อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าการละความผูกพันในความสุข ทุกชั้น
สัทธรรมลำดับที่ : 662
ชื่อบทธรรม :- การละความผูกพันในความสุข ทุกชั้น
https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=662
เนื้อความทั้งหมด :-
--การละความผูกพันในความสุข ทุกชั้น
--ก. สุขที่ควรกลัว
--อุทายิ ! กามคุณ ห้าอย่างเหล่านี้ มีอยู่. ห้าอย่าง อย่างไรเล่า ? ห้าอย่างคือ
๑. รูปทั้งหลายที่จะพึงรู้สึกได้ด้วยตา
อันเป็นรูปที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ
มีลักษณะน่ารัก เป็นที่เข้าไปอาศัยอยู่แห่งความใคร่
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ;
๒. เสียงทั้งหลายที่จะพึงรู้สึกได้ด้วยหู...ฯลฯ.;
๓. กลิ่นทั้งหลายที่จะพึงรู้สึกได้ด้วยจมูก...ฯลฯ.;
๔. รสทั้งหลายที่จะพึงรู้สึกได้ด้วยลิ้น...ฯลฯ.;
๕. โผฏฐัพพะทั้งหลายที่จะพึงรู้สึกได้ด้วยผิวกาย
อันเป็นโผฏฐัพพะที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ
มีลักษณะน่ารัก เป็นที่เข้าไปอาศัยอยู่แห่งความใคร่
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด.
--อุทายิ ! เหล่านี้แล $กามคุณห้าอย่าง.
--อุทายิ ! สุขโสมนัสใด อาศัยกามคุณห้าเหล่านี้เกิดขึ้น
นี้เรากล่าวว่า
#กามสุข มิฬ๎หสุข ปุถุชนสุข อนริยสุข,
เรากล่าวว่า สุขนั้นบุคคล ไม่ควรเสพ ไม่ควรมี ไม่ควรทำให้มาก และควรกลัว.
--ข. สุขที่ไม่ควรกลัว
--อุทายิ ! ภิกษุในกรณีนี้
+--สงัดแล้วจากกาม สงัดแล้วจากอกุศลธรรมเข้าถึง $ปฐมฌาน
อันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดจากวิเวก แล้วแลอยู่ ;
+--เพราะความที่วิตกวิจารทั้งสองระงับลง เข้าถึง $ทุติยฌาน
เป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดมีขึ้น
ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดจากสมาธิ แล้วแลอยู่ ;
อนึ่ง
+--เพราะความจางคลายไปแห่งปีติ ย่อมเป็นผู้อยู่อุเบกขา
มีสติและสัมปชัญญะ และย่อมเสวยความสุขด้วยนามกาย
ชนิดที่พระอริยเจ้าทั้งหลาย ย่อมกล่าวสรรเสริญผู้นั้นว่า
“เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติอยู่เป็นปกติสุข” ดังนี้ เข้าถึง $ตติยฌาน แล้วแลอยู่ ;
+--เพราะละสุขเสียได้และเพราะละทุกข์เสียได้
เพราะความดับไปแห่งโสมนัสและโทมนัสทั้งสองในกาลก่อน เข้าถึง $จตุตถฌาน
ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่.
นี้เรากล่าวว่า
#เนกขัมมสุข วิเวกสุข อุปสมสุขสัมโพธิสุข.
เรากล่าวว่า สุขนั้นบุคคล ควรเสพ ควรเจริญ ควรทำให้มาก และไม่ควรกลัว.
--ค. สุขที่ยังหวั่นไหวและไม่หวั่นไหว
--อุทายิ ! ภิกษุในกรณีนี้
สงัดแล้วจากกาม สงัดแล้วจากอกุศลธรรม
(สุขไม่สะอาด มีสุขเกิดทางท่อปัสสาวะเป็นต้น.)เข้าถึง $ปฐมฌาน
อันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดจากวิเวก แล้วแลอยู่.
