายภาพที่ไม่สอดคล้องตามมาตรฐานของตนบนพื้นฐานจากการประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัย “4.31 The Republic of Korea supported the Working Paper and shared that their regulations required open air drains to be constructed beyond the non-graded portion of the runway strips and expressed the need for States to develop Policy and Procedures for accepting non-compliances based on safety risk assessment”. สำหรับสนามบินหลักของบ้านเราที่มีรางระบายน้ำคอนกรีตแบบเปิดโล่งบนพื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่ง (Runway strip) ในส่วนที่เรียกว่าพื้นที่ที่ไม่ต้องปรับระดับ (Non-graded portion) นี้นั้น ถ้าดูจากสถิติตามรายงานของที่ประชุมนี้แล้ว 90 เปอร์เซ็นของเครื่องบินที่ไถลออกนอกทางวิ่งจะออกไปไม่ถึงพื้นที่ที่ไม่ต้องปรับระดับ หรือบริเวณที่มีรางระบายน้ำคอนกรีตฯนี้ ยกเว้นเพียง 10 เปอร์เซ็นเท่านั้น อย่างไรก็ดีจะมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนที่รัฐหรือผู้ดำเนินการสนามบินจะนำเรื่องดังกล่าวมาทบทวนข้อมูลสถิติ จำนวนและชนิดของอากาศยานที่มาใช้บริการ โอกาสความเป็นไปได้ต่าง ๆ รวมทั้งทบทวนกฎระเบียบหรือทำการประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัยอีกครั้งตามที่หน่วยงานการบินแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (FAA) และหน่วยงานกำกับดูแลด้านการบินพลเรือนของสาธารณรัฐเกาหลีได้ได้นำเสนอมาในรายงาน เพื่อลดโอกาสความรุนแรงจากการเกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ขึ้น ถ้าตัวเลขในปัจจุบันจำนวนเที่ยวบินของทั่วโลกเพิ่มมากขึ้น จำนวนการไถลออกนอกทางวิ่งของทั้ง 90 เปอร์เซ็นและของ 10 เปอร์เซ็นก็น่าจะมากตาม คงไม่น่าจะมีใครอยากคิดว่าตนเองจะเป็นผู้ที่อยู่ใน 10 เปอร์เซ็นนั้นอย่างแน่นอน ทั้งนี้หากดูข้อมูลเหตุการณ์ของสายการบิน Asiana airlines ที่ออกนอกทางวิ่งสนามบินฮิโรชิมาของญี่ปุ่นที่มี Runway strip ที่ 150 เมตรจากกึ่งกลางทางวิ่งโดยไถลไปไกลจนเกือบถึงขอบ Runway strip โดยไม่มีรางระบายน้ำฯหรือสิ่งปลูกสร้างใดบนพื้นที่บริเวณนี้แม้แต่น้อยตามที่กล่าวไว้ข้างต้นกับในขณะที่เหตุการณ์ของสุวรรณภูมิที่เครื่องบินไถลออกนอกทางวิ่งจนไปเกือบถึงรางระบายน้ำแบบเปิดโล่ง แต่โชคดีที่คานยึดของฐานล้อเครื่องบินมีการครูดเป็นร่องลึกและเป็นทางยาวไปกับทางวิ่งประมาณเกือบ 400 เมตร (อ้างอิงข้อมูลจากรายงานฉบับสุดท้ายของสำนักงานคณะกรรมการสอบสวนอุบัติเหตุและอุบัติการณ์ของอากาศยาน) ก่อนหยุดลง จึงเป็นเหตุการณ์ที่ยังไม่ได้ก่อให้เกิดอากาศยานอุบัติเหตุแต่อย่างใด แต่เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่ามันจะเป็นแบบนี้ไปได้ทุกครั้ง หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงปรารถนาขึ้นเราต้องสูญเสียอะไรบ้างกับการไม่ได้ป้องกันกันแต่เนิ่น ๆ เป็นเรื่องที่ผู้ที่เกี่ยวข้องน่าจะนำไปพิจารณาทบทวนดูหรือไม่ โดยรวมแล้วการที่สนามบินมีรางระบายน้ำคอนกรีตแบบเปิดโล่ง (Open-Air Storm Water Conveyance) อยู่บนพื้นที่ปลอดภัยรอบทางวิ่ง (Runway Strip) ตรงบริเวณที่เรียกว่าพื้นที่ที่ไม่ต้องปรับระดับ(Non-Graded Portion) สามารถทำได้หรือจัดให้มีอยู่ได้โดยไม่ได้ถือว่าเป็นการดำเนินการที่ผิดจากมาตรฐานแต่อย่างใดเพราะ ICAO Annex 14 Vol. 1 เปิดไว้ให้ทำได้เพียงแต่ขอให้พิจารณาติดตั้งให้ไกลที่สุดจากทางวิ่งซึ่งไม่ได้กำหนดว่าระยะเท่าไร ดังนั้นจึงอยู่ในดุลยพินิจของหน่วยงานกำกับดูแลด้านการบินหรือการดำเนินการของสนามบินในแต่ละประเทศที่จะพิจารณากันในมิติต่าง ๆ อย่างรอบคอบ จากข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมานี้ซึ่งรวมถึงเนื้อหาในรายงานการประชุมของ ICAO ในครั้งนี้จะเห็นได้ว่า 1. ประเทศบางประเทศอย่างเช่นกรณีของสหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐเกาหลีได้มีการพัฒนาให้มีกฎระเบียบหรือกฎหมายด้านความปลอดภัยทางการบินของตนเองที่สูงกว่ามาตรฐานของ ICAO โดยไม่ต้องมีข้อกำหนดด้านมาตรฐานที่ชัดเจนของ ICAO Annex ออกมาแต่อย่างใด 2. มาตรฐานที่ ICAO ออกมาในรูปแบบ Annex ต่าง ๆ ที่ออกมาเพื่อให้แต่ละประเทศนำไปออกเป็นกฎหมายหรือกฎระเบียบข้อบังคับของตนเองนั้นยังมีช่องว่าง (Gap) ส่วนที่จะต้องมีการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงให้ดียิ่งขึ้นหรือปลอดภัยมากขึ้นอยู่เสมอ 3. กรณีที่มีเครื่องบินไถลออกนอกทางวิ่งอีก โอกาสของ 10 เปอร์เซ็นต์ที่เครื่องบินจะวิ่งเลยไปถึงพื้นที่ที่ไม่ต้องปรับระดับ (Non-Graded Portion) ยังมีอยู่หากยังไม่ได้ทำการประเมินความเสี่ยงและมีการกำหนดมาตรการลดความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ โดยเฉพาะสนามบินที่รองรับแบบอากาศยาน (Aircraft Code) ชนิดใหญ่ ๆ ได้ 4. รายงานฉบับสุดท้ายการสอบสวนอากาศยานแบบ Airbus A330-321ที่ไถลออกนอกทางวิ่งที่สนามบินสุวรรณภูมิเมื่อ 8 กันยายน 2556 มีการระบุถึงการครูดของคานยึดฐานล้อหลักด้านขวาประมาณ 365 เมตร และวิ่งพ้นขอบทางวิ่งไปบนพื้นดินที่เป็นพื้นที่ปลอดภัยของทางวิ่งระยะทางประมาณ ๑๐๐ เมตรจึงหยุดนิ่ง กรณีเช่นนี้ถ้าหากไม่มีการครูดกับทางวิ่งด้วยระยะทางและความลึกตามรายงานดังกล่าว โอกาสที่อากาศยานอาจจะไปถึงรางระบายน้ำคอนกรีตแบบเปิดโล่งก็เป็นได้เมื่อลองเปรียบเทียบกับกรณีของสายการบิน Asiana Airlines ที่สนามบินฮิโรชิมา อย่างไรก็ตามรายงานผลการสอบสวนฯควรมีข้อแนะนำโดยตรงไปยัง ICAO (Safety recommendations to ICAO) ด้วยหรือไม่ถึงความเป็นไปได้ของสภาวะอันตรายนี้เพื่อให้ ICAO มีการพิจารณาหรืออาจจะทบทวนมาตรฐานกายภาพของทางวิ่งที่ยอมให้มีรางระบายน้ำแบบเปิดโล่งบนพื้นที่ที่ไม่ต้องปรับระดับนี้ ทั้งนี้ ยังไม่มีข้อมูลที่จะนำสรุปได้ว่าแต่ละประเทศที่มีลักษณะทางกายภาพทางวิ่งของสนามบินแบบนี้โดยเฉพาะประเทศเรานั้นจะดำเนินการไปในในทิศทางใด หากมีข้อมูลเพิ่มเติมจะนำมาเสนออีกครั้งการจะทำให้สมดุลกันระหว่างการลงทุนรายจ่ายการป้องกันด้านความปลอดภัย (Protection) กับการสร้างรายได้การดำเนินงาน (Production) เมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้วผู้ที่เกี่ยวข้องจะเลือกวิธีแบบใด และแบบไหนจะยั่งยืนกว่ากัน ประชาชนผู้ใช้บริการสามารถมีส่วนร่วมได้หรือไม่ ข้อมูลทั้งหมดเป็นทัศนคติส่วนบุคคลที่อ้างอิงจากเอกสารและรายงานที่เปิดเผยในเวปไซต์หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ สามารถค้นหาและสืบค้นได้โดยทั่วไป อาจมีข้อมูลบางอย่างที่ไม่ได้กล่าวถึงและข้อมูลบางอย่างปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปแล้วตามช่วงเวลาที่เปลี่ยนไป ผู้อ่านโปรดใช้ดุลยพินิจและพิจารณาอีกครั้ง เอกสารอ้างอิง(สามารสืบค้นได้บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต): 1. ICAO Safety Report 2024Edition 2. ICAO Annex 14 - Aerodrome Design and Operations, 9 edition, July 2022 3. ข้อกำหนดสำนักงานการบินพลเรือนฉบับที่ 37 4. Aircraft Accident Investigation Report, Asiana Airlines INC. HL-7762, November 24,2016 - JTSB 5. www.telegraph.co.uk/travel/news/asiana-plane-skids-off-runway-in-japan-leaving-20-injured/ 6. รายงานฉบับสุดท้ายการสอบสวนอากาศยานแบบ Airbus A330-321 เครื่องหมายสัญชาติและทะเบียน HS-TEFฯ โดยคณะกรรมการสอบสวนอุบัติเหตุของอากาศยานในราชอาณาจักรปฏิบัติหน้าที่คณะกรรมการสอบสวนอุบัติเหตุและอุบัติการณ์ของอากาศยานประเทศไทย 7. Agenda Item 4: Planning, Design and Construction of Aerodromes/ “Open-Air Strom Water Conveyance in Runway Strip” - The Fifth Meeting of the Asia/Pacific Aerodrome Design and Operations Task Force (AP-ADO/TF/5) Chaing Rai, Thailand 30 January – 2 February 2024 8. Final Report: The Fifth Meeting of the Asia/Pacific Aerodrome Design and Operations Task Force (AP-ADO/TF/5) Chaing Rai, Thailand 30 January – 2 February 2024 9. AIP Japan HIROSHIMA, RJOA AD2-6 (13/9/18) 10. AIP Thailand, AD 2-VTBS-1-16, 28 NOV 24, VTBS AD2.12 RUNWAY PHYSICAL CHARACTERISTICS 11. https://en.wikipedia.org/wiki/Bangkok_Airways_Flight_266 12. https://www.theguardian.com/world/2009/aug/04/thailand-plane-crash 13. https://en.wikipedia.org/wiki/One-Two-Go_Airlines_Flight_269 14. https://www.aviation-accidents.net/jet-airways-boeing-b737-800-vt-jbg-flight-9w2374/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 527 มุมมอง 0 รีวิว
  • Ready To Make Small Talk? Here Are 10 Different Kinds To Try!

