• ล็อกเป้าหุ้นไทย 1,385 จุด 31/10/68 #กะเทาะหุ้น #ล็อกเป้าหุ้นไทย #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย
    ล็อกเป้าหุ้นไทย 1,385 จุด 31/10/68 #กะเทาะหุ้น #ล็อกเป้าหุ้นไทย #ตลาดหุ้น #หุ้นไทย
    0 Comments 0 Shares 22 Views 0 0 Reviews
  • ตัดเนื้ออย่างไว ไม่ต้องง้อมีด! #เครื่องเลื่อยกระดูก210 ตัวจบทุกปัญหาเนื้อแข็ง!

    เฮลโหลพ่อค้าแม่ขาย/เจ้าของร้านสเต็ก! ยังต้องนั่งงัดแงะเนื้อวัวแช่แข็งก้อนเบิ้ม ๆ ด้วยมีดอยู่เหรอ? มัน เสียเวลา เปลืองแรง และที่สำคัญ... ชิ้นงานไม่เป๊ะ เลยนะ!

    Stop Wasting Time! ถึงเวลายกระดับธุรกิจด้วยไอเทมหลักที่ครัวยุคใหม่ต้องมี!

    Intro to the Game Changer: เครื่องเลื่อยกระดูก รุ่น 210
    นี่ไม่ใช่แค่ "เครื่องตัดกระดูก" แต่มันคือ "เครื่องจักรสังหารเนื้อแช่แข็ง" ที่ทำงานได้แบบ MVP!

    ⚡️ แรงม้าคือเรื่องจริง: มอเตอร์ 1.5 HP คือแรงบิดที่แท้ทรู! ตัดเนื้อวัวหนา ๆ หรือกระดูกแข็ง ๆ ขาดแบบเนียนกริบ ไม่ต้องมานั่งลุ้น!

    ไม่ต้องรอละลาย: เนื้อมาแบบแข็งโป๊ก? โยนเข้าเครื่องได้เลย! รักษาความสดใหม่ ไม่ต้องให้เนื้อช้ำจากการรอ

    ชิ้นไหนก็เป๊ะ: อยากได้สเต็กหนา 15 มม. หรือชิ้นบาง 1 มม. ก็ตั้งค่าได้! ได้งานที่สม่ำเสมอทุกครั้ง เหมือนใช้ไม้บรรทัดวัด!

    สแตนเลสแท้: ตัวเครื่องคือ สแตนเลส (Food Grade) ล้างง่าย ทนสนิม ทนกัดกร่อน ใช้กันยาว ๆ ไม่ต้องกลัวพัง!

    Safety First: มีเซ็นเซอร์นะจ๊ะ! ถ้าปิดฝาไม่สนิท เครื่องไม่ติดแน่นอน ปลอดภัยไว้ก่อนเสมอ!

    ลงทุนวันนี้ = ประหยัดแรงงาน + ได้งานพรีเมียม! คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม!

    ทักมาด่วน! อย่าให้คู่แข่งแซงหน้าด้วยความไวในการตัดเนื้อ! อยากได้งานคม งานเนี้ยบ ติดต่อมาได้เลยครับ!

    สั่งซื้อหรือสนใจดูสินค้าจริง ติดต่อ:
    ย.ย่งฮะเฮง (Yor Yong Hah Heng)
    ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) กรุงเทพฯ 10330
    แผนที่: https://maps.app.goo.gl/3sE9Xc1YBrZKEFWLA
    เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์: 8.30-17.00 น. | เสาร์: 9.00-16.00 น.
    โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098
    แชท Messenger: m.me/yonghahheng
    LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9

    #เครื่องเลื่อยกระดูก #เครื่องตัดเนื้อแช่แข็ง #ตัดเนื้อวัว #เครื่องแปรรูปอาหาร #เครื่องตัดกระดูก #ครัวกลาง #โรงงานแปรรูปเนื้อสัตว์ #ร้านสเต็ก #ซี่โครงแช่แข็ง #เนื้อแช่แข็ง #BoneSawMachine #FrozenMeatCutter #อุปกรณ์ครัวมืออาชีพ #เครื่องจักรแปรรูปเนื้อ #เลื่อยกระดูกตั้งโต๊ะ #สแตนเลสฟู้ดเกรด #ยย่งฮะเฮง #เนื้อโค #ขาหมู #ซี่โครง #ภัตตาคาร #FoodService #ธุรกิจเนื้อ #งานครัวหนัก #สินค้าคุณภาพ #ประหยัดเวลา #ใบเลื่อยตัดกระดูก #เลื่อยเนื้อ
    🔪🧊 ตัดเนื้ออย่างไว ไม่ต้องง้อมีด! #เครื่องเลื่อยกระดูก210 ตัวจบทุกปัญหาเนื้อแข็ง! 👋 เฮลโหลพ่อค้าแม่ขาย/เจ้าของร้านสเต็ก! ยังต้องนั่งงัดแงะเนื้อวัวแช่แข็งก้อนเบิ้ม ๆ ด้วยมีดอยู่เหรอ? 🤦‍♀️ มัน เสียเวลา เปลืองแรง และที่สำคัญ... ชิ้นงานไม่เป๊ะ เลยนะ! 🚨 Stop Wasting Time! ถึงเวลายกระดับธุรกิจด้วยไอเทมหลักที่ครัวยุคใหม่ต้องมี! ✨ Intro to the Game Changer: เครื่องเลื่อยกระดูก รุ่น 210 นี่ไม่ใช่แค่ "เครื่องตัดกระดูก" แต่มันคือ "เครื่องจักรสังหารเนื้อแช่แข็ง" ที่ทำงานได้แบบ MVP! ⚡️ แรงม้าคือเรื่องจริง: มอเตอร์ 1.5 HP คือแรงบิดที่แท้ทรู! ตัดเนื้อวัวหนา ๆ หรือกระดูกแข็ง ๆ ขาดแบบเนียนกริบ ไม่ต้องมานั่งลุ้น! 🥶 ไม่ต้องรอละลาย: เนื้อมาแบบแข็งโป๊ก? โยนเข้าเครื่องได้เลย! รักษาความสดใหม่ ไม่ต้องให้เนื้อช้ำจากการรอ 📐 ชิ้นไหนก็เป๊ะ: อยากได้สเต็กหนา 15 มม. หรือชิ้นบาง 1 มม. ก็ตั้งค่าได้! ได้งานที่สม่ำเสมอทุกครั้ง เหมือนใช้ไม้บรรทัดวัด! 🛡️ สแตนเลสแท้: ตัวเครื่องคือ สแตนเลส (Food Grade) ล้างง่าย ทนสนิม ทนกัดกร่อน ใช้กันยาว ๆ ไม่ต้องกลัวพัง! 🚨 Safety First: มีเซ็นเซอร์นะจ๊ะ! ถ้าปิดฝาไม่สนิท เครื่องไม่ติดแน่นอน ปลอดภัยไว้ก่อนเสมอ! 🔥 ลงทุนวันนี้ = ประหยัดแรงงาน + ได้งานพรีเมียม! คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม! ทักมาด่วน! อย่าให้คู่แข่งแซงหน้าด้วยความไวในการตัดเนื้อ! อยากได้งานคม งานเนี้ยบ ติดต่อมาได้เลยครับ! 🛒 สั่งซื้อหรือสนใจดูสินค้าจริง ติดต่อ: ย.ย่งฮะเฮง (Yor Yong Hah Heng) ที่ตั้ง: 1970-1972 ถ.บรรทัดทอง (ถ.พระราม 6) กรุงเทพฯ 10330 แผนที่: https://maps.app.goo.gl/3sE9Xc1YBrZKEFWLA เวลาทำการ: จันทร์ - ศุกร์: 8.30-17.00 น. | เสาร์: 9.00-16.00 น. โทรศัพท์: 02-215-3515-9 หรือ 081-3189098 แชท Messenger: m.me/yonghahheng LINE: @yonghahheng (มี @) หรือ คลิก https://lin.ee/5H812n9 #เครื่องเลื่อยกระดูก #เครื่องตัดเนื้อแช่แข็ง #ตัดเนื้อวัว #เครื่องแปรรูปอาหาร #เครื่องตัดกระดูก #ครัวกลาง #โรงงานแปรรูปเนื้อสัตว์ #ร้านสเต็ก #ซี่โครงแช่แข็ง #เนื้อแช่แข็ง #BoneSawMachine #FrozenMeatCutter #อุปกรณ์ครัวมืออาชีพ #เครื่องจักรแปรรูปเนื้อ #เลื่อยกระดูกตั้งโต๊ะ #สแตนเลสฟู้ดเกรด #ยย่งฮะเฮง #เนื้อโค #ขาหมู #ซี่โครง #ภัตตาคาร #FoodService #ธุรกิจเนื้อ #งานครัวหนัก #สินค้าคุณภาพ #ประหยัดเวลา #ใบเลื่อยตัดกระดูก #เลื่อยเนื้อ
    0 Comments 0 Shares 10 Views 0 Reviews
  • “วีระ” โดนยึดกุญแจรถแบ็กโฮ-รถไถ แต่ยังเดินหน้าพามวลชนบุกเข้าพื้นที่ 64 ไร่ที่เขมรบุกรุกบ้านหนองจาน เจ้าหน้าที่ตั้งแถวขวางหวั่นไม่ปลอดภัย เหตุฝั่งเขมรเตรียมสไนเปอร์ไว้ยิง พร้อมเชิญ “วีระ” พูดคุยที่ สภ.โคกสูง ให้เป็นตัวแทนมวลชนร่วมสังเกตการณ์ปักหมุดชั่วคราว 17 พ.ย.นี้

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000104050

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    “วีระ” โดนยึดกุญแจรถแบ็กโฮ-รถไถ แต่ยังเดินหน้าพามวลชนบุกเข้าพื้นที่ 64 ไร่ที่เขมรบุกรุกบ้านหนองจาน เจ้าหน้าที่ตั้งแถวขวางหวั่นไม่ปลอดภัย เหตุฝั่งเขมรเตรียมสไนเปอร์ไว้ยิง พร้อมเชิญ “วีระ” พูดคุยที่ สภ.โคกสูง ให้เป็นตัวแทนมวลชนร่วมสังเกตการณ์ปักหมุดชั่วคราว 17 พ.ย.นี้ อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000104050 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    2
    0 Comments 0 Shares 61 Views 0 Reviews
  • FENGSHUI DAILY
    อัพเดตทุกวัน ที่นี่ที่เดียว
    สีเสริมดวง เสริมความเฮง
    ทิศมงคล เวลามงคล
    อย่าลืมดูกัน เมื่อเริ่มวันใหม่
    วันเสาร์ที่ 1 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2568
    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    FENGSHUI DAILY อัพเดตทุกวัน ที่นี่ที่เดียว สีเสริมดวง เสริมความเฮง ทิศมงคล เวลามงคล อย่าลืมดูกัน เมื่อเริ่มวันใหม่ วันเสาร์ที่ 1 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2568 ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    0 Comments 0 Shares 11 Views 0 Reviews
  • ที่ประชุมใหญ่วิสามัญฯ พรรคเพื่อไทยลงมติเลือก ‘จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์’ เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ ด้วยเสียงโหวต 354 คะแนน ไม่ออกเสียง 15 คน

    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000104029

    #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #ประชุมวิสามัญเพื่อไทย #เลือกหัวหน้าใหม่ #จุลพันธ์อมรวิวัฒน์
    ที่ประชุมใหญ่วิสามัญฯ พรรคเพื่อไทยลงมติเลือก ‘จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์’ เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ ด้วยเสียงโหวต 354 คะแนน ไม่ออกเสียง 15 คน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9680000104029 #News1live #News1 #SondhiX #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #ประชุมวิสามัญเพื่อไทย #เลือกหัวหน้าใหม่ #จุลพันธ์อมรวิวัฒน์
    0 Comments 0 Shares 91 Views 0 Reviews
  • เปลี่ยนจอ iPhone 17 Pro Max ต้องจ่าย $379!

    Apple เปิดราคาชิ้นส่วนซ่อมเองสำหรับ iPhone 17 ทุกรุ่น Apple เปิดเผยราคาชิ้นส่วนสำหรับซ่อมเองใน iPhone 17 ผ่าน Self-Service Repair Store โดย iPhone Air เปลี่ยนแบตเตอรี่ต้องจ่าย $119 ส่วน iPhone 17 Pro Max เปลี่ยนจอสูงถึง $379

    Apple เปิดตัวชุดคู่มือซ่อมเองสำหรับ iPhone 17 ทุกรุ่น พร้อมวางจำหน่ายชิ้นส่วนผ่าน Self-Service Repair Store ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามเพิ่มคะแนน iFixit และส่งเสริมสิทธิในการซ่อมของผู้ใช้

    แต่ราคาชิ้นส่วนกลับไม่เป็นมิตรเท่าไรนัก:
    iPhone 17 รุ่นพื้นฐาน:
    แบตเตอรี่: $99
    จอแสดงผล: $329
    กล้องหน้า: $199
    ฝาหลัง: $159
    โครงเครื่องพร้อมแบตเตอรี่: $236

    iPhone Air:
    แบตเตอรี่: $119
    จอแสดงผล: $329
    อื่น ๆ เหมือนรุ่นพื้นฐาน

    iPhone 17 Pro / Pro Max:
    แบตเตอรี่: $119
    จอแสดงผล Pro: $329
    จอแสดงผล Pro Max: $379
    อื่น ๆ เหมือนรุ่น Air

    ราคาฝาหลังและกล้องหน้าคงที่ทุกโมเดล แต่จอแสดงผลของ Pro Max แพงที่สุด ส่วนแบตเตอรี่ของรุ่นพื้นฐานถูกที่สุดที่ $99

    แม้จะเป็นก้าวสำคัญด้านสิทธิในการซ่อม แต่ราคาชิ้นส่วนเหล่านี้อาจทำให้ผู้ใช้ลังเลที่จะซ่อมเอง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับค่าบริการจากศูนย์ซ่อมที่อาจรวมค่าแรงและการรับประกัน

    https://wccftech.com/apple-iphone-air-battery-replacement-will-cost-you-119-iphone-17-pro-max-display-will-set-you-back-by-379/
    📱💸 เปลี่ยนจอ iPhone 17 Pro Max ต้องจ่าย $379! Apple เปิดราคาชิ้นส่วนซ่อมเองสำหรับ iPhone 17 ทุกรุ่น Apple เปิดเผยราคาชิ้นส่วนสำหรับซ่อมเองใน iPhone 17 ผ่าน Self-Service Repair Store โดย iPhone Air เปลี่ยนแบตเตอรี่ต้องจ่าย $119 ส่วน iPhone 17 Pro Max เปลี่ยนจอสูงถึง $379 Apple เปิดตัวชุดคู่มือซ่อมเองสำหรับ iPhone 17 ทุกรุ่น พร้อมวางจำหน่ายชิ้นส่วนผ่าน Self-Service Repair Store ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามเพิ่มคะแนน iFixit และส่งเสริมสิทธิในการซ่อมของผู้ใช้ แต่ราคาชิ้นส่วนกลับไม่เป็นมิตรเท่าไรนัก: 📍 iPhone 17 รุ่นพื้นฐาน: 🎗️ แบตเตอรี่: $99 🎗️ จอแสดงผล: $329 🎗️ กล้องหน้า: $199 🎗️ ฝาหลัง: $159 🎗️ โครงเครื่องพร้อมแบตเตอรี่: $236 📍 iPhone Air: 🎗️ แบตเตอรี่: $119 🎗️ จอแสดงผล: $329 🎗️ อื่น ๆ เหมือนรุ่นพื้นฐาน 📍 iPhone 17 Pro / Pro Max: 🎗️ แบตเตอรี่: $119 🎗️ จอแสดงผล Pro: $329 🎗️ จอแสดงผล Pro Max: $379 🎗️ อื่น ๆ เหมือนรุ่น Air ราคาฝาหลังและกล้องหน้าคงที่ทุกโมเดล แต่จอแสดงผลของ Pro Max แพงที่สุด ส่วนแบตเตอรี่ของรุ่นพื้นฐานถูกที่สุดที่ $99 แม้จะเป็นก้าวสำคัญด้านสิทธิในการซ่อม แต่ราคาชิ้นส่วนเหล่านี้อาจทำให้ผู้ใช้ลังเลที่จะซ่อมเอง โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับค่าบริการจากศูนย์ซ่อมที่อาจรวมค่าแรงและการรับประกัน https://wccftech.com/apple-iphone-air-battery-replacement-will-cost-you-119-iphone-17-pro-max-display-will-set-you-back-by-379/
    WCCFTECH.COM
    Apple iPhone Air Battery Replacement Will Cost You $119, iPhone 17 Pro Max Display Will Set You Back By $379
    After releasing a self-repair manual for each of its iPhone 17 models, Apple has now made available the spare parts for the new lineup
    0 Comments 0 Shares 26 Views 0 Reviews
  • หลุดคะแนน Cinebench R23 ของ Intel Core Ultra X7 358H และ Ultra 5 338H: ประสิทธิภาพน่ากังวล?