--อุทายิ ! เรากล่าวปฐมฌานนี้แล ว่าอยู่ในวิสัยแห่งความหวั่นไหว.
อะไรเล่าอยู่ ในวิสัยแห่งความหวั่นไหวในปฐมฌานนั้น ?
วิตกวิจารในปฐมฌานนั้นนั่นเอง ที่ยังไม่ดับ มีอยู่.
วิตกวิจารนั้นนั่นแหละเป็นสิ่งที่อยู่
ในวิสัยแห่งความหวั่นไหวใน &ปฐมฌานนั้น.
--อุทายิ ! ภิกษุในกรณีนี้
เพราะความที่วิตกวิจารทั้งสองระงับลง เข้าถึง $ทุติยฌาน
เป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดมีขึ้น
ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุข อันเกิดจากสมาธิ แล้วแลอยู่.
--อุทายิ ! เรากล่าวแม้ทุติยฌานนี้แล ว่าอยู่ในวิสัยแห่งความหวั่นไหว.
อะไรเล่าอยู่ในวิสัยแห่งความหวั่นไหว ในทุติยฌานนั้น ?
ปีติสุขในทุติยฌานนั้นนั่นเองที่ยังไม่ดับ มีอยู่,
ปีติสุขนั้นนั่นแหละเป็นสิ่งที่อยู่
ในวิสัยแห่งความหวั่นไหวใน &ทุติยฌานนั้น.
--อุทายิ ! ภิกษุในกรณีนี้
เพราะความจางคลายไปแห่งปีติ ย่อมเป็นผู้อยู่อุเบกขา
มีสติและสัมปชัญญะ และย่อมเสวยความสุขด้วยนามกาย
ชนิดที่ พระอริยเจ้าทั้งหลาย ย่อมกล่าวสรรเสริญผู้นั้นว่า
“เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติ อยู่เป็นปกติสุข” ดังนี้ เข้าถึง &ตติยฌาน แล้วแลอยู่.
--อุทายิ ! เรากล่าวแม้ตติยฌานนี้แล ว่าอยู่ในวิสัยแห่งความหวั่นไหว.
อะไรเล่าอยู่ในวิสัยแห่งความหวั่นไหวในตติยฌานนั้น ?
อุเบกขาสุขในตติยฌานนั้นนั่นเองที่ยังไม่ดับ มีอยู่,
อุเบกขาสุขนั้นนั่นแหละเป็นสิ่งที่อยู่
ในวิสัยแห่งความหวั่นไหวใน $ตติยฌานนั้น.
--อุทายิ ! ภิกษุในกรณีนี้
เพราะละสุขเสียได้ และเพราะละทุกข์เสียได้
เพราะความดับไปแห่งโสมนัสและโทมนัสทั้งสองในกาลก่อน
เข้าถึงจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข
มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขาแล้วแลอยู่.
--อุทายิ !
เรากล่าว &จตุตถฌาน นี้แลว่า
#ไม่อยู่ในวิสัยแห่งความหวั่นไหว.
--ง. การละความผูกพันในรูปฌานและอรูปฌาน
--อุทายิ ! ภิกษุในกรณีนี้
สงัดแล้วจากกาม สงัดแล้วจากอกุศลธรรม เข้าถึง $ปฐมฌาน
อันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดจากวิเวก แล้วแลอยู่.
--อุทายิ !
เรากล่าว &ปฐมฌานนี้แล ว่าสิ่งไม่ควร (จะพอใจ)
เรากล่าวว่าจงละเสีย
เรากล่าวว่าจงก้าวล่วงเสีย.
ก็อะไรเล่า เป็นการก้าวล่วงเสียซึ่ง ปฐมฌานนั้น ?