    If the term small talk sends a pang of dread shooting through your chest, you aren’t alone. That very word may have you picturing yourself stranded with a group of strangers, desperately trying to think of questions to ask while everyone stares at you awkwardly. Luckily, small talk doesn’t have to be that way. There are plenty of ways to improve your small talk skills. It also helps to remember that different situations call for different kinds of small talk. Small talk can be used to connect with old friends, make new ones, banter with potential dates, and network with clients and connections. Here’s a guide to the many different kinds of small talk and some fun facts about each type. Think of this as a cheat sheet you can carry with you into your next great conversation!

    chitchat

    If you’ve ever made “light conversation, casual talk, or gossip” with someone, then you’ve engaged in chitchat. It’s a form of small talk that might occur between acquaintances and usually doesn’t delve into heavy or serious topics. People have been chitchatting for a lot longer than you might think. The word is a duplicate form of chat that’s been in use in English since the early 1700s.

    table talk

    Table talk is called that because, well, it happens most often at a table. Defined as “informal conversation at meals,” table talk is what you might expect at a dinner party or an after-work happy hour meetup. Sometimes it can take a turn for the serious (see: awkward family dinners during Thanksgiving), but topics are usually lighthearted and meant to keep guests engaged. The phrase table talk has been in use since the mid-1500s.

    exchanging pleasantries

    If you don’t know someone well, the first step to talking with them is exchanging pleasantries. A pleasantry is “a courteous social remark used to initiate or facilitate a conversation,” such as complimenting the decor at a new acquaintance’s house or commenting on the weather as you and a new neighbor both check your mailboxes. The word pleasantry has been in use in English since the 1600s.

    shooting the breeze

    To shoot the breeze means “to talk idly, chat.” The word breeze sometimes means “an easy task; something done or carried on without difficulty.” In this sense, you can think of shooting the breeze as engaging in easy conversation, like the ones had when lounging around at a party or other relaxed gathering. This phrase may have originated as a variant of shooting the bull, in which bull means “empty talk or lies.” Shooting the breeze has been in use in English since at least 1919.

    causerie

    Causerie sounds like it might refer to something formal or serious, but it actually means “an informal talk or chat.” You might engage in a causerie while gathered around the buffet table or mingling with other attendees at a conference. First recorded in the 1820s, causerie comes from the French causer, meaning “to chat.”

    chinwag

    If you wish to “chat idly or gossip” with an acquaintance, you might pop by for a chinwag. Chinwag is a 19th-century word that is likely borrowed from British English, though the exact origins of the phrase are unknown. Chinwag likely refers to the physical act of talking, as in the way a chin wags, or “moves from side to side or up and down” when one speaks. Chinwagging is something you can do with a friend or with people you don’t know well.

    schmoozing

    Schmoozing is the kind of small talk that often happens when people are trying to make connections. It means “idle conversation; chatter,” but it’s often used to describe situations in which that idle chatter is intended to help you get “in” with a certain person or group. You might schmooze with the boss at the holiday party or schmooze with the other PTA parents you’re trying to get to know. The word schmooze is an Americanism, but it has roots in Yiddish. The verb schmues, from the Hebrew shəmūʿōth, means “reports, gossip.”

    persiflage

    The kind of frivolous, easy small talk you might make at a party can also be called persiflage. This word, meaning “light, bantering talk or writing,” comes from the French persifler, meaning “to banter” or “to tease.” Persiflage, then, describes small talk that is fun. It might include jokes, witticisms, and clever repartee. Who knows? You might even end up with a new friend. The word persiflage was first recorded in English in the 1750s.

    banter

    Banter is “an exchange of light, playful, teasing remarks; good-natured raillery.” It’s what can happen when small talk is going well. Often, you might engage in banter with a new acquaintance with whom you get along particularly well. Banter might also be the preferred type of small talk on a first date or when you’re really connecting with someone new on a dating app. The origin of the word banter is unknown, but English speakers have been using it since at least the 1660s.

    gossip

    Gossip technically counts as a form of small talk, but proceed with caution: depending on the subject of the gossip, this one could land you in hot water. Gossip is defined as “idle talk or rumor, especially about the personal or private affairs of others,” and the concept has been around for a very long time. First recorded before 1050, gossip can be traced to the Old English godsibb, a term that initially meant “godparent,” but later came to be applied to familiar friends, especially a woman’s female friends. This is likely due to the outdated belief that women were more fond of “light talk” or gossip.

    Copyright 2024, AAKKHRA, All Rights Reserved.
    Ready To Make Small Talk? Here Are 10 Different Kinds To Try! If the term small talk sends a pang of dread shooting through your chest, you aren’t alone. That very word may have you picturing yourself stranded with a group of strangers, desperately trying to think of questions to ask while everyone stares at you awkwardly. Luckily, small talk doesn’t have to be that way. There are plenty of ways to improve your small talk skills. It also helps to remember that different situations call for different kinds of small talk. Small talk can be used to connect with old friends, make new ones, banter with potential dates, and network with clients and connections. Here’s a guide to the many different kinds of small talk and some fun facts about each type. Think of this as a cheat sheet you can carry with you into your next great conversation! chitchat If you’ve ever made “light conversation, casual talk, or gossip” with someone, then you’ve engaged in chitchat. It’s a form of small talk that might occur between acquaintances and usually doesn’t delve into heavy or serious topics. People have been chitchatting for a lot longer than you might think. The word is a duplicate form of chat that’s been in use in English since the early 1700s. table talk Table talk is called that because, well, it happens most often at a table. Defined as “informal conversation at meals,” table talk is what you might expect at a dinner party or an after-work happy hour meetup. Sometimes it can take a turn for the serious (see: awkward family dinners during Thanksgiving), but topics are usually lighthearted and meant to keep guests engaged. The phrase table talk has been in use since the mid-1500s. exchanging pleasantries If you don’t know someone well, the first step to talking with them is exchanging pleasantries. A pleasantry is “a courteous social remark used to initiate or facilitate a conversation,” such as complimenting the decor at a new acquaintance’s house or commenting on the weather as you and a new neighbor both check your mailboxes. The word pleasantry has been in use in English since the 1600s. shooting the breeze To shoot the breeze means “to talk idly, chat.” The word breeze sometimes means “an easy task; something done or carried on without difficulty.” In this sense, you can think of shooting the breeze as engaging in easy conversation, like the ones had when lounging around at a party or other relaxed gathering. This phrase may have originated as a variant of shooting the bull, in which bull means “empty talk or lies.” Shooting the breeze has been in use in English since at least 1919. causerie Causerie sounds like it might refer to something formal or serious, but it actually means “an informal talk or chat.” You might engage in a causerie while gathered around the buffet table or mingling with other attendees at a conference. First recorded in the 1820s, causerie comes from the French causer, meaning “to chat.” chinwag If you wish to “chat idly or gossip” with an acquaintance, you might pop by for a chinwag. Chinwag is a 19th-century word that is likely borrowed from British English, though the exact origins of the phrase are unknown. Chinwag likely refers to the physical act of talking, as in the way a chin wags, or “moves from side to side or up and down” when one speaks. Chinwagging is something you can do with a friend or with people you don’t know well. schmoozing Schmoozing is the kind of small talk that often happens when people are trying to make connections. It means “idle conversation; chatter,” but it’s often used to describe situations in which that idle chatter is intended to help you get “in” with a certain person or group. You might schmooze with the boss at the holiday party or schmooze with the other PTA parents you’re trying to get to know. The word schmooze is an Americanism, but it has roots in Yiddish. The verb schmues, from the Hebrew shəmūʿōth, means “reports, gossip.” persiflage The kind of frivolous, easy small talk you might make at a party can also be called persiflage. This word, meaning “light, bantering talk or writing,” comes from the French persifler, meaning “to banter” or “to tease.” Persiflage, then, describes small talk that is fun. It might include jokes, witticisms, and clever repartee. Who knows? You might even end up with a new friend. The word persiflage was first recorded in English in the 1750s. banter Banter is “an exchange of light, playful, teasing remarks; good-natured raillery.” It’s what can happen when small talk is going well. Often, you might engage in banter with a new acquaintance with whom you get along particularly well. Banter might also be the preferred type of small talk on a first date or when you’re really connecting with someone new on a dating app. The origin of the word banter is unknown, but English speakers have been using it since at least the 1660s. gossip Gossip technically counts as a form of small talk, but proceed with caution: depending on the subject of the gossip, this one could land you in hot water. Gossip is defined as “idle talk or rumor, especially about the personal or private affairs of others,” and the concept has been around for a very long time. First recorded before 1050, gossip can be traced to the Old English godsibb, a term that initially meant “godparent,” but later came to be applied to familiar friends, especially a woman’s female friends. This is likely due to the outdated belief that women were more fond of “light talk” or gossip. Copyright 2024, AAKKHRA, All Rights Reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 502 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.youtube.com/watch?v=rUVpOEih9cQ
    บทสนทนาเที่ยวภูเขา
    (คลิกอ่านเพิ่มเติม เพื่ออ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษและไทย และคำศัพท์น่ารู้)
    แบบทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ จากบทสนทนาเที่ยวภูเขา
    มีคำถาม 5 ข้อหลังฟังเสร็จ เพื่อทดสอบการฟังภาษาอังกฤษของคุณ

    #บทสนทนาภาษาอังกฤษ #ฝึกฟังภาษาอังกฤษ #เที่ยวภูเขา

    The conversations from the clip :

    Tourist 1: Look at the sky! The sun is finally coming up.
    Tourist 2: Wow, it’s breathtaking. The orange and pink hues are incredible.
    Tourist 1: I’m so glad we made it to the top before sunrise.
    Tourist 2: Me too. Watching the sun rise over the mountains is unforgettable.
    Tourist 1: Should we start preparing breakfast? I’m getting a bit hungry.
    Tourist 2: Yes, let’s do that. I’ll set up the stove. Do we have eggs and bread?
    Tourist 1: Yep, I packed them in the cooler. I’ll grab them now.
    Tourist 2: Perfect. I’ll start heating the pan. Do you want to make coffee too?
    Tourist 1: Absolutely! I brought instant coffee and a kettle.
    Tourist 2: Great. The pan is ready. Pass me the butter, please.
    Tourist 1: Here you go. Should I toast the bread while you cook the eggs?
    Tourist 2: That sounds like a plan. Oh, don’t forget the salt and pepper.
    Tourist 1: Got them right here. The coffee water is boiling now too.
    Tourist 2: Awesome! The eggs are almost done. Breakfast will be ready soon.
    Tourist 1: Great timing. Let’s eat while enjoying the view. It’s such a perfect morning.
    Tourist 2: Agreed. Nothing beats a hot breakfast after a sunrise hike.

    นักท่องเที่ยว 1: ดูท้องฟ้าสิ! พระอาทิตย์กำลังขึ้นแล้ว
    นักท่องเที่ยว 2: ว้าว สวยมากเลย สีส้มกับชมพูดูงดงามจริง ๆ
    นักท่องเที่ยว 1: ดีใจที่เรามาถึงยอดเขาก่อนพระอาทิตย์ขึ้น
    นักท่องเที่ยว 2: ใช่เลย การได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นเหนือภูเขามันน่าจดจำมาก
    นักท่องเที่ยว 1: เราจะเริ่มเตรียมอาหารเช้ากันดีไหม? เริ่มหิวแล้ว
    นักท่องเที่ยว 2: ได้เลย ฉันจะตั้งเตา เรามีไข่กับขนมปังไหม?
    นักท่องเที่ยว 1: มีสิ ฉันเก็บไว้ในกระติกเย็น เดี๋ยวหยิบมาให้
    นักท่องเที่ยว 2: เยี่ยมเลย ฉันจะเริ่มอุ่นกระทะ เราทำกาแฟด้วยไหม?
    นักท่องเที่ยว 1: แน่นอน! ฉันเอากาแฟสำเร็จรูปและกาน้ำร้อนมาด้วย
    นักท่องเที่ยว 2: ดีเลย กระทะพร้อมแล้ว ส่งเนยมาหน่อย
    นักท่องเที่ยว 1: นี่จ้ะ ฉันจะปิ้งขนมปังในขณะที่คุณทำไข่
    นักท่องเที่ยว 2: ได้เลย ฟังดูเป็นแผนที่ดี อ้อ อย่าลืมเกลือกับพริกไทยนะ
    นักท่องเที่ยว 1: มีพร้อมแล้ว น้ำสำหรับกาแฟก็เดือดแล้ว
    นักท่องเที่ยว 2: สุดยอด! ไข่เกือบเสร็จแล้ว อาหารเช้าจะพร้อมในไม่ช้า
    นักท่องเที่ยว 1: พอดีเลย มาอาหารเช้าไปชมวิวไป เช้านี้มันช่างสมบูรณ์แบบ
    นักท่องเที่ยว 2: เห็นด้วยเลย ไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้กินอาหารเช้าร้อน ๆ หลังจากปีนเขาชมพระอาทิตย์ขึ้น

    Vocabulary (คำศัพท์น่ารู้)