    คะแนน Cinebench R23 ของซีพียูรุ่นใหม่จาก Intel ถูกเปิดเผยก่อนเปิดตัว โดย X7 358H ได้ประมาณ 20,000 คะแนน ส่วน 5 338H ได้ราว 16,000 คะแนน ซึ่งต่ำกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง 255H ที่ทำได้สูงถึง 22,000 คะแนนในบางกรณี

    Intel เตรียมเปิดตัวซีพียูแพลตฟอร์ม Panther Lake สำหรับโน้ตบุ๊ก โดยมีรุ่น Core Ultra X7 358H และ Core Ultra 5 338H ที่เพิ่งมีคะแนน Cinebench R23 หลุดออกมา ซึ่งสร้างความกังวลในวงการไอที เพราะคะแนนที่ได้กลับต่ำกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง Core Ultra 255H

    X7 358H ได้คะแนนประมาณ 20,000
    5 338H ได้ประมาณ 16,000 หรือช้ากว่า X7 ราว 20%
    255H รุ่นก่อนหน้า ทำได้ตั้งแต่ 17,000 ถึง 22,000 แล้วแต่การตั้งค่า

    แม้จะยังไม่มีข้อมูลอย่างเป็นทางการ แต่แหล่งข่าวระบุว่า X7 358H มี 4 P-Cores, 8 E-Cores และ 4 LPE-Cores ขณะที่ 255H มี 6 P-Cores, 8 E-Cores และ 2 LPE-Cores ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ประสิทธิภาพลดลง เพราะ LPE-Cores มีพลังน้อยกว่า P-Cores

    อย่างไรก็ตาม Panther Lake เน้นการพัฒนา iGPU เป็นหลัก โดยใช้ Xe3 แบบ 12-core ที่มีประสิทธิภาพระดับ RTX 3050 หรือสูงกว่า RTX 2060 ในบางกรณี ซึ่งอาจเป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างพลัง CPU กับกราฟิกในตัว

    ผู้เชี่ยวชาญบางคนมองว่า คะแนนที่หลุดอาจเป็นกรณี “worst-case” หรือการทดสอบในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม ซึ่งหมายความว่า CPU อาจมีประสิทธิภาพดีกว่านี้ในสถานการณ์จริง

    คะแนน Cinebench R23 ที่หลุดของ X7 358H และ 5 338H
    X7 ได้ประมาณ 20,000
    5 338H ได้ประมาณ 16,000
    ต่ำกว่ารุ่นก่อนหน้า 255H ที่ทำได้สูงสุด 22,000

    สเปกของซีพียูแต่ละรุ่น
    358H: 4 P-Cores, 8 E-Cores, 4 LPE-Cores
    255H: 6 P-Cores, 8 E-Cores, 2 LPE-Cores
    LPE-Cores มีพลังน้อยกว่า P-Cores

    จุดเด่นของ Panther Lake
    เน้น iGPU มากกว่า CPU
    ใช้ Xe3 แบบ 12-core ที่แรงระดับ RTX 3050–2060
    อาจเป็นการแลกพลัง CPU เพื่อเพิ่มกราฟิกในตัว

    ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ
    คะแนนที่หลุดอาจเป็น worst-case
    ประสิทธิภาพจริงอาจสูงกว่าที่เห็น

    https://www.techpowerup.com/342443/leaked-intel-core-ultra-x7-358h-and-ultra-5-338h-cinebench-r23-scores-reveal-concerning-cpu-performance
    ⚙️📉 หลุดคะแนน Cinebench R23 ของ Intel Core Ultra X7 358H และ Ultra 5 338H: ประสิทธิภาพน่ากังวล? คะแนน Cinebench R23 ของซีพียูรุ่นใหม่จาก Intel ถูกเปิดเผยก่อนเปิดตัว โดย X7 358H ได้ประมาณ 20,000 คะแนน ส่วน 5 338H ได้ราว 16,000 คะแนน ซึ่งต่ำกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง 255H ที่ทำได้สูงถึง 22,000 คะแนนในบางกรณี Intel เตรียมเปิดตัวซีพียูแพลตฟอร์ม Panther Lake สำหรับโน้ตบุ๊ก โดยมีรุ่น Core Ultra X7 358H และ Core Ultra 5 338H ที่เพิ่งมีคะแนน Cinebench R23 หลุดออกมา ซึ่งสร้างความกังวลในวงการไอที เพราะคะแนนที่ได้กลับต่ำกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง Core Ultra 255H 💠 X7 358H ได้คะแนนประมาณ 20,000 💠 5 338H ได้ประมาณ 16,000 หรือช้ากว่า X7 ราว 20% 💠 255H รุ่นก่อนหน้า ทำได้ตั้งแต่ 17,000 ถึง 22,000 แล้วแต่การตั้งค่า แม้จะยังไม่มีข้อมูลอย่างเป็นทางการ แต่แหล่งข่าวระบุว่า X7 358H มี 4 P-Cores, 8 E-Cores และ 4 LPE-Cores ขณะที่ 255H มี 6 P-Cores, 8 E-Cores และ 2 LPE-Cores ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ประสิทธิภาพลดลง เพราะ LPE-Cores มีพลังน้อยกว่า P-Cores อย่างไรก็ตาม Panther Lake เน้นการพัฒนา iGPU เป็นหลัก โดยใช้ Xe3 แบบ 12-core ที่มีประสิทธิภาพระดับ RTX 3050 หรือสูงกว่า RTX 2060 ในบางกรณี ซึ่งอาจเป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างพลัง CPU กับกราฟิกในตัว ผู้เชี่ยวชาญบางคนมองว่า คะแนนที่หลุดอาจเป็นกรณี “worst-case” หรือการทดสอบในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม ซึ่งหมายความว่า CPU อาจมีประสิทธิภาพดีกว่านี้ในสถานการณ์จริง ✅ คะแนน Cinebench R23 ที่หลุดของ X7 358H และ 5 338H ➡️ X7 ได้ประมาณ 20,000 ➡️ 5 338H ได้ประมาณ 16,000 ➡️ ต่ำกว่ารุ่นก่อนหน้า 255H ที่ทำได้สูงสุด 22,000 ✅ สเปกของซีพียูแต่ละรุ่น ➡️ 358H: 4 P-Cores, 8 E-Cores, 4 LPE-Cores ➡️ 255H: 6 P-Cores, 8 E-Cores, 2 LPE-Cores ➡️ LPE-Cores มีพลังน้อยกว่า P-Cores ✅ จุดเด่นของ Panther Lake ➡️ เน้น iGPU มากกว่า CPU ➡️ ใช้ Xe3 แบบ 12-core ที่แรงระดับ RTX 3050–2060 ➡️ อาจเป็นการแลกพลัง CPU เพื่อเพิ่มกราฟิกในตัว ✅ ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ คะแนนที่หลุดอาจเป็น worst-case ➡️ ประสิทธิภาพจริงอาจสูงกว่าที่เห็น https://www.techpowerup.com/342443/leaked-intel-core-ultra-x7-358h-and-ultra-5-338h-cinebench-r23-scores-reveal-concerning-cpu-performance
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Leaked Intel Core Ultra X7 358H and Ultra 5 338H Cinebench R23 Scores Reveal Concerning CPU Performance
    Intel's upcoming Panther Lake laptop CPU configurations previously leaked, revealing a line-up ranging from the modest Core Ultra 3 320U, with 2 P-Cores and 4 LPE-Cores to the notably higher-end Core Ultra X9 388H, featuring 4 P-Cores, 8 E-Cores, and 4 LPE-Cores. Now, performance figures for the mor...
    0 Comments 0 Shares 20 Views 0 Reviews
  • Intel เปิด Pop-up Store 5 เมืองทั่วโลก โชว์พลัง AI PC พร้อมเผยโฉมชิป Panther Lake ที่มิวนิก!

    Intel เปิดตัว “AI Experience Store” ใน 5 เมืองใหญ่ทั่วโลก ได้แก่ นิวยอร์ก ลอนดอน ปารีส มิวนิก และโซล เพื่อโปรโมตโน้ตบุ๊ก AI จากแบรนด์ชั้นนำช่วงเทศกาลช้อปปิ้งปลายปี โดยมีทั้ง Asus, Acer, Dell, HP, Lenovo, LG, Microsoft, MSI, Samsung และ Google ร่วมจัดแสดงผลิตภัณฑ์

    ร้าน Pop-up ของ Intel ไม่ได้มีแค่โน้ตบุ๊กทำงานทั่วไปหรือ Chromebook เท่านั้น แต่ยังมีโซนเกมที่ให้ผู้เข้าชมทดลองเล่นเกมดังอย่าง Clair Obscur: Expedition 33, Marvel Rivals และ Battlefield 6 บนเครื่องที่ใช้ชิป AI รุ่นล่าสุด

    แม้ร้านในนิวยอร์กจะเน้นโชว์เครื่องที่มีวางขายอยู่แล้ว แต่ที่มิวนิกกลับมีเซอร์ไพรส์ เมื่อ YouTuber สายเทคโนโลยี “High Yield” พบโน้ตบุ๊กที่ใช้ชิป “Panther Lake” ซึ่งยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ

    Panther Lake คือชิปรุ่นใหม่ของ Intel ที่ใช้กระบวนการผลิต 18A ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล้ำหน้าที่สุดของบริษัท คาดว่าจะมีประสิทธิภาพสูงกว่า Lunar Lake ถึง 50% ที่ระดับพลังงานเท่ากัน และจะเป็นหัวใจสำคัญของโน้ตบุ๊ก AI รุ่นถัดไป

    อย่างไรก็ตาม แม้ Intel จะพยายามผลักดันแบรนด์ “AI PC” อย่างหนัก แต่ยอดขายกลับยังไม่เป็นไปตามคาด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับชิปรุ่นเก่าอย่าง Raptor Lake ที่ยังขายดีกว่า และการสิ้นสุดการสนับสนุน Windows 10 ที่ควรเป็นแรงผลักดันให้ผู้ใช้เปลี่ยนเครื่องใหม่ กลับกลายเป็นว่าผู้บริโภคจำนวนมากเลือกหันไปใช้ Mac แทน

    Intel เปิด Pop-up Store ใน 5 เมืองใหญ่ทั่วโลก
    นิวยอร์ก, ลอนดอน, ปารีส, มิวนิก, โซล
    จัดแสดงโน้ตบุ๊ก AI จากแบรนด์ชั้นนำ
    มีโซนเกมให้ทดลองเล่นเกมใหม่ล่าสุด

    การพบชิป Panther Lake ที่มิวนิก
    พบในโน้ตบุ๊กบางรุ่นที่จัดแสดง
    ใช้กระบวนการผลิต 18A ของ Intel
    ประสิทธิภาพสูงกว่า Lunar Lake ถึง 50% ที่พลังงานเท่ากัน

    ความพยายามของ Intel ในการโปรโมต AI PC
    ใช้แบรนด์ “AI Experience” เพื่อดึงดูดผู้บริโภค
    ชูจุดขายด้านการทำงาน, การเรียนรู้, การสร้างสรรค์ และการเล่นเกม

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-opens-pop-up-stores-across-five-cities-featuring-ai-pcs-from-laptop-manufacturers-we-stopped-by-the-nyc-store-and-one-visitor-in-munich-found-panther-lake
    🏬💻 Intel เปิด Pop-up Store 5 เมืองทั่วโลก โชว์พลัง AI PC พร้อมเผยโฉมชิป Panther Lake ที่มิวนิก! Intel เปิดตัว “AI Experience Store” ใน 5 เมืองใหญ่ทั่วโลก ได้แก่ นิวยอร์ก ลอนดอน ปารีส มิวนิก และโซล เพื่อโปรโมตโน้ตบุ๊ก AI จากแบรนด์ชั้นนำช่วงเทศกาลช้อปปิ้งปลายปี โดยมีทั้ง Asus, Acer, Dell, HP, Lenovo, LG, Microsoft, MSI, Samsung และ Google ร่วมจัดแสดงผลิตภัณฑ์ ร้าน Pop-up ของ Intel ไม่ได้มีแค่โน้ตบุ๊กทำงานทั่วไปหรือ Chromebook เท่านั้น แต่ยังมีโซนเกมที่ให้ผู้เข้าชมทดลองเล่นเกมดังอย่าง Clair Obscur: Expedition 33, Marvel Rivals และ Battlefield 6 บนเครื่องที่ใช้ชิป AI รุ่นล่าสุด แม้ร้านในนิวยอร์กจะเน้นโชว์เครื่องที่มีวางขายอยู่แล้ว แต่ที่มิวนิกกลับมีเซอร์ไพรส์ เมื่อ YouTuber สายเทคโนโลยี “High Yield” พบโน้ตบุ๊กที่ใช้ชิป “Panther Lake” ซึ่งยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ Panther Lake คือชิปรุ่นใหม่ของ Intel ที่ใช้กระบวนการผลิต 18A ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล้ำหน้าที่สุดของบริษัท คาดว่าจะมีประสิทธิภาพสูงกว่า Lunar Lake ถึง 50% ที่ระดับพลังงานเท่ากัน และจะเป็นหัวใจสำคัญของโน้ตบุ๊ก AI รุ่นถัดไป อย่างไรก็ตาม แม้ Intel จะพยายามผลักดันแบรนด์ “AI PC” อย่างหนัก แต่ยอดขายกลับยังไม่เป็นไปตามคาด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับชิปรุ่นเก่าอย่าง Raptor Lake ที่ยังขายดีกว่า และการสิ้นสุดการสนับสนุน Windows 10 ที่ควรเป็นแรงผลักดันให้ผู้ใช้เปลี่ยนเครื่องใหม่ กลับกลายเป็นว่าผู้บริโภคจำนวนมากเลือกหันไปใช้ Mac แทน ✅ Intel เปิด Pop-up Store ใน 5 เมืองใหญ่ทั่วโลก ➡️ นิวยอร์ก, ลอนดอน, ปารีส, มิวนิก, โซล ➡️ จัดแสดงโน้ตบุ๊ก AI จากแบรนด์ชั้นนำ ➡️ มีโซนเกมให้ทดลองเล่นเกมใหม่ล่าสุด ✅ การพบชิป Panther Lake ที่มิวนิก ➡️ พบในโน้ตบุ๊กบางรุ่นที่จัดแสดง ➡️ ใช้กระบวนการผลิต 18A ของ Intel ➡️ ประสิทธิภาพสูงกว่า Lunar Lake ถึง 50% ที่พลังงานเท่ากัน ✅ ความพยายามของ Intel ในการโปรโมต AI PC ➡️ ใช้แบรนด์ “AI Experience” เพื่อดึงดูดผู้บริโภค ➡️ ชูจุดขายด้านการทำงาน, การเรียนรู้, การสร้างสรรค์ และการเล่นเกม https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-opens-pop-up-stores-across-five-cities-featuring-ai-pcs-from-laptop-manufacturers-we-stopped-by-the-nyc-store-and-one-visitor-in-munich-found-panther-lake
    0 Comments 0 Shares 31 Views 0 Reviews
  • AMD หั่นฟีเจอร์การ์ดจอรุ่นเก่า พร้อมตัด USB-C บน RX 7900!

    AMD ประกาศว่าไดรเวอร์ใหม่ Adrenalin Edition 25.10.2 จะไม่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้กับการ์ดจอ Radeon RX 5000 และ RX 6000 อีกต่อไป โดยจะเข้าสู่โหมด “maintenance” ที่มีแค่การแก้บั๊กและอัปเดตความปลอดภัยเท่านั้น ขณะเดียวกัน RX 7900 ก็ถูกตัดฟังก์ชัน USB-C เหลือแค่ DisplayPort

    AMD ยืนยันว่าเพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่สำหรับ GPU รุ่นล่าสุด จึงตัดสินใจนำ Radeon RX 5000 และ RX 6000 เข้าสู่โหมด maintenance ซึ่งหมายความว่าจะไม่มีฟีเจอร์ใหม่ใด ๆ เพิ่มอีกต่อไป เช่น การรองรับ Battlefield 6 หรือ DirectX 12 Work Graphs ที่จะมีเฉพาะใน RX 7000 และ RX 9000 เท่านั้น

    แม้จะยังได้รับการอัปเดตด้านความปลอดภัยและแก้ไขบั๊ก แต่ผู้ใช้ RDNA 1 และ RDNA 2 จะไม่ได้รับฟีเจอร์ใหม่อีกแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นการ “ลดระดับการสนับสนุน” ที่เร็วกว่าที่หลายคนคาดไว้

    ที่น่าตกใจไม่แพ้กันคือ RX 7900 XT และ XTX ที่มีพอร์ต USB-C ด้านหลัง ถูกตัดความสามารถในการจ่ายไฟและเชื่อมต่อ USB ออกไปในไดรเวอร์ใหม่ ทำให้พอร์ตนั้นกลายเป็น DisplayPort ที่มีรูแปลก ๆ เท่านั้น

    AMD ให้เหตุผลว่าไดรเวอร์มีขนาดใหญ่เกินไป (1.6GB) และต้องลดภาระเพื่อให้เหมาะกับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่จำกัดในบางพื้นที่ ซึ่งอาจเป็นเหตุผลเบื้องหลังการตัดฟีเจอร์บางอย่าง

    AMD นำ RX 5000 และ RX 6000 เข้าสู่โหมด maintenance
    จะได้รับแค่การอัปเดตด้านความปลอดภัยและแก้ไขบั๊ก
    ไม่ได้รับฟีเจอร์ใหม่ เช่น Battlefield 6 หรือ DirectX 12 Work Graphs

    RX 7900 XT/XTX ถูกตัดฟังก์ชัน USB-C
    ไม่สามารถจ่ายไฟหรือเชื่อมต่อ USB ได้อีก
    พอร์ตกลายเป็น DisplayPort ที่มีรูเหมือน USB-C

    ฟีเจอร์ใหม่ในไดรเวอร์ 25.10.2
    รองรับ DirectX 12 Work Graphs บน RX 9000
    แก้บั๊กในเกม The Last of Us Part II, FBC Firebreak, NBA 2K25
    แก้ปัญหา VR และความผิดปกติในเกม Baldur’s Gate 3, Serious Sam 4

    ปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข
    Cyberpunk 2077 crash ใน RT Overdrive
    Battlefield 6 crash บน iGPU บางรุ่น
    Roblox crash บน RX 7000
    Radeon Anti-Lag 2 หายไปใน CS2 บน RX 9000

    ผู้ใช้ RX 5000 และ RX 6000 จะไม่ได้รับฟีเจอร์ใหม่อีก
    อาจต้องพิจารณาอัปเกรดหากต้องการฟีเจอร์ล่าสุด
    การสนับสนุนที่ลดลงอาจกระทบประสบการณ์การเล่นเกมในอนาคต

    RX 7900 USB-C ถูกลดความสามารถโดยไม่แจ้งล่วงหน้า
    ผู้ใช้ที่ใช้พอร์ตนี้ในการจ่ายไฟหรือเชื่อมต่ออุปกรณ์จะได้รับผลกระทบ
    พอร์ตกลายเป็น DisplayPort ที่ไม่สามารถใช้งาน USB ได้อีก