--อุทายิ ! ภิกษุในกรณีนี้
เพราะความที่วิตกวิจารทั้งสองระงับลง เข้าถึง $ทุติยฌาน
เป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดมีขึ้น
ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุข อันเกิดจากสมาธิ แล้วแลอยู่.
นี้แหละเป็นการก้าวล่วงซึ่ง &ปฐมฌานนั้น.
--อุทายิ ! เรากล่าวแม้ &ทุติยฌานนั้นแล ว่าสิ่งไม่ควร (จะพอใจ)
เรากล่าวว่าจงละเสีย เรากล่าวว่าจงก้าวล่วงเสีย.
ก็อะไรเล่า เป็นการก้าวล่วงเสียซึ่ง ทุติยฌานนั้น ?
--อุทายิ ! ภิกษุในกรณีนี้
เพราะความจางคลายไปแห่งปีติ ย่อมเป็นผู้อยู่อุเบกขา
มีสติและสัมปชัญญะ และย่อมเสวยความสุขด้วยนามกาย
ชนิดที่พระอริยเจ้าทั้งหลาย ย่อมกล่าวสรรเสริญผู้นั้นว่า
“เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติ อยู่เป็นปกติสุข” ดังนี้ เข้าถึง $ตติยฌาน แล้วแลอยู่.
นี้แหละเป็นการก้าวล่วงซึ่ง &ทุติยฌานนั้น.
--อุทายิ ! เรากล่าวแม้ &ตติยฌานนั้นแล ว่าสิ่งไม่ควร (จะพอใจ)
เรากล่าวว่าจงละเสีย เรากล่าวว่าจงก้าวล่วงเสีย.
ก็อะไรเล่า เป็นการก้าวล่วงซึ่ง ตติยฌานนั้น ?
--อุทายิ ! ภิกษุในกรณีนี้
เพราะละสุขเสียได้ และเพราะละทุกข์เสียได้
เพราะความดับแห่งโสมนัสและโทมนัสทั้งสองในกาลก่อน
เข้าถึง &จตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์
เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่.
นี้แหละเป็นการก้าวล่วงเสียซึ่ง &ตติยฌานนั้น.
--อุทายิ !
เรากล่าวแม้จตุตถฌานนั้นแล ว่าสิ่งไม่ควร (จะพอใจ)
เรากล่าวว่าจงละเสีย เรากล่าวว่าจงก้าวล่วงเสีย.
ก็อะไรเล่า เป็นการก้าวล่วงซึ่ง &จตุตถฌานนั้น ?
--อุทายิ ! ภิกษุในกรณีนี้
เพราะก้าวล่วงเสียได้ซึ่งรูปสัญญาทั้งหลายโดยประการทั้งปวง
เพราะความดับไปแห่งปฏิฆสัญญาทั้งหลาย
เพราะไม่ใส่ใจนานัตตสัญญาทั้งหลาย เป็นผู้เข้าถึง $อากาสานัญจายตนะ
อันมีการทำในใจว่า “อากาศไม่มีที่สุด” ดังนี้ แล้วแลอยู่.
นี้แหละเป็นการก้าวล่วงซึ่ง &จตุตถฌานนั้น.
--อุทายิ ! เรากล่าวแม้อากาสานัญจายตนะนั้นแล ว่าสิ่งไม่ควร (จะพอใจ)
เรากล่าวว่าจงละเสีย เรากล่าวว่าจงก้าวล่วงเสีย
ก็อะไรเล่า เป็นการก้าวล่วงเสียซึ่ง อากาสานัญจายตนะนั้น ?
--อุทายิ ! ภิกษุในกรณีนี้
เพราะก้าวล่วงเสียได้ซึ่ง &อากาสานัญจายตนะด้วยประการทั้งปวง
เป็นผู้เข้าถึง $วิญญาณัญจายตนะ
อันมีการทำในใจว่า “วิญญาณไม่มีที่สุด” ดังนี้ แล้วแลอยู่.