    Sky (สคาย) n. แปลว่า ท้องฟ้า
    Sunrise (ซัน-ไรส์) n. แปลว่า พระอาทิตย์ขึ้น
    Hue (ฮิว) n. แปลว่า เฉดสี
    Mountain (เมา-ทิน) n. แปลว่า ภูเขา
    Breakfast (เบรค-ฟัสท์) n. แปลว่า อาหารเช้า
    Stove (สโตฟ) n. แปลว่า เตาแก๊ส/เตาปรุงอาหาร
    Pan (แพน) n. แปลว่า กระทะ
    Butter (บัท-เทอะ) n. แปลว่า เนย
    Egg (เอ็ก) n. แปลว่า ไข่
    Bread (เบรด) n. แปลว่า ขนมปัง
    Instant coffee (อิน-สเทินท์ คอฟ-ฟี) n. แปลว่า กาแฟสำเร็จรูป
    Kettle (เคท-เทิล) n. แปลว่า กาต้มน้ำ
    Salt (ซอลท์) n. แปลว่า เกลือ
    Pepper (เพพ-เพอะ) n. แปลว่า พริกไทย
    View (วิว) n. แปลว่า ทิวทัศน์/วิว
    https://www.youtube.com/watch?v=rUVpOEih9cQ บทสนทนาเที่ยวภูเขา (คลิกอ่านเพิ่มเติม เพื่ออ่านบทสนทนาภาษาอังกฤษและไทย และคำศัพท์น่ารู้) แบบทดสอบการฟังภาษาอังกฤษ จากบทสนทนาเที่ยวภูเขา มีคำถาม 5 ข้อหลังฟังเสร็จ เพื่อทดสอบการฟังภาษาอังกฤษของคุณ #บทสนทนาภาษาอังกฤษ #ฝึกฟังภาษาอังกฤษ #เที่ยวภูเขา The conversations from the clip : Tourist 1: Look at the sky! The sun is finally coming up. Tourist 2: Wow, it’s breathtaking. The orange and pink hues are incredible. Tourist 1: I’m so glad we made it to the top before sunrise. Tourist 2: Me too. Watching the sun rise over the mountains is unforgettable. Tourist 1: Should we start preparing breakfast? I’m getting a bit hungry. Tourist 2: Yes, let’s do that. I’ll set up the stove. Do we have eggs and bread? Tourist 1: Yep, I packed them in the cooler. I’ll grab them now. Tourist 2: Perfect. I’ll start heating the pan. Do you want to make coffee too? Tourist 1: Absolutely! I brought instant coffee and a kettle. Tourist 2: Great. The pan is ready. Pass me the butter, please. Tourist 1: Here you go. Should I toast the bread while you cook the eggs? Tourist 2: That sounds like a plan. Oh, don’t forget the salt and pepper. Tourist 1: Got them right here. The coffee water is boiling now too. Tourist 2: Awesome! The eggs are almost done. Breakfast will be ready soon. Tourist 1: Great timing. Let’s eat while enjoying the view. It’s such a perfect morning. Tourist 2: Agreed. Nothing beats a hot breakfast after a sunrise hike. นักท่องเที่ยว 1: ดูท้องฟ้าสิ! พระอาทิตย์กำลังขึ้นแล้ว นักท่องเที่ยว 2: ว้าว สวยมากเลย สีส้มกับชมพูดูงดงามจริง ๆ นักท่องเที่ยว 1: ดีใจที่เรามาถึงยอดเขาก่อนพระอาทิตย์ขึ้น นักท่องเที่ยว 2: ใช่เลย การได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นเหนือภูเขามันน่าจดจำมาก นักท่องเที่ยว 1: เราจะเริ่มเตรียมอาหารเช้ากันดีไหม? เริ่มหิวแล้ว นักท่องเที่ยว 2: ได้เลย ฉันจะตั้งเตา เรามีไข่กับขนมปังไหม? นักท่องเที่ยว 1: มีสิ ฉันเก็บไว้ในกระติกเย็น เดี๋ยวหยิบมาให้ นักท่องเที่ยว 2: เยี่ยมเลย ฉันจะเริ่มอุ่นกระทะ เราทำกาแฟด้วยไหม? นักท่องเที่ยว 1: แน่นอน! ฉันเอากาแฟสำเร็จรูปและกาน้ำร้อนมาด้วย นักท่องเที่ยว 2: ดีเลย กระทะพร้อมแล้ว ส่งเนยมาหน่อย นักท่องเที่ยว 1: นี่จ้ะ ฉันจะปิ้งขนมปังในขณะที่คุณทำไข่ นักท่องเที่ยว 2: ได้เลย ฟังดูเป็นแผนที่ดี อ้อ อย่าลืมเกลือกับพริกไทยนะ นักท่องเที่ยว 1: มีพร้อมแล้ว น้ำสำหรับกาแฟก็เดือดแล้ว นักท่องเที่ยว 2: สุดยอด! ไข่เกือบเสร็จแล้ว อาหารเช้าจะพร้อมในไม่ช้า นักท่องเที่ยว 1: พอดีเลย มาอาหารเช้าไปชมวิวไป เช้านี้มันช่างสมบูรณ์แบบ นักท่องเที่ยว 2: เห็นด้วยเลย ไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้กินอาหารเช้าร้อน ๆ หลังจากปีนเขาชมพระอาทิตย์ขึ้น Vocabulary (คำศัพท์น่ารู้) Sky (สคาย) n. แปลว่า ท้องฟ้า Sunrise (ซัน-ไรส์) n. แปลว่า พระอาทิตย์ขึ้น Hue (ฮิว) n. แปลว่า เฉดสี Mountain (เมา-ทิน) n. แปลว่า ภูเขา Breakfast (เบรค-ฟัสท์) n. แปลว่า อาหารเช้า Stove (สโตฟ) n. แปลว่า เตาแก๊ส/เตาปรุงอาหาร Pan (แพน) n. แปลว่า กระทะ Butter (บัท-เทอะ) n. แปลว่า เนย Egg (เอ็ก) n. แปลว่า ไข่ Bread (เบรด) n. แปลว่า ขนมปัง Instant coffee (อิน-สเทินท์ คอฟ-ฟี) n. แปลว่า กาแฟสำเร็จรูป Kettle (เคท-เทิล) n. แปลว่า กาต้มน้ำ Salt (ซอลท์) n. แปลว่า เกลือ Pepper (เพพ-เพอะ) n. แปลว่า พริกไทย View (วิว) n. แปลว่า ทิวทัศน์/วิว
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 524 มุมมอง 0 รีวิว
  • 26 Types of Punctuation Marks & Typographical Symbols

    We use words in writing. Shocking, I know! Do you know what else we use in writing? Here is a hint: they have already appeared in this paragraph. In addition to words, we use many different symbols and characters to organize our thoughts and make text easier to read. All of these symbols come in two major categories: punctuation marks and typographical symbols. These symbols have many different uses and include everything from the humble period (.) to the rarely used caret symbol (^). There may even be a few symbols out there that you’ve never even heard of before that leave you scratching your head when you see them on your keyboard!

    What is punctuation?

    Punctuation is the act or system of using specific marks or symbols in writing to separate different elements from each other or to make writing more clear. Punctuation is used in English and the other languages that use the Latin alphabet. Many other writing systems also use punctuation, too. Thanks to punctuation, we don’t have to suffer through a block of text that looks like this:

    - My favorite color is red do you like red red is great my sister likes green she always says green is the color of champions regardless of which color is better we both agree that no one likes salmon which is a fish and not a color seriously.

    Punctuation examples

    The following sentences give examples of the many different punctuation marks that we use:

    - My dog, Bark Scruffalo, was featured in a superhero movie.
    - If there’s something strange in your neighborhood, who are you going to call?
    - A wise man once said, “Within the body of every person lies a skeleton.”
    - Hooray! I found everything on the map: the lake, the mountain, and the forest.
    - I told Ashley (if that was her real name) that I needed the copy lickety-split.

    What is a typographical symbol?

    The term typographical symbol, or any other number of phrases, refers to a character or symbol that isn’t considered to be a punctuation mark but may still be used in writing for various purposes. Typographical symbols are generally avoided in formal writing under most circumstances. However, you may see typographic symbols used quite a bit in informal writing.

    Typographical symbol examples

    The following examples show some ways that a writer might use typographical symbols. Keep in mind that some of these sentences may not be considered appropriate in formal writing.

    - The frustrated actor said she was tired of her co-star’s “annoying bull****.”
    - For questions, email us at anascabana@bananacabanas.fake!
    - The band had five #1 singles on the American music charts during the 1990s.
    - My internet provider is AT&T.

    Punctuation vs. typographical symbols

    Punctuation marks are considered part of grammar and often have well-established rules for how to use them properly. For example, the rules of proper grammar state that a letter after a period should be capitalized and that a comma must be used before a coordinating conjunction.

    Typographical symbols, on the other hand, may not have widely accepted rules for how, or even when, they should be used. Generally speaking, most grammar resources will only allow the use of typographical symbols under very specific circumstances and will otherwise advise a writer to avoid using them.

    Types of punctuation and symbols

    There are many different types of punctuation marks and typographical symbols. We’ll briefly touch on them now, but you can learn more about of these characters by checking out the links in this list and also each section below:

    Period
    Question mark
    Exclamation point
    Comma
    Colon
    Semicolon
    Hyphen
    En dash
    Em dash
    Parentheses
    Square brackets
    Curly brackets
    Angle brackets
    Quotation marks
    Apostrophe
    Slash
    Ellipses
    Asterisk
    Ampersand
    Bullet point
    Pound symbol
    Tilde
    Backslash
    At symbol
    Caret symbol
    Pipe symbol

    Period, question mark, and exclamation point

    These three commonly used punctuation marks are used for the same reason: to end an independent thought.

    Period (.)

    A period is used to end a declarative sentence. A period indicates that a sentence is finished.

    Today is Friday.

    Unique to them, periods are also often used in abbreviations.

    Prof. Dumbledore once again awarded a ludicrous amount of points to Gryffindor.

    Question mark (?)

    The question mark is used to end a question, also known as an interrogative sentence.

    Do you feel lucky?

    Exclamation point (!)

    The exclamation point is used at the end of exclamations and interjections.

    Our house is haunted!
    Wow!

    Comma, colon, and semicolon

    Commas, colons, and semicolons can all be used to connect sentences together.

    Comma (,)

    The comma is often the punctuation mark that gives writers the most problems. It has many different uses and often requires good knowledge of grammar to avoid making mistakes when using it. Some common uses of the comma include:

    Joining clauses: Mario loves Peach, and she loves him.
    Nonrestrictive elements: My favorite team, the Fighting Mongooses, won the championship this year.
    Lists: The flag was red, white, and blue.
    Coordinate adjectives: The cute, happy puppy licked my hand.

    Colon (:)

    The colon is typically used to introduce additional information.

    The detective had three suspects: the salesman, the gardener, and the lawyer.

    Like commas, colons can also connect clauses together.

    We forgot to ask the most important question: who was buying lunch?

    Colons have a few other uses, too.

    The meeting starts at 8:15 p.m.
    The priest started reading from Mark 3:6.

    Semicolon (;)

    Like the comma and the colon, the semicolon is used to connect sentences together. The semicolon typically indicates that the second sentence is closely related to the one before it.

    I can’t eat peanuts; I am highly allergic to them.
    Lucy loves to eat all kinds of sweets; lollipops are her favorite.

    Hyphen and dashes (en dash and em dash)

    All three of these punctuation marks are often referred to as “dashes.” However, they are all used for entirely different reasons.

    Hyphen (-)

    The hyphen is used to form compound words.

    I went to lunch with my father-in-law.
    She was playing with a jack-in-the-box.
    He was accused of having pro-British sympathies.

    En dash (–)

    The en dash is used to express ranges or is sometimes used in more complex compound words.

    The homework exercises are on pages 20–27.
    The songwriter had worked on many Tony Award–winning productions.

    Em dash (—)

    The em dash is used to indicate a pause or interrupted speech.

    The thief was someone nobody expected—me!
    “Those kids will—” was all he managed to say before he was hit by a water balloon.
    Test your knowledge on the different dashes here.

    Parentheses, brackets, and braces

    These pairs of punctuation marks look similar, but they all have different uses. In general, the parentheses are much more commonly used than the others.

    Parentheses ()

    Typically, parentheses are used to add additional information.

    I thought (for a very long time) if I should actually give an honest answer.
    Tomorrow is Christmas (my favorite holiday)!
    Parentheses have a variety of other uses, too.

    Pollution increased significantly. (See Chart 14B)
    He was at an Alcoholics Anonymous (AA) meeting.
    Richard I of England (1157–1199) had the heart of a lion.

    Square brackets []

    Typically, square brackets are used to clarify or add information to quotations.

    According to an eyewitness, the chimpanzees “climbed on the roof and juggled [bananas].”
    The judge said that “the defense attorney [Mr. Wright] had made it clear that the case was far from closed.”

    Curly brackets {}

    Curly brackets, also known as braces, are rarely used punctuation marks that are used to group a set.

    I was impressed by the many different colors {red, green, yellow, blue, purple, black, white} they selected for the flag’s design.

    Angle brackets <>

    Angle brackets have no usage in formal writing and are rarely ever used even in informal writing. These characters have more uses in other fields, such as math or computing.

    Quotation marks and apostrophe

    You’ll find these punctuation marks hanging out at the top of a line of text.

    Quotation marks (“”)

    The most common use of quotation marks is to contain quotations.

    She said, “Don’t let the dog out of the house.”
    Bob Ross liked to put “happy little trees” in many of his paintings.

    Apostrophe (‘)

    The apostrophe is most often used to form possessives and contractions.

    The house’s back door is open.
    My cousin’s birthday is next week.
    It isn’t ready yet.
    We should’ve stayed outside.

    Slash and ellipses

    These are two punctuation marks you may not see too often, but they are still useful.

    Slash (/)

    The slash has several different uses. Here are some examples:

    Relationships: The existence of boxer briefs somehow hasn’t ended the boxers/briefs debate.
    Alternatives: They accept cash and/or credit.
    Fractions: After an hour, 2/3 of the audience had already left.

    Ellipses (…)

    In formal writing, ellipses are used to indicate that words were removed from a quote.

    The mayor said, “The damages will be … paid for by the city … as soon as possible.”
    In informal writing, ellipses are often used to indicate pauses or speech that trails off.

    He nervously stammered and said, “Look, I … You see … I wasn’t … Forget it, okay.”

    Typographical symbols

    Typographical symbols rarely appear in formal writing. You are much more likely to see them used for a variety of reasons in informal writing.

    Asterisk (*)

    In formal writing, especially academic and scientific writing, the asterisk is used to indicate a footnote.

    Chocolate is the preferred flavor of ice cream.*
    *According to survey data from the Ice Cream Data Center.

    The asterisk may also be used to direct a reader toward a clarification or may be used to censor inappropriate words or phrases.

    Ampersand (&)

    The ampersand substitutes for the word and. Besides its use in the official names of things, the ampersand is typically avoided in formal writing.

    The band gave a speech at the Rock & Roll Hall of Fame.

    Bullet Point (•)

    Bullet points are used to create lists. For example,

    For this recipe you will need:

    • eggs
    • milk
    • sugar
    • flour
    • baking powder

    Pound symbol (#)

    Informally, the pound symbol is typically used to mean number or is used in social media hashtags.

    The catchy pop song reached #1 on the charts.
    Ready 4 Halloween 2morrow!!! #spooky #TrickorTreat
    Tilde (~)

    Besides being used as an accent mark in Spanish and Portuguese words, the tilde is rarely used. Informally, a person may use it to mean “about” or “approximately.”

    We visited São Paulo during our vacation.
    I think my dog weighs ~20 pounds.

    Backslash (\)

    The backslash is primarily used in computer programming and coding. It might be used online and in texting to draw emoticons, but it has no other common uses in writing. Be careful not to mix it up with the similar forward slash (/), which is a punctuation mark.

    At symbol (@)

    The at symbol substitutes for the word at in informal writing. In formal writing, it is used when writing email addresses.

    His email address is duckduck@goose.abc.

    Caret symbol (^)

    The caret symbol is used in proofreading, but may be used to indicate an exponent if a writer is unable to use superscript.

    Do you know what 3^4 (34) is equal to?

    Pipe symbol (|)

    The pipe symbol is not used in writing. Instead, it has a variety of functions in the fields of math, physics, or computing.