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpu-drivers/new-amd-driver-snubs-radeon-rx-5000-6000-gpus-with-latest-updates-also-disables-usb-c-functionality-on-rx-7900-series
    🛑💻 AMD หั่นฟีเจอร์การ์ดจอรุ่นเก่า พร้อมตัด USB-C บน RX 7900! AMD ประกาศว่าไดรเวอร์ใหม่ Adrenalin Edition 25.10.2 จะไม่เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้กับการ์ดจอ Radeon RX 5000 และ RX 6000 อีกต่อไป โดยจะเข้าสู่โหมด “maintenance” ที่มีแค่การแก้บั๊กและอัปเดตความปลอดภัยเท่านั้น ขณะเดียวกัน RX 7900 ก็ถูกตัดฟังก์ชัน USB-C เหลือแค่ DisplayPort AMD ยืนยันว่าเพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่สำหรับ GPU รุ่นล่าสุด จึงตัดสินใจนำ Radeon RX 5000 และ RX 6000 เข้าสู่โหมด maintenance ซึ่งหมายความว่าจะไม่มีฟีเจอร์ใหม่ใด ๆ เพิ่มอีกต่อไป เช่น การรองรับ Battlefield 6 หรือ DirectX 12 Work Graphs ที่จะมีเฉพาะใน RX 7000 และ RX 9000 เท่านั้น แม้จะยังได้รับการอัปเดตด้านความปลอดภัยและแก้ไขบั๊ก แต่ผู้ใช้ RDNA 1 และ RDNA 2 จะไม่ได้รับฟีเจอร์ใหม่อีกแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นการ “ลดระดับการสนับสนุน” ที่เร็วกว่าที่หลายคนคาดไว้ ที่น่าตกใจไม่แพ้กันคือ RX 7900 XT และ XTX ที่มีพอร์ต USB-C ด้านหลัง ถูกตัดความสามารถในการจ่ายไฟและเชื่อมต่อ USB ออกไปในไดรเวอร์ใหม่ ทำให้พอร์ตนั้นกลายเป็น DisplayPort ที่มีรูแปลก ๆ เท่านั้น AMD ให้เหตุผลว่าไดรเวอร์มีขนาดใหญ่เกินไป (1.6GB) และต้องลดภาระเพื่อให้เหมาะกับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่จำกัดในบางพื้นที่ ซึ่งอาจเป็นเหตุผลเบื้องหลังการตัดฟีเจอร์บางอย่าง ✅ AMD นำ RX 5000 และ RX 6000 เข้าสู่โหมด maintenance ➡️ จะได้รับแค่การอัปเดตด้านความปลอดภัยและแก้ไขบั๊ก ➡️ ไม่ได้รับฟีเจอร์ใหม่ เช่น Battlefield 6 หรือ DirectX 12 Work Graphs ✅ RX 7900 XT/XTX ถูกตัดฟังก์ชัน USB-C ➡️ ไม่สามารถจ่ายไฟหรือเชื่อมต่อ USB ได้อีก ➡️ พอร์ตกลายเป็น DisplayPort ที่มีรูเหมือน USB-C ✅ ฟีเจอร์ใหม่ในไดรเวอร์ 25.10.2 ➡️ รองรับ DirectX 12 Work Graphs บน RX 9000 ➡️ แก้บั๊กในเกม The Last of Us Part II, FBC Firebreak, NBA 2K25 ➡️ แก้ปัญหา VR และความผิดปกติในเกม Baldur’s Gate 3, Serious Sam 4 ✅ ปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ➡️ Cyberpunk 2077 crash ใน RT Overdrive ➡️ Battlefield 6 crash บน iGPU บางรุ่น ➡️ Roblox crash บน RX 7000 ➡️ Radeon Anti-Lag 2 หายไปใน CS2 บน RX 9000 ‼️ ผู้ใช้ RX 5000 และ RX 6000 จะไม่ได้รับฟีเจอร์ใหม่อีก ⛔ อาจต้องพิจารณาอัปเกรดหากต้องการฟีเจอร์ล่าสุด ⛔ การสนับสนุนที่ลดลงอาจกระทบประสบการณ์การเล่นเกมในอนาคต ‼️ RX 7900 USB-C ถูกลดความสามารถโดยไม่แจ้งล่วงหน้า ⛔ ผู้ใช้ที่ใช้พอร์ตนี้ในการจ่ายไฟหรือเชื่อมต่ออุปกรณ์จะได้รับผลกระทบ ⛔ พอร์ตกลายเป็น DisplayPort ที่ไม่สามารถใช้งาน USB ได้อีก https://www.tomshardware.com/pc-components/gpu-drivers/new-amd-driver-snubs-radeon-rx-5000-6000-gpus-with-latest-updates-also-disables-usb-c-functionality-on-rx-7900-series
    0 Comments 0 Shares 27 Views 0 Reviews
  • Tesla จะกลายเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์เคลื่อนที่? Elon Musk เสนอแนวคิดใช้รถว่างสร้างเครือข่าย AI ขนาด 100 ล้านคัน

    Elon Musk เผยไอเดียเปลี่ยนรถ Tesla ที่จอดว่างให้กลายเป็นเครือข่ายประมวลผล AI ขนาดมหึมา ด้วยพลังคอมพิวเตอร์รวมกว่า 100 กิกะวัตต์ พร้อมชู AI5 ที่แรงกว่า AI4 ถึง 40 เท่า

    ในงานแถลงผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2025 Elon Musk ได้เสนอแนวคิดสุดล้ำ: เปลี่ยนรถ Tesla ที่จอดว่างให้กลายเป็นเครือข่ายประมวลผลแบบ distributed inference fleet โดยใช้พลังคอมพิวเตอร์จากรถที่ไม่ได้ใช้งาน ซึ่งเขาเรียกว่า “รถที่เบื่อ”

    Musk ประเมินว่า หากมีรถ Tesla 100 ล้านคัน และแต่ละคันสามารถให้พลังประมวลผลได้ 1 กิโลวัตต์ ก็จะได้เครือข่ายรวมถึง 100 กิกะวัตต์ ซึ่งถือเป็น “สินทรัพย์มหาศาล” ที่มีระบบระบายความร้อนและจ่ายไฟในตัวอยู่แล้ว

    นอกจากนี้ Musk ยังพูดถึง AI5 ซึ่งเป็นฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ที่แรงกว่า AI4 ถึง 40 เท่า และจะเป็นหัวใจของระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติที่ “ปลอดภัยกว่ามนุษย์” ถึง 10 เท่า โดยเฉพาะในรถรุ่นใหม่อย่าง Cyber Cab ที่จะเริ่มผลิตในไตรมาส 2 ปีหน้า

    แนวคิดนี้คล้ายกับโครงการ distributed computing อย่าง SETI@home หรือ Folding@home แต่ในเวอร์ชันที่ใช้รถยนต์เป็นหน่วยประมวลผล ซึ่งอาจกลายเป็นโมเดลธุรกิจใหม่ หากสามารถสร้างแรงจูงใจให้เจ้าของรถเข้าร่วมได้

    Elon Musk เสนอแนวคิดใช้รถ Tesla ที่จอดว่างเป็นเครือข่าย AI
    เรียกว่า “distributed inference fleet”
    ประเมินว่ารถ 100 ล้านคันจะให้พลังรวม 100 กิกะวัตต์
    รถมีระบบไฟและระบายความร้อนในตัวอยู่แล้ว

    การพัฒนา AI5 และระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ
    AI5 แรงกว่า AI4 ถึง 40 เท่า
    ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติจะปลอดภัยกว่ามนุษย์ 10 เท่า
    Cyber Cab จะเริ่มผลิตในไตรมาส 2 ปี 2026

    แนวคิดคล้ายกับ distributed computing แบบ SETI@home
    ใช้พลังจากอุปกรณ์ของผู้ใช้ในการประมวลผล
    อาจกลายเป็นโมเดลธุรกิจใหม่หากมีแรงจูงใจที่เหมาะสม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/elon-musk-says-idling-tesla-cars-could-create-massive-100-million-vehicle-strong-computer-for-ai-bored-vehicles-could-offer-100-gigawatts-of-distributed-compute-power
    🚗🧠 Tesla จะกลายเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์เคลื่อนที่? Elon Musk เสนอแนวคิดใช้รถว่างสร้างเครือข่าย AI ขนาด 100 ล้านคัน Elon Musk เผยไอเดียเปลี่ยนรถ Tesla ที่จอดว่างให้กลายเป็นเครือข่ายประมวลผล AI ขนาดมหึมา ด้วยพลังคอมพิวเตอร์รวมกว่า 100 กิกะวัตต์ พร้อมชู AI5 ที่แรงกว่า AI4 ถึง 40 เท่า ในงานแถลงผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2025 Elon Musk ได้เสนอแนวคิดสุดล้ำ: เปลี่ยนรถ Tesla ที่จอดว่างให้กลายเป็นเครือข่ายประมวลผลแบบ distributed inference fleet โดยใช้พลังคอมพิวเตอร์จากรถที่ไม่ได้ใช้งาน ซึ่งเขาเรียกว่า “รถที่เบื่อ” Musk ประเมินว่า หากมีรถ Tesla 100 ล้านคัน และแต่ละคันสามารถให้พลังประมวลผลได้ 1 กิโลวัตต์ ก็จะได้เครือข่ายรวมถึง 100 กิกะวัตต์ ซึ่งถือเป็น “สินทรัพย์มหาศาล” ที่มีระบบระบายความร้อนและจ่ายไฟในตัวอยู่แล้ว นอกจากนี้ Musk ยังพูดถึง AI5 ซึ่งเป็นฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ที่แรงกว่า AI4 ถึง 40 เท่า และจะเป็นหัวใจของระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติที่ “ปลอดภัยกว่ามนุษย์” ถึง 10 เท่า โดยเฉพาะในรถรุ่นใหม่อย่าง Cyber Cab ที่จะเริ่มผลิตในไตรมาส 2 ปีหน้า แนวคิดนี้คล้ายกับโครงการ distributed computing อย่าง SETI@home หรือ Folding@home แต่ในเวอร์ชันที่ใช้รถยนต์เป็นหน่วยประมวลผล ซึ่งอาจกลายเป็นโมเดลธุรกิจใหม่ หากสามารถสร้างแรงจูงใจให้เจ้าของรถเข้าร่วมได้ ✅ Elon Musk เสนอแนวคิดใช้รถ Tesla ที่จอดว่างเป็นเครือข่าย AI ➡️ เรียกว่า “distributed inference fleet” ➡️ ประเมินว่ารถ 100 ล้านคันจะให้พลังรวม 100 กิกะวัตต์ ➡️ รถมีระบบไฟและระบายความร้อนในตัวอยู่แล้ว ✅ การพัฒนา AI5 และระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ ➡️ AI5 แรงกว่า AI4 ถึง 40 เท่า ➡️ ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติจะปลอดภัยกว่ามนุษย์ 10 เท่า ➡️ Cyber Cab จะเริ่มผลิตในไตรมาส 2 ปี 2026 ✅ แนวคิดคล้ายกับ distributed computing แบบ SETI@home ➡️ ใช้พลังจากอุปกรณ์ของผู้ใช้ในการประมวลผล ➡️ อาจกลายเป็นโมเดลธุรกิจใหม่หากมีแรงจูงใจที่เหมาะสม https://www.tomshardware.com/tech-industry/elon-musk-says-idling-tesla-cars-could-create-massive-100-million-vehicle-strong-computer-for-ai-bored-vehicles-could-offer-100-gigawatts-of-distributed-compute-power
    0 Comments 0 Shares 24 Views 0 Reviews
  • QNAP เปิดตัว NAS ระดับดาต้าเซ็นเตอร์สำหรับใช้ในบ้าน! ความจุสูงถึง 19.2TB ด้วย SSD แบบ “ruler”

    QNAP เปิดตัว NAS รุ่น TBS-h574TX ที่ใช้ SSD แบบ E1.S หรือ “ruler form factor” ซึ่งปกติใช้ในดาต้าเซ็นเตอร์ มาพร้อมความจุสูงสุด 19.2TB และราคาสูงถึง $4,399

    QNAP สร้างความฮือฮาด้วยการเปิดตัว NASbook TBS-h574TX ที่ใช้ SSD แบบ EDSFF E1.S หรือที่เรียกว่า “ruler SSD” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในดาต้าเซ็นเตอร์ระดับสูง โดยนำมาใช้ใน NAS สำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและความจุมหาศาล

    รุ่นนี้รองรับ SSD ได้ถึง 5 ตัว และมีให้เลือกทั้งแบบ 9.6TB และ 19.2TB โดยใช้ SSD ขนาด 1.92TB และ 3.84TB ตามลำดับ (ใน RAID 0) หากใช้ RAID 5 จะได้ความจุประมาณ 7.68TB และ 15.36TB ตามลำดับ

    แม้จะสามารถซื้อ NAS รุ่นนี้แบบเปล่าและติดตั้ง SSD เองได้ แต่ QNAP ก็เสนอรุ่นที่ติดตั้งมาแล้วพร้อมใช้งาน โดยใช้ SSD ที่ไม่เปิดเผยผู้ผลิต (อาจเป็น Solidigm, Kioxia หรือ Micron)

    ตัวเครื่องใช้พลังงานประมาณ 46W และมาพร้อมพอร์ต Thunderbolt 4, Ethernet 2.5Gb และ 10Gb, USB 3.2 Gen 2 และ HDMI 1.4b รองรับ 4K ที่ 30Hz

    แม้จะใช้ SSD PCIe 4.0 แต่ตัว NAS รองรับแค่ PCIe 3.0 x2 ทำให้ความเร็วถูกจำกัดอยู่ที่ประมาณ 1,400 MB/s ในการอ่าน/เขียนแบบ sequential และ 70,000 IOPS สำหรับการเขียนแบบสุ่ม

    QNAP เปิดตัว NAS รุ่น TBS-h574TX ใช้ SSD แบบ E1.S
    ความจุสูงสุด 19.2TB ด้วย SSD ขนาด 3.84TB x 5
    มีรุ่น 9.6TB ด้วย SSD ขนาด 1.92TB x 5
    รองรับ RAID 0 และ RAID 5

    สเปกของ NAS
    ใช้ Intel Core i5-1235U (12th Gen) พร้อม RAM 16GB
    มีรุ่นอื่นที่ใช้ i5-1340PE และ i3-1320PE แต่ไม่รวม SSD
    พอร์ตเชื่อมต่อ: Thunderbolt 4, Ethernet 2.5Gb/10Gb, USB 3.2 Gen 2, HDMI 1.4b

    ประสิทธิภาพและการใช้งาน
    Sequential read/write ~1,400 MB/s
    Random write ~70,000 IOPS
    ใช้พลังงาน ~46W พร้อมอะแดปเตอร์ 120W

    การรับประกัน
    ตัว NAS รับประกัน 3 ปี
    SSD รับประกัน 5 ปีหรือจนถึง TBW ที่กำหนด

    ความเร็วของ SSD ถูกจำกัดด้วยอินเทอร์เฟซ PCIe 3.0 x2
    แม้ใช้ SSD PCIe 4.0 แต่ความเร็วไม่เต็มประสิทธิภาพ
    อาจไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วสูงสุดในการอ่าน/เขียน

    ราคาสูงและไม่เปิดเผยผู้ผลิต SSD
    รุ่น 19.2TB ราคา $4,399 ซึ่งสูงกว่ารุ่น 9.6TB ถึง 52%
    ไม่สามารถตรวจสอบคุณภาพ SSD ได้เพราะไม่มีข้อมูลผู้ผลิต

    https://www.tomshardware.com/pc-components/nas/qnaps-new-nas-brings-exotic-data-center-form-factor-into-your-house-massive-es-1-ssds-for-up-to-19-2tb-of-storage-for-usd4-399
    🖥️🏠 QNAP เปิดตัว NAS ระดับดาต้าเซ็นเตอร์สำหรับใช้ในบ้าน! ความจุสูงถึง 19.2TB ด้วย SSD แบบ “ruler” QNAP เปิดตัว NAS รุ่น TBS-h574TX ที่ใช้ SSD แบบ E1.S หรือ “ruler form factor” ซึ่งปกติใช้ในดาต้าเซ็นเตอร์ มาพร้อมความจุสูงสุด 19.2TB และราคาสูงถึง $4,399 QNAP สร้างความฮือฮาด้วยการเปิดตัว NASbook TBS-h574TX ที่ใช้ SSD แบบ EDSFF E1.S หรือที่เรียกว่า “ruler SSD” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในดาต้าเซ็นเตอร์ระดับสูง โดยนำมาใช้ใน NAS สำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ต้องการประสิทธิภาพสูงและความจุมหาศาล รุ่นนี้รองรับ SSD ได้ถึง 5 ตัว และมีให้เลือกทั้งแบบ 9.6TB และ 19.2TB โดยใช้ SSD ขนาด 1.92TB และ 3.84TB ตามลำดับ (ใน RAID 0) หากใช้ RAID 5 จะได้ความจุประมาณ 7.68TB และ 15.36TB ตามลำดับ แม้จะสามารถซื้อ NAS รุ่นนี้แบบเปล่าและติดตั้ง SSD เองได้ แต่ QNAP ก็เสนอรุ่นที่ติดตั้งมาแล้วพร้อมใช้งาน โดยใช้ SSD ที่ไม่เปิดเผยผู้ผลิต (อาจเป็น Solidigm, Kioxia หรือ Micron) ตัวเครื่องใช้พลังงานประมาณ 46W และมาพร้อมพอร์ต Thunderbolt 4, Ethernet 2.5Gb และ 10Gb, USB 3.2 Gen 2 และ HDMI 1.4b รองรับ 4K ที่ 30Hz แม้จะใช้ SSD PCIe 4.0 แต่ตัว NAS รองรับแค่ PCIe 3.0 x2 ทำให้ความเร็วถูกจำกัดอยู่ที่ประมาณ 1,400 MB/s ในการอ่าน/เขียนแบบ sequential และ 70,000 IOPS สำหรับการเขียนแบบสุ่ม ✅ QNAP เปิดตัว NAS รุ่น TBS-h574TX ใช้ SSD แบบ E1.S ➡️ ความจุสูงสุด 19.2TB ด้วย SSD ขนาด 3.84TB x 5 ➡️ มีรุ่น 9.6TB ด้วย SSD ขนาด 1.92TB x 5 ➡️ รองรับ RAID 0 และ RAID 5 ✅ สเปกของ NAS ➡️ ใช้ Intel Core i5-1235U (12th Gen) พร้อม RAM 16GB ➡️ มีรุ่นอื่นที่ใช้ i5-1340PE และ i3-1320PE แต่ไม่รวม SSD ➡️ พอร์ตเชื่อมต่อ: Thunderbolt 4, Ethernet 2.5Gb/10Gb, USB 3.2 Gen 2, HDMI 1.4b ✅ ประสิทธิภาพและการใช้งาน ➡️ Sequential read/write ~1,400 MB/s ➡️ Random write ~70,000 IOPS ➡️ ใช้พลังงาน ~46W พร้อมอะแดปเตอร์ 120W ✅ การรับประกัน ➡️ ตัว NAS รับประกัน 3 ปี ➡️ SSD รับประกัน 5 ปีหรือจนถึง TBW ที่กำหนด ‼️ ความเร็วของ SSD ถูกจำกัดด้วยอินเทอร์เฟซ PCIe 3.0 x2 ⛔ แม้ใช้ SSD PCIe 4.0 แต่ความเร็วไม่เต็มประสิทธิภาพ ⛔ อาจไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วสูงสุดในการอ่าน/เขียน ‼️ ราคาสูงและไม่เปิดเผยผู้ผลิต SSD ⛔ รุ่น 19.2TB ราคา $4,399 ซึ่งสูงกว่ารุ่น 9.6TB ถึง 52% ⛔ ไม่สามารถตรวจสอบคุณภาพ SSD ได้เพราะไม่มีข้อมูลผู้ผลิต https://www.tomshardware.com/pc-components/nas/qnaps-new-nas-brings-exotic-data-center-form-factor-into-your-house-massive-es-1-ssds-for-up-to-19-2tb-of-storage-for-usd4-399
    0 Comments 0 Shares 27 Views 0 Reviews
  • เมื่อฮาร์ดดิสก์ที่เคยถูกฟ้อง กลับมาสร้างปัญหาอีกครั้ง