นี้แหละเป็นการก้าวล่วงเสียซึ่ง &อากาสานัญจายตนะนั้น.
--อุทายิ ! เรากล่าวแม้วิญญาณัญจายตนะนั้นแล ว่าสิ่งไม่ควร (จะพอใจ)
เรากล่าวว่าจงละเสีย เรากล่าวว่าจงก้าวล่วงเสีย.
ก็อะไรเล่า เป็นการก้าวล่วงเสียซึ่ง วิญญาณัญจายตนะนั้น ?
--อุทายิ ! ภิกษุในกรณีนี้
เพราะก้าวล่วงเสียได้ซึ่ง &วิญญาณัญจายตนะ
โดยประการทั้งปวงเป็นผู้เข้าถึง $อากิญจัญญายตนะ
อันมีการทำในใจว่า “อะไร ๆ ไม่มี” ดังนี้ แล้วแลอยู่.
นี้แหละเป็นการก้าวล่วงเสียซึ่ง &วิญญาณัญจายตนะนั้น.
--อุทายิ ! เรากล่าวแม้อากิญจัญญายตนะนั้นแล ว่าสิ่งไม่ควร (จะพอใจ)
เรากล่าวว่าจงละเสีย เรากล่าวว่าจงก้าวล่วงเสีย.
ก็อะไรเล่า เป็นการก้าวล่วงเสียซึ่ง อากิญจัญญายตนะนั้น ?
--อุทายิ ! ภิกษุในกรณีนี้
เพราะก้าวล่วงเสียได้ซึ่ง &อากิญจัญญายตนะ
โดยประการทั้งปวง เป็นผู้เข้าถึง เนวสัญญานาสัญญายตนะ แล้วแลอยู่.
นี้แหละเป็นการก้าวล่วงเสียซึ่ง &อากิญจัญญายตนะนั้น.
--อุทายิ ! เรากล่าวแม้เนวสัญญานาสัญญายตนะนั้นแล ว่าสิ่งไม่ควร (จะพอใจ)
เรากล่าวว่าจงละเสีย เรากล่าวว่าจงก้าวล่วงเสีย.
ก็อะไรเล่า เป็นการก้าวล่วงเสียซึ่ง เนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ?
--อุทายิ ! ภิกษุในกรณีนี้
เพราะก้าวล่วงเสียได้ซึ่ง &เนวสัญญานาสัญญายตนะโดยประการทั้งปวง
เป็นผู้เข้าถึง
#สัญญาเวทยิตนิโรธ แล้วแลอยู่.
นี้แหละเป็นการก้าวล่วงเสียซึ่ง เนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น.
--อุทายิ ! ด้วยอาการอย่างนี้แล
เรากล่าวการละแม้ซึ่ง &เนวสัญญานาสัญญายตนะ.
--อุทายิ ! เธอเห็นบ้างไหม ซึ่งสังโยชน์น้อยใหญ่นั้น ที่เราไม่กล่าวว่าต้องละ ?
“ข้อนั้น ไม่มีเลย พระเจ้าข้า !”-
#ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ม. ม. 13/189-192/182-185.
http://etipitaka.com/read/thai/13/189/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%98%E0%B9%92
อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ม. ม. ๑๓/๑๘๙-๑๙๒/๑๘๒-๑๘๕.
http://etipitaka.com/read/pali/13/189/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%98%E0%B9%92
ศึกษาเพิ่มเติม...
https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=662 http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=46&id=662
หรือ
http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=46
ลำดับสาธยายธรรม : 46 ฟังเสียง...