    Copyright 2024, AAKKHRA, All Rights Reserved.
    26 Types of Punctuation Marks & Typographical Symbols We use words in writing. Shocking, I know! Do you know what else we use in writing? Here is a hint: they have already appeared in this paragraph. In addition to words, we use many different symbols and characters to organize our thoughts and make text easier to read. All of these symbols come in two major categories: punctuation marks and typographical symbols. These symbols have many different uses and include everything from the humble period (.) to the rarely used caret symbol (^). There may even be a few symbols out there that you’ve never even heard of before that leave you scratching your head when you see them on your keyboard! What is punctuation? Punctuation is the act or system of using specific marks or symbols in writing to separate different elements from each other or to make writing more clear. Punctuation is used in English and the other languages that use the Latin alphabet. Many other writing systems also use punctuation, too. Thanks to punctuation, we don’t have to suffer through a block of text that looks like this: - My favorite color is red do you like red red is great my sister likes green she always says green is the color of champions regardless of which color is better we both agree that no one likes salmon which is a fish and not a color seriously. Punctuation examples The following sentences give examples of the many different punctuation marks that we use: - My dog, Bark Scruffalo, was featured in a superhero movie. - If there’s something strange in your neighborhood, who are you going to call? - A wise man once said, “Within the body of every person lies a skeleton.” - Hooray! I found everything on the map: the lake, the mountain, and the forest. - I told Ashley (if that was her real name) that I needed the copy lickety-split. What is a typographical symbol? The term typographical symbol, or any other number of phrases, refers to a character or symbol that isn’t considered to be a punctuation mark but may still be used in writing for various purposes. Typographical symbols are generally avoided in formal writing under most circumstances. However, you may see typographic symbols used quite a bit in informal writing. Typographical symbol examples The following examples show some ways that a writer might use typographical symbols. Keep in mind that some of these sentences may not be considered appropriate in formal writing. - The frustrated actor said she was tired of her co-star’s “annoying bull****.” - For questions, email us at anascabana@bananacabanas.fake! - The band had five #1 singles on the American music charts during the 1990s. - My internet provider is AT&T. Punctuation vs. typographical symbols Punctuation marks are considered part of grammar and often have well-established rules for how to use them properly. For example, the rules of proper grammar state that a letter after a period should be capitalized and that a comma must be used before a coordinating conjunction. Typographical symbols, on the other hand, may not have widely accepted rules for how, or even when, they should be used. Generally speaking, most grammar resources will only allow the use of typographical symbols under very specific circumstances and will otherwise advise a writer to avoid using them. Types of punctuation and symbols There are many different types of punctuation marks and typographical symbols. We’ll briefly touch on them now, but you can learn more about of these characters by checking out the links in this list and also each section below: Period Question mark Exclamation point Comma Colon Semicolon Hyphen En dash Em dash Parentheses Square brackets Curly brackets Angle brackets Quotation marks Apostrophe Slash Ellipses Asterisk Ampersand Bullet point Pound symbol Tilde Backslash At symbol Caret symbol Pipe symbol Period, question mark, and exclamation point These three commonly used punctuation marks are used for the same reason: to end an independent thought. Period (.) A period is used to end a declarative sentence. A period indicates that a sentence is finished. Today is Friday. Unique to them, periods are also often used in abbreviations. Prof. Dumbledore once again awarded a ludicrous amount of points to Gryffindor. Question mark (?) The question mark is used to end a question, also known as an interrogative sentence. Do you feel lucky? Exclamation point (!) The exclamation point is used at the end of exclamations and interjections. Our house is haunted! Wow! Comma, colon, and semicolon Commas, colons, and semicolons can all be used to connect sentences together. Comma (,) The comma is often the punctuation mark that gives writers the most problems. It has many different uses and often requires good knowledge of grammar to avoid making mistakes when using it. Some common uses of the comma include: Joining clauses: Mario loves Peach, and she loves him. Nonrestrictive elements: My favorite team, the Fighting Mongooses, won the championship this year. Lists: The flag was red, white, and blue. Coordinate adjectives: The cute, happy puppy licked my hand. Colon (:) The colon is typically used to introduce additional information. The detective had three suspects: the salesman, the gardener, and the lawyer. Like commas, colons can also connect clauses together. We forgot to ask the most important question: who was buying lunch? Colons have a few other uses, too. The meeting starts at 8:15 p.m. The priest started reading from Mark 3:6. Semicolon (;) Like the comma and the colon, the semicolon is used to connect sentences together. The semicolon typically indicates that the second sentence is closely related to the one before it. I can’t eat peanuts; I am highly allergic to them. Lucy loves to eat all kinds of sweets; lollipops are her favorite. Hyphen and dashes (en dash and em dash) All three of these punctuation marks are often referred to as “dashes.” However, they are all used for entirely different reasons. Hyphen (-) The hyphen is used to form compound words. I went to lunch with my father-in-law. She was playing with a jack-in-the-box. He was accused of having pro-British sympathies. En dash (–) The en dash is used to express ranges or is sometimes used in more complex compound words. The homework exercises are on pages 20–27. The songwriter had worked on many Tony Award–winning productions. Em dash (—) The em dash is used to indicate a pause or interrupted speech. The thief was someone nobody expected—me! “Those kids will—” was all he managed to say before he was hit by a water balloon. Test your knowledge on the different dashes here. Parentheses, brackets, and braces These pairs of punctuation marks look similar, but they all have different uses. In general, the parentheses are much more commonly used than the others. Parentheses () Typically, parentheses are used to add additional information. I thought (for a very long time) if I should actually give an honest answer. Tomorrow is Christmas (my favorite holiday)! Parentheses have a variety of other uses, too. Pollution increased significantly. (See Chart 14B) He was at an Alcoholics Anonymous (AA) meeting. Richard I of England (1157–1199) had the heart of a lion. Square brackets [] Typically, square brackets are used to clarify or add information to quotations. According to an eyewitness, the chimpanzees “climbed on the roof and juggled [bananas].” The judge said that “the defense attorney [Mr. Wright] had made it clear that the case was far from closed.” Curly brackets {} Curly brackets, also known as braces, are rarely used punctuation marks that are used to group a set. I was impressed by the many different colors {red, green, yellow, blue, purple, black, white} they selected for the flag’s design. Angle brackets <> Angle brackets have no usage in formal writing and are rarely ever used even in informal writing. These characters have more uses in other fields, such as math or computing. Quotation marks and apostrophe You’ll find these punctuation marks hanging out at the top of a line of text. Quotation marks (“”) The most common use of quotation marks is to contain quotations. She said, “Don’t let the dog out of the house.” Bob Ross liked to put “happy little trees” in many of his paintings. Apostrophe (‘) The apostrophe is most often used to form possessives and contractions. The house’s back door is open. My cousin’s birthday is next week. It isn’t ready yet. We should’ve stayed outside. Slash and ellipses These are two punctuation marks you may not see too often, but they are still useful. Slash (/) The slash has several different uses. Here are some examples: Relationships: The existence of boxer briefs somehow hasn’t ended the boxers/briefs debate. Alternatives: They accept cash and/or credit. Fractions: After an hour, 2/3 of the audience had already left. Ellipses (…) In formal writing, ellipses are used to indicate that words were removed from a quote. The mayor said, “The damages will be … paid for by the city … as soon as possible.” In informal writing, ellipses are often used to indicate pauses or speech that trails off. He nervously stammered and said, “Look, I … You see … I wasn’t … Forget it, okay.” Typographical symbols Typographical symbols rarely appear in formal writing. You are much more likely to see them used for a variety of reasons in informal writing. Asterisk (*) In formal writing, especially academic and scientific writing, the asterisk is used to indicate a footnote. Chocolate is the preferred flavor of ice cream.* *According to survey data from the Ice Cream Data Center. The asterisk may also be used to direct a reader toward a clarification or may be used to censor inappropriate words or phrases. Ampersand (&) The ampersand substitutes for the word and. Besides its use in the official names of things, the ampersand is typically avoided in formal writing. The band gave a speech at the Rock & Roll Hall of Fame. Bullet Point (•) Bullet points are used to create lists. For example, For this recipe you will need: • eggs • milk • sugar • flour • baking powder Pound symbol (#) Informally, the pound symbol is typically used to mean number or is used in social media hashtags. The catchy pop song reached #1 on the charts. Ready 4 Halloween 2morrow!!! #spooky #TrickorTreat Tilde (~) Besides being used as an accent mark in Spanish and Portuguese words, the tilde is rarely used. Informally, a person may use it to mean “about” or “approximately.” We visited São Paulo during our vacation. I think my dog weighs ~20 pounds. Backslash (\) The backslash is primarily used in computer programming and coding. It might be used online and in texting to draw emoticons, but it has no other common uses in writing. Be careful not to mix it up with the similar forward slash (/), which is a punctuation mark. At symbol (@) The at symbol substitutes for the word at in informal writing. In formal writing, it is used when writing email addresses. His email address is duckduck@goose.abc. Caret symbol (^) The caret symbol is used in proofreading, but may be used to indicate an exponent if a writer is unable to use superscript. Do you know what 3^4 (34) is equal to? Pipe symbol (|) The pipe symbol is not used in writing. Instead, it has a variety of functions in the fields of math, physics, or computing. Copyright 2024, AAKKHRA, All Rights Reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 819 มุมมอง 0 รีวิว
  • 21 Contemplative Quotes From Muslim Americans About The Month Of Ramadan

    Ramadan is one of the holiest times of the year for Muslims around the world. It’s a time when Muslims fast, reflect, pray, give charity, and come together as a community. Ramadan is observed in different ways around the world, but the bedrock of this holiday is the same; the Qur’an directly states that followers should fast upon the first sight of the new moon in the month of Ramadan to glorify Allah to commemorate when the Qur’an was revealed. During Ramadan, observant Muslims abstain from eating and drinking (yes, that also means water) from sunup to sundown. Ramadan culminates in a celebration known as Eid al-Fitr, or the festival of breaking the fast.

    To better understand what Ramadan and Eid al-Fitr mean to the Muslim community, here are 21 quotes from prominent Muslim Americans and the key words that highlight the significance of this time. Here you will see reflections on their faith, community, and the meaning of this holy month.

    1.
    The most rewarding part of being a Muslim athlete is my faith in God paired with my faith in myself. I approach every match with positivity and the belief that I can beat anyone on any given day. And in the face of defeat, I am able to learn from my mistakes and work on my weaknesses to prepare for next time.
    —Ibtihaj Muhammad, interview, Yahoo.com, 2016

    faith

    Ibtihaj Muhammad made history by being the the first Muslim-American woman to wear a hijab while representing the US at the Olympics in 2016, where she won a bronze medal in fencing. Her mother encouraged her to get into fencing because it was a sport she could participate in while respecting their religious beliefs. In this quote, she describes her faith, or “belief in God or in the doctrines or teachings of religion,” and how it helped her meet her athletic goals.

    2.
    And in the process of restraining ourselves from the blessings so readily available to us, we naturally develop empathy for those who aren’t as fortunate. It’s a special type of worship that is incredibly both sacred and fulfilling. It gives a spiritual dimension to being unapologetically Muslim in America.
    —Omar Suleiman, “Why 80% of American Muslims Fast During Ramadan,” CNN.com, 2018

    empathy

    Omar Suleiman is an American imam and academic who is here describing the purpose of fasting during Ramadan. He notes that it is a way to develop empathy, or “the psychological identification with or vicarious experiencing of the feelings, thoughts, or attitudes of another.” In this case, fasting helps one develop empathy with those who may not have enough to eat.

    3.
    Ramadan is not just predicated upon eating or not eating or drinking or not drinking. It’s a state of mind. And it’s an attempt to achieve God consciousness that carries on throughout the day.
    —Wajahat Ali, interview, “Revealing Ramadan,” On Being podcast, 2009

    state of mind

    While many focus on the fasting element of Ramadan, writer Wajahat Ali is describing how it is more than just refraining from eating and drinking. It is a state of mind, a term that means “mood or mental state.” The goal is to take on fasting as a way of thinking and feeling throughout the month.

    4.
    Ramadan, Muharram, the Eids; you associate no religious event with the tang of snow in the air, or spring thaw, or the advent of summer. God permeates these things—as the saying goes, Allah is beautiful, and He loves beauty—but they are transient. Forced to concentrate on the eternal, you begin to see, or think you see, the bones and sinews of the world beneath its seasonal flesh.
    —G. Willow Wilson, The Butterfly Mosque: A Young American Woman’s Journey to Love and Islam, 2010

    eternal

    Author G. Willow Wilson, best known for her work on the Ms. Marvel comic book series featuring Muslim-American teen Kamala Khan, describes in her memoir The Butterfly Mosque how she understands the meaning of the ritual of holidays such as Ramadan with respect to the lunar calendar. She connects it to the eternal, or something “without beginning or end.”

    5.
    At the end of the day we’re all spirits having a physical experience. … And that really comes from my relationship with Islam because it just makes me really conscious of my action.
    —Mahershala Ali, interview, NPR, 2017

    conscious

    Actor and rapper Mahershala Ali also picks up on the connection between the spiritual and physical world that G. Willow Wilson is discussing. Conscious is an adjective with a variety of meanings, including “aware of one’s own existence, sensations, thoughts, surroundings, etc.” The word conscious in English comes from the Latin conscius meaning “sharing knowledge with.”

    6.
    It’s about meditation and prayer and thinking about those who are truly less fortunate, feeling that hunger and thirst and observing it day in and day out, sunup to sundown. It’s quite an experience, yeah.
    —Mo Amer, quoted in the Austin-American Statesman, 2018

    meditation

    Palestinian-American stand-up comedian and writer Mo Amer is best known for his role in the sitcom Ramy. In this quote, Amer describes what Ramadan means to him. He says it is about meditation, meaning “continued or extended thought; reflection; contemplation” or “devout religious contemplation or spiritual introspection.”