    WD ออกมายืนยันว่ากำลังตรวจสอบฮาร์ดดิสก์รุ่นเก่าที่ใช้เทคโนโลยี SMR (Shingled Magnetic Recording) ซึ่งเคยเป็นประเด็นฟ้องร้องในปี 2021 จากการไม่เปิดเผยข้อมูลต่อผู้บริโภคว่าฮาร์ดดิสก์เหล่านี้ใช้เทคโนโลยี SMR ที่มีข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพและความเสี่ยงต่อข้อมูล

    ล่าสุด นักวิทยาศาสตร์จาก 030 Datenrettung Berlin GmbH และทีมอื่น ๆ พบว่าไดรฟ์รุ่น WD Blue และ Red ที่มีรหัส WD0EZAZ, WD0EDAZ และ WD*0EFAX มีอัตราการเสียหายสูงผิดปกติ โดยเฉพาะในระบบที่ใช้ RAID หรือ ZFS ซึ่งต้องการความเสถียรในการเขียนข้อมูล

    เทคโนโลยี SMR ใช้วิธีการเขียนข้อมูลแบบ “ซ้อนทับ” คล้ายแผ่นหลังคา ทำให้เพิ่มความจุได้ถึง 25% ต่อแผ่น แต่ก็เพิ่มความซับซ้อนในการเขียนซ้ำ ส่งผลให้เกิดความล่าช้าและความเสี่ยงต่อการเสียหายของข้อมูล

    WD เคยถูกฟ้องร้องในปี 2021 และต้องจ่ายเงินชดเชยรวม 2.7 ล้านดอลลาร์ให้กับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ โดยจ่ายรายละ $4–$7 แต่ปัญหานี้ยังไม่จบ เพราะตอนนี้มีรายงานว่าไดรฟ์เหล่านี้อาจเสียหายถึงขั้น “พังทางกายภาพ” และสูญเสียข้อมูลถาวร

    WD เริ่มสอบสวนฮาร์ดดิสก์ SMR รุ่น Blue และ Red ขนาด 2–6TB
    รุ่นที่ได้รับผลกระทบ: WD0EZAZ, WD0EDAZ, WD*0EFAX
    ปัญหาถูกค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ด้านการกู้ข้อมูล
    WD ยืนยันว่า Purple Drive ไม่ได้รับผลกระทบเพราะใช้เฟิร์มแวร์ต่างกัน

    ลักษณะของเทคโนโลยี SMR
    เขียนข้อมูลแบบซ้อนทับเหมือนแผ่นหลังคา
    เพิ่มความจุได้มากขึ้น แต่ลดประสิทธิภาพในการเขียนซ้ำ
    มีปัญหาในระบบ RAID และ ZFS ที่ต้องการความเสถียรสูง

    ประวัติการฟ้องร้อง WD ในปี 2021
    WD ไม่เปิดเผยว่าใช้ SMR ในไดรฟ์รุ่นนั้น
    ถูกฟ้องและต้องจ่ายเงินชดเชยรวม $2.7 ล้าน
    ลูกค้าได้รับเงินคืนรายละ $4–$7

    https://www.tomshardware.com/pc-components/hdds/wd-launches-investigation-into-problems-with-its-smr-hard-drives-the-same-drives-that-got-wd-sued-in-2021-now-reporting-failure-rates-due-to-fundamental-flaws
    🎙️ เมื่อฮาร์ดดิสก์ที่เคยถูกฟ้อง กลับมาสร้างปัญหาอีกครั้ง WD ออกมายืนยันว่ากำลังตรวจสอบฮาร์ดดิสก์รุ่นเก่าที่ใช้เทคโนโลยี SMR (Shingled Magnetic Recording) ซึ่งเคยเป็นประเด็นฟ้องร้องในปี 2021 จากการไม่เปิดเผยข้อมูลต่อผู้บริโภคว่าฮาร์ดดิสก์เหล่านี้ใช้เทคโนโลยี SMR ที่มีข้อจำกัดด้านประสิทธิภาพและความเสี่ยงต่อข้อมูล ล่าสุด นักวิทยาศาสตร์จาก 030 Datenrettung Berlin GmbH และทีมอื่น ๆ พบว่าไดรฟ์รุ่น WD Blue และ Red ที่มีรหัส WD0EZAZ, WD0EDAZ และ WD*0EFAX มีอัตราการเสียหายสูงผิดปกติ โดยเฉพาะในระบบที่ใช้ RAID หรือ ZFS ซึ่งต้องการความเสถียรในการเขียนข้อมูล เทคโนโลยี SMR ใช้วิธีการเขียนข้อมูลแบบ “ซ้อนทับ” คล้ายแผ่นหลังคา ทำให้เพิ่มความจุได้ถึง 25% ต่อแผ่น แต่ก็เพิ่มความซับซ้อนในการเขียนซ้ำ ส่งผลให้เกิดความล่าช้าและความเสี่ยงต่อการเสียหายของข้อมูล WD เคยถูกฟ้องร้องในปี 2021 และต้องจ่ายเงินชดเชยรวม 2.7 ล้านดอลลาร์ให้กับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ โดยจ่ายรายละ $4–$7 แต่ปัญหานี้ยังไม่จบ เพราะตอนนี้มีรายงานว่าไดรฟ์เหล่านี้อาจเสียหายถึงขั้น “พังทางกายภาพ” และสูญเสียข้อมูลถาวร ✅ WD เริ่มสอบสวนฮาร์ดดิสก์ SMR รุ่น Blue และ Red ขนาด 2–6TB ➡️ รุ่นที่ได้รับผลกระทบ: WD0EZAZ, WD0EDAZ, WD*0EFAX ➡️ ปัญหาถูกค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ด้านการกู้ข้อมูล ➡️ WD ยืนยันว่า Purple Drive ไม่ได้รับผลกระทบเพราะใช้เฟิร์มแวร์ต่างกัน ✅ ลักษณะของเทคโนโลยี SMR ➡️ เขียนข้อมูลแบบซ้อนทับเหมือนแผ่นหลังคา ➡️ เพิ่มความจุได้มากขึ้น แต่ลดประสิทธิภาพในการเขียนซ้ำ ➡️ มีปัญหาในระบบ RAID และ ZFS ที่ต้องการความเสถียรสูง ✅ ประวัติการฟ้องร้อง WD ในปี 2021 ➡️ WD ไม่เปิดเผยว่าใช้ SMR ในไดรฟ์รุ่นนั้น ➡️ ถูกฟ้องและต้องจ่ายเงินชดเชยรวม $2.7 ล้าน ➡️ ลูกค้าได้รับเงินคืนรายละ $4–$7 https://www.tomshardware.com/pc-components/hdds/wd-launches-investigation-into-problems-with-its-smr-hard-drives-the-same-drives-that-got-wd-sued-in-2021-now-reporting-failure-rates-due-to-fundamental-flaws
    0 Comments 0 Shares 24 Views 0 Reviews
  • อินเทอร์เน็ตล่มทั่วโลก! Microsoft Azure ป่วนหนัก กระทบบริการนับสิบ

    เหตุการณ์ที่หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็น AWS ล่ม กลับกลายเป็นความผิดพลาดจาก Microsoft Azure ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อบริการออนไลน์ทั่วโลก ตั้งแต่ Xbox, Outlook, Google Cloud ไปจนถึงสายการบินและธนาคาร

    วันที่ 29 ตุลาคม 2025 เวลา 16:00 UTC Microsoft Azure เริ่มมีปัญหาที่ระบบ Azure Front Door (AFD) ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการจัดการทราฟฟิก ส่งผลให้ผู้ใช้งานไม่สามารถเข้าถึง Azure Portal และบริการอื่น ๆ ได้ตามปกติ

    ในช่วงแรก หลายคนเข้าใจว่า AWS เป็นต้นเหตุ เพราะ Downdetector แสดงสัญญาณผิดปกติคล้ายกับเหตุการณ์ AWS ล่มเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ในที่สุด Microsoft ก็ออกมายืนยันว่า Azure คือผู้ก่อเหตุครั้งนี้

    ผลกระทบลุกลามไปทั่วโลก ทั้งในสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร บริการที่ได้รับผลกระทบมีทั้ง Microsoft 365, Xbox, Minecraft, Outlook, Google Cloud, Zoom, Starbucks, ธนาคาร และแม้แต่สายการบินอย่าง Alaska Airlines ที่ต้องให้ผู้โดยสารเช็กอินด้วยตนเองที่สนามบิน

    Microsoft ระบุว่า สาเหตุเกิดจากการเปลี่ยนแปลงค่าคอนฟิกโดยไม่ตั้งใจ และกำลังดำเนินการแก้ไขโดยการย้อนกลับไปใช้ค่าคอนฟิกเดิม พร้อมบล็อกการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดชั่วคราว

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันเดียวกับที่ Microsoft มีกำหนดจัดประชุมรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส ยิ่งทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นไปอีก

    นี่คือบทเรียนสำคัญว่า “อินเทอร์เน็ตไม่ได้แข็งแกร่งเท่าที่เราคิด” และในโลกที่ทุกอย่างเชื่อมโยงกัน ความผิดพลาดเล็ก ๆ อาจกลายเป็นหายนะระดับโลกได้ในพริบตา

    Microsoft Azure ล่มทั่วโลกจากปัญหา Azure Front Door
    เริ่มต้นเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2025 เวลา 16:00 UTC
    ส่งผลให้บริการหลายตัวไม่สามารถเข้าถึงได้
    Microsoft ยืนยันว่าเป็นการเปลี่ยนค่าคอนฟิกโดยไม่ตั้งใจ

    บริการที่ได้รับผลกระทบ
    Microsoft 365, Xbox, Minecraft, Outlook
    Google Cloud, Zoom, Starbucks, Capital One
    สายการบิน Alaska Airlines และ Hawaiian Airlines
    ธนาคารในสหราชอาณาจักร เช่น NatWest, Nationwide, RBS

    การแก้ไขของ Microsoft
    ย้อนกลับค่าคอนฟิกไปยังสถานะเดิม
    บล็อกการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดชั่วคราว
    แนะนำให้ใช้ Azure Traffic Manager เป็นทางเลือกในการ failover

    ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ
    ความล้มเหลวของ Azure ส่งผลกระทบถึง DNS และ CDN
    แสดงให้เห็นถึงช่องโหว่ด้านความยืดหยุ่นของโครงสร้างพื้นฐาน

    ความเสี่ยงจากการพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์เพียงเจ้าเดียว
    เมื่อระบบล่ม อาจกระทบบริการหลายล้านคนพร้อมกัน
    ธุรกิจที่ไม่มีแผนสำรองอาจสูญเสียรายได้มหาศาล

    การตั้งค่าระบบโดยไม่มีการตรวจสอบหลายชั้น
    การเปลี่ยนแปลงค่าคอนฟิกเพียงครั้งเดียวอาจสร้างผลกระทบระดับโลก
    ควรมีระบบตรวจสอบและจำลองผลก่อนใช้งานจริง

    https://www.tomshardware.com/news/live/aws-outage-strikes-again-colossal-internet-breakdown-strikes-again
    🌐💥 อินเทอร์เน็ตล่มทั่วโลก! Microsoft Azure ป่วนหนัก กระทบบริการนับสิบ เหตุการณ์ที่หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็น AWS ล่ม กลับกลายเป็นความผิดพลาดจาก Microsoft Azure ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อบริการออนไลน์ทั่วโลก ตั้งแต่ Xbox, Outlook, Google Cloud ไปจนถึงสายการบินและธนาคาร วันที่ 29 ตุลาคม 2025 เวลา 16:00 UTC Microsoft Azure เริ่มมีปัญหาที่ระบบ Azure Front Door (AFD) ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการจัดการทราฟฟิก ส่งผลให้ผู้ใช้งานไม่สามารถเข้าถึง Azure Portal และบริการอื่น ๆ ได้ตามปกติ ในช่วงแรก หลายคนเข้าใจว่า AWS เป็นต้นเหตุ เพราะ Downdetector แสดงสัญญาณผิดปกติคล้ายกับเหตุการณ์ AWS ล่มเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ในที่สุด Microsoft ก็ออกมายืนยันว่า Azure คือผู้ก่อเหตุครั้งนี้ ผลกระทบลุกลามไปทั่วโลก ทั้งในสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร บริการที่ได้รับผลกระทบมีทั้ง Microsoft 365, Xbox, Minecraft, Outlook, Google Cloud, Zoom, Starbucks, ธนาคาร และแม้แต่สายการบินอย่าง Alaska Airlines ที่ต้องให้ผู้โดยสารเช็กอินด้วยตนเองที่สนามบิน Microsoft ระบุว่า สาเหตุเกิดจากการเปลี่ยนแปลงค่าคอนฟิกโดยไม่ตั้งใจ และกำลังดำเนินการแก้ไขโดยการย้อนกลับไปใช้ค่าคอนฟิกเดิม พร้อมบล็อกการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดชั่วคราว เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันเดียวกับที่ Microsoft มีกำหนดจัดประชุมรายงานผลประกอบการประจำไตรมาส ยิ่งทำให้สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นไปอีก นี่คือบทเรียนสำคัญว่า “อินเทอร์เน็ตไม่ได้แข็งแกร่งเท่าที่เราคิด” และในโลกที่ทุกอย่างเชื่อมโยงกัน ความผิดพลาดเล็ก ๆ อาจกลายเป็นหายนะระดับโลกได้ในพริบตา ✅ Microsoft Azure ล่มทั่วโลกจากปัญหา Azure Front Door ➡️ เริ่มต้นเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2025 เวลา 16:00 UTC ➡️ ส่งผลให้บริการหลายตัวไม่สามารถเข้าถึงได้ ➡️ Microsoft ยืนยันว่าเป็นการเปลี่ยนค่าคอนฟิกโดยไม่ตั้งใจ ✅ บริการที่ได้รับผลกระทบ ➡️ Microsoft 365, Xbox, Minecraft, Outlook ➡️ Google Cloud, Zoom, Starbucks, Capital One ➡️ สายการบิน Alaska Airlines และ Hawaiian Airlines ➡️ ธนาคารในสหราชอาณาจักร เช่น NatWest, Nationwide, RBS ✅ การแก้ไขของ Microsoft ➡️ ย้อนกลับค่าคอนฟิกไปยังสถานะเดิม ➡️ บล็อกการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมดชั่วคราว ➡️ แนะนำให้ใช้ Azure Traffic Manager เป็นทางเลือกในการ failover ✅ ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ ความล้มเหลวของ Azure ส่งผลกระทบถึง DNS และ CDN ➡️ แสดงให้เห็นถึงช่องโหว่ด้านความยืดหยุ่นของโครงสร้างพื้นฐาน ‼️ ความเสี่ยงจากการพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์เพียงเจ้าเดียว ⛔ เมื่อระบบล่ม อาจกระทบบริการหลายล้านคนพร้อมกัน ⛔ ธุรกิจที่ไม่มีแผนสำรองอาจสูญเสียรายได้มหาศาล ‼️ การตั้งค่าระบบโดยไม่มีการตรวจสอบหลายชั้น ⛔ การเปลี่ยนแปลงค่าคอนฟิกเพียงครั้งเดียวอาจสร้างผลกระทบระดับโลก ⛔ ควรมีระบบตรวจสอบและจำลองผลก่อนใช้งานจริง https://www.tomshardware.com/news/live/aws-outage-strikes-again-colossal-internet-breakdown-strikes-again
    0 Comments 0 Shares 29 Views 0 Reviews
  • มติเอกฉันท์ 354 คะแนน พรรคเพื่อไทยเลือก "จุลพันธ์" นั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรคคนใหม่
    https://www.thai-tai.tv/news/22136/
    .
    #ไทยไท #จุลพันธ์อมรวิวัฒน์ #พรรคเพื่อไทย #หัวหน้าพรรคคนใหม่ #ประชุมใหญ่วิสามัญ

    มติเอกฉันท์ 354 คะแนน พรรคเพื่อไทยเลือก "จุลพันธ์" นั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรคคนใหม่ https://www.thai-tai.tv/news/22136/ . #ไทยไท #จุลพันธ์อมรวิวัฒน์ #พรรคเพื่อไทย #หัวหน้าพรรคคนใหม่ #ประชุมใหญ่วิสามัญ
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 Reviews
  • จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำพลังงานลมแห่งแรกของโลก!