http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_46.mp3 อริยสาวกพึงฝึกหัดศึกษาว่าการละความผูกพันในความสุข ทุกชั้น
สัทธรรมลำดับที่ : 662
ชื่อบทธรรม :- การละความผูกพันในความสุข ทุกชั้น
https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=662
เนื้อความทั้งหมด :-
--การละความผูกพันในความสุข ทุกชั้น
--ก. สุขที่ควรกลัว
--อุทายิ ! กามคุณ ห้าอย่างเหล่านี้ มีอยู่. ห้าอย่าง อย่างไรเล่า ? ห้าอย่างคือ
๑. รูปทั้งหลายที่จะพึงรู้สึกได้ด้วยตา
อันเป็นรูปที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ
มีลักษณะน่ารัก เป็นที่เข้าไปอาศัยอยู่แห่งความใคร่
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ;
๒. เสียงทั้งหลายที่จะพึงรู้สึกได้ด้วยหู...ฯลฯ.;
๓. กลิ่นทั้งหลายที่จะพึงรู้สึกได้ด้วยจมูก...ฯลฯ.;
๔. รสทั้งหลายที่จะพึงรู้สึกได้ด้วยลิ้น...ฯลฯ.;
๕. โผฏฐัพพะทั้งหลายที่จะพึงรู้สึกได้ด้วยผิวกาย
อันเป็นโผฏฐัพพะที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ
มีลักษณะน่ารัก เป็นที่เข้าไปอาศัยอยู่แห่งความใคร่
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด.
--อุทายิ ! เหล่านี้แล $กามคุณห้าอย่าง.
--อุทายิ ! สุขโสมนัสใด อาศัยกามคุณห้าเหล่านี้เกิดขึ้น
นี้เรากล่าวว่า #กามสุข มิฬ๎หสุข ปุถุชนสุข อนริยสุข,
เรากล่าวว่า สุขนั้นบุคคล ไม่ควรเสพ ไม่ควรมี ไม่ควรทำให้มาก และควรกลัว.
--ข. สุขที่ไม่ควรกลัว
--อุทายิ ! ภิกษุในกรณีนี้
+--สงัดแล้วจากกาม สงัดแล้วจากอกุศลธรรมเข้าถึง $ปฐมฌาน
อันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดจากวิเวก แล้วแลอยู่ ;
+--เพราะความที่วิตกวิจารทั้งสองระงับลง เข้าถึง $ทุติยฌาน
เป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดมีขึ้น
ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดจากสมาธิ แล้วแลอยู่ ;
อนึ่ง
+--เพราะความจางคลายไปแห่งปีติ ย่อมเป็นผู้อยู่อุเบกขา
มีสติและสัมปชัญญะ และย่อมเสวยความสุขด้วยนามกาย
ชนิดที่พระอริยเจ้าทั้งหลาย ย่อมกล่าวสรรเสริญผู้นั้นว่า
“เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติอยู่เป็นปกติสุข” ดังนี้ เข้าถึง $ตติยฌาน แล้วแลอยู่ ;
+--เพราะละสุขเสียได้และเพราะละทุกข์เสียได้
เพราะความดับไปแห่งโสมนัสและโทมนัสทั้งสองในกาลก่อน เข้าถึง $จตุตถฌาน
ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่.
นี้เรากล่าวว่า #เนกขัมมสุข วิเวกสุข อุปสมสุขสัมโพธิสุข.
เรากล่าวว่า สุขนั้นบุคคล ควรเสพ ควรเจริญ ควรทำให้มาก และไม่ควรกลัว.
--ค. สุขที่ยังหวั่นไหวและไม่หวั่นไหว
--อุทายิ ! ภิกษุในกรณีนี้
สงัดแล้วจากกาม สงัดแล้วจากอกุศลธรรม
(สุขไม่สะอาด มีสุขเกิดทางท่อปัสสาวะเป็นต้น.)เข้าถึง $ปฐมฌาน
อันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดจากวิเวก แล้วแลอยู่.
--อุทายิ ! เรากล่าวปฐมฌานนี้แล ว่าอยู่ในวิสัยแห่งความหวั่นไหว.
อะไรเล่าอยู่ ในวิสัยแห่งความหวั่นไหวในปฐมฌานนั้น ?