    7.
    I think a big part of my faith teachings is to work together towards equality: that we’re all created equal, and under the eyes of God, we all have a right to freedom and to access our rights equally.
    —Ilhan Omar, quoted in Huffpost.com, 2016

    equality

    Representative Ilhan Omar, one of the first two Muslim women to serve in Congress, represents Minnesota’s 5th congressional district. Here she describes Islam as a religion that promotes equality, “the state or quality of being alike.” Her language here also connects her faith tradition to the preamble to the Declaration of Independence in this quote: “We hold these truths to be self-evident, that all men are created equal.”

    8.
    And you see this humanity and camaraderie and brotherhood that I think is deeply touching, deeply gratifying, and I think in so many ways humbling, and really, kind of helps you reset your emotional and spiritual compass, to know what is important in life, not to take these moments or granted.
    —Ayman Mohyeldin, quoted in BuzzFeed.News, 2018

    camaraderie

    Egyptian-American television and news anchor Ayman Mohyeldin reflects in this quote on the importance of sharing and experiencing iftar with the less fortunate. Iftar is the meal that breaks the fast at sunset during Ramadan. He notes the feeling of camaraderie among people at that meal, a word that means “a spirit of trust and goodwill among people closely associated in an activity or endeavor.”

    9.
    We use the fast to try to purify and cleanse our souls, and to ask forgiveness for our sins. We also learn self-restraint and we become much more aware of those less fortunate people around us for whom “fasting” is not a choice, for whom hunger is part of daily life. The fast is an act of worship and a spiritual act; it is also an act of social solidarity.
    —Mehdi Hasan, “What Is Ramadan and Other Questions Answered,” The New Statesman, 2016

    social solidarity

    Mehdi Hasan is a British-American journalist and television host who is here describing what he understands as the purpose of fasting during Ramadan. He says it is a form of social solidarity. Solidarity means “union or fellowship arising from common responsibilities and interests.” Social solidarity specifically describes a kind of fellowship with other people in a community, in this case the Muslim community and greater community at large.

    10.
    The older I get, the more grateful I am for those reminders to stop, be still, reflect, and be grateful. I find those moments can be really restorative like returning to a power station.
    —Tahereh Mafi, interview, Coveteur.com

    restorative

    Young adult author Tahereh Mafi, best known for her Shatter Me series, describes her spiritual practice as a restorative time. Restorative here means “capable of renewing health or strength.” Believe it or not, restorative comes from the same Latin root as the English restaurant.

    11.
    We start the fast in the morning strong. By noon we start to get weaker. By the afternoon, we really begin to feel the fast. By sunset, right before we break it, things get difficult. Our lives mirror this. We start our lives strong as youth until we reach noon time, our 30’s and 40’s, we start to get weak. Once we reach old age … our physical abilities are greatly reduced until we leave this life. Fasting shouts to us our own mortality.
    —Imam Suhaib Webb, Facebook post, 2013

    mortality

    Imam Suhaib Webb in this quote connects the daily fast of Ramadan with the life cycle. Part of the life cycle is death, which reminds us of our mortality, “the state or condition of being subject to death.” The word mortality itself ultimately comes from the Latin mors meaning “death.”

    12.
    Ramadan is a time to control one’s desires and get closer to God. The self-discipline that we learn carries on to other areas of our lives so we can be better family members, friends and, yes, co-workers.
    —Linda Sarsour, quoted in HuffPost.com, 2016

    self-discipline

    The word self-discipline means “training of oneself, usually for improvement.” Political activist Linda Sarsour describes Ramadan, particularly the fast, as a time to work on one’s self-discipline. Discipline comes from the Latin for “instruction.” In this way, self-discipline is a kind of autodidacticism.

    13.
    It’s not a chore, but it is a discipline. And what I mean by that is it takes self-control, it takes some willpower, but it’s a great pleasure and a joy.
    —Ingrid Mattson, interview, “The Meaning of Ramadan,” NPR, 2017

    joy

    Activist and academic Ingrid Mattson also notes that Ramadan is a time of self-discipline. She describes this practice of self-control as a joy, “a source or cause of keen pleasure or delight; something greatly valued or appreciated.” The positive connotation of the word joy makes us think of the Ramadan fast as a beneficial exercise of willpower rather than as something negative.

    14.
    While fasting, understand the whole picture. Remember that fasting is not just about staying away from food. It is about striving to become a better person.
    And in so striving, we are given a chance to escape the darkness of our own isolation from God. But like the sun that sets at the end of the day, so too will Ramadan come and go, leaving only its mark on our heart’s sky.
    —Yasmin Mogahed, from YasmineMogahed.com, 2012

    striving

    Yasmin Mogahed is an educator who teaches people about Islam. In this quote, she encourages people to think of the Ramadan fast as an opportunity to strive, a verb with a variety of meanings including “to exert oneself vigorously; try hard” and “to make strenuous efforts toward any goal.” This word captures the difficult nature of a fast; it comes from the Old French estriver, meaning “to quarrel, compete.”

    15.
    As for fasting, it is a spiritual mindset that gives you the stamina required to play. Through Allah’s mercy, I always felt stronger and more energetic during Ramadan.
    —Hakeem Olajuwon, quoted in Andscape.com, 2017

    stamina

    Hakeem “The Dream” Olajuwon was a center in the NBA in the 1980s and early 1990s. He describes the Ramadan fast as giving him increased stamina, or “strength of physical constitution; power to endure fatigue, privation, etc.” According to some (including his teammates!), he was thought to play especially well during the month of Ramadan.

    16.
    Ramadan for me is this reset where spirituality becomes the core, and I try to build the world around that.
    —Hasan Minhaj, “Ramadan Reflections and Reset,” YouTube, 2021

    reset

    Television host and comedian Hasan Minhaj sees Ramadan as an opportunity to reset, a noun meaning “an act or instance of setting, adjusting, or fixing something in a new or different way.” In other words, it is a chance to put things in a new order or to see the world in a new way.

    17.
    As we welcome the final iftar of #Ramadan this evening, which marks the beginning of Eid—I urge us all to still find joy in our holiday. I know it’s hard with everything going on right now, but our joy is also our resistance. They want to break our spirits. We can’t let them.
    —Amani Al-Khatahtbeh, Twitter (@xoamani), 2021

    resistance

    Ramadan is a time of submission, but for some, like activist and founder of MuslimGirl.com Amani Al-Khatahtbeh, it is also a time of resistance. Resistance means “the act or power of resisting, opposing, or withstanding.”

    18.
    If there’s anything Muslims can do during this global pandemic [during Ramadan], it is to have our compassion shine.
    —Rashida Tlaib, interview, MLive, 2020

    compassion

    Representative Rashida Tlaib serves Michigan’s 13th congressional district. At the height of the coronavirus pandemic, she gave an interview saying that Ramadan was a time for compassion, meaning “a feeling of deep sympathy and sorrow for another who is stricken by misfortune, accompanied by a strong desire to alleviate the suffering.” This is connected to the third pillar of Islam, zakat, meaning “charity.”

    19.
    I’m a person of faith, and the language that I use to define my faith, the symbols and metaphors that I rely upon to express my faith, are those provided by Islam because they make the most sense to me. The Buddha once said, “If you want to draw water, you don’t dig six 1-ft. wells, you dig one 6-ft. well.” Islam is my 6-ft. well.
    —Reza Aslan, quoted in Time, 2013

    language

    Iranian-American writer and public academic Reza Aslan has written and spoken a great deal about the Islamic faith and religion in general. He notes that his language, or “a body of words and the systems for their use common to a people who are of the same community or cultural tradition,” when expressing his faith comes from Islam.

    20.
    Remember that the main purpose of this month of fasting is to actually increase our remembrance and closeness to Allah.
    —Yusuf Islam (Cat Stevens), “Message from Yusuf Islam,” YouTube, 2020

    remembrance

    The legendary folk musician Yusuf Islam, also known as Cat Stevens, encourages others to see the fast during the month of Ramadan as an opportunity to practice remembrance, or “commemoration.” In other words, one should be mindful of God’s presence during this time. In fact, the word remembrance ultimately comes from the Latin root memor, meaning “mindful.”

    21.
    There is always a big emphasis on what children wear for Eid. Growing up, I remember my mother having my outfit ready and laid out a month in advance. One year, I even recall sleeping in my fancy attire, as I was so excited to try it on the night before and knew I would be waking up early for prayer. I remember so much of that time, from the ages of about eight to ten, when I would go shopping with my mom.
    —Halima Aden, quoted in CNA Luxury, 2020

    attire

    Somali-American Halima Aden is a high fashion model, so it’s heartwarming that her memories of Eid (al-Fitr) include clothes. She describes the fancy attire, a word meaning “clothes or apparel, especially rich or splendid garments,” that her mother would get for her and her siblings for the celebration.

    Maybe hearing from all these high-profile people talk about the importance of the month of Ramadan and their faith has got you wanting to learn more about the holiday and its celebration. We have you covered. You can learn more about the important practices, values, and meanings of this time with our article The Major Facts About the Month of Ramadan. Ramadan Mubarak!