    จีนสร้างศูนย์ข้อมูลใต้ทะเลลึก 35 เมตรนอกชายฝั่งเซี่ยงไฮ้ ใช้พลังงานลมและน้ำทะเลในการระบายความร้อน ตั้งเป้าเป็นต้นแบบโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ที่ประหยัดพลังงานและลดการใช้พื้นที่บนบก

    ในยุคที่ข้อมูลคือทุกสิ่ง จีนได้เปิดตัวโครงการที่พลิกโฉมวงการไอที: ศูนย์ข้อมูลใต้น้ำพลังงานลมแห่งแรกของโลก ตั้งอยู่ในพื้นที่พิเศษ Lin-gang ทางตอนใต้ของเซี่ยงไฮ้ โครงการนี้มีมูลค่ากว่า 226 ล้านดอลลาร์ และมีเป้าหมายสร้างศูนย์ข้อมูลขนาด 24 เมกะวัตต์ โดยเริ่มต้นแล้วที่ 2.3 เมกะวัตต์

    แนวคิดเบื้องหลังนั้นเรียบง่ายแต่ทรงพลัง: นำเซิร์ฟเวอร์ใส่แคปซูลกันน้ำ วางไว้ใต้ทะเล แล้วปล่อยให้ธรรมชาติช่วยระบายความร้อน ด้วยการใช้พลังงานลมจากทะเลและน้ำทะเลแทนเครื่องทำความเย็นแบบเดิม ทำให้ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (PUE) ต่ำกว่า 1.15 ซึ่งดีกว่าค่าเฉลี่ยของศูนย์ข้อมูลบนบก

    โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มรัฐวิสาหกิจจีนหลายแห่ง และมีแผนขยายเป็นเวอร์ชัน 500 เมกะวัตต์ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่: การซ่อมแซมหรืออัปเกรดฮาร์ดแวร์ในแคปซูลที่มีแรงดันสูงนั้นทั้งแพงและใช้เวลานาน

    แม้ Microsoft เคยทดลองแนวคิดคล้ายกันในโครงการ Natick แต่ก็ยุติไปเพราะต้นทุนและการบำรุงรักษาไม่คุ้มค่า จีนจึงต้องพิสูจน์ว่าแนวทางนี้จะยั่งยืนได้จริงในเชิงพาณิชย์

    จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำพลังงานลมแห่งแรกของโลก
    ตั้งอยู่ในพื้นที่ Lin-gang ใกล้เซี่ยงไฮ้
    ลึก 35 เมตรใต้ทะเล ใช้แคปซูลเหล็กเคลือบกันสนิม
    ใช้พลังงานลม 95% และน้ำทะเลในการระบายความร้อน
    PUE ต่ำกว่า 1.15 ดีกว่าค่ามาตรฐานของจีนที่ 1.25

    เป้าหมายและการขยายในอนาคต
    เริ่มต้นที่ 2.3 เมกะวัตต์ ตั้งเป้า 24 เมกะวัตต์
    มีแผนขยายเป็น 500 เมกะวัตต์ในพื้นที่นอกชายฝั่ง

    เทียบกับโครงการ Natick ของ Microsoft
    Natick มีความน่าเชื่อถือสูงถึง 8 เท่า แต่ไม่คุ้มทุน
    ถูกยุติและนำข้อมูลไปใช้ใน Azure

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cnina-deploys-wind-powered-underwater-data-center
    🌊⚡ จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำพลังงานลมแห่งแรกของโลก! จีนสร้างศูนย์ข้อมูลใต้ทะเลลึก 35 เมตรนอกชายฝั่งเซี่ยงไฮ้ ใช้พลังงานลมและน้ำทะเลในการระบายความร้อน ตั้งเป้าเป็นต้นแบบโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ที่ประหยัดพลังงานและลดการใช้พื้นที่บนบก ในยุคที่ข้อมูลคือทุกสิ่ง จีนได้เปิดตัวโครงการที่พลิกโฉมวงการไอที: ศูนย์ข้อมูลใต้น้ำพลังงานลมแห่งแรกของโลก ตั้งอยู่ในพื้นที่พิเศษ Lin-gang ทางตอนใต้ของเซี่ยงไฮ้ โครงการนี้มีมูลค่ากว่า 226 ล้านดอลลาร์ และมีเป้าหมายสร้างศูนย์ข้อมูลขนาด 24 เมกะวัตต์ โดยเริ่มต้นแล้วที่ 2.3 เมกะวัตต์ แนวคิดเบื้องหลังนั้นเรียบง่ายแต่ทรงพลัง: นำเซิร์ฟเวอร์ใส่แคปซูลกันน้ำ วางไว้ใต้ทะเล แล้วปล่อยให้ธรรมชาติช่วยระบายความร้อน ด้วยการใช้พลังงานลมจากทะเลและน้ำทะเลแทนเครื่องทำความเย็นแบบเดิม ทำให้ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (PUE) ต่ำกว่า 1.15 ซึ่งดีกว่าค่าเฉลี่ยของศูนย์ข้อมูลบนบก โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มรัฐวิสาหกิจจีนหลายแห่ง และมีแผนขยายเป็นเวอร์ชัน 500 เมกะวัตต์ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่: การซ่อมแซมหรืออัปเกรดฮาร์ดแวร์ในแคปซูลที่มีแรงดันสูงนั้นทั้งแพงและใช้เวลานาน แม้ Microsoft เคยทดลองแนวคิดคล้ายกันในโครงการ Natick แต่ก็ยุติไปเพราะต้นทุนและการบำรุงรักษาไม่คุ้มค่า จีนจึงต้องพิสูจน์ว่าแนวทางนี้จะยั่งยืนได้จริงในเชิงพาณิชย์ ✅ จีนเปิดตัวศูนย์ข้อมูลใต้น้ำพลังงานลมแห่งแรกของโลก ➡️ ตั้งอยู่ในพื้นที่ Lin-gang ใกล้เซี่ยงไฮ้ ➡️ ลึก 35 เมตรใต้ทะเล ใช้แคปซูลเหล็กเคลือบกันสนิม ➡️ ใช้พลังงานลม 95% และน้ำทะเลในการระบายความร้อน ➡️ PUE ต่ำกว่า 1.15 ดีกว่าค่ามาตรฐานของจีนที่ 1.25 ✅ เป้าหมายและการขยายในอนาคต ➡️ เริ่มต้นที่ 2.3 เมกะวัตต์ ตั้งเป้า 24 เมกะวัตต์ ➡️ มีแผนขยายเป็น 500 เมกะวัตต์ในพื้นที่นอกชายฝั่ง ✅ เทียบกับโครงการ Natick ของ Microsoft ➡️ Natick มีความน่าเชื่อถือสูงถึง 8 เท่า แต่ไม่คุ้มทุน ➡️ ถูกยุติและนำข้อมูลไปใช้ใน Azure https://www.tomshardware.com/tech-industry/cnina-deploys-wind-powered-underwater-data-center
    0 Comments 0 Shares 22 Views 0 Reviews
  • AI ช่วยชีวิตหลังความตาย: จากบิลโรงพยาบาล 195,000 เหลือ 33,000 ดอลลาร์

    ลองจินตนาการว่าคุณเพิ่งสูญเสียคนรักไป แล้วต้องเผชิญกับบิลค่ารักษาพยาบาลที่สูงถึง 195,000 ดอลลาร์สำหรับการดูแลเพียง 4 ชั่วโมงสุดท้ายใน ICU… นั่นคือสิ่งที่ครอบครัวหนึ่งในสหรัฐฯ ต้องเผชิญ แต่พวกเขาไม่ยอมแพ้ และหันไปหา Claude AI เพื่อช่วยตรวจสอบความถูกต้องของบิล และผลลัพธ์ก็พลิกชีวิต: ลดค่าใช้จ่ายลงเหลือเพียง 33,000 ดอลลาร์!

    Claude ไม่ได้แค่ช่วยคำนวณ แต่ยังกลายเป็น “นักสืบบัญชี” ที่ขุดเจอการคิดเงินซ้ำซ้อน การใช้รหัสผิดประเภท และการเรียกเก็บเงินที่ละเมิดข้อบังคับของ Medicare ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะโรงพยาบาลไม่แสดงรายละเอียดชัดเจนตั้งแต่แรก จนต้องใช้ AI เจาะลึกทีละบรรทัด

    เรื่องนี้สะท้อนถึงพลังของ AI ในการปกป้องสิทธิ์ของผู้บริโภค และเตือนให้เราระวังการเรียกเก็บเงินที่ไม่โปร่งใสจากสถานพยาบาล โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เปราะบางที่สุดของชีวิต

    Claude AI ช่วยครอบครัวลดบิลค่ารักษาพยาบาลจาก $195,000 เหลือ $33,000
    ใช้การวิเคราะห์รหัสการเรียกเก็บเงินทางการแพทย์อย่างละเอียด
    พบการคิดเงินซ้ำซ้อน เช่น คิดค่าหัตถการรวม และแยกรายการย่อยซ้ำอีก
    ตรวจพบการใช้รหัสผู้ป่วยในแทนรหัสฉุกเฉิน ซึ่งอาจละเมิดข้อบังคับ
    ช่วยเขียนจดหมายเจรจาและเตือนถึงการดำเนินคดีหรือผลกระทบทางสื่อ

    สาเหตุที่บิลสูงผิดปกติ
    ผู้ป่วยไม่มีประกันสุขภาพในช่วงเวลานั้น
    โรงพยาบาลไม่แสดงรายละเอียดรายการค่าใช้จ่ายอย่างโปร่งใส

    บทบาทของ AI ในการช่วยเหลือด้านการเงินและกฎหมาย
    Claude AI ทำหน้าที่คล้ายผู้ช่วยนักบัญชีและนักกฎหมาย
    ช่วยให้ผู้บริโภคเข้าใจระบบการเรียกเก็บเงินที่ซับซ้อน
    เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือวิกฤต

    คำเตือนเกี่ยวกับการเรียกเก็บเงินจากโรงพยาบาล
    บางโรงพยาบาลอาจใช้ช่องโหว่ทางระบบเพื่อเรียกเก็บเงินเกินจริง
    การไม่ตรวจสอบบิลอย่างละเอียดอาจทำให้เสียเงินจำนวนมากโดยไม่จำเป็น
    การไม่มีประกันสุขภาพอาจทำให้ต้องจ่ายเงินเต็มจำนวนโดยไม่มีการต่อรอง

    ความเสี่ยงจากการพึ่งพา AI โดยไม่ตรวจสอบ
    AI อาจให้คำแนะนำผิดพลาดหากข้อมูลไม่ครบถ้วน
    ควรใช้ AI เป็นเครื่องมือเสริม ไม่ใช่ตัวแทนการตัดสินใจทั้งหมด

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/grieving-family-uses-ai-chatbot-to-cut-hospital-bill-from-usd195-000-to-usd33-000-family-says-claude-highlighted-duplicative-charges-improper-coding-and-other-violations
    🧠💸 AI ช่วยชีวิตหลังความตาย: จากบิลโรงพยาบาล 195,000 เหลือ 33,000 ดอลลาร์ ลองจินตนาการว่าคุณเพิ่งสูญเสียคนรักไป แล้วต้องเผชิญกับบิลค่ารักษาพยาบาลที่สูงถึง 195,000 ดอลลาร์สำหรับการดูแลเพียง 4 ชั่วโมงสุดท้ายใน ICU… นั่นคือสิ่งที่ครอบครัวหนึ่งในสหรัฐฯ ต้องเผชิญ แต่พวกเขาไม่ยอมแพ้ และหันไปหา Claude AI เพื่อช่วยตรวจสอบความถูกต้องของบิล และผลลัพธ์ก็พลิกชีวิต: ลดค่าใช้จ่ายลงเหลือเพียง 33,000 ดอลลาร์! Claude ไม่ได้แค่ช่วยคำนวณ แต่ยังกลายเป็น “นักสืบบัญชี” ที่ขุดเจอการคิดเงินซ้ำซ้อน การใช้รหัสผิดประเภท และการเรียกเก็บเงินที่ละเมิดข้อบังคับของ Medicare ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะโรงพยาบาลไม่แสดงรายละเอียดชัดเจนตั้งแต่แรก จนต้องใช้ AI เจาะลึกทีละบรรทัด เรื่องนี้สะท้อนถึงพลังของ AI ในการปกป้องสิทธิ์ของผู้บริโภค และเตือนให้เราระวังการเรียกเก็บเงินที่ไม่โปร่งใสจากสถานพยาบาล โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เปราะบางที่สุดของชีวิต ✅ Claude AI ช่วยครอบครัวลดบิลค่ารักษาพยาบาลจาก $195,000 เหลือ $33,000 ➡️ ใช้การวิเคราะห์รหัสการเรียกเก็บเงินทางการแพทย์อย่างละเอียด ➡️ พบการคิดเงินซ้ำซ้อน เช่น คิดค่าหัตถการรวม และแยกรายการย่อยซ้ำอีก ➡️ ตรวจพบการใช้รหัสผู้ป่วยในแทนรหัสฉุกเฉิน ซึ่งอาจละเมิดข้อบังคับ ➡️ ช่วยเขียนจดหมายเจรจาและเตือนถึงการดำเนินคดีหรือผลกระทบทางสื่อ ✅ สาเหตุที่บิลสูงผิดปกติ ➡️ ผู้ป่วยไม่มีประกันสุขภาพในช่วงเวลานั้น ➡️ โรงพยาบาลไม่แสดงรายละเอียดรายการค่าใช้จ่ายอย่างโปร่งใส ✅ บทบาทของ AI ในการช่วยเหลือด้านการเงินและกฎหมาย ➡️ Claude AI ทำหน้าที่คล้ายผู้ช่วยนักบัญชีและนักกฎหมาย ➡️ ช่วยให้ผู้บริโภคเข้าใจระบบการเรียกเก็บเงินที่ซับซ้อน ➡️ เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือวิกฤต ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับการเรียกเก็บเงินจากโรงพยาบาล ⛔ บางโรงพยาบาลอาจใช้ช่องโหว่ทางระบบเพื่อเรียกเก็บเงินเกินจริง ⛔ การไม่ตรวจสอบบิลอย่างละเอียดอาจทำให้เสียเงินจำนวนมากโดยไม่จำเป็น ⛔ การไม่มีประกันสุขภาพอาจทำให้ต้องจ่ายเงินเต็มจำนวนโดยไม่มีการต่อรอง ‼️ ความเสี่ยงจากการพึ่งพา AI โดยไม่ตรวจสอบ ⛔ AI อาจให้คำแนะนำผิดพลาดหากข้อมูลไม่ครบถ้วน ⛔ ควรใช้ AI เป็นเครื่องมือเสริม ไม่ใช่ตัวแทนการตัดสินใจทั้งหมด https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/grieving-family-uses-ai-chatbot-to-cut-hospital-bill-from-usd195-000-to-usd33-000-family-says-claude-highlighted-duplicative-charges-improper-coding-and-other-violations
    0 Comments 0 Shares 29 Views 0 Reviews
  • โดรนจิ๋วเลียนแบบค้างคาว อาจเป็นฮีโร่ในภารกิจช่วยชีวิตกลางพายุและความมืด

    ในห้องทดลองที่ดูเหมือนฉากฮาโลวีน—มีหมอก ไฟสลัว และค้างคาวปลอม—นักวิจัยจาก Worcester Polytechnic Institute (WPI) กำลังพัฒนาโดรนขนาดเล็กที่อาจเปลี่ยนโลกของการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยในสถานการณ์สุดขั้ว เช่น พายุกลางคืน ควันไฟ หรือหิมะตกหนัก

    แรงบันดาลใจของพวกเขาคือ “ค้างคาว” สัตว์ที่สามารถบินในความมืดโดยใช้การสะท้อนเสียงหรือ echolocation นักวิจัยนำหลักการนี้มาสร้างโดรนที่ใช้เซนเซอร์อัลตราโซนิกคล้ายกับที่ใช้ในก๊อกน้ำอัตโนมัติ เพื่อส่งคลื่นเสียงและวิเคราะห์เสียงสะท้อนในการหลบหลีกสิ่งกีดขวาง

    โดรนจิ๋วนี้มีขนาดเท่าฝ่ามือ ใช้วัสดุราคาถูก และสามารถบินในที่มืดได้โดยไม่ต้องพึ่งแสงหรือกล้อง ทำให้เหมาะกับภารกิจช่วยชีวิตในสถานการณ์ที่โดรนทั่วไปใช้งานไม่ได้ เช่น ไฟไหม้กลางคืน หรือพื้นที่ที่ไม่มีไฟฟ้า

    นอกจากนั้น นักวิจัยยังใช้ AI เพื่อช่วยให้โดรนสามารถกรองเสียงรบกวนจากใบพัด และเรียนรู้การตีความเสียงสะท้อนอย่างแม่นยำมากขึ้น แม้ยังไม่สามารถเทียบชั้นกับค้างคาวที่สามารถตรวจจับเส้นผมมนุษย์จากระยะหลายเมตรได้ แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญ

    ในอนาคต โดรนเหล่านี้อาจทำงานเป็น “ฝูงอัตโนมัติ” ที่สามารถตัดสินใจเองว่าจะค้นหาตรงไหน โดยใช้ข้อมูลจากกรณีผู้สูญหายในอดีตมาสร้างแบบจำลองพฤติกรรมของผู้ประสบภัย

    โดรนจิ๋วเลียนแบบค้างคาวใช้ echolocation เพื่อบินในความมืด
    ใช้เซนเซอร์อัลตราโซนิกในการตรวจจับสิ่งกีดขวาง
    ไม่ต้องพึ่งกล้องหรือแสงไฟในการทำงาน
    เหมาะกับภารกิจช่วยชีวิตในพื้นที่มืดหรือมีควัน

    โดรนมีขนาดเล็ก ราคาถูก และประหยัดพลังงาน
    ใช้วัสดุระดับงานอดิเรกในการประกอบ
    สามารถบินในห้องที่มีหมอกและแสงน้อยได้อย่างแม่นยำ

    ใช้ AI เพื่อปรับปรุงการรับเสียงและการตัดสินใจ
    ลดเสียงรบกวนจากใบพัดด้วยเปลือกพิมพ์ 3D
    สอนให้โดรนแยกแยะเสียงสะท้อนที่สำคัญ

    นักวิจัยพัฒนาโมเดลการค้นหาจากข้อมูลผู้สูญหาย
    ใช้ข้อมูลพฤติกรรมของผู้หลงทางในป่าเพื่อกำหนดเส้นทางค้นหา
    โดรนสามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ในการค้นหาแบบอัตโนมัติ

    โดรนทั่วไปยังมีข้อจำกัดในการใช้งานในสถานการณ์สุดขั้ว
    ขนาดใหญ่ เทอะทะ และไม่สามารถบินในที่มืดหรือมีควันได้
    ต้องพึ่งพาการควบคุมจากมนุษย์และแสงไฟในการนำทาง