วิตกวิจารในปฐมฌานนั้นนั่นเอง ที่ยังไม่ดับ มีอยู่.
วิตกวิจารนั้นนั่นแหละเป็นสิ่งที่อยู่
ในวิสัยแห่งความหวั่นไหวใน &ปฐมฌานนั้น.
--อุทายิ ! ภิกษุในกรณีนี้
เพราะความที่วิตกวิจารทั้งสองระงับลง เข้าถึง $ทุติยฌาน
เป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดมีขึ้น
ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุข อันเกิดจากสมาธิ แล้วแลอยู่.
--อุทายิ ! เรากล่าวแม้ทุติยฌานนี้แล ว่าอยู่ในวิสัยแห่งความหวั่นไหว.
อะไรเล่าอยู่ในวิสัยแห่งความหวั่นไหว ในทุติยฌานนั้น ?
ปีติสุขในทุติยฌานนั้นนั่นเองที่ยังไม่ดับ มีอยู่,
ปีติสุขนั้นนั่นแหละเป็นสิ่งที่อยู่
ในวิสัยแห่งความหวั่นไหวใน &ทุติยฌานนั้น.
--อุทายิ ! ภิกษุในกรณีนี้
เพราะความจางคลายไปแห่งปีติ ย่อมเป็นผู้อยู่อุเบกขา
มีสติและสัมปชัญญะ และย่อมเสวยความสุขด้วยนามกาย
ชนิดที่ พระอริยเจ้าทั้งหลาย ย่อมกล่าวสรรเสริญผู้นั้นว่า
“เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติ อยู่เป็นปกติสุข” ดังนี้ เข้าถึง &ตติยฌาน แล้วแลอยู่.
--อุทายิ ! เรากล่าวแม้ตติยฌานนี้แล ว่าอยู่ในวิสัยแห่งความหวั่นไหว.
อะไรเล่าอยู่ในวิสัยแห่งความหวั่นไหวในตติยฌานนั้น ?
อุเบกขาสุขในตติยฌานนั้นนั่นเองที่ยังไม่ดับ มีอยู่,
อุเบกขาสุขนั้นนั่นแหละเป็นสิ่งที่อยู่
ในวิสัยแห่งความหวั่นไหวใน $ตติยฌานนั้น.
--อุทายิ ! ภิกษุในกรณีนี้
เพราะละสุขเสียได้ และเพราะละทุกข์เสียได้
เพราะความดับไปแห่งโสมนัสและโทมนัสทั้งสองในกาลก่อน
เข้าถึงจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข
มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขาแล้วแลอยู่.
--อุทายิ !
เรากล่าว &จตุตถฌาน นี้แลว่า #ไม่อยู่ในวิสัยแห่งความหวั่นไหว.
--ง. การละความผูกพันในรูปฌานและอรูปฌาน
--อุทายิ ! ภิกษุในกรณีนี้
สงัดแล้วจากกาม สงัดแล้วจากอกุศลธรรม เข้าถึง $ปฐมฌาน
อันมีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดจากวิเวก แล้วแลอยู่.
--อุทายิ !
เรากล่าว &ปฐมฌานนี้แล ว่าสิ่งไม่ควร (จะพอใจ)
เรากล่าวว่าจงละเสีย
เรากล่าวว่าจงก้าวล่วงเสีย.
ก็อะไรเล่า เป็นการก้าวล่วงเสียซึ่ง ปฐมฌานนั้น ?
--อุทายิ ! ภิกษุในกรณีนี้
เพราะความที่วิตกวิจารทั้งสองระงับลง เข้าถึง $ทุติยฌาน
เป็นเครื่องผ่องใสแห่งใจในภายใน ให้สมาธิเป็นธรรมอันเอกผุดมีขึ้น
ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุข อันเกิดจากสมาธิ แล้วแลอยู่.
นี้แหละเป็นการก้าวล่วงซึ่ง &ปฐมฌานนั้น.