    Copyright 2024, AAKKHRA, All Rights Reserved.
    21 Contemplative Quotes From Muslim Americans About The Month Of Ramadan Ramadan is one of the holiest times of the year for Muslims around the world. It’s a time when Muslims fast, reflect, pray, give charity, and come together as a community. Ramadan is observed in different ways around the world, but the bedrock of this holiday is the same; the Qur’an directly states that followers should fast upon the first sight of the new moon in the month of Ramadan to glorify Allah to commemorate when the Qur’an was revealed. During Ramadan, observant Muslims abstain from eating and drinking (yes, that also means water) from sunup to sundown. Ramadan culminates in a celebration known as Eid al-Fitr, or the festival of breaking the fast. To better understand what Ramadan and Eid al-Fitr mean to the Muslim community, here are 21 quotes from prominent Muslim Americans and the key words that highlight the significance of this time. Here you will see reflections on their faith, community, and the meaning of this holy month. 1. The most rewarding part of being a Muslim athlete is my faith in God paired with my faith in myself. I approach every match with positivity and the belief that I can beat anyone on any given day. And in the face of defeat, I am able to learn from my mistakes and work on my weaknesses to prepare for next time. —Ibtihaj Muhammad, interview, Yahoo.com, 2016 faith Ibtihaj Muhammad made history by being the the first Muslim-American woman to wear a hijab while representing the US at the Olympics in 2016, where she won a bronze medal in fencing. Her mother encouraged her to get into fencing because it was a sport she could participate in while respecting their religious beliefs. In this quote, she describes her faith, or “belief in God or in the doctrines or teachings of religion,” and how it helped her meet her athletic goals. 2. And in the process of restraining ourselves from the blessings so readily available to us, we naturally develop empathy for those who aren’t as fortunate. It’s a special type of worship that is incredibly both sacred and fulfilling. It gives a spiritual dimension to being unapologetically Muslim in America. —Omar Suleiman, “Why 80% of American Muslims Fast During Ramadan,” CNN.com, 2018 empathy Omar Suleiman is an American imam and academic who is here describing the purpose of fasting during Ramadan. He notes that it is a way to develop empathy, or “the psychological identification with or vicarious experiencing of the feelings, thoughts, or attitudes of another.” In this case, fasting helps one develop empathy with those who may not have enough to eat. 3. Ramadan is not just predicated upon eating or not eating or drinking or not drinking. It’s a state of mind. And it’s an attempt to achieve God consciousness that carries on throughout the day. —Wajahat Ali, interview, “Revealing Ramadan,” On Being podcast, 2009 state of mind While many focus on the fasting element of Ramadan, writer Wajahat Ali is describing how it is more than just refraining from eating and drinking. It is a state of mind, a term that means “mood or mental state.” The goal is to take on fasting as a way of thinking and feeling throughout the month. 4. Ramadan, Muharram, the Eids; you associate no religious event with the tang of snow in the air, or spring thaw, or the advent of summer. God permeates these things—as the saying goes, Allah is beautiful, and He loves beauty—but they are transient. Forced to concentrate on the eternal, you begin to see, or think you see, the bones and sinews of the world beneath its seasonal flesh. —G. Willow Wilson, The Butterfly Mosque: A Young American Woman’s Journey to Love and Islam, 2010 eternal Author G. Willow Wilson, best known for her work on the Ms. Marvel comic book series featuring Muslim-American teen Kamala Khan, describes in her memoir The Butterfly Mosque how she understands the meaning of the ritual of holidays such as Ramadan with respect to the lunar calendar. She connects it to the eternal, or something “without beginning or end.” 5. At the end of the day we’re all spirits having a physical experience. … And that really comes from my relationship with Islam because it just makes me really conscious of my action. —Mahershala Ali, interview, NPR, 2017 conscious Actor and rapper Mahershala Ali also picks up on the connection between the spiritual and physical world that G. Willow Wilson is discussing. Conscious is an adjective with a variety of meanings, including “aware of one’s own existence, sensations, thoughts, surroundings, etc.” The word conscious in English comes from the Latin conscius meaning “sharing knowledge with.” 6. It’s about meditation and prayer and thinking about those who are truly less fortunate, feeling that hunger and thirst and observing it day in and day out, sunup to sundown. It’s quite an experience, yeah. —Mo Amer, quoted in the Austin-American Statesman, 2018 meditation Palestinian-American stand-up comedian and writer Mo Amer is best known for his role in the sitcom Ramy. In this quote, Amer describes what Ramadan means to him. He says it is about meditation, meaning “continued or extended thought; reflection; contemplation” or “devout religious contemplation or spiritual introspection.” 7. I think a big part of my faith teachings is to work together towards equality: that we’re all created equal, and under the eyes of God, we all have a right to freedom and to access our rights equally. —Ilhan Omar, quoted in Huffpost.com, 2016 equality Representative Ilhan Omar, one of the first two Muslim women to serve in Congress, represents Minnesota’s 5th congressional district. Here she describes Islam as a religion that promotes equality, “the state or quality of being alike.” Her language here also connects her faith tradition to the preamble to the Declaration of Independence in this quote: “We hold these truths to be self-evident, that all men are created equal.” 8. And you see this humanity and camaraderie and brotherhood that I think is deeply touching, deeply gratifying, and I think in so many ways humbling, and really, kind of helps you reset your emotional and spiritual compass, to know what is important in life, not to take these moments or granted. —Ayman Mohyeldin, quoted in BuzzFeed.News, 2018 camaraderie Egyptian-American television and news anchor Ayman Mohyeldin reflects in this quote on the importance of sharing and experiencing iftar with the less fortunate. Iftar is the meal that breaks the fast at sunset during Ramadan. He notes the feeling of camaraderie among people at that meal, a word that means “a spirit of trust and goodwill among people closely associated in an activity or endeavor.” 9. We use the fast to try to purify and cleanse our souls, and to ask forgiveness for our sins. We also learn self-restraint and we become much more aware of those less fortunate people around us for whom “fasting” is not a choice, for whom hunger is part of daily life. The fast is an act of worship and a spiritual act; it is also an act of social solidarity. —Mehdi Hasan, “What Is Ramadan and Other Questions Answered,” The New Statesman, 2016 social solidarity Mehdi Hasan is a British-American journalist and television host who is here describing what he understands as the purpose of fasting during Ramadan. He says it is a form of social solidarity. Solidarity means “union or fellowship arising from common responsibilities and interests.” Social solidarity specifically describes a kind of fellowship with other people in a community, in this case the Muslim community and greater community at large. 10. The older I get, the more grateful I am for those reminders to stop, be still, reflect, and be grateful. I find those moments can be really restorative like returning to a power station. —Tahereh Mafi, interview, Coveteur.com restorative Young adult author Tahereh Mafi, best known for her Shatter Me series, describes her spiritual practice as a restorative time. Restorative here means “capable of renewing health or strength.” Believe it or not, restorative comes from the same Latin root as the English restaurant. 11. We start the fast in the morning strong. By noon we start to get weaker. By the afternoon, we really begin to feel the fast. By sunset, right before we break it, things get difficult. Our lives mirror this. We start our lives strong as youth until we reach noon time, our 30’s and 40’s, we start to get weak. Once we reach old age … our physical abilities are greatly reduced until we leave this life. Fasting shouts to us our own mortality. —Imam Suhaib Webb, Facebook post, 2013 mortality Imam Suhaib Webb in this quote connects the daily fast of Ramadan with the life cycle. Part of the life cycle is death, which reminds us of our mortality, “the state or condition of being subject to death.” The word mortality itself ultimately comes from the Latin mors meaning “death.” 12. Ramadan is a time to control one’s desires and get closer to God. The self-discipline that we learn carries on to other areas of our lives so we can be better family members, friends and, yes, co-workers. —Linda Sarsour, quoted in HuffPost.com, 2016 self-discipline The word self-discipline means “training of oneself, usually for improvement.” Political activist Linda Sarsour describes Ramadan, particularly the fast, as a time to work on one’s self-discipline. Discipline comes from the Latin for “instruction.” In this way, self-discipline is a kind of autodidacticism. 13. It’s not a chore, but it is a discipline. And what I mean by that is it takes self-control, it takes some willpower, but it’s a great pleasure and a joy. —Ingrid Mattson, interview, “The Meaning of Ramadan,” NPR, 2017 joy Activist and academic Ingrid Mattson also notes that Ramadan is a time of self-discipline. She describes this practice of self-control as a joy, “a source or cause of keen pleasure or delight; something greatly valued or appreciated.” The positive connotation of the word joy makes us think of the Ramadan fast as a beneficial exercise of willpower rather than as something negative. 14. While fasting, understand the whole picture. Remember that fasting is not just about staying away from food. It is about striving to become a better person. And in so striving, we are given a chance to escape the darkness of our own isolation from God. But like the sun that sets at the end of the day, so too will Ramadan come and go, leaving only its mark on our heart’s sky. —Yasmin Mogahed, from YasmineMogahed.com, 2012 striving Yasmin Mogahed is an educator who teaches people about Islam. In this quote, she encourages people to think of the Ramadan fast as an opportunity to strive, a verb with a variety of meanings including “to exert oneself vigorously; try hard” and “to make strenuous efforts toward any goal.” This word captures the difficult nature of a fast; it comes from the Old French estriver, meaning “to quarrel, compete.” 15. As for fasting, it is a spiritual mindset that gives you the stamina required to play. Through Allah’s mercy, I always felt stronger and more energetic during Ramadan. —Hakeem Olajuwon, quoted in Andscape.com, 2017 stamina Hakeem “The Dream” Olajuwon was a center in the NBA in the 1980s and early 1990s. He describes the Ramadan fast as giving him increased stamina, or “strength of physical constitution; power to endure fatigue, privation, etc.” According to some (including his teammates!), he was thought to play especially well during the month of Ramadan. 16. Ramadan for me is this reset where spirituality becomes the core, and I try to build the world around that. —Hasan Minhaj, “Ramadan Reflections and Reset,” YouTube, 2021 reset Television host and comedian Hasan Minhaj sees Ramadan as an opportunity to reset, a noun meaning “an act or instance of setting, adjusting, or fixing something in a new or different way.” In other words, it is a chance to put things in a new order or to see the world in a new way. 17. As we welcome the final iftar of #Ramadan this evening, which marks the beginning of Eid—I urge us all to still find joy in our holiday. I know it’s hard with everything going on right now, but our joy is also our resistance. They want to break our spirits. We can’t let them. —Amani Al-Khatahtbeh, Twitter (@xoamani), 2021 resistance Ramadan is a time of submission, but for some, like activist and founder of MuslimGirl.com Amani Al-Khatahtbeh, it is also a time of resistance. Resistance means “the act or power of resisting, opposing, or withstanding.” 18. If there’s anything Muslims can do during this global pandemic [during Ramadan], it is to have our compassion shine. —Rashida Tlaib, interview, MLive, 2020 compassion Representative Rashida Tlaib serves Michigan’s 13th congressional district. At the height of the coronavirus pandemic, she gave an interview saying that Ramadan was a time for compassion, meaning “a feeling of deep sympathy and sorrow for another who is stricken by misfortune, accompanied by a strong desire to alleviate the suffering.” This is connected to the third pillar of Islam, zakat, meaning “charity.” 19. I’m a person of faith, and the language that I use to define my faith, the symbols and metaphors that I rely upon to express my faith, are those provided by Islam because they make the most sense to me. The Buddha once said, “If you want to draw water, you don’t dig six 1-ft. wells, you dig one 6-ft. well.” Islam is my 6-ft. well. —Reza Aslan, quoted in Time, 2013 language Iranian-American writer and public academic Reza Aslan has written and spoken a great deal about the Islamic faith and religion in general. He notes that his language, or “a body of words and the systems for their use common to a people who are of the same community or cultural tradition,” when expressing his faith comes from Islam. 20. Remember that the main purpose of this month of fasting is to actually increase our remembrance and closeness to Allah. —Yusuf Islam (Cat Stevens), “Message from Yusuf Islam,” YouTube, 2020 remembrance The legendary folk musician Yusuf Islam, also known as Cat Stevens, encourages others to see the fast during the month of Ramadan as an opportunity to practice remembrance, or “commemoration.” In other words, one should be mindful of God’s presence during this time. In fact, the word remembrance ultimately comes from the Latin root memor, meaning “mindful.” 21. There is always a big emphasis on what children wear for Eid. Growing up, I remember my mother having my outfit ready and laid out a month in advance. One year, I even recall sleeping in my fancy attire, as I was so excited to try it on the night before and knew I would be waking up early for prayer. I remember so much of that time, from the ages of about eight to ten, when I would go shopping with my mom. —Halima Aden, quoted in CNA Luxury, 2020 attire Somali-American Halima Aden is a high fashion model, so it’s heartwarming that her memories of Eid (al-Fitr) include clothes. She describes the fancy attire, a word meaning “clothes or apparel, especially rich or splendid garments,” that her mother would get for her and her siblings for the celebration. Maybe hearing from all these high-profile people talk about the importance of the month of Ramadan and their faith has got you wanting to learn more about the holiday and its celebration. We have you covered. You can learn more about the important practices, values, and meanings of this time with our article The Major Facts About the Month of Ramadan. Ramadan Mubarak! Copyright 2024, AAKKHRA, All Rights Reserved.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 883 มุมมอง 0 รีวิว
  • หมู่บ้านโบราณริมน้ำตก 'ฟูหรงเจิ้น'

    ฟูหรงเจิ้น
    ตั้งอยู่ในเขตหย่งชุน มณฑลหูหนาน
    ประเทศจีน

    มีประวัติยาวนานกว่า 2,000 ปี

    เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม
    แห่งหนึ่งในประเทศจีน

    📷 จุดถ่ายรูป 'ฟูหรงเจิ้น'
    1. น้ำตกฟู่หรง (Furong Waterfall)
    2. หมู่บ้านโบราณฟูหรง (Furong Ancient Town)
    3. สะพานเจิ้งหยาง (Chengyang Bridge)
    4. หอฝูหรง (Furong Town)
    5. ศาลเจ้าเจ้าแม่เมี่ยวซาน (Meixian Mazu Temple)

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    📷: etravelway 78s.me/05e8da
    ☎️: 0 2116 6395

    #ทัวร์จีน #ฟูหรงเจิ้น #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway
    #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    หมู่บ้านโบราณริมน้ำตก 'ฟูหรงเจิ้น' ฟูหรงเจิ้น ตั้งอยู่ในเขตหย่งชุน มณฑลหูหนาน ประเทศจีน มีประวัติยาวนานกว่า 2,000 ปี เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม แห่งหนึ่งในประเทศจีน 📷 จุดถ่ายรูป 'ฟูหรงเจิ้น' 1. น้ำตกฟู่หรง (Furong Waterfall) 2. หมู่บ้านโบราณฟูหรง (Furong Ancient Town) 3. สะพานเจิ้งหยาง (Chengyang Bridge) 4. หอฝูหรง (Furong Town) 5. ศาลเจ้าเจ้าแม่เมี่ยวซาน (Meixian Mazu Temple) LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #ทัวร์จีน #ฟูหรงเจิ้น #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 523 มุมมอง 59 0 รีวิว
  • อุทยานแห่งชาติเอราวัณ สวยงามดั่งต้องมนต์เมืองสวรรค์

    อุทยานแห่งชาติเอราวัณ ตั้งอยู่ที่หมู่ 4 ตำบลท่ากระดาน อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 12 ของประเทศ มีเนื้อที่ 343,735 ไร่ หรือ 549.976 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมตำบลไทรโยค ตำบลท่าเสา ตำบลลุ่มสุ่ม อำเภอไทรโยค ตำบลหนองเป็ด ตำบลท่ากระดาน อำเภอศรีสวัสดิ์ และตำบลช่องสะเดา อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี

    อุทยานแห่งชาติเอราวัณ มีลักษณะพื้นที่เป็นภูเขาสูงชันอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 165-996 เมตร สลับกับพื้นที่ราบ โดยภูเขาส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาหินปูน ในแถบตะวันออกและตะวันตกของพื้นที่จะยกตัวสูงขึ้นเป็นแนว โดยเฉพาะบริเวณใกล้น้ำตกเอราวัณจะมีลักษณะเป็นหน้าผา ส่วนบริเวณตอนกลางจะเป็นแนวเขาทอดยาวในแนวทิศตะวันตกเฉียงเหนือ-ตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วยเทือกเขาที่สำคัญ คือ เขาหนองพุก เขาปลายดินสอ เขาหมอเฒ่า เขาช่องปูน เขาพุรางริน และเขาเกราะแกระ ซึ่งเป็นยอดเขาสูงสุดประมาณ 996 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง

    น้ำตกเอราวัณเดิมเรียกว่าน้ำตกสะด่องม่องล่ายเป็นน้ำตกที่สวยงามและมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของจังหวัด มีทั้งหมด 7 ชั้น ความยาวประมาณ 1,500 เมตร แต่ละชั้นมีความสวยงามแตกต่างกันไป บริเวณหน้าผาเหนือน้ำตกชั้นที่ 7 เมื่อมีน้ำตกไหลบ่าจะมีลักษณะคล้ายเศียรช้าง 3 เศียร หรือที่เรียกว่า“ช้างเอราวัณ” จึงเป็นที่มาของชื่อ“อุทยานแห่งชาติเอราวัณ”