    การพัฒนาโดรนให้เทียบเท่าค้างคาวยังต้องใช้เวลา
    ค้างคาวสามารถกรองเสียงสะท้อนเฉพาะที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ
    ความสามารถในการตรวจจับของโดรนยังห่างไกลจากธรรมชาติ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/31/how-tiny-drones-inspired-by-bats-could-save-lives-in-dark-and-stormy-conditions
    🦇 โดรนจิ๋วเลียนแบบค้างคาว อาจเป็นฮีโร่ในภารกิจช่วยชีวิตกลางพายุและความมืด ในห้องทดลองที่ดูเหมือนฉากฮาโลวีน—มีหมอก ไฟสลัว และค้างคาวปลอม—นักวิจัยจาก Worcester Polytechnic Institute (WPI) กำลังพัฒนาโดรนขนาดเล็กที่อาจเปลี่ยนโลกของการค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยในสถานการณ์สุดขั้ว เช่น พายุกลางคืน ควันไฟ หรือหิมะตกหนัก แรงบันดาลใจของพวกเขาคือ “ค้างคาว” สัตว์ที่สามารถบินในความมืดโดยใช้การสะท้อนเสียงหรือ echolocation นักวิจัยนำหลักการนี้มาสร้างโดรนที่ใช้เซนเซอร์อัลตราโซนิกคล้ายกับที่ใช้ในก๊อกน้ำอัตโนมัติ เพื่อส่งคลื่นเสียงและวิเคราะห์เสียงสะท้อนในการหลบหลีกสิ่งกีดขวาง โดรนจิ๋วนี้มีขนาดเท่าฝ่ามือ ใช้วัสดุราคาถูก และสามารถบินในที่มืดได้โดยไม่ต้องพึ่งแสงหรือกล้อง ทำให้เหมาะกับภารกิจช่วยชีวิตในสถานการณ์ที่โดรนทั่วไปใช้งานไม่ได้ เช่น ไฟไหม้กลางคืน หรือพื้นที่ที่ไม่มีไฟฟ้า นอกจากนั้น นักวิจัยยังใช้ AI เพื่อช่วยให้โดรนสามารถกรองเสียงรบกวนจากใบพัด และเรียนรู้การตีความเสียงสะท้อนอย่างแม่นยำมากขึ้น แม้ยังไม่สามารถเทียบชั้นกับค้างคาวที่สามารถตรวจจับเส้นผมมนุษย์จากระยะหลายเมตรได้ แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญ ในอนาคต โดรนเหล่านี้อาจทำงานเป็น “ฝูงอัตโนมัติ” ที่สามารถตัดสินใจเองว่าจะค้นหาตรงไหน โดยใช้ข้อมูลจากกรณีผู้สูญหายในอดีตมาสร้างแบบจำลองพฤติกรรมของผู้ประสบภัย ✅ โดรนจิ๋วเลียนแบบค้างคาวใช้ echolocation เพื่อบินในความมืด ➡️ ใช้เซนเซอร์อัลตราโซนิกในการตรวจจับสิ่งกีดขวาง ➡️ ไม่ต้องพึ่งกล้องหรือแสงไฟในการทำงาน ➡️ เหมาะกับภารกิจช่วยชีวิตในพื้นที่มืดหรือมีควัน ✅ โดรนมีขนาดเล็ก ราคาถูก และประหยัดพลังงาน ➡️ ใช้วัสดุระดับงานอดิเรกในการประกอบ ➡️ สามารถบินในห้องที่มีหมอกและแสงน้อยได้อย่างแม่นยำ ✅ ใช้ AI เพื่อปรับปรุงการรับเสียงและการตัดสินใจ ➡️ ลดเสียงรบกวนจากใบพัดด้วยเปลือกพิมพ์ 3D ➡️ สอนให้โดรนแยกแยะเสียงสะท้อนที่สำคัญ ✅ นักวิจัยพัฒนาโมเดลการค้นหาจากข้อมูลผู้สูญหาย ➡️ ใช้ข้อมูลพฤติกรรมของผู้หลงทางในป่าเพื่อกำหนดเส้นทางค้นหา ➡️ โดรนสามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ในการค้นหาแบบอัตโนมัติ ‼️ โดรนทั่วไปยังมีข้อจำกัดในการใช้งานในสถานการณ์สุดขั้ว ⛔ ขนาดใหญ่ เทอะทะ และไม่สามารถบินในที่มืดหรือมีควันได้ ⛔ ต้องพึ่งพาการควบคุมจากมนุษย์และแสงไฟในการนำทาง ‼️ การพัฒนาโดรนให้เทียบเท่าค้างคาวยังต้องใช้เวลา ⛔ ค้างคาวสามารถกรองเสียงสะท้อนเฉพาะที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ ⛔ ความสามารถในการตรวจจับของโดรนยังห่างไกลจากธรรมชาติ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/31/how-tiny-drones-inspired-by-bats-could-save-lives-in-dark-and-stormy-conditions
    WWW.THESTAR.COM.MY
    How tiny drones inspired by bats could save lives in dark and stormy conditions
    Don't be fooled by the fog machine, spooky lights and fake bats: the robotics lab at Worcester Polytechnic Institute lab isn't hosting a Halloween party.
    0 Comments 0 Shares 24 Views 0 Reviews
  • Scameter เวอร์ชันใหม่ในฮ่องกง ใช้ AI ปราบมิจฉาชีพออนไลน์ได้ทันใจ

    ในยุคที่มิจฉาชีพออนไลน์แพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ฮ่องกงได้อัปเกรดแอป “Scameter” ให้กลายเป็นเครื่องมือปราบกลโกงยุคดิจิทัลที่ทรงพลังยิ่งขึ้น ด้วยการเสริมเทคโนโลยี AI เข้าไปในระบบ

    Scameter เดิมทีใช้ตรวจสอบเบอร์โทรและลิงก์ต้องสงสัย แต่เวอร์ชันใหม่สามารถวิเคราะห์ภาพหน้าจอจากแอปแชต เช่น WhatsApp, Facebook, Instagram และ Telegram ได้ทันที โดยใช้เทคโนโลยีอย่าง agentic AI, computer vision และ NLP เพื่อแยกแยะข้อความหลอกลวงจากของจริง

    ตำรวจฮ่องกงเผยว่า แม้จำนวนคดีหลอกลวงจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยในปี 2025 แต่ยอดความเสียหายยังสูงถึง 726 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยกลโกงที่พบบ่อยคือการขายบัตรคอนเสิร์ตปลอม, งานคลิกฟาร์มหลอกเงิน และการลงทุนปลอมในหุ้น

    นอกจากนี้ แอปยังสามารถอัปเดตฐานข้อมูลอัตโนมัติจากรายงานของผู้ใช้ และจัดอันดับกลโกงยอดฮิตแบบเรียลไทม์ ทำให้ประชาชนรู้ทันและหลีกเลี่ยงได้ง่ายขึ้น

    ที่น่าสนใจคือ ธนาคารกลางฮ่องกง (HKMA) ก็ร่วมมือกับตำรวจในการพัฒนาแพลตฟอร์มแชร์ข้อมูลระหว่างธนาคาร เพื่อป้องกันการฟอกเงินและการโอนเงินไปยังบัญชีต้องสงสัย โดยมีแผนให้ธนาคาร 28 แห่งเข้าร่วมครอบคลุมกว่า 90% ของบัญชีในประเทศ

    แอป Scameter เวอร์ชันใหม่ใช้ AI วิเคราะห์กลโกงบนโซเชียลมีเดีย
    รองรับการรายงานภาพหน้าจอจาก WhatsApp, Facebook, Instagram และ Telegram
    ใช้ agentic AI, computer vision และ NLP ในการตรวจจับข้อความหลอกลวง
    อัปเดตฐานข้อมูลอัตโนมัติจากรายงานของผู้ใช้

    ตำรวจฮ่องกงเผยสถิติการหลอกลวงในปี 2025
    จำนวนคดีเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 32,142 คดี
    ความเสียหายรวมกว่า 726 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
    กลโกงยอดฮิต: บัตรคอนเสิร์ตปลอม, คลิกฟาร์ม, หุ้นปลอม

    ธนาคารกลางฮ่องกงร่วมพัฒนาแพลตฟอร์มแชร์ข้อมูล
    ใช้ตรวจจับบัญชีต้องสงสัยและป้องกันการฟอกเงิน
    มีแผนให้ธนาคาร 28 แห่งเข้าร่วม ครอบคลุมกว่า 90% ของบัญชี

    กลโกงออนไลน์เปลี่ยนรูปแบบตามเทรนด์และเหตุการณ์
    มิจฉาชีพใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางหลักในการเข้าถึงเหยื่อ
    กลโกงใหม่ๆ เช่น งานคลิกฟาร์มและการลงทุนปลอมกำลังระบาด

    ผู้ใช้ที่ไม่รู้เท่าทันอาจตกเป็นเหยื่อได้ง่าย
    ขาดการตรวจสอบข้อมูลก่อนโอนเงินหรือซื้อสินค้า
    การไม่รายงานเหตุการณ์ทำให้กลโกงแพร่กระจายต่อไป

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/31/hong-kongs-scameter-app-gets-upgrade-ai-tools-to-tackle-social-media-scams
    👮‍♀️ Scameter เวอร์ชันใหม่ในฮ่องกง ใช้ AI ปราบมิจฉาชีพออนไลน์ได้ทันใจ ในยุคที่มิจฉาชีพออนไลน์แพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ฮ่องกงได้อัปเกรดแอป “Scameter” ให้กลายเป็นเครื่องมือปราบกลโกงยุคดิจิทัลที่ทรงพลังยิ่งขึ้น ด้วยการเสริมเทคโนโลยี AI เข้าไปในระบบ Scameter เดิมทีใช้ตรวจสอบเบอร์โทรและลิงก์ต้องสงสัย แต่เวอร์ชันใหม่สามารถวิเคราะห์ภาพหน้าจอจากแอปแชต เช่น WhatsApp, Facebook, Instagram และ Telegram ได้ทันที โดยใช้เทคโนโลยีอย่าง agentic AI, computer vision และ NLP เพื่อแยกแยะข้อความหลอกลวงจากของจริง ตำรวจฮ่องกงเผยว่า แม้จำนวนคดีหลอกลวงจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยในปี 2025 แต่ยอดความเสียหายยังสูงถึง 726 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยกลโกงที่พบบ่อยคือการขายบัตรคอนเสิร์ตปลอม, งานคลิกฟาร์มหลอกเงิน และการลงทุนปลอมในหุ้น นอกจากนี้ แอปยังสามารถอัปเดตฐานข้อมูลอัตโนมัติจากรายงานของผู้ใช้ และจัดอันดับกลโกงยอดฮิตแบบเรียลไทม์ ทำให้ประชาชนรู้ทันและหลีกเลี่ยงได้ง่ายขึ้น ที่น่าสนใจคือ ธนาคารกลางฮ่องกง (HKMA) ก็ร่วมมือกับตำรวจในการพัฒนาแพลตฟอร์มแชร์ข้อมูลระหว่างธนาคาร เพื่อป้องกันการฟอกเงินและการโอนเงินไปยังบัญชีต้องสงสัย โดยมีแผนให้ธนาคาร 28 แห่งเข้าร่วมครอบคลุมกว่า 90% ของบัญชีในประเทศ ✅ แอป Scameter เวอร์ชันใหม่ใช้ AI วิเคราะห์กลโกงบนโซเชียลมีเดีย ➡️ รองรับการรายงานภาพหน้าจอจาก WhatsApp, Facebook, Instagram และ Telegram ➡️ ใช้ agentic AI, computer vision และ NLP ในการตรวจจับข้อความหลอกลวง ➡️ อัปเดตฐานข้อมูลอัตโนมัติจากรายงานของผู้ใช้ ✅ ตำรวจฮ่องกงเผยสถิติการหลอกลวงในปี 2025 ➡️ จำนวนคดีเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 32,142 คดี ➡️ ความเสียหายรวมกว่า 726 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ➡️ กลโกงยอดฮิต: บัตรคอนเสิร์ตปลอม, คลิกฟาร์ม, หุ้นปลอม ✅ ธนาคารกลางฮ่องกงร่วมพัฒนาแพลตฟอร์มแชร์ข้อมูล ➡️ ใช้ตรวจจับบัญชีต้องสงสัยและป้องกันการฟอกเงิน ➡️ มีแผนให้ธนาคาร 28 แห่งเข้าร่วม ครอบคลุมกว่า 90% ของบัญชี ‼️ กลโกงออนไลน์เปลี่ยนรูปแบบตามเทรนด์และเหตุการณ์ ⛔ มิจฉาชีพใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางหลักในการเข้าถึงเหยื่อ ⛔ กลโกงใหม่ๆ เช่น งานคลิกฟาร์มและการลงทุนปลอมกำลังระบาด ‼️ ผู้ใช้ที่ไม่รู้เท่าทันอาจตกเป็นเหยื่อได้ง่าย ⛔ ขาดการตรวจสอบข้อมูลก่อนโอนเงินหรือซื้อสินค้า ⛔ การไม่รายงานเหตุการณ์ทำให้กลโกงแพร่กระจายต่อไป https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/31/hong-kongs-scameter-app-gets-upgrade-ai-tools-to-tackle-social-media-scams
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Hong Kong’s Scameter app gets upgrade, AI tools to tackle social media scams
    Online employment and investment scams are on the rise, despite police recording a marginal increase in swindling cases.
    0 Comments 0 Shares 26 Views 0 Reviews
  • “มาเลเซียผลักดันอาเซียนขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงสู่ไซเบอร์สเปซ”

    ที่ประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2025 กลายเป็นเวทีสำคัญที่มาเลเซียใช้เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกอาเซียนขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงจากทะเลไปสู่โลกไซเบอร์

    รัฐมนตรีกลาโหมมาเลเซีย นายโมฮัมหมัด คาเลด นอร์ดิน กล่าวเปิดประชุมว่า “ภัยคุกคามในยุคนี้ไม่จำกัดแค่พรมแดนหรือภูมิประเทศอีกต่อไป” พร้อมเตือนว่า การโจมตีทางไซเบอร์สามารถทำลายโครงสร้างพื้นฐาน ล้มรัฐบาล และสร้างความปั่นป่วนในสังคมได้ไม่แพ้ภัยทางทะเล

    การประชุมครั้งนี้ยังมีการหารือร่วมกับประเทศคู่เจรจา เช่น สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย โดยมีรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ และจีนเข้าร่วมด้วย

    นอกจากนี้ มาเลเซียยังเสนอให้จัดตั้งทีมสังเกตการณ์อาเซียนเพื่อช่วยเหลือไทยและกัมพูชาในการแก้ไขปัญหาชายแดน และย้ำถึงความมุ่งมั่นของอาเซียนในการผลักดันสันติภาพในเมียนมา ซึ่งยังเผชิญกับวิกฤติหลังรัฐประหารในปี 2021

    ในมุมที่น่าสนใจเพิ่มเติม โลกไซเบอร์กลายเป็นสนามรบใหม่ที่ไม่มีเส้นแบ่งพรมแดน และการโจมตีไม่จำเป็นต้องใช้กำลังทหาร แต่ใช้ “ข้อมูล” และ “ช่องโหว่” เป็นอาวุธ การร่วมมือระดับภูมิภาคจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยี AI และ IoT ทำให้ระบบต่างๆ เชื่อมโยงกันมากขึ้น

    มาเลเซียเสนอขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงจากทะเลสู่ไซเบอร์
    ภัยไซเบอร์สามารถทำลายโครงสร้างพื้นฐานและเสถียรภาพของประเทศ
    การโจมตีทางไซเบอร์มีผลกระทบเทียบเท่าการรุกรานทางทหาร
    มาเลเซียชี้ว่า “ภัยคุกคามวันนี้ไร้พรมแดน”

    การประชุมมีประเทศคู่เจรจาเข้าร่วมหลายชาติ
    สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย
    รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ และจีนเข้าร่วมประชุมโดยตรง

    มาเลเซียเสนอจัดตั้งทีมสังเกตการณ์อาเซียนช่วยไทย-กัมพูชา
    เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาชายแดนระหว่างสองประเทศ
    ข้อตกลงหยุดยิงได้รับการรับรองโดยผู้นำสหรัฐฯ และมาเลเซีย

    อาเซียนยังคงผลักดันสันติภาพในเมียนมา
    เรียกร้องให้เมียนมากลับสู่แนวทางตามฉันทามติ 5 ข้อ
    ผู้นำทหารเมียนมายังถูกกีดกันจากการประชุมอาเซียน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/31/malaysia-urges-asean-to-expand-defense-cooperation-in-cyberspace
    🛡️ “มาเลเซียผลักดันอาเซียนขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงสู่ไซเบอร์สเปซ” ที่ประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2025 กลายเป็นเวทีสำคัญที่มาเลเซียใช้เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกอาเซียนขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงจากทะเลไปสู่โลกไซเบอร์ รัฐมนตรีกลาโหมมาเลเซีย นายโมฮัมหมัด คาเลด นอร์ดิน กล่าวเปิดประชุมว่า “ภัยคุกคามในยุคนี้ไม่จำกัดแค่พรมแดนหรือภูมิประเทศอีกต่อไป” พร้อมเตือนว่า การโจมตีทางไซเบอร์สามารถทำลายโครงสร้างพื้นฐาน ล้มรัฐบาล และสร้างความปั่นป่วนในสังคมได้ไม่แพ้ภัยทางทะเล การประชุมครั้งนี้ยังมีการหารือร่วมกับประเทศคู่เจรจา เช่น สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย โดยมีรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ และจีนเข้าร่วมด้วย นอกจากนี้ มาเลเซียยังเสนอให้จัดตั้งทีมสังเกตการณ์อาเซียนเพื่อช่วยเหลือไทยและกัมพูชาในการแก้ไขปัญหาชายแดน และย้ำถึงความมุ่งมั่นของอาเซียนในการผลักดันสันติภาพในเมียนมา ซึ่งยังเผชิญกับวิกฤติหลังรัฐประหารในปี 2021 ในมุมที่น่าสนใจเพิ่มเติม โลกไซเบอร์กลายเป็นสนามรบใหม่ที่ไม่มีเส้นแบ่งพรมแดน และการโจมตีไม่จำเป็นต้องใช้กำลังทหาร แต่ใช้ “ข้อมูล” และ “ช่องโหว่” เป็นอาวุธ การร่วมมือระดับภูมิภาคจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยี AI และ IoT ทำให้ระบบต่างๆ เชื่อมโยงกันมากขึ้น ✅ มาเลเซียเสนอขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงจากทะเลสู่ไซเบอร์ ➡️ ภัยไซเบอร์สามารถทำลายโครงสร้างพื้นฐานและเสถียรภาพของประเทศ ➡️ การโจมตีทางไซเบอร์มีผลกระทบเทียบเท่าการรุกรานทางทหาร ➡️ มาเลเซียชี้ว่า “ภัยคุกคามวันนี้ไร้พรมแดน” ✅ การประชุมมีประเทศคู่เจรจาเข้าร่วมหลายชาติ ➡️ สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย ➡️ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ และจีนเข้าร่วมประชุมโดยตรง ✅ มาเลเซียเสนอจัดตั้งทีมสังเกตการณ์อาเซียนช่วยไทย-กัมพูชา ➡️ เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาชายแดนระหว่างสองประเทศ ➡️ ข้อตกลงหยุดยิงได้รับการรับรองโดยผู้นำสหรัฐฯ และมาเลเซีย ✅ อาเซียนยังคงผลักดันสันติภาพในเมียนมา ➡️ เรียกร้องให้เมียนมากลับสู่แนวทางตามฉันทามติ 5 ข้อ ➡️ ผู้นำทหารเมียนมายังถูกกีดกันจากการประชุมอาเซียน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/31/malaysia-urges-asean-to-expand-defense-cooperation-in-cyberspace
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Malaysia urges Asean to expand defense cooperation in cyberspace
    Malaysia called on Oct 31 for fellow members of the Association of South-East Asian Nations to extend their security partnerships from the high seas to cyberspace at an annual meeting of the bloc's defense ministers.
    0 Comments 0 Shares 27 Views 0 Reviews
  • “CISO ข้ามอุตสาหกรรมได้ไหม? ถอดรหัสทักษะที่ยืดหยุ่นและความเสี่ยงที่ต้องรู้”