--อุทายิ ! เรากล่าวแม้ &ทุติยฌานนั้นแล ว่าสิ่งไม่ควร (จะพอใจ)
เรากล่าวว่าจงละเสีย เรากล่าวว่าจงก้าวล่วงเสีย.
ก็อะไรเล่า เป็นการก้าวล่วงเสียซึ่ง ทุติยฌานนั้น ?
--อุทายิ ! ภิกษุในกรณีนี้
เพราะความจางคลายไปแห่งปีติ ย่อมเป็นผู้อยู่อุเบกขา
มีสติและสัมปชัญญะ และย่อมเสวยความสุขด้วยนามกาย
ชนิดที่พระอริยเจ้าทั้งหลาย ย่อมกล่าวสรรเสริญผู้นั้นว่า
“เป็นผู้อยู่อุเบกขา มีสติ อยู่เป็นปกติสุข” ดังนี้ เข้าถึง $ตติยฌาน แล้วแลอยู่.
นี้แหละเป็นการก้าวล่วงซึ่ง &ทุติยฌานนั้น.
--อุทายิ ! เรากล่าวแม้ &ตติยฌานนั้นแล ว่าสิ่งไม่ควร (จะพอใจ)
เรากล่าวว่าจงละเสีย เรากล่าวว่าจงก้าวล่วงเสีย.
ก็อะไรเล่า เป็นการก้าวล่วงซึ่ง ตติยฌานนั้น ?
--อุทายิ ! ภิกษุในกรณีนี้
เพราะละสุขเสียได้ และเพราะละทุกข์เสียได้
เพราะความดับแห่งโสมนัสและโทมนัสทั้งสองในกาลก่อน
เข้าถึง &จตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์
เพราะอุเบกขา แล้วแลอยู่.
นี้แหละเป็นการก้าวล่วงเสียซึ่ง &ตติยฌานนั้น.
--อุทายิ !
เรากล่าวแม้จตุตถฌานนั้นแล ว่าสิ่งไม่ควร (จะพอใจ)
เรากล่าวว่าจงละเสีย เรากล่าวว่าจงก้าวล่วงเสีย.
ก็อะไรเล่า เป็นการก้าวล่วงซึ่ง &จตุตถฌานนั้น ?
--อุทายิ ! ภิกษุในกรณีนี้
เพราะก้าวล่วงเสียได้ซึ่งรูปสัญญาทั้งหลายโดยประการทั้งปวง
เพราะความดับไปแห่งปฏิฆสัญญาทั้งหลาย
เพราะไม่ใส่ใจนานัตตสัญญาทั้งหลาย เป็นผู้เข้าถึง $อากาสานัญจายตนะ
อันมีการทำในใจว่า “อากาศไม่มีที่สุด” ดังนี้ แล้วแลอยู่.
นี้แหละเป็นการก้าวล่วงซึ่ง &จตุตถฌานนั้น.
--อุทายิ ! เรากล่าวแม้อากาสานัญจายตนะนั้นแล ว่าสิ่งไม่ควร (จะพอใจ)
เรากล่าวว่าจงละเสีย เรากล่าวว่าจงก้าวล่วงเสีย
ก็อะไรเล่า เป็นการก้าวล่วงเสียซึ่ง อากาสานัญจายตนะนั้น ?
--อุทายิ ! ภิกษุในกรณีนี้
เพราะก้าวล่วงเสียได้ซึ่ง &อากาสานัญจายตนะด้วยประการทั้งปวง
เป็นผู้เข้าถึง $วิญญาณัญจายตนะ
อันมีการทำในใจว่า “วิญญาณไม่มีที่สุด” ดังนี้ แล้วแลอยู่.
นี้แหละเป็นการก้าวล่วงเสียซึ่ง &อากาสานัญจายตนะนั้น.