    น้ำตกเอราวัณ (Erawan Waterfall)
    เป็นน้ำตกหินปูนที่สวยงามและมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของกาญจนบุรี มีระยะทางยาวประมาณ 2,200 เมตร แบ่งออกเป็น 7 ชั้น แต่ละชั้นมีความสวยงามแตกต่างกันไป และมีชื่อของแต่ละชั้น ดังนี้
    ชั้นที่ 1 ไหลคืนรัง
    ชั้นที่ 2 วังมัจฉา
    ชั้นที่ 3 ผาน้ำตก
    ชั้นที่ 4 อกนางผีเสื้อ
    ชั้นที่ 5 เบื่อไม่ลง
    ชั้นที่ 6 ดงพฤกษา
    ชั้นที่ 7 ภูผาเอราวัณ
    ความพิเศษของชั้นนี้คือเมื่อน้ำตกไหลบ่าจะมีลักษณะคล้ายช้างสามเศียร หรือที่เรียกว่า "ช้างเอราวัณ" จึงเป็นที่มาของ "อุทยานแห่งชาติเอราวัณ"
    อุทยานแห่งชาติเอราวัณ สวยงามดั่งต้องมนต์เมืองสวรรค์ อุทยานแห่งชาติเอราวัณ ตั้งอยู่ที่หมู่ 4 ตำบลท่ากระดาน อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 12 ของประเทศ มีเนื้อที่ 343,735 ไร่ หรือ 549.976 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมตำบลไทรโยค ตำบลท่าเสา ตำบลลุ่มสุ่ม อำเภอไทรโยค ตำบลหนองเป็ด ตำบลท่ากระดาน อำเภอศรีสวัสดิ์ และตำบลช่องสะเดา อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี อุทยานแห่งชาติเอราวัณ มีลักษณะพื้นที่เป็นภูเขาสูงชันอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 165-996 เมตร สลับกับพื้นที่ราบ โดยภูเขาส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาหินปูน ในแถบตะวันออกและตะวันตกของพื้นที่จะยกตัวสูงขึ้นเป็นแนว โดยเฉพาะบริเวณใกล้น้ำตกเอราวัณจะมีลักษณะเป็นหน้าผา ส่วนบริเวณตอนกลางจะเป็นแนวเขาทอดยาวในแนวทิศตะวันตกเฉียงเหนือ-ตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วยเทือกเขาที่สำคัญ คือ เขาหนองพุก เขาปลายดินสอ เขาหมอเฒ่า เขาช่องปูน เขาพุรางริน และเขาเกราะแกระ ซึ่งเป็นยอดเขาสูงสุดประมาณ 996 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง น้ำตกเอราวัณเดิมเรียกว่าน้ำตกสะด่องม่องล่ายเป็นน้ำตกที่สวยงามและมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของจังหวัด มีทั้งหมด 7 ชั้น ความยาวประมาณ 1,500 เมตร แต่ละชั้นมีความสวยงามแตกต่างกันไป บริเวณหน้าผาเหนือน้ำตกชั้นที่ 7 เมื่อมีน้ำตกไหลบ่าจะมีลักษณะคล้ายเศียรช้าง 3 เศียร หรือที่เรียกว่า“ช้างเอราวัณ” จึงเป็นที่มาของชื่อ“อุทยานแห่งชาติเอราวัณ” น้ำตกเอราวัณ (Erawan Waterfall) เป็นน้ำตกหินปูนที่สวยงามและมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของกาญจนบุรี มีระยะทางยาวประมาณ 2,200 เมตร แบ่งออกเป็น 7 ชั้น แต่ละชั้นมีความสวยงามแตกต่างกันไป และมีชื่อของแต่ละชั้น ดังนี้ ชั้นที่ 1 ไหลคืนรัง ชั้นที่ 2 วังมัจฉา ชั้นที่ 3 ผาน้ำตก ชั้นที่ 4 อกนางผีเสื้อ ชั้นที่ 5 เบื่อไม่ลง ชั้นที่ 6 ดงพฤกษา ชั้นที่ 7 ภูผาเอราวัณ ความพิเศษของชั้นนี้คือเมื่อน้ำตกไหลบ่าจะมีลักษณะคล้ายช้างสามเศียร หรือที่เรียกว่า "ช้างเอราวัณ" จึงเป็นที่มาของ "อุทยานแห่งชาติเอราวัณ"
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 349 มุมมอง 0 รีวิว
  • เห็นผล ! นบ.ยส.24 ลุยหนัก 55 วัน สกัดกั้น ยึดยาบ้าได้ กว่า 24 ล้านเม็ด
    ตัวเลขยาเสพติด ไม่ลด ! มีแต่พุ่ง ปราบเท่าไหร่ก็ไม่หมด
    ยาบ้า 24,647,000 เม็ด
    ไอซ์ 1,193.548 กิโลกรัม
    เฮโรอีน 91.83 กิโลกรัม
    เคตามีน 3.79 กิโลกรัม
    ยาอี 6 กิโลกรัม
    ฝิ่น 0.66 กิโลกรัม และ ส่วนผสมจากยาเสพติดหลายชนิด ฤทธิ์รุนแรง อาจถึงขั้นเสียชีวิต อย่าง Happy Water อีกกว่า 410 ซอง
    .
    ผู้ต้องหาเย้ยอำนาจรัฐ 312 คน เกม! จำนนพร้อมของกลาง
    สถิติการจับกุม ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ถึง 24 พฤศจิกายน 2567
    สะท้อนว่า นบ.ยส.24 จะไม่ลดละ ไม่จำนนต่อยาเสพติดภัยร้ายใกล้ตัวที่คุกคามสวัสดิภาพพี่น้องประชาชน อย่างเด็ดขาด !
    .
    เปิดปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้น จับกุม นโยบายสำคัญของ พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ในฐานะผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (นบ.ยส.24) ปราบปรามจับกุมผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่ และขยายผลเครือข่ายที่จับกุมได้ทุกระดับอย่างจริงจังทุกพื้นที่ รวมทั้งการขยายผลเพื่ออายัดทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด ทั้งของผู้ค้า ผู้ช่วยเหลือและสนับสนุนเครือข่ายทั้งหมดมาตรวจสอบ ถือเป็นนโยบายเร่งด่วน โดยให้เป็นมาตรการเชิงรุก ทั้งการป้องกันและปราบปราม เนื่องจากเป็นภัยอันตรายที่บั่นทอนทั้งสังคม เศรษฐกิจ และความมั่นคงของประเทศ โดยเฉพาะ มาตรการป้องกันและสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่เด็ก เยาวชน ไม่ให้เข้าไปข้องเกี่ยวกับยาเสพติดแต่แรก ทั้งนี้ต้องอาศัยการบูรณาการทุกภาคส่วนเพื่อหาทางป้องกันร่วมกัน
    .
    นอกจากนี้ ทางกองทัพภาคที่ 2 ได้นำกำลังพลในส่วนกองบัญชาการกองทัพภาคที่ 2 ค่ายสุรนารี เข้ารับการตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด แม้กระทั่งแม่ทัพภาคที่ 2 เอง ก็ต้องเข้ารับการตรวจ ไม่มีการยกเว้น ! ตามนโยบายของกองทัพบกที่ต้องการป้องกันและป้องปรามกำลังพล ไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเป็นหลักประกันให้กับสังคม ว่าทหารทุกนายจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างเด็ดขาด
    #กองทัพภาคที่2
    #กองทัพบกRoyalThaiArmy
    เห็นผล ! นบ.ยส.24 ลุยหนัก 55 วัน สกัดกั้น ยึดยาบ้าได้ กว่า 24 ล้านเม็ด ตัวเลขยาเสพติด ไม่ลด ! มีแต่พุ่ง ปราบเท่าไหร่ก็ไม่หมด ยาบ้า 24,647,000 เม็ด ไอซ์ 1,193.548 กิโลกรัม เฮโรอีน 91.83 กิโลกรัม เคตามีน 3.79 กิโลกรัม ยาอี 6 กิโลกรัม ฝิ่น 0.66 กิโลกรัม และ ส่วนผสมจากยาเสพติดหลายชนิด ฤทธิ์รุนแรง อาจถึงขั้นเสียชีวิต อย่าง Happy Water อีกกว่า 410 ซอง . ผู้ต้องหาเย้ยอำนาจรัฐ 312 คน เกม! จำนนพร้อมของกลาง สถิติการจับกุม ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ถึง 24 พฤศจิกายน 2567 สะท้อนว่า นบ.ยส.24 จะไม่ลดละ ไม่จำนนต่อยาเสพติดภัยร้ายใกล้ตัวที่คุกคามสวัสดิภาพพี่น้องประชาชน อย่างเด็ดขาด ! . เปิดปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้น จับกุม นโยบายสำคัญของ พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ในฐานะผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (นบ.ยส.24) ปราบปรามจับกุมผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่ และขยายผลเครือข่ายที่จับกุมได้ทุกระดับอย่างจริงจังทุกพื้นที่ รวมทั้งการขยายผลเพื่ออายัดทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด ทั้งของผู้ค้า ผู้ช่วยเหลือและสนับสนุนเครือข่ายทั้งหมดมาตรวจสอบ ถือเป็นนโยบายเร่งด่วน โดยให้เป็นมาตรการเชิงรุก ทั้งการป้องกันและปราบปราม เนื่องจากเป็นภัยอันตรายที่บั่นทอนทั้งสังคม เศรษฐกิจ และความมั่นคงของประเทศ โดยเฉพาะ มาตรการป้องกันและสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่เด็ก เยาวชน ไม่ให้เข้าไปข้องเกี่ยวกับยาเสพติดแต่แรก ทั้งนี้ต้องอาศัยการบูรณาการทุกภาคส่วนเพื่อหาทางป้องกันร่วมกัน . นอกจากนี้ ทางกองทัพภาคที่ 2 ได้นำกำลังพลในส่วนกองบัญชาการกองทัพภาคที่ 2 ค่ายสุรนารี เข้ารับการตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด แม้กระทั่งแม่ทัพภาคที่ 2 เอง ก็ต้องเข้ารับการตรวจ ไม่มีการยกเว้น ! ตามนโยบายของกองทัพบกที่ต้องการป้องกันและป้องปรามกำลังพล ไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเป็นหลักประกันให้กับสังคม ว่าทหารทุกนายจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอย่างเด็ดขาด #กองทัพภาคที่2 #กองทัพบกRoyalThaiArmy
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 566 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฝึกช่อฟ้าWater ColorSize A2 #Art #abstact #decoration #watercolor
    ฝึกช่อฟ้าWater ColorSize A2 #Art #abstact #decoration #watercolor
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 253 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทางผ่านแวะหน่อยแล้วกัน 😍 @Taman Sari (สวนน้ำของบรรดานางสนมขององค์สุลต่าน) มีคู่บ่าวสาวมาถ่ายพรีเวดดิ้งเยอะมาก และชื่นชมอีกอย่าง มีไกค์ชาวบ้านคอยแนะนำเยอะเลย ส่งเสริมให้ชาวบ้านและชุมชนรอบข้าง (ราคาคนท้องถิ่น 15,000 รูเปีย ประมาณ 40฿ ต่อคน)https://maps.app.goo.gl/3GmqVW2PBQhHV8qB9?g_st=com.google.maps.preview.copyTaman Sari หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Water Castle” เป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมืองยอกยาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย สร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 โดย สุลต่านฮาเมงกูบูโวที่ 1 (Sultan Hamengkubuwono I) แห่งราชอาณาจักรยอกยาการ์ตา จุดประสงค์ดั้งเดิมของ Taman Sari คือการเป็นสถานที่พักผ่อนส่วนตัวของราชวงศ์และใช้สำหรับพิธีกรรมทางศาสนา การป้องกัน รวมถึงเป็นสวนน้ำเพื่อความเพลิดเพลิน  ประวัติที่สำคัญ: 1. การก่อสร้างTaman Sari ถูกสร้างขึ้นในปี 1758-1765 โดยได้รับแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมยุโรป ผสมผสานกับสไตล์ชวา มีสระน้ำ พื้นที่พักผ่อน และอาคารหลากหลายที่ออกแบบอย่างประณีต เช่น สระว่ายน้ำส่วนตัวของสุลต่าน และหอคอยชมวิว  2. หน้าที่การใช้งาน ใช้เป็น ที่พักผ่อนส่วนตัวของราชวงศ์ เป็น ป้อมปราการทางยุทธศาสตร์ ซึ่งมีอุโมงค์ใต้ดินและพื้นที่ลับเพื่อใช้ในยามฉุกเฉิน ใช้สำหรับ พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะพิธีทางน้ำที่เกี่ยวข้องกับสุลต่านและครอบครัว  3. สถานะในปัจจุบันTaman Sari ในปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมของอินโดนีเซีย และเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม นักท่องเที่ยวสามารถเยี่ยมชมส่วนต่าง ๆ เช่น สระน้ำกลางแจ้งที่ยังคงสภาพดี และโครงสร้างบางส่วนที่ได้รับการบูรณะ  ด้วยความผสมผสานของวัฒนธรรมท้องถิ่นและตะวันตก Taman Sari จึงเป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงถึงประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมของอินโดนีเซียในยุคโบราณ.