    ลองจินตนาการว่าคุณเป็น CISO (Chief Information Security Officer) ที่มีประสบการณ์แน่นในสายงานไอทีขององค์กรขนาดใหญ่ วันหนึ่งคุณอยากเปลี่ยนไปทำงานในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น จากสายการเงินไปสายสุขภาพ หรือจากเทคโนโลยีไปค้าปลีก…ฟังดูง่ายใช่ไหม? แต่ในความเป็นจริง มันไม่ง่ายอย่างที่คิด

    หลายคนพบว่าการย้ายข้ามอุตสาหกรรมเป็นเรื่องยาก เพราะผู้บริหารและบริษัทมักมองว่าทักษะของ CISO นั้นเฉพาะเจาะจงกับอุตสาหกรรมเดิม เช่น ถ้าคุณเคยทำในสายธนาคาร ก็จะถูกมองว่าเหมาะกับงานในสายธนาคารเท่านั้น

    แต่ก็มีคนที่ทำได้สำเร็จ เช่น Marc Ashworth จาก First Bank ที่เคยผ่านงานในอุตสาหกรรมอวกาศ สุขภาพ และการเงิน เขาใช้ประสบการณ์จากการเป็นที่ปรึกษาในการสร้างทักษะที่ยืดหยุ่น และสามารถปรับตัวได้กับทุกบริบท

    Tim Youngblood อดีต CISO ของ Dell ก็เช่นกัน เขาเริ่มต้นจากการเป็นที่ปรึกษา KPMG ทำให้ได้สัมผัสกับหลายอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้น และเรียนรู้ว่า “หลักการด้านความปลอดภัยนั้นเหมือนกันทุกที่ ต่างกันแค่บริบท”

    นอกจากนี้ ยังมีคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการสรรหาบุคลากรว่า หากคุณไม่มีประสบการณ์ที่ปรึกษา ก็สามารถเริ่มจากการย้ายไปอุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างคล้ายกัน เช่น จากเภสัชกรรมไปสุขภาพ เพราะทั้งสองอยู่ในระบบที่มีการกำกับดูแลสูง

    สิ่งสำคัญคือ “การแสดงให้เห็นว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงในอุตสาหกรรมใหม่ และสามารถจัดการได้” เช่น Michael Meline ที่เคยเป็นตำรวจมาก่อน แล้วเปลี่ยนสายมาเป็นผู้บริหารด้านความปลอดภัยในธุรกิจการเงินและสุขภาพ โดยใช้หลักการบริหารความเสี่ยงเป็นแกนหลัก

    ทักษะที่ถ่ายโอนได้คือหัวใจของการเปลี่ยนอุตสาหกรรม
    การเป็นที่ปรึกษาให้หลายองค์กรช่วยสร้างความเข้าใจในหลายบริบท
    หลักการด้านความปลอดภัยมีความคล้ายกันในหลายอุตสาหกรรม
    การเข้าร่วมกลุ่ม ISACs (Information Sharing and Analysis Centers) ช่วยให้เข้าใจปัญหาเฉพาะของแต่ละอุตสาหกรรม
    การย้ายจากอุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างคล้ายกันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เช่น จากเภสัชกรรมไปสุขภาพ

    การแสดงผลลัพธ์ที่จับต้องได้ช่วยให้ผู้สรรหามองเห็นคุณค่า
    ต้องอธิบายให้ได้ว่าเคยทำอะไร มีผลกระทบอย่างไร และจะนำมาปรับใช้ในบริบทใหม่ได้อย่างไร
    การเข้าใจโครงสร้างองค์กรและภัยคุกคามเฉพาะของอุตสาหกรรมใหม่เป็นสิ่งจำเป็น

    ความเสี่ยงในการถูกมองว่า “เหมาะกับอุตสาหกรรมเดียว”
    อาจทำให้โอกาสในการเปลี่ยนสายงานลดลง
    ผู้บริหารบางคนยังยึดติดกับแนวคิด “อยู่ในสายไหนก็ต้องอยู่ในสายนั้น”

    การไม่เข้าใจความเสี่ยงเฉพาะของอุตสาหกรรมใหม่
    อาจทำให้ขาดความน่าเชื่อถือในการบริหารความปลอดภัย
    ส่งผลต่อการตัดสินใจรับเข้าทำงานในองค์กรใหม่

    ถ้าคุณกำลังคิดจะเปลี่ยนสายงานในระดับ CISO หรือผู้บริหารด้านความปลอดภัย ข้อคิดสำคัญคือ “อย่าขายแค่ตำแหน่งเดิม แต่ต้องขายผลลัพธ์และความเข้าใจในความเสี่ยง” แล้วคุณจะมีโอกาสข้ามอุตสาหกรรมได้อย่างมั่นใจ

    https://www.csoonline.com/article/4079956/tips-for-cisos-switching-between-industries.html
    🧭 “CISO ข้ามอุตสาหกรรมได้ไหม? ถอดรหัสทักษะที่ยืดหยุ่นและความเสี่ยงที่ต้องรู้” ลองจินตนาการว่าคุณเป็น CISO (Chief Information Security Officer) ที่มีประสบการณ์แน่นในสายงานไอทีขององค์กรขนาดใหญ่ วันหนึ่งคุณอยากเปลี่ยนไปทำงานในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น จากสายการเงินไปสายสุขภาพ หรือจากเทคโนโลยีไปค้าปลีก…ฟังดูง่ายใช่ไหม? แต่ในความเป็นจริง มันไม่ง่ายอย่างที่คิด หลายคนพบว่าการย้ายข้ามอุตสาหกรรมเป็นเรื่องยาก เพราะผู้บริหารและบริษัทมักมองว่าทักษะของ CISO นั้นเฉพาะเจาะจงกับอุตสาหกรรมเดิม เช่น ถ้าคุณเคยทำในสายธนาคาร ก็จะถูกมองว่าเหมาะกับงานในสายธนาคารเท่านั้น แต่ก็มีคนที่ทำได้สำเร็จ เช่น Marc Ashworth จาก First Bank ที่เคยผ่านงานในอุตสาหกรรมอวกาศ สุขภาพ และการเงิน เขาใช้ประสบการณ์จากการเป็นที่ปรึกษาในการสร้างทักษะที่ยืดหยุ่น และสามารถปรับตัวได้กับทุกบริบท Tim Youngblood อดีต CISO ของ Dell ก็เช่นกัน เขาเริ่มต้นจากการเป็นที่ปรึกษา KPMG ทำให้ได้สัมผัสกับหลายอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้น และเรียนรู้ว่า “หลักการด้านความปลอดภัยนั้นเหมือนกันทุกที่ ต่างกันแค่บริบท” นอกจากนี้ ยังมีคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการสรรหาบุคลากรว่า หากคุณไม่มีประสบการณ์ที่ปรึกษา ก็สามารถเริ่มจากการย้ายไปอุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างคล้ายกัน เช่น จากเภสัชกรรมไปสุขภาพ เพราะทั้งสองอยู่ในระบบที่มีการกำกับดูแลสูง สิ่งสำคัญคือ “การแสดงให้เห็นว่าคุณเข้าใจความเสี่ยงในอุตสาหกรรมใหม่ และสามารถจัดการได้” เช่น Michael Meline ที่เคยเป็นตำรวจมาก่อน แล้วเปลี่ยนสายมาเป็นผู้บริหารด้านความปลอดภัยในธุรกิจการเงินและสุขภาพ โดยใช้หลักการบริหารความเสี่ยงเป็นแกนหลัก ✅ ทักษะที่ถ่ายโอนได้คือหัวใจของการเปลี่ยนอุตสาหกรรม ➡️ การเป็นที่ปรึกษาให้หลายองค์กรช่วยสร้างความเข้าใจในหลายบริบท ➡️ หลักการด้านความปลอดภัยมีความคล้ายกันในหลายอุตสาหกรรม ➡️ การเข้าร่วมกลุ่ม ISACs (Information Sharing and Analysis Centers) ช่วยให้เข้าใจปัญหาเฉพาะของแต่ละอุตสาหกรรม ➡️ การย้ายจากอุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างคล้ายกันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เช่น จากเภสัชกรรมไปสุขภาพ ✅ การแสดงผลลัพธ์ที่จับต้องได้ช่วยให้ผู้สรรหามองเห็นคุณค่า ➡️ ต้องอธิบายให้ได้ว่าเคยทำอะไร มีผลกระทบอย่างไร และจะนำมาปรับใช้ในบริบทใหม่ได้อย่างไร ➡️ การเข้าใจโครงสร้างองค์กรและภัยคุกคามเฉพาะของอุตสาหกรรมใหม่เป็นสิ่งจำเป็น ‼️ ความเสี่ยงในการถูกมองว่า “เหมาะกับอุตสาหกรรมเดียว” ⛔ อาจทำให้โอกาสในการเปลี่ยนสายงานลดลง ⛔ ผู้บริหารบางคนยังยึดติดกับแนวคิด “อยู่ในสายไหนก็ต้องอยู่ในสายนั้น” ‼️ การไม่เข้าใจความเสี่ยงเฉพาะของอุตสาหกรรมใหม่ ⛔ อาจทำให้ขาดความน่าเชื่อถือในการบริหารความปลอดภัย ⛔ ส่งผลต่อการตัดสินใจรับเข้าทำงานในองค์กรใหม่ ถ้าคุณกำลังคิดจะเปลี่ยนสายงานในระดับ CISO หรือผู้บริหารด้านความปลอดภัย ข้อคิดสำคัญคือ “อย่าขายแค่ตำแหน่งเดิม แต่ต้องขายผลลัพธ์และความเข้าใจในความเสี่ยง” แล้วคุณจะมีโอกาสข้ามอุตสาหกรรมได้อย่างมั่นใจ 💼✨ https://www.csoonline.com/article/4079956/tips-for-cisos-switching-between-industries.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Tips for CISOs switching between industries
    Moving between industries isn’t just about experience, it’s about transferring skills, understanding the business, and managing risk in new environments.
    0 Comments 0 Shares 20 Views 0 Reviews
  • ความร่วมมือระดับโลก คณบดีแพทย์วชิระ นำคณะเยี่ยมชมศูนย์ฝึกอบรมสถานการณ์จำลองทางคลินิก (V-sim)
    https://www.thai-tai.tv/news/22135/
    .
    #ไทยไท #วชิรพยาบาล #USF #สาธารณสุข #ความร่วมมือระหว่างประเทศ #V-sim
    ความร่วมมือระดับโลก คณบดีแพทย์วชิระ นำคณะเยี่ยมชมศูนย์ฝึกอบรมสถานการณ์จำลองทางคลินิก (V-sim) https://www.thai-tai.tv/news/22135/ . #ไทยไท #วชิรพยาบาล #USF #สาธารณสุข #ความร่วมมือระหว่างประเทศ #V-sim
    0 Comments 0 Shares 10 Views 0 Reviews
  • แคลิฟอร์เนียออกกฎหมายใหม่! ห้ามใช้ “อุปกรณ์หลอกระบบขับขี่อัตโนมัติ” — ป้องกันอุบัติเหตุจากการแฮกเทคโนโลยีรถ

    รัฐแคลิฟอร์เนียประกาศใช้กฎหมาย Senate Bill 1313 อย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 เพื่อห้ามการใช้ “defeat devices” — อุปกรณ์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อหลอกระบบตรวจสอบผู้ขับขี่ในรถยนต์ที่มีระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 2 เช่น Tesla Autopilot และ Ford BlueCruise

    อุปกรณ์เหล่านี้ เช่น ถ่วงพวงมาลัยหรือบังกล้องตรวจจับใบหน้า ถูกใช้เพื่อหลอกให้รถคิดว่าผู้ขับขี่ยังมีส่วนร่วมอยู่ ทั้งที่จริงแล้วไม่มีใครจับพวงมาลัยหรือมองถนนเลย ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุอย่างมาก

    กฎหมายใหม่ไม่เพียงห้ามการใช้งาน แต่ยังครอบคลุมถึงการผลิต โฆษณา และจำหน่ายอุปกรณ์เหล่านี้ด้วย โดยมีบทลงโทษเป็น “infraction” หรือความผิดเล็กน้อย แต่ถือเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่าแคลิฟอร์เนียเอาจริงกับความปลอดภัยบนท้องถนน

    อย่างไรก็ตาม กฎหมายก็มีข้อยกเว้นบางกรณี เช่น:
    การใช้เพื่อการซ่อมแซมรถยนต์ตามมาตรฐานความปลอดภัยของผู้ผลิต
    การใช้งานที่จำเป็นตามกฎหมาย Americans with Disabilities Act เพื่อช่วยผู้ขับขี่ที่มีความพิการ

    กฎหมายใหม่ของรัฐแคลิฟอร์เนีย
    ห้ามใช้อุปกรณ์ที่หลอกระบบตรวจสอบผู้ขับขี่ (DMS)
    ครอบคลุมการผลิต จำหน่าย และโฆษณา defeat devices
    ใช้กับรถที่มีระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 2 เช่น Tesla และ Ford

    ตัวอย่างอุปกรณ์ที่ถูกห้าม
    ถ่วงพวงมาลัยเพื่อหลอกว่ามีมือจับ
    บังกล้องตรวจจับใบหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงการเตือน

    ข้อยกเว้นตามกฎหมาย
    ใช้เพื่อการซ่อมแซมตามมาตรฐานผู้ผลิต
    ใช้เพื่อช่วยเหลือผู้ขับขี่ที่มีความพิการตาม ADA

    https://www.slashgear.com/2011751/california-self-driving-car-defeat-device-ban/
    🚗 แคลิฟอร์เนียออกกฎหมายใหม่! ห้ามใช้ “อุปกรณ์หลอกระบบขับขี่อัตโนมัติ” — ป้องกันอุบัติเหตุจากการแฮกเทคโนโลยีรถ รัฐแคลิฟอร์เนียประกาศใช้กฎหมาย Senate Bill 1313 อย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2025 เพื่อห้ามการใช้ “defeat devices” — อุปกรณ์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อหลอกระบบตรวจสอบผู้ขับขี่ในรถยนต์ที่มีระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 2 เช่น Tesla Autopilot และ Ford BlueCruise อุปกรณ์เหล่านี้ เช่น ถ่วงพวงมาลัยหรือบังกล้องตรวจจับใบหน้า ถูกใช้เพื่อหลอกให้รถคิดว่าผู้ขับขี่ยังมีส่วนร่วมอยู่ ทั้งที่จริงแล้วไม่มีใครจับพวงมาลัยหรือมองถนนเลย ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุอย่างมาก กฎหมายใหม่ไม่เพียงห้ามการใช้งาน แต่ยังครอบคลุมถึงการผลิต โฆษณา และจำหน่ายอุปกรณ์เหล่านี้ด้วย โดยมีบทลงโทษเป็น “infraction” หรือความผิดเล็กน้อย แต่ถือเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่าแคลิฟอร์เนียเอาจริงกับความปลอดภัยบนท้องถนน 📜 อย่างไรก็ตาม กฎหมายก็มีข้อยกเว้นบางกรณี เช่น: 💠 การใช้เพื่อการซ่อมแซมรถยนต์ตามมาตรฐานความปลอดภัยของผู้ผลิต 💠 การใช้งานที่จำเป็นตามกฎหมาย Americans with Disabilities Act เพื่อช่วยผู้ขับขี่ที่มีความพิการ ✅ กฎหมายใหม่ของรัฐแคลิฟอร์เนีย ➡️ ห้ามใช้อุปกรณ์ที่หลอกระบบตรวจสอบผู้ขับขี่ (DMS) ➡️ ครอบคลุมการผลิต จำหน่าย และโฆษณา defeat devices ➡️ ใช้กับรถที่มีระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 2 เช่น Tesla และ Ford ✅ ตัวอย่างอุปกรณ์ที่ถูกห้าม ➡️ ถ่วงพวงมาลัยเพื่อหลอกว่ามีมือจับ ➡️ บังกล้องตรวจจับใบหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงการเตือน ✅ ข้อยกเว้นตามกฎหมาย ➡️ ใช้เพื่อการซ่อมแซมตามมาตรฐานผู้ผลิต ➡️ ใช้เพื่อช่วยเหลือผู้ขับขี่ที่มีความพิการตาม ADA https://www.slashgear.com/2011751/california-self-driving-car-defeat-device-ban/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    California Is Cracking Down On People Using Hacks To Create Their Own 'Self-Driving' Cars - SlashGear
    California passed Senate Bill 1313 in September 2025 to ban the use and sale of devices that disable or interfere with cars' driver monitoring systems.
    0 Comments 0 Shares 19 Views 0 Reviews
  • “UFO ไม่ได้มาจากเทคโนโลยีล้ำยุค” — ทฤษฎีใหม่จากนักวิทยาศาสตร์ NASA ที่พลิกความเชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาว

    นักวิจัยจาก NASA ชื่อ Robin Corbet ได้เสนอทฤษฎีใหม่ที่อาจเปลี่ยนวิธีที่เรามองหามนุษย์ต่างดาวไปตลอดกาล โดยเขาอธิบายว่าเทคโนโลยีของสิ่งมีชีวิตนอกโลกอาจไม่ได้ล้ำหน้าอย่างที่เราคิด — พวกเขาอาจมีแค่ “iPhone 42” ในขณะที่เราใช้ “iPhone 17” เท่านั้น

    ทฤษฎีนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของ Fermi Paradox ซึ่งตั้งคำถามว่า “ถ้ามีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาในจักรวาล ทำไมเรายังไม่เจอ?” Corbet เสนอว่าอารยธรรมต่างดาวอาจถึงจุดอิ่มตัวทางเทคโนโลยีแล้ว — พวกเขาไม่สามารถพัฒนาไปไกลกว่านี้ได้เพราะข้อจำกัดทางฟิสิกส์ เช่น:

    ไม่สามารถเดินทางเร็วกว่าแสง
    ไม่สามารถสร้างเทคโนโลยี teleportation หรือ Dyson sphere ได้จริง

    นอกจากนี้ เขายังเสนอว่าอารยธรรมเหล่านี้อาจ “เบื่อ” กับการสำรวจอวกาศ เพราะหลังจากส่งยานไปหลายพันระบบดาวแล้วก็พบว่าไม่มีข้อมูลใหม่ที่น่าตื่นเต้นกลับมา จึงหยุดสำรวจไปเอง

    ดังนั้น Corbet แนะนำว่าเราควรเปลี่ยนเป้าหมายในการค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลก — จากการมองหาสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมา มาเป็นการฟัง “สัญญาณรั่ว” เช่นคลื่นวิทยุหรือทีวีที่หลุดออกจากดาวของพวกเขา เหมือนที่โลกเราก็ปล่อยสัญญาณเหล่านี้ออกไปโดยไม่ตั้งใจ

    ทฤษฎีใหม่: เทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาวอาจไม่ล้ำหน้า
    อาจมีแค่ “iPhone 42” เทียบกับ “iPhone 17” ของเรา
    มีข้อจำกัดทางฟิสิกส์ที่ทำให้ไม่สามารถพัฒนาได้ต่อ
    ไม่สามารถสร้าง Dyson sphere หรือเดินทางเร็วกว่าแสง

    พฤติกรรมของอารยธรรมต่างดาว
    อาจหยุดสำรวจอวกาศเพราะ “เบื่อ”
    หลังจากส่งยานไปหลายพันระบบแล้วไม่พบสิ่งใหม่
    ไม่สร้าง beacon หรือสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่เพราะเปลืองพลังงาน

    แนวทางใหม่ในการค้นหาสิ่งมีชีวิต
    ควรฟัง “leakage radiation” เช่นคลื่นวิทยุหรือทีวี
    ใช้เครื่องมืออย่าง Square Kilometre Array (SKA) เพื่อฟังสัญญาณจากดาวอื่น
    เปลี่ยนจากการมองหาสิ่งมหัศจรรย์ มาเป็นการฟังเพื่อนบ้านที่อาจ “ติดอยู่” เหมือนเรา

    https://www.slashgear.com/2007526/ufo-aliens-no-advanced-technology-theory/
    👽 “UFO ไม่ได้มาจากเทคโนโลยีล้ำยุค” — ทฤษฎีใหม่จากนักวิทยาศาสตร์ NASA ที่พลิกความเชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาว นักวิจัยจาก NASA ชื่อ Robin Corbet ได้เสนอทฤษฎีใหม่ที่อาจเปลี่ยนวิธีที่เรามองหามนุษย์ต่างดาวไปตลอดกาล โดยเขาอธิบายว่าเทคโนโลยีของสิ่งมีชีวิตนอกโลกอาจไม่ได้ล้ำหน้าอย่างที่เราคิด — พวกเขาอาจมีแค่ “iPhone 42” ในขณะที่เราใช้ “iPhone 17” เท่านั้น ทฤษฎีนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของ Fermi Paradox ซึ่งตั้งคำถามว่า “ถ้ามีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาในจักรวาล ทำไมเรายังไม่เจอ?” Corbet เสนอว่าอารยธรรมต่างดาวอาจถึงจุดอิ่มตัวทางเทคโนโลยีแล้ว — พวกเขาไม่สามารถพัฒนาไปไกลกว่านี้ได้เพราะข้อจำกัดทางฟิสิกส์ เช่น: 💠 ไม่สามารถเดินทางเร็วกว่าแสง 💠 ไม่สามารถสร้างเทคโนโลยี teleportation หรือ Dyson sphere ได้จริง นอกจากนี้ เขายังเสนอว่าอารยธรรมเหล่านี้อาจ “เบื่อ” กับการสำรวจอวกาศ เพราะหลังจากส่งยานไปหลายพันระบบดาวแล้วก็พบว่าไม่มีข้อมูลใหม่ที่น่าตื่นเต้นกลับมา จึงหยุดสำรวจไปเอง 📡 ดังนั้น Corbet แนะนำว่าเราควรเปลี่ยนเป้าหมายในการค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลก — จากการมองหาสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมา มาเป็นการฟัง “สัญญาณรั่ว” เช่นคลื่นวิทยุหรือทีวีที่หลุดออกจากดาวของพวกเขา เหมือนที่โลกเราก็ปล่อยสัญญาณเหล่านี้ออกไปโดยไม่ตั้งใจ ✅ ทฤษฎีใหม่: เทคโนโลยีของมนุษย์ต่างดาวอาจไม่ล้ำหน้า ➡️ อาจมีแค่ “iPhone 42” เทียบกับ “iPhone 17” ของเรา ➡️ มีข้อจำกัดทางฟิสิกส์ที่ทำให้ไม่สามารถพัฒนาได้ต่อ ➡️ ไม่สามารถสร้าง Dyson sphere หรือเดินทางเร็วกว่าแสง ✅ พฤติกรรมของอารยธรรมต่างดาว ➡️ อาจหยุดสำรวจอวกาศเพราะ “เบื่อ” ➡️ หลังจากส่งยานไปหลายพันระบบแล้วไม่พบสิ่งใหม่ ➡️ ไม่สร้าง beacon หรือสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่เพราะเปลืองพลังงาน ✅ แนวทางใหม่ในการค้นหาสิ่งมีชีวิต ➡️ ควรฟัง “leakage radiation” เช่นคลื่นวิทยุหรือทีวี ➡️ ใช้เครื่องมืออย่าง Square Kilometre Array (SKA) เพื่อฟังสัญญาณจากดาวอื่น ➡️ เปลี่ยนจากการมองหาสิ่งมหัศจรรย์ มาเป็นการฟังเพื่อนบ้านที่อาจ “ติดอยู่” เหมือนเรา https://www.slashgear.com/2007526/ufo-aliens-no-advanced-technology-theory/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Sorry, UFO Fans: New Theory Says Alien Tech Isn't That Advanced - SlashGear
    Unfortunately for those hoping to be abducted, a new theory posits that aliens probably aren't as smart or technologically advanced as we hope they are.
    0 Comments 0 Shares 20 Views 0 Reviews
  • “987654321 / 123456789 ≈ 8” — เมื่อเลขเรียงกลายเป็นเวทมนตร์ทางคณิตศาสตร์

    John D. Cook ได้หยิบยกตัวเลขที่ดูธรรมดาอย่าง 987654321 และ 123456789 มาหารกัน แล้วพบว่าได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับเลข 8 อย่างน่าทึ่ง — คือ 8.0000000729 ซึ่งนำไปสู่การตั้งคำถามว่า “มีอะไรพิเศษในเลขฐาน 10 หรือไม่?”

    ลองจินตนาการว่าคุณเอาตัวเลขที่เรียงจากมากไปน้อย (9 ถึง 1) มาหารด้วยตัวเลขที่เรียงจากน้อยไปมาก (1 ถึง 9) แล้วได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับจำนวนเต็ม — นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลจากโครงสร้างของเลขในแต่ละฐาน

    Cook ทดลองกับเลขในฐานอื่น เช่น:
    ฐาน 6: 54321₆ / 12345₆ ≈ 4.00268
    ฐาน 16: 0xFEDCBA987654321 / 0x123456789ABCDEF ≈ 14

    จากนั้นเขาสร้างสูตรทั่วไปโดยนิยาม:
    num(b): ตัวเลขที่เรียงจากมากไปน้อยในฐาน b
    denom(b): ตัวเลขที่เรียงจากน้อยไปมากในฐาน b

    ผลลัพธ์คือ:
    num(b) / denom(b) ≈ b − 2 + (b − 1)³ / bᵇ

    ซึ่งหมายความว่าในทุกฐาน b > 2 การหารตัวเลขเรียงกลับกับเรียงตรงจะให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับ b − 2 เสมอ และเศษส่วนที่เหลือจะเล็กมาก — เล็กจน floating point ในคอมพิวเตอร์อาจมองไม่เห็น!

    การทดลองตัวเลขเรียงในฐาน 10
    987654321 / 123456789 ≈ 8.0000000729
    ใกล้เคียงกับ 8 + 9³ / 10¹⁰

    การทดลองในฐานอื่น
    ฐาน 6: ผลลัพธ์ ≈ 4.00268
    ฐาน 16: ผลลัพธ์ ≈ 14

    นิยามทั่วไปของตัวเลขเรียง
    num(b): ตัวเลขเรียงจากมากไปน้อยในฐาน b
    denom(b): ตัวเลขเรียงจากน้อยไปมากในฐาน b

    สูตรประมาณค่า
    num(b) / denom(b) ≈ b − 2 + (b − 1)³ / bᵇ
    เศษส่วนที่เหลือ ≈ 1 / bᵇ⁻²

    การพิสูจน์ด้วย Python
    ใช้การคำนวณเชิงโปรแกรมแทนการพิสูจน์ทางคณิตศาสตร์
    ตรวจสอบความถูกต้องของสูตรในฐานตั้งแต่ 3 ถึง 1000

    คำเตือนสำหรับการใช้ floating point
    floating point มีความแม่นยำจำกัด (53 bits)
    อาจมองไม่เห็นเศษส่วนเล็กมากในผลลัพธ์

    https://www.johndcook.com/blog/2025/10/26/987654321/
    🔢 “987654321 / 123456789 ≈ 8” — เมื่อเลขเรียงกลายเป็นเวทมนตร์ทางคณิตศาสตร์ John D. Cook ได้หยิบยกตัวเลขที่ดูธรรมดาอย่าง 987654321 และ 123456789 มาหารกัน แล้วพบว่าได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับเลข 8 อย่างน่าทึ่ง — คือ 8.0000000729 ซึ่งนำไปสู่การตั้งคำถามว่า “มีอะไรพิเศษในเลขฐาน 10 หรือไม่?” ลองจินตนาการว่าคุณเอาตัวเลขที่เรียงจากมากไปน้อย (9 ถึง 1) มาหารด้วยตัวเลขที่เรียงจากน้อยไปมาก (1 ถึง 9) แล้วได้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับจำนวนเต็ม — นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลจากโครงสร้างของเลขในแต่ละฐาน Cook ทดลองกับเลขในฐานอื่น เช่น: 📍 ฐาน 6: 54321₆ / 12345₆ ≈ 4.00268 📍 ฐาน 16: 0xFEDCBA987654321 / 0x123456789ABCDEF ≈ 14 จากนั้นเขาสร้างสูตรทั่วไปโดยนิยาม: 📍 num(b): ตัวเลขที่เรียงจากมากไปน้อยในฐาน b 📍 denom(b): ตัวเลขที่เรียงจากน้อยไปมากในฐาน b ผลลัพธ์คือ: 📍 num(b) / denom(b) ≈ b − 2 + (b − 1)³ / bᵇ ซึ่งหมายความว่าในทุกฐาน b > 2 การหารตัวเลขเรียงกลับกับเรียงตรงจะให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับ b − 2 เสมอ และเศษส่วนที่เหลือจะเล็กมาก — เล็กจน floating point ในคอมพิวเตอร์อาจมองไม่เห็น! ✅ การทดลองตัวเลขเรียงในฐาน 10 ➡️ 987654321 / 123456789 ≈ 8.0000000729 ➡️ ใกล้เคียงกับ 8 + 9³ / 10¹⁰ ✅ การทดลองในฐานอื่น ➡️ ฐาน 6: ผลลัพธ์ ≈ 4.00268 ➡️ ฐาน 16: ผลลัพธ์ ≈ 14 ✅ นิยามทั่วไปของตัวเลขเรียง ➡️ num(b): ตัวเลขเรียงจากมากไปน้อยในฐาน b ➡️ denom(b): ตัวเลขเรียงจากน้อยไปมากในฐาน b ✅ สูตรประมาณค่า ➡️ num(b) / denom(b) ≈ b − 2 + (b − 1)³ / bᵇ ➡️ เศษส่วนที่เหลือ ≈ 1 / bᵇ⁻² ✅ การพิสูจน์ด้วย Python ➡️ ใช้การคำนวณเชิงโปรแกรมแทนการพิสูจน์ทางคณิตศาสตร์ ➡️ ตรวจสอบความถูกต้องของสูตรในฐานตั้งแต่ 3 ถึง 1000 ‼️ คำเตือนสำหรับการใช้ floating point ⛔ floating point มีความแม่นยำจำกัด (53 bits) ⛔ อาจมองไม่เห็นเศษส่วนเล็กมากในผลลัพธ์ https://www.johndcook.com/blog/2025/10/26/987654321/
    0 Comments 0 Shares 17 Views 0 Reviews
  • จีนเพิ่มพื้นที่ป่าเท่ารัฐเท็กซัส! ความหวังใหม่ท่ามกลางวิกฤตการสูญเสียป่าทั่วโลก

    ในขณะที่โลกยังคงสูญเสียพื้นที่ป่าราว 20 ล้านเอเคอร์ต่อปี โดยเฉพาะในเขตร้อนอย่างบราซิล อินโดนีเซีย และคองโก จีนกลับกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่สวนกระแส ด้วยการเพิ่มพื้นที่ป่ากว่า 173 ล้านเอเคอร์ ตั้งแต่ปี 1990 — เทียบเท่าขนาดของรัฐเท็กซัสเลยทีเดียว!

    เล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่าย จีนใช้กลยุทธ์ปลูกป่าอย่างเข้มข้นเพื่อรับมือกับการขยายตัวของทะเลทราย เช่น ทะเลทรายทาคลามากันและโกบี โดยโครงการปลูกต้นไม้รอบทะเลทรายเหล่านี้เริ่มตั้งแต่ปี 1978 และยังคงดำเนินต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

    แม้จะมีไฟป่าและภัยแล้งที่ทำลายป่าในบางพื้นที่ แต่โดยรวมแล้ว จีน อินเดีย รัสเซีย และประเทศร่ำรวยอื่น ๆ กลับมีแนวโน้มเพิ่มพื้นที่ป่า เนื่องจากการทำเกษตรมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ไม่ต้องขยายพื้นที่เพาะปลูกเหมือนในอดีต

    จีนเพิ่มพื้นที่ป่ามากที่สุดในโลกตั้งแต่ปี 1990
    เพิ่มขึ้นกว่า 173 ล้านเอเคอร์
    ปลูกต้นไม้กว่า 120 ล้านเอเคอร์เพื่อสกัดการขยายตัวของทะเลทราย
    โครงการปลูกป่ารอบทะเลทรายทาคลามากันเสร็จสิ้นในปี 2024
    โครงการรอบทะเลทรายโกบียังดำเนินอยู่

    ประเทศอื่นที่มีแนวโน้มเพิ่มพื้นที่ป่า
    รัสเซียเพิ่มขึ้น 52 ล้านเอเคอร์
    อินเดียเพิ่มขึ้น 22 ล้านเอเคอร์
    แคนาดาเพิ่มขึ้น 20 ล้านเอเคอร์
    สหรัฐฯ และยุโรปมีการฟื้นตัวของป่าเช่นกัน

    สาเหตุหลักของการสูญเสียป่าในโลก
    การแผ้วถางเพื่อเกษตรและปศุสัตว์
    ไฟป่าและภัยแล้งที่รุนแรงขึ้นจากภาวะโลกร้อน

    https://e360.yale.edu/digest/china-new-forest-report
    🌳 จีนเพิ่มพื้นที่ป่าเท่ารัฐเท็กซัส! ความหวังใหม่ท่ามกลางวิกฤตการสูญเสียป่าทั่วโลก ในขณะที่โลกยังคงสูญเสียพื้นที่ป่าราว 20 ล้านเอเคอร์ต่อปี โดยเฉพาะในเขตร้อนอย่างบราซิล อินโดนีเซีย และคองโก จีนกลับกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่สวนกระแส ด้วยการเพิ่มพื้นที่ป่ากว่า 173 ล้านเอเคอร์ ตั้งแต่ปี 1990 — เทียบเท่าขนาดของรัฐเท็กซัสเลยทีเดียว! 🎯 เล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่าย จีนใช้กลยุทธ์ปลูกป่าอย่างเข้มข้นเพื่อรับมือกับการขยายตัวของทะเลทราย เช่น ทะเลทรายทาคลามากันและโกบี โดยโครงการปลูกต้นไม้รอบทะเลทรายเหล่านี้เริ่มตั้งแต่ปี 1978 และยังคงดำเนินต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน แม้จะมีไฟป่าและภัยแล้งที่ทำลายป่าในบางพื้นที่ แต่โดยรวมแล้ว จีน อินเดีย รัสเซีย และประเทศร่ำรวยอื่น ๆ กลับมีแนวโน้มเพิ่มพื้นที่ป่า เนื่องจากการทำเกษตรมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ไม่ต้องขยายพื้นที่เพาะปลูกเหมือนในอดีต ✅ จีนเพิ่มพื้นที่ป่ามากที่สุดในโลกตั้งแต่ปี 1990 ➡️ เพิ่มขึ้นกว่า 173 ล้านเอเคอร์ ➡️ ปลูกต้นไม้กว่า 120 ล้านเอเคอร์เพื่อสกัดการขยายตัวของทะเลทราย ➡️ โครงการปลูกป่ารอบทะเลทรายทาคลามากันเสร็จสิ้นในปี 2024 ➡️ โครงการรอบทะเลทรายโกบียังดำเนินอยู่ ✅ ประเทศอื่นที่มีแนวโน้มเพิ่มพื้นที่ป่า ➡️ รัสเซียเพิ่มขึ้น 52 ล้านเอเคอร์ ➡️ อินเดียเพิ่มขึ้น 22 ล้านเอเคอร์ ➡️ แคนาดาเพิ่มขึ้น 20 ล้านเอเคอร์ ➡️ สหรัฐฯ และยุโรปมีการฟื้นตัวของป่าเช่นกัน ✅ สาเหตุหลักของการสูญเสียป่าในโลก ➡️ การแผ้วถางเพื่อเกษตรและปศุสัตว์ ➡️ ไฟป่าและภัยแล้งที่รุนแรงขึ้นจากภาวะโลกร้อน https://e360.yale.edu/digest/china-new-forest-report
    0 Comments 0 Shares 21 Views 0 Reviews
More Results