--อุทายิ ! เรากล่าวแม้วิญญาณัญจายตนะนั้นแล ว่าสิ่งไม่ควร (จะพอใจ)
เรากล่าวว่าจงละเสีย เรากล่าวว่าจงก้าวล่วงเสีย.
ก็อะไรเล่า เป็นการก้าวล่วงเสียซึ่ง วิญญาณัญจายตนะนั้น ?
--อุทายิ ! ภิกษุในกรณีนี้
เพราะก้าวล่วงเสียได้ซึ่ง &วิญญาณัญจายตนะ
โดยประการทั้งปวงเป็นผู้เข้าถึง $อากิญจัญญายตนะ
อันมีการทำในใจว่า “อะไร ๆ ไม่มี” ดังนี้ แล้วแลอยู่.
นี้แหละเป็นการก้าวล่วงเสียซึ่ง &วิญญาณัญจายตนะนั้น.
--อุทายิ ! เรากล่าวแม้อากิญจัญญายตนะนั้นแล ว่าสิ่งไม่ควร (จะพอใจ)
เรากล่าวว่าจงละเสีย เรากล่าวว่าจงก้าวล่วงเสีย.
ก็อะไรเล่า เป็นการก้าวล่วงเสียซึ่ง อากิญจัญญายตนะนั้น ?
--อุทายิ ! ภิกษุในกรณีนี้
เพราะก้าวล่วงเสียได้ซึ่ง &อากิญจัญญายตนะ
โดยประการทั้งปวง เป็นผู้เข้าถึง เนวสัญญานาสัญญายตนะ แล้วแลอยู่.
นี้แหละเป็นการก้าวล่วงเสียซึ่ง &อากิญจัญญายตนะนั้น.
--อุทายิ ! เรากล่าวแม้เนวสัญญานาสัญญายตนะนั้นแล ว่าสิ่งไม่ควร (จะพอใจ)
เรากล่าวว่าจงละเสีย เรากล่าวว่าจงก้าวล่วงเสีย.
ก็อะไรเล่า เป็นการก้าวล่วงเสียซึ่ง เนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ?
--อุทายิ ! ภิกษุในกรณีนี้
เพราะก้าวล่วงเสียได้ซึ่ง &เนวสัญญานาสัญญายตนะโดยประการทั้งปวง
เป็นผู้เข้าถึง #สัญญาเวทยิตนิโรธ แล้วแลอยู่.
นี้แหละเป็นการก้าวล่วงเสียซึ่ง เนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น.
--อุทายิ ! ด้วยอาการอย่างนี้แล
เรากล่าวการละแม้ซึ่ง &เนวสัญญานาสัญญายตนะ.
--อุทายิ ! เธอเห็นบ้างไหม ซึ่งสังโยชน์น้อยใหญ่นั้น ที่เราไม่กล่าวว่าต้องละ ?
“ข้อนั้น ไม่มีเลย พระเจ้าข้า !”-
#ทุกขมรรค #อริยสัจสี่ #สุตันตปิฎก #บาลีสุตันตปิฎก #พุทธธัมมเจดีย์
อ้างอิงไทยสุตันตปิฎก : - ม. ม. 13/189-192/182-185.
http://etipitaka.com/read/thai/13/189/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%98%E0%B9%92
อ้างอิงบาลีสุตันตปิฎก : - ม. ม. ๑๓/๑๘๙-๑๙๒/๑๘๒-๑๘๕.
http://etipitaka.com/read/pali/13/189/?keywords=%E0%B9%91%E0%B9%98%E0%B9%92
ศึกษาเพิ่มเติม...
https://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/AriyasajSearch/SinglePage.php?key=662
http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=46&id=662
หรือ
http://www.xn--n3ccdaca9awfta5nmbzd0nd.com/2015/checkForm.php?songno=46
ลำดับสาธยายธรรม : 46 ฟังเสียง...
http://www.manodham.com/sound/002/mp3/002_46.mp3