    ทางผ่านแวะหน่อยแล้วกัน 😍 @Taman Sari (สวนน้ำของบรรดานางสนมขององค์สุลต่าน) มีคู่บ่าวสาวมาถ่ายพรีเวดดิ้งเยอะมาก และชื่นชมอีกอย่าง มีไกค์ชาวบ้านคอยแนะนำเยอะเลย ส่งเสริมให้ชาวบ้านและชุมชนรอบข้าง (ราคาคนท้องถิ่น 15,000 รูเปีย ประมาณ 40฿ ต่อคน)https://maps.app.goo.gl/3GmqVW2PBQhHV8qB9?g_st=com.google.maps.preview.copyTaman Sari หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Water Castle” เป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมืองยอกยาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย สร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 โดย สุลต่านฮาเมงกูบูโวที่ 1 (Sultan Hamengkubuwono I) แห่งราชอาณาจักรยอกยาการ์ตา จุดประสงค์ดั้งเดิมของ Taman Sari คือการเป็นสถานที่พักผ่อนส่วนตัวของราชวงศ์และใช้สำหรับพิธีกรรมทางศาสนา การป้องกัน รวมถึงเป็นสวนน้ำเพื่อความเพลิดเพลิน  ประวัติที่สำคัญ: 1. การก่อสร้างTaman Sari ถูกสร้างขึ้นในปี 1758-1765 โดยได้รับแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมยุโรป ผสมผสานกับสไตล์ชวา มีสระน้ำ พื้นที่พักผ่อน และอาคารหลากหลายที่ออกแบบอย่างประณีต เช่น สระว่ายน้ำส่วนตัวของสุลต่าน และหอคอยชมวิว  2. หน้าที่การใช้งาน ใช้เป็น ที่พักผ่อนส่วนตัวของราชวงศ์ เป็น ป้อมปราการทางยุทธศาสตร์ ซึ่งมีอุโมงค์ใต้ดินและพื้นที่ลับเพื่อใช้ในยามฉุกเฉิน ใช้สำหรับ พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะพิธีทางน้ำที่เกี่ยวข้องกับสุลต่านและครอบครัว  3. สถานะในปัจจุบันTaman Sari ในปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมของอินโดนีเซีย และเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม นักท่องเที่ยวสามารถเยี่ยมชมส่วนต่าง ๆ เช่น สระน้ำกลางแจ้งที่ยังคงสภาพดี และโครงสร้างบางส่วนที่ได้รับการบูรณะ  ด้วยความผสมผสานของวัฒนธรรมท้องถิ่นและตะวันตก Taman Sari จึงเป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงถึงประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมของอินโดนีเซียในยุคโบราณ.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 733 มุมมอง 0 รีวิว
  • brewing coffee size: A2 Watercolor #art #decoration #watercolor
    brewing coffee size: A2 Watercolor #art #decoration #watercolor
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 272 มุมมอง 0 รีวิว
  • องค์การสหประชาชาติเพื่อผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ UNRWA แถลงว่า ขบวนคอนวอยรถบรรทุกบรรเทาทุกข์ขนอาหารจำนวน 109 คันของ UN โดนปล้นสะดมอย่างป่าเถื่อน โดยกลุ่มกองกำลังปิดหน้า คนขับรถบรรทุกโดนปืนจ่อทางใต้ของกาซา ขณะที่กาตาร์ประกาศ สำนักงานฮามาสในโดฮาปิดแค่ชั่วคราวส่วนตัวแทนเจรจาฮามาสถูกสั่งออกนอกประเทศ
    .
    บีบีซีของอังกฤษรายงานวันอังคาร(19 พ.ย)ว่า ขบวนคอนวอยบรรเทาทุกข์ร่วม 109 คันขององค์การสหประชาชาติเพื่อผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ UNRWA และโครงการอาหารโลกของสหประชาชาติถูกปล้นสะดมวันเสาร์(16) ด้วยความป่าเถื่อน
    .
    และพบว่ารถบรรทุก 97 คันจากทั้งหมดสูญหายและคนขับถูกใช้ปืนจ่อสั่งให้นำสิ่งของบรรเทาทุกข์ลงมาหลังข้ามจุดข้ามแดน เคเรม ชาลอม (Kerem Shalom) ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของอิสราเอลเข้าสู่ทางใต้ของเขตฉวนกาซา
    .
    อ้างอิงการรายงานจากรอยเตอร์ ลุยส์ เวตริดจ์ ( Louise Wateridge )เจ้าหน้าที่ฉุกเฉินระดับสูงของ UNRWA เปิดเผยว่า ขบวนคอนวอบขนอาหารบรรเทาทุกข์ถูกสั่งโดยอิสราเอลให้ออกเดินทางในช่วงเวลาการแจ้งอย่างกระชั้นชิดเดินทางผ่านเส้นทางที่ไม่คุ้นเคยจากจุดข้ามแดน เคเรม ชาลอม
    .
    การปล้นสะดมสิ่งของบรรเทาทุกข์สหประชาชาติล่าสุดนี้ถือเป็นครั้งที่ร้ายแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา
    .
    เวตริดจ์กล่าวยืนยันว่า รถบรรทุก 98 คันจากทั้งหมด 109 คันถูกบุกค้นและมีเจ้าหน้าที่ขนส่งให้สหประชาชาติบางส่วนได้รับบาดเจ็บระหว่างเหตุที่เกิด โดยที่ไม่ได้เอ่ยชื่อระบุไปถึงคนร้ายที่บุกโจมตีคอนวอยขนส่งอาหาร UN เข้ากาซา
    .
    บีบีซีรายงานว่า ฟิลิปป์ ลาซซารินี ( Philippe Lazzarini )ผู้อำนวยการใหญ่ UNRWA ไม่ได้กล่าวไปถึงคนร้ายที่ก่อเหตุเช่นกัน แต่ยอมรับว่าสภาพแวดล้อมที่ไร้การควบคุมอย่างเป็นระบบในเขตฉนวนกาซานี้ทำให้เป็นการยากที่ทางหน่วยจะออกปฎิบัติการช่วยเหลือชาวปาเลสไตน์ที่ติดอยู่ระหว่างสงครามได้
    .
    และหากปราศจากการเข้าแทรกแซงทันที เชื่อว่าวิกฤตขาดอาหารร้ายแรงจะเลวร้ายลงสำหรับชาวปาเลสไตน์ร่วม 2 ล้านคนที่พึ่งพาความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมอ้างอิงจาก UNRWA
    .
    กระทรวงมหาดไทยกาซาแถลงว่า เจ้าหน้าที่ความมั่นคงกาซาที่เกี่ยวข้องกับฮามาสได้สังหารสมาชิกแก๊งไปไม่ต่ำกว่า 20 คนในการขโมยรถบรรทุกเพื่อการบรรเทาทุกข์ในปฎิบัติการในความร่วมมือกับคณะกรรมการชนเผ่า
    .
    ทั้งนี้สัปดาห์ที่แล้ว องค์กร NGO จำนวน 29 แห่งเปิดเผยในรายงานว่า การปล้นสะดมขบวนคอนวอยบรรเทาทุกข์นั้นเป็นผลที่ตามมาจากการที่อิสราเอลตั้งเป้าโจมตีกองกำลังตำรวจที่ยังเหลืออยู่ในกาซา
    .
    ขณะเดียวกันกาตาร์ซึ่งได้ประกาศถอนตัวจากการเป็นประเทศตัวกลางไกล่เกลี่ยเจรจาสันติภาพระหว่างอิสราเอลและกลุ่มติดอาวุธฮามาส เอเอฟพีรายงานว่า โดฮาแถลงวันอังคาร(19)กล่าวว่า การปิดสำนักงานฮามาสนี้เป็นการปิดแค่ชั่วคราว
    .
    มาเจด อัล-อันซารี (Majed Al-Ansari) โฆษกกระทรวงต่างประเทศกาตาร์ กล่าวผ่านแถลงการณ์ว่า “บรรดาผู้นำของฮามาสที่อยู่ในทีมเจรจาปัจจุบันไม่ได้อยู่ในกรุงโดฮา”
    .
    และเสริมต่อว่า “การตัดสินใจ..ในการปิดสำนักงาน(ฮามาส)อย่างถาวรจะเป็นสิ่งที่พวกคุณจะได้ยินโดยตรงจากพวกเรา”
    .
    อย่างไรก็ตาม แกนนำระดับสูงของฮามาสได้ให้สัมภาษณ์เอเอฟพีวันจันทร์(18)ว่า “ไม่มีใครขอให้พวกเราเดินทางออกไป”
    .
    พร้อมกันนั้นยังได้โต้รายงานที่อ้างว่าบรรดาสมาชิกได้โยกย้ายไปอยู่ในตุรกีแทน โดยกล่าวว่า “บรรดาผู้นำจากระดับที่แตกต่างในหน่วยการเมืองของฮามาสต่างเดินทางเข้าตุรกีเป็นระยะๆ”
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000111413
    ..............
    Sondhi X
    องค์การสหประชาชาติเพื่อผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ UNRWA แถลงว่า ขบวนคอนวอยรถบรรทุกบรรเทาทุกข์ขนอาหารจำนวน 109 คันของ UN โดนปล้นสะดมอย่างป่าเถื่อน โดยกลุ่มกองกำลังปิดหน้า คนขับรถบรรทุกโดนปืนจ่อทางใต้ของกาซา ขณะที่กาตาร์ประกาศ สำนักงานฮามาสในโดฮาปิดแค่ชั่วคราวส่วนตัวแทนเจรจาฮามาสถูกสั่งออกนอกประเทศ . บีบีซีของอังกฤษรายงานวันอังคาร(19 พ.ย)ว่า ขบวนคอนวอยบรรเทาทุกข์ร่วม 109 คันขององค์การสหประชาชาติเพื่อผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ UNRWA และโครงการอาหารโลกของสหประชาชาติถูกปล้นสะดมวันเสาร์(16) ด้วยความป่าเถื่อน . และพบว่ารถบรรทุก 97 คันจากทั้งหมดสูญหายและคนขับถูกใช้ปืนจ่อสั่งให้นำสิ่งของบรรเทาทุกข์ลงมาหลังข้ามจุดข้ามแดน เคเรม ชาลอม (Kerem Shalom) ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของอิสราเอลเข้าสู่ทางใต้ของเขตฉวนกาซา . อ้างอิงการรายงานจากรอยเตอร์ ลุยส์ เวตริดจ์ ( Louise Wateridge )เจ้าหน้าที่ฉุกเฉินระดับสูงของ UNRWA เปิดเผยว่า ขบวนคอนวอบขนอาหารบรรเทาทุกข์ถูกสั่งโดยอิสราเอลให้ออกเดินทางในช่วงเวลาการแจ้งอย่างกระชั้นชิดเดินทางผ่านเส้นทางที่ไม่คุ้นเคยจากจุดข้ามแดน เคเรม ชาลอม . การปล้นสะดมสิ่งของบรรเทาทุกข์สหประชาชาติล่าสุดนี้ถือเป็นครั้งที่ร้ายแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา . เวตริดจ์กล่าวยืนยันว่า รถบรรทุก 98 คันจากทั้งหมด 109 คันถูกบุกค้นและมีเจ้าหน้าที่ขนส่งให้สหประชาชาติบางส่วนได้รับบาดเจ็บระหว่างเหตุที่เกิด โดยที่ไม่ได้เอ่ยชื่อระบุไปถึงคนร้ายที่บุกโจมตีคอนวอยขนส่งอาหาร UN เข้ากาซา . บีบีซีรายงานว่า ฟิลิปป์ ลาซซารินี ( Philippe Lazzarini )ผู้อำนวยการใหญ่ UNRWA ไม่ได้กล่าวไปถึงคนร้ายที่ก่อเหตุเช่นกัน แต่ยอมรับว่าสภาพแวดล้อมที่ไร้การควบคุมอย่างเป็นระบบในเขตฉนวนกาซานี้ทำให้เป็นการยากที่ทางหน่วยจะออกปฎิบัติการช่วยเหลือชาวปาเลสไตน์ที่ติดอยู่ระหว่างสงครามได้ . และหากปราศจากการเข้าแทรกแซงทันที เชื่อว่าวิกฤตขาดอาหารร้ายแรงจะเลวร้ายลงสำหรับชาวปาเลสไตน์ร่วม 2 ล้านคนที่พึ่งพาความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมอ้างอิงจาก UNRWA . กระทรวงมหาดไทยกาซาแถลงว่า เจ้าหน้าที่ความมั่นคงกาซาที่เกี่ยวข้องกับฮามาสได้สังหารสมาชิกแก๊งไปไม่ต่ำกว่า 20 คนในการขโมยรถบรรทุกเพื่อการบรรเทาทุกข์ในปฎิบัติการในความร่วมมือกับคณะกรรมการชนเผ่า . ทั้งนี้สัปดาห์ที่แล้ว องค์กร NGO จำนวน 29 แห่งเปิดเผยในรายงานว่า การปล้นสะดมขบวนคอนวอยบรรเทาทุกข์นั้นเป็นผลที่ตามมาจากการที่อิสราเอลตั้งเป้าโจมตีกองกำลังตำรวจที่ยังเหลืออยู่ในกาซา . ขณะเดียวกันกาตาร์ซึ่งได้ประกาศถอนตัวจากการเป็นประเทศตัวกลางไกล่เกลี่ยเจรจาสันติภาพระหว่างอิสราเอลและกลุ่มติดอาวุธฮามาส เอเอฟพีรายงานว่า โดฮาแถลงวันอังคาร(19)กล่าวว่า การปิดสำนักงานฮามาสนี้เป็นการปิดแค่ชั่วคราว . มาเจด อัล-อันซารี (Majed Al-Ansari) โฆษกกระทรวงต่างประเทศกาตาร์ กล่าวผ่านแถลงการณ์ว่า “บรรดาผู้นำของฮามาสที่อยู่ในทีมเจรจาปัจจุบันไม่ได้อยู่ในกรุงโดฮา” . และเสริมต่อว่า “การตัดสินใจ..ในการปิดสำนักงาน(ฮามาส)อย่างถาวรจะเป็นสิ่งที่พวกคุณจะได้ยินโดยตรงจากพวกเรา” . อย่างไรก็ตาม แกนนำระดับสูงของฮามาสได้ให้สัมภาษณ์เอเอฟพีวันจันทร์(18)ว่า “ไม่มีใครขอให้พวกเราเดินทางออกไป” . พร้อมกันนั้นยังได้โต้รายงานที่อ้างว่าบรรดาสมาชิกได้โยกย้ายไปอยู่ในตุรกีแทน โดยกล่าวว่า “บรรดาผู้นำจากระดับที่แตกต่างในหน่วยการเมืองของฮามาสต่างเดินทางเข้าตุรกีเป็นระยะๆ” . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9670000111413 .............. Sondhi X
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1397 มุมมอง 0 รีวิว
  • cat at a door size: A2 Watercolor #art #watercolor #decoration #cat #งานศิลปะ
    cat at a door size: A2 Watercolor #art #watercolor #decoration #cat #งานศิลปะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 283 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts